You are on page 1of 1563

บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร

บทที่ 501 บุญคุณใหญ่หลวง


ฉีหนิงเดินเข้ามายังเรือนรับรอง เมื่อถึงห้องรับ
แขกภายในเรือน เขาเห็นภายในห้องโถงรับ
แขกมีคนอยู่กลุ่มกาลังพูดคุยกันอยู่ เมื่อเห็นว่า
มีคนเดินเข้ามา ทุกคนต่างก็หนั กลับไปมอง
จากนั้นก็มีคนหนึ่งเดินมา และยกมือคานับ
พร้อมกับพูดว่า “สานักกระดูกเหล็กหลัวจั้น
คานับโหวเยว่”
ฉีหนิงจาได้ทันที คนที่อยู่ตรงหน้าเขา คือคนที่
ถูกพรรคบัวดาจับไปเป็นตัวประกัน เขาคือคนที่
ฉีหนิงได้พบตอนที่หลงเข้าไปในตาหนักหินดา
พอได้ยินหลัวจั้นพูด คนภายในห้องโถงก็ต่างพา
กันเดินหน้าขึ้นมา ยกมือคานับพร้อมกันแล้ว
พูดว่า “คานับโหวเยว่”
“เจ้าสานักหลัว ทุกท่าน...เอ่อ นี่มันอะไรกัน?”
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเขา
ถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้
หลัวจั้นพูดอย่างซาบซึ้งใจมากว่า “โหวเยว่
พวกเรารอท่านอยู่ที่เมืองเฉิงตูมาหลายวันแล้ว
พวกเรารอท่านกลับมาเพื่อกล่าวขอบคุณท่าน
ด้วยตัวเอง”
“เอ่อ...ท่านเจ้าสานักหลัว แล้วก็สหายทุกท่าน
นั่งลงคุยกันก่อนเถอะนะ” ฉีหนิงรู้ว่าสานัก
กระดูกเหล็กของหลัวจั้นนั้นเป็นหนึ่งในแปด
พรรคสิบหกสานัก ฐานะในยุทธภพของหลัวจั้น
ไม่ธรรมดาแน่นอน เขาดูนอบน้อมกับฉีหนิง
ขนาดนี้ ฉันหนิงก็ควรจะไว้หน้าพวกเขา
เหมือนกัน จึงหันหน้าไปพูดกับฉีเฟิงว่า “ฉีเฟิง
รีบให้คนเอาน้าชามา”
ทุกคนนั่งลงกันหมด แต่เหลือที่นั่งหลักตรง
กลางไว้ให้กับฉีหนิง ฉีหนิงเดินเข้าไปนั่ง เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ท่านเจ้าสานักหลัวข้ารู้จักแล้ว ส่วน
ท่านที่เหลือ...?”
หลัวจั้นลุกขึ้นแล้วพูดว่า “โหวเยว่ สหายเหล่านี้
ล้วนแต่เป็นเจ้าสานักแล้วก็ประมุขพรรคในแปด
พรรคสิบหกสานักทั้งนั้น พูดอย่างละอายใจเลย
ว่า พวกเราถูกพรรคบัวดาจับไปเป็นตัวประกัน
ตอนที่บุกขึ้นเขาเชียนอูหลิง” พูดถึงตรงนี้ ทุก
คนรวมถึงหลัวจั้นด้วยก็รู้สึกอายมาก
ฉีหนิงเข้าใจทันที เขารีบพูดว่า “ทุกท่าน
ปลอดภัยกันดีใช่หรือไม่? ดีจริงๆ พรรคกบัวดา
ก็ถือได้ว่าไม่ผิดคาพูด”
“คนของพรรคกบัวดา ถึงแม้จะโหดเหี้ยม แต่ก็
ถือว่ารักษาคาพูด” คนที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ครั้งนี้หากไม่ได้โหวเยว่
ช่วยเหลือ พวกเราก็คงไม่มีทางรอดลงเขามาได้
แน่นอน”
“ท่านนี้คือประมุขพรรคอู่หางเหมินโอวหยาง
ตุ้น” หลัวจั้นแนะนา
พอฉีหนิงได้ยินคาว่า “พรรคอู่หางเหมิน” เขาก็
นึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนที่จะบุกเขาเชียนอูหลิง
พรรคอู่หางเหมินพาคนบุกขึ้นเขาไปสารวจ
สถานที่ ต่อมาได้ยินว่าถูกกวาดล้างไปจนหมด
แล้วลั่วอู๋อิ่งเองก็แปลงโฉมเป็นคนของเขา ลอบ
เข้ามาในค่าย สังหารคนไปมาก ทาให้เกิดความ
วุ่นวายภายใน
เดิมทีเขาคิดว่าประมุขพรรคอู่หางเหมินถูกลอบ
สังหารไปแล้ว พอได้ยินว่าเขาคือประมุขของ
พรรคอู่หางเหมิน เขาก็ตกใจ แล้วรีบถามว่า
“ท่านคือประมุขพรรคอู่หางเหมินอย่างนัน้
หรือ? ตอนนั้น...ท่านพาคนไปสารวจพื้นที่ใช่
หรือไม่?”
ประมุขพรรคอู่หางเหมินโอวหยางตุ้นยิ้มแล้ว
พูดว่า “ถูกแล้ว ข้าน้อยเอง ตอนนั้นพรรคบัว
ดาวางกับดักเอาไว้ คนที่ข้าพาไป ถูกลอบ
สังหารทั้งหมด แล้วจับตัวข้าไปขังเอาไว้ เดิมข้า
คิดว่าคงไม่รอดแน่ คิดไม่ถึงเลยว่า...เฮ้อ
บุญคุณที่ท่านโหวเยว่ได้ช่วยชีวิตเอาไว้ โอว
หยางตุ้นจะไม่มีวันลืมเลย”
ฉีหนิงพูดว่า “รอดมาก็ดีแล้วนะ ท่านประมุข
โอวหยาง อย่าเสียใจไปเลย” เขาเข้าใจความ
รู้สึกของโอวหยางตุ้นดี ถึงแม้การบุกเขาเชียน
อูหลิงในครั้งนี้ แต่ละพรรคแต่ละสานักจะบาด
เจ็บล้มตายกันไม่น้อย แต่ว่าสาหรับพรรคอู่หาง
เหมินนั้นแทบจะล่มสลายกันไปเลยทีเดียว
ยอดฝีมือของพรรคอู่หางเหมินแทบจะออกศึก
กันหมด แทบจะตายกันไปจนหมดสิ้น โอว
หยางตุ้นคงรู้สึกเสียใจมาก
“โหวเยว่ พวกเราได้ยินมาหมดแล้ว ว่ามีคน
อยากเห็นข้าตาย แต่เป็นเพราะโหวเยว่ออก
หน้า ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้ ไม่เพียงบุกเข้าไป
ในตาหนักหินดาคนเดียว อีกทัง้ ยังออกหน้า
ประลองสามรอบ เพื่อรักษาชีวติ พวกเราไว้อีก”
หลัวจั้นพูดด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นก็พดู ต่อ
ด้วยความโกรธว่า “หากไม่ใช่โหวเยว่ คงมีคน
คิดอยากจะเห็นพวกเราตายไปพร้อมกับพรรค
บัวดาแน่”
คนอื่นเองก็เหมือนจะไม่พอใจ สีหน้าของพวก
เขาดูโกรธกันมาก
ฉีหนิงรู้ว่าพรรคที่บุกล้อมพรรคบัวดาเอาไว้ตอน
นั้น มีคนไม่น้อยอยากจะเห็นพรรคบัวดาล่ม
สลายไป ไม่ได้สนใจคนที่ถูกจับตัวไปเลย
วันนั้นที่เขาออกหน้า เป้าหมายที่แท้จริงก็
เพราะอยากรักษาชีวติ ตัวเองเท่านั้น ตอนนั้น
เขากินยาค้างคาวเลือดของชิวเฉียนอี้ลงไป หาก
แปดพรรคสิบหกสานักไม่ยอมถอย หากยาพิษ
กาเริบขึ้นมา เขาคงตายไปพร้อมกับพรรคบัวดา
แน่นอน
แต่ว่าเรื่องนี้เขาไม่มีทางบอกคนอื่นแน่ เขาถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ทุกท่านเพื่อบุกโจมตีพรรค
บัวดา พยายามอย่างสุดความสามารถ หาก
ไม่ใช่เพระถูกพิษคงไม่โดนจับ ที่จริงข้าแค่รู้สึก
ว่าระหว่างแปดพรรคสิบหกสานักกับพรรคบัว
ดาอาจจะมีเรื่องอะไรเข้าใจผิดกัน ถ้าเป็นอย่าง
นั้นจริง หากทุกคนเอาชีวิตไปทิ้งแบบนั้น มันก็
ไม่คุ้ม” เขายกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “ทุกท่าน
ต่างเป็นคนเก่าคนแก่ของยุทธภพ อีกทั้งยังเป็น
คนสาคัญในยุทธภพด้วย หากถูกทาร้าย ยุทธ
ภพคงวุ่นวายแน่ ข้าเองก็แค่พยายามเท่าที่ทาได้
แค่นั้น”
ทุกคนต่างมีสีหน้าซาบซึ้งใจมาก หลัวจั้นพูดว่า
“ที่ทุกคนมาที่นี่ อย่างแรกก็เพือ่ อยากจะ
ขอบคุณท่านโหวเยว่ด้วยตัวเอง พวกเรามาที่ซี
ชวนในครั้งนี้ พวกเราไม่ได้ติดของมีค่าอะไรมา
เลยไม่มีของขวัญอะไรจะมามอบให้ ไว้พวกเรา
กลับไปยังสานักของพวกเราแล้ว พวกเราจะส่ง
ของขวัญไปให้ท่าน”
“ท่านเจ้าสานักหลัว ท่านอย่าได้เกรงใจแบบนี้
เลย” ฉีหนิงพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ท่านคิด
ว่าที่ข้าช่วยพวกท่านเอาไว้ เพราะต้องการของ
ขวัญตอบแทนจากพวกท่านอย่างนั้นหรือ?
พวกท่านต่างเป็นวีรบุรุษในยุทธภพ หากใส่ใจ
เรื่องพวกนี้เกินไป มันเหมือนดูถูกข้านะ” เขา
คิดว่า คนพวกนี้ต่างเป็นประมุขเจ้าสานัก
ของขวัญที่ตอบแทน คิดว่าน่าจะไม่ธรรมดา
แน่นอน ถ้าพวกเขาจะมอบของขวัญจริง เขา
จะต้องถูกรางวัลใหญ่มากแน่
“โหวเยว่ เพราะเรื่องนี้พวกเราชาวยุทธ์เลอะ
เลือน ถึงได้ต้องดาเนินการตามกฎของยุทธ
ภพ” มีคนพูดขึ้นมาว่า “พวกรู้ว่าโหวเยว่
อาจจะไม่ได้รู้สึกว่าของๆ พวกเรามีค่าอะไร
มากมาย แต่มันก็เป็นน้าใจของจากพวกเรา
หากโหวเยว่ปฏิเสธ มันยิ่งเป็นการดูถูกพวก
พวกเรา” คนอื่นเองก็เห็นด้วย
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไว้ค่อยว่า
กันดีกว่านะ แต่ว่าครั้งนี้พวกท่านคงลาบากแย่
หลังจากที่ข้ากลับไปยังเมืองหลวงแล้ว ข้าจะไป
หาท่านเสินโหวแล้วคุยเรื่องนี้สักหน่อย อะไรที่
พวกเจ้าควรได้รับชดเชย ข้าจะไม่ให้ขาดเลย”
“โหวเยว่เพื่อพวกเราแล้ว ทาให้ไม่สามารถ
กาจัดพรรคบัวดาได้” โอวหยางตุ้นพูดว่า “แต่
เจ้าพวกนั้นอย่างไรก็เก็บไว้ไม่ได้ เดิมคิดจะหา
โอกาสเหมาะๆ บุกไปใหม่ แต่ว่าเจ้าลัทธิสังหาร
ท่านประมุขเซีย่ ง หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คิด
ว่าคงจะต้องบุกขึ้นเขาเชียนอูหลิงไปอีกครั้ง ถึง
เวลานั้น ครั้งนี้คงไม่มีทางถอยแน่นอน”
“ถูกต้อง” มีคนพูดว่า “ชิวเฉียนอี้ครั้งนี้เขาเล่น
ลูกไม้กับพวกเราไว้มาก จะดูสิว่าครั้งต่อไปเขา
จะมาไม้ไหนอีก”
เมื่อพูดจบ ก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น “ชื่อเสียง
ของชิวเฉียนอี้ไม่ได้มีแค่ชื่อ อย่าว่าแต่พวกเจ้า
เลย ต่อให้ชวีเหมินอู๋เหิงอยูต่ รงนี้ ข้าก็จะวาง
ยาจนเขาตาย” ระหว่างที่พูด เขาก็ลอยตัวเข้า
มาให้ห้องโถงเหมือนกับค้างคาว ทุกคนตกใจ
มาก ต่างก็ลุกกันขึ้นมา จากนั้นพวกเขาก็ได้เห็น
คนลอยตัวลงมา ยืนเอามือไขว้หลัง แล้วยืนอยู่
กลางห้องโถง กาลังกวาดสายตามองไปรอบๆ
เขาก็คือราชาพิษจิ่วซีชิวเฉียนอี้นั่นเอง
ฉีหนิงเห็นชิวเฉียนอีม้ าตามนัด ในใจก็ไม่นึก
สงสัยในตัวเขาอีก แต่ว่าเขาจะมาเวลาไหนไม่
มา แต่กลับมาในเวลานี้ เสียบรรยากาศจริงๆ
“เจ้าเป็นใคร?” มีคนไม่รู้จักชิวเฉียนอี้ เขาเดิน
ขึ้นหน้าสองก้าว แล้วชี้ไปที่ชิวเฉียนอี้ “บังอาจ
มากนะ กล้าบุกเข้ามายังเรือนรับรองแบบนี”้
“อย่าว่าแต่เรือนรับรองเลย ต่อให้เป็นวังหลวง
ข้าอยากจะเข้าก็เข้า ใครจะห้ามข้าได้” ชิว
เฉียนอี้พูดว่า “พวกเจ้าคิดอยากจะกวาดล้าง
พรรคบัวดา ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว พวกเจ้าลงมือได้
เลย”
ฉีหนิงคิดว่าราชาพิษนี่ก็ขี้โม้เสียจริง ถึงแม้เหล่า
เจ้าสานักพวกนี้จะไม่ใช่คู่ปรับของเจ้าแต่ว่าหาก
พวกเขารวมตัวกัน เจ้าเองก็ใช่วา่ จะรับมือได้
ง่าย เขาไอกระแอมคราหนึ่ง แล้วพูดว่า “ราชา
พิษมาตามนัดจริงๆ ด้วย” เขาทาเพื่อเตือนคน
พวกนั้นว่า คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้น
คือราชาพิษจิ่วซี
พอทุกคนได้ยิน หน้าก็ถอดสีกันหมด
“ที่แท้ท่านก็คือราชาพิษชิวเฉียนอี้นี่เอง” โอว
หยางตุ้นหน้าแดงก่า สายตาของเขาเต็มไปด้วย
ความโกรธแค้น “โอวหยางตุ้นแห่งพรรคอูห่ าง
เหมิน อยากจะขอคาชี้แนะ”
ชิวเฉียนอี้หัวเราะร่า “โอวหยางตุ้น เจ้าหนูขุด
ดินอย่างเจ้า คิดจะสู้กับข้า เจ้าคู่ควรหรือ?”
เขาเดินขึ้นหน้าไป ยกมือแล้วพูดว่า “ข้าจะใช้
เพียงกระบวนท่าเดียวจัดการเจ้า จะทาให้เจ้า
แพ้อย่างเต็มใจ”
คนข้างๆ พูดขึ้นมาว่า “ชิวเฉียนอี้ เจ้าอย่าโอหัง
มากเกินไปนะ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?”
“เป็นใคร มาลองดูก็จะรู้เอง” ชิวเฉียนอี้พูดว่า
“หลายวันมานี้ข้าว่างมากเลย พวกเจ้าอยู่ที่นี่
พอดี ข้ากาลังอยากจะออกกาลังยืดเส้นยืดสาย
อยู่พอดี หากพวกเจ้าไม่อยากจะมาพร้อมกัน ก็
ไม่เป็นไร มาทีละคนก็ได้ ข้าสั่งสอนทีละคนได้
ข้าอยากรูว้ ่าแปดพรรคสิบหกสานักจะร้ายกาจ
หรือว่าพรรคบัวดาจะร้ายกาจมากกว่า”
ระหว่างที่พูด ทุกคนเห็นแล้วว่า เขากาลังยกมือ
ขึ้นมา และเห็นว่านิว้ ของเขาเป็นสีดา
ราชาพิษจิ่วซีอาจจะไม่ใช่ยอดฝีมือที่ดีที่สุดของ
ยุทธภพ แต่ว่าการใช้พิษไม่มีใครไม่รู้ การ
เผชิญหน้ากับเฒ่าพิษ ต่อให้เป็นยอดฝีมือแค่
ไหนยังต้องระวัง
ฉีหนิงลุกขึ้นมา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทุกท่าน
ราชาพิษจะตามข้าเข้าเมืองหลวงเพื่อสืบหา
ความจริงเรื่องพิษระบาด มีบุญคุณความแค้น
อะไร เวลายังมีอีกมาก อย่างไรก็มีโอกาสได้
สะสางแน่ วันนี้พวกเรามาคุยกันดีกว่า อย่าใช้
กาลังกันเลย”
หลัวจั้นพูดว่า “ทุกท่าน ในเมื่อท่านโหวเยว่เอ่ย
ปากแล้ว ที่นี่เป็นเรือนรับรองของทางการ พวก
เราลงมือที่นี่มันก็ไม่ดี ยังมีเวลากันอีกมาก
ความแค้นของพวกเราและพรรคบัวดา ไว้ค่อย
หาโอกาสสะสางก็ได้”
พวกเขาก็รู้ว่าฉีหนิงอยู่ตรงนี้ หากใช้กาลังต่อ
หน้าฉีหนิง มันเท่ากับเสียมารยาท พวกเขามอง
ไปที่ชิวเฉียนอี้ด้วยความแค้น ชิวเฉียนอี้หยุด
แล้วเดินไขว้หลังไปนัง่ ที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง โดย
ไม่สนใจใครเลย
หลัวจั้นยกมือคานับแล้วพูดว่า “พวกเรารู้ว่า
โหวเยว่มีงานยุ่งมาก ก็คงไม่อยูร่ บกวนแล้ว โหว
เยว่ ต่อไปหากทางจวนจิ่นอีโหวมีอะไรให้ช่วย
ก็แค่ส่งคนมาแจ้งพวกเรา ต่อให้บุกน้าลุยไฟ
พวกเราก็จะไม่ปฏิเสธเลย”
คนอื่นก็ลุกขึ้น แล้วพูดพร้อมกันว่า “ต่อให้บุก
น้าลุยไฟ พวกเราก็จะไม่ปฏิเสธเลย”
คนพวกนีท้ าอะไรเด็ดขาด พวกเขาขอตัวกลับ
ก่อน ฉีหนิงจึงเดินไปส่งพวกเขาที่หน้าประตู
เรือนรับรอง ทุกคนเห็นว่าถึงแม้ฉีหนิงก็เป็นจิ่น
อีโหว ฐานะสูงส่ง แต่กลับไม่ถือตัว เข้าหาง่าย
ในใจก็รู้สึกดีมาก หลังจากที่พวกเขาขอตัวกลับ
ไป ฉีหนิงจึงกลับไปทีห่ ้องโถง เห็นชิวเฉียนอี้นั่ง
อยู่บนเก้าอี้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ราชาพิษ ทาให้
ต้องรอนานหลายวันเลยนะ”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “จะเข้าเมืองหลวงเมื่อไหร่?”
“เหมือนท่านจะนิ่งมากเลยนะ” ฉีหนิงนั่งลงที่
เก้าอี้ด้านข้าง แล้วพูดว่า “หรือว่าท่านราชาพิษ
จะไม่ได้ข่าว เจ้าลัทธิของท่านสังหารประมุข
พรรคกระยาจก ต่อไปอาจจะกลายเป็นเรื่อง
ใหญ่”
ชิวเฉียนอี้เหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า “ข่าว
ลือเหลวไหล จะไปเชื่อทาไม มีคนคิดจะใส่ร้าย
ก็เท่านั้นเอง พรรคบัวดาของพวกเราถูกคนใส่
ร้ายก็ไม่ใช่ครั้งแรก จะเพิ่มมาอีกสักเรื่องมันก็ไม่
มากเท่าไหร่หรอก หากเจ้าพวกขอทานจะคิดว่า
ประมุขพรรคของพวกเขาถูกเจ้าลัทธิของพวก
เราสังหารจริง ก็บุกขึน้ มาที่เขาเชียนอูหลิงได้
เลย ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน ถึงเวลานั้นจะ
เหลือกลับลงเขามาสักกี่คนเชียว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 502 เสียมารยาท
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ราชาพิษมัน่ ใจมากเลยนะ
ว่าเจ้าลัทธิไม่ใช่คนร้าย?”
ตอนนี้ฉีเฟิงก็นาชามายื่นให้กับชิวเฉียนอี้ เขา
รับชามา แล้วพยักหน้าให้กับฉีเฟิง แล้วถึงพูด
ว่า “เจ้าลัทธิจะใช่คนร้ายหรือไม่ มันไม่สาคัญ
เลย มีแต่คนบอกว่าเซี่ยงไป๋อิ่งถูกลอบทาร้าย
แต่ข้าว่าคงไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเฒ่าพิษร้ายกาจจริงๆ ยิ้มแล้ว
พูดว่า “แต่ว่าผู้อาวุโสไป๋หู่ของพรรคกระยาจก
เป็นคนพูดเองเลยนะ ประมุขเซี่ยงถูกลอบ
สังหารจริงๆ”
“เจ้าคิดว่าคนในพรรคกระยาจกเป็นคนดีกัน
หรืออย่างไร?” ชิวเฉียนอี้ไม่ได้พูดดีด้วย “ข้าว่า
อาวุโสไป๋หู่อะไรนั่นอยากจะเป็นประมุขพรรค
เองมากกว่า ถึงได้คิดอยากจะให้เซี่ยงไป๋อิ่งถูก
ฆ่าตลอดเวลา” เขาพูดต่อว่า “ข้าเคยประมือ
กับเซี่ยงไป๋อิ่งมาแล้ว นอกจากห้าต้าจงซือ คง
ไม่มีใครทาร้ายเขาได้แน่นอน”
“เจ้าลัทธิของท่านก็เป็นหนึ่งในห้าต้าจงซือไม่ใช่
หรือ?”
ชิวเฉียนอี้ตะลึงไป จากนั้นก็พดู ว่า “ต่อให้ท่าน
เจ้าลัทธิเป็นคนสังหารจริง พรรคกระยาจก
อยากมาแก้แค้นก็เชิญเลย” เขาหยิบชาขึ้นดื่ม
จากนั้นก็วางลง แล้วถามว่า “จะเข้าเมืองหลวง
เมื่อไหร่? ข้าจะเข้าเมืองไปชี้แจงให้เรียบร้อย
แล้วข้ายังมีเรื่องที่ต้องไปทาอีก ไม่มีเวลามาก
พอที่จะให้พวกเจ้าพูดพล่ามหรอกนะ”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านคิดว่าเข้าเมืองหลวงนัน้ ครั้ง
นี้ เหมือนไปเที่ยวเล่นอย่างนั้นหรือ?”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “เจ้าว่าอะไรนะ ข้าจาได้ขึ้นใจ
เจ้าบอกว่าจะช่วยพรรคบัวดาหาตัวคนร้ายออก
มาให้ได้ ข้าจะช่วยเจ้าอย่างเต็มที่อยู่แล้ว เรื่อง
ที่ข้าต้องไปทา มันก็เกี่ยวกับคนที่มาขโมย
หนอนพิษของข้าไป ขอแค่รู้ว่าใครขโมยไป จะ
หาตัวคนร้ายมันก็ง่ายยิ่งกว่าง่ายอีก”
ฉีหนิงรู้ดีว่าวิธีนี้มันคือวิธีที่ถูกต้อง เขาพยักหน้า
แล้วพูดว่า “ท่านไม่มีเบาะแสอะไรเลยหรือ?”
“หากข้ามีเบาะแส ข้าจะมานั่งอยู่ตรงนี้กบั เจ้า
อีกทาไม?” ชิวเฉียนอี้เหลือบไปมองฉีหนิง
“สามารถเข้าไปในดินแดนหยินหยาง แล้วขโมย
หนอนพิษออกไปได้ ต้องเป็นคนที่มีวิชาตัวเบา
ล้าเลิศมาก หลังจากที่หนอนพิษหายไปข้าก็เริ่ม
สืบแล้ว คนที่มีวิชาตัวเบาร้ายกาจในยุทธภพมี
ไม่มาก ข้าจะสืบไปทีละคน อย่างไรก็ต้องเจอ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าวิธีนถี้ ึงแม้จะเสียเวลามาก แต่
ว่านอกจากวิธีนี้แล้ว เหมือนจะไม่มีวิธีที่ดกี ว่านี้
แล้ว
“จริงสิ ฉีหนิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าสารเลวต้วนชิง
เฉินมันอยู่ที่ไหน?” ชิวเฉียนอี้ถามขึ้นมาว่า
“เขาทรยศพรรคบัวดา น่าจะไปเข้ากับทางจวน
เสินโหวแล้ว ข้าสามารถช่วยเจ้าสืบว่าใครเป็น
คนขโมยหนอนพิษไป แต่ว่าเจ้าก็ต้องช่วยข้าหา
ตัวต้วนชิงเฉินด้วย”
ฉีหนิงรู้ว่าทูตราคะต้วนชิงเฉินทรยศพรรคบัวดา
กลายเป็นคนที่พรรคบัวดาต้องการกาจัด พรรค
บัวดาจะต้องทาทุกวิถีทางเพื่อให้ต้วนชิงเฉิน
ตาย
“ราชาพิษ ท่านเองก็รู้ ต้วนชิงเฉินทรยศพรรค
บัวดา ไม่เพียงคิดว่าพรรคบัวดาจะต้องถูกกวาด
ล้างไปแน่ แต่ว่าตอนนี้ทั้งท่านเจ้าลัทธิกับตัว
ท่านต่างก็ยังมีชีวิตอยู”่ ฉีหนิงเอาขาไขว่หา้ ง
แล้วพูดว่า “ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายสงบศึกไปแล้ว
แผนการของเขาสลายไปกลางอากาศ คิดว่าเขา
คงหนีไปแล้ว เจ้าคิดว่าจะหาตัวเขาได้ง่ายๆ
อย่างนั้นหรือ? ต่อให้คนของจวนเสินโหวรู้ว่า
เขาอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีทางบอกให้รู้ง่ายๆ หรอก
ไม่อย่างนั้นต่อไปใครจะกล้ารับใช้จวนเสินโหว
อีกล่ะ”
“ถึงแม้จะมีเหตุผล” ชิวเฉียนอี้พูดว่า “แต่ว่า
จวนจิ่นอีโหวเองก็หูตากว้างขวาง อย่างไรก็คง
ต้องมีวิธ”ี
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะพยายามก็แล้วกัน ที่
จริงพวกกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาอย่างนี้ ข้า
เกลียดที่สุด ราชาพิษ หากสะดวก พรุ่งนี้ข้าจะ
ไปพบหลี่หงซิ่นก่อน จากนั้นพวกเราค่อยเดิน
ทางเข้าเมืองหลวงกัน”
“หลี่หงซิ่น?” ชิวเฉียนอี้พูดว่า “เจ้าจะไปหาเขา
ทาไม?”
“อย่างไรเขาก็เป็นถึงท่านอ๋องนะ ข้าก็ควรจะไป
ลาเขา” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ลูกชายของหลี่หงซิ่นถูกฆ่า
ในเวลานี้เขาคงไม่มอี ารมณ์มาพบเจ้าหรอก”
เขาเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า “หลี่หยวน
เบ่งอานาจในซีชวนมานานหลายปี ไม่เคยเกิด
เรื่องเลย เหตุใดพอเจ้ามาซีชวน เจ้าเด็กบ้านั่น
ถึงได้ถูกฆ่า? จิ่นอีโหว คงไม่ใช่ฝีมือเจ้าหรอก
กระมัง”
ฉีหนิงถึงกับแอบสะดุง้ ในใจ เขาคิดว่าตาเฒ่า
พิษนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ พูดทีเดียวตรงเป้าเลย
แต่ว่าเขายังคงยิ้มแล้วพูดว่า “ตระกูลฉีของข้า
กับตระกูลหลี่มีปัญหากันมาก่อนก็จริง แต่ว่าอยู่
พื้นที่ซีชวนแบบนี้ ข้าก็ยังไม่กล้าพอทาอะไรลูก
ชายของหลี่หงซิ่นหรอก”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “เจ้าอย่ามาทาเสแสร้งต่อหน้า
ข้าเลย บนเขาเชียนอูหลิง เจ้ายังกล้าท้าทายคน
ของแปดพรรคสิบหกสานักเลย หลี่หยวนแค่คน
เดียว ไม่ใช่เรื่องยากหรอก”
“ศึกบนเขาเชียนอูหลิง ข้าไม่มที างเลือก” ฉี
หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากข้าไม่สู้ คิดว่า
ยาพิษค้างคาวเลือดของท่านคงเอาชีวิตข้าไป
แล้ว”
“เจ้ารู้ตัวก็ดีแล้ว” ชิวเฉียนอี้พดู ว่า แล้วลุกขึ้น
ยืน จากนั้นเขาเหมือนกาลังจะไป ฉีหนิงขมวด
คิ้วแล้วพูดว่า “ฟ้ามืดแล้ว ท่านจะไปไหนอีก?”
“ข้าจะไปไหนมาไหน มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า
ด้วย?” ชิวเฉียนอี้พดู ว่า “หากจะเดินทางพรุ่งนี้
เจ้าก็ไปได้เลย เจ้าถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ข้าเอง
ก็ไปถึงเมืองหลวงเหมือนกัน” เขาไม่พูดอะไร
มากอีก ดีดตัวแล้วก็หายไปเลย
ฉีหนิงยกชาขึ้นดื่ม ส่ายหน้าแล้วบ่นว่า “มีดีแค่
การใช้พิษที่พอชื่นชมได้จริงๆ วรยุทธ์ก็ไม่
เท่าไหร่ วันนี้ยังจะไปสู้กับคนอื่นอีก หากข้าไม่
ห้ามเอาไว้ คงถูกพวกนั้นฆ่าไปแล้ว” พูดจบ ชิ
วเฉียนอี้ก็โผล่มาตรงหน้าประตูเหมือนกับผี
แล้วจ้องไปที่ฉีหนิง “เจ้าว่าอะไรนะ?”
ฉีหนิงตกใจสะดุง้ ถ้วยน้าชาเกือบหล่นลงพื้น
เขาคิดในใจว่าตาเฒ่าพิษนี่เหมือนกับผีเลย เขา
หัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าบอกว่าวันนี้คนพวกนั้น
โชคดีที่มีข้าอยู่ หากข้าไม่ห้าม พวกเขาสูก้ ับ
ท่าน คิดว่าคงไม่มใี ครรอดไปได้สักคน”
ชิวเฉียนอี้หายไปอีกครั้ง
ฉีหนิงวางน้าชาลง แล้วเดินไปที่หน้าประตู เขา
มองไปรอบๆ ชิวเฉียนอี้หายไปแล้ว เขาก็ส่าย
หัว
เช้าวันต่อมา ฉีหนิงให้ฉีเฟิงเตรียมของขวัญ
มากมาย แล้วตรงไปที่จวนสู่อ๋อง พอมาถึงจวน
สู่อ๋อง ที่จวนปิดประตูสนิท ด้านหน้ามีการ
แขวนผ้าขาวเอาไว้ ทีห่ น้าจวนไม่มีคนอื่นเลย
คิดในใจว่าใครที่มาก็คงถูกปฏิเสธไม่ให้พบกัน
หมด ไม่มีใครเข้าไปในจวนได้เลย ทุกคนก็ไม่
อยากจะมีปัญหา ก็เลยไม่มาเลยจะดีกว่า
ฉีหนิงให้ฉีเฟิงไปเคาะประตู เขาเคาะไปมาก
กว่าสิบครั้ง ถึงมีเสียงดังออกมาว่า “ท่านอ๋องมี
คาสั่ง ไม่ว่าใครก็ไม่พบทั้งนั้น”
“ท่านจิ่นอีโหวมาขอพบท่านอ๋อง รบกวนช่วย
ไปแจ้งที” ฉีเฟิงตะโกนตอบกลับไป “วันนี้โหว
เยว่จะกลับเมืองหลวงแล้ว เลยตั้งใจจะมาลา”
เสียงด้านในเงียบไป ไม่นานนัก ประตูใหญ่ก็
เปิดออก มีคนเดินออกมา คนๆ นั้นสวมชุดสีดา
เขาคือฉางสื่อของจวนสู่อ๋องซีเหมินเหิงเย่ เมื่อ
เขาเห็นหน้าฉีหนิง ก็ยกมือคานับแล้วพูดว่า
“ข้าน้อยคานับโหวเยว่”
“ซีเหมินฉางสื่อ วันนีข้ ้าจะกลับเมืองหลวงแล้ว
ก่อนจะไป ข้าตั้งใจจะมาลาท่านอ๋อง” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีเวลาหรือ
ไม่?”
ซีเหมินเหิงเย่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “โหวเยว่
อาจจะไม่ทราบ หลายวันก่อนท่านอ๋องล้มป่วย
ลง ตอนนี้ลุกจากเตียงไม่ได้เลย ท่านทราบว่า
โหวเยว่มา เดิมทีอยากจะออกมาต้อนรับด้วย
ตัวเอง แต่ว่าลุกไม่ขึ้นเลย ท่านหมอบอกว่า
อาการของท่านอ๋องในตอนนี้ ไม่ควรรับแขก”
เขายกมือแล้วพูดว่า “โหวเยว่เชิญเข้าไปในจวน
ก่อน ดื่มชาสักแก้วแล้วค่อยเดินทางเถอะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านอ๋องป่วยหนัก
ข้าก็ไม่ควรจะรบกวนการพักผ่อนของท่าน ซี
เหมินฉางสื่อ ท่านช่วยฝากไปบอกท่านอ๋องทีนะ
ว่า ให้ท่านอ๋องรักษาตัวให้ดี หากข้ามายังซีชวน
อีก ข้าจะมาคารวะท่านอ๋องเอง”
ซีเหมินเหิงเย่ยกมือคานับแล้วพูดว่า “ข้าน้อย
จะไปแจ้งให้แน่นอน”
ฉีหนิงพยักหน้ายิ้ม เขาไม่พูดอะไรมากอีก พลิก
ตัวขึ้นม้าไป เขามองไปที่ซีเหมินเหิงเย่ เห็นซี
เหมินเหิงเย่กาลังมองเขาอยู่เหมือนกัน เห็นฉี
หนิงจ้องมา ซีเหมินเหิงเย่ก็ทาความเคารพ จาก
นั้นฉีหนิงก็ขี่ม้าจากไป
เมื่อกลับมาถึงเรือนรับรอง ซีเหมินจั้นอิงกับ
เหยียนลิ่งเซี่ยนก็มารออยู่แล้ว เมื่อเห็นฉีหนิง
กลับมา ซีเหมินจั้นอิงก็รีบถามว่า “ชิวเฉียนอี้
มาหรือยัง? เจ้าเชื่อมั่นมากไม่ใช่หรือว่าเขาจะ
มา?”
ฉีหนิงพูดว่า “ชิวเฉียนอี้จะมาหรือไม่ แล้วมัน
เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าด้วย?”
“ไม่เกี่ยวได้อย่างไร?” ซีเหมินจั้นอิงรีบพูดว่า
“พวกเราก็จะจับตัวเขาเข้าเมืองหลวงอย่างไร
เล่า”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “จั้นอิง ข้าว่าเจ้าคง
เข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ เซียวหยวนเซี่ยวเว่ยให้
พวกเจ้ากลับเมืองหลวงพร้อมข้า เขากังวลว่า
พวกเจ้าจะไม่ปลอดภัย เลยอยากจะให้ข้าดูแล
พวกเจ้าด้วย ชิวเฉียนอี้ไม่ใช่นักโทษของจวน
เสินโหว เขามีสัญญากับข้า เหมือนจะไม่เกี่ยว
อะไรกับจวนเสินโหวนะ” เขามองไปทีเ่ หยียน
ลิ่งเซี่ยน ยิ้มแล้วพูดว่า “พูดตามตรงนะ ต่อให้
ข้ามอบตัวชิวเฉียนอี้ให้กับพวกเจ้าสองคน พวก
เจ้าสองคนเองก็คงไม่มีปัญญาพาตัวเขากลับไป
ถึงเมืองหลวงได้หรอก”
เหยียนลิ่งเซี่ยนถามด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร
“โหวเยว่หมายความว่าอย่างไร?”
“หมายความว่าอย่างไรฟังไม่ออกหรือ?” ฉีหนิง
พูดว่า “พั่วจวินเซี่ยวเว่ย เจ้าคิดว่าวรยุทธ์ของ
เจ้า สู้ราชาพิษได้อย่างนั้นหรือ? หากพวกเจ้า
จะเข้าเมืองหลวงไปพร้อมเขา คิดว่ายังไม่ทันจะ
ได้ออกจากซีชวน คงตายเพราะพิษของเขาไป
แล้ว”
“ท่าน...” เหยียนลิ่งเซี่ยนโกรธจนหน้าดาหน้า
แดง
ซีเหมินจั้นอิงรู้นิสัยของฉีหนิงดี เวลาเขาทา
อะไรจริงจังขึ้นมาดูดีมากทีเดียว แต่เวลาปกติ
กระล่อนใช่ย่อยเลย นางคิดว่าหากไปโกรธฉี
หนิงก็เหมือนหาเหาใส่หัวตัวเอง นางเลยถามว่า
“พูดแบบนี้ แสดงว่าเขามาหาเจ้าแล้วใช่
หรือไม่?”
“เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวง เขาเองก็ถงึ
เมืองหลวงเหมือนกัน ไม่ต้องกังวลหรอกนะ” ฉี
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “จั้นอิง พวกเรากลับเมือง
หลวงด้วยกัน ตอนที่เดินทางชมวิวทิวทัศน์ไป
ทั่ว ก็เหมือนการได้ไปเที่ยวกัน ถ้ามีตาเฒ่าพิษ
อยู่ด้วย มันจะดูอดึ อัดไปนะ เจ้าว่าจริง
หรือไม่?”
“ใคร...ใครจะไปชมวิวทิวทัศน์กับเจ้ากัน?” ซีเห
มินจั้นอิงหน้าแดงขึ้นมา
ฉีหนิงเขยิบเข้าไปใกล้ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า
“ตอนที่พวกเจ้ามาซีชวน เจ้านั่งเรือกันมาหรือ
ไม่? ตอนพวกเรากลับไป ก็นั่งเรือกลับไปเถอะ
นะ เจ้าคงไม่รู้ ตอนที่นั่งเรือนะ มันทาให้สดชื่น
มากเลยนะ ทั้งสองฟากฝั่งมีเสียงลิงร้องไปทั่ว
เลย อีกทั้งเรือยังล่องผ่านภูเขาเยอะแยะ
มากมายด้วย...”
เหยียนลิ่งเซี่ยนเห็นฉีหนิงเข้าใกล้ซีเหมินจั้นอิง
เขาก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ไอออกมาสองที เหมือน
อยากจะเตือนว่าให้ฉีหนิงทาอะไรระวังหน่อย ฉี
หนิงหันหน้าไป แล้วถามว่า “เหยียนเซี่ยวเว่ย
เป็นอะไรไป? เจ็บคอหรือ? ฉีเฟิง เจ้าไปตาม
หมอมาดูอาการของเหยียนเซี่ยวเว่ยหน่อยสิ”
เขากลับกล้ายื่นมือไปจับมือของซีเหมินจั้นอิง
ต่อหน้าเหยียนลิ่งเซี่ยน แล้วก็พูดว่า “จั้นอิง
พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในก่อน พักสักเดี๋ยว
ค่อยเดินทางกันนะ”
ซีหมินจั้นอิงรีบถอยหลังไปสองก้าวทันที
เหยียนลิ่งเซี่ยนทนไม่ไหว เลยพูดด้วยความ
โกรธว่า “โหวเยว่ ท่านคิดจะทาอะไร?”
ฉีหนิงไม่ได้สนใจ เขามองไปทีซ่ ีเหมินจั้นอิง
แล้วพูดว่า “เป็นอะไรไป? แต่ก่อนจับมือเจ้า
เจ้ายังให้ข้าจับเลย เหตุใดตอนนี้ถึงได้หลบแล้ว
เล่า?”
เหยียนลิ่งเซี่ยนได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยน
เขากัดฟันแน่น แล้วเดินขึ้นมาแทรกด้านหน้า
ของซีเหมินจั้นอิง แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ศิษย์
น้องเล็กเป็นลูกสาวของท่านเสินโหว ท่าน...
ท่านจะแตะต้องตัวนางไม่ได้นะ”
ฉีหนิงรู้สึกขาในใจ เขาแกล้งทาหน้านิ่ง แล้ว
ตะคอกว่า “เหยียนเซี่ยวเว่ย เจ้าบังอาจเกินไป
แล้วนะ เหตุใดถึงกล้าเสียมารยาทกับข้าแบบนี้?
จวนเสินโหวไม่ให้เกียรติโหวเยว่อย่างข้าแบบนี้
เชียวหรือ?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 503 รถม้าซ่อนความอ่อนโยน
เมื่อฉีหนิงเปิดปากมาแบบนี้แล้ว พวกของหลี่ถัง
ก็รีบเดินขึ้นหน้ามาสองก้าว ต่างก็จ้องไปที่
เหยียนลิ่งเซี่ยน
เหยียนลิ่งเซี่ยนเห็นดังนั้น ก็อดที่จะถอยหลังไป
ไม่ได้ เขาพูดว่า “ทาอะไรกัน? พวกเจ้า...คิดจะ
ทาอะไร”
“ข้าน่าจะเป็นคนถามเหยียนเซี่ยวเว่ยมากกว่า
ว่าเจ้าคิดจะทาอะไร?” ฉีเฟิงไม่ได้พูดดีด้วย
“ท่านโหวน้อยของพวกเรามีเรื่องอยากจะคุย
กับแม่นางซีเหมิน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเหยียน
เซี่ยวเว่ยด้วย? เจ้าเป็นคนของจวนเสินโหวก็
จริง แต่ว่าคนของจวนเสินโหวก็ต้องมีมารยาท
หน่อย อยู่ต่อหน้าท่านโหวน้อย ยังกล้าโอหัง
ขนาดนี?้ ”
โจวซุ่นพูดว่า “เหยียนเซี่ยวเว่ย ปกติท่านโหว
น้อยของพวกเราเป็นคนสบายๆ เข้ากับคนง่าย
แต่ว่าไม่ได้หมายความว่าใครก็สามารถเสีย
มารยาทกับท่านได้นะ”
ฉีหนิงยกมือลูบจมูก ในตอนนี้เอง เขามีความ
รู้สึกว่า เขาเหมือนพาพวกมารังแกสาวน้อย
ถึงแม้จะดูไม่ค่อยดี แต่ว่าเขาก็รู้สึกสบายใจ เขา
เงยหน้ามองสิ่งทีเ่ กิดขึ้น เหมือนมันไม่เกี่ยว
อะไรกับเขาเลย
พวกของฉีเฟิงปกติมกั จะดูเคารพนอบน้อมเวลา
อยู่ต่อหน้าฉีหนิง แต่พวกเขาเป็นคนของจิ่นอี
โหว แต่ละคนก็ไม่ใช่ว่าจะอ่อนปวกเปียกกัน
หมด เมื่อก่อนจิ่นอีโหวมีชื่อเสียงมาก คนของ
จวนจิ่นอีโหวเดินไปที่ไหน ก็มีหน้ามีตาทัง้ นั้น
ไม่เคยมีใครมารังแกได้ง่ายๆ
อีกทั้งฉีเฟิงเองก็เคยเป็นทหารเก่าอยู่ในค่าย
กิเลนดามาก่อน เหยียนลิ่งเซี่ยนถึงแม้จะเป็น
หนึ่งในเจ็ดดาวไถของจวนเสินโหว แต่ว่าก็ไม่ได้
อยู่ในสายตาของฉีเฟิง
ซีเหมินจั้นอิงเห็นคนของฉีหนิงแต่ละคนเหมือน
เสือเหมือนจระเข้ นางก็แอบรู้สึกโกรธ นางจึง
ดึงเหยียนลิ่งเซีย่ น แล้วพูดว่า “ไม่ต้องไปสนใจ
พวกเขา มีนายอย่างไรก็มีบ่าวอย่างนั้น”
ฉีหนิงแค่ยิ้ม เขากาลังอยากจะพูดอะไร ก็ได้ยิน
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นมา เขาหันไปมอง ก็เห็น
เหว่ยซูถงขี่ม้ามาพอดี ด้านหลังเขายังมีทหาร
สวมชุดเกราะอีกประมาณสิบคน แต่ละคนดูก็รู้
ว่าเป็นทหารผ่านศึก
เหว่ยซูถงมาใกล้ๆ แล้วก็ลงจากม้า เขายกมือ
คานับแล้วพูดว่า “โหวเยว่”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยมาได้จังหวะ
พอดี ข้ากาลังคิดจะไปลาท่านอยู่เลย”
“หะ?” เหว่ยซูถงถามว่า “ชิวเฉียนอี้มาหาท่าน
แล้วหรือ?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เมื่อคืนได้เจอเขา
แล้ว แต่ว่าเขาไปไหนมาไหนคนเดียวจนชิน เลย
เดินทางเข้าเมืองหลวงไปเอง ไม่ไปกับข้า ฝ่า
บาทรอข้าอยู่ ข้าจากเมืองหลวงมาก็สองเดือน
แล้ว จะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว”
เหว่ยซูถงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น
ข้าน้อยจะให้คนไปเตรียมรถม้า โหวเยว่ท่านจะ
ไปทางน้าหรือว่าไปทางบกดี?”
“ตอนที่ข้ามาข้ามาทางน้า ข้าว่ามันสะดวกดีนะ
ข้าคิดว่าจะไปทีเ่ ขาฮวาถังก่อน แล้วค่อยนัง่ เรือ
จากเขาฮวาถังไปทางทิศตะวันออก” ฉีหนิงพูด
เหว่ยซูถงพูดว่า “เส้นทางในซีชวนเดินทาง
ลาบาก ไปทางน้ามันก็สะดวกกว่าจริงๆ” เขา
หันไปพูดว่า “ผู้บัญชาการเหยา เจ้าสั่งให้คนไป
เตรียมการที คุ้มกันโหวเยว่ไปทีเ่ ขาฮวาถัง
จากนั้นก็เตรียมเรือไว้ลาหนึ่งด้วย” จากนั้นเขา
ก็ได้แนะนาให้ฉีหนิงรู้จัก “โหวเยว่ เขาคือผู้
บัญชาการเหยาอวิ๋นผ่อ เป็นผู้ช่วยของข้าเอง”
ชายเกราะดารีบโค้งคานับแล้วพูดว่า “ข้าน้อย
คานับโหวเยว่”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เกรงใจไปแล้ว ชื่อเสียง
ของผู้บัญชาการเหยา ข้าพอได้ยินมาบ้าง ทหาร
ที่ล้อมเขาเฮยเหยียน มีระบบระเบียบมาก ข้าดู
ก็รู้ว่าคนที่คุมต้องเป็นคนเก่งมากแน่นอน วันนี้
ได้พบ ผู้บัญชาการเหยาองอาจอย่างที่คดิ
จริงๆ”
เหยาอวิ๋นผ่อตะลึงไป จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วพูด
ว่า “มิกล้า โหวเยว่ชมเกินไปแล้ว”
“จริงสอ ใต้เท้าเหว่ย ข้าขี่ม้าไปก็พอแล้วล่ะ แต่
ว่า...ท่านช่วยข้าเตรียมรถม้าไว้สกั คันหนึ่งนะ
เอาแบบทั้งกว้างทั้งสบาย เหมาะกับคนทีบ่ อบ
บางอ่อนโยน” ฉีหนิงพูดเสียงเบาๆ ว่า “ข้า
จาเป็นต้องใช้”
เหว่ยซูถงมองไปที่ซีเหมินจั้นอิง แล้วถามว่า
“โหวเยว่ทา่ นจะเตรียมให้แม่นางซีเหมินหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “นางเหมือนคนบอบบาง
อ่อนโยนตรงไหน นิดๆ หน่อยๆ ก็จะฆ่าจะแกง
หยาบจะตายไป ข้าไม่ได้เตรียมให้นางหรอก”
เสียงของเขาไม่ได้ดังมาก แต่ว่าซีเหมินจั้นอิงดัน
มาได้ยินพอดี พอนางได้ยินนางก็กาหมัดแน่น
แล้วจ้องมาที่ฉีหนิง หากไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย นาง
อาละวาดแน่
“เอ่อ...?”
“ข้าจะพาคนกลับเมืองหลวงไปด้วย?” ฉีหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “สาวงามของซีชวนมีตั้งมากมาย
ข้าก็ต้องพากลับไปรับใช้ข้าสักคนหนึ่งสิจริง
หรือไม่”
เหว่ยซูถงอึ้งไป ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยได้ยินมา
ก่อนว่าโหวน้อยไปติดผู้หญิงซีชวนที่ไหนเลย
แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็มีสาวงามซีชวนโผล่มา แต่ว่าเขา
ก็คิดว่าเป็นผู้ชายชอบอะไรแบบนี้มันก็เรื่อง
ปกติ อีกทั้งฉีหนิงเป็นถึงโหวน้อยยังหนุ่มยัง
แน่นมันก็ไม่แปลก เขานึกเสียใจ หากรู้ว่าโหว
เยว่ชอบอะไรแบบนี้ เขาก็น่าจะเตรียมไว้ให้
เขาดึงมือฉีหนิงเข้ามาใกล้ ๆ แล้วพูดเบา ๆ ว่า
“โหวเยว่ ข้าน้อยรู้จักหญิงงามในเฉิงตูจานวน
หนึ่ง ล้วนแต่มีความรู้ความสามารถทั้งนั้น
เอาไว้ข้างกายก็ไม่เลวเลย โหวเยว่อยู่ต่ออีกสัก
วันดีหรือไม่ ข้าน้อยจะจัดเตรียมไว้ให้ แล้วให้
โหวเยว่ได้เลือกพากลับเมืองหลวงไปสักคนสอง
คนดีหรือไม่?”
ฉีหนิงหัวเราะ ยกมือแล้วพูดว่า “ไม่ต้อง ไม่ต้อง
ข้าเจอที่ดที ี่สุดแล้ว”
เหว่ยซูถงเห็นดังนั้น ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่าง
นั้นข้าน้อยจะให้คนรีบไปเตรียมรถม้ามา...
ข้าน้อยจะให้คนนารถไปจอดไว้ที่ประตูหลังของ
เรือนรับรอง โหวเยว่คิดว่าดีหรือไม่?”
ฉีหนิงยกนิ้มโป้งให้แล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยทา
อะไรรอบคอบดีจริงๆ นับถือ”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม
ทุกคนแยกย้ายไปเตรียมตัว พอมาถึงช่วงกลาง
วัน เหว่ยซูถงก็สง่ รถม้ามาให้ ด้านนอกดูไปก็
ธรรมดา แต่ว่าด้านในหรูหราและสบายมาก อีก
ทั้งเขายังเตรียมของว่างอาหารแห้งต่างๆ เอาไว้
ด้านในด้วย เพียงแต่ไม่มีใครรู้เลยว่าฉีหนิงจะให้
ใครเป็นคนนั่งรถคันนี้
คนของฉีหนิงมีสี่คน รวมเหยียนลิ่งเซี่ยนกับซีเห
มินจั้นอิง แล้วก็คนลึกลับบนรถม้า ทั้งหมดแปด
คน เหว่ยซูถงสั่งให้เหยาอวิ๋นผ่อไปเลือกทหาร
สามถึงสี่สิบนาย ไปส่งฉีหนิงออกนอกพืน้ ที่ซี
ชวน เดิมฉีหนิงไม่อยากจะให้มันเป็นจุดเด่น
อะไรมากมาย แต่ว่าเหว่ยซูถงยืนยันหนักแน่น
ฉีหนิงก็รู้ว่าเขาก็หวังดี ก็เลยรับปากให้ไปส่งถึง
เขาฮวาถัง
เซียวหยวนผ่อของจวนเสินโหวถึงแม้จะบอกว่า
ก่อนฉีหนิงจะกลับเขาจะมาส่ง แต่เมื่อออกจาก
เมืองมาแล้ว ก็ยังไม่เห็นเงาของเขาเลย ฉีหนิง
รู้สึกสงสัยมาก แต่ก็แอบคิดว่าเซียวหยวนผ่อ
ตอนนี้อาจจะไม่ได้อยู่ที่เมืองเฉิงตูก็ได้ เหว่ยซูถง
พาคนส่งมาประมาณสิบลี้ ทั้งสองแอบคุยกัน
เป็นการส่วนตัวเล็กน้อย จากนัน้ ฉีหนิงก็เดิน
ทางกลับเมืองหลวง
ตลอดทางเหยาอวิ๋นผ่อสั่งให้คนประกบทัง้ ด้าน
หน้าและด้านหลัง เลยไม่ต้องให้คนของฉีหนิง
ต้องเป็นกังวลอะไรเลย
เดินทางมาทั้งวัน ในทีส่ ุดก็มาถึงเขาฮวาถัง ที่
ท่าเรือ ได้มีการเตรียมเรือลาใหญ่เอาไว้แล้ว
เมื่อเทียบกับเรือลาเล็กตอนขามา เรือในตอน
นั้นมันเหมือนไม้กระดานแผ่นหนึ่งเท่านั้น
มันคือเรือของทางการ แต่ว่าเหว่ยซูถงรู้ว่าหาก
ทาให้รู้ว่านี่คือเรือของทางการมันไม่ดี เลยตั้งใจ
ให้คนมาดัดแปลง ทาให้ไม่เห็นสัญลักษณ์ของ
ทางการอีก
บนเรือมีคนเรืออยู่ประมาณสี่ห้าคน อีกทั้งยังมี
การเตรียมเสบียงอาหารและพ่อครัวเอาไว้ด้วย
รวมแล้วก็เจ็ดแปดคน
เรือลานี้ใหญ่มาก ต่อให้มีม้าอีกเจ็ดแปดตัว ก็
รองรับได้
ตอนนี้เย็นมากแล้ว คนเรือทาการนาม้าและ
ข้าวของต่างๆ ขนขึน้ เรือ แต่พอคนเรือเข้าไป
ใกล้รถม้า ก็ถูกฉีเฟิงห้ามเอาไว้ ฉีเฟิงเฝ้าอยู่ใกล้
รถม้าตลอดเวลา ไม่ให้ใครเข้าไปใกล้เลย ทุกคน
รู้สึกไม่เข้าใจ แต่ก็รู้มาว่าโหวน้อยจะพาสาว
กลับเมืองหลวงไปด้วย เลยไม่กล้าพูดหรือถาม
อะไรมากมาย
เพียงแต่ซีเหมินจั้นอิงไม่พดู กับฉีหนิงเลยตลอด
ทาง แต่มีเหลือบไปมองที่รถม้าบ้างเป็นครั้ง
คราว เหมือนนางจะสงสัย
เหยาอวิ๋นผ่อบอกฉีหนิงว่าเขาอยากจะคุ้มกันฉี
หนิงต่อไปอีก แต่ฉีหนิงปฏิเสธพร้อมกับ
ขอบคุณเขา ระหว่างที่ฉีหนิงกาลังพูดคุยกับ
เหยาอวิ๋นผ่อ ฉีหนิงก็เข้าไปในรถม้า แล้วอุ้มคน
ที่คลุมด้วยผ้าสีที่มองไม่เห็นหน้าตาเท่าไหร่
ออกมาจากรถม้า
บนเรือมีห้องพักเตรียมไว้อย่างดี มีห้องสาหรับ
ฉีหนิงโดยเฉพาะ ฉีเฟิงแบกคนๆ นั้นเข้าไปใน
ห้องของฉีหนิง จากนั้นก็รีบออกมา แล้วเฝ้าอยู่
หน้าห้องไม่ห่าง
เมื่อเห็นคน ม้า และสัมภาระขนย้ายขึ้นเรือไป
หมดแล้ว เหยาอวิ๋นผ่อก็ขอลา เขานาทหารขี่ม้า
กลับไป
อาทิตย์ตกดินแล้ว ทุกอย่างเตรียมการไว้
เรียบร้อย เรือออกเดินทางไปตามทิศทางลม
และน้า ยิ่งลมแรงมากเท่าไหร่ เรือก็ไปเร็ว
เท่านั้น
บรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตก งดงามมาก ทั้ง
สองฟากฝัง่ เต็มไปด้วยหญ้าเขียวชอุ่ม เสียงนก
ร้องดังเป็นระยะ บนเรือมีห้องพักสองห้อง ห้อง
หนึ่งเป็นของฉีหนิง ส่วนอีกห้องเขาก็ยกให้กับซี
เหมินจั้นอิง เพราะนางเป็นผูห้ ญิงคนเดียว อีก
ทั้งนางยังเป็นลูกสาวของซีเหมินเสินโหวด้วย
เลยไม่มีใครมีปัญหาอะไร
พวกของฉีเฟิงรู้ดีว่า หลังจากทีม่ าถึงซีชวนแล้ว
โหวน้อยตกอยู่ในอันตรายจนเกือบจะเอาชีวิต
ไม่รอด หากโหวน้อยเป็นอะไรไป ใครก็รอด
กลับไปไม่ได้ทั้งนั้น ยังดีที่ยังปลอดภัยดี ตอนนี้
ย้อนกลับเมืองหลวง ก็เลยระวังกันมากขึ้น หาก
ยังไม่ถึงเมืองหลวง เขาก็จะต้องระวังทุกวินาที
พวกของฉีเฟิงผลัดเวรกันเฝ้ากะละสองคน
คืนแรกหลังจากซีเหมินจั้นอิงกลับเข้าห้องไป
แล้ว ก็ไม่ออกมาอีกเลย ถึงเวลาอาหารเย็น
เหยียนลิ่งเซี่ยนไปเคาะประตู ซีเหมินจั้นอิงก็ไม่
ตอบ ฉีหนิงเองพอเข้าห้องไปแล้ว ก็ไม่ออกมา
อีกเช่นกัน
เดินทางไปตามสายน้า ผ่านไปหนึ่งวัน เช้าวัน
ต่อมา พวกเขาก็เดินทางมากันกว่าร้อยลีแ้ ล้ว
ฉีหนิงอยู่ฝึกฝนวิชาที่เซี่ยงไป๋อิ่งถ่ายทอดให้เขา
ซ้าไปซ้ามาอยู่ในห้อง ทุกครั้งที่ฝึกเสร็จ ถึงแม้
จะมีไม่กี่กระบวนท่า แต่เขาก็รสู้ ึกว่ามันไม่
เหมือนเดิม
เมื่อเข้าออกมาจากห้อง เขาก็เดินมาที่หัวเรือ
แล้วมองไปข้างหน้า เห็นสองฟากฝั่งมีแต่ต้นไม้
ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ทาให้เขาสดชื่นมาก
เขาเหลือบไปเห็นเงาของคนยืนอยู่ตรงขอบเรือ
เมื่อมองไปเหมือนคนนั้นจะไม่รู้ว่ามีคนยืนอยู่
ข้างหลัง ฉีหนิงมองจากเงาของคนๆ นั้น เอว
เป็นทรง สะโพกอวบอิ่ม ไม่ใช่ซเี หมินจั้นอิงแล้ว
จะเป็นใครไปได้ล่ะ
ฉีหนิงค่อยๆ เดินเข้าไป แล้วยืนอยู่ข้างนาง
เลียนแบบท่าทางของนาง เอามือไว้ที่ขอบเรือ
แล้วมองไปไกลๆ
ซีเหมินจั้นอิงเหลือบมองด้วยหางตา เมื่อเห็นว่า
เป็นฉีหนิง นางก็ไม่ได้ตกใจอะไร ยังคงมองไป
ข้างหน้าเหมือนเดิม นางไม่พูดไม่จา ฉีหนิงยก
มือลูบจมูกตัวเอง แล้วพูดว่า “ตื่นเช้าจัง?”
“อืม” ซีเหมินจั้นอิงตามแค่นั้น “ข้าตื่นเช้าเป็น
เรื่องปกติ แต่ว่าเจ้าตื่นเช้า นี่สิแปลก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แปลก? เหตุใดถึงพูดอย่าง
นั้น?”
ซีเหมินจั้นอิงหน้าแดง แต่ก็ยังสงวนท่าทีแล้ว
พูดว่า “ไม่...ไม่มีอะไร”
ฉีหนิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “เจ้าจะบอกว่า มีสาว
งามร่วมเรียงเคียงหมอน มีความสุขกันทั้งคืน
น่าจะอ่อนเพลีย ไม่ควรจะมีแรงตื่นเช้า อย่าง
นั้นใช่หรือไม่?”
“ลามก” ซีเหมินจั้นอิงถูกเขาพูดแทงใจ หน้า
ของนางก็แดงขึ้น คิดในใจว่าทาไมเขาถึงได้หน้า
ไม่อายขนาดนี้ เรื่องแบบนี้ยังกล้าพูดออกมาได้
แต่ว่าพอคิดว่าเขาเป็นพวกกะล่อน บางครั้งก็
หน้าด้านไร้ยางอายจริง อะไรที่นางรู้สึกว่ามัน
ฟังไม่เข้าหูเลย แต่ว่าพอออกมาจากปากโหว
น้อยคนนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการกินข้าวเลย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 504 รอยยิ้มราวกับดอกไม้
“ลามก?” ฉีหนิงพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “จั้นอิง
เจ้าจะพูดจาทาร้ายคนอื่นแบบนี้บ่อยๆ ไม่ได้นะ
ข้าไปลามกกับเจ้าตอนไหนกัน?”
ซีเหมินจั้นอิงหน้านิ่ง แล้วหันหน้าไปจ้องฉีหนิง
แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้พดู อะไรเลย แต่
ว่าอย่างไรข้าก็เป็นถึงโหวเยว่นะ เจ้าพูดคาสอง
คาก็หาว่าข้าลามก หากใครมาได้ยินเข้า ขาย
หน้าเอาน้า อีกอย่างผู้ชายชอบผู้หญิง มันก็เรื่อง
ธรรมชาติ ข้าก็เป็นผู้ชาย มีความต้องการ เจ้า...
เจ้าคงจะไม่สั่งให้ข้าไม่แตะต้องผู้หญิงเลยไม่ได้
หรอกนะ?”
ซีเหมินจั้นอิงฟังจนหูแดง แล้วพูดว่า “หน้าไม่
อาย เจ้าหุบปากไปเลยไป เจ้าจะไปยุ่งกับผู้หญิง
คนไหน มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย” นางโกรธ
มาก แม้แต่คาพูดไม่ค่อยดีก็พูดออกมา
ฉีหนิงหัวเราะ ยิ้มแล้วพูดว่า “จั้นอิง ข้าถามเจ้า
หน่อยสิ เจ้าต้องตอบข้ามาตามตรงนะ ข้าเป็น
ถึงโหเยว่ เจ้าจะมาหลอกข้าไม่ได้เด็ดขาด”
ซีเหมินจั้นอิงรู้ว่าเขาต้องถามอะไรที่ไม่ดีแน่
ฉีหนิงเอียงตัวกลับมา ยิม้ แล้วถามว่า “เจ้าไม่
คุยกับข้าเลยตลอดการเดินทาง เพราะว่าข้าพา
ผู้หญิงมาด้วย หรือว่ากลัวว่าศิษย์พี่เจ็ดของเจ้า
จะเห็น”
“ใครจะไปอยากคุยกับเจ้า” ซีเหมินจั้นอิงไม่ได้
พูดดีด้วย นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าว่าอะไร
นะ? ศิษย์พี่เจ็ดทาไมกัน? ข้ากลัวเขาทาไม?”
“ข้าก็คิดว่าที่เจ้าไม่คยุ กับข้า เพราะเจ้ากังวล
เขาจะเห็นว่าเจ้าสนิทสนมกับข้ามากเกินไป” ฉี
หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าเองก็รู้ ผู้ชาย
บนโลกใบนี้ไม่ใช่จะใจกว้างเหมือนข้าหมดนะ
ผู้ชายบางคนก็ใจแคบ ทนเห็นผู้หญิงของตัวเอง
ไปอี๋อ๋อกับคนอื่นไม่ได้หรอก”
ซีเหมินจั้นอิงตาโตแล้วพูดว่า “ใครอยากจะไป
เข้าใกล้เจ้ากัน? ทาไมศิษย์พี่เจ็ด...ต้องกลัวข้า
สนิทสนมกับเจ้าด้วย?” นางกัดฟัน แล้วพูดด้วย
ความโกรธว่า “เจ้าคนแซ่ฉี เจ้าพูดอะไรระวัง
หน่อย อะไรคืออี๋อ๋ออะไรกับใคร เจ้าว่าใคร?”
ฉีหนิงหัวเราะ แต่ไม่พูดไม่จา ซีเหมินจั้นอิงเห็น
เขากะล่อนกวนประสาทมาก ก็นึกโมโห นางยก
นิ้วชี้หน้าเขาแล้วพูดว่า “เจ้าพูดมาให้ชัดเดี๋ยวนี้
นะ”
ฉีหนิงพูดว่า “พูดให้ชัดเจน? เจ้าโง่จริงหรือว่า
แกล้งโง่กันแน่? ศิษย์พี่เจ็ดของเจ้าชอบเจ้า เจ้า
ไม่รู้หรืออย่างไร?”
“ศิษย์พี่เจ็ดชอบข้า?” ซีเหมินจั้นอิงพูดต่อว่า
“ฉีหนิง จิตใจเจ้ามันสกปรก เจ้าอย่าคิดว่าใคร
จะเหมือนเจ้า ศิษย์พี่เจ็ดกับข้าโตมาด้วยกัน
เขาเห็นข้าเหมือนน้องสาว เจ้า...เจ้าอย่ามาพูด
อะไรเหลวไหลนะ”
“สกปรก?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “จั้นอิง เจ้ารู้
ได้อย่างไรว่าใจข้าสกปรก? หรือว่ามาเป็นพยาธิ
ในท้องข้าหรือ?” เขาชี้ไปที่หน้าของตัวเอง “ถ้า
อย่างนั้นเจ้าลองเดาดูสิว่า ตอนนี้ใจสกปรกๆ
ของข้ากาลังคิดอะไรอยู?่ ” พูดจบ เขาก็แกล้ง
จ้องไปที่หน้าอกของซีเหมินจั้นอิง
ฉีหนิงทาอย่างไม่ได้กลัวอะไรเลย ซีเหมินจั้นอิง
เดิมทีไม่อยากจะอะไรกับเขามากมาย แต่ว่า
นางก็รู้สึกทนไม่ไหว เห็นฉีหนิงจ้องมาที่หน้าอก
ของตัวนางด้วยสายตาหยอกล้อ นางทั้งโกรธทั้ง
อาย แล้วพูดว่า “หากเจ้าจ้องอีก ข้าจะควักตา
เจ้าออกมา” นางยื่นมือไปจับดาบที่อยู่ตรงเอว
แต่เพิ่งจะรูต้ ัวว่านางไม่ได้เอาดาบมาด้วย
ฉีหนิงเห็นนางทั้งโกรธทั้งโมโห ก็หัวเราะ แล้ว
พูดว่า “ช่างเถอะ ข้าไม่เถียงกับเจ้าแล้ว จริงสิ
เอาจริงๆ นะ เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ท่านเสิน
โหวไม่คิดจะหาผู้ชายดีๆ ให้เจ้าเลยหรือ?”
“เจ้ายุ่งอะไรด้วย” ซีเหมินจั้นอิงมองบนใส่เขา
“เจ้าเองก็ยังไม่แต่งงานเหมือนกัน ยังจะมาเป็น
ห่วงเรื่องคนอื่นทาไม”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้ายังไม่มเี มีย ก็
เพราะเจ้ายังไม่แต่งงาน เอาอย่างนี้ดีหรือไม่
หลังจากที่กลับไปถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าให้คนไป
ที่จวนเสินโหว อย่างไรเจ้าก็ถึงอายุที่ต้อง
แต่งงานแล้ว แต่งเข้าจวนจิ่นอีโหวดีหรือไม่ มา
เป็นเมียน้อยให้ข้า เจ้าว่าอย่างไร? ข้าไม่รงั เกียจ
ที่เจ้าอารมณ์ร้อนเลย เจ้า...” เขาพูดจบ ก็เห็น
หมัดลอยมา ซีเหมินจั้นอิงยกหมัดซัดมาหาเขา
ฉีหนิงระวังตัวเอาไว้แล้ว เขาแกล้งนางอย่างไม่
กลัวแบบนี้ หากนางไม่ลงไม้ลงมือ คงไม่ใช่นาง
แน่ เขาไถลตัวไปด้านหน้า ซีเหมินจั้นอิงโกรธ
มาก เห็นเขาหลบไปได้ นางก็ยกเท้าถีบใส่ฉี
หนิงอีก
วรยุทธ์ของซีเหมินจั้นอิงถึงแม้อยู่ในยุทธภพจะ
ไม่ได้ร้ายกาจอะไร แต่ว่านางฝึกฝนมาตั้งแต่เล็ก
พื้นฐานของนางแน่นมาก นางลงมือได้อย่าง
รวดเร็วและว่องไว อีกทั้งยังออกแรงอย่างเต็มที่
ขาเรียวขาวของนางถีบมาที่หน้าอกของฉีหนิง
ซีเหมินจั้นอิงรู้ความสามารถของฉีหนิงดี รู้ว่า
ต่อให้ฝึกอีกหลายปี นางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉีหนิง
นางรู้ดีว่าต่อให้ลงมือรุนแรงกว่านี้ ฉีหนิงก็หลับ
ได้ นางเลยออกแรงเท่าที่นางมี ระบายความ
โกรธของนางออกมา
ใครจะคิดว่านางถีบไปแบบนี้ ฉีหนิงกลับไม่
หลบ เท้ากาลังจะไปถูกหน้าอกของฉีหนิงแล้ว
ซีเหมินจั้นอิงตกใจมาก นางคิดจะเก็บเท้ากลับ
มา กลับพบว่าขาของนางถูกจับเอาไว้ ฉีหนิง
กล้าเอามือมาจับขาของนางเอาไว้ ไม่รอให้ซี
เหมินจั้นอิงได้คดิ อะไร เขาก็ยกขาที่ถีบมาของ
นางพาดไปที่หัวไหล่ของเขา
ซีเหมินจั้นอิงตกใจมาก ตอนนี้นางยืนด้วยขา
ข้างเดียว เท้าอีกข้างพาดอยู่ที่หวั ไหล่ของฉีหนิง
ขาทั้งสองข้างฉีกออกจากกัน คิดอยากจะเก็บ
ขากลับมา แต่ฉีหนิงก็จับขาของนางไว้แน่น ทา
ให้ทาอะไรไม่ได้เลย
“โอ้ย เจ้า...เจ้าถีบโดนข้าแล้วนะ” ฉีหนิงใช้มือ
ข้างหนึ่งจับไปที่หัวไหล่ของเขา มืออีกข้างก็ตั้ง
ใจจับไปทีข่ าของซีเหมินจั้นอิง เขาหัวเราะอย่าง
ทะเล้นแล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้ถีบแรงแบบ
นี้ เอ๋ ขาของเจ้าฉีกได้กว้างขนาดนี้เลยหรือ จั้น
อิง พื้นฐานวรยุทธ์ที่ฝึกมาไม่เสียเปล่าเลย
นะเนี่ย”
ซีเหมินจั้นอิงยืนด้วยขาข้างเดียว นางโกรธและ
โมโหมาก นางจ้องไปที่ฉีหนิงแล้วพูดว่า
“ปล่อย”
ฉีหนิงหัวเราะ แล้วมองไปที่ขาของซีเหมินจั้นอิง
ไม่เสียแรงที่ฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เล็ก ขาของนาง
ไม่เพียงยาวและสวย อีกทั้งยังเนียนมากด้วย
ถึงแม้จะมีเสื้อผ้ากั้นอยู่ แต่ว่ามือข้างหนึ่งอยู่ที่
ขาของนาง กลับรู้สึกได้ถึงขาที่เต่งตึง
จั้นอิงเห็นสายตาของเขาที่มองมา ก็รู้ทันทีว่าตา
บ้านี่คิดไม่ดีแน่ นางโกรธมาก จึงชกหมัดใส่เขา
ฉีหนิงยกมือไปจับข้อมือของนางเอาไว้
ซีเหมินจั้นอิงคิดอยากจะเอาออกมา แต่ว่ากาลัง
ภายในของนางสู้ฉีหนิงไม่ได้เลย นางออกแรง
มากเท่าไหร่ก็ไม่หลุด
“เจ้าคนแซ่ฉี เจ้า...เจ้าคนต่าช้า ปล่อยมือเดี๋ยว
นี้นะ” ซีเหมินจั้นอิงโกรธและอายมาก บนเรือมี
คนอยู่ประมาณยี่สิบคน คนเดินไปเดินมาตลอด
เวลา ท่าทางแบบนี้หากมีใครมาเห็นเข้า มันน่า
อายมากเลย นางพยายามดิ้นให้หลุด
“จั้นอิง เจ้าทาข้าก่อนนะ ข้าก็แค่ป้องกันตัว” ฉี
หนิงพูดว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าถ้าปล่อยเจ้าแล้ว เจ้าจะ
ลงมือกับข้าอีกหรือไม่ เจ้าใจเย็นก่อน เจ้าเย็น
ลงเมื่อไหร่ ข้าก็จะปล่อย”
ซีเหมินจั้นอิงรู้ว่าต่อให้นางโกรธแค่ไหน ลงไม้
ลงมือกับคนแบบเขา ก็ไม่มีทางชนะ นางสูด
หายใจเข้าลึกๆ แกล้งทาเป็นใจเย็นแล้วพูดว่า
“ถ้าเจ้าปล่อย ข้า...ข้าไม่ทาเจ้าอีกก็ได้”
“ไม่จริงใจเลย” ฉีหนิงส่ายหน้า “ข้าเห็นความ
โกรธจากดวงตาเจ้า ข้ารู้นิสัยเจ้าดี หากข้า
ปล่อยมือ เจ้าจะต้องเข้ามาตีข้าแน่นอน ข้า...
เฮ้อ ลูกผู้ชายไม่สู้กับผู้หญิง ข้าเป็นถึงโหวเยว่
จะไปสู้กับเจ้าที่เป็นผูห้ ญิงบนเรือนี่ได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นรออีกเดี๋ยว ใจเย็นๆ ก่อน” ตอนที่
เขาพูด เขาก็เอียงหัวไปทางซ้ายทีขวาที มองไป
ที่ขาของซีเหมินจั้นอิง
ซีเหมินจั้นอิงไม่มีดาบในมือ นางพยายามดิ้นอีก
หลายครั้ง แต่ไม่เป็นผล ตาของนางเริ่มแดง
แล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้าฆ่าข้าซะดีกว่า”
ฉีหนิงเห็นนางเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่านางคงโกรธมาก
แน่แล้ว เขาเลยปล่อยมือ แล้วถอยหลังไป ซีเห
มินจั้นอิงจ้องมาที่ฉีหนิง นางแอบคิดในใจว่า
พอข้าร้องไห้ เจ้าบ้านี่ก็ปล่อย ก็ไม่ได้เลวจนถึง
ที่สุดขนาดนั้น แต่พอนึกถึงฉีหนิงจ้องมาทีข่ า
ของนาง ถึงแม้นางจะเป็นหญิงบริสุทธิ์ แต่ก็ใช่
ว่าจะไม่รู้เรื่องของชายหญิงเลย นางหน้าแดง
แล้วหันหลังให้ฉีหนิง
ฉีหนิงเห็นนางไม่พดู ไม่จา ก็ขยับเข้ามาใกล้ๆ
แล้วพูดว่า “เอาล่ะ ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรแกล้ง
เจ้า ข้าขอโทษได้หรือไม่”
“หลีกไปเลย” ซีเหมินจั้นอิงไม่ได้พูดดีด้วย “ข้า
ไม่อยากคุยกับเจ้า”
“เจ้าไม่คุยกับข้า แล้วข้าจะไปคุยกับใครล่ะ” ฉี
หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตลอดทางมีแต่
ภูเขาต้นไม่ หากเจ้าไม่คุยกับข้า ข้าก็เหงาแย่ส”ิ
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “ในห้องของเจ้าก็มีคนอยู่นี่
เจ้าไปคุยกับนางสิ อย่าให้คนอื่นต้องรอนาน”
“เอ๋ นี่มันกลิ่นอะไรนะ?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้ว
แกล้งทาเป็นดมกลิ่น ซีเหมินจั้นอิงหันมามอง
เขา เห็นท่าทางของเขาจริงจังมาก เหมือนได้
กลิ่นอะไรจริงๆ ตอนนี้ยังไม่ออกจากซีชวน ซีเห
มินจั้นอิงระวังตัวตลอดเวลา นางรีบถามว่า
“เจ้าได้กลิ่นอะไร?”
ฉีหนิงยกมือขึ้นมา ส่งสัญญาณไม่ให้ซีเหมินจั้น
อิงพูดอะไร เขาดมซ้ายดมขวา แล้วก็พยักหน้า
“อย่างนี้นี่เอง”
“อะไร?” ซีเหมินจั้นอิงตาโต “ฉีหนิง เจ้าได้
กลิ่นอะไร?”
“หึง” ฉีหนิงสีหน้าจริงจังมาก “ข้าได้กลิน่
เหมือนจะมีคนหึงเลย เหตุใดบนเรือของพวก
เราถึงได้มกี ลิ่นแบบนี้ได้นะ?”
ซีเหมินจั้นอิงลองดมดู แล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เห็น
ได้กลิ่นเลย มีกลิ่นหึงอะไรที่ไหนกัน? จมูกเจ้า
ไม่ดีเองกระมัง?” เขามองไปทีฉ่ ีหนิง เห็นเขาทา
หน้ายิ้มแปลกๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ นาง
หน้าแดง แล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้าพูดเหลวไหล
เจ้า...เจ้ามันคนสารเลว”
ฉีหนิงหัวเราะ แล้วพูดเบาๆ ว่า “จั้นอิง ในห้อง
ของข้ามีผู้หญิงอยู่ด้วย เจ้าหึงข้าใช่หรือไม่?”
“มันเกี่ยวอะไรกับข้า?” ซีเหมินจั้นอิงหน้าแดง
มาก “เจ้านี่มันหลงตัวเองจริงๆ ข้าไม่สนหรอ
กว่าเจ้าจะมีผู้หญิงกี่คน ข้าจะหึงเจ้าทาไม? เจ้า
คิดว่าเจ้าเป็นใคร?”
ฉีหนิงขยับเข้าไปใกล้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “อย่า
โกรธเลยนะ ข้าแค่แหย่เจ้าเล่นแค่นั้นเอง
ผู้หญิงสวยๆ คนหนึ่ง โกรธขึ้นมา หน้าก็ตึง มัน
ไม่สวยนะ อีกอย่างผู้หญิงโกรธมากๆ แก่เร็วนะ
รู้หรือไม่”
ซีเหมินจั้นอิงได้ยินเขาชมตัวนางก็ไม่รู้ทาไม
เหมือนกัน ลึกๆ นางถึงได้แอบดีใจ แต่ก็ยัง
ไม่ได้พูดดีด้วย “ข้าแก่หรือไม่ มันเกี่ยวอะไรกับ
เจ้าด้วย?”
“เกี่ยวสิ” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หาก
อีกยี่สิบปีข้างหน้า ข้ายังเป็นหนุ่มหน้าตาดีสง่า
งาม เดินไปบนถนนไปเจอหญิงชราคนหนึ่งถือ
ไม้เท้าค่อยๆ เดินมา ฟันหลุดจากปากไปจน
หมด แล้วข้าเกิดอยากรู้อยากเห็น เดินเข้าไป
มองใกล้ๆ พอได้เห็น กลับเห็นว่าเป็นลูกสาว
ของซีเหมินเสินโหว เจ้าว่าข้าจะเสียใจแค่ไหน
กัน”
ซีเหมินจั้นอิงมองบนใส่เขา แล้วพูดว่า “ปากนี่
ไม่เคยพูดอะไรดีๆ ออกมาเลยนะ” แต่นางก็
แอบนึกภาพตามที่ฉีหนิงพูด ก็รู้สึกว่ามันก็น่า
สนุกดี นางอดขา “คริคริ” ออกมาไม่ได้ ปกติ
นางชอบปั้นหน้านิ่ง เป็นเสือยิ้มยาก ตอนนี้
หัวเราะออกมา สวยราวกับดอกไม้ สวยมาก ๆ
ฉีหนิงมองไปที่หน้าทีเ่ ปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของ
นางตอนนี้ มันงดงามไร้ที่ติ เขาถึงกับตะลึงไป
เลย
ซีเหมินจั้นอิงเห็นฉีหนิงท่าทางดูอ่อนโยนขึ้นมา
แล้วจ้องมาที่นาง นางก็อึ้งไป เขาให้สายตาของ
ฉีหนิงมีแต่ความนุ่มนวล นางก็รู้สึกใจสั่น หน้า
ของนางแดง นางก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตากับฉี
หนิง ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนมา
จากหลังเรือ
ฉีหนิงกับซีเหมินจั้นอิงต่างก็ตกใจ แล้วหันไป
มองพร้อมกับเดินไปที่ท้ายเรือ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 505 ปรากฏอีกครั้งหนึ่ง
ที่ท้ายเรือ มีพื้นที่กว้างมาก แม้จะมีม้าหลายตัว
ที่ถูกผูกเอาไว้ใต้ท้องเรือ ก็ไม่ได้ทาให้พื้นที่ใน
เรือเล็กลงแม้แต้น้อย เพื่อให้ฉีหนิงชมวิว
ทิวทัศน์ได้อย่างสะดวก จึงได้มีการตั้งโต๊ะและ
เก้าอี้เอาไว้ แต่ว่าตอนนี้เก้าอี้พวกนั้นถูกย้าย
ออกไปแล้ว ตอนนี้ตรงพื้นที่นั้น มีเงาของคน
สองคนกาลังต่อสู้กันอยู่ ส่วนคนอื่นก็กาลังล้อม
วงดูกันอยู่
ฉีหนิงกับซีเหมินจั้นอิงเดินตรงมาที่พื้นที่ท้าย
เรือ เห็นสถานการณ์ที่กาลังเกิดขึ้น พวกเขาก็
ตกใจ ฉีหนิงยืนกอดอกมองดูอย่างน่าตื่นเต้น
ซีเหมินจั้นอิงก็ขมวดคิ้ว สีหน้าดูร้อนใจมาก
คนสองคนที่กาลังต่อสู้กันนั้น ก็คือฉีเฟิงกับเห
ยียนลิ่งเซี่ยน ทั้งสองใช้ดาบต่อสู้กัน ฉีเฟิงยก
แขนเสื้อขึ้น วิ่งเท้าเปล่าวนรอบตัวของเหยียน
ลิ่งเซี่ยน ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว เหยียนลิ่ง
เซี่ยนแทงกระบี่เข้าใส่อย่างต่อเนื่อง แต่ฉีเฟิงก็
หลบได้ ฉีเฟิงรอโอกาสโจมตีและแทงกระบี่เข้า
ใส่บ้างเป็นครั้งคราว แต่เหยียนลิ่งเซีย่ นก็เอาตัว
รอดไปได้
ฉีหนิงกับจวนเสินโหวก็รู้จักกันมาได้ระยะหนึ่ง
แล้ว แต่ว่าวรยุทธ์ของเจ็ดดาวไถเป็นอย่างไร
เขาเหมือนจะยังไม่รเู้ ท่าไหร่
ในบรรดาเจ็ดดาวไถของจวนเสินโหว เซียว
หยวนผ่อสุขุมที่สุด ชวีเสี่ยวชางแก่กล้าทาง
ความคิดที่สุด หานเทียนซู่พูดจาคมคาย เหยียน
ลิ่งเซี่ยนในสายตาของฉีหนิงนั้นยังอ่อนมาก อีก
ทั้งยังนิสัยเด็กอีกด้วย
ฉีหนิงเห็นว่าเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวแต่ละ
คน นิสัยแตกต่างกันหมด นอกจากเหยียนลิ่ง
เซี่ยนแล้ว คนอื่นถือได้ว่าเป็นคนที่มีเอกลักษณ์
เฉพาะตัวหมด
เขายังไม่เคยเห็นเจ้าหน้าที่จวนเสินโหวคนใดลง
มือเลย ดังนั้นเรื่องเกีย่ วกับเจ็ดดาวไถน้อยมาก
ตอนนี้จึงอยากจะรู้ว่าวรยุทธ์ของเขาเป็นอย่าง
ไรบ้าง เห็นเหยียนลิ่งเซี่ยนลงมือรวดเร็วว่องไว
เพลงดาบก็ถือว่าใช้ได้ อีกทั้งยังคล่องแคล่ว ถือ
ว่าวรยุทธ์ก็ไม่ธรรมดา แต่ว่าก็ยังไม่ถือว่าเป็น
ยอดฝีมือ
ฝีมือของฉีเฟิงเทียบไม่ได้กับคนในยุทธภพ ชาว
ยุทธ์เวลาออกกระบวนท่า มันจะมีลาดับท่าทาง
ที่สวยงาม แต่ฉีเฟิงมาจากกองทัพ ไม่ได้สนใจ
เรื่องความสวยงามของกระบวนท่า แต่ว่าเน้น
การลงมือที่ง่ายแต่ได้ประสิทธิภาพ แต่ละท่าก็
เน้นการเห็นผลที่ร้ายแรง
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าเหยียนลิ่งเซี่ยนถึงแม้จะ
อายุน้อย แต่อย่างไรก็เป็นถึงหนึ่งในเจ็ดดาวไถ
จวนเสินโหวมีหตู ามากมายในยุทธภพ มียอด
ฝีมือมากมายอยู่ในสังกัด แต่ใช่ว่าทุกคนจะ
ได้มาเป็นเจ็ดดาวไถ เหยียนลิ่งเซี่ยนเองก็น่าจะ
ฝีมือไม่ธรรมดา
แต่ว่าตอนนี้ได้เห็น เหยียนลิ่งเซี่ยนถึงแม้ฝีมือ
จะไม่ธรรมดา แต่ว่าฝีมือแค่นี้ กลับได้เป็นหนึ่ง
ในเจ็ดดาวไถ มันก็ดูฝืนๆ ไป ฉีหนิงรู้สึกแปลก
ใจมาก แอบคิดในใจว่าจวนเสินโหวมีคนที่เก่ง
ทั้งประสบการณ์เก่งทั้งวรยุทธ์ที่มากกว่าเหยียน
ลิ่งเซี่ยนมาก เหตุใดเหยียนลิ่งเซี่ยนถึงได้เป็น
หนึ่งในเจ็ดดาวไถ หรือว่าซีเหมินอู๋เหิงไม่ได้กลัว
ว่าคนอื่นจะไม่พอใจหรือไม่ยอมรับเลย
ที่จริงเขาก็สงสัยมานานแล้วว่า เหยียนลิ่งเซี่ยน
อายุยังไม่ถงึ ยี่สิบ จากอายุแล้ว ไม่ว่าจะวรยุทธ์
หรือว่าประสบการณ์ก็ยังไม่ถึงขั้น เขาสามารถ
กลายเป็นเซี่ยวเว่ยของจวนเสินโหวได้ มันก็น่า
แปลกอยู่ ตอนนีเ้ ห็นเขาต่อสู้กบั ฉีเฟิง วรยุทธ์ดู
เหนือกว่าฉีเฟิงมาก แต่ว่าก็ไม่ได้ได้เปรียบ
เท่าไหร่ มันแสดงให้เห็นว่าฝีมือของเหยียนลิ่ง
เซี่ยนก็ไม่ได้ดีมากเท่าที่ควร
ทั้งสองฝ่ายสู้กันอยู่พักหนึ่ง เหยียนลิ่งเซี่ยนถึง
แม้จะดูได้เปรียบเล็กน้อย แต่ว่าก็ทาอะไรฉีเฟิง
ไม่ได้เลย อีกทั้งฉีเฟิงยังหลบได้หลบดี แล้วยัง
พูดจาประชดประชันเขาอีก หลี่ถังที่อยู่ข้างๆ ก็
หัวเราะ พวกเขาเห็นฉีหนิงยืนมองอยู่ แต่ไม่ได้
ห้าม เลยคิดว่าโหวเยว่คงอยากจะเห็นเหยียนลิ่ง
เซี่ยนขายหน้าแน่นอน
พวกเขาไม่ใช่คนโง่ พวกเขาดูออกว่า โหวน้อย
ของพวกเขาเหมือนจะถูกใจแม่นางก้นโตซี
เหมินจั้นอิง แต่ว่าเหยียนลิ่งเซีย่ นกลับชอบมา
ขัด ศัตรูของโหวเยว่ก็คือศัตรูของจวนจิ่นอีโหว
หลังจากออกจากเมืองเฉิงตูมาแล้ว พวกเขาก็
คิดหาโอกาสสั่งสอนเหยียนลิ่งเซี่ยนสักหน้อน
เพื่อให้โหวเยว่ดีใจ
เช้าวันนี้ พวกเขาเห็นเหยียนลิ่งเซี่ยนกาลังฝึก
ดาบอยู่ที่ท้ายเรือ ก็เลยตั้งใจไปพูดติ อีกทั้งยัง
ใช้คาพูดที่ไม่ค่อยดีนกั เหยียนลิ่งเซี่ยนเดิมไม่ได้
สนใจอะไรมากมาย แต่ต่อมาพวกเขายิ่งพูดยิ่ง
เสียงดังมากขึ้น คาประชดประชันก็มากขึ้น จน
สุดท้ายไม่เพียงว่าเพลงดาบของเหยียนลิ่งเซี่ยน
ไม่เอาไหนเลย อีกทั้งยังหาว่าเหยียนลิ่งเซีย่ น
เป็นคางคกที่อยากจะกินเนื้อห่านฟ้า บังอาจมี
ใจให้กับผู้หญิงที่โหวเยว่ของพวกเขาถูกใจ
เหยียนลิ่งเซี่ยนอายุน้อยจะทนได้อย่างไร ก็เลย
ออกปากขอท้าประลอง
พวกของฉีเฟิงชอบการต่อสู้อยูแ่ ล้ว เหยียนลิ่ง
เซี่ยนกล้าขอท้าประลอง พวกเขายินดีมากอยู่
แล้ว พวกเขารู้ว่าเหยียนลิ่งเซี่ยนเป็นเซี่ยวเว่ย
ของจวนเสินโหว ก็ไม่ได้ประมาท ตกลงกันไป
มาก สุดท้ายก็ให้เหยียนลิ่งเซี่ยนสู้เป็นคนๆ ไป
พวกของฉีเฟิงไม่ได้คดิ อยู่แล้วว่าพวกเขาจะ
เอาชนะเหยียนลิ่งเซี่ยนได้ พวกเขาคิดจะใช้การ
หมุนเวียนสู้เอาชนะเขา ให้แต่ละคนลดทอน
กาลังของเหยียนลิ่งเซี่ยนลง คนสุดท้ายก็จะใช้
แรงทั้งหมดที่มี โจมตีเหยียนลิ่งเซี่ยน ให้เหยียน
ลิ่งเซี่ยนเสียหน้า ดังนั้นฉีเฟิงเลยเป็นคนเริ่ม
ประลองก่อน เป้าหมายก็เพื่อประวิงเวลา ให้
เหยียนลิ่งเซี่ยนพลังลดลง
เหยียนลิ่งเซี่ยนลงมือเผด็จศึกไม่ได้สักที เขา
เหลือบไปเห็นซีเหมินจั้นอิงยืนมองอยู่ อีกทั้งฉี
หนิงเองก็ยืนอยู่ข้างๆ ซีเหมินจั้นอิงด้วย ในใจ
ของเขาก็รู้สึกไม่ดี เขาลงมืออีกหลายครั้ง แต่ฉี
เฟิงก็หลบได้หมด ทันใดนั้นเอง ฉีหนิงก็เห็นเห
ยียนลิ่งเซี่ยนเอามือไขว้กัน พริบตาเดียวดาบใน
มือขวาก็สลับไปอยู่ที่มือซ้าย จากนั้นก็เห็น
เหยียนลิ่งเซี่ยนหมุมข้อมือ ให้ปลายคมดาบพุ่ง
เข้าใส่ฉีเฟิง
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ ทุกคนเห็นต่างก็
ตกใจใ ฉีเฟิงอ้อมมาถึงได้หลังของเหยียนลิ่ง
เซี่ยนแล้ว แต่ก็รู้สกึ ได้ว่าเหยียนลิ่งเซี่ยนเหมือน
ไม่ปกติ กาลังนึกแปลกใจอยู่ ก็เห็นเหยียนลิ่ง
เซี่ยนถอยหลังมาสองก้าว ฉีเฟิงตกใจ จากนั้นก็
เห็นปลายคมดาบกาลังแทงมา
ดาบนี้มาแบบไม่คาดคิด ฉีเฟิงปฏิกิริยาไวก็จริง
แต่ว่าด้วยความตกใจ ก็ได้ยินฉีหนิงตะโกน
ออกมาว่า “ฉีเฟิงหลบเร็ว”
ฉีเฟิงรู้ว่าแย่แน่ ก็พยายามหลบ แต่ว่ามันก็ช้า
เกินไป เหยียนลิ่งเซี่ยนลงมือพิสดาร อีกทั้งยัง
รวดเร็วและว่องไวมาก ฉีเฟิงถึงแม้จะหลบได้
ทันเวลา แต่ว่าดาบของเหยียนลิ่งเซี่ยนก็ยังแทง
มาถูกซี่โครงข้างซ้ายอยู่ดี
ฉีหนิงไม่ได้สนใจอะไรอีก เขาลอยตัวราวกับ
พญาเหยี่ยว แล้วถีบไปที่หน้าของเหยียนลิง่
เซี่ยน เหยียนลิ่งเซี่ยนถูกถีบกระเด็นลอยไปไกล
ที่ซี่โครงซ้ายของฉีเฟิงจนเลือดไหลออกมา เขา
ยืนตัวเซไปเซมา พวกของหลี่ถังรีบเข้ามาพยุง ฉี
หนิงยืนอยูด่ ้านหน้าของฉีเฟิง แล้วถามเขาว่า
“ฉีเฟิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ฉีเฟิงถึงแม้จะเป็นแค่องครักษ์ แต่ว่าเขาก็
จงรักภักดีมาก ฉีหนิงเห็นเขาเหมือนเป็นพี่น้อง
คนหนึ่ง ตอนนี้เห็นเขาถูกแทงจนเลือดไหล ก็
รู้สึกโกรธมาก
“เร็ว ไปเอายาห้ามเลือดรักษาแผลมา” หลี่ถัง
ตะโกน “โหวเยว่ พยุงพี่เฟิงไปนอนลงก่อน
เถอะ”
พวกเขาไม่ได้ไปสนใจเหยียนลิ่งเซี่ยน ต่างรีบ
พยุงฉีเฟิงให้นอนลง จากนั้นก็รบี ไปเอายามา
จากนั้นก็เอาอุปกรณ์มาทาแผลให้
ฉีเฟิงนอนอยู่ที่พื้น สีหน้าของเขาซีดเซียว เห็นสี
หน้าของฉีหนิง เขาก็ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่
ไม่...ไม่ต้องกังวล ไม่ถูก...ไม่ถูกจุดสาคัญ ไม่...
ไม่ตายหรอก...” ตอนที่เขาออกรบ บาดเจ็บมา
นับไม่ถ้วน ก็รอดมาได้ทุกครั้ง เขาเองก็พูด
ตรงๆ ว่าเขาไม่กลัว แต่อาการปวดแบบนี้มันก็
ทรมานเกินไปจนแทบรับไหว
ซีเหมินจั้นอิงเห็นฉีเฟิงถูกแทง นางก็หน้าเสีย
ทันที ยืนอึ้งเป็นโขดหินเลย เมื่อพวกเขาเคลื่อน
ไหว นางก็เดินขึ้นมา แล้วยื่นขวดยาให้ แล้วพูด
ว่า “นี่เป็น...นี่เป็นยารักษาบาดแผลภายนอก
ของจวนเสินโหว มันใช้ดีมาก พวกเจ้า...พวก
เจ้ารีบเอาไปทาให้เขาเถอะ”
พอฉีหนิงได้ยินคาว่า “จวนเสินโหว” เขาก็โกรธ
มาก ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “คนของจิ่นอีตระกูล
ฉี ไม่จาเป็นต้องให้คนของจวนเสินโหวช่วย
หรอก” จากนั้นเขาก็ปัดขวดยาลงพื้นไป
ซีเหมินจั้นอิงยืนอึ้งไป ดวงตาของนางแดงก่า
จากนั้นก็เดินถอยออกมาแบบเศร้าๆ นางไป
เก็บขวดยา แล้วมองไปที่เหยียนลิ่งเซี่ยน
เหยียนลิ่งเซี่ยนพยายามลุกขึ้นมานั่ง เห็นที่
ซี่โครงข้างขวาของฉีเฟิงเลือดไหลออกมาเต็มไป
หมด นอนหายใจหอบอยู่ที่พื้นเรือ ก็ตกใจ อ้า
ปากค้าง เขาพูดอะไรไม่ออก แล้วก็ไม่รู้ตอ้ งทา
อย่างไรด้วย
ทุกคนกาลังช่วยกันทาแผลให้ฉีเฟิง จากนั้นก็
หามฉีเฟิงไปยังท้องเรือ
ฉีหนิงหันหน้าไปมองเหยียนลิ่งเซี่ยน จากนั้นก็
ค่อยๆ เดินไปทางเขา เหยียนลิ่งเซี่ยนหางตา
กระตุก แต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นยืน สายตาของฉีหนิงดุ
มาก ทาให้เขารู้สกึ ตัวไร้เรี่ยวแรง
“เหยียนลิง่ เซี่ยนฝีมือร้ายกาจจริงๆ เลยนะ” ฉี
เฟิงมายืนอยู่ตรงหน้าของเหยียนลิ่งเซี่ยน แล้ว
จ้องไปที่ตาของเขา แทงเข้าที่ด้านล่างซี่โครง
หากฉีเฟิงหลบไม่พ้น เขาคงเป็นศพไปแล้ว"
เหยียนลิ่งเซี่ยนก้มหน้า แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้า
...ข้าน้อย...” เขาเงยหน้าขึ้นมา แล้วพูดว่า
“ข้าน้อยพลั้งมือไป หากท่านจะเอาชีวิตข้าน้อย
ก็เชิญลงมือได้เลย”
ซีเหมินจั้นอิงเดินเขามาแล้วรีบพูดว่า “โหวเยว่
ศิษย์พี่เจ็ด...ศิษย์พี่เจ็ดไม่ได้ตั้งใจ ท่าน...ท่าน
ปล่อยเขาไปสักครั้งเถอะนะ เขา...เขาไม่ใช่คน
เลว อีกทั้งก็ไม่ได้ตั้งใจจะทาร้ายฉีเฟิงด้วย”
ตลอดการเดินทาง ซีเหมินจั้นอิงก็ดูออก ฉีหนิง
สนิทสนมกับคนของเขามาก ถึงแม้จะเป็นนาย
กับบ่าว แต่ว่าก็เหมือนพี่น้องกัน ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่า
เหยียนลิ่งเซี่ยนไปกินอะไรมา ถึงได้ทาร้ายฉีเฟิง
แบบนั้น ด้วยนิสัยของฉีหนิง ไม่มีทางยอม
แน่นอน
“เจ้าไม่เห็นหรืออย่างไร หากฉีเฟิงช้ากว่านี้อีก
นิดเดียว คงตายคาดาบของเขาไปแล้ว” ฉีหนิง
พูดว่า “ข้ารู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าไม่ได้ดี
เท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ร่วมเดินทางมาด้วยกัน
ประลองยุทธ์ใช่ว่าจะทาไม่ได้ แต่ว่าเจ้ากลับมีใจ
คิดที่จะสังหารคนอื่น อยู่ต่อหน้าข้ายังกล้าคิด
ฆ่าคนของข้าอีก ใครสั่งให้เจ้าทาแบบนี?้ ”
ตอนนี้หลี่ถังกับโจวซุ่นออกมาจากใต้ท้องเรือ
แล้ว เขาทิ้งคนไว้ดูแลฉีเฟิงคนหนึ่ง หลีถ่ ังกับ
โจวซุ่นเป็นพวกเดียวกับฉีเฟิง ตอนนี้พวกเขาไม่
พูดอะไรมาก แต่ละคนถือดาบเดินตรงมาหา
เหยียนลิ่งเซี่ยน
เหยียนลิ่งเซี่ยนใจหล่นไปที่ตาตุ่ม เขาเคยเห็น
ฝีมือของฉีหนิงตอนทีอ่ ยู่ที่เขาเชียนอูหลิง รู้ว่า
เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉีหนิง เขาจึงทิ้งดาบในมือ
แล้วเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าทาร้ายคนของ
พวกเจ้า ข้าผิดเอง โหวเยว่หากท่านจะสังหาร
ข้า ข้าก็จะไม่ขดั ขืน”
ซีเหมินจั้นอิงรีบเดินเข้ามาขวางหน้าเหยียนลิ่ง
เซี่ยนไว้ นางกางแขนออกเพื่อปกป้องเขา แล้ว
มองไปที่ตาของฉีหนิง แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้ารู้
ว่าตอนนี้ท่านกาลังโกรธ ท่านฟังข้าก่อนได้
หรือไม่ ศิษย์พเี่ จ็ดทาผิดก็จริง แต่ว่า...แต่ว่าเขา
ไม่มีทางคิดจะฆ่าฉีเฟิงจริงๆ หรอก เขา...เขา
เลอะเลือนไปชั่วขณะ หากท่านจะลงโทษเขา
ข้าไม่ห้าม แต่ว่า...แต่ว่าขอให้กลับไปถึงเมือง
หลวงก่อนจะได้หรือไม่ แล้วค่อยจัดการเรือ่ งนี้
กัน?”
ฉีหนิงจ้องไปที่เหยียนลิ่งเซี่ยน เขาไม่ได้พูดอะไร
เลย จากนั้น ฉีหนิงก็เดินหันไปที่ทางเดินเรือ
แล้วพูดว่า “เหยียนลิ่งเซี่ยน เจ้าตามข้ามา คน
อื่นรออยู่ตรงนี”้
เหยียนลิ่งเซี่ยนยกมือเช็ดเลือดทีป่ าก จากนั้นก็
เดินตามฉีหนิงไป ซีเหมินจั้นอิงคิดจะตามไป
ด้วย หลี่ถังกลับเดินมาขวางแล้วพูดว่า “แม่นาง
ซีเหมิน โหวเยว่สั่งให้เหยียนลิ่งเซี่ยนตามไปคน
เดียวเท่านั้น”
ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้ว สุดท้ายก็ไม่ได้ตามไป
เห็นฉีเฟิงกับเดินไปที่หัวเรือ
เมื่อมาถึงหัวเรือ ฉีหนิงยืนเอามือไขว้หลัง มอง
ไปด้านหน้า เหยียนลิง่ เซี่ยนเดินตามมาหยุดที่
ด้านหลังของฉีหนิง ลังเล แล้วถึงพูดขึ้นมาว่า
“โหวเยว่ ท่านคิดจะลงโทษข้าอย่างไร?”
ฉีหนิงไม่ได้หันหน้ากลับมา เขาแค่ถามว่า “เจ้า
กับเจียงซุ่ยอวิ๋นแห่งตงไห่ เกี่ยวข้องกัน
อย่างไร?”
“เจียงซุ่ยอวิ๋นแห่งตงไห่?” เหยียนลิ่งเซี่ย
นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้า...ข้าไม่เข้าใจ
ความหมายของท่าน”
ฉีหนิงหันกลับมา สายตาของเขาราวกับคมดาบ
เขาจ้องไปที่เหยียนลิง่ เซี่ยน “เหยียนลิ่งเซี่ยน
เพลงดาบของเจ้าเมื่อครู่ มันคือเพลงดาบทวน
ลมใช่หรือไม่?” พอพูดแบบนี้ออกมา สีหน้า
ท่าทางของเหยียนลิ่งเซี่ยนก็เปลีย่ นไป เขา
สะดุ้ง แล้วก็ถอยหลังไปโดยไม่รตู้ ัว
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 506 ความลับของพั่วจวิน
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ท้องฟ้าสดใส
แม่น้าทั้งสองด้านรายล้อมไปด้วยภูเขาและ
ต้นไม้ เรือล้าใหญ่ล่องไปตามแม่น้า เสียงนก
เสียงลิงดังกังวานอยูท่ ั้งสองฝั่งตลอดเวลา
แสงอาทิตย์ส่องกระทบผิวน้้าจนเกิดแสง
ระยิบระยับ
สีหน้าของเหยียนลิ่งเซี่ยนพลันเปลี่ยนไป แต่ก็
ยังฟื้นกลับมาได้เร็วอยู่ เขาฝืนยิม้ แล้วพูดว่า
“โหวเยว่พูดอะไร ข้าน้อย...ข้าน้อยไม่เข้าใจ”
ฉีหนิงสีหน้าไร้อารมณ์มาก แล้วค่อยๆ พูดว่า
“เจ้าไม่ต้องมาปฏิเสธหรอกนะ ตอนที่เจ้า
เปลี่ยนมือ ตอนแรกข้าก็ไม่แน่ใจ แต่พอเจ้าใช้
ดาบ ข้าก็รู้ทันทีว่าคือเพลงดาบทวนลม”
“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของ...ของเพลงดาบทวนลม
มาก่อนเลย” เหยียนลิ่งเซี่ยนตากระตุก
ฉีหนิงเพื่อตั้งค่ายกิเลนด้าขึ้นมาใหม่ เขาได้
ประลองยุทธ์กับเจียงซุ่ยอวิ๋นที่ทางไหวหนาน
อ๋องเสนอกับฉวีเหยีย่ นจือที่ทางจงอี้โหวเสนอ
พวกเขาประลองกันที่ค่ายหู่เสิน
ตอนแรกคิดว่าฉวีเหยี่ยนจือรองผู้บัญชาการ
ค่ายดาบด้าน่าจะเป็นผู้ชิงต้าแหน่งไปได้ แต่ว่า
คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้น เพราะ
ฉวีเหยี่ยนจือกลับพ่ายแพ้ให้กบั เจียงซุ่ยอวิ๋น อีก
ทั้งยังถูกเจียงซุ่ยอวิ๋นท้าลายมือทั้งสองข้างอีก
ฉีหนิงได้ประลองกับเจียงซุ่ยอวิ๋น เกือบเอาชีวิต
ไม่รอดเหมือนกัน เจียงซุ่ยอวิ๋นถึงแม้จะดูสุขุม
แต่ว่าวรยุทธ์ของเขากลับเก่งกาจและพลิ้วไหว
คล่องแคล่วมาก นอกจากวิชาฝ่ามือกรงเล็บ
เหล็กแล้ว นั่นก็คือเพลงดาบทวนลม
เพลงดาบทวนลม เป็นเพลงดาบ คนที่ฝึกฝน
ศิลปะการต่อสู้จะถืออาวุธด้วยมือขวา เมื่อ
ฝึกฝนนานขึ้น ต่างก็จะถนัดการใช้มือขวา แต่
หากใครใช้มือซ้ายถืออาวุธ มันก็คือการฝึกฝน
เพลงดาบทวนลมนัน่ เอง
ไม่ว่าจะร้ายกาจแค่ไหน การใช้มือขวามันก็
คล่องตัวมากกว่ามือซ้ายอยู่แล้ว ในมุมมองของ
สมอง สมองซีกขวาควบคุมการเคลื่อนไหว มือ
ขวาจึงสามารถใช้เคลือ่ นที่มากกว่ามือซ้าย การ
ต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือ หากช้าเพียงแค่เสี้ยว
วินาที ก็คือความเป็นความตาย ดังนั้นคนที่
ฝึกวรยุทธ์ คนที่ใช้อาวุธมือซ้ายนั้นจึงหาได้ยาก
มาก
ตอนที่ได้ประลองกับเจียงซุ่ยอวิน๋ ในครั้งนั้น
ถึงแม้สุดท้ายฉีหนิงจะเป็นฝ่ายชนะ แต่วิชา
ประหลาดของเจียงซุย่ อวิ๋นก็ท้าให้เขาสงสัยอยู่
ไม่น้อย หลังจากงานประลองเขาก็ได้สอบถาม
ที่มาที่ไปของวิชานั้นจากปากต้วนชางไห่ ถึงได้รู้
ว่านี่คือวิชาเพลงดาบทวนลมทีห่ ายสาบสูญไป
นานมากแล้ว
ฉีหนิงสงสัยว่า เจียงซุ่ยอวิ๋นเป็นลูกชายของมหา
เศรษฐีที่ตงไห่ แล้วไปฝึกวิชาทีห่ ายสาบสูญแบบ
นี้มาจากไหนกัน? แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้มเี วลาไป
สืบ
วันนี้เหยียนลิ่งเซี่ยนบุ่มบ่าม เลยใช้วิชานี้ออก
มา เป็นไปอย่างที่ฉีหนิงพูด ตอนที่เหยียนลิ่ง
เซี่ยนเปลี่ยนมือ ฉีหนิงตกใจมาก ตอนแรกเขา
ยังไม่แน่ใจ แต่ว่าพอเขาใช้ดาบเท่านั้นแหละ
มันไม่ต่างกับตอนที่เจียงซุ่ยอวิ๋นออกอาวุธ
ก่อนที่ฉีหนิงจะข้ามเวลามา ได้ฝึกการใช้อาวุธ
บางอย่าง หลังจากนัน้ ก็ได้เคล็ดวิชากระบี่ไร้ชื่อ
มาอีก เขาพอจะเข้าใจมาบ้าง
เขารู้ว่า อาวุธชนิดเดียวกัน แต่มีช่องทางการใช้
ไม่เหมือนกัน กระบวนท่าไม่เหมือนกัน แต่แค่
มองก็ดูออก
วันนี้เหยียนลิ่งเซี่ยนใช้เพลงดาบพิสดาร ถึงแม้
เจียงซุ่ยอวิน๋ จะไม่เคยใช้ท่านี้ แต่ว่าวิธีการจับ
ดาบ ฉีหนิงคุ้นเคยกับมันดี เพราะเจียงซุย่ อวิ๋น
เกือบใช้เพลงดาบทวนลมฆ่าเขา เหตุใดเขาจะ
จ้ามันไม่ได้
เขาถึงได้รู้ว่า เหยียนลิ่งเซี่ยนวรยุทธ์ดูธรรมดา
แต่ว่าเขามีสุดยอดกระบวนท่าอยู่ในมือ เพลง
ดาบทวนลมหากคู่ต่อสู้ใช้อย่างกะทันหัน มันมี
อานุภาพที่ร้ายแรงมาก แต่เห็นได้ว่าเหยียนลิ่ง
เซี่ยนยังฝึกเพลงดาบทวนลมได้ไม่ถึงขั้น เทียบ
ไม่ได้กับเจียงซุ่ยอวิ๋นที่ช้านาญมากแล้ว อีกทั้งฉี
เฟิงเองก็ไวพอที่จะหลบได้ด้วย
ฉีหนิงสายตาเฉียบคมราวกับคมดาบ แล้วเอ่ย
ปากถามว่า “เหยียนลิ่งเซี่ยนไม่เคยได้ยินมา
ก่อนหรือ? มันไม่น่าจะใช่นะ ซีเหมินเสินโหว
เป็นหนึ่งในยอดฝีมือในยุทธภพ พวกเจ้าจวน
เสินโหวรู้จักทุกวิชาทุกส้านักในยุทธภพเลย ใน
เมื่อเจ้าเป็นถึงหนึ่งในเจ็ดดาวไถ หากแม้แต่ชื่อ
ของเพลงดาบทวนลมก็ไม่เคยได้ยิน คิดว่าเจ้า
คงไม่เหมาะที่จะอยู่ในต้าแหน่งนี้นะ”
เหยียนลิ่งเซี่ยนตากระตุก ถูกฉีหนิงใช้สายตา
บีบบังคับจนต้องก้มหน้าลง
“เหยียนเซี่ยวเว่ย เจ้าท้าร้ายคนของข้า ข้าจะ
ฆ่าเจ้าตอนนี้เลยก็ได้ ข้ามีเหตุผลมากพอที่จะ
ชี้แจงให้จวนเสินโหวได้รับทราบ” ฉีหนิงพูดว่า
“หากเจ้าไม่อยากตาย เจ้าสารภาพกับข้ามา
ดีกว่า วิชาที่เจ้าใช้เมือ่ ครู่ คือเพลงดาบทวนลม
หรือไม่?”
“ข้า...” เหยียนลิ่งเซี่ยนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
“โหวเยว่ลงมือเถอะ ข้าน้อยจะไม่ขัดขืนเลย ข้า
น้อย...ข้าน้อยไม่รวู้ ่าท่านก้าลังพูดอะไรอยู่ ยิ่ง
ไม่รู้ด้วยว่า...เพลงดาบทวนลมนั้นคืออะไร”
“แม้แต่ชีวติ เจ้าก็ไม่สนใจ ไม่กล้าบอกสินะว่า
เพลงดาบทวนลมมาจากนั้น” ฉีหนิงพูดต่อว่า
“เหยียนลิง่ เซี่ยน เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ เจ้าใช้
เพลงดาบนี้ไม่ได้ถนัดมาก น่าจะยังฝึกไม่พอ
วันนี้เจ้าใจร้อน จึงใช้มันออกมา หากข้าพูดไม่
ผิด เจ้าท้าความผิดใหญ่หลวงเข้าให้แล้วด้วย”
“ความผิดใหญ่หลวง?” เหยียนลิ่งเซี่ยนสะดุ้ง
ฉีหนิงพูดว่า “คนที่ถ่ายทอดวิชานี้ให้เจ้า คง
ต้องก้าชับเจ้ามา ว่าห้ามแสดงวิชานี้ให้ใครเห็น
ด้วย?”
เหยียนลิ่งเซี่ยนเงยหน้าขึ้นมา เหมือนจะตกใจ
มาก
ฉีหนิงเห็นสีหน้าท่าทางของเขา ก็รู้ว่าเขาพูดถูก
เขาพูดว่า “ดูท่าข้าคงเดาไม่ผิด ข้ายังมั่นใจมาก
ด้วยว่า วิชานี้ ไม่ใช่ทา่ นเสินโหวถ่ายทอดให้เจ้า
แน่นอน” เขายืนเอามือไขว้หลัง แล้วพูดว่า
“ในจวนเสินโหว นอกจากเจ้า คิดว่าคนอืน่ คง
ไม่ได้ฝึกวิชานี้แน่นอน”
เหยียนลิ่งเซี่ยนมองไปรอบๆ ตอนนี้ไม่มีคนอื่น
สายตาของเขาดูจะดุร้ายขึ้นมา
ฉีหนิงพูดว่า “อะไร ข้ารู้ความลับของเจ้า เจ้า
เลยอยากจะฆ่าคนปิดปากหรือ?” เขาเดินหน้า
ขึ้นไปสองก้าว ยังคงไขว้หลังอยู่ “เจ้าอยากจะ
ฆ่าข้า ลองดูก็ได้ จะได้รู้ว่าเจ้ามีปัญญาหรือไม่”
เหยียนลิ่งเซี่ยนก้มหน้าลง แล้วพูดว่า “ข้าน้อย
...ข้าน้อยไม่กล้า”
“เจ้าจะไม่บอกก็ได้ ข้าเองก็จะไม่ฆ่าเจ้า” ฉี
หนิงพูดว่า “จั้นอิงพูดถูก เรื่องของเจ้า ข้ากลับ
เมืองหลวงค่อยจัดการก็ได้ ข้าจะพาเจ้าไปให้
ทางจวนเสินโหวสอบสวน ว่าเพลงดาบทวนลม
นี้ ใครเป็นคนถ่ายทอดให้เจ้า”
“ไม่...ไม่ได้เด็ดขาด...” เหยียนลิ่งเซี่ยนหลุดพูด
ออกมา “โหวเยว่...ข้าน้อย...”
“เจ้าดูเหมือนยังหวาดกลัวอยู่ หากเพลงดาบนี่
ท่านเสินโหวเป็นคนถ่ายทอดให้ เจ้าก็ไม่เห็น
ต้องหลบซ่อนเลย” ฉีหนิงพูดว่า “ซีเหมินเสิน
โหวไม่รู้ว่าเจ้าฝึกวิชานี้ เจ้าเป็นศิษย์ของเขา
หากเขารู้ จะต้องถามเจ้าแน่ว่าเจ้าได้มันมาจาก
ไหน ส่วนเจ้า...” เขาพูดต่อด้วยสายตาที่ดดุ ัน
“เจ้าไม่กล้าให้เขารู้วา่ เจ้าได้วิชานี้มาจากไหน
เพราะไม่แน่ชีวิตของเจ้าอาจจะต้องตายด้วย
น้้ามือของท่านเสินโหวก็ได้”
เหยียนลิ่งเซี่ยนขาอ่อนลงทันที เขาคุกเข่าลง
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อย...ข้าน้อยขอร้อง
ท่าน อย่า...อย่าบอกเรื่องนี้ให้กับท่าน....ท่านซี
เหมินเสินโหว เขา...” สายตาของเขาดู
หวาดกลัวมาก ก่อนหน้านี้เหมือนเขาไม่กลัวที่ฉี
หนิงจะฆ่าเขาเลย แต่ว่าในตอนนีพ้ อพูดถึงซีเห
มินเสินโหว เหยียนลิง่ เซี่ยนก็ดูเหมือนจะ
หวาดกลัวไม่น้อย
ฉีหนิงนั่งยองๆ ลง แล้วจ้องไปที่ตาเหยียนลิ่ง
เซี่ยน “หากเจ้าไม่อยากให้ท่านเสินโหวรู้ เจ้าก็
จะต้องให้ข้ารู”้ หน้าของเขานิ่งไป แล้วพูดว่า
“บอกมา เพลงดาบทวนลมนี่เจ้าได้มาได้อย่าง
ไร เจ้ากับเจียงซุ่ยอวิน๋ เกี่ยวข้องอะไรกัน?”
“โหวเยว่ ข้าน้อย...ข้าน้อยกับเจียงซุ่ยอวิ๋นไม่ได้
รู้จักกันจริงๆ” เหยียนลิ่งเซี่ยนพูดว่า “จวนเสิน
โหวไปมาหาสู่กับคนในยุทธภพ ไม่ค่อยได้ไปมา
หาสู่กับพวกขุนนางราชส้านัก ส่วน...ส่วนเจียงซุ่
ยอวิ๋นก่อนหน้านี้เป็นลูกชายของเศรษฐีใหญ่
ของตงไห่ ไม่ใช่ชาวยุทธ พอเขามาที่เมืองหลวง
เขาก็ไปเป็นเจ้าหน้าที่ในกรมพิธีการ ข้า...ข้ากับ
เขาไม่เคยไปมาหาสู่กนั ”
“อ๋อ?” ฉีหนิงพูดอย่างสงสัยว่า “เจ้าไม่รู้จักเขา
จริงหรือ?”
เหยียนลิ่งเซี่ยนยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “โหวเยว่
ข้าสาบานต่อฟ้าดิน ข้าไม่รู้จักเขาจริงๆ ไม่เคย
คุยกับเขาแม้แต่ค้าเดียวด้วย หากข้าน้อยโกหก
ขอให้ฟ้าผ่าตาย”
ฉีหนิงเห็นสีหน้าท่าทางของเขา เหมือนจะไม่ได้
โกหก จึงขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าไม่รู้จักเขา แล้วได้
เพลงดาบทวนลมมาได้อย่างไร?”
เหยียนลิ่งเซี่ยนก้มหน้าลง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นถึงได้พูดขึ้นมาว่า “โหวเยว่ ข้าน้อย...
ข้าน้อยบอกท่านได้ แต่ว่า...แต่ว่าขอร้องท่านว่า
ห้ามบอกเรื่องนี้กับคนอื่นได้หรือไม่ หากท่าน
บอกคนอืน่ ไม่เพียงแค่ข้าเท่านั้นที่จะตายอย่าง
ไร้ที่ฝัง แม้แต่ท่าน...ก็จะไม่รอดด้วย”
ฉีหนิงถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าคิดจะ
ขู่ข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าน้อยมิกล้า” เหยียนลิ่งเซี่ยนพูดว่า “เรื่อง
มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าน้อย...ข้าน้อยจะมีหน้าไปขู่
โหวเยว่อีกได้อย่างไรกัน” เขาหยุดไป “ข้าน้อย
พูดความจริง คนผู้นั้น...คนผู้นั้นบอกว่า หากข้า
แพร่งพรายเรื่องเพลงดาบทวนลมออกไป เขา
จะฆ่าข้าทันที จากนั้น...จากนั้นก็จะฆ่าคนที่รู้
เรื่องนี้ทั้งหมดด้วย”
“คนผู้นั้น?” ฉีหนิงขมวดคิ้วถาม “คนผู้นนั้ ที่เจ้า
พูดมานั้น หมายถึงคนที่ถ่ายทอดวิชาเพลงดาบ
ทวนลมให้เจ้าอย่างนั้นหรือ?”
เหยียนลิ่งเซี่ยนพยักหน้า แล้วพูดว่า “ใช่”
ฉีหนิงเห็นเขายอมพูด ก็รู้ว่าหากเขายังคุกเข่า
อยู่แบบนี้ มันเป็นเป้าสายตามากเกินไป เลยพูด
ว่า “ลุกขึน้ มาพูด” จากนั้นเขาก็หันไปทางหัว
เรือ เหยียนลิ่งเซี่ยนลุกขึ้นมา แล้วมองไปรอบๆ
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใคร ก็เดินขึ้นหน้ามา
“คนผู้นั้นเป็นใคร?” ฉีหนิงถาม “เหตุใดเขาถึง
ได้ถ่ายทอดวิชานี้ให้เจ้า แล้วสั่งไม่ให้เจ้าบอก
ใครด้วย?”
เหยียนลิ่งเซี่ยนเหมือนกลัวว่าจะมีคนมาได้ยิน
เขาหันไปมองตลอดเวลาว่าไม่มีคนเข้ามาใกล้
เขาพูดเสียงเบาๆ ว่า “โหวเยว่ ที่จริง...ที่จริง
แล้วข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร”
ฉีหนิงหันหน้ากลับมา แล้วพูดว่า “เหยียนเซี่ยว
เว่ย ล้อเล่นให้มันมีขอบเขตหน่อยนะ มีคน
ถ่ายทอดวิชาให้ เจ้ากลับไม่รู้ว่าเป็นใคร ถามตัว
เจ้าเองเถอะว่าตัวเจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
“ข้า...ข้ารู้ว่าโหวเยว่ไม่เชื่อ แต่มันคือเรื่องจริง”
เหยียนลิ่งเซี่ยนพูดว่า “ข้าได้พบกับเขาเมือ่ ครึ่ง
ปีก่อน คนผู้นั้นปรากฎตัวครั้งแรกเขาสวมชุดสี
เทา อีกทั้งยังสวมหน้ากากสีด้าด้วย”
“สวมหน้ากากสีด้า?” ฉีหนิงนึกถึงแม่ทัพ
หน้ากากโลหะขึ้นมาทันที เขาถามขึ้นว่า
“หน้ากากเป็นแบบไหน? ท้าจากโลหะหรือไม่?
ดูดุร้ายเหมือนปีศาจหรือไม่? จริงสิ ที่มุมของ
หน้ากากมีเขาหรือไม่?” แอบคิดในใจว่าแม่ทัพ
หน้ากากโลหะสามารถสู้กับเจ้าลัทธิบัวด้าได้ วร
ยุทธ์ก็จะต้องไม่ธรรมดาแน่ แม่ทัพหน้ากาก
โลหะจะเป็นวิชาเพลงดาบทวนลม ก็ไม่ใช่เรื่อง
แปลก
แม่ทัพหน้ากากโลหะส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เป็น
หน้ากากธรรมดา ไม่ได้มีเขาหรืออะไรเลย ที่
โหวเยว่หมายถึง ใช่แม่ทัพหน้ากากโลหะที่ดูด
เลือดในเมืองหลวงหรือไม่?”
ตอนนั้นเหยียนลิ่งเซี่ยนกับซีเหมินจั้นอิงแอบสืบ
เรื่องคนดูดเลือดในเมืองหลวง ก็รู้ว่าคนร้ายสวม
หน้ากากโลหะและเป็นยอดฝีมอื
ฉีหนิงคิดในใจว่าเขาอ่อนไหวกับเรื่องนี้มาก
เกินไป พอพูดถึงหน้ากาก ก็จะนึกถึงแม่ทพั
หน้ากากโลหะตลอด เขาถามว่า “คนผู้นั้นสวม
หน้ากากธรรมดาหรือ?”
“เป็นหน้ากากที่บางมาก ไม่ได้ท้าจากโลหะ แต่
ทาสีด้าเอาไว้” เหยียนลิ่งเซี่ยนพูดว่า “เขาไม่
รวบผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่ปรากฎตัว
ก็จะปล่อยผมแบบนั้น เหมือน...เหมือนผีเลย
รูปร่างผอม แต่ว่าน้้าเสียงของเขาเข้มมาก อีก
ทั้ง...อีกทั้งพูดจาก็ดูเย็นชา ท้าให้คน...คนรู้สึก
ไม่สบายใจ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 507 ความแค้นใหญ่หลวง
เรือยังคงล่องไปตามน้าต่อไป ฉีหนิงครุ่นคิดอยู่
ครู่หนึ่ง หลังจากนันไม่นาน ก็ถงึ ได้ถามว่า “เขา
ไม่แม้แต่จะบอกฐานะให้เจ้าได้รู้ เหตุใดถึงยอม
ถ่ายทอดวิชาเพลงดาบทวนลมให้? เจ้าน่าจะรู้
เพลงดาบทวนลมเป็นวิชาที่หายสาบสูญไปแล้ว
ไม่ว่าเขาจะถ่ายทอดใคร เขาก็จะต้องมีบญ ุ คุณ
อย่างมาก แต่เหตุใดเขาถึงได้เลือกเจ้า?”
เหยียนหลิงเซี่ยนก้มหน้าลง ฉีหนิงสังเกตเห็นว่า
เขาก้าหมัดแน่น จากนันก็ค่อยๆ ปล่อย แต่ไม่
นานก็ก้าอีก แล้วก็ปล่อย ฉีหนิงรู้ทันทีว่าเขา
ก้าลังสับสน
“โหวเยว่ ในเมื่อถูกท่านจับได้แล้ว ข้าเองก็จะ
ไม่ปดิ บังอีก” เหยียนหลิงเซี่ยนลังเลครู่หนึ่ง
จากนันก็เงยหน้าขึนมา “ข้าบอกท่านได้ แต่
ท่านห้ามบอกเรื่องนีแก่ใคร หากมีคนจับตามอง
ท่าน อย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ”
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าพูดมา จะจัดการอย่างไร เจ้า
ไม่ต้องเป็นกังวล”
เหยียนหลิงเซี่ยนรู้ว่ามาถึงขันนี เขาเองก็ไม่มี
ทางเลือก “โหวเยว่รู้สึกสงสัยมาตลอดใช่หรือ
ไม่ ว่าเหตุใดข้าอายุแค่นี ไม่ว่าจะประสบการณ์
ไม่ว่าจะฝีมือด้านวรยุทธ์ก็ธรรมดา แต่กลับได้
เป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถได้?”
“หืม?” ฉีหนิงคิดในใจว่าเหยียนหลิงเซี่ยนเองก็
เหมือนจะรู้ตัวดี เขาพูดว่า “เจ้าเองก็รู้ตัวว่า
ตัวเองเป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถมันดูไม่เหมาะ”
“เจ็ดดาวไถของจวนเสินโหว นอกจากข้าแล้ว
คนที่เหลือก็เป็นคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เลย” เหยียนหลิงเซีย่ นพูดว่า “เรื่องของจวน
เสินโหว คนนอกรู้น้อยมาก ที่จริงแล้วฐานะ
ที่มาที่ไปของพวกเรา ทางจวนเสินโหวไม่มีทาง
เผยแพร่ให้คนนอกรู้ พูดตามตาม ศิษย์พี่ของข้า
แต่ละคน เขาเป็นใครมาจากไหน บ้านอยูท่ ี่ไหน
พ่อแม่เป็นใคร ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ฉีหนิงคิดในใจว่าจวนเสินโหวเข้มงวดมาก ใน
เมื่อทุกเรื่องเป็นเรื่องในยุทธภพ จะเก็บเรือ่ ง
ครอบครัวเป็นความลับ มันก็เข้าใจได้
“ข้าไม่รู้เรื่องของพวกเขา แต่ว่าพวกเขากลับรู้
เรื่องของข้าดี” เหยียนหลิงเซี่ยนพูดว่า “โหว
เยว่ท่านรู้วา่ จวนเสินโหวมีเจ็ดดาวไถ แต่วา่ เจ็ด
ดาวไถนีมันไม่ใช่บุคคลนะ แต่เป็นเจ็ด
ต้าแหน่ง”
ฉีหนิงพยักหน้า “ข้าเข้าใจ”
“จวนเสินโหวก่อตังมานานหลายปี ซีเหมินเสิน
โหวเป็นจวีเหมินเซี่ยวเว่ยรุ่นแรก แต่เป็นเสิน
โหวในรุ่นที่สอง” เหยียนหลิงเซี่ยนพูดว่า
“ตอนนีเจ็ดดาวไถของจวนเสินโหวในตอนนี ก็
ถือเป็นรุ่นที่สองแล้ว”
ฉีหนิงรู้ว่าที่เหยียนหลิงเซี่ยนพูดเรื่องพวกนี จะ
ต้องมีสาเหตุแน่ เขาอดทนมากพอ ที่จะไม่ใจ
ร้อน
“เจ้าหน้าที่ต้าแหน่งต่างๆ ของจวนเสินโหว
ล้วนแต่เป็นท่านเสินโหวในรุ่นนันๆ เป็นผู้ตัด
สินใจ” เหยียนหลิงเซี่ยนพูดว่า “ตอนนีแม้
กระทั่งเซียวหยวนผ่อเอง ก็เป็นคนที่ท่านซี
เหมินเสินโหวเป็นคนเลือก เสินโหวในจวนเสิน
โหวนันราวกับฮ่องเต้ก็ไม่ปาน การตัดสินใจของ
เขาทุกอย่าง ไม่มีใครกล้าขัด”
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าก็เป็นคนที่ทา่ นเสินโหวเลือก
เข้ามาเป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถเหมือนกัน”
“แน่นอน” เหยียนหลิงเซี่ยนพูดว่า “โหวเยว่
ท่านคิดว่าเหตุใดซีเหมินอู๋เหิงถึงได้เลือกข้ามา
เป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถ?”
“อธิบายมาสิ”
เหยียนหลิงเซี่ยนนิ่งไป จากนันก็พูดว่า “ท่าน
พ่อของข้าเหยียนควน เป็นพั่วจวินเซี่ยวเว่ยรุ่น
ก่อน เป็นศิษย์ร่วมส้านักของซีเหมินอู๋เหิง”
“อย่างนีนี่เอง” ฉีหนิงเข้าใจขึนมา “เจ้าสืบทอด
ต้าแหน่งต่อจากพ่อเจ้า ซีเหมินอู๋เหิงเห็นแก่พ่อ
เจ้า เลยให้ความส้าคัญกับเจ้า”
“ท่านพ่อเป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถรุ่นก่อน ถึงแม้
จะอยู่อันดับที่เจ็ด อายุน้อยที่สุด แต่ก็ฉลาด
มากที่สุด ท่านเสินโหวจึงชอบเขามาก” เหยียน
หลิงเซี่ยนพูดว่า “ท่านพ่อสร้างผลงานมากมาย
มีบารมีมากในจวนเสินโหว เขาดีกับทุกคนมาก
มีปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วจวนเสินโหว”
ฉีหนิงคิดในใจว่าการได้เข้าไปท้างานในจวนเสิน
โหว มันเป็นเรื่องยาก ลูกชายชื่นชมพ่อตัวเอง
เขาก็เข้าใจได้
“แต่ว่าตอนที่ข้าอายุสี่ขวบ ท่านพ่อออกไปท้า
คดีหนึ่ง จากนันก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย” เหยียน
หลิงเซี่ยนสายตาดุดนั มาก “ต่อมาสืบจนรู้ว่า
ท่านพ่อตกหลุมพรางของคนชั่ว ท่านเสินโหว
โกรธมาก จึงพายอดฝีมือของจวนเสินโหว ไป
แก้แค้นคนที่ท้าให้ท่านพ่อตาย”
ฉีหนิงตะลึงไป จากนันก็ขมวดคิว
“แล้วในปีต่อมา ซีเหมินอู๋เหิงก็ได้รับสืบทอด
ต้าแหน่งเสินโหว เขาดูแลพวกเราสองแม่ลูก
อย่างดี อีกทังยังรับข้าเป็นศิษย์ด้วย และถ่าย
ทอดวรยุทธ์ให้ข้า” เหยียนหลิงเซี่ยนพูดว่า
“ต้าแหน่งพั่วจวินเซีย่ วเว่ยเว้นว่างมาหลายปี
จนกระทั่งข้าอายุสิบสามปี เขาถึงให้ข้ารับสืบ
ทอดต้าแหน่งของท่านพ่อ กลายเป็นหนึ่งในเจ็ด
ดาวไถ”
ฉีหนิงพูดว่า “ซีเหมินเสินโหวก็ดกี ับเจ้ามาก ไม่
เพียงสอนวรยุทธ์ให้เจ้า ยังให้โอกาสที่ดีกับเจ้า
ด้วย ในเมื่อเป็นอย่างนี เหตุใดเจ้ายังกินบน
เรือนขีรดบนหลังคาแบบนีเล่า แอบไปฝึกวร
ยุทธ์ของคนอื่นลับหลังเขาอีก?”
“กินบนเรือนขีรดบนหลังคา?” เหยียนหลิง
เซี่ยน ยิมแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ข้ามันกินบน
เรือนขีรดบนหลังคา แต่ว่ามันก็ยังดีกว่าคนที่ดี
ต่อหน้า แต่แอบแทงข้างหลังกันหรอกนะ”
“คนที่ดีต่อหน้า แต่แอบแทงข้างหลัง?” ฉีหนิง
ขมวดคิวแล้วพูดว่า “เจ้าหมายถึงใคร? คงไม่ใช่
ซีเหมินเสินโหวหรอกกระมัง?”
เหยียนหลิงเซี่ยนพูดว่า “ตอนที่ข้าอายุสิบสาม
ได้กลายมาเป็นพั่วจวินเซี่ยวเว่ย คนอื่นคิดว่า
ชื่อเสียงดี แต่ที่จริงแล้วซีเหมินอู๋เหิงก็แค่อยาก
ซือใจคนมากกว่า ให้คนคิดว่าเขาเห็นแก่
ความสัมพันธ์เพื่อนเก่า ข้ารู้ดี ถึงแม้ข้าจะเป็น
พั่วจวินเซีย่ วเว่ย แต่ว่าในจวนเสินโหว หลายคน
ดูถูกข้า ศิษย์พี่ของข้า เห็นข้าเป็นแค่ตัว
ประกอบเท่านัน นอกเหนือจากเรื่องในซีชวน
ครังนีแล้ว ข้าเป็นเหมือนแค่หัวหน้าส้ารวจการ
ในเมืองหลวงเท่านัน” น้าเสียงของเขามีแต่
ความไม่พอใจ
“ซีเหมินเสินโหวอาจจะอยากให้เจ้าฝึกฝน
เยอะๆ ก็ได้” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าอายุยังน้อย
ประสบการณ์ก็มีไม่มาก ต้องการเวลาฝึกฝน”
เหยียนหลิงเซี่ยนพูดว่า “โหวเยว่พูดมาก็มี
เหตุผล หลายปีที่ผ่านมา ข้าเองก็คิดอย่างนัน
พวกเขาดูถูกข้า ข้าไม่สนใจ คิดหาโอกาสสร้าง
ผลงานเสมอ เพื่อให้พวกเขาหันกลับมามองข้า
ใหม่” เขาหยุดพูดไป แล้วถามว่า “โหวเยว่
ท่านเห็นว่าวรยุทธ์ขา้ เป็นอย่างไรบ้าง?”
ฉีหหนิงพูดว่า “ก็ธรรมดา ร้ายกาจกว่าคนทั่วไป
แต่หากเป็นพั่วจวินเซี่ยวเว่ย มันยังไม่เพียงพอ”
เหยียนหลิงเซี่ยนยิมแล้วพูดว่า “โหวเยว่สายตา
เฉียบคมมาก ตอนที่ข้าอายุสี่ขวบ ก็ได้กราบ
ไหว้ซีเหมินอู๋เหิงเป็นอาจารย์ ตอนนีก็เกือบ
ยี่สิบปีแล้ว ตลอดเวลายี่สิบปีที่ผา่ นมา ข้าฝึกฝน
อย่างหนัก ไม่เคยเกียจคร้านเลย หวังว่าคนใน
จวนเสินโหวจะไม่ดูถูกข้าอีก”
ฉีหนิงขมวดคิว เขาคิดว่า ซีเหมินอู๋เหิงโด่งดังใน
ยุทธภพ สามารถควบคุมชาวยุทธได้ วรยุทธ
ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน มีอาจารย์แบบนี หาก
ฝึกฝนตลอดยี่สิบปี วรยุทธ์ของเหยียนหลิง
เซี่ยนไม่น่าจะได้แค่นีนะ
“โหวเยว่รู้สึกใช่หรือไม่ว่า หากข้าฝึกฝนอย่าง
ยากล้าบากมากว่ายี่สิบปี มีอาจารย์อย่างซีเห
มินอู๋เหิง วรยุทธ์ก็ไม่น่าจะด้อยขนาดนี?”
เหยียนหลิงเซี่ยนไม่ได้กลัวอะไรเลย เขาหัวเราะ
แล้วพูดว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าคิดว่าเป็น
ข้าเองที่ไม่ฉลาด ไม่มีพรสวรรค์ด้านนีเลย แต่ว่า
พอข้าได้เจอคนสวมหน้ากากคนนันแล้ว ข้าถึง
ได้รู้ว่า ตลอดเวลาเกือบยี่สิบปี ซีเหมินอู๋เหิงไม่
เคยสอนวรยุทธ์ดีๆ ให้กับข้าเลย”
ฉีหนิงขมวดคิว รู้สึกว่าเรื่องนีเหมือนมีอะไรที่
ซับซ้อนกว่านัน
“ตอนแรกข้าเองก็ไม่เชื่อ” เหยียนหลิงเซีย่ นพูด
ว่า “คนผูน้ ันก็ไม่ได้อธิบายอะไร เขาถ่ายทอด
เพลงหมัดให้ข้า เพลงหมัดนั่นมันร้ายกาจมาก
เทียบกับวิชาที่ข้าฝึกนันเหนือกว่ามาก ข้าใช้
เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน ก็สามารถฝึกจนส้าเร็จ คน
ผู้นันบอกข้าว่า เพลงหมัดนี่มันเรียกว่าเพลง
หมัดอสรพิษ...”
“เพลงหมัดอสรพิษ?” ฉีหนิงถึงกับสะดุ้ง
จากนันก็นกึ ถึง ตอนที่เจียงซุ่ยอวิ๋นประลองกับ
เขา ก็เคยใช้เพลงหมัดอสรพิษ เขาเลยมั่นใจ
มากว่า เพลงหมัดของเหยียนหลิงเซี่ยนกับ
เจียงซุ่ยอวิน๋ น่าจะมาจากคนเดียวกัน
เหยียนหลิงเซี่ยนพูดว่า “โหวเยว่เคยได้ยินชื่อ
เพลงหมัดอสรพิษหรือ?” เขายิมแล้วพูดว่า “ไม่
ผิด เพลงหมัดอสรพิษเป็นวรยุทธ์ของต้านักเหอ
ตงถัง ถึงแม้จะหายสาบสูญไปแล้ว แต่คนใน
ยุทธภพที่รู้ก็มีอยู่ไม่มาก” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง
แล้วพูดว่า “คนผู้นันบอกข้าว่า เพลงหมัด
อสรพิษมันไม่ง่าย คนทั่วไปต้องใช้เวลากว่าสาม
ถึงห้าเดือน แต่ข้าใช้เวลาแค่ครึง่ เดือนเท่านัน
แสดงว่าข้ามีพรสวรรค์” พอพูดถึงตรงนี เขาก็มี
ท่าทางที่ภมู ิใจมาก
ฉีหนิงพูดขึนว่า “ดังนันเจ้าก็เลยเชื่อว่า ซีเหมิน
เสินโหวจงใจท้าให้เจ้าเสียเวลาในการฝึกยุทธ
ไม่ได้ตังใจถ่ายทอดวรยุทธที่แท้จริงให้แก่เจ้า
อย่างนันหรือ?”
“หากว่าเขาตังใจสอนข้าจริง ข้าไม่มีทางก้าว
หน้าช้าขนาดนีหรอก” เหยียนหลิงเซี่ยนพูดว่า
“คนผู้นันพูดว่า ตอนนัน...” พูดถึงตรงนี เขาก็
ลังเลเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้พูดต่อ
“ตอนนันท้าไม?”
เหยียนหลิงเซี่ยนคิดครู่หนึ่ง ท่าทางของเขาดู
โหดเหียมขึนมา “ตอนที่ท่านพ่อถูกท้าร้ายจน
ตาย เกี่ยวข้องกับซีเหมินอู๋เหิง เป็นเพราะซีเห
มินอู๋เหิงวางแผนอยู่เบืองหลัง ท้าให้ท่านพ่อถูก
ท้าร้ายจนตาย”
ฉีหนิงตกใจ ขมวดคิวแล้วพูดว่า “พวกเขาเป็น
ศิษย์พี่ศิษย์น้องกันนะ ซีเหมินเสินโหวเหตุใด
ต้องท้าร้ายพ่อเจ้าด้วย? คนผู้นันมีหลักฐาน
อะไรหรือไม่?”
“ค้าพูดของเขา มันท้าให้คนไม่เชื่อไม่ได้” เห
ยียนหลิงเซี่ยนพูดว่า “ถึงแม้เขาจะไม่มีหลัก
ฐาน แต่ว่าข้าเชื่อค้าพูดของเขา ท่านพ่อถูกท้า
ร้าย จะต้องเกี่ยวข้องกับซีเหมินอู๋เหิงแน่นอน”
สีหน้าท่าทางของเขามั่นใจมากว่าซีเหมินอู๋เหิง
เป็นคนท้าร้ายพ่อของเขา
ฉีหนิงพูดว่า “คนผู้นันมาถ่ายทอดวรยุทธให้เจ้า
โดยไม่มีสาเหตุ อีกทังยังบอกเจ้าด้วยว่าพ่อเจ้า
ถูกซีเหมินอู๋เหิงท้าร้าย เขาจะต้องอยากหลอก
ใช้เจ้า”
“ข้ารู”้ เหยียนหลิงเซี่ยนพูดว่า “ตังแต่ครังแรก
ที่ได้เจอเขา ข้าก็รู้ว่าเขาต้องการให้ข้าท้าอะไร
ให้เขา”
“เจ้ารู้ว่าเขาอยากจะหลอกใช้เจ้า แต่ยังยอมให้
เขาหลอกใช้อีก”
เหยียนหลิงเซี่ยนพูดว่า “ยี่สิบปีที่ผ่านมา ข้าเอง
ก็ถูกซีเหมินอู๋เหิงหลอกใช้มาตลอดเหมือนกัน
ไม่ใช่หรือ? ถูกใครหลอกใช้ ข้าไม่ได้สนใจ พวก
เขาก็หลอกใช้ข้าเหมือนกัน แต่ว่าสิ่งที่คนสวม
หน้ากากให้ข้ามา มันมากกว่าที่ซีเหมินอู๋เหิงให้
โหวเยว่ หากเป็นท่าน ท่านจะเลือกอะไรล่ะ?”
ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าเหยียนหลิงเซี่ยนจะมี
ความลับที่น่าตกใจขนาดนี เขาถามว่า “หากข้า
เดาไม่ผิด ตอนนีเจ้ากลายเป็นหูตาให้คนผู้นันที่
อยู่ในจวนเสินโหว เจ้าทรยศจวนเสินโหว”
เหยียนหลิงเซี่ยนไม่ได้กลัวเลย เขาพูดว่า “ใน
เมื่อตอนนีข้ากล้าเล่าให้โหวเยว่ฟัง ก็ไม่ได้คิดจะ
มีชีวิตอยู่ต่อไป คนผู้นันรับปากข้า ไม่เพียงจะ
สอนวรยุทธข้า อีกทังยังจะช่วยข้าแก้แค้นด้วย
อีกทัง...” พูดถึงตรงนี เขาก็กัดฟันแน่น แล้วพูด
ว่า “อีกทังยังจะให้ข้าได้ตัวจันอิงด้วย”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะท้าร้าย
ซีเหมินอู๋เหิง แต่กลับคิดอยากจะได้ลูกสาวเขา
เหยียนหลิงเซี่ยน ความคิดเจ้ามันสกปรกจริงๆ
เลยนะ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 508 ค่าตอบแทน
ในตอนนั้นที่ฉีหนิงรู้เรื่องวรยุทธ์ของเจียงซุ่ย
อวิ๋นก็ว่าตกใจแล้ว เขาไม่เข้าใจเลยว่าวิชาที่
หายสาบสูญไปแล้วคุณชายตระกูลเศรษฐีจะมี
ได้อย่างไร วันนี้ได้ยินจากปากเหยียนหลิงเซี่ยน
เหมือนเขาจะเข้าใจอะไรขึ้นมา
เขาเหมือนมั่นใจว่า ที่มาของวรยุทธ์ของทั้งเจียง
ซุ่ยอวิ๋นกับเหยียนหลิงเซี่ยนมาจากที่เดียวกัน
ซึ่งมันก็มาจากชายชุดเทานั่น
ชายชุดเทาเป็นคนที่อันตรายมาก ไม่เพียงกล้า
ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว ยังมีความคิดที่ล้าลึกอีก
ด้วย
คนทั่วไปที่กล้ายุ่งเกี่ยวกับจวนเสินโหวนั้นนับ
คนได้ แต่ว่าคนผู้นั้นไม่เพียงยื่นมือเข้ามายุ่ง
เรื่องของจวนเสินโหว อีกทั้งยังลงมือกับทาง
เหยียนหลิงเซี่ยนหนึง่ ในเจ็ดดาวไถของจวนเสิน
โหวด้วย
สายตาของคนผู้นั้นก็เหี้ยมโหดมาก
เหยียนหลิงเซี่ยนเป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถของจวน
เสินโหว ต่อให้วรยุทธจะไม่ได้สูงอะไร แต่อย่าง
ไรก็เป็นคนของจวนเสินโหวทีส่ ้าคัญมากกว่าเจ้า
หน้าที่ปกติ อีกทั้งเขายังเป็นศิษย์ของซีเหมินอู๋
เหิงด้วย สามารถเข้าใกล้ตัวของซีเหมินอู๋เหิงได้
ตลอดเวลา เรื่องของซีเหมินอู๋เหิงก็ต้องรู้ไม่มาก
ก็น้อย
สิ่งที่ส้าคัญที่สุดก็เหมือนอย่างที่เหยียนหลิงเซี่ย
นบอก ประสบการณ์แล้วก็วรยุทธของเขาไม่ได้
โดดเด่น ถึงแม้จะเป็นถึงพั่วจวินเซี่ยวเว่ย แต่ว่า
เขาไม่เคยได้รับการยอมรับ และถูกละเลย มัน
เป็นจุดส้าคัญของเหยียนหลิงเซี่ยนมาก หาก
เป็นเซียวหยวนผ่อ ที่ท้าเรื่องนี้ คงมีใครหลาย
คนจับตามอง
เหยียนหลิงเซี่ยนอายุยังน้อย ประสบการณ์ก็
น้อย เลยมีใจอคติ ไม่ถูกใครสังเกตได้ง่าย ทั้ง
หมดที่ท้าก็จะไม่มีใครสนใจ
หากไม่ใช่เหยียนหลิงเซี่ยนพูดด้วยตัวเอง ฉีหนิง
ไม่มีทางคิดได้หรอกว่าเหยียนหลิงเซี่ยนจะเป็น
หนอนบ่อนไส้ของจวนเสินโหว
อีกฝ่ายเลือกเหยียนหลิงเซี่ยนไม่เพียงเพราะเขา
รู้เรื่องของจวนเสินโหวไม่น้อย อีกทั้งยังไม่ถูก
คนสนใจด้วย ไม่มีใครสงสารเขาแน่นอน คน
แบบนี้ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นสายสืบ
ฉีหนิงรู้ว่า คนผู้นั้นไม่เพียงเลือกคนได้เหมาะสม
อีกทั้งยังรู้จุดอ่อนของเขาด้วย
เหยียนหลิงเซี่ยนโกรธแค้นซีเหมินเสินโหว
เพราะความแค้นของพ่อ แต่ฉีหนิงรู้ว่า เหยียน
หลิงเซี่ยนไม่ได้ถูกยอมรับในจวนเสินโหว มัน
เป็นเหตุผลที่ส้าคัญมากกว่า
เหยียนหลิงเซี่ยนเป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถ วรยุทธ
ก็อ่อนที่สุด เขาอยากได้ใจจากซีเหมินจั้นอิง แต่
ก็รู้ความสามารถของตัวเอง อยากจะได้ใจนางก็
ไม่ใช่เรื่องง่าย
จากน้้าเสียงของเหยียนหลิงเซี่ยนฉีหนิงรู้สกึ ได้
ว่าเหยียนหลิงเซี่ยนไม่พอใจเขามาก ซึ่งก็ไม่ต่าง
อะไรกับคนหนุ่มทั่วไป เหยียนหลิงเซี่ยนอยาก
จะมีหน้ามีตา หวังว่าจะได้รับการยอมรับ
ความคิดแบบนี้ คนชุดเทามองออก คนชุดเทารู้
จุดอ่อนของเหยียนหลิงเซี่ยนดี จึงหลอกใช้เขา
ได้ง่าย
พ่อของเหยียนหลิงเซี่ยนถูกสังหาร จะมีความ
เกี่ยวข้องกับซีเหมินอูเ๋ หิงหรือไม่ ฉีหนิงไม่รู้ อีก
ทั้งเหยียนหลิงเซี่ยนเองก็ไม่ได้เห็นหลักฐานจาก
คนชุดเทานั่น แต่ว่าเหยียนหลิงเซี่ยนกลับเชื่อ
โดนไม่ลังเล ฉีหนิงรู้วา่ ที่เหยียนหลิงเซี่ยนมั่นใจ
ขนาดนั้นเพราะหวังว่าจะมีหน้ามีตา อีกทั้งคน
ชุดเทายังมีความสามารถในการมอมเมาจิตใจ
เขาด้วย ต่อให้ซเหมินอู๋เหิงจะไม่เกี่ยวกับการ
ตายของพ่อเขา ฉีหนิงก็เชื่อว่าเหยียนหลิงเซี่ยน
ก็ยังถูกเขาหลอกใช้อยู่ดี
ฉีหนิงรู้สึกได้ว่า คนชุดเทาอาจจะเป็นกลุ่ม
อ้านาจอะไรในเมืองหลวงแน่ คุณชายตระกูล
เศรษฐีเจียงซุ่ยอวิ๋นจนถึงพั่วจวินเซี่ยวเว่ย
เหยียนหลิงเซี่ยนทั้งสองคนเหมือนจะเป็นหมาก
ตัวหนึ่งของคนชุดเทา คนผู้นี้หลอกใช้คนพวกนี้
เพื่ออะไรกันนะ ฉีหนิงเดาไม่ออกเลย
หากเหยียนหลิงเซี่ยนถูกหลอกใช้ ฉีหนิงรู้สึกว่า
คนผู้นั้นจะต้องมีเป้าหมายเป็นจวนเสินโหวแน่
แต่ว่าเจียงซุ่ยอวิ๋นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับจวน
เสินโหวเลย อีกทั้งยังสนิทสนมกับไหวหนาน
อ๋องด้วย นั่นก็หมายความว่า เป้าหมายของคน
ชุดเทาไม่ใช่แค่จวนเสินโหวเท่านั้น
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า หรือว่าชายชุด
เทาจะเป็นคนของหอเก้านภา
ทางใต้มีจวนเสินโหว ทางเหนือมีหอเก้านภา
หน้าที่ของจวนเสินโหวนั้นคือการควบคุมกลุ่ม
อ้านาจในยุทธภพ แต่ว่ายังถือว่าเป็นหน่วยงาน
ของราชส้านักอยู่ แม้แต่ภายในเป่ยฮั่นกับทาง
แคว้นตงฉี ก็มีคนของจวนเสินโหวอยู่
ในฐานะที่เป็นหออันดับหนึ่งในใต้หล้า หอเก้า
นภาก็น่าจะมีการเคลือ่ นไหวในตงฉีกับแคว้นฉู่
เหมือนกัน หอเก้านภาวางแผนจับตัวจิ่นอีซื่อ
จื่อ ฉีหนิงเองก็เข้ามาในจวนจิ่นอีโหวเพราะคดี
นี้ และกลายมาเป็นหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหว
อย่างทุกวันนี้ด้วย
ศึกของเป่ยฮั่นกับหนานฉู่ยืดเยื้อกันมาหลายปี
ถึงแม้จะจบไปแล้ว แต่ทั้งสองฝ่ายยังไม่ละทิ้ง
การรวบแผ่นดินของอีกฝ่าย นอกจากจะเจอกัน
ในสนามรบแล้ว อีกฝ่ายยังส่งสายเข้ามาไม่น้อย
หากเป็นคนของหอเก้านภาที่ลอบเข้ามาใน
เมืองหลวง แล้วซื้อตัวขุนนางราชส้านักไปจริง
เพื่อส่งข้อมูลภายในให้กับพวกเขา มันน่าจะ
เป็นไปได้มากที่สุด
“เหยียนหลิงเซี่ยน คนผู้นั้นให้เจ้าท้าอะไร
บ้าง?” ฉีหนิงจ้องไปที่ตาของเหยียนหลิงเซี่ยน
เหยียนหลิงเซี่ยนส่ายหน้าพูด “จนถึงตอนนี้ ข้า
บอกเขาแค่เรื่องจวนเสินโหวจะบุกเขาเชียนอู
หลิงเท่านั้น แต่ว่าเรื่องนี้จวนเสินโหวก็ได้ปล่อย
ข่าวออกไปทั่ว มันไม่ใช่ความลับอะไรมากมาย
เขาก็ไม่ได้พูดถึงเงื่อนไขอะไร บอกให้ข้าฝึกวร
ยุทธให้ดี แต่อย่าให้คนในจวนเสินโหวรู้เป็นอัน
ขาด หากมีคนจับได้ เขาจะฆ่าข้าทันที”
“ก็หมายความว่า ตอนนี้เจ้าก็ยังเป็นสายอยู่ใน
จวนเสินโหว ยังไม่ได้ใช้ให้เจ้าท้าอะไรอย่าง
อืน่ ?” ฉีหนิงพูดว่า “เมื่อไรที่เขาต้องการ เจ้าก็
แค่รับค้าสั่งจากเขาอีกที”
เหยียนหลิงเซี่ยนลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
ฉีหนิงพูดว่า “เหยียนหลิงเซี่ยนเจ้าเคยคิดบ้าง
หรือไม่ว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นคนของหอเก้า
นภา?”
“หอเก้านภา?” เหยียนหลิงเซี่ยนสะดุ้ง ใน
ฐานะพั่วจวินเซี่ยวเว่ยของจวนเสินโหว ต้อง
รู้จักหอเก้านภาเป็นอย่างดี ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด
ของจวนเสินโหว นั่นก็คือหอเก้านภา
ฉีหนิงพูดว่า “หากเขาเป็นคนของหอเก้านภา
ตั้งใจหลอกให้เจ้ากลายเป็นหมากตัวหนึ่งของ
เขา ให้ประโยชน์กับเจ้ามากมาย เป้าหมายก็
เพื่อหลอกใช้เจ้าเป็นสายสืบให้กับเป่ยฮั่น เจ้ารู้
หรือไม่ว่าเจ้าจะตกอยู่ในสภาพไหน?”
เหยียนหลิงเซี่ยนขมวดคิ้ว ฉีหนิงพูดต่อว่า “ถ้า
เป็นอย่างนั้นจริง เจ้าก็เป็นเพียงแค่หมากตัว
หนึ่งที่พวกเขาจะสลัดทิ้งเมื่อไรก็ได้ อยากใช้เจ้า
เมื่อไร พวกเขาก็จะให้ประโยชน์ที่เจ้าพอใจ แต่
ว่าหากเจ้าหมดประโยชน์เมื่อไร เขาก็จะทิ้งเจ้า
อย่างไม่ลังเล...หากเจ้าถูกเปิดโปง จวนเสินโหว
ไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่ หอเก้านภาเองก็จะไม่
เอาเจ้าไว้เหมือนกัน”
ทันใดนั้นก็พลันมีเสียงของเหยีย่ วดังขึ้นมา เห
ยียนหลิงเซี่ยนเงยหน้าขึ้นไปมอง เหยี่ยวท้าตัว
เหมือนคน ก้าลังบินโฉบลงมาที่ตัวเขา
ฉีหนิงเงยหน้าไปมองเหมือนกัน แล้วพูดว่า
“เป็นคนดียาก แต่ว่าจะเป็นคนเลวมันก็ไม่ง่าย
หรอกนะ หากท้าอะไรไม่ระวัง อยากจะเป็นคน
แบบไหนก็เป็นไม่ได้”
“โหวเยว่ ท่านอยากจะบอกอะไรข้า?” เหยียน
หลิงเซี่ยนสีหน้าซีดเซียว
“ที่เจ้ากล้าพูดตรงๆ กับข้า ดีแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า
“เจ้าเองก็น่าจะรู้ สิ่งที่เจ้าพูดมาวันนี้ ไม่ว่า
ประโยคไหนก็ตามหากเข้าหูของจวนเสินโหว ซี
เหมินอู๋เหิงไม่ปล่อยเจ้าแน่ เจ้ารู้นิสัยของซีเห
มินอู๋เหิงมากกว่าข้า เจ้าน่าจะรูด้ ี”
เหยียนหลิงเซี่ยนลังเลครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “โหว
เยว่ ที่จริง...ที่จริงแล้วข้ารู้ดีทุกอย่าง เรื่องนี้...
เรื่องนี้สักวันก็จะถูกเปิดเผย ตอนที่ข้าได้วิชา
เพลงหมัดอสรพิษมา ข้าก็รู้ว่าข้ากลับตัวไม่ทัน
แล้ว”
“เหยียนหลิงเซี่ยนถึงแม้เจ้าจะเดินทางผิด แต่
เมื่อมาถึงหน้าผา มันก็ใช่ว่าจะไม่มีทางไปต่อ
นะ” ฉีหนิงพูดว่า “หากว่าข้าให้โอกาสเจ้า ให้
เจ้าได้กลับตัว เจ้าจะยินดีหรือไม่?”
เหยียนหลิงเซี่ยนยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจความ
หมายของโหวเยว่ โหวเยว่คิดอยากจะให้ข้าเป็น
สายสืบให้ท่าน เชื่อฟังค้าสั่งท่านแทนใช่หรือ
ไม่”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเจ้าเองก็ไม่โง่นนี่ า เขาพูดว่า
“เจ้าเลือกเอาเองละกัน ที่จริงข้าไม่อยากให้เจ้า
มาเป็นสายให้ข้าหรอก ข้าคิดอยากให้เจ้าเป็น
สายให้ฝ่าบาทมากกว่า”
“ฝ่าบาท?” เหยียนหลิงเซี่ยนขมวดคิ้ว
ฉีหนิงพูดว่า “อดีตฮ่องเต้สามารถควบคุมจวน
เสินโหวได้ ไม่ได้หมายความว่าฝ่าบาทองค์
ปัจจุบันจะท้าได้เหมือนกัน ราชส้านักสู้กันอย่าง
ดุเดือด เจ้าก็น่าจะรูด้ ”ี
“ท่านหมายถึง...จงอีโ้ หวกับไหวหนานอ๋อง?”
ฉีหนิงคิดว่าทั้งสองคนนี้สู้กันใครๆ ก็รู้ เขาพยัก
หน้าแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหวตระกูลฉีภักดีต่อฝ่า
บาท ไม่มีทางยอมให้พวกขุนนางท้าอะไรไม่ดี
แน่ ดังนั้น...” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วถึงได้พูด
ว่า “หากเจ้ากลายเป็นสายในจวนเสินโหว
ให้กับฝ่าบาท ไม่แน่วา่ วันหนึ่งฝันของเจ้าจะเป็น
จริงขึ้นมาก็ได้ กลายเป็นที่ยอมรับของทุกคน”
เหยียนหลิงเซี่ยนถอนหายใจแล้วพูดว่า “โหว
เยว่ ท่านคิดว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว ข้ายังมีทางเลือก
ของตัวเองอีกหรือ?”
“ข้าว่าเจ้าคงไม่ม”ี ฉีหนิงยิ้มแปลกๆ “เหยียน
หลิงเซี่ยนข้าให้เจ้าภักดีกับฝ่าบาท มันไม่ได้เป็น
ประสงค์ของพระองค์หรอกนะ ฝ่าบาทไม่รู้เรื่อง
นี้ ดังนั้นหากเจ้าล้มเหลว ข้ากับฝ่าบาทก็ไม่มี
ทางรู้เรื่อง”
เหยียนหลิงเซี่ยนยิ้ม “แน่นอน” เขาขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ จะให้ข้าช่วยท่านสืบเรื่อง
ของจวนเสินโหวนั้นมันไม่ยาก แต่ว่า...วันนี้มีคน
เห็นข้าลงมือไปแล้ว จะมีคนรู้หรือไม่ว่าข้าใช้
เพลงดาบทวนลม? หากพวกเขาเผยแพร่เรื่องนี้
ออกไป...”
“พวกเขาเป็นคนของข้าเจ้าวางใจได้” ฉีหนิงพูด
ว่า “แต่ว่าจั้นอิงจะรูแ้ ล้วไปบอกซีเหมินอูเ๋ หิง
หรือไม่ ข้าไม่กล้ารับประกัน จะให้นางพูดเรื่อง
นี้หรือไม่ อยู่ทตี่ ัวเจ้า” เขาหยุดไป แล้วเดินขึ้น
หน้าไป แล้วพูดว่า “หลังจากที่เจ้ากลับเมือง
หลวงไปแล้ว สิ่งส้าคัญที่เจ้าต้องท้าให้ข้าก็คือ
ไปสืบมาให้รู้ว่าคนชุดเทานั่นเป็นใครมาจาก
ไหน แล้วเขามาเมืองหลวงติดต่อกับใครอีก
บ้าง”
เหยียนหลิงเซี่ยนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้
ยากมาก คนผู้นั้นไม่เคยพูดถึงตัวเขาเลย อีกทั้ง
ไปมาไร้ร่องรอย ข้าไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน ทุก
ครั้งเขาจะเป็นคนมาหาข้าเอง ข้าแทบไม่รู้อะไร
เลย”
“เรื่องนี้อยูท่ ี่ความฉลาดของเจ้าเอง หากเรื่องนี้
ง่าย ข้าจะให้เจ้าไปท้าท้าไม?” ฉีหนิงยิ้ม แล้ว
ยกมือขึ้นมาชกไปที่หน้าของเขาอย่างแรง
เหยียนหลิงเซี่ยนคิดไม่ถึงว่าฉีหนิงจะลงมือ เขา
ไม่ทันได้ตั้งตัว หมัดที่เขาชกมาแรงมาก เหยียน
หลิงเซี่ยนเลือดไหลออกจากจมูก ฟันสองซีถึง
กับหลุดออกมา เลือดพุ่งออกมาจากปากของ
เขา เขาพูดด้วยความตกใจว่า “โหวเยว่ ท่าน
...?”
“เจ้าท้าร้ายคนของข้า หากเจ้าปลอดภัยดี ข้า
จะไปบอกพวกเขาอย่างไร?” ฉีหนิงอธิบาย
พร้อมกับชกไปที่หน้าอกของเขาอีกหมัด
เหยียนหลิงเซี่ยนรู้สึกเจ็บไปถึงกระดูก เขา
สงสัยว่ากระดูกของเขาหักหรือไม่ เขาเดินเซไป
มาแล้วล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นก็กระอัก
เลือด
ฉีหนิงจัดเสื้อผ้า แล้วพูดว่า “เจ้าพักสักสามวัน
ก็จะหายดี จ้าไว้ เมื่อท้าผิด ก็จะต้องจ่าย
ค่าตอบแทน นี่เป็นบทเรียนแรกที่ข้ามอบให้
เจ้า”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 509 ผีใต้น้ำ
ถึงแม้ฉีเฟิงจะถูกเหยียนหลิงเซี่ยนทำร้ำยจน
บำดเจ็บ แต่ยังดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ เมื่อทำยำ
แล้ว เลือดก็หยุดไหล พอตกเย็น สีหน้ำก็เริ่มมี
เลือดฝำดแล้ว
เหยียนหลิงเซี่ยนถูกฉีหนิงชกไปสองหมัด โดย
เฉพำะที่หน้ำอก เขำก็นั่งพักฟื้นอยู่ที่หัวเรือคน
เดียว ทุกคนเห็นเหยียนหลิงเซี่ยนเป็นแบบนั้น
ก็รู้ว่ำน่ำจะเป็นฝีมือของฉีหนิง ในใจก็รู้สึกโกรธ
น้อยลง พอถึงเวลำอำหำร ก็ไม่มีคนไปสนใจเขำ
โจวซุ่นสั่งห้องครัวว่ำ ไม่ต้องไปส่งข้ำวให้เขำ
ซีเหมินจั้นอิงรู้ว่ำเหยียนหลิงเซีย่ นก่อเรื่องใหญ่
เข้ำให้แล้วจริงๆ นำงกลัวว่ำหำกฉีหนิงโมโห
มำกจริงๆ แล้วจะฆ่ำเหยียนหลิงเซี่ยน
เหยียนหลิงเซี่ยนโตมำกับนำง ปกติเป็นคน
สบำยๆ นำงทนเห็นเหยียนหลิงเซี่ยนตำยด้วย
น้ำมือของฉีหนิงไม่ได้ เห็นฉีหนิงแค่ชกเขำ
เท่ำนั้น ไม่ได้มีอันตรำยถึงชีวติ เป็นสิ่งที่นำง
พอใจมำกแล้ว นำงกังวลว่ำหำกนำงเอำอำหำร
ไปให้เหยียนหลิงเซี่ยน กลัวจะไปทำให้ฉีหนิง
กับโจวซุ่นโกรธขึ้นมำอีก จึงตัดสินใจไม่เอำไป
ให้ นำงคิดในใจว่ำเหยียนหลิงเซี่ยนเกือบสังหำร
ฉีเฟิงตำย ต่อให้หิวไปสักสองสำมวัน ก็คงไม่มี
อะไร
หลังจำกฟ้ำมืดแล้ว ฉีหนิงฝึกวิชำอยู่ในห้อง ก็
ได้ยินเสียงเคำะประตู โจวซุ่นพูดขึ้นมำว่ำ “โหว
เยว่ มีควำมผิดปกติขอรับ”
ฉีหนิงเปิดประตู โจวซุ่นพูดว่ำ “ด้ำนหน้ำมีเรือ
สองลำกำลังมำทำงนี้”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วเดินตรงไปที่หัวเรือพร้อม
โจวซุ่น หลี่ถังอยู่ที่หัวเรือแล้ว เห็นฉีหนิงเดินมำ
เขำชี้ไปด้ำนหน้ำ ฉีหนิงอำศัยแสงจันทร์มองไป
เห็นเรือลำเล็กสองลำพำยเรือทวนลมมำ หลี่ถัง
พูดเบำๆ ว่ำ “โหวเยว่ ที่เรือมีแสงสะท้อน
แสดงว่ำพวกเขำมีอำวุธขอรับ”
“บนเรือของพวกเรำจุดไฟเอำไว้ น่ำจะมองเห็น
แต่ไกล” โจวซุ่นพูดเสียงเบำๆ ว่ำ “ตำมหลัก
แล้ว หำกเรือเล็กเจอเรือใหญ่ ก็จะฉีกออกไป
ด้ำนข้ำง แต่ว่ำเรือสองลำนี้กลับตรงมำหำเรือ
ของพวกเรำ แสดงว่ำต้องมีปัญหำแน่”
หลี่ถังพูดว่ำ “ได้ยินมำว่ำบนแม่น้ำมักมีพวกโจร
สลัดออกมำบ่อยๆ ชอบปล้นเรือที่มำลำเดียว
โหวเยว่ พวกเรำต้องป้องกันนะ”
โจวซุ่นพูดว่ำ “หำกเป็นโจรปกติ มันก็ไม่ค่อย
น่ำกลัว กลัวแต่พวกนี้จะไม่ใช่โจรสลัดน่ะสิ”
ฉีหนิงพยักหน้ำแล้วพูดว่ำ “โจวซุ่นพูดถูก หลี่
ถัง โจวซุ่น ออกคำสั่งออกไป บอกคนเรืออย่ำ
วู่วำม สั่งให้จ้ำวฉวนคุ้มกันฉีเฟิงให้ดี จริงสิ ไป
แจ้งแม่นำงซีเหมินด้วย ว่ำพวกเรำเจอปัญหำ
ยุ่งยำกนิดหน่อย ให้นำงระวังตัวด้วย”
“ไม่ต้องหรอก ข้ำอยู่ตรงนี”้ เสียงของซีเหมิน
จั้นอิงดังมำจำกด้ำนหลัง ทั้งวัน เพรำะฉีเฟิง
บำดเจ็บ ซีเหมินจั้นอิงก็ไม่ได้ไปคุยกับฉีหนิงเลย
ตอนนี้พอฉีหนิงพูดถึง นำงก็รีบเดินมำ ถำมเขำ
ว่ำ “เกิดอะไรขึ้น?”
ฉีหนิงไม่ได้อธิบำย เขำยู่ปำกไปอีกทำง ซีเหมิน
จั้นอิงมองไป เห็นเรือสองลำล่องมำตำมน้ำ เขำ
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่ำ “พวกเขำไม่กลัวชนเรือ
ใหญ่เลยหรือ?”
โจวซุ่นไปแจ้งคนบนเรือ ฉีหนิงยืนอยู่ที่หัวเรือ
อำศัยแสงจันทร์มองไป เห็นเงำบนเรือเริ่มมี
ควำมเคลื่อนไหว น่ำจะมีประมำณเจ็ดแปดคน
เต็มเรือไปหมด เขำขมวดคิ้ว เรือใหญ่ยังคงล่อง
ต่อไป หลังจำกนั้นไม่นำนเรือเล็กสองลำก็ล่อง
มำตรงหน้ำเรือใหญ่ อีกนิดเดียวก็จะชนแล้ว
เรือลำเล็กไวมำก เหมือนปลำทีว่ ่ำยหลบไปหลบ
มำ
“โจวซุ่นไปเฝ้ำที่ด้ำนซ้ำย หลี่ถังเจ้ำไปเฝ้ำที่
ด้ำนขวำ” ฉีหนิงพูดเสียงเบำๆ ว่ำ “จั้นอิงเจ้ำ
ตำมโจวซุ่นไปทำงซ้ำยนะ ระวังตัวให้มำกๆ
ด้วย”
ซีเหมินจั้นอิงรู้ว่ำหำกมีคนบุกขึ้นมำจริง เรื่องนี้
เร่งด่วนมำก นำงก็ไม่ได้ลังเล แล้วชักดำบออก
มำ โจวซุ่นเดินไปทำงซ้ำยอย่ำงรวดเร็ว
เหยียนหลิงเซี่ยนเดิมอยู่ที่มุมหนึ่งของหัวเรือ
ตอนนี้พอรูว้ ่ำมีคนจะบุกเรือ ถึงแม้หน้ำอกของ
เขำจะยังเจ็บอยู่ แต่ก็ไม่ได้เจ็บกระดูกหรือเอ็น
เขำฝืนลุกขึ้นมำ เขำไม่พูดอะไรมำก เดินตรงไป
หำดำบของเขำที่โยนทิ้งไป ฉีหนิงรีบเดินมำทำง
กรำบขวำของเรือ เห็นหลี่ถังถือดำบจ้องเรือเล็ก
อย่ำงไม่ละสำยตำเลย ฉีหนิงเองก็มองไป เห็น
เรือเล็กเข้ำมำใกล้เรือใหญ่มำกขึน้ เรื่อยๆ ตอนนี้
เขำเห็นชัดแล้ว เห็นบนเรือมีคนอยู่เจ็ดแปดคน
ปิดหน้ำปิดตำ มีคนเอำเชือกตะขอมำเกี่ยวเรือ
ใหญ่เรียบร้อยแล้ว จำกนั้นก็ลำกเรือเล็กเข้ำมำ
ใกล้
เหล่ำคนเรือบนเรือใหญ่ทำตำมที่โจวซุ่นสั่ง ให้
เดินหน้ำต่อไป ดังนั้นเรือใหญ่ไม่ได้หยุดเรือเลย
คนบนเรือเล็กขึ้นเรือมำแล้ว แสดงว่ำพวกเขำ
เตรียมตัวมำพร้อมอยู่แล้ว
ในตอนนี้เอง คนของเรือเล็กมีอยู่ไม่น้อย พวก
เขำลงมืออย่ำงว่องไว ที่เอวมีตะขอ พวกเขำ
โยนตะขอเกี่ยวบนเรือใหญ่ จำกนั้นก็ไต่เชือก
ขึ้นมำบนเรือใหญ่
“โหวเยว่ ตัดเชือก” หลี่ถังสีหน้ำจริงจังมำก
เขำกำดำบไว้ในมือ จำกนั้นก็ตัดเชือก ฉีหนิงพูด
ว่ำ “ช้ำก่อน” เขำกำมีดสั้นของเขำเอำไว้ในมือ
แล้วรอคนปีนเชือกขึน้ มำ ฉีหนิงถึงได้ลงมือ เขำ
ตัดไปที่ข้อมือของคนผู้นั้น คนผู้นั้นพลันตกใจ
ขึ้นมำ รีบเก็บมือกลับไป ฉีหนิงลงมืออย่ำงรวด
เร็ว จำกนั้นก็ใช้มีดสัน้ ปำดไปทีค่ อของคนผู้นั้น
หลี่ถังเห็นคนปีนขึ้นมำ ก็ไม่ลังเล ตัดเชือกทันที
พอเชือกขำด คนที่ปีนขึ้นมำ ก็ตกลงไปในน้ำ
ทันทีผ
หลี่ถังกำลังคิดจะตัดเชือกอีก เขำก็รู้สึกเหมือน
มีลมพัดโชยเข้ำมำ คนบนเรือลำเล็กซัดอำวุธลับ
ใส่ อำวุธลับของอีกฝ่ำยนั้นดีมำก หลี่ถังถอย
หลังหลบไป แต่เพรำะแบบนี้ ทำให้อีกสองคน
ปีนขึ้นมำบนเรือได้สำเร็จ แล้วเขำก็ตวัดดำบ
ใส่หลี่ถังทันที
อีกฝ่ำยไม่พูดไม่จำ ขึ้นมำก็ใช้อำวุธเลย
ฉีหนิงตัดคอไปคนหนึง่ อีกคนก็ตกใจมำก คิดไม่
ถึงว่ำฉีหนิงจะโหดเหีย้ มเด็ดขำดขนำดนี้ เห็น
เพื่อนตกน้ำไปแบบไม่มีหัว คนอื่นก็อดมองมำ
ไม่ได้ น้ำในแม่น้ำนั้นเย็นมำก ในตอนนี้เอง
ด้ำนบนหัวของเขำก็เหมือนมีลมเย็นวูบหนึ่ง
แสงสะท้อนของมีดมันลอยอยู่บนหัวของเขำ
เขำมีปฏิกิริยำว่องไว เขำปล่อยมือแล้วตกลงไป
ในแม่น้ำ
หลี่ถังสู้หนึ่งต่อสอง แต่ไม่ได้ตกเป็นรองใคร อีก
ทั้งยังบีบให้พวกเขำสองคนถอยหลังอีกด้วย ฉี
หนิงขมวดคิ้ว ตอนนี้มีเสียงกำรต่อสู้มำจำกทำง
กรำบซ้ำยของเรือ รูว้ ่ำซีเหมินจั้นอิงน่ำจะรับมือ
กับศัตรูอยู่ เขำพูดเสียงเข้มว่ำ “หลี่ถังเฝ้ำที่นี่
นะ” เขำรีบวิ่งไปทำงท้ำยเรือทันที
หำกอีกฝ่ำยลอบโจมตีมำแบบนี้ แสดงว่ำพวก
เขำรู้สถำนกำรณ์ดี น่ำจะเข้ำใจควำมสำมำรถ
กำรต่อสู้ของเขำดีเหมือนกัน แต่ว่ำด้วยวรยุทธ
ของคนพวกนี้ ถึงแม้จะไม่ได้แย่มำก แต่ว่ำก็ไม่
ถึงกับเหมือนกำรข่มขู่ ฉีหนิงรู้ว่ำสถำนกำรณ์
ต้องไม่ธรรมดำแน่นอน เลยรีบเดินไปที่ท้ำยเรือ
ก็เห็นมีคนกำลังแอบขึ้นมำจำกตรงนั้น พวกเขำ
สวมชุดประดำน้ำ แสดงว่ำพวกเขำดำน้ำมำ
ชุดประดำน้ำนี่มันทำมำจำกหนังฉลำม หรือไม่
ก็หนังมังกรทะเล ผิวของมันลื่นมำก กำลัง
ภำยในทำให้ร่ำงกำยอบอุ่น สำมำรถอยู่ในน้ำได้
เป็นเวลำนำนแบบนี้ แสดงว่ำพวกเขำมีชุดที่ดี
มำก แล้วมำจำกด้ำนหลังของเรือ
ฉีหนิงตอนนี้ถึงได้เข้ำใจแล้วว่ำเมือ่ ครู่มันคือ
แผนลวง เรือสองลำมำอย่ำงไม่เกรงกลัวอะไร
ตั้งใจให้คนเห็น ก็เพื่อล่อให้พวกเขำสนใจ
จำกนั้นเจ้ำผีใต้น้ำพวกนี้ก็ลอบขึ้นมำบนเรือ
ตอนที่พวกฉีหนิงไม่ทันตั้งตัว
มีคนขึ้นมำจำกท้ำยเรือต่อเนื่องสี่ห้ำคน เห็นฉี
หนิงยืนอยูต่ รงนั้น ก็ตกใจ ในมือของพวกเขำก็
มีอำวุธ พวกเขำจึงกระจำยตัวออกไป แต่ก็ไม่ได้
บุกเข้ำหำในทันที ได้ยินคนหนึ่งพูดขึ้นมำว่ำ
“ข้ำรู้ว่ำเจ้ำคือจิ่นอีโหว พวกเรำไม่ได้อยำกเอำ
ชีวิตเจ้ำ ขอแค่มอบคนออกมำ พวกเรำจะรีบไป
ทันที จะไม่ทำอะไรพวกท่ำนเลย”
ฉีหนิงถำมว่ำ “ใคร?”
“จิ่นอีโหว เจ้ำอย่ำมำแกล้งโง่หน่อยเลย” คนผู้
นั้นพูดว่ำ “พวกข้ำมีคนอยู่มำก ต่อให้สู้จนตำย
พวกเจ้ำก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ ในเมื่อมำแล้ว ก็
ขอให้จิ่นอีโหวไว้หน้ำพวกข้ำหน่อย มอบคนให้
พวกข้ำเถอะนะ พวกเรำจะได้ไม่ต้องผิดใจกัน”
“พวกเจ้ำใจกว้ำงดีจริงๆ เลยนะ” ฉีหนิงยิ้มแล้ว
พูดว่ำ “ข้ำฆ่ำคนของพวกเจ้ำไปแล้ว อย่ำบอก
นะว่ำเจ้ำไม่สนใจชีวติ ของเขำเลย ไม่อยำกจะ
แก้แค้นให้เขำหรือ?” ในตอนนี้เองก็ได้ยินเสียง
ฝีเท้ำคนเดินมำ ฉีหนิงรีบหันไปมอง พบว่ำเห
ยียนหลิงเซี่ยนถือดำบมำยืนอยูข่ ้ำงๆ เขำแล้ว
“ขอแค่ส่งมอบคนมำ ชีวิตของเขำก็ถือว่ำมอบ
ให้โหวเยว่ไป” เหล่ำผีใต้น้ำเห็นเหยียนหลิง
เซี่ยน ได้ยินคนผู้นั้นพูดว่ำ “แต่ว่ำหำกโหวเยว่
ยังไม่ตำสว่ำงสักที ข้ำกังวลว่ำแม้แต่ชีวิตท่ำนก็
อำจจะไม่รอด”
ฉีหนิงพูดว่ำ “ข้ำรู้ว่ำพวกเจ้ำบุกเข้ำมำแบบนี้
เพื่อจะมำชิงคนในมือของข้ำ แต่ว่ำคงต้องถำม
มีดในมือข้ำก่อนว่ำจะยอมหรือไม่” ฉีหนิงจับ
มีดของเขำขึ้นมำ แล้วลุยขึ้นหน้ำไป แทงทะลุ
คอของคนผู้นั้นตำยคำที่ทันที
คนพวกนัน้ กลับไม่ขัดขืนเลย รีบถอยหลังไป
เขำยิ้มแล้วพูดว่ำ “จิ่นอีโหวท่ำนอย่ำเสียใจที
หลังนะ” เขำหันหลังแล้วไปที่หวั เรือ จำกนั้นก็
กระโดดลงไป มีหนึ่งคนผิวปำกขึ้นมำ คนอื่นก็
กระโดดออกจำกท้ำยเรือทันที จำกนั้นก็ได้ยิน
เสียงดัง “ตุบ ตุบ” คนผู้นั้นลงน้ำไปภำยใน
พริบตำเดียว
ฉีหนิงรีบเดินมำที่หัวเรือ เขำก้มหน้ำมองลงไป
พวกผีใต้น้ำกระโดดลงไปในน้ำ จำกนั้น ก็ได้ยิน
เสียงดังขึ้นมำ เป็นเสียงของจั้นอิง “พวกเขำ
กระโดดลงจำกเรือไปหมดแล้ว”
“จั้นอิง เจ้ำว่ำยน้ำเป็นหรือไม่?” ฉีหนิงไม่ได้หัน
กลับมำ
ซีเหมินจั้นอิงเดินขึ้นหน้ำมำ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่ำ
“ถำมทำไม?” นำงส่ำยหน้ำ “ข้ำ...ข้ำว่ำยน้ำไม่
เป็น”
จำกนั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ำมำ หลี่ถังพูดว่ำ
“โหวเยว่ พวกเขำกระโดดลงจำกเรือไปแล้ว”
ทันใดนั้นเองเขำก็เห็นน้ำนองที่พื้นเรือ “ต้อง
เป็นฝีมือเจ้ำพวกนั้นแน่”
ฉีหนิงยกมือขึ้นมำ สั่งให้พวกเขำอย่ำเพิ่งพูด
อะไร เขำพยำยำมมองและฟัง จำกนั้นเขำก็พูด
ขึ้นมำว่ำ “พวกเขำต้องกำรล่มเรือพวกเรำ”
“ล่มเรือ?” ซีเหมินจั้นอิงพลันตกใจขึ้นมำทันที
หลี่ถังวิ่งมำทำงหัวเรือ “โหวเยว่ ข้ำลงน้ำไป
เอง”
“อย่ำเพิ่งวู่วำม” ฉีหนิงพูดว่ำ “หลี่ถัง โจวซุ่น
พวกเจ้ำตำมข้ำไปที่ใต้ท้องเรือเดี๋ยวนี้ จั้นอิง
เจ้ำไปเฝ้ำห้องของข้ำเอำไว้” เขำเหลือบไปที่
เหยียนหลิงเซี่ยน เห็นเขำกำลังมองมำทีเ่ ขำ เขำ
เลยพูดว่ำ “เหยียนหลิงเซี่ยน เจ้ำเฝ้ำที่หน้ำเรือ
เอำไว้ อย่ำให้ใครเข้ำมำได้”
พวกเขำก็ไม่ได้พูดอะไรมำก แยกกันไปทำตำม
คำสั่งทันที
ฉีหนิงพำหลี่ถังกับโจวซุ่นไปที่ใต้ท้องเรือ คนเรือ
รู้แล้วว่ำมีศัตรูบุกมำ กำลังตื่นตูมอยู่พอดี แต่
พอเห็นฉีหนิงนำคนลงมำ ก็มีคนเดินขึ้นหน้ำมำ
หำ แล้วพูดว่ำ “โหวเยว่ ได้ยินเสียงที่ใต้เรือ”
หลี่ถังฟุบตัวลงแนบตัวฟังที่พื้น ทุกคนกลั้น
หำยใจกันหมด ทำให้ได้ยินเสียง “ตุบ ตุบ” ดัง
มำก แสดงว่ำมีคนอยู่ใต้เรือ
“ฟังให้ดี หยิบง่ำมจับปลำขึ้นมำ หำกพื้นเรือ
แตกออก ไม่ต้องสนใจอะไร แทงมันเข้ำไปเลย”
ฉีหนิงสั่งคนเรือ “คนพวกนี้มำร้ำย พวกเรำต้อง
ร่วมแรงร่วมใจกัน”
ด้วยวรยุทธ์ของฉีหนิง หำกสู้กันซึ่งหน้ำ ฉีหนิง
แทบไม่ต้องสนใจอะไรพวกมันเลย แต่ว่ำผีใต้น้ำ
พวกนี้ทำอะไรใต้น้ำ มันจึงทำให้ยุ่งยำกไม่น้อย
คนเรือได้ยินฉีหนิงออกคำสั่ง พวกเขำก็รีบไป
หยิบที่จับปลำมำ ใต้ท้องเรือมีที่จับปลำหลำย
อันมำก แต่ละคนถือคนละอัน
“ชัดเจนแล้ว กรรเชียงเรือพังแล้ว” คนเรือคน
หนึ่งพูดขึ้นมำ
เรือขนำดใหญ่แบบนี้ เวลำมีลมสำมำรถพัดล่อง
ไปตำมลม เวลำไม่มลี มก็สำมำรถใช้กรรเชียง
เรือพำยต่อไปได้อีก หำกคิดจะเพิ่มควำมเร็ว ก็
เพิ่มกำรพำยกรรเชียงเรือได้
ตอนนี้กรรเชียงเรือพังแล้ว แสดงว่ำพวกเขำไม่
อยำกให้สำมำรถควบคุมเรือต่อไปได้อีก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 510 เงือกสาวแสนสวย
ทุกคนเตรียมพร้อมรับมืออย่างเข้มงวด พวกคน
บนเรือก็ถือที่จับปลาเอาไว้ในมือ แล้วจับตาดู
การเคลื่อนไหวใต้เรือตามที่ฉหี นิงบอก ไม่นาน
นัก ก็มีเสียงแตกของแผ่นไม้ดังขึ้นมา แผ่นไม้
แตกเป็นรู มีน้าพุ่งออกมาจากรูนั่น คนในเรือใช้
ที่จับปลาแทงลงไปตามรูนั่นทันที
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีส่วนที่แตกออกอีก
ประมาณห้าถึงหกรู
หลี่ถังสีหน้าเคร่งเครียดมาก เขาพูดว่า “โหว
เยว่ คนพวกนี้ต้องการล่มเรือ กรรเชียงเรือแตก
ไปแล้ว พวกเราไม่มีทางเข้าฝั่งได้อีก ตอนนี้คง
ต้องยอมให้เรือจมแล้ว”
“อยู่บนเรือเขาไม่ใช่คู่ปรับของพวกเรา แต่ว่า
พวกเขาเชี่ยวชาญด้านน้้ามาก มันต้องการให้
พวกเราลงน้้า” โจวซุ่นพูดต่อว่า “โหวเยว่ พวก
มันคิดจะท้าอะไรกันแน่?”
ฉีหนิงจ้องไปที่แผ่นไม้แต่ไม่ได้พูดอะไร
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแผ่นไม้แตกอีก ตอนนี้มีรู
ขนาดใหญ่โผล่มา คนเรือไม่พูดอะไรมาก ใช้ที่
จับปลาแทงลงไปอย่างแรง แต่ทจี่ ับปลายังไม่
ทันลงน้้า เขาก็ร้องออกมา ทีจ่ ับปลาในมือของ
เขาถูกกระชากลงไปในน้้า คนเรือตกใจมาก รีบ
ปล่อยมือทันที
แผ่นไม้ที่แตกยิ่งอยูย่ ิ่งเยอะ ผีใต้น้าทั้งหลาย
เตรียมตัวมาอย่างดี พวกเขาเตรียมแผนล่มเรือ
ไว้ก่อนแล้ว เลยมีอุปกรณ์มาพร้อม
เมื่อเห็นน้้าจ้านวนมากทะลักเข้าเรือมา หลี่ถัง
พูดว่า “โหวเยว่ พวกเราเก็บเรือล้านี้ไว้ไม่ได้
แล้ว บนเรือมีเรือเล็กอยู่สองล้า โหวเยว่รีบไป
นั่งเรือเล็กออกไปก่อนดีกว่า”
เรือหลวงแบบนี้ ปกติจะมีเรือเล็กส้ารองเอาไว้
สองล้า บางทีน้าตื้นเกินไปเข้าฝั่งไม่ได้ ก็จะต้อง
ใช้เรือพวกนี้เพื่อเข้าฝัง่
เรือแบบนี้ไม่ใช่เรือทัว่ ไป กินเบีย้ หลวง หากรู้ว่า
มีอันตราย ก็จะต้องคุม้ ครองให้โหวเยว่
ปลอดภัยให้ได้ คนเรือรีบพูดว่า “โหวเยว่
กรรเชียงเรือของพวกเราแตกไปแล้ว อย่างไรก็
เข้าฝั่งไม่ได้แล้ว คนพวกนั้นตั้งใจให้เรือล่ม โหว
เยว่รีบลงเรือไปขึ้นฝั่งก่อนเถอะ”
“ข้าจะทิง้ พวกเจ้าไว้ที่นี่ไม่ได้” ฉีหนิงพูดอย่าง
จริงจัง
หลี่ถังพูดว่า “โหวเยว่ ขอข้าน้อยพูดตามตรง
คนพวกนีพ้ ุ่งเป้ามาที่โหวเยว่ ท่านแค่ต้องไป
จากเรือใหญ่นี่ก่อน คนเรือว่ายน้้าแข็งมาก ไม่มี
ปัญหาหรอก”
“โหวเยว่ พวกนั้นวรยุทธ์ไม่ได้ดีมาก แต่ว่า
เชี่ยวชาญทางน้้า หากอยู่ในน้้าพวกเราคงไม่ใช่
คู่ต่อสู้ของพวกเขา” โจวซุ่นก็พูดว่า “พวกเรา
อาศัยเรือเล็กหนีขึ้นฝั่งไปก่อน ขอแค่ขึ้นฝัง่ ได้
พวกนั้นก็ไม่น่ากลัวแล้ว”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงแผ่นไม้แตกอีก น้้าจ้านวน
มากทะลักเข้ามาในเรือ มันล้นเท้าทั้งสองข้าง
แล้ว ฉีหนิงไม่ลังเลอีก เขาพูดว่า “ไปลงเรือเล็ก
ขึ้นฝั่ง”
ทุกคนออกนอกท้องเรือ คนเรือรีบจัดเรือเล็กให้
พร้อม เรือเล็กสองล้าขนาดเท่ากัน สามารถนั่ง
ได้ประมาณไม่เกินสี่คน
“โจวซุ่น หลี่ถัง พวกเจ้ากับจ้าวฉวนหามฉีเฟิง
ขึ้นเรือ” ฉีหนิงสั่ง “จั้นอิงกับข้าแล้วก็เหยียน
หลิงเซี่ยนจะไปเรือล้าเดียวกัน”
ในเมื่อฉีหนิงสั่ง ทุกคนก็ไม่รอช้า หลี่ถังไปที่ท้อง
เรือแล้วหามฉีเฟิงมาขึ้นเรือเล็ก โจวซุ่นพายเรือ
ไปที่ฝั่ง ซีเหมินจั้นอิงกับเหยียนหลิงเซี่ยนขึ้น
เรือล้าที่สอง แต่ไม่เห็นฉีหนิงมา ทั้งสองถือดาบ
ระวังตัวไว้ ทันใดนั้นเห็นฉีหนิงแบกคนผู้หนึ่งมา
ซึ่งคลุมด้วยผ้าด้ามิดชิดมาก
ฉีหนิงกระโดดขึ้นเรือเล็กไป เรือโอนเอน
เล็กน้อย ฉีหนิงอุ้มคนผู้นั้นไว้ในอ้อมกอด แล้ว
พูดกับเหยียนหลิงเซี่ยนว่า “ขึ้นฝั่งไป เจ้าพาย
เรือเร็ว”
เหยียนหลิงเซี่ยน พูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า
“ข้า...ข้าท้าไม่เป็น”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงของจั้นอิงพูดว่า “เร็ว
รีบไป พวกเขาใกล้เข้ามาแล้ว” นางยกมือชี้ไป
เห็นมีหัวคนโผล่ขึ้นมาอยู่สามสีค่ น เมื่อเห็นฉี
หนิงขึ้นเรือล้าเล็ก พวกเขาก็รีบว่ายมา
เหยียนหลิงเซี่ยนเองก็รู้ดี หากเผชิญหน้าตรงๆ
คงไม่ต้องกลัว แต่ว่าตอนนี้อยู่บนน้้า
สถานการณ์มันต่างกัน ตอนนี้เขาก็ไม่สนใจ
อะไรแล้ว นั่งแล้วก็พายเรือไป เห็นเรือของหลี่
ถังอยู่ด้านหน้าไม่ไกล ก็รีบพายตามไป
ท่าทางการพายของเขาดูไม่ถนัดเลย เรือเซไปเซ
มา เหยียนหลิงเซี่ยนไม่รู้ต้องท้าอย่างไร ซีเหมิน
จั้นอิงใช้ดาบ จ้องไปที่ผิวน้้าเพือ่ ระวังคนที่จะ
เข้ามา
หลี่ถังกังวลว่าผีใต้น้าพวกนี้จะโจมตีฉีหนิง ก็
ไม่ได้พายเร็วมาก เว้นระยะห่าง ไม่กล้าไปไกล
จะได้ไปช่วยได้ทันเวลา
เหยียนหลิงเซี่ยนด้วยความร้อนใจ ก็ฝืนพาย
ต่อไป ในตอนนี้เอง เรือเล็กก็เซไปเซมา เหยียน
หลิงเซี่ยนรีบพูดว่า “พวกเขาด้าอยู่ใต้เรือของ
พวกเรา”
เหยียนหลิงเซี่ยนพูดดังฟังชัดมาก ทันใดนั้นเอง
ก็ได้ยินเสียงดัง “ตู้ม” ฉีหนิงรีบหันไปมอง เห็น
ซีเหมินจั้นอิงกระโดดลงน้้าไปแล้ว
ฉีหนิงคิดในใจว่าซีเหมินจั้นอิงคงกลัวว่าผีใต้น้า
จะล่มเรืออีก เลยกระโดดลงไปโดยไม่คดิ อะไร
มาก
ความกล้าหาญของซีเหมินจั้นอิงไม่ต้องพูดถึง
แต่วรยุทธของนางไม่ได้ดีเลย อีกทั้งยังต้องไปสู้
ใต้น้าอีก ฉีหนิงขมวดคิ้วแน่น เหยียนหลิงเซี่ยน
ก็กังวลอยู่ไม่น้อย จากนั้นก็ได้ยินเสียง “ตู้ม” ฉี
หนิงเองก็กระโดดลงไปแล้วเหมือนกัน แม้แต่
คนที่อุ้มมาก็ลงไปด้วย
หลี่ถังเห็นดังนั้น ก็ไม่ลังเลอีก ทิง้ จ้าวฉวนให้
ดูแลฉีเฟิง เขากับโจวซุ่นไม่คิดอะไรมา กระโดด
ลงน้้าไปเช่นกัน
จ้าวฉวนร้อนใจมาก เขายืนอยู่หลังเรือ เขาเห็น
น้้าเคลื่อนไหว จากนั้นก็เห็นฉีหนิงโผล่ขึ้นมา
จากนั้นก็จมลงไปอีก
จ้าวฉวนเห็นฉีหนิงอยู่ในน้้า เหมือนคล่องแคล่ว
มาก ก็รู้สึกแปลกใจ แอบคิดในใจว่าตั้งแต่เล็ก
จนโตโหวเยว่ไม่เคยลงน้้าเลย เหตุใดเขาถึงได้
ว่ายน้้าเก่งแบบนี้
จิ่นอีโหวซื่อจื่อคนก่อนว่ายน้้าไม่เป็น แต่ว่าจิ่นอี
โหวคนนี้ เก่งเรื่องว่ายน้้ามาก
เขาเห็นซีเหมินจั้นอิงกระโดดลงน้้า รู้ว่าซีเหมิน
จั้นอิงนั้นหวังดี เขากลัวนางจะจมน้้า ก็เลย
กระโดดลงมาด้วย
เขาว่ายน้้าเก่งมาก อีกทั้งก้าลังภายในยังแก่กล้า
ด้วย คนอยู่ใต้น้าต้องกลั้นหายใจ พริบตาเดียว
เขาก็สามารถด้าลงไปใต้น้าได้แล้ว เขาเห็นซี
เหมินจั้นอิงสู้อยูก่ ับคนสองคน แล้วก็มีอกี สอง
คนที่ก้าลังจะด้าลงไปล่มเรือ
เขาแบกเสื้อคลุมสีด้าอยู่ด้านหลัง น้้าในแม่น้า
ไหลไปทางทิศตะวันออก ฉีหนิงว่ายตามน้า้ ไป
คนที่สู้กับจั้นอิงอยูเ่ ห็นฉีหนิงเข้ามา คนหนึ่งก็
แยกตัวออกมา เขามีอาวุธที่ใช้ใต้น้า เขาแทง
มันมาที่ฉีหนิง
เขาว่ายน้้าเก่งมาก อีกทั้งยังสวมชุดด้าน้้าอีก
เคลื่อนที่ในน้้าได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว อาวุธ
เองก็เป็นอาวุธที่ใช้ใต้น้าเฉพาะ เขาเลยไม่ได้
เห็นฉีหนิงอยู่ในสายตา เขาถีบตัวใต้น้า แล้วใช้
อาวุธแทงเข้าหาฉีหนิง ฉีหนิงยื่นมือออกไป
จากนั้นก็จับมือของคนผู้นั้นไว้
คนผู้นั้นตกใจมาก ฉีหนิงหักข้อมือของคนผู้นั้น
จากนั้นก็แย่งอาวุธในมือของเขามา แล้วแทงไป
ที่หัวใจของคนผู้นั้นทันที สายตาของคนผู้นั้น
เหมือนไม่เชื่อและแปลกใจมาก เหมือนไม่
อยากจะยอมตายในมือของฉีหนิงง่ายขนาดนี้
แต่จะไม่ยอมก็ไม่ได้แล้ว เพียงแต่เขาตายตาไม่
หลับเท่านั้นเอง
ฉีหนิงขึ้นมาพร้อมกับเลือด เห็นที่ผิวน้้ามีการ
เคลื่อนไหว น่าจะมีประมาณห้าถึงหกคน เขา
คิดในใจว่า เขาได้ดึงพวกเขามาทางนี้หมดแล้ว
ก็เลยด้าลงน้้าไปอีก เห็นซีเหมินจั้นอิงยังสูอ้ ยู่ ฉี
หนิงก็ไม่คิดอะไรมาก แบกเสื้อคลุมสีด้าและยัง
ถืออาวุธใต้น้า แล้วตรงไปหาซีเหมินจั้นอิงทันที
แล้วอาศัยจังหวะที่มันสู้กับซีเหมินจั้นอิงแทง
เข้าไปที่ด้านหลังของเขา
ซีเหมินจั้นอิงเห็นฉีหนิงเข้ามา นางก็ท้ามือ ให้ฉี
หนิงรีบหนีไป ฉีหนิงก็ท้ามือ บอกให้ซีเหมินจั้น
อิงไปพร้อมกับเขา ในตอนนี้เอง ก็มีเงาคนอีก
ประมาณสีห่ ้าคนปรากฏตัวขึ้น เหมือนก้าลังเข้า
มาช่วยพวกมัน
อีกฝ่ายคนมาก กระจายตัวกันออกไป ตอนนี้อีก
สองคนที่อยู่ใต้น้าเห็นว่าสถานการณ์ผิดปกติ
แล้ว ก็สละเรือทิ้ง แล้วตรงมาเพื่อสังหารฉีหนิง
ตอนนี้เอง ก็มีอีกสองคนโผล่มา เป็นโจวซุน่ กับ
หลี่ถัง ทั้งสองมาข้างๆ ฉีหนิง เห็นอีกฝ่ายมีคน
มาก ล้อมเอาไว้ทกุ ทิศทาง หลีถ่ ังท้ามือ ให้ฉี
หนิงรีบไป เขากับหลีถ่ ังจะต้านเอาไว้เอง
ฉีหนิงส่ายหน้า แล้วท้ามือบอกว่า จะฆ่าพวก
มันให้ตายไปพร้อมกัน
ถึงแม้คนจะมาก แต่พวกของโจวซุ่นเห็นฉีหนิงมี
ความมั่นใจมาก ก็รวบรวมพลัง ทั้งสี่คนมอง
หน้ากันแล้วท้ามือ ให้แยกเป็นสองกลุ่ม จากนั้น
ก็ต่างพุ่งเข้าหาพวกผีใต้น้าทันที
พริบตาเดียวก็เกิดการต่อสู้ใต้นา้ ผีใต้น้าพวกนี้
เชี่ยวชาญการเคลื่อนที่ในน้้ามาก อีกทั้งยัง
เตรียมตัวมาพร้อมแล้ว แต่ว่าวรยุทธ์ก็ยัง
ธรรมดา ไม่ว่าจะปฏิกิริยาอะไรก็ดูจะอ่อนกว่า
ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น แต่เขาก็ยังได้เปรียบเรื่อง
ของน้้า เลยไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะในเวลาอัน
สั้นได้
ฉีหนิงฆ่าไปอีกคนหนึ่งคน เลือดกับน้้าในแม่น้า
ปะปนกัน พริบตาเดียวก็มองอะไรไม่ออกแล้ว
ในตอนนี้เอง ก็เห็นมีคนเข้ามาจากด้านข้าง ใน
มือของเขาก็มีอาวุธใต้น้าเหมือนกัน แต่ไม่แทง
ไปที่ฉีหนิง แต่พุ่งไปที่ด้านหลังของฉีหนิง
ฉีหนิงเอี้ยวตัวหลบ ใช้อาวุธในมือโต้กลับไป
ใครจะคิดว่าผีใต้น้านั้นจะรวดเร็วว่องไวมาก
หลบได้อย่างรวดเร็ว ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก เขา
มองไปอย่างละเอียด เห็นผีใต้น้าคนนั้นสวมชุด
ด้าน้้า ตอนที่ว่ายเหมือนจะเห็นทรวดทรงองเอว
ถึงแม้จะสวมหมวกปลา เห็นแค่ลูกตา แต่ก็รู้ว่า
เป็นผู้หญิง
ผู้หญิงคนนี้รูปร่างดีมาก อีกทัง้ ยังว่องไว เวลา
นางแหวกว่าย มันเห็นทุกส่วนในร่างกายของ
นาง
ฉีหนิงคิดไม่ถึงว่าในกลุ่มผีใต้น้าจะมีผู้หญิงด้วย
ตอนนี้เขาก็ไม่มีเวลาจะมาคิดเรือ่ งผู้หญิงผู้ชาย
เห็นอีกฝ่ายใช้อาวุธแทงมาที่เสื้อคลุมสีด้าที่หลัง
เขาอีกครั้ง เขาก็หลบหลีกออกไป แล้วโต้กลับ
ด้วยอาวุธในมือ อาวุธของทั้งสองปะทะกัน ผีใต้
น้้าสาวสวยหดมือกลับมา ฉีหนิงบิดมือ เดิมที
คิดอยากจะปัดอาวุธในมือของนางให้หลุดไป
ใครจะคิดว่านางจะไม่ปล่อยมือ รูปร่าง
อ้อนแอ้นของนางดูราวกับเงือกสาวแสนสวย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 511 น้้ำเย็นคนอุ่น
ภายใต้ผิวน้า การต่อสู้ดุเดือดเข้มข้นมาก ฉีหนิง
กับเงือกสาวต่อสู้กันอยู่ใต้น้า ตัดสินแพ้ชนะไม่
ได้เสียที
วรยุทธ์ของฉีหนิงไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาเชี่ยว
ชาญทางน้ามากด้วย แต่เพราะแบกเสือคลุมสี
ด้าอยู่ด้านหลัง เงือกสาวสวยเองก็เหมือนจะ
ว่ายน้าเก่งเหมือนกัน วรยุทธ์ของนางเหมือนจะ
ร้ายกาจกว่าผีใต้น้าคนอื่นมากด้วย
ถึงแม้รูปร่างของนางจะอวบอิ่มมาก แต่ว่าท่า
ทางที่อยู่ในน้าของนางนันคล่องแคล่วว่องไว
กว่า เหมือนอาศัยอยู่ในน้ามานาน หากไม่ใช่
เพราะฉีหนิงว่ายน้าเก่ง คิดว่านางคงสมใจไป
แล้ว
เงือกสาวเหมือนไม่อยากได้ชีวิตของฉีหนิง แต่
มาเพราะเสือคลุมสีด้า นางใช้อาวุธแทงมาที่เสือ
คลุมสีด้านัน่ แต่ฉีหนิงหลบได้อย่างว่องไว
ทังสองสู้กันไปมา ท้าให้ออกห่างจากอีกด้านไม่
น้อย ตอนนีรอบๆ ไม่มีใครอยู่เลย
เงือกสาวลงมือไม่ส้าเร็จสักที ก็เหมือนจะเริ่ม
ร้อนใจ นางจึงยื่นมือออกมา ฉีหนิงรู้สึกได้ว่าที่
นิวของเงือกสาวเหมือนมีอะไรออกมาด้วย มัน
สะท้อนเข้าตา เขารู้สึกได้ว่าต้องแย่แน่ เขาจึง
รีบถอยหลัง แล้วหลับตาลง ทันใดนันที่หกู ็ได้
ยินเสียงเสียงหนึ่ง เขารู้สึกได้ว่าเงือกสาวก้าลัง
จะจู่โจมเขา เขาจึงรีบด้าน้าลงไปให้ลึกอีก
เงือกสาวเหมือนจะไม่ยอม นางรีบด้าน้าตามมา
ในมือของนางก็ยังพยายามจะแทงมาทีเ่ สือคลุม
สีด้าไม่หยุด แต่ทันใดนันเองก็เห็นฉีหนิงสละ
เสือคลุมสีด้าที่หลังทิงไป มันลอยไปตามน้าทาง
ทิศตะวันออก ฉีหนิงทิงเสือคลุมสีด้าไป แล้ว
ว่ายไปทางทิศตะวันออก เงือกสาวรีบสละฉี
หนิงทิงทันที แล้วว่ายตามเสือคลุมสีด้าไป แต่
นางกลับรู้สกึ ได้ว่าขาของนางเหมือนจะถูกรัง
เอาไว้ นางจึงรีบหันกลับมาก็เห็นฉีหนิงก้าลังจับ
ขานางอยู่
ตอนนีฉีหนิงแทบจะไม่ได้มีความทะนุถนอม
อะไรเลย เขาพุ่งอาวุธในมือแทงเข้าที่ขาของ
เงือกสาวทันที
ขาของเงือกสาวเรียวยาวมาก สะโพกก็สมส่วน
รูปร่างดีทุกส่วน
ยิ่งนางสวมชุดด้าน้า ท้าให้รูปร่างของนางเห็น
ได้ชัดมาก
ช่วงเวลาความเป็นความตาย ฉีหนิงไม่ได้มี
อารมณ์มาคิดว่านางรูปร่างดีแค่ไหน เขาใช้
อาวุธแทงลงที่ขาของนาง ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก
เพราะอาวุธมันแทงไม่เข้า เขาแอบคิดในใจว่า
ชุดของเงือกสาวคนนีแข็งแกร่งมาก ไม่รู้เหมือน
กันว่าชุดนีท้ามาจากอะไร
ถึงแม้อาวุธจะแทงไม่เข้า แต่ว่ามันก็ท้าให้เงือก
สาวรู้สึกเจ็บปวดไม่นอ้ ย นางตกใจสะดุ้ง
จากนันนางก็พยายามสะบัดขาออก นางเคลื่อน
ที่ว่องไวมาก แม้จะอยู่ใต้น้า พริบตาเดียวก็ถีบ
เท้ามาที่หน้าของฉีหนิงแล้ว ฉีหนิงยกมือบังไว้
จากนันก็ถีบใส่นางด้วยเช่นกัน เขาถีบไปที่ก้น
ของนาง
เขาถีบลงที่ก้นอันเด้งดึ๋งของนาง ถึงแม้จะไม่ได้
แรงมาก แต่มันก็ท้าให้เงือกสาวถอยห่างจาก
เขาไปได้ นางไม่ได้สนใจฉีหนิง รีบว่ายตามเสือ
คลุมสีด้าไปราวกับปลาที่แหวกว่ายในน้าอย่าง
พลิวไหว
เสือคลุมสีด้าลอยไปตามน้า เงือกสาวยังคงมอง
เห็นอยู่ นางรีบว่ายตามไป ทันใดนันเองก็เห็น
เงาตามมา ฉีหนิงตามนางมาทันราวกับว่าเขา
เป็นวิญญาณ แล้วมาขวางนางเอาไว้
เงือกสาวตกใจมาก เหมือนคิดไม่ถึงว่าฉีหนิงจะ
ว่ายน้าได้ดขี นาดนี สายตาของนางมีแต่ความดุ
ร้าย นางแทงอาวุธเข้าใส่ฉีหนิงอีกครัง ฉีหนิง
เตรียมรับมือไว้แล้ว เขาไม่หลบไม่หนี แต่ยื่นมือ
ออกไป แล้วจับข้อมือของเงือกสาวเอาไว้ แล้ว
ใช้อาวุธแทงไปหาเงือกสาว
ปฏิกิริยาของเงือกสาวก็ไวมาก มือขวาของนาง
ถูกฉีหนิงจับเอาไว้ มือซ้ายของนางยื่นออกมา
แล้วจับไปที่มือขวาของฉีหนิง
ทังสองต่างฝ่ายต่างจับมือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายไว้
ไม่มีใครกล้าปล่อย สายตาของพวกเขาจ้องมอง
กันอยู่ เงือกสาวยกเท้าขึนถีบฉีหนิง ฉีหนิงไม่มี
ทางให้นางท้าได้ส้าเร็จแน่นอน เขายกขาทัง
สองข้างขึนมา แล้วหนีบไปที่ขาเรียวยาวของ
นาง
เงือกสาวพยายามจะดิน ฉีหนิงใช้เท้าทังสอง
หนีบเอาไว้แน่นมาก
สายตาทังสองฝ่ายต่างดุดัน ต่างฝ่ายต่างจับมือ
ของอีกฝ่ายไว้แน่นไม่ปล่อย เงือกสาวพยายาม
ออกแรงมืออีกข้างที่จับมือฉีหนิงเอาไว้ ฉีหนิง
เองก็ออกแรงมือที่เขาจับมือนางไว้เหมือนกัน
เมื่อไหร่ที่นางผ่อนแรงลง ฉีหนิงก็จะผ่อนแรงลง
เช่นกัน
ฉีหนิงใช้ขาหนีบขานางไว้ เขารูส้ ึกได้ว่ามันเด้ง
มาก ร่างกายของทังคู่ลอยอยู่ในน้า ต่างฝ่าย
ต่างมองกัน ไม่มีใครคิดจะปล่อยเลย
ในน้ามันมืดมาก แต่ฉีหนิงมีการมองเห็นที่น่า
ตกใจ เขามองไปที่สายตาของอีกฝ่าย เขารู้สึก
ได้ว่ามันกลมแล้วก็มเี สน่ห์น่าดึงดูด เหมือนเขา
คุ้นเคยกับสายตาแบบนี
เงือกสาวมองฉีหนิง แต่ก็ยังคงมองไปที่ด้านหลัง
ของฉีหนิงเป็นระยะด้วย เหมือนคิดอยากจะดู
ว่าเสือคลุมสีด้าไปทางไหนแล้ว แต่ว่าใต้น้ามืด
มากอีกทังกระแสน้าก็แรง ตอนนีเสือคลุมสีด้าก็
ไม่รู้ไปทางไหนแล้ว
ตอนนีเอง ฉีหนิงก็รู้สกึ ได้ว่าเหมือนน้ามันจะมี
คลื่นระลอกหนึ่ง เขาเหลือบไปมอง เห็นผีใต้น้า
คนหนึ่งก้าลังแอบลอบโจมตี มือของเขามีอาวุธ
จากนันก็พยายามจะแทงจากด้านข้าง ฉีหนิง
รู้สึกได้ว่าสถานการณ์แย่แล้ว ก็รบี หันตัวลอย
หนีไป เงือกสาวเห็นว่ามีคนมาช่วยแล้ว ก็รีบบุก
ขึนหน้า เอาตัวแนบชิดกับฉีหนิง เหมือนไม่
อยากให้ฉหี นิงขยับตัว
เงือกสาวเอาตัวมาแนบชิด ถึงแม้จะอยู่ในน้า
แต่ก็ยังคงรู้สึกถึงความอบอุ่นได้จากตัวของนาง
ผีใต้น้าอีกคนก็เขยิบเข้ามาใกล้ ใช้อาวุธในมือ
แทงมาที่ฉีหนิง ฉีหนิงยกเท้าถีบไปอย่างแรง ท้า
ให้ทังคู่ถอยออกห่างไปอีก ขาของเงือกสาวหลุด
ออกจากการถูกหนีบ นางยกเข่าขึนมา แล้วชน
เข้าไปที่หน้าท้องของฉีหนิง
ฉีหนิงรู้สึกหงุดหงิดมาก เขาหน้านิ่งไป และ
ในตอนนีเอง มือข้างหนึ่งของเงือกสาวก็รสู้ ึกไร้
เรี่ยวแรง ก้าลังภายในมันไหลออกมาจากมือทัง
สองข้าง ก้าลังภายในของนางก้าลังถูกดูดออก
ไป เงือกสาวหน้าสวย รู้สึกตื่นตระหนก แต่ไม่รู้
ว่าฉีหนิงก้าลังใช้พลังหกเทพประสานกับนางอยู่
ก้าลังภายในของนางไหลออกเรื่อยๆ ทันใดนัน
เองนางก็เหมือนคิดได้ว่าน่าจะเป็นเพราะฉีหนิง
นางคิดจะปล่อยมือ แต่ท้าอย่างไรมันก็ไม่หลุด
ก่อนหน้านีนางจับไปที่ข้อมือตรงส่วนชีพจร
เพราะกลัวว่าฉีหนิงจะหนี แต่ว่าตอนนีนางคิด
อยากจะปล่อยมือก็ท้าไม่ได้แล้ว ตอนนีมือทัง
สองข้างเหมือนรวมเป็นหนึ่งกับมือของฉีหนิงไป
แล้ว
ฉีหนิงใช้เท้าถีบ แต่ผีใต้น้าคนนันหมุนตัวหลบ
พอบีบเข้ามาอีก ฉีหนิงก็หมุนตัว ราวกับว่า
ก้าลังเต้นร้าอยู่กับเงือกสาว ผีใต้น้านั่นว่ายน้า
วนไปวนมา คิดอยากจะหามุมโจมตี แต่ว่าฉี
หนิงกลับใช้เงือกสาวเป็นโล่ก้าบัง อาวุธลับใน
มือของผีใต้น้า แทบจะไม่มีโอกาสได้ลงมือ
เงือกสาวรู้สึกได้ว่าร่างกายของนางเริ่มอ่อนแอ
ลง หลังจากนันไม่นาน ก็เริ่มรู้สึกว่านางไร้เรี่ยว
แรง นางคิดอยากจะดินให้หลุด แต่กลับไม่มี
แรง ร่างกายของนางอ่อนระทวยราวกับว่าตอน
นีเหมือนเป็นหุ่นให้ฉหี นิงเชิด ฉีหนิงจะท้าอย่าง
ไรกับนางก็ได้ ในใจก็นึกตกใจแล้วก็โมโหมาก
แต่ก็ไม่รู้จะท้าอย่างไร
ผีใต้น้าเองก็รู้สึกร้อนใจเหมือนกัน ฉีหนิงกับเขา
มีเงือกสาวกันอยู่ ทันใดนันเองเขาก็เห็นไหล่
ของฉีหนิงโผล่ออกมา เขาดีใจมาก คิดว่านี่เป็น
โอกาสที่ดี เลยไม่ลงั เล ใช้อาวุธในมือแทงไปที่
ไหล่ของฉีหนิง อีกนิดเดียวก็จะท้าส้าเร็จแล้ว
ทันใดนันเองก็รู้สึกถึงความเจ็บปวด เขาก้มหน้า
ไปมอง พบว่าเขาถูกอาวุธแทงเข้าที่หัวใจแล้ว
พอเงยหน้าไปมอง สายตาของเขาเต็มไปด้วย
ความไม่เชือ่
เขาไม่รู้เลยว่า หลังจากเงือกสาวถูกฉีหนิงดูด
พลังไปแล้ว ร่างกายไร้เรี่ยวแรง นางไม่ได้มี
ความน่ากลัวแล้ว ฉีหนิงตังใจเอาตัวเองพัวพัน
กับเงือกสาว เพื่อให้มอื ขวาของเขาสามารถยื่น
ออกมาได้ เมื่อล่อให้ผีใต้น้าเข้ามาใกล้ เขาจะได้
ใช้อาวุธจัดการเขาทันที
การใช้อาวุธใต้น้า มันไม่ได้รวดเร็วว่องไวมาก
แต่ว่าฉีหนิงก้าลังภายในแก่กล้า เขาดูดก้าลัง
ภายในของเงือกสาวมา ก้าลังภายในของเขามัน
ก้าลังอยู่ในจุดสูงสุด ถึงแม้ก้าลังใช้อีกมือแทง
อาวุธออกไป แต่ว่าด้วยก้าลังภายในของเขา
มันก็ท้าให้รวดเร็วว่องไวได้
ใต้น้ากลายเป็นสีแดง ผีใต้น้าถูกแทงที่หัวใจตาย
คาที่ จากนันก็ลอยขึนไปบนผิวน้า
ตอนนีฉีหนิงได้โอบไปที่เอวของเงือกสาวแล้ว
เพราะหากเขายังไม่หยุด พลังหกเทพประสาน
จะดูดก้าลังภายในของนางจนหมด แต่เขา
อยากจับเป็น เงือกสาวคนนีจะเป็นหัวหน้าของ
พวกผีใต้น้าหรือไม่ แต่น่าจะรู้เรือ่ งนีไม่น้อย
ดังนันพอรู้ว่านางร่างกายอ่อนแรงแล้ว ก็เก็บ
พลังหกเทพประสานไป แล้วโอบนางเอาไว้
พลังหกเทพประสานพิสดารมาก ก็ถือได้ว่าเป็น
ท่าไม้ตายของฉีหนิง เขาสามารถควบคุมมันได้
แล้ว
หลังจากที่เงือกสาวถูกโอบ นางเหมือนอยากจะ
ดินให้หลุด แต่ว่านางไร้เรี่ยวแรง จึงไม่รู้ควรจะ
ท้าอย่างไร ร่างกายอันอ่อนนุ่มของนางอยู่ใน
อ้อมกอดของฉีหนิง ส่วนชุดของนางก็ลื่นจนจับ
ไม่อยู่
ฉีหนิงอุ้มเงือกสาวลอยขึนมาบนผิวน้า ท่าม
กลางแสงจันทร์ เลยไม่รู้ว่าพวกของซีเหมินจัน
อิงนันอยู่ที่ไหน เขาก้มหน้ามองไปที่เงือกสาว
เขารู้ว่าเป็นเพราะเสียก้าลังภายในไปมาก เขา
ยกมือขึนมา แล้วเปิดหน้าของเงือกสาวออก
ท่ามกลางแสงจันทร์ ใบหน้าอันงดงามปรากฏ
ขึนมา ผิวของนางเนียนขาว แต่เพราะเสียก้าลัง
ภายในไปมาก สีหน้าของนางซีดเซียว ฉีหนิง
เห็นใบหน้าสวยๆ นัน่ แล้วก็พูดขึนว่า “ท้าไม...
ท้าไมถึงเป็นเจ้า?” เขาเห็นชัดแล้วว่า เงือกสาว
ที่อยู่ในอ้อมกอดเขาตอนนี นางคือฮวาเซียง
หยง
ตอนที่เกิดศึกเขาเชียนอูหลิง ฮวาเซียงหยงพา
พวกของเจ้าลิงขาวบุกไปที่ถ้าหมีฮวาบนเขา
เชียนอูหลิง เพื่อขโมยของ แต่หลังจากที่ถูกไล่
สังหารเลยหนีไป ฉีหนิงไม่รู้ว่านางไปไหน คิดไม่
ถึงว่านางจะมาลอบท้าร้ายเขาในคืนนี
ฮวาเซียงหยงหายใจหอบ พูดอย่างไร้เรี่ยวแรง
แล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้าฆ่าข้าเลย...”
“ฆ่าเจ้ามันง่ายไป” ฉีหนิงพูดว่า “คนที่อยู่เบือง
หลังเจ้าคือใคร หากเจ้าสารภาพมา ข้าอาจจะ
ให้เจ้าตายสบายหน่อย”
ฮวาเซียงหยงยิมมุมปาก สายตาของนางราวกับ
คริสตัล นางพูดว่า “เจ้า...เจ้าเป็นผู้ชาย รัง...
รังแกผู้หญิง ยัง...ยังถือเป็นลูกผู้ชายอีกหรือ ข้า
...ข้าเกลียดพวกรังแกผู้หญิงมากที่สุดเลย...”
นางถูกฉีหนิงดูดก้าลังภายในไปเกือบหมด
ตอนนีอยากดินก็ท้าไม่ได้ ท้าได้แค่เอนตัวอยู่ใน
อ้อมกอดของฉีหนิงเท่านัน เสียงของนางก็ไร้
เรี่ยวแรง
ฉีหนิงพูดว่า “ฮวาเซียงหยง เก็บมารยาของเจ้า
ไปเถอะ ไปใช้กับผู้ชายคนอื่นอาจจะได้ผล แต่
ใช้ไม่ได้กับข้าหรอกนะ...”
“อย่างนันหรือ...” ฮวาเซียงหยงยิมแล้วพูดว่า
“โหวเยว่...โหวเยว่หรือว่าท่านไม่ใช่ผู้ชาย? ขอ
แค่เป็นผู้ชาย...ท้าไม...ท้าไมจะไม่ชอบข้า?”
สายตาของนางใสมาก น้าเสียงออดอ้อนมีเสน่ห์
นางพยายามใช้มือโอบไปที่คอของฉีหนิงแล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ข้า...ข้ารู้สึกหนาว ท่าน...ท่าน
กอดข้าหน่อยสิ...”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 512 มารยาร้อยเล่มเกวียน
ฉีหนิงอยากจะหัวเราะออกมาตอนนี้เสียให้ได้
ฮวาเซียงหยงเกิดมามีหน้าตาที่เปี่ยมเสน่ห์ สิ่งที่
นางชานาญมากที่สุดก็คือการยั่วยวน ไม่อย่าง
นั้นซีชวนชื่อสื่ออย่างเหว่ยซูถงจะตกหลุมพราง
ของนางได้อย่างไรกันล่ะ
ผู้หญิงคนนี้อยู่ในกามือของเขา นางไม่เพียงไม่
หวาดกลัว ทั้งยังพยายามยั่วยวนเขาด้วย หาก
เปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่น อาจจะตกหลุมพราง
มารยาของนางไปแล้ว แต่ฉีหนิงรู้จักผู้หญิงแบบ
นางดี นางมีความคิดที่ลึกลับยากจะคาดเดา
ต่อให้ตอนนี้ฮวาเซียงหยงจะไร้เรี่ยวแรง ฉีหนิงก็
จะไม่ประมาท มือหนึ่งเขาโอบไปที่เอวของฮวา
เซียงหยง อีกมือหนึ่งก็จับไปที่คอของนาง แล้ว
พูดว่า “บอกข้ามาใครส่งเจ้ามา ข้าไม่เพียงจะ
กอดเจ้า แต่ยังจะให้รางวัลกับเจ้าด้วย”
“รางวัล?” ฮวาเซียงหยงกะพริบตา นางกัดฟัน
แน่น แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานว่า
“รางวัลที่โหวเยว่พูดถึงมันคืออะไร?”
“ก็ต้องดูว่าเจ้าสารภาพออกมาเท่าไร” ฉีหนิง
พูดว่า “ใครส่งเจ้ามา? เจ้ากับลู่ซางเฮ่อ
เกี่ยวข้องอะไรกัน?”
“ลู่ซางเฮ่อ?” ฮวาเซียงหยงพูดว่า “โหวเยว่ ลู่
ซางเฮ่อเป็นใคร? ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไรอยู่?”
ฮวาเซียงหยงอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกปี อายุยัง
ไม่มาก แต่ว่าเสียงของนางราวกับสาวแรกรุ่น
น้าเสียงอ่อนหวาน
ร่างกายของนางโตเป็นสาวเต็มวัยแล้ว ก่อน
หน้านี้ฉีหนิงพบนางแค่สองครั้ง นางสวม
กระโปรงทุกครั้ง ถึงแม้จะดูรูปร่างดี แต่ว่าไม่
เหมือนกับวันนี้ เมื่ออยู่ใต้น้า รูปร่างของนางก็
เห็นได้เด่นชัดมากทุกสัดส่วน
ฉีหนิงได้ยินนางพูดแบบนี้ ก็รู้ทนั ทีว่านางพูดจา
เหลวไหล
ฮวาเซียงหยงเคลื่อนไหวอยู่ในซีชวน ไม่มีทางไม่
รู้จักลู่ซางเฮ่อ ตาหนักอิ่งเฮ่อเป็นหนึ่งในแปด
พรรคสิบหกสานัก ลู่ซางเฮ่ออยู่ในซีชวนก็ถือว่า
มีชื่อเสียงพอตัว หากฮวาเซียงหยงไม่ได้ยินชื่อ
ของลู่ซางเฮ่อมาก่อน ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
เขารู้ว่าผู้หญิงคนนี้ตั้งใจแกล้ง เขาไม่มีทางหลง
กล มือข้างที่โอบเอวของฮวาเซียงหยงบีบเข้า
อย่างแรง ฮวาเซียงหยงรู้สึกปวดเอวขึ้นมา นาง
จึงร้อง “โอ๊ย” ขึ้นมา
“ฮวาเซียงหยง ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร เจ้าก็
น่าจะรู้ หากข้าจับเจ้ากลับเมืองหลวงไป แล้ว
มอบให้กับจวนเสินโหว เจ้าจะเป็นอย่างไร” ฉี
หนิงจ้องไปที่ตาของฮวาเซียงหยง “คนของจวน
เสินโหว ไม่เคยทะนุถนอมใครมาก่อน เท่าที่ข้า
รู้มา คนที่ตกอยู่ในมือของจวนเสินโหวแล้ว ไม่มี
ใครกลับออกมาแล้วอยู่ครบทุกส่วน”
ฮวาเซียงหยงถอนหายใจแล้วพูดว่า “โหวเยว่
พวกเราก็แค่รับจ้างทางานเท่านัน้ มีคนเอาเงิน
มาจ้างพวกเรา ให้พวกเรามาชิงตัวคน ในเมื่อ
พวกเรารับเงินมาแล้ว ก็ต้องทางาน พวกเราก็
ทาเพื่อความอยู่รอดทั้งนั้น” นางมองไปที่ฉีหนิง
แล้วพูดว่า “หากโหวเยว่ทาให้ข้าอยู่รอดได้ ข้า
ก็จะติดตามท่าน ท่านจะให้ข้าทาอะไร ข้าจะทา
ให้ทุกอย่าง”
“แล้วเจ้ารูห้ รือไม่คนที่เจ้าจะมาชิงตัวไปนัน้ เป็น
ใคร?” ฉีหนิงพูด
ฮวาเซียงหยงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่รู้ ตอน
นี้จะพูดอะไรไปก็ไม่มปี ระโยชน์ คนผู้นั้นจมไป
ใต้น้าแล้ว ไม่รู้ไปไหน โหวเยว่ หรือว่าท่านไม่
ร้อนใจเลย?”
“คนดีฟ้าคุม้ ครอง” ฉีหนิงพูดว่า “หากเขาเป็น
อะไรไป เจ้าเองก็จะไม่รอดเหมือนกัน”
ฮวาเซียงหยงจ้องไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “โหว
เยว่ ทุกคนต่างก็รู้ว่าวรยุทธ์ของท่านร้ายกาจแค่
ไหน คิดไม่ถึงว่าท่านเองก็ว่ายน้าได้เก่งขนาดนี้
ด้วย ท่านสอนข้าได้หรือไม่?” สายตาของนาง
สดใสมาก นางจ้องมาที่ตาของฉีหนิง ดวงตา
ของนางยั่วยวนเขามาก
ริมฝีปากของฮวาเซียงหยงอวบอิ่มไม่น้อย มัน
ทาให้คนอดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปกัด กลิ่นกายของ
ฮวาเซียงหยงเองก็หอมเย้ายวนใจ ฉีหนิงอดไม่
ได้ที่จะเข้าไปใกล้นาง จนอยากจะจูบนาง ทัน
ใดนั้นเองก็มีคนเรียกว่า “โหวเยว่...”
เสียงนี้มาได้ทันเวลา ฉีหนิงตกใจสะดุง้ ขึ้นมา
ฮวาเซียงหยงเหมือนจะหน้าเสียไป นางกาลัง
เปิดปากพูด ปากของนางอยู่ใกล้เขาแค่คบื อีก
ทั้งยังมีไอเย็นออกมาจากปากนางด้วย ฉีหนิงอึ้ง
ไปเหมือนกัน มือที่กาลังโอบเอวของฮวาเซียง
หยงกระชากอย่างแรง ฮวาเซียงหยงรู้สึกถูก
กระชาก ไอเย็นอยู่ใกล้เขาแค่นดิ เดียว ฉีหนิง
เอี้ยวตัวหลบ ไอเย็นจึงผ่านหน้าฉีหนิงไป
แค่เสี้ยววินาทีนั้น ฮวาเซียงหยงก็บิดตัว แล้ว
หลุดออกจากการควบคุมของฉีหนิงไป นาง
เชี่ยวชาญการอยู่ในน้ามาก วินาทีที่ฉีหนิงปล่อย
มือไปแค่เสี้ยววินาที คิดจะยื่นมือไป ฮวาเซียง
หยงก็ว่ายน้าหนีห่างออกไปแล้ว นางมองมาที่ฉี
หนิง แล้วพูดอย่างความไม่พอใจว่า “จิ่นอีโหว
เจ้าคนต่าช้า ริอ่านจะฝึกวิชามาร เจ้า...เจ้ามัน
คนหน้าไม่อาย”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าเขาแค่ประมาทแค่เสี้ยว
วินาที ก็เกือบตกหลุมพรางแผนของนางเสีย
แล้ว
เขาคิดว่าตอนนั้นที่จวนชื่อสื่อ สายตาของฮวา
เซียงหยงประหลาดมาก เหมือนสายตาของนาง
สามารถทาให้คนสติหลุดไปได้ เมื่อครู่ฉีหนิงดูด
กาลังภายในของนาง เดิมคิดจะควบคุมนาง
เอาไว้ในมือ แต่เมื่อครู่ฮวาเซียงหยงกลับใช้
มารยาของนาง ดึงสติของฉีหนิง อยากจะหา
โอกาสลงมือ
เพียงแต่ฉหี นิงคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้หญิงคนนี้จะ
ซ่อนอาวุธลับไว้ในปากด้วย
“ฮวาเซียงหยง ข้าว่าเจ้ายอมให้จับดีๆ ดีกว่า”
ฉีหนิงรู้ว่าในเมื่อผู้หญิงคนนี้รอดมือไปแล้ว คิด
อยากจะจับนางอีกมันไม่ง่ายแน่ “เจ้ากับลู่ซาง
เฮ่อทาความเลว ต้องไม่ได้มีจุดจบที่ดีแน่”
ฮวาเซียงหยงกลับหัวเราะแล้วพูดอย่างไม่พอใจ
ว่า “ลู่ซางเฮ่อ? จิ่นอีโหว ท่านก็ประเมินเขาสูง
เกินไป เขามีสิทธิ์อะไรมาเป็นพวกเดียวกับพวก
เรา ต่อให้เขาจะมาเช็ดรองเท้าให้ข้ายังไม่คู่ควร
เลย” นางพูดต่อว่า “แต่ว่าข้าขอเตือนอะไรเจ้า
สักอย่างนะ ซีชวนทางที่ดีเจ้าอย่ามาอีกเลย
วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป หากครั้งต่อไปเจอเจ้า
อีก ข้าจะเอาชีวิตเจ้าแน่”
ฉีหนิงเห็นว่านางเหมือนจะมีสติอยู่ ก็พอจะเข้า
ใจอะไรขึ้นมา เขาดูดกาลังภายในของนางไป
เมื่อครู่ ผู้หญิงคนนี้รู้ว่ากาลังภายในของนางถูก
ดูดไปแล้ว ก็เลยแกล้งทาเป็นอ่อนแรง ทาให้ฉี
หนิงเข้าใจผิดว่านางถูกดูดกาลังภายในไปเกือบ
หมด ในความเป็นจริงแล้วนางใช้แรงที่นาง
เหลืออยู่ จู่โจมใส่เขา ผู้หญิงมีแผนร้ายขนาดนี้
ถือว่าร้ายกาจมาก
ได้ยินฮวาเซียงหยงพูดจาแบบนี้ จากนั้นก็เห็น
ฮวาเซียงหยงยิ้มให้เขา แล้วก็ว่ายน้าหายไป
ฉีหนิงรู้ว่าพวกนี้คุ้นเคยกับทางน้าดี ในเมือ่ ฮวา
เซียงหยงรอดไปแล้ว คิดจะหาตัวให้เจอคงเป็น
ไปไม่ได้ ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นเรือเล็กพายเข้า
มา มีคนตะโกนว่า “โหวเยว่ โหวเยว่...” เสียง
ของจ้าวฉวนนั่นเอง
ฉีหนิงยกมือขึ้นโบก จ้าวฉวนเห็นแล้วก็รีบพาย
เรือเข้ามาใกล้ แล้วดึงฉีหนิงขึ้นเรือไป ฉีหนิง
เปียกไปทั้งตัว เขายืนอยู่บนเรือ ท่ามกลางแสง
จันทร์ เขามองไปรอบๆ แล้วสั่งให้จ้าวฉวนเข้า
ไปใกล้ๆ มีศพลอยอยู่สามสี่ศพ ต่างเป็นศพของ
ผีใต้น้า มีคนลอยอยู่กลางน้าด้วย ซีเหมินจั้นอิง
นั่นเอง ฉีหนิงรีบเข้าไปใกล้ แล้วดึงซีเหมินจั้น
อิงขึ้นเรือ
แขนซ้ายของซีเหมินจั้นอิงมีเลือดออก นางถูก
ทาร้ายที่แขนข้างซ้าย นอกจากนี้ ก็ไม่ได้บาด
เจ็บที่ไหนอีก ฉีหนิงสั่งให้จ้าวฉวนทาแผลให้
นาง ตอนนี้เขาก็เห็นเรืออีกลาพายเข้ามา เรือ
ของเหยียนหลิงเซี่ยน หลี่ถังกับโจวซุ่นอยู่บน
เรือลานั้นแล้ว
ฉีหนิงเห็นทุกคนปลอดภัย ก็โล่งใจ เขากวาด
สายตาไปในแม่น้า นอกจากศพที่ลอยอยู่ ก็ไม่
เห็นใครอีกแล้ว
เรือสองลาเข้ามาใกล้ หลี่ถังพูดเสียงสูงแล้วพูด
ว่า “โหวเยว่ ผีใต้น้าพวกนั้นเหมือนจะหนีไป
หมดแล้ว”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วมองไปที่เรือใหญ่ พบว่า
เรือใหญ่มันเอียงลงจมไปครึ่งลาแล้ว เขาคิดว่า
อีกไม่นานมันน่าจะจมลงหมด เขาเลยพูดว่า
“ขึ้นฝั่งกันก่อนเถอะ อยู่ในน้าไม่ปลอดภัย”
เมื่อไม่เห็นผีใต้น้า เรือเล็กทั้งสองลาก็พายเข้า
ฝั่ง เมื่อทุกคนขึ้นฝั่งมาแล้ว ไม่นานนัก คนเรือที่
อยู่บนเรือใหญ่เองก็วา่ ยน้าเข้าฝั่งมาแล้วเช่นกัน
ผีใต้น้าพวกนั้นพุ่งเป้ามาหาฉีหนิงคนเดียว ไม่ได้
ทาร้ายคนอื่น คนเรือคุ้นเคยกับน้าเป็นอย่างดี
ตอนที่สละเรือแล้ว พวกเขาก็นาสัมภาระของฉี
หนิงมาด้วย
ทุกคนเปียกหมด หลังจากที่คนเรือขึ้นฝั่งมาแล้ว
พวกเขาก็หาฟืน มาก่อไฟ จากนั้นก็เอาเสื้อผ้า
มาตากให้แห้ง ซีเหมินจั้นอิงทาแผลแล้ว ไม่ได้
เป็นอะไรมาก เขามองไปรอบๆ จากนั้นนางก็
พูดถึงฉีหนิงว่า “ผู้หญิงคนนั้นล่ะ?”
“ผู้หญิงคนนั้น?” ฉีหนิงคิดว่านางถามถึงฮวา
เซียงหยง คิดว่าที่เขาสู้กับฮวาเซียงหยง เขาอยู่
ไกลกับคนอื่นมาก หรือว่าซีเหมินจั้นอิงจะ
มองเห็น เขากาลังจะอธิบาย ซีเหมินจั้นอิงก็พูด
ว่า “ก็ผู้หญิงที่เจ้าพามาจากเมืองเฉิงตูอย่างไร
ล่ะ ทาไมไม่เห็นนางเลย?”
ฉีหนิงเข้าใจแล้ว เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า
“นางจมหายไปแล้ว ไม่รู้ไปที่ไหน คงหาไม่เจอ
แล้ว”
ซีเหมินจั้นอิงพูดด้วยความตกใจว่า “แล้ว...แล้ว
พวกเราไม่ไปช่วยนางหรือ? เจ้าจะปล่อยให้นาง
ตายไปแบบนี้น่ะหรือ?”
ฉีเฟิงนั่งอยู่ริมกองไฟ เห็นซีเหมินจั้นอิงร้อนใจ
ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางซีเหมิน ท่านอย่ากังวล
ไปเลย เสือ้ คลุมสีดาไม่ใช่ผู้หญิงหรอก อีกทั้งยัง
ไม่มีชีวิตด้วย...” เมื่อพูดจบ หลีถ่ ังก็รีบไอขึ้นมา
ฉีเฟิงรู้สึกตัว รีบพูดว่า “นานขนาดนี้แล้ว ต่อให้
ช่วยขึ้นมา ก็ไม่น่าจะรอดแล้ว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 513 ใจเหล็ก
ถึงแม้ซีเหมินจั้นอิงจะเป็นคนใจร้อน แต่นางก็
ไม่ได้โง่ ฉีเฟิงหลุดพูดออกมาขนาดนี้ นางต้อง
จับได้อยู่แล้ว นางมองไปที่ฉีหนิงที่นั่งผิงไฟอยู่
นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรแน่นอน
เหยียนหลิงเซี่ยนนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ไม่ได้นงั่ อยู่
ใกล้ๆ กองไฟ จึงไม่รวู้ ่าด้านนี้พูดอะไรกัน
ซีเหมินจั้นอิงเห็นฉีหนิงไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
เหมือนกับเห็นนางเป็นคนนอก ก็รู้สึกไม่พอใจ
นางลุกขึ้นมา แล้วเดินไปที่ริมน้้า ฉีหนิงจึงหัน
ไปมอง เขายิ้มแล้วพูดเบาๆ ว่า “ผู้หญิงนี่ยุ่ง
ยากจริง แค่นี้ชีวิตก็วุ่นวายจะตายอยู่แล้ว”
ค้าพูดของเขาไม่ได้หมายถึงซีเหมินจั้นอิง แต่
หมายถึงเสื้อคลุมสีด้าจะตายหรืออยู่ ซีเหมินจั้น
อิงก็อารมณ์ไม่ดีทั้งนัน้
บาดแผลของฉีเฟิงใส่ยาใหม่แล้ว ตอนนี้ดีขึ้น
มาก ถึงแม้จะยังไม่สามารถเดินไปไหนมาไหน
ได้ แต่ความเจ็บปวดก็ลดลงมาก เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “โหวเยว่ ที่จริงแม่นางซีเหมินเป็นคนจิตใจดี
มากเลยนะ นางหึงมาก แต่ว่าตอนนี้กลับยังเป็น
ห่วงความเป็นความตายของคนอื่น นางมี
เมตตามากเลย”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางหึง?” ฉีหนิงเหลือบไป
มองฉีเฟิง
ฉีเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “คนตาบอดยังมอง
ออกเลย แม่นางซีเหมินถึงแม้จะชอบเถียงกับ
โหวเยว่ แต่ว่าข้าน้อยก็มองออกว่านางชอบโหว
เยว่นะ”
โจวซุ่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ฉีเฟิงพูด
ถูก ข้าน้อยก็มองออก โหวเยว่สง่างามแบบนี้ มี
ผู้หญิงกี่คนที่จะไม่ชอบบ้าเล่า?”
ฉีหนิงหัวเราะ แล้วพูดเสียงเบาว่า “พวกเราคง
ไปทางน้้าไม่ได้แล้ว ยังดีที่พวกเราออกจากซี
ชวนมาแล้ว เรากลับเมืองหลวงทางบกดีกว่า”
“โหวเยว่คิดว่าพวกมันจะกลับมาอีกหรือ?” หลี่
ถังขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกเขาพุ่งเป้ามาที่เสื้อ
คลุมสีด้า เสื้อคลุมสีด้าก็จมลงไปใต้น้าแล้ว พวก
เขาจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?”
โจวซุ่นยิ้มแล้วพูดว่า “พวกนั้นจะต้องตามหา
เสื้อคลุมสีด้าตามน้้าแน่ หากถึงเวลานั้นคงจะ
เจอแต่เสื้อคลุมสีด้า พวกมันจะสงสัยหรือไม่?”
“แม่น้ากว้างใหญ่แบบนี้ น้้าก็ไหลไปทางทิศ
ตะวันออก ไม่มีทางหาเจอหรอก” ฉีเฟิงพูดว่า
“ต่อให้หาเจอ ข้าว่าพวกมันก็น่าจะคิดออกว่า
มันเกิดอะไรขึ้นหรอก” เขาหัวเราะเสียงเบาๆ
แล้วพูดว่า “ใครจะคิดว่าเสื้อคลุมด้าจะเป็นแค่
กระสอบเกลือ เกลือโดนน้้า มันก็ละลายไป
หมดแล้ว ก็ต้องเหลือแค่เสื้อคลุมสิ พวกมันต่อ
ให้เจอ ก็คงคิดว่าคนหนีไปแล้ว”
ฉีหนิงไอออกมา ฉีเฟิงเลยไม่พูดมากอีก
ท่ามกลางแสงจันทร์ ฉีหนิงรู้สึกหงุดหงิดมาก
ว่าไม่สามารถจับฮวาเซียงหยงมาได้
ฉีหนิงรู้ดีว่า เขาช่วยเซี่ยงไป๋อิ่งจากเขตซินผิง
พวกของผูอ้ าวุโสไป๋หู่ก็จะต้องเห็นเขาเป็นเป้า
แน่ แล้วออกตามหาเซี่ยงไป๋อิ่ง
ฉีหนิงตั้งใจวางแผนล่อพวกเขา ใช้ถุงเกลือห่อ
ด้วยเสื้อคลุมสีด้า ท้าให้พวกเขาเข้าใจผิดว่าเสื้อ
คลุมด้านี่คือเซี่ยงไป๋องิ่ ท้าแบบนี้แล้วก็สามารถ
หลอกให้อีกฝ่ายสนใจได้ หลังจากที่ออกจาก
เมืองเฉิงตูมาแล้ว ฉีหนิงเดาได้อยู่แล้วว่าอีกฝ่าย
จะต้องซุ่มโจมตีพวกเขาแน่ เลยเตรียมพร้อมไว้
อยู่แล้ว
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเตรียมผีใต้น้า
พวกนั้นมา
คืนนี้พวกผีใต้น้าปรากฏตัว ฉีหนิงเดิมทีคดิ จะ
จับเป็นสักคน เพื่อถามข้อมูล เพียงแต่เขาเองก็
รู้อยู่แล้วว่า คืนนี้ถึงคนที่มาจะเยอะ แต่เบื้อง
หลังเรื่องนี้ คนพวกนี้อาจจะไม่รอู้ ะไรเลย จะ
ต้องจับตัวหัวหน้าให้ได้ เพราะไม่แน่อาจจะได้
ข้อมูลอะไรได้บ้าง
พอฮวาเซียงหยงปรากฏตัว ฉีหนิงรู้สึกดีใจมาก
เพียงแต่ฮวาเซียงหยงเจ้าเล่ห์มาก หนีไปได้
พลาดโอกาสที่จะได้ถาม ฉีหนิงรู้สึกโมโหตัวเอง
มาก
เดิมทีเขาตัง้ ใจปล่อยเสื้อคลุมสีดา้ ไป คิดอยาก
ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าเซี่ยงไป๋อิ่งจมลงไปใต้
น้้าแล้ว เสื้อคลุมสีด้านั่นเป็นกระสอบเกลือไม่
นานก็ละลาย ถึงเวลานั้นมันก็จะเหลือแค่เสื้อ
คลุมตัวเดียว ต่อให้หาเจอ ก็จะท้าให้พวกเขา
เข้าใจผิดว่าเซี่ยงไป๋องิ่ ตายไม่พบศพรอดไม่เจอ
ตัวคน
พวกของฉีเฟิงถึงแม้จะรู้ว่าเสื้อคลุมด้าจะเป็น
กระสอบเกลือ แต่จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าฉีหนิง
คิดจะท้าอย่างไร ยิ่งไม่รู้วา่ ที่ฉีหนิงวางแผนแบบ
นี้ ก็เพื่อท้าให้เซี่ยงไป๋อิ่งปลอดภัย
เช้าวันต่อมา ทุกคนก็เริ่มออกเดินทาง พวกเขา
เดินไปทางบก ฉีหนิงให้เงินรางวัลกับเหล่าคน
เรือ แล้วให้พวกเขากลับไปรายงานตัว เสียดาย
เรือล้าใหญ่กับม้าที่จมลงแม่น้าไป ด้วยความจน
ใจ เลยต้องหาที่เช่ารถม้า
หลังจากนั้นการเดินทางกลับเมืองหลวงก็ราบ
รื่น ตลอดเส้นทางไม่ได้หยุดเดินทางเลย ผ่านไป
หนึ่งวันก็มาถึงเมืองเจี้ยนเยี่ยแล้ว หลังจากเข้า
เมือง พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ฉีหนิงออกจาก
เมืองหลวงไปเป็นเวลานาน เมื่อมาถึงประตู
เมือง ในใจก็นึกถึงแต่กู้ชิงฮั่น เพียงแต่เขาก็รู้ว่า
ฮ่องเต้น้อยก็คงรอเขาอยู่ทุกวันเหมือนกัน เขา
สั่งให้พวกฉีเฟิงกลับไปที่จวนจิ่นอีโหวก่อน
เหยียนหลิงเซี่ยนกับซีเหมินจั้นอิงก็กลับไปราย
งานตัวที่จวนเสินโหว ส่วนเขาก็ตรงไปที่วัง
หลวงเลย
เมื่อมาถึงประตูวัง ทหารหลวงที่เฝ้าประตูเห็นฉี
หนิงเนื้อตัวมอมแมม เลยจ้าเขาไม่ได้ เลย
ตะคอกไปว่า “ใคร?”
ฉีหนิงก็ไม่พูดมาก หยิบป้ายทองออกมาแล้วพูด
ว่า “ข้าจิ่นอีโหวฉีหนิง รับบัญชาจากฝ่าบาท
ออกไปตรวจราชการมา ตอนนีก้ ลับมารายงาน
ผลกับฝ่าบาท”
ทหารหลวงเห็นป้ายทองก็รีบยิ้มแล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ที่แท้ท่านกลับมาเมืองหลวงแล้วนี่เอง
ฝ่าบาทมีรับสั่ง ไม่ว่าโหวเยว่เข้าวังมาเมื่อไหร่
ให้เข้าไปได้ทันทีห้ามขวางทางเด็ดขาด เพียงแต่
โหวเยว่ไม่ได้สวมชุดต้าแหน่งมา ข้าน้อยเลยจ้า
ไม่ได้ เลยล่วงเกินไป โหวเยว่อภัยด้วย”
ฉีหนิงเห็นทหารคนนัน้ ก็รู้เรื่องอยู่บ้างเลยยิ้ม
แล้วพูดว่า “ฝ่าบาทสั่งให้ข้าไปท้างานส้าคัญ ข้า
รีบกลับมา เลยยังไม่ทันได้ไปเปลี่ยนชุด”
ทหารหลวงยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่สง่างามไม่
เหมือนใคร ราชกิจครั้งนี้ต้องประสบ
ความส้าเร็จอยู่แล้ว ฝ่าบาทเองต้องปูนบ้าเหน็จ
ให้ท่านแน่นอน” เขาไม่ได้พูดมากอีก ปล่อยให้
ฉีหนิงเข้าไปในวัง
หลังจากที่ฉีหนิงเข้าวังมา ก็ตรงไปยังห้องทรง
อักษรเลย มีคนไปรายงาน ฮ่องเต้น้อยรู้ว่าฉี
หนิงกลับมา ก็ดีใจมาก เขาสั่งว่า “ให้เขาเข้า
มา”
ฉีหนิงเดินเข้ามาในห้องทรงอักษร เห็นหลงไท่
ยืนอยู่หน้าประตู เขาเห็นฉีหนิงเนื้อตัวมอมแมม
หลงไท่ก็หวั เราะร่า เดินขึ้นหน้ามาแล้วชกไปที่
หน้าอกของฉีหนิง ฉีหนิงรู้ว่าเขาดีใจมาก ก็
ไม่ได้หลบ จากนั้นก็ได้ยินฮ่องเต้น้อยหัวเราะ
พร้อมทั้งบ่นว่า “เจ้าบ้าเอ้ย เจ้าไปเถลไถล
สบายใจ ปล่อยให้ข้ารอตั้งนาน หากเจ้ายังไม่
ยอมกลับมา ข้าจะลงโทษเจ้าแล้วรู้หรือไม่” เขา
ลากฉีหนิงเข้าไปในห้อง จากนั้นก็ปิดประตู แล้ว
ถึงหันมาถามว่า “เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง
หรือ?”
ฉีหนิงท้าหน้าเศร้าแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ท่านคิด
ว่าข้าไปเถลไถลมาหรือ ไปซีชวนครั้งนี้
กระหม่อมเกือบเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นแล้ว หากไม่
เพราะกระหม่อมฉลาด พลิกสถาการณ์ได้ คิด
ว่าท่านคงไม่ได้เห็นหน้ากระหม่อมแล้ว” เขาชี้
ไปที่คอของตัวเองแล้วพูดว่า “กระหม่อมกังวล
ว่าฝ่าบาทจะทรงรอนาน เลยขีม่ ้าไม่หยุดเร่ง
เดินทางกลับมา พอกลับมาถึงยังไม่ทันกลับจวน
ก็เข้าวังมารายงานตัวก่อน ตอนนี้หิวน้้าจะตาย
อยู่แล้ว”
หลงไท่หัวเราะ แล้วเดินไปเปิดประตูห้องทรง
อักษร แล้วสั่งไปว่า “ใครก็ได้ ไปยกรังนกเห็ดหู
หนูมาสองถ้วยสิ” เขาดีใจมาก เดินไปหยิบของ
ว่างมาวางไว้ตรงหน้าฉีหนิง เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ข้าให้เจ้า ลองกินดู”
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้เกรงใจ หยิบขนมขึ้นมากินเลย
หลงไท่เห็นเขากินเหมือนหมู ก็หัวเราะแล้วพูด
ว่า “ซีชวนแห้งแล้งขนาดนั้นเลยหรือ เจ้าไป
คราวนี้ เหมือนไม่ได้กินข้าวมานานหลายปี
เลย”
“ฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าซีชวนแห้งแล้งหรอก แต่
กระหม่อมไม่มีเวลากินมากกว่า” ฉีหนิงกินไป
ด้วยพูดไปด้วย “จริงสิ ฝ่าบาททรงได้ฎีกาของ
เหว่ยซูถงหรือยัง?”
หลงไท่ไปหยิบฎีกาทีโ่ ต๊ะมา แล้วพูดว่า “เมื่อ
วานเพิ่งได้รับ เหว่ยซูถงชมจิ่นอีโหวไม่ขาดปาก
เลย เหมือนว่าคราวนี้หากไม่ได้จิ่นอีโหว ฟ้าจะ
ถล่มดินจะทลายแน่” จากนั้นเขาก็หยิบฎีกามา
อีกฉบับ “นี่เป็นฎีกาที่มีคนถวายขึ้นมาเมื่อสิบ
วันก่อน เจ้าลองเอาไปอ่านดู”
ฉีหนิงไม่ได้สนใจฎีกาของเหว่ยซูถง ว่าด้านใน
เขียนอะไรบ้าง ก่อนหน้านี้เหว่ยซูถงกับเขาคุย
กันถูกคอ ไม่ดูก็รู้ว่าเขียนอะไร เพียงแต่หลงไท่
เอาฎีกาอีกฉบับมาให้ เหมือนต้องการจะบอก
อะไร เขาเปิดอ่านดู ก็ขมวดคิ้ว แล้วมองไปที่
หลงไท่ จากนั้นก็พดู ว่า “ฝ่าบาท เจ้าปังเย่าเป็น
ใครกัน?”
“เจ้าปังเย่าเป็นสมุหนายกของหออาลักษณ์
หลวง” หลงไท่พูดว่า “ฎีกาแบบนี้ รวมแล้วมี
สิบกว่าฉบับ ผู้ช่วยสมุหนายกเป็นขุนนาง
ระดับสูง เขาเป็นคนค้าพูดคมคาย ถึงได้อยู่ใน
ต้าแหน่งนี้ได้”
ฉีหนิงก็พอรู้มาบ้าง หออาลักษณ์หลวงเป็น
หน่วยงานราชการชั้นสูงที่ท้าหน้าที่เป็นฝ่าย
ตรวจการ โดยแบ่งออกเป็นสามฝ่าย ได้แก่ ฝ่าย
ท้องพระโรง ฝ่ายโต๊ะทรงอักษร ฝ่ายตรวจการ
สมุหนายกเป็นขุนนางสูงสุดของหออาลักษณ์
หลวง ส่วนผู้ช่วยราชเลขาสมุหนายกเป็นขุน
นางในสังกัดของสมุหนายกอีกที หออาลักษณ์
หลวงตรวจสอบขุนนางได้ทุกต้าแหน่งและ
ระดับ แต่ไม่มีขุนนางใดที่สามารถตรวจสอบ
พวกเขาได้ บางครั้งแม้แต่พระราชจริยวัตรของ
ฮ่องเต้พวกเขาก็สามารถตรวจสอบทัดทานได้
หออาลักษณ์หลวงมีส่วนคล้ายกับจวนเสินโหว
ไม่น้อย เพราะมีหน้าที่ตรวจสอบ เพียงแต่จวน
เสินโหวตรวจสอบเรือ่ งในยุทธภพเท่านั้น ส่วน
หออาลักษณ์หลวงมีหน้าที่ตรวจสอบหน่วยงาน
ในราชส้านัก
ฉีหนิงพูดว่า “ผู้ช่วยบอกว่ากระหม่อมให้ความ
ช่วยเหลือโจรผู้ร้าย ยังบอกว่ากระหม่อมไม่เห็น
ความปลอดภัยของชาติบ้านเมืองเป็นส้าคัญ ใช้
อ้านาจในทางที่ผิด ฝ่าบาท เหมือนคนในราช
ส้านักจะมีอคติกับข้าไม่น้อยเลยนะ”
หลงไท่นั่งลงที่เก้าอี้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ตอนที่
อดีตฮ่องเต้ยังทรงครองราชย์อยู่ พระองค์ให้
ความส้าคัญกับหออาลักษณ์หลวงมาก ไม่ว่าพูด
อะไรออกมา ก็ไม่ถือเป็นความผิด คนพวกนั้นก็
เลยไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น แม้แต่เรื่องที่ไม่เป็น
เรื่อง พวกเขาก็ไม่ปล่อยให้หลุดรอดไปเลย
นิดๆ หน่อยๆ ก็จะถวายฎีกามาร้องเรียน” เขา
ชี้ไปที่ฎีกาแล้วพูดว่า “เจ้าปังเย่าเป็นเพราะเขา
พูดตรง ไม่กลัวผิดใจกับใคร อดีตฮ่องเต้โปรด
ปรานเขามาก สนับสนุนเขาเป็นพิเศษ คนใน
ราชส้านักเห็นว่าอดีตฮ่องเต้ให้ความส้าคัญกับ
เขา เลยยอมเขามากหน่อย เขาเลยยิ่งไม่เกรง
กลัวอะไรเลย เลยมีคนแอบเรียกเขาว่าเจ้าใจ
เด็ด”
“ใจเด็ด?” ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ผู้ว่าเมือง
หลวงโม่เจิงมีฉายาว่าโม่กระดูกเหล็ก หอ
อาลักษณ์หลวงก็มีผชู้ ่วยที่มีฉายาว่าเจ้าใจเด็ด
ฝ่าบาท คนตรงไปตรงมาในราชส้านักมีไม่น้อย
เลยนะ”
“ประเทศชาติมีขุนนางตรงไปตรงมา ประเทศก็
เจริญ” หลงไท่พูดว่า “หากราชส้านักไม่มีขุน
นางที่กล้าพูดตรงๆ ประเทศชาติคงล่มสลายไป
แล้ว” เขาพิงเก้าอี้ เอามือมาวางไว้ที่หน้าท้อง
แล้วพูดว่า “เจ้าปังเย่าจะต้องถวายฎีการ้อง
เรียนอะไรสักอย่างปีละอย่างน้อยหนึ่งครั้ง อดีต
ฮ่องเต้ก็จะตัดสินความในท้องพระโรง หลังจาก
เขาได้รับต้าแหน่งผู้ช่วยสมุหนายก ฎีกาก็ลด
น้อยลง ถึงแม้จะน้อย แต่ว่าทุกครั้งที่ถวายมา ก็
จะต้องมีขุนนางต้องออกจากต้าแหน่งไปอย่าง
น้อยสองคน”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท เจ้าใจเด็ดมีความ
แค้นอะไรกับจิ่นอีตระกูลฉีหรือไม่? เหตุใดเขา
ต้องลงมือกับข้าด้วย?”
หลงไท่พูดว่า “เท่าที่ข้ารู้ เขาไม่ได้ญาติดีกบั ใคร
ในราชส้านักเลยนะ เหมือนว่าเขาจะไม่เข้ากับ
ฝ่ายไหน เจ้าลองคิดดู เขาร้องเรียนชาวบ้านไป
ทั่ว ขุนนางที่ถูกเขาร้องเรียนจนหลุดจาก
ต้าแหน่งไปมีแต่เรื่องเล็กน้อย ยังมีใครอยากจะ
คบกับเขาอีกเล่า?”
ฉีหนิงหยิบฎีกาขึ้นมา แล้วพูดว่า “ท่านผู้ช่วย
เจ้าร้องเรียนเรื่องของเขาเชียนอูหลิง ข่าวสาร
ของเขาก็ถอื ว่าไวดี เขารู้เรื่องที่เขาเชียนอูหลิง
ละเอียดมากเลย” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท
หากเขาเป็นคนเที่ยงตรง กระหม่อมก็ไม่วา่
อะไร แต่หากเขามีแผนอะไรอยู่ เจ้าใจเด็ดคนนี้
กระหม่อมจะให้เขากลายเป็นเจ้าใจแตกไปเลย
คอยดู”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 514 ไม่ควักสักแดงเดียว
ท่าทางของหลงไท่นิ่งเฉย เขายิม้ แล้วถามว่า
“เจ้าคิดว่าเจ้าปังเย่าถวายฎีการ้องเรียนเจ้า มัน
มีเบื้องหลังซ่อนอยู่หรือ?”
“ฝ่าบาท ฎีกาฉบับนี้เขียนเล่ารายละเอียดเรื่อง
ราวบนเขาเชียนอูหลิงได้เหมือนกับตาเห็น” ฉี
หนิงพูดว่า “ข่าวสารของผู้ช่วยเจ้าดีมาก หาก
เขาได้ยินเรื่องของเขาเชียนอูหลิงมาบางส่วน
กระหม่อมเชื่อว่าเขาไม่น่ามีอะไร แต่ว่าราย
ละเอียดที่เขาไม่ควรจะรูแ้ ม้แต่เรื่องที่กระหม่อม
เดินออกมาจากตาหนักหินดาก็รู้ มันน่าแปลก
เกินไปหน่อยกระมังหรือว่าผู้ชว่ ยเจ้าอยู่ทนี่ ั่นกับ
กระหม่อมด้วย?” เขายิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องของ
เขาเชียนอูหลิง เป็นเรื่องของจวนเสินโหวกับ
ยุทธภพ เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องของหออาลักษณ์
หลวงอยู่แล้ว เหตุใดเขาถึงได้สนใจประเด็นนี้
ขึ้นมาได้เล่า?”
หลงไท่พูดว่า “ซีเหมินอู๋เหิงก็เข้าวังมารายงาน
เรื่องเขาเชียนอูหลิงให้ข้าได้รู้แล้ว เขาชมเจ้าไม่
ขาดปากเลยนะ บอกว่าเจ้าสามารถยุติศกึ ครั้ง
ใหญ่ได้ จริงสิ ได้ยินว่าราชาพิษจิ่วซียินดีเข้า
เมืองหลวงมากับเจ้า แล้วตอนนีเ้ ขาอยู่ที่ไหน?”
“ฝ่าบาท ตอนนีเ้ ขาก็น่าจะอยูใ่ นเมืองหลวงแล้ว
อีกสองสามวันคิดว่าน่าจะมาหากระหม่อม
แล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “ตอนที่กระหม่อมอยู่เมือง
เฉิงตู เซียวหยวนผ่อมาบอกรับสั่งของฝ่าบาท
ให้กระหม่อมเข้าร่วมการบุกโจมตีเขาเชียนอูห
ลิง ตอนที่กระหม่อมออกจากเมืองหลวงไป ฝ่า
บาทให้รับสั่งให้กระหม่อมตรวจสอบเรื่องถ้าเฮย
เหยียนอย่างเดียว ไม่ทราบว่าเหตุใดถึงได้
เปลี่ยนพระทัย ให้กระหม่อมไปเขาเชียนอูหลิง
ด้วยล่ะ?”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เข้าใจความคิดข้า
จริงหรือ? ที่จริงก็ไม่ใช่ความคิดข้าหรอก เป็น
เพราะซีเหมินอู๋เหิงพูดขึ้นมา เขาบอกว่าจิ่นอี
เหล่าโหวยกทัพไปปราบซีชวน เป็นที่เคารพ
ของเหล่าชาวเหมียวมาก พรรคบัวดากับชาว
เหมียวมีความเกี่ยวเนื่องกัน หากเจ้าออกหน้า
ชาวเหมียวอาจจะไม่กล้าแอบคบคิดกับพรรค
บัวดาก็ได้” เขาหยุดไป แล้วถึงพูดว่า “เจ้าเพิ่ง
จะได้รับสืบทอดตาแหน่งโหวได้ไม่นาน ราช
สานักมีหลายคนไม่ได้เห็นเจ้าอยูใ่ นสายตาเลย
ข้าให้โอกาสเจ้าได้สร้างผลงาน เจ้าควรจะ
ขอบใจข้าถึงจะถูก”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ถ้าอย่างนั้น
ซีเหมินอู๋เหิงก็เป็นคนเสนอฝ่าบาท ให้ข้าไปบุก
โจมตีเขาเชียนอูหลิงด้วยอย่างนั้นสินะ?” พอ
นึกถึงคาพูดของหลีซกี งขึ้นมา แล้วก็แน่ใจว่า
เรื่องนี้ซีเหมินอู๋เหิงเป็นคนเสนอจริง ในใจก็นึก
ระแวงขึ้นมา
หลงไท่เห็นฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด เลยถามว่า
“เป็นอะไรไป?”
ฉีหนิงรู้ว่าเขาทาได้แค่เดาแล้วก็สงสัยซีเหมินอู๋
เหิงเท่านั้น แต่เขาไม่มีหลักฐาน อยู่ต่อหน้าหลง
ไท่ก็พูดตรงๆ ไม่ได้ เขาพูดว่า “กระหม่อมคิด
ว่าซีเหมินอู๋เหิงไม่คดิ ให้ราชสานักไปยุ่งเกีย่ วกับ
เรื่องของจวนเสินโหว ครั้งนี้เลยคิดไม่ถึงว่าเขา
จะให้กระหม่อมเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ด้วย”
“เหว่ยซูถงบอกว่าถ้าเฮยเหยียนถูกคนให้ร้าย
คนร้ายตัวจริงยังไม่เจอ” หลงไท่ขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “เรื่องนี้มันเป็นอย่างไรกันแน่?”
ฉีหนิงเล่าเรื่องที่ได้เจอมาที่ซีชวนทั้งหมดให้หลง
ไท่ฟัง หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อไป๋
ถังหลิงยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเฮยเหยียนก็ต้องถูกคนให้
ร้ายแน่นอน” เขาใช้ความคิดแล้วพูดว่า “ถึงแม้
จะยังไม่มีหลักฐาน แต่ว่าท่าทีของหลี่หงซิ่น
แปลกมากจนน่าสงสัย คิดว่าเขาน่าจะไม่อยู่นิ่ง
แน่นอน”
“ตอนนี้เหว่ยซูถงระวังหลี่หงซิ่นอย่างเต็มที่” ฉี
หนิงพูดว่า “ถึงแม้ตาเฒ่านี่จะเจ้าเล่ห์มาก แต่
ว่าในเมื่อเขาฉีกหน้าหลี่หงซิ่นไปแล้ว ตอนนี้ก็
หวังให้ฝ่าบาทหนุนหลังเขาเท่านั้น เขาเก็บไว้ใช้
งานได้”
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าก็ยังไม่ได้คิดจะ
ทาอะไรเขาตอนนี้หรอก ขอแค่เขาเฝ้าซีชวนให้
ดี ข้าไม่เพียงไม่ทาอะไรเขา แต่ยังจะตกรางวัล
ให้เขาด้วย” เขาพูดอีกว่า “สิ่งที่น่ากลัวที่สดุ ใน
ซีชวน ก็คือหลี่หงซิ่น ขอแค่จับตาดูหลี่หงซิ่นไว้
ให้ดี ซีชวนไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นแน่นอน ข้าแค่
กังวลว่าเรื่องของถ้าเฮยเหยียน จะทาให้ชาว
เหมียวเจ็ดสิบสองถ้าจะวุ่นวาย ตอนนี้ในเมื่อ
เจ้าก็เป็นมิตรกับเหมียวอ๋องแล้ว ถ้าเฮยเหยียน
ก็ปลอดภัย ชาวเหมียวก็คงสงบแล้ว ข้าก็
เหมือนยกภูเขาออกจากอกไปลูกหนึ่งแล้ว”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่ซีชวนไม่ได้มีแค่หลี่หงซิ่นที่
น่ากลัว การไปซีชวนครั้งนี้ มีสิ่งที่น่าสงสัยมาก
ไม่ว่าจะเป็นพรรคกระยาจกหรือว่าฮวาเซียงหย
งอีกทั้งยังมีแม่ทัพหน้ากากโลหะอีก ต่างก็น่า
สงสัย เบื้องหลังมีแผนร้ายอะไรซ่อนอยู่ ฉีหนิง
เองก็ยังนึกไม่ออก เขารู้ว่าสิ่งที่หลงไท่ให้ความ
สาคัญมากที่สุดก็คือหลี่หงซิ่นกับชาวเหมียวเจ็ด
สิบสองถ้า ขอแค่กลุ่มอานาจสองกลุ่มนี้ไม่
เคลื่อนไหวอะไร หลงไท่ก็สบายใจแล้ว เขาเองก็
ไม่ต้องไปทาให้เรื่องมันยุ่งยากไปมากกว่านี้
“เจ้าเองก็เดินทางมาลาบาก ยังไม่ได้กลับจวน
ด้วย ข้าก็จะไม่รั้งตัวเจ้ากินข้าวกับข้าแล้วนะ”
หลงไท่พูดว่า “กลับไปเจอคนทางบ้านก่อน
เถอะ จริงสิ ข้าได้ออกว่าราชการเต็มตัวแล้วนะ
วันก่อนเพิ่งประกาศแต่งตั้งจงอี้โหวให้เป็นเจิ่น
กั๋วกง ส่วนลูกชายคนโตเขาซือหม่าฉางเซิ่นรับ
สืบทอดตาแหน่งจงอีโ้ หว” เขาพูดว่า “ตอนนี้
บารมีของตระกูลซือหม่าไม่มีใครเทียบได้เลย
นะ”
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก เขาคิดว่า ตระกูลซือหม่า
คนหนึ่งได้บรรดาศักดิ์กงคนหนึ่งได้บรรดาศักดิ์
โหว บารมีล้นเหลือ
“ฝ่าบาทอวยยศให้ซอื หม่าหลัน ทางไหวหนาน
อ๋องไม่มีปฏิกิริยาอะไรบ้างหรือ?” ฉีหนิงถาม
เสียงเบาๆ
หลงไท่พูดว่า “หลังจากที่เจ้าไปจากเมืองหลวง
ทุกครั้งที่ข้าไปถวายพระพรไทเฮา หากนางไม่
พูดถึงเรื่องการอวยยศของตระกูลซือหม่า ก็
จะต้องพูดเรื่องการรับซือหม่าหว่านฉงเข้าวัง”
สีหน้าของเขาดุมาก “ข้าเกลียดมาก เลยต้อง
อวยยศให้เขาตอนวันแรกที่ออกว่าราชการ ทา
แบบนี้ ทางไทเฮาก็จะได้ไม่ต้องมาบีบให้ขา้ ต้อง
รับซือหม่าหว่านฉงเข้าวัง ข้ายอมถอยแล้ว นาง
ก็จะมาบีบคั้นอะไรมากไม่ได้อีก”
ฉีหนิงเห็นอยู่ รู้ว่าหลงไท่อคติกับไทเฮามาก รู้
ว่าวังหลังไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่แปลก
ใจว่าทาไมฮ่องเต้น้อยถึงได้ไม่พอใจมากขนาดนี้
เขารู้ว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป หลงไท่กับตระกูล
ซือหม่าจะต้องเกิดรอยร้าวขึ้นแน่นอน ยังดีที่
ฮ่องเต้น้อยเองก็โตพอจะควบคุมอะไรหลาย
อย่างได้ ฮ่องเต้น้อยทาได้เพียงระบายความไม่
พอใจกับเขาเท่านั้น ส่วนอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็
ซ่อนความไม่พอใจเอาไว้
“ฝ่าบาท ท่านครองราชย์บริหารราชกิจ อย่าง
ไรก็ต้องแต่งงานสักวันหนึ่ง” ถึงแม้ฉีหนิงจะรู้
เรื่องของเชื้อพระวงศ์บ้าง แต่วา่ ในฐานะที่เป็น
ขุนนางจะเข้าไปยุ่งเรื่องนี้มากไม่ได้ แต่เขากับ
ฮ่องเต้น้อยสนิทกันมาก หากพูดกันคาสองคา
ฮ่องเต้น้อยไม่ว่าอะไรเขาอยู่แล้ว อีกทั้งยังรู้สึก
ว่าสนิทสนมกันดี แล้วพูดว่า “ครั้งทีแ่ ล้ว ที่
กระหม่อมเสนอไป ให้ไปสู่ขอองค์หญิงกับทาง
ตงฉี ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแล้วหรือยัง”
หลงไท่กวักมือเรียก ให้ฉีหนิงเข้ามาใกล้ๆ แล้ว
พูดเสียงเบาๆ ว่า “หลังจากที่พวกเราคุยกันไป
ครั้งที่แล้ว ข้าไม่ได้ให้ใครรู้เรื่องนี้เลย ฉีหนิง ข้า
เตรียมจะพูดเรื่องนี้ในท้องพระโรง เจ้าว่าดี
หรือไม่?”
“จะพูดเรื่องนี้ในที่ประชุมหรือ?” ฉีหนิงขมวด
คิ้ว “ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแล้ว?”
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “หากหารือกับ
ไทเฮาก่อน ไทเฮาอยากให้ซือหม่าหว่านฉงเข้า
วัง อย่างไรนางต้องขวางเรื่องนี้แน่ ถึงเวลานั้น
จะแก้ไขมันก็ยากแล้ว หากเรื่องนี้ข้าตกลงใน
ท้องพระโรง เรื่องนี้มันก็จะกลายเป็นเรื่องจริง
โอรสสวรรค์พูดคาไหนคานั้น ถึงเวลานั้นก็กลับ
คาไม่ได้อีก อีกทั้งพวกของไหวหนานอ๋อง ข้าก็รู้
ดี ซือหม่าหลันได้อวยยศเป็นกง ซือหม่าฉาง
เซิ่นได้เป็นจงอี้โหว ไหวหนานอ๋องต้องไม่พอใจ
มากอยู่แล้ว ครั้งก่อนที่ออกว่าราชการ ไหว
หนานอ๋องไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร แต่ข้ารู้ว่าเขา
ไม่พอใจซือหม่าหลันมาก”
“ฝ่าบาทหมายถึงว่า ตอนนี้ตระกูลซือหม่า
บารมีมาก มีคนไม่น้อยไม่พอใจ หากซือหม่า
หว่านฉงได้เข้าวังอีก จะไม่มีใครคัดค้านเลย
หรือ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไหวหนานอ๋องคง
ไม่อยากให้ตระกูลซือหม่ามีอานาจไปมากกว่านี้
แน่ จริงสิ ฝ่าบาท แล้วเรื่องที่ไทเฮาจะให้ซื
อหม่าหว่านฉงเข้าวัง ไหวหนานอ๋องรู้เรื่องนี้
หรือไม่?”
หลงไท่ยิ้มแปลกๆ แล้วพูดว่า “หากไหวหนาน
อ๋องรู้เรื่องนี้ อย่างไรก็ต้องขัดขวางแน่ หากฝ่า
บาททรงพูดการแต่งงานกับตงฉีในท้องพระโรง
ไหวหนานอ๋องจะต้องช่วยพระองค์แน่”
“ข้าเองก็คิดแบบนั้น” หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า
“ขอแค่ไม่ใช่ซือหม่าหว่านฉงที่เข้าวัง ไม่ว่าใคร
จะมา ไหวหนานอ๋องจะต้องช่วยเต็มที่แน่นอน
ข้าเลยจะพูดเรื่องการแต่งงานนี่ในการประชุม
ครั้งหน้า แล้วให้เหล่าขุนนางเป็นคนลงความ
เห็นเรื่องนี้ ทาแบบนี้ไทเฮาก็ขวางข้าไม่ได้”
ฉีหนิงยกนิ้วมือให้ “แผนของฝ่าบาท ร้ายกาจ
มากเลยนะ”
“จริงสิ เจ้าเองก็เตรียมตัวไว้ให้ด”ี หลงไท่พูดว่า
“เจ้าปังเย่าถวายฎีการ้องเรียนเจ้า การประชุม
ครั้งหน้า เขาจะต้องหาเรื่องเจ้าแน่นอน”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรง
เตือน กระหม่อมรู้ว่าจะทาอย่างไร” เขาไอ
แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ยังมีอกี เรื่อง อยากขอคา
ชี้แนะกับฝ่าบาทหน่อย”
“อะไร?”
“กระหม่อมไปซีชวนครั้งนี้ มีค่าใช้จ่ายมาก
มาย” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังมากว่า “ไม่รู้ว่า
ค่าใช้จ่ายพวกนี้ต้องไปเบิกย้อนหลังกับทางกรม
คลังได้หรือไม่ หรือว่าต้องได้รับอนุญาตจากฝ่า
บาทก่อนหรือไม่? นอกจากค่าใช้จ่ายนี้แล้ว ฝ่า
บาทก็ควรจะมีรางวัลอะไรเล็กๆ น้อยบ้างจริง
หรือไม่”
หลงไท่ยืนตัวตรง เขากลับไปนัง่ ที่โต๊ะทางาน
ของเขา แล้วยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้ากลับ
ไปก่อนไป ข้ายังมีฎีกาที่ต้องอ่านอีก” จากนั้นก็
หยิบฎีกาขึ้นมาอ่าน ไม่ได้สนใจอะไรฉีหนิงเลย
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท พระองค์จะให้ม้า
วิ่ง ก็ต้องป้อนหญ้า จวนจิ่นอีโหวจนมาก การ
เดินทางในครั้งนี้กว่าจะเจียดเงินออกมาได้ยาก
เย็นแสนเข็ญ ท่าน...ท่านจะทาแบบนี้ไม่ได้นะ”
หลงไท่เหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า “ข้าให้
โอกาสเจ้าสร้างผลงาน ให้เจ้าไปเชิดหน้าชูตาใน
ซีชวน เจ้ายังมีหน้ามาคิดบัญชีกับข้าอีกหรือ?
เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ ครั้งที่แล้วลูกเศรษฐี
มอบของขวัญให้เจ้ามากมาย อีกทั้งโต้วเหลียน
จงยังให้เงินเจ้าอีก ไม่ใช่ยอดน้อยๆ เลยนะ”
เขาโยนฎีกาลง ยิ้มแล้วพูดว่า “ยังมีหัวหน้าของ
กรมพิธีการเจียงซุยอวิ๋น ตอนการชุมนุมจิงหัว
เจ้าพนันกับเขา ชนะได้เงินมาหมื่นตาลึง ทาไม
เงินพวกนี้ไม่พอใช้หรืออย่างไร ยังกล้ามาบอก
ข้าว่าจนอีก? ระวังข้าจะลงโทษเจ้าข้อหา
ทุจริต”
ฉีหนิงอึ้งไป แล้วพูดว่า “เรื่องพวกนี้...ฝ่าบาทรู้
หมดเลยหรือ?”
“จิ่นอีโหว เจ้าไปหาเงินจากด้านนอก ข้าปิดตา
ข้างหนึ่งตลอด อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ” หลงไท่
จ้องไปที่ฉีหนิงแล้วยิ้ม “ข้าเห็นเจ้าเป็นเพื่อน
ระหว่างเพือ่ น อย่ามาพูดเรื่องเงินเรื่องทองกัน
เลย จะได้ไม่ผิดใจกัน” เห็นฉีหนิงหัวเสีย เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าวางใจได้ ข้ารูว้ ่าเจ้าลาบาก
ข้าไม่ให้เจ้าลาบากเปล่าๆ หรอกนะ อย่างไรข้า
ก็จะให้เจ้าได้มีโอกาสได้เงิน”
ฉีหนิงจนปัญญา แอบคิดในใจว่าทาไมเขา
จะต้องมาเจอฮ่องเต้ที่ไม่ควักอะไรแม้แต่แดง
เดียวเลยนะ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 515 ติดหนี้
หลังจากที่ฉีหนิงออกจากวัง เขาตื่นเต้นตลอด
การเดินทาง ในหัวของเขามีแต่ภาพของกู้ชงิ ฮั่น
ฉีหนิงไม่ได้มีความรูส้ ึกอะไรกับจวนจิ่นอีโหว
มากนัก ไท่ฟูเหรินทีล่ ึกลับนั่น แม้แต่หน้าฉีหนิง
ยังไม่อยากมองเลย แต่ว่าเพราะมีกู้ชิงฮั่นอยู่
มันทาให้ฉีหนิงรู้สึกว่ามันคือบ้าน
เขาคิดว่ากู้ชิงฮั่นเองก็คงเฝ้ารอให้เขากลับบ้าน
มาเร็วๆ พอถึงหน้าประตูจวนจิน่ อีโหว ฉีหนิงก็
รู้สึกตื่นเต้นดีใจบอกไม่ถูก
พวกของฉีเฟิงกลับจวนมาก่อน ดังนั้นคนใน
จวนก็รู้แล้วว่าฉีหนิงกลับเมืองหลวงมาแล้ว ที่
หน้าประตูมีคนมารอรับอยู่แล้ว พอเห็นฉีหนิง
กลับมา ก็มีคนเข้าไปรายงานทันที จากนัน้ ก็มี
คนเดินขึ้นมาต้อนรับเขา
ฉีหนิงเดินตรงเข้าจวนไปทันที ทันใดนั้นเองก็
เห็นเงาสาวสวยเงาหนึ่งกาลังเดินขึ้นหน้ามาหา
เขา กู้ชิงฮั่นนั่นเองจะเป็นใครไปได้
กู้ชิงฮั่นสวมชุดสีม่วงปักลายดอกเหมย ภายใน
เป็นชุดเกาะอกสีชมพูลายดอกกุหลาบ ผ้าคาด
เอวสีเขียว นางรวบผมขึ้น เดินท่าทางงดงาม
ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มหวานประดับอยู่
“ซานเหนียง...” ฉีหนิงรีบเดินขึ้นหน้า เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ข้าเข้าวังไปรายงานตัวกับฝ่าบาท
ก่อน ช่วงนี้ลาบากท่านแล้ว”
กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับมา
อย่างปลอดภัยก็ดีแล้วนะ” นางเดินขึ้นหน้ามา
แล้วมองไปที่ฉีหนิง จากนั้นก็อมยิ้มแล้วพูดว่า
“ออกไปคราวนี้ ตัวดาขึ้นเยอะเลย เดินทางมา
เหนื่อยมากใช่หรือไม่?”
“ก็ไม่ได้เหนื่อยเท่าไร” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ข้าอยากจะรีบกางปีกบินกลับมา เจอหน้าซาน
เหนียง...กับคนในบ้านเลย”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ข้าให้คนเตรียมข้าวไว้ให้แล้ว ดู
เจ้าสิมอมแมมไปหมด รีบไปอาบน้าก่อน แล้ว
เปลี่ยนชุดใหม่ พวกเราจะรอเจ้ากินข้าวนะ”
“แล้ว...แล้วต้องไปพบท่านย่าก่อนหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไปรายงานให้ไท่
ฟูเหรินทราบแล้ว ท่านกาลังสวดมนต์อยู่ ไม่ให้
ใครไปรบกวน”
ฉีหนิงคิดในใจว่ายายแก่นี่แปลกจริงๆ หากเป็น
คนแก่คนอื่น หลานชายคนโตไปทางานกลับมา
ครั้งแรก อีกทั้งไปนานขนาดนี้ คงต้องอยากพบ
หน้าแน่ๆ แต่ว่าไท่ฟูเหรินของจวนจิ่นอีโหวนี่
กลับจะสวดมนต์ ไม่เจอใคร เย็นชาจริงๆ
แต่ว่าสาหรับฉีหนิงแล้ว การไม่ได้เจอไท่ฟเู หริน
ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เขายิม้ แล้วพูดว่า “ก็ดี
เหมือนกัน เช่นนั้นข้าไปอาบน้าก่อน” เขากลับ
ไปที่ห้องของเขา พอเดินไปไม่กี่ก้าว เขาก็หัน
หลังกลับมามอง เขาเห็นกู้ชิงฮั่นก้มหน้า ขมวด
คิ้ว เหมือนมีอะไรในใจ มันแปลกมาก กู้ชิงฮั่น
เห็นฉีหนิงหันกลับมามอง ก็ฝืนยิ้มให้เขา
ฉีหนิงรู้ว่ากู้ชิงฮั่นมีเรือ่ งในใจ เดิมอยากจะถาม
เลย แต่ก็คิดว่าไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ แต่เขาก็
พบว่ากู้ชิงฮั่นยังคงงดงาม แต่ว่าสีหน้าของนาง
แย่ลงไปมาก นางดูโทรมลงไปไม่น้อยเลย แอบ
คิดในใจว่าหลังจากเขาออกจากเมืองหลวงไป กู้
ชิงฮั่นดูแลจวนเหนื่อยเกินไปหรือไม่?
พอเขากลับไปทีเ่ รือนนอนของเขา กู้ชิงฮั่นก็ให้
คนเตรียมน้าร้อนเอาไว้แล้ว เดินทางมามอม
แมมมาก พอได้อาบน้าร้อน ก็รู้สึกสบายใจขึ้น
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ก็ตรงไปที่ห้องโถง
ในจวน เห็นกู้ชิงฮั่นกาลังจัดเตรียมอาหารอยู่
เขาค่อยๆ เดินไปด้านหลังของกู้ชิงฮั่น
แต่กู้ชิงฮั่นเหมือนจะไม่รู้ว่าฉีหนิงเดินมาอยู่
ด้านหลังของนาง นางมีเรื่องในใจหนักมาก ฉี
หนิงยืนอยูด่ ้านหลังของนาง มองดูรูปร่างของ
นาง มันทาให้เขาหวัน่ ไหว แทบอยากจะเข้าไป
กอดนางจากด้านหลังเดี๋ยวนีเ้ ลย เพียงแต่เขาก็
รู้ดี กู้ชิงฮั่นไม่ใช่คนทีจ่ ะแหย่เรื่องแบบนี้ได้ ครั้ง
ก่อนคิดอยากจะลองดู สุดท้ายก็มองหน้ากันไม่
ติดเลย อีกทั้งยังทาให้ความสัมพันธ์ของพวก
เขาห่างกันไปด้วย
กลับจากซีชวนครั้งนี้ ท่าทีของกูช้ ิงฮั่นดูเหมือน
จะดีขึ้น แต่ว่าเขาจะทาผิดแบบเดิมอีกไม่ได้แล้ว
ไม่อย่างนั้นเกิดนางโกรธขึ้นมา จะแก้ไขลาบาก
ฉีหนิงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กู้ชิงฮั่นไม่เพียงสวย
แต่ยังทางานเก่งด้วย รูปร่างก็ดีหาได้ยาก เอว
สะโพกหน้าอกก็อวบอิ่ม เป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์
ล้นเหลือ
ถึงแม้กู้ชิงฮั่นจะถือถาดจัดวางอาหารอยู่ แต่
เหมือนว่าใจของนางไม่อยู่กับเนือ้ กับตัว นางไม่
ระวังทาให้มือไปโดนถ้วยน้าแกงร้อนๆ “โอ๊ย”
นางรีบเก็บมือ ฉีหนิงเห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็
รีบพูดว่า “ซานเหนียง ไม่ได้ถูกลวกใช่หรือไม่?”
เขาเดินขึ้นหน้ามาแล้วจับมือของกู้ชิงฮั่นมาดู กู้
ชิงฮั่นไม่รอให้เขาโดนตัว ก็รีบหดมือกลับมา
ก่อน นางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่...ไม่เป็นไร
...”
มันเป็นอาหารที่เพิ่งปรุงสุก น้าแกงนี่ก็ร้อนมาก
กู้ชิงฮั่นเป็นคนบอบบาง โดนน้าร้อนขนาดนี้
มันก็บวมแดงขึ้นมา ฉีหนิงพูดว่า “มันแดง
หมดแล้ว ยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก” เขาหันหลัง
แล้วเตรียมจะเดินไป กู้ชิงฮั่นรีบพูดว่า “เจ้าจะ
ไปไหน?”
“ข้าจะไปขอยากับแม่นางถัง” ฉีหนิงพูด
กู้ชิงฮั่นรีบพูดว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าไปเอง” นาง
เดินไปจับมือของฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้ากินข้าว
ก่อนเถอะ ข้าไปทายาเองก็ได้”
ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วพยักหน้า กู้ชิงฮั่นยิ้ม
แล้วเดินออกจากประตูไป ฉีหนิงนั่งลงที่โต๊ะ
อาหาร เขารู้สึกว่ากูช้ ิงฮั่นไม่ปกติ เขาเลยกิน
ข้าวไม่ลง จากนั้นก็ตะโกนไปว่า “ใครก็ได้ ไป
ตามพ่อบ้านหานมาที?”
พ่อบ้านจวนจิ่นอีโหวหานโซ่ววิ่งเข้ามา แล้วพูด
ว่า “โหวเยว่ ท่านหาข้าน้อยหรือขอรับ?”
“พ่อบ้านหาน เจ้าเข้ามาคุยกันหน่อย” ฉีหนิง
กวักมือให้หานโซ่วเข้ามา แล้วถามว่า “ข้าไม่อยู่
เมืองหลวงตั้งนาน ในจวนเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หรือไม่?”
หานโซ่วรีบพูดว่า “โหวเยว่ หลังจากท่านไป
แล้ว ฮูหยินสามดูแลเรื่องในจวนทุกเรื่องทั้ง
เรื่องเล็กเรือ่ งใหญ่ ส่วนข้าน้อยก็คอยช่วย ทุก
อย่างเป็นไปอย่างมีระบบระเบียบดี ไม่ได้มีเรื่อง
อะไรเลย”
“แล้วพวกของท่านใหญ่สามมาหาเรื่องที่จวน
หรือไม่?” ฉีหนิงขมวดคิ้วถาม “ลูกชายของเขา
ยังมาหาเรื่องหรือไม่?”
หานโซ่วส่ายหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่ หลังจาก
ที่ท่านออกเดินทางไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มานะ
ขอรับ” เขาถามอย่างระมัดระวังว่า “โหวเยว่
เหตุใดถึงถามแบบนี้ละ่ ขอรับ?”
“แล้วต้วนชางไห่ไปไหน เหตุใดไม่เห็นเขา
เลย?”
หานโซ่วยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ท่านลืมไปแล้ว
หรือ ก่อนที่ท่านจะไป ท่านสั่งให้พวกเขาฝึก
ทหารที่ค่ายกิเลนดา ช่วงเวลานี้ส่วนมากต้วน
ชางไห่กับจ้าวอู๋ซางจะอยู่ที่ค่าย ต้วนชางไห่มี
กลับมาบ้างสองครั้ง แต่ว่าฮูหยินสามบอกให้
เขาไม่ต้องเป็นห่วงทีน่ ี่ ใส่ใจในการฝึกทหารก็
พอ”
ฉีหนิงแอบด่าตัวเองในใจ เขาลืมเรื่องสาคัญ
แบบนี้ไปสนิทเลย เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้า
เห็นฮูหยินสามเหมือนมีเรื่องในใจ คิดว่าในจวน
เกิดอะไรขึน้ หรือเปล่า ในเมื่อไม่มีอะไร ก็ดี
แล้ว”
หานโซ่วลังเล แล้วก็หยุดพูดไป
ฉีหนิงเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าต้องมีอะไรแน่นอน เขา
พูดว่า “มีเรื่องอะไร ยังไม่รีบพูดมาอีก”
หานโซ่วพูดว่า “โหวเยว่ ฮูหยินสามคงจะ
เครียดเรื่องของนายท่านลุงใหญ่ ทางจวนโหว
ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรเลย แต่ว่า...แต่ว่าทางนาย
ท่านลุงใหญ่เกิดเรื่องใหญ่มาก”
“นายท่านลุงใหญ่? กู้เหวินจาง?” ฉีหนิงตะลึง
ไป “ทางเขาเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เหมือน...เหมือนจะเป็นเพราะภาพวาด” หาน
โซ่วเหมือนจะกลัวคนได้ยิน เขาเขยิบเข้าใกล้ฉี
หนิงแล้วพูดว่า “นายท่านลุงใหญ่เหมือนจะได้
ภาพวาดมาหนึ่งภาพ แต่ว่า...เหมือนจะมีปัญหา
สองวันก่อนนายท่านลุงใหญ่ยังมาที่จวน แต่ถูก
ฮูหยินสามต่อว่าอย่างรุนแรง พวกเรา...พวกเรา
ต่างไม่กล้าเข้าใกล้ ข้าน้อยอยู่ดา้ นนอก ได้ยิน
มาเท่านี้ แต่ว่า...รายละเอียดเป็นเช่นไร ข้าน้อย
ไม่ทราบเลยขอรับ”
ฉีหนิงพูดอย่างแปลกใจว่า “ภาพวาด? มันเกิด
อะไรขึ้นกันแน่?”
หานโซ่วยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงของกู้
ชิงฮั่นดังขึน้ มาว่า “พ่อบ้านหาน โหวเยว่กาลัง
กินข้าว เจ้าออกไปก่อนเถอะ” กู้ชิงฮั่นเดินเข้า
มา แล้วนั่งลงตรงข้ามกับฉีหนิง หานโซ่วรีบก้ม
หัวแล้วถอยออกไปทันที
“ยังไม่หยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าวอีก?” กู้ชิงฮั่น
เห็นอาหารบนโต๊ะอยู่เหมือนเดิม นางขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “กินข้าวดีๆ อย่าไปสนใจเรื่องไม่เป็น
เรื่อง กินเสร็จแล้วจะได้เรียกคนมาเก็บกวาด”
ฉีหนิงยิ้ม แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมา เขามองไปที่
กู้ชิงฮั่น ลังเล แล้วพูดว่า “ซานเหนียง ภาพวาด
นั่น...มันเรื่องอะไรกัน?”
“เรื่องอะไร?” กู้ชิงฮั่นไม่ได้พดู ดีด้วย “มันไม่
เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่ตอ้ งถามมาก ใครทาอะไรไว้
ก็ให้เขาไปแก้เอง จะได้ไม่ต้องมาเดือดร้อนคน
อื่นด้วย” พูดถึงตรงนี้ ดวงตาของนางก็เริ่มแดง
ก่าเหมือนไม่อยากให้ฉีหนิงเห็น นางเลยหัน
หน้าหนีไป
ฉีหนิงเห็นกู้ชิงฮั่นเป็นแบบนี้ เขารู้ทันทีวา่ เรื่อง
นี้ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน เขาวางตะเกียบลง
แล้วพูดว่า “หากท่านลุงมีเรื่องจริง พวกเราจะ
ไม่ช่วยไม่ได้ ช่วยอะไรได้ พวกเราก็ต้องช่วย
ซานเหนียง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านเล่าให้ข้า
ฟังเถอะนะ เผื่อข้าจะมีวิธีช่วยได้”
“ไม่มีทางหรอก” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “หากเจ้าอยาก
ช่วยจริงๆ ก็ไปบอกให้จวนผู้ว่า ให้พวกเขาเอา
ตัวคนไม่เอาไหนนั่นเข้าคุกไปที ติดคุกไปเลย
ตลอดชีวิตยิ่งดี” พูดถึงตรงนี้ นางก็หันหน้าหนี
ไป หันหลังให้ฉีหนิง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา
เช็ดน้าตา
“ทาไมถึงได้ไปเกี่ยวข้องกับจวนผู้ว่าด้วยล่ะ?”
