You are on page 1of 1439

บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร

บทที่ 601 ศึกมังกรเถื่อน


ฉีหนิงลอยอยู่กลางอากาศ ยิงธนูออกไปรวดเร็วดัง
สายฟ้า ขุนพลที่อยู่ข้างๆ ไท่ซานอ๋องยกดาบขึ้นมา
ขวางเอาไว้ แต่ว่าฉีหนิงอยู่ใกล้มาก อีกทั้งธนูที่ยงิ
ออกไปก็แรงมาก ขุนพลคนนัน้ จึงถูกธนูยิงใส่จนเลือด
พุ่งออกมา
ไท่ซานอ๋องตกใจหน้าถอดสี รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว
ตอนนี้มีทหารรอบๆ ก็ตะโกนโห่ร้อง แล้วแทงทวน
เข้าใส่ ฉีหนิงลอยตัวเหมือนนก เห็นทวนแทงเข้าใส่
เขาก็รู้ว่าเขาอันตราย หากพลาด เขาตายไร้ที่ฝัง
แน่นอน
ระหว่างความเป็นความตาย เขาก็เหมือนคิดอะไร
ขึ้นมาได้ เขานึกถึงกระบวนท่าเพลงกระบี่ไร้นาม
ขึ้นมา ตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดมาก เขาง้างธนูใส่พล
ทวนคนหนึ่ง เขารู้ดีว่า หากเขาลงมือพลาด เขาจะ
อันตรายมาก เขาไม่มีเวลาคิดเยอะ เขายิงธนูออกไป
จากนั้นก็อาศัยวินาทีนนั้ ดีดตัวพุ่งไปยังบริเวณที่พล
ทวนอยู่
ทุกคนยืนตาค้าง พวกเขาตะลึงกันมาก
ฉีหนิงพุ่งเข้าหาไท่ซานอ๋องราวกับพญาเหยี่ยวที่สยาย
ปีกบิน ตัวเขาอยูก่ ลางอากาศ ลูกธนูในมือของเขายิง
ออกไปอีก ราวกับกระบี่ออกจากฝัก ทหารคนหนึ่ง
ยืนอยู่หน้าม้าของไท่ซานอ๋อง ฉีหนิงใช้ดาบฟันเข้าใส่
ทำให้ดาบของทหารนั่นตกพื้น จากนั้นเขาก็เหยียบ
หัวของทหารคนนั้น ไท่ซานอ๋องอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ไท่ซานอ๋องตกใจมาก ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันเพียงแค่
ชั่วพริบตาเท่านั้น ราชทูตแคว้นฉู่เปลี่ยนทุกอย่างแค่
ชั่วขณะเดียว แค่เสี้ยวนาทีเขาก็มายืนตรงหน้าเขา
แล้ว ตอนนี้ต่อให้ขุนพลของเขาขึ้นหน้ามามันก็ไม่ทัน
แล้ว ไท่ซานอ๋องร้องคำราม เขาฟันดาบเข้าใส่ แต่
กลับรู้สึกว่ามือของเขานั้นชา ฉีหนิงฟันดาบเข้าใส่
เช่นกัน ดาบของทั้งคูป่ ะทะกัน ไท่ซานอ๋องต้านจน
แขนชา สิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากขึ้นไปนั้นก็คือดาบ
ของเขานั้นมันถูกฟันหักเป็นสองท่อน
ไท่ซานอ๋องอึ้งจนพูดไม่ออก เขาชะงักไป ฉีหนิง
เหยียบขึ้นไปบนหัวม้าของเขา แล้วเอาดาบโค้งพาด
บ่าของเขาไว้ แล้วพูดว่า “สั่งให้พวกเขาวางอาวุธซะ
ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้”
ฉีหนิงพุ่งเข้าใส่ราวกับเทพสวรรค์ รวดเร็วดังสายฟ้า
ฟาด เพลงดาบดุจเทพสงคราม สามารถฝ่าทหารใน
กองทัพเข้ามาควบคุมไท่ซานอ๋อง ทหารทั้งหมดรู้สึก
ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย แอบคิดในใจว่าเขา
ไม่ธรรมดาเลย ทำไมเขาถึงได้เหมือนเทพเจ้าแบบนี้
ทหารสวีโจวถืออาวุธพร้อมมือ แต่กลับไม่มีใครกล้า
ทำอะไร พวกเขาตะลึงมาก บนเนินพญาวัวเอง
ทหารกว่าพันนาย ตอนนี้ต่างก็จ้องมองลงมาบนตัวฉี
หนิง ดาบถูกแสงแดดสาดส่อง ลงมา มันมีความ
หนาวเย็นที่แผ่ไปถึงกระดูก
ฉีหนิงพาดดาบไป ถึงแม้มันจะเป็นดาบโค้งปลาย
ไม่ได้ชี้ไป แต่เขายังนิ่งอยู่ ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไร
ไท่ซานอ๋องไม่ได้สุขุมเหมือนฉีหนิง สีหน้าของเขาดู
กลัวมาก น่าอนาถสุดๆ ไปเลย
ไท่ซานอ๋องคิดว่าตัวเองเป็นนักรบอันดับหนึ่งของตงฉี
แต่ว่าในตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับ
สัตว์ประหลาด เขาไม่มีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้
เลย
ฉีหนิงฝ่าวงล้อมทหารกว่าพันคนเข้ามาคุมตัวไท่ซาน
อ๋องไว้ แค่คิดก็น่าสยองแล้ว แต่เขาก็รู้ว่าเขาจะลังเล
ให้เกิดช่องโหว่ไม่ได้ ถึงแม้จะควบคุมไท่ซานอ๋อง
เอาไว้ได้แล้ว แต่เขายังไม่สามารถคุมสถานการณ์
ทั้งหมดได้ เขาพูดเสียงเข้มว่า “ไท่ซานอ๋อง ท่าน
เลอะเลือนไปชั่วขณะ แต่อย่างไรก็เป็นถึงองค์ชาย
หากยังไม่คิดไม่ตกอีก แม้แต่โอกาสรอดชีวิตก็คงไม่มี
ตอนนี้รีบสั่งให้ทหารปลดอาวุธเดี๋ยวนี้ อย่าให้มันต้อง
สายเกินไป”
เขาภายนอกดูนิ่งสุขุมมาก แต่ในใจเขาตื่นเต้นมาก
เขารู้ว่าต่อให้ไท่ซานอ๋องยอมทิ้งอาวุธยอมแพ้ ก็
อาจจะจบไม่ดี แต่ว่าในเวลานี้หวังแค่ไท่ซานอ๋องยอม
ออกคำสั่งปลดอาวุธยอมแพ้ เพื่อที่เขาจะได้ควบคุม
สถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้
ไท่ซานอ๋องหน้ากระตุก มองไปที่ฉีหนิงด้วยสายตา
อาฆาตแค้น เขาไม่พอใจมาก แต่ก็รู้สึกว่า คนแบบนี้
สามารถฝ่าทหารกว่าพันคนบุกมาจับตัวเขาเอาไว้ได้
วรยุทธ์ร้ายกาจขนาดนี้ ต่อให้ฆ่าเขาไปแล้ว จะฝ่า
ออกไปมันก็ง่ายยิง่ กว่าพลิกฝ่ามือ เขาไม่สงสัยเลยว่า
หากฉีหนิงต้องการเอาชีวิตเขา หัวของเขาย้ายบ้าน
แน่นอน เขาตะโกนไปว่า “พวกเจ้าวางอาวุธลง
เดี๋ยวนี้ เร็ว...วางอาวุธลงเร็ว”
เหล่าทหารมองหน้ากัน เหมือนจะลังเล ในตอนนีเ้ อง
ก็ได้ยินเสียงดังมาจากเนินเขาพญาวัวว่า “รัชทายาท
ทรงมีรับสั่ง ทหารสวีโจวก่อกบฏ เป็นเพราะไท่ซาน
อ๋องหลอกล่อ ตอนนี้ไท่ซานอ๋องถูกจับแล้ว รัช
ทายาททรงมีพระเมตตา จะเอาผิดแค่ผู้นำเท่านัน้ จะ
ไม่เอาผิดกับผู้ติดตาม วางอาวุธตอนนี้ รัชทายาท
รับประกันว่าพวกเจ้าจะปลอดภัย”
เหล่าทหารได้ยินรัชทายาทรับประกัน ก็เหมือนจะ
เริ่มผ่อนคลายอุดมการณ์ ทันใดนั้นเองเฉิงอู่กค็ วบม้า
ขึ้นหน้ามา แล้วตะโกนว่า “ทหารทุกนายจงฟัง วาง
อาวุธ แล้วขออภัยโทษกับองค์รัชทายาท” เมื่อมี
ขุนพลคนหนึ่งวางอาวุธ ลงจากม้า เหล่าทหารนาย
เห็นเฉิงอู่ทงิ้ อาวุธ ก็ไม่ลังเลอีก ทั้งหมดก็ทิ้งอาวุธตาม
ฉีหนิงยื่นมือไปจับไหล่ของไท่ซานอ๋อง จับเขาลงจาก
ม้า หลังจากที่ลงจากม้ามาแล้ว ฉีหนิงก็ใช้ดาบโค้ง
พาดบ่าของเขา อู๋ต๋าหลินหยิบดาบ แล้วรีบมาที่ข้าง
ตัวของฉีหนิง เพื่อคุ้มกันเขา อีกทั้งยังป้องกันคนลอบ
ยิงธนูด้วย
เฉิงอู่คุกเข่าลงหนึ่งข้างหันหน้าเข้าเนินเขาพญาวัว
เพื่อขอรับโทษ ทหารคนอืน่ ก็เหมือนกัน ฉีหนิง
กับอู๋ต๋าหลินจับไท่ซานอ๋องเดินฝ่าฝูงชนที่คุกเข่าอยู่
แล้วเดินไปยังเนินพญาวัว
รัชทายาทตงฉีที่อยูบ่ นเนินเขาเห็นฉีหนิงสามารถคุม
ตัวไท่ซานอ๋องได้แล้ว ก็ดีใจมาก เขารีบสั่งให้ซูหลุน
ไปรับ ซูหลุนนำทหารสิบคนรีบลงมาจากเขา แล้วมา
หาฉีหนิง ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วผลักตัวไท่ซานอ๋อง
ให้กับซูหลุน ซูหลุนคุมตัวไท่ซานอ๋องด้วยตัวเอง
ตอนนี้รวมถึงซูหลุนด้วย ทหารของรัชทายาททั้งหมด
มองมาที่ฉีหนิงด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิม เพราะ
พวกเขามีแต่ความเคารพนับถือ เมื่อกี้จู่ๆ ฉีหนิงก็ลง
มือ ทุกคนตกใจมาก ทหารบนเนินคิดว่าฉีหนิง
รนหาที่ตายแน่นอน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฉีหนิงไม่เพียง
ไม่เป็นไร อีกทัง้ ยังจับตัวไท่ซานอ๋องได้ด้วย
เห็นฉีหนิงจับไท่ซานอ๋องมาได้ ต่อให้เป็นรัชทายาทที่
นิสัยสุขุม ในเวลานี้ก็อดซาบซึ้งใจไม่ได้ เขารีบเดิน
เข้ามา แล้วพูดว่า “จิ่นอีโหวชื่อเสียงเกรียงไกร สม
กับเป็นวีรบุรุษอันดับหนึ่ง”
ฉีหนิงเห็นรัชทายาทเดินมาตรงหน้าเขา เขาก็ยกดาบ
โค้งคืนให้ด้วยสองมือ “รัชทายาท นีด่ าบของ
พระองค์ที่กระหม่อมยืมมาเมื่อครู่ กระหม่อมขอคืน
ให้” เขาดูไม่ตกใจเลย
รัชทายาทยื่นมือไปจับข้อมือของฉีหนิง สีหน้าของเขา
เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “จิ่นอีโหว วันนี้ที่ข้ารอด
มาได้ ทั้งหมดเป็นเพราะท่านยืน่ มือเข้าช่วย ท่านไม่
เพียงเป็นผู้มีพระคุณของข้า แต่ยังเป็นผู้มีพระคุณ
ของต้าฉีของเราด้วย ข้ากับต้าฉีติดหนี้บุญคุณท่าน”
ซือถูหมิงเยว่กับคนอื่นยืนอยู่ด้านหลัง แต่ละคนมีสี
หน้าปลื้มปีติมาก พวกเขาต่างชื่นชมในตัวฉีหนิง ใน
เวลานี้ซูหลุนได้คุมตัวไท่ซานอ๋องมา แล้วพูดว่า “รัช
ทายาท ไท่ซานอ๋องถูกจับแล้ว ควรจะจัดการอย่างไร
ดีพ่ะย่ะค่ะ?”
รัชทายาทเหลือบมองไท่ซานอ๋อง แล้วพูดว่า “ข้าเคย
บอกไปแล้ว เจ้าไม่มีทางกลับเข้าฝั่งได้อีก”
ไท่ซานอ๋องเผชิญหน้ากับรัชายาท เหมือนความ
หัวแข็งของเขาจะกลับมา เขาพูดว่า “ต้วนเซ่า วันนี้
หากไม่ใช่เพราะเขายื่นมือเข้าช่วย เจ้าก็คงตายไป
แล้ว ข้าไม่ได้แพ้ให้กับเจ้า แต่แพ้ในมือของชาวแคว้น
ฉู่ เจ้าเป็นถึงรัชทายาทตงฉี แต่กลับต้องให้ชาวแคว้น
ฉู่มาช่วย เจ้ายังมีเกียรติอยูบ่ ้างหรือไม่”
รัชทายาทพูดว่า “นั่นก็แสดงว่าชะตามันอยู่ที่ข้า เจ้า
มันไม่เอาไหน” เขาสั่งว่า “เอาตัวเขาออกไป
หลังจากกลับไปเมืองหลวง ให้เสด็จพ่อทรงตัดสิน”
ไท่ซานอ๋องพยายามดิ้นแล้วพูดว่า “ต้วนเซ่า เจ้าคิด
ว่าเจ้าชนะแล้วหรืออย่างไร? ข้าบอกเจ้าตรงนีเ้ ลย ไม่
ว่าเจ้าจะมีลูกไม้อะไร เจ้าก็ชนะข้าไม่ได้หรอก” พูด
จบ เขาก็หัวเราะเสียงดัง สีหน้าของเขาเหมือนได้ใจ
มาก กลายเป็นว่ารัชทายาทเหมือนคนผิดเลย
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก น้ำเสียงของไท่ซานอ๋อง ดู
มั่นใจมาก ตอนนี้เขาถูกจับเป็นนักโทษ โทษกบฏ
อย่างไรก็หนีไม่พ้น อย่าว่าแต่ชนะรัชทายาทเลย
แม้แต่ชีวิตเขาก็ไม่น่าจะรอด ฉีหนิงไม่รู้ว่าเขามาถึง
ขั้นนี้แล้ว ทำไมยังกล้าพูดจาแบบนีอ้ ีก
ซือถูหมิงเยว่พูดว่า “ไท่ซานอ๋อง เรือ่ งมาถึงขั้นนี้แล้ว
เจ้ายังกล้าโอหังแบบนี้อีกหรือ” เขาโบกมือ ซูหลุนรีบ
นำตัวไท่ซานอ๋องออกไป
รัชทายาทสั่งว่า “นำตัวเฉิงอู่มาพบข้า”
ซูหลุนพาคนออกไป ไม่นานนักก็นำตัวเฉิงอู่มา เฉิงอู่
ไม่มีอาวุธ ซือถูหมิงเยว่กังวลว่าสิ่งที่ฉีหนิงทำเมื่อกี้
เฉิงอู่จะเลียนแบบ ถึงแม้เฉิงอู่อาจจะไม่ได้มี
ความสามารถแบบนั้น แต่ว่าระวังไว้ก่อนก็ดี
ระยะห่างตอนนี้อยู่ที่หกเจ็ดก้าว ซือถูหมิงเยว่หันไป
ส่งสัญญาณให้กับซูหลุน เฉิงอู่หยุดแล้วคุกเข่าทำ
ความเคารพ “ข้าน้อยถูกไท่ซานอ๋องมอมเมา เลอะ
เลือนไปชั่วขณะ สมควรตาย ขอรัชทายาททรงลง
อาญาด้วย”
รัชทายาทหันไปยิ้มให้ฉีหนิง แล้วตบบ่าเขา จากนัน้ ก็
เดินไปหาเฉิงอู่ ซือถูหมิงเยว่รีบพูดว่า “รัชทายาท
ทรงระวังด้วย...”
รัชทายาทไม่ได้สนใจ เขาเดินไปตรงหน้าเฉิงอู่ แล้ว
พูดว่า “ข้าบอกไปแล้ว ข้าเอาผิดแค่ผู้นำ ผู้ติดตามข้า
จะไม่เอาเรื่อง เฉิงอู่ ข้ารู้ว่าเจ้าก็ไม่มีทางเลือก เจ้า
วางใจได้ ข้าพูดแล้วไม่คืนคำ ข้าเอาผิดเจ้า แต่เจ้ารีบ
นำทหารสวีโจวออกจากที่นี่ไปทันที”
เฉิงอู่ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “กระหม่อมรับบัญชา”
จากนั้นเขาก็ออกไปทันที
ซูหลุนเห็นเฉิงอู่ออกไป เขาก็อดพูดไม่ได้ว่า “รัช
ทายาท ทรงปล่อยเขาไปแบบนี้นะ่ หรือ? เขาติดตาม
ไท่ซานอ๋องก่อกบฏ ด้วยสถานการณ์บังคับถึงได้ยอม
แพ้ ตอนนี้ปล่อยเขาไป จะ...”
รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “ไท่ซานอ๋องไม่เอาไหน แค่
เฉิงอู่คนเดียว จะไปทำอะไรได้” เขาสั่งว่า “ซือถู
ทหารกบฏถูกปราบแล้ว จิ่นอีโหวมีผลงานมากที่สุด
รีบจัดงานเลีย้ ง ข้าจะฉลองให้กับจิ่นอีโหว” เขาเดิน
ไปจูงมือฉีหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว ตามข้าเข้า
ไปข้างใจกัน”
ฉีหนิงกล้าหาญชาญชัย ทุกคนเห็นด้วยตาตัวเอง
ทั้งนั้น พวกเขาไม่มีใครที่ไม่ยำเกรงเขา พอคิดว่า
ทหารกบฏมีกำลังรบมากแค่ไหน หากไม่ได้ฉีหนิงยื่น
มือเข้าช่วยเหลือ เนินพญาวัวคงถูกยึด หลายคนรู้สึก
ซาบซึ้งใจต่อฉีหนิงมาก แอบคิดในใจว่าหากฉีหนิงไม่
ฝ่าทัพทหารกว่าพันนายไปจับตัวไท่ซานอ๋องเอาไว้
ชีวิตของพวกเขาคงต้องเอามาทิ้งทีเ่ นินพญาวัวแน่
เลย
หลังจากที่เฉิงอู่ออกไปแล้ว ก็รีบไปจัดระเบียบทหาร
ถอนกำลังออกจากเนินพญาวัว พวกของฉีเฟิงเห็น
ทัพกบฏถอนออกไปแล้ว ก็รีบเดินทางมาทันที เมื่อ
เห็นว่าฉีหนิงปลอดภัย ถึงได้โล่งใจ
รัชทายาทพลิกสถานการณ์ได้ การฉลองก็ต้อง
ยิ่งใหญ่ รัชทายาทออกเดินทางมาข้างนอก ไม่ขาด
อาหารกับเหล้าดีดี ในกระโจมที่เนินพญาวัวเต็มไป
ด้วยผลไม้กับเหล้าชั้นดี ขุนนางของรัชทายาทกับ
ขุนพลต่างนั่งที่ของตัวเอง อู๋ต๋าหลินกับฉีเฟิงเองก็
ได้รับเชิญให้นั่งด้วย ฉีหนิงถูกจัดให้นั่งอยู่ข้างรัช
ทายาท
หลังจากดื่มไปได้ระยะหนึ่ง รัชทายาทก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“จิ่นอีโหว วันนี้ท่านสร้างผลงานใหญ่ ทำให้ทุกคนที่
อยู่ที่นี่ปลอดภัย หากท่านเป็นชาวแคว้นฉีของเรา ข้า
จะต้องสั่งปูนบำเหน็จรางวัลให้ท่านแน่นอน แต่ว่า
ท่านเป็นชาวแคว้นฉู่ ข้าเลยไม่รู้ว่าต้องตอบแทนท่าน
อย่างไรดี ท่านว่า ท่านต้องการอะไร ขอแค่ข้าทำได้
ข้าจะไม่ปฏิเสธเลย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “รัชทายาท ที่กระหม่อมมาที่
แคว้นฉี ก็เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี ขอแค่สามารถทำ
ตามเป้าหมายได้ ก็ถือว่าพระองค์ได้ประทานรางวัลที่
ดีที่สุดให้กระหม่อมแล้ว”
รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าที่พวกเจ้า
เดินทางมาที่แคว้นฉีจองเรา ก็เพื่อเจรจาเรื่องการ
อภิเษก จิ่นอีโหวองอาจกล้าหาญ การมีขุนนางอย่าง
ท่าน ฮ่องเต้แคว้นฉูเ่ องก็ทรงพระปรีชามาก เชื่อว่า
ภารกิจของท่านในครั้งนี้ จะต้องสำเร็จแน่นอน”
ถึงแม้เขาจะไม่ได้บอกว่าจะไม่มีปัญหา แต่ว่าการที่
เขาพูดแบบนี้ เรื่องการอภิเษก ก็สำเร็จไปแล้วกว่า
แปดเก้าส่วน
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินข้างนอกเข้ามารายงาน หลังจาก
ซือถูหมิงเยว่ออกจากกระโจมไป ก็รบี เดินเข้ามา แล้ว
กระซิบอะไรข้างหูรัชทายาท รัชทายาทขมวดคิ้ว สี
หน้าท่าทางเคร่งเครียดมาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 602 หงส์เพลิงมาเยือนรัง
ฉีหนิงเห็นสีหน้าของรัชทายาทไม่ค่อยดีนัก เขาอด
ถามไม่ได้ว่า “รัชทายาท เกิดอะไรขึ้นหรือไม่?”
รัชทายาทมองไปที่ฉีหนิง จากนั้นก็ฝนื ยิ้ม “ไท่ซาน
อ๋องตายแล้ว”
เมื่อเขาพูดแบบนี้ออกมา ทุกคนทีน่ งั่ อยู่ก็ถึงกับสะดุ้ง
รัชทายาทลุกขึ้น แล้วเดินอกไปนอกกระโจม สีหน้า
ของเขาแย่มาก ทุกคนมองหน้ากัน แล้วเดินตามรัช
ทายาทไป
สถานที่กุมขังห่างจากกระโจมรัชทายาทไม่ไกลนัก
เพื่อเป็นการป้องกัน รอบกระโจมมีแต่ทหารองครักษ์
ของรัชทายาทเฝ้าอยู่ รัชทายาทเดินมาถึงนอก
กระโจม ก็สั่งให้คนเปิดกระโจมออก ฉีหนิงเดินตาม
อยู่ข้างกายของรัชทายาท เมื่อเข้าไปในกระโจมแล้ว
ก็เห็นไท่ซานอ๋องนอนอยู่ที่พื้น ที่หน้าผากด้านซ้ายมี
รอยเลือดไหลออกมา
ฉีหนิงมองไปรอบๆ เห็นมือของไท่ซานอ๋องถูกมัดไขว้
หลังเอาไว้ ด้านข้างโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง ขอบโต๊ะเหมือนจะ
มีรอยเลือดเหมือนกัน
ซือถูหมิงเยว่เดินมาที่ด้านข้างรัชทายาท แล้วพูดว่า
“รัชทายาท ไท่ซานอ๋องฆ่าตัวตายหนีความผิด”
ดูจากสถานการณ์แล้ว ไท่ซานอ๋องน่าจะเอาหัวโขก
ขอบโต๊ะจนตาย
ขุนนางที่อยูท่ างด้านหลังมองหน้ากัน ถึงแม้ไท่ซาน
อ๋องจะก่อกบฏแล้วถูกจับ แต่ว่าในเวลาสองวัน องค์
ชายสามคนของแคว้นฉี ตายไปถึงสองคน สำหรับ
ตงฉีแล้ว มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย
รัชทายาทมองดูสถานการณ์ตรงหน้า แล้วพูดว่า “สั่ง
ให้คนชันสูตรศพ ดูว่าเขามีร่องรอยบาดแผลที่อื่นอีก
หรือเปล่า” เขาหันไปพูดกับซือถูหมิงเยว่ว่า “ซือถู
เจ้าสั่งให้คนไปหาโลงศพอย่างดีมา ถึงแม้เขาจะเลอะ
เลือนไป แต่...อย่างไรเขาก็ยังเป็นพีช่ ายแท้ๆ ของ
ข้า”
ซือถูหมิงเยว่รับปาก ในเวลานี้ ซูหลุนก็รีบวิ่งเข้ามา
แล้วพูดว่า “องค์รัชทายาท ฟางซิง่ จาย...ฟางซิ่งจาย
ตายแล้วพ่ะยะค่ะ”
ทุกคนตกใจอีกครั้ง รัชทายาทขมวดคิ้ว “เขาตายได้
อย่างไร?”
ซูหลุนพูดว่า “เขาได้ยินจากทหารเวรว่า ไท่ซานอ๋อง
ก่อกบฏล้มเหลว รู้ว่าหนีความผิดไม่ได้ ก็เลย...ก็เลย
ฆ่าตัวตายพ่ะยะค่ะ”
“ฆ่าตัวตาย?” รัชทายาทขมวดคิ้ว
ซูหลุนพูดว่า “เขาถูกพิษจนตาย ชันสูตรศพแล้วถึงได้
รู้ว่า พิษที่อยู่ในตัวเขาเป็นชนิดเดียวกับที่หลินจืออ๋อง
โดน เป็นพิษไม้คันศร เขาจะต้องเอาซ่อนเอาไว้กับตัว
แน่นอน”
รัชทายาทพูดว่า “ก่อนหน้านี้พวกเจ้าไม่ได้ค้นตัวเขา
หรือ?”
“ทูลรัชทายาท ค้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าเขา...เขาซ่อน
เอาไว้อย่างดี อาจจะซ่อนไว้กับตัวไม่ใช่เสื้อผ้า” ซู
หลุนพูดว่า “ถึงแม้เขาจะมีโทษถึงตาย แต่อย่างไรก็
ยังเป็นถึงสวีโจวชื่อสื่อ กระหม่อม...กระหม่อมเลยไม่
กล้าที่จะสั่งให้เขาถอดเสื้อผ้าทั้งหมดแล้วค้นตัว ดัง
นั้น...” เขาคุกเข่าลงกับพื้น แล้วพูดว่า “กระหม่อม
บกพร่องต่อหน้าที่ ทรงลงอาญาด้วย”
รัชทายาทถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ได้ทำอะไร
ผิด เรื่องยาพิษ เขาก็น่าจะซ่อนเอาไว้อย่างดีนั่น
แหละ”
“ฟางซิ่งจายรู้ว่าไท่ซานอ๋องล้มเหลว รู้ว่าเขาไม่รอด
แน่” ซือถูหมิงเยว่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพื่อไม่ต้อง
ทนทรมานทางกาย เลยดื่มยาพิษจนตาย รัชทายาท
ทรงคิดจะทำอย่างไรกับศพดีพะ่ ย่ะค่ะ?”
“ถึงแม้เขาจะมีโทษ แต่เขายังไม่ได้ถูกปลดจาก
ตำแหน่ง” รัชทายาทคิด แล้วสั่งไปว่า “หาโลงศพให้
เขาด้วยก็แล้วกัน หลังชันสูตรเรียบร้อยแล้ว ก็ส่งศพ
เขากลับบ้านไป เรื่องการก่อกบฏในครั้งนี้ ไท่ซาน
อ๋องเป็นนักโทษหลัก ข้าเคยบอกไปแล้ว จะไล่ล่า
ความผิดกับผู้นำก่อกบฏเท่านั้น ผู้ติดตามทั้งหมดจะ
ไม่เอาเรื่อง ในเมื่อฟางซิง่ จายตายแล้ว ก็อย่าให้
ครอบครัวของเขาต้องลำบากใจเลย”
ซือถูหมิงเยว่ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “รัชทายาททรง
มีพระเมตตา พวกเขาจะต้องซาบซึ้งในพระมหา
กรุณาธิคุณแน่นอน”
รัชทายาทดูหดหู่ไม่น้อย เขาสั่งการไปว่า “ทุกคนไป
พักเถอะ พรุ่งนี้เช้า เราจะเดินทางกลับเมืองหลวง
กัน” เขาหันไปพูดกับฉีหนิงว่า “จิ่นอีโหว ข้ารู้สึก
เหนื่อยแล้ว ไว้ค่อยไปคุยกับเจ้านะ”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “รัชทายาทรงรักษาพระวรกายด้วย”
ไท่ซานอ๋องฆ่าตัวตาย งานเลี้ยงก็จัดต่อไปไม่ได้อีก
ทุกคนกลับไปยังที่พักของตัวเอง ฉีหนิงพาอู๋ต๋าหลิน
กับฉีเฟิงกลับไปยังเนินหมูป่า เขาเองก็เหนื่อยมาก
เหมือนกัน เขาหันไปสั่งการอู๋ต๋าหลินสองสามเรื่อง
จากนั้นก็เข้าไปพักในกระโจม
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ฉีหนิงลุกขึ้นมานั่ง ทันใดนั้นเองก็ได้
ยินเสียงถอนหายใจ มันเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ว่า
มันใกล้ตัวเขามาก ฉีหนิงถึงกับสะดุ้ง ก่อนหน้านี้เขา
ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนสังหารหลินจืออ๋อง ถูกกัก
บริเวณอยู่ในกระโจมที่เนินพญาวัว ฉีหนิงก็ได้ยิน
เสียงแปลกๆ เดิมเขาคิดว่าเขาหลอนไปเอง แค่ครั้งนี้
เขาได้ยินชัดมาก มันคือคนที่กำลังถอนหายใจอยู่
ฉีหนิงแสร้งทำเป็นนิง่ ยื่นมือค่อยๆ ไปหยิบกระบี่ผี
หลูมา แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นเขาก็หันตัวไป แล้ว
ชักกระบี่ออกมา แทงไปทางด้านหลังของเขา เขา
ไม่ได้ออมแรงเลย ปฏิกิรยิ าในการตืน่ ตัวของเขาดี
มาก อีกทั้งตอนนี้วรยุทธ์ของเขาก็กา้ วไกลมาก การ
สัมผัสและการได้ยินของเขาดียิ่งกว่าเดิมมาก เขา
มั่นใจมากว่ามีคนอยู่หลังเขา
เขารู้ว่าอีกฝ่ายวรยุทธ์ร้ายกาจมาก ด้วย
ความสามารถของเขาในตอนนี้ ในร้อยเมตรหากมีคน
เข้ามาใกล้ เขาจะรู้สึกได้ทันที แต่ว่าคนผู้นี้มาอยู่ใกล้
เขาจนกระทั่งถอนหายใจ เขาถึงเพิง่ จะรู้สึกตัว แสดง
ว่าวรยุทธ์ของเขาไม่ธรรมดาเลย ในคณะทูตของเขา
ไม่มีใครมีฝีมือขนาดนี้ อีกฝ่ายแอบเข้ามาในกระโจม
ของเขาแบบลับๆ ล่อๆ แสดงว่าไม่ได้มาดี เขาเองก็
ไม่เกรงใจ
กระบี่ทเี่ ขาแทงไปแทบจะพุง่ ไปเต็มแรง กลับแทงเจอ
แต่อากาศ เงาของคนผู้หนึ่งหลบไปด้านข้าง จากนั้น
ก็ได้ยินเสียงหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่เจอกันตั้งนาน วร
ยุทธ์ของจิ่นอีโหวก้าวหน้าไปมากเลยนะ เพื่อนเก่า
เพื่อนแก่มาเยี่ยม ทำไมยังไม่ทันได้พดู อะไรกัน ก็เอา
กระบี่มาแทงใส่กนั ซะล่ะ เจ้าต้อนรับแขกแบบนี้
หรือ?”
เสียงนั้นทั้งนิ่มนวลและใส อีกทั้งเงายังมีเข่าอ่อนนุ่ม
ฉีหนิงตกใจมาก ปลายกระบี่ของเขาชี้ไปยังเงานั่น
เห็นคนผู้หนึ่งสวมชุดสำ ปิดหน้าปิดตา เหลือแค่
ดวงตาเท่านั้น เสื้อผ้ารัดรูปมันทำให้เห็นรูปร่างของ
นางชัดเจน
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่รีบลงมือ เขาจ้องไปทีเ่ งานัน่
ทันใดนั้นก็เหมือนคิดอะไรขึน้ มาได้ เขาตกใจมาก
“เจ้าเองหรือ?” ถึงแม้ผู้หญิงคนนีจ้ ะไม่ได้เปิดหน้า
แต่ว่าน้ำเสียงของนางคุ้นมาก ฉีหนิงมองไปที่
ทรวดทรงองเอวของนาง เขานึกถึงคนผู้หนึ่ง “เจ้าคือ
ชื่อตันเหมย?”
เงานั่นหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ที่แท้โหวเยว่ยังจำ
ข้าได้ด้วย ข้ายังคิดว่าโหวเยว่จะลืมข้าไปแล้วซะอีก”
ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าชื่อตันเหมยจะมาปรากฏตัวที่นี่
ได้
ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอชื่อตันเหมย ก็คือบนเรือ
สำราญที่แม่น้ำฉินไหว หลังจากนั้น ก็ไม่ได้ข่าวคราว
อีกเลย ตอนนี้เห็นนางดึงผ้าปิดหน้าออก ใบหน้าที่
งดงามของนางปรากฏออกมา นางคือชื่อตันเหมย
จริงๆ
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้โหวเยว่องอาจกล้า
หาญมากเลยนะ ได้หน้ามากเลยใช่ไหม?”
ฉีหนิงรู้สึกระแวงนางมาก เขาไม่รู้ว่านางคิดจะทำ
อะไร เขายังไม่เก็บกระบี่ เขาแค่ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
มาทำอะไรที่นี่?”
“นี่ เจ้าไม่อยากให้ข้ามาหรือ?” ชื่อตันเหมยเหลือบ
ไปมองฉีหนิง นางสวยพราวไปด้วยเสน่ห์ นางถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ที่นี่ไม่ใช่แคว้นฉู่ แต่เป็นแคว้น
ตงฉี ข้าเป็นชาวตงฉี ข้าอยู่ในแคว้นของข้า มันผิด
ด้วยหรือ?” นางเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า
“ตอนที่อยู่บนเรือสำราญที่แม่น้ำฉินไหวพูดจาหวาน
กับข้าขนาดไหน ตอนนี้กลับทำเหมือนไม่รู้จักกันแล้ว
ผู้ชาย พอได้แล้วสุดท้ายก็ทิ้ง ไม่มีคนนั้นดีสักคนเลย
...”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “เดี๋ยวก่อน อะไรคือได้แล้วก็ทิ้ง? เรา
ได้กันแล้วหรือ? ทำไมข้าถึงจำไม่ได้ล่ะ?”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “เจ้าคิดน่ะสิ” นางยิ้มมีเสน่ห์มาก
นางเดินเข้าหาฉีหนิงสองก้าว แล้วพูดเสียงอ่อนหวาน
ว่า “โหวเยว่ ไม่เจอกันตั้งนาน ท่านไม่คิดจะคุยอะไร
กับข้าหน่อยหรือ?”
ผิวของนางขาวราวกับหิมะ ริมฝีปากแดงเล็กน้อย
ดวงตาของนางกลมโตมีประกาย บอกไม่ถูกว่ามัน
สวยมีเสน่ห์แค่ไหน
แต่ว่าฉีหนิงรู้ว่า ถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะสวยแค่ไหนก็
ตาม แต่ว่านางไม่ได้มาดี เห็นนางเดินขึ้นหน้ามาหา
เขาก็อดที่จะถอยหลังไม่ได้ ชื่อตันเหมยหยุดเดิน แล้ว
จ้องไปที่ฉีหนิง นางไม่ได้พูดดีด้วย “ข้าหน้าตาน่า
รังเกียจขนาดนั้นเลยหรือ? ทำไมเจ้าทำยังกับข้า
เหมือนปีศาจแบบนี้ล่ะ”
ชื่อตันเหมยยิ้ม นางบิดไปบิดมา ฉีหนิงกังวลว่าเอว
ของชื่อตันเหมยเล็กมาก บิดไปบิดมาแบบนี้แล้ว มัน
อาจจะหักได้ ทันใดนั้นก็ได้ยินชื่อตันเหมยถอน
หายใจแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว จิ่นอีโหว เจ้าจะให้ข้าว่า
อะไรเจ้าดีนะ เจ้ามันโง่นัก แยกแยะดีชั่วไม่ออกแบบ
นี้ ช้าเร็วคงได้ตายด้วยน้ำมือของคนอื่น”
“คนอื่นข้าไม่รู้” ฉีหนิงเองก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า
“แต่ว่าหากไม่ระวังตายในมือของเจ้า ข้าคงเสียใจ
มากทีเดียว”
“เจ้าคิดว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือ?” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูด
ว่า “เจ้าอย่าคิดว่าข้าเลวขนาดนั้นสิ เจ้ามีเทพกระบี่
หนุนหลังเจ้าอยู่ ข้าเป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง
เท่านั้น จะไปกล้าทำอะไรเจ้าได้ล่ะ” นางพูดว่า
“ขอให้ได้ดอกโบตั๋นที่ถูกตาต้องใจ ถึงตายก็ถือว่า
คุ้มค่า หรือว่าเจ้ารู้สึกว่าข้าสวยเทียบดอกโบตั๋นไม่ได้
เลย?”
“ลูกศิษย์ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น ถ้าเป็นดอกโบตั๋น ก็คง
ได้แค่มองเอามาเล่นไม่ได้หรอก” ฉีหนิงถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “แม่นางชื่อ เราสองคนไม่ได้มีความแค้น
ต่อกัน หากเจ้ายังเห็นแก่ความสัมพันธ์ของเราตั้งใจ
มาเยี่ยมข้า ตอนนี้ก็ได้เจอแล้ว ข้าเองก็รับน้ำใจเจ้า
แล้ว เจ้าไปได้แล้ว เจ้าคงไม่รู้ ในคณะทูตของเรามี
เสือหมอบมังกรซ่อน ยอดฝีมือของเรามีเยอะมากเลย
นะ หากพวกเขาเห็นว่าเจ้าลอบเข้ามาในค่าย ถึงเวลา
นั้นเจ้าคิดจะไปก็ไปไม่ได้”
ชื่อตันเหมยหน้านิ่งไป แล้วพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็รงั เกียจ
ข้ามากขนาดนี้เลย ถึงได้รีบไล่ข้าไปแบบนี้ เจ้ากำลัง
ลำบาก ข้าใจดีมาช่วยเจ้า เจ้ากลับรีบไล่ข้าไป ช่าง
เถอะ ในเมื่อเจ้าไม่อยากให้ข้าเป็นคนดี ข้าก็จะไม่
สนใจแล้ว” นางเดินบิดสะโพกไป แต่เดินไปแค่สอง
ก้าว แต่กลับไม่ได้ยินเสียงของฉีหนิงเลย นางหันหลัง
กลับมา แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่
ห้ามข้า?”
ฉีหนิงทำหน้าแบบลำบากใจ “เจ้าไปมาไร้ร่องรอย
ในเมื่อเจ้าจะไป ข้าจะไปห้ามเจ้าได้อย่างไร?”
ชื่อตันเหมยกัดฟัน แล้วก็นั่งลง เห็นบนโต๊ะมีชา นาง
ก็รินชาใส่แก้ว แล้วพูดว่า “เจ้าอยากให้ข้าไป ข้าก็จะ
ไม่ไป หากเจ้าไม่พอใจ ก็ไปตามมังกรไปตามเสือที่
เจ้าว่ามาได้เลย ข้าเองก็อยากจะรู้ว่าจะร้ายกาจแค่
ไหนกันเชียว”
ฉีหนิงรู้ดีว่าชื่อตันเหมยไม่มีทางมาหาเขาโดยไม่มี
สาเหตุแน่นอน ท่าทางของชื่อตันเหมย เหมือนจะ
ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางมาคุยกับเขา
ตั้งนานสองนานแบบนี้ เขาคิดได้ว่าเจ้าเกาะไป๋อวิ๋
นเป็นราชครูของแคว้นตงฉี ถึงแม้เขาจะไม่ยุ่งเรื่อง
การเมือง แต่ว่าก็มีอิทธิพลต่อแคว้นตงฉีมาก ชื่อตัน
เหมยเป็นศิษย์ของเขา แสดงว่าก็น่าจะมีอิทธิพลต่อ
ตงฉีไม่น้อย ในเมื่อนางมาหาถึงที่ นัง่ ฟังนางก่อนก็ได้
ว่านางมาทำไม เขาเก็บกระบี่ ยิ้มแล้วพูดว่า “ถึงแม้
ในคณะทูตจะมีพวกเสือหมอบมังกรซ่อนอยู่มากมาย
แต่ว่าหากเทียบกับแม่นางชื่อแล้ว คิดว่าคงเป็นแค่
แมวแค่งูเท่านัน้ แหละ”
เขาถือกระบี่ผีหลูเอาไว้ในมือ แล้วนั่งลงตรงข้ามชื่อ
ตันเหมย แล้วพูดว่า “แม่นางชื่อ เจ้าบอกมาตามตรง
ดีกว่าว่า เจ้ามาหาข้า เพราะเจ้าคิดถึงข้า เป็นห่วงข้า
จริงหรือ?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 603 มองดูไฟที่ลุกโชน
ชื่อตันเหมยมีเสน่ห์เร่าร้อนมาก นางยิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้ากำลังจะจีบข้าหรือ?”
ฉีหนิงจริงจังขึ้นมา แล้วพูดว่า “ข้าจีบเจ้า? แม่นาง
ชื่อ ขอพูดอะไรตรงๆ เลยนะ ผู้หญิงมีอายุไม่มีพันธะ
อย่างเจ้า เข้ามาในกระโจมที่พักของผู้ชายกลางดึก
แบบนี้ ไม่ว่าผู้ชายคนนัน้ จะเป็นใคร การกระทำของ
เจ้ามันก็ทำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิดอยูด่ ี”
“ผู้หญิงมีอายุไม่มีพันธะ?” ชื่อตันเหมยตะลึงไป
จากนั้นก็เอามือปิดปากตัวสั่น นางเหมือนจะกลัวว่า
เสียงหัวเราะของนางจะดังจนคนข้างนอกได้ยิน นาง
มือหนึ่งปิดปาก อีกมือหนึ่งชี้ไปที่ฉีหนิง เหมือนจะ
หัวเราะหนักมาก จนถึงตัวโค้งเลย นางพูดว่า “โหว
น้อย ใครว่าข้าเป็นคนไม่มีพันธะ? เจ้าหมายความว่า
ไม่มีใครชอบข้าเลยอย่างนัน้ หรือ?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเรื่องอื่นข้าอาจจะไม่เก่ง แต่หาก
เรื่องแค่นี้ข้ายังดูไม่ออก ก็ไม่สมควรมีชีวิตมาถึงสอง
ภพสองชาติแล้ว ชื่อตันเหมยหลังเหยียดตรง ขาตรง
เรียวยาว ต่อให้แสดงให้มันดูมีอะไรแค่ไหน ก็ปกปิด
เรื่องทีน่ างยังบริสุทธิ์อยู่ไม่ได้ ในเวลานี้เอง ก็ได้ยิน
เสียงดังมาจากนอกกระโจม “โหวเยว่ มีอะไรจะสั่ง
หรือเปล่า?” มันเป็นเสียงของฉีเฟิง
ฉีหนิงรู้ว่าภายในกระโจมมีความเคลื่อนไหว ฉีเฟิง
รู้สึกว่าผิดปกติ เลยมาลองถามดู เขาเลยตะโกน
ออกไปว่า “ไม่มีอะไร เจ้าเฝ้าด้านนอกเอาไว้ให้ดี ข้า
จะพักผ่อน อย่าให้ใครเข้ามาใกล้เด็ดขาด”
ฉีเฟิงรับคำ แล้วก็เงียบไป
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไมไม่สั่งให้พวกเขาเข้า
มาจับข้าล่ะ?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเขาเป็นคนสนิท
ของข้า ข้าไม่อยากให้เขาเข้ามาแล้วก็ตายไปเลย
อย่างไม่รู้ตัว”
“โย่ว เจ้าก็ไม่โง่นี่นา” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูด นางนั่ง
ตัวตรง ยืดเอว แต่เพราะเสื้อผ้าสีดำที่รัดรูปของนาง
มันทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งมันเด่นชัดมาก การนั่งตัว
ตรงแบบนี้ มันทำให้หน้าอกมันเด้งยืน่ ออกมา แทบ
จะยื่นทะลุเสื้อออกมา นางพูดว่า “เจ้าเองก็ดูฉลาด
ทำไมยอมให้คนอื่นมาปั่นหัวเล่นในมือโดยไม่รู้ตัว
แบบนี้ล่ะ?”
“ปั่นหัวเล่นในมือ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วถามว่า “พูดแบบ
นี้ข้าไม่เข้าใจเลย แม่นางชื่อโปรดชี้แนะด้วย”
“อย่ามาเรียกแม่นาง แม่นางนะ” ชือ่ ตันเหมยจ้องไป
ที่เขา แล้วพูดว่า “ข้าอายุมากกว่าเจ้าตั้งเยอะ อย่าง
น้อยเจ้าก็ควรเรียกข้าว่าท่านอาถึงจะถูก”
“ท่านอา?” ฉีหนิงมองไปที่หน้าของชื่อตันเหมย ชื่อ
ตันเหมยหน้าตางดงาม มีเสน่ห์ราวกับดอกไม้ ดูไม่
ออกเลยว่าอายุเท่าไหร่ ผิวของนางขาวเนียน เด็ก
สาวอายุสิบหกสิบเจ็ดยังต้องยอมให้นางอีก แต่ว่า
เสน่ห์เย้ายวนของนาง มันไม่ใช่เด็กสาวทั่วไปพึงมีกัน
เมื่อมองอย่างละเอียดแล้ว เขาก็น่าจะอายุประมาณ
ยี่สิบห้ายี่สิบหกปี
แต่ว่าฉีหนิงคิดไปถึงว่าเจ้าเกาะไป๋หวินแห่งตงไฮ่กับ
เทพกระบีเ่ ป่ยกงเหลียนเฉิงเป็นคนรุน่ เดียวกัน
ส่วนเป่ยกงเหลียนเฉิงก็เป็นคนรุ่นปู่ ตามหลักแล้ว
ชื่อตันเหมยน่าจะอยู่รุ่นเดียวกับฉีจงิ่ อาจจะอายุน้อย
กว่านิดหน่อย แต่ว่าก็ยังคงอยู่ในรุ่นเดียวกัน ได้ยินคำ
บอกเล่าว่าห้าต้าจงซือราวกับเทพเจ้า ใครจะรู้ว่าชื่อ
ตันเหมยจะใช่วิชาแปลงโฉมมาหรือเปล่า เลยเดาไม่
ออกว่าชื่อตันเหมยนั้นที่จริงแล้วอายุเท่าไหร่
เขาคิดในใจแบบนี้ ชื่อตันเหมยเหมือนจะเดาใจเขาได้
นางพูดมาตรงๆ ว่า “เทพกระบีร่ ุ่นเดียวกับอาจารย์
ข้า ข้ากับพ่อเจ้าเป็นคนรุน่ เดียวกัน เจ้าไม่เรียกข้าว่า
ท่านอา แล้วจะเรียกว่าอะไร?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าข้าว่าเจ้าอายุแค่
ยี่สิบต้นๆ เอง ให้ข้าเรียกท่านอา ข้าเรียกไม่ได้จริงๆ”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้านี่ปากหวาน
เหมือนกันนะเนี่ย” นางปั้นหน้าใส่ พูดอย่างจริงจังว่า
“ฟังให้ดีนะ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องเรียกข้า
ว่าท่านอา ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าตามรุ่นแล้ว ให้เรียกท่านอามันก็ไม่
อะไร เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านอาเหมย ท่าน
ว่า...”
“เดี๋ยวก่อน” ชื่อตันเหมยจ้องไปที่ฉหี นิง “เจ้าเรียก
ข้าว่าอะไรนะ? ท่านอาเหมย?”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าก็เรียกเจ้าว่าท่านอาแล้ว จะเอา
อะไรอีก? ท่านอาข้ามีเยอะแยะ ไม่ได้มีแค่เจ้าคน
เดียวนะ หากต่อไปท่านอาข้าทั้งหมดมาอยู่รวมกัน
เรียกท่าน ไม่หันมากันหมดหรือ? เจ้าบอกให้ข้า
เรียกว่าท่านอา ข้าก็จะเรียกว่าท่านอาเหมย ไม่งั้นข้า
ก็จะไม่เรียก”
“โอะ โกรธด้วย” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ช่าง
เถอะ ช่างเถอะ ท่านอาเหมยก็ท่านอาเหมย เด็กดี
เรียกท่านอาอีกทีสิ”
ฉีหนิงพูดว่า “บอกมาก่อน ทำไมข้าถึงถูกปั่นหัวเล่น
ในมือ หากพูดมาแล้วมีเหตุผลมากพอ จะให้ข้าเรียก
เจ้าว่าท่านอาอีกสิบครัง้ ก็ไม่มีปัญหา”
ชื่อตันเหมยหัวเราะเบาๆ นางพูดว่า “ถึงตอนนี้แล้ว
เจ้ายังไม่ตื่นอีกหรือ เจ้าดูเหมือนจะเลอะเลือนยิ่งกว่า
ที่ข้าคิดซะอีก มีคนเห็นเจ้าเป็นดาบหลอกใช้เจ้า เจ้า
ยังไม่รู้ตัวอีก”
ฉีหนิงหยิบถ้วยชาที่อยูบ่ นโต๊ะขึ้นมาดื่ม ชื่อตันเหมย
รีบยื่นมือไปแย่งมา แล้วพูดว่า “นี่มันแก้วชาของข้า
นะ”
ฉีหนิงหมดคำพูด ได้แต่ตอบไปว่า “แก้วนี้ข้าก็เคยใช้
มาก่อน หากเจ้าชอบก็ใช้ไปเลย”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ?” ชื่อตันเหมยไม่ได้ใส่ใจ
หยิบแก้วขึ้นมาดื่ม ยิ้มแล้วพูดว่า “ต่อให้ในแก้วมีพิษ
ข้าก็ไม่กลัว”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “คนที่เจ้าหมายถึง
น่าจะเป็นรัชทายาทใช่หรือไม่?”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วถามว่า “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเป็น
เขาล่ะ?”
“เจ้าคงไม่ได้จะบอกข้าว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสอง
วันมานี่ เป็นแผนของรัชทายาทหรอกใช่หรือไม่?” ฉี
หนิงเหลือบไปมองตาที่มีเสน่ห์ของนาง
ชื่อตันเหมยรู้สึกตกใจนิดหน่อย นางถามว่า “เจ้าคิด
ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแผนของต้วนเซ่าอย่างนั้น
หรือ?”
ฉีหนิงยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร
แต่ชื่อตันเหมยกลับรีบร้อนพูดว่า “เจ้าว่ามาสิว่า
ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเป็นแผนการของต้วนเซ่า?”
“ไม่ ไม่” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าคิดซะว่าข้าพูดจา
เหลวไหลก็แล้วกันนะ ข้าไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย”
ชื่อตันเหมยเสียงดุขึ้นมา “เจ้ายังเป็นผู้ชายหรือเปล่า
กล้าพูดแต่ไม่กล้ารับ ข้าดูถูกคนแบบนี้ที่สุดเลย เจ้า
พูดออกมาแล้ว ยังกังวลว่าคนอื่นจะรู้อีก”
“มันก็ไม่แน่” ฉีหนิงลูบคางตัวเองแล้วพูดว่า “เจ้า
เป็นถึงศิษย์ท่านเจ้าเกาะไป๋หวิน ท่านเจ้าเกาะไป๋หวิ
นเป็นราชครูแห่งตงฉี คิดว่าเจ้ากับทางราชสำนักตงฉี
ก็น่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน สิ่งที่ข้าพูดที่นี่ทุกคำ
เกรงว่าพูดจบ รัชทายาทเองก็น่าจะรู้เหมือนกัน ข้า
มาที่นี่ในฐานะราชทูต ข้าไม่ได้มาเพื่อหาเรื่อง หาก
พูดอะไรผิดไป ทำอะไรผิดไป คิดว่าคงออกจากตงฉี
ไปไม่ได้”
ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “หลินจืออ๋อง
กับไท่ซานอ๋องเป็นพีน่ ้องร่วมสายเลือดกับต้วนเซ่า ต้
วนเซ่ายังลงมือฆ่าพวกเขาได้ลงคอ ข้าเป็นแค่ศิษย์
ของราชครูตงฉี หรือว่าเจ้าคิดว่าข้าจะกลายเป็นคน
ของรัชทายาทหรืออย่างไรกัน?”
“เจ้าบอกว่าหลินจืออ๋องกับไท่ซานอ๋องถูกรัชทายาท
ฆ่า?” ฉีหนิงไม่ได้ตกใจ แต่ยิ้มแล้วถามว่า “เรื่องนี้ข้า
ไม่รู้เลยนะ เจ้าเดาผิดหรือเปล่า?”
ชื่อตันเหมยจ้องไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ไม่ต้องมาเส
แสร้งต่อหน้าข้า ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็นา่ จะรู้ว่าฟางซิง่
จายไม่ใช่คนที่วางยาแต่แรกแล้วสินะ?”
“ฟางซิ่งจายเป็นคนวางยา?” ฉีหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “พูดตามตรง เริ่มแรกข้าคิดว่าเขาเป็นครน
ร้าย แต่ว่าพอหลังจากที่คนที่ชื่อเย่เหวินปรากฏตัวมา
ข้าก็รู่ว่าไม่ใช่เขาแน่นอน”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไมล่ะ?”
“หากฟางซิ่งจายวางยาจริง เป้าหมายก็น่าจะเป็นรัช
ทายาท” ฉีหนิงพูดว่า “รัชทายาทเป็นมกุฎราชกุมาร
แห่งตงฉี ใครที่คิดจะสังหารรัชทายาท เขาก็ต้องรู้ดี
แก่ใจว่าผลที่ได้หากเขาทำพลาด ฟางซิ่งจายมาอยู่ใน
ตำแหน่งสวีโจวชื่อสือได้ เขาก็น่าจะมีความสามารถ
ได้ หากเขาวางยารัชทายาทจริง จะต้องวางแผน
อย่างดีแน่นอน” สายตาของเขาดูเฉียบแหลม แล้ว
พูดว่า “เย่เหวินถูกจับ เขาก็สารภาพออกมาทันทีว่า
ฟางซิ่งจายเป็นคนบ่งการ รัชทายาทไม่ต้องออกแรง
สอบสวนก็ได้คำสารภาพทั้งหมดแล้ว ต่อให้ฟางซิ่ง
จายโง่แค่ไหน เขาก็ไม่เลือกลูกน้องแบบนี้มาทำงาน
แน่นอน”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เย่เหวินกับ
ฟางซิ่งจายมีความสัมพันธ์กันหรือไม่?”
“ที่จริงแล้ว เย่เหวินเองก็ไม่ได้มีหลักฐานที่ชัดเจนที่
ยืนยันได้ว่าฟางซิง่ จายเป็นคนทำ” ฉีหนิงพูดว่า “ใน
โลกใบนี้ จะหาทหารกล้าตายสักคน ไม่ใช่เรื่องยาก
เลย หากจะใช้วิธีวางยาพิษ ฟางซิ่งจายก็จะต้องเลือก
คนที่กล้าไปตาย แต่เย่เหวินไม่ใช่” เขาส่ายหน้า แล้ว
พูดว่า “เขาไม่ใช่ทหารกล้าตาย แต่ว่าตอนนี้เขา
น่าจะกลายเป็นคนตายไปแล้ว”
“คนตาย?”
“คนแบบนั้น เมื่อทำงานเสร็จตามสั่งแล้ว ก็ไม่น่าจะ
มีเหตุผลจะรอดไปได้” ฉีหนิงพูดว่า “มีเพียงคนตาย
เท่านั้น ถึงจะเก็บความลับอยู่”
“ฟางซิ่งจายไม่ใช่คนร้ายวางยา แล้วจะเป็นใครไปได้
อีกล่ะ?” ชื่อตันเหมยเหลือบไปมองฉีหนิง ท่าทาง
การนั่งของรนาง มันทำให้นางดูเย้ายวนมาก
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “จะเป็นใครนั้น ข้าเองก็คิดมาทั้ง
วันแล้ว แต่ก็ยังคิดไม่ได้”
ชื่อตันเหมยไม่ได้พูดดีด้วย “เจ้าอยากจะบอกว่าต้วน
เซ่าก็บอกมาเถอะ อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้เลย”
“ข้าคิดอยู่ตลอดเวลา รัชทายาททำไมต้องวางยาพิษ
ด้วย หรือว่าเขาอยากจะฆ่าหลินจืออ๋องจริงๆ?” ฉี
หนิงพูดว่า “แต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาดี
มากเลยนะ รัชทายาทจะลงมือกับหลินจืออ๋องได้
ยังไง?”
“ต้วนเซ่าได้เป็นรัชทายาท ก็เพราะไท่ซานอ๋องไม่เอา
ไหน” ชื่อตันเหมยพูดว่า “แต่ว่าสาเหตุที่สำคัญอีก
อย่างหนึ่งก็คือ เขามีหลิงหูซีกับเสินถูหลัวสนับสนุน
อยู่ สองคนนัน่ คนหนึง่ บุ๋นคนหนึ่งบู๊ มีพวกเขา
สนับสนุน ขุนนางทั้งหลาย ก็ไม่มีใครขวางหรอก”
“แล้วเรื่องนี้มันเกีย่ วอะไรกับหลินจืออ๋อง?” ฉีหนิง
ถาม
ชื่อตันเหมยพูดว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก เพราะเจ้าเฒ่าต้
วนเฮ่ารักหลินจื่ออ๋องมากที่สุด ไม่ใช่ต้วนเซ่า หาก
ไม่ใช่เพราะหลิงหูซีกับเสินถังหลัว ตำแหน่งรัช
ทายาท ก็คงตกเป็นของหลินจื่ออ๋องแน่นอน ต้วนเซ่า
กับไท่ซานอ๋องเป็นลูกที่เกิดจากเกาฮ่องเฮาทั้งคู่
หลินจืออ๋องเป็นลูกทีเ่ กิดจากพระสนมเฉินกุ้ยเฟย
ส่วนต้วนเซ่าโปรดปรานเฉินกุ้ยเฟยมาก ตอนนี้เจ้า
เข้าใจแล้วหรือยัง”
ชื่อตันเหมยรู้เรื่องราชวงศ์ตงฉีเป็นอย่างดี ฉีหนิงไม่ได้
แปลกใจเลย ฉีหนิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ นาง
เป็นศิษย์ของราชครูแห่งตงฉี หากจะรู้เรื่องภายใน
ตงฉี ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พอได้ยินนางพูดมาแบบ
นี้ เขาก็พยักหน้า “ดูท่าทางเป็นไปอย่างที่ข้าคิดเลย
ต้วนเซ่าถึงแม้จะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท แต่
ว่าการมีตัวตนอยู่ของหลินจืออ๋อง มันเป็นภัยกับ
ตำแหน่งเขามาก อยากจะให้ตำแหน่งรัชทายาทนี้ไม่
หลุดลอยไป ก็ต้องกำจัดสิ่งที่ขวางออกไปให้หมด”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้เจ้าเองก็รเู้ หตุผลนี้ดี
นี่นา ถูกต้อง ต้วนเซ่ารักและเอ็นดูหลินจืออ๋องมา
โดยตลอด ขุนนางตงฉีทุกคนเห็นและรับรู้กนั หมด พี่
น้องที่รักใคร่กันมากขนาดนี้ ใครจะไปคิดว่าต้วนเซ่า
จะซ่อนความเหี้ยมโหดเอาไว้ ปูทางทุกอย่างมาจนถึง
วันนี้” นางพูดว่า “แต่น่าเสียดายเจ้าโง่หลินจืออ๋อง
จนถึงตอนที่ตายก็ยงั ไม่รู้เลยว่าพี่ชายที่เขารักมากจะ
เป็นคนลงมือฆ่าเขา”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “รัชทายาทตั้งใจให้ฟาง
ซิ่งจายไปหยิบเหล้ามา อีกทั้งยังเป็นเหล้าหลวงของ
ข้าด้วย เมื่อกระทำการสำเร็จ คณะทูตแคว้นฉู่ก็
จะต้องกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งทันที อีกทัง้
ยังเป็นฟางซิ่งจายด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามก็ไม่มีใคร
นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นฝีมือของรัชทายาท” เขานิ่งแล้ว
พูดว่า “แต่ว่าเขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเหล้าหลวงนั่น
หลินจืออ๋องจะดื่มแน่นอน?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 604 ไม่มีช่องโหว่
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ต้วนเซ่ากับหลินจืออ๋อง
สนิทสนมกันมาเป็นสิบปี หลินจืออ๋องในสายตาของต้
วนเซ่า ยังมีความลับอะไรอีกงั้นหรือ? เขานิสัย
อย่างไร ต้วนเซ่ารู้หมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะคำพูด หรือ
การกระทำ ต้วนเซ่าเดาออกได้ทั้งหมด อีกทั้งหลาย
คนก็รู้ดีอยู่แล้วว่า หลินจืออ๋องไม่ได้มีความสามารถ
อะไรอย่างอื่นเป็นพิเศษ แต่เรื่องการกินเหล้านั้นไม่มี
ใครเทียบได้ เขาเป็นคนที่ไม่มีเหล้าเขาก็จะไม่มี
ความสุข”
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจว่า ทุกครั้งที่ชื่อตันเหมยพูดถึงต้
วนเฮ่า เขารู้ว่าน่าจะหมายถึงฮ่องเต้แคว้นตงฉี แต่ว่า
ชื่อตันเหมยเป็นชาวตงฉี แต่กลับไม่เคารพนับถือเขา
เลย อีกทั้งยังไม่ได้แค่พูดจาไม่เคารพแค่นั้น แต่สิ่งที่
ชื่อตันเหมยพูด มันมีเหตุผลหมด
รัชทายาทต้วนเซ่าสนิทสนมกับหลินจืออ๋องมานาน
หลายปี เขารู้เรื่องของหลินจืออ๋องแทบทุกอย่าง
“สือถังเป็นคนของตำหนักรัชทายาท ติดตามเขามา
นานหลายปี” ชื่อตันเหมยพูดว่า “เพื่อปกปิดความ
จริงเรื่องยาพิษที่สังหารหลินจืออ๋อง เสียทหารคน
สนิทไปสักคนก็ไม่เป็นไร รัชทายาทองค์นี้ ใจคอ
โหดเหี้ยมมาก”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนั้นเขายังคิดจะ
ประทานเหล้าให้ฉีเฟิงด้วย ยังดีที่ฉเี ฟิงไม่ได้รับ” เขา
คิดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกหวาดหวั่น หากตอนที่ประลอง
ฉีเฟิงไม่เข้าใจเจตนาของเขา ไม่ได้ไว้หน้าคนตงฉี เอา
ชนะสือถังได้ คนที่ชนะจะได้รับเหล้าพระราชทาน
คนที่จะต้องตายก็คือฉีเฟิง
“คนที่ตายจะเป็นใครไม่สำคัญเลย” ชื่อตันเหมยพูด
ว่า “สำหรับต้วนเซ่าแล้ว ขอแค่ปกปิดการตายของ
หลินจืออ๋องได้ก็พอ ตอนนี้ทุกคนก็เข้าใจว่าหลินจือ
อ๋องกับสือถังเป็นแพะรับบาปไปแล้ว แต่ว่าเป้าหมาย
ที่แท้จริงนั้น ก็คือหลินจืออ๋อง พอหลินจืออ๋องตาย
เรื่องหนักใจของเขาก็หมดไปหนึ่ง”
ฉีหนิงนิ่งไม่พูดไม่จา หลังจากนั้นก็พดู ขึ้นมาว่า “ครั้ง
นี้ต้วนเซ่านำคนมาล่าสัตว์ที่สวีโจว ก็เพื่อจัดการ
หลินจืออ๋องหรือ?”
“หลินจืออ๋อง?” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “แค่
จัดการไปพร้อมกันแค่นั้น ด้วยความคิดของต้วนเซ่า
คิดอยากจะกำจัดหลินจืออ๋อง จะทำเมื่อไหร่ที่ไหนก็
ได้ เพียงแต่ครัง้ นี้ได้จังหวะพอดี”
“จัดการไปพร้อมกัน?”
ชื่อตันเหมยกึ่งยิ้มแล้วถามว่า “หรือว่าเจ้าไม่รู้จริง ๆ
ว่าเป้าหมายที่แท้จริงทีเ่ ขามาที่สวีโจวคืออะไร? ใครก็
รู้กันทั้งนั้นว่า ตอนนั้นที่ไท่ซานอ๋องถูกสั่งย้ายมาที่ส
วีโจว ก็เพื่อป้องกันไท่ซานอ๋องก่อความวุ่นวายแล้ว
จะส่งผลต่อต้วนเซ่า การย้ายไท่ซานอ๋องออกจาก
เมืองหลวง ต้วนเซ่าก็จะสามารถรับตำแหน่งรัช
ทายาทได้อย่างราบรืน่ ไท่ซานอ๋องเป็นคนอารมณ์
ร้อน แต่ว่าเขาไม่โง่นะ เขาเป็นลูกชายคนโต ในใจ
ของเขา ตำแหน่งรัชทายาทอย่างไรก็ควรเป็นของเขา
ต้วนเซ่าแย่งชิงทุกอย่างไปจากเขา เจ้ารู้สึกว่าไท่ซาน
อ๋องจะไม่เกลียดต้วนเซ่าหรือ?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเรื่องนี้ไม่ต้องถามก็รู้ เขาสัมผัสมัน
มาแล้ว หลังจากฉีจิ่งตายไป ฉีอวี้ก็รสู้ ึกว่าลูกชายคน
โตอย่างฉีหนิงเป็นคนบ้า ไม่ควรได้รับสืบทอด
ตำแหน่ง แต่ว่าสุดท้ายแล้วฉีหนิงก็ได้รับตำแหน่งมา
ส่วนฉีอวี้กลับถูกส่งไปบวชที่วัดต้ากวงหมิง ฉีอวี้โกรธ
แค้นมาก คิดว่าเขาคงไม่ต่างกับไท่ซานอ๋อง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็นึกถึงเรื่องที่ฉอี วี้ถูกมู่เย่อ๋องจับ
ตัวไป ต่อมาก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ฉีอวี้จะเป็น
จะตายไม่มีใครรู้ แต่กับฉีอวี้ ฉีหนิงไม่ได้มีความ
สงสารเลย ต่อให้เขาตายไป ฉีหนิงก็ไม่สนใจ
“เจ้าหมายความว่า ที่รัชทายาทมาสวีโจวในครั้งนี้
การล่าสัตว์เป็นเรื่องโกหก แต่การมากำจัดไท่ซาน
อ๋องนั่นคือเรื่องจริง?” ฉีหนิงถาม
ชื่อตันเหมยพูดว่า “อย่าบอกว่าเป็นความหมายของ
ข้า เจ้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน สองคนนัน้ เหมือน
น้ำกับไฟไม่ลงรอยกัน ต้วนเซ่ารู้ทงั้ รูว้ ่าไท่ซานอ๋อง
เกลียดเขาแค่ไหน แต่เขากลับพาคนมายังสวีโจวอีก
มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ล่อเสือออกจากถ้ำ”
“ถูกต้อง” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ต้วนเซ่า
มาถึงสวีโจวแล้ว ก็เหมือนส่งอ้อยเข้าปากช้าง อยู่แค่
ว่าไท่ซานอ๋องนั้นจะมีความกล้าไหมแค่ไหน ไท่ซาน
อ๋องที่อารมณ์ร้อนคนนี้ กลับกล้าบ้าบิ่นเหนือคน”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ต่อให้เขากล้าบ้ามากแค่
ไหน แต่เขาก็ไม่น่าจะรนหาที่ตายแบบนัน้ เจ้าเองก็
เคยบอกเองว่า ไท่ซานอ๋องเขาไม่ใช่คนโง่ พาคนมา
ฆ่าต้วนเซ่า มันถือว่าเป็นกบฏนะ เขาไม่มีทางไม่
คิดถึงผลที่ตามมาแน่” เขาเหลือบไปมองตาชื่อตัน
เหมย แล้วพูดว่า “ดังนั้นข้านึกอยู่ตลอดเวลาว่า ใคร
กันนะที่ให้ความกล้ากับไท่ซานอ๋องขนาดที่เขา
ตัดสินใจลงมือได้”
“เจ้าคิดว่ามีคนอยู่เบื้องหลังไท่ซานอ๋องอย่างนัน้
หรือ?” ชื่อตันเหมยถาม
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย
แต่ว่าใครจะบงการให้ไท่ซานอ๋องก่อกบฏได้ ข้าคิดไม่
ตกจริงๆ ว่าจะเป็นใคร ต้วนเซ่าเคยบอกว่า น่าจะ
เป็นชาวเป่ยฮั่น แต่ข้ารู้สึกว่าความเป็นไปได้มันต่ำ
มาก”
“ทำไม?”
ฉีหนิงพูดว่า “หากข้าเป็นไท่ซานอ๋อง แล้วมีชาวเป่
ยฮั่นอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริง ถ้าอย่างนั้นหลังจากที่ข้า
สังหารต้วนเซ่าแล้ว ก็จะต้องคิดถึงการเผชิญหน้ากับ
ทหารตงฉี ถึงตอนนั้นก็ต้องพึง่ ทหารหนุนจากชาว
เป่ยฮั่น ดังนั้นทหารเป่ยฮั่นก็จะต้องส่งทหารมา
ประชิดชายแดนแคว้นตงฉี แต่ว่าหากทหารเป่ยฮั่น
ยกทัพประชิดชายแดนจริง ทางตงฉีก็จะต้องรับรู้การ
เคลื่อนไหว ต้วนเซ่าก็คงไม่มีทางเดินทางมาที่สวีโจว
แน่นอน...” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากไท่ซาน
อ๋องมีความสามารถแข็งแกร่ง เพียงพอที่จะต่อกรกับ
ราชสำนักตงฉีได้ การที่มีชาวเป่ยฮั่นหนุนหลังเขานั่ง
ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไท่ซานอ๋อง
ไม่ได้มีความแข็งแกร่งขนาดนั้นเลย อีกทั้งสวีโจวเอง
ก็อาจจะไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขาทั้งหมด เขา
แทบจะสู้กบั ราชสำนักตงฉีไม่ได้เลย ในสถานการณ์
แบบนี้ ต่อให้มีชาวเป่ยฮั่นหนุนหลัง มันกลับ
กลายเป็นเหมือนการเร่งตาย...ข้าคิดว่าไท่ซานอ๋องไม่
มีทางไม่เข้าใจเหตุผลพวกนี้”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “อายุของเจ้าก็ไม่ได้มาก
แต่ว่าความคิดลึกซึ้งเหมือนผู้ใหญ่มีประสบการณ์สูง
เลยนะ”
“ที่จริงสิ่งที่ข้าแปลกใจมากที่สุดก็คือ หากต้วนเซ่า
ต้องการล่อเสือออกจากถ้ำ ล่อให้ไท่ซานอ๋องก่อกบฏ
เขาไม่คิดถึงความปลอดภัยของเขาเลยหรือ?” ฉีหนิง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไท่ซานอ๋องนำทหารมากว่าพัน
นาย ต้วนเซ่าเองก็เกือบพลาดแล้ว ในเมื่อต้วนเซ่า
เป็นเจ้าแผนการ จะทำเรื่องที่ผิดพลาดแบบนี้ได้
อย่างไรกัน นี่มันเหมือนเป็นการฆ่าตัวตายเลยนะ”
ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้วข้าเอง
ก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ข้าคิดว่าต้วนเซ่า
มาที่สวีโจว ตั้งใจมาเพื่ออวดอำนาจของเขาเท่านั้น
แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนัน้ มันทำให้ข้าเริ่มเข้าใจ
เรื่องทีซ่ ่อนอยู่” นางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คำถาม
ของเจ้า ตอนแรกข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ว่า
หลังจากเกิดเรื่องแล้ว ทำให้ข้ารู้ความลับมาอย่าง
หนึ่ง”
“อ๋อ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ความลับอะไร?”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “หลังจากที่เจ้าจับตัวไท่ซานอ๋อง
แล้ว ต้วนเซ่าจัดการอย่างไรกับทหารกบฏ?”
“ไม่ได้เอาผิดพวกเขา” ฉีหนิงพูดว่า “เขาประกาศต่อ
หน้าทุกคนว่า เขาจะสังหารตัวการเรื่องนี้เท่านั้น ไม่
เอาเรื่องผู้ที่ติดตามหรือทำตามคำสั่ง”
ชื่อตันเหมยยิ้มหวานแล้วพูดว่า “ดังนั้นหลังจากจง
ศึก คนทีซ่ วยที่สุดก็คือไท่ซานอ๋อง ส่วนขุนพลแม่ทัพ
ของไท่ซานอ๋อง ไม่มีใครเป็นอะไรเลย ไม่เพียงแค่นั้น
ต้วนเซ่ายังสั่งให้เฉิงอู่พาทหารกบฏกลับไปสวีโจวด้วย
เจ้าไม่รู้สึกว่ามันน่าแปลกหรือ?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เฉิงอู่เป็นขุนพลของไท่
ซานอ๋อง ตามหลักแล้ว ต้วนเซ่าไม่น่าจะมอบเหล่า
ทหารกบฏให้เขาจัดการ หากเฉิงอู่ยงั มีใจคิดไม่ซื่อ
นำทหารย้อนกลับมาอีก สถานการณ์มันก็จะยิ่ง
อันตราย”
ชื่อตันเหมยพยักหน้า “คำถามมันอยู่ตรงนี้ หลายคน
รู้สึกว่าต้วนเซ่ามีเมตตา ซื้อใจคน แต่ในความเป็นจริง
เรื่องทัง้ หมดนี่อาจจะเป็นแค่ละครฉลากหนึ่ง”
“เจ้าหมายความว่า...” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “ที่จริงแล้ว
เฉิงอู่เป็นคนของต้วนเซ่าหรือ?”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าทางเจ้าจะเข้าใจ
เรื่องราวแล้วนะ ตอนนีเ้ จ้าก็รู้แล้ว ว่าทำไมเจ้าถึงถูก
คนปั่นหัวในมือแล้วใช่ไหม? วันนี้ต่อให้เจ้าไม่ยื่นมือ
เข้าไปช่วยจับตัวไท่ซานอ๋องเอาไว้ แต่ในท้ายที่สุด
เฉิงอู่ก็จะต้องตลบหลังเขาอยู่ดี แต่ว่าไม่ได้ตลบหลังต้
วนเซ่านะ แต่เป็นไท่ซานอ๋อง”
ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ดังนั้น ตั้งแต่เริ่ม เฉิงอู่
ก็เป็นสายที่ต้วนเซ่าส่งไปอยู่กับไท่ซานอ๋อง แผนล่อ
เสือออกจากถ้ำที่สวีโจวในครั้งนี้ ต้วนเซ่าอยู่ในเรื่องนี้
มาตั้งแต่ต้นไท่ซานอ๋องถูกขีดไว้แล้วว่าต้องตาย”
“เฉิงอู่เป็นคนมีความสามารถที่เสินถูหลัวสนับสนุน
ในหลายปีก่อน ต่อมาถูกสั่งย้ายมาประจำการที่ชาน
แดนฉินไหว” ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า
“หลังจากที่ไท่ซานอ๋องมายังสวีโจว เขาก็ปลดเฉิงอู่
ออก เฉิงอู่ถูกละเลยมานานหลายปี เท่าที่ข้ารู้มา ต่อ
มาเฉิงอู่ถวายของมีค่าหายากมากมายให้เขา ไท่ซาน
อ๋องถึงได้กลับมาใช้งานเขาอีกครัง้ หลังจากนั้นเฉิงอู่
ก็กลายมาเป็นคนสนิทของไท่ซานอ๋อง อีกทั้งยังช่วย
ไท่ซานอ๋องรับมือกับสายของต้วนเซ่าในสวีโจวด้วย
ทำให้ไท่ซานอ๋องไว้วางใจเขามาก แต่ข้าคิดว่าไท่ซาน
อ๋องคงลืมไปแล้ว ว่าเฉิงอู่เป็นคนที่เสินถูหลัว
สนับสนุน อีกทัง้ เสินถูหลัวยังเป็นเกราะกำบังของต้
วนเซ่า”
ฉีหนิงเข้าใจทุกอย่างแล้ว เขาพูดว่า “อย่างนี้นเี่ อง
ดังนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในครัง้ นี้ มันคือแผนที่วางไว้
แต่แรกอยู่แล้ว เฉิงอู่ตีสนิทกับไท่ซานอ๋อง อีกทั้งช่วย
ไท่ซานอ๋องในการรับมือต้วนเซ่า แสดงว่าต้วนเซ่า
ตั้งใจวางแผนไว้แบบนี้ ก็เพื่อให้เฉิงอู่ได้รับการ
ไว้วางใจจากไท่ซานอ๋องและพร้อมสำหรับเหตุการณ์
ในวันนี้”
“ตอนนี้เจ้าก็น่าจะรู้แล้วนะว่า รวมเจ้าด้วยแล้ว คน
พวกนั้นก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งของต้วนเซ่าเท่านั้น”
ชื่อตันเหมยเหมือนจะนั่งนานไปหน่อย แล้วนางรู้สึก
เมื่อย นางเลยเอามือขวามาค้ำหน้าเอาไว้ ท่าทางของ
นางผ่อนคลายสบายๆ แบบนี้ มันทำให้นางยิ่งดูดี
แล้วก็เย้ายวนใจมาก “ที่ข้าบอกว่าเจ้าถูกปั่นหัว
ไม่ได้พูดผิดใช่ไหมล่ะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านอาที่ชี้แนะ หาก
ไม่ได้ท่านเตือนสติให้ได้รู้ความจริง ข้าคงยังคงอยู่ใน
กะลาเหมือนเดิมแน่”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้วข้าก็พอมอง
ออกว่าที่หลินจืออ๋องถูกฆ่า น่าจะเกีย่ วข้องกับรัช
ทายาท แต่ว่าไท่ซานอ๋องก่อกบฏ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า
จะเป็นแผนการของรัชทายาทด้วย ไม่อย่างนั้นข้าจะ
เข้าไปยุ่งเรื่องนี้ทำไมกัน? แต่พอรัชทายาทสั่งให้เฉิงอู่
ถอนกำลังทหารไป ข้าถึงได้รู้สึกว่ามันมีปัญหา
เพียงแต่ยังไม่มั่นใจ ตอนนี้พอท่านอาเหมยพูดมา
แบบนี้แล้ว ข้าถึงได้เข้าใจทุกอย่าง”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าควรจะ
ขอบคุณข้าไหม?”
“ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ” ฉีหนิงพูดว่า “เมื่อกี้ข้า
ขอบคุณไปแล้ว อาเหมยไม่ได้ยินหรือ?”
ชื่อตันเหมยพูด่า “ไม่เห็นจะจริงใจเลย แค่คำพูดมัน
ไม่พอหรอกนะ?” นางเขยิบเข้าไปข้างใน ร่างกาย
ของนางยืน่ มาด้านหน้า นางยิ้มหวาน แล้วพูดว่า
“ข้าบอกความลับใหญ่ขนาดนี้ให้เจ้าได้รู้แล้ว เจ้าควร
จะช่วยอาของเจ้าหน่อยไหม เจ้าแค่ช่วยอาสักเรื่อง
ไม่ว่าเจ้ามีเงื่อนไขอะไร ข้าจะรับปากเจ้าทุกอย่าง
เลย”
ฉีหนิงอดที่จะมองไปที่หน้าอกของนางไม่ได้ เขาปาก
แห้ง กลืนน้ำลาย แล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้าคิดจะให้ข้า
ช่วยอะไร?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 605 เงื่อนไข
ชื่อตันเหมยเห็นว่าเขาจ้องมาที่หน้าอกของนาง ก็อด
ที่จะยกมือขึ้นมาบังหน้าอกไม่ได้ นางนั่งตัวตรง แล้ว
จ้องไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “มองอะไร? ถ้ายังมองอีก
ข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้โทษข้าไม่ได้นะ หากเจ้า
ไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าอยากจะมองก็คงไม่ได้มอง ท่านอา
เหมยเจ้าอยากให้ข้าช่วยอะไรหรือ?”
ชื่อตันเหมยรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงสำหรับเจ้าแล้ว
มันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ คณะทูตของพวกเจ้ายังไงก็
ต้องไปยังเมืองหลวง เพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้จริงหรือไม่?”
“แน่นอน” ฉีหนิงพยักหน้า
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าวังหลวงตงฉี
ยิ่งใหญ่สวยงามมาก ข้าอยากจะเข้าวังไปดูสักครั้ง
เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่?”
“เข้าวัง?” ฉีหนิงตะลึง เขาพูดอย่างสงสัยว่า “ท่าน
อาเหมย เจ้าไม่เคยเข้าวังหรือ?” ตอนแรกที่เรียก
ท่านอาเหมย เขาไม่ชินจริงๆ เพราะถึงแม้ภายนอก
ของเขาจะดูอายุน้อย แต่ว่าอายุสมองของเขาไม่น้อย
แล้ว อีกทั้งชื่อตันเหมยกลับดูเด็กกว่าเขา แต่พอเรียก
ไปสองสามที ก็เริ่มชิน
ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “วังหลวงเป็นเขต
พระราชฐาน ไม่ใช่อยากจะเข้าก็เข้าได้นะ”
ฉีหนิงพูดว่า “อาจารย์ของเจ้าเป็นถึงราชครูแคว้น
ตงฉี เจ้าเป็นศิษย์ของเขา ทำไมถึงไม่ได้เข้าวังล่ะ?
อีกทั้งวรยุทธ์ของเจ้าก็สูง แม้แต่วัดต้ากวงหมิงเจ้ายัง
กล้าไป แค่วังหลวงตงฉีจะเอาเจ้าอยูไ่ ด้อย่างไร เจ้า
จะมาขอให้ข้าช่วยทำไม?”
“ถึงแม้อาจารย์จะเป็นราชครูตงฉี แต่มันก็เป็นแค่ใน
นามไม่ได้มีอำนาจอะไรจริง” ชื่อตันเหมยถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “อีกทั้งเขาก็ไม่เคยเข้ายุง่ เรื่องการเมือง
เราศิษย์ของเกาะไป๋อวิ๋น ไม่เคยยุ่งกับใครในราช
สำนักมากก่อน อีกทั้งไม่ยุ่งกับเรื่องของการเมือง
เช่นกัน” นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าวังหลวง
นั้นสวยงามมาก แต่ว่าไม่เคยได้เห็นกับตาว่ามันเป็น
อย่างไร เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่ ให้ข้าได้สมหวังสักครั้ง”
“เจ้าอยากให้ข้าช่วยอะไรเจ้า?” ฉีหนิงถามว่า
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนที่เจ้าเข้าวังมา เจ้าก็
ต้องพาผู้ติดตามไปด้วยใช่หรือไม่ ข้าจะแต่งตัวเป็น
ผู้ติดตามของเจ้า ถึงเวลานั้นก็เข้าวังไปพร้อมเจ้า พา
ข้าไปเห็นวังหลวงสักหน่อย เจ้าว่าดีหรือไม่?”
ฉีหนิงไม่ได้รีบตอบตกลง เขามองไปที่ชื่อตันเหมย
ชื่อตันเหมยเห็นสายตาของเขาแปลกๆ ก็อดเอามือ
ขึ้นมาบังหน้าอกของตัวเองไม่ได้ แล้วใช้มือข้างหนึ่ง
ตบโต๊ะเบาๆ แล้วพูดว่า “รีบพูดมา มองอะไรอยู่ได้
ตกลงหรือเปล่า?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าคนในวังตา
บอดหรืออย่างไร? ท่านอาเหมย ข้าพูดอะไรที่เจ้า
อาจจะไม่พอใจหน่อยนะ สภาพเจ้าแบบนี้ ต่อให้
ปลอมตัว คนอื่นก็มองออกว่าเป็นผูห้ ญิง เจ้าว่า...เฮ้อ
ช่างเถอะ ไม่พูดแล้วดีกว่า”
“มีอะไรก็พูด อย่าอึกๆ อักๆ” ชื่อตันเหมยจ้องหน้าฉี
หนิง
ฉีหนิงได้แต่พูดว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย ผู้ชาย...ผู้ชาย
ก้นเด้งเท่าเจ้าหรือไม่? อีกอย่าง...อีกอย่างตรงนั้น...”
เขายื่นปากชี้ไปที่หน้าอกของนาง “เจ้าจะซ่อนมัน
อย่างไร?”
ชื่อตันเหมยได้ยินฉีหนิงพูดอย่างนี้แล้ว หน้าก็แดง แต่
ว่ายังคงยิ้มอยู่ “เจ้าวางใจแล้ว ข้ามีทางก็แล้วกัน ขอ
แค่เจ้ารับปากพาข้าเข้าวัง ข้ารับรองว่าไม่มีใครจับได้
แน่นอน” นางยิ้มหวานแล้วพูดว่า “พูดมาแบบนี้
แสดงว่าหากข้าจัดการเรื่องนี้ได้ เจ้าก็จะพาข้าเข้าวัง
ใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงส่ายหน้า ชื่อตันเหมยนิ่ง แล้วพูดว่า “เจ้าไม่ตก
ลง?”
“ท่านอาเหมย เจ้าเองก็เคยพูดว่า วรยุทธ์เจ้าร้ายกาจ
ขนาดนี้ คิดอยากจะเข้าวังยังไม่ง่ายหรืออย่างไร?” ฉี
หนิงพูดว่า “หากเจ้าแอบเข้าวังไปเอง อยากจะดู
อะไรแค่ไหนก็ทำได้ ไม่เพียงจะได้เห็นทุกอย่าง
อยากจะจับอยากจะจ้องตรงไหนก็ทำได้หมด แต่ว่า
หากอยากปลอมตัวลอบเข้าวัง ติดตามอยู่ข้างกายข้า
ไปพบฮ่องเต้ อีกทั้งยังเข้าเฝ้าฝ่าบาท ไม่นานก็ต้อง
กลับออกมาจากวังแล้ว แทบจะไม่ได้ดูอะไรอย่างที่
เจ้าว่าเลย”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “เจ้าคิดว่าวังหลวงจะเข้าไปได้
ง่ายๆ หรืออย่างไรกัน? หากข้าเข้าไปได้ง่ายๆ ก็ไม่
ต้องมาหาเจ้าแล้ว” นางทำท่าทำทางน่าหลงใหลมาก
“ท่านอาขอร้องเจ้าล่ะนะ พาข้าไปเที่ยววังหลวง
หน่อยนะ ขอแค่เจ้ายอมรับปากข้า ไม่ว่าเจ้าจะมี
เงื่อนไขอะไรก็พูดมาได้เลย”
ฉีหนิงเห็นนางอ้อนแล้วยังมีเสน่ห์ ก็รู้สึกหวั่นไหว เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “รับปากเงื่อนไขทุกอย่างเลยหรือ?”
ชื่อตันเหมยกัดฟันแล้วพูดว่า “วรยุทธ์ข้าสูงกว่าเจ้า
ข้าถ่ายทอดวรยุทธ์ให้เจ้าก็ได้ รับรองในยุทธภพไม่มี
ใครกล้ารังแกเจ้าแน่นอน” เห็นเขาจ้องมาที่ตัวเอง
นางก็หน้าแดง นางก็พูดว่า “หากเจ้าอยากจะดูนัก
ข้าก็จะให้เจ้าดูเต็มที่ แต่ว่า...เจ้าห้ามคิดอะไรเกินเลย
กว่านั้น ข้าเป็นท่านอาของเจ้า เป็นคนรุ่นเดียวกับพ่อ
ของเจ้า หากเจ้าคิดอะไรเกินเลย ข้าจะไม่ปล่อยเจ้า
ไปแน่ นอกจาก...นอกจากเรื่องอย่างว่า เรื่องนี้ข้า
รับปากเจ้าได้หมด”
ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านอาเหมย เจ้าพูดอะไร
แบบนี้? ข้าเคยคิดแบบนัน้ ตั้งแต่ตอนไหน? เฮ้อ ใน
หัวของเจ้า...ทำไมมันถึงได้มีแต่เรื่อง...อย่างนั้นนะ”
ชื่อตันเหมยขมวดคิ้ว เหมือนจะโกรธ แต่ว่าไม่นาน
นางก็พูดว่า “เจ้าไม่ได้คิดจริงหรือ? ผู้ชายคิดอะไรใน
ใจ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ? หากเจ้า...หากเจ้าไม่ได้คิด
แบบนัน้ แล้วเจ้ามองอะไร?”
“ไม่ได้มอง ข้าแค่กำลังคิดว่าเจ้าจะมีวิธีอะไรที่จะปิด
ตรงนั้นได้” ฉีหนิงถอนหายใจ “รอบนี้เจ้าเข้าใจข้า
ผิดแล้วนะ อีกอย่างเจ้าเองก็เป็นลูกศิษย์ของเจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋น วรยุทธ์ก็ร้ายกาจ ต่อให้ข้าคิด ข้าก็ไม่กล้า
หรอก”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “เจ้ารู้ก็ดี ว่ามา ตกลงเจ้ามี
เงื่อนไขอะไร พูดมาได้เลย ต่อให้จะให้ข้าไปฆ่าคนให้
เจ้า ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ขอแค่เจ้าพาข้าเข้าวังก็
พอ”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่กล้า”
“ไม่กล้า?”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอาเหมย เจ้ามีฐานะแค่ไหน ทำไม
ถึงต้องลดตัวลงมาขอร้องข้าด้วย หากเจ้าไม่ได้มีแผน
อะไร ข้าไม่มีทางเชื่อว่าเจ้าจะทำแบบนี้ได้ จะพาเจ้า
เข้าวังไม่ใช่เรื่องยาก แต่...แต่ว่าหลังจากที่ข้าพาเจ้า
เข้าวังไปแล้ว คิดว่าข้าคงออกจากทีน่ ั่นไม่ได้อีก
แน่นอน”
“เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?” ชื่อตันเหมย
ขมวดคิ้ว แล้วจ้องมาที่ฉีหนิงอย่างเยือกเย็น
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอาเหมยฉลาดจะตายไป ไม่มีทาง
ไม่เข้าใจความหมายของข้า” เขาถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “เจ้าอยากเข้าวัง หาทางอื่นเถอะนะ ข้าช่วยเจ้า
ไม่ได้จริงๆ”
ที่เขาพูดจบ ก็เห็นเงาผ่านหน้ามา ชื่อตันเหมยเห็นว่า
นางหายตัวไปแล้ว กำลังตกใจ ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่า
ที่คอของเขามันเย็น จากนั้นก็ได้กลิน่ หอมอ่อนๆ ที่
ทำให้คนละลายได้เลย ชื่อตันเหมยหายมาอยู่ที่ข้าง
ตัวเขา ในมือถือเข็มเล่มหนึ่ง เข็มเงินจ่ออยู่ที่คอของ
เขา
“แล้วตอนนี้ล่ะ?” ชื่อตันเหมยพูดเสียงอ่อน “โหว
น้อย นี่คือเข็มไร้ห่วง รู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่า
อย่างไร?”
“ไม่รู้” ฉีหนิงสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร
วู่วาม
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ขอแค่เข็มไร้ห่วงเล่มนี้
แทงเข้าไปที่คอของเจ้า เจ้าก็จะไร้หว่ งไร้กังวล ไม่
เจ็บไม่ปวด เจ้าอยากลองดูหรือไม่?”
“ไร้ห่วงไร้กังวล ก็ตายน่ะสิ” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอา
เหมย เจ้าคิดจะฆ่าข้าหรือ?”
“หากเจ้ารับปากพาข้าเข้าวัง ข้าไม่เพียงไม่ฆ่าเจ้า ยัง
จะรักและเอ็นดูเจ้าด้วย” เสียงของชือ่ ตันเหมยออด
อ้อนมาก ท่าทางของนางเย้ายวนใจสุดๆ “หนุ่มน้อย
เรื่องเล็กๆ แค่นี้เอง ทำไมเจ้าต้องทำลายอารมณ์ของ
ข้าด้วย?” นางโน้มตัวนุ่มๆ ของนางชิดเข้าใส่หาฉี
หนิง หน้าอกของนางชิดติดไหล่ของฉีหนิง น้ำเสียง
น่าหลงใหลมาก “เจ้ารับปากข้าเถอะนะ ช่วยข้าสัก
ครั้งนะ ข้าขอร้องล่ะ”
ฉีหนิงหลับตาลง แล้วพูดว่า “ข้าก็อยากช่วยเจ้า แต่
ว่า...เฮ้อ แต่ว่ามันไม่ได้จริงๆ ท่านอาเหมย เจ้า
อยากจะฆ่าข้า ได้ตายในน้ำมือของเจ้า ข้าก็หมด
คำพูด เจ้าลงมือเถอะ” เขาไม่กลัวเลย
ชื่อตันเหมยกัดปาก แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้า
คิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ ใช่หรือไม่?”
“ข้ารู้ว่าเจ้ากล้า เจ้าแค่ขยับนิ้ว ข้าก็ตายแล้ว” ฉีหนิง
หลับตา “เพียงแต่ข้ากังวลว่าเจ้าจะเป็นอะไรไป ข้า
ไม่อยากให้เจ้าตาย”
ชื่อตันเหมยสะดุ้ง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าพูด
อะไร?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาเหมยทำไมต้องปิดข้า
ด้วย ด้วยวรยุทธ์ของเจ้า ที่เข้าวังไปไม่ได้ แสดงว่า
ต้องมีสาเหตุ วังหลวงตงฉี อาจจะมีเวรยามแน่นหนา
จริง แม้แต่ยอดฝีมืออย่างเจ้าก็เข้าไปไม่ได้ วันนี้เจ้า
มาหาข้าที่นี่ คิดอยากจะเข้าวังอย่างเดียว ต่อให้ข้าโง่
แค่ไหน ก็รู้ว่าเจ้าน่าจะมีแผนการอะไรแน่นอน”
“แล้วยังไง?”
ฉีหนิงพูดว่า “หากทุกอย่างราบรื่นยังดี หากพลาด
ข้ากังวลว่าเจ้าก็ไม่น่าจะออกจากวังหลวงได้”
“เจ้ากลัวว่าข้าจะทำให้คณะทูตแคว้นฉู่เดือดร้อน
อย่างนั้นสินะ” ชื่อตันเหมยไม่ได้พูดดีด้วย
ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องนี้กเ็ ป็นหนึ่งในเหตุผลนั้น แต่ว่าข้า
เป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้ามากกว่า หากข้าพา
เจ้าเข้าวังไป เกิดเจ้าเป็นอะไรไปขึน้ มา ข้าคงเสียใจ
ไปตลอดชีวิต”
“คำพูดไพเราะแต่ไม่จริงใจ” ชื่อตันเหมยพูดว่า “ข้า
กับเจ้าเป็นอะไรกัน ทำไมเจ้าต้องมาห่วงข้าด้วย?”
ฉีหนิงพูดว่า “เราเจอกันตั้งหลายครั้งแล้ว เจ้าลองคิด
ดูนะ ในโลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตมากมาย แต่เรากลับได้มา
เจอกันตั้งหลายครั้ง ข้ารู้สึกว่ามันเป็นพรหมลิขิต ใน
เมื่อเรามีพรหมลิขิตต่อกัน แล้วจะให้ข้าไม่สนใจความ
ปลอดภัยของเจ้าได้อย่างไร” เขาถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “ท่านอาเหมย ไม่ว่าเจ้าจะเข้าวังไปเพราะเหตุผล
อะไร ข้าขอให้เจ้าเลิกล้มความตั้งใจนั้นเถอะนะ”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ปากดี ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า
ทำไมแคว้นฉู่ถึงได้ส่งเจ้ามาเป็นราชทูต เจ้าพูดโกหก
ได้ขนาดนี้ แม้แต่ตัวเจ้าเองก็คงจะไม่เชื่อสินะ” นาง
เอาหน้าอกชิดกับไหล่ของฉีหนิงอีก แล้วพูดว่า “หาก
เจ้าห่วงแค่จริง ก็พาเข้าวังสิ ให้ข้าได้สมหวัง ขอแค่
เจ้ารับปากข้า ข้า...ยอมรับเงื่อนไขเจ้าทุกอย่าง ต่อให้
...เจ้าน่าจะรู้...”
“ไม่ได้” ฉีหนิงส่ายหน้า “ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น
ในเมื่อปฏิเสธแล้ว ต่อให้เจ้าฆ่าข้าตอนนี้ ข้าก็ไม่ตก
ลง”
“เจ้า...” ชื่อตันเหมยเหมือนจะโกรธมาก นางลุกขึ้น
แล้วถีบไปที่หัวไหล่ของฉีหนิง ไม่ได้แรงมาก ฉีหนิง
แกล้งกลิ้งไปด้านหน้า เพื่อเว้นระยะ เขามองมาที่ชื่อ
ตันเหมย เห็นสาวสวยนางนี้โกรธเอามากๆ ฉีหนิง
กำลังจะเอ่ยปากพูด ชื่อตันเหมยพูดแทรกขึ้นมาว่า
“เจ้าไม่ต้องพูดมากอีกแล้ว เรื่องในวันนี้ ข้าจะจำไว้”
นางเดินจากไปทันที ฉีหนิงยกมือขึ้นเพื่อห้าม แต่ชื่อ
ตันเหมยวรยุทธ์ร้ายกาจมาก พริบตาเดียวก็ออกจาก
กระโจมไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ฉีหนิงกำลังตะลึงอยู่ หลังจากนั้นไม่นานก็ได้สติ
กลับมา เขาส่ายหน้า แต่ก็รู้สึกสงสัย แอบคิดในใจว่า
ทำไมชื่อตันเหมยถึงคิดอยากจะเข้าวังตงฉีขนาดนั้น
นางคิดจะทำอะไร?
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 606 พุทธศาสนานิกายลามะ
การกระทำของชื่อตันเหมยน่าสงสัย แต่ฉีหนิงก็คิดไม่
ออกว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร เขารูด้ ีแก่ใจว่า หาก
เขาบุ่มบ่ามรับปากชื่อตันเหมยไป อาจจะเป็นภัยร้าย
ภายหลังได้
ตอนที่เขามาตงฉีแรกๆ หลายเรื่องในตงฉีเขาเองก็รู้
ไม่มาก สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือการ
ทำตามภารกิจของฮ่องเต้น้อยให้สำเร็จ แล้วพาคณะ
ทูตกลับแคว้นฉู่อย่างปลอดภัย ส่วนเรื่องอื่นๆ หาก
ไม่ได้จวนตัวไม่มีทางเลือก เขาจะไม่เข้าไปยุ่งเด็ดขาด
เช้าวันต่อมา ทางรัชทายาทเตรียมทุกอย่างจนพร้อม
ด้านหน้ามีทหารกำลังตรวจสอบม้าอยู่ คนจำนวน
มากอยู่คุ้มกันรัชทายาทต้วนเซ่า ส่วนทางคณะทูต
เองก็เก็บของทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว ทุกคน
ติดตามรัชทายาทเดินทางไปยังเมืองหลวงลู่เฉิง
ซือถูหมิงเยว่ระหว่างทางบอกว่า เขาก็ต้องไปก่อน
เพราะได้รับคำสั่งจากรัชทายาท ให้เขาไปยังเมืองส
วีโจวชั่วคราว เพื่อจัดการระเบียบทีน่ ั่นหลังเกิดเรื่อง
ไท่ซานอ๋องก่อกบฏ ถึงแม้เรื่องจะจบเร็ว แต่เพราะ
มันส่งผลกระทบไม่น้อย อีกทั้งไท่ซานอ๋องกับชื่อสื่อ
เมืองสวีโจวอย่างฟางซิ่งจายตายไปทั้งคู่ ตอนนี้ที่สวี
โจวไม่มีหัวเรือใหญ่คอยดูแล รัชทายาทจึงส่งซือถูห
มิงเยว่ไปนั่งประจำการที่นนั่ ชั่วคราว เพื่อเฝ้าระวัง
ไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนพวกของเหมิงเจียว
โจว ก็ถูกจับกุมเอาไว้ หลังจากเรื่องสงบแล้ว คนของ
เหมิงเจียวโจวทั้งหมดถูกปลดและแทนที่ด้วยทหาร
ชุดใหม่ เหมิงเจียวโจวกับพวกถูกมองว่าเป็นผู้สมรู้
ร่วมคิด จึงถูกจับไปเมืองหลวงด้วย
เดิมทีเหมิงเจียวโจวคิดว่าจะได้เกาะต้นไม้ใหญ่อย่าง
ไท่ซานอ๋อง เพื่ออนาคตของตัวเขาเอง แต่คิดไม่ถึง
เลยว่าไท่ซานอ๋องจะก่อกบฏ หลังจากที่เขารู้เรื่องนี้
เขากลัวมาก
เดินทางมาหลายวัน ในที่สุดก็มาถึงเมืองลู่เฉิง ยังไม่
ทันจะเข้าเมือง ก็มีขุนนางได้รบั ข่าว ออกมาต้อนรับ
อยู่นอกเมือง
ตั้งแต่ออกจากเมืองสวีโจวมา พวกของฉีหนิงได้รับ
การดูแลอย่างดี แต่ว่ารัชทายาทพูดน้อยลงไปมาก
เหมือนเขาตั้งใจจะเว้นระยะความสัมพันธ์
เมืองลู่เฉิงตั้งอยู่ทางเขตชิงโจว ถึงแม้ตงฉีจะเป็น
แคว้น แต่ก็เล็กและมีคนน้อยมาก เทียบไม่ได้เลยกับ
อีกสองแคว้น แม้แต่เมืองหลวงลู่เฉิงเอง ความน่า
เกรงขามก็เทียบไม่ได้แม้แต่กับเมืองหลวงเจี้ยนเยี่ยข
องแคว้นฉู่ มองจากที่ไกลๆ เหมือนจะเทียบไม่ได้
แม้แต่กับเมืองเฉิงตูเลย
แต่ว่าหลังจากที่เขาเมืองแล้ว ภายในเมืองก็มีคนมาก
หน้าหลายตา บนถนนมีผู้คนมากมาย ร้านค้าเต็มไป
หมด ดูครึกครื้นมาก
ฉีหนิงคิดในใจว่าข่าวเรื่องการก่อกบฏของไท่ซานอ๋อง
น่าจะถูกปิด ไม่ให้มีการแผ่กระจายข่าวออกไป
ไม่อย่างนั้นเมืองลู่เฉิงเองก็จะไม่สงบ
รัชทายาทมาคุยกับฉีหนิงเล็กน้อย เขามาบอกว่าให้ฉี
หนิงกับทางคณะทูตพักก่อน เขาจะรีบเข้าวังหลวงไป
พบกับฮ่องเต้ตงฉี จากนั้นเขาก็สั่งให้ขุนนนางนำคณะ
ทูตไปที่เรือนรับรองหลวง ส่วนคนทีร่ ับหน้าที่ในการ
ดูแลคณะทูตนั้นคือเสนาบดีกรมพิธกี ารแคว้นตงฉีเถา
เฉียน เขาอายุน่าจะประมาณห้าสิบ แต่ว่าเขายังดู
แข็งแรงอยู่ ในบรรดาขุนนางที่ออกนอกเมืองมา
ต้อนรับรัชทายาท มีเถาเฉียนผู้นเี้ ป็นผู้นำคณะ
เถาเฉียนดูเหมือนเป็นคนใจดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดู
ระวังดูเกรงใจ เขาพาคณะทูตไปยังเรือนรับรองหลวง
ด้วยตัวเอง เมื่อมาถึงหน้าเรือนรับรอง ยังไม่ทันเข้า
ไป ก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งออกมาจากเรือนรับรอง
หลวง คนที่อยู่หน้าสุดดูไปแล้วอายุประมาณยี่สิบ
ต้นๆ สวมเสื้อผ้าอย่างดี หน้าตาก็ใช้ได้ ด้านหลังเขามี
คนติดตามประมาณสิบคน แต่ละคนพกพาอาวุธ
ทั้งนั้น มีสองคนในกลุ่มนั้นดูเด่นเป็นพิเศษ คนหนึ่ง
สวมชุดสีน้ำเงิน พันผ้าโพกหัวสีน้ำเงิน อายุประมาณ
สามสิบ ส่วนอีกคนสวมชุดสีแดง รูปร่างสูงใหญ่ มี
หนวดเคราเต็มหน้า พันผ้าโพกหัวสีแดง อายุ
ประมาณห้าสิบปี เครื่องแต่งกายของทั้งคูพ่ ิเศษกว่า
ของคนอื่น พวกเขาข้างซ้ายคนข้างขวาคน ดูเด่นมาก
หลังจากคนกลุ่มนั้นเดินออกมาจากประตู ก็เห็นคน
ของคณะทูต พวกเขาตกใจไปชั่วขณะ แต่จากนั้น
สายตาของพวกเขาก็ดูไม่เป็นมิตร พวกเขาหยุดเดิน
แล้วจ้องมาที่ฉีหนิง ฉีหนิงกำลังแปลกใจ ก็เห็นเถา
เฉียนเดินยกมือคำนับแล้วพูดว่า “องค์ชายเฟิง จะ
ทรงเสด็จไปข้างนอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฉีหนิงได้ยินอย่างชัดเจน เขาแอบคิดในใจว่าที่แท้ก็
เป็นองค์ชาย แต่ว่าเขาก็นึกขึน้ มาได้ว่า ตงฉีมีองค์
ชายทั้งหมดสามคน หลินจืออ๋องกับไท่ซานอ๋องตาย
ไปแล้ว เหลือแค่รัชทายาทต้วนเซ่าคนเดียว ไม่ได้มี
องค์ชายเฟิงอะไร แล้วองค์ชายคนนีโ้ ผล่มาจากไหน
อีก?
แต่องค์ชายเฟิงไม่ได้สนใจเถาเฉียนเลย เขาเดินเอา
มือไขว้หลังไปทางฉีหนิง แล้วมองเขาตั้งแต่หัวจรด
เท้า เห็นฉีหนิงแต่งตัวไม่เหมือนคนอืน่ ก็ถามฉีหนิง
ว่า “เจ้าเป็นราชทูตของแคว้นฉู่หรือ?”
ฉีหนิงรู้สึกงงไปหมด แต่ก็ยังยกมือคำนับยิ้มแล้วพูด
ว่า “ถูกต้อง ข้าคือราชทูตแคว้นฉู่ฉีหนิง ไม่ทราบ
ท่านนี้คือ?”
องค์ชายเฟิงพูดว่า “ข้าคือเป่ยถังเฟิง เจ้าเคยได้ยิน
ชื่อข้าหรือไม่?”
ฉีหนิงตกใจมาก “เป่ยถัง” มันเป็นแซ่ของชาวเป่ยฮั่น
นี่นา เขากำลังสงสัยอยูเ่ ลยว่าองค์ชายเฟิงนี่เป็นใคร
มาจากไหนกัน พอได้ยินเขาพูดบ้านเขามา ถึงได้รู้ว่า
เขาคือองค์ชายของราชวงศ์เป่ยฮั่น
หนานฉู่กับเป่ยฮั่นเหมือนน้ำกับไฟทีไ่ ม่ถูกกัน ฉีหนิง
ไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับเป่ยฮั่นอยู่แล้ว ยิง่ เห็นเป่ยถังเฟิง
เหมือนจะเสียมารยาทด้วยแล้ว เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“ที่แท้ก็องค์ชายของราชวงศ์เป่ยถังนี่เอง” เขาคิดใน
ว่าแล้วองค์ชายเป่ยฮั่นมาทำอะไรทีต่ งฉี?
เถาเฉียนเดินขึ้นหน้ามาอธิบายว่า “จิ่นอีโหว องค์
ชายเฟิงเดินทางมาถึงเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อวันก่อน
แล้ว ทรงนำคณะทูตของเป่ยฮั่นมาเชื่อมสัมพันธ์กับ
ทางตงฉีเรา” จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับเป่ยถังเฟิงว่า
“องค์ชายเฟิง ท่านนี้คือจิ่นอีโหวแห่งแคว้นฉู่ ท่าน
เป็นผู้นำคณะทูตมายังแคว้นฉู่”
“จิ่นอีโหว?” เป่ยถังเฟิงพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นคน
ของตระกูลฉีนี่เอง”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลฉีของข้า
จะมีชื่อเสียงขนาดนี้ องค์ชายเฟิงอยูไ่ กลถึงแคว้นเป่ย
ฮั่นยังได้ยิน ถือว่าเป็นเกียรติของข้านัก”
พวกของฉีเฟิงสีหน้าไม่ดี พวกเขาจับดาบไว้แน่น จ้อง
ไปที่เป่ยถังเฟิงอย่างไม่ละสายตา
จิ่นอีตระกูลฉีประจำการชายแดน สูร้ บกับทางชาว
เป่ยฮั่นมานานหลายปี ชาวเป่ยฮั่นเกลียดตระกูลฉี
เข้ากระดูกดำ ส่วนพวกของฉีเฟิงเองก็เกลียดชาวเป่ย
ฮั่นเข้ากระดูกดำเช่นกัน
เป่ยถังเฟิงหันมายิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ามาที่ตงฉีนี่
เพราะอะไร แต่ว่าข้าจะบอกพวกเจ้าไว้ก่อนเลยนะ
ล้มเลิกความคิดนั้นไปซะ ข้าอยู่ที่นี่ ไม่มีทางให้พวก
เจ้าได้สมหวังแน่นอน รีบกลับไปหนานฉู่ของพวกเจ้า
ซะ อย่าอยู่ให้ขายหน้าต่อเลยนะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “องค์ชายเฟิงมัน่ ใจขนาดนั้นนี้
ทำให้ข้ารู้สึกกลัวขึ้นมาเลย ทรงยังมีอะไรที่จะข่มขู่
อีกหรือไม่ องค์ชายทรงตรัสออกมาให้หมดเลยดี
หรือไม่ ข้าจะได้ตกใจขวัญกระเจิงทีเดียวไปเลย”
เป่ยถังเฟิงฟังออกว่าฉีหนิงนั้นประชด ในตอนนี้เอง ก็
ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา ทุกคนหันไปมอง เห็นคน
สวมชุดสีแดงประมาณาห้าหกคนเดินออกมาอย่างรีบ
ร้อน คนพวกนี้สวมชุดแปลกมาก บนหัวของพวกเขา
มีหมวกหน้าตาประหลาด ปลายด้านหน้าแหลม
เสื้อผ้าพาดบ่าปลายชาย ฉีหนิงมองแล้วก็หน้าถอดสี
เขาจำได้การแต่งกายแบบนี้ เป็นการแต่งกายของลา
มะพระศาสนาพุทธจากทิเบต
หมวกของพวกเขาแปลกมาก มันถูกเรียกว่าเกลุก
เป็นหมวกสีเหลืองของดาไลลามะนิกายหมวกเหลือง
ของทิเบต การเจอพวกของเป่ยถังเฟิงทำให้ฉีหนิง
ตกใจมากแล้ว พอเห็นเหล่าลามะ เขาก็ยิ่งตกใจเข้า
ไปใหญ่
ในภพภูมินี้ มันไม่เหมือนยุคที่ฉีหนิงเคยอยู่ หลาย
เรื่องราวมันไม่มีอยู่ในโลกใบนี้ เขาเองก็ไม่แน่ใจ แต่
พอเขาได้เห็นลามะ มันน่าตกใจจริงๆ คิดในใจว่าใน
ภพนี้นั้นมีลามะของศาสนาพุทธทิเบตอยู่ด้วย แต่ว่า
ลามะก็ควรอยู่ที่ทิเบตสิ ทิเบตน่าจะอยู่ไกลจากตงฉี
มาก ถือได้ว่าไกลโพ้นเลย ฉีหนิงอยูท่ ี่แคว้นฉียงั ไม่
เคยได้เจอลามะเลย คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอที่ตงฉี
ลามะกลุ่มนี้เดินรีบร้อนออกมา ดูจากกลุ่มของพวก
เขาแล้ว เหมือนหลายคนจะคุ้มกันคนที่อยู่ตรง
กลางคนเดียว คนตรงกลางเหมือนอุม้ ห่อผ้าอยู่ ก้ม
หน้าก้มตา เหมือนจะระวังตัวอย่างมาก
ลามะกลุ่มนั้นไม่สนใจเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เลย พวก
เขาเดินตรงเข้าเรือนรับรองหลวงไป เป่ยถังเฟิงจ้อง
ไปที่กลุ่มลามะ จากนั้นก็ตะโกนว่า “ช้าก่อน”
ลามะกลุ่มนั้นกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน พวกเขาไม่หยุด
เป่ยถังเฟิงพูดเสียงเข้มขึ้นมาว่า “ขวางพวกเขา
เอาไว้”
คนชุดน้ำเงินข้างๆ เขาพุ่งตัวไปขวาง เขารวดเร็ว
ว่องไวเหมือนลิง พริบตาเดียวก็ไปโผล่ตรงหน้าของ
กลุ่มลามะแล้ว พวกของลามะถูกขวาง ก็ตกใจ พวก
เขาหยุดเดิน อีกทั้งยังคุมคนที่อยู่ตรงกลางไว้แน่น
คนด้านหน้าสองคนตั้งท่าป้องกัน
เถาเฉียนเห็นสถานการดังนัน้ ก็รีบห้าม “อย่ามีเรื่อง
กันเลย ทุกท่านต่างก็เป็นแขกเมืองของแคว้นฉีเรา
ทั้งนั้น”
เป่ยถังเฟิงทิ้งพวกของฉีหนิง แล้วเดินหน้าไป แล้ว
ถามกลุ่มลามะว่า “ในห่อผ้านั่นคืออะไร? ทำตัวลับๆ
ล่อๆ คิดจะทำอะไร?”
กลุ่มของลามะมองไปที่เป่ยถังเฟิง สีหน้าของพวกเขา
โกรธมาก คนตรงกลางพูดว่า “มันไม่เกี่ยวอะไรกับ
พวกท่าน อย่ามาขวางทางเรา” น้ำเสียงของเขาดู
แข็งกร้าว แต่ว่าก็ทำให้คนฟังเข้าใจได้
“พวกเจ้าเองก็พักอยูท่ ี่เรือนรับรองหลวงนี่ จะเอา
อะไรเข้าไป ใครจะไปรู้ว่าจะใช่ยาพิษหรือเปล่า?”
เป่ยถังเฟิงพูดว่า “หลวงจีนอย่างพวกเจ้า ทำตัว
ลึกลับ หากเอายาพิษเข้าเรือนรับรองหลวงไปทำร้าย
คนอื่น มันจะไม่เกี่ยวกับเราได้ยังไง? เปิดห่อผ้า
เดี๋ยวนี้ ให้ข้าดูว่ามันคืออะไร ไม่อย่างนั้นก็เข้าเรือน
รับรองหลวงไปไม่ได้”
ฉีหนิงรู้สึกขำในใจ แอบคิดในใจว่าชาวเป่ยฮั่นโอหัง
มาก คนอะไรก็ไปหาเรื่องได้หมด แต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่
เกี่ยวอะไรกับเขา เขาเองก็ไม่อยากไม่ยุ่ง เลยยืนดูอยู่
เฉยๆ
เถาเฉียนกลับยิ้มแล้วพูดว่า “องค์ชายเฟิง ไต้ซือเหล่า
นี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย ข้ารับรองได้ว่าของในห่อผ้าของ
พวกท่านไม่ใช่ยาพิษแน่นอน พวกเขาจะออกเดินทาง
กลับแคว้นของพวกท่านในวันพรุ่งนีแ้ ล้ว มาพักแรม
ที่นี่แค่คนื เดียวเท่านั้น ไม่เกิดเรื่องอะไรแน่นอน”
เป่ยถังเฟิงเหมือนไม่ได้เห็นเถาเฉียนอยู่ในสายตาเลย
เขาพูดว่า “เจ้ารับรอง? หากเกิดเรื่องขึ้นมา เจ้าจะ
รับประกันอะไรได้? ข้าเชื่อแค่สิ่งที่ข้าเห็นกับตา
ตัวเองเท่านั้น ข้าไม่เชื่อลมปากของคนอื่นหรอกนะ
แต่ข้าก็จะไว้หน้าเจ้า เจ้าสั่งให้พวกเขาเปิดห่อผ้า
ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนัน้ นอนอยู่ข้างถนนนี่
แหละ”
ลามะคนที่อยู่ตรงกลางโกรธมาก เขาพูดว่า “รังแก...
รังแกกันมากไปแล้วนะ ไม่เปิด หากจะเปิด...เราไม่
กลัวพวกเจ้าหรอก...”
เป่ยถังเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะสู้หรnอ? ดีมาก
ใครก็ได้ ไปเอาห่อผ้าของพวกเขามา ข้าจะดูสิว่า
หลวงจีนพวกนี้ จะเก่งแค่ไหนกันเชียว”
พอเขาออกคำสั่ง คนของเขากว่าสิบคนก็พุ่งไป คน
ชุดแดงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “องค์ชาย เราอย่าหา
เรื่องจะดีกว่า ที่นี่คือตงฉีนะ เรา...”
เป่ยถังเฟิงหน้าเข้ม แล้วพูดว่า “ฮั่วเสินจวิน ใครเป็น
นายกันแน่? ต้องฟังเจ้า หรือฟังข้ากัน?”
คนชุดแดงคุกเข่าลงหนึ่งข้าง แล้วพูดว่า “กระหม่อม
มิกล้า กระหม่อมเสียมารยาท ทรงลงอาญาด้วย”
ฉีหนิงได้ยิน “ฮั่วเสินจวิน” สามคำนี้ ก็สะดุ้ง แอบคิด
ในใจว่าพวกเขาคือฮั่วเสินจวินนี่เอง เขารู้ว่าเป่ยฮัน่ มี
หอเก้านภาซึ่งเป็นหน่วยงานลับที่ไม่ต่างกับจวนเสิน
โหว เป็นสองหน่วยงานที่แข็งแกร่งมากในใต้หล้านี้
หอเก้านภามีเสินจวินทั้งหมดห้าคน มู่เสินจวินตาย
เพราะฉีหนิงไปแล้ว พลังหกเทพประสานของเขา ก็
ได้มาจากมู่เสินจวิน ตอนนี้เขารู้แล้วว่า คนชุดแดงนั้น
เป็นหนึ่งในเสินจวินของหอเก้านภา หากเดาไม่ผิด
คนชุดน้ำเงินนั่นก็น่าจะเป็นหนึ่งในเสินจวินของหอ
เก้านภาเช่นกัน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 607 อวี้อ๋อง
เถาเฉียนเห็นกลุ่มลามะถูกล้อม สีหน้าของเขาเริ่มไม่
ดี เขาพูดว่า “องค์ชายเฟิง เหล่าไต้ซือเป็นแขกเมือง
ของต้าฉีเรา เห็นแก่ข้าน้อยสักครั้งเถอะ อย่าได้ทำให้
พวกเขาต้องลำบากใจเลย ทุกคนทีอะไร ค่อยๆ พูด
ค่อยๆ จากันดีกว่า อย่าได้ลงไม้ลงมือกันเลยนะพ่ะ
ย่ะค่ะ”
องค์ชายเฟิงพูดว่า “ข้าให้โอกาสพวกเขาไปแล้ว ให้
พวกเขาเปิดห่อผ้าด้วยตัวเอง ให้เราได้ตรวจสอบกัน
แต่ว่าพวกเขาไม่ยอม”
ลามะคนที่อยู่ตรงกลางหันมาพูดกับเถาเฉียนว่า “ใต้
เท้าเถา เราไม่ได้เป็นคนก่อเรื่อง พวกเขาหาเรื่องเรา
หลายครั้ง หากลงไม้ลงมือกันขึ้นมา จะโทษเราไม่ได้
นะ” ลามะที่อยู่ข้างๆ หันตัว เปลี่ยนเป็นมุมหก
เหลี่ยม พนมมือขึ้น ส่วนคนชุดแดงก็ถอยมาตั้งรับ
เถาเฉียนรีบพูดว่า “ท่านลามะก่งจาซี อย่าได้ลงมือ
เลย พูดกันดีๆ เถอะ”
ถึงแม้ฉีเฟิงจะไม่ได้รู้สึกดีกับพวกลามะเท่าไหร่นัก แต่
ว่าเขาเกลียดพวกขององค์ชายเฟิงมากกว่า เขาอด
พูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ชาวเป่ยฮั่นชอบอาศัยคนมาก
รังแกคนน้อยแบบนี้ตลอด ไปที่ไหนก็ทำตัวอวดดี
แบบนี้อยู่เรื่อย แต่น่าเสียดาย หากต้องสู้กันจริงๆ ก็มี
ไม่กี่คนเท่านัน้ ที่สู้ได้”
เขาไม่ได้พูดเสียงดังเลย แต่พวกขององค์ชายเฟิงดันหู
ดีได้ยิน
องค์ชายเฟิงรีบหันหน้ากลับมา เขาชี้นิ้วไปที่ฉีเฟิง
แล้วถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
ฉีเฟิงเหมือนจะพูดอีก ฉีหนิงยกมือขวางเอาไว้ แล้ว
พูดว่า “องค์ชายเฟิงทรงหูไม่ดี? หรือว่าไม่อยากจะได้
ยินที่เราพูด?”
องค์ชายเฟิงโกรธมาก “หากว่าเจ้าแน่ก็พูดมาอีกครั้ง
สิ?”
“อย่าว่าแต่ครั้งเดียวเลย สิบรอบก็ยงั ได้” ฉีหนิงพูด
ว่า “เป่ยถังเฟิง ข้าว่าท่านคงลืมตัวไปแล้วมั้ง ที่นี่
ไม่ใช่เป่ยฮั่น แต่เป็นแคว้นฉี ท่านมาทำตัวป่าเถื่อน
แบบนีท้ ี่แคว้นฉี ท่านเห็นใต้เท้าเถาเป็นอะไร? แล้ว
เห็นแคว้นฉีเป็นอะไร?” เขายกมือชี้ไปที่หน้าประตู
เรือนรับรองหลวง “ที่นี่คือเรือนรับรองหลวงของ
แคว้นฉี เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาขวางไม่ให้คนอื่นเข้าไปข้าง
ใน? กองทัพของเป่ยฮั่นยังไม่ได้บุกเข้ายึดแคว้นฉี
เหมือนว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ท่านจะออกคำสั่งได้นะจริง
ไหม?”
องค์ชายเฟิงหน้าเปลี่ยนสี เขาตะคอกว่า “เจ้าแซฉี
เจ้าว่าอะไรนะ?” เขายื่นมือไปจับกระบี่
คนของแคว้นฉู่กว่าสองร้อยคนอยู่ตรงนั้นด้วย หลาย
คนเห็นชาวเป่ยฮั่นก็ขัดหูขัดตา เห็นองค์ชายเฟิงจับ
กระบี่ พวกเขาจะยอมได้ยังไง เหล่าทหารหลวงวิ่งขึ้น
หน้ามา แล้วล้อมคนขององค์ชายเฟิงเอาไว้
ตอนนี้กลุ่มลามะถูกองค์ชายเฟิงกว่าสิบคนล้อมไว้
คนของฉีหนิงกว่าสิบคนเองก็ล้อมคนขององค์ชายเฟิง
เอาไว้ เถาเฉียนเห็นสถานการณ์ไม่ดี ก็ตะโกนว่า
“หากทุกท่านจะสู้กัน ก็ขอให้ออกจากแคว้นฉีของเรา
ไป เมื่อออกไปแล้วพวกท่านจะตีกันยังไง เราจะไม่ยุ่ง
เลย แต่ว่าที่นี่คือในดินแดนของตงฉีเป็นเรือนรับรอง
ของเรา หากกลายเป็นเรื่องใหญ่ คงไม่อาจทูล
รายงานกับฝ่าบาทได้ พวกท่านมาทีน่ ี่ ก็เพื่อสร้าง
สัมพันธไมตรีกับแคว้นฉีของเรา แต่ว่าการกระทำ
ในตอนนี้พวกท่านจะให้เราเชื่อได้อย่างไรว่าพวกท่าน
มาดี?”
ในตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงเข้มๆ เสียงหนึ่งพูดว่า “ทุก
หยุดก่อน” มีคนๆ หนึ่งเดินออกมาเรือนรับรอง อายุ
ประมาณห้าสิบปี สวมชุดผ้าแพรอย่างดี สวมหมวก
ด้านหลังเขามีผู้ติดตามมาอีกหลายคน สีหน้าท่าทาง
จริงจังมาก เถาเฉียนเห็นว่ามีคนมา เหมือนเขาก็โล่ง
ใจ จากนั้นก็เดินขึ้นหน้ามาพูดว่า “ท่านอวี้อ๋อง”
อวี้อ๋องเดินมายกมือคำนับเถาเฉียนแล้วพูดว่า “ใต้
เท้าเถา เสียมารยาทแล้วเสียมารยาทแล้ว อย่าได้ถือ
สากันเลยนะ” เขากวาดสายตามองไป เห็นฉีหนิง
เขาก็ตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นก็เขาก็เดินขึ้นหน้ามา
ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ท่านนี้คือ...?”
เถาเฉียนรีบแนะนำว่า “ท่านอวี้อ๋อง ท่านนี้คือจิน่ อี
โหวแห่งแคว้นฉู่”
“จิ่นอีโหว?” อวี้อ๋องตะลึงไป สายตาของเขามอง
หน้าฉีหนิงแบบไม่ละสายตาเลย ฉีหนิงได้ยินเถา
เฉียนแนะนำต่อว่า “จิ่นอีโหว ท่านนี้คือท่านอวี้อ๋อง
แห่งเป่ยฮั่น เป็นเสด็จอาขององค์ชาย”
ฉีหนิงยกมือคำนับแล้วยิ้ม “คำนับอวี้อ๋อง”
อวี้อ๋องยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็จิ่นอีโหวนี่เอง
อายุน้อยอนาคตไกล” เขาเหลือบไปมองด้านข้างแล้ว
พูดว่า “แล้วนี่มันอะไรกัน?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่มันเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น”
เขาสั่งว่า “ฉีเฟิง ถอยออกมา”
เมื่อได้ยินคำสั่งของฉีหนิง ทุกคนก็ถอย องค์ชายเฟิง
เหมือนไม่ค่อยพอใจ อวี้อ๋องมองไป เหมือนจะเข้าใจ
อะไรขึ้นมา “เจ้าก่อเรื่องอะไรอีก? ฝ่าบาทกำชับ
มาแล้วว่า เมื่อมาถึงแคว้นฉี ทุกอย่างต้องเคารพตาม
กฎหมายของแคว้นฉู่” เขาตะคอกไปว่า “ยังไม่ถอย
ออกมาอีก”
คนขององค์ชายเฟิงเหมือนจะเกรงใจท่านอ๋องคนนี้
มาก องค์ชายเฟิงยังไม่ได้พูดอะไรเลย พวกเขาก็ถอย
ออกมาแล้ว
อวี้อ๋องเดินหน้าขึ้นไป แล้วยกมือคำนับเหล่าลามะ
“ไต้ซือทุกท่าน ล่วงเกินแล้ว โปรดอภัยด้วย”
ก่งจ๋าซีกับพวกสีหน้าไม่ดีเหมือนเดิม พวกเขาไม่
สนใจ เดินตรงข้าเรือนรับรองไป
องค์ชายเฟิงท่าทางไม่เป็นมิตร เขามองไปที่ฉีหนิง
จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป อวี้อ๋องขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “เจ้าจะไปไหน?”
องค์ชายเฟิงไม่ได้หันหน้ากลับมา เขาพูดว่า “ออกไป
เดินเล่น เสด็จอาทรงไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ก่อเรื่อง
แน่นอน” เขาพาคนของเขาไปทันที
อวี้อ๋องส่ายหน้า หันมายิ้มให้ฉีหนิงแล้วพูดว่า “จิ่นอี
โหว ล่วงเกินแล้ว อย่าได้ถือสาเลยนะ ไว้ข้าจะนำ
ของขวัญไปให้เพื่อเป็นการขอโทษ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องทรงเกรงใจเกินไปแล้ว
เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
อวี้อ๋องยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปคุยกับเถา
เฉียน แล้วค่อยหันมายกมือคำนับฉีหนิงอีกครั้ง
จากนั้นก็เดินเข้าไปในเรือนรับรองหลวง เมื่อเขาเดิน
ไปได้อีกสองสามก้าว ก็หันกลับมามองฉีหนิงอีก
จากนั้นก็ยิ้มให้ แล้วเดินไป
เถาเฉียนถึงได้โล่งใจ เขาพูดว่า “ยังดีที่ท่านอวี้อ๋อง
เป็นคนมีเหตุผล ไม่อย่างนั้นหากองค์ชายเฟิงก่อเรื่อง
ขึ้นมาจริงๆ ต้องวุ่นวายแน่”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเถา ข้าเห็นท่าทางของ
พวกเขาแล้ว เป่ยถังเฟิงเหมือนจะมีปัญหากับก่งจ๋าซื
ออย่างนั้นหรือ?”
เถาเฉียนถอนหายใจแล้วพูดว่า “จะบอกว่ามีปัญหา
เลยก็ไม่เชิง คณะทูตของเป่ยฮั่นมาถึงตงฉีเมื่อวันก่อน
แล้วก็มายังเรือนรับรองหลวงแห่งนี้ บังเอิญได้พบกับ
ท่านลามะก่งจ๋าซีเข้า เดิมทั้งคู่ก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวต่อกัน
ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าองค์ชายเฟิงเป็น
อะไรขึ้นมา อยากจะถอดหมวกเหลืองของท่านลามะ
ก่งจ๋าซีมาดูให้ได้” เขาส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “องค์ชายเฟิงอาจจะรู้สึกว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่
อะไร แต่ว่าสำหรับท่านลามะก่งจ๋าซีแล้ว มันเป็นการ
หยามเกียรติของพวกเขามาก เขาเลยไม่ได้ใส่ใจ แต่
ว่าองค์ชายเฟิงกลับสั่งให้คนไปชิงมา โชคยังดีว่าท่า
นอวี้อ๋องทรงไปห้ามไว้ได้ทัน ถึงได้ไม่เกิดเรื่อง”
ฉีหนิงพยักหน้า คิดในใจว่าทั้งสองฝ่ายมีปัญหากันมา
ก่อนจริงๆ ด้วย เขาถามว่า “ท่านลามะก่งจ๋าซีมา
จากทิเบตหรือเปล่า?”
“ถูกต้อง” เถาเฉียนพยักหน้าแล้วพูดว่า “พวกเขามา
จากแคว้นกู่เซี่ยงแห่งทิเบต ท่านลามะก่งจ๋าซีมี
ตำแหน่งสูงมากที่นั่น ท่านพาศิษย์ออกเดินทางธุดงค์
ไปทั่วใต้หล้า หลังจากที่มาถึงต้าฉีของเรา ฝ่าบาทก็
ได้เชิญให้พวกเขามาเทศน์ อีกทัง้ ยังต้อนรับพวกเขา
ในฐานะอาคันตุกะ พวกเขาอยูท่ ี่นี่มาสิบกว่าวันแล้ว
พรุ่งนี้กจ็ ะเดินทางกลับแล้ว”
เรือนรับรองหลวงตงฉีไม่ได้ใหญ่มาก ไม่ได้หรูหรา
อาจเป็นเพราะน่าจะมีอายุพอสมควร ทั้งสามแคว้น
ไม่ค่อยไปมาหาสู่กันเท่าไหร่ การรับรองแขกเมือง
ของที่นี่ส่วนมากก็ร้างตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่มีคณะ
ทูตมาจากทั้งแคว้นหนานฉู่และเป่ยฮั่น ซึ่งเป็นครั้ง
แรกนับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นตงฉีมา อีกทั้งเหมือนกับ
ทางตงฉีจะรู้ข่าวมาก่อนแล้วด้วย ดังนั้นทางเรือน
รับรองเลยมีการปรับปรุงตกแต่งขึ้นใหม่
เรือนตงย่วนทางทิศตะวันออกเป็นทีอ่ ยู่อาศัยของ
ชาวเป่ยฮั่นไปแล้ว ส่วนกลุ่มลามะจากแคว้นกู่เซี่ยงก็
มีคนไม่มาก เลยไปพักอยู่ที่ด้านหลังส่วนดอกไม้
คณะทูตแคว้นฉู่จึงถูกจัดให้พักที่เรือนซีย่วนทางทิศ
ตะวันตก เรือนซีย่วนมีห้องพักมากมาย มีสนเล็กๆ
และข้าวของพร้อม คนกว่าสองร้อยคนเข้าพัก ก็ไม่ได้
แออัด
หลังจากสัมภาระข้าวของถูกย้ายเข้าไปที่ซีย่วนแล้ว
อู๋ต๋าหลินทำการจัดระเบียบผู้คนที่ซยี ่วน
ในเรือนรับรอง ไม่เพียงแค่ชาวตงฉีเท่านั้นที่เข้าพัก
ที่นี่ ยังมีลามะจากแคว้นกูเ่ ซี่ยงด้วย ที่นี่ก็เป็นที่ของ
ชาวตงฉี ระวังตัวให้มากดีกว่า จะประมาทไม่ได้
ฉีหนิงออกคำสั่งไปว่า หากไม่ได้รับอนุญาตจากเขา
ไม่ว่าใครก็ออกจากเรือนซีย่วนไม่ได้เด็ดขาด อีกทั้ง
ห้ามทุกคนเข้าใกล้เรือนตงย่วนด้วย
เมื่อเก็บและจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฟ้าก็เริ่ม
มืด เถาเฉียนได้จัดให้คนส่งอาหารมาให้ทางเรือง
รับรองหลวง อีกทั้งยังชี้แจงให้ฉีหนิงฟังอีกว่า ทาง
ราชสำนักของพวกเขายังมีเรื่องที่ต้องหารือกัน
ฮ่องเต้ตงฉีกับรัชทายาทยังทรงไม่มีเวลาว่าง ต้องรอ
อีกสักสองวันถึงจะได้เฝ้า ยังไงก็ขอให้ทางคณะทูต
อย่าเพิ่งร้อนใจไป
ฉีหนิงรู้ดีว่า ไท่ซานอ๋องก่อกบฏ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
ถึงแม้ไท่ซานอ๋องจะตาย แต่ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ ตงฉี
ยังไงก็ต้องจัดการเรื่องให้เรียบร้อย ไม่มีเวลามาพบ
คณะทูต มันก็สมเหตุสมผลอยู่
แต่ว่าถึงแม้แคว้นตงฉีจะเป็นแคว้นเล็ก แต่ว่าเรื่อง
หน้าตาของตัวเองก็ทำทุกอย่าง อาหารที่จัดมาให้ดู
ละเอียดใส่ใจมาก ไม่ต้องพูดถึงอาหารของฉีหนิง
แม้แต่ของทหาร ก็มีให้กินเต็มที่
ฉีหนิงเรียกอู๋ต๋าหลินกับพวกฉีเฟิงมากินด้วยกัน
หลังจากที่ออกจากเมืองหลวงเจี้ยนเยี่ยของแคว้นฉู่
มา เพื่อความปลอดภัย ทุกคนไม่ดื่มเหล้าเลย ตอนนี้
ถึงตงฉีแล้ว ถึงแม้จะประมาทไม่ได้ แต่เพื่อลดการ
เหนื่อยล้าจากการเดินทาง ทุกคนเลยดื่มกันสักหน่อย
“โหวเยว่ ชาวเป่ยฮั่นเดินทางมาครั้งนี้ พวกเขามา
เพราะเรื่องการสู่ขออภิเษกหรือเปล่า?” อู๋ต๋าหลินพูด
ว่า “เป่ยถังอวี้ก็มาด้วย สถานการณ์ไม่ค่อยดีเลย”
“เป่ยถังอวีเ้ ป็นน้องชายของฮ่องเต้เป่ยฮั่นหรือ?”
อู๋ต๋าหลินพยักหน้าแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้เป่ยฮั่นมีพี่น้อง
ทั้งหมดสามคน เป่ยถังอวี้เป็นคนที่สอง ฉางหลิงโหว
เป่ยถังชิ่งเป็นคนเล็กสุด แต่ว่าเมื่อเทียบกับเป่ยถังชิ่ง
แล้ว ชื่อเสียงของเป่ยถังอวี้สู้ไม่ได้เลย แต่ว่าข้าน้อย
เคยได้ยินเรื่องสมัยก่อนของเป่ยถังอวี้มาบ้าง หาก
เรื่องนีเ้ ป็นเรื่องจริง คนผู้นี้ก็ไม่ธรรมดาเลย”
“เรื่องสมัยก่อน?” ฉีหนิงเริ่มสนใจ “เรื่องอะไร?”
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “ตอนที่เป่ยถังอวี้ยงั เป็นหนุ่ม มีครั้ง
หนึ่งที่เป่ยฮั่นรับสมัครผู้มีความรู้ความสามารถจาก
ทั่วทุกสารทิศ ขอแค่เป็นบัณฑิต ไม่ว่าจะมีฐานะสูง
หรือว่าต่ำ ก็สามารถเข้าร่วมการสอบคัดเลือกนี้ได้
หากตอบคำถามต่อหน้าทุกคนได้ จะได้รับแผ่น
ข้อสอบ หลังจากทำขอสอบแล้ว แผ่นคำตอบจะถูก
เก็บเป็นอย่างดี มีขุนนางกว่าสิบคนเป็นผู้คัดเลือกอีก
ที ตอนนั้นเป่ยถังอวีป้ ลอมตัวไปร่วมสอบ เขาเองก็
ได้รับแผ่นข้อสอบไป เขาแกล้งใส่ชื่อไปมั่วๆ อีกทั้งยัง
ทำสัญลักษณ์เล็กๆ บนกระดาษคำตอบ เพื่อดูว่าตัว
เขานั้นจะมีความสามารถมากแค่ไหน...”
“แล้วต่อมาเล่า?”
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “ต่อมาขุนนางสิบคนคัดเลือกได้คน
มาทั้งหมดสามสิบคน ออกประกาศทางการ คำตอบ
ของเป่ยถังอวี้ กลับได้รับอันดับหนึง่ ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แล้วไม่
มีการช่วยเหลือ เป่ยถังอี้กเ็ ก่งมากจริงๆ”
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “เป่ยฮั่นส่งเป่ยถังอวี้มาที่นี่ โหวเยว่
เราต้องระวังให้มากนะ เป่ยถังเฟิงดูเหมือนธรรมดา
แต่ว่ามีเป่ยถังอวี้อยู่ด้วย รับมือลำบากแน่”
“จะสำเร็จหรือไม่ เราก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่” ฉี
หนิงพูดว่า “จริงสิ พวกเจ้าเห็นนิกายลามะจากทิเบต
พวกนั้นไหม รู้สึกว่าพวกเขาแปลกๆ หรือเปล่า?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 608 ออกล่ากลางดึก
ฉีเฟิงรีบพูดว่า “โหวเยว่ ห่อผ้าในมือของลามะทิเบต
แปลกมาก เหมือนพวกเขาจะเห็นมันเป็นของล้ำค่า
ข้างในเป็นอะไร มันน่าสงสัยจริงๆ”
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “โหวเยว่ หรือว่าที่จริงแล้วตัวของลา
มะเองก็ประหลาดอยู่แล้ว แต่ว่าพวกเขามาอยู่ที่ตงฉี
มันแปลกมากจริงๆ ทิเบตตั้งอยูเ่ ลยทางพรมแดนทาง
ทิศตะวันตก ห่างจากแคว้นตงฉีเป็นหมื่นลี้ ท่านเสนา
เถาเองก็บอกว่าพวกเขาออกมาธุดงค์ถึงได้มาถึงตงฉี
แต่ว่าข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรือ่ งจริง”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเองก็คิดเหมือนกันหรอว่า
เรื่องนีเ้ หมือนมีลับลมคมใน?”
“หากพวกเขาเดินทางธุดงค์มาถึงตงฉีจริง ทำไมไม่ไป
ที่ต้าฉู่ของเราล่ะ?” อู๋ต๋าหลินพูดว่า “ทิเบตอยู่ใกล้
กับต้าฉู่ของเรามากกว่า อีกทั้งแคว้นกู่เซี่ยงเองก็ไม่ได้
เป็นศัตรูกับแคว้นฉู่ของเรา ทำไมเหล่าลามะถึงได้
เว้นต้าฉู่เราแล้วตรงมาที่ตงฉีเลยล่ะ?” เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “หากอยากจะเห็นโลกกว้าง ต้าฉู่ของเรามี
ดินแดนกว้างขวาง ทิวทัศน์สวยงาม ตงฉีแคว้นเล็กๆ
แบบนีเ้ ทียบไม่ได้เลย ทำไมพวกเขาถึงเลือกทิ้ง
แคว้นต้าฉู่แล้วมาตงฉีล่ะ?” ฉีเฟิงเองก็พูดว่า “เจ้าคน
แซ่เถานั่นยังบอกอีกว่าฮ่องเต้แคว้นฉีเชิญท่านลามะ
ไปเทศน์อีกด้วย แต่ว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า
ฮ่องเต้ตงฉีใฝ่ทางธรรม ภายในแคว้นตงฉีเองก็เห็นวัด
วาอารามณ์ไม่มาก แคว้นตงฉีเห็นกลุ่มลามะเป็นแขก
เมือง อีกทั้งยังให้พวกเขาพักที่เรือนรับรองด้วย มัน
ไม่ใช่วิถีของการปฏิบัติต่อกลุ่มนักบวชทั่วไป”
ฉีหนิงพูดว่า “พวกเจ้ารู้จักแคว้นกู่เซี่ยงดีแค่ไหน?”
พวกของฉีเฟิงมองหน้ากัน แล้วก็ส่ายหน้า อู๋ต๋าหลิน
พูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยเคยอยู่ในกองทัพซีชวนสองปี
กอทัพซีชวนประจำการณ์ชายแดนฝัง่ ทิศตะวันตก
เพื่อป้องกันชาวต่างแดนที่มาจากทิเบต แต่ว่าเรา
แทบจะไม่ได้รู้เรื่องหรือไปมาหาสู่กับพวกเขาเลย
ทิเบตตั้งอยู่บนที่สูงมีชาวถู่หุ้นเป็นประชากรหลัก
แคว้นกู่เซีย่ งเป็นแคว้นที่ก่อตั้งโดยชาวถู่หุ้น
ควบคุมดูแลทิเบต...” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “โหว
เยว่ หรือว่าแคว้นกู่เซี่ยงจะแอบคบคิดกับแคว้นตงฉี
คิดก่อการร้าย?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ หากเป็น
อย่างนั้นจริง ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายของพวกเขาก็คง
เป็นต้าฉู่ของเราแน่นอน” เขานิง่ ไป แล้วพูดว่า “แต่
ว่าความเป็นไปได้เรื่องนี้น้อยมาก สองแคว้นนี้แคว้น
หนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกที่ไกลมาก อีกแคว้นก็อยู่ทาง
ทิศตะวันออก ห่างกันเป็นหมื่นลี้ ต่อให้คิดจะเป็น
พันธมิตรกัน มันก็ใช่ว่าจะคุยกันแค่สองสามคำก็
สำเร็จ” เขาพูดว่า “แต่ว่าในห่อผ้านั่นมันคืออะไร ข้า
เองก็แปลกใจ หากรู้ว่ามันคืออะไร บางทีอาจจะ
คลายสงสัยไปได้บ้าง”
ฉีเฟิงพูดว่า “ดูจากท่าทางของพวกเขา ห่อผ้านั่น
เหมือนจะสำคัญยิ่งกว่าชีวิตอีก หากจะดูให้รู้ น่าจะ
ไม่ใช่เรื่องง่าย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ทุกคนเดินทางมากัน
ลำบาก ฮ่องเต้ตงฉีกว่าจะให้เฝ้าก็คงต้องรออีกสอง
สามวัน สองสามวันนี่เราก็พักผ่อนกันให้เต็มที่ ท่าน
นายกองอู๋ ชาวเป่ยฮั่นอยู่ใกล้ตัวเรามาก ยังไงก็ต้อง
ระวังตัวให้ดี สั่งให้ทหารเฝ้าเวรยามอย่างแน่นหนา
เราจะไม่ไปหาเรื่องพวกเขา แต่หากพวกเขาหาเรื่อง
เราก่อน ก็ไม่ต้องเกรงใจ”
อู๋ต๋าหลินยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่โปรดวางใจ ต่อให้
พวกเขาจะบุกเข้ามา ต่อให้พวกเขามีความกล้านั้น
จริง ไม่ว่าใครก็ตาม เราจะจับตัวไว้ทันที”
หลังจากกินอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็กลับไป
เก็บข้าวของของตัวเอง
ฉีหนิงนอนพักสักครู่หนึ่ง พอตกดึกผูค้ นเงียบสงบ
แล้ว เขาก็เปลี่ยนชุดดำ ปิดหน้าปิดตา ปีนออกทาง
หน้าต่างห้องพักไป
วรยุทธ์ของเขาไม่เหมือนวันวานแล้ว เขาออกจาก
เรือนซีย่วนไปแบบไม่มีใครรู้ เขารู้ว่ากลุ่มลามะพักอยู่
ด้านหลังสวนดอกไม้ เขาก็ตรงไปที่นนั่ ทันที เขาปีน
กำแพงข้ามไป เห็นในสวนดอกไม้มีสระ ด้านข้างริม
สระมีห้องพักอยู่หลายห้อง หนึ่งในห้องเหล่านั้นมี
ห้องหนึ่งที่มีไฟจุดอยู่ หน้าประตูห้องมีลามะสองคน
ยืนถือกระบอกยาวเฝ้าอยู่ เขารู้ทันทีลามะพวกนั้น
น่าจะพักอยู่ที่นนั่
ฉีหนิงคิดในใจว่ากลุ่มลามะมีคนไม่มาก แต่ว่ากลับ
เดินทางเป็นหมื่นลี้มายังตงฉี แสดงว่าไม่ใช่คน
ธรรมดาแน่นอน ตอนที่อยู่หน้าประตูเรือนรับรอง ลา
มะพวกนี้ไม่ได้มีความหวาดกลัวชาวเป่ยฮั่นเลย อีก
ทั้งยังเกิดการปะทะกันด้วย ตอนทีเ่ ห็นพวกเขาตั้งท่า
รับมือ มันชัดเจนว่าพวกเขามีวรยุทธ์
ถึงแม้ปกติแล้วฉีหนิงจะค่อนข้างมั่นใจในวรยุทธ์ของ
ตัวเอง แต่ว่าไม่ได้มั่นใจเต็มร้อย ถึงแม้ฝีมือของเขา
จะไม่อ่อน แต่เขาก็ไม่ประมาทคนอืน่ อีกฝ่ายมีกี่คน
กันแน่ยงั ไม่รู้แน่ชัด ยังไงระวังไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
วันนี้ห่อผ้าในมือของก่งจ๋าซี มันลึกลับมากเกินไป ฉี
หนิงเลยรู้สึกแปลกใจมาก เขาไม่แน่ใจเลยว่าทำไมลา
มะพวกนี้จะต้อมาที่ตงฉีด้วย เขารู้สึกว่ามันน่าจะมี
ความลับอะไรซ่อนอยู่ เขาคิดในใจว่าของในห่อผ้านั่น
อาจจะมีคำตอบสำหรับข้อสงสัยของเขาได้ เลยคิดจะ
เสี่ยงดวงดู ดูสิว่าจะมีโอกาสเห็นของข้างในห่อผ้า
ไหม
เขาเคลื่อนไหวราวกับวิญญาณ อ้อมไปที่ด้านหลัง
ของห้อง ยังดีที่ไม่มีลามะเดินลาดตระเวน ฉีหนิง
ค่อยๆ เดินเข้าใกล้ห้องที่มีไฟ เขาได้ยังเสียงดัง
ออกมาจากในห้อง เขาตัวแนบชิดกับกำแพง แล้วยืน่
หัวพยายามไปดู เห็นภายในห้องมีโต๊ะกลมตัวหนึ่ง
วางอยู่ เหล่าลามะนั่งล้อมโต๊ะ ที่กลางโต๊ะวางห่อผ้า
นั้นไว้ โดยมีการห่อผ้าสีเทาไว้อีกชั้น ดูจากภายนอก
แล้ว ด้านในน่าจะเป็นกล่องสี่เหลี่ยม
ก่งจ๋าซีนงั่ พนมมือ เหมือนกำลังจะพูดอะไร แต่ว่า
พวกเขาใช้ภาษาท้องถิ่นของแคว้นตัวเอง ฉีหนิงฟังไม่
เข้าใจ เห็นลามะคนอืน่ ๆ สีหน้าเคร่งเครียดมาก ก่ง
จ๋าซีพูดอยู่หลายคำ คนพวกนั้นพยักหน้าเหมือน
รับคำ
ฉีหนิงพอจะเดาออกว่าพวกเขากำลังหารือเรื่องอะไร
แต่ว่าน่าเสียดายที่ฟังไม่รู้เรื่อง ก่งจ๋าซีพูดอยู่พักหนึ่ง
ทันใดนั้นเองก็เห็นลามะคนหนึง่ ลุกขึ้นมา จากนั้นหัน
หลังดื่มออกมา ไม่นานนักก็เดินกลับเข้ามา ภายในมี
กล่องไม้กล่องหนึ่ง เขานำมันมาวางไว้ที่โต๊ะ ฉีหนิง
รู้สึกแปลงใจมาก แต่แล้วก็เห็นก่งจ๋าซีหยิบของชิ้น
หนึ่งออกมาจากหน้าอกของเขา มันมีแสงระยิบระยับ
มาก เมื่อเปิดกล่องออก แล้ววางของนั่นลงไปใน
กล่องแล้วรีบปิด จากนั้นก็รีบหยิบผ้าสีเทามาห่อ
กล่องเอาไว่ พริบตาเดียวก็ ก็กลายเป็นมีห่อผ้าสอง
ห่อที่เหมือนกัน แทบจะแยกไม่ออก
ฉีหนิงไม่รู้เลยว่าเหล่าลามะนั้นคิดจะทำอะไร แต่เห็น
ก่งจ๋าซีหยิบห่อผ้าหนึ่งขึ้นมา แล้วพูดอะไรบางอย่าง
จากนั้นก็อุ้มห่อผ้าเดินออกไปจากประตู ส่วนเหล่าลา
มะที่เหลือก็ยังคงนั่งล้อมห่อผ้าต่อไป ห่อผ้าที่ห่อ
ขึ้นมาทีหลังเป็นแค่กล่องไม้กล่องหนึ่ง วางอยู่ที่กลาง
โต๊ะ ฉีหนิงลองนับดู หลังจากที่ก่งจ๋าซีไปแล้ว ลามะที่
เหลืออยู่มีทั้งหมดสี่คน ทุกคนนั่งพนมมือ เหมือนกับ
กำลังนั่งเฝ้าของอยู่
ฉีหนิงเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเข้าใจแล้วว่า
เหล่าลามะคิดจะทำอะไร
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า กล่องไม้ที่เตรียมมาทีหลังนั่น มัน
คือของเลียนแบบของที่อยูใ่ นห่อผ้า มันเอาเพื่อหลอก
ล่อ เหล่าลามะระวังตัวมาก ต่อให้มีคนเฝ้าอยู่ แต่
เหมือนกลัวว่าอาจเกิดการผิดพลาด เลยตั้งใจวางของ
ปลอมไว้ที่โต๊ะ แล้วเอาของจริงให้ก่งจ๋าซีนำติดตัวไป
พวกเขาวางแผนแยบยลขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าของชิ้น
นี้สำคัญกับพวกเขามาก ฉีหนิงอยากรู้อยู่แล้วว่าของ
ในห่อผ้ามันเป็นอะไร ยิ่งมาเห็นว่าพวกเขาระวังตัว
ขนาดนี้ ก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้นกว่าเดิมอีก หลังจากที่เขา
เห็นก่งจ๋าซีเดินออกไปแล้ว เขาก็เดินแนบกำแพงไป
ทางซ้ายมือ ห้องตรงแถวนี้มีด้วยกันห้าหกห้อง เขา
เดินคลำไปจนถึงห้องห้องหนึ่ง ได้ยินเสียง “แกร็ก”
เหมือนมีคนเปิดประตู ฉีหนิงหยุดทันที แล้วก็แนบ
ชิดตัวไปที่หน้าต่างห้อง แล้วค่อยๆ เจาะกระดาษ
หน้าต่าง แล้วมองลอดรูนั้นไป เห็นภายในห้องเงียบ
สงบ มีเงาคนผู้หนึ่งอยู่ในห้อง จากรูปร่างแล้ว คิดว่า
น่าจะเป็นก่งจ๋าซีแน่นอน
หลังจากที่ก่งจ๋าซีเข้าห้องไปแล้ว ก็รีบปิดประตูทนั ที
อีกทั้งลงกลอนห้องด้วย เขามองไปรอบๆ ซึ่งแน่นอน
ว่าเขาไม่เห็นฉีหนิงที่อยู่ที่หลังห้องแน่นอน เขาเดินมา
ที่กลางห้อง นั่งยองๆ ลง แล้ววางห่อผ้าอย่างระวังที่
ปลายเท้า เขากดฝ่ามือลงไปที่พื้น แล้วใช้แรงดึง ฉี
หนิงเห็น พื้นกระเบื้องแผ่นหนึง่ มันถูกดูดขึ้นมา
ฝีมือของเขาร้ายกาจมาก ฉีหนิงรู้สึกแต่แรกแล้วว่าลา
มะพวกนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา เขาเห็นก่งจ๋าซีใช้ฝ่า
มือดึงเอากระเบื้องที่พนื้ ขึ้นมา ก็ยิ่งแน่ใจว่าลามะ
กลุ่มนี้จะประมาทไม่ได้
ก่งจ๋าซีวางกระเบื้องไว้ด้านข้าง จากนั้นก็ค่อยหยิบ
ห่อผ้าขึ้นมาแล้ววางไว้ด้านใน ฉีหนิงถึงได้รู้ว่า ที่ใต้
กระเบื้องนัน้ มันมีการขุดหลุมเอาไว้ ห่อผ้าจึงวางลง
ไปได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าหลุมนั่นมันมีอยู่แล้ว หรือว่า
ลามะนี่เพิ่งจะขุดมาใหม่
ก่งจ๋าซีวางห่อผ้าซ่อนเอาไว้ในนั้น จากนั้นก็นำ
กระเบื้องมาปิดใหม่ ซึ่งแทบจะไม่เห็นร่องรอยเลย
เขาลุกขึ้นยืน แล้วเดินมาทางหน้าต่าง
ฉีหนิงรีบย่อตัวลงใต้หน้าต่าง กลั้นหายใจ จากนัน้ ก็
ได้ยินเสียงเปิดหน้าต่างออก เขาเงยหน้าขึ้น หากถูก
ก่งจ๋าซีจบั ได้ตอนนี้ เขาจะต้องรีบหนีไป เขามั่นใจ
ในวรยุทธ์ของเขามาก การจะออกจากสวนดอกไม้
มันไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับเขา
ก่งจ๋าซีคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกฉีหนิงเห็นหมดทุก
อย่าง เขาแค่เปิดหน้าต่างมาดู เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร
เขาก็ปิดหน้าต่างลง ท่ามกลางความมืด แม้แต่รู
ตรงหน้าต่างเขาก็ยังไม่เห็น จากนัน้ เขาก็ออกจาก
ห้องไป ฉีหนิงถอนหายใจ คิดในใจว่าเขาโชคดี
เหมือนกัน หากไม่ได้มาทันเวลา ก่งจ๋าซีซ่องของ
เอาไว้ตรงนี้ เขาคงไม่รู้
เขาคิดในใจว่ากลุ่มลามะนี่ก็ระวังตัวมากจนผิดสังเกตุ
หากไม่ได้เล่นลูกไม้แบบนี้ เหล่าลามะเฝ้าห่อผ้าทั้งคืน
คงไม่มีใครมาชิงไปได้ แต่ตอนนี้ เพื่อปกปิด ก่งจ๋าซีก
ลับเอาห่อผ้าของจริงมาซ่อนไว้ใต้กระเบื้องห้อง ดูไป
เหมือนจะปลอดภัย แต่น่าเสียดายฉีหนิงเห็น
หมดแล้ว มันกลายเป็นเนื้อเข้าปากเสือไป
ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ลุกขึ้นมา แล้วก็เปิดหน้าต่าง
จากนั้นก็ปนี เข้าไป ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังมา
จากด้านบนหลังคา เสียงนั่นเบามาก หากว่าฉีหนิง
ไม่ได้มีกำลังภายในที่กล้าแกร่ง คงไม่มีทางได้ยิน เขา
รู้ว่ามันต้องมีอะไรแน่ เขาหลบไปทางด้านซ้าย โชคดี
ห้องนี้เป็นห้องด้านในสุดของฝั่งนี้ ฉีหนิงหลบไป
ด้านข้างแล้ว ยังสามารถยื่นหัวออกมามองได้ เขา
เห็นมีเงาคนอยู่บนหลังคาห้อง
ฉีหนิงสะดุ้ง เดิมเขาคิดว่ามีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่
เห็นก่งจ๋าซีซ่อนห่อผ้า กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนทำ
เหมือนเขา เขาแอบดูจากทางด้านหลังห้อง แต่ว่าอีก
คนกลับซ่อนอยู่บนหลังคา หากเขาเป็นพวกเดียวกับ
ลามะ คงไม่แอบดูอยู่บนหลังคาแน่นอน เมื่อก่งจ๋าซี
ออกจากห้องไปก็เลยออกมาจากหลังคา
คนผู้นั้นสวมชุดปฏิบัติการกลางคืน ปิดหน้าปิดตา
เหลือแค่ตาเท่านั้น เขามองซ้ายมองขวา คิดว่าไม่มี
ใครเห็น จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปเปิดหน้าต่างด้านหลัง
จากนั้นก็ปนี เข้าไปในห้อง
ฉีหนิงรู้สึกขำมาก แอบคิดในใจว่าคนที่จับตามอง
เหล่าลามะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว เขาค่อยๆ เดินคลำ
ไป แล้วมองไปด้านหน้า เห็นคนผู้นนั้ เดินไปทีซ่ ่อนห่อ
ผ้ากำลังค่อยๆ หยิบกระเบื้องออก เขาทำทุกอย่าง
เบามาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 609 พวกเดียวกัน
คนผู้นั้นหยิบกระเบื้องออก แต่ไม่ได้รีบหยิบมัน
ออกมา เขาหยุดไป แล้วหันไปมองที่ประตูห้อง
จากนั้นถึงยื่นมือไปหยิบห่อผ้าออกมา
เมื่อหยิบมาอยู่ในมือแล้ว คนผู้นั้นก็ไม่ได้เก็บอะไรให้
เรียบร้อย หยิบห่อผ้า แล้วออกไปทางหน้าต่าง
ด้านหลัง ขณะที่เขากำลังปีนออกนอกหน้าต่าง กลับ
รู้สึกว่าด้านข้างมีลมวูบหนึ่งพัดมา แรงของมันมีมาก
คนผู้นั้นคิดว่าลามะปรากฏตัว เขาตกใจมาก รีบถอย
หลังไปอย่างรวดเร็ว ใครจะคิดว่าเป้าหมายของอีก
ฝ่ายจะเป็นห่อผ้าในมือของเขา มือข้างหนึ่งได้ยื่นไปที่
ห่อผ้า ตอนที่คนผู้นั้นถอยหลัง เงานัน่ ก็ลอบเข้ามาใน
ห้อง
คนที่ลงมือคือฉีหนิงนั่นเอง
ฉีหนิงเดิมคิดอยากจะชิงเอาห่อผ้ามา ใครจะคิดว่าอีก
ฝ่ายจะมีปฏิกิริยาไวมากขนาดนี้ เขารู้สึกแปลกใจ
มาก เขาเลยถอยหลังไป มือซ้ายของฉีหนิงจับไปที่ห่อ
ผ้า เขาไม่ปล่อยมือ แต่กลับกระชากกลับเข้ามา
ภายในห้อง
มือขวาของคนผู้นั้นถือห่อผ้าเอาไว้ กลัวว่าอีกฝ่ายจะ
มาชิงเอาไป ไม่ได้ปล่อยมือ มือซ้ายของเขากลับฟาด
มาใส่ ฉีหนิงทำตามวิชาที่เซี่ยงไป๋องิ่ สอน ถึงแม้เขา
จะยังไม่ได้ชำนาญถ่องแท้มากนัก แต่ว่าเพลงหมัด
มวยก็ไปถึงขั้นสุดแล้ว มือขวาของเขายื่นออกไป แล้ว
จับไปที่ชีพจรของคนผู้นั้น
ทั้งสองคนกังวลว่าเหล่าลามะจะได้ยินเสียง เลย
พยายามไม่ให้เสียงดัง พวกเขาสองคนปะทะกัน ฉี
หนิงเตะใส่เข่าของอีกฝ่าย แต่เขาปฏิกิริยาไวมาก รีบ
กางขาออกแล้วหลบ จากนั้นก็ย้อนกลับมาเตะใส่ฉี
หนิง
ท่ามกลางความมืดทั้งสองฝ่ายมือหนึ่งชิงห่อผ้า อีก
มือปะทะกันไปมา ไม่นานนักก็ปะทะกันไปกว่าสิบ
กระบวนท่าแล้ว ฉีหนิงรู้สึกว่ากำลังของอีกฝ่ายไม่ได้
มีมาก แต่กระบวนท่ากลับพิสดาร เขาออกกระบวน
ท่ารวดเร็วมาก แต่ยังดีที่เขาได้เรียนวิชามาจากเซี่ยง
ไป๋อิ่ง ฝีมือของเขาเลยไม่ต่างกับอีกฝ่ายมาก
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดัง “แควก” ทั้งสองฝ่าย
ปะทะกัน มีการใช้กำลังภายในอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กำลังภายในของทั้งคู่ไม่อ่อนเลย ทำให้ผ้าที่ห่อกล่อง
นั้นฉีกขาด กล่องที่อยู่ด้านในหล่นลงพื้น ทัง้ คู่ตกใจ
มาก ฉีหนิงปฏิกิริยาไวมาก รีบยกเท้าเกี่ยวกล่อง
ขึ้นมา อีกฝ่ายเห็นดังนั้น ก็ซัดฝ่ามือเข้ามาใส่ ฉีหนิง
เองก็ซัดฝ่ามือตอบกลับ ฝ่ามือของทั้งคู่ปะทะกัน ต่าง
ก็รู้สึกว่ามีแรงผลักดันทั้งคู่ ต่างก็ถอยหลังไปคนละ
ก้าว ฉีหนิงใช้เท้าเกีย่ วกล่องขึ้นมาไว้บนตัว
เขาทำสำเร็จแล้ว จึงไม่ต้องการพัวพันกับอีกฝ่ายอีก
หันหลังแล้วเตรียมจะไป อีกฝ่ายจะยอมให้ฉีหนิงจาก
ไปได้ยังไง เขาดีดตัวลอยขึ้น แล้วลอยมาลงด้านหลัง
ของฉีหนิง จากนัน้ ก็ยื่นมือไปจับที่หวั ไหล่ของฉีหนิง
ฉีหนิงก็ไม่ได้หันหน้ากลับมา อีกฝ่ายจับไปที่หัวไหล่
ซ้ายของฉีหนิง สายตาปรากฏมีแต่ความดีใจ เขาเดิน
ลมปราณของเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าแรงมือของเขาก็
หายไป
คนผู้นั้นตกใจมาก เขาไม่รู้ว่าฉีหนิงได้เดินพลังหกเทพ
ประสานแล้ว พลังหกเทพประสานได้เริ่มดูดกำลัง
ภายในของอีกฝ่ายจากทางหัวไหล่แล้ว
คนผู้นั้นเร่งเดินกำลังภายในมากขึ้น ฉีหนิงก็เดินปรับ
ลมปราณดูดเข้ามาอีก ตามที่เซี่ยงไป๋อิ่งเคยสอน
เอาไว้ กำลังภายในของเขาคือกำลังภายในแบบพลัง
ชี่ฉุนหยิน ไม่เหมาะกับการดูดกำลังภายในแบบพลัง
ชี่ฉุนหยาง ไม่อย่างนั้นจะส่งผลต่อร่างกายเขา ฉีหนิง
ก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นกำลังภายในแบบไหน เขา
รู้แค่ว่าอีกฝ่ายมีกำลังภายในแก่กล้ามาก ทั้งคู่ประมือ
กันอาจจะไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ ตอนนี้เหล่าลา
มะอยู่ใกล้แค่เอื้อม หากถูกจับได้ เรือ่ งจะยิง่ วุ่นวาย
ไปอีก บังเอิญอีกฝ่ายมาจับไหล่เขา เขาเลยถือโอกาส
เดินพลังหกเทพประสาน เพื่อจบเรือ่ งนี้
เพราะกำลังภายในของเขามีพลังชี่เย็นกลืนกินกำลัง
ภายในแปลกปลอมที่เข้ามาสู่ร่างกาย หากอีกฝ่าย
เป็นพลังชี่ฉุนหยาง หลังจากดูดไปแล้ว ก็ปล่อยให้
พลังชี่เย็นนี่กลืนมันเข้าไปก็แล้วกัน ถึงแม้จะต้องเสีย
แรงมากหน่อย ค่อยๆ ฟืน้ ฟูเอาก็น่าจะไม่มีปัญหา
อะไร
ตอนที่เขาอยู่ทเี่ ขาเชียนอูหลิงที่ซีชวน ได้วิชาฝ่ามือ
เพลิงโลกันตร์มาอย่างบังเอิญ เพียงแต่เซี่ยงไป๋อิ่ง
เตือนว่า อย่าได้ใช้มันเรื่อยเปื่อยเป็นอันขาด
คนผู้นั้นไม่รู้ว่าเป็นพลังหกเทพประสานแน่นอน เขา
พยายามเดินกำลังภายใน ฉีหนิงก็ดูดมาจนหมด เมื่อ
เป็นเช่นนี้ กำลังภายในของอีกฝ่ายก็ไหลออกมาราว
กับสายน้ำ หลังจากนั้นไม่นานนัก สายตาของอีกฝ่าย
ก็เหมือนจะตกใจ เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาคิด
อยากจะดึงมือกลับมา แต่ในตอนนี้มันไม่ได้อยู่ที่เขา
จะควบคุมอีกแล้ว ฝ่ามือของเขาติดอยู่ที่หัวไหล่ มัน
ดึงไม่ออก เขาพยายามอ้าปาก แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
เลย
หลังจากนั้น อีกฝ่ายก็เหมือนทรุดตัวลง ขาของเขา
เริ่มอ่อน เขาทรุดไปกองกับพื้นข้างตัวฉีหนิง ฉีหนิงรู้
ทันทีว่ากำลังภายในของเขาหมดตัวแล้ว ก็เลยหยุด
อีกฝ่ายกระอักเลือดออกมา แล้วก็ล้มลงอย่างหมด
สภาพ
ฉีหนิงยกเท้าถีบเขา จากนั้นก็ยื่นมือไปดึงผ้าปิดหน้า
ของเขาออก ท่ามกลางความมืด แต่เขาก็ยังเห็นชัด
เขาคือคนชุดน้ำเงินคนขององค์ชายเฟิง ที่ฉีหนิง
สงสัยว่าเขาน่าจะเป็นหนึ่งในห้าเสินจวิน
คนผู้นั้นลืมตาขึ้นมา สายตาของเขาไม่มีแววแล้ว เขา
พูดอย่างไร้เรีย่ วแรงว่า “เจ้า...เจ้าคือ...” เขายังพูดไม่
ทันจบ ฉีหนิงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนดังมาจากด้านนอก
เขารู้ทันทีว่าเมื่อครู่ตอนที่คนผู้นนั้ ล้มลง น่าจะเกิด
เสียงการเคลื่อนไหว เหล่าลามะน่าจะรู้ตัวกันแล้ว
เขาไม่พูดอะไรมาก รีบหนีออกไปทางหน้าต่างทันที
วินาทีที่เขาออกไปทางหน้าต่าง ประตูห้องก็ถูกคนถีบ
เข้ามา มีคนหลายคนพุ่งเข้ามาในห้อง ฉีหนิงหัน
กลับมาดูนิดหน่อย เห็นมีคนกำลังชี้มาที่เขา แล้ว
ตะโกน ฉีหนิงรีบหนีออกไปทันที
เมื่อเขาออกมาจากหน้าต่างได้แล้ว เขาก็ไม่หัน
กลับไปมองอีกเลย รีบพุ่งไปสวนต้นไม้หนา
เขาได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง แต่ฉีหนิงก็ไม่ได้
สนใจ เขาพุ่งไปที่ต้นไม้ใหญ่ แล้วเดินไปสุดทาง เขา
พบว่ามันมีกำแพงกั้นล้อมอยู่ มันไม่ได้สูงมาก ฉีหนิง
ดีดตัวข้ามไป ในมือถือกล่องไม้เอาไว้ อีกมือใช้จับไป
ที่กำแพง ใช้แรงปีนข้ามไป เขานั่งยองอยู่บนขอบ
กำแพง ก็หันไปเห็นมีเงาของคนกำลังตามมาอย่าง
รวดเร็ว
ฉีหนิงรู้ว่ากล่องไม้นี้มีค่ากับเหล่าลามะมาก พวกเขา
จะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันคืนไป เขามองไปที่
ทางเดิน เมื่อแน่ใจเส้นทางแล้ว เขาก็กระโดดลงมา
จากกำแพง
เหล่าลามะไล่ตามมาจนถึงสวนป่า พวกเขาเองเดินมา
ที่กำแพง มีลามะคนหนึ่งก้มลง คนด้านหลังสองคนก็
เหยียบหลังของเขา กระโดดขึ้นไปบนกำแพง ลามะ
คนหนึ่งยืน่ มือไปดึงเพื่อนที่เหลือ พวกเขาร่วมมือกัน
เป็นอย่างดี ตอนนี้มีลามะสามคนอยู่บนกำแพง มอง
ลงมาจากที่สูง แต่เพราะมันมืดมาก และไม่เห็นความ
เคลื่อนไหวใดๆ เลย ฉีหนิงหายไปราวกับไร้ตัวตน
สีหน้าของเหล่าลามะดูร้อนใจมาก มีคนหนึ่งส่ง
สัญญาณ อีกสามคนก็ลงมาจากกำแพง แยกออกเป็น
สามทาง ไล่ล่ากันคนละทาง
ตอนนี้พวกของก่งจ๋าซีได้จับตัวอีกคนไว้แล้ว มีคนเอา
เชือกมามัดเขาไว้อย่างแน่นหนา ก่งจ๋าซีเห็นผ้าที่ห่อ
กล่องฉีกขาดไปแล้ว เขาทั้งตกใจและโกรธมาก สั่งให้
คนนำตัวคนผู้นั้นไปในห้อง ในห้องมีไฟ จะได้เห็นว่า
เป็นใคร ตอนนี้กง่ จ๋าซีรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร
ก่งจ๋าซีกับเป่ยถังเฟิงมีปญั หากันหลายครั้ง ทุกครัง้ ที่
เป่ยถังเฟิงปรากฏตัว ข้างกายเขาก็จะมีคนสวมชุด
แดงกับชุดน้ำเงินเสมอ เห็นเด่นชัดมาก อยากจะไม่
รู้จักก็คงยาก
ถึงแม้ก่งจ๋าซีจะโมโหมาก แต่ว่าในตอนนี้เขาพยายาม
ข่มอารมณ์เอาไว้ เขาพนมมือแล้วถามว่า “ห่อผ้าอยู่
ที่ไหน?”
คนผู้นั้น ไม่มีเรี่ยวแรงเลย หากไม่ใช่เพราะมีคนจับ
ตัวเขาไว้ด้านหลังสองคน เขาคงฟุบลงไปแล้ว เขาพูด
ว่า “ไม่ใช่...ไม่ใช่ข้า...มี...มีคนแย่งมันไปแล้ว...”
ก่งจ๋าซีพูดเสียงเข้มว่า “ทำไมพวกเจ้าต้องมาขโมย
ห่อผ้าด้วย?”
คนผู้นั้นยืนไม่ตรง ไม่ได้พูดอะไร
“พวกของเจ้าชิงเอาห่อผ้าไปแล้ว” ก่งจ๋าซีพูดว่า
“เจ้าต้องพาเราไปเอาของคืน หากไม่ได้ของคืนมา
เจ้าก็เอาชีวิตเจ้าชดใช้ให้เราก็แล้วกัน”
คนผู้นั้นพูดว่า “นั่น...นั่นไม่ใช่พวกของข้า ข้า...ข้าไม่
รู้จักเขา”
ก่งจ๋าซีพูดว่า “เราไม่ใช่คนโง่นะ เจ้าหลอกเราไม่ได้
หรอก หากไม่ใช่พวกเดียวกัน แล้วทำไมถึงอยู่
ด้วยกัน”
คนผู้นั้นไม่รู้ว่าควรจะแก้ตัวยังไง ก่งจ๋าซีพูดเสียงเข้ม
ว่า “เรากับพวกเจ้าไม่ได้มีความแค้นต่อกัน พวกเจ้า
กลับหาเรื่องเราครั้งแล้วครัง้ เล่า เราอดทนมาตลอด
แต่ว่าพวกเจ้ารังแกกันมากเกินไป มาขโมยเอาของ
ของเราไป เราไม่มีทางยอมเลิกราแน่นอน” เขา
เดินหน้าขึ้นไปสองก้าว จ้องไปที่ตาของคนผู้นั้น แล้ว
ถามว่า “องค์ชายของพวกเจ้าสั่งให้พวกเจ้ามาใช่
ไหม?”
คนผู้นั้นรีบพูดว่า “ไม่...ไม่เกี่ยวกับองค์ชาย ข้า...ข้า
เดินหลงทางเอง เดินหลงไม่รู้เรื่อง...มาจนถึงที่นี่...”
ก่งจ๋าซีหัวเราะเสียงแปลกออกมา เสียงหัวเราะของ
เขาประหลาดมาก ทันใดนั้นเองเขาก็ยื่นมือไปจับคอ
เสื้อของคนผู้นนั้ แล้วตะคอกว่า “เราคือศิษย์ของจู๋
ยื้อฝ่าอ๋อง ของของท่านฝ่าอ๋องเจ้ายังกล้ามาขโมยไป
หากองค์ชายของพวกเจ้าไม่คืนของมา เราก็จะจับ
องค์ชายของพวกเจ้ากลับไปรับโทษที่เขาต้า
เสวียซาน”
คนผู้นั้นถึงแม้จะไร้เรีย่ วแรง แต่พอได้ยินดังนั้น ก็
ตกใจมาก เขาหลุดพูดออกมาว่า “พวกเจ้า...พวกเจ้า
เป็นคนของจู๋ยื้อฝ่าอ๋อง?”
ห้าต้าจงซือในใต้หล้า จู๋ยื้อฝ่าอ๋องคือหนึ่งในห้า
เพียงแต่จู๋ยื้อฝ่าอ๋องอยู่ไกลถึงทิเบต กล่าวกันว่าวร
ยุทธ์ของจู๋ยื้อฝ่าอ๋องนั้นเทียบเท่าเทพเจ้า เป็นยอด
ฝีมืออันดับหนึ่งในทิเบต ได้รับการเคารพนับถือจาก
ชาวกู่หุ้นมาก พอคนผู้นั้นได้ยินว่าลามะพวกนี้เป็น
ศิษย์ของจู๋ยื้อฝ่าอ๋อง เขาตกใจมากทีเดียว
ในตอนนี้ ก็มีคนเดินเข้ามาด้านในห้อง เป็นสามคนที่
ออกไปตามล่าตัวฉีหนิง พวกเขาเดินมาตรงหน้าของ
ก่งจ๋าซี พนมมือ แล้วพูดอะไรบางอย่าง คนผู้นนั้ ฟัง
ไม่ออก ก่งจ๋าซีสีหน้าแย่มาก เขาหน้านิ่ง แล้วพูด
เสียงเข้มตอบกลับไป จากนั้นก็เดินออกไปนอกห้อง
ลามะสองคนคุมตัวคนผู้นั้นเดินตามไป ลามะคนอื่น
ถือกระบอง ตามมาด้านหลัง
พวกเขาเดินกันเร็วมาก เดินออกจากสวนดอกไม้ไป
แล้วตรงไปยังเรือนตงย่วนในเรือนรับรองหลวง
รูปแบบในเรือนรับรองไม่ได้ซับซ้อน เข้ามาจากประตู
ใหญ่ เดินตามทางมาระยะหนึ่ง ทางด้านซ้ายด้านขวา
มีสระน้ำ ตรงสระน้ำมีสะพาน หากเดินไปทางด้าน
ซ้ายคือซีย่วน เดินไปทางด้านขวาคือตงย่วน
ก่งจ๋าซีเดินข้ามสะพานมา ก็เจอทหารเป่ยฮั่นเดินขึ้น
หน้ามาขวางเอาไว้ ก่งจ๋าซีพูดเสียงเข้มว่า “ก่งจ๋าซี
แห่งแคว้นกู่เซี่ยงจากทิเบต มีเรื่องต้องการพบองค์
ชายของพวกเจ้า ให้เขาออกมาเดี๋ยวนี้”
ทหารเป่ยฮั่นพวกนั้นไม่เห็นคนผู้นั้นที่อยู่ด้านหลัง มี
คนพูดขึ้นมาว่า “เจ้าเป็นก่งจ๋าซีหรือว่าก่งจ๋าตงข้าก็
ไม่สน ที่นี่เป็นที่พักของคณะทูตเป่ยฮั่น คนนอกห้าม
เข้าเด็ดขาด กลับไปซะ”
ก่งจ๋าซีไม่ได้เถียงด้วย เขาเดินขึน้ หน้า ทหารเป่ยฮั่น
เห็นดังนั้น ก็รู้สึกโกรธมาก ทหารสองคนยืน่ หอกชี้ไป
ทางก่งจ๋าซี ก่งจ๋าซียื่นสองมือไปจับ เขาลงมือเร็วมาก
เขาจับไปที่ปลายด้ามของหอก จากนั้นก็กระชากมัน
มา แล้วใช้ปลายของหอก กระแทกไปยังเอวของ
ทหารสองคนนั้น ทหารสองคนนัน้ ร้องแล้วก็ล้มลงกับ
พื้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 610 ถามหาความผิด
ทหารที่เฝ้าอยู่ที่ประตูเรือนตงย่วนมีอยู่ราวเจ็ดแปด
คน เมื่อเห็นพวกพ้องของตัวเองล้มลงไปกับพื้น ก็ต่าง
ร้อง แล้วบุกขึ้นหน้า ลามะด้านหลังของก่งจ๋าซีสอง
คนถือกระบองเดินขึ้นหน้ามา แล้วฟาดกระบอง
ออกไปใส่ทหารพวกนั้น
เหล่าทหารแทงหอกออกมา ลาทะทั้งสองตวัด
กระบอง ราวกับพายุหมุน ถึงแม้พวกเขาจะคนน้อย
กว่า แต่ว่ากลับสามารถบีบขึ้นหน้าได้ เหล่าทหาร
ค่อยๆ ถอยหลังออกไป มีคนตะโกนขึ้นมาว่า
“ออกมาเร็ว มีคนร้าย มีคนร้าย”
ลามะสองคนบีบจนทหารต้องถอย จากนั้นก็ได้ยินก่ง
จ๋าซีที่อยู่ด้านหลังตะคอก พวกเขาถึงได้หยุด แต่ยัง
ยื่นกระบองไปด้านหน้า ชี้ไปยังเหล่าทหารที่สายตา
โมโห
ด้านหน้าประตูมีเสียงดังเอะอะโวยวาย ส่งเสียง
รบกวนไปภายในเรือนตงย่วน ไม่นานนักก็มีคนกว่า
อีกสิบคนวิ่งออกมา ทุกคนถือมีดถือดาบอาวุธครบ
มือ ยืนเรียงแถวเป็นกำแพงกั้นประตูตงย่วนไว้
ไม่นานนัก ก็เห็นคนค่อยๆ ถอยเป็นทาง มีคนเดิน
ออกมาจากกลุ่มคน เขาคือท่านอ๋องอวี้ของเป่ยฮั่น
เขาเห็นสถานการณ์ ก็ตกใจ ขมวดคิ้ว เดินขึ้นหน้า
ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ไม่ทราบท่านไต้ซือทั้งหลาย
มาที่นี่กลางดึก มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” เขาแค่คิด
ว่าเป่ยถังเฟิงไปหาเรื่องลามะพวกนีอ้ ีกแล้ว
ก่งจ๋าซีเดินขึน้ หน้ามา แล้วจ้องไปทีอ่ วี้อ๋อง แล้วพูด
ว่า “ชาวจงหยวนมีคำพูดที่กล่าวว่า น้ำบ่อไม่ยุ่งกับ
น้ำในแม่น้ำ เราไม่เคยล่วงเกินพวกท่านมาก่อน แต่
พวกท่านกลับหาเรื่องเราครั้งแล้วครัง้ เล่า” เขากวาด
สายตามองไป แล้วพูดเสียงเข้มว่า “เราแค่อยากได้
ของของเราคืน”
อวี้อ๋องงงไปหมด เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เอาของ
ของพวกท่านคืน? ไต้ซือท่านหมายความว่าอย่างไร?
หรือว่าพวกท่านมีของอยู่ที่เราอย่างนั้นหรือ?” ตอน
นั้นเขาก็เห็นคนคนนัน้ ที่ถูกคนของก่งจ๋าซีคุมตัวไว้
ด้านหลัง เขาตกใจมาก เหมือนเขาจะคิดอะไรขึ้นมา
ได้ เขาหันหลังไปแล้วพูดว่า “องค์ชายเฟิงอยู่ที่
ไหน?”
ทันใดนั้นเองกก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “เสด็จอา ข้า
อยู่นี่ มีเรื่องอะไรกัน?” เป่ยถังเฟิงเดินออกมาจาก
กลุ่มคน เขาเห็นคนของก่งจ๋าซี สีหน้าของเขาก็
เปลี่ยนไป ตอนนี้เองเขาก็เห็นคนทีพ่ วกเขาจับเอาไว้
เขาถึงกับสะดุ้ง แต่ว่ายังพยายามข่มอารมณ์เอาไว้
“เจ้าไปก่อเรื่องอะไรอีก?” อวี้อ๋องมองไปที่เป่ยถังเฟิง
“ซุ่ยเสินจวินทำไมถึงไปอยู่ในมือของพวกเขา?”
เป่ยถังเฟิงรีบพูดว่า “เสด็จอา ข้า...ข้าไม่รู้ว่าเกิด
อะไรขึ้น” เขาชี้ไปทีก่ ่งจ๋าซีแล้วพูดว่า “หลวงจนพวก
นี้ ทำไมถึงได้จับคนของเราไปได้? บังอาจมากเกินไป
แล้ว”
ก่งจ๋าซีพูดว่า “องค์ชายเฟิง เราไม่อยากมีเรื่อง เอา
ของคืนเรามา เราก็จะไม่เอาความอีก”
“ของ?” เป่ยถังเฟิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ของอะไร?”
คนด้านข้างก่งจ๋าซีพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้ายัง
แกล้งไม่รู้อีกหรือ? เจ้าส่งคนไปขโมย...ฮึ เจ้ารู้ดีว่ามัน
คืออะไร หากไม่คืนเรามา เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่”
“เหลวไหล” เป่ยถังเฟิงอ้าแขนออก “ข้าเพิ่งจะ
กลับมาได้ไม่นาน เจ้าบอกว่าข้าส่งคนไปขโมยของ
ของพวกเจ้ามา มันเหลวไหลเกินไปหน่อยไหม”
คนข้างๆ ก่งจ๋าซีเดินขึ้นหน้ามา แล้วชี้ไปที่ซุ่ยเสิน
จวินแล้วถามว่า “เขาเป็นคนของเจ้า เรื่องนีค้ งไม่ผิด
หรอกใช่ไหม?”
เป่ยถังเฟิงพูดว่า “ถูกต้อง เขาเป็นคนของข้า ข้าเองก็
กำลังจะถามพวกเจ้าอยูเ่ หมือนกัน ทำไมถึงได้จับคน
ของข้าไปอย่างไม่มีเหตุผลแบบนี้?”
ก่งจ๋าซีรู้ว่าเป่ยถังเฟิงกำลังแก้ตัว เขาหันไปพูดกับอวี้
อ๋องว่า “เขาเข้าไปในห้องของเรา เขากับพวกของ
เขาขโมยกล่องของเราไป พวกของเขาได้กล่องใบนั้น
แล้วหนีไป เราจับเขาได้ หรือว่านี่ไม่ใช่หลักฐาน?
หากไม่เอากล่องของเรามาคืน เว้นเสียแต่ว่าพวกเรา
จะตายไป ไม่อย่างนั้นพวกท่านไม่ได้อยู่ดีแน่”
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา “ท่านไต้ซือจับได้
แม้กระทั่งคนร้ายแล้ว เจ้ายังปากแข็งอยู่อีก เฮ้อ
ลูกผู้ชาย กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ ไม่เห็นจะเป็นอะไร
ไปเลย?” มีคนกลุ่มหนึ่งเดินข้ามสะพานหินมา คน
ด้านหน้าสุดสวมชุดผ้าแพรอย่างดี เขาคือฉีหนิง
นั่นเอง
เป่ยถังเฟิงมองเห็นฉีหนิง ได้ยินเขาพูดแขวะ ก็รีบพูด
ว่า “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? ยังไม่รีบกลับไป
อีก”
ฉีหนิงพูดว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว ข้ากับพี่น้องของข้า
เดินทางกันมาเหนื่อยๆ เดิมคิดว่าคืนนี้จะพักผ่อนให้
เต็มที่สักหน่อย แต่ว่าทางนี้เสียงดังเอะอะโวยวาย ดัง
ไปถึงเรือนของเรา รบกวนการพักผ่อนของเรา มันจะ
ไม่เกี่ยวกับเราได้อย่างไรกัน?” เขาเดินขึ้นหน้ามา ก่ง
จ๋าซีเห็นฉีหนิงพาคนมา คิดในใจว่าตอนกลางวันฉี
หนิงออกหน้าช่วยพวกเขาเอาไว้ ก็เลยรู้สึกดีด้วยไม่
น้อย เขาหันไปพนมมือคำนับฉีหนิงแล้วพูดว่า
“รบกวนพวกท่านพักผ่อน ต้องขออภัยจริงๆ”
ฉีหนิงยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “ท่านไต้ซือไม่ต้องขอ
โทษหรอก เรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากพวกท่าน ข้าได้ยินว่า
พวกเขาขโมยของของพวกท่านไป ไม่ทราบใช่หรือ
เปล่า?”
ก่งจ๋าซีรบี พูดว่า “ถูกต้อง” เขาชี้ไปที่ซุ่ยเสินจวินแล้ว
พูดว่า “นี่คือหัวขโมยที่เราจับได้ พวกของเขาได้ของ
ของเราแล้วหนีไป”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “องค์ชายเฟิง อย่างไร
ท่านก็เป็นถึงองค์ชายของแคว้นเป่ยฮั่น ต่อให้แคว้น
เป่ยฮั่นจะยากจนแค่ไหน แต่ของมีคา่ หายากก็น่าจะ
พอมีอยู่ แล้วทำไมถึงอยากจะได้ของของไต้ซือนัก
ล่ะ? เอาของคนอื่นไป ก็รีบเอามาคืนซะ เสียงดังแบบ
นี้ มันไม่น่าขำไปหน่อยหรือ”
“หุบปาก” เป่ยถังเฟิงตะคอกว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ
เจ้า ไปไกลๆ เลย ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว
นะ”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ที่นี่ไม่ใช่เป่ยฮั่น เจ้าอย่า
มาเสียงดังให้มากนัก เจ้ารังแกท่านไต้ซือที่มีคนน้อย
กว่า ขโมยของพวกเขามาแล้วยังไม่ยอมรับ หน้าไม่
อายชัดๆ” เขาชี้ไปทางด้านหลัง “เจ้าดูเอาเองก็แล้ว
กัน คนของข้าก็ไม่น้อยไปกว่าของเจ้า หากจะสู้ ข้าก็
ไม่ได้กลัวหรอกนะ เจ้าบอกว่าจะไม่เกรงใจ ข้า
อยากจะถามสักคำ เจ้าคิดจะไม่เกรงใจอย่างไรบ้าง
ล่ะ?”
ในที่สุดอวี้อ๋องก็พูดขึ้นมาว่า “จิ่นอีโหว อย่าได้ถือสา
เขาเลยนะ เรื่องนี้น่าจะมีอะไรเข้าใจผิดกัน”
“ท่านอ๋อง ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะมีเรื่องหรอก” ฉีหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านไต้ซือพาหัวขโมยมาถึง
ที่นี่ ยังเข้าใจอะไรผิดอย่างนั้นหรือ? หากไม่ได้จริงๆ
ลองไปถามคนข้างทางสักคนไหมว่า มีเหตุผลอื่นที่จะ
อธิบายเรื่องนี้ได้อีกไหม?” เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ที่จริงแล้วหากเรื่องนีแ้ พร่ออกไป มันไม่ดีต่อ
ชื่อเสียงของแคว้นท่านเลยนะ เป็นถึงองค์ชายของ
แคว้นเป่ยฮั่น สั่งให้หนึ่งในเสินจวินของหอเก้านภา
อย่างซุ่ยเสินจวินไปขโมยของตอนกลางดึกแบบนี้
เรื่องนี้...” เขาไม่ได้พูดต่อ
คนในคณะทูตเป่ยฮั่นรู้นิสัยขององค์ชายเฟิงดี ในใจก็
แน่ใจแล้วว่าเรื่องนี้องค์ชายเฟิงเป็นคนทำแน่นอน
หากแอบทำจนสำเร็จมันก็แล้วกันไป แต่ตอนนี้เรื่อง
ทำไม่สำเร็จไม่พอ ยังถูกเหล่าหลวงจีนจับได้คาหนัง
คาเขาแล้วจับมาถามหาความรับผิดชอบถึงที่ ที่หนัก
ยิ่งกว่าก็คือคณะทูตของแคว้นฉู่ยงั พาคนมาเยอะเย้ย
ถึงที่อีก พวกเขารู้สึกว่าเสียหน้ามาก
อวี้อ๋องรู้ดีว่าเรื่องนี้ส่งผลถึงเกียรติของแคว้นด้วย เขา
หันไปยกมือคำนับก่งจ๋าซีแล้วพูดว่า “ไต้ซือ เรื่องนี้
ข้าจะต้องให้คำตอบที่พวกท่านพอใจแน่นอน แต่วันนี้
ดึกมากแล้ว เพื่อไม่ให้รบกวนคณะทูตแคว้นฉู่
พักผ่อน ถ้าอย่างไรเราเข้าไปคุยกันในเรือนก่อน ไม่
ทราบไต้ซือเห็นว่าอย่างไร?”
เขารู้ดีว่าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ทางเขาเองก็จะยิ่ง
ขายหน้าไปมากกว่านี้ เขาเลยเชิญเหล่าลามะเข้าไป
ในเรือน ปิดประตูแล้วค่อยคุยกัน
ก่งจ๋าซีกลับส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรต้องคุยอีก
เอาของไป ก็เอาออกมา พวกท่านเอาของมาคืน เรา
ก็จะไปทันที”
อวีอ้ ๋องขมวดคิ้วแน่นมาก เขาเหลือบไปมองเป่ย
ถังเฟิง แล้วพูดว่า “ของอยู่ในมือของเจ้าใช่ไหม? ยัง
ไม่รีบไปเอามาอีก”
เป่ยถังเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เสด็จอา ไม่ได้อยู่ที่ข้า
ข้า...ข้ายังไม่ได้เห็นเลย”
อวี้อ๋องรู้จัดนิสัยของเขาดี จะเชื่อได้อย่างไร เขาหัน
หลังเข้าไปในเรือน ไม่ได้สนใจอีก เป่ยถังเฟิงรีบพูดว่า
“เสด็จอา เสด็จอา” เขาตามไปสองก้าว อวี้อ๋องไม่ได้
หันหน้ากลับมา เป่ยถังเฟิงรู้สึกโมโหมาก เขาเป็นคน
หยิ่ง อีกทั้งตอนนีย้ ังถูกคนให้ร้าย เขารู้สึกโกรธมาก
หันหลังกลับมา แล้วชี้ไปที่ก่งจ๋าซีแล้วพูดว่า “ลามะ
ชั่ว ต่อให้ของของเจ้าอยู่ที่ข้าจริงแล้วอย่างไร? หาก
เจ้ามีปัญญา ก็มาเอาเองสิ”
ก่งจ๋าซีไม่พอใจมาก ลามะคนอื่นเองก็มองด้วยความ
โกรธ พวกเขาเดินหน้าขึ้นมา จากนัน้ ก็ได้ยินเสียงดัง
ทหารเป่ยฮั่นยื่นหอกไปข้างหน้า คุ้มกันเป่ยถังเฟิง
เอาไว้ เป่ยถังเฟิงอาศัยว่าตัวเองคนเยอะกว่า เลยไม่
เห็นเหล่าลามะอยู่ในสายตา เขาพูดว่า “อย่าว่าแต่
ห่อผ้าเน่าๆ นั่นเลย ต่อให้เด็ดหัวของพวกเจ้า แล้ว
อย่างไร? หากพวกเจ้ามีปัญญา ก็เขามาชิงกลับไปสิ”
เขาไม่ได้สนใจ หันหลังแล้วเดินกลับเข้าเรือนไปเลย
ก่งจ๋าซีกับเหล่าลามะโกรธมาก แต่ว่าตรงหน้ามีทหาร
ขวางอยู่ รู้ว่าอีกฝ่ายคนมากกว่า อีกทั้งคณะทูตเป่ย
ฮั่นเองก็มียอดฝีมืออยู่ไม่น้อย เขาก็ไม่ได้ฝ่าเข้าไป ก่ง
จ๋าซีพนมมือ มองไปที่หลังของเป่ยถังเฟิง แล้วตะโกน
ว่า “ฟ้ามีเหตุ ดินมีผล ของไม่ได้คืน ต่อให้เราต้อง
ตายไป วิญญาณของเราก็จะตามเจ้าไปตลอด” เขา
นั่งลงตรงสะพานหิน เหล่าลามะอื่นก็นั่งตรงนัน้
เช่นกัน ปิดทางตรงสะพานหินเอาไว้
ฉีหนิงรู้ดีว่าคณะทูตเป่ยฮั่นกับพวกของก่งจ๋าซีได้เป็น
ศัตรูแน่นอนแล้ว เขานั่งยองลงข้างก่งจ๋าซีแล้วพูดว่า
“ไต้ซือ พวกเขาเหมือนไม่ยอมเลย แต่อย่างไรที่นี่ก็
เป็นแคว้นตงฉีนะ ไต้ซือควรที่จะลองไปแจ้ง
เจ้าหน้าที่ทางการตงฉี ให้พวกเขามาช่วยไกล่เกลี่ยจะ
ดีกว่า”
ก่งจ๋าซีพูดว่า “ขอบใจท่านมาก หากเราไม่ได้ของ
กลับคืนมา ก็ไม่อาจกลับทิเบตได้ ชีวิตเราไม่เสียดาย
แต่ของอย่างไรก็ต้องได้กลับไป”
ฉีหนิงฟังน้ำเสียงของเขาเรียบเฉย แต่ว่ายิ่งเป็นอย่าง
นี้ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าก่งจ๋าซีโกรธแคว้นมาก คิดในใจ
ว่าจะให้ลามะพวกนี้รู้ว่ากล่องอยู่ในมือของเขาไม่ได้
เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเป็นภัยภายหลัง เขาเหลือบ
ไปมองซุ่ยเสินจวิน เขาถูกมัดด้วยเชือกเอ็นวัว เพราะ
กำลังภายในถูกดูดไปหมดแล้ว เลยดูหมดสภาพ
สายตาไร้แวว พิงอยู่ที่สะพาน ไร้เรี่ยวแรง แม้กระทั่ง
หายใจยังอ่อน
ก่อนหน้านี้ที่ฉีหนิงดูดกำลังภายในของเขามา ไม่ได้
รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติอะไร อีกทั้งยังรู้สึกว่ามีกำลัง
เพิ่มขึ้นมาก ร่างกายรู้สึกสดชื่นสบายมาก เขารู้ทันที
ว่าครั้งนี้เขาโชคดีมาก กำลังภายในของซุ่ยเสินจวิน
เป็นพลังชี่ฉุนหยิน สามารถผสมผสานกับพลังชี่เย็น
ในร่างกายของเขา ทำให้กำลังภายในของเขาเพิ่ม
มากขึ้นไปอีก
“ในเมื่อไต้ซือตัดสินใจแล้ว ข้าเองก็ไม่อาจพูดอะไรได้
อีก” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไต้ซือทุกท่าน
เดินทางมาไกลจากทิเบต จากบ้านจากเมืองมาไกล
หากมีอะไรที่ข้าพอช่วยได้ ท่านเอ่ยปากมาได้เลย อยู่
นอกบ้านมันลำบากนัก”
ก่งจ๋าซีรู้สึกซาบซึ้งใจมาก “ขอบใจท่านมาก” เขาคิด
ในใจว่าเทียบกับเป่ยถังเฟิงแล้ว โหวเยว่จากแคว้นฉู่
คนนี้เหมือนพระโพธิสัตว์มาโปรด
ฉีหนิงยิ้มแล้วก็ลุกขึ้นแล้วพาคนกลับไปที่เรือนซีย่วน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 611 หอยไข่มุกสีขาว
ฉีหนิงกลับมาถึงห้อง ก็รีบปิดประตูหน้าต่าง จากนั้น
ก็หยิบกล่องไม้ออกมาจากใต้เตียง วางไว้บนโต๊ะ เมื่อ
แน่ใจว่ารอบๆ ไม่มีใครแล้ว ถึงได้มองกล่องไม้อย่าง
ละเอียด
เมื่อครู่ตอนที่เอากล่องไม้กลับมา ไม่ได้ดูอย่าง
ละเอียด จากนั้นก็ซ่อนเอาไว้ใต้เตียง หากเป่ยถังเฟิง
คิดจะทำอะไรลับหลัง ตอนนี้ก็โล่งใจได้แล้ว เพียงแค่
กล่องไม้ใบนี้เหมือนจะเป็นกล่องที่สั่งทำ เพราะมันยัง
มีกลิ่นหอมของไม้อยู่ กล่องไม่ได้มีการลงกลอน เขา
เปิดกล่องออกอย่างระวัง เมื่อเปิดออกก็มีลมเย็นโชย
ออกมาจากด้านใน
ฉีหนิงกังวลว่าในกล่องจะมีอะไร เลยถอยหลังไป
เล็กน้อย จากนั้นเขาก็เห็นอะไรขาวหรือ โผล่ออกมา
จากภายในกล่อง เมื่อกี้เขายังไม่ได้สังเกตเห็น แต่
ในตอนนี้เมื่อเปิดกล่องออกจนหมด รอบตัวเขาก็เริ่ม
มีอากาศเย็น
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก เมื่อแน่ใจว่ามันไม่มีอะไร
มากกว่านี้ ก็เดินเข้าไปใกล้ๆ ภายในกล่องอากาศ
หนาวเย็นมาก เหมือนมีควันฟุ้งขึ้นมา เขาปัดไอเย็น
ออกไป เห็นว่าภายในกล่องมีของสีขาวชิ้นหนึ่งวาง
อยู่ เมื่อดูอย่างละเอียด ของนั่นมันเหมือนหอยไข่มุก
ทะเลเลย เปลือกของมันเป็นสีขาวทีร่ าวกับหิมะ
ฉีหนิงเป็นคนสองภพ เจอหอยทะเลมานับไม่ถ้วน
หอยประเภทนี้เขาไม่รู้ว่าเห็นมาแล้วกี่ครั้ง สีอะไรก็
เคยเห็นมาหมด แต่ว่าสีขาวบริสุทธิ์เลยแบบนี้ เขาไม่
เคยเห็นมากก่อน
หอยไข่มุกสีขาวนี่มันมีไอเย็นแผ่ออกมา ทำให้ฉีหนิง
ยิ่งรู้สึกแปลกใจ เขาเองก็รู้ เนื้อหอยไข่มุกมีสรรพคุณ
ในการลดอาการร้อนใน แต่ว่าหอยไข่มุกปกติแล้วจะ
ไม่มีไอเย็นแบบนี้ เขารู้สึกว่าหอยไข่มุกสีขาวนี่ไม่ใช่
ของธรรมดาทั่วไป ไม่อย่างนั้นพวกของก่งจ๋าซีคงไม่
เห็นมันสำคัญขนาดนี้
รอบๆ กล่อง มีการวางเกล็ดน้ำแข็งเอาไว้เต็มไปหมด
คิดว่าน่าจะเป็นที่มาของไอเย็นที่มาจากหอยไข่มุกสี
ขาว
เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วไปแตะ เล็บของเขาเพิง่ จะแตะ
โดนนิดเดียว ไอหนาวก็โชยเข้านิ้วมา ตอนนี้แค่เดือน
ห้า อากาศกำลังดี อากาศของแคว้นตงฉีอุณหภูมิ
ไม่ได้ต่ำมาก แต่ว่าตอนนี้ฉีหนิงกลับรู้สึกว่ามันเหมือน
เข้าหน้าหนาวแล้ว
ฉีหนิงรีบเก็บนิ้วกลับมา เขาเห็นว่าเปลือกหอยมัน
กำลังขยับ เขาตกใจมาก แอบคิดในใจว่าหรือว่าหอย
ไข่มุกขาวนี่มันยังไม่ตายหรือ
เขารู้ดีว่าหลังจากที่หอยไข่มุกทะเลขึ้นจากน้ำมาแล้ว
จะมีชีวิตอยู่อีกได้ไม่นาน คิดว่าไม่น่าเกินครึง่ วัน แต่
หอยไข่มุกสีขาวนี่เหมือนจะยังมีชีวิตอยู่เลย
บรรยากาศรอบๆ เงียบสงัด ภายในห้องมีโคมไฟอยู่
หนึ่งอัน ฉีหนิงกำลังคิด คิดว่าก่อนหน้านี้ก่งจ๋าซีเคย
พูดว่า หากไม่สามารถนำกล่องใบนี้กลับไปได้ พวก
เขาก็ไม่อาจจะกลับไปยังทิเบตได้ ถ้าอย่างนั้น หรือ
ว่าที่พวกเขาเดินทางมาไกลกว่าหมื่นลี้ ก็เพื่อของชิ้น
นี้?