ฉีหนิงพูดอย่างแปลกใจว่า “ท่านลุงตอนนีอ้ ยู่ที่
ไหน?” เขาลุกขึ้น แล้วเดินมาตรงหน้าของกู้ชิง
ฮั่น แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ซานเหนียง ท่าน
อย่าเสียใจไปเลยนะ มีเรื่องอะไรก็บอกข้า ข้า
จะคิดหาทางให้เองนะ ท่านเป็นแบบนี้จะเสีย
สุขภาพนะ”
กู้ชิงฮั่นเงยหน้ามองฉีหนิง น้าตายังไม่หยุดไหล
นางกัดปาก ลังเล แล้วถึงพูดว่า “เขาติดหนี้คน
อื่นหกหมื่นตาลึง อีกสองวัน หากเขาไม่มีเงินไป
จ่าย ก็จะต้องถูกฟ้องร้อง ถึงเวลานั้นก็ต้องถูก
จับติดคุกอยู่ด”ี
“หกหมื่นตาลึง?” ฉีหนิงอึ้งไป “ท่านลุงเป็นหนี้
หกหมื่นตาลึง? มัน...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เขาพอจะรูจ้ ักกู้ชิงฮั่นดี ตระกูลกู้กับตระกูลฉี
เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมากที่เจียงหลิง มี
อิทธิพลในท้องที่มาก ตระกูลกูม้ ีทรัพย์สิน
มากมายในเมืองสิงโจว มีเงินมีที่ดินมากมาย
จนถึงตอนนี้ ตระกูลของกู้ชิงฮั่นเองก็ถือว่าเป็น
ตระกูลผู้ดีเศรษฐีตระกูลหนึ่ง ถึงแม้เงินหกหมื่น
ตาลึงจะไม่ใช่ยอดน้อยๆ แต่สาหรับตระกูลกู้
มันก็ถือว่ารับได้
กู้ชิงฮั่นย้ายสามโนครัวมายังเมืองหลวง อีกทั้ง
ยังซื้อร้านค้าไว้ทาการค้าหลายหลัง ซึ่งไม่ใช่
เรื่องที่ใครทั่วไปจะทาได้ ฉีหนิงคิดไม่ออกเลยว่า
แล้วทาไมเขาถึงได้ไปเป็นหนี้ถึงหกหมื่นตาลึงได้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 516 หนีอย่างทุลักทุเล
กู้ชิงฮั่นหยุดพูดไป สุดท้ายก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ช่างเถอะ เจ้าอย่ามายุ่งเรื่องนีเ้ ลย” นางลุกขึ้น
ยืนแล้วพูดว่า “ข้าจะไปเยี่ยมท่านแม่ที่นั่นสัก
หน่อย ท่านแม่โกรธจนธาตุไฟเข้าแทรก เกือบ
จะโมโหตายเพราะเจ้าไม่เอาไหนนั่น ยังดีที่แม่
นางถังให้ยามาสองชุด เลยพ้นขีดอันตราย”
กู้ชิงฮั่นซื้อจวนในเมืองหลวงเอาไว้ ตอนนี้ฉหี นิง
เดินทางไปซีชวน ตระกูลกู้เองก็ย้ายออกไปจาก
จวนโหว ฉีหนิงรู้ว่าจวนตระกูลกู้น่าจะอยูไ่ กล
จากจวนโหว นั่งรถก็ยังต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่ว
ยาม เขารีบพูดว่า “ซานเหนียง ท่านรอเดี๋ยว
ข้าไปกับท่านด้วย จะได้ไปเยี่ยมท่านเหล่าฮู
หยินด้วย”
“เจ้าเพิ่งจะกลับมา พักก่อนเถอะ” กู้ชิงฮั่นพูด
ว่า “ท่านแม่ เจ้าจะไปเยี่ยมเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้อง
รีบร้อนหรอก”
ฉีหนิงพูดว่า “ซานเหนียง อย่างไรครั้งนี้ท่านก็
จะต้องให้ข้าไปด้วย ท่านลุงก่อเรื่อง เหล่าฮู
หยินโกรธจนล้มป่วย นางต้องโกรธมากแน่ๆ
อีกทั้งยังร้อนใจด้วย ถึงแม้โหวเยว่อย่างข้าจะไม่
ค่อยเอาไหน แต่ว่าไปเยี่ยมนางตอนนี้ ท่าน
เหล่าฮูหยินอาจจะสบายใจขึ้นก็ได้”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว แต่ก็รู้สึกว่าทีฉ่ ีหนิงพูดมานั้นก็
ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ฉีหนิงก็
เป็นถึงจิ่นอีโหว เป็นคนเก่าคนแก่ของราชสานัก
หากเหล่าฮูหยินได้พบหน้าฉีหนิงในเวลา
อันตรายทีส่ ุดแบบนี้ ไม่แน่นางอาจจะมีความ
หวังขึ้นมาก็ได้ พอนางสบายใจ สุขภาพของนาง
ก็จะดีขึ้น “ไม่ต้องรีบร้อน ฟ้ายังไม่มืด เจ้ากิน
ข้าวก่อนเถอะ ข้าจะให้คนไปเตรียมรถ”
พอกู้ชิงฮั่นออกไปแล้ว ฉีหนิงก็รบี กินข้าว ในใจ
ของเขาก็คดิ ว่านี่มันเป็นโอกาสที่ดี เขากับกู้ชิง
ฮั่นห่างเหินกันมาระยะใหญ่ มันทาให้เขารู้สึก
ไม่สบายใจ ในเมื่อมีโอกาสได้แก้ไขสถานการณ์
ให้ตระกูลกู้ ถึงแม้จะเป็นเพราะกู้ชิงฮั่น แต่เขา
ก็จะไม่ปฏิเสธเลย
หลังจากกินข้าวแล้ว กู้ชิงฮั่นก็เตรียมรถไว้เรียบ
ร้อยแล้ว กู้ชิงฮั่นยืนอยู่ที่ข้างรถม้า สวมชุดสี
ม่วง เมื่อเห็นฉีหนิงเดินมา นางก็ถามว่า “เจ้า...
เจ้าจะขี่ม้าไปใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงพูดว่า “เดินทางมาไกล เหนื่อยมากแล้ว
ข้านั่งรถไปดีกว่า จะได้พักบ้าง วันนี้ไม่ขี่ม้าละ
กัน”
“อ๋อ” กู้ชิงฮั่นรู้สึกเขิน ถึงแม้ขนุ นางเชื้อพระ
วงศ์ในเมืองหลวงจะชอบนั่งรถ แต่ว่าฉีหนิง
มักจะขี่ม้าไปไหนมาไหนเป็นหลัก นั่งรถม้านั้น
ถือได้ว่าน้อยครั้งมาก กู้ชิงฮั่นคิดว่าฉีหนิงจะขี่
ม้าไป เลยเตรียมรถม้าคันเล็กเอาไว้ นั่งคนเดียว
มันก็สบาย แต่พอนั่งสองคนมันก็เบียดเสียดเล็ก
หน่อย
ที่จริงจวนจิ่นอีโหวมีรถม้าไว้หลายคัน เพราะ
อย่างไรก็เป็นถึงบรรดาศักดิ์โหว ตามกฎหมาย
ของแคว้นฉู่ บรรดาศักดิ์โหวใช้รถม้าสี่ตัวลาก
แต่ว่าตระกูลฉีใช้ชีวิตติดดิน แม้แต่ตอนที่ท่าน
เหล่าโหวอยู่ นอกจากจะมีเป็นงานทางการที่
เป็นหน้าเป็นตาของแคว้นถึงจะใช้รถม้าสี่ตัว
ลาก ปกติก็ใช้แค่รถม้าสองตัวลากเท่านัน้ ตอน
ที่ฉีจิ่งอยู่ ออกไปไหนมาไหนก็มักจะขี่ม้า เวลา
นั่งรถก็นั่งแบบสองตัวลาก
กู้ชิงฮั่นเป็นแค่สะใภ้ในจวน ออกไปไหนมาไหน
ใช่แค่รถม้าลากตัวเดียว รถม้าในวันนี้ ที่จริงเป็น
รถประจาที่นางใช้ นางคิดว่าฉีหนิงจะขี่ม้าไป
ดังนั้นเลยสั่งให้คนเตรียมรถม้าที่นางใช้ประจา
มา แต่ว่าตอนนี้ฉีหนิงกลับบอกว่าจะนั่งรถไป
หากจะให้ไปเปลี่ยนรถม้ามา จะเสียเวลามาก
อีกทั้งตอนนี้ก็ใกล้เย็นมากแล้ว นางเหมือนจะ
ลังเล แต่วา่ จะต้องนัง่ เบียดกับฉีหนิงบนรถ นาง
รู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย
หากเป็นเมื่อก่อน กู้ชงิ ฮั่นคงไม่ได้รู้สึกแบบนี้
แต่ตอนนี้นางรู้ดีว่า ฉีหนิงรู้สึกกับนางแบบชาย
หญิง มันไม่ได้บริสุทธิ์แบบเมื่อก่อนแล้ว ใน
สายตาคนอื่น ทั้งสองนั่งรถคันเดียวกันก็ไม่
แปลกอะไร แต่ว่านางรู้ว่ามันไม่เหมาะ ขณะที่
นางกาลังคิด ฉีหนิงก็เดินไปเปิดผ้าม่านรถ แล้ว
มุดเข้าไปในรถก่อน แล้วพูดว่า “ซานเหนียง
ฟ้าจะมืดแล้วนะ พวกเรารีบไปรีบกลับดีกว่า”
ฉีเฟิงยังพักอยู่ในจวน ดังนั้นจึงมีแค่หลี่ถงั กับอีก
สองสามคนตามไปอารักขา กู้ชิงฮั่นคิดว่าหาก
นางยังลังเล คนอื่นจะผิดสังเกต เลยกัดฟันขึ้น
ไปในรถ เห็นฉีหนิงนั่งอยู่ข้างหนึ่งของรถ เหลือ
ที่เอาไว้ให้นาง ด้วยความจนใจจึงนั่งลงตรงนั้น
แล้วพยายามพิงหน้าต่างเอาไว้ เพื่อเว้น
ระยะห่างกับฉีหนิง
ตอนที่ฉีหนิงกลับมา เขารู้สึกว่าเขามีหลายเรื่อง
จะคุยกับกู้ชิงฮั่น แต่พอกลับมาถึงจวน ก็รู้สึกกู้
ชิงฮั่นเหมือนจะมีท่าทีที่เปลี่ยนไปในทางที่ดี
เขาดีใจมาก แต่ว่าพอพวกเขานั่งอยู่ในรถสอง
คนตามลาพัง กลับรูส้ ึกแปลกๆ เขารู้สึกเหนื่อย
ใจ แอบคิดในใจว่าหากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ก่อน
หน้านี้เขาก็ไม่น่าใจร้อนเลย
เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดอะไรดี กู้ชิงฮั่นเองก็รู้
สึกว่าอึดอัดใจ นางพยายามแนบชิดไปด้านหน้า
ต่าง ไม่ไปมองฉีหนิง เพราะลึกๆ นางเป็นห่วง
ตระกูลกู้มาก หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ได้ยิน
เสียงกรน นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง นางเห็น
ฉีหนิงหัวพิงหน้าต่าง แล้วหลับไป รถม้าโยกไป
โยกมา ตัวของฉีหนิงเองก็โอนเอนไปมา
เหมือนกัน
กู้ชิงฮั่นเห็นท่าทางของฉีหนิง ก็อดขาไม่ได้
ถึงแม้เมืองหลวงอากาศจะอุ่นขึน้ มาแล้ว แต่ว่า
พอตกเย็น อากาศก็ยังเย็นอยู่ กู้ชิงฮั่นถอดเสื้อ
คลุมของตัวนางออกมา แล้วคลุมให้ฉีหนิง แล้ว
พูดเบาๆ ว่า “ครั้งนี้คงเหนื่อยมากจริงๆ สินะ”
ฉีหนิงไม่ได้หลับไปจริงๆ ถึงแม้เขาจะเหนื่อย
แต่ว่าก็ไม่ได้เหนื่อยถึงขนาดหลับไปบนรถแบบ
นี้ อีกทั้งยังมีกู้ชิงฮั่นอยู่ข้างๆ แบบนี้ด้วยแล้ว
ภายในรถ เดิมทีก็มีกลิ่นกายของกู้ชิงฮั่นอยู่แล้ว
พอนางถอดเสื้อคลุมของนางมาห่มให้ฉีหนิงอีก
เสื้อคลุมยังมีกลิ่นกายของนางติดอยู่ มันหอม
มาก
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่า ถึงแม้กู้ชิงฮั่นจะเว้นระยะ
กับเขา แต่ว่าลึกๆ แล้วนางก็ยังเป็นห่วงเขาอยู่
เห็นเขาหลับไป ก็ยังถอดเสื้อคลุมมาห่มให้เขา
นางไม่เพียงหน้าตางดงาม อีกทั้งยังเป็นคน
อ่อนโยนใส่ใจ ผู้หญิงดีๆ แบบนี้ หากได้แต่งงาน
ด้วย เป็นบุญจริงๆ
รถเดินโยกเยกไปมา กู้ชิงฮั่นกาลังคิดอะไรบาง
อย่าง ฉีหนิงเองก็คดิ เหมือนกัน กู้ชิงฮั่นตอนนี้
อายุแค่ยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดเท่านั้น ถึงแม้ในยุคนี้
มันจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่ว่าก็ไม่ได้แก่ เป็นสาว
รุ่นเต็มวัย แต่ว่าท่านสามตระกูลฉีตายในสนาม
รบไปนานแล้ว ทิ้งนางเป็นม่ายอยู่ในจวนโหว
คนเดียว หากยังอยู่เป็นม่ายแบบนี้ต่อไป
สาหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว มันก็น่าสงสารมาก
ด้วยหน้าตาและความฉลาดของกู้ชิงฮั่น แต่หาก
จะแต่งงานใหม่ อย่างไรนางก็เจอคนที่
เหมาะสมกับนางได้แน่นอน
แต่ฉีหนิงรูว้ ่า ในยุคสมัยนี้การมีความคิดเรื่อง
แต่งงานครั้งเดียวมันสาคัญแค่ไหน อีกทั้งมัน
เป็นความคิดที่ฝังแน่นมากด้วย ตอนนี้กู้ชงิ ฮั่น
เป็นคนของตระกูลฉี สนิทสนมกับเขาดี แต่ว่า
หากวันหนึง่ นางจะออกจากตระกูลฉีไป แล้ว
แต่งงานใหม่ ตอนนั้นนางก็จะไม่ได้มีอะไร
เกี่ยวข้องกับตระกูลฉีอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉีหนิงไม่
อยากจะเห็นเลย
ในเมื่อเขาเองก็ไม่อยากเห็นกู้ชิงฮั่นเป็นม่ายโดด
เดี่ยวจนตาย แต่ก็ไม่อยากเห็นนางแต่งงานใหม่
เขารู้สึกลาบากใจมาก
ทั้งสองต่างคนต่างคิด ทันใดนั้นเองรถม้าก็
ค่อยๆ เดินช้าลง จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาว่า
“ฮูหยินสาม ด้านหน้านี้ก็จะถึงจวนตระกูลกู้
แล้ว”
กู้ชิงฮั่นได้สติกลับมา นางหันไปมองฉีหนิง เห็น
เขายังหลับอยู่ ก็ลังเล แต่สุดท้ายนางก็ยื่นมือ
ออกไป แล้วตบไปที่ไหล่ของฉีหนิงเบาๆ แล้ว
พูดว่า “หนิงเอ๋อร์ พวกเรามาถึงแล้วนะ ตื่น
ก่อนเถอะ ไว้ค่อยกลับไปพักดีๆ ที่จวนนะ”
ฉีหนิงกึ่งหลับกึ่งตื่นไปจริงๆ เขาถูกกู้ชิงฮัน่ ปลุก
ขึ้นมา ก็บิดขี้เกียจ ยิม้ แล้วพูดว่า “แค่พักตาครู่
เดียวก็ถึงแล้ว เร็วดีเหมือนกันนะ”
กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “บอกให้เจ้าไว้ค่อยมา
เจ้าก็ยืนยันว่าจะมาวันนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้น
ตอนนี้เจ้าหลับสบายอยู่บนเตียงไปแล้ว”
ฉีหนิงพูดว่า “ไม่ได้อยู่กับท่านมาตั้งนาน ได้
ออกมาข้างนอกกับท่านแบบนี้ ต่อให้ง่วงตาย
ข้าก็จะมา”
กู้ชิงฮั่นหน้าร้อนผ่าว นางไม่ได้พูดอะไรต่อ รถ
ม้าหยุดวิ่งแล้ว จากนั้นเขาก็ลงจากม้า ประตู
จวนตระกูลกู้ปิดสนิท มีคนเดินไปเคาะประตู
แล้ว เคาะอยู่นานไม่มีใครเปิดประตูเลย ฉีหนิง
เดินเอาเสื้อคลุมมาคลุมให้กู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นเดิน
ขึ้นหน้าไปที่ประตู แล้วตะโกนว่า “เปิดประตู
เดี๋ยวนี้นะ ข้าเอง”
คาพูดของนาง เหมือนรหัสผ่าน ประตูเปิดออก
มีคนโผล่มามอง เมื่อเขาเห็นกู้ชิงฮั่น ก็รีบเปิด
ออก “คุณหนู ข้าน้อยไม่ทราบว่าเป็นท่าน...”
กู้ชิงฮั่นไม่ได้พูดดีด้วย “ติดหนี้ก็ต้องใช้ มันเป็น
เรื่องปกติ เจ้าปิดประตูใหญ่ แล้วคิดว่าเจ้าหนี้
จะปล่อยเขาไปหรืออย่างไร?” นางเดินเข้าไป
เลย ฉีหนิงเดินตามหลังไป ส่วนพวกหลี่ถังก็รอ
อยู่ด้านนอก
จวนตระกูลกู้ไม่เล็ก แต่ก็ไม่ได้ใหญ่มาก ทาเล
ที่นี่ดีใช้ได้ ราคาก็ค่อนข้างแพง มีจวนแบบนี้ได้
ถือว่าไม่เลวเลย
กู้ชิงฮั่นเคยมาที่นี่แล้ว นางคุ้นเคยกับที่นี่ดี เดิน
ตรงไปที่ห้องโถง มีคนไปรายงานแล้ว พอกู้ชิง
ฮั่นมาถึงห้องโถง ก็ถอดเสื้อคลุมออกวางไว้ด้าน
ข้าง จากนั้นก็นั่งลง แล้วพูดกับบ่าวไพร่คนหนึ่ง
ว่า “กู้เหวินจางอยูไ่ หน? ยังไม่รีบไปตามเขา
ออกมาอีก” น้าเสียงของนางไม่ดีเลย
ฉีหนิงรู้ว่าปกติแล้วกู้ชิงฮั่นมักจะดุกับกู้เหวิน
จาง ส่วนกู้เหวินจางเองก็เกรงใจน้องสาวคนนี้
ของเขาไม่น้อยเลย กู้ชิงฮั่นเรียกชื่อของพี่ชาย
ของเขาไปตรงๆ ฉีหนิงไม่รู้สึกแปลกใจ บ่าวไพร่
ในจวนต่างตามหาตัวกู้เหวินจางให้วุ่น ฉีหนิงนั่ง
ลงข้างๆ กู้ชิงฮั่น ไม่นานก็มีคนเอาน้าชามาให้
หลังจากนั้นไม่นาน บ่าวไพร่คนนั้นก็กลับมา
แล้วพูดว่า “คุณหนู นายท่าน...นายท่านหายตัว
ไปแล้ว ไม่เจอตัวเลยขอรับ” เขาก้มหน้าลง ไม่
กล้ามองกู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะแต่งงานออกไปแล้ว แต่ว่าคน
ในตระกูลกู้ยังติดปากเรียกนางว่า “คุณหนู”
อยู่
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “หายตัวไป? ข้าว่า
ไม่กล้าออกมาเจอคนมากกว่ากระมัง? เจ้าไป
บอกเขานะ หากไม่ใช่เพราะท่านแม่ ข้าก็ไม่ได้
อยากจะเจอหน้าเขาเลย หากเขาไม่อยากมา
เจอหน้าข้าก็ดี ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็ไม่ต้องมาเจอกัน
อีก ข้ากับเขาก็ตัดขาดความเป็นพี่น้องไปเลย”
เห็นบ่าวไพร่คนนั้นยังยืนอยู่ นางก็ต่อว่าไปอีก
“ยังไม่ไปบอกเขาอีก”
“ขอรับ...” บ่าวไพร่รีบถอยออกไป เหมือนหนี
ออกไปอย่างทุลักทุเล
คนในตระกูลกู้รดู้ ีปกติแล้วกู้ชิงฮั่นดีต่อคนรับใช้
มาก แต่ว่าถ้าหากโกรธขึ้นมา ก็เหมือนกับฟ้าผ่า
ลงมา ใครก็ห้ามไม่ได้
ฉีหนิงเห็นทุกอย่าง ก็รู้สึกขา แอบคิดในใจว่ากู้
ชิงฮั่นปกติอ่อนโยนเหมือนสายน้าเลย แต่ว่าพอ
โมโหขึ้นมา กลับน่ากลัวมาก ไม่แปลกใจเลยว่า
ทาไมบ่าวไพร่ตระกูลกู้พอเห็นคุณหนูของพวก
เขามา ต่างก็หวาดกลัว แม้แต่กู้เหวินจาง ก็
หลบหน้าไม่ยอมออกมาเจอหน้า
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 517 ภาพวาดเทพธิดาเฉาลู่
กู้ชิงฮั่นสีหน้าไม่พอใจมาก ฉีหนิงนั่งอยูด่ ้านข้าง
ก็ไม่สะดวกที่จะพูดอะไร หลังจากนั้นไม่นาน ก็
เห็นมีเงาคนยืนลับๆ ล่อๆ อยู่ด้านนอก เขา
เหลือบไปมอง ก็เห็นกู้เหวินจางกาลังยื่นหัวมา
มอง เขาก็แอบขา
“ยังไม่เข้ามาอีก” กู้ชิงฮั่นเองก็รู้ นางไม่ได้พูดดี
“คิดจะไม่เจอกันอีกแล้วใช่ไหมชาตินี้?”
กู้เหวินจางเดินออกมาด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า
“น้องหญิง ครั้งนี้พี่ใหญ่ไม่ดีเอง เจ้าอย่าโกรธ
เลยนะ ท่านโหวน้อย ท่านกลับมาแล้วหรือ
เดินทางไปซีชวนครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ได้พา
คนไปออกรบหรือไม่ องอาจมากเลยใช่
หรือไม่?” เขาไม่กล้ามองไปที่กู้ชิงฮั่น เขาได้แต่
ยิ้มแล้วพูดกับฉีหนิงว่า “ตอนนี้ข้าเสียใจมาก
เลยนะ หากว่าตอนนัน้ ไปซีชวนกับท่านด้วย คง
ไม่เกิดเรื่อง”
จนถึงตอนนี้ฉีหนิงรู้แต่ว่ากู้เหวินจางเป็นหนี้หก
หมื่นตาลึง แต่ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไรนั้น ไม่
มีใครรู้ เขาลุกขึ้นมา ยกมือคานับ แล้วพูดว่า
“ท่านลุงสบายดีหรือไม่?”
“ไม่ดีเลย” กู้เหวินจางพูดด้วยสีหน้าเศร้า “ข้า
มีเรื่อง ท่าน....ท่านเองก็น่าจะรู้เรื่องแล้ว? ท่าน
โหวน้อย ในเมื่อท่านกลับมาแล้ว ท่านจะต้อง
ช่วยข้านะ ครั้งนี้ข้าถูกหลอก”
“หุบปากไปเลย” กู้ชิงฮั่นไม่ได้ไว้หน้าพี่ชายของ
นางเลย นางต่อว่าว่า “เพราะเจ้ามันโลภ
อยากจะหาเงินเข้ากระเป๋ามากๆ จะโทษใคร
ได้? ปกติเจ้าก็ทะเยอทะยานอยู่แล้ว ตอนที่
ท่านพ่อยังอยู่ ก็บอกว่าเจ้ามันหัวสูงไม่ประเมิน
ความสามารถตัวเอง ทาอะไรไม่ได้เรื่อง ต่อให้
ครั้งนี้ไม่มีเรื่องนี้ ต่อไปเจ้าก็ต้องก่อเรื่องอื่น
ขึ้นมาอีกแน่” นางเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูด
ว่า “ข้าพาเขามา ไม่ได้มาเพื่อหนุนหลังเจ้านะ
อีกเดี๋ยวเจ้าเก็บของ แล้วตามเขาไปที่ศาลเลย
เข้าคุกไปเลย”
กู้เหวินจางรีบพูดว่า “น้องหญิง เจ้าจะยอมเห็น
พี่ใหญ่เข้าคุกไปจริงๆ หรือ? เจ้ายังเป็นน้องสาว
ข้าหรือเปล่า เหตุใดเจ้าถึงได้ใจร้ายขนาดนี้
เนี่ย?”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว แล้วต่อว่าไปว่า “เจ้าว่าอะไร
นะ? เจ้าว่าข้าใจร้าย แล้วเจ้าไม่ใจร้ายหรือ
อย่างไร? เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าท่านแม่แก่มากแล้ว
หลังจากที่ท่านพ่อสิน้ ไป ท่านแม่ก็สุขภาพไม่ดี
เจ้าไม่ดูแลบ้านไม่ดูแลท่านแม่ ยังจะพาท่าน
เดินทางทรมานมาเมืองหลวงอีก หากมาถึง
เมืองหลวง เจ้าทาอะไรดีๆ ก็แล้วไป แต่ว่า...แต่
ว่าเจ้าดูเจ้าสิว่าเจ้าทาอะไรบ้าง? เจ้าจะทาให้
ท่านแม่ต้องโกรธตาย” พอพูดถึงตรงนี้ นางก็ตา
แดงขึ้นมา
ฉีหนิงไม่เคยเห็นกู้ชิงฮั่นโกรธมากขนาดนี้มา
ก่อน เขาก็กลัวว่านางจะโกรธจนเสียสุขภาพ จึง
พูดว่า “ซานเหนียง เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน หากไม่
มีอะไรก็ไม่ควรก่อเรื่อง แต่ว่าหากเรื่องมันเกิด
มาแล้ว ก็อย่าไปกลัว ถึงอย่างไรก็ต้องมี
ทางออกแน่”
“ใช่ ใช่ ใช่ ท่านโหวน้อยพูดถูก” กู้เหวินจางยัง
ไม่ทันได้นั่งเลย เขารู้สึกเหมือนว่าเขาได้เจอดาว
นาโชค “น้องหญิง พี่ใหญ่ผิดไปแล้ว เจ้าด่าก็ด่า
แล้ว พวกเราควรหาวิธีแก้กันไม่ดีกว่าหรือ เจ้า
กับข้ามีกันแค่สองคนพี่น้อง หากข้าเป็นอะไรไป
ใครจะเป็นคนดูแลท่านแม่ล่ะ?”
กู้ชิงฮั่นกัดปาก แล้วจ้องไปที่เขา แต่ก็ไม่ได้พูด
อะไร
ฉีหนิงพูดว่า “ซานเหนียง เอาอย่างนี้ดีหรือไม่
ท่านไปดูท่านเหล่าฮูหยินก่อน ข้าจะคุยกับท่าน
ลุงเอง”
กู้ชิงฮั่นเห็นหน้ากูเ้ หวินจางก็โมโห อีกทั้งนางก็
ยังเป็นห่วงเหล่าฮูหยินด้วย นางไม่พูดอะไรอีก
ลุกขึ้น จากนั้นก็ตรงไปหากู้เหล่าไท่เลย
หลังจากที่กู้ชิงฮั่นไปแล้ว กู้เหวินจางก็ถอน
หายใจ แล้วเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก เขายกน้าชา
ขึ้นมาจิบ แล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย หากวันนี้
ท่านไม่ได้มาด้วย น้องหญิงคงจัดการข้าจนไม่
เป็นชิ้นดีไปแล้ว”
“ท่านลุง มันเกิดอะไรขึ้น ได้ยินมาว่าท่านเป็น
หนี้คนอื่นเป็นหมื่นตาลึงเลยหรือ?” ฉีหนิง
ขมวดคิว้ แล้วพูดว่า “ทาการค้าขาดทุนหรือ ข้า
ได้ยินมาว่าเกี่ยวกับภาพวาดอะไรด้วย?”
กู้เหวินจางไม่ได้พูดทันที เขาเดินไปที่หน้าประตู
แล้วมองซ้ายมองขวา เห็นกู้ชิงฮั่นเดินไปไกล
แล้ว ถึงได้เดินกลับมานั่งข้างๆ ฉีหนิง แล้วพูด
ด้วยความเศร้าว่า “ท่านโหวน้อย มันเป็น
หลุมพราง มีคนวางแผนให้ร้ายข้า”
“ให้ร้ายท่าน?”
กู้เหวินจางพูดว่า “ท่านโหวน้อยรู้ใช่หรือไม่ ข้า
มาเมืองหลวง ก็เพื่ออยากจะให้ตระกูลได้เชิด
หน้าชูตากว่าเดิม ท่านพ่อของข้าเฝ้าอยู่ทเี่ จียง
หลิงมาตลอดชีวิต ถึงแม้จะมีสมบัติมากมาย แต่
ว่าท่านเป็นคนขี้กลัว ไม่กล้าทาให้ธุรกิจของ
ตระกูลใหญ่จนเกินไป ท่านลองคิดดูนะ เจียง
หลิงใหญ่แค่ไหนกันเชียว จะไปสู้เมืองหลวงได้
อย่างไรกัน?”
ฉีหนิงแค่ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก
“ที่เมืองหลวง ข้าเปิดร้านทั้งหมดสามแห่ง” กู้
เหวินจางพูดว่า “หนึ่งในสามร้านข้าทาเป็นโรง
รับจานา ข้าได้ยินมาว่าเปิดโรงรับจานาได้กาไร
ดี ก็เลยเปิดมาร้านหนึ่ง จะทาให้มันใหญ่ ก็ต้อง
ใช้คน ข้าก็ประกาศเลยรับสมัครผู้จัดการร้านที่
มีประสบการณ์มาหนึง่ คน เขาเป็นคนสายตา
แหลมคมมาก เคยเป็นผู้จัดการโรงรับจานามา
ก่อน จริงสิ เจ้าบ้านั่นมันแซ่เจียง”
ฉีหนิงคิดในใจว่ากู้เหวินจางนี่พดู จาไม่เป็น
ระเบียบเลย พูดชมสองคา ด่าอีกสองคา เขา
ถามว่า “แล้วเรื่องนี้มนั เกี่ยวกับผู้จัดการเจียง
อย่างไร?”
“เกี่ยวมากๆ เลย” กู้เหวินจางไม่ได้พูดดีเลย
“หลังจากที่ข้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว ก็ต้องมีคบ
หาเพื่อนฝูงบ้าง ปกติเหล่าสหายก็มักเป็นพวก
เศรษฐี ปกติพวกเราก็มักจะนัดรวมพลกันอยู่
บ่อยๆ โดยหนึ่งในนัน้ ก็มีคนหนึ่งที่ชื่อว่าเฉียวอวี๋
เขาเป็นคนมีความรู้มาก เชี่ยวชาญเรื่องภาพ
โบราณ เพราะข้าเปิดโรงรับจานา ก็เลยต้อง
สนิทสนมกับเขาเป็นพิเศษ”
“เฉียวอวี?๋ ” ฉีหนิงถามว่า “เขาเป็นใครกัน?”
“เขาเป็นลูกขุนนาง ได้ยินมาว่าพ่อของเขาเป็น
เจ้าหน้าที่ในกรมพิธีการ” กู้เหวินจางพูดว่า
“ข้าเคยไปบ้านเขามาก่อน เขามีบ้านเล็กๆ ของ
ตัวเอง เอาไว้เลี้ยงผู้หญิงโดยเฉพาะ อีกทัง้ ใน
บ้านของเขายังมีของสะสมโบราณมากมายด้วย
เขาเล่าเรื่องที่มาที่ไปของของเหล่านั้นให้ข้าฟัง
มีหลายอย่างที่ประเมินค่าไม่ได้เลย ดังนั้น...”
ท่าทางของเขาไม่เป็นธรรมชาติ
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านลุงก็เลยคิด
ว่า ภาพโบราณกับของเก่าได้ราคาดีอย่างนั้น
สินะ?”
“ข้า...ข้าคิดอย่างนั้นจริง” กู้เหวินจางพูดว่า
“เฉียวอวี๋ยังบอกอีกว่า ภาพวาดโบราณ
นอกจากที่เขาเก็บสะสมบางส่วน ยังมีอีกไม่
น้อยที่เขานามันไปทากาไร ข้าเลยถามเขาว่า
ขายไปให้ใครบ้าง เขาบอกข้าว่า ในแต่ละปีจะมี
ขุนนางจากต่างเมืองเข้าเมืองหลวงมา เพือ่
คารวะขุนนางผู้ใหญ่ในเมือง พวกเขาจะซื้อภาพ
วาดหายากพวกนี้ ไปเป็นของขวัญ หากยอมซื้อ
ภาพจากเขา พ่อของเขาจะช่วยหาเส้นสายให้
ได้เข้าไปพบผู้ใหญ่ในกรม”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร กู้เหวินจางพูด
ต่อไปว่า “ตอนนั้นข้าถามเขาว่าภาพโบราณ
หนึ่งภาพมันจะทาเงินได้เท่าไหร่ เฉียวอวี๋เล่าให้
ข้าฟังเยอะมากเลย บอกจนข้ารู้สึกว่ามันทา
กาไรได้มาก แต่ว่าซื้อมาราคาไม่มาก มีแต่พวก
ของจริงถึงจะได้ราคาสูง เขาเห็นข้ามีโรงรับ
จานา ยังบอกว่าข้าควรรับจานาของพวกนี้ หาก
ได้ของมีราคามาจริง เอามาขายต่อให้เขาได้
เขาจะรับซื้อในราคาสูง”
“ต่อจากนั้นเล่า?”
กู้เหวินจางพูดว่า “หลังจากโรงรับจานาเปิด
ให้บริการแล้ว เริ่มแรกคนก็ไม่ค่อยมาก แต่ว่า
โชคยังดี รับจานาของดีมาหลายอย่าง ล้วนแต่
เป็นของทีจ่ านาแบบไม่ต้องการไถ่คืน ข้าเลย
เอาไปให้เฉียวอวี๋ดู เฉียวอวี๋บอกข้าว่าข้าโชคดี
เขาก็รับซื้อมันไปจริงด้วย ไม่ถึงหนึ่งเดือน โรง
รับจานาก็มีกาไร ถึงห้าหกพันตาลึง”
ฉีหนิงรู้ดีว่าเงินห้าหกพันตาลึงมันไม่ใช่น้อยๆ
เลย แต่ว่าเขาเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ กู้
เหวินจางพูดต่อว่า “ตกเย็นวันหนึ่ง ข้าอยู่ที่โรง
รับจานา ใกล้จะปิดร้านแล้ว ก็มีลูกค้าคนหนึ่ง
มาที่ร้าน พร้อมกับภาพวาดสองชิ้น”
ฉีหนิงรู้ทันทีว่าเรื่องน่าจะเริ่มจากตรงนี้ เลย
ตั้งใจฟังมาก กู้เหวินจางพูดว่า “คนนั้นท่าทางดู
ธรรมดามาก เดิมข้าก็คิดว่าเขาคงไม่ได้มีของดี
อะไร ตอนนั้นผู้จัดการเจียงก็อยูใ่ นร้านด้วย เริ่ม
มาเขาก็ถามก่อนเลยว่าที่ร้านเรามีเงินมากพอ
หรือเปล่า” เขากาหมัดแน่น แล้วพูดว่า “ข้า
เห็นว่าเขาพูดจาไม่กลัวอะไร ก็รู้สึกไม่ค่อย
พอใจ คิดว่าคิดว่าหากเขามีของดี ต่อให้ตอ้ งใช้
เงินกี่หมื่นตาลึงทองก็ไม่มีปัญหา”
ฉีหนิงรู้ดีว่ากู้เหวินจางพูดจาโอ้อวด
ตระกูลกู้เป็นตระกูลใหญ่ในเจียงหลิง เรือ่ งนี้คือ
เรื่องจริง ทรัพย์สินทุกอย่างของตระกูลกู้รวม
กันแล้ว คิดว่าน่าจะมีเกินหมื่นตาลึงทอง ฉีหนิง
ก็ไม่แปลกใจ แต่ว่าในเมื่อเขาเข้ามาในเมือง
หลวงแล้ว ที่ดินอาคารบ้านก็เอามาไม่ได้ด้วย
เงินในมือก็ลงทุนไปกับบ้านแล้วก็ร้านค้า ซึ่งก็
ลงทุนไปไม่น้อย หากมีเงินหมุนอยู่สักหมืน่
ตาลึงน่าจะพอได้ แต่หากจะมีเงินหมื่นตาลึง
ทอง มันน่าจะไม่ใช่เรื่องจริง
“คนผู้นั้นเห็นข้าพูดแบบนั้น ก็เอาภาพวาดกาง
ออกมา ข้าเห็นเขาพูดจาไม่ได้เกรงกลัว ก็อยาก
จะรู้ว่าเป็นภาพอะไร” กู้เหวินจางพูดว่า “หาก
วันนั้นข้าไม่อยู่ที่นั่น อาจจะไม่มีเรื่องอะไรเกิด
ขึ้น พอข้าได้เห็นภาพนั้นแล้ว ก็ตกใจ ท่านโหว
น้อย ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นภาพวาดของใคร?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าข้าจะไปรู้ได้อย่างไร “ทาให้
ท่านลุงตกใจได้ ก็น่าจะไม่ใช่ภาพธรรมดา”
“มันเป็นภาพของฮานเซิงจื่อ” กู้เหวินจางพูดว่า
“ฮานเซิงจื่อท่านน่าจะเคยได้ยินมา? มันเป็นสุด
ยอดภาพวาดร้อยปี หากพูดถึงการวาดภาพ ไม่
มีใครไม่รู้จกั ฮานเซิงจือ่ ภาพของเขามันยิ่งกว่า
เทพ แค่ภาพที่เขาไม่ได้ตั้งใจวาด ก็ขายได้เป็น
หมื่นตาลึงแล้ว”
แต่ว่าในโลกของฉีหนิงนั้นมันไม่มี เขาไม่รวู้ ่า
ฮานเซิงจื่อคือใคร แต่เมื่อได้ยินกู้เหวินจางพูด
มาแบบนี้แล้ว ก็รู้ฮานเซิงจื่อนั้นจะต้องไม่ใช่คน
ธรรมดาแน่นอน แต่ว่าภาพวาดหนึ่งชิ้นขายได้
เป็นหมื่นตาลึง มันก็ทาให้ฉีหนิงตกใจมาก
เหมือนกัน
“ฮานเซิงจื่อถึงแม้จะวาดรูปได้เหมือนเทพเจ้า
แต่ว่าได้ยินมาว่าเขาไม่ค่อยจะยอมวาดเท่าไหร่
บางทีไม่วาดภาพเลยหลายปีเลยก็มี ภาพที่หลุด
รอดมาก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย” กู้เหวินจางพูดว่า
“ภาพที่มีอยู่ในตอนนี้ มีไม่ถึงสิบภาพ โดยภาพ
ที่มีชื่อเสียงมากทีส่ ุดก็คือภาพเทพธิดา”
“ภาพเทพธิดา?”
“ถูกต้อง” กู้เหวินจางพยักหน้าแล้วพูดว่า
“เท่าที่ข้าได้ยินมา ภาพเทพธิดามีทั้งหมดสอง
ภาพ ภาพหนึ่งคือภาพเทพธิดาเฉาลู่ เป็นภาพ
เทพธิดากาลังลอยอยู่บนฟ้า อีกภาพเป็นภาพ
เทพธิดากลับสวรรค์ ภาพสองชิ้นนี้เป็นภาพที่
ฮ่องเต้สั่งให้ฮานเซิงจื่อวาดขึ้น ฮานเซิงจื่อใช้
เวลากว่าห้าปีในการวาดภาพนี้ขึ้น”
ฉีหนิงคิดว่าฮานเซิงจือ่ แค่วาดแบบไม่คิดยังขาย
ได้ตั้งหมื่นตาลึง หากใช้เวลากว่าห้าปีในการ
วาด มันจะต้องเป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้
แน่นอน
“ตามประวัติที่ได้ยินมา ฮ่องเต้ฝันติดต่อกัน
หลายคืน ทุกคืนที่ฝนั ก็มักจะฝันถึงเทพธิดา เขา
คิดอยากหาคนวาดภาพความฝันของเขาออก
มา ตอนนี้มีเพียงฮานเซิงจื่อคนเดียวเท่านั้นที่มี
ความสามรถนี”้ กู้เหวินจางพูดว่า “ฮ่องเต้ส่ง
คนไปตามหาฮานเซิงจื่อนานกว่าสองปี แล้วใช้
เวลากว่าห้าปีกว่าจะวาดสาเร็จ หลังจากทา
เสร็จ ได้ยนิ มาว่าทุกอย่างตรงตามความฝันของ
ฮ่องเต้ มันเลยกลายเป็นสมบัติล้าค่าของวัง
หลวงไป”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ภาพที่เอามาที่โรง
รับจานาในวันนั้น เป็นภาพเทพธิดาเฉาลูข่ อง
ฮานเซิงจื่อหรือ?”
“ถูกต้อง” กู้เหวินจางพูดว่า “คนผู้นั้นเอา
ภาพวาดนั้นมา มันคือภาพของเทพธิดาเฉาลู่”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 518 สถานการณ์ปลอมๆ
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านลุง ประวัติของคนผู้นั้นท่าน
ได้ตรวจสอบดูหรือไม่? ในเมื่อภาพเทพธิดามัน
เป็นของมีมูลค่า ทาไมเขาถึงได้เอามาจานาที่
โรงรับจานาเล่า? คนที่สามารถครอบครองมัน
ได้ แสดงว่าจะต้องมีประวัติไม่ธรรมดาเลย”
กู้เหวินจางยกมือ แล้วตบไปที่หน้าของตัวเอง
แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ต้องโทษที่ข้า
ประมาทเกินไป ตอนนั้นพอข้าเห็นว่ามันคือ
ภาพของฮานเซิงจื่อ ข้าก็หน้ามืดตามัว ข้าเคย
ได้ยินเฉียวหวีพูดว่า ภาพแบบนี้ หมื่นตาลึงก็หา
ไม่ได้ เขายังพูดอีกว่า หากมีวันหนึ่งข้าได้ภาพ
ของฮานเซิงจื่อมาได้ ไม่ว่าจะกี่ภาพ เขาจะรับ
ซื้อมันในราคาหนึ่งแสนตาลึง”
“พ่อของเฉียวอวี๋เป็นแค่เจ้าหน้าที่กรมพิธีการ
เล็กๆ แต่กลับกล้าได้กล้าเสียแบบนี้ ตระกูล
เฉียวร่ารวยแค่ไหนคงไม่ต้องพูด” ฉีหนิงพูด
กู้เหวินจางพูดว่า “ข้ากับเขาทาการค้ามาด้วย
กันหลายครั้ง ได้กาไรมาก็หลายพันตาลึง ก็เลย
รู้สึกว่าเขาไม่น่าจะหลอกข้า” สีหน้าของเขา
โกรธมาก “ตอนนั้นข้ากลัวว่าคนผู้นั้นจะเอา
ภาพเทพธิดาแล้วหนีไป เลยกล่อมให้เขา
พยายามอยู่ที่ร้านก่อน จากนั้นก็ให้ผู้จัดการ
เจียงนั่นตรวจดูของ ว่าภาพนั่นเป็นของแท้
หรือไม่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าใช่ แค่กลัวว่าจะมีคนเอา
ของปลอมมาหลอก เลยระวังมากเป็นพิเศษ
เจ้าผู้จัดการเจียงนั่นพอตรวจสอบแล้วก็บอกข้า
ว่านั่นมันคือของจริง”
ฉีหนิงมองไปที่กู้เหวินจาง เขาฟังที่กเู้ หวินจาง
พูดต่อว่า “ข้าเชื่อใจเจ้าเฒ่านั่นมากเกินไป พอ
เขาบอกว่ามันคือของจริง ข้าก็เลยไม่ได้สงสัย
อะไรต่อ จากนั้นก็ถามคนผู้นั้นว่าอยากได้เท่า
ไหร่” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “คนผู้นั้นก็เปิด
ปากเอาเงินก้อนใหญ่ เขาบอกว่าเขาต้องการ
เงินไปทางานใหญ่ ยังขาดเงินอยู่ก้อนหนึ่ง ต้อง
การเงินห้าหมื่นตาลึง เขาจานาแบบไถ่คืนได้
ครึ่งเดือนให้หลังเขาจะเอาเงินมาไถ่ของ”
ตอนนี้ก็มีคนเอาน้าชาถ้วยใหม่มาให้ จากนัน้ ก็
ถอยออกไป กู้เหวินจางพูดต่อว่า “ตอนนั้นใน
มือของข้าไม่ได้มีเงินสดมากขนาดนั้น จะให้ข้า
เอาเงินสดให้เขาห้าหมื่นตาลึงเลย มันก็ไม่งา่ ย
แต่ว่าภาพของฮานเซิงจื่ออยู่ใกล้แค่เอื้อม หาก
พลาดไป อาจต้องเสียใจไปชั่วชีวิต” เขาหยิบชา
ขึ้นดื่ม ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าเลยให้คนผู้
นั้นรออยู่ที่ร้านก่อน แล้วข้าก็ออกไปรวบรวม
เงินมา”
“เงินห้าหมื่นตาลึงไม่ใช่น้อยๆ จะหามาภายใน
ครึ่งวัน มันไม่ง่ายเลยนะ” ฉีหนิงถาม “ท่านลุง
ไปหาร้านเงินหรือ?”
กู้เหวินจางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ ด้วยชื่อ
เสียงของข้า จะใช้ร้านค้าหรือว่าโรงรับจานาไป
ค้ากู้เงินมา มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าร้านเงิน
เก็บดอกเบี้ยแพงมาก ดังนั้นข้าเลยไปหาเฉียว
อวี๋ ถามว่าหากเป็นภาพของฮานเซิงจื่อเขาจะ
รับหรือไม่ แล้วก็อยากจะลองยืมเงินเขาดู”
“เขาให้ยืมหรือ?”
กู้เหวินวจางพูดว่า “เฉียวอวี๋เองก็ใจป้า ข้าบอก
แค่ว่ามีคนเอาภาพเทพธิดาเฉาลูข่ องฮาน
เซิงจื่อมาให้ ไม่ได้บอกเขาว่าคนนั้นเอามาที่โรง
รับจานา ถามเขาว่าภาพนี้มันมีมูลค่าเท่าไหร่
เขาบอกข้าว่า ภาพนีม้ ีด้วยกันสองชิ้น หากว่ามี
เพียงภาพเดียว มันไม่สมบูรณ์ ภาพโบราณหาก
ไม่สมบูรณ์ ราคาจะถูกหักไปครึง่ หนึ่ง หากมี
ภาพแค่ภาพเดียวราคาได้แค่หกหมื่นตาลึง แต่
หากได้มาทั้งสองภาพ เขายินดีจ่ายสามแสน
ตาลึง”
ฉีหนิงถึงกับลิ้นจุกปาก แอบคิดในใจว่าเงินสาม
แสนตาลึงถึงแม้จะไม่ได้เป็นยอดที่มากมายจน
หาไม่ได้ แต่ว่าใช้เงินสามแสนตาลึงซื้อภาพสอง
ชิน มันก็เป็นยอดที่เหลือเชื่อ
“ตอนนั้นเหมือนผีเข้ามาสิงในตัวข้า เลยตัดสิน
ใจรับภาพสองชิ้นนั้นไว้ ข้ารีบกลับไปที่โรงรับ
จานา แล้วถามคนนั้นว่ามีภาพอีกหนึ่งชิ้น
หรือไม่” กู้เหวินจางรูส้ ึกโมโหมาก “คนผู้นั้น
เอาภาพสองภาพมา เตรียมที่จะจานาหนึ่งภาพ
อีกภาพเก็บไว้ในมือ เขาบอกข้าว่ามันคือภาพ
อีกภาพที่คู่กัน ตอนนีข้ ้าบอกให้เขาเปิดมันออก
มาดู ผู้จัดการเจียงก็อยู่ข้างๆ ด้วย เขาก็ยืนยัน
ว่ามันคือของจริง ข้าเลยเสนอราคาให้กับคนผู้
นั้นไป แล้วรับซื้อภาพสองภาพนั้นมา”
ฉีหนิงแอบถอนหายใจ แอบคิดในใจว่าพอความ
โลภเข้าตา กู้เหวินจางก็ไม่ได้สติ เรื่องนี้มีจดุ ที่
น่าสงสัยเต็มไปหมด เขากลับมองไม่ออกเลย
“คนผู้นั้นยืนยันว่าจะขอแค่จานา แต่ไม่ขาย
เด็ดขาด” กู้เหวินจางพูดว่า “ข้ากล่อมเขาอยู่
นาน คนผู้นั้นก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ สุดท้ายเขาก็ไม่
ยอมแม้แต่จะจานาสักภาพ จากนั้นก็กลับไป
ข้ารั้งอย่างไรก็รั้งไม่อยู่”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “นี่มันก็เป็นแผน
ของเขา เพื่อดึงให้ทา่ นลุงสนใจ”
“ใช่” กู้เหวินจางพูดว่า “หลังจากนั้นสองวัน
ข้าออกตามหาตัวเขาไปทั่ว แต่ก็ไม่มีข่าวเลย
จนถึงวันที่สามช่วงเย็น คนผู้นั้นกลับมาที่ร้าน
อีก ตอนนั้นข้ารู้สึกดีใจมาก เขาดูร้อนใจมาก
เขาบอกข้าว่า เขาจะจานาทั้งสองภาพเลย แต่
ว่าต้องการเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นตาลึง เขารีบใช้
เงิน ข้าลองไปถามผูจ้ ัดการเจียงดู ถึงได้รวู้ ่าเขา
เอาภาพไปโรงรับจานาอื่นมา แต่ว่าไม่มีที่ไหน
ให้เงินเขามากได้ขนาดนั้น คนผู้นั้นบอกข้าว่า
จะหาเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นตาลึงมาได้มันยาก
แต่ว่าหากข้าหามาให้เขาได้ หลังจากนี้ครึ่ง
เดือน เขาจะเอาเงินหนึ่งแสนแปดหมื่นตาลึงมา
ไถ่ของคืนไป”
ฉีหนิงพูดว่า “เท่ากับว่าครึ่งเดือนจะได้กาไรมา
เปล่าๆ สามหมื่นตาลึง ในโลกนี้มันมีเรื่องง่าย
ขนาดนี้เลยหรือ”
กู้เหวินจางยกมือแล้วตบไปที่หน้าของตัวเองอีก
แล้วพูดว่า “ตอนนี้พอนึกย้อนกลับไป ก็เหตุผล
นั้นแหละ โลกนี้ไม่มอี ะไรได้มาง่ายๆ แต่ว่าตอน
นั้นข้าโดนความโลภครอบงา คิดว่าหากเขาหา
เงินมาไถ่ไม่ได้ ข้าจะได้เอาภาพสองภาพนัน้ ขาย
ต่อให้กับเฉียวอวี๋ ก็จะได้เงินมาสามแสนตาลึง
ได้กาไรมาหนึ่งแสนห้าหมื่นตาลึงง่ายๆ ต่อให้
เขาจะสามารถเอาเงินมาไถ่ไปจริง ข้าก็ยังได้
กาไรอยู่ที่สามหมื่นตาลึง ข้ายังตั้งใจต่อราคากับ
เขา สุดท้ายคนนั้นยอมลดไปสองหมื่นตาลึง เขา
ต้องการเงินหนึ่งแสนสามหมื่นตาลึง แล้ว
รับปากว่าจะไถ่คืนด้วยเงินหนึ่งแสนหกหมื่น
ตาลึง”
“เงินหกหมื่นตาลึงท่านลุงยังหามาไม่ได้เลย
แล้วท่านไปเอาเงินหนึ่งแสนสามหมื่นตาลึงมา
จากไหน?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
กู้เหวินจางพูดว่า “ข้าขอเวลาเขาไปรวบรวม
เงินสองวัน ตอนแรกเขาก็ไม่ยอม ข้าขอร้องเขา
บอกเขาว่าไม่มีโรงรับจานาที่ไหนมีเงินมากมาย
ขนาดนี้หรอก เขาถึงได้รับปาก ข้าจัดหา
โรงเตี๊ยมให้เขาพัก อีกทั้งยังส่งคนไปจับตาดูเขา
ด้วย กลัวว่าเขาจะหนีไป เพื่อให้ได้ภาพสอง
ภาพนั้นมา ข้าไปหาร้านเงิน แล้วใช้ร้านค้าทั้ง
สามร้านค้าประกัน เจรจาไปมาได้มาห้าหมื่น
ตาลึง ไปรวบรวมจากที่อื่นมาอีก ได้มาสาม
หมื่นตาลึง แต่ว่ายังเหลืออีกห้าหมื่นตาลึง จะ
ไปโยกเงินจากเจียงหลิงมามันก็ไม่ทันการณ์
เลยไปหาเฉียวอวี๋ เอาโฉนดทีด่ ินที่เจียงหลิงไป
ค้าไว้ แล้วเอาเงินมาจากเขาห้าหมื่นตาลึง...”
ฉีหนิงส่ายหน้า แอบคิดในใจใวว่ากู้เหวินจางนี่
โลภมากจริงๆ เรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งยังทาให้
กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ขนาดนี้ แอบคิดในใจว่า
เรื่องนี้เขาทาโดยที่ปกปิดกู้ชงิ ฮั่นไว้แน่ ไม่อย่าง
นั้นหากกู้ชิงฮั่นรู้ เขาคงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้
แน่นอน
“กว่าจะได้เงินมาหนึ่งแสนสามหมื่นตาลึงไม่ใช่
เรื่องง่าย สุดท้ายก็ได้ภาพสองภาพนั้นมา” กู้
เหวินจางหน้าเสียไป “หลังจากเขาได้เงินไป ก็
บอกว่าอีกครึ่งเดือนจะมาไถ่ของคืน ให้ข้ารักษา
เอาไว้ให้ดี หากเสียหายแม้แต่นิดเดียว เขาจะ
ให้ข้าชดใช้ ยังบอกอีกว่าเป็นของที่บรรพบุรุษ
เขาเหลือไว้ให้ หากเสียหายไป จะต้องชดใช้เขา
สามแสนตาลึง”
ฉีหนิงถามว่า “ภาพสองภาพนัน้ ยังอยู่กับท่าน
หรือไม่?”
กู้เหวินจางพยักหน้าแล้วพูดว่า “อยู”่ เขากา
หมัดแน่น “เพียงแต่ภาพสองภาพนั้นมันเป็นแค่
เศษกระดาษ ไม่มีค่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ผ่านไปสิบวัน คนที่เอาภาพมาจานาก็ไม่เคยโผล่
หัวมาอีกเลย ตอนนีเ้ หลืออีกแค่ไม่กี่วันแล้ว ข้า
รอเท่าไหร่เขาก็ยังไม่มาสักที ข้ารู้สึกร้อนใจมาก
เลยเอาภาพไปหาเฉียวอวี”๋ พูดถึงตรงนี้ สีหน้า
ของเขาก็ซีดลง “เฉียวอวี๋เห็นข้าเอาภาพเทพ
ธิดามา เริม่ แรกเขาก็ตื่นเต้นดี แต่พอเขาได้ดู
ภาพแล้ว ก็บอกข้าอย่างมั่นใจว่า มันเป็นของ
ปลอม...”
ฉีหนิงเดาได้แต่แรกแล้วว่ามันน่าจะเป็นของ
ปลอม กู้เหวินจางพูดอย่างเสียงอ่อนว่า
“เฉียวอวี๋ยังบอกรายละเอียดว่าทั้งสองภาพเป็น
ของปลอมอย่างไร แต่ว่าข้าฟังไม่เข้าหูเลย”
“หนี้หกหมื่นตาลึงท่านลุงเอามาจากร้านเงิน
หรือ?” ฉีหนิงถาม
กู้เหวินจางนั่งตัวอ่อนอยู่บนเก้าอี้ เหงื่อของเขา
ไหลออกมาจากหน้าผาก “ข้าเอาเงินมาจาก
ร้านเงินห้าหมื่นตาลึง ตามระยะเวลาแล้ว อีก
ครึ่งเดือนให้หลังก็จะกลายเป็นหกหมื่นตาลึง
ตอนนี้เหลือเวลาอีกสองวันเท่านั้น ทางเฉียวอวี๋
น่าจะคุยได้ง่ายหน่อย ข้าเอาโฉนดที่เจียงหลิง
ค้าไว้ ขอแค่เอาเงินห้าหมื่นตาลึงไป เขาจะคืน
ให้ข้าทันที เขาบอกข้าว่าไม่ต้องรีบ มีเงินเมื่อ
ไหร่ค่อยมาไถ่คืน แต่ว่าทางร้านเงินคงทาไม่ได้
แบบนั้น พวกเขาไม่รู้ว่าไปรู้มาจากไหนว่าข้าใช้
เงินหนึ่งแสนตาลึงซือ้ ภาพวาดมาสองภาพ ยัง
กลัวว่าข้าจะไม่มีเงินไปคืนพวกเขา ไม่เพียงส่ง
คนมาทวง ยังมาเตือนด้วยว่าใกล้ครบกาหนด
เวลาแล้ว อีกทั้งยังส่งคนมาจับตาดูร้านของข้า
ทั้งวันทั้งคืน ถึงเวลาเมื่อไหร่ ก็จะเข้ามาทวงหนี้
แล้วยึดร้านไป”
ฉีหนิงแอบด่ากู้เหวินจางในใจว่าโง่อย่างกับหมูก็
ไม่ปาน แผนง่ายๆ แค่นี้ยังตกหลุมพรางได้ ไม่
แปลกใจเลยที่ท่านเหล่าฮูหยินจะโกรธจนล้ม
ป่วย กู้ชิงฮั่นถึงได้โกรธขนาดนั้น หากกู้เหวิน
จางไม่ใช่ท่านลุงตามศักดิ์ ฉีหนิงอยากจะเข้าไป
ชกให้หายโง่เลย
“แล้วท่านลุงจะทาเช่นไร?” ฉีหนิงพูดว่า “หาก
ข้าเดาไม่ผิด บ้านหลังนี้ก็ถูกร้านเงินจ้องจะเอา
ด้วยสินะ” เขายกชาขึ้นมาดื่ม แล้วพูดว่า “ร้าน
ของท่านตามทาเล รวมของที่อยู่ด้านใน รวมกัน
แล้วไม่น่าจะถึงหกหมื่นตาลึงสินะ? คนของร้าน
เงินไม่ได้มีความเป็นมิตรอยู่แล้วถึงเวลานัน้ ไม่มี
เงินคืน บ้านหลังนี้ก็จะต้องถูกยึดไปด้วย”
กู้เหวินจางตากระตุก เขาเช็ดเหงื่อ แล้วพูดว่า
“ท่านโหวน้อย ครั้งนี้ท่านลุงเจอเรื่องยุ่งยากเข้า
ให้แล้ว ท่านเป็นถึงโหวเยว่ของราชสานัก ช่วย
หาทางประวิงเวลากับทางร้านเงินให้หน่อยได้
หรือไม่”
“ต่อให้ยืดเวลาออกไปได้ หนี้กอ่ นนี้ท่านจะหนี
พ้นหรือ?” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “จริงสิ
แล้วผู้จัดการเจียงตอนนี้อยู่ที่ไหน? แล้วส่งคน
ไปตามหาคนที่เอาของมาจานาหรือยัง?”
“หลังจากที่ข้ารับจานาภาพไม่ถึงสองวัน เจ้า
เฒ่าเจียงนั่นก็บอกว่าที่บ้านเกิดเรื่อง ต้องรีบ
กลับบ้านเกิดไป” กู้เหวินจางพูดว่า “ส่วนเจ้า
คนที่นาภาพมาจานา หลังจากได้เงินไปแล้ว ก็
หายตัวไป ในเมื่อเขาอยากจะหลอกเอาเงินข้า
เขาก็ไม่โผล่มาให้เห็นอยู่แล้ว”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านลุง ท่านเอา
ภาพสองชิน้ นั้น แล้วตามข้าไปที่ที่หนึ่งคืนนี้เลย
เหลือเวลาอีกแค่สองวัน พวกเราต้องรีบหน่อย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 519 ชุ่ยเต๋อหยวน
กู้เหวินจางไม่รู้ว่าฉีหนิงจะพาเขาไปไหน แต่ว่า
ในเมื่อฉีหนิงต้องการแบบนี้ แสดงว่าเขาเตรียม
ที่จะช่วยเขาแล้ว เขาคิดว่าไม่แน่เขาอาจจะไป
หาขุนนางมาช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ก็ได้
กู้เหวินจางกลัวแค่ฉีหนิงจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ ในเมื่อฉี
หนิงจะยื่นมือเข้าช่วย เขาก็ดีใจมาก จึงไม่พูด
มากอีก ทัง้ คู่ขี่ม้าคนละตัวแล้วออกจากจวน
ตระกูลกู้ไป พวกของหลี่ถังตามไปคุ้มกันด้วย ฉี
หนิงกระซิบบางอย่างกับหลี่ถัง หลี่ถังก็รีบขี่ม้า
นาทางไปทันที เลี้ยงไปทางถนนสองสามเส้น ก็
มาถึงจวนหลังหนึ่ง ด้านหน้าประตูเขียนว่า
“จวนตระกูลหยวน”
หลี่ถังเดินไปเคาะประตู จากนัน้ ก็ให้คนไปแจ้ง
คุณชายใหญ่หยวนหรง บอกว่าจิ่นอีโหวมาหามี
เรื่องจะหารือ
ฟ้ามืดแล้ว บนถนนก็เงียบสงบ ไม่นานนัก กู้
เหวินจางก็เห็นคุณชายสวมชุดผ้าแพรอย่างดี
เดินออกมาจากจวน เมื่อเห็นฉีหนิง คุณชายคน
นั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ลมอะไรพัดท่าน
มาหาข้าถึงที่น?ี่ กลับเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่
ท่านไปซีชวน ข้าอยู่เมืองหลวงคิดถึงท่านทุกวัน
เลยนะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีเรื่องคงไม่มาหรอก
อย่าพูดมาก หาทีเ่ งียบๆ ข้ามีของจะให้เจ้าดู”
“ของอะไร?” หยวนหรงมองซ้ายมองขวา แล้ว
พูดอย่างผิดหวังว่า “ข้าคิดว่าท่านจะพาสาว
งามมาจากซีชวนด้วยเสียอีก โหวเยว่ ท่านเดิน
ทางไปตั้งไกล ไม่คิดจะเอาอะไรมาฝากข้า
หน่อยหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วด่าว่า “คุณชายหยวนเงื่อนไขสูง
กลัวแต่สาวงามทีข่ ้าพามาจะไม่ถูกใจเจ้านะสิ”
หยวนหรงหัวเราะ แล้วพาฉีหนิงเข้าจวน ฉีหนิง
ส่งสายตาให้กู้เหวินจางตามมา หยวนหรงถาม
อย่างสงสัยว่า “ท่านนี้คือ?”
“ท่านลุงข้าเอง” ฉีหนิงก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก
ทั้งสามเดินไปยังห้องโถงเล็กของจวนเสนาบดี
กรมพิธีการ ในจวนสงบมาก หลังจากนั่งลงแล้ว
หยวนหรงก็พูดว่า “ว่ามา มีอะไรจะให้ข้าดู
หรือ?”
ฉีหนิงเอาภาพมาจากมือของกู้เหวินจาง แล้ว
เดินมาที่โต๊ะ จากนั้นก็กางออก แล้วพูดกับ
หยวนหรงว่า “คุณชายหยวน เจ้าลองมาดูนี่ท”ี
หยวนหรงเดินเข้ามาใกล้ แล้วกวาดตามอง เขา
ก็ตกใจมาก จากนั้นก็รีบไปหยิบตะเกียงมา ส่อง
ไปที่ภาพ ฉีหนิงพูดว่า “หยวนหรง อย่าหาว่า
ข้าไม่เตือนเจ้านะ ภาพนี้ประเมินค่าไม่ได้ หาก
ไหม้ไปแล้ว เจ้าชดใช้ไม่ไหวนะ”
หยวนหรงไม่ได้สนใจเขา ยังคงถือตะเกียงมอง
อย่างละเอียด เดิมทีเขาตื่นเต้นมาก แต่หลัง
จากนั้นไม่นาน เขาก็ยิ้มแล้ววางตะเกียงลง แล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ดึกๆ ดื่นๆ ท่านวิ่งมาหาข้าถึง
จวน เพื่อให้ข้าดูของกะโหลกกระลาเช่นนี้
หรือ?” เขาพูดด้วยความไม่พอใจ
กู้เหวินจางสีหน้าไม่ดี ฉีหนิงรู้ว่าหยวนหรงรู้
เรื่องด้านภาพวาดกับพวกตาราดี แค่มองก็รู้ว่า
มันเป็นของปลอม เขาถามว่า “ทาไม ของ
ปลอมหรือ?”
“ไม่น่าถาม” ถึงแม้ฉีหนิงจะเป็นถึงโหว แต่
หยวนหรงกับเขาสบายๆ จนเคยตัวแล้ว เขาก็
ไม่ได้พิธีรีตองอะไรมากมาย เขาพูดว่า
“ภาพวาดของฮานเซิงจื่อที่มีเหลือไว้ มีไม่เกิน
สิบภาพ หากใครมีภาพของเขาในมือ ก็มแี ต่จะ
เก็บซ่อนเอาไว้ ไม่มีทางเอามาอวดแน่ จนถึง
ตอนนี้ภาพพวกนั้นไปอยู่ไหนบ้าง ไม่มีใครรู้แน่
ชัด ในบรรดาภาพที่มเี หลือมา ภาพเทพธิดาถือ
ว่าเป็นภาพที่มีชื่อเสียงที่สดุ ...” เขาเห็นกู้เหวิ
นจางยังถือม้วนภาพอีกภาพหนึ่ง ก็ถามว่า “นั่น
คงเป็นภาพเทพธิดามู่กุ่ยใช่หรือไม่?”
กู้เหวินจางยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนพลางพยัก
หน้า หยวนหรงพูดว่า “ภาพเทพธิดามีด้วยกัน
สองภาพ เป็นภาพเทพธิดาเฉาลู่กับภาพ
เทพธิดามู่กุ่ย ในเมื่อภาพเทพธิดาเฉาลู่เป็นของ
ปลอม ภาพของเทพธิดามู่กุ่ยในมือของท่านก็
น่าจะเหมือนกัน” เขายืนเอามือไขว้หลัง
เหลือบมองไปที่ภาพบนโต๊ะ ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่
ว่าถึงแม้จะเป็นของปลอม แต่ว่าทักษะการวาด
ของเขาถือว่าไม่เลวเลย ราคาสองสามร้อย
ตาลึงก็น่าจะได้อยู่ โหวเยว่ อย่าบอกนะว่ามีคน
เอาของนี่มาให้ท่านที่ซีชวนน่ะ เขาเอาของ
ปลอมมาหลอกท่านแล้วรู้หรือไม่?”
กู้เหวินจางหน้าแดงก่า เขาอายมาก แล้วพูดว่า
“ภาพสองชิ้นนี้ใช้...ใช้เงินหนึ่งแสนตาลึงแลก
มา”
“หนึ่งแสนตาลึง?” หยวนหรงตกใจมาก แล้ว
หลุดพูดออกมาว่า “ใครกัน? โง่จริงๆ เลยของ
สองสามร้อยตาลึง กลับใช้เงินกว่าแสนตาลึง
แลกมาก รวยอย่างเดียวไม่พอนะเนี่ย ของ
ปลอมพวกนี้ เดิมก็ใช้มาหลอกคนโง่อยู่แล้ว...”
พอพูดถึงตรงนี้ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขา
ส่ายหน้า แล้วไม่ได้พูดต่ออีก
กู้เหวินจางสีหน้าเปลี่ยนไปเหมือนตับหมูก็ไม่
ปาน ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม้แต่
คุณชายหยวนยังบอกว่าเป็นของปลอม ดูท่ามัน
จะเป็นของปลอมไม่ผิดแน่ หยวนหรง ข้ามีเรื่อง
อยากให้เจ้าไปช่วยทาให้หน่อย”
“ช่วย?” หยวนหรงนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วถามว่า
“จะให้ข้าช่วยอะไร?”
“ข้ารู้ว่าเจ้ารู้จักพวกบัณฑิตเยอะ” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “คืนพรุ่งนี้ ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่
ภัตตาคาร เจ้าไปเชิญพวกเขามาให้ทีได้
หรือไม่”
หยวนหรงไม่รู้ว่าฉีหนิงจะทาอะไร เขาถามว่า
“เชิญคน? โหวเยว่ ท่านจะทาอะไร?”
“จู่ๆ ข้าก็เกิดสนใจในเรื่องภาพวาดขึ้นมา” ฉี
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ข้าจะเลี้ยงสักสามถึง
ห้าโต๊ะ เจ้าเชิญมาสักยี่สิบสามสิบคน เชิญใน
นามของเจ้า ค่าใช้จ่ายข้าออกเอง ข้าอยากเชิญ
พวกเขามาคุยเรื่องภาพกัน”
หยวนหรงรู้ดีว่าฉีหนิงไม่มีทางเสียเงินเลี้ยงแบบ
ไม่มีเหตุผลแน่ เขารู้สึกแปลกใจ เขาคิดแล้ว
ถามว่า “โหวเยว่ ท่านไม่เชื่อสายตาข้าหรือ?”
เขามองออกว่าภาพเทพธิดานี่เป็นของปลอม
อาจจะเป็นไปได้ว่าฉีหนิงไม่พอใจ จะเชิญคนมา
อาจเป็นไปได้ว่าให้มายืนยันอีกครั้ง
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องพูดมาก ถามเจ้าคา
เดียว เชิญมาได้หรือไม่?”
“เชิญมากินข้าว ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ” หยวน
หรงพูดว่า “อย่าว่าแต่ยี่สิบสามสิบคนเลย ต่อ
ให้สองสามร้อยคน ข้าก็เชิญมาให้ท่านได้” เขา
คิดแล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้ดีหรือไม่พรุ่งนี้ข้า
เชิญพวกเขามาที่ชุ่ยเต๋อหยวน พวกบัณฑิตชอบ
ไปรวมตัวที่นั่นกัน”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ เช่นนั้นก็ที่ชุ่ยเต๋
อหยวน”
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้เช้า ข้าจะไปเชิญคน”
หยวนหรงคิดว่าฉีหนิงเคยช่วยเขาเอาไว้ ตอนนี้
เขาให้ไปทาเรื่องเล็กๆ แค่นี้ เขาก็ไม่ควรปฏิเสธ
หลังจากที่ออกจากจวนเสนาบดีกรมพิธีการ
กลับมาถึงจวนตระกูลกู้ กู้ชิงฮั่นก็รออยู่ที่ห้อง
โถงแล้ว พอเห็นพวกเขาสองคนกลับมา ก็ขมวด
คิ้วแล้วพูดว่า “พวกเจ้าไปไหนมา? แป๊บเดียว
หายไปเลยนะ”
“ไปหาเพื่อนมา ยืนยันให้แน่ใจว่าภาพเทพธิดา
นี่เป็นของปลอมจริงๆ” ฉีหนิงพูดว่า “ซาน
เหนียง ท่านเหล่าฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง?”
กู้ชิงฮั่นเหลือบไปมองกู้เหวินจาง แล้วพูดว่า
“ตอนนี้ยังไม่เป็นไร ขอแค่ไม่เจอหน้าเขา ก็ไม่มี
ปัญหาอะไรมาก”
“ก็ดีแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านลุง คืนนี้ดึกแล้ว
พวกเรากลับก่อนนะ ท่านเองก็พักผ่อนให้มาก
คืนพรุ่งนี้ท่านก็ตรงไปที่ชุ่ยเต๋อหยวนเลยนะ
จริงสิ เอาภาพสองชิน้ นั้นไปด้วยนะ”
จนถึงตอนนี้กู้เหวินจางยังไม่รู้เลยว่าฉีหนิงคิด
จะทาอะไร เพียงแต่กู้ชิงฮั่นอยู่ด้วย เขาก็รสู้ ึก
กลัว ก็ไม่กล้าถามมาก ได้แต่พยักหน้าแล้วพูด
ว่า “ได้ คืน...คืนพรุ่งนี้ข้าจะเอาภาพไปด้วย”
หลังจากที่ออกจากจวนตระกูลกู้ ฉีหนิงยังคงนั่ง
รถคันเดียวกับกู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นยังคงนั่งชิด
หน้าต่าง พยายามเว้นระยะห่างกับฉีหนิง ไม่
พยายามเข้าไปใกล้ ท่าทางของนางดูกลุ้มใจ
มาก ฉีหนิงเห็นแล้วก็สงสาร เลยพูดด้วยความ
อ่อนโยนว่า “ซานเหนียง เรื่องมันก็เกิดแล้ว
อย่าคิดมากเลยนะ เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”
“ให้เจ้าจัดการ?” กู้ชิงฮั่นมองไปที่ฉีหนิงด้วย
ความสงสัย แล้วพูดว่า “เจ้าเสกเงินออกมาได้
หรืออย่างไร? เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟังแล้ว
ใช่หรือไม่? เขาติดหนี้ร้านเงินหกหมื่นตาลึง อัน
นี้ไม่ว่า โฉนดที่ดินทั้งหมดที่เจียงหลิงเขาก็เอา
ไปค้ากับคนอื่น อีกสองวัน หากคนผู้นั้นไม่มาไถ่
ของคืน ร้านเงินก็จะมาทวงเงิน ไม่เพียงร้านค้า
ทั้งหมดจะถูกยึดไป แม้แต่ที่อยู่ก็จะไม่มีแล้ว”
นางยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ แล้วพูดว่า “คนอื่นตั้งใจ
วางแผนทาร้ายเขา เอาเงินไปแล้ว จะกลับมาไถ่
ของได้อย่างไรอีก?”
นางขมวดคิ้ว สีหน้าของนางดูเครียดมาก ฉีหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็ให้พวกเขามาอยู่
ที่จวนโหวก็ได้ จวนโหวใหญ่โตขนาดนั้น อยู่ได้
สบายๆ”
กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเขาอยู่
ชั่วคราวได้ แต่หากอยู่ระยะยาว คนในจวนไม่
ว่า คนนอกจะมองเช่นไรเล่า มันไม่ใช่วิธีแก้
ปัญหานะหนิงเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าพวกเขาย้ายมาเจ้า
ไม่ว่าอะไร แต่ว่าคนอื่นไม่ได้คิดอย่างเจ้านะ อีก
ยังจวนจิ่นอีโหวก็ไม่ใช่สถานที่ทวั่ ไป ตระกูลกู้
ย้ายเข้ามาอยู่จริง มันก็ไม่สมควร...” นางถอน
หายใจอย่างเศร้าใจ
เขารู้ว่าปกติกู้ชิงฮั่นฉลาดแก้ไขได้ทุกเรื่อง แต่
ครั้งนี้นางเองก็จนปัญญา เห็นนางเครียด เขาก็
อดที่จะยื่นมือไปจับมือของนางไม่ได้ เขาพูดว่า
“ซานเหนียง รถมาถึงภูเขาแล้วอย่างไรก็มีทาง
ให้ไป ท่านเชื่อข้าสักครั้ง พวกเราจะต้องผ่าน
เรื่องนี้ไปให้ได้”
พอเขาจับมือกู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นปฏิกิริยารุนแรง
มาก สะบัดมือออกจากมือเขาทันที ฉีหนิงรู้สึก
เขินมาก กูช้ ิงฮั่นรู้ดีว่านางก็มือไวเกินไป เลยไม่
กล้าจะมองไปที่ฉีหนิง เห็นฉีหนิงหันหน้าไป
ข้างๆ สีหน้าไม่ดีเลยเหมือนจะรู้สึกเสียใจ กู้ชิง
ฮั่นเองก็รู้สึกไม่ดีมากๆ นางฝืนยิ้มแล้วพูดว่า
“หนิงเอ๋อร์ อย่าไปพูดเรื่องที่ไม่มีความสุขเลย
นะ เจ้าไปทางานที่ซีชวน ราบรื่นดีหรือไม่?”
นางเป็นสาวเต็มวัย ถึงแม้จะเป็นม่ายมาระยะ
ใหญ่แล้ว แต่นางรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของนาง
กับฉีหนิงจะกระด้างเกินไปไม่ได้ นางไม่ได้อยาก
ทาร้ายจิตใจฉีหนิง เลยอยากจะพูดอะไรให้
บรรยากาศมันดีขึ้น
แต่ฉีหนิงกลับตอบแบบเรียบเฉยว่า “ทุกอย่าง
ราบรื่นดี” แล้วไม่พูดอะไรอีก
กู้ชิงฮั่นลังเล แต่ก็แอบถอนหายใจ
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกตลอดทางจนถึงจวน
ตอนนี้ดึกมากแล้ว ฉีหนิงอยากจะไปหาถังนั่ว
แต่ว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว ถังนั่วก็อาจจะหลับไป
แล้ว เลยไม่อยากไปรบกวน
เช้าวันต่อมาฉีหนิงหลับจนถึงเที่ยง ตื่นมากิน
อะไรนิดหน่อย ก็ถามพ่อบ้านหานว่าถังนั่วอยู่
ไหน ถึงได้รู้ว่าถังนั่วออกไปที่ร้านยาแต่เช้าแล้ว
พอตกเย็น ฉีหนิงก็พาคนไปที่ชยุ่ เต๋อหยวน
ชุ่ยเต๋อหยวนนั้นหาง่ายมาก ถามใครบนถนนก็
รู้จักหมด อีกทั้งหลี่ถงั ก็คุ้นเคยทางไปชุ่ยเต๋อ
หยวนดี แทบจะไม่ต้องถามใคร พอมาถึง ฉีหนิง
ก็เห็นว่ามันเป็นภัตตาคารสองชั้น ทามาจากไม้
อยู่ในทาเลที่ดีมาก รูปทรงมีเอกลักษณ์ดี เมื่อฉี
หนิงมาถึง ไฟก็จุดสว่างไสวแล้ว
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 520 พยาน
ลูกค้าของชุ่ยเต๋อหยวนล้วนแต่แต่งกายดี สวม
ชุดคลุมยาว สวมหมวก ท่าทางสง่ามีความรู้
ทั้งนั้น
ชุ่ยเต๋อหยวนอาจจะพูดได้ว่าเป็นภัตตาคารที่หรู
หราที่สุดในเมืองหลวงก็ได้ แต่ว่าเหล่าบัณฑิต
ชอบที่นี่ อาจเป็นไปได้ว่าชุ่ยเต๋อหยวนสร้างมา
เพื่อลูกค้ากลุ่มบัณฑิตโดยเฉพาะก็ได้ บน
กาแพงในร้าน ยังมีแขวนภาพโบราณไว้มาก
มาย ลูกค้าส่วนใหญ่ก็มาเพื่อแต่งกลอน พูดคุย
เรื่องภาพวาดกัน เจ้าของร้านบริหารได้ดีมาก
เมื่อไหร่ที่มีบุคคลมีชื่อเสียงมาทีร่ ้านและ
ประทับรายชื่อเอาไว้ เขาก็จะแขวนไว้บนผนัง
ทันที ไม่ว่าใครก็ตามที่เดินเข้าร้านมา พวกเขาก็
รีบเดินเข้ามาต้อนรับทันที
หยวนหรงเป็นคุณชายบัณฑิต ปู่ของเขาเป็นถึง
เสนาบดีกรมพิธีการ คบหากับเหล่าบัณฑิตน้อย
ใหญ่ไม่น้อย เรื่องในคืนนี้มีคนรู้เรื่องไม่น้อย
คุณชายหยวนเหมาภัตตาคารชั้นสองไว้ จัดโต๊ะ
จีนไว้ห้าโต๊ะ เชิญเหล่าบัณฑิตมีชื่อเสียงมา โดย
หนึ่งในนั้นมีคนของแปดวิทยาลัยใหญ่รวมอยู่
ด้วย
เมื่อเห็นฉีหนิงเดินมา มีคนตกใจไม่น้อย
ก่อนที่ฉีหนิงจะเดินทางไปซีชวน เขาดันไป
แสดงความสามารถในงานชุมนุมจิงหัว ไม่ว่า
ศิลปะแขนงไหนเขาก็เอาชนะได้หมด ชื่อเสียง
เขากว้างขวางมาก คืนนี้ในชุ่ยเต๋อหยวน มีคน
ไม่น้อยมารวมตัวกัน ต่างก็จาฉีหนิงได้
หยวนหรงเหมาชั้นสองของร้านเอาไว้ ส่วนชั้น
หนึ่งยังคงรับแขกเหมือนเดิม หลายคนได้ยินว่า
คุณชายหยวนจัดโต๊ะเลี้ยงอาหารไว้ที่ชุ่ยเต๋อ
หยวน ก็รู้ทันทีว่าน่าจะมีอะไรดีๆ แน่นอน
ถึงแม้หลายคนจะไม่ได้รับเชิญ แต่งานแบบนี้จะ
ไม่มาไม่ได้ ดังนั้นคนที่ชั้นหนึ่งนั้นเต็มคึกคักไป
หมด
ฉีหนิงปรากฏตัวขึ้น ทาให้คนที่กาลังซุบซิบกัน
อยู่ต่างพากันเงียบลง ไม่ว่าสายตาของใครต่าง
จับจ้องมาที่เขา ไม่มีใครรู้ว่างานในวันนี้คนจัด
ตัวจริงคือฉีหนิง ต่างก็คิดว่าคุณชายหยวนหรง
เป็นคนเลี้ยง ตอนนี้พอเห็นฉีหนิงมา ก็รู้สึก
แปลกใจ แต่ว่าก็รสู้ ึกแค่ว่าหยวนหรงน่าจะสนิท
สนมกับจิน่ อีโหวมาก เลยเชิญเขามาด้วย
ฉีหนิงโดดเด่นมากในงานชุมนุมจิงหัว มีคนไม่
น้อยที่นับถือเขา แต่เพราะฉีหนิง ทาให้แปด
วิทยาลัยใหญ่เสียหน้า คนของแปดวิทยาลัยเลย
ไม่ได้รู้สึกดีกับเขาเท่าไหร่
ฉีหนิงนิ่งมาก ยกมือคานับไปรอบๆ เขาไม่ได้
พูดอะไร หลายคนเห็นจิ่นอีโหวคานับทักทาย
ก่อน ต่างก็ตกใจ พวกเขาเลยลุกขึ้นมาคานับ
กลับ ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมา
หยวนหรงเดินลงมาจากบันได เห็นฉีหนิงมา
แล้ว เขาก็รีบเดินเข้ามาหา “โหวเยว่ เป็นไป
ตามที่ท่านต้องการ แขกที่ท่านให้ไปเชิญมากัน
เต็มเลย กาลังรออยู”่
ทุกคนได้ยินหมด งานเลี้ยงในคืนนี้ จิ่นอีโหว
เป็นประธานของงาน
ทุกคนงงไปหมด จิ่นอีโหว ทาไมจะต้องจัดงาน
แล้วเชิญแขกมาที่ชุ่ยเต๋อหยวนด้วย
ฉีหนิงเดินตามหยวนหรงไปที่ชนั้ สอง กลุ่มคนที่
เชิญมาก็จับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ เห็นฉีหนิงเดิน
ขึ้นมา ทุกคนก็มองหน้ากัน หยวนหรงก็ยมิ้ แล้ว
พูดว่า “ทุกท่าน ตอนนี้ข้าขอพูดให้ชดั ก่อน งาน
เลี้ยงในวันนี้ ข้าไม่ได้เป็นคนจัด แต่ข้าทาตามที่
โหวเยว่สั่ง เชิญให้ทุกท่านมา”
ทุกคนต่างก็ตกใจ ฉีหนิงยกมือคานับแล้วยิ้ม
“วันนี้เป็นเกียรติที่ทุกท่านยอมมาร่วมงาน ที่
เชิญทุกท่านมากันวันนี้ ก็ไม่ได้มอี ะไรมากมาย
อยากจะขอให้ทุกท่านเป็นพยานให้ข้าหน่อย”
ทุกคนต่างสงสัย ไม่รู้ว่าฉีหนิงจะให้พวกเขาเป็น
พยานเรื่องอะไร
ฉีหนิงเชิญให้ทุกคนนั่งลง ในตอนนี้เอง ก็ได้ยิน
เสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นบันไดมา ทุกคนหันไปมอง
ก็เห็นกู้เหวินจางหนีบเอาภาพสองภาพขึ้นมา
ทุกคนไม่รู้จักกู้เหวินจาง ต่างก็แปลกใจ กู้เหวิน
จางกวาดสายตามองไป เห็นฉีหนิงนั่งอยู่กับ
หยวนหรง ก็รีบเดินตรงเข้าไปหา
ฉีหนิงยกมือบอกให้เขานั่งลงด้วย แล้วพูดว่า
“ทุกท่าน ท่านนี้เป็นญาติผู้ใหญ่ของข้าคนหนึ่ง
ตอนนี้เขาทาการค้าอยู่ในเมืองหลวง”
ทุกคนไม่มีใครรู้ว่าฉีหนิงต้องการจะทาอะไร
เห็นฉีหนิงกระซิบอะไรบางอย่างกับหยวนหรง
หยวนหรงยืนขึ้น แล้วหยิบภาพมาจากมือของกู้
เหวินจาง แล้วสั่งให้คนรับใช้ที่ยืนอยู่ที่บันได
เปิดภาพออก ทั้งสองเดินมากางภาพออกอย่าง
ระมัดระวัง ทันใดนั้นก็มีคนตกใจแล้วพูดว่า “นี่
มันภาพเทพธิดาของฮานเซิงจื่อนี่นา?”
คนที่อยู่ในงานล้วนแต่เป็นบัณฑิต ชื่นชอบใน
ภาพวาดอักษรมาก มีคนไม่น้อยเริ่มลุกขึ้นยืน
คนที่อยู่ห่างโต๊ะหน่อยก็เขยิบเข้ามาใกล้
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเฟิงเต๋อฉายจาก
วิทยาลัยหลงเหมินอยู่ที่ไหน?”
มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคน ยกมือคานับ
แล้วพูดว่า “คุณชายหยวน” ฉีหนิงมองไปที่เฟิง
เต๋อฉาย ก็นึกขึ้นมาได้ว่า เขาเป็นศิษย์ของ
วิทยาลัยหลงเหมิน ตอนงานชุมนุมจิงหัว เขา
แข่งวาดภาพกับฉีหนิงในรอบสุดท้าย ฝีมือการ
วาดภาพของเขาไม่ธรรมดาเลย
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่เฟิง ท่านเป็นยอด
ฝีมือในศาสตร์นี้ เชี่ยวชาญด้านภาพวาด ไม่
ทราบท่านว่าภาพนี้เป็นเช่นไรบ้าง?”
เฟิงเต๋อฉายยิ้มแล้วหันไปหาฉีหนิง แล้วคานับ
ฉีหนิงคานับกลับ เฟิงเต๋อฉายเดินขึ้นหน้าไป
แล้วมองภาพอย่างละเอียด จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
เขาลังเลแล้วพูดว่า “พอใช้ได้”
ที่จริงแล้วเขาดูออกแต่แรกแล้วว่ามันเป็นของ
ปลอม แต่ว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาก็ไม่อยากทา
ให้ฉีหนิงกับหยวนหรงเสียหน้า ไม่กล้าพูดตรงๆ
มีหลายคนรู้สึกแปลกใจกับสิ่งทีเ่ ฟิงเต๋อฉายพูด
แอบคิดในใจว่าภาพวาดเทพธิดาของฮานเซิงจื่อ
เป็นของล้าค่า ทาไมเฟิงเต๋อฉายถึงได้พูดแค่ว่า
พอใช้ได้ มันบ้าเกินไปแล้ว
ฉีหนิงเดินขึ้นหน้ามา ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเฟิง
ที่จริงที่ให้เจ้ามาดู ภาพนี่มันเป็นของปลอม”
ทุกคนหน้าถอดสี
เฟิงเต๋อฉายอึ้งไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “โหว
เยว่ นี่มัน...”
“ท่านเฟิงพูดมาได้เลย” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ไม่ต้องกลัวอะไร”
เฟิงเต๋อฉายพยักหน้าแล้วพูดว่า “ลายเส้นการ
วาดของภาพๆ นี้ถึงแม้จะใช้ได้ หากผ่านไปอีก
สักร้อยปี อาจจะเป็นของหายาก แต่ว่าข้าขอ
พูดตามตรง เทียบกับฮานเซิงจื่อแล้ว มันยังห่าง
ไกลนัก ข้าโชคดีเคยได้เห็นภาพที่ฮานเซิงจื่อ
วาดมากับตา ลายเส้นราวกับก้อนเมฆ มีมิติ
เสมือนจริง ภาพเทพธิดาเขาใช้เวลาวาดหลายปี
เป็นสุดยอดผลงานของเขา ลายเส้นไม่ธรรมดา
แบบนี้แน่นอน”
คนที่ชั้นสองเงียบหมด ทุกคนมองไปที่เฟิงเต๋อ
ฉาย
เฟิงเต๋อฉายลังเล แล้วพูดต่อว่า “ภาพนี้ยังคง
เป็นภาพเทพธิดาเฉาลู่ หากดูผิวเผินเหมือนของ
จริงมาก แต่หากดูไปที่หน้าของเทพธิดาแล้ว ก็
จะรู้ว่าเป็นของปลอม เท่าที่ข้ารู้มา ภาพ
เทพธิดามีด้วยกันสองภาพ ภาพเทพธิดาเฉาลู่
เป็นภาพตอนที่เทพธิดาปรากฏกายออกมายาม
เช้า จากดินแดนสวรรค์มายังโลกมนุษย์ ดังนั้น
ใบหน้าของเทพธิดาจึงดูเหมือนการหลุดพ้น
ส่วนภาพมู่กุยเป็นภาพที่เทพธิดากลับไปยัง
ดินแดนสวรรค์ ลักษณะสีหน้าท่าทางก็ไม่
เหมือนกัน ถึงแม้ภาพนี้จะมีลายเส้นที่ไม่แย่ แต่
ว่าสีหน้าของเทพธิดามันธรรมดา มันไม่มกี ลิ่น
อายของความเป็นเซียนเลย อีกทั้งลายเส้นของ
เขาก็มีหลายจุดที่หยาบมาก ดังนั้น...ข้าถึงได้
มั่นใจมากว่ามันคือของปลอม”
ทุกคนโดยรอบเริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง เดิมทีตอน
ที่เปิดภาพออกมา ทุกคนต่างคิดว่าที่ฉีหนิงเชิญ
ทุกคนมางานเลี้ยงในวันนี้ เพราะอยากจะให้ทุก
คนได้ชมภาพของฮานเซิงจื่อ การได้ภาพ
เทพธิดาในตานานมา สาหรับบัณฑิตแล้ว มัน
ถือเป็นเกียรติสูงสุดมากๆ
แต่ว่าคิดไม่ถึงเลยว่าฉีหนิงจะเอาของปลอม
ออกมา
แต่ว่าสีหน้าของฉีหนิงนิ่งมาก อีกทั้งยังยิ้มด้วย
เขาไม่ได้โกรธเลย ก็นึกแปลกใจกัน
ฉีหนิงตบมือยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเฟิงสายตา
เฉียบแหลมจริงๆ ถูกต้อง ภาพเทพธิดาเฉาลู่นี่
เป็นของปลอม”
พอฉีหนิงพูดออกมา ทุกคนก็เข้าใจ ที่แท้ก่อนที่
จิ่นอีโหวจะเอาภาพมาแสดง เขารู้อยู่แล้วว่า
เป็นของปลอม พวกเขารู้สึกสงสัยมาก แอบคิด
ในใจว่าในเมื่อรู้แล้วว่าเป็นของปลอม แล้วจิ่นอี
โหวจะเอามาแสดงอีกทาไม อยู่ต่อหน้าคนมาก
มายขนาดนี้ มันจะไม่ขายหน้าเอาหรือ?
จิ่นอีโหวเป็นหนึ่งในบรรดาศักดิ์ใหญ่ของต้าฉู่
หากฉีหนิงได้ภาพเทพธิดาของจริงมา ที่จริง
หลายคนก็ไม่ตกใจมากเท่าไหร่ เพราะก็เหมือน
ของสะสมเก่าแก่ แต่ที่พวกเขาแปลกใจก็คือ จิ่น
อีโหวกลับเอาของปลอมมาแสดง มันเหมือนจะ
ไม่ปกติเท่าไหร่
“ขอพูดตามตรง ภาพพวกนี้ญาติผู้ใหญ่ของข้า
ท่านนี้ใช้เงินมากมายเพื่อรับมา” ฉีหนิงถอน
หายใจ “ทุกท่านต่างเป็นบัณฑิต ชื่นชอบใน
อักษรและภาพวาด ญาติผู้ใหญ่ข้าท่านนี้เปิดโรง
รับจานา ปกติก็ชอบของเก่าอยูแ่ ล้ว ครั้งนี้เขา
ถูกหลอก ให้รับภาพปลอมชิ้นนี้มา”
กู้เหวินจางอับอายมาก เขาก้มหน้าลง ไม่กล้า
เงยหน้าขึ้นมามองใคร
ทุกคนเริ่มซุบซิบนินทากัน ฉีหนิงพูดขึ้นมาอีกว่า
“ภาพของฮานเซิงจื่อเปรียบเสมือนภาพแห่ง
เทพ ข้าเห็นภาพนี้เป็นของปลอม ในใจก็รู้สึก
โกรธมาก แต่ไม่ใช่เพราะได้ภาพปลอมมานะ
แต่เป็นเพราะการมีภาพปลอมอยู่ มันทาให้
ชื่อเสียงของฮานเซิงจื่อเสียหาย ทุกท่านต่าง
เป็นบัณฑิต ก็น่าจะรู้ดี ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือ
โครงกลอน มันล้วนเกิดจากใจทั้งนั้น หากมีคน
ขโมยไปใช้ อีกทั้งยังเอาของปลอมมาอ้างว่าเป็น
ของจริง คนที่สร้างผลงานจริง จะเป็นการถูก
ลบหลู่แล้วก็หยามเกียรติแค่ไหนกัน?”
ทุกคนได้ยินสิ่งที่ฉีหนิงพูด ต่างก็พยักหน้าตาม
เหล่าบัณฑิตต่างไม่พอใจที่มีคนลอกเลียนแบบ
ผลงานคนอื่นอยู่แล้ว หากใช้ลายเส้นของคนที่
สร้างผลงาน มาสร้างผลงานของตัวเอง ก็ไม่
แปลก แต่หากขโมยผลงานของคนอื่นมาเลย
มันเป็นเรื่องที่หน้าไม่อาย
“ที่ข้าเชิญทุกท่านมาในวันนี้ ก็เพื่อมาเป็น
พยานให้ข้า” ฉีหนิงพูดเสียงดังมากว่า “ของ
ปลอมแบบนี้ จาเป็นต้องทาลาย จะให้เหลือไว้
ไม่ได้ มันจะเป็นการทาลายชื่อเสียงของฮาน
เซิงจื่อ ไม่เพียงแค่ภาพของเทพธิดานี้ ข้าหวังว่า
ของปลอมแปลงทุกชิน้ จะไม่มีเหลืออยู่อีกเลย”
เขาตะโกนแล้วพูดว่า “ยกเข้ามา”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 521 เผาภาพ
ทุกคนไม่มีใครรู้ว่าฉีหนิงให้คนยกอะไรขึ้นมา
จากนั้นไม่นานก็มีชายสองคนถือกระถางไฟขึ้นมา
ทุกคนต่างมองหน้ากัน มีคนเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง
แล้ว
ฉีหนิงหยิบภาพของเทพธิดาเฉาลู่มา แล้วยื่นให้
ชายคนหนึ่งพร้อมสั่งว่า “ม้วนมัน” จากนั้นเขาก็
เดินขึ้นหน้าไป ยกมือคานับทุกคนแล้วพูดว่า “ทุก
ท่าน คนที่ขโมยชื่อเสียงคนอื่นมาหากินไม่ควรมี
อยู่อีกต่อไป การปลอมแปลงผลงานคนอื่นไม่ควร
มีอยู่อีกต่อไป วันนี้ภาพสองภาพนี้ ข้าจะเผามัน
ต่อหน้าทุกท่าน ขอให้ทุกท่านเป็นพยาน ข้าฉีหนิง
จะไม่มีทางยอมให้มีของปลอมแปลงคงอยู่โดย
เด็ดขาด”
เมื่อพูดแบบนี้ออกมา ไม่เพียงแค่คนที่อยู่ในงาน
แม้แต่หยวนหรงเองก็ตกใจ
เขาทาตามที่ฉีหนิงสั่ง จัดงานเลี้ยงที่ชุ่ยเต๋อหยวน
แต่ไม่รู้ว่าฉีหนิงจะทาอะไร จนถึงตอนนี้ถึงได้รู้ว่า
ฉีหนิงบอกว่าจะเผาภาพ
ถึงแม้สองภาพนี้จะเป็นของปลอม แต่ว่าหากเอา
ออกไปขาย ก็ขายได้เป็นพันตาลึงไม่น่าจะมี
ปัญหา ฉีหนิงกลับไม่เสียดายเผามันทิ้ง ใจกล้าไม่
เบาเลย
กู้เหวินจางถึงกับอ้าปากค้าง เขาตกใจมาก
เขากับหยวนหรงนั้นเหมือนกัน ไม่รู้เลยว่าฉีหนิง
คิดจะทาอะไร แต่พอได้ยินว่าจะเผาภาพ เขาก็
ตกใจมาก
ฉีหนิงเดินตรงไปหากู้เหวินจาง แล้วยื่นมือไป แล้ว
พูดว่า “เอาภาพมาให้ข้า”
กู้เหวินจางถือภาพเทพธิดามู่กุ่ยไว้แน่น เหมือนจะ
ไม่ค่อยอยากจะให้ ถึงแม้มันจะเป็นของปลอม แต่
ว่าเขารู้ว่าภาพสองภาพนี้มีราคากว่าพันตาลึง
ตอนนี้เขาเป็นหนี้ก้อนใหญ่ ในเวลาแบบนี้ได้เงิน
มาสักหน่อยก็ยังดีกว่า แต่ว่าต้องมาเห็นเงินหนึ่ง
พันตาลึงถูกเผาไปต่อหน้าต่อตา เขาเลยรู้สึกลังเล
แต่ว่าสีหน้าของฉีหนิงทาให้เขาปฏิเสธไม่ได้เลย กู้
เหวินจางรู้สึกจนปัญญา ทาได้แต่มอบภาพในมือ
ให้เขาไป
ฉีหนิงก็ไม่พูดอะไรมาก เดินไปที่กระถางไฟ แล้ว
นาภาพโยนเข้าไป จากนั้นก็หันหลังกลับมา เอา
ภาพในมือของชายที่ยืนกางภาพอยู่ โยนเข้าไปใน
กองไฟด้วย
หลังจากที่ภาพทั้งสองลงไปในกระถางไฟแล้ว ก็
ถูกไฟกลืนไปหมด ฉีหนิงยืนเอามือไขว้หลัง สีหน้า
เคร่งเครียด เขายืนมองไฟที่กาลังเผาไหม้ ทุกคนที่
อยู่ในงานก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นไม่นาน
ภาพทั้งสองภาพก็ถูกเผาไหม้จนหมด ฉีหนิงหันไป
พูดว่า “วันนี้ลาบากให้ทุกท่านต้องมา ข้าขอบคุณ
ทุกท่านจริงๆ ของปลอมแปลงถูกเผาจนหมดแล้ว
เรื่องนี้ถือว่าจบแค่นี้ วันนี้ก็ถือว่าทุกท่านมาร่วม
สนุกสนานกัน กินดื่มกันให้เต็มที่ ข้ายังมีเรื่องต้อง
ทา ก็ให้คุณชายหยวนเป็นตัวแทนข้าอยู่ดูแลทุก
ท่านที่นี่แล้วกันนะ”
หลายคนเห็นภาพทั้งสองภาพถูกเผาทาลายไป ใน
ใจก็นึกเสียดาย แต่ว่าเห็นฉีหนิงหนักแน่นที่จะ
ทาลายทิ้ง ทุกคนก็ต่างเห็นด้วย
หยวนหรงบอกให้ทุกคนนั่งกินดื่มต่อไป ส่วนฉี
หนิงก็ขอตัวกลับก่อน หยวนหรงลงไปส่งเขาด้วย
ตัวเอง ส่วนกู้เหวินจางเองก็ไม่ได้อยู่ต่อ ตามฉีหนิง
กลับไป
เดิมทีเขาคิดว่าฉีหนิงจะมีวิธีช่วยเขาแก้ไขปัญหา
ใครจะคิดว่าเชิญแขกมาตั้งมากมาย กลับมา
ทาลายภาพสองภาพของเขา ข้าวสักคาเขาก็ไม่ได้
กิน ก็ต้องกลับแล้ว เขารู้สึกไม่พอใจมาก แต่กลับ
พูดอะไรไม่ได้เลย
หลังจากลาหยวนหรงแล้ว พวกเขาสองคนก็ขี่ม้า
เคียงกันไป ตลอดทาง กู้เหวินจางเห็นฉีหนิง
เหมือนใช้ความคิด เขายิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่
ตอนนี้ภาพถูกทาลายไปแล้ว เรื่อง...เรื่องนี้จบสิ้น
แน่แล้ว”
“ท่านลุง ข้ารู้ว่าท่านไม่พอใจ” ฉีหนิงถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “แต่ว่าของปลอมก็คือของปลอม เก็บ
ไว้ในมือก็ไม่มีประโยชน์ เงินที่ท่านติดค้างคนอื่น
ไว้ ข้าจะหาวิธีให้”
กู้เหวินจางพูดว่า “พรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายแล้ว
หลังจากผ่านพรุ่งนี้ไป วันมะรืนร้านเงินก็มาท
วงเงินแล้ว ถึงเวลานั้นทั้งร้านค้า ยังมี...ยังมีจวน
อีกก็ต้อง...” พอนึกถึงเรื่องนี้ การค้าเกียรติและ
ศักดิ์ศรีของตระกูลกู้ที่สร้างกันมา กลับต้องมาล่ม
สลายไปด้วยน้ามือของเขา เขาทั้งโมโห ทั้งรู้สึกผิด
ฉีหนิงพูดว่า “พรุ่งนี้ท่านลุงก็ไปเฝ้าอยู่ที่ร้านนะ
ข้าอาจจะรักษาธุรกิจอื่นของท่านไม่ได้ แต่ว่าโรง
รับจานาข้าจะพยายามช่วยรักษามันไว้ให้ อย่าง
น้อยจะได้เหลือที่ทากิน”
กู้เหวินจางถามว่า “จริงหรือ? จะ...จะรักษามันได้
อย่างไร?” เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คิดอยากจะรักษา
ธุรกิจอื่น มันก็ดูเป็นไปไม่ได้ หากสามารถรักษา
โรงรับจานาไว้ได้ ก็โชคดีมากแล้ว
ฉีหนิงก็ไม่ได้อธิบายมาก เขาแค่ยิ้มแล้วพูดว่า
“หลังจากที่ท่านลุงกลับไปแล้ว ก็พักผ่อนให้มากๆ
ไม่ต้องคิดเยอะ” เขาไม่พูดอะไรอีก ถึงแม้กู้เหวิ
นจางจะร้อนใจมากแค่ไหน แต่ในเมื่อฉีหนิงก็พูด
มาแบบนี้แล้ว เขาเองก็จะถามมากไม่ได้
พอฉีหนิงกลับมาถึงจวนโหว กู้ชิงฮั่นรู้เรื่องของเขา
ที่ชุ่ยเต๋อหยวนแล้ว นางเดินเข้ามาถามว่า “เรื่อง
ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“อะไร?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อะไรเป็น
อย่างไร?”
“เจ้าไม่ได้บอกให้พี่ใหญ่เอาภาพไปที่ชุ่ยเต๋อหยวน
หรือ? เจ้าไปหาเงินมาช่วยเขาใช่หรือไม่?” กู้ชิง
ฮั่นถาม
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ท่านคิด
ว่าข้าเป็นเซียนหรือ มันไม่ใช่เงินร้อยสองร้อย
ตาลึงนะ ข้าจัดงานเลี้ยงแล้วจะแก้ไขเรื่องนี้ได้
อย่างไรกัน? ข้าก็แค่ไปเผาภาพสองภาพนั้นเอง
จะได้ไม่มีใครใช้วิธีนี้ไปหลอกใครอีก เตือนสติพวก
เขาด้วย”
กูช้ ิงฮั่นตะลึงไป เขาไม่พูดอะไร
ฉีหนิงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านไม่ต้องกังวลนะ
ข้าจะหาวิธีอีกที อย่างน้อยก็รักษาโรงรับจานาไว้
ได้ ท่านลุงจะได้มีงานมีการทาอยู่”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้า นางดูกังวลมาก
ฉีหนิงก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก เขาตรงไปหาถังนั่ว
ที่เรือนของนาง เขารู้สึกว่าเขามีข้อสงสัยหลาย
อย่างอยากจะไปถามนาง เห็นไฟในห้องนางยัง
เปิดอยู่ ก็เดินตรงไปเคาะประตู ไม่นานนักประตูก็
เปิดออก ใบหน้าสวยๆ ของถังนั่วก็มายืนอยู่ตรง
ประตูแล้ว เมื่อเห็นฉีหนิง นางก็ไม่ได้ตกใจ นาง
ยิ้มพร้อมพูดว่า “เจ้ากลับมาแล้วหรือ?” นางเปิด
ประตูออก แล้วให้ฉีหนิงเข้ามาในห้อง
หลังจากที่ฉีหนิงเข้ามาในห้องของนางแล้ว เขา
กวาดสายตามองไป ทุกอย่างยังเหมือนเดิม บน
โต๊ะมีขวดยาเล็กๆ เต็มไปหมด ถังนั่วไปรินน้าชา
มาให้ ฉีหนิงยิ้มแล้วรับมา “แม่นางถังเข้าเมือง
หลวงมาก็นาน ทุกอย่างราบรื่นดีหรือไม่?”
“ทุกอย่างราบรื่นดี” ฉีหนิงมองไปที่ตาของถังนั่ว
“ข้าได้พบกับท่านผู้อาวุโสหลีซีกง”
ถังนั่วตะลึงไป ใบหน้าของนางนิ่งมาก แล้วถามว่า
“เขาสบายดีหรือไม่?”
“เขาสั่งให้ข้า ดูแลเจ้าให้ดี ห้ามรังแกเจ้าเด็ดขาด
หากว่าขนของเจ้าหลุดไปแม้แต่เส้นเดียว เขาจะ
มาคิดบัญชีกับข้า” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นาง
ถัง ต่อไปหากเจ้าเจอท่านผู้อาวุโส ห้ามบอกเขา
เด็ดขาดเลยระว่าข้ารังแกเจ้าน่ะ หากเจ้ามีอะไร
ไม่พอใจน้อยใจข้า บอกข้าก่อนนะ”
ถังนั่วยิ้มแล้วพูดว่า “คาพูดของอาจารย์ เจ้าก็อย่า
ไปใส่ใจเลย ข้าอยู่ที่นี่สบายดีทุกอย่าง ไม่มีอะไร
ไม่พอใจเลย”
“เหตุใดแม่นางถังถึงไม่ถามว่าข้าเจอท่านผู้อาวุโส
หลีที่ไหนล่ะ?” ฉีหนิงถาม
ถังนั่วพูดว่า “ข้าไม่ถาม เจ้าก็ต้องบอกข้าอยู่แล้ว
ไม่ใช่หรืออย่างไร?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “จวนเสินโหวพาคน
ของแปดพรรคสิบหกสานัก ไปบุกโจมตีพรรคบัว
ดา เรื่องนี้เจ้าน่าจะรู้”
“ผลเป็นอย่างไรบ้าง?” นิสัยของถังนั่วนิ่งมาก
“เขาเชียนอูหลิงถูกโจมตีแล้วหรือ?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คนของแปดพรรคสิบ
หกสานักบุกไปถึงตาหนักหินดา แต่ว่าสุดท้ายทั้ง
สองฝ่ายก็ยอมพักรบ ราชาพิษจิ่วซียอมตามข้าเข้า
เมืองหลวง”
ถังนั่วพยักหน้า แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ตอนที่ข้าอยู่ที่เขาเชียนอูหลิงข้าบังเอิญหลงเข้า
ไปที่เขาหมีฮวากู่” ฉีหนิงพูดว่า “เขาหมีกู่มีธาร
น้าแข็งอยู่ ข้าเจอผู้อาวุโสหลีที่นั่น”
ถังนั่วเหมือนสะดุง้ นางจ้องไปที่ตาของฉีหนิง
แล้วถามว่า “เจ้าหลงเข้าไปในถ้าหมีฮวากู่ แล้ว
เห็นธารน้าแข็ง?”
“แสดงว่า แม่นางถังก็รู้จักธารน้าแข็งในเขาหมีฮ
วากู่น่ะสิ?” ฉีหนิงรีบถามว่า “แม่นางถังรู้จักโลง
น้าแข็งที่อยู่ที่นั่นหรือไม่?”
“โลงน้าแข็ง?” ถังนั่วขมวดคิ้ว “โลงน้าแข็งเป็น
อย่างไรบ้าง?”
“มีคนฉวยโอกาสในตอนที่คนของแปดพรรคสิบ
หกสานักบุกโจมตีเขาเชียนอูหลิง แอบเข้าไปขโมย
ของที่อยู่ในโลงน้าแข็ง” ฉีหนิงพูดว่า “โชคดีเจ้า
ลัทธิบัวดาปรากฏตัวออกมาก่อน ถึงได้รักษาโลง
น้าแข็งเอาไว้ได้”
ถังนั่วก้มหน้าลง เหมือนจะคิดอะไรอยู่
“แม่นางถัง ขออภัยถ้าเป็นการล่วงเกินไป เจ้าเป็น
ศิษย์ของผู้อาวุโสหลี ท่านผู้อาวุโสเป็นทูตของ
พรรคบัวดา ไม่ทราบว่า...?”
ถังนั่วเงยหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าอยากรู้ว่าข้ากับ
พรรคบัวดาเกี่ยวข้องกันอย่างไรใช่หรือไม่?” นาง
ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้ากับพรรคบัวดา
ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน อาจารย์ออกจากพรรคมา
นานแล้ว สี่ทูตของพรรคบัวดา ตอนนี้มีแค่สามคน
เท่านั้น”
“ที่จริงน่าจะเหลือแค่สองนะ” ฉีหนิงพูดว่า “ทูต
ราคะต้วนชิงเฉิงทรยศหักหลังพรรคบัวดาไปแล้ว
ไม่อย่างนั้นคนของแปดพรรคสิบหกสานักไม่มีทาง
บุกไปถึงตาหนักหินดาได้ ตอนนี้ต้วนชิงเฉินกลาย
เป็นคนทรยศของพรรคบัวดาไปแล้ว มีแต่คนจะ
ตามล่าตัวเขา ทูตราคะคนนี้ไม่ได้เป็นคนของ
พรรคบัวดาอีกต่อไปแล้ว”
สายตาของถังนั่วไม่พอใจมาก แล้วพูดว่า “ต้วน
ชิงเฉิงเป็นคนต่าช้า เขาไม่เคยคิดดี เดิมก็ไม่ใช่คน
ที่ภักดีอะไรอยู่แล้ว เรื่องลืมบุญคุณคน หักหลัง
พรรคบัวดามันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว”
น้าเสียงของนาง ไม่พอใจต้วนชิงเฉิงมาก ตั้งแต่ฉี
หนิงรู้จักนางมา ถังนั่วเป็นคนที่เรียบง่ายไม่ค่อยมี
สีหน้าอารมณ์อะไรเลย ยิ่งไม่พอใจใครคนหนึ่ง
มาก ยิ่งไม่เคยเห็น
ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่า ถังนั่วกับพรรคบัวดา
จะต้องเคยมีความเกี่ยวข้องกันแน่นอน
ถังนั่วบอกว่าตอนนี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับพรรค
บัวดา แต่วา่ อีกนัยหนึ่งนั้น หมายความว่าก่อน
หน้านี้นางเคยมีความเกี่ยวข้องมาก่อน หลีซีกงก็
เคยเป็นทูตของพรรคบัวดามาก่อน ถังนั่วเป็น
ศิษย์ของเขา หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องเลย คงไม่
มีใครเชื่อ
ถึงแม้ตอนนี้ถังนั่วจะไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับ
พรรคบัวดาแล้ว แต่ว่านางน่าจะรู้เรื่องของพรรค
บัวดาแน่ อีกทั้งยังต้องรู้จักนิสัยของคนในพรรค
บัวดาเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นนางไม่มีทางให้ความ
เห็นเกี่ยวกับต้วนชิงเฉิงแบบนั้นแน่
“แม่นางถัง มีอีกเรื่อง ข้าอยากจะข้อคาชี้แนะกับ
เจ้าหน่อย” ฉีหนิงนิ่งแล้วถามว่า “เจ้ารู้หรือเปล่า
ว่าของในโลงน้าแข็งเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าได้ยิน
ท่านผู้อาวุโสหลีพูดว่า ในโลงน้าแข็งนั่นเป็นคนผู้
หนึ่ง แต่ไม่ใช่คนตาย มัน...มันเป็นเรื่องน่าแปลก
เกินไป”
ถังนั่วเงยหน้าขึ้นมามองแล้วถามว่า “เขาบอกเจ้า
หรือว่าในโลงน้าแข็งนั่นเป็นคน?”
“ใช่” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าสงสัยมาตลอด ในเมื่อไม่
ใช่คนตาย ทาไมถึงได้นอนอยู่ในโลงน้าแข็งแบบ
นั้น แม่นางถัง เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันเป็นเพราะ
อะไร?”
ถังนั่วเหลือบไปมองฉีหนิง หลังจากนั้นไม่นาน
แล้วพูดว่า “ฟ้าดินกว้างใหญ่ มีเรื่องแปลกมาก
มาย ไม่ว่าในโลงน้าแข็งจะเป็นอะไรมันก็ไม่ได้
เกี่ยวอะไรกับโหวเยว่มากนัก ที่จริงโหวเยว่ก็ไม่
จาเป็นต้องรู้ว่าคนที่อยู่ในนั้นเป็นใครด้วยซ้า”
ฉีหนิงตะลึงไป แต่ว่าเขารู้ ในเมื่อถังนั่วพูดแบบนี้
แล้ว แสดงว่านางไม่อยากบอก เขาไม่อยากบังคับ
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อแม่นางถังลาบากใจ ก็ไม่
ต้องบอกก็ได้ ข้าแค่อยากรู้เท่านั้น” ในตอนนี้เอง
ก็ได้ยินเสียงดังมาว่า “โหวเยว่ มีแขกมาขอพบ
เขาบอกว่าเขาแซ่ชิวขอรับ เขาบอกว่าบอกแค่นี้
โหวเยว่ก็น่าจะรู้ว่าเขาเป็นใคร”
ฉีหนิงลุกขึ้น ถังนั่วขมวดคิ้ว ฉีหนิงพูดเสียงเบาๆ
ว่า “น่าจะเป็นชิวเฉียนอี้ แม่นางถังจะไปเจอเขา
ด้วยกันหรือไม่?”
ถังนั่วส่ายหัว ฉีหนิงตอบรับ จากนั้นก็เดินออก
จากห้องไป เขาสั่งให้คนไปพาชิวเฉียนอี้เข้ามา
แล้วไปรอที่ห้องโถง ไม่นานนักชิวเฉียนอี้ก็มาถึง ฉี
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ราชาพิษท่านไปไหนมาไหนไร้
ร่องรอย จะเข้ามาในจวนจิ่นอีโหวก็ง่ายยิ่งกว่า
พลิกฝ่ามือ ทาไมต้องเกรงใจถึงขนาดให้คนมาแจ้ง
ก่อน”
ชิวเฉียนอี้เองก็ไม่ได้เกรงใจ เขาเข้ามาถึงก็นั่งลง
เลย เขาเหลือบไปมองฉีหนิงแล้วพูดว่า “หากเจ้า
ชอบ ต่อไปข้าจะเข้ามา ก็จะไม่แจ้งแล้ว”
พอฉีหนิงคิดว่าหากราชาพิษเข้ามาในจวนแบบ
เหมือนผี มันก็น่ากลัวเกินไป เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านมาถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่? เดินทางลาบาก
หรือไม่”
“ไม่ต้องพูดมาก” ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ข้ามาเมือง
หลวงตามนัดแล้ว ต่อไปเจ้าคิดจะทาเช่นไร? เจ้า
จะพาข้าไปเข้าเฝ้าเมื่อไหร่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 522 ไถ่ของ
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ราชาพิษท่านไม่ต้องรีบร้อน
จะเข้าเฝ้าฝ่าบาท อย่างไรก็ต้องรายงานก่อน ข้า
จะต้องทูลให้ฝ่าบาททรงทราบก่อน ว่าท่านได้มา
พบตามสัญญาแล้ว หากฝ่าบาทมีประสงค์จะให้
เข้าเฝ้า ข้าจะให้คนไปแจ้งให้ท่านรู้เอง จริงสิ ท่าน
มีที่พักในเมืองหลวงแล้วหรือยัง?”
ชิวเฉียนอี้ก็ไม่ได้พูดมา เขาบอกที่อยู่ให้ฉีหนิงรู้
หลังจากที่ฉีหนิงจดเอาไว้แล้ว ก็พูดว่า “ท่านก็
พักผ่อนอยู่ในเมืองหลวงก่อน หากมีความคืบหน้า
ข้าจะให้คนไปแจ้งทันที ตอนที่ฝา่ บาททรง
อยากจะพบ แล้วไม่เจอท่าน”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “เจ้ากลัวว่าข้าจะก่อเรื่องในเมือง
หลวงหรือ? เจ้าบอกให้ข้าเข้าเมืองหลวงมากับเจ้า
เองนะ หากข้าเกิดไปฆ่าคนวางเพลิง จิ่นอีโหวเจ้า
เองก็หนีไม่พ้น”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านเป็นถึงยอดฝีมือในยุทธภพ
หากจะฆ่าคนวางเพลิงจริง มันก็ดูไม่สมฐานะไป
หน่อยกระมัง”
“เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ไปฆ่าคนวางเพลิงหรอก หาก
จะฆ่าใครจริง คงมีแค่คนเดียว” ชิวเฉียนอี้แล้วพูด
ว่า “ต้วนชิงเฉิงไปเข้าพวกกับจวนเสินโหว อาจจะ
ซ่อนตัวในเมืองหลวงก็ได้ ข้าจะไปตามหาเขา”
สายตาของเขาดุดันมาก “หากข้าเจอตัวเขาแล้ว
ข้าจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ”
ฉีหนิงยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นชิวเฉียนอี้ก็ลุก
ขึ้น แล้วพูดว่า “ข้าไปก่อนนะ” เขาไม่พูดอะไร
มากอีก แล้วเดินไปที่ประตู ทันใดนั้นเอง เหมือน
เขาคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาหยุดเดินแล้วหันกลับมา
พูดว่า “ฉีหนิง เด็กน้อยอย่างเจ้าก็ใช้ได้เหมือนกัน
นะ ไม่แปลกใจเลยที่จิ่นอีตระกูลฉีจะเป็นนักรบ
กันทุกรุ่น เจ้าเองก็เก่งไม่เบา” เขาไม่พูดอะไรมาก
อีก แล้วจากไปทันที
เช้าวันต่อมา หลังจากที่ฉีหนิงกินข้าวเช้าแล้ว เขา
ก็ขอที่อยู่โรงรับจานากับกู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นอารมณ์
ไม่ดีมาก นางพูดว่า “ผ่านวันนี้ไป ร้านเงินก็จะยึด
โรงรับจานาไปแล้ว เจ้าไปวันนี้อาจจะยังได้เห็น
โรงรับจานาของตระกูลกู้อยู่ แต่พอถึงพรุ่งนี้
อาจจะเปลี่ยนชื่อไปเป็นของคนอื่นแล้ว” ฉีหนิง
บอกนางว่าจะพยายามรักษาโรงรับจานาเอาไว้ให้
ได้ แต่ว่ากู้ชิงฮั่นรู้ดีว่า หากไม่มีเงินไปคืนร้านเงิน
พวกเขาเองก็ไม่เกรงใจ แต่ว่าตอนนี้จะไปหาเงิน
เป็นหมืน่ ตาลึงจากที่ไหนได้
ถึงแม้เงินในคลังของจวนจิ่นอีโหวจะพอมีเงินอยู่
บ้าง แต่ว่าจะแอบโยกเงินของจวนโหวไปใช้มันก็
ไม่ควร ในจวนโหวยังต้องใช้เงินก้อนนี้เหมือนกัน
อีกอย่างต่อให้ฉีหนิงรับปากให้ใช้เงินก้อนนี้ได้ แต่
คลังเงินในจวนโหวมันก็ไม่ถึงยอดนั้นอยู่ดี
ฉีหนิงปลอบใจไปสองสามคา แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
มากอีก จากนั้นเขาตรงไปที่โรงรับจานาตระกูลกู้
เลย
ภายในโรงรับจานาตระกูลกู้ เงียบมาก กู้เหวินจาง
มาที่ร้านตั้งแต่เช้าแล้ว ผู้จัดการเจียงหนีหายตัวไป
ไหนก็ไม่รู้แล้ว เดิมที่ร้านมีคนงานอยู่ห้าหกคน แต่
พอตระกูลกู้เกิดเรื่อง คนงานรู้ว่าแม้แต่เงินเดือน
ทางร้านก็นา่ จะจ่ายไม่ไหว เลยลาออกไปกันจน
หมด เหลือแค่คนของจวนของตระกูลกู้เท่านั้นที่
อยู่เฝ้าร้าน
ในร้านเงียบมาก มีป้ายหยุดร้านแขวนไว้ด้านนอก
“นายท่าน ร้านของพวกเราจะถูกยึดไปจริงๆ
หรือ?” บ่าวไพร่เห็นกู้เหวินจางนั่งเหม่อลอยอยู่
บนเก้าอี้ ก็เขยิบเข้ามา แล้วถามอย่างระมัดระวัง
ว่า “ฮูหยินสามก็ไม่มีทางช่วยเลยหรือ?”
กู้เหวินจางส่ายหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เลยพูด
ว่า “ยังจะมีวิธีไหนได้อีก? ข้าหน้ามืดไปเอง หากรู้
ว่าจะเป็นอย่างนี้แต่แรก ข้าก็ไม่ควรมาเมืองหลวง
แต่แรก อยู่ที่เจียงหลิงดีๆ ก็หมดเรื่องแล้ว”
บ่าวไพร่พูดว่า “นายท่าน ที่จริงแล้วโรงรับจานานี่
ถูกยึดไปแล้ว พวกเราก็ไม่ได้จะหมดหนทางนะ
พวกเรากลับไปที่เจียงหลิง ก็ยังกินอยู่ได้สบายนี่
นา ตระกูลกู้ของพวกเรายังมีที่ดินที่นาอยู่ที่เจียง
หลิงนี่นา...”
“พวกนั้นก็เอาไปค้าประกันหมดแล้ว” กู้เหวินจาง
ไม่ได้พูดดีด้วย “ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ในมือของข้า
ผ่านวันนี้ไปแล้ว เจ้าคนแซ่เฉียวนั่นก็คงยึดที่ดินที่
นาบ้านของเราที่เจียงหลิงไปจนหมด ข้าจน
ปัญญาแล้ว”
บ่าวไพร่พูดอย่างเศร้าใจว่า “แล้วโหวเยว่ท่านไม่
ช่วยเลยหรือ เขาเป็นถึงขุนนางใหญ่ แค่พูดคา
เดียว ใครจะกล้ามายึดร้านของตระกูลกู้ของพวก
เราได้ล่ะ”
“เรื่องแบบนี้ เขาเองก็ไม่มีทางช่วย” กู้เหวินจาง
เข้าใจ “ติดหนี้ก็ต้องใช้ เป็นเรื่องธรรมดา ต่อให้วัง
หลวงติดหนี้คนข้างนอก อย่างไรก็ต้องใช้คืนจริง
หรือไม่?” เขายกมือตบหน้าของตัวเอง “เรื่องนี้ข้า
เป็นคนผิดเอง ทาให้ท่านแม่ต้องเป็นกังวล เฮ้อ
คราวนี้จบแล้ว ข้าไม่มีหน้ากลับไปที่เจียงหลิงอีก
แล้ว...”
พอเขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนเดินมา มี
เงาคนหลายคนเดินเข้ามาในร้านค้า บ่าวไพร่รีบ
พูดว่า “ขอโทษทุกท่านด้วย ร้านของพวกเราหยุด
กิจการชั่วคราว ทุกท่านเชิญ...” เขายังพูดไม่ทัน
จบ คนที่เข้ามาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “พวกเราไม่
ได้มาจานาของ แต่พวกเรามาไถ่ของ”
กู้เหวินจางเดิมไม่ได้มีอารมณ์ไปสนใจคนพวกนี้
เขากาลังถอนหายใจ พอได้ยินเสียง เขาก็เงยหน้า
ขึ้นมา จากนั้นก็มองไป เขาถึงกับลุกขึ้นมาจาก
เก้าอี้ แล้วเดินขึ้นหน้ามาสองก้าว ยกมือแล้วชี้ไป
ที่คนผู้นั้น “เป็น...เป็นเจ้า? เจ้าบ้าเอ๊ย เจ้า...เจ้า
กล้าหลอกข้า?” เขากาหมัดแล้วซัดไป
คนนั้นถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นก็มีชายสองคน
ขึ้นมาขวางเอาไว้ ต่างเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ มีคน
หนึ่งจับมาที่มือของกู้เหวินจาง แรงของเขาเยอะ
มาก กู้เหวินจางขยับไม่ได้อีก เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านกู้ ท่านคิดจะทาอะไร? มีลูกค้ามาหาถึงที่
ท่านไม่ดูแล ยังคิดจะทาร้ายคนอีก ไม่แปลกใจ
เลยที่ร้านของท่านจะต้องปิดตัวลง”
กู้เหวินจางจาได้ คนที่มาคือเจ้าของภาพปลอม
สองภาพนั้น
เดิมทีกู้เหวินจางคิดว่าคนผู้นี้หลอกเอาเงินเขาไป
แล้วหนึ่งแสนตาลึง น่าจะหายตัวไปจากเมือง
หลวงแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะพาคนมาไถ่
ของคืน
คนที่จับข้อมือของกู้เหวินจางเอาไว้ใช้แรงกระชาก
แล้วดันกู้เหวินจางไป เขาถอยหลังไปจนยืนไม่นิ่ง
แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
คนผู้นั้นหัวเราะ แล้วพูดว่า “ข้าน้อยแซ่ข้ง ชื่อข้า
ข่งเอ้อร์หู่ ท่านกู้ ท่านรับจานาภาพของข้าไปแล้ว
แม้แต่ชื่อของข้าท่านยังไม่รู้เลย ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านทา
การค้าแบบนี้ใช้ได้จริงๆ เลย” เขาเดินตรงเข้าไป
นั่งที่เก้าอี้โดยมีชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ด้านหลัง
ของเขา แต่ละคนสีหน้าท่าทางดุร้ายทั้งนั้น
กู้เหวินจางพยายามข่มอารมณ์ให้นิ่ง แล้วถามว่า
“เจ้าหลอกเงินข้า แล้วยังมาที่นี่อีกทาไม?”
“ท่านกู้ ท่านพูดแบบนี้ข้าไม่ค่อยเข้าใจเลยนะ”
ข่งเอ้อร์หู่ยกเท้าขึ้นมา แล้วเอามือแคะขี้มูก “ข้า
จานาภาพแบบไถ่ถอนคืนได้ ตกลงไว้ว่าอีกครึ่ง
เดือนจะมาไถ่คืน วันนี้วันสุดท้ายพอดี ข้าเลยเอา
เงินมาไถ่ของ ไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่?” เขายื่น
มือไปหยิบตั๋วเงินออกมา แล้ววางไว้ที่โต๊ะ แล้วตบ
เบาๆ อีกทัง้ ยังหยิบสัญญาที่มีการประทับนิ้วมือไว้
แล้วพูดว่า “วันนั้นพวกเราตกลงกันแล้ว ภาพสอง
ชิ้น ท่านจะรับจานาในราคาหนึ่งแสนสามหมื่น
ตาลึง ส่วนข้าจะไถ่ของคืนในราคาหนึ่งหมื่นหก
พันตาลึง”
กู้เหวินจางอึ้งไป เขานิ่งไป เมื่อคืนภาพถูกฉีหนิง
ทาลายไปแล้วที่ชุ่ยเต๋อหยวนตอนนี้จะไปเอาภาพ
มาจากไหน
เขาไม่ได้โง่ เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา
หากเมื่อคืนไม่ได้มีเรื่องการเผาภาพ ข่งเอ้อร์หู่ก็ไม่
มีทางมาไถ่ของแน่ เพราะเขารู้ว่าภาพถูกทาลาย
ไปแล้ว เขาถึงได้มา
“อะไรกัน ท่านกู้ มีปัญหาอะไรหรือ?” ข่งเอ้อร์หู่
พูดอย่างได้ใจว่า “ภาพของข้าคงไม่ได้เป็นอะไรใช่
หรือไม่? พวกเราตกลงกันไว้แล้วนะ หากภาพสอง
ภาพนั้นเป็นอะไรไปหรือเกิดเสียหาย ท่านจะต้อง
ชดใช้ให้ข้าสามแสนตาลึง”
กู้เหวินจางพูดว่า “ข่งเอ้อร์หู่ ภาพของเจ้ามันเป็น
ของปลอม กล้าเอาของปลอมมาหลอกเป็นของ
จริง”
“ท่านกู้ ข้าไม่เคยบอกท่านนี่นาว่ามันคือของจริง”
ข่งเอ้อร์หู่ยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้จัดการร้านของท่าน
เป็นคนบอกท่านเองว่าเป็นของจริง ข้าแค่เอาภาพ
มา ไม่ได้บอกว่ามันเป็นของจริงหรือของปลอม
หากเอามาจานาเอาเงินไปใช้แบบเร่งด่วน ได้มา
เท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่ว่าข้าเป็นคนรักษาคาพูด
ต่อให้ภาพสองภาพนั้นจะเป็นของปลอม แต่ว่าข้า
ไม่เอาเปรียบใคร วันนี้ข้ามาไถ่ของคืนตามนัด
แล้ว” เขาเอียงหน้าขึ้นเล็กน้อย “ภาพสองภาพ
นั้นเป็นของปลอมจริงหรือไม่ มันไม่ได้สาคัญเลย
ที่สาคัญคือท่านต้องเอาภาพสองภาพนั้นมา
แลกเปลี่ยนกับข้า” เขาหยิบตั๋วเงินปึกใหญ่ขึ้นมา
“เอาภาพสองภาพให้ข้า เงินหนึ่งแสนหกหมื่น
ตาลึงนี่ก็จะเป็นของท่าน หากท่านเอาภาพมาให้
ข้าไม่ได้ ท่านก็จะต้องให้เงินข้าอีกหนึ่งแสนเจ็ด
หมื่นตาลึง ถูกต้องหรือไม่?”
บ่าวไพร่คนนั้นอดพูดด้วยความโมโหไม่ได้ว่า
“พวกเจ้ามันนักต้มตุ๋น พวกเจ้า...นายท่าน พวก
เราไปแจ้งความกัน”
“แจ้งความ?” ข่งเอ้อร์หู่หัวเราะแล้วพูดว่า “พวก
ท่านไม่ต้องรีบร้อน หากเอาภาพของข้าออกมา
ไม่ได้ พวกท่านไม่ต้องไปแจ้งความหรอก ข้าไป
เอง” เขาสะบัดสัญญาในมือ “ในนี้เขียนเอาไว้
ชัดเจน ต่อให้ขึ้นศาล พวกท่านก็แก้ต่างอะไรไม่ได้
จริงสิ ข้ารู้ว่าจิ่นอีโหวหนุนหลังพวกท่านอยู่ แต่
ว่าจิ่นอีโหวเองก็ต้องมีเหตุผล จะมารังแกกันง่ายๆ
ไม่ได้นะ”
“ถูกต้อง จิ่นอีโหวไม่เคยรังแกใคร” ข่งเอ้อร์หู่พูด
จบ ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก “จิ่นอีโหวเป็นคน
มีเหตุผล” พูดจบ ก็มีเงาเดินข้ามาตรงประตู คน
แรกที่เดินเข้ามาสวมชุดผ้าแพร เขาคือฉีหนิง
นั่นเอง
กู้เหวินจางเห็นฉีหนิงเดินเข้ามา ก็เหมือนหญ้าที่
ได้รับน้า เขาดีใจมาก เขารีบพูดว่า “โหวเยว่ เขา
...เขามาไถ่ของคืน”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพยักหน้า แล้วหันไปมองคนข้างๆ
ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายหยวน คาพูดเมื่อครู่นี้ เจ้า
ได้ยินหรือไม่?” คนที่อยู่ข้างๆ เขา ก็คือหยวนหรง
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินชัดเจนเลย”
ข่งเอ้อร์หู่เห็นฉีหนิงพาคนมา สีหน้าท่าทางเขาก็
เริ่มแตกตื่น อีกทั้งตอนนี้ด้านนอกก็มีคนมามุงดู
หลายคน โรงรับจานาข้างๆ เอง รู้ว่าร้านของ
ตระกูลกู้ถูกโกง ต้องเกิดเรื่องใหญ่มากแน่ อีกทั้งมี
คนล้อมดูมากมาย ก็อดจะมามุงดูด้วยไม่ได้
หลังจากที่ฉีหนิงเข้ามาในห้องแล้ว กู้เหวินจางก็สั่ง
ให้คนเอาเก้าอี้มา ฉีหนิงกับหยวนหรงนั่งลงตรง
ข้ามกับเจ้าคนแซ่ข่ง เขายิ้มแล้วมองไปที่คนแซ่ข่ง
คนแซ่ข่งถูกมองจนรู้สึกแปลกๆ เขาก็พลันรู้สึกขน
ลุก ใครจะไปกล้านั่งต่อได้ เขาลุกขึ้นมา แล้ว
พยายามข่มอารมณ์ ยกมือคานับแล้วพูดว่า “ข้า
น้อยข่งเอ้อร์หู่ คา...คานับโหวเยว่”
“ข่งเอ้อร่หู่ ชื่อดี” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข่งเอ้อร์หู่
ฟังจากน้าเสียงของเจ้า เหมือนจะเป็นคนเมือง
หลวง?”
ข่งเอ้อร์หู่พยายามฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพ่อ...
ท่านพ่อย้ายมาอยู่เมืองหลวงเมื่อยี่สิบปีก่อน ข้า
น้อย...ข้าน้อยติดตามท่านพ่อมายังเมืองหลวง
อาศัยอยู่ที่นี่มายี่สิบกว่าปีแล้ว...ก็ถือว่า...ถือว่า
เป็นชาวเมืองหลวง”
“ภาพสองภาพนั่น ไม่รู้ว่าเจ้าไปได้มาจากไหน
หรือ?” ฉีหนิงถามด้วยสีหน้าที่มีแต่รอยยิ้ม “เป็น
ของสืบทอดประจาตระกูล หรือว่าไปบังเอิญได้มา
จากไหน? หรือว่า มีใครบอกให้เจ้าเอามาจานากับ
ร้านนี?้ ”
ข่งเอ้อร์หู่เริ่มหน้าถอดสี เขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า
“โหวเยว่ จะได้มาอย่างไร มัน...มันเหมือนจะไม่
สาคัญกระมัง? ข้าน้อยไม่สะดวกตอบ ที่ข้าน้อย
มาวันนี้ ก็เพื่อมาไถ่ของคืน ไม่...ไม่ได้ทาอะไรผิด
กฎหมายหรอกจริงหรือไม่?”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ผิดเลย เป็นหนี้ก็ต้อง
ใช้คืน ยืมเงินไถ่ของ มันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้
ผิดอะไรเลย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 523 ล่อเสือออกจากถ้้า
ข่งเอ้อร์หู่สีหน้าเริ่มดีขึ้น เขายกมือคานับแล้วพูด
ว่า “โหวเยว่มีความยุติธรรม ข้าน้อยขอนับถือ”
ฉีหนิงยกขาขึ้นมา แล้วพิงเก้าอี้ สายตามองไปที่
ข่งเอ้อร์หู่ เขายิ้มแล้วถามว่า “ข่งเอ้อร์หู่ ได้ยินมา
ว่าภาพของเจ้าทั้งสองภาพเป็นของปลอม เจ้ารู้
เรื่องนี้อยู่แล้วใช่หรือไม่?”
ข่งเอ้อร์หู่พูดว่า “โหวเยว่ เมื่อครู่ข้าน้อยพูดกับ
ท่านกู้ว่า ภาพสองภาพนี้จะเป็นของจริงหรือไม่
ข้าน้อยเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีทางดูไม่ออก
ข้าน้อยก็แค่รีบร้อนจะใช้เงิน ใครให้เงินข้าน้อย
ได้มากที่สุด ข้าน้อยก็จานากับคนนั้น หากข้าน้อย
เอาเงินไปแล้วไม่ย้อนกลับมา ก็ถือว่าข้าน้อยโกง
แต่ว่าข้าน้อยไม่ได้เป็นคนแบบนั้น วันนี้นาเงินมา
ไถ่ภาพสองภาพนั้นคืน เมื่อนาภาพมา ข้าน้อยก็
เอาเงินให้ไป โหวเยว่ นี่ไม่น่าจะผิดกฎอะไรใช่
หรือไม่?”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่ค่อยรู้
เรื่องกฎเกณฑ์อะไรของโรงรับจานาหรอก แต่ว่า
พอเจ้าพูดมาแบบนี้แล้ว ก็เหมือนจะมีเหตุผล ใน
เมื่อมีเหตุผล ข้าก็ต้องทาให้มันเหมาะสมสินะ”
“ใช่ๆๆ” ข่งเอ้อร์หู่รีบพูดด้วยรอยยิ้มว่า “โหวเยว่
ฉลาดสุขุมมาก”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข่งเอ้อร์หู่ เจ้ารู้เรื่อง
ที่เกิดขึ้นในชุ่ยเต๋อหยวนเมื่อคืนหรือไม่?”
“ชุ่ยเต๋อหยวน?” ข่งเอ้อร์หู่ทาหน้าเหมือนงงๆ
“โหวเยว่ ข้าน้อยไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่ทราบว่า
ที่ชุ่ยเต๋อหยวนเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ โหวเยว่
โปรดชี้แนะด้วย”
ฉีหนิงพูดว่า “มีหลายคนเห็นว่าข้าเผาภาพสอง
ภาพนั้นที่ชุ่ยเต๋อหยวน มันเป็นของปลอมทั้งคู่
เจ้าไม่ได้ยินเรื่องนี้เลยหรือ?”
ข่งเอ้อร์หู่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยไม่ได้ยินมา
ก่อน” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับ
ข้าน้อยนะ โหวเยว่เผาของทิ้งไป มันไม่ใช่ของที่ข้า
เอามาจานาสักหน่อย”
“ถ้าข้าบอกว่า ภาพสองภาพที่ข้าเผาไปเมื่อคืน
เป็นของเจ้า เจ้าจะทาอย่างไรกับข้า?”
ข่งเอ้อร์หู่อึ้งไป จากนั้นก็พูดว่า “โหวเยว่ล้อข้า
เล่นแล้วกระมัง ข้าน้อยจะไปกล้าทาอะไรโหวเยว่
ได้ แต่ว่า...ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องเป็นไปตามกฎ ราช
สานักมีกฎของราชสานัก บ้านเมืองก็มีกฎบ้าน
ของเมือง โรงรับจานาเองก็มีกฎของโรงรับจานา
วันนี้ข้าน้อยมาเพื่อไถ่ของคืน ท่านกู้ก็ควรจะเอา
ของมาแลกเปลี่ยนกับข้าน้อย ไม่อย่างนั้น...เฮ้อ
ไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นไปตามสัญญาที่ตกลงกันไว้”
“อ๋อ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แล้วในสัญญา
เขียนว่าอะไรบ้าง?”
ข่งเอ้อร์หู่พูดว่า “หากภาพสองภาพนั่นมีความ
เสียหาย ท่านกู้จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ข้าน้อย
สามแสนตาลึง” เขาสะบัดสัญญา “ในนี้มีเขียน
เอาไว้ชัดเจน อีกทั้งท่านกู้ยังประทับลายนิ้วมือ
ด้วย ก่อนหน้านี้ท่านกู้จ่ายมาแล้วหนึ่งแสนสาม
หมื่นตาลึง หากไม่มีภาพมาให้ข้า ก็ต้องจ่ายให้ข้า
อีกหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นตาลึง”
กู้เหวินจางโกรธจนหน้าเขียว เขากาหมัดแน่น
แล้วจ้องไปที่ข่งเอ้อร์หู่
ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าเจ้าก็เห็นแล้ว อย่าว่าแต่หนึ่ง
แสนเจ็ดหมื่นตาลึงเลย ตอนนี้หนึ่งหมื่นเจ็ดพัน
ตาลึงก็เอามาให้เจ้าไม่ได้ ข่งเอ้อร์หู่ แล้วเจ้าจะทา
อย่างไร?”
ข่งเอ้อร์หู่ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ตามหลักแล้ว
โหวเยว่มาด้วยตัวเองแบบนี้ ข้าน้อยก็ไม่ควรจะทา
ให้เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต แต่ว่า...แต่ว่าภาพสอง
ภาพนั่นสาคัญกับข้าน้อยมาก หากมันถูกเผา
ทาลายไปแล้วจริง ท่านกู้ไม่สามารถจ่ายค่าชดเชย
ได้ ข้าน้อย...เฮ้อ ก็คงต้องไปที่ศาลว่าการของใต้
เท้าโม่ ให้ท่านช่วยตัดสินความให้กับข้าน้อย”
“ถ้าอย่างนั้น ก็หมายความว่าเจ้าจะฟ้องข้าด้วย
สินะ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ภาพเทพธิดา
ข้าเป็นคนเผา เจ้าจะไปร้องทางการ ก็เท่ากับว่า
จะฟ้องข้าสินะ”
“โหวเยว่อย่าเข้าใจผิด” ข่งเอ้อร์หู่รีบยกมือ
ปฏิเสธ “ข้าน้อยไม่กล้าล่วงเกินโหวเยว่ ข้าน้อย
แค่ทาการแลกเปลี่ยนกับท่านกู้เท่านั้น ภาพสอง
ภาพนั้นข้าน้อยจะตามเอาคืนกับท่านกู้ ไม่ได้
เกี่ยวกับโหวเยว่เลย” เขามองไปที่กู้เหวินจาง
แล้วถามว่า “ท่านกู้ ท่านเอาภาพสองชิ้นนั้น
ออกมาไม่ได้จริงใช่หรือไม่? ถ้าอย่างนั้น ท่านจะ
จ่ายเงินค่าเสียหายหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นตาลึงให้ข้า
ได้หรือไม่?”
“เจ้ายังคิดจะเอาเงินอีกหรือ?” กู้เหวินจางพูด
ด้วยความโมโหว่า “ข้ามีแต่หมัดให้เจ้า”
ข่งเอ้อร์หู่พูดว่า “ดูท่าทางท่านกูจ้ ะผิดสัญญาแล้ว
โหวเยว่ ข้าน้อยเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ไม่กล้ามี
เรื่องกับท่านหรอกนะ” เขาหยิบตั๋วเงินเก็บเข้าไป
ที่เสื้อตรงอก ยกมือคานับแล้วพูดว่า “โหวเยว่
ข้าน้อยขอตัวก่อน” เขาหันหลังแล้วพาคนของเขา
เตรียมจะออกจากร้าน ยังไม่ทันถึงหน้าประตู ฉี
หนิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข่งเอ้อร์หู่ เจ้าอย่าเพิ่งรีบ
ไป”
ข่งเอ้อร์หู่หยุดเดิน แล้วหันกลับมาพูดว่า “โหว
เยว่มีอะไรจะสั่งอีกหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าขอถามเจ้าอีกแค่คาเดียว
หากเจ้าตอบมาตรงๆ เรื่องนี้อาจมีทางแก้ ครั้งที่
แล้วเจ้าเอาเงินไปจากโรงรับจานาหนึ่งแสนสาม
หมื่นตาลึง หลังจากวันนั้นผ่านมาครึ่งเดือน เจ้า
เอาเงินมาที่นี่หนึ่งแสนหกหมื่นตาลึง เวลาแค่ครึ่ง
เดือน เงินเกินมาสามหมื่นตาลึง เท่าที่ข้ารู้มา ใน
โลกใบนี้ไม่มีโรงรับจานาที่ไหนจะได้กาไรมากถึง
สามหมื่นตาลึงในครึ่งเดือนหรอกนะ อีกทั้งยังเป็น
การค้าแค่บัญชีเดียวด้วย”
ข่งเอ้อร์หู่พูดว่า “ตอนนั้นข้าน้อยรีบใช้เงิน ไม่ว่า
เงื่อนไขอะไร ข้าน้อยก็รับปากได้หมด”
“หือ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ต่อให้
เป็นใต้เท้าโม่ที่เจ้าพูดถึงเมื่อครู่ ตามเบี้ยหวัดของ
ราชสานัก ปีหนึ่งเขาก็จะมีเงินแค่เจ็ดร้อยตาลึง
เท่านั้น เงินสามหมื่นตาลึง ผู้ว่าการเมืองหลวงใช้
ทั้งชีวิตเขาก็ไม่มีปัญญาหามาได้หรอก เจ้าใจป้าไม่
เบาเลยนะ เงินสามหมื่นตาลึงที่เกินมา ใครให้เจ้า
ยืมกันแน่?”
ข่งเอ้อร์หู่สีหน้าเปลี่ยนไป เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“โหวเยว่ เรื่องนี้มันเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้อย่างไร
หรือ?”
“เกี่ยวสิ เกี่ยวมากด้วย” ฉีหนิงพูดว่า “เดิมทีข้า
แค่กังวลว่า หากวันนี้เงินหนึ่งแสนหกหมื่นตาลึง
เจ้าเอากลับไปไม่ได้ ไม่รู้ว่าเจ้าจะมีจุดจบอย่างไร?
ชีวิตของเจ้า มันจะมีค่ามากถึงหนึ่งแสนหกหมื่น
ตาลึงหรือไม่ ทาเงินหนึ่งแสนหกหมื่นตาลึงหลุด
มือไป ชีวิตเจ้าคงไม่รอดแน่ๆ”
ข่งเอ้อร์หู่ตกใจมาก เขาพูดว่า “โหวเยว่ล้อข้าเล่น
แล้ว ท่านกู้ เจอกันที่ศาลนะ” เขากาลังจะเดิน
ออกจากร้าน ทันใดนั้นเองก็มีคนมาขวางเอาไว้
พวกเขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ พกอาวุธด้วย พวก
เขาเป็นองครักษ์ของจวนจิ่นอีโหว
ข่งเอ้อร์หู่ไม่ได้กลัวเลย เขาหันกลับมาพูดว่า
“โหวเยว่ นี่มันหมายความว่าอย่างไร? หรือว่า
ท่านจะรังแกข้าต่อหน้าทุกคนแบบนี้”
ฉีหนิงปรบมือให้เขายิ้มแล้วพูดว่า “ช่างกล้าดี
จริงๆ ใช้ได้ๆ เจ้ากล้าพูดจากับข้าแบบนี้ แสดงว่า
คนที่หนุนหลังเจ้านี่ก็ไม่ธรรมดาเลย” เขาลุกขึ้น
ยืน แล้วพูดเสียงเข้มว่า “เอาของออกมา”
มีคนสองคนเดินเบียดฝูงชนเข้ามาในร้าน ในมือ
ถือภาพมาด้วย พอมาถึงด้านในร้าน ฉีหนิงก็พูด
ว่า “ข่งเอ้อร์หู่ เจ้ามาดูอะไรนี่มา ว่านี่คืออะไร”
เขากวักมือเรียกเขามา คนด้านข้าง รีบกางภาพ
ทั้งสองภาพออก ข่งเอ้อร์หู่กวาดตามอง เขาถึง
กลับสะดุ้ง แล้วพูดว่า “นี่...นี่มันภาพสองภาพนั้น
นี่นา?”
ภาพที่กางต่อหน้าทุกคน มันคือภาพเทพธิดา
ปลอมสองภาพนั้น
กู้เหวินจางงุนงงมาก เขาเดินขึ้นหน้ามาสองก้าว
มองไปที่ภาพสองภาพนั้น เขาก็ดีใจขึ้นมาทันที
เขาพูดออกมาว่า “ใช่ นี่มัน...นี่มันภาพสองภาพ
นั้นนี่นา โหวเยว่ นี่...?”
หยวนหรงที่ไม่พูดอะไรเลยก็ลุกขึ้นยิ้มแล้วพูดว่า
“ข่งเอ้อร์หู่ วันนี้เจ้ามาขอไถ่ของคืน แสดงว่าเจ้า
ต้องได้ยินเรื่องที่โหวเยว่เผาทาลายภาพพวกนี้ที่
ชุ่ยเต๋อหยวนเมื่อคืนมาแล้วแน่นอน แต่ว่าเจ้ากลับ
ไม่รู้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นแผนของโหวเยว่
เท่านั้น” เขากางพัดของเขาออกแล้วเดินขึ้นหน้า
ไปสองก้าว แล้วพูดว่า “โหวเยว่รู้ว่า เจ้าเอาเงินไป
กว่าหนึ่งแสนตาลึง จะต้องซ่อนตัวมิดชิดแน่นอน
ในเวลาสั้นๆ แบบนี้ คิดจะหาตัวเจ้า มันไม่ง่าย
เลย ในเมื่อหาเจ้าไม่พบ ก็ต้องให้เจ้าโผล่ออกมา
เอง”
ข่งเอ้อหู่สีหน้าซีดเผือด อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่
ออกเลย
“หากภาพสองภาพนี้ยังอยู่ เจ้าไม่มีทางโผล่
ออกมาแน่ รอจนถึงวันสุดท้าย ให้ร้านเงินมาทวง
หนี้ ยึดร้านกับบ้านของท่านกู้ไป ถึงแม้เวลานั้น
ท่านกู้ก็จะต้องตกอยู่ในที่นั่งลาบาก” หยวนหรง
พูดว่า “แต่หากว่าภาพสองภาพนี้มันถูกทาลาย
เสียหายไป พวกเจ้าก็จะต้องทนไม่ไหว เพราะมี
การตกลงไว้ก่อนแล้วว่า หากภาพถูกทาลาย
เสียหาย ท่านกู้จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้เจ้าสาม
แสนตาลึง นี่ไม่ใช่เงินน้อยๆ เลยนะ พูดน่าเกียจ
หน่อยก็คือ ต่อให้ท่านกู้ล้มละลายไปจนหมดตัว ก็
ไม่มีทางเอาเงินก้อนนี้มาให้เจ้าได้”
ตอนนี้กู้เหวินจางตื่นเต้นดีใจมาก คิดไม่ถึงเลยว่า
ภาพสองภาพนี้จะยังอยู่
“เป้าหมายของพวกเจ้า อาจจะไม่ใช่เงินสามแสน
ตาลึง แต่เป็นการที่ให้ท่านกู้ล่มจมให้ถึงที่สุด อีก
ทั้งยังคิดจะให้เขาติดคุกด้วย” หยวนหรงถอน
หายใจแล้วพูดต่อว่า “ท่านกู้เพิ่งมาเมืองหลวงได้
ไม่นาน ไม่มีความแค้นกับใคร พวกเจ้าวางแผน
หลอกเขา จะว่าไปแล้ว เป้าหมายของเจ้าก็คือโหว
เยว่มากกว่า”
ข่งเอ้อร์หู่ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้าใส่ร้ายข้า...
พวกเจ้าเป็นขุนนาง จะ...จะมารังแกชาวบ้าน
ธรรมดาอย่างข้าหรือ?”
“ชาวบ้านก็มีแบ่งคนดีคนเลวเหมือนกัน” หยวน
หรงพูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข่ง
เอ้อร์หู่เจ้าจัดอยู่ในกลุ่มคนเลว แผนการในครั้งนี้
พวกเจ้าวางแผนมาอย่างดี ตั้งใจใกล้ชิดกับท่านกู้
ให้เขาเข้าใจว่าการทากาไรจากภาพเก่าโบราณนั้น
มันง่าย อีกทั้งยังซื้อตัวผู้จัดการโรงรับจานาด้วย
ทุกอย่างเจ้าวางแผนมาแล้วอย่างตั้งใจ ตอนโหว
เยว่อยู่ในเมืองหลวง พวกเจ้าไม่กล้าลงมือ แต่พอ
โหวเยว่ไปทางานที่ซีชวน พวกเจ้าก็ฉวยโอกาส
ทันที...”
กู้เหวินจางเหมือนจะเริ่มเข้าใจอะไรบ้างแล้ว เขา
พูดว่า “เจ้าคนแซ่เฉียวนั่น...?” เหมือนเขาจะนึก
อะไรขึ้นมาได้ เรื่องนี้ เฉียวอวี๋เป็นตัวละครสาคัญ
เลยตั้งแต่แรกเริ่ม หรือว่าเฉียวอวี๋คือคนที่อยู่
เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้?
หยวนหรงพูดต่อไปว่า “โหวเยว่จัดงานเลี้ยงที่
ชุ่ยเต๋อหยวน ตั้งใจเชิญเหล่าบัณฑิตมา ก็เพื่อให้
พวกเขาช่วยกระจายข่าวเรื่องนี้ออกไป โหวเยว่
วางแผนไว้อย่างรอบคอบ แต่ว่ามันก็เสี่ยงไป
หน่อย เพราะมันเหลือเวลาอีกแค่วันเดียว หาก
พวกเจ้าไม่มา รอให้ผ่านวันนี้ไป ก็คงไม่ตกหลุม
พรางของโหวเยว่ แต่ว่า...พวกเจ้ามันใจคอโหด
เหี้ยม คิดจะทาให้คนอับจนหนทางจนถึงที่สุด
เลยโผล่ออกมาก่อน”
คนที่มุงดูพอได้ฟังที่หยวนหรงอธิบาย ก็เข้าใจ
ที่มาที่ไปทันที มีหลายคนปรบมือเห็นด้วยและ
พอใจ
ฉีหนิงเดินขึ้นหน้ามาสองก้าว ยืนเอามือไขว้หลัง
แล้วจ้องไปที่ตาของข่งเอ้อร์หู่ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ข่งเอ้อร์หู่ เจ้าคงไม่หาว่าข้าเอาของปลอมมา
หลอกเจ้าหรอกใช่หรือไม่? เจ้าเพิ่งจะยอมรับไป
เมื่อครู่ว่าภาพสองภาพนี้มันเป็นของปลอมก่อน
อีกทั้งคุณชายหยวนแห่งจวนเสนาบดีกรมพิธีการ
ก็มาเป็นพยานที่นี่ด้วย ภาพสองภาพนี้คงไม่มี
ปัญหาอะไรใช่หรือไม่?”
“แต่ว่า...แต่ว่าหลายคนก็เห็นว่าพวกเจ้าเผา
ทาลายภาพสองภาพนี้ไปแล้วนี่นา มัน...มันจะ
เป็นไปได้อย่างไร?” ข่งเอ้อร์หู่คิดอย่างไรก็ไม่
เข้าใจ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 524 บังเอิญ
หยวนหรงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดูท่าทางพวก
เจ้ายังไม่เอาไหนเลยนะ ในเมื่อเป็นแผนของโหว
เยว่ ก็ต้องเตรียมการไว้แล้วอย่างดีสิ อยู่ต่อหน้า
คนอื่น ก็แค่สลับของเอาไว้แล้ว หลอกตาทุกคนที่
อยู่ตรงนั้น”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข่งเอ้อร์หู่ วันนี้เจ้ามาไถ่ของ
คืน ท่านกู้ไม่มีทางให้เจ้ามาเสียเที่ยวแน่นอน”
เขาส่งสายตาไปให้กู้เหวินจาง เขารีบเดินมาม้วน
ภาพ แล้วนาภาพเดินขึ้นหน้าไป แล้วพูดว่า “ภาพ
ของเจ้าอยู่นี่แล้ว เงินไถ่ของเจ้าต้องเอามันออกมา
ให้ข้า”
ข่งเอ้อร์หู่ตัวสั่น กู้เหวินจางตอนนี้มีแรงเต็มที่ เขา
ยื่นมือออกไป แล้วพูดว่า “เอาเงินออกมา หนึ่ง
แสนหกหมื่นตาลึง อีแปะเดียวก็ห้ามขาด”
ข่งเอ้อร์หู่หันหลังเพื่อจะหนีไป แต่ก็พบว่าที่ประตู
มีองครักษ์ขวางเอาไว้หมดแล้ว คนของเขาถึงจะ
รูปร่างสูงใหญ่ แต่ไม่มีใครกล้าลงมือกับคนของ
จวนโหว เห็นสายตาคนรอบข้างจ้องมาที่ตัวเขา
ข่งเอ้อร์หู่ก็เริ่มกลัว เหงื่อไหลออกมาที่หน้าผาก
เป็นจานวนมาก เขายังไม่หยิบเงินออกมาให้
กู้เหวินจางเดินขึ้นหน้าไป แล้วเอาภาพยัดไปใน
มือของข่งเอ้อร์หู่ เขาเอามือไปล้วงในเสื้อของข่ง
เอ้อร์หู่แบบไม่เกรงใจ แล้วหยิบเอาตั๋วเงินออกมา
ข่งเอ้อร์หู่ตัวสั่นเทา แต่ก็ไม่กล้าขวาง กู้เหวินจาง
หยิบตั๋วเงิน แล้วหันไปพูดกับเด็กรับใช้ของเขาว่า
“เอาไปนับที ดูสิว่ามีเท่าไหร่ วันนี้หากว่าขาดไป
แม้แต่อีแปะเดียว อย่าคิดจะออกจากที่นี่เลย”
เด็กรับใช้ดีใจมาก รีบรับตั๋วเงินมา แล้วก็นับต่อ
หน้าทุกคน จากนั้นก็พูดว่า “นายท่าน หนึ่งแสน
หกหมื่นตาลึงครบพอดี ไม่ขาดไม่เกินขอรับ”
กู้เหวินจางหัวเราะแล้วพูดว่า “ดี ข่งเอ้อร์หู่ พวก
เราไม่ติดค้างอะไรกันอีกแล้วนะ ขอบใจเจ้ามาก
ที่มาใช้บริการร้านข้า หากมีของอะไรอีก ก็เอา
มานะ” เขายื่นมือไปชกที่หน้าอกของเขา ข่งเอ้อร์
หู่ถอยหลังไปหลายก้าว หน้าของเขาตอนนี้
เหมือนคนตายไปแล้ว
กู้เหวินจางเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เขายิ้มหน้า
บาน เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ที่ฉีหนิงจัดงานเลี้ยงเมื่อ
วานนี้ จะเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้า
ตระกูลกู้พ้นอันตรายแล้ว อีกทั้งยังได้กาไรสาม
หมื่นที่ควรจะได้ด้วย เขารู้สึกซาบซึ้งใจต่อฉีหนิง
มาก และนับถือเขามากด้วย
ข่งเอ้อร์หู่สีหน้าไม่ดี ร่างกายอ่อนแรงไปหมด คิด
จะรีบออกจากร้านไป ฉีหนิงพูดขึ้นมาว่า “ข่ง
เอ้อร์หู่ กลับไปบอกนายของเจ้านะ เขามีเงินเท่า
ไหร่ ข้ารับไม่อั้น บอกให้เขาจาไว้ด้วยว่า เขาขุด
หลุมไว้มากเท่าไหร่ ให้เขาระวังตัวเองจะตกไปใน
หลุมนั้นด้วยละกันนะ”
ข่งเอ้อร์หู่พาคนรีบไป คนที่มามุงดู ก็รู้สึกว่าละคร
ฉากนี้สนุกมาก พอไม่มีอะไรให้ดูแล้ว ก็แยกย้าย
กันไป
กู้เหวินจางรีบเชิญฉีหนิงกับหยวนหรงเข้าไปดื่มชา
ในห้องโถง หยวนหรงยิ้มแล้วถามว่า “โหวเยว่
ท่านเหมือนจะรู้ว่าเบื้องหลังเรื่องนี้เป็นใคร”
“คุณชายหยวนทาไมเลอะเลือนแบบนี้ เจ้าเดาไม่
ออกหรือ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เฉียวอวี๋เจ้า
น่าจะรู้จัก”
หยวนหรงพูดว่า “พ่อของเฉียวอวี๋เป็นหัวหน้าอยู่
ในกรมคลัง ไม่ได้เป็นขุนนางใหญ่อะไร ข้ากับเขา
ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันเท่าไหร่”
“เสนาบดีกลมคลังคือโต้วขุ่ย เจ้าคนแซ่เฉียวนั่น
เป็นลูกน้องในสังกัดเขา หากบอกว่าเฉียวอวี๋ไม่
เกี่ยวข้องอะไรกับโต้วเหลียนจงเลย ข้าว่าคงเจอผี
เข้าให้แล้วล่ะ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “โต้วเหลียน
จงเกลียดข้าเข้ากระดูกดา แต่ว่าไม่กล้าเป็นศัตรู
กับจวนจิ่นอีโหวโดยตรง บังเอิญท่านลุงมาทา
การค้าในเมืองหลวง โต้วเหลียนจงก็เลยจ้องมาที่
ท่านลุงแทน แล้วรอโอกาสลงมือ”
หยวนหรงเข้าใจขึ้นมาทันที เขาพูดว่า “โต้ว
เหลียนจงเกลียดท่านเข้ากระดูกดา แต่ว่าไม่กล้า
มายุ่งกับท่านตรงๆ เลยมาลงกับท่านกู้แทนอย่าง
นั้นสินะ?”
“เรื่องก็ประมาณนั้นแหละ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ลูกไม้ของโต้วเหลียนตง มองละเอียดหน่อยก็
เข้าใจแล้ว แต่ว่าแผนการในครั้งนี้ ร้ายกาจมาก
ท่านลุงเกือบถูกพวกเขาจับไปเข้าคุก”
ในตอนนี้กู้เหวินจางกาลังจัดการเรื่องต่อจากนี้
วันนี้เป็นวันครบกาหนดวันสุดท้าย ในเมื่อได้เงิน
คืนมาแล้ว ก็ต้องรีบเอาไปคืนร้านเงินให้เรียบร้อย
“ในเมื่อโหวเยว่รู้ว่าโต้วเหลียนจงอยู่เบื้องหลัง
เรื่องนี้ ทาไมท่านยังปล่อยข่งเอ้อร์หู่ไปล่ะ?”
หยวนหรงพูดอย่างสงสัย “จับข่งเอ้อร์หู่ไปให้โม่
หน้าเหล็กไม่ดีกว่าหรือ เขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้
ไปแน่ หากโต้วเหลียนจงอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริง
เขาจะต้องจัดการแน่”
ฉีหนิงส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “โต้วเหลียนจงถึงแม้
จะไม่ได้ฉลาดอะไรมาก แต่ว่าเรื่องนี้เขาไม่ออก
หน้า ดูจากท่าทางของข่งเอ้อร์หู่แล้วน่าจะเป็น
พวกเร่ร่อนไม่เอาไหน โต้วเหลียนจงไม่มีทางไป
ใกล้ชิดกับคนพวกนี้แน่ ดังนั้นถึงจับข่งเอ้อร์หู่ได้
เขาก็ไม่มีทางซักทอดไปถึงโต้วเหลียนจงหรอก”
เขายิ้มแล้วพูดต่อว่า “ในเมื่อโต้วเหลียนจงอยู่สงบ
ไม่เป็น ก็ปล่อยเขาไปเถอะ แค่อย่าตกมาอยู่ในกา
มือของข้าก็พอ ไม่อย่างนั้น...” เขาไม่ได้พูดต่อ
ในตอนนี้กู้เหวินจางก็เดินออกมาจากห้อง หน้า
ของเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจแล้วพูดว่า
“โหวเยว่ หากวันนี้ไม่ได้ท่าน ผลที่ตามมาข้าไม่
กล้าคิดเลย ตระกูลกู้ต้องจบสิ้นแล้วแน่นอน” เขา
หยิบตั๋วเงินมาปึกหนึ่ง “โหวเยว่ หักเงินทุนแล้วก็
หนี้สินไปแล้ว นี่เงินสองหมื่นสองพันตาลึง ท่าน
...”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านลุง ท่านทาแบบนี้
หมายความว่าอย่างไร?”
“โหวเยว่ ท่านอย่าเข้าใจผิด” กู้เหวินจางรีบพูดว่า
“ครั้งนี้ข้าเลอะเลือนไปเอง หากไม่ได้ท่าน ข้ากู้เห
วินจางก็ไม่มีทางรอด เงินจานวนนี้ ท่านก็รับไว้
เถอะ ถือว่าเป็นของขวัญแทนคาขอบคุณจากข้า”
ฉีหนิงผลักตั๋วเงินกลับไปแล้วพูดว่า “ท่านลุง มี
บทเรียนในครั้งนี้แล้ว ต่อไปท่านก็ต้องระวังให้
มาก เงินนี่ข้าไม่รับหรอกนะ ต่อไปหากข้าไม่มีเงิน
ใช้ ข้าค่อยไปเอากับท่าน”
กู้เหวินจางลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เก็บคืน แล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ใกล้เที่ยงแล้ว พวกเราไปกินข้าว
ที่ภัตตาคารกันหรือไม่ ครั้งนี้ท่านห้ามปฏิเสธนะ
ข้าให้คนไปแจ้งน้องหญิงแล้ว ข้าให้คนไปบอกนาง
ว่าท่านเอาเงินกลับมาให้แล้ว เที่ยงนี้ท่านจะอยู่
กินข้าวกับข้าที่น”ี่
ฉีหนิงรู้ว่ากู้เหวินจางอยากจะขอบคุณเขา อีกทั้งนี่
ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ไม่ว่าจะกินที่ไหนก็เหมือนกัน เขา
หันไปมองหยวนหรงแล้วพูดว่า “คุณชายหยวน
เสียเวลาเจ้าหน่อยนะ กินข้าวด้วยกันสักมื้อเป็น
เช่นไร?”
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “มีคนเลี้ยง ได้กินโดยไม่
ต้องเสียงสักอีแปะเดียว ทาไมจะไม่กินล่ะ?” เขา
หันไปพูดกับกู้เหวินจางว่า “ท่านกู้ ห่างจากนี่ไป
อีกสองถนนมีภัตตาคารชื่อว่าหอฮุ่ยเฟิงฉวน ที่นั่น
เงียบสงบ อีกทั้งอาหารก็อร่อย พวกเราไปที่นั่น
กันดีหรือไม่”
กู้เหวินจางไม่พูดมาก เก็บของแล้วก็ออกไปที่ร้าน
เลย องครักษ์ก็ตามไปด้วย พอมาถึงหอฮุ่ยเฟิง
ฉวน ที่นี่ไม่ใหญ่ แต่ตกแต่งสวยงาม เงียบสงบ
มาก มีทั้งหมดสองชั้น ชั้นบนมีห้องส่วนตัวเล็กๆ
องครักษ์ที่ตามมานั่งด้านล่าง กู้เหวินจางเชิญฉี
หนิงกับหยวนหรงไปที่ห้องชั้นสอง
หลังจากนั่งลงแล้ว ฉีหนิงก็มองไปรอบๆ ยิ้มแล้ว
พูดว่า “หยวนหรง คุณชายเจียงเป็นเช่นไรบ้าง?”
“คุณชายเจียง?” หยวนหรงตะลึงไป “คุณชาย
เจียงไหน?”
“เจียงซุยอวิ๋นแห่งตงไห่” ฉีหนิงพูด “เจียงซุยอวิ๋น
ไม่ได้ไปเป็นเจ้าหน้าที่ในกรมพิธีการหรืออย่างไร
กัน? ท่านปู่ของเจ้าดูแลกรมพิธีการ เจียงซุยอวิ๋น
เป็นคนในสังกัดของปู่เจ้า เจ้าก็น่าจะรู้เรื่องของ
เขาบ้างสิ?”
หยวนหรงได้สติ ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่านก็รู้
นิสัยข้า เรื่องของทางการ ข้าไม่ชอบไม่ยุ่ง แต่ว่า
เจ้าเจียงซุยอวิ๋น ข้าได้ยินมาว่าถูกสั่งให้ไปอยู่
หน่วยบุคคล หน่วยบุคคลเป็นหนึ่งในสี่หน่วยของ
กรมพิธีการ ดูแลเรื่องการรับรองแขกบ้านแขก
เมืองแล้วก็เรื่องต่างแดน หลายปีที่ผ่านมาพวกเรา
ไม่ได้ไปมาหาสู่กับทางเป่ยฮั่นเลย กับตงฉีก็น้อย
หน่วยนี้ก็เหมือนเป็นแค่หน่วยที่ไม่มีประโยชน์
อะไร ขุนนางที่อยู่แทบจะไม่มีอะไรทา”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าแซ่เจียงนั่นก็ไม่ได้ทาอะไรเลย
สิ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วถาม
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ไม่ได้ถึงขนาดไม่มี
อะไรทา เขามาจากตงไห่ มีเงินมากมาย เท่าที่ข้ารู้
มา ตอนนี้เขาเข้ากับคนในกรมพิธีการเป็นอย่างดี
มีเงินอะไรก็พูดง่าย เขาอยู่ในกรมพิธีการ เขารู้ไป
หมดว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร ใจป้าใจใหญ่
แม้แต่ท่านปู่ยังบอกเลยว่าเขาเป็นคนมีมารยาท
มาก โหวเยว่ เขามีไหวหนานอ๋องหนุนหลังเขาอยู่
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป อีกไม่กี่ปี คิดว่าราชสานักคง
ให้ความสาคัญกับเขาแน่” เขาจัดเสื้อผ้า แล้วพูด
อย่างแปลกใจว่า “ทาไมโหวเยว่ถึงได้สนใจเขา
ล่ะ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคุณชาย
ตระกูลเศรษฐีใหญ่จากตงไห่ ข้าแค่อยากรู้ว่าให้
พ่อค้ามาเป็นขุนนาง เขาจะมีดีแค่ไหนกันเชียว"
เขาได้รู้ความลับมาจากเหยียนลิ่งเซี่ยน เหยียนลิ่ง
เซี่ยนกับเจียงซุยอวิ๋นนั้นมีอะไรเหมือนกัน นั่นก็
คือมีคนถ่ายทอดวรยุทธ์คนเดียวกัน เจียงซุยอวิ๋น
เป็นคุณชายตระกูลเศรษฐี ตอนนี้เป็นขุนนาง แต่
กลับเป็นขุนนางที่ไม่มีอานาจ แต่เขายอมทิ้ง
คุณชายเศรษฐีใช้ชีวิตสุขสบาย มาอยู่ในเมือง
หลวง มันน่าสงสัยเกินไป
ตอนนี้เอง ก็มีคนเปิดประตูเข้ามา เป็นเสี่ยวเอ้อ
เอาอาหารแล้วก็น้าชามาให้ ฉีหนิงเหลือบไปมอง
ตอนที่เขามองไปที่เสี่ยวเอ้อ ก็เห็นเงาของผู้ชาย
คนผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านไป ฉีหนิงขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นเองเขาเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาบอก
กับหยวนหรงว่า “พวกเจ้าอยู่นี่ก่อนนะ ข้าไปเข้า
ห้องน้าก่อน” เขาออกจากห้องไป จากนั้นก็หันไป
มองที่ทางเดิน เห็นเงาสองเงานั่นเดินเข้าห้องไป
แล้ว
ผู้ชายคนนั้นสวมชุดสีเขียว สวมหมวก ดูไปแล้ว
อายุประมาณห้าสิบปี ด้านหลังของเขามีหญิงคน
หนึ่งเดินตามหลังไป รูปร่างดี สวมชุดสีน้าเงิน รัด
เอวด้วยสายรัดสีธรรมชาติ เอวของนางเล็กมาก
สะโพกอวบอิ่ม เดินทีก็บิดไปบิดมา เห็นแค่เงา ฉี
หนิงก็จาได้ว่านางคือเถียนฮูหยินของร้านยา
ตระกูลเถียน
ตอนนี้เสี่ยวเอ้อเปิดประตูออก ชายชุดเขียวเดิน
เข้าไปก่อน เถียนฮูหยินมองซ้ายมองขวา สีหน้า
ของนางดูตื่นกลัวมาก แต่ว่านางไม่เห็นฉีหนิง
จากนั้นก็เดินตามผู้ชายคนนั้นเข้าไปในห้อง
ฉีหนิงรู้สึกสงสัยมาก คิดในใจว่าเถียนฮูหยินเป็น
เจ้าของร้านยาตระกูลเถียน แต่เพราะนางเป็น
ผู้หญิง หากมีเรื่องอะไร นางก็สั่งให้คนมาทาแทน
ทาไมถึงได้มาในสถานที่แบบนี้ด้วยตัวเองได้? แล้ว
ชายชุดเขียวนั่นเป็นใครกัน แล้วทาไมเถียนฮูหยิน
ถึงได้ดูหวาดกลัวแบบนั้น?
ฉีหนิงสงสัยมาก ในตอนนี้เอง ก็มีเสี่ยวเอ้อออกมา
จากห้อง จากนั้นก็ปิดประตู แล้วเดินมาทางฉีหนิง
ฉีหนิงเดินตรงไป แล้วดึงมือเสี่ยวเอ้อไว้ แล้วชี้ไปที่
ห้อง แล้วถามเบาๆ ว่า “ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?”
เขาอึ้งไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เขาเป็นลูกค้า
ของที่นี่ ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร ท่านถาม
ถึงเขาทาไมกันหรือ? ข้าน้อยไปถามให้ดีหรือไม่?”
เขายิ้มแปลกๆ ฉีหนิงก็ไม่อยากจะสาวความยืดกับ
เขาต่อ เขาโบกมือปฏิเสธ เสี่ยวเอ้อเดินจากไป
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หันกลับมามองฉีหนิง เห็น
เขายืนจ้องไปที่ห้อง แล้วยิ้มแปลกๆ แล้วก็พูดว่า
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร? หึ ข้าว่าเจ้าอยากรู้
มากกว่าว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ก้นใหญ่แบบนั้น
ผู้ชายคนไหนก็คิดถึงกันทั้งนั้น”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 525 รังแก
ฉีหนิงรู้สึกสงสัยมาก อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆ
ห้อง เห็นประตูห้องปิดอยู่ แต่ว่าพอจะมีรูที่
สามารถมองลอดเข้าไปได้ ฉีหนิงมองผ่านช่องนั้น
ไป เห็นชายชุดเขียวนั่งอยู่ที่โต๊ะ เถียนฮูหยินกลับ
นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ห่างจากชายชุดเขียว
ประมาณหนึ่ง นางดูระวังตัวมาก
ชายชุดเขียวลูบเคราแล้วพูดว่า “ฮูหยินไม่ต้องตื่น
กลัว ที่นี่เหมาะที่จะคุยธุระเป็นที่สุด บางเรื่องคุย
กันให้จบวันนี้ วันหน้าจะได้ราบรื่น”
เถียนฮูหยินฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าซู ข้าน้อยได้
เตรียมอาหารไว้ที่จวนแล้ว ที่นี่...ที่นี่คนไปมามาก
มาย อีกทั้งไม่ค่อยสะอาด อีกอย่างข้าน้อย...
ข้าน้อยจะคุยเรื่องการค้าเท่านั้นเอง ไม่ทราบว่าใต้
เท้าคิดเห็นอย่างไร?”
“ฮูหยิน เจ้าเป็นคนทาการค้า ไม่รู้กฎเกณฑ์ของ
ขุนนาง” ชายชุดเขียวยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างไรเสีย
ข้าก็เป็นหลางเฉิงของสานักหมอหลวงนะ ดูแล
เรื่องการนาเข้าส่งออกยาของสานักหมอหลวง
หากว่า...หึหึ หากว่าจะนาเข้ายาของตระกูลเถีย
นของเจ้า อาจมีคนครหาได้ว่า ข้ากับเจ้ามีความ
สัมพันธ์ส่วนตัวกัน ดังนั้นถึงได้ยอมซื้อยาของพวก
เจ้า คาพูดคนมันน่ากลัวนะ พวกเราต้องระวังให้
มาก”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจอะไรขึ้นมา ที่แท้ชายชุดเขียวนี่ก็
เป็นเจ้าหน้าที่ของสานักหมอหลวงนี่เอง
ร้านยาตระกูลเถียนเป็นร้านยาที่มีชื่อเสียงในเมือง
หลวงมาก ความฝันของเถียนฮูหยิน ก็คือการได้
ทาการค้ากับทางสานักหมอหลวง ส่งยาของร้าน
เข้าไปในวังหลวง ฉีหนิงก็ทาความฝันของนางจน
สาเร็จแล้ว
ก่อนหน้านี้เถียนฮูหยินเคยบอกว่า ร้านยาตระกูล
เถียนก็เริ่มส่งยาให้สานักหมอหลวง ก็ถือว่าได้เข้า
ตามหลักแล้ว ตอนนี้เถียนฮูหยินอยู่กับคนของ
สานักหมอหลวง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร คน
ทาการค้ากับลูกค้านั่งดื่มเหล้าคุยธุรกิจ มันเป็น
เรื่องปกติ ฉีหนิงคิดแบบนี้ เขาก็คิดว่าเขาไม่ควร
ยุ่ง กาลังคิดจะเดินไป ทันใดนั้นเองก็ได้ยินใต้
เท้าซูหัวเราะแล้วพูดว่า “ฮูหยิน ได้ยินมาว่าท่าน
ใช้เส้นสายของจิ่นอีโหว ถึงได้ติดต่อกับสานักหมอ
หลวงได้ ไม่ทราบเรื่องนี้จริงหรือไม่?”
ฉีหนิงเห็นเขาพูดถึงตัวเองขึ้นมา เขาก็ขมวดคิ้ว
เริ่มแรกเถียนฮูหยินก็ยังเจียมตัวอยู่ แต่ว่าเพราะ
เป็นคนที่ทาการค้า นางเลยพยายามข่มอารมณ์ไว้
จากนั้นนางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยช่วย
เหลือข้าจริง”
“ถ้าอย่างนั้น ฮูหยินเป็นญาติสนิทของจิ่นอี
ตระกูลฉีอย่างนั้นหรือ?” ใต้เท้าซูถามว่า “ไม่
ทราบเป็นญาติทางไหนหรือ?”
เถียนฮูหยินรีบพูดว่า “ไม่ ท่านโหวน้อยยอมช่วย
เหลือ เขา...เขาใจดี เห็นว่าข้าเป็นหญิงม่ายลูกติด
ก็เลยยอมช่วยเท่านั้น”
“หือ? ใต้เท้าซูยิ้มแล้วพูดว่า” ถ้าอย่างนั้น ฮูหยิน
กับจิ่นอีตระกูลฉีก็ไม่ได้เป็นญาติเป็นอะไรกัน
อย่างนั้นสินะ?"
เถียนฮูหยินหวังว่าตอนนี้นางจะมีอะไรกับฉีหนิง
แต่ว่าอยู่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของสานักหมอหลวง
จะพูดออกมาไม่ได้ นางพยักหน้า แล้วพูดว่า
“ตระกูลของข้าน้อยกับตระกูลฉี ไม่ได้เป็นอะไร
กัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็แปลก จิ่นอีโหวเป็นถึงบรรดาศักดิ์
โหวของต้าฉู่ ฮูหยินเป็นแค่แม่ค้า โหวเยว่ทาไมถึง
ได้ใจดีขนาดช่วยฮูหยินได้?”
เถียนฮูหยินเหมือนจะไม่อยากคุยเรื่องนี้มาก จึง
ถามไปว่า “ใต้เท้าซู นี่ก็ผ่านไปแล้วประมาณหนึ่ง
เดือนหลังจากส่งยาให้สานักหมอหลวงไปสองครั้ง
แล้ว ก็ไม่มีข่าวคราวอะไรอีก ยารอบที่สามข้าได้
เตรียมไว้แล้ว อีกทั้ง...อีกทั้งค่ายา ก็...ก็ยังไม่ได้
จ่ายมา ใต้เท้าซูท่าน...?”
ใต้เท้าซูยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินอย่าเพิ่งร้อนใจไป
วันนี้ที่เรียกเจ้ามา ก็เพื่อที่จะคุยเรื่องนี้กัน” เขา
ลูบเครา แล้วมองไปที่เถียนฮูหยิน สายตาของเขา
จ้องไปที่หน้าอกของเถียนฮูหยิน เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ฮูหยินปีนี้อายุยี่สิบปีอย่างนั้นหรือ?”
เถียนฮูหยินรีบพูดว่า ใต้เท้าล้อเล่นแล้ว ปีนี้ข้า
อายุสามสิบสองปีแล้ว"
“ไม่เหมือนเลย” ใต้เท้าซูส่ายหน้าแล้วพูดด้วย
รอยยิ้มว่า “ฮูหยินหน้าตาสวยงาม เดินไปบนท้อง
ถนน หากไม่บอกอายุ ไม่มีใครรู้วา่ ฮูหยินอายุ
สามสิบสองแล้ว เจ้ายังดูเหมือนอายุยี่สิบสามยี่สิบ
สี่อยู่เลย ฮ่าฮ่าฮ่า ความงามของฮูหยิน ดูแล
ตัวเองดีมากเลยนะ”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ตอนที่เขาเห็นใต้เท้าซูมองไปที่
หน้าอกของเถียนฮูหยิน อีกทั้งยังได้ยินที่เขาพูด ก็
รู้ว่าเขาต้องมาไม่ดีแน่ เขาแอบขาในใจว่า คนที่นี่
ไปมาเยอะแยะมากมาย เขายืนแอบฟังอยู่หน้า
ห้อง มันดูไม่ค่อยดี เขาเลยเดินไปที่ห้องข้างๆ ที่
อยู่ติดกัน ดีที่ไม่มีลูกค้า หลังจากเขาเข้าไปแล้ว ก็
ปิดประตู แล้วใช้มีดสั้นกรีดไปที่กาแพงจนเป็นรู
เขาลงมือเบามาก ไม่มีใครสงสัยเลย
ฉีหนิงมองผ่านช่องลอดไป ตอนนี้เห็นสีหน้าของ
เถียนฮูหยินอย่างชัดเจน นางผมดาสลวย ปักปิ่น
ปักผม ริมฝีปากสีแดง นางดูสวยมาก แต่ว่าตอนนี้
นางดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
“ทาไมฮูหยินถึงพูดแบบนี้?” ใต้เท้าซูยิ้มแล้วพูด
ว่า “ข้าพูดจาเสียมารยาท ล่วงเกินฮูหยินอย่างนั้น
หรือ?”
เถียนฮูหยินฝืนยิ้ม แล้วพูดว่า “ใต้เท้าซู หากท่าน
...หากท่านไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าน้อย...ข้าน้อยขอ
ตัวก่อนดีกว่า ทางร้านยามีเรื่องต้องทาอีกมาก ข้า
น้อย...”
“ฮูหยินคิดจะทิ้งข้าไว้ที่นี่น่ะหรือ?” ใต้เท้าซู
เหมือนจะไม่พอใจ “เรื่องที่จะส่งยาเข้าวังหลวง ฮู
หยินไม่อยากคุยแล้วหรือ?”
เถียนฮูหยินพูดว่า “หากใต้เท้าจะคุยเรื่อง
สมุนไพร ข้าน้อยก็จะอยู่ต่อ ใต้เท้า ไม่ทราบค่ายา
ท่านจะให้คนจ่ายมาเมื่อไหร่?”
“กฎของสานักหมอหลวง เหมือนเจ้าจะยังไม่ค่อย
เข้าใจนะ” ใต้เท้าซูถอนหายใจแล้วพูดว่า “แผนก
โอสถของสานักหมอหลวง มีข้าเป็นคนดูแล ยาที่
ข้าบอกว่าไม่มีปัญหา ลงชื่อประทับตรา ก็สามารถ
จ่ายเงินได้ทันที”
“แล้ว...แล้วยาของข้าน้อยมันมีปัญหาอะไรอย่าง
นั้นหรือ?” เถียนฮูหยินรีบพูดว่า “ยาที่ข้าน้อยส่ง
เข้าไปยังสานักหมอหลวง เป็นยาที่คัดเลือก
มาแล้วอย่างดี ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
ใต้เท้าซูยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ยาของร้านยา
ตระกูลเถียน เป็นของดี จริงสิ ฮูหยินก็น่าจะรู้
ก่อนที่ร้านยาของเจ้าจะส่งยาเข้าสานักหมอหลวง
มีร้านยาอยู่อีกสองแห่งที่ส่งยาเข้าสานักหมอ
หลวงเช่นกัน หลังจากที่ร้านยาของเจ้าส่งยาแล้ว
พวกเขาก็ไม่ได้ส่งยาอีก พวกเขามีเส้นสายในราช
สานักเหมือนกัน ข้าทาเพื่อเจ้า ออกรับหน้าแทน
ไปแล้ว ยังไปผิดใจกับคนอื่นอีก”
เถียนฮูหยินตื่นตระหนกขึ้นมา แล้วถามว่า “ใต้
เท้าซู ทางข้าไม่ได้ส่งยาไปเกือบเดือนแล้ว หรือว่า
...หรือว่าต่อไปจะส่งไปไม่ได้อีกแล้ว?”
ใต้เท้าซูส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “ก็ไม่ใช่อย่างนั้น
ขอแค่ทาให้ดี ร้านยาตระกูลเถียนก็ยังส่งยาให้กับ
สานักหมอหลวงอยู่”
“ถ้าอย่างนั้น...” เถียนฮูหยินหันกลับไปมองที่
ประตูห้อง แล้วพูดว่า “ใต้เท้าซู ท่านก็รู้ ยาที่
ส่งไปทุกรอบ ข้าจะเก็บกาไรไว้อีกหนึ่งส่วน ยาที่
ส่งให้สานักหมอหลวง ราคาต่ามาก กาไรน้อย อีก
ทั้ง...อีกทั้งทางสานักหมอหลวงก็ยังไม่ชาระเงินมา
ให้ข้าเลย เงินในส่วนของใต้เท้า ข้าน้อยก็จัดส่งไป
ให้แล้ว...”
ใต้เท้าซูขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฮูหยิน มีบางเรื่อง
เงินมันไม่ได้สามารถแก้ไขทุกอย่างได้นะ ข้าไม่
สะดวกจะบอกกับเจ้าหรอก ก่อนหน้านี้พวกเขา
ให้เงินข้าสองส่วน เพียงแต่จิ่นอีโหวแนะนาฮูหยิน
เข้ามา ดังนั้น...ข้าถึงไม่ได้พูดอะไรกับเจ้ามาก”
เถียนฮูหยินรีบพูดว่า “ใต้เท้า หากว่า...” นาง
ลังเล แล้วก็พูดว่า “หากข้าให้ท่านสองส่วน
เช่นกัน ไม่ทราบว่า...”
“ฮูหยิน เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโลภอย่างนั้นหรือ?”
ใต้เท้าซูไม่พอใจมาก เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ฮูหยินเองก็เป็นคนทาการค้า ร้านยาตระกูล
เถียนอาศัยผู้หญิงอย่างเจ้าเดินมาถึงวันนี้ได้ เจ้าก็
ถือว่าเป็นคนฉลาด ข้าอยากจะได้อะไร หรือว่า
เจ้าไม่ร”ู้
เถียนฮูหยินกัดฟัน ก้มหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อย...
ข้าน้อยไม่ทราบ”
ใต้เท้าซูลุกขึ้นยืน แล้วลากเก้าอี้มาใกล้ๆ เถียนฮู
หยิน เถียนฮูหยินหดตัวลง ใต้เท้าซูยื่นมือไปจับ
ไหล่ของเถียนฮูหยิน เถียนฮูหยินถึงกับสะดุ้ง
จากนั้นก็รีบหลบ แล้วพูดว่า “ใต้เท้า เจ้า...”
“ฮูหยิน ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นม่ายมาหลายปี เจ้าเองก็
เป็นคนสวย เจ้าคงไม่คิดเป็นม่ายแบบนี้ไปตลอด
ชีวิตหรอกกระมัง” ใต้เท้าซูถอนหายใจ “วันนีท้ ี่
ข้าเชิญเจ้ามา ที่จริงก็มีเรื่องดีๆอยากจะหารือกับ
เจ้าหน่อย”
“เรื่องดีๆ?”
“มีขุนนางคนหนึ่ง ฮูหยินของเขาตายไปเมื่อหลาย
ปีก่อน ตอนนี้เขาเป็นโสดตัวคนเดียว” ใต้เท้าซู
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผู้หญิงที่อยากจะเข้าหา
เขามีมากมาย แต่ว่าเขาไม่ถูกใจเลย ฮูหยินตอนนี้
ก็เป็นม่าย เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ท่านก็ร่วมหอลงโลง
กับเขาไปเสียเลยสิ แบบนี้อะไรหลายเรื่องจะได้
ราบรื่น”
เถียนฮูหยินถึงกับต้องลุกขึ้นแล้วถอยหลังไปสอง
ก้าว แล้วพูดว่า “ใต้เท้าซู ขุนนางที่ท่านหมายถึง
คงหมายถึงตัวท่านเองสินะ?”
ใต้เท้าซูหัวเราะร่า แล้วยกนิ้วโป้งให้นาง “ฮูหยิน
ฉลาดมาก ถูกต้อง ข้าเอง ฮูหยิน ข้าเพิ่งจะเต็มห้า
สิบ ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ หากเจ้ายินดี พวกเราก็
เป็นสามีภรรยากัน หากเป็นครอบครัวเดียวกัน
แล้ว เรื่องยาในแผนกโอสถของสานักหมอหลวง
กับร้านยาตระกูลเถียนก็จะเป็นหนึ่งเดียวกัน เจ้า
อยากจะส่งยาไปมากแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา อีกทั้ง
ส่งยาไปถึง ก็จ่ายเงินทันที เจ้าว่ามันไม่ดีหรือ?”
เถียนฮูหยินพูดว่า “ใต้เท้าซู ท่านวางแผนเรื่องนี้
ไว้อยู่แล้วใช่หรือไม่? ตั้งแต่ข้าเห็นท่านครั้งแรก
สายตาของท่านก็ไม่ปกติแล้ว ที่แท้ก็คิดสกปรก
แบบนี้นี่เอง”
ฉีหนิงเห็นทุกอย่าง เขาพยักหน้า ถึงแม้เถียนฮู
หยินจะเป็นคนทาการค้า แต่ว่านางก็สะอาด
บริสุทธิ์ น่านับถือมาก
ใต้เท้าซูหัวเราะแล้วพูดว่า “ที่แท้ฮูหยินก็รู้อยู่แล้ว
สินะว่าข้ารู้สึกเช่นไรกับเจ้า? ถูกต้อง ข้าถูกใจเจ้า
ตั้งแต่แรกเห็น ผู้หญิงที่ข้าพบมามากมาย ไม่มีใคร
สวยเท่ากับฮูหยินเลย บนตัวของฮูหยินมันมีอะไร
บางอย่าง ที่ทาให้ข้าคิดถึงเจ้าตลอดเวลา” เขาลุก
ขึ้นยืน จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้เถียนฮูหยิน เขายื่น
มือไปจับมือของเถียนฮูหยิน “ฮูหยิน วันนี้ข้าพูด
กับเจ้าตรงๆ แบบนี้แล้ว หวังว่าฮูหยินคงจะไม่
ลังเลใจอีก ตั้งแต่นี้ต่อไป พวกเราก็จะได้เป็น
ครอบครัวเดียวกัน”
เถียนฮูหยินถอยหลังไปหลายก้าว แต่ว่าใต้เท้าซู
เดินบีบเข้าไปไม่หยุด สายตาของใต้เท้าซูมองไปที่
หน้าอก เถียนฮูหยินหายใจจนหน้าอกของนาง
ขึ้นๆ ลงๆ อย่างรุนแรง นางพูดว่า “ใต้เท้าซู ท่าน
เป็นถึงขุนนางราชสานัก ข้าแค่ทาการค้ากับท่าน
ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่น ข้าขอให้ท่านเลิกคิดเรื่องนั้น
ซะ ในเมื่อการค้ากับสานักหมอหลวงมันทาด้วย
ยาก ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ทาแล้ว ท่านจ่ายเงินค่ายา
มาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“จะเอาเงินไม่ยาก เจ้าแค่รับปากข้า ทรัพย์สินทุก
อย่างของตระกูลซูก็จะให้เจ้าทั้งหมดเลยก็ยังได้”
ใต้เท้าซูพยายามจะไปจับมือของฮูหยิน “ฮู
หยินสวยขนาดนี้ หากนอนคนเดียว มันก็น่า
สงสารเกินไป อีกทั้งยังน่าสงสารรูปร่างที่เย้ายวน
นี้ด้วย...”
เถียนฮูหยินพยายามสะบัดมือทิ้ง นางยกมือตบไป
ที่หน้าของใต้เท้าซู แล้วตะคอกไปว่า “ตาเฒ่า
ลามก เจ้า...เจ้ารังแกผู้หญิงกลางวันแสกๆ แบบนี้
ไม่อายหรืออย่างไร?”
ใต้เท้าซูตะลึงไป ยกมือขึ้นจับหน้าตัวเอง สีหน้า
ของเขาเริ่มโกรธมากขึ้น แล้วพูดว่า “ให้เกียรติ
เจ้าแล้วเจ้าไม่เอาเอง เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ จิ่นอี
โหวเยว่กับเจ้าไม่ได้เป็นญาติกัน ทาไมเขาจะต้อง
ช่วยเจ้าทาการค้าด้วย? ไม่ใช่เพราะเจ้านอนกับ
เขาแล้วหรืออย่างไร เจ้ามันผู้หญิงไม่มียางอาย
เห็นใครเป็นผู้ชายก็ยอมนอนด้วย อย่ามาเสแสร้ง
ต่อหน้าข้าหน่อยเลย” เขาเดินขึ้นหน้าไป แล้วเข้า
ไปกอดเถียนฮูหยิน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 526 ลงโทษพวกลามก
เถียนฮูหยินคิดไม่ถึงเลยว่าใต้เท้าซูจะกล้าทาเรื่อง
แบบนี้ในภัตตาคาร นางตกใจจนขวัญกระเจิง ถูก
ใต้เท้าซูกอดเอาไว้ ก็พยายามดิ้น แล้วตะคอกว่า
“เจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นข้า...ข้าจะ
เรียกให้คนช่วยแล้วนะ”
“เรียกคนมาช่วย?” ใต้เท้าซูพูดว่า “เจ้าร้องเลย
ถ้ามีคนเข้ามา ดูสิว่าใครจะขายหน้ามากกว่ากัน?
เจ้าเป็นหญิงม่าย ตามข้ามาที่นี่เอง มีคนเห็น
หลายคน เจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้าเป็นคนสะอาดมาก
นักหรือ? ถึงเวลานั้นข้าจะบอกว่าเป็นเพราะเจ้า
ต้องการทาการค้ากับสานักหมอหลวง ไม่มียาง
อาย ยั่วยวนข้า ข้ามีคนอยู่ในราชสานัก ต่อให้ใคร
รู้เรื่องนี้เข้า ข้าก็ไม่เป็นอะไรเลย แต่สาหรับเจ้า
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะยังมีหน้า
อยู่ในเมืองหลวงต่อไปอีกหรือไม่”
เถียนฮูหยินถึงกับรู้สึกกลัวขึ้นมา
ใต้เท้าซูหน้าด้านหน้าไม่อาย แต่ว่าคาพูดของเขา
กลับแทงใจเถียนฮูหยิน นางสู้ลาบากในเมือง
หลวงมานานหลายปี กว่าจะทาให้ร้านยาตระกูล
เถียนมีวันนี้ได้ แล้วจะให้นางยอมทิ้งมันไปได้
อย่างไร
ถึงแม้นางจะเป็นม่าย แต่ว่านางก็ยังอยู่ในแวดวง
ธุรกิจการค้า ผู้ชายที่คิดอะไรกับนางมีไม่น้อย แต่
ว่านางรักษาเนื้อรักษาตัวดี ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชาย
พวกนั้นเลย นางระวังชื่อเสียงของตัวนางเองมาก
ตอนนี้พอได้ยินใต้เท้าซูพูดมาแบบนี้แล้ว ในใจ
นางก็คิดว่าหากมีใครมาเห็นนางอยู่ในสภาพแบบ
นี้ ชื่อเสียงของใต้เท้าซูไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ว่าคน
อื่นจะต้องพูดถึงนางมากแน่นอน
อย่างไรนางก็ยังเป็นหญิงคนหนึ่ง ต่อให้มาคุยเรื่อง
การค้าจริง แต่ว่าอยู่กับผู้ชายตามลาพังในห้อง
สองคน อย่างไรก็ต้องมีคนเข้าใจผิดแน่ ใต้เท้าซูไม่
แยกแยะถูกผิด เกรงว่าหลายคนคงคิดว่านางต้อง
การทาการค้ากับสานักหมอหลวงเลยยั่วยวนใต้
เท้าซู ถึงเวลานั้นจะอธิบายเช่นไรคงไม่มีใครเชื่อ
ถึงแม้ใต้เท้าซูจะเป็นผู้ชาย แต่เขาก็อายุห้าสิบแล้ว
ลามกขี้เหล้า ร่างกายไม่ได้แข็งแรง เถียนฮูหยิน
อยู่ในวัยสาวเต็มวัย ถึงแม้จะเป็นม่าย แต่ว่าแรง
ดิ้นยังดี ทาให้ใต้เท้าซูจับนางไม่ได้อยู่หมัด อีกทั้ง
ยังถูกเถียนฮูหยินดึงเคราจนหลุด
ใต้เท้าซูโกรธมาก ตอนนี้เขาโมโหมาก เถียน
ฮูหยินถูกเขากระชากเสื้อผ้าออก ไหล่ขาวผ่องของ
นางโผล่ออกมา ผิวขาวผ่องนั้นมันทาให้ใต้เท้าซู
น้าลายไหล เขาพูดว่า “หากเจ้าไม่ยอมข้า ต่อไปก็
ไม่ต้องคิดจะทาการค้ากับสานักหมอหลวงอีก แม่
นางคนงาม ขอแค่เจ้ายอมเป็นของข้า ต่อไปเรื่อง
ของสานักหมอหลวง...เฮ้อ แม่เสือสาว ข้าไม่มีทาง
ปล่อยเจ้าไปแน่นอน...”
เถียนฮูหยินเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง นางถูกใต้เท้าซู
กดลงบนเตียง ใต้เท้าซูกดมือของเถียนฮูหยินเอา
ไว้ แล้วพยายามใช้มือไปเปิดเสื้อของเถียนฮูหยิน
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงคนถีบประตูเข้ามา ใต้
เท้าซูตกใจมาก เงยหน้าขึ้นมา แต่ยังไม่ทันเห็นว่า
เป็นใคร ก็หน้ามืด เขาถูกถีบที่หน้าอย่างแรง
เขาถูกถีบแรงมาก ใต้เท้าซูร้องออกมาด้วยความ
เจ็บปวดมาก เมื่อถูกถีบจนกลิ้งลงมาจากเตียง
ตอนนี้เขาก็หน้ามืดมาก รู้สึกว่าท้องของเขาเจ็บ
ปวดเป็นระยะๆ เหมือนว่ามีใครเหยียบมาที่ท้อง
ของเขา ตอนนี้เขามึนไปหมด ใต้เท้าซูทาได้แค่กุม
หัว แล้วหดตัวลง
เถียนฮูหยินพยายามลุกขึ้นมาจากเตียง นางมอง
ไปที่เงาของคนที่กาลังกระทืบใต้เท้าซูอยู่ นาง
ตกใจมาก เมื่อเห็นคนผู้นั้นชัดแล้ว ก็ทั้งตกใจและ
ดีใจ จากนั้นก็หลุดพูดว่า “โหว...โหวเยว่” คน
ที่มาก็คือฉีหนิงนั่นเอง
ใต้เท้าซูกล้าใช้กาลังข่มเหงในภัตตาคารกลางวัน
แสกๆ โดยไม่กลัวอะไร หากไม่พูดถึงว่าฉีหนิงกับ
เถียนฮูหยินจะสนิทสนมกัน ต่อให้ไม่รู้จักกันเลย
แค่เห็นภาพแบบนี้ ฉีหนิงก็ไม่มีทางปล่อยไป
แน่นอน เขาโกรธมากจึงกระทืบใต้เท้าซูอย่างแรง
จนกระทั่งใต้เท้าซูสลบไป ถึงยอมหยุด
“โหวเยว่...อย่ากระทืบเขาอีกเลย...” เถียนฮูหยิน
เห็นฉีหนิงกระทืบโหดมาก ก็รู้สึกเป็นกังวล ถึงแม้
ฉีหนิงจะเป็นถึงโหวเยว่ แต่หากเกิดฆ่าคนตาย
ขึ้นมา มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
ฉีหนิงหันกลับมา เห็นเสื้อผ้าของเถียนฮูหยินยุ่ง
เหยิงไปหมด บางที่ก็ขาดหลุดลุ่ย ผิวขาวผ่องของ
นางโผล่ออกมามาก เลยถอดเสื้อนอกของเขา
ให้กับนาง แล้วถามว่า “นั่งรถม้ามาใช่หรือไม่?”
เถียนฮูหยินยังตกใจไม่หาย นางพยักหน้า แล้วพูด
ว่า “อยู่...อยู่หน้าร้าน...”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าไปส่งเจ้าเอง” เขายื่นมือไปจับ
เถียนฮูหยิน มือของนางลื่นมาก เถียนฮูหยินตอน
นี้ไม่รู้ว่าควรทาอย่างไร เลยยอมให้ฉีหนิงจับมือ
แล้วเดินออกไป ฉีหนิงเห็นมีคนมองมา ก็รู้ว่าตอน
ที่เขาถีบประตู คงมีหลายคนตกใจ เขาคิดว่าเขา
จับมือของเถียนฮูหยินอยู่ อย่างไรนางก็เป็นหญิง
ที่แต่งงานแล้ว คนอื่นเห็นมันจะไม่ดี เลยปล่อยมือ
แล้วพูดว่า “ตามข้ามา”
เถียนฮูหยินเห็นฉีหนิงปล่อยมือ ก็ได้สติกลับมา
แล้วก็เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา นางรู้สึกซาบซึ้ง
ใจมาก นางเดินตามหลังฉีหนิงไป เมื่อผ่านหน้า
ห้องของกู้เหวินจาง ฉีหนิงก็ตะโกนเข้าไปบอกว่า
“ข้ามีเรื่องด่วน ขอตัวกลับก่อนนะ” เขาก็ไม่ได้
อธิบายอะไรต่อ พาเถียนฮูหยินลงจากชั้นสองมา
เถียนฮูหยินคลุมเสื้อนอกของฉีหนิง แล้วเดินตาม
ฉีหนิงไปด้านหลัง นางก้มหน้าลง แล้วเดินออก
จากร้านไป พอมาถึงนอกประตู รถม้าก็จอดรออยู่
เถียนฮูหยินกลวาดตามอง แล้วเดินไปที่รถม้า คน
รถรีบเดินเปิดผ้าม่านให้ เถียนฮูหยินกับฉีหนิงเดิน
นาหน้า หลังจากขึ้นรถม้าไป ฉีหนิงก็สั่งว่า “กลับ
จวนตระกูลเถียน”
คนรถก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขากระตุกเชือกรถม้า
แล้วก็ออกไปเลย
สีหน้าของเถียนฮูหยินซีดมาก ฉีหนิงรู้ว่าเมื่อครู่
นางจะต้องตกใจมากแน่นอน เขาถอนหายใจแล้ว
พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
เถียนฮูหยินถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาว่าฉีหนิงอยู่ข้างๆ
ด้วย นางยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ขอบคุณโหว
เยว่มากนะ เรื่องแบบนี้ ข้าเจอมาเยอะแล้ว โหว
เยว่ไม่ต้องห่วง” นางหดตัวเข้าไปในเสื้อนอก
เหมือนจะหนาว นางหันหน้าหนีไป ไม่ยอมให้ฉี
หนิงเห็นหน้านาง
ฉีหนิงรู้สึกสงสารเถียนฮูหยินมาก
ถึงแม้เถียนฮูหยินปกติเป็นคนขี้เหนียว อีกทั้งยัง
เป็นคนฉลาด แต่ว่าผู้หญิงคนหนึ่งควบคุมกิจการ
มาคนเดียว มันก็ไม่ง่าย
เขาไม่ต้องถามก็รู้ วันนี้ที่เถียนฮูหยินยอมมาที่นี่
น่าจะเป็นเพราะทางสานักหมอหลวงมีปัญหา
เถียนฮูหยินกังวลว่าจะไม่ได้เงิน กังวลว่ากว่าจะ
เข้าทาการค้ากับสานักหมอหลวงได้มันไม่ง่ายเลย
ไม่อยากตัดขาด จึงยอมออกมาตามนัด เดิมทีคิด
อยากจะมาคุยเรื่องนี้กับใต้เท้าซู แต่นางคิดไม่ถึง
เลยว่า ใต้เท้าซูจะกล้าลงมือกับนางที่ภัตตาคาร
ขนาดนี้
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเหมือนเสียงร้องไห้ เห็นนาง
ตัวสั่นเทา ฉีหนิงก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้ว
ตบมือนางเบาๆ แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่
ต้องเสียใจหรอกนะ การค้ากับสานักหมอหลวง
ข้าเองที่เป็นคนประสานให้ ในเมื่อมีปัญหา เจ้ามา
หาข้าสิ เหตุใดต้องไปคุยกับเจ้าสารเลวนั่นด้วย?
เจ้าไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ข้าจะจัดการให้เอง”
เถียนฮูหยินหันหน้ากลับมา น้าตาของนางไหล
พรากลงมา จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา
พร้อมแสร้งยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าทาให้ท่าน
เดือดร้อนอีกแล้ว ข้าไม่เอาไหนเลย เจ้า...เจ้าไม่
ต้องกังวล ข้าแค่ไม่ทันระวังตัว ถึงได้ถูกเขาฉวย
โอกาส ต่อไปข้าจะระวังให้มากกว่านี้”
“ฮูหยินไม่ต้องฝืนยิ้มก็ได้” ฉีหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกน้อยใจ อย่างไรเจ้าก็เป็น
ผู้หญิง เรื่องแบบนี้ มันก็น่าลาบากอยู่”
ฉีหนิงพูดแค่สั้นๆ แต่ก็เหมือนมองทะลุปรุโปร่ง
เถียนฮูหยินรู้สึกปวดใจไม่น้อย เมื่อคิดถึงความ
ลาบากของตัวเอง น้าตาก็ไหลออกมา ฉีหนิงสงสัย
มาก เขายกมือขึ้นมาวางไว้บนไหล่ของนาง แล้ว
พูดว่า “ตอนนี้เจ้าทาการค้าร่วมกับข้า เรื่องของ
เจ้าก็คือเรื่องของข้าด้วย หากคนของข้า ข้ายัง
ปกป้องไม่ได้ จะเป็นโหวเยว่ไปทาไมกัน”
เถียนฮูหยินได้ยินเขาปลอบ ก็รู้สึกซาบซึ้งใจ นาง
คิดว่าหากเมื่อครู่ฉีหนิงเข้ามาไม่ทันเวลา ไม่อยาก
จะคิดเลยว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร นางยิ่งคิดก็ยิ่ง
กลัว ตัวนางเริ่มสั่นเทาอย่างรุนแรง ฉีหนิงรู้ว่านาง
กลัว เลยตบบ่านางเบาๆ เอาไว้ตลอด เพื่อปลอบ
ใจนาง เถียนฮูหยินเอียงคอไปซบที่บ่าของฉีหนิง
โดยไม่รู้ตัว ร่างกายอันบอบบางของนางแนบชิด
กับฉีหนิง ฉีหนิงเองก็โอบนางเอาไว้ในอ้อมกอด
ของเขา
เถียนฮูหยินเหมือนจะไม่ได้ปฏิเสธที่เขาทา ในใจ
ของนางยังคงหวาดกลัวอยู่ นางสู้ดูแลกิจการคน
เดียวมาหลายปี คนในร้านยาและในตระกูล
จงรักภักดีกับนางมาก แม้แต่เวลาคุยการค้า นาง
ไม่เคยต้องกังวลอะไรเลย แต่ว่าพอตกกลางคืน
นางกลับต้องรู้สึกโดดเดี่ยวและเหงาอย่าง
หลีกเลี่ยงไม่ได้
ตอนนี้นางอยู่ในอ้อมกอดของฉีหนิง นางก็รู้สึก
ผ่อนคลาย ในใจก็รู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นขึ้นมา
เถียนฮูหยินอยู่ในอาการมึนงง แต่ฉีหนิงมีสติดี
เถียนฮูหยินแนบชิดกับเขา อีกทั้งยังไม่ขัดขืนที่เขา
โอบกอดนางด้วย ทาให้ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก
แต่เขาก็รู้ดีว่า หลังจากที่เถียนฮูหยินรู้สึกหมดหวัง
ตอนนี้นางแค่อยากได้การปลอบโยน นางอยากได้
แค่อ้อมกอดของใครสักคน เขาก็เลยตามใจนาง
หน้าตาของเถียนฮูหยินงดงาม รูปร่างก็ดี มีเสน่ห์
ของสาวรุ่น ตอนนี้ร่างกายอ่อนนุ่มของนางอยู่ใน
อ้อมกอด ฉีหนิงก็รู้สึกหวั่นไหว แต่ว่าพอนึกขึ้นได้
ว่า หากเขาเกิดความคิดไม่ดีขึ้นมา ก็จะไม่ต่าง
อะไรกับใต้เท้าซู เขาเริ่มสงบ ควบคุมตัวเองไม่ให้
เกิดความคิดแบบนั้น
รถวิ่งไปเรื่อยๆ ฉีหนิงนั่งอยู่ในรถ รู้สึกได้ว่าร่าง
กายของเถียนฮูหยินนั้นเนียนนุ่ม เขาได้กลิ่นกาย
ของนาง เขาก็รู้สึกคอแห้งขึ้นมา รถม้ากระแทก
อย่างแรง เหมือนจะสะดุดก้อนหิน ทาให้เถียนฮู
หยินสะดุ้งได้สติ
เถียนฮูหยินได้สติกลับมา ก็เห็นว่าตัวนางอยู่ใน
อ้อมกอดของฉีหนิง นางก็รู้สึกอายมาก นางเลย
ค่อยๆ ออกมาจากอ้อมกอดของฉีหนิง แล้วหันตัว
ไป
ฉีหนิงเป็นคนฉลาดมาก รู้ว่าเถียนฮูหยินได้สติ
กลับมาแล้ว เขาก็เลยเก็บมือกลับไป
เถียนฮูหยินตั้งใจเปิดผ้าม่านหน้าต่างรถออก แล้ว
มองไปข้างนอก ถึงแม้นางจะเป็นหญิงม่ายสาว
เต็มวัยแล้ว แต่ตอนนี้นางก็อายมาก แล้วก็แอบ
คิดในใจว่า “ทาไม...ทาไมข้าถึงได้ไปอยู่ในอ้อม
กอดของเขาได้นะ? น่า...น่าอายจริงๆ เลย” นาง
ตั้งใจนั่งตัวตรง แล้วเหลือบไปมองฉีหนิง เห็นฉี
หนิงกาลังมองมาที่นาง นางก็สะดุ้งตกใจจนหน้าก็
แดงขึ้นมา
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 527 อิ่งผิง
ฉีหนิงส่งเถียนฮูหยินกลับตระกูลเถียน หลังจาก
เถียนฮูหยินลงจากรถม้าแล้ว ฉีหนิงก็ไม่ได้ลงจาก
รถด้วย เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินกลับไปพักผ่อน
ให้เยอะๆ ไม่ต้องคิดมาก รถม้านี่ข้าขอยืมก่อนก็
แล้วกัน”
เถียนฮูหยินรีบสั่งว่า “ต้าลี่ เจ้าไปส่งโหวเยว่กลับ
จวนด้วย”
คนรถรับคา แล้วกาลังจะบังคับรถม้าไป เถียนฮู
หยินรีบพูดว่า “ช้าก่อน” จากนั้นนางก็ถอดเสื้อ
คลุม ยื่นไปให้ฉีหนิง ฉีหนิงรับเสื้อมา เถียนฮูหยิน
ลังเล แล้วถามว่า “โหวเยว่ เรื่องของสานักหมอ
หลวงให้มันแล้วกันไปดีหรือไม่?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ทาไม ไม่อยากทาการค้ากับ
สานักหมอหลวงแล้วหรือ?”
ตลอดทางที่กลับมา เถียนฮูหยินสงบสติอารมณ์ลง
ไปไม่น้อย ความกลัวความตกใจก่อนหน้านี้หายไป
มาก นางพูดว่า “มีการค้าให้ทา ใครจะไม่อยาก
ทาเล่า? แต่ว่าตาเฒ่าลามกนั่น...” พอพูดถึงตรงนี้
นางก็พูดอย่างโมโหว่า “วันนี้ขัดใจตาเฒ่าลามก
นั่น เขา...เขาไม่มีทางยอมให้พวกเราส่งยาต่อแน่”
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าหน้าที่แผนกโอสถเล็กๆ จะมา
คุมสานักหมอหลวงได้อย่างไร ฮูหยินประเมินเขา
สูงเกินไปแล้ว วันนี้เขารังแกเจ้า เรื่องนี้ไม่จบแค่นี้
แน่ ฮูหยินพักอยู่ที่จวนสักสองสามวัน เตรียมยาที่
ควรเตรียมไว้ให้พร้อม ไม่เกินสามวัน ข้ารับรองได้
เลยว่าเจ้าจะกลับไปส่งยากับสานักหมอหลวงได้
เหมือนเดิม”
ฮูหยินเถียนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ว่าพอนึกว่าฉี
หนิงนั้นเป็นใคร ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว ก็น่าจะ
ไม่มีปัญหาอะไร
นางมองไปที่รถม้าที่จากไป เถียนฮูหยินสับสน
มาก หากวันนี้ไม่ได้ฉีหนิง นางก็ไม่รู้ว่าควรทา
อย่างไรดี ฉีหนิงเป็นถึงจิ่นอีโหว เขาเหมือนคนที่
สวรรค์ประทานมาให้ ช่วยนางในตอนที่กาลังจะ
ถูกลวนลาม เถียนฮูหยินรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
ไม่ว่าผู้หญิงคนไหน ในเวลาที่ตนเองมีอันตราย มี
ผู้ชายออกหน้าปกป้อง ก็คู่ควรให้ซาบซึ้งใจไป
ตลอดชีวิตแล้ว สถานการณ์ของเถียนฮูหยินนั้น
พิเศษยิ่งกว่า เดิมทีนางก็เป็นหญิงม่ายคนหนึ่งอยู่
แล้ว คนที่คิดไม่ดีกับนางมีมากอยู่แล้ว แต่ว่าคนที่
กล้าออกหน้าช่วยนางน้อยยิ่งกว่าน้อย
นางสับสนมาก จากนั้นก็พลันนึกถึงตอนที่อยู่ใน
รถม้าด้วยกัน นางถูกฉีหนิงโอบกอด หน้าของนาง
ก็แดงขึ้นมา
ฉีหนิงนั่งอยู่บนรถม้า ถือเสื้อคลุมเอาไว้ในมือ ถึง
แม้เถียนฮูหยินจะคลุมไม่นาน แต่ว่ามันยังมีกลิ่น
ของนางติดอยู่ รถม้าคันนี้เป็นรถส่วนตัวของนาง
ถึงแม้นางจะลงไปแล้ว แต่ว่ากลิ่นของนางยังคง
อยู่ มันโชยเข้าจมูกของเขา
ตอนนี้ฉหี นิงนึกถึงตอนที่เขากอดเถียนฮูหยินเมื่อ
ครู่ เขาคิดในใจว่าม่ายสาวคนนี้พิเศษจริงๆ ร่าง
กายของนางอ่อนนุ่มแค่กอดนิดเดียว เขาถึงกับ
หวั่นไหว ดูท่าเขาจะไม่สามารถต้านทานผู้หญิงที่
เป็นสาวเต็มวัยแบบนี้ได้แล้ว
เมื่อกลับมาถึงจวน ต้าลี่ส่งเขาแล้วก็กลับไป ฉีหนิง
ไม่เห็นกูช้ ิงฮั่น คิดในใจว่าในเมื่อกู้เหวินจางส่งคน
มาบอกนางแล้ว กู้ชิงฮั่นก็ต้องรู้แล้วว่าตอนนี้
ตระกูลกู้ไม่มีอันตรายอะไรแล้ว คงไม่กังวลมาก
แล้ว
หลังจากกลับมา ความห่างเหินของเขากับกู้ชิงฮั่น
มันก็ยังไม่หายไป ฉีหนิงรู้ว่ากู้ชิงฮั่นระแวงเขามาก
เขามีใจให้กู้ชิงฮั่นจริง แต่ก็รู้ว่ากู้ชิงฮั่นเองก็มีขอบ
เขตของตัวเอง ยังคงไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้
ที่จริงในใจเขา การที่กู้ชิงฮั่นรักษาเนื้อรักษาตัว
แบบนี้ มันทาให้ฉีหนิงยิ่งนับถือแล้วก็ยิ่งชอบนาง
มากขึ้น
เพียงแต่กู้ชิงฮั่นมีระยะกับเขาแบบนี้ อีกทั้งบาง
ครั้งก็เย็นชา มันทาให้เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่ว่า
เขาเองก็เข้าใจ
ฉีหนิงแอบจีบกู้ชิงฮั่นอยู่ เขาไม่ได้เครียดอะไรอยู่
แล้ว เขาเป็นตัวแทนของจิ่นอีโหว ไม่ได้มีความ
เกี่ยวข้องอะไรกับกู้ชิงฮั่นเลย ต่อให้จะมีอะไรกับ
นางขึ้นมาจริงๆ ฉีหนิงเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าทาผิด
อะไร แต่เขารู้ดีว่ากู้ชิงฮั่นคิดว่าเขาคือจิ่นอีโหวตัว
จริง ทั้งสองคนมีศักดิ์เป็นอาสะใภ้กับหลานชาย กู้
ชิงฮั่นเลยไม่มีทางให้ความสัมพันธ์นี้มันเกิดอะไร
ขึ้นแน่นอน
ถึงแม้ลาดับขุนนางจะมีการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน
มีเรื่องลับๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่จาเป็นต้องคิด
อะไรมาก แต่กู้ชิงฮั่นไม่ใช่คนแบบนั้น
ฉีหนิงก็รู้ว่ากู้ชิงฮั่นไม่ได้อยากเข้าใกล้เขามาก
จนเกินไป เลยไม่อยากเสนอหน้าก่อน เขาเองก็นิ่ง
ไปเยอะมาก เพื่อไม่ให้กู้ชิงฮั่นเข้าใจผิดว่าเขาคิด
จะทาอะไรไม่ดีต่อนาง
หลังจากเข้าจวนมาแล้ว เขาไม่เห็นกู้ชิงฮั่น เขาก็
ไม่ได้ไปถามหา แต่ว่าพ่อบ้านหานเห็นฉีหนิงกลับ
มา ก็รีบเดินเข้ามาหาแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่าน
เหลียวห้องบัญชีมาขอพบขอรับ”
“ท่านเหลียว?” ฉีหนิงไม่เคยไปยุ่มย่ามกับทาง
ห้องบัญชีเลย อีกไม่รู้ด้วยว่าคนที่ทางานอยู่ที่นั่นมี
ชื่อแซ่อะไรบ้าง เขาถามว่า “เขามาหาข้าทาไม?”
พ่อบ้านหานพูดว่า “หลังจากที่ท่านเหลียวได้ยิน
ว่าโหวเยว่กลับมาแล้ว เดิมอยากจะมาหาด้วย
ตัวเอง เพียงแต่ว่าสองวันที่ผ่านมาโหวเยว่ยุ่งมาก
ท่านเหลียวเลยไม่กล้ามารบกวน เลยแอบมาบอก
ข้าน้อยเอาไว้ว่า หากโหวเยว่มีเวลาว่างแล้ว เขา
ค่อยมาหา เขาบอกว่าเรื่องที่โหวเยว่สั่งให้เขาไป
ทาก่อนไปซีชวน เขาทาให้เรียบร้อยแล้ว”
ฉีหนิงรู้สึกงงมาก คิดในใจว่าเขาไปสั่งให้คนของ
ห้องบัญชีทาอะไรตั้งแต่เมื่อไหร่? ปกติแล้วห้อง
บัญชีกู้ชิงฮั่นเป็นคนดูแล เขาไม่เคยไปยุ่งเลยเขา
พูดด้วยความสงสัยว่า “ให้เขามาหาข้าก็แล้วกัน”
พ่อบ้านหานรับคาแล้วเดินออกไป ไม่นานนัก ก็
เห็นชายวัยห้าสิบปีสวมหมวกสีดาเดินเข้ามาใน
ห้องโถง เขาโค้งตัวคานับแล้วพูดว่า “โหวเยว่”
ฉีหนิงมองไปที่เขา เหมือนจะจาได้รางๆ จากนั้น
เขาก็นึกขึ้นมาได้ เขาลุกขึ้นยิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
เหลียว”
ตอนนี้เขานึกออกแล้ว ก่อนที่เขาจะไปซีชวน เขา
ได้สั่งให้ท่านเหลียวคนนี้ไปทางานให้เขาอย่างหนึ่ง
จั่วชิงหยางถูกคนลอบทาร้าย หายตัวไปอย่างไร้
ร่องรอย ก่อนที่เขาจะหายตัวไป ได้สั่งให้ฉีหนิงไป
ตามหากระบอกไม้ไผ่จากด้านหลังป้าย ใน
กระบอกไม้ไผ่นั่น เขาพบม้วนกระดาษม้วนหนึ่ง
บนม้วนกระดาษนั้นมีอักษรประหลาดอยู่ ในนั้นมี
อักษรสามคาตัวใหญ่อยู่ด้านซ้ายมือ ฉีหนิงรู้สึกว่า
เหมือนเขาอ่านตาราสวรรค์อยู่ เพราะเขาไม่รู้จัก
ตัวอักษรที่อยู่ในนั้นเลย
เขารู้ว่าในห้องบัญชีของจวนมีคนที่มีความรู้ความ
สามารถอยู่ เลยคัดลอกตัวอักษรสามคานั้นมา
จากนั้นเอาหนึ่งในสามตัวนั้นมาให้ท่านเหลียวดู
ท่านเหลียวคนนี้ถึงแม้ความรู้จะไม่ธรรมดา แต่ว่า
ก็ไม่รู้จักอักษรนี่เหมือนกัน ฉีหนิงคิดว่าตัวอักษรนี้
แปลกและหายาก ก็เลยพลั้งปากบอกให้เขาไป
ลองค้นตาราดู จากนั้นเขาก็ไปซีชวน ทาให้ไม่ได้
ไปถามเรื่องนี้อีก ม้วนกระดาษนั่นมันเป็น
ความลับที่เขาซ่อนเอาไว้อย่างดี ผ่านมาจนวันนี้
เขาเองก็เกือบลืมไปแล้ว
ตอนนี้เห็นหน้าท่านเหลียว ทาให้เขานึกขึ้นมาได้
ท่านเหลียวเองก็เคารพนบน้อมมาก “โหวเยว่
งานที่ท่านสั่งให้ข้าน้อยไปทา ข้าน้อยทาเรียบร้อย
แล้ว” เขาเดินขึ้นหน้ามา แล้วหยิบกระดาษออก
มาสองแผ่น ใบหนึ่งคือตัวอักษรที่ฉีหนิงนามาให้
เขา อีกแผ่นเป็นแผ่นใหม่ ท่านเหลียวพูดกับฉีหนิง
ว่า “โหวเยว่ นี่คืออักษรที่ท่านให้ข้าไปค้นวันนั้น
ใช่หรือไม่ขอรับ?”
ฉีหนิงรับกระดาษมา เห็นตัวอักษรบนกระดาษ
ตัวอักษรสวยงาม แต่เบี้ยวนิดหน่อย ก็พยักหน้า
แล้วพูดว่า “ถูกต้อง ตัวนี้แหละ”
ท่านเหลียวยิ้มแล้วพูดว่า “หลังจากที่โหวเยว่ออก
เดินทางไปแล้ว ข้าน้อยก็ได้ไปค้นตาราโบราณ
หลายเล่ม แต่ก็ไม่พบเลยแม้แต่เล่มเดียว จากนั้น
ไม่นานนักก็ได้ไปสังสรรค์กับสหายมาคนหนึ่ง พูด
ถึงเรื่องของอักษรพอดี บังเอิญเขาเป็นคนที่เชี่ยว
ชาญตัวอักษรโบราณพอดี ข้าเลยเอาตัวอักษรตัว
นี้ให้เขาดู แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้จัก แต่ว่าเขาพาข้า
ไปที่บ้านเขา แล้วไปเจอในตาราอักษรโบราณเล่ม
หนึ่ง”
“ตาราอักษรโบราณ?”
ท่านเหลียวพยักหน้าแล้วพูดว่า “มันเป็นตารา
อักษรที่คัดจากมือ หาได้ยากมาก ตามที่เขากล่าว
มา อักษรของโหวเยว่ไม่ใช่อักษรโบราณธรรมดา
หากเป็นอักษรโบราณทั่วไป เขามองทีเดียวก็รู้
ทันที แต่ตวั อักษรของโหวเยว่ มันน่าจะเป็นอักษร
มี่อิ่งที่หายสาบสูญไปนานมากแล้ว”
ฉีหนิงตกใจมาก คิดในใจว่าอักษรมี่อิ่งมันอะไร
กัน?
แต่ว่าเขาเองก็รู้ดี ตัวอักษรเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดค้น
และสืบทอดกันมา ปรับเปลี่ยนไปมาตาม
กาลเวลา
ถึงแม้ในโลกที่เขาอยู่ตอนนี้มันจะไม่เหมือนกับ
ประวัติศาสตร์ที่เขาเคยรู้จัก แต่ว่าเขาก็รู้ว่า ในยุค
สงคราม แต่ละแคว้นมีอักษรที่แตกต่างกันเยอะ
มาก ตัวอักษรตัวเดียวกัน แต่ว่าเวลาเขียนก็เขียน
ไม่เหมือนกัน
ในโลกที่เขาอยู่ตอนนี้ก็เช่นกัน มีอักษรมากมาย
เต็มไปหมด ตัวอักษรบางอย่างมันก็หายไปจาก
หน้าประวัติศาสตร์แล้ว อักษรมี่อิ่งที่ว่า อาจเป็น
อักษรที่หายไปแล้วจริงๆ ก็ได้
“แล้วอักษรมี่อิ่งมันมาจากไหนกัน?” ฉีหนิงถาม
“แล้วมันนานจากตอนนี้แค่ไหน?”
ท่านเหลียวอธิบายต่อว่า “โหวเยว่ ที่จริงแล้ว
อักษรมี่อิ่งไม่ได้เผยแพร่ทั่วไป ตามที่สหายของ
ข้าน้อยเล่า อักษรมี่อิ่งมีประวัติไม่ถึงสองร้อยปี มี
เผยแพร่ใช้ไม่ถึงยี่สิบปี จากนั้นก็หายไป อักษรมี่อิ่
งแทบจะไม่ค่อยมีคนใช้ มีแค่คนส่วนหนึ่งเท่านั้นที่
ใช้มัน”
“หมายความว่าอย่างไร?” ฉีหนิงรู้สึกสงสัย
ท่านเหลียวส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เมฆสลายใต้เงา
จันทร์ จอกแหนที่ลอยน้าอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง โหว
เยว่ นี่คือชื่อเสียงเรียงนามของอุบาสกอิ่งผิง ไม่
ทราบว่าท่านเคยได้ยินหรือไม่?”
ฉีหนิงส่ายหัว ท่านเหลียวพูดอย่างเศร้าว่า
“อุบาสกอิ่งผิงเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงมากเมื่อ
สองร้อยปีก่อน มีคนวิจารณ์เกี่ยวกับตัวเขาไว้
หลายอย่าง บ้างก็บอกว่าเขาเป็นราวกับเทพเจ้า
ในด้านดนตรี ไม่มีใครสามารถเทียบเขาได้เลย แต่
บ้างก็บอกว่าเขาเป็นคนบ้า ดนตรีที่เขาแต่งขึ้นมัน
ประหลาด หาความงดงามจากดนตรีของเขาไม่ได้
เลย”
ฉีหนิงเริ่มสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา เขายิ้มแล้วพูดว่า “มี
เรื่องแปลกแบบนี้ด้วย”
“ที่แปลกกว่านั้นคือ มีคนบอกว่าอุบาสกอิ่งผิงนั้น
ไม่ใช่บุคคล แต่เป็นกลุ่มคน กลุ่มคนเหล่านี้เรียก
ตัวเองว่าอุบาสกอิ่งผิง เป็นคนในศาสตร์ดนตรีที่
ประหลาดมารวมตัวกัน” ท่านเหลียวพูดต่อว่า
“ต่างคนต่างพูด แต่เรื่องจริงเป็นอย่างไรนั้น
ตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ได้”
ฉีหนิงถามว่า “บทเพลงของอุบาสกอิ่งผิง ท่าน
เหลียวเคยได้ฟังบ้างหรือไม่?”
ท่านเหลียวรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าน้อยไม่มีบุญ
ขนาดนั้น แต่เท่าที่ทราบมา ถึงแม้อุบาสกอิ่งผิงจะ
เก่งในศาสตร์ของดนตรี แต่ว่ากลับไม่มีบทเพลง
หรือโน้ตเพลงอะไรเหลือตกทอดมาเลยสักเพลง
เดียว ตามที่เล่ากันมาบอกว่าอุบาสกอิ่งผิงนั้นมี
นิสัยดื้อรั้น ไม่ยึดถือในกฎเกณฑ์อะไร เดินทาง
เร่ร่อนไปทั่ว ไปอาศัยตามหุบเขา ตอนนั้นมีขุน
นางหลายต่อหลายคนส่งคนไปเชิญเขามาบรรเลง
เขาไม่เคยไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถือว่าเป็นคนที่เยี่ยมยอด
มากคนหนึ่งเลยนะ”
“ดังนั้นมันก็เลยกลายเป็นว่าอุบาสกอิ่งผิงได้ผิดใจ
ขัดใจใครหลายต่อหลายคน” ท่านเหลียวพูดต่อ
ว่า “มีคนบอกว่าเขาตายตาไม่หลับบ้าง แล้วก็มี
คนบอกว่าเขาไปในดินแดนอันไกลแสนไกล
สุดท้ายเป็นเช่นไรไม่มีใครรู้ ในชีวิตของข้าน้อยก็
ได้แต่ฟังเขามาอีกที”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วถามว่า “แล้วอุบาสกอิ่งผิง
เกี่ยวข้องอย่างไรกับอักษรมี่อิ่ง?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 528 ทำนองนรก
ท่านเหลียวพูดว่า “เท่าที่รู้มาอุบาสกอิ่งผิงไม่เพียง
เก่งในด้านศาสตร์แห่งดนตรี แต่ว่าด้านการอักษร
ก็หาคนเทียบได้ยาก เขาเป็นคนนิสัยประหลาด
ดนตรีของเขาประหลาด ไม่ว่าทาอะไรก็มีวิธี
ประหลาดไม่เหมือนใคร” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้ว
พูดต่อว่า “สหายของข้ากล่าวว่า อุบาสกอิ่งผิง
เดินทางไปทั่ว มีสหายมากมาย เขากับสหายของ
เขาส่งจดหมายติดต่อกันไปมา ซึ่งตัวอักษรที่เขา
ใช้นั้นก็คืออักษรมี่อิ่ง”
“หรือว่าอักษมี่อิ่งอุบาสกอิ่งผิงเป็นคนคิดค้น
ขึ้นมา?” ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก
เขารู้อยู่แล้ว การจะคิดค้นอักษรมานั้นมันไม่ใช่
เรื่องง่ายเลย
ท่านเหลียวพยักหน้าแล้วพูดว่า “จากคาบอก
กล่าวเป็นเช่นนั้น ว่ากันว่าอุบาสกอิ่งผิงกับพวก
คิดค้นอักษรมี่อิ่งนี่ขึ้นมา จากนั้นก็ใช้อักษรพวกนี้
สื่อสารกัน อักษรพวกนี้มีคนรู้จักน้อย มันก็
เหมือนอักษรลับ”
ฉีหนิงพยักหน้า อักษรมี่อิ่งดูไปก็สวยงามมาก แต่
กลับมีความซับซ้อน เหมือนเป็นรหัสลับ อักษรที่ดู
แล้วเข้าใจง่าย ก็ยิ่งมีคนเผยแพร่ ก็เหมือนอักษร
พวกนี้ ไม่เคยมีใครเผยแพร่ แสดงว่ามันก็ต้องมี
เหตุผล
“เดิมทีอักษรนี่ก็ดูยากอยู่แล้ว แต่ว่ามีอาจารย์
ท่านหนึ่งที่อยู่กับอุบาสกอิ่งผิงในตอนนั้น กลับ
เห็นอักษรมี่อิ่งนี่แล้วชื่นชอบมาก เลยนามาทา
เป็นการละเล่น เลยเผยแพร่อักษรนี้อย่างจริงจัง
อีกทั้งต่อมายังมีการคัดลอกเอาไว้เป็นตารา
โบราณ” ท่านเหลียวยิ้มแล้วพูดว่า “การคัดลอก
ตัวอักษรโบราณนั้นคัดลอกได้ไม่มาก สหายของ
ข้าคนนั้นก็มีแค่ร้อยกว่าเล่มเท่านั้น บังเอิญมาอยู่
ที่เขาเล่มหนึ่ง”
ฉีหนิงคิดในใจว่าทาไมเขาถึงได้ดวงดีแบบนี้ นัก
บัญชีในจวนกลับพบเบาะแสอะไรบางอย่าง
ท่านเหลียวยื่นกระดาษอีกแผ่นที่อยู่ในมือของเขา
ไปให้ ฉีหนิงรับมา ท่านเหลียวพูดต่อว่า “อักษรมี่
อิ่งที่โหวเยว่เขียนมา เป็นคาว่า ‘ฉาน’ ที่แปลว่า
ซ่อน”
“ฉาน?”
ท่านเหลียวพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ผิดแน่
ข้าน้อยตรวจสอบมาแล้วถึงสามครั้ง ยืนยันได้ว่า
ไม่ผิดแน่”
ฉีหนิงคิด แล้วถามว่า “ท่านเหลียวท่านไปยืม
ตาราเล่มนัน้ มาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
ท่านเหลียวยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ไม่ต้องยืม
หรอก” เขาหยิบตาราออกมาเล่มหนึ่ง “ตาราเล่ม
นั้นมันสาคัญต่อสหายของข้าคนนั้นมาก ต่อให้
เป็นข้า ก็ยืมมาไม่ได้ ข้าน้อยขอร้องเขาอยู่นาน
เชิญเขากินข้าวหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายเขาก็
ยอมให้ข้าคัดลอกมันมา ข้าน้อยใช้เวลาสองวัน
คัดลอกทีละตัวทีละตัว” เขามอบมันให้กับฉีหนิง
“หากโหวเยว่ต้องการ ก็นามันไปได้เลย”
ฉีหนิงดีใจมากแอบคิดในใจว่า ท่านเหลียวทางาน
รอบคอบจริงๆ เขารับตารานั้นมา แล้วพลิกไป
พลิกมาหลายหน้า เขาคัดมาหมดจริงๆ เขาพูดว่า
“ท่านเหลียว เจ้าดูแลบัญชีของจวนนี้ เจ้าก็ไปเบิก
เงินให้ตัวเองห้าสิบตาลึงเถอะนะ ถือเป็นรางวัล
ของเจ้า”
ท่านเหลียวรีบพูดว่า “ขอบคุณโหวเยว่” เขายก
มือคานับแล้วพูดว่า “โหวเยว่หากมีอะไรให้รับใช้
ท่านก็เชิญสั่งมาได้เลย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าออกไปก่อนเถอะ หากมี
อะไร ข้าจะให้คนไปตามเจ้ามา” เมื่อท่านเหลียว
ออกไปแล้ว เขาก็รีบกลับไปที่ห้องของตัวเอง เมื่อ
เข้าไปในห้อง เขาก็ปิดประตู แล้เดินตรงไปที่หัว
เตียง เขานั่งยองๆ ลง มองซ้ายมองขวา เมื่อแน่ใจ
ว่าไม่มีใคร ก็ใช้มีดสั้น กรีดอิฐกาแพงออก แล้ว
หยิบม้วนกระบอกไม้ไผ่ออกมา
เมื่อเขาแน่ใจแล้วว่าประตูหน้าต่างปิดเรียบร้อย
แล้ว ตอนนี้ยังไม่ค่า ไม่จาเป็นต้องจุดตะเกียง เขา
นั่งอยู่ที่โต๊ะ แล้วค่อยๆ หยิบม้วนกระดาษโบราณ
ออกมา มันเหลืองมากแล้ว แต่ก็ยังเห็นชัด มี
อักษรอยู่ด้านข้างสามตัวใหญ่ จากนั้นด้านในก็
เป็นตัวอักษรเล็กๆ เต็มไปหมด
ตัวอักษรสามตัวใหญ่เหมือนอักษรอยู่ แต่ตัวอักษร
เล็กๆ นั้นมันเหมือนเครื่องหมายมากกว่าเป็น
ตัวหนังสือ
ฉีหนิงรู้วา่ ม้วนกระดาษนี่สาคัญมาก จั่วชิงหยาง
ปกป้องของสิ่งนี้ โดยไม่คิดถึงชีวิตตัวเองเลย เจียง
ซุยอวิ๋นเข้าใกล้จั่วชิงหยาง ก็เหมือนจะเพื่อม้วน
กระดาษชิ้นนี้
ฉีหนิงรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังของเจียงซุยอวิ๋นกับเห
ยียนหลิงเซี่ยนน่าจะเป็นคนเดียวกัน หากเขาเดา
ไม่ผิด สิ่งที่เจียงซุยอวิ๋นทา ก็น่าจะเป็นคนผู้นั้นสั่ง
หลายคนวางแผนรอบคอบเพื่อม้วนอักษรนี่ แสดง
ว่ามันจะต้องไม่ใช่ของธรรมดา
เขาสงสัยว่า สิ่งที่ท่านเหลียวพูด มันทาให้ฉีหนิง
คิดว่า หรือว่าม้วนกระดาษนี่มันจะมีความ
เกี่ยวข้องกับอุบาสกอิ่งผิง?
อักษรมี่อิ่งมีการเผยแพร่ให้ใช้ในวงแคบ อีกทั้งมี
อุบาสกอิ่งผิงเป็นศูนย์กลาง เปิดม้วนกระดาษมาก็
เริ่มด้วยอักษรมี่อิ่ง หากจะบอกว่ามันไม่เกี่ยวข้อง
กับอุบาสกอิ่งผิง มันก็แปลกเกินไปแล้ว
ฉีหนิงดูตัวอักษรสามตัว แล้วพลิกตาราดู ใต้อักษร
มี่อิ่งมีคาอธิบายไว้หมด อีกทั้งยังมีวิธีการสร้าง
อักษรมี่อิ่ง แต่ที่จริงแล้วของบางอย่างก็ไม่ได้พูด
ออกมาชัดเจน มันก็ดูซับซ้อน แต่ว่าเมื่อรู้เคล็ดลับ
มันก็ดูออกได้ง่าย
ในตาราอักษรเล่มนี้ ไม่เพียงบอกวิธีการสร้าง
อักษรมี่อิ่งแต่ยังมีอักษรที่สร้างสาเร็จอยู่แล้วรวม
ไว้อีกสามหน้า ซึ่งสามารถเทียบกับอักษรปัจจุบัน
ได้เลย ฉีหนิงกวาดสายตามองไป แล้วก็เจอ
ตัวอักษรที่ตรงกับที่อยู่บนม้วนกระดาษโบราณ
มันคือตาว่า “ตี้” ที่แปลว่าดิน
ท่านเหลียวพบตัวอักษรตัวที่สองจากสาม ซึ่งเป็น
คาว่า “ฉาน” ซึ่งถ้าเอามารวมกันมันจะได้คาว่า
“ตี้ฉาน” ที่แปลว่า “นรก”
ฉีหนิงตกใจ
นรกภูมิเขาคุ้นเคยกับมันดี เริ่มตั้งแต่จวนเก่า นรก
ภูมิก็วนเวียนอยู่รอบกายของฉีหนิง ที่ซีชวนก็
เหมือนกันกลุ่มที่เรียกตัวเองว่านรกภูมิก็คิดก่อ
กบฏ
ม้วนกระดาษโบราณมีคาว่านรก ฉีหนิงรู้สึกแปลก
ใจมาก เขาขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่าหรือว่าม้วน
กระดาษนี่จะมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มนรกภูมิที่
อยู่ในซีชวน?
แต่พอนึกทบทวนดีๆ แล้ว ความเป็นไปได้ไม่ได้สูง
มาก หรือว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญ
ม้วนกระดาษนี่มันเหลืองแล้ว วัสดุที่ใช้ทาก็พิเศษ
น่าจะไม่ใช่ของที่เกิดในช่วงยี่สิบปีนี้แน่นอน มัน
น่าจะตกทอดมายาวนานแล้ว
ฉีหนิงไม่เสียเวลา เขาเปิดหาตัวอักษรที่สาม
อักษรมี่อิ่งเป็นอักษรที่แปลก หากไม่ดูให้ดีก็จะปน
กันทันที จะต้องดูไปทีละขีดทีละขีด พอเขาเปิด
มาหน้าที่สอง ฉีหนิงก็เจอ ตัวอักษรตัวสุดท้าย ฉี
หนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ทานองนรก”
อักษรสามตัวนั้นมันคือทานองนรก
ฉีหนิงพอรู้ว่ามันคืออะไร เขาคิดในใจว่าหรือว่า
มันจะเป็นทานองเพลงโบราณ เขารู้สึกว่าคิดไม่ถึง
เลย สิ่งที่จั่วชิงหยางปกป้องด้วยชีวิตจะเป็น
ทานองเพลง? เจียงซุยอวิ๋นทาทุกวิถีทางเพื่อให้ได้
มันมา ก็คือทานองเพลงนี้หรือ?
แต่พอเขานึกขึ้นมาได้ว่าอุบาสกอิ่งผิงนั้นเป็นนัก
ดนตรี อีกทั้งอักษรมี่อิ่งกับอุบาสกอิ่งผิงก็มีความ
เกี่ยวข้องกัน หากเป็นทานองเพลงจริง มันก็
สมเหตุสมผลอยู่
ฉีหนิงจับไปที่หน้าผาก เขารู้สึกว่าปวดหัวมาก
ตั้งแต่เขาได้มันมา ก็รู้สึกว่ามันสาคัญอย่างมาก
เขาคาดเดาไปต่างๆ นานา เขาเคยคิดว่ามันอาจ
เป็นเคล็ดวิชาล้าค่าหายาก แล้วก็เคยคิดว่าหรือว่า
มันจะเป็นลายแทงสมบัติ อีกทั้งยังเคยคิดว่ามัน
อาจจะเป็นความลับอะไรใหญ่หลวงอีกด้วย
แต่ว่าในท้ายที่สุด เขาคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นแค่
ทานองเพลง
พอรู้ว่ามันเป็นทานองเพลง ฉีหนิงก็ไม่ค่อยจะได้
สนใจเท่าไหร่
ฉีหนิงเองก็รู้ดี สาหรับคนที่ชื่นชอบในบทเพลง
มันอาจเป็นของที่ล้าค่ามาก แต่ว่าสาหรับฉีหนิง
แล้ว เขาไม่ได้เป็นคนที่ชอบดนตรีขนาดนั้น ไม่ว่า
มันจะมีราคามากแค่ไหน เขาก็ไม่สนใจ
พอนึกย้อนไปว่าจั่วชิงหยางปกป้องมันด้วยชีวิตอีก
ทั้งเจียงซุยอวิ๋นก็ทาทุกอย่างเพื่อให้ได้ทานอง
เพลงบทเดียว ฉีหนิงก็รู้สึกขา
เขากาลังจะนามันไปเก็บ แต่พอนึกอีกที ชื่อ
ทานองนรก เหมือนจะเป็นทานองเพลง แต่ด้าน
ในอาจจะไม่ใช่เพลงก็ได้ อีกอย่าง ต่อให้มันเป็น
แค่ทานองเพลง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรซ่อนอยู่
ตอนนี้ต้องรู้ให้ได้ว่าสัญลักษณ์ที่อยู่ด้านในก่อนว่า
มันคือทานองเพลงหรือไม่
จั่วชิงหยางไม่รู้อยู่ที่ไหน ฉีหนิงไม่รู้เลย อีกทั้งไม่รู้
ด้วยว่าเขาตายไปแล้วหรือยัง หวังว่าเขาจะพบ
อะไรในนี้
เขารู้ว่าม้วนโบราณนีจ่ ะให้ใครรู้นอกเหนือจากเขา
ไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นอาจจะมีปัญหาตามมาได้
เขานิ่งไป จากนั้นก็เอากระดาษและพู่กันมา แล้ว
ลอกข้อความด้านในออกมา เขาคิดก่อนค่อยเอา
ไปถามคนในจวนดู
เขาแค่กลัวว่าตอนนี้เขาจะเขียนผิด แล้วคนอื่นจะ
ดูไม่ออก ดังนั้นจึงเขียนระวังมาก ไม่กล้าพลาด
เลย หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็คัดลอกมันมาได้
หมด เขาพอใจมาก ในเวลานี้ เขากลับได้ยินเสียง
เคาะประตูดังขึ้น ฉีหนิงตกใจมาก เขากลัวใครมา
เห็นม้วนโบราณนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม “เดี๋ยว
ก่อนนะ” เขารีบเก็บมันแล้วเก็บไว้ในชายเสื้อ
แล้วทาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเดินไปที่
ประตู เขาถามว่า “ใคร?”
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนดังขึ้นมาว่า “ข้า
เอง หนิงเอ๋อร์ เปิดประตู” กู้ชิงฮั่นนั่นเอง
ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่ากู้ชิงฮั่นจะมาที่เรือนนอนของ
เขา เขาเปิดประตูออก กลิ่นหอมก็โชยมา กู้ชิงฮั่น
ที่งดงามราวเทพธิดากาลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ใน
มือของนางถือถาดมาด้วย บนถาดมีชามลาย
ครามวางอยู่
ฉีหนิงรู้สึกงงมาก กู้ชิงฮั่นเห็นเขายืนขวางอยู่หน้า
ประตู ก็จ้องไปที่เขา แล้วพูดว่า “จะให้ข้ายืนยก
ถาดอยู่หน้าประตูแบบนี้น่ะหรือ?”
ฉีหนิงรีบหลีกทางให้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ซาน
เหนียงจู่ๆ ก็มา ข้ารู้สึกตกใจนิดหน่อย”
กู้ชิงฮั่นยิ้ม นางเดินเข้ามาในห้อง ฉีหนิงกาลังจะ
ปิดประตู แต่เหมือนเขาจะคิดอะไรได้ เขาเลยเปิด
ประตูไว้เหมือนเดิม แล้วเดินตามกู้ชิงฮั่นไป กู้ชิง
ฮั่นวางถาดไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบช้อนขึ้นมา แล้วพูด
ว่า “พวกเขากลับมาบอกข้าว่า เดิมทีเจ้ากินข้าว
อยู่ที่ร้าน แต่จู่ๆ ก็รีบร้อนออกไป ข้าวก็กินไม่กี่คา
ดังนั้นข้าเลยไปทาซุปมาให้ เจ้ารีบกินตอนร้อนๆ
นะ ข้าให้ทางครัวกินข้าวเร็ววันนี้”
ตอนที่พูด นางก็ยื่นช้อนมาให้ฉีหนิง มือของนาง
เรียวยาว ผิวก็ขาวผ่องราวกับหิมะ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 529 เปิดใจ
ฉีหนิงรู้ว่าทีก่ ู้ชิงฮั่นมาหาเขาในวันนี้ คงเพราะ
เรื่องที่เขาช่วยตระกูลกู้ไว้ เขาคิดในใจว่า หาก
ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ม่ายสาวแสนสวยคนนี้ไม่มีทาง
มาหาเขาถึงห้องนอนแบบนี้ได้
เขารับช้อนมา แล้วยกซดสองสามคา จากนัน้ ก็พูด
ว่า “ขอบคุณซานเหนียง ลาบากท่านแล้ว”
น้าเสียงของเขาดูเกรงใจมาก
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว เหมือนไม่ค่อยชินที่ฉีหนิงใช้
น้าเสียงแบบนี้คุยกับนาง แต่ว่านางก็ยังยิ้มอยู่
นางนั่งลงที่เก้าอี้ข้างฉีหนิง “เรื่องของโรงรับจานา
ข้ารู้เรื่องหมดแล้ว ครั้งนี้...ครั้งนี้โชคดีที่ได้เจ้า”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ซานเหนียงไม่ต้อง
เกรงใจหรอกนะ ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้จัก แล้วข้าไป
เจอแล้ว อย่างไรข้าก็ต้องช่วย”
กู้ชิงฮั่นยิ้ม แล้วพูดว่า “แล้วเจ้าคิดวิธีนี้ได้
อย่างไร?”
“ก็ไม่มีอะไร คิดไปเรื่อยๆ ก็คิดออกมาเอง” ฉี
หนิงวางชามน้าซุปลง แล้วพูดว่า “ซานเหนียง
ท่านต้องบอกท่านลุงนะว่าต่อไปอย่าไปเชื่อใคร
ง่ายๆ แบบนี้อีก”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าต้องพูดอยู่แล้ว”
ฉีหนิง “อืม” รับคา แล้วไม่พูดอะไรต่อ
กู้ชิงฮั่นเห็นฉีหนิงไม่พูดอะไร ก็รู้สึกเขินขึ้นมา ฉี
หนิงช่วยตระกูลกู้ไว้ นางรู้สึกซาบซึ้งใจมาก นางมี
อะไรหลายอย่างอยากจะพูดกับเขา แต่เห็นฉีหนิง
นิ่งเฉยมาก มันทาให้นางไม่รู้จะพูดอะไร นางคิด
แล้วถึงได้พูดว่า “กินอีกหน่อยสิ”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่หิว ไม่กินแล้ว
ดีกว่า ขอบคุณซานเหนียงมาก”
กู้ชิงฮั่นเริ่มรู้สึกหงุดหงิด นางลุกขึ้น แล้วยกชาม
ใส่ถาด แล้วพูดว่า “ไม่กินก็ไม่กิน” จากนั้นก็หัน
หลังเตรียมเดินออกไป นางดูแลตัวเองดีมาก
รูปร่างของนางสมส่วนไปหมด ไม่ว่าจะเดินจะยืน
จะนั่งล้วนแต่มีเสน่ห์ เมื่อนางเดินมาถึงหน้าประตู
ก็ยังไม่เห็นฉีหนิงพูดอะไร นางก็หยุดเดิน แล้วหัน
เดินกลับมา แล้ววางถาดลง แล้วจ้องไปที่ฉีหนิง
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เหตุใดซานเหนียงถึงได้ทา
หน้าแบบนั้นล่ะ? ข้าทาอะไรผิดอีกแล้วหรือ? หาก
ข้าทาอะไรผิด ท่านก็ชี้แนะมาได้เลยนะ ท่านเป็น
ผู้อาวุโส ข้าเชื่อฟังท่านแน่นอนอยู่แล้ว”
กู้ชิงฮั่นเห็นเขาพูดจาแปลกๆ ก็ไม่ได้พูดดีกับเขา
ด้วย “ข้าอยากจะถามเจ้าว่าเจ้าคิดจะทาอะไร
สองวันนี้เจ้าเป็นอะไรไป?”
ฉีหนิงแกล้งทาเป็นงงแล้วพูดว่า “ซานเหนียง สอง
...สองวันนี้ข้าเป็นอย่างไรหรือ?”
“เจ้า...” กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความโมโหว่า “เจ้าหลบ
หน้าข้าทาไม เหตุใดไม่คุยกับข้า? ข้าเป็นปีศาจกิน
คนหรืออย่างไร เจ้าถึงได้กลัวข้าขนาดนี้?”
ฉีหนิงตาโต ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าผู้หญิงไม่มี
เหตุผลมันเป็นอย่างไร กู้ชิงฮั่นเป็นลูกผู้ดี นางถูก
อบรมมาอย่างดี แต่ว่าพอจะไม่มีเหตุผลขึ้นมา
เขาก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้นางหลบเขา
อย่างกับเขาจะไปข่มขืนนางอย่างไรอย่างนั้นเลย
แต่ตอนนี้ นางกลับมาหาว่าเขาหลบหน้านาง
“พูดสิ” เห็นฉีหนิงอ้าปากค้าง สีหน้าตกใจ กู้ชิง
ฮั่นก็เลยชี้หน้าฉีหนิงแล้วพูดว่า “เจ้าตัวแสบ
ตอนนี้ข้ายุ่งอะไรกับเจ้าไม่ได้แล้วใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงแอบขาในใจ แล้วคิดในใจว่าข้าเป็นคนสอง
ภพ อายุรวมกันแล้วมากกว่าเจ้าเสียอีก เขาแกล้ง
พูดอย่างจนใจว่า “ซานเหนียงจะให้ข้าพูดอะไร?”
กู้ชิงฮั่นนั่งลงที่เก้าอี้ แล้วพูดว่า “เจ้าพูดมาสิ ข้า
อุตส่าห์ลาบากเข้าครัวทาน้าซุปมาให้เจ้า ทาไม
เจ้า...เจ้าถึงไม่กิน? หรือว่าข้าทาไม่อร่อย?” นาง
แกล้งทาเป็นดุ แต่ว่าใบหน้าของนางมันไม่ดุเลย
ตอนนี้นางอยู่ใกล้ฉีหนิงมาก ฉีหนิงนั่งอยู่บนเก้าอี้
เห็นเอวเล็กๆ ของกู้ชิงฮั่น กระโปรงที่นางใส่มัน
ทาให้รูปร่างของนางสวย อีกทั้งกลิ่นกายของนาง
ก็หอมมากด้วย ไม่ว่าจะทาอย่างไรมันก็ไม่
สามารถปกปิดความงามของนางได้เลย
กู้ชิงฮั่นเป็นหญิงงาม อีกทั้งยังเป็นหญิงงามที่หาได้
ยากด้วย
ทรงผมทาง่ายๆ คิ้วสวย ริมฝีปากแดงอ่อนๆ นาง
ปักปิ่นปักผม ใบหน้างดงามได้รูป รูปร่างสมส่วน
สง่างาม มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร
ฉีหนิงรู้สึกตลอดเวลาว่ากู้ชิงฮั่นเหมือนมีเวทมนตร์
ทุกครั้งที่เห็นหน้านาง เขาก็จะรู้สึกใจเต้นแรง
หรือว่ากู้ชิงฮั่นจะเป็นผู้หญิงในอุดมคติของเขา แต่
ว่าสาวสวยแบบนี้ ไม่ว่าผู้ชายคนไหน ก็ไม่มีทางไม่
หวั่นไหวหรอก
สาวงามที่เหมือนลูกท้ออยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ฉีหนิง
กลับนิ่งมาก แล้วพูดว่า “ซานเหนียง ซุปที่ท่านทา
รสชาติดีมาก จะไม่อร่อยได้อย่างไรกัน? เพียงแต่
ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าจะมีการประชุมเช้าในสอง
สามวันนี้ ข้าเข้าประชุมครั้งแรก ก็เลยรู้สึกกังวล
นิดหน่อย ก็เลย...”
“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ?” กู้ชิงฮั่นไม่ได้พูดดีกับ
เขา “เจ้ากล้าจะตายไป แค่ประชุมเช้าเจ้าจะ
กังวลได้อย่างไร?” นางพูดต่อว่า “จะให้เป็นอย่าง
นี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”
นางพูดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ว่าฉีหนิงเข้าใจ
ทั้งคู่ห่างเหินกันเกินไป ฉีหนิงไม่ชิน กู้ชิงฮั่นเองก็
รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่
ฉีหนิงถอนหายใจ รู้ว่ากู้ชิงฮั่นอยากจะแก้ไขเรื่อง
นี้ ในเรือนนี้ไม่มีใครอยู่ เขาคิดก่อนจะถอนหายใจ
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากคุยกับท่าน ข้า...เฮ้อ ข้าแค่
กลัว...”
“กลัวข้าหรือ?” กู้ชิงฮั่นยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าตัวนาง
เอง “เจ้ากลัวข้าหรือ? ข้าคิดว่าเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่
แล้ว ปีกกล้าขาแข็งจนจะลอยได้อยู่แล้ว”
ฉีหนิงมองไปที่กู้ชิงฮั่นแล้วพูดว่า “ข้ากลัวท่านจะ
เข้าใจผิด กังวลว่าท่านจะรู้สึกว่าข้าคิดไม่ดีกับ
ท่าน”
กู้ชิงฮั่นหน้าแดง แต่วา่ ในเมื่อวันนี้คิดจะพูดเรื่องนี้
กันแล้ว อีกทั้งฉีหนิงก็เปิดเริ่มเรื่องมาก่อน มันก็ใช่
ว่าจะไม่ดี นางนั่งตัวตรง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า
“หนิงเอ๋อร์ ที่จริง...ที่จริงแล้วซานเหนียงเองก็ผิด
ก่อนหน้านี้ข้ากลัวจริงๆ แต่ว่า...แต่ว่าซานเหนียง
กลับไปคิดดูแล้ว เรื่องนี้จะโทษเจ้าทั้งหมดก็ไม่ได้
เจ้าเป็นหนุ่มแล้ว เรื่องแบบนั้น...เรื่องแบบนั้นมัน
เป็นเรื่องปกติ” เมื่อพูดตรงนี้ หน้าของนางก็แดง
ขึ้นมา
กู้ชิงฮั่นเปิดใจ ฉีหนิงรู้สึกดีใจมาก เขาถามว่า
“ความหมายของท่านคือ ที่ข้า...ข้าชอบท่านมัน
ไม่ผิดใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ” กู้ชิงฮั่นรีบยกมือแล้วพูดว่า
“ไม่ใช่ชอบข้า...เฮ้อ ข้าหมายความว่า เจ้า...เจ้า...
เจ้าหวั่นไหวสนใจผู้หญิงมันไม่ใช่เรื่องที่ผิด ก่อน
หน้านี้เพราะข้าไม่ดีเอง ไม่ได้....ไม่ได้หาสาวใช้
ร่วมห้องให้เจ้า ตอนนี้เจ้าโตเป็นหนุ่มแล้ว ตาม
อายุก็แต่งงานได้แล้ว เป็นเพราะเจ้าบ้าอู่เซียงโหว
ต่าช้านั่น ไม่อย่างนั้นซานเหนียงคงได้จัดงาน
แต่งงานให้เจ้าไปแล้ว”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ซานเหนียงหมาย
ถึงซูจื่อเสวียนหรือ? ยังดีที่ถอนหมั้นไปแล้ว
เพราะไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางแต่งงานกับนาง
แน่นอน”
“เรื่องงานแต่งต้องเชื่อฟังพ่อแม่ เจ้าจะมาตัดสิน
ใจเองได้อย่างไร?” กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่เขา
ฉีหนิงพูดว่า “หากได้แบบซูจื่อเสวียน ให้ตายข้าก็
ไม่เอา นอกจาก...นอกจากว่าผู้หญิงคนนั้นจะ
เหมือนท่าน ข้าถึงจะยอมรับมาเป็นเมียข้า”
“เจ้าห้ามพูดจาเหลวไหลนะ” กู้ชิงฮั่นรู้ว่าในเมื่อ
เปิดใจกันแล้ว ก็คงต้องมีเรื่องที่พูดออกมาแล้วน่า
อาย นางเตรียมใจไว้แล้ว นางพูดต่อว่า “ข้าได้ไป
รายงานให้ไท่ฟูเหรินรู้แล้ว ไท่ฟูเหรินเองก็ต้อง
การให้หาคุณหนูผู้ดีที่เหมาะสมให้เจ้า ไท่ฟูเหริน
บอกว่าเจ้าอายุถึงเวลาที่ต้องแต่งงานแล้ว แต่ว่า
ช้าสักปีสองปีก็ไม่เป็นไร หา...หาสาวใช้ร่วมห้อง
ให้เจ้าได้ แล้วหากเจ้าถูกใจ ก็อนุญาตให้รับมา
เป็นอนุได้”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว กู้ชิงฮั่นพูดต่อว่า “สาวใช้ร่วมห้อง
ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว เพิ่งเต็มสิบหก หน้าตาน่า
เอ็นดูเชียว อีกไม่กี่วันก็เข้าจวนมารับใช้เจ้าได้แล้ว
หลังจากที่มีนางแล้ว ต่อไป...ต่อไปเจ้าก็จะได้ไม่
คิดฟุ้งซ่านอีก”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ท่านคิด
ว่าข้าขาดผู้หญิง ถึงได้...ถึงได้อยากใกล้ชิดท่าน
หรือ?”
“ถึงแม้เจ้าจะโตเป็นหนุ่มแล้ว แต่ว่ายังมีหลาย
เรื่องที่เจ้าไม่เข้าใจ” กู้ชิงฮั่นรู้ว่าเรื่องนี้อย่างไรก็
ต้องพูดให้ชัด จะปล่อยทิ้งไว้นานไม่ได้ นางพูดว่า
“เจ้าไม่ได้ชอบซานเหนียงหรอก เพียงแต่เจ้าอยู่
กับซานเหนียงมาตั้งแต่เล็ก ดังนั้น...เจ้าแค่โตเป็น
หนุ่มแล้ว เริ่มสนใจในตัวผู้หญิงก็เท่านั้น”
ฉีหนิงรู้สึกขามาก แอบคิดในใจว่าเจ้ากาลังคิดจะ
สอนเรื่องวัยรุ่นกับเขาหรือ เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ซานเหนียง สาวใช้ร่วมห้องนั่นช่างมันเถอะนะ
ข้าอยู่คนเดียวก็ดีอยู่แล้ว”
“ทาไมเจ้าดื้อแบบนี”้ กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความ
หงุดหงิดว่า “หากเจ้าได้เห็นหน้าเด็กคนนั้น เจ้า
จะต้องชอบแน่ ข้า...”
ฉีหนิงยกมือขึ้นแล้วถามว่า “ซานเหนียง ท่านคิด
ว่าข้าเป็นเด็กที่ไม่ประสาเลยอย่างนั้นหรือ? หาก
เป็นอย่างนั้น ทาไมฝ่าบาทถึงได้ส่งเด็กไม่รู้ความ
อย่างข้าไปซีชวนล่ะ?” เขาเขยิบเข้ามาใกล้ แล้ว
จ้องไปที่ดวงตาของกู้ชิงฮั่น แล้วพูดว่า “ที่ข้าชอบ
ซานเหนียง ไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ หากไม่ใช่
เพราะท่าน ข้าคงไม่ห่วงอะไรในจวนจิ่นอีโหว
เลย”
กู้ชิงฮั่นตะลึงไป นางไม่เข้าใจ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“อะไรนะ?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ไม่มีอะไร ซานเหนียง
ท่านไม่ต้องกังวล ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าจะไม่ทาให้
ท่านต้องลาบากใจอีก ทุกอย่างจะเหมือนเดิม”
กู้ชิงฮั่นรู้ว่าต่อให้เขาพูดมาแบบนี้ แต่ว่าในความ
เป็นจริงมันก็ทาไม่ได้แล้ว มันไม่มีทางเป็น
เหมือนเดิมได้อีก นางถอนหายใจอย่างเศร้าๆ
แล้วพูดว่า “ถ้า...ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกข้าหน่อย
เถอะว่า เจ้าชอบอะไรในตัวข้า? ซานเหนียงแก่
แล้ว นิสัยก็ไม่ดี อีกทั้ง...เฮ้อ ไม่มีอะไรดีเลย เจ้า
ชอบข้าตรงไหน?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ชอบใครคนหนึ่งมันต้องมี
เหตุผลมากมายด้วยหรือ หลังจากที่ข้ากลับมา
เป็นปกติ ข้าก็รู้ว่าท่านเป็นผู้หญิงที่สวยมาก
แม้แต่ในความฝันของข้า ข้าก็ยังนึกถึงแต่ท่าน”
เขารู้ว่านี่เป็นโอกาสที่ดี ในเมื่อกู้ชิงฮั่นกับเขาเปิด
ใจคุยกันแล้ว มันเป็นโอกาสที่เขาจะเข้าหานาง ไม่
ว่าจะสาเร็จหรือไม่ ก็สามารถทาให้กู้ชิงฮั่นเข้าใจ
กู้ชิงฮั่นหน้าแดงมาก ฉีหนิงจ้องมาที่นาง นางรู้สึก
กลัว นางกัดปากแน่น จากนั้นก็พูดว่า “แต่ว่า...
แต่ว่าเจ้าก็น่าจะรู้ ต่อให้...ต่อให้เจ้าชอบข้าจริง ก็
จะ...ก็จะทาอะไรเหลวไหลไม่ได้เด็ดขาด ข้ามีศักดิ์
เป็นอาสะใภ้ของเจ้า หาก...หากมีใครรู้เรื่องนี้ มัน
จะ...” นางยกมือขึ้นมากุมหน้า ที่ตอนนี้ร้อน
เหมือนไฟเผา
ฉีหนิงถอนหายใจพูดว่า “ซานเหนียง ข้าเองก็รู้ว่า
มันไม่ควร แต่ว่าเรื่องของความรู้สึก มันไม่ใช่ใคร
จะควบคุมได้ ท่านรู้หรือไม่ ช่วงที่ข้าไปซีชวน ข้า
คิดถึงแต่ท่านทุกวัน กลัวว่าท่านจะลาบากกลัวว่า
ท่านจะถูกรังแก เวลานอน ในหัวของข้าก็มีแต่
หน้าของท่าน เฮ้อ แล้วท่าน...ท่านจะให้ข้าทา
อย่างไร?”
“ห้ามพูดนะ ห้ามพูด” กู้ชิงฮั่นไม่กล้ามองฉีหนิง
เห็นประตูห้องยังเปิดอยู่ หากเป็นเมื่อก่อน นางก็
ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย แต่ในตอนนี้นางกลับรู้สึก
ไม่สบายใจเลย นางพูดว่า “เจ้า...เจ้าไปปิดประตู
ก่อน”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 530 ก้าวไปตามลาดับ
ก่อนหน้านี้ฉีหนิงตั้งใจเปิดประตูเอาไว้ เพราะ
กังวลว่ากู้ชิงฮั่นจะคิดมาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากู้ชิง
ฮั่นจะให้เขาไปปิดประตูห้อง เขารู้สึกอารมณ์ดี
มาก เขาลุกขึ้น แทบจะรีบวิ่งไปปิดเลย เขาปิด
ประตูแล้วก็ลงกลอน
หลังจากลงกลอนแล้ว กู้ชิงฮั่นถึงกับสะดุ้งตอนนี้
นางรู้สึกว่าปิดประตูมันไม่เหมาะ เลยรีบพูดว่า
“ไม่ ไม่ หนิงเอ๋อร์ เจ้า...เจ้าเปิดประตูเหมือนเดิม
ดีกว่า”
ฉีหนิงคิดว่าทาไมถึงได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้
เขาไม่ทาตามที่นางบอก แล้วเดินกลับมานั่ง
เหมือนเดิม กู้ชิงฮั่นเห็นดังนั้น ก็รู้สึกกลัว เลยรีบ
ลุกขึ้น แล้วคิดจะเดินไปเปิดประตู ทั้งสองเดิน
เฉียดกัน ฉีหนิงกลับยื่นมือไปจับมือของกู้ชิงฮั่น
เสี้ยววินาทีที่มือยื่นไปแตะ ความอบอุ่นความ
อ่อนโยน มันทาให้มือของกู้ชิงฮั่นมีเหงื่อออกมา
มาก
“ว้าย” กู้ชิงฮั่นถูกจับมือ นางตกใจมาก สีหน้า
ของนางเปลี่ยนไป คิดอยากจะดึงมือออก แต่ว่าฉี
หนิงจับแน่นมาก ไม่ยอมปล่อยมือเลย
กู้ชิงฮั่นจนปัญญา เลยปล่อยให้เขาจับ ในใจของ
นางเต้นแรงมาก แต่ว่าพยายามข่มอารมณ์เอาไว้
นางกัดปาก สุดท้ายก็พูดว่า “เจ้า...เจ้าทาได้แค่
จับมือนะ ห้าม...ห้ามทาอะไรอย่างอื่น เข้าใจ
หรือไม่”
ฉีหนิงเดิมทีก็ไม่ได้คิดจะทาอะไรอยู่แล้ว พอได้ยิน
ว่านางอนุญาตให้จับมือได้ ถือว่ากู้ชิงฮั่นยอมถอย
ให้มากแล้ว เขาก็ดีใจมาก รีบพยักหน้า แล้วพูดว่า
“ข้าไม่ทาอะไรแน่นอน” เขาจับมือของกู้ชิงฮั่น
เอาไว้ เดิมทีเขาอยากจะเดินไปที่เตียง แต่ว่านึก
ขึ้นมาได้ที่นั่นมันเป็นสถานที่อ่อนไหว ไม่อย่างนั้น
ที่กู้ชิงฮั่นยอมถอยก่อนหน้านี้ก็ยุติลง เขาเดินจับ
มือกู้ชิงฮั่นมานั่ง หลังจากที่กู้ชิงฮั่นนั่งลงแล้ว เขา
กลับยังยืนอยู่ข้างๆ กู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นรู้สึกเขินมาก นางเงยหน้าขึ้น เห็นฉีหนิง
จ้องมาที่เขา ท่าทางเหมือนไม่ค่อยเป็นตัวเอง นาง
ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อร์ เจ้า...เจ้าปล่อยมือ
ข้าก่อนได้หรือไม่”
ฉีหนิงส่ายหัว แต่ไม่พูดอะไร เขายิ้มแล้วมองไปที่
หน้าของกู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นรู้สึกสับสนมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่าทาแบบนี้มันผิด
แต่กลับหลุดออกจากมันไม่ได้ เมื่อก่อนแค่รู้สึกว่า
ฉีหนิงเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น เขาน่าเอ็นดู น่า
ปกป้อง แต่ว่าฉีหนิงยืนอยู่หน้านางตอนนี้ ไม่ว่า
จะท่าทางหรือว่าสายตา มันคือสิ่งที่ผู้ชายคนหนึ่ง
ควรมี มันทาให้กู้ชิงฮั่นสับสน คิดอยากจะอบรม
แบบผู้ใหญ่ แต่ว่าสายตาของเขา มันทาให้นางพูด
ไม่ออก
ภายในห้องเงียบมาก มันไม่ปกติ ครั้งนี้ฉีหนิงจับ
มือกู้ชิงฮั่นแบบจริงๆ จังๆ
คุณหนูตระกูลผู้ดี ก็ไม่เหมือนหญิงทั่วไป เรื่องใน
จวนถึงแม้กู้ชิงฮั่นจะเป็นดูแลเกือบทั้งหมด แต่ว่า
นางก็ไม่ได้จาเป็นต้องลงมือทาเอง มือสองข้าง
ของนาง มันทั้งเนียนทั้งนุ่ม เหงื่อที่ไหลออกมาที่
ฝ่ามือของกู้ชิงฮั่น มันกาลังบ่งบอกว่านางกาลัง
ตื่นเต้น
เมื่อเห็นคนที่อยู่เหนือใครในเวลาปกติอย่างกู้ชิง
ฮั่นตื่นเต้น ฉีหนิงก็ยิ้ม
หลังจากนั้นไม่นาน กู้ชิงฮั่นก็ถอนหายใจ นางจ้อง
ไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าตัวแสบ ก็ไม่รู้ว่าเจ้า
ชอบอะไรในตัวข้า”
“ตั้งแต่หัวจรดเท้าของซานเหนียง ข้าชอบทุก
อย่างเลย” ฉีหนิงได้กลิ่นหอมโชยมาจากตัวนาง ก็
พูดว่า “ได้เห็นหน้าท่านทุกวัน สดชื่นจะตายไป”
กู้ชิงฮั่นทั้งโกรธทั้งขา เจ้าตัวแสบนี่จะกล้ามากเกิน
ไปแล้วนะ กล้าคิดไม่ซื่อกับนาง ยังมาทาอ่อนโยน
พูดหวานกับนางอีก นางอดไม่ได้จึงพูดว่า “ผู้ชาย
ก็แบบนี้ทั้งนั้น ตอนที่ชอบก็ทามาพูดแบบนี้ ผ่าน
ไปสักปีสองปี พอผู้หญิงแก่แล้ว ก็แทบจะไม่หัน
กลับมามองอีก” พอพูดแบบนี้ออกไป นางก็รู้สึก
ว่าตัวเองไม่ควรพูด เพราะมันจะทาให้ฉีหนิงคิด
เกินเลยไปอีก แต่ว่าพูดไปแล้ว จะเก็บกลับมาก็
ไม่ได้ นางแอบด่าตัวเองในใจว่าทาไมถึงได้ลืมตัว
ต่อหน้าเจ้าตัวแสบแบบนี้
ฉีหนิงได้ยินคาพูดของกู้ชิงฮั่น ก็รู้สึกดีใจมาก เขา
ฉลาด พอกู้ชิงฮั่นพูดมา ฉีหนิงก็ฟังออกเลยว่า
หมายความว่าอย่างไร แสดงว่ากู้ชิงฮั่นไม่ได้ไม่มีใจ
ให้เขาเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดแบบนี้ออกมา
จิตใจของเขาคือผู้ชายเต็มวัย เขาเข้าใจทุกอย่างดี
กู้ชิงฮั่นเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว อย่างไรก็มีเลือดมี
เนื้อ ขอแค่ยังเป็นคน อย่างไรก็มีอารมณ์ความรู้
สึก หากกู้ชิงฮั่นสามารถต้านการรุกจีบของเขาได้
โดยไม่หวั่นไหวเลย มันก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลไป
หน่อย
ฉีหนิงได้ใกล้ชิดสัมผัสตัว หากไม่มีความรู้สึกอะไร
เลย มันก็ไม่ใช่คนแล้ว อีกทั้งกู้ชิงฮั่นเองก็ไม่ได้
รังเกียจอะไรฉีหนิงอยู่แล้ว อีกทั้งยังชอบเขาด้วย
เพียงแต่อายุของทั้งคู่ห่างกันมาก อีกทั้งยังกังวล
เรื่องฐานะความสัมพันธ์ที่มีอยู่ เลยเป็นปัญหา มัน
ทาให้กู้ชิงฮั่นไม่กล้าและไม่มีทางก้าวข้ามเส้น
ข้อจากัดนั้นมาได้
ฉีหนิงเดาความรู้สึกของกู้ชิงฮั่นตลอดเวลา ความ
รู้สึกความคิดของนางคาดเดาไม่ได้เลย อีกทั้ง
ความคิดของผู้หญิงก็คาดเดาได้ยาก แต่คาพูดของ
นางเมื่อครู่ มันทาให้ฉีหนิงเข้าใจความรู้สึกของ
นาง แต่เขาก็ยังทาเป็นไม่รู้เหมือนเดิม เขาพูดแค่
ว่า “ใครว่าซานเหนียงแก่? ต่อให้ผ่านไปอีกสิบ
ยี่สิบปี ท่านก็ยังสวยเหมือนดอกไม้เหมือนเดิม”
กู้ชิงฮั่นหัวเราะ จากนัน้ ก็ปั้นหน้าเหมือนเดิมแล้ว
พูดว่า “เจ้าไปเรียนพูดจาหวานแบบนี้มาจาก
ไหน? ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะ ลูกไม้พวกนี้ใช้ไม่ได้กับ
ข้าหรอก” เมื่อครู่จู่ๆ ก็ถูกฉีหนิงจับมือ นางเลย
รู้สึกใจสั่น แต่ว่าฉีหนิงไม่ได้ทาอะไร นางเลยเบา
ใจลง ผ่อนคลายลงมาก เห็นฉีหนิงจับมือนางไม่
ยอมปล่อย นางก็พูดว่า “เจ้าตัวแสบ เจ้าคิดจะจับ
อยู่แบบนี้เลยหรืออย่างไร จะจับไปถึงเมื่อไหร่
กัน?”
ฉีหนิงพูดว่า “ขอแค่ซานเหนียงยินดี ให้ข้าจับไป
ตลอดชีวิตเลยก็ยังได้”
กู้ชิงฮั่นได้ยินเขายิ่งพูดยิ่งหวาน หน้าของนางก็
แดงขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังแกล้งทาเป็นนิ่งอยู่ “อย่ามา
พูดอะไรเหลวไหลนะ เอาล่ะ มือเจ้าก็ได้จับแล้ว
ต่อไปห้ามคิดอะไรแบบนี้อีก” นางยกมืออีกข้าง
ขึ้นมา แล้วยื่นไปดีดหน้าผากของฉีหนิง จากนั้นก็
ตัดพ้อว่า “เจ้าเป็นเด็กที่ข้าเห็นมาตั้งแต่เล็ก คิด
ไม่ถึงเลยว่าโตมาจะเป็นแบบนี้ รู้แบบนี้ข้าจับเจ้าตี
ก้นให้ตายตั้งแต่เล็กดีกว่า”
นางดีดเขาแบบนี้ ใบหน้าของนางมันมีท่าทางที่
แปลก แต่มันมีเสน่ห์มาก ฉีหนิงหวั่นไหว แล้วพูด
ว่า “ซานเหนียง ได้แค่จับมือหรือ?”
กู้ชิงฮั่นหน้านิ่ง จ้องไปที่เขาแล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะ
ทาอะไรอีก? ให้เจ้าจับมือ ก็เพื่อให้เจ้าได้สงบสติ
อารมณ์ ต่อไปห้ามทาแบบนี้อีก แล้วเจ้าคิดจะทา
อะไรอีก? หากเจ้าทาอะไรเกินกว่านี้อีกล่ะก็ ข้าจะ
ไม่สนใจเจ้าอีกต่อไป” จากนั้นนางก็ขู่ไปว่า “ครั้ง
ที่แล้วข้าไม่ได้ล้อเจ้าเล่นนะ วัน...วันนั้นเจ้าเองก็
ได้ยินท่านแม่ของข้าพูดแล้วนี่นา นางจะไปคุย
กับไท่ฟูเหรินจริงๆ ไท่ฟูเหรินเองก็ไม่มีทางไม่
ปล่อยข้าไปหรอก”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านจะพูดเรื่องนี้
ขึ้นมาอีกทาไม?”
“ข้าก็อยากให้เจ้ารู้ว่า หากเจ้า...หากเจ้ายังคิดจะ
รังแกข้าอีก ข้าจะไปทันที” กู้ชิงฮั่นพูดอย่างจริง
จังว่า “ตอนนี้เจ้าเองก็เป็นถึงจิ่นอีโหวแล้ว ข้า
ลาบากดูแลจวนดูแลบ้านให้เจ้าตั้งมากมาย เจ้ายัง
คิดไม่ดีกับข้าอีก หากมีใครรู้เข้า ข้าจะอยู่ต่อไป
อย่างไรอีก ชื่อเสียงของเจ้าก็จะเสียหาย ถ้าอย่าง
นั้น ข้าไปจากที่นี่ไม่ดีกว่าหรือ”
ฉีหนิงหน้านิ่งไปทันที แล้วพูดว่า “ซานเหนียง ต่อ
ให้คนจวนจิ่นอีโหวจากข้าไปหมด ข้าก็ไม่มีทาง
ยอมให้ท่านไป ต่อให้ทั้งจวนจะเหลือแค่พวกเรา
สองคน ข้าก็ไม่เสียดาย”
กู้ชิงฮั่นเห็นเขาพูดอย่างจริงจัง ไม่รู้ทาไมเหมือน
กัน ในใจของนางก็มีความรู้สึกแปลกๆ นางเองก็
ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่นางยังคงพูดว่า “หากข้าจะ
ไป เจ้าก็ห้ามข้าไม่ได้หรอก หนิงเอ๋อร์ ข้า...ข้าไม่
ได้ล้อเจ้าเล่นนะ” นางกัดฟันแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่า
เจ้าคิดอะไร แต่ว่า...แต่ว่าเรื่องแบบนี้มันจะไม่เกิด
กับเราสองคน หากเรา...เราเดินไปจนถึงจุดนั้น
จริง เจ้าก็จะกลายเป็นคนเลวร้าย ส่วนข้า...ข้าจะ
กลายเป็นผู้หญิงหน้าไม่อาย เจ้าอยากให้ซาน
เหนียงกลายเป็นคนแบบนั้นหรือ?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ขอแค่ท่านไม่ยนิ ดี ข้า
ไม่มีทางบังคับท่าน แต่ว่าท่านจะต้องอยู่กับข้า ไม่
มีใครมาแย่งท่านไปจากข้าได้เด็ดขาด”
กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็
อย่ามาคิดอะไรเกินเลยกับข้าอีก ต่อไป...ต่อไปอยู่
กันดีๆ ข้าก็จะได้อยู่กับเจ้าดูแลเจ้าไปนานๆ” นาง
ยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วพูดว่า “อย่างไรสักวันเจ้าก็
จะต้องแต่งงาน หลังจากแต่งงาน เรื่องของจวน
โหวทั้งหมดก็ต้องยกให้เมียเจ้าดูแล ถึงเวลานั้น
เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดอะไรฟุ้งซ่านแล้ว”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า
ก่อนที่ข้าจะแต่งงาน ข้าก็คิดได้อย่างนั้นใช่
หรือไม่?”
“เจ้าอยากคิดอะไรก็คิดไปเถอะ” ไม่ว่ากู้ชิงฮั่นจะ
พูดอย่างไร ก็รู้สึกว่าเหมือนสีซอให้ควายฟัง นาง
ไม่ได้พูดดีด้วย “อย่างไรข้าก็พูดกับเจ้าไปทุกอย่าง
แล้ว หากเจ้าทาตัวดีๆ ข้าก็จะอยู่ในจวนโหวดูแล
เจ้าต่อไป แต่หาก...หากเจ้าคิดทาอะไรเหลวไหล
ข้าจะให้ท่านแม่ไปคุยกับไท่ฟูเหริน ให้ไท่ฟูเหริน
ยอมปล่อยข้าไป”
“ได้ ข้ารับปากท่านก็ได้ ข้าจะไม่ทาอะไรเกินเลย
กับท่าน แต่ว่า...ท่านเองก็จะต้องรับปากข้าเรื่อง
หนึง่ ” ฉีหนิงพูดว่า
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เงื่อนไขอะไร?” นางพูดเสริมอีกว่า
“หากเงื่อนไขมันเกินไป ข้าจะปฏิเสธทันที”
ฉีหนิงพูดว่า “ไม่เกินไปเลย” เขาเขยิบเข้ามาใกล้
แล้วพูดว่า “ท่านต้องรับปากให้ข้ากอดท่าน”
“ไม่ได้” กู้ชิงฮั่นปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดเลย “ให้
เจ้า...เจ้าจับมือก็ถือว่าเกินไปแล้ว เจ้าอย่ามาได้
คืบจะเอาศอกนะ”
ฉีหนิงพูดอย่างน่าสงสารว่า “ซานเหนียง ข้าคิดถึง
ท่านตลอดเวลา ในหัวของข้าก็มีแต่ท่าน ก็ขอกอด
ทีเดียวเองไม่ได้หรือ? ข้ารับปากท่าน แค่กอด ไม่
ทาอะไรอย่างอื่น ข้าพูดคาไหนคานั้น หากข้า...ข้า
ทาอะไรเกินเลยกว่านี้ หากท่านจะไปจากที่นี่ ข้า
จะไม่ห้ามท่านเลย”
กู้ชิงฮั่นพูดอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ได้ก็คือไม่ได้ จับ
มือ...จับมือก็ว่าเกินไปแล้ว แต่ว่า...แต่ว่ายังยอม
ให้เจ้ากอดอีก ข้า...ข้าก็กลายเป็นผู้หญิงไม่ดีแล้วสิ
หนิงเอ๋อร์ เจ้าต้องเชื่อฟังข้านะ” นางลุกขึ้น แล้ว
พูดว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องไปทาอีก เจ้า...เจ้าพัก
ก่อนเถอะนะ” จากนั้นนางก็คิดจะเดินออกไป
โอกาสหาได้ยาก ฉีหนิงจะปล่อยนางไปแบบนี้ได้
อย่างไรกัน เขากระชากมือของนาง กู้ชิงฮั่นไม่ทัน
ได้ตั้งตัว ร่างกายของนางไปตามที่ฉีหนิงพาไป ฉี
หนิงพลิกมือทีเดียว ก็โอบกอดกู้ชิงฮั่นเอาไว้แล้ว
เขาเองก็ไม่ได้เตี้ยมาก สูงไล่ๆ กับกู้ชิงฮั่น ตอนนี้
เขากอดนางอย่างเต็มไม้เต็มมือ
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ตายแล้ว เจ้ากล้าเกินไปแล้วนะ
...” นางดิ้น ฉีหนิงกลับเข้าใกล้หูของนางแล้วพูด
ว่า “ซานเหนียง ท่านล้มมาหาข้าเองนะ โทษข้า
ไม่ได้ อย่าขยับสิ ข้าแค่อยากกอดท่านเฉยๆ ไม่ทา
อะไรหรอก ข้ารับรองได้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 531 ทำนองพิสดำร
กู้ชิงฮั่นถูกฉีหนิงกอดเอาไว้ ก็ตกใจ คิดว่าเจ้าเด็ก
นี่ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ จะเหมือนครั้งที่แล้ว ที่คิด
จะลวนลามนางแน่ นางพยายามดิ้น แต่ก็พบว่าฉี
หนิงแค่อยากจะกอดนางจริง ๆ เขาไม่ได้ทาอะไร
อย่างอื่นเลย นางเลยดิ้นอ่อนลง แล้วตาหนิไปว่า
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“ไม่มีใครเข้ามาที่นี่หรอก ประตูก็ลงกลอนไว้แล้ว
ด้วย” ฉีหนิงได้กลิ่นหอมจากตัวของกู้ชิงฮั่น เขา
พูดว่า “ซานเหนียง อย่าขยับ ข้าแค่อยากกอด
ท่านเฉย ๆ ไม่ทาอะไรมากกว่านี้”
กู้ชิงฮั่นทั้งโกรธทั้งโมโห แต่ก็จนปัญญา ถึงแม้ฉี
หนิงจะไม่ได้ออกแรงมาก แต่ก็เพียงพอที่จะไม่ทา
ให้กู้ชิงฮั่นหลุดจากอ้อมกอดเขาได้
เมื่อถูกเจ้าเด็กตัวแสบกอดไว้ กู้ชิงฮั่นก็กัดฟัน ทา
ได้แค่พูดว่า “เจ้าต้องรักษาคาพูดนะ เจ้า......เจ้า
ห้ามทาอะไรเหลวไหลนะ” ความหมายของนางก็
คือ ฉีหนิงกอดนางได้อย่างเดียว
ฉีหนิงใช้สองมือกอดไปที่เอวของนาง เขารู้สึกว่า
เอวของนางเหมือนเล็กมาก ไม่แปลกใจเลยว่า
เวลานางเดินถึงได้บิดไปบิดมาได้สวยขนาดนั้น
เขาอยากจะใช้มือจับลงไปต่ากว่านี้ แต่ในเวลานี้
ได้กอดนางแบบนี้ก็ถือเกินขอบเขตของนางแล้ว
เขามีบทเรียนมาแล้ว รู้ว่าจะรีบร้อนเกินไปไม่ได้
เด็ดขาด
ฉีหนิงได้กลิ่นหอมของสาวเต็มวัยอย่างกู้ชิงฮั่น กู้
ชิงฮั่นเองก็ได้กลิ่นกายของผู้ชายที่ออกมาจากตัว
ของฉีหนิง นางรู้ว่าฉีหนิงกับนางอายุห่างกันเกือบ
หนึ่งรอบ แต่ว่าในใจของนางยังเต้นแรงได้มาก
ขนาดนี้
กู้ชิงฮั่นก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตากับฉีหนิง หลังจาก
นั้นไม่นาน นางก็รู้สึกว่าเหมือนมีของฉีหนิงขยับ
นางรีบใช้มือไปจับมือของเขาเอาไว้ แล้วสะบัด
ออก แล้วตาหนิไปว่า “บอกแล้วไงว่าได้แค่กอด
ห้ามทาอย่างอื่น”
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่นางมีเสน่ห์มาก
เกินไป ทาให้หลงไปกับกลิ่นหอมจากตัวของกู้ชิง
ฮั่น ฉีหนิงควบคุมตัวเองไม่ได้ มือของเขาที่อยู่ที่
เอวก็เลยขยับไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อถูกกู้ชิงฮั่นสะบัด
มือทิ้ง เขาก็รู้สึกเขิน แต่ว่าก็ยังพยายามข่มใจอยู่
แล้วพูดว่า “ตัวท่านหอมมากเลย”
กู้ชิงฮั่นได้ยินคาพูดของเขาก็เหมือนได้สติ นาง
สะดุ้ง แอบคิดในใจว่านางทาอะไรลงไป จากนั้นก็
รีบผลักฉีหนิงออก แล้วถอยหลังไปสองก้าว แล้ว
พูดว่า “พอได้แล้ว มือก็ได้จับแล้ว กอดก็ได้กอด
แล้ว ต่อไป......ต่อไปห้ามทาแบบนี้อีกนะ” หน้า
ของนางแดงเหมือนคนเมา นางหันหลังแล้ว
เตรียมจะเดินไปจากห้อง ทันใดนั้นเองก็เหลือบไป
เห็นดาษแผ่นหนึ่งบนพื้น นางรู้สึกแปลกใจมาก
ก้มตัวลงไปหยิบ แล้วกางออกมาดู เห็นสัญลักษณ์
แปลก ๆ นางก็เลยถามกลบเกลือนความเขินไปว่า
“นี่อะไร?”
กระดาษแผ่นนี้เป็นแผ่นที่ฉีหนิงคัดลอกออกมา
จากทานองนรก เดิมเก็บไว้ในชายเสื้อ พอถูกกู้ชิง
ฮั่นสะบัด มันเลยหลุดออกมาจากแขน
ฉีหนิงรู้ว่ากู้ชิงฮั่นเองก็พอรู้เรื่องดนตรีบ้าง เขา
ถามว่า “ซานเหนียงท่านเองก็ดูไม่ออกเหมือนกัน
หรอ?” แอบคิดในใจว่าหากทานองนรกเป็น
ทานองดนตรีจริง กู้ชิงฮั่นก็น่าจะมองออกบ้าง
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้า แต่จากนั้นไม่นานก็ขมวดคิ้ว “ไม่
สิ นี่......นี่มันทานองเพลงนี่นา”
ฉีหนิงรู้สึกผิดหวัง เขาไม่อยากให้ทานองนรกเป็น
เพลงเลย แต่ว่ากู้ชิงฮั่นกลับมองออก เขาถามว่า
“เป็นทานองเพลงจริงหรอ?”
“แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่” กู้ชิงฮั่นเหมือนจะสงสัย
“เหมือนจะเป็นทานองเพลง แต่ว่า......” นางค่อย
เดินสองสามก้าว จากนั้นก็นั่งลง แล้วมองไปที่
กระดาษ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว นี่
เป็นทานองเพลง แต่ว่า......มันมีทานองสองเพลง
รวมอยู่ด้วยกัน มิน่าถึงได้มองไม่ออกแต่แรก”
“สองทานองรวมเป็นหนึ่ง?” ฉีหนิงพูดด้วยความ
สงสัยว่า “ซานเหนียง มันหมายความว่ายังไง?”
เขาคาดหวังกับทานองนรกนี่มาก หวังว่ามันจะมี
อะไรซ่อนอยู่
กู้ชิงฮั่นชี้ไปที่สัญลักษณ์หนึ่งในนั้นแล้วพูดว่า
“เจ้าดูนี่ มันคลุมเครือ ไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร แต่
ว่ามันก็เหมือนกับเป็นโน้ตดนตรี แต่ว่าในตัวโน้ต
มันไม่มีตัวนี้เลย” นางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไปเอา
ของประหลาดแบบนี้มาจากไหน คนที่เขียน
ทานองเพลงนี้แปลกมาก เขาใช้ทานองของสอง
บทเพลงมารวมเป็นหนึ่ง จะต้องแยกมันออกจาก
กันถึงจะมองออก มีทั้งเสียงโทนสูง แล้วก็เสียง
โทนต่า”
ฉีหนิงพูดอย่างแปลกใจว่า “มีเรื่องแปลกแบบนี้
ด้วย?”
กู้ชิงฮั่นมองไปที่ฉีหนิงแล้วพูดว่า “ของ ๆ เจ้า ยัง
จะถามข้าอีก?”
ฉีหนิงเกาหัว ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็เอามาสนุก ๆ
ซานเหนียง เพลงนี้ ท่านเล่นได้ไหม?”
กู้ชิงฮั่นมองอย่างละเอียดอีกที นางเห็นว่าบนโต๊ะ
มีพู่กันกับกระดาษอยู่ นางก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“หนิงเอ๋อร์ เจ้าเล่นอะไรอยู่? เจ้าเขียนมันออกมา
เองไม่ใช่หรือไง?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ข้าไม่อยากปิด
ท่าน แต่วา่ ......ถ้าข้าเล่าให้ท่านฟังแล้ว ท่านห้าม
ไปบอกใครเลยนะ”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “อยากพูดก็พูด ไม่พูดก็แล้วแต่ข้าก็
ไม่ได้อยากจะฟัง” นางลุกขึ้นเตรียมจะออกไป ฉี
หนิงรีบจับมือของนางเอาไว้ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เอาล่ะ เอาล่ะ อย่าโกรธข้าเลยนะ” เขาพูดเสียง
เบาว่า “นี่เป็นของที่ท่านจั่วเขียนไว้ให้ข้า แต่ว่า
ข้าไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร”
“ท่านอาจารย์จั่ว?” กู้ชิงฮั่นตะลึงไป นางขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านจั่วออกเดินทางไป
ท่องเที่ยว ไปแต่ละครั้งก็ไม่ใช่สั้น ๆ ไปทีก็หลายปี
แม้แต่วิทยาลัยฉงหลินก็ปิดไป อายุก็มากแล้วยัง
จะออกเดินทางอีก ลาบากจริง ๆ”
“วิทยาลัยฉงหลินปิดหรอ?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เจ้าไม่รู้หรอ?” จากนั้นก็เหมือน
นึกอะไรขึ้นมาได้ นางยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นเป็นเรื่อง
ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าไปซีชวนแล้ว ข้าคิดว่าที่
ท่านจั่วเดินทาง เขาน่าจะบอกเจ้าแล้ว”
ฉีหนิงคิด แล้วถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวเหยาก็
ไม่ได้ไปเรียนหนังสือน่ะสิ?”