เอากันตามตรง หอยไข่มุกสีขาวนี่มันก็หายาก เวลา
อากาศร้อนมากๆ วางไว้ในห้อง มันก็ทำให้เย็นได้ ทำ
ให้คนรู้สึกว่ามันไม่ร้อน แค่ชิ้นเดียว ก็ถือว่าเป็นของมี
ราคา แต่ว่าหอยไข่มุกขาวมันก็มีอายุของมัน ไม่
สามารถอยู่คงกระพันได้ อีกทั้งแค่ตงั้ การเอาไปดับ
ร้อน ถึงขั้นให้ลามะเดินทางมาไกลขนาดนี้ มันก็ไม่
ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่
เขาอยากรู้ว่าหอยไข่มุกขาวนี่มันมีความลับอะไรซ่อน
อยู่กันแน่ เขาเลยหยิบมีดสั้นของเขาออกมา แล้วใช้
ปลายมีดค่อยๆ เคาะไปบนเปลือกหอย ครั้งนี้หอย
ไข่มุกขาวปฏิกิริยารุนแรงมาก เปลือกหอยมันอ้า
ออกเป็นร่องเล็กน้อย แต่ไม่นานนักก็รีบปิดลง ปิด
เปิดแค่เสี้ยววินาที ไอเย็นก็โชยออกมาจากด้านใน
มาก
ฉีหนิงรู้สึกสนใจมาก คิดในใจว่าหอยไข่มุกสีขาวนี่มัน
จะต้องมีอะไรแน่ เขาอยากรู้ว่ามันมีความลับอะไร
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมา เขารีบปิด
กล่องทันที จากนั้นก็เอากล่องไปซ่อนไว้ที่ใต้เตียง
ในตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงฉีเฟิงดังขึ้นมาว่า “โหวเยว่”
ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เรื่องนี้สำคัญมาก แม้แต่
พวกของฉีเฟิง ฉีหนิงก็ไม่อยากให้พวกเขารู้ เขาเดิน
ไปเปิดประตู ฉีเฟิงพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยเห็นว่าใน
ห้องยังไม่ได้ดับไฟ ก็เลยมารายงาน”
“มีเรื่องอะไร?”
“เมื่อครู่เถาเฉียนมาที่นี่” ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “กลุ่ม
ลามะนั่นขวางอยู่ที่สะพาน ชาวเป่ยฮั่นรู้สึกเกร็ง ไม่
กล้าเข้าใกล้ คนของเรือนรับรองหลวงเลยไปรายงาน
ให้เถาเฉียนรู้ เถาเฉียนเลยรีบมาที่นี่ เพื่อไปทำการ
ไกล่เกลี่ย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วตอนนี้สถานการณ์เป็น
อย่างไร?”
“เหล่าลามะตอนแรกยังไม่ยอมกลับไป เถาเฉียนกล่อ
มอยู่นาน พวกเขาถึงได้ยอมกลับไป พวกเขายังทิ้ง
ข้อความไว้ว่า หากชาวเป่ยฮั่นยังไม่ยอมเอาของไป
คืน ต่อให้พวกเขาต้องตาย ก็จะตามเอาเรื่องให้ได้”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “องค์ชายเฟิงนีช่ อบหาเรื่อง
จริงๆ เลยนะ”
ฉีเฟิงพูดเสียงเบาลงว่า “โหวเยว่ท่านรู้หรือเปล่าว่า
พวกลามะนั่นเป็นใครกัน?”
“พวกเขาไม่ใช่ลามะที่มาจากแคว้นกู่เซี่ยงหรือ
อย่างไร?” ฉีหนิงเห็นฉีเฟิงทำตัวลับๆ ล่อๆ เขาก็ถาม
ว่า “หรือว่าพวกเขามีที่มาที่ไปจากที่อื่น?”
ฉีเฟิงพูดว่า “โหวเยว่ ชาวเป่ยฮั่นก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้
ข้าน้อยเองก็เพิง่ ได้ข่าวมาว่า กลุ่มลามะนั่น เหมือน
จะเป็นลูกศิษย์ของจูย๋ ื้อฝ่าอ๋องแห่งเขาต้าเสวียซาน
จากทิเบต”
“จู๋ยื้อฝ่าอ๋อง?” ฉีหนิงถึงกับสะดุ้ง
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนีเ้ ถาเฉียนเป็นคนพูด
ด้วยตัวเอง เขาบอกว่าเหล่าลามะได้รับคำสั่งจากจูย๋ ื้อ
ฝ่าอ๋อง ให้ออกเดินธุดงค์เพื่อเรียนรูเ้ รื่องราวของโลก
ภายนอก จากนั้นให้บันทึกทุกอย่างเอาไว้ แล้วนำ
กลับไปเล่าให้คนในแคว้นกูเ่ ซี่ยงรับรู”้ เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “การเดินทางธุดงค์บันทึกอะไรนัน่ จริงหรือเปล่า
เราไม่ต้องไปสนใจ แต่พวกเขาเป็นลูกศิษย์ของจู๋ยื้อ
ฝ่าอ๋อง เรื่องนีจ้ ริงแน่นอน”
ฉีหนิงพยักหน้า เหมือนเขากำลังคิดอะไรอยู่
“โหวเยว่ จู๋ยื้อฝ่าอ๋องเป็นหนึ่งในห้าต้าจงซือ ได้ยิน
มาว่าวรยุทธ์ของเขาใกล้เคียงกับเทพเจ้าแล้ว อีกทั้งจู๋
ยื้อฝ่าอ๋องเองก็มีฐานะสูงมากในทิเบต” ฉีเฟิงพูดว่า
“เป่ยถังเฟิงไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ครั้งนี้ไปมีปัญหา
กับจู๋ยื้อฝ่าอ๋อง ต่อไปคงไม่ได้ตายดีแน่ หากจู๋ยื้อฝ่า
อ๋องมาเองตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นชาวเป่ยฮั่น
เดือดร้อนแน่นอน”
ฉีหนิงถามว่า “จู๋ยื้อฝ่าอ๋องมาที่จงหยวนหรือ?”
ฉีเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยเองก็ไม่
ทราบ แต่ไม่เคยได้ยินว่าเขามาที่จงหยวนนะ ที่จริง
แล้วคนที่รู้จักจูย๋ ื้อฝ่าอ๋องนั้นมีไม่มาก ข้าน้อยเองก็ได้
ยินมาจากพี่ต้วนเหมือนกัน ตอนที่ทา่ นแม่ทัพใหญ่ยัง
มีชีวิตอยู่ มีครั้งหนึ่งที่ได้ดื่มเหล้ากับท่านซีเหมินเสิน
โหว เคยได้คุยกันเรื่องห้าต้าจงซี ตอนนั้นพี่ต้วน
ติดตามท่านแม่ทัพใหญ่ไปด้วย เขาเลยรู้เรื่องมากกว่า
พวกเรา” เขาคิดแล้วพูดว่า “พี่ต้วนบอกว่าจู๋ยื้อฝ่า
อ๋องเปรียบเสมือนเทพเจ้าของทิเบต ยังอบอกว่าเจ้า
แคว้นกู่เซีย่ งยังต้องเดินทางขึ้นเขาไปกราบคารวะจู๋
ยื้อฝ่าอ๋องทุกปี หากมีเรื่องกับจู๋ยื้อฝ่าอ๋อง ก็เท่ากับว่า
เป็นศัตรูกับทัง้ แคว้นกูเ่ ซี่ยง โหวเยว่ ท่านว่าครั้งนีเ้ ป่ย
ถังเฟิงก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้วหรือเปล่าล่ะ?”
ฉีหนิงหัวเราะร่า แล้วพูดว่า “ชาวเป่ยฮั่นรู้ว่าพวก
ของก่งจ๋าซีเป็นลูกศิษย์ของจู๋ยื้อฝ่าอ๋องแล้วหรือยัง?
หากว่ารู้เรื่องนี้แล้ว คงตกใจเยี่ยวราดไปแล้วมั้ง”
ฉีเฟิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “โหวเยว่ เมื่อครู่เถาเฉียนบ
อกว่าอยากพบท่าน แต่ว่ากลัวว่าท่านจะพักผ่อนไป
แล้ว เลยไม่กล้ามารบกวน เขาเลยฝากให้ข้าน้อยมา
บอกท่านว่า ท่านมหาเสนาบดีใหญ่แห่งแคว้นตงฉีจะ
จัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตจากทัง้ สองแคว้น ถึง
เวลาจะให้คนมารับ”
“ท่านมหาเสนาบดีใหญ่แห่งแคว้นตงฉี?”
ฉีเฟิงพูดว่า “คิดว่าก่อนที่คณะทูตจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้
แคว้นตงฉี คงสั่งให้ท่านมหาเสนาบดีใหญ่แห่งแคว้น
ตงฉีมารับหน้าก่อน”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วถามว่า “ฉีเฟิง เจ้าเคยเห็นทะเล
ไหม?”
“ทะเล?” ฉีเฟิงอึง้ ไป ไม่รู้ว่าทำไมฉีหนิงถึงได้ถาม
แบบนี้ เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เคยได้ยิน แต่ไม่เคย
เห็น โหวเยว่ ท่านอยากไปทะเลหรือ?” เขารู้ว่า
หลังจากที่ฉีหนิงเกิดมา ก็อยู่แต่ในเมืองหลวงตลอด
เพียงแต่ช่วงนี้เท่านัน้ ที่ได้ออกมานอกแคว้นบ่อยๆ
เขาคิดแค่ว่าฉีหนิงคงคิดอยากไปทะเล
แคว้นตงฉีมีชายแดนฝั่งหนึ่งติดทะเล อยากจะดูทะเล
ก็เดินทางไม่ได้ไกลมาก
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อยากเห็น ที่จริงข้าอยากถาม
เจ้าว่า เจ้าเคยกินอาหารทะเลไหม?”
ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ จวนของเรามีอาหาร
ที่มาจากทะเลก็ไม่น้อย ก่อนหน้านีใ้ นแต่ละปีจะมีขุน
นางจากตงไฮ่ส่งสินค้าจำพวกของทะเลมาให้ทางจวน
โหวไม่น้อย เราไม่รับเงินทอง แต่ว่าของทะเล เรา
รับ”
“ในทะเลมีหอยไข่มุก เจ้าเคยกินไหม?” ฉีหนิงถาม
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “เคยกิน แต่ว่าหอยไข่มุก
เวลาจับขึ้นมา เมื่อห่างจากน้ำมันก็จะตาย จึงต้อง
แตกแดดจนแห้งก่อนแล้วถึงส่งเข้าเมืองหลวง ที่เรา
กินก็คือเนื้อหอยตากแห้ง”
ฉีหนิงคิด แล้วถามต่อว่า “เจ้าคิดว่าหอยไข่มุกมีอะไร
พิเศษไหม?”
“พิเศษ?” ฉีเฟิงรู้สึกสงสัย เขาเกาหัว แล้วพูดว่า “ก็
ไม่มีอะไรพิเศษ โหวเยว่ ท่าน......” เขาเหมือนคิด
อะไรออก เขายิ้มแล้วพูดว่า “จริงสิ โหวเยว่ ข้าน้อย
เคยได้ยินมาว่าไข่มุกนั้นได้มาจากหอยประเภทนี้
หากจะบอกว่ามีอะไรพิเศษ อันนี้นับไหม? เวลาที่ตง
ไฮ่ส่งของเข้าเมืองหลวง ก็จะมีไข่มุกจะหอยนี่มาด้วย
ไม่น้อยเลย”
“ไข่มุก?”
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่ามีเขตพื้นที่
เฉพาะที่หนึง่ เป็นสถานที่เพาะเลี้ยงหอยมุก เมื่อหอย
โตเต็มที่แล้ว ก็จะจับหอยขึ้นมาแล้วนำไข่มุกออกมา
จากนั้นก็จะส่งไข่มุกพวกนั้นเขามาเมืองหลวง” เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าข้าน้อยได้ยินมาว่าหอยมุกที่
เลี้ยงไว้เอาไข่มุกพวกนี้นนั้ ถึงแม้จะได้ไข่มุกมา แต่ว่า
มันไม่ใช่ของดี ไข่มุกที่มีมูลค่าจริงๆ แล้ว จะต้องไป
เสาะหามาจากท้องทะเลลึก หอยไข่มุกธรรมชาติ
แบบนัน้ ถึงจะมีไข่มุกที่ประเมินราคาไม่ได้ แต่ว่าหอย
มุกแบบนั้นหายากมาก ข้าน้อยเองก็ไม่เคยเห็นไข่มุก
ที่ได้มาจากหอยมุกธรรมชาติเลย ข้าน้อยยังเคยได้ยนิ
มาว่า หอยมุกธรรมชาติไม่เพียงสามารถผลิตไข่มุกได้
เนื้อของมันยังเป็นตัวยาชั้นดีอีกด้วย”
“ยา?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “เนื้อหอยมุกรักษาโรคได้?”
ถึงแม้ฉีเฟิงจะรู้สึกว่าโหวน้อยของเขาแปลก แต่ก็
ไม่ได้คิดมากอะไร เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยก็
ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ จำได้ว่ามีอยู่ปีหนึ่งที่นงั่
กินเนื้อหอยกับพวกเขา พวกเขาพูดขึ้นมากัน อย่าว่า
แต่เนื้อหอยธรรมชาติเลย หอยแม่น้ำเองก็สามารถ
รักษาโรคได้ไม่น้อยเลย หอยมุกธรรมชาติเป็นของมี
ค่า รักษาอาการก็น่าจะได้เยอะมากกว่า”
ฉีหนิงบ่นพึมพำ “ทีแ่ ท้หอยทะเลก็รกั ษาโรคได้”
ฉีหนิงพูดว่า “โหวเยว่ ท่านเป็นอะไรไป?”
“ไม่มีอะไร” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็ถามไปอย่าง
นั้นแหละ ดึกมากแล้ว เจ้าไปพักเถอะ” เขาเสริม
ขึ้นมาอีกคำหนึ่ง “สิ่งที่ข้าพูดกับเจ้า ห้ามพูดกับใคร
เด็ดขาด”
ฉีเฟิงรู้สึกสงสัยมาก แต่ก็ยังพยักหน้า เมื่อฉีเฟิง
ออกไปแล้ว ฉีหนิงก็ปิดประตู แล้วหยิบกล่องไม้
ออกมาอีกครั้ง เขาเปิดออก ครั้งนี้เขาเปิดแบบไม่
เกรงใจ แล้วหยิบมีดสั้นออกมาเคาะไปที่เปลือกสอง
ครั้ง ครัง้ นี้หอยไข่มุกขาวอ้าปากกว้าง ไอเย็นแผ่
ออกมาหนักมาก ฉีหนิงพบว่า ภายในเปลือกหอย มี
ไข่มุกสีขาวเนียนสวยอยู่เม็ดหนึ่งจริงๆ ด้วย เทียบกับ
ไข่มุกจากหอยธรรมดาทั่วไปแล้ว มันใหญ่กว่ามาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 612 งานเลี้ยง
ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า
ทำไมพวกของก่งจ๋าซีถึงได้เห็นมันเป็นของล้ำค่ามาก
อาจจะเป็นเพราะไข่มุกที่อยู่ในหอยไข่มุกสีขาวเม็ดนี้
ก็ได้
เมื่อกี้สิ่งที่ฉีเฟิงพูด กลับทำให้ฉีหนิงเหมือนคิดขึ้นได้
ในเมื่อเนื้อหอยไข่มุกเป็นยารักษาโรคได้ ถ้าอย่างนั้น
หอยไข่มุกขาวหายากขนาดนี้ แสดงว่าจะต้องมีฤทธิ์
ยาที่ไม่ธรรมดาแน่นอน หากก่งจ๋าซีกับพวกเดินทาง
มากว่าหมื่นลี้เพื่อหายาดีแบบนี้ มันก็มีเหตุผลอยู่
แต่ว่าหากเป็นอย่างนี้ แล้วพวกเขาจะเอาหอยไข่มุก
ขาวนี่ไปรักษาใครกัน?
ฉีหนิงคิดในใจว่าในเมื่อจู๋ยื้อฝ่าอ๋องเป็นหนึ่งในห้าต้า
จงซือ วรยุทธ์เทียบเคียงเทพเจ้า ร่างกายของเขา
จะต้องพิเศษกว่า หอยไข่มุกขาวนี่ไม่น่าจะเอาไป
รักษาฝ่าอ๋อง นั่นก็หมายความว่าพวกของก่งจ๋าซี
ลำบากลำบนมายังตงฉี น่าจะมาเพือ่ ราชวงศ์กู่เซีย่ ง
เพียงแต่ว่าทิเบตกับตงฉีมีระยะห่างกันไกลมาก ชาวถู่
หุ้นเองก็มายังจงหยวนน้อยมาก แล้วพวกเขารู้ได้
ยังไงว่าหอยไข่มุกขาวนั้นรักษาโรคได้? แล้วรู้ได้ยังไง
ว่าหอยไข่มุกขาวนี่จะรักษาโรคนั้นหายได้แน่นอน?
ปัญหานี้หากไม่ได้รับคำตอบ ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าพวก
ของก่งจ๋าซีจะเอาหอยไข่มุกขาวนี่ไปรักษาอาการ
ป่วย
ฉีหนิงเดิมคิดว่าในกล่องอาจจะมีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับ
แคว้นกู่เซีย่ งกับแคว้นตงฉี แต่ตอนนีพ้ อได้เห็นหอย
ไข่มุกขาวแล้ว เขาก็รู้สึกผิดหวังมาก
แต่ว่าการทำให้ก่งจ๋าซีมีปัญหากับชาวเป่ยฮั่น มันเป็น
เรื่องบังเอิญ เขาคิดในใจว่าเบื้องหลังของก่งจ๋าซีคือจู๋
ยื้อฝ่าอ๋อง ครั้งนี้เขาไม่ได้ตั้งใจทำให้ชาวเป่ยฮั่นกับจู๋
ยื้อฝ่าอ๋องเป็นศัตรูกัน การทำให้เป่ยฮั่นมีศัตรูอย่าง
แคว้นกู่เซีย่ งเพิ่มมา สำหรับแคว้นฉู่ มันถือว่าได้
ประโยชน์มาก
หากไม่ได้เรื่องนี้ ฉีหนิงก็คงแอบเอาหอยไข่มุกขาวคืน
ไป แต่ว่าเมื่อสองฝ่ายเกิดปัญหากันแล้ว หอยไข่มุก
ขาวนี่ก็เอาคืนไปไม่ได้
เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าต้องเลี้ยงหอยยังไง เขารู้ว่าอีกไม่
นานนัก หอยไข่มุกขาวนี่ตายแน่ ถึงแม้จะรู้สึก
เสียดาย แต่เขาก็ไม่รู้ต้องทำยังไง
เขารู้ว่าหากวางกล่องไว้ในห้องของเขาแบบนี้ มันไม่
ปลอดภัย หากถูกก่งจ๋าซีจับได้ว่าเขาเป็นคนขโมย
หอยไข่มุกขาว ถึงเวลานั้นจะต้องวุ่นวายแน่ เขาเลย
ใช้มีดสั้นของเขาแงะเอากระเบื้องทีพ่ ื้นออกมา
จากนั้นก็ขุดหลุม แล้วนำกล่องวางลงไปในนัน้
จากนั้นก็เอากระเบื้องมาปิด วางทุกอย่างให้
เหมือนเดิม เขาถึงได้โล่งใจ
ช่วงเย็นวันต่อมา มหาเสนาบดีก็ส่งคนมาเชิญเขาไป
คนที่มาคือพ่อบ้านใหญ่ของจวนเสนาบดี ฉีหนิงเห็น
ว่าคนที่หลิงหูซีส่งมานั้นไม่ใช่ขุนนาง ก็คิดว่าน่าจะ
เป็นพ่อบ้านของเขาแน่นอน คิดในใจว่าแสดงว่างาน
เลี้ยงนี้น่าจะเป็นงานเลี้ยงส่วนตัว ไม่ใช่งานเลี้ยง
ทางการ
ทางจวนมหาเสนาบดีได้เตรียมรถม้าเอาไว้ ถึงแม้จะ
เชิญอู๋ต๋าหลินไปด้วย แต่ว่าเขากังเวลว่าจะเกิดอะไร
ไม่คาดคิดขึ้น อู๋ต๋าหลินเลยตัดสินใจจะอยู่ทเี่ รือน
รับรองหลวงแทน ฉีหนิงเลยพาแค่องครักษ์ของจวน
จิ่นอีโหวไป เขาเองก็ไม่ได้สนใจคณะทูตเป่ยฮั่น เมื่อ
มาถึงหน้าจวนมหาเสนาบดี ฉีหนิงก็ลงจากรถม้า
เห็นประตูทาสีแดงพร้อมการปักธงไว้สองข้าง หน้า
ประตูมีหินสิงโตแกะสลักตั้งไว้อย่างองอาจ ดูแล้วเป็น
จวนที่น่าเกรงขาม
ด้านหน้าประตูใหญ่มีป้ายที่เขียนคำว่า “จวนมหา
เสนาบดี” ตัวอักษณ์มีพลังดุจมังกร ฉีหนิงเห็นทุก
อย่าง เขาคิดในใจว่าจวนเสนาบดีมสี ง่าราศีมาก
ขนาดนี้ บ่งบอกถึงตำแหน่งฐานะของหลิงหูซีใน
แคว้นตงฉีทีเดียว
ในตอนนี้ก็เห็นรถม้ามาจอดด้านหลังของเขา อวี้อ๋อง
กับเป่ยถังเฟิงลงมาจากรถม้า ฮั่วเสินจวินกับทหาร
องครักษ์ตามติดตัวเป่ยถังเฟิง
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงกลองดังขึ้น เห็นคนผู้หนึ่ง
สวมหมวกทรงสูง คลุมเสื้อคลุมสีแดง คาดเข็มขัด
เดินขึ้นหน้ามาต้อนรับ ฉีหนิงมองไปที่เขา เห็นเขา
อายุประมาณห้าสิบปี หน้าตาดี มีความเป็นบัณฑิต
ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขาพูดเสียงดังฟัง
ชัดว่า “มีแขกมาเยือน เป็นเกียรติอย่างสูง เป็น
เกียรติอย่างสูง”
ฉีหนิงรู้ทันทีเลยว่าเขาน่าจะคือหลิงหูซี เขากับอวี้
อ๋องเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ราวกับยกมือคำนับพร้อม
กัน หลิงหูซียิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอวี้อ๋องมีความรู้
ความสามารถกว้างไกล ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมา
นานแล้ว คิดอยากจะได้พบสักครั้ง วันนี้ได้พบตัวจริง
สมดังที่ข้าปรารถนาแล้ว ข้ารู้สึกดีใจมากจริงๆ”
อวี้อ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านมหาเสนาหลิงหูชมเกินไป
แล้ว ท่านมหาเสนาหลิงหูปกครองประเทศได้อย่าง
เป็นระบบ มีความรู้ความสามารถที่สวรรค์ประทาน
ให้ เป็นบุญของแคว้นตงฉีนัก”
หลิงหูซีหัวเราะ แล้วมองมาที่ฉีหนิง สีหน้าของเขา
จริงจังมาก เขายกมือคำนับแล้วพูดว่า “ท่านนี้คิดว่า
น่าจะเป็นจิน่ อีโหว อนาคตไกลนะ จิ่นอีโหวอายุยัง
น้อย แต่ได้รับภารกิจใหญ่มาจากแคว้นฉู่ คิดว่าจิ่นอี
โหวก็น่าจะมีความสามารถมากเลยทีเดียว หากครั้งนี้
ไม่ได้จิ่นอีโหว รัชทายาทคงต้องตกอยู่ในอันตราย
แน่นอน เราชาวแคว้นตงฉี ระลึกในบุญคุณของจิน่ อี
โหวทุกคน”
อวี้อ๋องรู้สึกงงมาก ไท่ซานอ๋องก่อกบฏ ตงฉีพยายาม
ปิดข่าวเอาไว้ ทางอวี้อ๋องเลยยังไม่ได้ข่าวคราวอะไร
เลย
หลิงหูซีเหมือนรู้ว่ายังไงเรื่องนี้ช้าเร็วคนอื่นก็ต้องรู้
เขาเองก็ไม่ได้คิดจะปกปิด เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ท่านอ๋องอาจจะยังไม่ทราบ ไท่ซานอ๋องก่อกบฏ คิด
ฉวยโอกาสที่องค์รัชทายาททรงออกไปล่าสัตว์ ลอบ
สังหารพระองค์ โชคดีที่จิ่นอีโหวมีคุณธรรม ออกหน้า
ช่วยชีวิตรัชทายาทเอาไว้ จิ่นอีโหวอายุน้อยแต่กล้า
หาญองอาจ น่านับถือยิ่งนัก”
อวี้อ๋องสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เป่ยถังเฟิงที่กำลังเดิน
มาข้างๆ ได้ยินหลิงหูซีพูดดังนั้น ก็ตกใจมาก
เหมือนกัน
ที่คณะทูตเป่ยฮั่นมาที่นี่คราวนี้ เดิมก็เพราะรู้ความ
เคลื่อนไหวของหนานฉู่ กังวลว่าแคว้นฉู่จะเป็น
พันธมิตรกับแคว้นฉีจริงๆ เลยส่งคณะทูตมาขวาง
หากสามารถเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานกับตงฉี
เป็นดีที่สุด แต่ว่าหากไม่สำเร็จ ยังน้อยก็จะต้องขวาง
แคว้นฉู่ให้ได้
แต่ว่าเมื่อหลิงหูซีพูดมาแบบนี้แล้ว มันทำให้อวี้อ๋อง
กับเป่ยถังเฟิงเครียดมาก
ไท่ซานอ๋องก่อกบฏ ฉีหนิงช่วยรัชทายาทเอาไว้ ก็
หมายความว่าเขามีบุญคุณกับแคว้นตงฉี หากรัช
ทายาทสำนึกในบุญคุณของฉีหนิง เอนเอียงไปทาง
แคว้นฉู่ เรื่องนี้ก็จะยุ่งยากเข้าไปอีก
อวี้อ๋องสีหน้าเปลี่ยนไปแค่ครูเ่ ดียวเท่านั้น จากนัน้ เขา
ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นวีรบุรุษหนุ่มจริงๆ จิ่นอีโหวสม
แล้วที่เป็นคนของจิน่ อีตระกูลฉี”
เป่ยถังเฟิงสีหน้าออกชัดเจน เขาไม่ได้เก็บอาการเก่ง
เหมือนกับอวี้อ๋อง ตอนนี้สีหน้าของเขาไม่ดีเลย
“ท่านมหาเสนาหลิงหู ท่านนี้คือองค์ชายรองเป่ย
ถังเฟิง” อวี้อ๋องแนะนำให้หลิงหูซีรู้จัก “องค์ชายรอง
ได้รับราชโอการจากฝ่าบาท ให้มาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ตงฉี
ด้วยตัวเอง”
เป่ยถังเฟิงเก็บสีหน้า แล้วฝืนยิ้ม เดินขึ้นหน้ายกมือ
คำนับแล้วพูดว่า “ผู้น้อยคารวะท่านมหาเสนาหลิง
หู” เขาดูมีมารยาทมาก ฉีหนิงอยู่ข้างๆ ไม่ได้มีสีหน้า
อะไร แต่คิดในใจว่าการที่เป่ยถังเฟิงทำแบบนี้ อวี้
อ๋องน่าจะอบรมเขามาก่อนหน้านี้แล้ว
หลิงหูซีสีหน้าเป็นมิตร เขายิ้มแล้วพูดว่า “อนาคต
ไกล อนาคตไกล” เขายกมือเชิญ “มา มา มา งาน
เลี้ยงจัดไว้ที่สวนดอกไม้ ท่านอ๋องอวี้ จิ่นอีโหว องค์
ชายรอง เราเข้าไปกันก่อนแล้วค่อยคุยกัน ทุกท่าน
วันนี้เป็นงานเลี้ยงส่วนตัว อาจจะไม่ได้หรูหราอะไร
ทุกท่านอย่าได้ถือสาเลยนะ อีกไม่กวี่ ันฝ่าบาทคงจะ
ทรงมีราชโอการให้ทุกท่านไปเข้าเฝ้า ถึงเวลานั้นฝ่า
บาทจะทรงจัดเลี้ยงแบบทางการให้อีกครั้งหนึ่ง”
ทุกคนพูดจากันเล็กน้อยแล้ว หลิงหูซีก็นำทางทุกคน
ไปยังสวนดอกไม้ ถึงแม้หลิงหูซีจะไม่ได้ห้าม แต่ว่า
แคว้นฉู่และฮั่นก็รู้มารยาทดี ไม่ได้พาคนติดตามเข้า
ไปด้วยทั้งหมด เป่ยถังเฟิงพาฮั่วเสินจวินกับองครักษ์
ระดับหัวหน้าเข้าไป ส่วนฉีหนิงก็พาฉีเฟิงกับหลี่ถัง
เข้าไปแค่สองคน
เมื่อเดินผ่านทางเดินมาระยะหนึ่ง ก็มาถึงสวนดอกไม้
ฉีหนิงเดินมาเห็นว่าในจวนของหลิงหูซีตกแต่งได้
อย่างประณีต มีความหรูหรา แต่ว่าไม่มีของตกแต่ง
จำพวกเงินทองโลหะ แต่เป็นภาพวาดอักษรซะส่วน
ใหญ่ เขาคิดในใจว่าคนผู้นนี้ ่าจะมีความรู้
ความสามารถด้านวรรณกรรมอักษรมากทีเดียว
ห้องรับรองที่สวนดอกไม้ในจวนมหาเสนาบดีไม่เล็ก
เลย เมื่อเข้ามาด้านใน ก็เห็นขุนนางหลายคนรออยู่
ด้านในแล้ว เมื่อเห็นหลิงหูซีเข้ามา เหล่าขุนนางก็ลุก
ขึ้นจากที่นนั่ แล้วยกมือคำนับพวกของฉีหนิง
ถึงแม้แคว้นฉู่และฮั่นมาที่ตงฉีเพื่อมีเรื่องร้องขอ แต่
ว่ากำลังอำนาจทางชายแดนของทั้งสองแคว้น มัน
เหนือกว่าตงฉีมากนัก ในสายตาของแคว้นตงฉี ไม่ว่า
จะหนานฉู่หรือว่าเป่ยฮั่น ก็แข็งแกร่งกว่าตงฉีทั้งนั้น
ตอนนี้คณะทูตของทั้งสองแคว้นมาพร้อมกัน เหล่า
ขุนนางก็ไม่กล้าที่จะเสียมารยาทเลย
ฉีหนิงรู้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้เป็นตัวแทนของบุคคล แต่
เป็นตัวแทนของแคว้นหนานฉู่ สีหน้าของเขาเปีย่ มไป
ด้วยรอยยิ้ม อีกทั้งยังยกมือคำนับตอบกลับเป็น
มารยาท ไม่ได้ดูเย่อหยิ่ง ดูใจกว้าง ส่วนอวี้อ๋องเองก็
ยกมือคำนับกลับเหมือนกัน เป่ยถังเฟิงอยู่ด้านหลัง
ของอวี้อ๋อง ถึงแม้จะยกมือคำนับกลับเช่นกัน แต่
ปกติเขาไม่ค่อยคำนับใคร ท่าทางของเขาเลยดูแข็ง
กระด้างมาก
ฉีหนิงกวาดสายตามองไป เห็นก่งจ๋าซีก็อยู่ด้วย ทุก
คนยืนขึน้ หมด ยกเว้นก่งจ๋าซีที่นั่งอยู่ เขาพนมมือ แต่
ว่าสายตาของเขาจ้องเขม่นไปยังเป่ยถังเฟิง เป่ย
ถังเฟิงเห็นก่งจ๋าซี เขามีฮั่วเสินจวินอยู่ข้างๆ เห็นก่ง
จ๋าซีไม่ได้มีผู้ติดตามมาด้วย อีกทั้งที่นี่ก็เป็นจวนมหา
เสนาบดี ก่งจ๋าซีกค็ งไม่กล้าทำอะไรเขา เขาเชิดหน้า
แล้วเดินผ่านก่งจ๋าซีไป ราวกับท้าทายเขา
สายตาของก่งจ๋าซีดูแค้นมาก แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร
ทุกคนนัง่ ประจำที่แล้ว อวี้อ๋องกับฉีหนิงวันนี้ถือเป็น
แขกคนสำคัญ พวกเขาได้นั่งอยู่ข้างที่ประธาน หลิงหู
ซีนั่งทีป่ ระธาน จากนั้นก็ยกแก้วขึ้นมา “ทุกท่าน
แคว้นฉู่และฮั่นเดินทางมายังแคว้นของเราถือว่าเป็น
โอกาสที่หาได้ยากนัก พวกเขาเดินทางมาไกล เหล้า
แก้วนี้ ทุกคนดื่มเพื่อคารวะราชทูตของทั้งสอง
แคว้น”
ทุกคนยกแก้วขึ้นมา แล้วดื่มจนหมดแก้ว มีเพียงก่ง
จ๋าซีคนเดียวที่นั่งราวกับเป็นก้อนหิน
หลิงหูซีวางแก้วลง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ทุกท่าน พวก
ท่านน่าจะเคยได้ยนิ มาก่อน ท่านอ๋องอวี้ตอนหนุ่มๆ
เคยเข้าร่วมการสอบคัดเลือกบัณฑิต ได้รับอันดับ
หนึ่ง จากบรรดาชาวเป่ยฮั่นกว่าหลายหมื่นหลาย
แสนคน ท่านอ๋องอวี้ยังได้ที่หนึ่งมา น่านับถือยิง่ นัก”
เขาหันไปชี้ฉีหนิง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ส่วนจิ่นอีโหว
ทุกท่านก็คงรู้จักจิน่ อีตระกูลฉีกันอยูแ่ ล้ว ตระกูล
นักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งหนานฉู่ แต่ว่าพวกท่านรู้หรือไม่
ว่า โหวน้อยท่านนี้เรื่องศิลปวิชาการก็ไม่เป็นรองใคร
เลย งานชุมนุมจิ่งหัวของแคว้นฉู่ทกุ ท่านเคยได้ยินกัน
บ้างหรือไม่?”
ขุนนางคนหนึ่งรีบพูดว่า “ท่านมหาเสนา งานชุมนุม
จิ่งหัวของแคว้นฉู่เป็นงานที่ยงิ่ ใหญ่ ได้ยินมาว่าแปด
วิทยาลัยใหญ่ของแคว้นฉู่ ต่างส่งคนที่มีความสามารถ
สูงสุดของพวกเขาเข้าร่วมการแข่งขัน”
หลิงหูซีพยักหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ท่านโหว
น้อยได้รับอันดับหนึ่งในศิลปวิทยาทุกแขนงมาจาก
งานชุมนุมจิงหัว ถูกขนานนามว่าเป็นบัณฑิตนักวร
ยุทธ์อันดับหนึ่งของแคว้นฉู่ พวกท่านรู้เรื่องนี้กัน
หรือไม่?”
ฉีหนิงถึงกับสะดุ้ง แอบคิดในใจว่าหลิงหูซีรู้เรื่องของ
เขามาไม่น้อยเลย แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้พูดถึงเรื่อง
นี้ขึ้นมาในตอนนี้
หลิงหูซียิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องอวี้ จิ่นอีโหว ที่จริง
ช่วงนี้ข้ามีเรื่องที่กังวลใจมาก คิดเท่าไหร่ก็หาทาง
ออกไม่ได้สักที วันนี้บังเอิญพวกท่านก็อยู่ที่นี่ด้วย จึง
อยากจะขอให้พวกท่านทั้งสองช่วยชีแ้ นะข้าสัก
หน่อย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 613 ตั้งเดิมพัน
ฉีหนิงกับอวี้อ๋องมองหน้ากัน จากนัน้ ก็หันไปมองหลิง
หูซี หลิงหูซียิ้มแล้วพูดว่า “คืออย่างนี้ ตำหนักที่
บรรทมของฝ่าบาทไม่ได้ซ่อมแซมบูรณะมาหลายปี
แล้ว ในฐานะขุนนาง ข้าเลยได้ทำการทูลกับฝ่าบาท
ให้ทำการซ่อมแซมตำหนักใหม่ ฝ่าบาททรงมีราชกิจ
มากมาย พระวรกายเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังนั้นเพราะ
ที่จะให้ฝ่าบาททรงพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ไม้ที่นำมา
ซ่อมแซมตำหนักพระบรรทมจะต้องคัดเลือกอย่างดี
ที่สุด”
อวี้อ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้สมควรแล้ว ท่านมหา
เสนา ที่เหลียวตงมีไม้กู่มู่ เหมาะที่จะนำมาซ่อมแซม
ตำหนักพระบรรทมมาก สามารถช่วยให้บรรทมได้
ง่ายขึ้น หากไม่รังเกียจ แคว้นฮั่นของพวกเราจะ
นำเอาไม้ชนิดนี้มาถวายให้”
“ขอบคุณมาก” หลิงหูซียกมือคำนับแล้วพูดว่า “ไม้
กู่มู่เป็นของหายาก เพียงแต่ฝ่าบาททรงพอพระทัยไม้
หลินเซียง”
“ไม้หลินเซียง?”
หลิงหูซีอธิบายต่อว่า “ที่จริงแล้วมันเป็นไม้ชนิดหนึ่ง
บนเกาะทะเลตงไห่ ทะเลผืนนั้นถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่
มาก แต่ก็มีประชากรอยู่ประมาณเจ็ดแปดหมื่นคน
พวกเขาสถาปนาแคว้นขึน้ มามีชื่อว่าแคว้นป๋อหยาง”
อวี้อ๋องพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อ
แคว้นป๋อหยางมาก่อน เป็นแคว้นบนเกาะเล็กๆ ที่ตง
ไห่”
“ถูกต้อง” หลิงหูซีพูดว่า “ของเด่นของแคว้นป๋อห
ยางนั่นคือไม้หลินเซียง ไม้ชนิดนั้นมันจะมีกลิ่นหอม
อ่อนๆ ซึ่งสามารถคงความหอมไว้นานถึงสิบปี ทำให้
คนรู้สึกผ่อนคลาย ช่วยให้หลับง่าย หลายปีมานี่ ฝ่า
บาททรงมีกำไลมือที่ทำจากไม้ชนิดนี้ ทรงพกติดตัว
ตลอดเวลา ทรงโปรดมันมาก ดังนั้นการซ่อมตำหนัก
พระบรรทมในครั้งนี้ ฝ่าบาททรงประสงค์อยากจะใช้
ไม้หลินเซียงนี่มาซ่อมแซม”
อวี้อ๋องพูดว่า “หรือว่ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา?”
หลิงหูซีถอนหายใจแล้วพูดว่า “คนของแคว้นป๋อห
ยางไม่ฟังเหตุผล พวกเราติดต่อกับพวกเขาหลายครั้ง
พวกเขาเอาแต่ปฏิเสธ...”
เป่ยถังเฟิงอดพูดไม่ได้ว่า “ท่านมหาเสนา แคว้นป๋อห
ยางเป็นแค่แคว้นเล็กๆ กลับกล้าบังอาจขนาดนี้
กองทัพเรือของพวกท่านมีความแข็งแกร่ง ส่งทัพไป
ปราบเลยสิ ข้าว่าพวกเขาคงไม่กล้าพูดมากอีก”
อวี้อ๋องขมวดคิ้ว หลิงหูซีกลับถอนหายใจแล้วพูดว่า
“วิธีขององค์ชายรองถึงแม้จะเป็นหนึ่งในวิธี แต่ว่าฝ่า
บาททรงมีพระเมตตา ทรงรับสั่งให้พวกเราส่งคำร้อง
ขอไปให้แคว้นป๋อหยางเท่านั้น เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่
แคว้นป๋อหยางทีร่ ุกรานพวกเรา การใช้กำลัง มันไม่
เหมาะสมนัก แคว้นตงฉีพวกเราก็จะไม่ใช้กำลังรังแก
ผู้ที่อ่อนแอกว่า”
คำพูดของเขามันจับใจความสำคัญได้สองประเด็น
ฉีหนิงพูดขึ้นมาว่า “ท่านมหาเสนาพูดถึงเรื่องนี้ในคืน
นี้ หรือว่าทางแคว้นป๋อหยางให้โจทย์ยากกับแคว้น
ท่าน ดังนั้นเลยคิดอยากจะร่วมหารือกับพวกเรา?”
หลิงหูซียิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหวฉลาดจริงๆ ถูกต้อง
พวกเราส่งราชทูตไปเจรจาหลายครัง้ พวกเราแสดง
ความจริงใจอย่างถึงที่สุด กษัตริย์แคว้นป๋อหยางเริ่ม
ใจอ่อน แต่ว่ายังคงไม่รบั ปากง่ายๆ เพื่อไม่ให้เป็นการ
เสียบารมีในแคว้นของเขาเอง เลยออกโจทย์มากให้
พวกเรา หากพวกเราสามารถตอบคำถามได้ พวกเขา
ก็จะมอบไม้หลินเซียงให้พวกเรา”
“อ๋อ?” ฉีหนิงถามว่า “แล้วมันคือปัญหาอะไร?”
หลิงหูซีพูดว่า “เด็กๆ”
เขาพูดจบ ก็มีบ่าวไพร่คนหนึ่งอุ้มท่อนไม้เข้ามา มือ
ของเขาหยาบและเล็ก มันเป็นท่อนยาว หัวด้านหนึ่ง
เล็กด้านหนึ่งใหญ่ ทุกคนมองหน้ากัน หลิงหูซีส่ง
สัญญาณมือ บ่าวไพร่คนนั้นอุ้มท่อนไม้ไปให้อวี้อ๋อง
ดูก่อน จากนั้นก็อุ้มไม้ไปให้ฉีหนิงดู
ฉีหนิงได้กลิ่นหอมจากตัวไม้ คิดในใจว่านี่น่าจะเป็น
ไม้หลินเซียงแน่ แต่เขาไม่รู้ว่าหลิงหูซีคิดจะทำอะไร
กันแน่
หลิงหูซีถอนหายใจแล้วพูดว่า “โจทย์ของกษัตริย์
แคว้นป๋อหยาง อยู่บนไม้ท่อนนี้ ท่านอ๋อง จิ่นอีโหว
กษัตริย์แคว้นป๋อหยางอยากให้พวกเราแยกว่าด้าน
ไหนของท่อนไม้นี้คือยอดไม้ ด้านไหนคือรากไม้ ข้าโง่
เขลานัก คิดไม่ออกเลย วันนี้ท่านอ๋องอวี้กับจิ่นอีโหว
อยู่ที่นี่ด้วย เลยบังอาจขอคำชี้แนะจากพวกท่าน ช่วย
ให้ข้าแก้ไขปัญหานี้ด้วยเถอะ”
เป่ยถังเฟิงรีบพูดว่า “ท่านมหาเสนา คนของแคว้น
ป๋อหยางตั้งใจหาเรื่องกันชัดๆ ไม้สองฝั่งนี้มันไม่ได้มี
อะไรแตกต่างกันเลย แล้วจะแยกออกได้ยังไง หากให้
ข้าเดาอายุของไม้หลินเซียง ยังพอเป็นไปได้มากกว่า”
“องค์ชายรองตรัสถูกแล้ว” หลิงหูซีพูดว่า “ในเมื่อ
เป็นโจทย์ที่มาจากกษัตริย์แคว้นป๋อหยาง มันก็ต้อง
ไม่ธรรมดาแน่นอน แต่ว่าหากพวกเราไม่สามารถ
ตอบปัญหานี้ได้ อย่าว่าแต่ตำหนักพระบรรทมของฝ่า
บาทไม่อาจซ่อมแซมได้ แม้แต่เกียรติของแคว้นพวก
เราก็จะไม่เหลือด้วย”
ฉีหนิงคิดในใจว่านี่อาจจะไม่ใช่โจทย์ที่มาจากกษัตริย์
แคว้นป๋อหยางหรอก อาจจะเป็นแคว้นตงฉีเองที่ออก
โจทย์มาทดสอบแคว้นฉู่กับฮั่นมากกว่า
หากหลิงหูซีคิดถึงเกียรติของแคว้นตงฉีจริง คิดว่าก็
คงไม่น่าจะโยนปัญหานี้มาให้แคว้นฉู่กับฮั่นช่วยแก้
เพราะนั่นมันจะหมายความว่าชาวตงฉีไม่สามารถ
แก้ไขปัญหานี้ได้ มันไม่เสียหน้าไปมากกว่าหรือ
อวี้อ๋องเองก็รู้ในจุดนี้ดี แต่ว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมา
“ท่านอ๋องทรงมีวิธีหรือไม่?” หลิงหูซียิ้มแล้วมองไป
ที่อวี้อ๋อง ขุนนางที่นั่งอยู่ต่างก็มองไปทางอวี้อ๋อง
อวี้อ๋องเหมือนจะคิด เขาทำได้แค่นงิ่ ถึงแม้เขาจะมี
สติปัญหาความรู้มากมาย ถ้าให้เขาแต่งกวีเขียน
บทความเขาสู้ได้แน่นอน แต่หลิงหูซีตั้งคำถามขึ้นมา
แบบนี้ มันทำให้เขาลำบากใจมาก
หลิงหูซีเห็นดังนั้นก็หันไปหาฉีหนิง แล้วถามว่า “จิ่น
อีโหวมีความเห็นอะไรหรือไม่?”
ฉีหนิงกลับนิ่งมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสมา
ก่อน ให้ท่านอ๋องทรงตอบก่อนจะดีกว่า”
ขุนนางทุกคนคิดในใจว่า อวี้อ๋องมีความรู้
ประสบการณ์มาก ยังตอบไม่ได้เลย จิ่นอีโหวอายุ
น้อยแค่นี้ จะตอบได้ยังไง คำพูดของเขาเหมือนจะ
เคารพอวี้อ๋อง แต่อาจเป็นไปได้ว่าเขาไม่รู้ว่าจะตอบ
ยังไง ดังนั้นเลยหาข้ออ้างเบี่ยงเบน
ขุนนางตงฉียงั ไม่รู้เลยว่าจะมีการซ่อมแซมตำหนัก
บรรทมของฮ่องเต้ตงฉี ยิ่งไม่รู้ว่าเคยไปเจรจาขอไม้
หลินเซียงกับแคว้นป๋อหยาง เมื่อได้ยินปัญหาของห
ลิงหูซี ทุกคนก็มองไปที่ไม้หลินเซียงที่อยู่ในมือของ
บ่าวไพร่ พวกเขาพยายามคิดว่าจะใช้วิธีอะไรในการ
แยกกันแน่
เป่ยถังเฟิงได้ยินฉีหนิงพูด ก็ประชดกลับไปว่า “จิ่นอี
โหว เจ้าไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ หากเจ้ารู้ไม่รู้วิธี ก็
บอกมาเลยว่าเจ้าไม่รู้ จะมาพูดว่าผู้อาวุโสก่อนทำไม
เจ้าคิดอะไรอยู่ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือไง?”
เป่ยฮั่นกับหนานฉูเ่ ป็นศัตรูแคว้น ทัง้ สองฝ่ายเห็นอีก
ฝ่ายก็ขัดหูขัดตา ทุกคนรู้เรื่องนี้ดี แต่ว่าเป่ยถังเฟิง
พูดจาแขวะฉีหนิงต่อหน้าทุกคน มันทำให้เห็นว่าเขา
ไม่มีชั้นเชิง เหล่าขุนนางเห็นเป่ยถังเฟิงอายุมากกว่าฉี
หนิงหลายปี แต่ว่าฉีหนิงกลับสุขุมมากกว่า ฉีหนิงนิ่ง
มาก เขาคิดในใจกันว่าจิ่นอีตระกูลฉีแตกต่างไม่
ธรรมดาจริงๆ
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “องค์ชายรองทรงหาวิธีแยกไม้
หลินเซียงได้อย่างนัน้ หรือ?”
เป่ยถังเฟิงพูดว่า “ข้าไม่มี แต่ว่าเจ้าเองก็ไม่น่ามี”
“อ๋อ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “องค์ชายรองมั่นใจ
ขนาดนั้นเลยหรือ? เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พวกเรามา
เดิมพันกันดีหรือไม่?”
“จะเดิมพันอะไร?”
ฉีหนิงพูดว่า “องค์ชายรองฐานะสูงศักดิ์ ปกติใช้ชีวิต
สุขสำราญมากมาย ข้าไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรมาก หาก
ข้าสามารถแยกไม้สองด้านนี้ได้ ขอให้องค์ชายรอง
สร้างความสนุกให้กับทุกท่านที่อยูท่ นี่ ี่ โดยการร้อง
เพลงให้พวกเราฟังสักหนึ่งเพลง หรือไม่ก็เต้นรำให้
พวกเราดูก็ได้ ไม่ทราบทรงเห็นเป็นเช่นไร?”
เป่ยถังเฟิงรู้สึกโกรธมาก คิดในใจว่าจะให้ข้าเต้นรำให้
ทุกคนดู หรือว่าเห็นข้าองค์ชายรองแห่งเป่ยฮั่นเป็น
ดังหญิงนางโลมหรือยังไง เขาฝืนข่มอารมณ์เอาไว้
แล้วพูดว่า “แล้วถ้าเจ้าแพ้ล่ะ จะทำยังไง?”
ฉีหนิงยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “แล้วแต่องค์ชายรองจะ
รับสั่งเลย”
เป่ยถังเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็จะไม่ให้เจ้าต้อง
ลำบากใจ หากเจ้าแพ้ เจ้าจะต้องโกนหัวของเจ้าต่อ
หน้าทุกคน เจ้ากล้าหรือเปล่าล่ะ?”
เมื่อพูดจบ ทุกคนที่อยู่ก็หน้าเปลี่ยนไป อวี้อ๋องพูดว่า
“ห้ามทำให้จิ่นอีโหวลำบากใจนะ”
ถึงแม้ฉีหนิงเสนอให้เป่ยถังเฟิงร้องเล่นเต้นรำ จะมี
เจตนาฉีกหน้าเป่ยถังเฟิงจริง แต่เป่ยถังเฟิงเสนอให้ฉี
หนิงโกนหัว นั่นไม่ได้เพียงแต่ฉีกหน้า แต่มันเป็นการ
หยามเกียรติ
ในยุคสมัยนี้ ผู้คนยึดมั่นว่าร่างกายเป็นของพ่อแม่ ผม
กับหัวไม่ได้ต่างกัน การตัดผมก็เปรียบเสมือนการตัด
หัว ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน นอกจากนักบวชที่ต้อง
โกนหัวเพื่อไม่ให้มีพันธะทางโลก การตัดผมมันเป็น
อะไรที่รุนแรงราวกับการตัดหัว มันคือการหยาม
เกียรติอย่างมาก
ทุกคนคิดในใจว่าคนหนุ่มเลือดร้อนไม่ยอมกัน จะตั้ง
เดิมพันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ว่าเป่ยถังเฟิงตั้ง
เงื่อนไขแบบนี้มันน่ารังเกียจเกินไป ฉีหนิงไม่น่าจะ
รับปาก
ใครจะคิดว่าฉีหนิงสุขุมมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ได้”
เป่ยถังเฟิงตกใจ แล้วรีบพูดว่า “ทุกท่านได้ยินแล้วใช่
หรือไม่ ข้าไม่ได้บังคับเขานะ เขารับปากเอง ฉีหนิง
ทุกคนได้ยินชัดเจนนะ ลูกผู้ชาย พูดคำไหนคำนั้นนะ
ห้ามคืนคำ”
ฉีหนิงยกมือคำนับไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ทุกท่าน
องค์ชายรองทรงตรัสถูกแล้ว ลูกผู้ชาย คำไหนคำนั้น
หากผิดคำพูดถือเป็นคนไร้ยางอาย” เขาลุกขึ้นมา
แล้วหันไปพูดกับหลิงหูซีว่า “ท่านมหาเสนา รบกวน
ช่วยเตรียมน้ำใส่อ่างใหญ่มากให้ข้าหน่อยจะได้
หรือไม่”
ทุกคนตะลึงไป ไม่รู้ว่าฉีหนิงคิดจะทำอะไร หลิงหูซี
พยักหน้า ไม่นานนัก ก็มีคนสองคนยกอ่างมาในนั้นมี
น้ำอยู่ครึ่งหนึง่ ฉีหนิงเหลือบไปมองเป่ยถังเฟิง แล้วก็
พูดกับบ่าวไพร่ที่อุ้มท่อนไม้อยู่ “เอาไม้วางลงไปใน
อ่าง”
คนผู้นั้นมองไปที่หลิงหูซี เห็นหลิงหูซีพยักหน้า ถึงได้
เดินเอาท่อนไม้วางลงไปในอ่าง ฉีหนิงเดินไปดูที่ริม
อ่าง แล้วหันไปยกมือคำนับหลิงหูซแี ล้วพูดว่า “ท่าน
มหาเสนา คำตอบออกมาแล้ว เชิญท่านมาดูทางนี้”
หลิงหูซีลุกขึ้น แล้วเดินมาที่ริมน้ำ อวี้อ๋องกับเหล่าขุน
นางก็ลุกขึ้นมา แล้วล้อมดูอยู่ที่อ่าง เป่ยถังเฟิงกับอวี้
อ๋องเองก็ตามมาด้วยเช่นกัน เขามองไปที่อ่าง เห็นไม้
ในอ่างลอยอยู่ เขาก็พูดกับฉีหนิงว่า “ฉีหนิง คำตอบ
ที่เจ้าว่าอยู่ที่ไหน?”
“เจ้าไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นไม่รู้นี่นา” ฉีหนิง
พูดว่า “ที่จริงแล้วโจทย์นี้ไม่ได้ยากเลย อีกทั้งยังพูด
ได้ว่าง่ายมาก สิ่งของในโลกใบนี้ มีก๊าซมันก็จะลอย
สูง หากขุ่นก็จะลดลง ไม้อยู่ในน้ำ สองด้านไม่เสมอ
กัน ด้านหนึ่งจมลง อีกด้านลอยขึ้น ด้านไหนเป็นยอด
ด้านไหนเป็นราก ข้าคิดว่าคงไม่ต้องอธิบายหรอกจริง
หรือไม่”
เขาอธิบายจบ ทุกคนก็หันไปมองอย่างละเอียดอีก
ครั้ง เห็นไม้ด้านหนึ่งจมลงอีกด้านหนึ่งลอย หลายคน
ก็เข้าใจ มีคนพูดชื่นชมขึ้นมาว่า “ยอดเยี่ยม ยอด
เยี่ยม ยอดเยีย่ มจริงๆ ที่แท้มันก็ง่ายแค่นี้เอง”
ที่จริงแล้วมันเป็นหลักการทางวัตถุที่ง่ายมาก สำหรับ
คนของภพอย่างฉีหนิงแล้ว มันง่ายมากๆ แต่ว่า
สำหรับคนในภพนี้ มันเป็นอะไรทีย่ ากเกินไป
เป่ยถังเฟิงหน้าถอดสี เขาพูดว่า “อะไรคือก๊าซมันก็
จะลอยสูง หากขุ่นก็จะลดลง ฉีหนิง เจ้าอย่ามากเส
แสร้งหน่อยเลย ใครจะรู้ว่ามันจริงหรือไม่ เจ้ามาพูด
ว่าเป็นยังไงก็เป็นยังไง”
ที่จริงแล้วก็มีคนคิดแบบที่เป่ยถังเฟิงพูด พวกเขาคิด
ว่ามันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ นีเ่ ป็นหลักการง่ายๆ ของ
คนยุคหลัง แต่ว่าในภพนี้ มันยากที่คนอื่นจะเข้าใจได้
ฉีหนิงมองไปรอบๆ เห็นคนครึ่งหนึ่งชื่นชมก็จริง แต่
ว่าบางคนก็ยังงงอยู่ เขาทำได้แค่ถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “ในเมื่อองค์ชายรองไม่เชื่อ ที่จริงจะพิสูจน์เรื่องนี้
มันก็ง่ายมาก”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 614 เมามายกลางสนามรบอย่าได้เย้ยหยัน
เป่ยถังเฟิงพูดว่า “ทางที่ดีเจ้าหาวิธีมาพิสูจน์จะดีกว่า
มีก๊าซมันก็จะลอยสูง หากขุ่นก็จะลดลง ข้าไม่เข้าใจ
จริงๆ”
ฉีหนิงนิ่งมาก เขาพูดว่า “ความรู้ท่านมีจำกัด ข้าไม่
โทษท่านหรอก จะขจัดข้อสงสัยของท่าน มันง่ายมาก
เพียงแค่ไปหาต้นไม้ใหญ่สักสองต้น ตัดมันลงมา ตัด
ให้มันเป็นท่อน ให้คนทำสัญลักษณ์เอาไว้ว่าด้านไหน
เป็นรากด้านไหนเป็นยอด จากนั้นค่อยเอาท่อนไม้
ท่อนนี้ลอยน้ำอีกครั้ง ทำแบบนี้แล้ว ก็น่าจะพิสูจน์ได้
แล้วว่าข้าโกหกหรือเปล่า”
หลิงหูซีพูดขึ้นมาว่า “องค์ชายรอ วิธีของจิ่นอีโหว
ยอดเยี่ยมมาก น่าจะได้คำตอบแล้วล่ะ”
“ท่านมหาเสนา ผู้น้อยว่าควรจะพิสจู น์สักหน่อยจะ
ดีกว่า” เป่ยถังเฟิงรู้สึกว่าหากเขาแพ้ เขาจะต้องร้อง
เพลงเต้นรำ มันขายหน้ามาก เขาไม่อยากยอมแพ้
ง่ายๆ แบบนี้
หลิงหูซีแค่ยิ้ม แล้วก็สั่งให้คนไปตัดต้นไม้มา หลิงหูซี
เดินกลับไปนัง่ ที่ การตัดต้นไม้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเสร็จ
ภายในเวลาไม่นาน หลิงหูซียิ้มแล้วพูดว่า “ทุกท่าน
ช่วงก่อนฝ่าบาทได้ประทานเหล้ามาให้ข้าไหหนึ่ง ได้
ยินมาว่าหาได้ยากมาก เป็นของนำเข้ามา คณะทูต
แคว้นฉู่กับฮั่นเดินทางมายังแคว้นเราถือว่ายากนัก
ข้าเลยจะนำเอาเหล้าไหนนี้ออกมาดื่มฉลองเขาทุก
ท่าน”
มีคนคิดในใจว่าแคว้นเป่ยฮั่นกับแคว้นฉู่มีดินแดน
กว้างขวางทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ของหายากมีอยู่
มากมาย หากพูดถึงเหล้า ไม่ว่าจะเป่ยฮั่นหรือว่า
แคว้นหนานฉู่ ต่างก็มีวัฒนธรรมที่ไม่ธรรมดาเลย
แล้วหลิงหูซีจะเอาเหล้าหายากอะไรออกมา
จากนั้นก็เห็นบ่าวไพร่ยกไหเหล้ามา แล้วก็มีสาวใช้นำ
แก้วใบใหม่มาให้อีก หลิงหูซีส่งสัญญาณมือ บ่าวไพร่
เดินมาจนถึงข้างตัวอวี้อ๋อง บ่าวไพร่รินให้อวี้อ๋องก่อน
แล้วก็รินให้ฉีหนิง จากนั้นก็รินให้คนอื่นที่อยู่ในงาน
ทุกคนยกแก้วขึ้นมาดู ฉีหนิงมองไป เห็นว่าเหล้าเป็น
สีแดง เขายกขึ้นมาดม เขารู้ทันทีมันคือเหล้าองุ่น
เหล้าองุ่นเป็นอะไรที่ฉีหนิงรู้จักดี แต่เขานึกขึ้นได้ว่า
หลังจากมาในยุคนี้แล้ว นี่เป็นครัง้ แรกที่เขาได้เจอกับ
เหล้าองุ่น ถึงแม้จวนจิ่นอีโหวจะมีฐานะพอควร เป็น
ตระกูลผู้มากรากมีในแคว้นฉู่ แต่ในจวนจิ่นอีโหวเอง
ก็แทบจะไม่เคยเจอเหล้าองุ่นเลย
เขามองไปรอบๆ เห็นคนทีน่ ั่งอยู่ในงาน แม้แต่อวี้อ๋อง
เองก็รู้สึกแปลกใจ เขาก็เข้าใจในทันที เหล้าองุ่นมัน
ไม่มีการเผยแพร่ในจงหยวนเลย คนที่นั่งอยู่ในนี้ ต่าง
เป็นคนที่มีฐานะ แต่เมื่อเห็นเหล้าองุ่นแล้วก็แปลกใจ
แสดงว่าพวกเขาไม่เคยเห็นเลย
เหล้าองุ่นเป็นสินค้าที่ขนส่งทางเรือ หลิงหูซีบอกว่า
มันหายากมาก แสดงว่าไม่ใช่เรื่องโกหก ในจงหยวน
ไม่มีเหล้านี้ ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน แสดง
ว่ามันหายากมาก
หลิงหูซียกมือแล้วยิ้ม “ท่านอ๋อง ลองชิมดู รสชาติ
เป็นยังไงบ้าง?”
อวี้อ๋องยกแก้วขึ้นจิบ แล้วลิ้มรส เขายิ้มแล้วพูดว่า
“รสชาติดีเยี่ยม ราวกับรสของน้ำผึ้ง ไม่เหมือนเหล้า
เลย”
จากการคำพูดของอวี้อ๋อง เหมือนจะไม่เคยเห็นองุ่น
มาก่อน ถ้าอย่างนั้น องุน่ น่าจะไม่เคยมีการนำเข้ามา
ไม่แปลกที่อวี้อ๋องจะลิ้มรสไม่ออกว่าเหล้านี่ทำมาจาก
องุ่น
“จิ่นอีโหว ท่านคิดว่ายังไง?” ฉีหนิงกำลังคิดอยู่ เมื่อ
ได้ยินหลิงหูซีถาม เขาก็รีบตอบทันที “เหล้าองุ่นนี่ดี
มาก หมักได้ดี น่าจะหลายปีแล้ว”
ทุกคนต่างตกใจ หลิงหูซีเองก็พูดด้วยความแปลกใจ
ว่า “จิ่นอีโหวท่านรู้จักองุ่นด้วยหรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “เคยได้ยินคนพูด ไม่ได้รู้มากนัก”
หลิงหูซีชื่นชมมาก “จิ่นอีโหวชิมคำเดียวก็รู้ว่าเป็น
เหล้าองุ่น ไม่ธรรมดาเลยนะ”
มีคนถามขึ้นมาว่า “ท่านมหาเสนา องุ่นนี่มันคืออะไร
กัน? แล้วเหล้าองุ่นนี่มันมาจากไหน?”
หลิงหูซีมองไปที่ฉีหนิง เขายิ้มแล้วถามว่า “จิ่นอีโหว
ท่านรู้หรือไม่ว่าเหล้าองุ่นมีที่มายังไง?”
ฉีหนิงคิดแล้วถึงพูดว่า “ข้าขออนุญาตพูดเหลวไหลก็
แล้วกัน หากพูดอะไรผิดไป ท่านมหาเสนาอย่าได้ถือ
สา” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “หากข้าไม่ได้กล่าวผิด
เหล้าองุ่นมีจุดเริ่มต้นมาจากเปอร์เซีย เนื่องจาก
การค้าและสงคราม วิธีการหมักเหล้าองุ่นเลย
แพร่หลายมากขึ้น เริ่มจากดินแดนอานาโตเลีย
จากนั้นก็ยุโรป ส่วนเหล้าองุ่นที่ดีที่สุด ก็มาจากยุโรป
...” ทันใดนั้นเองก็เห็นทุกคนจ้องมองมาที่เขา เขานึก
ขึ้นมาได้ว่าทุกคนน่าจะไม่รู้จักเปอร์เซียกับยุโรป เขา
เลยยิ้มแล้วพูดว่า “องุ่นมีหลากหลายพันธุ์ เพราะ
การเพาะเลี้ยงกับการหมักไม่เหมือนกัน ดังนั้นเหล้า
องุ่นก็จะมีรสชาติไม่เหมือนกัน จริงสิ องุ่นมันคือ
ผลไม้ชนิดหนึ่ง”
อวี้อ๋องกลับรู้สึกสนใจขึ้นมา เขาถามว่า “จิ่นอีโหว
อานาโตเลียกับยุโรปทีท่ ่านว่ามา มันคืออะไรอย่าง
นั้นหรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าเองก็ได้ยินคนอืน่ เขาพูดมา โลกนี้
มันกว้างใหญ่นัก พวกเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโลก
ใบนี้เท่านั้น โลกใบนี้ยังมีแคว้นอืน่ ๆ อีกมากมาย
หน้าตากับวัฒนธรรมของพวกเขา ไม่เหมือนกับพวก
เรา”
“เหลวไหลสิ้นดี” เป่ยถังเฟิงรีบพูดว่า “อานาโตเลีย
กับยุอะไร...โรปนั่น แต่งเรื่องขึน้ มาทั้งเพ ไม่เห็นจะมี
พูดถึงในหนังสือเลย”
“ไม่เคยมี ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริง” ฉีหนิงพูด
ว่า “ขอถามสักคำ ท่านรู้หรือว่าภูเขาที่สูงที่สุดในโลก
คือที่ไหน? ทะเลที่ใหญ่ที่สุดคือที่ไหน? พวกเราไม่เคย
ไป ไม่เคยเห็น มันไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริง
มันก็อาจไม่มีอยู่ในหนังสือก็ได้” เขายกเหล้าขึ้นมา
จิบ แล้วพูดว่า “ก็เหมือนว่าเหล้าองุ่นนี่ ก่อนหน้านี้
ทุกท่านเหมือนกับว่าจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่วันนี้
ท่านมหาเสนาได้นำมันออกมา มันก็ยืนยันให้เห็นว่า
มันมีอยู่จริง?”
หลิงหูซีปรบมือยิ้มแล้วพูดว่า “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม
จิ่นอีโหวพูดแบบนี้มันแปลกใหม่มาก ไม่ธรรมดา
จริงๆ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านมหาเสนาชมเกินไปแล้ว
ข้าเองก็ได้ยินคนอื่นเขาพูดมาอีกที รู้สึกว่ามันมี
เหตุผล”
“ก็แค่ได้ยินแล้วเอามาพูดแค่นั้น” เป่ยถังเฟิงพูดแบบ
ไม่พอใจ แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าตัวเขาเองความรู้
เทียบฉีหนิงไม่ได้เลย เลยไม่กล้าพูดมาก
หลิงหูซีกลับยิ้มแล้วถามว่า “จิ่นอีโหว ก่อนหน้านี้
ท่านเคยได้ลิ้มรสของเหล้าองุ่นหรือยัง?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าอย่าว่าแต่เหล้าองุ่นเลย มีเหล้าแบบ
ไหนบ้างที่ข้ายังไม่เคยลอง? แต่เขากลับยิ้มแล้วพูดว่า
“เคยมาบ้าง”
“อ๋อ?” หลิงหูซียิ้มแล้วพูดว่า “เป็นอย่างที่ท่านพูดมา
เหล้าองุ่นนี่มาทางเรือ หรือว่าแคว้นของท่านเองก็
เคยติดต่อกับต่างแดนมาก่อน?”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านมหาเสนา หากข้าเดาไม่ผิด เหล้า
องุ่นนี่ น่าจะมาจากดินแดนต่างประเทศ ที่จริงแล้ว
ในเมื่อชาวต่างถิ่นสามารถเดินทางมายังตงไห่ใน
ดินแดนของท่านได้ ก็สามารถหาทางไปทางหนานไห่
เพื่อเข้าสู่แคว้นฉู่ของพวกเราได้เช่นกัน” เขายกมัน
ขึ้นมาดื่มไปคำหนึ่ง แล้วท่องกลอนออกมาว่า “เหล้า
องุ่นแก้วใสยามค่ำคืน อยากดื่มเหล้าพีพาเลยรีบเร่ง
เมามายกลางสนามรบอย่าได้เย้ยหยัน ตั้งแต่โบราณ
ทำสงครามไปมาแล้วกี่รอบ?”
น้ำเสียงของเขาดูปลง ทุกคนมองหน้ากัน มีหลายคน
มีสีหน้าที่แปลกใจ
กลอนบทนี้ มันสามารถนำเอาเหล้าองุ่นผสมผสาน
เข้าไปได้อย่างดี จิ่นอีโหวแต่งกลอนสดกลางงานเลี้ยง
บทกลอนนี้มีความหมายแฝงที่ลึกซึ้ง เต็มไปด้วย
ความกล้าหาญองอาจ น่าทึ่งยิ่งนัก
หลังจากความเงียบครู่หนึ่ง หลิงหูซีถอนหายใจยาว
แล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าที่งานชุมนุมจิงหัว
ในแคว้นฉู่ จิน่ อีโหวแสดงความสามารถออกมาได้
อย่างน่าประทับใจ ข้ายังรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่วันนี้ได้
เห็นได้ยินกับตาและหู สมคำร่ำลืมจริงๆ เมามาย
กลางสนามรบอย่าได้เย้ยหยัน ตั้งแต่โบราณทำ
สงครามไปมาแล้วกี่รอบ เป็นกวีที่ยอดเยี่ยมมาก”
ฉีหนิงยกมือขึ้นแล้วยิ้ม “ตามอารมณ์ไปหน่อย ขาย
หน้าทุกท่านแล้ว ท่านมหาเสนา เหล้าดีแบบนี้ มัน
เหมาะกับแก้วใสมากเลยนะ เหล้าองุ่นเมื่อได้อยู่ใน
แก้วใส สีของมันจะแดงราวกับสีเลือด สีเหล้าเหมือน
เลือดสดแบบนี้ เมื่อดื่มมันเข้าไปในปาก มันก็เหมือน
การได้ดื่มเลือดของศัตรู มันไม่สะใจหรืออย่างไร?”
เมื่อเขาพูดออกมาแบบนี้ มีคนไม่น้อยกสีหน้าก็
เปลี่ยนไป แอบคิดในใจกันว่าแคว้นฉู่กับฮั่นเป็นศัตรูคู่
แค้นกัน พูดแบบนี้ออกมามันพุ่งเป้าไปที่เป่ยฮั่นชัดๆ
แต่ว่าการใช้เหล้ามาเปรียบเปรยแบบนี้ มันก็ดู
ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว มีคนไม่น้อยที่รู้สกึ นับถือ พวกเขา
คิดในใจกันว่าจิ่นอีโหวไม่เพียงเก่งในด้านบทกวี เขา
ยังมีมีสติปัญญาเฉียบแหลม ความกล้าเหนือคน เป็น
คนหนุ่มที่อนาคตไกลจริงๆ
หลิงหูซีไม่พูดมาก เขาปรบมือแล้วพูดว่า “เด็กๆ ไป
เอาแก้วใสมาให้ข้าที”
แก้วใสถึงแม้จะเป็นของมีค่า แต่ว่าสำหรับมหา
เสนาบดีแห่งแคว้นตงฉี ก็ไม่ใช่ของทีห่ ายากอะไร
บ่าวไพร่รีบยกแก้วใสกว่าสิบใบเข้ามา ทุกคนเปลี่ยน
แก้วที่ใส่เหล้าองุ่นในตอนแรกมาเป็นแก้วใสทั้งหมด
ตอนนี้เป็นตอนกลางดึกแล้ว เมื่อนำเหล้าองุ่นเทลง
บนแก้วใส สีของมันนั้นสวยงามมากจริงๆ
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงข้างนอกดังมา ทันใดนั้นก็
เห็นคนสองคนเดินตามกันเข้ามา พวกเขาแบกไม้
ท่อนเข้ามาสองท่อน หลิงหูซียิ้ม แล้วลุกขึ้น ทุกคน
ลุกขึ้นตาม หลิงหูซีส่งสัญญาณมือ แล้ววางท่อนไม้
สองท่อนนั้นวางลงไปในอ่างพร้อมกัน ทุกคนยืนล้อม
อยู่ที่อ่าง หลังจากที่ไม้สองท่อนนิง่ แล้ว ก็เห็นด้าน
หนึ่งของท่อนไม้นั้นจมลง หลิงหูซีถามว่า “ทำ
สัญลักษณ์ไว้แล้วหรือยัง?”
บ่าวไพร่พูดว่า “เรียนท่านมหาเสนา ทำสัญลักษณ์ไว้
หมดแล้วขอรับ” เขาเขยิบขึน้ หน้า แล้วมองอย่าง
ละเอียด แล้วรายงานว่า “ท่านมหาเสนา ใต้เท้าทุก
ท่าน ส่วนที่จมลงน้ำลึกหน่อย ส่วนนั้นเป็นส่วนของ
รากไม้ ทั้งสองท่อนนีเ้ หมือนกัน”
เมื่อทุกคนได้ยินอย่างนั้น ข้อสงสัยก่อนหน้านี้ทั้งหมด
ก็หายไป เขาคิดในใจกันว่าวิธีของจิ่นอีโหวน้อยยอด
เยี่ยมมาก ท่อนไม้สามท่อยเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด
เรื่องนีเ้ ป็นเรื่องจริงไม่ต้องสงสัยแล้ว
หลิงหูซีโบกมือ สั่งให้คนยกอ่างออกไป ตัวเขาเองยก
แก้วใสขึ้นมา ไม่ได้พูดอะไร ในตอนนี้คนอื่นก็ไม่พูด
อะไรเช่นกัน แต่ว่าความคิดของพวกเขานั้น
เหมือนกันหมด ฉีหนิงกับเป่ยถังเฟิงตกลงกันไว้ก่อน
แล้ว ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าวิธีของฉีหนิงไม่มีอะไร
ผิดพลาด ถ้าอย่างนั้นผลการเดิมพันของฉีหนิง
กับเป่ยถังเฟิงก็ออกมาแล้ว
ฉีหนิงเองก็นิ่งมาก เขายกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม อวี้อ๋อง
เงียบอยู่เหมือนเดิม มีเพียงเป่ยถังเฟิงเท่านัน้ ที่มีสี
หน้าไม่ดีเลย ในงานเลี้ยงทุกคนเงียบหมด เขารู้ดีว่า
มันเป็นเพราะอะไร ทุกคนกำลังรอให้เขาทำตาม
คำพูด เขาเป็นถึงองค์ชายรองของเป่ยฮั่น จะต้องมา
ร้องเล่นเต้นรำต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้จริงหรือ?
เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่อวี้อ๋อง อวี้อ๋องทำเหมือนว่า
เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย ไม่แม้แต่จะมองมาที่เขา
ฉีหนิงไม่ได้พูดอะไร แต่กลับได้ยินคนพูดขึ้นมาว่า
“คนเราไม่มีความน่าเชื่อถือจะได้ยังไง คำพูดหนึ่งคำ
มีค่าดังทองพันชั่งจึงจะถือเป็นลูกผู้ชาย คนไร้
ยางอายเท่านั้นทีจ่ ะไม่รักษาคำพูดของตัวเอง”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนัน้ ก็ต่างตกใจ พวกเขาหันหน้า
มามอง คนที่พูดนั้นก็คือก่งจ๋าซีลามะแห่งทิเบต
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 615 อาวุโสทั้งสอง
เป่ยถังเฟิงหาทางลงไม่ได้เลย เมื่อได้ยินก่งจ๋าซีพูด
แบบนี้แล้ว เขาก็ตั้งสติกลับมา แล้วตะคอกว่า “เจ้า
หลวงจีนเน่า เจ้าว่าอะไรนะ?”
ก่งจ๋าซีหน้าเข้ม สายตาของเขาราวกับดาบ แล้ว
ตะคอกกลับว่า “เจ้าพวกขโมยอย่างเจ้า เอากล่อง
ของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของเขาไม่พอใจมาก
ทุกคนที่อยู่ในงานส่วนมากไม่รู้ว่าเป่ยถังเฟิงกับก่งจ๋า
ซีมีปัญหากันมาก่อน เห็นทั้งคู่ปะทะฝีปากกัน ต่างก็
ตกใจ
เป่ยถังเฟิงเป็นคนนิสัยใจร้อนบุ่มบ่าม ถึงแม้เขาจะสั่ง
ให้ซุ่ยเสินจวินไปขโมยกล่องมาจริง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ
อีกทั้งซุ่ยเสินจวินยังถูกจับอีกด้วย เขารู้สึกโกรธมาก
หากบอกว่าเขาขโมยกล่องก็ไม่เป็นไร แต่ว่าครั้งนี้เขา
ถูกใส่ร้ายจริงๆ ตอนนี้กง่ จ๋าซีกลับไม่ไว้หน้าเขา หาว่า
เขาขโมยของต่อหน้าทุกคน แล้วเขาจะไปทนได้ยงั ไง
เขาหยิบแก้วเหล้าขึ้นมา แล้วโยนใส่ก่งจ๋าซี
ทุกคนตกใจมาก คิดในใจว่าเป่ยถังเฟิงบังอาจมาก
เกินไปแล้ว ที่นคี่ ือจวนมหาเสนาบดีใหญ่แห่งแคว้น
ตงฉี แต่เขากลับลงมือทำร้ายคนต่อหน้าทุกคนแบบนี้
ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย เป่ยถังเฟิงเคยเรียนหมัด
มวยมาก่อน กำลังของเขามีมาก แก้วลอยไปใกล้จะ
ถูกหน้าของก่งจ๋าซีแล้ว แต่ก่งจ๋าซียกมือซ้ายปัดเบาๆ
แก้วเหล้าย้อนกลับไปทีเ่ ป่ยถังเฟิงแทน
วรยุทธ์ของเป่ยถังเฟิงเทียบไม่ได้กับก่งจ๋าซี ก่งจ๋าซีลง
มือได้อย่างสวยงาม แก้วเหล้าลอยกลับไปราวกับดาว
ตก เป่ยถังเฟิงสีหน้าเปลี่ยนทันที แก้วเหล้ามาไวมาก
เขาแทบจะหลบไม่ทันเลย มันเข้ามาใกล้มากแล้ว ฮั่ว
เสินจวินที่อยู่ข้างเป่ยถังเฟิงโผล่ออกมา แล้วใช้มือปัด
แก้วเหล้าให้ไปทางอื่น มันลอยไปทีห่ น้าประตู
สีหน้าของฮั่วเสินจวินเหี้ยมมาก ก่งจ๋าซีสายตาราว
กับคมดาบ แก้วเหล้าลอยไปหน้าประตู บังเอิญหรือ
เปล่าก็ไม่รู้ ด้านนอกประตูบังเอิญมีเงาของคนสอง
คนโผล่ขึ้นมา แก้วเหล้าพุ่งไปหาหนึ่งในสองคนนั้น
คนผู้นั้นปฏิกริ ิยาไวมาก เขายื่นมือมาจับแก้วเหล้าไว้
ในมือ ทุกคนมองไป เห็นที่ประตูมีเงาของคนสองคน
คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย ทัง้ คู่สวมชุดสีเทาแบบหยาบ
บนหัวสวมหมวกสาน คนที่สูงนั้นผอม ส่วนคนที่เตี้ย
อ้วน พวกเขาดึงหมวกสานลงปิดหน้า แต่ว่ายัง
สามารถมองเห็นเคราสีขาวของพวเขาอยู่
งานเลี้ยงในจวนของมหาเสนาบดีจู่ๆ ก็มีคนแปลก
หน้าสองคนเข้ามาด้านใน ทุกคนต่างตกใจ คนแก่
ผอมสูงสองคนจับแก้วเหล้าเอาไว้ในมือ เขากำมือ
จากนั้นก็ปล่อย แก้วหายไปแล้ว เหลือเพียงแค่เศษ
ผงของแก้วเท่านัน้ เอง
ฉีหนิงเห็นเต็มสองตา เขารู้สึกตกใจมาก ถึงแม้แก้ว
เหล้าจะทำมาจากหยกชั้นดี ไม่ได้แข็งมาก แต่ว่าการ
ใช้มือเดียวบีบจนแตกเป็นผงแบบนี้ วรยุทธ์จะต้องไม่
ธรรมดาแน่
ทุกคนในงานเงียบราวกับป่าช้า แต่ว่าหลิงหูซีลุกขึ้น
จากที่นั่งอย่างรวดเร็ว จากนัน้ ก็เดินขึ้นไปรับหน้า
ทันที มหาเสนาบดีแห่งตงฉีกลับยกมือคำนับสองผู้
เฒ่าสวมหมวกสาน เขาก็ไม่พูดมาก ยกมือขึ้น ราว
กับเชิญผู้เฒ่าทัง้ สองไปคุยกันเป็นการส่วนตัว แต่ว่าผู้
อาวุโสคนอ้วนไม่ฟังเหตุผล เดินตรงไปหาฮั่วเสินจวิน
ทันที คนตัวสูงเองก็ไวพอเดินตามไปอย่างรวดเร็ว ผู้
อาวุโสทั้งสองเดินเทียบเคียงกันมา ราวกับว่าเป็นคน
คนเดียวกัน
ฮั่วเสินจวินรูปร่างสูงใหญ่กำยำ เห็นสองผู้เฒ่าเดินมา
ก็ขมวดคิ้ว แต่ว่าก็ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
สองผู้อาวุโสเดินไปตรงหน้าของฮั่วเสินจวิน ผู้เฒ่า
อ้วนเตี้ยถามว่า “เป็นเจ้าใช่ไหม?”
ฮั่วเสินจวินไม่ได้ตอบ ผู้เฒ่าผอมสูงพูดว่า “ใช่ คือ
เขา”
เฒ่าอ้วนเตี้ยถามว่า “ทำยังไงดี?”
ผู้เฒ่าผอมสูงพูดว่า “ขอโทษ”
ฮั่วเสินจวินถึงแม้จะไม่รู้ว่าทั้งคูเ่ ป็นใคร แต่ยังไงเขาก็
เป็นหนึ่งในห้าเสินจวินของหอเก้านภา เขาพูดว่า
“ท่านทั้งสองก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร คงไม่ต้องหาเรื่อง
ให้ข้าต้องลำบากใจหรอกนะ”
เฒ่าอ้วนเตี้ยถามว่า “ไม่อยากขอโทษ?”
ผู้เฒ่าผอมสูงพูดว่า “ไม่อยาก”
“ทำยังไงดี?”
ผู้เฒ่าผอมสูงพูดว่า “ลงมือเองเลย” เขาพูดจบ ก็ยนื่
มือออกไปอย่างรวดเร็ว เฒ่าอ้วนเตีย้ เองก็ลงมือตาม
ไปแทบจะพร้อมกัน ซ้ายขวาคนล่ะข้าง ราวกับ
วิญญาณ ฮั่วเสินจวินตกใจมาก เขาถอยหลังไป เขารู้
ว่าผู้เฒ่าสองคนนี้วรยุทธ์ไม่ธรรมดาเลย ฮั่วเสินจวิน
ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ผู้เฒ่าอ้วนเตี้ยกลับพุ่งไป
ด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็ว เขารูปร่างอ้วนเตี้ย แต่
ว่ากลับเคลื่อนที่ได้อย่างว่องไว ทุกคนมองไม่ทันเลย
ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแต่เสียงร้องของฮั่วเสินจวิน
เมื่อทุกคนมองเห็นอีกที ผู้เฒ่าทั้งสองก็จับหัวของฮั่ว
เสินจวินได้แล้ว
ผู้เฒ่าอ้วนเตี้ยยกมือจับแขนทั้งสองข้างของฮั่วเสิน
จวินเอาไว้ ส่วนผู้เฒ่าผอมสูงก็จับขาของฮั่วเสินจวิน
เอาไว้ เพราะทั้งคู่รปู ร่างไม่เหมือนกัน ดังนั้นตอนนี้
นั้นเท้าของฮั่วเสินจวินอยู่ด้านบนและหัวของเขาอยู่
ด้านล่าง เขาถูกจับห้อยหัวลงมากอยู่กลางอากาศ
คนที่นงั่ อยู่ทุกคนตกใจมาก หลิงหูซีรีบตะโกนว่า
“อย่าได้ลงมือ” น้ำเสียงของเขาตกใจมาก
ฉีหนิงตกใจมาก ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าผู้เฒ่าสองคนนี้
เป็นใครมาจากไหน แต่ว่าเขาก็ดูออกว่าไม่น่าจะใช่
คนของจวนมหาเสนาบดี หลิงหูซีเป็นเจ้าของจวน ก็
แสดงว่าเขามีอำนาจมากที่สุด แม้แต่ในแคว้นตงฉีเอง
เขาก็มีอำนาจมาก แต่ว่าผู้เฒ่าสองคนนี้กลับไม่ได้
สนใจหลิงหูซีเลย
อีกทั้งหลิงหูซีก็จัดงานเลี้ยงที่สวนดอกไม้ในจวน หาก
ไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีใครสามารถเข้ามาที่นี่ได้
แน่นอน แต่ว่าสองคนนี้ไม่มีใครมารายงาน ก็เข้า
มาถึงที่นี่ได้อย่างง่ายดาย
อวี้อ๋องหน้าถอดสี ถึงแม้เขาจะไม่พอใจในการกระทำ
ของเป่ยถังเฟิงมาก แต่เพราะเขาเป็นราชทูตของเป่ย
ฮั่น การที่ฮั่วเสินจวินถูกจับ โดยที่แทบจะไม่มีโอกาส
ได้ตอบโต้เลย เขาเองก็นั่งไม่ติด เขาลุกขึ้นมา แล้ว
พูดเสียงเข้มว่า “ท่านทั้งสองโปรดออมมือด้วย”
ผู้เฒ่าทั้งสองสามารถควบคุมฮั่วเสินจวินได้ง่ายดาย
วรยุทธ์แบบนี้ มันน่าตกใจมาก อวี้อ๋องเหตุใดจะไม่รู้
ว่าฮั่วเสินจวินถูกผู้เฒ่าสองคนนี้ควบคุมไว้ในมือ เป็น
ตายเท่ากัน หากฮั่วเสินจวินถูกฆ่าด้วยมือของผู้เฒ่าที่
ไม่รู้ที่มาที่ไปได้ เกียรติของเป่ยฮั่นก็คงไม่เหลือ
ผู้เฒ่าอ้วนเตี้ยหันไปมองอวี้อ๋องแล้วถามว่า “เจ้าบอก
ให้เราออมมืออย่างนั้นหรือ?”
ผู้เฒ่าผอมสูงพูดว่า “ใช่ คือเขา”
“ทำยังไงดี?”
“ขอโทษ”
อวี้อ๋องสูดหายใจเข้าลึกๆ ยกมือคำนับแล้วพูดว่า
“ล่วงเกินแล้ว ท่านยอดฝีมืออาวุโสทั้งสอง โปรดออม
มือด้วย ข้าขอเป็นตัวแทนขอพวกเขาขออภัยต่อพวก
ท่านด้วย”
อวี้อ๋องตั้งใจเน้นหนักไปที่คำว่า “ยอดฝีมือ” เพื่อ
แสดงให้พวกเขาสองคนเห็นว่าพวกเขาไม่ใช่คน
ธรรมดา แล้วขออภัยกับพวกเขา จะได้ไม่ขายหน้า
จนเกินไป
ผู้อาวุโสอ้วนเตี้ยพูดว่า “ทำผิดรู้จักแก้ไข แล้วควรทำ
ไง?”
“ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แน่นอน” ผู้อาวุโสผอมสูงพูดจบ
ทุกคนก็เห็นเงาวิ่งผ่านหน้าไป ฮั่วเสินจวินถูกโยนทิง้
ไว้ที่พื้น ผู้เฒ่าทั้งสองรวดเร็วเหมือนกับวิญญาณ เขา
พุ่งตัวออกไปที่หน้าประตู เขาไม่ได้หันหน้ากลับมา
แต่เดินตรงออกไปด้านนอก หลิงหูซียกมือคำนับแล้ว
พูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “ทุกท่านเชิญตามสบาย ข้าจะ
กลับมาโดยเร็ว” จากนั้นเขาก็รบี ตามผู้อาวุโสสองคน
นั้นไป
ภายในงานเลีย้ งเงียบสนิท ยังดีที่ขุนนางของแคว้น
ตงฉีหัวไว มีคนเริ่มลุกขึ้นมาแล้วเดินไปคารวะอวี้อ๋อง
กับฉีหนิงด้วยเหล้า
ฮั่วเสินจวินตอนนี้หน้าแดงมาก เขาลุกขึ้นมาจากพื้น
แล้วเดินไปข้างๆ เป่ยถังเฟิง เป่ยถังเฟิงรู้สึกเสียหน้า
มาก เขาไม่มองหน้าฮั่วเสินจวินเลย
ฉีหนิงดื่มเหล้ากับเหล่าขุนนางกลุ่มหนึ่งแล้ว ก็หันไป
ยิ้มแล้วพูดกับเป่ยถังเฟิงว่า “องค์ชายรองคิดออก
หรือยังว่าจะร้องเพลงอะไรหรือว่าเต้นรำด้วยบท
เพลงอะไรดี?”
เป่ยถังเฟิงคิดในใจว่าได้ตาเฒ่าสองคนนั้นมาเรื่องนี้ก็
น่าจะจบไปเงียบๆ แต่พอได้ยินฉีหนิงทวงถามขึ้นมา
สีหน้าของเขาก็แย่ลงไป
ตอนนี้มีคนมองไปที่เป่ยถังเฟิง เป่ยถังเฟิงถูกก่งจ๋าซี
หาเรื่องมาก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นฮัว่ เสินจวินก็ถูกผู้
เฒ่าสองคนนัน้ ลบหลู่ ตอนนี้ยังถูกฉีหนิงทวงสัญญา
อีก คืนนี้คณะทูตเป่ยฮั่นถูกหยามเกียรติมาก อวี้อ๋อง
ดูเหมือนจะนิ่งมา แต่ในใจเขาไม่พอใจมากๆ ทุก
อย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเป่ยถังเฟิงทั้งนั้น อวี้อ๋อง
แทบจะไม่มองหน้าเขาเลย
เป่ยถังเฟิงก็รู้ดีว่า คืนนี้หากเขาทำตามสัญญาเรื่อง
การแสดง เรื่องนี้ไม่นานก็จะแผ่ไปทัว่ มันเป็นเรื่องที่
ขายหน้ามาก แต่ว่าหากเขาไม่ยอมทำตาม ความ
เชือ่ มั่นของเป่ยฮั่นก็จะเสียหายอย่างหนัก
เขากัดฟัน แล้วลุกขึ้นมา เขาจ้องไปที่ฉีหนิงอย่าง
แค้นเคือง เขาเดินออกมากลางห้องจัดเลี้ยง เขาฝืน
ยิ้มแล้วพูดว่า “ปกติข้าเองก็ชอบดูงิ้วอยู่แล้ว พอจะ
จำเนื้อได้บ้าง ในเมื่อทุกท่านอยากจะฟัง ข้าก็จะทำ
ให้ทุกท่านได้สนุกสนานเอง” เขาเอ่ยปากร้อง ฉีหนิง
นั่งอยู่กบั ที่ สายตาของเขากะพริบ ส่ายหัวตาม
ทำนองไป เหมือนกำลังสนุกไปด้วย
ขุนนางหลายคนในงานต่างก็กลั้นขำ คิดในใจว่า
หลังจากคืนนี้ไป เป่ยถังเฟิงกับฉีหนิงน่าจะเป็นศัตรู
คู่อาฆาตแน่นอน แต่ว่าเป่ยฮั่นกับหนานฉู่ก็ไม่ถูกกัน
อยู่แล้ว ทั้งสองแคว้นต่อสู้กัน มันเป็นเรื่องปกติมาก
แต่ว่าหลังจากวันนี้ไป เรื่ององค์ชายรองแห่งราชวงศ์
เป่ยถังมาร้องเพลงที่จวนมหาเสนาบดีตงฉีเองก็จะ
แพร่ไปทั่วหล้า กลายเป็นเรื่องตลกของแผ่นดิน
ฉีหนิงดูเหมือนส่ายหัวไปมา แต่ในใจเขากลับกำลัง
นึกถึงสองคนที่ปรากฏตัวขึ้นมา
เขารู้สึกสงสัยมาก หลิงหูซีเป็นถึงมหาเสนาบดีของ
ตงฉี เป็นบุคคลสำคัญ เหตุใดถึงได้ดูมีมารยาทกับผู้
เฒ่าสองคนที่ไม่มีที่มาที่ไปด้วย หากเป็นคนทั่วไป
อย่าว่าแต่บุกเข้ามาในจวนเลย ต่อให้เข้ามาได้จริง
หลิงหูซีไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน
แต่หลิงหูซีกลับไม่ได้ต่อว่าผู้เฒ่าสองคนนั้นเลย อีกทัง้
ยังถึงกับทิ้งการรับรองราชทูตของทัง้ สองแคว้น ตาม
ผู้เฒ่าของสองคนนัน้ ไป ที่จริงมันก็ทำให้คนรู้สึก
แปลกใจมาก
เขาพยายามคิดถึงที่มาที่ไปของผู้เฒ่าทั้งสอง คิดว่าห
ลิงหูซีทำตัวระวังมากขนาดนี้ นอกจากคนที่ฮ่องเต้
ตงฉีส่งมาแล้ว แต่ว่าหากเป็นคนของฮ่องเต้ตงฉีจริง
ก็ต้องเห็นแก่หน้าของแคว้นอืน่ ด้วย ไม่มีทางให้ทาง
ราชทูตต้องเสียหน้ามาก
ทั้งสองคนนั้นเป็นเพราะฮั่วเสินจวินปัดแก้วเหล้า
พลาด ลงมือต่อหน้าทุกคน ทำให้ฮั่วเสินจวินต้องเสีย
หน้ามาก อีกทั้งยังเหมือนกับตบหน้าราชทูตเป่ยฮั่น
แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาไม่ได้มีความกลัวอะไรเลย
หากเป็นคนของฮ่องเต้ตงฉีจริง ไม่มีทางไม่เห็นใครอยู่
ในสายตาแบบนีเ้ ลย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 616 เส้นทางคดเคี้ยวของไข่มุกราตรี
ระหว่างที่ฉีหนิงกำลังคิดอยู่ เป่ยถังเฟิงก็ร้องจนจบ
เพลงแล้ว เขากลับมานั่งที่ของเขา แต่ว่าทุกคนไม่
กล้าจะปรบมือหรือว่าชื่นชม เพราะมันอาจจะเป็น
การประชดเยาะเย้ยเป่ยถังเฟิง ถึงแม้แคว้นตงฉีจะ
เป็นแคว้นเล็ก แต่ก็ยงั ไม่ควรจะเป็นศัตรูกับเป่ยฮั่น
ฉีหนิงไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เขาปรบมือยิ้มแล้วพูดว่า
“เสียงร้องขององค์ชายรองดีมากเลย ต่อไปหากมี
โอกาสอีก อยากขอเชิญองค์ชายรองร้องให้ฟังอีกสัก
ครั้งนะ”
เป่ยถังเฟิงกำหมัดแน่น กัดฟันแล้วจ้องเขม่นมาที่ฉี
หนิง
ในตอนนี้เอง ก็เห็นหลิงหูซีเดินเข้ามา เขายังคงยิ้ม
เหมือนเดิม เขายกมือคำนับแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง จิ่น
อีโหว ต้องขออภัยที่เสียมารยาทจริงๆ” เขากลับไป
นั่งที่ ท่าทางของเขายังนิง่ อยู่เช่นเดิม เหมือนไม่เคย
ออกจากที่ไป
ฉีหนิงรู้ดีว่า ผู้เฒ่าสองคนนั้นจู่ๆ ก็มา คงไม่ได้มาดูแค่
นั้น ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ในใจก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนมา
หาหลิงหูซีด้วยเรื่องอะไร
หลังจากที่หลิงหูซีนั่งลงแล้ว เขาก็ยมิ้ แล้วพูดว่า “จิ่น
อีโหว เรื่องของไม้ ดูท่าทางแล้วน่าจะแก้ปัญหาได้
แล้วนะ ตำหนักพระบรรทมกับฝ่าบาท น่าจะไม่มี
ปัญหาแล้ว ข้าขอบใจท่านมากนะ”
ฉีหนิงแค่ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร
หลิงหูซีถอนหายใจแล้วพูดว่า “ยังมีอีกเรื่อง วันนี้
อาจจะต้องรบกวนทุกท่านด้วย”
ฉีหนิงคิดในใจว่าตาเฒ่านี่ทำไมไม่จบไม่สิ้นสักที เขา
ได้ยินหลิงหูซีพูดว่า “เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับองค์หญิง
เทียนเซียง”
ราชทูตของทั้งสองแคว้นเหมือนจะตั้งใจฟังกันขึ้นมา
ทันที
ที่ทั้งสองฝ่ายมายังแคว้นตงฉี เป้าหมายก็เพื่อการ
อภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ ซึ่งคู่สมรสนั่นก็คือองค์หญิง
เทียนเซียง ตอนนี้ได้ยินหลิงหูซีพูดถึงหลิงหูซีขึ้นมา ก็
ไม่มีใครประมาท
ฉีหนิงเดาว่า ที่หลิงหูซีจัดงานเลี้ยงขึน้ ในวันนี้ อีกทั้ง
ยังตั้งโจทย์ให้พวกเขา น่าจะเป็นการเตรียมการไว้
ก่อนแล้ว หรืออาจจะเพื่อหยัง่ เชิงราชทูตของทั้งสอง
แคว้น ไม่ว่ายังไงก็ตาม งานเลี้ยงในคืนนี้ น่าจะ
เกี่ยวข้องกับการอภิเษกแน่นอน เขาเลยตั้งสติมาก
อวี้อ๋องพูดขึ้นมาว่า “ท่านมหาเสนา หรือว่าองค์หญิง
ทรงมีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
หลิงหูซีปรบมือ บ่าวไพร่ก็ได้ยกถาดเข้ามา คุกเข่าลง
กลางงาน หลิงหูซีลุกขึ้นยืน เปิดผ้าสีเหลืองบนถาด
ออก ทุกคนรู้สึกว่ามีแสงสะท้อนเข้าตา เห็นบนถาด
วางไข่มุกสีขาววางอยู่ ท่ามกลางแสงไฟ มันขาวราว
กับหิมะ
คนที่อยู่ในงานเลี้ยงเป็นขุนนางแทบทั้งหมด เห็นของ
มีค่ามาก็ไม่น้อย เขามองทีเดียวก็รู้ทนั ทีว่ามันคือ
ไข่มุกเม็ดงาม
หลิงหูซียิ้มแล้วพูดว่า “นี่คือไข่มุกราตรี เป็นของที่ฝ่า
บาททรงประทานให้กับองค์หญิงเทียนเซียง” เขาทำ
สัญลักษณ์มือ บ่าวไพร่เดินยกถาดไปให้อวี้อ๋องดู
จากนั้นก็เดินเอามาให้ฉีหนิงดู ไข่มุกเม็ดนี้ถือได้ว่า
เลือกมาอย่างดี แต่ว่าด้านข้างของไข่มุกเหมือนจะมีรู
เข็มเล็กๆ อยู่ มันน่าแปลกมาก หลิงหูซีอธิบายต่อว่า
“เส้นทางคดเคี้ยวของไข่มุกราตรี ภายในไข่มุกเม็ดนี้
มันมีทางเส้นเล็กๆ เลี้ยวไปเลี้ยวมา ถือได้หาได้ยาก
มาก”
อวี้อ๋องพยักหน้าแล้วพูดว่า “คิดว่าตอนที่ทำไข่มุก
เม็ดนี้ คงทำการแกะสลักเป็นลวดลายภายในแล้ว
เจาะเป็นรูแบบนี้แน่ๆ”
“ถูกต้อง” หลิงหูซีพูดว่า “ลวดลายที่เป็นเส้นทาง
ด้านในของมัน เกิดจากธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากฝีมือ
ของคน” เขายิ้มแล้วลูบเครา “องค์หญิงเทียนเซียง
เห็นมันเป็นของล้ำค่า ทรงโปรดปราณมันมาก
ลวดลายเส้นทางของไข่มุกราตรีเม็ดนี้มันมีผลในการ
ขับไล่สิ่งชั่วร้าย โหรหลวงทรงทูลกับองค์หญิงว่า หาก
แขวนมันเอาไว้บนหัวเตียง จะส่งผลดีต่อองค์หญิง”
เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าไม่มีใครสามารถ
ร้อยด้ายหรือเชือกเข้าไปในไข่มุกได้เลย องค์หญิง
ทรงเครียดมาก ฝ่าบาทเห็นแล้วก็ทรงทุกข์ใจ ข้าได้รู้
เรื่องนี้มา เลยทูลขอไข่มุกมา อยากจะคิดหาวิธีช่วย
แต่ผ่านไปหลายวันแล้ว ลองมาแล้วก็หลายวิธี ก็
ยังคงไม่สามารถทำได้” เขามองไปทางซ้ายและขวา
แล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง จิ่นอีโหว ไม่ทราบว่าจะช่วย
องค์หญิงแก้ปัญหานี้หน่อยได้ไหม?”
ฉีหนิงใช้ความคิดอย่างหนัก อวี้อ๋องเอวก็รู้ว่าเรื่องนี้
เกี่ยวข้องกับการอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ เขาเองก็คิด
มาก ขุนนางทุกคนได้ยินเหมือนกันหมด พวกเขาเริ่ม
พูดคุยกัน หลายคนก็ส่ายหัว คิดว่ารูเล็กขนาดนี้ อีก
ทั้งภายในยังคดเคีย้ วไปมา ไม่มีทางร้อยด้ายหรือว่า
เชือกได้แน่
หลิงหูซีขมวดคิ้ว เขากลับไปนั่งที่ของเขา ไม่พูดอะไร
ภายในงานเลีย้ งเงียบสนิท
อวี้อ๋องขมวดคิ้วคิดหนัก เหมือนยังคิดไม่ออก หลิงหู
ซีเหลือบไปมองฉีหนิง เห็นฉีหนิงยิ้มดูไม่เครียด เขา
เลยยิ้มแล้วถามว่า “จิ่นอีโหวหรือว่าท่านมีวิธีแล้ว?”
ฉีหนิงยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ท่านมหาเสนา ข้าเอง
ก็ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลไหม แต่ว่า......ลองดูก่อนก็ได้”
หลิงหูซีรีบพูดว่า “ขอแค่มีวิธี ลองได้เลย เรื่องนี้มัน
ยากอยู่แล้ว จิ่นอีโหว ท่านมีวิธีอะไรหรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านมหาเสนา ช่วยหามดมาให้ข้าสัก
ตัวจะได้ไหม?”
“มด?” ทุกคนมองหน้ากัน คิดในใจกันว่าในเวลา
แบบนีจ้ ะหามดมาทำไมกัน หลิงหูซีเองก็ไม่ได้ถาม
มาก สั่งให้คนไปว่า “ไปหามดมาสิ”
ฉีหนิงพูดว่า “จวนท่านมหาเสนาบดีเองก็น่าจะมี
น้ำผึ้งอยู่ด้วย ให้คนนำมาที่นี่สักเล็กน้อยได้หรือไม่?”
หลิงหูซีรีบสั่งให้คนไปเอาน้ำผึ้งมา ทุกคนที่อยู่ในงาน
ไม่เข้าใจว่าฉีหนิงคิดจะทำอะไร อวี้ออ๋ งนิ่งไป เหมือน
เข้าใจอะไรขึน้ มา เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ยอด
เยี่ยม ยอดเยีย่ ม จินอีโหวอายุน้อยอีกทั้งยังฉลาด หัว
ไว น่านับถือยิ่งนัก”
ทุกคนเห็นอวี้อ๋องพูดออกมาแบบนี้ ก็รู้ทันทีว่าอวี้
อ๋องน่าจะเข้าใจแล้วว่ามันคืออะไร พวกเขาต่างมอง
หน้ากัน
ไม่นานนัก น้ำผึ้งถูกนำมา ฉีหนิงหยิบไข่มุกราตรี
ขึ้นมา แล้วมองอย่างละเอียด ด้านข้างของไข่มุกมันมี
รูอยู่สองข้าง น่าจะเป็นทางเข้าและออก แต่ว่าตรง
กลางมันเป็นเส้นทางคดไปเลี้ยวมา ไม่ใช่เส้นตรง เขา
มองสำรวจอย่างละเอียดอีกครัง้ ในตอนนี้เองก็มีคน
จับมดมาหลายตัว
ฉีหนิงใช้เล็บจิ้มไปทีน่ ้ำผึ้ง จากนั้นก็ทาไปยังขอบรู
จากนั้นก็ให้คนเอาด้ายมามัดกับตัวมด มดตัวเล็กมาก
ดังนั้นเขาเลยระวังเป็นพิเศษ ทุกคนไม่กล้าส่งเสียง
มองดูฉีหนิงอย่างเงียบๆ ฉีหนิงวางไข่มุกราตรีที่ทา
น้ำผึ้งไว้แล้วไว้บนถาดเหมือนเดิม จากนั้นก็ค่อยวาง
มดที่มัดด้ายบนตัวไปที่ปากรู จากนัน้ ก็ค่อยๆ ปล่อย
มดให้วิ่งเข้าไปในรู
ในตอนนี้เองหลิงหูซีเองก็อดไม่ได้ที่จะเขยิบเข้ามา
ใกล้ๆ ขุนนางด้านข้างก็เข้ามาล้อมวงเช่นกัน พวกเขา
จ้องไปที่รทู ี่อยู่ที่ไข่มุกราตรี
สักพัก ก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว
......” ทุกคนเห็นชัดว่า มดออกมาทางที่มีน้ำผึ้งทาอยู่
จริงๆ อีกทั้งด้ายที่มัดอยู่บนตัวมัน ก็ออกมาด้วย
เช่นกัน หลายคนมีสีหน้าที่ดีใจมาก อีกทั้งยังมีหลาย
คนที่ยกนิ้วชื่นชม
เป่ยถังเฟิงเองก็อดเขยิบเข้ามาดูไม่ได้ เขาเห็นมดนำ
ด้ายออกมาด้วย จากนั้นก็ได้ยินหลายคนชื่นชมฉีหนิง
เลยอดไม่ได้พูดว่า “ฝีมือก็แค่นี้” เขาไม่กล้าพูดเสียง
ดังมาก เพื่อไม่ให้ฉีหนิงได้ยิน เขารู้ดีแก่ใจว่า เรื่องนี้ดู
เหมือนง่าย แต่ว่าคิดจะหาวิธีมาทำ ตัวเขาเองคิดทั้ง
ชีวิตก็อาจจะคิดไม่ออก
หลิงหูซีพูดด้วยความชื่นชมว่า “จิ่นอีโหว ยอดเยี่ยม
มาก หากไม่ได้คิดอย่างละเอียด คงไม่มีทางคิดวิธี
แบบนี้ได้แน่”
ที่จริงแล้วเริ่มแรกขุนนางตงฉีเห็นแคว้นฉู่ส่งราชทูต
อายุน้อยขนาดนี้มา ยังคิดว่าฉีหนิงอาจเป็นเพราะ
เป็นจิน่ อีโหวถึงได้ถูกส่งมาที่นี่ แต่ตอนนี้พวกเขารู้
แล้วว่า ที่แคว้นฉู่ส่งโหวน้อยมาเป็นราชทูต ไม่ได้เป็น
การตัดสินใจที่ลวกๆ
“มีราชโองการ” ทุกคนกำลังชื่นชม ทันใดนั้นก็มี
เสียงดังขึ้น มีคนสามคนเดินเข้ามา สองคนซ้ายขวา
เป็นองครักษ์ คนตรงกลางเป็นคนถือราชโองการมา
ประกาศ หลิงหูซีกับขุนนางตงฉีรีบคุกเข่าลงทันที
หลิงหูซีเดินขึ้นหน้าแล้วคุกเข่าลง ขุนนางคนอื่นก็
คุกเข่าตาม อวี้อ๋องกับฉีหนิงมองหน้ากัน ทั้งคู่ไม่ใช่
ขุนนางตงฉี เลยไม่คุกเข่ารับราชโองการของฮ่องเต้
ตงฉี แต่กลับเดินขึ้นหน้ามา แล้วโค้งตัวลงเล็กน้อย
ถือว่าให้เกียรติ
ผู้มาประกาศกวาดสายตาไปรอบๆ จากนั้นก็มองไป
ที่หลิงหูซี น้ำเสียงของเขาถามอย่างนอบน้อมว่า
“ท่านมหาเสนา ราชทูตเป่ยฮั่นกับหนานฉู่อยู่ทนี่ ี่ด้วย
หรือไม่?”
หลิงหูซีรีบตอบว่า “เฉินกงกง อวี้อ๋องแห่งเป่ยฮั่น
กับจิ่นอีโหวแห่งหนานฉู่อยู่เป็นแขกที่จวนทั้งสิ้น”
กงกงผู้มาประกาศราชโองการยิ้มแล้วพยักหน้า
จากนั้นเขาก็เปิดราชโองการ แล้วอ่านว่า “ฝ่าบาทมี
ราชโองการ เนื่องด้วยราชทูตของแคว้นฮั่นและฉู่
เดินทางมาเยือนต้าฉีของเรา เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี
ที่ดีต่อกันของทั้งสามแคว้น ถือเป็นบุญของใต้หล้า
ข้ารู้สึกยินดีมาก ให้ท่านมหาเสนาบดีหลิงหูซีนำคณะ
ราชทูตของทั้งสองแคว้นเข้าเฝ้าที่ทอ้ งพระโรงในการ
ประชุมเช้าพรุ่งนี้ ห้ามให้เกิดความผิดพลาดโดย
เด็ดขาด จงราชโองการ”
หลิงหูซี ตอบกลับด้วยเสียงดังว่า “กระหม่อมรับราช
โองการ” เขารับราชโองการด้วยสองมือ กงกงผู้
ประกาศราชโองการขอตัวกลับทันที หลิงหูซีหัน
กลับมา ยิ้มแล้วพูดว่า “หลายวันมานี่ทางราชสำนักมี
เรื่องต้องจัดการมากมาย ครั้งนี้ฝ่าบาททรงให้เข้าเฝ้า
เร็วขึ้น”
ฉีหนิงได้ยินว่าพรุ่งนี้โปรดให้เข้าเฝ้า ก็รู้สึกโล่งใจ เดิม
เขายังกังวลว่าการที่ไท่ซานอ๋องก่อกบฏ การเข้าเฝ้า
ฮ่องเต้ตงฉีอาจจะต้องรอไปอีกหลายวัน ตอนนี้เขา
รู้สึกเบาใจแล้ว
อวี้อ๋องพูดว่า “ท่านมหาเสนา ในเมื่อฮ่องเต้ของพวก
ท่านมีพระประสงค์จะให้เราเข้าเฝ้าในวันพรุ่งนี้ คืนนี้
เราคงไม่อาจอยู่ดึกได้ ข้าคงต้องขอตัวกลับไปเตรียม
ตัวก่อน”
หลิงหูซีพยักหน้าแล้วพูดว่า “อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน
ท่านอ๋อง หากต้อนรับไม่ดีไม่ทั่วถึง อย่าได้ถือสาเลย
นะ”
“ไม่เลย ไม่เลย” อวี้อ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “หลังจากเข้า
เฝ้าแล้ว หากท่านมหาเสนามีเวลา เราค่อยมาดื่มกัน
ใหม่ได้”
หลิงหูซีหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง เราตกลงกัน
แล้วนะ”
อวี้อ๋องก็ไม่พูดมาก เขายกมือแล้วขอตัวกลับ เขา
พาเป่ยถังเฟิงกลับทันที พวกเขาออกจากสวนดอกไม้
ไป ก่งจ๋าซีกเ็ ดินขึ้นหน้ามา แล้วพนมมือคำนับหลิงหู
ซี หลิงหูซีพูดว่า “ไต้ซือท่านอย่าได้ร้อนใจไป เรื่องนี้
เราจะพยายามช่วยพวกท่านอย่างเต็มที่”
“ขอบคุณมาก” ก่งจ๋าซีไม่พูดมาก ขอตัวกลับทันที
ฉีหนิงเห็นอวี้อ๋องพาคนกลับไปแล้ว เขาก็เดินขึ้นไป
ขอตัวกลับก่อน หลิงหูซีกลับพูดว่า “ท่านโหวน้อย
โปรดรอสักครู่” ขุนนางคนอื่นเห็นว่าอยู่ต่อไปก็ไม่มี
ประโยชน์ ก็ลุกขึ้นมาแล้วขอตัวกลับ หลิงหูซีส่งทุก
คนกลับไปจนหมดแล้ว ถึงได้หันกลับมาพูดกับฉีหนิง
ว่า “ท่านโหวน้อย เชิญมาคุยกันทางนี้หน่อยนะ”
เขาเดินนำทาง พาฉีหนิงไปยังห้องทางด้านข้างของ
สวนดอกไม้ แล้วสั่งให้คนยกน้ำชามาให้ใหม่
“ท่านโหวน้อย ท่านจั่วชิงหยางสบายดีหรือไม่?”
หลังจากที่เขานั่งลง หลิงหูซีก็พูดเข้าเรื่องเลย “ได้ยนิ
มาว่าท่านโหวน้อยกับทางวิทยาลัยฉงหลินมีความ
เกี่ยวข้องกัน ที่งานชุมนุมจิงหัว ท่านออกหน้าใน
ฐานะตัวแทนของทางวิทยาลัย ไม่ทราบว่าท่านจั่วได้
ฝากจดหมายอะไรให้ท่านนำมาด้วยหรือไม่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 617 เหอถูลั่วซู
ฉีหนิงได้ข่าวมาก่อนแล้ว รู้แล้วว่าหลิงหูซีกับจั่วชิงห
ยางเป็นศิษย์พศี่ ิษย์น้องสำนักเดียวกัน ก่อนหน้านี้
เขาก็เคยคิดว่า จะอาศัยความสัมพันธ์ของหลิงหูซีกับ
จั่วชิงหยาง ช่วยเรื่องการอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ดี
หรือไม่ คิดไม่ถึงเลยว่าหลิงหูซีจะเอ่ยปากเรื่องนี้มา
ก่อน เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านมหาเสนากับท่านจั่ง
เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันอย่างนั้นหรือ?”
หลิงหูซีพูดว่า “โหวเยว่รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?” เขาถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ข้ากับศิษย์พี่จั่วเป็นศิษย์
สำนักเดียวกัน เขาเก่งกว่าข้ามากนัก แต่น่าเสียดาย
เขาไม่มักในลาภยศ”
“แต่ละคนมีความชอบเป็นของตัวเองทั้งนัน้ ” ฉีหนิง
พูดว่า “ท่านจั่วคิดอยากจะเผยแพร่วิชาความรู้ ท่าน
มหาเสนาอยากใช้วิชาเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง
ถึงแม้เส้นทางจะต่างกัน แต่ว่าเป้าหมายไม่ได้ต่างไป”
หลิงหูซีสายตาเป็นประกาย เขายิ้มแล้วพูดว่า
“คำพูดคำจาของโหวน้อย ไม่เหมือนคนหนุ่มเลยนะ”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่ามหาเสนา ท่านจั่ว...
ไม่มีข่าวมาสักพักแล้วล่ะ”
คืนนั้นเรื่องที่เกิดในวิทยาลัยฉงหลิน ฉีหนิงไม่ได้พูด
กับใครเลย หลังเกิดเรื่องมีคนของราชสำนักมา
เกี่ยวข้องด้วย ขุนนางพวกนัน้ ชี้แจงว่าจั่วชิงหยาง
ออกไปท่องเที่ยว ส่วนวิทยาลัยฉงหลินก็ปิดไป ฉีหนิง
รู้ว่าการที่จู่ๆ จั่งชิงหยางหายตัวไปนัน้ ราชสำนักเอง
ก็อาจจะไม่รู้
จั่วชิงหยางบาดเจ็บสาหัส จากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้
ร่องรอย ทุกอย่างทีเ่ กิดขึ้นมาจากม้วนรกภูมินั่นเป็น
เหตุ ม้วนของนรกภูมิ ฉีหนิงรู้ว่ามันสำคัญมาก เลย
ไม่ได้บอกใครมาก่อน
ตอนนี้หลิงหูซีพูดถึงจั่วชิงหยางขึ้นมา ฉีหนิงจึงต้อง
รับมืออย่างระวัง หลิงหูซีเป็นศิษย์พศี่ ิษย์น้องกับจั่ว
ชิงหยาง แต่เขาก็ยังเป็นมหาเสนาบดีแห่งแคว้นตงฉี
ด้วย ฉีหนิงต้องระวังให้มาก
หลิงหูซีขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ไม่มีข่าวคราว?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าในเมื่อหลิงหูซีรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในงาน
ชุมนุมจิงหัว แสดงว่าการข่าวของเขาจะต้องไวมาก
เหมือนกัน ในเมืองหลวงแคว้นฉู่ คงต้องมีสายของ
ตงฉีอยู่บ้าง ซึง่ อาจจะรู้เรื่องของจั่วชิงหยางหายตัวไป
ก็ได้ พยักหน้าพูดว่า “ท่านจั่วจู่ๆ ก็เดินทางออกจาก
เมืองหลวง จนถึงตอนนี้ไม่มีข่าวเลย”
หลิงหูซียิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ชอบเดินทางท่องเที่ยว
ข้ากับเขาไม่ได้เขียนจดหมายติดต่อกันมาเกือบครึ่งปี
แล้ว” จากนั้นเขาก็ถามว่า “แล้ววิทยาลัยฉงหลินล่ะ
ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“ปิดไปแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอาจารย์เดินทาง
ท่องเทีย่ ว วิทยาลัยฉงหลินก็ไร้ผู้นำ ดังนั้น...”
หลิงหูซีขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไม่จริง” เขาจ้องไปทีฉ่ ี
หนิงแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ท่านพูดความจริงกับ
ข้ามาเถอะ เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่ใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงลังเลแล้วถึงพูดว่า “ท่านมหาเสนาทำไมถึงได้
ถามเช่นนี้ล่ะ?”
“ข้ากับศิษย์เขียนจดหมายถึงกันบ่อยมาก พวกเรา
เข้าใจอีกฝ่ายอย่างดี” หลิงหูซีถอนหายใจแล้วพูดว่า
“วิทยาลัยฉงหลินสำหรับศิษย์พี่แล้ว สำคัญและมีค่า
มากกว่าชีวิตเขาอีก หากว่าเขายังหนุ่มแน่นก็แล้วไป
แต่ว่าเขาในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีแต่วิทยาลัย
เท่านั้น ไม่มีทางออกเดินทางไปท่องเที่ยวโดยที่ไม่
สนใจวิทยาลัยฉงหลินแบบนี้แน่นอน” เขาพูดถึงตรง
นี้ เขาก็ลุกขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปยังหลังฉากบังลม
จากนั้นเขาก็เดินออกมา แล้วยื่นจดหมายไปให้ฉีหนิง
หนึ่งฉบับ ฉีหนิงรับจดหมายมา เห็นตัวอักษรใน
จดหมายแปลกๆ เขาอ่านไม่ออก แต่พอมองดีๆ เขา
ก็จำได้ว่ามันคืออักษรมี่อิ่ง
อักษรมี่อิ่งเป็นอักษรที่ประสกอิ่งผิงคิดขึ้น ม้วนนรก
ภูมิใช้อักษรมี่อิ่งทำขึ้น ต่อให้อ่านยาก ฉีหนิงเห็น
อักษรมี่อิ่ง เขาเองก็ตกใจ เขาหยิบตัวจดหมายด้าน
ในออกมา เมื่อเปิดอ่าน เนื้อหาทั้งหมดก็เป็นอักษรมี่
อิ่ง เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านมหาเสนา เอ่อ...”
หลิงหูซีพูดว่า “นี่เป็นอักษรที่ข้ากับศิษย์พี่ใช้
ติดต่อกัน คนที่รู้จักมันมีไม่มาก แต่เขากับข้าอ่านกัน
ออก นี่เป็นจดหมายเมื่อสี่เดือนที่แล้ว หรือก็คือ
จดหมายฉบับสุดท้ายระหว่างข้ากับศิษย์พี่” เขานิ่ง
ไป แล้วพูดว่า “เนื้อหาในจดหมายฉบับนี้มันไม่
เหมือนที่ผ่านมาเลย ปกติแล้วไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร
ขึ้นมา ศิษย์พี่กจ็ ะนิง่ และสุขุมมาก แต่ว่าในจดมหาย
ฉบับนีเ้ ขากลับเขียนเหมือนมีเรื่องกังวลใจ วุ่นวายใจ
อีกทั้งมีเขียนอักษรผิดมากมาย เขาทำอะไรละเอียด
และระวังเสมอ การเกิดข้อผิดพลาดแบบนี้ มันไม่
ปกติเลย”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ได้พูดถึง
อะไรบ้างหรือไม่ในจดหมาย?”
หลิงหูซีส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มี ถึงแม้ศิษย์พจี่ ะ
สนิทกับข้า แต่ว่าเขาไม่ยุ่งเรื่องการเมือง ปกติเขาไม่
ชอบติดต่อกับขุนนางราชสำนัก ตอนนั้นข้ามาเป็นขุน
นางของแคว้นฉี ได้ไปเชิญศิษย์พี่มาด้วย ศิษย์พี่ไม่
เพียงปฏิเสธ อีกทั้งยังไม่ยอมคุยกับข้าเลยถึงสองปี
ข้าง้อแล้วง้ออีก เขาถึงยอมติดต่อกับข้าต่อไป ข้ากับ
เขาใช้จดหมายติดต่อกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเรา
จะไม่คุยเรื่องการเมืองกันเลย พูดคุยเรื่องทั่วไป
เท่านั้น” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า ในจดหมายนี่ เขา
บอกแค่ว่าเขาจะใช้เวลาครึ่งชีวิตที่เหลือกับ
วิทยาลัยฉงหลิน ยังบอกว่าจะเขียนตำรา...แต่ว่า
สุดท้ายกลับบอกว่า หากเขาเป็นอะไรไป ตำราที่เขา
อยากจะเขียนเขาคงเขียนมันไม่จบ เขาสั่งให้ข้าช่วย
เขาเขียนต่อไป แล้วก็ส่งมันมาพร้อมกับจดหมาย
ฉบับนี้ ตำรานัน่ มีด้วยกันแปดม้วน
“ท่านมหาเสนา ท่านหมายความว่าท่านอาจารย์รู้อยู่
ก่อนแล้วว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิง
ขมวดคิ้วถาม
หลิงหูซีสีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดว่า “ตอนที่ข้ากับ
ศิษย์พเี่ ล่าเรียนอยู่ด้วยกัน พวกเราสนิทกันมาก
หลังจากการศึกษา พวกเราก็ไม่เคยขาดการติดต่อกัน
เลย” เขายิ้มแล้วพูดว่า “พูดตามตรง ตอนนั้นที่ข้า
กับศิษย์พี่ติดต่อกัน คนในราชสำนักยังหาว่าข้าแอบ
สมคบคิดกับคนแคว้นอื่นด้วย” เขายกมือแล้วพูดว่า
“เขาอาศัยอยู่แคว้นฉู่ ข้าแค่อยากช่วยดูแลเขาบ้าง
เท่านั้น แต่ข้าเองก็รู้จักนิสัยเขาดี ดังนั้นก็เลยใช้
จดหมายเพื่อให้รู้ข่าวคราวว่าเขายังสบายดี แต่ว่า
จดหมายฉบับนี้มันแปลกมาก หลังจากที่ข้าได้รับแล้ว
ก็รู้สึกว่ามันไม่ปกติ คิดอยากจะส่งคนไปสืบเรื่องนี้ดู
แต่ว่าหากถูกศิษย์พี่จับได้ว่าข้าส่งคนไปแอบสืบ ด้วย
นิสัยของเขา ข้าเองก็ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมา
ข้าทำอะไรไม่ได้ทำได้แค่ร้อนใจ”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์เป็นบัณฑิต
นักปราชญ์ มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี ท่านมหาเสนาส่ง
คนไปสืบ หากท่านอาจารย์ได้รับทราบ ก็น่าจะไม่
ชอบใจนัก”
“ดังนั้นวันนี้ทเี่ ชิญโหวเยว่มาที่นี่ ก็มีเรื่องสำคัญมาก
เรื่องหนึ่ง อยากจะสอบถามโหวเยว่สักหน่อย” หลิงหู
ซีพูดว่า “งานชุมนุมจิงหัวดังไปทั่วหล้า ข้าเองก็เป็น
บัณฑิตมาก่อน เลยสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ ข้ารู้ว่าโหว
เยว่ออกไปประลองในฐานะตัวแทนของวิทยาลัยฉง
หลิน อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับศิษย์พี่ด้วย”
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านปู่กับท่านพ่อของท่าน ตอน
นั้นต่างเป็นศิษย์ของศิษย์พี่ ความสัมพันธ์แบบนี้ไม่
อ่อนเลย”
ฉีหนิงพยักหน้า “ท่านมหาเสนากังวลเรื่องของท่าน
อาจารย์ ข้าเองเข้าใจดี”
“ศิษย์พี่ไม่ได้ออกเดินทางท่องเทีย่ วแน่ เขาจะต้อง
ประสบเหตุร้ายอะไรขึ้นแน่นอน” หลิงหูซีสีหน้า
เคร่งเครียดมาก “ท่านโหวน้อย ตอนที่ท่านอยูก่ ับ
ศิษย์พี่ ท่านรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไปบ้างหรือไม่?”
ฉีหนิงนิ่งไป เขาส่ายหน้า หลิงหูซีถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “ศิษย์พี่ไม่เคยแสดงออกทางสีหน้า คิดอยากจะ
มองทะลุใจเขา ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว” เขาพูดว่า
“น่าเสียดายศิษย์พี่หายไปคราวนี้ มีเรื่องหนึ่งคงไม่
อาจทำต่อไปได้อีก”
“ไม่อาจทำต่อไปได้อีก?”
หลิงหูซีนิ่งไป แล้วพูดว่า “ที่จริงมันก็ไม่ใช่ความลับ
อะไร โหวเยว่เห็นอักษรบนจดหมายนั่นหรือไม่ ท่าน
อ่านมันออกหรือไม่?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่รู้จักเลยแม้แต่ตัว
เดียว”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าแปลก” หลิงหูซีลูบเคราแล้วพูดว่า
“มันคืออักษรมี่อิ่ง ระเบิดเมฆาด้วยเงาจันทร์ อิง่ ผิง
ส่งฤดูใบไม้ผลิ อักษรมี่อิ่งคิดค้นโดยประสกอิ่งผิงเมื่อ
หลายร้อยปีก่อน คนที่รู้จักอักษรนี้มนี ้อยมาก ประสก
อิ่งผิงส่วนตัวก็ยังเป็นปริศนา มีแต่เรือ่ งเล่าต่อกันมา
ว่า ประสกอิ่งผิงนัน้ ที่จริงไม่ใช่บุคคล แต่เป็นกลุ่มคน
คนกลุ่มนี้มีอุดมการณ์ที่เหมือนกัน กลุ่มคนพวกนี้
เรียกตัวเองว่าประสกอิ่งผิง อักษรมี่อิ่งเป็นอักษรที่
พวกเขาคิดค้นขึน้ มา เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารกัน”
ที่มาที่ไปของอักษรอิง่ ผิง ฉีหนิงรู้ว่าจากท่านเหลียว
นักบัญชีของจวนจิ่นอีโหวแล้ว เรื่องของประสกอิง่ ผิง
นั้น เขาเลยพอรูเ้ รื่องอยูบ่ ้าง
“ตอนนั้นพวกเราบังเอิญได้เจอและรู้เรื่องของอักษรอิ่
งผิง เลยลงทุนลงแรงไปมาก จนได้ทำนองบทเพลง
ของประสกอิง่ ผิงมาม้วนหนึ่ง” หลิงหูซีมองไปที่ฉี
หนิง แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ไม่ยุ่งเกีย่ วกับเรื่องการเมือง
เพราะเขาไม่มีใจคิดอยากได้ชื่อเสียง แต่ว่ามีอีก
เหตุผลหนึ่งที่สำคัญมาก ที่ในโลกนี้มีไม่กี่คนที่รู้เรื่อง
นี้”
“ท่านมหาเสนาหมายความว่า...ทำนองเพลงนั้น?” ฉี
หนิงถาม
หลิงหูซีส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ถึงแม้มันจะเกีย่ วข้อง
กับทำนองเพลง แต่ว่าสาเหตุที่แท้จริง คือศิษย์พคี่ ิด
อยากจะไขปริศนาของประสกอิง่ ผิงมาตลอด ประสก
อิ่งผิงคือตัวตนที่เป็นปริศนามาตลอด หรือก็คือคนที่มี
ความสามารถไร้เทียมทาน ศิษย์พรี่ สู้ ึกสนใจอักษรมี่อิ่
งมาก ต่อมาเขาก็พยายามหาร่องรอยที่เกี่ยวข้อง ข้า
ช่วยให้ศิษย์พี่ได้ม้วนทำนองเพลงนัน่ มา ศิษย์พี่
หลงใหลในม้วนทำนองเพลงนั้นมาก...” เขาหยุดไป
เหมือนจะใช้ความคิด หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาพูด
ต่อว่า “ศิษย์พี่ทำการศึกษาม้วนทำนองเพลงนั่นอยู่
หลายปี ในที่สุด เขาก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่บทเพลง
ธรรมดา แต่ว่าภายในมันมีความลับของประสกอิง่ ผิง
เต็มไปหมด...”
ฉีหนิงเดาได้ว่าทำนองเพลงที่หลิงหูซีหมายถึงนั้น มัน
น่าจะเป็นม้วนนรกภูมิที่อยู่ในมือของเขา เขาถามว่า
“ท่านอาจารย์สามารถถอดปริศนาในนั้นได้หรือไม่?”
หลิงหูซีส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หลายปีมานี่ข้ากับเขาส่ง
จดหมายหากัน ส่วนมากก็พูดคุยกันถึงเรื่องปริศนาที่
อยู่ในนั้น ศิษย์พี่รู้แค่ว่า ประสกอิ่งผิงน่าจะเป็นคนคน
หนึ่ง ไม่ใช่กลุ่มคน อีกทั้งในทำนองเพลงนั้น เหมือน
จะเป็นที่อยู่ของผลงานของประสกอิง่ ผิง”
ฉีหนิงตะลึง หลิงหูซีพูดต่อไปว่า “ประสกอิ่งผิงเป็น
คนมีความสามารถประหลาด เขามีพรสวรรค์เรือ่ ง
ศิลปะในทุกแขนง ตอนนี้ที่หลงเหลืออยู่ มีอยู่ไม่มาก
แต่ว่าผู้คนกลับไม่รู้เลยว่า ประสกอิ่งผิงนั้นมีตำราอยู่
ทั้งหมดสี่เล่ม แบ่งเป็น สวรรค์ นรก มนุษย์ และ
วิญญาณ”
“ในม้วนทำนองเพลงนั้นพูดถึงเรื่องพวกนี้หรือ?” ฉี
หนิงพูดอยากตกใจมาก
หลิงหูซีพยักหน้า “ไม่เพียงพูดถึงเรือ่ งนี้ อีกทั้งยังระบุ
ที่อยู่ของม้วนตำราทั้งสี่ด้วย แต่ว่าคนอยากประสกอิ่
งผิง ต่อให้เขาจะให้เบาะแสในทำนองเพลง คิด
อยากจะแก้ปริศนาของเขา มันยากมาก ศิษย์พี่ใช้
เวลากว่าหกปีถึงได้รู้เรื่องของตำราทัง้ สี่ แต่ว่าหลายปี
ต่อมา กลับแก้อะไรไม่ออกอีกเลย”
“แล้วเนื้อหาในตำราทั้งสี่เล่มมันเกี่ยวกับอะไร?” ฉี
หนิงถามว่า “มันคุ้มค่าที่ต้องไปตามหาหรือไม่?”
หลิงหูซียิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยรู้จักแผนผังเหอ
ถูกับตำราลั่วซูหรือไม่?” เขาไม่รอให้ฉีหนิงตอบ เขา
พูดขึ้นมาว่า “[อี้จิง.หมวดฉือซ่าง] กล่าวไว้ว่า เหอส
ร้างแผนผัง ลั่วสร้างตำรา เป็นของพระเจ้า พระเจ้า
ในที่นี้ หมายถึงพระเจ้าฝูซี กล่าวกันว่า ในยุคของฝูซี
ปรากฏมีม้ามังกรแบก” ภาพเหอถู “ผุดขึ้นมาจาก
แม่น้ำฮวงโห และมีเต่าวิเศษคาบ” ตำราลิ่วซู “ผุด
ขึ้นมาจากลำน้ำลั่วสุ่ย ฝูซีได้นำ ‘ภาพวาด’ ‘ตำรา’
มาประกอบกันกลายเป็นแผนผังแปดทิศขึ้น ต่อมา
พระเจ้าโจวเหวินได้ศึกษาแผนผังแปดทิศของพระ
เจ้าฝูซีและจำแนกเป็นแผนผังแปดทิศกับหกสิบสี่ทิศ
อีกทั้งยังจำแนกศาสตร์ออกมาอีกหลายแขนง ภาพ
เหอถูกับตำราลั่วซูเป็นที่มาของธาตุทั้งห้ากับหยินห
ยาง โป๊ยข่วย อี้จงิ ลักกะ กิ๋วแช ฮวงจุ้ย และศาสตร์
อื่นๆ อีกมากมาย”
ฉีหนิงเคยได้ยนิ ชื่อของภาพเหอถูกับตำราลั่วซูมาบ้าง
แต่ว่าภาพเหอถูกับตำราลั่วซูเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งมาก
เขารู้เรื่องพวกนีน้ ้อยมาก เขาถามว่า “แล้วตำราทั้งสี่
ม้วนนั่นมันเกี่ยวข้องอะไรกับภาพเหอถูกับตำราลั่ว
ซู?”
“จากที่ในทำนองเพลงนั่นระบุ ม้วนตำรานั่นมันมีจุด
กำเนิดมาจากภาพเหอถูกับตำราลั่วซู แต่ว่ามันมี
อะไรมากกว่านั้น ประสกอิ่งผิงใช้ทั้งชีวิต ใน
การศึกษาภาพเหอถูกบั ตำราลั่วซู ไม่เพียงเท่านั้น คน
ที่เขาคบหาด้วยในตอนนัน้ ทุกคนเป็นผู้มีความ
เชี่ยวชาญและสามารถในเรื่องการคำนวณฟ้าดิน
ทั้งนั้น เขากับคนพวกนัน้ ทำตำราสี่เล่านี่ขึ้นมา ใน
ม้วนตำรามีวิธีกาคำนวณการหมุนเวียนวัฏจักรของ
ฟ้าดิน รู้เรื่องราวในอดีตและอนาคตของมนุษย์และ
วิญญาณได้” หลิงหูซีพูดอย่างจริงจังว่า “ประสกอิ่
งผิงภูมิใจมาก ตำราทั้งสี่เล่มนี้ มันเพียงพอให้เขาเป็น
คู่แข่งกับแผนผังแปดทิศของพระเจ้าโจวเหวินได้
เลย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 618 ตำรานรกสวรรค์
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก ถึงแม้เขาจะพอเดาได้ว่าม้วน
นรกภูมิน่าจะมีความลับซ่อนอยู่ไม่นอ้ ย แต่คิดไม่ถึง
เลยว่ามันจะพิสดารมากขนาดนี้
เขารู้เรื่องของภาพเหอถูกบั ตำราลั่วซูน้อยมาก แต่ว่า
พอจะรู้ว่ามันเป็นตำราโบราณที่พวกบัณฑิตชอบอ่าน
กัน เขาเลยพอรู้เรื่องภาพเหอถูกับตำราลั่วซูมาบ้าง
ส่วนเรื่องของแผนผังแปดทิศของพระเจ้าโจวเหวิน
ต่อให้สืบทอดกันมากว่าพันปีแล้ว มันก็ยังถูกนำมาใช้
อยู่ ภาพเหอถูกับตำราลั่วซูเป็นต้นกำเนิดของคัมภีร์อี้
จิง อีกทั้งยังถือเป็นสมบัติล้ำค่าของวัฒนธรรมจีน
ฉีหนิงเข้าใจว่า เรื่องอะไรก็ตามที่คาบเกี่ยวกับภาพ
เหอถูกับตำราลั่วซู มันต้องลึกซึ้งคาดเดาไม่ได้เลย
เพราะมันพิสดารเอามากๆ พระเจ้าโจวเหวินนำเอา
แผนผังแปดทิศของพระเจ้าฝูซีมาแตกแขนงออก
สร้างแผนผังแปดทิศของพระเจ้าโจวเหวินขึ้นมา ซึ่ง
ต่อมามันถือว่ามีอิทธิพลอย่างมาในด้านการ
โหราศาสตร์ ส่วนตำราสี่เล่มที่กล่าวถึงในม้วนทำนอง
เพลงของประสกอิ่งผิง สามารถเป็นคู่แข่งกับแผนผัง
แปดทิศของพระเจ้าโจวเหวินได้ หากเป็นการชมเชย
กันเองก็แล้วกันไป แต่หากมันคือความมั่นใจ ถ้า
อย่างนั้นม้วนนรกภูมิสี่ม้วนนั่นก็คือได้ว่าเป็นสมบัติที่
หาได้ยากมาก
หลิงหูซีเห็นฉีหนิงดูตกใจมาก เขาลูบเคราแล้วพูดว่า
“จากภาพวาดกับทำนองเพลงของประสกอิ่งผิงที่
หลงเหลือและสืบทอดกันมา รู้ได้เลยว่าเขามี
ความสามารถราวกับเทพเจ้าก็ไม่ปาน ไม่ต้องพูดถึง
เรื่องอื่น แค่อักษรมี่อิ่ง มันก็แปลกและพิสดารมาก
แล้ว คนแบบนี้ จะมีนิสัยเย่อหยิ่งบ้างก็ไม่แปลกอะไร
การพูดอะไรอวดตนไปบ้างมันก็ไม่แปลก แต่หากว่า
เขาไม่ได้มีความรู้ความสามารถจริง ก็คงไม่กล้าพูดจา
อะไรแบบนี้แน่ ดังนั้นข้าเลยเดาว่า คำพูดที่ภูมิใจที่
เขาเขียนไว้ในม้วนทำนองเพลงนัน่ มันน่าจะเป็นเรื่อง
จริง”
“สามารถคำนวณการหมุนเวียนวัฏจักรของฟ้าดิน รู้
เรื่องราวในอดีตและอนาคตของมนุษย์และวิญญาณ
ได้ หากเป็นเช่นนัน้ จริง ตำราสี่เล่มนีก้ ็สามารถรู้เรื่อง
อนาคตได้น่ะสิ?” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจัง
หลิงหูซียิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่อง
แปลกอะไร ในแผนผังแปดทิศของพระเจ้าโจวเหวิน
ก็สามารถล่วงรู้อนาคตได้หลายอย่าง ตำราทั้งสี่เล่ม
ของประสกอิง่ ผิง หากจะสามารถล่วงรู้อนาคตได้ มัน
ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “หากสามารถรวบรวม
ตำราได้ครบทั้งสี่เล่ม ก็แทบจะกำชะตาของทั่วทั้ง
แผ่นดินไว้เลย”
หลิงหูซีพูดว่า “เป้าหมายที่ศิษย์พี่ต้องการรวบรวม
ตำราสี่เล่มนี้ ไม่ใช่เพื่อครอบครองใต้หล้า เขาแค่
อยากรู้ว่าตำราสี่เล่มนี้มันราวกับตำราสวรรค์อย่างที่
ประสกอิ่งผิงกล่าวไว้หรือเปล่าเท่านัน้ หากเป็นอย่าง
นั้นจริง การเผยแพร่แก่คนรุ่นหลังต่อไป มันอาจจะมี
คุณต่อลูกหลานก็ได้”
ฉีหนิงคิดในใจว่าหากตำราสี่เล่มนั้นเป็นจริง จะเป็น
คุณหรือโทษยังไม่อาจรู้ได้เลย
เพียงแต่เขาแปลกใจแค่ว่า วันนี้เขาเพิ่งได้รู้จักหลิงหูซี
ครั้งแรก ถึงแม้จะเป็นเพราะจั่วชิงหยาง ทั้งสองถึงได้
มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ว่าหลิงหูซีกลับเอาความลับ
แบบนี้มาบอกเขา มันทำให้เขารู้สึกแปลกใจมาก เขา
พยายามคิดว่าหลิงหูซีคิดจะทำอะไรกันแน่
หลิงหูซีส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “แต่ว่ามาพูดพวกนี้
ตอนนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ศิษย์ไม่รู้เป็นตายร้าย
ดี เบาะแสการตามหาม้วนตำราของประสกอิ่งผิงก็ไม่
เหลือแล้ว ม้วนทำนองเพลงนั่นมีเพียงศิษย์พี่เท่านั้นที่
รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ศิษย์พี่หายตัวไป ทำนองนั่นก็น่าจะ
หายสาบสูญไปด้วย อยากจะหาตำราอิ่งผิง คงเป็นได้
แค่ฝันแล้ว” เขาส่ายหน้า สีหน้าของเขาดูเสียดาย
มาก
ฉีหนิงนิ่งไป แล้วถามขึ้นมาว่า “ท่านมหาเสนา การที่
ท่านอาจารย์หายตัวไปนั้น จะเกีย่ วข้องกับม้วน
ทำนองเพลงนั่นไหม?”
หลิงหูซีตะลึงไป เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านโหว
น้อย ท่านหมายความว่ามีคนรู้ว่ามีม้วนทำนองเพลง
นี้อยู่หรือ?”
“ข้าก็ไม่อาจแน่ใจได้ หากวันนี้ไม่ได้มาได้ยินท่านมหา
เสนาพูดเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ข้าคงไม่รเู้ รื่องอะไรเลย
ด้วยซ้ำ” ฉีหนิงระวังเป็นอย่างมาก แต่ว่าจั่วชิงหยาง
หายไปไร้ร่องรอย ม้วนทำนองนรกภูมิอยู่ในมือเขา
เขาเองก็อยากจะรู้อะไรจากปากของหลิงหูซีบ้าง แต่
เขาก็รู้ว่าหลิงหูซีเป็นมหาเสนาบดีแห่งตงฉี ความคิด
ของเขาซับซ้อนมาก ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป การคุย
กับเขาในแต่ละคำ ต้องระวังให้มากเข้าไว้ “ข้าแค่
รู้สึกว่าท่านอาจารย์เป็นนักปราชญ์แห่งยุค มีบารมีสูง
มาก ในใต้หล้านี้ ไม่มีใครกล้าทำอะไรท่านอาจารย์ได้
อีกทั้งท่านอาจารย์เองก็อาศัยอยู่ที่วทิ ยาลัย หากไม่มี
เรื่องอะไร คงไม่มีใครไปหาเขาแน่”
หลิงหูซีลูบเคราแล้วพยักหน้า “มีเหตุผล” เขา
เหมือนใช้ความคิด แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่มีม้วนทำนอง
อยู่กับตัว อีกทั้งยังตามหาตำราของประสกอิ่งผิง
เรื่องนี้ข้ารู้ดี ก็เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เวลาเรา
เขียนจดหมายหากัน ถึงได้ใช้อักษรมี่อิ่ง เพื่อไม่ให้คน
อื่นได้รับรู้” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “หากมีคนอื่น
ล่วงรู้ ต้องเป็นศิษย์พี่เท่านัน้ ที่เป็นคนบอกกล่าว”
“ท่านอาจารย์จะเอาความลับแบบนีไ้ ปบอกคนอื่น
ด้วยอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงถาม
หลิงหูซีพูดว่า “มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ศิษย์พี่มี
เพื่อนฝูงไปทั่ว หากเขาไม่อาจแก้ปริศนาได้ ก็อาจจะ
ไปปรึกษาใครก็ได้”
ฉีหนิงพูดว่า “มันก็เป็นไปได้”
หลิงหูซีถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากศิษย์พี่หายตัวไป
เพราะเรื่องนี้จริง เรื่องนี้น่าจะยุ่งยากแล้ว” เขาส่าย
หน้าแล้วถอนหายใจ “ม้วนตำราอิ่งผิงนั่นหากคนที่ได้
ไปเป็นคนดีมีคุณธรรม ก็แล้วไป แต่หากเป็นคนชั่วต่ำ
ช้าที่ได้ไป ถึงเวลานั้น ผู้คนก็อาจจะเดือดร้อนแล้ว”
ฉีหนิงคิดในใจว่าม้วนทำนองนรกภูมิอยู่ในมือของเขา
ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะได้ไปหรอก แต่เขายังคงทำ
หน้าเคร่งเครียดแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ศึกษาหา
เบาะแสของตำรามาตั้งหลายปียังไม่เจอเลย ต่อให้
คนได้ม้วนทำนองเพลงไป ก็อาจจะใช้งานไม่เป็นก็ได้
ท่านอาจารย์ร้ายกาจแค่ไหนยังไม่อาจไขปริศนาได้
เลย คนทั่วไปคิดว่าคงไม่มีใครมีความสามารถแบบ
นั้นได้อีก”
“ศิษย์พคี่ วามสามารถเหนือใคร เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง”
หลิงหูซีถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าในใต้หล้านี้มีคน
เก่งมีสติปัญญามากมาย อักษรมี่อิ่งเผยแพร่ต่อกันมา
ก็ใช่ว่าจะมีแค่ข้ากับศิษย์พเี่ ท่านั้นทีร่ ู้ อาจจะมีคนเก่ง
คนอื่นที่สามารถแก้ปริศนาของอักษรมี่อิ่งได้มากกว่า
เราก็ได้...” เขาโบกมือแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ข้าแค่
กังวลความปลอดภัยของศิษย์พี่เท่านั้น ข้าพูดมาก
เกินไปแล้ว ขายหน้าท่านโหวน้อยจริงๆ”
ฉีหนิงยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ท่านมหาเสนาพูด
เกินไปแล้ว”
หลิงหูซีกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย เดิมมี
บางอย่างข้าเองก็ไม่ควรพูด ถึงแม้ทา่ นกับศิษย์พี่จะมี
ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกัน ก็ถือว่าเราก็มีความ
เกี่ยวข้องกันไปด้วย แต่ยังไงข้าก็ยงั เป็นขุนนางของ
แคว้นตงฉี ดังนั้น...” เขาหยุดไปครูห่ นึ่ง แล้วพูดด้วย
รอยยิ้มว่า “แต่ว่าข้าบอกท่านได้ว่า องค์รัชทายาท
ทรงทูตถึงท่านต่อหน้าฝ่าบาทไว้มาก ฝ่าบาทเองก็
ทรงมีใจเอนเอียงมาทางแคว้นฉู่ของท่าน”
ฉีหนิงพูดว่า “ทุกอย่างยังต้องรบกวนให้ท่านมหา
เสนาช่วยอีกแรง”
“ช่วย ยังไงก็ต้องให้ท่านช่วยตัวเอง” หลิงหูซีลูบเครา
ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านคิดว่างานเลี้ยงในคืนนี้ ข้าเป็น
คนจัดจริงๆ หรือ?” เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “องค์
หญิงเทียนเซียงทรงรับสั่งให้ข้าจัดขึ้น บททดสอบใน
คืนนี้ทงั้ หมด ก็เป็นบททดสอบที่องค์หญิงทรงคิด
ขึ้นมา องค์หญิงเทียนเซียงเปรียบเสมือนไข่มุกล้ำค่า
ในพระหัตถ์ของฝ่าบาท นางอายุยังน้อย ฝ่าบาททรง
รักและเอ็นดูพระนางมาก ครัง้ นี้แคว้นหนานฉู่
และเป่ยฮั่นส่งราชทูตมา เป้าหมายก็เพราะต้องการ
เจรจาสู่ขอองค์หญิงของเรา ฝ่าบาททรงทราบดี องค์
หญิงเองก็ทรงทราบดี”
ฉีหนิงมีสีหน้าดูเคารพมาก แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก
หลิงหูซีพูดว่า “แต่ว่าหลังจากองค์หญิงทรงทราบ
เรื่องนี้แล้ว ทรงกังวลพระทัยมาก พระนางอาศัยอยู่
ในวังหลวงมาตั้งแต่เล็ก ตอนนี้ต้องอภิเษกไปต่าง
แดน พระนางเลยรู้สึกไม่อยากจากที่นี่ไป”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “มันเป็นเรื่องปกติของ
มนุษย์”
“ถึงแม้องค์หญิงจะทรงไม่อยาก แต่พระนางก็ทรงมี
จิตใจกว้างใหญ่” หลิงหูซีถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฝ่า
บาทเองก็ทรงทราบว่าองค์หญิงทรงกังวลพระทัย
ดังนั้นจึงรับปากองค์หญิงแล้วว่า จะไปเป่ยฮั่นหรือว่า
หนานฉู่ ก็สุดแล้วแต่องค์หญิงจะทรงเลือก ดังนั้นองค์
หญิงจึงทรงสั่งให้ข้าจัดงานเลี้ยงนี้ขนึ้ มา เพือทดสอบ
ราชทูตของทั้งสองแคว้น บททดสอบขององค์หญิงใน
คืนนี้ ท่านโหวน้อยแก้ได้หมดทุกข้อ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
จะมีการรายงานไปยังวังหลวงให้องค์หญิงทรงทราบ
ทันที” เขายิ้มแล้วพูดว่า “หลังจากที่องค์หญิงทราบ
เรื่องนี้ ทรงจะไปที่ไหน ไม่ถามก็คงจะรู้คำตอบแล้ว”
แต่ฉีหนิงเองก็รู้ เรื่องใหญ่ระดับแคว้นแบบนี้ ตงฉี
ต้องคิดพิจารณาอย่าถี่ถ้วนแน่ ไม่ใช่เพียงแต่ความ
ประสงค์ขององค์หญิงเทียนเซียงเพียงอย่างเดียว แต่
ว่ามันก็แสดงให้เห็นถึงความประสงค์ขององค์หญิง
เทียนเซียง นัน่ ก็จะส่งผลถึงการตัดสินใจของตงฉี
ตามสถานการณ์แล้ว การเจรจาเรื่องการอภิเษกใน
ครั้งนี้ แคว้นฉู่ได้เปรียบอยู่มากทีเดียว
เขาอารมณ์ดีมาก เขาพูดว่า “ทุกอย่างก็เป็นเพราะ
ท่านมหาเสนาด้วย”
“ข้าเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก” หลิงหูซียิ้มแล้วพูดว่า
“หากไม่มีอะไรผิดพลาด พรุ่งนี้เข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว ก็
จะได้ข้อสรุปเลย ฟ้ามืดแล้ว ข้าก็ไม่รั้งตัวท่านโหว
น้อย พรุง่ นี้โหวน้อยยังต้องเข้าวังเฝ้าฝ่าบาทอีก คืนนี้
รีบกลับไปพักก่อน”
ฉีหนิงลาหลิงหูซีออกจากจวนมหาเสนา ถึงแม้หลิงหู
ซีได้แจ้งข่าวดีให้เขามาก แต่ว่าฉีหนิงเองก็ยังไม่
ประมาท
แต่ว่าหลิงหูซีคืนนี้พูดถึงม้วนตำราอิ่งผิง มันก็ทำให้ฉี
หนิงตกใจไม่น้อย
หากสิ่งที่หลิงหูซีพูดจรง ถ้าอย่างนั้นม้วนทำนองนรก
ที่อยู่ในมือเขา ก็เป็นกุญแจสำคัญในการค้นหาตำรา
ของประสกอิง่ ผิง ส่วนตำราทั้งสี่เล่มของประสกอิง่ ผิง
เป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากมาก หากหาได้มาในมือ
ก็จะล่วงรู้อนาคตได้ ก็จะสามารถกุมชะตาแผ่นดินไว้
ได้
ที่จริงแล้วก่อนกลับ เขายังอยากรู้เรือ่ งของแคว้นกูซ่ ี่
ยงจากหลิงหูซี โดยเฉพาะเรื่องของก่งจ๋าซี แต่ว่าจะ
พูดอะไรเขาก็จะระวัง ไม่เพียงอาจจะไม่ได้อะไร
กลับมา แต่อาจจะหลุดอะไรออกไป เขาเลยเลิกคิด
เรื่องนี้ไป
ตามแผนเดิมที่วางไว้ ก่งจ๋าซีกับพวกได้หอยไข่มุกขาว
มา เดิมก็เตรียมจะเดินทางกลับทิเบตแล้ว แต่ว่า
ตอนนี้หอยไข่มุกขาวหายไป พวกของก่งจ๋าซีเลยต้อง
อยู่ต่อ ฉีหนิงรู้ว่าพวกของก่งจ๋าซีเข้าใจว่าเป่ยถังเฟิง
สั่งให้คนไปขโมย พวกเขาจ้องคณะทูตของเป่ยฮั่นอ
ย่างไม่กะพริบตา พวกของก่งจ๋าซีเป็นลูกศิษย์ของจู๋
ยื้อฝ่าอ๋อง เรื่องนี้พวกเขาไม่มีทางยอม หลังจากนี้ยัง
มีอะไรให้ดูอีกมาก
เมื่อกลับไปที่เรือนรับรอง ก็ดึกมากแล้ว เรือนรับรอง
เงียบมาก ฉีหนิงกลับไปถึงห้อง เขารู้สึกว่าในห้อง
หนาวมาก เขารีบปิดประตูหน้าต่าง จากนั้นก็ไปเปิด
กระเบื้อง แล้วหยิบกล่องไปเลย ท่ามกลางแสงไฟ
เขาใช้มีดเคาะไปที่หอยไข่มุกขาว หอยไข่มุกขาวอ้า
ปากขึ้นมาทันที มันยังไม่ตาย
ฉีหนิงคิดว่าหากเขาพกหอยไข่มุกขาวมันไม่ค่อย
สะดวกนัก แต่ว่าหากวางไว้ในห้อง มันก็ไม่ปลอดภัย
เพราะยังไงทีน่ ี่ก็ยงั เป็นพื้นที่ของตงฉีอยู่ หากชาวตงฉี
ฉวยโอกาสมาค้นห้องของเขา อาจจะเจอก็ได้ เขาคิด
อยู่นาน แล้วเดินไปจนถึงหน้าต่างด้านหลังห้อง เขา
ผลักหน้าต่างออกไป ด้านหลังเป็นสวนดอกไม้ ใน
สวนดอกไม้มีต้นไม้ใหญ่สองต้น มันเป็นสถานที่สงบ
มาก เขานิ่งไป จากนั้นก็เดินไปหยิบกล่อง แล้วปีน
ออกทางหน้าต่างไป เขาเดินมาจนถึงใต้ต้นไม้ เขาใช้
มีดสั้นของเขาขุดหลุม แล้วฝังกล่องเข้าไปด้านใน
จากนั้นก็กลบดิน สภาพดูไม่เหมือนมีการขุดมากก่อน
เขาถึงได้วางใจ
พรุ่งนี้จะต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ตงฉี ฉีหนิงเลยกลับไป
นอนพัก นอนไปได้ตื่นหนึ่ง เขาก็เดินออกไปที่
หน้าต่างด้านหลัง เขาผลักหน้าต่างออกดู ฟ้าเริ่มสาง
แล้ว เขาบิดขี้เกียจ จากนั้นก็สะดุ้ง สีหน้าของเขา
เปลี่ยนไป
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 619 ตำหนักเทียนตี้
แสงแดดในยามเช้ามันทำให้คนเรารูส้ ึกถึงความหวัง
แต่ว่าแสงแดดแบบนี้ มันทำให้ฉีหนิงรู้สึกตกใจ
ต้นไม้หลังสวนสองต้นเดิมก็ไม่ได้ต่างกัน ราวกับเป็น
แฝด แต่ว่าในเวลานี้ ต้นไม้สองต้นนี้มันไม่เหมือนกัน
แล้ว ต้นหนึ่งมีใบเขียวชอุ่ม ส่วนอีกต้นเหมือนผ่านค่ำ
คืนแห่งหิมะไปแล้ว ต้นไม้มันมีเกล็ดน้ำแข็ง ใบเป็นสี
ขาวไปหมด
ฉีหนิงเห็นเรื่องแปลกมาก็มาก แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้า
นั้นมันทำให้เขาไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย
หากว่าเมื่อคืนมีพายุหิมะพักมา ต้นไม้กลายเป็นสีขาว
หมดมันก็ไม่แปลก แต่ในสวนมีต้นไม้อยู่หลายต้น แต่
มีเพียงต้นนี้ต้นเดียวที่ใบเหี่ยวเฉาเพราะอากาศเย็น
ไปแล้ว
ฉีหนิงตกใจมาก ทันใดนั้นเองเหมือนเขานึกอะไร
ขึ้นมาได้ เขารีบปีนหน้าต่างออกไป แล้ววิ่งไปที่ใต้
ต้นไม้ เขาหยิบมีดสั้นออกมา เขาขุดไปจนเจอกล่องที่
ฝังอยู่ ดินผืนนี้เมื่อคืนถูกขุดมาก่อน เดิมมันไม่ควรจะ
แน่นมาก แต่ว่าในเวลานี้มันกลับแข็งมาก เหมือนว่า
ถูกความเย็นแช่แข็งมาทั้งคืน หากไม่ได้มีดสั้นที่คม
กริบ คงไม่มีทางขุดมาแล้ว
เขาหยิบกล่องออกมา ฉีหนิงเปิดกล่องออก พบว่า
ภายในกล่องกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว วินาทีที่เปิด
กล่องออก ไอเย็นแผ่ออกมามาก ฉีหนิงจามออกมา
เพราะความเย็น เขาใช้มีดสั้นเคาะไปที่หอยไข่มุกขาว
หอยไข่มุกขาวไม่ขยับแล้ว ฉีหนิงขมวดคิ้วหนักมาก
เขาลองเคาะไปอีกที มันก็ยงั ไม่มีการเคลื่อนไหว เขา
รู้ว่าหลังจเมื่อคืน หอยไข่มุกขาวน่าจะตายไปแล้ว
แน่นอน
เขารู้ว่าถึงแม้ไข่มุกขาวจะอายุยืนกว่าหอยไข่มุกทั่วไป
แต่ว่าก็ต้องดูแลรักษาอย่างดี จะต้องใช้วิธีพิเศษ
เพื่อให้มันมีชีวิตรอด หลังจากขโมยหอยไข่มุกขาวมา
จากก่งจ๋าซี เขาไม่รู้ว่าต้องดูแลยังไง หอยไข่มุกขาว
กลับมาตายในมือของเขา
ตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก รอบข้างไม่มีใครเลย ฉีหนิงใช่
มีดสั้นแงะเปลือกหอยขึ้นมา ภายในตัวหอยมีไอเย็น
แผ่ออกมา ไข่มุกด้านในยังคงสว่างไสวเหมือนเดิม
ไข่มุกเม็ดเล็กแค่นี้ กลับทำให้ต้นไม้ทั้งต้นกลายเป็น
น้ำแข็งภายในคืนเดียว มันประหลาดมาก ฉีหนิงรุ้ว่า
ไข่มุกเม็ดนี้มันน่าจะมีอะไรมากกว่าที่เขาคิด มัน
น่าจะเป็นของหายากมากๆ เขายื่นมือไปหยิบเอามุก
ออกมา ตอนที่เขาสัมผัสถูกมันหนาวไปถึงกระดูก
ของเขาเลย ฉีหนิงรีบนำผ้ามาห่อเอาไว้ ขนาดมีผ้า
ห่อไว้เขายังหนาวมาก เขาเองก็ไม่ให้เสียเวลา นำเอา
เปลือกหอยนั่นวางไว้ในกล่องแล้วฝั่งเอาไว้ที่เดิม
จากนั้นก็เอาไข่มุกนัน่ กลับเข้าห้องไป
พอกลับมาถึงห้อง ก็ได้ยินเสียงฉีเฟิงดังขึ้นมาว่า
“โหวเยว่ ในวังหลวงส่งคนมา ให้เราออกเดินทางไป
ที่ตำหนักเทียนตี้ตอนยามซื่อ”
ฉีหนิงเองก็ไม่รู้ว่าตำหนักเทียนตี้มันอยู่ที่ไหน ไข่มุก
ในมือก็ยังหนาวเย็นเหมือนเดิม เขาพูดว่า “รู้แล้ว”
เหมือนเขานึกอะไรขึน้ มาได้ เขาพูดว่า “เจ้าไปหา
กล่องมาสักใบ เอาที่ธรรมดาหน่อยนะ”
ฉีหนิงรับคำแล้วก็ไป ฉีหนิงถึงได้วางไข่มุกไว้บนโต๊ะ
เขาจ้องไปที่ผ้าที่ห่อไข่มุก เขาถึงได้พบว่า เพราะว่า
เขารีบ เขาเลยเอาผ้าที่กู้ชิงฮั่นให้เขามาห่อไข่มุก
เอาไว้
ไข่มุกนี่มันหนาวเย็นถึงกระดูกจริงๆ ถึงแม้เขาจะเก็บ
เอาไว้กับตัวได้ แต่ว่ามันเย็นมากขนาดนี้ หากไข่มุก
อยู่กับตัวเขา ตัวเขาก็จะเหมือนอยู่ในหน้าหนาว
ตลอดเวลา ไม่แน่ว่ามันอาจจะทำให้เขาไม่สบาย
เพราะความเย็นก็ได้ เขาเลยต้องหาทางเก็บไว้ที่อนื่
แต่ว่าในเรือนรับรองหลวงนั้นเป็นของแคว้นตงฉี ไม่
ว่าจะวางตรงไหน มันก็ไม่ปลอดภัย
ของล้ำค่าแบบนี้ ฉีหนิงรู้ดีว่าต่อให้ไม่ใช่ของดีอะไร
แต่ว่ามันก็มีมูลค่ามาก ตอนนี้เขายังนึกไม่ออกว่ามัน
มีประโยชน์อะไร เก็บเอาไว้ก่อน ก็ไม่มีอะไรเสียหาย
เขากำลังนึกคิดอยู่ ฉีเฟิงทำอะไรรวดเร็ว ไม่นาน เขา
ก็กลับมา “โหวเยว่ ได้กล่องมาแล้ว”
ฉีหนิงเดินไปประตู ฉีเฟิงยืน่ กล่องเล็กมาให้เขา กล่อง
นี้ธรรมดามาก ฉีหนิงเองก็ไม่พูดมาก เดินไปที่โต๊ะ
เปิดกล่องออก ภายในมีผ้าแพรรองอยู่ เขาเอาไข่มุก
ออกมาจากผ้าเช็ดหน้า แล้ววางไว้ในกล่อง จากนั้น
เขาก็รีบปิด แล้วเก็บผ้าเช็ดหน้า เขาลังเลไปครู่หนึ่ง
จากนั้นก็ยนื่ กล่องไปให้ฉีเฟิง แล้วสั่งกับเขาเบาๆ ว่า
“ไข่มุกเม็ดนี้เมื่อคืนท่านมหาเสนาแห่งแคว้นตงฉี
มอบให้ข้า เขาต้องการให้ข้าเอาไปมอบให้ท่าน
อาจารย์จั่ว เจ้าต้องเก็บให้ข้าดีๆ ห้ามให้เกิด
ข้อผิดพลาดเด็ดขาด หากว่าหายไป ข้าจะเอาหัวเจ้า
มาชดใช้แทน”
ถึงแม้ฉีเฟิงจะเป็นคนสนิทของเขา แต่ว่าบางเรื่อง
เขาไม่รู้จะดีกว่า
ฉีเฟิงก็รู้เรื่องของมหาเสนาบดีหลิงหูซีกับจั่วชิงหยาง
หลิงหูซีไหว้วานให้ฉีหนิงนำไข่มุกไปให้อาจารย์จั่ว
มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขาเก็บขึน้ แล้วพูดว่า
“โหวเยว่วางใจได้ ข้าน้อยจะรักษามันอย่างดี”
“อย่าให้ใครรู้เรื่องนีเ้ ด็ดขาด” ฉีหนิงพูดว่า “ท่าน
มหาเสนาหลิงหูกับท่านอาจารย์จั่วเป็นศิษย์พี่ศษิ ย์
น้องกัน แต่เพราะไม่ใช่คนแคว้นเดียวกัน ข้าช่วยส่ง
ของให้พวกเขา หากมีใครรู้เข้า อาจจะหาว่าข้าทรยศ
กับคนนอกก็ได้”
ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าน้อยจะไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้
เด็ดขาด ข้าน้อยไม่รู้อะไรเลย”
ฉีหนิงโล่งใจ ไข่มุกอยู่ที่ตัวเขา เขาอยู่ในตงฉี มีคนจับ
จ้องอยู่มากมาย มันไม่ปลอดภัย โยนให้ฉีเฟิงไป เขา
เป็นแค่องครักษ์ติดตามคนหนึ่งเท่านั้น ในสายตาคน
นอกไม่มีทางมองไปที่ฉีเฟิงอยู่แล้ว มันจะปลอดภัย
มากกว่า
จากเรือนรับรองหลวงไปยังวังหลวง ระยะทางไกล
พอตัว ในวังหลวงตงฉีส่งคนมารอรับ ฉีหนิงเองก็
ไม่ได้ให้เสียเวลา เขาสั่งให้คนเตรียมตัวให้พร้อม นำ
ของกำนัลทั้งหมดให้ดี แล้วถึงออกจากเรือน ทีน่ อก
เรือนรับรองหลวงมีรถม้ามาจอดรออยู่แล้ว เพียงแต่
ยังไม่เห็นคณะทูตของเป่ยฮั่นเลย ฉีหนิงกำลังสงสัย
อู๋ต๋าหลินเลยเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วพูดว่า “โหวเยว่
เป่ยถังเฟิงเพิ่งกลับมาเมื่อรุ่งสาง เมือ่ คืนออกไปทัง้ คืน
อวี้อ๋องทรงกริ้วมาก รออยู่หน้าเรือนรับรองด้วย
ตัวเองตลอด หลังจากเป่ยถังเฟิงกลับมาแล้ว ก็ถูก
ท่านอ๋องอวี้พาตัวเข้าไปในเรือนเลย”
“เมื่อคืนเป่ยถังเฟิงไม่ได้อยู่ที่เรือนรับรอง?” ฉีหนิง
ขมวดคิ้ว
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “เมื่อคืนหลังจากที่ออกจากจวนท่าน
มหาเสนาแล้ว เป่ยถังเฟิงไม่ได้กลับมาที่เรือนรับรอง
หลวง ท่านอ๋องอวี้ส่งคนออกไปตามหาจนทั่ว แต่ก็หา
ไม่เจอ ไม่รู้ว่าไปเที่ยวเล่นที่ไหน เพิ่งกลับมาไม่นาน
นี่เอง อีกทัง้ กลับมาแบบไร้สติด้วย หึ เจ้าบ้านี่รู้ทงั้ รู้
ว่าวันนี้ต้องเข้าวัง ยังกล้าทำแบบนี้อกี ไม่แปลกที่
ท่านอ๋องอวี้จะทรงกริ้วแบบนัน้ ”
ฉีหนิงยิมแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้พวกเขาก็ยัง
ไปไม่ได้สินะ ไม่ต้องสนใจพวกเขา เราไปก่อนก็แล้ว
กัน”
ตำหนักเทียนตี้ไม่ใช่ท้องพระโรงของวังหลวงตงฉี
ตำหนักนี้อยู่ทางใต้ของพระราชวัง เข้าทางประตูทาง
ใต้ เดินไปตามทางประมาณสองกำแพงวัง แล้วก็เดิน
ผ่านทางใหญ่ไปอีก ข้ามสะพานหินไป ไม่ไกลจาก
ตำหนักเทียนตี้ เมื่อมองไป ก็จะเจอตำหนักที่ดูสง่า
งามน่าเกรงขามอยู่ การตกแต่งก็หรูหรามากด้วย
ในเมื่อจะต้องต้อนรับคณะทูตจากตงฉี ฮ่องเต้ตงฉี
เลยเลือกสถานที่ที่ดูดีหน่อย ไม่น่าเกลียดจนเกินไป
ที่จริงแล้วฉีหนิงก็พอเดาได้ถึงแม้ตงฉีจะเป็นแคว้น
เล็กในสายตาของแคว้นฉู่กบั ฮั่น แต่อยู่เป็นหนึ่งเดียว
ในย่านนี้ คณะทูตมาเยือน พวกเขาก็ต้องการให้เห็น
ถึงบารมีความยิ่งใหญ่ของแคว้น ยังไม่ถึงตำหนัก ก็ได้
กลิ่นของไม้ถานเซียงโชยมาแล้ว มันทำให้รู้สึกสดชื่น
คนในวังนำทางมาถึงตำหนักเทียนตี้ สิ่งที่เห็นมีแต่
หยกขาว เครื่องประดับตกแต่งสวยงามระยิบระยับ
ทุกอย่างทำจากทองคำ หินหยก ไม้เสินมู่ ไม้ถานมู่
อีกทั้งยังมีอัญมนีที่สวยงามหรูหรา
ฉีหนิงสังเกตเห็นว่า แม้แต่องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ที่ตำหนัก
เทียนตี้ เหมือนกับว่าก็ได้รับเครื่องแต่งกายใหม่
ทั้งหมด หอกใสใหม่เอี่ยมอ่อง แต่ละคนดูดุดันองอาจ
มาก
ฉีหนิงรู้สึกว่า ถึงแม้แคว้นตงฉีจะเป็นแคว้นเล็กๆ แต่
ว่าระดับความหรูหราของพวกเขาน่าจะเหนือกว่า
แคว้นฉู่มาก วังหลวงแคว้นฉู่เขาเข้าออกไม่รู้กี่ครั้ง
ห้องทรงอักษรของฮ่องเต้น้อยหลงไท่เขาเข้าไปก็บ่อย
แต่ว่าภายในวังหลวงแคว้นฉู่ เหมือนจะไม่มีที่ไหน
หรูหรามากขนาดนี้ ภายในตำหนักเทียนตี้ หากแงะ
เอากระเบื้องออกมาสักแผ่น ก็สามารถให้คนทั่วไป
เอาไปใช้ได้ทั้งชีวิตก็ไม่หมด
ตำหนักเทียนตี้แบ่งออกเป็นตำหนักกลางกับตำหนัก
ซ้ายขวา ฮ่องเต้ตงฉียังไม่เรียกให้เข้าเฝ้า คณะทูต
แคว้นฉู่ก็ถูกพาไปรอที่ตำหนักด้านข้าง ฮ่องเต้ตงฉี
จะเรีนกคณะทูตเข้าเฝ้าก็ต้องรอให้คณะทูตมาพร้อม
กันทั้งสองแคว้นก่อน อีกทัง้ กว่าจะถึงเวลานัดก็มี
เวลาอีกระยะหนึ่ง เลยไม่มีการเรียกให้เฝ้าก่อน
มีการบอกกล่าวกฎเกณฑ์กันไว้ล่วงหน้าแล้ว คณะทูต
ทั้งสองแคว้นสามารถนำผู้ติดตามเข้ามาในวังด้วยไม่
เกินสิบคน ก่อนเข้าวัง ฉีหนิงได้มอบของกำนัล
ทั้งหมดให้กับขุนนางกรมพิธีการตงฉีไปตรวจสอบ
แล้ว ส่วนของขวัญของหลิงหูซีนั้น ไว้ค่อยส่งไปให้เขา
ที่จวนมหาเสนาบดีทีหลัง นอกจากอู๋ต๋าหลินกับฉีเฟิง
แล้ว ก็มีคนในคณะทูตแคว้นฉู่ตามมาด้วยอีกเจ็ดคน
แต่ว่าตอนที่เข้าวัง อาวุธทั้งหมดถูกยึด มีเพียงฉีหนิง
ที่พกมีดสั้นเข้าไป เขาซ่อนเอาไว้อย่างดี ทหารเวรก็
ไม่กล้าเสียมารยาทกับฉีหนิง
ทุกคนไปรอที่ตำหนักด้านข้าง ฉีหนิงหลับตาพักผ่อน
สักงีบ เมื่อคืนถึงแม้หลิงหูซีจะมีการแอบบอกมาแล้ว
ว่าสถานการณ์ตอนนี้แคว้นฉีของเขาได้เปรียบมาก
แต่หากฮ่องเต้ตงฉียังไม่ได้ตัดสินพระทัย ฉีหนิงไม่มี
ทางวางใจได้
รอเกือบครึ่งชั่วยาม ก็เห็นขันทีสองคนเดินมา ไม่ได้มี
ราชโองการมา แต่มีรับสั่งมา เห็นฉีหนิงลุกขึ้นมา เขา
ก็กล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ให้ราชทูตแคว้น
หนานฉู่เข้าเฝ้า จบราชโองการ”
ฉีหนิงกับอู๋ต๋าหลินมองหน้ากัน ยกมือขึ้นคำนับ
จากนั้นก็ตามขันทีไปยังตำหนักใหญ่ของตำหนัก
เทียนตี้ เมื่อเข้ามาภายในตำหนัก ภายในกว้างขวาง
มาก ราวกับว่าให้ทหารม้าบุกเข้ามาอยู่ด้านในก็ยังไม่
แออัด ฉีหนิงเงยหน้ามองไป เห็นมีคนคนหนึ่งนั่งอยู่
ด้านบนเหนือบัลลังก์ สวมหมวกสีทอง มีประดับ
ไข่มุกระยิบระยับ เครื่องแต่งกายดูแตกต่าง แสงจาก
เครื่องประดับสว่างจ้า ทำให้ฉีหนิงไม่อาจเห็นใบหน้า
ของเขาได้ชัด
ภายในตำหนักแสงเจิดจ้ามาก ทำให้สามารถมองเห็น
ทุกอย่างในตำหนักได้อย่างชัดเจน เขาเดินตามขันที
ไป หางตาของเขาก็สำรวจไปทั่ว เห็นขุนนางตงฉียืน
แบ่งเป็นสองฝั่ง แต่ละคนยืนโค้งตัวเล็กน้อย เหมือน
ทำความเคารพอย่างนอบน้อม เดินไปได้ระยะหนึ่ง ก็
มาถึงสระน้ำ ภายในสระมีดอกบัวกับเต่าและห่าน
สระน้ำนี้ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ว่ามันก็ขวางทางเดิน
ด้านหน้า
ฉีหนิงหยุดเดิน อู๋ต๋าหลินตามเขามาจากด้านหลัง ฉี
หนิงรู้ดีว่านั่นน่าจะเป็นฮ่องเต้ตงฉี เขาโค้งคำนับแล้ว
พูดว่า “ราชทูตแคว้นฉู่ฉีหนิง ถวายพระพรฝ่าบาท
แห่งแคว้นฉี” แต่เขาไม่ได้คุกเข่าลง
“เจ้าก็คือคนของจิน่ อีตระกูลฉีอย่างนั้นหรือ?” เสียง
ที่ลอยมาจากด้านบนไม่ค่อยมีพลังเท่าไหร่ หากว่า
ภายในตำหนักไม่ได้ใหญ่มาก หูฉีหนิงไม่ได้ดี เขาก็
แทบจะไม่ได้ยินเลย ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดว่าเสียงของ
เขาอ่อนแรงขนาดนี้ เหมือนจะไม่ได้มีเรี่ยวแรง อีกทัง้
ยังห่างตั้งไกล เห็นแค่ฮ่องเต้ตงฉีสวมชุดมังกรสี
เหลือง เขาเงยหน้าขึ้นไป เห็นชัดมากว่า ฮ่องเต้ตงฉีดู
แก่มากแล้ว น่าจะอายุประมาณหกเจ็ดสิบได้
เขารู้สึกสงสัยว่า ไท่ซานอ๋องเป็นลูกชายคนโตของ
ฮ่องเต้ตงฉี อายุก็ไม่ถึงสี่สิบปี ตามหลักแล้ว ฮ่องเต้
ตงฉีอายุก็ไม่น่าจะเกินหกสิบ แต่ว่าฮ่องเต้ตงฉีคนนี้
อายุน่าจะเกินหกสิบแล้ว อีกทั้งดูแล้วเขาดูไม่ค่อยสด
ชื่น ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าหรือว่าเพราะการตายของ
ไท่ซานอ๋องกับหลินจืออ๋อง ทำให้ฮ่องเต้ตงฉีมีสภาพ
แบบนี้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 620 เหล็กท่อนสังหาร
ฮ่องเต้ตงฉีพิงเก้าอีน้ ั่งอยูบ่ นบัลลังก์สีทอง ด้านหลังมี
นางกำนัลถือพัดให้อยู่ ด้านข้างของบัลลังก์ มีขันที
สองคนยืนก้มหน้าอยู่ มองไม่เห็นหน้า ด้านหน้า
บัลลังก์ รัชทายาทตงฉียนื อยู่ มองไปแล้วเขาดูนอบ
น้อมเป็นพิเศษ
ด้านหน้าสุดของเหล่าขุนนาง ฉีหนิงเห็นหลิงหูซี หลิง
หูซียืนอยู่หน้าสุดของเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋น ส่วนอีก
ข้างเป็นแม่ทัพคนหนึง่ สวมชุดสีเขียว อายุประมาณ
ห้าสิบ ร่างกายกำยำ มีหนวดเครา ฉีหนิงเดาว่าใน
เมื่อเขายืนอยู่หน้าสุดของขุนนางฝ่ายบู๊ ตำแหน่งของ
เขาก็น่าจะไม่ธรรมดา ตงฉีมีหยกคู่ที่มีชื่อเสียง คนผู้
นั้นก็น่าจะเป็นแม่ทัพใหญ่กองพลเรือแห่งตงฉีเซินถู
หลัว
ฮ่องเต้ตงฉีถาม ฉีหนิงก็ยกมือแล้วพูดว่า “ถูกแล้วพ่ะ
ย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตงฉีพยักหน้า มีระยะห่างไม่ไกลมาก เขามอง
มาที่ฉีหนิง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพฉีของ
แคว้นฉู่องอาจกล้าหาญเหนือคน คิดไม่ถึงว่าเขาจะมี
ลูกชายที่ดูสำอางขนาดนี้”
ฉีหนิงแค่ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร
“จิ่นอีโหว ครั้งนี้ที่เจ้านำคณะทูตมาที่ต้าฉีของเรา
ด้วยเรื่องอันใดหรือ?” ฮ่องเต้ตงฉีนั่งพิงอยู่ทบี่ ัลลังก์
แล้วถามอย่างขี้เกียจ
ฉีหนิงยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “กระหม่อมได้รับ
ราชโองการจากฝ่าบาท ให้นำคณะทูตมายังแคว้นต้า
ฉี เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น เราทั้ง
สองแคว้นมีชายแดนติดกันเปรียบเสมือนเพื่อนบ้าน
กัน เป็นมิตรที่ดีต่อกันมาตลอด เพื่อให้เราทั้งสอง
แคว้นเป็นมิตรแบบนี้ต่อกันตลอดไป ทางต้าฉู่ของเรา
มีประสงค์จะทำการสู่ขององค์หญิงต้าฉี เพื่อให้เราได้
มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตงฉีลูบเคราแล้วพูดว่า “องค์หญิงเทียนเซียง
ของข้ายังไม่ได้แต่งงาน อย่าบอกนะว่าพวกเจ้ามาใน
ครั้งนี้ตั้งใจจะมาสู่ขอเทียนเซียง?”
ฉีหนิงพูดว่า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ให้
ทูลเชิญองค์หญิงเทียนเซียงกลับไปยังแคว้นฉู่ของเรา
และแต่งตั้งให้พระนางเป็นฮองเฮาของแคว้นฉู่เรา
เราจะไม่ให้องค์หญิงต้องทรงเสียพระเกียรติเลยพ่ะ
ย่ะค่ะ”
“ฮองเฮาแห่งแคว้นฉู่?” สีหน้าของฮ่องเต้ตงฉีดูพอใจ
มาก “แคว้นฉู๋ของพวกท่านกับต้าฉีของเรา หลายปีที่
ผ่านมาไม่เคยถือดาบเข้าหากันเลย เราเป็นมิตรที่ดี
ต่อกันมาตลอด” เขาลูบเคราแล้วพูดว่า “เทียนเซีย
งแต่งไปแคว้นของพวกท่าน ได้แต่งตั้งเป็นฮองเฮา
ฮ่องเต้น้อยของพวกเจ้าก็จะเป็นเขยของข้า เป็นเขยก็
ต้องกตัญญูต่อพ่อตาด้วยจริงหรือไม่”
ฉีหนิงหันหน้าไปมอง อู๋ต๋าหลินถือรายการของกำนัล
มาสองมือ เดินอ้อมไปด้านข้างของสระน้ำ เดินไปได้
ไม่กี่ก้าว ก็มีขันทีเดินหน้ามารับรายการจากมือ
ของอู๋ต๋าหลินไป จากนั้นก็หันหน้าเข้าหาฮ่องเต้ตงฉี
ฮ่องเต้ตงฉีพยักหน้า ขันทีคนนัน้ เปิดรายงานออก
จากนั้นก็อ่าน
ของกำนัลที่แคว้นฉูจ่ ัดมาถวายให้นั้นถือว่าใจป้ำมาก
ขันทีอ่านชื่อรายการอยู่นาน ขุนนางตงฉีที่ยืนอยู่สอง
ฝั่งต่างก็พยักหน้า จากรายการของกำนัลเห็นได้ว่า
แคว้นฉู่มีความจริงใจอย่างยิ่ง ซึ่งถือว่าให้เกียรติ
แคว้นตงฉีอย่างมาก ฮ่องเต้ตงฉีถึงแม้จะดูอ่อนเพลีย
แต่ว่าจากสีหน้าของเขา เขาดูพอใจกับของกำนัลที่
แคว้นฉู่นำมาถวายให้มาก
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินด้านนอกมีเสียงตะโกนรายงาน
มาว่า “ราชทูตอวี้อ๋องนำคณะทูตเป่ยฮั่นขอเข้าเฝ้า”
จากนั้นก็เห็นอวี้อ๋องสวมชุดเต็มยศนำคณะทูตเดิน
เข้ามาในตำหนัก เป่ยถังเฟิงเดินตามหลังอวี้อ๋องเข้า
มา เทียบกับเมื่อคืนแล้ว เขาได้เปลีย่ นชุดที่ดูดีขึ้น
เห็นได้ว่าตั้งใจแต่งตัวมาอย่างดี ดูดีมากทีเดียว แต่ว่า
สีหน้าของเขาดูอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น
ฉีหนิงรู้ว่าเป่ยถังเฟิงไม่ได้อยู่ในเรือนรับรองหลวงเมื่อ
คืนนี้ อีกทัง้ น่าจะออกไปเที่ยวเล่นมาทั้งคืน สีหน้า
ของเขา คิดว่าน่าจะไปหอนางโลม ถึงได้เสียแรงดูไม่
สดชื่นขนาดนี้ องครักษ์ผู้ติดตามหลายคนสวมชุดที่ดู
ดีมาก มีสองคนถือเอากล่องของขวัญเข้ามา ทุกคน
ก้มหน้าลง ดูมีมารยาทมาก
อวี้อ๋องเดินขึ้นหน้ามา ยืนอยู่ข้างฉีหนิง เขามองมาที่
ฉีหนิง จากนั้นค่อยหันไปยกมือคำนับฮ่องเต้ตงฉีแล้ว
พูดว่า “ราชทูตแห่งเป่ยฮั่นเป่ยถังอวี้ ถวายพระพรฝ่า
บาท”
ฮ่องเต้ตงฉีเองก็ไม่พูดอะไรไร้สาระ เขาถามตรงๆ
เลยว่า “อวี้อ๋อง พวกท่านมายังต้าฉีของเรา ก็จะมาสู่
ขอองค์หญิงของข้าใช่หรือไม่?”
อวี้อ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาชี้ไปที่
เป่ยถังเฟิง แล้วพูดว่า “นี่คือองค์ชายรองของต้าฮั่น
เรา เป็นองค์ชายที่ฝ่าบาทของเราโปรดปรานมาก
ที่สุด ในบรรดาองค์ชายต้าฮั่น มีเพียงองค์ชายเฟิงคน
เดียวที่ยังไม่มีพระชายาเอก กระหม่อมได้รับพระ
บัญชาจากฝ่าบาทของเรา ให้พาองค์ชายเฟิงมาสู่ขอ
องค์หญิงด้วยตัวเอง เพื่อสร้างสัมพันธไมตรีระหว่าง
สองแคว้น”
มหาเสนาบดีแคว้นตงฉีอย่างหลิงหูซีที่ไม่ได้พูดอะไร
เลยยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องอวี้ ท่านมาช้าไปก้าว
หนึ่ง เมื่อครู่สิ่งที่ราชทูตแคว้นฉูพ่ ูดไปท่านอาจจะไม่
ทันได้ยิน ที่จนิ่ อีโหวแห่งแคว้นฉู่มาที่นี่ ก็เพื่อสู่ขอ
องค์หญิงเช่นกัน แต่ว่าจิ่นอีโหวไม่ได้มาเพื่อสู่ขอองค์
หญิงให้องค์ชาย แต่ว่ามาสู่ขอให้กับฮ่องเต้แคว้นฉู่”
อวี้อ๋องพยักหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าพอจะได้ยินมา
บ้าง ฮ่องแต้แคว้นฉู่ยงั ทรงพระเยาว์ ยังไม่ได้ทรง
อภิเษก แคว้นฉูเ่ ดินทางมาสู่ขอ ก็เป็นเรื่องที่คาดเดา
ไว้แล้ว”
“แคว้นฉู่มาสู่ขององค์หญิงเทียนเซียงของเราให้ไป
เป็นฮองเฮาแห่งแคว้นฉู่” หลิงหูซียมิ้ แล้วพูดว่า
“แคว้นฉู่มีความจริงใจมาก อีกทั้งยังให้เกียรติองค์
หญิงของเรามากด้วย”
อวี้อ๋องพูดว่า “ท่านมหาเสนาบดี ข้ารับรองได้ว่า
แคว้นฮั่นของเราเองก็มีความจริงใจมากไม่แพ้กัน”
หลิงหูซียิ้ม ไม่ได้พูดอะไร แต่ว่ามีขุนนางตงฉีคนหนึง่
พูดขึ้นมาว่า “ท่านอ๋องอวี้ ขอข้าพูดอะไรตรงๆ
หน่อยเถอะนะ หากองค์หญิงของเราทรงอภิเษกไป
ยังแคว้นฉู่ พระนางจะทรงได้รับการแต่งตั้งเป็น
ฮองเฮาแห่งแคว้นฉู่ แต่ว่าหากไปที่แคว้นฮั่นของท่าน
เป็นแค่...ถึงแม้องค์ชายเฟิงจะมีฐานสูงศักดิ์ แต่ก็เป็น
แค่องค์ชายเท่านั้น เหมือน...เหมือนจะสู้อะไรกับ
ฮ่องเต้แคว้นฉู่ไม่ได้เลยนะ”
อวี้อ๋องขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ใต้เท้าทุกท่าน หรือว่า
แคว้นของพวกท่านจะให้องค์หญิงอภิเษกไปที่ไหน
ต้องดูตำแหน่งฐานะของคู่สมรสเป็นหลักอย่างนั้น
หรือ? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าไม่ทราบมาก่อนเลย”
หลิงหูซียิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องอวี้ การอภิเษกของ
องค์หญิง ไม่ได้มองตำแหน่งฐานะของคู่สมรสเป็น
หลัก แต่ว่าฐานะตำแหน่ง ก็สามารถแสดงออกถึง
การเคารพต่อเกียรติขององค์หญิงได้ไม่ใช่หรือ”
“ครั้งนี้ฝ่าบาทของเราได้เตรียมของกำนัลสินสอดมา
ให้ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการเคารพและให้เกียรติ
องค์หญิงของแคว้นฮั่นเราอย่างสูงสุด” อวี้อ๋องพูดว่า
“ฝ่าบาทของเราทรงทราบมาว่าฝ่าบาทโปรดการล่า
สัตว์มาก ที่เขาหม่าหลิงซานป่าไม้อุดมสมบูรณ์ มี
เหยื่อให้ล่าสัตว์มากมายนับไม่ถ้วน เป็นสถานที่ล่า
สัตว์ที่ดีที่สุดของเรา ดังนั้นฝ่าบาทของเราจึงทรงจะ
ถวายเขาหม่าหลิงซานให้กับ...”
อวี้อ๋องยังพูดไม่จบ ทุกคนในตำหนักต่างตกใจ แม้แต่
ฉีหนิงเองก็ตกใจมากเช่นกัน
เมื่อคืนหลิงหูซีแอบส่งข่าวให้เขา ฉีหนิงคิดมาตลอด
ว่ายังไม่มีข้อสรุป จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด แต่ว่าใน
ใจเขาเองก็มั่นใจประมาณหนึ่ง รู้สึกว่าชัยชนะของ
แคว้นฉู่อยู่แค่เอื้อมแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าแคว้นฮั่นจะ
มาไม้นี้ เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ
อวี้อ๋องถึงแม้จะไม่ได้พูดหมด แต่ความหมายของเขา
ชัดเจนมากแล้ว พวกเขาต้องการตัดแบ่งดินแดนเพื่อ
สู่ขององค์หญิงตงฉี
ฮ่องเต้ตงฮีท่าทางเหมือนคนจะหลับ พอได้ยินอวี้อ๋อง
พูดมาแบบนี้ เขาเหมือนจะสดชื่นขึ้นมาทันที เขาดู
ตื่นเต้นมาก เขานั่งตัวตรง แล้วถามว่า “หม่าหลิง
ซาน? พวกท่าน...พวกท่านจะยกหม่าหลิงซานให้ข้า
หรือ?”
“ทูลฝ่าบาท ฝ่าบาทของเรามีพระประสงค์เช่นนี้พะ่
ย่ะค่ะ?” อวี้อ๋องน้ำเสียงแน่วแน่ เหมือนลงมือจู่โจม
ด้วยท่อนเหล็กสังหารในเสี้ยววินาที ชัยชนะอยู่ในมือ
ของเขาแล้ว “ฝ่าบาททรงโปรดปรานการล่าสัตว์
ถึงแม้แคว้นฉีจะมีสถานที่ล่าสัตว์มากมาย แต่ว่า
สถานที่ล่าสัตว์อย่างเขาหม่าหลิงซาน คงมีไม่มาก
นัก”
“อวี้อ๋อง พวกท่านถวายเขาหม่าหลิงซานให้กับฝ่า
บาท แต่ว่าพื้นที่ของเขาหม่าหลิงซานทางทิศ
ตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดนั่นเป็นพืน้ ที่ของชาวเป่ย
ฮั่น” รัชทายาทพูดว่า “ให้เราไปที่เขาหม่าหลิงซาน
มันไม่เป็นการรุกรานพื้นที่ของแคว้นฮั่นหรอกหรือ?”
อวี้อ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “รัชทายาททรงกังวลพระทัย
เกินไปแล้ว เขาหม่าหลิงซานตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก
เฉียงใต้ มีเมืองต้าหมิง หยานเฉิง ฟ่านเสี้ยน ผู่เสี้ยน
กับเยียนเฉิงและเขตอื่น ๆ ของที่นั่นจะถือเป็น
สินสอดทั้งหมด เราจะถวายทั้งหมดให้กับแคว้นของ
ท่าน เพื่อสร้างไมตรีต่อกันตลอดไป ไม่ว่าดินแดน
ส่วนนั้นจะเป็นของใครก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เลย”
คำพูดของอวี้อ๋องสำหรับฮ่องเต้ตงฉีแล้ว มันน่าตกใจ
เอามากๆ
ตอนนั้นที่ชาวเป่ยฮั่นยกทัพนับหมื่นมาโจมตีตงฉี
ถึงแม้จะพ่ายแพ้กลับไป แต่ว่าตงฉีเองก็ไม่ได้ดินแดน
ของเป่ยฮั่นมาแม้แต่นิดเดียว วันนี้ ในบรรดาสาม
แคว้น ฉู่และฮั่นเหนือกว่าตงฉีทุกอย่าง นโยบายของ
แคว้นตงฉี ก็คือการสร้างสมดุลกับทัง้ สองแคว้น ให้
ทั้งสองแคว้นใช้อำนาจในการคานกันเอง
ที่จริงแล้วฮ่องเต้ตงฉีรู้ดีแก่ใจว่า หากแคว้นฉู่ฮั่นเป็น
อย่างนี้ต่อไป มันเป็นสถานการณ์ที่ดกี ับตงฉีมากแล้ว
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเหนือกว่าขึ้นมา มัน
ไม่ใช่เรื่องนี้สำหรับตงฉีเลย
ตงฉีอยู่ตรงกลางระหว่างสองแคว้น การเอาตัวรอด
เป็นวิธีที่ฝืน แต่หากต้องการขยายพืน้ ที่ออกไป มันก็
เหมือนฝัน รักษาดินแดนของตัวเองไว้ ก็ไม่ง่ายแล้ว
ถึงแม้ตงฉีจะสามารถขับไล่ทหารเป่ยฮั่นออกไป แต่
ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ตงฉีเองก็อยูภ่ ายใต้การข่มขู่
และหวาดระแวงของเป่ยฮั่นมาตลอด สถานที่ที่
ร้ายแรงมากที่สุดก็คือเขาหม่าหลิงซาน
เขาหม่าหลิงซานตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ของแคว้นตงฉี ถึงแม้จะไม่ใหญ่มาก แต่ว่ามันเป็น
สถานที่สำคัญมากแห่งหนึ่ง ที่เขาหม่าหลิงซานมี
ทหารประจำการอยู่ห้าพันนาย จากด้านบนมองลง
มา เมืองต้าหมิง หยานเฉิง ฟ่านเสี้ยน และสถานที่
อื่นต่างมีทหารทั้งหมด หากแคว้นฮั่นตั้งใจจะใช้กำลัง
ทหารของแคว้นตงฉี เขาหม่าหลิงซานถือเป็น
ภูมิศาสตร์ที่ดีมาก สถานที่นี้สามารถรวบรวมกำลัง
พลมาก และง่ายต่อการบุกเข้าดินแดนของตงฉี
แคว้นฮั่นส่งทหารมาตั้งค่ายประจำการมาหลายปี
ถึงแม้จะบอกว่าเป็นกำแพงเหล็กไม่ได้ แต่ว่าแคว้น
ตงฉีคิดจะบุกโจมตีเขาหม่าหลิงซาน มันก็เป็นไปไม่ได้
เลย
แคว้นฮั่นยึดครองเขาหม่าหลิงซานชาวตงฉีก็เหมือนมี
ปลามาอยู่ที่ปลายปาก ที่จริงแคว้นตงฉีเองก็ใช่ว่าจะ
ไม่เคยวางแผน คิดจะหาโอกาสยึดเขาหม่าหลิงซาน
มา แต่ว่าเมื่อศึกษาวิธีหลายครั้งแล้ว ยังไม่ทันจะนึก
ไปถึงงกองหนุนของเป่ยฮั่น แค่จะยึดเขาหม่าหลิง
ซานมา ก็ต้องใช้กำลังพลกับกำลังเงินมากมาย หาก
พ่ายแพ้ ผลที่ตามมาพวกเขาแทบไม่อยากคิดเลย
ตงฉีไม่อาจรับผลที่ตามมาแบบนั้นได้เลย
หลายปีมานี่ ตงฉีแทบไม่คิดจะอยากได้เขาหม่าหลิง
ซานเลย คิดไม่ถึงเลยว่าแคว้นฮั่นจะเอาเขาหม่าหลิง
ซานมาเป็นสินสอด
แค่ยกองค์หญิงคนเดียวให้เขาไป ไม่ต้องเสียงทหาร
ไม่ต้องเสียเงิน ก็ได้เขาหม่าหลิงซานมา การป้องกัน
ของตงฉีก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก อย่าง
น้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าชาวเป่ยฮั่นจะบุกมาทางเขา
หม่าหลิงซาน
ถึงแม้ฉีหนิงจะไม่รู้ว่าเขาหม่าหลิงซานมียุทธศาสตร์
สำคัญแค่ไหน แต่การตัดแบ่งแคว้นมาเป็นสินสอดใน
การสู่ขอ มันถือว่าเกินคาดมากแล้ว เขารู้ดีว่า แค่
วินาทีเดียวแค่นี้ ความได้เปรียบของแคว้นฉู่นั้นแทบ
จะไม่เหลือ เมื่อวานที่เขาตอบคำถามไปมากมาย
แคว้นฉู่ที่ลงทุนลงแรงเพื่อเตรียมสินสอดมาให้ ทุก
อย่างเทียบกับการยกดินแดนของชาวเป่ยฮั่นไม่ได้
เลย
อู๋ต๋าหลินขมวดคิ้วหนัก
เขาเป็นคนฝึกยุทธอยู่ในกองทัพมากก่อน เขารู้ดีว่า
ยุทธศาสตร์ของเขาหม่าหลิงซานมันเป็นยังไง เขาคิด
ในใจว่าชาวเป่ยฮั่นยกดินแดนเขาหม่าหลิงซานให้
เรื่องนี้ถือว่าเฉือนเลือดกรีดเนื้อน่าดู เพื่อสู่ขอให้
สำเร็จ ถึงกับเสนอเงื่อนไขแบบนี้ เมื่อได้เขาหม่าหลิง
ซานมาในมือ การข่มขู่ของแคว้นฮั่นที่มีต่อตงฉีก็จะ
หายไป เมื่อยกเขาหม่าหลิงซานให้แล้ว แคว้นฮั่นคิด
จะรุกรานตงฉี ก็ต้องลงทุนทหารกับเงินมากขึ้นไปอีก
สำหรับแคว้นฮั่นแล้ว การยกหม่าหลิงซานให้ ก็
เปรียบเสมือนว่ารบแพ้ไปแล้วศึกหนึง่
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 621 แผนที่มีดโผล่
แคว้นฮั่นไม่สนใจผลประโยชน์ของแคว้น เพื่อให้การ
เจรจาสู่ขอเป็นผลสำเร็จตัดสินใจมอบพื้นทีเ่ ขาหม่าห
ลิงซานให้ ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้ตงฉีหรือว่าคณะทูต
แคว้นฉู่ ทุกคนต่างก็ตกใจ
ฮ่องเต้ตงฉีเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เขาถามว่า
“ที่พวกท่านพูดมาจริงหรือเปล่า? เขาหม่าหลิงซาน...
จะให้ข้าจริงหรือ?”
เมื่อคืนนี้เป่ยถังเฟิงเสีหน้ามากที่จวนเสนาบดี เขา
รู้สึกอึดอัดมาก ตอนนี้เห็นทุกคนตกใจ เขาก็รู้สึก
สะใจขึ้นมา เขาเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว แล้วพูดว่า
“เสด็จพ่อรับสั่งให้กระหม่อมนำสาส์นกับแผนที่มา
ด้วย ในพระราชสาส์นได้กล่าวเรื่องพื้นที่ที่จะส่งมอบ
ให้ไว้อย่างชัดเจน บนแผนทีเ่ องก็มีการทำสัญลักษณ์
ไว้แล้ว หากฝ่าบาททรงตกลงเรื่องการอภิเษกกับเรา
วันนี้ก็สามารถเก็บพระราชสาส์นไปได้เลย ภายใน
สามวัน ทหารที่ประจำการอยู่ทเี่ ขาหม่าหลิงซานกลุ่ม
แรกก็จะถอนกำลังไปทันที ภายในหนึ่งเดือน ทหาร
ทั้งหมดจะถอนกำลังออกจากเขาหม่าหลิงซาน
ทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมขุนนางตงฉีได้ยินแคว้นฉูจ่ ะแต่งตั้งให้องค์หญิง
เทียนเซียงเป็นฮ่องเฮา ก็รู้สึกว่าแคว้นแคว้นฮั่นคงไม่
มีอะไรมาสู้ได้ เพราะฮ่องเต้แคว้นฮั่นอายุมากแล้ว
อีกทั้งแคว้นฮั่นเองก็มีฮ่องเฮาแล้วด้วย ดังนั้นหลาย
คนรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะได้ข้อสรุปแล้ว องค์หญิงเทียน
เซียงก็น่าจะไปแคว้นฉูแ่ น่นอนแล้ว แต่ว่าแคว้นฮั่น
กลับยอมตัดพื้นที่เพื่อการสู่ขอ มันเป็นเงื่อนไขข้อ
แลกเปลี่ยนที่ดีกว่าแคว้นฉู่มากนัก
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าผลประโยชน์อะไรที่จะได้รับบ้าง
สิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งใดก็คือการได้พื้นทีข่ องเขาหม่าหลิง
ซาน ตงฉีก็เหมือนได้พื้นที่หายใจเพิม่ ขึ้น ไม่รู้ว่าต้อง
เสียเงินเสียกำลังพลเท่าไหร่ถึงจะได้มา
เหมือนพริบตาเดียว เหล่าขุนนางรู้ดา่ หากฮ่องเต้
ตงฉีไม่เลอะเลือน องค์หญิงเทียนเซียงจะไปที่ไหน
ผลคงไม่ต้องคิดอีกแล้ว
เป่ยถังเฟิงหันหลังมา แล้วส่งสัญญาณ ผู้ติดตามคน
หนึ่งถือม้วนยาวๆ มา ก้มหน้าลงแล้วเดินไปด้านหน้า
อ้อมสระน้ำ ขันทีเดินมารับหน้า เป่ยถังเฟิงพูดว่า
“ฝ่าบาท ทรงอนุญาตให้ผู้ติดตามของกระหม่อมไปชี้
ที่ดินที่จะส่งมอบให้กับพระองค์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตงฉีตอนนี้เชื่อแล้วว่าแคว้นฮั่นจะยกดินแดน
ส่วนหนึ่งให้ เขาตื่นเต้นมาก หากว่าเขาหม่าหลิงซาน
เขาได้มาในมือ ก็จะถือได้ว่าเขาได้ขยายดินแดนแล้ว
ตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นตงฉีมา ดินแดนของพวกเขาไม่เคย
เพิ่มขึ้นเลย วันนี้มีโอกาสแล้ว ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่
หาได้ยากมาก เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าฮ่องเต้
แคว้นฮั่นจะมอบดินแดนส่วนไหนมาให้ข้าบ้าง”
ผู้ติดตามนั่นก้มหน้าลง ยกม้วนกระดาษยาวขึ้นไปให้
สองมือ จากนั้นก็เดินผ่านหน้าขันทีไป แล้วตรงไปยัง
บัลลังก์
ขุนนางตงฉีรู้สึกดีใจกันมาก แต่ละคนพูดคุยกันใหญ่
มีคนไม่น้อยที่หดหู่
ชาวตงฉีดีใจกันใหญ่ ชาวเป่ยฮั่นใจกว้างสุดๆ พวกฉี
หนิงตอนนี้รู้สึกเครียดกันมาก ฉีหนิงรู้ดีว่า
ผลประโยชน์ของแคว้นนั้นต้องมาก่อน แคว้นฮั่นให้
ประโยชน์ที่มากกว่าจริง ในสถานการณ์แบบนี้ เขา
พูดอะไรไม่ออกเลย หากไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้มาสู้คิดว่า
คงไม่อาจเปลี่ยนใจชาวตงฉีได้
ถึงแม้หลิงหูซีจะมีใจเอนเอียงมาทางแคว้นฉู่ แต่ว่า
สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นเพียงแค่มหาเสนาบดี แคว้นฮั่น
ตัดเค้กก้อนใหญ่มาให้ เขาไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
ตอนนี้เขาเองก็พูดอะไรไม่ออก
เขาพยายามคิด คิดหาวิธีในการพลิกสถานการณ์
กลับมา แต่ว่าในเวลานี้ผู้ติดตามชาวเป่ยฮั่นก็เดินไป
ถึงหน้าฮ่องเต้ตงฉีแล้ว เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ยื่นม้วน
กระดาษยาวไปให้สองมือ ฮ่องเต้ตงฉีดูมีความสุขมาก
เขาขยับขึ้นหน้ามา ลูบเครายาวๆ ในตอนนี้เอง ก็ได้
ยินเสียงดังขึน้ ว่า “ไม่...” น้ำเสียงดูตะคอกอย่าง
จริงจัง มันเป็นเสียงของแม่ทัพใหญ่กองพลเรือแห่ง
ตงฉีเซินถูหลัว
ทุกคนยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็ได้ยิน
เสียงตะคอกแบบเสียงแหลมดังขึ้นมาว่า “เจ้าฮ่องเต้
ชั่วตายซะเถอะ” ผู้ติดตามชาวเป่ยฮั่นนั่นกางม้วน
กระดาษออกด้านในมีมีดสั้นอยู่เล่มหนึ่ง เขาจับมีด
แล้วแทงไปที่ฮ่องเต้ตงฉี
การเปลี่ยนแปลงทีเ่ กิดขึ้นไม่มีใครคาดคิด ทุกคน
ตำหนักยืนอึ้งกันหมด ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ฮ่องเต้ตงฉีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาเห็นมีดสั้นกำลังจะ
แทงมาที่หน้าอกของเขา ฉีหนิงเห็นฮ่องเต้ตงฉี
ลอยตัวไปด้านหลังราวกับนก เหมือนมีพลังบางอย่าง
ที่ดูดเข้าถอยหลังไป ผู้ติดตามคนนั้นลอยตัวเหมือน
เงา เขาดีดตัวขึ้น แล้วตามไป ในตอนนี้เอง ก็มีเงาวิ่ง
ผ่านหน้ามา คนด้านข้างหนึ่งคนโผล่มา แล้วซัดฝ่ามือ
ไปที่ผู้ติดตามคนนั้น เขาคือขันทีทยี่ นื อยู่ด้านข้าง
ฮ่องเต้ตงฉีนั่นเอง
ข้างกายของฮ่องเต้ตงฉีทงั้ ซ้ายและขวา เขาคือขันที
เฒ่าสองคนอยูร่ ับใช้ แต่พวกเขาก้มหน้าลง
ตลอดเวลา เหมือนกับว่ามีความเคารพมาก คิดไม่ถึง
เลยว่าในสถานการณ์คับขัน ขันทีเฒ่ากลับลงมือได้
อย่างคล่องแคล่วว่องไว
ในมือซ้ายของขันทีเฒ่ามีก้อนเหล็กเล็กๆ ก้อนหนึ่ง
ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร เขาขว้างมันไปที่ชาว
เป่ยฮั่น ผู้ติดตามของชาวเป่ยฮั่นใช้มีดสั้นบังเอาไว้
เสียงของมันปะทะแล้วแปลกมาก
“คุ้มกันฝ่าบาท” เซินถูหลัวตะคอก จากนั้นเขาก็บุก
ไปที่บัลลังก์ ทหารองครักษ์ได้ยินความเคลื่อนไหว ก็
ต่างถือหอกวิ่งเข้ามาในตำหนัก ผู้ที่เข้ามามีมากกว่า
สิบคน แล้วยืนขวางประตูเอาไว้
ฮ่องเต้ตงฉีลอยตัวไปด้านหลัง ยังไม่ทันจะลงพืน้
ขันทีอีกคนก็ลอยตัวมารับเขาไว้ จากนั้นก็ค่อยๆ วาง
เขาลง รัชทายาทตงฉีคนเดียวในตำหนักที่มีการพก
กระบี่ ตอนนี้วงิ่ มายืนขวางหน้าของฮ่องเต้ตงฉีเอาไว้
เขาถือกระบี่ในมือ คุ้มกันอยู่ด้านหน้า ฮ่องเต้ตงฉี
ตกใจหน้าซีดขาวมาก เมื่อได้สติกลับมา ผู้ติดตาม
ชาวเป่ยฮั่นกับขันทีเฒ่าก็ประมือกันไปเกือบสิบรอบ
แล้ว
จากด้านข้างตำหนัก ตอนนี้มีทหารชุดเกราะวิ่งเข้ามา
อีกเกือบสิบนาย ทุกคนคุ้มกันอยู่รอบฮ่องเต้ตงฉี
ฮ่องเต้ตงฉีได้สติกลับมา ก็รีบตะคอกไปว่า “จับ
คนร้ายเอาไว้ จับคนร้ายเอาไว้ ข้าจะฉีกนางออกเป็น
ชิ้นๆ”
รัชทายาทตะคอกเสียงดังขึ้นมาว่า “คุ้มกันเสด็จพ่อ
ออกไปก่อน” เขาคุ้มกันฮ่องเต้ตงฉีถอยออกไป
ตอนนี้มีทหารอีกประมาณเจ็ดแปดคนวิ่งเข้ามา ว่า
ผู้ติดตามเป่ยฮั่นนั่นกำลังสู้อยู่กับขันทีเฒ่า ทั้งสองคน
รวดเร็วว่องไวมาก ฉีหนิงวรยุทธ์ไม่ด้อยเลยตอนนี้
เขาเห็นทุกอย่างชัดเจน วิชาที่ผู้ติดตามเป่ยฮั่นนั่นใช้
นั้นไม่ต่างอะไรกับของขันทีเฒ่าเลย
หลังจากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาอีก ขันทีเฒ่าอีกคน
ลอยตัวเข้ามา แล้วพุ่งตรงไปที่ผู้ติดตามเป่ยฮั่นนั่น
ขันทีสองคนนั้นซ้ายคนขวาคน ผู้ติดตามเป่ยฮั่นกับ
ขันทีเฒ่าสู้กันไม่มีใครได้เปรียบเลย แต่ว่าตอนนี้สอง
รุมหนึ่ง อีกฝ่ายเหมือนจะตกเป็นรองไป ทหาร
องครักษ์กว่าสิบคนก็ล้อมวงอยู่ตรงนั้น ยังหาโอกาส
ลงมือไม่ได้
ขันทีเฒ่าคนก่อนหน้านี้มือซ้ายยังคงถือแผ่นเหล็กอยู่
ขันทีเฒ่าอีกคนมือขวาเองก็ถือแผ่นเหล็กอยู่ พวกเขา
มีอาวุธเหมือนกัน ฉีหนิงเห็นชัดเจน แต่ว่าเขาไม่เคย
เห็นอาวุธแปลกแบบนี้มาก่อน
ผู้ติดตามเป่ยฮั่นพยายามฝืนสู้กับทั้งสองคน ขันทีเฒ่า
ร่วมมือกันซ้ายทีขวาที ราวกับว่าพวกเขามีกันสี่มือ
แผ่นเหล็กในมือของพวกเขาก็แข็งแกร่งมากจนน่า
แปลกใจ จากนัน้ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา ขันทีเฒ่าคน
หนึ่งขว้างแผ่นเหล็กในมือไปใส่ไหล่ของผู้ติดตามเป่ย
ฮั่น ผู้ติดตามเป่ยฮั่นตัวเซ แต่ยังไม่ล้ม เขาว่องไวมาก
เขาอ้อมไปทางด้านหลังของขันทีเฒ่า เขาใช้มีดสั้น
แทงไปที่หลังของขันทีเฒ่า ยังไม่ทันจะถูกเป้า ขันที
เฒ่าอีกคนก็พุ่งมา เขายื่นมือซัดไป แผ่นเหล็กพุ่งไปที่
ขาของผู้ติดตามเป่ยฮั่น แต่เหมือนผู้ติดตามเป่ยฮั่น
นั้นจะเดาได้ เขาคิดอยากจะหลบ แต่ขันทีเฒ่านั่นไว
มาก แผ่นเหล็กในมือเขาถูกขว้างมาโดนข้าของ
ผู้ติดตามเป่ยฮั่น
อวี้อ๋องกับเป่ยถังเฟิงยืนอึ้งไป สีหน้าของพวกเขาซีด
แล้ว พวกเขาตะลึงจนไม่รู้ต้องทำยังไง ผู้ติดตามเป่ย
ฮั่นตามพวกเขาเข้ามาในวัง ใครจะคิดว่าจะกลายเป็น
แบบนี้ไปได้ ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ น้ำเสียงที่ออกมา
จากปากของคนร้าย มันเหมือนจะเป็นผู้หญิงคนหนึง่
ในบรรดาผู้ติดตามของเป่ยฮั่น มีผู้หญิงมาด้วยตั้งแต่
เมื่อไหร่?
เป่ยถังเฟิงยืนอึง้ ฉีหนิงเหมือนคิดอะไรอยู่ อู๋ต๋าหลิน
กับฉีเฟิงกังวลความปลอดภัยของฉีหนิง เลยขึ้นหน้า
มาคุ้มกัน แต่ว่าอาวุธของพวกเขาถูกริบไปก่อนเข้ามา
ในวังแล้ว เลยมีแค่มือเปล่า
ระหว่างที่ฉีหนิงมองผู้ติดตามเป่ยฮั่นต่อสู้อยู่นั้น
ท่าทางและรูปร่างอ่อนนุ่ม มันดูคุ้นมาก ในตอนนี้เอง
ก็เห็นผู้ติดตามเป่ยฮั่นถอยมาจนถึงหน้าสระน้ำ รอบ
สระมีที่กั้นหินเล็กๆ ผู้ติดตามเป่ยฮั่นถูกบีบจนต้อง
ถอยมาที่ริมสระ ตอนนี้ขาชนที่กั้นหินแล้ว ขันทีเฒ่า
ออกกระบวนท่าแทบจะเหมือนกัน อีกทั้งยังให้ความ
ร่วมมืออย่างเต็มที่ ผู้ติดตามเป่ยฮั่นแทบจะไม่มี
โอกาสตอบโต้ ทำได้แค่ตั้งรับ
เหล่าขุนนางที่อยู่ใกล้กบั สระน้ำต่างก็ถอยหลัง แล้ว
หลบไปไกลๆ ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงผู้ติดตามเป่ย
ฮั่นร้องขึ้นมาอีกครั้ง เขาดีดตัวขึ้นจากที่กั้นหินริมสระ
เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศตรงสระ ทันใดนั้นก็มีเสียง
ตะคอกขึ้นมาว่า “จะหนีไปไหน” มีคนโผล่มา แล้ว
ซัดฝ่ามือไปที่ผู้ติดตามเป่ยฮั่น ผู้ติดตามเป่ยฮั่น
พยายามใช้มือบัง คน นั้น ซัดฝ่ามือรวดเร็วมากโดน
ไปที่หน้าอกของผู้ติดตามเป่ยฮั่น
ผู้ติดตามเป่ยฮั่นปลิวออกไป ขันทีเฒ่าทั้งสองซ้ายคน
ขวาคนมายืนอยู่ที่ที่กนั้ หิน ฉีหนิงถึงได้เห็นชัดแล้วว่า
มีคนแอบลอบโจมตี คนๆ นั้นก็คือแม่ทัพใหญ่กองพล
เรือแห่งตงฉีเซินถูหลัว
เซินถูหลัวซัดฝ่ามือใส่ผู้ติดตามเป่ยฮั่นแล้ว แต่เขายัง
ไม่พอใจ รีบตามไป ผู้ติดตามเป่ยฮั่นหล่นลงพื้น ยังไม่
ทันตั้งตัว เซินถูหลัวก็ลอยลงมา ขาทั้งสองข้าง
พยายามเหยียบไปที่ผู้ติดตามเป่ยฮั่น ถึงแม้ผู้ติดตาม
เป่ยฮั่นจะถูกซัดฝ่ามือใส่ บาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็
พยายามจะกลิ้งหนีเซินถูหลัว
ในตอนนี้มีทหารวิ่งเข้ามา ทหารสองคนแทงหอกเข้า
ใส่ผู้ติดตามเป่ยฮั่น ผู้ติดตามเป่ยฮั่นกลิ้งไปด้านข้าง
เขาจับมาที่ปลายหอกสองด้าม จากนั้นก็สะบัดแขน
ทหารสองคนนั้นลอยตัวไปเหมือนนกไปหาเซินถูหลัว
เซินถูหลัวใช้มือจับทหารสองคนนัน้ ไว้ จากนั้นก็โยน
ไปข้างๆ เสี้ยววินาทีนี้ ผู้ติดตามเป่ยฮั่นเลยสามารถ
เส้นระยะออกห่างจากเซินถูหลัวได้ เขากลิ้งมาไกล
มาก จากนั้นก็ลุกขึ้นมา แล้วพุ่งมาหาฉีหนิง
ฉีหนิงเงยหน้ามองไปที่ผู้ติดตามเป่ยฮั่น เขามองไปที่
ตาของเขา ฉีเฟิงกับอู๋ต๋าหลินร้องออกมาแทบจะ
พร้อมกัน พวกเขาคิดจะขึ้นมารับมือ ฉีหนิงกลับสั่งว่า
“ถอยไป” เขาเดินขึน้ หน้าไป แล้วยืน่ มือจะไปจับ
ผู้ติดตามเป่ยฮั่นนั่น เขาลงมือเร็วมาก ถึงแม้ผู้ติดตาม
เป่ยฮั่นนั่นจะบาดเจ็บสาหัส แต่ความเร็วไม่ได้ลดลง
เลย นางยืน่ มือมา แล้วจับข้อมือของฉีหนิงเอาไว้
อู๋ต๋าหลินกับฉีเฟิงตกใจหน้าถอดสี ผู้ติดตามเป่ยฮั่น
พลิกตัว ไปอยู่ด้านหลังของฉีหนิง มีดในมือจ่อไปที่
คอของฉีหนิง แล้วตะคอกว่า “ใครกล้าเข้ามา ข้าจะ
ฆ่าเขาซะ”
ตอนนี้เซินถูหลัวบีบเข้ามาใกล้แล้ว ทหารตงฉีกว่าสิบ
คนล้อมผู้ติดตามเป่ยฮั่นเอาไว้ หอกของพวกเขาชี้ไป
ด้านหน้า เขาถูกปิดล้อมไว้หนาแน่นมากลมแทบจะ
ลอดเข้ามาไม่ได้ ฉีหนิงอ้าแขนสองข้างออก แล้วพูด
ว่า “อย่าทำอะไรวู่วามนะ...”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 622 บ่าวไพร่เก่าแก่
ผู้ติดตามเป่ยฮั่นตกอยู่ในที่นั่งลำบากแล้ว แต่ใครจะ
คิดว่านางบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้แล้ว ยังสามารถจับ
ตัวจิ่นอีโหวเป็นตัวประกันได้อีก จิ่นอีโหวเป็นถึง
ราชทูตแคว้นฉู่ ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ถึงแม้รอบๆ
จะมีทหารถือหอกล้อมอยู่ แต่ว่าไม่มีใครกล้าทำอะไร
บุ่มบ่ามเลย
เซินถูหลัวทำส่งสัญญาณ ทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาอีก
พวกเขาล้อมคณะทูตเป่ยฮั่นเอาไว้
อ๋องอวี้ได้สติคืนมา เขาคิดไม่ออกเลยว่าทำไม
ผู้ติดตามของเขาถึงได้กลายเป็นคนร้ายไปได้ ทันใด
นั้นเองเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขามองไปที่เป่ยถังเฟิง
เห็นเป่ยถังเฟิงสีหน้าซีดเซียว เหงื่อไหลเต็มหน้า เขา
ถึงได้เข้าใจ เขาจ้องไปที่เป่ยถังเฟิง จากนั้นก็ยกมือ
ขึ้นมาแล้วพูดว่า “อย่าได้เข้าใจผิด นักฆ่านี่ไม่เกี่ยว
อะไรกับเป่ยฮั่นเราเลย”
ลิ่งหูซวี่พูดมาจากที่ไกลๆ ว่า “ท่านอ๋องอวี้ เรา
ต้อนรับขับสู้คณะทูตอย่างดี ต่อให้เราทำอะไรให้
ครบถ้วน ก็ไม่ถึงขนาดทำให้พวกท่านไม่พอใจขนาดนี้
ทำไมท่านต้องสั่งให้คนมาลอบสังหารฝ่าบาทของเรา
ด้วย? หากไม่ใช่เพราะสวรรค์คุ้มครองฝ่าบาทของเรา
วันนี้พวกท่านคงทำสำเร็จไปแล้วหรือ?”
อ๋องอวี้ชพูดเสียงเข้มว่า “ท่านมหาเสนา ต้าฮั่นเราส่ง
ราชทูตมาที่นี่ ก็เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี จะคิดเป็นอื่น
ได้อย่างไรกัน เรื่องนี้จะต้องมีอะไรเข้าใจผิดกัน
แน่นอน ขอให้ตรวจสอบก่อนได้หรือไม่”
ผู้ติดตามเป่ยฮั่นคนนั้นหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า
“ท่านอ๋องอวี้ ที่แท้ท่านคิดจะตัดขาดแบบนี้นะ่ หรือ
ข้าไม่ยอมหรอกนะ มันเป็นแผนของท่าน หากพวก
ท่านไม่พาข้าเข้าวังหลวง การคุ้มกันหนาแน่นขนาดนี้
ข้าจะเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน? ตอนนี้พอพลาด ท่าน
กลับทำมาเป็นไม่รู้จักกันซะแล้ว มันไร้เยื่อใยกันไป
หน่อยไหม”
อ๋องอวี้ถึงกับหน้าถอดสี เขาตะคอกว่า “เจ้าเป็นใคร
กัน ทำไมต้องมาใส่ความข้าด้วย?”
“ข้าเป็นใคร คนอืน่ ไม่รู้ หรือว่าท่านเองก็ไม่รู้
เหมือนกัน?” ผู้ติดตามเป่ยฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า
“หากไม่ใช่องค์ชายเฟิงสั่งให้ข้านำภาพไปให้กับ
ฮ่องเต้ชวั่ นั่น ข้าจะมีโอกาสเข้าใกล้เขาได้อย่างไรกัน?
เดิมทีพวกท่านก็คิดให้ข้าจับตัวฮ่องเต้ชั่วนั่นไว้อยู่แล้ว
เพื่อต่อรองการแบ่งดินแดนแคว้นฉี อย่าบอกนะว่า
ลืมเร็วขนาดนี้?”
พอพูดแบบนี้ออกมา เหล่าขุนนางและทหารตงฉีก็
จ้องไปที่คณะทูตเป่ยฮั่นตาเขม็ง ทุกคนมองเขาด้วย
สายตาโกรธแค้น
ฉีหนิงรู้สึกทั้งตกใจและดีใจมาก
ถึงแม้เขาจะถูกผู้ติดตามเป่ยฮั่นเอามีดจี้คออยู่ แต่เขา
ก็ไม่ได้กลัวเลย ด้วยวรยุทธ์ของเขา ไม่มีทางยอมให้
ผู้ติดตามเป่ยฮั่นจับตัวได้ง่ายๆ หรอก เขาตกอยู่ในมือ
ของผู้ติดตามเป่ยฮั่น เพราะเขายอมให้จับเอง
ตอนที่ผู้ติดตามเป่ยฮั่นต่อสู้กับคนอืน่ อยู่นั้น ฉีหนิง
รู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของเขามันคุ้นมาก จนกระทั่ง
เขาพุ่งมาหา เขาถึงได้เห็นดวงตาของเขา ถึงได้จำได้
ว่า เขาคนนั้นคือชื่อตันเหมยนั่นเอง
ถึงแม้เขาจะตกใจมาก แต่ว่าในวินาทีนั้น เขาก็เข้าใจ
ว่า หากเขาไม่ช่วย วันนี้ต่อให้ชื่อตันเหมยจะต้องเสีย
เลือดจนหมดตัว ก็หลุดออกไปจากวงล้อมนี้ไม่ได้แน่
เขาเข้าใจดีว่า ต่อให้เขายอมถูกชื่อตันเหมยจับ ชื่อ
ตันเหมยไม่มีทางทำร้ายเขาแน่นอน ไม่ใช่เพราะว่า
เขากับชื่อตันเหมยมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่ว่าใน
สถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ช่วย
ชื่อตันเหมยได้ ชื่อตันเหมยไม่มีทางทำอะไรเขาง่ายๆ
แน่นอน
ชื่อตันเหมยเป็นลูกศิษย์ของราชครูแห่งตงฉีหม้อหลัน
ชาง เดิมทีนางควรจะเป็นคนทีค่ อยคุ้มกันคนของตงฉี
แต่ว่านางกลับต้องการสังหารฮ่องเต้ตงฉี มันยากที่จะ
เชื่อมาก ฉีหนิงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีอะไรมากกว่าที่คิด
หากวันนี้เขาช่วยชื่อตันเหมยได้ ชื่อตันเหมยก็จะติด
ค้างบุญคุณเขา เขาอาจจะได้รู้อะไรมากขึ้นก็ได้
ในเมื่อชื่อตันเหมยเป็นศิษย์ของราชครูตงฉี นางก็ต้อง
รู้จักสถานการณ์ของแคว้นเป็นอย่างดี วันนี้นางลอบ
สังหารฮ่องเต้ตงฉี เท่ากับว่านางเองก็จะกลายเป็น
ศัตรูของแคว้นตงฉีทนั ที อยู่ที่ตงฉีนางไม่มีทางหนี
แน่นอน หากต้องการอยู่รอดต่อไป ก็ต้องฝาก
ความหวังไว้ที่คณะทูตเป่ยฮั่นหรือไม่ก็หนานฉู่ หาก
สามารถดึงชื่อตันเหมยมาอยู่ข้างหนานฉู่ได้ ก็ถือเป็น
ประโยชน์ต่อหนานฉู่
ถึงแม้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะไม่ได้รู้มาก่อน แต่ว่า
เรื่องนี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่อันตรายอยู่แล้ว
ชื่อตันเหมยกระทำการในครั้งนี้ ที่จริงแล้วก็ถือว่า
ช่วยคณะทูตแคว้นฉู่พลิกแพลงสถานการณ์ครั้งใหญ่
ได้ เดิมเป่ยฮั่นจะยกดินแดนเพื่อเจรจาเรื่องการ
อภิเษก พวกเขาได้เปรียบมาก ฉีหนิงคิดไม่ออกเลย
เขาจะพลิกสถานการณ์ได้อย่างไร แต่ว่าใน
สถานการณ์ตอนนี้ กลับทำให้เป่ยฮัน่ ตกอยู่ในที่นงั่
ลำบากและอันตราย
ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ทำไมตอนที่อยู่ที่สวีโจว ชื่อตัน
เหมยถึงได้มาหาเขากลางดึก แล้วมาขอร้องให้เขาพา
เข้าวัง ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ที่ชื่อตันเหมยจะเข้าวังก็
เพื่อหาโอกาสในการลอบสังหารแคว้นตงฉี ตอนนี้พอ
นึกๆ ดูแล้ว ก็รู้สึกกลัวขึ้นมา หากว่าตอนนี้เขาไม่
ยืนยันแบบนั้น รับปากพานางเข้าวังมาก วันนี้คณะ
ทูตแคว้นฉู่อาจจะต้องตกอยู่ในอันตรายแทน
เขารู้สึกว่าชื่อตันเหมยมือสั่น เขารู้ว่านางบาดเจ็บ
หนักมาก แต่ว่าน้ำเสียงของนางยังนิง่ อยู่ คำพูดของ
นางนั้นพยายามบีบจนคณะทูตเป่ยฮั่นนั้นจนมุม เขา
เองก็รู้สึกดีใจมาก
เป่ยถังเฟิงได้ยินชื่อตันเหมยพูดแบบนี้ เขาก็โกรธจน
ควันออกหู เขาตะคอกว่า “เจ้า...เจ้ามันนังแพศยา
เจ้ากล้า...เจ้ากล้าทำร้ายข้า ข้าจะฉีกเจ้าเป็นหมื่นๆ
ชิ้น”
ชื่อตันเหมยหัวเราะ แล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าพลาด
พวกเจ้าก็ต้องอยากฆ่าข้าปิดปากน่ะสิ เรื่องการฆ่า
คนปิดปาก พวกเจ้าก็ถนัดอยู่แล้วนีน่ า”
ลิ่งหูซวี่พูดเสียงเข้มมาก “ท่านอ๋องอี้ ท่านจะอธิบาย
เรื่องนี้อย่างไร?”
อ๋องอวี้หน้าเสียมาก เขาพูดอย่างโมโหว่า “ท่านมหา
เสนา ข้าขอพูดตามตรง เราจะไม่พูดก่อนว่าต้าฮั่นไม่
เคยเห็นต้าฉีเป็นศัตรูมาก่อน ต่อให้เราต้องการจะ
สังหารฮ่องเต้ของพวกท่านจริง เราจะเลือกวิธีแบบนี้
หรือ? เพราะหากว่าพลาด คณะทูตแคว้นฮั่นของเรา
ก็คงไม่รอด แล้วข้าจะพาองค์ชายเฟิงกับฮ่องเต้ของ
พวกท่านเพือ่ อะไรกัน? ขอพูดอะไรที่เป็นการเสีย
มารยาทหน่อยนะ หอเก้านภาของเรามียอดฝีมือ
มากมาย หากต้องการส่งนักฆ่ามาสักคน ตัวเลือก
ของเราก็มีมากพอ”
ลิ่งหูซวี่ซีพูดว่า “วังหลวงต้าฉีของเราได้ท่านราชครู
เป็นคนออกแบบ แผนผังในวังลึกลับราวกับเขาวงกต
ในหลายปีที่ผ่านมาพวกท่านไม่ได้ส่งนักฆ่ามาเลยสัก
ครั้งจริงหรือ? แต่น่าเสียดายที่ทุกครัง้ ที่พวกเขาเข้าวัง
มา พวกเขาก็จะตกหลุมพราง กลับออกไปไม่ได้อีก
จากนั้นก็ถูกจับ”
เซินถูหลัวพูดว่า “ท่านมหาเสนา คณะทูตแคว้นฮั่น
เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เอาไว้ค่อยตรวจสอบกันอีกที”
เขาชี้ไปที่ชื่อตันเหมย แล้วพูดว่า “ปล่อยจิ่นอีโหว
เดี๋ยวนี้ ข้าจะทูลฝ่าบาทให้เจ้าเหลือศพครบสมบูรณ์
ไม่อย่างนั้น...เจ้าจะต้องตายทั้งเป็น”
ชื่อตันเหมยหัวเราะ แล้วพูดว่า “ตายทั้งเป็น? เซินถู
หลัว เจ้ามันก็แค่คนต่ำช้าคนหนึ่งเท่านั้น อย่ามาทำ
เป็นพูดจาดีหน่อยเลย หากไม่ใช่บ่าวสองคนนั่น เจ้า
จะมีโอกาสลอบทำร้ายข้าหรือ แค่ฝ่ามือพยัคฆ์ จะทำ
อะไรข้าได้? ข้าควรจะฆ่าเจ้าไปนานแล้วด้วยซ้ำ”
ฉีหนิงทำหน้าเศร้าแล้วพูดว่า “แม่นางท่านนี้ ข้าเป็น
ราชทูตของแคว้นฉู่ ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเจ้า เรา
ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรต่อกัน พวกท่านค่อยๆ
จัดการเรื่องนี้ไป แต่ว่าปล่อยข้าไปก่อนได้ไหม?”
“อย่าพูดมาก” ชื่อตันเหมยพูดว่า “หากพูดมากอีก
ข้าจะปาดคอเจ้าซะ”
อู๋ต๋าหลินกับฉีเฟิงแล้วก็ผู้ติดตามคณะทูตร้อนใจมาก
แต่ว่าฉีหนิงอยู่ในมือของคนร้าย เลยไม่ทำอะไรวู่วาม
เซินถูหลัวขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังขึน้ ว่า
“วางอาวุธลง” จากนั้นก็มีเสียงพูดต่อขึ้นมาว่า “แล้ว
กลับไปกับเรา” เสียงก่อนหน้านี้ก็ดังขึ้นไปอีกว่า
“เมื่อพบท่านเจ้าเกาะแล้ว” อีกเสียงก็พูดต่อว่า “ให้
ท่านเจ้าเกาะเป็นผู้ตัดสิน”
ระหว่างที่พูด ก็เห็นเงาสองเงาลอยมา ซ้ายคนขวาคน
ยืนอยู่ข้างเซินถูหลัว นั่นก็คือขันทีเฒ่าสองคน
ฉีหนิงได้ยินเสียงสองคนนัน้ ก็จำได้ทันที ขันทีเฒ่า
สองคนนี้คือผู้อาวุโสประหลาดที่โผล่มาที่จวนมหา
เสนาเมื่อคืน จากนั้นก็กลับออกไปอย่างรวดเร็ว
ชื่อตันเหมยพูดว่า “บ่าวเก่าแก่สองคนอย่างพวกเจ้า
ใครสั่งให้เจ้ามายุ่งเรื่องนี้? เรื่องนีเ้ กีย่ วอะไรกับพวก
เจ้าสองคน?”
ผู้อาวุโสอ้วนพูดว่า “ท่านเจ้าเกาะมีคำสั่ง” ผู้อาวุโส
ผอมพูดต่อว่า “ให้พาเจ้ากลับเกาะ” ผู้อาวุโสอ้วนพูด
อีกว่า “หากเจ้าไม่กลับไป” ผู้อาวุโสผอมว่า “เราก็
จะไม่กลับไปที่เกาะ”
ฉีหนิงรู้ทันทีว่า ผู้อาวุโสประหลาดสองคน เป็นคน
ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นหม้อหลันชางอาศัยอยู่ที่เกาะแห่ง
หนึ่งในตงไฮ่ มีลูกศิษย์สามคน ไป๋อวีเ่ ฮ่อกับชื่อตัน
เหมยฉีหนิงเจอมาหมดแล้ว จากน้ำเสียงของชื่อตัน
เหมย ฉีหนิงคิดว่าผู้อาวุโสสองคนนี้ไม่น่าจะเป็นศิษย์
ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น แต่อาจเป็นบ่าวไพร่บนเกาะ
แต่ว่าบ่าวไพร่ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นสองคนนี้ วรยุทธ์
ร้ายกาจมาก ขนาดฮั่วเสินจวินของหอเก้านภายังไม่มี
โอกาสตอบโต้พวกเขาสองคนเลย แสดงว่าวรยุทธ์
ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นนั้นลึกล้ำคาดเดาไม่ได้เลย
อ๋องอวี้ได้สติ แล้วรีบพูดว่า “พวกเขาเป็นคนของ
เกาะไป๋อวิ๋นอย่างนัน้ หรือ?” จากนั้นก็รีบพูดว่า
“เราต้าฮั่นไม่เคยไปมาหาสู่กับเกาะไป๋อวิ๋นมาก่อน
ท่านเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเป็นถึงต้าจงซือของแคว้นตงฉี
เป็นราชครูของพวกท่าน คนของเขาลอบสังหาร
ฮ่องเต้ตงฉี ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเราเลย”
ลิ่งหูซวี่พูดว่า “ท่านอ๋องอวี้ ท่านอย่าลืมไปนะว่า คน
ทรยศของเกาะไป๋อวิ๋นนี่พวกท่านเป็นคนพาเข้าวัง
มานะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกท่านจะหนีความ
รับผิดชอบไปไม่ได้ คนทรยศของเกาะไป๋อวิ๋นนี่
ต้องการลอบสังหารฝ่าบาท แลกเปลี่ยนผลประโยชน์
กับพวกเจ้า ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
เป่ยถังเฟิงรีบพูดว่า “ท่านมหาเสนา นัง...นังแพศยา
นี่เมื่อคืน...เมื่อคืนนางยั่วยวนข้า ข้า...ข้าคิดไม่ถึงเลย
ว่านางจะเป็นนักฆ่า ดังนั้น...ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้จักนาง
มาก่อนเลย นางคิดจะลอบสังหารฝ่าบาทของพวก
ท่าน ไม่เกี่ยวอะไรกับคณะทูตของเราเลย”
ฉีหนิงแปลกใจว่า ชื่อตันเหมยทำอย่างไรให้คณะทูต
เป่ยฮั่นพานางเข้ามาในวังหลวงได้ พอเป่ยถังเฟิงพูด
แบบนี้ออกมา เขาก็เข้าใจทันที
ชื่อตันเหมยคิดอาศัยคณะทูตแคว้นฉู่เข้าวังหลวงมา
แต่ถูกเขาปฏิเสธ นางไม่อยากพลาดโอกาสแบบนี้
เลยพยายามหาทุกวิถีทาง แล้วก็ไปเบนเป้าหมายไป
ที่คณะทูตเป่ยฮั่นแทน
ในบรรดาคณะทูตเป่ยฮั่น หากจะเข้าทางอ๋องอวี้ไม่
น่าจะเป็นไปได้ ส่วนเป่ยถังเฟิงกลับกลายมาเป็น
จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของคณะทูตเป่ยฮั่น
ด้วยรูปร่างหน้าตาของชื่อตันเหมย เหมือนจะ
สามารถทำให้ผู้ชายทุกคนในโลกมาสยบใต้กระโปรง
นางได้ อีกทั้งตัวนางเองก็มีเสน่ห์ที่ยากจะบรรยาย
คิดจะหลอกล่อให้เป่ยถังเฟิงช่วยนาง มันง่ายเหมือน
หยิบมีดมาหั่นเต้าหู้ เป่ยถังเฟิงเป็นองค์ชายแห่งเป่ย
ฮั่น แอบพานักฆ่าเข้ามาในวัง มันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่า
มือ
อีกทั้งตอนนี้ชื่อตันเหมยรูปร่างหน้าตาก็ไม่
เหมือนเดิม แสดงว่านางทำการแปลงโฉมมาแล้ว
ถึงแม้จะยังมีกลิ่นกายที่หอมของนางโชยออกมาอยู่
แต่ว่าหากไม่เข้าใกล้ ก็แทบจะไม่ได้กลิ่น
ฉีหนิงตอนนี้เข้าใจแล้วว่า เป่ยถังเฟิงเมื่อคืนไม่ได้
กลับมาทั้งคืน อาจเป็นไปได้ว่าถูกชื่อตันเหมยยั่วยวน
จนโง่หัวไม่ขึ้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 623 สำนักเดียวกัน
ภายในตำหนักเทียนตี้ เต็มไปด้วยกลิ่นการสังหาร
หอกสั้นหอกยาวแน่นไปหมด หากว่าฉีหนิงไม่ได้อยู่
ในมือของชื่อตันเหมย เซินถูหลัวคงออกคำสั่ง ให้แทง
ชื่อตันเหมยกระเด็นไปแล้ว
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา ฮ่องเต้
ตงฉีที่ถูกทหารองครักษ์อารักขาหลบไปด้านหลังเดิน
ออกมา เหมือนเขารู้ว่าสถานการณ์ควบคุมได้แล้ว
เขามองลงมาจากบนบัลลังก์ เขาเห็นชื่อตันเหมย เขา
ก็ตะคอกว่า “รีบจับตัวมันไว้เร็วเข้า ข้าจะฉีกนาง
ออกเป็นชิ้นๆ” น้ำเสียงของเขาดูโกรธมาก เหมือน
เมื่อครู่เขาตกใจมากเลยทีเดียว
ทหารรอบๆ เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว อูต๋ ๋าหลินตะโกน
ขึ้นมาว่า “ใครก็ห้ามขยับทั้งนั้น” เขาหันไปพูดกับ
ฮ่องเต้ตงฉี แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท จิ่นอีโหวถูกจับเป็น
ตัวประกัน หากจิ่นอีโหวเป็นอะไรไป แคว้นฉู่ของ
พวกเราไม่มีทางยอมเด็ดขาด”
เซินถูหลัวพูดเสียงเข้ม “นักฆ่าเป็นคนทรยศจากเกาะ
ไป๋อวิ๋น จะปล่อยไปไม่ได้ จะต้องจับตัวแล้วส่งไปให้
ท่านราชครู”
“ท่านเซินต้าตู นักฆ่าเป็นใคร พวกเราไม่ได้สนใจ”
อู๋ต๋าหลินพูดอย่างจริงจังว่า “พวกเรารู้แค่ว่านักฆ่า
คนนี้คณะทูตเป่ยฮั่นเป็นคนพาเข้ามา นางสังหารฝ่า
บาทของพวกท่านไม่สำเร็จ เลยจับจิน่ อีโหวของพวก
เราเป็นตัวประกัน หากพวกท่านต้องการจับคนร้าย
แล้วทำให้จิ่นอีโหวของพวกเราบาดเจ็บ เมื่อพวกเรา
กลับไปถึงแคว้นของพวกเราแล้ว คงไม่อาจทูต
รายงานกับฝ่าบาทของพวกเราได้เลย”
รัชทายาทกำกระบี่ไว้ในมือ เขาเองก็พูดเสียงเข้มว่า
“ท่านเซินต้าตู จะวู่วามไม่ได้เด็ดขาด หากพลาดจิ่นอี
โหวจะบาดเจ็บได้” เขาหันไปพูดกับฮ่องเต้ตงฉีว่า
“เสด็จพ่อ ที่คณะทูตแคว้นฉู่มายังแคว้นของพวกเรา
ก็เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับพวกเรา หากจิ่นอีโหวเกิด
เป็นอะไรไปในแคว้นของพวกเรา พวกเราจะเสีย
ความเป็นมิตรกับแคว้นฉีลงทันที”
ฮ่องเต้ตงฉีสีหน้าแย่มาก เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“หากวันนี้ไม่กำจัดนางทิ้ง ข้าคงไม่อาจนอนหลับได้
เต็มตา”
ชื่อตันเหมยหัวเราะแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ชั่ว ที่แท้เจ้าก็
กังวลว่าจะตายด้วยมือของข้านี่เอง หากเจ้าไม่ได้ทำ
ความเลวไว้มาก ก็ไม่เห็นต้องกลัวขนาดนี้เลย” นาง
พูดว่า “วันนี้ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่สักวันข้าจะกลับมา
เอาชีวิตเจ้าแน่”
ฮ่องเต้ตงฉีพูดว่า “ตอนนั้นข้าน่าจะฆ่าเจ้าด้วย เสีย
แรงที่ข้าใจอ่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นภัยในวันนี้”
เขาตะคอกไปว่า “เซินถูหลัว ฆ่านางซะ”
เซินถูหลัวยกมือขึ้น ฉีหนิงสะดุ้ง แอบคิดในใจว่า
ฮ่องเต้ตงฉีนี่ไม่กลัวอะไรเลย หากเซินถูหลัวสั่งทหาร
บุกมาจริง ไม่แน่ชื่อตันเหมยอาจลงมือจริงก็ได้ เขา
ตะคอกไปว่า “ฝ่าบาท แคว้นตงฉีของพวกท่าน
ต้องการเปิดศึกกับแคว้นฉู่อย่างนัน้ หรือ?”
ฮ่องเต้ตงฉีสะดุ้ง ฉีหนิงเห็นเขาลังเล เลยรีบพูดต่อว่า
“กระหม่อมได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทของพวกเรา
ให้เดินทางมาที่นี่ เป็นเรื่องที่ทราบกันทั่วแคว้น หาก
กระหม่อมมาตายที่แคว้นตงฉีของพวกท่าน ฝ่าบาท
ของพวกเราไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปแน่นอน กองทัพ
ฉินไหวกว่าหนึ่งแสนนายไม่มีทางยอมรับการหยาม
เกียรติแบบนี้แน่นอน ทรงไตร่ตรองด้วย ชีวิตข้าไม่ได้
สำคัญเลย แต่หากเป็นเพราะเหตุนี้ทำให้สองแคว้น
ต้องเปิดศึกเป็นศัตรูกนั ไม่ใช่เรื่องทีด่ ีของทั้งสอง
แคว้นแน่นอนนะพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทตงฉีรีบพูดว่า “เสด็จพ่อทรงไตร่ตรองด้วย
แคว้นต้าฉีของพวกเรากับแคว้นฉู่เป็นมิตรที่ดีต่อกัน
มาตลอด หากต้องเปิดศึกกัน ผลที่ตามมาหม่อมฉัน
แบไม่อยากจะคิดเลย”
หลิงหูซีเองก็หันไปคุกเข่าลง แล้วตะโกนว่า “ฝ่าบาท
ทรงไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตงฉีนั่งลงที่บัลลังก์ สีหน้าของเขาโกรธมาก
เขาดูลังเล หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดว่า
“เดรัจฉาน วันนี้ต่อให้ข้าต้องปล่อยเจ้าไป ท่าน
ราชครูก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ ต่อให้เจ้าหนีไปจน
สุดหล้าฟ้าเขียว ท่านราชครูก็จะต้องเอาหัวของเจ้า
กลับมาให้ข้าแน่นอน”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “กลัวเสียแต่ว่าหัวของเจ้าจะถูกข้า
เด็ดไปซะก่อนน่ะสิ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าในเวลาแบบนีเ้ จ้ายังพูดแบบนี้อีก
หากกระตุ้นไปแล้วฮ่องเต้ตงฉีไม่คิดหน้าคิดหลังอีก
ผลอาจจะไม่ดีก็ได้ เขาเอาตัวแนบชิดเข้าไป เพื่อส่ง
สัญญาณไม่ให้ชื่อตันเหมยพูดมากอีก
ผู้อาวุโสอ้วนผอมเดินขึ้นหน้าสองก้าว จ้องไปที่ชื่อตัน
เหมย ผู้อาวุโสอ้วนพูดว่า “ปล่อยคน กลับเกาะไปกับ
พวกเรา” ผู้อาวุโสผอมพูดว่า “ไปช่วยเจ้าขอร้องได้
อาจจะไม่ต้องตาย” ผู้อาวุโสอ้วนส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“หากเจ้าหนีไปวันนี้” ผู้อาวุโสผอมถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “เจ้าตายแน่นอน”
“ซาหนู หวังหนู พวกเจ้าเป็นแค่ทาสรับใช้ เจ้ามีสิทธิ์
มาพูดอะไรพวกนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ชื่อตันเหมย
พูดว่า “พวกเจ้านำคำของข้าไปบอกท่านเจ้าเกาะ
ด้วย บุญคุณที่เลี้ยงดูกว่ายี่สิบปี ชาตินี้ข้าไม่มีวันลืม
แต่ว่าเขายินยอมให้ฮ่องเต้ชั่วนี่ทำตามอำเภอใจ เรื่อง
นี้เขาเลอะเลือนเกินไป นีเ่ ป็นความแค้นส่วนตัวของ
ข้า ขอเขาอย่าได้มายุ่งเลย”
ฉีหนิงคิดในใจว่าผู้อาวุโสสองคนนี้มีชื่อแปลกขนาดนี้
เลย แค่ได้ยินก็รแู้ ล้วว่าไม่น่าจะเป็นคนดีอะไร
จากนั้นก็เห็นสองคนนัน้ ส่ายหน้า มีคนหนึ่งถอน
หายใจแล้วพูดว่า “เจ้าไม่กลับไป” อีกคนก็พูดต่อว่า
“พวกเราก็กลับไปไม่ได้” คนก่อนหน้านั้นพูดต่อว่า
“ต่อให้เจ้าไปสุดหล้าฟ้าเขียว” คนด้านหลังพูดต่อ
“พวกเราก็จะต้องตามเจ้าไป”
ระหว่างที่ทั้งสองคนพูด ก็เดินบีบมาทางด้านซ้ายและ
ขวาของชื่อตันเหมย ชื่อตันเหมยขมวดคิ้ว นางจับ
ตัวฉีหนิงแล้วถอยหลัง
รัชทายาทตงฉีพูดอย่างร้อนใจขึ้นมาว่า “ท่านทั้งสอง
อย่าได้วู่วาม”
ทั้งสองคนไม่ได้หันหลังกลับไป ซาหนูพูดขึ้นมาว่า
“ท่านเจ้าเกาะมีคำสั่ง” หวังหนูพูดว่า “จะต้องทำ
ตาม” พวกเขาไม่ได้สนใจในคำสั่งของรัชทายาทตงฉี
เลย
อวี้อ๋องสีหน้าไม่ดีเอามากๆ ตอนนี้เขาเห็นว่าพวกเขา
ไม่ได้สนใจคำสั่งของรัชทายาทเดินบีบเข้าใส่ชื่อตัน
เหมย สายตาของเขาก็ดูเป็นประกาย
วันนี้ในตำหนักเทียนตี้ เกิดเรื่องชื่อตันเหมยลอบ
สังหารฮ่องเต้ตงฉี ความสัมพันธ์ของทั้งสามแคว้น
เกิดการเปลี่ยนแปลง อวี้อ๋องรู้ว่า หากผู้อาวุโสทั้งสอง
จับตัวชื่อตันเหมยได้แล้วฉีหนิงถูกทำร้ายหรือว่าถูก
ฆ่า ถ้าอย่างนั้นก็จะกระทบต่อความสัมพันธ์ของ
แคว้นฉู่กับแคว้นฉีทนั ที
ราชสำนักแคว้นฉู่เองอาจจะพิจารณาจากภาพรวม
อาจจะไม่ได้ใช้กำลังกับแคว้นฉีเพียงเพราะฉีหนิง
ในทันที แต่ว่ากองทัพฉินไหวกว่าหนึ่งแสนนายจง
รักภัดีเคารพจิน่ อีตระกูลฉีมาก ผู้บัญชาการสูงสุดของ
กองทัพฉินไหวทั้งสองรุ่นก็เป็นจิน่ อีโหวทั้งหมด
ถึงแม้ตอนนี้ผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพฉินไหวจะ
เป็นเยวี่ยหวนซานแต่เขาก็เป็นแม่ทพั ที่ฝึกมาจากคน
ของตระกูลฉี ท่านเหล่าโหวกับฉีจิ่นถึงแม้จะตายไป
แล้ว แต่ว่าความยิ่งใหญ่ของกองทัพฉินไหวที่มาจาก
ตระกูลฉีนั้นมันยังไม่จางหายไป
หากฉีหนิงเกิดเหตุร้ายในตงฉี แคว้นฉู่อาจจะเห็นแก่
กำลังใจทหารในกองทัพฉินไหว อาจจะใช้กำลังกับ
แคว้นตงฉีก็ได้ เมื่อแคว้นฉู่เปิดศึก ก็ถือเป็นข่าวดีของ
เป่ยฮั่น
ถึงแม้ผู้อาวุโสทั้งสองจะไม่ได้สนใจคำสั่งของรัช
ทายาทคิดจะเอาตัวชื่อตันเหมยกลับไปให้ได้ แต่ว่า
เหมือนเขาเองก็หวาดกลัวฉีหนิงอยู่ไม่น้อย พวกเขา
เดินบีบขึน้ หน้าก็จริง แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่ลงมือ ทั้ง
สองจ้องไปที่มีดที่อยู่ในมือของชื่อตันเหมยแล้วก็ฉี
หนิง เหมือนพวกเขากำลังรอจังหวะที่ดีอยู่
ชื่อตันเหมยรู้จักสองคนนัน้ ดี ตอนนี้นางบาดเจ็บ นาง
กำลังพยายามฝืนอยู่ นางรู้ดีว่าหากประมาทเผยช่อง
โหว่เมื่อไหร่ สองคนนั้นลงมือแน่นอน ผู้อาวุโสทั้งสอง
เดินหน้าบีบ นางก็ถอยหลังลง ฉีเฟิงกับอู๋ต๋าหลินรู้ดี
ว่าพวกเขาสองคนวรยุทธ์ร้ายกาจมาก แต่ว่าฉีหนิง
อยู่ในอันตราย พวกเขาทำได้แค่เดินตามไป จนชื่อตัน
เหมยค่อยๆ ถอยออกไปนอกจากตำหนัก
ทหารตงฉีเองทำได้แค่ล้อมเป็นวงกว้างเท่านั้น ตาม
การเคลื่อนไหวของชื่อตันเหมยไปเท่านั้น
ชื่อตันเหมยถอยไปเรื่อยๆ จนออกจากตำหนักไป
ทันใดนั้นเองผู้อาวุโสสทั้งสองก็ร้องตะโกนขึ้นมา
เหมือนว่าเขาจะลงมือ แต่ก็ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ทุก
คนก็เห็นแสงสีขาวสะท้อนเข้าตามา เหมือนมีอะไรลง
มาจากฟ้า ทุกคนตกใจมาก เมื่อได้สติกลับมา ก็เห็น
ระหว่างผู้อาวุโสทั้งสองกับชื่อตันเหมยมีกระบี่เล่ม
หนึ่งปักอยู่
แสงกระบี่สะท้อนสว่างไสว พื้นเป็นหินแข็งขนาด
ใหญ่ แต่ว่ากระบี่เล่มนี้สามารถปักลงไปในหินได้ จน
รอบข้างนัน้ เป็นรอยแตกหมด
ฉีหนิงตกใจมาก พอมองไปที่กระบี่ดีดี ก็รู้สึกคุ้นตา
เขานึกขึ้นมาได้ แล้วหลุดพูดออกมาว่า “กระ...กระบี่
อูเย่า”
เขาจำได้แล้ว กระบี่ที่ล่วงลงมาจากฟ้าเล่มนี้ มันคือ
กระบี่อเู ย่าของไป๋อวี่เฮ่อ หนึ่งในสิบสุดยอดกระบี่ จัด
อยู่ในอันดับที่สาม
จู่ๆ กระบี่อเู ย่าก็ปรากฏขึ้นมา ภายในตำหนักเงียบ
กริบ ผู้อาวุโสทั้งสองเห็นกระบี่อูเย่า ก็มองหน้ากัน
จากนั้นก็หยุดเดิน
ชื่อตันเหมยหันหน้าไปมองเล็กน้อย ฉีหนิงเองก็หัน
ตามไปด้วย ตอนนี้หางตาของเขาเห็นตรงนอก
ตำหนัก มีคนสวมชุดขาว ผมยาว ยืนกอดอกอยู่นอก
ตำหนัก ทหารซ้ายขวาเห็นเขา ก็ไม่กล้าขยับ ฉีหนิง
มองไป ก็จำได้ทันทีว่าเขาคือหนึ่งในลูกศิษย์ของเจ้า
เกาะไป๋อวิ๋นไป๋อวี่เฮ่อ
ฉีหนิงจำไป๋อวี่เฮ่อได้ดี เพราะตอนนีเ้ ขาไม่ได้ตั้งใจ
เผลอทำร้ายไป๋อวี่เฮ่อเข้า อีกทัง้ ตัวของไป๋อวี่เฮ่อเอง
ก็เป็นคนนิง่ สุขุม เขาทำอะไรง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ราว
กับคนเป็นบัณฑิต อีกทั้งใบหน้าของเขาก็ดูดี เลยจำ
ได้ง่าย
“ศิษย์...ศิษย์พี่” ชื่อตันเหมยเห็นไป๋อวี่เฮ่อปรากฏตัว
ในวัง นางตกใจมาก
ทุกคนได้ยินชื่อตันเหมยเรียกคนชุดขาวว่าศิษย์พี่ เขา
ก็สะดุ้ง ขุนนางภายในตำหนักถึงแม้จะเป็นขุนนาง
ตงฉี แต่ว่าเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นไม่เคยยุ่งเรื่องการเมือง
ถึงแม้จะเป็นราชครู แต่เขาก็ไม่เคยมาร่วมประชุมเลย
ทุกคนทราบว่าเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นมีลูกศิษย์ด้วยกันสาม
คน แต่ว่าหลายคนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
เหมือนกับฉีหนิง ขุนนางหลายคนสงสัยว่าทำไมศิษย์
ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นถึงมาลอบสังหารฮ่องเต้ตงฉี
ตอนนี้เห็นลูกศิษย์ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นมา ก็ตกใจ ไม่
รู้ทำไมคนชุดขาวจู่ๆ ก็มา เป็นมิตรหรือศัตรูก็ไม่รู้ แต่
ว่าเข้ามาโดยไม่รายงาน ถือว่าเสียมารยาทมากแล้ว
หากเป็นคนอื่น คงตายไปไม่รู้กี่รอบแล้ว
ไป๋อวี่เฮ่อยืนกอดอก เดิมสีหน้าของเขานิ่งมาแต่
ตอนนี้เริ่มขมวดคิ้ว เขาเงยหน้าเล็กน้อย แล้วหลับตา
เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากนัน้ ไม่นาน เขาก็
ถามขึ้นมาว่า “จะไม่กลับไปกับข้าใช่หรือไม่?”
ชื่อตันเหมยถอนหายใจ แล้วส่ายหน้า
ไป๋อวี่เฮ่อพยักหน้า แล้วพูดว่า “ข้าไปแคว้นฉู่พร้อม
กับเจ้า กลางทางเจ้าขอตัวแยกไป ข้ารู้ทันทีว่า
จะต้องมีวันนี้แน่นอน เจ้าไปจากข้า ข้าก็ต้องเป็นคน
พาเจ้ากลับไป” เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว หลบไป
ด้านข้าง เหมือนเปิดทาง แล้วพูดว่า “เจ้าไปซะ ไป
ให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้ ข้าให้เวลาเจ้าสิบสองชั่วยาม
หลังจากสิบสองชั่วยาม ความสัมพันธ์ระหว่างพวก
เราก็จบกันแค่นี้ ไม่ว่าจะสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็จะต้อง
พาเจ้ากลับไปให้ได้ หากรอดกลับไปไม่ได้ ข้าก็จะเอา
ศพของเจ้ากลับไป” พูดจบ เขาก็หลับตาลง ไม่พูด
อะไรอีก
ขุนนางที่อยูท่ ี่ประตูตำหนักอดพูดไม่ได้ว่า “ไม่มี
รับสั่งจากฝ่าบาท ใครก็ปล่อยนางไปไม่ได้ ถึง...ถึงแม้
เจ้าจะเป็นลูกศิษย์ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น ก็อย่ามา
ละเมิดกฎของราชสำนักนะ”
ไป๋อวี่เฮ่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมา เขายกมือชี้ไปที่กระบี่อู
เย่า เขาพูดว่า “มีอะไรพูดกับมันก็แล้วกัน”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 624 ลี้ภัย
ไป๋อวี่เฮ่อไม่ได้พูดเสียงดัง สีหน้านิ่ง แต่ว่าพอพูดแบบ
นี้ออกมา มันทำให้คนที่ได้ยินนั้นเกิดความกดดัน ขุน
นางนั่นถึงกับอ้าปากค้าง จะพูดอะไรก็พูดไม่ออก
ฉีหนิงเห็นอยูเ่ ต็มตา คิดในใจว่าเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นอยู่
ราวกับเป็นเทพเจ้า ที่นี่คือวังหลวง ฮ่องเต้ตงฉีเองก็
อยู่ที่นี่ด้วย ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสสองคนก็ไม่ได้ใส่ใจกับ
สิ่งที่รัชทายาทพูด อีกทั้งไป๋อวี่เฮ่อเองก็เหมือนจะ
ไม่ได้สนใจว่าฮ่องเต้ตงฉีจะอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่า มัน
แสดงให้เห็นว่าเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นนั้นมีตำแหน่งฐานะที่
สูงมากแค่ไหน เมื่อเทียบกับพระราชวังของตงฉีแล้ว
เกาะไป๋อวิ๋นเหมือนจะเป็นใหญ่ที่สุดของตงฉีมากกว่า
ฮ่องเต้ตงฉีสีหน้าแย่มาก รัชทายาทตงฉีเองก็ขมวดคิ้ว
เซินถูหลัวเพียงแค่มองไปที่ไป๋อวี่เฮ่ออย่างเงียบๆ
เงียบจนน่ากลัว
ชื่อตันเหมยหันไปมองฮ่องเต้ตงฉีที่อยู่ในตำหนัก แต่
ถึงกระนัน้ นางก็ยังไม่ยอมปล่อยฉีหนิงไป มีดยังจ่ออยู่
ที่คอของเขา นางถอยออกมานอกตำหนัก เมื่อเดิน
ผ่านไป๋อวี่เฮ่อไป นางเหลือบไปมองไป๋อวี่เฮ่อ เขายัง
ยืนกอดอกอยู่ เขาไม่พูดอะไรเลย ชือ่ ตันเหมยกัดฟัน
แล้วพาตัวฉีหนิงไป
ทหารตงฉีมองหน้ากัน ในตอนนี้ไม่มีใครกล้าตามไป
ผู้อาวุโสสองคนออกมานอกตำหนัก พวกของฉีเฟิง
เองก็ตามมาด้วย เห็นไป๋อวี่เฮ่อลอยตัวมายืนขวางอยู่
หน้าประตูตำหนัก แล้วพูดว่า “ข้าบอกไปแล้ว
นอกจากข้าตาย ใครก็ห้ามผ่านไป”
ผู้อาวุโสสองคนมองหน้ากัน ซาหนูยกมือคำนับแล้ว
พูดว่า “นายท่านรอง ท่านเจ้าเกาะมีคำสั่ง ต้องพา
กลับไป” หวังหนูพูดต่อว่า “คำสั่งของท่านเจ้าเกาะ
จะละเมิดไม่ได้”
“เรื่องท่านเจ้าเกาะ ข้าจะไปอธิบายเอง” ไป๋อวี่เฮ่อ
พูดว่า “หลังเลยสิบสองชั่วยามไปแล้ว หากพวกเขา
ยังอยู่ที่แคว้นตงฉี ข้าก็สามารถตามหาตัวนางแล้วพา
กลับเกาะได้”
ผู้อาวุโสสองคนมองหน้ากัน เหมือนพวกเขายำเกรง
ไป๋อวี่เฮ่อพอตัว พวกเขายกมือคำนับ แต่ไม่พูดอะไร
อีก
พวกของอู๋ต๋าหลินคิดอยากจะตามไป แต่ว่าไป๋อวี่เฮ่อ
ยืนขวางอยู่ ฉีเฟิงคิดอยากจะเดินอ้อมไป ไป๋อวี่เฮ่อก็
เดินมาขวางหน้าฉีเฟิงเอาไว้ เขาพูดว่า “เขาไม่ตาย
หรอก ไม่ต้องตามไป”
ฮ่องเต้ตงฉีสั่งให้คนมาพูดอะไรบางอย่างกับเซินถู
หลัว เซินถูหลัวรีบหันแล้วเดินไปหาฮ่องเต้ตงฉี
ฮ่องเต้ตงฉีกระซิบอะไรบางอย่างกับเขา เซินถูหลัว
ยกมือคำนับ แล้วก็ถอยออกไป
ฉีหนิงถูกชื่อตันเหมยพาออกมาทางประตูวังหลวง
เมื่อเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง ชื่อตันเหมยเริ่มเดินไม่
ไหว นางใช้มือปิดปากตัวเอง เมื่อเอามือลงมา บนฝ่า
มือมีแต่เลือด ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้า
บาดเจ็บสาหัส อย่าว่าแต่สิบสองชั่วยามเลย ต่อให้
เจ้ามีเจ็ดสิบสองชั่วยาม เจ้าก็หนีไปไม่ได้ไกลหรอก”
“อย่าพูดมาก ออกจากวังหลวงไปก่อนค่อยว่ากัน”
ชื่อตันเหมยพยายามเดินลมปราณ นางเป็นศิษย์ของ
เจ้าเกาะไปอวิ๋น เป็นหนึ่งนยอดฝีมือในยุทธภพ การ
เดินลมปราณของนางมันไม่เหมือนใคร ถึงแม้จะ
บาดเจ็บสาหัส แต่ว่าหลังจากการเดินลมปราณแล้ว
ทำให้นางยังฝืนได้อยู่ ด้านหน้ามีทหารอยู่ไม่น้อย รู้
เลยว่าอันตรายมาก เลยไม่กล้าประมาท
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าเป็นราชทูตแคว้นฉู่ มาที่นี่เพื่อ
เจรจาทางการทูตกับแคว้นตงฉี ในเมื่อท่านไป๋ได้พูด
แล้ว ก็น่าจะไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้า เจ้าปล่อยข้าไป
เจ้าก็ไปจากที่นี่ได้”
“พ่อลูกแซ่ต้วนนั่นเจ้าเล่ห์มาก ไม่ใช่คนดี” ชื่อตัน
เหมยพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ข้าไม่เชือ่ ใจพวกเขา”
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้ากับพวกเขามีความแค้นใหญ่หลวง
อะไรกันมากมายนะ ถึงได้ต้องวางแผนลอบสังหาร
เขาแบบนี้ด้วย อย่าบอกนะว่าแค้นทีฆ่ ่าพ่อน่ะ?”
“เจ้าเชื่อไหมข้าจะปาดคอเจ้าเดี๋ยวนี้เลยก็ยงั ได้?”
ชื่อตันเหมยไม่ได้พูดดีด้วย “อย่าคิดว่าเจ้าช่วยข้าแล้ว
ข้าจะต้องขอบใจสำนึกบุญคุณเจ้านะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ยังดีที่เจ้ายังรู้วา่ ข้าช่วยเจ้า
หากเจ้าจะมีบุญคุณแต่แก้แค้นจริง ข้าคงซวย” เขา
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าเราตกลงกันก่อนนะ
อย่างมากข้าก็พาเจ้าออกนอกเมืองไป หลังออกนอก
เมือง เจ้าจะไปไหนก็ไป ข้ายังมีเรื่องต้องทำทางนี้อีก
มาก จะไปกับเจ้าตลอดไม่ได้นะ”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “เจ้าจะช่วยข้า ต้องไม่ได้หวังดีแน่
เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร?” นางรู้สึกว่าตัวนางพูดจาวก
ไปวนมา สุดท้ายก็พูดว่า “ออกนอกเมืองแล้วค่อยว่า
กัน”
ชื่อตันเหมยจับตัวฉีหนิงไว้ ด้านหลังมีทหารตงฉี
ตามมามากมาย เมื่อถึงประตูวัง เดิมประตูวังหลวง
ปิดสนิทแต่ตอนนี้กลับเปิดออก ทหารวังต่างแยก
ออกไปสองแถว เพื่อเปิดทาง
ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าวันหนึ่งเขาจะได้ออกจากวังด้วย
สภาพแบบนี้ ชื่อตันเหมยก็ไม่เสียเวลา นางออกจาก
ประตูวังด้วยความระแวง ด้านนอกเป็นพื้นหินอ่อน
มีทหารคนหนึ่งจูงม้ามา เขาทิ้งม้าเอาไว้ แล้วก็ไป
อย่างรวดเร็ว ฉีหนิงคิดในใจว่าชาวตงฉีนี่ดูแลดีจริงๆ
ยังกังวลว่าชื่อตันเหมยออกจากเมืองหลู่เฉิงไม่ได้
เตรียมม้ามาให้ด้วย
ม้าตัวนี้เป็นม้าหลวง ขายาวทรงดี มีอานม้าอย่างดี ฉี
หนิงพูดเบาๆ ว่า “หลังเกิดเรื่องส่วนมากจะไม่ค่อยมี
เรื่องดี พวกเขาบริการดีขนาดนี้ บนอานม้าจะมีอะไร
ซ่อนไว้หรือเปล่า?”
ชื่อตันเหมยก็ไม่พูดมาก ลากฉีหนิงไป มีดจ่ออยู่ที่
ด้านหลังของฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าขึ้นม้าไปก่อน”
ฉีหนิงหันหน้ากลับมา ทำหน้าไม่ดีใส่ชื่อตันเหมย ชื่อ
ตันเหมยคิดจะทำตัวเป็นหนูน้อยได้กำไร ตอนนี้ที่
ประตูวังมีทหารจับตามองอยู่มากมาย รู้ว่ายังไงเขาก็
ต้องเล่นละครฉากนี้ต่อไป เขาปีนขึน้ ม้าไป ชื่อตัน
เหมยก็ไม่ลังเล ขึ้นม้าตามไปเหมือนกัน นางนัง่ อยู่
หลังฉีหนิง นางหยิบขวดออกมา จากนั้นก็เทเอายา
เม็ดออกมา แล้วกินลงไป จากนั้นก็บอกว่า “ไป”
มือหนึ่งของนางถือมีด เพื่อให้เกิดความสมดุลบนหลัง
ม้า มีหนึ่งของนางโอวเอวฉีหนิงเอาไว้ ร่างกายของ
นางแนบชิด ถึงแม้นางจะสวมชุดของผู้ติดตาม
ปกปิดมิดชิด แต่ว่าร่างกายอันนุ่มนิม่ ของนางมันก็ยัง
สัมผัสได้อยู่ ฉีหนิงจับเชือกบังคับม้า รู้ว่าตรงนี้จะอยู่
นานกว่านี้ไม่ได้ เขากระตุกเชือก แล้วก็ควบม้า
ออกไป
ด้านหลังไม่มีทหารไล่ตามมา ชื่อตันเหมยรู้จักเมือง
หลู่เฉิงดี นางนั่งสั่งการอยู่ด้านหลัง ม้าหลวงเป็นม้าดี
มาก กำลังขาดีมากไม่เหมือนม้าทั่วไป มันวิ่งเร็วมาก
เมื่อวิ่งผ่านมาประมาณเกือบสิบถนน ในที่สุดก็มาถึง
ประตูเมืองทางใต้ของเมืองหลู่เฉิง ประตูเมืองถูกเปิด
ออกแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวง ที่ประตูเมืองไม่มี
ใครรู้ เห็นม้าวิ่งมา ทหารก็ตะโกน ชื่อตันเหมยพูดว่า
“ฝ่าออกไป”
ฉีหนิงเองก็ไม่รอช้า ควบม้าฝ่าออกไปอย่างรวดเร็ว
ทหารหน้าประตูต่างหลบไปด้านข้าง ทันใดนั้นมีคนผู้
หนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า “นั่นมันม้าหลวงนี่นา” ทุกคน
ตะลึง ระหว่างนั้น ฉีหนิงก็ควบม้าวิ่งออกไปแล้ว
เขาควบม้าต่อไปไม่หยุด ไม่มีใครตามมา ไม่รู้ว่าเป็น
คำสั่งในวังหลวงหรือเปล่า เขาควบม้าวิ่งผ่านมาเป็น
สิบลี้ เมื่อหันหน้ากลับไป ออกจากเมืองหลู่เฉิงไกล
มากแล้ว แต่ว่าก็เพียงพอที่จะเว้นระยะ ตอนนี้ม้าวิ่ง
อยู่บนทางหลัก ฉีหนิงค่อยๆ ผ่อนแรงม้าลง แล้วพูด
ว่า “ออกนอกเมืองมาแล้ว ต่อไปเจ้าคิดจะไปไหนก็
ไป ข้าคงอยูเ่ ป็นเพื่อนเจ้าไปได้แล้วนะ”
เขารู้สึกได้ว่าร่างกายอ่อนนุ่มของชื่อตันเหมยมันฟุบ
แนบชิดอยู่ที่หลังเขา มือหนึ่งของนางยังคงโอบเอว
เขาอยู่ เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เขาหยุดม้า แล้วหัน
หน้ากลับมาดู มือของชื่อตันเหมยหลุดลง นางเอนตัว
ลงด้านข้างของม้า ฉีหนิงตกใจมาก รีบเอามือจับนาง
เอาไว้ ในตอนนี้ถึงได้เห็นว่า นางหลับตาสองข้างลง
สนิท นางสลบไปแล้ว
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วมองไปรอบๆ ด้านหน้ามีรถกำลัง
มาทางนี้ เหมือนว่ากำลังจะไปทางเมืองหลู่เฉิง หาก
ตอนนี้เขาทิ้งนางไว้ไม่สนใจ เขาเชื่อว่าทหารตงฉีไม่
นานก็จะตามมาเจอ ถึงเวลานั้นพวกเขาก็แทบไม่ต้อง
ออกแรง สามารถจับชื่อตันเหมยได้ง่ายๆ ถ้าอย่างนั้น
สิ่งที่เขาทำในวังหลวงตงฉีทั้งหมดก็จะสูญเปล่า
ฉีหนิงนิ่งไป เห็นชื่อตันเหมยตัวเหลือง ผิวหยาบ เขา
ก็รู้ว่านางแปลงโฉมมา เขายื่นมือไปลูบหน้าของนาง
มันไม่เรียบเนียน ก็ไม่รเู้ หมือนกันว่าจะลบมันยังไง
เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “จะช่วยก็ต้องช่วยจนถึง
ที่สุด ถือว่าครั้งนี้ถือว่าเจ้าติดหนี้ข้า ชาตินี้ทั้งชาตเจ้า
ก็ตอบแทนข้าไม่หมดแน่” เขาใช้สองมืออุ้มชื่อตัน
เหมย จากนั้นก็พลิกเอาตัวนางมาไว้ด้านหน้า เขา
เดินไปไม่กี่ลี้ เห็นมีทางแยก เขาก็ทิ้งถนนทางหลัก
แล้วไปตามทางแยกนั้นไป
ม้าหลวงมันถึกมากจนน่าทึ่ง ฉีหนิงก็ไม่รู้ว่าอาการ
บาดเจ็บของชื่อตันเหมยเป็นยังไงบ้าง เขาไม่ได้รู้จัก
หนทางของตงฉี เห็นว่ามีทางแยก เลยเลี้ยวมา เมื่อ
ทำแบบนี้มันก็ให้พวกเขาเดินมาสองสามชั่วโมงแล้ว
ตอนนี้เลยเทีย่ งมาแล้ว ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นว่าฟ้า
เริ่มมืด หลังจากนั้นไม่นาน บนฟ้าก็เริ่มมีเสียงฟ้าผ่า
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดในใจว่าทำไมวันนี้เขาโชคร้ายจัง
เดิมอากาศยังดีๆ อยู่ ตอนนี้กลับจะมาฝนตกหนัก
แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่า หากฝนตก ชาวตงฉีเองก็จะตาม
ไม่ค่อยถนัด
ไม่ผิดจากที่คิด ไม่ถึงครึ่งก้านธูป ฝนก็ตกลงมาอย่าง
หนัก ทำให้มองไม่เห็นถนนเลย ฉีหนิงไม่คุ้นเคยเส้
นาง ตอนนี้ก็ยนื งงๆ อยู่กลางฝน เขามองไม่เห็น
ทิศทางเลย เขาจำทางไปเมืองหลู่เฉิงได้ ขอแค่ไม่ไป
ทางนั้นก็พอ
ไม่นานนัก เสื้อผ้าของทั้งคูเ่ ปียกไปหมด ตอนนี้เป็น
หน้าร้อน ไม่ว่าจะเป็นฉีหนิงหรือว่าชื่อตันเหมย
เสื้อผ้าของเขาก็บางมาก ฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำ
ให้พวกเขาเปียกไปทัง้ ตัว ฉีหนิงไม่เป็นอะไรมาก ชื่อ
ตันเหมยรูปร่างดี ตอนนี้เสื้อผ้าของนางรัดแน่นไปอีก
ทำให้ทรวดทรงของนางมันโผล่อกมาเด่นชัด
ฉีหนิงรู้ดีว่าชื่อตันเหมยบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สลบไป
ไม่รู้ตัว หากยังมาตากฝนอย่างนี้ หากไม่รีบจัดการ
มันอาจจะทำให้อาการบาดเจ็บหนักขึ้นก็ได้ ตอนนี้
ฟ้ามืดครึ้มไปหมด ก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปหลบทางไหน
ทันใดนั้นเองทางด้านซ้ายมือของเขามันมีหมอกขาวๆ
ซึ่งตรงนั้นมันมีจุดดำๆ อยู่หลายจุด ตรงนั้นเป็น
แม่น้ำเส้นหนึ่ง จุดดำๆ นั่น มันคือเรือลำน้อยที่จอด
อยู่
ที่ริมแม่น้ำไม่มีคนอื่น เขาเห็นเรือลำหนึ่งที่กว้างมาก
มีที่บังเรือสีดำ เขาควบม้าหยุดที่ริมแม่น้ำ เขาลงจาก
ม้า แล้วก็อุ้มชื่อตันเหมยลงมาอย่างระวัง หมวกของ
ชื่อตันเหมยหลุดลงมาก ผมเผ้ายุ่งเหยิง เขาใช้น้ำล้าง
หน้าให้ชื่อตันเหมย มีหลายที่บนหน้าของนางใน
สกปรกมาก ฉีหนิงไม่ได้สนใจอะไรอีก ใช้เท้าถีบก้น
ม้า ม้ารู้สึกเจ็บ ร้องแล้ววิ่งหายไปท่ามกลางสายฝน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 625 ฝีพาย
ฉีหนิงอุ้มชื่อตันเหมยมาถึงริมแม่น้ำ เขาเดินมาที่เรือ
ที่มีที่กำบัง แล้วตะโกนไปว่า “มีใครอยู่ไหม?”
เริ่มแรกไม่มีใครรับปาก เขาก็เรียกอีกสองที ถึงได้
เห็นคนเดินออกมาเปิดม่านเรือออกมา เขาตะโกนพูด
กับฉีหนิงว่า “มี จะข้ามแม่น้ำหรือ?”
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้เกรงใจ กระโดดขึ้นไปบนหัวเรือ เขา
เดินเข้าไปในเรือ คนที่อยูใ่ นเรือเป็นชายอายุ
ประมาณสามสี่สิบปี เขาเห็นฉีหนิงอุม้ คนมา เขาก็พูด
ว่า “พวกเจ้าทั้งคูจ่ ะข้ามฟาก สามสิบเหวินนะ”
ฉีหนิงพยักหน้า ไม่พูดอะไรมาก เขาเดินตรงเข้าไปใน
ท้องเรือ ภายใน ท้องเรือค่อนข้างมืด มีตะเกียงแขวน
อยู่แค่อันเดียว สายฝนสาดเข้ามา เรือเอนไปเอนมา
ตะเกียงที่แขวนไว้โยกไปโยกมา ภายในท้องเรือมีคน
อยู่คนหนึ่ง นั่งอยูท่ ี่มุมเรือ เขามีเตาไฟเล็กๆ มันมี
ถ่านอยู่ด้านใน มีควันเล็กน้อย ไม่ได้ทำให้สำลัก เขา
กำลังพัดเตา เมื่อได้ยินเสียงฉีหนิงเดินเข้ามา เขาก็
หันมามองแล้วก็ยิ้มให้
ฉีหนิเห็นเขาน่าจะอายุประมาณหกสิบปี อาจจะ
เป็นไปได้ว่าทำงานหนักมานาน ร่างกายเลยดูกำยำ
แข็งแรง เขาเองก็พยักหน้ากลับไป ชายแก่เห็นฉีหนิง
อุ้มคนเข้ามา เขาก็ขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ป่วย
หรือ?”
ฉีหนิงพยักหน้า ชายแก่ชี้ไปที่ด้านหนึ่ง แล้วพูดว่า
“หากไม่รังเกียจก็ให้นางนอนตรงนัน้ ก่อน” ด้านที่
เขาชี้มีผ้าห่มเก่าๆ ผืนหนึ่ง ภายในท้องเรือมีกลิ่นอับ
ชื้น ส่วนผ้าห่มนั่นก็เก่ามากๆ แล้ว ดูจากสภาพก็
น่าจะใช้มานานหลายปี แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะ
มาเรื่องมาก ฉีหนิงรีบวางชื่อตันเหมยนอนลงอย่าง
ระวัง ในตอนนีเ้ องก็เห็นว่าใบหน้าของชื่อตันเหมยถูก
น้ำสาดเต็มหน้าแล้ว บนย่นมาก มีหลายที่เป็นไขสี
เหลืองไหลออกมา แต่ก็มีอีกหลายที่มีผิวขาวๆ โผล่
มา
เขารู้ว่า ชื่อตันเหมยลอบเข้าวังหลวง ก่อนหน้านี้ก็
น่าจะมีการแปลงโฉมมาก่อน แต่ว่าหน้าตาที่แปลง
โฉมไปก่อนหน้านี้นั้นถูกน้ำฝนสาดใส่ ทำให้ผลของ
มันหมดไป เขายื่นมือไปเช็ดหน้าของชื่อตันเหมย
ครั้งนีเ้ ขาเช็ดได้ง่ายขึ้น นิ้วของเขาทีเ่ ช็ด ผิวขาวๆ
ของนางก็โผล่ออกมาหมด ชายแก่คนนั้นทีน่ ั่งพัดเตา
เหมือนจะไม่ได้ทันสังเกตเห็น
ฉีหนิงหยิบผ้าออกมาผืนหนึ่ง แล้วช่วยชื่อตันเหมย
เช็ดหน้า ของที่ติดหน้าของนางหลุดออกจนหมด
หลังจากนั้นไม่นาน ใบหน้าสวยๆ ของนางก็โผล่
ออกมา แต่ว่าใบหน้าของนางซีดเซียว ฉีหนิงเอานิ้ว
ไปทดสอบลมหายใจ นางหายใจอ่อนแรงมาก
เขารู้สึกหงุดหงิดกังวลใจมาก คณะทูตยังอยู่ในเมือง
หลู่เฉิง ตามที่ไป๋อวี้เฮ่อพูดมา เขาให้เวลาชื่อตันเหมย
สิบสองชั่วยาม แต่ว่าสภาพของชื่อตันเหมยในตอนนี้
อย่าว่าแต่สิบสองชั่วยามเลย ให้มีเจ็ดสิบสองชั่วยาม
นางก็หนีไปไหนไม่ได้ เขาจะอยู่กับชือ่ ตันเหมยจน
ครบสิบสองชั่วยามแบบนี้ก็ไม่ได้
ลมวูบหนึ่งโชยมา ชายแก่เปิดม่าน แล้วพูดว่า ลม
พายุฝนแรงเกินไป คลื่นแม่น้ำแรงมาก ตอนนี้เราข้าม
ไปไม่ได้หรอก พวกท่านรอสักครู่เถอะนะ
ฉีหนิงถามว่า “ที่นี่ที่ไหนกัน?”
“เจ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่ที่ไหน?” ชายวัยกลางคนนั้นยิ้ม
แล้วพูดว่า “คิดว่าเจ้าคงถูกฝนพามาจนหลงทางซินะ
ที่นี่คือแม่น้ำเฉียว เดินจากทีน่ ี่ไปทางทิศ
ตะวันออกเฉียงเหนือไม่เกิดร้อยลี้ ก็เป็นเมืองหลู่เฉิง
แล้ว ท่านจะไปทีเ่ มืองหลู่เฉิงใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น
ท่านก็เดินทางผิดแล้ว”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเขาเดินหลงไปหลงมาจนถึงที่นี่ เดิน
มาเกือบร้อยลี้ ทหารตงฉีจะตามมาก็ไม่ได้เร็วมาก
เขาเลยโล่งใจ เขานั่งลง ข้างๆ เตาผิงไฟ ฉีหนิงหันไป
มอง เห็นบนเตามีหม้อเล็กๆ อยู่ คิดว่าน่าจะเป็น
อาหารของฝีพายทั้งสอง
ชายแก่หยิบถุงเล็กๆ ออกมา แล้วหยิบก้อนเกลือ
ออกมาหนึ่งก้อน เขาเปิดหม้อแล้ววางมันลงไป
จากนั้นก็ใช้ช้อนค้นมัน ตักใส่ชามแล้วยื่นมาให้ “นี่
เป็นปลาสดจากแม่น้ำนี่นะ เพื่อเจ้าป่วยหนัก กินซุป
ปลานี่อาจจะช่วยให้นางดีขึ้น หากท่านไม่รังเกียจ ก็
กินด้วยกันนะ”
ฉีหนิงคิดว่าหม้อนี้มันไม่ได้ใหญ่มาก ซุปในหม้อนั้นก็
มีไม่มาก นี่เป็นอาหารของฝีพายทั้งสองคน เขาไม่
ควรที่จะกินมัน อีกอย่างออกมาอยู่ขา้ งนอกด้วย
ระวังไว้ก่อนก็จะดี เขายิ้มแล้วพูดว่า “ขอบใจนะ
พวกท่านกินกันเถอะ”
ชายแก่ก็ไม่ได้ฝืน เขาเอาชามกลับมา ชายวัย
กลางคนนั่งอยู่ข้างเตา แล้วกินซุปของตัวเอง โดยไม่มี
อย่างอื่นด้วย
ฉีหนิงอดไม่ได้ถามว่า “พวกท่านกำลังกินอาหาร
กลางวันอย่างนั้นหรือ?”
ชายแก่พยักหน้า “ใช่แล้ว นี่เป็นมือแรกของวันนี้ ใน
แม่น้ำไม่ใช่ทะเลสาบ อีกทั้งปลาในแม่น้ำนั้นก็หายาก
มาก หามาได้ไม่เยอะหรอก” เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“หากเป็นเมื่อหลายปีก่อนแล้วล่ะก็ ทุกปีเรายังพอจะ
ทำปลาตากแห้งได้บ้าง นอกจากจะเอาไปขาย เรายัง
มีพอเหลือไว้กินเองด้วย”
“ทำไม? ปลาในแม่น้ำมันหายากมากขึ้นอย่างนัน้
หรือ?” ฉีหนิงถามด้วยความแปลกใจ
ชายแก่ยิ้มแล้วพูดว่า “มันก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่ว่า...”
เขาส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ไม่มีอะไร ฟังจาก
น้ำเสียงของท่านเหมือนจะไม่ใช่คนที่นี่ใช่ไหม?”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าเป็นคนต่างแดน มาท่องเที่ยวกับ
เพื่อน บังเอิญเพื่อนข้าดันล้มป่วย ข้าเลยหลงทาง”
“อย่างนี้นเี่ อง” ชายแก่พูดว่า “เมื่อข้ามแม่น้ำนี้ไป
แล้ว ท่านเดินไปทางทิศใต้ ไม่ถึงยี่สิบลี้ จะมีป่าอยู่ผืน
หนึ่ง ดูออกง่ายมาก ที่นั่นมีวัดอยู่แห้งหนึ่ง มีหลวงจีน
อยู่สองรูป หลวงจีนเฒ่าทีน่ ั่นวิชาแพทย์ร้ายกาจมาก
เจ้าลองพาเพื่อนเจ้าไปตรวจดู รักษาหายแน่นอน”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “ขอบคุณที่ชี้แนะ”
ชายวัยกลางคนกินซุปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวซุป
ปลาก็ลงท้องไปจนหมด แต่เขาก็ไม่ได้กินเพิ่ม ชายแก่
พูดว่า “กินอีกหน่อยสิ”
ชายวัยกลางคนพูดว่า “อิ่มแล้ว” เขาเดินไปเปิด
ผ้าม่านด้านหลังเรือ ลมพายุฝนแรงมาก มันสาดเข้า
มาที่พื้นเรือ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฝนรอบนี้คงไม่
หยุดง่ายๆ แน่ ท่านทั้งสอง เราต้องขออภัยจริงๆ”
ฉีหนิงรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ เขาส่ายหน้า
แล้วพูดว่า “มันเป็นเรื่องทีค่ วบคุมไม่ได้ จริงสิ พี่ชาย
ท่านนี้ ปกติคนมาข้ามแม่น้ำเยอะหรือเปล่า?”
ชายวัยกลางคนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ก็ไม่ค่อยมาก
เท่าไหร่ ที่จริงแล้วเดินไปอีกไม่ถึงสามสิบลี้ก็เป็นถนน
สายหลักแล้ว คนส่วนมากจะไปทางนั้นมากกว่า เรา
ทางนี้ก็ไม่เชิงรับคนข้ามฟากหรอก เวลาส่วนมากเรา
จะออกหาปลาในแม่น้ำ จะมีลูกค้ามาขอข้ามฟาก
บ้างเป็นบางครัง้ ถึงจะพาข้ามไป”
“ในเมื่อหาปลาที่นี่มันไม่ง่าย ทำไมถึงไม่เปลี่ยนที่
ล่ะ?” ฉีหนิงถามว่า “พวกท่านพ่อลูกก็ไม่ได้ดู
ฟุ่มเฟือยเลย”
ชายวัยกลางคนพูดว่า “ฟุ่มเฟือย มีให้กินอิ่มนอน
หลับก็ดีแค่ไหนแล้ว” เขานั่งลง แล้วพูดว่า “เราไม่ใช่
พ่อลูกกัน นี่เป็นท่านลุงของข้า ข้าเป็นหลานของ
เขา”
“อ๋อ?”
ชายแก่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พูดตามตรง หลาย
ชายข้าเดิมทีมีที่นาอยู่ผืนหนึ่ง เมื่อห้าปีก่อนเกิดความ
วุ่นวายจากโจรกบฏทีเ่ ขาไท่ซาน ราชสำนักเกณฑ์
ชายหนุ่มแข็งแรงไปเป็นทหาร ไปขนส่งเสบียง หลาย
ชายข้าอยู่แถวนั้นพอดี เลยถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร
นานครึ่งปี ราชสำนักกวาดล้างกบฏ เมื่อหลายชายข้า
กลับมา ทั้งบ้านทัง้ ที่นาก็ไม่เหมือนเดิมอีก”
ฉีหนิงอึ้งไป เขาถามด้วยความแปลกใจว่า “เพราะ
อะไร?”
ชายวัยกลางคนพูดว่า “การปราบกบฏเขาไท่ซาน
ราชสำนักเก็บภาษีเยอะมาก หากไม่ส่งภาษีไปตามที่
กำหนด ก็จะต้องเข้าคุก บ้านเราไม่ได้มีเงินมากมาย
ขนาดนั้น ทำได้แค่เอาที่นาไปค้ำแล้วแลกเป็นเงิน
สวรรค์เองก็ตาบอด ช่วงนั้นแห้งแล้งมานานหลายปี
ที่ไร่ไม่ได้ผลผลิตเลยแม้แต่นิดเดียว ที่นาเราถูกคนยึด
ไป ที่บ้านไม่มีข้าวจะจริง ทุกคนหิวตายกันหมด” เขา
พูดถึงตรงนี้ ก็กำหมัดแน่น สายตามีแต่ความโกรธ
แค้นและเจ็บปวด
“ที่บ้านเกิดมีสภาพแบบนั้นแล้ว เขาเลยจำเป็นต้อง
มาอยู่กับข้า” ชายแก่ส่ายหน้า “เดิมทีข้ากับลูกชาย
ยึดอาชีพหาปลาดำรงชีวิต แต่เพราะการเกณฑ์ทหาร
เมื่อต้นปี เขาไปแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก” เขาหยุดไป
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตงฉีเป็นแคว้นเล็ก แม่น้ำ
แทบจะทุกที่มีเจ้าของเกือบหมด ที่ที่มีปลามากมาย
มันมาไม่ถึงเราหรอก เราอาศัยแม่นำ้ ที่ไม่มีคนสนใจ
ในการยังชีพเท่านัน้ ” เขาดื่มซุปในชามจนหมด แล้ว
ถอนหายใจอีกว่า “หากว่า...หากว่าอดีตฮ่องเต้ยังอยู่
ก็คงไม่เป็นแบบนี้”
“อดีตฮ่องเต้?” ฉีหนิงตะลึง ชายแก่รู้สึกเหมือว่าเขา
พูดมากเกินไป เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร ไม่มี
อะไร ข้าพูดเหลวไหลไปเอง ท่านอย่าได้ถือเป็นจริง
เป็นจังนะ”
ชายวัยกลางคนอดไม่ได้พูดขึ้นมาว่า “ท่านลุง เรื่องนี้
ก็เป็นอย่างนี้ ข้าจำได้ตอนที่ข้ายังเด็ก เรายังกินอิ่ม
นอนหลับสุขสบาย ไร่ของบ้านเรามีผลผลิตตลอดปี
ไม่ต้องทนหนาวทนหิว แต่ว่าตอนนี้...” เขาพูดว่า
“เราใช้ชีวิตแย่ลงไปแทบจะทุกวัน วันนี้เรายังมีซุป
ปลาให้กิน แต่พรุ่งนี้แม้แต่ซุปก็อาจจะไม่มีแล้ว”
ฉีหนิงมองไปที่ชื่อตันเหมย เห็นสีหน้าของนางเริ่มดี
ขึ้นมากแล้ว ก็วางใจ เขาถามว่า “หรือว่าฮ่องเต้องค์
ปัจจุบนั สู้อดีตฮ่องเต้ไม่ได้?”
“ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน?” ชายวัยกลางคนอ้าปาก
เหมือนคิดจะพูดอะไร ชายแก่ส่งสายตาให้เขา ชาย
วัยกลางคนหยุดพูดไป แต่ว่าเหมือนเขาจะอึดอัด
ยังคงอดพูดไม่ได้เลย “อย่าว่าแต่อดีตฮ่องเต้เลย
แม้แต่อดีตรัชทายาทที่ถูกสั่งปลด เขาก็เทียบไม่ได้”
“อดีตรัชทายาทที่ถูกสั่งปลด?” ฉีหนิงตะลึงไป ชาย
วัยกลางคนไม่พูดต่อ เขารู้ทันทีว่าทัง้ สองคนนีร้ ะวัง
ตัว เขายิ้มแล้วพูดว่า “พวกท่านไม่ต้องกังวลนะ ข้าง
นอกฝนยังแรงอยู่ เราก็ถือซะว่าคุยฆ่าเวลากัน ข้า
เป็นคนต่างแคว้น ก็เคยได้ยินมาว่าฮ่องเต้แคว้นตงฉี
ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หากเป็นฮ่องเต้ที่ดจี ริง ภายใน
แคว้นคงไม่เกิดเรื่องขึ้นบ่อยๆ”
ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็เป็นคนเข้าใจ
อะไรง่ายดี เจ้าพูดถูกแล้ว หัวหน้าก่อกบฏที่เขาไท่
ซาน ได้ยินมาว่าเป็นคนของอดีตรัชทายาทที่ถูกสั่ง
ปลด เขาพาคนก่อกบฏ เขาบอกว่าต้องการแก้แค้น
ให้กับอดีตรัชทายาท ตอนนั้นมีคนทำร้ายจนอดีตรัช
ทายาทต้องตาย”
ฉีหนิงยิ่งฟังยิ่งงง เขาถามว่า “พี่ชาย อดีตรัชทายาที่
ถูกสั่งปลด เขาเป็นใครกัน? แล้วรัชทายาทตงฉีองค์
ปัจจุบนั ล่ะ? ข้าได้ยินมาว่าฮ่องเต้ตงฉีมีลูกชายสาม
คนลูกสาวสองคน ไม่นานมานี้เพิ่งแต่งตั้งรัชทายาท
ไป หรือว่าก่อนหน้านี้มีรัชทายาทองค์อื่นอีกอย่างนั้น
หรือ?”
ชายแก่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “อดีตรัช
ทายาไม่ใช่ลูกชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันหรอก แต่
เป็นพี่น้องกัน” เขานิง่ ไปแล้วพูดว่า “ข้าทำอาชีพ
เดินเรือมานานหลายปี เห็นคนมาก็มาก ก็พอจะได้
ยินเรื่องพวกนี้มาบ้าง อดีตฮ่องเต้มีลูกชายสองคน
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นองค์ชายรอง ก่อนที่เขาจะได้
นั่งบัลลังก์ อดีตฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาท
เอาไว้แล้ว แต่ว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน จู่ๆ อดีตรัชทายาทก็
ทรงก่อกบฏ ข้าได้ยินพวกเขาพูดกันว่า อดีตรัช
ทายาททรงนำทหารบุกเข้าไปในวังหลวง แต่ถูกอดีต
ฮ่องเต้จับได้ อดีตรัชทายาทถูกจับกุมตัว ถูกปลดออก
จากตำแหน่งรัชทายาท หลังจากนั้นไม่กี่เดือน อดีต
ฮ่องเต้ก็ทรงสวรรคต ก่อนจะสวรรคต ได้ทรงมอบ
ราชสมบัติให้กับองค์ชายรอง หรือก็คือฮ่องเต้องค์
ปัจจุบนั หลังจากนั้นอดีตรัชทายาทเป็นยังไง ข้าเองก็
ไม่รู้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 626 มีน้ำใจและมีความจริงใจ
ฉีหนิงถึงได้รู้ว่าในวังหลวงตงฉีมีการเปลี่ยนแปลง
แบบนี้มาก่อน เขาขมวดคิ้ว ชายแก่พูดต่อว่า “ฮ่องเต้
องค์ปัจจุบันขึน้ ครองราชย์ ภายในแคว้นตงฉีหลายที่
ก่อกบฏ ฮ่องเต้ส่งทหารออกปราบไปทั่ว เก็บภาษี
มากขึ้นมากขึ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ภาษีก็ไม่เคย
ลดลง ภายหลังพวกกบฏจะถูกกวาดล้างไปแล้ว แต่
ว่าฮ่องเต้ยังต้องการสร้างตำหนักขึ้นใหม่ แม่ทัพใหญ่
กองพลเรือต้องการสร้างเรือรบลำใหม่...” พูดถึงตรง
นี้ เขาก็ถอนหายใจ แล้วส่ายหน้า
ชายวัยกลางคนพูดว่า “ตอนที่อดีตฮ่องเต้ยังมีชีวิตอยู่
ยังทรงเห็นอกเห็นใจชาวบ้านอย่างพวกเรา ชาวบ้าน
กินอิ่มนอนหลับดี ตอนนี้แย่ลงทุกปี ข้ายังจำได้ว่า
อดีตรัชทายาทในตอนนั้น มักจะพาคนออกสำรวจไป
ทั่ว ลงโทษขุนนางทุจริตอย่างหนัก ชาวบ้านมี
ความสุขมาก ทุกคนพูดกันว่าหากอดีตรัชทายาททรง
ได้ขึ้นครองราชย์ ชาวบ้านก็คงมีชีวิตที่ดี แต่ว่า...แต่
ว่าคิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเกิดเหตุแบบนี้ได้”
ฉีหนิงคิดแล้วถามว่า “อดีตรัชทายาทเป็นหรือตาย
พวกท่านไม่รู้เลยหรือ?”
ชายวัยกลางคนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ได้ยินแค่ว่าเขา
ถูกจับเพราะก่อกบฏ หลังจากนั้นมีบทลงโทษยังไง
บ้าง พวกเราไม่ได้รับรู้เลย” เขาพูดว่า “แต่ว่า ในเมื่อ
ตอนนี้เขาเป็นฮ่องเต้แล้ว เขาก็ไม่น่าจะปล่อยให้อดีต
รัชทายาทได้มีชีวิตต่อไปอีก คนที่ก่อกบฏหลายคน
ต่างใช้ประกาศว่าจะแก้แค้นให้กบั อดีตรัชทายาท
ทั้งนั้น คิดว่าอดีตรัชทายาทน่าจะถูกให้ร้าย”
ฉีหนิงอยากจะถามต่อ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึน้ มา
ว่า “มีคนอยู่บนเรือไหม?”
ฉีหนิงสะดุ้งแรงมาก เขารีบยื่นมือไปจับมีดสั้น เขา
กังวลว่าจะเป็นทหารตงฉีตามมา ชายวัยกลางคนเปิด
ผ้าม่านออกดู เขาโผล่หัวออกไป แล้วก็ได้ยินว่า
“พวกเราต้องการข้ามฟาก รบกวนเจ้าส่งพวกเรา
ข้ามฟากไปหน่อยได้ไหม”
ชายวัยกลางคนพูดว่า “ลมพายุแรงมาก ตอนนี้ข้าม
ไปไม่ได้หรอก รอสักประเดี๋ยวนะ”
“ไม่เป็นไร” คนด้านนอกพูด
ชายวัยกลางคนพูดว่า “สี่คน หกสิบตำลึงนะ”
ทันใดนั้นฉีหนิงก็รู้สึกว่าเรือมันโยก มีคนโดดขึ้นมา
บนเรือ ชายวัยกลางคนเปิดม่าน คนด้านนอกมุดเข้า
มาด้านในหลายคน คนน่าสุดอายุประมาณสี่สิบ
เหมือนเขาจะเป็นวรยุทธ์ ผิวของเขาออกคล้ำ เสื้อผ้า
ดูเก่า คิ้วหนาตาโต ด้านหลังของเขามีผู้ติดตามมาอีก
สามคน เสื้อผ้าของพวกเขาดูขาดและเก่ามาก
ชายตัวดำเข้ามาด้านในท้องเรือ เมื่อมีคนเห็น เขาก็
ขมวดคิ้ว แต่ยังพยักหน้าให้กับฉีหนิงอยู่ ฉีหนิงเห็นว่า
ไม่ใช่ทหาร เขาก็โล่งใจ เขาพยักหน้าตอบ ท้องเรือ
ไม่ได้ใหญ่มาก เมื่อทุกคนเข้ามาด้านใน มันเลยดู
แออัด สี่คนที่เข้ามาเองก็มารยาทดี หลบไปนั่งตรงมุม
มุมหนึ่ง
ชายตัวคล้ำยื่นเงินให้กับชายวัยกลางคน เขาให้
มากกว่าที่เรียกมาสิบตำลึง เขาพูดว่า “รบกวนท่าน
ต้มน้ำให้พวกพวกเราหน่อยนะ”
ชายวัยกลางคนไม่ได้รับเงินอีกสิบตำลึงเขาพูดว่า
“น้ำข้าไม่คิดเงินหรอกนะ” เขาเดินไปหยิบกาน้ำ
แล้วเดินไปตักน้ำมา จากนั้นก็เอาน้ำมาต้ม
พวกเขาหลายคนก็จัดเสื้อผ้า ชายตัวคล้ำหันไปมอง
ชื่อตันเหมย เขาขมวดคิ้วหนักมาก เขามองไปที่ฉี
หนิง เขาพูดว่า “นางบาดเจ็บมา ภายในของนาง
ได้รับบาดเจ็บมาก จะรอช้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นหาก
นางฟื้นตัวกลับมาได้ นางก็จะมีโรคตามมาภายหลัง”
ฉีหนิงสะดุ้ง แอบคิดในใจว่าคนผู้นี้รา้ ยกาจมาก เขา
ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณมาก”
ชายตัวคล้ำลังเล เขาลุกขึ้นแล้วเดินมาใกล้ๆ ฉีหนิง
คิดในใจว่าในพืน้ ที่ตงฉี ถึงแม้เขาจะใส่เสื้อผ้าขาดๆ
แต่ว่าไม่รู้ที่มาที่ไปของเขา จะประมาทไม่ได้ เขาจึง
ระวังตัว เมื่อชายผิวคล้ำเดินเข้ามาใกล้ เขาก็มองไปที่
ชื่อตันเหมย จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าเดิน
ลมปราณช่วยให้เลือดลมของนางไหลเวียนให้ดีขึ้นได้
เลือดลมบริเวณหน้าอกของนางมันเดินไม่ค่อย
สะดวก สองสามวันก็อาจจะไม่ฟื้นขึน้ มา”
ฉีหนิงรู้ทันทีว่าเขาน่าจะไม่ธรรมดา เขามองออกว่า
ตัวเองมีวรยุทธ์ ถึงแม้เขาจะฝึกการเดินลมปราณบ้าง
แล้ว แต่ว่าการเดินปรับลมปราณให้คนอื่นนัน้ เขาทำ
ไม่เป็น เขาขมวดคิ้ว รู้สึกจนปัญญา ชายผิวคล้ำพูด
อย่างสงสัยว่า “หรือว่าเจ้าช่วยเดินลมปราณให้คน
อื่นไม่ได้?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “น่าละอายนัก
ความสามารถของข้ามีจำกัด ข้าไม่ทราบจริงๆ”
ชายผิวคล้ำขมวดคิ้ว คิดแล้วพูดว่า “เจ้าพยุงหน้า
ขึ้นมา”
ฉีหนิงเห็นหน้าตาของเขาซื่อ ไม่ได้มีความเลวร้าย
อะไร คิดว่าไม่น่าจะใช่คนเลว ถึงแม้จะยังระแวงอยู่
แต่ว่าเขาก็ทำตามที่ชายตัวคล้ำบอกพยุงชื่อตันเหมย
ขึ้นมา ชายตัวคล้ำนั่งอ้อมไปทางด้านหลังของชื่อตัน
เหมย แล้วพูดว่า “เสียมารยาทแล้ว” เขาลงมือไว
มาก ซัดฝ่ามือไปที่ด้านหลังของชื่อตันเหมย ฉีหนิงไม่
รู้ว่าเขากำลังทำอะไร เขาเห็นว่าคนๆ นั้นหมุนฝ่ามือ
ที่ด้านหลังของชื่อตันเหมย
ไม่นานนัก ฉีหนิงก็เห็นว่าสีหน้าที่ซีดขาวของชื่อตัน
เหมยนั้นกลับมามีเลือดฝาดแล้ว เขาดีใจมาก ชาวผิว
คล้ำเก็บฝ่ามือกลับมา สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า
“ไม่เป็นอะไรแล้ว รีบพานางไปหาหมอ พักสักสอง
สามวัน ก็น่าจะเป็นปกติได้”
ฉีหนิงรู้สึกว่าชายผิวคล้ำนั้นใจดีมีความจริงๆ เขาช่วย
ชื่อตันเหมยปรับลมปราณ ทั้งสองฝ่ายไม่รู้จักกันมา
ก่อน เขายืน่ มือเข้าช่วยเหลือถือว่ามีคุณธรรมมาก
เขาพยุงชื่อตันเหมยให้นอนลง ยกมือคำนับแล้วพูด
ว่า “ขอบคุณพี่ชายท่านนี้มาก ข้า...”
ชายผิวคล้ำยกมือ เขาก็ไม่พูดอะไรอีก เขากลับไปนัง่
ที่ คิดๆ แล้ว ก็หันไปมองฉีหนิง แล้วถามว่า “พวก
เจ้าไปผิดใจกับใครมา? คนผู้นั้นวรยุทธ์ไม่ถือว่าร้าย
กาจ แต่ว่าเพลงหมัดของเขาแรงมาก ดีที่กำลัง
ภายในของแม่นางคนนี้แก่กล้ามาก หากเป็นคนอื่น
คงตายไปไม่รู้กี่รอบแล้ว”
ฉีหนิงรู้ว่าเขาน่าจะเป็นยอดฝีมือ คิดว่าเรื่องที่จะ
เกิดขึ้นในเมืองหลวงจะเล่าออกมาไม่ได้ แต่ว่าเขายื่น
มือเข้าช่วยเหลือ จะโกหกเขาก็ไม่ดี เขาลังเล ชายผิว
คล้ำมองออก เขายกมือยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่สะดวกก็ไม่
ต้องเล่าหรอก ข้าก็แค่แปลกใจเท่านัน้ เลยถามดู คน
ที่มีเพลงหมัดแบบนี้ในแคว้นตงฉีมีเพียงไม่กี่คน
เท่านั้น”
ฉีหนิงยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร
ชายผิวคล้ำนั่งพิงอยู่ทที่ ้องเรือ เขาหลับตาลง อีกสาม
คนก็หลับตาลงเช่นกัน ส่วนอีกคนก็เฝ้าระวัง ฉีหนิง
เห็นพวกเขาเนื้อตัวมีแต่ฝุ่น เหมือนจะรีบเร่งเดินทาง
ภายในท้องเรือไม่มีใครพูดอะไรเลย หลังจากนั้นไม่
นาน น้ำร้อนก็ต้มเดือดแล้ว พวกเขานำถุงน้ำพกพา
ออกมาแล้วกรอกน้ำร้อนเข้าไป จากนั้นก็วางลง
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ฉีหนิงลืมตาขึ้นมา
ท่ามกลางเสียงพายุฝน เขาได้ยินเสียงฝีเท้าม้า เสียง
ม้าเข้ามาใกล้มาก จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงดัง
ขึ้นมาว่า “คนในเรือออกมาให้หมด”
ชายวัยกลางคนเกาหัว แล้วบ่นว่า “ปกติกว่าเจอใคร
สักคนแทบไม่มี วันนี้มันวันอะไรกัน” เขาเปิดม่าน
เรือออกอีกครั้ง เขาถามว่า “จะข้ามฟากหรือ?”
คนด้านนอกพูดว่า “คนในเรือมีกี่คน ออกมาให้หมด
เรือลำนี้พวกเราซื้อไว้แล้ว”
ฝีพายพูดว่า “พวกเราไม่ขายเรือ”
“ไม่ต้องพูดมาก” คนด้านนอกตะคอกว่า “พวกเรา
เป็นคนของหอเฟิงเหลย เรือพวกเรานี้หอเฟิงเหล
ยซื้อไว้แล้ว ต่อให้พวกเจ้าไม่ขายก็ต้องขาย คนข้างใน
ออกมาให้หมด”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว หอเฟิงเหลยเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
เหมือนจะเป็นชื่อในพรรคของยุทธภพ แต่ว่าฝนตก
หนักขนาดนี้ พวกเขากลับวิ่งมาขอซือ้ เรือ มันผิดปกติ
เกินไป ถึงแม้ชายวัยกลางคนจะไม่พอใจ แต่ว่าเขาก็
เหมือนจะกลัว เขาหลบเข้ามาในเรือ แล้วหันมาพูด
ว่า “ท่านลุง มีคนกลุ่มใหญ่ขี่ม้าพกดาบ จะมาขอซื้อ
เรือของพวกเรา พวกเขามากันกว่าสิบคน พวกเรา...
พวกเราจะทำอย่างไรดี?”
ชายแก่พูดว่า “คนพวกนี้เป็นพวกเดนตาย พวกเรา
ขัดใจพวกเขาไม่ได้หรอก เจ้าบอกพวกเขาไปว่า หาก
พวกเขาจะซื้อ ก็ให้พวกเราส่งแขกของพวกเราข้าม
ไปก่อน แล้วพวกเราค่อยขายเรือลำนี้ให้เขา พวกเรา
รับปากลูกค้าของพวกเราแล้ว จะคืนคำไม่ได้”
ชายวัยกลางคนโผล่หัวออกไปแล้วพูดว่า “บนเรือมี
แขกอยู่ พวกเราส่งพวกเขาข้ามไปแล้ว ค่อยขายเรือ
ลำนี้ให้พวกเจ้า พวกเจ้ารอก่อนนะ”
“ให้พวกพวกเรารอ เจ้าไม่อยากอยูแ่ ล้วใช่ไหม” มี
คนด่าขึ้นมาว่า “ออกมาให้หมดทุกคน” ทันใดนัน้ เอง
บนเรือก็โยก เหมือนมีคนโดดขึ้นเรือมา ชายวัย
กลางคนเปิดม่านแล้วเดินออกไป ฉีหนิงได้ยินเสียง
ชายวัยกลางคนพูดว่า “พวกเจ้าจะ...” พูดอย่างไม่
ทันจบ เหมือนมีคนล้มกองกับพื้น แล้วมีคนด่าขึ้นมา
ว่า “พูดดีดีไม่ยอมใช่ไหม รนหาที่ตายชัดๆ”
ชายแก่รีบร้อนออกมาจากท้องเรือ ยังไม่ทันได้เดินไป
ชายผิวคล้ำก็ขวางไม่ให้เขาออกไป จากนั้นเขาก็ส่ง
สัญญาณไปให้อีกคน คนของเขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
พวกเขาเดินไปเปิดม่าน คนข้างนอกพูดว่า “ในเรือยัง
มีอีกกี่คน ออกมาให้หมด”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นว่า “ข้างในยังมีอีกกี่คนก็ไม่
มีใครออกมาทั้งนั้น พวกเจ้าไปซะ ไม่อย่างนั้นเจ้า
ต้องรับผลที่ตามมากันเองนะ” จากเสียง น่าจะเป็น
คนของชายผิวคล้ำ
เรือลำเล็กโยกเยกเล็กน้อย มีคนหลายคนกระโดด
ขึ้นมาบนเรือ ฉีหนิงรู้ดีว่าเรือลำนี้ไม่ได้ใหญ่มาก
บรรทุกคนได้ไม่มาก เพราะเรือจะรับน้ำหนักไม่ไหว
มันจมลงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยินเสียงโอหังดังขึ้น
อีกครั้ง “พวกเราเป็นคนของหอเฟิงเหลย เรือลำนี้
เป็นของพวกเราแล้ว ถ้าอยากตายก็อยู่บนเรือต่อไป”
เพื่อนของชายผิวคล้ำพูดว่า “ในเมื่อพวกเราขึ้นเรือ
ลำนี้มาแล้ว ยังไม่ทันถึงฝั่ง พวกเราก็จะไม่ลง พวก
เจ้าอยากได้เรือ พวกเราไม่สน พวกเราไม่ลง พวกเจ้า
ตกลงกับเจ้าของเรือได้ แต่ว่าก่อนหน้านั้น พวกเจ้า
ต้องไปรอบนฝั่งก่อน”
“อวดดี” มีคนหัวพวกเราะแล้วพูดว่า “ดูท่าจะไม่
กลัวตายจริงๆ”
ฉีหนิงรู้สึกว่าเพื่อนของคนผิวคล้ำถึงแม้จะพูดนิ่งๆ
แต่ว่าในน้ำเสียงของเขามันมีพลังมาก จากนั้นก็ได้ยิน
เสียง “โอ๊ย” ขึ้นมา เหมือนมีคนล้มลง จากนั้นก็มีคน
ตะโกนว่า “เจ้าบ้านี่มันกล้าลงมือ พวกพวกเราบุก
ฆ่ามันให้ตายเลย”
จากนั้นก็ได้ยินคนตะคอกว่า “หยุดนะ” จากนัน้ ก็ได้
ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า “ดูท่าทางของท่านแล้วน่าจะ
เป็นคนในแวดวงเดียวกัน ไม่ทราบพวกท่านมาจากที่
ใดกัน? พี่น้องของพวกเรามีตาไร้แวว ล่วงเกินท่าน
แล้ว”
“ข้าไม่อยากรู้จักพวกเจ้า ดังนัน้ พวกเจ้าก็ไม่
จำเป็นต้องรู้ว่าข้าเป็นใคร” เพื่อนชายผิวคล้ำพูดว่า
“บ่อน้ำไม่ยุ่งกับแม่น้ำ ไม่ต้องยุ่งยาก ให้คนของเจ้า
ถอยออกไปที่ฝั่งให้หมด ถือซะว่าพวกเราไม่เคยเจอ
กันมาก่อน”
“ท่านอาจจะไม่รู้ ที่จริงพวกเราตามมาถึงที่นี่ พวก
เราเองก็ไม่มีทางเลือก” เขาพูดว่า “ท่านประมุขของ
พวกเราถูกคนขโมยของไป คนที่ขโมยเป็นชายหนึ่ง
คนหญิงหนึ่งคน ผู้หญิงแต่งกายเหมือนชาย หลังจาก
ที่ถูกพวกเราจับได้ ก็หนีออกมา พวกเราตามมาถึง
ที่นี่ พวกเราแค่ต้องการจับตัวพวกเขากลับไป พวก
เราขอแค่ตรวจดูให้แน่ใจ หากพวกเขาไม่อยู่บนเรือ
พวกเราจะรีบไปทันที พวกเราจะไม่ยุ่งเกีย่ วอะไร
กัน”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 627 ล้างแค้น
ฉีหนิงรู้สึกขำมาก ในตอนนี้แน่ใจแล้วว่าคนพวกนี้
น่าจะมาตามจับชื่อตันเหมย
ไป๋อวี่เฮ่อให้เวลาชื่อตันเหมยสิบสองชั่วยาม เขาเป็น
ศิษย์ของราชครูตงฉีโม่หลันชาง ราชสำนักตงฉี
เหมือนจะยำเกรงเขามาก จะหักหน้าเขาตรงๆ ก็ไม่ดี
ดังนั้นเลยไม่ได้ให้ทหารไล่ตามมา
แต่ว่าฮ่องเต้ตงฉีเหมือนจะเกลียดชื่อตันเหมยเข้า
กระดูกดำ เขาต้องการสังหารนางให้สิ้นซากไป ถึงแม้
จะไม่ได้สั่งให้ทหารตงฉีไล่ตามมา แต่ก็สั่งให้คนไปหา
กลุ่มชาวยุทธ์มาไล่ล่าแทน ฉีหนิงรู้ว่าคนพวกนีน้ ่าจะ
รับเงินจ้างมาจากราชสำนัก แต่ว่าพวกเขาก็ปฏิกิริยา
ไว อีกทั้งยังตามมาได้ถึงที่นี่ แสดงว่าก็ร้ายกาจอยู่ไม่
น้อย
เพื่อนของชายผิวคล้ำกับคนของหอเฟิงเหลยปะทะ
กัน ชายผิวคล้ำกับอีกสองคนนิ่งมาก ถึงแม้เพื่อนของ
เขาจะอยู่ข้างนอก แต่กลับไม่ได้มีความคิดที่จะไป
ช่วยเลย
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงเพื่อนของชายผิวคล้ำพูด
ขึ้นมาว่า “ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ข้าไม่อยาก
ยุ่งยาก ข้ามแม่น้ำไปแล้ว ทุกอย่างก็ไม่เกี่ยวกับพวก
เรา แต่ว่าก่อนหน้านั้น พวกเจ้าต้องถอยไปรออยูท่ ี่
ฝั่ง”
“พี่ใหญ่ อย่าเสียเวลาพูดกับเขาอีกเลย” มีคนพูด
ขึ้นมาว่า “ในเรือจะต้องมีอะไรแน่ พวกเราบุกเข้าไป
เลยดีกว่า”
หลังจากที่เงียบไปพักใหญ่ หัวหน้าของคนพวกนั้นก็
พูดว่า “ในเมื่อท่านไม่ยอมอ่อนข้อ พวกเราคงต้อง
ล่วงเกินแล้ว หากล่วงเกินอะไรไป ผูไ้ ม่รู้ถือว่าไม่ผิด”
พวกเขาเห็นว่าเพื่อนของชายผิวคล้ำมาคนเดียว แต่
ว่าเหมือนเขาจะไม่ธรรมดา แต่เพราะไม่รู้ว่าเขาเป็น
ใครมาจากไหน กลัวจะสร้างความบาดหมางขึ้นมา
ดังนั้นเลยพูดก่อนเลยว่า ผู้ไม่รู้ถือว่าไม่ผิด
ชายผิวคล้ำเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นมาว่า
“ท่านประมุขหวีของหอเฟิงเหลยสบายดีหรือไม่?
พวกเจ้ากลับไปบอกเขาด้วยว่า โหลวเหวินซือจะไป
หาเขาวันหลัง ขอให้ท่านประมุขหวีชี้แนะด้วย”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่แท้ชายผิวคล้ำนี่ชอื่ โหลวเหวินซือ
หรือ ชื่อนี้ไม่คุ้นเลย ไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่รู้ว่าเป็น
ใครมาจากไหน แต่ว่าคนที่มาพอได้ยินชื่อนี้แล้วก็
ตกใจมาก “โหลว...โหลวเหวินซือ? หรือว่าท่านคือผู้
อาวุโสชิงหลงมังกรเขียวแห่งพรรคกระยากจก?”
ฉีหนิงถึงกับสะดุ้ง เขาหันไปมองโหลวเหวินซือ โหลว
เหวินซือเหมือนจะรู้สึกได้ว่าฉีหนิงสะดุ้ง เขาเหลือบ
มองมาที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “พรรคกระยาจกกับหอ
เฟิงเหลยของพวกเจ้าเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาตลอด ข้า
ไม่อยากต้องให้มาผิดใจกันนะ”
ด้านนอกเงียบไปพักหนึ่ง จากนัน้ ก็มเี สียงดังขึ้นมาว่า
“ในเมื่อท่านผู้อาวุโสชิงหลงอยู่ที่นี่ พวกข้าล่วงเกิน
แล้ว ขอท่านผู้อาวุโสโปรดอภัยด้วย” เขาพูดเสียง
เข้มว่า “ถอยไปให้หมด” จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนลง
จากเรือไป แล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบจากไป ไม่
นานนักก็ไม่มีเสียงอะไรอีกเลย สหายคนนัน้ กลับเข้า
มาด้านในท้องเรือ แล้วพยักหน้าให้กับโหลวเหวินซือ
โหลวเหวินซือพยักหน้าตอบ สหายคนนั้นก็นั่งลง
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก จูเชวียไป๋หู่ฉีหนิงรู้จักและเคย
เจอ ผู้อาวุโสชิงหลงฉีหนิงเคยแต่ได้ยินชื่อแต่ไม่เคย
เจอ ประมุขพรรคกระยาจกเซีย่ งไป๋อิ่งเคยบอกว่า ชิง
หลงนิสัยตรงไปตรงมา เห็นอะไรไม่ดีไม่ได้เลย
เดินหน้าไม่มีถอย ก็เพราะอย่างนี้ เลยไม่เหมาะที่จะ
เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขพรรคกระยาจก
ก่อนหน้านี้โหลวเหวินซือยื่นมือช่วยเหลือ มีคุณธรรม
มาก ฉีหนิงเดิมไม่รู้ฐานะของเขา ยังรู้สึกกลัว แต่
ตอนนี้รู้ว่าเขาคือผู้อาวุโสชิงหลงแห่งพรรคกระยาจก
แล้ว เขาก็รู้สึกสนิทสนมขึ้นมา
คนของหอเฟิงเหลยได้ยินชื่อของโหลวเหวินซือ ไม่
พูดมาก หันหลังกลับไปทันที แสดงว่าชื่อพรรค
กระยาจกในยุทธภพนั้นแน่แค่ไหน ส่วนโหลวเหวิ
นซือก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากในแคว้นตงฉี
ผู้อาวุโสทั้งสี่ของพรรคกระยาจก แบ่งเขตการ
ปกครองเป็นคนละเจ็ดสาขา ผู้อาวุโสชิงหลงดูแลเจ็ด
สาขาทางทิศตะวันออก เคลื่อนไหวในพื้นที่ทคี่ าบ
เกี่ยวกับแคว้นตงฉี โหลวเหวินซือมาปรากฏตัวใน
แคว้นตงฉี เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก
ภายในท้องเรือเงียบสนิท มีแค่เสียงลมหายใจของ
ผู้คน ทันใดนั้นก็ได้ยนิ โหลวเหวินซือหัวเราะออกมา
เขาหัวเราะขึ้นมากะทันหัน ฉีหนิงขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่า
เพราะอะไร โหลวเหวินซือพูดขึ้นมาว่า “ท่านอายุยัง
น้อย แต่กำลังภายในแก่กล้านัก” เขาหันมามองฉี
หนิง แล้วถามเสียงเข้มว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ฉีหนิงเห็นสายตาของเขาแหลมคมมาก แต่ก็ไม่ได้
ตกใจกลัวอะไร เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสโหลว
ชมเกินไปแล้ว วรยุทธ์ข้าธรรมดามาก กำลังภายในก็
ไม่ได้แก่กล้าอะไรเลย”
“ข้าแค่อยากจะถามเจ้าว่า วิชาการเดินลมปราณของ
เขา ฝึกมาจากที่ไหนเท่านั้น?” โหลวเหวินซือจ้องมา
ที่ฉีหนิง
ฉีหนิงสะดุ้ง โหลวเหวินซือนั่งขัดสมาธิ สายตาของ
เขาเหมือนกับคมดาบ “การฝึกกำลังภายใน ต้องเริ่ม
จากการหายใจ ในยุทธภพมีพรรคและสำนักมากมาย
จะมีวิชาการหายใจเดินลมปราณของตัวเอง ระหว่าง
ที่หายใจ ก็จะสามารถรู้ถึงที่มาที่ไปได้” เขาหยุดไป
แล้วพูดขึ้นมาว่า “การเดินลมปราณของเจ้า ฝึกมา
จากที่ไหน?”
ตอนนั้นในร่างกายของฉีหนิงมีการสะสมกำลังภายใน
อยู่เป็นจำนวนมาก แต่เขาไม่รู้จักวิชาการเดิน
ลมปราณ เกือบจะธาตุไฟเข้าแทรก ยังดีที่เซีย่ งไป๋องิ่
ถ่ายทอดวิชาการเดินลมปราณให้กับเขา ถึงทำให้ฉี
หนิงสามารถพ้นวิกฤตในตอนนั้นมาได้ ตลอดเวลาที่
ผ่านมา เขาใช้วิธีของเซี่ยงไป๋องิ่ ในการเดินลมปราณ
มาตลอด
เขารู้สึกตกใจมาก ผู้อาวุโสชิงหลงร้ายกาจสมคำร่ำ
ลือ แค่ฟังจากการหายใจของเขา ก็รทู้ ี่มาที่ไปของ
การเดินลมปราณได้แล้ว เขารู้แล้วว่าโหลวเหวินซือ
จับได้แล้ว เขานิ่งไป แล้วพูดว่า “เรียนท่านผู้อาวุโส
โหลวตามตรง ผู้ที่สอนวิชาการหายใจนี้ให้ข้า เป็นผู้
อาวุโสท่านหนึ่งในยุทธภพ เขาเป็นคนมีคุณธรรมมาก
ตอนที่ข้ากำลังประสบอันตราย ได้เขายื่นมือเข้า
ช่วย”
“ผู้อาวุโสในยุทธภพ?” โหลวเหวินซือขมวดคิ้ว
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสโหลว
น่าจะรู้จักท่านประมุขเซีย่ งไป๋องิ่ ”
โหลวเหวินซือขมวดคิ้วแน่นมาก “วิธีการหายใจเดิน
ลมปราณนี่ท่านประมุขถ่ายทอดให้เจ้าหรือ?”
ในตอนนี้ไม่เพียงแค่เขา คนของเขาอีกสามคนก็จ้อง
มาที่ฉีหนิง
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้องแล้ว”
โหลวเหวินซือถามว่า “เจ้าเป็นใคร? ทำไมท่าน
ประมุขถึงได้ถ่ายทอดวิชานี้ให้เจ้าด้วย?”
ฉีหนิงลังเล แล้วพูดว่า “ข้าชื่อฉีหนิง จิ่นอีโหวแห่ง
แคว้นฉู่”
โหลวเหวินซือตะลึงไป ตอนนี้ฝีพายสองคนก็ตกใจ
หน้าเสีย พวกเขาส่งคนข้ามฟากมานาน ถึงแม้จะเจอ
คนไปมามากมาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะมีคนใหญ่
คนโตมา ผู้อาวุโสชิงหลงพรรคกระยาจกชื่อเสียงโด่ง
ดัง จิ่นอีโหวแคว้นฉู่ ก็ชื่อเสียงเกรียงไกร
ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงโหลวเหวินซือพูดเสียงเข้ม
ว่า “จับตัวเขาเอาไว้” เขาพุ่งตัวมาจะจับฉีหนิง
ก่อนที่เขาจะลงมือ ฉีหนิงเห็นหน้าเขาไม่ค่อยดี เลยรู้
ทันทีว่าแย่แน่แล้ว เมื่อโหลวเหวินซือเข้ามาใกล้ เขา
ยื่นมือมาจับเสื้อของเขา ฉีหนิงหมุนตัว แล้วยืนขึ้น
เพื่อเว้นระยะ เขาพูดว่า “ทำอะไรกัน?”
คนของโหลวเหวินซืออีกสามขึ้นบุกขึ้นหน้ามา แต่ละ
คนมีแต่ความโกรธแค้น บนเรือเล็กมาก โหลวเหวิ
นซือยืนอยู่ด้านหน้า อีกสามคนยืนเรียงอยู่ด้านหลัง
คิดจะบุกเข้าใส่ฉีหนิงตลอดเวลา
“เจ้าโจรชั่ว เจ้าฆ่าท่านประมุข” โหลวเหวินซือ
ตะคอกว่า “วันนี้ข้าจะเอาชีวิตเจ้า เอาเลือดของเจ้า
มาบูชาดวงวิญญาณของท่านประมุข” พูดจบ ก็จะ
บุกขึ้นหน้ามา
ฉีหนิงรู้ว่าโหลวเหวินซือวรยุทธ์ไม่ธรรมดา เขายกมือ
ขึ้นห้ามแล้วพูดว่า “ช้าก่อนท่านผู้อาวุโสโหลว อย่า
เพิ่งลงมือ ข้าอยู่ทนี่ ี่ หนีไปไหนไม่ได้หรอก พวกเรามี
อะไรพูดกันให้รู้เรื่องก่อนค่อยลงมือได้หรือไม่”
“ยังมีอะไรต้องพูดกันอีก?” คนด้านหลังตะคอก
“เจ้าร่วมมือกับพรรคบัวดำสังหารท่านประมุข วันนี้
พวกเราจะฉีกเจ้าเป็นชิน้ ๆ”
ฉีหนิงตกใจมาก เขาตะคอกไปว่า “ข้าสังหารท่าน
ประมุขเซีย่ ง? พวกท่านไปได้ยินมาจากไหน?”
โหลวเหวินซือพูดว่า “ไม่อยากให้ใครรู้ ก็ไม่ควรทำ
สังหารท่านประมุข เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมพวกเรา
จะไม่รู้? พวกเรากำลังจะไปคิดบัญชีกับเจ้าอยูพ่ อดี
คิดไม่ถึงว่าท่านประมุขจะคุ้มครอง ให้พวกเรามาเจอ
เจ้าที่นี่ ฮ่าฮ่าฮ่า แค้นของท่านประมุข ข้าโหลวเหวิ
นซือจะเป็นคนแก้แค้นให้เอง”
“ท่านประมุขเซี่ยงบอกว่าท่านนิสัยตรงเกินไป เจอ
เรื่องอะไรก็วู่วามตลอด ดูท่า เรื่องนี้จะจริง” ฉีหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเจ้าบอกว่าข้าเป็นคน
สังหารท่านประมุขเซี่ยง แล้วพวกเจ้าเห็นศพของ
ท่านประมุขแล้วหรือยัง?”
โหลวเหวินซือตะลึงไป เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เจ้า
พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“ไม่เห็นศพ พวกท่านรู้ได้ยังไงว่าท่านประมุขถูก
สังหารล่ะ?” ฉีหนิงส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ท่านผู้อาวุโสโหลว ท่านดูแลเจ็ดสาขาทางทิศ
ตะวันออก ท่านเป็นหัวหน้าคน ทำไมถึงทำอะไร
วู่วามขนาดนี้?”
โหลวเหวินซือลังเล ทันใดนั้นเองเขาก็หยิบจดหมาย
ออกมา แล้วโยนไปให้ฉีหนิง ฉีหนิงรับมาแล้วก็เปิด
อ่าน เขาอ่านแค่ไม่กี่บรรทัด เขาก็ขมวดคิ้ว พออ่าน
จนจบ เขาก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านผู้อาวุโส
โหลวเพราะจดหมายฉบับนี้ เลยมั่นใจว่าข้าเป็นคน
สังหารท่านประมุขอย่างนั้นน่ะหรือ?”
“ผู้อาวุโสไป๋หู่เขียนในจดหมายอย่างชัดเจนว่า ราช
สำนักแคว้นฉู่กังวลว่าพรรคกระยาจกจะมีอำนาจ
มากจนเกินไป กลัวว่าพรรคกระยาจกจะรวบรวมคน
ของแปดพรรคสิบหกสำนักต่อต้านราชสำนัก ดังนั้น
เลยแอบสมคบคิดกับพรรคบัวดำ กำจัดอำนาจของ
แปดพรรคสิบหกสำนัก” โหลวเหวินซือพูดอย่าง
จริงจังว่า “ตอนที่สถานการณ์ตกอยูใ่ นอันตรายท่าน
ประมุขออกหน้าช่วยเหลือ ทำให้ทุกอย่างคลี่คลายลง
พวกเจ้าแค้นท่านประมุขมาก เจ้าเลยแอบร่วมมือกับ
พรรคบัวดำสังหารท่านประมุข หรือว่าเรื่องนี้ไม่ใช่
เรื่องจริง?”
ฉีหนิงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสไป๋หู่ ผู้อาวุโสไป๋
หู่.......ผู้อาวุโสไป๋หู่อีกแล้ว เขานี่เส้นสายเยอะ
เหมือนกันนะเนี่ย คิดว่าจดหมายแบบนี้คงไม่ได้ส่งให้
ท่านแค่คนเดียวแน่ ผู้อาวุโสเสวียนอู่ที่อยู่ทางเหนือ
กับผู้อาวุโสจูเซวี่ยที่อยู่ทเี่ มืองหลวงแคว้นฉู่เองก็
น่าจะได้รับจดหมายแบบนีเ้ หมือนกันสินะ?” เขา
หยิบจดหมายขึ้นมาดู แล้วพูดว่า “วันที่สิบแปดเดือน
หก กู่หลงจงที่เซียงหยาง งานชุมนุมชิงมู่ของพรรค
กระยาจก ท่านผู้อาวุโสโหลว งานชุมนุมชิงมู่ของ
พรรคกระยาจกในคราวนีค้ งมีการคัดเลือกประมุข
พรรคคนใหม่สินะ อีกทั้งจะนำคนของพรรคแก้แค้น
ให้ท่านประมุขใช่หรือไม่?”
โหลวเหวินซือพูดว่า “เจ้ารู้แล้วก็ดี”
“ถ้าอย่างนั้น ทีพ่ วกท่านรีบร้อนเดินทาง ก็เพื่อไปให้
ทันงานชุมนุมชิงมู่ของพรรคกระยาจกที่กู่หลงจงเซียง
หยางสินะ?” ฉีหนิงถาม
โหลวเหวินซือพูดว่า “ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบ
พาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย ฉีหนิง วันนี้ข้าจะ
จับเจ้าไปที่กู่หลงจง ในงานชุมนุมชิงมู่ ทุกคนจะได้ใช้
เลือดของเจ้าในการบูชาดวงวิญญาณท่านประมุข”
ฉีหนิงนำจดหมายคืนให้กับโหลวเหวินซือ แล้วพูดว่า
“ท่านประมุขยังอยู่ดีมีสุข แค่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
อีกไม่นาน ก็จะกลับคืนสู่ยุทธภพอีกครั้ง พวกท่านจะ
ฆ่าข้าสังเวยดวงวิญญาณท่านประมุขเซี่ยง หากเรื่อง
นี้แพร่ออกไป เมื่อท่านประมุขเซีย่ งกลับคืนสู่ยุทธภพ
อีกครั้ง เรื่องการแก้แค้นในวันนี้ มันไม่กลายเป็นเรื่อง
ตลกในยุทธภพหรอกหรือ?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 628 ร่วมสาบานกลางสายฝน
โหลวเหวินซือกับคนของเขาต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
พวกเขามองหน้ากัน โหลวเหวินซือเหมือนจะสงสัย
เขาถามว่า “เจ้าบอกว่าท่านประมุขยังมีชีวิตอยู่?”
“ท่านประมุขโหลว ข้าเตือนท่านก่อนเลยนะท่านควร
จะตรวจสอบก่อนนะว่าเรื่องที่เขียนในจดหมายฉบับ
นี้มันจริงหรือเปล่า” ฉีหนิงพูดว่า “ราชสำนักอย่าง
ลดอำนาจของแปดพรรคสิบหกสำนัก เรื่องนีค้ ือเรื่อง
จริง แต่ว่าราชสำนักไม่เคยคิดจะทำร้ายท่านประมุข
เซี่ยงเลย อย่างน้อยตัวข้าก็ไม่เคยคิด”
คนด้านหลังของโหลวเหวินซือพูดขึ้นมาว่า “หากเจ้า
ไม่ได้เป็นคนลงมือ แล้วผู้อาวุโสไป๋หู่ทำไมถึงเขียนใน
จดหมายแบบนั้นล่ะ? เท่าทีเ่ รารู้มา คนของจวนเสิน
โหวนำคนของแปดพรรคสิบหกสำนักไปบุกโจมตีเขา
เชียนอูหลิง ในตอนทีบ่ ุกตำหนักหินดำ เจ้าก็ปรากฏ
ตัวออกมา ทำให้คนของแปดพรรคสิบหกสำนัก
กลับมามือเปล่า พรรคบัวดำรอดไปได้ เรื่องนี้คงไม่ใช่
เรื่องโกหกหรอกใช่ไหม?”
“เรื่องนีเ้ ป็นเรื่องจริง”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ยอมรับแล้วล่ะสิว่าเจ้าสมคบกับ
พรรคบัวดำ ช่วยพวกเขาเอาไว้ตอนที่พวกเขาตกอยู่
ในอันตราย?”
ฉีหนิงพูดว่า “แล้วท่านรู้หรือเปล่า ตอนนั้นพรรคบัว
ดำจับตัวประกันไปสิบกว่าคน บรรดาคนเหล่านั้นมี
เจ้าสำนักประมุขของแปดพรรคสิบหกสำนักอยู่ด้วย
หากใช้กำลัง เผาตำหนัก ตัวประกันเหล่านั้นก็ไม่รอด
แน่ แล้วท่านรู้หรือเปล่า ทูตพิษของพรรคบัวดำชิ
วเฉียนอี้เข้าเมืองเพื่อรับโทษ อธิบายความเข้าใจผิดที่
เกิดขึ้นแล้ว?” เขามองไปที่พวกเขา แล้วพูดว่า “หาก
พี่น้องของพวกท่านถูกจับเป็นตัวประกัน พวกท่านจะ
ยอมเห็นพวกเขาตายไปต่อหน้าต่อตาหรือเปล่า?”
โหลวเหวินซือเหมือนจะใช้ความคิด เขานิ่งไป แล้ว
ถามว่า “เท่าที่เรารู้มา หลังจากถอนกำลังพลออก
จากเขาชิวเชียนหลิงแล้ว ประมุขกับเจ้ากลับลงเขา
พร้อมกัน มีหลายคนเป็นพยาน หลังจากนั้นท่าน
ประมุขก็ถูกทำร้าย เจ้าอยูน่ ั้น มันคืออะไร?”
ฉีหนิงไม่พูดมาก เดินตรงไปหาโหลวเหวินซือ โหลว
เหวินซือขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ ฉีหนิงเดินตรงไปที่
หน้าเขาแล้วพูดว่า “เจ้าอยากรู้ใช่ไหมว่าสิ่งที่ข้าพูด
นั้นเป็นความจริงหรือเปล่า? เจ้าขึ้นฝั่งกับข้า ข้าจะ
พิสูจน์ให้เจ้าดูเอง”
โหลวเหวินซือตะลึงไป คนข้าง ๆ พูดขึ้นมาว่า “ท่าน
ผู้อาวุโส ระวังจะเป็นแผนของเขา”
ฉีหนิงพูดว่า “เป็นถึงหนึง่ ในผู้อาวุโสของพรรค
กระยาจก กลับกลัวจะถูกข้าทำร้ายอย่างนั้นหรือ?”
เขาชี้ไปที่ชื่อตันเหมยที่สลบอยู่แล้วพูดว่า “นี่เป็นตัว
ประกันของข้า นางอยู่ที่นี่ พวกท่านไม่ต้องกังวลว่า
ข้าจะเล่นลูกไม้อะไรหรอกนะ” เขาไม่พูดมาก เดิน
ตรงขึ้นฝั่งไป เขาหันกลับมาแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโส
โหลว อีกสามคนที่เหลือให้เขาอยู่บนเรือนี่แหละ
ท่านมาคนเดียวก็พอ ข้าจะให้คำตอบกับท่าน” เขา
เปิดผ่านเรือแล้วเดินออกไปเลย
โหลวเหวินซือหันหลังแล้วเดินตามเขาไป คน
ด้านหลังพูดขึ้นมาว่า “ท่านผู้อาวุโส...”
โหลวเหวินซือพูดว่า “เขาพูดถูก ในเมื่อเขากล้า
ออกไป ข้าจะต้องกลัวเขาด้วยอย่างนั้นหรือ? พวก
เจ้ารออยู่ทนี่ ี่” เขาไม่พูดอะไรมากอีก เดินออกจาก
เรือไปเลย
ขอทานอีกสามคนได้แต่มองหน้ากัน คิดอยากจะตาม
ไป แต่ว่าโหลวเหวินซือสั่งเอาไว้แล้ว พวกเขาก็ไม่
กล้าขัด พวกเขาทำได้แค่นั่งรออยูบ่ นเรือ พวกเขานึก
ขึ้นมาได้ว่าชื่อตันเหมยเป็นพวกเดียวกบฉีหนิง ก็เลย
จับตามองชื่อตันเหมยอย่างดี ขอทานคนหนึ่งพูด
ขึ้นมาว่า “ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรกับเขา?”
ชายแก่ถึงแม้จะรูเ้ รื่องอะไรมากมาย แต่ไหนเลยจะ
เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ศิษย์ของพรรค
อันดับหนึ่งในใต้หล้ากับจิ่นอีโหวตระกูลฉีทะเลาะกัน
บนเรือ เกือบจะสู้ตายกันแล้ว เขายังไม่หายตกใจเลย
เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่...ไม่ทราบ ท่าน...ท่าน
โหวเยว่ท่านนั้นเป็นคนพามา”
ขอทานพวกนั้นเองก็ไม่รู้ว่าฝีพายพูดจริงหรือไม่ เลย
ไม่ได้สนใจ
ทั้งสามคนรออยู่ครู่ใหญ่ มีคนหนึ่งรอไม่ไหว เลยเดิน
ไปเปิดม่านแล้วมองไปด้านนอก ฝนยังตกหนัก
เหมือนเดิม ฉีหนิงกับโหลวเหวินซือยังคงอยู่ในฝั่ง
เหมือนเดิม ท่ามกลางสายฝน มองเห็นไม่ค่อยชัด ไม่
รู้ว่าพวกเขาไปอยู่ที่ไหนกัน ขณะที่เขากำลังสงสัย
ทันใดนั้นเองก็มีเงาของคนสองคนปรากฏออกมา ทั้ง
สองคนว่องไวมาก พริบตาเดียวก็มาถึงริมฝั่งแล้ว
กระโดดขึ้นเรือ คนด้านหน้าคือโหลวเหวินซือ ฉีหนิง
ตามมาด้านหลัง โหลวเหวินซือเข้ามาในท้องเรือ แล้ว
รีบพูดว่า “มานี่ให้หมด รีบขอขมาท่านโหวน้อยเร็ว
พวกเราเข้าใจผิดหมด”
ทั้งสามคนรู้สึกแปลกใจมาก คิดในใจว่าพริบตาเดียว
ทำไมท่าทีของโหลวเหวินซือถึงเปลี่ยนไป ตอนนี้ฉี
หนิงเข้ามาในท้องเรือ โหลวเหวินซือยกมือคำนับแล้ว
พูดว่า “ท่านโหวน้อย เพราะข้าวู่วามเกินไป ท่าน
อย่าได้ถือสาเลยนะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสชิงหลงเกลียด
ความชั่วช้า แยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจน ถือ
เป็นลูกผู้ชาย ก่อนหน้านีท้ ่านไม่รู้ฐานะของข้ายังยอม
ยื่นมือเข้าช่วยสหายข้า ท่านมีคุณธรรมยิ่งนัก ข้ารู้สึก
ซาบซึ้งใจมาก”
โหลวเหวินซือยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านประมุขพูดถูก ข้า
นิสยั มุทะลุ เห็นอะไรขัดตาไม่ได้ วู่วามตลอด เป็น
ต้องไปยุ่งทุกเรื่อง” เขาดึงแขนฉีหนิงแล้วนั่งลง เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ท่านประมุขปลอดภัยดี
เป็นเรื่องที่ดีมากเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ข้า
อยากจะได้พบเขาได้หรือไม่?”
ที่จริงเซี่ยงไป๋อิ่งอายุมากกว่าโหลวเหวินซือไม่เท่าไหร่
แต่โหลวเหวินซือพูดถึงเซี่ยงไป๋อิ่งดูเคารพมากเป็น
พิเศษ
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของ
ท่านดี แต่ว่าตอนที่ท่านประมุขเซีย่ งอยู่ในช่วงพักฟื้น
วรยุทธ์ยังไม่สามารถฟื้นคืนมาได้ในเวลาสั้นๆ ท่านผู้
อาวุโสก็น่าจะรู้ดี พรรคกระยาจกเป็นพรรคอันดับ
หนึ่งในใต้หล้า มีคนมากมายที่จ้องทำร้ายพรรค
กระยาจกอยู่ ดังนั้น...”
“เข้าใจ เข้าใจ” โหลวเหวินซือรีบพยักหน้าแล้วพูดว่า
“ท่านโหวน้อยรอบคอบนัก”
คนของโหลวเหวินซืออีกสามคนงงมาก คิดในใจว่าฉี
หนิงใช้วิธีอะไร ถึงทำให้โหลวเหวินซือเชื่อเขาได้อย่าง
ง่ายดายแบบนี้ พวกเขาติดตามโหลวเหวินซือมานาน
หลายปี เขารู้ดีว่า นิสัยของโหลวเหวินซือนั้น
ตรงไปตรงมา มันเป็นจุดด้อยของเขา แต่ว่าการ
บริหารดูแลจัดการนั้น โหลวเหวินซือก็เป็นคนเก่ง
ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย สามารถทำให้โหลวเหวินซือ
เปลี่ยนท่าทีได้เร็วขนาดนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ยังเหม่ออะไรกันอยู่?” โหลวเหวินซือเหลือบไปมอง
สามคน “กงซุนเจี้ยน เอาเหล้ามาให้ข้าที ท่าน
ประมุขปลอดภัย เป็นเรื่องน่ายินดี ข้าจะต้องฉลอง
กับท่านโหวน้อยให้สะใจ” เขาหันไปแนะนำว่า
“ท่านโหวน้อย งานชุมนุมชิงมู่ที่เซียงหยางในครั้งนี้
เป็นเรื่องใหญ่ของพรรคกระยาจกเรา หัวหน้าของทั้ง
ยี่สิบแปดสาขาของพรรคกระยาจกต่างมาร่วมงานนี้
พวกเขาสามคนคือหัวหน้าสาขาคังจินหลง ฟางยื้อถู่
ซินเหวียหลาง กงซุนเจี้ยน เจิน้ ฉวนแล้วก็เหมาหลาง
เอ่อร์ ส่วนหัวหน้าสาขาคนอื่นแยกกันเดินทางไปที่
เซียงหยางแล้ว”
ทั้งสามคนเห็นโหลวเหวินซือดูเคารพฉีหนิงมาก ใน
เวลานี้พวกเขาเองก็จะเสียมารยาทไม่ได้ ต่างก็ยกมือ
คำนับฉีหนิง ฉีหนิงรีบลุกขึน้ มา แล้วยกมือคำนับทัง้
สามคน ทั้งสามคนเห็นว่าฉีหนิงเป็นถึงจิ่นอีโหว แต่
กลับลุกขึ้นมายกมือคำนับให้ ไม่ได้มีมาดของขุนนาง
ราชสำนักเลย ก็รู้สึกดีไม่น้อย
กงซุนเจี้ยนหยิบเหล้าออกมาจากห่อสัมภาระแล้วยื่น
ให้โหลวเหวินซือ โหลวเหวินซือเหมือนจะสบายๆ จน
เคยชิน เขารับเหล้ามา แล้วก็ยกกระดกใส่ปากเลย
จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “เหล้าดี” จากนั้นก็ยนื่ ให้กับฉี
หนิง ทันใดนั้นเอง เหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้
เขารู้สึกเขินนิดหน่อย แล้วรีบพูดว่า “ไปเอาชาม
สะอาดมาสองใบที” เขานึกขึ้นมาได้พอดีว่าเมื่อกี้เขา
กระดกใส่ปากไปแล้ว ต่อให้เปลี่ยนไปเทใส่ชาม
ตอนนี้มันก็ไม่เหมาะแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฉีหนิงจะ
รับถุงเหล้าไป แล้วยกกระดกเช่นกัน โหลวเหวินซือ
ตะลึงไป จากนั้นก็ปรบมือยิ้มหัวเราะแล้วพูดว่า
“โหวเยว่น่านับถือจริงๆ มิน่าท่านประมุขถึงได้ชอบ
ท่านนัก ขอทานอย่างเรา เดินไปกลางถนน คนส่วน
ใหญ่ก็จะเดินหนี ท่านโหวน้อยกลับไม่รังเกียจทีเ่ รา
สกปรกเลย ฮ่าฮ่าฮ่า หากปกติแล้วด้วยนิสัยของข้า
ข้าคงจับท่านมาไหว้นับหางเป็นพี่นอ้ งร่วมสาบานกัน
ไปแล้ว”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไหว้นับหาง?”
โหลวเหวินซือยกมือยิ้มแล้วพูดว่า “ล้อเล่นน่ะล้อเล่น
โหวเยว่ร่างกายมีค่าดุจทองคำพันชัง่ ข้าเป็นแค่
ขอทานที่ท่องยุทธภพ ต่อให้มีใจอยากมากแค่ไหน ก็
คง...”
ฉีหนิงคิดในใจว่าพรรคกระยาจกซับซ้อนเกินไป แต่
สถานการณ์ในตอนนี้เปลี่ยนไป โหลวเหวินซือเป็น
หนึ่งในสี่ผู้อาวุโสของพรรคกระยากจก หากสามารถ
สร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อเขาได้ มันอาจจะมีประโยชน์ก็ได้
อีกทั้งโหลวเหวินซือเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา มี
คุณธรรม ฉีหนิงเองก็ชื่นชอบมาก นิสัยตามแบบฉบับ
ของชาวยุทธ์ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสโหลว
หากท่านไม่รังเกียจที่ข้าอายุยังน้อย เราก็มาๆ ไหว้
นับหางกันดีหรือไม่?”
โหลวเหวินซืออึ้งไป ถึงแม้เขาจะเป็นผู้อาวุโสของ
พรรคกระยาจก มีฐานะในยุทธภพสูงมาก แต่ว่าฉี
หนิงเป็นถึงจิ่นอีโหวของแคว้นฉู่ จิ่นอีโหวชื่อเสียง
สะเทือนใต้หล้า เป็นขุนนางชั้นสูงของแคว้นฉู่ ทัง้
สองถึงแม้จะมีฐานะที่สูงและพิเศษ เขาคิดว่าฉีหนิง
คงแค่ล้อเล่น แต่ว่าสีหน้าของฉีหนิงจริงจังมาก
เหมือนไม่ได้ล้อเล่นเลย
“โหวน้อย ท่าน...”
ฉีหนิงดึงมือของโหลวเหวินซือมา แล้วออกนอกท้อง
เรือ ตอนนี้ฝนเบาลงแล้ว ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้
ฝนตกหนักมาก เราสองคนก็ไม่ต้องพิธีรีตองอะไร
มาก ให้ฟ้าดินเป็นพยาน เราสองคนจะเป็นพี่น้อง
ร่วมสาบานกันท่านเห็นว่ายังไง?”
โหลวเหวินซือเดิมเป็นคนสบายๆ ถึงแม้เขาจะแปลก
ใจกับการกระทำของฉีหนิง แต่ว่าพอเลือดพลุ่งพล่าน
ขึ้นมา เขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ดีๆ โหวน้อย ที่แท้
ท่านก็เป็นคนง่ายๆ สบายๆ แบบนีเ้ อง ดีมาก เข้ากับ
นิสัยข้าดี ได้ เราจะเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน
ท่ามกลางสายฝนนี่แหละ”
ทั้งสองคนคุกเข่าลงบนพืน้ เรือ ไหว้ฟ้าดินแปดครั้ง ฉี
หนิงหันไปหาโหลวเหวินซือแล้วพูดว่า “พี่โหลว
ถึงแม้อายุของท่านจะมากกว่าข้ามาก แต่ว่าตั้งแต่นี้
ต่อไปท่านจะเป็นพี่ชายข้าได้อย่างเดียวแล้วนะ”
โหลวเหวินซือตบบ่าฉีหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “น้องฉี เจ้า
มันมีแต่ความกล้าหาญองอาจ ไม่เหมือนพวกขุนนาง
ทั่วไป ฮ่าฮ่า ท่านประมุขสายตาเฉียบแหลม มองคน
ไม่ผิดเลย”
กงซุนเจี้ยนกับอีกสองคนมองกันอย่างงงๆ พวกเขา
รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมายากที่จะยอมรับได้ ก่อนหน้า
นี้ โหลเหวินซือยังคิดจะเอาชีวิตฉีหนิงอยู่เลย แต่ว่า
พริบตาเดียว ทั้งสองก็กลายมาเป็นพี่น้องร่วมสาบาน
แล้ว ทั้งคู่จากหน้าตาน่าจะมีอายุห่างกันยี่สิบปี คน
สองรุ่นมาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน มันแปลกเอา
มากๆ
แต่ว่าพวกเขาท่องยุทธภพมานาน เห็นอะไรมาก็มาก
คนชาวยุทธที่นิสัยเข้ากัน การไหว้นบั หางก็เป็นเรื่อง
ปกติ โหลวเหวินซือกับฉีหนิงไหว้สาบานเป็นพีน่ ้อง
กันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เมื่อกลับมาในท้องเรือ งสองเหมือนจะดีใจกันมาก
โหลวเหวินซือเห็นชื่อตันเหมยยังไม่ฟื้น ก็พูดว่า
“น้องฉี แม่นางคนนี้เป็นใครกัน? นางบาดเจ็บหนัก
มากเลยนะ คนที่ลงมือทำร้ายนางเพลงมวยร้ายกาจ
มาก เขาน่าจะฝึกวรยุทธ์มาไม่ต่ำกว่าสามสิบปี
ภายในแคว้นตงฉีคนที่มีฝีมือระดับนีม้ ีไม่มากนัก”
ฉีหนิงลังเล แล้วถึงพูดว่า “เดิมทีข้าไม่ควรจะปิดบังพี่
โหลวเลย แต่ว่าฐานะของนางพิเศษนัก ไว้วันหน้าข้า
จะอธิบายให้ท่านฟัง”
โหลวเหวินซือรู้ว่าฉีหนิงลำบากใจ เขาก็ไม่ถามมาก
อีก เขาหยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมา ใหญ่ประมาณ
นิ้วโป้ง แล้วหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมา แล้วพูดว่า “ยานี่
สามารถทำให้เลือดลมไหลเวียนดี เจ้าให้นางกินเข้า
ไปก่อน หากไม่เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นก่อน กำลัง
ภายในของนางจะหายเร็วขึน้ ไม่เกินสามชั่วยาม นาง
ก็น่าจะฟืน้ ขึ้นมา”
ฉีหนิงรู้ว่าที่โหลวเหวินซือเพิ่งจะเอายาออกมาให้
เพราะยานี่น่าจะมีราคามาก ในเมื่อเขากับโหลวเหวิ
นซือเป็นพีน่ ้องกันแล้ว เรื่องแค่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อีก
ทั้งอาการบาดเจ็บของชื่อตันเหมยนัน้ หนักมาก เขา
รับยามาแล้วค่อยๆ ป้อนใส่ปากของชื่อตันเหมย เมื่อ
ยาเข้าปากไปแล้ว เหมือนชื่อตันเหมยจะขยับ
เล็กน้อย มีเสียงดังออกมาจากลำคอ แต่นางยังไม่ได้
ลืมตา
ฉีหนิงรู้จักโล่งใจ เขาหันกลับไปนั่งข้างๆ โหลวเหวิ
นซือ แล้วพูดว่า “พี่โหลว เซียงหยางในครัง้ นี้ ไม่
ราบรื่นแน่นอน ต้องระวังไป๋หู่ให้มาก”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 629 กระท่อมกลางป่า
ฉีหนิงคิด แล้วถามว่า “พี่โหลว มีคำถามหนึ่งอาจจะ
ไม่ค่อยเหมาะสม ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”
“เจ้าพูดมาเลย” โหลวเหวินซือพูดว่า “พวกเราพี่
น้อง ไม่มีอะไรไม่ควรพูดทั้งนั้น”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าอยากถามหน่อยว่า
หากท่านประมุขเซีย่ งถูกฆ่าตายไปจริง งานชุมนุม
ชิงมู่จะต้องคัดเลือกประมุขคนใหม่ ตามความเห็น
ของท่าน ใครเหมาะสมมากที่สุด?”
โหลวเหวินซือยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้สืบทอดตำแหน่ง
ประมุขพรรคกระยาจก ปกติแล้วจะมีด้วยกันสามวิธี
วิธีแรกก็คือประมุขพรรคคนปัจจุบนั เป็นคนกำหนด
แต่ว่าวิธีนี้ก็ต้องได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสทั้งสี่กับ
หัวหน้าสาขาทั้งยี่สิบแปดสาขา แต่โดยมากคนที่ท่าน
ประมุขเลือกไว้ส่วนใหญ่ ก็ไม่ค่อยจะมีปัญหาอะไร
ดังนั้นตั้งแต่ก่อตั้งพรรคกระยาจกมา คนที่ประมุข
พรรคเป็นคนเลือก ส่วนมากก็จะได้ขึ้นเป็นประมุขคน
ต่อไป วิธีที่สอง ในเวลาที่ไม่ปกติ หากประมุขพรรค
อยู่ในสถานการณ์ความเป็นความตาย มีคนในพรรค
เสนอตัว เขามีศักยภาพมากพอ มีคนในพรรค
สนับสนุน ถ้าเช่นนั้นต่อให้เป็นประมุขพรรค ก็ไม่
จำเป็นต้องคัดเลือกผู้สืบทอดอีก แต่ว่าคนแบบนี้
จะต้องมีความสามารถที่เหลือใคร ซึ่งในพรรค
กระยาจกเราไม่ค่อยมีคนแบบนี้ เมือ่ ร้อยปีก่อนก็เคย
มีคนหนึ่งนั่นก็คือท่านประมุขลั่ว เขาสร้างผลงานที่ไม่
มีใครเคยทำได้มาก่อน ประมุขพรรคคนก่อนจึงลง
จากตำแหน่งแล้วให้เขาขึ้นแทน”
ฉีหนิงพูดว่า “แล้ววิธีสุดท้ายล่ะ?”
“วิธีสุดท้าย ก็คือหากท่านประมุขเกิดประสบ
เหตุร้าย” โหลวเหวินซือสีหน้าจริงจัง “งานชุมนุม
ชิงมู่ของพรรคกระยาจก ขอแค่เป็นศิษย์ของพรรค
กระยาจก ไม่ว่าจะตำแหน่งสูงหรือต่ำ ก็มีสิทธิ์ในการ
เข้าคัดเลือก แต่ว่าการเลือกประมุขแบบนี้มันยุ่งยาก
มาก ไม่เพียงต้องวรยุทธ์สูง อีกทั้งยังต้องได้รับการ
สนับสนุนจากคนในพรรค ซึ่งปกติแล้ว เมื่อเจอ
สถานการณ์แบบนี้ ผู้อาวุโสทั้งสี่จะเป็นผู้คัดเลือก
มากกว่า”
ฉีหนิงพยักหน้า เขาเข้าใจ ศิษย์พรรคกระยาจกมี
มากมาย คนมีวรยุทธ์ในพรรคมีมากมาย อีกทั้งใน
บรรดาศิษย์ของพรรค ก็มีคนที่มีฝีมือเหนือกว่าผู้
อาวุโสทั้งสี่ด้วย แต่ว่าหากเทียบตำแหน่งและ
ประสบการณ์แล้ว ไม่มีใครเทียบผู้อาวุโสทั้งสี่ได้ ผู้
อาวุโสทั้งสี่มีกำลังพลทิศละคน ทุกคนมีคนสนับสนุน
มีฐานที่มั่นคง ผู้อาวุโสทั้งสี่สุดท้ายแล้วก็ต้องอาศัยวร
ยุทธ์ในการตำแหน่งประมุขพรรค
“ท่านประมุขประสบเหตุร้าย หากประมุขคนใหม่ขึ้น
รับตำแหน่งแทน ก็จะต้องตามหาตัวคนร้ายให้ได้
ภายในสองปี จากนั้นก็เปิดประชุมใหม่อีกครั้ง
คนร้ายจะต้องได้รับโทษเฉือนเนื้อเจ็ดเจ็ด0สี่สิบเก้า
ดาบจนถึงแก่ความตาย” หากภายในสองปีไม่
สามารถหาคนร้ายออกมา และไม่อาจแก้แค้นให้กับ
ประมุขได้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะต้องลงจากตำแหน่ง
แล้วให้คนอื่นขึ้นแทน
ฉีหนิงพูดว่า “ไป๋หู่ปล่อยข่าวว่าท่านประมุขเซีย่ งถูก
สังหาร ในงานชุมนุมชิงมู่ที่เซียงหยางในครัง้ นี้ ก็ต้อง
ทำการคัดเลือกประมุขใหม่แน่” เขายิ้มแล้วพูดว่า
“วรยุทธ์ของไป๋หู่เป็นยังไงบ้าง?”
โหลวเหวินซือยิ้มแล้วพูดว่า “หากพูดถึงวรยุทธ์ ใน
บรรดาผู้อาวุโสทั้งสี่ วรยุทธ์ของข้าสู้อีกสามคนไม่ได้
เลย แต่ว่าไม่ว่าจะความสามารถหรือว่าวรยุทธ์
เสวียนอู่เหนือกว่าใคร เดิมข้าก็คิดว่า หากครั้งนี้ต้อง
เลือกประมุขคนใหม่ เสวียนอู่น่าจะเป็นคนที่
เหมาะสมที่สุด”
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก คิดในใจว่าโหลวเหวินซือ
ชัดเจนมาก วรยุทธ์ของเขาก็ไม่ด้อยเลย อีกทั้งยังกล้า
หาญด้วย หากจะชิงตำแหน่งประมุขพรรค เขาก็มี
โอกาสเช่นกัน แต่ว่าเขากลับสนับสนุนผู้อาวุโสเสวียน
อู่ เขาไม่ได้มีความโลภเลย เขานับถือเขามากจริงๆ
ความรู้ไม่มีที่หนึ่ง วรยุทธ์ไม่มีที่สอง คนในยุทธภพไม่
รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าใคร ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส
เหมือนกัน วรยุทธ์ของโหลวเหวินซือไม่ได้ด้อยไปกว่า
เสวียนอู่เลย แต่เขากลับตั้งใจยอมให้ ความกล้านี้ มัน
น่านับถือนัก ฉีหนิงเดิมยังกังวลว่าผู้อาวุโสทั้งสี่สู้
กันเอง สุดท้ายไป๋หู่อาจจะได้ไป ตอนนี้โหลวเหวินซือ
สนับสนุนเสวียนอู่ ผู้อาวุโสสองคนร่วมมือกัน ไม่แน่
อาจจะสู้กับไป๋หู่
ฉีหนิงนึกถึงตรงนี้ เขาก็โล่งใจ เขายิม้ แล้วพูดว่า “พี่
ใหญ่ใจกว้าง น่านับถือยิ่งนัก เพียงแต่ว่า...พี่ใหญ่จะ
ไปที่เซียงหยาง ต้องระวังไป๋หู่ให้มากนะ”
“น้องฉี เจ้าไม่พูดให้หมดแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกัน
แน่?” โหลวเหวินซือขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “มีอะไรพูด
มาตามตรงเถอะ ไม่ต้องกลัวหรอก”
ฉีหนิงลังเล แล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ หากข้าบอกว่าที่ท่าน
ประมุขเซีย่ งบาดเจ็บ เป็นเพราะไป๋หู่สมคบคิดกับคน
อื่นทำร้ายเขา ท่านจะเชื่อข้าไหม?”
โหลวเหวินซือตะลึงไป กงซุนเจีย้ นกับคนอื่นก็อึ้งไป
เหมือนกัน พวกเขามองหน้ากัน โหลวเหวินซือขมวด
คิ้วหนักมาก เขานิ่งไปแล้วถึงพูดขึ้นมาว่า “เรื่องนี้เรา
ต้องตรวจสอบให้ละเอียด ไป๋หู่เป็นหนึ่งในสี่ผู้อาวุโส
ของพรรค ด้วยประสบการณ์เขามีมากกว่าใคร เขา
อยู่ในพรรคกระยาจกมากว่าสิบปี ผลงานของเขามี
มากมาย...” เขานิ่งไป ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าที่น้องฉี
พูดมา ข้าจะจำไว้ หลังจากที่ได้เจอกับเสวียนอู่แล้ว
เราจะวางแผนกันอีกที”
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีพายวัยกลางคนพูดขึ้นมา
ว่า “จอมยุทธ์...จอมยุทธ์ทุกท่าน ฝนเบาลงมากแลว
เรา...เราข้ามฟากกันได้แล้วล่ะ”
โหลวเหวินซือพยักหน้าแล้วพูดว่า “รบกวนแล้ว”
ฝีพายออกจากท้องเรือไป โหลวเหวินซือพูดว่า “หาก
พูดถึงประสบการณ์ ไป๋หู่มีสิทธิ์ที่จะได้รับตำแหน่ง
ประมุขพรรค แต่ว่าความสามารถด้านอื่นของเขา
ธรรมดามาก อาจจะไม่ได้รับการยอมรับ อีกทั้งใน
เมื่อท่านประมุขเองก็ยงั มีชีวิตอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้อง
คัดเลือกประมุขใหม่ ไป๋หู่บอกในจดหมายว่า ท่าน
ประมุขถูกสังหารแล้ว ถึงเวลานั้นหากเขาไม่สามารถ
เอาหลักฐานออกมาได้ ไม่เห็นศพของท่านประมุข
ใครก็ไม่อาจเป็นประมุขคนใหม่ได้ทั้งนั้น”
ทั้งสองคนพูดคุยกันในท้องเรือ แต่ขา้ มฟากใช้เวลา
เพียงแค่ครึง่ ก้านธูปเท่านัน้ ก็ถึงอีกฝัง่ แล้ว ฉีหนิงมี
เศษเงินติดตัวอยู่ไม่น้อย แต่ไม่มีเงินเหรียญใหญ่ เขา
หยิบเศษเงินพวกนัน้ ให้กับคนเรือไป ชายแก่ฝืนรับไป
ทั้งหมด ชายแก่ซาบซึ้งใจมาก
ฉีหนิงคิดในใจว่าด้วยอาการของชื่อตันเหมยในตอนนี้
คิดอยากจะหนีก็คงไปไม่ได้ไกลนัก ชายแก่บอกว่า
เดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้อีกประมาณยี่สิบลี้จะ
มีวดั เล็กๆ แห่งหนึ่ง พวกเขาสามารถรักษาโรคได้
เขาคิดอยากจะไปลองดู เขาถามเส้นทางอย่าง
ละเอียดกับชายแก่ โหลวเหวินซือต้องเดินทางไปยัง
ทิศตะวันตก หลังจากที่ทั้งสองร่ำลากันแล้ว โหลวเห
วินซือพาคนของเขาไปทางทิศตะวันตก ฉีหนิงแบก
ชื่อตันเหมยไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้
รูปร่างของชื่อตันเหมยเร่าร้อนมาก แต่ว่าน้ำหนักเบา
ฉีหนิงกำลังภายในแก่กล้ามาก แบกชื่อตันเหมยได้
สบายๆ เขาเดินไปได้ครูเ่ ดียว ฝนก็หยุดตก ฟ้าอึมครึ
มมาก ตอนนี้ตกเย็นแล้ว เมื่อมองไป ก็เป็นลานหญ้า
เขียวกว้างๆ ด้านซ้ายเป็นป่าไผ่ ไปอีกไม่กี่ลี้ ฉีหนิงคิด
ในใจว่าตรงนั้นน่าจะเป็นที่ที่ชายแก่บอก เขาเลยรีบ
เดินตรงไป
เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ป่าไผ่ หลังจากฝนตกหนัก กลิ่น
ของต้นไผ่โชยมา มันผสมกับกลิ่นดินหลังฝนตก มัน
ให้คนรู้สึกสดชื่น
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก แอบคิดในใจว่าไม่เคยได้ยิน
ว่ามีวัดมาตั้งในป่าไผ่แบบนี้มาก่อน เมื่อมาถึงริมป่าไผ่
เขาก็เห็นทางเล็กๆ ที่สามารถเดินไปในป่าได้ เขา
แบกชื่อตันเหมยที่ยังไม่ฟื้น แต่ว่าลมหายใจของนาง
นิ่งและดีขึ้นมากแล้ว เขาเดินไปตามทางเล็กๆ นั่น
ผืนป่าหลังฝนตกมันดูชื้น เมื่อเดินตามทางมาได้ระยะ
หนึ่ง ก็เห็นด้านหน้าค่อนข้างสว่าง ตรงนั้นมีสระน้ำ
เล็กๆ น้ำด้านในใสมาก มีดอกบัวลอยอยู่ด้านบน อีก
ทั้งยังมีกบอยู่บนดอกบัวด้วย ริมสระ มีกระท่อมไม้
อยู่สี่หลัง ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดในใจว่าชายแก่บอกว่า
ที่นี่เป็นวัด แต่ว่าไม่เห็นมีวัดเลย แต่เป็นกระท่อมไม้
เขารู้สึกสงสัยมาก
ฉีหนิงรู้ว่าชื่อตันเหมยวรยุทธ์สูงมาก แต่ว่าตอนนี้นาง
สลบไม่รู้สึกตัว ทำการเดินลมปราณไม่ได้ นางเปียก
ไปทั้งตัว หากไม่รีบก่อไฟทำให้ตัวแห้ง อาการของ
นางอาจจะหนักขึน้ ก็ได้ เขาเดินอ้อมสระน้ำ มาจน
หน้ากระท่อม เห็นกระท่อมสามหลังประตูปิดอยู่ มี
เพียงหลังเดียวทีป่ ระตูเปิดอยู่ ฉีหนิงเดินไปเคาะ
ประตู แล้วถามว่า “มีใครอยู่ไหม?”
ภายในกระท่อมไม่มีเสียงตอบกลับมา ฉีหนิงถาม
ออกไปอีกครัง้ รอบๆ เงียบมาก ในกระท่อมในป่า
หลังนี้เหมือนจะไม่มีคนอยู่ เขาค่อยๆ เดินเข้าไปใน
กระท่อมไม้ ในกระท่อมไม่มีคนจริงๆ ถึงแม้หน้าต่าง
จะเปิดอยู่ แต่ว่าอากาศยังคงครึ้มอยู่ ภายในกระท่อม
มืดมาก แต่ก็ยังพอเห็นโต๊ะเก้าอี้เตียง อีกทั้งยังผ้าห่ม
โต๊ะภายในห้องมีเก้าอี้อยู่สองตัว บนโต๊ะมีตะเกียง
ด้านข้างมีที่จุดไฟ
ฉีหนิงเห็นในกระท่อมเรียบง่าย แต่ว่าสะอาดมาก
เหมือนจะมีคนอาศัยอยู่ ไม่อย่างนั้นหากไม่มีคนอยู่
เป็นเวลานาน ที่นคี่ งมีฝุ่นหนา
เขาอุ้มชื่อตันเหมยไปวางบนเตียงอย่างระวัง จากนั้น
เขาก็ออกจากกระท่อมไป คิดอยากจะไปหาเตามาจุด
ไฟ เมื่อเขาเดินมาถึงกระท่อมหลังที่สาม ประตูมัน
เปิดไม่ออก ด้วยวรยุทธ์ของเขา การจะพังประตูมันก็
เป็นเรื่องง่าย แต่ว่าหากที่นี่มีคนอยู่ ตัวเขาไม่ได้รับ
อนุญาตให้เข้าไปมันก็ถือเป็นการเสียมารยาทมาก
หากพังประตูเข้าไป มันก็เหมือนขโมย
ไม่เพียงประตูเท่านัน้ ที่ปิดสนิท หน้าต่างของกระท่อม
อีกสามหลังก็ปิดสนิท มองไม่เห็นว่าข้างในเป็นยังไง
ฉีหนิงรู้สึกสงสัยมาก ทันใดนั้นเองเขาก็ได้กลิ่นอะไร
บางอย่าง เขาพยายามดม มันเหมือนกลิ่นอะไรเน่าๆ
อีกทั้งยังมีกลิ่นคาวของเลือด ก่อนหน้านี้กลิ่นหอม
ของป่าไผ่หอมมาก หากไม่ได้กลิ่นเหม็น ก็คงไม่ได้
รู้สึกอะไร ฉีหนิงยืนอยู่ริมกระท่อม กลับได้กลิ่น
เหล่านี้
เขาเดินอ้อมไปด้านหลังกระท่อม คิดอยากจะหาไม้
หรือฟืนมาก่อไฟ เขามองไปว่ามีคนอยู่หรือเปล่า เมื่อ
มาถึงด้านหลัง กลิ่นเหม็นเน่านั่นก็หนักขึ้น ด้านหลัง
มีทางเล็กๆ ตรงเข้าไปในป่าไผ่ เขาเดินตามทางไป
ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่านั่นก็ยงิ่ แรงขึน้ ฉีหนิงรู้สึกว่าต้น
กลิ่นน่าจะอยูท่ างด้านหน้า เขาหยิบมีดสั้นไว้ในมือ
แล้วเดินตามทางไป เดินไปได้อีกระยะหนึ่ง กลิ่นเน่า
นั่นก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะอ้วก เขาหยิบผ้าขึ้นมาปิด
จมูก แล้วเดินต่อไป เขาเห็นว่าด้านหน้ามีหลุมขนาด
ใหญ่ เมื่อเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นว่าภายในหลุมนั้นมีศพ
กระดูกเน่าเปื่อยมากมาย มีหนอนกัดกินเนื้อเน่าพวก
นั้น อีกทั้งแมลงวันตอมอยู่มากมาย
ฉีหนิงรู้สึกมวนท้องมาก เกือบจะอ้วกออกมา เขาปิด
ปากของเขาเอาไว้ ฝืนมองไป เห็นว่าในหลุมนั่นส่วน
ใหญ่เป็นสัตว์ป่า จะมีกะโหลกศีรษะคนบาง เขา
สะดุ้ง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าแย่แล้ว เขารีบหันแล้วเดิน
กลับไปที่กระท่อมไม้
เขาใช้ท่าเท้าท่องคลื่น ทำให้เดินเร็วขึ้น เมื่อใกล้ถึง
กระท่อมไม้ เขาเหลือบไปเห็นเงาคน เขากำมีดสั้นไว้
แน่น เห็นยายเฒ่าผมขาวอายุประมาณห้าหกสิบปี
ถือไม้เท้า เดินหลังค่อม แบกตะกร้า เพราะนางหลัง
ค่อมเลยทำให้ตัวโค้งเกือบเก้าสิบองศา ยายแก่
เหมือนจะได้ยินเสียงเหมือนกัน นางเงยหน้าขึ้นมา
แล้วหันหน้ามา ฉีหนิงมองเห็นพอดี ยายแก่คนนี้
หน้าตาอัปลักษณ์มาก ตาซ้ายเหมือนมีแผลเป็นเน่า
มันลามไปปิดทั้งดวงตาเอาไว้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 630 หญิงชราตาบอด
ยายเฒ่าเห็นฉีหนิง ก็รู้สึกตกใจ นางหันหลังจะรีบเดิน
ไปทันที แต่เพราะว่านางอายุมากแล้ว เดินได้ไม่เร็ว
ฉีหนิงแอบคิดนในใจว่าในป่าไผ่นี่ประหลากมาก ยาย
เฒ่านี่ในเมื่อมาอยู่ในป่าแบบนี้ จะต้องรู้เรื่องอะไรแน่
จับตัวนางเอาไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากเข้าใจผิด
ค่อยขอโทษทีหลัง
ในเมื่อเขาคิดแบบนี้ ก็ไม่คิดอะไรมากอีก เขาเดินขึ้น
หน้าไป พริบตาเดียวก็เดินไปขวางทางของยายเฒ่า
เอาไว้ ยายเฒ่าคนนั้นหลุดอุทานออกมาว่า “ว้าย”
เหมือนนางจะดูกลัวมาก นางถอยหลังหนึ่งก้าว แต่
เหมือนขัดขาตัวเอง แล้วก็ล้มก้นกระแทกพื้น
ฉีหนิงพูดเสียงเข้ม “เจ้าเป็นใคร?”
ยายเฒ่าสะดุ้ง เขายกมือขึ้นมา แล้วชี้ไปที่ปาก แล้ว
พูดว่า “อ๊าอ๊า” นางไม่ได้พูดอะไร ฉีหนิงตะลึงไป ถึง
ได้รู้ว่ายายเฒ่าคนนีเ้ ป็นใบ้
เขาก็ไม่รู้ว่ายายเฒ่าคนนี้เป็นใบ้จริงไหม เขาถามว่า
“เจ้าเป็นเจ้าของป่าไผ่หรือไม่?”
ยายเฒ่าส่ายหน้า แผลที่ตาซ้ายของนางไม่เล็ก ดูไป
แล้วก็น่ากลัว แต่ว่าตาอีกข้างหนึ่งของนางเต็มไปด้วย
ความหวาดกลัว
ฉีหนิงชี้ไปที่กระท่อม แล้วถามว่า “เจ้าอาศัยอยู่ทนี่ ั่น
หรือ?”
ยายเฒ่าพยักหน้า แล้วพูดว่า “อ๊าอ๊า” ฉีหนิงไม่
เข้าใจที่นางพูด ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ป่าไผ่อึมครึ้มมาก ฉี
หนิงถือมีดสั้นในมือ แล้วพูดว่า “เจ้าลุกขึ้นมา แล้ว
พาข้ากลับไปที่กระท่อม”
ยายเฒ่าพยักหน้า นางฝืนลุกขึ้นมา เก็บของเล็กน้อย
แล้วหันหลังนำทางไป ฉีหนิงเดินตามหลังนางไป เขา
รู้สึกว่าป่าไผ่นี่มันแปลกๆ เขาเลยระวังตัวมากเป็น
พิเศษ ยายเฒ่าอยู่ในการควบคุมของเขา หากยาย
เฒ่ามีปฏิกิริยาอะไรขึ้น ฉีหนิงเองก็ไม่เกรงใจ
ทั้งสองคนคนหนึ่งเดินหน้าคนหนึ่งอยู่หลัง ยายเฒ่า
นำทางฉีหนิงมาจนถึงกระท่อมหลังที่ชื่อตันเหมยอยู่
เขามองเข้าไปด้านใน เห็นชื่อตันเหมยยังนอนอยู่ดีอยู่
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็โล่งใจใ เขาถามยายเฒ่าว่า
“เจ้าของเรือนไม้พวกนี้อยู่ที่ไหน? ทำไมไม่เห็นเขา?”
ยายเฒ่าชี้มือไป ทางท้องฟ้า แล้วพูดว่า “อ๊าอ๊า” ฉี
หนิงเข้าใจความหมายของนาง รู้ว่านางบอกว่า
เจ้าของที่นอี่ ยู่ไกลมาก คิดในใจว่ารอบๆ นี่ไม่มีคนอื่น
ดูท่าทางจะมีแค่ยายเฒ่าคนนี้คนเดียวเท่านั้น เขา
เห็นยายเฒ่าเดิน เหมือนจะเป็นแค่ยายแก่ธรรมดา
คนหนึ่ง เขาชี้ไปที่กระท่อมหลังข้างๆ “เปิดประตู
ออก”
ในป่าไผ่มีหลุมศพกระดูกอยู่ ฉีหนิงรูส้ ึกผวามาก ไม่
กล้าประมาท กระท่อมมีทั้งหมดสี่ห้อง มีสามหลัง
เหมือนจะปิดตาย ฉีหนิงอยากเห็นว่าข้างในมีอะไร
ยายเฒ่าก็ไม่ลังเล เดินไปเปิดประตู ฉีหนิงตามยาย
เฒ่าเข้าไปในห้อง ยายเฒ่าเองก็ไม่กล้าขัดขวาง ทำ
ตามอย่างเชื่อฟัง เมื่อเข้าไปในห้อง มันมืดมาก ฉีหนิง
กวาดสายตามองไป เห็นว่าภายในห้องนี่มันไม่ค่อย
เหมือนห้องข้างๆ เห็นกำแพงเหมือนจะมีแขวนพวก
หน้ากาก อาวุธ แต่ว่าอาวุธพวกนี้ไม่เหมือนอาวุธ
ทั่วไป มีตะขอกรรไกร มีเล็กมีใหญ่ มีเกือบยี่สามสิบ
ชีวิต มันแขวนอยู่บนผนัง ส่วนมุมห้องก็มีตู้ที่มีตำรา
มากกว่าสิบเล่ม
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก ยายเฒ่าเหมือนจะรู้ว่าฉีหนิง
สงสัย นางชี้ไปที่เครื่องมือพวกนัน้ แล้วทำสัญลักษณ์
มือ ยายเฒ่าทำมือไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าฉีหนิงก็พอ
เข้าใจ เหมือนนางจะบอกว่ามันเป็นเครื่องมือสำหรับ
ผ่าตัด เขาตกใจ แล้วมองอย่างละเอียดอีกที พบว่า
เครื่องมือบนกำแพง มันเหมือนเครือ่ งมือผ่าตัดจริงๆ
เขาก็พลันนึกถึงศพที่อยู่ในหลุมเมื่อกี้ขึ้นมา เขาถาม
ว่า “พวกเจ้าฆ่าคน?”
ยายเฒ่าตะลึงไป แต่ก็รบี โบกมือแล้วส่ายหน้า นาง
ทำมือ เหมือนจะอธิบาย แต่ว่าฉีหนิงไม่เข้าใจ
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงคนดังมาจากข้างนอก เสียง
ค่อนข้างรีบร้อนทีเดียว “ท่านเหมียวอยู่หรือไม่?”
ฉีหนิงรีบเดินไปที่หน้าประตู สายตาของเขาดีมาก
เขาเห็นมีคนกำลังรีบเดินมาจากสระน้ำ ด้านหลัง
เหมือนแบกคนมาด้วยหนึ่งคน
ยายเฒ่าเดินมาใกล้ประตู แล้วชี้ไปที่คนๆ นั้น แล้ว
มองมาที่ฉีหนิง สีหน้าท่าทางเหมือนร้องขอ ฉีหนิงก็
ไม่รู้ว่าคนที่มาคือใคร เห็นยายเฒ่าร้องขอ เขาก็พยัก
หน้า ยายเฒ่าเดินออกจากประตูไป ฉีหนิงเดินตาม
คนๆ นั้นเดินอ้อมสระน้ำมา เห็นยายเฒ่า เขาก็เร่งี
เท้า เห็นฉีหนิงอยู่ด้านหลังยายเฒ่า เขาก็รู้สึกตกใจ
ฉีหนิงเอามีดสั้นเก็บ เห็นชายอายุสี่สบิ โพกหัว พก
ดาบ แบกคนมา ไม่รู้เป็นหรือตาย
ชายคนนั้นเดินขึ้นหน้ามา แล้วถามยายเฒ่าว่า “ท่าน
ยายบอด ท่านเหมียวอยู่หรือเปล่า? ข้ามีเพื่อนคน
หนึ่งบาดเจ็บสาหัส ใกล้จะตายแล้ว ขอให้ท่านเหมียว
ช่วยด้วยนะ”
ยายบอดส่ายหน้า แล้วชี้ไปทางท้องฟ้า ชายคนนัน้
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านเหมียวออกเดินไกลหรือ?
แล้ว...แล้วจะทำยังไงดีล่ะ?” เขาค่อยๆ วางคนที่แบก
มาลงเบาๆ ฉีหนิงเห็นคนๆ นัน้ ไม่ขยับ ที่คอเหมือนมี
รอยดาบ หรือว่าอาจเป็นไปได้ว่าระยะเวลานาน
เกินไป เลือดมันเลยจับตัว
ฉีหนิงเห็น ก็รู้ว่าเขาบาดเจ็บในจุดสำคัญ ชายคนนั้น
นั่งยองลงมา ยืน่ ไปแตะจมูก สีหน้าท่าทางเครียดมาก
เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “เขา...เขาไม่หายใจแล้ว”
ฉีหนิงอดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “เขาถูกฟันที่จุดชีพ
จร หากไม่จัดการรักษาทันที ยังไงก็ตาย เจ้ามาหา
ท่านเหมียวแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา?”
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “วิชาแพทย์ของ
ท่านเหมียวไร้คนเทียบได้...อืม นอกจาก...นอกจาก
หัตถ์เทวะแห่งชายแดนเผ่าเหมียวที่ฝีมือเทียบกับ
ท่านเหมียวได้ ในใต้หล้านี้ไม่มีใครที่มีวิชาแพทย์สู้
ท่านเหมียวได้แล้วล่ะมั้ง? ท่านเหมียวสามารถทำให้
คนตายฟื้นคืนมาได้ ขอแค่ยังมีลมหายใจสุดท้ายอยู่
ไม่ว่าอาการหนักแค่ไหน เขาก็ทำให้คนๆ นั้นรอดได้”
ฉีหนิงได้ยินคำว่า “หัตถ์เทวะ” เขาก็สะดุ้ง แอบคิด
ในใจว่าที่แท้เขาก็มาหาหลีซีกงนี่เอง วิชาแพทย์ของ
หลีซีกงเขารู้ดี ร้ายกาจมาก ตอนนี้หากไม่ได้หลีซีกง
ยื่นมือเข้าช่วย อี๋ฟูคงตายไปแล้ว ท่านเหมียวนี่
เทียบเท่ากับหลีซีกงได้ แสดงว่าฝีมือไม่ธรรมดา
“ท่านรู้จักท่านเหมียว?” ฉีหนิงถาม ยายเฒ่าเป็นคน
ใบ้ ฉีหนิงถาม นางก็ตอบไม่ได้ ชายคนนี้เหมือนจะ
รู้จักท่านเหมียวนี่ดี เขาเลยถามดู
ชายคนนั้นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นใคร? ข้าก็
ต้องรู้จักท่านเหมียวอยู่แล้ว เมื่อปีกอ่ นข้าถูกศัตรูตาม
ฆ่า บาดเจ็บสาหัส เกือบตายไปแล้ว ท่านเหมียวเป็น
คนช่วยข้าเอาไว้ ข้าเลยรอดมาได้ วิชาแพทย์ของ
ท่านเหมียวร้ายกาจมาก เขามีบุญคุณกับข้า ข้าไม่
เคยลืม วันนี้เพื่อนของข้าบาดเจ็บ เลยมาขอให้เขา
ช่วย”
ฉีหนิงคิดในใจว่าถ้าอย่างนั้น ท่านเหมียวนี่ก็เป็นคนดี
คอนช่วยเหลือคนอื่น เขาแอบคิดในใจว่าหรือว่าหลุม
ศพที่เขาเห็น เขาเหลือบไปมองยายเฒ่า น่าจะเป็น
การอุปทาน
ชายคนนั้นถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านเหมียวไม่อยู่
รบกวนแล้ว” เขาอุ้มศพเพื่อนของเขา แล้วจากไป
อย่างเศร้าๆ
เมื่อชายคนนั้นจากไปไกลแล้ว ยายเฒ่าก็หันกลับมา
มองมาที่ฉีหนิง สีหน้าของนางแปลกใจมาก ฉีหนิงอด
ถามไม่ได้ว่า “มีอะไร?”
ยายเฒ่าคิด ยื่นมือไปจับแขนข้างหนึง่ ของเขา แล้ว
ยื่นนิ้วแตะไปที่ชพี จรของฉีหนิง แล้วชี้มาที่ตัวเอง ฉี
หนิงเข้าใจ ยายเฒ่าเหมือนจะเห็นอะไรผิดปกติ นาง
อยากจะตรวจชีพจรของเขา
หากเป็นยอดฝีมือในยุทธภพ ฉีหนิงไม่มีทางให้จับถูก
ชีพจรเขาแน่ แต่ว่ายายเฒ่าคนนี้เหมือนจะไม่มีกำลัง
ภายใน คิดในใจว่าในเมื่อท่านเหมียวเป็นหมอเทวดา
ยายเฒ่าติดตามเขา ก็น่าจะมีความสามารถอยู่บ้าง
ในเมื่อนางเห็นว่ามีอะไรผิดปกติ ก็ให้นางดูหน่อยคง
ไม่เป็นไร เขายื่นมือไปให้ แต่ก็ยังระวังตัวอยู่ ยายเฒ่า
ยื่นมือไปแตะชีพจรของฉีหนิง หลังจากนั้นไม่นาน
นางก็ยิ้ม ฉีหนิงถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า?”
ยายเฒ่าส่ายหน้า ร้อง “อ๊าอ๊า” ออกมา ฉีหนิงรู้สึก
แปลกใจมาก เขานึกถึงชื่อตันเหมยขึ้นมาพอดี เขา
ถามว่า “มีเตาจุดไฟบ้างไหม? เพื่อนข้าบาดเจ็บ
สาหัส ตอนนี้หนาวมากด้วย ข้ากลัวว่านางจะอาการ
หนักขึ้น”
ยายเฒ่าก็ไม่ได้พูดอะไรมาก นางหันไปในอีกห้อง
หนึ่ง จากนั้นก็อุ้มเตามาให้ ฉีหนิงรีบไปรับมา
จากนั้นก็อุ้มเข้าไปในห้อง จากนัน้ ก็ก่อไฟ ยายเฒ่า
เอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ คิดว่าน่าจะเป็นเสื้อผ้าของ
นาง ถึงแม้จะดูเก่า แต่ว่ามันก็สะอาด ฉีหนิงเองก็ไม่
สะดวกที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ชื่อตันเหมย ยายเฒ่าไป
จุดไฟที่โต๊ะ นางก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ชื่อตันเหมย
ฉีหนิงระวังตัวมาก ไม่ได้ออกไปด้านนอก แต่หันหลัง
ให้ชื่อตันเหมย
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ฉีหนิงก็นึกถึงยาที่โหลวเหวิ
นซือให้มา โหลวเหวินซือบอกว่าชื่อตันเหมยจะฟื้นใน
อีกสองสามชั่วโมง เขาคิดในใจว่าไป๋อวี้เฮ่อให้เวลาชื่อ
ตันเหมยสิบสองชั่วยาม นี่มันผ่านไปประมาณหกชั่ว
ยามแล้ว เมื่อถึงช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ ก็จะครบสิบ
สองชั่วยาม ไป๋อวี้เฮ่อจะตามล่าตัวเอง ชื่อตันเหมย
จะเป็นยังไงต่อไป คงต้องรอชื่อตันเหมยฟื้นขึ้น
มาแล้วค่อยตัดสินใจ
วันนี้เขาช่วยคุ้มกันนางทั้งวัน ถือว่าไม่ผิดต่อนางแล้ว
ตอนนี้เรื่องการเจรจาอภิเษกกับแคว้นฉียังไม่
เรียบร้อย เพราะการลอบสังหารของชื่อตันเหมย
สถาการณ์ถึงได้เปลี่ยนไป เขาจำเป็นต้องฉวยโอกาส
นี้เอาไว้ เพื่อพลิกสถานการณ์กลับมา จะมาเสียเวลา
ที่นี่ไม่ได้
เขาตัดสินใจแล้ว รอชื่อตันเหมยฟื้น นางดูแลตัวเอง
ได้แล้ว เขาก็จะไป
ตอนนี้ฟ้ามืดลงแล้ว ลมกลางคืนพัดโชยมา ป่าไผ่มี
เสียงต้นและใบพัด พอเขานึกถึงหลุมกระดูกศพ
ด้านหลัง ฉีหนิงก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ยายเฒ่า
เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ชื่อตันเหมยแล้ว ก็ออกไป ฉีหนิงเห็น
นางไม่ได้มีเจตนาร้าย ก็เลยปล่อยนางไป ด้วยวรยุทธ์
ของเขาตอนนี้ เขาก็ไม่ได้ต้องกลัวใคร เขาเฝ้าอยู่
ข้างๆ ชื่อตันเหมย รอให้ชื่อตันเหมยฟื้นขึ้นมา
เขารู้สึกสงสัย แอบคิดถึงเรื่องบนเรือขึ้นมา ชายแก่
บอกว่าป่าไผ่นี่มีวัดอยู่ ในวัดมีหลวงจีนอยู่สองคน แต่
ว่าเรื่องจริงมันไม่ใช่แบบนั้น หรือว่าชายแก่ฝีพายจะ
ความจำไม่ดี หรือว่าเรื่องนี้มันมีอะไร เขารู้สึกงงมาก
เมื่อผ่านมาแล้วครึ่งชั่วยาม ฉีหนิงเหลือบไปเห็นเงาที่
บริเวณหน้าต่าง เขาพูดขึ้นมาเสียงเข้มว่า “ใคร?”
เงานั่นรวดเร็วมาก ไม่ใช่ยายเฒ่าแน่นอน เขากำมีด
สั้นเอาไว้แน่น แล้วลุกขึ้นมา เขาคิดจะออกไปดู ใคร
จะคิดว่าแค่ลุกขึ้นมา ก็รู้สึกว่าเวียนหัว ขาไม่มีแรง
ตอนที่เขานั่งลงไม่มีความรู้สึกอะไร จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้
ว่า เขาสะดุ้ง แอบคิดในใจว่าแย่แล้ว ขาไม่มีแรง ฝืน
ยืนก็ไม่ไหว เขาทรุดนั่งลงไปกับพื้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 631 ชีพจรสวรรค์
ฉีหนิงล้มกองไปกับพืน้ เขาตกใจมาก ถึงแม้จะรู้ว่ามี
คนแอบลงมือ แต่เขากลับไม่รู้เลยว่าเขาโดนตอนไหน
เขาระวังตัวมาตลอด ระวังตัวกับยายเฒ่ายิ่งกว่าอะไร
เขาไม่ได้ดื่มน้ำไม่ได้กินอาหาร เขาคิดไม่ออกเลยว่า
อีกฝ่ายใช้วิธีอะไร
เขารู้ว่าแย่แล้ว แต่ว่ายิ่งเป็นเวลาแบบนี้ เขายิง่ ต้อง
นิ่ง เขาคิดจะเดินลมปราณ แต่ว่าเขารู้สึกได้ว่ากำลัง
ภายในในจุดตันเถียนของเขา เหมือนว่าเขาไม่มีกำลัง
ภายในเลย
ฉีหนิงรู้ว่าจุดตันเถียนของเขามีกำลังภายในสะสมอยู่
มากมาย ไม่มีทางหายไปหมดภายในเสี้ยววินาที
แน่นอน ตอนนีจ้ ุดตันเถียนถูกปิดไม่สามารถ
หมุนเวียนไปยังที่อื่นได้เลย
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา มันเงาๆ
หนึ่งวิ่งผ่านไป คนที่เข้ามาในห้องไม่ใช่ยายเฒ่า แต่
เป็นชายที่มีร่างกายแข็งแรงปกติทุกอย่าง ชายคนนี้ฉี
หนิงรู้จักดี เป็นฝีพายวัยกลางคนที่พาเขาข้ามฟากมา
เมื่อเห็นฝีพายคนนี้ ฉีหนิงก็เข้าใจทันที เขาเข้าใจแล้ว
ว่าทำไมชายแก่ถึงได้บอกว่ามีวัดอยู่ที่ป่าไผ่
ชายวัยกลางคนมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เขาไม่ได้เดินหลง
ทางมาแน่นอน ชายแก่ตั้งใจพูดถึงหมดเทวดาแล้วก็
หลวงจีนมันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เป้าหมายก็เพื่อให้
ฉีหนิงติดกับ
ชายวัยกลางคนยิ้มแปลกๆ เหมือนกังวลว่าฉีหนิงจะ
ลงมือ เขานั่งยองๆ อยู่ไกลๆ แล้วมองมาที่ฉีหนิง
“โหวน้อย พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”
ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ลุงของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
“โหวน้อยต้องการพบข้าหรือ?” มีเสียงดังขึ้นมา เห็น
ชายแก่เดินเข้ามา สีหน้าของเขาดูใจดีมาก เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ขอบคุณที่โหวน้อยยังจำชายแก่ๆ อย่าง
ข้าได้ ท่านใจกว้างมาก ให้เงินค่าเรือของพวกเรา
เยอะมากๆ ข้ารู้สึกซาบซึง้ ใจมาก”
ฉีหนิงพูดว่า “ในเมื่อซาบซึง้ ใจ แล้วลงมือกับข้า
ทำไม? ข้ากับพวกเจ้าเหมือนจะไม่มีความแค้นต่อ
กัน”
ชายแก่ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มี ไม่มี พวกเราไม่มี
ความแค้นต่อกัน ที่จริงจะบอกว่าข้าน้อยเป็นคนทำ
ร้ายท่านมันก็ไม่ถูก” เขาชี้ไปที่ไฟที่โต๊ะแล้วพูดว่า
“ไส้ของเทียนเล่มนี้ทำมาจากจื่อซินชุนถัง ด้านในมี
ยาอยู่ประมาณห้าหกประเภท ท่านอย่าดูถูกมันนะ นี่
เป็นของที่พวกเราใช้เวลาสามปีกว่าจะคิดค้นมาได้
มันไม่มีประโยชน์อะไรอย่างอื่นเลย แต่มันจะทำให้
คนไร้เรีย่ วแรง จริงสิ หากฝึกกำลังภายในมา ก็
สามารถปิดจุดตันเถียน ไม่สามารถเดินลมปราณได้
ภายในหนึ่งชั่วยาม ท่านโหวน้อย อานุภาพเป็น
อย่างไรบ้าง?”
ถึงแม้ฉีหนิงจะรู้สึกตกใจ แต่ว่าเขาก็ยังยิ้ม “ท่านผู้
เฒ่าอยากเอาข้ามาเป็นหนูทดลองไฟนี่อย่างนั้น
หรือ?”
ชายแก้ยิ้มแล้วพูดว่า “มิกล้า มิกล้า ที่จริงทีเ่ ชิญท่าน
โหวน้อยมาที่นี่ เพราะมีเรื่องใหญ่หนึ่งเรื่องอยากจะ
ให้ท่านโหวน้อยช่วยสักหน่อย”
“เรื่องใหญ่?” ฉีหนิงถาม “เรื่องอะไร?”
ชายแก่พูดว่า “ไม่ต้องรีบร้อน” เขามองไปที่เตียง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เดิมพวกเราเองก็ไม่อยากทำ
ให้ท่านโหวน้อยต้องลำบากใจ เพียงแต่ตอนที่อยู่บน
เรือ พวกเรารู้สึกสนใจแม่นางคนนั้นมาก แต่ว่าหาก
ไม่เชิญท่านโหวน้อยมาที่นี่ แม่นางคนนั้นก็คงไม่ได้มา
ด้วย ดังนั้นท่านโหวน้อยเดือดร้อนเพราะนาง”
ฉีหนิงสะดุ้ง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกเจ้าเป็นใคร?”
พอนึกขึ้นมาถึงตรงนี้ ก็ถามว่า “เจ้าก็คือท่านเหมียว
อย่างนั้นหรือ?”
“ท่านเหมียว?” ชายแก่ตะลึงไป เขาหัวเราะ ชายวัย
กลางคนก็หัวเราะ ฉีหนิงกำลังแปลกใจ ชายวัย
กลางคนก็พูดไปที่ด้านนอกว่า “ท่านเหมียว ท่านโหว
น้อยอยากจะพบท่าน”
ฉีหนิงรีบมองไปที่ด้านนอก เขาเห็นยายเฒ่าคนก่อน
หน้านี้ถือไม้เท้าเดินเข้ามาในห้อง เทียบกับก่อนหน้า
นี้ หลังของนางตรงขึ้นมาก ยายเฒ่าหน้าตา
อัปลักษณ์มาก นางยิ้มแปลกๆ เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว
ฉีหนิงก็เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา เขาถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็คือท่านเหมียว เจ้าคงแกล้ง
เป็นใบ้ด้วยสินะ”
ยายเฒ่ายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยวรยุทธ์ล้ำเลิศ
ต่อให้มียายแก่อย่างข้าสักสิบคน ก็ไม่อาจรับมือท่าน
โหวน้อยได้แม้แต่ฝ่ามือเดียว หากข้าเอ่ยปาก ท่าน
โหวน้อยก็อาจจะบีบบังคับให้ข้าพูดอะไรที่ข้าไม่
อยากพูด ดังนั้นข้าเลยต้องแกล้งเป็นใบ้ ท่านโหว
น้อยอย่าได้ถือโทษโกรธข้าเลยนะ”
พวกเขาแปลกประหลาดมาก ทำอะไรแปลกๆ ฉีหนิง
ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไร เขาถามว่า “ชายก่อน
หน้านี้พาเพื่อนมาขอให้รักษา เขาบอกว่าเขารู้จัก
ท่านเหมียว แต่ว่ากลับจำท่านไม่ได้ ชายคนนั้นแสดง
ละครอย่างนั้นหรือ”
“เพื่อน?” ยายเฒ่ายิ้มพูดว่า “ท่านโหวน้อย ท่านคิด
ว่าคนที่เขาพามานั่นเป็นเพื่อนเขาจริงๆ หรือ? ท่านรู้
ไหมว่าเขาเป็นใคร?”