“เจ้าไม่ต้องกังวล” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เสี่ยวเหยาช่วง
นี้ก็อยู่ดูแลแม่ของนาง ข้าส่งคนไปเยี่ยมนางอยู่
ตลอด กินอยู่ไม่มีปัญหา แม่นางถังเองก็ไปเยี่ยม
ด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง สุขภาพของแม่นางไม่เป็น
อะไรแล้ว เพียงแต่ยังไม่หายดีทั้งหมด”
ฉีหนิงรู้สึกโล่งใจ เขาสงสารเสี่ยวเหยากับแม่ของ
นางมาก เขาพูดอย่างขอบคุณว่า “ซานเหนียง
ท่านเป็นคนใจดีมาก ๆ เลย”
“ไม่ต้องมาประจบเลย” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “จริงสิ เจ้า
บอกว่าท่านจั่วมอบทานองเพลงนี้ให้เจ้า แล้วให้
อะไรมาอีกไหม?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ยังมีอีก แต่ข้าเขียนมา
แค่นี้”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์จั่วเป็น
บัณฑิตใหญ่ ทานองเพลงที่ให้มาก็ต้องพิเศษไม่
เหมือนใคร” ตอนนี้ยังเช้าอยู่ นางก็ไม่ได้รีบร้อน
อะไร นางหยิบกระดาษ แล้วมองไปที่ฉีหนิง แล้ว
พูดว่า “ข้าจะถอดทานองออกมา เจ้าห้ามพูด
อะไรเข้าใจไหม”
ฉีหนิงไปลากเก้าอี้มานั่งลงตรงข้ามกู้ชิงฮั่น กู้ชิง
ฮั่นเริ่มถอดทานองเพลงออกมา
ฉีหนิงนั่งลงตรงข้ามกับกู้ชิงฮั่น เขามองไปที่กู้ชิง
ฮั่น เห็นสายตาของนางใสเหมือนหยดน้า ผิวขาว
ราวกับหิมะ ผมสวยเหมือนหงส์ ใบหน้างดงาม
มันมีเสน่ห์เย้ายวนใจเขามาก ยิ่งมองเขาก็ยิ่งชอบ
ถึงแม้ในใจของกู้ชิงฮั่นจะปฏิเสธ แต่ว่าถูกฉีหนิง
จ้องแบบนี้ นางก็รู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นาง
เงยหน้าขึ้นมา แล้วจ้องไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ไป
เปิดประตู ในห้องมันมืด”
ที่จริงในห้องตอนนี้มันก็ไม่ได้สว่างมาก แต่ก็ไม่มืด
ฉีหนิงรู้ว่ากู้ชิงฮั่นกลัวว่าเขาจะทาอะไรเกินเลย
เขายิ้มแล้วพูดว่า “หากว่ามืด ข้าไปจุดตะเกียงมา
ให้ก็ได้”
กู้ชิงฮั่นตบโต๊ะ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าพูดอะไร เจ้า
ไม่ฟังกันเลยใช่ไหม?”
ฉีหนิงหัวเราะร่าออกมา จากนั้นก็ลุกไปเปิดประตู
กู้ชิงฮั่นถึงได้เบาใจ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นางก็
ถอดทานองออกมาได้ จากนั้นนางก็ยื่นให้กับฉี
หนิงแล้วพูดว่า “ถูกแล้วล่ะ มันเป็นทานองสอง
บทเพลงรวมเป็นหนึ่ง ประหลาดจริง ๆ”
ฉีหนิงไม่ได้ยื่นมือไปรับ เพียงแต่ถามว่า “ซาน
เหนียงเล่นได้ไหม?”
กู้ชิงฮั่นมองไปที่ทานองเพลง จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
นางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “แปลกจริง ๆ มัน......มัน
จะเล่นออกมาได้ยังไง......” นางทาเหมือนกาลัง
บรรเลงเพลงเคาะจังหวะไปที่โต๊ะ นางส่ายหน้า
แล้วพูดว่า “ไม่ถูก นี่......นี่มันเหลวไหลเกินไป
ทานองนี่มันเชื่อมกันไม่ได้เลย เล่นไม่ได้......”
ฉีหนิงตาโตขึ้นมาแล้วพูดว่า “ท่านหมายความว่า
มันไม่ใช่ทานองเพลงใช่ไหม?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ข้าบอกเมื่อไหร่ว่ามันไม่ใช่ทานอง
เพลง? ข้าแค่บอกว่ามันแปลก คนทั่วไปเล่นไม่ได้
ถึงแม้ข้าจะเล่นดนตรีได้ แต่ว่าความสามารถของ
ข้าก็มีจากัด บทเพลงของท่านจั่ว ไม่มีทางผิด
แน่นอน ข้าเล่นไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่น
เล่นไม่ได้”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่นางพูดก็ถูก
หากนี่เป็นทานองเพลงจริงก็อาจเป็นไปได้ว่า
อุบาสกอิ่งผิงเป็นคนแต่งมันขึ้น ได้ยินมาว่า
ทานองบทเพลงของอุบาสกอิ่งผิงนั้นประหลาด
ทานองเพลงของเขา คนธรรมดาไม่สามารถ
บรรเลงได้เลย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
กู้ชิงฮั่นลุกขึ้น แล้วพูดว่า “เจ้าชอบดนตรีตั้งแต่
เมื่อไหร่?” นางเดินไปยกถาด แล้วพูดว่า “เจ้า
ค่อย ๆ ดูไปก็แล้วกัน” นางเดินออกจากห้องของ
เขาไป ฉีหนิงรีบพูดว่า “ท่านจะไปแล้วหรอ?”
กู้ชิงฮั่นหันมามองเขา แต่ไม่พูดอะไร จากนั้นก็
เดินจากไปเลย
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ เขายกมือมาวาง
ไว้ที่จมูก บนมือของเขายังมีกลิ่นหอมติดอยู่ คิดถึง
ความรู้สึกที่ได้กอดกู้ชิงฮั่นเมื่อกี้ มันยากจะ
บรรยายจริง ๆ
เขาหยิบทานองเพลงที่ถอดออกมา แล้วมองอย่าง
ละเอียดแต่เขาก็ดูไม่ออกว่ามันมีความพิเศษตรง
ไหน ก็รู้ว่าจะเก็บมันไว้นานไม่ได้ ในเมื่อรู้ว่ามัน
คือทานองนรกก็พอแล้ว เขาเลยทาลายกระดาษ
สองแผ่นนั้นทิ้งไป เขาคิดทบทวนแล้วคิดอีก เซี่ยง
ไป๋อิ่งไหว้วานให้เขาไปหาคงฉานไต้ซือที่วัดต้ากวง
หมิง กลับมาเมืองหลวงติดพันเรื่อของกู้เหวินจาง
ทาให้เสียเวลาไปสองวัน เขาคิดว่าพรุ่งนี้จะขึ้นเขา
ไปสักครั้ง
พอตกเย็ย ฉีหนิงก็สั่งให้หานโซ่วไปเตรียมรถม้า
กับอาหารแห้งเอาไว้ พรุ่งนี้จะได้เดินทางไป
วัดต้ากวงหมิงแต่เช้า ไม่นานนัก หานโซ่วก็วิ่งเข้า
มา ฉีหนิงยังไม่ทันได้พูดอะไร หานโซ่วยื่นเทียบ
เชิญมาให้ แล้วพูดว่า “โหวเยว่ เมื่อครู่มีคนส่ง
เทียบเชิญนี้มาให้ บอกว่าแม่นางจั่วขอเชิญท่านไป
พบ”
ฉีหนิงรับเทียบเชิญมา แล้วอ่าน ตัวอักษรด้านใน
สวยมาก อีกทั้งยังมีการลงชื่อจั่วเซียนเอ่อร์เอาไว้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 532 แพ้ทางกัน
จั่วเซียนเอ่อร์จู่ ๆ ก็ส่งเทียบเชิญมา ฉีหนิงรู้สึก
แปลกใจมาก เขาคิด เหมือนจะไม่ได้พบสาวสวย
คนนี้นานแล้วจริง ๆ
เมื่อคิดถึงจั่วเซียนเอ่อร์หน้าตาสวยงาม แต่ว่านาง
กลับมีเสน่ห์เหมือนนางจิ้งจอกสาวด้านใน ฉีหนิง
คิดอยากจะไปหานางจริง ๆ แต่วา่ พอนึกขึ้นมาได้
ว่าถ้าเขาไปที่แม่น้าฉินไหวตอนนี้ บรรยากาศแบบ
นั้น อาจจะไม่ได้กลับมาเร็วขนาดนั้น พรุ่งนี้เช้ายัง
ต้องออกไปที่เขาจื่อจินที่วัดต้ากวงหมิง วันนี้ยังไง
ก็ออกไปไหนไม่ได้
แต่ว่าหลังจากที่กลับมาจากวัดต้ากวงหมิง คงจะ
ต้องหาเวลาไปหาสักหน่อย จ้าได้ว่าครั้งสุดท้ายที่
เจอจั่วเซียนเอ่อร์ คือตอนที่ในเมืองหลวงมีพิษ
ระบาด หากไม่ใช่เพราะคืนนั้นบนเรือมีคนอาการ
ก้าเริบ จั่วเซียนเอ่อร์กับเขาคงร่วมหอลงโลงกันไป
แล้ว
เขาส่ายหน้า คิดว่าเขาไม่ควรคิดอะไรแบบนั้น
ก่อนหน้านี้ก็อายากจะเข้าหากู้ชิงฮั่น แต่พอได้ยิน
ชื่อจั่วเซียนเอ่อร์ ก็อยากจะมีอะไรกับนางอีก หรือ
ว่าเขากลายเป็นเหมือนพวกขุนนางที่เน่าเฟะพวก
นั้น? แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นจั่วเซียนเอ่อร์หรือว่ากู้ชิง
ฮั่น ต่างก็เป็นหญิงงามที่หาได้ยาก เขารู้สึกว่าดวง
ดีมาก สาวสวยพวกนี้เขาล้วนแต่มีบุญได้เจอ หาก
เป็นผู้ชายคนอื่น ต่อให้มีใจบริสุทธิ์แค่ไหน พอได้
เจอกู้ชิงฮั่นกับจั่วเซียนเอ่อร์ก็ไม่น่าอดใจไหว
ทั้งนั้น
ช่วงเวลาอาหารค่้า ฉีหนิงไม่เห็นกู้ชิงฮั่นเลย เมื่อ
ถามบ่าวไพร่ถึงได้รู้ว่านางไปที่จวนตระกูลกู้
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไร วันนี้เพิ่งจะช่วย
ตระกูลกู้เอาไว้ กู้ชิงฮั่นเองก็น่าจะไปหากู้ฮูหยิน
เพื่อจะปลอบนาง ไม่แน่อาจจะอยู่ต้าหนิกู้เหวิ
นจางด้วย
ถึงแม้ฉีเฟิงจะบาดเจ็บไม่หนักมาก แต่ฉีหนิงก็ยัง
สั่งให้เขาพักผ่อนหลายวันหน่อย เขาเลือกให้หลี่
ถังกับองครักษ์ฝีมือดีอีกไม่กี่คนตามเขาไปที่วัด
ต้ากวงหมิงด้วย ที่จริงด้วยวรยุทธ์ของฉีหนิง
ในตอนนี้ พวกหลี่ถังอยู่คุ้มกันเขาแทบจะไม่มี
ความหมายเลย หากแม้แต่ฉีหนิงก็รับมือไม่ได้
พวกของหลี่ถังก็ไม่มีทางรับมือได้แน่นอน แต่ว่า
เป็นถึงจิ่นอีโหว จะออกไปไหนมาไหน หากไม่มี
องครักษ์ไปด้วย มันก็ไม่สมฐานะ
พวกของหลี่ถังพอได้รับค้าสั่ง ก็ต่างเตรียมตัว
ออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น
นอนไปได้สักพักใหญ่ ฉีหนิงก็ถูกเสียงระฆังท้าให้
ตื่น เสียงระฆังดังนานมาก ฉีหนิงพลิกตัวลุกขึ้นมา
ไม่รู้ว่าเสียงนี่มันมาจากไหน เขาหันไปที่นอก
หน้าต่าง เห็นด้านนอกยังมืดอยู่ ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้
เวลาไหนแล้ว ขมวดคิ้ว แอบด่าในใจว่าประสาท
จริง ๆ คิดว่าดึก ๆ ดื่น ๆมาตีระฆังท้าไม ท้าคน
อื่นตกใจหมด
เสียงระฆังดังอยู่ระยะหนึ่ง ก็หยุดหนึ่ง ฉีหนิงถอน
หายใจ แอบคิดในใจว่ายังไม่สว่างเลย นอนอีก
หน่อยก็ดี ยังไม่ทันได้นอนลงไป ก็ได้ยินเสียงเดิน
อย่างรีบร้อนขึ้นมา มีคนมาที่เรือนนอนของเขา
ฟังจากเสียงฝีเท้า ไม่น่าจะใช่คนเดียว เขาสงสัย
มาก ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม เสียงของพ่อบ้าน
หานก็ดังขึ้นมาว่า “โหวเยว่ โหวเยว่ ตื่นได้แล้ว
ขอรับ”
ฉีหนิงคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขารีบลุกมาจาก
เตียง เวลาเขานอนเขาจะใส่แค่กางเกงตัวเดียว
แล้วถอดเสื้อด้านบนออก เขารีบใส่รองเท้าแล้วไป
เปิดประตู “มีเรื่องอะไร? ท้าไมต้องแตกตื่นกัน
ขนาดนี้ด้วย” พอเปิดประตูออก ก็เห็นด้านนอกมี
คนยืนอยู่ประมาณสี่ห้าคน พ่อบ้านหานยืนอยู่
หน้าสุด กู้ชิงฮั่นเองก็อยู่ด้วย ที่เหลือเป็นพวกสาว
ใช้ มีสาวใช้คนหนึ่งถือโคมไฟ
ส่วนสาวใช้คนอื่นก็ถือของอย่างอื่น เหมือนจะเป็น
ชุดกับเครื่องแต่งกาย
ฉีหนิงยืนอึ้งไป กู้ชิงฮั่นรีบเร่งเขา “เข้าไปข้างใน
ก่อน รีบช่วยโหวเยว่แต่งตัวเร็ว พ่อบ้านหาน สั่ง
ให้คนไปเตรียมรถม้าแล้วหรือยัง?”
“ฮูหยินสามวางใจได้ ข้าน้อยได้สั่งให้คนไปเตรียม
รถม้าไว้แล้ว” หานโซ่วพูดว่า “ระฆังหลวงดัง
มาแล้วสองครั้ง ออกจากจวนไปก่อนระฆังหลวงที่
สามทันแน่นอนขอรับ”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ดี” จากนั้นนางก็
เดินเข้าไปในห้อง เห็นฉีหนิงยังยืนงงอยู่หน้าประตู
ก็รีบพูดว่า “เจ้าจะยืนอยู่ท้าไมตรงนั้นอีก ยังไม่
รีบเข้ามาอีก รีบเปลี่ยนชุดขุนนางเร็วเข้า วันนี้ฝ่า
บาทจะประชุมเช้า เจ้าร่วมประชุมครั้งแรก ห้าม
สายเด็ดขาด”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ เขาพูดว่า “ซานเหนียง ท่าน
หมายความว่า เสียงระฆังเมื่อกี้......?”
“นั่นเป็นเสียงระฆังหลวงที่มาจากในวัง วันนี้ฝ่า
บาทต้องการประชุมเช้า” กู้ชิงฮั่นพูดไปพรางสั่ง
สาวใช้ให้เริ่มช่วยฉีหนิงเปลี่ยนชุด ฉีหนิงเดินเข้า
ไปในห้อง เขากางแขนออก สาวใช้เหมือนจะผ่าน
การฝึกฝนมาแล้วอย่างดี พวกนางท้าอะไรรวดเร็ว
ว่องไวมาก คนหนึ่งสวมเสื้อ อีกคนสวมหมวก อีก
คนสวมที่คาดเอว อีกคนท้าผมให้ฉีหนิง
ตอนนี้มีสาวใช้อีกสองคนเดินเข้ามาอีก เอาน้้า
และผ้ามาให้ ทุกคนดูยุ่งไปหมด
ฉีหนิงคิดในใจว่าเขายังไม่คิดรอบคอบขนาดนี้เลย
แต่กู้ชิงฮั่นเตรียมทุกอย่างให้เขาทุกอย่าง คนพวก
ถูกกู้ชิงฮั่นเตรียมไว้อย่างดี พอมีการประชุมเช้า ก็
สามารถมารับใช้ทันที กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ต้าฉู่เราไม่
ได้มีการประชุมเช้าทุกวัน ตามก้าหนดแต่โบราณ
จะเป็นสามวันประชุมหนึ่งครั้ง ก่อนการประชุม
จะมีเสียงระฆังดังขึ้น แต่หากฝ่าบาทต้องการ
ประชุมด่วน ก็จะมีเสียงระฆังด่วน” นางเห็นว่าผม
ของฉีหนิงยังยุ่งอยู่ ก็เดินมาจัดผมให้ด้วยตัวเอง
นางพูดต่อว่า “ฝ่าบาทเพิ่งว่าราชการไม่นาน ไม่รู้
ว่าจะมีประชุมด่วนไหม วันนี้ถือเป็นการประชุม
ตามก้าหนด ระฆังนี่ก็ดังสองครั้งแล้ว”
ฉีหนิงรู้สึกเสียใจมาก แอบคิดในใจว่าท้าไมเขาถึง
ได้หลับลึกขนาดนี้ ถึงไม่ได้ยินระฆังครั้งแรกเลย
เมื่อกี้สะดุ้งตื่นมาก็ระฆังที่สองแล้ว
เขาขมวดคิ้ว เดิมคิดว่าวันนี้จะไปที่วัดต้ากวงหมิง
แต่ตอนนี้ ฮ่องเต้น้อยกลับมีประชุมเช้า เขาเป็นถึง
หนึ่งสี่ในบรรดาศักดิ์โหว ตอนนี้อยู่ในเมืองหลวง
ยังไงก็เลี่ยงไม่ได้ เรื่องวัดต้ากวงหมิงคงต้องเลื่อน
ออกไปก่อน
ทุกคนแต่งตัวให้ฉีหนิงจนเสร็จ หลังจากที่ฉีหนิง
รับสืบทอดต้าแหน่งโหวมา กู้ชิงฮั่นก็สั่งให้คนไป
ตัดชุดตามสัดส่วนของฉีหนิง ชุดประจ้าต้าแหน่ง
ชุดนี้ราคาไม่ธรรมดาเลย จ่ายไปมากพอสมควร
แต่หลังจากสวมไปแล้ว กลับดูมีสง่าราศีมาก
จากนั้นก็มีคนมาดูแลฉีหนิงล้างหน้าล้างตา กู้ชิง
ฮั่นสั่งให้สาวใช้อีกคนสวมหมวกให้กับฉีหนิง กู้ชิง
ฮั่นมองฉีหนิงตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ปกติก็ดูธรรมดา แต่พอสวมชุดประจ้า
ต้าแหน่งแล้ว ดูสง่าไม่เบาเลยนะเนี้ย” นาง
เหมือนจะเห็นฉีหนิงอยากจะพูดอะไร นางกังวล
ว่ามีคนอยู่มาก ฉีหนิงจะพูดอะไรที่ไม่ควรพูดด
นางรีบโบกมือแล้วพูดว่า “เอาล่ะ รีบไปได้แล้ว”
ทุกคนเดินตามฉีหนิงไปนอกจวน ตอนที่เดินอยู่ กู้
ชิงฮั่นก็ก้าชับหลายอย่าง เมื่อมาถึงโถงหน้า ก้าลัง
จะออกจากประตู ก็เห็นเงาวิ่งผ่านมา ทุกคนตกใจ
กันหมด ฉีหนิงแทบจะไม่คิดอะไรเลย ยืนมือไป
ขวางหน้าของกู้ชิงฮั่นเอาไว้
กูช้ ิงฮั่นเห็นวินาทีแรกที่เขาท้าคือการออกมา
ปกป้องนาง ก็รู้สึกอบอุ่นในใจ ทุกคนมองไป ก็
เห็นเงาวิ่งผ่านมาอีก เมื่อหันไปมอง มันก้าลังพุ่ง
มาที่ฉีหนิง หานโซ่วพูดว่า “นั่น......นั่นโฉ่วฮั่นนี่
นา” เงาที่วิ่งโผล่มา คือชายอัปลักษณ์โฉ่วฮั่น
นั่นเอง
หากเขาไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา ฉีหนิงเองก็แทบจะ
ลืมไปแล้วว่าในจวนโหวมีเขาอยู่ด้วย
หลังจากที่โฉ่วฮั่นมายังเมืองหลวง ก็อยู่ในจวน
ตลอด จวนโหวใหญ่มาก มีคนเพิ่มขึ้นมาก็ไม่ได้ดู
ว่าคนมากขึ้น ถึงแม้เขาจะกินจุมาก แต่ว่าเขาช่วย
ชีวิตกู้ชิงฮั่นเอาไว้ จวนโหวดูแลเขาเป็นอย่างดี
เขากินข้าวทีเท่ากับสามสี่คนกิน แต่จวนโหวก็มีให้
เขากินไม่ขาด
โฉ่วฮั่นอยู่ในจวนโหวอิสระมาก เพียงแต่ว่าเขา
อิสระมากเกินไปหน่อย ถึงแม้จัดห้องไว้ให้เขาด้วย
แต่เหมือนว่าเขาจะไม่เคยไปนอนที่ห้องเลย ไม่ไป
นอนที่ริมก้าแพง ก็ไปนอนในมุมใดมุมหนึ่ง
เหมือนเขาจะชอบมากกว่าไปนอนที่ห้อง
กลางวันไม่เท่าไหร่ แต่พอกลางคืนเขาเหมือนตื่น
ตัว จะโผล่ไปไหนมาไหนตลอด เหมือนวิญญาณ
คนในจวนโหวมักจะถูกเขาท้าให้ตกใจเสมอ เริ่ม
แนกคนอื่นเหมือนจะไม่พอใจ แต่ว่ากลัวกู้ชิงฮั่น
เลยไม่มีใครกล้าพูดอะไรมาก แต่ว่าตอนนี้แล้ว
เหมือนทุกคนเริ่มจะชิน
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย แต่เหมือนคนอื่นจะ
ชินแล้ว โฉ่วฮั่นหันหน้ากลับมามอง แล้วเดินมา
หาฉีหนิง แล้วมองไปที่ฉีหนิง เมื่อเห็นเขาสวมชุด
สวยงาม เขาก็ยิ้ม แล้วยื่นมือไป จะไปจับเครื่อง
แต่งกาย ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไป พ่อบ้านหานเลย
พูดต่อว่าไปว่า “โฉ่วฮั่น หลีกไป อย่าท้าอะไร
เหลวไหลนะ”
โฉ่วฮั่นมองไปที่พ่อบ้านหาน แต่ไม่ได้สนใจเขา
พ่อบ้านหานก็เลยตะโกนขึ้นมาว่า “ซู่หลัน”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น
“โฉ่วฮั่น เจ้ามานี่เร็ว ห้ามไปขวางโหวเยว่นะ”
น้้าเสียงของนางอ่อนโยนมาก ฉีหนิงหันหน้าไป
มอง เขาเห็นสาวใช้คนหนึ่งที่เมื่อกี้ช่วยเขาแต่งตัว
อายุประมาณยี่สิบ หน้าตาดี ถึงแม้จะไม่ได้สวย
อะไรมากมาย แต่ก็ไม่น่าเกลียด
พอโฉ่วฮั่นได้ยินเสียงนั่น ก็เหมือนได้ยินค้าสั่ง
ประกาศิต เขายิเม แล้ววิ่งไปหาซู่หลันทันที แล้ว
วิ่งวนรอบตัวซู่หลันสองรอบ
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก เห็นพ่อบ้านหานส่งสายตาให้
ซู่หลัน ซู่หลันพยักหน้า แล้วพูดกับโฉ่วฮั่นด้วย
ความอ่อนโยนว่า “โฉ่วฮั่น เจ้ามานี่ ข้าจะพาเจ้า
ไปกินขนมนะ” โฉ่วฮั่นท่าทางดีใจมาก เขาพยัก
หน้า ซู่หลันค้านับให้กับฉีหนิง แล้วพาโฉ่วฮั่นไป
ฉีหนิงแปลกใจมาก ตอนนี้เขาถึงปล่อยมือที่ยกขึ้น
มาขวางหน้ากู้ชิงฮั่นลง เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่กู้
ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นฉลาดมาก รู้ว่าเขาก้าลังอยากจะ
ถามอะไร นางยิ้ม แล้วพูดว่า “ทั่วทั้งจวนโหว
ตอนนี้คงมีแต่ซู่หลันคนเดียวที่สั่งโฉ่วฮั่นได้ แพ้
ทางกันจริง ๆ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเรื่องนี้จะต้องมีที่มาที่ไหนแน่
ในตอนนี้เอง เสียงระฆังก็ดังขึ้นอีกครั้ง กู้ชิงฮั่น
รีบเร่ง “หนิงเอ่อร์ อย่าเสียเวลาอีกเลย รีบไป
เร็ว” ออกจากจวนมาก รถม้าก็มารออยู่แล้ว หลี่
ถังกับองครักษ์อีกเจ็ดแปดคนก็มารอกันพร้อม
แล้ว
ฉีหนิงก็ไม่เสียเวลาอีก เขาเดินขึ้นรถม้าไป พวก
ของหลี่ถังก็ขึ้นขี่ม้า ประกบหน้าหลัง คุ้มกันรถม้า
ไปยังวังหลวง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 533 ดาบทองสนทยา
รถม้ามาจอดอยู่ที่นอกวังหลวง หลังจากที่ลงจาก
รถแล้ว ฉีหนิงก็พบว่าที่ด้านนอกของวังมีขุนนาง
มารวมตัวกันจานวนมาก เงาของคนดา ๆ เต็มไป
หมด ประตูวังหลวงยังไม่เปิด เหล่าขุนนางจับ
กลุ่มพูดคุยกันอยู่
หลังจากที่ฉีหนิงลงจากรถม้าแล้ว รถม้าก็ไปยังที่
จอดรถม้าเฉพาะทันที พวกของหลี่ถังทาได้แค่คุ้ม
กันมาถึงนอกวังหลวงเท่านั้น พวกเขาตามฉีหนิง
เข้าไปในวังไม่ได้ เลยไปกับรอพร้อมรถม้า
ฉีหนิงจัดเสื้อผ้า ทุกที่ที่เขาเดินผ่าน มีคนหันมายก
มือคานับเขา แต่ว่าท่าทางของคนพวกนั้นเหมือน
ไม่ได้เคารพเขาจริง ๆ
ฉีหนิงรู้ดี ในสายตาของขุนนางพวกนี้ เขาอายุยัง
น้อย ถึงแม้จะมีบรรดาศักดิ์ติดตัว แต่ว่า
ประสบการณ์เขาน้อย คนพวกนี้ไม่มีทางยอมรับ
ได้แน่นอน หากว่าเป็นฉีจิ่ง คงไม่เป็นแบบนี้
แน่นอน
เขามองไปไป พบว่ามีหลายคนเป็นคนที่คุ้นเคยอยู่
แล้ว อู๋เซียงโหวซูเจินกาลังคุยกับเหล่าขุนนางอยู่
หลูเซียวจั่วซื่อหลางของกรมกลาโหมเองก็กาลัง
คุยกับเหล่าขุนนางอยู่ โต้วขุยเสนาบดีกรมพระ
คลังก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย แต่ว่ายังไม่เห็นคนของ
ตระกูลซือหม่ากับไหวหนานอ๋อง
ซูเจินเหมือนจะเหลือบมาเห็นฉีหนิงพอดี เขา
ตะลึงไปครู่หนึ่ง หน้าเขาแข็งไป แต่ว่าหลังจากนั้น
ก็หันกลับไปคุยเหมือนเดิม
เข้าหน้าร้อนแล้ว ท้องฟ้าเริ่มสว่าง แต่ว่าอากาศก็
ไม่ได้ร้อน ฉีหนิงกาลังเบื่อ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง
ฝีเท้าพร้อมเสียงเรียก “โหวเยว่”
ฉีหนิงหันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นผู้บัญชาการค่ายหู่
เซิ๋นเสวียหลิงเฟิง พิษระบาดก่อนหน้านี้ เสวียหลิง
เฟิงถึงแม้จะออกแรงมาก ฉีหนิงประทับใจในตัว
เขามาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน......ท่านผู้
บัญชาการเสวีย” เขาคิดในใจว่าเขาเป็นทหาร
รักษาการณ์ในเมืองหลวง ยังไงก็ต้องมาประชุม
เช้า
เสวียหลิงเฟิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่า
ทางค่ายกิเลนดาฝึกหนักทุกวัน โหวเยว่ท่านได้ไป
ตรวจดูบ้างไหม?”
ฉีหนิงอึ้งไป แอบคิดในใจว่าทาไมเขามาถึงก็ทัก
เรื่องนี้เลย แต่พอคิดว่าเสวียหลิงเฟิงเดิมก็เป็นแม่
ทัพอยู่แล้ว จะห่างเรื่องของค่ายกิเลนดาก็ไม่
แปลกอะไร
หลังจากที่ก่อตั้งค่ายกิเลนดาขึ้นมาใหม่ เขาก็ไปซี
ชวน หลังจากกลับมา ก็ยังไม่มีเวลาได้ไปตรวจดู
รายละเอียดอะไรเขาเองก็ยังไม่รู้ เขาพูดว่า “คิด
ว่าอีกวันสองวันจะเข้าไปดู”
เสวียหลิงเฟิงพูดเสียงเบา ๆ ว่า “ค่ายกินเลนดา
เป็นสิ่งที่ท่านแม่ทัพใหญ่เริ่มก่อตั้งขึ้นมา กว่าจะ
ได้ตั้งใหม่ ไม่ง่ายเลย ไม่ว่าจะเพื่อราชสานักหรือ
ว่าท่านแม่ทัพใหญ่ โหวเยว่ก็จะต้องใส่ใจให้มาก
นะ พวกต้วนชางไฮ่เป็นทหารเก่าของค่าย ได้พวก
เขามาฝึกสอน ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน แต่ว่า
......” เขามองซ้ายมองขวา แล้วก็เหลือบไปมอง
โต้วขุย แล้วพูดว่า “ค่าใช้จ่ายเรื่องอุปกรณ์ก็
สาคัญ โหวเยว่ทูลของบแสบียงกับฝ่าบาทในท้อง
พระโรงได้นะ”
“งบเสบียง?”
เสวียหลิงเฟิงพูดว่า “เท่าที่ข้ารู้ ค่ายกิเลนดาตั้งมา
เกือบสองเดือนแล้ว แต่ได้ยินมาว่างบเสบียงยัง
ไม่ได้จ่ายไปให้ที่ค่ายเลย โหวเยว่ไปราชการที่ซี
ชวน ต้วนชางไฮ่อาจจะยังไม่ได้ทันรายงานเรื่องนี้
กับท่าน ทหารที่กล้าหาญมากแค่ไหน แต่หาก
ไม่ได้กินข้าว มันก็อาจจะทาให้หลายคนไม่พอใจ
ได้ แล้วอาจจะเกิดจลาจลได้”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วมองไปที่โต้วขุย แล้วก็มองไป
ที่หลูเซียว แล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านอาเสวียที่
ชี้แนะข้า ข้ารู้ว่าควรทายังไง”
เสวียหลิงเฟิงพูดจากับเขา น้าเสียงเหมือนกับ
ผู้ใหญ่คุยกับเด็ก ฉีหนิงรู้ดีว่า เสวียหลิงเฟิงเป็นคน
ที่แม่ทัพใหญ่อย่างฉีจิ่งสนับสนุนแล้วก็เสนอ
ติดตามฉีจิ่งมาหลายปี เขามีความสัมพันธ์พิเศษ
กับจิ่นอีโหวตระกูลฉีมาก ทุกคนรู้หมด ค่ายกิเลน
ดาก็เหมือนหัวใจของฉีจิ่ง ตอนนี้ได้ก่อตั้งมัน
ขึ้นมาใหม่แล้ว เสวียหลิงเฟิงเองก็หวังอยากจะให้
มันกลัมายิ่งใหญ่เหมือนกัน
ในตอนนี้เองก็มีรถม้าหลายคันมาจอดรวมกัน คัน
หน้าสุดเป็นรถม้าของไหวหนานอ๋องเซียวจาง
หลังจากเซียวจางลงจากรถม้าแล้ว ก็หันกลับไป
มอง รถม้าคันด้านหลังที่ตามมาคือรถม้าของ
เจินกั๋วกงซือหม่าหลัน เขาเดินไปหายิ้มแล้วพูดว่า
“กั๋วกงอายุเกือบเจ็ดสิบแล้ว แต่ยังดูแข็งแรง
เหมือนเดิมเลย ตื่นเช้าขนาดนี้ยังดีสดชื่นอยู่เลย
อายุเหมือนจะน้อยลงทุกปีด้วยซ้า”
ซือหม่าฉางเซิ่นเดินขึ้นหน้ามา แล้วคานับเซียว
จาง จากนั้นก็พยุงซือหม่าหลัน เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านอ๋องรังเกียจที่กระหม่อมแก่อย่างนั้นหรอ
ฮ่าฮ่าฮ่า.......” เขาเงยหน้าแล้วมองฟ้า จากนั้นก็
พูดว่า “ฟ้ายังไม่สาง วันไหนที่ข้ากลับบ้านเก่า
แล้ว คงไม่ต้องตื่นมาตั้งแต่มืดแบบนี้อีก”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงพระ
เจริญหมื่นปี กั๋วกงเองก็ต้องอยู่ไปเป็นร้อยปี ท่าน
ยังต้องอยู่รับใช้ฝ่าบาทมาอีกสามสิบปีแน่นอน”
ซือหม่าหลันยกมือยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องทรง
ล้อเล่นแล้ว” หัวหน้ากลุ่มกาลังใหญ่มาวังหลวง
พร้อมกัน มีคนมาต้อนรับไม่น้อย พวกเขาแยกกัน
เป็นสองทาง ไหวหนานอ๋องเดินนาหน้าไปก่อน ซื
อหม่าฉางเซิ่นมองไปที่หลังของซือหม่าหลัน แล้ว
พูดว่า “ให้ทาอีกสามสิบปี จะให้คนเกลียดตาย
เลยหรือยังไง”
ซือหม่าหลันเหลือบไปมองซือหม่าฉางเซิ่น ซือ
หม่าฉางเซิ่นก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาพยุงซือหม่า
หลันเดินไป
ยังเดินไปไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงล้อรถดังขึ้นมา ซือ
หม่าหลันไม่ได้หันกลับไปมอง แต่ซือหม่าฉางเซิ่น
หันไปมอง สีหน้าของเขาตกใจมาก จากนั้นก็พูด
เสียงเบา ๆ ว่า “ท่านพ่อ ท่านดูสิ เขาก็มาด้วย
นั่นมันรถม้าของตระกูลเหยียนไถ”
ซือหม่าหลันหันกลับไปมอง เห็นรถม้าคันใหญ่
จอดอยู่ อีกทั้งบนรถม้า ก็มีภาพแปลก ๆ เหมือน
จะเป็นดาบเล่มหนึ่ง ที่มีประกายสีทองสะท้อน
ขุนนางหลายคนเมื่อเห็นรถคันนี้ ก็มองหน้ากัน มี
หลายคนต่างแปลกใจ
ขุนนางราชสานักทุกคนรู้ดีว่า ดาบทองนั่นคือ
สัญลักษณ์ตัวแทนของจินเตาโหวตระกูลเหยียนไถ
รถม้าของตระกูลเหยียนไถวิ่งบนถนน มองทีเดียว
ก็รู้ได้ทันที
จินเตาโหวตระกูลเหยียนไถเป็นหนึ่งในสี่
บรรดาศักดิ์โหว เริ่มมาตั้งแต่ยุคเปิดประเทศ อีก
ทั้งยังเป็นขุนพลใหญ่คู่บ้านคู่เมือง ยาวนานมา
จนถึงตอนที่ฮ่องเต้ไท่จงขึ้นครองราชย์ จึงได้ยก
จิ่นอีโหวตระกูลฉีขึ้นมา ใคร ๆ ก็รู้ว่าตระกูลขุน
ศึกสองตระกูลใหญ่ของแคว้นฉู่นั้น ได้แก่จิ่นอีโหว
ตระกูลฉีกับจินเตาโหวตระกูลเหยียนไถ
จิ่นอีโหวตระกูลฉีทั้งสองรุ่นมีผลงานมากมาย
ชื่อเสียงเกรียงไกร ใคร ๆ ก็รู้จัก ตระกูลฉีนาทัพ
ปราบซีชวน ขึ้นเหนือปราบฮั่น ผลงานมากมาย
ส่วนตระกูลเหยียนไถก็เคยยกทัพลงใต้ปราบโจร
กบฏ จากนั้นก็อยู่บัญชาการกองทัพเรือที่ตงไฮ่
ด้วย ดังนั้นจิ่นอีโหวตระกูลฉีถือเป็นเสือบนบก
ส่วนตระกูลเหยียนไถถือได้ว่าเป็นฉลามในน้า
แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลเหยียนไถอยู่ในราช
สานักอย่างเจียมตัว อีกทั้งไม่เข้าฝ่ายไหนด้วย ไม่
ไปมาหาสู่กับขุนนางราชสานักคนอื่น จิ่นเตาโหว
เหยียนไถหวงก็พักฟื้นอยู่บ้าน ลูกชายสองคนของ
เขาก็รับตาแหน่งคุมทัพเรืออยู่ที่ตงไฮ่ ตอนที่อดีต
ฮ่องเต้ยังอยู่ ยังได้มีบัญชาอนุญาตให้เหยียนไถ
หวงไม่จาเป็นต้องมาประชุมก็ได้
หลายปีที่ผ่านมาเหยียนไถหวงไม่ได้โผล่มาประชุม
เช้านานมากแล้ว ตอนนี้จู่ ๆ รถม้าประจา
ตาแหน่งของเขาก็มาปรากฏตัว นอกจากเหยียน
ไถหวงแล้ว ก็ไม่มีใครกล้านั่งรถคันนี้อีกเลย ทุก
คนเลยตกใจมาก แอบคิดในใจกันว่าทาไมเหยียน
ไถหวงถึงได้มากระทันหันแบบนี้
หลังจากที่ผ้าม่านของรถม้าเปิดออก องครักษ์
ดาบทองพยุงท่านผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินลงมารถม้า
อย่างระมัดระวัง ตอนนี้ฉีหนิงเห็นได้ชัดแล้ว เมื่อ
เห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งสวมชุดขุนนางเดินลงมาจากรถ
ม้า ถึงแม้เขาจะอายุมากแล้ว แต่ว่าร่างกายของ
เขาก็ยังดูกายา เพียงแค่เวลาลงจากรถเดินเซ ๆ
นิดหน่อย เขาก็รู้เลยว่าร่างกายของเขามีปัญหา
ไหวหนานอ๋องกับเจินกั๋วกงที่เดิมทีหันเดินไปทาง
ประตูวังแล้ว เมื่อเห็นเขามาก็เลยเดินมาต้อนรับ
จินเตาโหวแทน
ไม่เพียงแค่พวกเขาสองคน แม้แต่อู๋เซียงโหวกับ
ขุนนางคนอื่นก็ต่างเดินหน้าขึ้นม ต่างยกมือคานับ
ให้กับเหยียนไถหวง ไม่มีใครกล้าพูดอะไร แต่ว่าสี
หน้าและการกระทาของพวกเขา ฉีหนิงรู้สึกได้ว่า
เหล่าขุนนางยาเกรงท่านผู้นี้มากเลยทีเดียว
“เขาคือจินเตาโหว” เสวียหลิงเฟิงกระซิบที่ข้างหู
ของฉีหนิง แล้วเดินหน้าขึ้นไป
ฉีหนิงเห็นรูปบนรถม้าก็พอจะเดาได้บ้าง เขาเองก็
เดินขึ้นหน้าไปเช่นกัน หลังจากที่เหยียนไถหวงลง
มาจากรถม้า ก็เงยหน้ามองท้องฟ้า ไหวหนาน
อ๋องเดินหน้าเร่งฝีเท้ามาก่อนใคร ยกมือคานับ
แล้วพูดว่า “ท่านเหล่าโหว ท่านมาได้ยังไง?”
ถึงแม้เขาจะเป็นถึงอ๋อง แต่ว่าตอนนี้ที่เขายังเป็น
ทารกอยู่ จินเตาโหวเหยียนไถหวงก็ติดตามฮ่องเต้
ไท่จู่ออกศึกยึดดินแดนแล้ว ดังนั้นไหวหนานอ๋อง
ถึงได้เคารพเหยียนไถหวงมาก
ตอนที่มีการตั้งแต่สี่บรรดาศักดิ์โหวสืบทอดขึ้น ฉี
หนิงก็ถือเป็นรุ่นที่สามของจิ่นอีโหวแล้ว อู๋เซียง
โหวซูเจินเป็นรุ่นที่สอง เหลือแค่ซือหม่าหลันกับเห
ยียนไถหวงที่ยังอยู่
ตอนนี้ซือหม่าหลันได้เลื่อนยศเป็นเจิ่นกั๋วกงแล้ว
ในบรรดาสี่บรรดาศักดิ์โหวสืบทอด มีเพียงเหยียน
ไถหวงที่เป็นบรรดาศักดิ์โหวสืบทอดรุ่นแรกอยู่
ถึงแม้เหยียนไถหวงยังมีสง่าราศีเหมือนเดิม แต่ว่า
อายุของเขาก็มากแล้ว จะไม่ยอมแก่ก็ไม่ได้ เขา
อายุมากกว่าเจ็ดสิบแล้ว ผิวขาวโพลน ใบหน้ามี
รอยเหี่ยวย่น สายตาก็ไม่ได้เฉียบคมเหมือนเดิม มี
หนวดเคราสีขาวใต้คาง แต่ก็ยังมีความเป็นเสืออยู่
“ไม่ได้มาประชุมเช้านานหลายปีแล้ว” น้าเสียง
ของเขาแหบแห้งเล็กน้อย เขายิ้มแล้วพูดว่า “หาก
ไม่มาอีก ต่อไปคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว......” พูดถึง
ตรงนี้ ก็เริ่มไอ ไหวหนานอ๋องเป็นห่วงมาก เขาไม่
ได้สนใจเรื่องฐานันดรอ๋อง เขาเดินเข้าไปพยุง
เหยียนไถหวงด้วยตัวเอง ไหวหนานอ๋องค่อย ๆ
ตบหลังของเขาเบา ๆ แล้วพูดว่า “ท่านเหล่าโหว
ข้าให้คนส่งยาสมุนไพรหายากไปให้ท่านตั้งหลาย
ครั้ง มันมีประโยชน์กับท่านมากเลย แต่ว่า......เห้อ
ท่านกลับไม่ยอมรับเลย ท่านจะทาแบบนี้ทาไม”
“เกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีใครฝืนได้” เหยียนไถหวงไอ
อีกครั้ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ขาของ
กระหม่อมข้างหนึ่งมันยื่นไปในโลงแล้ว ยาของ
ท่านอ๋องล้าค่ามากเกินไป อย่าเอาเสียของกับคน
แก่อย่างกระหม่อมเลย” พูดจบ เขาก็ไออีก
เจิ่นกั๋วกงซือหม่าหลันพูดขึ้นมาว่า “ท่านเหล่าโหว
ร่างกายของท่านไม่ดี ก็ควรจะพักอยู่ที่จวนถึงจะ
ถูก หากฝ่าบาเห็นท่านแบบนี้ พระองค์จะต้อง
ปวดใจมากแน่ ๆ” อายุของเขาอ่อนกว่าเหยียนไถ
หวงเล็กน้อย ดูไปแล้วก็ยังดูแข็งแรง แต่ว่าดูจาก
ภายนอกแล้ว เหมือนเหยียนไถหวงจะแก่กว่าเขา
เป็นสิบปีเลย
คนหนึ่งเป็นนักรบร่างกายกายา อีกคนเหมือนเป็น
เหมือนนักวางแผน แต่ว่าร่างกายกลับไม่
เหมือนเดิมแล้ว
“น้องซือหม่า ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เหยียนไถ
หวงเห็นซือหม่าหลัน ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ายังดูดี
เหมือนเดิมเลยนะ ข้าเทียบเจ้าไม่ได้เลย คิดถึง
ตอนนั้น.......” เขาไออีก แล้วถึงได้พูดว่า “คิดถึง
ตอนนั้นที่เรานั่งดื่มเหล้ากัน ไม่มีครั้งไหนที่เจ้าไม่
เมาหลับไปก่อนเลย แต่ว่า.......ตอนนี้ข้าคงสู้เจ้า
ไม่ได้แล้ว”
ซือหม่าหลันรู้สึกเศร้า แล้วพูดว่า “พีห่ วง เราก็แก่
กันหมดแล้ว คิดถึงเมื่อก่อน พี่หวงน่าเกรงขาม
น้องเองก็เป็นแค่บัณฑิตโง่ ๆ คนหนึ่งเท่านั้น อายุ
ผ่านไปเร็ว พริบตาเดียวเราก็แก่กันไปหมดแล้ว
เห้อ เรากลับไปเหมือนวันวานไม่ได้อีกแล้ว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 534 ดาบแรกในท้องพระโรง
ถึงแม้เหยียนไถหวงไม่ได้เข้าวังมานาน อายุก็มาก
แล้ว แต่ว่าบารมีของเขายังคงอยู่ ไหวหนานอ๋อง
กับซือหม่าหลันพยุงอยู่ข้างขุนพลเฒ่าผู้นี้ซ้ายคน
ขวาคน ขุนนางนอกประตูวังต่างโค้งคานับ ทุกที่ที่
เหยียนไถหวงเดินผ่าน ทุกคนทาความเคารพเขา
หมด ตอนนี้เขากาลังเดินมาทางฉีหนิง ฉีหนิงเองก็
โค้งคานับเช่นกัน
เหยียนไถหวงหยุดเดิน แล้วมองมาที่ฉีหนิง แล้ว
มองมาที่เขา จากนั้นก็ถามว่า “เจ้าคือหนุ่มน้อย
ตระกูลฉีอย่างนั้นหรือ?”
เหยียนไถหวงกับจิ่นอีเหล่าโหวเป็นคนรุ่นเดียวกัน
แม้แต่ตอนที่ฉีจิ่งยังอยู่ยังต้องเรียกเขาว่าท่านลุง
เลย ฉีหนิงพูดอย่างเคารพว่า “ผู้น้อยฉีหนิง”
เหยียนไถหวงพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร จากนั้น
ก็เดินต่อไปที่หน้าประตูวัง
ฉีหนิงรู้สึกแปลก ๆ แล้วมองไป ทันใดนั้นเองก็นึก
ขึ้นมาว่า วันนี้เหมือนขุนนางทุกคนต่างมากัน
พร้อมหน้า แต่ว่าไม่เห็นซีเหมินอู๋เหิงแห่งจวนเสิน
โหวเลย เขาไม่รู้ว่าที่ซีเหมินเสินโหวขาดประชุม
หรือว่าเพราะจวนเสินโหวไม่จาเป็นต้องร่วม
ประชุมก็ได้
เพราะจวนเสินโหวไม่ใช่หน่วยงานธรรมดาทั่วไป
หากซีเหมินเสินโหวไม่จาเป็นต้องร่วมประชุมก็ได้
ฉีหนิงก็ไม่ได้แปลกใจอะไรมาก
จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงประตูวังหลวงเปิดออก
ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือจังหวะพอดี ทหาร
หลวงอวี่หลินภายในวังเห็นเหยียนไถหวง ก็เห็นผู้
บัญชาการทหารหลวงอวี่หลินฉือเฟิ่งเตียนเดิน
ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง เขาไม่พูดอะไรมาก ทา
เคารพเหยียนไถหวงทันที
ฉีหนิงคิดว่าเหยียนไถหวงในสายตาเหล่าทหารนั้น
มีบารมีมาก หลายคนตรงนี้รู้ดี ฉือเฟิ่งเตียนเคย
เป็นทหารในสังกัดของเหยียนไถหวงมาก่อน
ตอนนี้เห็นนายเก่ามา ทาเคารพใหญ่แบบนี้ ก็ถือ
ว่าไม่แปลกอะไร
แคว้นฉู่มีสองทัพใหญ่เป็นเสาหลัก นอกจาก
ตระกูลฉีแล้วก็คือตระกูลเหยียนไถ ตอนนี้เหล่า
แม่ทัพผู้บัญชาการต่าง ๆ ล้วนแต่มาจากทั้งสอง
ตระกูลนี้ไม่มากก็น้อย ผู้บัญชาการค่ายหู๋เสินเสวีย
หลิงเฟิงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับทางตระกูลฉี
ส่วนฉือเฟิ่งเตียนก็เป็นทหารเก่าของตระกูลเห
ยียนไถ
“ท่านเหล่าโหว จากนี่ไปที่ตาหนักเฟิ่งเทียน ระยะ
ทางก็ไกลพอสมควร ให้คนแบกท่านเข้าไปจะ
ดีกว่า” ไหวหนานอ๋องดูเหมือนจะเป็นห่วงเหยียน
ไถหวงมาก
เหยียนไถหวงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ทางเส้นนี้
กระหม่อมเดินมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ครั้งนี้ไม่แน่
อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้”
“ท่านเหล่าโหวอย่าพูดเช่นนี้” ไหวหนานอ๋องพูด
ว่า “รักษาสุขภาพให้ดี ท่านเหล่าโหวยังอยู่ไปได้
อีกเป็นร้อยปี ท่านเหล่าโหว การประชุมในวันนี้
ไม่ได้จะเสร็จสิ้นง่าย ๆ ท่านมาทั้งที ยังไงก็ต้องอยู่
นานหน่อย ท่านต้องรักษาร่ายกายให้ดี ไม่
จาเป็นต้องไปเสียแรงเดินให้เหนื่อยเลยนะ”
ซือหม่าหลันเองก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “พี่หวง
ท่านอ๋องตรัสถูกแล้ว ให้คนแบกท่านไปดีกว่านะ”
ฉือเฟิ่งเตียนยกมือคานับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยขอ
บังอาจ แบกท่านเหล่าโหวไปที่ตาหนัก”
เหยียนไถหวงเห็นหลายต่อหลายคนพูด สุดท้ายก็
ยอมพยักหน้า ฉือเฟิ่งเตียนเดินไปหา แล้วนั่งยอง
ลง แล้วแบกเหยียนไถหวงอย่างระมัดระวัง
เหยียนไถหวงกระดูกใหญ่มาก ถึงแม้อายุมากแล้ว
แต่ร่างกายของเขาก็ยังกายาอยู่ ยังดีที่ฉือเฟิ่ง
เตียนแข็งแรง หากเป็นคนอื่น อาจแบกเหยียนไถ
หวงไม่ไหวแน่
หลายคนที่ได้เห็น ก็แอบพยักหน้า แอบคิดในใจ
ว่าฉือเฟิ่งเตียนเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีมา ถือได้
ว่าเป็นลูกผู้ชาย
ฉือเฟิ่งเตียนแบกเหยียนไถหวงเข้าวังไป เหล่าขุน
นางเองก็เดินตามเข้ามาในวัง ไหวหนานอ๋องตาม
ฉือเฟิ่งเตียนอยู่ข้าง ๆ พยุงเหยียนไถหวงเป็น
ระยะ ๆ
ทุกคนรู้ดี ไหวหนานอ๋องเป็นลูกชายฮ่องเฮาของ
ฮ่องเต้ไท่จู่ เหยียนไถหวงเป็นขุนพลคู่ใจของ
ฮ่องเต้ไท่จู่ ได้ยินมาว่าเหยียนไถหวงเคยถวาย
ฎีกาให้กับฮ่องเต้ไท่จง ร้องขอให้ฮ่องเต้ไท่จงทา
ตามสัญญาที่ให้ไว้กับฮ่องเต้ไท่จู่ แต่งตั้งไหวหนาน
อ๋องเป็นรัชทายาท แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือ
เท็จ ไม่มีใครรู้
แต่ว่าจินเตาโหวกับไหวหนานอ๋องก็มีความ
สัมพันธ์แนบแน่น ไม่ว่าใครก็รู้เรื่องนี้ดี
ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้ไท่จงหรือว่าอดีตฮ่องเต้ พวก
เขาต่างก็ยาเกรงไหวหนานอ๋องด้วยกันทั้งนั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้ฐานะของไหวหนาน
อ๋องจะสูงมาก ฮ่องเต้เองก็ทรงเมตตาต่อไหว
หนานอ๋องมาก แต่ว่าพวกเขาก็ไม่เคยให้ไหว
หนานอ๋องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการทหารเลย อานาจ
บารมีของไหวหนานอ๋องในราชสานักไม่ด้อยเลย
แต่ก็ไม่มีอานาจทางการทหาร
คนในฝ่ายทหารที่มีความเกี่ยวข้องกับไหวหนาน
อ๋อง ก็มีเพียงจินเตาโหวเหยียนไถหวงเท่านั้น
เพียงแต่ตั้งแต่เริ่มยุคสมัยของฮ่องเต้ไท่จงเป็นต้น
มา ตระกูลเหยียนไถก็เว้นระยะกับทางไหวหนาน
อ๋องมาตลอด ถึงทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ต่อกัน
แต่ว่าไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันเท่าไหร่
ที่จริงหลายคนก็รู้ดี หากตระกูลเหยียนไถใกล้ชิด
กับทางไหวหนานอ๋องมาเกินไป เกรงว่าตระกูลเห
ยียนไถอาจจะไม่ได้อยู่สงบสุขมาจนถึงวันนี้ได้
ฮ่องเต้ไท่จงกับอดีตฮ่องเต้อนุญาตให้ไหวหนาน
อ๋องไปมาหาสู่กับมิตรสหาย แต่ไม่มีทางยอมให้
ไหวหนาอ๋องใกล้ชิดกับใครในหน่วยทหาร
เมื่อไหร่ก็ตามที่ไหวหนานอ๋องมีความใกล้ชิดกับ
คนของฝ่ายทหาร ต่อให้ไม่ทาอะไรกับไหวหนาน
อ๋อง แต่ก็จะหาวิธีจัดการกับคนในฝ่ายทหารที่ไหว
หนานอ๋องเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือไม่ก็จัดการตัดราก
ถอนโคนไปเลย เพื่อแคว้นแล้วก็ความั่นคง เรื่อง
แบบนี้จะใจอ่อนไม่ได้
วังหลวงแคว้นฉู่แบ่งเป็นตาหนักเจิ่งกง ตาหนักตง
กง และตาหนักซีหง ส่วนตาหนักเจิ่งกงแบ่งเป็น
วังนอก วังใน วังหลัง ระหว่างตาหนักเองก็จะมี
กาแพงแบ่งเป็นชั้น ๆ อีก
เมื่อเข้ามาในวังแล้ว ก็จะถึงวังนอกของตาหนัก
เจิ่งกง ด้านหน้าตาหนักนี้เป็นลานกว้าง เมื่อเดิน
ไปกลางลาน ก็จะมีแม่น้าสายหยก ซึ่งมีสะพาน
ข้าม เมื่อข้ามสะพานมาแล้ว ด้านหน้าก็จะเป็น
ตาหนักขนาดใหญ่ ซึ่งนั่นก็คือตาหนักเฟิ่งเตียน
ท้องพระโรงที่ใช้ในการประชุม
เมื่อมาถึงด้านนอกตาหนักเฟิ่งเตียน ฟ้าก็เริ่มสว่าง
แล้ว เหล่าขุนนางแยกออเป็นสองแถวสองฝั่ง
ตามลาดับขั้น ฉีหนิงอยู่แถวหน้า จากนั้นก็เห็น
ขันทีคนหนึ่งเดินออกมาจากตาหนัก แล้วตะโกน
ว่า “เชิญเหล่าขุนนางเข้าท้องพระโรง” เหล่าขุน
นางเดินเรียงแถวเข้าท้องพระโรงเป็นแถวยาวไป
ภายในตาหนักเฟิ่งเทียนหรูหรา มีการแกะสลัก
สมกับเป็นวังหลวง งดงามแต่ก็คงความน่าเกรง
ขาม
เหล่าขุนนางยืนแยกเป็นสองฝ่าย ทันใดนั้นก็ได้ยิน
ขันทีตะโกนแจ้งว่า “ฝ่าบาทเสด็จ” เหล่าขุนนาง
ต่างโค้งตัวคานับ ฉีหนิงแอบเหลือบมองไป เห็น
เหล่าขันทีกับนางกานัลเดินประกบฮ่องเต้น้อยที่
สวมชุดมังกรสีเหลืองอร่ามเดินออกมาจากห้อง
โถงเล็กด้านข้าง
ฮ่องเต้อาศัยอยู่ส่วนกลาง ธาตุดิน ดูแลแผ่นดิน
กว้างใหญ่ ชุดมังกรของที่นี่ก็เป็นสีเหลือง
ฉีหนิงเห็นว่าถึงแม้ฮ่องเต้น้อยจะอายุยังไม่มาก
แต่ว่าขณะที่เดินออกมาจากห้องโถงข้าง ทุกก้าว
ย่างหนักแน่น แต่ก็คงความเป็นจักรพรรดิของ
แผ่นดิน เขาค่อย ๆ เดินขึ้นไปบนบัลลังก์แล้วนั่ง
ลง เหล่าขุนนางคุกเข่า ถวายพระพรพร้อมกัน ยก
มือพูดว่า “ทุกท่านลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้นอ้ ย
เหลือบไปเห็นเหยียนไถหวงที่อยู่ในแถว ฮ่องเต้
น้อยรู้สึกแปลกใจมาก เขาลุกขึ้นมาแล้วลงมาจาก
แท่นบัลลังก์ เหล่าขุนนางรู้สึกแปลกใจมาก เห็น
ฮ่องเต้น้อยเดินลงมาหาเหยียนไถหวง แล้วยื่นมือ
ไปพยุงเขาลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง จากนั้นก็พูดว่า
“ท่านเหล่าโหว ท่าน......ท่านมาได้ยังไง? แล้ว
สุขภาพของท่านเป็นยังไงบ้าง?”
เหล่าขุนนางถึงกับตะลึงไป พวกเขาคิดในใจว่า
หากอยากจะพยุงจินเตาเหล่าโหว สั่งให้ขันทีทาก็
ได้ ฮ่องเต้น้อยไม่จาเป็นต้องลงมาทาเองเลย แต่
ว่าขุนนางบางคนก็พยักหน้า คิดในใจว่าฮ่องเต้
ทรงเป็นห่วงเป็นใยขุนนางเก่าแก่ ไม่ได้มีความ
หยิง่ ผยองเพราะความหนุ่ม น่าชื่นชมจริง ๆ
เหยียนไถหวงได้รับพระเมตตาแบบนี้ ก็รีบพูดว่า
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ฮ่องเต้น้อยพยุงเหยียนไถหวงลุกขึ้นยืน จากนั้นก็
สั่งว่า “ท่านเหล่าโหวอายุมากแล้ว สุขภาพไม่ค่อย
ดี ยืนนานไม่ได้ ใครก็ได้ ยกเก้าอี้มาให้ท่านเหล่า
โหวทที”
เหยียนไถหวงถึงกับอ้าปากค้าง ยังไม่ทันได้พูด
อะไร ฮ่องเต้น้อยก็พูดขึ้นว่า “ท่านเหล่าโหว ข้า
ไม่รู้ว่าท่านจะมา ไม่อย่างนั้นข้าจะได้สั่งให้คนไป
รับท่าน จริงสิ สุขภาพของท่านเป็นยังไงบ้าง? ข้า
เป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา”
ฉีหนิงเห็นทุกอย่าง เขาแอบขาในใจว่า ฮ่องเต้
น้อยร้ายกาจมาก พอทาแบบนี้แล้ว ไม่ว่าจะทา
เพราะรู้สึกจากใจหรือว่าแกล้งทา มันไม่เพียงทา
ให้คนมองว่าฮ่องเต้น้อยเป็นห่วงเป็นใยขุนนาง อีก
ทั้งยังทาให้เหยียนไถหวงรู้สึกซาบซึ้งใจมากอีก
ด้วย
ฮ่องเต้น้อยลงไปพยุงเขาลุกขึ้นด้วยตัวเอง อีกทั้ง
ยังประทานเก้าอี้ให้เขานั่งด้วย ถือว่าให้เกียรติเขา
มาก ๆ
เขาเพิ่งครองราชย์ได้ไม่นาน ใจคนยังไม่นิ่ง ทา
แบบนี้ เหล่าขุนนางก็จะเห็นว่าเขาดี
ขันทียกเก้าอี้มา ฮ่องเต้น้อยพยุงเหยียนไถหวงนั่ง
ลงด้วยตัวเองอีก จากนั้นเขาถึงค่อยเดินกลับไปที่
บัลลังก์ เขามอง จากนั้นก็พูดว่า “ประชุมวันนี้
หากทุกท่านมีอะไรก็พูดมาได้เลย ข้าเพิ่งจะ
ครองราชย์ได้ไม่นาน มีหลายเรื่องยังไม่ชัดเจน
เจิ่นกั๋วกง ท่านสั่งให้คนที่มีเรื่องด่วนแจ้งมาก่อน
เลย เราจะได้หารือกัน”
ซือหม่าหลันโค้งคานับแล้วพูดว่า “กระหม่อมรับ
บัญชา” จากนั้นก็หันไปพูดว่า “ทุกท่านมีอะไรจะ
ทูลรายงานไหม?”
เมื่อพูดจบ มีคนเดินออกมาแล้วพูดว่า
“กระหม่อมมีเรื่องจะทูล” เขาอายุประมาณห้า
สิบ ร่างกายผอมสูง ในมือถือฎีกา จากนั้นก็คุกเข่า
อยู่บนพื้น
มีคนไม่น้อยขมวดคิ้ว หลงไท่เหลือบมองไปที่ฉี
หนิง แต่ก็ยังนิ่งอยู่ เขายิ้มแล้วถามว่า “ท่านเจ้ามี
เรื่องอะไรจะรายงานหรือ?”
“กระหม่อมจงเฉินเจ้าปังเหยาแห่งหออาลักษณ์
หลวง มีเรื่องร้องเรียนจิ่นอีโหวฉีหนิงพะยะค่ะ”
เขาพูดอย่างเสียงดังฟังชัดว่า “จิ่นอีโหวปกป้อง
โจรผู้ร้าย ผิดต่อราชสานัก กระหม่อมขอให้ฝ่า
บาททรงลงอาญาด้วยพะยะค่ะ”
ฉีหนิงเหลือบไปมองเจ้าปังเหยา เขารู้สึกขามาก
แอบคิดในใจว่าข้าเพิ่งมาประชุมครั้งแรก รายงาน
เรื่องแรก ก็พุ่งเป้ามาที่ตัวเขาเลย ประชุมครั้งแรก
ที่ยากจะลืมเลย เห็นหลายคนมองมาที่เขา ฉีหนิง
นิ่ง ทาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับว่าเขา
ไม่เห็นเจ้าปังเหยาร้องเรียนเขาอยู่เลย
หลงไท่นิ่งมาก “ท่านเจ้า ท่านเคยถวายฎีกามาให้
ข้า ข้าเองก็ได้อ่านแล้ว กบฏที่ท่านพูดถึง
หมายถึงพรรคบัวดาใช่ไหม?”
“ถูกต้องแล้วพะยะค่ะ” เจ้าปังเหยาพูดอย่างเต็ม
ปากเต็มคา “พรรคบัวดาก่อการชั่วร้าย จิ่นอีโหว
ไม่คิดจะช่วยราชสานักกาจัดโจรกบฏ อีกทั้งยัง
ปกป้องโจรกบฏ เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง
กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงนาตัวจิ่นอีโหวไป
สอบสวน ว่าทาไมถึงต้องปกป้องโจรกบฏ มี
เป้าหมายอะไรกันแน่ด้วยพะยะค่ะ”
ท่าทางของเหล่าขุนนางนั้นแตกต่างกันออกไป
ความคิดของพวกเขาเองก็แตกต่างเช่นกัน
บางคนคิดว่าท่านเจ้าจู่ ๆ ออกมาร้องเรียนแบบนี้
อีกทั้งเป้าหมายของเขาก็คือจิ่นอีโหว แสดงว่าจะ
ต้องมีคนรับเคราะห์แน่นอน แต่ก็มีบางคนขมวด
คิ้ว บางคนก็รู้สึกรังเกียจเขา
เจ้าปังเหยาเป็นขุนนางคนสาคัญของอดีตฮ่องเต้
ไม่มีใครที่เขาไม่กล้าร้องเรียน อีกทั้งเขายังกล้าพูด
ตรง ๆ ทุกอย่าง โดยไม่กลัวอะไรเลย คนที่ถูกเขา
ร้องเรียน หลายปีที่ผ่านมา มีอยู่มากทีเดียว คนใน
ราชสานักหลายคนเลยรู้สึกเกลียดเขามาก
มีหลายคนคิดว่า เจ้าปังเหยาไม่ได้ออกมาร้อง
เรียนใครแบบนี้มานานแล้ว วันนี้ออกมา อีกทั้งยัง
ร้องเรียนจิ่นอีโหวที่เพิ่งจะได้รับตาแหน่งไม่ได้แล้ว
ก็เข้าประชุมครั้งแรกด้วย ดูท่าทางวันนี้จิ่นอีโหว
คงแย่แน่ คงต้องถูกเขาลอกหนังออกแน่นอน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 535 ล่าชื่อเสียง
เจ้าปังเหยาร้องเรียนฉีหนิงตั้งแต่ครั้งแรกที่เขา
มาร่วมประชุม แต่ฉีหนิงยังนิ่งอยู่ ไม่ได้ตกใจอะไร
ในเวลานี้ขันทีในท้องพระโรงลงมารับฎีกาของเจ้า
ปังเหยา แล้วถวายให้กับฮ่องเต้น้อย หลงไท่เปิด
ออกอ่าน แล้วก็ยื่นฎีกาคืนให้กับขันที จากนั้นก็
ถามฉีหนิงว่า “จิ่นอีโหว เรื่องนี้เจ้าคิดยังไง?”
ฉีหนิงพูดว่า “เอ่อ” เหมือนยังไม่ทันรู้สึกตัว มีขุน
นางหลายคนรู้สึกขา
“จงเฉิงของหออาลักษณ์เจ้าปังเหยาร้องเรียนว่า
เจ้าปกป้องโจรกบฏ เจ้าจะว่ายังไง” หลงไท่นิ่ง
เหมือนกัน
ฉีหนิงออกมาจากแถว ยกมือคานับแล้วพูดว่า
“ทูลฝ่าบาท โจรกบฏที่ท่านเจ้าจงเฉินหมายถึงนั้น
หมายถึงอะไร?”
หลายคนถึงกับส่ายหัว แอบคิดในใจว่าหรือว่าโหว
น้อยยังไม่ตื่นดี ในการประชุมเช้าแบบนี้ ทาไมดู
เบลอๆ เจ้าปังเหยากลับพูดขึ้นมาว่า “จิ่นอีโหว
หรือว่าพรรคบัวดาไม่ใช่โจรกบฏ?” เขาพูดต่อว่า
“จวนเสินโหวเดินทางไปซีชวนเพื่อกวาดล้างโจร
กบฏ เท่าที่เห็นอีกนิดเดียวก็จะสามารถจัดการ
พวกเขาได้ทั้งหมดแล้ว แต่ว่าโหวเยว่กลับยื่นมือ
เข้าแทรก ทาให้พวกเขารอดไปได้ โหวเยว่ปกป้อง
พรรคบัวดามากขนาดนี้ ไม่ทราบมีจุดประสงค์
อะไร?”
“เท่าที่เห็นอีกนิดเดียวก็จะสามารถจัดการพวก
เขาได้ทั้งหมดแล้ว?” ฉีหนิงหันไปมองเจ้าปังเหยา
แล้วถามว่า “เจ้าจงเฉิน ที่ท่านบอกว่าเห็น มัน
หมายถึงดวงตาของใครหรอที่เห็น? ของท่าน หรือ
ว่าของใคร? ที่เขาเชียนอูหลิงในวันนั้น ข้าไม่เห็น
แม้แต่เงาของท่านเลยนะ”
เจ้าปังเหยาพูดเสียงเข้มว่า “โหวเยว่ไม่ต้องมาเล่น
คาหรอกนะ เรื่องจริงในวันนั้น มีหลายคนเห็นว่า
โหวเยว่เดินออกมาจากตาหนักหินดา จากนั้นก็สั่ง
ให้ทุกคนถอนกาลังกลับไป ตอนที่อยู่ภายใน
ตาหนัก โหวเยว่พูดอะไรกับพรรคบัวดาบ้าง ขอ
โหวเยว่ชี้แจ้งให้เราได้กระจ่างด้วย”
เจ้าจงเฉินหมายความว่า ข้าได้ทาการตกลงอะไร
บางอย่างกับพรรคบัวดาในตาหนักหินดา ถึงได้สั่ง
ให้คนถอนกาลังกลับไปอย่างนั้นใช่ไหม? ฉีหนิงยิ้ม
เจ้าปังเหยาพูดว่า “หากวันนี้โหวเยว่ไม่ชี้แจงให้
ชัดเจน มันจะทาให้คนเคลือบแคลงใจได้”
“เจ้าจงเฉิน ขอถามท่านสักคา ราชสานักโยกย้าย
ท่านออกจากหออาลักษณ์ไปจวนเสินโหวตั้งแต่
เมื่อไหร่?” ฉีหนิงถามว่า “ทาไมข้าไม่เห็นจะได้ยิน
เรื่องนี้มาก่อนเลย”
เจ้าปังเหยาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่พูดแบบ
นี้หมายความว่ายังไง?”
“ข้าหมายความว่ายังไงน่ะหรอ เจ้าเป็นคนเรียน
หนังสือไม่ใช่หรอทาไมแค่นี้ฟังไม่ออก?” ฉีหนิง
พูดว่า “ราชสานักก่อตั้งจวนเสินโหวขึ้น ก็เพื่อให้
สะดวกต่อการสื่อสารกับกลุ่มชาวยุทธ จวนเสิน
โหวไม่อยู่ภายใต้สังกัดหน่วยงานไหนเลย อีกทั้งยัง
ไม่ยุ่งเกี่ยวกับหน่วยงานไหนเช่นกัน เรื่องของเขา
เชียนอูหลิง เป็นเรื่องของยุทธภพ หากเจ้าจงเฉิน
เป็นคนของจวนเสินโหว ท่านถามข้าเรื่องนี้ในท้อง
พระโรง ข้าก็จะชี้แจงให้ท่านได้รู้ แต่ว่าเจ้าจงเฉิน
ไม่ได้เป็นคนของจวนเสินโหว เกรงว่าท่านไม่มี
สิทธิจะมาพูดอะไรที่นี้นะ”
เจ้าปังเหยายิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ที่โหวเยว่พูดมาก็มี
เหตุผล ถูกต้อง หออาลักษณ์ไม่มีสิทธิยุ่งเรื่องของ
จวนเสินโหว อีกทั้งไม่สมควรแทรกแซงเรื่องของ
ยุทธภพด้วย แต่ว่าโหวเยว่อย่าลืมนะว่า หน้าที่
ของหออาลักษณ์หลวง ก็คือตรวจสอบทุกเรื่อง
ขอแค่เรื่องนั้นส่งผลเสียและผลประโยชน์ต่อราช
สานัก หออาลักษณ์หลวงมีสิทธิที่จะร้องเรียน”
เขาพูดอย่างจริงจังว่า “พรรคบัวดาวางยาพิษ
ระบาดในเมืองหลวง ทาร้ายชาวบ้านผู้บริสุทธิไไป
มาก ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง แต่โหวเยว่กลับ
ปกป้องพวกเขา ข้าน้อยยังไงก็ต้องร้องเรียน”
“เจ้าจงเฉิน ข้ามีนิทานเรื่องหนึ่งอยากขอคาชี้แนะ
จากท่านด้วย” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้จะดี
จะร้าย อยากขอให้ไต้เท้าเจ้าช่วยตัดสินด้วย”
ทุกคนต่างก็แปลกใจ แอบคิดในใจว่าสถานการณ์
ในท้องพระโรงเคร่งเครียดขนาดนี้ จิ่นอีโหวยังมี
อารมณ์มาเล่านิทานอีก แปลกจริงๆ
เจิ่นกั๋วกงซือหม่าหลันไอแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว ใน
ท้องพระโรง นิทานก็อย่าเล่าให้เสียเวลาเลย หาก
...หากอยากจะเล่านิทาน ไว้รอหลังเลิกประชุม
แล้ว ท่านค่อยไปหารือกับเจ้าจงเฉินเถอะ”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “กั๋วหง เจ้าจงเฉิน
ร้องเรียนข้า ข้าจะใช้นิทานเรื่องนี้แก้ต่างให้ตัวข้า
เองเท่านั้น”
ซือหม่าหลันขมวดคิ้ว หลงไท่พูดขึ้นมาว่า “จิ่นอี
โหว เจ้าจะเล่าเรื่องอะไร?”
ฉีหนิงยกมือคานับหลงไท่ แล้วเดินไขว้มือแล้วมอง
ไปที่เจ้าปังเหยา “เจ้าจงเฉิน ก่อนหน้านี้ไม่นาน
ตอนที่ข้ากาลังเดินทางอยู่นั้น เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง
อุ้มห่อผ้าสัมภาระวิ่งหน้าตาตื่นมา ด้านหลังของ
นาง มีชายสี่ห้าคนกาลังวิ่งไล่ตามมาอยู่” พูดถึง
ตรงนี้ เขาก็ถามอย่างจริงจังว่า “ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่า
ข้าควรจะทายังไงดี เจ้าจงเฉิน หากว่าท่านเป็นข้า
ท่านจะทายังไง?”
เจ้าปังเหยารีบตอบในทันทีว่า “หากเป็นข้าที่เจอ
ข้าจะต้องออกหน้าช่วยเหลือ ไปขัดขวางพวก
นักเลงหัวไม้”
“นักเลงหัวไม้?” ฉีหนิงถามว่า “เจ้าจงเฉินนักเลง
หัวไม้ที่ท่านพูดถึงหมายถึงใครกัน?”
เจ้าปังเหยาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่รู้อยู่แล้ว
จะถามทาไมกันอีก ก็ต้องพวกขโมยที่ไล่ตาม
ผู้หญิงคนนั้นมาน่ะสิ”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าจงเฉินเป็นคนดี
มีคุณธรรมจริงๆ เลยนะ แต่ว่ากลุ่มชายพวกนั้น
เดี๋ยวก็ถูกท่านเรียกว่านักเลงหัวไม้ เดี๋ยวก็เรียกว่า
ขโมย พวกเขานี่น่าสงสารจริงๆ เลย”
เจ้าปังเหยายิ้มแล้วพูดว่า “น่าสงสาร? โหวเยว่
พวกเขาไล่ล่าตัวผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง พวกเขา
ร้ายกาจขนาดนั้น น่าสงสารตรงไหน”
“ตอนแรกข้าเองก็คิดแบบนั้น แต่ว่าต่อมาถึงได้รู้
ว่า ผู้หญิงคนนั้นที่จริงนางเป็นขโมย ชายพวกนั้น
ทางานนอกเมือง ได้เงินมากาลังจะกลับบ้านไป
เยี่ยมพ่อแม่เมียและลูก ใครจะคิดว่าเดินทางมาได้
ครึ่งทางก็ถูกขโมยสัมภาระไป ดังนั้นพวกเขาถึงได้
วิ่งไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อทวงของของเขา
คืน” เขาพูดว่า “ยังดีที่เจ้าจงเฉินไม่อยู่ใน
เหตุการณ์ ไม่อย่างนั้นท่านก็จะเข้าข้างคนร้าย ใส่
ร้ายคนนี้จริงไหม?”
เจ้าปังเหยาอึ้งไป ขุนนางไม่น้อยรู้สึกขามาก
ฉีหนิงพูดว่า “สิ่งที่เจ้าจงเฉินตัดสินไปเมื่อครู่ มัน
เกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงขึ้น ที่จริงการ
ตัดสินแบบนั้นจะโทษท่านก็ไม่ได้ เพราะท่านไม่ได้
เห็นด้วยตาของท่านเอง แต่ท่านแค่ฟังจากที่ข้า
พูดเท่านั้น” เขายิ้มแห้งแล้วพูดว่า “แต่ว่าความ
ผิดที่ร้ายแรงที่สุดของท่านก็คือ ท่านไม่สอบถาม
เรื่องให้ชัดเจนก่อน แต่ตัดสินไปเลย ไม่แยกแยะ
ถูกผิดดีชั่ว”
เจ้าปังเหยาหน้าถอดสี
ฉีหนิงพูดว่า “ชื่อเสียงของไต้เท้าเจ้าโด่งดัง ไม่มี
ใครที่ท่านไม่กล้าร้องเรียน ก็เพราะท่านมีความ
กล้าแบบนี้ ถึงได้ก้าวหน้าได้เร็ว เดิมข้าไม่ได้รู้จัก
อะไรกับท่านอยู่แล้ว วันนี้เพิ่งจะได้พบหน้ากัน
ครั้งแรก สิง่ ที่ข้าได้เห็น ไต้เท้าเจ้าถึงแม้จะมีความ
กล้าที่คนอื่นไม่มี แต่ว่าท่านไม่แยกแยะดีชั่ว
ถูกผิด” เขาจ้องไปที่เจ้าปังเหยา แล้วถามเสียง
เข้มว่า “ไต้เท้าเจ้าบอกว่าพรรคบัวดาเป็นโจร
กบฏ ข้าขอถามท่านหน่อย ในมือของท่านมี
หลักฐานไหมว่าพวกเขาวางยาพิษระบาดในเมือง
หลวง?” เขายื่นมือออกไปแล้วพูดว่า “ถ้ามีเอามา
ให้ข้าดูหน่อย”
เจ้าปังเหยาหน้าสั่น “เรื่องนี้ใครก็รู้ ยังต้องมี
หลักฐานอะไรอีก โหวเยว่ทาแบบนี้มัน...”
“ไร้สาระ” ฉีหนิงพูดขัดแบบไม่ไว้หน้าเลย “ใคร
บอกว่าเรื่องนี้ใครๆ ก็รู้?”
“หากไม่ใช่โจรกบฏ จวนเสินโหวจะพาคนไป
กวาดล้างทาไม?” เจ้าปังเหยาพูดอย่างจริงจัง
ฉีหนิงพูดว่า “หรือว่าท่านซีเหมินเสินโหวจาเป็น
ต้องรายงานให้ท่านไต้เท้าเจ้ารู้ว่าการบุกโจมตี
พรรคบัวดา เป็นเพราะพรรคบัวดาวางยาพิษใน
เมืองหลวง?” เขายิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ท่านมีฐานะ
อะไร มีสิทธิอะไรสั่งให้ซีเหมินเสินโหวรายงานทุก
เรื่องให้ท่านได้ร?ู้ ”
เจ้าปังเหยากล้าร้องเรียนเขาในท้องพระโรง ก็ถือ
ได้ว่าเป็นศัตรูของเขา ฉีหนิงแยกบุญคุณความ
แค้นชัดเจน ในเมื่อเป็นศัตรู เขาก็ไม่จาเป็นต้อง
เกรงใจ
เจ้าปังเหยาหน้าเสีย แล้วพูดว่า “หากเป็นอย่างที่
โหวเยว่พูด ก็หมายความว่าท่านกาลังจะแก้ต่าง
ให้กับพรรคบัวดาอย่างนั้นสินะ?”
“ข้าไปแก้ต่างให้พวกเขาตอนไหน?” ฉีหนิงถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ไต้เท้าเจ้า ทุกคาที่ท่านพูดมา
ล้วนมาจากมุมมองส่วนตัวของท่านทั้งนั้น บาง
ครั้ง การพูดจาตรงไปตรงมา ไม่ได้หมายความว่า
มันจะถูกไปซะทุกอย่างนะ บนโลกใบนี้มีหลายคน
ที่ชอบล่าชื่อเสียงให้ตัวเอง ดูเหมือนจะเที่ยงตรง
แต่ที่จริงก็ทาเพื่อตัวเองทั้งนั้น”
เจ้าปังเหยาหน้าคล้าเขาพูดว่า “โหวเยว่พูดแบบนี้
หมายความว่ายังไง?”
ฉีหนิงก็ไม่ได้สนใจ เดินขึ้นหน้าไปสองก้าว ยกมือ
คานับแล้วพูดว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมฉีหนิงขอ
ร้องเรียนจงเฉินหออาลักษณ์หลวงเจ้าปังเหยา ข้อ
แรก เรื่องยังไม่ชัดเจน ก็พูดจาเรื่อยเปื่อย ฟังเรื่อง
ราวมาก็ถือว่าเป็นจริง ข้อสอง การดาเนินงานใดๆ
ก็ตามของจวนเสินโหว ไม่ขึ้นกับหน่วยงานใด เจ้า
ปังเหยาเป็นจงเฉินของหออาลักษณ์หลวง ถึงแม้มี
สิทธิที่จะร้องเรียน แต่ไม่มีสิทธิก้าวก่ายอานาจ
การทางาน เขาเข้าไปแทรกแซงเรื่องในยุทธภพ
ถือว่าเป็นการก้าวก่ายอานาจ ฝ่าบาทได้โปรดส่ง
คนไปสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างด้วยว่า ที่เจ้าปังเหยา
ทาแบบนี้มีจุดประสงค์อะไร ข้อสาม เจ้าปังเหยา
ไม่มีใครที่ไม่กล้าร้องเรียน ดูเหมือนเที่ยงตรง แต่
ว่าการกระทาเหมือนการล่าชื่อเสียง กระหม่อม
ขอให้ฝ่าบาททรงส่งคนไปตรวจสอบเองโดย
ละเอียดด้วยว่า ขุนนางที่ถูกเจ้าปังเหยาร้องเรียน
นั้น มีคนถูกให้ร้ายหรือไม่ เพื่อคืนความเป็นธรรม
ให้คนในราชสานักที่บริสุทธิได้วย” เขาหยุดไปครู่
หนึ่ง แล้วพูดอย่างได้อย่างจริงจังว่า “ข้อสี่ การ
กระทาของเจ้าปังเหยานั้นแปลกมาก กระหม่อม
ขอให้ฝ่าบาททรงส่งคนไปตรวจสอบด้วยว่า คนผู้
นี้หักหลังต้าฉู่ไปเข้าร่วมกับชาวฮั่น กลายเป็นกบฏ
แล้วหรือไม่”
พอพูดอย่างนี้ออกมา มีคนไม่น้อยต่างก็ตกใจ
ที่นี่คือท้องพระโรงอันศักดิไสิทธิไ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็
ต้องระวัง เจ้าปังเหยากล้าบ้าบิ่นมากมาแต่ไหนแต่
ไร จะพูดอะไรที่น่าตกใจในท้องพระโรง ก็ไม่มีใคร
รู้สึกแปลกใจอะไร แต่ว่าฉีหนิงเพิ่งจะเข้าร่วม
ประชุมครั้งแรก กลับพูดจาฉะฉานคมคาย ข้อหา
สุดท้ายที่เขาพูดออกมานั้นมันยิ่งกว่าน่าตกใจ
หลายคนสีหน้าเปลี่ยนไป แอบคิดในใจว่าโหวน้อย
คนนี้โหดมาก คาพูดแบบนี้เขาก็กล้าพูดออกมาได้
ขุนนางราชสานักห้าหั่นกัน ถึงแม้จะไม่มีความ
ปราณีต่อกัน แต่ว่าก็ไม่เคยพูดอย่างไร้เยื่อใยแบบ
นี้ ต่อให้เบื้องหลังจะถือดาบเข้าหากัน แต่ว่าอยู่
ต่อหน้าก็ยังต้องแกล้งยิ้มให้กันอยู่
ทุกคนใครก็รู้ ไหวหนานอ๋องกับเจิ่นกั๋วกงเป็นสอง
ขั้วที่แอบสู้กันอยู่ ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างเอาเป็น
เอาตาย แต่ว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ ก็จะดู
เกรงอกเกรงใจกันดี
เจ้าปังเหยาพูดจาตรงไปตรงมา ทุกคนรู้ว่ามันเป็น
นิสัยของเขา เขาตัดสินใจจะอยู่เป็นขุนนางโดด
เดี่ยว แต่ว่าพอฉีหนิงพูดมาแบบนี้ มีหลายคนคิด
ว่าเขาอายุยังน้อยเกินไป ไม่เหลือที่แท้ให้เลย ถ้า
เป็นอย่างนั้น จิ่นอีโหวกับเจ้าปังเหยาก็จะเป็น
ศัตรูกันจากนี้ต่อไป
ฉีหนิงไม่ได้ไม่รู้ว่าในสถานการณ์พวกนี้จะต้องพูด
จาแค่เจ็ดส่วนเหลือสามส่วน แต่ว่าเจ้าปังเหยาพุ่ง
เป้ามาที่เขา ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้น้อยได้เตือนเขา
ก่อนแล้ว รู้ว่าเขาน่าจะมีแผนร้ายแน่ อีกทั้งเขา
มั่นใจด้วยว่าการกระทาของเจ้าปังเหยานั้นไม่ได้
ทาเพื่อความเที่ยงธรรม แต่น่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว
ฉีหนิงไม่ได้รู้สึกดีกับคนประเภทนี้ หากไม่ได้หา
เรื่องเขา เขาก็คงไม่ไปยุ่ง แต่ว่าในเมื่ออีกฝ่ายพุ่ง
เข้ามา ฉีหนิงเองก็จะไม่เกรงใจเช่นกัน
คนที่ทาให้เขารู้สึกไม่ดี เขาไม่เคยปล่อยให้คนพวก
นั้นอยู่อย่างสบายใจได้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 536 คมดาบที่เลื่องลือ
เจ้าปังเหยาหน้าถอดสี แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท จิ่นอี
โหวพูดจาให้ร้ายคนอื่นในท้องพระโรง ฝ่าบาท
ทรงให้ความเป็นธรรมกับกระ...กระหม่อมด้วยพะ
ยะค่ะ”
หลงไท่ขมวดคิ้ว ฉีหนิงยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “พูดจา
ให้ร้าย? เจ้าปังเหยา สิ่งที่ท่านพูดในวันนี้ ทุกคนก็
ได้ยินกันหมด ท่านอาศัยสิ่งที่ท่านได้ยินมาเท่านั้น
ร้องเรียนข้าในท้องพระโรง คนทีพ่ ูดจาให้ร้าย
น่าจะเป็นท่านมากกว่า ท่านไม่สามารถนา
หลักฐานเรื่องพรรคบัวดาวางยาพิษมาแสดงได้
ศึกที่เขาเชียนอูหลิงท่านก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
แต่กลับกล้ามาพูดเรื่องนี้ที่นี่ ข่าวสารของไต้เท้า
เจ้ารวดเร็วฉับไวขนาดนี้ ท่านได้มาจากไหนหรอ?
การโจมตีเขาเชียนอูหลิงในครั้งนี้ มันมีความลับ
ซ่อนอยู่มากมาย การดาเนินงานของจวนเสินโหว
ไม่มีความจาเป็นต้องบอกให้ใครรู้ ข้ากับพรรคบัว
ดาจะมีเรื่องอะไร มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จงเฉินของหอ
อาลักษณ์หลวงจะมาสอบถามได้ แต่ว่าวันนี้เจ้า
กลับให้ข้าชี้แจงทุกอย่างในท้องพระโรง เจ้าคิดจะ
ทาอะไรกันแน่? เจ้าคิดอยากจะให้ข้าบอก
ความลับออกมา แล้วให้ชาวเป่ยฮั่นรู้ใช่ไหม?”
เขายกนิ้วชี้ไปที่เจ้าปังเหยา “เจ้าคิดไม่ซื่อ คิดว่า
จะปกปิดข้าได้หรอ?”
เหล่าขุนนางต่างหน้าถอดสี แต่จินเตาโหวเหยียน
ไถหวงกลับนั่งอยู่ที่เก้าอี้ หลับตา เหมือนเขาไม่ได้
สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเลย อีกทั้งดูเหมือนกาลังนั่งงีบ
พักผ่อนมากกว่าด้วย
“ฝ่าบาท กระหม่อม...กระหม่อมถูกปรักปรา”
เจ้าปังเหยาพูดอย่างเสียงดังว่า “กระหม่อม
จงรักภักดีกับราชสานัก ไม่มีใจคิดร้ายแน่นอน...”
หลงไท่แอบขาในใจ เขาแอบคิดว่ากรณีที่เจ้าปัง
เหยาพูดมาร้ายแรงมาก แต่ฉีหนิงพูดแค่ไม่กี่คา ก็
เอาไฟย้อนกลับไปเผาตัวของเจ้าปังเหยาเอง วิธีนี้
ถือว่าร้ายกาจ
หากวันนี้ฉีหนิงชี้แจงด้วยความจริงจังเคร่งเครียด
แต่แรก คิดว่าอาจจะไม่สามารถออกมาจากหลุม
พรางของเจ้าปังเหยา เจ้าปังเหยามีศิลปะในการ
พูด หากต้องโต้เถียงกับเขาโดยตรง ฉีหนิงอาจจะ
สู้เจ้าปังเหยาไม่ได้
“จิ่นอีโหว ถึงแม้บางเรื่องไต้เท้าเจ้าจะตัดสินอะไร
ไม่รอบคอบ แต่ว่าเรื่องความภักดีของเขาที่มีต่อ
ราชสานักนั้นไม่ต้องสงสัยหรอกนะ” หลงไท่พูด
ว่า “ไต้เท้าเจ้า ที่จิ่นอีโหวพูดมานั้นก็ไม่ผิด หอ
อาลักษณ์ของพวกท่านกล้าพูดตรงๆ ข้าดีใจมาก
แต่ว่าบางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่หออาลักษณ์จะมา
ถามไถ่ได้ อีกทั้งการที่ท่านร้องเรียนจิ่นอีโหวว่า
ปกป้องพรรคบัวดานั้น ก็ไม่มีหลักฐาน ต่อไปก็
อย่าพูดเรื่องนี้อีก”
ถึงแม้หลงไท่จะนิ่ง แต่ว่าก็ถือว่าเรื่องนี้บทสรุป
แล้ว
ฮ่องเต้หนึ่งยุคขุนนางหนึ่งชุด ถึงแม้อดีตฮ่องเต้จะ
ชื่นชมในตัวเจ้าปังเหยามาก แต่ว่าหลงไท่ไม่ได้
รู้สึกดีอะไรกับเจ้าปังเหยามากเท่าไหร่ ก็เหมือนที่
ฉีหนิงพูดไป การพูดจาตรงๆ มันไม่ได้หมายความ
ว่าจะถูกต้องเสมอไป อีกทั้งหลงไท่ก็เพิ่งขึ้น
ครองราชย์ ตาแหน่งของเขายังไม่มั่นคง เป็นช่วง
เวลาที่เขาต้องการการสนับสนุนจากจิ่นอีโหว
ตระกูลฉี สร้างกลุ่มขุนนางสนิทของเขาขึ้นมาเอง
เจ้าปังเหยาไม่รู้จักเวลา กล้ายื่นดาบเข้าหาฉีหนิง
หากเขาทาสาเร็จ ก็เหมือนว่าทาร้ายหลงไท่ไป
ด้วย หลงไท่ก็ไม่มีทางพอใจอยู่แล้ว
ถึงแม้หลงไท่อายุยังน้อย แต่ก็เป็นฮ่องเต้ที่ฉลาด
มาก
หากการที่เจ้าปังเหยาร้องเรียนฉีหนิง เป็นการ
กระทาส่วนตัว มันก็น่าสงสัยอยู่ว่าอาจเป็นการล่า
ชื่อเสียง แต่ว่าหากเขาร้องเรียนฉีหนิงเพราะมี
เบื้องหลัง ถูกคนสั่งการมา นั่นก็หมายความว่า
ไม่ได้มีเป้าหมายแค่ฉีหนิงอย่างเดียว แต่พุ่งเป้ามา
ที่ฮ่องเต้น้อยด้วย
หลังจากที่หลงไท่ขึ้นครองราชย์ ก็ทรงให้ความ
สาคัญกับจิ่นอีตระกูลฉีตลอด แต่ เหล่าขุนนางใน
ราชสานักก็ไม่ใช่คนหูหนวกตาบอด พวกเขาก็มอง
กันออก ใครก็รู้ว่าฮ่องเต้น้อยอยากจะสนับสนุนฉี
หนิง หากมีคนคิดร้ายกับฉีหนิง ก็เหมือนกับการ
ตัดปีกของหลงไท่ไปด้วย ถ้าอย่างนั้น เจ้าปังเหยา
กับคนที่บงการอยู่เบื้องหลังก็แสดงว่าต้องการจะ
ฆ่าให้ตาย
ในเมื่อฮ่องเต้พูดมาแบบนี้แล้ว อีกทั้งเจ้าปังเหยาก็
ถูกฉีหนิงย้อนกลับมาโจมตี เจ้าปังเหยาไม่ใช่คนโง่
ดูจากสถานการณ์แล้ว ก็รู้ว่าจิ่นอีโหวนั้นมีการ
เตรียมตัวมาอย่างดี หากยังไม่เลิกรา ตัวเขาเองก็
จะไม่ได้ประโยชน์อะไร หากบนบัลลังก์มังกรยัง
เป็นฮ่องเต้คนเดิม เจ้าปังเหยาอาจจะยังร้องเรียน
ต่อไป แต่ว่าตอนนี้มันเปลี่ยนเจ้าของแล้ว อีกทั้ง
เขาก็ฟังออกว่าฮ่องเต้น้อยไม่ค่อยพอใจ เขาเลยไม่
กล้ายื้อต่อไปอีก
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้มีอารมณ์จะสาวความยืดกับคน
แบบนี้ เมื่อเจ้าปังเหยาค่อยๆ ถอยไปในแถว ฉี
หนิงเองก็กลับเข้าไปในแถวแล้วเหมือนกัน เขานิ่ง
มาก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ทั้งสองกลับไปที่ของตัวเอง ก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมา
ว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมโย่วซื่อหลางกรมพระ
คลังหงนั่วไฮ่ มีเรื่องจะรายงาน” ชายอายุห้าสิบปี
เดินออกมาจากแถว
เสนาบดีกรมพระคลังคือโต้วขุย หงนั่วไฮ่เป็นโย่
วซื่อหลางกรมพระคลัง แสดงว่าเป็นคนของ
โต้วขุย ส่วนเขาจะมีความสัมพันธ์ยังไงกับโต้วขุย
นั้น ฉีหนิงไม่รู้เลย
ก่อนหน้านี้เสวียหลิงเฟิงได้เตือนเขาไว้ว่า จนถึง
ตอนนี้ค่ายกิเลนดายังไม่ได้เงินจากกรมพระคลัง
เลย งบประมาณของกองทัพ ปกติแล้วก็มาจาก
กรมคลัง แต่ว่าจะมีกรมกลาโหมเป็นคนจัดแจง ฉี
หนิงรู้ว่าหากจะไปหากรมกลาโหมกับทางกรม
พระคลัง ส่วนตัวยังไงก็ช้าแน่นอน ไม่สู้ทูล
รายงานไปตรงๆ ในท้องพระโรงดีกว่า
ฮ่องเต้น้อยอนุญาตให้ก่อตั้งค่ายกิเลนดา แต่ว่า
งบประมาณยังมาไม่ถึงสักที นั่นก็แสดงว่าไม่ทา
ตามรับสั่งของฮ่องเต้น้อย ฉีหนิงรู้ว่าเขาเองก็ไม่
จาเป็นต้องพุ่งไปที่กรมพระคลังโดยตรงก็ได้ แค่
ทวงงบจากกลาโหม เดิมคิดจะถามหาความกับหลู
เซียวที่เป็นซื่อหลางของกรมกลาโหม แต่คิดไม่ถึง
เลยว่าวันนี้เหยียนไถหวงก็มาประชุมด้วย
ถึงแม้เหยียนไถหวงจะไม่ยุ่งเรื่องงานมานานมาก
แล้ว แต่ว่าเขาก็ยังมีตาแหน่งเป็นเสนาบดีกรม
กลาโหม วันนี้หากเขาหาความกับกรมกลาโหม ก็
เท่ากับว่าหาเรื่องเหยียนไถหวง ฉีหนิงคิดทบทวน
อยู่นาน เจ้าปังเหยาขายหน้าไปแล้ว นั่นถือว่า
รับมือง่าย แต่ว่าท่านแม่ทัพเก่าแก่คนนี้ จะไปแตะ
ต้องด้วยนั้นยากมาก
ขันทีรับฎีกามา แล้วถวายให้กับฮ่องเต้ ฮ่องเต้
น้อยอ่านอย่างละเอียด เขาขมวดคิ้ว แล้วเหลือบ
ไปมองเจิ่นกั๋วกง แล้วพูดว่า “เจ้าจะร้องเรียนจงอี้
โหวซือหม่าฉางเซิ่น?”
เหล่าขุนนางต่างก็ตกใจ คิดในใจว่าวันนี้มันเกิด
อะไรไป เจ้าปังเหยาของหออาลักษณ์ก็พุ่งดาบ
แรกไปหาจิ่นอีโหว ดาบที่สองของวันนี้ซื่อหลาง
ของกรมพระคลังก็ยื่นหาตระกูลซือหม่าอีก
ตระกูลซือหม่าช่วงนี้ได้รับพระกรุณามาก ซือหม่า
หลันไม่เพียงได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นกง ส่วน
บรรดาศักดิ์จงอี้โหวก็ให้ซือหม่าฉางเซิ่นรับสืบ
ทอดไป ตระกูลซือหม่ามีทั้งบรรดาศักดิ์กงและ
โหว ตั้งแต่แคว้นฉู่ก่อตั้งแคว้นมา ยังไม่มีตระกูล
ไหนได้รับเกียรติยศมากมายขนาดนี้ ตระกูลซื
อหม่าไม่เพียงได้รับการเลื่อนฐานันดรศักดิ์ อีกทั้ง
ยังได้รับหน้าที่ ที่อดีตฮ่องเต้ให้เป็นขุนนางช่วย
บริหารแผ่นดิน ก่อนที่หลงไท่จะบริหารราชกิจ
ด้วยตัวเอง เรื่องทุกเรื่องในราชสานักก็ให้ซือหม่า
หลันเป็นคนดาเนินการ
ตอนนี้ตระกูลซือหม่า พูดได้ว่าอานาจล้นพ้นมาก
ขุนนางที่ไปเข้ากับตระกูลซือหม่านั้นก็มีไม่น้อย
เลย
ใครก็ไม่คิดว่า หงนั่วไฮ่จะกล้าร้องเรียนซือหม่า
ฉางเซิ่นในท้องพระโรง
หากไม่นับอานาจบารมีของตระกูลซือหม่า ซือ
หม่าฉางเซิ่นเองก็เป็นลูกชายของภรรยาหลวง
ของซือหม่าหลัน เป็นน้องชายแท้ๆ ของไท่เฮา
องค์ปัจจุบัน ก็ถือได้ว่าพระญาติ หงนั่วไฮ่พุ่งดาบ
เข้าหาซือหม่าฉางเซิ่นแบบนี้ แสดงว่าจะต้องมีคน
บงการเขาแน่นอน แล้วคนๆ นั้นก็คือไหวหนาน
อ๋อง
ถึงแม้ซือหม่าหลันจะถูกตั้งให้เป็นกั๋วกงแล้ว แต่ก็
ยังมีฐานันดรต่ากว่าไหวหนานอ๋องอยู่หนึ่งขั้น
เริ่มตั้งแต่สมัยไท่จงฮ่องเต้ ไหวหนานอ๋องก็เริ่มเข้า
มาในราชสานัก ช่วงสมัยฮ่องเต้ไท่จงมีเรื่องการ
ตั้งแต่รัชทายาท ส่วนในสมัยของอดีตฮ่องเต้ก็ทรง
มีพระเมตตาต่อไหวหนานอ๋องมาก ตอนนี้หลงไท่
ขึ้นครองราชย์ ไหวหนานอ๋องก็ยังไม่มีการ
เปลี่ยนแปลง เขายังคงเป็นเสด็จอา
หลายคนรู้ดี ไหวหนานอ๋องเป็นทายาทโดยตรงที่มี
สิทธิครองบัลลังก์ เป็นลูกชายของฮ่องเฮาในสมัย
ไท่จู่ฮ่องเต้ ตอนนี้ยังเป็นเสด็จอาแท้ๆ ของฮ่องเต้
น้อยอีกด้วย แต่ว่าราชกิจต่างๆ กลับตกไปอยู่ใน
มือของตระกูลซือหม่า ไหวหนานอ๋องไม่มีทาง
พอใจแน่นอน
ก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายก็เหมือนจะไม่มีอะไร
เกิดขึ้น แต่ว่าหลังจากซือหม่าหลันได้เป็นกั๋วกง
แล้ว ใครก็รู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของไหวหนาน
อ๋อง พวกของไหวหนานอ๋อง ไม่พอใจตระกูลซือ
หม่ามาก
หลังจากซือหม่าหลันได้เป็นกั๋วกงแล้ว ความขัด
แย้งของพวกเขาทั้งสองฝ่ายก็เริ่มรุนแรงขึ้น การ
ประชุมครั้งที่แล้ว ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มแสดงความไม่
ลงรอยกัน แต่ว่าก็มีแค่ขุนนางร้องเรียนกันไปมา
หลายคนรู้สึกสถานการณ์แบบนั้นอาจจะต้องอยู่
ไปอีกสักระยะใหญ่ๆ แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า
วันนี้หงนั่วไฮ่จะออกมา พุ่งดาบเข้าใส่ซือหม่าฉาง
เซิ่น
เสนาบดีกรมพระคลังอย่างโต้วขุยสนิทสนมกับ
ทางไหวหนานอ๋องมาก หงนั่วไฮ่มาจากกรมพระ
คลัง ก็ถือว่าเป็นคนของไหวหนานอ๋อง
ซือหม่าฉางเซิ่นได้ยินว่าหงนั่วไฮ่จะร้องเรียนเขา สี
หน้าของเขาก็ตกใจ สายตาของเขาดูดุมาก ซื
อหม่าหลันกลับนิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนอะไรมากมาย
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฝ่าบาท เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการเสียภาษีและ
การบัญชีรายละเอียดภาษี” หงนั่วไฮ่พูดอย่างจริง
จังว่า “กระหม่อมได้ทาการตรวจสอบอย่าง
ละเอียด พบว่าภาษีที่อันอี้ในสองปีที่ผ่านนั้นมี
ปัญหา ยอดภาษีลดน้อยลงทุกปี อีกทั้งยังลดภาษี
ให้กับเหล่าขุนนางท้องที่อีกด้วย” พอพูดถึงตรงนี้
เขาก็หยิบฎีกาออกมาอีกฉบับ “นี่เป็นภาษีของอัน
อี้ที่กระหม่อมได้ทาการคานวณออกมา ฝ่าบาท
ทรงทอดพระเนตรแล้วก็จะทรงทราบทันทีพะยะ
ค่ะ”
ขันทีเดินมารับเล่มไป ฮ่องเต้น้อยเปิดอ่าน
จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “สองปีที่ผ่านมา
ภาษีลดลงไปครึ่งหนึ่งเลยหรอ?” เขาเงยหน้าขึ้น
มาแล้วพูดว่า “หงนั่วไฮ่ นี่มันอะไรกัน? ทางอันอี้
เกิดภัยพิบัติหรือว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หงนั่วไฮ่มองไปที่ทางซือหม่าฉางเซิ่น แล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท อันอี้เป็นพื้นที่ศักดินาของจงอี้โหว พื้นที่
ศักดินาห้าร้อยไร่ของจงอี้โหวอยู่ที่อันอี้ ทาไมภาษี
ถึงน้อยลงทุกปี เกรงว่าจะต้องให้จงอี้โหวเป็นคน
ชี้แจงพะยะค่ะ”
หลายคนเข้าใจทันที ว่าทาไมหงนั่วไฮ่ถึงได้เลือก
หาเรื่องในเวลานี้
แสดงว่า เรื่องภาษีของอันอี้ ทางกรมพระคลัง
น่าจะรู้มาก่อนแล้ว แต่ว่าพวกเขาไม่ทาอะไรเลย
ก็เพราะต้องการจะเอามาร้องเรียนซือหม่าหลัน
ถึงแม้ซือหม่าหลันจะเป็นถึงเจิ่นกั๋วกง แต่ว่าก่อน
หน้านี้หนึ่งเดือน เขายังเป็นจงอี้โหวอยู่ หากหงนั่ว
ไฮ่ร้องเรียนไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว นั่นก็จะเป็นการ
พุ่งเป้าไปที่ซือหม่าหลัน
ซือหม่าหลันมีฐานะตาแหน่งมั่นคงมากในราช
สานัก จะไปแตะต้องเขามันไม่ใช่เรื่องง่าย หงนั่ว
ไฮ่รู้เหตุผลนี้ดี ดังนั้นเลยไม่ลงมือง่ายๆ แต่ว่า
ตอนนี้ตาแหน่งจงอี้โหวได้ซือหม่าฉางเซิ่นเป็นคน
สืบทอด เมื่อถวายฎีการ้องเรียนไป ก็จะเลี่ยงการ
เผชิญหน้าโดยตรงกับซือหม่าหลัน เพียงแค่ลงมือ
กับทางซือหม่าฉางเซิ่น นี่ก็เป็นความตั้งใจของ
หงนั่วไฮ่
ฉีหนิงเห็นอยู่ทุกอย่าง เขาแอบคิดในใจว่าถึงแม้
ทั้งคู่จะไม่ลงรอยกัน แต่ว่าไหวหนานอ๋องก็ยังดู
หวาดกลัวทางซือหม่าหลันไม่น้อย ไม่กล้าพุ่งเป้า
ไปที่ซือหม่าหลันโดยตรง แต่ว่าวันนี้แทงดาบเข้า
หาซือหม่าฉางเซิ่นไป มันก็น่าตกใจเหมือนกัน ทั้ง
สองฝ่ายดูเหมือนหากอีกฝ่ายไม่ตายก็ไม่มีทาง
เลิกรา
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 537 สถานการณ์ตึงเครียด
หลงไท่ยื่นฎีกาไปข้างๆ แล้วมองไปที่ซือหม่าฉาง
เซิ่น แล้วถามว่า “จงอี้โหว ที่หงนั่วไฮ่พูดมานั้น
เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
ซือหม่าฉางเซิ่นออกมาจากแถวจากนั้นก็คุกเข่าลง
แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้อยู่ในกรม
พระคลัง ไม่รู้เรื่องภาษีของราชสานักเลยพะยะ
ค่ะ”
หลงไท่พูดว่า “หงนั่วไฮ่ ในเมื่อจงอี้โหวบอกว่าไม่
รู้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็บอกทุกคนที ว่าภาษีของอันอี้
สองปีที่ผ่านมา ทาไมมันถึงได้ลดลงไปครึ่งหนึ่ง?”
“ฝ่าบาท จากที่กระหม่อมตรวจสอบ เริ่มแรกก็คิด
ว่าเป็นเพราะภัยพิบัติ เงินภาษีถึงได้ขาดชาระ
ล่าช้า เลยส่งคนไปสอบถาม แต่ก็ไม่ได้รับการตอบ
กลับ” หงนั่วไฮ่พูดต่อว่า “เจ้าหน้าที่ของกรมพระ
คลังได้ทาการตรวจสอบบัญชีของทางอันอี้ พบว่า
ภาษีที่ทางอันอี้ควรชาระนั้นชาระมาครบทั้งหมด
แล้ว ไม่ได้มีการค้างชาระแต่อย่างใดเลย
กระหม่อมก็รู้สึกแปลกใจ ต่อมาถึงได้รู้ว่า ที่แท้
ภาษีที่ดินที่อันอี้ชาระมานั้น ผ่านในสองปีที่ผ่าน
มา มันลดลงไปครึ่งหนึ่ง”
“มันเป็นเพราะอะไรกัน?” หลงไท่ขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “ที่ดินสมบูรณ์แบบนั้น ทาไมถึงลดขนาด
ลงไปได้?”
หงนั่วไฮ่พูดว่า “เพราะที่ดินบางส่วน ถูกคนยึด
ครองไป อีกทั้งที่ดินเหล่านี้กลายเป็นที่ดินส่วนตัว
ที่ไม่ต้องเสียภาษี” เขาหยิบบัญชีออกมาอีกเล่ม
“ฝ่าบาท นี่คือรายละเอียดการคานวณที่ดินทั้ง
หมด ภายในสองปี มีที่ดินกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยไร่ถูก
คนยึดเอาไป”
เหล่าขุนนางมองเห็นทุกอย่าง พวกเขาต่างก็ตกใจ
แอบคิดในใจว่าวันนี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่
นอน หงนั่วไฮ่เตรียมตัวมาอย่างดี อีกทั้งหลักฐาน
ก็พร้อม ดูท่าการร้องเรียนซือหม่าฉางเซิ่นในวันนี้
ทางหงนั่วไฮ่ลงทุนไม่น้อยเลย
ไหวหนานอ๋องกับเจิ่นกั๋วกงสู้กัน ฉีหนิงยืนมอง
เฉยๆ แต่ว่าเห็นหงนั่วไฮ่หยิบหลักฐานออกมาที
ละชิ้นแบบนี้ เขาก็รู้สึกว่าวางแผนมาอย่างรอบ
คอบมากจริงๆ เมื่อกี้เจ้าปังเหยามาแบบปากเปล่า
ไม่มีหลักฐานอะไรมาเลย อีกทั้งยังเป็นเรื่องของ
ยุทธภพ ฉีหนิงเลยไม่ได้สนใจอะไรคนอย่างเขา
มาก
ซือหม่าหลันกับไหวหนานอ๋องตั้งแต่เริ่มจนถึง
ตอนนี้ยังไม่ได้แสดงอาการอะไรเลย นิ่งมาก จิน
เตาโหวเหยียนไถหวงเหมือนกับว่ากาลังซึบซับ
บรรยากาศของตาหนักเฟิ่งเทียนอยู่ หลับตา ไม่
ไปมอง เหมือนกาลังนอนหลับ
หลงไท่อ่านอย่างละเอียด สีหน้าของเขาเคร่ง
เครียดมาก จากนั้นก็ถามว่า “หงนั่วไฮ่ ที่ดินพวก
นี้ใครเป็นคนยึดเอาไป ทาไมถึงไม่ต้องเสียภาษี?”
“ฝ่าบาท ในบรรดาที่ดินหนึ่งพันสามร้อยกว่าไร่นี้
มีแปดร้อยไร่เป็นที่ดินของหลวง อีกห้าร้อยไร่เป็น
ที่ดินของชาวบ้าน ต่างเป็นทิ่ดินที่อุดมสมบูรณ์
มาก” หงนั่วไฮ่พูดว่า “การเก็บเกี่ยวในที่ดินหลวง
ปกติแล้วจะถูกส่งเข้าคลังหลวงทั้งหมดทันที ส่วน
ที่ดินของชาวบ้านนั้น ก็จะต้องทาการเสียภาษี
ตามปกติ ถึงแม้อันอี้จะไม่ได้ใหญ่มาก แต่ว่าน้าท่า
สมบูรณ์ ตอนนี้ที่ดินหลวงกว่าแปดร้อยไร่ถูกยึด
ไปเป็นของส่วนบุคคล ที่ดินของชาวบ้านห้าร้อยไร่
ก็ถูกยึดชิงเอาไป โดยใช้วิธีค่อยๆ กินที่ไปทีละนิด
เดิมทีเป็นภาษีที่ราชสานักควรได้ แต่เพราะถูกยึด
และได้รับการยกเว้นการเสียภาษี ภาษีที่ควรได้
เลยไม่ได้ ดังนั้นสองปีที่ผ่านมาภาษีที่ควรได้รับจึง
ลดลงไปครึ่งหนึ่งพะยะค่ะ”
เหล่าขุนนางรู้ดีว่า ที่ดินที่ไม่ต้องเสียภาษีนั้น มี
ด้วยกันสามกรณีเท่านั้น กรณีแรกคือเป็นที่ดิน
ศักดินาพระราชทาน กรณีที่สองสร้างผลงานและ
ได้รับการยกเว้นการเสียภาษี แต่ว่ากรณีแบบนี้จะ
มีการกาหนดระยะเวลาหรือไม่ก็จากัดจานวน
ที่ดินที่ไม่ตอ้ งเสียภาษี ขุนนางเก่าแก่ของราช
สานัก ที่ไม่ต้องเสียภาษีก็จะได้รับที่ดินที่มาก
หน่อย คนที่ผลงานน้อย ก็จะลดลงไปตามลาดับ
ส่วนกรณีที่สามกรณีสุดท้าย นั่นก็คือมีผลงานต่อ
ราชสานัก และมีราชโองการละเว้นภาษี
นอกจากกรณีข้างต้น นั่นก็คือเกิดภัยพิบัติ ฝ่า
บาททรงมีพระเมตตา ออกราชโองการละเว้น
ภาษีเป็นกรณีพิเศษ
ส่วนที่ดินที่หงนั่วไฮ่พูดถึงที่ไม่ต้องเสียภาษีนั้น ทั่ว
ทั้งอันอี้ ก็มีเพียงที่ดินของตระกูลซือหม่าเท่านั้น
หลายคนแอบนึกตกใจ คิดว่าตอนที่ซือหม่าหลัน
ได้รับตาแหน่งจงอี้โหว ได้รับพระราชทานที่ดิน
ศักดินาห้าร้อยไร่ ในบรรดาสี่บรรดาศักดิ์สืบทอด
เขาถือว่าได้มากที่สุด ที่ดินหนึ่งพันสามร้อยกว่าไร่
นี้ มันมากกว่าที่ดินศักดินาที่ซือหม่าหลันได้รับไป
มากกว่าหนึ่งเท่าตัว หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่ดิน
หนึ่งพันสามร้อยไร่ที่ตระกูลซือหม่าแอบยึดเอาไป
เรื่องในวันนี้ก็สนุกแน่นอน
ฉีหนิงเองก็รู้ดี หงนั่วไฮ่ไม่เหมือนเจ้าปังเหยา ใน
เมื่อเขาบอกว่ามีคนแอบยึดครองที่ดินไปหนึ่งพัน
สามร้อยไร่ แสดงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก ส่วน
คนที่ทาก็คอื ตระกูลซือหม่า
ในเมื่อไหวหนานอ๋องให้ซื่อหลางกรมพระคลังออก
โรง แสดงว่าก็เตรียมตัวมาพร้อม พวกเขาคิดจะ
ตัดแข้งตัดขาตระกูลซือหม่า คิดว่าจะล้มเจิ่นกั๋วกง
คงเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าหากคิดจะล้มซือหม่าฉางเซิ่น
ก็ใช่ว่าจะไม่ได้
ในราชสานัก เงียบมาก
ทุกคนรู้ดีวา่ ไหวหนานอ๋องกับเจิ่นกั๋วกงเก็บตัวกัน
มานาน ต่างก็เตรียมพร้อมหาโอกาสลงมือกับอีก
ฝ่ายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะ
มาเร็วแบบนี้ หงนั่วไฮ่ร้องเรียนซือหม่าฉางเซิ่น
ก่อนเกิดเรื่องไม่มีใครรู้มาก่อน
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด ใครก็ไม่กล้าทา
อะไรก่อน
“วันนี้ท่านร้องเรียนจงอี้โหว คนที่ยึดเอาที่ดินไป
เจ้าหมายถึงเขาอย่างนั้นสินะ” หลังจากความ
เงียบ ฮ่องเต้น้อยก็พูดขึ้นมา
หงนั่วไฮ่พูดว่า “ทูลฝ่าบาท คนที่ยึดเอาที่ดินหนึ่ง
พันสามร้อยกว่าไร่ไปนั้น คือตระกูลซือหม่าถูก
ต้องแล้วพะยะค่ะ” เขาหยิบกระดาษออกมาอีก
แผ่นหนึ่ง “ฝ่าบาท นี่เป็นคาให้การที่กระหม่อมส่ง
คนไปตรวจสอบที่อันอี้มา ที่นั่นยังมีที่ดินของ
เจ้าหน้าที่ทางการบางส่วน ก็ถูกยึดเอาที่ดินไป
อีกทั้งยังมีที่ดินของชาวบ้านบางส่วนก็ถูกยึดไป
ด้วยเช่นกัน คนมีจานวนมาก ได้คาให้การมาทั้ง
หมดยี่สิบสามคน ล้วนแล้วแต่ลงลายมือชื่อแล้ว
คนพวกนี้ได้เดินทางเข้าเมืองหลวงมาแล้ว
สามารถมาเป็นพยานได้ทันทีพะยะค่ะ” หลังจาก
ถวายขึ้นไปแล้ว ก็พูดว่า “กระหม่อมยังตรวจสอบ
พบว่า เมื่อหลายปีก่อน ตระกูลซือหม่าก็ได้ทาการ
เริ่มยึดที่ดินในอันอี้แล้ว อีกทั้งยังบังคับเกณฑ์
ชาวบ้านมาเป็นแรงงาน ทาไร่ทานา สองปีที่ผ่าน
มาได้ผลผลิตไม่น้อย เดิมของพวกนี้จะต้องทาการ
เสียภาษีให้ราชสานัก แต่ว่าตอนนี้กลับเข้า
กระเป๋าของตระกูลซือหม่าหมดเลยพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้น้อยอ่านคาให้การทั้งหมด จากนั้นก็กาจน
เป็นก้อน แล้วโยนใส่หน้าของซือหม่าฉางเซิ่น แล้ว
พูดว่า “ซือหม่าฉางเซิ่น เจ้าดูเอาเองแล้วกัน
คาให้การพวกนี้จริงหรือเปล่า?”
“ฝ่าบาท เจิ่นกั๋วกงจงรักภักดี ผลงานมากมาย
เป็นขุนนางสาคัญของแคว้นเรา” มีคนออกมา
จากแถว รูปร่างอ้วนเล็กน้อย พูดว่า “ที่หงนั่วไฮ่
พูดว่า เป็นการใส่ร้ายแน่นอน ฝ่าบาททรง
พิจารณาด้วย”
เหล่าขุนนางหันมองไป ทันใดนั้นเองก็จาได้ว่า เขา
คือจั่วซื่อหลางของกรมขุนนางเฉินหลันถิง ก็ไม่มี
ใครแปลกใจ เจิ่นกั๋วกงควบตาแหน่งเสนาบดีกรม
ขุนนาง เฉินหลันถิงเป็นคนสนิทของเจิ่นกั๋วกง
ตอนนี้ออกหน้าพูด ก็สมเหตุสมผลดี
“เฉินหลันถิง เจ้าไม่ต้องรีบร้อนช่วยแก้ต่างให้
หรอกนะ” ฮ่องเต้น้อยพูดว่า “หงนั่วไฮ่ไม่ได้ร้อง
เรียนเจิ่นกั๋วกง แต่ร้องเรียนจงอี้โหว เจิ่นกั๋วกงกับ
จงอี้โหวถึงแม้จะเป็นพ่อลูกกัน แต่ว่าในราชสานัก
ไม่มีคาว่าญาติมิตร ห้ามเอามาปะปนกันเด็ดขาด”
เฉินหลันถิงตะลึงไป แล้วรีบพูดว่า “กระหม่อมวู่
ว่ามไป เพียงแต่หงนั่วไฮ่คาก็ตระกูลซือหม่า สอง
คาก็ตระกูลซือหม่า เจตนาต้องการให้ร้ายตระกูล
ซือหม่าชัดๆ กระหม่อมอยู่ในกรมขุนนาง เห็น
ท่านกั๋วกงทางานอย่างลาบาก ตอนนี้ต้องมาทน
เห็นคนให้ร้ายพวกเขา รู้สึกไม่เป็นธรรม ขอฝ่า
บาททรงอภัยด้วย”
ฮ่องเต้น้อยโบกมือ ไม่อยากไปสนใจ ซือหม่าฉาง
เซิ่นหยิบคาให้การขึ้นมา แล้วเปิดอ่านดู สีหน้า
ของเขาก็เปลี่ยนไป
“จงอี้โหว คาให้การพวกนี้ เขียนไว้ชัดเจนมาก
ที่ดินทั้งหมดที่ถูกยึดไป เป็นเพราะรับคาสั่งมาจาก
จงอี้โหว” หงนั่วไฮ่พูดว่า “ไม่ทราบถูกหรือไม่?”
ซือหม่าฉางเซิ่นมองไปที่หงนั่วไฮ่ สายตาของเขา
ดุดันมาก กาลังจะเอ่ยปากพูด ก็ได้ยินเสียงแก่ๆ
เสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ไต้เท้าหง คาให้การพวกนี้
เป็นเรื่องจริง เท่าที่ข้ารู้ว่า ซือหม่าฉางเซิ่นได้สั่งให้
คนทาแบบนี้จริง ๆ” เมื่อพูดมาแบบนี้ ทุกคนก็
ตกใจ จากนั้นก็หันไปมอง คนที่กาลังพูดนั้นก็คือ
ซือหม่าหลัน
เหล่าขุนนางมองหน้ากัน คิดว่าตระกูลซือหม่าคง
ต้องพยายามแก้ต่างแน่นอน ใครจะคิดว่าซือหม่า
หลันจะยอมรับแบบนี้ มีคนแอบคิดในใจว่า หรือ
ว่าซือหม่าหลันจะบ้าไปแล้ว หงนั่วไฮ่วางแผนมา
ก็เพื่อมาจัดการตระกูลซือหม่าของเขา แต่ว่าตอน
นี้ เขากลับไม่แก้ตัว แล้วก็ยอมรับอีกด้วย เรื่องนี้
มันเท่ากับโยนซือหม่าฉางเซิ่นเข้ากองไฟชัด ๆ
ซือหม่าฉางเซิ่นตาโต รู้สึกคิดไม่ถึง แต่ก็เห็นเจิ่น
กั๋วกงเดินหน้าขึ้นมาสองก้าว โค้งตัวลงแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอให้ทรงจับตัวซือหม่าฉาง
เซิ่นเข้าคุกหลวงด้วย แล้วลงอาญาตามกฎหมาย
พะยะค่ะ”
“ท่านพ่อ...” ซือหม่าฉางเซิ่นหน้าเสีย อดไม่ได้ที่
จะเรียก
ซือหม่าหลันหันหน้ากลับมาแล้วตะคอกว่า “ใน
ท้องพระโรง ไม่มีพ่อไม่มีลูก มีแต่ขุนนางกับเพื่อ
ร่วมงานเท่านั้น”
เหล่าขุนนางต่างตกใจ แอบคิดในใจว่ากั๋วกงบ้าไป
แล้วแน่ๆ ที่เสนอให้ลูกชายไปเข้าคุก
แต่บางคนก็คิดว่า ซือหม่าหลันเห็นหน้าต่างมีรู
เลยคิดจะบุกฝ่าป้องกันแม่ทัพมากกว่า
หลายคนรู้ดีว่า ในตระกูลซือหม่าคนที่มีบารมีและ
อานาจที่สุดก็คือซือหม่าหลัน ซือหม่าฉางเซิ่นถึง
แม้จะอายุเลยสี่สิบไปแล้ว แต่ว่ายังคงกลัวซือหม่า
หลันอยู่ ลูกชายขุนนางในเมืองหลวงส่วนใหญ่ก็
มักจะหยิ่งยะโส แต่ลูกหลานตระกูลซือหม่าไม่
เป็นอย่างนั้น เพราะซือหม่าหลันเข้มงวดมาก
อบรมอย่างมีระบบ ไม่ได้ให้คนของตระกูลไปก่อ
เรื่องอะไรได้เลย
ที่ดินของอันอี้ถูกยึดครอง ถึงแม้คนที่หงนั่วไฮ่
ร้องเรียนจะเป็นซือหม่าฉางเซิ่น อีกทั้งยังมี
หลักฐานในมือ แต่ว่าหากไม่ได้รับอนุญาตจากซือ
หม่าหลัน ซือหม่าฉางเซิ่นไม่มีทางกล้าทาแน่นอน
เมื่อเห็นช่องทาง ซือหม่าหลันเห็นสถานการณ์ไม่ดี
เลยรุกให้ซือหม่าฉางเซิ่นขอรับโทษก่อน ขอแค่ไฟ
ที่เผาอยู่ตอนนี้มันมาอยู่ที่เขา เขาก็จะมีเวลาคิด
หาทางรับมือได้
มีคนไม่น้อยรู้ดีว่า ทางกรมอาญา เป็นคนของไหว
หนานอ๋อง หากซือหม่าฉางเซิ่นถูกจับไปที่นั่นจริง
คงรับโทษเละแน่นอน
หลงไท่เองก็คิดไม่ถึงว่าซือหม่าหลันจะเดินหมาก
แบบนี้ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านกั๋วกง ท่าน
หมายความว่า สิ่งที่หงนั่วไฮ่รายงานมานั้น เป็น
เรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?”
“พะยะค่ะ” ซือหม่าหลันพูดว่า “ที่ดินของทางอัน
อี้ถูกยึดไปบางส่วนจริง ภาษีในหลายปีที่ผ่านมา ก็
ไม่ได้ทาการชาระให้ทางราชสานัก” เขาหันไป
มองซือหม่าฉางเซิ่น แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ซือหม่า
ฉางเซิ่นรู้เห็นด้วย ขอฝ่าบาททรงลงอาญาด้วย
พะยะค่ะ”
เสนาบดีกรมพระคลังเห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็
ออกมาจากแถวแล้วพูดว่า “ทูลฝ่าบาท
กระหม่อมมีเรื่องอยากจะถามท่านกั๋วกงสักหน่อย
ขอทรงอนุญาตด้วย”
หลงไท่หันไปมองซือหม่าหลัน ซือหม่าหลันหัน
กลับมา แล้วถามว่า “ไต้เท้าโต้วมีอะไรจะถาม
หรือ?”
“ท่านกั๋วกง ข้าน้อยรับผิดชอบกรมพระคลัง มี
หน้าที่อยู่กับตัว มีคาถามที่อาจจะเป็นการล่วงเกิน
ไป แต่ก็เป็นเพราะหน้าที่ ขอให้กั๋วกงเข้าใจด้วย”
โต้วขุยสีหน้าจริงจังมาก เขาถามว่า “จงอี้โหวสั่ง
ให้คนยึดที่ดินที่อันอี้ ไม่ทราบท่านกั๋วกงทราบ
เรื่องนี้หรือไม่? ท่านกั๋วกงไม่แม้แต่จะเอาคาให้
การมาดูเลย ก็ยอมรับแล้วว่าจงอี้โหวเป็นคนทา
แสดงว่าท่านเองก็ต้องรู้เห็นเรื่องนี้มาก่อนแล้วใช่
หรือไม่”
ซือหม่าหลันพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้ารู้อยู่แล้ว”
เหล่าขุนนางเริ่มพูดคุยกัน โต้วขุยเดินหน้าหนึ่ง
ก้าว แล้วถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยขอถาม
ท่านกั๋วกงสักคา ในเมื่อท่านรู้ว่านี่คือความผิด
อาญากฎหมายบ้านเมือง ท่านเองก็เป็นขุนนาง
ใหญ่ เป็นถึงบรรดาศักดิ์กง ทาไมถึงไม่รีบรายงาน
ให้ราชสานักทราบ แต่กลับช่วยซือหม่าฉางเซิ่น
ปกปิดความผิดด้วย?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 538 คำพูดง่ำยๆ ไขสถำนกำรณ์ได้
โต้วขุยถามอย่างจริงจังและเป็นคาถามที่ค่อนข้าง
รุนแรง เพราะเขาต้องการจับซือหม่าหลันพ่อลูก
ไม่ให้ได้หลุดข้อหาออกไป
ฉีหนิงยืนมองนิ่งๆ อยู่ข้างๆ ซือหม่าหลันออกหน้า
ยอมรับเรื่องยึดครองที่ดินเอง ทาให้ฉีหนิงแปลก
ใจมาก แต่ว่าเขาก็รู้ดี เจิ่นกั๋วกงสามารถมาอยู่ใน
ตาแหน่งที่มีอานาจสูงขนาดนี้ได้ เขาไม่กล้าละเลย
แน่นอน เขาเจ้าเล่ห์มากกว่าจิ้กจอกซะอีก เขาคิด
ในใจว่าเขาต้องกาลังคิดทาอะไรแน่
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาว่าทั้งฝ่ายต่อสู้กันดุเดือด
แต่เพราะไม่เคยได้เห็นด้วยตาตัวเอง คิดไม่ถึงว่า
มาประชุมวันแรก ก็ได้เห็นเลย
ซือหม่าหลันถูกโต้วขุยบีบถามหนักมาก แต่ท่า
ทางของเขาก็ยังนิ่งอยู่ เขาพูดว่า “เรื่องนี้แท้จริง
แล้วค่อนข้างซับซ้อน ข้าไม่สะดวกที่จะชี้แจงใน
ท้องพระโรง” เขาหันไปหาฮ่องเต้น้อยแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมของพระองค์ทรงลงอาญา
ด้วยพะยะค่ะ”
หลงไท่เองก็ดูไม่ออกว่าซือหม่าหลันคิดจะทาอะไร
กันแน่ เขาขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเองไหวหนานอ๋องก็
ออกมาจากแถวแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท เจิ่นกัว๋ กง
เป็นขุนนางเก่าแก่ จงรักภักดี ในเมื่อกล้าทาแบบ
นี้ แสดงว่าจะต้องมีเหตุผล กระหม่อมเชื่อว่าเจิ่น
กั๋วกงคงมีความลาบากใจบางอย่างถึงได้ทาเช่นนี้”
เขามองไปที่ซือหม่าหลัน “ท่านกั๋วกง หากเรื่องนี้
มีเรื่องอะไรที่ทาให้ท่านลาบากใจ ท่านก็ทูลฝ่า
บาทไปได้เลย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะทาเรื่องที่
ผิดต่อกฎหมายแบบนี้”
สีหน้าของซือหม่าหลันเหมือนจะซาบซึ้งใจ เขา
พูดว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงเข้าพระทัย
เพียงแต่...เฮ้อ มีบางเรื่อง ไม่พูดน่าจะดีกว่า ซือ
หม่าฉางเซิ่นยึดครองที่ดิน ทาผิดกฎหมาย ขอฝ่า
บาททรงลงอาญาด้วย กระหม่อมทราบเรื่องแต่ไม่
แจ้ง ก็...ก็มีความผิด ขอฝ่าบาททรงลงอาญา
ด้วย”
ในตอนนี้เอง ก็มีขุนนางอีกคนเดินออกมาจากแถว
คุกเข่าลงที่พื้นแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมี
เรื่องจะทูล”
ทุกคนหันมองไป เห็นคนที่ออกมาจากแถวนั้นคือ
เสนาบดีกรมโยธาหวงผู่เจิ้ง มีคนแอบขาในใจ คิด
ว่าเรื่องในวันนี้สนุกแน่นอน คนของทั้งสองฝ่าย
ออกโรงกันมาเกือบหมด
คนของหกกรมทั้ง กรมขุนนาง กรมพระคลัง กรม
โยธา มีส่วนกับเรื่องนี้ทั้งหมด
ซือหม่าหลันเป็นขุนนางคนสนิทคนแรกของ
ฮ่องเต้ไท่จง ตอนนั้นจิ่นอีเหล่าโหวกับอู๋เซียงเหล่า
โหวต่างทาศึกอยู่ชายแดน จินเตาโหวไม่ถูกเหลียว
แล ส่วนซือหม่าหลันก็เป็นขุนนางหลักในการช่วย
บริหารราชกิจ ซือหม่าหลันเก่งในการบริหาร
จัดการภายใน เขามีผลงานมากมาย หากลงมือ
ทางานเอง ทาได้ดีกว่าเหล่าขุนนางเป็นสิบคน
หลังจากเมืองหลวงผ่านพ้นภัยศึกสงคราม หลาย
สถานที่ต้องการการซ่อมบารุง หวงผู่เจิ้งเชี่ยวชาญ
การก่อสร้างซ่อมแซม ตอนนั้นซือหม่าหลันจึง
เสนอสนับสนุนเขาให้ได้เลื่อนตาแหน่งขึ้นมา จน
ได้มาเป็นเสนาบดีกรมโยธาอย่างทุกวันนี้ หลาย
คนรู้ว่า จั่วซื่อหลางแห่งกรมขุนนางเฉินหลันถิงกับ
เสนาบดีกรมโยธาหวงผู่เจิ้งนั้นเป็นมือซ้ายมือขวา
ของซือหม่าหลัน
แต่ว่าคดีที่กาลังพูดถึงในวันนี้ มันไม่ได้เกี่ยวข้อง
กับกรมโยธาเลย แต่ว่าหวงผู่เจิ้งกลับออกโรง มัน
เหมือนจะไม่ค่อยถูกจังหวะสักเท่าไหร่ ใครก็รู้หวง
ผู่เจิ้งยังไงก็ต้องออกหน้าช่วยซือหม่าหลัน บางคน
คิดว่าหวงผู่เจิ้งนั้นก็เป็นคนฉลาด แต่วันนี้ทาไมถึง
ได้เลอะเลื่อน ถึงแม้จะรู้ว่าเขาเป็นคนของซือหม่า
หลัน แต่ก็ไม่ควรบ้าออกหน้ามาพูดในเวลาแบบนี้
หลงไท่ยังคงนิ่ง จากนั้นก็ถามว่า “ไต้เท้าหวงผู่มี
อะไรจะพูดอย่างนั้นหรือ?”
“ฝ่าบาท เรื่องที่ดินของอันอี้ กระหม่อมทราบต้น
สายปลายเหตุพะยะค่ะ” หวงผู่เจิ้งพูดอย่างจริงจัง
ว่า “ถึงแม้ตระกูลซือหม่าจะมีความผิด แต่ว่าเรื่อง
นี้มีสาเหตุ และมันก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่า
ตระกูลซือหม่านั้นจงรักภักดีกับฝ่าบาทแค่ไหน”
เหล่าขุนนางมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าที่หวงผู่เจิ้งพูดนั้น
มันหมายความว่ายังไง มีคนคิดว่าตระกูลซือหม่า
ยึดครองที่ดินหลักฐานแน่นขนาดนี้ ยังบอกว่าเขา
จักรักภักดีอีก เหลวไหลสิ้นดี
หลงไท่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไต้เท้าหวงผู่หมาย
ความว่ายังไง?”
“ฝ่าบาท การยึดครองที่ดินในอันอี้กว่าหนึ่งพัน
สามร้อยกว่าไร่นั้น ถือเป็นเรื่องที่ผิด แต่ว่า...แต่ว่า
ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่าเงินภาษีพวกนั้นมันไป
อยู่ที่ไหน?” หวงผู่เจิ้งเงยหน้ามองไปที่หลงไท่
“กระหม่อมทราบดีที่สุดว่าเงินภาษีพวกนั้นมัน
ไปอยูที่ไหน”
“ท่านรู?้ ”
“ทูลฝ่าบาท เงินภาษีที่ได้จากที่ดินหนึ่งพันสาม
ร้อยกว่าไร่นั้น ทั้งหมดถูกมอบให้กับกระหม่อม
พะยะค่ะ” หวงผู่เจิ้งพูดอย่างจริงจังว่า “ตระกูล
ซือหม่าไม่ได้เก็บเงินไว้กับตัวเองเลยแม้แต่อีแปะ
เดียว”
ท้องพระโรงที่ตึงเครียด เกิดเสียงขึ้นมาอีกครั้ง มี
คนคิดขึ้นมาได้ว่า ไม่คิดเลยว่าหวงผู่เจิ้งจะภักดี
กับตระกูลซือหม่าได้ขนาดนี้ ในเวลาที่อยู่ในความ
เป็นความตายแบบนี้ ออกหน้ามารับผิดแทนเลย
หรอ? แต่ว่าเงินภาษีจานวนนี้มันไม่ใช่น้อยๆ เลย
ต่อให้หวงผู่เจิ้งจะรับผิดแทน แต่หากตรวจสอบ
ขึ้นมาจริงๆ จริงเท็จเป็นยังไง มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ที่จะรู้
“หวงผู่เจิ้ง มันเรื่องอะไรกัน?” หลงไท่เริ่มงงแล้ว
เขาพูดเสียงเข้มขึ้นมาว่า “ทาไมเงินภาษีพวกนั้น
ถึงได้ไปอยู่ในมือของท่านได้?”
หวงผู่เจิ้งคุกเข่าก้มหน้าลง แล้วพูดว่า “กระ...
กระหม่อมพูดไม่ได้พะยะค่ะ”
“ไต้เท้าหวงผู่ หากท่านไม่พูด จงอี้โหวก็จะไม่หลุด
จากข้อกล่าวหานะ” โต้วขุยพูดว่า “การยึดครอง
ที่ดินจงอี้โหวเป็นคนสั่งให้คนไปทา แล้วท่านก็
บอกว่าเงินภาษีอยู่ในมือของท่าน ท่านกับจงอี้โหว
ล้วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ หากไม่พูดถึงต้นสาย
ปลายเหตุได้ ไม่เพียงชี้แจงกับฝ่าบาทไม่ได้ ขุน
นางที่อยู่ที่นี่ทุกคน ก็จะไม่พอใจได้นะ”
หวงผู่เจิ้งพูดว่า “ฝ่าบาท กระ...” เขาเงยหน้า
ขึ้นมา แล้วพูดว่า “กระหม่อมขอทูลตามตรง ที่
จริงเงินภาษีพวกนั้น ล้วนแต่ถูกใช้ไปในวังหลวง
พะยะค่ะ”
“ใช้ในวัง?” หลงไท่ตะลึงไป
หวงผู่เจิ้งพูดว่า “ฝ่าบาทอาจจะไม่ทรงทราบ
หลังจากที่ต้าฉู่ของเราก่อตั้งมา ตาหนักต่างๆ ใน
วังหลวงก็ต้องมีการบูรณะซ่อมเซม ไท่จงฮ่องเต้
และอดีตฮ่องเต้ต่างเป็นฮ่องเต้ที่ทรงมัธยัสถ์มาก
ไม่ได้ใช้งบประมาณของคลังหลวงในการซ่อม
ตาหนักเลย แต่ตั้งแต่เราเปิดศึกกับเป่ยฮั่นมา
เสบียงทหารทาให้เสียงบไปจานวนมาก คลังหลวง
ตอนนี้แทบจะว่างเปล่า อีกทั้งในเวลานี้ ตาหนัก
ในวังหลวงก็มาถล่มอีก อดีตฮ่องเต้ไม่อยากให้คน
ภายนอกทราบเรื่องนี้ แต่ว่าท่านกั๋วกงทราบเรื่อง
เลยสั่งให้กระหม่อมเข้ามาซ่อมแซมบูรณะตาหนัก
เหวินเต๋อพะยะค่ะ”
หลงไท่นึก แล้วพยักหน้าพูดว่า “ข้าจาได้ว่า เมื่อ
สามปีก่อนกรมโยธาได้เข้ามาซ่อมแซมตาหนัก
เหวินเต๋อ เหมือนจะใช้เวลาไปหลายเดือนเหมือน
กัน” เขาถามว่า “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับภาษี
ของอันอี้ยังไง?”
“ตาหนักในวังหลวงที่ต้องซ่อมแซมมีอยู่ไม่น้อย
ตาหนักเหวินเต๋อเป็นตาหนักที่ปกติอดีตฮ่องเต้ใช้
เป็นที่บรรทมพักผ่อน ท่านกั๋วกงเห็นว่าภายใน
ตาหนักมันก็เก่ามากแล้ว เลยสัง่ ให้กระหม่อมช่วย
หาทาง” หวงผู่เจิ้งพูดว่า “ถึงแม้ตาหนักที่จาเป็น
ต้องบูรณะซ่อมแซมจะมีอยู่ไม่มาก แต่ว่าค่าใช้
จ่ายสูง ทหารแนวหน้าก็ยังสู้อยู่กับเป่ยฮั่น อดีต
ฮ่องเต้เพื่อให้แนวหน้ามีกาลังมากพอจะสู้รบ
ปฏิเสธการซ่อมแซมบารุงตาหนัก เลยไม่ให้เบิกงบ
ส่วนนี้จากทางกรมคลัง”
หลงไท่พยักหน้า หวงผู่เจิ้งพูดต่อว่า “ท่านกั๋วกง
ไม่อยากเห็นอดีตฮ่องเต้ทรงต้องอยู่อย่างเสียพระ
เกียรติแบบนั้น เลยหาวิธีระดมทุนมา เป็นหนี้
ก้อนใหญ่ ถึงได้หาเงินมาซ่อมแซมตาหนักเหวิน
เต๋อจนแล้วเสร็จ แต่ว่าเงินที่เป็นหนี้ค้างจ่าย ก็ไม่
สามารถไปเบิกมาจากกรมพระคลัง ท่านกั๋วกง
เครียดเรื่องนี้ทุกวัน จงอี้โหวอยากจะช่วยแก้
ปัญหาเรื่องนี้ให้ท่านกัว๋ กง ถึงได้ยึดเอาที่ดินที่อัน
อี้มา ที่ทาแบบนี้ก็เพื่อหาเงินมาใช้หนี้” เสียงของ
เขาสั่นเครือ “หลังจากที่ท่านกั๋วกงทราบเรือ่ งนี้
แล้ว ท่านได้ตาหนิจงอี้โหวอย่างรุนแรง อีกทั้งยัง
ทูลให้อดีตฮ่องเต้ทราบ เรื่องนี้อดีตฮ่องเต้ทรง
ทราบดี ทรงรับสั่งว่าหลังจากชาระหนี้ครบหมด
แล้ว ให้คืนที่ดินให้ชาวบ้านทั้งหมดพะยะค่ะ”
เหล่าขุนนางถึงได้เข้าใจ คิดในใจว่ามิน่าที่หงนั่วไฮ่
ออกโรงร้องเรียน เจิ่นกั๋วกงถึงได้ไม่ตื่นตระหนก
เลย ที่แท้ก็เพราะคาบเกี่ยวกับอดีตฮ่องเต้นี่เอง
“ที่ท่านกั๋วกงต้องเป็นหนี้ ก็เพราะซ่อมแซม
ตาหนักเหวินเต๋อ แต่ว่าเพราะไม่อาจพูดเรื่องนี้
ออกไป ท่านกั๋วกงเองก็ยังกาชับให้กระหม่อมพูด
ด้วย” หวงผู่เจิ้นพูดถึงตรงนี้ แล้วโขกศีรษะลง
“รายละเอียดบัญชีทั้งหมดอยู่ในมือของ
กระหม่อม ฝ่าบาททรงให้คนไปเอามาได้เลยพะ
ยะค่ะ”
หลงไท่มองไปที่ซือหม่าหลัน แล้วถามว่า “ท่านกั๋ว
กง เรื่องเป็นแบบนี้จริงหรือเปล่า?”
เจิ้งกั๋วกงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท เรือ่ งนี้
เป็นเพราะกระหม่อมรั้นอยากจะซ่อมแซมตาหนัก
เอง ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่นเลย อดีตฮ่องเต้ทรง
มัธยัสถ์รักชาวบ้าน แต่กระหม่อมทนเห็นพระองค์
ต้องอยู่ลาบากอันตรายในตาหนักไม่ได้” เขาคุก
เข่าลง แล้วพูดว่า “กระหม่อมมีความผิด ปล่อย
ให้ซือหม่าฉางเซิ่นยึดครองที่ดิน สมควรตาย ขอ
ฝ่าบาททรงลงอาญาด้วย”
ฉีหนิงแอบถอนหายใจแล้วคิดว่า ซือหม่าหลันร้าย
มาก หงนั่วไฮ่วางแผนมาอย่างดี แต่สุดท้ายก็ยัง
ถูกเจิน่ กั๋วกงแก้ไขผ่านไปง่าย ๆ
เรื่องนี้คาบเกี่ยวกับอดีตฮ่องเต้ เรื่องนี้ใครจะยัง
กล้าว่าซือหม่าหลันได้อีก?