ฉีหนิงส่ายหน้า เขาแอบเดินลมปราณ พบว่าเป็นไป
อย่างที่ชายแก่พูดมา จุดตันเถียนไม่สามารถเดิน
ลมปราณได้เลย สีหน้าเขานิ่งมาก “รบกวนท่าน
เหมียวชี้แนะด้วย”
“ท่านโหวน้อยเป็นขุนนางชั้นสูง อาจจะไม่ได้รู้สึก
พวกตัวเล็กตัวน้อยในยุทธภพ” ยายเฒ่าเหมียวพูดว่า
“เขาเป็นโจร ชื่อจริงชื่ออะไรยายแก่อย่างข้าก็ไม่รู้
หรอก แต่ว่าคนในยุทธภพเรียกเขาว่าอิ่งเสอ ที่จริง
เขาก็ไม่ได้มีชื่อเสียงมากในยุทธภพ ความสามารถเขา
ก็ไม่ได้ร้ายกาจ เขาทำเป็นแต่การค้า แต่ว่าเป็น
การค้าแบบที่ให้ใครรู้ไม่ได้”
“อ๋อ?” ฉีหนิงทำน่าสนใจมาก “อิ่งเสอ? เขาทำ
การค้าอะไร?”
“ฆ่าคน” ท่านเหมียวพูด “คนที่เขาฆ่าไปเขาเองก็ยัง
ไม่รู้เลยว่ามีเท่าไหร่ หลายปีก่อนมักถูกจ้างให้ไปฆ่า
คน ราคาทีเ่ ขาเรียกไม่ได้สูงมาก ขอแค่เป็นคนที่เป็น
เป้าหมายของเขา ก็จะไม่มีชีวิตอยู่เกินสามวัน”
ฉีหนิงพูดว่า “ในเมื่อเขาเป็นนักฆ่า แล้วเขามาที่นี่
ทำไม? จริงสิ เจ้าบอกว่าคนทีเ่ ขาพามาไม่ใช่เพื่อนเขา
แล้วเขาเป็นใคร?”
“นั่นก็แค่คนที่ตายเพราะดาบของเขาเท่านั้นแหละ”
ท่านเหมียวถือไม้เท้า แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ นางไอ
สองที แล้วถึงพูดว่า “ในแต่ละเดือน เขาจะแบกคน
แบบนนี้มาสองสามคน หากไม่ใช่คนที่กำลังภายในสูง
หน่อย หากไม่ได้ตามที่พวกเราต้องการ เขาก็จะเสีย
แรงเปล่า”
ฉีหนิงเข้าใจทันที เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คนที่อิ่
งเสอส่งมา เดิมก็เป็นคนที่เขาฆ่า ส่วนพวกเจ้าก็เอา
ศพมาจากเขาอีกที?”
ชายแก่ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเหมียว ท่านโหวน้อย
เหมือนจะเข้าใจแล้ว”
ฉีหนิงตอนนี้เข้าใจมากขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้อิ่งเสอพา
ศพมาหาท่านเหมียว ไม่ใช่เพื่อให้ท่านเหมียวรักษา
แต่ว่ามาส่งศพ ทั้งสองคนช่วยกันแสดงละคร ฉีหนิง
คิดไม่ถึงเลยว่ายังมีเรื่องแบบนี้อกี
อิ่งเสอกับท่านเหมียวร่วมมือกัน ก็เพื่อไม่ให้ตัวเขา
สงสัย นักฆ่าส่งศพมาให้ ก็จะต้องรู้แน่ว่าเป็นของที่
ท่านเหมียวต้องการ สำหรับนักฆ่าคนหนึ่งแล้ว มันก็
แค่แลกกับเงินทองแค่นนั้
“ข้าเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ” ฉีหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เครื่องมือในห้องที่อยู่ข้างๆ
หากเดาไม่ผิด พวกท่านเอามันมาชันสูตรศพสินะ
หลุมที่ทิ้งศพที่อยู่ด้านหลัง ด้านในมีศพสัตว์ป่า แล้วก็
มีศพคน ก็น่าจะเป็นพวกท่านที่นำมันไปทิ้ง แต่ว่าข้า
ไม่เข้าใจว่า ทำไมพวกท่านต้องหาศพมาฝึกกำลัง
ภายในด้วย?”
ท่านเหมียวกับชายแก่มองหน้ากัน ชายแก่หัวเราะ
แปลกๆ ออกมา แล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยอย่าได้
ร้อนใจไปเลย ในเมื่อท่านมาแล้ว พวกเราก็จะต้องให้
ท่านรู้แน่นอน” เขาชี้ไปที่ชื่อตันเหมย “ถึงเวลานั้น
ท่านโหวน้อยจะดูอยู่ข้างๆ ก็ได้ ดูว่าพวกเราจะใช้
นางมาทดลองอะไร ขอแค่ได้เห็น ท่านโหวน้อยก็จะ
เข้าใจทุกอย่างเอง”
ท่านเหมียวยิ้มอย่างน่ากลัว แล้วถามว่า “ท่านโหว
น้อย อยากจะถามอะไรอีกไหม?”
“ที่จริงมีเรื่องที่ข้าอยากจะถามเยอะแยะมากมาย แต่
ว่าข้าไม่รู้ว่ามีอะไรที่พวกเจ้าอยากจะถามข้าบ้างหรือ
เปล่า” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเจ้ารู้ว่าข้า
เป็นใครแล้ว ข้าประมาทเกินไป แต่ว่าพวกเจ้าไม่รู้
เลยหรือว่านางเป็นใคร?”
“อยู่กับท่าน ก็น่าจะเป็นคนของท่านสิ” ท่านเหมียว
พูดว่า “พวกเราไม่กลัวที่จะผิดใจกับท่านโหวน้อย
แล้วพวกเราจะกลัวผิดใจกับคนของท่านอย่างนัน้
หรือ?”
ฉีหนิงส่ายหน้า แล้วถามว่า “ในเมื่อพวกเจ้าเป็นคน
ของแคว้นตงฉี ไม่รู้ว่าเคยได้ยนิ ชื่อของท่านเจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋นหรือไม่?”
ฉีหนิงรู้ดีแก่ใจ อีกฝ่ายรู้ฐานะของเขาแล้ว แต่ยังจะ
ลงมือกับเขาอีก แสดงว่าพวกเขาต้องโหดเหี้ยม
ประมาณหนึ่ง ไม่ได้สนใจฐานะอะไรเลย
เขารู้ดีว่าชาวตงฉีเห็นเจ้าเกาะไป๋อวิน๋ เหมือนเจ้าชีวิต
ในสถานการณ์แบบนี้ หากอ้างชื่อของเจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋น อาจจะได้ผลดีก็ได้
ไม่ผดิ จากที่คิด เมื่อพวกเขาสามคนได้ยินชื่อของ
“เจ้าเกาะไป๋อวิ๋น” ก็ต่างตะลึง ท่านเหมียวถามว่า
“รู้จัดเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นแล้วอย่างไร?”
“หากข้าบอกพวกเจ้าว่า แม่นางคนนี้เป็นคนของ
เกาะไป๋อวิ๋น ไม่รู้ว่าพวกเจ้ายังกล้าลงมือกับนางอีก
ไหม?” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากวันนี้พวก
เจ้าทำผิดพลาดครั้งใหญ่ อาจจะทำให้พวกเจ้าถูกฆ่า
ตายทั้งหมดก็ได้ ขาของพวกเจ้าเหยียบอยู่ทรี่ ิมผา
หากว่าตอนนี้รู้สึกตัวแล้ว อาจจะยังหยุดม้าไว้ที่หน้า
ผาก็ได้”
ทั้งสามคนมองหน้ากัน ท่านเหมียวหัวเราะออกมา
เหมือนแม่ไก่ร้องชายแก่เองก็หัวเราะแล้วพูดว่า
“หยุดม้าไว้ริมผา? ท่านโหวน้อย ท่านเป็นโหวเยว่
ของแคว้นฉู่ จะมาอยู่กับคนของเกาะไป๋อวิ๋นได้อย่าง
ไร เจ้าเห็นว่าพวกเราโง่อย่างนัน้ หรือ?”
“ข้าเป็นชาวแคว้นฉู่ แต่ว่าตอนนี้ข้าอยู่ในแคว้นตงฉี
นะ” ฉีหนิงค่อยๆ พูดว่า “ข้าเป็นราชทูตแคว้นฉู่
ในช่วงเวลาแบบนี้ กลับออกมาจากเมืองลู่เฉิง พา
ผู้หญิงคนหนึ่งมายังป่าร้าง พวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามัน
แปลกหรือไงกัน?” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่เคยพบ
ท่านเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นมาก่อน ไม่รู้หรอกว่าท่านเจ้า
เกาะร้ายกาจแค่ไหน หากพวกเจ้าเก่งขนาดทำให้คน
ของเขาตายได้ เขาเองก็หาตัวคนร้ายไม่เจอ แล้วทำ
อะไรพวกเจ้าไม่ได้เลย ก็ลงมือได้เลย”
เขาดูเหมือนนิ่งมาก แต่ว่าที่จริงเขาตื่นเต้นมาก วันนี้
เจอคนแปลกสามคน ตอนนี้ใช้กำลังภายในไม่ได้อีก
ใช้ไม้แข็งคงไม่ได้ คงทำได้แค่ขู่ด้วยคำพูด หวังว่าพวก
เขาจะกลัวเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นโม่หลันชางอยู่บ้าง ไม่กล้า
ลงมืออะไร
ชายวัยกลางคนเดินมาที่ริมเตียง เขามองไปที่นาง
อย่างละเอียด แล้วหันไปพูดกับท่านเหมียวว่า “นาย
หญิง เจ้าเกาะมีลูกศิษย์สามคน มีคนผู้หญิงหนึ่งคน”
ท่านเหมียวจ้องมาแล้วพูดว่า “ศิษย์ของเจ้าเกาะที่ชื่อ
ว่าชื่อตันเหมย เป็นผู้หญิง อายุก็เหมือนจะใช่ นาง
ค่อยๆ เดินไปทีร่ ิมเตียง แล้วจ้องไปที่ชื่อตันเหมย
แล้วพูดว่า” หากนางคือชื่อตันเหมยจริง พวกเราคง
ทำอะไรนางไม่ได้"
ฉีหนิงคิดว่าพวกเขากลัวเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นจริงๆ ด้วย
ท่านเหมียวเดินกลับมา แล้วพูดว่า “พวกเราทำอะไร
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ แต่ว่าพวกเราทำอะไรท่านโหวน้อย
ได้ ข้าตรวจชีพจรของเขาแล้ว ชีพจรของเขา
ใกล้เคียงกับชีพจรสวรรค์ ยี่สิบปีที่ผา่ นมา เขาเป็นคน
แรกที่มีชีพจรใกล้เคียงกับชีพจรสวรรค์”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 632 เรื่องส่วนตัว
ฉีหนิงไม่รู้ว่าชีพจรสวรรค์มันคืออะไร แต่ว่าในตอนนี้
เขาเข้าใจแล้วว่า ที่ก่อนหน้านี้ยายเฒ่าเหมียวแกล้ง
ทำเป็นตรวจชีพจรให้เขา ไม่ใช่ว่าเจอเรื่องผิดปกติ
อะไร แต่นางฉวยโอกาสตรวจชีพจรเขา ยายเฒ่า
เหมียวเหมือนจะไม่ได้มีกำลังภายในอะไร แต่ว่าเขา
เก่งในเรื่องการตรวจชีพจร
ยายเฒ่าเหมียวคิดจะลงมือกับเขา ฉีหนิงยังคงนิ่ง เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าลงมือกับนางไม่ได้ ก็จะมาลงมือ
กับข้าอย่างนัน้ หรือ”
“อ๋อ?” ยายเฒ่าเหมียวยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย
มีเหตุผลอะไรอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้ามาที่นี่ ยังมีคนรู้อีกมากมาย ที่จริง
แล้วเจ้าสองคนน่าจะรู้ดีกว่าใคร ข้ากับผู้อาวุโสชิง
หลงกับพรรคกระยาจกเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ข้า
สอบถามเส้นทางมาที่นี่ เขาเองก็ได้ยินทุกอย่าง หาก
จู่ๆ ข้าหายไป เจ้าว่าเขาจะตามมาที่นี่หรือเปล่าล่ะ?”
ยายเฒ่าเหมียวพูดว่า “เจ้าคิดว่าคนของพรรค
กระยาจกจะช่วยแก้แค้นอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ต้องให้พรรคกระยาจกมาแก้แค้นให้ข้าหรอก” ฉี
หนิงพูดว่า “ขอแค่พรรคกระยาจกปล่อยข่าวเรื่องที่
ข้าเคยมาที่นี่ อีกทัง้ ยังหายตัวไป คนของแคว้นฉู่จะ
มาแก้แค้นให้ข้าเอง ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอาจจะย้ายรังไปก็
ได้ แต่ว่าจวนเสินโหวไม่กลัวหรอกนะ พวกเขาจะ
ตามหาใคร ก็ไม่มีทางปล่อยให้รอดไปได้”
ชายแก่หัวเราะแล้วพูดว่า “นายหญิง ท่านโหวน้อย
ฉลาดมากเลย ตอนนี้เขาไม่มีกำลัง แต่กลับยื้อพวก
เราไปทางโน้นทางนี้ได้ คิดอยากให้พวกเรากลัวไม่
กล้าลงมือ แต่ว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่า ในเมื่อเขารูเ้ รื่อง
ของพวกเราแล้ว ยังไงเขาก็มีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่
ไม่ได้” เขาจ้องไปที่ฉีหนิงแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่าน
วางใจได้ พวกเราทำอะไรสะอาด ต่อให้ซีเหมินอู๋เหิง
มาด้วยตัวเอง ข้ารับรองได้เลยว่าเขาก็จะไม่เจออะไร
เลย”
ชายวัยกลางคนพูดว่า “หลายปีที่ผ่านมาพวกเราหวัง
ว่าพวกเราจะเจอคนที่มีชีพจรใกล้กบั ชีพจรสวรรค์
วันนี้พวกเราบังเอิญได้เจอท่าน ต่อให้เทพสวรรค์ลง
มาเอง ก็อย่าคิดจะเอาตัวท่านไปได้”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกเจ้าบอกว่าชีพจร
สวรรค์ มันคืออะไร?” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใน
เมื่อพวกเจ้ามั่นใจมากว่าข้าต้องตายอยู่ที่นี่ ยังไงก็
ต้องให้ข้าตายอย่างไร้ข้อกังขาหน่อยไหม”
ยายเฒ่าเหมียวหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย
อยากจะรู้ ก็ไม่เป็นไร คนทั่วไปเวลาฝึกกำลังภายใน
ชีพจรถูกกำลังภายในทำให้ไหลเวียนได้ดี ดังนั้นเส้น
ชีพจรของคนที่ฝึกวรยุทธ์มันก็จะหนากว่าคนปกติ
คนที่กำลังภายในแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ เส้นชีพจรก็
ยิ่งขยายตัวมากขึ้น เช่นเดียวกัน หากคนที่มีเส้นชีพ
จรหนา ก็สามารถฝึกวรยุทธ์ได้ง่ายกว่าคนอื่น แต่ว่า
คนที่มีเส้นชีพจรแบบนั้นมันมีน้อยมาก คนโดยมาก
หากเส้นชีพจรขยายตัวจนถึงระดับหนึ่งแล้วก็จะไม่
ขยายตัวอีก” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ก็
เหมือนคนปกติฝึกกำลังภายใน เส้นชีพจรก็จะขยาย
จนถึงแค่นิ้วหัวก้อยเท่านัน้ แต่ว่าหากมีคนอยู่อีก
ประเภทหนึง่ เกิดสามารถทลายขีดจำกัดไปได้
สามารถขยายได้เท่านิ้วหัวแม่โป้ง ท่านโหวน้อย ข้า
แค่ยกตัวอย่างให้ฟังเท่านั้น ท่านลองเอาไปคิดดู เส้น
ชีพจรแค่ขยายตัวเล็กน้อย กำลังภายในก็สามารถ
เพิ่มพูนมากแล้ว แล้วคนที่ทลายขีดจำกัดได้ล่ะ เจ้า
ลองบอกมาสิว่าพวกเขาเหล่านั้นฝึกวรยุทธ์มาแล้ว
ทำจะเป็นยังไงบ้าง?”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ยายเฒ่าเหมียวพูดต่อว่า “ที่จริงเส้น
ชีพจรหนาหรือว่าบาง มันต่างกันแค่นิดเดียวเท่านั้น
ไม่ค่อยมีใครมาสังเกตุเรื่องนี้มากเท่าไหร่” นางถอน
หายใจแล้วพูดว่า “คนที่สามารถขยายเส้นชีพจร
มากกว่าคนปกติได้ จะถือว่าพวกเขามีเส้นชีพจร
สวรรค์ เวลาฝึกวรยุทธ์ก็จะประสบความสำเร็จเร็ว
กว่าใคร แต่น่าเสียดายคนแบบนี้หาได้ยากนัก ข้ารู้ว่า
มันมีเส้นชีพจรแบบนี้อยู่ แต่ว่าหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่
เคยเจอเลย จนกระทั่งวันนี้ มาบังเอิญได้เจอท่านโหว
น้อย ถึงแม้ท่านโหวนน้อยจะยังไม่ถงึ ขึ้น แต่ว่าก็
ใกล้เคียงมากแล้ว ยายแก่อย่างข้าจะพลาดได้ยังไง?”
ฉีหนิงยังรู้สึกสงสัยอยู่ แอบคิดในใจว่าเส้นชีพจรของ
เขาไม่เหมือนคนปกติอย่างนัน้ หรือ? ถ้าอย่างนั้นที่
ก่อนหน้านี้เขาฝึกวิชาอะไรได้เร็ว ก็ไม่ได้เป็นเพราะ
เขาฉลาด แต่เพราะมีเส้นชีพจรสวรรค์ เลยฝึกอะไรก็
ราบรื่น
ชายแก่พูดว่า “ตอนที่ข้าอยู่บนเรือเห็นว่าแม่นางคน
นี้มีกำลังภายในแก่กล้ามาก เป็นยอดฝีมือขั้นสูงคน
หนึ่ง ดังนั้นก็เลยคิดอยากให้ท่านโหวน้อยพานางมา
ที่นี่ คิดไม่ถึงเลยว่าท่านโหวน้อยจะมีเส้นชีพจร
สวรรค์ อย่างนี้มันเรียกว่าตั้งใจปลูกดอกไม้ใส่ปุ๋ย
พรวนดินแต่ไม่ขึ้น ปักกิ่งส่งส่งกลับได้ผล ท่านโหว
น้อย หากท่านจะโทษก็โทษที่สวรรค์ประทานเส้นชีพ
จรแบบนี้มาท่านเอง พวกเรารอมาหลายปี ไม่มีทาง
ปล่อยไปง่ายๆ แน่”
ฉีหนิงพูดด้วยความสงสัยว่า “พวกเจ้าค้นหาเส้นชีพ
จรสวรรค์ เพื่ออะไรกัน?”
“เรื่องนี้ท่านโหวน้อยก็ไม่มีความจำเป็นต้องถาม
หรอก” ชายแก่พูดว่า “เรื่องที่ท่านควรรู้ท่านก็จะได้รู้
เอง อะไรทีท่ ่านไม่ควรรู้ เมื่อท่านลงนรกไปท่านก็ไม่มี
ทางได้รู้อยู่ดี” เขาให้ไปส่งสัญญาณให้กับชายวัย
กลางคน ขายวัยกลางคนเดินออกนอกห้องไป เอา
เชือกเข้ามา แล้วจับฉีหนิงมัดเอาไว้
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าพิษของไฟตะเกียงมีผล
ประมาณหนึ่งชั่วยาม แต่เขากลับไม่มั่นใจเลยว่าจะ
ยื้อจนถึงหนึง่ ชั่วยามได้ไหม แต่รู้ว่าคนพวกนีค้ ง
คำนวณเวลาเอาไว้แล้ว ไม่มีทางรอให้เขาได้วรยุทธ์
คืนมาก่อนแน่ เขารู้สึกโมโหมาก แอบคิดในใจยุทธ
ภพมีเรื่องประหลาดมากมาย เขาตกหลุมพรางแบบนี้
หรือว่าจะต้องมาตายแบบนี้?
เขากำลังคิดวิธีรับมือ แล้วก็หวังว่าชื่อตันเหมยจะฟื้น
ขึ้นมา สามคนนี้ทำอะไรประหลาด แต่ว่าจากลม
หายใจกับการเดิน พวกเขาไม่ใช่คนที่ฝึกวรยุทธ์มา
ก่อน เพียงแค่ใช้แผนใช้กลทำร้ายคนอื่น ขอแค่ชื่อตัน
เหมยฟื้นขึ้นมา ต่อให้ยังบาดเจ็บอยู่ จะจัดการสาม
คนนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ยายเฒ่าเหมียวถือไม้เท้ายืนอยู่แล้วพูดว่า “ตวนมู่
เหล่า อย่าเสียเวลาอีก เตรียมตัวให้ท่านโหวน้อย
เร็ว”
ชายแก่นั่งบนเก้าอี้ ชายวัยกลางคนชี้ไปที่ชื่อตันเหมย
แล้วถามว่า “นายหญิง แล้วผู้หญิงคนนี้ล่ะ?”
ยายเฒ่าเหมียวพูดว่า “กว่านางจะฟืน้ คงอีกสักระยะ
ไม่ต้องไปสนใจนาง เตรียมให้ท่านโหวน้อยแช่ยาก่อน
เจ้าค่อยพานางออกไปจากป่าไผ่วิญญาณนี่ หลังจาก
นางฟื้นขึน้ มา อย่าให้นางจำได้ว่าเคยมาที่นี่ก็พอ”
ชายวัยกลางคนพูดว่า “น่าเสียดาย สวยขนาดนี้ หา
ยากจริงๆ ข้าอยู่มาจนป่านนี้ ไม่เคยเจอคนที่สวยมาก
ขนาดนี้มาก่อน ปล่อยไปแบบนี้ น่าเสียดายจริงๆ”
เขายื่นมือไปลูบหน้าของชื่อตันเหมย ยายเฒ่าเหมียว
พูดอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ชายวัยกลางคนหยุดมือ แล้วพูดว่า “นายหญิง
ปล่อยก็ต้องปล่อยไป ขอแตะสักหน่อยคงไม่เป็นไร
หรอกใช่ไหม?”
ยายเฒ่าเหมียวพูดว่า “หากนางคือชื่อตันเหมยจริง
เจ้าแตะต้องนาง ก็เท่ากับแตะต้องเจ้าเกาะไป๋อวิ๋
นด้วย ผู้หญิงในใต้หล้านี้มีมากมาย อย่าหาเรื่องใส่
ตัว” ถึงแม้น้ำเสียงจะค่อนข้างเย็นชา แต่ว่าน้ำเสียง
ของนางก็ฟงั รู้ว่ากลัวเจ้าเกาะไป๋อวิน๋ มาก
ชายแก่ตวนมู่เหล่าเดินมาข้างๆ ฉีหนิง แล้วก็ไอ ชาย
วัยกลางคนก็เดินมา ทั้งสองยกหัวท้ายของฉีหนิง
แล้วออกจากห้องไปพร้อมกับยายเฒ่าเหมียว ฉีหนิง
ไม่มีแรงจะขัดขืนเลย จุดตันเถียนของเขาถูกปิด
ตอนนี้พลังหกเทพประสานก็ใช้ไม่ได้ ในเวลานี้ ถือได้
ว่าอยู่อันตรายมาก ในหัวของเขาพยายามคิดหาวิธี
ตวนมู่เหล่าตามยายเฒ่าเหมียวไปถึงกระท่อมไม้ทาง
ด้านซ้ายอีกห้องหนึ่ง ยายเฒ่าเหมียวเปิดประตูแล้ว
เดินเข้าไปก่อน ทั้งสองหามฉีหนิงตามเข้าไป
วินาทีที่ประตูไม้เปิดออก ฉีหนิงก็ได้กลิ่นคาวเลือด
เมื่อถูกหามเข้าไปในห้อง กลิ่นคาวเลือดก็โชยเข้า
จมูกอย่างนัก ไฟถูกจุดสว่าง ยายเฒ่าเหมียวจุดไฟใน
ตะเกียง ฉีหนิงพบว่าภายในกระท่อมมีโต๊ะยาวตัว
หนึ่ง ข้างๆ มีถังไม้ขนาดใหญ่ บนโต๊ะไม้มีอยเลือด
แต่ว่ามันแห้งแล้ว รอยเลือดยาวจนถึงถังไม้ มันเห็น
แล้วน่าสะพรึงกลัวมาก
ภายในกระท่อมไม่เพียงมีกลิ่นคาวเลือด แต่ยังมีกลิ่น
ของสมุนไพรอื่นๆ อีก ฉีหนิงแอบถอนหายใจ เขารู้ว่า
นี่น่าจะเป็นห้องทดลอง
ทั้งสองคนวางฉีหนิงลงตรงรอยเลือดบนโต๊ะ ชายวัย
กลางคนหันแล้วเดินออกไป ยายเฒ่าเหมียวถือไม้เท้า
เดินวนรอบ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ท่าน
วางใจได้ วันนี้ท่านยังไม่ตายหรอก คืนนี้ข้าจะให้เจ้า
ได้แช่ยา พรุ่งนี้เช้าพวกเราถึงจะลงมือ แต่ว่าพวกเรา
จะยังไม่ทำให้ท่านถึงตายหรอกนะ อยู่มีประโยชน์
กว่ามาก อย่างน้อยสามวันท่านถึงจะขึ้นสวรรค์ไป...”
ฉีหนิงไม่โกรธกลับยิ้ม แล้วพูดว่า “ท่านเหมียว พอ
ท่านเตือนสติข้า ทำให้ข้านึกอะไรออก ขอถามท่าน
หน่อยตั้งแต่ข้าข้ามฟากมา มันนานเท่าไหร่แล้ว?”
ตวนมู่เหล่าพูดว่า “ท่านโหวน้อยอยากรู้ว่านานแค่
ไหน? ไม่นานหรอก ประมาณสามชั่วยาม”
ฉีหนิงพูดว่า “หลังจากออกมาจากเมืองลู่เฉิง ใช้เวลา
สามชั่วยามมาถึงท่าเรือ ตอนนี้ผ่านไปแล้วอีกสามชั่ว
ยาม รวมแล้วหกชั่วยาม แสดงว่าพวกเขาก็น่าจะ
มาถึงแล้ว”
ตวนมู่เหล่าตะลึงไป แล้วถามว่า “ใครจะมา?”
ฉีหนิงพูดว่า “ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะมาที่ป่าไผ่แล้ว
ในเมื่อไป๋อวี่เฮ่อให้คำมั่นสัญญาไว้แล้ว น่าจะไม่ผิด
สัญญา”
“ไป๋อวี่เฮ่อ?” ยายเฒ่าเหมียวรู้สึกตกใจขึ้นมา “เจ้า
รู้จักไป๋อวี่เฮ่อ?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านเหมียว ข้าเห็นว่า
ท่านก็อายุมากแล้ว ทำอะไรก็บุ่มบ่ามมากเกินไป
ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกท่านไปแล้ว แม่นางคนนี้เป็นคน
ของเกาะไป๋อวิ๋น ทำไมท่านถึงไม่ถามต่อ ข้าเป็นโหว
ของแคว้นฉู่ ทำไมถึงได้มาอยู่กับศิษย์ของเกาะ
ไป๋อวิ๋นได้? ข้ากับนางเป็นอะไรกัน ในเมื่อนางเป็น
ศิษย์ของเกาะไป๋อวิ๋น ทำไมถึงได้บาดเจ็บล่ะ?”
ยายเฒ่าเหมียวขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ใช่ ยายแก่
อย่างข้าละเลยไปเอง ท่านโหวน้อย บอกให้ข้ารู้
หน่อยจะได้ไหม?”
“ท่านอยากจะรู้จริงหรือ?”
ยายเฒ่าเหมียวพูดว่า “หากเจ้าบอกข้า ข้าจะให้เจ้า
ทรมานน้อยลงหน่อย ร่างกายของท่านโหวน้อยดุจดั่ง
ทองคำ ความทรมานบางอย่างท่านคงทนไม่ไหวแน่
ข้าจะตัดมันออกให้”
ฉีหนิงพูดว่า “ช่างเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็จะไม่
ปิดบังเจ้า ข้ากับแม่นางคนนั้นหนีออกมาจากเมืองลู่
เฉิง เพื่อหนีการไล่ล่าตัวจากไป๋อวี่เฮ่อ”
“ไป๋อวี่เฮ่อไล่สังหารพวกเจ้าอย่างนัน้ หรือ?” ยาย
เฒ่าเหมียวรู้สึกตกใจแล้วก็มึนงงมาก “เจ้าบอกว่า
ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนของเกาะไป๋อวิ๋นไม่ใช่หรือ?
ไป๋อวี่เฮ่อเองก็เป็นศิษย์ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น
เหมือนกัน ทำไมเขาต้องตามฆ่าคนสำนักเดียวกัน
ด้วย?”
ฉีหนิงยิ้มอย่างลำบากใจแล้วพูดว่า “ต้องโทษข้า ข้า
กับชื่อตันเหมย...พวกเจ้ารู้แล้วว่านางเป็นใคร นาง
เป็นศิษย์ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น นางเคยไปที่แคว้นฉู่มา
ก่อน ตอนนั้นข้าเห็นนางครัง้ แรกก็เกิดรักแรกพบ
แล้วก็เลยได้คบกับนาง...พอข้ามาถึงแคว้นฉี นางรู้ว่า
ข้ามา ก็เลยแอบมาหาข้า แล้วก็...”
“ชื่อตันเหมยถูกใจเจ้า?” ยายเฒ่าเหมียวพูด
ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องของชายหญิง คนแก่ของท่านคง
ไม่เข้าใจ บางครัง้ ถูกใจไปแล้ว ชอบกัน คนอื่นก็ไม่มี
ทางเข้าใจ เดิมข้ากับนางรักกันหวานชื่น ใครจะคิดว่า
ไป๋อวี่เฮ่อจะมาเห็นเข้า พวกเจ้ารู้ใช่ไหม ไป๋อวี่เฮ่อ
แอบชอบชื่อตันเหมย?”
ยายเฒ่าเหมียวกับตวนมู่เหล่ามองหน้ากัน ต่างมีสี
หน้าสงสัย
“ไป๋อวี่เฮ่อกับชื่อตันเหมยเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน
ไป๋อวี่เฮ่อรักชื่อตันเหมยมาตลอด ใครจะคิดว่าจะถูก
ข้าแย่งความรักนี้ไป” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ไป๋อวี่เฮ่อรู้สึกโกรธมาก ก็เลยจะฆ่าข้า แต่ว่าชื่อตัน
เหมยมาขวางฝ่ามือของเขาเอาไว้ อย่าถามข้าว่า
ทำไมเขาไม่ใช่กระบี่ เพราะข้าเองก็ไม่รู้ หรือว่าข้า
อาจจะไม่คู่ควรให้เขาใช้กระบี่ก็ได้ เขาทำร้ายชื่อตัน
เหมย เขารู้สึกเสียใจ ก่อนที่ชื่อตันเหมยจะสลบไป
นางบอกไป๋อวี่เฮ่อว่าห้ามทำให้ข้าต้องลำบากใจ
ไป๋อวี่เฮ่อเห็นแก่หน้าชื่อตันเหมย เลยฝืนรับปาก”
ฉีหนิงมองออกว่าพวกเขากลัวเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นมาก
เลยคิดจะลากเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นมาด้วย พวกเขารู้สึก
กลัวอยู่แล้ว การยื้อเวลาออกไปได้ แล้วรอให้ฟื้นฟู
พลังคืนมา จะจัดการคนพวกนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
“เจ้าหมายความว่าไป๋อวี่เฮ่อยังคิดฆ่าเจ้าอยู่หรือ?”
ตวนมู่เหล่าขมวดคิ้ว
ฉีหนิงพูดว่า “ไม่อย่างนั้นข้าจะพาชือ่ ตันเหมยหนีมา
เข้าป่ามาแบบนี้หรือ? ตอนนี้ผ่านไปแล้วหกชั่วโมง
เหลือเวลาแค่สองชั่วยามเท่านั้น เมือ่ เลยสองชั่วยาม
ไปแล้ว ไป๋อวี่เฮ่อก็จะไม่หาเรื่องข้าอีก เพียงแต่พวก
เจ้าเองก็น่าจะรู้ไป๋อวี่เฮ่อนิสัยผยอง เขาไม่มีทางยอม
แพ้แน่นอน?”
ฉีหนิงพูดอย่างจริงจัง เหมือนจริงมาก ยายเฒ่า
เหมียวเหมือนจะเริ่มลังเล ฉีหนิงพูดอีกว่า “พวกเจ้า
ฆ่าข้า ไป๋อวี่เฮ่ออาจจะไม่ทำอะไรพวกเจ้า แต่ว่าชื่อ
ตันเหมยจะปล่อยพวกเจ้าไปหรือ?” เขาหลับตาลง
แล้วถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ
ชื่อตันเหมย คิดให้ดีนะ”
ตวนมู่เหล่าพูดอย่างสงสัยแล้วพูดว่า “มีเรื่องแปลก
แบบนีเ้ ลยหรือ?”
ยายเฒ่าเหมียวส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เขาโกหก ชื่อตัน
เหมยไม่ได้มีอะไรกับเขา เขาหลอกข้าไม่ได้หรอก
เมื่อกี้ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ชื่อตันเหมย ชื่อตันเหมยยัง
เป็นหญิงพรหมจรรย์อยู่ นางไม่เคยมีอะไรกับผู้ชาย
มาก่อน ในเมื่อมีเรื่องส่วนตัวกัน ชื่อตันเหมยทำไมยัง
เป็นหญิงพรหมจรรย์อยู่ล่ะ?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 633 โลกนี้มันกลมนัก
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเหมียวอายุมากแล้ว แต่
กลับรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี” เขาพูดอย่างจนใจแล้วพูด
ว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอพูดตรงๆ เลยนะ ข้าเองก็
อยากจะทำเรื่องอย่างว่าให้เสร็จ แต่ว่าชื่อตันเหม
ยกลัวท่านเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นมาก นางบอกข้าว่า หาก
ท่านเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นไม่รับปากเรื่องการแต่งงานของ
เรา นางก็จะไม่ยอมมีอะไรกับข้าเด็ดขาด ข้าเองก็จน
ใจ”
ยายเฒ่าเหมียวเชื่อครึง่ ไม่เชื่อครึ่ง ในตอนนี้เอง ชาย
วัยกลางคนก็รบี เดินเข้ามา แล้วพูดว่า “นายหญิง มี
คนเข้ามาในป่าไผ่”
ยายเฒ่าเหมียวกับตวนมู่เหล่าหน้าถอดสี ตวนมู่เหล่า
พูดว่า “หรือว่าไป๋อวี่เฮ่อจะตามมาจริงๆ?” เขาถาม
ว่า “มากันกี่คน?”
ชายวัยกลางคนพูดว่า “เห็นเป็นเงาสองคน กำลังมา
ทางนี้”
ตวนมู่เหล่ารีบดับไป แล้วหยิบของยัดใส่ปากของฉี
หนิง แล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ท่านคิดจะมีชีวิตได้
นานกว่านี้ ก็เชื่อฟังเรา” เหมือนเขานึกอะไรขึ้นมาได้
เขาพูดกับชายวัยกลางคนว่า “ชื่อตันเหมยยังอยู่ใน
ห้องนั้น ไปเอาตัวชื่อตันเหมยออกมาจากที่นั่น”
ยายเฒ่าเหมียวพูดว่า “หากเจากล้าทำอะไรกับชื่อ
ตันเหมย อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้านะ”
ชายวัยกลางคนรีบพูดว่า “ไม่กล้า ไม่กล้า” เขารีบ
ออกไปอย่างรวดเร็ว ตวนมู่เหล่าเองก็ตามออกจาก
ห้องไป แล้วปิดประตู ยายเฒ่าเหมียวรีบเดินไปลง
กลอน ภายในห้องมืดมาก ฉีหนิงถูกอุดปากไว้ พูด
อะไรไม่ได้ เมื่อเห็นยายเฒ่าเหมียวเดินไปยืนอยูท่ ี่ริม
หน้าต่าง หน้าต่างเองก็ใช้ไม้กั้น แต่ว่าไม้นั่นยังมีร่อง
ร่องนั่นสามารถมองเห็นข้างนอกได้ ฉีหนิงคิดว่าอย่า
บอกนะว่าก่อนที่เขาจะมาที่นี่ ตวนมู่เหล่าก็หลบอยู่
ตรงนี้
ดึกแล้วบรรยากาศเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียง
ดังมาจากข้างนอกว่า “ไม่ทราบท่านเหมียวอู๋จี๋อยู่
บ้านหรือเปล่า?” มันเป็นเสียงของคนหนุ่ม ฉีหนิงได้
ยินเสียงนั่น ก็ถงึ กับสะดุ้ง
เมื่อได้ยินตวนมู่เหล่าก็ไอสองที แล้วพูดว่า “ท่านทั้ง
สองเป็นใคร? มาหาท่านเหมียวเพราะอะไร?”
ชายหนุ่มพูดว่า “ท่านคือท่านเหมียวหรือ?
ตะวันออกเหมียวตะวันตกหลี สองหมอเทวดาในใต้
หล้า ผู้น้อยขอคารวะ...”
“อย่าเพิ่งรีบร้อน” ตวนมู่เหล่าพูดว่า “ไต้ซือน้อย
ท่านนี้ ข้าไม่ใช่ท่านเหมียวหรอก ท่านเหมียวออก
เดินทางไปเมื่อหลายวันก่อนแล้ว อีกสักสองสามวัน
ถึงจะกลับมา ข้าเป็นแค่คนรับใช้ที่ยกน้ำชาให้ท่าน
เท่านั้น”
ฉีหนิงคิดในใจว่าไม่แปลกใจเลยที่ตวนมู่เหล่าจะถูก
เข้าใจผิดว่าเป็นท่านเหมียว ชื่อจริงของยายเฒ่า
เหมียวคือเหมียวอู๋จี๋ จากชื่อ ใครก็คดิ ว่าเป็นผู้ชาย ไม่
เคยเจอหน้า คงไม่มีใครนึกถึงว่าเป็นยายแก่
อัปลักษณ์คนหนึ่งหรอก เพียงแต่ตะวันออกเหมียว
ตะวันตกหลี ฟังแล้วเหมือนว่าวิชาแพทย์ของ
เหมียวอู๋จี๋จะเทียบกับหลีซีกงได้ แต่ว่าด้านนิสัย ทั้ง
สองคนก็ห่างชั้นกันเกินไป
ชายหนุ่มยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้อย่างนี้นี่เอง ท่านผู้เฒ่า
ท่านผู้นี้เป็นอาจารย์ของข้า ท่านบาดเจ็บมา ได้ยินมา
ว่าท่านเหมียววิชาแพทย์ล้ำเลิศ เลยตั้งใจมาให้ท่าน
รักษา”
“พวกท่านหาที่นี่เจอได้ยังไง?” ตวนมู่เหล่าถาม
ชายหนุ่มพูดว่า “คนที่อาจารย์อยากจะพบ ไม่เคย
ไม่ได้พบ ท่านผู้เฒ่า ท่านเหมียวจะกลับมาอีกสองวัน
อย่างนั้นหรือ?”
ตวนมู่เหล่าพูดว่า “ถูกต้อง หากท่านทั้งสองอยากจะ
ให้ท่านตรวจรักษาให้ คิดว่าอาจจะต้องรอหลายวัน
สักหน่อย แต่ว่าหากบาดเจ็บแค่เล็กน้อย ข้าคงต้อง
ขอให้พวกท่านไปหาหมอคนอื่น จะได้ไม่เสียเวลา
ท่านบอกว่าอีกสองวันจะกลับมา แค่พูดไปอย่างนั้น
แต่จะกลับมาเมื่อไหร่นั้นไม่รู้แน่ชัด ข้าเองก็ไม่อาจ
มั่นใจได้”
“ไม่ต้องพูดมาก” เสียงหยาบอีกคนพูดขึ้นมา
“เหมียวอู๋จี๋ไปไหน? ในเมื่อข้ามาแล้ว ก็ต้องพบเขาให้
ได้”
ตวนมู่เหล่าพูดว่า “ท่านผู้นี้นิสัยใจร้อน หากท่านไม่
สบาย ก็ควรจะสงบใจลงถึงจะดีนะ อาการจะได้ไม่
หนักขึ้น” เขาหยุดไป แล้วพูดขึ้นมาว่า “ท่านเหมียว
ไม่อยู่ ท่านทั้งสองเดินทางมาไกล ตอนนี้ก็ดึกมาก
แล้ว ห่างจากที่นี่ไปไม่ถึงสิบลี้ไม่มีโรงเตี๊ยมเลย หาก
ไม่รังเกียจ คืนนี้กพ็ ักที่นี่ ทางนั้นมีกระท่อมร้างอยู่
ห้องหนึ่ง ท่านทั้งสองไปพักทีน่ ั่นก่อนก็ได้”
“ถ้าเช่นนั้นรบกวนท่านผูเ้ ฒ่าแล้ว” ชายหนุ่มพูด
ขอบคุณ แล้วพูดอีกว่า “อาจารย์ พวกเราจะพักที่นี่
ก่อนหรือไม่
“เหมียวอู๋จี๋กลับมาเมื่อไหร่ เราก็รอถึงตอนนั้น” เขา
พูดอีกว่า “ที่นี่มีอะไรให้กินไหม เตรียมอาหารให้เรา
หน่อย” ถึงแม้เขาจะมาเพื่อขอร้องให้ช่วย แต่
น้ำเสียงของเขาดูเย่อหยิ่งมาก ไม่ได้มีมารยาทเลย
ตวนมู่เหล่าพูดว่า “ไต้ซือน้อย ท่านเป็นนักบวช คง
กินของคาวไม่ได้ ไม่ทราบว่าอาจารย์ของท่านกินของ
คาวหรือไม่? หากไม่ได้ ข้าจะได้ทำอาหารเจมาให้”
คนเสียงหยาบพูดว่า “ข้าไม่กินอาหารเจ แล้วก็ไม่ใช่
หลวงจีนด้วย มีปลามีเนื้ออะไรก็เอา แล้วข้าค่อย
จ่ายเงินให้เจ้าทีหลัง”
ชายหนุ่มพูดว่า “ท่านผู้เฒ่า อาจารย์ไม่ใช่นักบวช
ส่วนข้าก็ศึกออกมานานแล้ว ไม่ใช่นักบวชอีกแล้ว”
ตวนมู่เหล่าพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ท่านทั้งสองตาม
ข้ามา” เมื่อฟังจากเสียง ก็เหมือนจะเดินไปทางห้อง
ที่ชื่อตันเหมยเคยอยู่
ฉีหนิงได้ยินทุกอย่างจากในกระท่อมไม้ เสียงของทั้งคู่
คุ้นหูมาก เริ่มแรกเขายังไม่มั่นใจ เมื่อได้ยินเสียง
หลังจากนั้น เขาก็ไม่สงสัยอะไรอีก เขาตกใจมาก
แอบคิดในใจว่าทัง้ สองคนกลายมาเป็นศิษย์อาจารย์
กันได้ยังไง แล้วทำไมถึงเดินทางมาจากแคว้นฉู่ได้
ยังไง?
จากเสียง สองคนนั้นก็คือมู่เย่อ๋องกับฉีอวี้แน่นอน
มู่เย่อ๋องถูกวัดต้ากวงหมิงขังมาสิบแปดปี แต่จู่ๆ ก็
หลุดออกมาจากที่กุมขัง เขาทำให้วัดต้ากวงหมิง
วุ่นวายหนักมาก สิบอรหันต์ของวัดต้ากวงหมิง
ร่วมมือกัน ยังทำอะไรมู่เย่อ๋องไม่ได้เลย จนกระทั่ง
เจ้าอาวาสวัดต้ากวงหมิงคงฉานไต้ซือต้องลงมือเอง
ตอนนั้นฉีหนิงก็อยู่ด้วย เขาเห็นมู่เย่อ๋องจับตัวฉีหนิง
ออกจากตำหนักกวงหมิง แต่ว่าหลังจากนั้นก็ไม่ได้
ข่าวของม่เย่อ๋องกับฉีอวี้อีกเลย
ฉีหนิงคิดมาตลอดว่ามู่เย่อ๋องจะถูกจับขังที่วัดต้ากวง
หมิงใหม่ไหม วัดต้ากวงหมิงเหมือนเป็นแคว้นเล็กๆ
แคว้นหนึ่ง ภายในวัดเกิดเรื่องขึ้น พวกเขาปิดข่าว
หนาแน่นมาก ไม่ได้ให้หลุดออกมาภายนอกเลย
หลังจากวันนั้นฉีหนิงก็ไม่ได้ขึ้นเขาไป เขาไม่รู้ว่าผล
สุดท้ายแล้วเป็นยังไง
แต่วันนี้กลับได้ยินเสียงของสองคนนี้ เขารู้สึกตกใจ
มาก เดิมเขาคิดว่าหลังจากมู่เย่อ๋องจับตัวฉีอวี้ไปแล้ว
มู่เย่อ๋องอาจจะโกรธมาก อาจจะลงมือเอาชีวิตฉีอวี้ก็
ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาสองคนจะมาที่นี่ด้วยกัน
ฉีอวี้ยังเรียกมู่เย่อ๋องว่าอาจารย์อีก มันไม่น่าเชื่อเลย
เขารู้สึกสงสัย ยายเฒ่าเหมียวยืนอยูร่ ิมหน้าต่าง
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก
ตวนมู่เหล่าเดินเข้ามา แล้วรีบปิดประตู ยายเฒ่า
เหมียวพูดเสียงเบาๆ ว่า “พวกเขาเป็นใคร?”
“ไม่รู้เหมือนกัน” ตวนมู่เหล่าพูดว่า “ชายหนุ่มนั่น
เหมือนหลวงจีน บนหัวของเขามีรอยธูป แต่เขาบอก
ว่าเขาศึกแล้ว ส่วนตาแก่ผมยุ่งนั่น เหมือนขอทาน
แต่กำลังภายในของเขาสูงมาก”
“เป็นยอดฝีมือหรือ?” ยายเฒ่าเหมียวเครียดมาก
ตวนมู่เหล่าพูดว่า “หลวงจีนน้อยนัน่ ท่าทางการเดิน
เบา น่าจะรับมือได้ง่าย แต่ว่าตาแก่นั่นไม่ใช่คน
ธรรมดแน่นอน เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” เขาหยุดไป
แล้วพูดว่า “ข้าเหลือบไปเห็นชีพจรที่มือของเขา มัน
ไม่ปกติ เหมือนใกล้เคียงกับเส้นชีพจรสวรรค์เลย”
ยายเฒ่าเหมียวรู้สึกตกใจมาก “มีคนใกล้เส้นชีพจร
อีกคนแล้วหรือ?”
ตวนมู่เหล่าพูดว่า “ข้าพยายามตั้งใจมอง มือของเขา
เหมือนจะโผล่ออกมา ดูไม่ผิดหรอก ท่านเหมียว
สอบกว่าปีที่ผ่านมาเราไม่เจอคนที่มีเส้นชีพจรสวรรค์
เลยแม้แต่คนเดียว แต่วันนี้ วันเดียวกลับเจอถึงสอง
คน หากเราจับตาแก่นั่นได้ เราก็จะมีวัตถุดิบถึงสอง
คน เราจะต้องทำสำเร็จแน่นอน”
“จุดไฟตะเกียงนัน่ แล้วหรือยัง?” ยายเฒ่าเหมียวถาม
ตวนมู่เหล่าพูดว่า “จุดแล้ว พวกเขาไม่มีทางรู้ตัว
ท่านเหมียว ข้าจะไปเตรียมอาหารให้พวกเขาก่อน
เราจะต้องใส่อะไรในอาหารด้วยไหม?”
ยายเฒ่าเหมียวลังเล ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หากไฟ
ตะเกียงนัน่ ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ลงมือกับอาหารก็
ทำอะไรพวกเขาไม่ได้เหมือนกัน สองคนนีเ้ ป็นใครก็
ไม่รู้ หากถูกจับได้ขึ้นมา มันจะแย่” นางคิดแล้วพูด
ว่า “ตะเกียงพิษนั่นข้าใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้มันมา
ไม่น่ามีปัญหาอะไร โหวน้อยของเรายังถูกเราจับได้
เลยจริงไหม?”
ตวนมู่เหล่าพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไปเตรียมอาหารให้
พวกเขาก่อน ตะเกียงพิษนัน่ กว่าจะออกฤทธิ์ก็ต้องรอ
อีกครึ่งชั่วยาม ถึงเวลานั้นเราก็ได้เนือ้ ก้อนใหญ่มา
อีก” เขาไม่พูดอะไรอีก หันหน้าแล้วเดินออกจาก
ประตูไป จากนั้นก็รบี ปิดประตู
ฉีหนิงรู้ดีว่าพิษนั่นร้ายกาจแค่ไหน คิดในใจว่ามู่เย่
อ๋องคงต้องตกอยู่ในมือของพวกเขาแน่ เขาแปลกใจ
ว่า ยายเฒ่าเหมียวหาคนที่มีชีพจรประหลาด เพื่อ
อะไรกัน?
ภายในป่าไผ่มืดมาก รอบๆ เงียบสงบ ฉีหนิงถูกจับ
มัดเอาไว้ อีกทั้งยังถูกพิษ ตอนนี้ขยับตัวไม่ได้เลย มืด
แบบนี้มันอันตรายมาก ยายเฒ่าเหมียวต้องการนำ
เขามาทดลอง แต่ว่าหากฉีอวี้มาเจอเขา พวกเขาไม่
ถูกกัน อาจจะไม่เกรงใจเขาก็ได้ ต่อให้ไป๋อวี่เฮ่อจะ
ตามมาทัน คิดว่าเขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เย่อ๋อง
เวลาผ่านไป หลังจากนั้นสักพัก ประตูก็ถูกเปิดออก
ตวนมู่เหล่าเปิดประตูเข้ามา เขาพูดอย่างดีใจว่า
“ท่านเหมียว สำเร็จแล้ว ถึงแม้ตาเฒ่านั่นจะกำลัง
ภายในแก่กล้า แต่ว่าเขาก็ต้านตะเกียงพิษของเรา
ไม่ได้ เขากับหลวงจีนน้อยต่างก็ถูกพิษ ตอนนี้นอน
กองอยู่ที่พนื้ ”
ยายเฒ่าเหมียวหัวเราะแปลกๆ แล้วพูดว่า “เขาจะ
มีวรยุทธ์ร้ายกาจแค่ไหนก็ช่าง เมื่อเขามาที่ป่าไผ่
วิญญาณของข้าแล้ว จะเป็นจะตายอยู่ในกำมือของ
ข้า” นางเดินไปที่หน้าประตู เหมือนจะออกไป ทันใด
นั้นเองก็เหมือนคิดอะไรขึ้นได้ นางหันกลับมา แล้ว
เดินมาที่ริมโต๊ะ แล้วพูดว่า “เกือบลืมท่านโหวน้อยไป
เลย ท่านโหวน้อย ข้ากลัวว่าท่านจะเหงา เลยหา
เพื่อนมาให้ท่านด้วย ข้ารับปากท่านไว้ก่อนหน้านี้ว่า
ข้าจะให้ท่านได้เห็นว่ายายแก่อย่างข้าจะทำอะไร อีก
เดี๋ยวข้าจะลงมือกับตาเฒ่านั่นก่อน ให้ท่านเห็นเต็ม
ตาเลย” นางยกมือขึ้นมา ตอนนี้มืดมาก ฉีหนิงมอง
ไม่เห็นว่านางจะทำอะไร แต่เขารู้สึกเจ็บที่แขน
จากนั้นก็เจ็บที่ขา พริบตาเดียว แขนขาของเขาก็รู้สึก
ชา ไม่มีความรู้สึกอะไรอีก
ก่อนหน้านี้ถูกพิษจนมึน เพียงแต่รู้สกึ ไร้เรี่ยวแรง แต่
ยังมีความรู้สึกอยู่ แต่ตอนนี้ ยายเฒ่าปีศาจทำอะไร
กับแขนขาเขาก็ไม่รู้ ทำให้ฉีหนิงไม่รู้สึกอะไรเลย
“ท่านโหวน้อย ข้ารู้ว่าท่านร้ายกาจแค่ไหน” ยายเฒ่า
เหมียวพูดว่า “ข้าไม่เป็นวรยุทธ์ หากท่านฟื้นกำลัง
มาได้เมื่อไหร่ ข้าคงตายแน่ เลยจำเป็นต้องล่วงเกิน”
นางหัวเราะแปลกๆ แล้วออกจากประตูไปพร้อมกับ
ตวนมู่เหล่า
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 634 คนชั่วก็ต้องถูกคนชั่วทรมาน
กลิ่นคาวเลือดกับยาผสมกันไปหมด กลิ่นมันโชยอยู่
ทั่วห้อง กลิ่นแบบนี้มันทำให้คนรู้สึกแน่นหน้าอก
ทรมานมาก
ฉีหนิงคิดอยากจะเดินลมปราณจากจุดตันเถียนออก
มา แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ทำไม่สำเร็จ ไม่นานนัก ก็
ได้ยินเสียงเปิดประตู ยายเฒ่าเหมียวเดินเข้ามาใน
ห้อง จุดไฟ ตวนมู่เหล่ากับชายวัยกลางคนนั่นหามคน
เข้ามาคนหนึ่ง ฉีหนิงเหลือบไปมอง เห็นคนผู้นั้นใส่
เสื้อผ้าเก่าๆ ผมยุ่ง มีหนวดเครารุงรัง โครงใหญ่ แต่
ว่าร่างกายซูบผอม เขาคือมู่เย่อ๋อง
ฉีหนิงแอบถอนหายใจ มู่เย่อ๋องร้ายกาจแค่ไหนที่
วัดต้ากวงหมิง สิบอรหันต์ยังทำอะไรเขาไม่ได้เลย
เขาเป็นยอดฝีมือขึ้นสูง แม้แต่คงฉานไต้ซือก็ยังจับเขา
ไม่ได้เลย แต่ว่าสุดท้ายแล้วกลับมาพ่ายแพ้ให้กับคน
ชั่วเล็กๆ ไม่กี่คน คิดว่ามู่เย่อ๋องคงโกรธมากกว่าเขา
แน่นอน
ตวนมู่เหล่าไม่ได้เกรงใจอะไรกับมู่เย่อ๋องเลย เขาทิง้
เขาไว้แบบนัน้ ชายวัยกลางคนพูดว่า “ข้ากับตวนมู่
เหล่ารอมาตั้งหลายปี เจอแต่ปลาเล็กปลาน้อย วันนี้
กลับได้ปลาตัวใหญ่มาตั้งสองตัว โชคดีจริงๆ”
มู่เย่อ๋องลืมตาขึ้นมา ถึงแม้จะตกหลุมพราง แต่สีหน้า
ของเขานิ่งเหมือนเดิม เขาถามเสียงเข้มว่า “ใครคือ
เหมียวอู๋จี๋?”
ยายเฒ่าเหมียวถือไม้เท้าเดินขึ้นหน้ามาสองก้าว นาง
หัวเราะแล้วพูดว่า “ยายแก่อยู่นี่แล้ว เจ้าหาข้า
หรือ?”
มู่เย่อ๋องมองไปแล้วพูดว่า “เจ้าคือเหมียวอู๋จี๋? เป็น
หมอเทวดาที่มีชื่อเสียงเหมือนกับเจ้าคนแซ่หลีที่ซี
ชวนหรือ?”
ชายวัยกลางคนพูดว่า “เจ้าหมายถึงหลีซีกงหรือ?
ความสามารถของหลีซีกงเป็นยังไง เราไม่รู้หรอกนะ
อาจจะมีแค่ชื่อปลอมๆ ก็ได้ ต่อให้มีความสามารถ
จริง จะมาเทียบกับนายหญิงของเราได้ยังไงกัน?”
มู่เย่อ๋องไม่พูดมากกับเขา เขาพูดไปตามตรง
“เหมียวอู๋จี๋ ข้าบาดเจ็บมา เจ้ารักษาข้า ข้าจะปล่อย
เจ้าไป ไม่อย่างนัน้ ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิน้ ๆ”
เหมียวอู๋จี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านนี้พูดจาใหญ่โตโอ้อวด
ดีจัง” นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพียงแต่ทั่งชีวิต
ของยายแก่อย่างข้า คิดจะทำอะไรก็ทำ ไม่เคยถูกใคร
บังคับมาก่อน หากใครดีกับข้า ข้าก็จะดีด้วย แต่ว่า
หากใครมาอวดดีต่อหน้าข้า ข้าก็จะไม่ค่อยพอใจ”
มู่เย่อ๋องพูดว่า “ที่ข้ามาหาเจ้า ไม่ได้มาเพื่อฆ่าคน แต่
มาเพื่อรักษาตัว เดิมทีหากเจ้ารักษาข้าหาย ข้าจะ
รับปากทำอะไรให้เจ้าเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะฆ่าคน หรือ
ว่าจะเอาอะไรก็ได้ ข้าจะทำให้หมด แต่ว่าพวกเจ้า
กลับวางยาพิษทำร้ายข้า ข้าเองก็ไม่พอใจเหมือนกัน
ตอนนี้ขอแค่รักษาข้าหาย พวกเจ้าถึงจะรอด”
ชายวัยกลางคนด่าไปว่า “เจ้าปากสุนัข จะตายอยู่
แล้วยังพูดมากอีก อีกเดี๋ยวตัดลิ้นเจ้าก่อนเลย ให้เจ้า
พูดอะไรไม่ได้” เขายกขาถีบไปที่เอวของมู่เย่อ๋อง
แรงที่ใช้ก็มากพอตัว หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงร้อง
พวกเขาเห็นวินาทีที่ชายวัยกลางคนถีบไปที่มู่เย่อ๋อง
เขาก็ปลิวออกไปอย่างรุนแรง เหมือนเขาชกลูกบอล
แล้วเด้งออกไป
ตวนมู่เหล่ากับยายเฒ่าเหมียวหน้าถอดสี ชายวัย
กลางคนปลิวออกไปนอกหน้าต่าง “เพล้ง” เขาชน
หน้าต่างลอยออกไปข้างนอก
วินาทีที่ชายวัยกลางคนลอยออกไปนอกหน้าต่าง มู่เย่
อ๋องก็ดีดตัวขึ้นมา ตวนมู่เหล่าปฏิกิริยาไวมาก วินาที
ที่มเู่ ย่อ๋องดีดตัวขึ้นมา ตวนมู่เหล่ามือขวาซัดออกไป
นิ้วทั้งห้าพุ่งไปที่หน้าของมู่เย่อ๋อง มู่เย่อ๋องเอียงตัว
หลบไปด้านข้าง มือซ้ายของเขาซัดฝ่ามือตอบกลับมา
ตวนมู่เหล่าได้ยินเสียง ก็อยากจะหลบ แต่มันก็ไม่ทัน
แล้ว มู่เย่อ๋องวรยุทธ์ร้ายกาจแค่ไหน เขาโจมตีไปที่
ไหล่ของตวนมู่เหล่า ตวนมู่เหล่าถึงได้ถอยหลังไปถึง
สามก้าว แต่ว่าวรยุทธ์ของเขาประหลาดมาก ถึงแม้
ร่างกายของเขาจะถอยหลังมา แต่ว่ามือของเขากลับ
พุ่งไปด้านหน้า กระบวนท่ามันพิสดารมาก มู่เย่อ๋อง
เองก็แอบแปลกใจ เขาพูดว่า “น่าสนใจ” เขาซัดมือ
ซ้ายของเขาออกมา ตวนมู่เหล่าได้ยินเสียงแปลกๆ
มันเหมือนเสียงลมจากฝ่ามือ เหมือนลมจากหมัด
เลยรีบป้องกัน แต่ว่าที่ไหล่ถูกมู่เย่อ๋องโจมตี ทำให้
กำลังของเขานั้นลดลง เขาทนแทบไม่ไหว เขาถอย
หลังไปอีกสามสี่ก้าว แล้วก็ร้องออกมา จับไปที่ไหล่
ของเขา สีหน้าของเขาดูเจ็บปวดมาก
ยายเฒ่าเหมียวตกใจมาก เขายืนอยูข่ ้างตวนมู่เหล่า
เขามองไป แล้วพูดว่า “กระ...กระดูกของเจ้าแตก
แล้ว เป็นหมัดที่ร้าย...ร้ายกาจมาก”
หลังจากที่มู่เย่อ๋องทำการสำเร็จ เขาก็ไม่บุกอีก เขา
พูดว่า “แค่กระดูกแตกเจ้าก็ทนไม่ไหวแล้ว ทำให้ข้า
ผิดหวังจริงๆ ในใต้หล้านี้ คนที่ได้ชื่อว่ายอดฝีมือ มัน
ก็มีแต่ชื่อเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง”
ยายเฒ่าเหมียวฝืนนิ่งแล้วพูดว่า “ท่านเป็นใครมา
จากไหนกัน? ทำไม...ทำไมพิษของตะเกียงถึงทำอะไร
ท่านไม่ได้?”
มู่เย่อ๋องพูดว่า “เหมียวอู๋จี๋ ในเมื่อเจ้าเป็นหมอเทวดา
เจ้าก็น่าจะเคยได้ยินถ้ำหมื่นพิษแห่งหนานเจียงสินะ”
ยายเฒ่าเหมียวตกใจมาก นางพูดว่า “เจ้า...เจ้าเป็น
คนของถ้ำหมื่นพิษงัน้ หรือ?”
มู่เย่อ๋องพูดว่า “ข้ามาจากหนานเจียง คุ้นเคยกับถ้ำ
หมื่นพิษเป็นอย่างดี ถ้ำหมื่นพิษเป็นสำนักอันดับหนึ่ง
ของหนานเจียง วิธีการใช้พิษร้ายกาจ พวกเขาใช้พิษ
มาแล้วมากมาย พวกเจ้าเองก็อาจจะไม่รู้ไม่เคยได้ยิน
มาก่อน ในเมื่ออยู่ในสายการแพทย์ ก็น่าจะเอาดีทาง
นั้นไป แต่เจ้ากลับมาใช้กับยาพิษ เจ้าคิดว่าจะชนะถ้ำ
หมื่นพิษได้ยังไง?”
ฉีหนิงเคยได้ยนิ ราชาพิษชิวเฉียนอี้พดู ว่า ถ้ำหมื่นพิษ
เป็นสำนักอันดับหนึ่งของหนานเจียง พวกเขาก่อตั้ง
มากว่าร้อยปีไม่เคยตกอับเลย หลังจากที่สำนักหยวน
โต้วของจงหยวนล้มสลายไป มีกลุ่มหนึ่งหนีไปไกลถึง
หนานเจียง แล้วเกิดปะทะกับกลุ่มของถ้ำหมื่นพิษ
สุดท้ายพ่ายแพ้ จนชื่อเสียงหายไปในท้ายที่สุด
วิชารอยฝ่ามือเลือดของมู่เย่อ๋อง มันคือหนึ่งในสี่สุด
ยอดวิชาของนักพรคชางเฮ่าแห่งสำนักหยวนโต้ว ฉี
หนิงสงสัยว่ามู่เย่อ๋องอาจจะเป็นหนึ่งในสายของ
สำนักหยวนโต้ว ได้นี้พอได้ยินเขาพูดถึงถ้ำหมื่นพิษ
อีกทั้งได้ยินว่าเคยไปมาหาสู่มาก่อน ในใจก็สงสัยว่า
เขาน่าจะเป็นคนของสำนักหยวนโต้วแน่นอน
สำหรับฉีหนิงแล้ว มู่เย่อ๋องเป็นปริศนา ในเมื่อเขามา
จากหนานเจียง แต่กลับมาฆ่าคนบริสุทธิ์ถึงจงหยวน
เพื่อตามหาเป่ยกงเหลียนเฉิง? หรือว่าเป่ยกงเหลียน
เฉิงจะเคยมีความแค้นอะไรกับสำนักหยวนโต้ว?
เพียงเสี้ยววินาที มู่เย่อ๋องทำร้ายคนไปถึงสองคน ชาย
วัยกลางคนลอยออกนอกหน้าต่างไป ไม่ขยับตัวอีก
เลย ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย มีเพียงตวนมู่เหล่าที่ถึงแม้วร
ยุทธ์ของเขาจะไม่ได้แย่ แต่ว่าเขาก็สู้กับมู่เย่อ๋องได้ไม่
เกินสามกระบวนท่า ยายเฒ่าเหมียวรู้สึกกลัวมาก
สายตาที่มีเพียงข้างเดียวของนางหวาดกลัวเป็นที่สุด
แต่ว่านางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ท่านก็สนิทสนมกับ
ถ้ำหมื่นพิษนี่เอง มิน่าพิษอะไรก็ไม่เข้า ข้านับถือ
จริงๆ”
มู่เย่อ๋องพูดว่า “เส้นชีพจรทีจ่ ุดหยางเหยา กับจุด
หยินเวยจะปวดทุกวันตอนเทีย่ ง ทำให้จุดอื่นๆ
ทรมานไปด้วย ต้องรักษายังไง?”
ยายเฒ่าเหมียวพูดว่า “เส้นชีพจรทีจ่ ุดหยางเหยากับ
จุดหยินเวยถือเป็นหนึ่งในแปดเส้นชีพจรพิเศษ เส้น
ชีพจรแปดเส้นนี้ไม่ถือเป็นเส้นหยินหรือหยาง ไม่ได้มี
ส่วนเกี่ยวข้องกับอืน่ ๆ สำหรับคนฝึกยุทธ์แล้ว ถือว่า
สำคัญมาก ท่านปวดที่เส้นชีพจรทั้งสองจุกนี้ แสดง
ว่ามันเสียหายมาก ไม่ทราบว่าตอนที่มีอาการ ท่านมี
อาการร้อนหรือว่าหนาว?”
มู่เย่อ๋องพูดว่า “เวลาที่ปวด จะร้องเหมือนไฟเผา”
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าท่านถูกกำลังภายในฉุนหยางทำ
ร้ายมา” ยายแก่เหมียวพูดว่า “วรยุทธ์ของท่านร้าย
กาจขนาดนี้ ไม่ทราบว่าไปถูกผู้ใดทำร้ายมา?”
มู่เย่อ๋องตอบกลับอย่างไม่พอใจว่า “ข้าแค่ต้องการให้
เจ้ารักษาข้า ไม่ได้ให้เจ้ามาถามให้มากความ”
ฉีหนิงรู้เรื่องนี้แล้ว ด้วยวรยุทธ์ของมู่เย่อ๋อง แม้แต่สิบ
อรหันต์ยังทำอะไรเขาไม่ได้ ในโลกใบนี้คงมีไม่กี่คนที่
ทำร้ายเขาได้ หากเดาไม่ผิด เขาจะต้องถูกคงฉานไต้
ซือของวัดต้ากวงหมิงทำร้ายแน่นอน มันผ่านมาเกือบ
เดือนแล้ว มู่เย่อ๋องรู้สึกว่าเขาทนไม่ไหว ถึงได้
เดินทางมาตามหาท่านเหมียวถึงที่นี่
ตะวันออกเหมียวตะวันตกหลี หมอเทวดาสองคนใน
ใต้หล้านี้ มู่เย่อ๋องลงทุนลงแรงเดินทางมาตามหา
เหมียวอู๋จี๋
ยายเฒ่าเหมียวพูดว่า “ใช่ว่าข้าอยากจะถามให้มาก
ความ เพียงแต่หากรู้ว่าใครเป็นคนลงมือแล้ว ข้าก็จะ
ใช้ยาได้แม่นยำมากขึ้น จะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาด”
มู่เย่อ๋องพูดว่า “คงฉานแห่งวัดต้ากวงหมิง”
ยายเฒ่าเหมียวตะลึงไป นางรู้สึกแปลกใจ แต่ก็รีบ
พยักหน้า “ด้วยวรยุทธ์ของท่าน ก็คงมีเพียงคงฉาน
ไต้ซือที่มีความสามารถจะทำร้ายท่านได้ ศาสตร์วร
ยุทธ์ของวัดต้ากวงหมิง เป็นศาสตร์ชีพจรแท้ในใต้
หล้า คงฉานไต้ซือเป็นเจ้าอาวาสวัดต้ากวงหมิง การ
ฝึกฝนของเขาไม่ธรรมดา” นางคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูด
ว่า “หากต้องการรักษาเส้นชีพจรสองเส้นนี้ ไม่ใช่
เรื่องยาก กำลังภายในของท่านแก่กล้ามาก น่าจะ
ง่าย ข้ามียารักษาแผลภายใน แต่ว่ากังวลว่ามันจะทำ
ให้จุดชีพจรอื่นๆ บาดเจ็บไปด้วย ดังนั้นท่านต้องสกัด
ปิดจุดชีพจรอื่นไม่ให้เชื่อต่อกับเส้นชีพจรสองเส้นนี้”
“สกัดปิดจุดชีพจร?”
ยายเฒ่าเหมียวพูดว่า “ใช้แผ่นทองแดงแทรกไปที่
เส้นชีพจรทัง้ สองเส้น กัน้ เส้นชีพจรสองเส้นนี้กับชีพ
จรอีกสิบสองจุดกับเส้นชีพจรอีกหกเส้นแยกออกจาก
กัน จากนั้นก็ฝังเข็มไปทีเ่ ส้นชีพจรนัน้ ก่อนจะฝังเข็ม
ให้ทายาที่ปลายเข็ม ทำอย่างนี้ซ้ำวันละสามครั้ง ไม่
เกินสิบวัน ก็จะหายเป็นปกติ”
มู่เย่อ๋องตอบรับแค่ “อืม” จากนั้นเขาพุ่งเข้าใส่ ยาย
เฒ่าเหมียวยังไม่ทันได้ตั้งตัว มู่เย่อ๋องก็ซัดฝ่ามือเข้าใส่
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก คิดว่ามู่เย่อ๋องทำแบบนี้มันถีบ
หัวส่งชัดๆ ถึงแม้ยายเฒ่าเหมียวจะน่ารังเกียจ แต่มู่
เย่อ๋องนิสัยไม่แยกแยะแบบนี้มันก็นา่ ตกใจเกินไป
วรยุทธ์ของตวนมู่เหล่าก็ไม่ได้ด้อย กลับถูกมู่เย่อ๋อง
ซัดฝ่ามือใส่แล้วก็ทนไม่ไหว ฉีหนิงคิดในใจว่าที่มู่เย่
อ๋องซัดฝ่ามือไปแบบนี้ ยายเฒ่าเหมียวตายแน่ ใคร
จะคิดยายเฒ่าเหมียวถูกซัดฝ่ามือใส่แล้ว นางกลับไม่
เป็นอะไรเลย นางขยับตัวขึ้นมา ฉีหนิงคิดในใจว่า
หรือว่ายายเฒ่าเหมียวจะเป็นเสือซ่อนเล็บ แต่ว่ายาย
เฒ่าเหมียวดูตกใจมาก ไม่เหมือนแกล้งทำ เขารู้สึก
สงสัย ทันใดนั้นเองก็ได้ยินมู่เย่อ๋องพูดว่า “ข้าประทับ
รอยฝ่ามือเลือดไว้ เจ้าเป็นหมดเทวดา ก็คงรู้ ภายใน
สิบวัน หากข้าหายดี ข้าจะรักษาให้เจ้าเอง
ไม่อย่างนั้น...” เขาขู่
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาทันที มู่เย่อ๋องกังวลว่ายายเฒ่า
เหมียวจะเล่นลูกไม้ ดังนั้นก็เลยทิง้ รอยฝ่ามือเลือด
เอาไว้ หากยายเฒ่าเหมียวคิดจะทำร้ายมู่เย่อ๋อง ก็คง
ต้องตายไปพร้อมกับมู่เย่อ๋อง มู่เย่อ๋องรู้ว่ายายเฒ่า
เหมียวเป็นหมดเทวดา แต่เขาไม่กังวลเลยว่านางจะ
สามารถรักษาอาการรอยฝ่ามือเลือดของเขาได้
แสดงว่าเขามั่นใจในรอยฝ่ามือเลือดของเขามาก
คนชั่วก็ต้องถูกคนชั่วด้วยกันทรมาน ยายเฒ่าเหมียว
ลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “หวังว่าท่านจะไม่คืนคำ” นาง
ส่ายหน้า เหลือบไปมองตวนมู่เหล่า แล้วพูดว่า “ไป
หยิบกล่องไป๋เป่าของข้ามา”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 635 หนึ่งนายสองบ่าว
ตวนมู่เหล่าทนเจ็บแล้วเดินออกไป หลังจากนั้นไม่
นาน ก็หยิบกล่องไม้ที่ทำอย่างดีมา เขาเดินถือมาด้วย
มือข้างเดียว แล้วยื่นมาให้ยายเฒ่าเหมียว ยายเฒ่า
เหมียวรับมา มู่เย่อ๋องถามว่า “นี่อะไร?”
“นี่เป็นกล่องที่ยายเฒ่าเอาไว้รักษาคน ด้านในมือ
แผ่นทองแดงกับเข็ม หากเจ้าสงสัย เจ้าจะมาตรวจดู
ก็ได้” ยายเฒ่าเหมียวถอนหายใจ แล้วหยิบกล่องโยน
ไปให้มู่เย่อ๋อง มู่เย่อ๋องเตรียมยื่นมือไปเปิด เหมือนคิด
อะไรได้ ยกเท้าขึ้นมาแล้วถีบกล่อง หลังจากที่ถีบ
กล่องไปแล้ว ก็ได้ยินเสียง “ตู้ม” กล่องระเบิดออก
ยังดีที่มู่เย่อ๋องใช้เท้าถีบ หากใช้มือ กล่องระเบิดแบบ
นี้ต่อให้ไม่ตาย มือคงใช้งานไม่ได้แน่
ยายเฒ่าเหมียวคิดไม่ถึงว่ามู่เย่อ๋องจะเจ้าเล่ห์ขนาดนี้
นางตะโกนออกมาว่า “แย่แล้ว...” นางหันหลังคิดจะ
วิ่งออกนอกห้องไป มู่เย่อ๋องไวมาก รีบขึ้นหน้าไป
แล้วใช้มือจับไปที่แขนของนาง จากนั้นเขาก็ใช้
แรงกระชากแขนของนางหลุดออกจากไหล่มาทั้ง
อย่างนั้น
ฉีหนิงตกใจมาก ยายเฒ่าเหมียวกรีดร้องด้วยความ
เจ็บปวด แขนของนางไม่ได้หลุดเพราะถูกดาบฟัน
หากเป็นอย่างนั้นมันจะเจ็บแบบจบกว่ามาก มู่เย่อ๋อง
ใช้กำลังภายในกระชากแขนของนางออกมา มัน
เหี้ยมโหดมาก มันไม่ใช่คนธรรมดาจะทนได้ มู่เย่อ๋อ
งกระชากแขนยายเฒ่าเหมียวออกมา แล้วยกขาถีบ
จนยายเฒ่าเหมียวกลิ้งออกไป นางดิน้ อยู่ที่พนื้ ลุก
ขึ้นมาแทบไม่ได้
ตวนมู่เหล่าหน้าซีด ยืนอยู่ที่เดิม ไม่กล้าขยับ
มู่เย่อ๋องโยนแขนในมือของเขาทิง้ ไป แล้วพูดว่า “ข้า
ท่องยุทธภพในหนานเจียงมานาน กลอุบายแค่นี้
หลอกข้าไม่ได้หรอก เจ้ารนหาที่ตายเอง จะโทษข้า
ไม่ได้นะ ไม่มียายเฒ่าอย่างเจ้า ดูสิว่าอาการของข้า
จะไม่หาย” เขาเดินขึ้นหน้ามา ยกเท้าแล้วถีบไปที่หัว
ของยายเฒ่าเหมียว ในตอนนี้เอง ก็มีลมวูบหนึ่งพัด
มา มีสิ่งมีชีวิตสองสิ่งโผล่มาที่นอกหน้าต่าง สิ่งหนึ่ง
พุ่งมาที่หน้าของมู่เย่อ๋อง สิ่งหนึ่งพุ่งมาที่หัวใจของมู่
เย่อ๋อง มันรวดเร็วว่องไวมาก มู่เย่ออ๋ งทิ้งยายเฒ่า
เหมียว ลอยตัวไปด้านหลัง เห็นที่หน้าต่างมีเงาคน
สองคนพุ่งเข้ามา เมื่อเข้ามาด้านในห้องแล้ว เงาทั้ง
สองก็แยกกันไปซ้ายขวา แล้วยืนอยูค่ นละฝั่ง
มู่เย่อ๋องถอยหลังไปสองก้าว มองไปที่คนที่มาสองคน
สองคนนั้นสวมหมวกสาน เสื้อคลุมสีเทา มู่เย่อ๋อง
ไม่ได้ตกใจแต่ยิ้ม แล้วพูดว่า “หลังจากข้าออกมา ยัง
ไม่เคยเจอคู่ปรับที่สู้ได้จริงๆ สักคน เยี่ยม ยอดเยี่ยม
พวกจ้าสองคนถูกใจข้าจริงๆ”
ฉีหนิงนอนอยูบ่ นโต๊ะไม้ มองเห็นทุกอย่าง เขาพบว่า
สองคนที่มานั้น ก็คือซาหนูกับหวังหนู เขาตกใจมาก
แอบคิดในใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ หรือว่า
พวกเขาแอบตามมาแต่แรก ความเคลื่อนไหวของเขา
กับชื่อตันเหมยโดดนจับตามองแต่แรกอยู่แล้ว เขา
หนีมาแบบเสียแรงเปล่าหรือเนี้ย
มู่เย่อ๋องเป็นยอดฝีมือแน่นอน เขาถูกคงฉานไต้ซือทำ
ร้ายมาจากวัดต้ากวงหมิง กำลังการต่อสู้ของเขาต้อง
ลดลงแน่นอน ส่วนซาหนูหวังหนูเป็นบ่าวของเจ้า
เกาะไป๋อวิ๋น แต่ว่าวรยุทธ์ของสองคนนี้นั้นเขาเคย
เห็นมาก่อน ไม่ว่าใครก็สามารถสู้กับชื่อตันเหมยได้
หากทั้งคู่ร่วมมือกัน ก็จะมีอนุภาพในการจู่โจมที่มาก
ขึ้นไปอีก
ซาหนูเหลือบไปยายเฒ่าเหมียว จากนั้นก็ส่ายหน้า
แล้วพูดว่า “ฆ่าคนบริสุทธิ์ เสียมารยาทมาก เจ้าเป็น
ใคร?” หวังหนูพูดต่อว่า “บอกชื่อมา ให้เราได้รู้”
เมื่อคนในสายเดียวกันมา ไม่มีทางจบแค่นี้แน่ มู่เย่
อ๋องถึงแม้จะเย่อหยิ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้กาลเทศะ เมื่อ
ครู่ เขาก็รู้ทนั ทีว่าพวกเขาไม่ได้มาดี เขาย้อนถาม
กลับไปว่า “แล้วพวกเจ้าเป็นใคร?”
“เดิมเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเรา” ซาหนูถอนหายใจแล้ว
พูดว่า หวังหนูพูดต่อว่า “แต่ว่าที่นี่คือตงฉี เจ้ามาทำ
เรื่องแบบนีใ้ นตงฉี...” ซาหนูรบี ต่อทันทีว่า “เราไม่ยุ่ง
ไม่ได้”
มู่เย่อ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็พวกชอบยุ่งเรื่อง
ชาวบ้านสองคน”
“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าเจ้าซัดรอยฝ่ามือเลือดให้กับยาย
เฒ่าเหมียว คือรอยฝ่ามือเลือดที่เขาเล่ากันมาหรือ
เปล่า?” ซาหนูถาม หวังหนูถามต่ออีกว่า “รอยฝ่ามือ
เลือดเป็นหนึ่งในวิชาของสำนักหยวนโต้ว หรือว่าเจ้า
เป็นคนของสำนักหยวนโต้ว?”
มู่เย่อ๋องพูดว่า “ใช่แล้วยังไง ไม่ใช่แล้วยังไง? อย่ามา
เสแสร้งต่อหน้าข้าหน่อยเลย”
ซาหนูพูดว่า “หากเจ้าเป็นคนของสำนักหยวนโต้ว
เราได้มาพบ ถือว่าหาได้ยาก เราก็จะไม่ทำให้เจ้าต้อง
ลำบากใจ” หวังหนูพูดว่า “เจ้าไปซะตอนนี้ยังทัน
ยายเฒ่าเหมียวคิดลงมือกับเจ้าก่อน เป็นความผิด
ของนาง” ซาหนูพูดว่า “เจ้าทำแขนของนางขาดไป
ข้างหนึ่ง ก็ถือว่าแล้วกันไป จะเอาชีวิตนางอีกไม่ได้”
ซาหนูพูดว่า “ตะวันออกเหมียวตะวันตกหลี ตงฉีมี
หมอเทวดาไม่ใช่เรื่องง่าย” หวังหนูพูดว่า “เราจะ
เห็นนางถูกเจ้าฆ่าไปอย่างนี้ต่อหน้าต่อตาไม่ได้”
มู่เย่อ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “หากพวกเจ้าฆ่าข้าได้ ข้าจะไว้
ชีวิตนาง ถือซะว่าปล่อยแม่ตัวเมียไปสักตัว แต่ว่า
พวกเจ้าพูดจากับข้าแบบไม่เกรงใจแบบนี้ ข้าก็จะไม่
เกรงใจ” พูดจบ เขาก็ลอยตัวไป ออกฝ่ามือออกไป
พร้อมกัน ซาหวังหนูทั้งคู่มีการป้องกันอยู่แล้ว พวก
เขาแยกออกไปคนละด้าน จากนัน้ ก็ลงมือพร้อมกัน
มู่เย่อ๋องบุกขึน้ หน้าไป พุ่งไปทางด้านซ้าย ลมวูบหนึ่ง
โจมตีไปที่ซาหนู ซาหนูพลิกตัว หลบออกไป หวังหนู
โจมตีใส่จากทางด้านข้าง มู่เย่อ๋องวนรอบ แล้วซัดฝ่า
มือออกมา ถึงแม้เขาจะบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่ได้เป็น
รองสองคนนั้นเลย
ฉีหนิงเห็นทั้งสามคนต่อสู้กันในกระท่อม เดิมยังกังวล
ว่าจะจะทำให้คนอืน่ บาดเจ็บ แต่ว่าทั้งสามคนเป็น
ยอดฝีมือ ต่อให้มีพื้นที่น้อย แต่ว่าการหมุนการ
เคลื่อนที่ว่องไวมาก ในห้องมีไฟจุดอยู่ แต่ว่าพักหนึ่ง
ไฟก็ดับ เห็นแต่เงาของเขาสลับไปสลับมา
ซาหวังหนูร่วมมือกันอย่างดี เหล็กในมือก็เหมือน
ธรรมดา ตอนที่ผลัดกันออกอาวุธ บางทีดูเหมือนจะรู้
ผลแพ้ชนะแล้ว แต่ว่าเหล็กแผ่นในมือ ก็มาขวาง
เอาไว้ทุกครั้ง มันเพียงพอที่จะต่อสู้กับมู่เย่อ๋อง ก็
เหมือนได้ของป้องกันตัว สำหรับคนทั่วไปแล้ว เหล็ก
แผ่นนี้มันก็ไม่ได้หนักมาก แต่ว่าสำหรับยอดฝีมือแล้ว
การมีแผ่นเหล็กในมือ มันเหมือนมีอาวุธร้ายแรง
ฉีหนิงคิดในใจว่าปกติแล้วเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นไม่ถามเรื่อง
โลกภายนอก กลับคิดไม่ถึงเลยว่าบ่าวของเขาสองคน
นี้จะมีจิตเมตตา จะช่วยยายเฒ่าเหมียวอู๋จี๋ ส่วนมู่เย่
อ๋องนิสัยเย่อหยิ่ง เดิมทีมันไม่ควรเกิดการต่อสู้ขึ้นเลย
แต่ว่าจู่ๆ ก็ตีกันขึ้นมาซะงั้น มู่เย่อ๋องหนึ่งสู้สอง
เหมือนจะไม่ได้ถูกกระทำเลย
ทั้งสามคนสู้กันเกินกว่าร้อยกระบวนท่าแล้ว กลับมู่เย่
อ๋องร้องออกมา ฉีหนิงได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
จากนั้นก็เห็นทั้งสามคนแยกออกจากัน มู่เย่อ๋อง
หายใจหอบแล้วพูดว่า “ร้ายกาจจริงๆ คิดไม่ถึงว่าใน
แคว้นตงฉีจะมียอดฝีมือแบบนี้”
ซาหวังหนูสองคนเองก็เหมือนหอบเหมือนกัน ได้ยิน
ซาหนูพูดขึ้นมาว่า “วรยุทธ์ของท่านก็คู่ควรที่
ครอบครองแผ่นดิน” หวังหนูพูดว่า “เราไม่ได้เจอ
ยอดฝีมือที่ร้ายกาจขนาดนี้มานานแล้ว” ซาหนูพูดว่า
“สำนักหยวนโต้วยิ่งใหญ่แค่ไหนจงหยวน” หวังหนู
พูดว่า “หากสายเลือดของสำนักหยวนโต้ว มีวรยุทธ์
แบบนี้ ก็ถือว่าไม่ได้เสียเกียรติของสำนักหยวนโต้ว”
ในเวลานี้มู่เย่อ๋องเห็นซาหวังหนูหันหลังไป แล้วก็
ออกไปทางหน้าต่าง มู่เย่อ๋องพูดว่า “คิดหนีหรือ?”
เขาเดินออกจากประตูไป
ฉีหนิงคิดในใจว่ามู่เย่อ๋องนี่ไม่กลัวอะไรเลยจริงๆ ใน
เมื่อสองคนนั้นออกไปแล้ว จะไปหาเรื่องอีกทำไม
ทันใดนั้นเองทั้งคู่ก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านรอง ท่านจะไป
ไหน?”
ฉีหนิงฟังดังนัน้ ก็รู้ว่าไป๋อวี่เฮ่อมาถึงแล้ว แต่ว่า
คำถามของสองคนนั้นแปลกมาก ทำไมถึงถามว่า
ไป๋อวี่เฮ่อจะไปไหน แต่ว่าก็นึกขึ้นมาได้ว่า ไป๋อวี่เฮ่อ
น่าจะมาถึงนานแล้ว แต่ไม่ได้เข้ามาด้านใน ทั้งคูเ่ ห็น
ไป๋อวี่เฮ่อจะไป เลยออกมาถาม
ทันใดนั้นก็ได้ยินไป๋อวี่เฮ่อพูดว่า “ข้าจะพานางไป”
ซาหนูพูดว่า “ท่านรองจะพานางกลับเกาะไป๋อวิ๋น?”
หวังหนูพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เราก็จะกลับไปรายงาน
พร้อมกับท่านรองเลย”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้น ก็รู้ว่าว่าไป๋อวี่เฮ่อหาตัวชื่อตัน
เหมยเจอแล้ว ตอนนี้ชื่อตันเหมยกำลังจะตกอยู่ในมือ
ของไป๋อวี่เฮ่อ เขาแอบถอนหายใจ เขาทำมาทั้งหมด
เสียแรงเปล่า แต่เขากลับได้ยินไป๋อวีเ่ ฮ่อพูดว่า “พวก
เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะพานางกลับเกาะทีหลัง”
ไป๋อวี่เฮ่อพูดว่า “เรื่องนีเ้ ป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับ
พวกเจ้า” จากนัน้ ก็ได้ยินไป๋อวี่เฮ่อพูดขึ้นมาอีกว่า
“พวกเจ้าอยากตายหรือยังไง? หลีกไป” เหมือนว่าซา
หวังหนูสองคนนั้นกำลังขวางทางเขาอยู่
ซาหนูพูดว่า “ท่านรองท่านเองก็น่าจะรู้ เราไม่กล้า
ทำให้ท่านลำบากใจหรอก” หวังหนูพูดว่า “เราได้รับ
คำสั่งจากท่านเจ้าเกาะ ให้มาพานางกลับไป” ซาหนู
พูดว่า “ท่านรองส่งนางมาให้เรา เราจะพานางกลับ
เกาะไปอย่างปลอดภัย” หวังหนูพูดต่อว่า “ท่านรอง
เห็นแก่หน้าของท่านเจ้าเกาะ อย่าทำให้เราต้อง
ลำบากใจเลย”
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินมู่เย่อ๋องหัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า
“ที่แท้พวกเจ้าก็เป็นคนของเกาะไป๋อวิ๋น ได้ยินมาว่า
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นโม่หลันชางฝีมือร้ายกาจพอตัว พวก
เจ้าเป็นศิษย์ของโม่หลันชางอย่างนัน้ หรือ?” คำพูด
ของเขา เหมือนจะไม่ได้เคารพเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเลย
คนพวกนัน้ ไม่ได้สนใจมู่เย่อ๋องเลย ไป๋อวี่เฮ่อพูดว่า
“ทางท่านเจ้าเกาะ ข้าจะไปอธิบายเอง พวกเจ้าไม่
ต้องมายุ่ง หลีกไป”
ซาหนูพูดว่า “ท่านรอง ขออภัย เรากังวลว่าท่านรอง
จะใจอ่อนเท่านัน้ เอง” หวังหนูรีบพูดว่า “ท่านรอง
กับนายหญิงสามสนิทสนมกันมาหลายปี ท่านเห็น
นางเป็นเสมือนน้องสาวแท้ๆ ของท่าน ท่านคงททน
เห็นนางถูกทำโทษไม่ได้หรอก ท่านจะปล่อยนางหนี
ไป”
ไป๋อวี่เฮ่อตะคอกว่า “เจ้าพูดอะไรนะ?”
ซาหนูพูดว่า “ท่านรอง ท่านให้เวลาพวกเขาสิบสอง
ชั่วยาม เราสงสัยแต่แรกแล้วว่าท่านจะปล่อยนาย
หญิงสามไป” หวังหนูพูดว่า “ท่านรองถึงแม้รู้ว่า
โอกาสที่นายหญิงสามจะหนีไปได้นั้นมีน้อยมาก แต่
ว่าท่านก็ยังให้โอกาสนางอยู่” ซาหนูพูดว่า “เรา
อาจจะเดาผิด หากท่านรองส่งนายหญิงสามมาให้เรา
เราจะถือว่าเราแค่ผายลมออกไปเท่านั้น” หวังหนูพูด
ว่า “คนที่ผายลมออกไป จะต้องได้รับผลกรรมนั้น
แน่นอน เมื่อกลับไปถึงเกาะ ส่งตัวนายหญิงสามให้
ท่านเจ้าเกาะไปแล้ว” ซาหนูพูดว่า “ต่อให้ท่านจะฆ่า
เราสองคนให้ตาย เราก็จะไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว”
ฉีหนิงได้ยินทุกอย่าง ในหัวของเขาเริ่มสับสน คิดใน
ใจว่าข้อตกลงของไป๋อวี่เฮ่อมันสิบสองชั่วยาม หรือว่า
มันคือการให้โอกาสชื่อตันเหมยได้หนีไปจริงๆ? เขา
กล้าขัดคำสั่งของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นอย่างนั้นหรือ แอบ
ช่วยชื่อตันเหมย?
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 636 เมฆแห่งทะเลตะวันออก
เหมียวอู๋จี๋ถูกกระชากแขนจนขาด ตอนนี้แทบจะไม่มี
เสียงอะไรเลย ฉีหนิงไม่รู้ว่านางเป็นตายร้ายดียังไง
แต่เห็นตวนมู่เหล่ายืนอยู่ข้างหน้าต่าง กำลังมองไป
ด้านนอก
ฉีหนิงขยับตัวไม่ได้ ได้ยินแต่เสียง เขาร้อนใจมาก
ทันใดนั้นเองก็เหมือนมีอะไรตกลงมาที่ริมปากเขา
ของที่ตกลงมานั้นเคลื่อนไหวได้ด้วย ไม่รู้มันมาจาก
ไหน ขณะที่กำลังตกใจ เขาก็อ้าปาก กลับรู้สึกว่ามี
หนอนกำลังคลานเข้าไปในปาก เขาตกใจ คิด
อยากจะอ้วกออกมา คิดไม่ถึงเลยว่ามันคลานเร็วมาก
ไม่รอเขาตั้งตัว ก็มุดเข้าคอไปเลย
ป่าไผ่วิญญาณเป็นรังของยายเฒ่าเหมียว ป่าไผ่มี
หนอนแมลงมากมาย หนอนนี่จู่ๆ เขาไปในคอของฉี
หนิง ฉีหนิงไม่รู้ว่ามันเป็นหนอนอะไร รู้สึกว่าหนอนนี่
ขาเยอะมาก เขาพยายามเค้นมันออกมา ไม่ให้มันลง
คอไป แต่หนอนนั่นมันขยับอยู่ในคอ ทำให้คัน เขา
แทบทนไม่ไหว เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หนอนมันเข้า
ไปในหลอดลม ฉีหนิงแอบรู้สึกเศร้าใจ ก็ไม่รู้ว่ามันมี
พิษไหม ตอนนี้เขาถูกพิษของยายเฒ่าเหมียว หาก
โดนหนอนพิษไปอีก มันจะหนักมากขึ้นไปอีก
หนอนพิษคลานเข้าไปในหลอดลมของเขา เขาไปใน
ท้อง ฉีหนิงเองก็จนใจ ทำได้แค่ปล่อยไปตามเวรตาม
กรรม จากนั้นก็ได้ยินเสียงของไป๋อวีเ่ ฮ่อดังขึ้นมาว่า
“หากข้าไม่ให้ล่ะ พวกเจ้าจะลงมือทำร้ายข้าอย่างนัน้
หรือ?”
ซาหนูรีบพูดว่า “บ่าวไม่กล้าลงมือกับท่านรอง
หรอก” หวังหนูพูดว่า “พวกเราสองคนแค่รบั คำสั่ง
ของนายท่านมา ต่อให้เราต้องตาย เราก็ต้องทำ
ภารกิจให้สำเร็จ” ซาหนูพูดว่า “เราเองก็เห็นท่าน
รองมาตั้งแต่เล็ก” หวังหนูพูดว่า “ท่านรองมีวันนี้ได้
ก็ไม่ง่ายเลย” ซาหนูพูดว่า “นายหญิงสามทำผิด ก็
ต้องได้รับการลงโทษ” หวังหนูพูดว่า “ท่านรองจะทำ
ให้ท่านเจ้าเกาะโกรธเพราะนายหญิงสามไปเพื่อ
อะไร”
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินมู่เย่อ๋องหัวเราะขึ้นมา “ในเมื่อ
พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็สู้กันเลยสิ เปลืองเวลาพูด สุดท้าย
หมัดใครร้ายกาจกว่าก็จบ พวกเจ้าลงมือกันได้เลย
ข้าจะช่วยตัดสินให้ ใครแพ้ใครชนะ ข้าจะเป็นพยาน
ให้เอง”
ตอนนี้ฉีหนิงรู้สึกว่าหน้าอกร้อนเหมือนไฟเผา รู้ว่า
น่าจะเป็นเพราะหนอนพิษแน่ มันเริม่ ร้อนที่หน้าอก
จากนั้นก็ลงไปที่ท้องน้อย จากนัน้ ก็ขึ้นมาที่คอ มัน
ทรมานมาก ฉีหนิงบิดตัวไปมา ทันใดนั้นเองเหมือน
เขานึกอะไรออก เขาขยับมือได้แล้ว เขาเคลื่อนไหว
ได้แล้ว เขาดีใจมาก แอบคิดในใจว่าพิษในตัวเขา
สลายไปแล้วอย่างนั้นหรือ เมื่อกี้เขาไม่มีความรู้สึก
ขยับตัวก็ไม่ได้ แต่ว่าในตอนนี้เขาขยับตัวได้
เหมือนเดิม เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เดินลมปราณที่จุด
ตันเถียน เขาพบว่าลมปราณที่จุดตันเถียนสามารถ
เคลื่อนที่ไปตามที่เขาต้องการได้แล้ว
เขาดีใจมาก แล้วก็รู้สึกแปลกใจ แอบคิดในใจว่า
หลังจากหนอนตัวนั้นเข้าไปในท้องของเขาแล้ว ทำไม
พิษของเขาถึงได้สลายไปได้ หรือว่ามันจะเกี่ยวกับ
หนอน? แล้วหนอนที่เข้าท้องเขาไปนั้นมันเป็นหนอน
อะไร?
ในตอนนี้นึกได้ว่าคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาเห็นต
วนมู่เหล่ากำลังมองไปด้านนอก เหมือนกำลัง
สังเกตการณ์ ฉีหนิงเดินลมปราณ มาที่แขนของเขา
ทั้งสองข้าง แขนของเขาเริ่มคลาย เชือกที่มัดเขาไว้ไม่
เหมือนเชือกธรรมดาทั่วไป หากเป็นเชือกทั่วไป
ด้วยวรยุทธ์ของฉีหนิง คงทำให้มันขาดไปแล้ว แต่ว่า
เชือกที่มันเหนียวกว่ามาก ทำให้ค่อยๆ คลายแขน
ออก
ถึงแม้เชือกนี้จะมีความยืดหยุ่น แต่ก็จำกัด ทันใด
นั้นเองเชือกของเขาก็ขาด ฉีหนิงรู้สึกโล่ง คิดในใจว่า
เชือกขาดแล้ว ตวนมู่เหล่าถึงแม้จะสังเกตการณ์
ภายนอกอยู่ แต่ว่าเสียงเชือกขาดเขาก็ได้ยิน เขาหัน
หลังกลับมา ท่ามกลางความมืด เขาเห็นฉีหนิงยังไม่
ขยับ ก็ขมวดคิ้ว แล้วค่อยๆ เดินมาหาฉีหนิง
ฉีหนิงนิ่งมาก ตวนมู่เหล่าค่อยๆ เดินมาที่โต๊ะไม้ ยื่น
มือไปดึงเชือก เขาพบว่ามันไม่ปกติ เขาตกใจมาก
จากนั้นก็รู้สึกว่ามีลมวูบหนึ่ง มันเร็วมาก ตวนมู่เหล่า
ยังไม่ได้ทันตั้งตัว ที่คอก็ถูกฉีหนิงใช้มือบีบเอาไว้แล้ว
มือของฉีหนิงเหมือนกับเหล็ก เขาบีบคอของตวนมู่
เหล่าไว้แน่น ตวนมู่เหล่าตกใจมาก มือซ้ายกำหมัด
แล้วชกไป คิดอยากจะดิ้นให้หลุด เขาชกหมัดออกไป
เขารู้สึกว่าที่ท้องของเขาเหมือนถูกถีบ แรงที่ถบี มา
แรงมาก ตวนมู่เหล่ารู้สึกว่าเหมือนถูกค้อนยักษ์ทุบ
มาที่ท้อง อวัยวะภายในสะเทือนแรงมาก เจ็บอย่าง
บอกไม่ถูก แต่ว่าคอของเขาถูกบีบอยู่ ทำให้เขาส่ง
เสียงออกมาไม่ได้
เขาชกหมัดออกไปเพราะถูกถีบทีท่ อง แต่กลับไม่มี
แรง
วรยุทธ์ของฉีหนิงตอนนีร้ ้ายกาจมากแล้ว ต่อให้ต
วนมู่เหล่าไม่ได้บาดเจ็บ ก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉีหนิง
อีกทั้งมือขวาของเขากระดูกแตกเพราะมู่เย่อ๋องด้วย
ทำให้มือขวาของเขาแทบไม่มีแรง มือขวาแทบจะ
พิการไป บาดเจ็บขนาดนี้ ยิง่ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉีหนิง
เขาถูกบีบคอ ไม่สามารถหายใจได้ สายตาของมีทั้ง
ความตกใจและโกรธแค้นมาก แต่หลังจากนั้นไม่นาน
มันก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสายตาที่ร้องขอ ฉีหนิงเย็นชา
มาก วันนี้เขาเกือบตายเพราะคนพวกนี้ ตอนนี้
ย้อนกลับมา เขาเองก็ไม่เกรงใจ ตวนมู่เหล่าไม่
สามารถหายใจได้ อีกทั้งยังไม่สามารถตอบโต้ได้เลย
สายตาของเขาแทบจะหลุดออกมา
พวกของมู่เย่อ๋องยังคงอยู่ข้างนอก ยายเฒ่าเหมียวไม่
ขยับ ในกระท่อมมืดๆ ตวนมู่เหล่ารู้สึกว่าเขากำลังจะ
ตาย ทันใดนั้นเองก็ ก็ได้ยินเสียง “แกรก” ฉีหนิงใช้
แรง หักคอของตวนมู่เหล่า ตวนมู่เหล่าคอหัก ตายลง
ทันที
ฉีหนิงปล่อยมือ ศพของตวนมู่เหล่าล้มลง ฉีหนิงลุก
ขึ้นมาจากโต๊ะไม้ มองไปที่ศพของตวนมู่เหล่า เขา
ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เดิมอยากจะให้เจ้าหายใจไม่
ออกตาย แต่ว่าไม่ทันระวังออกแรงเยอะไปหน่อยคอ
เจ้าเลยหัก ทำให้เจ้าตายสบายหน่อย”
เขาสะบัดเชือกออก ในใจกำลังคิดว่า หากพิษที่อยู่ใน
ตัวเขาเมื่อกี้เป็นเพราะหนอนนั่น ก็ไม่น่าจะทำได้
คล่องขนาดนี้ หนอนที่ถอนพิษได้มันหล่นลงมาใส่
ปากเขา มันคลานลงท้อง ในโลกนี้มันมีเรื่องบังเอิญ
ขนาดนี้เลยหรือ
ในเมื่อตวนมู่เหล่าตายแล้ว ฉีหนิงก็ไม่ลืมยายเฒ่า
เหมียวอู๋จี๋ เขากลั้นหายใจ แล้วมองไปรอบๆ ภายใน
ห้องมืดมาก แต่ว่าสายตาของฉีหนิงดีมาก อีกทั้ง
กำลังภายในของเขาก็แก่กล้ามาก สายตาดีกว่าคน
ทั่วไปเยอะมาก ภายในห้องนอกจากโต๊ะไม้กับถังไม้
แล้ว ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นอีกเลย บนพื้นเห็นศพ
ของตวนมู่เหล่า กลับไม่เห็นเงาของเหมียวอู๋จี๋
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เขาเดินวนรอบห้อง ไม่เห็นเหมียวอู๋จี๋
เลย แม้แต่แขนที่ขาดของนางก็ไม่เห็น ฉีหนิงรู้สึก
ตกใจมาก เขาไม่เห็นว่านางเดินออกไปจากห้อง อีก
ทั้งประตูห้องก็ปิดสนิท ไม่เคยมีใครออกไปจากประตู
เลย แล้วเหมียวอู๋จี๋หายไปได้ยังไง หรือว่านางจะมุด
ดินไปอย่างนัน้ หรือ?
คิดถึงมุดดิน ฉีหนิงก็มองไปที่พื้น แต่ว่ามันมืดมาก
เลยมองเห็นไม่ชัด ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงหัวเราะ
ของมู่เย่อ๋องดังมา ฉีหนิงเดินไปที่หน้าต่าง แล้วมอง
ไปข้างนอก เห็นมู่เย่อ๋องยืนอยู่ห่างจากกระท่อมห้า
หกก้าว ทางซ้ายมือไป๋อวี่เฮ่ออุ้มคนๆ หนึ่งเอาไว้
น่าจะเป็นชื่อตันเหมย ส่วนซาหวังหนูก็อยู่อีก
ด้านหน้า ขวางไป๋อวี่เฮ่อ
“ข้าฝึกเพลงกระบี่จากท่านเจ้าเกาะมาตั้งแต่เล็ก
ท่านเจ้าเกาะมอบกระบี่อูเหยาให้ข้า เคยสอนข้าไว้
ว่า” ไป๋อวี่เฮ่อค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “เมื่ออูเหยาออก
จากฝัก จะต้องได้เห็นเลือด ไม่อย่างนั้นมันไม่มงคล
ดังนั้นท่านเจ้าเกาะเลยสอนข้าว่าก่อนที่จะชักกระบี่
ออกจากฝัก จะต้องคิดให้หนัก”
ซาหนูถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านรองเตรียมจะชัก
กระบี่อย่างนั้นหรือ?” หวังหนูพูดว่า “ก่อนที่นาย
หญิงสามจะกลับไปที่เกาะ เรายังตายไม่ได้” ซาหนู
พูดว่า “ก่อนที่ท่านรองจะออกกระบิ่คิดให้ดีก่อนนะ”
หวังหนูพูดว่า “เราไม่มีทางยอมตายง่ายๆ”
ไป๋อวี่เฮ่อพูดว่า “พวกเจ้าดูแลข้ามาตั้งแต่เล็ก ดีต่อ
ข้ามาก วันนี้ข้าไม่อยากลงมือกับพวกเจ้า แต่ว่าเรื่อง
มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าคงต้องขอบคุณทีพ่ วกเจ้าดูแลข้า
มาตลอด หากพวกเจ้าต้องมาตายเพราะกระบี่ของข้า
ข้าจะพาพวกเจ้ากลับเกาะไป๋อวิ๋น หากข้าตายในมือ
ของพวกเจ้า พวกเจ้าก็เอาศพข้ากลับไปให้ท่านเจ้า
เกาะด้วย”
ซาหนูส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “ดูท่าทางแล้ว
ข้อตกลงสิบสองชั่วยามของท่านรอง คงเป็นโอกาสให้
นายหญิงสามได้หนีไปจริงๆ” หวังหนูพูดว่า “ท่าน
รองทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย?”
ไป๋อวี่เฮ่อพูดว่า “ข้าคิดจะทำอะไรก็ทำเลย มีบาง
เรื่องคิดมากเกินไป ก็ไม่กล้าทำแล้ว”
มู่เย่อ๋องหัวเราะแล้วพูดว่า “น่าสนใจ น่าสนใจ เจ้า
เด็กน้อยนี่ความคิดถูกใจข้าจริงๆ ในเมื่อเจ้าทรยศ
เกาะไป๋อวิ๋นแล้ว ต่อไปมาติดตามข้าไหม ข้าจะรับ
เจ้าเป็นศิษย์ เกาะไป๋อวิ๋นก็จะไม่กล้าทำอะไรเจ้าอีก”
เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจดังขึ้นมา เหมือน
มันอยู่ไกลมาก แต่กลับอยู่แค่ใกล้มาก ถึงแม้ฉีหนิงจะ
อยู่ในกระท่อมไม้ แต่ว่าเสียงถอนหายใจนั่นมันชัด
มาก เหมือนมีคนมาถอนหายใจอยู่ข้างหู เขาอดหัน
ไปมองไปไม่ได้ ข้างๆ เขาไม่มีใครเลย เขาได้ยินเสียง
ดังขึ้นมาว่า “ทุกสิ่งเกิดจากใจ เหมือนใจคิดผิด ทุก
อย่างก็ผิดไปหมด”
เสียงมันเต็มไปด้วยความสะอื้น ฉีหนิงได้ยินชัดมาก
แต่ไม่รู้ว่าเสียงมันดังมาจากไหน อีกทั้งเสียงนี่ไม่ใช่
เสียงของคนที่อยูใ่ นเหตุการณ์ด้วย
ทันใดนั้นเองก็เห็นเงาขาวๆ ปรากฎอยู่ที่สระน้ำ
ท่ามกลางความมืด เงาขาวๆ โผล่มาอย่างกะทันหัน
กำลังนึกแปลกใจ เงาขาวนั่นก็ลอยตัวมาราวกับความ
ฝัน ฉีหนิงยังมองไม่ทันว่าเกิดอะไรขึน้ เงานัน่ ก็ลอย
มาหน้ากระท่อมแล้ว
ฉีหนิงตกใจมาก เขามองไปที่สระน้ำ ตรงนั้นมันก็
ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ว่ากว้างมาก ต่อให้วิชาตัวเบาร้าย
กาจแค่ไหน จะลอยมาแบบนี้คงทำไม่ได้ แต่ว่าเงา
ขาวนี่ไม่เพียงแค่ลอยตัวขึ้น อีกทัง้ ยังรวดเร็วแบบไม่
น่าเชื่อ ตอนนี้เขาเห็นชัดแล้ว เห็นคนชุดขาวเดินมา
ในมือเหมือนจะถือไม้เท้า ก็ไม่รู้ทำมาจากอะไร แต่ว่า
มองจากไกลๆ ไม่เห็นหน้าตาของเขา
ฉีหนิงกำลังคิดว่าคนที่มานั้นคือใคร กลับเห็นซาหวัง
หนูหันไปพร้อมกัน จากนัน้ ก็คุกเข่าลง ไป๋อวี่เฮ่อเองก็
อุ้มชื่อตันเหมยคุกเข่าลงเช่นกัน จากนั้นก็พูดว่า
“ท่านเจ้าเกาะ”
ฉีหนิงตะลึงไป ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่า คนชุดขาวที่ลอย
มานั้น คือหนึ่งในห้าต้าจงซือ เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นหม้อห
ลันชาง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 637 ขับออกสำนัก
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา ฉีหนิงตกใจ
มาก รู้ว่าต่อให้ชื่อตันเหมยมีไป๋อวี่เฮ่อปกป้องก็ไม่
อาจหนี
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเป็นต้าจงซือ ศิษย์ของเขาไป๋อวี่เฮ่อ
กับชื่อตันเหมย ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งท่องยุทธภพไป
ก็เป็นยอดฝีมือด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่บ่าวรับใช้ของเขา
สองคน ก็เป็นยอดฝีมือชั้นสูง ฉีหนิงคิดว่าต่อให้มีฉี
หนิงเป็นสิบคน คืนนี้กค็ งช่วยชื่อตันเหมยออกไป
ไม่ได้
ตอนนี้เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นอยูน่ อกกระท่อมไม่ไกล ฉีหนิง
เห็นชัดมาก เขาสวมชุดสีขาว เหมือนไม่ยุ่งกับทาง
โลกเลย ในมือถือไม้เท้ายาว แต่ว่าใบหน้าของเขานัน้
กลับซีดเซียว ผมสีดำ เห็นหน้าเขาน่าจะไม่เกินสี่สิบ
เมื่อเทียบกับมู่เย่อ๋องแล้วยังดูหนุ่มกว่ามาก
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก คิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ คนที่อยู่
ด้านหน้านี้คือเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นโม่หลันชางจริงๆ หรือ?
ฉีหนิงรู้ว่าห้าต้าจงซือมีชื่อเสียงมานานหลายปี อย่าง
น้อยก็น่าจะมีชื่อมากว่าสิบปีแล้ว เทพกระบีเ่ ป่ยกง
เหลียนเฉิงเป็นพี่น้องแท้ๆ กับจิน่ อีเหล่าโหว เป็น
น้องชายคนที่สอง ตอนนี้ท่านสี่ของตระกูลฉีอายุก็
ประมาณหกสิบแล้ว เป่ยกงเหลียนเฉิงก็น่าจะมีอายุ
เกือบเจ็ดสิบ เขาคิดว่าโม่หลันชางเป็นต้าจงซือเห
มือนกับเป่ยกงเหลียนเฉิง ก็น่าจะเป็นคนรุน่ เดียวกัน
แต่ว่าเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นที่อยู่ตรงหน้าเขาอายุไม่น่าเกิน
สี่สิบปี เด็กกว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงตั้งเยอะ
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ชื่อตันเหมยเองก็
อายุไม่น้อยแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด
แต่น่าจะเป็นเพราะฝึกวรยุทธ์ ดูแลตัวเองอย่างดี ผิว
ของนางก็เลยดูขาว ดูเด็กกว่าปกติ แต่ว่าเสน่ห์ของ
นางก็เหลือล้น เป็นหญิงงามมีเสน่ห์ที่หาได้ยาก
จากปากของพวกเขา ชื่อตันเหมยมาที่เกาะไป๋อวิ๋น
เมื่อยี่สิบปีก่อน ตอนนั้นนางน่าจะอายุไม่เกินเจ็ดแปด
ขวบ ส่วนเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นก็น่าจะมีอายุประมาณยี่สิบ
ปี อายุน้อยแบบนี้ จะเป็นใหญ่ที่เกาะไป๋อวิ๋น สร้าง
ชื่อเสียงแบบนี้ได้อย่างไร?
ชื่อตันเหมยเป็นหนึ่งในศิษย์สามคนของเจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋น แต่นางเป็นคนเล็กสุด ไป๋อวี่เฮ่ออายุประมาณ
สามสิบต้นๆ เป็นคนที่สอง ศิษย์คนโตของเจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋นคงอายุมากกว่าไป๋อวี่เฮ่ออีก ถ้าอย่างนั้น เจ้า
เกาะไป๋อวิ๋นไม่รับศิษย์ตั้งแต่อายุสิบกว่าเลยหรือ?
ยากเกินจะเชื่อไป มันเป็นไปไม่ได้
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก เพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่า
แปลกเกินไป
ไป๋อวี่เฮ่อปกติก็เย็นชามาก แต่ว่าในเวลานี้เขากลับ
คุกเข่าลงอย่าเคารพ เจ้าเกาะไป๋อวิน๋ เดินมาที่หน้า
ของไป๋อวี่เฮ่อ เขามองไป แล้วก็ส่ายหน้า แล้วยื่นมือ
ไป ถึงแม้ไป๋อวี่เฮ่อจะตกใจ แต่เขาก็ไม่ขยับ เจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋นจี้ไปทีจ่ ุดชีพจรของชื่อตันเหมยหลายที่ ชื่อตัน
เหมยไอออกมา นางฟื้นขึ้นมาทันที
ไป๋อวี่เฮ่อจึงได้วางชื่อตันเหมยลง ชื่อตันเหมยลืมตา
ขึ้นมา นางเห็นไป๋อวี่เฮ่อก่อน นางตกใจมาก จากนั้น
ก็เห็นเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นยืนอยู่ข้างๆ นางหน้าเสียไป
ทันที จากนัน้ ก็รบี ลุกขึ้นมาคุกเข่า แล้วพูดว่า “ท่าน
...ท่านเจ้าเกาะ”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นไม่ได้มองนาง เพียงแค่พยักหน้า
เหมือนคิดอะไรอยู่ จากนัน้ ก็พูดว่า “ทุกอย่างเป็น
ความผิดของข้าเอง ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ความแค้น
ในใจของเจ้าไม่ได้สลายไปเลย เพราะข้าไม่ดีเอง”
ชื่อตันเหมยคุกเข่าลงที่พื้น แล้วพูดว่า “ท่านเจ้าเกาะ
เป็น...เป็นเหมยเอ่อร์เองที่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง แต่
ว่า...”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นไม่รอให้นางพูดจบ เขาพูดแทรก
ขึ้นมาว่า “ข้าจำได้ว่าข้าเคยเตือนเจ้า หลายเรื่องที่
ผ่านไปแล้ว มันก็จะผ่านไปตามเวลา หลายปีที่ผ่าน
มา ข้ากังวลว่าเจ้าจะเลือกทางผิดมาตลอด เลยให้เจ้า
อยู่ข้างกายข้าเพื่อสงบใจตลอดเวลา ข้าคิดว่าเจ้าจะ
ลืมทุกอย่างได้...” เขาถอนหายใจ ส่ายหัว ไม่พูด
อะไรต่อ
ไป๋อวี่เฮ่อก้มหัวลง “เจ้าเกาะ ตอนทีศ่ ิษย์น้องมาที่
เกาะ นางจำเรื่องราวได้แล้ว เรื่องในตอนนั้น นางจำ
ได้ขึ้นใจ ไม่ใช่เรื่องที่นางอยากจะลืมก็ลืมได้”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นไม่พอใจมาก “อวี่เฮ่อ หากวันนี้ข้าไม่
มาที่นี่ เจ้าคิดจะลงมือเขาบ่าวสองคนนี้จริงๆ ใช่
ไหม?”
“ใช่ ขอรับ” ไป๋อวี่เฮ่อตอบอย่างเด็ดขาด
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นพูดว่า “เหมยเอ่อร์เข้าวังหลวงไป
ลอบสังหาร นางวางแผนมาอย่างดีและยาวนาน แต่
วันนี้ที่เจ้าจะลงมือกับบ่าวสองคนนี้ มันเป็นความคิด
ที่เกิดขึ้นมาทันที เทียบกับเหมยเอ่อร์แล้ว เจ้าทำผิด
ยิ่งกว่า ทำอะไรก็ตามหลังจากที่ผ่านการคิดทบทวน
มาแล้ว ต่อให้ผิด อย่างน้อยก็รู้ว่าผิดตรงไหน แต่
ความคิดทันที เป็นการกระทำที่วู่วามบุ่มบ่าม ไม่รู้ว่า
ตัวเองนั้นทำผิด”
ไป๋อวี่เฮ่อก้มหน้า แล้วพูดว่า “ทุกอย่างแล้วแต่ท่าน
เจ้าเกาะจะลงโทษ”
“ท่านเจ้าเกาะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศิษย์พี่รอง” ชื่อตัน
เหมยตอนนี้เข้าใจแล้ว นางรีบพูดว่า “ทำคนเดียวก็
ต้องรับผิดชอบคนเดียว การลอบสังหารฮ่องเต้ชั่วนั่น
ข้าทำคนเดียว ไม่เกี่ยวกับศิษย์พี่รองเลย ท่านเจ้า
เกาะจะลงโทษ ก็ลงโทษข้าแค่คนเดียวเถอะ”
ไป๋อวี่เฮ่อพูดว่า “ความผิดบางอย่าง ไม่ใช่เจ้าคน
เดียวจะรับผิดชอบได้ไหว” เขายื่นมือไป กระบีอ่ ูเย่า
ที่อยู่ที่เอวของไป๋อวี่เฮ่อลอยมาอยู่ในมือของเขา เจ้า
เกาะไป๋อวิ๋นทิ้งกระบี่อูเย่าไปด้านหลัง ซาหนูรับ
กระบี่ด้วยสองมือ เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นพูดว่า “ไป๋อวี่เฮ่อ
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้ากับเกาะไป๋อวิ๋นไม่มีความ
เกี่ยวข้องอะไรกันอีก ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่ว่าเจ้าจะทำ
อะไร ก็ไม่เกี่ยวกับข้าอีก”
ไป๋อวี่เฮ่อสะดุ้ง เขาเงยหน้าขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นมา
แล้วหลุดพูดว่า “ท่าน...ท่านเจ้าเกาะ”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นไม่ได้สนใจเขา มองไปที่ชื่อตันเหมย
แล้วพูดว่า “เหมยเอ่อร์ เจ้าตามข้ากลับเกาะ ตั้งแต่
วันนี้ต่อไป ห้ามออกจากเกาะไป๋อวิน๋ อีกแม้แต่ก้าว
เดียว”
ชื่อตันเหมยสะดุ้ง เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นถามว่า “เจ้าไม่
ยอมอย่างนั้นหรือ?”
ชื่อตันเหมยก้มหน้าลง “มิกล้า”
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร” เจ้าเกาะไป๋อวิน๋ ถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “ใจของเจ้าถูกมารครอบงำ ชาตินี้คงลบ
ออกไปไม่หมด ในเมื่อเป็นอย่างนัน้ เจ้าก็คงทำได้แค่
อยู่ที่เกาะไป๋อวิ๋นทั้งชีวิต”
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ไป๋อวี่
เฮ่อ ข้าบอกเจ้าแล้ว เจ้าเกาะไป๋อวิน๋ มีอะไรดี เจ้ามา
เป็นศิษย์ข้าดีกว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป ครองยุทธภพ อยาก
ทำอะไรก็ทำ ใช้ชีวิตสบาย ไม่ต้องถูกเกาะไป๋อวิ๋น
บังคับอีกดีไหม?” เป็นเสียงของมู่เย่อ๋องที่ยืนดูอยู่
ข้างๆ อย่างสำราญใจ
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเหลือบไปมองมู่เย่ออ๋ ง เขาเข้มงวด
กับลูกศิษย์เขามาก แต่ว่าตอนที่มองมู่เย่อ๋อง เขา
กลับยิ้มแล้วถามว่า “เจ้าอยากรับเขาเป็นศิษย์อย่าง
นั้นหรือ?”
มู่เย่อ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็คือเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นโม่ห
ลันชางอย่างนั้นหรือ? ได้ยินมาว่าใต้หล้านี้มีห้าต้า
จงซือ เจ้าเกาะไปอวิ๋นเป็นหนึ่งในนัน้ ข้าคิดว่าน่าจะ
ห่างจากข้าไม่มาก คิดไม่ถึงว่าจะอายุน้อยกว่าข้า ยัง
เป็นเด็กน้อยนีเ่ อง ฮ่าฮ่าฮ่า...”
เขาอายุหกสิบกว่า อายุมากกว่าเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นมาก
ตอนนี้เขาพูดว่าเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเป็นแค่เด็กน้อย ฉี
หนิงได้ยินจากในห้อง คิดในใจว่ามู่เย่อ๋องยังโอหัง
อวดดี แม้แต่เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเขาก็ไม่เว้นเลย
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นไม่ได้โกรธ เขายิ้มส่ายหัวแล้วพูดว่า
“เส้นชีพจรของเจ้าบาดเจ็บสาหัส พูดให้น้อยหน่อย
จะดีกว่า ไป๋อวี่เฮ่อไม่ใช่ศิษย์ของข้าแล้ว หากเขา
อยากจะเป็นศิษย์ของเขา ข้าคงห้ามไม่ได้ เพียงแต่
ตอนนี้วัดต้ากวงหมิงตามล่าตัวเจ้าอยู่ ตัวเจ้าเองยัง
เอาตัวไม่รอดเลย ไป๋อวี่เฮ่อติดตามเจ้า จะไม่
เดือดร้อนเพราะเจ้าหรอกหรือ?”
มู่เย่อ๋องตกใจ แล้วพูดว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“ด้วยวรยุทธ์ของเจ้า ในใต้หล้านี้คนที่ทำร้ายเจ้าได้
คงมีไม่กี่คนเท่านัน้ ” เจ้าเกาะไป๋อวิน๋ นิ่งมาก เขาพูด
แบบสบายๆ ว่า “เส้นชีพจรพิเศษแปดเส้นของเจ้า
บาดเจ็บไปสองเส้น เท่าที่ข้ารู้มา คนที่มี
ความสามารถที่ทำแบบนี้ได้มีเพียงคงฉานไต้ซือ
เท่านั้น คงฉานออกบวช บำเพ็ญเพียรในศีลในธรรม
ไม่ค่อยลงมือกับใครง่ายๆ ในเมื่อเขาลงมือกับเจ้า
แสดงว่าเจ้ามีอันตรายต่อวัดต้ากวงหมิง ถ้าอย่างนั้น
วัดต้ากวงหมิงจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ ได้ยังไง?”
เขาค่อยๆ พูดออกมา เหมือนทุกอย่างอยู่ในกำมือ มู่
เย่อ๋องสีหน้าเปลี่ยนไป เขากำหมัดแล้วพูดว่า “คน
ของวัดต้ากวหมิงจะทำอะไรข้าได้? คนจงหยวนอย่าง
พวกเจ้าชอบสร้างชื่อเสียงจอมปลอม หากลงมือ
ขึ้นมาจริงๆ ก็งั้นๆ”
“ท่านไม่ใช่คนจงหยวนอย่างนั้นหรือ แล้วไม่ทราบมา
จากที่ใดกัน?” เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นถาม
ซาหนูพูดขึ้นมาว่า “นายท่าน เขามาจากหนานเจียง
เหมือนจะเป็นผู้สายสัมพันธ์กับสำนักหยวนโต้ว”
“หนานเจียง?” เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นหน้าตาสงสัย “สำนัก
หยวนโต้ว? ท่าน...ท่านเป็นคนของสำนักหยวนโต้วอ
ย่างนั้นหรือ?”
มู่เย่อ๋องพูดว่า “ใช่แล้วไง ไม่ใช่แล้วยังไง?”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเหมือนจะคิดอะไร เขานิ่งไปพักหนึง่
แล้วพูดขึ้นมาว่า “มู่ชุนผู้อยู่ปลายฤดูใบไม้ผลิ ตัดเสื้อ
สำเร็จในฤดูใบไม้ผลิ ผู้ชนะมีห้าถึงหกคน ท่านแซ่มู่
หรือเปล่า?”
มู่เย่อ๋องพูดว่า “ถูกต้อง ข้าแซ่มู่ แล้วยังไง?”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นถอนหายใจแล้วถามว่า “เจ้าเดินทาง
จากหนานเจียงมาถึงจงหยวน เพื่ออะไรกัน?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเจ้าเกาะไป๋อวิน๋ เหมือนจะรู้เรื่องของ
หนานเจียงดี เหมือนจะรู้จักมู่เย่อ๋อง มู่เย่อ๋องพูด
ขึ้นมาว่า “ข้ามาจงหยวนเพื่ออะไร มันเกี่ยวอะไรกับ
เจ้าด้วย? เจ้าเกาะไป๋อวิ๋น เจ้าเป็นหนึ่งในห้าต้าจงซือ
ข้าอยากถามหาคนผู้หนึ่งกับเจ้า”
“หือ?” เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นถามว่า “ใคร?”
“เป่ยกงเหลียนเฉิง” มู่เย่อ๋องน้ำเสียงเต็มไปด้วย
ความเย็นชา “ได้ยินมาว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงเองก็เป็น
หนึ่งในต้าจงซือ ในเมื่อเป็นต้าจงซือ เจ้าก็ต้องรู้สินะ
ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นไม่ตอบแต่ถามย้อนกลับไปว่า “เจ้า
จะหาเป่ยกงงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง” มู่เย่อ๋องพูดว่า “หากเจ้ารู้ว่าเป่ยกงเหลียน
เฉิงอยู่ที่ไหน บอกข้า ข้าจะช่วยทำเรื่องอะไรก็ได้ให้
เจ้าเรื่องหนึ่ง”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอยากรู้ว่าเป่ยกง
เหลียนเฉิงอยู่ที่ไหน ก็ควรจะถามลูกหลานของเขา
ข้ากับเป่ยกงไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว ตอนนี้เขาอยู่
ที่ไหน ลูกหลานของเขาก็น่าจะรู้”
“ลูกหลาน?” มู่เย่อ๋องพูดว่า “เจ้าหมายความว่าคน
ของตระกูลฉีอย่างนัน้ หรือ? คนของตระกูลฉีไม่รู้เรื่อง
นี้”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไปหาผิดคนแล้ว
คนที่อยู่ในกระท่อมด้านหลังของเจ้า คือจิ่นอีโหวของ
แคว้นฉู่ เขาเป็นลูกหลานของตระกูลฉี ตอนนี้ต่อให้
คนในใต้หล้านี้ไม่รู้ว่าเป่ยกงอยู่ที่ไหน แต่ท่านโหว
น้อยคนนี้น่าจะรู้”
ฉีหนิงสะดุ้ง แอบคิดในใจว่าแย่แล้ว ทันใดนั้นเองก็มี
ลมวูบหนึ่งพัดมา มู่เย่อ๋องพุ่งเข้ามาในห้อง ฉีหนิงรู้
ความสามารถของมู่เย่อ๋องดี เขาไม่กล้ารับมือซึ่งหน้า
เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว มู่เย่อ๋องพุ่งมาทางหน้าต่าง
แล้ว เขาเห็นฉีหนิง ก็ยื่นมือจะมาจับ
มู่เย่อ๋องถือเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งในใต้หล้านี้ ฉีหนิง
ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาไม่คิดอะไรมาก ไถลตัวไป
หนึ่งที เขาใช้ท่าเท้าท่องคลื่น หลบการจับถูกตัว
ของมู่เย่อ๋อง เขาไถลออกนอกกระท่อมไป ใน
กระท่อมมีพื้นที่จำกัด มู่เย่อ๋องไม่ใช่คู่ต่อสู้ทั่วไป ฉี
หนิงไม่กล้าประมาท เมื่อออกมานอกกระท่อม พื้นที่
กว้างมากกว่า จะหลบมันก็ง่ายกว่า
มู่เย่อ๋องถึงแม้จะบาดเจ็บที่เส้นชีพจรสองเส้น แต่
ว่าวรยุทธ์ของเขาก็ไม่ได้ลดลง เขาเคลื่อนไหวเร็วมาก
ตามติดฉีหนิง ฉีหนิงรู้สึกโมโหมาก อดไม่ได้พูดขึ้นมา
ว่า “ท่านเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น ท่านเป็นต้าจงซือ ข้ากับ
ท่านไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ทำไมท่านต้องให้เขามา
ยุ่งกับข้าด้วย” เขาพูดมาแบบนี้แต่กเ็ คลื่อนไหวอย่าง
พลิ้ว เขาชำนาญท่าเท้าท่องคลื่นดีแล้ว เดินแต่ละ
ก้าวเคลือ่ นไหวไปมาได้อย่างสบาย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 638 กระบี่กิ่งไม้
ถึงแม้วรยุทธ์ของมู่เย่อ๋องจะร้ายกาจแค่ไหน แต่ว่า
ตอนนี้เขาก็จับจุดของท่าเท้าท่องคลืน่ ไม่ได้ เขาลงมือ
อย่างต่อเนื่อง แต่ว่าก็ได้แค่เกือบ เขาเองก็รู้สึกตกใจ
มากไม่น้อยเลย
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นถือไม้เท้า ท่าทางของเขานิ่งมาก
ไป๋อวี่เฮ่อกับชื่อตันเหมยเองก็ยังคงคุกเข่าอยู่
หลังจากที่ฉีหนิงพาชื่อตันเหมยหนีออกนอกเมืองมา
ก็สลบไป หลังจากนั้นนางก็ไม่รเู้ รื่องอะไรอีกเลย แต่
นางก็รู้ว่านางเป็นคนทำให้ฉีหนิงต้องมาเดือดร้อน
เพราะเรื่องนี้ด้วย เมื่อเห็นมู่เย่อ๋องลงมือกับฉีหนิง
แล้วก็เห็นว่ามู่เย่อ๋องนั้นฝีมือร้ายกาจ นางก็เริ่มเป็น
กังวล
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงขลุ่ยดังมา อากาศเย็นขึน้
ท่ามกลางความมืดแบบนี้กลับมีเสียงขลุ่ยดังขึ้นมา
ทุกคนได้ยินชัดเจน เสียงขลุ่ยลอยมาแต่ไกล มันไกล
มาก แต่ว่ามันกลับดังราวกับอยู่ข้างหู
เสียงขลุ่ยจู่ๆ ก็ดังมา ชื่อตันเหมยอดที่จะมองไป
รอบๆ ไม่ได้ มู่เย่อ๋องได้ยินเสียงขลุ่ย ก็ชะงักไป ฉี
หนิงอาศัยจังหวะนี้ ถอยห่างออกมา เห็นมู่เย่อ๋องไม่
ตามมาแล้ว เขาก็โล่งใจ เสียงขลุ่ยดังอยู่ใกล้หูมาก
เขาเองก็อดมองไปซ้ายขวาไม่ได้ เขาไม่เห็นใครเลย
เขามองไปที่เจ้าเกาะไป๋อวิ๋น เห็นเขาเงยหน้า มองไป
ที่ที่หนึ่ง สีหน้านิ่งมาก เขาอดมองตามไปไม่ได้ เขา
พบว่าที่บนหลังคากระท่อม มีเงาของคนผู้หนึ่งยืนอยู่
มือของเขากำลังบรรเลงขลุ่ยอยู่ เขาสวมชุดคลุมยาว
แล้วก็กระโดดลอยตัวลงมาจากบนหลังคาพร้อมเสียง
ขลุ่ย
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดว่าป่าไผ่วิญญาณคืนนี้วุ่นวายดี
จริงๆ กำลังภายในของเขาแก่กล้ามาก หากมีความ
เคลื่อนไหวอะไรใกล้ๆ เขาก็จะรู้สึกได้ง่าย แต่ว่าคนที่
ปรากฏตัวบนหลังคา เขาแทบจะไม่ได้รู้สึกเลย ไม่รู้
ว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่
คนผู้นั้นเป่าขลุ่ยลอยตัวลงมาจากกลางอากาศ แต่
เสียงขลุ่ยของเขามันดูเศร้า
ทันใดนั้นเองเจ้าเกาะไป๋อวิน๋ ก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกง ไม่เจอกันนานเลยนะ
ท่านสบายดีไหม เสียงขลุ่ยของท่านยังคงเหมือนเดิม
ทำให้คนรู้สึกไปด้วยเลยนะ”
ฉีหนิงตกใจมาก คิดในใจว่าเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเรียกคนผู้
นั้นว่า “ท่านพีเ่ ป่ยกง” หรือว่าคนทีเ่ ป่าขลุ่ยนั่นจะ
เป็นเทพกระบีเ่ ป่ยกงเหลียนเฉิง?
ฉีหนิงได้เคล็ดวิชากระบี่ไร้ชื่อมาจากบ้านเก่าตระกูลฉี
ต่อมาเขาเดาว่าน่าเป็นของเป่ยกงเหลียนเฉิง ช่วงนี้
เขารู้สึกได้ว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงนั้นวนเวียนอยู่รอบตัว
เขาตลอดเวลา แต่ว่าจนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งจะได้เจอ
กับเป่ยกงเหลียนเฉิงเป็นครัง้ แรก
มู่เย่อ๋องตะลึงไป จากนั้นก็พงุ่ ไปทางที่เป่ยกงเหลียน
เฉิงอยู่
ฉีหนิงตกใจมาก แอบคิดในใจว่ามู่เย่อ๋องเห็นเป่ยกง
เหลียนเฉิง ไม่ถามอะไรเลย ก็ลงมือโจมตีเลย เขารู้
ว่ามู่เย่อ๋องกับเป่ยกงเหลียนเฉิงมีปญั หากันมาก่อน
แต่ว่ามู่เย่อ๋องถูกขังสิบแปดปี นิสัยของเขาก็ยังไม่
เปลี่ยน ดูท่าทางเขาจะแค้นเข้ากระดูกดำ
มู่เย่อ๋องเคลื่อนที่ไปอย่างกับลิง เขาพุ่งเข้าไปใกล้เป่
ยกงเหลียนเฉิง แต่เขากลับได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้นมา
เป่ยกงเหลียนเฉิงลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศ มู่เย่อ๋อง
เงยหน้าไป จากนั้นก็เหลือบไปมองเป่ยกงเหลียนเฉิง
เขาลอยข้ามหัวเขาไป เมื่อได้สติ เป่ยกงเหลียนเฉิงก็
ลงมาถึงพื้นราวกับเทพเจ้าแล้ว
มู่เย่อ๋องร้องตะโกนขึน้ มาอีกครั้ง เขาดีดตัวขึ้นแล้วลง
มาจากหลังคา พุ่งไปหาเป่ยกงเหลียนเฉิง เป่ยกง
เหลียนเฉิงถือขลุ่ยในมือซ้ายไขว้หลังเอาไว้ มือขวา
ยกขึ้นมา ทันใดนั้นเองก็เห็นกิ่งไม้ประมาณเจ็ดแปด
ก้าน พุ่งเข้าใส่ตัวของมู่เย่อ๋อง กิ่งไม้ประมาณเจ็ด
แปดก้านนั้นพุ่งไปราวกับเป็นดาบ มันทั้งเร็วและแรง
จากนั้นก็ได้ยินเสียง “จึกจึกจึก” กิ่งไม้ปักเข้าตัว
ของมู่เย่อ๋อง มู่เย่อ๋องแทบจะไม่ได้หลบเลย
มู่เย่อ๋องล้มลงกับพื้น ขยับไม่ได้อีก
ฉีหนิงแล้วก็คนอื่นเห็นกันหมด ทุกคนตกใจมาก มู่เย่
อ๋องเป็นยอดฝีมือในยุทธภพคนหนึง่ บ่าวสองตนของ
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นสามารถเอาชนะชื่อตันเหมยได้ แต่
กลับทำอะไรมู่เย่อ๋องไม่ได้เลย แต่ว่าเป่ยกงเหลียน
เฉิงแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย มู่เย่อ๋องก็ไม่มีแรงที่จะ
ตอบโต้เลย ถูกควบคุมไว้ตรงพื้น
ฉีหนิงตะลึงมาก ตอนนี้รู้สึกว่าต้าจงซือนั้นสมคำร่ำ
ลือ ไม่แปลกใจที่เซี่ยงไป๋อิ่งเคยพูดไว้ว่า ห้าต้าจงซือ
เป็นอะไรที่ยากจะเชื่อว่ามีอยู่จริง คนหนึ่งคุ้มกันหนึ่ง
แคว้น คนแบบนี้วรยุทธ์เทียบได้กับเทพเจ้า ในยุทธ
ภพถือได้ว่าหาได้ยาก ไม่ต่างอะไรกับปีศาจ
หลังจากที่มู่เย่อ๋องล้มลงกับพื้นไป เขาขยับตัวไม่ได้
เขาด่าว่า “เป่ยกงเหลียนเฉิง เจ้ามันคนต่ำช้า หาก
วันนี้ข้าไม่ได้หัวของเจ้า ข้าคงตายตาไม่หลับ”
ฉีหนิงยืนอยู่ข้างเป่ยกงเหลียนเฉิงไม่ไกล เขาเห็นเป่
ยกงเหลียนเฉิงสวมชุดสีม่วงสวมใส่หมวกสาน เขาถูก
หมวกปิดมด แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย มีแค่จมูก
กับปากเท่านั้นที่เห็นได้รางๆ
“เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก” เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “ข้า
เองก็ไม่ได้อยากฆ่าเจ้า สิบแปดปีก่อน ข้าได้ให้
คำตอบกับเจ้าไปแล้ว หากเจ้าไม่พอใจ ข้าเองก็จน
ปัญญา”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกงเมื่อสิบ
แปดปีก่อนเคยประมือกับเขาอย่างนัน้ หรือ?”
เป่ยกงเหลียนเฉิงเหลือบไปมองเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น แล้ว
พูดว่า “เจ้าออกนอกเกาะไป๋อวิ๋นมาได้ ไม่ง่ายเลย
นะ”
“หากครั้งนี้ไม่ได้ออกมานอกเกาะ แล้วจะได้มาเจอ
ท่านพี่เป่ยกงได้ยังไงกัน?” เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นยิ้มแล้ว
พูดว่า “ไม่เจอกันตั้งหลายปี ท่านพี่เป่ยกงยังคงสง่า
งามเหมือนเดิมเลยนะ”
เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “เจ้าอยากเจอข้าจริงๆ
หรือ?”
“ท่านพี่เป่ยกงไม่อยากเจอข้าหรือ?” เจ้าเกาะไป๋อวิ๋
นยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นสหายเก่ากันมาตั้งหลายปี ยังไง
ก็ต้องคิดถึงกันบ้าง”
เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “ศิษย์ของเจ้าไปตามหาข้าที่
แคว้นฉู่ อยากรู้ว่าข้าเป็นหรือตาย เจ้ารู้เรื่องนี้หรือ
เปล่า?”
ฉีหนิงได้ยิน ก็นึกถึงตอนที่ชื่อตันเหมยไปที่แคว้นฉู่
นางเคยไปหาเขาที่แม่น้ำฉินไหวจริง แล้วถามหาที่อยู่
ของเป่ยกงเหลียนเฉิงกับเขา เรื่องนีไ้ ม่มีใครรู้ ไม่รู้
ว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงไปรู้มาจากไหน? ทันใดนั้นเอง
เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า คืนนั้นชื่อตันเหมยบีบให้เขาตอบ
คำถาม แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงแปลกๆ เสียงหนึ่งดังมา ชื่อ
ตันเหมยกลัวมาก เลยหนีไป หรือว่าเสียงในคืนนัน้
จะเป็นเสียงของเป่ยกงเหลียนเฉิง? หากเป็นอย่างนั้น
ก็อธิบายเรื่องที่เป่ยกงเหลียนเฉิงรู้เรือ่ งนี้ได้อย่างดี
ตอนนั้นเขาอยู่แถวนั้น เขาก็ต้องรูเ้ รือ่ งที่เกิดขึ้นบน
เรือทั้งหมด
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่มีทาง
สงสัยอยู่แล้วท่านพี่เป่ยกงต้องปลอดภัยดี”
เป่ยกงมองไปที่ไป๋อวี่เฮ่อกับชื่อตันเหมย ศิษย์สองคน
ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเองก็กำลังมองมาที่เขา สายตา
ของไป๋อวี่เฮ่อเป็นประกายมาก
ไป๋อวี่เฮ่อฝึกกระบี่มานานหลายปี เพลงกระบี่ของเขา
ไม่ว่าใครในยุทธภพก็ต่างตะลึง ส่วนเป่ยกงเหลียนเฉิง
ได้ฉายาเทพกระบี่ ก็ต้องเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งใน
ใต้หล้านี้อยู่แล้ว ไม่ว่าใครที่ฝึกกระบี่ ก็จะมีความ
เคารพนับถือในตัวของเป่ยกงเหลียนเฉิงทัง้ นั้น ยอด
ฝีมือด้านกระบี่อย่างไป๋อวี่เฮ่อ ลึกๆ แล้วก็อยากจะ
ประลองกับเทพกระบี่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
เป่ยกงเหลียนเฉิงมองข้ามชื่อตันเหมยไปยังไป๋อวี่เฮ่อ
เขาพูดขึ้นว่า “เจ้าคือไป๋อวีเ่ ฮ่อ?”
ไป๋อวี่เฮ่อตอบอย่างเคารพมาก “ผู้นอ้ ยไป๋อวี่เฮ่อ
คำนับผู้อาวุโสเป่ยกง”
เป่ยกงเหลียนเฉิงเหลือบไปมอง แล้วก็หายไปราวกับ
วิญญาณ ไปโผล่อยู่หลังซาหนู ซาหนูตกใจมาก ยังไม่
ทันได้สติ กระบี่อูเย่าในมือของเขาก็ถูกเป่ยกงเหลียน
เฉิงแย่งไป เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นยังนิ่งอยู่ ซาหนูคิด
อยากจะชิงกลับมา แต่เป่ยกงเหลียนเฉิงไปไปโผล่
หน้าไป๋อวี่เฮ่อแล้ว เขาโยนกระบี่อเู ย่าโยนให้ไป๋อวี่
เฮ่อ เขาพูดว่า “ชื่อเสียงขอเจ้ากับฝีมือด้านกระบี่ข้ารู้
หมดแล้ว กระบี่อูเย่าเป็นหนึง่ ในสิบสุดยอดกระบี่ อยู่
ในอันดับที่สาม ด้วยฝีมือด้านกระบี่ของเจ้า ก็ถือว่า
คู่ควรกับกระบีเ่ ล่มนี้อยู่”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นไม่โกรธแต่ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่
ยกงเอาของของข้าไปซื้อใจคนอืน่ อย่างนั้นหรือ”
เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “กระบี่อูเย่าอยู่ในมือของเจ้า
มันก็เป็นเศษเหล็กเล่มหนึ่งเท่านั้น แต่ว่าหากอยู่ใน
มือของเขา มันก็เหมือนเป็นอาวุธเทพ ข้าไม่ได้สงสาร
ไป๋อวี่เฮ่อหรอกนะ แต่ว่าสงสารกระบี่อูเย่าเล่มนี้ คน
มีจิตวิญญาณของคน กระบี่ก็มีจิตวิญญาณของกระบี่
กระบี่หนึ่งเล่มหากไม่มีเจ้าของที่เหมาะสม มันเป็น
เรื่องทีน่ ่าเศร้าที่สุดในโลก”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นพูดว่า “ในเมื่อท่านพี่เป่ยกงพูดมาถึง
ขนาดนี้แล้ว ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูด แค่กระบี่เล่ม
เดียว ก็ไม่ได้มีอะไรมาก”
ไป๋อวี่เฮ่อรับกระบี่อเู ย่ามา แล้วก็พูดขึ้นว่า “ผู้
อาวุโสเป่ยกง ผู้น้อยมีเรื่องอยากร้องขอ”
“หือ?” เหมือนกับว่าเป็นคนใช้กระบี่เหมือนกัน เป่
ยกงเหลียนเฉิงเลยรู้สึกกับไป๋อวีเ่ ฮ่อต่างจากคนอื่น
เขาถามว่า “เรื่องอะไร?”
ไป๋อวี่เฮ่อพูดว่า “ผู้น้อยขอบังอาจ อยากจะขอคำ
ชี้แนะจากผู้อาวุโสเป่ยกงสักครั้ง ต่อให้ต้องตายใต้คม
กระบี่ของผู้อาวุโส ผู้น้อยก็ตายตาหลับ”
เป่ยกงเหลียนเฉิงได้ยินดังนัน้ ก็หัวเราะแล้วพูดว่า
“เจ้าจะประลองกระบี่กบั ข้าอย่างนัน้ หรือ?”
ไป๋อวี่เฮ่อคุกเข่าลงกับพื้น แล้วพูดอย่างเคารพว่า
“ขอให้ผู้อาวุโสรับปากด้วย”
เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “ทักษะกระบี่ของเจ้า หาก
ผ่านไปอีกสักยี่สิบปี ก็คงไม่มีใครสู้เจ้าได้แล้ว คนที่ฝึก
กระบี่ในใต้หล้านี้มีกว่าร้อยกว่าพันคน แต่ว่าคนที่
รู้จักกระบี่จริงๆ มีไม่กี่คน สามารถมีความเข้าใจ
ลึกซึ้งในศาสตร์ของกระบี่นนั้ มีน้อยมาก ไป๋อวี่เฮ่อ
เจ้ามีพรสวรรค์ในด้านกระบี่มาก ทีเ่ จ้าประสบ
ความสำเร็จในวันนี้ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องขอบคุณท่านผู้
เฒ่าโม่มากหรอกนะ ถึงแม้เขาจะเป็นคนถ่ายทอด
วิชาเพลงกระบีใ่ ห้เจ้า แต่ว่าการเข้าใจในศาสตร์ของ
กระบี่จริงๆ เขาสู้เจ้าไม่ได้เลย”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจ เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “ท่านพี่เป่ยกงท่านกำลังต่อว่าข้าอย่างนั้นหรือ
หากพูดถึงเรื่องทักษะกระบี่ เทียบกับท่านแล้ว ข้าคง
สู้ไม่ได้จริงๆ เมื่อกี้ที่ใช้กิ่งไม้เป็นกระบี่ ในใต้หล้านี้
คงไม่มีใครทำได้แน่นอนจริงหรือไม่?”
ฉีหนิงเห็นต้าจงซือทัง้ สองพูดคุยกัน เหมือนพวกเขา
คุ้นเคยกันดี เหมือนเป็นเกลอเก่า น้ำเสียงของเป่ยกง
เหลียนเฉิงดังและชัดมาก ไม่เหมือนคนแก่อายุเจ็ด
สิบเลย อีกทั้งร่างกายของเขาก็ตรง ดูสง่างาม มอง
จากด้านหลังก็ไม่น่าจะเกินห้าสิบ
ฉีหนิงคิดไม่ถึงว่าต้าจงซือทั้งสองคนจะสามารถรักษา
ร่างกายได้ดีขนาดนี้มาก่อน อายุก็มากกันแล้ว แต่ยัง
ดูเด็กอยู่เลย?
มู่เย่อ๋องเห็นเป่ยกงเหลียนเฉิงทิง้ เขาไว้อย่างนั้น ไม่ได้
สนใจอะไรเขาเลย เขาโกรธมาก เขาพูดด้วยความ
โมโหว่า “เป่ยกงเหลียนเฉิง หากข้าไม่ตาย เจ้าก็จะ
ไม่มีทางสงบ หากเจ้ามีปัญญา ก็ฆ่าข้าเลยสิ”
เป่ยกงเหลียนเฉิงแทบจะไม่มองเลย เขาหันไปพูดกับ
ไป๋อวี่เฮ่อว่า “มือกระบี่ระดับเจ้า หาได้ยากนัก ไม่
ต้องเอาชีวิตมาทิ้งหรอกนะ เจ้ารู้หรือไม่ศาสตร์ของ
กระบี่ที่แท้จริงนั้นคืออะไร?”
ไป๋อวี่เฮ่อตะลึงไป สายตาของเขาเหมือนต้องการให้
เขาชี้แนะ
เป่ยกงเหลียนเฉิงค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “ศาสตร์แห่ง
กระบี่ไม่ใช่ศาสตร์แห่งการต่อสู้ คนที่คิดจะประลอง
กระบี่กบั คนอืน่ ตลอดเวลา เขาก็จะไม่มีทางบินได้
สูงขึ้น ศาสตร์แห่งกระบีเ่ ป็นศาสตร์แห่งสวรรค์ คนที่
ต่ำต้อยจะได้บินสูง เมื่อเข้าใจถึงศาสตร์ได้อย่าง
แท้จริงแล้ว ก็จะเข้าใจศาสตร์แห่งสวรรค์ เหมือนกับ
ที่สวรรค์มองอาณาประชาราษฎร์ เมื่อเข้าใจในกระบี่
เราก็เปรียบเสมือนสวรรค์ที่มองอาณาประชาราษฎร์
คนและฟ้าเป็นหนึง่ เดียวกัน นีค่ ือความหมายที่
แท้จริงของราชาแห่งกระบี่”
ไป๋อวี่เฮ่อเหมือนคิดตาม จากนั้นก็เขาก็โขกศีรษะให้
ฉีหนิงคิดว่าด้วยนิสัยของไป๋อวี่เฮ่อ นอกจากเจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋นแล้วที่เขายอมคุกเข่าให้ ในใต้หล้านี้ก็คงมีเป่
ยกงเหลียนเฉิงเท่านั้นที่เขายอมที่จะคุกเข่าแล้วโขก
ศีรษะให้ เห็นได้ชัดไป๋อวี่เฮ่อเคารพนับถือเป่ยกง
เหลียนเฉิงมาจากใจจริงข้างใน จากนั้นก็ได้ยินไป๋อวี่
เฮ่อพูดอย่างเคารพว่า “สิ่งที่ผู้อาวุโสชี้แนะ ผู้น้อยจะ
จดจำไว้ และจะค้นหาเส้นทางสู่ราชาแห่งกระบี่ให้
ได้”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกง
ข้าอบรมสั่งสอนเขามาเป็นสิบปี กลับสู้ท่านที่สอน
เขาแค่คำเดียวไม่ได้เลย”
ไป๋อวี่เฮ่อรีบพูดว่า “ศิษย์มิกล้า ท่านเจ้าเกาะ”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นถอนพูดว่า “เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของเกาะ
ไป๋อวิ๋นอีกแล้ว ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าเจ้าเกาะอีก”
ไป๋อวี่เฮ่อตะลึงไป สีหน้าของเขาเครียดมาก ชื่อตัน
เหมยรีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านเจ้าเกาะ ทุกอย่างเป็น
ความผิดของเหมยเอ่อร์คนเดียว ได้โปรดเมตตาด้วย
อย่าไล่ศิษย์พี่รองออกจากเกาะไปเลยนะ”
“สิ่งที่ข้าพูด เคยคืนคำด้วยอย่างนั้นหรือ?” เจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋นพูดต่อว่า “พวกเจ้าสองคน พาเหมยเอ่อร์
กลับเกาะเดี๋ยวนี้ แล้วกักบริเวณนางไว้ที่เกาะ ห้าม
ออกจากเกาะแม้แต่ก้าวเดียว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 639 บังคับจับคู่
ฉีหนิงเห็นกับตาว่าชื่อตันเหมยลอบปลงพระชนม์
ฮ่องเต้ตงฉี เขารู้ว่าชื่อตันเหมยมีความแค้นใหญ่หลวง
กับฮ่องเต้ตงฉีแบบที่ไม่สามารถลืมกันได้ ไม่อย่างนั้น
นางไม่มีทางใช้ฐานะศิษย์เกาะไป๋อวิ๋นไปลอบสังหาร
ฮ่องเต้ตงฉีแน่นอน
ชื่อตันเหมยเป็นศิษย์ของราชครูตงฉี ฉีหนิงเดาว่านาง
จะต้องรู้สถานการณ์ในแคว้นตงฉีเป็นอย่างดี เรื่องที่
คนอื่นอาจจะไม่รู้ ชื่อตันเหมยอาจจะรู้
ถึงแม้แคว้นฉู่จะเจรจาการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของ
สองแคว้น แต่ว่าฉีหนิงก็รู้ดีว่า มันก็แค่การเจริญ
สัมพันธไมตรีชั่วคราว ความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นมัน
พลิกง่ายยิ่งกว่าฝ่ามืออีก มันไม่มีความสัมพันธ์ที่ยืน
ยาว ถึงแม้เป้าหมายของแคว้นฉู่จริงๆ แล้วก็คือการ
รับมือกับเป่ยฮั่น แต่ว่าอย่างไรซะแคว้นฉีก็เป็นแคว้น
ใหญ่อยู่ในทิศนี้ อย่างไรมันก็ยังทิ่มแทงใจแคว้นฉู่อยู่
ดี
รู้เขารู้เรารบร้อยครัง้ ชนะร้อยครั้ง หลายปีที่ผ่านมา
ทั้งสามแคว้นไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันนัก เลยไม่ได้
ค่อยรู้เรื่องราวระหว่างกันนัก สิ่งที่รมู้ ีเพียงเรื่องทั่วไป
ของกันและกันเท่านัน้ ในเมื่อชื่อตันเหมยเกลียด
ฮ่องเต้แคว้นตงฉีขนาดนี้ ฉีหนิงรู้สึกว่าเขาสมควรดึง
นางมาเข้ากับฝ่ายแคว้นฉู่ ถึงแม้นางจะไม่เข้ามาอยู่
แคว้นฉู่เต็มตัวก็ตาม
หากชื่อตันเหมยยอมบอกความลับของแคว้นฉีให้เขา
รู้ สำหรับแคว้นฉู่แล้ว มันมีประโยชน์อย่างมาก
ต้องการให้ชื่อตันเหมยมาเข้ากับแคว้นฉู่ ถึงแม้ดูไป
แล้วจะเป็นเรื่องยาก แต่มันใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ชื่อ
ตันเหมยอยากได้หัวของฮ่องเต้ตงฉี แต่ว่านางบุก
เดี่ยวเข้าไปล้มเหลว ฮ่องเต้ตงฉีไม่มีทางให้ชื่อตัน
เหมยมีโอกาสครั้งที่สองแน่ ในสถานการณ์อย่างนี้
ชื่อตันเหมยมีเพียงอาศัยกำลังจากภายนอก อาจจะ
ทำให้นางสมหวังได้
โดยแคว้นฉู่อาจจะสามารถเป็นกำลังแห่งความหวัง
ของชื่อตันเหมยก็ได้ หากแคว้นฉู่ลงทุนลงแรงหน่อย
ดึงศิษย์เกาะไป๋อวิ๋นคนนี้มาได้ ก็จะทำให้ได้ประโยชน์
มาก
เพียงแต่ว่าตอนนี้ฉีหนิงรู้ดี ในสถานการณ์ตอนนี้นั้น
แผนของเขาอาจจะไม่สำเร็จ ใครก็ไม่คิดว่าเจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋นจะมาตามหาตัวนางด้วยตัวเอง เจ้าเกาะไป๋อวิ๋
นอยู่ที่นี่ ฉีหนิงรู้ว่าหากจะพาชื่อตันเหมยหนีไปแทบ
จะเป็นไปไม่ได้เลย สู้กับเขาก็ไม่ได้ อีกทั้งชื่อตันเหมย
เป็นลูกศิษย์ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น เขาจะพาศิษย์ของ
ตัวเองกลับไป มันเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครหาเหตุผลมา
หักล้างเรื่องนี้ได้เลย
แต่ว่าเมื่อนึกถึงชื่อตันเหมยต้องอยู่ในเกาะไป๋อวิน๋ ไป
ตลอดชีวิตเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องทีโ่ หดร้าย ชื่อตัน
เหมยไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือว่าวรยุทธ์มันเป็น
อะไรที่หาได้ยาก คนแบบนี้ จะให้อยู่เป็นโสดคนเดียว
ที่เกาะ มันก็น่าสงสารจนเกินไป
ชื่อตันเหมยสีหน้าซีด แต่ว่านางเหมือนรู้ว่าไม่มีทาง
ขัดคำสั่งของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นได้เลย นางลุกขึ้นมา สี
หน้าของนางเคร่งเครียดมาก ซาหนูหวังหนูเดินขึ้น
หน้ามา ยกมือแล้วพูดว่า “นายหญิงสามเชิญ พวก
เราไปกันเถอะ”
ชื่อตันเหมยมองฉีหนิง ฝืนยิ้มให้ แล้วหันหลังเดินไป
ฉีหนิงทนไม่ได้ เลยพูดขึ้นว่า “ช้าก่อน”
ชื่อตันเหมยสะดุ้ง เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเหลือบมองมาที่ฉี
หนิง เขายิ้มแต่ไม่พูดอะไร ฉีหนิงรู้สึกเขินมาก เขา
พูดว่า “ท่าน...ท่านเจ้าเกาะโม่ ท่านจะกักบริเวณนาง
ไว้ที่เกาะตลอดชีวิตจริงๆ หรือ?”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นพูดว่า “บ้านเมืองมีกฎหมาย บ้านก็มี
กฎบ้าน เหมือนจะไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีกนะ”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “นางอายุยังน้อย ท่าน
กักบริเวณนางไว้ทเี่ กาะแบบนี้ มัน...มันโหดร้าย
เกินไปหน่อยหรือไม่? อย่างไรนางก็เป็นศิษย์ของท่าน
นะ ท่านเห็นนางมาตั้งแต่เล็ก ท่านทนได้หรือ?”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นถอนหายใจเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
เป่ยกงเหลียนเฉิงจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “ฉีหนิง เจ้ามานี่”
ฉีหนิงตะลึงไป เขาลังเล แต่ก็เดินทีห่ าเขาตามคำสั่ง
เป่ยกงเหลียนเฉิงถามว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย ชื่อตัน
เหมยนอนกับเจ้าแล้วใช่หรือไม่?”
เมื่อพูดมาแบบนี้ ทุกคนตรงนัน้ ก็หน้าเปลี่ยนสี ฉีหนิง
รู้สึกเขิน เป็นถึงเทพกระบี่ ทำไมถึงได้พูดเรื่องน่าอาย
แบบนี้ออกมา เขากำลังจะตอบ เป่ยกงเหลียนเฉิงก็
หันไปพูดกับเจ้าเกาะไป๋อวิน๋ ว่า “น้องโม่ ชื่อตันเหมย
จะกลับเกาะไป๋อวิ๋น เรื่องนีเ้ ป็นเรื่องภายในของพวก
เจ้าที่จริงข้าไม่ควรถามมาก เพียงแต่ว่าศิษย์ของท่าน
มอบกายให้ฉีหนิงพร้อมจะอยูก่ ับเขาไปตลอดชีวิต
แล้ว ในเมื่อฉีหนิงอยู่ที่นี่ นางจะกลับไปที่เกาะกับเจ้า
หรือเปล่า ต้องถามความเห็นของฉีหนิงก่อน”
ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยต่างก็ตกใจ แอบคิดในใจว่าเทพ
กระบี่ทำไมทำแบบนี้ พวกเขาสองคนไปแอบตกลงใช้
ชีวิตด้วยกันตั้งแต่ตอนไหน
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกงอย่ามา
ล้อเล่นกับข้าแบบนี้นะ พวกเขาสองคนแอบตกลงใช้
ชีวิตด้วยกัน ทำไมข้าถึงไม่รู้อะไรเลย?”
“ในเมื่อแอบตกลงใช้ชีวิตด้วยกัน เจ้าไม่รู้มันก็ถูกต้อง
แล้วนี่นา” เป่ยกงเหลียนเฉิงยืนไขว้มือไว้ด้านหลัง
อีกมือหนึ่งถือขลุ่ย เขาค่อยๆ พูดว่า “เมื่อไม่นานมา
นี่ศิษย์ของเจ้าเดินทางไปกับคณะทูตตงฉีไปยังแคว้น
ฉู่ นางได้รู้จักกับฉีหนิง หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้กัน
บนเรือสำราญที่แม่น้ำฉินไหว”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นยังคงยิ้มอยู่ เขาพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกง
เหมยเอ่อร์ยังรักษาพรหมจรรย์อยู่ หากท่านยังจะ
ล้อเล่นแบบนี้กับข้า ข้าจะไม่พอใจแล้วนะ”
“เจ้าลองถามลูกศิษย์เจ้าก่อนว่ามีเรือ่ งแบบนี้หรือ
เปล่าก่อนก็ได้?” เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “เมื่อกี้ข้าก็
บอกไปแล้ว ศิษย์ของเจ้าไปตามหาข่าวของข้า ก็ไปที่
เรือสำราญลำนั้น ข้าเห็นมากับตา ไม่มีทางผิด”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นขมวดคิ้ว มองไปที่ชื่อตันเหมย เขา
กลับพูดได้อย่างมีความสุขว่า “ในเมื่อท่านพี่เป่ยกงบ
อกว่าเรื่องนี้จริง ก็คงไม่ผิดแน่ อาจจะอยู่ด้วยกัน แต่
ว่าแอบตกลงปลงใจใช้ชีวิตด้วยกันนั้นหรือเปล่า คงมี
แค่เขาสองคนเท่านัน้ ที่รู้” เขาหันไปถามชื่อตันเหมย
แล้วพูดว่า “เหมยเอ่อร์ เจ้าแอบตกลงใช้ชีวิต
ร่วมกับฉีหนิงแล้วจริงหรือ?” สายตาของเขาดุมาก
แต่ท่าทีของเขาดูอ่อนโยน
ชื่อตันเหมยไม่กล้าสบตากับเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น เขาก้ม
หน้าลง เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “เรือ่ งของชายหญิง
เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่บอกใครไม่ได้ หาก
พวกเจ้าแอบตกลงจะใช้ชีวิตด้วยกันแล้ว วันนี้ข้ากับ
น้องโม่อยู่ที่นี่ ก็ไม่ต้องเสียเวลา คืนนี้พวกเราจะจัด
งานแต่งงานให้พวกเจ้าเลย หากไม่เคยมีเรื่องนี้ ถือว่า
ข้าแก่เลอะเลือนไปเอง ข้าก็จะขอโทษน้องโม่เอง”
ฉีหนิงรู้สึกซาบซึง้ ใจมาก รู้ว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงกำลัง
ออกหน้าช่วย เขาพูดก่อนแล้ว ไม่ได้พูดอย่างหนัก
แน่น หากชื่อตันเหมยบอกว่าไม่เคยมีเรื่องแบบนี้ เป่
ยกงเหลียนเฉิงก็แค่ขอโทษโม่หลันชาง สำหรับคน
ทั่วไป การขอโทษไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ว่าเป่ยกงเหลียน
เฉิงกับโม่หลันชางเป็นต้าจงซือ มันกลับเป็นเรื่องที่
ใหญ่มาก
ต้าจงซือห้าคน ที่มีความสามารถเหนือใคร ในโลกใบ
นี้ ก็เป็นยอดฝีมือที่ไม่มีใคร
คำพูดของเป่ยกงเหลียนเฉิงกับเจ้าเกาะ เหมือนจะ
ธรรมดา แต่ว่าฉีหนิงฟังออก พวกเขาสองคนกำลังสู้
กันด้วยคำพูด ต้าจงซือเหมือนกัน ไม่มีทางยอมก้มหัว
ให้กัน ตอนนี้เป่ยกงเหลียนเฉิงเอาการขอขมามาเป็น
เดิมพัน ซึ่งก็ถือว่ายาก ฉีหนิงรู้ว่านี่มันเป็นการห้ำหั่น
ระหว่างต้าจงซือสองคน แพ้ชนะตัดสินแค่คำพูดของ
ชื่อตันเหมยคนเดียว
หากเปลี่ยนเป็นปกติ เป่ยกงเหลียนเฉิงคงแพ้ไปแล้ว
แน่นอน แต่สถานการณ์วันนี้มันพิเศษ หากเป่ยกง
เหลียนเฉิงให้โอกาสชื่อตันเหมยรอดได้ หากบอกว่า
ไม่ได้แอบตกลงจะใช้ชีวิตร่วมกัน ชื่อตันเหมยก็ต้อง
กลับเกาะไปที่เจ้าเกาะไป๋อวิ๋น แต่ว่าหากยอมรับว่า
นางมีอะไรกับฉีหนิง ถ้าอย่างนัน้ เป่ยกงเหลียนเฉิงก็
จะมีวิธีรับมือต่อ
ฉีหนิงกลัวว่าชื่อตันเหมยจะกลัวเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น
เลอะเลือน เลยรีบพูดว่า “ตันเหมย ท่าน...ท่านปูร่ อง
ออกหน้าให้พวกเรา เจ้ามีอะไรพูดได้เลย อย่างไร
ท่านเจ้าเกาะก็ต้องรู้”
เป่ยกงเหลียนเฉิงกับเจ้าเกาะตอนนีน้ ิ่งมาก ไม่ได้พูด
อะไร ชื่อตันเหมยมองไปที่ฉีหนิง แล้วมองไปที่ท่าน
เจ้าเกาะ หลังจากลังเล นางก็คุกเข่าลง แล้วท่านเจ้า
เกาะก็พูดว่า “ท่านเจ้าเกาะ เหมยเอ่อร์สมควรตาย
ตอนที่เหมยเอ่อร์...เหมยเอ่อร์อยู่ที่แคว้นฉู่ ได้อยู่กับ
...กับฉีหนิงจริงๆ”
นางพูดแบบนี้ ก็แสดงว่ายืนยันว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง
เจ้าเกาะไปอวิ๋นขมวดคิ้ว เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า
“น้องโม่ เหมือนว่าข้าจะไม่เลอะเลือน มันมีเรื่องนี้
จริงๆ” นางกวักมือเรียกชื่อตันเหมยมาแล้วพูดว่า
“เจ้ามานี่”
ชื่อตันเหมยมองไปที่เจ้าเกาะไป๋อวิ๋น เจ้าเกาะไม่ได้
มองนาง ชื่อตันเหมยกัดปาก จากนัน้ ก็ลุกขึ้นมาแล้ว
เดินไปหาเป่ยกงเหลียนเฉิง เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า
“พวกเจ้าสองคนอายุห่างกันมาก แต่ว่าในเมื่อรัก
ชอบพอกัน ก็ไม่มีอะไรมาขวางได้หรอกนะ ข้าพูด
เอาไว้แล้ว ก็ไม่คืนคำ น้องโม่ คืนนี้พวกเราจัดงาน
แต่งงานให้พวกเขาเลยดีหรือไม่?”
ท่านเจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ท่านพี่เป่ยกงจัดงาน
ในครั้งนี้ มันดีมากเลยทีเดียว” เขาหยุดแล้วพูดว่า
“เพียงแต่ว่าแต่งงานในคืนนี้เลย มันเหมือนจะ
กะทันหันไปหน่อย เหมยเอ่อร์มาอยูเ่ ป็นศิษย์ข้า
ตั้งแต่เล็ก นางเป็นเหมือนไข่มุกเม็ดงามของเกาะ
ไป๋อวิ๋น ท่านพีเ่ ป่ยกงจะให้นางเป็นคนของตระกูลฉี
แบบไร้ค่าแบบนี้น่ะหรือ”
เป่ยกงพูดว่า “แล้วมันยังไง?”
ท่านเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นพูดว่า “ให้นางกลับไปที่เกาะ
ไป๋อวิ๋นกับข้าก่อน แล้วให้ฉีหนิงไปจัดขบวนมารับตัว
นางอย่างสมเกียรติ”
เป่ยกงเหลียนเฉิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “น้องโม่พิธี
จุกจิกพวกนีย้ ังต้องใส่ใจอีกหรือ? ข้าว่าพิธีการพวกนี้
พวกเราตัดไปเถอะนะ ฉีหนิง นี่มันเป็นการแต่งงาน
ของพวกเจ้า พวกเจ้าว่าอย่างไร?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าหากชื่อตันเหมยถูกเจ้าเกาะไป๋อวิ๋
นพากลับเกาะไป ต่อให้เขายกขบวนไปรับนางจริง ก็
อาจจะลำบาก คิดว่าไม่น่าจะมีโอกาสอีก เจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋นยำเกรงเป่ยกงเหลียนเฉิง แต่เขาก็ไม่อยากยก
ชื่อตันเหมยให้ ดังนั้นเลยตั้งใจหาข้ออ้าง แล้วพูดว่า
“ข้ารักตันเหมยจากใจ อยากจะอยูก่ ับนางให้เร็วที่สุด
ขอท่านเจ้าเกาะช่วยให้พวกเราสมหวังด้วย”
ชื่อตันเหมยรู้ว่าฉีหนิงกำลังแสดงละคร คิดว่าเจ้าจะ
มาจริงใจกับข้าตอนไหนกัน แต่ว่าตอนนี้จะพูดอะไรก็
ไม่ได้แล้ว นางทำได้แค่ก้มหน้า ถึงแม้นางจะไม่ได้
เป็นสาวน้อย ไม่ว่าร่างกายหรือว่าสมองนางก็โตเป็น
ผู้ใหญ่แล้ว แต่เพราะนางยังไม่เคยผ่านเรื่องอย่างว่า
หรือเรื่องการแต่งงานมากก่อน เลยรู้สึกแปลกๆ อีก
ทั้งนางยังตกลงด้วยความจนใจ ในใจของนางรู้สึกผิด
ต่อเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นมาก เรื่องนี้มันซับซ้อน
“เจ้าก็คิดแบบนี้เหมือนกันใช่หรือไม่?” เป่ยกง
เหลียนเฉิงมองไปที่ชื่อตันเหมย
ชื่อตันเหมยทำไมจะไม่รู้ หากว่านางกลับไปที่เกาะ
เมื่อไหร่ ชาตินี้นางคงไม่มีทางล้างแค้นได้ นางพูดว่า
“ทุกอย่าง...ทุกอย่างให้ฉีหนิงจัดการ”
เป่ยกงเหลียนเฉิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “เจ้าเฒ่าโม่
พวกเราสองคนก็อย่าทะเลาะกันเลยนะ ตามใจพวก
เขาดีกว่า”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นพยักหน้า เหมือนจะคิด แล้วพูดว่า
“หากเหมยเอ่อร์แต่งงานไปกับฉีหนิงแล้ว ก็จะเป็น
คนของตระกูลฉี ตั้งแต่นี้ต่อไป เรื่องของนางข้าก็จะ
ไม่ยุ่งอีก” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกงท่าน
รู้ฐานะของเหมยเอ่อร์หรือเปล่า? หากฉีหนิงแต่งงาน
กับนางอาจจะทำให้ตระกูลฉีหรือแม้แต่แคว้นฉู่
เดือดร้อนได้นะ”
เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “มีทุกข์ก็มีสุขได้ มีสุขก็มี
ทุกข์ได้เช่นกัน ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า จิ่นอีโหว
แห่งแคว้นฉู่แต่งงานกับลูกสาวของอดีตรัชทายาทที่
ถูกปลดของแห่งตงฉี อีกทั้งองค์หญิงผู้นี้ยังลอบเข้าไป
สังหารฮ่องเต้แคว้นตงฉีอีก ทำแบบนี้แล้วแคว้นตงฉีก็
อาจจะเห็นแคว้นฉู่เป็นศัตรู เจ้าเฒ่าโม่ ความ
เดือดร้อนที่เจ้าหมายถึงคือแบบนี้ใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงถึงกับสะดุ้ง เขาตกใจมาก แอบคิดในใจว่าที่แท้
ชื่อตันเหมยก็คือลูกสาวของอดีตรัชทายาทที่ถูกปลด
ของตงฉี ถ้าอย่างนัน้ นางก็เป็นองค์หญิงน่ะสิ มี
สายเลือดของเชื้อพระวงศ์ตงฉี พริบตาเดียว เขาก็
เข้าใจขึ้นมาว่าทำไมชื่อตันเหมยถึงได้พยายามสังหาร
ฮ่องเต้ตงฉี
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 640 เสียงเพลงแห่งค่ำคืนที่ยาวนาน
ฉีหนิงได้ยินว่าชื่อตันเหมยเป็นองค์หญิงบุตรสาวของ
อดีตรัชทายาทที่ถูกปลด เขาก็สะดุ้ง เจ้าเกาะไป๋อวิ๋น
พูดว่า “ข้ากังวลเรื่องนี้อยู่พอดี”
เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “การแต่งงานครั้งนี้ มีพวก
เราสองคนเป็นพยาน ไม่เกีย่ วข้องกับการเมือง คำ
สัญญาเมื่อตอนนั้น จนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยยกเลิก
ดังนั้นการที่พวกเรามายุ่งเรื่องนี้ ก็เป็นแค่เรื่องของ
ชายหญิงสองคน” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “หาก
ฮ่องเต้แคว้นฉีจะเอาเรื่องนี้มาเป็นเหตุ ทำให้สอง
แคว้นหมางใจกัน ข้าคิดว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้า
เฒ่าหม้ออยากจะเห็นหรอกจริงหรือไม่”
ฉีหนิงรู้สึกสงสัยมาก แอบคิดในใจว่าข้อตกลงนั่นมัน
คืออะไร?
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นถอนหายใจแล้วพูดว่า "เรื่องการเมือง
ปล่อยมันไปเถอะ ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะไปยุ่งได้ มัน
จะเป็นอย่างไร
พวกเราก็ไม่อาจไปคาดเดาได้เลย"
เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “ถ้าอย่างนัน้ พวกเราก็ไม่
ต้องกังวลอะไร” เขาหันไปพูดกับฉีหนิงกับชื่อตัน
เหมยว่า “พวกเจ้าสองคนก็แต่งงานกันวันนี้ที่นเี่ ลย
ล่ะกัน หลังจากเข้าห้องหอไปแล้ว จะไปไหนทำอะไร
ก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกง อย่างไร
เขาก็จะแต่งกับศิษย์ของเจ้าเกาะไปอวิ๋นนะ ควรจะมี
สินสอดอะไรหน่อยไหม?”
เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “เตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อย
แล้ว” เขาลอยตัวไปทุกคนเห็นแค่เงาวิ่งผ่านหน้า
ไปเป่ยกงเหลียนเฉิงหายไปไร้ร่องรอยชั่วพริบตาเดียว
เขาหายไปราวกับวิญญาณ ฉีหนิงเห็นยอดฝีมือมาก็
มาก แต่ว่าคนที่ฝีมือน่ากลัวแบบนี้ เขาไม่เคยเห็นมา
ก่อน เขาคิดในใจว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงเคลื่อนไหว
รวดเร็วมาก ยอดฝีมือพวกนั้นกลายเป็นเหมือนแค่วัว
เดินคลานตัวหนึ่งเท่านั้น
ขณะที่เขากำลังตกใจ ทันใดนัน้ เองก็เห็นเงาลอยลง
มา พร้อมกับของบางอย่างที่หล่น “ตุบ” มาที่พื้น เป่
ยกงเหลียนเฉิงลอยตามลงมาด้วย
ฉีหนิงเห็นคนที่ลอยลงมา ก็ขมวดคิ้ว ที่แท้ก็คือ
เจ้าของป่าไผ่วิญญาณยายเฒ่าเหมียวอู๋จี๋นั้นเอง
เหมียวอู๋จี๋เสียแขนไปข้างหนึง่ ก็ไม่รู้ว่านางจัดการกับ
แผลของตัวเองหรืออย่างไร แขนข้างที่ขาดเลือดไม่
ไหลแล้ว นางหน้าตาอัปลักษณ์อยู่แล้ว ตอนนี้กลิ้ง
เป็นก้อนกลมๆ ดูน่ารังเกียจมาก
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าก่อนหน้ายายเฒ่าแอบหนีเอา
ตัวรอดไปในช่วงชุลมุน แต่คิดไม่ถึงว่าจะตกอยู่ในมือ
ของเป่ยกงเหลียนเฉิง เขาคิดขึ้นมาได้ว่า ตอนที่เขา
ถูกพิษขยับไม่ได้ มีหนอนตัวหนึ่งตกลงมาใส่ปากเขา
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือว่าหนอนนัน่ เป่ยกงเหลียน
เฉิงเป็นคนทำ เขายิ่งคิดยิง่ รู้สึกเป็นไปได้
ถึงแม้การแต่งงานกำลังจะเริ่มแล้ว แต่ว่าฉีหนิงกลับ
ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรืออะไร เพราะเขากับชื่อตันเหมย
ไม่ได้รู้จักกันมากเท่าไหร่ ถ้าบอกว่าฉีหนิงชอบรูปร่าง
ของชื่อตันเหมยนั้นมันคือเรื่องจริง เพราะรูปร่างของ
ชื่อตันเหมยนั้นมันดูเร้าร้อนเหลือเกิน ไม่ว่าผู้ชายคน
ไหนที่ได้เห็นก็อยากจะเข้าหาทั้งนั้น แต่หากบอกว่าฉี
หนิงรู้สึกกับชื่อตันเหมยมีความรู้สึกแบบชายหญิง
มันก็ดูฝืนเกินไป
คนชอบความสวยงามใครๆ ก็เป็น หญิงงามทำให้
ชายรู้สึกหลงใหลเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีอะไรไม่ถูกเลย
ฉีหนิงเองก็เช่นกัน เขาสนใจผู้หญิง ไม่ใช่เพราะเห็น
ผู้หญิงแล้วมีอารมณ์
ตอนนี้ชื่อตันเหมยเองก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเลย
เดิมนางคิดว่าเจ้าเกาะไป๋อวิน๋ มาด้วยตัวเองแบบนี้
นางก็ไม่มีเหตุผลอะไรมาอ้างอีก คงต้องกลับไปที่
เกาะและอยูท่ ี่นั่นจนตาย นางคิดไม่ถึงว่าเป่ยกง
เหลียนเฉิงจะหาทางช่วยให้นางรอดไปได้
เมื่อนางแต่งงานกับฉีหนิง นางก็จะกลายเป็นคนของ
ตระกูลฉี มีเทพกระบี่หนุนหลัง เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นไม่มี
ทางพานางกลับไปทีเ่ กาะได้
นางไม่อาจสังหารฮ่องเต้ตงฉีได้ นางไม่อยากล้มเลิก
ถึงแม้ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณที่เลี้ยงดูนางมา แต่
ว่าหากต้องถูกกักบริเวณในเกาะ ชื่อตันเหมยรู้สึกว่า
นางรับไม่ได้ ตอนนี้มีทางรอด ในใจก็รู้สึกผิดต่อเจ้า
เกาะไป๋อวิ๋นมาก แต่นางก็ยังอยากรอดไป
สมองโตเต็มวัยแล้ว รู้ว่าฉีหนิงเองก็กำลังพยายาม
ช่วยให้นางรอดไปได้ เขาก็ไม่ได้ทำดีอะไร อีกทั้งก็
น่าจะไม่ใช่เพราะหน้าตาของนางด้วย มันจะต้องมี
อะไรมากกว่านั้นแน่
นางกับฉีหนิงรู้ดีว่า เรื่องการตกลงใช้ชีวิตด้วยกัน
เพราะความรัก ตอนนี้มันแค่คำพูดดีดีเท่านั้น เพื่อให้
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเลิกคิดจะพานางกลับไป
นางรู้ว่าฉีหนิงไม่มีทางจริงใจกับนาง ส่วนนางก็ไม่ได้
คิดแบบชายหญิงกับฉีหนิง เพราะนางเห็นฉีหนิงเป็น
เด็กผู้ชายที่อายุไม่ถึงยี่สิบเลย อีกทัง้ นางก็อายุ
มากกว่าฉีหนิงอีก หากจะบอกว่าระหว่างพวกเขาจะ
มีเรื่องระหว่างชายหญิงกันมันก็เหลวไหลเกินไป
ตอนนี้นางทำได้แค่เดินตามน้ำกับฉีหนิงไป เมื่อผ่าน
เรื่องนี้ไปได้แล้ว ก็จ่ายค่าตอบแทนให้ฉีหนิงไป ก็ถือ
ว่าไม่ติดค้างอะไรกัน
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเหลือบมองไปทีเ่ หมียวอู๋จี๋ ยายเฒ่า
ม้วนตัวกลมอยู่ที่พื้น ไม่ขยับเลย เหมือนสลบอยู่ เขา
ยิ้มแล้วถามว่า “ท่านพี่เป่ยกง นีเ่ ป็นสินสอดของท่าน
หรือ?”
“จะหาสินสอดที่ถูกใจเจ้า มันไม่ง่ายเลย” เป่ยกง
เหลียนเฉิงพูดว่า “ไม่รู้ว่าสินสอดที่ข้าหามา เจ้าพอใจ
หรือเปล่า?”
หากไม่ใช่ออกมาจากปากเป่ยกงเหลียนเฉิง ฉีหนิงคง
แทบจะหัวเราะออกมา
เขาเห็นสินสอดมามากมาย แต่ว่ายังไม่เคยเห็นการ
เอาคนมาเป็นสินสอดเลย ฉีหนิงเดิมคิดว่าเป่ยกง
เหลียนเฉิงพาของล้ำค่ามาด้วย แต่คิดไม่ถึงว่าจะมา
หาเอาหน้างาน เอาเจ้าของป่าไผ่มาเป็นสินสอด
ฉีหนิงคิดในใจว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงแกล้งเจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋นแบบนี้ เจ้าเกาะคงไม่พอใจ ต้าจงซือคงผิดใจ
กันแน่
ใครจะคิดว่าเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นมองไปที่เหมียวอู๋จี๋ ถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกงใจกว้างมากขนาดนี้
น้องชายคนนี้คงต้องรับของชิ้นนี้เอาไว้” เขาหันไปสั่ง
บ่าวสองคนของเขาว่า “พวกเจ้าสองคนพานาง
กลับไปที่เกาะไป๋อวิ๋น ในเมื่อเป็นของขวัญที่ท่านพี่เป่
ยกงมอบให้ ต้องดูแลนางให้ดี”
ฉีหนิงตาโตแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาเหลือบไป
มองมู่เย่อ๋องที่อยู่ข้าง เห็นมู่เย่อ๋องนัง่ ขัดสมาธิอยู่ที่
มุมกระท่อม เหมือนกำลังเดินลมปราณ ก่อนนี้ฉีหนิง
ไม่ได้สนใจมู่เย่อ๋องเลย ตอนนี้มองไปแล้ว คิดในใจว่า
มิน่าเขาไม่พูดอะไรเลย ที่แท้กำลังเดินลมปราณ
รักษาตัวนี่เอง
ก่อนหน้านี้เป่ยกงเหลียนเฉิงออกแค่กระบวนท่าเดียว
ใช้กิ่งไม้เป็นกระบี่ ก็สามารถทำให้มู่เย่อ๋องตอบโต้เขา
อีกไม่ได้ ฉีหนิงคิดในใจว่ามู่เย่อ๋อคิดอยากจะทำ
ร้ายเป่ยกงเหลียนเฉิง ชาตินี้คงหมดหวังแล้ว
ตอนนี้เขาเห็นว่า ชายประหลาดลูกน้องของเหมียวอู๋
จี๋ที่ฟุบอยู่ที่พนื้ ไม่ไกล ที่ถูกมู่เย่อ๋องซัดกระเด็น
ออกไปนอกหน้าต่าง เขาก็เงียบไปเลย ตอนนี้เห็น
สภาพเขา น่าจะตายไปแล้ว คนไม่สำคัญแบบนี้ เลย
ไม่มีใครสังเกตุเห็น
ฉีหนิงรู้สึกขำ แอบคิดในใจว่าทำชั่วอะไรได้ก็จะได้
อย่างนั้น เหมียวอู๋จี๋คนพวกอยูท่ ี่ป่าไผ่วิญญาณกันมา
หลายปี ก็ไม่รู้ว่าทำร้ายคนไปมากเท่าไหร่ ตอนนี้
ได้รับกรรมอย่างที่ควรได้รบั แล้ว เพียงแต่เป่ยกง
เหลียนเฉิงใช้เหมียวอู๋จี๋เป็นสินสอด เจ้าเกาะไป๋อวิ๋
นเองรับไว้อย่างคาดไม่ถึง มันทำให้ฉีหนิงรู้สึกสงสัย
เป่ยกงเหลียนเฉิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “สินสอดก็รับ
แล้ว วันนี้เป็นวันดี ฉีหนิง เจ้าไปเก็บกวาดห้องหอ
เข้าหอคืนนี้เลย”
ฉีหนิงคิดในใจว่าแค่แผนช่วยชื่อตันเหมยเอง ทำไม
จะต้องเข้าหอด้วย? เข้าหอหรือเปล่า ข้าไม่ได้สนใจ
แต่ชื่อตันเหมยจะยอมหรือ? ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านปู่
รอง เรื่องการแต่งงานก็ตกลงกันได้แล้ว เรื่อง
หลังจากนี้ก็ให้เป็นเรื่องของข้ากับตันเหมยเถอะ
ขอบคุณท่านปูร่ องกับท่านเจ้าเกาะที่ช่วยให้พวกเรา
ได้สมหวังกัน ข้ากับ...”
แต่เป่ยกงเหลียนเฉิงกลับดุใส่เขา “อย่าพูดมาก บอก
ให้เก็บกวาดห้องหอก็ไป” ไป๋อวี่เฮ่อ ตอนนี้เจ้าไม่ใช่
คนของเกาะไป๋อวิ๋นแล้ว ข้าสั่งให้เจ้าทำอะไร ก็ไม่ถือ
ว่าล่วงเกินเกาะไป๋อวิ๋นหรอกใช่หรือไม่ เจ้าไปดูที่
ห้องครัว หาอาหารมาจัดเลี้ยงสักโต๊ะ ในเมื่อลูกศิษย์
เจ้าเฒ่าหม้อจะแต่งงานทัง้ ที จะให้รันทดเกินไปก็ไม่ดี
ไป๋อวี่เฮ่อตะลึงไป เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “ยังไม่ไป
อีก”
เป่ยกงเหลียนเฉิงมีพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ ไป๋อวี่
เฮ่อลังเล เหลือบไปมองเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น เห็นเจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋นมองไปที่สระน้ำ ที่สระน้ำมีกอ้ นหินอยู่ เขาก็
ไม่รังเกียจ เขาเดินไปนั่งตรงนัน้ เงยหน้ามองฟ้า
เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
บ่าวสองคนของเขาก็ไม่เสียเวลา ซาหนูเดินไปหิ้ว
เหมียวอู๋จี๋ แล้วก็พาหวังหนูเดินตามออกไป
ไป๋อวี่เฮ่อเก็บกระบี่ไว้ทเี่ อว แล้วเดินไปที่ห้องครัว เป่
ยกงเหลียนเฉิงเดินตรงไปนัง่ ที่ริมสระน้ำ อยู่ห่างจาก
เจ้าเกาะไม่กี่ก้าว เขายกมือขึ้นมาแล้วเป่าขลุ่ย
ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยมองหน้ากัน ทัง้ สองคนรู้สึกเขิน
แต่ว่าวันนี้ไม่ได้ฉีหนิง ชื่อตันเหมยจะต้องถูกพา
กลับไปที่เกาะไป๋อวิ๋น ในสายตาของชื่อตันเหมย รู้สึก
ซาบซึ้งใจมาก ถึงแม้นางจะใส่ชุดของยายเฒ่าอยู่ แต่
ว่าความงามของนางเสื้อเก่าๆ ก็ไม่อาจปิดบังได้ อีก
ทั้งยายแก่เองก็ตัวเล็ก แล้วก็ผอมมากอย่างกับ
กระดูก ร่างกายของนางก็สู้ชื่อตันเหมยไม่ได้ ผิวก็
ไม่ได้เนียนนุ่มเหมือนของชื่อตันเหมย ดังนั้นชื่อตัน
เหมยสวมเสื้อผ้าของนางแล้วมันก็เลยดูคับ ทำให้
สัดส่วนเว้าโค้งของนางนั้นมันเด่นชัดออกมา
ฉีหนิงคิดว่าชื่อตันเหมยอาจจะคิดมา เลยขยับเข้ามา
ใกล้ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวลนะ พวกเราผ่านเรื่องนี้
ไปได้ ท่านเจ้าเกาะก็ไปแล้ว เรื่องนีก้ ็จบ”
ชื่อตันเหมยฝืนยิ้ม นางรู้ดีว่า ละครฉากนี้ไม่ได้จบ
ง่ายๆ แน่นอน หากท่านเจ้าเกาะจับได้ ทุกอย่างก็เสีย
เปล่า อีกทั้งท่านเจ้าเกาะเองก็เริ่มสงสัยแล้ว คิด
อยากจะผ่านด่านนี้ไป ไม่ใช่เรื่องง่าย
เสียงขลุ่ยขับกล่อม ทันใดนัน้ เองเจ้าเกาะก็พูดขึ้นมา
ว่า “ความฝันอันยิ่งใหญ่กระเซ็นข้ามฤดูใบไม้ผลิ แสง
ไฟขนาดเล็กระยิบระยับสว่างไสว วนเวียนในเขา
หนานซานเจอทางแยก มีหุบเขาลึกอยู่ลึกแปดฉือ
มองเห็นเส้นแสงของลม เสียงครวญครางในเวลา
กลางคืน ไข่มุกทะเลตะวันออกมีเท่าไหร่? ใช้ที่นาที่
ไร่มาดื่มกิน” ตอนที่เขาท่องกลอนนีข้ ึ้นมา ขลุ่ย
ของเป่ยกงเหลียนเฉิงก็เร่งจังหวะเร็วขึ้น มันไม่เย็น
ยะเยือกเหมือนก่อนหน้านี้ ราวกับว่าเป็นม้าที่กำลัง
วิ่ง
ท่านเจ้าเกาะลุกขึ้นมา จากนั้นก็หมุนไม้เท้า แต่ละ
กระบวนท่านั้นมันดูดีมากๆ ได้ยินเจ้าเกาะท่องกลอน
ออกมาอีกว่า “คนโบราณใช้เหล้าเป็นเนื้อหรือไม่?
แสงสว่างยามเย็นสาดส่องมา รอยยิ้มปรากฏสอง
ฟากฝั่ง แต่ขอน้ำซุปมาฆ่าม้าขาว กระโปรงแดงแขน
ยาวหันมองไป เสียงเพลงนุ่มนวลชวนให้ฝัน ระบำ
แสงจันทร์เริ่มต้นขึ้น โบกพลิ้วไปมาทิ้งแพไผ่ หลงเข้า
ไปนั่งที่หุบเขา ได้เจอกับอกไม้แดงทีเ่ งียบสงบ ร้อยปี
ได้พบท้องทะเล หมอกควันนำพาให้พบนาง”
เมื่อกลอนไปบทหนึ่ง ไม้เท้าในมือของเขาก็หยุด ซึ่ง
เป็นขณะเดียวกันทีเ่ ป่ยกงเหลียนเฉิงก็หยุดลง ต้า
จงซือสองคนมองไปรอบๆ จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา
พร้อมกัน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 641 เรื่องหน้าตามันพูดยาก
ฉีหนิงเห็นต้าจงซือสองคนไม่ได้สนใจทางนี้ มู่เย่อ๋อง
เองก็กำลังรักษาอาการของตัวเอง ชือ่ ตันเหมยเครียด
เหมือนกำลังคิดอะไร นางก็ไม่ได้สนใจเขา เขารู้สึกว่า
ขี้เกียจมาก คิดในใจว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงให้เขาไปเก็บ
กวาดห้องหอ แต่ว่าที่นี่จะเก็บกวาดอย่างไร แต่ว่าใน
เมื่อจะต้องแสดง ก็ต้องทำเป็นพิธี เขาคิดขึ้นมาได้ว่า
ห้องที่ชื่อตันเหมยอยู่ก่อนหน้านี้พอใช้ได้ เขาเลยคิด
จะเดินไป เขาเหลือบไปเห็นว่าในห้องนั้นมันมีไฟจุด
อยู่ คิดว่าน่าจะเป็นไฟพิษ จะไปใช้กไ็ ม่ดี เลยไปหาไฟ
มาจากห้องอื่น จุดแล้วค่อยเดินไป
เมื่อเข้าไปในห้อง เห็นคนผู้หนึ่งนอนอยู่ เขาสวม
เสื้อผ้าหยาบ ไม่มีผม อายุยังน้อย แต่ว่าสายตากำลัง
จ้องมาที่เขา เขาคือฉีอวีน้ ั่นเอง
ฉีหนิงเพิ่งนึกออกว่ายังมีคนแบบนี้อยู่ด้วยอีกคน
ก่อนหน้านี้เขาแทบจะลืมเขาไปแล้วด้วยซ้ำ เขาไม่รู้
ประทับใจอะไรกับฉีอวี้มากมาย ก็เลยไม่ได้สนใจ
อะไรในตัวเขามาก เขาเดินไปหยิบไฟพิษบนโต๊ะโยน
ทิ้งไป แล้ววางไฟที่เขาเอามาใหม่ไว้โต๊ะแทน เขา
เหลือบไปมองฉีอวี้ คิดในใจว่าห้องนีจ้ ะใช้เป็นห้องหอ
เจ้านี่จะอยู่ที่นี่ไม่ได้ เขาคิดจะเดินไปหิ้วเขาโยน
ออกไป
ฉีอวี้เห็นฉีหนิงเดินมาแล้วยื่นมือออกไป เขาก็รบี พูด
ว่า “เจ้ากล้าแตะต้องข้าหรือ?”
ฉีหนิงรู้สึกขำมาก เขานั่งยองลง แล้วพูดว่า “เอ๋ นี่มัน
หลวงจีนของวัดต้ากวงหมิงนี่นา? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่
ได้ล่ะ? ทำไม ไต้ซือออกมาเผยแผ่ศาสนาหรือ
อย่างไร? เจ้าว่าอะไรนะ ข้าไม่กล้าแตะต้องเจ้า
หรือ?” เขายกมือขึ้นมาแล้วก็ตบซ้ายทีขวาที เสียงดัง
ชัดมาก
ฉีอวี้กัดฟัน สายตาของเขาแค้นมาก
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “อย่ามามองข้าเหมือนจะ
กินคน สู้ก็สู้ข้าไม่ได้ ยังมานั่งเครียดเองอีก ฉีอวี้ ข้า
ถามเจ้าหน่อย เจ้าใช้วิธีอะไร หลอกให้มู่เย่อ๋องไม่ฆ่า
เจ้าได้?”
ฉีอวี้ไม่ยอมตอบ
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเองเหมือนเขาคิดอะไรขึ้นได้
เขาพูดว่า “เดิมทีมู่เย่อ๋องถูกขังอยู่ในวัดต้ากวงหมิง
ตลอดสิบแปดปีไม่เคยได้ออกมาเลย จู่ๆ เขาหลุด
ออกมาได้อย่างไร?” สายตาของเขาดุมาก “ที่แท้
อย่างนี้นเี่ อง ฉีอวี้ ข้าคิดมาตลอดว่า ใครกันทีเ่ ป็นคน
ปล่อยมู่เย่อ๋องออกมา ที่แท้กเ็ จ้านีเ่ องที่อยู่เบื้องหลัง
เรื่องนี้”
ฉีอวี้สะดุ้ง แล้วรีบพูดว่า “เจ้า...เจ้าพูดจาใส่ร้ายข้า”
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าไม่กล้ายอมรับ? ก็จริง แอบปล่อย
นักโทษร้ายแรงของวัดต้ากวงหมิง ไม่เพียงเป็นศัตรู
ของวัดต้ากวงหมิง อีกทั้งยังจะกลายเป็นนักโทษของ
ราชสำนักด้วย วัดต้ากวงหมิงมีอำนาจมากในยุทธภพ
ขุนนางท้องที่มีเส้นสายอยู่ทั่ว เจ้ากลายเป็นนักโทษ
ของแคว้นฉู่ คิดว่าคงไม่มีทางออกนอกแคว้นฉู่ได้อีก”
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ยังดีที่เจ้าออกบวชไปแล้ว ไม่ได้
เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลฉีแล้ว ไม่อย่างนั้นตระกูลฉี
เราคงต้องเดือดร้อนเพราะเจ้าแน่นอน”
ฉีอวี้สีหน้าเปลี่ยนไป แต่ยังกัดฟันพูดว่า “เจ้ามี
หลักฐานอะไรที่บอกว่าข้าเป็นคนปล่อยมู่เย่อ๋อง?”
“เจ้าเรียกมู่เย่อ๋องว่าอาจารย์ แสดงว่าเจ้ากราบไหว้
เขาเป็นคนของเขาไปแล้ว” ฉีหนิงยิม้ แล้วพูดว่า
“หากที่วัดต้ากวงหมิง เจ้าไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้ ก็
ไม่มีเจ้าหาโอกาสไหน ไปเจอมู่เย่อ๋อง เห็นว่าเขาวร
ยุทธ์สูง ดังนั้นก็เลยแอบทำข้อตกลงกับเขา คนอย่าง
มู่เย่อ๋องก็ถือว่ารักษาคำพูดดี ตอนที่เขาหนีออกจาก
วัดต้ากวงหมิง เขาก็พาเจ้าออกมาด้วย คิดว่าเจ้า
น่าจะเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้น
หลวงจีนในวัดต้ากวงหมิงมีอยู่ตั้งมากมาย ทำไมเขา
ถึงต้องพาเจ้าออกมาด้วย? เจ้าแค้นตระกูลฉี ดังนั้น
เลยคิดจะฝึกวรยุทธ์กบั มู่เย่อ๋อง ถึงเวลาจะได้กลับมา
แก้แค้นได้ ฉีอวี้ คิดว่าข้ามองไม่ออกหรือไง?”
ฉีอวี้หน้าซีดเหมือนคนตาย ฉีหนิงเห็นสีหน้าของเขา
ก็รู้ว่าเขาน่าจะเดาถูกกว่าแปดเก้าส่วน เดิมเขายังไม่
มั่นใจเท่าไหร่ เพราะฉีอวี้ขึ้นเขาไปได้ไม่นาน มี
ความสามารถอะไรเข้าใกล้นักโทษร้ายแรง อีกทัง้ ยัง
ปล่อยเขาออกมาได้อีก แต่ว่าเห็นสีหน้าท่าทางของ
เขาตอนนี้ เขามั่นใจแล้วว่า มู่เย่อ๋องได้คืนยุทธภพอีก
ครั้ง เป็นเพราะฉีอวี้
ฉีหนิงหน้าซีดมาก แต่จู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา แล้วพูด
ว่า “ถูกต้อง ข้าทำเอง ข้าจะแย่งทุกอย่างที่เป็นของ
ข้าคืนมาให้ได้ ฉีหนิง วันนี้ข้าตกอยู่ในน้ำมือของเจ้า
ถือว่าข้าไม่มีดวง เจ้าลงมือเถอะ”
“ฆ่าเจ้า?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว
เจ้าไม่ได้มีสิทธิ์ให้ข้าต้องลงมือให้เปื้อน ข้าแค่ปล่อย
ข่าวเรื่องนี้ไป คนทีจ่ ะฆ่าเจ้าคงมีเป็นฝูง ที่จริงคนของ
วัดต้ากวงหมิงที่ออกตามล่าตัวของมู่เย่อ๋ออยู่ เจ้า
ติดตามเขา ช้าเร็วก็ต้องถูกจับ” เขาหิ้วฉีอวี้ขึ้นมา
แล้วเดินออกไปนอกห้อง ฉีอวี้ขยับตัวไม่ได้ เขาพูดว่า
“เจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนีน้ ะ เจ้า...เจ้าฆ่าข้าเลยสิ”
ฉีหนิงไม่ได้สนใจ เขาเดินออกไป เดินไปได้ระยะหนึง่
แล้วโยนฉีอวี้ไปที่บนหญ้าร้างๆ เขาหันไปมองทางเป่
ยกงเหลียนเฉิง เห็นเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นยังนั่งอยู่บนโขด
หิน เป่ยกงเหลียนเฉิงอยู่ใกล้ๆ ไม่รู้ว่าทั้งคู่ทำอะไรอยู่
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้ไปยุ่ง เขาเดินเข้าห้องไป กวาด
สายตาไป ในห้องตกแต่งเรียบง่ายมาก ไม่ได้มีอะไร
ต้องเก็บ
ทันใดนั้นเองก็เห็นเงาคนอยู่ที่หน้าประตู ชื่อตันเหมย
เดินมา ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใช้ที่นี่เป็นห้องหอก็แล้ว
กันนะ ทนเอาหน่อย ผ่านคืนนี้ไปก็จะดีเอง”
ชื่อตันเหมยพยักหน้า แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ นางจ้องไป
ที่ไฟ หลังจากนั้นไม่นาน ก็พูดว่า “ฉีหนิง ขอบใจเจ้า
มากนะ”
ฉีหนิงมองไปด้านนอก ต้าจงซือทัง้ สองไม่ได้สนใจทาง
นี้ เขาพูดเสียงเบาๆ ว่า “ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก เจ้า
ว่าท่านเจ้าเกาะหม้อจะพาเจ้ากลับไปที่เกาะ เขาจะ
ไม่ให้เจ้าออกจากเกาะจริงหรือ?”
ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดอย่างเศร้าๆ ว่า “ข้าก็
ไม่ปิดเจ้าแล้ว ตอนนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในวัง
หลวง ท่านเจ้าเกาะเกิดมีใจสงสาร ถึงได้พาข้า
กลับมาที่เกาะด้วย หากไม่ใช่เพราะเขา ข้าคงถูก
ฮ่องเต้ชั่วนั่นฆ่าตายไปแล้ว”
“ข้าได้ยินเรื่องของพ่อเจ้ามาบ้าง” ฉีหนิงพูดว่า “ได้
ยินมาว่าเขาเป็นพี่ชายของฮ่องเต้ตงฉีองค์ปัจจุบนั
เป็นคนมีเมตตา เดิมเขาน่าจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่
ว่า...ต่อมาเขากลับก่อกบฏ คิดจะชิงบัลลังก์...”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “นั่นมันเป็นแผนร้ายของฮ่องเต้ชั่ว
นั่น เขาปล่อยเรื่องโกหกออกมาให้คนข้างนอกเชื่อ
เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือ? ตอนนัน้ เจ้าฮ่องเต้ชั่ว
พูดจาให้ร้ายต่างๆ นานาต่อหน้าเสด็จปู่ เสด็จพ่อผิด
ใจกับคนในราชสำนักมากมาย คนพวกนั้นรวมหัวกัน
ใส่ร้ายให้เสด็จพ่อต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง เสด็จปู่ทรง
เลอะเลือน กลับเชื่อว่าเรื่องพวกนั้นเป็นจริง ครัง้ นั้น
ฮ่องเต้ชั่วนั่นแอบอ้างราชโองการ บอกว่าต้องการจะ
เห็นกองทัพที่เสด็จพ่อฝึกฝน เดิมเสด็จพ่อเองก็สงสัย
แต่ว่าพอเห็นราชโองการ ก็ไม่กล้าขัด เลยพาทหาร
คนสนิทสิบกว่าคนเข้าวังไป ฮ่องเต้ชั่วนั่นก็ไปทูลกับ
เสด็จปู่ว่า เสด็จพ่อจะก่อกบฏ ฮ่องเต้ชั่วนำทหารวาง
กับดักเอาไว้ เสด็จพ่อ...เสด็จพ่อออกจากจวนรัช
ทายาทไปในวันนั้น ก็ไม่เคยได้กลับมาอีกเลย คืนนั้น
ทหารในวังหลวงมาล้อมจวนรัชทายาทเอาไว้ คนใน
จวนกว่าร้อยคนถูกจับหมด...” นางพูดถึงตรงนี้
ดวงตาก็แดงก่ำ สายตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แล้วต่อมาล่ะ?”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “คืนนั้นท่านเจ้าเกาะบังเอิญอยู่ใน
เมืองพอดี เขาแค่พาข้าไป ฮ่องเต้ชั่วต้องการฆ่าข้าให้
ตายไป แต่ว่าไม่กล้ามีปัญหากับท่านเจ้าเกาะ เขาเลย
ทำได้แค่มองข้าถูกพาตัวไป ข้าอยู่ที่เกาะไป๋อวิ๋นมา
เจ็ดแปดปี ที่นนั่ ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
หลังจากนั้นเสด็จพ่อเป็นหรือตาย ข้าไม่รู้เลย
จนกระทัง่ วันหนึ่งศิษย์พี่ใหญ่ออกนอกเกาะไปทำงาน
ข้าเลยขอร้องเขา ท่านเจ้าเกาะเลยยอมให้ศิษย์พี่
ใหญ่พาข้าออกไปนอกเกาะ แต่สั่งกำชับไว้ว่าห้ามข้า
ออกห่างจากศิษย์พี่ใหญ่ไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว”
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าไม่มีทางเชื่อฟังขนาดนั้นแน่”
ชื่อตันเหมยเหลือบไปมองเขา อาจเป็นเพราะว่าตา
ของนางหรือว่าคิ้วของนาง หรือว่าอาจเป็นเพราะพูด
เรื่องเศร้าในอดีตอยู่ เลยทำให้ท่าทางของนางตอนที่
เหลือบมองมานั้นมีเสน่ห์มาก “ครั้งนั้นข้าถึงได้รู้ว่า
ฮ่องเต้ชั่วนั่นขึ้นครองราชย์มานานหลายปีแล้ว อีกทั้ง
เสด็จพ่อเป็นหรือตาย ก็ไม่มีใครรู้เลย แล้วก็ไม่มีใคร
กล้าพูดถึงเสด็จพ่อด้วย ผ่านไปอีกเจ็ดแปดปี ข้าถึง
มารู้ว่า คนในจวนรัชทายาทกว่าร้อยคนถูกสั่ง
ประหารชีวิตทั้งหมด ส่วนเสด็จพ่อ ก็ฆ่าตัวตาย
ภายในคุกไปนานแล้ว” เมื่อพูดถึงตรงนี้น้ำตาของ
นางก็ไหลลงมา
ก่อนหน้านี้ที่ฉีหนิงได้พบนาง ชื่อตันเหมยก็มักจะมี
เสน่ห์เย้ายวนทำให้หวั่นไหว แต่ว่าตอนนี้นางร้องไห้
มันก็ทำให้ได้อีกความรู้สึกหนึ่งขึ้นมา
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดังนั้นเจ้าเลยพยายาม
หาโอกาสเพื่อลอบสังหารฮ่องเต้ตงฉี เพื่อแก้แค้นให้
พ่อของเจ้าสินะ?”
“ถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ?” ชื่อตันเหมยถอน
หายใจแล้วพูดว่า “คนในจวนรัชทายาทกว่าร้อยคน
ถูกทหารในวังหลวงกระทำเหมือนเป็นหมูเป็นหมา
ภาพในเมื่อยี่สิบสองปีก่อนมันยังวนเวียนอยู่ในหัว
ของข้าตลอดเวลา หากฮ่องเต้ชั่วนั่นไม่ตาย ต่อให้ข้า
ตายไป ข้าก็ไม่มีหน้าจะไปพบกับเสด็จพ่อแล้วก็
วิญญาณของคนที่ถูกใส่ร้ายพวกนัน้ แน่นอน”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าไปที่เกาะไป๋อวิ๋นตอน
อายุเท่าไหร่?”
ชื่อตันเหมยเหลือบไปมองเขา แล้วถามว่า “ถามเรื่อง
นี้ทำไม? เจ้ารังเกียจที่ข้าแก่หรือ?” เขาพูดเสียงเบา
“เจ้าอย่าลืมนะว่า การแต่งงานในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องจริง
ข้าเป็นอาของเจ้านะ เจ้าเด็กน้อยอย่ามาคิดอะไร
เหลวไหลนะ”
ฉีหนิงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าน่ะหรือที่แก่? ข้า
ว่าเจ้าอายุแค่ยี่สิบเอง หากเจ้าแก่ ในโลกนี้ก็ไม่มีสาว
น้อยแล้วมั้ง” หลังจากนั้นเขาก็จริงจังขึ้นมา “ข้า
ไม่ได้ล้อเล่น ข้านึกอะไรขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง ดังนั้นก็
เลยอยากจะตรวจสอบสักหน่อย”
“ตรวจสอบ?” ชื่อตันเหมยขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ตรวจสอบอะไร? ตอนนั้นข้าน่าจะเจ็ดขวบแล้ว”
ฉีหนิงแอบคำนวณ ชื่อตันเหมยตอนนี้ก็น่าจะอายุ
ประมาณยี่สิบเก้า ถือว่าเป็นสาวงามเต็มวัย เพียงแต่
ผิวพรรณดีเนียนนุ่ม เลยดูเหมือนผู้หญิงอายุยี่สิบ
ต้นๆ เขาถามเบาๆ ว่า “แล้วเจ้ารู้หรือเปล่าว่าท่าน
เจ้าเกาะตอนนี้อายุเท่าไหร่?”
ชื่อตันเหมยตะลึงไป นางนิ่งแล้วส่ายหน้า “ข้าเองก็
ไม่รู้เหมือนกัน”
ฉีหนิงพูดด้วยความแปลกใจว่า “เจ้าไม่รู้ว่าท่านเจ้า
เกาะอายุเท่าไหร่? เขาดูอายุไม่เกินสี่สิบ ส่วนเจ้ามาที่
เกาะเมื่อยี่สิบสองปีก่อน ตอนนัน้ เขาก็น่าจะอายุ
ประมาณยี่สิบต้นๆ?”
ชื่อตันเหมยลังเล นางพูดเสียงเบาๆ ว่า “ตอนที่ข้ามา
ที่เกาะ ท่านเจ้าเกาะก็เป็นแบบนี้ ผ่านมายี่สิบปี ศิษย์
พี่ใหญ่ยังดูแก่กว่าท่านเจ้าเกาะอีก เหมือนว่ายี่สิบปีที่
ผ่านมาท่านเจ้าเกาะไม่ได้มีอะไรเปลีย่ นแปลงไปเลย”
ฉีหนิงตกใจมาก “ยี่สิบกว่าปีไม่เปลีย่ นเลย? จะ
เป็นไปได้อย่างไร? ตัน...เอ่อ อาเหมย หรือว่าท่านเจ้า
เกาะจะเป็นอมตะ?”
ชื่อตันเหมยพูดเสียเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าพูดเรื่องนี้
ขึ้นมา ข้าเองก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน ปู่รองของเจ้า
น่าจะอายุเจ็ดสิบได้แล้วสินะ? แต่ว่าเสียงของเขา กับ
การเคลื่อนไหวของเขา เหมือนคนหนุ่ม ก่อนหน้านี้
ข้าเห็นท่านเจ้าเกาะยี่สบิ กว่าปีไม่มีอะไรเปลี่ยนไป
ถึงแม้รู้สึกสงสัย แต่ก็คิดว่าอาจเป็นเพราะท่านเจ้า
เกาะฝึกวรยุทธ์อะไรบางอย่างก็ได้ แต่วันนี้พอได้
เห็นเป่ยกงเหลียนเฉิงเขาเองก็ไม่ได้แก่ ก็รู้สึกว่ามัน
แปลกๆ”
หลังจากที่เป่ยกงเหลียนเฉิงปรากฏตัวขึ้น เขาสวม
เสื้อคลุมกับหมวกสานปิดหน้าไว้ตลอด ถึงแม้ฉีหนิง
จะเข้าใกล้เขาหลายครัง้ แต่ก็เห็นแค่จมูกของเขา ไม่
เห็นใบหน้าของเขาเลย ตอนนี้นกึ ๆ ดูแล้ว ผิวของเป่
ยกงเหลียนเฉิงโผล่ให้เห็น มันเหมือนจะไม่ได้เหี่ยวย่น
เหมือนกัน ตอนนี้พอได้ยินชื่อตันเหมยพูดขึ้นมา ก็
รู้สึกแปลกใจมากขึ้น แอบคิดในใจว่าหรือว่าต้าจงซือ
จะเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีวันตายกัน?
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 642 กราบไหว้ฟ้าดิน
ค่ำคืนทีเ่ งียบสงัด กลิ่นเหม็นเน่ามันถูกลมพัดโชย
กลิ่นเข้าจมูก
บนโต๊ะไม้ มีอาหารวางอยู่สามจาน ไป๋อวี่เฮ่อนำ
อาหารมาจัดเลี้ยงงานแต่ง ไม่ว่าจะหน้าตาหรือกลิ่น
มันดูแย่มาก
ฉีหนิงดูเครียดมาก จะอย่างไรก็ตามบนโต๊ะก็เป็น
อาหารจัดเลี้ยงงานแต่ง แต่ว่าอาหารสามอย่างบน
โต๊ะมันก็ดูแย่มากเกินไป คิดว่าไม่ว่าร้านอาหารข้าง
ทางร้านไหน ก็น่าจะดีกว่านี้มาก เพียงแต่เขาก็เข้าใจ
ว่า มือกระบี่ไป๋ จับกระบี่มาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยจับมีด
ทำอาหารเลย ไม่มีทางทำอาหารให้ใครกินแน่นอน
สามารถหาวัตถุดิบมาทำอาหารได้ถึงสามอย่าง ก็ถือ
ว่าหาได้ยากแล้ว ไม่แน่ในใต้หล้านี้ ก็คงไม่มีใครได้กิน
รสมือของมือกระบี่ไป๋อีกแล้ว
ถึงแม้งานแต่งงานมันจะเรียบง่าย แต่ว่าแขกที่มา
ร่วมงานก็เป็นคนที่มีฐานะสูงส่งหาคนเทียบยาก ใน
ใต้หล้านี้ คงไม่มีงานแต่งงานของใครที่มีต้าจงซือมา
ร่วมงานแบบนี้แน่นอน อีกทั้งไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่
มีต้าจงซือถึงสองคน
มีแค่ในตอนนี้ ฉีหนิงถึงได้เห็นหน้าของเป่ยกงเหลียน
เฉิงชัด
อย่างที่ชื่อตันเหมยพูด เป่ยกงเหลียนเฉิงยังดูหนุ่มอยู่
ผิวของเขาขาวซีดเหมือนคนป่วย แต่ว่ามันไม่มีรอย
เหี่ยวย่นเลยย คิ้วของเขาบางมาก ขมวดเล็กน้อย
หากจะพูดขึ้นมาจริงๆ จากหน้าตาของฉีอวี้ ก็พอ
มองเห็นเงาของเป่ยกงเหลียนเฉิงอยูบ่ ้าง
ถึงแม้ฉีอวี้จะร้ายเงียบ แต่ว่าหน้าตาก็ถือว่าดีอยู่ ฉี
หนิงเคนเจอคนในตระกูลฉีมาแล้ว แต่ละคนรูปร่าง
สูงใหญ่ ท่านสามท่านสี่ก็เป็นแบบนี้ แม้แต่
ลูกพี่ลูกน้องคนอืน่ ก็รูปร่างกำยำร่างใหญ่เหมือนกัน
หมด น้อยคนนักที่จะมีหน้าตาดีหน่อย
ฉีอวี้ถือว่าเป็นหนึ่งคน เป่ยกงเหลียนเฉิงรูปร่าง
หน้าตาไม่เหมือนกับคนในตระกูลฉีคนอื่น เขารูปร่าง
ผอมสูง ใบหน้าดูซูม แต่ว่าโดยรวมแล้วถือว่าดูดี
ทีเดียว ถึงแม้จะดูเป็นหนุ่มวัยกลางคน แต่ว่าจากคิ้ว
กับตา ยังดูออกว่าตอนเป็นหนุ่มเขาต้องดูดีมาก
ทีเดียว
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ เขารู้มาว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงอายุ
เกือบเจ็ดสิบแล้ว แต่ว่าเทพกระบีค่ นที่อยู่ตรงหน้า
เขาหน้าตาเหมือนไม่เข้ากับอายุของเขาเลย เขาแอบ
คิดในใจว่าหรือว่าต้าจงซือจะมีใบหน้าหนุ่มแบบนี้
ตลอด
เกิดแก่เจ็บตาย เป็นหลักธรรมของมนุษย์ ไม่มีใคร
หลีกหนีมันไปได้ แต่ว่ารูปร่างของต้าจงซือสองคนนี้
มันกลับทำให้ฉีหนิงตกใจมาก เขาแอบคิดในใจว่าวร
ยุทธ์ของต้าจงซือทลายข้อจำกัดของมนุษย์ไปแล้ว
หรือว่าร่างกายของพวกเขาสองคนจะแตกต่างจาก
คนอื่น? เขารู้สึกเรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำ
แต่ว่าอยู่ต่อหน้าต้าจงซือ จะไปกล้าถามได้อย่างไร
ไป๋อวี่เฮ่อถึงแม้จะทำอาหารมาให้สามอย่าง แต่เขาก็
ไม่ได้มาร่วมโต๊ะ ถึงแม้เขาจะถูกขับออกจากเกาะ
ไป๋อวิ๋นไปแล้ว แต่ว่าเขายังเห็นเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเป็น
อาจารย์ จะกล้ามานั่งร่วมโต๊ะได้อย่างไร หลังจาก
เตรียมทุกอย่างแล้ว เมื่อพวกเขานั่งประจำที่แล้ว
ไป๋อวี่เฮ่อก็ถอยออกจากห้องไป เดิมฉีหนิงอยากเชิญ
ไป๋อวี่เฮ่อนั่งด้วย แต่ว่าต้าจงซือไม่ได้พูด เขาก็ไม่กล้า
พูดอะไรมาก
ไป๋อวี่เฮ่อยืนอยูท่ ี่สระน้ำ เขามองที่หอ้ งหอ ทันใด
นั้นเองเขาเห็นตรงพุ่มหญ้าที่ห่างออกไปไม่ไกล เงา
นั่นลุกขึ้นยืน เซไปเซมาแล้วเดินไปหามู่เย่อ๋อง มู่เย่
อ๋องถูกเป่ยกงเหลียนเฉิงทำร้าย นัง่ ปรับลมปราณ
มากว่าครึ่งวัน เห็นเงานั่นเดินไปหามู่เย่อ๋อง แล้วคุย
อะไรกันสักพัก จากนั้นก็พยุงมู่เย่อ๋องขึ้นมา ทั้งคูเ่ ดิน
ประคองกันออกจากป่าไผ่ไป
ไป๋อวี่เฮ่อมองไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่ได้ไปถาม
อะไร เขากับสองคนนัน้ ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ทั้ง
สองจะเป็นจะตาย เขาก็ไม่สนใจ
เขาเงยหน้ามองฟ้า ไป๋อวี่เฮ่อก็โค้งทำความเคารพไป
ทางห้องหอ จากนั้นเขาก็หันหลังแล้วเดินจากไป
ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยไม่รู้ว่าไป๋อวี่เฮ่อจากไปแล้ว ต้า
จงซือทั้งสองคนก็ไม่ได้สนใจ บนโต๊ะสี่เหลี่ยม ต้า
จงซือสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ฉีหนิงกับชื่อตันเหมย
เองก็นงั่ อยู่ตรงข้ามกัน หัวใจของพวกเขาเต้นหนัก
มาก เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเงียบ แต่สุดท้ายก็พูดขึ้นมาว่า
“เหมยเอ่อร์ ในเมื่อท่านพี่เป่ยกงเป็นคนจัดงาน
แต่งงานนี้ให้ ข้าก็ต้องให้เกียรติเขา คืนนี้หากเจ้า
กลายเป็นคนของตระกูลฉี ก็ไม่ต้องกลับไปที่เกาะกับ
ข้า หากข้ายังกักตัวหลานสะใภ้ของเขาไม่ให้ออกไป
ไหน ท่านพี่เป่ยกงคงเอาชีวิตข้าแน่”
เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่พูดอะไร
ไป๋อวี่เฮ่อเองก็ไม่รู้ว่าไปหาเหล้ามาจากไหน ฉีหนิงริน
เหล้าให้ต้าจงซือทั้งสอง แต่ทั้งคู่ไม่ได้ดื่ม เจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋นมองไปที่ฉีหนิง แล้วมองไปทีช่ ื่อตันเหมย แล้ว
พูดว่า “เหมยเอ่อร์ เจ้าพูดกับข้ามาตามตรง เจ้าคิด
อยากจะแต่งงานกับฉีหนิงจริงหรือไม่?”
ชื่อตันเหมยลำบากใจมาก แต่นางก็ยังคงพยักหน้า
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ในเมื่อเจ้าจะ
แต่งงานกับเขา ต่อไปก็เป็นคนของตระกูลฉี ข้าก็จะ
ยุ่งเรื่องของเจ้าไม่ได้อีก แต่ว่าเจ้าต้องจำเอาไว้เรื่อง
หนึ่ง หากผิดคำพูด ท่านพี่เป่ยกงก็เป็นพยานตรงนี้
ด้วย ข้าจะพูดต่อหน้าเขา ต่อไปก็จะได้ทำอะไรได้
ง่ายหน่อย”
ชื่อตันเหมยถามว่า “ท่านเจ้าเกาะพูดถึง...เรื่อง
อะไร?”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นพูดว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าห้ามเข้าไป
ยังเมืองลู่เฉิงแม้แต่ก้าวเดียว หากผิดคำพูด ข้าจะไม่
ปราณีเจ้าอีก เจ้าตกลงหรือไม่?”
ชื่อตันเหมยขมวดคิ้ว คิดในใจว่าหากนางไม่สามารถ
เข้าเมืองลู่เฉิงได้ ความแค้นของจวนรัชทายาทนางจะ
แก้แค้นอย่างไร แต่ว่านางติดตามเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นมา
กว่ายี่สิบปี รู้จักนิสัยของเจ้าเกาะดี ในเมื่อเขาพูดมา
แบบนี้แล้ว ก็ไม่มีทางคืนคำ นางลังเล คิดในใจว่าเอา
ตัวรอดก่อน เรื่องสังหารฮ่องเต้ชั่วนั่น ไว้ค่อยว่ากัน
ใหม่ นางเลยพยักหน้า
ท่านเจ้าเกาะพูดว่า “ท่านพีเ่ ป่ยกง เหมยเอ่อร์
รับปากแล้ว ท่านเองก็ได้ยิน เดิมเรื่องนี้ข้าไม่อยากยุ่ง
มาก แต่ว่าตอนนี้เหมยเอ่อร์ยังเป็นคนของเกาะไป๋อวิ๋
นอยู่ ดังนั้นหากนางผิดคำพูดในวันนี้ ต่อให้นางเป็น
คนของตระกูลฉี ข้าก็จะไม่มีทางปราณีเด็ดขาด”
เป่ยกงเหลียนเฉิงพยักหน้า ชื่อตันเหมยแอบรู้สึก
ลำบากใจ แต่ในใจก็คิดว่าในเมื่อต้าจงซือทั้งคู่ก็พูด
แบบนี้แล้ว ดูท่าทางนางก็คงไม่อาจเข้าเมืองลู่เฉิงได้
อีก
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นพูดว่า “วันนี้เป็นวันแต่งงานของพวก
เจ้าสองคน ก็กราบไหว้ฟ้าดินที่นี่เลยแล้วกัน ข้ากับ
ท่านพี่เป่ยกงจะเป็นพยานให้”
ฉีหนิงยกแก้วเหล้า แล้วพูดกับเจ้าเกาะว่า “ท่านเจ้า
เกาะ ท่านวางใจเถอะ ต่อไปข้าจะดูแลอาเหมย...
ดูแลตันเหมยให้ดี หากว่าข้ามีเวลา ข้าจะพาตันเหมย
ไปเยี่ยมท่านที่เกาะไป๋อวิ๋น”
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “อย่าไปจะดีกว่า
วันนี้ข้ารับปาก เพราะข้าอารมณ์ดี หากว่าวันหน้า
พวกเจ้าไปทีเ่ กาะไป๋อวิ๋น ข้าอยากให้เจ้าอยู่ที่เกาะ
คิดว่าเจ้าคงไม่พอใจแน่ ข้าเคยชินกับการใช้ชีวิต
สบาย ไม่ชอบคนมาก”
ฉีหนิงพูดว่า “เหล้าแก้วนี้ขอบคุณที่ท่านเจ้าเกาะ
ยอมให้พวกเราได้สมหวัง ยอมยกตันเหมยให้ข้า
ขอให้ท่านเจ้าเกาะเดินทางโดยสวัสดิภาพ”
“เดินทางโดยสวัสดิภาพ” เจ้าเกาะพูดว่า “นี่เจ้า
กำลังจะไล่ข้ากลับหรือ?”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “มิกล้า ข้ากังวลว่าท่านเจ้าเกาะอาจ
มีเรื่องต้องทำอีกมาก ดังนั้น...”
ท่านเจ้าเกาะพูดว่า “เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวล คืนนี้
พวกเจ้าเข้าพิธี พรุ่งนี้เช้าก็ต้องยกน้ำชา หรือว่าเจ้า
คิดจะหนี? คนนี้ข้าจะไม่ไปไหน รอตอนเช้าพวกเจ้า
ค่อยขึ้นมายกน้ำชาให้ข้า”
ฉีหนิงตะลึง ชื่อตันเหมยก็ตกใจ ทั้งสองมองหน้ากัน
รู้สึกร้อนใจกันมาก
เดิมทั้งคู่คิดว่าการแต่งงานในคืนนี้ แค่ดื่มเหล้ามงคล
แล้ว เจ้าเกาะก็จะกลับ เรื่องนี้กจ็ บ แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้า
เกาะคิดจะอยู่ที่นี่จนถึงพรุ่งนีเ้ ช้า ยังจะให้พวกเขายก
น้ำชา เจ้าเกาะเห็นอะไรมามากมาย พรุ่งนีเ้ ช้า หาก
เขาเห็นว่าไม่ได้เข้าหอกัน ถึงเวลานั้นหากชื่อตัน
เหมยยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่ เจ้าเกาะก็จับได้ว่าพวก
เขาเล่นละคร กล้าโกหกต้าจงซือซึ่งหน้า ผลที่ตามมา
ร้ายแรงมาก
ชื่อตันเหมยร้อนใจมาก รู้ว่าเจ้าทำแบบนี้ แสดงว่า
สงสัย
นางรู้จักนิสยั ของเจ้าเกาะดี อีกทั้งเจ้าเกาะเองก็รู้จัก
นิสัยของนางดี วันนี้หากไม่ใช่เพราะเป่ยกงเหลียนเฉิง
หาทางออกโดยการแต่งงานให้ เจ้าเกาะเห็นแก่
หน้าเป่ยกงเหลียนเฉิง เลยตกลงการแต่งงานในวันนี้
แต่ว่าเขาคิดสงสัยเรื่องการแต่งงานในวันนี้อยู่
ตลอดเวลา
ชื่อตันเหมยถึงแม้ปกติจะดูยั่วยวนมาก แต่ว่าเจ้า
เกาะไป๋อวิ๋นรู้ว่านางยังคงพรหมจรรย์อยู่ ไม่มีทางมี
อะไรกับผู้ชายง่ายๆ เจ้าเกาะอยู่ต่อ ที่จริงแล้วมันคือ
การโยนปัญญาคืนมาที่ชื่อตันเหมย ทำให้ชื่อตันเหมย
ต้องเลือกใหม่อีกครั้ง
เขารู้สึกว่าการพาชื่อตันเหมยกลับเกาะไป๋อวิ๋นไป
เป็นทางเดียวที่จะทำให้นางไม่คิดจะไปฆ่าใครอีก
ดังนั้นจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ทิ้งความคิดที่จะพาชื่อ
ตันเหมยกลับไป เพียงแต่เป่ยกงเหลียนเฉิงอยู่ข้างๆ
เขาเลยยอมให้ละครฉากนีเ้ ดินต่อไป เขาอยากรู้ว่าชื่อ
ตันเหมยจะยอมเข้าหอกับฉีหนิงจริงหรือไม่ หากยอม
เข้าหอจริง เขาก็จะยอมปล่อยนางไป แต่หากพรุ่งนี้
ชื่อตันเหมยยังคงบริสุทธิ์อยู่ เจ้าเกาะก็จะเปิดโปง
แล้วพาชื่อตันเหมยกลับเกาะไป๋อวิ๋นไป
ชื่อตันเหมยรู้ว่าเจ้าเกาะกำลังจะให้นางเลือกใหม่อีก
ครั้ง นางรู้สึกไม่สบายใจเลย เจ้าเกาะยกแก้วเหล้า
ขึ้นมา แล้วพูดว่า “อะไรกัน? ข้ายกเหมยเอ่อร์ให้เจ้า
แล้ว หรือว่าเจ้าไม่ยินดีที่จะยกน้ำชาให้ข้า?”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ แต่ใบหน้าของ
เขายังคงเคารพ แล้วพูดว่า “ท่านเจ้าเกาะคืนนี้ไม่
กลับ มันดีมากเลย พรุ่งนี้เช้า พวกเราต้องยกน้ำชาให้
ท่านเจ้าเกาะกับท่านปูร่ องอยู่แล้ว ท่านทั้งสองเป็น
พยานรักให้กบั ข้าแล้วก็ตันเหมย ข้ากับตันเหมยได้
อยู่ด้วยกัน เพราะพวกท่านมอบให้ ข้าซาบซึ้งใจ
มาก”
เจ้าเกาะพูดว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ตอนนี้พวกเจ้าก็
กราบไหว้ฟ้าดินกัน” เขาเหลือบไปมองชื่อตันเหมย
แล้วพูดว่า “เจ้าสองคนออกมายืนข้างกัน แล้วหันไป
ด้านนอก” เสียงของเขาไม่ดุ เรียบง่ายมาก แต่กลับ
ทำให้คนไม่กล้าขัดขืน
ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยมองหน้ากัน แล้วมองไปที่เป่
ยกงเหลียนเฉิง เห็นเป่ยกงเหลียนเฉิงยังนิง่ เหมือน
ไม่ได้ยินอะไรเลย ด้วยความจนใจ เขาทั้งคู่เลยต้อง
ทำตามที่เจ้าเกาะสั่ง เขาสองคนลุกขึ้นมาแล้วยืนข้าง
กัน จากนั้นก็ไหว้ไปที่ด้านนอก เจ้าเกาะเอามือลูบ
เคราแล้วพูดว่า “ไหว้เจ้าที่ด้านใน ดี มา ไหว้ผู้ใหญ่
สามครั้ง”
ผู้ใหญ่ก็คือเจ้าเกาะกับเป่ยกง ทั้งสองถอยหลังไปสอง
ก้าว ทั้งคู่ไหว้ทั้งสองคนอีกครั้ง เขาคิดในใจว่า คนอื่น
กราบไหว้ฟ้าดินโห่ร้องป่าวประกาศไปทั่ว คิดไม่ถึง
เลยว่าวันหนึ่งเขาจะต้องมากราบไหว้ฟ้าดิน แล้วอยู่
ในบรรยากาศแบบนี้อีก ฉีหนิงรู้สึกขำมาก แต่ก็คิดว่า
ในโลกใบนี้ จะมีใครที่จะมีสิทธิ์ให้ต้าจงซือถึงสองคน
มาเป็นพยานในงานแต่งงานของตัวเองแบบนี้ได้อีก
หลังจากเสร็จพิธีแล้ว เจ้าเกาะก็ลุกขึ้น แล้วพูดว่า
“ในเมื่อกราบไหว้ฟ้าดินกันแล้ว ก็ต้องเข้าหอแล้ว
สินะ ถึงแม้ที่นี่จะไม่ได้สวยงาม แต่ว่าในเมื่อพวกเจ้า
รักชอบพอกัน ก็คงไม่ได้สนใจห้องเก่าๆ พังๆ แบบนี้
หรอกจริงหรือไม่” เขาหันไปพูดกับเป่ยกงเหลียนเฉิง
ว่า “ท่านพี่เป่ยกง พวกเราควรยกห้องให้พวกเขา
แล้วนะ” เขาลูบเคราแล้วยิ้ม เดินออกจากห้องไป
กับข้าวเขาไม่กินแม้แต่คำเดียว เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่
พูดอะไรเลย เขามองไปที่ฉีหนิง จากนั้นก็ออกจาก
ห้องไป
ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยทำอะไรไม่ถูก แต่ว่าในเมื่อเจ้า
เกาะพูดมาแบบนี้แล้ว คืนนี้อย่างไรก็ต้องเข้าหอกัน
พวกเขามองหน้ากัน เหมือนจะรู้สึกเขิน ไม่รู้ควรจะ
พูดอะไรอีก ฉีหนิงเดินไปที่ประตู ยืน่ หัวออกไป แล้ว
มองไปรอบๆ นอกประตูไม่มีใครอยู่เลย ต้าจงซือสอง
คนไม่รู้หายไปอยู่ไหน แต่ว่าเขารู้ว่าน่าจะอยู่แถวนี้
แหละ ด้วยความจนใจ เขาเลยปิดประตู แล้วเดินเข้า
มาในห้อง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 643 เรื่องหลอกๆ ที่กลายเป็นจริง
ภายในห้องมืดมาก มีเพียงตะเกียงอยู่ดวงเดียว ชื่อ
ตันเหมยเห็นฉีหนิงปิดประตู หัวใจของนางก็เต้นแรง
มาก ฉีหนิงเดินมาที่ริมโต๊ะ เห็นผมเผ้าของชื่อตัน
เหมยยุ่งเหยิง ใบหน้าของนางแดงเล็กน้อย เขาไม่เคย
เห็นชื่อตันเหมยเป็นแบบนี้มาก่อน ท่าทางแบบนี้ มัน
มีเสน่ห์ไปอีกอย่าง
หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ ฉีหนิงคิดในใจว่าจะนัง่ อยู่
แบบนี้ไม่ได้ เขาพูดเสียงเบาๆ ว่า “ท่าน...ท่านอา
เหมย พวกเรา...พวกเราต้องทำอย่างไรต่อดี?”
ชื่อตันเหมยขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทำอะไร? ไม่ทำ
อะไรทั้งนัน้ แหละ”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิดสิ
ความหมายต่อข้าคือ...ท่านเจ้าเกาะต้องการให้พวก
เรายกน้ำชาให้เขาพรุ่งนี้จริงหรือ? เขาชอบดื่มชามาก
เลยหรือ?”
ชื่อตันเหมยคิดในใจว่าเจ้านี่ถามทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจ ก่อน
หน้านี้อยู่กับฉีหนิงตามลำพัง ยั่วยวนเขาอย่างไร นาง
ก็ควบคุมทุกอย่าง นางรู้สึกว่าฉีหนิงเหมือนเด็กที่อยู่
ในมือของนางที่สามารถเล่นอย่างไรก็ได้ แต่ว่าตอนนี้
พวกเขาอยู่ในห้องกันสองคน ชื่อตันเหมยรู้สึกว่า
อะไรหลายอย่างไม่เหมือนเดิม นางรู้สึกตื่นเต้นไม่
สบายใจเลย
เห็นชื่อตันเหมยไม่พูด ฉีหนิงก็เลยพูดขึ้นมาว่า “วันนี้
อย่างไรก็ต้องผ่านไปให้ได้ก่อน เจ้านอนบนเตียงนี่สัก
คืน ข้าจะไปนอนที่โต๊ะ ดึกมากแล้ว ยังเหลือเวลาอีก
สองสามชั่วยาม ฟ้าก็สว่างแล้ว ไว้รอยกน้ำชาให้ท่าน
เจ้าเกาะเมื่อไหร่ หลังจากเขาไปแล้ว เจ้าก็เป็นอิสระ
อยากไปไหนก็ไป” เขาหยุดไปครู่ใหญ่ แล้วพูดว่า
“แต่ว่าเจ้าอย่าเพิ่งไปที่เมืองหลู่เฉิงนะ ท่านเจ้าเกาะ
สั่งไม่ให้เจ้าไป เขาดูจริงจังมาก หากเจ้าผิดคำพูด
เกรงว่า...”
ชื่อตันเหมยคิดว่าหากพวกเขาสองคนนอนแล้วให้มัน
ผ่านเลยไปได้ เรื่องนี้ก็ง่ายขึน้ มาก แต่ว่านางรู้ดีว่ามัน
ไม่มีทางเป็นไปได้ หากไม่เข้าหอกัน พรุ่งนีเ้ ช้าก็จะถูก
จับได้ นางรู้สึกว้าวุ่นใจมาก นางเครียดมาก นางไม่รู้
ว่าต้องแก้ปัญหานี้อย่างไร
ฉีหนิงรู้ว่าเรื่องนี้ให้มันผ่านไปแบบนีไ้ ม่ได้ คิดในใจว่า
หรือว่าพวกเขาต้องเข้าหอกับชื่อตันเหมยจริงๆ? ชื่อ
ตันเหมยไม่ว่าจะหน้าตาหรือรูปร่าง ก็ถือว่าเป็นอะไร
ที่หาได้ยาก ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็หวั่นไหวทั้งนั้น ฉี
หนิงเองก็เหมือนกัน หากได้นอนกับชื่อตันเหมย
สำหรับเขาแล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ฝืนใจ
เขาเป็นคนสองชาติสองภพ อายุสมองของเขาแก่กว่า
ชื่อตันเหมยมาก ชื่อตันเหมยเป็นสาวเต็มวัยแสนสวย
มันก็ทำให้เขาหวั่นไหวได้อยู่แล้ว
“อาเหมย ข้ารู้สึกเหนื่อย ข้าไปพักก่อนนะ ท่านเองก็
รีบพัก” ฉีหนิงแกล้งทำเป็นสบายๆ เขาเอาเก้าอี้มา
ติดกัน แล้วนอนราบลงไป ชื่อตันเหมยเห็นเขาแบบนี้
ก็ยิ่งร้อนใจ คิดในใจว่าอย่าบอกนะว่าเจ้าเด็กบ้านี่มัน
อายุน้อยเกินไป ไม่รู้ว่าหากไม่มีอะไรกันในคืนเข้าหอ
จะถูกจับได้? หากบอกว่าฉีหนิงไม่รู้เรื่องพวกนี้ นาง
ไม่มีทางเชื่อ นางเหมือนจะพูดอะไร แล้วหยุดพูด
นางลุกขึ้นมา แล้วเดินไปนั่งทีร่ ิมเตียง
ที่เตียงว่างมาก เสื้อผ้าของชื่อตันเหมยถูกเก็บไปแล้ว
นางนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ได้ยินเสียงนกเสียงแมลง นางรู้
หากเสียเวลาไปมากกว่านี้คงไม่ได้การ นางลังเล แล้ว
พูดว่า “ฉีหนิง เจ้าลุกขึ้นมา”
ฉีหนิงลุกขึ้นมา ยิ้มแล้วถามว่า “อาเหมย มีอะไรจะ
สั่งอย่างนั้นหรือ?”
ชื่อตันเหมยคิดแล้วก็กวักมือเรียกเขามา “เจ้ามานี่
ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
ฉีหนิงลุกขึ้นมา แล้วไปนั่งข้างๆ ชื่อตันเหมย เพื่อ
แสดงความบริสุทธิ์ใจ เขาเลยนั่งเว้นระยะห่าง เขา
ถามว่า “มีอะไรหรือ?”
“เจ้า...เจ้าคิดว่าเรื่องที่พวกเราแต่งงานกันเป็นเรื่อง
จริงหรือว่าหลอก?” ชื่อตันเหมยถามเสียงเบา
ฉีหนิงแกล้งทำเป็นตกใจ เขาพูดเสียงเบาๆ ว่า “ก็
ต้องเรื่องหลอกสิ แค่หลอกท่านเจ้าเกาะเท่านัน้ เอง”
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ต่อให้ข้าอยากให้มันเป็นจริง แต่
ว่าอาเหมยจะรับปากหรือ? หากเจ้ารับปาก ข้าก็ไม่
ขัดอะไร”
ชื่อตันเหมยจ้องไปที่เขา แต่ว่าด้วยสถานการณ์ที่บีบ
บังคับ เลยทำได้แค่พูดว่า “ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง
แต่ว่าเรื่องนี้จะให้ท่านเจ้าเกาะรู้ไม่ได้ เจ้ารู้ไหมว่าที่
ท่านเจ้าเกาะอยู่ต่อมันหมายความว่าอย่างไร?”
ฉีหนิงพูดว่า “ก็รอให้พวกเรายกน้ำชาให้ในพรุ่งนีเ้ ช้า
ไม่ใช่หรือไง? มันก็ไม่ได้อะไรมากมาย พรุ่งนี้พวกเรา
ก็ทำตามที่เขาต้องการก็พอ”
ชื่อตันเหมยคิดในใจว่าเจ้าเด็กบ้านี่ไม่รู้จริงหรือว่า
แกล้งไม่รู้กันแน่ นางไม่ได้พูดดีด้วยว่า “ยกน้ำชา?
เจ้าไม่มีสมองหรือไง ท่านเจ้าเกาะจะยอมอยู่ต่อ
เพราะแค่ยกน้ำชาหรืออย่างไร?”
“แล้ว...แล้วเพราะอะไรล่ะ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “หรือว่าเขายังไม่ตายใจ อยากจะพาเจ้ากลับไป
อยู่ด้วยงั้นหรือ?”
ชื่อตันเหมยคิดว่าในที่สุดก็พูดเข้าประเด็นสักที นาง
พูดเบาๆ ว่า “เทพกระบีบ่ อกว่าพวกเราได้แอบตกลง
ใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว ยังให้พวกเราแต่งงานกันอีก ท่าน
เจ้าเกาะไม่มีทางมีเรื่องกับเทพกระบี่แน่นอน แต่ว่า
เขาจะต้องสงสัยว่าพวกเรากำลังหลอกเขาอยู่ เลย
ต้องการอยู่ดูให้แน่ใจ หากเห็นช่องโหว่เมื่อไหร่ ก็จะ
พาข้ากลับเกาะไป๋อวิ๋นทันที”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าวางใจได้ ทักษะการแสดง
ของข้าดี ก่อนหน้านี้เจ้าก็เห็นแล้วนี่นา ไม่มีช่องโหว่
อะไรเลย อาเหมย พวกเรากราบไหว้ฟ้าดินกันแล้ว
เขาจะไม่เชื่ออะไรอีก? ขอแค่พวกเราระวังตัวให้มาก
ก็พอ น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
ชื่อตันเหมยขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ
ว่าแกล้งไม่รู้กันแน่?”
“อาเหมย พวกเราก็กำลังแกล้งแสดงกันอยู่ไม่ใช่
หรือ?” ฉีหนิงแอบขำในใจ แต่ว่าหน้าเขาดูจริงจัง
มาก “ถ้าไม่แกล้งแสดงจะหลอกท่านเจ้าเกาะได้
อย่างไร”
“หลอกท่านเจ้าเกาะ?” ชื่อตันเหมยไม่ได้พูดดีด้วย
“เจ้าคิดว่าท่านเจ้าเกาะเป็นคนธรรมดาหรืออย่างไร
จะมาหลอกเขาได้ง่ายๆ แบบนั้น? ข้าพูดกับเจ้าตรงๆ
เลยก็แล้วกัน ท่านเจ้าเกาะรู้ว่าพวกเรากำลังเล่น
ละครอยู่ เขาแค่อยากจะดู พวกเราสองคนจะเล่น
ละครไปได้แค่ไหนกัน เขาไม่ได้กินอะไรเลยแล้วก็ไป
คงอยากจะดูว่า ข้าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อออกจาก
เกาะไป๋อวิ๋นจริงไหม?”
ฉีหนิงตะลึงไป แล้วพูดว่า “ท่านเจ้าเกาะรู้แล้ว
หรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ” ชื่อตันเหมยพูดว่า “เขารู้มาตั้งแต่แรก
เพียงแต่เทพกระบี่อยู่ด้วย เขาเลยไม่พูดอะไร”
ฉีหนิงลูบคาง “ถ้าอย่างนั้นเรื่องนีก้ ็ยงุ่ ยากแล้วน่ะสิ
ท่านอาเหมย พวกเราหลอกไม่สำเร็จแล้วใช่ไหม?”
“จะให้ผ่านไปแบบนี้คงไม่ได้แน่” ชื่อตันเหมยพูดว่า
“พรุ่งนีเ้ ช้า หากเห็นช่องโหว่อะไรไป ทุกอย่างที่ทำไป
ก็สูญเปล่าทันที”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เห็นอะไรผิดปกติอย่าง
นั้นหรือ?”
ชื่อตันเหมยทนไม่ไหวแล้ว “หากพวกเราไม่ได้...ไม่ได้
มีอะไรกันในคืนส่งตัวเข้าหอ เขาจะต้องมองออก อีก
ทั้ง...อีกทั้งในคืนส่งตัวแบบนี้ หากไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
ฉุกเฉิน ไม่มีใครไม่เข้าหอกันหรอก?”
ฉีหนิงรู้สึกขำมาก แต่ก็ยังตั้งใจพูดไปว่า “ที่แท้อย่าง
นี้นี่เอง เจ้าเกาะไป๋อวิ๋น อายุมากขนาดนี้แล้ว ยัง...ยัง
มากังวลคนอื่นจะเข้าหอไหมอีกอย่างนั้นหรือ” เขา
ถามว่า “ท่านอาเหมย ถ้าอย่างนั้น หากไม่อยากให้
ท่านเจ้าเกาะจับได้ พวกเรา...พวกเราต้องทำให้เรื่อง
โกหกนี่เป็นจริง โดยการเข้าหอหรือ?”
ชื่อตันเหมยเห็นเขาตาเป็นประกาย ในใจก็รู้ว่าเขา
ต้องไม่คิดดีแน่ ก่อนหน้านี้นางได้ตัดสินใจมาแล้ว
ถึงแม้นางจะเขิน แต่ก็ยังคงพยักหน้า ฉีหนิงรู้สึกดีใจ
มาก แล้วพูดว่า “หากเป็นจริง พวกเรา...พวกเราก็คง
ต้องทำให้เต็มที่...”
ชื่อตันเหมยได้ยินเสียงเขาดีใจ ก็แอบโกรธ แต่ก็ยัง
พูดว่า “ฉีหนิง เจ้าฟังให้ดีนะ ข้า...ข้ากับเจ้าเข้าหอ
กัน ไม่ได้จะแต่งเข้าตระกูลฉีของพวกเจ้าจริงๆ หรอก
นะ เจ้าต้องรับปากเงื่อนไขข้าสามข้อ ไม่อย่างนั้นข้า
จะกลับไปพร้อมกับท่านเจ้าเกาะพรุง่ นี้เลย”
“เงื่อนไขอะไร?”
ชื่อตันเหมยพูดอย่างจริงจังว่า “ข้อแรก พวกเรา...
พวกเราทำเรื่องอย่างว่าแล้ว เจ้าก็ยงั เป็นเจ้า ข้าก็ยัง
เป็นข้า พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน” นางกัดฟัน
แล้วพูดต่อว่า “ถึงอย่างไรครั้งนี้เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ข้า
ก็จะถือว่า...ว่าตอบแทนเจ้าก็แล้วกัน”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านอาเหมย ท่านจะใช้
ร่างกายมาตอบแทนข้า ข้าคงไม่อาจรับได้ ข้าไม่ใช่
คนอย่างนั้น”
“อย่าพูดมาก” ชื่อตันเหมยจ้องไปที่เขา แล้วพูดว่า
“ข้อที่สอง ที่จริงก็ไม่ได้ต่างอะไรกับข้อแรก ต่อไปเจ้า
จะทำอะไรก็ทำ เรื่องของข้าเจ้าก็ไม่ต้องมายุ่ง ต่าง
คนต่างไป ไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
ฉีหนิงคิดว่าวรยุทธ์เจ้าร้ายกาจ ไปมาไร้ร่องรอย ข้า
คิดอยากจะยุง่ ก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว เขาพยักหน้าแล้วพูด
ว่า “แน่นอน” เขาถามว่า “แล้วข้อที่สามล่ะ?”
“ข้อที่สามข้ายังคิดไม่ถึง จดไว้ก่อนแล้วกัน” ชื่อตัน
เหมยพูดว่า “ไว้ข้าคิดได้แล้ว ค่อยบอกเจ้า”
ฉีหนิงพูดว่า “ไม่มีปัญหา” เขายื่นมือไปจับมือของ
ชื่อตันเหมย ชื่อตันเหมยดึงมือหลบ แล้วจ้องไปที่ฉี
หนิง ฉีหนิงรู้สึกเขิน คิดในใจว่าจะเข้าหอกันไม่ใช่
หรืออย่างไร ทำไมจับมือก็ไม่ได้?
ชื่อตันเหมยนั่งอยู่ข้างๆ ถึงแม้นางจะอายุไม่น้อยแล้ว
อีกทั้งปกติดูเป็นผู้หญิงกล้ายั่วยวนเก่ง แม้แต่ตอนที่
อยู่บนเรือสำราญ นางก็มีกลยุทธ์ร้อยแปด แต่ว่าใน
เวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้จริงๆ นางกลับ
ตื่นเต้นมาก นางหายใจจนหน้าอกเห็นได้ชัดว่าขึ้นลง
ตามจังหวะ ผิวขาวๆ มีเลือดฝาด มันดูมีเสน่ห์มาก
ฉีหนิงเองกก็เขิน เขาลังเล แล้วค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้
ชื่อตันเหมยรู้สึกได้ว่าฉีหนิงขยับเข้ามา นางรู้สึก
ตื่นเต้นมาก นางกัดฟัน แล้วเหมือนรู้สึกว่ามือของ
นางอุ่น นางเผลอร้อง “ว้าย” ออกมา แต่ฉีหนิงยื่น
มือมาจับมือของนางแล้วชื่อตันเหมยอยากจะดึงมือ
ออก แต่ว่าฉีหนิงกลับจับมันเอาไว้แน่น ชื่อตันเหมย
รู้สึกปลง รู้สึกว่าไม่ว่าจะอย่างไรคืนนี้นางก็หนีไม่พ้น
ฉีหนิงจับมือของนางเอาไว้ รู้สึกว่าผิวของนางเนียน
นุ่มมาก คิดในใจว่าชื่อตันเหมยอาศัยอยู่ที่เกาะ
ไป๋อวิ๋นมานานหลายปี แต่ผิวกลับไม่แห้งกร้าน ไม่
เหมือนคนตากแดดมานาน แสดงว่านางดูแลตัวเองดี
มาก
ได้ยินชื่อตันเหมยหายใจแรงมาก ฉีหนิงรู้ว่าชื่อตัน
เหมยต้องตื่นเต้นมาก เขาแอบขำ ถึงแม้ชื่อตันเหมย
จะเป็นสาวเต็มวัยแล้ว แต่ว่าพรหมจรรย์ของนางยัง
อยู่ ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้ชายจริงๆ อีกทั้งฉีหนิงเองก็มี
ชีวิตมาสองชาติแล้ว เขาเชี่ยวชาญและชำนาญกับ
เรื่องนี้ดี
ตอนนี้คนหนึ่งคือสาวสวยเต็มวัย อีกคนเป็นเด็กหนุ่ม
คนที่ไม่รู้มาเห็น ก็คิดว่าฉีหนิงคงต้องให้คนชี้แนะ
“ท่านอาเหมยทำไมเงียบจัง?” ฉีหนิงรู้ดีว่าต้าจงซือ
ทั้งสองคนอยู่ใกล้ๆ นี้ คืนนี้หากไม่เข้าหอกัน ชื่อตัน
เหมยไม่มีทางรอดไปได้ ตอนนี้ทำได้แค่ทำเรื่องโกหก
พวกนี้ให้เป็นจริง เขาพูดว่า “ข้าจำได้ว่าแต่ก่อนทุก
ครั้งทีเ่ จอท่าน มีแต่ท่านทีย่ ั่วยวนข้าไม่ใช่หรือ
อย่างไร?”
ชื่อตันเหมยเดิมรู้สึกตื่นเต้นมาก เมื่อได้ยินฉีหนิงพูด
อย่างนี้ นางก็หันหน้ากลับมา นางจ้องมมาที่ฉีหนิง ฉี
หนิงแกล้งทำเป็นกลัว ทำหน้าทำตาน่าสงสารมาก
“ท่านอาจะตีข้าหรือ?”
ชื่อตันเหมยหัวเราะออกมา แต่ก็ไม่กล้าเสียงดัง แล้ว
ไม่พูดดีด้วย “เจ้าเด็กบ้า ไม่รักดีเลย ตีให้ตายถึงจะดี
ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้า...เจ้ารู้อยู่แล้ว...รู้อยู่แล้วใช่ไหม
ว่าต้องทำแบบนี้? เมื่อกี้เลยแกล้งเสแสร้งแสดงให้ข้า
ดี”
ฉีหนิงถอนหายใจว่า “ท่านอาใส่ร้ายข้า ข้าพูดตาม
ตรงเลยนะ ข้าเห็นหน้าตาของท่านก็สวยงามดี คิดว่า
หากท่านถูกพากลับไปทีเ่ กาะไป๋อวิน๋ แล้วอยู่ที่นั่นจน
ตาย ข้าทำไม่ได้ ดังนั้น...ดังนั้นถึงได้ยอมแสดงละคน
ไปพร้อมกับท่าน” เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ใครจะไป
คิดว่าตาเฒ่าเจ้าเกาะนั่นจะร้ายขนาดนี้ ยังจะ...ยังจะ
ให้พวกเราเข้าหออีก ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ”
“ห้ามเสียมารยาทกับท่านเจ้าเกาะ” ชื่อตันเหมยจ้อง
หน้าเขา จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เห็นเจ้าไม่เต็มใจ ดู
ท่าทางเจ้าไม่อยากเข้าหอกับข้าเลย”
ฉีหนิงแกล้งทำเป็นมองไปที่หน้าอกของชื่อตันเหมย
นางเห็นสายตาเขาดูเร้าร้อน สีหน้าของนางก็แดง
ขึ้นมา “มองอะไร?”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าพูดอะไรที่ไม่ตรงกับใจไม่ได้หรอก
นะ หากจะบอกว่าข้าไม่อยากเข้าหอกับท่าน ข้าคง
ไม่ได้เป็นผู้ชายแน่ๆ”
ชื่อตันเหมยหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าน่ะหรือผู้ชาย?
อยากมากก็ได้แค่หนุ่มน้อยเท่านั้นแหละน่า”
ฉีหนิงขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า “ท่านอา ท่านให้เป่ย
ถังเฟิงพาท่านเข้าวัง เจ้าบ้า...เจ้าบ้านั่นลวนลามท่าน
หรือเปล่า?” เขารู้ว่าชื่อตันเหมยยังบริสุทธิ์อยู่ ไม่มี
ทางให้ผู้ชายคนไหนมาลวนลามได้แน่ ชื่อตันเหมย
หันมองมายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ยอมให้เขาลวนลาม เขา
จะเชื่อฟังข้าได้อย่างไร? ทำไม เจ้าไม่สบายใจอย่าง
นั้นหรือ?”
ฉีหนิงถอนหายใจ “ก็ต้องไม่สบายใจสิ ใครก็จะมา
แตะต้องท่านอาเหมยของข้าไม่ได้เด็ดขาด”
ชื่อตันเหมยเห็นเขาเป็นแบบนี้ นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“เป่ยถังเฟิงความสามารถอะไรก็ไม่ดี มีดีแค่ลามก ข้า
สืบนิสัยใจคอของเขามาแล้ว คนบ้าตัณหาอย่างนั้น
แค่พูดดีด้วยไม่กี่คำ เขาก็หลงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว ต่อ
ให้เขาไปตาย ข้าคิดว่าเขาก็คงไม่ขมวดคิ้วเลย” เขา
ถามว่า “มีแค่เด็กบ้าอย่างเจ้านี่แหละ ข้าขอร้องเจ้า
ขนาดนั้นแล้ว เจ้ายังไม่รับปากข้าอีก”
ฉีหนิงพูดว่า “ก็เพราะว่าข้าไม่ได้รับปาก ถึงแสดงให้
เห็นว่าข้าเป็นห่วงเจ้า ข้ารู้ทั้งรู้ว่าเจ้าเข้าไปแล้วจะมี
อันตราย จะพาเจ้าเข้าไปตายอีก แล้วมันจะดีกว่าเจ้า
ได้อย่างไร?”
“เจ้าช่างพูด จริงๆ นะ เจ้าก็แค่กลัวข้าทำให้
เดือดร้อนไม่ใช่หรือไง?” ชื่อตันเหมยไม่ได้พูดดีด้วย
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านอาเหมย หากเจ้าพูด
แบบนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก หากกลัวว่าจะ
เดือดร้อนจริง ทำไมข้าต้องช่วยเจ้าตอนที่อยู่ในวัง
หลวงด้วย ยอดฝีมือในวังหลวงมีมากมายขนาดนั้น
หากมีคนจับได้ว่าข้าตั้งใจให้เจ้าจับ เจ้ารู้สึกว่าข้าจะ
ได้อะไร? ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้ากังวลว่าข้าจะคิดว่าเจ้า
ทำให้ข้าเดือดร้อน ก็ถือว่าข้าไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ทำ
อะไรเลยก็แล้วกัน” เขาหันหลังให้นาง เหมือนว่า
โกรธนาง
ชื่อตันเหมยรู้ดีว่า ไม่ว่าฉีหนิงคิดอะไร แต่ว่าเรื่องใน
วังหลวงตงฉี เขาก็ช่วยให้นางรอดมาได้จริงๆ
หลังจากนั้นยังคุ้มกันนางมาตลอดทาง นางรู้ว่านาง
พูดแบบนัน้ ไปมันไม่ดีเท่าไหร่ เห็นฉีหนิงหันหลังให้
นางก็ขยับเข้าหา นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่พูดไป
งั้นเอง เจ้าก็จริงจังไปได้ ขอบใจเจ้าก็แล้วกัน” นาง
ยกมือตบไปที่บ่าของฉีหนิง “เอาล่ะ หนุ่มน้อย อย่า
งอนเลยนะ ในเมื่อเป็นผู้ชาย ก็อย่าใจแคบนักสิ”
ฉีหนิงไม่พูดอะไรเลย ไม่หันกลับมาด้วย
ชื่อตันเหมยรู้สึกตลกมาก ความตื่นเต้นเมื่อกี้หายไป
หมด นางขยับเข้ามาใกล้ หน้าอกแนบชิดกับหลังของ
ฉีหนิง นางพูดอ้อนๆ ว่า “ท่านโหวน้อย ข้าผิดไปแล้ว
ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง อย่าใส่ใจเลยนะ ข้าขอโทษ”
ชื่อตัยเหมยเข้ามาใกล้ ฉีหนิงหวั่นไหว เขาพูดว่า
“เจ้าขอโทษจากใจหรือเปล่า?”
“ขอโทษก็ต้องจริงใจสิ จะแกล้งได้อย่างไร” ชื่อตัน
เหมยคิดในใจว่าโหวน้อยฐานะสูงส่ง แต่ก็ชอบงอน
มันดูน่ารักดีเหมือนกันนะ
ฉีหนิงหันหลังกลับมา พูดอย่างจริงจังว่า “ได้ หาก
เจ้าขอโทษจากใจจริง ก็ต้องรับปากเงื่อนไขข้าข้อ
หนึ่งก่อน”
ชื่อตันเหมยคิดในใจว่าอย่างไรคืนนีข้ ้าก็ต้องเป็นของ
เจ้าแล้ว เจ้าจะยังมีเงื่อนไขอะไรอีก นางรู้สึกสนใจ
มาก “เงื่อนไขอะไร?”
ผิวของนางเนียนนุ่ม คิ้วหนาตาโต จมูกโด่ง ปากอวบ
อิ่ม รูปร่างเร่าร้อน ทำให้คนอยากจะเดินเข้าไปกัด
มองรวมๆ แล้วงดงามมาก อีกทั้งนางยังมีความมี
เสน่ห์เย้ายวนใจ ทำให้คนที่ได้เห็นหวั่นไหว สายตา
ของนางเหมือนกำลังยิ้มมาที่ฉีหนิง เมื่อฉีหนิงเห็น
ปากของนางแล้วก็พูดว่า “หากเจ้าขอโทษจากใจจริง
ก็...ก็จูบข้าสิ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 644 โดดเดี่ยว
ฉีหนิงร่างกายแข็งแรง คืนนีเ้ ขาทำจนชื่อตันเหมย
แทบจะขาดใจตาย ยังมีเวลาอีกหน่อยกว่าจะเช้า ฉี
หนิงกอดเอวของชื่อตันเหมยไว้ ถึงแม้จะมีเหงื่อ
ออกมามาก แต่เขากลับรู้สึกสบายตัว ชื่อตันเหมย
นอนอยู่ในอ้อมกอดของฉีหนิงอย่างหมดแรง ตอนนี้
นางไม่อยากพูดอะไรเลย
บรรยากาศในป่าไผ่นนั้ ก็ยังคงมีเสียงนกเสียงแมลง
ค่ำคืนลมพัดเบาๆ ฉีหนิงเห็นว่าตัวของชื่อตันเหมยมี
แต่เหงื่อ กังวลว่าอุณหภูมิในร่างกายของนางจะลดลง
ทำให้เสียสุขภาพ เลยคิดจะลุกขึ้นมา ไปเอาน้ำมา
เช็ดตัวให้นาง เขาแค่ขยับ ชื่อตันเหมยก็กอดเขาไว้
แน่น แล้วพูดเสียงอ้อนๆ ว่า “ห้ามไปไหน ห้ามขยับ
ด้วย”
ฉีหนิงจูบไปที่หน้าผากของนาง แล้วพูดด้วยความ
อ่อนโยนว่า “ตัวเจ้ามีแต่เหงื่อ ข้าจะไปเอาน้ำมาเช็ด
ตัวให้ เจ้าจะได้ไม่หนาว”
“ก็ไม่ใช่ผลงานของเจ้าหรืออย่างไรกัน” ชื่อตันเหมย
พูดเสียงอ้อนๆ นางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร
อยู่กับข้าสักพัก เจ้ากอดข้าไว้แบบนี้ ข้าถึงรู้สึกว่าไม่
เหงาโดดเดี่ยว”
ฉีหนิงใจอ่อน เขากอดนางเอาไว้แน่น แล้วพูดว่า
“เจ้าเหงาโดดเดี่ยวมากเลยหรือ?”
ชื่อตันเหมยพูดอย่างเศร้าๆ ว่า “ข้ามาที่เกาะไป๋อวิ๋น
ตั้งแต่เล็ก คนบนเกาะรวมทั้งหมด ก็ไม่เกินสิบคน
ถึงแม้ข้าจะเป็นศิษย์ของเจ้าเกาะ แต่ว่าเวลาฝึกวร
ยุทธ์จริงๆ ก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ถ่ายทอดให้ บนเกาะมี
เขาอยู่ลูกหนึ่ง บนเขามีตำหนักอยู่ ท่านเจ้าเกาะ
มักจะอยู่ที่นนั่ ตลอดทั้งปี ปกติก็จะมีเพียงศิษย์พี่ใหญ่
กับศิษย์พี่รองเท่านัน้ ที่ได้เจอเขา ส่วนคนอื่นปีหนึ่งก็
ได้พบแค่ไม่กี่ครั้ง”
ชื่อตันเหมยลูบไปมาที่ไหล่ของชื่อตันเหมย แล้วถาม
ว่า “แล้วบนเกาะมีผู้หญิงกี่คน?”
ชื่อตันเหมยซบอยู่ที่อกของฉีหนิง ใช้นิ้วลูบไปมาที่
หน้าอกของฉีหนิง หน้าของนางแดงมาก นางพูดว่า
“นอกจากอวี๋ผอที่ดูแลข้าแล้ว ก็ไม่มีผู้หญิงคนอื่นอีก
อวี๋ผอเป็นใบ้ พูดไม่ได้ ดังนั้นตอนที่ข้าเบื่อๆ ก็มีแค่
ข้าพูดให้นางฟัง นางพูดอะไรไม่ออกเลย” นางยิ้ม
แล้วพูดว่า “คนบนเกาะ นอกจากอวี๋ผอกับศิษย์พี่
รองแล้ว ข้าเองก็ไม่ค่อยชอบคนอื่นเท่าไหร่ ถึงแม้
ศิษย์พี่ใหญ่จะดีกับข้าไม่น้อย แต่ว่าเขาออกไปนอก
เกาะบ่อยๆ บางทีก็ไปคราวละหลายเดือน ครั้งนี้ ข้า
ก็ไม่ได้เจอเขามาครึ่งปีแล้ว”
ฉีหนิงพูดว่า “มือกระบี่ไป๋เขาดีกับเจ้าไม่น้อยเลย?
เขาชอบเจ้าใช่หรือไม่?”
ชื่อตันเหมยเงยหน้าขึ้นมา แล้วพูดว่า “อย่าพูด
เหลวไหลนะ” จากนั้นนาก็ถอนหายใจว่า “ที่จริงข้า
เองก็รู้ว่าศิษย์พี่รองชอบข้า แต่ว่าข้าเห็นเขาเป็น
พี่ชายของข้าเท่านั้น ไม่ได้มีเรื่องของชายหญิงเลย
เจ้าเองก็เห็น เขาเป็นคนเงียบๆ สามวันแทบจะไม่พูด
อะไรสักคำเลย ป่าชางจู๋บนเกาะไป๋อวิ๋นเป็นที่อยู่ของ
เขา นอกจากเขาสามารถคิดค้นหรือว่าฝึกกระบวน
ท่าสำเร็จ เขาถึงจะโผล่หน้าออกมาสักครั้ง
ไม่อย่างนั้นเป็นเดือนก็ไม่เห็นหน้าเขาหรอก คนบน
เกาะไป๋อวิ๋นคนอื่นก็เหมือนกับก้อนหิน เจ้าคิดอยาก
ให้พวกเขาทำอะไรเขาก็จะทำอย่างนั้น ไม่รู้จักที่จะ
พูดคุยอยู่...” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “บางครั้งข้า
ไม่ได้พูดกับใครเลยตลอดหลายวัน”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าใช้ชีวิต
แบบนี้ตลอดยี่สิบปีเลยหรือ?”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าการอาศัยอยู่ที่
เกาะไป๋อวิ๋นมันสบายนักหรือ? บางครั้งอวี๋ผอยุ่งมาก
ไม่มีใครมาคุยกับข้า ข้าก็ต้องคุยกับตัวเอง ท่านเจ้า
เกาะบอกว่าการพูดมากความ ทำให้ใจในการฝึกวร
ยุทธ์มันลดน้อยลง การไม่พูด มันทำให้มีใจฝึกวรยุทธ์
ให้มากขึ้น ที่จริงแล้วมันได้ผลกับศิษย์พี่รองมาก แต่
กลับข้ามันไม่มีประโยชน์”
“อย่างนี้นเี่ อง” ฉีหนิงกอดชื่อตันเหมย ชื่อตันเหมยม
อบร่างกายให้เขา ฉีหนิงก็ปฏิบัติกบั นางไม่
เหมือนเดิมแล้ว เขาพูดอย่างอ่อนโยนว่า “งั้นต่อไป
ข้าจะคุยเป็นเพื่อนเจ้าทุกวันเลย คุยตั้งแต่เช้าถึงค่ำ
เลยดีหรือไม่?”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้ว่างขนาดนั้น”
นางมองไปนอกหน้าต่าง แล้วพูดว่า “พวกเราตกลง
กันไว้แล้วนะ หลังจากฟ้าสาง พวกเราก็จะไม่มีอะไร
เกี่ยวข้องกันอีก เอาเป็นว่าหลังจากพวกเราออกจาก
ห้องนี้ไป ก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ข้าไม่ได้รู้สึกว่า
การที่เจ้าช่วยข้าแล้วข้าจะต้องซาบซึ้งใจ เจ้าก็ไม่ต้อง
คิดว่าเพราะ...เพราะได้ข้าไปแล้ว จะต้องมา
รับผิดชอบอะไร”
ฉีหนิงคิดว่านางกำลังล้อเล่น เขาหัวเราะแล้วพูดว่า
“เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดไป ข้าคิดว่าถึงเวลานั้นเจ้า
อาจจะไม่อยากไปก็ได้”
ชื่อตันเหมยเหมือนจะฟังออกน้ำเสียงฉีหนิงดูไม่ได้ใส่
ใจ นางก็พูดอย่างจริงจังขึ้นมาว่า “เจ้าคิดว่าข้า
ล้อเล่นอย่างนั้นหรือ?” นางผลักฉีหนิงออก แล้วลุก
ขึ้นมานั่ง จากนั้นก็เอาเสื้อมาปิด นางนั่งพับเพียบ ผม
เผ้ายุ่งเหยิง นางเหลือบไปมองฉีหนิงแล้วพูดว่า “ฟ้า
ใกล้สางแล้ว เจ้าก็ควรตื่นได้แล้ว เจ้าออกไปก่อน ข้า
จะแต่งตัวเก็บของ”
น้ำเสียงขอนางเย็นชามาก ซึ่งไม่เหมือนกับก่อนหน้า
นี้เลยที่หวานมาก ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่านางจะเปลี่ยน
อารมณ์เร็วขนาดนี้ เขารู้สึกไม่สบายใจเลย เขาลุก
ขึ้นมานั่ง แล้วพูดว่า “เจ้ารู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้
จะให้จบแบบนีน้ ่ะหรือ?”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “ไม่งั้นจะให้ทำอะไรอีก? เจ้าช่วย
ข้า ข้าก็ยอมให้เจ้า เจ้ารู้สึกว่าค่าตอบแทนแบบนี้มัน
ยังไม่พออีกหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็พดู มาว่าเจ้าอยาก
ได้เท่าไหร่”
ฉีหนิงรู้สึกโกรธมาก เขาดึกเอากางเกงขาสั่น แล้วรีบ
ใส่ แล้วพูดแบบโกรธๆ ว่า “คนของเกาะไป๋อวิ๋นไม่ยุ่ง
เรื่องโลกภายนอก แม้แต่ความรู้สึกก็ไม่มีแล้วหรือ
อย่างไรกัน? ชื่อตันเหมย เจ้าคิดว่าเรื่องนี้มันคือการ
แลกเปลี่ยนหรือไง? ข้าช่วยเจ้า เจ้าเอาร่างกายมา
ชดเชยให้ เจ้ารู้สึกว่าก็ไม่ควรมีอะไรต่อกันอีก”
ชื่อตันเหมยก็ไม่ยอมถอย บนหน้าของนางไม่ได้มี
รอยยิ้ม แล้วพูดว่า “แล้วแต่เจ้าจะพูด ข้าบอกไป
ก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากคืนนี้ไป ต่างคนต่างไป ไม่มี
อะไรติดค้างกันอีก”
“เดิมทีก็ไม่มีใครติดค้างใครอยู่แล้ว” ฉีหนิงไม่ได้พูดดี
ด้วย “เจ้าอยากให้ข้าไปเดี๋ยวนี้เลยใช่หรือไม่? ได้ ข้า
จะไป จะได้ไม่ขวางหูขวางตาเจ้าอีก” เขาหยิบเสื้อ
ของเขา แล้วหันหลังเดินไปที่ประตูเลย พอเขาเดินไป
ได้ไม่กี่ก้าว ก็หยุดเดิน จากนั้นก็หันหลังกลับไป เขา
เห็นชื่อตันเหมยหันหลังให้ นางยังนัง่ อยู่ตรงนั้น เขา
ถอนหายใจ แล้วเดินกลับไป ถึงริมเตียง แล้วพูดว่า
“นี่ ข้าไปจริงๆ แล้วนะ?”
ชื่อตันเหมยก็ไม่ได้หันหลังกลับมา ฉีหนิงโยนเสื้อผ้า
ทิ้ง แล้วปีนขึ้นเตียงไป แล้วกอดชื่อตันเหมยจาก
ด้านหลัง ชื่อตันเหมยขยับตัว แล้วพูดว่า “ปล่อยนะ
ใครให้เจ้ามาแตะต้องตัวข้า?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าเมื่อฟ้าสาง พวกเรา
สองคนก็จบกันแค่นี้ ตอนนี้ยงั มีเวลาอีกหน่อยไม่ใช่
หรืออย่างไร? ท่านอาเหมย เจ้าทนเห็นข้าไปจากเจ้า
ได้ แต่ว่าข้าไม่อยากจากเจ้าไป หากข้าไปแล้ว เจ้าคง
โกรธและโทษว่าข้ามันไม่มีความรู้สึก ไม่ว่าเจ้าจะทำ
กับข้าอย่างไร ในเมื่อเจ้าเป็นของข้าแล้ว ข้าก็ไม่ควร
จะหนีไปแบบนี้”
ชื่อตันเหมยหันกลับมา แล้วกอดฉีหนิงไว้แน่น
น้ำเสียงของนางสะอื้น นางตัวสั่นแล้วพูดว่า “ฉีหนิง
กอดข้าแน่นๆ ไม่ว่าฟ้าสางแล้วเจ้าจะไปหรือเปล่า
ก่อนฟ้าสางกอดข้าเอาไว้อย่างนี้ได้หรือไม่ หลายปีที่
ผ่านมา มีเพียงตอนที่อยู่ในอ้อมกอดเจ้าเท่านัน้ ที่ทำ
ให้ข้ารู้สึกอบอุ่นใจ ข้าถึงไม่รู้สึกว่าข้าเหงาโดดเดี่ยว”
ฉีหนิงกอดนางไว้แน่น เหมือนกับว่าจะเอาตัวอ่อนนุ่ม
ของนางเข้ามาในตัวของเขา เขายกมือมาลูบผมนาง
เขาพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ต่อไปไม่ได้อยู่ที่เกาะ
ไป๋อวิ๋นแล้ว ก็ต้องทนเหงาโดดเดี่ยวแน่นอน ท่านอา
เหมย หลังจากฟ้าสางแล้ว เจ้าไม่อยากมีอะไรกับข้า
อีก ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร เจ้ายังอยากลอบสังหารฮ่องเต้
แคว้นตงฉีอีกใช่หรือไม่ เจ้ากังวลว่าจะมีความสัมพันธ์
กับข้าลึกซึ้งมากเกินไป จะทำให้ข้าเดือดร้อน แล้วไม่
สามารถใจแข็งกับตัวเองได้อีกใช่หรือไม่”
ชื่อตันเหมยถูกฉีหนิงพูดแทงใจดำ ใจของนางอ่อน
นางหลับตาลง
ก่อนที่ชื่อตันเหมยกับฉีหนิงจะเข้าหอกัน นางซาบซึ้ง
ใจต่อฉีหนิงมาก ก่อนหน้านี้ ถึงแม้นางจะไม่ได้รู้สึก
กับฉีหนิงแบบชายหญิง แต่ว่านางก็ไม่ได้รังเกียจจิ่นอี
โหวแห่งแคว้นฉู่คนนี้เลย เพราะตอนที่นางอยูท่ ี่
วัดต้ากวงหมิง ฉีหนิงเอาชนะไป๋อวี่เฮ่อได้ในกระบวน
ท่าเดียว ชื่อตันเหมยเห็นกับตา ในใจของนางก็นับถือ
เขาไม่น้อย
แต่ว่าความอ่อนโยนในคืนเดียว สำหรับผู้หญิงคน
หนึ่งแล้ว ผู้ชายคนแรกก็มักจะฝังใจ ชื่อตันเหมย
รักษาพรหมจรรย์มานานกว่าสามสิบปี ได้ร่วมรัก
กับฉีหนิงในคืนนี้ ทำให้ความรู้สึกของนางมันมากกว่า
คนธรรมดาทั่วไป ภายในจิตใจของนางยอมรับฉีหนิง
เป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวในชีวติ ของนางแล้ว
หากไม่มีความแค้นของจวนรัชทายาท การจะไปใช้
ชีวิตกับฉีหนิงนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ว่าชื่อตันเหมยไม่
อยากถูกกักบริเวณในเกาะไป๋อวิ๋น ยอมยก
พรหมจรรย์ของนางให้ฉีหนิง เดิมก็คิดอยากแลกมัน
กับอิสรภาพ หาโอกาสแก้แค้นให้กับจวนรัชทายาท
มันเป็นเรื่องทีน่ างไม่เคยลืมเลยตลอดหลายปีที่ผ่าน
มา อีกทั้งที่นางยังยอมมีชีวิตจนถึงวันนี้ ก็เพื่อแก้แค้น
นางไม่มีทางยอมไปใช้ชีวิตกับฉีหนิงเพียงเพราะการ
ได้ร่วมรักกับฉีหนิงแค่คืนเดียว แล้วทิ้งความคิดที่จะ
แก้แค้นไป นางเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว ความคิดภายใน
ของนางมีมากมาย นางรู้ดีว่า หากนางถลำลึกไปกับ
ความรู้สึกกับฉีหนิงเพียงเพราะได้นอนด้วยกันแค่คนื
เดียว นางไม่มีทางใจแข็งแน่ ถ้าอย่างนั้น นางก็จะไม่
มีความกล้าที่จะไปแก้แค้นให้กับจวนรัชทายาท
แน่นอน
ความคิดของนาง ถูกฉีหนิงมองออกทั้งหมด นางรู้สึก
ว่าไม่มีแรงเลย นางซบอยู่ในอ้อมกอดของฉีหนิง ถึง
ได้รู้สึกอบอุ่นใจขึ้น
“ท่านอาเหมย ข้ารู้ว่าเจ้าทิ้งความแค้นของจวนรัช
ทายาทไม่ได้” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าเจ้าเองก็น่าจะรู้
การจะแก้แค้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ต่อให้ท่าน
เจ้าเกาะพาเจ้ากลับไป เขาก็จะต้องเพิ่มการระวังมาก
ขึ้น อีกทั้งทางตงฉี ในเมื่อเจ้าทำมันไม่สำเร็จในคราว
นี้ ต่อไปจะหาโอกาส มันก็ไม่ง่ายอีก”
ชื่อตันเหมยตาแดงมาก น้ำตาของนางไหลออกมา
นางพูดด้วยความปวดใจมากว่า “แต่ว่าหากแค้นนี้ข้า
ไม่ทำ ต่อไปข้าจะมีหน้าไปเจอเสด็จพ่อได้อย่างไร?
พวกเขาตายไปอย่างอนาถ ยังมีเหล่าทหารเก่าของ
เสด็จพ่ออีก พวกเขาถูกให้ร้ายจนตายเพราะเสด็จพ่อ
ข้าไม่มีทางเลิกราอีก”
“ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าเลิกล้มความตั้งใจ” ฉีหนิงพูดว่า
“ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่า จะสังหารเขามันไม่ง่าย ต้อง
วางแผนการยาวๆ อีกทั้งต้องรอบคอบด้วย รอบตัว
ฮ่องเต้ตงฉีมียอดฝีมือมากมาย หลังจากเรื่องในคราว
นี้ รอบข้างเขาน่าจะเพิ่มยอดฝีมือเข้าไปอีก อีกทั้งเขา
ยังมีขุนนางเจ้าเล่ห์อีกมาก ข้ากังวลว่าหากเจ้าทำ
อะไรบุ่มบ่ามมากเกินไป จะตกหลุมพรางของเขา”
ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ทำไมข้าจะไม่รู้
ว่าเส้นทางการแก้แค้นมันลำบากแค่ไหน หลายปีที่
ผ่านมาข้าก็คิดมาหลายวิธี กลับไม่มีวิธีไหนที่ใช้ได้เลย
ฮ่องเต้ชั่วนั่นรู้ว่าข้าอยู่ที่เกาะไป๋อวิ๋น รู้ว่าข้าฝึกวร
ยุทธ์ ที่จริงแล้วตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ฮ่องเต้ชั่วนั่น
กังวลตลอดว่าจะมีคนมาแก้แค้นให้กับเสด็จพ่อ เลย
ระวังตัวทั้งวันทั้งคืน เจ้ารู้หรือไม่ โครงสร้างในวัง
หลวงตงฉีทั้งหมด ท่านเจ้าเกาะเป็นคนออกแบบให้
มันเหมือนเขาวงกต หลังจากที่เขาไปแล้ว จะถูกขังได้
ง่าย อีกทั้งฮ่องเต้ชั่วนั้นคืนหนึ่งนอนสามที่ ในวัง
หลวงมีตำหนักมากมาย เขาไม่มีตำหนักบรรทมที่
แน่นอน คืนหนึ่งเขาต้องเปลี่ยนที่นอนสองถึงสามที่
อีกทั้ง...เฮ้อ อีกทัง้ ยังหาตัวตายตัวแทนเอาไว้ด้วย
ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่จะลอบไปสังหารเขามันไม่ใช่
เรื่องง่ายเลย หากไม่ได้ไม่มีทางเลือก ข้าเองก็ไม่มี
ทางฉวยโอกาสที่ราชทูตต่างแคว้นมา หาโอกาสเข้า
วังไปลอบสังหารเขาหรอก”
ฉีหนิงพูดว่า “ดูท่าทางตาเฒ่านั่นจะกลัวนะ” เขาพูด
ว่า “ทำเรื่องชั่วไว้มากก็กลัวตายเป็นธรรมดา เจ้าเฒ่า
นั่นโหดเหี้ยม เขาต้องไม่ได้ตายดีแน่นอน เจ้าก็เห็น
แล้ว ลูกชายของเขาเพื่อชิงบัลลังก์ เข่นฆ่ากันเอง ลูก
ชายสามคนตายไปสองคน ก็ถือว่าเขาได้รับกรรมของ
เขาไปแล้ว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 645 คนร้ายตัวจริง
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไม
อ๋องไท่ซานถึงได้เสี่ยงที่จะก่อกบฏ? ถึงแม้เขาจะเป็น
ใหญ่ในเมืองสวีโจว แต่เขาไม่รู้จักการซื้อใจคน ปกติก็
ทำเรื่องเลวร้ายในสวีโจวมากมาย ใครเข้าหาเขา เขา
ก็ให้เป็นขุนนาง แต่ละคนดีต่อหน้าเขาเท่านั้นแต่ไม่มี
ใครยอมรับเขาเลยแม้แต่คนเดียว”
ฉีหนิงพูดว่า “พอเจ้าพูดแบบนี้ ข้าก็นึกแปลกใจ
ขึ้นมาจริงๆ ท่านอาเหมย ครั้งที่แล้วที่เนินพญาวัว
เจ้าบอกว่ามีคนอยูเ่ บื้องหลังการก่อกบฏในครัง้ นี้ ใช่
ชาวเป่ยฮั่นหรือเปล่า? เจ้าจะต้องรู้เรื่องนี้แน่นอน”
ชื่อตันเหมยเอียงตัวซบอยู่ในอ้อมกอดของฉีหนิง นาง
หัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าฉลาดจะตายไป เจ้าลองเดาดู
สิว่า ทำไมอ๋องไท่ซานถึงได้กล้าก่อกบฏ ไปสังหารรัช
ทายาทต้วนเสาที่เมืองสวีโจว?”
ฉีหนิงคิดไปครู่หนึ่ง แล้วก็สะดุ้งขึ้นมา เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “อย่างนี้นี่เอง อย่างนี้นี่เอง เฮ้อ ที่จริงข้าควรจะ
นึกออกได้ตั้งนานแล้ว แต่ข้ากลับเพิง่ จะมานึกได้
ตอนนี้ โง่จริงๆ เลย”
“หือ?” ชื่อตันเหมยตาเป็นประกาย นางยิ้มแล้วพูด
ว่า “หนุ่มน้อย เจ้าว่ามาสิ เจ้าคิดอะไรได้?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านอาทำไมถึงต้อง
ถามอะไรที่ท่านรู้อยู่แล้วด้วย หากข้าเดาไม่ผิด ที่อ๋อง
ไท่ซานมีความมั่นใจมาก กล้าต่อกรกับต้วนเสา ท่าน
อาน่าจะเป็นคนที่อยูเ่ บื้องหลังเรื่องนี้ถูกต้องหรือไม่”
ชื่อตันเหมยม้วนตัวราวกับเป็นพญางู นางเงยหน้า
ขึ้นมา แล้วมองไปที่ฉีหนิง นางยิ้มแล้วถามว่า “ทำไม
เจ้ารู้สึกว่าเป็นข้าล่ะ? ข้าจะไปมีความสามารถอะไร
กัน ทำให้อ๋องไท่ซานเชื่อคำพูดของข้าล่ะ?”
“อ๋องไท่ซานอาจจะไม่ได้ก่อกบฏเพราะท่านอาก็ได้
แต่ว่าการมีเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น ทำให้เขาไม่กลัวอะไร
เลย” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนที่ฮ่องเต้
ตงฉีองค์ปัจจุบันให้ร้ายเสด็จพ่อของเจ้า อ๋องไท่ซาน
เองก็น่าจะอายุไม่มาก อีกทั้งเขาเป็นคนใจร้อนวู่ว่าม
ข้าคิดว่าฮ่องเต้ตงฉีเองก็ไม่น่าจะให้เขาเข้าร่วมเรื่องนี้
แน่ อีกทั้งการทำร้ายเสด็จพ่อเจ้า เรือ่ งนี้เป็นเรื่องต่ำ
ช้า ฮ่องเต้ตงฉีไม่น่าจะพูดให้ใครฟังเยอะ ดังนั้นอ๋อง
ไท่ซานอาจจะไม่ได้รู้เรื่องในตอนนัน้ เท่าไหร่ ฐานะที่
แท้จริงของเขา อ๋องไท่ซานอาจจะไม่รู้เลยก็ได้”
ชื่อตันเหมยยิ้ม แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าพูดต่อ
สิ”
“อ๋องไท่ซานอาจจะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของเจ้า แต่ว่า
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเขารูจ้ ักดี” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋นอยู่ที่แคว้นตงฉี เขาอยูท่ ี่นี่ราวกับเทพเจ้า
แม้แต่ฮ่องเต้ตงฉีเอง ก็ต้องดูท่าทีของท่านเจ้าเกาะ
เหมือนกัน อ๋องไท่ซานเป็นลูกชายคนโตของภรรยา
หลวง แต่กลับถูกขับออกจากเมืองหลวง ไม่มีสิทธิใน
ราชสมบัติ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวที่สุด แต่เรื่องที่
น่ากลัวที่สุดก็คือหลังจากที่ต้วนเสาขึ้นครองราชย์ไป
แล้ว เขาจะมีจุดจบอย่างไร?”
ชื่อตันเหมยพูดอย่างนุ่มนวลว่า “อ๋องไท่ซานกับต้วน
เสาแอบสู้กันมาตั้งแต่เล็กจนโต สองคนนี้เหมือนน้ำ
กับไฟไม่ถูกกันเลย เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้วนเสามีอำนาจ
ขึ้นมา อ๋องไท่ซานไม่มีทางมีจุดจบทีด่ ีแน่นอน”
“ถูกต้อง อ๋องไท่ซานต่อให้โง่แค่ไหนก็ตาม แต่เรื่องนี้
เขาไม่มีทางไม่เข้าใจ” ฉีหนิงใช้มือหนึ่งลูบไปทีเ่ อว
ของชื่อตันเหมย แล้วพูดว่า “อำนาจของอ๋องไท่ซาน
อ่อนแอมาก ต่อให้อยู่ที่เมืองสวีโจว ก็ไม่ได้มีบารมี
ขนาดนั้น สำหรับเขาแล้ว หากไม่มีประโยชน์อะไร
มันก็มีแค่คำพูดเดียวที่อธิบายได้”
“นั่งรอความตาย” ชื่อตันเหมยยิ้ม
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง อ๋องไท่ซานไม่มีทางนั่ง
รอความตายแน่ ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีบารมี แต่ว่าเขาก็
ยังมีคนอยู่จำนวนหนึ่ง สำหรับต้วนเสาแล้ว ตำแหน่ง
รัชทายาทของเขายังไม่นิ่ง เพราะแม่ของอ๋องหลินจือ
เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นอ๋องหลินจือถือเป็นอุปสรรค
ที่ใหญ่มากของต้วนเสา” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า
“สำหรับคนที่มีฐานะสูงส่ง อุปสรรคที่มองเห็นและ
มองไม่เห็น ยังไงก็จะให้คงอยู่ไม่ได้เด็ดขาด วิธีที่ดี
ที่สุดในการจัดการก็คือกำจัดมันทิ้ง ดังนั้นต้วนเสา
ระแวงอ๋องไท่ซาน ยิง่ ระวังอ๋องหลินจือมากด้วย เขา
ต้องคิดหาวิธีมาตลอด ว่าจะทำยังไงถึงจะกำจัดพวก
เขาสองคนได้อย่างที่ไม่มีใครสงสัย”
ชื่อตันเหมยพูดเศร้าๆ ว่า “หากเจ้าเป็นองค์ชาย แล้ว
มีความคิดแบบนี้ เจ้าก็น่ากลัวมากเลย”
ฉีหนิงพูดว่า “คิดได้ ไม่ได้หมายความว่าทำได้นี่นา
ข้าไม่ใช่องค์ชาย ดังนั้นก็ไม่ต้องไปเลือกหรือตัดสินใจ
อะไร แต่ว่าต้วนเสาก็คิดวิธีที่สามารถยิงหินก้อนเดียว
ได้นกสองตัวออกมาได้ การไปล่าสัตว์ที่เมืองสวีโจวว
ครั้งที่แล้ว ที่จริงเขาก็ไม่ได้มีความมั่นใจมากนัก แต่
เขาก็ยังจะเดิมพันสักครัง้ เขาส่งตัวเองไปเป็นเหยื่อ
เดินทางไปเข้าปากอ๋องไท่ซานด้วยตัวเอง ที่เหลือก็
ลองดูว่าอ๋องไท่ซานนั้นจะมากินเหยือ่ หรือไม่”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “อ๋องไท่ซานรู้จักต้วนเสาดี
แต่ว่าต้วนเสานั้นดูเรื่องทุกอย่างของอ๋องไท่ซาน
เหมือนเขาอยู่ในกำมือ”
“ที่จริงจะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ถูก” ฉีหนิงพูดว่า
“อย่างน้อยอ๋องไท่ซานจะตกหลุมพรางหรือเปล่า รัช
ทายาทต้วนเสาเองก็ไม่ได้มั่นใจ แต่ว่าเขาก็ได้
เตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว ต่อให้ไม่สามารถทำให้
อ๋องไท่ซานติดกับได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถหา
โอกาส ทำให้อ๋องหลินจือได้มาแต่ไม่ได้กลับไป อีกทั้ง
ยังโยนความผิดไปให้กับอ๋องไท่ซานได้อีกด้วย” เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “วันนั้นตอนที่ข้าไปถึงเนินพญาวัว เห็น
การจัดแจงที่พัก มันไม่เหมือนค่ายล่าสัตว์เลย แต่มัน
เหมือนค่ายทำศึกมากกว่า ต้วนเสามีการเตรียมการ
ไว้แล้วหากอ๋องไท่ซานบุกเข้ามา”
“หากไม่ได้เตรียมการเอาไว้อย่างดี ต้วนเสาไม่กล้า
มาสวีโจวหรอก” ชื่อตันเหมยพูดว่า “คนอย่างต้วน
เสาเขาร้ายลึก จะกล้ามาเสี่ยงได้ยังไง”
ฉีหนิงพูดว่า “อ๋องไท่ซานไม่มีทางรูแ้ น่นอน ว่าเฉิงอู่
แม่ทัพที่เขาไว้ใจของเขา จะเป็นคนของรัชทายาทที่
ส่งมาเป็นสาย ข้าสงสัยมาก นอกจากเฉิงอู่แล้ว คิดว่า
รัชทายาทน่าจะมีคนอื่นอีก แค่มันใช้ไม่ได้เท่านั้น”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “ข้าประมาทต้วนเสาเกินไป ถึงแม้
จะรู้ว่าต้วนเสาจะมีการเตรียมการไว้แล้ว แต่ว่าหาก
อ๋องไท่ซานใช้กำลังทัง้ หมด ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส”
ฉีหนิงพูดว่า “ดังนั้นคนที่สามารถทำให้อ๋องไท่ซาน
ก่อกบฏได้ นอกจากท่านอาเหมยแล้ว ไม่มีคนอื่น
อีก” เขาก้มหน้ามองไปที่หน้าของชื่อตันเหมย เขา
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้ามีวิธีที่จะทำให้อ๋องไท่
ซานเชื่อว่าเจ้าเป็นศิษย์ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น ขอแค่
เขาเชื่อว่าเจ้าคือลูกศิษย์ของเกาะไป๋อวิ๋น แล้วเชื่อใน
สิ่งที่เจ้าพูดทุกอย่าง เขาก็จะเชื่อเจ้าอย่างไม่มีข้อ
สงสัย หากเจ้าบอกเขาว่า เจ้าเกาะไปอวิ๋นไม่อยาก
ให้ต้วนเสาขึ้นครองบัลลังก์ แต่อยากให้อ๋องไท่ซาน
ครองบัลลังก์ แล้วกล่อมให้ต้วนเสากำจัดเขา อ๋องไท่
ซานกจะไม่ลังเลใจอีก ในสายตาของเขา หากได้เจ้า
เกาะไป๋อวิ๋นหนุนหลัง ขอแค่ฆ่าต้วนเสาได้ ตำแหน่ง
ฮ่องเต้ตงฉีก็เป็นของเขา เขาไม่เชื่อเจ้า แต่เขาเชื่อใน
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋น”
สายตาของชื่อตันเหมยดูแปลกใจมาก นางมองไปที่ฉี
หนิง พวกเขาสองคนสบตากัน นางถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้มาก ทุกอย่างที่
เกิดขึ้น เหมือนกับว่าเจ้าไปได้ยินมากับหูเห็นมากับ
ตา เจ้าพูดถูกทุกอย่าง ไม่มีท่านเจ้าเกาะหนุนหลัง
อ๋องไท่ซานไม่มีทางกล้าทำอะไร ดังนั้นข้าแค่ทำให้
เขาเชื่อว่าท่านเจ้าเกาะอยากให้เขาเป็นฮ่องเต้ เขาก็
ไม่กลัวอะไรอีก สำหรับข้าแล้ว ทำให้เขาเชื่อใน
เจตนาของท่านเจ้าเกาะ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
“ให้พวกเขาพี่น้องฆ่าฟันกันเอง เป็นหนึ่งแผนการแก้
แค้นของเจ้า” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพียงแต่
เจ้าพลาดกลายเป็นทำให้ต้วนเสาสมหวัง ตอนนี้องค์
ชายสามคนของตงฉี ตายไปแล้วสอง เหลือแค่ต้วน
เสาคนเดียวที่ยงั อยู่อย่างมั่นคง”
ชื่อตันเหมยขยับตัว นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใคร
จะไปรู้ว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้กนั ข้ายังคิดอยูเ่ ลย
ว่า ไว้อ๋องไท่ซานกำจัดต้วนเสาได้แล้ว คงนำทหาร
บุกเข้าเมืองหลวงไป น่าเสียดายที่มันไม่ใช่แบบนั้น
เลย ข้าเลยจำเป็นต้องวางแผนลงมือเอง”
ฉีหนิงคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้พอคิดจะวางแผนอะไร
ขึ้นมาแล้ว ก็น่ากลัวเอาเรื่อง ยังดีชื่อตันเหมยไม่ใช่
ศัตรูของเขา ไม่อย่างนัน้ เขาคงต้องปวดหัวแน่ พอ
คิดถึงสถานการณ์ของเมืองหลวง เขาก็พูดว่า “เจ้า
บุกเข้าไปลอบสังหารในวังหลวงครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าทาง
เป่ยฮั่นจะแก้ตัวยังไง”
“เจ้ากังวลว่าองค์หญิงเทียนเซียงจะถูกแย่งไปหรือ?”
ชื่อตันเหมยหัวเราะ แล้วพูดว่า “ก็ไม่แน่ ทางเป่ยฮั่น
ถึงขั้นยอมยกดินแดนส่วนหนึ่งเพื่อมาสู่ขอ พวกเจ้า
กล้าเหมือนพวกเขาหรือไม่ล่ะ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ยกดินแดนส่วนหนึ่งเพื่อสู่ขอ
แคว้นฉู่ทำไม่ได้ ฮ่องเต้ไม่ทรงยอม ข้าเองก็ไม่ยอม
เช่นกัน ถึงแม้ดินแดนของแคว้นฉู่จะไม่เล็ก แต่ว่า
ดินแดนทุกตารางเมตรเหล่าทหารของแคว้นก็ใช้
เลือดและเนื้อแลกมา ไม่มีทางแบ่งไปแม้แต่นิดเดียว
หากต้องการดินแดนของแคว้นฉู่ ก็ต้องเอาชีวิตมา
แลกเท่านั้น” เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านอา เจ้าว่า
ชาวเป่ยฮั่นบ้าไปแล้วหรือเปล่า? พวกเขาแค่ต้องการ
แย่งองค์หญิงเทียนเซียงถึงขึ้นยอมแบ่งดินแดนส่วน
หนึ่งให้ มันเป็นความคิดของเจ้าบ้าคนไหนกัน?”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “คนอื่นเขาได้เปรียบ เจ้าก็
แอบด่าเขาลับหลังแบบนี้หรือ หากเจ้ามีปัญญา ก็หา
วิธีให้ชาวเป่ยฮั่นหนีกลับแคว้นของพวกเขาไปสิ”
นางหยุดไป แล้วพูดว่า “แต่ว่าวิธีนี้ของพวกเขาร้าย
กาจมาก ฮ่องเต้ชั่วช้าที่คิดว่าตัวเองฉลาดนั่น คิด
อยากขยายอาณาเขตมาตลอด เป่ยฮั่นยอมยกพื้นที่
ของเขาหม่าหลิงซานให้ สำหรับฮ่องเต้ชั่วช้านั่นมัน
ยั่วยวนใจมาก ถึงแม้เป่ยถังเฟิงจะพาข้าเข้าวังไป
ตงฉีอาจจะหาเรื่องให้พวกเขาลำบากใจ แต่ว่าชาว
เป่ยฮั่นน่าจะหาทางรอดได้ หนุ่มน้อย เจ้ามาตงฉีใน
ครั้งนี้ คิดว่าคงต้องล้มเหลวกลับไปแล้วล่ะ”
ฉีหนิงรู้สึกโกรธและหงุดหงิดมาก เขาพูดว่า “ช่าง
เถอะ เรื่องนี้กลับไปแล้วค่อยว่ากัน” เขาถามต่อไป
อีกว่า “ท่านอา ข้าเห็นเหมือนว่าท่านเจ้าเกาะกับ
เทพกระบี่คนุ้ เคยกันมาก พวกเขารูส้ ึกกันมาก่อน
หรือ? ข้าได้ยินมาว่าตอนเทพกระบีย่ ังเป็นหนุ่ม เขา
ชอบออกไปท่องเที่ยว มีเพื่อนในยุทธภพมากมาย
หรือว่าจะรู้จักกับท่านเจ้าเกาะมาในช่วงนั้น?”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “ก่อนที่ท่านเจ้าเกาะจะมาอยู่ที่
เกาะไป๋อวิ๋น ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไร ตอนที่อดีต
ฮ่องเต้ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ก็ทรงแต่งตั้งให้เขา
เป็นราชครูแล้ว แต่ว่าท่านเจ้าเกาะไม่เคยยุ่งเรื่อง
การเมืองเลย มีแต่ศิษย์พี่ใหญ่ที่เคยแอบบอกเรื่อง
ตอนที่ท่านเจ้าเกาะยังเป็นหนุ่มมาบ้าง เหมือนจะ
เดินทางตั้งแต่เหนือจรดใต้ มีเพื่อนมากมาย น่าจะ
เป็นตอนนัน้ ที่ได้รู้จักเทพกระบี่ แต่วา่ พวกเขาน่าจะ
ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว ท่านเจ้าเกาะอาศัยอยู่ที่
เกาะไป๋อวิ๋นมาหลายปี เทพกระบี่ไม่เคยไปที่เกาะเลย
พวกเขาน่าจะไม่มีโอกาสได้เจอกัน”
“ตอนที่เจ้าไปแคว้นฉู่ ไปหาข้าที่บนเรือสำราญที่
แม่น้ำฉินไหวถามที่อยู่ของเทพกระบี่ เหมือนจะไม่ใช่
เจตนาของท่านเจ้าเกาะ ทำไมเจ้าถึงได้คิดจะหาเทพ
กระบี่?” ฉีหนิงถามว่า
ชื่อตันเหมยหน้าแดง แล้วพูดว่า “มัน...มันไม่มีอะไร
หรอก”
ฉีหนิงลูบไปลูบมาบนตัวของชื่อตันเหมย นางหัวเราะ
แล้วขยับตัว แล้วพูดว่า “อย่าแกล้งข้า มัน...มันจั๊กจี้
ได้ ได้ ข้าบอกแล้ว ที่จริง...ที่จริงตอนที่ข้าเจอเจ้าที่
วัดต้ากวงหมิง ก็คิดได้ว่าจิ่นอีตระกูลฉีมีความ
เกี่ยวข้องกับเทพกระบี่เป่ยกงเหลียนเฉิง เทพกระบี่
ไม่มีข่าวคราวมานานหลายปี ข้าก็แค่อยากรู้ หาก...
หากเขายังไม่ตาย ข้าก็อยากจะลองดูว่าพอจะมีวิธีทำ
ให้เขาเข้าวังหลวงไปฆ่าฮ่องเต้ชั่วได้หรือไม่”
ฉีหนิงตะลึงไป ชื่อตันเหมยพูดว่า “ในใต้หล้านี้ คนที่
สามารถเข้าออกวังตงฉีได้ คิดว่าคงมีแค่ต้าจงซือ
เท่านั้น”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าก็คิดได้เนอะ เทพ
กระบี่จะไปฆ่าฮ่องเต้ตงฉีให้เจ้าได้อย่างไร”
“ข้าเองก็ไม่รู้” ชื่อตันเหมยพูดว่า “ข้าก็แค่อยากรู้ว่า
เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หากยังมีชีวิตอยู่ ข้าค่อยหาวิธี
ทำให้เขาฆ่าฮ่องเต้ชั่วนั่น”
“ยังดีที่เจ้าไม่ได้ทำ” ฉีหนิงพูดว่า “หากเทพกระบี่รู้
ว่าเจ้าอยากจะหลอกใช้เขาไปฆ่าคน คิดว่าเน่าจะถูก
เขาฆ่าไปก่อนแล้ว เจ้าไม่เห็นหรือ ต้าจงซือเย่อหยิ่ง
กันแค่ไหน จะไปให้คนอื่นมาหลอกใช้ได้อย่างไรกัน?
พวกเขาไม่ยอมเป็นหมากในกระดานให้ใครแน่” เขา
ยกมือบีบไปที่จมูกของชื่อตันเหมย แล้วพูดว่า
“ต่อไปห้ามทำอะไรแบบนี้อีกนะ แค้นยังไงก็ต้อง
ชำระ แต่ต้องวางแผนยาวๆ จะวู่วามไม่ได้”
เขาอายุน้อยกว่าชื่อตันเหมยมาก แต่ว่าน้ำเสียงของ
เขาในตอนนีเ้ หมือนผู้ใหญ่ที่กำลังสอนเด็ก ชื่อตันเหม
ยมองบนใส่ฉีหนิง แล้วก็ขยับตัวหนี
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 646 เหลือเพียงเสียงที่มิรู้จบ
ทั้งสองคุยกันเสียงเบาๆ ในห้อง ได้ยนิ เสียงนกเสียง
แมลงร้องมาจากด้านนอก ไม่ได้มีเสียงอย่างอืน่ เลย ฉี
หนิงอดที่จะถอนหายใจไม่ได้ “พวกเขาสองคนอยูร่ อ
ด้านนอกจริงๆ หรือ? ต้าจงซือสองคนรอพวกเราสอง
คนเข้าหอกัน หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของ
พวกเราคงโด่งดังไปไกล”
ชือ่ ตันเหมยรีบพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าฟังให้ดีนะ
เรื่องของพวกเราในคืนนี้ เจ้าห้ามพูดไปแม้แต่คำ
เดียว ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าจริงๆ ด้วย”
ฉีหนิงพูดอย่างลำบากใจว่า “เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ปิดได้
หรือ?”
“นอกจากท่านเจ้าเกาะกับเทพกระบี่ ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง
นี้อีก” ชื่อตันเหมยพูดว่า “พวกเขาสองคนไม่มีทาง
พูดเรื่องไร้สาระนี่หรอก...”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่เห็นรู้สึกว่ามันไร้สาระ
เลย”
ชื่อตันเหมยหยิกฉีหนิงเบาๆ แล้วดุว่า “อย่ามาทำ
หน้าทะเล้นแบบนี้ ข้ากำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่นะ”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าจำเอาไว้แล้วตกลงหรือไม่” เขาพูด
อย่างสงสัยว่า “ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไรกับมือ
กระบี่ไป๋เลย เขาไปแล้วหรือยัง?”
ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ครั้งนีเ้ พราะข้า
ทำให้เขาต้องเดือดร้อน ยังไงข้าก็ควรจะพูดขอโทษ
เขาสักคำ ก็ไม่รู้ต่อไปเขาจะไปไหน”
“ท่านอาไม่ต้องกังวลไป” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าพูดอะไร
ที่ไม่ควรพูดหน่อยนะ เจ้าอย่าว่าข้าเลยนะ ข้าว่าเจ้า
เกาะไป๋อวิ๋นไม่เห็นมีอะไรดีเลย อยูแ่ ต่ในเกาะนัน่ ต่อ
ให้ฝึกวิชาไร้เทียมทานได้แล้วยังไง ใช้ชีวิตแบบไม่มี
รสชาติไปอย่างนี้ หากเป็นข้านะ ข้าจะไม่ทำแบบนี้
แน่ เทพกระบี่ก็บอกแล้ว มือกระบี่ไป๋มีอนาคตใน
ศาสตร์แห่งกระบี่ ข้าว่าถ้าให้เขาอยูท่ ี่เกาะไป๋อวิน๋ ต่อ
ไป ก็ไม่ก้าวหน้าหรอก ออกไปท่องยุทธภพดีกว่าอีก
อาจจะเป็นทางที่ดีสำหรับเขามากกว่า”
ชื่อตันเหมยส่งเสียง “อืม” ออกมาแค่นั้น แต่ก็ยงั คงสี
หน้ากังวลอยู่
ฉีหนิงเข้าใจความรู้สึกของชื่อตันเหมยดี เขาปลอบ
อย่างอ่อนโยนว่า “เพลงกระบี่เขาร้ายกาจ ไม่ว่าไปที่
ไหน ก็ไม่มีใครรังแกเขาหรอก อีกทั้งคนอย่างเขา มี
แต่คนอยากเข้าหา ไม่มีทางต้องลำบากหรอก เจ้า
อย่ากังวลไปเลย”
ชื่อตันเหมยพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็คงต้องเป็นไป
ตามนั้น”
“ท่านอา ที่จริงข้ายังมีเรื่อแปลกใจอีกเรื่องหนึ่ง” ฉี
หนิงพูดเบาๆ ว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยมาที่ป่าไผ่
วิญญาณนี่หรือเปล่า?”
ชื่อตันเหมยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “อย่าว่าแต่เคยมา
เลย แม้แต่ชื่อข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ว่าข้าเคยได้
ยินชื่อของเหมียวตะวันออกหลีตะวันตก ทั้งสองคน
เป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก แต่ว่าข้าไม่เคยเจอเลย
แม้แต่คนเดียว ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าสองคนนี้มี
ชื่อเสียงโด่งดัง อีกทั้งยังช่วยชีวิตคนอื่น ก็น่าจะเป็น
คนที่มีคุณธรรม แต่ว่า...คิดไม่ถึงเลยว่าเหมียวอู๋จี๋จะ
เป็นยายเฒ่าแบบนัน้ ได้”
นางมาถึงป่าไผ่วิญญาณ สลบไม่รู้ตัว ตอนที่ฟื้นขึ้นมา
เหมียวอู๋จี๋ก็หายไปแล้ว ดังนั้นเรื่องทีเ่ กิดขึ้นก่อนหน้า
นั้นทั้งหมดนางไม่รู้เลย
ฉีหนิงเลยเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้นางฟัง ชื่อตันเหมยฟัง
แล้วก็ตกใจ นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เหมียวอู๋จี๋เป็น
คนต่ำช้าแบบนีเ้ ลยหรือ ดูท่าชื่อเสียงในยุทธภพของ
นางไม่ใช่เรื่องจริง คนแบบนาง ไม่คคู่ วรกับคำว่า
หมอเลย”
“ข้าไม่ได้แปลกใจเลยที่นางแอบซ่อนตัวอยู่ที่ป่าไผ่
วิญญาณนี่” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ยายเฒ่านี่
ร้ายมาก การกระทำแปลกก็ไม่ว่า แต่วว่าวันนี้เทพ
กระบี่ใช้เหมียวอู๋จี๋เป็นสินสอดให้พวกเรา ท่านเจ้า
เกาะยังรับเอไว้อย่างไม่ลังเลเลย ท่านอา เจ้าไม่รู้สึก
ว่ามันแปลกหรือ?”
ชื่อตันเหมยพยักหน้าแล้วพูดว่า “แปลกจริงๆ”
“เจ้าเองก็บอกว่า ท่านเจ้าเกาะไม่ใช่ใครก็จะไปหา
เขาได้” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ท่านเจ้าเกาะสั่งให้บ่าวสอง
คนนั้นนำตัวเหมียวอู๋จี๋ไปยังเกาะไป๋อวิ๋น มันเป็นอะไร
ที่แปลกมาก” มือของเขาลูบไปลูบมาบนผิวของชื่อ
ตันเหมยแล้วพูดว่า “ท่านอา บนเกาะไป๋อวิ๋นมีหมอ
หรือเปล่า?”
“มี” ชื่อตันเหมยพูดว่า “มีหมอคนหนึ่งพวกเราเรียก
เขาว่าเสอป๋อ วิชาแพทย์ของเขาก็ไม่ธรรมดา เขา
อาศัยอยู่ในเกาะตลอด หากคนบนเกาะไม่สบายเขาก็
จะไปรักษาให้ ที่จริงท่านเจ้าเกาะเองก็รู้เรื่อง
การแพทย์นิดหน่อย อีกทั้งการใช้ชีวติ บนเกาะก็มี
กฎเกณฑ์ เลยไม่ค่อยมีคนไม่สบาย”
ฉีหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็น่าแปลก ความสามารถที่
ดีที่สุดของเหมียวอี๋จี๋ ก็คือวิชาแพทย์ แล้วท่านเจ้า
เกาะจะรับนางไปทำไมอีก?”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “ที่แปลกไม่ใช่ท่านเจ้าเกาะรับ
เหมียวอู๋จี๋ แต่เทพกระบี่ทำไมถึงได้เอาเหมียวอู๋จี๋มา
เป็นสินสอดให้กับท่านเจ้าเกาะ เทพกระบี่รู้ได้ยงั ไงว่า
ท่านเจ้าเกาะต้องรับแน่นอน? เหมียวอู๋จี๋เป็นชาวตงฉี
เดิมก็ไม่เกี่ยวกับเทพกระบี่อยู่แล้วเทพกระบี่มีสิทธิ์
อะไรใช้เหมียวอู๋จี๋เป็นสินสอด?”
“จริงด้วย ท่านอา เจ้าฉลาดมาก เจ้าคิดออกบ้าง
หรือไม่ว่ามันเป็นเพราะอะไร?” ฉีหนิงถาม
ชื่อตันเหมยพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าเป็นเทพกระบี่หรือ
ยังไงกัน ถึงได้รู้ไปหมด” นางนิ่งไป แล้วพูดว่า “ข้า
แค่รู้สึกว่า ตอนที่ท่านเจ้าเกาะรับเหมียวอู๋จี๋ไป
เหมือนว่าทั้งสองคนกำลังพูดเรื่องสินสอด แต่นั่นมัน
เหมือนการตัดสินชีวิตของเหมียวอู๋จี๋ หากท่านเจ้า
เกาะปฏิเสธ เทพกระบี่น่าจะปลิดชีวิตของเหมียวอู๋จี๋
ทันที ในสถานการณ์ตอนนัน้ เหมือนเทพกระบี่มั่นใจ
ว่าท่านเจ้าเกาะจะต้องช่วยชีวิตของเหมียวอู๋จี๋
แน่นอน”
“ถูกต้อง” ฉีหนิงรีบพูดว่า “ท่านอา ที่จริงข้าเองก็คิด
แบบนี้ ตอนนั้นมันเหมือนเป็นการตัดสินชีวิตของ
เหมยวอู๋จี๋ แต่ว่าท่านเจ้าเกาะกับเหมียวอู๋จี๋มีความ
เกี่ยวข้องยังไงกัน ทำไมต้องช่วยนางจากมือของเทพ
กระบี่ด้วย? ยายเฒ่านั่นมีประโยชน์อะไรกับท่านเจ้า
เกาะนะ?”
ชื่อตันเหมยกะพริบตา นางยิ้มแล้วพูดว่า “เทพกระบี่
เป็นปู่ของเจ้า พรุง่ นี้เจ้าก็ไปถามเอากับเทพกระบี่ก็
ได้นี่นา?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากมันง่ายอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ ที่
จริงวันนีเ้ ขาออกมาช่วยข้า ข้าเองก็คิดไม่ถึง
เหมือนกัน” เขาพูดเสียงเบาว่า “เจ้าเองก็น่าจะรู้
เทพกระบี่หายไปตั้งกีป่ ีแล้ว แม้แต่จวนจิ่นอีโหวเองก็
ไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดียังไง”
ชื่อตันเหมยถามว่า “จริงสิ เทพกระบี่เป็นคนของ
ตระกูลฉี ทำไมเขาถึงได้แซ่เป่ยกงล่ะ? ข้าได้ยินมาว่า
คนในยุทธภพหลายคนยังไม่รเู้ ลยว่าเทพกระบีเ่ ป็น
คนของจิน่ อีตระกูลฉี ยังคิดว่าเทพกระบี่ไม่ได้
เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลฉี”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไม” เขาเหมือนจะ
กำลังคิด ชื่อตันเหมยหันตัวเลื้อยไปเหมือนกับงู แล้ว
พูดเหมือนขี้เกียจว่า “ช่างเถอะ ไม่พูดแล้ว ยังเหลือ
อีกหนึ่งชั่วยาม ฟ้าก็จะสางแล้ว ข้ารู้สึกเหนื่อย อยาก
นอนสักหน่อย ถ้าสว่างแล้วเจ้าก็ปลุกข้าด้วยแล้วกัน”
นางหันหลังแล้วนอนเอียงข้างๆ ฉีหนิง ท่านอนของ
นางมันยั่วยวนมาก ฉีหนิงกอดนางจากด้านหลัง แล้ว
พูดว่า “ท่านอาเหมย”
“หืม”
“ท่านอา”
“มีอะไร”
“ข้า...” ฉีหนิงพูดเบาๆ ว่า “ฟ้ายังไม่สว่างเลย”
ทำไมชื่อตันเหมยจะไม่รู้ว่าฉีหนิงคิดอะไรอยู่ นางกัด
ฟันแล้วพูดว่า “ยังไม่สว่างก็นอนสิ อย่ามากวนข้า”
นางยังพูดไม่ทันจบ ฉีหนิงก็จับนางกดลง
ทั้งคู่ก็ได้ร่วมรักกันอีกครั้ง หลังจากนั้นก็นอนกอดกัน
แล้วเหนื่อยจนหลับไป พอทัง้ สองตื่นขึ้นมา ฟ้าก็สว่าง
แล้ว แสงแดดส่องเข้ามาในห้อง ฉีหนิงลืมตาขึ้นมา
แอบคิดในใจว่าแย่แล้ว เขาเหลือบไปมองชื่อตันเหมย
ที่ยังนอนหลับอยู่ เขาคิดในใจว่าเขาทำจนนางหมด
สภาพขนาดนี้ เลยไม่อยากจะปลุกนาง เขาพลิกตัว
แล้วลงจากเตียง แล้วเดินไปที่หน้าต่าง เขาเปิดออก
เล็กน้อย เห็นแสงส่องเข้ามาอย่างแรง เขายืน่ หน้า
ออกไปมองอย่างอดไม่ได้ มันสายมากแล้ว เลยเวลา
ยกน้ำชามานานมากแล้ว
ฉีหนิงคิดในใจว่าหากทำให้ท่านเจ้าเกาะโกรธ คงไม่
เป็นผลดีแน่ เลยรีบเดินไปที่เตียงแล้วพูดว่า “ท่านอา
รีบตื่นเร็ว ฟ้าสางแล้ว”
ชื่อตันเหมยลืมตาขึ้นมา บิดขี้เกียจ เห็นด้านนางแสง
ส่องเข้ามาแล้ว นางก็หน้าถอดสี จากนั้นก็รบี เอาเสื้อ
มาคลุม แล้วดุไปว่า “เพราะเจ้านัน่ แหละ แล้ว...แล้ว
คราวนี้จะทำยังไง ท่านเจ้าเกาะจะต้องยังรออยู่แน่”
ตอนนี้นางดูร้อนรนมาก “พวกเรา...พวกเราตื่นสาย
ขนาดนี้ ท่านเจ้าเกาะ...ท่านเจ้าเกาะต้องหัวเราะ
เยาะพวกเราแน่”
ทั้งคู่ก็ไม่ทำให้เสียเวลาอีก รีบล้างหน้าล้างตา ฉีหนิง
ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่งตัวครู่เดียวก็เสร็จ แต่ชื่อตันเหมย
เป็นผู้หญิง ปกตินางใส่ใจกับหน้าตาของนางมาก
แต่งตัวก็ต้องใช้เวลานานมาก วันนี้กลับทำไม่ได้เลย
นางรีบแต่งตัว แล้วทั้งคู่ก็ออกจากห้องไป
เมื่อคืนพายุฝนตกลงมาอย่างหนัก บรรยากาศของป่า
ไผ่น่ากลัวมาก แต่ตอนนี้แสงแดดสาดส่องมา มันทำ
ให้ป่าไผ่ได้บรรยากาศอีกอย่างหนึ่ง แดดที่ส่องมา
เสียงนกแมลงที่ร้องอยู่ทั่วป่า ฝนที่ตกมาเมื่อคืน
เหมือนชะล้างเอาทุกอย่างในป่าไผ่ไป บอกไม่ถูก
เหมือนกันว่ามันสวยแค่ไหน
ทั้งคู่ไม่ได้มีอารมณ์จะชื่นชมบรรยากาศที่สวยงาม ทั้ง
คู่ออกตามหาไปทั่วป่า ตามหาในกระท่อมทุกหลัง
แต่กลับไปพบต้าจงซือทั้งสองคนเลย ทั้งสองแยกกัน
ไปหารอบป่า กลับไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว ป่า
อันกว้างใหญ่ ตอนนี้เหลือแค่พวกเขาสองคน
เมื่อกลับมาที่กระท่อมไม้ ทั้งสองก็มองหน้ากัน ชื่อ
ตันเหมยพูดอย่างเศร้าๆ ว่า “พวกเขาไปแล้ว”
ฉีหนิงตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่า ท่านเจ้าเกาะได้เห็นสิ่งที่
อยากจะเห็นแล้ว ทั้งคู่ตื่นไม่ทัน เมื่อคืนทำอะไรกัน
คนโง่ก็รู้ ในเมื่อลอยตามน้ำแล้ว ท่านเจ้าเกาะก็ไม่มี
ประโยชน์จะต้องอยู่ต่อ
ตอนที่ตามหาต้าจงซือทั้งสองคน ชื่อตันเหมยเจอ
เสื้อผ้าของนางเมื่อวานนี้ ตอนนีน้ างสวมชุดของยาย
เฒ่า มันเล็กเกินไป ไม่เพียงทำให้สัดส่วนของนางโผล่
ออกมา อีกทั้งใส่แล้วก็ไม่ค่อยสบายด้วย เมื่อเปลี่ยน
เสื้อผ้าที่แห้งแล้ว หันกลับมามองฉีหนิง เมื่อคืนนาง
เสียสาวไปแล้ว ตอนนี้มองฉีหนิง ในหัวก็มีแต่เรื่องที่
เกิดขึ้นเมื่อคืนกับเขา นางหน้าแดง แต่พยายามข่ม
อารมณ์เอาไว้ แล้วพูดว่า “คณะทูตแคว้นฉู่ยังอยู่ที่
เมืองลู่เฉิง เจ้าอย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่อกี เลย รีบกลับไป
ซะ อย่าให้พวกเขาไม่มีผู้นำเลย”
ฉีหนิงลังเล แล้วพูดว่า “ท่านอา ถ้า...ถ้าอย่างนั้นเจ้า
รอข้าที่นอกเมืองดีหรือไม่?”
ชื่อตันเหมยส่ายหน้า แล้วพูดอย่างเศร้าๆ ว่า “เมื่อ
คืนข้าก็บอกเงื่อนไขของข้าไปแล้ว เจ้าเองก็รบั ปาก
แล้ว” นางมองมาที่ฉีหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “หนุ่มน้อย
ไปทำเรื่องที่เจ้าควรทำเถอะนะ ต่อไปหากพวกเรามี
วาสนาต่อกัน พวกเราก็จะได้พบกันอีก”
ฉีหนิงพูดอย่างรีบร้อนว่า “แล้วเจ้าจะไปไหน?”
“ข้าเองก็ไม่รู้” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้อง
เป็นห่วงข้าหรอก ข้ารู้ว่าข้าควรจะทำยังไง ข้าก็ไม่ได้
โง่ถึงขนาดกลับไปลอบสังหารเขาอีกหรอก เจ้าพูดถูก
เรื่องนี้ต้องวางแผนระยะยาว ข้าคงไปหาที่ทบทวน
ตัวเองคนเดียวสักพัก ไว้ข้าคิดได้เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”
เมื่อคืนทั้งคู่รักกันดื่มด่ำมาก ตอนนี้บอกให้จากลาก็
จากลา ฉีหนิงจะทนได้ยังไง เขาคิดแล้วพูดว่า “ท่าน
อา เจ้าอยากทบทวนคนเดียว ข้าไม่คัดค้าน เจ้ารอข้า
ที่นอกเมือง ตงฉีจะยอมแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับ
แคว้นไหน ผลก็น่าจะออกมาในสองวันนี้ จากนั้นข้าก็
จะกลับแคว้นฉู่ เจ้ากลับไปพร้อมข้า ข้าจะหา...”
ชื่อตันเหมยยิ้ม นางงดงามเกินบรรยาย แล้วเดินหน้า
มาช่วยฉีหนิงจัดเสื้อผ้า จากนั้นก็ใช้มือจับไปที่หน้า
ของฉีหนิง แล้วพูดด้วยความอ่อนโยนว่า “ข้าบอก
แล้วไม่ต้องห่วงข้า วรยุทธ์เจ้ายังสู้ข้าไม่ได้เลย ข้า
ต่างหากที่ต้องเป็นห่วงเจ้า เอาล่ะ เชื่อฟังข้า รีบ
กลับไปซะ ไว้ข้าคิดได้แล้ว ข้าจะไปหาเจ้าเอง เจ้า
เป็นจิน่ อีโหวแห่งแคว้นฉู่ ฐานะสูงส่ง ไม่แน่ท่านอา
คนนี้ต่อไปอาจมีเรื่องไปให้เจ้าช่วยก็ได้” ทันใด
นั้นเองนางก็ขมวดคิ้ว แล้วจับไปที่หน้าอก ฉีหนิงรีบ
ถามว่า “เป็นอะไรไป?”
“ข้ารู้สึกเจ็บหน้าอก เจ้า...เจ้าไปเอาน้ำมาให้ข้าที”
ชื่อตันเหมยพูดด้วยเสียงที่อ่อนแรงมาก “ก่อนหน้านี้
ข้าเป็นอย่างนีบ้ ่อยๆ ดื่มน้ำสักแก้วก็ดีขึ้น”
ฉีหนิงคิดว่าชื่อตันเหมยเป็นอย่างนี้จริงๆ เลยรีบออก
จากห้องไป แล้วไปที่ห้องครัว เอาน้ำสะอาดมา เมื่อ
กลับมาที่ห้อง ชื่อตันเหมยก็หายไปแล้ว ฉีหนิงส่าย
หน้า เขาเข้าใจดี ชื่อตันเหมยกลัวว่าหากพวกเขาสอง
คนยังเป็นอย่างดีต่อไป ไม่มีใครสักคนอยากแยกจาก
กัน เลยหลอกให้ฉีหนิงออกไป แล้วฉวยโอกาสไป
ก่อน
ฉีหนิงเดินออกไปด้านนอก แล้วตะโกนออกไปเสียง
ดังว่า “ท่านอา เจ้ารับปากข้าแล้วนะ ไว้คิดได้
เมื่อไหร่ เจ้าจะไปหาข้า หากเจ้าไม่รักษาคำพูด ไว้ข้า
เจอเจ้าเมื่อไหร่ ข้าจะจัดการกับเจ้า” เสียงยัง
หลงเหลืออยู่ แต่กลับไม่มีเสียงของชื่อตันเหมยตอบ
กลับมา
ฉีหนิงรู้ดีว่าในเมื่อชื่อตันเหมยไปแล้ว ก็ไม่มีทางออก
มาเจอเขาอีก ตอนนี้เขารู้สึกเศร้ามาก ทันใดนั้นเองก็
คิดได้ว่าคณะทูตอยู่ที่เมืองลู่เฉิงโดยไม่มีผู้นำ
สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ แต่เขาก็ยังไม่
ยอม เขาตามหาไปทั่วกระท่อม แต่กลับไม่เจอ
ร่องรอยของชื่อตันเหมยเลย เขาถอนหายใจ แล้วก็
เดินไปตามทางที่มาเมื่อวานนี้
เมื่อฉีหนิงเดินไปไกล ชื่อตันเหมยก็ออกมาจาก
ด้านหลังกระท่อม มองดูเงาของฉีหนิงเดินจากไป
ด้วยสายตาที่เศร้าใจ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 647 เชื้อพระวงศ์แคว้นทางเหนือ
ฉีหนิงออกจากป่าไผ่วิญญาณ แล้วเดินตรงไปทาง
เหนือ ถึงแม้เขาจะเสียกำลังไปมากเมื่อคืนนี้ แต่
เพราะกำลังภายในของเขาแก่กล้ามาก อีกทั้งยังได้
หลับไปประมาณสองชั่วยาม ทำให้ฟื้นกำลังไม่น้อย
ตอนนี้เดินมาได้สองชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงเส้นทาง
หลวง
เขารู้ว่าระยะทางที่จะไปทีเ่ มืองลู่เฉิงยังเหลืออีกหลาย
ร้อยลี้ ยังดีที่เส้นทางหลวงคนเดินไปมา มีหลายคนที่
ทำอาชีพรับส่งคนไปกลับเมืองลู่เฉิง เขาจ้างรถคัน
หนึ่ง เมื่อมาถึงเมืองลู่เฉิง เขาก็ให้รถม้าตรงไปที่เรือน
รับรองหลวง เมื่อจ่ายเงินแล้ว เขาก็เดินเข้าไปยัง
เรือนรับรองทันที
เมื่อวานเหนื่อยมาทั้งวัน เสื้อผ้ามอมแมมไปหมด ยัง
ดีที่ทหารที่เฝ้าเรือนรับรองจำเขาได้ เลยปล่อยให้เขา
เข้าไป เมื่อถึงเรือนตงย่วน ทหารแคว้นฉู่เห็นเขา ก็ดี
ใจกันใหญ่ เลยรีบเข้าไปรายงาน ฉีหนิงเดินไปถึงห้อง
โถงของตงย่วน ฉีหนิงกับอู๋ต๋าหลินพาคนเดินเข้ามา
เห็นฉีหนิงปลอดภัย พวกเขาก็ดีใจมาก
ฉีหนิงเดินขึ้นหน้ามา เขาพูดอย่างตืน่ เต้นว่า “โหว
เยว่ ท่าน...ท่านกลับมาแล้ว ดีจริงๆ เลย”
อู๋ต๋าหลินยกมือคำนับแล้วพูดว่า “โหวเยว่ หลังจาก
ท่านถูกจับออกไปนอกเมือง พวกเราก็ติดต่อ
ประสานงานกับคนของตงฉีตลอด พวกเขาเองก็ส่ง
คนออกไปตามหาท่าน น้องฉีเฟิงกังวลความ
ปลอดภัยของท่าน คิดอยากจะพาคนออกนอกเมือง
ไปตามหา ข้าน้อยกังวลว่าที่นี่เป็นดินแดนตงฉี หาก
ทำอะไรไม่ระวัง อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ เลยสั่ง
ห้ามไม่ให้พวกเขาทำอะไรวู่วาม รอข่าวจากทางคน
ของตงฉีที่นี่ดีกว่า”
ฉีหนิงตบบ่าอู๋ต๋าหลิน เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าทำถูก
แล้ว สถานการณ์ยิ่งตึงเครียด ก็ต้องยิ่งสงบให้มาก
ที่สุด” เขาเหลือบไปมองฉีเฟิง แล้วพูดว่า “เจ้าก็เคย
ผ่านศึกสงครามมาก่อน ทำไมพอเจอเรื่องถึงได้ตื่น
ตระหนกแบบนี้ ต่อไปต้องเรียนรู้กบั ท่านนายกองอู๋
ให้มากรู้หรือไม่”
ฉีเฟิงเห็นฉีหนิงกลับมา เขาอารมณ์ดีขึ้นมาก เขาไม่
สนใจอะไรเลย เขายิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่พูดถูกแล้ว
ต่อไปไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็จะไปเรียนรู้กับท่านนายก
องอู๋ให้มาก”
อู๋ต๋าหลินรีบพูดว่า “มิกล้า”
“ท่านนายอ๋องอู๋ สถานการณ์ตอนนีเ้ ป็นยังไงบ้าง?”
ฉีหนิงนั่งลง เขาเดินทางมากว่าครึ่งวัน เขารู้สึก
คอแห้งมาก เขาสั่งให้ฉีเฟิงไปเอาน้ำชามา แล้วก็บอก
ให้อู๋ต๋าหลินนั่ง เขาก็ถามว่า “เป่ยถังเฟิงพานักฆ่าไป
ลอบสังหารในวังหลวง ชาวตงฉีตามเอาเรื่องหรือ
เปล่า?”
อู๋ต๋าหลินยิ้มแล้วพูดว่า “จะไม่เอาเรื่องได้ยังไงกัน
ตอนนั้นก็มีขุนนางตงฉีไม่น้อยทูลให้กักตัวคณะทูต
ตงฉีเอาไว้ ยังบอกให้จบั ตัวอวี้อ๋องกับเป่ยถังเฟิง
เอาไว้ด้วย แต่ว่ารัชทายาททรงสุขุมมาก ถึงแม้นักฆ่า
จะมีความเกี่ยวข้องกับคณะทูตเป่ยฮั่น แต่อวี้อ๋อง
ยังไงก็เป็นพระอัยยิกาแห่งแคว้นฮั่น หากจะฉีกหน้า
กัน มันก็ไม่ได้ดีต่อตงฉีเลย”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าคิดเอาไว้แล้ว ชาว
ตงฉีคงไม่กล้าทำอะไรคณะทูตแคว้นฮั่นมาก”
“แต่ว่าเหล่าขุนนางตงฉีไม่พอใจคณะทูตแคว้นฮั่น
มาก” อู๋ต๋าหลินพูดว่า “อวี้อ๋องได้ทำการแก้ต่างใน
ท้องพระโรง วาทะของเขาคมคาย ชาวตงฉีพูดสู้เขา
ไม่ได้สักคน เขาโกรธมาก เมื่อคืนนี้เสนาบดีเถายังมา
นั่งคุยกับพวกทีน่ ี่ จากคำพูดของเขา เหมือนจะไม่
พอใจชาวเป่ยฮั่นมาก”
ฉีหนิงถามว่า “แล้วเรื่องยกดินแดนสู่ขอได้พูดถึง
ต่อไปอีกหรือไม่?”
“ไม่เลย” อู๋ต๋าหลินพูดว่า “ฮ่องเต้ตงฉีเกือบถูกฆ่า
เขายังตกใจอยูเ่ ลย หลังจากโหวเยว่โดนจับไปแล้ว
เซินถูหลัวก็ถวายอารักขาฮ่องเต้ตงฉีด้วยตัวเอง แล้ว
ให้รัชทายาทตงฉีเป็นผู้ดำเนินการ อวี้อ๋องอธิบายแก้
ต่างกับขุนนางตงฉีว่า ชาวเป่ยฮั่นไม่ได้มเจตนาในการ
ลอบสังหารฮ่องเต้ตงฉีเลย เพียงแต่เป่ยถังเฟิงเกเร
เขาเองก็ยอมรับว่านักฆ่านั่นเขาเป็นคนพาเข้าวังมา
เอง ดังนั้งชาวตงฉีเองก็เล่นประเด็นนี้ไม่ปล่อย เป่ย
ถังเฟิงก็ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรอีก” เขาถามต่อว่า
“โหวเยว่ ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เป่ยถังเฟิง
เหมือนจะไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือนักฆ่า”
ฉีเฟิงยกน้ำชามาให้ แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าว่าเจ้า
บ้าเป่ยถังเฟิงมันบ้าตัณหามาก ดังนั้นเลยถูกนักฆ่า
นั่นหลอก เป่ยถังเฟิงขี้ขลาดจะตายไป หากรู้ว่า
ผู้หญิงคนนั้นเป็นนักฆ่า ไม่มีทางกล้าพานางเข้าวัง
แน่”
ฉีหนิงคิดในจว่าเจ้าพูดถูกเลย เขายิม้ แล้วพูดว่า
“หวังว่าเป่ยถังเฟิงจะมีชีวิตออกจากตงฉีละกันนะ”
เขาพูดกับอู๋ต๋าหลินว่า “ราชสำนักได้เตรียมของขวัญ
ให้กับท่านมหาเสนาบดีหลิงหู ก่อนหน้านี้ไม่สะดวก
จะเอาไปให้เขา คืนนีเ้ จ้าพาคนเอาของขวัญไปมอบ
ให้เขาทีนะ”
อู๋ต๋าหลินยกมือรับคำ ฉีเฟิงยืนอยู่ข้างๆ พูดว่า “โหว
เยว่ หากครั้งนี้ชาวตงฉียกองค์หญิงให้กับชาวเป่ยฮั่น
งั้นของทีพ่ วกเรามอบให้พวกเขาไปก็เสียเปล่าน่ะสิ?”
“เอางี้ดีหรือไม่เจ้าลองไปบอกท่านเสนาบดีกรมพิธี
การดูว่า หากองค์หญิงไม่ไปอภิเษกกับฝ่าบาทของ
พวกเรา ให้คืนของกำนัลพวกนั้นมาให้หมดดีไหม?”
ฉีหนิงยกชาขึ้นดื่ม เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่แน่ว่า
อาจจะได้ของพวกนั้นคืนมาก็ได้”
อู๋ต๋าหลินขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่านรู้สึกว่า
ชาวเป่ยฮั่นจะชนะหรือ?”
ฉีหนิงวางแก้วชาลง แล้วพูดว่า “ชาวเป่ยฮั่นแบ่ง
ดินแดนส่วนหนึ่งมาเป็นสินสอดในการสู่ขอ เรื่องนี้ข้า
คาดไม่ถึงจริงๆ เดิมข้ารู้สึกว่า ไม่ว่าดินแดนของ
แคว้นไหนก็ตาม ต่างก็แลกมาด้วยเลือดเนื้อทั้งนั้น
ไม่มีคนจะยอมยกดินแดนของตัวเองไปให้ใครง่ายๆ
ยิ่งไม่มีทางยกดินแดนให้ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นต่ออยู่ เป่ย
ฮั่นไม่ได้เหนือกว่าตงฉีแค่นิดเดียวนะ ใครจะคิดว่า
เจ้าพวกนั้นจะกล้าทำแบบนี้”
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “อย่างน้อยแคว้นฉู่ของพวกเราก็ไม่มี
ทางทำแบบนั้นแน่นอน”
ฉีหนิงถามว่า “จริงสิ แคว้นเป่ยฮั่นเป็นยังไงบ้าง
ตอนนี้? มีการแต่งตั้งรัชทายาทแล้วหรือยัง?”
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “คนที่เป็นคนก่อตั้งแคว้นเป่ยฮั่นคือ
เป่ยถังเทียนอู่ เดิมแคว้นฉู่...โหวเยว่ ข้าน้อยหมายถึง
แคว้นฉู่ในรัชสมัยก่อนหน้านี้ ตระกูลเป่ยถังเป็นญาติ
ฝ่ายนอกของเชื้อพระวงศ์แคว้นฉู่ในรัชสมัยก่อน
ตอนนั้นเป่ยถังเทียนอู่ปกครองอี้โจว เขามีตำแหน่งอี้
โจวมู่ น้องสาวของเขาสองคน คนหนึ่งเป็นฮองเฮา
อีกคนเป็นพระสนมเอก เขามีอำนาจมากในราช
สำนัก”
อู๋ต๋าหลินรู้ดี โหวน้อยคนนี้เพิง่ จะกลับมาฉลาดได้ไม่
นาน ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยยุง่ เกี่ยวกับการเมือง ในเมื่อ
ตอนนี้เขาถามเรื่องรัชทายาทของแคว้นเป่ยฮั่น แสดง
ว่าเขาไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับแคว้นเป่ยฮั่นเลย เขาเลย
อธิบายประวัติศาสตร์ของแคว้นเป่ยฮั่นไปด้วยเลย
ตอนนี้มีคนเอาของว่างเอามาให้ ฉีหนิงไม่ได้กินอะไร
มานาน เขาหยิบขนมขึ้นมากิน แล้วถามว่า “ในเมื่อ
ได้รับพระกรุณาจากราชสำนักขนาดนั้น เป่ยถังเทียน
อู่ทำไมถึงได้ยกทัพก่อกบฏอีก?”
“ฮ่องเต้แคว้นฉู่ในรัชสมัยนั้นเป็นคนที่ไม่มี
ความสามารถในการปกครอง อีกทั้งยังบ้าตัณหาอีก
ด้วย” อู๋ต๋าหลินพูดว่า “เขาโปรดปรานผู้หญิงของ
ตระกูลเป่ยถังมาก ตระกูลเป่ยถังเพราะมีอำนาจมาก
แต่ว่าต่อมา เขาไปโปรดปรานผู้หญิงแซ่ถังคนหนึง่
อีกทั้งยังแต่งตั้งนางเป็นพระสนมเอกอีก หากแค่นั้นก็
คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าพระสนมเอกแซ่ถังกลับ
โอหัง คิดอยากให้ฮ่องเต้ปลดฮ่องเฮ่เป่ยถัง แล้วตั้ง
นางเป็นฮองเฮาแทน วังหลังเกิดการแก่งแย่งชิงดี
นองเลือดกันไปมาก เรื่องนีเ้ กิดต่อเนื่องกันถึงสองปี
แต่แล้วฮองเฮาเป่ยถังจู่ๆ ก็ตายไป ทำให้เกิดเรื่อง
ใหญ่ เป่ยถังเทียนอูไม่พูดอะไรเลย ยกทัพก่อกบฏ
ทันที เขาใช้เหตุผลว่ากำจัดฮ่องเต้ไร้ความสามารถ
ตอนนั้นอำนาจของตระกูลเป่ยถังแข็งแกร่งมาก ทั่ว
ทั้งแคว้นฉู่ในรัชสมัยนั้นไม่มีใครเทียบได้ เขามีพวก
อยู่มากมาย เมื่อเป่ยถังเทียนอู่ก่อกบฏ คนของเขาก็
เข้าร่วมหมด รวมทั้งสิ้นก็มีเป็นแสนคน เขายกทัพบุก
เข้าลั่วหยางทันที ตระกูลถังรากฐานยังไม่มั่นคง คน
ของเขามีไม่มาก ทำได้แค่จับตัววฮ่องเต้หนีลงใต้ ยัง
ไม่ทันได้ข้ามแม่น้ำ ก็ถูกทหารกบฏขวางเอาไว้
ฮ่องเต้กับผู้ติดตามกว่าพันคน ถูกสังหารที่ริมแม่น้ำ
จนหมด เลือดนองไปเต็มแม่น้ำ”
ประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ ฉีหนิงพอจะได้ยินจากเซีย่ งไป๋
อิ่งมาบ้างแล้ว เขารู้ว่าฮ่องเต้แคว้นฉูใ่ นรัชสมัยก่อนที่
ล่มสลายไปสิ้นพระชนม์ที่แม่น้ำ
“เป่ยถังเทียนอู่ยึดลั่วหยางได้ ตอนแรกเขาก็ตั้ง
ฮ่องเต้น้อยองค์หนึง่ ตอนนั้นทางนามประธรรม
แคว้นฉู่ได้ล่มสลายไปแล้ว ฮ่องเต้น้อยก็เป็นแค่หุ่น
เชิดเท่านั้น ไม่กี่เดือนถัดมา ฮ่องเต้น้อยก็ออกราช
โองการออกมา ยกบัลลังก์ให้กับคนที่มีความสามารถ
เป่ยถังเทียนอู่ได้นั่งบัลลังก์ต่อ ก่อตั้งราชวงศ์เป่ยฮั่น
ขึ้นมา” อู๋ต๋าหลินรู้เรื่องราวพวกนี้ดมี าก “หลังจาก
เป่ยถังเทียนอู่ตายไป ลูกชายคนโตของเขาได้สืบทอด
บัลลังก์ต่อ หลังจากลูกชายของเป่ยถังเทียนอู่ได้รับ
สมญานามว่าฉงหมิงตี้ แต่เขาอายุไม่ได้ยืนเหมือนพ่อ
ของเขา หลังจากที่เขาตายลูกชายคนโตของเขาเป่ย
ถังฮวนก็นั่งบัลลังก์ต่อจากเขา หรือก็คือกวงอู่ตี้
ในตอนนี้”
“กวงอู่ต?ี้ ” ฉีหนิงตะลึงไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“ชื่อดูยิ่งใหญ่ดี” เขาถามต่อว่า “เป่ยฮั่นมีต้าจงซืออ
ยู่คนหนึ่ง เป่ยถังฮ่วนเย่เจ้ารู้จกั หรือไม่?”
“โหวเยว่หมายถึงมู่หยุนโหว” อู๋ต๋าหลินพยักหน้า “มู่
หยุนโหวเป่ยถังฮ่วนเย่กับฉงหมิงตี้เป็นพี่น้องกัน เป็น
ลูกชายของฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นเป่ยฮั่น แต่ว่าข้าน้อย
ก็ไม่ได้รู้เรื่องของเขามากนัก รู้แค่ว่าเขาเป็นพระ
อัยยิกาของฮ่องเต้แคว้นเป่ยฮั่น เขาแก่กว่าพ่อของก
วงอู่ตี้อีก อวี้อ๋องเองยังต้องเรียกเขาว่าพระอัยยิกา
เลย”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเหล่าต้าจงซือล้วนแต่เป็นตาเฒ่า
ปีศาจทั้งนั้นจริงๆ ด้วย ถ้าอย่างนั้น เป่ยถังฮ่วนเย่ก็
น่าจะอายุไม่ได้ต่างอะไรกับเป่ยกงเหลียนเฉิงแล้วก็
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นมากนัก ไม่รู้ว่าเป่ยถังฮ่วนเย่จะ
เหมือนกับต้าจงซือสองคนนั้นหรือไม่ ที่หน้าตาดูไม่
แก่เลย
“ตระกูลเป่ยถังมีคนมาก เป่ยถังฮวนได้ยินมาว่ามีลูก
ชายถึงเจ็ดแปดคน เท่าที่ข้าน้อยทราบมา ตอนที่เป่ย
ถังฮวนได้ลูกชายคนแรก เขาดีใจมาก รีบแต่งตั้งเขา
เป็นรัชทายาททันที ใครจะคิดว่ารัชทายาทน้อยนั่น
จะตายไปตอนที่อายุเพียงห้าเดือนเท่านั้น หลังจาก
เขาได้ลูกชายคนที่สอง เป่ยถังฮวนก็รีบแต่งตั้งเขา
เป็นรัชทายาทอีก รัชทายาทคนที่สองก็มีอายุอยู่ได้
แค่ไม่กี่ปี ตอนที่เขาอายุห้าขวบ รัชทายาทองค์นี้ไป
ฝึกขี่ม้า ได้ยินมาว่าม้าเหมือนจะตกใจอะไรบางอย่าง
รัชทายาทตกลงมาจากหลังม้า แล้วก็ตายลงหลัง
จากนั้นสามวัน”
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก เขาคิดในใจว่าเป่ยถังฮวนโชคไม่
ดีเลย อู๋ต๋าหลินพูดว่า “รัชทายาททั้งสองคนตาย
ตามๆ กันไป เป่ยถังฮวนก็เลยไม่แต่งตั้งรัชทายาทอีก
ตอนนี้เขายังมีลูกชายอยู่อีกประมาณห้าคน เป่ย
ถังเฟิงเป็นคนที่สี่ แต่ว่าเป่ยถังเฟิงเป็นลูกที่เกิดจาก
ฮองเฮา ตามหลักแล้วเขาน่าจะได้รับการแต่งตั้ง
โอกาสที่เขาจะได้นั่งบัลลังก์มีมาก”
ฉีหนิงคิดในใจว่ามิน่าเป่ยฮั่นถึงได้มาสู่ขอองค์หญิง
ให้กับเป่ยถังเฟิง ที่แท้เป่ยถังเฟิงก็มคี วามเป็นไปได้ที่
จะนั่งบัลลังก์ เขาอดคิดไม่ได้ว่า หากเป่ยถังเฟิงได้
เป็นฮ่องเต้ เมื่อเทียบกับฮ่องเต้น้อยของแคว้นฉู่ ไม่ว่า
จะเป็นความกล้าหรือว่าปัญญา เป่ยถังเฟิงเทียบ
ฮ่องเต้น้อยไม่ได้เลย การแย่งชิงความเป็นใหญ่ สิ่ง
สำคัญมันอยู่ที่ฮ่องเต้ แคว้นฉู่ชนะเห็นๆ
ฉีหนิงลำบากมาทั้งคืน อีกทัง้ ยังเข้าหอมาด้วย วันนี้
เดินทางมาอีกครั้งวัน เขารู้สึกเหนื่อยมาก คิดในใจว
ว่าฮ่องเต้ตงฉีถูกลอบสังหารไปเมื่อวาน ตอนนี้น่าจะ
ยังตกใจอยู่ วันนี้ไม่มีทางเรียกราชทูตเข้าเฝ้าแน่ เลย
สั่งให้คนเตรียมน้ำไว้ หลังจากอาบน้ำแล้ว ก็เปลี่ยน
เสื้อผ้า แล้วกลับไปนอนพักที่ห้อง
เมื่อเขาตื่นมา ฟ้าก็มืดแล้ว ทันใดนั้นเองก็ได้ยิน
เหมือนเสียงคนกำลังกระซิบกันอยู่ เขาขมวดคิ้ว แล้ว
เดินไปเปิดประตู เขาเห็นเงาคนกำลังกระซิบกัน เมื่อ
มีเสียงเป็นประตู พวกเขาก็หันมา แล้วเดินมาหาเขา
ฉีหนิงมองไป แล้วถามว่า “มีเรื่องอะไรกัน?”
ฉีเฟิงกับอู๋ต๋าหลินมองหน้ากัน แล้วเดินหน้าขึ้นมา
แล้วกระซิบว่า “โหวเยว่ เหมือนว่าทางคณะทูต
แคว้นเป่ยฮั่นจะเกิดเรื่อง พวกเรากำลังคิดว่าจะ
รายงานให้โหวเยว่ทราบดีหรือไม่”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 648 ไปไม่ลา
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วมองไปทางตงย่วน แล้วถามว่า
“ทางนั้นเกิดเรื่อง? เรื่องอะไร?”
ฉีเฟิงขยับเข้ามาแล้วพูดว่า “ทางนั้นวุ่นวายกันมาก
พวกเรามองจากไกลๆ ทหารของเป่ยฮั่นเดินสำรวจ
ไปรอบ ยังมีคนเดินไปถึงสวนดอกไม้ด้านหลังด้วย
เหมือนว่าจะไปหาลามะทิเบตเลย”
“พวกเขาแต่ละคนท่าทางดูตระหนกมาก เหมือนว่า
ไม่มีผู้นำเลย” อู๋ต๋าหลินพูดว่า “แต่ว่าตั้งแต่เริ่มจน
จบ ยังไม่เห็นเป่ยถังเฟิงกับอ๋องอวี้เลย แม้แต่หั่วเสิน
จวินก็ไม่เห็น”
ฉีหนิงพูดด้วยความแปลกใจว่า “หรือว่าของหาย?”
ฉีเฟิงพูดว่า “เห็นพวกเขาหาไปทั่วเลย เหมือนกำลัง
หาอะไรอยู่ เมื่อกี้ เสนาเถาเองก็ถูกเรียกตัวมา เขาไป
ที่เรือนของพวกเขา เราส่งคนจับตามองอยู่ หลังจาก
นั้นไม่นาน เสนาเถาก็รีบออกไป ดูรีบร้อนมาก”
ในตอนนี้เอง ก็เห็นหลี่ถังรีบวิ่งเข้ามา เมื่อเข้ามา
ภายในเรือน เขาเห็นฉีหนิง ก็รีบเดินมาหา ฉีเฟิงเดิน
ขึ้นหน้าสองก้าวแล้วพูดว่า “สถานการณ์เป็นยังไง
บ้าง?”
หลี่ถังยกมือคำนับฉีหนิง แล้วพูดว่า “โหวเยว่
ข้าน้อยไปดูที่สวนดอกไม้ด้านหลังมา ทหารเป่ยฮั่น
พวกนั้นบุกเข้าไป เหมือนจะไปหาเรือ่ งลามะทิเบต
แต่ว่าข้าเห็นพวกเขาเข้าออกเข้าออกอยู่อย่างนัน้ ไม่
เห็นลามะพวกนั้นเลย เหมือนว่า...เหมือนว่าพวกเขา
ไม่อยู่ในนั้น”
“ลามะทิเบตไม่อยู่แล้ว?” ฉีหนิงตะลึงไป เขานิ่งไป
แล้วสั่งว่า “ฉีเฟิง พวกจับตาดูชาวเป่ยฮั่นเอาไว้ พวก
เจ้าพูดถูก พวกเขาน่าจะเกิดเรื่องอะไรแน่”
ฉีเฟิงรับคำแล้วก็ออกไป ฉีหนิงสั่งให้คนเอาน้ำมาล้าง
หน้าแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ในใจเขากำลังคิดอยู่ว่าทาง
ชาวเป่ยฮั่นเกิดอะไรขึน้ ทหารเป่ยฮั่นพวกนั้นไปหา
เรื่องกงจ๋าซี หรือว่ามันจะเกีย่ วข้องกับพวกเขา?
ไม่นานนัก ฉีเฟิงก็กลับมา แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ได้
เรื่องแล้ว หายตัวไปแล้ว...”
“หายไป?”
ฉีเฟิงพูดว่า “อ๋องอวี้...อ๋องอวี้กับเป่ยถังเฟิงหายตัวไป
ยังมี...ยังมีหั่วเสินจวินกับทหารองครักษ์อีกสองคน
ของเป่ยถังเฟิง พวกนั้นก็หายตัวไปด้วย ดังนั้นตอนที่
บุกไปที่นนั่ ก็เพื่อจะให้แน่ใจว่าลามะพวกนั้นจับ
ตัวเป่ยถังเฟิงไปหรือเปล่า แต่ว่าลามะพวกนั้นก็
หายไปด้วย”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ทหารเรือนรับรองไม่รู้
ไม่เห็นว่าพวกเป่ยถังเฟิงออกไปหรือ?”
ฉีเฟิงพูดว่า “ประตูของเรือนรับรองทั้งสี่ทิศ มีทหาร
ตงฉีเอาไว้หมด ทางเข้ามาจากด้านนอกพวกเขา
เข้มงวดมาก แต่หากว่าออกไป เขาก็ไม่ได้ทันสังเกต
อะไร พวกของอ๋องอวีเ้ มื่อคืนหลังจากที่กลับมาจาก
วังหลวงตงฉี ก็ตรงกลับมาที่เรือนรับรองเลย เป่ย
ถังเฟิงก็ไม่ได้ออกไปไหนอีก เมื่อคืนตอนที่เดินสำรวจ
ยังมีคนเห็นคนของลามะก่งจ๋าซีไปเดินอยู่ใกล้ๆ เรือน
ซีย่วน แต่ว่าทหารบอกว่า ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้
ไม่มีชาวเป่ยฮั่นออกจากเรือนรับรองไปเลย แม้แต่ลา
มะพวกนั้น ก็ไม่มีคนออกไปเลยแม้แต่คนเดียว”
ฉีหนิงจับคางเหมือนกำลังใช้ความคิด หลังจากนั้นก็
ถามว่า “ถ้าอย่างนั้น ลามะพวกนั้นจับตัวอ๋องอวี้
อย่างนั้นหรือ?”
ฉีเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้ารู้สึกว่ามันไม่
น่าจะเป็นยังนั้น ลามะพวกนัน้ เกลียดเป่ยถังเฟิงยัง
กับอะไรดี เดิมทีพวกเขาก็จะไปจากตงฉีแล้ว แต่ว่า
เพราะเป่ยถังเฟิง เลยทำให้เสียเวลา หากพวกเขามี
ความสามารถไปจับตัวเป่ยถังเฟิงที่ตงย่วน ก็ไม่เห็น
ต้องรอจนถึงตอนนี้ ส่วนชาวเป่ยฮั่นเองก็รู้ว่าลามะ
พวกนั้นจับจ้องพวกเขาอยู่ ดังนัน้ พวกเขาเฝ้าเวรกัน
เข้มงวดมาก เป่ยถังเฟิงอยู่ด้านใน กลัวลามะพวกนั้น
ก็ต้องเพิ่มการเฝ้าระวังมากขึ้น ก่งจ๋าซีอยากจะลงมือ
ก็ไม่มีโอกาส”
“เจ้าพูดถูก” ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “อีกทั้งเป่ย
ถังเฟิงกับก่งจ๋าซีมีความแค้นต่อกัน ก่งจ๋าซีพวกเขา
จับตัวเป่ยถังเฟิงไปก็แล้ว ทำไมต้องจับอ๋องอวี้ไป
ด้วย? อีกอย่างยังมีหั่วเสินจวินกับคนอื่นทำไมหายไป
ด้วยล่ะ ก่งจ๋าซีมีความสามารถมาก ก็ไม่น่าจะเก่งถึง
ขนาดจับคนเป็นกลุ่มไปจากตงย่วนโดยที่ไม่มีใครรู้
แน่”
ฉีเฟิงพูดด้วยความสงสัยว่า “โหวเยว่ คนพวกนั้นหาย
ตัวไปพร้อมกัน จะต้องเกีย่ วข้องกันแน่ แต่ว่าทหาร
ไม่เห็นพวกเขาออกไปเลย เรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำ
แน่?”
ฉีหนิงสงสัยไม่หาย แต่ว่าแค่ครึ่งชั่วยาม อู๋ต๋าหลินก็
วิ่งเข้ามา แล้วรายงานว่า “โหวเยว่ ชาวตงฉีโยก
ทหารกำลังพลจำนวนหนึ่งมา แล้วล้อมเรือนรับรอง
เอาไว้ พวกเขาบอกว่าก่อนที่จะพบตัวอ๋องอวี้กับเป่ย
ถังเฟิง ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกที่นี่โดยเด็ดขาด”
ฉีเฟิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น แม้แต่เราก็ไม่ไปไหนไม่ได้
หรอ?”
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “คนที่นำทหารมาเป็นผู้บัญชาการ
ทหารองครักษ์ เขาบอกว่านีเ่ ป็นพระประสงค์ของ
ฮ่องเต้ตงฉี ยังบอกว่าไม่นานเรื่องนีก้ ็จะชัดเจน ขอให้
เราอย่าได้ถือสาพวกเขา”
ฉีเฟิงกำลังจะพูดต่อ ฉีหนิงยกมือห้าม “จะโทษพวก
เขาก็ไม่ได้ คณะทูตเป่ยฮั่นจู่ๆ ก็หายตัวไป เรื่องนี้
สำคัญมาก พวกเขาทำแบบนี้ ก็สมเหตุสมผลอยู่
ท่านนายกองอู๋ เจ้าไปบอกพีน่ ้องของเราทุกคน ให้อยู่
แต่ในเรือนซีย่วนห้ามไปไหนเด็ดขาด ให้แต่ล่ะคนทำ
หน้าที่ของตัวเองไป เราจะไม่ออกไปไหนชั่วคราว ไม่
ว่าใครก็ห้ามออกจากซีย่วนเด็ดขาด แม้แต่ชาวตงฉี
เอง ก็ต้องได้รับอนุญาตจากข้าก่อน”
อู๋ต๋าหลินยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยรับบัญชา”
แล้วก็ออกไป
ฉีเฟิงพูดว่า “คราวนี้เราคงมีอะไรดีดีได้ดูกันแล้ว
หากคณะทูตเป่ยฮั่นเกิดอะไรขึ้นในแคว้นตงฉี เราเอง
ก็ได้ประโยชน์”
ฉีหนิงนั่งลงบนเก้าอี้ เหมือนเขาจะใช้ความคิด
หลังจากนั้นก็พูดว่า “ทางเป่ยฮั่นมีกำลังอำนาจมาก
ข้าแน่ใจว่าอ๋องอวี้กับคนอื่นไม่ได้ถูกก่งจ๋าซีจบั ตัวไป
แน่นอน หากพวกเขาไม่อยู่ในเรือนรับรองจริงๆ มี
ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว”
ฉีเฟิงขยับเข้าไปใกล้แล้วถามว่า “โหวเยว่ พวกเขาไป
ไหนหรอ?”
“ทหารเรือนรับรองบอกว่า ไม่เห็นพวกเขาออกไป
แต่ว่าพวกเขาก็ยังออกไปได้ แสดงว่าพวกเขาต้อง
หลบสายตาของเหล่าทหารองครักษ์” ฉีหนิงพูดว่า
“ข้ากำลังกังวลว่า อ๋องอวี้ไม่น่าจะแค่ออกจากเรือน
รับรองไป อีกทั้งยังออกจากเมืองลู่เฉิงแล้วด้วย”
ฉีเฟิงพูดด้วยความแปลกใจว่า “ออกจากเมืองลู่เฉิง
แล้ว? โหวเยว่ มัน...มันจะเป็นไปได้ยังไง? พวกเขามา
ที่ตงฉีในครัง้ นี้ ก็เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีด้วยการ
แต่งงาน ตอนนี้พวกเขาเองก็ได้เปรียบอยู่ ชาวตงฉี
เองก็เหมือนอยากจะได้เขาหม่าหลิงซานมาก และก็
อาจยกองค์หญิงเทียนเซียงให้ สถานการณ์แบบนี้
พวกเขาจะไปทำไม? หรือว่าพวกเขาไม่อยากแต่งงาน
แล้ว?” สีหน้าของเขาเหมือนสงสัยมาก “ยังมีคนใน
คณะทูตอีก รวมแล้วก็น่าจะร้อยกว่าคน หรือว่าอ๋อ
งอวี้จะทิ้งคนพวกนั้นเอาไว้ไม่สนใจอีก?”
“ตามหลักแล้ว ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้” ฉีหนิงเหมือน
จะคิด “นอกจากพวกเขาจะเจอเรื่องอะไรที่ต้องรีบ
ไป จนพวกเขาไม่อาจจะสนใจอะไรอีก”
“เป็นเพราะพวกของก่งจ๋าซีหรอ?” ฉีเฟิงถามว่า
“พวกเขากังวลพวกก่งจ๋าซีไม่ประสงค์ดีกับพวกเขา
หรอ?”
ฉีหนิงพูดว่า “ก่งจ๋าซีมาจากแคว้นกูเ่ ซี่ยงของทิเบต
เหมือนได้ยินมาว่าพวกเขาเป็นลูกศิษย์ของจู๋ยื้อฝ่า
อ๋อง ไม่ธรรมดาเลย แต่ว่ามันอาจจะไม่ได้ทำให้อ๋อ
งอวี้กลัวได้ วรยุทธ์ของก่งจ๋าซีไม่ได้ด้อยเลย แค่คน
น้อยกว่า หากต้องเผชิญหน้าต่อกัน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้กับ
คณะทูตเป่ยฮั่น ดังนั้นอ๋องอวี้ไม่มีทางทิ้งการเจรจาสู่
ขอการแต่งงานไปเพราะลามะไม่กี่คนแน่นอน”
“โหวเยว่ นอกจากก่งจ๋าซี แล้วมันจะมีเรื่องอะไรที่ทำ
ให้อ๋องอวี้รีบไปแบบนี้?” ฉีเฟิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ทำไมแม้แต่ทหารองครักษ์ของเรือนรับรองเองยัง
ต้องหลบด้วย?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เหตุผลง่ายมาก อ๋องอวี้ไม่อยาก
ให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาไป หรือไม่ก็ หากชาวตงฉีรู้ว่า
พวกเขาจะไป พวกเขาก็อาจจะไม่ยอมให้ไป”
“ชาวตงฉีไม่ยอมให้พวกเขาไป?” ฉีเฟิงพูดด้วยความ
สงสัยว่า “มันเพราะอะไรกัน?”
ฉีหนิงเหลือบไปมองเขา แล้วพูดว่า “จะเพราะอะไร
เยอะขนาดนัน้ ด้วย ฟ้าใกล้มืดแล้ว เจ้าไปเตรียม
อาหารเย็นให้ข้า เมื่อกี้หลับไป ตอนนี้รู้สึกหิวแล้ว”
เขาบิดขี้เกียจ ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่ามีจุดหนึ่งที่
แน่นอน อ๋องอวี้หายตัวไป หลังจากนี้เรามีอะไรดีดีได้
ดูแน่นอน อีกทั้ง...เมื่อกี้เจ้าก็พูดถูก คณะทูตเป่ยฮั่น
เกิดเรื่อง สวรรค์ช่วยเราแล้ว มันเป็นผลดีต่อเรา”
ชาวเป่ยฮั่นแบ่งดินแดนมาขอแต่งงาน การเจรจาการ
แต่งงานในครั้งนีพ้ วกเขาได้เปรียบ ฉีหนิงรู้ดีแก่ใจ
ระหว่างแคว้นไม่มีเหตุผลอะไรต้องพูดกัน ฝ่ายในให้
ประโยชน์มากกว่า ก็เอนเอียงไปฝ่ายนั้น ชาวเป่ยฮั่น
ยกพื้นที่มาเป็นของแลกเปลี่ยน สำหรับตงฉีนั้นมัน
ยั่วยวนมาก ต่อให้การที่ชื่อตันเหมยแอบแฝงตัวเขา
ไปลอบสังหารจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของ
สองแคว้นบ้าง แต่ว่ามันก็เป็นการสร้างเงื่อนไขการ
ต่อรองได้มากขึ้นของตงฉีเท่านั้น ผลสุดท้ายก็ยัง
สามารถเจรจาจนสำเร็จได้
ฉีหนิงรู้ดีว่าภายใต้ผลประโยชน์พวกนี้ โดยเฉพาะ
ฮ่องเต้ตงฉีที่อยากจะขยายอาณาเขตมาก ต่อให้ตัว
เขาจะเก่งการเจรจามากแค่ไหน มันก็ไม่อาจจะพลิก
สถานการณ์ได้
แต่ว่าเมื่อชะตาคนเรามันพลิกผัน แม้แต่การผายลมก็
เป็นมองเป็นทองคำได้ คณะทูตเป่ยฮั่นจู่ๆ ก็เกิดการ
เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน มันก็มีแต่
ประโยชน์ต่อแคว้นฉูท่ ั้งนัน้
คนของแคว้นฉู่ทำตามคำสั่งของฉีหนิงทุกคน ไม่มีใคร
ออกจากเรือนซีย่วนเลย อีกทั้งยังมีการอารักขาแน่น
หนา ป้องกันการคนบุกรุกเข้ามา
ความเคลื่อนไหวของทางตงย่วน ทางซีย่วนได้ยิน
อย่างชัดเจน จนถึงตอนกลางดึก ก็ยงั คงมีเสียงดังมา
ผ่านไปพักใหญ่ เหมือนจะยุ่งกันมาทัง้ วัน คณะทูต
เป่ยฮั่นเองก็เหนื่อยล้ามากแล้ว เลยเงียบลง แคว้นฉู่ก็
จับตาดูความเคลื่อนไหวอย่างรัดกุม บนต้นไม้ใหญ่ใน
เรือนซีย่วน ต่างมีทหารอยู่บนต้นไม้ แล้วจ้องมาจาก
ทางด้านบน
ในคืนนี้ไม่เพียงทหารเป่ยฮั่นที่ยุ่งวุน่ วาย ชาวตงฉีก็
ไปๆ มาๆ อยู่หลายเที่ยว เหมือนกับว่ากำลังจัดการ
เรื่องพวกนี้อยู่
ฉีหนิงยังคงนิ่งมาก คืนนี้วุ่นวายมาก เขานอนหลับ
สบายมาก กำลังสติอะไรก็ฟื้นมาจนหมด เที่ยงของ
วันต่อมา อู๋ต๋าหลินวิ่งเข้ามารายงานว่า “โหวเยว่ รัช
ทายาทตงฉีของเข้าพบขอรับ”
รัชทายาทตงฉีต้วนเสามารออยู่ที่ห้องโถงของเรือนซีย่
วน ฉีหนิงเดินมาต้อนรับ ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ฉี
หนิงถวายพระพรองค์รัชทายาท”
ต้วนเสาดูสีหน้าท่าทางอารมณ์ดีมาก เขาขึ้นหน้ามา
จับมือของฉีหนิง เขายิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว เดิมที
ข้าควรมาให้เร็วกว่านี้ เพียงแต่เจ้าก็น่าจะเข้าใจ
คณะทูตสองแคว้นมาเยื่อนตงฉีพร้อมกัน หากข้ามา
หาเจ้าคนเดียว คนอื่นจะหาว่าข้าลำเอียง ทำอะไรไม่
เป็นกลาง คำพูดคนมันน่ากลับ ข้าเองก็ต้องระวังไว้
ก่อน”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “รัชทายาททรงรอบคอบดีแล้ว
รัชทายาทเชิญ” เมื่อเชิญต้วนเสาเข้ามาในห้องโถง
หลังจากที่นั่งลงแล้ว ต้วนเสาก็ไม่พูดมาก เขาเข้า
ประเด็นเลย “จิ่นอีโหว อ๋องอวี้กับองค์ชายเฟิงของ
เป่ยฮั่นจากไปไม่ลา เจ้าน่าจะพอรู้มาบ้างแล้วใช่
ไหม?”
ฉีหนิงอยู่ใกล้แค่เอื้อม หากบอกว่าไม่รู้มันก็เหมือน
โกหกลืมตาเกินไป เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “พอได้
ยินมาบ้าง รัชทายาท มันเกิดอะไรขึน้ ?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 649 เสียทั้งฮูหยินทั้งขุนศึก
รัชทายาทถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าเองก็แปลกใจ
ทำไมพวกเขาถึงได้ทิ้งคณะทูตเอาไว้แล้วไปแบบนี้”
เขาพูดด้วยความสงสัยว่า “คณะทูตเป่ยฮั่น จนถึง
เมื่อวานช่วงกลางวันถึงรู้ว่าอ๋องอวี้กบั องค์ชายเฟิง
หายตัวไป ตามที่พวกเขาบอก วันก่อนหลังจากที่
กลับจากท้องพระโรง อ๋องอวี้กับองค์ชายเฟิงก็ต่าง
กลับไปที่ห้องของตัวเอง หลังจากนัน้ ก็ไม่เห็นพวก
เขาอีกเลย”
“แล้วได้ค้นอย่างละเอียดแล้วหรือยัง?” ฉีหนิงถามว่า
“มีร่องรอยการต่อสู้หรือเปล่า?”
รัชาทายาทส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าสั่งให้กรมอาญา
มาตรวจสอบ ไม่พบร่องรอยอะไรเลย อีกทั้งทางตงย่
วนมีแต่ชาวเป่ยฮั่น หากมีความเคลื่อนไหวอะไร ด้าน
นอกก็จะได้ยิน อีกทั้งองค์ชายเฟิงกับอ๋องอวี้ก็ไม่ได้
พักอยู่ด้วยกัน แต่กลับหายตัวไปพร้อมกัน”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่พวกเขาก็ไม่น่าจะหายไปไร้
ร่องรอยแบบนี้”
รัชทายาทพูดว่า “ถูกต้อง กรมอาญาส่งยอดฝีมือมาก
ว่าสิบคน ก็ไม่ง่ายที่จะเจอรอยที่กำแพงฝั่งตะวันออก
มันเหมือนร่องรอยการปีนกำแพง นอกกำแพงฝั่ง
ตะวันออกเป็นแม่น้ำสายหนึ่งในเมือง แม่น้ำสายนั้น
ไหลตรงไปทางท่าจื่อฟูกั่ง ท่าจื่อฟูกงั่ ห่างจากประตู
ตงเหมินไม่ไกลนัก ตอนนี้เลยมั่นใจว่า หากเดาไม่ผิด
พวกเขาน่าจะปีนกำแพงหนีออกไปแล้ว อีกทั้งยัง
ออกไปอย่างรีบร้อนด้วย ดังนัน้ เลยไม่มีเวลาจัดการ
กับรอยที่อยู่ตรงกำแพงตะวันออก แต่ว่าพอออกจาก
กำแพงไปแล้ว ก็ไม่มีร่องรอยอีก ตลอดทางก็ไม่มี
รอยเท้า พวกเขาคิดได้ว่ามีคนจะต้องตามรอยพวก
เขาไปแน่นอน ดังนั้นเราเลยแน่ใจว่า หลังจากที่พวก
เขาปีนกำแพงออกไปแล้ว ก็ตรงไปทางแม่น้ำ ตรงไป
ยังท่าจื่อฟูกงั่ ”
ฉีหนิงยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ “พวกเขาเดินทางด้วยทาง
น้ำงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง” รัชทายาทพูดว่า “คนของคณะทูตเป่ยฮั่น
บอกว่า อ๋องอวี้เคยสั่งไว้ว่า หากไม่มีคำสั่งจากเขา
ห้ามให้ใครเข้าใกล้ที่พักของเขาเด็ดขาด ดังนั้นตั้งแต่
เมื่อวานจนถึงเที่ยงวัน เลยไม่มีใครรู้ ต่อมาทีคนรู้สึก
ว่าอ๋องอวี้ไม่กินอะไรเลย อาจทำให้เสียสุขภาพได้
เลยบังอาจเข้าไป ถึงได้รู้ว่าอ๋องอวี้หายตัวไปแล้ว ไม่
เพียงเท่านี้ องค์ชายเฟิงเองก็หายไปด้วย”
“พวกเขาไร้ผู้นำแบบนี้ มิน่าชาวเป่ยฮั่นถึงได้วุ่นวาย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด ตอนนี้มีคนเอาน้ำชามให้ รัชทายาท
ยกมือเชิญให้ฉีหนิงดื่มชา ยังไงเขาก็เป็นรัชทายาท ฉี
หนิงเป็นแขก เจ้าบ้านเชิญแขกดื่มชา มัน
สมเหตุสมผล ทั้งสองยกน้ำชาขึ้นดื่ม รัชทายาทถึงได้
พูดว่า “จิ่นอีโหว ตามความเห็นของท่าน อ๋องอวี้จาก
ไปไม่ลาแบบนี้ เพราะไม่พอใจตงฉีของพวกเราหรือ
เปล่า?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “รัชทายาท เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่
แน่ใจเหมือนกัน ตามหลักแล้ว อ๋องอวี้ก็เป็นคนเล่า
เรียนหนังสือ น่าจะไม่เสียมารยาทแบบนี้ ต่อให้รีบ
ร้อนแค่ไหน ก็น่าจะบอกกล่าวกันก่อน”
รัชทายาทถอนหายใจแล้วพูดว่า “บอกท่านตามตรง
ข้าเองก็คิดแบบนั้น ตอนนี้ไม่เพียงอ๋องอวี้เท่านั้นที่
หายไป แม้แต่ไต้ซือของแคว้นกู่เซี่ยงเองก็หายไปไร้
ร่องรอยด้วย”
“รัชทายาท สองเรื่องนี้ ท่านคิดว่ามันเกี่ยวข้องกัน
หรือ?”
รัชทายาทพูดว่า “คนของทัง้ คู่หายไปพร้อมกัน หาก
ไม่เกี่ยวข้องกัน มันก็ยากเกินจะเชื่อไปหน่อย ข้าได้
ยินมาว่าคณะทูตเป่ยฮั่นกับเหล่าไต้ซือมีปัญหากัน ก็
คิดว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย”
“เคยมีปัญหากันจริง” ฉีหนิงพูดว่า “ได้ยินมาว่าองค์
ชายเฟิงขโมยของเหล่าไต้ซือไป ก็เลยเกิดเป็นความ
ไม่พอใจกันขึ้น”
รัชทายาทพูดว่า “เสด็จพ่อถูกลอบสังหาร คนในราช
สำนักต่างก็ตื่นตระหนก จิ่นอีโหวเองก็ถูกนักฆ่าจับ
ตัวไป ข้ากังวลใจมาก ยังดีคนดีฟ้าคุ้มครอง ท่าน
กลับมาอย่างปลอดภัย ข้าก็สบายใจขึ้น แต่ว่าก็ยังมี
เกิดเรื่องประหลาดอีก ทำให้สงบใจไม่ลงเลย”
“พระองค์ทรงมีราชกิจมากมาย ต้องระวังสุขภาพ
ด้วย” ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องมันเกิดกะทันหันมาก แต่
ยังไงก็ต้องสืบหาความจริงให้ได้ ทรงไม่ต้องกังวลไป”
รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อทรงตกพระทัย
มาก เรื่องในราชสำนักหลายเรื่อง ข้าเองก็ต้องแบ่ง
เบาความรับผิดชอบบ้าง” เขาวางถ้วยชาลง ยิ้มแล้ว
พูดว่า “จิ่นอีโหว ที่ข้ามาในวันนี้ ก็เพื่อเอาเทียบเชิญ
มาให้ท่านถึงแม้เสด็จพ่อจะทรงยังตกพระทัยมากอยู่
แต่พอได้ยินว่าท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัย ท่านก็
ทรงดีพระทัยมาก คืนนีเ้ ลยจัดเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ
ไว้ แล้วเชิญท่านไปร่วมงาน ท่านไม่ต้องกังวลไป งาน
เลี้ยงในคืนนี้ ไม่มีคนอื่น เสด็จพ่อแค่อยากจะเลี้ยง
ปลอบขวัญท่านเท่านั้น”
ฉีหนิงรู้สึกเครียดขึ้นมา แต่ว่าเขาก็ยังนิ่งอยู่ “ฝ่าบาท
ทรงประชวร ข้าไม่ควรทำให้ทรงยุง่ ยาก”
“ในเมื่อเป็นราชประสงค์ของเสด็จพ่อ ท่านก็อย่า
ปฏิเสธเลยนะ” รัชทายาทพูดเสียงเบา “ถึงแม้คณะ
ทูตทั้งสองแคว้นจะมาเพื่อเจรจาการแต่งงาน แต่ว่า
ข้าเข้าข้างท่านมาตั้งแต่แรกเริ่ม พวกเราทั้งสองแคว้น
ไม่เคยใช้กำลังทหารเข้าหากัน พวกเราเป็นมิตรที่ดี
ต่อกันตลอด ส่วนชาวเป่ยฮั่นพวกเขาทะเยอทะยาน
เคยใช้กำลังทหารกับพวกเราหลายครั้ง พูดตามตรง
หากต้าฉีของพวกเราแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของชาว
เป่ยฮั่น ชาวแคว้นตงฉีเองก็ไม่พอใจ คนของพวกเรา
หลายคน ตายเพราะมือของชาวเป่ยฮั่นในสนามรบ
มากมาย”
ฉีหนิงคิดว่านี่น่าจะเป็นการพูดด้วยมารยาท เพราะ
หากเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของแคว้น ต่อให้ไม่ถูก
กันแค่ไหนก็เป็นเพื่อนกันได้ ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทกัน
แค่ไหน ก็กลายเป็นศัตรูกันได้ แต่ว่าเมื่อรัชทายาท
พูดแบบนี้ออกมา เขาก็ต้องแสดงความดีใจ เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ทรงตรัสเช่นนี้ ข้าก็พูดตรงๆ เลยนะ ครั้ง
นี้ข้ารับบัญชาจากฝ่าบาทมา ข้าเองก็ไม่กล้าทำให้
พระองค์ต้องผิดหวัง แต่ว่าชาวเป่ยฮั่นแบ่งดินแดนยก
พื้นที่ให้ ข้าเองคิดไม่ถึงจริงๆ”
รัชทายาทเองก็ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ข้าเองก็คิด
ไม่ถึง ก่อนหน้านี้ข้าได้ทูลเสด็จพ่อไปแล้วว่า ชาวเป่ย
ฮั่นคิดไม่ซื่อ อย่าไปยุ่งกับพวกเขาจะดีกว่า”
“แบ่งดินแดนเพื่อสู่ขอ ทางแคว้นฉู่ของพวกเราคงไม่
อาจทำได้” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “สิ่งที่แคว้นฉู่
รับปากได้ก็คือ หากกองทัพฮั่นรุกรานแคว้นฉี ใน
ฐานะแคว้นที่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แคว้นฉู่ไม่มีทาง
นิ่งนอนใจแน่” เขายิ้มแล้วพูดว่า “รัชทายาท ที่จริง
แล้วข้าเองก็มีข้อกังวลอยู่เรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะทูล
หรือไม่”
“จิ่นอีโหว ข้าเองก็ถือว่าร่วมเป็นร่วมตายกับท่านมา
ก่อน” รัชทายาทพูดอย่างจริงจังว่า “กบฏไท่ซาน
อ๋องที่สวีโจว หากไม่ใช่เพราะท่านออกหน้าช่วย ข้า
คงกลับเมืองหลวงไม่ได้ ท่านมีอะไร พูดมาได้เลย”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “รัชทายาท ชาวแคว้นฮั่น
ยอมยกเขาหม่าหลิงซานกับอำเภอต่างๆ ในพื้นที่
ให้กับแคว้นฉี อีกทัง้ ยังบอกว่าภายในสามเดือนจะ
ถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่จนหมด เงื่อนไขแบบนี้
แคว้นฉีไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยกองค์หญิงเทียนเซียงให้”
รัชทายาทลังเล แล้วพูดว่า “เสด็จพ่อหวั่นไหวกับ
เรื่องนีจ้ ริง แต่ว่าข้ายังสามารถกล่องพระองค์ได้”
“เมื่อไหร่ก็ตามที่บรรลุข้อตกลง องค์หญิงเทียนเซียง
ก็จะต้องถูกส่งไปยังเป่ยฮั่น เรื่องนี้ชา้ เร็วก็จะถูกแพร่
ออกไป” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถึงเวลานั้นแม้แต่
ชาวบ้านเล็กๆ ก็ต้องรู้เรื่องนี้ องค์หญิงเทียนเซียง
จะต้องไปเป่ยฮั่น”
รัชทายาทพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง”
“รัชทายาท ในเมื่อเป็นข้อตกลง หากเขาหม่าหลิง
ซานไม่ได้ส่งถึงมือของแคว้นฉี องค์หญิงเทียนเซียงก็
ไม่สมควรที่จะไปที่แคว้นฮั่นก่อน” ฉีหนิงมองไปยัง
ดวงตาของรัชทายาท
รัชทายาทพูดว่า “เรื่องนีแ้ น่นอน เขาหม่าหลิงซาน
เป็นสถานทีท่ ี่มีทหารประจำการมาก ข้ายังกังวลว่า
พวกเขาจะให้พวกเราง่ายๆ แบบนีเ้ ลยหรือ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “รัชทายาท ชาวเป่ยฮั่นมีกำลัง
ทหารมาก ไม่ยึดดินแดนของตงฉีไปก็ดีมากเท่าไหร่
แล้ว ยังจะมอบพืน้ ที่ให้อีก หากไม่ใช่เพราะพวกเขา
เลอะเลือนกัน มันก็ไม่น่าจะง่ายแบบนี้ หากเพราะ
เลอะเลือนจริงก็แล้วไป แต่หากแอบวางแผนร้าย
เอาไว้ พระองค์ต้องระวังให้มาก”
รัชทายาทขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “จิ่นอีโหวท่านคิดว่า
เรื่องนี้มีเบื้องหลังอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “หากข้าเป็นชาวเป่ยฮัน่ คงไม่พอใจแน่
หากต้องยกดินแดนเพื่อสู่ขอองค์หญิงคนเดียว เพราะ
มันกระทบต่อกำลังใจทหาร การได้องค์หญิงมาคน
หนึ่งมันชดเชยกันไม่ได้ รัชทายาท ข้าขอพูดตรงๆ
อย่าได้ถือสาข้าเลยนะ”
“ไม่เลย ไม่เลย ท่านพูดมาได้เลย” รัชทายาทพูด
อย่างเป็นมิตร
ฉีหนิงพูดว่า “แคว้นฉู่ของพวกเราจริงใจที่จะแต่งงาน
เชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นของท่าน พระองค์ทรง
พระปรีชา ก็น่าจะเข้าใจดี ไม่อย่างนัน้ ฝ่าบาทของ
พวกเราก็คงไม่ทรงยกตำแหน่งฮองเฮาให้”
รัชทายาทถอนหายใจแล้วพูดว่า “แคว้นของท่าน
จริงใจกับพวกเรา เรื่องนี้ข้าก็เข้าใจดี ที่จริงข้าเองก็
เข้าใจ ชาวแคว้นฮั่นมาในครัง้ นี้ อาจไม่ได้มาเพื่อการ
เจรจาการแต่งงานจริงๆ พวกเขาอาจจะคี่ต้องการ
ขัดขวางแคว้นฉู่เท่านัน้ ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเจ้าเองก็ฉลาดดีเหมือนกัน มองออก
ด้วย เขายิ้มแล้วพูดว่า “รัชทายาท ชาวแคว้นฮั่น
ถอนกำลังทหาร ต้องใช้เวลาสองเดือน หลังจากสอง
เดือน ทหารแคว้นฉีจะรับช่วงต่อ ตามความเห็นของ
พระองค์ พื้นที่เหล่านั้น ต้องใช้เวลาแค่ไหนถึงยึดเข้า
มาได้...พูดง่ายๆ ก็คือ ชาวบ้านในพื้นที่เหล่านั้น ต้อง
ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะกลายมาเป็นชาวแคว้นฉี?”
รัชทายาทขมวดคิ้ว เขาไม่ใช่คนไม่มีความสามารถ
เขาเข้าใจความหมายของฉีหนิงดี
เขตต่างๆ ที่ชาวเป่ยฮั่นยกให้ อยู่ในการปกครองของ
เป่ยฮั่นมานานกว่าสิบปี ไม่ว่าจะกฎหมายภาษี ต่างก็
ทำตามกฎของเป่ยฮั่น การรับพื้นทีพ่ วกนี้มาไม่ใช่
เรื่องยาก แต่ว่าการจะทำให้พื้นทีเ่ หล่านี้กลายเป็น
หนึ่งในแคว้นฉี มันไม่ใช่เรื่องที่ใช้เวลาสามเดือนก็จะ
สามารถทำได้
“รัชทายาท ขออภัยที่ต้องพูดตามตรง แคว้นฉีกบั
แคว้นฮั่นเมื่อเทียบกันแล้ว อำนาจความแข็งแกร่ง
ของแคว้นฮั่นเหนือกว่าแคว้นฉีมาก” ฉีหนิงพูดอย่าง
จริงจังว่า “ต่อให้เขตของเขาหม่าหลิงซานจะกลาย
มาเป็นของแคว้นฉีจริง แคว้นฉีคิดจะซื้อใจคน มัน
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อยกเขาหม่าหลิงซานให้กับ
แคว้นฉีแล้ว องค์หญิงเทียนเซียงก็ให้กับแคว้นฮั่นไป
หลังจากนั้นก็ต้องมาดูกันว่าแคว้นฉีจะจัดการกับเขต
พวกนั้นยังไง รัชทายาททรงลองคิดดูนะ เมื่อองค์
หญิงเทียนเซียงไปถึงแคว้นฮั่นแล้ว แคว้นฮั่นจะยอม
ให้แคว้นฉีกลืนเอาเขตต่างๆ ในเขาหม่าหลิงซานมา
เป็นของแคว้นฉีได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?”
รัชทายาทเหมือนเข้าใจอะไรขึ้นมา เขาขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “ความหมายของท่านคือ พวกเขามีแผนอย่าง
นั้นใช่หรือไม่?”
“รัชทายาท หากข้าพูดมากเกินไป เกรงว่าคนอื่นจะ
หาว่าข้ายุแหย่” ฉีหนิงถอนหายใจ “แต่ว่าพระองค์
ทรงดตีต่อข้ามาก หากข้าไม่พูดอะไรเลย เหมือนข้า
จะไม่จริงใจกับพระองค์”
รัชทายาทหยิบกาชาขึ้นมา แล้วรินให้กับฉีหนิงเอง
แล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงาน
เชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นฉู่ หากมีวิธีพลิกสถานการณ์ได้
ท่านก็ชี้แนะข้าด้วยเถอะ”
ฉีหนิงรู้ดีว่าอ๋องอวี้กับเป่ยถังเฟิงหายตัวไป ทำให้
สถานการณ์เปลี่ยนไป ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก ไม่มี
ราชทูต แคว้นฉีกับฮั่นก็ไม่สามารถเจรจาต่อไปได้ แต่
เขายังคงยิ้มแล้วพูดว่า “รัชทายาท ข้าแค่กังวลว่า
หากแคว้นฉีพลาด อาจจะต้องเสียฮูหยินแล้วยังเสีย
ขุนศึกซ้ำอีก”
“เสียฮูหยินแล้วยังเสียขุนศึกซ้ำอีก?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เขาหม่าหลิงซานหลายปี
ที่ผ่านมา อยู่ภายใต้การปกครองของกองทัพฮั่นมา
ตลอด หญ้าทุกต้นไม้ทุกท่อน ทุกการป้องกัน เป็นสิ่ง
ที่ชาวแคว้นฮั่นสร้างขึ้นทั้งนั้น ต่อให้ให้เวลาแคว้นฉี
หนึ่งเดือน ก็ไม่อาจควบคุมการป้องกันไว้ทั้งหมดได้
ที่จริงแล้วต่อให้เชาหม่าหลิงซานอยู่ในมือของแคว้นฉี
จริง สำหรับแคว้นฮั่นแล้ว มันไม่มีความลับอะไร
พวกเขารู้จุดเด่นกับจุดด้อยของเขาหม่าหลิงซานเป็น
อย่างดี”
รัชทายาทขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ความหมายของท่าน
ก็คือ หลังจากที่เทียนเซียงไปยังแคว้นฮั่นแล้ว พวก
เขาก็จะส่งทหารมาตีพวกเราอย่างนัน้ ใช่หรือไม่?”
“ฉวยโอกาสตอนที่แคว้นฉียังไม่มั่นคง ชิงเอาเขา
หม่าหลิงซานกลับไป รัชทายาททรงคิดว่ามันยากแค่
ไหนสำหรับกองทัพฮั่น?” ฉีหนิงยกน้ำชาขึ้นดื่ม แล้ว
พูดต่อว่า “ยังมีเขตต่างๆ ในเขาหม่าหลิงซาน ต่างก็
อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเขาหม่าหลิงซานทั้งนั้น
แวดล้อมตรงนั้น ชาวแคว้นฮั่นรู้ดี รัชทายาท หาก
ชาวแคว้นฮั่นยกทัพบุกเข้าเขตพวกนั้น เมื่อเกิด
สงคราม พวกเขาก็จะตัดการเชื่อมต่อระหว่างแคว้นฉี
กับเขาหม่าหลิงซาน ถึงเวลานั้นไม่ทราบว่าเขาหม่าห
ลิงซานจะยังรักษาไว้ได้หรือไม่?”
รัชทายาทฟังถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็ตกใจมาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 650 นางกำนัล
ฉีหนิงยกน้ำชาขึ้นมา ท่าทีนงิ่ มาก รัชทายาทนิ่ง แล้ว
ถามว่า “จิ่นอีโหว ไม่ใช่ว่าข้าจะคัดค้านข้อ
สันนิษฐานของเจ้านะ เพียงแต่สิ่งที่เจ้าคิด มันฟังดูน่า
กลัวเกินไปหน่อยไหม? ในเมื่อเป่ยฮัน่ อยากจะเชื่อม
สัมพันธไมตรีกับเรา ทำไมยังจะยกทัพมาตีเราด้วย?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “รัชทายาท ขอข้าพูดตามตรง
เป่ยฮั่นแข็งแกร่งกว่าแคว้นมาก พระองค์ทรงน่าจะรู้
ดีกว่าข้า พวกเขาคิดจะทำอะไรกับแคว้นฉี ไม่ใช่วัน
แรก ตอนนั้นขุนพลของพวกเขายกทัพบุกโจมตีแคว้น
ฉี พวกเขาคิดจะใช้กำลังทหารกับแคว้นฉีมานานแล้ว
ความคิดของพวกเขาไม่ได้หายไป เพียงแต่แคว้นฉู่
ของเราทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวไม่สะดวกเท่า
นั้นเอง”
“ที่ท่านพูดมาก็จริง” รัชทายาทเปิดใจกับฉีหนิง เขา
พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ยอมรับ หากไม่ได้
แคว้นฉู่ เป่ยฮั่นคงไม่มีทางอยู่สงบแบบนี้”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แคว้นฮั่นมาสู่ขอองค์หญิงเทียน
เซียง ก็เพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นฉี
กับต้าฉู่ของเรา พวกเขาย้อนกลับมาตีเขาหม่าหลิง
ซานคืนไป ทรงรู้สึกว่าพวกเขาต้องกลัวอะไรอย่างนั้น
หรือ? กลัวชื่อเสียงของพวกเขา ที่คนใต้หล้าจะหาว่า
พวกเขากลับคำพูด? จะหาข้ออ้างชิงหม่าหลิงซานคืน
ไป มันง่ายมากเลยนะ ถึงเวลานั้นให้พวกเขตที่อยู่ใน
หม่าหลิงซานปล่อยข่าวว่ามีทหารของแคว้นฉีเข่นฆ่า
ประชาชน ท่านรู้สึกว่าเรื่องนีเ้ ป็นไปไม่ได้อย่างนั้น
หรือ?”
“ทหารต้าฉีเราเคร่งครัดในกฎระเบียบ ไม่มีทาง...”
รัชทายาทพูดอย่างหนักแน่น แต่ว่าเขาพูดได้แค่ครึ่ง
เดียว เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา เขาเลยไม่ได้พูดต่อ
รัชทายาทเป็นคนฉลาด สิ่งที่ฉีหนิงพูด เขาเองก็เข้าใจ
ก่อนที่เขตต่างๆ บนเขาหม่าหลิงซานจะเป็นของ
แคว้นฉีจริงๆ พื้นที่พวกนี้ก็ยังคงเหลือคนของเป่
ยฮั่นอยู่ หากคนพวกนี้สร้างข่าวปลอมขึ้นมา โยนทุก
อย่างให้แคว้นฉี ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อเกิดเหตุ
ขึ้น พวกเขาก็มีเหตุผลในการยึดดินแดนคืน
ฉีหนิงรู้ว่ารัชทายาทเข้าใจเรื่องนี้ดี เขาพูดต่อว่า “รัช
ทายาทคงไม่ทรงรู้สึกว่าชาวเป่ยฮั่นจะกลัวแคว้นฉู่
ของเราหรอกจริงไหม” ฉีหนิงวางถ้วยชาลง แล้วพูด
ว่า “เมื่อแคว้นฉีกับแคว้นฮั่นแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
กันไป ความเข้าใจระหว่างพวกท่านทั้งสองแคว้น
แคว้นฉู่เราก็คงไปยุ่งไม่ได้ อย่างน้อยหากแคว้นฮั่นแค่
ชิงเขาหม่าหลิงซาน ไม่รุกรานเข้าแคว้นฉี แคว้นฉู่ก็
ไม่มีทางทำอะไรแน่นอน”
ฉีหนิงพูดออกไปอย่างชัดเจนทั้งหมดแล้ว
ครั้งนี้แคว้นฉีโลภอยากได้ดินแดนเพิม่ แคว้นฮั่นแบ่ง
ดินแดนหม่าหลิงซานเพื่อสู่ขอองค์หญิงเทียนเซียง
นั่นก็หมายความว่าหักหน้าแคว้นฉู่ แคว้นฉู่ถูกหยาม
เกียรติ หากแคว้นฮั่นพลิกลิ้น ชิงพืน้ ที่หม่าหลิงซาน
ไป แคว้นฉู่ถูกหยามเกียรติ ก็ไม่มีทางส่งทหารไปช่วย
แคว้นฉีแน่นอน
รัชทายาทเหมือนจะกำลังคิดอะไร หลังจากนั้นไม่
นาน ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “คนของจิ่นอีตระกูลฉี
ไม่ธรรมดาจริงๆ” เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “น่าเสียดาย
แคว้นฉีของเราไม่มีคนอย่างโหวเยว่ แผนร้ายของ
แคว้นฮั่น โหวเยว่มองออกทะลุปรุโปร่งเลย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “รัชทายาท ข้าก็แค่คาดเดา
เท่านั้น จะถือเป็นจริงไม่ได้เด็ดขาด แต่ว่าเรื่องนี้จะ
จริงหรือไม่นั้น พระองค์ก็ต้องทรงระวังชาวแคว้นฮั่น
นั่นเอง” เขาถอนหายใจ แล้วพูดว่า “รัชทายาท ข้า
เองก็แค่คนที่มีหน้าที่ผูกมัด ทูลตามตรง เงื่อนไขที่
แคว้นฮั่นเสนอ แคว้นฉู่ของเราไม่อาจเสนอเช่นนั้นได้
ดังนั้นการเจรจาของเราแคว้นฉู่โอกาสสำเร็จของเรา
น้อยมาก ก่อนเดินทางมาที่นี่ฝ่าบาทของข้ารับสั่งว่า
ไม่ว่าข่าวดีหรือร้าย จะต้องส่งสารแจ้งทางเมืองหลวง
เจี้ยนเยี่ยโดยเร็ว ดังนั้นข้าเตรียมจะฎีกากลับไปในวัน
พรุ่งนี้”
รัชทายาทรีบพูดว่า “โหวเยว่เตรียมจะเขียนว่า
อย่างไร?”
“ก็คงต้องเขียนอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้ฝ่าบาท
ทรงทราบ” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท
ทรงพระปรีชา ข้ามาเจรจาล้มเหลว เพราะมีสาเหตุ
ฝ่าบาทน่าจะทรงอภัยให้ได้”
รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ไม่ต้องรีบร้อน คืน
นี้เสด็จพ่อจัดงานเลี้ยง เพื่อปลอบขวัญท่าน ไว้ผ่าน
คืนนี้ไป โหวเยว่ค่อยส่งฎีกากลับไปถวายก็ยังไม่สาย
นะ”
รัชทายาทพูดว่า “โหวเยว่ เดิมข้ามีเรื่องสงสัย
อยากจะขอคำชี้แนะจากท่าน”
“รัชทายาททรงมีอะไรพูดมาได้เลย” ฉีหนิงยิ้มแล้ว
พูดว่า “ชี้แนะคงไม่กล้า”
รัชทายาทคิด ยิ้มแล้วพูดว่า “หากเราทั้งสองแคว้น
เป็นพันธมิตรกัน หากแคว้นฉีเราอยากได้เขาหม่าห
ลิงซาน ไม่ทราบแคว้นของท่านจะช่วยเราวางแผน
รับมือหรือไม่?”
ฉีหนิงคิดจากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “รัชทายาท
ขออภัยที่ข้าไม่อาจตอบคำถามนี้ของพระองค์ได้
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก คงต้องหารือในราชสำนักก่อน
ให้ฝ่าบาททรงเป็นผู้ตัดสินพระทัย หากข้ารับปากไป
เกรงว่าพระองค์ทรงจะไม่เชื่อถือ”
“กองทัพฉินไหวกว่าแสนนาน ไม่ใช่คนของจิน่ อี
ตระกูลฉีหรือยังไงกัน?” รัชทายาทยิม้ แล้วพูดว่า
“จิ่นอีตระกูลฉีของพวกท่านไม่ว่ากี่รุ่นต่อกี่รุ่นก็เป็น
ศัตรูคู่แค้นของชาวเป่ยฮั่นมาตลอด หากมีโอกาส จะ
ปล่อยไปได้ยังไง?”
ฉีหนิงพูดว่า “รัชทายาทก็ทรงน่าจะทราบดี แม่ทัพ
ใหญ่ของกองทัพฉินไหวในตอนนี้คือเย่วหวนซาน
ตระกูลฉีเป็นอดีตไปแล้ว” เขายิ้มแล้วถามว่า “หรือ
ว่าแคว้นฉีเตรียมจะใช้กำลังทหารกับแคว้นฮั่นอย่าง
นั้นหรือ?”
รัชทายาทหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ข้าก็พูดไปอย่างนัน้
เพราะถ้าหากได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์แคว้นกัน มันก็
ต้องมีการเดินหน้าและถอย” เขาลุกขึ้นแล้วพูดว่า
“โหวเยว่ คืนนี้จะมีคนมารับท่านเข้าวังนะ ข้ายังมี
เรื่องที่ต้องทำ ขอตัวก่อน”
ฉีหนิงเดินไปส่งรัชทายาท ฉีเฟิงก็เดินเข้ามา แล้วถาม
ว่า “โหวเยว่ รัชทายาทเสด็จมาด้วยพระองค์เอง
ทำไม?”
“ในวังจะจัดงานเลี้ยง ฮ่องเต้ตงฉีอยากจะเลี้ยงปลอบ
ขวัญข้า” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉีเฟิง เจ้าว่าฮ่องเต้
ตงฉีดูเหมือนจะเกรงใจเรามากไปหน่อยไหม?”
ฉีเฟิงพูดว่า “ตาเฒ่านั่นเห็นประโยชน์ก็ลืมคุณธรรม
ไปเลย เห็นชาวเป่ยฮั่นให้ของดี ก็อยากจะไปอยู่
กับเป่ยฮั่น โหวเยว่เขาอยากให้ท่านเข้าวัง คงไม่มี
แผนอะไรใช่ไหม?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้เราอยู่ทตี่ งฉี หากเขาคิด
ไม่ดีกับเรา ก็ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยากแบบนี้ อีกทั้ง
เขาเองก็ไม่มีความจำเป็นทีจ่ ะต้องลงมือกับข้า” เขา
นิ่งไปแล้วพูดว่า “คืนนี้ให้ท่านนายกองอู๋อยู่เฝ้าเรือน
รับรองเอาไว้ เจ้าพาคนของจวนโหวตามข้าเขาวัง ใน
เมื่อฮ่องเต้ตงฉีส่งรัชทายาทมาเชิญด้วยตัวเอง ยังไงก็
ต้องให้เกียรติเขา”
ช่วงเย็น ในวังหลวงก็ส่งรถม้ามารับ เสนาบดีกรมพิธี
การเถาเฉียนมาเชิญฉีหนิงด้วยตัวเอง เขาดูเคารพ
และมีมารยาทมาก
ฉีเฟิงพาคนของจวนโหวติดตามไป เมื่อถึงนอกประตู
วัง เขาก็ลงจากรถม้า ขันทีมารออยูท่ ี่ประตูวังแล้ว
เมื่อเห็นฉีหนิงมา เขาก็ยิ้มแล้วเดินมาหา แล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง เชิญโหวเยว่ให้ไปรอที่
ตำหนักจีเซียนก่อนขอรับ” เขามองไปที่ด้านหลังฉี
หนิง แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ผู้ติดตามเข้าวังไปด้วย
ไม่ได้นะขอรับ”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เถาเฉียนยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาว่า
“โหวเยว่ ฝ่าบาททรงรับสั่งไว้ว่า คืนนี้มีเพียงโหวเยว่
เท่านั้นที่ได้รบั เชิญร่วมงานเลี้ยง ไม่ได้มีคนอื่นเลย
ข้าน้อยเองก็ไม่สามารถเข้าไปได้ โหวเยว่วางใจ คน
ของท่านรออยูท่ ี่นอกวัง ข้าน้อยก็อยูด่ ูแลเอง”
ฉีหนิงเห็นว่าเป็นรับสั่งของฮ่องเต้ตงฉี ในเมื่อมาถึง
ที่นี่แล้ว จะกลับก็ไม่ได้ เขาลังเล แล้วพูดว่า “นำทาง
ไป”
หลังจากที่เข้าวังมาแล้ว เดินเลี้ยวไปเลี้ยวมา ตำหนัก
ต่างๆ หน้าตาดูเหมือนกัน ฉีหนิงพลันนึกถึงสิ่งที่ชื่อ
ตันเหมยเคยบอกไว้ โครงสร้างของวังหลวงตงฉีเจ้า
เกาะไป๋อวิ๋นเป็นคนออกแบบ มันราวกับเขาวงกต ดู
ท่าเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นมากมายจะเชี่ยวชาญเรื่องเขา
วงกตนี้ดี ตำหนักต่างๆ มันเหมือนมีไฟล้อมรอบ ทำ
ให้คนรู้สึกงงๆ
ฉีหนิงคิดในใจว่าถึงแม้แคว้นฉีจะเป็นแคว้นเล็ก แต่
ว่าความหรูหราก็เหนือกว่าแคว้นฉู่มาก ขันทีพาเขา
มาถึงตำหนักแห่งหนึ่ง เมื่อเข้ามาในห้อง ก็มีนาง
กำนัลอยู่รอรับใช้ ก็ถือว่าสะดวกสบายดี ขันทีพูดว่า
“ไม่นานฝ่าบาทก็จะทรงเรียกโหวเยว่เข้าเฝ้า โหวเยว่
โปรดรอสักครู่ รออยู่ทนี่ ี่ก่อนนะขอรับ”
ฉีหนิงพยักหน้า นางกำนัลยกน้ำชากับของว่างมาให้
ฉีหนิงคิดว่าที่นี่ในวังหลวง ยังไงก็อดทนรอสักหน่อย
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากหน้า
ประตู ฉีหนิงเงยหน้าขึ้นมามอง เห็นนางกำนัลกำลัง
มองมาในห้อง
ฉีหนิงมองซ้ายมองขวา รอบๆ มีนางกำนัลอยู่
ประมาณสามสี่คน แต่ว่าพวกเขาเหมือนก้อนหินไม่
ขยับเลย นางกำนัลนัน่ มองมาที่ฉีหนิง สายตาของ
นางเป็นประกาย แล้วกวักมือเรียกฉีหนิง ฉีหนิงตะลึง
เขายกมือชี้ไปที่ตัวเอง นางกำนัลนั่นพยักหน้า ฉีหนิง
รู้สึกสงสัย เขาลังเล แล้วลุกขึ้นมา เดินไปนอกประตู
เห็นนางกำนัลที่มาอายุประมาณยี่สิบปี หน้าตา
พอใช้ได้ ร่างกายดูอวบอิ่ม เขาถามว่า “แม่นาง
ต้องการพบข้าหรือ?”
“ท่านคือจิ่นอีโหวใช่หรือไม่?” นางกำนัลถาม
ฉีหนิงพยักหน้า นางกำนัลมองไปที่ฉหี นิง นางยิ้ม
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ มีคนอยากพบท่าน เชิญตาม
ข้าน้อยมาทางนี้เจ้าค่ะ”
ฉีหนิงพูดด้วยความสงสัยว่า “มีคนอยากพบข้า? ใคร
กัน? ข้ากำลังรอเข้าเฝ่าบาทอยู่ หรือว่าจะเป็นฝ่า
บาท?”
นางกำลังหัวเราะ แล้วพูดว่า “นอกจากฝ่าบาทแล้ว
ในวังยังมีเจ้านายอีกมามายเจ้าค่ะ” นางพูดเสียง
เบาๆ ว่า “องค์หญิงอยากจะพบราชทูตจากแคว้นฉู่
ฝ่าบาทคงยังต้องรออีกสักพักถึงจะทรงเรียกให้เฝ้า
โหวเยว่ตามข้าน้อยมาเถอะเจ้าค่ะ”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หากไม่มีรับสั่งของฝ่าบาท
ข้าเป็นแค่ราชทูตคนหนึ่ง จะไปเฝ้าองค์หญิงได้
อย่างไรกัน? แม่นางกลับไปทูลองค์หญิงด้วยว่า ต่อให้
องค์หญิงต้องการพบข้า คงต้องให้ฝา่ บาททรงมีพระ
บัญชามาก่อน”
นางกำนัลขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว องค์หญิง
ประสงค์ดี ข้าน้อยขอถามท่านสักคำ ท่านกับราชทูต
แคว้นฮั่นไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนท่านมหาเสนาบดีใช่
หรือไม่?”
“ถูกต้อง”
“ท่านมหาเสนาได้ออกโจทย์ให้พวกท่านใช่หรือไม่?”
สายตาของนางเป็นประกาย นางพูดว่า “องค์หญิง
ทรงตรัสว่าโจทย์พวกนั้นท่านเป็นคนแก้ได้ทั้งหมด
ทรงโปรดมาก ยังชมว่าราชทูตแคว้นฉู่ฉลาดนัก”
นางพูดว่า “องค์หญิงไม่อยากไปแคว้นฮั่น นางบอก
ว่าราชทูตแคว้นฉู่เป็นคนฉลาด ฮ่องเต้แคว้นฉู่ก็
อาจจะทรงพระปรีชาอยูบ่ ้าง ดังนั้นต่อให้ต้องทรง
อภิเษกไปต่างแดน ก็ทรงอยากไปทีแ่ คว้นฉู่”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “องค์หญิงทรงชืน่ ชมเช่นนี้ เป็น
พระกรุณาต่อแคว้นฉู่ของเรายิง่ นัก”
นางกำนัลยิ้มแล้วพูดว่า “องค์หญิงได้ยินมาว่าพวก
ท่านเจออุปสรรค นางบอกว่านางมีวิธีที่จะทำให้ฝ่า
บาททรงตัดสินพระทัยให้นางอภิเษกไปที่แคว้นฉู่ แต่
ว่าต้องให้จิ่นอีโหวร่วมมือด้วย ดังนั้นก็เลยให้ข้าน้อย
มาเชิญท่าน” นางพูดว่า “ฝ่าบาทอีกไม่นานคงเรียก
ให้เข้าเฝ้า เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว หากโหวเยว่ยินดี
ก็ตามข้าน้อยไปตอนนี้ มิเช่นนั้นข้าน้อยก็ขอตัวก่อน”
ฉีหนิงคิดว่าอ๋องอวี้กับเป่ยถังเฟิงไม่รไู้ ปไหน อีกทั้ง
วันนี้ที่เขาพูดกับรัชทายาท สถานการณ์ในตอนนี้
แคว้นฉู่เป็นต่อมาก แต่หากว่าแคว้นฉีจะให้องค์หญิง
อภิเษกไปแคว้นฉู่จริง มันก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลง
ได้ วันนี้องค์หญิงเทียนเซียงส่งคนมาเรียกเขาไปพบ
มันน่าสงสัย เขาถามว่า “แม่นางชื่ออะไร? เจ้า
ลำบากมาตามข้า ยังไม่รู้ชื่อของเจ้าเลย”
นางกำนัลพูดว่า “ข้าน้อยชื่อหานเซียง พวกนางบอก
ว่าเวลาที่ข้าน้อยเหงื่อออก จะมีกลิ่นหอมโชยมา
ดังนั้นองค์หญิงเลยตั้งชื่อนี้ให้ข้าน้อย”
นางดูดีไม่น้อย อีกทั้งดูมีเสน่ห์พอตัว ตอนนี้มีเหงื่อ
ไหลออกมาจากหน้าผาก ฉีหนิงกลับไม่ได้กลิ่นหอม
อะไรเลย เขายิ้มแล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง แม่นาง
หานเซียง ตอนนี้องค์หญิงทรงประทับอยู่ที่ไหน?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 651 พระสนมกุ้ยเฟย
นางกำนัลพูดเบาๆ ว่า “อยู่ใกล้ๆ นี่เอง โหวเยว่ รีบ
ตามข้าน้อยไปเถอะ” นางมองซ้ายมองขวา ดูระวัง
ตัวมาก นางเดินนำทางไป ฉีหนิงเหมือนจะคิดอะไร
ได้ แต่ก็เดินตามไปอยู่
เมื่อเดินตามทางไปได้สักพัก ก็เจอประตูใหญ่บาน
หนึ่ง หานเซียงเหมือนจะคุน้ เคยกับเส้นทางในวัง
หลวงดี ฉีหนิงเดินตามอยู่ด้านหลัง เขาไม่ได้เร่งเดิน
หานเซียงหันมาเร่งหลายครั้ง เมื่อเดินผ่านประตูในวัง
ไปหลายบาน ก็มาถึงสวนแห่งหนึ่ง ฉีหนิงหยุดเดิน
แล้วขมวดคิ้ว
หานเซียงหันกลับมา แล้วพูดว่า “โหวเยว่ องค์หญิง
ประทับอยู่ทนี่ ี่” พูดจบ นางก็ชี้ไปด้านหน้า ด้านหน้า
เป็นตำหนักหลังหนึ่ง โดยรอบมีสวนดอกไม้ รอบๆ มี
ต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมด
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าชื่อหานเซียงถูก
หรือไม่?”
หานเซียงได้ยินฉีหนิงถาม ก็พยักหน้า แล้วพูดว่า “ใช่
เจ้าค่ะ ข้าน้อยเรียนโหวเยว่ไปแล้ว”
“ข้าจะถือว่าเจ้าคือหานเซียงก็แล้วกัน” ฉีหนิงพูดว่า
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่า แอบอ้างรับสั่งขององค์หญิง มันมี
โทษยังไงบ้าง?”
หานเซียงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่าน
หมายความว่าอย่างไร?”
“ความหมายของข้าก็คือ องค์หญิงจะเรียกพบข้า ข้า
ก็ไม่มีอะไรจะพูด” ฉีหนิงยังคงระวังตัวเหมือนเดิม
“เจ้าบอกว่าที่นเี่ ป็นที่ประทับขององค์หญิง ที่ประทับ
ขององค์หญิงยังมีคนซุ่มอยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“คนซุ่ม?” หานเซียงหัวเราะ แล้วพูดว่า “โหวเยว่
กำลังล้อเล่นหรือเจ้าค่ะ? มีใครที่ไหนกัน? คิดไม่ถึงว่า
โหวเยว่จะขี้ขลาดขนาดนี้” นางหันหลังแล้วก็เดิน
ตรงไป เมื่อถึงหน้าตำหนัก ก็ไม่เคาะประตู นางเดิน
เปิดประตู ฉีหนิงก็ไม่ได้ขวางนาง เพียงแต่พูดว่า “ใน
เมื่อข้าก็มาแล้ว ก็อย่าซ่อนตัวอีกเลย ออกมาเถอะ”
เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคน เขาหันไปมอง เห็น
ทหารถือหอกยาวประมาณห้าหกคนเดินออกมาจาก
ต้นไม้ใหญ่ คนพวกนี้เหมือนเตรียมตัวมาแล้วอย่างดี
อาวุธครบมือ ฉีหนิงเหลือบมองไป เป็นชุดของทหาร
หลวงแน่นอน
คนพวกนี้แต่ละคนเหมือนเสือเหมือนหมาป่า พวก
เขาล้อมตัวฉีหนิงเอาไว้
ฉีหนิงหลับตาเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาก็สงสัยอยู่
ทำไมจู่ๆ องค์หญิงเทียนเซียงถึงได้เรียกเขาไปเฝ้า แต่
หากองค์หญิงเรียกเขามาเฝ้าจริง เขาก็ไม่มีทาง
ปฏิเสธแน่นอน เพราะถ้าหากทำให้องค์หญิงไม่พอใจ
มันจะทำให้สถานการณ์แย่ลง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะมี
คนกล้าแบบนี้ คิดจะใช้อาวุธในวังหลวง
ในวังหลวงมีใครเกลียดเขามากขนาดนี้ ถึงกับวางกับ
ดักแบบนี้ได้? เขาเชื่อว่าไม่น่าใช่ฮ่องเต้ตงฉีแน่ เพราะ
ถ้าเขาอยากลงมือกับเขาจริง ก็ต้องนึกถึงฐานะ
ราชทูตของแคว้นฉู่ก่อน ในฐานะเจ้าแคว้น ต่อให้โง่
แค่ไหน ก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ได้แน่
ในตอนนี้เองก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมาจากใน
ตำหนัก มีนางกำนัลขันทียืนคุ้มกันผูห้ ญิงคนหนึ่งเดิน
ออกมา นางอายุประมาณสามสิบปี แต่ว่าหน้าตาของ
นางงดงามมาก รูปร่างก็โรยราไปตามกาลเวลา
“หานเซียง เขาคนนี้ใช่หรือไม่?” ผู้หญิงคนนัน้ ชี้ไปที่
ฉีหนิง
หานเซียงเดินออกมาจากด้านหลังผู้หญิงคนนัน้
ตอนนี้นางดูไม่เหมือนเดิม ผมเผ้าของนางยุง่ เหยิง อีก
ทั้งเสื้อผ้าก็มีร่องรอยของการฉีกขาด นางร้องไห้
น้ำตาท่วมหน้า “เพคะ พระสนมกุ้ยเฟย เขาคนนี้เพ
คะ หม่อมฉัน...หม่อมขัดขืน เกือบตายด้วยน้ำมือของ
เขา...”
ฉีหนิงเข้าใจทันทีว่ามันเป็นหลุมพรางแบบไหนกัน
เขายังคงนิ่ง แล้วยกมือคำนับผู้หญิงคนนั้น “ถวาย
พระพรพระสนมกุ้ยเฟย”
ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า “อย่ามาเสแสร้งที่นี่ เจ้าเป็นใคร
ทำไมถึงได้เข้ามาที่นี่แล้วลวนลามหนางกำนัลในวัง
หลังแบบนี้ได้?”
ฉีหนิงมองไปรอบๆ ดาบหอกชี้ไปทีต่ ัวเขาทั้งนั้น เขา
พูดว่า “พระสนมทรงจะสังหารกระหม่อมที่นี่เลย
หรือว่าจะทรงไปพบกับฝ่าบาทก่อนพะยะค่ะ?” เขา
พูดต่อว่า “หากพระสนมทรงไม่ทราบว่ากระหม่อม
เป็นใคร แล้วจะให้นางกำนัลไปเชิญกระหม่อมมาที่นี่
ได้ยังไงกัน?”
ผู้หญิงคนนั้นตะคอกว่า “เหลวไหลสิ้นดี ข้าไปเรียก
เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วใครไปเรียกเจ้ามากัน?”
ฉีหนิงยืนเอามือไขว้หลัง ยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร
ผู้หญิงคนนั้นเห็นฉีหนิงยังนิ่ง ก็รู้สึกโกรธมาก นาง
ตะคอกว่า “ทหาร จับเจ้าโจรนี่ไว้เดี๋ยวนี้”
นางออกคำสั่ง ทหารซ้ายขวาต่างชี้อาวุธมาที่ฉีหนิง
หอกกำลังจะถูกตัวฉีหนิง ฉีหนิงหลบ แล้วยื่นมือ
ออกไปจับหอก จากนัน้ ก็กระชาก ทหารอีกฝ่ายตั้งตัว
ไม่ทัน จึงโผไปตามแรงกระชาก
ทั้งสองตกใจมาก แต่ว่าตอนนี้ไม่สามารถใช้แรงดึก
อาวุธกลับมา ปลายแหลมแทงเข้าตัว แต่ยังดีที่ตอนที่
ฉีหนิงจับหอก ทำให้ปลายหอกมันเอียงไปด้านข้าง
ถึงแม้จะแทงทะลุเข้าร่างกาย แต่ก็ไม่ได้แทงเข้า
จุดสำคัญ แต่ถึงอย่างนั้น คนรอบๆ เองก็ตกใจมาก
หน้าถอดสีกันหมด
ทหารหลวงต่างถูกคัดเลือกมาอย่างดี ไม่มีใครมีใจ
กล้าทำอะไรแบบนี้ ทันใดนัน้ เองก็ได้ยินเสียงตะโกน
ขึ้นมาอีก ทหารทั้งสองข้างก็รุกขึ้นหน้า ในตอนนี้เอง
กลับได้ยินเสียงตะคอกขึ้นมาว่า “หยุดเดี๋ยวนี้”
น้ำเสียงสะเทือนขนาดนี้ ทุกคนตกใจ แล้วหันไปมอง
รัชทายาทเดินมือไขว้หลังเดินมา ด้านหลังของเขามี
ขันทีหลายคนเดินมา ขันทีหนึ่งในนัน้ ก็คือคนที่นำ
ทางฉีหนิงเข้าวังมา ด้านข้างรัชทายาท เป็นหญิงสาว
คนหนึ่งอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี หน้าตาสวยงาม
ผิวขาว ดวงตาเป็นประกาย ตอนนี้กำลังมองมากับ
บรรยากาศที่กำลังเกิดขึ้น
ผู้หญิงคนก่อนหน้านีเ้ มื่อเห็นรัชทายาทเดินมา เหล่า
ทหารมองหน้ากัน ไม่รู้ควรจะทำอะไร
รัชทายาทตะคอกถามว่า “ใครเป็นหัวหน้าพวกเจ้า?”
ชายสวมชุดขุนนางคนหนึ่งเดินขึ้นหน้ามา โค้งแล้ว
พูดว่า “กระหม่อมหวงเฉิง ถวายพระพรรัชทายาท
วันนี้เป็นเวรของกระหม่อม”
“หวงเฉิง พวกเจ้าบังอาจมากนะ” รัชทายาทตะคอก
ว่า “ท่านผู้นี้คือราชทูตของแคว้นฉู่จนิ่ อีโหว พวกเจ้า
ทำไมถึงได้ใช้อาวุธกับจิ่นอีโหวแบบนี้ เจ้ามีหัวสักกี่
หัวกันเชียว?”
หวงเฉิงคุกเข่าลงแล้วพูดว่า “กระหม่อมมิกล้า เพียง
แต่...” เขายังไม่ทันพูดจบ ผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า
“รัชทายาททรงมาที่นที่ ำไม?”
รัชทายาทจ้องไปที่หวงเฉิง แล้วเดินหน้าขึ้นมา
จากนั้นก็เดินไปที่ฉีหนิง เขาพยักหน้า แล้วยกมือ
คำนับผู้หญิงคนนั้น “คำนับพระสนม”
“รัชทายาทอยากรู้ว่าเพราะอะไรอย่างนั้นหรือ?”
ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกเจ้าเอง
ราชทูตตงฉีผู้นี้ เข้ามาในวังหลวง ลวนลามหานเซียง
รัชทายาท ถึงแม้หานเซียงจะเป็นแค่นางกำนัล แต่
นางก็เป็นคนของข้า ราชทูตแคว้นฉูไ่ ร้มารยาทเช่นนี้
ไม่เพียงหักหน้าข้า ยังลบหลู่เกียรติของต้าฉีของเรา
ด้วย”
รัชทายาทขมวดคิ้ว เหลือบไปมองหานเซียงที่อยู่
ข้างๆ พระสนมเฉิน หานเซียงเสื้อห้าขาดลุ่ย น้ำตา
นองหน้า เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เกิดเรื่องแบบนี้
จริงหรือ?”
หานเซียงคุกเข่าลงแล้วพูดว่า “ทูลรัชทายาท หม่อม
ฉันรับพระบัญชาจากพระสนม ให้ไปเอาผ้ากับซ่งก
งกง แต่ว่าไม่ได้พบกับซ่งกงกง ระหว่างที่กลับมา ก็ได้
พบ...” เขามองไปที่ฉีหนิง พูดอย่างเสียใจว่า “ก็ได้
พบกับท่านผู้นี้...ท่านราชทูตยืนอยู่ไม่ไกล หม่อมฉัน
กลัว ก็เลยรีบเดิน แต่ว่าท่านราชทูตกลับเรียกให้
หม่อมฉันหยุด เขาบอกว่า...เขาเดินเล่นในวัง หลง
ทาง เลยมาถามทางไปตำหนักจวีเซียนว่าอยู่ที่ไหน”
ฉีหนิงยิ้ม คิดในใจว่านี่ก็คือแผนของพระสนมเฉิน
นางเลือกคนได้ดีจริง ๆ
รัชทายาทพูดว่า “แล้วต่อมาล่ะ?”
“หม่อมฉันไม่กล้าเสียมารยาท ก็เลยบอกทางไป”
หานเซียงร้องไห้แล้วพูดว่า “หลังจากที่หม่อมฉันพูด
จบ ก็คิดจะเดินไป แต่ว่าท่านราชทูตแคว้นฉู่กลับ
บอกกับหม่อมฉันว่า เขาเป็นแขกคนสำคัญของวัง
หลวง ถามหม่อมฉันอายุเท่าไหร่ ชื่ออะไร หม่อมฉัน
...หม่อมฉันก็ตอบไปตามตรง แต่ว่า...แต่ว่าจู่ๆ เขาก็
ถามว่า...” นางก้มหน้าลง ร้องไห้ไม่หยุด แล้วไม่ได้
พูดต่อไป
พระสนมเฉินพูดว่า “เจ้าเล่าความจริงออกไปให้หมด
ไม่ต้องกลัว ข้าจะให้ความเป็นธรรมกับเจ้าเอง”
ฉีหนิงเห็นพระสนมเฉินพูดจาโกหกหน้าตาเฉยต่อ
หน้ารัชทายาท ท่าทางของนางดูหยิ่งมาก เขาขมวด
คิ้ว พลันนึกถึงที่ชื่อตันเหมยพูดว่า ฮ่องเต้ตงฉีมีลูก
ชายสามคน รัชทายาทต้วนเสากับไท่ซานอ๋องเป็นลูก
ที่เกิดจากฮองเฮา แต่หลินจืออ๋องเกิดจากพระสนม
ตอนนี้บนึกขึน้ ได้ แม่ของหลินจื่ออ๋องก็น่าจะเป็นพระ
สนมเฉินคนนี้นี่แหละ
รัชทายาทกลัวว่าหลินจื่ออ๋องจะกลายเป็นอุปสรรค
ของเขา เพราะฮ่องเต้ตงฉีทรงโปรดพระสนมเฉินมาก
ตอนนี้ดูจากสถานการณ์ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล พระ
สนมเฉินอายุก็ไม่น้อยแล้ว แต่ว่ายังหน้าตางดงาม มี
เสน่ห์ไม่น้อย ไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้ตงฉีจะโปรด
ปรานนาง
เมื่อรู้ว่าพระสนมเฉินเป็นแม่ของหลินจื่ออ๋อง ฉีหนิงก็
เข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที
หลินจื่ออ๋องประสบเหตุร้านที่เมืองสวีโจว เรื่องนี้พระ
สนมเฉินก็น่าจะรู้แล้ว พระสนมเฉินเสียใจเพราะเสีย
ลูกชายไป การตายของหลินจื่ออ๋อง พระสนมเฉิน
ยังไงก็ต้องหาตัวคนร้ายให้ได้
ไม่แปลกใจเลย การตายของหลินจื่ออ๋อง มีการเล่าที่
แตกต่างกันออกไป รัชทายาทต้องพยายามปกปิด
ความจริงแน่นอน แต่ว่าสิ่งที่ทุกคนรูเ้ หมือนกันหมดก็
คือ หลินจื่ออ๋องดื่มเหล้าพระราชทานที่มาจากแคว้น
ฉู่ ในเหล้านั่นมีพิษ ทำให้ถูกพิษจนตาย ถึงแม้จะมี
ฟางซิ่งจายรับโทษแทนไป แต่ว่าเรื่องนี้จะเข้าหูพระ
สนมเฉินหรือไม่ ไม่มีใครรู้
ฉีหนิงรู้ว่าพระสนมเฉินน่าจะมั่นใจว่าที่หลินจื่ออ๋อง
ต้องตายเป็นเพราะเหล้าพระราชทานของแคว้นฉู่
ดังนั้นก็เลยแค้นราชทูตแคว้นฉู่ ถึงได้วางแผนใส่ร้าย
เขา เพราะคิดได้แบบนี้ เขาก็เข้าใจทุกอย่าง
หานเซียงก้มหน้าแล้วพูดว่า “ท่านราชทูต...ท่าน
ราชทูตถามหม่อมฉันว่า อยู่ในวัง...อยู่ในวังเหงา
หรือไม่? เขาบอกว่า...เขาบอกว่าขอแค่หม่อมฉันยินดี
เขาจะทูลขอกับฝ่าบาท แล้ว...แล้วเขาก็จะพาหม่อม
ฉันกลับแคว้นฉู่ เขาให้...เขาให้หม่อมฉันตามเขาไปที่
สวน ต้องการที่จะ...” เมื่อพูดถึงตรงนี้ หน้าก็เอามือ
ปิดหน้า ร้องไห้ด้วยความเสียใจ
พระสนมเฉินพูดว่า “รัชทายาท เกิดเรื่องแบบนี้ขนึ้
ตอนนี้เจ้าเองก็รู้แล้ว ในเมื่อเจ้าก็มาแล้ว เรื่องนี้ควร
จะจัดการอย่างไรดีล่ะ” เขาเหลือบไปมองฉีหนิง
สายตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 652 โทษหนักแปดประการ
รัชทายาทไอออกมา แล้วพูดว่า “พระสนมกุ้ยเฟย
คืนนี้เสด็จพ่อทรงจัดงานเลี้ยง เชิญจิน่ อีโหวมา
ร่วมงาน เรื่องนี้ไว้ค่อยจัดการเถอะนะ อย่าให้มันเป็น
เรื่องใหญ่เลย”
คนหนุ่มชอบเรื่องอย่างว่า มันก็เป็นเรื่องธรรมดา รัช
ทายาทเห็นว่าหานซียงเองก็หน้าตาดีไม่น้อย มีเสน่ห์
ไม่เบา ก็เป็นสาวใช้ที่สามารถที่ทำให้ชายหนุ่ม
หวั่นไหวได้ เขาคิดว่าฉีหนิงอายุยังน้อย อาจจะชอบ
สตรีที่หน้าตาดี เดินเล่นในวังหลวง เจอนางกำนัล
หน้าตางดงาม ก็เกิดหวั่นไหวขึ้นมา มันก็อาจจะ
เป็นไปได้
แต่ว่าหานเซียงเป็นแค่นางกำนัลคนหนึ่ง เรื่องแบบนี้
จะทำให้เรื่องใหญ่จนเกิดปัญหาไม่ได้
พระสนมกุ้ยไม่ยอมเลิกราแล้วพูดว่า “รัชทายาท เจ้า
หมายความว่า จะทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
อย่างนั้นหรือ?” นางพูดว่า “ราชทูตแคว้นฉู่กล้า
ลวนลามนางกำนัลในวังหลวง บังอาจมากขนาดนี้
ผู้ชายแคว้นฉีไม่มีแล้วหรืออย่างไร ถึงได้ปล่อยให้ชาว
แคว้นฉู่มารังแกหญิงสาวแคว้นฉีแบบนี้?”
นางพูดตรงมาก เพื่อบอกรัชทายาทว่าหากเขายอม
ถอย ก็เป็นไม่สมควรเป็นลูกผู้ชายอีก
ตอนนี้เองก็เห็นสาวน้อยข้างกายรัชทายาทเดินขึ้น
หน้ามา ยื่นมือไปจับชายเสื้อของพระสนมเฉิน นาง
พูดว่า “พระสนมเฉินอย่าทรงโกรธไปเลยนะเพคะ
เดี๋ยวจะเสียสุขภาพเอา”
พระสนมเฉินตาแดงก่ำ แล้วพูดว่า “เทียนเซียง เจ้า
เองก็ได้ยิน เจ้าเองก็เป็นผู้หญิง หากเจ้าเจอเรื่องแบบ
นี้จะยอมอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงสะดุ้ง แอบคิดในใจว่าที่แท้สาวน้อยคนนีก้ ็คือ
องค์หญิงเทียนเซียงนีเ่ อง เขามองไป แล้วคิดในใจว่า
องค์หญิงที่สวยงามเช่นนี้หากแต่งงานไปกับเป่ย
ถังเฟิง มันเหมือนดอกไม้ปักอยู่ในกองขี้ควาย
เทียนเซียงมองไปที่หานเซียง แล้วถามว่า “หานเซียง
ราชทูตแคว้นฉู่รังแกเจ้า แล้วเจ้าตามเขาไปในสวน
หรือเปล่า?”
“หม่อมฉันจะกล้าตามเขาไปได้อย่างไรกันเพคะ”
หานเซียงน้ำตาไหล ตัวสั่นไปทั้งตัว นางเหมือนกลัว
มาก “หม่อมฉันบอกว่าหม่อมฉันเป็นนางกำนัลของ
พระสนมเฉิน เขา...เขากลับพูดว่าอย่าว่าแต่พระสนม
เฉินเลย ต่อให้หม่อมฉันเป็นนางกำนัลของฮองเฮา
แล้วอย่างไร? หม่อมฉันกลัวเขา...กลัวเขาทำมิดีมิร้าย
เลยรีบหนี ราชทูตแคว้นฉูเ่ หมือนจะไม่ค่อยคุ้นทางใน
วังหลวงมากนัก เลยได้แต่ตามอยู่ไกลๆ จน...จน
มาถึงที่นี่ หม่อมฉันเข้ามายังตำหนัก เลยรีบเข้ามาทูล
ให้พระสนมทรงทราบ ราชทูตแคว้นฉู่ตามเข้ามา
บังเอิญเจอกับทหารหลวงที่กำลังเดินตรวจตราอยู่
เลยล้อมเขาเอาไว้...”
เทียนเซียงหันมามองฉีหนิง แล้วถามว่า “จิ่นอีโหว
เจ้ารู้สำนึกผิดแล้วหรือไม่?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ทูลองค์หญิง
กระหม่อมมีความผิดจริง โทษสมควรตาย”
เมื่อเขาพูดแบบนี้ออกมา ทุกคนก็ต่างตะลึงไป รัช
ทายาทกับองค์หญิงมองหน้ากัน พระสนมเฉินเองก็
ตะลึง แต่นางก็รีบพูดขึ้นมาว่า “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่
หรือไม่ เขา...เขายอมรับด้วยตัวเองเลยนะ รัชทายาท
เทียนเซียงพวกเจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่” เหมือนนาง
จะกลัวฉีหนิงกลับคำ
ในตอนนี้เอง ก็เห็นเหล่าทหารหลวงต่างคุกเข่าลง คน
อื่นเห็นดังนั้น ก็มองตาไป เห็นฮ่องเต้ตงฉีสวมชุด
มังกรสีเหลืองเดินมา มีขันทีล้อมหน้าล้อมหลัง สีหน้า
ของเขาดูไม่ดีเลย ทุกคนเห็นฮ่องเต้ตงฉีปรากฏตัวขึ้น
ก็แอบตกใจ ต่างก็คุกเข่าลง แล้วถวายพระพร ฉีหนิง
เองก็หันไปแล้วยกมือคำนับฮ่องเต้ตงฉีเช่นกัน
“เสียงดังเอะอะโวยวาย ไม่มีมารยาทเลยหรืออย่างไร
กัน” ฮ่องเต้ตงฉีตะคอก แล้วหันไปมองฉีหนิง องค์
หญิงเทียนเซียงรีบเดินมาหา แล้วก็เกาะแขนฮ่องเต้
ตงฉีเอาไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ว่า “เสด็จพ่อ
ทรงเสด็จมาแล้วหรือเพคะ พระสนมเฉินทรงถูกรังแก
พระองค์ต้องทรงให้ความเป็นธรรมกับพระสนมนะเพ
คะ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเจ้าสาวน้อยนางนี้ไม่แยกแยะถูกผดิ
เลย จะมาพูดแบบนี้ตอนนี้ทำไม เขาเหลือบมองไปที่
เทียนเซียง เห็นเทียนเซียงกำลังยิ้มมาที่เขา
“ฝ่าบาท...” พระสนมเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ
แล้วก็รีบวิ่งมาหาฮ่องเต้ตงฉี เหมือนกับว่านางถูก
รังแกหยามเกียรติอย่างมาก นางพูดว่า “หม่อมฉัน...
หม่อมฉันไม่อยากอยู่แล้วเพคะ หม่อมฉันถูกหยาม
มากขนาดนี้ เสียแรงที่ทรงโปรดปรานหม่อมฉัน จึง
อยากให้ทรงประทานความตายให้หม่อมฉันด้วย”
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดหน้า น้ำตาไหล ท่าทางน่า
สงสารมาก
ฮ่องเต้ตงฉีพูดว่า “ข้ารู้เรื่องหมดแล้ว” เขามองไปที่ฉี
หนิง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฉีหนิง ข้ารู้ทุกอย่างแล้ว
เจ้ารู้ผิดหรือไม่?”
ฉีหนิงคำนับแล้วพูดว่า “ทูลฝ่าบาท ฉีหนิงมีความผิด
จริง อีกทั้งโทษหนักสมควรตาย”
ฮ่องเต้ตงฉีรู้สึกตกใจมาก จากนั้นก็ได้ยินฉีหนิงค่อยๆ
พูดขึ้นมาว่า “กระหม่อมเข้ามายังฝ่ายในเป็นครั้งแรก
ไม่รู้เส้นทางเลย แต่กลับสามารถตามมายังตำหนัก
ของพระสนมเฉินได้อย่างไม่มีผิดพลาด นี่คือความผิด
ข้อแรก กระหม่อมถูกเรียกให้มาเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่
กลับไม่มีความอดทน ออกมาจากตำหนักรับรองโดย
พลการ เดินไปทั่ววัง ไม่เคารพกฎของวังหลวง นี่คือ
ความผิดข้อที่สอง”
รัชทายาทได้ยินฉีหนิงพูดแบบนี้ สีหน้าของเขาก็ปกติ
เดิมเขาคิดว่าฉีหนิงจะรับผิดจริง ตอนนี้ถึงได้รู้ว่ามัน
เป็นแค่กลวิธีเล็กๆ เท่านั้น ด้วยสถานการณ์ตอนนี้
หากฉีหนิงโต้เถียงกับพระสนมเฉินไปตามตรง อาจ
ทำให้ฮ่องเต้ตงฉีโกรธเอาได้ เขาเลยถอยก่อนเพื่อรุก
ทำให้ฮ่องเต้ตงฉีได้มีโอกาสทบทวนเรื่องราวใหม่ วิธีนี้
ถือว่าร้ายกาจมาก
“ความผิดข้อที่สามของกระหม่อมก็คือ รู้ทั้งรู้ว่าในวัง
หลวงฝ่ายในมีการคุ้มกันแน่นหนา กลับกล้าลวนลาม
หยามเกียรตินางกำนัลอย่างไม่เกรงกลัวโทษประหาร
ถือว่ากระทำการวู่วามมาก ไม่มีความคิด” ฉีหนิงพูด
อย่างมีเหตุผลต่อไปว่า “ความผิดข้อที่สี่ รู้ทั้งรู้ว่านาง
เป็นนางกำนัลของพระสนมเฉิน แต่กลับยังไม่สำรวม
อีกทั้งยังกล้าพูดอีกว่าต่อให้เป็นนางกำนัลของ
ฮองเฮาแล้วอย่างไร พูดจาแบบไร้มารยาท บังอาจ
มาก”
เขาไม่ได้พูดเร็วอีกทั้งยังค่อยๆ พูด แต่หลังจากที่พูด
ความผิดมาแล้วหลายข้อ ทุกคนต่างก็ตกใจ สีหน้า
ของฮ่องเต้ตงฉีก็ไม่ได้ดูแย่เหมือนก่อนหน้านี้ สายตา
ของเขาเหมือนกำลังคิดตาม พระสนมเฉินกลับดู
ตระหนก ฉีหนิงเลยพูดต่อว่า “กระหม่อมลวนลามไม่
สำเร็จ เดิมก็ควรสำรวม แต่กลับไม่รู้คิด กล้าตาม
มาถึงฝ่ายใน ไม่เห็นแก่เกียรติของวังหลวงตงฉีเลย นี่
คือความผิดข้อที่ห้า ถึงแม้กระหม่อมจะ
ประสบการณ์น้อย แต่ก็เป็นถึงบรรดาศักดิ์โหวของ
แคว้นฉู่ หญิงงามแบบไหนบ้างไม่เคยเห็นมาก่อน แต่
ว่าพอมาถึงวังหลวงตงฉี เพียงเพราะนางกำนัลที่
หน้าตาดีพอประมาณคนหนึ่งกลับไม่นึกถึงเกียรติ
และศักดิ์ศรีของแคว้นฉู่และแคว้นฉี เหมือนกับว่าไม่
เคยพบเจอผู้หญิงมาแล้วหลายชาติ ไม่รู้จักอาย นี่คือ
ความผิดข้อที่หก ถึงแม้กระหม่อมจะมีวรยุทธ์ทั่วไป
ไม่ได้ร้ายกาจ แต่หากคิดจะไล่ตามตัวนางกำนัลคน
หนึ่ง กลับให้นางหลุดรอดไปได้ อีกทั้งยังตามมาถึง
ฝ่ายใน ถือเป็นการลบหลู่ตระกูลฉีซงึ่ เป็นตระกูล
ขุนพลอย่างยิง่ นี่คือความผิดข้อที่เจ็ด”
รัชทายาทยิ้ม เทียนเซียงกลับกะพริบตา ฮ่องเต้ตงฉี
ยกมือลูกเครา สีหน้าไม่ได้โกรธเหมือนก่อนหน้านี้
แล้ว
“กระหม่อมได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของเหล่า
ทหารหลวง กลับไม่รีบหนีไป อีกทั้งยังยอมให้พวก
เขาล้อมจับ โง่อย่างถึงที่สุด นี่คือความผิดข้อที่แปด”
ฉีหนิงนิ่งมาก “ฝ่าบาท โทษหนักทั้งแปดข้อนี้ เพียง
พอที่จะทำให้กระหม่อมรับโทษประหารชีวิตแล้ว
กระหม่อมสมควรตาย เพียงแต่มีอีกหนึ่งข้อที่
กระหม่อมยังไม่เข้าใจ อยากจะขอคำชี้แนะต่อฝ่า
บาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตงฉีพูดว่า “เจ้ามีอะไรไม่เข้าใจอย่างนั้น
หรือ?”
น้ำเสียงของเขานิ่งมาก ฉีหนิงยกมือคำนับแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท แคว้นฉู่ของเราส่งราชทูตมาที่แคว้นฉีก็เพื่อ
เจรจาเรื่องการอภิเษก ความจริงใจของเรานัน้
สามารถพิสูจน์ได้ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่และ
สำคัญที่สุดสำหรับเรา กระหม่อมไม่ได้มี
ความสามารถอะไรมากมาย แต่ได้รับพระกรุณาจาก
ฝ่าบาทของเราให้รับหน้าทีเ่ ดินทางมาที่นี่ ก็เพราะ
กระหม่อมทำงานได้อย่างรอบคอบเท่านั้น พระองค์
ทรงจัดงานเลี้ยงในคืนนี้ กระหม่อมยังไม่ได้ดื่มสุรา
แม้แต่จอกเดียว เหมือนจะไม่ได้มีอาการเมาแต่อย่าง
ใด ไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าทำไมถึงได้ทำเรื่องเลวทราม
แปดอย่างนั้นได้ หรือว่าแคว้นฉู่เราเห็นเรื่องการ
อภิเษกครัง้ นี้เป็นเรื่องล้อเล่น เลยส่งคนบ้าประสาท
ไม่ดีมาที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงของเขาก่อนหน้านีน้ ิ่งมาก แต่พอถึงประโยค
สุดท้าย กลับเพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้น สีหน้าจริงจังมาก
ขึ้น พระสนมเฉินดูตระหนก จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ฝ่า
บาท เขากำลังแก้ตัว อย่าไปเชื่อเขานะเพคะ หาน
เซียงกับเขาไม่ได้มีความแค้นต่อกัน จะใส่ร้ายเขาได้
อย่างไร? เขาบังอาจมากขนาดนี้ คิดว่าตัวเองเป็นโหว
เยว่ของแคว้นฉู่ เลยไม่กลัวอะไร กล้าทำเรื่องต่ำช้า
แบบนี้ในวังหลวงของตงฉีเรา”
ฮ่องเต้ตงฉีมองไปที่รัชทายาท แล้วถามว่า “รัช
ทายาท เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
รัชทายาทยกมือคำนับแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อ ลูกคิดว่า
ถึงแม้จิ่นอีโหวจะเกิดในตระกูลนักรบของแคว้นฉู่ แต่
เขาก็เล่าเรียนความรู้มีเหตุมีผล อีกทั้งยังกล้าหาญ
ฉลาด เรื่องในวันนี้...” เขาไม่ได้พูดต่อ
องค์หญิงเทียนเซียงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อ ให้
ลูกสอบสวนเรื่องนีเ้ องได้หรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้ตงฉีเหมือนจะเอ็นดูและโปรดองค์หญิงเทียน
เซียงมาก เขาลูบเครายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นเด็กเป็น
เล็ก จะไปรูเ้ รื่องอะไร? อย่าหาเรื่องดีกว่า”
“เสด็จพ่อ ให้ลูกถามสักสองสามคำถาม หากลูกพูด
อะไรผิด ท่านก็ทรงถือว่าลูกพูดจาเหลวไหลก็ได้นี่
นา” องค์หญิงเทียนเซียงจับชายเสื้อของฮ่องเต้ตงฉี
แกว่งไปแกว่งมาแล้วพูดว่า “ท่านก็ทรงรับปากลูกนะ
เพคะ”
ฮ่องเต้ตงฉีถอนหายใจแล้วพูดว่า “แล้วเจ้าคิดจะทำ
อย่างไร?”
องค์หญิงเทียนเซียงหัวเราะ แล้วเดินไปตรงหน้าของ
หานเซียง แล้วถามว่า “หานเซียง ก่อนหน้านี้เจ้า
บอกว่า เจ้าจะไปหาหัวหน้าคลังฝ่ายในเฉินกงกงเพื่อ
เอาผ้าหรือไม่ ข้าพูดถูกหรือไม่?”
หานเซียงก้มหน้าแล้วพูดว่า “เพคะ”
“จางไฉ่ เจ้าพาราชทูตแคว้นฉู่ ไปรอที่ตำหนักจวี
เซียน ถูกหรือไม่?” องค์หญิงเทียนเซียงมองไปที่ขันที
คนหนึ่ง ขันทีคนนั้นคือคนที่นำทางฉีหนิงก่อนหน้านี้
เขารีบตอบว่า “ทูลองค์หญิง กระหม่อมพาจิ่นอีโหว
ไปยังเรือนเล็กของตำหนักจวีเซียน แล้วแจ้งให้จิ่นอี
โหวรอสักครู่อยู่ที่นั่น ฝ่าบาทจะทรงเรียกให้เฝ้าในอีก
ไม่นานพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงเทียนเซียงยิ้มแล้วพูดว่า “เราจะไม่พูดถึง
เรื่องที่จนิ่ อีโหวรู้ทั้งรู้ว่าเสด็จพ่อทรงจะเรียกให้เข้า
เฝ้าแล้วออกไปเดินโดยพลการก่อน จางไฉ่ คลังของ
ฝ่ายในอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว พ่ะย่ะค่ะ” จางไฉ่พูดว่า “ของใช้ประจำวัน
ของในวังทัง้ หมด ถูกเก็บไว้ที่คลังที่อยู่ทางทิศ
ตะวันตกเฉียงเหนือพ่ะย่ะค่ะ”
“จากตำหนักพระสนมเฉินไปยังคลังของฝ่ายใน
จะต้องเดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือทิศตะวันตก
เฉียงเหนือ ส่วนตำหนักจวีเซียนอยูท่ างทิศตะวันออก
เฉียงใต้” องค์หญิงเทียนเซียงยกมือชี้ไป แล้วพูดว่า
“ทั้งสองที่ไม่ได้อยู่ทางเดียวกัน หานเซียง เจ้าเดินไป
ทางตำหนักจวีเซียนหรือเปล่า?”
พระสนมเฉินหน้าถอดสี หานเซียงรีบตอบว่า “ทูล
องค์หญิง หม่อมฉัน...หม่อมฉันไม่ได้ไปทางตำหนักจ
วีเซียนเลยเพคะ”
องค์หญิงเทียนเซียงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็
หมายความว่าจิ่นอีโหวเดินเล่นเองไปทั้งอย่างนั้นสินะ
เขาเดินไปยังทางของคลังหลวง ระหว่างทางก็ไปเจอ
หานเซียงทีก่ ำลังเดินกลับมาจากคลังฝ่ายในอย่างนั้น
ถูกต้องหรือไม่?”
หานเซียงพูดว่า “หม่อมฉัน...หม่อมฉันไม่ได้พบเฉิน
กงกง ดังนัน้ ...ดังนั้นก็เลยเดินย้อนกลับมา ระหว่าง
ทางได้พบกับราชทูตของแคว้นฉู่เข้าเพคะ”
องค์หญิงเทียนเซียงหันไปพูดกับฮ่องเต้ตงฉีว่า “เสด็จ
พ่อ จากตำหนักจวีเซียนไปยังคลังของฝ่ายใน
ระหว่างทางมีกำแพงวังสองด่าน ปกติแล้วจะมีทหาร
หลวงเฝ้าอยู่ เสด็จพ่อเคยออกราชโองการว่า
หลังจากฟ้ามืดแล้วในวังหลวงห้ามมีการไปไหนมา
ไหนโดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาด ยกเว้นว่าจะมีป้าย
คำสั่งของวังหลวงอยู่ในมือ จิ่นอีโหวเป็นราชทูตของ
แคว้นฉู่ ในมือไม่มีป้ายคำสั่งของวังหลวงได้อยู่แล้ว
นะเพคะ”
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาทันที เขายิ้มแล้วพูดว่า “องค์หญิง
ทรงรับสั่งถูกต้องแล้ว กระหม่อมเป็นเพียงขุนนาง
จากแคว้นอื่น ได้รับพระกรุณาให้เข้าวังมาเพื่อ
ร่วมงานเลี้ยง จะมีป้ายคำสั่งของวังหลวงได้อย่างไร
กันพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จพ่อ ไม่มีป้ายคำสั่งของวังหลวงในมือ ท่าน
ราชทูตจะเดินไปเดินมาในวังหลวงอย่างนี้ได้อย่างไร
กันเพคะ?” องค์หญิงเทียนเซียงพูดว่า “ทหารหลวง
พวกนั้นไม่ได้เฝ้าประจำการตามหน้าที่ เสด็จพ่อ
จะต้องโบยก้นพวกเขาให้หนักเลยนะเพคะ”
รัชทายาทพูดว่า “หวงเฉิง คืนนี้เจ้าเข้าเวรใช่
หรือไม่?”
หัวหน้าทหารหลวงที่ชื่อหวงเฉิงหน้าถอดสี จากนั้นก็
ได้ยินรัชทายาทพูดเสียงเข้มว่า “วังหลวงเป็นเขต
พระราชฐานต้องห้าม เจ้าเฝ้าเวรไม่เข้มงวด ปล่อยให้
คนนอกเดินไปไหนมาไหนได้ตามสบาย เสด็จพ่อ
หวงเฉิงมีหน้าที่ แต่กลับไม่ทำตามหน้าที่อย่าง
เคร่งครัด ลูกคิดว่าจะต้องลงอาญาให้หนักนะพ่ะย่ะ
ค่ะ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 653 คิดจะให้ร้ายคนอื่น
ฉีหนิงรู้สึกขำมากในใจของเขารู้ดีว่า หวงเฉิงก็ต้องรับ
คำสั่งมาจากพระสนมเฉิน วางแผนให้เขามาติดกับ
เพียงแต่พระสนมเฉินใจกล้าแต่ไม่มีสมอง หรืออาจ
เป็นเพราะเวลามันสั้นเกินไป เลยทำให้ไม่มีเวลา
วางแผนอย่างรอบคอบ ทำใหแผนการเกิดช่องโหว่
มากขนาดนี้
ก่อนหน้านี้เขาเองก็ยงั กังวลอยู่ว่า หากแผนการนี้เป็น
คนอื่นทีค่ ิด เช่นรัชทายาทหรือแม้แต่ฮ่องเต้ตงฉี และ
บังคับจะลงอาญาให้ได้ เขามีเพียงคนเดียว อธิบายไป
อาจจะไม่เป็นผล ต่อให้เขาจะสามารถหาช่องโหว่ได้
เป็นร้อย อีกฝ่ายก็อาจจะไม่ฟังเขาก็ได้
แต่ว่าแผนการนี้เป็นพระสนมเฉินที่วางแผน ทำให้
เกิดช่องโหว้มากมาย อีกทั้งองค์หญิงเทียนเซียง ก็
เห็นถึงช่องโหว่นั้น
หวงเฉิงได้ยินที่รัชทายาทพูด สีหน้าของเขาก็
เปลี่ยนไป เขาคุกเข่าลงกับพื้น “ฝ่าบาททรงละเว้น
ชีวิตด้วย รัชทายาททรงละเว้นชีวิตด้วย...”
พระสนมเฉินคิดไม่ถึงว่าหวงเฉินจะยอมง่ายแบบนี้ สี
หน้าของเขาเปลี่ยนไป ฉีหนิงแอบรูส้ ึกขำ แผนการ
ของพระสนมเฉินไม่ค่อยเท่าไหร่ เลือกคนยิ่งหนักกว่า
พระสนมกุ้ยเฟยเห็นฮ่องเต้ตงฉีสีหน้าแย่มาก ก็รีบ
ตำหนิว่า “หวงเฉิง เจ้ากลัวอะไร? เจ้าจงรักภักดีทำ
ตามหน้าที่ จะไปกลัวทำไม”
ฮ่องเต้ตงฉีเหลือบไปมองพระสนมเอก นางสั่งว่า
“ทหาร จับตัวหวงเฉิงเอาไว้ เอาตัวไปประหารทันที”
เขาชี้ไปที่นางกำนัลหานเซียงแล้วพูดว่า “ส่วนนาง
คนนี้ โบยจนตาย”
น้ำเสียงของเขานิ่งมาก แต่ว่ารายละเอียดในคำพูด
มันคือการสั่งให้ไปตาย
ฮ่องเต้ออกคำสั่ง ไม่มีใครไม่กล้าไม่ทำตาม ทหาร
ด้านข้างหลายคนเดินขึ้นหน้ามา จับหวงเฉิงกดลง
หวงเฉิงตะโกนแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมถูก
บังคับ เป็น...เป็นคำสั่งของพระสนมเฉิน กระหม่อมมิ
อาจขัดได้...” ระหว่างที่เขาพูด เขาก็ถูกลากตัว
ออกไป เหล่าขันทีเข้ามาลากตัวหานเซียงออกไป
หานเซียงร้องตะโกนว่าถูกใส่ร้าย แต่กลับไม่มีคน
สนใจ
ฉีหนิงยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร พระสนมเฉินสีหน้า
ซีดขาว นางรีบพูดว่า “ฝ่าบาท พวกเขา...” ยังไม่ทัน
พูดจบ ฮ่องเต้ตงฉีก็พูดขึ้นมาว่า “แม้แต่เทียนเซียงยัง
ดูออกเลยว่ามันมีปัญหามากมาย เจ้ายังคิดจะบอกว่า
เจ้าก็คิดใส่ร้ายท่านราชทูตด้วยอย่างนั้นหรือ? โง่เขลา
สิ้นดี ใครก็ได้ เอาตัวนางไปตำหนักเย็น” จากนัน้ เขา
ก็เดินไปเลย
พระสนมเฉินขาอ่อนล้มลงไปนั่งกับพื้น องค์หญิง
เทียนเซียงมองไปที่ฉีหนิง นางยิ้มให้ แล้วเดินตาม
ฮ่องเต้ตงฉีไป ฉีหนิงคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ตงฉีจะทำอะไร
เด็ดขาดขนาดนี้ พริบตาเดียวก็จัดการทุกอย่างจน
เรียบร้อย แต่พอคิดีดีแล้ว ฮ่องเต้ตงฉีเองก็เป็นคน
เลือดเย็น ตอนที่ล้มอดีตรัชทายาทได้แล้วแทนที่ เขา
เองก็ไม่ธรรมดา เรื่องแค่นเี้ ขาก็น่าจะมองออกแต่แรก
อยู่แล้ว
รัชทายาทเดินขึ้นหน้ามา เขายิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอี
โหว ทำให้ท่านต้องตกใจแล้วนะ อย่าได้ถือสาเลย”
เขาเหลือบไปมองพระสนมเฉิน เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เสด็จพ่อสั่งให้จัดงานเลี้ยงไว้แล้ว เชิญ”
ฉีหนิงเห็นพระสนมเฉินเหมือนสติหลุดอยู่บนพื้น นาง
กำนัลด้านหลังของนางเองก็เช่นกัน ผู้หญิงคนนี้ถึงแม้
จะโง่ แต่ว่าก็น่าสงสารอยู่ นางอยากแก้แค้นให้ลูก
ชาย ถึงได้วางแผนนี้ขึ้นมา แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะ
กลายเป็นแบบนี้ไปได้ อีกทั้งตัวนางก็ถูกสั่งให้ไปอยู่
ตำหนักเย็น
ใครก็บอกว่าฮ่องเต้ตงฉีโปรดปรานพระสนมเฉินคนนี้
มาก กลับคิดไม่ถึงเลยวว่าวันนี้เขากลับไร้เยื่อใย
ขนาดนี้ สั่งให้นางไปอยู่ตำหนักเย็น อยู่กับราชา
เหมือนอยู่กับเสือ แต่ว่าเรื่องนี้ ฮ่องเต้ตงฉีกลับสั่งให้
พระสนมคนโปรดไปอยู่ตำหนักเย็น ทำให้ฉีหนิงรู้สึก
ตกใจมาก
ฉีหนิงเดินตามรัชทายาทที่นำทาง ไปยังตำหนักจวี
เซียน ระหว่างทางเขารู้สึกว่ารัชทายาทดูอารมณ์ดี
มาก ตั้งแต่ตำหนักของพระสนมเฉินถึงตำหนักจวี
เซียน ไม่ได้ไกลมาก ตลอดทาง รัชทายาทเดิน
แนะนำอะไรหลายอย่างให้เขารู้จัก อย่างเช่นว่าภูเขา
ปลอมในสวนนำมาจากไหน ต้นไม้ใหญ่ขนย้ายมา
จากไหน ดูกระตือรือร้นมาก
ฉีหนิงเองก็ต้องยิ้มแล้วก็ฟัง บางครั้งก็ตอบกลับไป
อย่างเป็นพิธี แต่ว่าในใจกลับรู้สึกว่า เรื่องทีเ่ กิดขึ้นใน
คืนนี้ คนที่โชคร้ายที่สุดก็น่าจะเป็นพระสนมเฉิน แต่
คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดกลับไม่ใช่เขา แต่เป็นรัช
ทายาท
ถึงแม้จะบอกว่าต้วนเสาเป็นองค์รัชทายาทเพียงหนึ่ง
เดียวของตงฉี แต่ว่ามกุฎราชกุมารก็คือ
มกุฎราชกุมาร ไม่มีทางเป็นฮ่องเต้ไปได้ ในฐานะพระ
สนมคนโปรด เหมือนว่าพออ๋องหลินจื่อไม่อยู่แล้ว
ตำแหน่งอำนาจของพระสนมก็ไม่เหมือนเดิมอีก
ไม่ได้มีอันตรายใดๆ ต่อรัชทายาท แต่ฉีหนิงกลับรู้ดี
ว่า ถึงแม้ฮ่องเต้ตงฉีจะดูอายุมากแล้ว แต่ไม่ได้
หมายความว่าพระสนมเฉินจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีก พระ
สนมเฉินอยู่ในวังหลังก็เป็นที่โปรดปรานมาก ก็
รับประกันไม่ได้ว่าพระสนมเฉินจะคลอดองค์ชาย
ออกมาไม่ได้อีก
ถึงแม้เรื่องพวกนี้จะยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้
หมายความว่ามันจะไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อวันนี้พระ
สนมเฉินถูกสั่งให้ไปอยู่ตำหนักเย็น ก็ไม่มีทางมีลูกได้
อีก อีกทั้งยังไม่สามารถเป็นภัยต่อรัชทายาทได้อีก
รัชทายาทคุยติดลมมาก ฉีหนิงเห็นเขาอารมณ์ดี ก็
แอบคิดไม่ได้ว่า พระสนมเฉินแอบวางแผนให้เขามา
ติดกับ ไม่แน่ว่าแผนการของนางในวันนี้ เบื้องหลัง
อาจจะมีเงื่อนงำอะไรก็ได้
ฉีหนิงรู้ดีว่าพระสนมเฉินวางแผนแบบนี้ เพราะแค้น
เขามาก พระสนมรู้ว่าอ๋องหลินจื่อตายเพราะอะไร
แต่ว่านางรู้การตายอย่างไร? หากมีคนตั้งใจทำให้
พระสนมเฉินแค้นใจ อีกทั้งบอกว่าคืนนี้เขาจะเข้าวัง
มาร่วมงานเลี้ยง ดังนั้นพระสนมเฉินก็จะกลายเป็น
หมากที่ถูกหลอกใช้ สุดท้ายกรรมตามสนอง มันก็
เป็นไปได้
ฉีหนิงรู้ดีว่ารัชทายาทคนที่อยู่ตรงหน้าเจ้าเล่ห์แค่ไหน
หลายเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็เกี่ยวข้องกับเขาทั้งหมด แต่
ว่าทุกอย่างมันเป็นการคาดเดาเท่านัน้ ไม่ได้มี
หลักฐานว่ามันเกี่ยวกับรัชทายาทเลย
ระหว่างที่พูดกัน ก็มาถึงตำหนักจวีเซียน ภายใน
ตำหนักสว่างไสว สีทองเหลืองอร่าม สำหรับวังหลวง
ฉี มีแต่ความหรูหรา มันทำให้ฉีหนิงเริ่มชินแล้ว
ฮ่องเต้ตงฉีนั่งอยูบ่ ัลลังก์สีทอง องค์หญิงเทียนเซียงก
ระซิบพูดอะไรบางอย่างอยู่ ฮ่องเต้ตงฉีรักและโปรด
องค์หญิงเทียนเซียงมาก เขาลูบเคราแล้วยิ้ม รัช
ทายาทเดินนำฉีหนิงเข้าตำหนักมา มีโต๊ะว่างอยู่สอง
โต๊ะ ซ้ายหนึ่งที่ขวาหนึ่งที่ ฉีหนิงคำนับฮ่องเต้ตงฉี
ฮ่องเต้ส่งสัญญาณให้พวกเขาสองคนนั่งลง องค์หญิง
เทียนเซียงขอตัวกลับออกไปก่อน
รัชทายาทกับฉีหนิงไปนัง่ กันคนละด้าน นางกำนัลนำ
อาหารมาให้ ฉีหนิงรู้ดีว่า อ๋องอวี้แห่งเป่ยฮั่นหายตัว
ไป คืนนี้ฮ่องเต้ตงฉีจัดงานเลี้ยง อีกทั้งไม่มีขุนนางคน
อื่นมาร่วมงานด้วย ไม่เพียงแค่ต้องการเลี้ยงปลอบ
ขวัญเขาแน่นอน แต่เขารู้ว่าในเวลาแบบนีเ้ ขาต้องนิ่ง
ให้มากที่สุด พูดให้น้อยที่สุดเป็นดี
ฮ่องเต้ตงฉีเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว
ท่านกลับมาอย่างปลอดภัย ข้ารู้สึกดีใจมาก ข้ายัง
ห่วงอยู่เลยว่านักฆ่านั่นจะทำร้ายเจ้าหรือเปล่า”
ฉีหนิงยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ทูลฝ่าบาท นักฆ่านั่น
จับตัวกระหม่อมไป พอรู้ว่ากระหม่อมเป็นราชทูต
แห่งแคว้นฉู่ หลังจากออกนอกเมืองไป ถึงที่ที่
ปลอดภัยแล้ว นางก็ไม่ได้ทำให้กระหม่อมลำบากใจ
เพียงเพราะฝนตกหนักเลยเสียเวลากลับมา”
“อ๋อ?” ฮ่องเต้ตงฉียิ้ม “จิ่นอีโหวรู้ที่มาของนักฆ่าคน
นั้นหรือไม่?”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมรู้เพียงว่าเป็น
คนที่องค์ชายเฟิงเป็นผู้พาเข้ามาในวัง เรื่องอืน่
กระหม่อมไม่ทราบเลย ฝ่าบาททรงบาดเจ็บตรงไหน
หรือเปล่า?”
“นักฆ่าตัวเล็กๆ จะทำอะไรข้าได้อย่างไร?” ฮ่องเต้
ตงฉีพูดว่า “จิ่นอีโหว ท่านรู้สึกว่านักฆ่านั่นชาวเป่ย
ฮั่นตั้งใจพาเข้ามาเพื่อสังหารข้าให้ตายหรือเปล่า?”
ฉีหนิงแอบสะดุ้งในใจ แอบคิดในใจว่าฮ่องเต้ตงฉีรู้ทั้ง
รู้ว่าชื่อตันเหมยคือนักฆ่าคนนั้น เป่ยถังเฟิงถูกหลอก
เท่านั้น ทำไมถึงยังได้ถามอะไรแบบนี้อีก? แต่ท่าทาง
ของเขายังนิ่ง เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทแคว้น
ฉู่กับแคว้นฮั่นไม่ถูกกันก็จริง แต่ว่านักฆ่าที่มาลอบ
สังหารฝ่าบาทในครั้งนี้ มันเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่มี
หลักฐาน กระหม่อมไม่กล้าพูดเหลวไหล”
ฮ่องเต้ตงฉีลูบเคราแล้วพูดว่า “ท่านเป็นคนสุขุมมาก
ข้ายังคิดว่าท่านจะต้องชี้ว่าเป็นความผิดของชาวเป่ย
ฮั่นแน่นอน”
“ไม่มีหลักฐาน หากกระหม่อมพูดตัดสินอะไรไป มัน
จะเป็นการหลอกลวงเบื้องสูง” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด
ฮ่องเต้ตงฉีลูกเครา แล้วพูดว่า “ท่านอ๋องอวี้แก้ต่าง
อย่างถึงที่สุด ข้าเกือบจะเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวก
เขาแล้ว ข้ายังคิดว่า ชาวเป่ยฮั่นกล้าหาญ น่าจะไม่
ต้องใช้นักฆ่าลอบเข้าวังมาหรอก จนกระทั่งเมื่อวานนี้
ข้าถึงได้เข้าใจ” เขาตบโต๊ะอย่างแรงแล้วพูดว่า “ชาว
เป่ยฮั่นชั่วช้า กล้าใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้มาลอบสังหารข้า”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว รัชทายาทพูดขึ้นมาว่า “จิ่นอีโหว
ท่านอ๋องอวี้กับเป่ยถังเฟิงหนีออกนอกเมืองไป
จะต้องเกิดความกลัวแน่ พวกเขาวางแผนการลอบ
ปลงพระชนม์ในครั้งนี้ พอล้มเหลว ก็เลยหนีไป” เขา
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหวรู้หรือเปล่าว่านักฆ่า
นั่นเป็นใคร?”
ฉีหนิงถามว่า “ทรงรู้ตัวคนร้ายแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ที่จริงแล้วนักฆ่านั่นเป็นชาวแคว้นฉีของเรา” รัช
ทายาทพูดว่า “เสด็จพ่อทรงปกครองทั่วทั้งแคว้นฉี ก็
อาจจะมีบางคนที่ไม่สำนึกในพระกรุณาอยู่บ้าง เกิด
ความไม่พอใจแค้นเคืองเสด็จพ่อ นักฆ่านั่นวางแผน
ลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อมานานแล้ว แต่ไม่มี
โอกาสเลย ครั้งนางร่วมมือกับชาวเป่ยฮั่น แคว้นฮั่น
คิดร้ายกับแคว้นฉีเรามานาน แต่ว่าพอเสด็จพ่อได้นั่ง
บัลลังก์ พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไร ดังนั้นชาวเป่ยฮั่น
คิดอยากทำให้เราวุ่นวายมาตลอด พวกเขาเลยฉวย
โอกาสในคราวนี้”
ฉีหนิงพยักหน้าตาม เขาตั้งใจฟังมาก คิดในใจว่างาน
เลี้ยงในคืนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ รัชทายาทพูดขึ้นมา
ว่า “ชาวเป่ยฮั่นจะต้องร่วมมือกับนักฆ่านั่นแน่นอน
การที่พวกเขาส่งราชทูตมาที่แคว้นเราเพื่อเจรจา
เชื่อมสัมพันธไมตรีไม่ใช่เรื่องจริง แต่การลอบสังหาร
เสด็จพ่อมันคือเรื่องจริง”
“รัชทายาททรงหมายความว่า การลอบปลงพระชนม์
ในครั้งนี้ เป็นแผนของชาวแคว้นฮั่นอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง” รัชทายาทพยักหน้าแล้วพูดว่า “นักฆ่านั่น
มีแค่คนเดีว ต้าฉีเราพอจะรู้มาบ้าง นางไปเข้ากับเป่ย
ฮั่น เป่ยฮั่นก็ต้องยินดีอยู่แล้ว พวกเขาวางแผนมา
อย่างรอบคอบ เป่ยถังอวี้มาที่นี่ในฐานะราชทูต เดิมก็
เป็นความตั้งใจของพวกเป่ยฮั่น”
ฉีหนิงรู้ความจริงเรื่องนี้ดี การลอบปลงพระชนม์ใน
ครั้งนี้ มันไม่เกีย่ วข้องกับชาวเป่ยฮั่นเลย แต่สองพ่อ
ลูกนี่กลับพูดแบบนี้ ฉีหนิงรู้สึกว่าเรือ่ งนี้มันต้องมี
อะไรแน่นอน แต่ตอนนี้เขายังเดาไม่ออกว่าพวกเขา
คิดอะไรอยู่ เขาถามว่า “รัชทายาท เป่ยฮั่นเองก็มีนัก
ฆ่า ทำไมจะต้องให้นักฆ่าแคว้นฉีเป็นคนลงมือด้วย?”
“นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ร้ายกาจมากของพวกเขา” รัช
ทายาทพูดว่า “ครั้งนีน้ ักฆ่าหนีรอดไปได้ หากหนีไป
ไม่ได้ ถูกเราจับได้ เราก็จะรู้ทนั ทีว่านักฆ่าเป็นชาว
แคว้นฉี ชาวเป่ยฮันเตรียมตัวมาพร้อมสำหรับความ
ล้มเหลว หากพลาด พวกเขาก็จะพูดตามที่พวกเขา
วางเอาไว้ อย่างที่เห็น หลังจากทีน่ ักฆ่าพลาด ชาว
เป่ยฮั่นก็บอกว่านักฆ่าหลอกลวงเป่ยถังเฟิง หากนัก
ฆ่าถูกจับได้ ณ ที่เกิดเหตุ รู้ว่านักฆ่าเป็นชาวแคว้นฉี
พวกเขาก็จะบอกว่าพวกเขาเป่ยฮั่นทำไมจะต้องใช้
นักฆ่าแคว้นฉีด้วย? จิ่นอีโหว ท่านอย่าลืมนะว่า เป่ย
ถังอวี้เป็นบัณฑิต วาทะศิลป์ของเขาไม่ธรรมดา ก่อน
หน้านี้ เขาก็เตรียมการเผื่อพลาดมาแล้ว พวกเขาแก้
ตัวว่าไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเอาไว้แล้ว”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่าง
นั้น ชาวเป่ยฮั่นนี่ก็ชั่วช้าจริงๆ”
“แต่คราวนี้ล้มเหลว แคว้นฉีของเรากำลังตรวจสอบ
เรื่องนี้อยู่ เป่ยถังอวีเ้ ลยพาเป่ยถังเฟิงหนีความผิดไป”
รัชทายาทถอนหายใจแล้วพูดว่า “เราไม่เชื่อใจชาว
เป่ยฮั่นไม่ได้เลย คิดว่าแคว้นใหญ่อย่างนั้น จะใช้
วิธีการชั่วช้าแบบนี้ ดูจากตอนนี้ เราประเมินพวกเขา
ต่ำเกินไป”
ฉีหนิงคิดในใจว่าอ๋องอวี้อาจจะไม่ได้หนีความผิดก็ได้
เขาแกล้งจริงจังว่า “ฝ่าบาท รัชทายาท ได้ส่งคนไป
ตามจับท่านอ๋องอวี้แล้วหรือยัง?”
รัชทายาทส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อพวกเขา
วางแผนเอาไว้แล้ว คิดว่าแม้แต่เส้นทางก็คงวางแผน
เอาไว้แล้ว คิดอยากจะไปไล่จับ ไม่งา่ ยเลย” เขาพูด
ว่า “แต่ว่าพวกเขาโหดร้ายมาก กล้าทิ้งคณะทูต
ทั้งหมดไว้ที่นี่ พวกเขาก็น่าจะหนีไปไกลมาก”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 654 การทหารบนภาพวาด
ตำหนักจวีเซียนหรูหรามาก แต่น้ำเสียงของรัช
ทายาทกลับดูเลือดเย็นมาก
ฉีหนิงรู้ดีว่าคณะทูตแคว้นฮั่นคิดอยากจะกลับไป
อย่างปลอดภัย มันไม่น่าจะใช่เรื่องง่าย หากเป็น
เพราะเรื่องนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น
สิ้นสุดลง สำหรับแคว้นฉู่แล้ว มันเป็นข่าวคราวที่ดี
มากๆ
แต่เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ธรรมดาแบบนัน้
“ชาวแคว้นฮั่นคิดอยากจะยกหม่าหลิงซานมาสู่ของ
เทียนเซียงของข้า” ฮ่องเต้ตงฉีพูดว่า “ข้าจะเอาองค์
หญิงไปแลกเปลี่ยนได้ยังไงกัน?” น้ำเสียงของเขาดูไม่
พอใจมาก มันทำให้ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก ที่
ตำหนักใหญ่ คณะราชทูตแคว้นฮั่นบอกว่าจะยก
หม่าหลิงซานให้ ฉีหนิงเห็นเองกับตาว่าฮ่องเต้ตงฉี
ตื่นเต้นแค่ไหน
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจ” ฉีหนิงยกมือคำนับ
แล้วพูดว่า “วันนี้องค์รัชทายาททรงเสด็จไปยังเรือน
รับรอง กระหม่อมทูลไปแล้วว่าจะส่งผลของการ
เจรจาในครั้งนี้กลับไปยังเจี้ยนเย่ รัชทายาททรงบอก
ให้กระหม่อมอย่าเพิ่งใจร้อน ฝ่าบาททรงยังไม่ได้
ตัดสินพระทัย ดังนั้น......”
ฮ่องเต้ตงฉีพยักหน้า แล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจ
ความหมายของท่านดี จิ่นอีโหว หากข้าจะยกองค์
หญิงให้กับแคว้นฉู่ แคว้นฉู่จะแต่งตั้งเทียนเซียงเป็น
ฮองเฮาเลยหรือเปล่า?”
ฉีหนิงลุกขึ้นมา ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ทูลฝ่าบาท
กระหม่อมสามารถเอาชื่อเสียงของจิน่ อีตระกูลฉีเป็น
ประกัน การสู่ขอองค์หญิงทรงเสด็จยังแคว้นฉู่ในครัง้
นี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ก่อนที่กระหม่อมจะเดินทางมา
ที่นี่ ฝ่าบาทของเรากำชับไว้ว่า ต้องเจรจาด้วยมิตร
กับแคว้นฉี ยังบอกอีกว่าไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ แคว้นฉู่
ต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นฉี หากฝ่าบาท
ทรงยินดี ยกองค์หญิงเทียนเซียงให้กับต้าฉู่ของเรา
ถือเป็นเกียรติสูงสุดของต้าฉู่เรา ฝ่าบาทก็จะทรง
แต่งตั้งองค์หญิงเป็นฮองเฮาทันที”
ฮ่องเต้ตงฉียิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว ข้าเชื่อว่าแคว้นฉู่
ของพวกท่านจริงต่อแคว้นของเรามาก ข้าตัดสินใจ
แล้ว ข้าอนุญาตตามคำของแคว้นฉู่ ยกเทียนเซียงให้
แต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นฉู่”
ถึงแม้ฉีหนิงจะพอเดาออกล่วงหน้าแล้ว แต่เมื่อ
ฮ่องเต้ตงฉีพูดออกมาด้วยตัวเอง ก็ยังทำให้เขาอดดี
ใจมากไม่ได้
ตั้งแต่ฉีหนิงข้ามภพมา กลายมาเป็นจิ่นอีโหวโดย
ไม่ได้ตั้งใจ เริ่มแรกเข้าเมืองหลวงมาก็เพื่ออาศัย
อำนาจของจิ่นอีโหวตามหาเสี่ยวเตี๋ย แต่เสี่ยวเตี๋ย
กลับถูกคนจับตัวไป ไม่มีข่าวคราว อีกทั้งจวนจิน่ อี
โหวเองก็ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
เดิมจวนจิ่นอีโหวตกที่นั่งลำบากมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไร
กับเขา แต่ว่าคิดถึงว่าจวนจิ่นอีโหวเสื่อมอำนาจลง กู้
ชิงฮั่นก็อาจจะมีจุดจบที่ไม่ดีนัก เขากลับอยู่ในจวน
จิ่นอีโหวต่อเพราะกู้ชิงฮั่น หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่าเขา
กับฮ่องเต้แคว้นฉูน่ ั้นรู้จกั กันมาก่อน ฮ่องเต้องค์ใหม่
ขึ้นครองราชย์ ในมือไม่มีคนที่ไว้ใจได้ เลยให้
ความสำคัญกับเขา ฉีหนิงรู้สึกชื่นชมในความสามารถ
ของฮ่องเต้น้อยมาก อีกทั้งความรุ่งเรืองและความ
เสื่อมถอยนั้นมันก็ขึ้นอยูก่ ับฮ่องเต้นอ้ ย ตอนนั้นเขา
เลยรู้ทันทีว่า ต้องรักษาปกป้องฮ่องเต้น้อยเอาไว้ให้
ได้ เพื่อปกป้องจวนจิน่ อีโหวเอาไว้
ในเมื่อเขาเห็นผลของประโยชน์กบั โทษแล้ว เขาเลย
ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ฮ่องเต้น้อยรักษาบัลลังก์นี้ไว้
ให้ได้ การเดินทางมาตงฉีในครั้งนี้ มันคือภาระหน้าที่
ที่ใหญ่มาก สำหรับฮ่องเต้น้อยแล้วมันคืออำนาจ
ขนาดใหญ่ หมากก้าวนี้สำคัญมาก ก่อนที่ฉีหนิงจะมา
ที่ตงฉี ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จให้
ได้
เขารู้ดีอยู่แล้วว่า เมื่อกล้ารับงานนี้มาแล้ว ก็ไม่มีทาง
ถอยอีก หากพลาด กลุ่มอำนาจทั้งสองฝ่ายก็จะอาศัย
เรื่องนีเ้ บ่งอำนาจกัน อีกทั้งยังจะยื่นหอกมาที่จิ่นอี
โหวตระกูลฉีด้วย เมื่อได้ยินฮ่องเต้ตงฉีพูดรับปาก
ด้วยตัวเองแบบนี้ ก็เหมือนเขายกภูเขาออกจากอกไป
แต่ว่าเขาไม่ใช่คนที่แสดงออกทางสีหน้าเท่าไหร่ เขา
ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “กระหม่อมขอบพระทัย
ฝ่าบาทที่ทรงประทานอนุญาต หากฝ่าบาทของเรา
ทรงทราบเรื่อง จะต้องทรงยินดีมากแน่นอน
กระหม่อมจะรีบให้ม้าเร็วส่งสารถวายฎีกากลับไปให้
ทรงทราบในวันนี้เลย”
รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว ข้าก็บอกไปแล้ว
ว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรอย่าเพิง่ ใจร้อนเกินไป เสด็จพ่อ
ทรงพระปรีชา จะไม่รู้ว่าชาวเป่ยฮั่นเป็นคนสองหน้า
ได้ยังไง สำหรับพวกเขาแล้ว เราแคว้นตงฉีจะไม่มี
ทางเชื่อเด็ดขาด”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “รัชทายาททรงตรัสถูกต้อง
แล้ว”
“เพียงแต่ชาวเป่ยฮั่นลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อใน
ครั้งนี้ ชั่วช้ามาก หากไม่สั่งสอนพวกเขาบ้าง พวกเขา
อาจจะคิดต้าฉีของเราไร้น้ำยา” รัชทายาทกันไปพูด
กับฮ่องเต้ตงฉีว่า “เสด็จพ่อ ลูกขออนุญาต เรา
จะต้องสั่งสอนชาวเป่ยฮั่นให้ได้”
ฮ่องเต้ตงฉียกแก้วเหล้าขึ้นดื่มแล้วพูดว่า “แล้วเจ้าจะ
ทำยังไง?”
“ชาวเป่ยฮั่นไม่ได้จะยกหม่าหลิงซานให้เราหรือ? รัช
ทายาทยิ้มแล้วพูดว่า” ต้าฉีของเราไม่จำเป็นต้องให้
พวกเขามายกดินแดนบางส่วนให้หรอก เราต้าฉีมี
ทหารมากมาย เราไปยึดมาด้วยตัวเองก็ได้ มันไม่ใช่
เรื่องยากเลย"
ฉีหนิงสะดุ้ง ฮ่องเต้ตงฉีพูดว่า “รัชทายาท ถึงแม้ชาว
เป่ยฮั่นจะต่ำช้า แต่ทหารของพวกเขาก็มีมาก ต้าฉี
ของเราสู้ไม่ได้หรอกนะ เจ้าอ่อนประสบการณ์เกินไป
เจ้าจะใช้อารมณ์แบบนี้ไม่ได้นะ”
รัชทายาทกลับยิ้มแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อ ท่านอย่าทรง
ลืมไปสิว่า เทียนเซียงคราวนี้แต่งไปต้าฉู่ หลังจากนี้
เป็นต้นไป เราต้าฉีกับแคว้นฉู่ก็จะมีสัมพันธ์ในฐาน
แคว้นที่แต่งงานกัน หลายปีที่ผ่านมา ชาวเป่ยฮั่นไม่
เพียงจ้องจะตีต้าฉีของเรา อีกทั้งยังอยากจะยึด
ดินแดนของแคว้นฉู่อีกด้วย พวกเขาต้องการเป็นใหญ่
ศึกใหญ่ที่ฉินไหว มีชาวบ้านของแคว้นฉู่มากมายไร้ที่
อยู่ต้องเร่ร่อนไปทั่ว ทหารของแคว้นฉู่ก็ตายไปมาก
ลูกรู้สึกว่า ความแค้นที่แคว้นฉู่มีต่อแคว้นฮั่นนั้น ไม่
น่าจะลืมได้เลย” ขณะที่เขาพูด เขาก็มองไปที่ฉีหนิง
ฉีหนิงยิ้มแล้วพยักหน้า แล้วพูดว่า “แคว้นฮั่น
ทะเยอทะยาน แคว้นฉูเ่ ราไม่มีทางให้พวกเขารุกราน
หรือรังแกแน่นอน”
รัชทายาทพูดอย่างจริงจังว่า “ศึกทีฉ่ ินไหว แคว้น
ของท่านสูญเสียเขตแดนทางเหนือไปสองที่ หรือว่า
แคว้นของพวกท่านไม่อยากชิงมันกลับมา? ทหาร
ของท่านจิ่นอีเหล่าโหวไร้เทียมทาน ชิงสองเขตทาง
เหนือของแม่น้ำหวยเห๋อมาได้ แต่ตอนนี้ถูกชาวเป่ย
ฮั่นยึดเอาไป นี่ไม่เพียงแก้แค้นให้กับแคว้นฉู่ได้ ยังแก้
แค้นให้กับจิน่ อีตระกูลฉีได้ด้วย”
ฉีหนิงเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว สีหน้าของเขาจริงจัง
มาก “รัชทายาททรงตรัสถูกแล้ว สองเขตแดนทาง
เหนือที่เราเสียไป เป็นความเจ็บปวดของแคว้นฉู่ของ
เรามาก”
รัชทายาทมองไปที่ฮ่องเต้ตงฉี ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อ
เราทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ก็จะต้องทำให้ชาว
เป่ยฮั่นได้เห็นถึงบารมีความร่วมมือของเราทั้งสอง
แคว้น หากเราแคว้นฉีสามารถชิงเอาหม่าหลิงซานมา
ได้ ส่วนแคว้นของท่านสามารถชิงเขตแดนสองเขต
นั้นกลับมาได้ มันจะต้องกระทบต่อเป่ยฮั่นแน่นอน
เมื่อนั้นเป่ยฮั่นจะต้องไม่กล้าอวยดีอีกแน่นอน”
ฉีหนิงมั่นใจแล้วว่า ที่ฮ่องเต้ตงฉีจัดงานเลี้ยงในคืนนี้
ก็เพราะวางแผนจะให้ทั้งสองแคว้นร่วมมือกันบุก
โจมตีเป่ยฮั่น
ในใจของเขารู้สึกตกใจมาก อีกทั้งยังรู้สึกสงสัยด้วย
เห็นสายตารัชทายาทเป็นประกายมาก แสดงว่าเขา
รู้สึกตื่นเต้นเรื่องการร่วมกำลังทหารในการบุกฮั่น
มาก แต่ว่าความตื่นเต้นนี้มันมาจากไหนกัน?
ฉีหนิงไม่เชื่อว่าแคว้นฉีคิดอยากจะแก้แค้นแคว้นฮั่น
จนวางแผนแบบนี้ขึ้นมาได้
ฮ่องเต้ตงฮีรู้อยู่แล้วว่าทำไมชื่อตันเหมยทำไมถึงลอบ
เข้าวังไปสังหารเขา เรื่องของจวนอดีตรัชทายาทคนที่
ยังมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวก็คือชื่อตันเหมย นางถูกเจ้า
เกาะไป๋อวิ๋นพากลับไปทีเ่ กาะ ฮ่องเต้ตงฉีตอนนั้นยัง
ไม่ได้ขึ้นครองราชย์ เลยไม่กล้าจะเป็นศัตรูกับเจ้า
เกาะไป๋อวิ๋น ดังนั้นในหลายปีที่ผ่านมา เขาระแวง
การมีชีวิตของชื่อตันเหมยมาก
การปลงพระชนม์ในครัง้ นั้น หากบอกว่าชื่อตันเหม
ยลอบเข้าไปสังหาร บอกว่าฮ่องเต้ตงฉีวางแผนล่อให้
ชื่อตันเหมยเข้าไปติดกลับจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเซา
หนูกับหวังหนูจะปลอมตัวเป็นขันทีไปอยู่คุ้มกัน
ฮ่องเต้ตงฉีได้ยังไงกัน มันก็แสดงว่าฮ่องเต้ตงฉีรู้อยู่
แล้วว่าชื่อตันเหมยจะต้องลงมือแน่นอน
ในเมื่อเขารู้อยูแ่ ล้วว่าชื่อตันเหมยต้องการจะฆ่าเขา
เขาเองก็รู้ว่าวันนั้นจะต้องมีคนมาลอบสังหารเขา
คณะทูตเป่ยฮั่นเลยกลายเป็นแพะในเรื่องนี้ไป
วันนี้สองพ่อลูกแคว้นฉีแสดงละครฉากใหญ่ ทำราว
กับว่าเป่ยฮัน่ เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารในครั้งนี้
แล้วเกลียดเป่ยฮั่นมาก ๆ
หากไม่ใช่เพราะการลอบสังหาร ฉีหนิงคิดไม่ออกเลย
ว่าทำไมพวกเขาถึงได้เปลี่ยนท่าทีไปในเวลาสั้นๆ
แบบนี้ได้ เริ่มแรกเหมือนต้องการแต่งงานเชื่อม
สัมพันธ์กับเป่ยฮั่น พริบตาเดียวก็อยากจะร่วมมือกับ
แคว้นฉู่เพื่อบุกโจมตีเป่ยฮั่น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือน
เป็นแค่เกม แต่ฉีหนิงรู้ดีว่าด้วยความฉลาดของสอง
พ่อลูก ไม่มีทางเล่นเกมแบบนี้แน่นอน
แคว้นฉีอยากบุกโจมตีแคว้นเป่ยฮั่น มันทำให้ฉีหนิง
รู้สึกแปลกใจมาก
นโยบายของแคว้นฉี คือการสร้างสมดุลอยู่ตรงกลาง
ระหว่างสองแคว้น แต่ว่าตอนนี้กลับอยากจะกระทำ
การที่โง่เขลา ร่วมมือทางทหารกับแคว้นฉู่ในการบุก
โจมตีแคว้นฮั่น ฉีหนิงมั่นใจว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรที่
ใหญ่มากขึ้นแน่นอน ไม่อย่างนัน้ หากแคว้นฉีอยาก
ร่วมมือทางการทหารกับแคว้นฉู่บกุ แคว้นฮั่นจริง
หลายปีที่ผ่านมามีโอกาสอยู่ตลอดเวลา แคว้นฉู่ก็เต็ม
ใจอยู่แล้ว แคว้นฉีทำไมถึงต้องจนป่านนี้ถึงจะคิดได้?
รัชทายาทเห็นฉีหนิงดูตกใจ เลยหันไปมองหน้า
ฮ่องเต้ตงฉี เขาตบมือ เห็นขันทีสองคนเดินออกมา
รัชทายาททำสัญญาณมือฉีหนิงเห็นขันทีสองคนนั้น
กางม้วนภาพที่ทำขึ้นมาออก รัชทายาทลุกขึ้น แล้ว
เดินไปที่หน้าม้วนภาพ เขายิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว
ลองมานี่สิ”
ฉีหนิงลุกขึ้นแล้วเดินไป ตอนนี้เขาเห็นชัด มันคือภาพ
แผนที่ เขากวาดสายตามองไป เขาจำได้มันคือภาพที่
ในตอนนี้ แผนที่ของแคว้นฮั่นฉู่ฉีสามแคว้น แต่ว่า
สัญลักษณ์ในแผนที่ไม่ได้ละเอียดมากนัก โดยเฉพาะ
ในหลายๆ ที่ของแคว้นฮั่นกับแคว้นฉู่ ด่านอันตราย
ต่างๆ ไม่ได้มีการระบุชัดเจน แผนทีภ่ าพรวมเป็น
ภาพที่คราวๆ ในปัจจุบัน
“จิ่นอีโหว นี่เป็นเขตทางเหนือที่แคว้นฉู่เคยถือครอง
เขตจวีหยางกับเขตเฉิน” รัชทายาทรับก้านไม้ไผ่มา
แล้วชี้ไปที่แผนที่ แล้วพูดว่า “ในตอนนั้นสองเขตนี้
อยู่ในมือของแคว้นฉู่ มันก็เหมือนมีดสั้นเล่มหนึ่ง ทิ่ม
ไปที่ท้องของเป่ยฮั่น”
ฉีหนิงตอนนี้เห็นชัดแล้วว่า เขตจวีหยางกับเขตเฉิน
อยู่ในพื้นที่หวยเป่ย ซึ่งมันไปอยู่ในเขตพื้นที่ของ
แคว้นฮั่นในแผนที่ รัชทายาทย้ายก้านไม้ไผ่ ไปด้าน
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วพูดว่า “ตรงนี้คือหม่าห
ลิงซาน จิ่นอีโหว ท่านลองดูให้ดีดี ทั้งสองจุดนี้ มัน
กลายเป็นจุดโจมตีที่สำคัญหรือไม่?”
ฉีหนิงกวาดสายตาดู เขาพยักหน้า รัชทายาทยิ้มแล้ว
พูดว่า “จากเขตเฉินถึงหม่าหลิงซานพื้นที่ส่วนนี้ คือ
เขตเฉิงฝูกับติ้งถาวของแคว้นฮั่น หากแคว้นฉู่ได้เขตจ
วีหยางกับเขตเฉินกลับมา แคว้นฉีได้หม่าหลิงซาน
เขตเฉิงฝูกับติ้งถาวของแคว้นฮั่นลูกไก่อยู่ในกำมือ
เราสามารถยึดมาโดยง่าย เมื่อเป็นอย่างนี้ ขอแค่การ
รบราบรืน่ เราก็จะยึดเขตของแคว้นฮั่นได้อย่างน้อย
ห้าเขต อำนาจของแคว้นฮั่นก็จะลดลงไป”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “รัชทายาท แคว้นฉู่อยาก
ได้สองเขตนั้นคืนมาตลอด แต่ว่าด้วยสถานการณ์ใน
ปัจจุบนั มันไม่เหมือนเดิม แคว้นฉีจะบุกโจมตีหม่าห
ลิงซาน อาจจะไม่ได้มีอุปสรรคอะไรมาก แค่ก้าวเท้า
ไปก็ถึงหม่าหลิงซานแล้ว ด้วยกำลังของแคว้นฉีเอง
อยากจะยึดเอาทุกอำเภอในหม่าหลิงซาน มันเป็น
เรื่องทีง่ ่ายมาก แต่เราจะไปตีหวยเป่ย ตรงกลางถูก
กั้นด้วยแม่น้ำหวยเห๋อ หลังจากชาวเป่ยฮั่นชิงสอง
เขตตรงนั้นได้แล้ว เราก็ไม่ได้เหยียบสองเขตนั้นอีก
เลย ทหารทั่งสองฝั่งประจำการอยู่คนละฟากของ
แม่น้ำ คิดอยากจะบุกเข้าไป มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
ฮ่องเต้ตงฉียกเหล้าขึ้นดื่ม มองไปเหมือนยังนิ่งอยู่ เขา
ไม่ได้พูดอะไรมาก รัชทายาทยื่นก้านไม้ไผ่ให้กับขันที
เขายิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว ท่านอย่าลืมไปว่า แม่น้ำ
หวยเห๋อสำหรับแคว้นฉีแล้ว มันเหมือนบ่อน้ำในเรือน
หลังบ้าน แม่ทัพเรือของตงฉีจะช่วยส่งกองทัพฉู่ไปยัง
อีกฝั่ง มันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 655 ข้อเสนอรวมกำลังพล
สถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนว่าใต้หล้าแบ่งออกเป็น
สามก๊ก แต่ในความเป็นจริงมีเพียงสองแคว้นเท่านั้น
ที่แข็งแกร่ง คนในใต้หล้าทุกคนต่างรู้ดีว่า ไม่ว่าเป่ย
ฮั่นหรือว่าหนานฉู่ ไม่ว่าพื้นที่หรือว่าประชากร ทัง้
สองแคว้นหากต้องการจะบุกโจมตีแคว้นฉี ตัว
แคว้นฉีเองแทบจะต้านไม่ได้เลย
การคงอยู่ของแคว้นฉี ก็เพื่อสร้างความสมดุลให้กับ
อีกสองแคว้น สำหรับแคว้นฉู่กบั ฮั่นแล้ว คิดอยากจะ
ยึดครองอีกแคว้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ว่า
เมื่อไหร่ก็ตามที่แคว้นใดแคว้นหนึ่งสามารถดึงเอา
แคว้นฉีไปร่วมด้วยได้ ถือว่าได้เปรียบมาก
แคว้นฉู่มาเพื่อเจรจาเรื่องการอภิเษก เดิมก็หวังจะยก
ทัพโจมตีเป่ยฮั่น หลอกใช้ทหารเรือของแคว้นฉีใน
การฝ่าข้ามแม่น้ำไป กองทัพฉู่กับกองทัพฮั่นร้ายกาจ
พอๆ กัน แต่ว่าหากมีกองทัพเรือของแคว้นฉีช่วย ถึง
เวลานั้นแคว้นฮั่นก็จะตกเป็นรองทันที ซึ่งมันก็เป็น
เช่นเดียวกัน หากแคว้นฮั่นได้กองทัพเรือแคว้นฉีช่วย
ฉีหนิงได้ยินรัชทายาทเสนอเรื่องการใช้กองทัพเรือ
ช่วยแคว้นฉู่ มันทำให้แปลกใจมาก มันเหมือนได้
ของขวัญพิเศษมาจากฟากฟ้า มาอยูใ่ นมือของเขา
เรื่องอะไรที่มันราบรืน่ มากเกินไป มันก็ไม่ใช่เรื่องดี
เท่าไหร่นัก
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “แผนที่
ทรงวางไว้ มันเป็นเรื่องที่แคว้นฉีของเรายินดีมาก แต่
ว่าการรวมกำลังพลของทั้งสองแคว้นเพื่อบุกโจมตี
แคว้นฮั่น เป็นเรื่องใหญ่ กระหม่อมไม่มีอำนาจในการ
ตัดสินใจในเรื่องนี้ จะต้องทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ
เพื่อให้พระองค์ตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เอง”
ฮ่องเต้ตงฉียิ้มแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้น้อยแคว้นฉู่ของ
พวกเจ้า ข้าเคยพบมาก่อน ตอนที่ขา้ แต่งตั้งรัช
ทายาท ทรงยังเป็นแค่รัชทายาท ถึงแม้อายุของเขา
จะไม่มาก แต่ว่าทำอะไรสุขุมมาก คนหนุ่มสุขุมมาก
เกินไป ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี มันไม่มีความ
กระตือรือร้น”
ฮ่องเต้ตงฉีแสดงความคิดเห็นต่อฮ่องเต้ต้าฉู่ เหมือน
จะไม่ได้มีความเคารพ ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ปกติ
แล้วฝ่าบาทกระทำการทุกอย่างด้วยความรอบคอบ
ถือเป็นบุญของเราชาวแคว้นฉูเ่ ป็นอย่างมาก”
“ในช่วงเวลารุ่งเรือง กระทำการรอบของก็นบั ว่าดี”
ฮ่องเต้ตงฉีวางแก้วสุราลง ลูบเคราแล้วพูดว่า “แต่ว่า
หากเป็นช่วงเวลาวุ่นวาย บางครั้งมันก็ต้องการจิต
วิญญาณ จิ่นอีโหว ตามความเห็นของเจ้า ฮ่องเต้น้อย
ของพวกเจ้ากล้าจะรวมกำลังพลกับแคว้นฉีเราบุกตี
แคว้นฮั่นหรือเปล่า?”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่อาจคาดเดาพระประสงค์
ขององค์ฮ่องเต้ของเราได้” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่า
กระหม่อมคิดว่า นี่เป็นโอกาสที่ดี เหล่าขุนนางแคว้น
ฉู่ น่าจะคิดว่าดีเช่นกัน เพีบงแค่เหล่าขุนนางเกินกึ่ง
หนึ่งเห็นด้วย ฝ่าบาทของเราก็น่าจะไม่พลาดโอกาส
แบบนี้แน่นอน”
ฮ่องเต้ตงฉียิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าเหล่าขุนนางแคว้น
ฉู่ ที่จริงยังสู้จิ่นอีโหวเจ้าไม่ได้เลย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงชมเกินไปแล้ว ถึง
แม้จิ่นอีโหวจะเป็นหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหวสืบทอด
แต่กระหม่อมอายุยังน้อย ประสบการณ์ในราชสำนัก
ยังมีไม่มาก เหล่าขุนนางเสาหลักของแคว้นฉู่
กระหม่อมสู้พวกเขาไม่มากเลย”
“จิ่นอีโหวถ่อมตัวไปแล้ว” รัชทายาทยกมือสั่งให้คน
เอาแผนที่ออกไป แล้วยกมือเชิญให้ฉีหนิงนั่ง ส่วนตัว
เขาก็เดินไปทีน่ ั่ง แล้วพูดว่า “หากท่านไม่ใช่คนที่
ฮ่องเต้ของพวกท่านไว้วางใจ คงไม่มีทางส่งท่านมา
ที่นี่จริงไหม?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเขาไม่ควรพูดอะไรจะดีกว่า อีก
อย่างหากฮ่องเต้น้อยหลงไท่ไม่เห็นว่าเขาสำคัญ มันก็
เหมือนว่าการมาตงฉีในครั้งนี้ส่งคนธรรมดาคนหนึ่ง
มา ถือว่าเป็นการดูถูกตงฉีมาก
ฮ่องเต้ตงฉีพูดว่า “ข้ารู้ว่าฮ่องเต้น้อยของพวกเจ้าเพิง่
จะขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ต้องมีการแหกกฎใหม่ๆ
ครั้งนี้สั่งให้จนิ่ อีโหวมาที่ตงฉี นั่นเพราะเขาไว้ใจเจ้า
มาก” เขานิ่งไป แล้วพูดว่า “หากเจ้าถวายฎีกา
ฮ่องเต้น้อยของพวกเจ้าไม่มีทางไม่สนใจหรอก”
ฉีหนิงฟังเข้าใจความหมายของฮ่องเต้ตงฉีดี เหมือน
จะให้เขาไปเกลี้ยกล่อมให้หลงไท่รวมกำลังพลออก
รบ เขาคิดในใจว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเปลี่ยนแปลง
ไปมาอย่างรวดเร็ว แคว้นฉู่หวังจะรวมกำลังพลกับ
แคว้นฉีอยู่แล้ว หลังจากแคว้นฉู่และฮั่นผ่านศึกฉิน
ไหวมา ก็อยู่ในช่วงพักฟื้น แคว้นฉีกลับมาเสนอจะ
รวมกำลังพลกับแคว้นฉู่เพื่อบุกฮั่น
“จิ่นอีตระกูลฉีเป็นตัวแทนการทหารในแคว้นฉู่” รัช
ทายาทมองไปที่ฉีหนิง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ขอแค่ท่าน
โหวน้อยยินดี การรวบกำลังพลในครั้งนี้ก็สำเร็จ
แน่นอน”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเจ้าเองก็ประเมินเขาสูงไป เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “รัชทายาททรงกล่าวเกินไปแล้ว ที่จริง
แล้ววันนี้ไม่เหมือนวันก่อน รัชทายาทน่าจะพอได้ยนิ
มาบ้างแล้ว ตอนนี้ในมือของกระหม่อมไม่มีอำนาจ
ทางการทหารเลย”
“จิ่นอีตระกูลฉีหลายต่อหลายรุ่นต่างเป็นผู้บัญชาการ
กองทัพฉินไหว” รัชทายาทพูดว่า “กองทัพฉินไหวมี
ความแข็งแกร่งอย่างทุกวันนี้ได้ ก็เป็นเพราะจิ่นอี
ตระกูลฉีทั้งนั้น ที่จริงคนทัง้ ใต้หล้าก็รู้ดีว่า ต่อให้วันนี้
ผู้บัญชาการกองทัพฉินไหวจะคือเยว่หวนซาน แต่เยว่
หวนซานก็เป็นคนที่เกิดจากการสนับสนุนจากตระกูล
ฉี ขอแค่มีคำสั่งจากจิ่นอีตระกูลฉีแค่คำเดียว เยว่หวน
ซานไม่มีทางไม่ทำตาม”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “รัชทายาท ขออภัยที่
กระหม่อมต้องขอล่วงเกิน กองทัพฉินไหวเป็น
กองทัพของแคว้นฉู่ ไม่ใช่กองทัพของตระกูลฉี รัช
ทายาททรงตรัสแบบนี้ ทรงเอาความภักดีของ
กระหม่อมไปไว้ที่ใดกันพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทหัวเราะแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหวไม่ต้องกังวล
ไป วันนี้เสด็จพ่อทรงจัดเลี้ยง ไม่มีขุนนางคนอื่นอยู่
ด้วย เดิมวันนี้ก็ตั้งใจจะพูดเปิดใจกับท่านอยู่แล้ว
เรื่องจริงจังอะไรพวกนัน้ ไม่พูดก็ได้”
ฉีหนิง “อืม” ตอบรับ รัชทายาทพูดต่อว่า “ขอพูด
ตามตรง สถานการณ์ของตัวจิ่นอีโหวเอง เราเองก็พอ
รู้มาบ้าง จิ่นอีตระกูลฉีเป็นตระกูลนักรบ หากจิ่นอี
โหวสนับสนุน กองทัพฉินไหวทั้งหมดก็จะต้องเห็น
ด้วยกับโหวเยว่แน่นอน โหวเยว่สามารถฉวยโอกาส
ในครั้งนี้สร้างผลงาน สืบทอดบารมีการทหารของจิ่น
อีตระกูลฉีต่อไป คิดว่าต่อไปท่านโหวน้อยก็คงจะซื้อ
ใจคนในแคว้นฉู่ได้อีกมากเลย”
ฉีหนิงยกเหล้าขึ้นดื่ม เขายิ้มและนิ่ง จากนั้นถึงพูดว่า
“ฝ่าบาท องค์รัชทายาท เรื่องใหญ่เช่นนี้ ยังไงทั้งสอง
แคว้นก็ต้องหารือร่วมกันก่อน แต่เรือ่ งนี้จะให้ใครรู้
ไม่ได้เป็นอันขาด หากจะรวมกำลังพลกัน จะให้
แคว้นฮั่นเตรียมรับมือก่อนไม่ได้”
“ถูกต้อง” รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อเองก็มี
พระประสงค์เช่นนี้”
ฉีหนิงดื่ม จากนั้นก็วางแก้วเหล้าลงแล้วพูดว่า “ถ้า
เช่นนั้น กระหม่อมมีความคิดบางอย่าง กระหม่อมจะ
กลับไปยังเมืองหลวง จากนั้นก็จะทูลรายงานให้ฝ่า
บาทของเราทรงทราบ ส่วนทางแคว้นฉี ก็ส่งองค์
หญิงไปยังแคว้นฉู่ของเรา ก็สามารถส่งคนไปร่วม
หารือเป็นการลับกับเราได้เลย”
ฮ่องเต้ตงฉีกับรัชทายาทมองหน้ากัน ฮ่องเต้ตงฉีลูบ
เครา รัชทายาทถามว่า “โหวเยว่คิดว่าเทียนเซียง
เดินทางไปแคว้นฉู่เมื่อไหร่ถึงจะเหมาะสมกัน?”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “กระหม่อมเดินทางมาที่นี่
ในคราวนี้ เดิมก็เพื่อดำเนินการเรื่องนี้ให้สำเร็จ ก็ต้อง
หวังให้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
“ก็ดี” ฮ่องเต้ตงฉีนิ่งไป แล้วพูดว่า “ข้าสั่งให้คน
เตรียมตัวแล้ว ภายในสามวัน พวกเจ้าก็เดินทางได้
เลย ข้าจะให้รัชทายาทไปส่งเทียนเซียง ให้เดินทาง
ไปพร้อมพวกเจ้าเลย จิ่นอีโหว เห็นว่ายังไง?”
ฉีหนิงตกใจมาก เขาพูดด้วยความตะลึงว่า “สาม
วัน?”
รัชทายาทยิ้มแล้วถามว่า “โหวเยว่รู้สึกว่ามันช้าไป
หรือว่าเร็วไป?”
ฉีหนิงคิดไม่ถึงว่าทุกอย่างมันจะราบรื่นได้มากขนาด
นี้ ก่อนเข้าวังมา รู้สึกว่าแคว้นฉู่มีโอกาสจะได้ตัวองค์
หญิงเทียนเซียงกลับไป แต่หลังจากที่เข้าวังมาแล้ว
ฮ่องเต้ตงฉีตอบรับเร็วมาก ทำให้ฉีหนิงดีใจมาก ครั้ง
นี้ฮ่องเต้ตงฉีกลับบอกอีกว่าภายในสาม จะให้รัช
ทายาทส่งตัวองค์หญิงเทียนเซียงไปยังแคว้นฉู่ ฉีหนิง
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ
ฉีหนิงรู้สึกว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้ทางแคว้นฉีตก
ลงแล้ว คงต้องหารือเตรียมการอะไรอีกหลายอย่าง
เวลาหนึ่งเดือนก็อาจจะรู้สึกว่าสั้นไป แคว้นฉู่ยังต้อง
จัดเตรียมคณะมารับ เพราะองค์หญิงแต่งงานไปยัง
ต่างแคว้น จะทำลวกๆ ไม่ได้ พิธีการซับซ้อนมากมาย
ครั้งนี้สามารถเจรจาการอภิเษกในครั้งนี้มาได้ถือว่า
ได้ผลงานครั้งใหญ่
แต่ฮ่องเต้ตงฉีตัดสินใจแบบนี้ มันเหนือความ
คาดหมายของฉีหนิงมาก ฮ่องเต้ตงฉีเหมือนจะหวัง
ให้การแต่งงานของทั้งสองแคว้นเกิดขึ้นให้เร็วที่สุด
ไม่ว่าจะคิดอะไรอยู่ หากสามารถพาองค์หญิง
เทียนเซียงกลับแคว้นฉู่ได้ ถือว่าเป็นผลสำเร็จ มัน
เกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก เพียงแต่ราชสำนักแคว้นฉู่
อาจจะคิดไม่ถึงส่ามันจะราบรืน่ ได้มากขนาดนี้ ฉีหนิง
ลุกขึ้นมา ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงพระ
ปรีชา กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรง
พระราชทานอนุญาตให้เกิดการอภิเษกในครัง้ นี้
เพียงแต่...”
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“ฝ่าบาท องค์หญิงเทียนเซียงทรงสูงศักดิ์ ฮ่องเต้ของ
เราเองก็ทรงเป็นถึงโอรวสวรรค์การอภิเษกในครั้งนี้
ถือได้ว่าเป็นการอภิเษกที่ยิ่งใหญ่ที่สดุ ในใต้หล้า” ฉี
หนิงพูดว่าต่อว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมหวังอยากให้
องค์หญิงเสด็จไปยังแคว้นฉู่โดยเร็ว เพียงแต่
ระยะเวลาสั้นเกินไป ต่อให้กระหม่อมส่งม้าเร็วไปทูล
รายงานทีเ่ มืองเจีย้ นเย่ ทางเมืองหลวงของเราต่อให้
รีบเตรียมการ ก็อาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นัก หากถึง
เวลานั้นอาจจะมีบางอย่างที่ทำให้ไม่สมพระเกียรติ
องค์หญิงได้ กระหม่อม...”
ฮ่องเต้งฉีไม่รอจนฉีหนิงพูดจบ เขาโบกมือแล้วพูดว่า
“เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีของสองแคว้น ข้าเองก็ไม่
อยากจะไปเรื่องมากในเรื่องพิธีรีตองหรอกนะ” เขา
หันไปพูดกับรัชทายาทว่า “รัชทายาท เมื่อเจ้าไปถึง
แคว้นฉู่แล้ว อย่าไปเรียกร้องอะไรให้มาก ตั้งแต่นี้
ต่อไป แคว้นฉู่และฉีเป็นแคว้นญาติกัน มีอะไรก็ถ้อย
ทีถ้อยโอาศัยกันนะ”
รัชทายาทยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ลูกรับบัญชา”
เขาหันไปหาฉีหนิงแล้วพูดว่า “โหวเยว่ การเดินทาง
ไปยังแคว้นฉู่ในครั้งนี้ ขอรบกวนโหวเยว่ด้วย”
ฉีหนิงรีบยกมือคำนับแล้วพูดว่า “รัชทายาททรง
เกรงใจเกินไปแล้ว ครั้งนี้ต้องลำบากรัชทายาทจริงๆ”
ถึงแม้เป้าหมายจะสำเร็จแล้ว แต่ฉีหนิงกลับรู้สึกว่า
มันแปลกๆ ฮ่องเต้ตงฉีไม่ได้อยู่นานนัก เขาดื่มเหล้า
ไปหลายแก้ว จากนั้นก็กลับไป หลังจากนั้นรัชทายาท
เองก็ไม่สะดวกที่จะคุยเรื่องการทหารต่อ เขาใส่ใจ
แล้วก็เป็นห่วงถามไถ่ที่ฉีหนิงไม่คุ้นชินกับอากาศของ
ตงฉี
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วรัชทายาทก็ส่งฉีหนิงออก
นอกวังด้วยตัวเอง พวกของฉีเฟิงรออยู่นอกวังหลวง
ตลอด เมื่อเห็นฉีหนิงออกมาอย่างปลอดภัย ถึงได้
วางใจ
เมื่อกลับถึงเรือนรับรอง ฉีหนิงก็เรียกตัวฉีเฟิงกับอู๋ต๋า
หลินมา แล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ตงฉีทรงอนุญาตเรื่องการ
อภิเษกแล้ว หลังจากนี้สามวัน รัชทายาทตงฉีจะทรง
เสด็จไปส่งองค์หญิงเทียนเซียงที่แคว้นฉู่ด้วยพระองค์
เอง”
ฉีเฟิงกับอู๋ต๋าหลินรู้สึกตกใจมาก พวกเขาคิดไม่ถึงว่า
ทุกอย่างมันจะราบรืน่ ได้มากขนาดนี้ เขาทั้งคู่มอง
หน้ากัน จากนั้นสีหน้าของพวกเขาก็ดูดีใจตื่นเต้น
มาก ฉีเฟิงปรบมือ แล้วพูดว่า “โหวเยว่ คราวนี้เราก็
จะได้เดินยืดอกกลับไปแล้ว ข้าน้อยยังกังวลอยู่เลยว่า
ชาวตงฉีจะเห็นผลประโยชน์มากกว่าบุญคุณหรือ
เปล่า เห็นชาวเป่ยฮั่นยกดินแดนบางส่วนให้ เลยจะ
ยกองค์หญิงให้พวกเขาไป ดูท่าทางชาวตงฉีก็มีสมอง
อยู่นะ”
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “โหวเยว่ หรือว่าเพราะการหายตัว
ไปของเป่ยถังอวี้ ชาวตงฉีก็เลยเปลี่ยนข้าง?”
ฉีหนิงพูดว่า “ทำไมพวกเขาถึงได้ตอบรับคำขอของ
เราเร็วขนาดนี้ ข้าเองก็แปลกใจเหมือนกัน แต่ว่าไม่
ว่ายังไงก็ตาม ภารกิจของเราก็ถือว่าสำเร็จราบรืน่
แล้ว ท่านนายกองอู๋ หลังจากนี้สามวัน รัชทายาท
ตงฉีจะต้องพาทหารของตงฉีมาด้วยแน่นอน เจ้าบอก
กับพี่น้องของเราหน่อยว่า ระหว่างทาง อย่าให้เกิด
ปัญหา จะต้องคุ้มกันองค์หญิงไปถึงเมืองเจี้ยนเย่อ
ย่างปลอดภัย เราก็สร้างผลงานใหญ่ได้” เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “พวกเจ้าเองก็ลำบากไม่น้อย หลังจากที่
กลับไปแล้ว ข้าจะทูลขอรางวัลให้พวกเจ้าเอง”
ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ชาวตงฉีเพิ่งจะเสียองค์
ชายไปสองคน งานศพยังไม่ทันจัด งานมงคลกลับจัด
ขึ้นก่อน”
ฉีหนิงเหลือบไปมองแล้วพูดว่า “อย่าพูดจา
เหลวไหล” เขายืดเส้นยืดสาย จากนัน้ ก็ได้ยินเสียงดัง
มาจากด้านนอก “ท่านนายกองอู๋ ท่านนายกองอู๋”
อู๋ต๋าหลินขมวดคิ้ว แล้วเดินออกไปนอกห้อง จากนั้น
ก็รีบกลับมา เขายืน่ จดหมายมาให้ แล้วพูดว่า “โหว
เยว่ มีคนนำจดหมายฉบับนี้มาให้” เขายื่นให้ฉีหนิง ฉี
หนิงรับจดหมายมา เห็นด้านนอกซองไม่ได้ลงชื่อ มี
แต่คำว่า “ผู้รับจิ่นอีโหว” มันแปลกมาก เขาถามว่า
“ใครส่งมา?”
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “พี่น้องที่เดินสำรวจของเราคนหนึ่ง
เขาอกว่าเขาเจอเจ้าหน้าที่ตงฉีที่อาศัยอยู่ในเรือน
รับรอง มอบจดหมายนี่ให้เขา ให้เขามอบให้จิ่นอีโหว
ให้ได้ พูดจบเขาก็ไป”
ฉีหนิงพยักหน้า เขารู้สึกแปลกใจมาก เขาเปิด
จดหมายออก แล้วมองไป จากนั้นก็ขมวดคิ้ว สายตา
ของเขาดูตกใจมาก จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ เขาพูด
เหมือนเข้าใจทุกอย่างว่า “อย่างนี้นเี่ อง”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 656 กษัตริย์เป่ยฮั่นสวรรคต
อู๋ต๋าหลินกับฉีเฟิงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฉีเฟิงถาม
อย่างระวังว่า “โหวเยว่ เกิดอะไรขึ้น?”
ฉีหนิงเอาจดหมายยื่นไปให้ฉีเฟิง ฉีเฟิงเอาไปอ่าน
เขาตกใจมาก แล้วพูดว่า “นี่...นี่มันเรื่องจริงหรือ?
โหวเยว่ ฮ่องเต้...ฮ่องเต้เป่ยฮั่นตายแล้วหรือ?”
อู๋ต๋าหลินอดที่จะไปเอาจดหมายในมือของฉีเฟิงมาดู
ไม่ได้ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เป่ยถังฮวนตายแล้ว?
โหวเยว่นี่มัน...”
ฉีหนิงถอยหลังไปสองก้าว แล้วนั่งลง สีหน้าท่าทาง
ของเขาเคร่งเครียดมก เขาพูดว่า “ไม่มีการลงชื่อ
นางกองอู๋ เจ้าลองไปดูสิว่าจะตามหาเจ้าหน้าที่ตงฉี
คนที่ส่งจดหมายได้ไหม คนผู้นี้แอบส่งข่าวให้เรา
แสดงว่าจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา”
อู๋ต๋าหลินนำจดหมายคืนให้ฉีเฟิง เขารับคำสั่งแล้วก็
ออกไป ฉีเฟิงขยับเข้ามาใกล้ สีหน้าของเขา
เคร่งเครียด “โหวเยว่ ที่เขียนนี่มันจริงหรือ? เป่ยถัง
ฮวนตายแล้ว ลั่วหยางต้องวุ่นวาย เกิดการ
เปลี่ยนแปลงทางการทหารแน่นอน ทำไมถึงมีคนส่ง
ข่าวนี้มาให้เรา แล้วทำไมเขาถึงได้รู้ข่าวเร็วขนาดนี้”
ฉีหนิงนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ข่าวปลอม
หรอก ข้ากำลังแปลกใจอยู่เลยว่า สองวันมานี่มีแต่
เรื่องแปลกๆ ที่แท้ก็เกิดเรื่องแบบนีน้ ี่เอง”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” ฉีเฟิงเข้าใจแล้ว “เป่ยถังอวี้
กับเป่ยถังเฟิงจู่ๆ ก็หนีหายไป ไม่ใช่เพราะกลัวจะ
เดือดร้อนเรื่องการลอบสังหาร แต่เป็นเพราะได้ข่าว
การเปลี่ยนแปลงภายในเป่ยฮั่น”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ข้ากำลังสงสัยอยู่
เลยว่า การเจรจาเรื่องการอภิเษกในครั้งนี้ เป่ยฮัน่
ได้เปรียบอยู่ หากพยายามอีกสักหน่อย องค์หญิง
เทียนเซียงก็น่าจะได้ไปแคว้นฮั่นแน่ สถานการณ์
ได้เปรียบดีขนาดนี้ เป่ยถังอวี้กลับพาเป่ยถังเฟิงหนี
หายไป มันยากที่จะเชื่อเลย” เขาพูดว่า “เรือน
ด้านหลังบ้านไฟไหม้ เป่ยถังอวี้คงไม่มีใจจะอยู่ที่นี่
ต่อไปได้อีก”
ฉีเฟิงก้มหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ถ้าอย่างนั้น พวก
เขาก็หนีจากตงฉี กลับไปเป่ยฮั่นแล้วน่ะสิ?”
ฉีหนิงนิ่งไป แล้วพูดว่า “ในจดหมายเขียนลั่วหยาง
เกิดการเปลี่ยนแปลงการทหาร เรื่องนี้คงไม่ใช่แค่เป่ย
ถังฮวนตายแค่นั้นแน่” เขาพลันนึกถึงตอนที่หลงไท่
มายังตงฉี ฮ่องเต้แคว้นฉู่เองก็ตกอยูใ่ นอันตราย
เหมือนกัน สถานการณ์ของเป่ยถังเฟิงไม่ต่างกับหลง
ไท่เลย
ถึงแม้หลงไท่ตอนนั้นจะไม่ได้อยู่ที่แคว้นฉู่ แต่เขาก็
เป็นรัชทายาทของแคว้นฉู่ คนทั่วหล้ารู้กันทั่ว ดังนั้น
หลงไท่เร่งกลับแคว้นฉู่ เขาก็ถือเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์
ที่ถูกต้อง อีกทั้งหลงไท่เป็นลูกชายเพียงคนเดียว ไม่มี
พี่น้องให้ต้องต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ แต่สถานการณ์ของ
เป่ยถังเฟิงมันรุนแรงกว่านั้นมาก
เป่ยถังฮวนเคยแต่งตั้งรัชทายาทมาแล้วถึงสองคน แต่
กลับตายเร็วหมด มันทำให้เขาเกิดความกลัว ดังนั้น
หลังจากนั้นเขาเลยไม่ได้มีการแต่งตั้งรัชทายาทอีก
ถึงแม้เขาจะมีความคิดจะยกบัลลังก์ให้กับเป่ยถังเฟิง
แต่เป่ยถังเฟิงก็ไม่ได้มีตำแหน่งรัชทายาท ดังนั้นจู่ๆ
เป่ยถังฮวนตายไป เป่ยถังเฟิงก็อาจจะไม่ได้นั่งบัลลังก์
ก็ได้
ฉีเฟิงพูดว่า “โหวเยว่ เป่ยฮั่นกิดการเปลี่ยนแปลง
เรื่องนี้ไม่ธรรมดาแน่ หลังจากเป่ยถังเฟิงกลับไปแล้ว
จะได้นั่งบัลลังก์ไหมยังไม่แน่”
ฉีหนิงยิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่ใช่แค่ไม่แน่นะ เขายังมีพี่
น้องอีกหลายคน พวกเขาอยู่ในแคว้นทั้งหมด คน
พวกนี้ไม่มีทางพลาดโอกาสนี้ไปแน่ เป่ยถังเฟิงรอดไป
ได้ถือว่าไม่เลวแล้ว”
อู๋ต๋าหลินวิ่งกลับเข้ามา แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อย
ไปสอบถามมาแล้ว เจ้าหน้าที่ตงฉีนั่นมอบจดหมาย
ให้ทหารเราแล้วก็ไปทันที นอกจากจะเรียกรวมพล
คนทั่วทั้งเรือนรับรอง แล้วถามทีละคน อาจจะพอหา
ตัวได้อยู่ เพียงแต่หากทำอะไรเอิกเกริก เกรงว่า...”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้อยาก
จะต้องได้ตัวมาหรอก หากคนผู้นั้นอยากจะให้เรา
รู้ตัวเขาจริง จดหมายก็คงไม่มีทางมอบให้ทหารแบบ
นี้หรอก เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาเป็นใคร” เขาพูด
อย่างสงสัยว่า “หากข้าเดาไม่ผิดฮ่องเต้ตงฉีน่าจะรู้
เรื่องนี้แล้ว เขาตั้งใจปกปิด ไม่ได้บอกข้า ทำไม
เจ้าหน้าที่ตงฉีถึงได้เอาข่าวนี้มาแจ้งเรา?”
ฉีเฟิงพูดว่า “คนผู้นั้นแอบส่งข่าวให้เรา กลับไม่อยาก
ได้รางวัลอะไรจากเรา น่าแปลกมาก”
ทันใดนั้นเองก็เห็นฉีหนิงปรบมือ แล้วพูดว่า “ข้ารู้
แล้ว”
อู๋ต๋าหลินกับฉีเฟิงตะลึงไป ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พวก
เจ้าอย่าลืมนะว่า ภายในแคว้นตงฉี ไม่ได้มีแค่พวกเรา
ที่เป็นชาวแคว้นฉู่ ทางนี้ เรายังมีคนช่วยอยู่
เหมือนกัน”
ฉีเฟิงเหมือนได้ฉีหนิงเตือนสติ เขาเข้าใจขึ้นมาทันที
เขาพูดว่า “เป็น...จวนเสินโหว”
ฉีหนิงยกมือให้ฉีเฟิงพูดเบาๆ ลง เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เท่าที่ข้ารู้มา หนึ่งในเจ็ดดาวไถของจวนเสินโหว มี
คนหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในตงฉี เขาจะต้องมีลูกน้องอยู่
กลุ่มหนึ่งแน่ เป่ยถังฮวนจู่ๆ ตายไป เป่ยฮั่นไม่มีทาง
ให้ข่าวนี้หลุดออกมาจากแคว้นแน่”
อู๋ต๋าหลินพยักหน้า “โหวเยว่พูดถูกแล้ว เป่ยฮั่นไม่
อยากให้คนเกิดความแตกตื่น จะต้องปกปิดข่าวนี้ไว้
แน่ ตอนนี้ลั่วหยางวุ่นวาย คนทั่วไปไม่มีทางรู้ว่าเกิด
อะไรขึ้นแน่ นอกจาก...จวนเสินโหวจะแอบส่งคนแฝง
เข้าไปเป็นสายอยู่ทเี่ ป่ยฮั่น แล้วส่งนกพิราบแจ้งข่าว
มายังตงฉี คนของจวนเสินโหวที่ตงฉีเมื่อทราบเรือ่ ง
แล้ว ก็เลยรีบมารายงานโหวเยว่ แต่พวกเขาแฝงตัว
ในตงฉี ไม่สะดวกเผยตัว ดังนั้นเลยใช้วิธีนี้”
ฉีหนิงรู้ว่าที่อู๋ต๋าหลินวิเคราะห์มามันใกล้ความเป็น
จริงมาก คิดในใจว่าจวนเสินโหวร่วมมือกับเขาดีมาก
คิดในใจว่าเขาอยู่ที่ตงฉี คนของจวนเสินโหวก็ต้อง
อยากให้เขาทำประโยชน์ให้แคว้นฉูแ่ น่ เลยเอาข่าวนี้
มาบอกเขา ก็เพื่อที่เขาจะได้วางแผนได้ถูก
“ฉีเฟิง เจ้าไปเตรียมตัว คืนนี้เจ้าต้องเร่งเดินทาง พา
คนปลอมตัว แล้วรีบกลับไปแคว้นฉู”่ ฉีหนิงลุกขึ้น
มาแล้วพูดว่า “ที่นี่มีกระดาษกับพู่กันไหม ข้าจะ
เขียนฎีกา”
อู๋ต๋าหลินรีบไปหากระดาษกับพู่กันมา ฉีเฟิงถามฉี
หนิงว่า “โหวเยว่ จะให้ข้าส่งฎีกากลับไปที่เมืองหลวง
หรือขอรับ?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เป่ยฮั่นเกิดการ
เปลี่ยนแปลง ชาวตงฉีไม่มีทางยกองค์หญิงเทียนเซียง
ให้เป่ยฮั่นแล้ว พวกเขาทำได้แค่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
กับเรา เรื่องนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้แล้ว หลังจาก
นี้สามวัน เราจะออกเดินทางกลับ ดังนั้นเจ้าจะต้อง
รีบขี่ม้าเร็ว เร็วได้เท่าไหร่ก็ยงิ่ ดี ไปรายงานให้ฝ่าบาท
ทรงทราบให้เร็วที่สุด”
เขาเดินไปนัง่ ลงที่โต๊ะ ใช้นิ้วเคาะโต๊ะ เกิดเรื่องใหญ่
ขนาดนี้ ฉีหนิงรู้ว่าเป่ยถังฮวนจู่ๆ ตายไป มันจะทำให้
สถานการณ์ในใต้หล้าเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
ในเวลาแบบนี้ ไม่ว่าแคว้นฉู่หรือว่าตงฉี ไม่มีทางนั่ง
อยู่เฉยๆ แน่ จะต้องมีการเคลื่อนไหวอะไรสักอย่าง
ฮ่องเต้ตงฉีจัดงานเลี้ยง เชิญเขาเข้าวัง ไม่เพียงเสนอ
ให้องค์หญิงเทียนเซียงรีบไปแคว้นฉู่ อีกทั้งยังบอกให้
ฉีหนิงไปกล่อมหลงไท่ให้รวมกำลังพล ฉีหนิงรู้สึกว่า
เรื่องนี้ต้องมีอะไร ตอนนี้เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว
ฮ่องเต้ตงฉีน่าจะได้รู้ข่าวแต่แรก แคว้นฉู่ส่งคนของ
จวนเสินโหวเข้าไปเป็นสาย แคว้นฉีเองก็น่าจะมี
เช่นกัน
เป่ยฮั่นเกิดความเปลี่ยนแปลง ภายในเกิดตความ
วุ่นวาย มันเป็นโอกาสที่หาได้ยาก ตงฉีหวังอยากจะ
ย้อนกัดเป่ยฮั่น อย่างน้อยก็ยึดเอาหม่าหลิงซานมา
แต่ตงฉีเหมือนจะโลภมากกว่านั้น คิดจะดึงแคว้นฉู่มา
รวมทหารด้วย
ท่ามกลางสถานการณ์ที่วุ่นวายในเป่ยฮั่นต่อให้พวก
เขาสามารถส่งทหารมาเผชิญหน้าได้ การเผชิญหน้า
กับกองทัพฉู่ฉี สิ่งแรกที่พวกเขาจะทำคือการรับมือ
กับแคว้นฉู่ไม่ใช่แคว้นฉี เมื่อไหร่ก็ตามที่เปิดศึก ฝ่าย
ที่ได้ต้องอกแรงรับกำลังทหารของแคว้นฮั่นคือแคว้น
ฉู่ ส่วนแคว้นฉีจะรับผลกระทบนั้นน้อยมาก
หม่าหลิงซานเป็นเป้าหมายของตงฉีมาตลอด มันเป็น
พื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ดีมาก หากเป่ยฮั่นไม่ได้เกิดเหตุ
อะไร ต่อให้ตงฉีอยากได้หม่าหลิงซานแค่ไหน ก็คงไม่
กล้า แต่คราวนี้มีโอกาส พวกเขาไม่มีทางพลาด
แน่นอน
ฉีหนิงรู้ว่าตงฉีคิดอะไรอยู่ พวกเขาแค่อยากให้แคว้น
ฉู่คุ้มกันพวกเขา จะได้ยึดเอาหม่าหลิงซานเอาไว้ได้
ง่าย หากมีโอกาส ก็อย่างที่รัชทายาทพูดว่า หาก
เป็นไปได้แคว้นฉู่และฉีก็สามารถแบ่งแดนส่วนอื่น
ของเป่ยฮั่นอีก
หากทุกอย่างเป็นอย่างที่รัชทายาทตงฉีคิด พวกเขา
ยึดหม่าหลิงซาน ยึดยุทธศาสตร์สำคัญของเป่ยฮั่น
หลังจากนั้นแรงกดดันทางทหารก็จะลดลงหลังจาก
เปิดศึกแล้วกำลังหลักในการทำศึกก็จะเป็นแคว้นฉู่
กับฮั่น ไม่ว่าผลออกมายังไง กำลังอำนาจของทั้งสอง
แคว้นก็จะลดลง
ศึกฉินไหวต่อสู้ยาวนานหลายปี ฉีหนิงเห็นกับตาว่า
ชาวบ้านทั้งสองฝั่งบ้านแตกเร่ร่อนแค่ไหน แคว้นฉู่
เพราะศึกฉินไหว การคลังของแคว้นอ่อนลงไปมาก
ทางเป่ยฮั่นเองก็ไม่น่าจะดีไปกว่ากัน หากทำศึกอีก
ถ้าจบเร็วก็แล้วไป แต่หากมันยื้อ แคว้นฉู่กับฮั่นก็จะ
อ่อนกำลังลงเรื่อยๆ อำนาจของแคว้นฉู่ก็แข็งแกร่ง
ขึ้น
ฉีหนิงมองแผนของตงฉีออก แต่เขาก็รู้ดีว่า แคว้นฉู่
กับแคว้นฮั่นคิดอยากจะกลืนอีกฝ่าย รวมแผ่นดินให้
เป็นหนึ่ง ครั้งนี้เป่ยฮันเกิดการเปลี่ยนแปลง แคว้นฉู่
หากรู้เรื่องนี้ เหล่าขุนนางจะต้องทำอะไรโง่ๆ ไม่ยอม
พลาดโอกาสแบบนี้แน่นอน
เขาเหมือนจะใช้ความคิด อู๋ต๋าหลินเอากระดาษกับ
พู่กันมาให้ ฉีหนิงกำลังจะเขียน พลันคิดได้ว่านี่เป็น
ฎีกาที่เขาจะเขียนเป็นฉบับแรก เขาเขียนอักษร
ตัวพิมพ์ย่อได้แต่ว่าเขาไม่รู้เรื่องอักษรโบราณ เขา
ถามว่า “พวกเจ้าสองคนเขียนหนังสือเป็นไหม?”
อู๋ต๋าหลินกับฉีเฟิงรู้สึกเขิน ทั้งสองคนเป็นคนฝึกยุทธ์
ถึงแม้จะรู้จักหนังสือบ้าง แต่ว่าหากให้เขียนอะไร
ขึ้นมา ก็ทำไม่ได้ ฉีหนิงส่ายหน้า จากนั้นก็เขียนเอง
เมื่อเขียนเสร็จก็ปิดผนึก แล้วพูดว่า “ตอนนี้ดึกมาก
แล้ว แต่ว่าเจ้าต้องลำบากหน่อยนะ รีบออกนอก
เมืองไปเถอะ”
ฉีเฟิงพูดว่า “โหวเยว่ ประตูเมืองปิดแล้ว”
“ไม่เป็นไร เจ้าก็บอกว่าเป็นคณะทูตแคว้นฉี มีเรื่อง
ต้องกลับไปทูลรายงาน” ฉีหนิงพูดว่า “ชาวตงฉีแทบ
จะรีบให้ฝ่าบาทรูเ้ รื่องการอภิเษกเร็วๆ ด้วยซ้ำ ไม่
ขวางเจ้าหรอก หลังจากกลับไปแล้ว...” เขานิ่งไป
เขารู้ว่าตำแหน่งฐานะของฉีเฟิงต่ำมาก ไม่อาจเข้าไป
ถวายฎีกาต่อหน้าพระพักตร์ได้ เขาคิดแล้วพูดว่า
“หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว ก็ตรงไปที่จวนเสนาบดี
กรมพิธีการ เอาฎีกานี้ให้ท่านเสนาบดีหยวน ท่านจะ
เป็นผู้เอาฎีกานี้ถวายให้ฝ่าบาทเอง”
ฉีเฟิงนำจดหมายเก็บเข้าเสื้อ แล้วพูดว่า “ข้าน้อย
ทราบแล้ว โหวเยว่ ข้าน้อยไปแล้ว พวกท่านต้อง
รักษาตัวให้ดีด้วย”
ฉีหนิงตบไหล่ฉีเฟิง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ลำบากเจ้า
หน่อยนะ ไว้กลับไปค่อยให้รางวัลเจ้า”
ฉีหนิงคำนับ รู้ว่าเรื่องนี้เรื่องใหญ่สำคัญมาก จะ
เสียเวลาไม่ได้ เขาหันหลังแล้วไปทันที หลังจากฉีเฟิง
ไปแล้ว ฉีหนิงก็พูดว่า “หลังจากฝ่าบาทรู้เรื่องที่องค์
หญิงจะเสด็จไปที่แคว้นฉู่ของเราแล้ว จะต้องให้กรม
พิธีการจัดการเตรียมงาน กลับไปคราวนี้ การ
เดินทางในเขตตงฉีไม่ต้องรีบร้อนมาก ให้ทางเราได้มี
เวลาเตรียมการมากหน่อย เมื่อถึงเขตแดนของแคว้น
ฉู่ ราชสำนักน่าจะมีการเตรียมการเส้นทางไว้พร้อม
แล้วก็ส่งคนมารอต้อนรับ”
อู๋ต๋าหลินยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ทุกอย่างแล้วแต่
โหวเยว่จะจัดการ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 657 ซิ่วเหนียง
ฉีเฟิงพาคนอีกสองคนขี่ม้านำฎีกาของฉีหนิงกลับไปที่
แคว้นฉู่ในคืนนัน้ เลย
เช้าวันต่อมา เสนาบดีกรมพิธีการตงฉีถาวเฉียนมาที่
เรือนรับรองตั้งแต่เช้า มาแสดงความยินดีต่อฉีหนิง
เขาพูดจบ ราชโองการจากในวังหลวงก็ถูกส่งมา
ฮ่องเต้ตงฉีประกาศให้รัชทายาทเป็นราชทูตในการ
อภิเษก คุ้มกันองค์หญิงเทียนเซียงไปยังแคว้นฉู่ อีก
ทั้งยังประทานรางวัลมากมายให้กับคณะทูตแคว้นฉู่
อีกทั้งยังมอบหินแกะสลักประการังเนื้อดีให้ฉีหนิง
โดยเฉพาะ มันคือประการังที่งมมาจากใต้ท้องทะเลมี
มูลค่าสูงมาก
ฉีหนิงรับเอาไว้หมด คิดในใจว่าฮ่องเต้น้อยของเขาขี้
เหนียวมาก ต่อให้เขาสร้างผลงานในครั้งนี้ ฮ่องเต้
น้อยก็ไม่มีทางเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้เขาแน่ คิด
อยากจะให้ฮ่องเต้น้อยประทานของมีค่าไม่ต้องหวัง
เลย ไม่สู้รับของไปจากทีน่ ี่ก่อนดีกว่า
เดิมตงฉีต้องการที่จะแสดงบารมีของแคว้น เลยสั่งให้
จัดเตรียมอาหารที่อยู่ในเรือนรับรองให้อยู่ในระดับที่
สูงที่สุด แต่ว่าสองวันที่ผ่านมา ยังเพิ่มรูปแบบให้
สูงขึ้นไปอีก ทุกวันจะมีอาหารทะเลมาส่งให้ตลอดทุก
มื้อ หลายอย่างยังสดยังไม่ตาย ก็ถือว่าลงทุนไม่น้อย
เลย เหล่าคณะทูตก็ถือว่าเป็นบุญปากไป
คณะทูตแคว้นฮั่นกว่าสองร้อยคนถูกเชิญออกนอก
เรือนรับรองไป และถูกจัดให้ไปอยู่ทอี่ ื่น คณะทูต
แคว้นฮั่นต่างตำหนิติเตียน เป่ยถังอวี้พาเป่ยถังเฟิง
หนีไป คณะทูตแคว้นฮั่นไม่มีผู้นำ มีคนฝืนออกมารับ
หน้าที่แทน แต่กลับไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อไป จะอยู่
ต่อหรือว่ากลับแคว้นฮั่น มีหลากหลายความเห็นกัน
ไป
ฉีหนิงรู้ว่าตงฉีไม่มีทางปล่อยคนพวกนี้ออกไปแน่นอน
มีข้ออ้างที่ชื่อตันเหมยแอบลอบสังหาร คณะทูต
แคว้นฮั่นก็กลายเป็นตัวประกันของแคว้นตงฉีไปแล้ว
หากเป็นก่อนหน้านี้ ตงฉีก็อาจไม่ฉวยโอกาสแบบนี้
หรอก แต่ว่าเป่ยถังฮวนตายแล้ว ไม่นานก็จะฉีกหน้า
กันไป ตงฉีก็ยงิ่ ไม่มีทางปล่อยใครไปแน่นอน
เมื่อถึงวันที่สาม ลิ่งหูซวี่จู่ ๆ ก็มาหา หลังจากที่นั่งลง
แล้ว ลิ่งหูซวี่ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยส่ง
ของขวัญไปให้ข้า เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าเลยขอบคุณ
ท่านด้วยตัวเอง”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านมหาเสนาเกรงใจเกินไป
แล้ว ของเพียงเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องพูดถึง”
ลิ่งหูซวี่ยิ้มแล้วพูดว่า “องค์หญิงเทียนเซียงจะออก
เดินทางไปในวันพรุง่ นี้แล้ว รัชทายาททรงเสด็จไปส่ง
ด้วยพระองค์เอง เมื่อถึงแคว้นฉู่ ยังไงก็รบกวนโหว
เยว่ดูแลด้วยนะ”
“ดูแลคงมิกล้า แต่เราจะคุ้นกันคณะราชทูตไปถึง
เมืองเจี้ยนเย่ของเราอย่างปลอดภัย” ฉีหนิงพูด
ลิ่งหูซวี่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ศิษย์พี่
หายตัวไปไม่มีข่าวคราว ข้ากังวลมาก หากท่านโหว
น้อยมีข่าวคราวของศิษย์พี่ รบกวนส่งจดหมายมา
แจ้งข้าด้วยนะ”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่า จัวชิงหยางตอนนี้เป็นตายร้าย
ดียังไงก็ไม่รู้ คิดจะตามหาว่าเขาอยู่ที่ไหน มันไม่ใช่
เรื่องง่ายเลย แต่เขาก็ยังคงพยักหน้าแล้วพูดว่า
“ท่านมหาเสนาโปรดวางใจ หากสืบได้ข่าวอะไร ข้า
จะแจ้งให้ท่านได้ทราบทันที” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง
แล้วพูดว่า “แต่ว่าหากท่านจัวจะติดต่อใครจริง ๆ คิด
ว่าด้วยความสัมพันธ์ของพวกท่านแล้ว ท่านอาจารย์
น่าจะติดต่อมาหาท่านมหาเสนามากกว่า”
ลิ่งหูซวี่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ขอให้เป็นอย่างนั้น”
เขานิ่งไป แล้วพูดขึ้นมาว่า “โหวเยว่ท่านจำเรื่องม้วน
ตำราสี่บทที่ข้าเคยเล่าให้ฟังได้ไหม?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านมหาเสนาหมายถึง
ทำนองบทเพลงที่ซ่อนเบาะแสของม้วนตำราทั้งสี่
อย่างนั้นใช่หรือไม่?”
ลิ่งหูซวี่พูดว่า “ข้าคิดอยู่ตลอดว่า หรือว่าศิษย์พจี่ ะรู้
เบาะแสมาจากในทำนอง เลยออกไปตามหาม้วน
ตำราทั้งสี่”
ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องนี้กเ็ ป็นไปได้”
ลิ่งหูซวี่ลูบเคราแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ศิษย์พี่
ไม่ได้พูดถึงเรื่องทำนองเพลงกับเจ้าเลยหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านมหาเสนา เรื่องแบบนี้
ท่านอาจารย์จะมาเล่าให้ข้าฟังง่าย ๆ ได้ยังไงกัน? อีก
อย่าง ต่อให้เล่าให้ข้าฟัง ของอย่างตำราเหอถูกับ
ตำราลั่วซูลึกล้ำขนาดนั้น ข้าเองก็ไม่รู้เรื่องหรอก”
“โหวเยว่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว” ลิ่งหูซวี่ยิ้มแล้วพูดว่า
“ขอแค่ศิษย์พี่ปลอดภัยเถอะ” เขาถอนหายใจยิ้ม
แล้วพูดว่า “โหวเยว่รู้สึกว่าสาว ๆ ในแคว้นตงฉีของ
เราเป็นยังไงบ้าง?”
ฉีหนิงตะลึงไป คิดในใจว่ามหาเสนาทำไมถึงได้พูด
เรื่องนี้ขนึ้ มา แต่กลับพูดอย่างเกรงใจไปว่า “ตงฉีอยู่
รอบทะเล ผิวพรรณของหญิงสาวที่นี่ดีนัก อีกทั้งยังมี
เสน่ห์มาก”
ลิ่งหูซวี่หัวเราะแล้วพูดว่า “โหวเยว่พูดได้ถูกต้องแล้ว
ผู้หญิงตงฉีรูปร่างหน้าตาดีทั้งนั้น ครัง้ นี้โหวเยว่ส่ง
ของขวัญมากให้ข้า ข้ารับเอาไว้ทั้งหมด ข้าเองก็คิด
อยากจะมอบอะไรเป็นของตอบแทนให้ท่านบ้าง คิด
ไปคิดมา โหวเยว่แทบจะมีทุกอย่างแล้ว ดังนั้นก็เลย
เลือกสาวงามมาให้สองคน มอบให้ติดตามไปรับใช้
โหวเยว่”
ฉีหนิงตตกใจ แล้วรีบพูดว่า “ท่านมหาเสนา...ไม่
เหมาะสม”
เขาไม่ใช่ไม่ชอบผู้หญิง ที่จริงในตระกูลใหญ่การมอง
ผู้หญิงกันไปมา มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แม้แต่ในแคว้นฉู่
เอง ขุนนางตระกูลใหญ่ก็มีการมอบหญิงงามให้กัน
มันเป็นเรื่องปกติมาก
เพียงแต่นี่เดินทางมาตงฉี พาผู้หญิงกลับเมืองหลวง
ไปสองคน หากเรื่องนี้แพร่ออกไป คนอื่นรู้ไม่ค่อยมี
อะไร ฉีหนิงไม่สนใจ แต่ฉีหนิงจะไม่สนใจความรู้สึก
ของกู้ชิงฮั่นไม่ได้ เขาพาหญิงงามตงฉีกลับเจี้ยนเย่ไป
ให้พวกนางอาศัยในจวนจิ่นอีโหว มันไม่ได้เด็ดขาด
ต่อให้ไปอาศัยด้านนอก กู้ชิงฮั่นก็ไม่มีทางไม่รู้
กู้ชิงฮั่นไม่กล้าเข้าใกล้เขาอยู่แล้ว หากยังพาผู้หญิง
กลับไปอีกสองคน คิดอยากจะใกล้ชดิ กู้ชิงฮั่นอีก มัน
คงไม่มีทางเป็นไปได้อีก
นอกเหนือจากนี้ ฉีหนิงเองก็รู้ว่า ราชสำนักแคว้นฉู่
ไม่ใช่แผ่นเหล็กธรรมดา ฝ่ายของไหวหนานอ๋อง
กับเจิน้ กั๋วกงตระกูลซือหม่าไม่ต้องพูดถึง เขาไม่อยาก
ยุ่งเรื่องนี้ก็อาจเป็นไปไม่ได้ หากรับผู้หญิงที่ลิ่งหูซวี่ม
อบให้จริง ต่อไปเขาคงต้องถูกเล่นงานด้วยประเด็นนี้
แน่นอน
ไม่ว่าทางการหรือว่าส่วนตัว ฉีหนิงก็รู้สึกว่าหญิงงาม
สองคนนี้เป็นอะไรที่รบั มือได้ยาก ควรตัดใจปฏิเสธไป
ดีกว่า
ลิ่งหูซวี่หัวเราะแล้วพูดว่า “คนหนุ่มเจ้าสำราญ ท่าน
โหวน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พูดตามตรง ตอนข้า
เป็นหนุ่ม ข้าเองก็ชอบหญิงงาม สำราญเบิกบานกับ
เรื่องพวกนี้มาก” เขาไม่รอฉีหนิงพูดอะไร เขาพูดกับ
คนด้านนอกว่า “ใครก็ได้ ไปพาพวกนางเข้ามา”
ฉีหนิงรู้สึกเขินมาก เขาพูดว่า “ท่านมหาเสนา มันไม่
เหมาะจริงๆ”
ไม่นานนักก็เห็นสาวใช้นางหนึ่งของลิ่งหูซวี่พาหญิง
สองคนเดินเข้ามา ฉีหนิงมองไป เห็นผู้หญิงสองคน
นั้นสวยมาก พวกนางสูงพอๆ กัน หน้าตาดีทั้งคู่ คน
ซ้ายดูดีมาก มีเสน่ห์ คนขวาสวมชุดสีม่วงบางๆ ดูมี
เสน่ห์มากกว่าคนข้างๆ หน่อย แต่ก็ต่างมีความงาม
ด้วยกันทั้งคู่
ฉีหนิงมองไป เขาไม่ค่อยชอบคนที่มเี สน่ห์เหมือน
จิ้งจอกเท่าไหร่ เขาไม่ใช่ไม่ชอบคนมีเสน่ห์ ชื่อตัน
เหมยมีเสน่ห์ไปทั่งตัว แต่เสน่ห์ของชื่อตันเหมยมันมี
ความงามแฝงอยู่ อีกทั้งมันออกมาจากข้างใจ มันทำ
ให้มีความรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงมากๆ
แต่ผู้หญิงตรงหน้านี้ กลับไม่ได้มีความเป็นธรรมดชาติ
แบบนัน้ เมื่อเทียบกับชื่อตันเหมยแล้ว ไม่ว่าจะ
หน้าตาหรือว่าเสน่ห์ มันต่างกันฟ้ากับดินเลย
แต่กลับผู้หญิงอีกคนที่ดูหน้าตาใสๆ หน้าตาดี งดงาม
มันทำให้นางดูดีกว่าผู้หญิงที่มีแต่เสน่ห์มาก
ฉีหนิงยกถ้วยชาขึ้นดื่ม เขายังคงนิ่งมาก ลิ่งหูซวี่ส่ง
สัญญาณ ผู้หญิงสองคนต่างหมุนตัว เหมือนจะให้ฉี
หนิงได้ดูรูปร่าง ฉีหนิงคิดว่าตาเฒ่านี่ใส่ใจเอามากๆ
เขามองไปที่ผู้หญิงที่หน้าตาใสๆ ตอนนี้เขาพบว่า ที่
จริงแล้วหน้าตาของแม่นางพวกนี้เมือ่ เทียบกับรูปร่าง
แล้ว มันก็มองข้ามกันได้
แม่นางคนนีร้ ูปร่างดีมาก ตั้งแต่ด้านหลังมา จนถึงเอว
สัดส่วนเว้าโค้งดีมาก ก้นก็กลมเด้ง ถือได้ว่าอวบอิ่ม
มากเลยทีเดียว
ในหัวของฉีหนิงอดนึกถึงซีเหมินจั้นอิง ถึงแม้นางแม่
คนนี้จะสู้ซีเหมินจั้นอิงไม่ได้ แต่ว่าก็ถือว่าหาได้ยาก
แค่ตรงนั้นจุดเดียว ก็ทำให้ผู้ชายทั้งหลายสละ
วิญญาณให้ได้
ลิ่งหูซวี่ยิ้ม เขาสังเกตจากท่าทางอาการ เห็นสายตา
ของฉีหนิงมองไปที่แม่นางก้นเด้ง เขาก็หัวเราะ แล้ว
พูดว่า “ท่านโหวน้อย ท่านเห็นเป็นยังไงบ้าง?”
ลิ่งหูซวี่รู้สึกเขิน เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านมหาเสนา
ข้าไม่ใช่อยากจะปฏิเสธความหวังดีของท่านหรอกนะ
เพียงแต่ว่า...”
“ท่านโหวน้อย แคว้นฉีกับแคว้นฉู่กำลังจะเป็นแคว้น
พระญาติกัน ตั้งแต่นี้ต่อไป เราก็จะไม่ใช่คนนอกคน
แล้วนะ” ลิ่งหูซวี่ยกมือชี้ไปผู้หญิงสองคนนัน้ แล้วพูด
ว่า “พูดตามตรง ผู้หญิงสองคนนี้ไม่ว่าจะหน้าตา
หรือว่าศิลปะวิชาแขนงต่างๆ ก็ชำนาญหมด อีกทั้งยัง
ทำอาหารได้ หากโหวเยว่ถูกใจ เก็บไว้ช่วยยกน้ำชาก็
ยังดีนะ”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านมหาเสนา ข้า...”
“ท่านโหวน้อยหากยังปฏิเสธ แสดงว่าท่านไม่ให้
เกียรติข้าเลยนะ” ลิ่งหูซวี่ตั้งใจทำหน้านิ่ง แล้วพูดว่า
“ก็ได้ ข้าจะถอยให้อีกหน่อย หากท่านโหวน้อยรู้สึก
ว่าลำบากใจ งั้นก็พากลับไปแค่คนเดียวก็พอ ถือว่า
เป็นการแสดงความจริงใจของข้า” เห็นฉีหนิงรู้สึก
เขินมาก เขาหันไปโบกมือให้ผู้หญิงที่เสน่ห์มาก
ออกไป นางคำนับ แล้วถอยออกไป เหลือเพียง
ผู้หญิงหน้าตาใสเอาไว้
“ซิ่วเหนียง ครั้งนีเ้ จ้าก็ติดตามท่านโหวน้อยไปแคว้น
ฉู่นะ” ลิ่งหูซวี่พูดว่า “เมื่อถึงที่นั่นแล้ว ก็รับใช้โหวน
น้อยให้ดี เกิดก็ให้เป็นคนของโหวน้อย ตายก็ต้องเป็น
วิญญาณของท่านโหวน้อย เจ้าเข้าใจหรือเปล่า?”
ผู้หญิงที่ชื่อซิ่วเหนียงเดินขึ้นหน้ามาคำนับฉีหนิง แล้ว
พูดอย่างอ่อนโยนว่า “คำนับโหวเยว่”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วถามว่า “เจ้าชื่อซิ่วเหนียง
หรอ?”
ซิ่วเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าค่ะ ข้าน้อยซิ่วเหนียง”
ถึงแม้นางจะยิ้ม แต่ฉีหนิงรู้สึกได้ว่ามันเหมือนยิ้ม
การเมือง ไม่ได้ยิ้มมาจากใจ
ลิ่งหูซวี่พูดว่า “ซิ่วเหนียง เจ้ากลับไปเตรียมตัว พรุ่งนี้
เดินทางกลับแคว้นไปกับโหวเยว่นะ คืนนี้เจ้ามารับใช้
ให้เร็วหน่อยก็แล้วกัน”
ซิ่วเหนียงคำนับอีกครั้ง หลังจากนัน้ ก็หันหลังกลับไป
แล้วเดินบิดก้นออกไป
“ท่านโหวน้อย ท่านไม่ต้องกังวลไป” ลิ่งหูซวี่ลูบเครา
แล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ออกเดินทาง ขบวนผู้เดินทางไป
ด้วยมีประมาณสามร้อยคน นอกจากทหารองครักษ์
แล้ว ก็ยังมีสาวใช้ที่ตามไปปรนนิบัติองค์หญิง ซิ่ว
เหนียงตามไปในขบวนด้วย ไม่มีใครผิดสังเกตได้
แน่นอน”
ฉีหนิงคิดในใจว่าลิ่งหูซวี่ตั้งใจเอาสาวงามมาให้
เหมือนเตรียมการไว้ก่อนแล้ว เห็นจากท่าทีของเขา
แล้ว เหมือนยังไงก็จะมอบผู้หญิงให้เขาหนึ่งคน หาก
เขาปฏิเสธ มันก็เหมือนไม่ไว้หน้าเขา เขาแอบคิดใน
ใจว่าหลังจากซิ่วเหนียงกลับเมืองหลวงแล้ว ค่อยไป
อธิบายเรื่องนี้ให้กู้ชิงฮั่นเข้าใจล่ะกัน ถึงเวลานั้นค่อย
คิดวิธีจัดการ เขายกมือคำนับแล้วพูดว่า “ท่านมหา
เสนาเอ็นดูข้า ข้าน้อยก็ขอรับน้ำใจนีเ้ อาไว้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 658 ไม่มีที่ไป
ในคืนนัน้ ซิ่วเหนียงมาที่เรือนรับรองอีกครั้ง อู๋ต๋า
หลินพานางมาที่ห้องของฉีหนิง
เช้าอีกวันคณะทูตก็จะออกเดินทางแล้ว ทุกคนต่าง
ยุ่งกับการจัดเตรียมข้าวของ เพราะว่าทุกคนออก
นอกแคว้นฉู่มาที่นี่ เลยอยากจะซื้อของฝากจาก
แคว้นฉีกลับไป
ระหว่างทางที่มาในตัวเมืองแคว้นฉี เขาหลอกเอาเงิน
จากแม่ทัพเหมิงเจียงโจวมาได้หนึ่งพันเจ็ดร้อยตำลึง
เงินพวกนั้นฉีหนิงสั่งให้อู๋ต๋าหลินแบ่งให้ทหารกว่า
สองร้อยกว่าคน ทุกคนก็ได้ไปกันคนละประมาณสอง
ตำลึง ถึงแม้จะไม่ได้มากอะไร แต่สำหรับเหล่าทหาร
แล้วมันก็เยอะพอสมควร
ฉีหนิงสั่งให้คนไปซื้อของฝากมีชื่อของแคว้นมา แล้ว
ให้ขนขึ้นรุก อีกทั้งลิ่งหูซวี่ยงั เตรียมของขวัญมาให้ทุก
คนคนละเล็กน้อย ดังนั้นเหล่าทหารในคณะทูตต่างก็
ได้ของกันไปอย่างเต็มที่
อู๋ต๋าหลินรู้ว่าลิ่งหูซวี่มอบสาวงามมาให้ฉีหนิงคนหนึ่ง
เรื่องแบบนี้ เขาเองก็จะไปยุ่งมากไม่ได้ เขาพาซิ่ว
เหนียงมา แล้วก็ออกไปทันที
ฉีหนิงให้ซิ่วเหนียงเข้าห้องมา เห็นนางสวมชุดสีม่วง
รัดรูป เสื้อผ้าสีสะอาดตา นางไม่ได้สวมใส่
เครื่องประดับ แต่งกายแบบเรียบง่าย แต่ว่าพอมอง
ไปแล้วมันก็ดูสบายตาดี ทำให้รู้สึกเหมือนคนในบ้าน
สีอ่อนๆ ทำให้นางดูผิวขาวขึ้น
หลังจากซิ่วเหนียงเข้ามาในห้องแล้ว ก็คุกเข่าลงทันที
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วมองไปที่นาง ซิ่วเหนียงหน้าตาดี
รูปร่างสมส่วนไม่สูงจนเกินไป ดูมีส่วนเว้าส่วนโค้ง
อวบอิ่ม แต่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าอ้วน เดิมโครง
ร่างของนางดูเล็ก แต่ผิวพรรณดี ดังนั้นเลยไม่ได้ดู
อ้วน
นางคุกเข่าลง ทำให้ด้านหลังกระโปรงรัดแน่น ก้นเด้ง
ขึ้นมา ทำให้ดูอวบอิ่มมากขึ้น
ฉีหนิงยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “เจ้าลุกขึ้นมาก่อน ไม่ต้อง
คุกเข่าหรอก”
ซิ่วเหนียงเชื่อฟังมาก นางลุกขึ้น ฉีหนิงเห็นนางถือห่อ
ผ้ามาด้วย ก็เลยถามว่า “นี่ของติดตัวของเจ้าหรือ?”
ซิ่วเหนียง “อืม” แล้วพูดว่า “นี่เป็นของที่ท่านมหา
เสนามอบให้ บอกให้ข้าน้อยนำติดตัวไปด้วย”
“ที่จริงแล้วหากต้องการอะไร ก็บอกได้ ไม่ต้อง
ลำบากพกอะไรไปด้วยหรอก” ฉีหนิงคิดแล้วถามต่อ
ว่า “เจ้าเป็นคนแคว้นฉีหรือ?”
ซิ่วเหนียงลังเลสุดท้ายก็พยักหน้า ฉีหนิงถามต่อว่า
“แล้วเจ้ามีครอบครัวหรือญาติ? พวกเขารู้ว่าเจ้าจะ
ไปแคว้นฉู่ไหม?”
ซิ่วเหนียงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ต่างไม่อยู่แล้ว ท่าน
มหาเสนาสงสาร เลยทำให้มีชีวิตรอดมาได้”
ฉีหนิงพูดว่า “แล้วไม่มีญาติที่ไหนแล้วหรือ?”
ซิ่วเหนียงพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า ฉีหนิงรู้สึกแปลก
ใจมาก ซิ่วเหนียงอธิบายว่า “มีท่านอาอยู่คนหนึ่ง แต่
ว่า...ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว
เลยเหมือนไม่มี”
ฉีหนิงเข้าใจแล้ว เขาพูดว่า “เจ้าเป็นชาวแคว้นฉี ไป
แคว้นฉู่ เกรงว่าคงไม่เหมาะ ท่านมหาเสนาปรารถนา
ดี ข้าก็ไม่อาจจะหักหน้าเขาได้ แต่ว่าในเมื่อตอนนี้เจ้า
เป็นคนของข้าแล้ว ข้าจะจัดการยังไง ท่านมหาเสนา
ก็ไม่อาจมายุ่งได้อีก”
ซิ่วเหนียงพยักหน้า นางดูหน้าแดงเล็กน้อย แล้วพูด
ว่า “ท่านมหาเสนาบอกว่า เกิดก็ให้เป็นคนของโหว
เยว่ ตายก็ให้เป็นคนของโหวเยว่ ต่อไปให้ข้าน้อยรับ
ใช้โหวเยว่ให้ดี”
“เจ้าไม่เข้าใจความหมายของข้า” ฉีหนิงถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “ไม่มีใครอยากเป็นสาวใช้ไปตลอดชีวิต
หรอกนะ เจ้าเองก็ไม่ยินดี ซิ่วเหนียง ข้าพอมีเงินอยู่
บ้าง” เขาหยิบถุงเงินออกมา แล้ววางไว้บนโต๊ะ “มัน
อาจจะไม่ได้มากเท่าไหร่ แต่ว่าก็สามารถใช้ไปได้อีก
หลายปีโดยไม่ต้องกังวล เจ้ารับไป หากเจ้ายินดี เจ้า
ก็กลับบ้านเกิดของเจ้าไป ไปหาท่านอาของเจ้า
หรือไม่ก็หาคนดีดีสักคนแต่งงาน ไม่ต้องมาเป็นสาว
ใช้ให้กับคนอื่นอีก”
ซิ่วเหนียงถึงกับสะดุ้ง สีหน้าใสๆ ของนางดูตกใจมาก
นางพูดว่า “โหวเยว่...โหวเยว่ไม่อยากได้ข้าน้อยแล้ว
หรือเจ้าคะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ไม่อยากได้ เพียงแต่เจ้าไม่
จำเป็นต้องเป็นสาวใช้ เจ้าเป็นคนแคว้นฉี จากบ้าน
ไปไกล ใครก็ไม่อยากทั้งนั้น”
“ข้ายินดี” ซิ่วเหนียงพูดอย่างหนักแน่น “โหวเยว่ไป
ที่ไหน ซิ่วเหนียงก็จะติดตามไปที่นั่น ไม่มีไม่เต็มใจ”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วยิ้ม เขาหยิบถุงเงินแล้วเดินมาหา
นาง แล้วเอายัดใส่ในมือนาง แล้วพูดว่า “เจ้าเชื่อข้า
นะ ไม่ผิดหรอก” จากนั้นเขาก็เรียกคน “ใครก็ได้เข้า
มาที”
ด้านนอกมีคนวิ่งเข้ามา ฉีหนิงสั่งการไปว่า “ส่งแม่
นางคนนี้ออกไปที” เหมือนเขาจะคิดอะไรขึ้นมาได้
หันมาถามว่า “ซิ่วเหนียงเจ้าขี่ม้าเป็นไหม?”
ซิ่วเหนียงหน้าถอดสี แต่ก็ยังพยักหน้า ฉีหนิงสั่งไปว่า
“เอาม้าให้นางตัวหนึ่ง” ซิ่วเหนียงยิม้ ทหารยกมือ
คำนับแล้วพูดว่า “แม่นางเชิญทางนี”้
ซิ่วเหนียงเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้
พูดออกมา นางเดินตามทหารไป ฉีหนิงเห็นนาง
ออกไปแล้ว ก็โล่งใจ
เขาคิดไปคิดมา ยังรู้สึกไม่พาซิ่วเหนียงกลับไปจะ
ดีกว่า จะได้ไม่เป็นปัญหา อีกทั้งซิ่วเหนียงเหมือนจะ
เป็นสาวใช้ในบ้านของลิ่งหูซวี่ ไม่ได้มีอิสรภาพ เขาให้
นางได้อิสรภาพคืน แต่ว่ามันก็ทำให้เรื่องไม่ยุ่งยาก ก็
ถือว่าเป็นเรื่องดี ได้บุญด้วย
ซิ่วเหนียงออกไปได้ไม่นาน เสนาบดีกรมพิธีการเถา
เฉียนก็มา เขามาแจ้งว่าพรุ่งนีเ้ ช้า ให้คณะทูตแคว้นฉู่
ไปรออยู่ทปี่ ระตูเมืองหนานเซิงของเมืองลู่เฉิง ขบวน
ส่งตัวของตงฉีจะไปรวมตัวกันที่นั่น
พอดีกับที่มีคนเอาอาหารเย็นมาให้ ฉีหนิงเลยเชิญให้
เถาเฉียนอยู่กินข้าวด้วยกัน ถึงแม้ครัง้ นี้รัชทายาทต้
วนเสาจะเป็นราชทูตในการส่งตัว แต่ในนฐานะทีเ่ ถา
เฉียนเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ เขาก็ต้องติดตามไป
ด้วย เขาเป็นขุนนางเก่าแก่ รู้จักวิธีการปฏิบัติเข้าหา
เขาดูแลฉีหนิงดีมากตอนอยู่ในตงฉี เมื่อถึงแคว้นฉู่ ฉี
หนิงเองก็จะต้องดูแลเขาให้ดี
พวกเขาดื่มไปไม่กี่แก้ว เขาเองก็เป็นคนรู้จักกาลเทสะ
ตลอดเวลาที่กินอาหาร เขาไม่พูดถึงเรื่องที่อ่อนไหว
เลย แม้แต่เรื่องการอภิเษกของทัง้ สองแคว้น ก็พูดพอ
เป็นพิธี อีกทั้งยังชื่นชมจิ่นอีตระกูลฉีอีกด้วย
ฉีหนิงรู้ว่าคนอย่างเถาเฉียนไม่ได้มีอะไรให้คุยด้วย
มาก หลังจากกินข้าวเสร็จ เถาเฉียนก็ขอตัวกลับ เขา
กลับไป หลี่ถังก็มาขอพบ
หลังจากที่ฉีเฟิงกลับไปแล้ว หลี่ถังก็รับหน้าที่คุ้มกัน
ความปลอดภัยประจำตัวฉีหนิงแทน หลังจากที่เขา
เข้ามาแล้ว ฉีหนิงก็วางแก้วลงยิ้มแล้วพูดว่า “กินข้าว
หรือยัง? จะดื่มสักแก้วไหม?”
หลี่ถังเดินเข้ามา เขารู้ว่าโหวน้อยของพวกเขาไม่ได้
วางมาด เขายิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณโหวเยว่ ข้าน้อย
กินแล้ว” เขาลังเล ไม่กล้าพูด
“มีอะไร?” ฉีหนิงเห็นท่าทางของหลี่ถัง ก็ขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “อย่าบอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นอีก?”
กำลังจะออกเดินทางแล้ว คืนนีเ้ ป็นคืนสุดท้ายที่จะ
อยู่ในเมืองลู่เฉิงกัน ฉีหนิงกังวลมากว่าคืนนี้จะเกิด
อะไรขึ้น หลี่ถังส่ายหน้า แล้วพูดว่า “โหวเยว่ แม่นาง
คนนั้น...”
“แม่นาง?” ฉีหนิงตะลึงไป เขาถามว่า “แม่นางอะไร
กัน?”
หลี่ถังพูดว่า “ก็แม่นางที่โหวเยว่ให้หาม้ามาให้นาง”
“อ่อ?” ฉีหนิงนึกถึงซิ่วเหนียงขึ้นมา หลังจากซิ่ว
เหนียงไปแล้ว เถาเฉียนมา แล้วก็เพิ่งกลับไป ก็ไม่มี
ใครมารายงานเรื่องของซิ่วเหนียงเลย เขาถามว่า
“ให้ม้านางไปแล้วหรือยัง? นางไปแล้วใช่ไหม?”
หลี่ถังส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ยังไม่ไป ยืนอยู่นอกเรือน
รับรอง เหมือนท่อนไม้ ไม่พูดไม่จา ยืนถือห่อผ้าไว้
อย่างนั้น พูดอะไรกับนาง นางก็เหมือนไม่ได้ยิน”
“นางยังไม่ไป?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
หลี่ถังพยักหน้า “เหมือนจะเจตนาอย่างนั้น” เขา
หยุดไป แล้วพูดว่า “โหวเยว่ นางดูน่าสงสารนะ”
“เจ้ารู้จักทะนุถนอมผู้หญิงด้วย” ฉีหนิงไม่ได้พูดดี
หลี่ถังยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ซิ่วเหนียงอะไรนั่น
หน้าตาไม่เลวเลย ถือว่าเป็นสาวงามคนหนึ่งเลยนะ
ทำไมโหวเยว่ถึงให้นางไปล่ะ? เก็บไว้ยกน้ำชาก็ได้นี่
นา ตามถนน จะหาที่หน้าตาดีแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”
“เจ้าคิดว่าควรจะรับนางไว้?”
หลี่ถังยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าน้อยก็พูดไปอย่างนั้น
สุดท้ายแล้วโหวเยว่ก็ต้องเป็นคนตัดสินใจ โหวเยว่
หากจะพานางกลับไป ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
คนในจวนมีเป็นร้อยคน เพิ่มมาแค่คนเดียวมันก็ไม่
เท่าไหร่หรอกขอรับ”
เขาไม่รู้ว่าโหวน้อยของเขาแอบชอบฮูหยินสามของ
พวกเขาอยู่ อีกทัง้ ยังกำลังคิดหาวิธีให้ได้ตัวนางมา
ด้วย เขาไม่มีทางนึกถึงว่าฉีหนิงสนใจความรู้สึกของกู้
ชิงฮั่นแค่ไหน เขาคิดแค่ว่าแค่สาวใช้คนเดียว มัน
ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
“เจ้าจะไปรู้อะไร” ฉีหนิงไม่ได้พูดดีด้วย “เจ้าคิดว่า
คนของตงฉีควรรับอย่างนั้นหรือไง? ข้าถามเจ้าหน่อย
ลิ่งหูซวี่มอบหญิงงามมาให้ข้าคนหนึ่ง เขาคิดจะทำ
อะไร?”
หลี่ถังพูดว่า “เขาไม่ได้ทำเพราะอยากเอาใจโหวเยว่
หรือ?”
“เหลวไหล” ฉีหนิงมองไปที่เขาแล้วพูดว่า “ลิ่งหูซวี่
เป็นมหาเสนาบดีแห่งตงฉี ถึงแม้ตงฉีจะเป็นแคว้น
เล็ก แต่ว่าเขาก็เป็นถึงเสนาบดีผู้ช่วยบริหารราชการ
แผ่นดิน ฐานะของเขาด้อยกว่าข้างัน้ หรือ? ทำไมเขา
ต้องมาเอาใจข้าด้วย?” เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วยก
ชาขึ้นดื่ม เพื่อล้างปาก จากนั้นก็วางลงแล้วพูดว่า
“พูดแบบน่าเกลียดเลย จวนโหวของเราสองร้อยคน
นั่นก็ใช่ว่าจะประวัติขาวสะอาดทั้งหมด ข้าเองยังแยก
ไม่ออกว่าใครเป็นใครเลย แล้วจะให้เพิ่มคนเข้าไปอีก
หรือไง?”
หลี่ถังขมวดคิ้ว เขาไม่ใช่คนโง่ เขาเข้าใจขึ้นมาทันที
แล้วพูดเสียงเบาว่า “โหวเยว่ ท่านกำลังกังวลว่าซิ่ว
เหนียงจะเป็นสายของลิ่งหูซวี่ตั้งใจส่งมาจับตาดูเรา
อย่างนั้นหรือ?”
“หรือก็อาจจะเป็นข้าที่ใจแคบไปเอง” ฉีหนิงพูดว่า
“แต่ว่าระวังไว้ก่อนก็ดี”
หลี่ถังพูดว่า “โหวเยว่คิดรอบคอบนัก ข้าจะไปบอก
ให้ทหารเวรไล่นางไปเดี๋ยวนี้” เขากำลังจะไป ฉีหนิง
กลับห้ามเขาเอาไว้
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วนิ่งไป แล้วพูดว่า “เจ้าไปเรียก
นางมาพบข้า” หลี่ถังพูดว่า “โหวเยว่ ไม่ไช่บอกว่า
...” เขายังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นฉีหนิงจ้องมา เขาเลยไม่
กล้าพูดอะไรอีก เขารับคำสั่ง จากนัน้ ก็ออกไป ฉีหนิง
ตะโกนสั่งไปอีกว่า “ให้คนเข้ามาเก็บของด้วย แล้วก็
จัดอาหารมาชุดหนึ่ง”
หลี่ถังเข้าใจความหมายของฉีหนิง เขายกมือคำนับ
แล้วก็ออกไป จากนั้นก็มีคนเข้ามาเก็บโต๊ะอาหาร
ไม่นานนักหลี่ถังก็พาซิ่วเหนียงมา ฉีหนิงสั่งให้หลี่ถัง
ออกไป แล้วก็กวักเรียกซิ่วเหนียงเข้าห้องไป เขาพูด
ว่า “แม่นางซิ่วเหนียง ข้าได้ยินว่าเจ้ายืนอยู่นอกเรือน
รับรอง ไม่ยอมไปสักทีอย่างนั้นหรือ? เพราะอะไร
กัน?”
สีหน้าของซิ่วเหนียงดูเศร้ามา นางพูดเสียงเบาว่า
“เรียนโหวเยว่ ข้าน้อย...ไม่มีที่ไป”
“อะไรนะ?” ฉีหนิงตกใจ คำพูดที่ออกมาจากปาก
ของนางมันดูน่าเศร้า เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้า
คิดว่าเจ้าจะหาท่านอาของเจ้าไม่เจออย่างนั้นหรือ?”
ซิ่วเหนียงกัดฟัน แล้วก้มหน้าลง นางคุกเข่าลงกับพื้น
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยสมควรตาย มีบางเรื่อง
ที่...ที่เดิมทีไม่ควรปิดบังท่าน แต่ว่า...แต่ว่าข้าน้อย
กลัวโหวเยว่จะคิดมาก เลยไม่กล้าพูด โหวเยว่ได้
โปรดลงโทษด้วย”
นางคุกเข่าลงแบบนี้มันทำให้ฉีหนิงรูส้ ึกตกใจมาก
เขายื่นมือออกไปแล้วพยุงแขนนางขึน้ มา เขารู้สึกว่า
เนื้อตัวของนางนิ่มมาก เขาพูดว่า “ข้าไม่ชอบให้ใคร
มาคุกเข่าต่อหน้าข้า” เขาจ้องไปในตาของซิ่วเหนียง
แล้วถามว่า “เจ้าปิดบังอะไรข้า?”
ซิ่วเหนียงทำหน้าเสียใจ แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อย
...ไม่ใช่ชาวตงฉี แต่เป็นชาวเป่ยฮั่น”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 659 คณะดนตรี
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นชาวเป่ยฮั่นงั้น
หรือ?”
ซิ่วเหนียงพูดว่า “ท่านพ่อเป็นนายอำเภอเป่ยฮั่น
เล็กๆ ในเขตติ้งเถา ก่อนหน้าศึกฉินไหว ท่านพ่อรู้
ว่าติ้งเถาจะต้องได้รับผลกระทบแน่นอน เขากลัวว่า
ครอบครัวจะเดือดร้อน เลยพาเราออกจากติ้งเถา หา
ที่หลบภัย”
“อ๋อ?” ฉีหนิงพูดว่า “พ่อเจ้าเป็นขุนนาง แต่กลับหนี
ไปตอนยังไม่มีสงคราม มันมีความผิดนะนั่น”
“เจ้าค่ะ” ซิ่วเหนียงพูดว่า “ตอนนั้นมีขุนนางหลาย
คนที่พาครอบครัวหนีพิษสงคราม ท่านพ่อเองก็
เช่นกัน แต่ว่าก็กล้าที่จะหนีขึ้นไปทางเหนือกัน กังวล
ว่าจะถูกจับ แล้วก็ไม่กล้าที่จะหนีลงใต้ ทำได้แค่มา
ทางแคว้นตงฉี” นางก้มหน้าลง น้ำเสียงเรียบๆ “หนี
ไปได้ไม่นาน ระหว่างทางเราเจอกับกลุ่มโจร...”
ฉีหนิงรู้ดีว่าน่าจะเป็นเพราะสงคราม ทำให้คน
หวาดกลัว บางคนเลยรวมตัวมาเป็นโจรปล้นข้าวของ
มันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซิ่วเหนียงพูดต่อว่า
“พวกเขาเจอคนก็ลงมือฆ่าทันที เห็นคนก็ชิงเอาไป
เราเองก็ไม่รอดเช่นกัน...” พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของ
นางเริ่มสะอื้น
อาจเป็นเพราะเรื่องราวผ่านไปนานหลายปีแล้ว
ความเสียใจหลายปีของนาง ทำให้ไม่สามารถควบคุม
อารมณ์ไว้ได้
ฉีหนิงถามว่า “ถ้าอย่างนั้น ครอบครัวของเจ้าตายไป
เมื่อหลายปีก่อนเพราะประสบเหตุรา้ ยอย่างนั้นใช่
ไหม?”
ซิ่วเหนียงพยักหน้า “โจรพวกนัน้ ฆ่าคน ชิงเอาของไป
แต่พวกเขากลับไม่ฆ่าผู้หญิงอายุน้อย แต่จับพวกเรา
กลับมา” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็ก้มหน้าลงอีก “เดิมที
เราคิดว่า...เดิมคิดว่าคงถูกพวกเขาย่ำยีแน่นอน แต่
พวกเขากลับไม่แตะต้องเราเลย เพียงแค่ขังเราเอาไว้
เอาข้าวให้เรากินทุกวัน ผ่านไปเดือนหนึ่ง เราก็ถูกส่ง
มายังแคว้นฉี พักอยู่ในทีท่ ี่หนึ่งหลายวัน ข้าน้อยก็ถูก
ส่งไปยังจวนท่านมหาเสนาบดี”
“เพราะอะไร?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
ซิ่วเหนียงพูดว่า “ต่อมาข้าน้อยถึงได้รู้ว่า คนพวกนัน้
พาเรามาที่ตงฉี เพราะต้องการขายเราให้ไปเป็นทาส
กับขุนนางใหญ่ มีคน...มีคนเห็นข้าน้อยหน้าตาดี
หน่อย เลยไปแจ้งให้กับพ่อบ้านจวนท่านมหาเสนา
แล้วพ่อบ้านก็สั่งให้พวกเขาส่งตัวข้าน้อยไป หลังจาก
นั้น...หลังจากนั้นก็อยู่ในจวนท่านมหาเสนามา
ตลอด”
ฉีหนิงพูดว่า “อย่างนี้นเี่ อง”
“ในจวนท่านมหาเสนาบดีมีคณะดนตรีอยู่วงหนึ่ง
ข้าน้อยก็เรียนการเต้นรำกับพกวเขา” ซิ่วเหนียงพูด
ว่า "ก่อนหน้านี้ข้าน้อยเองมีพื้นฐานมาก่อน ดังนั้น...
ดังนั้นเลยฝึกได้ดี ต่อมาข้าน้อยรู้มาว่า คณะดนตรี
ของท่านมหาเสนา สองสามปีก็จะมีการเปลี่ยนคน
หลังจากที่ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญแล้ว ก็จะถูกส่งไปให้ขุน
นางอื่น
ฉีหนิงคิดในใจว่าลิ่งหูซวี่ก็เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง แต่กลับ
ใช้วิธีแบบนี้ด้วย? แค่เขาก็นึกถึงว่า ลิ่งหูซวี่เป็นถึง
มหาเสนาบดีแห่งตงฉี ถึงแม้จะมีอำนาจสูง แต่ว่าการ
จะซื้อใจคนก็ต้องมีการใช้กลยุทธ์บ้าง การส่งสาวงาม
ไปให้ ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีมาก
“คนที่ออกไปจากคณะดนตรี หากถูกปฏิเสธก็จะไม่มี
ที่ไปอีก” ซิ่วเหนียงพูดว่า “จวนมหาเสนาไม่มีทางรับ
กลับไปอีก อีกทั้งคนที่ออกมาจากจวนมหาเสนา คน
ที่จวนอื่นก็ไม่มีทางรับ”
ฉีหนิงเข้าใจแล้ว เขาพูดว่า "ดังนั้นเจ้าก็อยู่ในแคว้นฉี
อีกไม่ได้แล้วใช่ไหม?
ซิ่วเหนียงพูดว่า “ข้าน้อยได้ยินมาว่า ตอนศึกฉินไหว
ติ้งเถาถูกโจมตีจนกลายเป็นทีร่ ้าง ข้าน้อย...ข้าน้อย
กลับไป ก็คงไม่มีทางเจอบ้านอีก” นางพูดว่า “ที่จริง
แล้วข้าน้อยไม่มีบ้านมานานมากแล้ว”
สงครามครั้งใหญ่ ชาวบ้านไร้ที่อยู่อาศัย ไม่มีบ้านให้
กลับ ไม่ใช่ซิ่วเหนียงคนเดียวที่เจอเรือ่ งแบบนี้ ฉีหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แล้วเรื่องท่านอาของเจ้าเรื่อง
จริงหรือเปล่า?”
ซิ่วเหนียงรีบพูดว่า “ข้าน้อยกังวลว่าโหวเยว่รู้ว่า
ข้าน้อยเป็นชาวเป่ยฮั่น ก็จะ...ก็จะไม่รับตัวข้าน้อย
เอาไว้ ส่วนเรื่องอื่นเป็นเรื่องจริงทัง้ หมด ข้าน้อยมี
ท่านอาอยู่คนหนึง่ จริงๆ แต่ก็ไม่มีข่าวคราวมานาน
แล้ว แต่เป็นหรือตายไม่รู้เลย”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดในใจว่าถ้าอย่างนัน้ แม่นางคนนี้ก็
ไม่มีที่ไปจริงๆ เขาคิด แล้วพูดว่า “ถ้าเจ้ายินดี ก็ตาม
ข้ากลับแคว้นฉู่เถอะนะ ข้าจะทำให้เจ้ามีข้าวกินเอง”
ซิ่วเหนียงคำนับแล้วพูดว่า “ซิ่วเหนียงขอบคุณโหว
เยว่ที่ให้อยู่ต่อ”
ฉีหนิงสั่งให้คนเข้ามา แล้วสั่งให้จัดเตรียมที่อยู่ใน
กับซิ่วเหนียง พรุง่ นี้เช้าต้องออกเดินทาง เรือนรับรอง
ใหญ่มาก มีที่มากพอที่จะให้พัก ซิ่วเหนียงขอบคุณ
กำลังจะออกไป ฉีหนิงเหมือนคิดถึงอะไรขึ้นมา เลย
เรียกซิ่วเหนียงให้กลับมา “ซิ่วเหนียง เจ้าถูกจับตัวใน
พื้นที่เป่ยฮั่น หลังจากถูกจับพวกเขาส่งเจ้ามาที่ตงฉี
แล้วก็ขายเจ้าให้เป็นทาสอย่างนั้นใช่ไหม?”
ซิ่วเหนียงพูดว่า “เจ้าค่ะ”
“เรื่องแบบนี้ในตงฉีมีเยอะไหม?” ฉีหนิงถาม “มักมี
ผู้หญิงที่ตกยากถูกขายมาที่ตงฉีอย่างนั้นใช่ไหม?”
ซิ่วเหนียงขมวดคิ้ว คิดดีดีแล้วถึงพูดว่า “ข้าน้อยเองก็
ไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก็น่าจะมีไม่น้อย คณะดนตรีในจวน
มหาเสนา จะแย่งออกเป็นกลุ่มย่อยเล็กๆ แต่ละกลุ่ม
มีคนอยู่ประมาณห้าหกคน พวกนางบอกว่าผู้หญิงใน
คณะดนตรีจะเป็นคนที่ถูกคัดเลือกมาแล้วอย่างดี...”
นางหน้าแดง ก้มหน้าแล้วพูดว่า “หากหน้าตาดี
หน่อย รูปร่างสมส่วน ก็จะถูกส่งเข้าไปในคณะดนตรี
ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถเข้าไปได้”
ฉีหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น คนในคณะดนตรีก็มีเกือบ
ร้อยคนเลยน่ะสิ”
ซิ่วเหนียงพูดว่า “ข้าน้อยได้พวกนางพูดกันบ้าง แต่
ว่ามีกี่คนจริงๆ ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบ อีกทั้งก็ไม่เคย
ได้เห็นด้วย แต่ว่าข้าน้อย...ข้าน้อยรู้แค่ว่าจะมีคนมา
ใหม่ในคณะดนตรีทุกปี ในแต่ละปีจะมีคนในคณะ
ดนตรีถูกส่งออกไป ข้าน้อย...ข้าน้อยอยู่ในคณะถึง
สามปีถึงได้ถูกส่งมาให้โหวเยว่ที่นี่ ข้าน้อยก็อยู่ในนั้น
มานานมากแล้ว”
ฉีหนิงคิดในใจว่ามันน่าจะไม่ใช่เพราะเจ้าไม่สวยหรือ
ว่าไม่ดี แต่กลับกัน ไม่ว่าจะหน้าตาหรือรูปร่างต่างดูดี
ทั้งหมด ไม่มีทางถูกจัดส่งออกไปง่ายๆ แน่
ในเวลานี้เขาอดที่จะนึกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน
เมืองฮุ่ยเจ๋อ ตอนนัน้ หัวหน้ามือปราบของเมืองฮุ่
ยเจ๋อเซียวอี้ซยุ่ ร่วมมือกับฮวาฮูหยินแอบขายหญิง
สาว พวกเขาอาศัยสถานที่ตกยากควบคุมผู้หญิงใน
พื้นที่ อีกทัง้ ฝึกฝน จากนั้นก็ส่งไปขายให้กับขุน
นางในเมืองหลวง จากนัน้ ก็กลายเป็นตลาดมืดสาย
หนึ่ง
เพราะเรื่องนี้ทำให้เสี่ยวเตี๋ยหายตัวไปไร้ร่องรอย
เรื่องทีซ่ ิ่วเหนียงเจอ มันทำให้ฉีหนิงคิดถึงเสี่ยวเตี๋ย
ถึงแม้จะรู้สึกว่ามันเป็นไปได้น้อยมาก แต่ว่าในใจของ
เขาก็เหมือนมีไฟลุกโชนขึ้นมา เขาถามว่า “ผู้หญิงใน
คณะดนตรี มาจากเป่ยฮั่นทัง้ หมดเลยหรือ? มีผู้หญิง
ที่มาจากแคว้นฉู่บ้างไหม?”
ซิ่วเหนียงลังเล จากนั้นก็พยักหน้า “มี อยู่ในกลุ่มของ
ข้าน้อยเอง มีสองคนที่มาจากแคว้นฉู่” เขาเหมือน
คิดอะไรออก แล้วพูดว่า “โหวเยว่ยังจำผู้หญิงที่มา
กับข้าน้อยในวันนี้ไหม?”
ฉีหนิงพยักหน้า เขาจำแม่นางคนนั้นได้
“นางเป็นชาวแคว้นฉู่” ซิ่วเหนียงพูดว่า “เรื่องที่นาง
เจอไม่ต่างกับข้าน้อยมาก เกิดในช่วงสงคราม
เหมือนกัน ครอบครัวตายหมด นางถูกส่งมายังแคว้น
ฉี แต่ว่านางก็ไม่ได้เล่าอะไรมากเท่าไหร่ ดังนั้น
ข้าน้อยเองก็ไม่กล้าถามมาก”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดในใจว่าเขาพลาดไปแล้ว ถ้ารู้เร็ว
กว่านี้ ก็น่าจะรับนางเอาไว้ด้วย อาจจะได้เบาะแส
อะไรเพิ่มก็ได้
ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่า ช่วงสงคราม มีคนแอบค้าผู้หญิง
แบบนี้ไม่ได้มีแค่เมืองฮุ่ยเจ๋อ เท่าที่ดู น่าจะมีหลายคน
ที่แอบร่วมมือกับพวกสวะนั่น ตอนนัน้ เสี่ยวเตี๋ยถูก
สำนักคุ้มภัยส่งเข้าเมืองหลวงไประหว่างทางถูกลอบ
โจมตีแล้วชิงเอาผู้หญิงไป อาจจะเป็นการกระทำของ
คนในสายเดียวกันก็ได้
เสี่ยวเตี๋ยหายตัวไป มันเหมือนแผลในใจของฉีหนิงมา
ตลอด ไม่มีเบาะแสอะไรเลย อยากจะตามหาเสี่ยว
เตี๋ย มันเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลย
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเสี่ยวเตี๋ยหายตัวไป ไม่มีทางถูกส่งมา
แคว้นตงฉีแน่นอน อีกทั้งยังไม่น่าจะบังเอิญเข้าไปอยู่
ในคณะดนตรี แต่เพราะกลุ่มการค้ามนุษย์มันมีเยอะ
มาก การขายไปเป็นทาสจวนขุนนางก็มีเยอะ ในโลก
นี้เรื่องบังเอิญมีมาก ทำให้ในใจของเขาเกิดความหวัง
เขาถามว่า “นอกจากแม่นางคนเมื่อกลางวันนี้แล้ว
ในกลุ่มของเจ้าแม่นางอีกคนหนึ่งจากแคว้นฉู่อายุ
ประมาณเท่าไหร่?”
ในหัวของเขามีความทรงจำเกี่ยวกับเสี่ยวเตียวเอ๋อร์
และเสี่ยวเตี๋ยไม่มาก แต่เขาจำได้ว่าเสี่ยวเตี๋ยอ่อน
กว่าเขานิดหน่อย ก็น่าจะประมาณสิบห้าสิบหกปี
ซิ่วเหนียงคิดแล้วพูดว่า “น่าจะแก่กว่าข้าน้อย
ประมาณหนึ่งปี มาอยู่ในคณะดนตรีหนึ่งปีแล้ว”
เมื่อนางพูดแบบนี้ ฉีหนิงรูท้ ันทีเลยว่าไม่มีทางใช่
เสี่ยวเตี๋ยแน่ ซิ่วเหนียงอายุประมาณสิบแปดสิบเก้า
หากแก่กว่านาง ก็น่าจะประมาณยี่สิบ อีกทั้งอยูใ่ น
คณะมาปีหนึ่งแล้ว ช่วงเวลาไม่สอดคล้องกัน ในใจ
ของเขาแอบผิดหวัง เขาส่ายหน้า แอบคิดในใจว่าเขา
คิดมากเกินไป
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทหารพาซิ่วเหนียงออกไป ก่อนทีซ่ ิ่ว
เหนียงจะไป ยังพูดว่า “โหวเยว่...คืนนี้ไม่ต้องการคน
คอยปรนนิบัติหรือเจ้าค่ะ?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าข้าไม่ได้คิดจะแตะต้องเจ้าเลย ต่อให้
อยากได้เจ้าจริง คืนนี้ก็ไม่ได้ พรุ่งนี้ตอ้ งเดินทางแต่
เช้า ระยะทางก็ไกล ต้องเก็บแรงเอาไว้ก่อน
วันต่อมาฟ้ายังไม่ทันสว่าง คณะทูตแคว้นฉู่ก็ตื่นกันมา
หมดแล้ว ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ฉีหนิงนำคณะ
ทั้งหมด เดินทางไปยังประตูหนานเซิงของเมืองลูเ่ ฉิง
เมื่อถึงประตูหนานเซิง ก็มีทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่ง
มารออยู่แล้ว แต่ว่ายังไม่เห็นองค์หญิงมา แต่ก็รอไม่
นานนัก รัชทายาทก็พาคณะส่งตัวมา ยังทั้งยังมีนาง
กำนัลขันที รถม้าที่องค์หญิงนั่งนัน้ หรูหรามาก มีม้าสี่
ตัวลาก ดูมีบารมีราศีมาก
ฮ่องเต้ตงฉีได้บอกลาองค์หญิงเทียนเซียงในวังหลวง
แล้ว เลยไม่ได้ออกมาส่ง หลังจากที่รัชทายาทได้พบฉี
หนิงแล้ว ก็หารือกันครู่หนึ่ง ภายในแคว้นฉี ทุกอย่าง
ทำตามแผนของรัชทายาททั้งหมด มีทหารม้าของ
แคว้นฉีเป็นคนนำทาง รถม้าที่ประทับขององค์หญิง
จะอยู่ตรงกลาง มีทหารม้าองครักษ์ขนาบข้าง และ
ผู้ติดตามจะเดินตามหลัง นางกำนัลประมาณสามสิบ
คนกับขันทีประมาณยี่สิบคน ฉีหนิงขอชุดนางกำนัล
มาหนึ่งชุด แล้วให้ซิ่วเหนียงใส่แล้วเดินปนไปกับ
ขบวนของนางกำนัล จะได้ไม่ผิดสังเกต
หลังจากที่ออกเดินทาง ก่อนที่จะถึงจุดใดจุดหนึ่ง ก็
จะการแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ท้องที่ เจ้าหน้าที่ท้องที่ก็
จะพยายามดูแลอย่างเต็มที่ ถึงไม่ใช่เพราะให้เกียรติ
องค์หญิงเทียนเซียง แต่รัชทายาทเป็นราชทูตของ
ขบวนส่งตัว ไม่มีใครกล้าล่าช้า ขุนนางน้อยใหญ่
อยากจะรีบออกมาเอาหน้าประจบทั้งนั้น
ฉีหนิงในฐานะราชทูตของแคว้นฉู่ ติดตามรัชทายท ก็
ได้รับการปฏิบัติด้วยเกียรติสูงสุดเช่นกัน อีกทั้งตลอด
ทางยังมีเจ้าหน้าทีท่ างการให้ของขวัญมาไม่น้อย ฉี
หนิงไม่ปฏิเสธเลยสักชิ้น เขาคิดในใจว่าการเดินทาง
มาตงฉีครั้งนี้ สามารถเจรจาได้อย่างราบรื่น ของขวัญ
พวกนี้เขาควรจะได้รับ แค่คิดเขาก็รสู้ ึกสบาย
ในพื้นที่แคว้นฉู่ไม่ว่าจะกินหรือพักฉีหนิงไม่ต้องคิด
มากเลย ทุกอย่างมีเสนาบดีกรมพิธกี ารเป็นคน
จัดการให้ทุกอย่าง
ฉีหนิงเองก็แอบคุยกับรัชายาทว่า ไม่ต้องเร่งเดินทาง
มาก รัชทายาทเองก็เป็นคนฉลาด เขารู้ว่าฉีหนิง
ต้องการซื้อเวลาให้ทางแคว้นฉู่จัดเตรียมการต้อนรับ
เพราะเรื่องนี้เกีย่ วข้องกับเกียรติของแคว้นฉู่และฉี
รัชทายาทเองก็รับคำ ดังนั้นในแต่ละวันก็จะเดินทาง
กันไม่มาก เดินทางมาถึงสามวัน กว่าจะเข้ามาในเขต
เมืองสวีโจว
เมื่อเข้ามาในเมืองสวีโจวแล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปอย่าง
มีระบบระเบียบ ฉีหนิงคิดในใจว่าดูท่าทางการตาย
ของอ๋องไท่ซาน จะถูกแคว้นฉีควบคุมไว้หมด ไม่ได้
ทำให้เกิดความวุ่นวาย เขารู้ว่าช่วงที่ผ่านมา การดูแล
ต้อนรับคณะราชทูตต่างแคว้นเป็นเรือ่ งใหญ่ของ
แคว้นฉี แต่ราชสำนักแคว้นฉีเองก็ยงั ต้องจัดการเรื่อง
ที่อ๋องไท่ซานก่อกบฏ
ทุกอย่างในเมืองสวีโจวมีระเบียบมาก ไม่มีร่องรอย
ความวุ่นวายเลย เมื่อมาถึงเรือนรับรองของสวีโจว ฉี
หนิงถึงได้รู้ว่า ตอนนี้ได้ซือถูหมิงเย่มาเป็นคนดูแล
หลังจากที่อ๋องไท่ซานกับชื่อสื่อของสวีโจวฟางซิ่งเจีย
เมืองสวีโจวก็ขาดผู้นำ รัชทายาทสนับสนุนให้ฉางซื่อ
ของจวนรัชทายาทซือถูหมิงเย่รบั หน้าที่ดูแลสวีโจว ฉี
หนิงคิดในใจว่ามิน่าพอถึงเมืองลู่เฉิง ถึงได้ไม่เจอหน้า
ซือถูหมิงเย่เลย
เขาเป็นคนสนิทของรัชทายาท อีกทัง้ เรื่องนี้
เตรียมการไว้ก่อนแล้ว เขาก็ต้องต้อนรับเป็นอย่างดี
งานเลี้ยงช่วงค่ำก็ดูครึกครืน้ ดี แต่ว่าหลังจบงานเลี้ยง
แล้ว กลับไม่มีขุนนางคนไหนเอาของขวัญมาให้เลย ฉี
หนิงรู้ว่าซือถูหมิงเย่เพิ่งมาประจำทีส่ วีโจวไม่นาน คง
ไม่มีทางหาของมีค่ามาให้ได้ อีกทั้งเขาเองก็เป็นคน
ของรัชทายาทด้วย เลยไม่จำเป็นต้องมองของขวัญ
ประจบ มันทำให้ฉีหนิงขาดของไปหนึ่งอย่าง
หลังจากงานเลี้ยงจบแล้ว กลับมาถึงเรือนรับรอง หลี่
ถังก็มารายงานว่า “โหวเยว่ มีคนที่ชื่อเหมากูเอ๋อร์มา
ขอพบ บอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องพบโหวเยว่ให้ได้”
“เหมากูเอ๋อร์?” ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก “เขาเป็น
ใคร?”
หลี่ถังพูดเสียงเบาว่า “เสื้อผ้าของเขาเก่าและขาด
แต่ว่าการเดินมีจังหวะนิ่งมาก เหมือนคนฝึกวรยุทธ์
ถามว่าเขาเป็นใคร เขาบอกว่าโหวเยว่รู้ดี แล้วไม่พูด
อะไรอีก ดูท่าทางแล้ว เหมือนคนของพรรค
กระยาจก”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 660 มังกรบาดเจ็บ
ฉีหนิงสะดุ้ง ตอนนี้เขาถึงนึกขึ้นได้ว่า เหมากูเอ๋อร์คือ
ลูกน้องหัวหน้าสาขายิอยของผู้อาวุโสชิงหลง น่าจะ
เป็นคนที่ติดตามผู้อาวุโสชิงหลงไปยังกู่หลงจงที่เมือง
เซียงหยาง’
ตอนนี้เหมากูเอ๋อร์มาขอพบเขา แสดงว่าสถานการณ์
ไม่ดีแล้วแน่นอน เขาอยากให้หลี่ถังพาเหมากูเอ๋อร์
เข้ามา แต่พอคิดดีดีแล้ว เขาออกไปพบจะดีกว่า เขา
เลยออกนอกเรือนรับรองไปพร้อมกับหลี่ถัง ตอนนี้
ดึกมากแล้ว รัชทายาทกับองค์หญิงก็น่าจะหลับไป
แล้ว ภายในเรือนรับรองตอนนี้เงียบมาก
ฉีหนิงเดินออกมาจากเรือนรับรอง เขาเห็นมีคนผู้หนึ่ง
ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง หลี่ถังขยับเข้ามาใกล้แล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ เขาคือเหมากูเอ๋อร์”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วสั่งไม่ให้หลี่ถังตามไป เขาเดินไป
หา เหมากูเอ่อร์เหมือนจะรู้ว่าฉีหนิงมาแล้ว เขาเดิน
ขึ้นหน้ามาคำนับ “โหวเยว่”
ฉีหนิงมองไป เขาคุน้ หน้ามาก เป็นหนึ่งในสามหัว
หน้าที่ติดตามโหลวเหวินซือไปเซียงหยางจริงๆ เขา
ถามว่า “ท่านหัวหน้าเหมาใช่ไหม? ทำไมท่านถึงมา
อยู่ที่เมืองสวีโจว? ท่านไม่ได้ไปเซียงหยางกับผู้อาวุโส
ชิงหลงแล้วหรือ?”
เหมากูเอ๋อร์สีหน้าเคร่งเครียด เขาพูดเสียงเบาว่า
“โหวเยว่ ท่านสะดวกหรือเปล่า? ผู้อาวุโสอยากพบ
ท่าน”
“อยากพบข้า?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “ที่ไหน?”
“ที่สวีโจวนี่” เหมากูเอ๋อร์พูดว่า “ไม่ไกลจากที่นี่”
ฉีหนิงพูดด้วยความสงสัยว่า “ทำไมพวกท่านถึงยังอยู่
ที่สวีโจว? งานชุมนุมชิงมู่จะเริ่มแล้วนะ ตามหลักแล้ว
พวกท่านน่าจะถึงเมืองเซียงหยางแล้ว”
เหมากูเอ๋อร์ฝืนยิ้ม ตัวของเขาเซ ยกมือจับไปที่
หน้าอก ขมวดคิ้ว ฉีหนิงเห็นสีหน้าของเหมากูเอ๋อร์
ซีด เหมือนกำลังจะล้ม เขายื่นมือไปจับแขนเขาไว้
แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? ท่าน...บาดเจ็บ”
เหมากูเอ๋อร์พูดว่า “โหวเยว่ ที่นี่...ที่นี่ไม่เหมาะที่เรา
จะคุยกัน หากโหวเยว่...หากว่าสะดวก ไปพบท่านผู้
อาวุโสเถอะ แล้วท่านจะเข้าใจทุกอย่างเอง ผู้อาวุโส
...ผู้อาวุโสมีเรื่องสำคัญต้องหารือกับท่าน” เขาดูรีบ
ร้อน ฉีหนิงรู้สึกสงสัยมาก
ที่จริงเขากับโหลวเหวินซือคุยกันถูกคอ สาบานเป็นพี่
น้องกัน นิสยั ของโหลวเหวินซือ ฉีหนิงนับถือมาก แต่
คนของโหลวเหวินซือ ฉีหนิงไม่ได้คลุกคลีด้วย รู้จักไม่
ลึก
งานชุมนุมชิงมู่ เป็นงานใหญ่ของพรรคกระยาจกจัด
ขึ้นทุกสามปี สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ ในงานคราวนี้มันไม่
เหมือนที่ผ่านมา ในฐานะผู้อาวุโสของพรรค
กระยาจก ผู้อาวุโสชิงหลงโหลวเหวินซีจะไม่ไปงาน
ชุมนุมแบบนี้ไม่ได้
ตอนนี้เหมากูเอ๋อร์บอกว่าโหลวเหวินซือยังอยู่ที่สวี
โจว มันทำให้ฉีหนิงไม่ค่อยอยากเชื่อ
เหมากูเอ๋อร์มองออกว่าฉีหนิงลังเล เขายกมือคำนับ
แล้วพูดว่า “โหวเยว่โปรดวางใจ ข้าเป็นคนของผู้
อาวุโสจริง...” เขารู้สึกลำบากใจ เหมือนเขาไม่มีอะไร
มายืนยันว่าสิ่งที่เขาพูดนัน้ เป็นเรื่องจริง
ฉีหนิงนิ่งแล้วพูดว่า “ได้ ข้าจะไปกับเจ้า นำทางไป”
สายตาของเหมากูเอ๋อร์รู้สึกซาบซึ้งมาก หลี่ถังพูด
ขึ้นมาว่า “โหวเยว่” เขาเดินขึ้นหน้ามาสองก้าว แล้ว
ถามอย่างระวังว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยพาคนไปด้วย”
เหมากูเอ๋อร์พูดว่า “โหวเยว่ คนยิ่งน้อยยิ่งดี เรื่องของ
ผู้อาวุโสควรจะเป็นความลับที่สุด แต่ว่า...ทุกอย่างก็
แล้วแต่โหวเยว่”
ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “ให้นายกองอู๋อยู่ที่เรือนรับรองนี่
แหละ หลี่ถัง เจ้าไปกับข้า ไม่ต้องตามคนอื่นมา”
ถึงแม้หลี่ถังจะรู้สึกว่าโหวน้อยตามขอทานไปมันไม่
ค่อยเหมาะ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร เหมากูเอ๋อร์เดินนำ
ทางไป ฉีหนิงกับหลี่ถังเดินตาม
หลังจากการก่อกบฏของอ๋องไท่ซาน ถึงแม้เมืองสวีโจ
วจะได้รับผลกระทบไม่มาก แต่ในเมืองก็ยังประกาศ
กฎอัยการศึกอยู่ หลังฟ้ามืดแล้ว จะไม่มีผู้คนบนท้อง
ถนนเลย มีแต่ทหารเดินลาดตระเวนเป็นระยะ เหมา
กูเอ๋อร์เดินค่อนข้างเร็ว แต่เห็นเท้าของเหมากูเอ๋อร์
เหมือนจะลอยขึ้นมา เขาก็รู้ทนั ทีว่ามันเกิดจากกำลัง
ภายใน
เดินเลี้ยวมาสามถนน เข้าตรอกเล็กมาอีกหนึ่ง เมื่อมา
สุดทางก็มีบ้านอยู่หลังหนึ่ง เหมากูเอ๋อร์เคาะประตู
สามครั้ง คนด้านในรีบเคาะประตูอีกสองที เหมากู
เอ๋อร์เคาะกลับไปอีกสองที ประตูถึงเปิดออก เหมากู
เอ๋อร์เดินเข้าไปก่อน ฉีหนิงกับหลี่ถังเดินตามเข้าไป
คนที่เปิดประตูรบี ออกมามองซ้ายมองขวา แล้วก็ปิด
ประตู
ฉีหนิงเดินเข้ามาในเรือน เห็นภายในเรือนมีขอทาน
อยู่ประมาณาสี่ห้าคน เหมือนจะเฝ้ายามอยู่รอบบ้าน
บรรยากาศดูเคร่งเครียด ภายในห้องจุดไฟเอาไว้ ไฟ
นั่นค่อนข้างมืด เหมากูเอ๋อร์ยกมือเชิญแล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ผู้อาวุโสอยู่ข้างในห้อง”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วสั่งให้หลี่ถังรออยู่ด้านนอก เขา
ตามเหมากูเอ๋อร์เข้าไปในห้อง เขาเห็นที่มุมมีโต๊ะตัว
หนึ่ง มีไฟวางอยู่ คนที่อยู่ตรงนั้นคือโหลวเหวินซือ
เขานั่งอยูท่ ี่เก้าอี้ ของบนโต๊ะค่อนข้างวุ่นวาย โหลวเห
วินซือถอดเสื้อช่วงบน ด้านหลังของเขามีขอทานเฒ่า
อยู่อีกคน ขอทานเฒ่ากำลังฝังเข็มให้โหลวเหวินซือ
อยู่ ตรงเท้าของโหลวเหวินซือ มีกะละมังวางอยู่ เมื่อ
เข้ามาด้านในห้อง ฉีหนิงได้กลิ่นคาวหนักมาก
เขาเห็นว่าโหลวเหวินซืออยู่ที่นี่จริงๆ เขาก็โล่งใจ เขา
เดินหน้าขึ้นไป โหลวเหวินซือได้ยินเสียงฝีเท้า ก็เงย
หน้าขึ้นมา เห็นฉีหนิงมา เขาก็ดีใจมาก เขาพูดว่า
“น้องฉี...” เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็กระอักเลือดออกมา
เลือดมันพ่นลงในกะละมังตรงเท้าพอดี
ฉีหนิงได้กลิ่นคาวมากขึ้น จากนั้นก็ได้ยินขอทานเฒ่า
คนข้างๆ รีบพูดว่า “ผู้อาวุโส อย่าเพิ่งพูดอะไร รอ
สักครู่ก่อน”
โหลวเหวินซือพยักหน้า ฉีหนิงเดินขึ้นหน้ามา เขา
เห็นว่าในกะละมังนัน้ มีเลือดอยู่มาก กลิ่นคาวที่เขาได้
กลิ่นมันมาจากตรงนี้ บนตัวของโหลวเหวินซือมีเข็ม
ฝังอยู่เกือบสิบเข็ม กระจายไปตามจุดชีพจร ดูแล้ว
เหมือนถูกแทงเลย
ฉีหนิงรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ แต่รู้ว่าขอทานเฒ่า
กำลังรักษาโหลวเหวินซืออยู่ เขาก็ไม่พูดอะไร เขา
เดินหันหลังแล้วเดินกลับไปที่ประตู แล้วถามเหมากู
เอ๋อร์ว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมผู้อาวุโสถึงได้
บาดเจ็บหนักขนาดนี้?”