หรือว่าการระดมทุนซ่อมตาหนัก จะยังต้องคาด
โทษอีก? หรือนี้มันชัดเจนมากอยู่แล้ว อดีตฮ่องเต้
รู้เรื่องการยึดครองที่ดิน แต่ไม่ได้ลงโทษ ในฐานะ
ทายาท หลงไท่ไม่มีทางลงอาญาตระกูลซือหม่า
แน่นอน
ไหวหนานอ๋องตากระตุก เขารีบโค้งคานับแล้วพูด
ว่า “ฝ่าบาท ท่านกั๋วกงเห็นแก่บ้านเมือง เพื่อซ่อม
ตาหนักในวังถึงได้ทาเช่นนี้ กระหม่อมขอให้ฝ่า
บาททรงออกราชโองการละเว้นความผิดด้วย”
ในตอนนี้เหล่าขุนนางก็โค้งคานับแล้วพูดพร้อมกัน
ว่า “ขอให้ฝ่าบาททรงออกราชโองการละเว้น
ความผิดด้วย”
หลงไท่เองก็รู้ว่าเรื่องนี้จะเอาผิดกับตระกูลซือหม่า
ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการผิดต่ออดีตฮ่องเต้
เห็นเหล่าขุนนางร้องขอ เขาก็เลยตามเลย “เจิ่น
กั๋วกง ยึดครองที่ดิน มันผิดกฎหมาย แต่ว่าเห็นแก่
ที่ท่านจงรักภักดีต่ออดีตฮ่องเต้ ถือว่าทาคุณไถ่
โทษ ข้าจะไม่ตบรางวัลแล้วก็ไม่ลงอาญาท่าน แต่
ว่าบัญชีภาษีกับบัญชีการซ่อมแซมตาหนักเหวิ
นเต๋อทั้งหมด จะต้องมอบให้กับกรมพระคลัง อีก
ทั้งชาระหนี้สินหมดเมื่อไหร่ ที่ดินที่ยึดครองมา ให้
ทาตามพระประสงค์ของอดีตฮ่องเต้ คืนให้กบั
ชาวบ้านไป”
เจิ่นกั๋วกงพูดอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท
ที่ไม่ลงอาญา กระหม่อมจะรีบสั่งให้คนนาที่ดินคืน
ให้กับชาวบ้านให้หมดพะยะค่ะ”
“ลุกขึ้นเถอะ” หลงไท่ยกมือแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ก็
ให้จบแค่นี้นะ ใครก็หา้ มพูดขึ้นมาอีก”
หงนั่วไฮ่รู้สึกไม่พอใจ แต่ก็จนใจ กาลังจะเดินกลับ
เข้าไปในแถว จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนๆ หนึ่งดัง
ขึ้นมาว่า “ช้าก่อนไต้เท้าหง” มีคนหนึ่งเดินออก
มาจากแถว แล้วพูดว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อม
ซื่ออวี้สื่อแห่งหออาลักษณ์หลวงหูเกิงมีเรื่องจะทูล
กระหม่อมต้องการร้องเรียนหงนั่วไฮ่ ในข้อหาการ
ทุจริตต่อหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ทาเรื่อง
ไร้ยางอายที่สุด ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบด้วยพะ
ยะค่ะ”
หงนั่วไฮ่หน้าเสีย หันหน้าไปมอง เห็นซื่ออวี้สื่อสี
หน้าเคร่งเครียด กาลังมองมาที่เขา ทั้งสองจ้อง
หน้ากัน หูเกิงยิ้ม หงนั่วไฮ่รู้สึกได้ถึงไอเย็นที่แผ่
ออกมา
ฉีหนิงแทบจะอดขาไม่ได้
การประชุมวันนี้ สนุกดีจริงๆ มีเรื่องต่อๆ กันมา
เลย หงนั่วไฮ่วางแผนร้องเรียนตระกูลซือหม่า ยัง
ไม่ทันทาสาเร็จ หันกลับมา ตัวเองก็ถูกร้องเรียน
ซะแล้ว
ในมือของหูเกิงมีฎีกา ขันทีลงมารับ แล้วถวาย
ให้กับหลงไท่
ฉีหนิงมองเหตุการณ์อยู่ แต่ทันใดนั้นก็เหมือนจะ
คิดอะไรได้ เรื่องนี้เหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
ซื่ออวี้สื่อหูเกิงในเมื่อมีการเตรียมฎีกาในมือ แสดง
ว่าได้เตรียมการเอาไว้อยู่แล้ว หงนั่วไฮ่วันนี้
ร้องเรียนซือหม่าฉางเซิ่น อีกทั้งหูเกิงเองก็เตรียม
มาร้องเรียนหงนั่วไฮ่มาอย่างดี แสดงว่าเรื่องนี้
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เขาอดที่จะหันไปมองซือหม่าหลันไม่ได้ เห็นตา
เฒ่าเจ้าเล่ห์โค้งตัวยืนอยู่แถวหน้าสุด ไม่มีท่าทีใดๆ
เหมือนเดิม ถึงแม้เขาจะแก่แล้ว แต่ว่าเขายังแข็ง
แรงอยู่ เหมือนก้อนหินที่วางอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ
ทันใดนั้นเอง เหมือนฉีหนิงจะเข้าใจอะไรขึ้น
มาแล้ว แสดงว่าตาเฒ่านี่ ก่อนจะมาเข้าประชุม
วันนี้ น่าจะรู้มาก่อนแล้วว่าหงนั่วไฮ่จะหาเรื่องเขา
เลยเตรียมการมา เมื่อจบเรื่องยึดครองที่ดิน ก็ลง
มือจัดการกับหงนั่วไฮ่เลย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 539 ตอบโต้
หลงไท่รับเอาฎีกามา เริ่มแรกท่าทีของเขายังนิ่ง
อยู่ แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมีสีหน้าท่าทางที่ไม่
พอใจมาก เหล่าขุนนางเห็นสีหน้าของฮ่องเต้น้อย
ก็รู้ทันทีว่าฎีกาฉบับนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
หลงไท่ถึงกับโยนฎีกาไปใส่หน้าหงนั่วไฮ่
ฮ่องเต้น้อยเป็นคนที่เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน แรงที่
โยนออกไปไม่น้อยเลย เขาพูดเสียงเข้มมากว่า
“หงนั่วไฮ่ เจ้าดูให้เต็มตา ในฎีกา เขียนข้อหาของ
เจ้าเอาไว้มากมาย เจ้าดูให้ดีนะ หากเป็นจริง เจ้า
...” เสียงของเขาเข้มมาก เขาพูดว่า “เจ้าก็ไปรับ
โทษกับกรมอาญาก็แล้วกัน”
หงนัว่ ไฮ่หยิบฎีกาขึ้นมา แล้วอ่าน มือทั้งสองข้าง
ของเขาสั่น จากนั้นก็คุกเข่าลงไปกับพื้น แล้วพูด
ด้วยเสียงที่สั่นว่า “ฝ่าบาท กระ...กระหม่อมถูกใส่
ร้าย ทั้งหมดนี้ไม่เป็นความจริงเลย มีคนให้ร้าย
กระหม่อม”
“ไต้เท้าหง ความผิดในฎีกา ข้ามีหลักฐานทุก
ข้อหา” หูเกิงพูดว่า “ที่บ้านเกิดของท่านมีที่ดิน
อยู่เท่าไหร่ ต้องเสียภาษีเท่าไหร่ ท่านเองก็รดู้ ีอยู่
แก่ใจ แต่ว่าท่านกลับทุจริต ตั้งใจไม่แจ้งยอดจริง
ปกปิดที่ดินจานวนกว่าร้อยไร่ไม่พอ ภาษีที่เก็บได้
ต่อปี ท่านกับเจ้าหน้าที่ท้องที่ส่วนหนึ่งก็เอามา
แบ่งกัน นี่เป็นแค่ความผิดข้อหาเดียว หลังจากที่
ตรวจสอบแล้ว ที่ดินที่ท่านมีในแต่ละที่ รวมแล้วก็
มีกว่าแปดพันไร่ เงินที่ท่านได้มาจากการทุจริต
มากถึงหนึ่งแสนตาลึงในแต่ละปี” พอพูดถึงตรงนี้
หูเกิงก็หยิบบัญชีออกมาเล่มหนึ่ง แล้วพูดว่า “ฝ่า
บาท นี่เป็นรายละเอียดจานวนที่ดินกับยอดภาษี
ที่ดินทั้งหมด จากที่ตรวจสอบเบื้องต้น มันไม่
ตรงกันถึงแปดพันกว่าไร่ ยังมีที่ไม่ได้ตรวจสอบอีก
หากเอามารวมกันแล้ว คิดว่าน่าจะมีเป็นหมื่นไร่
และมีเจ้าหน้าที่ท้องที่มาเกี่ยวข้องถึงหนึ่งร้อยกว่า
คนพะยะค่ะ”
พอหูเกิงพูดออกมา เหล่าขุนนางก็หน้าถอดสี
จั่วซื่อหลางของกรมขุนนางเฉินหลันถิงพูดขึ้นมา
ว่า “หงนั่วไฮ่ เจ้าร้องเรียนตระกูลซือหม่าในท้อง
พระโรงว่ายึดครองที่ดินโดยมิชอบ แต่ว่าเจ้ากลับ
เป็นคนที่ทาซะเอง ตระกูลซือหม่ายึดครองที่ดิน
หนึ่งพันไร่ เพราะต้องซ่อมแซมตาหนักเหวินเต๋อ
เจ้าแจ้งจานวนที่ดินไม่ตรงหลบเลี่ยงภาษี เงินที่
เจ้าได้ไปอย่าบอกนะว่าเจ้าก็เอาไปซ่อมตาหนัก
ด้วย?”
หงนั่วไฮ่สีหน้าซีดขาว ตอนนี้แม้แต่โต้วขุย
เสนาบดีกรมพระคลังเองก็เหงื่อไหลเหมือนกัน
“ฝ่าบาท นอกจากนี้ เมื่อสามปีก่อน หงนั่วไฮ่มี
ญาติห่างๆ คนหนึ่งเป็นพวกอันธพาลอยู่ที่หยงเฟิง
จิว คืนวันแต่งงานของบ้านหลังหนึ่ง พวกเขาบุก
เข้าไปในบ้าน ไม่เพียงขืนใจเจ้าสาว อีกทั้งยังทุบตี
เจ้าบ่าวจนตาย” หูเกิงพูดอย่างหนักแน่นว่า “เกิด
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ แต่ว่าเจ้าหน้าที่ท้องที่กลับจบ
เรื่องนี้ไปอย่างเงียบๆ อีกทั้งคนพวกนั้นก็ไม่ได้รับ
โทษตามกฎหมาย หลังจากการตรวจสอบ
กระหม่อมพบว่าในตอนนั้นหงนั่วไฮ่ได้ทาการ
เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้กับเจ้าหน้าที่ท้องที่ด้วย
ตัวเอง สั่งให้เจ้าหน้าที่กลับผิดเป็นถูก แล้วจบ
เรื่องนี้ไป” พูดจบ เขาก็หยิบจดหมายที่เหลือง
แล้วออกมา “ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรด้วย”
เหล่าขุนนางมั่นใจแล้วว่า วันนี้ที่หงนั่วไฮ่
ร้องเรียนซือหม่าหลันวางแผนมาแล้วอย่างดี
ซื่ออวี้สอื่ หูเกิงร้องเรียนหงนั่วไฮ่ ยิ่งเตรียมตัวมา
พร้อมกว่า แม้แต่จดหมายลับหลายปีก่อนยังหา
มาได้ คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ
หลงไท่รับจดหมายมาดู สีหน้าของเขาดุมาก แต่
เขาไม่ได้พูดอะไร
หูเกิงกลับไม่จบแค่นี้ เขาพูดต่อว่า “หงนั่วไฮ่มีอา
อยู่ท่านหนึ่ง มาเมืองหลวงเมื่อห้าปีก่อน เขาพา ฮู
หยินแซ่หลิวมาหาหงนั่วไฮ่ที่จวน หงนั่วไฮ่ดูแล
ท่านอาท่านนี้เป็นอย่างดี ยังให้เขาเป็นพ่อบ้าน
ของจวนหงอีกด้วย แต่ว่าเมื่อสามปีก่อน ท่านอา
ของไต้เท้าหงท่านนี้อยู่ๆ ก็ตายไป ข่าวที่ได้ยินมา
ก็คือ เขากินเหล้ามากเกินไปแล้วก็ตาย” เขาพูด
ต่อว่า “หลังจากเกิดเรื่องหงนั่วไฮ่ไม่ได้นาศพของ
เขาไปฝัง แต่ว่าเผาแทน จากนั้นค่อยนาขี้เถ้ากลับ
บ้านไปฝัง”
หงนั่วไฮ่ตัวสั่นมาก เขายกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่
หน้าผาก แล้วพูดว่า “ท่านอา...ท่านอาเคยบอกไว้
ว่า หาก...หากว่าเขาตาย ก็...ก็ให้เอาเขากลับไป
ฝังที่บ้านเกิด หยงเฟิงไกลจากเมืองหลวงมาก อีก
ทั้ง...อีกทั้งตอนนั้นก็เป็นหน้าร้อน เพื่อไม่ให้ศพ
เน่าเปื่อย ก็เลย...ก็เลยต้องเผาก่อน แล้วค่อย
ส่งกลับไป”
“อ่อ?” หูเกิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้เท้าหงดีต่อท่านอา
ของท่านจริงๆ เลยนะ จริงสิ ไต้เท้าหง หลังจาก
ท่านอาของท่านตายไปแล้ว ฮูหยินของเขาที่แซ่
หลิวนั่นตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ?”
“ท่านอาสิ้นไป ไม่ได้มีทายาท อาหญิงตัวคนเดียว
ข้าเลยรับนางไว้ดูแล” หงนั่วไฮ่พยายามข่ม
อารมณ์ให้นิ่งแล้วพูดว่า “หูซื่ออวี้สื่อ ทาแบบนี้
หรือว่ามันผิดด้วยหรอ?”
“เลี้ยงดูผู้ใหญ่ ไม่ผิดหรอก” หูเกิงพูดว่า “แต่ว่า
การขืนใจอาหญิง กระทาการต่าทราม มันผิดหรือ
เปล่า?”
เริ่มมีเสียงซุบซิบขึ้นมากมาย
การต่อสู้ในราชสานักดุเดือด แต่ว่าการชี้ความผิด
แบบนี้ ยิ่งเป็นกรณีอย่างนี้ด้วยแล้ว มันน้อยมาก
นี่เท่ากับว่าต้องการให้หงนั่วไฮ่นั้นถึงที่ตายโดย
ทันที
หงนั่วไฮ่ตัวสั่น แล้วพูดว่า “เหลวไหล เจ้า...เจ้า
พูดจาเหลวไหล เจ้ากล้าใส่ร้ายข้าหรอ...” เขาหัน
ไปหาหลงไท่ “ฝ่าบาท เขาพูดจาเหลวไหล ใส่ร้าย
ป้ายสี กระ...กระหม่อมขอให้ฝ่าบาทพิจารณา
ด้วย”
ตอนนี้ฉีหนิงรู้แล้วว่า หูเกิงเตรียมตัวมาอย่างดี ใน
เมื่อกล้าเอาข้อหานี้ในท้องพระโรงแบบนี้ อีกทั้ง
หลักฐานมัดแน่นขนาดนี้ แค่ข้อหาเรื่องที่ดิน มันก็
เพียงพอที่ทาให้หงนั่วไฮ่ดิ้นไปไหนไม่ได้ บวก
ข้อหาที่สองเข้าไปอีก หงนั่วไฮ่แทบจะแก้ตัวไม่ได้
เลย ส่วนข้อหาที่สามจะพูดหรือไม่พูดก็ได้
แต่หูเกิงยังคงพูดถึงเรื่องที่หงนั่วไฮ่กระทาต่าช้า
กับนางหลิว ไม่เพียงทาให้หงนั่วไฮ่ไม่มีทางพลิก
สถานการณ์กลับมาได้อีก อีกทั้งยังทาให้ชื่อเสียง
ของหงนั่วไฮ่ไม่เหลือชิ้นดี ต่อไปมองหน้าใครอีก
ไม่ได้เลย
หูเกิงพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีพยาน สามารถ
ยืนยันได้ว่าท่านอาของหงนั่วไฮ่คนนั้นไม่ได้ตาย
เพราะดื่มเหล้าเกินขนาด แต่ว่าตายเพราะยาพิษ”
เขาพูดขึ้นมาอีกว่า “ตอนที่ท่านอาท่านนี้พานาง
หลิวไปหาหงนั่วไฮ่ หงนั่วไฮ่ดูแลพวกเขาอย่างดี
ไม่ได้เป็นเพราะหงนั่วไฮ่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่า
ก่อน แต่เพราะหงนั่วไฮ่คิดไม่ดี ถึงแม้นางหลิวจะ
เป็นอาสะใภ้ของเขา แต่ว่าอายุยังน้อยกว่าหงนั่ว
ไฮ่กว่าสิบปี ปีนี้นางอายุแค่สามสิบหกเท่านั้น
หน้าตาดีงดงาม หลังจากนางมาที่จวนแล้ว หงนั่ว
ไฮ่ก็ชอบนางทันที เลยรับพวกเขาสองสามีภรรยา
เอาไว้ ที่จริงแล้วหลังจากที่นางหลิวเข้ามาอยู่ใน
จวนได้ไม่ถึงสามเดือน ก็ถูกหงนั่วไฮ่ขืนใจ...”
หงนั่วไฮ่หน้าซีด ตัวสั่นไปทั้งตัว เหงื่อไหลออกมา
มาก แล้วพูดว่า “เหลวไหล เหลวไหล เจ้าใส่ร้าย
ข้า...เหลวไหลทั้งเพ” น้าเสียงของเขาสั่นมาก ไม่มี
แรง จากสภาพของเขา ทุกคนก็รู้ทันทีว่ามันคือ
เรื่องจริง
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่าท่านอาท่านนั้น
ตายไปก็หลายปีแล้ว หากถูกหงนั่วไฮ่ทาร้ายจน
ตายจริง เรื่องนี้จะต้องเป็นความลับมากแน่นอน
แล้วทาไมถึงได้ถูกตรวจพบง่ายแบบนี้? ปฏิกิริยา
ของหงนั่วไฮ่ มันทาให้ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ
“หงนั่วไฮ่ขืนใจนางหลิว โดยฉวยโอกาสตอนที่
ท่านอาท่านนั้นของเขาไม่อยู่” หูเกิงพูดว่า “ปกติ
เขาท่าทางนิ่งมาก แต่ในใจก็ยังกังวลว่าท่านอา
ของเขาจะจับได้ อีกทั้งยังกลัวว่าท่านอาของเขา
จะรู้เรื่อง นางหลิวกลัวอานาจของหงนั่วไฮ่ ถึงแม้
ถูกขืนใจ แต่ก็ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง จึงทาได้เพียง
ต้องทนให้เขาขืนใจอย่างนั้นต่อไป แต่ว่าหงนั่วไฮ่
กลับโหดเหี้ยม คิดอยากเอานางหลิวมาเป็นของ
ตน เลยสั่งให้คนแอบวางยาสังหารท่านอาของเขา
แต่ว่าเขาก็กลัวว่าคนจะจับได้จากศพ เลยรีบใช้ไฟ
เผาทาลายหลักฐาน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางหลิว
ก็ถูกหงนั่วไฮ่ครอบครองไว้ จนถึงวันนี้...”
ตอนนี้ขุนนางไม่น้อยมองไปที่หงนั่วไฮ่ด้วยสายตา
ที่รังเกียจ
“หูเกิง เจ้าสักแต่พูด เจ้ามีหลักฐานไหม?” โต้วขุย
ถามด้วยน้าเสียงเข้ม “หงนั่วไฮ่เป็นถึงซือหลาง
ของกรมพระคลัง หากไม่มีหลักฐาน เจ้าจะมาใส่
ร้ายเขาแบบนี้ไม่ได้นะ”
โต้วขุยก็ช่วยไปแบบไม่มีทางเลือก
เขารู้ดีว่า วันนี้เดิมคิดจะแทงดาบใส่ตระกูลซือ
หม่า ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายเตรียมพร้อมรับมือ
มาแล้ว อีกไม่เพียงแก้ไขสถานการณ์ได้ อีกทั้งยัง
ตอบโต้กลับมาด้วย หงนั่วไฮ่คิดว่าคงช่วยไม่ได้
แล้ว เขาเป็นถึงเสนาบดีกรมพระคลัง หากหงนั่ว
ไฮ่เกิดเรื่อง เขาเองก็จะต้องถูกเชื่อมโยงไปด้วย
เขารู้ว่าหงนั่วไฮ่ตอนนี้ก็เหมือนดินโคลน หาก
เปื้อนมาที่ตัวเขาก็จะสกปรกไปด้วย เขาอยากจะ
ยืนดูอยู่ข้างๆ แต่ว่าหงนั่วไฮ่ยังไงก็เป็นซื่อหลาง
ของกรมพระคลัง เป็นลูกน้องของเขา เขาเองก็รู้
เรื่องเน่าๆ ของเขาไม่น้อย หากไม่ช่วยพูดอะไร
เลย หงนั่วไฮ่อาจจะคิดว่าเห็นเขาจะตายแล้วยังไม่
ช่วยอีก ไม่แน่อาจจะย้อนกลับมาทาร้ายเขาก็ได้
ตอนนี้เขาเลยแสร้งทาเป็นช่วยพูดไป จะได้เห็น
หงนั่วไฮ่รู้ว่าเขาก็ดีอยู่
หูเกิงพูดว่า “ไต้เท้าโต้ววางใจได้ ในเมื่อข้าน้อย
ออกมาร้องเรียน ข้าเองก็ต้องเตรียมหลักฐาน
เอาไว้แล้ว หงนั่วไฮ่ปกปิดข้อมูลที่ดิน เรื่องนี้หาก
ไต้เท้าโต้วตรวจสอบให้ดี คงตรวจเจอไปนานแล้ว
แต่ว่าไต้เท้าโต้วมีงานมาก เรื่องของทางกรมพระ
คลังก็ซับซ้อนจุกจิก หงนั่วไฮ่ปกปิดข้อมูล ไต้เท้า
โต้วไม่สามารถตรวจสอบเรื่องนี้ คิดว่าเรื่องนี้ท่าน
เองก็มีโทษที่ละเลยต่อหน้าที่ ข้าน้อยได้ตรวจสอบ
เรื่องของที่ดินแล้วถวายให้ฝ่าบาทแล้ว ขอแค่ส่ง
คนไปตรวจสอบอย่างละเอียด ก็จะรู้ทันที ว่าเรื่อง
การทุจริต เรื่องจดหมายลับ อีกทั้งยังสั่งให้
เจ้าหน้าที่ท้องที่ในตอนนั้น ทั้งหมดตอนนี้อยู่ที่
เมืองหลวง จะเอาหลักฐานเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น”
“แล้วที่เจ้าบอกว่าหงซื่อหลางขืนใจอาสะใภ้ของ
ตัวเองนั้น เจ้ามีหลักฐานหรือเปล่า?” โต้วขุยพูด
หูเกิงยิ้มแล้วพูดว่า “มีอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีหลายคน
เป็นพยานด้วย คนหนึ่งคือพ่อบ้านใหญ่ของ
ตระกูลหง หลังจากท่านอาท่านนั้นตายไป เขา
ขึ้นมาแทนตาแหน่งของท่านอา เป็นพ่อบ้านใหญ่
ในจวนของหงซื่อหลาง ตอนนั้นเขาคือคนที่รบั
คาสั่งให้วางยาพิษสังหารท่านอาท่านนั้น เขาเป็น
หนึง่ ในพยาน...” เขาเหลือบไปมองหงนั่วไฮ่แล้ว
พูดว่า “ส่วนพยานอีกคนก็คือ นางหลิว นางได้
เล่าทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบมาเรียบร้อยแล้ว”
ฉีหนิงหลับตา แอบคิดในใจว่าเหตุการณ์พลิกผัน
เร็วมาก แม้แต่พ่อบ้านใหญ่ของจวนหงกับนาง
หลิวก็มาเป็นพยานให้ หงนั่วไฮ่ตายแน่นอน
พ่อบ้านใหญ่เป็นพ่อบ้านของจวนหง ตอนนั้นรับ
คาสั่งให้วางยาสั่งหารท่านอาคนนั้น แสดงว่าต้อง
เป็นคนสนิทของหงนั่วไฮ่ อีกทั้งนางหลิวที่ถูกขืน
ใจ สาหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะ
ให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด แต่ว่านางกลับยอมให้
เปิดเผยเรื่องนี้ แสดงว่านางจะต้องกล้าหาญมาก
หูเกิงมีสองคนนี้เป็นพยาน ถือว่าสุดยอดมาก
โต้วขุยยิ้มแล้วพูดว่า “สองคนนี้กินบนเรือนขี้รด
บนหลังคา เป็นไปได้ไหมว่ารับเงินมา แล้วมาใส่
ร้ายหงซื่อหลาง? เรื่องต่าช้าแบบนี้ จะเชื่อทั้งหมด
ไม่ได้”
“ไต้เท้าโต้วพูดถูกต้องแล้ว” หูเกิงพูดว่า “แต่ว่า
นางหลิวรู้จักร่างกายของหงนั่วไฮ่เป็นอย่างดี
สามารถจาจุดลับในร่างกายของหงนั่วไฮ่ได้เป็น
อย่างดี หากไม่ได้เคยมีสัมพันธ์ทางร่างกาย คน
นอกจะไปรู้เรื่องลับๆ ในร่างกายของเขาได้ยังไง
กัน? หากทุกท่านไม่เชื่อ จะให้เบิกตัวนางหลิวมา
ในท้องพระโรงก็ได้ แล้วให้นางได้พูดต่อหน้าพวก
เราเลย ให้เหล่าขุนนางเป็นพยาน ดูสิว่ามันเป็น
เรื่องจริงหรือเปล่า”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 540 ออกหน้า
หูเกิงต้องการให้นางหลิวมาที่ท้องพระโรงเพื่อเป็น
พยาน มีคนออกมาจากแถวแล้วพูดว่า “ทูลฝ่า
บาท นางหลิวเป็นเพียงหญิงสามัญชน ไม่อาจมา
ที่ท้องพระโรงได้ คดีนี้ในเมื่อมีหลักฐานแล้ว
สามารถส่งหลักฐานและพยานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ให้กับทางกรมอาญา ให้ทางกรมอาญาทาการ
สอบสวนคดีนี้อย่างละเอียด ไม่จาเป็นต้องให้มาที่
ท้องพระโรงพะยะค่ะ”
คนๆ นี้แก่มากแล้ว อายุน่าจะเกือบเจ็ดสิบ หนวด
เคราขาว เขาโค้งตัวลงเล็กน้อย
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านเสนาบดีหยวน
พูดถูกแล้ว คดีนี้ก็ให้กรมอาญาไปจัดการ ทุกคนที่
เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ให้ลงโทษอย่างหนัก ห้าม
ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว” เขาพูดด้วยน้าเสียงที่
เข้มมาก “ทหาร มาเอาตัวหงนั่วไฮ่ออกไป ขังไว้ที่
คุกกรมอาญาก่อน”
ฉีหนิงรู้ว่าท่านผู้นี้น่าจะเป็นท่านปู่ของหยวนหยง
เสนาบดีกรมพิธีการ
ทหารที่อยู่นอกตาหนัก เข้ามาเอาตัวหงนั่วไฮ่ออก
ไป ภายในตาหนักเงียบลงทันที
ตาแหน่งของหงนั่วไฮ่คงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว ไม่
แน่ว่าชีวิตก็อาจจะไม่รอดเช่นกัน หูเกิงดาบนี้โหด
มากไม่มีความปราณีเลย พูดได้ว่าเฉือนกันทะลุคอ
ไหวหนานอ๋องกับเจิ่นกั๋วกงท่าทีนิ่งเหมือนเดิม
พวกของซือหม่าฉางเซิ่นสีหน้าเปลี่ยน ส่วนโต้วขุย
หน้าซีด
การต่อสู้ในวันนี้ ฝ่ายของเจิ่นกั๋วกงถือว่าชนะขาด
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลงไท่ก็พูดขึ้นมาว่า
“ทุกท่านยังมีเรื่องอะไรจะรายงานอีกไหม?”
ขุนนางทุกคนเงียบสนิท
หลงไท่กวาดสายตามองไป สายตาของเขามันไป
จบที่ท่านเสนาบดีหยวน ท่านเสนาบดีหยวนเห็น
หลงไท่มองมา เหมือนลังเลไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้าย
ก็เดินออกมาจากแถวยกมือคานับแล้วพูดว่า
“กระหม่อมมีเรื่องจะทูลพะยะค่ะ”
เหล่าขุนนางต่างตื่นกลัวกันไปหมด คิดกันว่าต่อ
ไปจะมีเรื่องอะไรอีก ตอนนี้เห็นท่านเสนาบดี
หยวนเดินออกมาจากแถว พวกเขาก็ผ่อนคลายลง
มาก
เหล่าขุนนางต่างรู้ดีว่า ท่านเสนาบดีหยวนนั้นเป็น
คนทาอะไรระมัดระวัง ไม่สนิทกับไหวหนานอ๋อง
อีกทั้งไม่ค่อยไปมาหาสู่กับเจิ่นกั๋วกงด้วย ไม่อยู่
ฝ่ายใดทั้งนั้น มีศัตรูน้อยมาก อีกทั้งท่านเสนาบดี
ท่านนี้ยังเป็นบัณฑิตที่เน้นตารา มีศิษย์มากมาย
ในสายตาของพวกบัณฑิตเขาถือว่าเป็นผู้มีบารมี
มาก
เขาดูแลกรมพิธีการ เรื่องในกรมพิธีการส่วนมาก
สั่งให้ลูกน้องไปทา ปกติไม่สร้างศัตรูกับใคร อีกทั้ง
ยังไม่ค่อยมีใครมาหาเรื่องเขาด้วย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เวลาท่านเสนาบดีท่านนี้มา
ประชุม ส่วนมากก็มายืนเฉยๆ อยู่ในแถว ไม่ค่อย
พูดอะไรเท่าไหร่
วันนี้เหมือนพระอาทิตย์จะขึ้นผิดฝั่ง อีกทั้งยังหลัง
จากที่เกิดการต่อสู้ฉากใหญ่ด้วย เหล่าขุนนางเลย
ไม่รู้ว่าท่านเสนาบดีท่านนี้คิดจะทาอะไร
หลงไท่ยิ้มแล้วถามว่า “ท่านเสนาหยวนมีอะไรจะ
พูดหรอ?”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมดูแลกรมพิธีการ มีหน้าที่
อยู่กับตัว” เสนาบดีหยวนพูดว่า “ฝ่าบาทขึ้น
ครองราชย์ ชาวประชามีความสุขสงบ แต่...แต่
กระหม่อมอยากจะทูลขอให้ฝ่าบาททรงเลือกวัน
อภิเษกสมรส แต่งตั้งฮ่องเฮา เพื่อให้วังหลัง
สมบูรณ์ มังกรคู่หงส์ ถือเป็นมงคล ขอฝ่าบาททรง
พิจารณาด้วย”
เหล่าขุนนางเข้าใจขึ้นมาทันที ที่แท้ท่านเสนาบดี
หยวนก็อยากจะให้ฝ่าบาทได้อภิเษกสมรส
หลงไท่ครองราชย์อย่างสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งอายุก็
ถึงเกณฑ์ที่จะแต่งงาน ตอนนี้เสนอให้ฮ่องเต้
อภิเษกสมรส ก็ถือเป็นหน้าที่ของกรมพิธีการ ใน
ราชสานักทั้งหมด ก็มีแต่ท่านเสนาบดีหยวนนี่
แหละทีเ่ หมาะสมที่จะเสนอเรื่องนี้
สถานการณ์ก่อนหน้านี้สู้กันจะเป็นจะตายเหล่า
ขุนนางเครียดจนหัวจะระเบิด ในตอนนี้ได้ยินท่าน
เสนาบดีหยวนทูลเสนอให้ฮ่องเต้อภิเษกสมรส ก็
ถือเป็นเรื่องมงคลเรื่องดี เหล่าขุนนางถึงกับโล่งใจ
ฉีหนิงรู้อยู่แล้วว่า หลงไท่ต้องการพูดเรื่องการ
แต่งงานในวันนี้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะให้ท่าน
เสนาบดีหยวนเป็นคนเปิดเรื่อง
เขาเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา แสดงว่าเรื่องนี้
ฮ่องเต้น้อยจะต้องเตรียมการไว้แล้ว ท่านเสนาบดี
หยวนเลือกเสนอในเวลานี้ในท้องพระโรง หากเดา
ไม่ผิด ฮ่องเต้น้อยจะต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่
นอน ฮ่องเต้น้อยจะต้องสั่งให้คนส่งสารลับไปให้
ท่านเสนาหยวนให้เขาเสนอเรื่องนี้ในที่ประชุม
เมื่อทาแบบนี้แล้วเรื่องนี้ก็จะต้องตัดสินใจในที่
ประชุม ต่อให้มีคนไม่เห็นด้วย ก็ปฏิเสธอะไรไม่ได้
อีก
เขาอดที่จะเหลือบไปมองเจิ่นกั๋วกงไม่ได้ เขาเห็น
เจิ่นกั๋วกงยังคงมีท่าทีที่นิ่งมาก แต่ว่าเหมือน
ท่าทางการยืนของเขาจะเปลี่ยนไป
หลงไท่นิ่งมาก จากนั้นก็ถามว่า “ก่อนที่เสด็จพ่อ
จะสิ้นพระชนม์ ไม่ได้เลือกใครไว้ก่อน ท่าน
เสนาบดีหยวน ข้า...ข้าจะต้องจัดการเรื่องนี้
ยังไง?”
ในที่สุดเจิ่นกั๋วกงก็พดู ขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ถึงแม้
อดีตฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ว่าไท่เฮา
สามารถช่วยฝ่าบาทคัดเลือกได้ ฝ่าบาทสามารถ
ไปทูลขอคาชี้แนะกับไท่เฮาได้พะยะค่ะ”
“อ๋อ?” หลงไท่สีหน้าไม่เปลี่ยน “เจิ่นกั๋วกง ท่าน
หมายความว่าใครจะมาเป็นฮ่องเฮานั้น ก็ให้ไท่
เฮาเป็นคนเลือกอย่างนั้นหรอ?”
เจิ่นกั๋วกงรีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “กระหม่อมไม่ได้
หมายความว่าอย่างนั้น ฝ่าบาทไม่ทราบว่าจะ
แต่งตั้งใครเป็นฮ่องเฮา กระหม่อมถึงได้ทูลให้ฝ่า
บาทไปขอความช่วยเหลือกับไท่เฮา เรื่องในพระ
ราชวงศ์ไม่มีเรื่องส่วนตัว การอภิเษกสมรสของฝ่า
บาท ก็ถือเป็นราชกิจอย่างหนึ่ง กระหม่อมยินดี
จะพาเหล่าขุนนางไปหารือกับไท่เฮา ให้ไท่เฮาทรง
ชี้แนะในเรื่องนี้พะยะค่ะ”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “กั๋วกงพูดถูกแล้ว เรื่องใน
พระราชวงศ์ไม่มีเรื่องส่วนตัว การแต่งงานของข้า
ก็ถือเป็นราชกิจ” เขาหยุดพูดไป แล้วพูดว่า
“ดังนั้นข้าเลยคิดว่า ข้าอยากจะใช้งานแต่งงาน
ของข้า ทาคุณประโยชน์ให้กับแคว้นฉู่”
เหล่าขุนนางต่างก็งง เจิ่นกั๋วกงเองก็ตะลึง แล้วพูด
ว่า “ฝ่าบาททรงชี้แนะด้วย”
“ต้าฉู่ของเราสู้รบกับเป่ยฮั่นมานาน ทั้งสองฝ่าย
บาดเจ็บล้มตายเป็นจานวนมาก ทาให้ประเทศ
อ่อนแอลงไปไม่น้อย” หลงไท่พูดด้วยท่าทีที่นิ่ง
มาก “เป่ยฮั่นไม่สงบ สงครามก็ไม่มีทางจบ
ชาวบ้านก็ไม่มีทางอยู่กันได้อย่างสงบ ทุกครั้งที่ข้า
คิดถึงเรื่องนี้ ก็รู้สึกไม่สบายใจ” เขามองไปทั่วๆ
แล้วพูดขึ้นมาว่า “ทุกท่าน ในเมื่อการแต่งงาน
ของข้าก็ถือเป็นราชกิจสาคัญของบ้านเมือง อีกทั้ง
วันนี้ท่านเสนาบดีหยวนก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทุก
คนสามารถพูดความเห็นกันออกมาได้เลย ข้าจะ
ไม่ถือว่าเป็นความผิด ลองดูสิว่าการแต่งงานของ
ข้าจะสามารถทาคุณประโยชน์ให้แคว้นของเราได้
อย่างไร?”
ที่จริงในบรรดาขุนนาง มีคนไม่น้อยได้ยินมาว่า
ตระกูลซือหม่าอยากจะให้คุณหนูใหญ่เข้าวัง เป็น
มารดาแผ่นดิน สถานการณ์ในวันนี้ ทุกคนก็เห็น
กันอยู่ หงนั่วไฮ่ออกมาชักดาบ แต่กลับถูกฆ่าตาย
ซะเอง อีกทั้งยังตายอย่างอนาถด้วย หากพูดอะไร
ไปตอนนี้ ทาให้ตระกูลซือหม่าไม่พอใจ อาจเป็น
ภัยมาถึงตัวก็ได้
ทุกคนอยากจะไหลไปตามน้า เสนอคุณหนูใหญ่
ตระกูลซือหม่าไป แต่ว่าเหล่าขุนนางก็ไม่ได้กิน
หญ้าเป็นอาหาร หากฮ่องเต้น้อยอยากได้คุณหนู
ใหญ่ตระกูลซือหม่าเข้าวัง ก็ไม่จาเป็นต้องมา
หารือในท้องพระโรงให้วุ่นวาย แต่ในเมื่อพระองค์
สอบถามมาแบบนี้ แสดงว่าต้องคิดอะไรมากกว่า
นั้น พระองค์คงไม่อยากให้คุณหนูใหญ่ตระกูลซือ
หม่าเข้าวัง หากเสนอคุณหนูใหญ่ไป เท่ากับอยู่คน
ละฝ่ายกับฮ่องเต้น้อย อาจทาให้พระองค์ไม่พอใจ
ได้
ถึงแม้หลงไท่จะขึ้นครองราชย์ไม่นาน ยังนั่ง
บัลลังก์ไม่มั่นคง อานาจในราชสานักก็ยังอยู่ในมือ
ของตระกูลซือหม่า แต่ว่าฮ่องเต้ยังไงก็คือฮ่องเต้
ตอนนี้ฮ่องเต้น้อยก็ได้ทาการบริหารราชกิจแล้ว
หากทาให้ฮ่องเต้ไม่พอใจ เมื่อไหร่ก็ตามฮ่องเต้ปีก
แข็งเมื่อไหร่ แล้วคิดบัญชีย้อนหลัง จะมีภัยเข้าถึง
ตัว
ในเมื่อไม่มีใครพูดอะไร เหล่าขุนนางก็ก้มหน้าลง
ไม่กล้าพูดอะไร
ไหวหนานอ๋องเหมือนจะขยับเล็กน้อยเหมือน
อยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ส่วน
เหยียนไถหวงไม่พูดอะไรตั้งแต่มา ยังคงนั่งอยู่ที่
เก้าอี้เหมือนเดิม เหมือนจะหลับไปแล้ว
ท่ามกลางความเงียบ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพูด
ขึ้นมาว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจทูล
เสนอความเห็น” ทุกคนหันไปมอง คนที่พูดนั่นคือ
จิ่นอีโหวฉีหนิงนั่นเอง
ฉีหนิงรู้ว่าเขาจะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว
เหล่าขุนนางไม่มีใครกล้าพูดอะไรเลย เขาก็เดา
ความคิดของพวกเขาได้ ไม่ได้แค่กลัวอานาจของ
ตระกูลซือหม่าเท่านั้น เสนาบดีหยวนถึงแม้จะทูล
เสนอให้อภิเษกสมรส แต่พอถามถึงคนที่เหมาะ
สม แต่ละคนก็แกล้งโง่กันหมด ไม่พูดไม่จา ไหว
หนานอ๋องตอนนี้ยังไม่เคลื่อนไหว ฉีหนิงรู้ว่า หาก
เขาไม่ออกหน้าในตอนนี้ คิดว่าคงไม่มีใครตอบรับ
คาพูดของฮ่องเต้น้อยอีก
ฮ่องเต้น้อยบอกแผนให้เขารู้ก่อนแล้ว ถึงแม้จะ
ไม่ได้พูดชัด แต่ว่าฮ่องเต้น้อยก็คงอยากให้เขาออก
หน้าพูดในสถานการณ์แบบนี้แน่นอน
คนที่อยู่เบื้องหลังเขาไม่ใช่ไหวหนานอ๋อง อีกทั้ง
ไม่ใช่เจิ่นกั๋วกง แต่คือฮ่องเต้น้อย อีกทั้งเขากับ
ฮ่องเต้น้อยก็สนิทกันมาก ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือว่า
เรื่องส่วนตัว ในเวลาแบบนี้เขาจะนิ่งเฉยแกล้งโง่
ไม่ได้
สายตาของฮ่องเต้น้อยเป็นประกายขึ้นมา แล้วรีบ
พูดว่า “จิ่นอีโหว เจ้ามีข้อเสนอความเห็นอะไร
พูดมาได้เลย”
ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาทอยากให้การอภิเษกของ
พระองค์มีประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง คิดถึง
แผ่นดินมาก่อน เป็นห่วงเป็นใยชาวบ้าน ถือว่าหา
ได้ยากนัก”
ฮ่องเต้น้อยกระพริบตา แอบคิดในใจว่าในเวลา
แบบนี้ไม่ต้องมาประจบได้ไหม เข้าเรื่องเลย
“สถานการณ์ในตอนนี้ มีแคว้นใหญ่สามแคว้น” ฉี
หนิงวางโครงเรื่องที่จะพูดไว้แล้ว เขาพูดอย่างมี
หลักการว่า “แคว้นฉู่ของเราสู้รบกับเป่ยฮั่น
สถานการณ์ยังคงตึงเครียด กระหม่อมขอบังอาจ
กราบทูลตามตรงว่า สภาพการปกครองของทั้ง
สองฝ่าย ทางเป่ยฮั่นเองอยากจะยึดครองต้าฉู่ของ
เรา คนบ้าเท่านั้นถึงจะคิดแบบนี้ แต่ว่าต้าฉู่ของ
เราเองก็อยากจะการาบเป่ยฮั่นให้ได้ แต่มันก็ไม่ใช่
เรื่องง่าย”
เหล่าขุนนางคิดในใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใครก็รู้
ไม่เห็นจาเป็นต้องพูดเลย
ฮ่องเต้น้อยพยักหน้า แล้วพูดว่า “จิ่นอีโหวพูดถูก
แล้ว เป่ยฮั่นไม่มีทางล่มสลายในเร็ววันแน่ ต้าฉู่
ของเราก็ต้องพักรบ เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์”
“ฝ่าบาท เราอยากจะพักรบ แต่ว่าชาวเป่ยฮั่น
อาจจะไม่คิดแบบนั้น พวกเขาไม่รู้ว่าจะกลับมาบุก
อีกเมื่อไหร่” ฉีหนิงพูดต่อว่า “เป่ยฮั่นมีทหารกล้า
พร้อม หากลงใต้มาอีก เราจะทายังไง?”
“หากพวกเขาคิดจะลงใต้ เราก็ต้องส่งทหารไปดัก
ทางน้าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะให้พวกเขาลงใต้
สาเร็จหรือยังไง?” แม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมา
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง แต่ว่าถ้าเป็นอย่าง
นั้น ต้าฉู่ของเราจะมีโอกาสได้พักจริงหรอ”
ไหวหนานอ๋องเหมือนจะฟังออกว่ามันมีอะไร เขา
ยิ้มแล้วถามว่า “หรือว่าจิ่นอีโหวมีวิธีอะไรดีๆ
อย่างนั้นหรือ?”
“ฝ่าบาท ทรงอย่าลืมน่ะว่ายังมีแคว้นเล็กๆ อย่าง
ตงฉีอยู่อีก” ฉีหนิงพูดว่า “ถึงแม้ตงฉีจะเป็นแคว้น
เล็กประชากรน้อย กาลังประเทศไม่ได้เข้มแข็ง
เทียบกับแคว้นฉู่กับเป่ยฮั่นไม่ได้ แต่ว่าแคว้นเล็กๆ
แบบนี้ กลับสามารถตัดสินชะตาของแคว้นใหญ่
สองแคว้นได้ กองทัพตงฉีเป็นกองกาลังทางน้าที่
แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า แม่ทัพของพวกเขาออก
เรือนาทัพมายังแม่น้าฉินไหวเมื่อไหร่ ไม่ว่าต้าฉู่
หรือว่าเป่ยฮั่น ก็ไม่สามารถข้ามผ่านดินแดนของ
พวกเขาไปได้เลย”
เหล่าขุนนางไม่น้อยพยักหน้า คิดในใจว่าโหวน้อย
เองก็มีความรู้ไม่น้อยเลย ทัพเรือของตงฉีถือได้ว่า
แข็งแกร่งมากที่สุดในใต้หล้าตอนนี้ หากเปิด
น่านน้าเมื่อไหร่ ไม่ว่าต้าฉู่หรือว่าเป่ยฮั่น ก็ไม่มี
ทางเอาชนะได้เลย หากเป็นอย่างที่ฉีหนิงพูดจริง
แม่ทัพของพวกเขาออกเรือนาทัพมายังแม่น้าฉิน
ไหวเมื่อไหร่ ก็เหมือนกับป้อมปราการทางน้า ที่
ใครก็ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้เลย
“หากแม่ทัพเรือตงฉีช่วยเราขัดขวางทัพเป่ยฮั่น
ข้ามน่านน้าเข้ามา อีกทั้งยังก่อกวนชายแดนของ
พวกเขาเป็นระยะๆ กองทัพของเราไม่เพียง
สามารถพักรบฟื้นฟูกองทัพได้ อีกทั้งเป่ยฮั่นเองก็
จะต้องแบ่งคนไปรับมือตงฉีไม่มีเวลามายุ่งกับเรา
มากนัก” ฉีหนิงพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น อีกไม่กี่ปี
เมื่อทหารกล้าของเราพร้อมแล้ว รวมกับทหาร
ตงฉีขึ้นเหนือไปปราบฮั่น เราจะต้องชนะ
แน่นอน”
เมื่อพูดจบ ซื่อหลางกรมกลาโหมหลูเซียวก็อดพูด
ไม่ได้ว่า “ที่ท่านจิ่นอีโหวพูดมาก็มีเหตุผล แต่ว่า
ข้าน้อยขอถามท่านสักคา ทาไมตงฉีจะช่วยเรา
ด้วย? แล้วทาไมต้องช่วยเรารบกับเป่ยฮั่นด้วย?
นโยบายของตงฉี ก็คือสมานฉันท์กันทั้งสองฝ่าย
พวกเขาไม่อยากถูกรุกรานจากเป่ยฮั่น อีกทั้งไม่
อยากเห็นเราขยายอาณาเขตอานาจ พวกเขา
ไม่ใช่คนโง่ เมื่อไหร่ที่เราสามารถปราบเป่ยฮัน่ ได้
เราจะยังปล่อยให้ตงฉีเป็นแคว้นต่อไปได้อีกหรอ?
พวกเขามีความจาเป็นอะไรที่จะต้องช่วยต้าฉู่เรา
ทาศึกกับเป่ยฮั่นด้วย?” เขายิ้มแล้วพูดว่า “สิ่งที่
โหวเยว่คิด มันก็แค่แผนการบนกระดาษเปล่า
เท่านั้น แต่มันทาจริงไม่ได้”
หลายคนหัวเราะ
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกเรื่องอยู่ที่การกระทา
รวมกองทัพปราบฮั่นไม่สามารถทาได้ง่ายๆ
ในตอนนี้ แต่ว่าจะให้ชาวตงฉีช่วยเราทางทัพเรือ
ขวางไม่ให้ชาวเป่ยฮั่นรุกทางน้ามา ไม่ใช่เรื่องยาก
ขอแค่มีชาวตงฉีช่วย ชาวเป่ยฮั่นไม่มีทางข้าม
น่านน้าฉินไหวมาได้แน่นอน แต่ว่าเรากลับ
สามารถบุกเข้าไปในน่านน้าของพวกเขาได้ จะรับ
จะรุกแล้วแต่เรา”
หลูเซียวพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยเมื่อครู่ก็พูดแล้ว
พวกเขาทาไมต้องช่วยเราด้วย? ตอนที่อดีตฮ่องเต้
ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ เราเคยส่งทูตไปเจรจาตั้ง
หลายครั้ง เป่ยฮั่นเองก็ส่งทูตไปเจรจาเช่นกัน แต่
ว่าทางตงฉีไม่ได้ตอบรับใครเลย แม้แต่ตอนทาศึก
ใหญ่ฉินไหว ชาวตงฉีก็นั่งมองเสือสองตัวสู้กันนิ่ง
ๆ” เขาพูดว่า “ฮ่องเต้ตงฉีถึงแม้จะเป็นคนไม่เอา
ไหน แต่ว่าผู้ช่วยของเขาต่างก็เป็นคนเก่ง หนึ่ง
เสนาหนึ่งขุนพล พวกเขาล้วนแต่เป็นคนมี
ความสามารถ ไม่ใช่ว่าเราจะไปพูดกล่อมพวกเขา
ได้ง่าย ๆ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าผู้ช่วยสองคนของตงฉีนี่ใครกัน?
แต่ว่าตอนนี้เขาไม่ได้มีเวลามานั่งคิด เขาพูดว่า
“ไต้เท้าหลู หากว่าต้าฉู่ของเราแต่งงานเชื่อม
สัมพันธ์กับทางตงฉีล่ะ ไม่รู้ว่าแบบนี้เราตงฉีจะ
ช่วยเราหรือเปล่า?”
พอเขาพูดประโยคนี้ออกมา มีหลายคนต่างตกใจ
เจิ่นกั๋วกงเดาความคิดของฉีหนิงออกนานแล้ว
มองมาที่เขา จากนั้นก็ได้ยินฉีหนิงพูดต่อไปว่า
“หากฝ่าบาทรงอภิเษกสมรสกับองค์หญิงตงฉี
แต่งตั้งนางเป็นฮ่องเฮา ชาวตงฉีจะต้องรู้สึก
ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของต้าฉู่เรา หาก
เรื่องแค่นี้เขายังไม่ช่วย มันก็ไม่ดีเท่าไหร่” เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “อีกอย่างหากองค์หญิงของตงฉีกลาย
มาเป็นฮ่องเฮาของต้าฉู่ ก็สามารถให้องค์หญิง
ท่านนี้ช่วยเราประสาน ชาวตงฉียงั ไงก็ต้องเข้า
หาต้าฉู่ของเรามากกว่า ไต้เท้าหลู ไม่ทราบว่าที่ข้า
พูดไปนั้นมีเหตุผลหรือเปล่า?”
“เยี่ยมมาก” ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า
“จิ่นอีโหวสมเป็นคนหนุ่มไฟแรงมีความสามารถ
จริงๆ วิธีนี้ยอดเยี่ยมมาก แต่งงานกับองค์หญิง
ตงฉี เชื่อมสัมพันธ์ทางการทูตด้วยการแต่งงาน
เรื่องนี้เป็นผลดีต่อต้าฉู่ของเรามาก ไม่เพียงทาให้
ตงฉีเข้าข้างเรา ยังทาให้ชาวเป่ยฮั่นไม่กล้าทา
อะไรเราง่ายๆ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เป็น
แผนที่ยอดเยี่ยมมาก”
คนที่พูดไม่ใช่ใครที่ไหน ไหวหนานอ๋องนั่นเอง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 541 แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
หลายต่อหลายคนก็เดาไว้อยู่แล้วว่า ไหวหนาน
อ๋องจะต้องออกมาพูดอะไร
ตระกูลซือหม่าอยากให้คุณหนูใหญ่ของตระกูลเข้า
วัง และแต่งตั้งนางเป็นฮ่องเฮา มีคนไม่น้อยรู้เรื่อง
นี้ดี
ตอนที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต เกิดเหตุการณ์หลาย
อย่าง ซือหม่าหลันก็รีบสั่งโยกกาลังทหารค่ายดาบ
ดาเข้ามาในเมืองหลวง และช่วยเหลือหลงไท่จน
ได้รับสืบทอดบัลลังก์ เลยได้สร้างผลงานใหญ่จาก
เหตุการณ์นั้น ตระกูลซือหม่าก็มีอานาจบารมีไร้
ขีดจากัด เหล่าขุนนาง ไม่มีใครที่อานาจบารมี
เทียบเท่ากับตระกูลซือหม่า
ไท่เฮาองค์ปัจจุบันเป็นลูกสาวคนโตของซือหม่า
หลัน ซือหม่าหลันได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเจิ่นกั๋ว
กง ส่วนลูกชายซือหม่าฉางเซิ่นก็ได้สืบทอด
ตาแหน่งจงอี้โหว คนที่เข้าพวกกับตระกูลซือหม่า
มีมาก อานาจของพวกเขาในตอนนี้ล้นเหลือ หาก
คุณหนูใหญ่ซือหม่าเข้าวังอีก คราวนี้ไม่ว่านอก
หรือในวังหลวง ก็จะมีแต่คนของตระกูลซือหม่า
ถึงเวลานั้นเจ้าแผ่นดินต้าฉู่คงไม่ได้แซ่เซียวแต่คือ
เปลี่ยนเป็นซือหม่า
มีคนคิดว่าการเข้ากับตระกูลซือหม่าก็เพื่อจะได้
เลื่อนขั้นเลื่อนตาแหน่ง แต่ว่าคนที่ไม่พอใจใน
ตระกูลซือหม่าเองก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
พวกของไหวหนานอ๋องไม่ต้องพูดถึง ขุนนางอีก
หลายคนคิดว่า อานาจของตระกูลซือหม่ามีมาก
เกินไป เป็นภัยต่อราชบัลลังก์ เมื่ออยู่ในตาแหน่ง
ที่สูงแล้วก็มกั มีแนวโน้มตกเป็นเป้าโจมตี ถึงแม้
ตระกูลซือหม่าจะมีอานาจมาก แต่ก็ทาให้ใคร
หลายคนไม่พอใจ
ขุนนางน้อยใหญ่ในราชสานัก กลุ่มที่สามารถ
ต่อกรกับตระกูลซือหม่าได้ ก็มีแค่ไหวหนานอ๋อง
เท่านั้น
บรรดาศักดิ์โหวสืบทอดอีกสามตระกูลที่เหลือ จิน
เตาโหวไม่ยุ่งกับใคร อู๋เซียงโหวซูเจินสนิทกับไหว
หนานอ๋องมากหน่อย ส่วนโหวน้อยจินอีโหวฉีหนิง
ก็เหมือนจะสนิทสนมกับฮ่องเต้มากกว่า อีกทั้งยัง
ได้รับการไว้วางใจจากฮ่องเต้น้อยมากด้วย
บรรดาศักดิ์โหวสืบทอดอีกสามตระกูลที่เหลือ ไม่
ว่าคนไหนก็ไม่มีอานาจมากพอที่จะต่อกรกับ
ตระกูลซือหม่าเลย
เหล่าขุนนางรู้ดีว่า ตระกูลซือหม่าก้าวหน้ารวดเร็ว
ในบรรดาขุนนาง คนที่อิจฉาและโกรธแค้นมาก
ที่สุดก็น่าจะเป็นไหวหนานอ๋อง ขอแค่มีโอกาส
ไหวหนานอ๋องไม่มีทางปล่อยให้ซือหม่าหลันทา
อะไรได้ง่ายๆ แน่นอน
ตระกูลซือหม่ากับไหวหนานตอนนี้เป็นศัตรูกัน
อย่างเปิดเผย ทั้งสองฝ่ายเดินมาจนถึงจุดนี้แล้ว ก็
ไม่มีทางถอยหลังไปอีก การต่อสู้แบบนี้ มีแต่รุกไม่
มีถออย การเผชิญหน้ามีแต่สาเร็จไม่ก็ล้มเหลว
เท่านั้น เล่นกับอานาจ ผลของการพ่ายแพ้
ร้ายแรงยากจะบรรยาย
หลงไท่ยินดีมากที่เห็นไหวหนานอ๋องออกหน้ามา
ในเวลาที่เหมาะสมแบบนี้ เขาดีใจมาก แต่ว่าท่าที
ของเขายังคงนิ่งอยู่ เขาถามว่า “เสด็จอา ท่าน
รู้สึกว่าต้าฉู่ของเราทาการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
กับตงฉีได้อย่างนั้นหรอ?”
ไหวหนานอ๋องตอบกลับด้วยความเคารพว่า “ฝ่า
บาท สงครามของต้าฉู่กับเป่ยฮั่น ตงฉีเป็นตัวแปร
ที่สาคัญมาก ไม่ว่าเราหรือว่าเป่ยฮั่นแคว้นใด
แคว้นหนึ่งได้รับไมตรีที่ดีจากตงฉี ก็จะได้รับ
ผลประโยชน์มากมาย หลายปีที่ผ่านมา ต้าฉู่ของ
เราลงทุนลงแรงไปมากมาย ชาวเป่ยฮั่นเองก็ไม่
ต่างจากเราคิดอยากจะได้ตงฉีเป็นพันธมิตรร่วม
แคว้น แต่กลับทาไม่สาเร็จ” เขาหยุดไป แล้วพูด
ต่อว่า “สถานการณ์ของเรากับเป่ยฮั่นในตอนนี้ ก็
อย่างกับที่จิ่นอีโหวกล่าวมา ต้องการรักษาสมดุล
เอาไว้ ตงฉีก็เหมือนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ไม่ว่า
จะวางไปที่ตรงไหน แผ่นดินก็ต้องเอียง ความเห็น
ที่จิ่นอีโหวเสนอมาในวันนี้ มันทาให้กระหม่อมได้
สติ หากฝ่าบาทส่งราชทูตไปขออภิเษกเชื่อม
สัมพันธ์ กระหม่อมคิดว่าตงฉีเองก็ต้องเห็นแก่
ประโยชน์ของตงฉีมาก่อน พวกเขาต้องคิด
พิจารณาอย่างรอบคอบแน่นอน หากเราทาสาเร็จ
ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่จิ่นอีโหวกล่าวมา ต้าฉู่
ของเราก็จะเหมือนเสือติดปีก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว ที่
จริงไม่ใช่ว่าท่านอ๋องจะคิดไม่ถึง แล้วก็ไม่ใช่ว่า
เหล่าขุนนางไม่ได้นึกถึง ท่านอ๋องทรงมองการณ์
ไกลมาก เพียงแต่ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทเองยังไม่ได้
ทรงเอ่ยถึงเรื่องการอภิเษกสมรส เหล่าขุนนาง ก็
ไม่มีใครจะพูดประเด็นนี้ วันนี้ฝ่าบาททรงให้เหล่า
ขุนนางแสดงความคิดเห็น ใครพูดอะไรไม่มี
ความผิด ข้าน้อยก็เลยขอบังอาจเสนอความคิดไป
ก็เท่านั้นเอง”
“จิ่นอีโหวถ่อมตัวเกินไปแล้ว” ไหวหนานอ๋อง
หัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคนแรกในราชสานักที่
เสนอให้มีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี หาก
เป็นไปตามที่เจ้าว่ามา เจ้าเป็นคนที่มีผลงานมาก
ที่สุดเลยนะ”
เหล่าขุนนางมองหน้ากัน แล้วมองไปที่ไหวหนาน
อ๋องที่กาลังชมเชยฉีหนิง พวกเขาคิดในใจกันว่า ดู
ท่าคงไม่ได้มีเพียงไหวหนานอ๋องเท่านั้นที่ไม่อยาก
เห็นคนของตระกูลซือหม่าเป็นฮ่องเฮา จิ่นอีโหว
ตระกูลฉีเองก็ไม่อยากเห็นอานาจตระกูลซือหม่ามี
มากไปกว่านี้เหมือนกัน ดังนั้นทั้งสองคนก็เหมือน
จะร่วมมือกันชั่วคราว
ตั้งแต่เริ่มประชุมมาอู๋เซียงโหวซูเจินไม่ได้พูดอะไร
เลย ตอนนี้เขาเห็นสถานการณ์แบบนี้ เขาเองก็
ไม่ได้อยากเห็นตระกูลซือหม่ามีอานาจไปมากกว่า
นี้เหมือนกัน ซือหม่าหลันเป็นหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์
โหวสืบทอด มีตาแหน่งเทียบเท่ากับเขา แต่ว่า
ตอนนี้ ตระกูลซือหม่าได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นกง
พริบตาเดียวขึ้นไปอยู่เหนือตระกูลซูของเขา
ทาลายรูปแบบในหลายสิบปีที่ผ่านมา ทาให้ซูเจิน
รู้สึกไม่พอใจมาก
ในบรรดาสี่บรรดาศักดิ์โหวสืบทอด อู๋เซียงโหว
ตระกูลซูตั้งแต่ท่านอู๋เซียงเหล่าโหวสิ้นไป ทุก
อย่างก็เริ่มไม่เหมือนเดิม ถึงแม้เขาจะไม่พอใจ
ตระกูลซือหม่ามาก แต่ว่าอานาจของเขาน้อยมาก
ก็ไม่กล้าจะไปต่อกรโดยตรง วันนี้เห็นฉีหนิงออก
โรง อีกทั้งยังมีไหวหนานอ๋องคอยช่วย เขารู้สึกว่า
ฉีหนิงคงรู้สึกแค้นที่ซือหม่าหลันได้เลื่อน
บรรดาศักดิ์ เลยร่วมมือกับไหวหนานอ๋องต่อกร
กับตระกูลซือหม่า ตอนนี้เขาเองก็ไม่ลังเลใจที่จะ
เดินออกมาจากแถว แล้วพูดว่า “ทูลฝ่าบาท การ
เดินทางไปขออภิเษกเชื่อมสัมพันธไมตรีกับทาง
ตงฉี ถือเป็นเรื่องใหญ่ เท่าที่กระหม่อมทราบมา
กษัตริย์ตงฉีมีพระโอรสสามพระองค์ องค์หญิง
สองพระองค์ องค์หญิงใหญ่อภิเษกสมรสไปแล้ว
ราชบุตรเขยก็คือแม่ทัพใหญ่กองพลเรือของตงฉี
เซินถูหลัว ส่วนองค์หญิงเล็ก มีชื่อว่าองค์หญิง
เทียนเซียง เป็นลูกสาวคนเล็กสุดของกษัตริย์ตงฉี
เหมืออายุยังไม่เต็มสิบแปด ได้ยินว่าหน้าตา
งดงามมาก ยังไม่ได้อภิเษก ต้าฉู่ของเราสามารถ
เดินทางไปสู่ขอองค์หญิงเทียนเซียงได้พะยะค่ะ”
“ข้าเคยได้พบองค์หญิงเทียนเซียงตอนที่ข้าไปที่
ตงฉี” หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “นางงดงาม
สุขุม ถือได้ว่าเป็นผู้หญิงที่ดูอ่อนโยนมาก”
เหล่าขุนนางรู้ว่าตอนที่ทางตงฉีจัดพิธีแต่งตั้งรัช
ทายาท หลงไท่ได้รับราชโองการให้เป็นตัวแทน
ของต้าฉู่เดินทางไปที่ตงฉี ตอนนั้นหลงไท่ยังเป็น
แค่รัชทายาทอยู่ อดีตฮ่องเต้สง่ เขาไป เดิมหวังว่า
จะสามารถแสดงความจริงใจให้ตงฉีได้เห็น การที่
หลงไท่เคยได้พบองค์หญิงเทียนเซียงนั้น ไม่ใช่
เรื่องโกหก
มีคนแอบคิดในใจว่า การที่ฉีหนิงเสนอความเห็น
แบบนี้ออกมา หรือว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นความ
ประสงค์ของฮ่องเต้น้อย? หรือว่าตอนที่ฮ่องเต้
น้อยไปที่ตงแล้วได้พบองค์หญิงเทียนเซียงนั้น ก็
ชอบนางตั้งแต่แรกพบแล้ว เลยจัดฉากเรื่องราวใน
วันนี้ขึ้น?
เหล่าขุนนางไม่ใช่คนโง่ พวกเขาดูออก ตั้งแต่ท่าน
เสนาบดีหยวนพูดเรื่องการแต่งงานของฮ่องเต้
น้อย จนถึงฮ่องเต้น้อยสอบถามความเห็นจาก
เหล่าขุนนาง จนกระทั่งฉีหนิงเสนอให้มีการเดิน
ทางไปสู่ขอองค์หญิงจากตงฉี มันเป็นละครฉาก
หนึ่ง เบื้องหลังเรื่องนี้ฮ่องเต้น้อยจัดการเตรียม
การเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ฮ่องเต้น้อยจะมีตาแหน่งสูงสุด แต่เพราะเขา
อายุยังน้อย หากเขาถูกใจองค์หญิงตงฉีจริง จะ
หวั่นไหว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เฉินหลันถิงซื่อหลางของกรมขุนนางเดินออกมา
จากแถวแล้วพูดว่า “ทูลฝ่าบาท ชาวตงฉีเจ้าเล่ห์
เพทุบาย หาก...” เขาลังเล แล้วไม่ได้พูดต่อไป
ฮ่องเต้น้อยพูดว่า “ท่านพูดมาได้เลย ข้าบอกไป
แล้ว พูดอะไรก็ตามจะไม่มีความผิด”
เฉินหลันถิงพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมกังวลว่า
ชาวตงฉีจะฉวยโอกาสที่เราไปสู่ขอ วางแผนซ้อน
แผนเรา แล้วมันจะย้อนมาเป็นภัยกับเรานะพะยะ
ค่ะ”
ซูเจินขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไต้เท้าเฉิน ท่านพูด
แบบนี้หมายความว่ายังไง? แล้วชาวตงฉีจะ
วางแผนซ้อนแผนยังไง?”
“ฝ่าบาท หากชาวตงฉีตกลงเรื่องการอภิเษก ยอม
ให้องค์หญิงเทียนเซียงแต่งงานมาต้าฉู่เราจริง ถ้า
อย่างนัน้ องค์หญิงเทียนเซียงก็จะต้องพาคนของ
นางมาเป็นจานวนมาก” เฉินหลันถิงพูดว่า “เมือ่
คนพวกนี้เข้าวังมา มันจะเป็นภัยต่อพระองค์หรือ
เปล่า? องค์หญิงเทียนเซียงเป็นชาวตงฉี เมื่อตั้ง
นางเป็นฮ่องเฮาแล้ว ก็จะสามารถเข้าใกล้ตัวฝ่า
บาทได้ตลอดเวลา กระหม่อมกังวลว่า...”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วแทรกขึ้นมาแล้วพูดว่า “ไต้เท้า
เฉินกังวลมากเกินไปหรือเปล่า? ก่อนที่องค์หญิง
เทียนเซียงจะอภิเษกมาที่แคว้นฉู่ นางเป็นชาว
ตงฉีไม่ผิด แต่เมื่ออภิเษกมาแล้ว ไม่เพียงแค่นาง
เท่านั้น แม้แต่คนที่นางพามาด้วย ก็ล้วนกลายเป็น
ชาวต้าฉู่ หากองค์หญิงเทียนเซียงได้รับแต่งตั้งเป็น
ฮ่องเฮา ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเห็นผลประโยชน์ของต้า
ฉู่เราเป็นหลักก่อน ไต้เท้าเฉินกังวลว่าองค์หญิง
เทียนเซียงจะปลงพระชนม์ฝ่าบาทอย่างนัน้ น่ะ
หรอ?”
เฉินหลันถิงพูดอย่างจริงจังว่า “ชาวตงฉีเจ้าเล่ห์
จะตาย ยังไงก็ต้องป้องกัน”
ไหวหนานอ๋องพูดว่า “ชาวตงฉีมีประชากรน้อย
ต้าฉู่เราสู่ขอองค์หญิงเทียนเซียง ถือว่าให้เกียรติ
พวกเขามากแล้ว หากไม่ได้ต้องสู้รบกับเป่ยฮั่น
ทหารต้าฉู่เรา ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็ล้มตงฉีได้แล้ว
ต่อให้แคว้นตงฉีมีความกล้ามากแค่ไหน พวกเขา
จะกล้าถึงขนาดทาร้ายฝ่าบาทแม้แต่ปลายผมเลย
หรอ?”
หลงไท่พูดว่า “ไต้เท้าเฉิน ท่านกังวลแบบนี้ ก็
เพราะนึกถึงความปลอดภัยของข้า แต่ว่าหากข้า
ไม่สามารถรับมือผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้ แล้ว
ข้าจะไปรับมือกับแคว้นเป่ยฮั่นที่แข็งแกร่งแบบ
นั้นได้ยังไงล่ะ?”
เมื่อเขาพูดแบบนี้ออกมา เหล่าขุนนางก็แน่ใจแล้ว
ว่า ฮ่องเต้น้อยตัดสินใจจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
แน่แล้ว
เจิ่นกั๋วกงพูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท หากจะเดินทาง
ไปสู่ขอที่ตงฉี ไม่ทราบทรงคิดจะส่งใครเป็น
ราชทูตหรือพะยะค่ะ?” เขามองไปที่ไหวหนาน
อ๋อง แล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงคิดอยากจะอภิเษก
เชื่อมสัมพันธไมตรีกับตงฉี ก็ถือว่าเป็นประโยชน์
ต่อแคว้นของเรา ถ้าเช่นนั้น ราชทูตที่เราส่งไป ก็
จะต้องสามารถสื่อถึงความจริงใจของเรา แล้วก็
ทาให้เรื่องนี้ราบรื่นไปได้ด้วยดี”
ตอนแรกหลงไท่คิดว่าเจิ่นกั๋วกงคงไม่ยอมง่ายๆ
คิดไม่ถึงว่าเขาจะตกลง เขารู้สึกดีใจมาก เหล่าขุน
นางได้ยินเจิ่นกั๋วกงพูดมาแบบนี้แล้ว ก็คือว่าวันนี้
ไหวหนานอ๋อง จิ่นอีโหวกับอู๋เซียงโหวร่วมมือกัน
อีกทั้งยังเป็นประสงค์ของฮ่องเต้น้อยด้วย ดูท่า
เจิ่นกั๋วกงจะรู้ว่ารับมือไม่ง่าย เลยยอม
“เจิ่นกั๋งกง การเดินทางไปเจรจาสู่ขอที่ตงฉี เรื่อง
สินสอดของขวัญจะต้องให้สมเกียรติและมากพอ”
หลงไท่มองไปที่โต้วขุย “ไต้เท้าโต้ว เรื่องนี้ท่าน
จะต้องประสานงานให้ดี”
โต้วขุยรีบพูดว่า “ต่อให้กระหม่อมจะต้องถอด
เหล็กมาขาย ก็จะต้องจัดเตรียมของให้สมพระ
เกียรติที่สุดพะยะค่ะ”
“ฝ่าบาท เตรียมสินสอดของขวัญนั้นยังไม่สาคัญ”
เจิ่นกั๋วกงพูดว่า “ราชทูตที่จะไปในคราวนี้เป็นใคร
สาคัญที่สุด” เขามองไปที่เสนาบดีหยวน แล้วพูด
ว่า “ท่านเสนาบดีหยวนดูแลกรมพิธีการ หากได้
เขาเดินทางไป ถือว่าเหมาะสมที่สุด แต่ว่าท่าน
เสนาอายุก็มากแล้ว ให้เดินทางลาบากแบบนั้น
คิดว่าท่านเสนาบดีหยวนคงจะไม่ไหวแน่”
เสนาบดีหยวนรีบพูดว่า “เดินทางข้ามน้าข้าม
ทะเล กระหม่อมยังพอไหว แต่ว่ากระหม่อมอายุ
มากแล้ว ปฏิกิริยาอะไรก็ช้าลงไปมาก หากไปถึง
ตงฉีแล้ว เกิดเลอะเลื่อน เสียมารยาทขึ้นมา มัน
จะไม่บังควร จะเสียการใหญ่ได้ ถึงเวลานั้น
กระหม่อมคงรับโทษไม่ไหวแน่นอน”
เหล่าขุนนางคิดว่าที่เสนาบดีหยวนพูดมานั้นก็ถูก
เดินทางไปตงฉี เส้นทางไกลมาก เขาก็อายุเจ็ดสิบ
กว่าแล้ว ถ้าจะให้เดินทางไปแบบนั้น เขาไม่น่าจะ
ทนไหว
หลงไท่พูดว่า “ท่านเสนาบดีหยวนอายุมากแล้ว
ไม่เหมาะเดินทางไกลจริง” เขานิ่งไป แล้วถามว่า
“เจิ่นกั๋วกง ท่านมีใครที่คิดว่าเหมาะสมไหม?”
“กระหม่อมคิดว่า หากจะให้เห็นถึงความจริงใจ
ของต้าฉู่เรา ราชทูตทีจ่ ะไปจะต้องเลือกให้ดี ไม่
เพียงจะต้องเป็นคนฉลาด ไหวพริบดี ฐานะ
จะต้องสูงด้วย กระหม่อมคิดว่า ท่านอ๋อง
เหมาะสมที่สุด” เจิ่นกั๋วกงพูดว่า “ท่านอ๋องเป็น
พระญาติสนิท มีฐานะสูงส่ง ทรงเฉลียวฉลาด
หากได้ท่านอ๋องเดินทางไปที่ตงฉีด้วยตัวเอง ชาว
ตงฉีก็จะเห็นถึงความจริงใจของเรา การเชื่อม
สัมพันธไมตรีด้วยการแต่งงานในครั้งนี้ก็จะสาเร็จ
ราบรื่น”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 542 ราชทูต
ไหวหนานอ๋องได้ยินว่าเจิ่นกั๋วกงอยากให้เขาเป็น
ราชทูตเดินทางไปที่ตงฉี เขาก็ขมวดคิ้ว แต่
พริบตาเดียว เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ให้
กระหม่อมเดินทางไปที่ตงฉี ก็ถือว่าเหมาะสมดี”
หลงไท่รีบพูดว่า “เสด็จอายินดีที่จะไปตงฉี?”
“เพื่อชาติบ้านเมือง จะไม่ทาได้ยังไง?” ไหวหนาน
อ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “เพียงแต่กระหม่อมรู้สึกว่า
หากกระหม่อมเดินทางไปตงฉี อาจจะเป็นภัยต่อ
แคว้นฉู่มากกว่า”
“เป็นภัย?”
ไหวหนานอ๋องอธิบายว่า “ฝ่าบาท เดินทางไป
เจรจาสู่ขอเชื่อมสัมพันธ์ที่ตงฉี ก็เพื่อแสดงความ
จริงใจของต้าฉู่เรา เรื่องนี้ไม่ผิดเลย แต่ว่า...ฝ่า
บาททรงคิดหรือไม่ว่า กระหม่อมเป็นเชื้อพระวงศ์
เป็นอ๋องของแคว้นฉู่ หากกระหม่อมเดินทางไป
ตงฉี ก็ถือได้ว่าให้เกียรติตงฉีมาก แต่ว่า เมื่อทา
แบบนี้ ก็เหมือนเป็นยกฐานะของพวกเขามาก
เกินไป”
“หมายความว่ายังไง?”
ไหวหนานอ๋องพูดว่า “ฝ่าบาท ก่อนหน้าในราชพิธี
ตั้งแต่รัชทายาทของตงฉี ตอนที่พระองค์ยังเป็นรัช
ทายาทอยู่ ได้เดินทางไปร่วมงาน เราก็ได้แหกกฎ
ให้เกียรติกษัตรย์ตงฉีมากแล้ว ตั้งแต่เราก่อตั้งต้าฉู่
มา ถึงแม้เรามีการไปมาหาสู่กับตงฉีอยู่บ้าง แต่ว่า
จนถึงตอนนี้ ตงฉีส่งราชทูตมาอย่างมากก็แค่ขุน
นางระดับสูง ถึงแม้เรากับตงฉีจะเป็นพันธมิตรกัน
แต่ว่าหลังจากเป็นพันธมิตรแล้ว ใครเป็นใหญ่ ใคร
เป็นรอง ก็ต้องให้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น”
หลงไท่พยักหน้า ไหวหนานอ๋องพูดต่อว่า “การ
เจรจาเรื่องการแต่งงานในครั้งนี้ หากให้ข้าเดิน
ทางไป แล้วต่อไปการไปมาหาสู่กับตงฉี ทุกเรื่องก็
จะต้องใช้คนและเงื่อนไขระดับสูงเท่านั้น แล้ว
เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้เป็นพันธมิตรกัน หลายๆ เรื่อง
เราก็ได้ยกฐานะของเขาไปแล้ว ต่อไปในหลาย
เรื่องต้าฉู่เราก็จะเสียเปรียบ”
“ความหมายของเสด็จอาก็คือ หากว่าท่านเดิน
ทางไปที่ตงฉี พวกเขาก็จะมีความโลภ ต่อไปหาก
จะเจรจาอะไร ก็จะเรียกร้องเงื่อนไขที่สูงมาก
อย่างนั้นใช่ไหม?” หลงไท่เหมือนจะใช้ความคิด
ไหวหนานอ๋องพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้องแล้ว
ฝ่าบาท ตงฉีเมื่อเทียบกับเราแล้ว พวกเขาเป็น
เพียงแคว้นเล็กๆ แคว้นหนึ่งเท่านั้น การไปเจรจา
เรื่องแต่งงานในครั้งนี้ ในเมื่อเราต้องการแสดง
ความจริงใจ แต่ก็ต้องให้พวกเขาได้รู้ว่าพวกเขาอยู่
ในฐานะอะไรตรงไหน ภายภาคหน้า จะได้ไม่เกิด
ปัญหาระหว่างแคว้นกันอีก”
เจิ่นกั๋วกงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ไม่ทราบว่า
นอกจากท่านอ๋องแล้ว ยังมีใครที่เหมาะสมกว่าอีก
อย่างนั้นหรอ?”
ไหวหนานอ๋องพูดว่า “ข้าไม่สะดวกที่จะออกหน้า
แต่ว่าต้าฉู่เรามีสี่บรรดาศักดิ์โหวสืบทอดอยู่นี่นา
ไม่ว่าใครไปเป็นราชทูตก็ได้ทั้งนั้น ทั้งสามารถ
แสดงความจริงใจ อีกทั้งยังไม่ให้พวกเขาหลง
ระเริงกันเกินไปอีกด้วย” เขามองไปที่จินเตาโหว
จินเตาโหวไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “ท่านจินเตาโหวอายุมากแล้ว คงไม่สามารถ
รับหน้าที่นี้ได้ ถ้าอย่างนั้น คนที่เหมาะเป็นราชทูต
ในคราวนี้ ก็เหลือเพียงอีกสามคนที่เหลือ จิ่นอี
โหว อู่เซียงโหวแล้วก็จงอี้โหวซือหม่าฉางเซิ่น”
อู่เซียงโหวซูเจินรีบพูดว่า “ทูลฝ่าบาท พิษระบาด
ในเมืองหลวงครั้งก่อน กระหม่อมได้รับพิษ จน
ตอนนี้ยังต้องกินยารักษาตัว หากเดินทางไกล
กระหม่อมเกรงว่าจะไม่สะดวก”
เหล่าขุนนางแอบขาในใจ พวกเขาคิดว่าที่จริงแล้ว
อู่เซียงโหวไม่เห็นต้องกังวลเกินไป เจ้าไม่เอาไหน
ราชสานักไม่มีทางส่งไปเป็นราชทูตตงฉีแน่นอน
ไม่ผิดจากที่คิด หลงไท่เอ่ยปากว่า “ในเมื่ออู่เซียง
โหวสุขภาพไม่ดี ก็อยู่รักษาตัวในเมืองหลวงเถอะ
ไม่ต้องเดินทางไกล”
ซูเจินถึงกับถอนหายใจ
“ถ้าอย่างนั้น...” ไหวหนานอ๋องยิ้ม แล้วพูดว่า
“จงอี้โหวซือหม่าฉางเซิ่นก็ถือเป็นคนที่เหมาะสม
ที่สุด จงอี้โหวเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ทางานสุขุมรอบ
คอบ ฉลาดหลักแหลม อีกทั้งยังเป็นคนที่ท่านกั๋ว
กงอบรมมากับมือ ให้จงอี้โหวเป็นราชทูตไปตงฉี
เหมาะสมที่สุดแล้ว”
ซือหม่าฉางเซิ่นเดินออกมาจากแถวแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท หากทรงจะส่งกระหม่อมไป กระหม่อม
จะ...” พูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงกระแอมไอดังขึ้น
เจิ่นกั๋วกงไอ ยกมือคานับแล้วพูดว่า “ทูลฝ่าบาท
ซือหม่าฉางเซิ่นจะไปตงฉีไม่ได้”
ซือหม่าฉางเซิ่นขมวดคิ้ว
ถึงแม้ไหวหนานอ๋องจะเสนอให้เขาเป็นราชทูตไป
ตงฉี แต่เหมือนจะไม่ได้หวังดี แต่ว่าซือหม่าฉาง
เซิ่นคิดว่า หากเขาไปครั้งนี้สามารถเจรจาสู่ขอได้
อย่างราบรื่น สร้างผลงานใหญ่ได้ ชื่อเสียงและ
บารมีของซือหม่าหลันมีมาก ซือหม่าฉางเซิ่นตก
อยู่ใต้เงาของพ่อของเขา นอกจากคนในราชสานัก
แล้ว มีหลายคนยังไม่รู้จักเขาเลยด้วยซ้า
เขาเพิ่งจะได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์มา คิดอยาก
จะสร้างผลงานให้ได้ไวๆ เพื่อสร้างบารมีให้กบั
ตัวเอง
ถึงแม้การเดินทางไปตงฉี จะไม่ได้เป็นงานที่ดี
เท่าไหร่นัก แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี ซือหม่าฉาง
เซิ่นเลยไม่อยากพลาดงานนี้ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึง
เลยว่า เขายังพูดไม่ทันจบ เจิ่นกั๋วกงก็พูดแทรก
ขึ้นมา น้าเสียงของเขาเด็ดขาดมาก ทาให้เขารู้สึก
ผิดหวัง
“เจิ่นกั๋วกง ทาไมจงอี้โหวถึงไปตงฉีไม่ได้ล่ะ?”
หลงไท่ถามเจิ่นกั๋วกงด้วยความสงสัย “ที่เสด็จอา
พูดมามีเหตุผลนะ ในบรรดาสี่บรรดาศักดิ์โหสืบ
ทอด จงอี้โหวเหมาะสมที่สุดที่จะทางานนี้”
เจิ่นกั๋วกงพูดตรงๆ ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมรู้จัก
ซือหม่าฉางเซิ่นดี จุดเด่นในตัวเขาก็คือ เขาหนัก
แน่น ส่วนจุดอ่อนของเขาก็คือ เขาพูดจาไม่ชาญ
ฉลาด วู่วามบุ่มบ่าม ซึ่งสองจุดนี้เป็นสิ่งสาคัญที่
ราชทูตพึงมี การเดินทางไปเจรจาเรื่องการอภิเษก
สิ่งสาคัญวาทะในการเจรจา เจอเรื่องอะไรแล้วนิ่ง
และสุขุม ซือหม่าฉางเซิ่นไม่มีความสามารถ
ทางด้านนี้ หากให้เขาไปเป็นราชทูต เรื่องการ
อภิเษกในครั้งนี้ ไม่สาเร็จแน่นอนพะยะค่ะ”
ซือหม่าฉางเซิ่นหน้าแดง อ้าปากอยากจะพูด แต่ก็
เหมือนเถียงไม่ออก พ่อของตัวเองพูดมาแบบนี้
แล้ว จะไปกล้าทาให้เขาเสียหน้าได้ยังไง
“ท่านกั๋วกง หากแม้แต่จงอี้โหวก็ไม่สามารถทาได้
สาเร็จ ก็คงเหลือแค่จิ่นอีโหวคนเดียวแล้ว” ไหว
หนานอ๋องมองไปที่ฉีหนิง เขาถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “ให้จิ่นอีโหวเป็นราชทูต เขาอายุน้อยเกินไป
หรือเปล่า?”
เจิ่นกั๋วกงส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง คนที่
ฉลาดมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ” เขายกมือขึ้นแล้ว
พูดว่า “จิ่นอีโหวถึงแม้อายุจะน้อย แต่การ
แสดงออกของเขาก็ดีเยี่ยม เขามีความหนักแน่น
สุขุมที่เกินอายุของเขา เมื่อครู่ท่านอ๋องก็ได้บอก
อยู่ว่า การเดินทางไปเจรจาเรื่องการอภิเษก
เป้าหมายที่สาคัญของเราคือการเป็นพันธมิตรกับ
ตงฉี จิ่นอีโหวเป็นคนแรกที่เสนอเรื่องนี้ในราช
สานัก แสดงว่าเขาก็จะต้องมีไหวพริบแล้วก็ความ
ฉลาด อีกทั้งยังมีความคิดที่รอบคอบมากด้วย คน
แบบนี้ ถือได้ว่าเป็นแบบอย่างของเสาหลัก
บ้านเมือง”
เฉินหลันถิงไม่พลาดโอกาสแล้วพูดว่า “ถูกต้อง
จิ่นอีโหวเป็นผู้ตรวจการเดินทางไปซีชวน ใน
ระหว่างความเป็นความตายกับพรรคบัวดา โหว
เยว่สามารถทาให้คลื่นลมสงบได้ แสดงว่าจิ่นอีโหว
สามารถรับภาระใหญ่ได้ อีกทั้งยังสามารถเกลี่ย
กล่อมเหล่าชาวยุทธ์ให้ถอนกาลังออกไปด้วย มัน
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จิ่นอีโหวเป็นนักเจรจาที่ดี น่า
นับถือยิ่งนัก”
เห็นเจิ่นกั๋วกงเสนอให้จิ่นอีโหวไปเป็นราชทูตที่
ตงฉี ถึงแม้ขุนนางหลายคนไม่เข้าใจว่าเจิ่นกั๋วกง
คิดจะทาอะไร แต่ว่าตอนนี้มีขุนนางไม่น้อยออก
มาชื่นชมในตัวจิ่นอีโหว บอกว่าเขาเป็นคนฉลาด
กล้าหาญเกินคน จิ่นอีโหวที่ออกมาจากปากพวก
เขา เหมือนไม่มีอะไรที่เขาทาไม่ได้ การเดินทางไป
เจรจาการแต่งงานที่ตงฉีมันคือเรื่องเล็ก ที่เขาแค่
ผิวปากก็ทาได้แล้ว
สีหน้าของฉีหนิงไม่เปลี่ยน ยังนิ่งเหมือนเดิม
เขารู้อยู่แล้วว่า ที่เจิ่นกั๋วกงดึงเขาเข้ามาร่วมวง
ด้วย เพราะไม่อยากให้ซือหม่าฉางเซิ่นไป เขามี
แผนอื่นในใจแล้ว
หากว่าฉีจิ่งยังอยู่ เจิ่นกั๋วกงยังไม่กล้าเอาไฟมาเล่น
แบบนี้ แต่ว่าฉีจิ่งกับฉีหนิงคนนี้เป็นคนละคน ไม่
ว่าจะบารมีหรือว่าอานาจ ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
หลงไท่เหมือนจะใช้ความคิด แล้วมองไปที่ฉีหนิง
สายตาเหมือนกาลังจะถามความเห็นของเขา
ฉีหนิงถอนหายใจ ไหวหนานอ๋องหาเหตุผลมาอ้าง
ซึ่งเขาไม่มีทางไปตงฉีแล้วแน่นอน ในบรรดาสี่
บรรดาศักดิ์โหวสืบทอด จินเตาโหวไม่ต้องพูดถึง
หลงไท่เองก็อนุญาตเห็นอู่เซียงโหวอยู่รักษาตัวใน
เมืองหลวง ตัวเลือกก็เหลือแค่สองคน เขากับซื
อหม่าฉางเซิ่น เจิ่นกั๋วกงออกหน้าขัดขวางซือหม่า
ฉางเซิ่น ตอนนี้ก็เหลือเขาคนเดียวแล้ว
หากเขาไม่อยากไปจริงๆ เขาก็หาเหตุผลได้ แต่ว่า
สายตาที่หลงไท่มองเขา เขารู้ว่าฮ่องเต้น้อยให้
ความสาคัญเรื่องนี้แค่ไหน
ฮ่องเต้น้อยต้องการเจรจาการอภิเษกกับตงฉี การ
ร่วมเป็นพันธมิตรนั้นก็เป็นแค่ข้ออ้าง เพราะต่อให้
สามารถอภิเษกกับองค์หญิงตงฉีจริง ตงฉีก็ไม่มี
ทางยอมเชื่อฟังแคว้นฉู่เพียงเพราะมีองค์หญิง
แต่งงานมาอยูน่ ี่หรอก นโยบายของตงฉีคือการ
สร้างสมดุลทั้งเหนือและใต้ ไม่มีทางเปลี่ยน
นโยบายนี้เพราะใครแน่นอน
เป้าหมายที่แท้จริงของหลงไท่ ก็แค่หวังว่าเรื่องนี้
จะสามารถล้มแผนการสร้างฮ่องเฮาของตระกูล
ซือหม่าเท่านั้น
ฉีหนิงก็ไม่ได้ลังเลนาน เขายกมือคานับแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท หากพระองค์ทรงมีรับสั่งให้กระหม่อม
เป็นราชทูตเดินทางไปตงฉี กระ...กระหม่อมก็
ยินดีที่จะทาตามรับสั่ง และทาอย่างเต็มที่พะยะ
ค่ะ”
สายตาของหลงไท่รู้สึกซาบซึ้งใจมาก เขาไม่ได้รีบ
ตอบรับในทันที แต่ว่ามองไปที่จินเตาโหว แล้ว
ถามว่า “จินเตาโหว ตามความเห็นของท่าน ยังมี
ใครที่เหมาะสมมากกว่านี้ไหม?”
ที่จริงเรื่องนี้มีบทสรุปแล้ว ฉีหนิงรู้ว่าที่หลงไท่ถาม
แบบนี้ ก็แค่อยากให้เกียรติเหยียนไถหวงเท่านั้น
เหล่าโหวท่านนี้ตั้งแต่เข้ามาร่วมประชุมในวันนี้
เขายังไม่ได้พูดอะไรเลย ราวกับว่าเขาเป็นเงาอยู่
ในท้องพระโรง ฮ่องเต้น้อยถามความคิดของเขา
ก็ถือว่าให้เกียรติเขามาก
จินเตาโหวเหมือนหลับตานอนอยู่ พอฮ่องเต้น้อย
ถาม ก็เหมือนจะขยับเล็กน้อย เขาพยายามจะลุก
ขึ้น หลงไท่รีบพูดว่า “ท่านเหล่าโหวไม่ต้องลุก
หรอก นั่งตอบข้าก็พอแล้ว”
แต่ว่าเหยียนไถหวงยังคงลุกขึ้นมา ยกมือคานับ
แบบสั่นๆ ว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมหูตาลาย
แล้ว สมองก็เลอะเลือน เรื่องใหญ่ของบ้านเมือง
กระหม่อมไม่กล้าพูดเหลวไหล ฝ่าบาททรงตัดสิน
พระทัยได้เลยพะยะค่ะ”
หลงไท่รู้ดีว่าถามเหยียนไถหวงไปก็คงไม่ได้คาตอบ
อะไรกลับมา เขาพยักหน้าแล้วมองไปที่ฉีหนิง
แล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว เจ้าจงรักภักดีต่อบ้านเมือง
ข้าดีใจมาก เป็นราชทูตเดินทางไปตงฉีครั้งนี้ ข้า...
ข้าก็มอบให้เจ้าแล้วนะ”
“กระหม่อมรับบัญชา”
เจิ่นกั๋วกงยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหวอายุน้อยแค่กล้า
หาญเด็ดเดี่ยว เป็นราชทูตไปตงฉีครั้งนี้ หากแสดง
ท่าทีได้ดี ทางตงฉีจะต้องนับถือแน่นอน โหวเยว่
อายุน้อยแต่มากความสามารถ ตงฉีจะต้องยา
เกรงต้าฉู่เราแน่นอน ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยให้
จิ่นอีโหวไปตงฉี ถือว่าเหมาะสมยิ่งนัก ฝ่าบาททรง
พระปรีชา”
ขุนนางทั้งหลายต่างพูดพร้อมกันว่า “ฝ่าบาททรง
พระปรีชา”
ฉีหนิงแอบขาในใจ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท
กระหม่อมมีอีกเรื่องจะทูลขอ ขอพระองค์ทรง
พิจารณาด้วย”
“เรื่องอะไร?” หลงไท่รีบถามทันที เขารู้ว่าที่ฉี
หนิงรับปากไปเป็นราชทูตที่ตงฉี ก็เพราะความ
เป็นเพื่อนของพวกเขา ตอนนี้ไม่ว่าฉีหนิงจะขอ
อะไร ขอแค่พูดว่า เขาจะต้องทาให้ได้ “เจ้ามี
อะไร เจ้าพูดมาได้เลย”
“ฝ่าบาททรงมีราชโองการให้ตั้งค่ายกิเลนดา
ขึ้นมาใหม่ กระหม่อมได้สั่งให้คนเริ่มฝึกทหาร
แล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าจนถึงตอนนี้ ทางค่าย
กิเลนดาไม่เพียงยังขาดอุปกรณ์ที่ควรจะมี อีกทั้ง
ยังไม่ได้งบประมาณหรือเสบียงอาหารเลยแม้แต่
อีแปะเดียว” เขาเหลือบไปมองโต้วขุย แล้วพูดว่า
“เหล่าทหารถือเป็นกาลังหลักของบ้านเมือง เรื่อง
นี้เป็นสิ่งที่พวกเขาควรได้ แต่ว่าทหารก็ต้องกิน
ข้าว หากไม่มีเสบียงหรือเบี้ยงเลี้ยงให้เลย
กระหม่อมก็ไม่สามารถตอบคาถามของพวกเขาได้
เลยพะยะค่ะ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 543 ยิงธนูนัดเดียวได้นกหลายตัว
หลงไท่หน้าเปลี่ยนสีทันที เขามองไปที่ซื่อหลางก
รมกลาโหมอย่างหลูเซียว แล้วพูดด้วยเสียงที่เข้ม
ว่า “หลูเซียว เรื่องนี้จริงหรือเปล่า?”
หลูเซียวเดินออกมาจากแถวแล้วพูดว่า “ทูลฝ่า
บาท กระหม่อมก็อยากจะจ่ายงบออกไปอยู่
เหมือนกัน แต่ว่า......ในมือกระหม่อมไม่มีเงินเลย
อยากจะจ่ายก็จ่ายไม่ได้”
โต้วขุยรีบออกมาแล้วพูดว่า “ไต้เท้าหลู เมื่อเดือน
ที่แล้วกรมคลังจ่ายงบไปให้ทางกรมกลาโหมแล้ว
นะ เรื่องนี้จะมาโทษกรมคลังไม่ได้นะ”
“ไต้เท้าโต้ว กรมคลังเบิกจ่ายงบมาให้กรม
กลาโหมแล้วก็จริง แต่ว่า......เงินแค่นั้น มันไม่พอ
สาหรับทหารทุกหน่วยนะ” หลูเซียวพูดว่า
“กองทัพฉินไหวเป็นงบส่วนที่จะขาดไม่ได้ ทัพเรือ
ที่ตงไฮ่เองก็จะช้าไม่ได้เช่นกัน อีกทั้งตอนนี้ก็หน้า
ร้อนแล้ว ยังต้องทาการเปลี่ยนเครื่องแบบให้พวก
เขาอีก การเพิ่มยุทโธปกรณ์ของทางกองทัพฉิน
ไหวกับทัพเรือตงไฮ่ยื้อมานานแล้ว จะยื้อต่อไป
ไม่ได้อีกแล้ว”
โต้วขุยพูดว่า “ไต้เท้าหลู กรมคลังมีคนเท่าไหร่
ท่านอย่าบอกนะท่านไม่รู้ กรมของเราประหยัด
แทบจะทุกอย่าง เพื่อลดการใช้จ่าย ในแต่ละปี
กรมกลาโหมของท่านได้งบประมาณมากที่สุด
ตอนนี้กรมคลังของเราแทบจะควักจ่ายไม่ไหวแล้ว
นะ แต่ละกรมเอาแต่มาทวงงบที่กรมคลัง ข้าเองก็
ปวดจนหัวจะระเบิดแล้วนะ”
หลูเซียวพูดว่า “ไต้เท้าโต้ว ข้าน้อยรับผิดชอบแค่
รับเงินแล้วทางาน เงินหลวงในกรมคลังมีเท่าไหร่
นั้น ข้าน้อยเป็นแค่ซื่อหลางกรมกลาโหม คงไม่
วุ่นวายในกรมคลังของท่านไม่ได้หรอกนะ มีเงิน
เท่าไหร่ ข้าก็ทางานเท่านั้น อีกทั้งยังต้องเริ่มจาก
เรื่องเร่งด่วนก่อน” เขาหันไปหาหลงไท่ แล้วพูด
ด้วยความเคารพว่า “ฝ่าบาท งบของทางค่าย
กิเลนดา กระหม่อมจาได้ขึ้นใจ ส่งคนไปเร่งตามที่
กรมคลังมาหลายครั้งแล้ว แต่ว่า......เห้อ อาจ
เป็นไปได้ว่าทางกรมคลังอาจจะลาบากจริงๆ เรื่อง
นี้อาจจะต้องวางแผนระยะยาวกันใหม่”
“วางแผนระยะยาว?” ฉีหนิงพูดว่า “ไต้เท้าหลู
ข้าขอถามท่านสักหน่อย ค่ายดาบดาได้งบไปหรือ
ยัง?”
หลูเซียวตะลึงไป แล้วมองไปที่เจิ่นกั๋วกง เขาพยัก
หน้า ฉีหนิงถามต่อไปอีกว่า “แล้วค่ายเสวียนอู่
ล่ะ? ค่ายเสินอู่ล่ะ? ยังมีค่ายทหารอวี้หลินอีก?
ค่ายกิเลนดาจะไม่ไปเทียบกับทางทัพฉินไหว แล้ว
ก็ไม่เทียบกับทัพเรือตงไฮ่ ค่ายพวกนี้อยู่ในเมือง
หลวงทั้งหมด หากพวกเขาเองก็ไม่ได้งบ
เหมือนกัน วันนี้ข้าจะไม่พูดอะไรอีก แต่หากว่า
หนึ่งค่ายพวกนี้ไม่ว่าจะค่ายไหนก็ตามได้รับงบไป
แล้ว วันนี้ในท้องพระโรงนี่ ท่านจะต้องชี้แจงมาให้
ชัดเจน”
จินเตาโหวเหมือนกับว่าไม่ได้ยินเลย ยังคงนั่งนิ่งๆ
เหมือนเดิม
มีขุนนางหลายคนไม่น้อยที่รู้สึกตกใจ แอบคิดใน
ใจว่าคนหนุ่มเลือดร้อน จะทวงงบจากหลูเซียว
ทาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าวันนี้ จินเตาโหวไม่ได้ออกไป
ไหนมาไหนตั้งนาน อีกทั้งยังมาที่ท้องพระโรงด้วย
จิ่นอีโหวกลับพุ่งเป้าหาเรื่องไปที่กรมกลาโหมเลย
ก็เหมือนหักหน้าท่านเหล่าโหว ถึงแม้ตอนนี้กรม
กลาโหมจะอยู่ในการดูแลของหลูเซียว แต่ว่าท่าน
เหล่าโหวก็ยังมีชื่อเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมอยู่
หาเรื่องกรมกลาโหมก็เท่ากับหาเรื่องท่านเหล่า
โหว
เบื้องหลังหลูเซียวคือจินเตาโหว อีกทั้งตัวเขาเองก็
เป็นขุนพลนักรบมาก่อน หัวแข็งมาก แล้วพูดว่า
“ค่ายต่างๆ ที่โหวเยว่กล่าวมานั้น ได้รับงบไป
หมดแล้วจริง แต่ว่าพอถึงค่ายกิเลนดา เงินมันก็
หมด ข้าน้อยเสกเงินออกมาไม่ได้ โหวเยว่ต้องการ
ให้ข้าน้อยชี้แจงให้ชัด ข้าน้อยก็คงต้องไปทวงกับ
ทางกรมกลาโหมต่อ”
โต้วขุยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไต้เท้าหลู ท่านจะเอา
ดาบมาพาดบนบ่าข้าแบบนี้ไม่ได้นะ ข้าเองก็เจียด
งบออกมาให้ท่านเพิ่มไม่ได้แล้วนะ กรมคลังดูแล
เงินหลวงของแคว้น ไม่ได้รับผิดชอบดูแลการเงิน
ของกรมกลาโหมอย่างเดียวนะ”
“ไต้เท้าหลู ท่านคิดรอบคอบถึงขนาดว่าจะเปลี่ยน
เครื่องแต่งกายให้เหล่าทหาร แต่ไม่คิดจะจ่าย
งบประมาณให้กับค่ายกิเลนดาเลยหรอ?” ฉีหนิง
ยิ้มแล้วปรบมือจากนั้นก็พูดว่า “ดี ข้าก็ไม่พูด
อะไรมากแล้ว ในเมื่อฝ่าบาทมอบหมายค่ายกิเลน
ดาให้ข้าดูแล แม้แต่เสบียงอาหารข้ายังหาให้พวก
เขาไม่ได้เลย ถือว่าผิดต่อความไว้วางพระทัยของ
ฝ่าบาท แล้วก็เหล่าทหารด้วย ข้าให้เวลาท่านสอง
วัน ภายในสองวัน หากค่ายกิเลนดายังไม่ได้รับ
งบประมาณอีก ข้าจะพาคนไปหาท่านถึงกรมด้วย
ตัวเอง”
หลูเซียวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่านพูด
แบบนี้หมายความว่ายังไง? หรือว่าท่านจะพา
ทหารมาปล้นอย่างนั้นหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้เท้าหลู
ในเมื่อท่านจ่ายงบไม่ได้ คงไม่ได้คิดจะบีบให้พวก
เขาไปปล้นชิงหรอกใช่ไหม หรือว่าอยากจะให้ค่าย
กิเลนดาไปต่อไม่ได้?”
หลูเซียวหน้าถอดสี แล้วตะคอกว่า “โหวเยว่ ใน
ท้องพระโรง ท่านพูดจาระวังหน่อยนะ”
“ไม่ต้องพูดมา ไม่มีอะไรต้องระวังหรอก” ฉีหนิง
พูดว่า “เจ้าวางใจได้ ค่ายกิเลนดาเป็นกองพลของ
ราชสานัก มีหน้าที่รักษากฎหมายกฎระเบียบของ
แคว้น ไม่มีทางทาเรื่องปล้นชิงวิ่งราวหรอก
ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นโจรไปจริงไหม? ข้าก็แค่
จะพาพวกเขาไปหาท่านที่กรมกลาโหมเท่านั้น ใน
เมื่อไม่มีข้าวกิน จะให้ฝึกทหารก็คงทาไม่ได้ คง
ต้องไปหาอะไรกินให้อิ่มท้องก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หลูเซียวสีหน้าแย่มาก เขาหันไปหาหลงไท่แล้วพูด
ว่า “ฝ่าบาท จิ่นอีโหวพูดจาข่มขู่ ขุนนางทั้งหลาย
ต่างก็ได้ยิน ฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย”
“ฝ่าบาท การตั้งค่ายกิเลนดาขึ้นมาใหม่ เป็นพระ
ประสงค์ของพระองค์” ฉีหนิงรีบพูดต่อว่า “หลู
เซียวไม่ยอมจ่ายงบทหารมาให้ แสดงว่าเขาไม่ได้
ต้องการให้มีการก่อตั้งค่ายกิเลนดาขึ้นมาใหม่ ถือ
ว่าขัดราชโองการ กระหม่อมขอให้ฝ่าบาทส่งคน
ไปตรวจสอบด้วยว่า ไต้เท้าหลูนั้นมีจุดประสงค์
อะไรกันแน่? ค่ายกิเลนดามีคนแค่หนึ่งพันคน
เท่านั้น กาลังพลน้อยกว่าค่ายอื่นๆ มาก ตามหลัก
แล้วงบทหารของเราง่ายในการจัดการมากที่สุด
แต่ว่าในเมื่อไต้เท้าหลูไม่อยากดูแลจัดการให้
กระหม่อมขอจัดการเรื่องนี้เอง ฝ่าบาททรง
พิจารณาด้วย”
หลงไท่พูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉยว่า “หลูเซียว การ
ตั้งค่ายกิเลนดาขึ้นใหม่ เป็นความประสงค์ของข้า
ในเมื่อกรมกลาโหมไม่สามารถจ่ายงบทหารให้ได้
ตั้งแต่นี้ต่อไป งบทหารของค่ายกิเลนดาก็ให้กรม
คลังจ่ายไปให้โดยตรง โต้วขุย งบทหารของค่าย
กิเลนดา ให้กรมคลังของพวกเจ้าจัดสรรออกมา
ส่วนหนึ่งเฉพาะ แล้วจ่ายให้ตามเวลาที่กาหนด”
หลูเซียวรีบพูดว่า “ฝ่าบาท.......”
ไม่รอให้เขาได้พูดอะไรต่อ หลงไท่พูดว่า “ในเมื่อ
งบทหารไม่ใช่กรมกลาโหมดูแลแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป
หากไม่มีป้ายคาสั่งจากข้า ก็ไม่มีสิทธิสั่งโยกย้าย
กาลังพลของค่ายกิเลนดาอีก”
เหล่าขุนนางตอนนี้เข้าใจแล้วว่า ฮ่องเต้น้อยทรง
กริ้วมากแล้ว
ตั้งแต่นี้ต่อไป ค่ายกิเลนดาก็ไม่อยู่ในสังกัดกรม
กลาโหมแล้ว แต่ว่าขึ้นตรงกับฮ่องเต้โดยตรง
หลูเซียวเหลือบไปมองเหยียนไถหวง เขาไม่มีการ
เคลื่อนไหวใดๆ เลยทาได้แค่พูดว่า “กระหม่อมรับ
บัญชา”
“การประชุมวันนี้ ก็พอแค่นี้” ฮ่องเต้น้อยลุกขึ้น
ไม่พูดอะไรมากอีก หันข้างแล้วเดินลงจากบัลลังก์
ไปเลย เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากัน ดูท่าการ
กระทาของกรมกลาโหมคราวนี้ ทาให้ฮ่องเต้น้อย
ไม่พอใจมากจริงๆ
ขันทีเวรตะโกนแจ้งเลิกประชุม เหล่าขุนนางทา
ความเคารพ แล้วก็ทยอยออกจากตาหนักเฟิ่ง
เทียนไป พอออกจากตาหนัก ขันทีข้างๆ ก็เดินมา
หาฉีหนิง แล้วพูดเบาๆ ว่า “โหวเยว่ ฝ่าบาทมี
รับสั่ง ให้ท่านไปเข้าเฝ้าที่ห้องทรงอักษรขอรับ
พระองค์มีเรื่องจะรับสั่ง”
ฉีหนิงก็ไม่พูดมาก เดินตามขันทีไป เขาตรงไปที่
ห้องทรงอักษรเลย หลังจากที่รายงานแล้ว ก็เข้า
ไปด้านใน เห็นหลงไท่นั่งอยู่ที่หลังโต๊ะ เขาเห็นฉี
หนิงเดินมา ก็กวักมือเรียก หลงไท่พูดว่า “จวนจิ่น
อีโหวของพวกเจ้า มีหนอนบ่อนไส้หรือเปล่า?”
ฉีหนิงคิดไม่ถึงว่าหลงไท่จะเอ่ยปากถามเขาแบบนี้
เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทาไมฝ่าบาทถึงได้ถาม
แบบนี้?”
“หรือว่าเจ้าดูไม่ออก?” หลงไท่พูดว่า “เจ้าสาร
เลวหงนั่วไฮ่ ตายไปก็ไม่ได้มีอะไรหรอก แต่ว่า
ตระกูลซือหม่ากลับมีหลักฐานความผิดของเขาใน
มือทั้งหมด เจ้าไม่เห็นหรือไง?”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “วันนี้ตอนที่หงนั่วไฮ่
ร้องเรียนซือหม่าฉางเซิ่น ก่อนหน้าที่จะมาประชุม
ซือหม่าหลันน่าจะรู้มาก่อนแล้ว”
“หงนั่วไฮ่น่าจะได้รับคาสั่งมาจากไหวหนานอ๋อง”
หลงไท่พูดว่า “พวกของไหวหนานอ๋องก็น่าจะ
ลงทุนลงแรงไปไม่น้อย เตรียมตัวมาล้มซือหม่า
ฉางเซิ่นอย่างดี มันจะต้องเป็นความลับของพวก
เขาแน่นอน ไม่มีทางหลุดรอดไปได้ก่อนแน่
เพราะมันเป็นเรื่องที่จะทาให้ตระกูลซือหม่ารับมือ
ลาบาก แต่ว่า......ซือหม่าหลันรู้เรื่องนี้ได้ยังไง
กัน?”
“ฝ่าบาททรงตรัสถูกต้องแล้ว ในบรรดาคนของ
ไหวหนานอ๋อง มีคนของซือหม่าหลันแฝงตัวอยู่งั้น
หรอ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วพูด
หลงไท่พูดว่า “นอกจากนี้ ข้าคิดความเป็นไปได้
อื่นไม่ออกเลย”
“ไหวหนานอ๋องกับซือหม่าหลันแอบสู้กันลับๆ ทั้ง
สองฝ่ายแอบซื้อตัวคนเป็นสายให้ตัวเอง มันก็
ไม่ใช่เรื่องแปลก” ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด “แต่ที่
น่าตกใจที่สุดก็คือ ตระกูลซือหม่ามีหลักฐานของ
หงนั่วไฮ่มากขนาดนั้นได้ ฝ่าบาท หงนั่วไฮ่ปกปิด
เรื่องที่ดินที่ถือครองอยู่ ทุจริตยึดครองที่ดินเพิ่ม
เรื่องพวกนี้จะต้องเป็นเรื่องลับแน่ เพราะเกี่ยวพัน
ความเป็นความตาย หงนั่วไฮ่ไม่มีทางประมาท
แน่นอน ซือหม่าหลันหาหลักฐานมาได้มากขนาด
นี้ มันไม่ใช่เรื่องที่จะทากันได้ในเวลาแค่ครึ่งเดือน
นะ”
หลงไท่กาหมัดไว้แน่นแล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูก
หลักฐานพวกนี้ ซือหม่าหลันมีอยู่ในมืออยู่แล้ว?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “กระหม่อมว่าต้องเป็น
อย่างนี้แน่ อีกทั้งในมือของตระกูลซือหม่าไม่มีทาง
มีแค่หลักฐานของหงนั่วไฮ่แน่” เขาหยุดไป สีหน้า
ของเขาเคร่งเครียด แล้วพูดว่า “ซือหม่าหลันเป็น
ขุนนางผู้สถาปนาประเทศ คนที่เจ้าแผนการอย่าง
เขา หาก......หากเขาแอบสืบความผิดของเหล่าขุน
นางมาตั้งแต่แรก คิดว่าทั่วทั้งราชสานัก ก็มีไม่กี่
คนที่ขาวสะอาดแน่นอน หลักฐานที่อยู่ในมือของ
เขา คงมีอยู่มากทีเดียว”
“หากครั้งนี้หงนั่วไฮ่ไม่ออกหน้า ซือหม่าหลันก็คง
ไม่เอาหลักฐานพวกนี้ออกมา” หลงไท่พูดว่า
“ซือหม่าหลันรู้มาก่อนแล้วว่าหงนั่วไฮ่ต้องการ
ร้องเรียนซือหม่าฉางเซิ่น ดังนั้นก็เลยให้หูเกิง
เตรียมหลักฐานเอาไว้ พอมาประชุม ก็ตอบโต้
กลับทันที บีบจนหงนั่วไฮ่ถึงที่ตาย”
ฉีหนิงพูดว่า “ถูกแล้ว หงนั่วไฮ่เป็นถึงซื่อหลาง
ของกรมพระคลัง ตาแหน่งอานาจก็สูงไม่น้อย
วันนี้ตระกูลซือหม่าลงมือทีเดียว ก็จัดการเขาได้
เลย ถือว่าได้แทงดาบใส่ทางไหวหนานอ๋องเข้า
เต็มๆ” เขาเขยิบเข้าไปใกล้ แล้วพูดเบาๆ ว่า
“ตระกูลซือหม่าลงมือวันนี้ ยิงธนูนัดเดียวได้นก
หลายตัวเลย”
“ยิงธนูนัดเดียวได้นกหลายตัวยังไง?”
ฉีหนิงพูดว่า “อย่างแรกเลย คนของไหวหนาน
อ๋องไม่มีทางโง่ขนาดไม่รู้ว่าตอนนี้ข้างตัวพวกเขามี
สายลับซ่อนตัวอยู่ ดังนั้นหลังจากเรื่องในวันนี้
พวกของไหวหนานอ๋องจะต้องสืบหาตัวสายที่อยู่
รอบกายพวกเขาว่าเป็นใครบ้างแน่นอน ฝ่าบาท
พระองค์ลองคิดดูนะ พอเป็นแบบนี้แล้ว ไหว
หนานอ๋องกับคนของเขาก็จะเริ่มระแวงคนรอบตัว
พอเริ่มรู้สึกระแวง พวกเขาก็จะเริ่มไม่เป็นกลุ่ม
เป็นก้อนเดียวกันแล้ว”
“ถูกต้อง” หลงไท่พูดว่า “อานาจในราชสานัก
ของไหวหนานอ๋องก็ไม่น้อย แต่ว่าเทียบไม่ได้กับ
ตระกูลซือหม่า เมื่อฝ่ายของไหวหนานอ๋องเริ่มมี
ใจระแวงกัน ผลดีก็จะตกไปอยู่ที่ตระกูลซือหม่า”
“อย่างที่สอง วันนี้หงนั่วไฮ่ร้องเรียนซือหม่าฉาง
เซิ่น แต่พริบตาเดียว กลับถูกตอบโต้ ตอนนี้เขา
ถูกขังอยู่ที่กรมอาญา เขาไม่ต่างกับคนตายแล้ว
ตอนนี้ จุดจบอนาถมาก” ฉีหนิงพูดว่า “เหล่าขุน
นางต่างก็เห็นกับตาตัวเองทั้งนั้น การที่ซือหม่า
หลันทาแบบนี้ ในความเป็นจริงแล้วก็เหมือนการ
เตือนให้เหล่าขุนนางได้รับรู้ว่า หากใครเห็น
ตระกูลซือหม่าเป็นศัตรู ก็จะมีจุดจบแบบนี้ เหล่า
ขุนนางเห็นๆ กันอยู่ ใครจะไม่กลัวบ้าง? แล้ว
ต่อไปจะมีใครกล้าร้องเรียนตระกูลซือหม่าอีก คง
ต้องคิดแล้วคิดอีก”
หลงไท่พูดว่า “สิ่งที่ข้ากังวลก็คือเรื่องนี้ ตั้งแต่นี้
ต่อไป ข้าคิดว่าคงไม่มีใครกล้าร้องเรียนตระกูลซือ
หม่าอีกแล้ว”
“อย่างที่สาม ซือหม่าหลันเอาหลักฐานความผิด
ของหงนั่วไฮ่ออกมาในท้องพระโรงวันนี้ หลักฐาน
ของหงนั่วไฮ่ทั้งหมดก็มาจากพ่อบ้านของจวนหง
กับผู้หญิงข้างตัวเขาเอง วิธีการแบบนี้ เป็นใครไม่
กลัวบ้าง?” ฉีหนิงพูดว่า “ไม่มีใครโง่ ขนาดดูไม่
ออกว่าหลักฐานพวกนี้มีการเตรียมการไว้อยู่แล้ว
อย่างที่กระหม่อมบอกไป ในมือของซือหม่าหลัน
น่าจะมีหลักฐานความผิดของอีกหลายคน
สถานการณ์แบบนี้ ขุนนางพวกนั้น ก็คงเลือกที่จะ
ไปเข้าข้างตระกูลซือหม่ากันหมด ต่อให้เป็นพวก
ของไหวหนานอ๋องก็เถอะ คิดว่าพวกเขาเองก็
อาจจะเริม่ คิดแล้วว่า จะติดตามไหวหนานอ๋อง
ต่อไปไหม”
หลงไท่พูดว่า “เจ้าหมายความว่า ขุนนางพวกนั้น
กังวลว่าตระกูลซือหม่าจะเอาหลักฐานความผิด
ของพวกเขามาเปิดเผย เพื่อเอาตัวรอด เลยไปเข้า
ร่วมกับตระกูลซือหม่า ถ้าอย่างนั้น ก็จะกลายเป็น
คนของตระกูลซือหม่าหมด ตระกูลซือหม่าก็จะไม่
ทาอะไรพวกเขาอย่างนั้นใช่ไหม?”
“ตราบใดที่ไม่รู้ว่าในมือของซือหม่าหลันมี
หลักฐานอะไรของใครบ้าง หลังจากจบประชุม
วันนี้ ขุนนางพวกนั้นจะต้องเป็นกังวลกัน
แน่นอน” ฉีหนิงพูดว่า “หงนั่วไฮ่สังหารท่านอา
ของเขา ขืนใจอาสะใภ้ของตัวเอง เรื่องลับสุดยอด
ขนาดนี้เขายังหามาได้เลย เป็นใครก็กังวลว่าเรื่อง
เน่าๆ ที่ให้ใครรู้ไม่ได้ของพวกเขาจะตกอยู่ในมือ
ของซือหม่าหลัน เพื่อไม่ให้ต้องเสี่ยง ก็ไปเข้า
ร่วมกับซือหม่าหลัน ซึ่งก็ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด
แล้ว”
“ปึ้ง”
หลงไท่กาหมัดแน่นแล้วทุบไปที่โต๊ะทางาน แล้ว
พูดขึ้นมาว่า “ซือหม่าหลันถือครองหลักฐานของ
คนไว้มากมายขนาดนี้ เขาคิดจะสบคบกันก่อกบฏ
หรืออย่างไร?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 544 หินหยกคู่
หลงไท่โกรธมาก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเดินอย่าง
รีบร้อนมา มีคนเข้ามารายงานว่า “ฝ่าบาท ฝ่า
บาท ไท่เฮาเสด็จมาพะยะค่ะ” จากนั้นก็ได้ยิน
เสียงตามหลังมาว่า “ไท่เฮาเสด็จแล้ว”
หลงไท่สีหน้าไม่ดีเลย เขายิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ข้า
รู้อยู่แล้วว่านางจะต้องทนไม่ไหว” เขาส่งสัญญาณ
ให้ฉีหนิงไปหลบ ฉีหนิงรู้ดีว่าต้องทาอะไร เขาเดิน
ไปหลบที่ด้านหลังชั้นวางหนังสือ หลงไท่เดินกลับ
ไปที่นั่งที่โต๊ะ เขาเห็นเงาเดินผ่านเข้ามา หลงไท่
ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “เสด็จแม่”
ไท่เฮาพูดด้วยน้าเสียงเข้มว่า สีหน้าของนางแย่
มาก เขาเดินตรงไปนั่งทันที แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท
ได้ยินว่าพระองค์จะส่งคนไปตงฉีหรอ?”
“หม่อมฉันกาลังจะไปทูลเรื่องนี้กับเสด็จแม่อยู่
พอดี...” หลงไท่ท่าทีนิ่งมาก “ท่านเสนาบดีหยวน
กรมพิธีการเสนอเรื่องการอภิเษกของลูกในท้อง
พระโรงวันนี้ หม่อมฉันก็เลยหารือเรื่องนี้ในที่
ประชุม...”
ไท่เฮาไม่รอให้เขาพูดจบ ก็ถามขึ้นมาว่า “ได้ยิน
มาว่าจิ่นอีโหวตระกูลฉีเสนอให้ส่งคนไปเจรจาการ
แต่งงานกับตงฉี?”
“ใช่แล้ว” หลงไท่พูด
ไท่เฮาจ้องไปที่หลงไท่ แล้วถามว่า “ฝ่าบาท ข้า
อยากถามพระองค์หน่อย เรื่องการส่งทูตไปเจรจา
เรื่องการแต่งงาน เป็นความคิดของเจ้าคนแซ่ฉีนั่น
หรือว่าเป็นประสงค์ของพระองค์กันแน่?”
หลงไท่ขมวดคิ้ว แต่ก็ยังอดทนเอาไว้ “หม่อมฉัน
ไม่ทราบว่าเสด็จแม่ทรงหมายความว่ายังไง?”
“ฝ่าบาท ข้าเคยบอกพระองค์ไปก่อนหน้านี้แล้ว
เรื่องของวังหลังกับการเมืองมันคือเรื่องเดียวกัน
หากวังหลังไม่สงบ ฝ่าบาทก็ไม่สามารถบริหาร
ราชกิจได้อย่างราบรื่น ชาวบ้านก็จะเดือดร้อน”
ไท่เฮาพูดว่า “เพื่อให้ฝ่าบาทสามารถบริหารราช
กิจโดยราบรื่น ข้าเลือกคนที่จะมาเป็นฮ่องเฮาให้
เจ้าอย่างยากลาบาก แต่พระองค์ไม่ได้เห็นถึง
ความห่วงใยของข้าเลย ทุกครั้งทีพ่ ูดถึงเรื่องการ
อภิเษก พระองค์ก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด ในการ
ประชุมวันนี้ พระองค์ตัดสินใจเด็ดขาด จะไปสู่ขอ
แต่งงานกับผู้หญิงจากตงฉีมาเป็นฮ่องเฮา ฝ่าบาท
ข้าอยากจะถามพระองค์นัก พระองค์มีประสงค์
อะไรกันแน่?”
“ในเมื่อเสด็จแม่ทรงทราบเรื่องนี้แล้ว ก็น่าจะทรง
ทราบถึงต้นสายปลายเหตุแล้ว” ฮ่องเต้น้อย
พยายามข่มอารมณ์ไว้ แต่ว่าฮ่องเต้ก็ยังดูข่ม
อารมณ์ไม่ค่อยอยู่ “การแต่งงานกับองค์หญิงตงฉี
มันจะทาให้เรากับตงฉีเป็นพันธมิตรกัน มันจะทา
ให้ต้าฉู่ของเราสามารถมีเวลาพักฟื้นจากสงคราม
มากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมในการบุกยึดเป่ยฮั่น
เรื่องนี้เป็นนโยบายของแคว้น เสด็จแม่น่าจะทรง
ทราบเรื่องนี้ดีกว่าหม่อมฉันนะ”
ไท่เฮาพูดว่า “นโยบายแคว้น? พระองค์เพิ่งจะ
ครองราชย์ได้กี่วัน ก็คิดจะยกทัพไปเป่ยฮั่นแล้ว
หรอ? คนตงฉีเจ้าเล่ห์ พระองค์ทรงจะรับองค์
หญิงของพวกเขามาเป็นฮ่องเฮา ไม่เป็นการชักศึก
เข้าบ้านไปหน่อยหรอ?”
“ยกทัพขึ้นเหนือยึดฮั่น เป็นประสงค์มาตั้งแต่ตอน
ที่ฮ่องเต้ไท่จู่ทรงครองราชย์” หลงไท่พูดว่า
“ฮ่องเต้ไท่จง อีกทั้งเสด็จพ่อ ต่างก็ยึดนโยบายนี้
เป็นหลักของแคว้น ถึงแม้หม่อมฉันจะครองราชย์
ได้ไม่นาน แต่ว่าพระประสงค์ของบรรพบุรุษ ยังไง
ก็ต้องดาเนินต่อไป เพื่อประโยชน์ของแคว้น เรื่อง
บางเรื่องก็ไม่ควรจะคิดเยอะเกินไป ส่วนเรื่องที่ว่า
การแต่งงานกับองค์หญิงตงฉีมันจะเป็นการชักศึก
เข้าบ้าน หม่อมฉันกลับไม่คิดแบบนั้น ตั้งแต่
โบราณมา การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของทั้งสอง
แคว้น ก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย แต่การสร้างความ
วุ่นวายในวังหลังนั้นไม่ค่อยมีให้เห็นนัก” เขาพูด
ว่า “เสด็จแม่ทรงดูแลเป็นเสาหลักของวังหลัง ต่อ
ให้องค์หญิงตงฉีมาถึงต้าฉู่ของเราจริง มีเสด็จแม่
อยู่ วังหลังไม่มีทางวุ่นวายแน่”
ไท่เฮาพูดว่า “ดูท่าพระองค์ทรงตัดสินพระทัยแน่
แล้วสินะว่า จะแต่งงานกับผู้หญิงที่มาจากตงฉี?”
“ไม่ใช่เพราะหม่อมฉันตัดสินใจแน่แล้ว แต่เพราะ
เรื่องนี้มีการหารือผ่านที่ประชุมแล้ว” หลงไท่พูด
ว่า “ราชทูตได้ทาการคัดเลือกเรียบร้อยแล้ว ไม่
สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก”
ไท่เฮาสีหน้าแย่มาก หลังจากนั้นไม่นาน ก็พูด
ขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทจะทรงอภิเษกกับผู้หญิงตงฉี ข้า
จะไม่ขวาง แต่ว่า...ตาแหน่งฮ่องเฮา จะให้เป็นคน
ตงฉีไม่ได้ แต่งตั้งนางเป็นสนมก็พอ”
“สนม?” หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “เสด็จแม่ ถึงแม้
ตงฉีจะเป็นแคว้นเล็กๆ แต่ว่าสถานการณ์
ในตอนนี้ ต้องตระหนักให้มาก ให้องค์หญิงตงฉีมา
เป็นแค่สนม เสด็จแม่คิดว่าชาวตงฉีจะยินยอม
หรอ?”
“หากไม่รับปาก การแต่งครั้งนี้ก็ยกเลิกไปซะ” ไท่
เฮาพูดว่า “ต้าฉู่ของเราเป็นดินแดนสวรรค์ ไม่ว่า
จะสาวงามแบบไหนก็มีมาก แต่กลับไปเลือก
ผู้หญิงตงฉีมาเป็นฮ่องเฮา มันไม่น่าขาไปหรอ”
หลงไท่ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “เสด็จแม่
หม่อมฉันเป็นฮ่องเต้ พูดคาไหนคานั้น ในเมื่อได้
ประกาศในท้องพระโรงไปแล้ว จะริบคาสั่งคืนได้
ยังไงกัน? หากแต่งตั้งองค์หญิงตงฉีเป็นสนมจริง
ไม่เพียงทั้งสองแคว้นจะไม่สามารถเป็นพันธมิตร
ร่วมกันได้แล้ว ยังจะทาให้ชาวตงฉีโกรธแค้นเรา
ด้วย ถึงเวลานั้นหากพวกเขาไปเข้ากับชาวเป่ยฮั่น
เสด็จแม่ทรงนึกถึงผลที่จะตามมาบ้างไหม?”
ไท่เฮาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท พระองค์
ทรงรู้หรือเปล่า ข้าทาทุกอย่างก็เพื่อพระองค์นะ”
นางลุกขึ้น แล้วเดินไปยืนอยู่หน้าโต๊ะ “ฝ่าบาท
พระองค์คงจะทรงจาได้ ที่พระองค์สามารถนั่งอยู่
บนบัลลังก์นี้ได้ มันเป็นเพราะอะไร”
“เสด็จแม่ไม่ต้องทรงเตือน หม่อมฉันก็จาได้ดี”
หลงไท่พูดว่า “หากไม่มีเจิ่นกั๋วกงแห่งตระกูลซื
อหม่า บัลลังก์ของหม่อมฉันก็คงเป็นของคนอื่นไป
แล้ว”
“ฝ่าบาททรงทราบก็ด”ี ไท่เฮาพูดว่า “ฝ่าบาท
เจิ่นกั๋วกงเป็นเสาหลักของราชสานัก เขาจงรัก
ภักดีกับฝ่าบาทมาก ขอแค่มีเจิ่นกั๋วกงอยู่ เรื่อง
การเมืองก็ไม่ต้องทรงกังวลอะไร หากแต่งตั้งซือ
หม่าหว่านฉงเป็นฮ่องเฮา ตระกูลซือหม่าทั้งหมดก็
จะยอมพระองค์ทุกเรื่อง แม้แต่ตายแทนพระองค์
หากเทียบกับแคว้นตงฉีเล็กๆ ฝ่าบาทควรจะให้
ความสาคัญตระกูลซือหม่ามากกว่านะ” นางถอน
หายใจว่า “ฝ่าบาทก็ทรงรู้ดี มีบางคนยังคงจ้องจะ
เอาบัลลังก์นี้อยู่ตลอดเวลา หากไม่มีเจิ่นกั๋วกง ฝ่า
บาท...”
หลงไท่ไม่รอให้ไท่เฮาพูดจบ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“หากไม่มีเจิ่นกั๋วกง หม่อมฉันคงไม่มีทางนั่ง
บัลลังก์นี้ได้อย่างมั่นคง สามารถถูกชิงเอาไปเมื่อ
ไหร่ก็ได้ เสด็จแม่ทรงหมายความเช่นนี้ใช่ไหม
พะยะค่ะ?”
ไท่เฮาอึ้งไป นางขมวดคิ้ว หลงไท่พูดว่า “เสด็จแม่
หม่อมฉันมีราชโองการเลื่อนบรรดาศักดิ์ตระกูล
ซือหม่าเป็นกง อีกทั้งยังให้ทายาทสืบทอด
บรรดาศักดิ์โหวไปแล้ว ตอนนี้ตระกูลซือหม่ามี
บรรดาศักดิ์กงหนึ่งโหวหนึ่ง ในราชสานักตอนนี้
เกรงว่าไม่มีใครได้รับเกียรติมากขนาดนี้
นอกจากนี้บรรดารายชื่อการปูนบาเหน็จที่เจิ่นกั๋ว
กงเขียนมา หม่อมฉันก็ทาตามให้ทุกคนทุกอย่าง
ไม่ทราบว่าหม่อมฉันยังขาดตกบกพร่องต่อตระกูล
ซือหม่าตรงไหนยังไงอีก?” เขายื่นไปด้านหน้า
เล็กน้อย แล้วจ้องไปที่ตาของไท่เฮา แล้วพูดว่า
“เสด็จแม่ ทรงทราบหรือไม่ว่า ที่หม่อมฉันไม่รับ
ซือหม่าหว่านฉงเข้าวัง ไม่ใช่อยากจะขัดรับสั่งของ
เสด็จแม่ แล้วก็ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันจะไม่พอใจในตัว
นาง แต่นี่เป็นการปกป้องตระกูลซือหม่าเอง”
“ปกป้องตระกูลซือหม่า?”
หลงไท่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เสด็จแม่อาศัยอยู่
ในวังหลวง อาจจะไม่ทรงทราบความคิดของเหล่า
ขุนนาง ที่จริงการที่เลือ่ นบรรดาศักดิ์ในครั้งนี้ มัน
ทาให้หลายคนไม่พอใจมาก หากหม่อมฉันแต่งตั้ง
ซือหม่าหว่านฉงเป็นฮ่องเฮาอีก ตระกูลซือหม่าก็
จะกลายเป็นเป้าของใครหลายคนอย่างเต็มตัว มัน
เป็นภัยกับตระกูลซือหม่ามากกว่า เรื่องนี้เสด็จแม่
น่าจะรู้ดีกว่าหม่อมฉันนะพะยะค่ะ”
ไท่เฮาพูดว่า “ใครกล้าพูดเหลวไหล ไม่พอใจการ
แต่งงานของฝ่าบาทได้อีก?”
“เสด็จแม่ต้องการให้ทุกคนเห็นว่าตระกูลซือหม่า
กลายเป็นขุนนางกุมอานาจทั้งหมดอย่างนั้น
หรือ?” หลงไท่พูด
ไท่เฮาหน้าถอดสี แล้วรีบพูดว่า “ฝ่าบาท
พระองค์ทรงหมายความว่ายังไง?”
หลงไท่พูดว่า “ไม่ได้เป็นความหมายของหม่อมฉัน
แต่เป็นความคิดความเห็นของเหล่าขุนนางในราช
สานัก เสด็จแม่ หากพระองค์ยังทรงต้องการให้
ซือหม่าหว่านฉงเข้าวังมา หม่อมฉันไม่ขัดก็ได้
หม่อมฉันจะทรงแต่งตั้งนางเป็นสนม แต่ว่า
ตาแหน่งฮ่องเฮา ในเมื่อมีมติในที่ประชุมไปแล้ว
การส่งทูตไปที่ตงฉี หากทาการสาเร็จ องค์หญิง
ตงฉีจะต้องเป็นฮ่องเฮาของแคว้นฉู่เท่านั้น”
“แล้วถ้าหากการเจรจาเรื่องการแต่งงานครั้งนี้
ล้มเหลวล่ะ?” ไท่เฮาถาม “แล้วฝ่าบาทจะแต่งตั้ง
ใครเป็นฮ่องเฮาล่ะ?”
“เสด็จแม่ทรงต้องการให้การเจรจาครั้งนี้ล้มเหลว
อย่างนั้นหรอ?” หลงไท่จ้องไปที่ตาของไท่เฮา
สายตาของเขาดุมาก
ไท่เฮาถึงกับสะดุ้ง แล้วพูดว่า “ในเมื่อพระองค์
ทรงตัดสินพระทัยแล้ว ข้าก็ไม่อยากพูดมากอีก
ข้าในฐานะไท่เฮาของแคว้นฉู่ มีบางเรื่องข้ารู้ว่า
พระองค์ทรงไม่โปรดที่จะฟัง แต่ว่าเห็นแก่ที่อดีต
ฮ่องเต้ทรงเมตตาข้ามาก ต่อให้พระองค์จะทรงไม่
โปรดอีกทั้งยังราคาญข้า ข้าก็ต้องพูด” นางไม่พูด
มากอีก จากนั้นก็หันแล้วเดินไป
เมื่อไท่เฮาเดินไปไกลแล้ว ฉีหนิงถึงได้เดินออกมา
จากหลังชั้นวางหนังสือ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ดูท่า
ด่านนี้น่าจะผ่านแล้วนะ”
หลงไท่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เมื่อก่อนนางไม่ได้
เป็นแบบนี้ หลังจากที่เสด็จแม่แท้ๆ ของข้าตายไป
เสด็จพ่อก็แต่งตั้งนางเป็นฮ่องเฮา แล้วให้นางเป็น
คนดูแลข้า ที่จริง...เมื่อก่อนนางดีกับข้ามาก ข้ายัง
จาได้ เมื่อก่อนข้าร่างกายอ่อนแอ ไม่สบายบ่อย
มาก เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่สบาย นางก็กอดข้าเอาไว้
เล่านิทานให้ข้าฟัง กล่อมข้าเข้านอน...” พอพูดถึง
ตรงนี้ น้าเสียงของเขาก็เหมือนสะอื้น
“ฝ่าบาท ไท่เฮาเองก็ทรงอยากเห็นตระกูลซือหม่า
เจริญรุ่งเรือง” ฉีหนิงพูดว่า “นางไม่ได้คิดอะไร
มาก นางไม่เข้าใจหรอกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่อานาจ
ของตระกูลซือหม่ามากเกินไป มันจะกลายเป็น
อันตรายต่อสถานการณ์ในราชสานัก”
หลงไท่นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาว่า “ฉีหนิง เจ้า
ไปตงฉีครั้งนี้ จะต้องเจรจาเรื่องการแต่งงานให้
สาเร็จ เมื่อกี้เจ้าก็ได้ยินแล้ว หากเจ้าทาเรื่องนี้ไม่
สาเร็จ ตระกูลซือหม่าจะต้องขุดเรื่องเก่ามาพูดอีก
แน่ ถึงเวลานั้นพวกเขาจะต้องบีบให้ข้าแต่งตั้งซือ
หม่าหว่านฉงเป็นฮ่องเฮาอีกแน่”
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้ารับปากหรอกนะ แต่
ว่าจะทาอย่างเต็มที่แน่นอน” ฉีหนิงพูดอย่าง
จริงจัง
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าต้องพึ่งเจ้าแล้ว
นะ” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “จริงสิ เมื่อ
เจ้าไปถึงตงฉี หากมีโอกาส เจ้าก็ไปหาหลิงหูซี
บ่อยๆ หน่อยนะ ข้าจะให้คนจัดเตรียมของขวัญไว้
ให้เขาโดยเฉพาะ เจ้าแอบเอาไปให้เขาเป็นการ
ส่วนตัวก็แล้วกันนะ”
“หลิงหูซี?”
หลงไท่ตบไปที่หัวของตัวเอง เขายิ้มแล้วพูดเบาๆ
ว่า “ข้าเกือบลืมไปเลย เจ้าเป็นจิ่นอีโหวตัวปลอม
ต้องไม่รู้จักหลิงหูซีอยู่แล้ว” เขาส่งสายตาให้ฉี
หนิงเข้ามาใกล้ๆ เขาพูดว่า “ถึงแม้เคว้นตงฉีจะ
เล็กมาก แต่ว่ามีคนที่มีความสามารถแล้วก็เก่ง
มากอยู่สองคน หากไม่ได้สองคนนี้ ตงฉีคงไม่อยู่
รอดมาจนถึงวันนี้แน่นอน”
“ฝ่าบาททรงหมายถึงหินหยกคู่อย่างนั้นหรอ?”
ในการประชุม ฉีหนิงได้ยินหลูเซียวพลั้งปาก
ออกมา
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “หนึ่งแม่ทัพหนึ่ง
เสนาบดี หินหยกคู่แห่งตงฉี หลิงหูซีเป็นเสนาบดี
ใหญ่แห่งตงฉี เซินถูหลัวเป็นแม่ทัพใหญ่กองพล
เรือแห่งตงฉี เขาเป็นสุดยอดแม่ทัพของตงฉี
ทัพเรือของตงฉีมีอย่างวันนี้ได้ ทั้งหมดเป็นผลงาน
ของเซินถูหลัว เขาเป็นคนกล้าหาญมาก พ่อของ
เขาเซินถูเปยคนก่อตั้งทัพเรือ ตอนนั้นเขาก็ไม่เคย
เห็นใครอยู่ในสายตาเลย” คิดๆ ดูแล้ว แล้ว
อธิบายต่อ “ตอนนั้นตระกูลเป่ยถังชิงบัลลังก์ตั้ง
ตัวเป็นใหญ่ ชิงโจวไท่โซ่วซ่งหยูยกทัพสู้กับเป่ยถัง
ทหารฮั่นห้าหมื่นคนบุกโจมตีชิงโจว ซ่งหยูมีทหาร
แค่สองหมื่นเท่านั้น เขาถูกทหารฮั่นโจมตีพ่ายแพ้
ย่อยยับ ในเวลานั้น เซินถูเปยก็ยกทัพมาลอบ
โจมตีทหารฮั่นทางน้า ทาให้ทหารฮั่นแตกกระเจิง
ไม่ทันตั้งตัว ซ่งหยูเฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่เมืองหลู่
อ๋องต่อ สุดท้ายทหารฮั่นจนปัญญาต้านทานได้ จึง
ถอนทัพกลับไป แต่ก็ยังถูกกองทัพตงฉีไล่ล่าอีก
บาดเจ็บล้มตายจานวนมาก ศึกในคราวนั้น ทาให้
ทัพเรือของตงฉีเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว หลังจากเซินถู
เปยตาย ลูกชายคนโตของเขาเซินถูหลัวรับ
ตาแหน่งแม่ทัพต่อจากเขา เมื่อเทียบกับตอนที่พ่อ
เขาอยู่ กองทัพเรือของตงฉีนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก”
ฉีหนิงถามว่า “ฝ่าบาท ไปตงฉี ทาไมจะต้องเอา
ของขวัญไปให้หลิงหูซีด้วย? แล้วเซินถูหลัวไม่ต้อง
หรอ?”
หลงไท่พูดว่า “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าหลิงหูซีเป็น
ใคร?”
“เขาก็เป็นเสนาบดีใหญ่ของตงฉีไง?”
“ถูกต้อง” หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “นอกจากนั้น
แล้ว เขายังเป็นศิษย์น้องของท่านอาจารย์จั่วชิง
หยางด้วย ทั้งสองคนเคยเรียนหนังสือด้วยกัน มี
ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 545 สำนักหมอหลวง
พอฉีหนิงรู้ว่าเสนาบดีใหญ่ของแคว้นตงฉีอย่าง
หลิงหูซีกับจั่วชิงหยางจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง
แบบนี้ เขารู้สึกตกใจมาก
“หลิงหูซีเคยส่งคนมาหาจั่วชิงหยาง อยากจะให้
จั่วชิงหยางไปเป็นขุนนางที่ตงฉี” หลงไท่พูดว่า
“แต่ว่าจั่วชิงหยางไม่เคยไปเลย อีกทั้งยังอยู่เฝ้า
วิทยาลัยฉงหลินของเขาต่อไปด้วย เสด็จพ่อเองก็
เคยไปเชิญจั่วชิงหยางมาเป็นขุนนาง แต่ว่าเขาเอง
ก็ปฏิเสธ ท่านผู้เฒ่าคนนี้ไม่ได้มีใจฝักใฝ่ด้านนี้เลย
ไม่ได้ใช้ความสามารถมาช่วยเหลือบ้านเมือง ถือ
ว่าราชสานักสูญเสียครั้งใหญ่เลย”
ฉีหนิงคิดว่าจั่วชิงหยางไม่เข้ากับใคร ไม่มีทางมา
ยุง่ วุ่นวายกับเรื่องในราชสานักแน่ เขาถามว่า “ฝ่า
บาท พระองค์หมายความว่า หลิงหูซีคุ้มที่เราจะ
ดึงมาเป็นพวกอย่างนั้นหรอ?”
“ที่จริงแล้วข้าเคยพบเขาตอนที่ข้าไปที่ตงฉี แล้วก็
เคยคุยกันด้วย” หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้มา
นานแล้วว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา เขามี
ความสามารถในการปกครองมาก ข้าเคยคิดว่า
หากเขามาทางานให้กับต้าฉู่ของเรา ตงฉีไม่เพียง
จะเสียเสาหลักไป อีกทั้งยังจะอ่อนกาลังลงด้วย
ต้าฉู่ของเราคงเหมือนเสือติดปีก แต่หลิงหูซีจงรัก
ภักดีต่อตงฉีมาก ต่อให้ข้าพูดให้ลิ้นพันกันตายก็ไม่
อาจเปลี่ยนใจเขาได้แน่นอน ข้าเลยล้มเลิก
ความคิดนี้ไป” เขาพิงตัวไปด้านหลัง แล้วพูดว่า
“แต่ว่าหลิงหูซีรู้สึกดีกับต้าฉู่เรา อีกทั้งยังค่อนข้าง
อคติต่อชาวเป่ยฮั่นด้วย ซึ่งเสนาบดีอย่างเขา ไม่มี
ทางให้ความรู้สึกมาปกครองแน่ แต่หากสามารถ
สร้างสัมพันธ์กับเขาได้ มันเป็นประโยชน์ต่อต้าฉู่
เราแน่นอน การไปเจรจาเรื่องการแต่งงานในครั้ง
นี้หากได้เขาช่วย น่าจะสาเร็จแน่นอน”
ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้ พอถึง
ตงฉี กระหม่อมจะไปพบท่านเสนาบดีหลิงหูเอง”
เขาถามต่อว่า “จริงสิ แล้วเซินถูหลัวคิดยังไง
กับต้าฉู่เรา?”
“ข้ากาลังจะเตือนเจ้าอยู่พอดีเลย ระวังเซินถูหลัว
ให้มาก” หลงไท่พูดว่า “ข้าเคยได้ยินมาว่า ตอนที่
เซินถูหลัวเป็นหนุ่ม เขาเดินทางท่องเที่ยวในต่าง
แดน เหมือนว่าจะเคยมีการไปมาหาสู่กับฉางหลิง
โหวเป่ยถังชิ่งของเป่ยฮั่นด้วย เหมือนพวกเขาจะ
เป็นศิษย์อาจารย์กัน ในเมื่อเขามีความสัมพันธ์กับ
ชาวเป่ยฮั่น ยังไงก็ต้องระวังไว้ก่อน”
“ฉางหลิงโหว?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฝ่า
บาท ทรงหมายถึงผู้บัญชาการกองทัพฮั่นเป่ยถัง
ชิ่ง?”
หลงไท่พูดว่า “ตอนนั้นเป่ยถังชิ่งเป็นแม่ทัพใหญ่
ควบคุมดูแลทัพฮั่น บัญชาการทหารกล้ากว่าหนึ่ง
แสนนาย เหมือนกับพ่อของเจ้า...ต่อสู้ปะมือกับฉี
จิ่งในสนามรบแบบสูสีมาก แต่เท่าที่ข้ารู้มา เป่ย
ถังชิ่งจู่ๆ ก็หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน ไม่มีใครได้
ข่าวคราวของเขาเลย เราเองก็เคยส่งคนไปสืบข่าว
ของเขา แต่ก็ไม่มีใครได้อะไรกลับมา”
“เป่ยถังชิ่งหายตัวไป?” ฉีหนิงพูดด้วยความตกใจ
ว่า “เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพฮั่น เป็นถึงฉางห
ลิงโหวของเป่ยฮั่น คนแบบนี้ จะหายไปไม่มีข่าว
คราวได้ยังไงกัน?”
หลงไท่เองก็พูดด้วยความสงสัยว่า “ข้าเองก็สงสัย
เหมือนกัน เป่ยถังชิ่งเป็นถึงขุนพลอันดับหนึ่งของ
เป่ยฮั่น จู่ๆ หายตัวไปไม่มีข่าวคราว มันต้องมี
อะไรมากกว่าที่เรารู้แน่” เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ราชวงศ์เป่ยฮั่นมีลูกหลานมากมาย ได้ยินมาว่า
ฮ่องเต้ของพวกเขามีพี่น้องห้าหกคน แต่ละคนมี
ลูกหลานเป็นกอง พวกเขาแอบสู้แย่งชิงอานาจ
กันเองอยู่ตลอดเวลา เป่ยถังชิ่งหายตัวไป หาก
ตายเพราะการต่อสู้ภายในก็อาจเป็นไปได้ แค่ชาว
เป่ยฮั่นเองอาจจะไม่กล้าประกาศเรื่องนี้ออกไป
เท่านั้นเอง”
“เป่ยถังชิ่งหายตัวไป แม่ทัพใหญ่ของพวกเขา
ในตอนนี้คือจงหลีอ้าว ศึกฉินไหว ทัพฮั่นได้จงหลี
อ้าวเป็นผู้บัญชาการ” หลงไท่พูดว่า “ข้ามีข้อมูล
ของเขาไม่มาก แต่ว่าสามารถสู้กับฉีจิ่งอยู่ได้หลาย
ปี คิดว่าจงหลีอ้าวคนนี้ก็ไม่น่าจะธรรมดา”
ฉีหนิงพูดว่า “กระหม่อมได้ยินมาว่าเป่ยฮั่นกับฉี
จิ่งสู้กันมีแต่ฉางหลิงโหเป่ยถังชิ่งนา แล้วจงหลี
อ้าวเป็นใคร ทาไมถึงได้เก่งแบบนี้”
“เรื่องที่จงหลีอ้าวบัญชาการทหารได้ดี น่าจะไม่
ผิด” หลงไท่พูดว่า “แต่ว่าตอนที่ฉีจิ่งนาทัพสู้ศึก
ฉินไหว เขาก็มีอาการป่วยอยู่แล้ว เลยไม่ได้มีกาลัง
แรงเต็มที่เหมือนเมื่อก่อน พูดกันตามตรง หากสู้
กันทางบกชาวเป่ยฮั่นยังอ่อนกว่าเราขั้นหนึ่ง เราสู้
กับพวกเขาจนพวกเขาต้องปักหลักข้างริมแม่น้า
ได้ ถือว่าเก่งมากแล้ว” เขายกมือแล้วพูดว่า “ช่าง
เถอะ อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย พอเจ้าไปถึงตงฉี
ระวังเซินถูหลัวให้ดี แต่ว่ามารยาทซึ่งหน้าก็อย่า
ให้ขาด”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทไม่ตอ้ งกังวลพระทัย
ต้องทายังไง กระหม่อมทราบดี”
“ดีแล้ว” หลงไท่พูดว่า “ของขวัญที่ทางกรมคลัง
จัดเตรียมเอาไว้ คิดว่าน่าจะต้องใช้เวลาสักหน่อย
อย่างเร็วก็น่าจะสิบวัน ช่วงนี้เจ้าก็พักให้เต็มที่”
เหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาถามว่า จริงสิ
เจ้าบอกว่าราชาพิษจิ่วซีเข้าเมืองหลวงมาแล้วใช่
ไหม?
ฉีหนิงกดเสียงให้เบาลงแล้วพูดว่า “กาลังจะราย
งานให้ทรงทราบพอดี ชิวเฉียนอี้ตอนนี้อยู่ในเมือง
หลวงแล้ว ฝ่าบาททรงเรียกเข้าเฝ้าได้ตลอดเวลา
เลย ฝ่าบาท ทรงจะเรียกเฝ้าเลยไหม?”
“ก็ด”ี หลงไท่พยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้า แล้ว
พูดว่า “ข้าจะเรียกเขามาพบ แต่ว่าไม่ใช่ในวัง”
เขากวักมือให้ฉีหนิงเข้ามาใกล้ๆ แล้วกระซิบกับ
เขาที่ข้างหู ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท
เอ่อ...เอ่อมันไม่ดีมั้ง?”
“ไม่มีอะไรไม่ดีทั้งนั้น” หลงไท่พูดว่า “ข้าเคยบอก
เจ้าไปแล้ว เรื่องพิษระบาดในเมืองหลวง มันไม่
ง่ายอย่างที่คิด หากพรรคบัวดาไม่ได้ทา เบื้องหลัง
เรื่องนี้จะต้องเป็นแผนการใหญ่แน่ จะต้องสืบให้รู้
ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ให้ได้” ยกมือแล้วพูดว่า
“เจ้ากลับไปก่อน ไว้ข้าเตรียมการอะไรเรียบร้อย
แล้ว ข้าจะให้คนไปบอกเจ้า”
ฉีหนิงยกมือคานับแล้วถอยหลังเตรียมออกไป เขา
เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาจับไปที่ท้องของเขา
แล้วก็ร้อง “โอ้ย” หลงไท่ตกใจ แล้วรีบพูดว่า
“เกิดอะไรขึ้น?”