เหมากูเอ๋อร์มองไปที่โหวเหวินซือ หน้าของเขาคล้ำ
หลับตา มีแต่เหงื่อเต็มตัวไปหมด
“โหวเยว่ หลังจากเราข้ามแม่น้ำหวยเห๋อไปแล้ว
ขณะที่กำลังเดินทางไปยังเมืองเซียงหยาง เจอคน
ลอบทำร้าย” เหมากูเอ๋อร์สีหน้าเคร่งเครียดมาก “กง
ซุนเจีย้ นกับเจิง้ ฉวนคุ้มกันผู้อาวุโส ตายหมดแล้ว”
เหมากูเอ๋อร์ดูโกรธแค้นมาก เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า
“อีกฝ่ายมีจำนวนคนมากกว่า เราตกหลุมพรางของ
พวกเขา เรากับผู้อาวุโสพยายามสู้ แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้
ของอีกฝ่ายเลย หัวหน้าทั้งสองถ่วงเวลาพวกเขาไว้
เลยถูกสังหาร ข้ากับผู้อาวุโสฉวยโอกาสที่ฟ้ามืด หนี
รอดมาได้ แต่ว่าผู้อาวุโสบาดเจ็บสาหัส เรารู้ว่า
ระหว่างทางยังต้องมีกับดักอยู่มาก ข้าเลยคุ้มกันผู้
อาวุโสกลับมายังเมืองสวีโจว เดิมคิดอยากจะไปหา
โหวเยว่ที่เมืองลู่เฉิง แต่เราเห็นขบวนส่งตัว เลยรู้ว่า
โหวเยว่ก็อยู่ด้วย คืนนี้เลยแอบไปพบท่าน”
“ทำไมไม่ไปขอให้พรรคกระยาจกท้องที่ช่วย?” ฉี
หนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ศิษย์ของพรรคกระยาจกมี
ทั่วใต้หล้า พี่โหลวเองก็เป็นถึงผู้อาวุโสของพรรค
หากไปให้พรรคกระจกท้องที่นั้นช่วย มันไม่ใช่เรื่อง
ยากเลย”
เหมากูเอ๋อร์ส่ายหน้า “ผู้อาวุโสบอกว่ามันไม่ใช่
สถานการณ์ทั่วไป จะให้ใครรู้ว่าเขาบาดเจ็บไม่ได้
ไม่อย่างนั้นพรรคกระยาจกอาจจะเกิดความวุ่นวาย
ภายในก็ได้ ข้าไปตามหาคนของเราที่อยู่ที่นี่ทเี่ ชื่อใจ
ได้มาคุ้มกันที่นี่เอาไว้”
“อย่างนี้นเี่ อง” ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “รู้ไหมว่า
ใครเป็นคนทำ? แล้วพวกเขามาจากไหน?”
เหมากูเอ๋อร์พูดว่า “เราไม่เคยเจอมาก่อน ผู้อาวุโส
เองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร สองคนนั้นวรยุทธ์ร้าย
กาจมาก ยังมี...ตัวประหลาดนั่นอีก แรงของมันมี
มากเหลือเดิน มันไม่ธรรมดาเลย”
“ตัวประหลาด?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่าน
บอกว่าอีกฝ่ายคนมากไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงได้มีแค่
สองคน?”
เหมากูเอ๋อร์อธิบายว่า “เริ่มแรกพวกเขามีกันสิบกว่า
คน ปิดหน้ามากันหมด เรากับพวกเขาสู้กัน ก็ไม่ได้
เป็นรอง อีกทัง้ ยังสังหารคนของพวกเขาไปได้หลาย
คน ต่อมา ตัวประหลาดนั่นปรากฏตัวขึ้น อีกทั้งก็มี
ยอดฝีมือสองคนที่ร้ายกาจนั่นโผล่ออกมา”
“ตัวประหลาดหน้าตาเป็นยังไง?” ฉีหนิงถาม
เหมากูเอ๋อร์คิด แล้วพูดว่า “ตัวประหลาดนั่นรูปร่าง
สูงใหญ่ บนหัวมีเขา ไม่เหมือนกวางหรือว่าวัว มีค้อน
ขนาดใหญ่เป็นอาวุธ เหมือนคน แต่ว่าเสียงเหมือน
สัตว์ป่า ตัวประหลาดนั่นมีแรงมาก...”
ฉีหนิงฟังถึงตรงนี้ เขาก็ตกใจมาก “ศพยา พวกท่าน
เจอศพยาเข้าให้แล้ว”
“ศพยา?” เหมากูเอ๋อร์ตกใจแล้วพูดว่า “โหวเยว่รู้จัก
เจ้าตัวประหลาดนั่นด้วยหรือ?”
ฉีหนิงต้องรู้จักอยู่แล้ว อีกทั้งเขายังจำได้ดีด้วย ตอน
นั้นเขาไปที่ซีชวน ระหว่าทางเจอศพยานี่กำลังไล่ฆ่าอี๋
ฟูอยู่ ศพยานั่นเป็นตัวประหลาดที่เจ้าลิงขาวเป็นคน
สร้างขึ้นมา ฉีหนิงรู้ว่ามีศพยาสองตัว แต่ว่าตัวผู้หญิง
ถูกฉีหนิงฆ่าตายไปแล้ว แต่ว่าศพผู้ชายยังอยู่
หลังจากที่เขาได้ฟังคำอธิบายของเหมากูเอ๋อร์ เขาก็
เดาได้ว่าน่าจะเป็นศพยา
“สองคนที่ร้ายกาจ คนหนึ่งใช้ผ้าขาว รูปร่างเล็กผอม
เหมือนลิง เป็นคนแคระ?” ฉีหนิงจ้องไปที่เหมากู
เอ๋อร์แล้วถามว่า “ส่วนอีกคนก็ถือพิณ?”
เหมากูเอ๋อร์พูดว่า “ใช่แล้ว สองคนนั้นแหละ วรยุทธ์
ของพวกเขาแปลกมาก ลงมือโหดเหี้ยม”
ฉีหนิงพูดว่า “ที่แท้ก็เจ้าปีศาจบ้าพวกนี้นี่เอง”
เจ้าลิงขาวกับเจ้าเฒ่าประหลาดถือพิณคงซานเสียน
ไม่รู้เป็นใครมาจากไหน แต่ทุกครั้งทีพ่ วกเขาปรากฏ
ตัวขึ้นมา ไม่เคยมีเรื่องดีเลย ครั้งสุดท้ายที่ฉีหนิงเจอ
พวกเขา ก็คือภายในถ้ำหมีฮวาบนเขาเชียนอูหลิง ทั้ง
คู่แอบลอบเข้าไปในถ้ำหมีฮวา คิดจะขโมยของที่อยู่
ในโรงน้ำแข็ง แต่กลับต้องหนีถอยออกไป
ต่อมาฮวาเสี่ยงหรงพาพวกผีน้ำไปขวาง แต่สองคน
นั้นไม่ได้ไปด้วย คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะแอบซุ่มโจมตี
โหลวเหวินซือแบบนี้
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงกระอักเลือดอีกครั้ง ทั้งคู่หัน
กลับไปดู เห็นโหลวเหวินซือกระอักเลือดออกมา
ขอทานเฒ่ารีบรักษา เขาถอนเข็มบนตัวของโหลวเหวิ
นซือออกหนึ่งเข็ม ฉีหนิงรีบเดินไปดู เมื่อขอทานเฒ่า
ถอนเข็มออกหมดแล้ว เขาก็พูดด้วยความเคารพว่า
“ผู้อาวุโส อีกหนึ่งชั่วยาม ต้องถอนพิษอีกครัง้
ภายในหนึ่งชั่วยามนี้ ห้ามเดินลมปราณเด็ดขาด แล้ว
ก็ห้ามกินอะไรด้วย”
โหลวเหวินซือพยักหน้า เขายืน่ มือไปหยิบผ้ามาเช็ด
เลือดที่ริมปาก เขาเงยหน้ามองฉีหนิง ถึงแม้เขาจะ
บาดเจ็บสาหัส แต่ว่าในเวลานี้ยังยิ้มออกมาได้ เขา
หันไปพูดกับฉีหนิงว่า “น้องฉี ความสามารถสู้เขา
ไม่ได้ เลยต้องมาขายหน้าเจ้าแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะ
ดวงแข็ง เราพี่น้องคงไม่ได้เจอหน้ากันอีก”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 661 เดินทางไปทั่วทิศ
ฉีหนิงคิดในใจว่าโหลวเหวินซือได้รับบาดเจ็บสาหัส
ยังยิ้มได้อีก เขาพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านพี่
โหลวถูกพิษ?”
ขอทานเฒ่าคนข้างๆ พูดว่า “พิษบนตัวของผู้อาวุโส
รุนแรงมาก หากไม่ใช่เพราะกำลังภายในของผู้อาวุโส
กล้าแกร่ง แล้วกินยาลงไปได้ทันเวลา คิดว่าคงทน
ไม่ได้ถึงตอนนี้”
“ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว เหมือนท่านประมุขจะมอบชีวิต
ให้ข้าอีกหนึ่งชีวิต” โหลวเหวินซือยิ้มแล้วพูดว่า
“หลายปีก่อนประมุขก็บอกว่าข้าเป็นคนใจร้อน จะ
ลงไม้ลงมือกับคนอื่นได้ง่าย ดังนั้นเพื่อเป็นการ
ป้องกัน เลยเอายาไว้ให้ข้าติดตัวสองเม็ด เผื่อว่าข้าจะ
ถูกทำร้าย จะได้รีบกิน เพื่อไม่ให้พิษระบาด ไม่งั้นก็
คงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ ตอนนั้นข้าคิดว่าท่านประมุขคิด
มากเกินไป คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเกิดขึ้นในวันนี้”
ฉีหนิงนั่งลง แล้วถามว่า “พี่ใหญ่ตอนนี้รู้สึกเป็นยังไง
บ้าง?”
“ถือว่ารักษาชีวิตได้แล้ว” โหลวเหวินซือถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “ยังดีที่วิชาการแพทย์ล้ำเลิศจงหย่า ถอน
พิษให้ข้าได้ทัน ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคงไม่ได้พบหน้า
เจ้าแล้ว” เขาพูดว่า “เจ้าสวะพวกนัน้ จะต้องคิดว่าข้า
ถูกพิษจนตายไปแล้ว คงไม่คิดว่าข้าจะยังมีชีวิตรอด”
เขามองไปที่ฉีหนิงแล้วถามว่า “น้องฉี เมื่อกี้พูดอะไร
รู้จักเจ้าพวกนั้นด้วยหรือ?”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “เรียนพีใ่ หญ่ตามตรง
ตอนที่ข้าไปที่ฉีชวน เคยเจอเจ้าพวกนั้น พวกเขา
ประหลาดมาก ลงมือเหี้ยมโหด วรยุทธ์ก็ไม่ธรรมดา”
โหลวเหวินซือพยักหน้า “วรยุทธ์ของสองคนนัน้ ไม่
ธรรมดาจริง ตัวประหลาดนั่นก็มีแรงเยอะมาก ข้าซัด
ใส่พวกเขาไปหลายที หากเป็นคนอืน่ คงตายไปแล้ว
แต่ตัวประหลาดนั่นไม่เป็นอะไรเลย”
“นั่นคือศพยา” ฉีหนิงอธิบายต่อว่า “เท่าที่ข้ารู้มามัน
เป็นอาวุธที่คนแคระนั่นสร้างขึน้ มา ที่จริงจะบอกว่า
มันคือคนก็ไม่ได้ ศพยาไม่มีความรู้สึก ต่อให้ดาบฟัน
แทงเข้า พวกมันก็ไม่รู้ตัว”
“อย่างนี้นเี่ อง มิน่าล่ะ” โหลวเหวินซือขมวดคิ้ว “คน
พวกนั้นเป็นใครมาจากไหนกัน ถึงได้สร้างเจ้าศพยา
นั่นขึ้นมา ร้ายกาจมาก ไม่ใช่คนดีเลย”
ฉีหนิงพูดว่า “พวกเขาเป็นใครมาจากไหน จนตอนนี้
ข้าเองก็ไม่รู้” เขานิ่งไป แล้วถามว่า “พี่โหลว คนพวก
นั้นอยู่ในพื้นทีซ่ ีชวนตลอด น่าจะไม่มาถึงตงฉีได้ ท่าน
อยู่ในตงฉีตลอด คนพวกนั้นทำไมถึงได้สุ่มโจมตีท่าน
กลางทางแบบนี้?”
โหวเหวินซือพูดอย่างจริงจังขึน้ มาว่า “ที่ข้าให้คนไป
เชิญเจ้ามา ก็เพราะเรื่องนี้” เขาเหลือบมองไปที่ฉี
หนิง แล้วพูดว่า “น้องฉี มีคนลอบทำร้ายข้า ข้าคิดไป
คิดมา มันมีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น”
“ไม่อยากให้ท่านไปถึงเซียงหยางได้ทันเวลา” ฉีหนิง
รีบพูด
โหลวเหวินซือพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง หากอีก
ฝ่ายมีความแค้นกับข้า ทำไมถึงต้องเลือกลงมือกับข้า
ในเวลานี้? พวกเขามาขวางข้ากลางทาง แสดงว่าต้อง
รู้ข่าวการเดินทางไปเซียงหยางของข้า ดังนั้นเลยมา
ขัดขวาง” เขาพูดว่า “มีคนไม่อยากให้ข้าไปเซียงหยา
งอย่างนัน้ หรือ?”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เหมือนจะเดาอะไรได้ โหลวเหวินซือ
เป็นคนตรงไปตรงมา แล้วพูดว่า “น้องฉี เจ้าบอกว่า
ท่านประมุขยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าไป๋หู่กลับตั้งใจปล่อย
ข่าว บอกว่าท่านประมุขถูกทำร้าย เขาทำแบบนี้?
แสดงว่าต้องการให้เกิดการเลือกประมุขคนใหม่ อีก
ทั้งเขาเองก็เป็นหนึ่งในสี่ผู้อาวุโสพรรค มีทั้ง
ประสบการณ์สูง ตำแหน่งประมุขพรรค ยังไงก็มี
โอกาสได้”
“พี่โหลวท่านรู้สึกว่าไป๋หู่เป็นคนส่งคนพวกนั้นมา
หรือ?” ฉีหนิงถาม
โหลวเหวินซือพูดว่า “ข้าคิดไม่ออกเหตุผลอื่นเลย
ถึงแม้ไป๋หู่จะมีประสบการณ์มาก แต่ว่าก็รู้ดีแก่ใจ
เขาอยากเป็นประมุขพรรค มันไม่ใช่เรื่องง่าย ข้ากับ
เสวียนอู่ไม่มีทางยอมแน่นอน”
ฉีหนิงพยักหน้า เขารู้ว่าไป๋หู่เป็นคนที่น่าสงสัยมาก
ที่สุด ดูท่าคงซานเสียนน่าจะร่วมมือกับพวกของไป๋หู่
แน่
“พี่โหลว ตอนนี้ท่านบาดเจ็บหนักมาก จะไปเซียง
หยางได้ยังไง?” ฉีหนิงลองคำนวณดู แล้วพูดว่า “ยัง
เหลือเวลาอีกประมาณหกวันก็จะถึงเดือนหกวันที่สิบ
แปด งานชุมนุมชิงมู่ก็จะเริ่มต้นขึ้น หากขี่ม้าเร็วไป
คิดว่าน่าจะไปทัน แต่ว่าสภาพของท่านตอนนี้ ม้ายังขี่
ไม่ไหวเลย”
ขอทานเฒ่าจงหย่าพูดว่า “พิษที่ผู้อาวุโสรับมานั้น
ร้ายกาจมาก จนตอนนี้ข้าก็ไม่กล้ามั่นใจว่าปลอดภัย
หรือเปล่า วันนี้ฝังเข็มถอนพิษ แค่เริม่ ต้นเท่านั้น
หลังจากนี้ติดต่อกันอีกสามวัน จะต้องฝังเข็มวันละ
หกครั้ง แล้วก็ต้องอาบน้ำต้มยาอีกสามถึงห้าวัน
จากนั้นต้องกินยาถอนพิษอีก รวมแล้วก็เป็นสิบวัน
เมื่อร่างกายฟืน้ แล้ว ยังต้องพักอีกครึ่งเดือน”
“หมายความว่า ภายในครึ่งเดือนนี้ พี่โหลวก็จะไป
ไหนไม่ได้เลยใช่ไหม?”
จงหย่าพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง อย่างแรกห้าม
เดินลมปราณ สองห้ามเหนื่อยจนเกินไป ห้าม
กระเทือนโดยเด็ดขาด หากร่างกายถูก
กระทบกระเทือนรุนแรงอีก ทุกอย่างที่ทำมาก่อน
หน้านี้ทั้งหมดก็จะสูญเปล่า”
โหลวเหวินซือพูดว่า “เดิมข้าอยากจะฝืนเดินทางไป
เซียงหยาง แต่ว่าตามที่จงหย่าบอกมา หากฝืน
เดินทางไป เกรงว่ายังไม่ถึงเซียงหยาง คงตายไป
ก่อน” เขายื่นมือไป แล้วจับไปที่หลังมือของฉีหนิง ฉี
หนิงรู้สึกว่ามือของโหลวเหวินซือเย็นมาก รู้ว่าเขา
น่าจะถูกพิษหนักมาก แต่กำลังฝืนอยู่
“น้องฉี ไป๋หู่ส่งคนมาขัดขวางแบบนี้ แสดงว่าเขา
ต้องการตำแหน่งประมุขนี้ให้ได้” โหลวเหวินซือพูด
อย่างจริงจังว่า “หากเขาได้เป็นประมุขพรรค
กระยาจก ต่อให้ข้าไม่เต็มใจ ข้าก็ต้องฟังคำสั่งของ
เขา เจ้าเข้าใจไหม?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้ารู้ พี่โหลว ท่านกังวล
ว่าหากเขาเป็นประมุขพรรค จะก่อเรื่องอย่างนัน้
หรือ?”
โหลวเหวินซือพูดว่า “หากครั้งนี้เป็นฝีมือของไป๋หู่
จริง เรื่องนีค้ งไม่ง่าย ใช้คนมาเป็นศพยา วิธีการร้าย
กาจขนาดนี้ อย่าว่าแต่พรรคกระยาจกเลย ต่อให้เป็น
พรรคในยุทธภพก็คงไม่มีคนทำแบบนี้ เจ้าลองคิดดู
ไป๋หู่คบหากับคนพวกนี้ เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
ศิษย์พรรคกระยาจกมีอยูท่ ั่วหล้า มีคนนับแสน หาก
ไป๋หู่เป็นประมุขพรรค คิดอยากจะใช้อำนาจของ
พรรคกระยาจกวางแผน ข้าไม่อยากคิดเลย”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “พี่โหลว ท่านคิดว่าไป๋หู่
อยากชิงตำแหน่งประมุขพรรค แสดงว่ามีความ
ทะเยอทะยานที่บอกใครไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
โหลวเหวินซือโบกมือ เหมือนสั่งให้จงหย่ากับเหมากู
เอ๋อร์ออกไปให้หมด ทั้งสองคนรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก
ทุกคนถอยออกไปจนหมด ก็ปิดประตูให้ โหลวเหวิ
นซือแล้วพูดว่า “เจ้ารู้ไหมว่าพรรคกระยาจกก่อตั้งมา
ยังไง?” เขาหยุดแล้ว พูดว่า “ก่อนหน้านี้เคยเกิด
สงคราม ชาวบ้านไร้ที่อยู่ เร่ร่อนไปทั่ว ถูกคนรังแก
เลยมีคนรวมขอทานเป็นกลุ่ม ช่วยเหลือคนที่ถูก
รังแก เริ่มแรกยังไม่ได้ตั้งเป็นพรรค มีเพียงกลุ่มคน
ช่วยเหลือคนเท่านัน้ ”
ฉีหนิงนั่งอยู่อย่างนัน้ ตั้งใจฟัง
“ตอนนั้นมีคนจนคนไม่มีที่ไปมาอยู่รวมกัน ออก
ขอทานไปทั่ว แต่ว่าสงครามเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายปี
ยังไงก็จะให้อดตายไม่ได้” โหลวเหวินซือถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “คนเราจะมาหิวตายแบบนี้มันก็ไม่ได้
ดังนั้นก็เลยมีคนเริ่มออกรับงาน ไปส่งของบ้าง ไม่ก็
ส่งสินค้าบ้าง ได้เงินมาเล็กน้อยเพื่อจะได้มีกิน พอเรา
ทำแบบนี้ กลุ่มพรรคกลุ่มสำนักอื่นก็เริ่มไม่พอใจ คิด
อยากจะตัดแขนขาเรา ทำให้เราผิดใจกับสำนักคุ้มกัน
กลุ่มสำนักคุ้มภัยก็เลยร่วมมือกัน ตอนนั้นมีคนอยู่ไม่
มากเราไม่ใช่คู่ปรับของเขา”
ฉีหนิงรู้ดีว่าที่โหลวเหวินซือพูดแบบนี้ จะต้องมี
สาเหตุ เลยไม่พูดอะไร
“ก่อนหน้านี้ขอทานจะถูกคนทั่วไปรังแกเท่านัน้ ทุก
คนอยู่รวมกันเป็นกลุ่มมันก็เริ่มลดลง ต่อมาเพื่อความ
อยู่รอด เลยขวางทางเหล่าชาวยุทธ์กับทางการ พวก
เขาเลยไม่ยอม” โหลวเหวินซือพูดอย่างจริงจังว่า
“บางคนถูกตีจนตาย บางคนบาดเจ็บสาหัส บางคน
ติดคุก ในตอนนั้นเอง ประมุขพรรคกระยาจกคนแรก
ของเราปรากฏตัวขึ้น เขารวมกลุ่มก้อนของขอทาน
มาไว้ด้วยกัน แต่ว่าขอทานรวมตัวกันเพื่อปกป้องสิทธิ
ในการไม่ให้ถูกรังแก แต่ว่าการก่อตั้งพรรคกระยาจก
เริ่มต้นจริงๆ นั้น คือยุคของท่านประมุขเหลียนฮวา”
“ท่านประมุขเหลียนฮวา?”
โหลวเหวินซือพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าเขาวร
ยุทธ์ร้ายกาจมาก เขาเลือกขอทานทีม่ ีความสามารถ
ถ่ายทอดวิชาให้ เจ้ารู้ไหมจุดเริ่มต้นของพรรค
กระยาจกนั้นอยูท่ ี่ไหน?”
ฉีหนิงส่ายหน้า แต่ก็คิดขึ้นมาได้ เขาถามว่า “พี่โหลว
อย่าบอกนะว่าทีเ่ ซียงหยาง?”
โหลวเหวินซือยิ้มแล้วพูดว่า “ขอทานมีอยู่ทั่วหล้า แต่
ว่าคนที่เข้ามาเป็นศิษย์พรรคกระยาจกจริงๆ อยู่ที่
เซียงหยาง”
“ประมุขเหลียนฮวาคนนัน้ ชื่อว่าเหลียนฮวาอย่างนั้น
หรือ?” ฉีหนิงพูดอย่างแปลกใจว่า “เหมือนชื่อผู้หญิง
เลย”
โหลวเหวินซือยิ้มแล้วพูดว่า “เล่ากันว่าเริ่มแรกทุก
คนเรียกเขาว่าไป๋เหลียน สิบปีที่ผ่านมา คนที่ได้รับ
การถ่ายทอดวิชาจากเขามีประมาณห้าหกสิบคน คน
พวกนี้เก่งมาก อีกทัง้ ได้รับการชี้แนะจากประมุขไป๋
เหลียน ก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือ บางคนยังกลายเป็นคน
มีชื่อเสียงมากของยุทธภพ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พรรค
กระยาจกก็เจริญมาอย่างที่เห็น ขอทานทั่วหล้ามี
มากมาย ดังนั้นศิษย์ของพรรคกระยาจกเลยเพิ่ม
สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ประมุขไป๋เหลียนก่อตั้งพรรค
กระยาจกมาได้สิบห้าปี คนในพรรคก็มีการแบ่งสาขา
ออกเป็นเจ็ดแปดแห่ง ศิษย์ในพรรคของเราก็มีเป็น
หมื่นคน ในตอนนั้นเอง ประมุขไป๋เหลียนก็ยก
ตำแหน่งประมุขให้กับศิษย์คนโตของเขา หรือก็คือ
ประมุขพรรคคนที่สองท่านประมุขกวนเฟิงหยาง
ส่วนตัวเขาก็หายไปจากยุทธภพ ไม่รู้ว่าไปที่ไหน”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “คนสูงส่งมีเส้นทางใน
แบบฉบับของตัวเอง มาเร็วไปเร็ว”
โหลวเหวินซือพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านประมุขกวนไม่
ทำให้ท่านประมุขเหลียนฮวาผิดหวัง เขาทำให้พรรค
กระยาจกยิ่งใหญ่เกรียงไกร วรยุทธ์ของเขาเองก็ไม่
ธรรมดา ก็เพราะพรรคเราอยู่ในมือของเขา ทำให้เรา
มีกฎเกณฑ์ พรรคของเราตอนนี้ไม่เล็กเหมือนเดิม
แล้ว เพิ่มมาจากในเวลานั้นทั้งนัน้ ประมุขพรรค
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็เน้นคนมีความสามารถทำให้
พรรคยิง่ ใหญ่แข็งแกร่ง พรรคกระยาจกกลายเป็น
พรรคเป็นแบบนี้ได้ ก็เกือบร้อยปีแล้ว พรรค
กระยาจกมีวันนี้ได้ เส้นทางกว่าจะมาวันนี้ ไม่ง่าย
เลย”
ฉีหนิงพยักหน้า แอบคิดในใจว่าคนเราอยู่เป็นกลุ่ม
ก้อน ต่อให้เดินไปถึงหน้าผา ก็จะต้องขวากหนาม
บ้าง ไม่มีทางราบรื่นไปได้ตลอด
“เจ้าเองก็รู้ว่าพรรคสำนักในยุทธภพมีมากมาย มี
หลายพรรคหลายสำนักแข็งแกร่งมาก แม้แต่ราช
สำนักเองก็ยงั กลัว” โหลวเหวินซือเหลือบไปมองฉี
หนิง แล้วถามว่า “ทำไมพรรคกระยาจกเราถึงมาอยู่
ในตำแหน่งนี้ได้รู้ไหม?”
ฉีหนิงพูดว่า “พี่โหลวชี้แนะด้วย”
“แผ่นดินวุ่นวายก่อเกิดพรรคกระยาจก” โหลวเหวิ
นซือถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากแผ่นดินสงบ พรรค
กระยาจกคงไม่ยิ่งใหญ่มากแบบนี้ แต่แผ่นดินวุ่นวาย
สงครามทำลายทุกอย่าง มันเลยทำให้พรรค
กระยาจกยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ ตั้งแต่ก่อตั้งพรรค
กระยาจกมา ทุกครั้งทีเ่ กิดความวุ่นวาย พรรคอืน่ จะ
ได้รับผลกระทบหมด ความแข็งแกร่งอ่อนลง มีเพียง
พรรคของเราเท่านั้น ที่อำนาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
ฉีหนิงตะลึง แต่ก็เข้าใจในเหตุผลขึ้นมาทันที
ศิษย์พรรคกระยาจก เดิมก็เป็นคนตกยากอยู่แล้ว สิ่ง
ที่พรรคกระยาจกทำมันทำให้ผู้คนหวาดกลัว เหตุผล
ก็เพราะพรรคกระยาจกมีคนมาก มีสายอยู่ทั่วใต้หล้า
ต่อให้ไม่มีสายของพรรคกระยาจก คนที่มีตำแหน่งต่ำ
ที่สุด ลึกๆ แล้วก็ดูถูกพวกเขาอยู่ไม่น้อย
ทุกครั้งที่มีความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ก็จะมีคนเร่ร่อนไม่
น้อยที่เข้าไปในพรรคกระยาจก มันเป็นช่วงเวลาดูด
เลือดดูดเนื้อของพรรคกระยาจก ถึงแม้การพัฒนา
แบบนี้มันจะดูโหดร้าย แต่มันคือเส้นทางของพรรค
กระยาจก
“ดังนั้นตั้งแต่พรรคกระยาจกก่อตั้งมาจนวันนี้ พรรค
กระยาจกไม่เคยมีความรู้สึกดีต่อพวกทางการเลย”
โหลวเหวินซือพูดว่า “ศิษย์ในพรรคกระยาจกหลาย
คนเดิมก็ถูกพวกทางการขูดเลือดขูดเนื้อมาก่อนแล้ว
พอไม่มีความรู้อะไรก็ผันมาเป็นขอทาน ดังนั้นศิษย์
หลายคนโกรธแค้นทางการมาก”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 662 สถานการณ์คับขัน
ฉีหนิงไม่ใช่คนโง่ โหลวเหวินซือพูดมาแบบนี้ เขาก็
รู้สึกอะไรขึ้นมา เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พี่โหลว
ท่านกำลังกังวลว่า ไป๋หู่ชิงตำแหน่งประมุขพรรค
อาจจะใช้มาเพื่อสู้กับทางการอย่างนั้นใช่หรือไม่?”
โหลวเหวินซือดูเคร่งเครียด เขานิ่งแล้วพูดว่า “พรรค
กระยาจกมีประมุขอยู่คนหนึง่ เพราะฝึกวรยุทธ์ผิด
ทำให้นิสัยเปลี่ยน เคยเกือบทำให้พรรคกระยาจก
ประสบภัยร้าย ตอนนั้นพรรคเราเริม่ แข็งแกร่งขึ้น
มาแล้ว แต่ว่ายังไม่ใช่พรรคที่มีอันดับชื่อเสียงอะไร ที่
จริงแล้วตอนที่ตั้งพรรคใหม่ๆ ในยุทธภพก็ไม่ได้เห็น
ว่าเราเป็นพรรคหรือสำนักเลย ในสายตาของพวกเขา
เรามันก็แค่กลุ่มขอทานที่รวมตัวกันหาเรื่องเท่านัน้ ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าพรรคในยุทธภพมีมากมายอีกทั้งยัง
อยู่มานานมากแล้ว สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น ซึ่งไม่
เหมือนกับพรรคกระยาจก คนในพรรคกระยาจกมี
เยอะมาก แต่ว่าต่างก็มาจากรากหญ้า เมื่อเข้ามาใน
พรรคแล้วก็จะไม่เหมือนกับพรรคอืน่ อีกทั้งเพราะคน
เยอะ เลยอาจจะไม่สามารถควบคุมให้ไปทิศทาง
เดียวกันได้ เลยถูกพรรคอื่นดูถูกก็เป็นเรื่องที่
หลีกเลี่ยงไม่ได้
“ครั้งนั้นพรรคกระยาจกเหตุเพราะเรื่องแค่เล็กน้อย
กลับมีปัญหากับพรรคใหญ่พรรคหนึง่ เดิมมันก็ไม่ใช่
เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ว่าคนในพรรคของพวกเขา
บางคนอยู่ในจวนของทางการ เลยทำให้ทางการเข้า
มาแทรกแซงเรื่องนี้” โหลวเหวินซือพูดว่า “ประมุข
พรรคคนนัน้ โกรธมาก เลยเกิดการปะทะกับ
เจ้าหน้าที่ทางการ ฆ่าทหารทางการไปหลายสิบคน
...” เขาพูดว่า “ครั้งนั้นถือเป็นอันตรายที่ใหญ่หลวง
มากสำหรับพรรคกระยาจกของเรา ราชสำนักเลย
ต้องการกวาดล้างสาขาของพรรคกระยาจกทิ้ง จับ
คนของเราไปกว่าร้อยกว่าคน อีกทั้งยังสังหารคนไป
อีกนับสิบคน สาขาต่างๆ ของพรรคกระยาจกรีบ
เรียกรวมพล เพื่อที่จะก่อกบฏ”
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก เขาได้ยินโหลวเหวินซือพูดต่อว่า
“ได้ยินมาว่าตอนนั้นทางราชสำนักเองก็ได้เตรียม
กองทัพ เพื่อมากวาดล้างพรรคกระยาจกให้สิ้น อีก
ทั้งยังมีพรรคในยุทธภพอีกมากมายที่รับคำสั่งจาก
ราชสำนัก ร่วมกันรับมือพรรคกระยาจกด้วย ยังดีที่
ประมุขท่านนัน้ รู้ว่าหากให้เรื่องเลยไปถึงจุดนั้น
พรรคกระยาจกคงไม่มีทางฟื้นคืนกลับมาได้อีก เขา
เลยตัดสินใจฆ่าตัวตาย อีกทั้งยังสั่งให้คนนำหัวของ
เขาส่งไปให้ทางการ ก่อนที่จะฆ่าตัวตาย เขายังเขียน
จดหมายสำนึกผิด บอกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็น
เพราะเขาหลอกลวงเหล่าคนในพรรค มันไม่เกี่ยวข้อง
กับพรรคกระยาจกเลย อีกทั้งยังสั่งห้ามคนของพรรค
กระยาจกห้ามปะทะกับคนของทางการอีก”
ฉีหนิงคิดในใจว่าพรรคกระยาจกถึงแม้จะเป็นพรรค
ในยุทธภพ มีคนมากมาย แต่ในสายตาของเหล่าการ
ทางการ ก็ยงั เป็นกลุ่มคนธรรมดา หากราชสำนัก
ต้องการกวาดล้างพวกเขาทั้งหมด มันไม่ใช่เรื่องยาก
เลย
“ราชสำนักเห็นว่าประมุขพรรคกระยาจกสำนึกผิด
และฆ่าตัวตายไปแล้ว ก็เลยรามือ แต่ว่าหลังจากนั้น
พรรคกระยาจกก็ถูกกดขี่มาอีกว่าสิบปี ทำให้พรรค
กระยาจกแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย” โหลวเหวินซือ
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดังนั้นทางพรรคเลยมีกฎอยู่
ข้อหนึ่งถึงแม้จะไม่ได้ระบุอยู่ในกฎของพรรคอย่าง
ชัดเจน แต่ประมุขพรรคทุกรุน่ จะยึดถือเป็นกฎเหล็ก
ไม่ว่าเมื่อจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกเราจะไม่ปะทะ
กับทางราชสำนักเด็ดขาด”
ฉีหนิงเป็นจิ่นอีโหว เขาเป็นตัวแทนของราชสำนัก
ตอนนี้เลยไม่สะดวกออกความเห็นอะไร
โหลวเหวินซือพูดต่อว่า “ที่จริงแล้วหลังจากนั้นเป็น
ต้นมา ทุกรุ่นก็ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาตลอด ต่อให้
มีการเปลี่ยนแปลงราชสำนักเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัย
ราชสำนักก็ไม่ได้กดขี่พรรคกระยาจกอีก พรรคเองก็
พัฒนามาจนถึงวันนี้”
ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียดมาก เขาพูดว่า “พี่โหลว ข้า
เข้าใจความหมายของท่าน ท่านกังวลว่าหลังจากที่ไป๋
หู่ได้ตำแหน่งประมุขไปแล้ว เขาจะอาศัยอำนาจของ
พรรคกระยาจกต่อสู้กับทางราชสำนัก ทำให้พรรค
กระยาจกต้องเผชิญอันตราย”
โหลวเหวินซือตบไปที่ไหล่ของฉีหนิง แล้วพูดว่า
“น้องฉี เดิมทีเรื่องในพรรคกระยาจกบางเรื่อง ข้าไม่
สะดวกที่จะเล่าให้เจ้าฟัง แต่ว่าเจ้าเป็นคนที่ท่าน
ประมุขเชื่อใจมาก ครัง้ ที่แล้วเพื่อยืนยันเรื่องที่ท่าน
ประมุขยังมีชีวิตอยู่ เจ้าแสดงวิชาของท่านประมุขให้
ข้าดู ข้าติดตามท่านประมุขมานานหลายปี ข้าจำได้ดี
มันคือวิชาหมัดเมา”
วันนั้นบนเรือ โหลวเหวินซือรู้ฐานะที่แท้จริงของฉี
หนิง ก็หาเรื่องเขาทันที เขาคิดว่าฉีหนิงคือคนที่
วางแผนสังหารเซี่ยงไป๋อิ่ง
ฉีหนิงเองก็ไม่มีทางเลือก เขาทำได้แค่แสดงท่าวิชาที่
เซี่ยงไป๋อิ่งสอนเขาในถ้ำ เขาคิดในใจว่าในเมื่อเป็น
วิชาที่ประมุขพรรคกระยาจกถ่ายทอดให้ ในฐานะผู้
อาวุโสของพรรคกระยาจก โหลวเหวินซือก็น่าจะรู้จัก
ใครจะคิดว่าโหลวเหวินซือได้เห็น ก็ตกใจมาก อีกทั้ง
ยังพูดชื่อออกมาได้อีก ฉีหนิงตอนนั้นก็ถึงได้เข้าใจ ที่
แม้วิชาที่เซี่ยงไป๋องิ่ ถ่ายทอดให้นั้น มันคือเพลงหมัด
เมาที่โด่งดังไปทั่วหล้า
พรรคกระยาจกมีสุดยอดวิชาสองอย่าง นั่นคือวิชา
หมัดเมากับวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น มันคือวิชาของ
ประมุขพรรคกระยาจก ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าเซีย่ งไป๋
อิ่งจะถ่ายทอดสุดยอดวิชานี้ให้กับเขา
เซี่ยงไป๋อิ่งสอนวิชาให้เขาหนึ่งชุดติดต่อกันห้าคืน
ตอนนั้นเขารู้แต่กระบวนท่าเพลิงทลายฟ้า น้ำทลาย
ดิน พลิกฟื้นแผ่นดินอะไรพวกนั้น เขาคิดไม่ถึงเลยว่า
มันจะเป็นวิชาหมัดเมา เพราะในสายตาของฉีหนิง
ประมุขพรรคกระยาจกเป็นถึงยอดฝีมือขั้นสูงในยุทธ
ภพ วรยุทธ์ที่เขาเป็นมีมากมาย ไม่ว่าเขาจะสอน
อะไรมามันก็มีแต่ประโยชน์
หากไม่ใช่โหลวเหวินซือบอกว่าเขามันคือวิชาหมัดเมา
ฉีหนิงคงยังไม่รู้เลยว่าตัวเขานั้นฝึกสุดยอดวิชาของ
พรรคกระยาจกมา
หลังจากเกิดเรื่องเขาเคยคิดว่า ถึงแม้เซี่ยงไป๋องิ่ จะ
ถ่ายทอดวิชาหมัดเมาให้เขา แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด ฉีหนิง
จำได้ว่าเขาถ่ายทอดวิชาให้ติดต่อกันห้าคืน ทุกคน
สอนให้หนึ่งชุด หากเขาเดิมไม่ผิด เซี่ยงไป๋องิ่
ถ่ายทอดให้เขาทั้งหมดห้ากระบวนชุด ยังมีเหลือเก็บ
ไว้อีก แต่ถึงอย่างนั้น ฉีหนิงก็รู้สึกมากแล้ว
“ท่านประมุขมองใครไม่เคยผิด”ทุกครั้งที่โหลวเหวิ
นซือพูดถึงเซี่ยงไป๋อิ่งน้ำเสียงของเขาจะดูเคารพมาก
“แม้แต่ท่านประมุขยังไว้ใจเจ้าขนาดนี้ บางเรื่อง ข้าก็
สามารถพูดกับเจ้าได้” เขาหยุดไป แล้วพูดเสียงเบา
ว่า “น้องฉี ในตอนนี้ เป่ยฮั่นกับหนานฉู่เป็นใหญ่คน
ล่ะฟาก มีตงฉีคั่นกลาง รวมกันมานานก็ต้องแยก
แยกกันมานานถึงเวลาก็ต้องรวม ในใต้หล้านี้ใน
ท้ายที่สุด ก็จะต้องรวมกันเป็นหนึ่งอยู่ดี”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “แผ่นดินแตกแยก
ชาวบ้านเดือดร้อน มีเพียงรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง ไฟ
สงครามถึงจะดับได้ ชาวบ้านถึงจะได้อยู่กันอย่างเป็น
สุข”
โหลวเหวินซือพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านประมุขเองก็
พูดแบบนีเ้ หมือนกัน เป่ยฮั่นกับหนานฉู่เป็นใหญ่สอง
แคว้น หากสามารถใช้กำลังได้ ก็ไม่เสียดาย ตอนนี้
พรรคที่อำนาจกระจายไปทั่วทั้งสามแคว้นได้ มีเพียง
พรรคกระยาจกเท่านัน้ น้องฉี หากพรรคกระยาจก
เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสงครามระหว่างฉู่ฮั่น เจ้าคิด
ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง?”
ฉีหนิงจริงจังขึ้นมา “ข้ารู้สึกว่า เมื่อเทียบกับตงฉีแล้ว
พรรคกระยาจกมีผลต่อสถานการณ์อย่างมาก ศิษย์
ในพรรคกระยาจกหาข่าวสารได้ไวมาก อีกทั้งยังมีคน
ให้ใช้เหลือเฟือ หากเข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็จะ
ผลกระทบอย่างมากต่ออีกฝ่าย”
โหลวเหวินซือยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พรรคกระยาจก
ซ่อนตัวได้มิดชิดมาก แทบจะเป็นตะปูดอกหนึ่งได้ ที่
จริงเป่ยฮั่นกับหนานฉู่ก็รู้ว่าหากสามารถได้พรรค
กระยาจกมาร่วมด้วยได้ พวกเขาจะได้รับประโยชน์
มาก ดังนั้นเมื่อหลายปีก่อน ทั้งสองแคว้นก็มีการส่ง
คนแอบมาเจรจาเพื่อให้เราไปอยู่ด้วย แต่ว่าท่าน
ประมุขรู้ดีว่า หากเข้าไปร่วมการทำสงครามในครั้งนี้
ไม่ว่าใครจะชนะ สิ่งแรกที่จะถูกกำจัดไปก็คือพรรค
กระยาจก” เขายิ้มแล้วพูดว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึก
เสร็จศึกฆ่าขุนพล เหตุผลนี้ขอทานอย่างเราก็เข้าใจ
ดี”
ฉีหนิงไม่ได้พูดอะไร โหลวเหวินซือพูดต่อว่า “ที่จริง
แล้วเมื่อหกปีก่อน หลังจบงานชุมนุมชิงมู่ ท่าน
ประมุขได้เรียกเราสี่ผู้อาวุโสของพรรคไปพบแล้วก็คุย
กันถึงเรื่องนี้ ข้ายังจำได้ว่า ครั้งนัน้ ไป๋หู่พูดว่า จาก
สถานการณ์ที่แผ่นดินแตกแยกมีการแย่งชิงดินแดน
กันแบบนี้ ไม่สู้เข้าไปร่วมด้วย ทำให้แผ่นดินรวมเป็น
หนึ่งให้เร็วที่สุด ถึงจะทำให้แผ่นดินสงบได้จริงๆ สัก
ที” เขาพูดต่อว่า “เขาพูได้น่าฟังมาก แต่ว่าเขากลับ
ไม่สนใจชีวิตของคนในพรรคเลย อีกทั้งไม่สนใจกฎ
เหล็กของพรรคกระยาจกด้วย”
ฉีหนิงเข้าใจแล้วก็พูดว่า “ไป๋หู่มีลางที่จะอยากเข้า
ร่วมสงคราม ดังนั้นพี่โหลวเลยกังวลว่าเขาจะให้
พรรคกระยาจกร่วมรบอย่างนั้นใช่หรือไม่?”
โหลวเหวินซือพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ที่จริง
เมื่อหลายปีก่อน ที่ตงฉีก็มีคนแอบมาหาข้า บอกว่า
สามารถช่วยให้ข้าเป็นประมุขพรรคกระยาจกได้ อีก
ทั้งยังสามารถให้ข้าได้สุขสบาย เงื่อนไขก็คือให้พรรค
กระยาจกฟังคำสั่งของตงฉี ในเมื่อพวกเขามาหาข้า
ได้ ฉีฉู่ฮั่นทั้งสามแคว้นก็จะต้องมีคนไปหาไป๋หู่แน่ ข้า
ไม่ได้สนใจเรื่องความร่ำรวยสุขสบาย แต่ก็ไม่ได้
หมายความว่าคนอื่นจะคิดแบบนีเ้ หมือนกัน”
ฉีหนิงสะดุ้ง ผู้อาวุโสไป๋หู่วางแผนทำร้ายเซีย่ งไป๋องิ่
คิดอยากจะชิงตำแหน่งประมุขพรรค ฉีหนิงสงสัยมา
ตลอดว่าเบื้องหลังของไป๋หู่น่าจะคนคอยหนุนอยู่ เขา
สงสัยว่าเป็นฝีมือของซีเหมินอู๋เหิง แต่พอได้ยินโหลว
เหวินซือพูดแบบนี้แล้ว ก็เข้าใจทันที มีคนต้องการ
ควบคุมพรรคกระยาจกไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขามอง
แต่เพียงในแคว้นฉูเ่ ท่านัน้ จากสถานการณ์ตอนนี้
เบื้องหลังของไป๋หู่ อาจเป็นคนจากแคว้นอื่นก็ได้
พอคิดถึงตรงนี้ ฉีหนิงก็ขมวดคิ้ว เขาคิดในใจว่าหาก
เบื้องหลังของไป๋หู่เป็นชาวเป่ยฮั่นหรือไม่ก็ชาวตงฉี
เมื่อพวกเขาชิงตำแหน่งประมุขพรรคไปได้ พรรค
กระยาจกก็จะกลายเป็นภัยต่อต้าฉู่ทันที อีกทั้งพรรค
กระยาจกตอนนี้ก็ไม่เหมือนก่อนแล้ว แปดพรรคสิบ
หกสำนักของแคว้นฉู่ พรรคกระยาจกคืออันดับหนึ่ง
เมื่อพรรคกระยาจกเป็นภัยวุ่นวายของแคว้นฉู่ ถึง
เวลานั้นอาจจะทำให้พรรคหลายพรรคในแคว้นฉู่นั้น
เกิดความเคลื่อนไหวได้ แล้วผลที่ตามมาแทบไม่กล้า
คิดกันเลย
โหลวเหวินซือเห็นฉีหนิงเข้าใจ เขาก็พูดอย่างจริงจัง
ว่า “น้องฉี ข้าพูดกับเจ้ามาขนาดนี้ ตอนนี้เจ้าน่าจะ
เข้าใจความหมายของข้าแล้วสินะ ข้าได้รับจดหมาย
จากไป๋หู่ รู้ว่าท่านประมุขถูกทำร้าย ก็นึกได้ว่างาน
ชุมนุมชิงมู่ก็จะต้องคัดเลือกประมุขคนใหม่ ตอนนั้น
เคยคิดว่า ไป๋หู่อาจจะอาศัยข้ออ้างทีท่ ่านประมุขถูก
ทำร้าย หาเรื่อง เลยตัดสินใจว่า ในงานชุมนุมชิงมู่ ข้า
ต้องหารือเกี่ยวกับการแก้แค้นให้ท่านประมุข อีกทัง้
ยังต้องขัดขวางไป๋หู่อีกด้วย”
เขาพูดมานาน เสียแรงไปมาก ตอนนี้มีอาการเหนื่อย
ล้าอย่างเห็นได้ชัด ยังดีที่ร่างกายแข็งแรง เลยยังฝืน
ไหว เขากำหมัดแน่น แล้วพูดว่า “ตอนนี้รู้แล้วว่า
ท่านประมุขยังมีชีวิตอยู่ แสดงว่ามันเป็นแผนร้ายของ
เขาแน่ งานชุมนุมชิงมู่ในครัง้ นี้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ก็
จะต้องขัดขวางเข้าให้ได้”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พี่โหลว หากท่านไป
ร่วมงานชุมนุมชิงมู่ได้ ท่านร่วมมือกับผู้อาวุโสเสวียน
อู่ อาจจะพอขัดขวางผู้อาวุโสไป๋หู่ได้ แต่ว่าตอนนี้
ท่านทำอย่างนั้นไม่ได้ ผู้อาวุโสเสวียนอู่ตัวคนเดียว
อีกทั้งไป๋หู่เองก็วางแผนการนี้มานาน เขาวางแผนให้
คนไปดักฆ่าท่านกลางทาง แสดงว่ายังไงเขาก็จะต้อง
เอาตำแหน่งประมุขพรรคมาให้ได้ คิดจะหยุดเขา มัน
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
โหลวเหวินซือจับมือฉีหนิงเอาไว้ เขาจ้องไปที่ตาของ
ฉีหนิง “ท่านประมุขมาปรากฏตัวไม่ได้ ตอนนี้ข้าเอง
ก็ไม่สะดวกที่จะเดินทาง อย่างทีเ่ จ้าพูด เสวียนอู่ก็ตัว
คนเดียว น้องฉี พรรคกระยาจกอยู่ในความเป็นความ
ตาย ครั้งนี้ ขอแค่เจ้าออกหน้าช่วย พรรคกระยาจก
เราต้องรอดพ้นภัยในครั้งนี้ได้แน่”
“ข้า?”
โหลวเหวินซือพูดว่า “ถูกต้อง ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่า
ทำไมท่านประมุขถึงได้ถ่ายทอดวิชาหมัดเมาให้เจ้า
เขาเตรียมการไว้แล้ว คิดว่าเขาน่าจะวางแผนไว้
ล่วงหน้า เดาได้ว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขนึ้
เลยถ่ายทอดวิชาหมัดเมาให้กับเจ้า น้องฉี ท่าน
ประมุข คิดอยากให้เจ้าช่วยเหลือเรานะ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 663 ป้ายคำสั่งชิงหลง
ฉีหนิงรู้ดีว่า ตอนนั้นเซีย่ งไป๋องิ่ กังวลว่างานชุมนุม
ชิงมู่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึน้ เลยฝากฝังให้ฉีหนิง
เดินทางไปงานชุมนุมชิงมู่ให้ได้ เพื่อขัดค้างคนที่
อยากจะชิงตำแหน่ง
ฉีหนิงคิดในใจว่าเขาเป็นจิ่นอีโหว เป็นบรรดาศักดิ์
ของราชสำนัก ต่อให้เขาปรากฏตัวขึ้น ในฐานะพรรค
อันดับหนึ่งอย่างพรรคกระยาจก เดิมก็ไม่พอใจใน
ราชสำนักอยู่แล้ว คงไม่มีทางไว้หน้าเขาแน่
ในเวลานี้โหลวเหวินซือบอกให้เขาไปเซียงหยาง เขา
ยิ่งลังเล
เขารู้ว่าการที่เซี่ยงไป๋อิ่งถ่ายทอดวิชาหมัดเมาให้เขา
ไม่ใช่เพราะอารมณ์ แต่อยากให้เขานำวิชาหมัดเมานี้
ไปแทรกแซงเรื่องภายในของพรรคกระยาจก
โหลวเหวินซือเห็นฉีหนิงดูลังเล เขาก็ถามว่า “น้องฉี
เจ้ากังวลใจเรื่องอะไร?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “พี่โหลว ท่านก็รู้ว่าข้า
เป็นจิน่ อีโหวมีบรรดาศักดิ์ติดตัว ราชสำนักตั้งจวน
เสินโหวขึ้นมา เดิมก็ไม่อยากในชาวยุทธคิดว่าราช
สำนักต้องการแทรกแซงเรื่องในยุทธภพ ดังนั้นจึงได้
ให้ทางจวนเสินโหวเป็นคนไปประสานกลับเหล่าชาว
ยุทธ” เขาหยุดแล้วพูดว่า “ข้าถือเป็นตัวแทนของ
ราชสำนัก ต่อให้ออกหน้า ก็คงไม่สามารถทำอะไรได้
มาก”
โหลวเหวินซือพยักหน้า แล้วพูดว่า “ที่น้องฉีกังวลใช่
ว่าจะไม่มีเหตุผล” เขาคิด จากนั้นก็พูดว่า “แต่ว่าเรา
เองก็จะมานัง่ ดูไป๋หู่ชิงตำแหน่งประมุขพรรคไปแบบ
ไม่สนใจไม่ได้เหมือนกัน น้องฉี หากไป๋หู่ได้ขึ้นเป็น
ประมุขพรรค ไม่เพียงแค่พรรคกระยาจกเท่านัน้ นะ
แม้แต่แคว้นฉู่ทั้งแคว้นก็อาจจะเดือดร้อนไปด้วย”
“เจตนาของพี่โหลวข้าเข้าใจดี” ฉีหนิงพยักหน้าแล้ว
พูดว่า “ท่านกังวลว่าไป๋หู๋จะซื้อตัวคนอื่น รวบรวม
พรรคกระยาจกก่อสงครามกับแคว้นฉู่”
“ถูกต้อง” โหลวเหวินซือพูดว่า “เรื่องนี้สำคัญมาก
ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
ฉีหนิงนิ่งไป แล้วพูดว่า “ให้ข้าไปเซียงหยาง ไม่ว่าจะ
เพื่อท่านประมุขเซี่ยงหรือว่าพี่โหลว หรือว่าราช
สำนัก ข้าก็จะทำให้ไม่มีปฏิเสธ แต่ว่า...”
โหลวเหวินซือกลับคิดอะไรขึ้นมาได้ ตาของเขาเป็น
ประกาย เขายิ้มแล้วพูดว่า “ได้เรื่องแล้ว”
ฉีหนิง “อ๋อ” กลับไป โหลวเหวินซือพูดว่า “น้องฉี
ตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ทั่วไป เราต้องใช้วิธีอื่น ข้ามี
อยู่หนึ่งวิธี ที่สามารถให้เจ้าไปงานชุมนุมชิงมู่ได้อย่าง
เปิดเผย”
“พี่โหลวมีแผนอะไรหรือ?”
โหลวเหวินซือยิ้มแล้วพูดว่า “จงหย่าเจ้าก็เจอแล้ว
เขาเป็นคนมีความสามารถมากคนหนึ่งในเจ็ดสาขาใน
การดูแลของชิงหลง ไม่เพียงเก่งด้านการแพทย์ แต่
ยังมีวิชาเด็ดอีกหนึ่งวิชา มันเป็นวิชาที่หาได้ยากใน
ยุทธภพ”
ฉีหนิงเห็นโหลวเหวินซือดูเป็นประกายมาก ก็รู้ว่าเขา
น่าจะคิดอะไรดีๆ ได้ เขาเองก็แปลกใจ เขายิ้มแล้ว
ถามว่า “เมื่อกี้ได้เจอเขา ก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่น่าจะ
ธรรมดา พี่โหลว ท่านบอกว่าเขามีวิชาหายากในยุทธ
ภพ ไม่ทราบคืออะไรอย่างนั้นหรือ?”
โหลวเหวินซือยกมือขึ้นมา แล้วชี้ไปที่หน้าของตัวเอง
แล้ววาดเป็นวงกลม เขายิ้มแล้วพูดว่า “น้องฉีเจ้าเคย
ได้ยินชื่อวิชาแปลงโฉมหรือไม่?”
“วิชาแปลงโฉม?” ฉีหนิงรู้สึกสนใจขึน้ มา “พี่โหลว
ท่านหมายความว่า จงหย่าเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม
อย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่แค่เชี่ยวชาญนะ” โหลวเหวินซือยิ้มแล้วพูดว่า
“ในยุทธภพนี้ คนที่มีวิชาแปลงโฉมร้ายกาจกว่าเขามี
ไม่กี่คนเท่านัน้ เหนือมีเหลียงใต้มีจง หลายร้อยกว่าปี
ก่อนมีตระกูลใหญ่ที่เชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉมอยู่สอง
ตระกูล ทุกคนรู้จกั ชื่อของพวกเขา แต่ไม่เคยได้พบ
เลย จงหย่าเป็นเพื่อนของข้า เรานิสยั เข้ากัน ข้ากับ
เขาที่จริงก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน”
ฉีหนิงตะลึง จากนั้นเขาก็หลุดหัวเราะขึ้นมา เขาคิด
ในใจว่าผู้อาวุโสชิงหลงเหมือนจะเป็นพี่น้องกับคนอื่น
ไปทั่วเลย เหมือนจะไม่ได้มีแค่เขาที่เป็นพี่น้องร่วม
สาบานคนเดียว
“พี่จงอายุมากกว่าข้าหลายปี ตอนที่สาบานเป็นพี่
น้องกัน ข้านับถือเขาเป็นพี่ชายของข้า” โหลวเหวิ
นซือพูดว่า “เขาเป็นคนสมถะ แม้แต่หัวหน้าสาขา
ย่อยเขาก็ยงั ไม่ยอมเป็น ปกติชอบเดินทางไปทั่ว ครั้ง
นี้เขามายังสวีโจว โชคดีที่อยู่ในบ้านเขา ไม่อย่างนั้น
ชีวิตก็คงไม่รอดแน่”
ฉีหนิงถึงได้รู้ว่า ที่แท้บ้านหลังนี้กเ็ ป็นของจงหย่า
โหลวเหวินซือได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่กล้าบอกใคร
ดังนั้นเมื่อมาถึงเมืองสวีโจว เลยตรงมาหาพี่น้องร่วม
สาบานอย่างจงหย่า โชคดีที่เขาดวงแข็ง จงหย่าอยู่
บ้านพอดี เลยรอดมาได้
“พี่จงเขาเป็นทายาทผู้สืบทอดโดยตรงของตระกูลจง
ก่อนที่เขาจะเข้าร่วมพรรคกระยาจก เขามีฉายาว่า
จิ้งจอกพันหน้า” โหลวเหวินซือยิ้มแล้วพูดว่า “ขอแค่
พี่จงลงมือ เขาก็จะสามารถเปลี่ยนหน้าของเจ้าให้
เป็นคนใหม่ทันที นอกจากคนสนิทแล้ว ไม่มีใครมอง
ออกแน่นอน”
ฉีหนิงพูดว่า “พี่โหลว ท่านอยากจะให้ข้าแปลงโฉม
ไปเซียงหยางอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง” โหลวเหวินซือลุกขึ้นมา แล้วค่อยๆ เดินไป
ข้างๆ เขาหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่ขนึ้ มา แล้วหยิบของ
ชิ้นหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปนัง่ ข้างๆ ฉีหนิง แล้ว
ยื่นให้เขา แล้วพูดว่า “เจ้ารับไว้ก่อน”
ฉีหนิงรับมาดู กลับเป็นป้ายคำสั่งเหล็กสีดำ ตรงกลาง
มีลายมังกรเขียวตัวหนึ่งอยู่ เขาเข้าใจขึ้นมาทันที มัน
น่าจะเป็นป้ายแสดงสถานะของผู้อาวุโสพรรค
กระยาจก
“นี่คือป้ายคำสั่งชิงหลง” โหลวเหวินซือพูดอย่าง
เคร่งเครียดว่า “พรรคกระยาจกทัง้ เจ็ดสาขาของทาง
ตะวันออก เมื่อเห็นป้ายคำสั่งนี้ ก็จะเหมือนได้เห็นข้า
ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง น้องฉี ให้พี่จงแปลงโฉมหน้าให้
เจ้ามใหม่ แล้วเจ้าก็เอาป้ายคำสั่งนีเ่ ดินทางไปเซียง
หยาง ก็จะสามารถเข้าไปร่วมงานชุมนุมได้อย่าง
เปิดเผย”
ฉีหนิงคิดในใจว่าวิธีนี้ก็ไม่เลวเลย เขาถามต่อว่า “พี่
โหลว ป้ายคำสั่งชิงหลงเป็นของแทนสัญลักษณ์ของผู้
อาวุโสชิงหลง หากข้าเอาป้ายคำสั่งนี้ไปร่วมงาน คน
อื่นถาม แล้วข้าจะตอบเขาว่าอะไร?”
โหลวเหวินซือพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าคิดไว้แล้ว เจ้าก็
ตอบไปว่าเจ้าเป็นหัวหน้าสาขาคังจินหลางคนใหม่”
“หัวหน้าสาขาคังจินหลาง?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “พี่โหลว แล้วกงซุนเจี้ยน...”
สายตาของโหลวเหวินซือโกรธแค้นมาก เพราะเขา
แค้นที่กงซุนเจี้ยนกับเจิ้นฉวนถูกฆ่า แต่เพราะเขา
เป็นผู้นำ รู้ว่ามีเรื่องที่ใหญ่กว่ารอเขาอยู่ เขาพูดว่า
“ถึงเวลานั้นเจ้าก็บอกไปว่ากงซุนเจีย้ นถูกคนสังหาร
เจ้าเป็นหัวหน้าสาขาคนใหม่ที่ข้าแต่งตั้งขึ้นมา หาก
คนอื่นยังถามอีก ก็บอกไปว่านีเ่ ป็นเรื่องภายในของ
สาขาชิงหลง นอกจากท่านประมุขแล้ว คนอื่นไม่มี
สิทธิถาม” เขานิ่งแล้วถามว่า “ข้าจะให้เหมากูเอ๋อร์
ตามเจ้าไปด้วย มีเหมากูเอ๋อร์อยู่ด้วย ไม่มีใครสงสัย
หรอก”
ฉีหนิงคิดในใจว่าหากยอมให้ไป๋หู่สมหวังในงานชุมนุม
ชิงมู่ ไม่อยากจะผลที่จะเกิดขึ้นเลย แผนการตอนนี้
เหมือนมีเพียงวิธีของโหลวเหวินซือเท่านั้นที่
เหมาะสม เขาถามว่า “พี่โหลว ทางเสวียนอู่ ต้อง
ติดต่อก่อนไหม?”
โหลวเหวินซือพูดว่า “เจ้าไม่ต้องบอกเขาหรอก หาก
ไป๋หู่อยากเป็นประมุขพรรค เสวียนอู่จะต้องพยายาม
ขวางแน่นอน หากเสวียนอู่ขวางได้สำเร็จ เราก็ไม่
ต้องทำอะไร หากเสวียนอู่ทำไม่ได้ เราค่อยช่วยเขา”
เขาพูดว่า “ในงานชุมนุมชิงมู่ครั้งนี้ ขอเพียงขัดขวาง
ไป๋หู่ได้ เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญอีกไว่ท่านประมุขกลับมา
เมื่อไหร่ ท่านก็คงจัดการกับสถานการณ์เอง”
ฉีหนิงพยักหน้า ทันใดนั้นเองก็นึกถึงคณะทูตขึ้นมา
แล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ ตอนนี้มันยังไม่ง่ายขนาดนั้น ต่อ
ให้รีบเร่เดินทางไปเซียงหยาง ก็ต้องคุ้มกันองค์หญิง
ข้ามแม่น้ำไป มอบหมายงานให้คนรับช่วงต่อก่อน”
เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แต่ว่าท่านจะต้องถอนพิษ
อีกหลายวัน จงหย่าเองก็ยงั ไปไม่ได้ เรื่องนี้...”
โหลวเหวินซือพูดว่า “เจ้าส่งคณะทูตกลับไปก่อน จง
หย่าอยู่ถอนพิษ ใช้เวลาแค่สามวันก็พอ เรื่องหลัง
จากนั้น จงหย่าจะจัดงานเอง หลังจากนี้สามวัน จง
หย่าจะไปหาเจ้าตามนัด ถึงเวลานั้นค่อยแปลงโฉมให้
เจ้า”
ฉีหนิงเห็นโหลวเหวินซือเตรียมการไว้หมดแล้ว ก็พูด
ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่พี่โหลวว่าก็แล้วกัน ข้าจะ
ส่งองค์หญิงข้ามแม่น้ำไปก่อน แล้วจะรีบเดินทางไป
ยังเซียงหยาง ขี่ม้าเร็วไป น่าจะไปได้ทัน”
โหลวเหวินซือยื่นมือไปจับมือของฉีหนิงไว้ แล้วพูด
อย่างจริงจังว่า “น้องฉี เรื่องนี้สำคัญมาก ครั้งนี้ต้อง
ไหว้วานเจ้าแล้ว”
หลังจากฉีหนิงไปแล้ว ก็ตรงกลับไปยังเรือนรับรอง
ทันที โดยไม่มีใครรู้ เช้าวันต่อมา ทั้งขบวนก็ออก
เดินทางต่อไปยังแคว้นฉู่ เมื่อถึงรินฝัง่ แม่น้ำฉินไหว ก็
ผ่านไปแล้วสามวัน
ฉีหนิงกังวลเรื่องงานชุมนุมชิงมู่มาก รู้ว่าเวลากระชัน
ชิด แม่น้ำหวยเห๋อสองฟากฝั่ง ก็มีการเตรียมการไว้
พร้อมหมดแล้ว เพื่อส่งองค์หญิงข้ามแม่น้ำไป แม่
ทัพเรือตงฉีมีการเตรียมเรือรบลำใหญ่หลายลำมา แม่
ทัพเรือของตงฉีสมคำล่ำลือมาก ฉีหนิงเห็นเรือรบ
ตงฉีดูเข้มแข็งมาก เรือแต่ละลำแข็งแกร่งทนทานมาก
เดิมเป็นเรือที่ใช้ในการรบ แต่ตอนนีแ้ ขวนผ้าแดงเต็ม
ไปหมด ดูเป็นมงคลมาก มองมาจากไกลๆ มีการตี
ฆ้องตีกลอง คณะทูตที่มารับขบวนเจ้าสาวมายืนรอที่
ริมแม่น้ำแคว้นฉู่แล้ว ฉีหนิงถึงได้วางใจ คิดในใจว่า
แคว้นฉู่เองก็ทำอะไรรวดเร็วว่องไวมาก มาได้
ทันเวลาพอดี
เขารู้ดีว่าการส่งฉีเฟิงกลับไปแจ้งข่าวในเวลาสั้นขนาด
นั้น แสดงว่าฉีเฟิงต้องเร่งเดินทางหลายวัน ไม่รู้ว่าเขา
เปลี่ยนม้าไปกี่ตัว แจ้งข่าวได้ทันเวลาขนาดนี้ ทาง
แคว้นฉู่ทำทุกอย่างอย่างกะทันหัน แต่กลับสามารถ
ส่งขบวนรับตัวมาได้ทันเวลา
ขบวนส่งตัวขึ้นเรือรบ แล้วลอยข้ามฟากมา เสียง
กลองเสียงฆ้องดังกึกก้อง ฉีหนิงเห็นไหวหนานอ๋อง
อยู่ในคณะด้วย ขุนนางน้อยใหญ่ตามอยู่ด้านหลัง
มารับขบวนเจ้าสาว ตามหลักแล้วน่าจะเป็นเสนาบดี
กรมพิธีการ แต่ฉีหนิงรู้ดีว่าเวลามันสั้น ท่านเสนาบดี
หยวนอายุมากแล้ว ไม่สามารถเร่งเดินทางมาที่นี่ได้
ในระยะเวลาสั้นๆ เลยส่งไหวหนานอ๋องมา คิดว่า
หลังจากที่ได้ข่าวแล้ว พวกของไหวหนานอ๋องก็น่าจะ
เร่งเดินทางกันทั้งวันทัง้ คืน
ฉีหนิงพารัชทายาทตงฉีกบั เสนาบดีกรมพิธีการของ
ตงฉีเถาเฉียนเดินขึ้นหน้าไป ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้ว
ยกมือคำนับ “รัชทายาททรงลำบากแล้ว โหวเยว่
ลำบากแล้ว ทุกท่านลำบากแล้ว”
ฉีหนิงยกมือแนะนำให้รัชทายาทตงฉีรู้จัก “องค์รัช
ทายาท ท่านนีค้ ือไหวหนานอ๋อง”
รัชทายาทยกมือคำนับแล้วพูดว่า “รบกวนท่านอ๋อง
ต้องมาต้อนรับ ข้ารู้สึกเสียใจหนัก”
“สมควรแล้ว สมควรแล้ว” ไหวหนานอ๋องยื่นมือไป
พยุงแขนของรัชทายาท เขาดูเป็นมิตรมาก “ตั้งแต่นี้
ต่อไป ฉีฉู่สองแคว้นก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว
นะ ได้ยินชื่อของรัชทายาทมานาน วันนี้ได้พบ สง่า
งามสมคำร่ำลือจริงๆ มาๆ เดินทางมากันลำบาก
ทางนี้จัดเตรียมงานเลี้ยงไว้ เพื่อต้อนรับรัชทายาทกับ
องค์หญิงแล้ว จะได้หายเหนื่อย”
ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ค่ายทหารตรงริมฝั่งแม่น้ำได้
จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้ว เสียงกลองฆ้องกึกก้อง
ขบวนเจ้าสาวมาถึงยังค่ายทหาร ทางนี้มีการ
จัดเตรียมงานเลี้ยงไว้ ทัง้ สองฝ่ายดูเคารพเกรงใจกัน
มาก บรรยากาศเป็นไปอย่างเป็นมงคล ตามแผนของ
ไหวหนานอ๋อง คืนนี้พักกันที่ค่ายทหารสักคืน เช้าวัน
ต่อมาค่อยเดินทางกลับเมืองหลวง ดังนั้นทุกคนเลย
ไม่ได้พิธีรีตองมาก ดื่มกันอย่างเต็มที่
ฉีหนิงคิดถึงเรื่องงานชุมนุมชิงมู่ตลอดเวลา หลังจบ
งานเลี้ยง เขาก็กลับไปที่กระโจมที่พกั ทันที ฉีหนิงคิด
ในใจว่าจะเจอกับจงหย่าได้เมื่อไหร่ ทันใดนั้นเองก็ได้
ยินเสียงดังขึน้ มาว่า “โหวเยว่ท่านหลับแล้วหรือยัง?”
เป็นเสียงของไหวหนานอ๋อง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 664 พรรคพวก
ฉีหนิงคิดในใจว่าคืนนี้ดึกแล้ว ทำไมไหวหนานอ๋องยัง
มาหาเขาอีก แต่ในเมื่อมาแล้ว แสดงว่าเขาต้องมีเรื่อง
อะไร เขาก็ไม่ได้คิดอยากจะฉีกหน้าไหวหนานอ๋องอยู่
แล้ว เลยเดินไปเปิดผ้าในกระโจม เห็นไหวหนานอ๋อง
ยืนเอามือไขว้หลัง เมื่อเห็นฉีหนิงเปิดผ้ากระโจมออก
ไหวหนานอ๋องก็ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ยังไม่หลับอีก
หรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “เมื่อครู่น่าจะดื่มมากเกินไป เลยยังนอน
ไม่หลับ ท่านอ๋อง ท่านมีอะไรหรือเปล่า?”
เขาเห็นไหวหนานอ๋องไม่ได้พาใครมาด้วย ก็รู้ว่าเขา
ไม่ได้มาแค่นั่งเล่นแน่นอน
“ข้าเองก็นอนไม่หลับ เลยมาหาโหวเยว่” ไหวหนาน
อ๋องยิ้มแล้วถามว่า “ไม่ทราบโหวเยว่สะดวกหรือ
เปล่า?”
ฉีหนิงเปิดผ้ากระโจมให้กว้างขึ้น เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านอ๋องเชิญด้านใน”
ไหวหนานอ๋องเข้ามาในกระโจม เขาก็มองไปทั่ว
จากนั้นก็นงั่ ลง เขายิ้มแล้วพูดว่า “โหวน้อย เจ้าสร้าง
ผลงานใหญ่แล้วนะ พอฝ่าบาททรงทราบว่าการ
อภิเษกครัง้ นี้สำเร็จ ทรงดีพระทัยมาก ขุนนางทั่วราช
สำนักต่างก็ชมเชยโหวเยว่ไม่ขาดปากเลยนะ”
“แค่โชคดีเท่านั้น” ฉีหนิงรินน้ำชาให้กับฉีหนิง
จากนั้นก็พูดว่า “ท่านอ๋องมารับขบวนเจ้าสาวด้วย
ตัวเอง ก็ถือว่าให้เกียรติชาวตงฉีมากเลย”
ไหวหนานอ๋องหยิบชาขึ้นดื่ม เขายิ้มแล้วพูดว่า “มีคน
ไม่ยอมมา ข้าก็ต้องมาสิ...” เขาเหลือบไปมองฉีหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวน้อยสร้างผลงาน สามารถเจรจา
ให้องค์หญิงตงฉีมาแคว้นเราได้ ไม่ต่างกับการชนะศึก
ใหญ่หนึ่งครั้ง ข้าได้เสนอกับฝ่าบาทแล้ว ให้ฝ่าบาท
ทรงเพิ่มบรรดาศักดิ์กงให้กับเจ้า...”
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก เขารีบพูดว่า “ท่านอ๋อง เรือ่ งนี้
ฝ่าบาททรงเป็นผู้คิด ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย”
“หากบอกว่าโหวเยว่ไม่ได้ทำอะไรเลย ข้าคนแรกที่
จะไม่พอใจ” ไหวหนานอ๋องสีหน้าจริงจัง เขาถอน
หายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าเจิ้นกั๋วกงเขาไม่เห็นด้วย ฝ่า
บาททรงเกรงใจเขา ดังนัน้ ...” เขาส่ายหน้า สีหน้าดู
เสียใจมาก
ฉีหนิงยิ้ม
เขารู้ดีซือหม่าหลันได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ เดิมทีก็ไม่ง่าย
อยู่แล้ว ซือหม่าหลันความสามารถโดดเด่น ช่วย
บริหารราชการแผ่นดินมานานกว่าสิบปี ผลงานมี
มากมาย อดีตฮ่องเต้สวรรคต ซือหม่าหลันมีผลงาน
ในการคุ้มกัน อีกทัง้ ยังมีไท่เฮาคอยหนุนหลังอีก ทำ
ให้ฮ่องเต้น้อยต้องฝืนใจเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้เขา
ตัวเขาเองประสบการณ์น้อย จิน่ อีโหวฉีจิ่งผลงานการ
ศึกมีนับไม่ถ้วน บัญชาการกองทัพนับแสน กลับไม่
เคยได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เลย เขามาเป็นราชทูตตงฉีแค่
ครั้งเดียว จะได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ แม้แต่ตัวเขาเองยัง
รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขำเลย
เขารู้ว่าไหวหนานอ๋องก็อาจจะไม่ได้โกหกก็ได้ แต่เขา
ก็รู้ว่ารู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่กลับยังเสนอไปอีก อีก
ทั้งยังลากเจิ้นกั๋วกงมาร่วมด้วย เหมือนอยากให้จิ่นอี
โหวตระกูลฉีเป็นศัตรูกับตระกูลซือหม่าชัดๆ
ฉีหนิงรู้สึกขำมาก แต่ว่าเขายังขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“เจิ้นกั๋วกงทำแบบนี้ ก็อาจจะมีเหตุผลของเขาก็ได้”
“จะมีเหตุผลอะไร?” ไหวหนานออ๋องวางแก้วชา
แล้วพูดว่า “คนที่ไปเข้ากับพวกเขา มีแต่เลื่อนยศ
เลื่อนตำแหน่ง มีกี่คนที่มีประสบการณ์มีผลงานบ้าง?
ก็แค่ติดตามตระกูลซือหม่าเท่านั้น ก็เจริญรุง่ เรืองกัน
ทั้งนั้น” เขาขยับเข้ามาใกล้ เขาพูดว่า “ช่วงที่เจ้ามา
เป็นราชทูตตงฉีแค่ไม่กี่วัน ตระกูลซือหม่าก็จัดคนไป
ลงตำแหน่งที่วางโหวน้อย เจ้าว่าตระกูลซือหม่าคิด
จะทำอะไร? อดีตฮ่องเต้ให้เขาช่วยบริหาร เขายังคิด
ว่าเขาแซ่เดียวกับต้าฉู่หรืออย่างไร?”
ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่าน
อ๋อง ตระกูลซือหม่าสร้างผลงานไว้มาก อีกทั้งฮ่องเต้
เองก็ยงั เด็ก ราชสำนักตกอยู่ในกำมือของตระกูลซื
อหม่าทั้งหมด เลยโอหังไปบ้าง ผ่านไปอีกสักหลายปี
ฝ่าบาททรงเป็นผู้ใหญ่แล้ว สถานการณ์ก็อาจจะ
เปลี่ยนไปก็ได้”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ผ่านไปอีกสักหลายปี?
โหวน้อย เจ้ารู้สึกว่าหากปล่อยให้สถานการณ์เป็น
แบบนี้ต่อไป เราจะยังเปลี่ยนสถานการณ์ได้อีก?”
ฉีหนิงตะลึง แล้วถามว่า “ท่านอ๋องพูดแบบี้
หมายความว่าอย่างไร?”
ไหวหนานอ๋องยกมือลูบเครา แล้วพูดว่า “ข้ามาที่นี่
ข้าเจอคนๆ หนึ่ง หลังจากนัน้ ถึงได้รวู้ ่าก่อนหน้านี้
เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “โหว
เยว่สามารถกลับมายังปลอดภัยในครั้งนี้ ไม่ง่ายเลย
ไม่เพียงต้องรับมือกับชาวเป่ยฮั่น ยังต้องป้องกันคน
แอบลอบทำร้ายอีก”
ฉีหนิงมองไปที่ดวงตาของไหวหนานอ๋อง เขาพูดว่า
“โหวเยว่ ป๋อเหวินซื่อหลางกรมพิธีการแอบวางแผล
ทำลายการเจรจาการอภิเษก เกือบทำให้ท่านต้อง
ตายเรื่องนี้ข้ารูเ้ รื่องหมดแล้ว”
ฉีหนิงถึงนึกถึงเรื่องที่เขาจับหู่ป๋อเหวินขังเอาไว้ที่ค่าย
ขึ้นมา
ครั้งนี้มาที่ตงฉี ฉีหนิงเป็นราชทูต หู่ป๋อเหวินซื่อหลา
งกรมพิธีการเป็นรองราชทูต แต่ว่าระหว่างทางไป
ตงฉี หู่ป๋อเหวินในฐานะคนใน คิดทำลายคณะราชทูต
กลับถูกฉีหนิงจับได้ อีกทัง้ ยังถูกจับมาขังในค่าย
ทหาร
คุ้มกันคณะส่งตัวเจ้าสาวกลับมา มีเรื่องอีกมากมาย
ฉีหนิงเกือบลืมคนๆ นี้ไปเลย เขาจำได้ว่าตอนที่เขา
จะไป ได้ทิ้งทหารเฝ้าหู่ป๋อเหวินไว้ หลังจากไหว
หนานอ๋องมาถึงแล้ว ก็เลยรู้เรื่องนี้
ตอนนี้ไหวหนานอ๋องพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ฉีหนิงก็เลย
รู้สึกว่าตาเฒ่านี่น่าจะมีปัญหา เลยตั้งใจถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าคิดอยากจะกลับไปรายงานให้
ฝ่าบาททรงทราบ หู๋ป๋อเหวินบังอาจมาก ข้าต้อง
รายงานให้ฝ่าบาททรงทราบ ให้ฝ่าบาททรงลง
อาญา”
“โหวน้อย แค่ซื่อหลางกรมพิธีการตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
จะบังอาจขนาดนี้ได้อย่างไร?” ไหวหนานอ๋องพูดต่อ
ว่า “หากไม่มีคนหนุนอยู่ข้างหลัง ต่อให้หู่ป๋อเหวินไป
กินดีหมีมา ก็ไม่มีทางกล้าลงมือ”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอ๋อง หรือว่าท่านคิดว่ามีคนอยู่
เบื้องหลังเรือ่ งนี้?”
ไหวหนานอ๋องพยักหน้า แล้วพูดว่า “พอข้าได้รู้เรื่อง
นี้ ก่อนที่พวกเจ้าจะมาที่นี่ ข้าได้สอบสวนหู่ป๋อเหวิน
ไปบ้างแล้ว แต่เขาไม่ยอมพูดอะไร แต่ข้าก็พอจะเดา
อะไรได้”
ฉีหนิงพูดว่า “เรียนท่านอ๋องตามตรง หากครั้งที่แล้ว
ปล่อยให้หู่ป๋อเหวินทำสำเร็จ ของกำนัลถูกทำลาย
ถ้าอย่างนั้นคงไม่สามารถเดินทางไปตงฉีได้สำเร็จ จิ่น
อีตระกูลฉีของเราก็ต้องเดือดร้อน ชีวิตข้าก็คงรักษา
ไว้ไม่ได้”
ไหวหนานอ๋องถอนหายใจแล้วพูดว่า “วิธีการ
โหดเหี้ยม ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว”
“ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว?”
“โหวน้อย เจ้าลองคิดดูสิ คณะทูตไม่สามารถกระทำ
การได้สำเร็จ เรื่องการอภิเษกก็ต้องจบกันไป” ไหว
หนานอ๋องพูดว่า “ส่วนโหวน้อยท่านก็ต้องได้รับโทษ
สามารถทำลายทั้งการอภิเษกกับตงฉีได้ อีกทั้งยัง
สามารถกดดันจิ่นอีกโหวได้อีก ไม่ใช่การยิงธนูดอก
เดียวได้นกสองตัวแล้วจะเรียกว่าอะไร?”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว กำหมัดแล้วพูดว่า “ใครกันทีร่ ้ายกาจ
ได้ขนาดนี้?”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “โหวน้อยฉลาดจะตาย
ไป ที่จริงในใจของเจ้าเองก็น่าจะรู้อยู่แล้ว แต่ไม่พูด
ออกมาก็เท่านั้น”
ฉีหนิงขยับตา ไหวหนานอ๋องพูดอีกว่า “เจ้าลองคิดดู
ขุนนางทั่วทัง้ ราชสำนัก ใครกันที่ไม่อยากเห็นการ
อภิเษกครัง้ นี้เกิดขึ้นมากที่สุด?” เขาพูดต่อว่า
“นอกจากท่านเจิ้นกั๋วกงของเราแล้ว จะเป็นใครไปได้
อีก?”
ฉีหนิงพูดว่า “ตระกูลซือมาหวังอยากให้คุณหนูใหญ่
ของพวกเขาเข้าวัง ถ้าอย่างนัน้ ...” เขาไม่ได้พูดต่อ
แต่สีหน้าของเขาเคร่งเครียดกมาก
ไหวหนานอ๋องจับสังเกตสีหน้าเขา คิดว่าฉีหนิงน่าจะ
โกรธ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้วโหวน้อยก็ไม่ต้อง
โกรธไป ต้าฉู่เรามีสี่บรรดาศักดิ์โหวสืบทอด ตอนนี้
ตระกูลซือหม่ามีอำนาจมาก พวกเขาไม่มีทางเห็นใคร
เป็นก้างขวางคอไปได้หรอก” เขาถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “เรื่องของหงนั่วไห่ก่อนหน้านี้ ถูกตระกูลซือหม่า
กัดไม่ปล่อยเลย พยายามกดดันให้ฝ่าบาทออกราช
โองการ ตรวจสอบคดีของหงนั่วไห่ให้ถึงที่สุด ทำให้
หงนั่วไห่ต้องฆ่าตัวตายในคุก”
หงนั่วไห่เป็นซื่อหลางของกรมคลัง ร้องเรียนซือหม่า
ฉางเซิ่นในท้องพระโรง แต่กลับถูกตระกูลซือหม่า
ตลบหลัง เอาหลักฐานชิ้นใหญ่ออกมา ทำให้ถูกสั่งกุม
ขัง
ครั้งนัน้ เป็นครัง้ แรกทีฉ่ ีหนิงเห็นทัง้ สองฝ่ายห้ำหั่นกัน
เพียงแต่ต่อมาเขายุ่งอยู่กับการเตรียมการออก
เดินทางมายังตงฉี เลยไม่ได้ไปสนใจเรื่องราวหลังจาก
นั้นอีก ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าหงนั่วไห่ฆ่าตัวตายในคุกไป
แล้ว
เขาตกใจมาก แต่ก็รู้ทันทีว่า เรื่องนีอ้ าจจะไม่ได้ง่าย
เหมือนที่ไหวหนานอ๋องพูด
ในบรรดาหกกรม กรมคลังสนิมสนมกับทางไหว
หนานอ๋องเป็นอย่างดี หงนั่วไห่เป็นคนในฝ่ายของ
ไหวหนานอ๋อง ร้องเรียนซือหม่าฉางเซิ่น กลับคิดไม่
ถึงว่าทางตระกูลซือหม่าเองก็มีการเตรียมตัวมาแล้ว
ไม่เพียงแต่สิ่งที่หงนั่วไห่ร้องเรียนจะไม่เป็นผล กลับ
ถูกย้อนแทงกลับมาหนึ่งดอก ทำให้หงนั่วไห่ได้รับ
โทษ และถูกขังในคุกหลวงของกรมอาญา
ฉีหนิงเดาว่า ตระกูลซือหม่าสามารถฉุดปลาอย่าง
หงนั่วไห่ได้ ก็ไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ เขาจะต้อง
อาศัยเรื่องนี้ก่อเรื่องใหญ่ไปอีก เพื่อลดถอนอำนาจ
ของไหวหนานอ๋อง เพียงแต่กรมอาญาอยู่ในขอบเขต
อำนาจของไหวหนานอ๋อง หงนั่วไห่อยู่ในมือของกรม
อาญา ตระกูลซือหม่าคิดจะทำอะไร ก็ต้องเอาตัว
หงนั่วไห่ออกมาจากกรมอาญาก่อนให้ได้
แต่ไหวหนานอ๋องก็ไม่ได้กินหญ้า หงนั่วไห่ฆ่าตัวตาย
ในคุก ฉีหนิงฟังทีเดียวก็รู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ เขารู้
ดีว่า ไหวหนานอ๋องถึงแม้จะพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ว่า
ไม่ได้ออกห่างจากเรื่องของคดีหงนั่วไห่เลย ไหว
หนานอ๋องกับเจิ้นกั๋วกงสองพรรคสองฝ่ายจะต้อง
กำลังแอบสู้อะไรกันอยู่อีกแน่นอน
เขารู้ว่าหลังจากผ่านเรื่องคดีของหงนั่วไห่มาแล้ว ทั้ง
สองฝ่ายก็สู้กันดุเดือดขึ้น ในเมื่อหงนั่วไห่ฆ่าตัวตาย
ไปแล้ว ตระกูลซือหม่าก็ไม่มีทางใช้หงนั่วไห่ไปเล่น
งานใครได้อีก
จู่ๆ ไหวหนานอ๋องก็สนใจหู่ป๋อเหวินขึ้นมา ฉีหนิงคิด
ได้ทันทีว่าไหวหนานอ๋องอาจจะอยากใช้หู่ป๋อเห
วินหาเรื่องแน่
ตอนนั้นเขากับฮ่องเต้น้อยแอบวางแผนกันสองคน
เดิมคิดจะให้ไหวหนานอ๋องกับเจิ้นกัว๋ กงสู้กันเอง เพื่อ
รักษาสมดุลอำนาจในราชสำนัก
ตอนนี้ไหวหนานอ๋องเหมือนจะตกเป็นรอง ฉีหนิง
แอบคิดในใจว่าหากไหวหนานอ๋องสามารถใช้หู่ป๋อห
เหวินเป็นหมาก ใช้โจมตีตระกูลซือหม่าได้ เพื่อลด
ถอนอำนาจของตระกูลซือหม่า มันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี
แต่ว่าเขาก็เข้าใจว่า หากไม่ใช่หมดหนทาง เขาจะไม่
เข้าไปร่วมวงด้วยเด็ดขาด ต่อให้มีความเกี่ยวข้องด้วย
มากแค่ไหน ก็ต้องเลี่ยงออกไปให้ได้
“ท่านอ๋อง ข้าสอบปากคำหู่ป๋อเหวินมาแล้ว แต่ว่า
เขาปากแข็งมาก ไม่ได้อะไรมาจากเขาเลย” ฉีหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “อีกทั้งต่อให้เรารู้ว่าเป็นฝีมือ
ของตระกูลซือหม่า แต่เราก็ไม่มีหลักฐาน เราพิสูจน์
ไม่ได้ว่าพวกเขาสั่งให้หู่ป๋อเหวินทำ”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ขอแค่เป็นคน อย่างไร
ก็ต้องมีจุดอ่อน โหวน้อย หากเจ้ายินดี ข้าอยากจะ
พาตัวหู่ป๋อเหวินกลับเมืองหลวงไปเอง แล้วส่งให้ทาง
กรมอาญาไปจัดการ อย่างไรก็ต้องได้เรื่องแน่” เขา
ยิ้ม ฉีหนิงทำไมจะไม่เข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไร เขา
รีบพูดว่า “หู่ป๋อเหวินวางแผนทำลายคณะทูต เดิมที
ก็ต้องส่งกลับไปเมืองหลวงให้กรมอาญาจัดการอยู่
แล้ว ท่านอ๋องจะจับตัวเขากลับไปเอง ถือว่าเป็นเรื่อง
ที่ดีมากเลย”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าวางใจได้ เรื่องนี้ข้า
จะต้องสั่งให้กรมอาญาสืบให้ถึงที่สุด เพื่อหาคำตอบ
มาให้โหวน้อยให้ได้” หลังจากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า
“จริงสิ เกือบลืมไปเลย ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าจะต้อง
แสดงความยินดีกับท่านโหวน้อยแล้วนะ”
ฉีหนิงตะลึงไป แล้วพูดด้วยความแปลกใจว่า “ท่าน
อ๋อง เรื่องยินดีอะไรหรือ?”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “โหวน้อยออกเดินทาง
มาตงฉี อาจจะยังไม่รู้ ฮ่องเต้ทรงประสงค์จะ
ประทานการแต่งงานให้โหวเยว่ ถือได้ว่าเป็นการ
แต่งงานที่เหมาะสมมาก”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 665 จิ้งจอกพันหน้า
ฉีหนิงตกใจมาก เขาพูดว่า “ประทานการแต่งงาน?
ท่านอ๋อง เรือ่ ง...เรื่องนี้จะเอามาล้อเล่นไม่ได้นะ?”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ไม่ต้องตื่นเต้น
ไป เรื่องการแต่งงานน่าจะไม่มีปัญหา แต่ฝ่าบาทยัง
ไม่ได้ออกราชโองการเท่านั้น” เขาลูบเคราแล้วพูดว่า
“เดิมทีเรื่องนี้ข้าไม่ควรพูดมาก ให้โหวเยว่ไปได้ยิน
จากปากของฝ่าบาทเองจะดีกว่า แต่เรื่องน่ายินดี
แบบนี้ ข้าเก็บไม่อยู่จริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า...”
“ท่านอ๋อง ฝ่าบาทพระราชทานการแต่งงานให้ ทำไม
ข้าถึงไม่รู้เรื่องนีเ้ ลย?” ฉีหนิงคิดว่าไหวหนานอ๋องล้อ
เขาเล่น แอบคิดในใจว่าเขาเดินทางมาตงฉีเกือบครึ่ง
เดือน ทำไมฮ่องเต้น้อยเตรียมประทานงานแต่งให้
ก่อนหน้านี้ทำไมฮ่องเต้น้อยถึงไม่ได้พูดอะไรเลย
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “หากเรื่องหลุดออกมา
ก่อน มันก็ไม่ประหลาดใจแล้วสิ คิดว่าฝ่าบาทก็คง
ทรงดีพระทัยเรื่องการเจรจาการอภิเษกกับตงฉี ฝ่า
บาททรงเห็นความสำคัญของโหวเยว่มาก เกรงว่าฝ่า
บาทก็คงเห็นว่าตัวเองกำลังจะแต่งงาน ดังนั้นเห็นว่า
โหวเยว่ยังไม่ได้แต่งงาน เลยอยากจะประทานการ
แต่งงานให้”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าการแต่งงานของเขาคงไม่มีสิทธิ์
ตัดสินใจ เขาแอบไม่พอใจ เขาเลยแอบถามว่า “ท่าน
อ๋อง ท่านบอกว่าคูแ่ ต่งงานข้านัน้ เหมาะสมกับฐานะ
ของข้า ไม่ทราบ...ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเตรียมประทาน
คุณหนูบ้านไหนให้ข้าอย่างนั้นหรือ?”
ไหวหนานอ๋องยกมือแล้วพูดว่า “ข้าเผลอหลุดพูดไป
แล้ว จะพูดมากอีกไม่ได้แล้ว ที่จริงฝ่าบาทอยากจะ
ให้โหวเยว่ประหลาดใจ กลับเมืองหลวง รอราช
โองการออกมาแล้ว เดี๋ยวเจ้าก็รู้”
ฉีหนิงคิดในใจว่า “ประหลาดใจ” เป็นไปแล้ว แต่ว่า
“ดีใจ” นั้นยัง เขาแอบด่าในใจว่าไหวหนานอ๋องนิสัย
ไม่ดีเลย พูดมาครึ่งเดียวก็เลิกพูด แต่เขาก็ถามต่อ
ไม่ได้ เขาพูดว่า “ท่านอ๋อง ข้าบังเอิญมีเรื่องจะหารือ
กับท่านพอดี”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ามีเรื่องอะไร พูดมา
ได้เลย”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้านึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้านี้ฝ่าบาท
ทรงรับสั่งเอาไว้ เกือบลืมไปเลย ตอนนี้ก็จะเสียเวลา
ไม่ได้อีก ดังนั้นพรุ่งนี้เดินทางกลับเมืองหลวง ข้าคง
ไม่สามารถตามขบวนไปด้วย ต้องไปทำภารกิจที่ว่า
ก่อน ถึงจะเดินทางกลับเมืองหลวงไปรายงานให้ฝ่า
บาททรงทราบได้”
“ภารกิจ?” ไหวหนานอ๋องรู้สึกแปลกใจมาก
“ภารกิจอะไรกัน? อย่าบอกว่ามีเรื่องอะไรที่สำคัญ
กว่าการส่งเสด็จองค์หญิงอีก?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่แบบนั้น เพียงแต่องค์หญิง
มาถึงเขตแดนแคว้นฉู่อย่างปลอดภัยแล้ว หลังจากนี้
ก็มีท่านอ๋องเป็นผู้ดูแล ไม่มีปัญหาแน่นอน”
ไหวหนานอ๋องพยักหน้า แล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นงาน
ของฝ่าบาท ยังไงก็ต้องไปทำ เจ้าวางใจเถอะ ต่อจาก
นี้ข้าจัดการเอง”
ตอนที่ฮ่องเต้น้อยแอบลอบเจอราชาพิษจิ่วซีชิวเฉียน
อี้ที่แม่น้ำฉินไหว ฉีหนิงรู้ทันทีว่าฮ่องเต้น้อยให้ความ
คำสัญญากับเรื่องในซีชวนมาก อีกทัง้ ฮ่องเต้น้อยยัง
ส่งคนจับตาดูลู่ซังเฮ่อเอาไว้ ฉีหนิงเชืว่ ่าฮ่องเต้เองก็
น่าจะรู้เรื่องของลู่ซงั เฮ่อกับไป๋หู่ดี แต่ถึงฮ่องเต้น้อย
จะฉลาดแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ใช่เทพเจ้า เขาไม่มีทางรู้
ได้ว่าไป๋หู่คิดวางแผนชิงตำแหน่งประมุข
หากฮ่องรู้แผนการของไป๋หู่ ว่ามีภัยต่อแคว้นฉู่แค่
ไหน เขาไม่มีทางปล่อยให้ไป๋หู่รอดไปได้
ฮ่องเต้น้อยอาศัยอยู่ในเมืองหลวงง รายงานที่ได้รับก็
มาจากคนอื่นทั้งนั้น
ตอนนี้ เรื่องของซีชวนยังเป็นปริศนา มีคนหนุนหลัง
ไป๋หู่ จวนเสินโหวก็ไม่ได้รู้อะไรกับซีชวนมาก ทุก
อย่างมันวนเวียนอยู่ที่ลู่ซังเฮ่อกับไป๋หู่หมด
ฉีหนิงรู้ว่าฮ่องเต้น้อยมีความระวังตัวกับพรรค
กระยาจกมาก แต่ว่าไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าไป๋หู่คิด
กบฏ ราชสำนักก็ไม่กล้าทำอะไรวู่วาม เพราะยังไง
เรื่องนี้กเ็ กี่ยวกับอำนาจของยุทธภพ พรรคกระยาจก
เป็นพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า หากราชสำนัก
แทรกแซงเรื่องของพรรคกระยาจกโดยไม่มีหลักฐาน
ก็จะต้องถูกคัดค้านจากพรรคกระยาจกแน่นอน เดิม
คนที่ไม่สามารถถูกไป๋หู่หลอกใช้ ก็อาจจะเปลี่ยนใจ
เพราะการแทรกแซงของราชสำนักได้เช่นกัน
ในตอนนี้เขามีโอกาสแปลงโฉมแล้วเข้าไปร่วมงาน
ชุมนุมชิงมู่ หากฮ่องเต้น้อยรู้เรื่องนี้ เขาต้องยินดีมาก
แน่ ไว้รอจบเรื่องของงานชุมนุมชิงมู่ เขาจะกลับไป
รายงานให้ทรงทราบ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ตอนที่ไหวหนานอ๋องจากไปก็ถือว่าดึกมากแล้ว ฉี
หนิงคิดในใจว่าจงหย่าอาจจะเพราะอาการบาดเจ็บ
ของโหลวเหวินซือ เลยไม่ได้มาตามเวลา เขารออีก
สักหน่อยก็ได้
หลายวันมานี้เขารู้สึกเหนื่อยมาก กำลังคิดจะไปนอน
พัก ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “โหวเยว่” เป็นเสียง
ของหลี่ถัง
ฉีหนิงกังวลว่าหากจงหย่าจะมาพบ แต่เข้ามาในค่าย
ทหารไม่ได้ เลยสั่งให้หลี่ถังไปรอที่หน้าค่ายทหาร
เพราะในคืนนั้นหลี่ถังเป็นคนไปพบโหลวเหวินซือกับ
เขา เขาจำจงหย่าได้ เมื่อได้ยินเสียงของหลี่ถัง ฉีหนิง
ก็สะดุ้ง เขาพูดว่า “เข้ามา”
หลี่ถังเข้ามาในกระโจม ฉีหนิงไม่รอให้เขาพูด เขา
ถามว่า “จงหย่ามาถึงหรือยัง?”
หลี่ถังส่ายหน้า แล้วพูดว่า “โหวเยว่ เกิดเรื่องอะไร
ขึ้นหรือเปล่า จงหย่าถึงมาไม่ได้? นัดกันไว้แล้วว่าสาม
วันจะมาเจอกัน นี่ก็สามวันแล้ว แต่ไม่เห็นแม้แต่เงา
ของพวกเขา”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว นิ่งไป แล้วส่ายหัวพูดว่า “ไม่หรอก
เรื่องนี้สำคัญมาก ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ต่อให้เกิดเรื่องใหญ่
แค่ไหน เขาก็จะต้องมาตามนัด”
“โหวเยว่ เรื่องของพรรคกระยาจก ทำไมเราต้องไป
ยุ่งด้วย?” หลี่ถังถอนหายใจแล้วพูดว่า “จากนี่ไป
ถึงเซียงหยาง เรื่องนีเ้ ร่งรีบนัก หากเดินทางทั้งวันทัง้
คืนถึงจะลำบากมาก โหวเยว่ช่วงนี้ก็ลำบากมาก
ทำไมยัง...เฮ้อ แล้วจะไปยุง่ เรื่องพวกเขาทำไม”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เขายิ้มแล้วพูดว่า “ที่เจ้าว่ามาก็มี
เหตุผล เรื่องของพรรคกระยาจก เราไม่ควรไปยุ่ง
ดีกว่า” ระหว่างที่พูด เขาก็เดินไปข้างๆ หลี่ถัง แล้วก็
ยื่นมือไปจับหลี่ถัง เขาลงมือไวมาก หลี่ถังหน้าถอดสี
ปฏิกิริยาของเขาก็ไวมากเช่นกัน เขารีบถอยหลัง
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่าน...”
“เจ้าไม่ใช่หลี่ถัง” ฉีหนิงพูดวว่า “คืนนั้นสิ่งที่ข้าพูด
กับโหลวเหวินซือ เจ้าไม่ได้อยู่ในห้อง เจ้ารู้ได้ยังไงว่า
ข้าจะไปเซียหยาง? เจ้าเป็นใครกันแน่?”
หลี่ถังตะลึงไป จากนั้นก็หัวเราะ เขาเดินขึ้นหน้า ยก
มือคำนับแล้วพูดว่า “โหวเยว่ฉลาดจริงๆ คำพูดเดียว
ก็จับได้แล้ว” ฉีหนิงตะลึงไป เขาเหมือนจะนึกขึ้นมา
ได้ เขามองไปรอบหนึ่ง แล้วพูดด้วยความตกใจว่า
“เจ้า...เจ้าคือจงหย่า?”
คนนั้นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ข้าคือจงหย่า
โหวเยว่ ข้ามาถึงเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน เจอกับหลี่ถัง
ข้ากับเขาเลยพนันกันว่า จะแปลงโฉมเป็นเขา ข้า
พนันว่าโหวเยว่จับไม่ได้ กลับคิดไม่ถึงว่าโหวเยว่จะ
จับได้ ครั้งนี้ถือว่าข้าแพ้แล้ว” เขายิม้ แล้วพูดไป
ทางด้านนอก “น้องหลี่ ครั้งนี้เจ้าชนะ”
มีอีกคนเดินเข้ามาในกระโจม เขาคือหลี่ถัง แต่ว่า
เสื้อผ้าของเขาแปลกไป เขาเดินขึ้นหน้ามายกมือ
คำนับแล้วพูดว่า “โหวเยว่ จงหย่าอยากจะพนัน ข้า
เองก็อยากจะรู้ว่าเขาจะมีความสามารถหลอกโหว
เยว่ได้หรือเปล่า ก็เลย...”
ฉีหนิงเห็นจงหย่ามาถึงแล้ว เขาก็ดีใจมาก เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ไม่เป็นไร” เขาหันไปมองจงหย่าแล้วพูดว่า
“วิชาแปลงโฉมของท่านจงร้ายกาจมาก ไม่เพียง
ภายนอกจะเหมือน แม้แต่เสียงก็คล้าย หากไม่หลุด
พูด ข้าคงเดาไม่ได้” เขาเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เขา
ขมวดคิ้ว แล้วมองหลี่ถังที่เพิ่งเข้ามา เขาพบว่า สอง
คนนี้หน้าตาภายนอกถึงจะเหมือนกัน แต่หัวกลับไม่
เหมือนกัน
จงหย่าที่เข้ามาก่อน เหมือนจะสูงกว่าหลี่ถังมาก เขา
สังเกตดูดีดีแล้ว เขาก็ถอนหายใจ เขาเดินไปหาหลี่ถัง
ที่เดินเข้ามาที่หลังยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ท่านจง
วิชาแปลงโฉมของท่านร้ายกาจมาก ข้านับถือจริงๆ”
คนที่เข้ามาที่หลังถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท้ายที่สุดก็
ยังปิดโหวเยว่ไม่ได้ โหวเยว่มองออกจากส่วนสูงอย่าง
นั้นหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้วท่านจงกับหลี่ถัง
ส่วนสูงไม่ได้ต่างกันมาก แต่ข้าจำได้ว่า หลี่ถังเหมือน
จะสูงกว่านิดหน่อย ดังนั้น...”
คนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ช่างสังเกตจริงๆ นับ
ถือ” น้ำเสียงของเขากลับมาเป็นของจงหย่าแล้ว
คนแรกทีเ่ ดินเข้ามานั้นยังเป็นหลี่ถัง แสดงว่า
หลังจากหารือกับจงหย่าแล้ว เขาตั้งใจพูดหลุด ให้ฉี
หนิงสงสัย
ฉีหนิงเห็นทั้งคู่หน้าตาเหมือนกัน คิดแล้วก็ตกใจ
แอบคิดในใจว่าโหลวเหวินซือเคยบอกว่าทางเหนือมี
เหลียงทางใต้มีจง ดูท่าทางแล้วสมคำร่ำลือจริงๆ วิชา
แปลงโฉมของจงหย่านั้นดีมาก
ประเด็นคือจงหย่ามาถึงก่อนตั้งหนึ่งชั่วยามแล้ว ใน
ระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ สามารถเปลี่ยนหน้าตาได้หมด
ความสามารถแบบนี้ มันยิ่งน่านับถือมาก
ฉีหนิงยกมือแล้วพูดว่า “ท่านจงเชิญนั่งก่อน” เขาหัน
ไปพูดกับหลี่ถังว่า “เจ้าไปเอาของกินมาทีสิ ท่านจง
เดินทางมาเหนื่อยๆ คิดว่าน่าขี่ม้ามาไม่ได้หยุดพัก
เกรงว่าจะยังไม่ได้กินข้าว”
จงหย่ายิ้มแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสโหลวมีคำสั่ง ห้ามให้
เสียงานของโหวเยว่เด็ดขาด ดังนั้นเลยไม่กล้า
เสียเวลา”
หลี่ถังเองก็ชื่นชมเช่นกัน “โหวเยว่ ท่านจงร้ายกาจ
มากจริงๆ ความสามารถแบบนี้ ข้าไม่เคยเห็นเลย”
“ยอดฝีมือที่แท้จริง เจ้าเคยเจอมากี่คนกันเชียว?” ฉี
หนิงหัวเราะ เมื่อหลี่ถังออกไปแล้ว จงหย่าก็พูดว่า
“ที่จริงแล้ววิชาแปลงโฉมไม่ใช่วิชาร้ายกาจอะไร
เพราะสิ่งที่วิชานี้กลัวมากที่สุดก็คือคนคุ้นเคย
โดยเฉพาะคนที่เข้าใจแล้วก็รู้จกั มากที่สุด ต่อให้
เปลี่ยนหน้าไปเป็นใคร พอเวลานานไป ยังไงอีกฝ่ายก็
ยังจำได้อยู่ดี เปลี่ยนหน้าง่าย แต่จะเปลี่ยนรูปร่าง
ยาก เมื่อครู่โหวเยว่เองก็มองออกจากส่วนสูงไม่ใช่
หรือ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “มันแค่โชคดีเท่านั้น หากท่านจง
สูงเท่ากับหลี่ถัง ข้าคงดูไม่ออก”
จงหย่ายิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงข้าเองก็เชี่ยวชาญวิชา
เปลี่ยนหนังแปลงกระดูก มันเป็นเคล็ดสุดยอดวิชา
ประจำตระกูล เป็นพื้นฐานของวิชาแปลงโฉม
สามารถเปลี่ยนรูปร่างให้เล็กให้ใหญ่ให้อ้วนให้ผอมได้
วิชาเปลี่ยนหนังแปลงกระดูกใช้ร่วมกับวิชาแปลง
โฉม”
“อย่างนี้นเี่ อง” ฉีหนิงคิดในใจว่าหากสองวิชานี้ใช้
รวมกันแล้ว ถ้าอย่างนั้นตัวปลอมก็กลายเป็นตัวจริง
ได้เลย จะว่าไปแล้ว คืนนี้จงหย่าก็แค่แสดงให้เห็น
เพียงเล็กน้อย เป้าหมายของเขา ก็เพื่อให้เขาได้เบา
ใจ ไม่ต้องกังวลว่าแปลงโฉมแล้วจะเกิดความ
ผิดพลาด
“แต่ว่าโหวเยว่ไม่ต้องกังวลไป” จงหย่าพูดว่า “ครั้งนี้
ที่แปลงโฉมให้ท่าน จะแปลงเป็นคนที่ไม่มีอยู่ในโลกนี้
ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครจับได้”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ท่านจง เมื่อครู่เสียงของ
ท่านก็เปลี่ยนไปด้วย มันคือวิชาอะไรหรือ?”
“มันก็แค่เคล็ดลับทั่วไปเท่านั้น” จงหย่าพูดว่า “ฝึก
หลายปีหน่อย ก็ใช้ได้แล้ว”
ฉีหนิงพูดอย่างชื่นชมว่า “ที่จริงหากท่านจงแปลงเป็น
พี่โหลว ก็คงไม่มีใครจำได้” ความหมายของเขาก็คือ
หากจงหย่าแปลงโฉมเป็นโหลวเหวินซือไปร่วมงาน
ชุมนุมชิงมู่ ก็คงไม่มีใครจับได้
จงหย่าเข้าใจความหมายของเขาดี เขาส่ายหน้าแล้ว
พูดว่า “โหวเยว่อาจจะไม่ทราบ ทางเหนือมีเหลียง
ทางใต้มีจง เมื่อหลายร้อยปีก่อน มันก็มาจากรากฐาน
เดียวกัน มีอาจารย์ปคู่ นเดียวกัน วิชาแปลงโฉมใน
ตอนนั้นแบ่งเป็นหลายพรรคหลายพวก แต่ว่าที่
หลงเหลืออยู่มีไม่เท่าไหร่ บางส่วนก็มีช่องโหว่
มากมาย บางส่วนก็ไม่มีผู้สืบทอด จนถึงตอนนี้ วิชา
แปลงโฉมที่แท้จริง ก็มีเพียงแค่สองตระกูลนี้เท่านัน้ ”
เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “แต่ว่าสองตระกูลนี้รักษากฎ
เหล็กข้อหนึ่งเช่นเดียวกัน ร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ไม่มี
ใครกล้าขัด”
ฉีหนิง “อ๋อ” แล้วพูดอย่างแปลกใจว่า “ท่านจง ไม่
ทราบว่ากฎอะไรอย่างนั้นหรือ?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 666 ฝาแฝด
จงหย่าพูดว่า “ท่านอาจารย์ปู่มีคำสัง่ ศิษย์ทุกคน
ห้ามแปลงโฉมเป็นคนที่ยงั มีชีวิตอยู่ คนที่ละเมิดกฎ
ถือว่าทำร้ายลูกหลาน”
“ห้ามแปลงโฉมเป็นคนที่มีชีวิตอยู่?” ฉีหนิงตกใจมาก
จงหย่ายิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นกฎของคนในสำนัก คน
ในตระกูลจงของเรา ไม่สามารถแปลงโฉมคนที่มีชีวิต
อยู่ได้ นี่เป็นกฎเหล็กของสำนักที่มีวิชาแปลงโฉม”
ฉีหนิงคิดในใจว่าในเมื่อเป็นอย่างนัน้ ทำไมถึงได้ยัง
แปลงโฉมเป็นหลี่ถัง จงหย่าเหมือนจะรู้ความคิดฉี
หนิง แล้วพูดว่า “วันนี้ไม่ได้ใช้วิชาเปลี่ยนหนังแปลง
กระดูก ตั้งใจให้เตี้ยกว่าหลี่ถังนิดหนึ่ง ไม่ได้แปลง
เป็นหลี่ถังทั้งหมด วิชาแปลงโฉมไม่ได้หมายถึงการ
แปลงหน้าอย่างเดียว แต่รวมไปทั้งตัว”
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมทันที เขาแอบคิดในใจว่าที่แท้จง
หย่าก็อ่านใจเขาออก เขาเลยไม่ได้ใช้วิชาเปลี่ยนหนัง
แปลงกระดูก เมื่อไหร่ก็ตามที่ใช้วิชาเปลี่ยนหนัง
แปลงกระดูก ก็จะเหมือนกับหลี่ถัง มันก็จะกลายเป็น
ละเมิดกฎของบรรพบุรุษ
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ เขาพบว่าพวกเขาคุยกันตั้งนาน
แต่ยังยืนอยูเ่ ลย เขารีบพูดว่า “ท่านจงนั่งลงเถอะ”
เขาเลยเชิญให้จงหย่านั่งลง
ตามหลักแล้ว จงหย่าอยู่ในพรรคกระยาจกไม่ได้มี
ตำแหน่งอะไร ถึงแม้เขาจะเป็นคนง่ายๆ แต่ว่าฐานะ
ของเขา ก็เป็นแค่ศิษย์พรรคกระยาจกธรรมดาคน
หนึ่ง อย่าว่าแต่เทียบกับฉีหนิงที่มีบรรดาศักดิ์ แค่
หัวหน้าสาขาในพรรคกระยาจก ยังต่ำกว่าเลย แต่ว่า
เขากลับมีวิชาแปลงโฉมที่ร้ายกาจ มันทำให้ฉีหนิงนับ
ถือมาก เขาเคารพเขามาก เลยไม่แสดงท่าทางที่สูง
กว่า
ปกติฉีหนิงชอบไม้อ่อนมากกว่าไม้แข็ง อีกทั้งเขามอง
ใครไม่ได้ดูที่ฐานะ มองแค่ความสามารถเท่านั้น หาก
อีกฝ่ายไม่มีความสามารถอะไร ไม่ว่าสูงหรือด้อยกว่า
ฉีหนิงก็ไม่มีการประเมินสูงกว่าทีเ่ ป็น แต่หากมี
ความสามารถ ต่อให้ฐานะต่ำต้อยแค่ไหน ฉีหนิงก็จะ
เคารพ
จงหย่าเห็นฉีหนิงอายุยังน้อย ถึงแม้จะเป็นคนมีฐานะ
สูงศักดิ์ แต่เขาไม่มีมาดของคนชนชั้นสูงเลย อีกทัง้ ยัง
ทำตัวสบายๆ เขาก็รู้สึกนับถือในตัวของฉีหนิงมาก
แอบชื่นชมไม่น้อย หลังจากที่เขานั่งลงแล้ว จงหย่าก็
พูดเสียงเบาลงว่า “โหวเยว่ท่านปลีกตัวออกไปได้
ไหม?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเตรียมการเอาไว้
หมดแล้ว ไหวหนานอ๋องจะรับช่วงต่อจากข้าพา
ขบวนเจ้าสาวกลับเมืองหลวง ข้าไปเมื่อไหร่ก็ได้”
จงหย่าพูดว่า “เหลือเวลาอีกสามวันก็จะถึงงาน
ชุมนุมชิงมู่ จากนี่ไปที่เซียงหยาง ขี่ม้าไปทั้งวันทัง้ คืน
หากไม่มีอะไรติดขัด ก็น่าจะไปทัน จริงสิ ท่านผู้
อาวุโสโหลวส่งเหมากูเอ๋อร์กับคนอีกสองสามคนตาม
โหวเยว่ไปเซียงหยางด้วย พวกเขาไม่สะดวกมาที่นี่
เลยรออยู่ห่างจากทีน่ ี่ไปอีกสิบห้าลี้”
ฉีหนิงพูดว่า “หลังจากที่ท่านจงกินอะไรเรียบร้อย
แล้ว เราก็แปลงโฉมกันได้เลย” เขาพูดเบาลงแล้วพูด
ว่า “ท่านจง ขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ คนที่ตามข้าไป
เชื่อใจได้ไหม?”
จงหย่ายิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่วางใจได้ การเดินทาง
ครั้งนีน้ อกจากโหวเยว่แล้ว รวมเหมากูเอ๋อร์ รวม
ทั้งหมดสี่คน พวกเขาเป็นมือดีองพรรคกระยาจก แต่
คนที่รู้ฐานะของโหวเยว่ มีเพียงเหมากูเอ๋อร์คนเดียว
เท่านั้น ถึงแม้ข้าจะเป็นคนของตระกูลจง แต่หลังจาก
ที่เข้ามาในพรรคกระยาจกแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าข้าคือ
คนของตระกูลจง นอกจากผู้อาวุโสโหลว ในพรรค
กระยาจกก็ไม่มีใครเชี่ยวชาญการแปลงโฉมด้วย”
“อ๋อ?” ฉีหนิงตะลึง คิดในใจว่าจงหย่าเป็นเสือซ่อน
เล็บ
“แต่วว่าเหมากูเอ๋อร์ต้องพาโหวเยว่ไปร่วมงานชุมนุม
ชิงมู่ ดังนั้นเลยจำเป็นต้องให้เขารู้” จงหย่าพูดว่า
“คนอื่นที่ตามมาด้วยภักดีต่อผู้อาวุโสโหลวมาก เชื่อ
ใจได้ รวมถึงเหมากูเอ๋อร์ด้วย พวกเขาเป็นคนที่ผู้
อาวุโสโหลวเชื่อใจที่สุด เหมากูเอ๋อร์ไม่มีทางบอก
ฐานะของโหวเยว่กับใครแน่นอน คนอื่นก็จะทำ
หน้าที่คุ้มกันโหวเยว่เท่านั้น จะไม่ถามอะไรอย่างอื่น
อีก”
ฉีหนิงรินน้ำชาให้กับจงหย่า เขายิ้มแล้วถามว่า “ท่าน
จง ท่านเชีย่ วชาญวิชาแปลงโฉม พอดีว่าข้ามีเรื่อง
อยากจะขอคำชี้แนะกับท่านสักหน่อย”
“โหวเยว่เกรงใจเกินไปแล้ว ชี้แนะคงไม่กล้า” จงหย่า
พูดว่า “โหวเยว่มีอะไรจะสั่ง พูดมาได้เลย”
ฉีหนิงคิดแล้วถามว่า “ท่านจง ท่านว่าในโลกใบนี้จะ
มีคนที่หน้าตาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนเลยหรือ
เปล่า?”
“มีแน่นอน” จงหย่าพูดอย่างไม่ลังเลเลยว่า “ถึงแม้
จะไม่เคยเห็น แต่ว่าหน้าตาเหมือนกัน หากหากันดีๆ
ก็หาได้อยู่”
ฉีหนิงถามต่อว่า “คนแปลกหน้าสองคน ไม่เคยรู้จัก
กันมาก่อน แต่ว่าหน้าตารูปร่างส่วนสูงเหมือนกัน
หมด ที่แปลกก็คือ สองคนนี้มีปานเหมือนกันอยู่ที่
เดียวกัน แบบนี้พอจะมีอยู่บ้างไหม?”
ที่จริงเรื่องนีค้ ้างคาใจฉีหนิงมาตลอด วันนี้ได้เจอจง
หย่าเขาหน้าตาเหมือนคนในระดับจงซือ เขาถึงได้
ถาม
ฉีหนิงสามารถเข้าไปในจวนจิน่ อีโหวได้ เพราะเรื่อง
บังเอิญ
ตอนที่เขากำลังจะเข้าเมืองหลวงงมาบังเอิญไปเจอ
จิ่นอีซื่อจื่อตาย ทัง้ คู่หน้าตาเหมือนกัน ถึงแม้ฉีหนิง
จะตกใจมาก แล้วก็ไม่ได้มีความคิดจะมาแทนที่เขา
แต่เพราะเสื้อผ้าของเขาทั้งเก่าแล้วก็ขาด ทำให้ต้อง
เปลี่ยนเสื้อผ้ากับจิ่นอีซื่อจื่อ แต่กลับถูกผู้ติดตาม
อย่างต้วนชางไฮ่เข้าใจผิดว่าเป็นจิ่นอีซื่อจื่อ ทำไปทำ
มาก็เข้ามาในจวนจิ่นอีโหวแล้ว
เดิมทีเรื่องนี้ฉีหนิงรู้สึกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ เขาทำ
อะไรไม่ได้ แต่ว่าต่อมาเขาพบว่าที่ไหล่ซ้ายของเขามี
ปานอยู่ เขายิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ แล้วมันกลับเป็นที่
เดียวกันกับทีจ่ ิ่นอีซื่อจื่อมี อีกทั้งปานยังเหมือนกันอีก
มันยิ่งทำให้ฉีหนิงไม่อยากจะเชื่อเข้าไปใหญ่
จงหย่าเชี่ยวชาญการแปลงโฉม เขาเข้าใจหลักของ
สรีระเป็นอย่างดี ฉีหนิงคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี หวังว่า
คำพูดของจงหย่าจะทำให้เขาได้เบาะแสอะไรบ้าง
จงหย่ายิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ในใต้หล้านี้ ไม่มีคนที่
เหมือนกันทั้งหมดหรอกนะ แม้แต่ฝาแฝด ก็ยังมี
ความแตกต่างกัน คนทั่วไปยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
“ฝาแฝด?” ฉีหนิงตะลึงไป
จงหย่าพูดว่า “ในใต้หล้านี้ หากพูดถึงว่าคนที่หน้าตา
เหมือนกันมากที่สุด ก็คงมีแค่ลูกฝาแฝดจากแม่คน
เดียว มองด้วยตาเปล่า เหมือนกันทุกอย่าง ในใต้หล้า
นี้ถึงแม้จะมีคนหน้าตาคล้ายกันอยู่ไม่น้อย แต่ก็สู้ฝา
แฝดไม่ได้ เพราะเกิดมาจากแม่เดียวกัน ถึงแม้จะ
บอกว่าฝาแฝดเหมือนกันน แต่หากลองดูดีๆ ก็ยังเจอ
ข้อแตกต่างอยู่ ไม่อย่างนั้นแฝดในโลกนี้ พ่อแม่ก็คง
แยกไม่ออกแน่?”
ฉีหนิงพยักหน้า ที่จริงเขาก็เข้าใจดี ลูกแฝดแม่
เดียวกัน หน้าตาเหมือนกันมาก แต่ว่าเจ้าของร่างนี้
เร่ร่อนไปทั่ว จิ่นอีซื่อจื่ออยู่ในตระกูลผู้ดี ทั้งสอง
ต่างกันมาก ฉีหนิงคิดไม่ออกเลยว่าพวกเขาจะมี
ความเกี่ยวข้องกันยังไง อีกทัง้ สองคนนี้ก็ไม่มีทางเกิด
จากท้องเดียวกันด้วย หากเป็นแฝดท้องเดียวกันจริง
ตระกูลใหญ่อย่างจิ่นอีโหว จะให้ลูกหลานตัวเองไป
เร่ร่อนอยู่ภายนอกได้ยังไงกัน
“ส่วนเรื่องที่โหวเยว่บอกว่าคนสองคนที่ไม่มีความ
เกี่ยวข้องกันมาก่อน หน้าตาเหมือนกัน มันก็เป็นไป
ได้ แต่หากว่าคนสองคนมีปานแบบเดียวกันที่
เดียวกัน ตามประสบการณ์ของข้า มันเป็นไปไม่ได้
เลย” จงหย่าพูดว่า “ต่อให้เป็นพี่น้องฝาแฝด ออกมา
จากท้องแม่เดียวกัน ปานที่อยูบ่ นตัวเหมือนกัน จะให้
มีความเป็นไปได้นี้ก็น้อยมาก ยิง่ ไม่ต้องไปพูดถึงสอง
คนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแต่หน้าตาเหมือนกัน จะมี
ปานที่เหมือนกันได้”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “หากมีแบบนัน้ จริง จะ
อธิบายยังไง?”
จงหย่าคิด แล้วถึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าข้า
ความรู้น้อยเกินไป” เขาถามว่า “โหวเยว่ ท่านเคย
เจอคนแบบนี้ด้วยหรือ? พวกเขามีปานอยู่ในตำแหน่ง
เดียวกันอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเคยได้ยินคนเคยพูด คิดว่า
น่าจะโกหก แต่ว่าเขาก็ไม่ได้บอกว่าเป็นปานหรอก
เพียงแต่บอกว่าสองคนนัน้ มีสัญลักษณ์ที่เหมือนกัน
อยู่ที่เดียวกันเท่านั้น”
จงหย่าพูดว่า “ที่แท้ก็ไม่ใช่ปาน โหวเยว่ หากเป็น
อย่างนั้น ก็อธิบายได้ง่ายมาก สัญลักษณ์บนตัวสอง
คนนั้น น่าจะไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิดออกมาจากท้องแม่
น่าจะมีคนแนบลงไปทีหลัง ตามที่โหวเยว่พูดมา ใน
เมื่ออยู่ในตำแหน่งเดียวกัน สัญลักษณ์เหมือนกัน
น่าจะเกิดจากคนคนเดียวกันทำขึน้ ”
“เกิดจากคนคนเดียวกันทำขึน้ ?” ฉีหนิงตะลึงไป
จงหย่ายิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงถ้าจะให้ข้าพูด สองคน
นั้นต่อให้ไม่เคยเจอกันมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่า
เขาจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนทำ
สัญลักษณ์นั่นขึ้นมาหรอก?”
ฉีหนิงสะดุ้ง แล้วพูดเสียงเบาว่า “ท่านจง ท่าน
หมายความว่าสองคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน แต่
พวกเขากลับไม่รู้?”
จงหย่าพยักหน้าแล้วพูดว่า “มีความเป็นไปได้ โหว
เยว่ คนทีบ่ นตัวสัญลักษณ์ที่เหมือนกัน ที่จริงแล้ว
เป้าหมายที่แท้จริง ก็มีเพียงอย่างเดียว ก็เพื่อพิสูจน์
ว่ามีความเกี่ยวข้องกัน ในยุทธภพมีหลายพรรค ที่
ตอนที่เข้าพรรค จะต้องทำสัญลักษณ์บางอย่างขึ้นที่
ไหนสักแห่ง เพื่อยืนยันว่าเป็นคนพรรคเดียวกัน”
“ตามที่ท่านจงพูดมา สองคนนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกัน
แน่นอน?” ฉีหนิงจ้องไปที่ตาของจงหย่า
จงหย่าพยักหน้าแล้วพูดว่า “หากโหวเยว่ได้ยินคนพูด
มา คนนั้นจะต้องมีอะไรที่ปิดบังอะไรอยู่แน่นอน
หากโหวเยว่เจอมากับตา ขออภัยที่ต้องพูดตามตรง
โหวเยว่อาจจะยังไม่เห็นเรื่องราวที่แท้จริง หากสอง
คนนั้นแค่มีสัญลักษณ์ที่เหมือนกัน หน้าตาไม่
เหมือนกัน แสดงว่าพวกเขาอาจจะเป็นคนกลุ่มก้อน
เดียวกัน ไม่เคยเจอกันมาก่อน หากสองคนนั้น
หน้าตาเหมือนกันแต่ไม่มีสัญลักษณ์ ในใต้หล้านี้คนที่
ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันที่หน้าตาเหมือนกัน มันก็เห็น
หน้าน้อยมาก แต่ว่าหน้าตาเหมือนกัน อีกทั้งยังมี
สัญลักษณ์เหมือนกันที่เดียวกัน แสดงว่าต้องมีอะไร
เกี่ยวข้องกันแน่นอน”
สิ่งที่ฉีหนิงสงสัยมาตลอด ก็คือตรงนี้ เขาอดที่จะพยัก
หน้าไม่ได้
เพียงแต่ว่าเขาแค่คิดไม่ออกว่า เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ที่
เร่ร่อนไปทั่วจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันจิน่ อีซื่อจื่อได้? ถ้า
เขาสองคนเป็นฝาแปดทีเ่ กิดจากแม่เดียวกัน ฉีหนิงก็
ไม่ค่อยเชื่อ เขาคิดมาหลายครั้งแล้ว เขารู้สึกว่าจวน
จิ่นอีโหวไม่มีทางให้เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลไป
เร่ร่อนแน่นอน เพราะยุคนี้ผู้ชายเป็นใหญ่ ในฐานะผู้
สืบสกุลของตระกูล ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือว่า
ขุนนาง หรือว่าจะคนธรรมดาทั่วไป เห็นว่ามีค่า
มากกว่าสิ่งอื่นใด
ฉีหนิงในฐานะหนึง่ ในสี่บรรดาศักดิ์โหวสืบทอด หาก
มีคนในตระกูลหายตัวไป ก็จะต้องส่งคนออกตามหา
ให้เจอ ถึงแม้จะหาไม่เจอ คนในจวน ก็จะต้องมี
เบาะแสอะไรบ้าง แต่กู้ชิงฮั่นกับคนในจวนแทบจะ
ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย แสดงว่ามันไม่เคยมีเรื่องแบบนี้
เกิดขึ้นในจวนแน่นอน
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามา หลี่ถังยกถาด
อาหารเข้ามา ฉีหนิงได้สติกลับมา เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านจง เรากินข้าวอะไรกันก่อน แล้วเราค่อยเตรียม
ตัวกันอีกที” เขาสั่งไปว่า “ไปดูสิว่าอู๋ต๋าหลินหลับ
หรือยัง ให้เขามาที่นี่หน่อย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 667 ดึงมาเป็นพวก
ตอนที่อู๋ต๋าหลินมาถึง ฉีหนิงรออยู่ในกระโจม
กลางดึกกลางดื่น ฉีหนิงจู่ ๆ เรียกหาอู๋ต๋าหลินมา
อู๋ต๋าหลินรู้สึกแปลกใจ การมาตงฉีในครั้งนี้ เขา
ร่วมมือกับฉีหนิงดีมาก ศึกที่เขาพญาวัว อู๋ต๋าหลิน
เห็นความสามารถความกล้าหาญของฉีหนิงด้วยตา
ตัวเอง ลึก ๆ แล้วเขานับถือฉีหนิงได้
“โหวเยว่” อู๋ต๋าหลินยกมือคำนับแล้วพูดว่า “หลี่ถัง
บอกว่าท่านหาข้าหรอ?”
ฉีหนิงมองไปที่อู๋ต๋าหลิน เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
นายกองอู๋ ข้าจะไปก่อนในคืนนี้ ดังนั้นข้าเลยจะบอก
เจ้าไว้ก่อน”
อู๋ต๋าหลินตะลึงไป เขาพูดด้วยความแปลกใจว่า “โหว
เยว่จะไปแล้วหรือ?”
“ฝ่าบาทมีราชโองการลับ” ฉีหนิงพูดเสียงเบาว่า “ส่ง
องค์หญิงมาถึงเขตแดนของแคว้นฉู่ ข้ายังมีเรื่องอืน่
ต้องไปทำ ดังนั้นคืนนี้ต้องออกเดินทางทันที”
อู๋ต๋าหลินสำรวมท่าทีมากขึ้น ถึงแม้จะรู้สึกตกใจ แต่
คิดว่าฮ่องเต้เชื่อใจฉีหนิงมาก เลยไม่สงสัยอะไรใน
เรื่องนีเ้ ลย เขารีบพูดว่า “โหวเยว่ต้องไปทำภารกิจ
ต้องการคนติดตามไปด้วยหรือไม่ขอรับ? ข้าน้อยยินดี
ติดตามโหวเยว่ไป”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ายังมีหน้าที่ที่ต้องทำ พรุ่งนี้
เจ้าต้องคุ้มกันขบวนเสด็จองค์หญิงกลับเมืองหลวงไป
ถึงแม้ข้าจะฝากเรื่องนี้กับไหวหนานอ๋องไว้แล้ว แต่ว่า
......เจ้าจะต้องรักษาความปลอดภัยของรัชทายาทกับ
องค์หญิงให้ดี ห้ามให้เกิดอะไรขึ้นเด็ดขาด”
อู๋ต๋าหลินพูดอย่างจริงจังว่า “โหวเยว่ ครั้งนี้เจรจา
การอภิเษกสำเร็จ เรื่องนี้ลำบากแค่ไหน ข้าน้อย
ทราบดี ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ก็ต้องปกป้องขบวน
เสด็จไปถึงเมืองเจี้ยนเย่อย่างปลอดภัย”
ฉีหนิงพยักหน้า เขามองไปรอบ ๆ กระโจมที่เขาอยู่
รอบ ๆ นั้นกว้างขวางมาก เดิมก็เพื่อให้เขาหลับได้
สบาย ไม่ให้ใครมารบกวนได้ เลยไม่มีใครอยู่ เขาพูด
เสียงเบาว่า “ท่านนายกองอู๋ ตอนนัน้ ท่านถูกย้ายไป
กองทัพซีชวน ต่อมาก็ถูกย้ายกลับเมืองหลวง อีกทั้ง
ยังเป็นเจิ้นกั๋วกงที่เสนอให้ใช่ไหม?”
อู๋ต๋าหลินตะลึง เขานิ่งไป แล้วพูดว่า “ข้าน้อยอยู่ใน
กองทัพซีชวน มีเพื่อนอยู่ไม่น้อย ต่อมาถึงได้รู้ว่าพวก
เขาเป็นคนของเจิน้ กั๋วกง ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนไปเสนอ
เจิ้นกั๋วกง ราชสำนักจู่ ๆ ก็มีคำสั่งลงมา ให้ข้าน้อย
ย้ายไปอยู่ทคี่ ่ายเสวียนอู่ ต่อมาข้าน้อยถึงได้รู้ว่ามัน
เป็นความต้องการของเจิ้นกั๋วกง”
“เจิ้นกั๋วกงมีคนอยู่ในกองทัพซีชวนด้วยอย่างนั้น
หรือ?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
เขารู้สถานการณ์ของแคว้นฉูเ่ ป็นอย่างดี ด้าน
การทหารหลัก ๆ คือจิ่นอีโหวกับจินเตาโหว ต่อให้
เป็นอูเ่ ซียงโหว ที่ในเวลานั้นพอจะมีความสามารถ
ทางการทหาร แต่ว่าหลังจากที่อู่เซียงเหล่าโหวตาย
ไป ซูเจินรับสืบทอดบรรดาศักดิ์โหวมา อำนาจก็ทด
ถอยไปเรื่อย ๆ เสาหลักของกองทัพฉู่ เลยเหลือ
แค่จินเตาโหวกับจิ่นอีโหวเท่านั้น
ถึงแม้สถานการณ์ในตอนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปมาก
จิ่นอีโหวฉีจิ่งตายไป อำนาจทางการทหารของจิ่นอี
ตระกูลฉีจะเริ่มลดลง แต่ว่าในกองทัพฉินไหวยังคงมี
เงาของจิน่ อีตระกูลฉีอยู่
เจิ้นกั๋วกงเส้นสายเดียวในฝ่ายทหาร ก็คือค่ายดาบดำ
ที่ประจำการณ์อยู่ห่างจากเมืองหลวง แต่มีกำลังพล
น้อย ถึงแม้กำลังรบจะแข็งแกร่งมาก แต่ในความเป็น
จริงแล้วมันเทียบไม่ได้เลยกับกองทัพขนาดใหญ่
“โหวเยว่ กองทัพซีชวนค่อนข้างซับซ้อน” อู๋ต๋าหลิน
พูดว่า “จินเตาโหวมีลูกชายสองคน คุณชายใหญ่
ตอนนี้เป็นแม่ทัพเรืออยู่ที่ตงไฮ่ มีความสามารถมาก
ร้ายกาจมาก ส่วนคุณชายเล็กก็เป็นแม่ทัพดูแล
กองทัพซีชวน เพียงแต่ความสามารถของคุณชายเล็ก
สู้คุณชายใหญ่ไม่ได้เลย ตอนนั้นจินเตาโหวให้เขาไปที่
ซีชวน เดมคิดอยากจะให้แวดล้อมของที่นั่นช่วย
ฝึกฝนเขา แต่ว่าเขานิสัยไม่เปลี่ยน แต่ว่าไม่ว่าเรื่อง
อะไร เขาก็ยงั คงต้องเรียกประชุมเหล่าแม่ทัพ ตอน
นั้นกองทัพซีชวนหลัก ๆ มีแม่ทัพควบคุมอยู่สาม
นาย”
“แม่ทัพสามคน?”
อู๋ต๋าหลินพยักหน้าแล้วพูดว่า “คนหนึ่งคือลูกชาย
ของจินเตาโหว อีกสองคนเพิง่ ถูกสั่งย้ายเข้าไป
ภายหลัง คนหนึ่งเป็นคนที่เจิน้ กั๋วกงเสนอ อีกคนเป็น
คนที่ฝ่าบาททรงเลือกเอง ดังนั้นตอนนี้อำนาจของ
กองทัพซีชวนเลยค่อนข้างวุ่นวาย กองทัพซีชวน
ประจำการณ์ชายแดนทางตะวันตก มีคนไม่มาก อีก
ทั้งยังไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น อีกทั้งยังมักมีคนที่ทำผิด
ส่งเข้ามาในกองทัพด้วย คุณชายเล็กตระกูลเหยียนไถ
อยากจะกลับเมืองหลวงตลอด แต่ว่าจินเตาเหล่าโหว
กลับให้เขาอยู่ที่นนั่ หากไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน
เหล่าโหว คุณชายเล็กก็ต้องทนอยู่ทนี่ ั่นต่อไป”
ฉีหนิงยกมือลูบคาง เขาพูดเบา ๆ ว่า “อย่างนี้นเี่ อง”
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “อดีตฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับเจิ้นกั๋ว
กง พระองค์ทรงไว้วางพระทัยเขามาก ตอนที่
พระองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ เจิ้นกัว๋ กงเองก็ทำงาน
อย่างดี หากเขาเสนอใคร อดีตฮ่องเต้ก็จะรับปากเขา
หมด ไม่อย่างนั้น ก็คงไม่มีทางอนุญาตให้เจิ้นกั๋วกงตั้ง
ค่ายดาบดำขึ้นมา อีกทั้งยังให้ประจำการณ์อยู่ใกล้กับ
เมืองหลวงด้วย”
เรื่องนี้ฉีหนิงไม่สงสัย อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฝากฝั่ง
ตระกูลซือหม่า ส่วนตระกูลซือหม่าช่วยให้หลงไท่ได้
ขึ้นครองราชย์ ตอนนั้นฉีหนิงก็รู้ว่าตระกูลซือหม่า
ได้รับการไว้วางใจขนาดนั้น เพราะซือหม่าหลันมี
ความสามารถ สามารถช่วยจัดการเรื่องทุกอย่าง
ให้กับฮ่องเต้ได้ คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์
การเมืองในตอนนัน้ ด้วย
จิ่นอีตระกูลฉีได้รับการสนับสนุนขึ้นมาจากฮ่องเต้ไท่
จง เพื่อฝึกฝนสายเลือดตรงของพระองค์ จึงผลักดัน
ตระกูลฉีขึ้นมา เพื่อลดอำนาจของตระกูลนักรบของ
ตระกูลเหยียนไถในเวลานั้น หลังจากที่จิ่นอีตระกูลฉี
เริ่มรุ่งเรืองขึ้นมา จินเตาเหยียนไถก็ถูกลดบทบาทลง
ตระกูลฉีกลายเป็นตระกูลนักรบอันดับหนึ่งของ
แคว้นฉู่แทน
ฮ่องเต้ไท่จงสวรรคต อดีตฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์
กษัตริย์ยุคไหนขุนนางยุคนั้น แต่ตระกูลนักรบเสา
หลักของแคว้นฉู่ยังคงอยู่ อีกทัง้ แผ่นดินยังไม่เป็น
หนึ่ง อดีตฮ่องเต้ยังคงต้องพึ่งพาตระกูลนักรบเหล่นี้
เป็นแนวหน้า ดังนั้นจิ่นอีตระกูลฉีกย็ ังคงอยู่ได้อย่าง
มั่นคงแข็งแกร่ง ส่วนจินเตาเหยียนไถนั้นก็ยังมี
รากฐานที่เข้มแข็งในฝ่ายทหาร
อดีตฮ่องเต้ไม่ใช่ฮ่องเต้ไท่จง ฮ่องเต้ไท่จงไว้วาง
พระทัยในจิน่ อีตระกูลฉีมาก แต่ไม่ได้หมายความว่า
อดีตฮ่องเต้จะไว้วางพระทัยจิ่นอีตระกูลฉีทั้งหมด
ที่จริงแล้วฉีหนิงงก็พอจะเข้าใจความรู้สึกว่าอดีต
ฮ่องเต้ดี พระกรุณาที่มีให้มันไม่ใช่ของอดีตฮ่องเต้ แต่
เป็นฮ่องเต้ไท่จง จินเตาเหยียนไถเองก็ได้พระเมตตา
มาจากฮ่องเต้ไท่จู่ เมื่อเป็นอย่างนี้ ในใจของอดีต
ฮ่องเต้ ก็ไม่ได้คิดอยากจะได้จิ่นอีตระกูลฉีเป็นกำลัง
หลักจริง ๆ
อำนาจของขุนนางเก่าแก่ อีกทั้งยังมีกลุ่มของไหว
หนานอ๋องอยู่ข้างกายด้วย สถานการณ์ตอนที่อดีต
ฮ่องเต้สืบทอดบัลลังก์ น่าจะไม่ได้ดีไปกว่าฮ่องเต้น้อย
สักเท่าไหร่ ในบรรดาสี่บรรดาศักดิ์โหวสืบทอด อดีต
ฮ่องเต้เลือกลูกสาวของตระกูลซือหม่าเข้าวัง หรือก็
คือไทเฮาองค์ปัจจุบัน ฉีหนิงคิดในใจว่าอดีตฮ่องเต้
จะต้องอยากดึงใหตระกูลซือหม่ามาเป็นกำลังสำคัญ
เพราะในบรรดาสี่บรรดาศักดิ์โหวสืบทอด มีเพียง
ตระกูลซือหม่าที่ไม่มีอำนาจในการควบคุมกำลังฝ่าย
ทหาร การดึงตระกูลซือหม่ามาเป็นพวก มันเหมือน
ให้พระกรุณาอย่างสูงสุด ตระกูลซือหม่าก็จะ
จงรักภักดี
หากไม่ได้อดีตฮ่องเต้สนับสนุน ต่อให้ตระกูลซือหม่า
มีผลงานมากมาย ก็ไม่มีทางมีอำนาจได้มากขนาดนี้
ฉีหนิงแอบหดหู่ในใจ อำนาจของตระกูลซือหม่าใน
วันนี้ ถือว่าได้มาจากอดีตฮ่องเต้ทั้งนั้น ที่จริงแล้วจะ
บอกว่าอดีตฮ่องเต้โง่ก็ไม่ได้ อดีตฮ่องเต้ยอมปล่อยให้
ตระกูลซือหม่ามีอำนาจเพิ่มขึ้น ก็เพือ่ ให้เขามาคาน
อำนาจของจิ่นอีตระกูลฉีกับจินเตาเหยียนไถ
เพียงแต่ว่าอดีตฮ่องเต้คิดไม่ถึงว่า เขาไม่เพียงไม่อายุ
ยืน แม้แต้จิ่นอีโหวฉีจิ่งเองก็ตายลงเช่นกัน หากสอง
คนนี้ไม่ว่าคนใดคนหนึ่งยังอยู่ ตระกูลซือหม่าก็ไม่มี
ทางมีอำนาจในราชสำนักมากขนาดนี้
“ย้ายเจ้าเข้ามาในค่ายทหารหลวงอวี้หลิน เหมือนจะ
เป็นประสงค์ของเจิ้นกั๋วกง” ฉีหนิงยืนไขว้หลัง แล้ว
พูด
อู๋ต๋าหลินไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าฉีหนิงหมายความว่ายังไง
เขาคุกเข่าลงข้างหนึง่ แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อย
......”
ฉีหนิงรีบยืน่ มือไปประคอง เขาดึงเขาขึ้นมา เขาส่าย
หัวแล้วพูดว่า “ท่านนายกองอู๋ ท่านอย่าเข้าใจผิด ข้า
ไมได้มีเจตนาอื่น” เขาหยุดไปครู่หนึง่ แล้วพูดว่า
“ตอนนั้นเจ้าถูกสั่งย้ายออกจจากกองทัพฉินไหว อีก
ทั้ง......เจ้ายังเคยบอกว่า ท่านพ่อมอบมีดสั้นให้เจ้า
เล่มหนึ่ง ดังนั้น ยังไงเจ้าก็ยงั เกีย่ วข้องกับจิ่นอี
ตระกูลฉีของเรา”
ฉีหนิงไม่รอให้เขาพูด เขาพูดแทรกขึน้ มาว่า “มีบาง
คำพูดเดิมข้าก็ไม่ควรพูด แต่ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์กับ
ตระกูลฉีของเรา ครั้งนี้ข้าเดินทางมาเป็นราชทูตของ
ตงฉี ข้าเองก็เห็นว่าท่านนายกองอู๋ตา๋ หลินเป็นทหาร
ที่จงรักภักดีแค่ไหน” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “นิสัย
ของเจ้า ข้าชื่นชมมาก เจ้าเองก็รู้ ตอนนั้นไหวหนาน
อ๋องกับเจิ้นกั๋วกงแอบสู้กันรุนแรงแค่ไหน ราชสำนัก
เกิดการนองเลือด ข้าไม่อยากเห็นเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้อง
กับเรื่องพวกนี้ ถูกพวกเขาหลอกใช้”
อู๋ต๋าหลินขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าฉีหนิงจะพูดเรื่อง
พวกนี้กับเขา เขารู้ว่าหากไม่ใช่เพราะฉีหนิงจริงใจกับ
เขา คงไม่พูดเรื่องพวกนี้กบั เขาแน่นอน เขารู้สึก
ซาบซึ้งใจมาก เขาพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยเป็นทหาร
คนหนึ่ง ราชสำนักสั่งให้ข้าน้อยไปไหนทำอะไรข้าก็
จะต้องทำตาม แต่ว่าข้าน้อยรู้ดีแก่ใจ ข้าน้อยกินเบีย้
หวัดจากหลวง นี่เป็นพระกรุณาของฝ่าบาท ชีวิตของ
ข้าน้อยเป็นของฝ่าบาท ใครภักดีต่อฝ่าบาท ก็ถือเป็น
สหายของข้าน้อย หากใครล่งเกินฝ่าบาท ต่อให้
ข้าน้อยต้องตายก็จะไม่ยุ่งด้วยเลย”
ฉีหนิงตบไปที่แขนของอู๋ต๋าหลินเบา ๆ หน้าตาของ
เขายังเด็กมาก แต่ว่าท่าทางของเขาดูเป็นผู้ใหญ่มาก
เขาพูดว่า “เจ้าคิดได้อย่างนี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เจ้าจำไว้ให้ดี บนฟ้ามีเมฆผืนเดียว นั่นก็คือฝ่าบาท”
อู๋ต๋าหลินพยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่วางใจ คำพูด
ในคืนนี้ ข้าน้อยจะจำเอาไว้อย่างดีขอรับ” เขาหยุด
ไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่านอยู่ข้างนอก ก็
ต้องระวังตัวให้ดี ในราชสำนักมีมีคนจับตามองท่าน
อยู่ พวกเขาไม่ประสงค์ดีต่อท่านเลย ท่านต้องระวัง
ตัวให้ดี ยังมี.......ในกองทัพฉินไหวน่าจะมีคนของ
เจิ้นกั๋วกงอยู่แล้วแน่ จะเชื่อใจทุกคนไม่ได้”
ฉีหนิงยิ้ม พยักหน้า รู้ว่าในเมื่ออู๋ต๋าหลินพูดแบบนี้
แล้ว แสดงว่าเขามาอยู่ทางเขขาแล้ว เขาพูดว่า
“หลังจากกลับเมืองหลวงไปแล้ว เราคงไม่ได้มีโอกาส
ได้เจอกันบ่อย ๆ อีก แต่ว่าข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่ง เรา
จะต้องได้นั่งดื่มเหล้าด้วยกันอีก เอาล่ะ เจ้ากลับไป
พักเถอะ เราก็ขอตัวไปก่อน”
อู๋ต๋าหลินเข้าใจความหมายของฉีหนิงดี เขายกมือ
คำนับ สายตาของเขาซาบซึ้งใจมาก จากนั้นก็ขอตัว
ออกไป
ฉีหนิงรู้ว่าซือหม่าหลันให้อู๋ต๋าหลินแทรกไปอยู่ในค่าย
ทหารหลวงอวี้หลิน ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ช่วงนี้เขาคลุ
คลีกับอู๋ต๋าหลิน กลับพบว่า อู๋ต๋าหลินเป็นทหารจริง
ๆ ไม่ได้มีลูกไม้อะไร อีกทั้งยังทำหน้าที่ของตัวเอง
อย่างดี
เขามีความเกี่ยวข้องกับจิน่ อีตระกูลฉีมาก่อน ฉีหนิง
เองก็ไม่อยากให้เขาไปเป็นหมากตัวหนึ่งของซือหม่าห
ลัน หากเป็นไปได้ ถ้าดึงเขามาเป็นพวกได้ ก็จะดีไม่
น้อย
เพียงแต่ใจคนยากแท้หยั่งถึง เขาคิดถึงตรงนี้ ก็ไม่
อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้
เมื่ออู๋ต๋าหลินไปแล้วว หลี่ถังก็ขยับเข้ามา เขาพูดว่า
“โหวเยว่ ครั้งนี้ท่านจะไปเซียงหยาง ข้าน้อยเองก็
แปลงโฉมเหมือนกันดีไหม?”
ฉีหนิงหันกลับมา แล้วส่ายหน้า “ครั้งนี้เจ้าไม่ต้องไป
กับข้า เรื่องของพรรคกระยาจก พวกเขาให้ข้าไป มัน
ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก ยังไงเจ้าก็เป็นคนของราช
สำนัก อย่าไปยุ่งให้มากดีกว่า”
หลี่ถังขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ หรือว่า......ท่าน
จะไปคนเดียว?”
“มีเหมากูเอ๋อร์แล้วก็คนติดตามอีกสองคนก็พอแล้ว”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าตามขบวนส่งตัวองค์หญิง
กลับเมืองหลววงไป จริงสิ แม่นางทีช่ ื่อซิ้วเหนียง
หลังจากที่เจ้ากลับไป จำให้ดีช่วยข้าอธิบายให้ฮูหยิน
สาม......” เขานิ่งไป แล้วพูดว่า “เจ้าบอกไปว่านาง
เป็นคนที่ท่านมหาเสนาบดีหลิงหูให้มา มหาเสนาบดี
บอกว่าหากข้าไม่รับไว้ เรื่องงานอภิเษกของทั้งสอง
แคว้นคงไม่สำเร็จ”
หลี่ถังพูดว่า “โหวเยว่ ฮูหยินสามจะเชื่อหรือขอรับ?”
“พูดอย่างนี้ไปก่อน รอข้ากลับไปแล้วค่อยอธิบายอีก
ที” ฉีหนิงพูดว่า “จะจัดการให้ซิ้วเหนียงยังไง ก็ให้ฮู
หยินสามตัดสินใจไปเลยนะ แต่ว่าเจ้าต้องจับตาดูให้ดี
ยังไงนางก็เป็นคนที่หลิงหูซีให้มา ต้องระวังให้มาก”
หลี่ถังพยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่วางใจได้ หากฮู
หยินสามให้นางอยู่ในจวน ข้าน้อยจะสั่งให้คนจับตาดู
นางเอาไว้ตลอด ไม่ให้นางกลายเป็นสายในจวนเรา”
ฉีหนิงคิดในใจว่ามันเกินไปหรือเปล่า แต่ว่าระวังไว้
ก่อนก็ดีกว่า ไว้รอเขากลับไปค่อยจัดการอีกที พยัก
หน้าแล้วพูดว่า “เจ้าไปจัดการเอาเองก็พอ” เขาพูด
ต่อว่า “ของขวัญที่ข้ารับมา เจ้าเลือกเอาส่วนหนึ่งที่มี
ราคาหน่อย อย่าบอกใครว่ามีคนให้มา ให้บอกว่าข้า
ไปซื้อมาจากในแคว้นตงฉี มามอบให้ซานเหนียง
โดยเฉพาะ”
หลี่ถังยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่กตัญญูใส่ใจที่สุด ฮูหยิ
นสามจะต้องดีใจมากแน่นอนเลยขอรับ” เขาพูดอีก
ว่า “โหวเยว่ ท่านจงเตรียมตัวพร้อมแล้ว เริ่มแปลง
โฉมท่านได้ตลอดเวลา”
ฉีหนิงบิดขี้เกียจ จากนั้นก็เดินเข้าไปในกระโจม
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 668 เมืองเก่า
เซียงหยางตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ
มณฑลสิงโจว อยู่ฝั่งตรงที่ราบลุ่มแม่น้ำฮั่นเจียง
เพราะตั้งอยู่ใต้พระอาทิตย์ของแม่น้ำเซียงชุ่ยจึงได้ชื่อ
นี้มา
แม่น้ำฮั่นเจียงไหลผ่านตัวเมือง แบ่งออกเป็นสองฝั่ง
ทางเหนือใต้ มีทั้งเซียงหยาง เฟิ่นเฉิง ถือเป็นเมืองที่มี
ภูเขาแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์มาก
เมืองเซียงหยางเป็นเมืองที่มีการทหารและการค้าที่
สำคัญมาก ภายในเมืองเจริญรุ่งเรื่อง ครึกครื้นมาก
กู่หลงจงห่างจากเซียงหยางไม่ถึงสิบลี้ งานชุมนุมชิงมู่
ของพรรคกระยาจกกำลังจะเริ่มขึ้น ชาวบ้านทั่วไปไม่
มีทางรู้ แต่ว่าชาวยุทธมากมายกลับรู้เรื่องนี้ดี
งานชุมนุมชิงมู่สามปีจัดขึ้นหนึ่งครั้ง แต่ไม่มีการ
กำหนดสถานที่ที่แน่นอน ปกติแล้วจะมีประมุขพรรค
เป็นผู้กำหนดสถานที่ พรรคกระยากจกมีทั้งหมดยี่สิบ
แปดสาขา เพราะตั้งมาจากในสถานการณ์แผ่นดิน
วุ่นวาย ใต้หล้าบากเป็นสามส่วน ดังนั้นพรรค
กระยาจกเลยมีการแบ่งการปกครอง ถึงแม้จะฟัง
คำสั่งของประมุขพรรคคนเดียว แต่ก็มีผู้อาวุโสสี่คน
คุมคนละทิศ
เพื่อให้ทั้งทัง้ สี่ทิศสมดุลกัน การเลือกสถานที่จัดงาน
ชุมนุมชิงมู่ ก็จะดูจากสถานการณ์ของเหล่าผู้อาวุโส
ทั้งสี่ด้วย เลยมีการหมุนเวียนการจัดงานไปในพื้นที่
การควมคุมของผู้อาวุโสทั้งสี่
เหล่าวยุทธที่ท่องยุทธภพมานานก็พอจะรู้เรื่องของ
งานชุมนุมชิงมู่นี้ดี อีกทั้งในฐานะทีพ่ รรคกระยาจก
เป็นพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า มีการไปมาหาสู่กับ
เหล่าพรรคในยุทธภพมากมาย ศิษย์พรรคกระยาจก
มีทั่วยุทธภพ ความอดทนของคนในพรรคกระยาจกมี
สูงมาก ประมุขพรรคในแต่ละรุ่น มีหลายคนที่มี
ชื่อเสียงในยุทธภพ เพราะว่าอำนาจของตัวพรรค
กระยาจก ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือปกติแล้ว
พรรคกระยาจกค่อนข้างจะเป็นมิตรกับทุกพรรค
หากเกิดปัญหา พรรคกระยาจกจะทำการเจรจาก่อน
ใช้กำลัง จะไม่มีทางใช้คนมากรังแกคนน้อย
ทุกรอบทีง่ านชุมนุมชิงมู่เริ่มต้นขึ้น มักจะมีพรรค
สำนักในยุทธภพมาเพื่อดึงไปเป็นพวก ถึงแม้จะไม่
สามารถเข้าร่วมภายในงานได้ แต่ชาวยุทธหลายคน
ก็จะอยู่ในรอบ ๆ งาน เหมือนว่าแค่นี้ก็ได้หน้ามาก
แล้ว อีกทั้งตอนที่งานชุมนุมชิงมู่เริ่มแล้ว พรรค
กระยาจกเองก็จะมีการเชิญชาวยุทธที่มีบารมีและชื่อ
นั่งมองเป็นพยานในงาน
วันที่สิบแปดเดือนหกเป็นวันทีเ่ ริ่มงานชุมนุมชิงมู่ ที่
จริงก่อนทีจ่ ะเริ่มงานชุมนุมชิงมู่ ชาวยุทธในแต่ละ
เส้นทางต่างก็มารวมตัวกันที่เซียงหยาง รวมกับศิษย์
ในพรรคกระยาจกที่มาร่วมงาน คนไปมามากมาย
ทหารในเมืองเก่าเซียงหยางเลยระวังกันมาก มีทหาร
จำนวนไม่น้อยที่เดินสำรวจไปมา
แต่ว่าจวนเสินโหวก่อตั้งมานานหลายปี มันกลายเป็น
กฎของชาวยุทธไปแล้ว หากไม่ได้มีทางเลือก จะไม่
ไปยุ่งกับคนของทางการเด็ดขาด อีกทั้งจะไม่ก่อเรื่อง
ดังนั้นเมืองเก่าเซียงหยางถึงแม้จะมีคนไม่น้อย แต่ว่า
ก็มีระบบระเบียบอย่างเข้มงวด
ขอทานเดิมก็เป็นคนชั้นล่าง ปกติก็ใช้ชีวิตข้างถนน
พกวเขาต่ำต้อยมาก แต่ว่าตอนนี้ภายในภายนอกของ
เมืองเซียงหยาง หากมีคนแต่งกายเป็นศิษย์ของพรรค
กระยาจก มันถือเป็นเรื่องที่นิยมกันมาก ศิษย์พรรค
กระยาจกที่มาจากที่ต่าง ๆ ครัง้ นี้กลับไม่ได้มา
ขอทาน ดังนั้นเวลาเดินอยู่บนถนน ต่างก็เดินเชิด
หน้ากันทั้งนัน้ ดูภูมิใจมาก
ทางทิศเหนือของเมืองเซียงหยางมีถนนเส้นหนึ่ง
ถนนเส้นนี้ไม่ได้ยาวมาก แต่ก็ครึกครื้น ถนนเส้นนี้มี
ร้านชาริมทางมากมาย ตั้งแต่กลางเดือนหกเป็นต้น
มา อากาศในเมืองเซียงหยางค่อนข้างร้อน คนผ่าน
ทางมักแวะดื่มชาลดร้อนกัน
วันนี้แขกภายในร้านเริ่มมีมากขึ้น คนที่มารออยู่หน้า
ร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ละคนยื่นคอมอง
กลางร้านชา มีลานกว้างแห่งหนึ่ง พื้นที่ตรงนั้นมีชาย
แก่อายุประมาณห้าสิบกว่ากำลังมองฆ้องอยู่ ตรง
กลางมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง แม่นางคนหนึง่ อายุประมาณ
สิบเจ็ดสิบแปดกำลังนั่งคิดอะไรอยู่ นิ้วของนางเคาะ
อยู่บนโต๊ะ แต่ท่าทางของนางแอ่นไปด้านหลัง ตัว
เอนร้อยแปดสิบองศา
หลายคนรู้ดีว่ามันคือวิชาตัวอ่อน ถึงจะดูพูดง่าย แต่
ทำยาก มันยากมาก
แม่นางคนนี้ไม่ได้สวยมาก แต่ก็มีเสน่ห์ ตัวของนางก็
อ่อน ทันใดนั้นเองก็เห็นแม่นางคนนัน้ ใช้มือดันโต๊ะ
แล้วพลิกตัวไปด้านหลัง คนรอบ ๆ ต่างร้องโห้ตะโกน
เห็นแม่นางคนนั้นพลิกตัวราวกับล้อรถอยู่บนโต๊ะ
เกือบสิบรอบ
มันไม่ใช่การตีลังกาแบบธรรมดา อีกทั้งนางยังดูตัว
อ่อนมาก คนรอบ ๆ ต่างโห่ร้องพอใจ แล้วอีกหลาย
คนก็ผิวปากให้กับแม่นางคนนัน้
ยุทธภพมีคนที่ขายศิลปะอยู่ไปทั่ว ไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่
ใดที่หนึ่ง คนขายศิลปะวิชา ตอนนี้ต่างวิ่งมารวมกันที่
เมืองเซียงหยาง เพื่อหาเงิน
เสียงโห่ร้องแสดงความชื่นชม แม่นางคนนัน้ พลิกตัว
กระโดดลงมาจากโต๊ะ ยกมือคำนับไปรอบ น้ำเสียง
ของนางใสมาก “ขายหน้าท่านลุงท่านอาพี่น้องทุก
ท่านแล้ว ข้าน้อยขายศิลปะวิชาเลี้ยงชีพ ขอให้ทุก
ท่านจ่ายรางวัลมาก ๆ หน่อยนะเจ้าค่ะ สาวน้อย
อย่างข้าจะได้มีข้าวกิน” จากนั้นก็เห็นชายแก่ยื่นถาด
มา แม่นางคนนั้นยกถาด ยิ้มแล้วเดินไปรอบ ๆ
คนที่มาดูต้องให้เงิน มันเป็นกฎ ไม่มีเงินให้ ก็จะต้อง
หลบไป เมื่อเห็นแม่นางยิ้มหวาน ก็เอาเงินมาวางให้
หมด
ไม่ว่าแขกจะมีกี่คน แม่นางคนนั้นก็จะยิ้มแล้ว
ขอบคุณหมด หลังจากเดินไปครึง่ รอบ ทันใดนั้นก็มี
คน ๆ หนึ่งยื่นมือไปแล้ววางเงินก้อนหนึ่ง น่าจะ
ประมาณสิบตำลึง มีคนไม่น้อยที่ตกใจมาก ถึงแม้เงิน
สิบตำลึงจะไม่ได้มากมายอะไร แต่สำหรับคนขาย
ศิลปะ การให้รางวัลสิบตำลึง มันไม่ค่อยได้เจอ นาง
แม่คนนั้นรีบพูดว่า “ขอบคุณพี่ชาย”
ทุกคนเห็นคนที่ให้รางวัลอายุประมาณสามสิบปี สวม
เสื้อผ้าดี ชุดสีเขียว สายคาดเอวสีดำ เสื้อผ้าเป็นผ้า
อย่างดี พวกเขาแอบคิดในใจว่าเขาเป็นใครกันนะ ถึง
ได้ใจป้ำขนาดนี้
“ไม่ต้องขอบคุณ ไม่ต้องขอบคุณ” คน ๆ นั้นยิ้มแล้ว
พูดว่า “แม่นางเร่ร่อนไปทั่ว ขายศิลปะประทังชีวิต
น่าสงสารนัก ดูมือนี่สิ......” เขายื่นมือไปแตะมือของ
แม่นางคนนัน้ แม่นางคนนั้นรีบถอยหนี นางฝืนยิ้ม
แล้วพูดว่า “การเดินทางไปขายศิลปะวิชา ก็ไม่ได้
ลำบากอะไรมากมาย” จากนั้นนางก็กำลังจะเดินไป
หาคนต่อไป แต่คน ๆ นั้นเรียกนางเอาไว้ “ข้ายังพูด
ไม่จบเลย จะรีบไปไหนกัน? แม่นาง ข้าจ่ายไปตั้งสิบ
ตำลึง เจ้าจะทำกับข้าแบบนี้หรอ?”
ชายแก่อีกคนท่องยุทธภพมานาน เขารู้ว่าเกิดอะไร
ขึ้น เขาเดินยิ้มยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ขอบคุณ
สหายท่านนี้ที่ให้ค่าข้าวกับเรา ศิษย์ของข้าไม่ค่อยรู้
เรื่อง ตาแก่อย่างข้าต้องขอโทษด้วยนะ”
“นางเป็นศิษย์ของเจ้าหรอ?” สายตาของเขาจ้องไป
ที่แม่นางน้อยคนนัน้ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ความสามารถของศิษย์เจ้าไม่เลวเลย ข้าชอบมามก
ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว อีกไม่นานก็มืด พวกเจ้าเก็บ
ร้าน ข้าจะพาพวกเจ้าไปเลี้ยงข้าว”
ชายแก่ยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณมาก แต่ว่าสหายให้
รางวัลกับเรามาแล้ว มันเพียงพอที่จะให้เราสองคนใช้
ไปได้ระยะหนึ่งแล้ว เราไม่กล้ารบกวนอีก”
“ตาแก่ ไม้อ่อนไม่ชอบชอบไม้แข็งใช่ไหม?” คน
ด้านหลังของคน ๆ นั้นสองสามคน มีคนหนึ่งจ้องมา
ที่ชายแก่แล้วพูดว่า “เจ้ารู้ไหมว่าเขาเป็นใคร? เลี้ยง
ข้าวเจ้าถือว่าให้เกียรติเจ้ามากแล้ว เจ้ายังไม่ไว้หน้า
เราอีก”
ชายแก่รีบพูดว่า “สหายท่านนี้เข้าใจผิดแล้ว ท่านให้
เกียรติข้า ข้าจะกล้าไม่รับได้ยังไง แต่ว่าเราท่องยุทธ
ภพไปทั่ว ขายศิลปะเลี้ยงชีพ ไม่ได้ขอข้าวกินเปล่า
นะ”
“เงินที่ให้ไม่พอหรือยังไง?” ชายชุดเขียวเอาเงิน
ออกมาให้อีก เขายิ้มแล้วพูดว่า “คราวนี้พอที่จะให้
พวกเจ้าไปกินข้าวกับข้าหรือยัง?”
แม่นางคนนัน้ ขมวดคิ้ว นางส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“พี่ชายท่านนี้ให้มากเกินไปแล้ว” นางหยิบเงินคืนไป
คน ๆ นั้นยืน่ มือมารับ เขาไม่โกรธกลับยิ้ม แล้วพูดว่า
“น่าสนใจ ตาเฒ่า ศิษย์ของเจ้าอารมณ์ใช่ย่อยเลยนะ
ข้าชอบ นางมีคู่ครองหรือยัง? จะให้ข้าแนะนำให้
ไหม”
ชายแก่ไม่ได้พูดอะไร แม่นางคนนั้นเริ่มโกรธ “เจ้าพูด
อะไรเกรงใจกันบ้างนะ” สีหน้าของนางไม่มีรอยยิ้ม
แล้ว
คนรอบ ๆ เริ่มซุบซิบกัน มีคนมองออกแล้วว่า ผู้ชาย
คนนั้นจ่ายรางวัลทีเดียวสิบตำลึง แต่ไม่ได้คิดดี คิด
อยากจะลวนลามแม่นางคนนั้น
ชายชุดเขียวยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางบอกว่าข้าพูดจา
ไม่เกรงใจเจ้า? ถ้าอย่างนั้นเราไปหาสถานที่ ให้ข้าได้
พูดจาเกรงใจให้เจ้าฟังดีไหม?”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็มีเสียงไม่สู้ดีพูดขึ้นมาว่า
“กลางวันแสก ๆ ลวนลามผู้หญิงอย่างไม่รู้จักอาย ยัง
รู้จักกฎหมายบ้านเมืองบ้างหรือเปล่า?”
ทุกคนหันหน้าไปมอง เห็นภายในร้านน้ำชา มีชาย
หนุ่มสวมชุดสีเท่ากำลังจ้องมาที่ชายชุดเขียว ชาย
หนุ่มนั่นหน้าตาดีมาก ด้านหลังของเขา มีชายรูปร่าง
สูงใหญ่ยืนอยู่ สวมเสื้อผ้าธรรมดา
ภายในเมืองเซียงหยาง มีคนมากมายเต็มไปหมด คน
รวยคนจนเต็มไปหมด แต่มางานชุมนุมชิงมู่กำลังจะ
เริ่มขึ้น ใครก็ไม่กล้าประมาทชายชุดเขียว ใครจะไป
คิดว่าคนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง จะมีใครหนุนหลังหรือ
เปล่า
ชายชุดเขียวรู้สึกแปลกใจ เขาเหลือบไปมองชายหนุ่ม
คนนั้น จากนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าท่านเป็น
ใคร? ท่านกำลังว่าข้าอย่างนัน้ หรอ?”
“ตรงนี้นอกจากเจ้าที่ไม่รู้จักอายแล้ว ยังมีคนอื่นอีก
หรือยังไง?” ชายหนุ่มคนนั้นเหมือนไม่ได้เห็นชายชุด
เขียวอยู่ในสายตาเลย เขาตรงเดินไป แล้วถามแม่
นางคนนั้นว่า “แม่นาง เจ้าไม่ต้องไปสนใจคนอย่างนี้
หรอก กลางวันแสก ๆ ข้าอยากจะรูส้ ิว่าใครกล้าทำ
อะไรไม่รู้จักกฎหมาย”
คน ๆ นี้ก่อนหน้านีป้ ะปนผู้คนเข้ามา ไม่มีใครสนใจ
เขา ตอนนี้จู่ ๆ โผล่ออกมา สายตาคนหลายคนจ้อง
มาที่เขา ที่ประตูมีขอทานเสื้อผ้าขาด ๆ ยืนอยู่หลาย
คน มองดูก็รู้ว่าเป็นคนของพรรคกระยาจก คนหน้า
สุดอายุประมาณสามสิบปี ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่ว่า
สายตาเป็นประกายมาก เขาจ้องไปที่ชายหนุ่มที่
ออกมาทวงความเป็นธรรมให้หญิงสาวไม่กระพริบตา
ขอทานนคนนั้นไม่ใช่ใครอืน่ เขาคือฉีหนิง
ด้วยความช่วยเหลือของจงหย่า ตอนนี้เขาแปลงโฉม
เป็นขอทานอายุประมาณสามสิบปี เพราะเขาต้องไป
ในฐานะหัวหน้าสาขาคังจินหลง หากอายุน้อยเกินไป
คนคงไม่เชื่อ
หลังจากไปรวมพลกับพวกของเหมากูเอ๋อร์แล้ว ทุก
คนก็ขี่ม้าเร่งเดินทางมายังเซียงหยางกัน เพื่อไม่ให้
เสียเวลา พวกเขาไม่ได้หยุดพักที่ไหนเลย ต่อให้จะกิน
อาหารหรือว่าดื่มน้ำ ก็ทำบนหลังม้าหมด ยังดีที่วันนี้
มาถึงเซียงหยางแล้ว เหลือเวลาอีกระยะหนึ่งถึงจะถึง
งานชุมนุมชิงมู่
ฉีหนิงรู้ดีว่างานชุมนุมชิงมู่เป็นงานใหญ่ของยุทธภพ
เมื่อมาถึงเมืองเซียงหยาง เขาก็ไม่ได้รีบร้อนทีจ่ ะไปที่
กู่เซี่ยงจง เขาไปเดินสำรวจในเมืองเซียงหยางก่อน
งานชุมนุมชิงมู่ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ในเมืองยังไงก็
เกี่ยวข้องกับงานชุมนุมชิงมู่แน่นอน ฉีหนิงเลยไปแอบ
ดูแอบสืบสักหน่อย เผื่อจะได้อะไรขึน้ มาได้บ้าง
พวกของเหมากูเอ๋อร์มาด้วยกันสี่คน พวกเขาฟัง
คำสั่งของฉีหนิงทัง้ หมด เมื่อมาถึงหน้าร้านชา ก็เห็น
คนมุงกลุ่มใหญ่ ฉีหนิงคิดว่าน่าจะเกิดอะไรขึ้น
แน่นอน เลยมายืนดูสถานการณ์ เรือ่ งก่อนหน้านี้เขา
เห็นหมดทุกอย่าง เห็นชายชุดเขียวพยายามจะ
ลวนลามแม่นางคนนั้น เขารู้สึกขำมาก คิดไม่ถึงว่าจะ
มีคนออกมาช่วย
ฉีหนิงเดิมคิดว่าแค่คนที่ทนเห็นไม่ได้ออกมาช่วย แต่
ว่าคนหนุ่มที่ออกมาช่วยนั้น ทำให้ฉีหนิงตกใจมาก
เขาคิดไม่ถึงเลยเขาจะเจอคน ๆ นี้ทนี่ ี่ ไม่อยากจะ
เชื่อเลย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 669 จุยหั่วโหว
คณะแคว้นฉู่สามารถเจรจาการอภิเษกที่ตงฉีเป็น
ผลสำเร็จ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเป่ยฮัน่ จู่ ๆ ก็เกิดเรื่อง
ในฐานะราชทูตเป่ยถังอวี้กบั เป่ยถังเฟิงกลับหนีไป
ฉีหนิงคิดมาตลอดว่า ลั่วหยางเกิดการเปลี่ยนแปลง
เป่ยถังเฟิงต้องรีบกลับไปยังลั่วหยางเพื่อชิงบัลลังก์
คืนมา แต่คิดไม่ถึงเลยว่า วันนี้ที่เซียงหยาง จะได้มา
พบกับเป่ยถังเฟิงด้วย
เขาคือคุณชายที่ออกหน้าช่วยเหลือ เขาคือองค์ชาย
เป่ยฮั่นเป่ยถังเฟิง
วินาทีที่ฉีหนิงเห็นเป่ยถังเฟิง เหมือนไม่กล้าเชื่อ
สายตาตัวเองเลย เขาไม่อยากจะเชือ่ ใต้หล้าใหญ่
ขนาดนี้ แต่กลับมาเจอเป่ยถังเฟิงที่เซียงหยาง หมูปีน
ต้นไม้ยังดูเป็นไปได้น้อยกว่าเลย แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว
ระหว่างที่เขาตกใจ เขาก็สงสัยด้วย แอบคิดในใจ
ว่าเป่ยฮั่นเกิดเรื่องขนาดนี้ เจ้าบ้านีท่ ำไมถึงไม่รีบ
กลับเป่ยฮั่นไป มาทำอะไรทีเ่ ซียงหยาง เซียงหยางอยู่
ในพื้นทีเ่ ขตแคว้นฉู่ ในฐานะองค์ชายของเป่ยฮั่น มา
อยู่ในดินแดนแคว้นฉู่ มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ หากฐานะ
ถูกเปิดเผย อยากหนีก็หนีไม่พ้น
เขาเห็นด้านหลังของเป่ยถังเฟิง เป็นชายรูปร่างสูง
ใหญ่สวมหมวก ถึงแม้จะดูใส่เสื้อผ้าธรรมดา แต่ฉี
หนิงดูออกทันทีว่าเขาคือหั่วเสินจวิน
ในเมื่อเป่ยถังเฟิงกับหั่วเสินจวินมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
ถ้าอย่างนั้นเป่ยถังอวี้ก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่แน่นอน ฉี
หนิงเดินวนรอบหนึง่ แต่ก็ไม่เห็นเงาของเป่ยถังอวี้
เขาแอบคิดในใจว่าเป่ยถังอวี้กับเป่ยถังเฟิงแยกกัน
เดินทางอย่างนั้นหรอ?
เป่ยถังเฟิงกับชายชุดเขียวทะเลาะกัน คนรอบ ๆ
กระซิบกระซาบกัน คนด้านหลังชายชุดเขียวพูด
กับเป่ยถังเฟิงว่า “กางเกงใครไม่ได้ใส่ให้ดี ทำให้สวะ
อย่างนี้โผล่ออกมาได้? คิดอยากจะเป็นวีรบุรษุ ช่วย
สาวงามอย่างนั้นหรือ?”
หลังจากนั้นคนด้านหลังของชายชุดเขียวก็ต่าง
หัวเราะขึ้นมา
เป่ยถังเฟิงเกิดในตระกูลเชื้อพระวงศ์ มีใครกล้าพูดจา
หยาบคายกับเขาแบบนี้ที่ไหน เขาหน้านิ่ง แล้วพูดว่า
“หากเจ้ามีปัญญาก็พูดอีกทีสิ?”
คน ๆ นั้นจะพูดอีก ชายชุดเขียวยกมือห้าม เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ในเมื่อคุณชายท่านนี้อยากจะ
เป็นวีรบุรุษ เราก็อย่าไปขัดความสุขของเขาเลย เรา
เป็นคนรักษากฎหมายอยู่แล้ว อย่าไปเถียงด้วยเลย”
เขาหันไปพูดกับเป่ยถังเฟิงว่า “ท่านจะทิ้งชื่อของ
ท่านไว้ได้ไหม?”
เป่ยถังเฟิงอ้าปากค้าง แล้วพูดว่า “เจ้าไม่คู่ควรรู้ชื่อ
ของข้า”
ชายชุดเขียวยกนิ้วโป้งให้ ยิ้มแล้วพูดว่า “กล้าดี ไม่
เคยเจอคนใจกล้าแบบนี้มาหลายปีแล้ว” เขาหันไป
หัวเราะให้กับแม่นางคนนั้น จากนั้นก็ไม่ได้ไปยุ่ง
วุ่นวายอีก หันหลังแล้วเดินจากไปเลย คนติดตาม
ของเขาเองก็จ้องไปที่เป่ยถังเฟิง แล้วตามชายชุด
เขียวไป
เป่ยถังเฟิงรีบจัดเสื้อผ้า แล้วก็ยกมือคำนับให้กับชาย
แก่ แล้วมองไปที่แม่นางคนนั้น เขาถามว่า “แม่นาง
ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
แม่นางคนนัน้ ส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ขอบคุณคุณชาย
ที่ช่วยเหลือ”
“เรื่องเล็กแค่นี้ ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจหรอก” เป่ยถังเฟิง
แกล้งทำเป็นไม่เป็นไร ชายแก่คนนั้นยกมือคำนับไป
รอบ “ขอบคุณทุกท่านมาก วันนี้การแสดงจบแค่นี้
เชิญทุกท่านมาใหม่ในวันพรุง่ นี้ ขอบคุณขอบคุณ”
คนที่ล้อมรอบต่างแยกย้ายกันไป ในเมื่อฉีหนิงได้เจอ
เป่ยถังเฟิง เขาก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าบ้านี่มาทำอะไรที่
เซียงหยาง เขายืนอยู่ด้านนอก ไม่ได้ไปไหน ทันใดนั้น
ก็ได้ยินคนพูดว่า “เป็นเรื่องแน่ ชายชุดเขียวเมื่อกี้ข้า
รู้จัก”
ฉีหนิงหันไปมอง เห็นคนที่พูดอยู่เป็นชายวัยกลางคน
คนหนึ่ง เขาลูบเครา เหมือนดูได้ใจมาก คนอยู่
รอบตัวเขาหลายคน มีคนถามว่า “เจ้ารู้จักหรอ? คน
บังอาจขนาดนั้น ท่านเจ้าสำนักเฉียว เขาเป็นใครกัน
หรือ?”
“ข้าพูดแล้วเจ้าอาจจะไม่เชื่อ” ชายที่เป็นเจ้าสำนัก
เฉียวพูดว่า “ข้าถามพวกเจ้าหน่อย ซีชวนมีตระกูล
หลังหนึ่งแซ่ฮาน พวกเจ้าเคยได้ยินหรือเปล่า?”
คนที่ล้อมรอบอยู่มองหน้ากัน เห็นพวกเขาไม่รู้ มีคน
หนึ่งก็พูดว่า “เจ้าสำนักเฉียวหมายถึงตระกูลฮานที่
เห๋อเจียงที่ซีชวนหรือเปล่า?”
“ถูกต้อง” เจ้าสำนักเฉียวพูดว่า “ในเมื่อเจ้ารู้จัก
ตระกูลฮาน ก็จะต้องรู้ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับพวก
เขาอย่างนัน้ ใช่ไหม?”
คน ๆ นั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านหมายถึงลูกสาวของ
เจ้าสำนักฮานที่แต่งงานไปเป็นอนุของหัวหน้าสาขา
จุยหั่วโหวพรรคกระยาจกใช่ไหม?”
ฉีหนิงสะดุ้ง เขาได้ยินเจ้าสำนักเฉียวหัวเราะแล้วพูด
ว่า “ข่าวของพวกเจ้าก็ไวใช่ได้ ข้าพูดถึงเรื่องนี้แหละ
แต่ว่า......คุณหนูตระกูลฮานนั่นแต่งให้กับหัวหน้า
สาขาเฉาคนนั้น ไม่ได้เต็มใจหรอกนะ”
“อ๋อ?” มีคนรีบถามว่า “เจ้าสำนักเฉียว มันเรื่องยังไง
กัน? ท่านเป็นผู้อาวุโสในยุทธภพ ท่องไปทั่ว เจอเรื่อง
มาก็มาก เรามันไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ท่านเล่าให้เราฟัง
หน่อยได้ไหม”
เจ้าสำนักเฉียวหัวเราะแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ห้ามเล่า
ออกไปเด็ดขาดนะ เราต้องจำไว้ว่า การแต่งงานเรื่อง
นี้มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา”
“เจ้าสำนักเฉียว เราพูดถึงชายชุดเขียวนั่น ท่านพูด
ถึงตระกูลฮานนั่นทำไมกัน?” มีคนถามอย่างสงสัยว่า
“หรือว่าชายชุดเขียวนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูล
ฮาน?”
“เกี่ยวข้องแน่นอน” เจ้าสำนักเฉียวพูดว่า “คนชุด
เขียวเมื่อกี้ คือเขยของตระกูลฮาน เข้าใจแล้วหรือยัง
เขาก็คือหัวหน้าสาขาจุยหั่วโหวของพรรคกระยาจก
เฉาเหวย”
ฉีหนิงมองหน้ากับเหมากูเอ๋อร์ที่อยู่ขา้ ง ๆ ทั้งสองคน
ดูจะตกใจมาก
ฉีหนิงไม่เคยเจอเฉาเหวย แต่กลับไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้
ยินชื่อนี้ ตอนที่เขาอยู่ที่ซีชวน ผู้อาวุโสไป๋หู่คิดร้าย
วางแผนฆ่าไป๋เซี่ยงอิ่ง ฉีหนิงจำได้ดี คืนนั้นเซี่ยงไป๋องิ่
เคยถามไป๋หู่เรื่องการบังคับให้แต่งงาน แต่ว่าตอนนั้น
เซี่ยงไป๋อิ่งบาดเจ็บอยู่ ไป๋หู่ช่วยเฉาเหว่ยปกปิด เซี่ยง
ไป๋อิ่งก็เลยไม่ได้ถามต่อ
คิดไม่ถึงเลยวันนี้จะได้มาพบกับเฉาเหวย
ฉีหนิงยังจำได้ว่า เฉาเหวยเป็นศิษย์โดยตรงของไป๋หู่
เป็นหัวหน้าสาขาจุยหั่วโหวที่ไป๋หู่เป็นคนผลักดัน มี
ความเกี่ยวข้องกับไป๋หู่มาก
“ไม่ใช่มั้ง?” มีคนสงสัยแล้วพูดว่า “เจ้าสำนักเฉียว
เฉาเหวยเป็นหัวหน้าสาขาของพรรคกระยาจก แต่ว่า
การแต่งตัวเมื่อกี้ ไม่เห็นเหมือนศิษย์ของพรรค
กระยาจก เขาควักเงินทีก็สิบตำลึงเลยนะ เหมือนคน
รวยคนหนึ่ง ไม่เหมือนขอทานเลย”
อีกคนก็พูดว่า “จริงด้วย หากเจ้าคนแซ่เฉานัน่ เป็น
คนของพรรคกระยาจกจริง เขาทำไมถึงกล้าลวนลาม
ผู้หญิงกลางวันแสก ๆ แบบนี้ ข้าได้ยินมาว่าเจ้า
สำนักเซี่ยงเข้มงวดเรื่องกฎเกณฑ์มาก”
“ท่านประมุขเซี่ยง?” เจ้าสำนักเฉียวทำท่าทาง
เหมือนมีเรื่องใหญ่อะไร “ท่านประมุขเซี่ยงถูกคน
ลอบสังหาร อย่าบอกว่าพวกเจ้าไม่รู้ งานชุมนุมชิงมู่
ในครั้งนี้ พรรคกระยาจกจะทำการเลือกประมุข
พรรคคนใหม่ พวกเจ้าอาจจะไม่รู้ เฉาเหวยเป็นศิษย์
สายตรงของผู้อาวุโสไป๋หู่ เท่าที่ข้ารู้มา เขาเป็นคนบ้า
ตัณหา นิสัยโอหังอวดดี ตอนที่ท่านประมุขเซีย่ งยังมี
ชีวิตอยู่ เฉาเหวยอาศัยที่ผู้อาวุโสคอยปกป้อง เลยไม่
กลัวอะไรเลย ตอนนี้ท่านประมุขเซีย่ งไม่อยู่แล้ว ยังมี
ใครกล้าหาเรื่องเขาอีกล่ะ?”
คนนข้าง ๆ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ได้ยินมาว่า
การคัดเลือกประมุขพรรคคนใหม่ในครั้งนี้ ผู้อาวุโสไป๋
หู่นั่นเหมือนจะได้ตำแหน่งแน่นอน เขามี
ประสบการณ์มากที่สุดของพรรคกระยาจก หากไม่มี
ผิดพลาด ผู้อาวุโสไป๋หู่ก็จะเป็นประมุขพรรค
กระยาจกคนต่อไป เฉาเหวยเป็นศิษย์สายตรงของผู้
อาวุโสไป๋หู่ ก็ไม่แน่ว่าถ้าผู้อาวุโสลงจากตำแหน่งแล้ว
เฉาเหวยอาจเป็นประมุขพรรคกระยาจกคนต่อไปก็
ได้”
“เจ้าสำนักเฉียว ท่านรู้จักเฉาเหวยได้ยังไงกัน?” มี
คนถามขึ้นมาว่า “อย่าบอกนะว่าท่านไปมาหาสู่กับ
เขา?”
เจ้าสำนักเฉียวยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ามีเพื่อนอยู่ทซี่ ีชวน
หลายคน ปีก่อนข้าไปเยี่ยมพวกเขามา บังเอิญไป
ตอนที่คุณหนูตระกูลฮานออกเรือนพอดี ก็เลยแวะไป
ดื่มเหล้ามงคลด้วย ข้าเห็นมากับตา คนที่ไปรับตัว
เจ้าสาวก็คือหัวหน้าสาขาเฉา หัวหน้าสาขาเฉาปกติ
ไม่ชอบใส่เสื้อผ้าขาด ๆ ดังนั้นบางครั้งที่เจอ ก็ดูไม่
ออกว่าเป็นคนของพรรคกระยาจก”
มีคนถอนหายใจแล้วพูดว่า “พรรคกระยาจกเป็น
พรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า หลายสิบปีที่ผ่านมา ก็
เป็นผู้นำของแปดพรรคสิบหกสำนัก ข้าได้ยินมาว่า
กฎของพรรคเข้มงวดมาก ท่านประมุขเซี่ยงเองก็เป็น
ผู้ที่คนเคารพนับถือ แต่ว่าพอประมุขเซี่ยงจากไป
พรรคกระยาจกเหมือนจะตกอยู่สถานการณ์ที่
ลำบาก”
“ชู่” มีคนยกมือห้าม แล้วมองไปรอบ ๆ บนถนนมี
ขอทานเดินกระจัดกระจายอยู่มากมาย คนนัน้ พูดว่า
“ระวังคนของพรรคกระยาจกมาได้ยินเข้า ตอนนีเ้ รา
อยู่ในพื้นที่เซียงหยางเป็นถิ่นของพรรคกระยาจกนะ
ทำอะไรระวังให้ดี หากมีเรื่องกับพรรคกระยาจก
ขึ้นมา จุดจบเราไม่สวยแน่”
เจ้าสำนักเฉียวมองไปในร้านชา เห็นเป่ยถังเฟิงกับ
ชายแก่กำลังพูดอะไรกันอยู่ เขาก็พดู ว่า “พวกเจ้ารู้
ไหมว่าหนุ่มคนนั้นเป็นใครกัน?”
ทุกคนส่ายหัว มีคนพูดขึ้นมาว่า “ก็ไม่รู้ว่าเป็นใครมา
จากไหน ออกมาข้างนอก จะออกนอกไปเรื่อยไม่ได้
หนุ่มคนนั้นยืน่ มือเข้าช่วย ถือว่าหาเรื่องพรรค
กระยาจกไปแล้ว คิดว่าตัวเขาเองก็ไม่น่าจะรู้ตัว”
“เฉาเหวยไม่ใช่คนที่ควรจะมีเรื่องด้วย” เจ้าสำนัก
เฉียวพูดว่า “เรื่องนี้ไม่จบแค่นแี้ น่นอนเฉาเหวยถูกห
นุ่งนั่นด่าต่อหน้าคนหลายคน แม้แต่คนทั่วไปยังไม่
ยอมเลิกราง่าย ๆ เลย แล้วเฉาเหวยเป็นใครกัน?”
เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าเกรงว่าหนุ่มนั่นอาจจะ
ออกจากเมืองเซียงหยางไม่ได้อีกแล้ว”
คนอื่นเองก็พยักหน้า สายตาที่พวกเขามองไปที่เป่ย
ถังเฟิงมันไม่ต่างอะไรกับคนตายเลย
คนพวกนีเ้ ป็นคนทีท่ ่องยุทธภพมานาน ต่อให้รู้ก็ไม่
พูดอะไรมาก ต่างคนต่างไป ฉีหนิงหันไปถามเหมากู
เอ๋อร์แบบกระซิบว่า “เจ้าเคยได้ยนิ ชื่อเฉาเหวย
ไหม?”
เหมากูเอ๋อร์ยพยักหน้าแล้วพูดว่า “พรรคกระยาจกมี
ทั้งหมดยี่สิบแปดสาขา หัวหน้าของทุกสาขาข้ารู้จัก
หมด แต่ว่าไม่ได้เคยเจอหน้าทุกคน เราอยู่แต่ทางทิศ
ตะวันออก เจ็ดสาขาที่อยู่ในการดูแลของไป๋หู่อยู่ใน
พื้นที่หยุนกุย้ ชวน ปกติแล้วเราไม่ค่อยจะไปมาหาสู่
กันเท่าไหร่ มีเพียงในงานชุมนุมชิงมู่ที่จัดขึ้นสามปี
ครั้ง จะได้เจอสักครั้ง ในงานชุมนุมชิงมู่เมื่อสามปี
ก่อน หัวหน้าสาขาจุยหั่วโหวไม่ใช่เฉาเหวย”
ฉีหนิงพยักหน้า เขาพูดว่า “เมื่อกี้เฉาเหวยลวนลาม
แม่นางคนนัน้ ต่อหน้าคนมากมาย พรรคกระยาจกมี
กฎในเรื่องนี้ไหม?”
“มี” เหมากูเอ๋อร์รีบพูดว่า “รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ลบ
หลู่เกียรติสตรี ถือเป็นโทษหนักของพรรค แต่ว่าเจ็บ
สาขาชิงหลงของเรายุ่งเรื่องทางนี้ไม่ได้ เขาเป็น
หัวหน้าสาขา อยู่ในการดูแลของเจ็ดสาขาของไป๋หู่
หากทำผิดกฎพรรค ต้องหอลงทัณฑ์เป็นคนสั่ง
ลงโทษ” เขาพูดว่า “แต่ว่าหอลงทัณฑ์เจ็ดสาขาทาง
ตะวันตกเป็นคนของไป๋หู่ทั้งนั้น จะลงโทษยังไง ก็ยัง
ต้องให้ไป๋หู่เป็นคนสั่ง”
“สั่งให้คนตามเฉาเหวยไปคนหนึ่ง” ฉีหนิงสั่งว่า
“อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น จับตาดูเอาไว้ก็พอ ดูสิว่า
พวกเขาอยู่ในเมือง พักที่ไหน สืบมาให้ได้ แล้วมา
รายงานข้าทันที”
เหมากูเอ๋อร์เห็นคำสั่งของฉีหนิงเหมือนชีวิตตัวเอง
เขาหันหลังไป แล้วสั่งกับคนด้านหลัง จากนั้นพวก
เขาก็ไปตามทางที่เฉาเหวยไป
ฉีหนิงหันไปมองด้านใน เห็นชายแก่กับแม่นางคนนั้น
กำลังเก็บของ เป่ยถังเฟิงเองก็กำลังเก็บของ หั่วเสิน
จวินยืนอยู่ไม่ไกล สีหน้าดูเคร่งเครียดมาก เขาขมวด
คิ้ว ดูไปแล้วอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 670 แก้แค้น
ฉีหนิงเห็นสีหน้าของหั่วเสินจวิน เขาก็รู้ทันที หั่วเสิน
จวินเหมือนจะไม่พอใจสิ่งทีเ่ ป่ยถังเฟิงทำในวันนี้
ไม่ว่าเป่ยถังเฟิงจะมาเมืองเซียงหยางเพื่ออะไร แต่
ยังไงเขาก็เป็นองค์ชายของเป่ยฮั่น ควรจะทำอะไร
เงียบ ๆ อย่าว่าแต่การทะเลาะกันในตลาดเลย ต่อให้
เจอเรื่องใหญ่กว่านี้ เขาก็ไม่ควรทำอะไร
แต่เป่ยถังเฟิงกลับไม่สำรวจการกระทำ เข้าไปยุง่ เรื่อง
คนอื่น ไม่ว่าจะเพื่อเป้าหมาอะไรก็ตาม แต่มันเป็น
การกระทำที่โง่มาก หั่วเสินจวินไม่พอใจ แต่เพราะ
เขาเป็นบ่าว เลยไม่กล้าพูดอะไร
พอเก็บของเรียบร้อยแล้ว ชายแก่ก็เดินไปบอก
เจ้าของร้านชา นีเ่ ป็นความร่วมมือระหว่างร้านชากับ
คณะกายกรรม ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ คนขาย
ศิลปะวิชาถึงจะมีที่ลงหลักปักฐาน ส่วนร้านชาเองก็
ได้ลูกค้ามากขึ้น ไม่มีใครเสียเปรียบ
นอกจากหั่วเสินจวินแล้ว เป่ยถังเฟิงยังมีผู้ติดตามมา
อีกสองคน หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว เป่ยถังเฟิง
ก็สั่งให้อีกสองคนพาชายแก่กบั ศิษย์ของเขาออกไป
จากร้าน เมื่อกี้ฉีหนิงมัวแต่สังเกตพวกที่คุยเรื่องเฉา
เหวย เลยไม่ได้ฟังว่าเป่ยถังเฟิงคุยอะไรกับชายแก่
เห็นชายแก่ยอมตามเป่ยถังเฟิงไป ฉีหนิงก็คิดว่าชาย
แก่นี่ก็ไม่ได้ไม่มีที่ไป โชคลาภยังดีอยู่
ฉีหนิงเห็นเป่ยถังเฟิงไปแล้ว เขาก็ไม่สนใจอะไร ตาม
ไปทันที เหมากูเอ๋อร์กับขอทานอีกคนมองหน้ากัน
แล้วก็ตามไปทันที
คนบนถนนเดินไปเดินมามากมาย หลายวันมานี่มี
ขอทานเดินอยู่ในเมืองเซียงหยางไม่ใช่เรื่องแปลก
ดังนั้นสามคนนั้นเดินตามหลังไป เลยไม่มีใครสังเกต
เมื่อเดินมาได้ระยะหนึ่ง ฉีหนิงก็พบว่ามีคนตามเป่ย
ถังเฟิงเหมือนกัน คนนั้นสวมเสื้อสีเทาหยาบและขาด
สวมหมวกปิดหน้า เดินห่างจากเป่ยถังเฟิงประมาณ
เจ็ดแปดก้าว หากไม่สังเกตดีดี ก็ไม่ทันเห็น แต่ว่าฉี
หนิงจับตาอย่างละเอียด เขาพบว่าขอทานชุดเทานั่น
กำลังตามประกบเป่ยถังเฟิงอยู่ เขาตกใจมาก แอบ
คิดในใจว่าที่แท้ก็ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่กำลังตาม
ประกบเป่ยถังเฟิงอยู่
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกถึงเรื่องทีเ่ ป่ยถังเฟิงทะเลาะกับ
เฉาเหวยเมื่อกี้ แอบคิดในใจว่าขอทานชุดเทานี่อาจ
เป็นคนทีเ่ ฉาเหวยส่งมาก็ได้
เขาตั้งใจเดินให้ห่างออกมา ไม่เข้าไปใกล้า แต่ก็ยังให้
เป่ยถังเฟิงอยู่ในสายตาของเขา เดินผ่านถนนไปสอง
เส้น เลี้ยวเข้าซอยไปอีก ทีน่ ี่คึกคักน้อยกว่าถนนใหญ่
มาก แต่ก็ยังมีคนเดินไปเดินมาอยู่
หั่วเสินจวินมองไปรอบ ๆ ถึงแม้วรยุทธ์ของเขาจะไม่
ธรรมดา แต่ว่าเขาไม่ใช่คนที่ชำนาญการสำรวจคน
รอบ ๆ เท่าไหร่ เขาไม่รู้เลยว่ามีคนถึงสองกลุ่มกำลัง
ตามพวกเขามา
สุดท้ายเลี้ยวเข้าไปที่อีกถนนเส้นหนึง่ มีแต่บ้านเก่า
และพุพังเป็นจำนวนมาก เดินไปจนถึงปากทาง เป่ย
ถังเฟิงก็หยุด มองไปรอบ ๆ แล้วก็เคาะประตู
จากนั้นก็มีคนเดินออกมาเปิดประตู พวกเขาเดินเข้า
ไปด้านในบ้าน ฉีหนิงไม่ได้เข้าไปใกล้ เห็นขอทานชุด
เทาเองก็มองไปรอบ ๆ เหมือนกัน ถึงแม้จะเห็นพวก
ของฉีหนิง แต่เขาคิดว่าพวกของฉีหนิงกำลังยืนคุยกัน
เท่านั้น ไม่ได้สงสัยอะไร จากนัน้ ก็รบี จากไป
ฉีหนิงรอจนขอทานชุดเทาไปแล้ว ก็เดินตามทางเข้า
ไป พบว่าบ้านทั้งสองข้างทางเป็นบ้านที่ไม่ได้
ซ่อมแซม มันเก่ามาก ไม่มีร้านค้า มีแต่บ้านที่อยู่
อาศัย อีกทั้งทางก็แคบ เขาตั้งใจเดินผ่านไปบ้านหลัง
ที่เป่ยถังเฟิงเดินเข้าไป เขาเหลือบมองไปผ่านช่อง
เขาเห็นด้านในบ้านมีคนอยูป่ ระมาณห้าหกคน
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้หยุดเดิน เดินไปถึงสุดทางจากนั้นก็
เลี้ยวไปที่ถนนอีกเส้น เหมากูเอ๋อร์รสู้ ึกแปลกใจ เขา
เลยถามขึ้นมาว่า “โหว......ท่านหัวหน้าสาขา ท่าน
รู้จักเขาหรอ?”
ฉีหนิงยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก “งานชุมนุมชิงมู่จะ
เริ่มที่กู่หลงจงตอนเทีย่ ง เมืองเซียงหยางห่างจากกู่
หลงจงแค่สิบลี้เท่านัน้ เราหาโรงเตี้ยมพักกันก่อน กิน
อะไรสักหน่อย จะได้มีแรงมีกำลัง พรุ่งนี้เช้าเราค่อย
ไปที่นั่นกัน”
ฉีหนิงสั่งมาแบบนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก
หลังจากเขาเมือง ฉีหนิงก็หาโรงเตี้ยมแล้วก็พัก
หากไปเมื่อก่อน ขอทาพักโรงเตี้ยมถือว่าหาได้ยาก
แต่ว่านชุมนุมชิงมู่ที่จะเกิดขึ้น มีศิษย์พรรคกระยาจก
มากมายมารวมงาน โรงเตี้ยมในเมืองที่รับแขกที่เป็น
ขอทานมีมากจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไป
เมื่อกลับไปถึงโรงเตี้ยม คนที่ตามไปสืบเรื่องของเฉา
เหวยก็กลับมา พวกเขารายงานว่า “ท่านหัวหน้า
สาขา เฉาเหวยพักอยู่ที่นี่ หลังจากทีก่ ลับมาที่โรง
เตี้ยมแล้ว เขาก็ไม่ได้ออกไปไหน แต่ว่าคนที่ตามเขา
มาแยกกันไป เหมือนจะออกไปรวบรวมคน คืนนี้
น่าจะลงมือกับชายหนุ่มคนนัน้ แน่นอน”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เฉาเหวยนี่ไม่เอาไหนเลย จะแก้
แค้นทั้งที จะเอาคนมากมายขนาดนัน้ มาทำไม” เขา
คิดในใจว่าแสดงว่าขอทานชุดเทานั่น ก็น่าจะเป็นคน
ของเฉาเหวย เขาไปสืบที่อยูท่ ี่เป่ยถังเฟิงก่อน จากนัน้
พอฟ้ามืดแล้ว ค่อยลงมือ
ถึงแม้เฉาเหวยจะมีคนมาก อีกทัง้ โอหัว แต่เพราะอยู่
ในเมืองเซียงหยาง ทหารในเมืองมีการเดินสำรวจ
ตลอดเวลา เพื่อป้องกันเหล่าชาวยุทธ์ก่อความวุ่นวาย
จนกลายเป็นคดีอาชญากรรม
เฉาเหวยไม่กล้าลงมือช่วงกลางวัน เพราะมีคนมาก
กลัวว่าจะทำให้เรื่องไปถึงหูทางการ ลงมือช่วง
กลางคืนมันดีกว่ากลางวันมาก
หลังจากพวกเขากินข้าวเย็นกันแล้ว ฟ้าก็เริ่มมืด ฉี
หนิงสั่งให้พวกเหมากูเอ๋อร์รีบไปพักผ่อน เขาพักห้อง
คนเดียว เขาดูเวลาตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เขาอยู่ฝึก
วิชาหมัดเมาที่เซี่ยงไป๋อิ่งถ่ายทอดมาอีกรอบ เขา
ชำนาญกระบวนท่าทั้งห้ากับเคล็ดวิชาหมดแล้ว แต่
ว่ายังไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ ฉีหนิงรู้ว่านี่เป็นสุดยอด
วิชาของพรรคกระยาจก ไม่ใช่จะฝึกให้สำเร็จได้
ภายในสามถึงห้าเดือน
วิชาหมัดเมากับวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นเป็นสองสุดยอด
วิชาของพรรคกระยาจก สามารถได้เป็นสุดยอดวิชา
ของพรรคกระยาจก กระบวนท่าของวิชาหมัดเมามัน
ก็ต้องพิสดารมาก อีกทั้งเคล็ดวิชาก็ต้องไม่ธรรมดา
ไม่อย่างนั้นไม่ว่าพรรคไหนสำนักไหนก็คงเอาไปเรียน
กันได้หมด วิชาหมัดเมาจะมาเป็นสุดยอดวิชาของ
พรรคกระยาจกอีกได้ยังไง?
ฉีหนิงรู้ดีแก่ใจ เขาเรียนกระบวนท่าติดต่อกันห้าคืน
ดูเหมือนง่าย แต่ว่าเขายังไม่สามารถเข้าใจถึงจุดที่
แท้จริง นัน่ แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
มันก็เหมือนการเล่นหมากรุก ที่พอจะสามารถจับทาง
ได้ภายในวันเดียว แต่ไม่อาจจะเข้าใจได้ทั้งหมด มี
บางคนทั้งชีวิตก็ไม่เข้าใจ
การฝึกวิชาหนึ่งชุด ฉีหนิงไม่ได้รู้สึกว่าเหนื่อย แต่
กลับรู้สึกดี เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเขามี
ความสามารถในด้านนี้ เขาอาจจะมีพรสวรรค์ เขาขำ
ได้ว่ายายเฒ่าหมอเทวดาเหมียวอู๋จี๋บอกว่า เหมือน
ชีพจรของเขามันจะพิเศษ สามารถฝึกวรยุทธ์ได้ง่าย
กว่าคนทั่วไปมาก วรยุทธ์ของเขาพัฒนาไวมาก หรือ
ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้?
เขาล้างหน้าล้างตา แล้วก็ออกจากห้องไป เขาก็ไม่ได้
บอกพวกของเหมากูเอ๋อร์ เขาตรงไปที่พักของเป่ย
ถังเฟิงทันที
ฉีหนิงรู้ว่าบ้านหลังนั้นจะต้องมีเจ้าของแน่ แต่เป่ย
ถังเฟิงใช่ว่าจะไม่มีเงิน อยากจะเช่าบ้านหลังนั้นง่าย
ยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ
ในโรงเตี้ยมคนเยอะเกินไป มันไม่สะดวกและเงียบ
แบบนี้ อีกทั้งทีท่ ี่เป่ยถังเฟิงอยู่ก็เป็นบ้านเก่า ๆ ใน
เมืองเซียงหยาง ไม่มีคนมาสนใจมาก
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป่ยถังเฟิงแค่มาอาศัยชั่วคราว หรือว่า
จะมาอยู่ตลอดไป
แต่ว่าฉีหนิงรู้สึกว่าด้วยความฉลาดของเป่ยถังเฟิง
เลือกพักที่แบบนี้ไม่น่าจะใช่ความคิดเขา องค์ชาย
ร่ำรวยแบบเขากินอยู่อย่างดีมาตลอด อีกทั้งนิสัย
อย่างเขา เมื่อมาถึงเซียงหยาง ยังไงก็ต้องหาโรงเตี้ยม
จะมาอยู่บ้านพัง ๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน?
เมืองเซียงหยางเมื่อหลายวันก่อน ทางการได้ออกกฎ
อัยการศึก หลังจากฟ้ามืด ห้ามออกมาเดินตามถนน
ถ้าพบ จะถูกจับขังคุกทันที ดังนั้นในเมืองเซียงหยา
งตามถนนไม่มีคนเลย ถือว่าเงียบมาก
เพียงแต่ว่าฉีหนิงรู้ดีว่า ทางการออกคำสั่งแบบนี้มามี
ประโยชน์ไม่มาก ชาวยุทธ์อยากออกไปไหน ไม่ได้ไป
สนใจว่ามีประกาศหรือเปล่า ทุกคนเปลือกหน้าดูกลัว
ทางการ ไม่ออกไปเดินตามถนนแน่นอน
เป่ยถังเฟิงอยู่ในบ้านเก่านั่น ด้านหน้าเป็นถนนใหญ่
ด้านหลังเป็นตรอกเล็ก ๆ มืดมาก ฉีหนิงรู้ว่าด้านหน้า
จะต้องมีคนเฝ้าแน่นอน เลยแอบเขาไปทางด้านหลัง
มืด ๆ เขาเดินหน้าไปหลายก้าว ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่า
มันผิดปกติ เขาเห็นเงาแปลก ๆ หลายเงา ฉีหนิง
สะดุ้ง แอบคิดในใจว่าเป่ยถังเฟิงจัดคนมาเฝ้า
ด้านหลังด้วยอย่างนั้นหรอ
ภายในตรอกนี้มันแคบมาก ฉีหนิงเองก็ไม่คิดว่าใน
ตรอกนี้จะมีคนอยู่ คนนัน้ เหมือนจะเห็นฉีหนิง เขา
ถามเสียงเบา ๆ ว่า “ใคร?”
ฉีหนิงปฏิกิริยาไว เขาย้อนถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”
เงานั่นขยับเข้ามาใกล้ ในมือถือมีดสั้นเอาไว้ ถึงแม้ใน
ตรอกจะมืดมาก แต่ว่ามีพระจันทร์สอ่ งแสง ก็ยัง
พอจะเห็นการแต่งกายของฉีหนิง เขาก็โล่งใจ แล้ว
ถามว่า “เจ้าก็เป็นคนที่ท่านหัวหน้าสาขาส่งมาใช่
ไหม?”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้น ก็เข้าใจทันที คนตรงหน้าเขาคือ
คนของเฉาเหวย เมื่อเห็นอีกฝ่ายแต่งกายเป็นขอทาน
เหมือนกัน เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่นี่ยังมีใครอีกไหม?”
ขอทานนั่นพูดแบบไม่ค่อยพอใจว่า “ไม่มี มีข้าคน
เดียว บ้าเอ้ย ให้ข้ามาซ่อนอยู่ตรงนี้ มืดก็มืด ยังไง
ตรงนี้ก็หนีไปไม่ได้อยู่ดี”
ฉีหนิงเข้าใจแล้ว เขาถูกสั่งให้มาอยูท่ ี่ตรอดมืดตรงนี้
เพราะเฉาเหวยกังวลวว่าเป่ยถังเฟิงจะหนีมาทางนี้
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ความมีความสามารถก็ต้อง
ลำบากหน่อย ส่งเจ้ามาที่นี่ ก็แสดงว่าเจ้าเก่งกว่าคน
อื่น”
ขอทาน “อ๋อ” แล้วพูดว่า “ท่านหัวหน้าสาขาเฉา
บอกไหมว่าจะลงมือเมื่อไหร่? คนอื่นตอนนี้อยู่ที่
ไหน?”
ฉีหนิงรู้ว่าเฉาเหวยน่าจะจับตาดูที่พกั ของเป่ยถังเฟิง
ไว้ คืนนี้เขาจะมาแก้แค้น ดูจากการกระทำ ถ้าเป่ย
ถังเฟิงเป็นคนธรรมดา คืนนี้เขาซวยแน่ แต่ว่าเป่ย
ถังเฟิงยังมีหั่วเสินโหวอยู่ด้วย อีกทั้งยังมีองครักษ์อีก
หลายคน คนพวกนีน้ ่าจะเป็นคนที่หนีมาจากตงฉี
พร้อมกับเป่ยถังเฟิง
ในเมื่อเป่ยถังเฟิงมาเป็นทูต เขาก็ต้องเลือกคนที่มี
ฝีมือดี อีกทั้งมีอีกหลายคนที่เป่ยถังเฟิงคัดเลือกมา
เป็นพิเศษ หากมีการปะทะกัน ใครแพ้ใครชนะ ยังไม่
แน่
“เราเฝ้าอยู่ที่นใี่ ห้ดีก็พอ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ข้างหน้าสู้กัน มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเราอยู่แล้ว รอดู
ความเคลื่อนไหวว่าสู้กัน แสดงว่าตีกันแล้ว”
ขอทานคนนั้นพูดว่า “เจ้าพูดมาก็ถูก จะไปสนใจพวก
เขาสู้กันทำไม ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย ท่าน
หัวหน้าสาขาเฉาบอกว่าเจ้าลูกหมานั่นมีคนตัวใหญ่
คนหนึ่ง ฝีมือของเขาเหมือนจะไม่ธรรมดาเลย ถึง
เวลาบุกเข้าไปพร้อมกัน ต่อให้สูงใหญ่ก็ไม่มี
ประโยชน์” เขาหันไปพูดกับฉีหนิงว่า “ข้าเฝ้ามาพัก
หนึ่งแล้ว คิดว่าคงอีกสักพักถึงจะลงมือ เมื่อคืนไม่ได้
นอนทั้งคืน รู้สึกง่วงแล้ว ข้าของีบสักหน่อยนะ ถ้าลง
มือแล้วปลุกข้าด้วย”
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้านอนของเจ้า ข้าเฝ้าให้เอง”
“เยี่ยมไปเลย” ขอทานคนนั้นยิ้ม จากนั้นก็นงั่ ลง
แล้วผิงกำแพง แล้วก็หลับไป
ฉีหนิงคิดว่ามิน่าเฉาเหวยจะพาคนมามาก สายตา
ของเฉาเหวยก็แหลมคมไม่เบา วันนีท้ ี่ร้านชาเขาก็ดู
ออกแล้วว่าหั่วเสินจวินไม่ธรรมดา ดังนั้นเลยคิด
อยากจะใช้คนมากเพื่อเอาชนะ
เขาจำได้ว่าเป่ยถังเฟิงพักอยู่ทปี่ ากซอย หาได้ง่าย
มาก เขาเลยคลำเดินไป เดินไปได้สักพัก ก็เจอปาก
ทาง เขาเห็นมีแสงไฟ ก็ขยับเข้าไปใกล้ เมื่อมาถึง
หน้าต่าง ก็ได้ยินเสียง
เสียงนั้นไม่ได้ดังมาก แต่ฉีหนิงดี ได้ยินชัดเจนมาก
มันเป็นเสียงผู้หญิงคนหนึ่งลอยมาว่า “อาจารย์
เส้นทางเป็นร้อยลี้เลยนะ เดินทางก็ยาก ท่านจะพา
พวกเขาไปจริง ๆ หรอ?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 671 ตกยาก
ชายแก่พูดว่า “เจ้าเด็กโง่ นั่นมันเงินห้าร้อยตำลึง
เชียวนะ เจ้าดูใบไม้ทองคำพวกนี่สิ มันมีราคาแค่ไหน
เราแค่พาพวกเขาไปถึงฮั่นจง เงินห้าร้อยตำลึงก็มาอยู่
ในมือแล้ว เราสองคนสิบชาติก็หาไม่ได้นะ”
แม่นางคนนัน้ ไม่ได้พูดดีด้วย “ท่านก็ชอบแค่ทอง ข้า
แค่กลัวว่าท่านมีชีวิตรับทองคำมาได้ แต่ไม่มีชีวิตได้
ใช้”
“เจ้าเด็กบ้า พูดเหลวไหลอะไรกัน” ชายแก่ด่าว่า
“อาจารย์ขึ้นเหนือล่องใต้มากว่าสิบปี สายตาข้าจะ
ด้อยไปกว่าเจ้าหรือยังไง? เจ้าดูคุณชายคนนัน้ สิ ไม่ว่า
จะมองยังไงก็ดูเป็นชนชัน้ สูง อาจารย์ทำอาชีพนี้มา
หลายปี ไม่มีทางมองผิด เงินห้าร้อยตำลึงทองสำหรับ
คุณชายคนนั้นแล้ว มันเรื่องเล็กน้อย”
แม่นางคนนัน้ ค้อนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ชายแก่ยิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ เราแค่นำทางไป วันนี้
คุณชายเฟิงอะไรนั่นก็ยื่นมือมาช่วยเรา นิสัยยังไงเรา
ก็เห็นอยู่ เราถือว่าตอบแทนเขา นำทางให้เขาก็ไม่ใช่
เรื่องใหญ่อะไร”
ทั้งคู่คยุ กันเบามาก หากไม่ใช่เพราะกำลังภายในของ
ฉีหนิงแข็งแกร่ง คงไม่ได้เย็น แต่ถึงจะอย่างนัน้ ทั้งคู่
คุยอะไรกัน ฉีหนิงใช่ว่าจะได้ยินชัด แต่ว่าความหมาย
คร่าว ๆ ก็พอฟังเข้าใจ
“อาจารย์ ท่านว่าเขาเป็นคุณชายตระกูลผู้ดี แล้วเขา
เป็นใครมาจากไหนกัน?” แม่นางคนนั้นฉลาดมาก
นางพูดว่า “หากเขาเป็นขุนนางชนชัน้ สูงจริง คงมีคน
มากมายอยากจะนำทางให้เขา ทำไมเขาต้องให้เรา
พาไปด้วย?”
“เอ่อ......” ชายแก่รู้สึกว่าแปลก ๆ ขึ้นมาทันที เขา
พูดเสียงเบาว่า “อาจเป็นไปได้ว่าเขามีอะไรที่ไม่ค่อย
สะดวก รู้สึกว่าเราเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่ว
คุ้นเคยเส้นทางดี เลยมาหาเรา ข้าว่า เจ้าก็อย่ามี
ปัญหาให้มากเลย รอเราได้ทองคำมาแล้ว เราสองคน
ก็ไม่ต้องเดินทางไปไหนต่อไหนอีก อาจารย์จะซือ้
บ้านสักหลังเกษียณอายุ จากนั้นก็เตรียมสินสมรสให้
เจ้าก้อนใหญ่ หาคนดีดีให้เจ้าแต่งงาน”
ฉีหนิงแอบถอนหายใจเบา ๆ ตอนนีเ้ ขารู้แล้วว่าทำไม
สองคนนี้ถึงได้ติดตามเป่ยถังเฟิง
เป่ยถังเฟิงใช้ทองคำหลอกล่อชายแก่ เงินห้าร้อย
ตำลึงทอง อย่าว่าแต่คนขายศิลปะเลย แม้แต่ขุนนาง
ทั่วไป ก็อาจจะทำทุกอย่างได้เพราะเงินนี้
ฟังจากความหมายของชายแก่ พวกเป่ยถังเฟิง
ต้องการไปที่ฮั่นจง แต่เขาไม่รู้ทาง เลยต้องหาคนมา
นำทาง
เพียงแต่พวกเขาจะไปฮั่นจงทำไมกัน?
เขาทำแบบนี้จะต้องมีสาเหตุ เขาไม่ได้สนใจเนื้อหา
ของสองอาจารย์นี่ เขาเห็นห่างตรงนี้ไปอีกเจ็ดแปด
ก้าวมีไฟสว่างอยู่ เขาค่อย ๆ เดินเรียบหน้าต่างไป
เขารู้สึกว่าภายในมันเงียบผิดปกติ ฉีหนิงรออยู่ครู่
หนึ่ง เขายื่นนิ้วไปจิ้มกระดาษบนหน้าต่าง แล้วมอง
รอดหน้าต่างเข้าไปด้านใน
ภายในห้องเก่ามาก บนโต๊ะมีตะเกียงอยู่ มีคนใส่เสื้อ
คลุมยืนมือไขว้หลัง เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง เหมือน
จะไม่ค่อยสบายใจ ฉีหนิงจำได้ทันทีว่า เขาคือเป่ย
ถังอวี้ คิดในใจว่าเป่ยถังอวี้อยู่กบั เป่ยถังเฟิงจริง ๆ
ด้วย
เป่ยถังอวี้เดินไปมากว่าสิบรอบ ท่าทางของเขาดูร้อน
ใจ เขานั่งลงที่เก้าอี้ครู่หนึ่ง แล้วก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นมา
เดินอีก
ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “เสด็จอา ท่าน
หลับหรือยัง?” มันเป็นเสียงของเป่ยถังเฟิง
ฉีหนิงเห็นเป่ยถังอวี้รบี เดินไปที่ริมเตียง จากนัน้ ก็นั่ง
ลง แล้วดึงผ้าห่มบาง ๆ มาคลุม อากาศที่เซียงหยา
งสูงมาก กลางคืนไม่ต้องห่มผ้าก็ได้ ฉีหนิงเห็นเขาทำ
แบบนี้ มันแปลกมาก จากนั้นเป่ยถังอวี้พูดอย่างไร้
เรี่ยวแรงว่า “ยังไม่หลับ”
ประตูห้องถูกเปิดออก ฉีหนิงเห็นเป่ยถังเฟิงกลับเข้า
ห้องมา ในมือยกชามมาหนึ่งใบ แล้วเดินมาที่ริมเตียง
“เสด็จอา ยาต้มเสร็จแล้ว ท่านดื่มยาก่อนนะ”
เป่ยถังอวี้ยกมือบอกปัด แล้วพูดว่า “ไม่ต้องหรอก
กินมาสองวันแล้ว ไม่เห็นได้เรื่องเลย เห้อ แก่แล้ว
ร่างกายไม่แข็งแรง ยาของหมอไหนก็รักษาไม่หาย
หรอก”
“เสด็จอาอย่าพูดแบบนี้” เป่ยถังเฟิงพูดว่า “เสด็จอา
ไม่หายดี เราก็ไม่รู้ต้องทำยังไงเลย ข้าไม่รู้ควรทำยังไง
ดี เสด็จอา ทรงกินยาก่อนเถอะ”
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก แอบคิดในใจว่าเป่ยถังอวี้ ดู
ท่าทางร้อนใจจริง ไม่เหมือนคนป่วย แต่พอเป่ย
ถังเฟิงมา ก็รบี ไปทีเ่ ตียง ทำตัวอ่อนแอ นี่มันเรื่อง
อะไรกัน แต่เป่ยถังอวี้ส่ายหน้า แต่ก็ยังรับชามมา
แล้วก็ตัดเข้าปากไปทีละช้อน
เป่ยถังเฟิงรับชามยามาแล้วก็วางข้าง ๆ เขาพูดว่า
“เสด็จอา คนขายศิลปะนั่นรูท้ างดี อีกทั้งเขารูท้ างลัด
หลายทาง เขาบอกว่าอย่างเร็ว ภายในยี่สิบวัน เราก็
จะไปถึงฮั่นจงได้”
เป่ยถังอี้ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าไปหาพวกเขามา
จากไหน? เชื่อถือได้หรือเปล่า?”
“เสด็จอาวางใจได้” เป่ยถังเฟิงพูดว่า “พวกเขาเป็น
คนขายศิลปะอยู่ริมทาง ข้าเห็นพวกเขาเก็บแพงแล้ว
ก็ให้คนตามพวกเขาไป รับปากจะให้ทองคำหากพวก
เขายอมช่วย พวกเขาก็เลยตกลง คนชั้นต่ำแบบนัน้
ให้ขนมหวานไป อะไรก็ยอมทำทั้งนัน้ ”
ฉีหนิงรู้สึกขำ แอบคิดในใจว่าเป่ยถังเฟิงโกหกแบบนี้
มันเอาความกังวลของตัวเองพูดออกมาจนหมเ เป่ย
ถังอวี้จะได้ด่าเขาอีกแน่นอน
หากเก็บตัว ก็พอจะอยูร่ อดปลอกดภัย ไม่มีใครจับตา
มอง แต่ตอนนี้ วีรบุรุษช่วยสาวงาม กลับการเป็นหา
เรื่องใส่ตัว
“เจ้าสี่ ทางลั่วหยางไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง” เป่ยถังอวี้
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าเราจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้
อีกแล้ว เราเสียเวลามาสองวันแล้ว หากเสียเวลาไป
อีก บัลลังก์ต้องถูกชิงไปแน่”
เป่ยถังอวี้พูดว่า “รู้อยู่แล้วว่าเจ้าห้าเจ้าหกจะต้องคิด
ไม่ซื่อ เสด็จอา ตอนนั้นเราควรเสนอให้เสด็จพ่อย้าย
พวกเขาออกจากลั่วหยางไป ดูตอนนี้สิ เจ้าสองคน
นั่นคิดจะชิงบัลลังก์ ส่งคนมาตามฆ่าเรา ไว้ข้านำ
ทหารกลับไปลั่วหยางเมื่อไหร่ ข้าจะฉีกพวกมันเป็น
ชิ้น ๆ”
“ในมือของพวกเขามีทหาร หอคอยที่ใกล้น้ำได้
พระจันทร์ก่อน” เป่ยถังอวี้พูดว่า “เจ้าต้องรีบ
เดินทางทันที รีบไปที่ด่านฮั่นจง เมื่อถึงเมืองเสียนห
ยางแล้ว ก็จะได้ให้ท่านลุงของเจ้านำทหารเสียนห
ยาง เดินทางไปไหว้ศพพ่อเจ้าที่ลั่วหยาง ราชสำนัก
ทุกคนรู้ว่าฝ่าบาทต้องการให้เจ้าขึ้นครองบัลลังก์ มี
เจ้าอยู่อีกทัง้ ทหารในมือของท่านลุงเจ้า ยังไงก็ชิง
บัลลังก์กลับมาได้”
ฉีหนิงได้ฟังถึงตรงนี้ ก็เข้าใจทันที ทีแ่ ม้เป้าหมายของ
พวกเขาไม่ใช่ฮั่นจง แต่เป็นเสียนหยาง เพียงแต่ต้อง
ผ่านด่านฮั่นจงไปเท่านั้น
ฮ่องเต้แคว้นฮั่นสวรรคต องค์ชายแย่งชิงบัลลังก์กนั
ตอนนี้ลั่วหยางกำลังลุกเป็นไฟ เป่ยถังเฟิงกลับไม่กล้า
กลับไปลั่วหยางในเวลานี้
คำพูดของพวกเขา นัน่ ก็หมายความว่าเป่ยถังเฟิงมีลุง
คนหนึ่งทีป่ ระจำการณ์อยู่ที่เมืองเสียนหยาง เป่ย
ถังเฟิงเดินทางไปเมืองเสียนหยาง ก็เพื่ออาศัยกำลัง
ทหารของลุงเขาชิงเอาบัลลังก์มาครอง
ฉีหนิงขมวดคิ้วหนักมาก แต่จากนั้นก็คลายออก ใน
เวลาแบบนีเ้ ขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเป่ยถังเฟิงถึงได้มา
ที่เมืองเซียงหยาง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เสียนหยางอยู่ทางทิศตะวันตก
เฉียงเหนือ ตอนที่เป่ยถังเฟิงอยู่ที่ตงฉี ต้องการไปที่
เสียนหยาง มีเพียงสองเส้นทางทั้งนัน้ ทางหนึ่งก็คือ
เดินทะลุเข้าไปทางแคว้นฮั่น แต่ว่าเขากำลังชิง
บัลลังก์อยู่ คิดวว่าคงมีคนเฝ้าไปตามเส้นทางต่าง ๆ
จากตงฉีไปทะลุแคว้นฮั่นไปเสียนหยาง มันอันตราย
มาก คิดว่ายังไม่ถึงกลางทาง ก็คงตายไปแล้ว
องค์ชายห้ากับองค์ชายหกแห่งเป่ยฮัน่ ในเมื่อกล้าคิด
ชิงบัลลังก์ แสดงว่าพวกเขามีกำลังอยู่ในมือ หากเป็น
คนไม่เอาไหน คงไม่มีทางมีความทะเยอทะยานแบบ
นี้
ตอนนี้สองคนนี้กำลังชิงบัลลังก์อยู่ ไม่มีทางลืมหรอ
กว่าที่ตงฉียยังมีองค์ชายสี่เป่ยถังเฟิงอยู่ พอฮ่องเต้ฮั่น
ตาย สองคนนั้นก็รีบส่งนักฆ่าไปลอบสังหารเป่ย
ถังเฟิง ก่อนอื่นพวกเขาต้องสังหารคนที่มีสิทธิได้นั่ง
บัลลังก์มากที่สุดก่อน หลังจากนั้นสองพี่น้องนั่นก็จะ
กลายเป็นใหญ่ทันที
ในเมื่อทะลุแคว้นฮั่นไปไม่ได้ ก็ต้องเลือกอีกเส้นทาง
หนึ่งนั่นก็คือแคว้นฉู่ เดินทางอ้อมทางแม่น้ำ ผ่าน
เซียงหยาง อ้อมไปฮั่นจง เดินทางไปทางเหนือข้าม
ด่านไปที่เมืองเสียนหยาง เส้นทางนีม้ ันไกลกว่ามาก
อีกทั้งรับประกันความปลอดภัยไม่ได้ด้วย แต่มันก็
ปลอดภัยกว่าทะลุผ่านแคว้นฮั่น
ฉีหนิงคิดว่านี่น่าจะเป็นแผนการของเป่ยถังอวี้ ด้วย
มันสมองของเป่ยถังเฟิง ไม่น่าจะคิดได้
เมื่อรู้ว่าเป็นแผนของเป่ยถังเฟิง ฉีหนิงก็รู้สึกว่า หาก
เป่ยถังเฟิงสามารถไปถึงเสียนหยางได้อย่างปลอดภัย
สำหรับต้าฉู่แล้ว มันก็ใช่ว่าจะเป็นเรือ่ งไม่ดี
เมื่อเป่ยถังเฟิงถึงเสียนหยาง เขาจะอาศัยทหารของ
ลุงเขาบุกเข้าลั่วหยาง ทางลั่วหยางไม่มีทางยอมให้
ทหารเสียนหยางบุกเข้าไปได้ง่าย ๆ แน่ ถึงเวลานั้น
สงครามก็จะเริ่มต้นขึ้น เมื่อเป่ยฮั่นภายในวุ่นวาย
กำลังของแคว้นก็จะอ่อยนลง มันเป็นข่าวดีของแคว้น
ฉู่
หากเป่ยถึงเฟิงทำสำเร็จ ได้บัลลังก์มาครอบครอง
ความสามารถของเขา ฉีหนิงเดาได้เลยว่าเป่ยฮั่นคง
เดินไปอย่างยากลำบากแน่นอน เมื่อไหร่ที่พลาด
แคว้นฮั่นผ่านการศึกภายในมา จะต้องย่ำแย่มาก
ฉีหนิงกลับรู้สึกว่าจะให้เป่ยถังเฟิงมาตายที่เซียงหยาง
ไม่ได้เด็ดขาด
จากนั้นก็ได้ยินเป่ยถังเฟิงพูดว่า “เสด็จอา ครั้งนี้โชค
ดีว่ามีท่าน ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่รู้ว่าควรทำยังไง
ถูกต้อง ในมือของท่านลุงมีทหารอยูห่ ลายหมื่นนาย
ถึงเวลานั้นข้านำทหารบุกลั่งหยาง ฉีกเจ้าบ้าสองคน
นั้นเป็นชิ้น ๆ เสด็จอา ไว้ข้าเป็นฮ่องเต้ได้เมื่อไหร่ ข้า
จะต้องตอบแทนท่านอย่างงามเลย”
เป่ยถังอวี้ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อเจ้ามี
เจตนาจะยกให้เจ้า ข้าก็แค่ทำตามพระสงค์ของ
พระองค์เท่านั้น”
“แต่ว่า......” เป่ยถังเฟิงลังเลแล้วพูดว่า “เสด็จอา
กลับมาล้มป่วยลง ท่านตอนนี้ดูอ่อนแรงมาก เดิน
ทางไกลแบบนี้ ท่านจะไหวหรอ?”
“ไม่ต้องสนใจข้า เรื่องใหญ่สำคัญกว่า” เป่ยถังอวี้
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้พกเจ้าออกเดินทางกัน
ได้เลย ทิ้งคนไว้ดูแลข้าคนเดียวก็พอ หลังจากที่ข้า
หายดีแล้ว จะรีบเดินทางตามไปที่หาพวกเจ้าที่
เสียนหยาง”
เป่ยถังเฟิงตะลึงไป แล้วพูดว่า “เสด็จอา ท่าน......
ท่านไม่ไปกับเราหรอ?”
“มันก็ไม่มีทางเลือก” เป่ยถังอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “จะมา
เสียเวลาเพราะข้าไม่ได้หรอกนะ เจ้าสี่ หลังจากที่อก
เดินทางแล้ว อย่าเสียเวลาระหว่างทางให้มาก อย่า
ก่อเรื่อง ทุกอย่างต้องทำอย่างเงียบที่สุด หากเจอ
เรื่องอะไรก็ต้องอดทน ไว้ถึงเสียนหยางแล้ว ทุกอย่าง
จะดีขึ้น”
เป่ยถังเฟิงเดินไปที่โต๊ะ แล้วนั่งลง เขานิ่งไป แล้วพูด
ว่า “เสด็จอา ท่านคงจะไม่ได้จะทิ้งข้าไปใช่ไหม?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 672 ฉางหลิง
เป่ยถังอวี้พูดว่า “เจ้าพูดอะไร? ข้าอายุมากแล้ว ฟัง
ไม่ค่อยชัด”
เป่ยถังเฟิงรู้ว่าตัวเขาพูดแรง อีกทั้งได้ยินเสียงเป่ย
ถังอวี้ดุ ก็รู้สึกลัว เขายิ้มแล้วพูดว่า “เสด็จอาอย่าทรง
เข้าใจผิด ข้าหมายความว่า หากอยู่ที่นี่ต่อ ข้าไม่มี
ท่านอยู่ข้างกาย ข้า......ข้าไม่ค่อยสบายใจ”
“ครั้งนี้ไปเสียนหยาง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร”
เป่ยถังอวี้พูดว่า “บททดสอบที่แท้จริงมันอยู่หลังจาก
นี้ต่างหาก” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “หากฝ่าบาทยังมี
ชีวิตอยู่ มีราชโองการ ขุนนางใหญ่น้อยก็ต้องทำตาม
แต่ว่าตอนนี้จู่ ๆ ฝ่าบาทก็ทรงสวรรคตไป ไม่ได้ทิ้ง
ราชโองการไว้ให้ ทุกคนรู้ว่าฝ่าบาทจะทรงยกบัลลังก์
ให้เจ้า แต่ฝ่าบาททรงไม่ได้ตรัสออกมา มันก็ไม่ถือว่า
เป็นทางการ”
เป่ยถังเฟิงขมวดคิ้ว ได้ยินมาว่าเป่ยถังอวี้พูดว่า “เจ้า
เองก็รู้ดีแก่ใจ เจ้าห้าเจ้าหกหลายปีทีผ่านมาไม่ได้ว่าง
เลย พวกเขาแอบติดต่อขุนนางมากมาย พวกเขามี
พรรคพวก ก่อนหน้านี้เจ้าห้าก็ไปประจำการณ์อยู่ที่
ชายแดนทางเหนือกว่าครึง่ ปีตัดหัวหัวหน้าโจรมาได้
สองคน เรื่องนีเ้ จ้ารู้หรือเปล่า”
เป่ยถังเฟิงพูดว่า “ก็แค่ไปประกาศบารมีเท่านั้น
แหละ ใครจะรู้ว่าหัวของสองคนนั่นเป็นเขาตัดมาเอง
จริงหรือเปล่า”
“แต่ว่าสิ่งที่เจ้าห้าทำ มันทำให้เหล่าทหารมองเขา
เปลี่ยนไป” เป่ยถังอวี้ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าหก
ตั้งใจเล่าเรียน มีสหายเป็นบัณฑิตมากมาย ส่วนเจ้า
ไม่ว่าจะวิชาการหรือว่าวรยุทธ์ สู้พวกเขาได้
เท่าไหร่?”
เป่ยถังเฟิงไม่พูดอะไร
“เสด็จพ่อเจ้าชอบเจ้า ก็เพราะเจ้าหน้าตาเหมือนเขา
ตอนหนุ่ม ๆ เท่านั้น” เป่ยถังอวี้พูดว่า “ตอนนี้เจ้าห้า
เจ้าหกชิงบัลลังก์ ข้างกายพวกเขามีทั้งขุนนางฝ่าย
วิชาการแล้วก็เหล่าแม่ทัพ เมื่อเจ้าไปถึงเสียนหยาง
ถึงแม้ชวีหยวนกู่ท่านลุงเจ้าจะมีทหารในมือหลาย
หมื่นคน แต่หากเขานำทหารออกจากด่านบุกเข้า
เมืองหลวง ทางลั่งหยางเองก็จะต้องยัดข้อหากบฏ
ให้กับชวีหยวนกู่ ถึงเวลานั้นเจ้าจะถอยไม่ได้อีก ต้อง
ทำให้สำเร็จเท่านัน้ จะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด”
เป่ยถังเฟิงพูดว่า “ทหารของท่านลุงร้ายกาจทุกคน
เพียงพอที่จะบุกเข้าลั่วหยาง”
เป่ยถังอวี้พูดว่า “ท่านลุงของเจ้าเฝ้าประจำการณ์อยู่
ที่เสียนหยาง แต่ทหารของเสียนหยาง จะยินยอมฟัง
คำสั่งของเขาสู้เพื่อเจ้าทุกคนไหม? อุปกรณ์ของ
เสียนหยาง ก็สู้ลั่วหยางไม่ได้ อีกทั้งเสบียงก็ไม่ได้มี
มาก......” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจ
เป่ยถังเฟิงรีบพูดว่า “เสด็จอา ตามความหมายของ
ท่าน ข้าไม่มีโอกาสชนะเลยหรอ?”
“มันก็ไม่ใช่อย่างนั้น” เป่ยถังอวี้พูดว่า “ท่านลุงของ
เจ้าก็เป็นแม่ทัพทีเ่ ก่งมากคนหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะไม่มี
โอกาสชนะ หากเจ้าห้าเจ้าหกไม่สนใจเสียนหยาง
ยอมสู้ เจ้าก็ยังถือว่ามีโอกาสอยู่ กลัวแต่ว่า......สอง
คนนั้นน่าจะร่วมมือกันรับมือกับทหารของเสียนหยาง
ถึงเวลานั้นก็จะลำบาก”
เป่ยถังเฟิงลุกขึ้นมา แล้วก็เดินไปเดินมา เขาดูร้อนใจ
เหมือนกัน “หากแม้แต่ท่านลุงก็ทำไม่ได้ เราจะ
ลำบากเดินทางไปทีเ่ สียนหยางทำไมกัน? เสด็จอา
ความสามารถของท่านลุงข้ารู้ดี เสด็จพ่อทรงให้เขา
ไปที่เสียนหนาง ก็เพราะเขามีความสามารถ ข้าเคย
ได้ยินเสด็จพ่อพูดว่า ท่านลุงมีความสามารถมาก
เกินไป ให้เขาอยู่ที่เสียนหยางแบบนีต้ ่อไป อาจจะ
ไม่ใช่เรื่องดี”
เป่ยถังอวี้ถอนหายใจแล้วพูดว่า “น่าเสียดาย......ช่าง
เถอะ”
“เสด็จอา น่าเสียดายอะไรกัน?” เป่ยถังเฟิงรีบถาม
ว่า “จนถึงเวลสนี้แล้ว ท่านยังลังเลอะไรอีก”
เป่ยถังอวี้ลังเลแล้วพูดว่า “น่าเสียดายที่ฉางหลิงโหว
ไม่อยู่ หากเขาอยู่เขาคงช่วยได้ จะให้เจ้าขึ้น
ครองราชย์ ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามืออีก”
ฉีหนิงสะดุ้ง แอบคิดในใจว่าฉางหลิงโหวเป่ยถังชิ่ง
ตอนนั้นก็ถือเป็นขุนพลอันดับหนึ่งของเป่ยฮั่น ค่าย
กิเลนดำของแคว้นฉู่ก็สิ้นในมือของทัพเสวียหลันของ
ฉางหลิงโหว ฉางหลิงโหวหายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน
ผู้นำกองทัพแคว้นฮั่นเปลี่ยนมือ กลายเป็นคดีปริศนา
ตอนนี้พอได้ยินเป่ยถังอวี้พูดถึงฉางหลิงโหวขึ้นมา ฉี
หนิงก็ตั้งสติฟัง
เป่ยถังเฟิงนั่งลงแล้วพูดว่า “ฉางหลิงโหว? เสด็จอา
ทำไม......ท่านถึงนึกถึงเขาขึ้นมาล่ะ? เสด็จพ่อเคยพูด
ว่า ห้ามพูดชื่อคน ๆ นี้เด็ดขาด”
เป่ยถังอวี้พูดว่า “เวลามันไม่เหมือนกัน ตอนนี้แค่
อยากหาวิธีให้เจ้าได้บัลลังก์ หากใช้วิธีอะไรได้ ก็คิด
หมดนั่นแหละ”
เป่ยถังเฟิงถามว่า “ฉาง.....ฉางหลิงโหวเก่งแค่ไหนกัน
เชียว?”
“หลายปีก่อนฉางหลิงโหวถูกขนานนามว่าขุนพล
อันดับหนึ่งของต้าฮั่นของเรา นั่นเป็นเรื่องจริง” เป่ย
ถังอวี้พูดว่า “พ่อลูกตระกูลฉีแคว้นฉู่ คนพวกนัน้ เป็น
เสือเป็นหมาป่าเลยนะ หากเป็นคนอื่น ไม่มีทางสู้
พวกเขาได้เลย ยังดีที่เราต้าฮั่นมีฉางหลิงโหวอยู่
ไม่อย่างนั้น......” เขาไม่ได้พูดต่อไป
เป่ยถังเฟิงพูดว่า “ถึงแม้เขาจะร้ายกาจ แต่ว่าเขาคิด
ไม่ซื่อ ไม่อย่างนั้นเสด็จพ่อทำไมไม่ให้เราพูดถึงเขา
เลย”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา ทีจ่ ริงทีเ่ ขาไม่ให้เจ้าพูดถึงเขา
ก็ไม่ใช่เพราะเขาคิดไม่ซื่อหรอก” เป่ยถังอวี้พูดว่า
“เขาไม่เพียงคุมการทหารมานานหลายปี ทหารทุก
คนเคารพนับถือเขามาก เสด็จพ่อของเจ้ากลัวว่าจะ
กลายเป็นภัยทีหลัง” เขาหยุดไป ถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “เขาอาจจะไม่ได้ทะเยอทะยาน เพียงแต่ลูกน้อง
ของเขาเองอาจจะมีความทะเยอทะยาน จะไม่
ป้องกันไม่ได้”
เป่ยถังเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง หรือว่า
เสด็จพ่อ......จริงสิ เสด็จอา จู่ ๆ ฉางหลิงโหวหายตัว
ไป เขายังมีชีวิตอยู่ไหม?”
เป่ยถังอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าอยากจะได้ยินว่าเขายังมี
ชีวิตอยู่ หากเขายื่นมือมาช่วยได้ เราก็ไม่ต้องกังวล
เรื่องอะไรอีก”
เป่ยถังเฟิงพูดว่า “หากปักธงชื่อของเขา เกรงว่าไม่มี
ใครกล้าเป็นศัตรูของเขา” เขาคิดไปครู่หนึ่งแล้วพูด
ว่า “แต่ว่าต่อให้เขายังมีชีวิตอยู่ เราก็ไม่รู้ว่าตอนนี้
เขาอยู่ที่ไหน ต่อให้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เราก็ไม่แน่ใจว่า
เขาจะช่วยเราหรือเปล่า?”
“ก็ต้องดูว่าเราปฏิบัติกับเขายังไง หากเจ้ามีเมตตากับ
เขา ไม่แน่เขาก็อาจจะช่วย” เป่ยถังอวี้พูดว่า “อีกทั้ง
ในบรรดาองค์ชาย ฉางหลิงโหวชื่นชมตัวเจ้ามากที่สุด
ข้าเคยพูดเรื่องของเหล่าองค์ชายกับฉางหลิงโหว เขา
ชื่นชมเจ้ามาก เขาบกว่านิสัยของเจ้าเหมาะครอง
แผ่นดิน เป็นคนทีป่ กป้องแคว้นได้”
ฉีหนิงได้ยินทุกคำ เขาเกือบจะหัวเราะออกมา แต่ว่า
เขาแอบสงสัยว่า ถ้าฉางหลิงโหวยังอยู่ ทำไมถึงได้
หายตัวไป เป่ยถังอวี้ทำไมถึงพูดถึงเขาขึ้นมา แล้วเป่ย
ถังเฟิงไปขอให้เขาช่วย?
เป่ยถังเฟิงได้ยินเป่ยถังอวีพ้ ูดแบบนี้ เขาก็ดีใจมาก
เขาถามว่า “ฉางหลิงโหว.......ฉางหลิงโหวพูดแบบนี้
จริงหรอ?”
“จริง” เป่ยถังอวี้พยักหน้าแล้วพูดว่า “เขายังบอกอีก
ว่า ถึงแม้เจ้าจะเป็นคนที่สี่ แต่องค์ชายอีกสามคนเกิด
จากพระสนม ในบรรดาลูกชาย เจ้าไม่เพียงเป็นลูก
เมียแต่ง อีกทั้งยังโตสุด ไม่ว่ายังไง บัลลังก์ก็ต้องเป็น
ของเจ้า”
เป่ยถังเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉางหลิงโหวสมแล้วที่เป็น
ขุนพลอันดับหนึ่งของเป่ยฮั่น สายตาไม่เลว”
“เดิมบัลลังก์นี้มันก็เป็นของเจ้าอยู่แล้ว หากเจ้ามี
เมตตากับเขา เขาก็น่าจะพยายามอย่างเต็มที่ในการ
ช่วยเจ้าให้ขึ้นครองบัลลังก์แน่” เป่ยถังอวี้พูดว่า “มี
ฉางหลิงโหว ก็เหมือนมีทหารแสนนาย”
เป่ยถังอวี้ดูตื่นเต้นขึ้นมา แต่ว่าหลังจากนั้นก็ขมวดคิ้ว
“เสด็จอา ฉางหลิงโหวเจออะไรมาก็มาก ข้าจะไปมี
เมตตาเรื่องอะไรกับเขา? คนอย่างเขา ต่อให้มีทองคำ
กว่าหมื่นตำลึงก็คงไม่สนใจ”
เป่ยถังอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ทองคำสาวงามเป็นของ
ทั่วไป เขาไม่สนใจหรอก แต่ว่ามีของอย่างหนึ่ง ที่
ตอนนี้เขายังไม่มี หากเขาได้ของสิ่งนี้ไป มันมี
ประโยชน์มาก”
ฉีหนิงรู้สึกอยากรู้มาก เขาแอบคิดในใจว่าบนโลกนี้มี
ของอะไรที่ทำให้ฉางหลิงโหวหวั่นไหวได้ แต่ในเวลานี้
เอง ก็ได้ยินคนตะโกนว่า “ใคร?”
สองอาหลานที่อยู่ในห้องตกใจมาก จากนั้นก็ได้ยิน
คนพูดว่า “คุณชาย มีคนบุกเข้ามา”
ฉีหนิงถึงกับสะดุ้ง เขารู้ว่าน่าจะเป็นเฉาเหวยพาคน
มา เขาหลบไปตรงกำแพง จากนัน้ ก็หยิบมีดสั้นของ
เขาออกมา แล้วแทงไปที่กำแพง จากนั้นก็ออกแรง
แล้วดันตัวเองไปบนหลังคา
ในยุคนีบ้ ้านช่องไม่ได้สูงมาก หลังจากที่ฉีหนิงมีกำลัง
ภายในแล้ว การปีนหลังคากำแพง ไม่ต้องออกแรง
มากเลย
เขาขึ้นไปบนหลังคา จากนัน้ ก็นั่งยองลง ค่อย ๆ เดิน
ไปด้านหน้า ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกน
ในบ้านดังขึ้น เขาก้มมองลงไป เห็นประตูบ้านถูกถีบ
ออก มีขอทานกว่าสิบคนบุกเข้ามา เป่ยถังเฟิงออก
จากห้องไป หั่วเสินจวินกับอีกห้าหกคนตามเป่ย
ถังเฟิงไป เพื่อไปเผชิญหน้ากับพวกขอทาน
มีคนค่อย ๆ เดินเข้ามาในบ้าน เขายืนเอามือไขว้หลัง
เขาคือหัวหน้าสาขาจุยหั่วโหวเฉาเหวย หลังจากเข้า
มาแล้ว ก็จ้องไปที่เป่ยถังเฟิง เขายิ้มแล้วพูดว่า
“คุณชายท่านนี้ เราได้เจอกันอีกแล้วนะ วันนี้ในร้าน
ชา ท่านดูองอาจมากเลย ข้านับถือคนอย่างท่านมาก
คืนนี้เลยเยีย่ มเยียน”
เป่ยถังเฟิงให้ขอทานแต่ละคนท่าทางไม่เป็นมิตรเลย
“พวกท่านคิดจะทำอะไร? ถึงกล้าบุกเข้ามา.....มาถึง
ที่พักของข้า อยากตายหรือไง?”
“อารมณ์ร้อนซะด้วย” เฉาเหวยยกนิ้วมือ ยิ้มแล้วพูด
ว่า “เยี่ยมมาก วันนี้ที่ร้านชาเจ้าก็องอาจมากพอแล้ว
เราจะไม่ยอมให้คนได้เปรียบหรอก” เขาเดินขึ้นหน้า
มาสองก้าว แล้วพูดว่า “วันนี้เจ้าไม่ได้ไว้หน้าข้า คืนนี้
ข้าก็จะต้องเอาเกียรติของข้าคืนมา”
เป่ยถังเฟิงมองไปรอบ ๆ มีแต่ขอทาน อีกทั้งเขาก็มี
มือดีอยู่ เขาเลยไม่ได้กลัวอะไร เขาพูดว่า “จะมาเอา
เกียรติกลับไป ก็ต้องคิดดูก่อนว่ามีปัญหาไหม”
เฉาเหวยยิ้มแล้วพูดว่า “พูดได้ดี” เขามองไปที่หั่ว
เสินจวิน แล้วพูดว่า “เราก็ต้องมาอย่างมารยาทก่อน
การใช้กำลัง แล้วค่อยมาคิดก็ไม่สาย น้องชาย บอก
ชื่อของเจ้าให้เรารู้ก่อนดีไหม?”
เป่ยถังเฟิงไม่ได้พูดอะไร หั่วเสินจวินกลับพูดขึ้นมาว่า
“คนของพรรคกระยาจกใช้คนมากรังแกคนน้อย
หรอกหรอ? วันนี้ที่ร้านน้ำชาเจ้าลวนลามแม่นางคน
นั้น คุณชายของข้าไปพบเขาแค่ออกหน้าทวงความ
ยุติธรรมให้ เหมือนว่าเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิด พรรค
กระยาจกจัดงานชุมนุมชิงมู่ที่เมืองเซียงหยาง หาก
ท่านรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่พอใจ เราตาม
พวกท่านไปทีง่ านชุมนุมชิงมุ่ได้นะ แล้วจะได้ชี้แจงต่อ
หน้าเหล่าผู้อาวุโสของพรรคได้ชัดเจนไปเลย”
“ลวนลามหญิงสาว?” เฉาเหวยหน้านิ่ง “เจ้าบอกว่า
ข้ารังแกลวนลามหญิงสาวชาวบ้าน? มีหลักฐาน
พยานอยู่ไหน?” เขากวาดสายตามองไป “พวกเจ้า
ลับ ๆ ล่อ ๆ มีเงิน แต่กลับมาอยู่ที่แบบนี้ จะต้องมี
อะไร” เขาเหมือนคิดอะไรได้ เขาพูดว่า “จริงสิ ข้ารู้
แล้ว เซียงหยางมีคนมากหน้าหลายตา มีคนคิด
อยากจะแฝงตัว อาศัยโอกาสเข้ามาสืบข่าวในแคว้นฉู่
ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าน่าจะเป็นสายของเป่ยฮั่นแน่ ๆ”
คนที่ยนื อยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นมาว่า “ถูกต้อง ท่านหัวหน้า
ข้าว่าพวกเขาลับ ๆ ล่อ ๆ จะต้องเป็นสาย ยังมี
คนขายศิลปะอีกสองคนนั่น ก็อยู่กับพวกเขาที่นี่ด้วย
จะต้องเป็นพวกเดียวกับเขาแน่ วันนี้ท่านหัวหน้าไป
หยั่งเชิงพวกเขา ว่าวางแผนอะไรกัน พวกนี้กลับพูด
ว่าเราลวนลามแม่นางคนนั้น อย่างนีย้ อมไม่ได้”
ฉีหนิงอยู่บนหลังคาได้ยินอย่างชัดเจน เขาคิดในใจว่า
ประจบได้ฉลาดมาก แต่เขารู้ดีว่า เฉาเหวยไม่ได้ดู
ออกหรอกว่าพวกของเป่ยถังเฟิงเป็นชาวเป่ยฮั่น แค่
หาเหตุผลให้ตัวเอง กลับดำเป็นขาว แค่บังเอิญไป
ตรงกับฐานะของเป่ยถังเฟิงเท่านั้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 673 ผู้คนมารวมตัวกัน
เป่ยถังเฟิงขยับตา แต่หั่วเสินจวินกลับยิ้มแล้วพูดว่า
“ถูกต้อง เราเป็นชาวเป่ยฮั่น มาเป็นสายสืบข่าวที่นี่”
เมื่อพูดแบบนี้ออกมา เป่ยถังเฟิงถึงกับขวัญกระเจิง สี
หน้าเขาเปลี่ยนไป
“ยอดเยี่ยม เป็นสายของเป่ยฮั่นจริง ๆ ด้วย” เฉา
เหวยพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็ยงิ่ ปล่อยพวกเขาไป
ไม่ได้”
หั่วเสินจวินพูดว่า “เจ้าบอกว่าเราเป็นสายของเป่ย
ฮั่น เราก็ยอมรับแล้ว เราไปแจ้งข่าวกันก่อน ให้
ทางการตัดสิน” เขาพูดต่อว่า “งานชุมนุมชิงมู่ในครั้ง
นี้ จวนเสินโหวไม่มีทางไม่สนใจแน่ คิดว่าพวกเขาก็
น่าจะส่งคนมาทีเ่ ซียงหยางด้วย เราไปหาคนของจวน
เสินโหวกันดีกว่า พวกเจ้ากล้าไหม?”
เฉาเหวยพูดว่า “ในเมื่อพวกเจ้ารู้จักจวนเสินโหว
แสดงว่าก็น่าจะเป็นคนในสายเดียวกัน ถ้าอย่างนัน้
เราก็มาใช้กฎยุทธภพตัดสินดีกว่า”
“อ๋อ?” หั่วเสินจวินถามว่า “กฎอะไร?”
เฉาเหวยยกมือชี้ไปที่เป่ยถังเฟิง แล้วพูดว่า “นี่เป็น
ความแค้นระหว่างข้ากับเขา หากมีปัญญา ก็ให้ข้ากับ
เขาสู้กันตัวต่อตัว หากเขาชนะข้าได้ ข้าจะทิ้งแขนไว้
ข้างหนึ่ง แต่ว่าหากข้าชนะ เขาจะต้องทิ้งแขนข้าง
หนึ่งเอาไว้ ยุติธรรมดีไหม?”
หั่วเสินจวินเป็นหนึง่ ในห้าเสินจวินของหอเก้านภา
สายตาของเขาร้ายกาจมาก เขากวาดสายตาไป เขารู้
ว่าวรยุทธ์ของเป่ยถังเฟิงสู้เฉาเหวยไม่ได้ ให้เป่ย
ถังเฟิงสู้กบั เฉาเหวย ก็เหมือนให้แขนเขาไปเปล่า ๆ
เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คุณชายของเราไม่ชอบต่อสู้
แต่ว่าเจ้าพูดถูก ในเมื่อต้องการจัดการความแค้น เรา
มาประลองกันก็ไม่เลวเหมือนกัน” เขาเดินขึ้นหน้าไป
สองก้าว แล้วพูดว่า “ข้าสู้กับเจ้าเอง”
ฉีหนิงมองลงมาจากหลังคา เขาคิดว่าในสถานการณ์
อันตรายขนาดนี้ หั่วเสินจวินเป็นความหวังเดียวของ
เป่ยถังเฟิง
ถึงแม้เฉาเหวยจะเป็นหัวหน้าสาขาของเฉาเหวย วร
ยุทธ์อาจจะเหนือกว่าเป่ยถังเฟิง แต่ถ้าสู้กับหั่วเสิน
จวิน มันห่างกันมากเกินไป ห้าเสินจวินของหอเก้า
นภา ไม่ได้มีแค่ชื่อแน่นอน
เฉาเหวยอยากจะสู้กับเป่ยถังเฟิง ก็เพราะเห็นว่าวร
ยุทธ์ของเป่ยถังเฟิงธรรมดา ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
แน่นอน ตอนนี้หั่วเสินจวินบอกว่าจะสู้เอง เฉาเหวยรู้
ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาพูดว่า “นี่เป็นความแค้น
ของข้ากับเขา คนอื่นไม่ต้องมายุ่ง หากเจ้าคิด
อยากจะสู้ พรรคกระยาจกมียอดฝีมือมากมาบ ข้า
แนะนำให้เจ้าได้”
หั่วเสินจวินยืดคอแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร เจ้าหาใครมา
ก็ได้ ข้าอยู่รับมือก็พอ”
เฉาเหวยหัวเราะแล้วพูดว่า “กฎเจ้าไม่มีสิทธิเป็นคน
กำหนด มีข้าเป็นกำหนด ข้าจะสู้กับเขา มันเป็นกฎ
ของยุทธภพ เจ้าคิดจะทำลายกฎหรือยังไง หรือว่า
เจ้าคิดว่าพรรคกระยาจกของเราไม่มีคนอื่นแล้วหรือ
ยังไง?”
หั่วเสินจวินกำหมัดแน่น เขาพูดว่า “พรรคกระยาจก
ใช้คนมากรังแกคนน้อย เจ้าคิดว่าเราจะกลัวหรือ
ยังไง? เขากวาดสายตามองไป เห็นสายตาของเหล่า
ขอทานต่างจ้องมาที่เขา เขาพูดว่า” ต่อให้พวกเจ้าจะ
บุกมาพร้อมกันหมด แล้วยังไง?"
เฉาเหวยเห็นหั่วเสินจวินไม่กลัวเลย เขาก็เริ่มหวั่น ๆ
แต่ว่ารอบตัวมีแต่คนของเขา อีกฝ่ายต่อให้มี
ความสามารถแค่ไหน จะเอาชนะคนจำนวนมากได้
ยังไง เขาส่งสัญญาณ ขอทานราวสิบห้าหกคนก็ถือ
อาวุธ แล้วเดินบีบเข้าหาพวกของเป่ยถังเฟิง
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงร้องดังมา เฉาเหวยสีหน้า
เปลี่ยนไป เขาหันหน้าไป แล้วสั่งว่า “ออกไปดูสิว่า
เกิดอะไรขึ้น”
คืนนี้เขามาเพื่อล้างแค้นเป่ยถังเฟิง เขาเรียกเขามา
ราวสิบกว่าคน นอกจาคนที่เขามาในบ้านพร้อมเขา
แล้ว เพื่อป้องกัน เขาสั่งให้คนเฝ้าตามจุดเอาไว้ด้วย
เกิดอะไรขึ้นมาจะได้มาแจ้งเขาได้ หากเจ้าหน้าที่
ทางการมาจะได้รีบมารายงานได้ทัน อีกอย่างก็
กันเป่ยถังเฟิงหนีไป
ตอนนี้ด้านนอกมีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ก็รู้ทัน
ทีว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ ขอทานคนหนึ่งวิ่งออกไป
หลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบลง ทันใดนั้นเองก็มีคน
ลอยเข้ามาในบ้าน คนนั้นตกหล่นลงมาบนพื้น เขา
รู้สึกเจ็บมาก ทุกคนต่างตกใจ
ฉีหนิงก้มมองลงมา เขามองทุกอย่างชัดเจนมาก เห็น
มีเงาของคนสามคนยืนอยู่หน้าประตู เมื่อมองอย่าง
ละเอียด เขาก็สะดุ้ง สามคนนั้นสวมชุดหลวงจีน สวม
หมวกเหลืองทรงสูง พนมมือ คนหน้าสุดเดินเข้ามา
ในบ้าน ฉีหนิงจำได้ เขาคือก่งจ๋าซีลามะจากแคว้นกู่
เซี่ยง
วันที่เป่ยถังอวี้อาหลานหายตัวไป พวกของก่งจ๋าซีเอง
ก็หายไปด้วย ฉีหนิงรู้สึกว่าที่พวกของก่งจ๋าซีหายตัว
ไปนั้น อาจจะเกีย่ วข้องกับเป่ยถังอวีอ้ าหลาน ตอนนี้
เห็นพวกเขาปรากฏตัว ก็รู้ว่าพวกเขาน่าจะตามเป่ย
ถังเฟิงมา
เป่ยถังเฟิงเห็นก่งจ๋าซีปรากฏตัวขึ้น เขาก็ตกใจ อดที่
จะถอยหลังไปไม่ได้
เฉาเหวยเห็นลามะสามคนปรากฏตัวขึ้น เขาก็ตกใจ
เขาเหลือบไปมองขอทานทีน่ อนดิ้นอยู่ที่พื้น เขารู้สึก
โกรธ เขาด่าก่งจ๋าซีไปว่า “เจ้าเป็นคนลงมือ?”
ก่งจ๋าซีไม่ได้สนใจเขา เขาจ้องไปที่เป่ยถังเฟิง ลามะ
สามคนเสื้อผ้าเก่ามาก อีกทั้งยังดูอ่อนล้ามาก แสดง
ว่าพวกเขาเร่งตามมาตลอดทาง พวกเขาเดินบีบเข้า
มาหาเป่ยถังเฟิง เดินผ่านเฉาเหวย เฉาเหวยเห็น
เหล่าลามะไม่สนใจเขาเลย ก็หัวเสีย “เจ้าหูหนวก
หรือยังไง? ข้าถามเจ้า เจ้าเป็นคนลงมือทำร้ายคน
ของข้าใช่ไหม?” เขายื่นมือไปจับไหล่ของก่งจ๋าซี
มือของเฉาเหวยใกล้จะโดนไหล่ของก่งจ๋าซีแล้ว ก่งจ๋า
ซีหลบ มือขวายื่นออกไป จะไปจับทีข่ ้อมือของเฉา
เหวย
เฉาเหวยหน้าถอดสี เขาคิดไม่ถึงเลยว่าลามะนี่จะ
ปฏิกิริยาไวแบบนี้ เขารีบถอยหลังไป หลบการถูกก่ง
จ๋าซีจับ เขารีบหันไปชิงเอาไม้กระบองจากขอทานคน
ข้าง ๆ มา เขาพูดด้วยความโมโหว่า “หลวงจีนบ้า
เจ้ากล้าลงมือกับข้างั้นหรอ?” เขาเอาไม้ฟาดใส่ก่งจ๋า
ซี
ก่งจ๋าซีไม่หลบ แต่กลับยื่นมือไปใส่เฉาเหวย ไม้ในมือ
ของเฉาเหวยฟาดลงบนหัวของก่งจ๋าซี หมวกของเขา
หลุดออกมา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหัวของก่งจ๋าซีจะแข็ง
ราวกับเหล็ก ก่งจ๋าซีสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ไม้นั่นกลับ
หักเป็นสองท่อน
เฉาเหวยเห็นหลวงจีนลามะแข็งแกร่งมาก เขาก็รู้สึก
ตกใจ ก่งจ๋าซีกลับไม่รอเขาคิด ถูกเขาฟาดไปหนึ่งที
เขาก็ยื่นมือไปหาเขา จากนัน้ ก็กระชากคอเสื้อของ
เฉาเหวยเอาไว้ เหล่าขอทานเห็นก่งจ๋าซีกระชากคอ
เสื้อของเฉาเหวย ก็ตกใจ แล้วก็พูดว่า “หยุดนะเจ้า
หลวงจีน”
ก่งจ๋าซีออกแรงมาก เขาเลื่อนบีบไปที่คอของเฉา
เหวย เฉาเหวยตอบโต้ไม่ได้เลย เขาหายใจไม่ออก
หน้าของเขาเริ่มแดง มือสองข้างพยายามจะจับไปที่
ข้อมือของก่งจ๋าซี คิดอยากจะให้เขาปล่อยมือ แต่
กลับทำไม่ได้
ฉีหนิงคิดในใจว่าก่งจ๋าซีกับเฉาเหวยจู่ ๆ ก็สู้กันขึ้นมา
สองคนนี้ไม่ได้มีความแค้นอะไรกัน แต่ว่าเฉาเหวย
โอหังเกินไป ไม่ถามอะไรก่อนก็ลงมือ ก่งจ๋าซีเร่ง
เดินทางตามมาลำบากมากแล้ว พวกเขาหงุดหงิด
แล้วก็โกรธมากอยู่ พระเองก็มีเวลาที่กลายเป็นสิงโต
เช่นกัน ในเวลานี้เฉาเหวยไปท้าทาย ทำให้เขาทนไม่
ไหว ระเบิดอารมณ์ออกมาหมด
เหล่าขอทานก็ขี้ขลาด ไม่กล้าบุกเข้าไปช่วย วินาทีที่
เป่ยถังเฟิงเห็นก่งจ๋าซี ก็รู้สึกตกใจกลัว ตอนนี้เขาเห็น
ก่งจ๋าซีบบี คอเฉาเหวย ก็รู้สึกว่าโชคร้ายก็ยังมีดีอยู่
เขาแอบยิ้มมุมปาก
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดในใจว่าหากก่งจ๋าซีบีบคอเฉาเหวย
จนตายขึ้นมาจริง ๆ เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ ไม่
ว่าเฉาเหวยจะเป็นยังไง แต่เขาก็เป็นหัวหน้าสาขา
ของพรรคกระยาจก หากเขาตายด้วยน้ำมือของก่งจ๋า
ซี พรรคกระยาจกไม่ยอมเลิกราแน่ ก่งจ๋าซีคิด
อยากจะออกจากเซียงหยางคงยาก
ถึงแม้ก่งจ๋าซีจะโกรธแค่ไหน แต่เขาก็ยังมีสติ เขา
ระเบิดอารมณ์บีบคอเฉาเหวย ตอนนี้เห็นลิ้นของเฉา
เหวยออกมาแล้ว เขารู้ว่าหากเขาไม่ปล่อยมือตอนนี้
เขาต้องตายแน่ เขาไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ กำลัง
จะปล่อยมือ ก็ได้ยินเสียงใส ๆ ดังขึ้นมาว่า “หยุด
เดี๋ยวนี้ คนของจวนเสินโหวอยู่ที่นี่แล้ว ใครกล้าโอหัง
อีก”
ฉีหนิงได้ยินคำว่า “จวนเสินโหว” ก็สะดุ้ง เขารู้สึกว่า
เสียงนี้มันคุน้ หูมาก เขาเอาแต่สังเกตเหตุการณ์ใน
บ้าน ไม่ได้ทันมองดูความเคลื่อนไหวด้านนอกเลย ใน
เวลานี้เขาเห็นเงาของคนสี่คนบุกเข้ามา ร่างกายดู
แข็งแกร่ง แต่ไม่ได้สวมชุดเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหว
สี่คนนั้นต่างพกดาบ เดินเข้ามาในบ้าน สามในสี่คน
ชักดาบออกมา ฉีหนิงเห็นอย่างชัดเจน อาวุธพวกนั้น
เป็นอาวุธของจวนเสินโหวจริง ๆ
แต่มีหนึ่งคนที่ไม่ได้ชักดาบออกมา สวมชุดแขนยาว
คาดสายคาดเอว สวมหมวก เดินมาด้านในบ้าน
กวาดสายตามองมา แล้วพูดว่า “ต่อสู้กันโดยพลการ
มีโทษไม่มีละเว้น ใครกันที่ก่อเรื่อง?” เสียงใสมาก
เหมือนของผู้หญิง
ฉีหนิงกระพริบตา แล้วก็ยิ้ม เขาจำได้ คน ๆ นั้น
ถึงแม้จะแต่งตัวเป็นผู้ชาย แต่ว่าดูก็รู้ว่าเป็นหญิง
แต่งตัวเป็นชาย ถึงแม้จะกดเสียงต่ำลง แต่ฉีหนิงกลับ
คุ้นเสียงมาก ไม่ใช่ซีเหมินจั้นอิงแล้วจะเป็นใคร
คืนนี้คึกคักดีจัง องค์ชายเป่ยฮั่นก็อยู่ พรรคกระยาจก
ก็มา ลามะแคว้นกู่เซี่ยงก็มา ตอนนีจ้ วนเสินโหวก็มา
ด้วย มีคนมาเยอะแยะเลย
ฉีหนิงเดาได้อยู่แล้วว่างานใหญ่อย่างงานชุมนุมชิงมู่
จวนเสินโหวไม่มีทางปล่อยไปแน่ จะต้องส่งคนมาที่
เซียงหยาง คิดไม่ถึงว่าซีเหมินจั้นอิงเองก็จะมาที่เซียง
หยางด้วย
ดูท่าซีเหมินอู๋เหิงคงอยากจะฝึกลูกสาวคนนี้จริง ๆ
ครั้งที่แล้วให้นางไปบุกเขาเชียนอูหลิงด้วย ครั้งนี้ก็
ยังให้นางมาที่งานชุมนุมชิงมู่อีก
หลังจากที่ก่งจ๋าซีใจเย็นลงแล้ว ก็เตรียมปล่อยเฉา
เหวย ตอนนี้จวนเสินโหวมา เขาก็ปล่อยทันที เฉา
เหวยโค้งตัวลง ใช้มือจับไปที่คอของตัวเอง แล้วก็ไอ
ไม่หยุด ก่งจ๋าซีเหลือบไปมองคนของจวนเสินโหว
แล้วขมวดคิ้ว ซีเหมินจั้นอิงกำลังจ้องไปที่ก่งจ๋าซี นาง
ถามว่า “พวกเจ้ามาจากทิเบตใช่ไหม? แล้วมาทำ
อะไรที่เซียงหยาง?”
ฉีหนิงสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของหั่วเสินจวิน หอ
เก้านภากับจวนเสินโหวเป็นหน่วยงานพิเศษที่
แข็งแกร่งมาในใตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายก่อตั้งมาแทบจะ
พร้อมกัน เขารู้ว่านัน่ คือคูป่ รับ หลายปีที่ผ่าน ทัง้ สอง
ฝ่ายแอบสู้กันแบบไม่ลดราวาศอก มีหลายคนที่เสีย
หายไปเพราะเรื่องนี้ หากให้อีกฝ่ายรู้ฐานะ ไม่มีทาง
รอดไปได้แน่นอน
ไม่ผิดจากที่คิดหั่วเสินจวินหลบไปอยู่ด้านหลังของ
เป่ยถังเฟิงโดยไม่ให้ใครรู้ เขาเอามือไขว้ไปข้างหลัง
หนึ่งข้าง ในมือถือดาบเอาไว้ เหมือนพร้อมลงมือ
ตลอดเวลา
คนของเป่ยถังเฟิงเองก็ต่างเตรียมพร้อมรับมือ รอแค่
คำสั่งของหั่วเสินจวินคำเดียวเท่านั้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 674 ฉลาดเจ้าแผนการ
ก่งจ๋าซีเหลือบไปมองซีเหมินจั้นอิง แต่ไม่พูดอะไร
เขาหันไปมองเป่ยถังเฟิง เห็นเป่ยถังเฟิงถูกหั่วเสิน
จวินคุ้มครองอยู่ จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินไปหาหั่วเสิน
จวิน
ซีเหมินจั้นอิงเห็นก่งจ๋าซีไม่สนใจ ก็รสู้ ึกโมโห
เจ้าหน้าที่จวนเสินโหวนคนหนึง่ เดินขึ้นมาขวางก่งจ๋า
ซีไว้ ฉีหนิงเองก็จำเขาได้ คน ๆ นี้ ได้เจอกันตอนที่
บุกขึ้นเขาเชียนอูหลิง ซีเหมินจั้นอิงเรียกเขาว่าศิษย์
พี่หลัน
ก่งจ๋าซีพนมมือ แล้วพูดว่า “อาตมาไม่อยากมีเรื่อง
แค่อยากจะเอาของ ๆ อาตมาคืนเท่านั้น โยมโปรด
หลีกทางด้วย”
ศิษย์พี่หลันเองก็มีมารยาททตอบกลับไป เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “เซียงหยางประกาศกฎอัยการศึกแล้ว อีกทั้ง
ยังห้ามต่อสู้กันอย่างเด็ดขาด พวกท่านมารวมตัวกัน
อยู่ที่นี่ เจอหน้าก็เอาหมัดเข้าหา แบบนี้หมายความ
ว่ายังไง”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “หลวงจีนอย่างพวกท่านพอเข้า
เมืองเซียงหยางมา เราก็สังเกตเห็นแล้ว เดาไว้แล้วว่า
พวกท่านต้องก่อเรื่องเข้าสักวัน ไม่ผิดจากที่คิดไว้จริง
ๆ”
ฉีหนิงถึงได้รู้ว่า พวกของก่งจ๋าซีสามคนไม่ได้ปลอม
ตัวว ไม่ว่าเดินทางไปไหน ก็สะดุดตาไปหมด
แคว้นกู่เซีย่ งอยู่ไกลถึงทิเบต หลังจากรัชสมัยก่อนล้ม
สลายไป แคว้นกู่เซีย่ งก็ไม่ได้มาเชื่อมสัมพันธไมตรีกับ
จงหยวนอีก ทั้งสองแคว้นไปมาหาสู่กันน้อยมาก ใน
ดินแดนแคว้นฉู่ เจอชาวทิเบตน้อยมาก ยิ่งไม่ต้องพูด
ถึงลามะจากทิเบต สำหรับใครหลายคน การปรากฏ
ตัวของลามะทิเบต มันถือเป็นเรื่องแปลก ทำให้
สะดุดตา
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าพวกของก่งจ๋าซีมีด้วยกันหก
เจ็ดคน แต่ววันนี้กลับมีแค่ครึ่งเดียว คนอื่นออกไป
ตามหาที่อื่นในเมือง หรือว่าไปที่อื่นที่ไม่ได้มาเซี่ยง
หยาง?
ก่งจ๋าซีแสดงชัดเจนว่าไม่อยากปะทะกับจวนเสินโหว
เขาพูดว่า “เราไม่อยากก่อเรื่อง แต่ว่าหากใครหา
เรื่องเราก่อน เราก็ไม่ยอมทนถูกหยามได้ พวกท่าน
เป็นเจ้าหน้าที่ทางการของแคว้นฉู่ เราแค่ต้องการ
ของเราคืน ก็จะกลับทิเบตทันที”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “เอาของคืน? พวกท่านจะเอา
ของอะไรคืน?”
เฉาเหวยดีขึ้น ก็รู้สึกโกรธมาก เขารีบพูดว่า “พวก
เขาเป็น......เป็นสายลับ พี่น้องจวนเสินโหวทุกท่าน ที่
เมืองเซียงหยางกำลังจะจัดงานชุมนุมชิงมู่ หลวงจีน
พวกนี้จู่ ๆ โผล่มา แสดงว่าจะต้องไม่ได้มาดีแน่
จะต้องจับพวกเขากลับไปสืบสวนให้ละเอียดนะ”
ซีเหมินจั้นอิงเหลือบไปมองเฉาเหวย แล้วพูดว่า “ใคร
เป็นพี่น้องกับเจ้า? พวกเจ้าเป็นคนของพรรค
กระยาจก?”
เฉาเหวยถึงแม้จะวรยุทธ์ไม่ได้สูง แต่ก็ท่องยุทธภพมา
หลายปี สายตาของเขาก็เฉียบคมอยูบ่ ้าง ถึงแม้ซเี ห
มินจั้นอิงจะแต่งกายเป็นชาย ตั้งใจรัดหน้าอกเอาไว้
แต่ว่าเอาสะโพกของนางใหญ่ ไม่เหมือนผู้ชาย ต่อให้
รัดเอาไว้แล้วมันก็ยังเด้งออกมาอยู่ดี
เฉาเหวยมองออกแล้วว่าซีเหมินจั้นอิงเป็นหญิง
แต่งตัวเป็นชาย แต่ในเวลาแบบนี้เขาก็ไม่กล้าเปิดเผย
เขามองไปที่หน้าของซีเหมินจั้นอิง เขารีบพูดว่า “ใช่
ข้าน้อยคือหัวหน้าสาขาของพรรคกระยาจกเฉา
เหวย”
“เฉาเหวย?” ซีเหมินจั้นอิงคิด แล้วพยักหน้าแล้วพูด
ว่า “เจ้าคือหัวหน้าสาขาจุยหั่วโหว”
ฉีหนิงเห็นท่าทางของซีเหมินจั้นอิงจริงจังมาก ก็
เหมือนกับเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบคนกระทำ
ความผิด เขาก็แอบขำ เขารู้สึกว่าซีเหมินจั้นอิงดูสง่า
งามเหมือนตำรวจหญิงเลย
นางรู้ว่าเฉาเหวยเป็นหัวหน้าสาขา แสดงว่าการมา
ที่นี่ในครั้งนี้ น่าจะศึกษามาไม่น้อย
“เฉาเหวย กลางดึกกลางดื่น พาคนมาทำอะไรที่นี่?”
ซีเหมินจั้นอิงกวาดสายตามองไป แล้วพูดว่า “พรรค
กระยาจกเป็นถึงผู้นำของแปดพรรคสิบหกสำนัก
หรือว่าพวกเจ้าคิดจะทำลายกฎ?”
เฉาเหวยเห็นซีเหมินจั้นอิงหน้าตาดี เขาหน้าหม้อมาก
เห็นซีเหมินจั้นอิงรูปร่างดี เขาก็หวั่นไหว ตอนนี้ซีเห
มินจั้นอิงเย็นชา มันทำให้เขานึกถึงกุหลาบมีหนาม
ดอกนี้เป็นคนของจวนเสินโหว เขาก็รีบพูดว่า “ไม่ใช่
อย่างนั้น เราพรรคกระยาจกเองก็มหี น้าที่ปกป้อง
แคว้น พอมาถึงเซียงหยาง ข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่าอาจจะ
มีสายลับต่างแคว้นลักลอบเข้ามา ดังนั้น......ดังนัน้
เลยสั่งให้คนจับตาดู ว่ามีพวกคนคิดไม่ซื่อโผล่มาหรือ
เปล่า”
“อ๋อ?” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “ลำบากเจ้าจริง ๆ เลย
นะ”
เฉาเหวยได้ยินนางประชด ก็ไม่กล้าเอาความ เขายก
มือชี้ไปที่หั่วเสินจวิน แล้วพูดว่า “คนพวกนั้นลับ ๆ
ล่อ ๆ ไม่ใช่คนดี เรากำลังจะมาตรวจสอบ”
ศิษย์พี่หลันยิ้มแล้วพูดว่า “หัวหน้าสาขาเฉา ท่านคิด
ว่าพวกเราเป็นคนโง่หรือยังไงกัน?”
เฉาเหวยตะลึงไป เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“หมายความว่าไง?”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าสงสัยพวกเจ้า” ศิษย์พี่หลัน
พูดว่า “เพียงแต่คืนนี้เจ้าออกมาสืบเรื่องของสายลับ
มันก็หมายความว่าเห็นเราเป็นคนโง่หรือยังไง? ถนน
รอบ ๆ นี้ถูกคนของพรรคกระยาจกปิดล้อมไว้หมด
เจ้าพาคนบุกเข้ามาที่นี่ แล้วจะให้เราเชื่อว่าเจ้ามาสืบ
เรื่องสายได้ยังไงกัน?”
เฉาเหวยพูดว่า “เรื่องนีเ้ ป็นเรื่องจริง หากพวกท่าน
ไม่เชื่อ ข้าก็ไม่รู้ต้องทำยังไงแล้ว”
“หลังจากที่ประมุขเซีย่ งตายไป คนของพรรค
กระยาจกยิ่งอยูย่ ิ่งไม่รู้จักกฎเกณฑ์” ศิษย์พี่หลันถอน
หายใจไป “หัวหน้าสาขาเฉา เจ้าบอกว่าพวกเขาเป็น
สายลับ เราก็จะต้องตรวจสอบให้ชัด แต่ว่า......คืนนี้
เจ้าจะต้องกลับไปพร้อมกับเราด้วย เจ้ามีจุดประสงค์
อะไร เราเองก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชดั ”
เฉาเหวยหน้าถอดสี เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้
คงไม่ได้ พรุ่งนี้งานชุมนุมชิงมู่จะเริ่มต้นขึ้น ข้าต้องไป
ร่วมงาน คืนนีค้ ิดว่าคงไปกับพวกท่านไม่ได้”
“เรื่องนีเ้ จ้าไม่มีสิทธิตัดสินใจ” ซีเหมินจั้นอิงจับดาบ
ที่เอวเอาไว้ “เจ้าจะไปก็ต้องไป ไม่ไปก็ต้องไป”
“อ๋อ?” เฉาเหวยถอยหลังไปหนึ่งก้าว “หรือว่าจวน
เสินโหวจะจับคน? หากจวนเสินโหวจะจับ ก็ต้องมี
หลักฐาน หรือว่าแค่เดาปากเปล่า ก็จะมาจับคนดีไป
แล้ว?” เขาชี้ไปทางหั่วเสินจวินแล้วพูดว่า “พวกเจ้า
ตรวจสอบประวัติของพวกเขาให้ดีจะดีกว่า”
ซีเหมินจั้นอิงมองไปที่หั่วเสินจวิน เห็นหั่วเสินจวิน
จ้องมาที่นาง สายตาดูดุ ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกหวิว ๆ
นางเดินขึ้นหน้าสองก้าว แล้วถามว่า “พวกเจ้ามา
จากไหนกัน?”
หั่วเสินจวินไม่ใช่คนที่เก่งในการแก้ตวั เขาขยับปาก
แต่พูดไม่ออก ในตอนนี้เอง ก็มีเสียงดังขึ้นมาว่า “เรา
ไม่ได้เป็นพรรคหรือสำนัก แค่มาเยี่ยมญาติเท่านั้น”
ระหว่างที่เสียงดังขึ้น ก็เห็นมีคนเดินออกมาจาก
ด้านหลังของเป่ยถังเฟิง ฉีหนิงเห็นชัดมาก ในเวลาที่
คับขัน เป่ยถังอวี้ก็ออกมาจนได้
“เยี่ยมเพื่อน?” ซีเหมินจั้นอิงตะลึงไป “เยี่ยมเพื่อน
อะไรกัน?”
เป่ยถังอวี้เดินขึ้นหน้าสองก้าว ยกมือคำนับคนของ
จวนเสินโหว แล้วมองไปที่ก่งจ๋าซี เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ของของไต้ซือ อยู่ในมือของเราจริง แต่ว่าของมันมี
มูลค่ามาก เราเลยเก็บเอาไว้ในที่ที่ปลอดภัย เรื่องมา
จนถึงตอนนี้ เราจะคืนให้ท่านแน่นอน”
ก่งจ๋าซีตะลึงไป เขาถามว่า “พวกท่านจะคืนให้เรา
จริงหรอ?”
“เดิมก็เป็นของท่านไต้ซืออยู่แล้ว ยังไงก็ต้องคืนให้
เจ้าของไป” เป่ยถังอวี้ยิ้ม
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าหอยไข่มุกขาวนั่นเขาได้มันไป
แล้ว ทำไมเป่ยถังอวี้ยังบอกว่าอยู่ในมือของเขาอีก?
ไม่นานเขาก็เหมือนเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
คนไม่รู้ฐานะของเป่ยถังอวี้ แต่ก่งจ๋าซีรู้ว่าพวกเขา
เป็นราชทูตของเป่ยฮั่น หากก่งจ๋าซีเปิดเผยฐานะของ
พวกเขา อาจเกิดการต่อสู้ขึ้นมาได้ ต่อให้พวกเขาฝ่า
ออกไปได้ แต่ว่าคิดจะออกจากเซียงหยางไป ไม่
น่าจะเป็นไปได้อีก
เป่ยถังอวี้บอกว่าของอยู่ในมือของพวกเขา อีกทั้งยัง
บอกอีกว่าจะคืนให้ ก็เหมือนกับเตือนก่งจ๋าซีว่า ให้
ระวังคำพูด
เพราะหากก่งจ๋าซีเปิดเผยฐานะชาวเป่ยฮั่นของพวก
เขา พวกเขาก็จะหนีไปไหนไม่ได้อีก ส่วนก่งจ๋าซีคิด
อยากจะหาหอยไข่มุกขาวคืนก็คงเป็นไปไม่ได้
เหมือนกัน
ก่งจ๋าซีเองก็ไม่ใช่คนโง่ เขาเข้าใจว่าเป่ยถังอวี้หมาย
ความว่ายังไง แต่ว่าสำหรับเขาแล้ว เรื่องที่สำคัญมาก
ที่สุดก็คือหอยไข่มุกขาว ขอแค่ได้หอยไข่มุกขาวคืน
ต่อให้เอาชีวิตของเขามาแลกเขาก็ไม่ลังเล
เป่ยถังอวี้เป็นเฒ่าเจ้าเล่ห์ ไม่เหมือนเป่ยถังเฟิง ถึงแม้
ก่งจ๋าซีจะเกลียดเป่ยถังเฟิงเข้ากระดูกดำ แต่ว่าเขา
ไม่ได้รังเกียจเป่ยถังอวี้ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า
“ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ขอแค่พวกเจ้าคืนของของ
เรามา เรื่องก่อนหน้านี้ เราก็จะไม่เอาเรื่อง”
เป่ยถังอวี้พูดว่า “ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ไต้ซือโปรด
วางใจ เรามาที่เซียงหยาง ก็เพราะได้ยินว่าพรรค
กระยาจกกำลังจะจัดงานชุมนุมชิงมู่ เลยอยากจะมา
ดู ของได้ถูกเก็บไว้ในที่ทปี่ ลอดภัย อยู่นอกเมืองเซียง
หยางไม่ไกลนัก ข้าสามารถพาท่านไปดูเอาได้”
ก่งจ๋าซีพนมมือแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวน
ด้วย” เขายกมือพูดว่า “เชิญ” เขากำลังจะตามเป่ย
ถังอวี้ไป
ซีเหมินจั้นอิงกับพวกยืนงง ทั้งคนนัน้ พูดกันไปมา
นางฟังไม่เข้าใจเลยว่ามันคืออะไร นางขมวดคิ้วแล้ว
ถามว่า “พวกเจ้าพูดถึงของอะไรกัน?”
เป่ยถังอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา
จวนเสินโหวจะยุ่งด้วยอย่างนั้นหรือ?”
ถึงแม้จวนเสินโหวจะมีหน้าที่ดูแลเรื่องในยุทธภพ แต่
ก็ใช่ว่าจะยุ่งได้ทุกเรื่อง จวนเสินโหวทำข้อตกลงกับ
เหล่าพรรคสำนักต่าง ๆ ไว้ว่า นอกจากเรื่องที่ทำผิด
ข้อตกลงแล้ว นอกเหนือจากนั้นคนของจวนเสินโหว
จะหาเรื่องคนในยุทธภพไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่อง
ส่วนตัว
ศิษย์พี่หลันพูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาปกติ
จวนเสินโหวมีหน้าที่ในการรักษาความสงบ ไต้ซือทุก
ท่านมาจากทิเบต อีกทัง้ บังเอิญมาทีเ่ ซียงหยาง ยังไง
เราก็ต้องถามให้รู้ว่าพวกท่านมาทำอะไร ตอนนี้เหล่า
ไต้ซือไม่อาจไปไหนได้ หลังจากที่กลับไปกับเราแล้ว
รู้แล้วว่ามาเพราะอะไร เราก็จะไม่ทำให้ลำบากใจ
อีก”
ก่งจ๋าซีคิดอยากจะเอาหอยไข่มุกกลับมาเท่านั้น จะ
ยังไม่ยุ่งเรื่องอื่นอีกไหม เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“อาตมาไม่ไปกับพวกท่านหรอก เราจะไปเอาของ
ของเราคืน” เขาหันไปพูดกับเป่ยถังอวี้ว่า “เราไปกัน
เถอะ อย่าเสียเวลาอีกเลย”
ซีเหมินจั้นอิงอยู่ในจวนเสินโหวมานานหลายปี
ตลอดเวลาที่ผ่านมาพรรคในยุทธภพต่างก็ยอมให้
จวนเสินโหวสามส่วนตลอด ไม่เคยเห็นใครไม่เห็น
จวนเสินโหวอยู่ในสายตาเลย นางชักดาบออกมา
ขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงแข็งว่า “ที่นี่คือแคว้นฉู่ ไม่ใช่
ทิเบต ไม่ใช่ที่ที่พวกท่านจะมาก็มาจะไปก็ไป หากไม่
ถามให้ชัดเจน พวกท่านก็อย่าคิดจะไปไหนเลย”
เป่ยถังอว้หัวเราะแล้วพูดว่า “ไต้ซือ ข้ายินดีที่จะไป
เอาของกับท่านตอนนี้เลย แต่น่าเสียดาย......คนของ
จวนเสินโหวต้องทำงาน คงไม่มีทางให้เราไป”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 675 ล้มเหลว
ฉีหนิงรู้สึกขำมาก แอบคิดในใจว่าเป่ยถังอวี้เจ้าเล่ห์
มาก มองออกว่าก่งจ๋าซีนั้นยอมทำทุกอย่างเพื่อหอย
ไข่มุกสีขาว ถึงได้ตั้งใจพูดแบบนัน้ ก็แค่อยากให้ก่งจ๋า
ซีช่วยให้พวกเขาหนีรอดไปได้
หากออกไปพร้อมก่งจ๋าซี ด้วยความฉลาดของเป่ย
ถังอวี้ อาจจะคิดวิธีอื่นช่วยให้หนีไปได้ แต่หากตกไป
อยู่ในมือของจวนเสินโหว คิดอยากจะหนีคงไม่ได้
ศิษย์พี่หลัยมองออกว่าเป่ยถังอวี้คิดอะไรอยู่ เขาพูด
ว่า “ในเมื่อรู้ว่าเรามทำงาน ก็ไม่ต้องพูดมาก”
ก่งจ๋าซีนงิ่ ไป จากนั้นก็พูดว่า “อาตมาเป็นศิษย์ของ
จู๋รื่อฟ่าอ๋องแห่งแคว้นกู่เซี่ยงก่งจ๋าซี มาที่แคว้นแห่งนี้
เพราะได้รับคำสั่งให้มานำของชิ้นหนึ่งกลับไป ของ
ชิ้นนั้นอยู่กบั ประสกท่านนั้น อาตมาจะพาเขาไปเอา
ของ ขอแค่ได้ของมาแล้ว เรื่องของพวกท่าน อาตมา
จะไม่ยุ่งเลย”
ฉีหนิงถอนหายใจ แอบคิดในใจว่าก่งจ๋าซีบ้าไปแล้ว
เขาพูดแบบนี้ มันคือสิ่งทีเ่ ป่ยถังอวี้อยากที่จะเห็น
จู๋รื่อฟ่าอ๋องเป็นหนึง่ ในห้าต้าจงซือ คนปกติไม่มีทาง
เคยได้ยยิน ต่อให้เป็นชาวยุทธก็ตาม ก็อาจจะไม่เคย
รู้ แต่จวนเสินโหวจะต้องรู้แน่นอน
ห้าต้าจงซือเป็นมนุษย์ที่น่ากลัวมาก ก่งจ๋าซีเป็นศิษย์
ของจู๋รื่อฟ่าอ๋อง ต่อให้เป็นจวนเสินโหว หากแตะต้อง
คนของจู๋รื่อฟ่าอ๋อง ก็ต้องคิดให้ดี
ถึงแม้แคว้นกู่เซี่ยงจะอยู่ทเิ บต แต่ก็เป็นแคว้นที่ใหญ่
มาก แคว้นฉู่กับเป่ยฮั่นสู้รบกัน พวกเขาพยายามจะ
ดึงมาเป็นพันธมิตรให้มากขึ้น ไม่มีทางให้อำนาจ
เป็นไปในทางสมดุลเด็ดขาด หรือแม้แต่สร้างศัตรูเพิ่ม
หากแตะต้องคนของจู๋รื่อฟ่าอ๋อง ก็เท่ากับล่วงเกิน
จู๋รื่อฟ่าอ๋อง ในฐานะอ๋องของแคว้นกู่เซี่ยง ก็เท่ากับ
พวกเขาล่วงเกินแคว้นกู่เซี่ยง
ไม่ผิดอย่างที่คิด พอก่งจ๋าซีบอกฐานะของเขาออกมา
ทุกคนก็หน้าถอดสี แม้แต่เฉาเหวยเองก็ตกใจมาก ใน
ฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าสาขาของพรรคกระยาจก เขา
ต้องเคยได้ยินชื่อของจู๋รื่อฟ่าอ๋องอยูแ่ ล้ว
เฉาเหวยถึงแม้จะไม่ค่อยฉลาด แต่แผนเล็กแผนน้อย
เยอะ
คืนนี้เขามาเพื่อล้างแค้น แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมา
มากมายแบบนี้ เขาคิดว่าจะแก้แค้นเป่ยถังเฟิงคง
ลำบาก อีกทั้งยังถูกจวนเสินโหวเรียกตัวไปอีก ใน
เวลานี้หากถูกจวนเสินโหวจับตามอง พวกเขาต้อง
เดือดร้อนแน่ ตอนนี้เขารูแ้ ค่ว่าต้องทำให้สถานการณ์
วุ่นวายมากที่สุด เขาพูดว่า “ลามะในทิเบตมีเป็นร้อย
เป็นพัน จู๋รื่อฟ่าอ๋องมีแค่คนเดียว จะบอกว่าลามะทุก
คนเป็นศิษย์ของจู๋รื่อฟ่าอ๋องหรือยังไงกัน? พวกเจ้า
บอกว่าเจ้าเป็นจูร๋ ื่อฟ่าอ๋อง มีหลักฐานหรือเปล่า หรือ
ว่าอาศัยชื่อของจู๋รื่อฟ่าอ๋อง มาก่อความวุ่นวายใน
แคว้นฉู่กันแน่”
ก่งจ๋าซีโกรธมาก “อาตมาเป็นผู้ออกบวช ไม่พูด
โกหก”
“นักบวชกินเนื้อก็มี อย่าว่าแต่โกหกเลย” เฉาเหวย
เมื่อครู่ถูกก่งจ๋าซีบบี คอเกือบตาย เขาเกลียดเขามาก
เขาตั้งใจยุแหย่ “เจ้าบอกว่าพวกเจ้าจะไปเอาของ
ใครจะรู้ว่าจริงหรือเปล่า ข้าว่า พวกเจ้าน่าจะเป็น
พวกเดียวกันแน่ ๆ”
เป่ยถังอวี้หัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นหัวหน้า
สาขาของพรรคกระยาจกใช่ไหม? ปกติแล้วข้าไม่ค่อย
ยุ่งกับคนในยุทธภพเท่าไหร่ แต่ว่าข้าเคยเจอเหล่าไต้
ซือมาก่อน เข้าใจหลักศาสนาดี พวกเขาไม่มีทางพูด
โอ้อวดแน่ ข้าเองก็เคยได้ยนิ ชื่อของจู๋รื่อฟ่าอ๋องมา
บ้าง จู๋รื่อฟ่าอ๋องเป็นผู้นำศาสนาของทางแคว้นกู่เซีย่ ง
ท่านหัวหน้าสาขาท่านนี้ตั้งใจยุให้เราแตกแยก หรือ
ว่าทท่านอยากให้แคว้นฉู่กบั แคว้นกูเ่ ซี่ยงเป็นศัตรู
กัน?”
เฉาเหวยตะลึงไป ฉีหนิงขำอยูบ่ นหลังคา เขาแอบคิด
ในใจว่าเป่ยถังอวี้เป็นใครกัน แค่หัวหน้าสาขาเล็ก ๆ
คนหนึ่ง จะสูเ้ ป่ยถังอวี้ได้ยังไง
ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกเขาคือศิษย์
ของจู๋รื่อฟ่าอ๋อง แล้วพวกเจ้าเป็นใครกัน? อย่าบอก
นะว่าเป็นคนของแคว้นกูเ่ ซี่ยง?”
“ไม่ใช่แน่นอน” เป่ยถังอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “เรากับท่าน
ไต้ซือมีความเข้าใจผิดกันมาก่อน แต่ว่าไม่ใช่เรื่องใน
ยุทธภพ ดังนั้นเลยไม่เกี่ยวกับยุทธภพ เท่าที่ข้ารู้มา
จวนเสินโหวดูแลเรื่องในยุทธภพ คงไม่มาตรวจสอบ
ถึงชาวบ้านธรรมดาอย่างเราหรอกใช่ไหม?”
ศิษย์พี่หลันพูดว่า “ข้าบอกไปแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่
ช่วงเวลาปกติ ไม่ว่าใครก็ตาม ก็ต้องถามให้รู้ที่มาที่
ไป” เขาจ้องไปที่เป่ยถังอวี้ แล้วพูดว่า “ตกลงพวก
เจ้าเป็นใครกัน?”
เป่ยถังอวี้ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าเอง
ก็จะไม่ปิดบัง เราเป็นชาวตงฉี”
“ชาวตงฉี?” ซีเหมินจั้นอิงตะลึงไป
เป่ยถังอวี้พูดว่า “ที่จริงทีเ่ รามายังแคว้นฉู่ ก็เพราะ
จิ่นอีโหว”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่าทำไมเป่ยถังอวี้ต้อง
ลากเขาไปเกี่ยวข้องด้วย ซีเหมินจั้นอิงได้ยินคำว่า
“จิ่นอีโหว” นางก็อดที่จะเดินขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่ง
ไม่ได้ นางรีบถามว่า “พวกเจ้า......พวกเจ้ารู้จักฉีหนิง
ด้วยหรอ? ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?” นางดูเป็นห่วงดูร้อน
ใจมาก ฉีหนิงเห็นอย่างชัดเจน เขายิม้ แอบคิดในใจ
ว่า ดูท่าทางแล้วแม่สาวก้นโตจะเป็นห่วงเขามากเลย
เป่ยถังอวี้สังเกตเห็นท่าทางที่ซีเหมินจั้นอิงเป็นห่วง
เป็นใยฉีหนิง เขาก็ยิ้ม แล้วชี้ไปที่ก่งจ๋าซีแล้วพูดว่า
“ที่จริงแล้วไต้ซือพวกนี้ก็เคยพบกับจิ่นอีโหวเช่นกัน”
ก่งจ๋าซีก็ซื่อ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “อาตมาเคยได้
พบกับจิ่นอีโหวจริง อีกทั้งยังได้รับความช่วยเหลือ
จากเขาด้วย คนหนุ่มกล้าหาญ”
ซีเหมินจั้นอิงได้ยินก่งจ๋าซีชมฉีหนิงเป็นคนหนุ่มกล้า
หาญ เดิมหน้ายังไม่ค่อยพอใจก็อ่อนลง นางถามว่า
“ที่แท้พวกท่านก็รู้จักเขา”
เป่ยถังอวี้พูดว่า “เรามาจากตงฉี ก็เพราะจิ่นอีโหว
บอกเราว่าทีเ่ มืองหลวงแคว้นฉู่มีแสงสีที่สนุกสนาน มี
สาวงามมากมายบนแม่น้ำฉินไหว ข้าชอบฟังดนตรี
เลยอยากจะไปดูที่เมืองหลวงแคว้นฉู่สักหน่อย
อยากจะรู้จกั คนมีฝีมือมากขึ้น ระหว่างทางได้ยินว่า
เมืองเซียงหยางกำลังครึกครืน้ ดังนัน้ เลยมาที่เมืองนี้
ก่อน”
ซีเหมินจั้นอิงกัดปาก แอบบ่นในใจว่าเจ้าบ้านี่กล้า
แนะนำคนไปที่แม่น้ำฉินไหว จากนั้นก็ได้ยินศิษย์พี่ห
ลันถามว่า “ถ้าอย่างนั้น คนพวกนีก้ เ็ ป็นติดตามของ
เจ้าอย่างนัน้ หรอ?”
เป่ยถังอวี้พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ที่จริงแล้วข้า
เป็นขุนนางตงฉี ครั้งนีแ้ คว้นฉูเ่ จรจาเรื่องการอภิเษก
กับแคว้นตงฉีเรา ข้าเลยได้รู้จักกับจิน่ อีโหว ฝ่าบาท
โปรดดนตรีมาก รู้ว่าข้าตั้งจะมาเฟ้นหาสาวงามจาก
แคว้นฉู่ เลยทรงอนุญาตให้ข้ามา ข้าเป็นพวกกลัว
ตาย ออกมาข้างนอกแบบนี้ เลยพาผู้ติดตามมาด้วย”
เขามองไปที่ซเี หมินจั้นอิง แล้วพูดว่า “ไต้ซือท่านนี้
ต้องการของด่วนมาก ข้าคงเสียเวลาไม่ได้อีก ไม่
ทราบว่าพวกท่านจะเปิดทางให้เราได้ไหม ให้ข้าพา
เหล่าไต้ซือไม่เอาของได้หรือเปล่า?”
น้ำเสียงของเขานิ่งแล้วก็ไม่รีบร้อน พูดมีเหตุมีผล อีก
ทั้งยังสามารถใช้ความสัมพันธ์มาใช้ในสถานการณ์
แบบนี้ได้อีก ฉีหนิงรู้สึกนับถือมาก คิดในใจว่าเป่ย
ถังอวี้เจอเหตุการณ์คับขันแบบนี้แต่ไม่กระวน
กระวายเลย ร้ายกาจมากจริง ๆ
ซีเหมินจั้นอิงนิ่งไป จากนั้นก็พูดว่า “ฉีฉู่สองแคว้น
แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เรื่องนี้ข้าเองก็รู้ ได้ยินมาว่า
การเจรจาสำเร็จแล้ว ราชสำนักเองก็ส่งคนไปรับ
ขบวนเจ้าสาว พวกเจ้าเป็นคนแคว้นฉี เราเองก็จะไม่
ทำให้พวกเจ้าต้องลำบากใจ ยังไงก็เป็นแขกของเรา
ในเมื่อมาถึงแคว้นฉู่แล้ว เราเองก็ต้องดูแลอย่างดี”
เป่ยถังอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “หมายความว่ายังไง?”
“พวกท่านไม่ต้องร้อนใจไป หากท่านเป็นขุนนาง
แคว้นฉี จวนเสินโหวจะไม่ยุ่งเรื่องของท่านแน่นอน
แต่ว่าขุนนางเซียงหยางจะต้องมารับหน้าที่นี้
ไม่อย่างนั้นต่อไปภายภาคหน้า ฮ่องเต้แคว้นฉีของ
พวกท่านจะมาว่าเราได้ว่าเราดูแลไม่ดี” ซีเหมินจั้นอิง
พูดว่า “ข้าจะให้คนไปแจ้งทางไท่โซ่วของเมืองเซียง
หยาง ให้เขาพาคนมาเชิญท่านไป พวกเขาจะต้อนรับ
พวกท่านอย่างดี อีกทัง้ ยังจะส่งคนส่งพวกท่านไปยัง
เมืองหลวงด้วย” เขามองไปที่ก่งจ๋าซี แล้วพูดว่า “ใน
เมื่อไต้ซือเป็นคนของท่านจู๋รื่อฟ่าอ๋อง ถึงแม้แคว้นฉู่
ของเราจะไม่ได้มีสัมพันธ์ทางการทูตกับแคว้นกูเ่ ซี่ยง
มาก่อน แต่ก็จะละเลยไม่ได้ อาหารหนึ่งมื้อคงไม่ทำ
ให้พวกท่านเสียเวลามากหรอกจริงไหม”
ฉีหนิงยิ้มกว้างมากกว่าเดิม แอบคิดในใจว่าคนมักพูด
ว่าหน้าอกใหญ่ไร้สมอง ดูท่าจะไม่จริง ชื่อตันเหมย
กับซีเหมินจั้นอิงแต่ละคนหน้าอกใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ว่าหัวไวทั้งคู่ บนตัวของพวกนาง สมองกับหน้าอก
เทียบเท่ากันได้
ซีเหมินจั้นอิงเป็นคนอารมณ์ร้อนจริง แต่ว่านางไม่ใช่
คนโง่ เพียงแต่ประสบการณ์ในยุทธภพน้อย หากได้
ฝึกฝน ก็สามารถคิดได้ลึกซึ้ง
ศิษย์พี่หลันรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ทุกท่านรอ
สักครู่ เราจะรีบไปแจ้งไท่โซ่วทันที ไม่เกินครึ่งชั่วยาม
เขาจะมาถึงที่นี่แน่นอน”
เป่ยถังเฟิงเห็นเป่ยถังอวี้ออกมาช่วยแก้ไข
สถานการณ์ ความตื่นเต้นก็ลดลง ในเวลานี้ได้ยินมา
ว่าไท่โซ่วจะมา เขากระวนกระวายอีกครั้ง เขารีบพูด
ว่า “ไม่ต้อง......ไม่ต้องต้อนรับเราหรอก เรื่องของ
ท่านไต้ซือสำคัญ จะเสียเวลาไม่ได้ เรา......เรารีบไป
เอาของกันดีกว่า”
เขาไม่พูดอะไรยังดี แต่พอพูดออกมา เป่ยถังอวี้ก็
ขมวดคิ้วทันที ศิษย์พี่หลันขมวดคิ้วหนักมาก เหมือน
เขาตื่นตัวขึ้นมา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเป็น
ผู้ติดตามของท่านผู้เฒ่าหรือ? ท่านผู้เฒ่ายังไม่ทันได้
พูดอะไรเลย ทำไมท่านถึงได้ตัดสินใจด้วยความร้อน
ใจแบบนี้ล่ะ” เขาจับดาบข้างหนึ่ง แล้วค่อย ๆ เดิน
ไปหาเป่ยถังเฟิง
หั่วเสินจวินกลับยืนขวางอยู่หน้าเป่ยถังเฟิง เขาขมวด
คิ้วหนักมาก พูดออกมาว่า “ทำอะไร?”
ศิษย์พี่หลันยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร เพียงแต่......”
พูดจบ ดาบของเขาก็ตวัดขึ้นมา แล้วกรีดไปที่หน้าอก
ของหั่วเสินจวิน
หั่วเสินจวินร้องตะโกน มือทั้งสองข้างของเขาสะบัด
แต่ว่าหลบไม่พ้น มือทั้งสองข้างของประตบดาบของ
ศิษย์พี่หลันเอาไว้
“ร้ายกาจมาก” ศิษย์พี่หลันพูด เขายกข้าขึ้นมา แล้ว
จู่โจมกวาดใส่หั่วเสินจวิน หั่วเสินจวินกระโดดหลบ
หั่วเสินจวินไขว้มือหากัน ดาบในมือของศิษย์พี่หลัน
หักออกเป็นสองท่อน ฉีหนิงเห็นชัดมาก เขาตกใจ
แอบคิดในใจว่าสมแล้วที่เป็นหนึ่งในห้าเสินจวินของ
หอเก้านภา ฝีมือร้ายกาจมาก
ศิษย์พี่หลันจู่ ๆ ลงมือ หั่วเสินจวินตอบโต้ ทุกอย่าง
เกิดขึ้นเร็วมาก ทั้งสองฝ่ายปฏิกริ ิยาไวมาก ศิษยพี่ห
ลันลงมือ ซีเหมินจั้นอิงกับเจ้าหน้าทีจ่ วนเสินโหวคน
อื่นก็ขึ้นหน้าทันที ส่วนคนด้านหลังของหั่วเสินจวินก็
มีการเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว ทุกคนรุดหน้าขึ้นมา
เป่ยถังอวี้สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาคิดหาวิธีแก้ไข
สถานการณ์แทบตาย กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า รู้ว่า
สถานการณ์ไม่ดีแล้ว เขาโกรธแล้วมองไปที่เป่ย
ถังเฟิง เมื่อมองไป สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป มีลูกธนู
ดอกหนึ่งกำลังพุ่งมา เป้าหมายนั้นก็คือเป่ยถังเฟิง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 676 ลูกธนูกับแส้ยาว
ลูกธนูพุ่งมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืด มาแบบ
ไม่มีเสียง เป่ยถังเฟิงไม่รู้ตัวเลย เป่ยถังอวี้ตกใจหลุด
ออกมาว่า “ระวัง......”
ลูกธนูกำลังจะพุ่งไปที่เป่ยถังเฟิงแล้ว มีเงาคน ๆ หนึ่ง
เข้ามาขวาง เขาคือหั่วเสินจวิน ได้ยินหั่วเสินจวินร้อง
ตะโกน กำลังแรงลมกลุ่มหนึ่งพุ่งไปที่ลูกธนู เป่ย
ถังเฟิงอึง้ ตอนนี้คนของเป่ยถังเฟิงกำลังปะมือกับซีเห
มินจั้นอิง เฉาเหวยเห็นสถานการณ์ ก็พูดว่า “พี่น้อง
ช่วยจวนเสินโหวจับสายลับเร็ว”
ศิษย์พรรคกระยาจกต่างบุกขึ้นหน้าไป
ฉีหนิงเห็นธนูดอกนั้นพุ่งมาที่เป่ยถังเฟิง เขาตกใจมาก
ธนูดอกนั้นตั้งใจจะให้เป่ยถังเฟิงตาย ที่แท้ก็มีคนอื่นที่
คิดอยากจะหาโอกาสฆ่าเป่ยถังเฟิง
เขาเห็นทางทิศที่ธนูพงุ่ มาอย่างชัดเจน เขาหันหน้าไป
มอง เขาเห็นบนหลังคาบ้านไม่ไกล มีเงาวิ่งผ่านไป
น่าจะเป็นนักฆ่าที่จะฆ่าเป่ยถังเฟิง ฉีหนิงกำลังคิดจะ
ตามไป ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง เขา
หันหน้ามองไป ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่หลันหยิบของ
ออกมา แล้วยิงขึ้นฟ้า ฉีหนิงรู้ว่ามันน่าจะเป็นการส่ง
สัญญาณขอกำลังเสริม อีกไม่นานคนของจวินเสิน
โหวก็จะมาแล้ว
เป่ยถังอวี้รู้ว่าคงพลิกสถานการณ์ไม่ได้แล้ว ลูกน้องก็
สู้กับซีเหมินจั้นอิงกับคนพรรคกระยาจกไปแล้ว เขา
รีบพูดกับหั่วเสินจวินว่า “รีบพาเขาไป”
เป่ยถังเฟิงรีบพูดว่า “เสด็จ......เสด็จอา แล้วท่าน
ล่ะ?”
“ไม่ต้องสนใจข้า” เป่ยถังอวี้ถอนหายใจแล้วพูดว่า
“รีบไป กำลังเสริมของพวกเขากำลังจะมา ถ้าไม่รีบ
ไปจะไม่ทันการ”
หั่วเสินจวินยกมือคำนับเป่ยถังอวี้ เขาไม่พูดอะไรอีก
เดินหน้าไปดึงเป่ยถังเฟิง จากนั้นก็แบกขึ้นหลัง เขา
ตัวใหญ่ แบกเป่ยถังเฟิงเอาไว้ไม่หนักเลย เขาก็ไม่ได้
สนใจคนอื่นที่กำลังต่อสู้กันอยู่ หันหลังแล้วปีนหนี
ออกนอกกำแพงไป
ซีเหมินจั้นอิงเห็นชัดมาก นางจะยอมให้หั่วเสินจวิน
หนีไปได้ยังไง นางตวัดดาบเพื่อหลุดจากการโจมตี
ขององครักษ์เป่ยฮั่น แล้วพูดว่า “คิดหนีหรอ ไม่ง่าย
อย่างนั้นหรอก” นางดีดตัวขึ้น แล้วตามหั่วเสินจวิน
ไป องครักษ์คิดจะตามไป แต่ว่าขอทานสองคนเดิน
ขึ้นหน้ามาขวาง
ศิษย์พี่หลันถูกหั่วเสินจวินทำร้ายจนบาดเจ็บ ตอนนี้
ลุกไม่ขึ้น เขาเห็นซีเหมินจั้นอิงกำลังตามหั่วเสินจวิน
ไป เขารู้ว่าซีเหมินจั้นอิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหั่วเสินจวิน
เลยรีบตะโกนไปว่า “ศิษย์น้องเล็กอย่าไปคนเดียว
......”
ซีเหมินจั้นอิงเห็นหั่วเสินจวินกำลังพลิกข้ามกำแพงไป
นางจะทนเห็นเขาหนีไปได้ยังไง นางไม่ได้สนใจที่
ศิษย์พี่หลันตะโกน จับดาบในมือแน่นแล้วตามไป
หั่วเสินโหววิ่งไปทางด้านข้างของกำแพง กำแพงไม่ได้
สูงมาก เขาดีดตัวแบกเป่ยถังเฟิงพลิกข้ามไป เมื่อหัน
กลับมามอง เขาเห็นซีเหมินจั้นอิงกำลังตามมา เขา
รีบลงจากกำแพงไป ซีเหมินจั้นอิงตามไป นางเองก็
กระโดดข้ามกำแพงไป เห็นหั่วเสินจวินเคลื่อนไหว
เร็วมาก เขาออกห่างไปมาก
ฉีหนิงเห้นซีเหมินจั้นอิงตามไปจับตัวหั่วเสินจวิน เขา
แอบบ่นในใจว่าไม่ดูกำลังตัวเองเลย เขากลัวว่าซีเห
มินจั้นอิงจะมีอันตราย เขาเลยลุกขึน้ แล้ววิ่งตามไป
บนหลังคา เขามองลงมาจากด้านบน เห็นหั่วเสินจวิน
วิ่งอยู่บนถนนชัดเจน เขาวิ่งไปสิบกว่าก้าว ก็เลี้ยงเข้า
ไปในซอย
ซีเหมินจั้นอิงวิ่งมาตามหลัง นางเองก็เลี้ยวเข้าซอยไป
ตาม ฉีหนิงถามว่า เมื่อกี้ยังรู้สึกว่าแม่นางอกโตมี
สมอง ใครจะคิดว่าพริบตาเดียวก็เปลี่ยนความคิดเขา
ไปได้ แต่ว่าพอคิดว่าซีเหมินจั้นอิงกำลังรับการฝึกฝน
จากจวนเสินโหวอยู่ หากมีใครน่าสงสัย ก็จะปล่อยไป
ไม่ได้ นางตามมาคนเดียวแบบนี้ ก็นบั ว่ากล้าหาญ
มือธนูนักฆ่าเมื่อกี้ไม่รู้หายไปไหนแล้ว หั่วเสินจวินวร
ยุทธ์ร้ายกาจ ฉีหนิงคิดในใจว่าซีเหมินจั้นอิงทำอะไร
วู่วาม จากนักล่ากลายมาเป็นเหยื่อ เขาเลยลงมาจาก
หลังคา แล้วตามนางไปด้านหลัง
เมื่อเขาเข้าไปในซอย ก็คงยังเห็นเงาของซีเหมินจั้นอิง
อยู่ด้านหน้า เขาจับตาดูซีเหมินจั้นอิงไม่กระพริบตา
หั่วเสินจวินถึงแม้จะรับผิดชอบคน ๆ หนึ่งด้วย แต่ว่า
การเคลื่อนที่ของเขาเร็วมาก ซีเหมินจั้นอิงพยายาม
ตามไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่ว่าดึกมากแล้ว เมืองเซียง
หยางประกาศกฎอัยการศึก ตามถนนตรอกต่าง ๆ
เงียบมาก ฉีหนิงวิ่งตามไปถึงสามซอย พบว่ามันเริ่ม
เงียบแล้วก็ห่างไกล ทันใดนั้นเองก็เห็นซีเหมินจั้นอิง
หยุดวิ่ง ฉีหนิงหลบเข้ามุมไป แล้วมองมาจากที่ไกล ๆ
เห็นซีเหมินจั้นอิงมองไปรอบ ๆ แสดงว่าหั่วเสินจวิน
หนีไปได้แล้ว
ฉีหนิงคิดในใจว่าหอเก้านภาชื่อเสียงเลื่องลือ ห้าเสิน
จวินไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน หั่วเสินจวินสามารถ
หลุดจากการไล่ล่าจากซีเหมินจั้นอิง ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
อะไร
ซีเหมินจั้นอิงกระทืบเท้า ดูท่าทางเหมือนโมโหมาก
“พวกเจ้าหนีไปได้ตอนนี้ แต่คิดจะออกนอกเซียง
หยาง ฝันไปเถอะ” น้ำเสียงของนางไม่พอใจมาก
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะแปลก ๆ ดังขึ้นมา “คน
สวย เจ้าบอกว่าใครจะหนีออกนอกเซียงหยางหัน
หรือ? ดึก ๆ ดื่น ๆ ออกมาเดินอยู่ข้างนอกคนเดียว
หรือว่ากลางคืนรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยวเกินไป”
ฉีหนิงสะดุ้ง เสียงนัน่ ไม่ใช่เสียงของหั่วเสินจวิน แต่
พูดจาหยาบคาบแบบนี้ ไม่ใช่คนดีแน่นอน
“ใคร?” ซีเหมินจั้นอิงถูกคนนัน้ จับตัวตนที่แท้จริงได้
นางตกใจมาก กำดาบไว้แน่น “หลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่
สมเป็นลูกผู้ชาย ยังไม่ออกมาอีก?”
“เจ้าอยากรู้ว่าข้าสมเป็นลูกผู้ชายไหมอย่างนั้น
หรือ?” เสียงนั่นหัวเราะแปลก ๆ แล้วพูดว่า “เรื่อง
นั้นง่ายมาก พอดีเลยคืนนีเ้ งียบมาก เราหาที่เงียบ ๆ
แล้วข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าข้าสมเป็นลูกผู้ชายหรือ
เปล่า”
“สารเลว” ซีเหมินจั้นอิงพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้า
ปากสุนัข ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
แล้วก็มีเสียงหัวเราะอีกเสียงดังขึ้นมา “แม่นางน้อย
อารมณ์ขึ้นแบบนี้ใช่ได้เลยทีเดียว แบบนี้ข้าชอบ คิด
ไม่ถึงเลยว่าลูกสาวของซีเหมินอู๋เหิงจะหน้าตาดีมาก
ขนาดนี้”
“ไม่เพียงหน้าตางดงาม ยังก้นใหญ่อกี ด้วย” เสียง
ก่อนหน้านี้พูดขึ้นมาว่า “ก้นสวย ๆ เด้ง ๆ ขนาดนี้
หาได้ยากจริง ๆ ถือว่าเป็นของมีค่าเลยนะเนีย้ ”
ฉีหนิงได้ยินอีกฝ่ายเผยฐานะของซีเหมินจั้นอิงออกมา
อีกทั้งยังพูดจาหยาบคาบกับนาง สีหน้าของเขาก็ดุ
ขึ้นมา เขาหลับตาลง แล้วพยายามฟังเสียงที่ดังมา
จากด้านหลัง “เราจับซีเหมินอู๋เหิงกลับไป ก็ถือว่า
สร้างผลงานใหญ่ ถึงเวลานั้นมาดูสิว่าซีเหมินอู๋เหิงจะ
เอาอะไรมาแลกกับลูกสาวตัวเอง”
ซีเหมินจั้นอิงทัง้ โกรธทั้งอาย แล้วพูดว่า “เจ้าพวกคน
สารเลว แน่จริงก็ออกมา ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ทำไมไม่
หน้าออกมาหรือยังไง?”
ทั้งสองคนหัวเราะเสียงแปลก ๆ ทันใดนั้นเองก็มีเสียง
เหมือนอะไรยิงออกมา ฉีหนิงเห็นอย่างชัดเจน มีธนู
ดอกหนึ่งยิงมาตกลงที่ปลายเท้าของซีเหมินจั้นอิง ฉี
หนิงเงยหน้าขึน้ ไปมอง เขามองไปทีม่ ุมหลังคา มีเงา
ๆ หนึ่งกำลังยืนมองลงมาอยู่ ในมือของเขาถือคันธนู
อยู่ ท่ามกลางความมืด เห็นว่าเขามีรูปร่างผอมสูง
เขาเห็นเงาของคนยิงธนู นั่นมันคนทีค่ ิดจะฆ่าเป่ย
ถังเฟิงนี่นา
ฉีหนิงรู้ว่านักฆ่านี่น่าจะรู้ฐานะของเป่ยถังเฟิง
ไม่อย่างนั้นไม่มีทางวิ่งมาฆ่าคนที่ไม่รู้จัก เขาจำได้
ว่าเป่ยถังเฟิงพูดว่ามีคนตามฆ่าเขาตลอดเวลา เขาคิด
ในใจว่ามือธนูนี่น่าจะมาจากเป่ยฮั่น หากเดาไม่ผิด
น่าจะเป็นคนขององค์ชายคนไหนสักคนส่งมาแน่นอน
แต่ว่าคน ๆ นี้ฝีมือธนูร้ายกาจมาก ไม่ว่าจะแรง
ความเร็วความแม่นยำ ถือว่าเป็นยอดฝีมือเลยทีเดียว
ธนูไม่ได้ยิงโดนปลายเท้าของซีเหมินจั้นอิง แต่นางเอง
ก็ตกใจมาก รีบถอยหลังไปสองก้าว ยกมือขึ้นมา นาง
ถือดาบมาไว้ด้านหน้า นางพยายามสำรวจว่ามันมา
จากทางไหน นางเงยหน้าไปมอง เห็นเงาดำ ๆ อยู่บน
หลังคน จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “สาวน้อย
ตอนนี้ข้าออกมาแล้วนะ”
ซีเหมินจั้นอิงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดี เลยอดที่จะถอย
หลังไปสองก้าวไม่ได้ นางถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”
“เราไม่ใช่คนเลว” เสียงดังมาจากด้านหลังของซีเห
มินจั้นอิง นางหันกลับไปมอง เห็นมีเงาคน ๆ หนึ่งยืน
อยู่ห่างจากตัวนางประมาณสิบก้าว ในมือถือแส้ยาว
เส้นหนึ่ง แส้ม้วนอยู่ในมือ กำลังมองมาที่ตัวนาง เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “เราเห็นว่าแม่นางน้อยหน้าตาสระ
สวย เลยอยากจะเป็นเพื่อนกับเจ้า”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “อยากจะเป็นเพื่อนกับข้า ถาม
ดาบในมือข้าก่อนว่าตกลงหรือเปล่า” ในเมื่ออีกฝ่ายรู้
ว่านางเป็นใคร นางเองก็ไม่ปิดบังอีก
คนแส้ยาวส่ายหัวแล้วพูดว่า “แม่นางน้อย
ความสามารถของเจ้าก็ธรรมดา เราสองคนไม่ว่าใคร
คนใดคนหนึ่งลงมือ เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเรา เจ้าเชื่อ
ฟังเราจะดีกว่า เพื่อนข้าคนนัน้ ฝีมือด้านธนูร้ายกาจ
มาก เจ้าเองก็เห็นแล้ว หากเขาอยากจะยิงเจ้าจน
ตาย มันก็แค่ขยับนิ้ว”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “แล้วยังไง? หากพวกเจ้าฆ่าคน
ของจวนเสินโหว คิดว่าจะออกจากเซียงหยางไปได้
อีกหรอ?”
คนแส้ยาวหัวเราะ แล้วพูดกับมือธนูบนหลังคาว่า
“นางบอกว่าเราจะออกจากเซียงหยางไม่ได้?”
“งั้นเจ้าก็บอกนางไป เราไม่เพียงจะออกจากเซียง
หยาง อีกทั้งเราจะพานางไปด้วย” มือธนูยิ้มแล้วพูด
ว่า “ตอนนี้ข้าอยากให้นางถอดกางเกงออก อยากรู้
ว่าก้นของนางจะขาวแค่ไหน”
คนแส้ยาวพูดว่า “แม่นางน้อย เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม?
เขาอยากรู้ว่าก้นของเจ้าขาวไหม เจ้าต้องเป็นเด็กดี
ถอดกางเกงให้เขาดูหน่อยนะ”
“สารเลว” ซีเหมินจั้นอิงโกรธมาก นางพุ่งจู่โจมเข้าใส่
คนแส้ยาว
คนแส้ยาวหัวเราะ แล้วพูดว่า “อย่ายิงธนูลงมานะ
ข้าจะเล่นกับนางสักหน่อย” เขาพุ่งไปรับมือซีเห
มินจั้นอิง ซีเหมินจั้นอิงตวัดดาบฟันไป อีกฝ่าย
กระตุกแส้ออกมารัดไปที่ดาบของซีเหมินจั้นอิง
ซีเหมินจั้นอิงตกใจมาก เขายกแส้ในมือขึ้น ดาบของซี
เหมินจั้นอิงถูกกระชากไป
“สาวน้อย ข้าบอกไปแล้ว เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเรา”
คนถือแส้ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าซีเหมินอู๋เหิงวร
ยุทธ์ร้ายกาจมาก แต่ว่าลูกสาวของเขาฝีมือกลับไม่
เท่าไหร่ แต่ว่าหน้าตาดี ก็ถือว่าเป็นของดี”
ซีเหมินจั้นอิงโมโหมาก ถึงแม้รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้
แต่กลับไม่คิดจะถอย นางซัดฝ่ามือคิดสู้ด้วยมือเปล่า
คนถือแส้หลบ สะบัดแส้ออกไป ครั้งนี้แส้รัดไปที่เอว
ของนาง จากนั้นก็ใช้แรงกระชาก แส้หลุดออกจาก
เอว ทำให้เสื้อผ้าของนางหลุดลุ่ย คนถือแส้ยิ้มแล้ว
พูดว่า “พี่น้องของข้าอยากเห็นก้นขาว ๆ ของเจ้า ข้า
ก็ไม่อยากให้เขาผิดหวัง สาวน้อย เจ้าจะถอดเอง
หรือว่าจะให้ข้าช่วย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 677 กระดูกเปราะ
ระหว่างที่พูดกันแส้ในมือของเขาก็ถกู สะบัดออกมา
อีก คราวนี้มันไปตวัดทำให้เสื้อผ้าของซีเหมินจั้นอิง
ฉีกขาด
ซีเหมินจั้นอิงกรีดร้อง ตอนนี้นางถึงได้รู้ว่า แส้ยาวนั่น
ไม่รู้ทำมาจากอะไร ด้านหน้ามีตะขออยู่ด้วย หากมัน
ถูกผิวหนัง ก็จะเป็นแผลได้ ตอนนี้คนถือแส้มีใจ
อยากจะแกล้ง เลยใช้ตะขอเกี่ยวเอาเสื้อผ้าของซีเห
มินจั้นอิง
ซีเหมินจั้นอิงถึงแม้จะเป็นคนใจร้อน แต่ว่าในนาทีรู้
ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย นางหันหลัง ตั้งใจวิ่ง
หนี ในตอนนี้เองก็รู้สึกว่าตะขอมาเกี่ยวเสื้อผ้า
ด้านหลังของนางฉีกขาดอีก ตอนนี้ผิวขาว ๆ ของนาง
โผล่ออกมา
คนถือแส้พูดว่า “ขาวจริง ๆ แสดงว่าก้นก็ต้องขาว
ด้วยสินะ”
ซีเหมินจั้นอิงวิ่งไปได้หลายก้าวแล้ว ทันใดนั้นเองก็มี
ธนูดอกหนึ่งยิงมาขวางหน้านางไว้ มือธนูบนหลังคา
หัวเราะแล้วพูดว่า “สาวน้อย จะรีบไปไหน อยู่สนุก
กับเราสองพี่น้องก่อนดีไหม?”
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกเสียใจมาก เสียใจที่นางออกมาคน
เดียว คนถือแส้ตอนนี้มาอยู่ข้าง ๆ ซีเหมินจั้นอิงแล้ว
เขายิ้มแล้วพูดว่า “สาวน้อย เจ้าจะให้ข้าช่วยถอด
ไหม?”
ซีเหมินจั้นอิงคิดในใจว่าต่อให้ต้องตาย ก็จะไม่ยอม
ถูกหยามเกียรติโดยเด็ดขาด ในตอนนี้เอง ก็มีเสียง
ถอนหายใจเหือกใหญ่ดังขึ้น “ดึก ๆ ดื่น ๆ ผู้ชายตัว
ใหญ่สองคนรังแกผู้หญิงคนเดียว ไม่เห็นกฎหมายอยู่
ในสายตาเลยหรือยังไง?”
คนถือแส้กับมือธนูตกใจมมาก เขาไม่รู้สึกเลยว่ามีคน
อยู่ใกล้แถวนี้ พวกเขาต่างก็มองไป เห็นเพียงเงาคน
ๆ หนึ่งที่เดินกอดอก ค่อย ๆ เดินออกมา
คนที่มา ก็คือฉีหนิงนั่นเอง
ฉีหนิงเห็นซีเหมินจั้นอิงกำลังถูกลวนลาม รู้ว่าหากเขา
ไม่ออกมาช่วยต้องแย่แน่ ตอนนี้เขาแต่งตัวเป็นคน
ของพรรคกระยาจก คนถือแส้กับมือธนูเห็นดังนั้น ก็
ว่างใจ แอบคิดในใจว่าขอทานคนนีซ้ วยแน่
คนถือแส้หัวเราะแล้วพูดว่า “พี่น้องพรรคกระยาจก
อย่างนั้นหรอเนี้ย?”
“ใช่พรรคกระยาจก แต่ไม่ได้เป็นพีน่ อ้ งกับเจ้า” ฉี
หนิงค่อย ๆ เดินขึ้นหน้าไป แล้วพูดว่า “ลูกผู้ชาย
เขาไม่รังแกผู้หญิงกันหรอกนะ พวกเจ้าสองคนรังแก
ผู้หญิงที่อ่อนแอกว่า ไม่สมเป็นลูกผู้ชายเลย หากนับ
พวกเจ้ามาเป็นพี่น้องด้วย ไม่ขายขี้หน้าคนอื่นเขาแย่
หรอ?”
คนถือแส้ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะใช่พี่น้องหรือไม่
เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับท่าน” เขายกมือพูดว่า “กฎของ
ยุทธภพ น้ำในบ่อไม่ยุ่งกับน้ำในแม่นำ้ ท่านรีบไปจาก
ที่นี่จะดีกว่า”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “กฎในยุทธภพ เจอความไม่
ยุติธรรมก็ต้องช่วยเหลือ หรือว่าข้าควรจะยืนดูพวก
เจ้าสองคนรังแกผู้หญิงคนเดียวแบบนี้หรอ? ถึงแม้ข้า
จะเป็นขอทานต่ำต้อย แต่เรื่องแบบนี้ข้าทำไม่ได้”
ซีเหมินจั้นอิงเห็นขอทานสกปรกยื่นมือเข้าช่วย นางก็
รู้สึกซาบซึ้งใจมาก แต่นางกังวลว่าเขาจะมาตายเปล่า
เลยพูดว่า “ท่านไปเถอะ ไม่ต้องห่วงข้า”
ฉีหนิงรู้เจตนาของซีเหมินจั้นอิงดี เขาแอบคิดในใจว่า
ซีเหมินจั้นอิงลึก ๆ แล้วเป็นคนใจดีมีเมตตามาก เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ พวกเขา
ทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอก ข้าเป็นคนของพรรค
กระยาจก พรรคกระยาจกเรามีคนกว่าแสนคนทั่วใต้
หล้า หากพวกเขาทำอะไรข้าแม้แต่นิดเดียว ศิษย์
พรรคกระยาจกไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปแน่นอน”
ซีเหมินจั้นอิงแอบคิดในใจว่าเจ้าขอทานนี่ไม่รู้ฟ้าสูง
แผ่นดินต่ำเลย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาสองคนฆ่าเจ้า
ไปแล้วพรรคกระยาจกจะรู้หรือเปล่า ต่อให้พรรค
กระยาจกรู้ หรือว่าคนของพรรคกว่าแสนคนจะมาแก้
แค้นให้ขอทานตัวเล็ก ๆ แบบนี้? อีกทั้งประมุขพรรค
กระยาจกเพิ่งจะถูกทำร้าย ตอนนี้พวกเขาคิดแต่จะ
แก้แค้นให้ประมุขพรรค จะมายุ่งเรือ่ งเล็ก ๆ แบบนี้
ได้ยังไงกัน
คนแส้ยาวถอนหายใจแล้วพูดว่า “พรรคกระยาจกมี
อำนาจมาก เราไม่อยากเป็นศัตรูกับพรรคกระยาจก
ถ้าอย่างนั้น......” เขานิ่งไป ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียง
ซีเหมินจั้นอิงตะโกนด้วยความตกใจว่า “ระวัง”
ที่แท้คนถือแส้ตั้งใจคุยกับฉีหนิง เพือ่ ดึงความสนใจ
ส่วนมือธนูก็ยิงธนูใส่ฉีหนิง
ธนูดอกนี้มาเร็วมาก ซีเหมินจั้นอิงตกใจมาก คิดว่า
ขอทานที่ออกมาช่วยนางตายแน่ ธนูกำลังจะถูกตัว
เขาแล้ว ซีเหมินจั้นอิงงกลับเห็นเงาวิง่ ผ่านหน้าไป
ขอทานนั่นหายตัวไปแล้ว ธนูดอกนั้นพุ่งปักไปทีพ่ ื้น
ฉีหนิงป้องกันมือธนูไว้ก่อนแล้ว เมื่อได้ยินเสียงลม ก็รู้
ว่าถูกลอบโจมตีจากด้านหลัง เขาสไลด์ขาไป ใช้ท่า
เท้าท่องคลืน่ หลบธนูดอกนั้น
เขาหลบธนูได้อย่างง่ายาย มือธนูตกใจมาก คนถือแส้
เองก็คิดไม่ถึงว่าขอทานที่ดูสกปรกนีจ่ ะหลบลูกธนูได้
มือธนูไม่รอช้า ยิงธนูอีกครั้ง ครัง้ นีเ้ ขายิงแบบรีบร้อน
ใสก แต่ฉีหนิงก็ยังหลบได้
ตอนนี้ฉีหนิงใช้วิชาท่าเท้าท่องคลื่นได้ชำนาญมาก
ความเข้าใจของเขาสูงมาก ท่าเท้าท่องคลื่นเองก็
ได้รับการชี้แนะมาจากเซีย่ งไป๋องิ่ เข้าคล่องเหมือน
เป็นอวัยวะของเขาไปแล้ว แค่ธนูดอกเดียว ทำอะไร
เขาไม่ได้อยู่แล้ว
ธนูยิงต่อ ๆ กันมาสองดอก ยิงไม่โดนสักดอก ทำให้
คนยิงแทบไม่อยากจะเชื่อ
ฉีหนิงบิดขี้เกียจ แล้วพูดว่า “ลอบโจมตีจากข้างหลัง
ถือเป็นวีรบุรุษอย่างนัน้ หรือ เห็นขอทานสกปรก
อย่างข้า รังแกง่าย ๆ หรือยังไงกัน? แต่ว่าฝีมือยิงธนู
ของเจ้าไม่เอาไหนเลยนะ”
มือธนูหน้าสั่น สิ่งที่เขาภูมิใจกับฝีมือของเขามากที่สุด
ใครจะคิดว่ายิงธนูติดต่อไปสองดอกแต่กลับทำอะไรฉี
หนิงไม่ได้เลย เขาตกใจมาก
ซีเหมินจั้นอิงเดิมคิดว่าฉีหนิงตายแน่แล้ว แต่กลับคิด
ไม่ถึงว่าเขาจะรอดได้ นางยินดีมาก
คนถือแส้รู้ว่าขอทานนี่ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “ฝีมือของท่านร้ายกาจมาก นับถือ นับ
ถือ ขอถามชื่อเสียงเรียงนามของท่านได้ไหม?”
“ข้าไม่อยากรู้จักคนอย่างพวกเจ้า แล้วจะบอกชื่อให้
พวกเจ้าทำไมกัน?” ฉีหนิงยกมือเกาหัว “ไม่ต้องมา
พูดมาก” เขายกมือชี้ไปที่มือธนูที่อยู่บนหลังคา “เจ้า
ลงมา”
มือธนูพูดว่า “ทำไมข้าต้องลงไปด้วย?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าบอกให้เจ้าลงมา เจ้าก็ลงมา
ไม่อย่างนั้นคืนนี้เจ้าเดือดร้อนแน่ ขอทานเฒ่าอย่าง
ข้าไม่เคยหลอกใคร ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู”
คนถือแส้กลับยิ้มแล้วพูดว่า “เรากับท่านไม่เคยมี
ความแค้นต่อกัน ท่านจะมายุง่ เรื่องของเราทำไม?”
“ข้าบอกไปแล้ว ผ่านมาเจอความไม่เป็นธรรม ก็ยืน
มือเข้าช่วย พวกเจ้ารังแกคนที่อ่อนแอกว่า ข้าเห็น
แล้วขัดหูขัดตา” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ยังมีอีก เจ้า
บอกว่าเราไม่มีความแค้นต่อกัน เจ้าพูดผิดแล้ว เดิมที
เราไม่มีความแค้นต่อกันจริง แต่เมื่อกี้เจ้าบ้านัน่ มัน
ลอบโจมตีข้า ตั้งใจจะฆ่าข้าให้ตาย ชีวิตข้าพวกเจ้ายัง
จะเอาไปเลย เราจะไม่มีความแค้นต่อกันได้ยังไง
กัน?”
คนถือแส้เก็บอารมณ์ กำแส้ไว้แน่น แล้วพูดเสียงเข้ม
ว่า “ที่แท้ผู้อาวุโสของพรรคกระยาจกมาเอง เราเสีย
มารยาทแล้ว”
เมื่อคนในสายเดียวกันลงมือ ก็รู้ทันที ความสามารถ
ในการหลบธนูของฉีหนิง คนถือแส้มองออกว่าเป็น
ยอดฝีมือ เขาคิดว่าฝีมือขนาดนี้ ในพรรคกระยาจกก็
คงมีแต่คนในตำแหน่งผู้อาวุโสของพรรคเท่านั้น
“ผู้อาวุโสพรรคกระยาจก?” ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า
“ผู้อาวุโสพรรคกระยาจกร้ายกาจกว่าข้ามาก เจ้า
เห็นข้าพอเป็นวรยุทธ์หน่อย เลยคิดว่าข้าเป็นผู้อาวุโส
ของพรรคอย่างนัน้ หรอ?” เขาโบกมือแล้วพูดว่า
“เข้าใจผิดแลว ที่จริงวรยุทธ์ข้าไม่ได้ร้ายกาจเลย
เพียงแต่พวกเจ้ามันไม่เอาไหนเอง”
คนถือแส้พูดว่า “อย่างนี้นเี่ อง คืนนีท้ ่านคิดจะลงมือ
กับเราอย่างนั้นหรือ?”
“ก็ใช่ว่าจะลงมือ” ฉีหนิงพูดว่า “พวกเจ้าสองคนวาง
อาวุธลง จากนั้นก็คุกเข่าคำนับให้แม่นางคนนี้สาม
ครั้ง ข้าจะช่วยแม่นางคนนี้จับพวกเจ้ามัดไว้ แล้ว
ส่งไปให้ทางการ เรื่องหลังจากนั้นข้าก็จะไม่ยุ่งอีก
ทางการประกาศกฎอัยการศึก พวกเจ้ากลับยัง
ออกมาเดินเล่นแบบนี้ อีกทั้งยังรังแกผู้หญิง เรื่องนีใ้ ห้
ทางการเป็นคนจัดการล่ะกัน”
คนถือแส้หัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านล้อเล่นเกินไป
แล้ว” เขาพุ่งจู่โจมไปด้านหน้า
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าฉีหนิงรับมือยาก เลยลงมืออย่าง
เต็มที่ เขารวดกว่าตอนที่ลงมือกับซีเหมินจั้นอิงมาก
คนยังมาไม่ถึงแส้ในมือก็พุ่งมาก่อนแล้ว
ฉีหนิงก่อนหน้านี้สังเกตเห็นแล้วว่าแส้นี้มันมีตะขอ
ท่ามกลางแสงจันทร์ เห็นหัวแส้มีแสงสะท้อน ไม่รอ
ให้แส้มาถึงตัว เขาก็สไลด์ไปด้านข้าง คนถือแส้
เคลื่อนที่รวดเร็ว เขาบิดข้อมือแส้ก็ตามหลังฉีหนิงไป
เพียงแต่ท่าเท้าท่องคลื่นกระบวนท่าพิสดาร พลิก
แพลงไปมา คนแส้ยาวไล่ตามมา ฉีหนิงก็หลบไปอีก
ทาง หลบไปหลบมาจนเขาตาลาย เห็นฉีหนิงไปซ้าย
ทีขวาที เขาก็แทบไม่อยากเชื่อ ในเวลานี้เขาไม่รู้ด้วย
ซ้ำว่าฉีหนิงอยู่ตรงไหน เขาตกใจมาก ทันใดนั้น
ด้านข้างก็มีลมวูบหนึ่งซัดมา เขาหันหน้าไป เห็น
ขอทานอยู่ข้างตัวเขา แล้วชกมาที่หัวไหล่ของเขา
คนถือแส้อยากหลบ แต่หมัดมันมาเร็วมาก หมัดชก
เข้าไปที่หัวไหล่ซ้าย คนถือแส้ถึงแม้จะไม่ด้อย แต่ว่า
กระดูกก็ไม่ใช่เหล็ก หลังชกไปก็ได้ยินเสียงกระดูกหัก
ตามมา คนถือแส้ร้องด้วยความเจ็บปวด เขาถอยหลัง
ไปห้าหกก้าว หัวไหล่ของเขาเจ็บปวดมาก ฉีหนิงมา
ยืนตรงหน้าเขาอีกครั้ง
คนถือแส้ตกใจมาก ฉีหนิงไม่ได้ลังเล เขาชกหมัด
ออกไปอีก คนถือแส้ออกอาวุธไม่ได้ หัวไหล่ซ้ายของ
เขาหัก ยกอะไรก็ไม่ขึ้น ทำได้แค่ใช้ขาถีบไป
เขายกเท้าขึน้ มา ฉีหนิงเองก็เห็น เขาเลยยกเท้าขึน้
ก่อน แล้วเถีบไปที่ข้อเข่าของคนถือแส้ลง ฉีหนิงไม่ได
มีปราณี เขาออกแรงเต็มที่มาก เสียงกระดูกหักดังขึ้น
อีกครั้ง กระดูกข้อเข่าของคนถือแส้หักอีก
สีหน้าของคนถือแส้เจ็บปวดมาก ฉีหนิงซัดหมัดใส่
หน้าอกเขาอีก คนถือแส้ถูกซัดจนกระเด็นไป แล้วตก
หล่นพื้นอย่างแรง
ฉีหนิงปรบมือ แล้วจัดเสื้อผ้า แล้วพูดว่า “นี่คือวิชา
ฝ่ามือดันภูเขาของพรรคกระยาจก เจ้าจำไว้แล้วหรือ
ยัง? กระดูกของเจ้าเปราะมาก ดูท่าทางแล้วต้องเพิ่ง
แคลเซียมหน่อยนะ ทนแรงอะไรไม่ได้เลย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 678 อาจารย์
มือธนูบนหลังคาเห็นฉีหนิงใช้ไม่กี่กระบวนท่าก็สาม
รถจัดการคนถือแส้ เขาก็ตกใจมาก เขายกธนูขึ้นมา
ฉีหนิงหันหน้าไปมอง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ยังจะลอง
อีก? เจ้ารู้อยู่แล้วว่าด้วยฝีมือธนูของเจ้า มันทำอะไร
ข้าไม่ได้หรอก”
คนถือแส้ฝืนลุกขึ้นมา เขารู้ว่าเขาเจอกับของแข็งเข้า
ให้แล้ว เขาถอนหลังสองก้าว คิดจะหนี ฉีหนิงยิ้ม
แล้วเคลื่อนที่ไป พริบตาเดียวก็สามารถไปขวางทาง
คนถือแส้เอาไว้ได้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเป็นคนพูด
คำไหนคำนั้น พวกเจ้ายังไม่ขอขมา จะไปได้ยังไง? ข้า
ยังต้องส่งตัวพวกเจ้าไปส่งให้ทางการ”
คนถือแส้กัดฟัน แล้วก็สะดุ้ง เขาหลับตา ก้มหน้าลง
ธนูดอกหนึ่งยิงมาจากด้านหลังทะลุหน้าอกของเขา ฉี
หนิงสะดุ้ง คิดไม่ถึงเลยว่ามือธนูจะลงมือฆ่าพวก
เดียวกันได้ คนถือแส้ยกมือขึ้นจับหัวธนู ไม่นานก็ล้ม
ลง
ฉีหนิงนิ่งไป แล้วหันไปมองมือธนู เขากำลังจะหนีไป
ฉีหนิงคิดจะตามไป ซีเหมินจั้นอิงเห็นเห็นมือธนูจะ
หนีไป ตอนนี้มีขอทานวรยุทธ์สูงช่วยเหลือ นางก็ตาม
ฉีหนิงไป แล้วตะโกนว่า “อย่าหนีนะ”
มือธนูเคลื่อนไหวเร็วมาก ฉีหนิงเองก็ไม่ช้า มือธนูวิ่ง
ไปบนหลังคา ฉีหนิงวิ่งตามจากด้านล่าง ไม่นานนักฉี
หนิงก็ตามมือธนูทัน เขาพูดว่า “ข้าบอกแล้วไม่ให้เจ้า
ไป เจ้าก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
วิ่งไปอีกสิบกว่าก้าว มือธนูเหมือนจะรู้ว่าสลัดฉีหนิง
ไม่หลุดแน่ เขาหยุด แล้วหันกลับมา ฉีหนิงเองก็หยุด
เหมือนกัน ทั้งสองมองหน้ากัน
ถึงแม้ซีเหมินจั้นอิงจะมาช้า แต่ว่าตอนนี้ก็ตามมาทัน
เขาจ้องไปที่มือธนูบนหลังคา
มือธนูถอนหายใจแล้วพูดว่า “วรยุทธ์ของท่านร้าย
กาจน่านับถือมาก ข้ายอมแพ้อย่างเต็มใจ ข้าไม่ใช่คู่
ต่อสู้ของท่าน”
“ในเมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้ ยังไม่เชื่อฟังอีก?” ฉีหนิงพูดว่า
“ยังไม่ลงมาอีก”
มือธนูส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านเป็นยอดฝีมือ
ก็น่าจะเข้าใจ คนอย่างพวกเรา หากพลาด ก็มี
ผลลัพธ์แค่สองอย่าง ไม่หนี ก็ต้องตาย แต่จะตกอยู่
ในมือของคู่ต่อสู้ไม่ได้เด็ดขาด”
“ดังนั้นเจ้าก็เลยฆ่าเพื่อนของเจ้าอย่างนั้นสินะ?” ฉี
หนิงพูดว่า
มือธนูยิ้มแล้วพูดว่า “ก่อนที่เขาบาดเจ็บ เขาก็หนีไป
พร้อมกับข้าได้ ต่อให้เขาเป็นเพื่อนข้า แต่เมื่อพลาด
บาดเจ็บ เขาก็จะกลายเป็นศัตรู ข้าไม่มีทางให้เขา
รอดไปได้อีก”
“โหดเหี้ยม พวกเจ้าเป็นใครกัน?” ซีเหมินจั้นอิงถาม
มือธนูพูดว่า “หากข้าบอกพวกท่านได้ ก็คงไม่ต้อง
กลัวว่าจะตกอยู่มือของพวกท่าน ผู้อาวุโส ฝีมือของ
ท่านร้ายกาจมาก ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน แต่ว่าท่าน
คิดจะจับข้า เกรงว่าไม่ง่ายแบบนัน้ ”
ฉีหนิงพูดว่า “เรามาลองกันไหมล่ะ”
“ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว” มือธนูยิ้มแล้วพูดว่า “ข้า
ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีความสามารถในการจับ
ข้า แต่ว่าท่านคงไม่ทำแบบนัน้ เพราะท่านกับข้าไม่
เหมือนกัน ท่านยังห่วงความปลอดภัยของแม่นางคน
นั้นอยู่ แต่ข้าไม่สนใจชีวิตของใครทั้งนั้น”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “เจ้าพูดแบบนี้
หมายความว่าไง?”
“วิชายิงธนูของข้าเทียบอะไรกับท่านไม่ได้เลย” มือ
ธนูพูดว่า “ข้าเองก็รู้ว่าข้าทำอะไรผู้อาวุโสไม่ได้ แต่
ว่าแม่นางข้าง ๆ ท่านนั้นไม่เหมือนกัน หากผู้อาวุโส
อยากจะพนันกับข้า ข้าก็ยินดี ธนูดอกเดียวข้า
สามารถเอาชีวิตนางได้”
ซีเหมินจั้นอิงตะลึงไป เมื่อกี้นางได้เห็นฝีมือการยิงธนู
ของเขาแล้ว ถึงแม้ฉีหนิงสามารถหลบได้ง่าย ๆ แต่ว่า
ไม่ได้หมายความว่าการยิงธนูของเขาห่วย แต่กลับกัน
ซีเหมินจั้นอิงใช่ว่าจะไม่รู้วิชายิงธนู ในฐานะ
เจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหว อาวุธมากมายก็ได้จับมา
ทั้งหมด นางเข้าใจดีว่า ที่จริงแล้วเขามีการยิงธนูที่
ยอดเยี่ยมมาก ถือเป็นมือดีในการยิงธนูเลย
ฉีหนิงสามารถหลบได้ เพราะเขามีวิชาที่ร้ายกาจ
ส่วนซีเหมินจั้นอิงไม่มีทางหลบได้แบบฉีหนิง หากมือ
ธนูคิดจะฆ่าซีเหมินจั้นอิง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องยาก
นางเหลือบไปมองขอทานที่อยู่ข้าง ๆ ท่ามกลางแสง
จันทร์ หน้าของเขาออกเหลืองและมอมแมมมาก
ท่าทางของเขาดูเคร่งเครียด นางแอบรู้สึกผิด รู้แบบ
นี้นางก็ควรตามมาเลย หากให้ขอทานตามมาคน
เดียว มือธนูก็ไม่มีเหตุผลที่จะหนีไปได้ แต่ตอนนี้มือ
ธนูเอานางมาเป็นตัวประกัน เรื่องนี้เลยยุ่งยาก
นางโทษตัวเอง ฉีหนิงเองก็รู้ว่ามือธนูไม่ได้พูดโกหก
มือธนูสามารถยิงธนูได้ทุกรูปแบบ เหมือนแค่
กระพริบตาก็ทำได้ เชี่ยวชาญมาก ก็ไม่รู้ว่าฝึกมากี่
พันกี่หมื่นครั้ง เขาสามารถหลบลูกธนูได้ แต่ซีเห
มินจั้นอิงทำไม่ได้
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้าอย่างนั้นหรอ?” ฉีหนิงพูด
มือธนูส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ข่มขู่ แต่เป็นการ
ขอร้อง ข้าไม่อยากตายที่นี่ ดังนั้นถึงได้ทำแบบนี้ ผู้
อาวุโสเป็นคนของพรรคกระยาจก เรากับพรรค
กระยาจกไม่มีความแค้นต่อกัน ผู้อาวุโสแค่อยากช่วย
แม่นางคนนัน้ เท่านั้น ตอนนี้แม่นางคนนั้นปลอดภัยดี
แล้ว อีกทั้งข้าก็ทิ้งหนึ่งชีวิตเป็นการขอขมาไว้แล้ว
ทำไมผู้อาวุโสถึงยังไม่ยอมรอมืออีก?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าจริงใจมาก ข้าชอบที่เจ้าพูด
ตรง ๆ”
มือธนูยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ได้พบผู้อาวุโส ถึงได้รู้ว่า
พรรคกระยาจกมีคนเก่งไม่น้อย ที่จริงงานชุมนุมชิงมู่
ในครั้งนี้ ผู้อาวุโสสามารถร่วมชิงตำแหน่งประมุข
พรรคได้นะ”
“เรื่องนีค้ งไม่รบกวนชาวเป่ยฮั่นอย่างพวกเจ้าต้อง
เป็นห่วงหรอกนะ” ฉีหนิงพูด
ซีเหมินจั้นอิงสะดุ้ง มือธนูยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโส
สายตาแหลมคม ที่แท้ก็รู้ว่าข้ามาจากไหน”
“คิดอยากจะจับคนของจวนเสินโหวไปเป็นผลงาน ก็
มีแค่ชาวเป่ยฮั่นเท่านั้นแหละที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้”
ฉีหนิงยกมือเกาหัว แล้วถามว่า “จริงสิ พวกเจ้าเป็น
คนของหอเก้านภาหรือเปล่า?”
มือธนูพูดว่า “เป่ยฮั่นมียอดฝีมือมากมาย ไม่ได้มีแค่
หอเก้านภาที่เดียว”
ฉีหนิงได้ยินมาว่าหอเก้านภามีมู่หยุนโหวของเป่ยฮั่น
เป็นคนบัญชาการ ส่วนมู่หยุนโหวเป่ยถังฮ่วนเย่เป็น
หนึ่งในห้าต้าจงซือ คนแบบนี้คิดว่าไม่น่าจะร่วมการ
ต่อสู้ทางการเมือง เพราะหากเป่ยถังฮ่วนเย่จะ
สนับสนุนใคร แคว้นฮั่นไม่มีทางมีองค์ชายหลายคน
มาชิงบังลังก์แน่นอน ในเมื่อคนพวกนี้กล้าที่จะชิง
บัลลังก์ ก็เพราเป่ยถังฮ่วนเย่ไม่ได้ยุ่งเรื่องการเมือง
ถึงแม้มู่หยุนโหวจะดูแลหอเก้านภา แต่ก็ไม่ได้ยุ่งเรื่อง
นี้ แต่ว่าในเมื่อมู่หยุนโหวไม่ได้เกี่ยวข้อง งั้นหอเก้า
นภาก็ไม่น่าจะเสี่ยง อีกงั้ ไม่มีทางให้องค์ชายคนนั้นส่ง
คนออกมาสังหารเป่ยถังเฟิงได้ง่าย ๆ แบบนี้
“เจ้าพูดตรงดีมาก ข้าชอบที่เจ้าพูดตรง ๆ” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าขอร้องมาแบบนี้ หากข้าไม่
ยอมเลิกรา เจ้าเองก็คงไม่สบายใจ”
มือธนูยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสคงไม่ถือสาเราคนไม่มี
ชื่อเสียงแบบนี้หรอกจริงไหม”
ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วโบกมือ มือธนูรีบพูดว่า
“ขอบคุณผู้อาวุโส” ถึงแม้จะห่างอยู่ไกลจากฉีหนิง
มาก แต่ขาก็ถอยกลับไปอย่างระวัง ซีเหมินจั้นอิง
ร้อนใจมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือก ตอนนี้เห็นมือธนู
หายไปต่อหน้าต่อตา นางก็กระทืบเท้า แล้วพูดว่า
“น่าโมโหจริง ๆ ปล่อยให้เขาหนีไปได้”
ฉีหนิงเหลือบไปมองฉีเหมินจั้นอิง ท่ามกลางแสง
จันทร์ ใบหน้าที่ไม่พอใจนั่น มันดูสวยมาก เขาไม่
อยากเข้าใกล้ซีเหมินจั้นอิงมากจนเกินไป เพราะซีเห
มินจั้นอิงรู้จักเขาดี อีกทั้งสาวสวยคนนี้ก็ไม่ได้โง่ อย่า
ให้นางจับได้จะดีกว่า เขากระแอมไอแล้วพูดว่า “รีบ
กลับไปซะ อย่าวิ่งออกมาคนเดียวแบบนี้อีก” เขาไม่
พูดอะไรมาก หันหลังแล้วเดินไปเลย
ซีเหมินจั้นอิงรีบตามไป แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโส เมื่อครู่
......เมื่อครู่ขอบคุณท่านมากที่ช่วย”
ฉีหนิงไม่ได้หันหน้ากลับมา เขาพูดว่า “ข้าทนเห็น
ผู้หญิงคนหนึ่งถูกรังแกไม่ได้หรอกนะ ข้าว่า นิสัยของ
แม่นางก็ควรจะแก้สักหน่อยนะ ต่อไปถ้าไม่ได้จำเป็น
ก็อย่ามาคนเดียว ควรจะมีคนตามมาด้วย ข้างนอกมี
แต่อันตรายเต็มไปหมด เจ้าคงไม่โชคดีเจอคนช่วย
ตลอดเวลาหรอกนะ”
ซีเหมินจั้นอิงรู้ว่าที่ขอทานพูดนั้นจริง นางพูดว่า
“คำพูดของผู้อาวุโส ข้าจะจำเอาไว้ ผู้อาวุโส ขอถาม
ชื่อเสียงเรียงนามของท่านได้ไหม?”
ฉีหนิงเดินไปพรางพูดไปพราง “ก็แค่ขอทานขอข้าว
คนอื่นกินเท่านัน้ ไม่มีชื่อมีแซ่อะไร แม่นาง เจ้ารีบ
กลับไปเถอะ”
ซีเหมินจั้นอิงเว้นระยะห่างจากฉีหนิงประมาณสอง
ก้าว แต่นางไม่เดินเลยเขา เพราะคืนนี้หากไม่ได้
ขอทานคนนี้ช่วยเอาไว้ นางไม่อยากจะคิดถึงผลที่
ตามมาเลย ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกซาบซึง้ ใจมาก นางรีบ
พูดว่า “ผู้อาวุโสไม่ยินดีที่จะบอกชื่อของท่านกับข้า
หรอ?”
ฉีหนิงหยุดเดิน ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม่นาง เจ้า
เป็นคนของทางการ ข้าเป็นเพียงขอทานคนหนึ่ง
เท่านั้น ฐานะเราต่างกัน อย่างเข้าใกล้กันเลยจะ
ดีกว่า”
“แล้วยังไง?” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “เป็นขอทานก็จะ
ต่ำกว่าคนอื่นหรือยังไง? ขอแค่จิตใจดี ก็ไม่มีสูงมีต่ำ”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “น่าเสียดายไม่ใช่ทุกคนที่
คิดเหมือนเจ้า”
ซีเหมินจั้นอิงลังเล แล้วถึงเอ่ยปากถามอย่าง
ระมัดระวัง “ผู้อาวุโส ข้า.......ข้ามีเรื่องอยากขอคำ
ชี้แนะจากท่านสักหน่อย ไม่ทราบ.....ไม่ทราบว่าข้า
ควรจะถามดีไหม”
“หือ?” ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องอะไร?”
“วิชาการเคลื่อนไหวของท่านผู้อาวุโส ร้ายกาจมาก
ไม่ทราบว่า......ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเป็นคนคิดค้นเอง
หรือเปล่า?” น้ำเสียงของซีเหมินจั้นอิงนอบน้อมมาก
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไม? แม่นางรู้สึกว่าวิชานั่น
ใช้ได้อย่างนั้นหรือ?”
“ที่จริง......ที่จริงแล้วข้าเคยเห็นวิชาการเคลื่อนที่
แบบนี้” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “คน.....คน ๆ นั้นมีวิชา
ที่เหมือนกับของท่านผู้อาวุโสเลย ดังนั้น......”
ฉีหนิงนึกขึ้นมาได้ทันทีว่า ซีเหมินจัน้ อิงเคยเห็นเขาใช้
ท่าเท้าท่องคลื่น เขาหันหลังกลับมา มองไปที่ซีเห
มินจั้นอิง นางรีบถอยหลังไปหนึง่ ก้าว เหมือนจะ
ระมัดระวังตัวมาก ฉีหนิงยิ้มแล้วถามว่า “เจ้าเคยเห็น
คนใช้วิชานี้? เขาเป็นใครกัน?”
ซีเหมินจั้นอิงไม่ได้ตอบ พูดแค่ว่า “ข้าอาจจะ.......
อาจจะจำผิดไป”
ฉีหนิงเหมือนคิดอะไรได้ เขาพูดว่า “แม่นาง ข้าพูด
กับเจ้าตรง ๆ เลยนะ ใต้หล้านี้ คนทีร่ ู้จักวิชานี้
นอกจากข้าแล้ว ก็มีแค่ลูกศิษย์ของข้าคนเดียว
เท่านั้น”
“ลูกศิษย์?” ซีเหมินจั้นอิงตะลึงไป แล้วพูดว่า “ถ้า
อย่างนั้นข้าคงจำผิดจริง ๆ ศิษย์ของท่านผู้อาวุโสต้อง
เป็นคนในพรรคกระยาจกจริงไหม?”
ฉีหนิงส่ายหัว เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่หรอก ข้ากับ
ลูกศิษย์ข้ามีวาสนาต่อกัน เราได้พบกันโดยบังเอิญ
แต่ว่าเขาเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา หน้าตาก็ดี นิสัยก็ดี
ถึงแม้จะเกิดในตระกูลที่ไม่เลว แต่เขาก็ไม่ได้มีมาด
ของคุณชายตระกูลใหญ่เลย ปฏิบัตกิ ับคนอื่นก็ใช้ได้
ข้าเห็นเขามีความสามารถ เลยสอนวิชาให้เขา”
“ผู้อาวุโส......ศิษย์ของท่าน ชื่อว่า......ชื่อว่าฉีหนิง
หรือเปล่า?” ซีเหมินจั้นอิงเหมือนจะดีใจมาก
ฉีหนิงแกล้งทำท่าทางตกใจ แล้วย้อนถามกลับไปว่า
“เจ้ารู้จักฉีหนิงด้วย? ถูกต้อง ศิษย์ของข้าคือฉีหนิง”
“รู้จัก” ซีเหมินจั้นอิงรีบพูดว่า “ข้า......ข้าเป็นเพื่อน
.....กับเขา เราสนิทกันดี”
ฉีหนิง “อ๋อ” แล้วพูดด้วยความแปลกใจว่า “เจ้าเป็น
ผู้หญิง ทำไมถึงสนิทกับเขาได้? ศิษย์ของข้าไม่เคยพูด
ถึงเพื่อนผู้หญิงคนไหนให้ข้าฟังเลยนะ” เขาเหมือน
คิดอะไรออกอีก เขาพูดว่า “จริงสิ เขาไปตงฉีครั้งนี้
ข้าบังเอิญได้เจอเขา เราได้ดื่มเหล้ากัน เขาดื่มมากไป
หน่อย ข้าเลยหลอกถามเขามา เหมือนจะมีผู้หญิงคน
หนึ่งจริง ๆ เหมือนเขาจะคิดถึงนางตลอดเวลาเลย”
ซีเหมินจั้นอิงรีบถามว่า “เขาพูดถึงแม่นางคนไหน”
เหมือนนางจะรู้ตัวว่าเสียอาการมากไป หน้าของนาง
แดง เหมือนจะอาย นางพูดว่า “ผู้อาวุโส เขา.....เขา
พูดถึงแม่นางคนไหนหรอ?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 679 เพิ่งรู้จักรัก
ฉีหนิงยิ้มแล้วย้อนถามไปว่า “แม่นาง ทำไมเจ้าถึงได้
สนใจว่าศิษย์ข้าจะพูดถึงผู้หญิงคนไหนจังเลย?”
ซีเหมินจั้นอิงหน้าแดง นางก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาฉี
หนิง นางพูดว่า “ข้า......ข้าแค่อยากรู้ว่าข้ารู้จักผู้หญิง
คนนั้นหรือเปล่า”
“อย่างนี้นเี่ อง” ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “อือ
ความจำของข้าก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ขอข้าคิดก่อน
เหมือนจะ......” เขาทำท่าทางเหมือนกำลังนึกคิด ซี
เหมินจั้นอิงมองไปที่ฉีหนิงแบบตาโต แทบจะลืม
หายใจ ฉีหนิงตบหัวแล้วพูดว่า “จริงสิ นึกออกแล้ว
ข้าจำได้แล้วผู้หญิงคนนั้นแซ่เจิง้ ”
“แซ่เจิ้ง?” ซีเหมินจั้นอิงเหมือนจะผิดหวังมาก นาง
กัดปาก พูดเหมือนจะโกรธ “ที่แท้เขาก็ยังคิดถึงคน
แซ่เจิ้งด้วย”
“เขาไม่แค่คิดถึงนะ แม้แต่ตอนนอนก็ยังไม่ลืมเลย”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “คนนัน้ เขาดื่มจนเมา
หลังจากนอนแล้ว เขาละเมอ บอกว่าเจิ้งอิงข้าคิดถึง
เจ้า......” เขายกมือแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ช่างเถอะ
เรื่องของคนหนุ่มสาว ข้าพูดไม่ออกจริง ๆ”
ที่จริงเขาถูกแปลงโฉมเป็นคนอายุประมาณสามสิบ
กว่า เพียงแต่ใบหน้าของเขามอมแมมแล้วก็ออก
เหลือง เลยทำให้ดูเหมือนอายุสี่สิบ แต่ว่าเวลาพูดจา
ดูเป็นผู้ใหญ่มาก เลยเหมือนคนอายุห้าสิบ
“เจิ้งอิง?” ซีเหมินจั้นอิงตะลึงไป “ผูอ้ าวุโส ท่าน......
ท่านบอกว่าเขาคิดถึงแล้วก็เรียกชื่อแม่นางคนนัน้ ว่า
เจิ้งอิง?”
ฉีหนิงพูดว่า “คิดว่าน่าจะทำไม่ผิด ข้าได้ยินเขาบอก
ว่า ผู้หญิงคนนั้นอารมณ์ร้ายมาก ชอบทะเลาะกับเขา
เจอหน้ากันทีไรก็ต้องเถียงกันทุกที แต่ว่าเขาบอกว่า
แม่นางคนนัน้ เป็นคนจิตใจดี หน้าตาก็สวย เขาบอก
ว่าเขาฝันถึงแม่นาคนนัน้ บ่อย ๆ”
“ชอบเถียงกับเขา?” ซีเหมินจั้นอิงเหมือนคิดอะไร
ขึ้นมาได้ นางหน้าแดง ท่ามกลางแสงจันทร์ นางดูมี
เสน่ห์มาก ปกตินางมักจะทำหน้านิ่ง ๆ แล้วก็ดูดุ แต่
ว่าเวลาเขินอายขึ้นมา ก็มีมุมของหญิงสาวเหมือนกัน
ดูดีมีเสน่ห์มากทีเดียว นางก้มหน้าแล้วพูดว่า “ผู้
อาวุโส ท่าน......ท่านไม่ได้จำชื่อผิดใช่ไหม? แม่......แม่
นางคนนั้นแซ่เจิ้งจริง ๆ หรอ?”
ฉีหนิงแกล้งทำเป็นคิด แล้วพูดว่า “น่าจะไม่ผิดนะ
แซ่เจิ้ง คืนนั้นเขาเมา ละเมอขึ้นมากลางดึก พูดว่า
เจิ้งอิงเจิ้งอิง อือ ไม่สิ เหมือนจะไม่ใช่เจิ้งอิง เจ้ารู้จัก
เจ้าบ้านัน่ เคยเจอเขาตอนเมาไหม? เวลาเขาเมานะ
พูดอะไรลิ้นพันกันไปหมด ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าใช่แซ่
เจิ้งหรือเปล่า แต่ว่าก็น่าจะประมาณนั้นแหละ”
ซีเหมินจั้นอิงใจเต้นแรงมาก นางหน้าแดง “ผู้อาวุโส
ท่าน......ท่านลองคิดอีกทีได้ไหม”
ฉีหนิงรู้สึกขำมาก แต่ว่าเห็นซีเหมินจั้นอิงหน้าแดง
เขาก็พูดไม่ถูกเหมือนกันว่านางมีเสน่ห์ยังไง เขาคิดใน
ใจว่า เวลาซีเหมินจั้นอิงเขิน ดูเป็นผู้หญิงมาก
เขาแกล้งทำเป็นนึก แล้วพูดว่า “หรือว่าข้าจะจำผิด
จริง ๆ เจิ้ง......อือ......เหมือนตอนทีฝ่ ันเขาเรียกว่า
......ใช่ใช่ใช่ จั้นอิง ข้าจำได้แล้ว คราวนี้ไม่ผิดแน่ จั้น
อิงแน่นอน”
ซีเหมินจั้นอิงพอจะเอาออก แต่พอได้ยินฉีหนิงพูด
แบบนี้ออกมา หัวใจของนางก็เต้นแรงมาก หน้าของ
นาแดง เขาก้มหน้าลง แต่ก็ยังอดไม่ได้ถามต่อว่า “ผู้
อาวุโส เขา......เขาฝันถึง.....ฝันถึงแม่นางที่ชื่อว่า......
ชื่อว่าจั้นอิงจริง ๆ หรอ?”
“ไม่ผิดแน่ จั้นอิงแน่นอน” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ละเมอทั้งคืนเลย พูดเยอะแยะไปหมด......เห้อ ข้า
ฟังแล้วยังเขินแทนเลย ไม่พูดแล้ว......”
เขายิ่งพูดแบบนี้ ซีเหมินจั้นอิงยิ่งอยากรู้ว่าฉีหนิง
ละเมอว่าอะไร แต่นางไม่กล้าถามตรง ๆ เขาพูดได้
แค่ว่า “เขา......เขาชอบละเมอหรอ? ข้าไม่เคยได้ยิน
มาก่อนเลย”
“เจ้าก็ต้องไม่เคยได้ยินสิ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เขา
ชอบละเมอตอนดึก ๆ เจ้าก็ไม่ใช่เมียนอนข้าง ๆ เขา
จะไปได้ยินเขาพูดอะไรได้ยังไง”
ซีเหมินจั้นอิงหน้าบานเป็นดอกไม้เลย นางกัดปาก
แล้วถามว่า “เขา......เขาละเมอ.....น่าเกลียดมากเลย
หรอ?”
“ก็ไม่ได้น่าเกลียด” ฉีหนิงเข้าใจความรู้สึกหญิงสาวที่
เพิ่งรูจ้ ักคำว่ารักดี เขาตั้งใจพูดว่า “หากว่าเป็นผู้ชาย
ผู้หญิงอยู่กันสองคนมันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าคน
นอกฟังแล้วมันก็เขิน ข้ายกตัวอย่างสักอันแล้วกัน
เขาบอกว่าจั้นอิงปากสวยมาก เหมือนผลพลับ ทุก
ครั้งทีเ่ ขาเห็นเขาก็อยากกัด อีกทั้งเขายังชอบเห็น
เวลาแม่นางคนนั้นโกรธ ดูน่ารักมาก ทำให้เขาใจเต้น
แรงตลอด......” เขาแกล้งทำเป็นเขินแล้วพูดว่า “ช่าง
เถอะ พูดมากไปเดี๋ยวเจ้าจะหาว่าข้าไม่ปกติ”
ซีเหมินจั้นอิงหน้าแดงกว่าเดิมอีก แต่ว่าในใจลึก ๆ
นางไม่ได้รังเกียจเลย กลับชอบด้วย คิดในใจว่าเจ้า
บ้านั่นคิดถึงนางตลอดเวลา ได้ยินว่าฉีหนิงอยากจะ
กัดปากนาง นางก็อดที่จะกัดฟันไม่ได้
“แม่นาง เจ้ารีบกลับไปเถอะ” ฉีหนิงเร่งแล้วพูดว่า
“ครั้งนี้ข้ามาร่วมงานชุมนุมชิงมู่ ตอนนี้รู้สึกเหนื่อย
มาก จนตอนนี้ยังอยู่ข้างนอกอยูเ่ ลย ยังหาที่พักไม่ได้
ข้ายังต้องไปหาที่นอน”
ซีเหมินจั้นอิงรีบพูดว่า “ผู้อาวุโสยังไม่มีที่พักอย่างนั้น
หรอ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเป็นคนของพรรคกระยาจก
จะไปฉกชิงวิ่งราวก็ไม่ได้ ปกติก็ขอข้าวจากคนใจบุญ
บนตัวก็ไม่มีเงินสักอีแปะเดียว”
ซีเหมินจั้นอิงไม่พูดมาก นางยื่นไปในเสื้อ ตอนนี้นาง
ถึงได้รู้ว่าเสื้อผ้าของนางกระจัดกระจายไปหมด ก่อน
หน้านี้ถูกแส้รัดกระชาก ดังนั้นเสื้อผ้าก็เลยไม่
เรียบร้อย ตอนนีน้ างถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าด้านหลัง
ของนางก็มีเสื้อที่ขาดอยู่ นางเลยรู้สกึ เขิน จากนั้นก็
หยิบถุงเงินอกมา แล้วยื่นให้ฉีหนิง “ผู้อาวุโส อันนี้
.....ท่านรับไว้ก่อน แล้วหากที่พักดีดีค้างสักคืน”
ฉีหนิงรีบยกมือปฏิเสธแล้วพูดว่า “ไม่ได้ ข้าขอแค่
ข้าวกัน ไม่ขอเงิน”
“ไม่ได้ขอเงิน” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “ข้า......ข้ากับฉี
หนิงเป็นเพื่อนกัน ท่านเป็นอาจารย์ของเขา ก็......ก็
เหมือนเป็นอาจารย์ของข้าด้วย ข้าให้เงินท่าน มันไม่
เป็นไรเลย”
ฉีหนิงพูดว่า “เป็นเด็กดีจริง ๆ แต่ว่าเงินนี่ไม่ต้อง
หรอก”
ซีเหมินจั้นอิงเห็นขอทานไม่รับเงิน นางนึก แล้วยิ้ม
แล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ท่านไม่รับเงินก็ไม่เป็นไร
ท่านไปกับข้า ข้าจะหาที่พักในโรงเตีย๊ มให้ท่านเอง
รับรองได้ว่าท่านจะมีที่อยู่ ที่กินที่ดี” พอคิดถึงตรงนี้
ก็ขมวดคิ้ว “ท่านอาจารย์ ข้าต้องกลับไปรายงานตัว
ก่อน ทางนัน้ ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง”
เมื่อครู่นางไล่ล่าตัวคนร้าย เลยมาคนเดียว ทางนัน้ สู้
กันดุเดือดมาก ตอนนี้คิดอะไรขึ้นมาได้ ก็รู้สึกกังวล
ขึ้นมา นางหันหลังแล้วเดินไปทันที ฉีหนิงเห็น
ด้านหลังของนาง ใต้แสงจันทร์ แผ่นหลังของซีเห
มินจั้นอิงขาวราวกับหิมะ ซีเหมินจั้นอิงเดินออกไป
สองก้าว แล้วก็หันกลับมามอง แล้วพูดว่า “ท่าน
อาจารย์ ท่านไปพร้อมกับข้านะ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเป่ยถังอวี้ถูกล้อม คิดอยากจะหนี
คิดว่าคงยาก เขาเองก็อยากจะรู้ว่าสถานการณ์ทาง
นั้นเป็นยังไงบ้าง เขาเลยพยักหน้า แล้วตามไป พอ
เขานึกถึงศพของถือแส้ เขาถามว่า “แม่นาง แล้วศพ
นั่นล่ะ......?”
“ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวให้เจ้าหน้าที่มาจัดการ” ซีเหมิ
นกังวลสถานการณ์ทางนั้นมาก เลยร้อนใจ รีบเร่ง
ฝีเท้าเดิน ฉีหนิงเดินตามอยู่ด้านหลัง ตอนที่นางเดิน
เร็วมาก สะโพกของนางบิดไปบิดมา มันดูเด้งมาก ฉี
หนิงอดคิดไม่ได้ว่า เมื่อกี้ที่มือธนูนั่นบอกว่าก้นของซี
เหมินจั้นอิงเป็นของหานาก ถึงแม้มันอาจจะดูเกิน
จริงไปบ้าง แต่ว่ามันก็อวบอิ่มมากจริง ๆ
ซีเหมินจั้นอิงเดินไปได้ระยะหนึ่ง ทันใดนั้นเองนางก็
รู้สึกว่าตัวนางเสียมารยาทมาก นางหยุดเดิน แล้วหัน
กลับมา พูดแบบเขิน ๆ ว่า “ท่านอาจารย์ ข้า.....”
นางยกมือแล้วพูดว่า “ท่านเดินข้างหน้าดีกว่า”
ฉีหนิงรู้ว่านางรู้สึกตัวว่าตัวนางเสียมารยาท คิดไม่ถึง
ว่าผู้หญิงที่อารมณ์ร้อนแบบนางจะรูจ้ ักมารยาทมาก
ขนาดนี้ แต่ว่าถ้าเขาไปเดินข้างหน้าแล้ว เขาก็จะดู
รูปร่างสวย ๆ ของจัน้ อิงไม่ได้อีก แต่ว่าในเมื่อเขา
แต่งตัวเป็นคนแก่ เขาก็ต้องทำให้ดูเหมือนมากที่สุด
เขาพยักหน้า แล้วเดินขึ้นหน้าไป
ซีเหมินจั้นอิงเดินตามหลังอยู่ข้าง ๆ ทั้งสองเดิน
ย้อนกลับไปพร้อมกัน
ฉีหนิงแกล้งถามว่า “แม่นาง เจ้ากับฉีหนิงเจอกัน
บ่อยหรอ?”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “ตอนอยู่ที่เมืองหลวงก็เจอกัน
บ่อย แต่ว่า......แต่ว่าตอนนี้เขามักจะออกไปทำงาน
นอกเมืองหลวงบ่อย ๆ เลยเจอกันน้อยลง”
“อ๋อ?” ฉีหนิงพูดว่า “เขาไปแล้ว เจ้าคิดถึงเขาบ้าง
หรือเปล่า?” เขาพูดเสริมอีกคำว่า “เจ้าเป็นเพื่อนเขา
นี่นา”
ซีเหมินจั้นอิงกัดปาก ลังเลไปครู่ แล้วไม่ได้พูดอะไร
แค่อืมเบา ๆ ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วเจ้ารู้จักแม่
นางคนที่ชื่อจั้นอิงไหม? ที่แท้มีคนแซ่จั้นด้วยหรอ
เนี้ย”
“ไม่ใช่.......ไม่ใช่แบบนั้น” ซีเหมินจัน้ อิงคิดอยากจะ
อธิบาย แต่ว่าพอคิดว่าเมื่อกี้นางเอาแต่ไล่ถาม หาก
ขอทานเฒ่ารู้ว่านางคือซีเหมินจั้นอิง มันจะน่าอาย
มาก เลยพูดไปว่า “ข้า......ข้ารู้จักแม่นางคนนัน้ ”
“อ๋อ?” ฉีหนิงพูดว่า “หน้าตาเป็นยังไง? นิสัยดีไหม?
ข้าบอกศิษย์ข้าไปแล้วว่า ถ้าเขาคิดถึงแม่นางคนนั้น
ตลอดเวลาขนาดนั้น ก็ไปขอนางแต่งงานไปเลย”
ขอทานเฒ่าวรยุทธ์สูงมาก อีกทั้งเขายังมีวิชาท่าเท้า
ท่องคลื่นเหมือนฉีหนิงด้วย ซีเหมินจั้นอิงเลยไม่สงสัย
ที่ขอทานเฒ่าสอนวรยุทธ์ให้ฉีหนิง ได้ยินเขาพูดแบบ
นี้ หูหน้าก็ร้อนมาก ยังดีที่ฉีหนิงเดินอยู่ด้านหน้า เลย
ไม่เห็นว่านางหน้าแดง นางถามอย่างเขิน ๆ ว่า
“แล้ว......แล้วเขาพูดยังไง?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เขาบอกว่าได้ เขา
อยากจะรีบแต่งงานกับนางเร็ว ๆ เพียงแต่ฐานะแม่
นางคนนั้นไม่ธรรมดา เขาบอกข้าว่าพ่อของนางเป็น
ขุนนางใหญ่ ศิษย์ข้าเลยเอ่ยปากไม่ออก ยังบอกอีก
ว่าชาตินี้มีบุญได้พบแต่ไม่มีวาสนาต่อกัน”
“เขาพูดเหลวไหล ขี้ขลาด” ซีเหมินจั้นอิงอดพูดไม่ได้
พอพูดออกมาก็รู้สึกว่าไม่ควร ฉีหนิงเลยถามว่า “ขี้
ขลาด? แม่นาง ทำไมถึงพูดแบบนั้น? ข้ารู้สึกว่าเขา
กล้าบ้าบิ่นออกจะตายไป อีกทั้งยังเป็นชายหนุ่มที่มี
ความสามารถทั้งบุ๋นและบู๋ หาได้ยากนะ”
ซีเหมินจั้นอิงใจเต้นแรงมาก นางพยายามตั้งสติ “เขา
......เขากลัวอำนาจบารมีของพ่อแม่นางคนนั้น แต่ว่า
......แต่ว่าเขาเองก็เป็นถึงโหวเยว่นะ หากเอ่ยปากขอ
จริง ทำไม.......ทำไมจะไม่ได้”
“เจ้าพูดถูก ข้าเองก็บอกเขาไปแบบนั้น” ฉีหนิงพูด
ว่า “” ข้าบอกว่าต่อให้พ่อของนางจะร้ายกาจแค่ไหน
ก็ตาม เขาไม่ได้ไปขอพ่อของนางนีน่ า ไปขอลูกสาว
เขา ยังไงเขาก็เป็นถึงโหวเยว่ หากจะส่งคนไปสู่ขอ
จริง ใช่ว่าจะเป้นไปไม่ได้ ข้ากล่อมเขาอยู่นานเลย
เหมือนเขาจะเริ่มกล้าขึ้นมาบ้าง"
ซีเหมินจั้นอิงรีบถามว่า “ถ้า......ถ้าอย่างนั้นเขาจะ
ไปสู่ขอจริง ๆ หรอ?”
“เขายังคิดอยู่” ฉีหนิงเดินไปพูดไป “แต่ว่าเขาก็เชื่อ
ฟังข้าอยู่ ข้าบอกเขาว่า อยากมีเมีย ก็ต้องคิดถึงเรื่อง
การมีลูกสืบสกุล ผู้หญิงก้นใหญ่มีลูกง่าย หากผู้หญิง
คนไหนก้นแบน ๆ ไม่เอาก็แล้วไป” เขาหันไปมองซี
เหมินจั้นอิง แล้วพูดว่า “แม่นาง ข้าขอพูดอะไรที่ไม่
ควรพูดหน่อยนะ เจ้าอย่าว่าข้าเลยนะ หากแม่นาง
คนนั้นรูปร่างเหมือนเจ้า ข้าจะเอาไม้ฟาดหัวเขา แล้ว
รีบให้เขาไปสู่ขอแม่นางจัน้ อิงคนนั้นเร็ว ๆ เลย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 680 ถูกจับ
ฉีหนิงพูดมาแบบนี้ ก็เท่ากับบอกว่าก้นอย่างซีเห
มินจั้นอิงมีลูกง่าย หากเป็นคนอืน่ พูดแบบนี้ ด้วยนิสัย
ของซีเหมินจั้นอิง คงชักสีหน้าใส่ไปแล้ว
แต่ในสายตาของซีเหมินจั้นอิง ขอทานเฒ่าพูดมา
แบบนี้ มันเหมือนกำลังชมว่านางเหมาะสมกับฉีหนิง
ในใจของนางไม่มีความโกรธเลย อีกทั้งยังรู้สึกดีใจ
ด้วย แต่ว่านางยังคงถามแบบอาย ๆ ไปว่า “ฉีหนิง
เชื่อฟังท่านมากเลยหรอ?”
“แน่นอน” ฉีหนิงพูดอย่างดีใจว่า “ถึงแม้ข้าจะสอน
เขาแค่วิชาเดียว แต่ว่าเจ้าเด็กบ้านั่นเคารพอาจารย์
มาก ยำเกรงข้าพอสมควร คำพูดของข้า เขาก็พอจะ
คิดอยู่บ้าง” เขาถอนหายใจ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “น่า
เสียดาย เจ้านิสัยดี รูปร่างก็ดี หน้าตาก็ดี หากว่าไม่มี
แม่นางจั้นอิงอะไรนั่น ข้าคงให้ศิษย์ข้าขอเจ้ามาเป็น
เมียแน่นอน”
ซีเหมินจั้นอิงหน้าแดงแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโส.......”
“โทษที โทษทที” ฉีหนิงหัวเราะ “เวลาข้าพูด ชอบ
ลืมตัวตลอด พูดอะไรไม่ควรพูดไป แม่นาง อย่าถือสา
ข้าเลยนะ”
“ไม่เป็นไรเลย” ซีเหมินจั้นอิงมีมารยาทมาก “ท่าน
เป็นผู้อาวุโส จะพูดอะไรก็ดีต่อผู้น้อยอย่างเราอยู่
แล้ว”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เด็กดี เป็นผู้หญิงที่ดีจริง
ๆ”
ทั้งสองคนเดินไปคุยไป ผ่านมาแล้วสองซอย ทันใด
นั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคน เขาหันไปมอง เห็นทหาร
ของทางการกำลังมาทางนี้ คนหน้าสุดสวมชุดเกราะ
ยังมีเสื้อคลุมด้วย
ซีเหมินจั้นอิงรีบเดินขึน้ หน้าไป แล้วหยิบป้ายออกมา
แม่ทัพคนนัน้ เห็นมีคนมาขวาง ก็รู้สกึ โกรธ แต่พอ
เห็นจั้นอิงเอาป้ายออกมา เขาก็เดินขึ้นหน้ามาหนึ่ง
ก้าว เขามอง แล้วรีบพูดว่า “ที่แท้ก็ไต้เท้าจากจวน
เสินโหว ข้าน้อยเป็นทหารสำรวจเมือง ได้รับรายงาน
ว่า ในเมืองมีสายลับ กำลังจะไปจับ”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “พวกเจ้ามาได้จังหวะพอดี ตาม
ข้ามา” นางกำลังจะพาคนไปช่วย ฉีหนิงยืนอยู่ข้าง ๆ
พูดขึ้นมาว่า “ท่านไต้เท้า ข้าขอยืมเสื้อคลุมของท่าน
หน่อยได้ไหม”
แม่ทัพคนนัน้ เห็นขอทานพูด ก็ขมวดคิ้ว แต่ว่าเห็น
เขามากับซีเหมินจั้นอิง เขาไม่กล้าผิดใจกับจวนเสิน
โหว เขาลังเล จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมออกมาให้ ฉีหนิง
รับเสื้อมาแล้ว ก็ยื่นให้กับซีเหมินจั้นอิง ซีเหมินจั้นอิง
อึ้งไป ทันใดนัน้ เองก็นึกขึ้นมาว่า เสือ้ ผ้าของนาง
ด้านหลังขาดเป็นรูใหญ่ แผ่นหลังโผล่ออกมา นาง
แอบคิดในใจว่าขอทานเฒ่านี่ใส่ใจดีจริง ๆ ในใจก็
ซาบซึ้งใจมากกว่าเดิม นางยื่นมือรับมา แล้วเอามา
คลุม จากนั้นก็พาคนไป
แม่ทัพออกคำสั่ง เหล่าทหารก็เดินตามหลังไป
ไม่นานนัก ก็เห็นบ้านหลังที่เป่ยถังอวี้อาศัย ภายในไม่
มีเสียงการต่อสู้แล้ว แต่ว่ามีทหารกลุ่มหนึ่งอยู่นอก
บ้าน ต่างชักดาบออกมา เหมือนว่ามีทหารกลุ่มหนึ่ง
มาถึงก่อนแล้ว
แม่ทัพคนนัน้ ถูกคนชิงมาถึงก่อน สีหน้าของเขาก็รู้สึก
โกรธมาก เขาพูดเสียงเข้มว่า “ล้อมที่นี่เอาไว้ให้
หมด” เขาพาคนมาแค่ยี่สิบคน คิดอยากจะล้อมที่นี่
เอาไว้ มันก็ไม่ง่ายเลย
ซีเหมินจั้นอิงเดินขึ้นหน้าไป เห็นภายในเรือนมีกลุ่ม
คนล้อมอยู่กลุ่มหนึ่ง มีคนของพรรคกระยาจก มี
ทหาร แล้วก็ชายอีกห้าหกคน คิดว่าน่าจะเป็นคนของ
จวนเสินโหว บนพื้นมีศพอยู่ประมาณห้าหกศพ สาม
ศพเป็นองครักษ์เป่ยฮั่น อีกหลายศพเป็นคนของ
พรรคกระยาจก ในตอนนี้มีทหารองครักษ์เป่ยฮั่นอีก
สองคนที่คุ้มกันอยู่ข้าง ๆ เป่ยถังอวี้ มีเลือดเต็มตัว ดู
อนาถมาก แต่ว่าอยู่ต่อหน้าทุกคน องครักษ์ทั้งสองก็
ไม่ได้มีท่าทีกลัวเลย สายตาของพวกเขาแน่วแน่มาก
เหมือนเตรียมตัวตายไปแล้ว
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้ไปร่วมวง เขายืนมองอยูไกล ๆ ที่นี่มี
คนของพรรคกระยาจกอีกยี่สิบกว่าคน ยืนปะปนไป
ก็ไม่มีใครสังเกต
เขามองเห็นคนอ้วน ๆ ผอม ๆ คนหนึ่งที่เป็นคนของ
จวนเสินโหวอย่างทั่นหลางเสี้ยวเว่ยชวีเสี่ยวชาง เขา
ยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่ไกลจากเป่ยถังอวี้นกั เขายืนมือไขว้
หลัง สีหน้านิ่งมาก เจ้าหน้าที่จวนเสินโหวหลายคน
ยืนอยู่หลังเขา
ฉีหนิงคิดในใจว่าในเมื่อชวีเสี่ยวชางก็มาแล้ว แต่เขา
ไม่เห็นเซวียนหยวนผ่อ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายังอยู่ทซี่ ี
ชวนหรือเปล่า
เป่ยถังอวี้ถูกล้อมเอาไว้ตรงกลาง แต่ว่าสมแล้วที่เขา
เป็นเชื้อพระวงศ์เป่ยฮั่น เขายืนเอามือไขว้หลัง
ท่าทางสุขุมมาก สีหน้าไม่ได้มีความกลัวเลย เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “หากไต้ซือรู้สึกโกรธ ก็ลงมือได้เลย เรื่อง
มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็ไม่คิดจะรอดไปจากที่นี่อยู่แล้ว”
ฉีหนิงสะดุ้ง แอบคิดในใจว่าหรือว่าฐานะของเป่ย
ถังอวี้จะถูกเปิดเผยแล้ว
ก่งจ๋าซีสามคนยืนอยู่ข้าง ๆ เขามองมาที่เป่ยถังอวี้
ด้วยความโมโห จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “เจ้า
หลอกอาตมามาตลอดเลยใช่ไหม?”
เป่ยถังอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “สถานการณ์เมื่อครู่ ข้า
จำเป็นต้องใช้แผน หวังให้ไต้ซือพาเราออกไปจากที่นี่
เพีงแต่คิดไม่ถึงว่ามันจะล้มเหลว ไต้ซือ ข้าเป็นถึง
ท่านอ๋องแห่งต้าฮั่น ของมีค่าอะไรทีข่ ้าไม่เคยเห็นบ้าง
มีอะไรที่ข้าไม่มีบ้าง แล้วจะเอาของของท่านไปเพื่อ
อะไรกัน? ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ ข้าไม่เคยเห็นมันมา
ก่อนเลย หากท่านไม่เชื่อ ข้าเองก็จนปัญญา”
“แต่ว่าเราจับคนของพวกเจ้าได้” ก่งจ๋าซีไม่เชื่อ “เรา
เห็นกับตาว่าพวกของเขาหนีไป”
เป่ยถังอวี้พูดว่า “ข้าบอกความจริงกับท่านเรื่องหนึ่ง
ในคืนนัน้ หลานชายข้าส่งคนไปจับตาดูพวกท่านจริง
แต่เขาไม่ได้สั่งให้คนไปขโมยของ ๆ ท่านเลย ข้าเดา
ว่า ซุ่ยเสินจวินน่าจะบังเอิญไปเจอกล่องของท่าน
เลยลงมือ เพีนงแต่คืนนัน้ ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่ไปที่
นั่น”
“ท่านจะบอกว่าคนที่หนีไปนั้นไม่เกีย่ วข้องกับพวก
ท่านอย่างนัน้ หรอ?” ก่งจ๋าซีพูด
เป่ยถังอวี้พยักหน้า “คืนนั้นส่งไปแค่ซุ่ยเสินจวินคน
เดียวเท่านั้น ไม่ได้ส่งคนที่สองไปอีก ดังนั้นข้าเลย
มั่นใจได้ว่า คนที่เอากล่องของพวกท่นาไปนั้นน่าจะ
เป็นคนอื่น”
“นอกจากพวกท่านแล้ว ยังมีใครอีก?” ลามะของก่ง
จ๋าซีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “เจ้าอย่ามาแก้ตัวเลย”
เป่ยถังอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว จะ
แก้ตัวไปเพื่ออะไร? เพียงแต่ข้าไม่อยากเห็นแคว้นกู่
เซี่ยงกับแคว้นฮั่นต้องเป็นศัตรูกัน ดังนั้นก็เลยบอก
ความจริงกับพวกท่าน” เขาหยุดไป แล้วเอามือลูบ
เครา “ไต้ซือ วันนั้นคนทีเ่ ห็นกล่องนัน่ ไม่ได้มีแค่คณะ
ทูตเป่ยฮั่นของเรา คนที่อาศัยในเรือนรับรอง ก็ยังมี
คนอื่นอีกไม่ใช่หรือไง?”
ก่งจ๋าซีขมวดคิ้ว “ท่านจะบอกว่าคณะทูตแคว้นฉู่เป็น
คนทำหรอ? ราชทูตที่แซ่ฉีนั่นหรอ?”
“เหลวไหล” ซีเหมินจั้นอิงรีบเดินหน้าขึ้นมาแล้วพูด
ว่า “ฉีหนิงเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีทางทำเรื่อง
ขโมยของอะไรแบบนี้แน่ พวกเจ้าอย่ามาใส่ร้ายเขา
นะ”
ฉีหนิงอยู่ท่ามกลางผู้คน เขาถอนหายใจเหือกใหญ่
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขามักจะชอบเถียงกับซีเหมินจั้นอิง
แต่ว่าในเวลาคับขัน สาวสวยคนนี้กลับออกหน้าปก
ป้องเขา แต่ว่าน่าเสียดาย ทีค่ รั้งนีค้ นที่ขโมยมันเป็น
เขาจริง ๆ
“ท่านอ๋องอวี้ ความเข้าใจผิดระหว่างท่านกับไต้ซือ
แคว้นกู่เซีย่ ง เราจะไม่ยุ่ง พวกท่านตกลงกันให้
ชัดเจนเองนะ” ชวีเสี่ยวชางกระพริบตา เขาพูดว่า
“แต่ว่าท่านอ๋องคิดจะพูดจาให้ร้าย โยนน้ำเน่าเอามา
สาดใส่แคว้นฉู่เรา มันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นะ”
อ๋องอวี้นิ่งมาก สีหน้าของเขาไม่เปลีย่ น เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ข้าก็แค่พูดความจริง ตกลงแล้วเรื่องราวเป็น
ยังไง ให้ไต้ซือเป็นคนตัดสินใจเองเถอะ”
ก่งจ๋าซีสีหน้าแย่มาก เป่ยถังอวี้ถอนหายใจแล้วพูดว่า
“หากไต้ซือจะลงมือ ก็ลงมือได้เลย เราจะไม่ตอบโต้
แต่ว่าต่อให้ท่านฆ่าข้าแล้ว ท่านก็ไม่ได้ของที่ท่าน
อยากได้คืน ไต้ซือเป็นนักบวช หากกลัวการสังหาร
ข้าก็คงต้องตามทหารเหล่านี้เข้าคุกของพวกเขาไป”
ก่งจ๋าซีพูดว่า “ไม่ว่าสิ่งที่ท่านพูดจะจริงหรือเปล่า
อาตมาก็จะหาความจริงเรื่องนี้ออกมาให้ได้”
เป่ยถังอวี้พยักหน้า “ถ้างั้นก็ดี” เขาหันไปหาชวีเสี่ยว
ชาง ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ท่านบอกว่าท่านคือทั่น
หลางเสี้ยวเว่ยของจวนเสินโหวใช่ไหม?”
ชวีเสี่ยวชางดูมีมารยาทกับเป่ยถังอวีม้ าก เขายกมือ
คำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยทั่นหลางเสี้ยวเว่ยชวีเสี่ยว
ชาง”
“ชวีเสี้ยวเว่ย ยังไงข้าก็ต้องตามพวกท่านกลับไป
เพียงแต่ข้ามีเงื่อนไขเล็กน้อย ไม่ทราบว่าชวีเสี้ยวเว่ย
จะรับปากได้ไหม” เป่ยถังอวี้ยังยิ้มอยู่ ฉีหนิงเห็นอยู่
กับตา ถึงแม้เป่ยถังอวี้จะตกอยู่ในสภาพนี้ แต่เขาก็ยัง
ไม่เสียความสง่าของเขาเลย เขายังคงดูสง่าผ่าเผย
มาก ๆ
ชวีเสี่ยวชางพูดว่า “ท่านอ๋องเชิญกล่าวมาได้เลย”
เป่ยถังอวี้มองไปที่ศพที่อยูบ่ นพืน้ ถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “ทหารองครักษ์พวกนี้ติดตามคุ้มกันข้ามาตลอด
บางส่วนก็มาตายที่ต่างแดน ข้าเองก็ไม่ใช่คนใจอ่อน
เหมือนผู้หญิงหรอกนะ แต่ว่าที่บ้านของพวกเขายังมี
ลูกเด็กเล็กแดงผู้เฒ่าผู้แก่ แคว้นของท่านจับพวกเขา
เอาไว้ พวกเขาไม่มีอะไรที่จะบอกพวกท่านหรอก
ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับพวกท่านเลย ข้าหวังว่าพวก
ท่านจะไว้หน้าข้า ปล่อยพวกเขากลับไปได้ไหม”
ชวีเสี่ยวชางพูดว่า “เงื่อนไขของท่านอ๋อง เดิมข้าไม่
ควรปฏิเสธ แต่ว่าข้าน้อยตำแหน่งต่ำต้อย ไม่กล้า
ตัดสินใจ ท่านอ๋องเอาอย่างนี้ได้ไหม ให้พวกเขาตาม
เรากลับไปด้วย ข้าจะรายงานเงื่อนไขของท่านอ๋องให้
หากได้รับอนุญาต เราจะคุ้มกันองครักษ์สองท่านนี้
ออกจากดินแดนแคว้นฉู่เอง”
เป่ยถังอวี้พยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็
รบกวนแล้ว”
องครักษ์สองคนหันหลังไปแล้วคุกเข่าลง พวกเขาพูด
ด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “ท่านอ๋อง เราสองคนไม่ได้คิด
จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก เราไม่สามารถคุ้มกันท่านอ๋อง
ให้ปลอดภัยได้ ทำให้ท่านอ๋องต้องถูกจับ ผิดพลาดใน
หน้าที่ โทษหนักแบบนี้ เราไม่มีหน้าจะอยู่ต่อไปได้อีก
หวังว่าสักวันท่านอ๋องจะได้กลับไปยังแคว้นของเรา
อีกครั้ง กระหม่อมขอทูลลา”
พูดจบ ฉีหนิงรู้ทนั ทีว่าแย่แน่ ทหารสองคนยกมือ
ขึ้นมาใช้ดาบปาดคอตัวเองทันที
รอบ ๆ เงียบกันหมด ถึงแม้ทหารองครักษ์สองคนนี้
จะเป็นคนของแคว้นศัตรู แต่เขาตายอย่างน่ายกย่อง
เขาปาดคอฆ่าตัวตาย ทุกคนต่างนับถือในความกล้า
หาญของพวกเขา
ฉีหนิงแอบถอนหายใจเบา ๆ เขาคิดในใจว่าคนที่
ติดตามเป่ยถังอวี้อาหลานสองคนหนีออกจากตงฉีมา
ผ่านการคัดเลือกมาแล้ว เป็นคนที่สจู้ นวินาทีสุดท้าย
จริง ๆ แต่น่าเสียดายที่ต้องมาตายที่นี่ พอย้อนกลับ
ไปดู หากไม่ใช้เพราะเป่ยถังเฟิงเปิดเผยตัวที่ร้านชา
คงไม่ถูกจับตามอง ไม่แน่อาจจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้
จะว่าไปแล้ว แผนการของเป่ยถังอวีท้ ุกอย่าง
ล้มเหลวเพราะเป่ยถังเฟิง
ตอนนี้เป่ยถังอวี้เหมือนเหยี่ยวทีบ่ ินไม่ขึ้น แต่คนที่ก่อ
เรื่องอยากเป่ยถังเฟิงกลับถูกหั่วเสินจวินพาหนีไป
แล้ว
เป่ยถังอวี้สีหน้าเปลี่ยนไป เขาหลับตาลง เงยหน้าขึ้น
รอบตัวเงียบไปหมด ไม่มีใครพูดอะไรเลย
หลังจากนั้นไม่นาน เป่ยถังอวี้ก็ลืมตาขึ้น เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ต้องมัดไหม? ข้าตามพวกเจ้าไปเดี๋ยวนี้เลย”
“ท่านอ๋องพูดแรงเกินไปแล้ว” ชวีเสี่ยวชางพูดจาดีมา
เขายกมือเชิญ “ท่านอ๋องเชิญ”
เป่ยถังอวี้ยืนเอามือไขว้หลัง ไม่เหลือบไปมองข้าง ๆ
อีก มองไปที่แค่ข้างหน้าเท่านั้น เขาเดินหน้าไป คน
ของจวนเสินโหวเดินตามด้านหลัง ทหารแยก
ออกเป็นสองทาง คุมบ้านของท่านอ๋องของเป่ยฮั่น
เอาไว้
---------------------------------

You might also like