ฉีหนิงทาหน้าเจ็บปวดแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท หลัง
จากที่กลับเมืองหลวงมา ก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย ตอน
ที่ประชุมในท้องพระโรงกระหม่อมก็รู้สึกว่าหัว
หนักๆ ร่างกายอ่อนแรง ไม่รู้ว่าไปติดเชื้ออะไรมา
จากซีชวนหรือเปล่า เหมือนตอนนี้จะไม่สบาย”
หลงไท่เห็นฉีหนิงเจ็บปวด เหมือนไม่ได้แกล้ง ก็รีบ
สั่งไปว่า “มีใครอยู่บ้าง” ไม่นาน ก็เห็นฟ่านเต๋อไฮ่
เข้ามาในห้อง หลงไท่สั่งว่า “ไปตามหมอหลวง ให้
รีบมาดูอาการจิ่นอีโหวเดี๋ยวนี้ ดูสิว่ามันเกิดอะไร
ขึ้น”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “ฝ่าบาท ไม่ต้อง......ไม่ต้องวุน่ วาย
แบบนั้นหรอก กระหม่อ...ทนไหว”
“เหลวไหล” หลงไท่เดินมาหา เห็นสีหน้าของฉี
หนิงไม่ค่อยดี ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไม่สบายก็
ต้องหาหมอ จะทนทาไม?” เขาโบกมือแล้วพูดว่า
“ฟ่านเต๋อไฮ่ เจ้ารีบไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า”
ฟ่านเต๋อไฮ่กาลังจะไป ฉีหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “ฝ่า
บาท หาก...หากตามหมอหลวงมา ไปมาก็วุ่นวาย
เสียเวลาด้วย ถ้าไง...ถ้าไงให้ฟ่านกงกงพาข้าไปที่
สานักหมอหลวงดีกว่า”
หลงไท่พูดว่า “ก็ดีเหมือนกัน ฟ่านเต๋อไฮ่ เจ้า
พาจิ่นอีโหวไปที่สานักหมอหลวงที”
ฟ่านเต๋อไฮ่รับคาสั่ง แล้วก็พาฉีหนิงออกไป เขา
เรียกขันทีมาอีกสองคน แล้วพยุงฉีหนิงออกจาก
วังตรงไปที่สานักหลวง สานักหมอหลวงตั้งอยู่
ข้างๆ วังหลวง เพื่อสะดวกให้คนในวังไปตรวจ
อาการ พอได้ยินในวังแจ้งมาว่าหัวหน้าขันทีหลวง
ฟ่านเต๋อไฮ่พาจิ่นอีโหวมาตรวจ หัวหน้าสานัก
หมอหลวงก็พาคนออกมาต้อนรับ แล้วก็เชิญพวก
เขาเข้าไปที่ห้องสะอาด
หัวหน้าสานักหมอหลวงบังเอิญแซ่เดียวกับฟ่าน
เต๋อไฮ่ ทั้งสองเหมือนจะมีสัมพันธ์ที่ไม่เลวเลย
หัวหน้าหมอหลวงฟ่านพยุงฉีหนิงนั่งลง แล้วก็ให้
ขอให้ฉีหนิงยื่นมือออกมา จากนั้นก็ตรวจชีพจรให้
ด้วยตัวเอง เหล่าหมอหลวงหลายคนยืนอยู่ข้างๆ
จากนั้นไม่นาน หมอหลวงฟ่านก็ขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “โหวเยว่ ชีพจรของท่าน รู้สึก...รู้สึกว่าจะ
วุน่ วาย แต่ว่า...”
ฟ่านเต๋อไฮ่ยืนอยู่ข้างๆ เลยรีบถามว่า “หมอหลวง
ฟ่าน โหวเยว่ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม?”
“ฟ่านกงกงวางใจได้ ไม่ได้เป็นอะไรมาก” หมอ
หลวงฟ่านยิ้มแล้วพูดว่า “น่าจะเป็นเพราะเลือด
ลมเดินไม่คล่องเท่านั้น กินยาสักสองสามเทียบก็
น่าจะหายแล้ว” เขาหันไปสั่งหมอคนหนึ่งว่า
“หมอหลวงหู เจ้าไปที่กองโอสถ หยิบยาบารุง
เลือดมาที แล้วให้โหวเยว่...” ยังพูดไม่ทันจบ ฉี
หนิงก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หมอหลวงฟ่าน ข้า
รู้สึกไม่มีแรงเลย ถ้า...ถ้ายังไงให้ข้าสานักหมอ
หลวงต้มยาให้ข้ากินก่อนได้ไหม”
หมอหลวงฟ่านพูดว่า “ก็ดีเหมือนกัน หมอหลวงหู
เจ้ารีบให้คนไปต้มยามาเร็วเข้า”
หมอหลวงหูคนนั้นรับคา แต่ฉีหนิงเรียกเขาไว้
“หมอหลวงหู ตัวยาสมุนไพรใครเป็นคนดูแล
หรอ?”
“เรียนโหวเยว่ หลางเฉิงของกองโอสถเป็นคน
ดูแล” หมอหลวงหูพูดต่อว่า “คลังยาทั้งหมดของ
สานักหมอหลวงเขาเป็นคนดูแลหมด ไม่ไกลจาก
ที่นี่ ข้าน้อยจะรีบไปนายามาให้ โหวเยว่โปรดรอ
สักครู่”
“ในเมื่อ...ในเมื่อหลางเฉิงกองยาโอสถเป็นคนดูแล
เรื่องยา ท่านก็ไม่ต้องยุ่งยากหรอกนะ ให้หลางเฉิง
คนนั้นต้มแล้วเอายามาให้ก็พอ” ฉีหนิงพูดว่า
“เขาดูแลเรื่องยา ก็ต้องรู้เรื่องยาเป็นอย่างดี ให้
เขาจัดยามาข้าก็สบายใจ”
หมอหลวงฟ่านยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ไม่ต้อง
กังวล ยาสมุนไพรของสานักหมอหลวงเราทุก
อย่าง ต่างผ่านการคัดเลือกมาแล้วอย่างดี หาก
คุณภาพไม่ดี ไม่มีทางได้เข้าคลังยาหลวงแน่นอน”
เขาสั่งต่อว่า “ให้ซูหลางเฉิงต้มยาแล้วเอามา”
หมอหลวงหูออกไป ฟ่านเต๋อไฮ่พูดว่า “โหวเยว่
หมอหลวงฟ่าน ข้ายังต้องกลับไปดูแลฝ่าบาท
แล้ว” เขากาชับว่า “หมอหลวงฟ่าน อีกไม่กี่วัน
โหวเยว่จะต้องไปเป็นราชทูต สานักหมอหลวง
ของท่านจะต้องดูแลร่างกายของโหวเยว่ให้ดี หาก
โหวเยว่เป็นอะไรขึ้นมา เกิดออกเดินทางไม่ได้ ฝ่า
บาทจะทรงกริ้วเอาได้นะ”
หมอหลวงฟ่านรีบยกมือคานับแล้วพูดว่า “ฟ่าน
กงกงโปรดวางใจได้ ตั้งแต่วันนี้ไป ทางสานักหมอ
หลวงจะส่งคนไปตรวจชีพจรให้โหวเยว่ที่จวนทุก
วัน”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วฟ่านเต๋อไฮ่ถึงได้พาขันที
กลับไป หมอหลวงฟ่านเห็นฉีหนิงไม่ได้เป็นอะไร
มาก ก็สั่งให้คนยกน้าชามา เขายิ้มแล้วถามว่า
“ต่อไปหากโหวเยว่มีอะไรให้รับใช้ สั่งให้คนมาที่
สานักหมอหลวงได้เลย ทางเราจะรีบส่งคนไป
ทันที”
ฉีหนิงพยักหน้า เขายิ้มแล้วพูดว่า “หมอหลวง
ฟ่าน ยาสมุนไพรของทางสานักหมอหลวง เอามา
จากไหนกันบ้างหรอ? พวกท่านส่งคนไปจัดซื้อมา
ใช่ไหม?”
หมอหลวงฟ่านยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ล้อเล่นแล้ว
ในเมืองหลวงมีร้านยาอยู่มากมาย ร้านยาใหญ่ที่
สามารถเปิดในเมืองหลวงได้ ถือเป็นกาลังหลัก
ของต้าฉู่เรา ยาสมุนไพรของร้านยาพวกนี้ล้วนแต่
เป็นของดี สานักหมอหลวงแค่เขียนรายการที่
ต้องการ แล้วสั่งให้ทางร้านยาส่งยามาให้ก็พอแล้ว
แต่ว่ายาแต่ละตัวที่จะเข้าคลังหลวง จะต้องผ่าน
การตรวจสอบอย่างละเอียด โหวเยว่ก็ทราบ ยา
สมุนไพรของเรา หลักๆ แล้วใช้กันในวังหลวง มี
แต่เชื้อพระวงศ์ขุนนางชั้นสูงทั้งนั้นที่ใช้ จะทา
ลวกๆ ไม่ได้ หากมีแปลกปลอมหรือว่าคุณภาพ
ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ก็ไม่อาจรับเข้าคลังหลวงได้”
ฉีหนิงพูดว่า “แล้วใครเป็นคนตรวจ? หมอหลวง
ฟ่านตรวจเองหรือเปล่า?”
“ต่างคนต่างหน้าที่ จะต้องใช้คนที่เหมาะสม”
หมอหลวงฟ่านพูดว่า “ยาสมุนไพรจะต้องรับเข้า
คลังยาของกองโอสถ เพื่อตรวจสอบ เมื่อครู่ที่โหว
เยว่สั่งให้หลางเฉิงของกองโอสถไปต้มยา ซูหลาง
เฉิงมีหน้าที่ตรวจสอบยาพวกนั้น หากคลังยาขาด
แคลนยาตัวไหน หรือว่ามีปัญหาขึ้นมา ต้องถาม
หาความรับผิดชอบจากเขา”
“ซูหลางเฉิง?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หมอหลวง
ฟ่านท่านเป็นคนผลักดันเขามารับตาแหน่งหรอ?”
หมอหลวงฟ่านพูดว่า “ก็ไม่เชิง พ่อของซูหลางเฉิง
เคยเป็นหยวนพ่านของสานักหมอหลวงมาก่อน
ต่อมาเขากับพี่ชายของเขาเองก็เข้ามาในสานัก
หมอหลวงเช่นกัน” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มแล้วพูด
ว่า “พี่ชายของเขาวิชาแพทย์ใช้ได้เลยทีเดียว
ก่อนตาย ก็เป็นถึงหยวนพ่าน แต่ว่าซูหลางเฉิงนั้น
การแพทย์ไม่ค่อยเท่าไหร่ เขาเลยถูกจัดให้ไปอยู่ที่
กองโอสถ นี่ก็หลายปีแล้ว ทางานใช้ได้อยู่”
“อ่อ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับ
ว่าสืบทอดงานของพ่อ...ไม่สิ น่าจะเป็นยุคใครยุค
มันสินะ หากไม่มีพ่อกับพี่ชาย เขาก็คงเข้าสานัก
หมอหลวงไม่ได้”
หมอหลวงฟ่านรู้สึกว่าคาพูดของฉีหนิงแปลกมาก
คาพูดของเขาตอบกลับไม่ง่ายเลย เขาทาได้แค่
หัวเราะแห้งสองที
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 546 ไกล่เกลี่ย
ยาที่ไปต้มไม่ได้ทาให้ฉีหนิงรอนาน หลังจากที่
หมอหลวงหูพาซูหลางเฉิงของกองยาโอสถมา ซู
หลางเฉิงก้มหน้าลง แล้วก็ยกถ้วยยาขึ้นมาให้สอง
มือ ดูเคารพนอบน้อมมาก เขาคุกเข่าลงกับพื้น
หลางเฉิงแห่งกองโอสถในสานักหมอหลวง เมื่ออยู่
ต่อหน้าบรรดาศักดิ์โหวสืบทอด ก็ตัวเท่ามด
“เอ๋ ซูหลางเฉิง หัวของเจ้าไปโดนอะไรมา?” หมอ
หลวงฟ่านเห็นซูหลางเฉิงแปะแผ่นยาบนหัว ก็
รู้สึกสงสัย
ซูหลางเฉิงรีบพูดว่า “เมื่อวานข้าน้อยไม่ทันระวัง
ล้ม ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย”
“อ๋อ?” หมอหลวงฟ่านเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาไม่มี
ทางรู้แน่นอนว่าเมื่อคืนนี้ซูหลางเฉิงถูกฉีหนิงซ้อม
ปางตายมาเมื่อคืนนี้ ใบหน้าของเขาไม่ค่อย
เท่าไหร่ แต่ว่าตามตัวมีแต่รอยเขียวรอยช้าไปหมด
เขาทาได้แค่เอาเสื้อมาปิดเอาไว้ ทาให้มองไม่เห็น
เท่านั้นเอง
กองยาโอสถไม่เหมือนกองยาทั่วไป ยาสมุนไพร
ทุกตัวมีเข้าออกทุกวัน ในฐานะหลางเฉินของกอง
ยาโอสถ จาเป็นจะต้องมาทางานทุกวัน หากต้อง
การลา จะต้องทาเรื่องล่วงหน้าหลายวันถึงจะได้
ก็เหมือนกับเมื่อวานถูกซ้อมมาปางตายแค่ไหน
วันนี้ซูหลางเฉิงก็ยังจาเป็นต้องมาทางานขาดงาน
ไม่ได้
ซูหลางเฉิงคิดลวนลามเถียนฮูหยิน เขาคิดว่าเถียน
ฮูหยินอยากจะทาการค้ากับทางสานักหมอหลวง
อีกทั้งยังเป็นแค่หญิงม่ายคนหนึ่ง เลยคิดจะทามิดี
มิร้ายกับนางที่ภัตตาคาร เดิมทีเขาคิดว่ายังไงก็
สาเร็จแน่นอน เถียนฮูหยินเองก็คงไม่กล้าไปบอก
ใคร แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนเข้ามาขวาง
แล้วก็กระทืบเขาอย่างหนัก ซูหลางเฉิงมึนมาก
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนซ้อมเขา
เมื่อครู่ได้ยินมาว่าจิ่นอีโหวมาที่สานักหมอหลวง
แล้วก็สั่งให้เขาไปต้มยา ซูหลางเฉิงก็แอบรู้สึกกลัว
เขารู้ดี การที่เถียนฮูหยินสามารถส่งยาเข้ามาใน
สานักหมอหลวงได้ ก็เพราะมีจิ่นอีโหวให้การ
ช่วยเหลืออยู่ เมื่อวานเขาคิดจะใช้กาลังข่มเหง
เถียนฮูหยิน วันนี้จิ่นอีโหวก็มาถึงสานักหมอหลวง
มันดูบังเอิญเกินไป บังเอิญจนดูตั้งใจ เขามีลาง
สังหรณ์ไม่ดี แต่ว่าหลบยังไงก็ไม่พ้น หลังจากที่ต้ม
ยาเสร็จ ก็เลยจาเป็นต้องส่งยามาด้วยตัวเอง เขา
ตัดสินใจแล้ว หากจิน่ อีโหวถามหาความ เขา
ปฏิเสธอย่างเดียวก็ได้ เถียนฮูหยินเป็นแค่หญิง
ม่ายคนหนึ่ง น่าจะไม่มีทางมาเป็นพยานถึงที่นี่ได้
ต่อให้เถียนฮูหยินมาที่นี่จริง ถึงเวลานั้นเขากัดฟัน
ปฏิเสธ แล้วก็บอกไปว่าเพราะเถียนฮูหยินต้อง
การทาการค้า เลยยั่วยวนเขา เพราะยังไงไม่มี
หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร เถียนฮูหยินก็ไม่มี
หลักฐาน ขณะที่เขานายามา เขาวางแผนไว้แบบ
นี้ตลอดทาง
แต่ว่าฉีหนิงกลับไม่พูดไม่ถามอะไรเลย เขารับยา
มา เป่าแล้วก็ดื่มเลยยาจนหมด แล้ววางถ้วยลง
จากนั้นก็พูดว่า “นี่มันยาอะไรกัน? ทาไมมันถึงได้
ขมแบบนี้?”
หมอหลวงฟ่านยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ยาขมถือ
เป็นยาดี ยานี่สามารถทาให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี
ขึ้น เป็นสมุนไพรบารุงอย่างดี ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม
โหวเยว่จะหายดีเป็นปกติ”
ฉีหนิงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี” เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “หมอหลวงฟ่าน ขอบใจท่านมากเลย
นะ ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”
หมอหลวงฟ่านลุกขึ้นแล้วเดินตามไปส่ง แล้วพูด
ว่า “น้อมส่งโหวเยว่ ไว้ทางสานักหมอหลวงจะส่ง
คนไปตรวจที่จวน” จากนั้นก็เดินไปส่งออกจาก
สานักหมอหลวง ฉีหนิงยิ้ม แล้วเดินไปที่ประตู พอ
กาลังจะเดินไปถึงประตู ทันใดนั้นเองเขาก็เดินตัว
เซ แล้วก็ทรุดตัวลงไปกับพื้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทาให้ทุกคนตกใจ หมอหลวงฟ่านถึงแม้จะอายุ
มากแล้ว แต่เขาก็ว่องไวพอ เขาเป็นคนแรกที่เดิน
เข้าไปพยุงแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่าน...”
ซูหลางเฉิงเห็นฉีหนิงไม่ถามอะไรเลย เขาก็รู้สึกดี
ใจมาก แอบคิดในใจก่อนหน้านี้เขาคงคิดมากไป
เอง วันนี้อาจจะแค่เรื่องบังเอิญ เขาเลยผ่อนคลาย
ลง แต่เมื่อได้ยินเสียง เขาก็หันหลังไปดู เมื่อเห็นฉี
หนิงขาอ่อนทรุดลงไปกับพื้น สีหน้าของเขาก็ซีด
เซียวลง หมอหลวงฟ่านรีบตรวจชีพจรของเขา
ทันที
ซูหลางเฉิงรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดี เขาเห็นสีหน้า
ของหมอหลวงฟ่านนั้นแย่มาก ฉีหนิงพูดอย่างไร้
เรี่ยวแรงว่า “หมอหลวงฟ่าน มัน.....มันเรื่องอะไร
กัน?”
หมอหลวงฟ่านพูดว่า “โหวเยว่ เมื่อครู่ชีพจรของ
ท่านแค่วุ่นวายนิดหน่อย แต่ว่า...แต่ว่าเลือดลม
ของโหวเยว่ตอนนี้ยุ่งเหยิงไปหมด ภายในร่างกาย
...เอ๋....โอ้ย แปลก แปลกมาก...”
“ข้าทรมานมากเลย” ฉีหนิงยกมือชี้ไปที่ถ้วยยา
“นี่...นี่มันยาอะไร?”
หมอหลวงหูกับซูหลางเฉิง ต่างก็ตกใจขวัญ
กระเจิง ต่างรีบคุกเข่าลงกันหมด หมอหลวงหูรีบ
พูดว่า “โหเยว่ เทียบยานี่...เทียบยานี่ข้าน้อยเป็น
คนจัดให้ เป็น...เป็นเทียบยาบารุงเลือดลม ไม่มี
ทางมีปัญหาแน่นอน” เขามองไปที่ซูหลางเฉิง
แล้วพูดว่า “ซูหลางเฉิง เจ้าได้เตรียมแล้วต้มยา
ตามที่ข้าสั่งหรือเปล่า?”
ซูหลางเฉิงตัวสั่น พูดจาติดๆ ขัดๆ ว่า “หมอ...
หมอหลวงหู ข้า...ข้าทาตามที่ท่าน...ท่านจัดมาให้
ไม่...ไม่มีอะไรผิดพลาดเลย...”
“ข้าจะตายแล้ว” ฉีหนิงหายใจหอบแรงแล้วพูดว่า
“ข้าจะตายแล้ว สานักหมอหลวงของพวกเจ้าทา
ร้ายข้า พวกเจ้า.....พวกเจ้ามีหนอนบ่อนไส้ คิด...
คิดจะฆ่าข้า...”
ตอนนี้ไม่เพียงแค่หมอหลวงหูกับซูหลางเฉิง
เท่านั้น แม้แต่หมอหลวงฟ่านกับหมอหลวงคนอื่น
ต่างก็ตกใจขวัญกระเจิงกันไปหมด
จิ่นอีโหวเป็นใคร? นั่นมันหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหว
สืบทอดของต้าฉู่นะ จิน่ อีโหวตระกูลฉีเป็นถึง
ตระกูลขุนพลก่อตั้งแคว้น ตระกูลแบบนี้ อย่าว่า
แต่สานักหมอหลวงเลย ต่อให้ฮ่องเต้เองก็ยังต้อง
ให้เกียรติพวกเขา
ฉีหนิงเป็นใคร? ตอนนี้มีแต่คนบอกว่าโหวน้อยคน
นี้เป็นคนที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงโปรดปรานและ
ให้ความสาคัญมาก อีกทั้งวันนี้ที่มาสานักหมอ
หลวง ฮ่องเต้ก็ยังให้หัวหน้าขันทีมาส่งด้วยตัวเอง
ด้วย
อย่าว่าแต่โหวน้อยจะมาตายที่สานักหมอหลวง
เลย แค่ผมร่วงในสานักหมอหลวงแค่เส้นเดียว
สานักหมอหลวงก็เดือดร้อนแน่นอน
“โหวเยว่ โหวเยว่...” หมอหลวงฟ่านรีบพูดว่า
“สานักหมอหลวงเราไม่มีหนอนบ่อนไส้แน่นอน
ไม่...ไม่มีใครกล้าทาร้ายโหวเยว่แน่ โหวเยว่ไม่ต้อง
กังวล ในสานักหมอหลวงเองก็มียอดฝีมืออยู่
มากมายข้าน้อยจะรีบสั่งรวบรวมคนมาช่วยรักษา
ท่านเดี๋ยวนี้เลย” เขายกมือแล้วพูดว่า “เร็วเข้า
ยังไม่รีบมาพยุงโหวเยว่นอนลงอีก”
พวกเขารีบเดินเข้ามา ฉีหนิงยกมือขึ้นโบกแล้วพูด
ว่า “ไม่ไหว ไม่ไหวแล้ว ข้าต้องถูกพวกเจ้าทาจน
ตายแน่...ข้าขยับไม่ได้เลย ใคร...ใครก็ห้ามมาแตะ
ต้องตัวข้า...รีบส่งคนไปรายงานให้ฝ่าบาททรง
ทราบ ให้...ให้ฝ่ายบาทเสด็จมาที่นี่...” เขาหายใจ
หอบแรงขึ้น ดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว
ทุกคนต่างมองหน้ากัน พวกเขาร้อนใจกันมาก
ต่างพากันมองไปที่หมอหลวงฟ่าน
หมอหลวงฟ่านรู้ดีแก่ใจ หากส่งคนไปรายงานใน
วังหลวง เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน เขารู้สึก
แปลกใจมาก ทาไมยาถึงมียาพิษ ถึงทาให้จิ่นอี
โหวมีอาการแบบนี้ เขาขมวดคิ้ว แล้วเหลือบไป
มองเห็นสายตาที่เจ้าเล่ห์ของฉีหนิง หมอหลวง
ฟ่านเป็นหัวหน้าใหญ่ในสานักหมอหลวง วิชา
แพทย์ร้ายกาจที่สุด แต่เขาเองก็เป็นขุนนางคน
หนึ่ง รับราชการมาหลายปีแล้ว เห็นแค่สีหน้า
ท่าทางเขาก็รู้ว่ามันคืออะไร เขายกมือแล้วพูดว่า
“พวกเจ้าออกไปกันก่อน ข้าจะรักษาอาการของ
โหวเยว่เอง”
เหล่าหมอหลวงต่างรีบออกไปกันทันที ซูหลา
งเฉิงออกไปเป็นคนสุดท้าย หมอหลวงฟ่านพูดว่า
“ซูหลางเฉิง แล้วก็พวกเจ้า ไปรออยู่ด้านนอก
ก่อน ใครก็ห้ามไปไหนทั้งนั้น เรียกเมื่อไหร่ต้องมา
ได้ทันที”
ทุกคนรับคา แล้วก็เดินออกไป หมอหลวงฟ่านรีบ
ปิดประตูทันที จากนั้นก็หันกลับมาพูดว่า “โหว
เยว่ ท่านวรยุทธ์ล้าเลิศ ข้าน้อยนับถือยิ่งนัก”
“วรยุทธ์?” ฉีหนิงพูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “หมอ
หลวงฟ่าน ข้า...ข้าไม่เข้าใจความหมายของท่าน”
“สีหน้ากับเลือดลมของโหวเยว่ดูยุ่งเหยิงวุ่นวาย
แต่ว่าลมหายใจของท่านไม่ได้อ่อนลง มันไม่ใช่
อาการของคนที่เป็นพิษเลย” หมอหลวงฟ่านพูด
เสียงเบาๆ ว่า “โหวเยว่ หากสานักหมอหลวงทา
อะไรที่เป็นการล่วงเกินท่านไป โหวเยว่พูดมาได้
เลย ข้าน้อยขออภัยให้ท่านก่อนเลยล่วงหน้า ท่าน
เป็นผู้ใหญ่คงไม่คิดเล็กคิดน้อย หากเรามีอะไรที่
ทาไม่ดี โหวเยว่โปรดอภัยด้วย”
ฉีหนิงเลือดลมยุ่งเหยิง เป็นเพราะการเดิน
ลมปราณ วรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ไม่เหมือน
เมื่อก่อนแล้ว เขาสามารถเดินลมปราณได้อย่างที่
ใจคิด เมื่อได้ยินหมอหลวงฟ่านพูดมาแบบนี้แล้ว
เขาก็รู้ทันทีว่าตาเฒ่านี่น่าจะเข้าใจอะไรขึ้นมา แต่
เขาก็ยังคงแกล้งทาต่อไป “หมอหลวงฟ่าน ข้ารู้ว่า
ท่านไม่ทาร้ายข้า หมอหลวงหูเองก็ไม่ทาร้ายข้า
แต่ว่า...แต่ว่าไม่แน่ว่าจะมีใครคิดอยากจะทาร้าย
ข้าหรือเปล่าน่ะสิ”
หมอหลวงฟ่านพูดว่า “ซูหลางเฉิง?”
มีคนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้สามคน ชื่อที่ฉีหนิงพูดถึง
ไม่ใช่ทั้งหมอหลวงฟ่านกับหมอหลวงหู นั้นก็แสดง
ว่าเป็นซูหลางเฉิง หมอหลวงฟ่านแปลกใจมาก
เขาแอบคิดว่าซูหลางเฉิง จากกองยาโอสถ ไป
ล่วงเกินจิ่นอีโหวตอนไหน?
ฉีหนิงพูดว่า “ยาถ้วยนี้คนที่แซ่ซูนั่นเป็นคนต้ม
จะต้องเป็นเขาแน่ที่จะทาร้ายข้า ข้า...ข้าจะ
รายงานเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบว่า สานักหมอ
หลวงมีไส้ศึกของเป่ยฮั่นซ่อนตัวอยู่”
หมอหลวงรู้ว่าหากรายงานเรื่องนี้ขึ้นไป เฒ่าแก่ๆ
อย่างเขาก็จะซวยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รับ
ราชการมา พอตอนนี้นึกขึ้นมาได้แล้ว เมื่อครู่ที่จิ่น
อีโหวยืนยันจะให้สานักหมอหลวงต้มยาให้ อีกทั้ง
ยังสั่งให้หลางเฉินของกองยาโอสถต้มยาอีก เขา
เริ่มเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว แสดงว่าท่านโหวน้อย
พุ่งเป้ามาที่ซูหลางเฉิงมาตั้งแต่แรก
“โหวเยว่ ซูฮุ้ยถึงแม้จะเป็นคนทาอะไรหยาบ แต่
ว่าเขาไม่ใช่เป่ยฮั่นแน่นอน” หมอหลวงฟ่านพูด
เสียงเบาว่า “เขาเป็นคนหยาบ ทาอะไรไม่รอบ
คอบ ต้มยาผิดให้โหวเยว่ มีโทษไม่ควรให้อภัย แต่
ว่าโหวเยว่ก็ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต แค่บารุงร่าง
กายสักหน่อย ก็น่าจะหายขาด”
“อย่างนั้นหรอ?” ฉีหนิงเหลือบสายตาถามว่า
“ทาการสะเพร่า? หมอหลวงฟ่าน ซูหลางเฉิงทา
การสะเพร่า เกือบทา...ทาให้ข้าต้องตาย มีโทษ
ยังไงหรอ?”
หมอหลวงฟ่านรีบพูดว่า “โหวเยว่ ท่านว่าอย่างนี้
ได้หรือเปล่า ซูฮุ้ยยังไงก็เก็บไว้ไม่ได้แล้ว ข้าน้อย
จะรีบออกคาสั่งว่า ซูฮุ้ยการแพทย์ไม่ดี ใช้ยา
ประมาท เกือบทาให้คนตาย ตั้งแต่วันนี้ไปให้ปลด
ออกจากสานักหมอหลวง ห้ามกลับมาทางานอีก
ไม่เพียงแค่ในสานักหมอหลวง แม้แต่ร้านยาด้าน
นอกก็ห้ามรับไปทางานอีก นอกจากนี้โหวเยว่ได้
รับผลกระทบ ทางสานักหมอหลวงเต็มใจมอบ
โสมอย่างดีสองต้น อีกทั้งสมุนไพรล้าค่าอีกมาก
มายไปให้ที่จวน ท่านว่า...”
ฉีหนิงคิดในใจว่าตาเฒ่าหมอคนนี้ก็ใช้ได้เหมือน
กัน เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “หมอหลวงฟ่าน
ข้าไม่ได้อยากจะทาให้เจ้าต้องลาบากใจหรอกนะ
เพียงแต่ว่าข้าเกือบจะตายที่นี่แล้ว เห้อ....”
หมอหลวงฟ่านรู้ว่าฉีหนิงพุ่งมาที่ซูจงเฉิง เขารู้
ทันทีว่าซูจงเฉิงเก็บไว้ไม่ได้แล้วแน่นอน
ตามหลักแล้ว ด้วยอานาจของจิ่นอีโหว หากจะ
กาจัดหลางเฉิงกองโอสถเล็กๆ มันง่ายยิ่งกว่าพลิก
ฝ่ามือ แต่ว่าวันนี้โหวน้อยมาจัดการเรื่องนี้ด้วย
ตัวเอง แสดงว่าเรื่องนี้รุนแรงมาก หากเขาช่วยซู
ฮุ้ย คิดว่าสานักหมอหลวงเดือดร้อนแน่นอน
ในเวลาแบบนี้ จบเงียบๆ น่าจะดีที่สุด ไล่หลา
งเฉิงกองโอสถไปแค่คนเดียว ปกป้องสานักหมอ
หลวงเอาไว้ เป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มที่สุด เมื่อได้
ยินฉีหนิงผ่อนคลายลง ก็รีบพูดว่า “โหวเยว่
ลาบากแล้ว เป็นเพราะเราไม่ดีเอง โหวเยว่เป็นคน
ใจกว้าง หากโหวเยว่ยินยอม ข้าน้อยจะไล่ซูฮุ้ยอ
อกจากสานักหมอหลวง หากโหวเยว่รู้สึกว่าทา
แบบนี้ยังไม่พอ ข้าน้อยจะไปตรวจสอบบัญชี หาก
ซูฮุ้ยทุจริต ก็จะรีบส่งตัวไปที่กรมมอาญาทันที...”
ฉีหนิงรู้ว่าตาเฒ่านี้ต้องรู้อยู่แล้วแน่นอนว่าซูฮุ้ยมี
ทุจริต เขาพูดว่า “ท่านหมอหลวงฟ่าน ต้อง
จัดการยังไง เป็นเรื่องภายในของสานักหมอหลวง
ข้าไม่สะดวกไปก้าวก่ายหรอกนะ ข้าจะเห็นแก่
หน้าท่าน ท่านคิดว่าจัดการแบบไหนเหมาะสม ก็
ทาไปเถอะนะ แต่ว่าซูฮุ้ยคิดจะทาร้ายข้า หากเขา
ยังอยู่ในเมืองหลวงเขาอาจจะหาโอกาสอีกก็ได้
ท่านคิดว่า...”
“ข้าน้อยเข้าใจ” หมอหลวงฟ่านรีบพูดว่า
“ข้าน้อยไม่เพียงจะไล่เขาออกจากสานักหมอ
หลวง ยังจะให้เขาออกจากเมืองหลวงไปด้วย
ตั้งแต่นี้ต่อไปห้ามเขาเข้าเมืองหลวงอีกเป็นอัน
ขาด”
“เอ่อ...มันเป็นเรื่องของท่านหมอหลวงฟ่านแล้ว
นะ” ฉีหนิงนั่งตัวตรงขึ้นมา แล้วจัดเสื้อผ้า แล้ว
พูดว่า “ท่านหมอหลวงฟ่าน ที่จริงที่ข้ามาที่นี่ใน
วันนี้ ยังมีเรื่องอื่นต้องการพบท่านอีก แต่ว่า...ไม่
สะดวกจะกล่าวเลย”
หมอหลวงฟ่านพูดว่า “โหวเยว่ต้องการอะไร เชิญ
พูดมาได้เลย หากข้าน้อยทาได้ จะไม่ปฏิเสธเลย”
เขาคิดว่าเทพเจ้าน้อยองค์นี้พุ่งเป้ามาที่สานักหมอ
หลวง ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขอะไร รับปากไปก่อน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 547 สาวงามนอนหลับ
ฉีหนิงพูดว่า “หมอหลวงฟ่าน ซูหลางเฉิงของพวก
ท่านไม่เพียงความรู้ความสามารถน้อย อีกทั้งยังใช้
ชื่อของสานักหมอหลวงไปรังแกชาวบ้าน ท่านรู้
เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า?”
หมอหลวงฟ่านขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “มีเรื่องอย่างนี้
ด้วยหรอ?”
“ข้ามีญาติห่างๆ คนหนึ่ง เขาเป็นคนซื่อมาก ส่ง
ยาสมุนไพรเข้ามาในสานักหมอหลวงของพวก
ท่าน แต่วา่ จนถึงตอนนี้ กลับยังไม่ได้เงินเลยแม้
แต่อีแปะเดียว” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“นอกจากนี้ซูหลางเฉิงยังจะหาเรื่องให้นางต้อง
ลาบากใจอีก ทาให้นางกินไม่ได้นอนไม่หลับ หมอ
หลวงฟ่าน ท่านว่ามันควรหรือไม่?”
หมอหลวงฟ่านงงอยู่ตั้งนาน เขาแปลกใจมากว่าซู
หลางเฉิงไปล่วงเกินจิ่นอีโหวยังไง ตอนนี้เขาเข้าใจ
แล้ว เขารีบพูดว่า “โหวเยว่ ซูฮุ้ยใช้อานาจในทาง
มิควร ที่แท้ก็อาศัยชื่อของสานักหมอหลวงไปทา
ร้ายคนอื่น หากไม่ได้โหวเยว่ชี้แนะ ข้าน้อยก็คงจะ
ยังอยู่ในกะลา” เขาพูดว่า “หมอหลวงหู”
พวกของหมอหลวงหูรออยู่ด้านนอก พอได้ยิน
เสียงเรียกขาน หมอหลวงหูก็รีบเข้ามา เขาเข้า
มาแล้วก็ปิดประตูเองเลย หมอหลวงฟ่านสั่งเขาว่า
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เรื่องในกองโอสถให้เจ้า
เป็นคนดูแล ส่วนซูฮุ้ยให้ออกจากสานักหมอหลวง
ไปทันที ห้ามเข้ามาในสานักหมอหลวงอีกแม้แต่
ก้าวเดียว”
หมอหลวงหูถึงกับตะลึงไป
“โหวเยว่ ไม่ทราบว่าญาติห่างๆ ของท่านมีชื่อแซ่
ว่าอะไร?” หมอหลวงฟ่านถามอย่างระวัง
ฉีหนิงพูดว่า “แซ่เถียน”
“อ๋อ?” หมอหลวงเถียนคิดแล้วถามว่า “หรือว่า
จะเป็นร้านยาตระกูลเถียน?”
ฉีหนิงถามว่า “หมอหลวงฟ่านเคยได้ยินด้วย
หรอ?”
“ร้านยาตระกูลเถียนเป็นร้านยาอันดับต้นๆ ของ
เมืองหลวง สมุนไพรราคายุติธรรม” หมอหลวง
ฟ่านพูดว่า “หมอหลวงฟ่าน เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม
ข้าได้ยินมาว่าคลังยาหลวงมียาขาดไปหลายตัว
เจ้ารีบส่งคนไปที่ร้านยาตระกูลเถียนเลยนะ ให้
นางรีบส่งยาสมุนไพรมาทันทีเลย แล้วตั้งแต่นี้
ต่อไป ยาสมุนไพรทุกอย่างของสานักหมอหลวงให้
ร้านยาตระกูลเถียนเป็นคนส่งเจ้าเดียวเท่านั้น
แล้วทุกครั้งที่ส่งยามาแล้ว หากตรวจสอบแล้วไม่มี
ปัญหา ก็รีบจ่ายเงินไปเลย ห้ามค้างจ่ายเด็ดขาด”
หมอหลวงหูฟังแล้วก็เข้าใจทันที เขารีบพูดว่า
“ข้าน้อยทราบแล้ว จะไปดาเนินการเดี๋ยวนี้เลย”
เขาคานับฉีหนิง แล้วหันหลังกลับไป จากนั้นก็ปิด
ประตู
ฉีหนิงถึงได้ลุกขึ้นมาจากพื้น แล้วปัดเสื้อผ้า จาก
นั้นก็ยืดเส้นยืดสาย แล้วพูดกับหมอหลวงฟ่านว่า
“หมอหลวงฟ่าน ท่านนี่เหมือนหมอเทวดาเลยนะ
ข้าเหมือนจะไม่เป็นอะไรแล้ว ใช้ยาได้ตรงจุดเลย”
หมอหลวงฟ่านรู้สึกจนใจ แต่ก็ยังพูดอย่างเคารพ
ว่า “โหวเยว่เป็นคนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง เป็นบุญ
บารมีของโหวเยว่ทั้งนั้น”
“เอาล่ะ ข้ารู้ว่าท่านยุ่ง ข้าก็ไม่รบกวนแล้วนะ” ฉี
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไว้วันหน้าหากข้ามีเวลา ข้า
จะมาเชิญท่านหมอหลวงฟ่านไปดื่มน้าชานะ”
เขาหันหลัง แล้วเดินไปที่ประตู กาลังจะเปิดประตู
เขาก็หยุด แล้วหันมาถามว่า “หมอหลวงฟ่าน
เมื่อกี้ท่านพูดถึงเรื่องโสม มาจากเหลียวตงหรือ
เปล่า?”
หมอหลวงฟ่านแทบอยากจะร้องไห้ เขายกมือ
คานับแล้วพูดว่า “โหวเยว่วางใจได้ เป็นของแท้
จากเหลียวตงเลย ยาสมุนไพรในสานักหมอหลวง
ของเราทุกอย่าง เป็นของดีมีราคาทั้งนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า
“หลายวันมานี่ร่างกายของข้าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่
ถ้ายังไง...โสมสองต้นข้าเอากลับไปก่อนก็แล้วกัน
ส่วนสมุนไพรอื่นๆ ท่านก็ให้คนส่งตามไปที่หลังก็
แล้วกัน”
“ข้าน้อยจะรีบให้คนจัดส่งไปให้” หมอหลวงฟ่าน
พูดอย่างจนใจ
ตอนที่ฉีหนิงออกมาจากสานักหมอหลวง หลีถังก็
พาคนและรถม้ามารออยู่ด้านนอกสานักหมอ
หลวงแล้ว เดิมพวกเขารอฉีหนิงอยู่นอกวังหลวง
ต่อมาฉีหนิงถูกส่งมาที่สานักหมอหลวง ฟ่านเต๋อ
ไฮ่ส่งคนไปแจ้งหลีถัง พวกของหลีถังเลยรีบนารถ
มารอที่หน้าสานักหมอหลวง พวกเขาเป็นห่วง
มาก ไม่รู้ว่าโหวเยว่ของพวกเขาเป็นอะไร แต่ว่า
สานักหมอหลวงไม่ใช่ใครที่ไหนจะเข้าไปได้ พวก
เขาเลยทาได้แค่รออยู่ด้านนอก
เมื่อเห็นโหวน้อยของพวกเขาเดินออกมาจาก
สานักหมอหลวง ในมือถือกล่องสวยงามออกมา
ด้วย พวกของหลีถังก็มองหน้ากัน รีบเดินเข้ามา
หา จากนั้นก็มองไปที่เขาอย่างละเอียด หลีถังถาม
ด้วยระวังว่า “โหวเยว่ ท่าน...ท่านเป็นอะไรหรอ?
ไม่สบายตรงไหน?”
“ตาบอดหรือไง?” ฉีหนิงมองบน “ไม่เห็นหรือไง
ข้าแข็งแรงจะตาย ทาไม เจ้าแช่งให้ข้าป่วยหรือ
ไง?”
“มิกล้า ข้าน้อยจะไปกล้าแช่งท่านได้ยังไง” หลีถัง
รีบยิ้มแล้วพูดว่า “คนในวังบอกว่าโหวเยว่มาที่
สานักหมอหลวง เราเป็นห่วง”
“มาที่สานักหมอหลวง ก็ไม่ได้จาเป็นว่าต้องป่วย
นิ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านหมอหลวงฟ่านเป็น
คนดี ให้โสมข้ามาด้วย” เขาชี้ไปที่กล่อง “ในนี้มี
โสมแก่ชั้นดีสองต้น ไป กลับจวนกัน ข้าหิวมาก
แล้ว”
ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ฉีหนิงไปประชุมเช้ายังไม่ได้
กินแม้แต่น้าสักหยด ตอนนี้เขาท้องร้องมาก
เขานั่งรถกลับมาถึงจวน เป็นเวลาเที่ยงพอดี
อาการเริ่มอุ่นค่อนไปทางร้อน ฉีหนิงสั่งให้คนจัด
โต๊ะอาหารเลย เขาไม่เห็นกู้ชิงฮั่น เขาถือโสมแล้ว
เดินไปที่เรือนของกู้ชิงฮั่น ภายในเรือนเงียบและ
ร่มรื่นมาก พอเข้าไปในเรือน เขาเห็นที่ใต้ต้นไม้
ใหญ่ มีเก้าอี้ไม้โยกอยู่ตัวหนึ่ง กู้ชิงฮั่นสวมชุดลาย
ดอกไม้ กาลังนั่งอยู่บนนั้น นางราวกับภาพวาดที่
สวยงาม
ลมพัดโชยมา อากาศเย็นเล็กน้อย กู้ชิงฮั่นกาลัง
พักอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วก็เผลอหลับไป กระโปรงของ
นางสะบัดเล็กน้อย ทาให้เห็นขาอ่อนของนางโผล่
ออกมาเล็กน้อย รองเท้าสีชมพูของนางวางอยู่
ข้างๆ เก้าอี้ ขาของนางขาวมาก เรียวยาวเล็ก
สวยจนหวั่นไหว
ฉีหนิงรู้สึกคอแห้งมาก เขารีบมองไปที่อื่น แต่ว่า
ปลายตาก็ยังคงมองไปตรงนั้น เขารู้ว่าในเรือน
ของกู้ชิงฮัน่ หากนางไม่อนุญาต บ่าวไพร่สาวใช้
ใครก็ห้ามเข้ามา ก็เพราะแบบนี้ กู้ชิงฮั่นก็เลยจะ
ทาตัวสบายๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางได้
เห็นอะไรแบบนี้แน่นอน
ช่วงนี้กู้ชิงฮั่นเหมือนจะเหนื่อยล้ามาก นางนอนไม่
ค่อยเต็มตา ใบหน้าที่สวยงาม ผิวพรรณที่ผ่องใส
ทาให้นางดูงดงามมาก ขนตาเรียวยาวที่น่า
หลงใหล มันราวกับภาพวาด นางเหมือนภาพสาว
งามนอนหลับที่ยังมีชีวิตอยู่
ม่ายสาวแสนสวยคนนี้ราวกับผลไม้ที่สุกเต็มที่ ให้
ความรู้สึกอยากจะเข้าไปกัดสักคา แต่ว่าฉีหนิงรู้
ขอบเขตดี ในเวลานี้แค่แตะต้องตัวนางเบาๆ มันก็
ถือเป็นคนเลวที่ฉวยโอกาสแล้ว เขาถอนหายใจใน
ใจเบาๆ กาลังคิดจะเดินออกจากเรือนของนางไป
แต่ว่าเดินออกไปแค่สองก้าว ก็ดันไปเหยียบกิ่งไม้
เข้า กู้ชิงฮั่นหลับอยู่ก็จริง แต่ว่านางก็ประสาทไว
มาก นางสะดุ้งตื่นขึ้นมา รีบรวบขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อลืมตาขึ้นมา นางยังมองเห็นไม่ชัดเท่าไหร่ นาง
รีบถามขึ้นมาทันทีว่า “ใคร?”
ฉีหนิงเห็นว่านางตื่นแล้ว ก็หันกลับมา แล้วพูดว่า
“ซานเหนียง ข้าเอง”
กู้ชิงฮั่นเห็นว่าเป็นฉีหนิง ก็โล่งใจ นางลุกขึ้นมานั่ง
ตัวตรง จากนั้นก็ยืดแขนขึ้น บิดขี้เกียจด้วยความ
เคยชิน นางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ากลับมาแล้วหรอ?
ข้ารอเจ้าเห็นเจ้าไม่กลับมาสักที เผลอหลับไปเฉย
เลย”
กู้ชิงฮั่นเห็นฉีหนิงจ้องมาที่หน้าอกของนาง ก็เลย
มองตามลงไป เห็นว่าเสื้อที่ตรงนั้นมันเปิดอ้าอยู่
ผิวด้านในโผล่ออกมาเล็กน้อย หน้าของนางก็แดง
ขึ้นมา แล้วจ้องไปที่ฉีหนิง จากนั้นก็พูดว่า “มอง
อะไร หันไปเดี๋ยวนี้ หากมองอีกข้าจะควักลูกตา
เจ้าออกมาเลยคอยดู”
ฉีหนิงหัวเราะ แต่ก็ยังหันไปตามที่นางต้องการ กู้
ชิงฮั่นเองก็รีบลุกขึ้นมา แล้วจัดเสื้อผ้าของตัวเอง
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรโผล่ออกมาแล้ว ถึงได้ถามว่า
“หิวหรือยัง? ไปประชุมตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไร
เลย รีบไปกินข้าวเถอะ” นางหันแล้วเดินตรงไปที่
ประตูเรือน นางเหลือบไปเห็นกล่องในมือของฉี
หนิง ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “นี่อะไร?”
ฉีหนิงยื่นไปให้นาง แล้วพูดว่า “อันนี้เอามาให้
ท่าน”
กู้ชิงฮั่นรู้สึกแปลกใจ นางรับมาแล้วเปิดออกดู
เห็นว่าเป็นโสมแก่สองต้น ก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า
“โสมแก่นี่ได้มาจากไหนกัน? มีราคามากเลย
นะเนี้ย ฝ่าบาททรงประทานให้หรอ?”
ฉีหนิงเดินผ่านหน้านาง แล้วนั่งลงตรงที่เก้าอี้โยก
แล้วเอนตัวพิงหลัง ทับที่เดียวกับที่กู้ชิงฮั่นนอน
เก้าอี้โยกทาจากไม้ เหมือนมันยังมีกลิ่นกายของกู้
ชิงฮั่นหลงเหลืออยู่ กู้ชิงฮั่นเห็นดังนั้น ก็รู้สึกเขิน
เก้าอี้ตัวนั้นเป็นของนางคนเดียวมาโดยตลอด
ปกติมีแต่นางที่ใช้อยู่ แต่ว่านางก็คิดว่าจะพูดแบบ
นี้ออกมามันก็ไม่ค่อยดีนัก ฉีหนิงพูดขึ้นมาด้วย
เสียงไม่ค่อยพอใจว่า “ต่อไปอย่าพูดถึงเรื่องที่ฝ่า
บาทจะประทานอะไรให้เลย ซานเหนียง ข้าบอก
ท่านไว้เลยนะ ฝ่าบาทของเรา ขี้งกยิ่งกว่าพวก
ปล่อยกู้อีก ข้าไม่เคยเจอฮ่องเต้พระองค์ไหนขี้งก
แบบนี้เลย อย่าว่าแต่โสมเลย แค่ประทานผ้าสัก
ม้วนหนึ่ง ก็ถือว่าใจป้ามากแล้ว”
กู้ชิงฮั่นค่อยๆ เดินไปข้างๆ แล้วถามว่า “แล้ว
ได้มาจากไหน?”
“ท่านหัวหน้าสานักหมอหลวงให้มา” ฉีหนิง
กระพริบตา ยิ้มแล้วพูดว่า “ช่วงนี้ดูท่าน
อ่อนเพลียมาก เอาโสมสองต้นนี้บารุงร่างกาย
ท่านสักหน่อย รับรองเลยว่ากินเข้าไปแล้ว ท่าน
จะอ้วนท้วนสมบูรณ์ สวยกว่านี้เป็นสองเท่าเลย”
“เจ้านี่ชอบพูดจาเหลวไหลจริงๆ เลยนะ” กู้ชิงฮั่น
ยิ้มแล้วถามว่า “ตอนนี้ข้าผอมมากเลยหรอ? ต้อง
บารุงตรงไหน?”
“ไม่ผอมเลย” ฉีหนิงลุกขึ้นมา แล้วมองไปที่
หน้าอกของกู้ชงิ ฮั่น แล้วพูดว่า “ที่ที่ควรจะมีเนื้อ
มีหนังไม่ผอมเลยสักนิดเดียว”
“เดี๋ยวทุบให้ตายเลย” กู้ชิงฮั่นยื่นมืออกมาจะไป
ดึงหูของฉีหนิง นางพูดว่า “เจ้าตัวแสบ ได้คืบจะ
เอาศอกใช่ไหม?”
ฉีหนิงยกมือขึ้นมาแล้วจับไปที่ข้อมือของฉีหนิง
แล้วพูดว่า “ซานเหนียง ข้าแค่เผลอพูดออกไปไม่
ทันระวัง ท่านปล่อยข้าไปเถอะนะ ต่อไปข้าไม่
กล้าแล้ว”
กู้ชิงฮั่นหัวเราะ รอยยิ้มของนางเหมือนกับดอกไม้
ฉีหนิงรู้สึกหวั่นไหวมาก เขาออกแรงกระชาก กู้ชิง
ฮั่นร้อง “ว้าย” จากนั้นนางก็ถลาไปตามแรง แล้ว
พุ่งเข้าชนตัวของฉีหนิง ร่างกายอ่อนนุ่มของนาง
แนบชิดกับเขา ฉีหนิงอดไม่ได้ที่จะใช้มือโอบไปที่
เอวของกู้ชิงฮั่น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 548 ผ้าเช็ดหน้า
กู้ชิงฮั่นถูกฉีหนิงกระชากตัวไป ก็พุ่งเข้าหาตัวของ
ฉีหนิง หน้าของนางถอดสี ในเวลานี้นางไม่ได้
กังวลว่าฉีหนิงจะทาอะไรนาง แต่ว่าอยู่กลางเรือน
นอน ปกตินางกังวลว่าในจวนจะเกิดเรื่องอะไร
เร่งด่วนขึ้น นางเลยไม่ปิดประตูใหญ่ เพื่อให้บ่าว
ไพร่สาวใช้สะดวกในการเข้ามารายงาน
แต่ว่าสภาพในตอนนี้ หากใครมาเห็นเข้า ผลที่
ตามมานางไม่อยากจะคิดเลย นางพยายามดิ้น
แล้วด่าเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าบ้าไปแล้วหรอ? หาก
ใครมาเห็นเข้า ไม่อยากอยู่แล้วหรือไง?” ฉีหนิง
ไม่ได้โอบนางแน่น กู้ชิงฮั่นดิ้นนิดหน่อยก็หลุดออก
มาแล้ว ผมเพ้าของนางยุ่งเหยิง นางรีบจัดเสื้อ
แล้วหันไปมองที่ประตู จากนั้นก็จ้องไปที่ฉีหนิง
แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ไว้ค่อยจัดการเจ้าทีหลัง”
ฉีหนิงนั่งลุกตัวตรงขึ้นมา แล้วเปลี่ยนประเด็น
“ซานเหนียง ฝ่าบาททรงมีราชโองการรับสั่ง ให้
ไปเจรจาการแต่งงานที่ตงฉี”
กู้ชิงฮั่นตะลึงไป แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ตงฉี?
แสดงว่าข่าวลือในตลาดก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ คุณ
หนูใหญ่ตระกูลซือหม่าจะเข้าวังไปเป็นฮ่องเฮา
อย่างนั้นหรอ?”
“ตระกูลซือหม่าอยากมาก” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“น่าเสียดายที่ฝ่าบาทมีแผนไว้แล้ว หากคุณหนูซือ
หม่าเข้าวัง แผ่นดินนี้คงไม่ได้แซ่เซียวอีกต่อไปแล้ว
มั้ง?”
กู้ชิงฮั่นรีบยกนิ้วขึ้นมาที่ริมฝีปาก ท่าทางของนาง
น่าหลงใหลมาก นางต่อว่าเบาๆ “อย่าพูด
เหลวไหล”
“ซานเหนียง ท่านเขยิบเข้ามาใกล้ๆ หน่อย ข้ามี
เรื่องอยากพูดกับท่าน” ฉีหนิงพูดเสียงเบามาก
กู้ชิงฮั่นไม่ยอมเข้าไปใกล้เขาแต่ยังถอยหลังอีก
ด้วย นางพูดว่า “มีอะไรก็พูดมาเลย ไม่ต้องอยู่
ใกล้ๆ ก็ได้” ในใจนางคิดว่า เจ้าตัวแสบอย่าคิดน่ะ
ว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็ง
แล้วนี่ มีโอกาสก็ชอบเอาเปรียบนางอยู่เรื่อย จะ
ให้เขาได้ใจอีกไม่ได้
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ข้าไม่
ทาอะไรจริงๆ ข้ามีเรื่องอยากจะหารือกับท่าน”
เขารู้ว่ากู้ชิงฮั่นไม่เชื่อเขา เขาเลยพูดเสียงเบาๆ ว่า
“ในจวนของเรามีหนอนบ่อนไส้ไหม?”
กู้ชิงฮั่นตะลึงไป เห็นท่าทางของฉีหนิงจริงจังมาก
ก็รู้ว่าเจ้าเด็กแสบนี่ไม่ได้หลอกนางแน่ นางเลย
เขยิบเข้ามานิดหน่อย แต่ก็ยังเว้นระยะอยู่ นาง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หนอนบ่อนไส้? หนิงเอ่อร์
เจ้าไปเจออะไรแปลกๆ มาหรือเปล่า?”
“ในที่ประชุมวันนี้ จั่วซื่อหลางของกรมคลังหงนั่ว
ไฮ่ถูกปลดออกจากตาแหน่ง แล้วก็ถูกจับไปกุมขัง
ที่กรมอาญาแล้ว” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “คนที่
ร้องเรียนเขา เป็นคนสนิทของตัวเขาเอง เรื่องที่
ร้องเรียนเป็นเรื่องลับที่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้
ทั้งนั้น หลักฐานทั้งหมดอยู่ในมือของตระกูลซือ
หม่า วันนี้ตระกูลซือหม่าเชือดไก่ให้ลิงดูไปแล้ว”
เขาหยุดไป แล้วเอนตัวขึ้นหน้านิดหน่อย เขาพูด
เสียงเบาๆ ว่า “ข้ากับฝ่าบาทรู้สกึ ว่า หลักฐานที่
อยู่ในตระกูลซือหม่า ไม่น่าจะมีแค่ของหงนั่วไฮ่คน
เดียว คิดว่าของขุนนางราชสานักหลายคนก็น่าจะ
อยู่ในมือของเขาแน่นอน”
ดวงตาอันสวยงามของกู้ชิงฮั่นตกใจมาก นางขยับ
เข้ามาใกล้อีก แล้วถามว่า “เจ้าหมายความว่า
ตระกูลซือหม่าอาจจะส่งคนของพวกเขาแฝงตัว
เข้ามาอย่างนั้นน่ะหรอ?”
“คนอย่างเขา ทาได้ทกุ อย่าง เราจะต้องระวังตัว
ให้มาก”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ตระกูลฉีของเราไม่เคยทาอะไรที่
ให้ใครรู้ไม่ได้ ต่อให้พวกเขาส่งคนมาสืบ ก็ไม่มีทาง
หาอะไรเจอ”
“แต่ว่าหากในจวนโหวของเรามีสายของพวกเขา
จริง ต่อไปไม่ว่าเราจะทาอะไร ก็จะอยู่ในสายตา
ของตระกูลซือหม่าหมด” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจัง
มากว่า “ซานเหนียง ท่านก็รู้ ข้าไม่ได้รู้ที่มาที่ไป
ของคนในจวนมากนัก ระหว่างทางพวกเขาถูก
ใครซื้อไปตัวไปบ้าง ข้าก็ไม่แน่ใจเลย”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้า แล้วพูดว่า “หนิงเอ่อร์ ข้าเข้าใจ
ความหมายของเจ้า เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะ
แอบจัดการเอง”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ให้ท่านจัดการ
ข้าไม่มีทางต้องกังวลอะไรแน่นอน”
“ไม่ต้องมาประจบเลย” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “จริงสิ ไป
เจรจาการแต่งงานกับตงฉี ตระกูลซือหม่าไม่
คัดค้านหรอ?”
“นอกจากตระกูลซือหม่า คนในราชสานักจะมี
ใครอยากให้คนของตระกูลซือหม่าเข้าวังอีก
หรอ?” ฉีหนิงพูดว่า “ไหวหนานอ๋องกับขุนนางใน
ราชสานักหลายคน ต่างก็สนับสนุนการไปเจรจา
การแต่งงานที่ตงฉีทั้งนั้น เรื่องนี้มีการลงมติในที่
ประชุมไปแล้ว คุณหนูตระกูลซือหม่า อย่างมากก็
ได้เข้าวังไปเป็นสนมเท่านั้น”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “แล้วไหวหนานอ๋องจะเดินไปตงฉี
หรอ?” แต่นางก็ส่ายหัว แล้วพูดว่า “ไหวหนาน
อ๋องคงไม่กล้าไปจากเมืองหลวงแน่ หากเขาไป
ตระกูลซือหม่าคงฉวยโอกาสลงมือกับคนของเขา
แน่นอน”
ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องนี้โยนกันไปโยนกันมา สุดท้าย
ก็ตกมาที่ข้า”
สีหน้าของกู้ชิงฮั่นเปลี่ยนไปทันที แล้วพูดว่า
“เจ้า? ราชสานักให้เจ้าไปเป็นราชทูตเดินทางไป
ตงฉี?”
“เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท” ฉีหนิงพูดว่า
“หากเรื่องนี้ไม่สาเร็จ คุณหนูตระกูลซือหม่า
จะต้องได้เข้าวังเป็นฮ่องเฮาแน่นอน ดังนั้นเรื่องนี้
ยังไงก็ต้องสาเร็จ”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ราชสานักไม่มีคนอื่น
แล้วหรือยังไง? ทาไมเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ถึงโยนให้
เจ้าไปทาคนเดียว เพิ่งจะกลับมาจากซีชวนไม่กี่วัน
ก็จะให้เจ้าไปตงฉีอีก เจ้า...เจ้าไปทูลขอฝ่าบาท ให้
คนอื่นไปแทนไม่ได้หรอ”
ฉีหนิงพูดว่า “ซานเหนียง ทาไมท่านถึงไม่อยากให้
ข้าไปล่ะ? ท่านกังวลว่าข้าจะเป็นอะไรไปหรอ...?”
“หยุดเลย” กูช้ ิงฮั่นรีบเดินขึ้นหน้า แล้วเอามือปิด
ปากฉีหนิงเอาไว้ แล้วไม่ได้พูดดีด้วยว่า “เจ้าพูด
เหลวไหลอะไร มีบรรพบุรุษของตระกูลฉีคุ้มครอง
เจ้าต้องปลอดภัย ไม่...ไม่มีทางเป็นอะไรไปหรอก
ต่อไปถ้าพูดอะไรแบบนี้อีก ข้าจะไม่เกรงใจเจ้า
แล้วนะ” ถึงแม้นางจะตาหนิต่อว่า แต่ว่ามัน
แสดงออกว่านางเป็นห่วงมาก
ฉีหนิงรู้สึกอุ่นใจ เขายกมือไปจับมือของกู้ชิงฮั่น กู้
ชิงฮั่นรีบสะบัด แต่ว่าฉีหนิงกลับจับแน่นมาก แล้ว
พูดว่า “ซานเหนียง จิ่นอีตระกูลฉีของเราไม่
เหมือนเดิมแล้ว อย่าว่าแต่ท่านพ่อสิ้นไปแล้วเลย
ต่อให้ท่านยังอยู่ อานาจของตระกูลฉีของเราก็
เทียบกับตระกูลซือหม่าไม่ได้หรอก”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้า นางเองก็เข้าใจความหมายของ
เขาดี
“อานาจของตระกูลซือหม่าเพิ่มขึ้นทุกวัน หาก
พวกเขาสามารถควบคุมอานาจในราชสานักทั้ง
หมดได้ ฝ่าบาทก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดในกรงทอง
ทันที ตระกูลฉีของเราก็จะมีจุดจบไม่ดีเช่นกัน” ฉี
หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “กลุ่มอานาจไหนที่มี
ผลกระทบต่ออานาจบารมีของตระกูลซือหม่า
พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยไปได้ สิ่งที่เราทาได้ตอนนี้
ก็คือช่วยเหลือฝ่าบาท ยับยั้งการเพิ่มอานาจของ
ตระกูลซือหม่า”
กู้ชิงฮั่นรู้ดีว่าสิ่งที่ฉีหนิงพูดนั้นมันคือเรื่องจริง นาง
ถอนหายใจอย่างเศร้าๆ ว่า “ข้าแค่กังวลว่าหาก
ครั้งนี้ทาการไม่สาเร็จ จะมีคนฉวยโอกาสลงมือกับ
เจ้า อีกทั้งยังมีคนไม่อยากให้ตงฉีแต่งงานเชื่อม
สัมพันธ์กับต้าฉู่อยู่แล้ว พวกเขาจะต้องหาทาง
ขัดขวางแน่นอน เจ้า...” สีหน้าของนางเต็มไป
ด้วยความกังวลและเป็นห่วง
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านวางใจได้ ที่ซีชวน
เองก็อันตรายมากมาย แต่ว่าข้าก็กลับมาได้อย่าง
ปลอดภัย ซานเหนียง การไปตงฉีครั้งนี้ ไม่มีเรื่อง
อะไรทาอะไรข้าได้หรอก” เขาถอนหายใจ แล้ว
พูดว่า “แต่ว่ามีเรื่องหนึ่ง ข้าคิดว่าคงทรมานใจข้า
น่าดู มันน่าจะเป็นสิ่งที่ข้าเจ็บปวดที่สุดในการ
เดินทางในครั้งนี”้
“อะไร?” กู้ชิงฮั่นรีบถาม
ฉีหนิงพูดเสียงเบาๆ ว่า “ข้ากลัวว่าพอออกจาก
เมืองหลวงไปตั้งแต่วันแรก ข้าจะคิดถึงท่าน จน
กินไม่ได้นอนไม่หลับ มัน...มันเป็นเรื่องอะไรที่
ทรมานมากจริงๆ นะ”
กู้ชิงฮั่นหน้าแดง แล้วพูดว่า “เจ้านี่ไม่รู้จักเด็กไม่
รู้จักผู้ใหญ่ชอบพูดจาอะไรเหลวไหลแบบนี้”
“ซานเหนียง ข้าไม่ได้พูดอะไรเหลวไหลนะ ข้าพูด
เรื่องจริงทั้งนั้น” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องเดินทางแล้ว ข้าจะโกหกท่าน
ไปเพื่ออะไร ท่าน...ท่านไม่เข้าใจข้าหรอก”
กู้ชิงฮั่นเห็นเขาสีหน้าจริงจัง ก็หันกลับไปมองที่
ประตูเรือน แล้วพูดเสียงเบาว่า “หนิงเอ่อร์ ถ้า...
ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องคิดถึงข้าสิ ซานเหนียง
หน้าตาก็ไม่ดี เจ้าจะมาคิดถึงข้าทาไมกัน”
“ข้าบังคับไม่ได้นี่นา” ฉีหนิงอยู่ห่างจากกู้ชิงฮั่นแค่
ก้าวเดียว เขาได้กลิ่นหอมโชยมาจากตัวของนาง
เขาพูดว่า “ที่จริงข้าก็ไม่ได้อยากจะไป อยากจะ
อยู่ในเมืองหลวง ได้เห็นหน้าท่านทุกวันดีจะตาย
ไป ต่อให้...ต่อให้ไม่ได้แตะต้องตัวท่านแม้แต่
ปลายเล็บ แต่ได้เห็นหน้าท่านทุกวัน ข้าก็รู้สึกสด
ชื่นสบายใจ”
ถึงแม้กู้ชิงฮั่นจะแต่งงานกับท่านสามของตระกูลฉี
แต่ว่าอยู่ห่างกันมากกว่าอยูด่ ้วยกัน เวลาที่ได้อยู่
ด้วยกันแต่ละครั้งก็ไม่ได้นานเท่าไหร่ อีกทั้งคน
ของตระกูลฉีส่วนใหญ่เป็นขุนพลนักรบ ท่านสาม
เองก็เป็นขุนศึก เขาไม่รู้จักการพูดจาอ่อนหวาน
แบบนี้ กู้ชิงฮั่นไม่เคยได้ยินผู้ชายคนไหนพูดแบบนี้
มาก่อน อีกทั้งฉีหนิงพูดว่าคิดถึงนางหลายต่อ
หลายครั้ง นางเองก็มีเลือดมีเนื้อมีความรู้สึก
ถึงแม้จะฟังแล้วเขิน แต่ว่านางก็รู้สึกแปลกใจ
เพราะในใจของนางนั้นรู้สึกอบอุ่น ตอนนี้เห็นฉี
หนิงดูจริงใจจนบอกไม่ถูก นางก็เริ่มใจอ่อน แล้ว
พูดว่า “ข้าเป็นผู้ใหญ่กว่าเจ้า แต่ก่อนอยู่กับข้า
ตลอด เจ้าออกไปข้างนอก จะรู้สึกคิดถึงข้า มัน...
มันก็ไม่แปลก...”
ฉีหนิงทาท่านึกคิด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
กู้ชิงฮั่นก็คิดเหมือนกัน แล้วพูดขึ้นมาว่า “ถ้า...ถ้า
อย่างนั้นข้า...” นางลังเล ส่ายหน้า แล้วพูดว่า
“ไม่มีอะไร เอ่อ...”
ฉีหนิงเห็นนางเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด ก็รู้ว่า
จะต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน เขาเลยพูดว่า “ซาน
เหนียง ท่านมีเรื่องอะไรลาบากใจหรือเปล่า?”
กู้ชิงฮั่นยังลังเลอยู่ สุดท้ายนางก็หยิบเอา
ผ้าเช็ดหน้าออกมา นางหน้าแดงมาก ดูมีเสน่ห์
สุดๆ นางหันไปมองที่ประตูเรือนอีกครั้ง จากนั้นก็
เดินไปดูที่กาแพงเรือน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคน ก็พูด
ด้วยความเขินอายว่า “ผ้าผืนนี้เจ้า...เจ้าเอาติดตัว
ไว้ ถ้า...ถ้ามีเหงื่อออก ก็เอามาเช็ด...” แต่นางยัง
ไม่ได้ยื่นมาให้ ฉีหนิงเห็นการปักลายของ
ผ้าเช็ดหน้า ก็รู้ทันทีว่ามันเป็นผ้าเช็ดหน้าที่กู้ชิง
ฮั่นใช้อยู่ประจา เขายื่นมือไปหยิบ กู้ชิงฮั่นชักมือ
กลับมา แล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อน ให้เจ้าได้ แต่
...แต่ว่าเจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่งก่อน”
“ห้าม...ห้ามให้ใครเห็นเด็ดขาด” กู้ชิงฮั่นพูดเสียง
เบาๆ ว่า “ข้าเป็นผู้ใหญ่ ให้ผ้าเช็ดหน้าเจ้า ไม่ได้
...ไม่ได้มีเจตนาอื่น แต่ว่าเจ้าห้ามให้ใครเห็น ถ้า
ใครมาเห็นเข้า ก็ห้ามบอกว่าข้าให้เจ้าเด็ดขาด เจ้า
เข้าใจไหม?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ซานเหนียงวางใจได้
เรื่องของข้ากับท่าน ข้าจะไม่ให้หลุดรอดออกไป
ให้ใครรู้เด็ดขาด...”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอีกแล้วนะ” กู้ชิงฮั่นเหมือน
จะร้อนตัว “ข้ากับเจ้ามีเรื่องอะไรกัน? เรา...เรา
ไม่ได้มีอะไรกัน ช่างเถอะ ไม่ให้เจ้าดีกว่า...” พูด
จบ กาลังจะเก็บผ้าเช็ดหน้าคืน ฉีหนิงก็รีบยื่นมือ
ไปแย่งมาจากมือของนาง กู้ชิงฮั่นร้อง “ว้าย”
นางคิดจะแย่งกลับไป ฉีหนิงหลบ แล้วเอาผ้า
เช็ดหน้ามาดม ผ้าผืนนี้เป็นผ้าเช็ดหน้าประจาตัว
ของกู้ชิงฮั่น ดังนั้นมันก็มีกลิ่นกายของนางติดอยู่
ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “หอมจังเลย
ซานเหนียง ตัวท่านหอมมากเลย...”
“หน้าไม่อาย...” กู้ชิงฮั่นหน้าแดงไปถึงหู นางรู้สึก
ว่าเพราะความใจอ่อนของนางแท้ๆ นางถึงได้ทา
เรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ไป ตอนนี้คิดยากจะแย่ง
กลับมา มันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว “เจ้าห้ามให้ใคร
เห็นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น...ไม่อย่างนั้น”
ฉีหนิงเก็บผ้าแล้วพูดว่า “มีผ้าผืนนี้ไว้กับตัว เวลา
ข้าคิดถึงท่าน ข้าจะเอาออกมาดู ขอแค่ได้ดม ก็
เหมือนว่าท่านอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา”
“มองได้อย่างเดียว ห้ามดม” กู้ชิงฮั่นแกล้งทาเป็น
ดุ “หากเจ้าไม่เชื่อฟังข้า ต่อไปอย่าหวังว่าจะได้
อะไรจากข้าอีก”
ฉีหนิงถึงกับตาโต เขาถามว่า “ซานเหนียง ท่าน
หมายความว่า...ต่อไปข้ายังจะได้ของติดตัวของ
ท่านอีกอย่างนั้นหรอ?”
กู้ชิงฮั่นตะลึงไป นางรู้ทันทีว่านางหลุดปากออกไป
นางอายมาก แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรทั้งนั้น ข้าพูด
ได้ทาได้ เจ้าคิดไม่ถึงแน่นอน” เห็นฉีหนิงยิ้มแล้ว
มองมาที่นาง นางรู้สึกใจเต้นแรงมาก หันหลังแล้ว
เดินตรงไปที่ประตูเรือนเลย “ข้าจะไปกินข้าวแล้ว
...” จากนั้นก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 549 กันไว้ดีกว่าแก้
หลังกินข้าวเที่ยงแล้ว ต้วนชางไฮ่ก็กลับมาจาก
ค่ายกิเลนดา ฉีหนิงเห็นเขามา ก็ดีใจมาก วันนี้ไม่
เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ก่อนหน้านี้ต้วนชางไฮ่เป็น
หัวหน้าองครักษ์ในจวนจิ่นอีโหว ตอนนี้เขากลาย
มาเป็นครูฝกึ ทหารค่ายกิเลนดา หรือตาแหน่งใน
ความเป็นจริงก็คือผู้บัญชาการค่ายกิเลนดานั่นเอง
เขาสั่งให้คนเอาน้าชามาให้ ต้วนชางไฮ่เห็นฉีหนิง
ทาให้เขาแบบนี้ เขารู้สึกไม่ดีเท่าไหร่
“โหวเยว่ ได้ยินว่าท่านกลับมาเมืองหลวงแล้ว ข้า
ก็รีบเดินทางมารายงานสถานการณ์ให้ท่าน
ทราบ” ต้วนชางไฮ่พูดว่า “ถึงแม้ทางค่ายกิเลนดา
จะได้คัดเลือกคนเข้ามาเต็มอัตราแล้ว แต่ว่าหลัง
จากผ่านการฝึกไปได้ระยะหนึ่งแล้ว คนที่สามารถ
อยู่ต่อไปได้มีแค่ครึ่งเดียว ข้าน้อยเลยอยากจะมา
หารือกับโหวเยว่ ว่าจะคัดคนพวกนั้นออก แล้วรับ
คนเข้ามาใหม่ดีไหม”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าบอกเจ้าไปตั้งแต่แรกแล้วว่า ทาง
ค่ายกิเลนดาทั้งหมดยกให้เจ้าดูแลไปเลย หากเจ้า
ขาดเหลืออะไร ก็ให้มาบอกข้า” เขาพูดอีกว่า
“งบของค่ายกิเลนดายังไม่ได้จ่ายมาให้ ข้า
รายงานกับทางราชสานักไปแล้ว ฝ่าบาททรงมี
รับสั่งมาแล้วว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปค่ายกิเลนดาจะไม่
ขึ้นตรงกับทางกรมกลาโหมอีก”
ต้วนชางไฮ่ยิ้มแล้วพูดว่า “กรมกลาโหมเป็นคน
ของทางจินเตาโหว ข้ากังวลอยู่ตลอดว่า ต่อไป
พวกเขาจะทาอะไรเราหรือเปล่า คราวนี้ดีแล้ว
ต่อไปก็ไม่ต้องทนมองสีหน้าของพวกเขาอีก”
จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ แล้ว
งบประมาณจะจ่ายให้เราเมื่อไหร่กัน? ระยะสั้นๆ
ข้าน้อยก็ยังพอยื้อไว้อยู่ แต่หากระยะนานไป เกรง
ว่าพวกเขาจะไม่พอใจได้”
ฉีหนิงพูดว่า “ต่อไปงบของค่ายกิเลนดากรมพระ
คลังจะจ่ายให้เองโดยตรง ภายในสองวัน น่าจะมี
การเบิกจ่ายมาให้ ข้าได้แจ้งไปแล้ว ให้เวลาพวก
เขาแค่นี้ หากยังเสียเวลากันอีก ข้าจะพาคนไปหา
พวกเขาด้วยตัวเอง”
ต้วนชางไฮ่เป็นคนฝึกยุทธ์ เดิมก็ชอบการต่อสู้อยู่
แล้ว ได้ยินว่าฉีหนิงจะพาคนไปทวงงบที่กรมพระ
คลัง ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจ เขายกแขนเสื้อขึ้นมา แล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยจะรีบกลับไปเตรียมตัว
เลย เลือกพี่น้องฝีมือดี ท่านจะเอาสักกี่คนดี? สอง
ร้อยพอไหม?”
“เจ้าจะตื่นเต้นทาไม?” ฉีหนิงจ้องไปที่เขา “ขุน
นางราชสานักพาทหารเข้าเมืองหลวง เจ้าอยาก
ให้ข้าตายหรือยังไง? ตอนนี้มีแต่คนจับตามองเรา
อยู่ กลัวว่าข้ายังวุ่นวายไม่พอหรอ เจ้าพาทหาร
เข้าเมือง ถึงเวลานั้นพวกเขาจับได้ขึ้นมาทายังไง”
ต้วนชางไฮ่รู้สึกอาย ฉีหนิงพูดเสียงเบาว่า “พามา
สักสามสี่สิบคนก็พอ ถึงเวลานั้นปลอมตัวธรรมดา
มา ไม่ต้องใส่ชุดทหาร” เขาคิดถึงตรงนี้ แล้วยก
มือพูดว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงมีพระบัญชามาแล้ว
กรมพระคลังไม่มีทางกล้าขัดราชโองการหรอก
งบน่าจะเบิกจ่ายให้แน่ การพาคนไปทวงเป็น
ทางเลือกสุดท้ายที่จะทาเท่านั้น หากต้องทาถึง
ขนาดนั้นจริง ข้าจะส่งคนไปแจ้งเจ้าเอง”
ต้วนชางไฮ่พยักหน้า ฉีหนิงพูดเสียงเบาว่า “เจ้า
จาไว้ ค่ายกิเลนดาต้องฝึกให้หนักขึ้น แล้วก็ต้อง
จับตามองให้ดีด้วย อย่าให้มีหนอนตัวไหนหลุด
รอดเข้ามาในค่ายได้เด็ดขาด”
“หนอน?” ต้วนชางไฮ่ตะลึง แต่ก็เข้าใจขึ้นมา
ทันที เขาขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “โหวเยว่ ท่านไป
ได้ยินอะไรมาหรือเปล่า?”
ฉีหนิงก็ไม่ได้ปกปิดอะไร เขาเล่าเรื่องในการ
ประชุมเช้าให้ต้วนชางไฮ่ฟัง ต้วนชางไฮ่ตกใจแล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ท่านจะไปแคว้นตงฉีหรอ?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “อานาจของตระกูลซือ
หม่าเพิ่มมากขึ้น มันเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้มาก วันนี้
หงนั่วไฮ่กลายเป็นไก่ที่ถูกเชือดให้ลิงดู ขุนนางใน
ราชสานักตอนนี้ต่างก็เกรงกลัวตระกูลซือหม่ากัน
หมด การไปแคว้นตงฉีในครั้งนี้ เป้าหมายที่แท้
จริงของการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้น คือ
การคุมอานาจของตระกูลซือหม่าเอาไว้”
ต้วนชางไฮ่พยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ถึงแม้
จวนโหวของเราจะไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ว่าไม่ว่า
เรื่องอะไรมันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันได้ ท่านเป็นถึงสี่
บรรดาศักดิ์โหวสืบทอดนะ ซือหม่าหลันส่งคนไป
สืบเรื่องของหงนั่วไฮ่ แสดงว่าก็น่าจะมีการ
แทรกแซงมาที่จวนโหวของเราแล้ว เราต้องระวัง
ให้มาก”
“เรื่องนี้ข้าได้เตรียมการรับมือไว้แล้ว” ฉีหนิงพูด
ว่า “ส่วนเรื่องของค่ายกิเลนดา เจ้าเองก็ต้องระวัง
ให้มาก อย่าให้มีปลาตัวไหนหลุดเข้ามาเป็น
สายในค่ายของเราเด็ดขาด” เขานิ่งไป แล้วเขยิบ
เข้ามาใกล้ หัวของทั้งคู่แทบจะชนกัน เขาพูดว่า
“กลุ่มอานาจของตระกูลฉีเราอยู่ที่กองทัพที่
ชายแดน แต่ว่ากองทัพประจาการณ์อยู่ที่ชายแดน
ที่อยู่ใกล้เมืองหลวงมากที่สุด แล้วเป็นกองกาลังที่
เชื่อถือได้มากที่สุด ก็คือค่ายกิเลนดาที่อยู่ในมือ
ของเจ้า หากเกิดอะไรขึ้นมา เราพึ่งได้แค่กอง
กาลังเดียวเท่านั้น”
ต้วนชางไฮ่อึ้งไป แล้วพูดว่า “โหวเยว่ หรือว่าท่าน
รู้สึกว่าตระกูลซือหม่าคิดจะก่อกบฏ?”
“ตามหลักแล้ว ก็ไม่น่านะ” ฉีหนิงพูดว่า “ถึงแม้
อานาจของตระกูลซือหม่าจะมีมาก แต่ว่าที่มา
ของอานาจพวกนั้น ก็ยังมาจากฝ่าบาทอยู่ เขามี
ผลงานในการสนับสนุนการขึ้นครองบัลลังก์ ใน
มือของเขามีพรรคพวกไม่น้อย ในวังหลวงก็มีฮ่อง
เฮาอีก อีกทั้งเขายังมีตาแหน่งเป็นขุนนางช่วย
บริหารราชกิจ ฝ่าบาทอายุยังน้อย ราชกิจตอนนี้
เขายังไม่สามารถแยกออกจากซือหม่าหลันได้
สถานการณ์ตอนนี้วุ่นวายมาก แต่เขายังมีจุดอ่อน
อยู่ นั่นคืออานาจทางฝ่ายทหารกับอานาจ
ทางการคลัง”
ต้วนชางไฮ่พยักหน้าแล้วพูดว่า “โต้วขุยดูแลกรม
คลัง เป็นคนของไหวหนานอ๋อง อานาจทาง
การเงินอยู่ในมือของไหวหนานอ๋อง ทั้งในและ
นอกเมืองหลวง ค่ายทหารหลวงอวี้หลินขึ้นตรง
และภักดีต่อฝ่าบาท แต่ว่าฉือเฟิ่งเตียนกลับเป็น
คนที่จินเตาโหวเสนอ สนิทสนมกับทางจินเตาโหว
มาก ค่ายเสวียนอู่ที่ประจาการณ์อยู่นอกเมือง
หลวง เป็นคนของซือหม่าหลัน ในนั้นก็มีคนของ
จินเตาโหว แล้วก็มีคนของเราตระกูลฉีด้วย
ค่อนข้างวุ่นวาย หากเกิดเรื่องจริง พวกเขาคง
เลือกข้างลาบาก”
“ตระกูลเหยียนไถมีทัพเรือที่ตงไห่ อีกทั้งใน
กองทัพซีชวนเองก็มีกลุ่มอานาจของพวกเขาอยู่
ตระกูลฉีเรามีกองทัพฉินไหว ทหารที่ซือหม่าหลัน
สามารถใช้ได้จริง มีเพียงค่ายดาบดาเท่านั้น” ฉี
หนิงพูดว่า “แต่ว่าซือหม่าหลันเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้า
เล่ห์ วันนี้เขากาจัดหงนั่วไฮ่ในท้องพระโรง นั่นก็
เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู แสดงว่าเขาต้องการส่งคนไป
ในกรมคลังแล้ว”
“อ๋อ?”
“คดีของหงนั่วไฮ่ ไม่มีทางจบเร็วขนาดนี้แน่” ฉี
หนิงพูดว่า “ซือหม่าหลันไม่เคลื่อนไหว แต่หากลง
มือ นั่นก็ไม่มีทางปราณี หงนั่วไฮ่คือคนแรก ต่อมา
เขาจะต้องอาศัยเรื่องนี้ทาเรื่องให้ใหญ่ขึ้น แล้ว
กาจัดคนออกไปอีกมาก เมื่อไหร่ก็ตามที่ทาสาเร็จ
ตาแหน่งพวกนี้ก็จะว่างลง ซือหม่าหลันก็จะใช้
โอกาสนี้ ส่งคนของตัวเองเข้าไป”
ต้วนชางไฮ่พูดว่า “ซือหม่าหลันเป็นถึงเจิ่นกั๋วกง
อีกทั้งยังควบตาแหน่งเสนาบดีกรมขุนนาง
ตาแหน่งขุนนางว่างลง เป็นหน้าที่ของกรมขุนนาง
โดยตรง เขาต้องฉวยโอกาสนี้แน่นอน”
“ซือหม่าหลันจะฉวยเอาโอกาสนี้ กดดันกรมพระ
คลัง จากนั้นก็ส่งคนของตัวเองเข้าไปในกรมคลัง”
ฉีหนิงพูดว่า “โต้วขุยเป็นขุมกาลังสาคัญของไหว
หนานอ๋อง ฝ่าบาทเองก็ไม่ประสงค์จะเห็นอานาจ
ของทางไหวหนานอ๋องอ่อนกาลังลง ดังนั้นโต้วขุย
น่าจะยังรอดไปได้ แต่ว่าคนของเขาอาจจะต้อง
เสียไปไม่น้อย”
“หากซือหม่าหลันสามารถควบคุมกรมพระคลังไว้
ในมือ เขาก็จะมีอานาจทางการเงิน ต่อไปเขาก็จะ
อาศัยอานาจส่วนนี้ คุมกองกาลังทหารบริเวณ
รอบเมืองหลวงเอาไว้” ต้วนชางไฮ่สีหน้าเคร่ง
เครียด “โหวเยว่ หากเขาสามารถคุมอานาจ
การทหารได้ ผลที่ตามมานั้น...”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ดังนั้นเราจะไม่ตื่นตัว
ไม่ได้แล้ว หน้าที่ของเจ้า ก็คือต้องฝึกกองกาลัง
ทหารที่ร้ายกาจมากให้ข้า หากในเมืองหลวงเกิด
อะไรขึ้น ไม่ว่าจะกองทัพฉินไหวหรือว่ากองทัพตง
ไห่ อยู่ใกล้ทาอะไรไม่ได้”
ต้วนชางไฮ่พูดว่า “โหวเยว่ ที่ฝ่าบาททรงตั้งค่าย
กิเลนดาขึ้นมาใหม่ หรือว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้
ด้วย? พระองค์ทรงกังวลว่าตระกูลซือหม่าจะคิด
ไม่ซื่ออย่างนั้นหรอ?”
“เรื่องใดๆ ก็ตามที่คาดเอาไว้จะปล่อยไปไม่ได้” ฉี
หนิงพูดว่า “ฝ่าบาทจะคิดแบบนี้ด้วยหรือเปล่า
ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ว่าข้าจะต้องคิดเผื่อตระกูลฉีของ
เราด้วย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตระกูลฉีเราก็จะมี
กองกาลังหนึ่งกองที่ปกป้องจวนจิ่นอีโหวได้”
ต้วนชางไฮ่พยักหน้า เขาคิด แล้วพูดว่า “โหวเยว่
ค่ายหู่เสินของเสวียหลิงเฟิง มีความสัมพันธ์กับเรา
มาก่อน หากเกิดเรื่อง เสวียหลิงเฟิง...”
ฉีหนิงยกมือแล้วพูดว่า “เสวียหลิงเฟิงก่อนหน้านี้
เคยอยู่ในสังกัดของตระกูลฉีมาก่อนก็จริง แต่ว่า
ตอนนี้เขาเป็นถึงผู้บัญชาการของค่ายหู่เสิน ค่ายหู่
เสินเป็นทหารรักษาการณ์ในเมืองหลวง เท่าที่ข้ารู้
มา กองกาลังของค่ายหู่เสินขึ้นตรงกับทางกรม
กลาโหม แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมามีฝ่าบาททรง
กากับดูแลเอง หลังจากอดีตอ่องเต้สวรรคตไป ซื
อหม่าหลันกลายมาเป็นขุนนางผู้ช่วยบริหาร กอง
กาลังทั้งหมดในเมืองหลวง เขามีสิทธิสั่งการ
เคลื่อนย้ายทั้งหมด” เขาพูดเสียงเบาว่า “เจ้าจา
ได้หรือเปล่า ตอนที่อดีตฮ่องเต้ทรงสวรรคต
ทหารที่เฝ้าประจาการณ์ในเมืองหลวง เป็นกอง
กาลังใดบ้าง?”
ต้วนชางไฮ่พูดว่า “ค่ายดาบดาเข้าเมืองมา
เปลี่ยนเอาทหารหลวงอวี้หลินออกไป ส่วนใน
เมืองหลวงก็เป็นทหารของค่ายหู่เสิน” เขาถึงกับ
สะดุ้ง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ หรือว่าเสวีย
หลิงเฟิง...”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ ในใจของ
เขาอาจจะอยู่ข้างเรา ในเวลาอันตราย เขาอาจจะ
ช่วยเราก็ได้ แต่ว่าเราจะเอาความปลอดภัย
ทั้งหมดฝากไว้ในมือของเสวียหลิงเฟิงไม่ได้ ใจคน
ยากแท้หยั่งถึง มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่กาหนดชีวิต
เราได้ ถึงจะไม่พลาด”
ต้วนชางไฮ่ฟังมาจนถึงตรงนี้ เขารู้สึกอุ่นใจมาก
อีกทั้งยังซาบซึ้งใจมากด้วย
ฉีหนิงยกค่ายกิเลนดาให้เขาดูแล ก็หมายความว่า
เขายกความปลอดภัยของตระกูลฉีฝากไว้ในมือ
ของเขา เขาแสดงให้เห็นว่าเขาเชื่อมั่นใจตัวเขาแค่
ไหน ต้วนชางไฮ่ซาบซึ้งใจมาก เขาพูดว่า “โหว
เยว่ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ท่านวางใจได้ ตั้งแต่นี้ต่อ
ไป หนึ่งวันข้าน้อยจะเห็นว่าเป็นสองวัน ต่อให้
ต้องแลกด้วยชีวิต ก็ฝึกทหารที่ไร้เทียมทานให้โหว
เยว่ให้ได้”
ต้วนชางไฮ่เป็นคนฝึกยุทธ์ ถึงแม้จะเจออะไรมา
มากมาย แต่ว่าเพราะเป็นคนหยาบ เรื่องในราช
สานักที่ซับซ้อนมากเขาไม่เข้าใจ พอฉีหนิงเตือน
สติเขา ทาให้ต้วนชางไฮ่เข้าใจอะไรขึ้นมาก
เดิมเขาคิดแค่ว่าฮ่องเต้อยากจะช่วยสนับสนุนจิ่นอี
ตระกูลฉีให้กลับมารุ่งเรืองเหมือนเดิม เลยให้
ตระกูลฉีรับผิดชอบการตั้งค่ายกิเลนดาขึ้นมาใหม่
เขาคิดมาตลอดว่า วันหนึ่ง ค่ายกิเลนดาจะได้
ออกไปรบที่แนวหน้าอีกครั้ง แต่ในตอนนี้เขาถึงได้
เข้าใจแล้วว่า ฉีหนิงต้องการให้ฝึกหนักค่ายกิเลน
ดา เป้าหมายสาคัญก็คือการป้องกันความวุ่นวาย
ในเมืองหลวง หากเกิดอะไรขึ้น กองกาลังนี้จะ
ช่วยปกป้องคุ้มครองตระกูลฉี
ในเมื่อค่ายกิเลนดาเกี่ยวพันกับความปลอดภัย
ของตระกูลฉีด้วย ต้วนชางไฮ่รู้สึกว่าต้องฝึกให้
หนักขึ้น ทาให้ค่ายกิเลนดากลายเป็นอาวุธร้าย
กาจที่สุดของตระกูลฉีให้ได้
ฉีหนิงกาชับสั่งการกับต้วนชางไฮ่อยู่พักใหญ่ ต้วน
ชางไฮ่ก็ขอตัวกลับไปที่ค่าย เขาเดินออกมาส่งต้
วนชางไฮ่ออกจากจวนด้วยตัวเอง เริ่มเย็นมาก
แล้ว ฉีหนิงกาลังหันหลังเดินกลับเข้าจวน ก็ได้ยิน
เสียงดังขึ้นมาว่า “น้องชายท่านนี้ ช่วยไปรายงาน
ที ข้าได้รับคาสั่งให้มาเรียนเชิญท่านโหวเยว่”
ฉีหนิงหันหลังกลับมา เห็นชายหนวดเคราหนาคน
หนึ่งยืนอยู่ คนๆ นั้นเห็นหน้าฉีหนิง ก็ตกใจ รีบ
เดินขึ้นหน้ามา แล้วพูดว่า “โหวเยว่”
ฉีหนิงรู้สึกว่าชายคนนี้คุ้นหน้ามาก แต่นึกไม่ออก
ว่าเป็นใคร เขาเลยถามว่า “เจ้าเป็นใคร? รู้จักข้า
ได้ยังไง?”
“ข้าน้อยเป็นคนของร้านยาตระกูลเถียน ก่อน...
ก่อนหน้านี้มีตาหามีแววไม่ ล่วงเกินโหวเยว่ไป...”
ชายคนนั้นรู้สึกอายมาก “ข้าน้อยแซ่เสิ่น มีชื่อว่า
เสิ่นเหลียน”
ฉีหนิงนึกออกทันที ว่าตอนนี้ที่ขึ้นไปประลองเวที
ของตระกูลเถียน ถูกเถียนฮูหยินบังคับให้แต่งงาน
ตอนที่เขาจะกลับ ชายคนนี้พาคนมาขวางเอาไว้
เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้านี่เอง หาข้ามีเรื่องอะไร?”
เสิ่นเหลียนเห็นฉีหนิงไม่มีทางทางวางมาดทั้งที่
เป็นจิ่นอีโหว ก็รีบโค้งคานับแล้วพูดว่า “โหวเยว่
ฮูหยินสั่งให้ข้าน้อยมาถามโหวเยว่ว่าว่างไหม นาง
จัดอาหารไว้ที่จวน อีกทั้งยังมีเหล้าชั้นดีที่เก็บไว้
หลายปี หากโหวเยว่มีเวลาว่าง อยากจะเรียนเชิญ
โหวเยว่ไปดื่มสักแก้วสองแก้วขอรับ” เขาพูดอีก
ว่า “เดิมฮูหยินตั้งใจจะมาเอง แต่ว่านางบอกว่า
นางเป็นแค่หญิงม่ายคนหนึ่ง หากมาเชิญด้วย
ตัวเองไม่ค่อยจะสะดวกนัก เลยสั่งให้ข้าน้อยมา
แทน ขอให้โหวเยว่อภัยด้วย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เหล้าที่เก็บไว้หลายปีอย่าง
นั้นหรอ? จริงหรือเปล่า ฮูหยินของพวกเจ้าทาไม
ถึงได้ใจป้าขึ้นมาแบบนี้ได้ล่ะ?” เขารู้อยู่แล้วว่า
เถียนฮูหยินทาแบบนี้เพราะเรื่องของสานักหมอ
หลวง เขาคิดในใจว่าคืนนี้ก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว ไป
สักหน่อยก็คงไม่เป็นไร เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า
“เจ้ากลับไปก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะตามไปเอง”
เสิ่นเหลียนพูดด้วยความดีใจว่า “ถ้าอย่างนั้น
ข้าน้อยขอตัวกลับไปรายงานก่อนนะขอรับ” เขา
คานับ หันหลังแล้วกลับไปเลย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 550 เหล้าร้อยบุปผา
ก่อนฟ้ามืด ฉีหนิงก็มาถึงจวนตระกูลเถียน
พ่อบ้านตระกูลเถียนมายืนรอรับอยู่แล้ว เมื่อเห็น
ฉีหนิงมา ก็คานับอย่างนอบน้อม แล้วนาทางฉี
หนิงไปยังห้องโถงเล็ก ฉีหนิงไม่เห็นเถียนฮูหยิน
แล้วถามว่า “ฮูหยินของพวกเจ้าไปไหน?”
“โหวเยว่อภัยด้วย” พ่อบ้านเถียนพูดว่า “ฮูหยิน
ได้ยินว่าโหวเยว่สะดวกมา ก็เลยเข้าครัวทาอาหาร
เสฉวนแบบดั้งเดิมด้วยตัวเอง ฮูหยินบอกว่าหาก
โหวเยว่มาแล้ว ให้โหวเยว่มานั่งพักที่นี่ก่อน”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินของพวกเจ้าเข้าครัว
เองเลยหรอ?” เขาเดินตามพ่อบ้านเถียนไป เป็น
ห้องโถงที่ครั้งที่แล้วเคยมา ภายในเก็บกวาด
สะอาดเรียบร้อย มีตะเกียงอยู่สองดวง ถึงแม้ฟ้า
จะยังไม่มืด แต่ก็ได้จุดตะเกียงไว้แล้ว ทาให้
ภายในห้องสว่างมาก
ภายในห้องโถงมีโต๊ะทรงกลมตั้งอยู่ มีเก้าอี้อยู่สี่ตัว
ไม่ไกลจากโต๊ะมีฉากบังลม ด้านบนเป็นภาพของ
นก บนโต๊ะกลม มีจานของว่าง ดูสวยประณีตมาก
ฉีหนิงแอบขาในใจว่า เขารู้ว่าเถียนฮูหยินเป็นคนขี้
เหนียว แต่ครั้งนี้เหมือนจะต้อนรับอย่างดีเลย
ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาพร้อมกับ
กลิ่นหอมของดอกเหมย ที่ด้านนอกประตูมีคน
สวมชุดกระโปรงกาลังเดินเข้ามา ถึงแม้จะไม่ได้สูง
อะไรมากมาย แต่ว่ารูปร่างดีมาก ที่ข้อมือของนาง
สวมกาไล ผิวของนางขาวมาก
เสื้อนอกเป็นสีน้าเงิน เครื่องประดับเป็นแบบ
บ้านๆ ดูจะสบายๆ แต่ก็มีความสง่างามแบบหญิง
ม่าย เป็นผู้หญิงเต็มวัยที่มีเสน่ห์ ผิวขาวเหมือน
รากบัว
ความสง่างามแบบหญิงม่ายคนนั้นก็คือเถียนฮู
หยินนั่นเอง ในมือของนางถือถาดอาหารมา เมื่อ
เห็นฉีหนิง นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่าน
มาถึงแล้วหรอ พอท่านจะมา จวนของข้าก็คึก
ครื้นกันขึ้นมาเลย โหวเยว่ไม่รังเกียจที่เราฐานะ
ยากจน ยอมมาเป็นแขกของเรา เป็นบุญของข้า
นัก”
นางดูงดงามมาก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วย
รอยยิ้ม มีเสน่ห์มาก
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินล้อข้าเล่นหรอ?
เจ้าน่ะหรอเป็นชาวบ้านยากจน? ถ้าอย่างนั้นข้า
คงต้องเป็นขอทานแล้วล่ะมั้ง เงินในกระเป๋าของ
เจ้า มีเยอะกว่าข้ามากนัก”
เถียนฮูหยินวางถาดลง นางยิ้ม แล้ววางถาดลง
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ชอบเอาเราไปล้อเล่น ท่าน
เป็นขุนนางใหญ่ พูดอะไรออกมาคาเดียว ก็มีค่า
เป็นทองพันชั่งแล้ว จะมาเทียบกับเราชาวบ้าน
ยังไง” เห็นในแก้วไม่มีน้า ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“เจ้าพวกไม่เอาไหน ไม่รู้จักดูแลโหวเยว่เลย” นาง
หยิบกาน้ามา แล้วรินชาให้กับฉีหนิง นางยิ้มแล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ครั้งนี้เป็นเพราะท่าน ท่านมี
บุญคุณกับข้ามาก ข้าไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนท่าน
ยังไงดี”
เถียนฮูหยินยกเสื้อขึ้นมาครึ่งหนึ่ง เสื้อด้านในของ
นางเป็นเกาะอก นางเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะใส่ให้เป็น
แบบนนี้ แต่ว่าวันนี้อากาศร้อน อยู่แต่ในบ้าน ก็
เลยแต่งตัวสบายๆ หน่อย กู้ชิงฮั่นอยู่ที่จวนก็ใส่
เสื้อมากกว่าเถียนฮูหยินนิดหน่อย แต่เกาะอกของ
นางก็ปักลายเช่นกัน
แต่หากว่ากันตามโครงร่างของเถียนฮูหยินเมื่อ
เทียบกับกู้ชิงฮั่นแล้ว นางดูตัวเล็กกว่าเล็กน้อย
ไหล่ของนางบางมาก แต่เพราะหน้าอกของนางที่
ใหญ่อวบอิ่ม เลยดูเหมือนว่านางอวบ
นางวางกาน้าชาลง ด้านนอกก็มีสาวใช้เดินเข้ามา
ด้านในอีกสองคน พวกนางเอาอาหารมาวาง ไม่
นานนัก ทั่วทั้งโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหาร อีกทั้งยังมี
น้าแกง ครั้งนี้เถียนฮูหยินดูลงทุนมากเลย
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก เขาถามว่า “ยังมีคนอื่น
อีกหรอ?”
เถียนฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “มีที่ไหนกัน ชาวบ้าน
ทั่วไป ใครที่ไหนจะกล้ามานั่งร่วมโต๊ะกับโหวเยว่
กันล่ะ?”
“ถ้างั้นก็ไม่เห็นต้องทาอาหารเยอะขนาดนี้เลยนี่
นา?” ฉีหนิงคิดว่าหากไม่มีคนอื่น มีแค่เขา
กับเถียนฮูหยิน อาหารพวกนี้มันก็เยอะจนเกินไป
เถียนฮูหยินเดินมาตรงหน้าฉีหนิง นางยิ้มแล้วพูด
ว่า “ข้าเคยได้ยินมาว่าฝ่าบาทกินข้าวหนึ่งมื้อ ต้อง
มีอาหารมากกว่าร้อยอย่าง โหวเยว่ถึงแม้จะเทียบ
กับฝ่าบาทไม่ได้ แต่ว่าจะมีอาหารหลายอย่าง
หน่อยก็สมควรแล้ว”
ฉีหนิงหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ฮูหยิน เจ้าไปร่ารวย
อะไรมา ทาไมถึงได้ใจป้าขนาดนี้ได้?”
เถียนฮูหยินใช้สายตาตัดพ้อมองไปที่ฉีหนิง แล้ว
พูดว่า “โหวเยว่พูดแบบนี้ หมายความว่าปกติข้าขี้
งกมากอย่างนั้นหรอ?” จากนั้นนางก็ยิ้มแล้วพูด
ว่า “ที่จริงก็ไม่ได้ร่ารวยอะไรหรอก เพียงแต่ว่า
บัญชีค้างจ่ายของทางสานักหมอหลวงได้จ่าย
มาแล้ว วันนี้ทางสานักหมอหลวงยังส่งคนมา ให้
เราส่งยาสมุนไพรเข้าไปอีกสองคันรถ อีกทั้งยัง
จ่ายชาระค่าสมุนไพรมาเลย ข้าทาการค้ามาตั้ง
หลายปี ยังไม่เคยได้ยินว่าสานักหมอหลวงทา
อะไรเด็ดขาดรวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลย”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “แบบนี้ก็ดีแล้วนี่นา
ต่อไปอาศัยแค่การค้าของสานักหมอหลวง พวก
เจ้าก็อยู่ได้สบายแล้ว”
“ข้ารู้พวกนี้ล้วนแต่เป็นเพราะท่านมอบให้ทั้งนั้น”
เถียนฮูหยินพูดด้วยความซาบซึ้งใจว่า “ตาเฒ่า
ลามกของสานักหมอหลวงถูกไล่ออกไปแล้ว
ตอนนี้มีคนแซ่หูเป็นคนดูแลกองโอสถ ไต้เท้าหู
เป็นคนดีมาก เขาดูเกรงใจเรามาก ยังบอกว่า
ต่อไปไม่ต้องรอแจ้งก่อน ให้ส่งยาสมุนไพรเข้าไป
ในสานักหมอหลวงเลยทุกๆ สิบวัน อีกทั้งยังเอา
รายการสมุนไพรมาให้เราด้วย พอส่งยาไป หาก
ตรวจแล้วไม่มีปัญหาอะไร ก็จะจ่ายชาระเงินให้
เลย” นางพูดว่า “โหวเยว่ เจ้าคนซูนั่น ถูกท่านไล่
ไปใช่ไหม?”
ฉีหนิงยกถ้วยชาขึ้นมา แล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้ามี
ปัญญาขนาดนั้นเลยหรอ? น่าจะเป็นเพราะคน
ของสานักหมอหลวงตรวจพบว่าเขาทุจริต เลยไล่
เขาออก หากข้าไม่ได้ยินเจ้าพูดมา ข้ายังไม่ได้ข่าว
เลยนะ”
เถียนฮูหยินพูดว่า “โหวเยว่ไม่ต้องมาโกหกข้า
หรอก ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรอ ไต้เท้าหูบอกแล้ว
ต่อไปหากมีเรื่องอะไร ไม่ต้องไปรบกวนโหวเยว่
ให้บอกเขาได้เลย เขาจะต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่
แน่นอน” นางพูดอีกว่า “เขากลัวว่าหากต่อไปเขา
ทาได้ไม่ดี โหวเยว่จะลงโทษเขา เลยกาชับไม่ให้
เราบอกท่าน”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ?”
เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ดีนะ ต่อไปเจ้าก็จะได้
ทาการค้าได้อย่างสบายใจ เจ้าจาไว้ให้ดี อย่าทา
เพื่อให้ได้เงินมากๆ เอาแค่พอใช้ก็พอ ยาสมุนไพร
ของสานักหมอหลวงมีให้คนในวังใช้กัน หากเกิด
อะไรขึ้นมาจริง ข้าช่วยเจ้าไม่ได้นะ”
“ข้าทราบแล้ว ข้าไม่กล้าหรอก” เถียนฮูหยินพูด
ว่า “ยาสมุนไพรที่ส่งไปที่สานักหมอหลวง ข้าจะ
เป็นคนตรวจสอบเองทุกครั้ง ไม่ทาให้ท่านต้อง
ขายหน้าใครแน่นอน”
นางรู้สึกมีความสุขมาก ซูหลางเฉิงถูกไล่ออกจาก
สานักหมอหลวง หูหลางเฉินที่มารับตาแหน่งใหม่
ดีกับร้านยาตระกูลเถียนมาก ดูแลพวกนางอย่างดี
ต่อไปมีจิ่นอีโหวหนุนหลังอยู่ ก็แทบไม่ต้องกังวล
ว่าคนของสานักหมอหลวงจะมาหาเรื่องได้อีก อีก
ทั้งยังสามารถค้าขายกับทางสานักหมอหลวงไป
ยาวๆ เลย นางเหมือนได้ขุมสมบัติกองใหญ่ ไม่
เพียงได้ทรัพย์สินมากขึ้น อีกทั้งการค้าครั้งนี้ ทา
ให้ชื่อเสียงของร้านยาตระกูลเถียนโด่งดังมากขึ้น
ด้วย การค้าที่ทาก็ยิ่งทาได้มากขึ้นไปอีก
ตอนนี้พอนางเห็นหน้าฉีหนิง ยิ่งมองก็ยิ่งสบายตา
ทันใดนั้นเองก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “โหวเยว่
ท่านรอข้าสักครู่ ข้าเกือบลืมไปเลย” นางลุกขึ้น
จากเก้าอี้ แล้วเดินไปด้านหลังฉากบังลม ไม่นานก็
ออกมา ในมือของนางมีไหเหล้ามาด้วย เหล้าไหนี้
ดูด้วยตาก็รู้ว่าเป็นของเก็บสะสมมานานหลายปี ฉี
หนิงยิ้มแล้วถามว่า “เจ้าบอกว่ามีเหล้าดีที่เก็บมา
นานหลายปี ไหนี้หรอ?”
เถียนฮูหยินพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว เหล้าไห
นี้เก็บมาเกือบสิบปีแล้ว ตอนที่ท่านพี่สามีข้ายังอยู่
เพื่อนที่หนานเจียงของเขาเป็นคนมอบให้ บอกว่า
มันเป็นเหล้าที่หาได้ยากมาก หลังจากดื่มไปแล้ว
จะรู้สึกมีความสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ได้ยนิ มาว่า
เหล้าไหนี้ต้องใช้เงินกว่าร้อยตาลึงถึงได้มา ท่านพี่
เสียดายไม่กล้าดื่ม เลยเก็บเอาไว้ น่าเสียดาย...”
นางถอนหายใจ จากนั้นก็รีบยิ้มแล้วพูดว่า “เก็บ
ไว้แบบนัน้ ก็ไม่ได้ทาอะไร เห็นว่าโหวเยว่เองก็
น่าจะชอบดื่ม เลยเอามาให้ท่านลองชิมดู”
ฉีหนิงรับไหเหล้ามา แล้วปัดดินโคลนออกแล้วเปิด
จุก กลิ่นหอมของเหล้าโชยเข้าจมูกเขา ไม่เพียงมี
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเหล้า มันยังมีกลิ่นดอกไม้อีก
ด้วย เหมือนจะเป็นดอกโบตั๋น แต่ก็เหมือนดอก
กล้วยไม้ ไม่แน่ใจว่าเป็นดอกไม้ชนิดไหน เถียนฮู
หยินอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “กลิ่นเหล้านี่หอมน่าดม
มากเลย โหวเยว่ ข้ารินเหล้าให้ท่านเอง” นางรับ
ไหเหล้ามา แล้วรินใส่ถ้วยให้ฉีหนิง จากนั้นก็พูด
ว่า “โหวเยว่ ท่านลองดูว่าเป็นยังไงบ้าง หากท่าน
ไม่ชอบ ข้าจะเปลี่ยนเหล้าอย่างอื่นมาให้”
ฉีหนิงเห็นว่าตัวเหล้าออกสีแดง ถือว่าหาได้ยาก
เขายกมันขึ้นมาชิมนิดหน่อย จากนั้นก็ยกซดจน
หมดถ้วย หลังจากเข้าปากไปมันลื่นคอมาก กลิ่น
หอมของเหล้า มันมีกลิ่นหอมของดอกไม้ปนอยู่
ด้วย เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “รสชาติไม่เลวเลย
ถึงแม้มันจะอ่อนไปหน่อย แต่ว่ามันมีกลิ่นที่ยาก
จะลืมได้”
เถียนฮูหยินได้ยินฉีหนิงชื่นชอบ ก็ดีใจมาก รีบริน
เหล้าเพิ่มให้ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ชื่อของเหล้าไหนี้
คือเหล้าร้อยบุปผา โหวเยว่ หากท่านชอบ ไว้ข้า
จะให้คนไปหามาให้อีก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบใจเจ้า
มาก” เขายกมือขึ้น “เจ้านั่งเถอะ เรื่องของเจ้ากับ
สานักหมอหลวงต่อไปก็คงไม่มีเรื่องอะไรอีก เป็น
เรื่องที่น่ายินดีนะ มา ข้าขอดื่มให้เจ้า”
“ไม่ไม่ไม่” เถียนฮูหยินรีบยกมือแล้วพูดว่า “ต้อง
เป็นข้าที่ขอคาราวะท่าน หากไม่ได้โหวเยว่
ตระกูลเถียนของเราแม้แต่ประตูของสานักหมอ
หลวงก็เข้าใกล้ไม่ได้เลย บุญคุณของโหวเยว่
ตระกูลเถียนจะไม่มีวันลืม” นางรีบรินเหล้าให้
ตัวเอง แล้วพูดว่า “โหวเยว่ เชิญดื่ม” นางยก
เหล้าขึ้นซดจนหมด
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 551 กลิ่นหอมในห้อง
เหล้าร้อยบุปผากลิ่นหอมมาก หลังจากดื่มแล้ว
รู้สึกสดชื่น เถียนฮูหยินก็รินเหล้าให้ฉีหนิงอีก
จากนั้นนางก็นั่งลง นางยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่
ท่านลองชิมอาหารนี่ ข้าทาเองกับมือ เป็นอาหาร
ท้องถิ่นซีชวน ไม่รู้ว่าจะถูกใจท่านหรือไม่”
ฉีหนิงพูดว่า “ก่อนหน้านี้ไปซีชวนมารอบหนึ่ง
อาหารที่นั่นรสชาติไม่เลวเลย ฮูหยินเข้าครัว
ทาอาหารเองแบบนี้บ่อยๆ หรือไม่?”
“ข้ามีเวลาที่ไหนกัน” เถียนฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า
“วันนีต้ ั้งใจจะขอบคุณโหวเยว่ ถึงได้เข้าครัวเอง
ปกติก็ให้บ่าวไพร่ไปทาทั้งนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ถือว่ามีบุญมากเลยสินะ” ฉี
หนิงหยิบตะเกียบขึ้นมา “ในโลกใบนี้ ไม่รู้ว่ามีสัก
กี่คนที่จะได้กินอาหารฝีมือของฮูหยินอีก”
เถียนฮูหยินยิ้ม แล้วพูดว่า “โหวเยว่อารมณ์ขัน
จริงๆ” นางพูดอีกว่า “จริงสิ สูตรยาที่โหวเยว่ให้
มา ปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์ดีมากเลย ข้า
ได้ลงทุนเตรียมเปิดโรงผลิตยาแล้ว โหวเยว่ ท่าน
ว่าทาแบบนี้ดีหรือไม่ หักต้นทุนออกไปแล้ว กาไร
ที่เหลือ โหวเยว่ท่านรับไปห้าส่วน ส่วนข้าห้าส่วน
เพราะว่าข้ายังมีคนงานต้องเลี้ยงดูอีก...”
ฉีหนิงพูดว่า “ไม่ต้องแบบนี้ก็ได้ เจ้าเอาไปเลยเจ็ด
ส่วน แบ่งจ่ายค่าแรง ดูแลพวกเขาให้ดีหน่อย ข้า
เอาแค่สามส่วนก็พอ แล้วก็เจ้าก็ช่วยเจ้าเก็บรักษา
เอาไว้ เจ้าช่วยข้าทาบัญชีเอาไว้ หากข้าเงินขาด
มือเมื่อไร ข้าจะมาเอากับเจ้าเอง”
เถียนฮูหยินคิดในใจว่าโหวเยว่ก็คือโหวเยว่ คนสูง
ศักดิ์แบบนี้ไม่ได้เห็นเงินอยู่ในสายตาเลย นางรู้สึก
ดีใจมาก แต่ว่านางก็ยังแสดงท่าทีเหมือนรู้สึกไม่ดี
“โหวเยว่ ท่าน...ท่านได้น้อยไปหน่อยหรือไม่?”
“เอาตามนี้แหละนะ” ฉีหนิงยกเหล้าขึ้นมา “มา
ฮูหยิน เหล้าแก้วนี้ อวยพรให้เจ้าการค้าเจริญ
รุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมา แต่ว่าอย่าเห็นแก่เงิน
มากจนเกินไปนะ”
ฮูหยินปิดปากหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าไม่กล้าหรอก
หากไม่ได้โหวเยว่ คงไม่กล้าทาอะไรแบบนี้ ตอนนี้
มีโหวเยว่คอยสนับสนุน ข้ายิ่งไม่กล้าทาอะไรบุ่ม
บ่าม ตระกูลเถียนของพวกเราทาการค้าราคา
ยุติธรรมตรงไปตรงมาตลอดตั้งแต่เริ่มทาการค้า
ไม่อย่างนั้นเราก็คงอยู่ไม่ได้มาจนทุกวันนี้”
ฉีหนิงพยักหน้า จากนั้นก็ดื่มเหล้าจนหมด หลัง
จากที่ดื่มหมดแก้วแล้ว เขาก็รู้สึกว่าตัวของเขานั้น
มันมีบางอย่างแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย กลิ่น
หอมของเหล้าแรงมาก เหมือนมันแทรกซึมเข้าไป
ในทุกรูขุมขน เหมือนมันมีกลิ่นหอมจากเหล้าไป
ทั่วทั้งตัว เขารู้สึกแปลกใจมาก ตอนนี้เขามอง
เถียนฮูหยิน เขาก็รู้สึกร้อนรุ่ม เถียนฮูหยินหน้าตา
งดงาม รูปร่างก็ดี หน้าของนางแดงอ่อนๆ ดวงตา
น่าหลงใหล มันทาให้เขารู้สึกหวั่นไหว
ในตอนนี้เองเถียนฮูหยินเองก็รู้สึกว่าร่างกายของ
นางก็ไม่ปกติ นางรู้สึกร้อนไปทั้งตัว นางอยากจะ
ถอดเสื้อผ้าออก แต่ว่าในตอนนี้นางก็ไม่ได้ใส่เสื้อ
หลายชั้นมากนัก หากถอดเสื้อออกอีกมันก็จะดูไม่
งาม นางเลยฝืนทนเอาไว้ แอบคิดในใจว่าหลังจาก
ดื่มเหล้าร้อยบุปผาไปแล้วมันมีกลิ่นหอมโชยมา
หรือว่าเหล้านี่มันจะแรงมาก ในตอนนี้เองนางก็
เหลือบไปมองหน้าฉีหนิง เห็นฉีหนิงหน้าแดงมาก
ในใจก็นึกแปลกใจ ทันใดนั้นเองก็เห็นฉีหนิงลุกขึ้น
มาแล้วพูดว่า “วันนี้ทาไมอากาศมันร้อนแบบนี้
เหล้านี่ก็เหมือนแรงมากเลยนะ” จากนั้นเขา
เหมือนอยากจะถอดเสื้อออก เถียนฮูหยินรีบลุก
ขึ้นแล้วเดินไปช่วยฉีหนิงถอดเสื้อ “ผ่านไปอีกสัก
ระยะจะร้อนกว่านี้อีก”
ฉีหนิงถอดเสื้อออก เถียนฮูหยินหยิบเสื้อแล้วหัน
ไปวางไว้ที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ฉีหนิงรู้สึกหวั่นไหวมาก
ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวของเขาเหมือนอ่อนแรง แต่
ช่วงล่างของเขามันร้อนเป็นไฟเลย ทันทีที่รสู้ ึก
แบบนี้เขาก็ตกใจ
ถึงแม้เขาจะรู้สึกดีกับเถียนฮูหยิน แต่ว่าเขาก็เป็น
คนที่ควบคุมอารมณ์ของเขาได้ดี ไม่น่าจะมี
ปฏิกิริยาที่รุนแรงขนาดนี้ เขาขมวดคิ้วหนักมาก
เถียนฮูหยินหันหลังกลับมา เห็นฉีหนิงนั่งลงแล้ว
แต่ว่าใบหน้าของเขาแดงมาก เหมือนจะไม่ปกติ ก็
รู้สึกตกใจเหมือนกัน นางรีบถามว่า “โหวเยว่
ท่าน...ท่านเป็นอะไรหรือ?”
ฉีหนิงเงยหน้ามองไปที่เถียนฮูหยิน เขารู้สึกว่า
เถียนฮูหยินดูมีเสน่ห์มาก ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นกลิ่น
เหล้าหรือว่ากลิ่นหอมจากตัวของเถียนฮูหยินที่
โชยมา กลิ่นนั่นมันทาให้เลือดลมของฉีหนิงไหล
เวียนเร็วมาก ทันใดนั้นเองเขาก็เหมือนนึกอะไร
ขึ้นมาได้ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฮูหยิน นี่...นี่มัน
เหล้าอะไร?”
เถียนฮูหยินอึ้งไป จากนั้นก็รีบพูดว่า “เป็นเหล้า
หมักดอกไม้ ในนี้มีส่วนผสมของดอกไม้อยู่ โหว
เยว่ มันมีอะไรอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าเหล้านี่มี
คนเอามาให้กับสามีเจ้าใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว” เถียนฮูหยินรีบพูดว่า “เก็บเอาไว้นาน
หลายปีแล้ว ข้ารู้ว่ามันเป็นเหล้าดี ก็เลย...”
“เหล้านี่...” ฉีหนิงยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ฮูหยินไม่
รู้สึกผิดปกติอะไรเลยหรือ?”
เถียนฮูหยินพูดว่า “เหล้านี้เหมือนจะแรง เหมือน
ว่า...เหมือนว่าจะไม่ค่อยปกติ”
ฉีหนิงพูดว่า “หากข้าเดาไม่ผิด มัน...” เขามองไป
รอบๆ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าไปปิดประตู
หน้าต่างก่อน...”
เถียนฮูหยินก็ไม่ได้สงสัยอะไรมาก เดินไปปิด
ประตูหน้าต่าง แล้วเดินกลับมาถามว่า “โหวเยว่
เหล้านี้ไม่ถูกปากท่านหรือ?”
“ไม่ใช่ไม่ถูกปาก แต่ว่ามันไม่เหมาะสม” ฉีหนิงยิ้ม
แห้งแล้วพูดว่า “เหล้านี่หากเป็นสามีเจ้าที่ดื่มก็คง
ไม่เป็นอะไร แต่ว่าข้าดื่มมันไม่ได้เด็ดขาด หรือว่า
...หรือว่าเจ้าไม่ได้รู้สึกเลยว่า หลังจากดื่มไปแล้ว
มันมีสรรพคุณในการปลุกกาหนัดด้วย?” ตอนนี้
เขาอยู่ห่างจากเถียนฮูหยินสองก้าวเท่านั้น
หลังจากที่ดื่มเหล้าร้อยบุปผาไปแล้ว ก็จะมี
ความรู้สึกกับเพศตรงข้ามอย่างรุนแรง หากได้
กลิ่นของผู้หญิง มันก็จะมีปฏิกิริยาเพิ่มขึ้นไปอีก
แต่ว่าในตอนนี้กลิ่นนี่มันทาให้ฉีหนิงเริ่มเมา เขารู้
ทั้งรู้ว่าเหล้าร้อยบุปผามีผลอย่างไร แต่เขาก็ไม่
อาจต้านมันไหว
เขารู้ดี เถียนฮูหยินเองก็ไม่น่าจะรู้ว่ามันมี
สรรพคุณได้การปลุกกาหนัด เพียงแค่คิดว่ามัน
เป็นเหล้าดีที่เก็บไว้นานหลายปี ก็เลยเอาออกมา
ให้เขาดื่ม ฉีหนิงเองก็คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นเหล้า
ปลุกกาหนัด ด้วยปฏิกิริยาของร่างกายที่เขาเป็น
เขาเลยพอเดาได้
เถียนฮูหยินถึงกับตาโต ตอนนี้นางตกใจมาก
จากนั้นก็รีบถามว่า “โหวเยว่ มี...มีของแบบนั้นใน
เหล้าด้วยหรือ...” นางแทบจะไม่อยากเชื่อ นาง
คิดไม่ถึงเลยว่าเหล้าที่เก็บเอาไว้นานหลายปี กลับ
กลายเป็นเหล้าปลุกอารมณ์ทางเพศไปได้
“คิดว่าไม่ผิดแน่” ฉีหนิงพยายามเดินลมปราณคุม
เอาไว้ แต่ว่าเหล้ายาปลุกมันไม่ใช่ยาพิษ ไม่
สามารถเดินลมปราณในการเค้นมันออกมาจาก
ร่างกายได้ ตอนนี้เขาไม่กล้ามองไปที่เถียนฮูหยิน
เลย เพราะเขากลัวว่าจะทนไม่ไหว แล้วเกิดทา
อะไรขึ้นมา “รีบไปเอาน้าเย็นมาให้ข้าเร็ว...”
เถียนฮูหยินรีบไปรินน้ามาให้ฉหี นิง ที่จริงนางเอง
ก็รู้สึกว่าร่างกายของนางไม่ปกติ เพียงแต่นาง
ไม่ได้คิดไปในทางนั้นเลย ตอนนี้พอฉีหนิงพูด
ขึ้นมา ยิ่งคิดมันก็ยิ่งใช่ นางทั้งอายทั้งเขิน นาง
กลัวว่าฉีหนิงจะเข้าใจผิดว่านางตั้งใจใส่ยาปลุกลง
ไปในเหล้า นางรีบพูดอธิบาย “โหวเยว่ ข้า...ข้า
ไม่ได้เป็นคนใส่ยานั่นเข้าไปนะ ข้าไม่ได้...”
อย่างไรนางก็เป็นคนทาการค้า ปกตินางต้องคิด
อะไรซับซ้อนอยู่แล้ว ในใจก็กลัวว่าฉีหนิงจะคิดว่า
นางอยากจะเอาใจเขา ตั้งใจใส่ยาในเหล้า ใช้วิธีนี้
มายั่วยวนเขา
ฉีหนิงรู้ดีว่าเถียนฮูหยินเป็นม่ายสาวที่สวยมาก แต่
ว่านางรักนวลสงวนตัว ไม่ได้เป็นม่ายสาวที่ง่ายกับ
ใคร เขาไม่ได้สงสัยว่าเถียนฮูหยินตั้งใจ เมื่อรับน้า
เย็นมา เขาก็รีบดื่มมันเข้าไปทันที เถียนฮูหยิน
รู้สึกกังวลใจมาก นางกลัวว่าเหล้าร้อยบุปผามัน
จะไม่ได้เป็นแค่เหล้าปลุกกาหนัดแค่นั้น หากจิ่นอี
โหวเกิดมาเป็นอะไรในจวนของนาง ผลที่ตามมา
นางไม่กล้าคิดเลย ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกเสียใจที่เอา
เหล้าร้อยบุปผามาเอาใจฉีหนิง
ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากน้าเย็นลงท้อง
ไปแล้ว เหมือนมันจะได้ผลนิดหน่อย แต่ว่าหลัง
จากนั้นไม่นาน มันก็ร้อนขึ้นมาอีก “ตายแน่ ฮู
หยิน ชาวหนานเจียงคนนั้นทาไมถึงได้ให้เหล้า
แบบนี้กับสามีเจ้าได้เนี่ย...”
เถียนฮูหยินทั้งโกรธทั้งโมโห นางพูดว่า “หากรู้แต่
แรกว่าเป็นของแบบนี้ ข้าทุบไหแตกไปนานแล้ว”
เหล้าร้อยบุปผาเป็นเหล้าปลุกกาหนัด ถึงแม้จะมี
ผลกับผู้หญิงด้วย แต่ว่าหลักๆ ก็ใช้กับผู้ชาย มีผล
กับผู้หญิงน้อยมาก ตอนนี้ฉีหนิงร้อนรุ่มไปทั้งตัว
ตอนนี้เขาอยากจะจับเถียนฮูหยินกดลงกับเตียง
แล้วก็ระบายอารมณ์ของเขาออกไปจนหมด แต่
ว่าเขารู้ว่าเขาจะทาอย่างนั้นไม่ได้ เขาเป็นม่าย
สาวนิสัยดี เขาจะฉวยโอกาสไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขา
ก็ไม่ต่างกับซูหลางเฉินน่ะสิ?
เถียนฮูหยินเห็นฉีหนิงหายใจหอบแรงมาก หน้าก็
แดง ในใจก็เริ่มรู้สึกกลัว นางถามว่า “โหวเยว่
ท่านเป็นอะไรหรือไม่? จะให้ข้าไปตามหมอมา
ไหม?”
"ข้าดื่มเหล้าที่นี่ แล้วถูกเหล้าปลุกกาหนัดที่นี่ หาก
...หากถูกใครมาเห็นเข้า เจ้าคิดว่าพวกเขาจะคิด
อย่างไร? ฉีหนิงรู้สึกหงุดหงิด เขาคิดในใจว่าม่าย
สาวคนนี้ทาไมถึงได้เลอะเลือนถึงขนาดเอาเหล้า
แบบนี้ออกมาให้เขากินได้ ทาไมไม่ดูให้ดีก่อน
ตอนนี้จะทาอย่างไรดีล่ะเขาแทบจะคลั่งตายแล้ว
เนีย่
เถียนฮูหยินเข้าใจทุกอย่าง หากมีคนอื่นมาเห็นว่า
ฉีหนิงโดนยาปลุกอารมณ์ แล้วเอาเรื่องนี้พูด
ออกไป ชื่อเสียงของฉีหนิงก็จะเสีย แม้แต่ตัวของ
นางเองก็ไม่เหลือ
นางเป็นหญิงม่ายคนหนึ่งที่ยังครองตนเป็นโสด
ไม่ได้แต่งงานใหม่ เชิญจิ่นอีโหวมาดื่มเหล้า เขา
กลับถูกยาปลุกอารมณ์ ทั้งคู่รู้ว่ามันเป็นเพราะ
อะไร แต่ว่าคนนอกไม่รู้แล้วก็ไม่มีอธิบายให้เข้าใจ
ได้หมด อย่างไรคนอื่นก็ต้องคิดว่าฉีหนิงแอบมี
อะไรกับม่ายสาว แล้วใช้ยาปลุกเพื่อเพิ่มอารมณ์
ทางเพศ ฉีหนิงเตือนสติเถียนฮูหยิน รู้ว่าเรื่องนี้จะ
ให้มีคนที่สามรู้เรื่องไม่ได้เด็ดขาด แม้แต่คนในจวน
ก็จะรู้เรื่องไม่ได้
นางร้อนใจมาก จับชายเสื้อแน่นโดยไม่รู้ตัว
ฉีหนิงเหลือบไปมองนางนิดเดียว ปากคอก็แห้ง
ผากขึ้นมา ตัวของเขาสั่นเทา ตอนนี้เถียนฮูหยิน
เอาแต่คิดถึงเรื่องถอนยาปลุกเท่านั้น นางพูดว่า
“โหวเยว่ เช่นนั้นเราควรทาอย่างไรดี? มันมีวิธี
ถอนได้หรือไม่ จะให้...จะให้ข้าไปเอายามาให้
หรือไม่?”
“เหล้าร้อยบุปผามีสมุนไพรอะไรอยู่บ้าง เราไม่รู้
กันเลย” ฉีหนิงไม่ได้พูดดีด้วย “หากใช้ยาไม่ตรง
จุด อาจจะตายได้ ตอนนี้ข้าแค่กังวลว่าเหล้าร้อย
บุปผามันจะมีพิษอย่างอื่นอีกหรือไม่....”
“พิษอื่นๆ”
ฉีหนิงพูดว่า “ฮูหยินไม่เคยท่องยุทธภพ อาจจะไม่
รู้ ยาปลุกอารมณ์หลายตัว หากสามารถถอนพิษ
ได้ทันเวลา ก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่หากถอนพิษ
ไม่ทัน มันจะร้ายแรงมากกว่ายาพิษทั่วไปอีก แล้ว
ก็จะต้องตายแน่นอน” ตอนนี้เขานึกถึงตอนที่อยู่
ที่ซีชวน อีฝูเองก็เคยถูกพิษยาปลุกกาหนัด
เหมือนกัน หากไม่ใช่เพราะเขาช่วยนางถอนพิษ
คิดว่านางคงตายไปแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็ตกใจ แอบคิดในใจว่ามันคง
ไม่ร้ายแรงเหมือนพิษนั้นหรอกกระมัง? ตอนนี้ช่วง
ล่างของเขามันร้อนจนทรมานมาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 552 ความร้อนในมือ
เถียนฮูหยินเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่รู้อะไรเลย สิ่งที่ฉี
หนิงพูด นางรู้ดีว่าหมายถึงอะไร
จิ่นอีโหวถูกยาปลุกกาหนด หากต้องถอนพิษ ก็
ต้องมีผู้หญิง ที่จริงแล้วในจวนเถียน ก็มีสาวใช้
หน้าตาดีหลายคน พวกนางเถียนฮูหยินใช้เงินซื้อ
ตัวมาทั้งนั้น หากเถียนฮูหยินจะเรียกพวกนางมา
ช่วยฉีหนิงถอนพิษ มันก็ทาได้
แต่ว่าฉีหนิงเป็นถึงจิ่นอีโหว จะรับปากเรื่องให้สาว
ใช้มาถอนพิษให้หรือไม่ มันก็ยังเป็นคาถามอยู่ สิ่ง
ที่สาคัญที่สุดก็คือ เมื่อให้สาวใช้มา ต่อให้นางจะ
ปิดปากสาวใช้ไม่ให้พูดออกไป แต่ก็รับประกัน
อะไรไม่ได้อยู่ดี หากมีคนอื่นรู้เรื่องนี้ มันก็เสี่ยง
เกินไป
ตอนนี้คนที่ช่วยถอนพิษให้ฉีหนิงได้ มีเพียงตัวนาง
เองเท่านั้น
แต่ว่าพอคิดว่าต้องใช้ตัวเองถอนพิษให้ฉีหนิง
เถียนฮูหยินไม่มีทางทาได้ นางไม่ใช่ม่ายสาวใจ
ง่าย นางรักนวลสงวนตัวมาก หลายปีที่ผ่านมาคน
ที่คิดเรื่องเพศกับนางมีอยู่ไม่น้อย คนที่แอบมา
สารภาพความในใจก็มีมาก นางก็ปฏิเสธไปจน
หมด
แต่ว่าพิษยาปลุกมาจากเหล้าร้อยบุปผาของนาง
เพราะนางเป็นคนเอาออกมา เกิดโหวน้อยเป็น
อะไรไป ตระกูลเถียนจบสิ้นแน่
นางหน้าแดงมาก กัดฟันแน่น ฉีหนิงทาไมจะไม่รู้
ว่านางคิดอะไรอยู่ เขายกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า
“เจ้าไปอยู่ตรงนู้นไป ข้าไม่ฉวยโอกาสกับใคร
หรอกนะ อีกทั้งข้าไม่ทาอะไรเจ้าหรอก”
ฉีหนิงพูดมาแบบนี้ เถียนฮูหยินก็รู้สึกผิดหนักมาก
นางลังเล แล้วพูดว่า “โหว...โหวเยว่ ขอแค่...ขอ
แค่มันออก...ออกมาก็พอใช่หรือไม่?”
นางก็เป็นผู้หญิงที่อาบน้าร้อนมาก่อน รู้ว่ามันคือ
เรื่องอะไร
ฉีหนิงหันหลังใส่นาง แล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ เจ้า
ไม่ต้องถามแล้ว ข้าลองดูว่าถ้าปล่อยไปแบบนี้มัน
จะดีหรือไม่ ห้ามให้ใครเข้ามาด้านในเด็ดขาดนะ
สภาพแบบนี้ใครมาเห็นเข้าอย่างไรก็ไม่ด”ี ฉีหนิง
หายใจหอบแรงมาก จนถึงขึ้นนี้แล้ว ฉีหนิงก็ไม่ได้
คิดจะล่วงเกินนางเลย อีกทั้งยังอดทนอดกลั้น
เอาไว้ด้วย กับคนที่มีฐานะขนาดนี้ ถือได้ว่าหาได้
ยากมาก เถียนฮูหยินลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็
เดินขึ้นหน้ามาสองก้าว นางหน้าแดงมาก จากนั้น
ก็พูดว่า “โหวเยว่ เอา...เอาอย่างนี้ดีหรือไม่...ข้า...
ข้าจะช่วยท่านเอง...”
“เจ้าถอนพิษได้หรือ?” ฉีหนิงไม่ได้หันหลังกลับมา
เถียนฮูหยินพูดว่า “ไม่ ข้าหมายความว่า...ข้า
หมายความว่าข้าช่วย...ช่วยท่าน...” ถึงแม้นางจะ
เป็นผู้หญิงเต็มตัวแล้ว ผ่านเรื่องอย่างว่ามาแล้ว
แต่ว่าในเวลาอยู่ต่อหน้าโหวน้อยที่อายุน้อยกว่า
นางหลายปีแบบนี้ นางก็รู้สึกอายอยู่ดี หน้าของ
นางแดงมาก อีกทั้งยังจับชายเสื้อของตัวเองไว้
แน่น
ฉีหนิงถึงกับสะดุ้ง ยังไม่ทันได้หันหลังกลับมา เขา
ก็พูดขึ้นว่า “มัน...มันไม่ดีกระมัง?”
“โหวเยว่ ท่าน...ท่านอย่าเข้าใจข้าผิดนะ” เถียนฮู
หยินกลัวว่าฉีหนิงเข้าใจผิด นางรีบพูดว่า “ข้ามี...
ข้ามีวิธี แต่ว่า...แต่ว่าเมื่อออกจากห้องนี้ไป โหว
เยว่...โหวเยว่สัญญาได้หรือไม่ว่าจะลืมทุกอย่าง
...” พอพูดจบ นางก็รู้สึกหงุดหงิด แอบคิดในใจว่า
ทาไมนางต้องเป็นคนเสนอด้วยนะ หน้าของนาง
แดงจนร้อน แต่ว่าพอนึกถึงว่ายาปลุกที่ฉีหนิง
ได้รับ เพื่อไม่ให้เกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้น ก็คงมีแต่
วิธีนี้เท่านั้น
ฉีหนิงหันหลังกลับมาจนได้ เขาเห็นม่ายสาวแสน
สวยเขินหน้าแดง เหมือนนางกาลังเขินหนักมาก
นางกาเสื้อของตัวเองไว้แน่น จับไปที่หน้าอกของ
ตัวเองด้วย อีกทั้งยังหายใจแรง เขาถามนางไปว่า
“มีวิธีอะไรหรือ? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็น
ความตาย จะไปพูดเพื่ออะไร จริงสิ เจ้าออกจาก
ห้องนี้ไป ก็ห้ามพูดเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่”
เถียนฮูหยินก็แค่เห็นว่าฉีหนิงอายุยังน้อย กลัวเขา
จะหลุดพูด แต่พอได้ยินเขากาชับแบบนี้แล้ว นาง
ก็เบาใจไม่น้อย บรรยากาศโดยรอบเงียบมาก นาง
ก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาของฉีหนิง เพียงแต่พูดว่า
“โหวเยว่ ข้า...ข้าช่วยให้ท่านขับออกมาได้ ไม่
ทราบว่า...ไม่ทราบว่าท่านจะรังเกียจหรือไม่...”
นางคิดว่านางอายุสามสิบกว่าแล้ว โหวเยว่อายุยัง
น้อย ไม่รู้ว่าเขาจะตกลงหรือไม่
ฉีหนิงคิดว่าม่ายสาวแสนสวยยอมช่วยเขา เขาคิด
ยังไม่กล้าคิดเลย จะไม่ยินดีได้อย่างไร? เขาพูดว่า
“รังเกียจอะไรกัน ตอนนี้ขอแค่ถอนพิษได้ ข้ายัง
จะจาว่าเจ้ามีบุญคุณด้วยซ้าไป”
เถียนฮูหยินรู้สึกกลัวมาก นางคิดครู่หนึ่ง แล้วยก
มือชี้ไปที่ฉากบังลม แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่าน...
ท่านเข้าไปด้านหลังนั่น...”
ฉีหนิงก็ไม่ได้ลังเล เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ด้านหลัง
ฉากบังลม เห็นด้านหลังฉากบังลมมีเตียงไม้ไผ่อยู่
ตัวหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าทาไมถึงได้เอามาตั้งไว้ตรงนี้ ไม่
เห็นเถียนฮูหยินเดินตามมา เขาก็เลยหันไปมองดู
เถียนฮูหยินลังเลตัดสินใจไม่ได้สักที โหวน้อยดื่ม
เหล้าร้อยบุปผาที่นี่ นางช่วยเขาถอนพิษ ตามหลัก
แล้วก็เป็นเรื่องที่สมควร เพราะไม่เพียงช่วยฉีหนิง
ยังช่วยตระกูลเถียนด้วย หากโหวเยว่เป็นอะไรไป
ตระกูลเถียนเองก็จะต้องโทษประหารชีวิต
แน่นอน
แต่ว่าพอนางนึกถึงวิธีการที่จะช่วยเขา นางก็หน้า
แดง แต่ว่านางไม่มีทางเลือก นางลังเล แต่สุดท้าย
ก็ยังตัดสินใจเดินไปที่ด้านหลังฉากบังลม เห็นฉี
หนิงตัวแดงทั้งตัว แม้แต่ดวงตาก็แดงด้วย นางรู้
ทันทีว่าตอนนี้จะรอช้าอีกไม่ได้ จึงรีบชี้ไปตรงที่
นอนไม้ไผ่แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่าน...ท่านนอนลง
ก่อนนะ...”
ฉีหนิงรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แอบคิดในใจว่า
ม่ายสาวแสนสวยคิดจะเสนอตัวช่วยเขาอย่าง
นั้นน่ะหรือ? เขารู้สึกสงสัยมาก เวลานี้เลือดในตัว
ของเขาพุ่งพล่านมาก แทบอยากจะพุ่งเข้าไปกอด
ตัวนางเอาไว้ แต่ว่าเขาก็ยังอดทนเอาไว้อยู่ เขา
เดินเข้าไปนอน หลังจากนอนลงแล้ว เถียนฮูหยิน
ก็เหลือบมามองเขา เห็นช่วงล่างของฉีหนิงตั้ง
ตระหง่านขึ้นมาเพราะยาปลุกกาหนัด นางก็
ใจเต้นแรงมาก นางรู้สึกลนลานนิดหน่อย จากนั้น
ฉีหนิงก็เอ่ยปากถามว่า “ฮูหยิน ต่อไป...ต่อไปต้อง
ทาเช่นไรหรือ?”
เถียนฮูหยินค่อยๆ เดิน ไปนั่งอยู่ข้างๆ เตียงไม้ไผ่
นางพูดว่า “โหวเยว่ ท่านหลับตาลงก่อน ก่อนที่
จะเสร็จ ห้ามลืมตาเด็ดขาด ได้หรือไม่?”
ฉีหนิงเห็นนางดูลาบากใจ รู้ว่าในใจของนางดูราว
กับกาลังทาสงคราม ม่ายสาวคนนี้รักนวลสงวนตัว
มาก ในเวลาแบบนี้ให้นางมาช่วยเขาถอนพิษ มัน
ทาให้นางลาบากใจมาก
ฉีหนิงพยักหน้า เขาพูดว่า “ลาบากเจ้าแล้วนะ”
เขาหลับตาลง เขาได้กลิ่นหอมจากตัวของเถียนฮู
หยิน ถึงแม้เขาจะหลับตา แต่ในหัวของเขาก็มี
ภาพรูปร่างของเถียนฮูหยินเต็มไปหมด เถียนฮู
หยินพูดด้วยน้าเสียงสั่นเครือว่า “โหวเยว่ เรื่อง...
เรื่องนี้เกิดเพราะข้า ข้า...ข้าต้องทาคุณไถ่โทษ
ท่าน...ท่านอย่าคิดว่าข้า ข้า...ข้าไม่ใช่...ไม่ใช่
ผู้หญิงแบบนั้น...”
ฉีหนิง “อืม” ไปหนึ่งคา จากนั้นก็รู้สึกว่าเสื้อของ
เขาถูกถอด เขาสัมผัสได้ว่ามือของเถียนฮูหยินสั่น
มาก จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของนางพูดขึ้นมาว่า
“โหว...โหวเยว่ ข้า...ข้า...ข้าแค่จะช่วยให้ท่านได้
ปลดปล่อย ท่าน...ท่านอย่าคิดอะไรมากนะ”
ฉีหนิงคิดในใจว่านี่มันเวลาไหนแล้ว ทาไมยังไม่
เริ่มสักที เขา “อืม” ไปอีกคา จากนั้น เขาก็รู้สึก
ได้ว่ากางเกงของเขาถูกถอดออก จากนั้นก็ได้ยิน
เหมือนเสียงอุทานเบาๆ ฉีหนิงอดแอบลืมตา
ขึ้นมามองไม่ได้ เห็นเถียนฮูหยินเบือนหน้าหนีไป
หน้าของนางแดงมาก นางเอามือปิดปากเอาไว้
เหมือนกลัวว่าเสียงจะหลุดออกมา
ฉีหนิงแสร้งทาเป็นหลับตาต่อไป แล้วถามว่า
“เป็นอะไรไป?”
“ไม่...ไม่มีอะไร” เถียนฮูหยินร้องอย่างตกใจ นาง
ไม่กล้าพูดอยู่แล้ว วินาทีที่นางถอดกางเกงเขา
ออกมา นางเห็นขนาดที่น่าตกใจของฉีหนิง มัน
ใหญ่กว่าของสามีที่ตายไปของนางมาก นางจะไม่
ตกใจได้อย่างไร เรื่องแบบนี้พูดไม่ได้อยู่แล้ว นาง
หน้าแดงมาก ในใจก็แอบคิดว่า ใหญ่ขนาดนี้ จะมี
ผู้หญิงคนไหนทนไหวกัน
ฉีหนิงก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็
รู้สึกว่าตรงนั้นของเขามันอุ่นๆ เหมือนว่ามันจะ
รู้สกึ เสียวๆ สากๆ ด้วย เขาอดที่จะเหลือบไปมอง
ไม่ได้เลย ตอนนี้เขาเห็นในมือของเถียนฮูหยินมี
ผ้าเช็ดหน้าโผล่เพิ่มขึ้นมาผืนหนึ่ง นางหน้าแดง
มาก นางกาลังก้มหน้าเช็ดตรงนั้นของเขาอยู่ นาง
เป็นคนรักสะอาด ทาอะไรก็เด็ดขาด หลังจากที่
เช็ดสะอาดแล้ว นางลังเลไปครู่หนึ่ง ฉีหนิงก็รู้สึก
ว่ามันอุ่นๆ เถียนฮูหยินใช้มือช่วยเขาอยู่
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 553 ความสัมพันธ์เกี่ยวดองกัน
แรกเริ่มเดิมทีฉีหนิงคิดว่าเถียนฮูหยินจะยอมมอบ
กายเพื่อถอนพิษให้เขา หากได้ร่วมนอนกับม่าย
สาวแสนสวยแบบนี้ได้ ฉีหนิงคงเหมือนฝัน แต่คิด
ไม่ถึงเลยว่านางจะใช้วิธีนี้ในการถอนพิษให้เขา
ถึงแม้จะผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็รู้ว่า การที่เถยียนฮู
หยินทาแบบนี้ มันก็กล้ามากแล้ว ในใจของนางคง
เจ็บปวดสับสนน่าดูกว่าจะตัดสินใจทาแบบนี้ได้
หากไม่ใช่เพราะตระกูลเถียนจะเดือดร้อน เถียนฮู
หยินไม่มีทางมาช่วยเขาถอนพิษแบบนี้
เถียนฮูหยินใจเต้นแรงมาก มือของนางสั่นไม่หยุด
นางยังจับอยู่ตรงนั้นของฉีหนิง เหมือนกับนาง
กาลังจับดาบอยู่ นางรูดขึ้นรูดลงอย่างลื่นมือ เดิม
นางตื่นเต้นมาก มือของนางเหงื่อออกมามาก
ดังนั้นมันเลยลื่น ถึงแม้รู้สึกว่าตัวของฉีหนิงจะมี
การเกร็งเป็นระยะ แต่มันก็ยังไม่ได้ปลดปล่อย
ออกมาสักที
เถียนฮูหยินช่วยเขาอยู่พักใหญ่ นางเริ่มรู้สกึ ร้อน
ใจ นางหน้าแดงแล้วถามว่า “ยัง...ยังไม่ออกมาอีก
หรอ? นางเริ่มรู้สึกว่ามือของนางเริ่มเมื่อยแล้ว”
ฉีหนิงพูดว่า “ถูกพิษมันไม่เหมือนเวลาปกติ มัน...
มันไม่ออกมาง่ายๆ หรอก”
เถียนฮูหยิน “อืม” มาคาหนึ่ง เหงื่อของนางไหล
ออกมาจากหน้าผาก เดิมใบหน้าของนางก็งดงาม
มากอยู่แล้ว ตอนนี้หน้าแดงมาก ท่าทางของนาง
ตอนนี้มีเสน่ห์น่าหลงใหลมาก จากนั้นนางก็รู้สึก
ได้ว่าร่างกายของฉีหนิงเหมือนจะกระตุกสองครั้ง
ในใจของนางก็ดีใจ แอบคิดในใจว่าฉีหนิงน่าจะ
เรียบร้อยแล้ว หน้าของนางแดงมาก รู้สึกผ่อน
คลายลงมาก อีกทั้งยังรู้สึกอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมา
หลายปีด้วย
นางรีบเร่งมือ หลังจากทาอย่างรวดเร็วอยู่หลายที
แต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าเขาจะเสร็จเลย มือของนาง
เมื่อยมากแล้ว นางพูดว่า “โหวเยว่ มัน...มันจะอก
มาแล้วใช่ไหม? มือของข้าเมื่อยไปหมดแล้ว”
ฉีหนิงพูดว่า “ฮูหยิน เหมือน...เหมือนว่าจะยัง
นะ”
“ทาอย่างไรดีละ่ ?” เถียนฮูหยินพูดอย่างร้อนใจว่า
“นานขนาดนี้แล้ว เราปิดประตูหน้าต่างเอาไว้
บ่าวไพร่อาจจะสงสัยเอาได้”
ฉีหนิงพูดว่า “ฮูหยิน หากยังไม่เสร็จ อาจ...
อาจจะต้องลาบากท่านสักหน่อย”
เถียนฮูหยินแอบคิดในใจว่าข้ายอมทาถึงขนาดนี้
แล้ว ยังจะให้ข้าทาอะไรอีก? นางสะดุ้ง แล้วรีบ
พูดอย่างหนักแน่นว่า “โหว...โหวเยว่ ไม่ได้
เด็ดขาด ต่อให้...ต่อให้ต้องถูกประหารทั้งตระกูล
ข้า...ข้าก็รับปากท่านไม่ได้”
ฉีหนิงรู้ว่านางเข้าใจผิด เขาเลยพูดขึ้นมาว่า “ฮู
หยินวางใจได้ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนใจง่ายแบบนั้น
แต่ว่า...แต่ว่าเจ้าเองก็พูดถูก หากถอนพิษไม่ได้สัก
ที เราปิดประตูหน้าต่างไว้แบบนี้ คนจะสงสัยได้”
เขาหยุดไป แล้วพูดขึ้นมาว่า “ฮูหยินลาบากท่าน
สักหน่อย ให้...ให้ข้าได้แตะต้องตัวท่านสักหน่อย
ได้ไหม ให้ข้าได้เพิ่มอารมณ์ มันอาจจะทาให้มัน
เร็วขึ้นก็ได้”
“แตะ...แตะต้องยังไง?” เถียนฮูหยินก้มหน้าลง
พูดจาติดอ่าง ตอนนี้นางรู้สึกไม่เป็นตัวเองเลย
ฉีหนิงมองไปที่หน้าอกของเถียนฮูหยิน แล้วพูดว่า
“หากฮูหยินยินดี ข้า...ข้าขอจับหน้าอกของท่าน
ได้ไหม...”
เถียนฮูหยินตัวสั่น หน้าของนางแดงมาก “ไม่ได้
ข้า...” นางเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนี้ฉีหนิงตัว
แดงมาก ร่างกายของเขากระตุกตลอดเวลา แสดง
ว่าเขากาลังทรมานเพราะฤทธิ์ของยาปลุกกาหนัด
นางเลยไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง ฉีหนิงเขยิบเข้ามา
ใกล้นาง เขาได้กลิ่นตัวของนาง แล้วพูดว่า “ฮู
หยิน ข้าไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินเจ้านะ ข้าแค่อยาก
จะถอนพิษ หลังจากถอนพิษแล้ว ระหว่างเราก็จะ
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก อีกทั้งยังพูดกับใครไม่ได้ด้วย”
เถียนฮูหยินลังเล แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นจับ
เบาๆ ก็ได้ แต่ห้าม...ห้ามล้วงเข้าไปข้างใน
เด็ดขาด” พอพูดออกมาแบบนี้ ในใจของนางก็
รู้สึกโมโหตัวเอง แอบคิดในใจว่าทาไมนางถึงได้
เลอะเลือนรับปากไปได้นะ แต่ว่าในเมื่อพูดไปแล้ว
จะคืนคาได้ยังไง ฉีหนิงพูดขึ้นมาว่า “ขอบคุณฮู
หยินมาก” เขายื่นมือไปจับ เถียนฮูหยินสะดุ้ง
เล็กน้อย นางเอามือขึ้นมาบังเอาไว้ ฉีหนิงถอน
หายใจแล้วพูดว่า “หากฮูหยินรับไม่ได้จริงๆ ข้าก็
ไม่บังคับนะ เจ้า...เจ้าออกไปก่อนก็ได้ ขอข้าอยู่
ที่นี่คนเดียวสักพัก คิดว่าอดทนสักหน่อยน่าจะดี
ขึ้น”
เถียนฮูหยินได้ยินเสียงของเขาสั่นนิดหน่อย รู้ว่า
ยาปลุกกาหนัดนี่ร้ายแรงมาก นางคิดว่าทุกอย่างนี่
เป็นเพราะนางเอาเหล้าร้อย บุปผาออกมา นาง
รู้สึกเสียใจมาก นางเอามือลง หลับตาแล้วพูดด้วย
เสียงสั่นเครือว่า “โหวเยว่ เรา....เราทาแบบนี้
เพราะถอนพิษ ห้าม...ห้ามไปพูดกับใครเด็ดขาด
นะ”
ตอนนี้ร่างกายของฉีหนิงร้อนดังไฟเผา เขาทรมาน
มาก หากไม่เพราะยังไม่สติอยู่ เขาคงจับเถียนฮู
หยินกดลงกับเตียงไปแล้ว เมื่อได้ยินเถียนฮูหยิน
พูดมาแบบนี้แล้ว เขาก็รับปาก จากนั้นก็ยื่นมือไป
แตะที่หน้าอกทั้งสองข้างของนาง เถียนฮูหยินรีบ
พูดว่า “โหวเยว่...”
“อย่าขยับ...” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าไม่ทาอะไรไปมาก
กว่านี้” ตอนนี้เหมือนกลิ่นหอมในตัวของนางจะ
ถูกรีดให้โชยออกมา เสื้อนอกของนางถูกถอดออก
เหลือแค่เสื้อเกาะอกด้านในเท่านั้น ผิวขาวๆ ของ
นางโผล่ออกมาให้เห็น เนินอกอันอวบอิ่มของนาง
ทาให้เขาแทบจะอดใจไม่ไหว
ตอนนี้เลือดลมของฉีหนิงสูบฉีดแรงมาก เขาไม่ได้
ลังเลใจเลย เขาพูดว่า “ขออภัยด้วย” เขายื่นมือ
ออกไปจับหน้าอกไว้ข้างหนึ่ง มันนุ่มนิ่มและเด้ง
มาก จนฉีหนิงแทบจะอดใจร้องออกมา เขายังไม่
ทันได้คราง แต่คนที่ครางกับเป็นเถียนฮูหยิน นาง
ตัวสั่น และหลับตาลงทันที ฉีหนิงค่อย ๆ จับ
ค่อยๆ ลูบ ค่อยๆ คลาไป
ฉีหนิงถึงกับกลืนน้าลาย เถียนฮูหยินมีรูปร่างเร้า
ร้อนมาก ไม่ว่าเขาจะจับไปตรงไหน มันก็ให้การ
สัมผัสที่แตกต่างออกไป เขาจับแล้วก็คลึงมันเบา
ๆ เขาแทบจะไม่กล้าลงแรงมาก เพราะมันนุ่ม
เหมือนนุ่นแต่ถ้าจับแรงก็กลัวมันจะแตก
เถียนฮูหยินหลับตา ร่างกายของนางสั่น ถูกฉีหนิง
จับคลึงอยู่อย่างนั้น มันทาให้นางรู้สึกเจ็บ แต่ว่า
มันก็ทาให้ร่างกายของนางมีความรู้สึก นางอยาก
จะร้องอยากจะครางออกมาดังๆ แต่นางพยายาม
เก็บอารมณ์ของนางอยู่ในตอนนี้ นางคิดในใจว่า
หากว่านางไม่อดทน เกิดปล่อยอารมณ์ตามใจ
ขึ้นมา ผลที่ตามมานางไม่อยากจะคิดเลย นาง
หลับตาปล่อยให้ฉีหนิงจับของนางตามอารมณ์
ส่วนตัวนางก็พยายามหาที่จับแล้วเก็บอารมณ์
ฉีหนิงได้สัมผัสถึงความนุ่มความบอบบางของ
ร่างกายเถียนฮูหยิน ในเวลานี้เขาทนไม่ไหวอีก
ต่อไปแล้ว เขาจับเถียนฮูหยิน พลิกตัวแล้วกดลง
กับเตียง เถียนฮูหยินได้สติกลับมา รู้ว่า
สถานการณ์ไม่ดี ก็รีบสะบัดมือเขาออกแล้วผลัก
เขา จากนั้นก็คิดจะหนี ฉีหนิงปฏิกิริยาไวมาก เขา
ใช้มือดึงนางเข้ามากอด จากนั้นก็จับเถียนฮูหยิน
กดลงกับเตียง
เถียนฮูหยินตกใจขวัญกระเจิงมาก นางพูดด้วย
น้าเสียงสะอื้น “โหวเยว่ โหวเยว่”
หลังจากที่ฉีหนิงจับเถียนฮูหยินกดลงแล้ว เขาใช้
มือลูบไปด้านในกระโปรงของนาง ฉีหนิงจับไปที่
ก้นอันอวบอิ่มของนาง มันนุ่มมาก ถึงแม้จะมี
กระโปรงซับในซ้อนอยู่อีกชั้นก็ตาม แต่เขาก็สัมผัส
ได้ถึงผิวที่เรียบเนียน เถียนฮูหยินพยายามดิ้นให้
หลุดจากมือของเขา
“ฮูหยิน...” ฉีหนิงหายใจแรงมาก “ข้า...ข้าทนไม่
ไหวแล้วจริงๆ”
“โหวเยว่...” เถียนฮูหยินพูดด้วยเสียงสะอื้น “ทา
แบบนี้ไม่ได้นะ ท่านต้องรักษาคาพูดสิ...จะทา
แบบนี้ไม่ได้นะ ข้าอายุมากกว่าท่านตั้งเยอะ อีก
ทั้ง...ฐานะก็ต่าต้อย ไม่คู่ควรกับโหวเยว่เลยนะ”
ตรงนั้นของฉีหนิงร้อนเป็นไฟ อีกทั้งบริเวณที่มัน
แนบชิดอยู่ก็นุ่มมาก เขาอดไม่ได้ที่จะถูไถไปจน
หลุดเข้าไปในร่องขาของเถียนฮูหยิน ซึ่งห่างจาก
บริเวณสาคัญของเถียนฮูหยินไม่ไกล เถียนฮูหยิน
ตกใจจนไม่รู้จะทายังไง นางพยายามดิ้น แล้วพูด
ว่า “ท่านเป็นผู้สูงศักดิ์ จะ...จะมาเอาอานาจรังแก
คนอื่นแบบนี้ได้ยังไง...ต่อให้ข้าต้องตาย ข้า...ข้าก็
จะไม่ยอมให้ท่านสมใจอยากแน่....”
ฉีหนิงได้ยินคาว่า “ใช้อานาจรังแก” เขาก็สะดุ้ง
เหมือนกับถูกตบหน้าจนได้สติ เขาหยุด แล้วพูด
ด้วยความเสียใจว่า “ฮูหยิน ข้า...ขออภัยจริงๆ...”
เขาคิดในใจว่าหากเขาใช้กาลังข่มเหง รังแกหญิง
ม่ายคนหนึ่ง มันก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน
พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็รีบลุกขึ้นมา
เถียนฮูหยินเห็นฉีหนิงลุกออกจากตัวนาง ก็ถอน
หายใจเฮือกใหญ่ นางรีบลุกขึ้นยืน ไม่แม้แต่จะ
มองไปที่ฉีหนิง อีกทั้งยังคิดจะวิ่งออกจากห้องไป
ด้วย แต่ว่านางวิ่งออกไปไม่กี่ก้าว ก็หยุด แล้วหัน
หลังกลับมามองเขา นางเห็นฉีหนิงนั่งอยู่ริมเตียง
ดูแล้วเหมือนหงุดหงิดใจมาก เถียนฮูหยินลังเล
จากนั้นก็เดินกลับไปหาเขาอีก ตอนนี้ทั่วทั้งตัว
นางมีแต่เหงื่อ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย นาง
พูดว่า “โหวเยว่ เรื่อง...เรื่องนี้ไม่โทษท่านเลย
เป็น...เป็นเพราะเหล้าร้อยบุปผาต่างหาก...”
ฉีหนิงเงยหน้ามองไปที่เถียนฮูหยิน เขาฝืนยิ้ม
แล้วพูดว่า “เจ้าวางใจเถอะ เรื่องนี้จะไม่มีใครรู้
เด็ดขาด เจ้าเองก็พยายามเต็มที่แล้ว ขอบใจเจ้า
มาก”
ถึงแม้เถียนฮูหยินจะรู้สึกตกใจมากกับเรื่องที่เกิด
ขึ้นเมื่อกี้ แต่ว่านางก็รู้ดีว่า ฉีหนิงกาลังเป็นหนุ่ม
อีกทั้งยังถูกเหล้าปลุกกาหนัดเข้าไปอีก เจอผู้หญิง
ร่างกายเต็มวัยอย่างนาง ก็เกิดอารมณ์บุ่มบ่ามได้
หากเย็นชากับเขามากเกินไป อาจทาให้
สถานการณ์แย่ลง นางเข้าใจเขาดี นางพูดว่า
“โหวเยว่ ท่านอย่าเพิ่งขยับ เรา...เรามาลองกันอีก
ครั้ง น่าจะ...น่าจะได้แล้วล่ะ...”
เถียนฮูหยินแสดงท่าทีเป็นม่ายสาวที่ใจเย็นมาก
นางเดินไปหาเขา แล้วคุกเข่าลงระหว่างเข่าของ
เขา จากนั้นก็อ้าขาเขาออก จากนั้นก็ยื่นมือไปตรง
นั้นของเขาใหม่ แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ขอแค่...ท่าน
ไม่ทาเหมือนเมื่อครู่ เรื่องอื่น...เรื่องอื่นข้ารับปาก
ท่านได้หมด”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 554 ด้านหลังฉากบังลม
เถียนฮูหยินหน้าตาสวยงาม ตอนนี้นางมีแค่เกาะ
อกตัวเดียว หน้าอกของนางอวบอิ่มมากเหลือเกิน
นางก้มหน้าลง นางเขินฉีหนิงมาก ท่าทางของนาง
ตอนนี้ มันมีเสน่ห์เหลือเกิน
ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แอบคิดในใจว่าม่ายสาว
คนนี้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว หากเป็นเด็กสาวทั่วไป
คงไม่มีทางกล้าทาอะไรแบบนี้แน่นอน เขาเอามือ
ไปจับไหล่ของนาง เถียนฮูหยินสะดุ้ง เงยหน้าขึ้น
มาเล็กน้อย เห็นฉีหนิงกาลังจ้องมาที่นาง นางฝืน
ยิ้มให้ แล้วพูดว่า “โหวเยว่...”
ฉีหนิงมองไปที่ใบหน้าอันสวยงามของนาง แล้วอด
พูดไม่ได้ว่า “ฮูหยิน...ฮูหยินเจ้างามมาก”
เถียนฮูหยินถูกชมมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ว่าคราวนี้
นางกลับใจสั่นแปลกๆ รอบๆ เงียบมาก นางพูด
อย่างเขินอายว่า “โหวเยว่...โหวเยว่ชมเกินไปแล้ว
ข้า...ข้าแก่แล้ว...”
“ไม่เลย” ฉีหนิงค่อยๆ ลูบไปที่ไหล่ของนาง เขา
รู้สึกว่าไหล่ของนางมันเรียบเนียนกว่าผ้าต่วนอีก
เขาพูดว่า “ตอนที่ข้าเจอเจ้าครั้งแรก ข้ายังคิดอยู่
เลยว่าเจ้าอายุแค่ยี่สิบเท่านั้นเอง...”
เถียนฮูหยินพูดอย่างเขินๆ ว่า “ไม่...ไม่...” นาง
รู้สึกแปลกๆ นางรีบพูดว่า “ไม่ใช่...ไม่ใช่เลย ข้า...
ข้าอายุเกินยี่สิบมานานแล้ว โหวเยว่...โหวเยว่ยัง
ไม่เต็มยี่สิบเลยใช่ไหม?”
“หากข้าบอกว่าข้าอายุมากกว่าฮูหยิน ฮูหยินจะ
เชื่อข้าไหม?” ฉีหนิงถาม เขาเป็นคนสองชาติ อายุ
รวมกันก็มากกว่าเถียนฮูหยินตั้งเยอะ
เถียนฮูหยินกลับรู้สึกว่าฉีหนิงล้อนางเล่นอยู่ นาง
อดหัวเราะไม่ได้ นางพูดว่า “ข้าไม่เชื่อหรอก”
เวลานางยิ้มมีเสน่ห์มาก เหมือนนางจะพูดมาก
เกินไปแล้ว นางพูดว่า “โหวเยว่ ข้า...ข้าช่วยท่าน
ถอนพิษเอง ท่าน...ท่านไม่ได้ใช้กาลังอานาจบังคับ
รังแกข้า ข้า...ข้าซาบซึ้งใจมาก...” พูดจบ นางก็ใช้
มือช่วยฉีหนิง
มือของฉีหนิงทั้งสองข้างจับอยู่ที่ไหล่ของเถียนฮู
หยิน เขาเห็นท่าทางที่เถียนฮูหยินกาลังทาให้เขา
อยู่ หน้าอกของนางสั่นไปมา ขยับไปตามจังหวะ
เขาอดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือไปจับหน้าอกของนาง
เถียนฮูหยินหลับตาลง จากนั้นก็ได้ยินเสียงคราง
ออกมาจากจมูกของนาง หน้าอกของนางเคลื่อน
ไหวไปตามจังหวะ ฉีหนิงได้จับหน้าอกของนาง
เขาก็แทบไม่อยากปล่อยมือเลย เขาใช้มือบีบ
หน้าอกของนางแล้วคลึงเบาๆ เขารู้สึกได้ว่าเถียน
ฮูหยินหายใจหอบแรงมาก ฉีหนิงเองก็หายใจเร็ว
แรงขึ้นเหมือนกัน เขาอดพูดไม่ได้ว่า “เมื่อครู่...
เมื่อครู่เกือบล่วงเกินฮูหยินไป ต้องขออภัยจริงๆ”
มือของเถียนฮูหยินยังจับตรงนั้นของฉีหนิงอยู่ อีก
ทั้งหน้าอกก็ถูกฉีหนิงจับนวดคลึงเอาไว้ ทาให้
ร่างกายของนางมีปฏิกิริยาเล็กน้อย นางเป็นคนมี
เลือดมีเนื้อมีความรู้สึก ที่จริงนางก็โดดเดี่ยวมา
นานร่างกายเลยค่อนข้างไวต่อความรู้สึกแบบนี้
ร่างกายของนางเหมือนมีความต้องการ นางรู้ว่า
นางต้องอดทนให้ได้เท่านั้น เมื่อได้ยินฉีหนิงพูด
นางก็คิดในใจว่า แล้วตอนนี้ไม่ได้ล่วงเกินนางอยู่
หรือไงกัน? นางไม่อยากเถียงกับเขา เลยรีบช่วย
เขาทา น้าเสียงของนางสั่นเครือ “โหวเยว่...ท่าน
...ท่านไม่ได้ตั้งใจ ข้า...ข้าเข้าใจดี...”
ฉีหนิงออกแรงขึ้นนิดหน่อย เขาเขยิบมาข้างหน้า
แล้วพูดว่า “ที่จริง...ข้า...ข้าอยากได้ฮูหยินจริงๆ
นะ...”
“หะ?” เถียนฮูหยินถึงกับสะดุ้ง นางก้มหน้าแล้ว
พูดว่า “โหวเยว่...โหวเยว่อายุยังน้อย เกิดอารมณ์
วู่วามขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องปกติ ข้า...ข้าแก่มาก
แล้ว...”
“ต่อไปห้ามพูดแบบนี้อีกนะ” ฉีหนิงพูดว่า “ข้า
ชอบที่เจ้าเป็นแบบนี้ เจ้าเองก็รู้ หาก...หากข้า
ไม่ได้พอใจเจ้า ข้าก็...ก็คงไม่ช่วยเจ้าแบบนั้นแน่
เพียงแต่เจ้าอย่าเข้าใจข้าผิดนะ ข้าไม่ได้...ไม่ได้คิด
จะเอาเปรียบเจ้าเลย...”
เถียนฮูหยินไม่ใช่คนโง่ นางเป็นผู้หญิงที่มีสมอง
จิ่นอีโหวไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางเลย แต่ช่วย
นางเรื่องสานักหมอหลวง หากจะบอกว่าไม่คิด
อะไรกับนางแม้แต่น้อย ไม่มีใครเชื่อหรอก นาง
พูดว่า “บุญ...บุญคุณของโหวเยว่ ข้าไม่รู้จะตอบ
แทนยังไง นอกจาก...นอกจาก...นอกจากเรื่อง
อย่างว่าเรื่องเดียวที่ไม่ได้ นอกนั้นข้าจะพยายาม
ตอบแทนให้อย่างเต็มที่”
วันนี้น่าใช้ความกล้าทั้งหมดที่นางมีช่วยฉีหนิงถอน
พิษ นางก็คิดทบทวนอยู่นานแล้ว เพราะนางเองก็
กลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ในใจของนางรู้สึก
ซาบซึ้งใจในตัวฉีหนิงมาก ฉีหนิงไม่เพียงช่วยให้
นางได้เข้าไปทาการค้ากับสานักหมอหลวง อีกทั้ง
ยังช่วยนางให้รอดพ้นมือของซูหลางเฉิง อีกทั้ง
เพราะเรื่องนี้ เขายังไล่ซูหลางเฉิงออกจากสานัก
หมอหลวงไป เป็นถึงโหวเยว่ไม่ได้เป็นญาติไม่ได้
เป็นอะไรกันแต่กลับทาให้ม่ายสาวอย่างนางขนาด
นี้ เถียนฮูหยินซาบซึ้งใจมากจริงๆ
“เจ้า...เจ้าคิดจะครองตัวเป็นโสดแบบนี้ตลอดชีวิต
อย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงหายใจแรง “เจ้าไม่ได้
คิดถึงอนาคตบ้างหรอ?”
มือของเถียนฮูหยินเริ่มเมื่อย แอบคิดในใจว่า
ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจจริงๆ นานขนาดนี้แล้ว ยังไม่
เสร็จอีก หากผู้หญิงคนไหนมีอะไรกับเขา ก็ไม่รู้ว่า
จะมีความสุขหรือทรมานมากกว่ากัน หากเป็น
นางที่ร่วมรักกับเขานานขนาดนี้ นางคงหมดแรง
จนตายไปแล้ว พอนึกถึงตรงนี้ นางก็แอบคิดในใจ
ว่าทาไมนางถึงได้คิดอะไรบ้าๆ แบบนี้ อยู่คนเดียว
มานานหลายปี กลับมาหวั่นไหวกับเด็กหนุ่มคน
หนึ่งจนถึงกับคิดอะไรแบบนี้ได้
เมื่อได้ยินฉีหนิงถาม เถียนฮูหยินก็ไม่รู้จะตอบ
ยังไง “ข้าไม่เคยคิดเลย...” ในใจของนางคิดแค่ว่า
รีบๆ เสร็จสักทีได้ไหม หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ท่าน
ทนไหว แต่ข้าจะทนไม่ไหวเอา? นางรู้สึกว่ามือ
ของนางร้อนเป็นไฟแล้ว ร่างกายของนางสุกงอม
มือของนางร้อน หน้าอกของนางก็ถูกฉีหนิงแหย่
เล่นอยู่ เวลานี้นางมีอารมณ์มาก หน้าของนาง
แดง อีกทั้งตรงนั้นของนางก็เริ่มแฉะ นางทรมาน
มาก
ตอนนี้ฉีหนิงรู้สึกว่าบรรยากาศมันตื่นเต้นมาก อยู่
ด้านหลังฉากบังลม แอบมีอะไรกับม่ายสาวแสน
สวย ถึงแม้จะไม่ได้มีอะไรกับนางทางร่างกายจริง
แต่ว่าบรรยากาศแบบนี้มันยิ่งทาให้เขามีอารมณ์
มากขึ้น หลายสิ่งหลายอย่าง เมื่อจะได้แต่ก็
เหมือนไม่ได้ มันยิ่งทาให้คนมีอารมณ์อยากมาก
ขึ้น อีกทั้งยังเป็นร่างกายอันสุดแสนจะเย้ายวนใจ
แบบนี้ บวกกับท่าทางตามจังหวะมือของเถียนฮู
หยิน ทาให้เขาออกแรงบีบหน้าอกของเถียนฮู
หยินมากขึ้นไปอีก เถียนฮูหยินร้อง “โอ้ย” นาง
พูดว่า “โหวเยว่ ข้า...ข้าเจ็บ ท่านทาข้าเจ็บ ท่าน
เบาหน่อยได้ไหม”
ฉีหนิงรีบผ่อนมือ แล้วพูดว่า “ข้าจะทาเบาๆ ขอ
โทษนะ” เขาแอบคิดในใจว่าหน้าอกของผู้หญิง
คนนี้ไม่เพียงอวบอิ่ม อีกทั้งยังนุ่มมากด้วยใช้แรง
นิดเดียวก็เจ็บแล้ว ในเวลานี้เขารู้สึกเหมือนจะ
เสร็จแล้วยังไงอย่างนั้น แต่ว่าก็ไม่อยากให้เสร็จ
เร็ว เขาถามว่า “ฮูหยิน...ฮูหยินตอนที่อยู่คนเดียว
ไม่มี...ไม่มีความอยาก...”
เถียนฮูหยินฉลาดมาก ทาไมจะไม่รู้ว่าฉีหนิง
หมายความว่ายังไง ไม่รอเขาพูดจบ นางก็รีบพูด
ว่า “ไม่มี ข้า...ข้าไม่มี...” แอบคิดในใจว่า ข้า
รักษาเนื้อรักษาตัวมานานหลายปี แม้แต่ท่านข้าก็
ไม่ได้รับปาก แล้วจะให้ผู้ชายคนอื่นมาล่วงเกินได้
ยังไงกัน
“ไม่ใช่...” ฉีหนิงอยากจะได้นางมากใน
บรรยากาศแบบนี้ เขาถามว่า “ข้าหมายถึงว่า
ตอนที่เจ้าอยู่คนเดียวเหงาๆ เคย...เคยหาวิธี
จัดการกับตัวเองบ้างไหม?”
เถียนฮูหยินได้ยินคาถามแบบนี้ หูกับหน้าของนาง
ก็แดง นางเขินมาก นางพูดว่า “โหวเยว่อย่าพูด
อีกเลย...อย่าพูดอะไรแบบนี้เลยนะ...”
“ฮูหยิน ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าแค่...แค่อยากจะให้มัน
เสร็จเร็วๆ เท่านั้น” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าได้ยินเจ้าพูด
เรื่องแบบนี้ มัน...มันจะเสร็จได้เร็วหน่อย เมื่อกี้
เจ้าเองก็พูดอยู่ว่า นอกจาก...นอกจากทาเรื่อง
อย่างว่า เรื่องอื่นเจ้ารับปากข้าได้หมด...”
เถียนฮูหยินหน้าแดงจนรู้สึกร้อน นางลังเล
สุดท้ายถึงได้พูดว่า “มีบางครั้ง...มีบางครั้งก็มี...”
ตอนนี้ไม่เพียงแค่มือของนางที่ร้อน ทั่วทั้งตัวของ
นางมีเหงื่อไหลออกมามากมาย กลิ่นกายที่โชยมา
ทาให้คนรู้สึกหลง
ฉีหนิงพอได้ยินคาตอบ ในหัวของเขาก็มีภาพม่าย
สาวคนนี้กาลังนอนอยู่ในอ้อมอกของเขา และเขา
กาลังได้ร่วมรักกับนาง ในเวลานี้เป็นจังหวะเดียว
กับที่เถียนฮูหยินเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น ในหัวของฉี
หนิงกาลังจินตนาการภาพระหว่างเขากับนางอยู่
ทาให้เขากลั้นไม่ไว้ เสร็จกิจจนได้
เถียนฮูหยินร้อง “ว้าย” ออกมา นางดีใจมาก อีก
ทั้งยังรู้สึกอ่อนเพลีย เหมือนนางได้หลุดพ้นแล้ว
นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็รีบลุกขึ้น แล้ว
หยิบผ้าเช็ดหน้ามา แล้วไปเอาน้าชาร้อนเทใส่
จากนั้นก็เดินมายื่นให้กับฉีหนิง นางไม่กล้ามอง
ก้มหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่าน...ท่านเช็ดก่อน
นะ...”
ฉีหนิงรู้สึกหงุดหงิดมาก แอบคิดในใจว่าเขาน่าจะ
ทนได้นานกว่านี้สักหน่อย เพียงแต่นางยั่วยวน
มาก แต่กลับเสร็จง่ายๆ แบบนี้ เขาพูดว่า “ข้ายัง
ไม่มีแรงเลย รบกวน...รบกวนฮูหยินช่วยอีกหน่อย
เถอะ”
เถียนฮูหยินคิดในใจว่า ในเมื่อเสร็จแล้ว พิษก็ถอน
ไปแล้ว ยังจะให้ข้าไปจับอีก แต่ในเมื่อช่วยแล้วก็
ต้องช่วยให้ถึงที่สุด นางเลยคุกเข่าลง แล้วก็ช่วย
เขาเช็ด ฉีหนิงก้มมองหน้าอก เขายื่นมือออกไป
อีกครั้ง เถียนฮูหยินยกมือไปขวางเขาไว้ แล้วพูด
ว่า “โหวเยว่ ตอนนี้...ตอนนี้ไม่ได้แล้ว......”
ฉีหนิงรู้ดีว่าคิดอยากจะแตะต้องนางอีกคงไม่ง่าย
แล้ว เขาเก็บมือกลับมา แล้วถามว่า “ฮูหยินจะ
โกรธข้าไหม?”
“ไม่...ไม่เลย” ฮูหยินพูดว่า “ข้าไม่ได้โทษท่านเลย
วันนี้...วันนี้ข้าเป็นคนผิดเอง ไม่ใช่เพราะโหวเยว่
เลย...”
ฉีหนิงมองไปที่หน้าของฮูหยิน เขายื่นมือไปจับ
คางของฮูหยินขึ้นมา เถียนฮูหยินรู้สึกหวั่นไหว แต่
ก็ไม่ได้หลบ นางพูดว่า “โหวเยว่ เรา...เราถอนพิษ
ได้แล้ว จะ...” นางเห็นฉีหนิงอ่อนโยน กลับพูด
อะไรไม่ออก
ฉีหนิงเห็นหน้าตาของนางงดงาม ก็อดไม่ได้ที่เข้า
ไปใกล้ๆ คิดอยากจะจูบนาง เถียนฮูหยินหลบ
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ไม่ได้...เรา...” ยังไม่ทันพูด
จบ ฉีหนิงก็ใช้มืออีกข้างโอบไปที่หลังคอของนาง
จากนั้นก็บรรจงจูบปากนาง
เถียนฮูหยินพยายามดิ้นอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานก็
หยุดลง แล้วปล่อยให้ฉีหนิงได้จูบนาง เมื่อฉีหนิง
จูบจนพอใจแล้ว ผมเผ้าของเถียนฮูหยินก็ยุ่งเหยิง
นางรีบลุกขึ้นมา นางเขินมาก แล้วก็ไม่ได้สนใจฉี
หนิงอีก นางหันหลังให้เขาแล้ววิ่งออกจากฉากบัง
ลมไป แต่ก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ นางหันกลับ
มาแล้วเข้าไปหยิบเสื้อผ้าของนางมา แล้วก็เดิน
ออกจากฉากบังลมมา
ฉีหนิงรู้สึกว่าตอนนี้เขาสบายตัวมา มีฉากบังลม
กั้นอยู่ เขาเห็นเถียนฮูหยินกาลังใส่เสื้อผ้าอยู่
รูปร่างของนางดีมาก เขาอดคิดไม่ได้ว่า “ของดี
แบบนี้ อยู่ใกล้แค่เอื้อม วันนี้ไม่ได้มา วันหลังหาก
มีโอกาส เขาจะไม่มีทางปล่อยไปอีกแน่ ต่อให้ไม่มี
โอกาส เขาก็จะสร้างมันขึ้นมาเอง”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 555 โรคประหลาด
ฉีหนิงแต่งตัวอยู่ด้านหลังฉากบังลมจนเสร็จ แล้ว
จึงออกมา พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ถึงแม้
เขาจะไม่ได้เรียกว่ามีอะไรกันเต็มตัว แต่ว่าเถียนฮู
หยินก็ได้ทาให้เขาจดจา อีกทั้งยังเขินอีกด้วย เมื่อ
เห็นเถียนฮูหยินแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว นั่งรอเขาอยู่
ที่โต๊ะอาหาร เขามองแผ่นหลังของนาง รูปร่าง
ของนางดีมาก เขาค่อยๆเดินไปที่โต๊ะ หลังจากนั่ง
ลงแล้ว เขาก็มองไปที่เถียนฮูหยิน เห็นเถียนฮูหยิน
หน้าแดงมาก แต่ว่าท่าทีของนางเริ่มดีขึ้นมาก แต่
ก็ยังมีความเขินอยู่ เขาพูดว่า “ฮูหยิน เมื่อครู่...”
“หะ?” เถียนฮูหยินเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของ
นางมีรอยยิ้ม “โหวเยว่ดื่มเหล้าไม่เก่ง เมื่อกี้เมาไป
นิดหน่อย” นางเอาเหล้าร้อยบุปผาออกไปแล้ว
นางยิ้มแล้วพูดว่า “เหล้านี่แรงเกินไป หลังจากนี้
คงไม่ดื่มเหล้านี้แล้ว ที่คลังเหล้าของเรายังมีเหล้า
ดีๆอีกมาก ข้าจะเอามาให้”
นางยังไม่ทันได้ลุกขึ้น ฉีหนิงก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ไม่ต้องแล้ว ข้าคิดว่าข้าดื่มมากไปแล้ว ไม่ดื่มแล้ว
ดีกว่า” เขาแอบคิดในใจว่าฮูหยินนี่ร้ายกาจจริงๆ
เมื่อสักครู่ยังมีท่าทางเย้ายวนใจอยู่เลย พริบตา
เดียวก็เปลี่ยนไปเหมือนคนละคน เหมือนว่าเมื่อ
ครู่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย ท่ามกลางแสงไฟฉีหนิง
ยังรู้สึกว่านางนั้นงดงาม น่าหลงใหล พอคิดว่าม่าย
สาวคนนี้ช่วยเขาทาจนเสร็จ เขาแทบจะไม่อยาก
เชื่อเหลือเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
เถียนฮูหยินเหมือนอยากจะให้หลุดพ้นความเขิน
อายจากเรื่องเมื่อครู่ นางยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่
ท่านลองกินอาหารสักหน่อย ท่านมีเรื่องที่ต้องทา
อีกมาก คงมาที่นี่ไม่ได้บ่อยนัก”
ฉีหนิงหยิบตะเกียบขึ้นมา โดยมีม่ายสาวอยู่ข้างๆ
เขารู้สึกว่าการมีนางอยู่มันถือว่าดีที่สุดแล้ว เมื่อ
เทียบกับม่ายสาวแสนสวยคนนี้ อาหารบนโต๊ะ
แทบจะไม่มีรสชาติเลย เขาฝืนกินไปได้ไม่กี่คา ถึง
แม้เถียนฮูหยินจะเบี่ยงประเด็นเป็นเรื่องอื่นไป
แล้ว แต่เรื่องเพิง่ จะเกิดขึ้นเมื่อกี้จะทาเหมือนว่า
ไม่มีอะไรเลยมันก็ไม่ได้ เถียนฮูหยินยังคงมีความ
หน้าแดงอยู่ ฉีหนิงเองก็เขินเหมือนกัน เขา
กระแอมไอ แล้วถามว่า “ร้านยาตระกูลเถียน
ของฮูหยินทาการค้าได้ไม่เลวแล้วนะ ตอนนี้ได้ทา
การค้ากับสานักหมอหลวงแล้ว ตามหลักแล้วก็
ไม่ได้ต้องกังวลเรื่องรายรับรายจ่ายอีก แล้วทาไม
ยังต้องไปลาบาก เปิดโรงผลิตยาอีกล่ะ?”
เถียนฮูหยินถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่ได้
โลภหรอก เพียงแต่...เพียงแต่หากข้ามีเงินเก็บ
ก้อนใหญ่สักก้อนก็จะดีกว่า”
“ฮูหยินขาดแคลนเงินหรอ?” ฉีหนิงถามด้วย
ความสงสัย แอบคิดในใจว่าร้านยาตระกูลเถียน
การค้าก็ดี เถียนฮูหยินถึงแม้จะไม่ได้คนใจป้า แต่
ว่าการใช้ชีวิตทั่วไปก็ไม่น่าจะถึงขั้นเงินขาดมือ
เถียนฮูหยินส่ายหน้า ลังเลไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเอง
ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ นางลุกขึ้นมา แล้วเดินไปเปิด
ประตูหน้าต่าง แต่ก็ไม่ได้เปิดหมด ฉีหนิงมองไป
แอบคิดในใจว่านางไม่ใช่หญิงสาวไม่รู้ความ ทา
อะไรรอบคอบมาก หากไม่ยอมเปิดหน้าต่างเลย
มีใครมาเห็นเข้า ชายหญิงอยู่ในห้องตามลาพัง
อาจจะถูกสงสัยได้ แต่ว่าหากเปิดหมด มันก็จะน่า
สงสัยเหมือนกัน
ด้านนอกประตูเหมือนมีลมพัดโชยมา เถียนฮูหยิน
สูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็หันกลับมา แล้วเดิน
ไปนั่ง แล้วพูดว่า “สามีของข้าที่ตายไปมีพี่น้องอยู่
แค่คนเดียว แต่ว่าหลังจากที่เกิดมาได้ไม่นานเขาก็
ตายไป ทาให้สามีที่ตายไปเป็นสายเลือดเพียงคน
เดียวที่เหลืออยู่ แล้วเขาก็ไม่ได้มีพี่น้องคนอื่นอีก
หลังจากที่ข้าแต่งงานเข้ามาในตระกูลเถียน สามี
ของข้ารักและเอ็นดูข้ามาก แต่ว่าเขาเป็นพ่อค้า
ต้องออกเดินทางอยู่ข้างนอกบ่อยๆ หนึ่งปี เขาไม่
อยู่บ้านเกือบครึ่งปี เราอยู่ด้วยกันน้อยมาก...”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเถียนฮูหยินเป็นผู้หญิงที่ดีมาก
รักษาเนื้อรักษาตัวดี ตามหลักแล้ว สามีภรรยาที่
ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน ผู้หญิงหลายคนมักจะทน
เหงาไม่ไหว เถียนฮูหยินกลับทนได้ อีกทั้งหลังจาก
ที่สามีของนางตายไป ก็ยังรักษาเนื้อรักษาตัวไว้
อย่างดี คืนนี้หากเปลี่ยนเป็นม่ายสาวคนอื่น เกรง
ว่าคงมีอะไรกับเขาไปแล้ว ในนาทีสุดท้ายแล้ว
เถียนฮูหยินก็ยังอดทนเอาไว้ได้
“ข้ากับเขามีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อว่าฟูเอ่อร์
หลังจากที่เขาประสบเคราะห์ร้าย ข้ากับฟูเอ่อร์ก็
เหมือนเป็นชีวิตของกันและกันไป” เถียนฮูหยิ
นยิ้ม “ก่อนหน้าที่สามีข้าจะตาย ญาติมิตรสหาย
หลายคนก็มาเข้าหามากมาย สามีข้าเองก็ยินดี
เป็นมิตรด้วย หลังจากที่เกิดเรื่อง คนพวกนั้นก็
หายไปหมด จากนั้นก็ตัดขาดการติดต่อจากเราไป
เลย”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “จนอยู่ข้างถนนไม่มี
คนถามไถ่ รวยหลบอยู่บนเขาก็มีคนตามหาจน
เจอ เป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยๆ”
“ตระกูลเถียนของเรากลายเป็นตระกูลที่โดดเดี่ยว
นับแต่นั้น ยังดีที่สามีข้ามีลูกน้องฝีมือดีหลายคน
พวกเขาดีมาก ยอมที่จะอยู่ช่วยต่อ” เถียนฮูหยิน
รู้สึกเศร้าใจแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ได้พวกเขาคอย
ช่วยเหลือ ฝ่าฝันความลาบาก จนเมื่อสองปีที่ผ่าน
มาถึงจะค่อยๆ เริ่มดีขึ้น ข้ารู้ดีว่า ในเวลาที่เรา
ทุกข์ยาก มีไม่กี่คนหรอกที่จะยอมช่วยเหลือ ทุก
อย่างต้องพึ่งตัวเอง ข้ากังวลว่าหากข้าแก่ตัวไป ฟู
เอ่อร์จะไม่มีใครคอยช่วยดูแล.......”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ทาไมฮูหยินถึงชอบพูดแบบ
นี้? เจ้าหน้าตาสวย ยังดูอายุน้อยอยู่เลย พูดคาว่า
แก่ไม่ได้เลย”
เถียนฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ก็ชอบล้อเล่น
จริง ต่อให้ตอนนี้ไม่แก่ แต่ผ่านไปอีกสักยี่สิบ
สามสิบปี ก็ต้องมีวันที่แก่จริงๆ”
“เจ้าพยายามเก็บเงิน ก็เพราะลูกอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงเหมือนจะเข้าใจความคิดของเถียนฮูหยิน
เขาพูดว่า “ลูกหลานจะนาพาบุญวาสนามาให้ รอ
นางแต่งงานออกไปแล้ว ก็จะมีคนมาดูแลเอง”
เถียนฮูหยินท่าทางเศร้ามาก นางยิ้มเศร้าๆ แล้ว
พูดว่า “มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากข้าแก่ไปแล้ว
มีคนมาดูแลนางก็ดี หากว่า...หากว่าไม่มี ข้าก็จะ
เตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้นาง”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเถียนฮูหยินดูเหมือนจะรักลูก
เกินไป เขาพูดว่า “ฮูหยินเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว
เจ้าทางานเก่งมากขนาดนี้ มังกรมีลูกเป็นมังกร
หงส์ก็มีลูกเป็นหงส์ ไม่แน่ว่าต่อไปลูกสาวท่านก็จา
ทาการได้ดีก็ได้ หรืออาจจะเก่งกว่าฮูหยินก็ได้”
เถียนฮูหยินกลับยิ้มแห้ง ท่าทางของนางเศร้ามาก
ฉีหนิงสังเกตสีหน้าของนาง เหมือนว่าเรื่องนี้มันไม่
ง่ายอย่างที่คิด เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ฮูหยิน
เจ้ามีเรื่องอะไรลาบากใจหรือเปล่า?”
เถียนฮูหยินลังเล เห็นฉีหนิงท่าทางเป็นห่วง นาง
ถึงได้พูดว่า “เรียนโหวเยว่ตามตรง ฟูเอ่อร์นางมี
โรคประหลาดติดตัว อาการไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่
น้อย...ตั้งแต่นางอายุแปดขวบถึงตอนนี้ หาหมอ
เก่งๆมาตั้งหลายคนแล้ว แต่ก็ไม่มีทางรักษาเลย”
“โรคประหลาด?” ฉีหนิงอึ้งไป “ลูกสาวเจ้าตอนนี้
อายุเท่าไรแล้ว?”
“อีกสองสามเดือน ก็จะเต็มสิบสามแล้ว” เถียนฮู
หยินถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนางอายุแปด
ขวบ นางตากฝนมา หลังจากนั้นก็เป็นไข้ ตัวร้อน
ติดต่อกันหลายวัน อีกทั้ง...อีกทั้งยังมีอาการชัก
...” พูดถึงตอนนี้ ดวงตาของนางก็เริ่มแดง นางยื่น
มือไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดตา แต่ว่าเมื่อกี้นาง
ช่วยฉีหนิงถอนพิษ เอาผ้าไปช่วยเขาเช็ดตรงนั้น
แล้ว เมื่อกี้นางทิ้งผ้าไปแล้ว ฉีหนิงเห็นดังนั้น ก็
หยิบผ้าของเขาไปให้นาง เถียนฮูหยินรู้สึก
ขอบคุณมาก นางยื่นมือมารับ แล้วพูดว่า “ข้าหา
หมอมารักษาหลายคน อาการของนางก็เหมือน
จะดีขึ้น แต่พอผ่านไปสิบกว่าวัน ฟูเอ่อร์...ฟูเอ่อร์
ตาทั้งสองข้างของนางก็มองอะไรไม่ชัดอีกเลย
......”
ฉีหนิงตกใจมาก เขาหลุดพูดออกมาว่า “ตาบอด
หรอ?”
เถียนฮูหยินส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ก็ไม่ถือว่าตา
บอด แต่...แต่ว่าก็ไม่ต่างอะไรกับตาบอด ไม่ว่า
นางจะมองอะไร ก็จะมัวๆ แม้แต่ข้าอยู่ต่อหน้า
นาง นางก็เห็นแค่เงาของข้าเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่า
หน้าตาของข้าเป็นอย่างไร อีกทั้ง...อีกทั้งเว้นสัก
วันสองวัน นางก็จะเป็นไข้ตัวร้อน มีอาการชัก
ทั้งตัว เป็นแบบนี้สองสามวันถึงจะดีขึ้น...” น้าตา
ของนางไหลลงมา นางตาหนิตัวเองว่า “เพราะข้า
ดูแลนางไม่ดีเอง ต่อให้ข้าจะต้องเอาดวงตาของข้า
แลกให้นาง ข้าก็เต็มใจ”
ฉีหนิงฟังจนถึงตอนนี้ ก็รู้สึกนับถือนางมากขึ้น
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ทาไมปกติแล้วเถียนฮูหยิน
ถึงได้ขี้เหนียวมาก อีกทั้งยังเหมือนจะรักชอบเงิน
มากด้วย
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ทุกอย่างที่นางทาไปก็
เพราะเถียนฟู
เถียนฟูไม่มีพี่น้อง พ่อของนางก็ตายไปแล้ว ตอนนี้
มีแค่แม่คนเดียวที่เป็นเหมือนชีวิตของนาง อีก
ทั้งตัวเองก็เป็นโรคประหลาด สาหรับเถียนฮูหยิน
แล้ว เถียนฟูก็คือชีวิตของนาง เมื่อนางมีโรค
ประหลาดแบบนี้ การแต่งงานก็อาจเป็นปัญหา
ถึงแม้การค้าของตระกูลเถียนจะยิ่งใหญ่แค่ไหน
คนที่จะมาเพราะเงินมันก็มีมากกว่า การจะให้
เถียนฟูแต่งงานกับผู้ชายอาจเป็นเรื่องง่าย แต่ว่า
เถียนฮูหยินกลับไม่อยากให้นางแต่งงานออกไป
ง่ายๆแบบนี้
ฉีหนิงเข้าใจแล้วว่า ทาไมเถียนฮูหยินถึงได้จัดเวที
การประลองขึ้นมา เป้าหมายในการหาลูกเขยนั้น
ไม่ใช่เป้าหมายหลักอย่างเดียว นางอยากหาผู้ชาย
ที่สามารถปกป้องเถียนฟูได้ด้วย
ถึงแม้การค้าของเถียนฮูหยินจะดี แต่นางประหยัด
มาก ที่แท้นางก็อยากเก็บเงินไว้ให้กับเถียนฟู นาง
เป็นคนทาการค้า อาจจะเป็นไปได้ว่านางต้องการ
ให้รู้สึกปลอดภัยจากเงิน อยากจะเก็บไว้ให้เถียนฟู
ก็เพื่ออยากให้เถียนฟูมีชีวิตที่ดีต่อไป
พอเขาคิดว่าเถียนฮูหยินผู้หญิงตัวคนเดียว ทางาน
อย่างยากลาบาก ทาทุกอย่างก็เพราะลูกสาว ฉี
หนิงรู้สึกนับถือม่ายสาวคนนี้มากขึ้น เขารู้สึกว่า
เขาโชคดีมาก หากก่อนหน้านี้เขาใช้กาลังบังคับ
ขืนใจนาง แล้วมารู้เรื่องพวกนี้ทีหลัง เขาต้อง
เสียใจไปจนวันตายแน่
“ลูกสาวของเจ้า เป็นโรคประหลาดมาหลายปีไม่ดี
ขึ้นเลยหรือ เป็นเพราะใช้ยาไม่ถูกจุดหรือเปล่า?”
ฉีหนิงถาม
เถียนฮูหยินพูดว่า “โหวเยว่ ตระกูลเถียนของเรา
ทาการค้ายาสมุนไพร รู้จักหมอดีๆก็มากมาย
เรียนท่านตามตรง ตอนที่สามีข้ายังมีชีวิตอยู่ ยัง
ได้ใช้เส้นสาย เชิญหมอหลวงมาแอบตรวจอาการ
ของฟูเอ่อร์ หมอหลวงก็สั่งยามาให้ เราเองก็เสีย
เงินไปมากมาย แต่ว่าก็ไม่ดีขึ้นเลย แม้แต่หมอ
หลวงก็ไม่มีทางรักษา” นางถอนหายใจด้วยความ
เศร้า แล้วพูดว่า “ตระกูลเถียนก็ไม่รู้ไปทาเวรทา
กรรมอะไรไว้ ฟูเอ่อร์ก็เป็นโรคประหลาด สามีก็
มาตายไป...” พอพูดถึงตรงนี้ น้าตาของนางก็ไหล
ลงมา
ตอนนี้ฉหี นิงถึงได้รู้ว่าเถียนฮูหยินเองก็ไม่ง่ายเลย
เขารู้สึกเห็นใจมาก เขาคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูด
ขึ้นมาว่า “ลูกสาวของเจ้าตอนนี้อยู่ที่ไหน? พาข้า
ไปพบนางหน่อยได้ไหม?”
เถียนฮูหยินตะลึงไป แล้วพูดว่า “โหวเยว่ต้องการ
พบฟูเอ่อร์หรือ?”
“ฮูหยิน พูดตรง ๆ เลยนะ ข้าไม่รู้เรื่องการแพทย์
การรักษาอะไรหรอกนะ” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าอยาก
พบลูกสาวเจ้า ข้าแค่อยากจะดูอาการของนาง
หน่อย หลังจากที่กลับจวนไปแล้ว จะได้อธิบายให้
คนเข้าใจได้” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ใน
จวนของข้ามียอดฝีมือที่มาจากยุทธภพคนหนึ่ง
เชี่ยวชาญการแพทย์ ฮูหยินจาเรื่องพิษระบาดใน
เมืองหลวงได้ไหม หากไม่ได้ยอดฝีมือท่านนี้ เมือง
หลวงคงต้องลาบากแน่ คงตายไปมากกว่านี้”
เถียนฮูหยินตาโต น้าตาของนางยังไม่แห้ง นาง
ถามว่า “โหวเยว่ ท่านหมายความว่า......ท่าน
หมายความว่าท่านยอดฝีมือคนนั้นเป็นคนคิด
หาทางรักษาพิษระบาดอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ดังนั้นข้าเลย
อยากจะเจอลูกสาวของเจ้าสักหน่อย หากไม่มี
ปัญหาอะไร ข้าอาจจะให้ท่านนั้นมาช่วยตรวจ
อาการให้ลูกสาวของเจ้า อาจจะมีทางกลับมาเห็น
แสงสว่างอีกครั้งก็ได้”
เถียนฮูหยินเหมือนบ่อน้าที่มีหญ้าขึ้น ขอแค่มี
โอกาส นางก็มีความสุขมากแล้ว นางพูดว่า “ได้
โหวเยว่ ข้าจะพาท่านไปเดี๋ยวนี้เลย หากทาให้ฟู
เอ่อร์ดีขึ้นได้ ข้า...ข้าก็ตายตาหลับแล้ว”
“ห้ามพูดเหลวไหล” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วตาหนิ
นางไปว่า “เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะเกิด
อะไรขึ้น เจ้าก็ต้องอยู่ต่อไป”
เถียนฮูหยินรู้สึกอุ่นใจ นางพยักหน้า ลุกขึ้น
มาแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าจะพาท่านไป” พอคิด
ว่าโรคประหลาดของเถียนฟูที่กวนใจนางมานาน
หลายปีอาจจะมีทางรักษา นางก็รู้สึกดีใจมาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 556 ตักเตือน
เถียนฮูหยินพาฉีหนิงออกจากห้อง นางถือโคมไฟ
ที่แขวนเอาไว้นอกห้อง แล้วพาฉีหนิงเดินตามทาง
ไป เมื่อถึงนอกเรือนทางทิศตะวันตก รอบด้าน
เงียบมาก เมื่อเข้ามาด้านในเรือน ก็เห็นห้องภาย
ในเรือนยังมีไฟเปิดอยู่ เถียนฮูหยินพูดว่า “โหว
เยว่ ฟูเอ่อร์กลัวคนแปลกหน้ามาก หากนางทา
อะไรล่วงเกินไป ขอท่านอย่าได้ถือสา”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจ”
เถียนฮูหยินยิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ผลักประตู
เขาเอาโคมไฟวางไว้ข้างๆ ฉีหนิงเดินตามนางเข้า
ไปในเรือน พวกเขาเห็นว่ามีสาวใช้อายุประมาณ
สิบแปดปีกาลังนั่งฟุบหลับอยู่ เมื่อทั้งสองคนเดิน
เข้ามา สาวใช้ก็ยังไม่รู้ตัว เถียนฮูหยินขมวดคิ้ว
สายตาของนางเหมือนไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่ได้ทา
ให้นางตกใจตื่น นางเดินเข้าไปเคาะประตูห้อง
แล้วพูดด้วยความอ่อนโยนว่า “ฟูเอ่อร์ แม่เองนะ
เจ้านอนหรือยัง?”
ไม่มีเสียงตอบรับจากภายในห้อง เถียนฮูหยินก็
เลยพูดว่า “แม่เข้าไปแล้วนะ” นางค่อยๆ เปิด
ประตูเข้าไป จากนั้นก็หันมา กวักมือเรียกฉีหนิง
ฉีหนิงเดินตามเถียนฮูหยินเข้าไปในห้อง ภายใน
ห้องเงียบมาก ท่ามกลางแสงไฟ ห้องตกแต่งเรียบ
ง่าย นอกจากเตียงที่สะอาดแล้ว ก็มีโต๊ะเครื่อง
แป้ง ตรงกลางห้องมีโต๊ะกลม ฉีหนิงเห็นว่า ตรง
ริมหน้าต่างห้องมีผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อสีเขียวนั่ง
อยู่ที่ริมหน้าต่าง หน้าต่างเปิดออกข้างหนึ่ง ลม
เย็นพัดโชยมา หญิงคนนั้นนั่งเอาหลังพิงข้างหนึ่ง
นั่งอยู่เฉยๆ อย่างนั้น เหมือนตุ๊กตาไม้เลย
เถียนฮูหยินกับฉีหนิงมองหน้ากัน ในสายตาของ
เถียนฮูหยิน ฉีหนิงเห็นความเสียใจในนั้น เขายิ้ม
เพื่อให้กาลังใจนาง เถียนฮูหยินเห็นฉีหนิงยิ้มให้ ก็
รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น นางเองก็ยิ้มเหมือนกัน จากนั้น
ก็ค่อยๆ เดินเข้าไปข้างๆ สาวน้อยคนนั้น นางพูด
ด้วยความอ่อนโยนว่า “ฟูเอ่อร์ แม่บอกแล้วใช่
ไหม นั่งริมหน้าต่างลมมันแรงจะไม่สบายได้ ทาไม
เจ้าถึงไม่ยอมเชื่อแม่?”
สาวน้อยคนนั้นกลับไม่ขยับ เหมือนนั่งเหม่ออยู่
อย่างนั้น ไม่พูดอะไรเลย
เถียนฮูหยินยกมือขึ้นมา เหมือนจะลูบไปที่หัวของ
นาง แต่พอเข้าใกล้ นางก็ชะงัก แล้วก็ตบไปไหล่
ของสาวน้อยคนนั้นแทน สาวน้อยคนนั้นพูดอย่าง
เย็นชาใส่นางว่า “เอามือออกไป”
ฉีหนิงได้ยินเถียนฟูพูดด้วยน้าเสียงเย็นชาใส่
เหมือนไม่ได้คุยกับแม่เลย เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
เถียนฮูหยินมองไปที่ฉีหนิง เหมือนนางจะเขินๆ
แต่ก็ยังยอมเอามือออกมา นางพูดว่า “เย็นนี้เจ้า
กินอะไรไปแล้วบ้าง?”
เถียนฟูกลับพูดเรียบๆ ว่า “อีกคนใคร?”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้น ก็คิดในใจว่าเถียนฟูน่าจะได้ยิน
เสียงฝีเท้าของเขา ตอนที่เขาเข้ามา เขาตั้งใจเดิน
ให้เบาที่สุดแล้ว คิดไม่ถึงว่าแม่นางคนนี้กลับมีหูที่
ดีมากแบบนี้ เขารู้ว่าในเวลานี้ก็ไม่จาเป็นต้องหลบ
แล้ว เขาเดินหน้าขึ้นมาสองก้าว แล้วพูดว่า
“สวัสดี แม่นางเถียน ข้ามาเพื่อเยี่ยมเจ้า”
“ออกไป...” เถียนฟูกลับเหมือนคนเป็นบ้า นาง
พูดว่า “ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามาที่ห้องข้า ออกไป
ห้ามเข้ามาที่ห้องข้า...”
ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าเถียนฟูจะมีปฏิกิริยารุนแรง
แบบนี้ เถียนฮูหยินรีบพูดว่า “ฟูเอ่อร์ นี่แม่เองนะ
...แม่หาหมอมารักษาเจ้า เจ้าให้เขาตรวจเจ้า
หน่อยเถอะนะ...” เห็นเถียนฟูตัวสั่นไปทั้งตัว นาง
ก็รีบยื่นมือไปพยุงนาง เถียนฟูยกมือขึ้น แล้วผลัก
ไปที่หน้าอกของเถียนฮูหยิน นางอายุไม่มาก แต่
แรงของนางมีมาก เถียนฮูหยินถึงกับถอยหลังมา
สองก้าว เกือบล้มเลย ยังดีที่ฉีหนิงไว รีบเดิน
ขึ้นมารับตัวนางไว้ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เถียน
ฟู เจ้าทากับแม่ของเจ้าแบบนี้ได้อย่างไรกัน?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” เถียนฟูลุกขึ้น
มา หันหน้ากลับมา ฉีหนิงเห็นนางชัดแล้ว เถียนฟู
เพิ่งจะอายุสิบสองสิบสามปีเท่านั้น หน้าตาถือว่า
น่ารักแล้วก็สวยด้วย หน้าตาคล้ายกับเถียนฮูหยิน
มาก แต่ว่าดวงตาของนางปิดอยู่ รอบดวงตาของ
นางเป็นสีดา เหมือนเป็นปาน ถึงแม้ผิวของนางจะ
ขาว แต่ก็ไม่ได้ขาวเท่ากับเถียนฮูหยิน แต่มันเป็น
อาการขาวแบบขาดเลือด ส่วนรอยคล้ารอบ
ดวงตานั้นก็ชัดมาก เดิมเป็นสาวน้อยหน้าตาน่ารัก
มาก แต่ว่าดูโดยรวมแล้วกลับดูน่าเกลียดไป
ตอนนีฉ้ ีหนิงถึงได้เข้าใจแล้วว่า ทาไมเถียนฮูหยิน
ถึงได้เป็นห่วงลูกสาวคนนี้ของนางมาก
หากเป็นสภาพอย่างตอนนี้ คงไม่มีผู้ชายคนไหน
สนใจแน่ ต่อให้แต่งงานกับนางไปแล้ว ก็น่าจะ
เพื่อทรัพย์สินของตระกูลเถียนเท่านั้น เถียนฮู
หยินจัดเวทีการประลองขึ้น นางคิดถี่ถ้วนแล้ว ไม่
แปลกใจเลย ที่หลังจากที่เขาชนะการประลองคน
ของตระกูลเถียน พยายามจะรั้งตัวเขาเอาไว้
เถียนฮูหยินรู้ดีแก่ใจ รู้ว่าดวงตาของเถียนฟูไม่ดี
หน้าตาเป็นแบบนี้ คิดว่าอาจจะหาสามีไม่ได้แน่
หากเถียนฟูไม่มีรอยคล้ารอบตา หน้าตาของนาง
จะงดงามไม่ต่างจากแม่นางเลย แต่ว่าสภาพของ
นางตอนนี้ ความสวยของเถียนฟูเทียบแม่นาง
ไม่ได้เลย
เถียนฟูค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ฉีหนิงเห็นว่านัยน์ตา
ของนางเหมือนจะขุ่นมัว
“ไล่เขาออกไป...” หลังจากที่เถียนฟูถอยหลังไป
สองก้าว นางก็ยกมือชี้หน้าฉีหนิง “ข้าไม่อยาก
เจอคนแบบนี้ เขาไม่ใช่หมอ ท่านหลอกข้า”
ถึงแม้เถียนฟูจะมองเห็นไม่ชัด แต่ก็ไม่ได้บอดสนิท
นางยังพอเห็นรูปร่างของฉีหนิงอยู่บ้าง
เถียนฮูหยินรีบพูดว่า “ฟูเอ่อร์ เขา...เขาเป็นหมอ
มาดูอาการให้เจ้านะ เจ้า...”
“ท่านหลอกข้ามาตลอด” เถียนฟูพูดด้วยน้าเสียง
เย็นชามาก “เสียงของเขายังเป็นหนุ่มอยู่เลย ไม่มี
ทางเป็นหมอได้ ท่านรังแกคนตาบอดอย่างข้า คิด
ว่าข้าเป็นคนโง่ที่ยอมให้หลอกง่ายๆ หากท่านพ่อ
ยังอยู่ ท่านคงไม่กล้าแบบนี้ใช่ไหม?”
เถียนฮูหยินดวงตาแดงก่า แล้วพูดว่า “ฟูเอ่อร์
เขา...เขาเป็นคนดี ไม่ได้คิดร้าย มีหมอเทวดาที่
รักษาเจ้าได้จริงๆ นะ...”
เถียนฟูยกมือขึ้นมาปิดหู แล้วพูดว่า “ท่านบอกข้า
ทุกปีว่ามีหมอเก่งๆ รักษาข้าได้ แต่ว่ามีใครบ้างที่
รักษาตาของข้าให้หายได้บ้าง? ท่านต้องการเยาะ
เย้ยข้า ให้คนอื่นเห็นว่าข้าน่าเกลียดแค่ไหน ท่าน
ไม่ได้หวังดีกับข้า สภาพ...สภาพข้าเป็นแบบนี้
พวกท่านพอใจหรือยัง? ออกไป ออกไปให้หมด”
เถียนฮูหยินร้องไห้หนักมาก น้าเสียงของนาง
สะอื้น “ฟูเอ่อร์ เจ้าใจเย็นๆก่อนนะ ไม่มีใครเยาะ
เย้ยเจ้าหรอก แม่อยากรักษาเจ้าให้หาย แม่
พยายามหาหมอมารักษาเจ้าอยู่ตลอดเลย...”
“หาหมอ?” เถียนฟูพูดว่า “ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือ
ท่านพ่อไม่อยู่แล้ว ใครก็คุมท่านไม่ได้อีก ท่านจะมี
อะไรกับใครก็ไม่มีใครรู้ ข้า...”
“หุบปากนะ” เถียนฮูหยินสีหน้าเปลี่ยนไป นาง
ตะคอกใส่นางว่า “ฟูเอ่อร์ เจ้าพูดเหลวไหล
อะไร?”
“หากข้าพูดเหลวไหล ทาไมท่านถึงไม่ให้ข้าพูดต่อ
ล่ะ?” เถียนฟูพูดว่า “ท่านกลัวอะไร? ท่านพ่อของ
ข้าทิ้งเงินไว้ตั้งมากมาย ทาไมท่านต้องออกไปทา
การค้าอีก? ท่านคิดจะทาอะไร ทาไมข้าจะไม่รู้?”
ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางอายุสิบสองสิบสามปี
คนนี้จะนิสัยแบบนี้ นี่พูดกับแม่แท้ๆของนางนะ
เขาพูดเสียงดุว่า “คุณหนูเถียน เจ้าน่าเกรงขาม
มากเลยนะ ข้าเจอคนมาก็มาก แต่ไม่มีใครน่าเกรง
ขามเหมือนเจ้าเลย”
เถียนฟูตอบกลับมาว่า “เจ้า...เจ้าพูดอะไร?”
“แม่ของเจ้าลาบากเหนื่อยยากแค่ไหนเพราะเจ้า
ทาไมเจ้าถึงไม่คิดตอบแทนนาง แต่ยังพูดจาดูถูก
เหยียดหยามแม่ของเจ้าต่อหน้าคนอื่นแบบข้า
อย่างนี้ ไม่ดูน่าเกรงขามหรือไง?” ฉีหนิงเดินไปนั่ง
ลงที่เก้าอี้เลย แล้วพูดว่า “อุ้มท้องสิบเดือน คลอด
เจ้าออกมา เลี้ยงดูเจ้าจนโตอย่างยากลาบาก
หลังจากที่เจ้าล้มป่วย นางทาเพื่อเจ้าตั้งเท่าไร
ทาไมเจ้าไม่คิดบ้าง นางคิดอยากจะจัดการทุก
อย่างให้เจ้า ต้องยอมถูกเอาเปรียบถูกรังแกตั้ง
เท่าไหร่จากคนภายนอกนางไม่เคยบ่น แต่นางยัง
ต้องมารองรับอารมณ์รองรับการดูถูกจากเจ้าอีก
เจ้านี่ร้ายกาจจริงๆเลยนะ”
เถียนฮูหยินเอาแต่ร้องไห้นางไม่พูดอะไรเลย ตัว
ของนางสั่น
เถียนฟูพูดเสียงแหลมขึ้นมาว่า “เจ้าออกหน้าช่วย
พูดอย่างนั้นหรือ? ใช่ซิ เจ้า...เจ้าก็ต้องช่วยพูดอยู่
แล้ว เจ้ากับนางเป็นพวกเดียวกัน เจ้ารู้เรื่องของ
ตระกูลเถียนดีขนาดนี้ นางเล่าให้เจ้าฟังสินะ?”
จากนั้นนางก็หัวเราะแบบประชดประชัน
“ฟูเอ่อร์ ห้ามพูดจาเหลวไหล” เถียนฮูหยินได้ยิน
เถียนฟูยิ่งพูดยิ่งเรื่อยเปื่อย ถึงแม้ก่อนที่จะเข้ามา
นางได้เตือนฉีหนิงไปบ้างแล้ว แต่ว่าเถียนฟูพูดจา
แบบนี้ มันทาให้เถียนฮูหยินรู้สึกกังวล นางต่อว่า
ไปว่า “ท่านโหวน้อยเป็นคนดี ช่วยตระกูลเถียน
ของเราตลอด เจ้าห้ามเสียมารยาทนะ”
“โหวน้อย?” เถียนฟูตะลึงไป จากนั้นก็พูดว่า “ที่
แท้ท่านก็ไปยุ่งกับพวกขุนนางนี่เอง หากท่านพ่อรู้
เข้า คิดว่าน่าจะโมโหจนฟื้นขึ้นมาจากโลงแน่”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เถียนฟูปฏิกิริยาแบบนี้ มันเหนือ
ความคาดหมายของฉีหนิงมาก แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่จะ
ไม่เข้าใจ
แม่นางน้อยคนนี้เริ่มตาบอดตอนอายุแปดขวบ
หรืออาจจะพบว่า หน้าตาของนางเริ่มเปลี่ยนไป
ตอนก่อนตาจะบอด หลายปีผ่านไป ไม่เพียง
อาการของตาจะรักษาไม่หาย แม้แต่พ่อของนางก็
ประสบเหตุร้ายตายไป เรื่องนี้สาหรับเถียนฟูแล้ว
มันเหมือนถูกภูเขาหิมะถล่มมาทับ นิสัยก็เลยมอง
โลกในแง่ลบไป เรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้
ในเวลานี้เขายิ่งเห็นใจเถียนฮูหยินเข้าไปใหญ่ เข้า
ใจความลาบากของนาง
“ท่านพ่อของเจ้าจากไปแล้ว เขาต้องปกป้องเจ้า
อยู่แล้ว แต่ว่าการกินการอยู่ของเจ้า แม่ของเจ้า
เป็นคนหามาให้ทั้งนั้น” ฉีหนิงพูดอย่างเย็นชาว่า
“แล้วเจ้ามีสิทธิอะไรในการต่อว่าแม่เจ้า? ไม่มีนาง
เจ้าจะมีชีวิตสุขสบายแบบนี้ได้หรือ?”
“ข้าเองก็ไม่อยากอยู่แล้ว” เถียนฟูพดู ว่า “พวก
เจ้าฆ่าข้าเลยสิ”
“ฆ่าเจ้า?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “คนอย่างเจ้าที่ไม่
เข้าใจอะไรเลยแบบนี้ นอกจากแม่เจ้าแล้ว ไม่มี
ใครเขาสนใจหรอกว่าเจ้าจะเป็นจะตาย แล้วจะ
ฆ่าเจ้าไปเพื่ออะไร? หากเจ้าอยากตาย ลงมือเอง
เลยสิ”
เถียนฮูหยินสีหน้าเปลี่ยนไป คิดไม่ถึงเลยว่าฉีหนิง
จะพูดแบบนี้ นางรีบพูดว่า “โหวเยว่...”
“เจ้าไม่ต้องพูด” ฉีหนิงเสียงนิ่งมาก “ในเมื่อนาง
อยากตาย เจ้าก็ให้นางตายเถอะ ในโลกใบนี้ มีคน
ตายอยู่ทุกวัน” เขามองจ้องไปที่เถียนฟู แล้วพูด
ว่า “เจ้าอยากตายอย่างไร แขวนคอ? โดดน้า?
หรือว่ากินยาพิษ?”
เถียนฟูอ้าปากค้าง นางพูดอะไรไม่ออกเลย
“ข้าไม่กลัวเลยที่เจ้าอยากจะตาย ข้าแค่ห่วงว่า
หลังจากที่เจ้าตายไปแล้ว ไปเจอหน้าพ่อของเจ้า
แล้วเจ้าจะบอกพ่อเจ้าอย่างไร” ฉีหนิงพูดอ่อนลง
ว่า “พ่อของเจ้าประสบเคราะห์ร้ายจนตาย ข้าคิด
ว่าเขามีสองเรื่องที่ยังเป็นห่วงอยู่ เรื่องแรกก็เป็น
เจ้ากับแม่เจ้า เขาจากไปแล้ว เขาหวังว่าพวกเจ้า
แม่ลูกจะเป็นชีวิตของกันและกัน มีชีวิตอยู่ต่อไป
อย่างมีความสุข ส่วนเรื่องที่สอง ฆ่าฆาตรกรที่ฆ่า
พ่อของเจ้า จนวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าฆาตกรเป็นใคร
พูดได้เลยว่าพ่อของเจ้าตายตาไม่หลับแน่” เขาลุก
ขึ้นยืน เดินเอามือไขว้หลังแล้วมองไปที่เถียนฟู
“เขามีเจ้าเป็นลูกสาวคนเดียว เจ้าเองก็เป็น
ทายาทคนเดียวของเขา เจ้าเพิ่งจะอายุสิบสาม
เพิ่งจะเริ่มต้นการใช้ชีวิต ยังมีชีวิตที่เหลืออีก
ยาวนาน ในเมื่อเจ้าเป็นทายาทของเขา เจ้าก็มี
หน้าที่ในการดูแลแม่ของเจ้าให้ดี แล้วก็มีหน้าที่ใน
การสืบหาตัวคนร้ายที่ฆ่าพ่อเจ้า”
เถียนฟูตะลึงไป นางขมวดคิ้วแน่น ฉีหนิงพูดต่อว่า
“ข้ารู้ว่าเจ้ากาลังคิดอะไรอยู่ เจ้ากาลังคิดใช่ไหม
ว่า สภาพเจ้าแบบนี้ อีกทั้งยังเป็นผู้หญิง จะไปสืบ
หาฆาตกรได้ยังไง?”
เถียนฟูที่เมื่อครู่เหมือนคนบ้า กลับพยักหน้ารับคา
ของเขา
“แน่นอน เจ้าทาได้” ฉีหนิงพูดว่า “วันนี้ที่เจ้ารู้จัก
ข้า ถือเป็นก้าวแรกของเจ้า”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 557 เหมือนศัตรูตัวฉกาจ
เถียนฟูตะลึง จากนั้นก็หัวเราะเสียงแปลกๆ ฉี
หนิงพูดว่า “เจ้าไม่เชื่อ?”
“ข้าเป็นแค่คนตาบอด เจ้ามองไม่เห็นหรือ?”
เถียนฟูพูดจาแปลกๆ “ตัวข้าแม้แต่ทางเดินยัง
มองไม่ชัดเลย จะไปสืบหาตัวคนร้ายที่ฆ่าท่าน
พ่อดิอย่างไรกัน?”
“ดังนั้นวันนี้ข้าถึงได้มาหาเจ้าที่นี่อย่างไรเล่า ข้า
จะลองรักษาอาการของเจ้า” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้า
ผ่านมือหมอมาแล้วหลายคน อาการของเจ้าก็ไม่ดี
ขึ้นเลย เจ้าเสียใจเจ้าผิดหวัง เลยคิดจะละทิ้งทุก
อย่าง แต่ว่าเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ มีอีกหลายคนที่
เขาลาบากกว่าเจ้า พวกเขายังอดทนแล้วก็ฝ่าฟัน
ต่อไปได้ อีกทั้งพวกเขายังเต็มไปด้วยความหวัง”
เถียนฟูขมวดคิ้ว แล้วไม่ได้พูดอะไร
“ครั้งเดียวไม่สาเร็จ ลองสักสิบครั้งก็ได้ สิบครั้งไม่
สาเร็จ ก็ลองมันสักร้อยครั้งก็ได้” ฉีหนิงพูดว่า
“ไม่แน่อาจจะเหลืออีกแค่ก้าวเดียว ก็ใกล้จะ
สาเร็จแล้ว เหตุใดไม่ลองมันจนถึงที่สุดก่อนล่ะ?”
“ข้า...”
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร” ฉีหนิงพูดว่า “สาวน้อย เจ้า
เพิ่งอายุสิบสามเองนะ อนาคตเจ้ายังอีกยาวไกล
คาพูดที่เจ้าพูดล่วงเกินแม่เจ้าเมื่อครู่ มันแสดงให้
เห็นชัดเจนแล้วว่าเจ้ารักและห่วงนางแค่ไหน เจ้า
กลัวว่าคนอื่นจะมาแย่งแม่เจ้าไปจากเจ้า ใช่
หรือไม่?” อายุเขาดูมากกว่าเถียนฟูไม่เท่าไหร่ แต่
น้าเสียงท่าทางของเขามันดูเป็นผู้ใหญ่มาก
เหมือนผู้ใหญ่กาลังอบรบตักเตือนเด็ก
เถียนฟูถึงกับสะดุ้ง เถียนฮูหยินเองก็มองไปที่
เถียนฟูด้วยความตกใจ
“สายตาของเจ้ามองไม่ชัด ก็เพราะอย่างนี้ ข้าถึง
ได้รู้สึกว่าเจ้าอ่อนไหวกับเรื่องอื่นได้ง่าย” ฉีหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม่ของเจ้าลาบากมาก
เจ้าเองใช่ว่าจะไม่รู้ เจ้ารู้ว่าตระกูลเถียนในตอนนี้
มีแม่เจ้าดูแล เจ้ารู้ว่านางลาบากแค่ไหน แต่ว่าเจ้า
ก็กลัวว่าวันหนึ่งนางจะจากเจ้าไป ไม่ว่าจะเป็น
ใครมาจากไหน เจ้าก็ไม่อยากให้ใครมาพรากแม่
เจ้าไปจากเจ้า เจ้าหวงนางขนาดนี้ แล้วทาไมต้อง
ทาตัวแบบนี้ล่ะ....”
ทันใดนั้นเองเถียนฟูก็ปิดหน้า แล้วก็ร้องไห้ออกมา
อย่างหนัก
เถียนฮูหยินฉลาดมาก นางเข้าใจขึ้นมาทันที ฉี
หนิงพูดจี้ใจของเถียนฟู วันนี้ฉีหนิงพูดออกตรงๆ
มันเหมือนการช่วยเถียนฟู น้าตาของนางไหล
ออกมา จากนั้นก็เดินไปกอดเถียนฟูเอาไว้
แม่ลูกโอบกอดร้องไห้กัน ฉีหนิงเดินเข้าไปใกล้อีก
หน่อย เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม่ของเจ้า
ดูแลเจ้า ยิ่งกว่าชีวิตของตัวนางเองอีก ต่อไปอย่า
ทาร้ายนางอีก” เขาพูดอีกว่า “ฮูหยิน นี่ก็ดึกมาก
แล้ว พรุ่งนี้ข้ายังมีเรื่องต้องทาอีก ข้าก็ไม่อยู่ต่อ
แล้วนะ พรุ่งนี้เจ้าพาเถียนฟูไปที่จวนข้าแล้วไปขอ
พบแม่นางถัง แล้วบอกว่าเป็นเจตนาของข้า
หลังจากที่ข้ากลับไป ข้าจะไปบอกนางเอาไว้ให้”
เถียนฮูหยินรีบพูดว่า “โหวเยว่ ข้าออกไปส่งท่าน
เอง”
ฉีหนิง “อืม” กลับไป เถียนฮูหยินปลอบเถียนฟู
อีกสองสามคา จากนัน้ ก็เดินตามฉีหนิงออกมา
จากห้อง พระจันทร์ส่องแสงสว่างไสว อีกทั้งยัง
เงียบสงบด้วย
เมื่อออกมาจากเรือน เถียนฮูหยินพูดขึ้นมาว่า
“โหวเยว่ เมื่อครู่...เมื่อครู่ต้องขอบคุณท่านมาก
...”
ฉีหนิงเห็นนางตาแดงไปหมด ก็พูดด้วยความ
อ่อนโยนว่า “เจ้าดูแลกิจการใหญ่ขนาดนี้ ยังต้อง
ดูแลเถียนฟูอีก เรื่องนี้ก็ลาบากมากอยู่แล้ว ต่อไป
หากมีเรื่องเดือดร้อนอะไร ก็ไปหาข้าได้ไม่ต้อง
เกรงใจ เรื่องใหญ่อาจจะช่วยไม่ได้ เรื่องเล็ก
อาจจะช่วยได้บ้าง”
“โหวเยว่มีบุญคุณต่อตระกูลเถียนของเรา ข้า...ข้า
ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรแล้ว” เถียนฮูหยินรู้สึก
ซาบซึ้งใจมาก
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อได้พบก็ถือว่ามีวาสนา
ต่อกัน ในเมื่อรู้จักกันแล้ว นั่นก็หมายถึงความ
ประสงค์จากสวรรค์ ไม่ต้องพูดอะไรที่เกรงใจมาก
นะ”
“ความประสงค์จากสวรรค์?” เถียนฮูหยินพูดซ้า
คาพูดของเขา นางเงยหน้าขึ้น เห็นฉีหนิงยิ้มแล้ว
กาลังมองมาที่นางอยู่ ไม่รู้ว่าทาไม นางถึงได้หน้า
แดง นางรีบก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “โหวเยว่...โหว
เยว่เป็นคนดี มีโอกาสได้พบโหวเยว่ เป็น...เป็น
บุญของข้า”
เมื่อส่งฉีหนิงกลับไปแล้ว เถียนฮูหยินนึกถึงสิ่งที่
เกิดขึ้นในคืนนี้ นางหน้าแดงก่อน อีกทั้งใจยังเต้น
แรงด้วย จากนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก
ฉีหนิงกลับไปถึงจวน ฟ้าก็มืดแล้ว เขาไม่สะดวก
ไปรบกวนถังนั่ว เขารู้ว่านางเป็นคนใจดี พรุง่ นี้
เถียนฮูหยินพาเถียนฟูมา ถังนั่วไม่มีทางไม่ต้อนรับ
เขาเรียกพ่อบ้านหานมาก แล้วสั่งกาชับไว้ จากนั้น
ก็สั่งให้เตรียมตัว วันรุ่งขึ้นเขาจะเดินทางไปที่
วัดต้ากวงหมิง
เช้าวันต่อมา ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมแล้ว เมื่อฟ้า
สางแล้ว ฉีหนิงกับพวกของหลีถังห้าหกคนเดิน
ทางไปยังวัดต้ากวงหมิง เขาเคยอาศัยอยู่ในวัด
หลายวัน คุ้นเคยเส้นทางในวัดดี เมื่อเขามาถึงตีน
เขาจื่อจินซาน กฎของวัดต้ากวงหมิง พวกของหลี
ถังจะต้องรออยู่ที่ตีนเขาเท่านั้น เขาเดินขึ้นไปบน
เขาด้วยตัวเองคนเดียว
ในเมื่อเขาจะมาที่วัดต้ากวงหมิง เขาก็ต้องเอา
กระบี่ผีหลูมาด้วย กระบี่ผีหลูเป็นของที่ทาง
วัดต้ากวงหมิงมอบให้เขา เขาคิดว่าเอากระบี่มา
ด้วยคงไม่มีใครขวางทางขึ้นเขาวัดได้
เมื่อเดินขึ้นเขามาได้ครึ่งหนึ่ง ก็เห็นหลวงจีนรูป
หนึ่งเดินมา ฉีหนิงเดินเข้าไปหาเขา แล้วยกมือ
คานับแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหวฉีหนิง มาขอพบท่าน
คงฉานไต้ซือ ขอรบกวนหลวงจีนกราบเรียนให้
ด้วย”
หลวงจีนรูปนั้นเหลือบไปมองกระบี่ผีหลูที่อยู่ที่เอว
เขาไม่พูดอะไร จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินจากไป ฉี
หนิงรู้สึกแปลกใจมาก เขาเดินไปสองก้าว แล้วพูด
ว่า “หลวงพี่ ท่าน...”
“ตามอาตมามา” หลวงจีนรูปนั้นพูด
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก เขารู้ว่าวัดต้ากวงหมิง
ไม่ใช่สถานที่ธรรมดา ที่นี่คือวัดอันดับหนึ่งในใต้
หล้า อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้แต่ขุนนาง
ผู้ใหญ่ชั้นสูง หากไม่ได้รับอนุญาต ก็ไม่มีสิทธิ์
เหยียบเข้าวัดต้ากวงหมิงแม้แต่ก้าวเดียว หลวงจีน
รูปนี้ไม่ถามอะไรเลย แต่กลับพาเขาขึ้นเขาทันที
ทาให้เขาแปลกใจมาก
แต่ว่าอีกฝ่ายอนุญาตให้ตนขึ้นเขาได้ เขาก็ไม่
จาเป็นต้องพูดมาก เขาเดินตามหลวงจีนไป
เขาพอจะรู้จักวัดต้ากวงหมิงดี อากาศแสงแดด
มันทาให้ทั้งตาหนัก ตึกอาคารต่างๆ ของที่นี่ ดู
สูงส่ง ดูเงียบสงบ
หลวงจีนคนนั้นไม่พูดอะไรเลย ฉีหนิงเองก็ไม่กล้า
ถามมาก เขาเดินขึ้นเขาไปจนถึงตัววัด พบว่า
บรรยากาศภายในวัดต้ากวงหมิงในวันนี้มัน
แปลกๆ
ทุกก้าวที่เขาเดินไป เขาเห็นหลวงจีนฝ่ายบู๊ของ
ทางวัดต่างถือกระบองไม้ไว้ในมือ ท่าทางดูเคร่ง
เครียดมาก เวลาเขาเดินผ่าน หลวงจีนพวกนั้นก็
ไม่พูดไม่จา แต่ก็จ้องมาที่เขาอย่างระมัดระวัง
เหมือนกับว่าเป็นศัตรูกัน ทุกๆ สถานที่สาคัญ
ต่างมีหลวงจีนของตาหนักคงหมิงเกอเฝ้าอยู่
ฉีหนิงเคยอยู่ในวัดต้ากวงหมิงมาก่อน เขารู้ว่า
หลวงจีนของตาหนักคงหมิงเกอนั้นไม่ใช่หลวงจีน
ธรรมดา ในวัดต้ากวงหมิงมีหลวงจีนอยู่ประมาณ
สองพันคน ตาหนักคงเหมิงเกอเป็นสถานที่ฝึก
วิทยายุทธ พวกเขาจะคัดเลือกคนที่มีพรสวรรค์มา
ฝึกฝนที่นี่ คนที่สามารถเข้าตาหนักคงหมิงเกอ ถือ
เป็นเกียรติที่หาได้ยากมาก
หลวงจีนของตาหนักคงหมิงเกอจะมีสายคาดเอวสี
เหลือง อีกทั้งผ้ารัดข้อมือก็เป็นสีเหลืองด้วย จะได้
แยกได้ง่าย
ฉีหนิงเดินไปในวัด เขาเห็นภายในวัดมีการเฝ้า
ระวังกว่าสองสามร้อยคน แต่ละคนท่าทางเคร่ง
เครียดมาก เขาแปลกใจมาก เขาไม่รู้อะไรเลย
เห็นท่าทางของพวกเขา ก็มั่นใจว่าวัดต้ากวงหมิง
กาลังเกิดเรื่องแน่
วัดต้ากวงหมิงไม่ใช่วัดธรรมดา เป็นสถานที่
ศักดิ์สิทธิ์ หากเกิดเรื่องขึ้นจริง ก็ไม่มีใครกล้าถาม
ต่อให้เกิดเรื่องขึ้น คนภายนอกก็ไม่มีทางรู้
เขารู้สึกสงสัยมาก แต่ก็ไม่กล้าถาม เขาเดินตาม
หลวงจีนคนนั้นไป สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่นอก
เรือนหลังหนึ่ง ฉีหนิงจาได้ว่า มันคือที่พานักของ
ท่านจิ้งคงไต้ซือ ตอนที่เขาอยู่ที่วัดต้ากวงหมิง เขา
ลาท่านจิ้งคงไต้ซือที่นี่
หลวงจีนคนนั้นพาฉีหนิงมาส่งที่นอกเรือน แล้ว
บอกให้ฉีหนิงรอ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปรายงาน
ไม่นานเขาก็ออกมา แล้วบอกให้ฉีหนิงเข้าไป
เมื่อเข้ามาในเรือนแล้ว เขาเห็นจิ้งคงไต้ซือนั่งอยู่
ใต้ต้นไม้ เขาพนมมือสองข้าง แล้วยิ้มให้ฉีหนิง
ฉีหนิงรู้สึกดีกับหลวงจีนเฒ่าคนนี้ เขารีบเดินขึ้น
หน้า แล้วคานับเขา “จิ้งคงไต้ซือ”
จิ้งคงพูดว่า “ข้าสั่งพวกเขาไว้เอง หากเจ้าขึ้นเขา
มา ก็ให้พาเจ้ามาหาข้าก่อน”
“ไต้ซือรู้ว่าข้าจะมา?” ฉีหนิงพูดอย่างแปลกใจ
“ที่ควรจะมาก็ต้องมา ที่ควรจะไปก็ต้องไป” จิ้งคง
พูดด้วยรอยยิ้ม
ฉีหนิงคิดในใจว่าพูดจาลึกซึ้งอะไรมา ข้าก็ฟังไม่
เข้าใจหรอก เขาพูดว่า “ไต้ซือ วันนี้ที่มา ก็เพื่อจะ
ขอพบท่านเจ้าอาวาสคงฉานไต้ซือ ไม่ทราบว่าไต้
ซือจะนาทางข้าไปหน่อยได้หรือไม่”
จิ้งคงไต้ซือพยักหน้า แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่เจ้า
อาวาสออกจากการนั่งกรรมฐานพอดี เจ้ามาได้
จังหวะพอดี” เขาลุกขึ้นแล้วลอยตัวราวกับใบไม้
แล้วพูดว่า “เจ้าตามข้ามา” เขาไม่พูดมากอีก นา
ทางไป เขาดูไปแล้วก็แก่ชราขึ้นมาก แต่ว่าการ
เดินของเขากลับดูเบาสบายมาก ฉีหนิงเดินตาม
อยู่ด้านหลัง คิดในใจว่าแค่การเดินของเขายังร้าย
กาจขนาดนี้ วรยุทธ์ของเขาจะต้องไม่ธรรมดาแน่
ตอนนั้นเขาเห็นจิ้งคงไต้ซือต่อสู้กับชื่อตันเหมย
ถึงแม้ชื่อตันเหมยจะใช้เล่ห์กล แต่ว่าอย่างไรชื่อ
ตันเหมยก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของหนึ่งในห้าต้าจงซือ
หากเผชิญหน้าโดยตรงอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้กับจิ้งคง
ไต้ซือ แสดงว่าวรยุทธ์ของไต้ซือนั้นต้องไม่ธรรมดา
ไม่แปลกที่เขาจะเป็นผู้ดูแลตาหนักคงหมิงเกอ
เขาเดินผ่านตาหนักเทียนเต๋อเหมิน ลานจิ้งตูเหยา
หูหยวนจิ้ง อวี้นั่วหยวน จนมาถึงลานปานนั่ว ฉี
หนิงคิดตลอดทางที่เดินมา ก่อนหน้านี้ที่เขาขึ้น
เขามา ยังไม่เคยมาที่พวกนี้เลย วัดต้ากวงหมิงเป็น
วัดอันดับหนึ่ง เป็นวัดหลวง เพื่องานราชพิธีใหญ่ๆ
ราชสานักได้ควักเงินบริจาคซ่อมแซมวัด อีกทั้ง
วัดต้ากวงหมิงเองก็มีงบประมาณหลวงให้ ราช
สานักออกทั้งที่ดินและเบี้ยหวัด ไม่เพียงสามารถ
ดูแลหลวงจีนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ อีกทั้งเงินที่ได้รับ
สะสม ทางวัดต้ากวงหมิงเองก็นามาสร้างและ
บารุงวัด ในวัดแบ่งเป็นสามพลับพลา มีห้าหอ มี
เจ็ดตาหนัก มีสิบแปดโถง ล้วนแล้วแต่ใหญ่มาก
ตกแต่งสวยงาม
เมื่อเดินทะลุลานไป เดินผ่านป่าไม้ไผ่ไป ฉีหนิงก็
เห็นห้องหินขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งดูแตกต่างจาก
สิ่งก่อสร้างภายในวัด เขารู้สึกแปลกใจ แอบคิดใน
ใจว่าหรือว่านี่จะเป็นที่อยู่ของเจ้าอาวาสคงฉานไต้
ซือ
ในใต้หล้านี้ นอกจากห้าต้าจงซือ คงฉานไต้ซือก็
เป็นยอดฝีมือระดับสูง อีกทั้งยังมีฐานสูงส่งมาก
แต่คิดไม่ถึงว่าจะอาศัยอยู่ที่ไกลขนาดนี้
จิ้งคงไต้ซือพาฉีหนิงมาจนถึงหน้าห้องหิน จากนั้น
ก็จับไปที่ก้อนหินก้อนหนึ่ง จากนั้นเขาก็เคาะหิน
ไปประมาณสามครั้ง ฉีหนิงได้ยินเสียง “แกร็ก”
ประตูหินถูกเปิดออก มีร่องที่สามารถเดินเข้าไปที
ละคน หลังจากที่ประตูหินหยุดหมุน จิ้งคงไต้ซือก็
พนมมือแล้วพูดว่า “เข้าไปสิ”
ฉีหนิงเดินมาถึงหน้าประตู เห็นภายในห้องเหมือน
จะมีแสงสว่าง แต่ก็ยังมืดอยู่ เขารู้สึกแปลกๆ
กาลังจะหันกลับมา ก็รู้สึกว่าเหมือนมีใครผลักเขา
จากด้านหลัง เขาคิดจะตอบโต้แต่มันก็ไม่ทันแล้ว
ร่างกายของเขาเข้าไปด้านในห้องหินแล้ว เขารู้สึก
ตกใจมาก เขาหันหลังกลับมา ประตูหินนั่นก็ปิด
ลงแล้ว ฉีหนิงตกใจไม่น้อย แอบคิดในใจว่าหลวง
จีนเฒ่านี่คิดจะทาอะไรกันแน่
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 558 สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เห็น
ฉีหนิงถูกขังอยู่ในห้องหิน เขารู้สึกตกใจมาก ภาย
ในห้องมีแสงอ่อน ๆ ด้านในสว่างมาก ด้านซ้าย
และขวามีตะเกียงแขวนอยู่ แสงอ่อนมาก ฉีหนิง
กวาดสายตาไป ถึงกับตกใจ
ภายในนี้ไม่มีของอะไรอยู่เลย รอบ ๆ ก็ไม่มีเงา
ของใครเลย มีเสื้อดาและกางเกงดาแขวนเอาไว้
หากไม่มองดีดี แทบจะมองไม่เห็น เหมือนมันจะ
มืดมาก
“จิ้งคงไต้ซือ” ฉีหนิงถอนหลังสองก้าว หลังของ
เขาพิงไปที่ประตูหิน เขาพูดเสียงเข้มมากว่า “ทา
อะไรกัน? เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ”
ด้านนอกไม่มีเสียงตอบรับอะไรเลย ฉีหนิงขมวด
คิ้ว เขาคิดว่านี่เป็นคาสั่งของจิ้งคงไต้ซือ เลยเดา
ไม่ออกว่าเขาต้องการอะไร
เขานึกคิดอยู่นาน วัดต้ากวงหมิงเป็นวัดหลวงของ
แคว้นฉู่ ใกล้ชิดกับทางราชสานักมาก เขาเป็นถึง
จิ่นอีโหว ตามหลักแล้ว วัดต้ากวงหมิง ไม่ควรเห็น
เขาเป็นศัตรู ในฐานะวัดหลวง คิดว่าคงไม่มีความ
กล้าถึงขนาดลอบทาร้ายบรรดาศักดิ์โหว แต่ว่า
ห้องหินที่นี่มันแปลกมาก อีกทั้งบรรยากาศยังเต็ม
ไปด้วยกลิ่นไอสังหาร มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย
เขาอดที่จะเอามือกากระบี่พีหลูเอาไว้ไม่ได้ แอบ
คิดในใจว่าครั้งนี้โชคดี ที่พกกระบี่พีหลูขึ้นเขามา
ด้วย มีกระบี่พีหลูในมือ ก็จะได้ป้องกันตัวได้
ในเวลานี้เขาเห็น เงาที่เขาเห็นนั้นในมือต่างถือ
กระบี่ ปลายกระบี่ชี้ไปที่พื้น ทุกคนท่าทางเหมือน
กัน แล้วก็เงียบมากด้วย
อีกฝ่ายยิ่งไม่เคลื่อนไหว ฉีหนิงยิ่งรู้สึกว่ามันแปลก
พอเขานึกไปถึงตอนที่ขึ้นเขามา มีการเฝ้าระวัง
อย่างเคร่งเครียด หรือว่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
แต่ว่าคิดแล้วมันก็แปลก ถึงแม้วรยุทธ์ของเขา
ตอนนี้จะไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ว่ายอดฝีมือ
ในวัดต้ากวงหมิงมีอยู่ตั้งมากมาย หากพวกเขา
ต้องการจัดการกับเขา เหมือนก็ไม่ได้จาเป็นต้อง
ทาอะไรให้มันใหญ่โตแบบนี้
อีกทั้งฉีหนิงก็คิดถึงแรงจูงใจที่พวกเขาจะต้องมา
ลงมือกับเขาด้วย ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นก็เหมือน
จะมีกลุ่มลมพัดมาจากด้านข้าง เขาเหลือบไปมอง
เห็นแสงสะท้อนจากกระบี่กาลังพุ่งมาที่เขา มัน
รวดเร็วว่องไวมาก ฉีหนิงตกใจ แต่เขาก็ปฏิกิริยา
ไว เขาชักกระบี่พีหลูออกจากฝัก จากนั้นก็ขึ้น
หน้าไปรับมือ แต่เดินออกไปแค่สองก้าวเท่านั้น ก็
มีกระบี่อีกเล่มพุ่งมา มันรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ฉีหนิงหลุดพูดขึ้นมาว่า “พวกเจ้าคิดจะทาอะไร?”
เขาเอียงขาสไลด์ไปข้าง ๆ เขาเริ่มใช้ท่าเท้าท่อง
คลื่นแล้ว สายตาของเขาดุมาก เงาที่สามก็เริ่มพุ่ง
จู่โจมเข้ามาหาเขา
ฉีหนิงตกใจ หลายคนลงมือโหดมาก เหมือนจะ
เอาให้ถึงที่ตาย ในเวลานี้เขาก็ไม่มีเวลาให้คิด มือ
ขวาของเขาพุ่งกระบี่พีหลูตงั้ รับ
เพลงกระบี่ไร้นามพิสดาร ฉีหนิงเริ่มสนใจเพลง
กระบี่ ก็เพราะเพลงวิชากระบี่ไร้นามนี่แหละ
เพลงกระบี่ไร้นามไม่เพียงทาให้เขาสนใจเพลง
กระบี่ ตอนนี้เพลงกระบี่ของเขามันไร้เทียมทาน
ความสามารถของเขา มีคนรู้ไปแล้ว ก็เพราะเขา
ได้สัมผัสเพลงกระบี่ไร้นามมากตั้งแต่เริ่ม ดังนั้นใน
หัวของเขาก็มีภาพของเพลงกระบี่ไร้นามนี่เต็มไป
หมด ขอแค่นึกถึงเขาสามารถเลือกใช้มันได้เลย
การฝึกฝนของเขาก็ไม่ธรรมดาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น
ความเร็วหรือกาลัง ไม่ต่างอะไรกับยอดฝีมือแล้ว
อีกทั้งบวกกับอนุภาพของเพลงกระบี่ พอลงมือ
ออกกระบวนท่า คนที่พุ่งจู่โจมใส่เขาก็ชะงักไป
หนึ่งคน แต่ว่าอีกสามคนยังไม่หยุด ออกอาวุธมา
พร้อมกันเลย
ฉีหนิงไม่ได้คิดอะไรเลยตอนนี้ เขาคิดแค่ว่าในเมื่อ
พวกเขาต้องการฆ่าเขาให้ตาย เขาจะประมาท
ไม่ได้ เมื่อออกกระบวนท่าของกระบี่ไร้นาม และ
ออกอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางแสงสลัวในถ้า
พริบตาเดียว มือกระบี่ทั้งสี่ต่างก็พุ่งกระบี่มา
พร้อมกัน ฉีหนิงก็สามารถรับมือได้หมด
ทั้งสี่คนต่างร่วมมือกันอย่างดี เพลงกระบี่ของพวก
เขาแปลกมาก ทั้งรวดเร็วว่องไว อีกทั้งยังมาถึงสี่
คน ไม่เพียงคล่องแคล่ว แต่ยังลงมือเด็ดขาดด้วย
ฉีหนิงรับมืออยู่ประมาณสิบกระบวนท่า ในใจยิ่ง
แปลกใจมากขึน้
อานุภาพของเพลงกระบี่ไร้นามเขารู้ดีกว่าใคร
ตอนนั้นเขาใช้เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถ
เอาชนะไป๋อวี่เฮ่อ ไป๋อวี่เฮ่อถือได้ว่าเป็นมือกระบี่
ที่มีชื่อเสียงมาก ถึงแม้วันนั้นที่เอาชนะเขาได้จะ
เป็นเรื่องบังเอิญก็ตาม แต่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า
เพลงกระบี่ไร้นามของเขามันร้ายกาจมาก แต่ว่า
ตอนนี้เขารับมือมาตั้งสิบกระบวนท่าแล้ว ฉีหนิง
เหมือนจะใช้กระบวนท่าที่มีจนหมดแล้ว แต่กลับ
ไม่สามารถทาอะไรสี่คนนี้ได้เลย
ฉีหนิงรู้สึกหดหู่ เพลงกระบี่ที่เขารู้เขาใช้กันหมด
แล้ว แต่ทาอะไรสี่คนนั้นไม่ได้เลย แสดงว่าสี่คนนี้
ไม่ใช่มือกระบี่ธรรมดา ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็
ไม่สามารถใช้เพลงกระบี่ไร้นามเอาชนะอีกฝ่ายได้
เลย
ถึงแม้เขาจะมีฝ่ามือเพลิงโลกัณฑ์กับวรยุทธ์ที่เซี่ยง
ไป๋อิ่งถ่ายทอดให้เขาอีก แต่ว่าในเวลานี้ใช้กระบี่
ในการรับมือพวกเขา จะให้ทิ้งกระบี่ไปตอนนี้
อาจแพ้ได้
เขาคิดมาตลอดเวลามีกระบี่อยู่ในมือ อีกทั้งยังมี
เพลงกระบี่ไร้นามอยู่อีกสิบกว่ากระบวนท่า จะไป
ที่ไหน เขาก็ไม่มีปัญหา คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมา
เจออันตรายที่นี่
เขารับมือพวกเขาอีกกว่าสิบกระบวนท่า มือกระบี่
ทั้งสี่ก็เหมือนกับอสรพิษที่เลื้อยไปมาได้ พวกเขา
วนเวียนสลับไปมารอบตัวฉีหนิง พวกเขารวดเร็ว
ว่องไวมาก ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็มี
เสียงดังขึ้น “หยุด”
ฉีหนิงเห็นมือกระบี่สี่คนนั้นลอยตัวออกพร้อมกัน
จากนั้นก็ไปหยุดยืนอยู่ในมุมของตัวเอง ทันใด
นั้นเองเสียงก็เงียบลง
ฉีหนิงเหงื่อออกทั่วตัว เขาอาศัยแสงไฟมองไป
รอบ ๆ เห็นมือกระบี่พวกนั้นแต่งกายเหมือนกัน
ใบหน้าสวมหน้ากากสี่เทา พวกเขาเก็บกระบี่
แม้แต่ท่าทางการถือกระบี่ยังเหมือนกันเลย
เขามองไปที่ทั้งสี่คน ฉีหนิงตกใจมาก สี่คนนี้
เหมือนกับแกะออกมาเหมือนกันเลย ไม่ว่าจะสอง
คนฝั่งไหนที่ยืนอยู่ด้วยกัน แทบจะแยกไม่ออกว่า
ใครเป็นใคร ทั้งสี่คนยืนอยู่ด้วยกัน ไม่มีทางแยก
ออกแน่นอน
หลังจากที่ทั้งสี่คนยืนเข้ามุมไปแล้ว ก็เหมือนก้อน
หิน ไม่ขยับเลย เหมือนเป็นแค่ของชิ้นหนึ่งในห้อง
หินเท่านั้น
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียง “แกร็ก” ฉีหนิงหันไป
มอง เห็นประตูหินเปิดออก เขาไม่คิดเลยก็เดิน
ออกไป เห็นจิ้งคงไต้ซือยืนพนมมืออยู่ข้าง ๆ
ตอนนี้เห็นหลวงจีนหน้าตามีเมตตาคนนี้ ฉีหนิงก็
โกรธมาก ตอนนี้เขาก็ไม่ได้เกรงใจ เขาพูดกับจิ้ง
คงไต้ซือว่า “หลวงจีนเฒ่า เจ้าทาแบบนี้
หมายความว่ายังไง? อยากจะให้ข้าตายหรือไง
กัน?”
“นอกจากเหงื่อออก เหมือนเจ้าจะไม่ได้บาดเจ็บ
อะไรเลยนี่นา” จิ้งคงไต้ซือนิ่งมาก อีกทั้งยังยิ้มให้
เขาด้วย
ฉีหนิงคิดในใจว่าหลวงจีนเฒ่านี่บ้าไปแล้วหรือ
ยังไง พาเขามาที่แบบนี้ เขาไม่ได้พูดดีด้วย “ท่าน
คิดจะทาอะไรกันแน่? คนในห้องนี่ใครกัน?”
“ในห้องนั่นมีคนหรอ?” จิ้งคงส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“เจ้าลองดูให้ดี ในห้องมีใครอยู่อย่างนั้นหรอ?”
ฉีหนิงหันกลับไปมอง เห็นประตูหินยังเปิดอยู่ เขา
พูดว่า “ท่านคิดจะหลอกให้ข้าเข้าไปอีกงั้นหรอ?”
“หากอาตมาอยากจะหลอกให้ท่านเข้าไป ท่านจะ
ออกมาได้ยังไงกัน?” จิ้งคงไต้ซือถอนหายใจ แล้ว
พูดว่า “ที่นี่คือโถงสานึกตน เป็นสถานที่ลงโทษ
เหล่าหลวงจีนที่ทาผิดกฎ อาตมาตั้งใจพาท่านไป
พบศิษย์พี่เจ้าอาวาส พอผ่านมาที่นี่ ท่านรู้สึก
แปลกใจเลยเข้าไปดูเอง ออกมากลับมาโทษอาตา
มา ทาให้ข้าแปลกใจมากจริง ๆ”
ฉีหนิงตาโต แอบคิดในใจว่าหลวงจีนเฒ่านี่โกหก
ไม่กระพริบตาเลย ข้าถูกเจ้าหลอกชัด ๆ ตอนนี้
เจ้ากลับมาบอกว่าข้าแปลกใจอยากรู้เลยเข้าไปดู
เอง เขาหันกลับไป แล้วก็ระวังตัว เมื่อเดินถึงหน้า
ประตูหิน หันกลับไปมอง เขาเห็นจิ้งคงไต้ซือยืน
อยู่ห่างจากเขามาก เขายื่นหัวเข้าไปดูด้านใน จะ
ว่าไปก็แปลก ภายในห้องหินไม่มีแสงไฟแล้ว พอ
มองเข้าไปก็ไม่เห็นอะไรเลย แต่ก็ยังเห็นชัดเจน
ตอนนี้ในห้องหินไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครด้วย
ฉีหนิงอดที่จะเอามือเช็ดตาไม่ได้ เขามองเข้าไป
อย่างละเอียดอีกครั้ง เขาไม่เห็นเงาของใครเลย
จริง ๆ เขาตกใจมาก ในห้องหินนี่ใหญ่มาก เป็น
หินขนาดใหญ่ทับซ้อนกัน มีทางออกเพียงทาง
เดียวก็คือที่เขาอยู่ เมื่อกี้หากมีคนออกมาจากด้าน
ใน เขาไม่มีทางไม่รู้ เพราะนั่นคือคนสี่คน แต่ว่า
หลังจากที่เขาออกมาจากห้องหินแล้ว ก็ไม่มีใคร
ออกมาอีกเลย แต่ว่ากลับหายไปไร้ร่องรอย
ฉีหนิงรู้สึกงงมาก หรือว่าเขาเจอผี? แต่ว่าข้างนอก
พระอาทิตย์แรงขนาดนี้ ต่อให้เป็นผี ก็ไม่มีทาง
กล้าออกมาหลอกคนตอนนี้แน่?
“สิ่งที่เห็นอาจจะไม่จริง สิ่งที่ได้ยินก็อาจจะไม่ใช่”
จิ้งคงไต้ซือพนมมือแล้วเดินมาหาเขา “จิตใจของ
เจ้าไม่สะอาด ดังนั้นในใจสับสน หลังจากที่เจอ
ศิษย์พี่เจ้าอาวาสแล้ว อยู่ค้างสักสองวันไหม
อาตมาจะได้อยู่สวดมนต์กับเจ้า ชาระล้างจิตใจ
สักหน่อย”
ฉีหนิงกลัวว่าหลวงจีนเฒ่านี่จะผลักเขาเข้าไปอีก
เห็นเขาเดินมา เขาก็รีบเดินออกห่างจากห้องหิน
เขาพูดด้วยความสงสัยว่า “หลวงจีนเฒ่า ข้าเรียก
ท่านว่าไต้ซือ เพราะข้านับถือท่าน แต่ว่าท่านกลับ
ทาลายมันลงไม่เหลือเลย คนออกบวชไม่พูดโกหก
ท่านเองก็อายุมากแล้ว อีกทั้งยังเป็นพระอีก ห้าม
โกหก ข้าถามท่านหน่อย สี่คนเมื่อครู่ไปไหนกัน
หมดแล้ว? พวกเขาทาไมต้องลงมือกับข้าด้วย?”
จิ้งคงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดูท่าเจ้าจะไม่เชื่อที่
อาตมาพูด” เขาส่ายหัว แล้วไม่อธิบายอะไรเลย
เดินไปที่เส้นทางเล็ก ๆ ข้างห้องหิน ฉีหนิงขมวด
คิ้ว เมื่อกี้เขาถูกมือกระบี่ล้อมโจมตี มันเกิดขึ้นจริง
ฉีหนิงไม่เชื่อว่าตัวเขาจะมีภาพหลอน
แต่ว่าพอมองไปบนตัว ตัวเขาก็ไม่มีร่องรอยการ
ต่อสู้เลย รอบตัวเขาไม่มีอะไรเสียหายเลย หากมี
ร่องรอยแผลหรือว่าชายเสื้อหลุดรุ่ยบ้าง แต่วา่ เขา
กลับไม่มีหลักฐาน เขารู้สึกแปลกใจมาก อีกทั้ง
บรรยากาศของวัดต้ากวงหมิงในวันนี้ เขารู้สึกว่า
วัดต้ากวงหมิงไม่ปกติเลย
เห็นว่าจิ้งคงไต้ซือเดินตามทางนั้นไป เขาก็ตามไป
ด้านข้างเป็นป่าไผ่ที่เขียวชอุ่มมาก เดินไปได้พัก
หนึ่ง ก็มาถึงห้องหลังหนึ่ง ห้องหลังนี้ทาจากไม้ ไม่
ว่าจะเป็นเสาหรือว่าหลังคาก็ทาจากไม้หมด ดู
เรียบง่าย เมื่อเทียบกับวัดต้ากวงหมิงที่เคร่ง
เครียดที่นี่ดูเงียบสงบมาก
จิง้ คงไต้ซือเดินมาที่หน้าห้อง แล้วพูดอย่างเคารพ
ว่า “ศิษย์พี่ จิ่นอีโหวมาขอคาระวะ”
ฉีหนิงคิดในใจว่า “คารวะ” ใช้ได้ไม่ดีเท่าไหร่
เหมือนเขาดูต่าต้อยกว่าคงฉานใต้ซือเยอะมาก
ยังไงเขาก็เป็นถึงหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหวนะ ใช้
คาว่า “ขอพบ” เหมือนจะเหมาะกว่านะ แต่ว่า
พอคิดว่าคงฉานไต้ซือไม่เพียงเป็นเจ้าอาวาสของ
วัดต้ากวงหมิง ยังถือเป็นผู้นาทางศาสนาในใต้
หล้านี้ ตาแหน่งฐานะก็ไม่ธรรมดา อีกทั้งคงฉาน
ไต้ซือเองอายุก็ไม่น้อยแล้ว หากนับจากอายุ เขา
มาขอคารวะก็ถือว่าเหมาะสมอยู่
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 559 ศีรษะบนต้นสน
ภายในห้องไม้ ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลย จิ้ง
คงไต้ซือเรียกซ้้าอีกรอบ ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ
หลวงจีนเฒ่าเริ่มขมวดคิ้ว จากนั้นก็ผลักประตู
ออกไป แล้วเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ฉีหนิงเห็นท่าทีของจิ้งคงไต้ซือที่แปลกไป เดิมทีคิด
ว่าอีกฝ่ายยังไม่ให้เขาเข้าไป เขาก็ไม่ควรจะเข้าไป
แต่ว่าสถานการณ์แบบนี้มันแปลกไป เขาจึงอด
ไม่ได้ที่จะตามเข้าไปทันที
ภายในห้องไม้มีขนาดกว้างมาก แสงสว่างส่องรอด
หน้าต่างเข้ามาจึงท้าให้ภายในห้องสว่างมาก ด้าน
ซ้ายมือมีเตียงตั้งอยู่ตัวหนึ่ง ด้านข้างมีโต๊ะยาว บน
เตียงนั้นมีคนนั่งกรรมฐานอยู่ เขานั่งหันหลังให้ฉี
หนิงอยู่
หลังจากที่จิ้งคงเข้าไปในห้องแล้ว ก็มองเห็นคนผู้
นั้นดูท่าทางน่าย้าเกรง เขาจึงไม่กล้าล่วงเกิน
จากนั้นเขาก็ยกมือพนมมือขึ้นแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่
จิ่นอีโหวมาคารวะท่านขอรับ”
ฉีหนิงรู้ว่าคนที่เขาเห็นน่าจะเป็นท่านเจ้าอาวาส
ของวัดต้ากวงหมิงคงฉานไต้ซือ เขาก็เดินหน้าไป
สองก้าว เขายืนอยู่ข้างๆ จิ้งคงไต้ซือ ยกมือค้านับ
แล้วพูดว่า “ข้าน้อยฉีหนิง ขอค้านับคงฉานไต้
ซือ”
หลวงจีนที่นั่งอยู่ไม่ได้หันหลังกลับมา เขานั่งนิ่ง
ราวกับภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย แอบคิดในใจว่าคงฉาน
ไต้ซือดูหยิ่งยโสยิ่งนัก ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียง
ของจิ้งคงไต้ซือพูดด้วยน้้าเสียงเคร่งขรึมว่า “แย่
แล้ว...” เข้าเดินอย่างรวดเร็วมาที่ข้างๆ หลวงจีน
รูปนั้น จากนั้นก็ยื่นมือไปที่หัวไหล่ของเขา ฉีหนิง
เห็นคนผู้นนั้ ล้มลงไปกับพื้นทันที
ฉีหนิงตกใจมาก เห็นหลวงจีนนั่นล้มลงด้านข้าง
เมื่อพลิกตัวเขากลับมา หน้าอกของเขาก็เหมือน
จะมีรอยฉีกขาด เขาตาโตทันที แววตาไม่มีชีวิต
ชีวาแล้ว สีหน้าซีดเซียวไร้เลือดฝาด เขาตายแล้ว
ฉีหนิงสะดุ้งตกใจทันที
สิ่งที่เขาเห็น มันน่ากลัวน่าตกใจกว่าตอนที่ลู่ซาง
เฮ่อท้าร้ายเซี่ยงไป๋อิ่งเสียอีก
วัดต้ากวงหมิงเป็นวัดอันดับหนึ่งในใต้หล้า คงฉาน
ไต้ซือเป็นยอดฝีมือในยุทธภพ แต่ว่ากลับมาตาย
แบบนี้ได้
จิ้งคงไต้ซือเป็นคนที่มีรอยยิ้มตลอดเวลา แต่ว่า
เวลานี้เขามีสีหน้าที่ตกใจมาก เขาไม่ได้มองมาที่ฉี
หนิงเลย เขาลุกขึ้นมา แล้วพุ่งตัวออกไปที่นอก
หน้าต่าง ฉีหนิงเห็นจิ้งคงไต้ซือใช้วิชา เขาวนรอบ
ห้องไม้หนึ่งรอบ จากนั้นก็เข้ามาในห้องอีกครั้ง
ท่าทางของเขาตอนนี้ดูเหี้ยมโหดมาก เขานั่งยอง
ลงตรงที่หลวงจีนคนนั้น แล้วจ้องไปที่หน้าอกของ
เขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ภายในห้องไม้เงียบสงัด ฉีหนิงลังเล สุดท้ายก็
เดินหน้าขึ้นไป แล้วพูดว่า “จิ้ง...จิ้งคงไต้ซือ”
จิ้งคงตื้อเงยหน้าขึ้นมา ฉีหนิงถามว่า “เรา...เรา
ควรจะเรียกคนมาที่นี่หรือไม่? คงฉานไต้ซือประ
สบเคราะห์ร้ายแบบนี้ เอ่อ...”
จิ้งคงไต้ซือส่ายหน้า แล้วพูดว่า “นี่ไม่ใช่ศิษย์พี่เจ้า
อาวาสหรอก แต่เป็นศิษย์น้องจิ้งเฉิน”
“หะ?” ฉีหนิงตกใจอีกครั้ง เขาขมวดคิ้ว แอบคิด
ในใจว่าจิ้งคงไต้ซือไม่ได้จะพาเขาไปหาคงฉานไต้
ซือหรอกหรือ เหตุใดถึงได้กลายมาเป็นจิ้งเฉินไต้
ซือได้อีก เขาอดถามไม่ได้ว่า “ไต้ซือท่านนี้คือใคร
กัน?”
“เขาเป็นผู้ดูแลต้าหนักไป๋ฮุ่ย” จิ้งคงไต้ซือสีหน้า
เคร่งเครียดมาก “ภายในวัดต้ากวงหมิง การ
บ้าเพ็ญตบะไม่มีใครเทียบเขาได้เลย ถึงแม้วรยุทธ
ของเขาจะเทียบศิษย์พี่ไม่ได้ แต่ว่าด้านการ
บ้าเพ็ญเพียรด้านศาสนา แม้แต่ศิษย์พี่ยังต้องยอม
ให้เขา ในบรรดาสิบสามอรหันต์ เขาเป็นรองแค่
ศิษย์พี่เจ้าอาวาสคนเดียวเท่านั้น”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าที่แท้เขาก็เป็นหนึ่งใน
อรหันต์ ยังดีไม่ใช่คงฉานไต้ซือที่ตายอยู่ตรงนี้ แต่
ถึงจะอย่างนั้น เป็นถึงหนึ่งในสิบสามอรหันต์ของ
วัดแต่กลับมาตายในวัดแบบนี้ นี่ก็ถือเป็นเรื่อง
ใหญ่ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เหตุใดจิ้ง...จิ้งเฉิน
ไต้ซือถึงถูกสังหารได้?”
จิ้งคงไต้ซือนิ่งไป แล้วพูดว่า “เมื่อครู่ที่เราเดินผ่าน
ลานปานนั่วมา เจ้ายังจ้าได้หรือไม่?”
ฉีหนิงพยักหน้า จิ้งคงพูดว่า “เจ้ารีบไปที่นั่น แล้ว
ไปหาศิษย์ของวัดหาใครก็ได้ ให้เขารีบไปที่
ต้าหนักฉือหางเป่า ตามหาท่านจิ้งจือไต้ซือ แล้ว
บอกว่าที่เรือนป่าไผ่เกิดเรื่อง จ้าไว้ ห้ามแพร่ง
พรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด แล้วก็ไม่ต้องบอก
รายละเอียด” พูดจบ เขาก็เอาสร้อยประค้าให้เขา
ฉีหนิงรับมา รู้ว่าประค้าเส้นนี้คือหลักฐาน เรื่องนี้
เป็นเรื่องส้าคัญ เขาไม่ลังเลอีกต่อไป หันหลังออก
จากห้องมาเลย
เขาวิ่งมาจนถึงลานปานนั่ว เห็นหลวงจีนรูปหนึ่ง
อยู่พอดี เขาเลยรีบยื่นประค้าให้เขาดู หลวงจีนรูป
นั้นค้านับเขา ฉีหนิงได้บอกกับเขาตามที่จิ้งคงไต้
ซือสั่ง หลวงจีนหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้ลังเล รีบวิ่งไป
ทันที ฉีหนิงกลับมาที่เรือนไม้อีกครั้ง เขาเห็นจิ้งคง
ไต้ซือน้าศพมาวางไว้ที่เตียง แล้วสวดมนต์
หลังจากที่ฉีหนิงเข้ามาแล้ว ก็รอจนจิ้งคงไต้
ซือสวดมนต์เสร็จสิ้น แล้วพูดว่า “ไต้ซือ ข้าได้ไป
แจ้งให้แล้ว”
จิ้งคงไต้ซือพยักหน้า แล้วพูดว่า “ล้าบากเจ้า
แล้ว”
“ไต้ซือ เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของวัดต้ากวงหมิง
เดิมทีผู้น้อยไม่ควรถามให้มากความ” ฉีหนิงลังเล
แล้วถามว่า “แต่ว่า...แต่ว่าเหตุใดจิ้งเฉินไต้ซือถึง
ได้ถูกสังหารที่นี่? วัดต้ากวงหมิง มีการเฝ้าระวัง
อย่างเข้มงวด จิ้งเฉินไต้ซือเป็นหนึ่งในสิบสาม
อรหันต์ วรยุทธ์ก็ไม่ธรรมดา ใครกันที่สามารถ
สังหารเขาที่นี่ได้?”
จิ้งคงไต้ซือลังเล แล้วถามว่า “โหวเยว่ ท่านมาที่
วัดต้ากวงหมิงในครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับท่านประมุข
พรรคกระยาจกใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงตกใจมาก หลังจากที่เขาขึ้นเขามา เขายังไม่
พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยแม้แต่ค้าเดียว ไม่รู้ว่าหลวง
จีนเฒ่าไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน หรือว่าหลวงจีนเฒ่า
อ่านใจคนได้ด้วย เขาตกใจแล้วพูดว่า “ไต้ซือ...ไต้
ซือทราบได้อย่างไร?”
“เท่าที่ข้ารู้มา ทางซีชวนมีข่าวลือออกมาหนาหูว่า
เจ้าลัทธิบัวด้าสังหารท่านประมุขเซี่ยง” จิ้งคงไต้ซื
อพูดว่า “ตอนนี้ในซีชวนวุ่นวายมาก อีกทั้งโหว
เยว่ก็เพิ่งกลับมาจากที่นั่น ได้ยินมาว่าโหวเยว่กับ
ท่านประมุขเหมือนจะมีความสัมพันธ์กันมาก่อน
ที่ท่านขึ้นเขามาครั้งนี้ ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับท่าน
ประมุขเซี่ยง”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าไม่เสียแรงที่วัดต้ากวงหมิง
เป็นวัดที่เลื่องชื่อในยุทธภพ พวกเขารู้เรื่องในยุทธ
ภพดีทุกอย่าง เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไต้ซือเดา
ไม่ผิด ข้าได้รับการไหว้วาน ให้มาแจ้งข่าวและพบ
กับคงฉานไต้ซือ”
จิ้งคงพยักหน้า ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไต้
ซือพาข้ามาที่นี่ ก็เพื่อพบกับท่านคงฉานไต้ซือ แต่
เหตุใดคงฉานไต้ซือถึงได้กลายมาเป็นจิ้งเฉินไต้ซือ
ได้ล่ะขอรับ?”
“ที่นี่เป็นที่นั่งกรรมฐานของศิษย์พี่จริงๆ” จิ้งคงไต้
ซือพูดว่า “แต่ว่าเมื่อครึ่งเดือนก่อน ที่นี่กลายมา
เป็นที่นั่งกรรมฐานของศิษย์พี่จิ้งเฉิน”
ฉีหนิงฟังแล้วงุนงง ยังดีที่จิ้งคงไต้ซือพูดขึ้นมาว่า
“ที่อาตมาพาเจ้ามาพบ ไม่ใช่ศิษย์พี่เจ้าอาวาส แต่
เป็นศิษย์พี่จิ้งเฉิน ศิษย์พี่เจ้าอาวาส...ไม่สะดวก
พบใคร ตอนนี้เรื่องทุกอย่างในวัดต้ากวงหมิง มี
ศิษย์พี่จิ้งเฉินเป็นคนดูแล”
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว เขาพูดว่า “ไต้ซือห
มายความว่า ไต้ซือตั้งใจให้ข้าคิดว่าจิ้งเฉินไต้ซือก็
คือคงฉานไต้ซือตั้งแต่แรก?” เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจ
เขาไม่เคยพบคงฉานไต้ซือมาก่อน ตอนนี้จิ้งเฉินไต้
ซือมาสวมรอยเป็นคงฉานไต้ซือ เขาเองก็ไม่มีทาง
รู้
วัดต้ากวงหมิงเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม คิดไม่ถึงว่า
พวกเขาจะกล้ามาหลอกลวงเขา
จิ้งคงไต้ซือมองออกว่าฉีหนิงรู้สึกไม่พอใจมาก เขา
พนมมือแล้วพูดว่า “โหวเยว่อย่าได้เคืองใจไปเลย
อาตมาเรียนตามตรง ศิษย์พี่เจ้าอาวาสตอนนี้ล้ม
ป่วยอาการสาหัสมาก ตอนนี้ในบรรดาอรหันต์ทั้ง
สิบสาม มีหกคนที่ก้าลังหาทางช่วยเขาอยู่ อย่าว่า
แต่โหวเยว่เลย แม้แต่อาตมาเอง ก็ไม่มีทางได้พบ
กับศิษย์พี่เจ้าอาวาส ตอนนี้ศิษย์พี่ไม่อาจจัดการ
เรื่องอะไรได้อีก แต่ว่าก็มีหลายเรื่องที่จะรอช้า
ไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นก็เลยมีศิษย์พี่จิ้งเฉินเป็นคน
รับหน้าที่ดูแลแทน”
“คงฉานไต้ซือล้มป่วยอาการสาหัส?” ฉีหนิงพูด
ด้วยความตกใจว่า “จิ้งคงไต้ซือ นี่...นี่มันเรื่อง
อะไรกันแน่?” พอนึกถึงสถานการณ์ของ
วัดต้ากวงหมิงในตอนนี้ หรือว่ามันจะเกี่ยวกับที่คง
ฉานไต้ซือล้มป่วยอาการสาหัสแบบนี้? คงฉานไต้
ซือวรยุทธ์ล้าเลิศ วัดต้ากวงหมิงเองก็มียอดฝีมือ
มากมาย อีกทั้งยอดฝีมือทางการแพทย์ก็มีไม่น้อย
แต่ว่าเขาเป็นอะไรถึงขึ้นไม่สามารถดูแลเรื่อง
ภายในวัดต้ากวงหมิงได้เลย
จิ้งคงไต้ซือก็ไม่ได้อธิบาย เพียงแต่พูดว่า “โหวเยว่
รีบกลับลงเขาไปเถอะนะ ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน” เขา
พูดถึงตรงนี้ สายตาของเขาดูเป็นกังวลมาก
“จิ้งคงไต้ซือ เมื่อครู่ท่านบอกข้าว่าอยากให้ข้าอยู่
ที่วัดสักสองวัน เพื่อฟังท่านสวดมนต์ไม่ใช่หรือ?”
ฉีหนิงสังเกตท่าทางของเขา เขาก็รู้ทันทีว่ามันไม่
ปกติ เขารู้ว่าที่จิ้งคงไต้ซือรีบไล่เขากลับ แสดงว่า
เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังแน่ เขาถามว่า “ท่าน...ท่าน
คิดว่าจิ้งเฉินไต้ซือถูกใครสังหารอย่างนั้นหรือ?”
จิ้งคงไต้ซือไม่ได้พูดอะไร ทันใดนั้นเองก็ยินเสียง
ร้องดังขึ้นมา จิ้งคงไต้ซือสีหน้าเคร่งเครียดมาก
เขารีบเดินออกไปด้านนอก ฉีหนิงเองก็รีบตาม
ออกไป เสียงที่ดังมาเมื่อครู่ราวกับไม่เคยเกิด
ขึ้นมาก่อน เพราะไม่สามารถจับทางได้ว่ามันมา
จากทางไหน แต่ว่าจิ้งคงไต้ซือกลับแน่ใจทิศทาง
เขาตรงไปที่ด้านทิศตะวันตกทันที สิบสามอรหันต์
ของวัดต้ากวงหมิงไม่ได้มีแค่ชื่อ ฉีหนิงต้องเดิน
ก้าลังภายใน ถึงจะพอตามจิ้งคงไต้ซือได้ทัน
ฉีหนิงมีค้าถามมากมาย เขาคิดว่าใครกันที่สังหาร
จิ้งเฉินไต้ซือ จิ้งคงไต้ซือบอกว่าจิ้งเฉินไต้ซือเป็น
หนึ่งในสิบสามอรหันต์ของวัดต้ากวงหมิงซึ่งเขาอยู่
ในอันดับที่สอง แสดงว่าวรยุทธของเขาก็ต้องไม่
ด้อยไปกว่าจิ้งคงไต้ซือแน่นอน แต่ว่าเขากลับถูก
สังหารอยู่ในเรือนป่าไผ่ คนร้ายเป็นใครกันถึงได้
ร้ายกาจขนาดนี?้
หลังจากที่เมื่อครู่ฉีหนิงเข้าไปในห้องแล้ว ก็ได้
กวาดสายตามอง ภายในเรือนไม้ไม่มีร่องรอยของ
การต่อสู้เลย แสดงว่าจิ้งเฉินไต้ซือไม่ได้ต่อสู้กับอีก
ฝ่ายก็ถูกสังหารแล้ว เมื่อคิดถึงตรงนี้ แสดงว่า
คนร้ายจะต้องมีวรยุทธร้ายกาจมากจนน่าขนลุก
แน่
จิ้งคงไต้ซือวิ่งไปราวกับสายลม เขาวิ่งมาได้ระยะ
หนึ่ง เขาก็หยุด แล้วมองไปข้างหน้า ฉีหนิงตามมา
ด้านหลัง ก็มองตามเขาไป ฉีหนิงก็รู้สึกตกใจไม่
น้อย
เขาเห็นด้านหน้ามีศพคนนอนอยู่หลายศพ ซึ่งล้วน
แล้วแต่เป็นหลวงจีนของวัดต้ากวงหมิง ที่น่ากลัว
ที่สุดก็คือ ศพพวกนี้ไม่มีหัวแล้ว เหลือแค่ตัวอย่าง
เดียว เลือดนองเต็มพื้น มันน่ากลัวมาก จิ้งคงพนม
มือสวดมนต์ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เดินไป ฉีหนิง
เดินตามเขาอยู่ด้านหลัง เมื่อเดินผ่านศพพวกนั้น
เขาก็รู้สึกเกร็งไปหมด กลิ่นเลือดคาวโชยเข้าจมูก
เกือบจะอ้วกออกมา
เมื่อเดินตามทางมา ก็มาถึงตรงหน้าผา ที่หน้าผามี
ต้นสนอยู่ต้นหนึ่ง ตั้งแต่พบศพจนถึงหน้าผา
ระยะเวลาสั้นๆ กลับมีศพถึงเจ็ดศพ ตอนนี้ห่าง
จากต้นสนแค่ประมาณสิบก้าวเท่านั้น จิ้งคงไต้ซื
อหยุดเดินอีกครั้ง เสียงสวดมนต์ของเขาก็ดังขึ้น
อีกครั้ง
ฉีหนิงมองไปที่ต้นสนรับแขกต้นนั้น จากนั้นก็รีบ
หันหน้ากลับไปทันที เขาอ้วกน้้าลายออกจากคอ
ของเขา
ที่กิ่งไม้บนต้นสนรับแขก มีหัวของคนปักอยู่ หัว
คนทั้งเจ็ดปักอยู่ตามกิ่งก้านของต้นสน ทุกหัวต่าง
ลืมตาอยู่ แล้วจ้องมาทางด้านหน้า ศีรษะพวกนี้
ต่างไม่มีผมซึ่งสามารถยืนยันได้ว่ามันคือศีรษะ
ของศพเมื่อครู่ที่เจอ ซึ่งมันยังมีเลือดไหลหยดลง
มาอยู่ บรรยากาศแบบนี้ มันเหมือนกับอยู่ในฝัน
ร้าย มันน่ากลัวมากๆ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 560 รอยฝ่ามือเลือด
บนต้นสนรับแขก ศีรษะทั้งเจ็ดยังมีเลือดไหลอยู่
มันน่าขนลุกมาก อีกทั้งเรื่องนี้เกิดในวัดต้ากวง
หมิง มันยิ่งทาให้ฉีหนิงนั้นตกใจมาก
แม้แต่ศิษย์ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นยังไม่กล้าทาอะไร
วู่วามที่นี่เลย
ตอนนี้ชื่อตันเหมยกับไป๋อวี่เฮ่อมาที่วัดต้ากวงหมิง
คิดอยากได้ “คัมภีร์กวงหมิงเจินจิง” ลงทุนลงแรง
ไปตั้งมากแต่ก็ไม่สาเร็จ หลังจากที่ทาการไม่
สาเร็จ ก็กลับไปทันที แต่ว่าคนร้ายในวันนี้ ไม่
เพียงไปมาไร้ร่องรอย อีกทั้งยังลงมือสังหารคนใน
วัดอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา ฉีหนิง
หันกลับไปมอง เห็นหลวงจีนวัดต้ากวงหมิงถือไม้
กระบองรีบวิ่งกันมา พวกเขาเห็นสถานการณ์ที่
เกิดขึ้น ต่างก็ตกใจ
หลวงจีนรูปหนึ่งเดินหน้ามาแล้วพูดว่า “อาจารย์
ลุง นี่...นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
จิ้งคงไต้ซือหันหลังกลับมา แล้วพูดว่า “ถ่ายทอด
คาสั่งออกไป ตั้งค่ายกลเทียนหลัว เฝ้าทุกประตู
ทางเข้าออก ห้ามใครลงเขาโดยเด็ดขาด” แล้วก็
พูดอีกว่า “สั่งให้ศิษย์ของเราสักสองสามคนอยู่
เก็บศพไว้ก่อน ไว้ค่อยเผาที่เดียว”
ศิษย์พวกนั้นรับคา ทิ้งคนเอาไว้จานวนหนึ่ง ส่วน
คนอื่นก็รีบกลับออกไป
จิ้งคงไต้ซือก็ไม่ได้เสียเวลา เขารีบกลับไปยังเรือน
ไม้ ฉีหนิงอดถามไม่ได้ว่า “จิ้งคงไต้ซือ นี่มัน...นี่
มันเกิดอะไรขึ้น? ใครกันที่โหดเหี้ยมได้ถึงขนาด
นี้?”
“โหวเยว่ ท่านอยู่กับอาตมาห้ามไปไหน” จิ้งคงไต้
ซือพูดเสียงเข้มว่า “เจ้าปีศาจนั่นอาจปรากฏตัวได้
ตลอดเวลา อย่าไปไหนคนเดียวเด็ดขาด อาตมา
จะส่งคนคุ้มกันเจ้าลงเขาไปอย่างปลอดภัย”
“ปีศาจ?” ฉีหนิงพูดอย่างแปลกใจว่า “ปีศาจ
อะไรกัน?”
จิ้งคงไต้ซือก็ไม่ได้อธิบาย ด้านหน้ามีคนเดินมาอีก
คนแรกเป็นหลวงจีนมีอายุประมาณหกสิบ รูปร่าง
อ้วนหน่อย เหมือนจะซื่อๆ ในมือถือคทาเหล็ก
เดินมาอย่างกับเสือ เมื่อเห็นจิ้งคงไต้ซือ ก็เร่งฝีเท้า
มาแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
จิ้งคงสีหน้าเคร่งเครียดมาก เขาพูดว่า “ศิษย์น้อง
จิงเฉิง เจ้าตามข้ามา” เขาไม่ได้อธิบายอะไร เขา
พาจิ้งเฉินกับหลวงจีนจานวนหนึ่งไปที่เรือนไม้ใน
ป่าไผ่ ยังไม่ถึงเรือนไม้ จิ้งคงไต้ซือสั่งให้หลวงจีนที่
ติดตามว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ระวังตัวกันให้ดี”
หลวงจีนพวกนั้นก็รับคา จิ้งคงพาจิ้งเฉินมาที่นอก
เรือนไม้ แต่ไม่ได้รีบเข้าไปด้านใน เขามองฉีหนิง
แล้วถึงมองที่จิงเฉิงแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่จิ้งเฉิน
มรณะภาพแล้ว”
“หะ?” จิงเฉิงไม่ได้ได้เตรียมใจ เขาพูดว่า “ศิษย์
พี่จิ้งเฉิน? อะไรนะ?” เขาสะดุ้งตกใจ สีหน้าตกใจ
มาก จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที เขากวาด
สายตามองไป จากนั้นก็เห็นร่างของจิ้งเฉินนอน
อยู่บนเตียง เขารีบวิ่งไปดู จากนั้นก็ตะลึงไป มือที่
ถือคทาเหล็กเอาไว้ถึงกับหล่นบนพื้น
จิ้งคงไต้ซือเดินมาที่ขอบเตียง สีหน้าของเขาจริง
จังมาก เขายื่นมือไปเปิดเสื้อบริเวณหน้าอกของจิ้ง
เฉินไต้ซือ ฉีหนิงอดที่จะเดินเข้าไปใกล้ไม่ได้ เขา
มองไป เขาเห็นตรงที่หน้าอกของจิ้งเฉินไต้ซือ
เหมือนมีรอยนิ้วมือห้านิ้ว นิ้วพวกนั้นเหมือนจะจิก
เข้าไปในร่างกาย มันเหมือนกับถูกเผา เพราะมัน
เป็นรอยดา
จิงเฉิงมองเห็นบาดแผลชัดมาก เขาพูดว่า “รอย
ฝ่ามือเลือด? ปี...ปีศาจนั่นหรือ?” เขาใช้เท้าเกี่ยว
ไม้คทาเหล็กของเขาขึ้นมาจากพื้น หันหลังจะเดิน
ไป
“เจ้าจะไปไหน?” จิ้งคงไต้ซือพูดเสียงเข้ม
จิงเฉิงพูดว่า “ก็จะไปคิดบัญชีกับมัน”
“แล้วเจ้ารู้หรือว่าเขาอยู่ที่ไหน?” จิ้งคงไต้ซือพูด
ว่า “ในเมื่อรอยฝ่ามือเลือดปรากฏขึ้นอีกครั้ง
แสดงว่าปีศาจนั่นมันหลุดออกมาจากที่นั่นแล้ว...
เขาจื่อสิงซานของพวกเราซับซ้อน เจ้ารู้ได้อย่างไร
ว่ามันไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?”
“ที่นั่นแข็งแกร่งราวกับทองคา เขาหนีออกมาได้
อย่างไรกัน?” จิงเฉิงพูดว่า “อีกอย่างหลายปีที่
ผ่านมาเขาเองก็ศึกษาพระธรรมอย่างดี ศิษย์พี่จิ้ง
เฉินเองก็บอกว่า เขามีความสามารถในการเข้าใจ
ในรสพระธรรม ละทิ้งการเข่นฆ่า หันหน้าเข้าทาง
ธรรมแล้ว แล้ว...แล้วเหตุใดเขาถึงได้สังหารศิษย์
พี่จิ้งเฉินล่ะ?”
“เจ้ากาลังจะบอกว่าคนร้ายเป็นคนอื่นหรือ?” จิ้ง
คงถาม “ในโลกใบนี้ นอกจากเจ้าปีศาจนั่นแล้ว
ยังมีใครที่สามารถใช้วชิ ารอยฝ่ามือเลือดได้อีก?”
จิงเฉิงถึงกลับพูดไม่ออก
ฉีหนิงอดถามไม่ได้ “จิ้งคงไต้ซือ ปีศาจที่พวกท่าน
พูดถึงกัน เขาเป็นใคร?”
จิงเฉิงถึงได้สติ เขามองไปที่ฉีหนิง แล้วถามว่า
“เจ้าเป็นใคร?”
“ผู้น้อยฉีหนิง จิ่นอีโหว” ก่อนหน้านี้ฉีหนิงไม่เคย
พบกับจิงเฉิงไต้ซือมาก่อน จิงเฉิงไต้ซือไม่มีทาง
รู้จักเขา เมื่อได้ยินฉีหนิงแนะนาตัว จิงเฉิงไต้ซือก็
ตะลึงไป เขาพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นคนของจิ่นอี
ตระกูลฉีนี่เอง”
“จิงเฉิงไต้ซอื ปีศาจที่ท่านพูดถึงกันเป็นใครกัน?”
ฉีหนิงรู้สึกสงสัยมาก “คนผู้นี้เหมือนจะจัดการได้
ยาก”
“จัดการได้ยาก?” จิงเฉิงไต้ซือกาคทาเหล็กไว้
แน่น แล้วพูดว่า “หากเป็นเขาจริง มันไม่ใช่แค่
จัดการยากน่ะสิ”
จิ้งคงไต้ซือพูดว่า “ข้าได้ออกคาสั่ง ให้ตั้งค่ายกล
เทียนหลัวไปแล้ว จะต้องล้อมให้เขาอยู่บนเขา
ก่อน จะให้เขาหนีไปที่อื่นไม่ได้เด็ดขาด
ไม่อย่างนั้น...ผลที่ตามมาข้าไม่อยากจะคิดเลย”
“ค่ายกลเทียนหลัวร้ายกาจก็จริง แต่ว่ามันจะขัง
เขาไว้ได้หรือ?” จิงเฉิงไต้ซือถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ศิษย์พี่ ท่านยังจาได้หรือไม่ เจ้าปีศาจนั้นตอนนั้น
ถูกจับได้อย่างไร หากหลายปีที่ผ่านมาเขาเสแสร้ง
แกล้งทาเป็นหันหน้าเข้าสู่ธรรมะ แต่ที่จริงแล้วมี
แผนร้าย การหนีของเขาครั้งนี้ พวกเราจะยังจับ
เขาได้อีกหรือไม่ เราไม่มีทางรู้เลยนะ”
ฉีหนิงพูดว่า “วัดต้ากวงหมิงมีคนเป็นพันคน ยอด
ฝีมือมากมาย ต่อให้มันร้ายกาจแค่ไหน ก็มีคน
มากกว่ามาก เขาก็ไม่น่าหนีไปได้หรอกกระมัง?”
“คนมากกว่า?” จิงเฉิงไต้ซือตาโต เขาจ้องไปที่ฉี
หนิง แล้วพูดว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร ตอนนั้นหาก
ไม่ใช่เพราะเทพกระบี่ท่านนั้นของตระกูลเจ้า...”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็ไม่ได้พูดต่อ สีหน้าของเขาไม่ดี
เลย เขาหันไปมองจิ้งคงไต้ซือแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่
ต่อไปเราควรจะทาอย่างไร? ต้องส่งคนไปตามล่า
ตัวบนเขาหรือไม่?”
จิ้งคงไต้ซือเหมือนจะใช้ความคิด เขาส่ายหน้าแล้ว
พูดว่า “ตอนนี้นอกจากค่ายกลเทียนหลัวที่พอ
รับมือได้ พวกเราก็ไม่มีใครเป็นคู่ปรับเขาได้เลย
สักคนเดียว เว้นเสียแต่ศิษย์พี่เจ้าอาวาส...” เขา
ขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องจิงเฉิง ถ้าฟ้ามืด
แล้ว เรื่องนี้มันจะยิ่งลาบาก ตอนนี้เราพึ่งได้แต่
ค่ายกลเทียนหลัวเท่านั้น คงต้องให้ศิษย์พี่ศิษย์
น้องทุกคนมารวมตัวกัน เมื่อเจอปีศาจนั่นเมื่อไหร่
เราต้องรวมพลังกัน สู้กับมันสักตั้งหนึ่ง”
ฉีหนิงยิ่งฟังยิ่งมึน แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เขามั่นใจ
มาก สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ น่าจะเป็น
ช่วงเวลาที่วัดต้ากวงหมิงกาลังเจอปัญหาใหญ่ที่หา
ได้ยาก
จากสิ่งที่ทั้งคู่คุยกัน ฉีหนิงจัดระเบียบได้ว่า ใน
วัดต้ากวงหมิงเหมือนจะขังปีศาจร้ายเอาไว้คน
หนึ่ง วรยุทธ์ของมันน่ากลัวและร้ายกาจมาก จาก
สิ่งที่จิงเฉิงพูดมา เดาได้ว่าก่อนหน้านี้กว่าจะจับ
มันมาได้นั้น ต้องลงทุนลงแรงมาก อีกทั้งเรื่องนี้ยัง
เกี่ยวข้องกับเทพกระบี่อย่างเป่ยกงเหลียนเฉิงด้วย
ปีศาจคนนี้ถูกขังในวัดต้ากวงหมิงมานานหลายปี
หลายปีมานี้เขาหันหน้าเข้าสู่ทางธรรม หลอกให้
คนเชื่อใจ แต่ที่จริงกลับหาทางหนีจากการกุมขัง
จิ้งคงไต้ซือบอกว่าไม่มีใครสู้เขาได้เลย ต้องรวม
พลังกันเท่านั้น แสดงว่าปีศาจคนนี้น่ากลัวเอา
มากๆ
จิงเฉิงลังเล จากนั้นก็พยักหน้า จิ้งคงไม่ได้ลังเล
เขาเดินออกจากห้องไป จิงเฉิงถือคทาเหล็กเดิน
ตามหลังเขา ฉีหนิงทาได้แค่ตามเขาไป เมื่อมาถึง
ทางออก จิ้งคงสั่งกับหลวงจีนที่ติดตามมาตอน
แรกว่า “พวกเจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ ห้ามให้ใครเข้าไป
เด็ดขาด” เขาไม่ได้อธิบายอะไร จากนั้นก็รีบเดิน
ไปทันที
ฉีหนิงเดินตามจิ้งคงไต้ซือมาตลอดทาง ระหว่าง
ทางเห็นเหล่าหลวงจีนเกาะกันเป็นกลุ่มอย่างน้อย
สามถึงห้าคน มีอาวุธพร้อมมือ เขารู้ทันทีเลยว่า
พวกเขากาลังจะตั้งค่ายกล เขาไม่รู้ว่าค่ายกล
เทียนหลัวมันคือค่ายกลอะไร แต่ก็คิดว่ามันก็
น่าจะประมาณการหว่านแหอะไรแบบนั้น เมื่อตั้ง
ค่ายกลแล้ว ทั่วทั้งเขาก็จะมีแต่แห หยุดยั้งการลง
เขาของปีศาจ
เมื่อเดินมาถึงลานกว้าง เขาเห็นว่าด้านหน้าเป็น
ตาหนักขนาดใหญ่ ด้านข้างของลานมีเจดีย์เก็บ
กระดูกอยู่ข้างละหนึ่งหลัง มันเหมือนกระบี่สอง
เล่มที่ตั้งตระหง่านอยู่ ฉีหนิงคิดในใจว่าสิ่งก่อสร้าง
แต่ละอย่างลงทุนลงแรงทั้งนั้น
เมื่อมาถึงด้านหน้าตาหนัก ด้านข้างมีระฆังยักษ์
ข้างระฆังยักษ์มีหลวงจีนรูปหนึ่งยืนอยู่ จิงเฉิงไต้
ซือส่งสัญญาณให้เขา เขารีบเดินไปเคาะระฆัง
ทันที เสียงระฆังดังไปทั่วเขา จิ้งคงไต้ซือเดินเข้า
มาในตาหนัก ฉีหนิงเองก็เดินเข้ามาเหมือนกัน
เห็นว่าภายในตาหนักนี้กว้างมาก ด้านในมี
พระพุทธรูปที่มีสีหน้าจริงจังมาก ภายในตาหนักมี
หลวงจีนแก่ๆ อีกสองคนเดินขึ้นหน้ามา ฉีหนิง
เห็นชุดของพวกเขาเหมือนกับของจิ้งคงไต้ซือ คิด
ว่าสองคนนี้น่าจะเป็นหนึ่งในสิบสามอรหันต์ก็ได้
อาจจะเป็นหลวงจีนที่มีฉายาธรรมขึ้นต้นด้วยคา
ว่าจิ้ง
จิ้งคงไต้ซือเข้าไปกระซิบกับหลวงจีนสองคนนั้น
หลวงจีนสองคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ไม่นาน
ก็มีเสียงฝีเท้าเดินมาอีก ด้านนอกตาหนักมีหลวง
จีนอีกหลายคนเดินเข้ามา ล้วนแล้วแต่เป็นหลวง
จีนที่มีอายุเกินหกสิบปี ภายในตาหนัก มีแผ่นรอง
นั่งอยู่มากมาย หลวงจีนที่เข้ามาทั้งหมดตรงเข้า
ประจาที่ จิง้ คงไต้ซือให้ฉีหนิงไปนั่งพักอยู่ข้างๆ
ประตูตาหนักก่อน เขาไม่อยากให้ฉีหนิงต้องมา
ข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็มีหลวงจีนหกเจ็ดคนเดินมา
รวมจิ้งคงไต้ซือกับคนอื่นๆ ในตาหนักก็มีประมาณ
สิบคน ฉีหนิงคิดในใจว่าไม่รู้ว่าท่านปู่สี่ตระกูลฉีจะ
อยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ ถึงแม้จะไม่ได้เข้าไปใกล้ แต่
ก็สามารถมองได้ เขาอยากรู้ว่าใครคือจิ้งฉุนไต้ซือ
เหล่าหลวงจีนสีหน้าเคร่งเครียดทุกคน ฉีหนิง
แน่ใจว่า หากเดาไม่ผิด หลวงจีนแก่สิบคนนี้น่าจะ
เป็นสิบสามอรหันต์ของวัดต้ากวงหมิง สิบสาม
อรหันต์ของวัดต้ากวงหมิงชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว
หล้า ไม่ว่าใครคนหนึ่ง ไปยืนอยู่ในยุทธภพก็ถือ
เป็นยอดฝีมือ แต่ว่าสิบอรหันต์ของวัดต้ากวงหมิง
มารวมตัวกันแบบนี้ แต่ละคนสีหน้าเคร่งเครียด ฉี
หนิงยิ่งตกใจมาก คิดในใจว่าปีศาจที่พวกเขาพูด
ถึงนั้นเป็นใครกัน ถึงทาให้สิบอรหันต์ของ
วัดต้ากวงหมิงหวาดกลัวกันได้ถึงขนาดนี้
ในตอนนี้เอง ก็เห็นมีอะไรบางอย่างพุ่งตรงมาที่
ตาหนัก จากนั้นก็เห็นหลวงจีนแก่คนหนึ่งเขาลุก
ขึ้นมาอย่างว่องไว แล้วยื่นมือออกไป ทามือเป็น
กรงเล็บเหยี่ยวเอาไว้ เมื่อมันลงมาบนพื้นแล้ว ทุก
คนก็เห็นชัดว่า สิ่งที่หลวงจีนแก่จับเอาไว้นั้น มัน
คือหลวงจีนสองคน
สิบอรหันต์ของวัดต้ากวงหมิงล้วนแต่เป็นยอด
ฝีมือ พริบตาเดียวพวกเขาก็ตั้งเป็นแถวเรียงยาว
เหล่าหลวงจีนอายุมากกันหมดแล้ว มีแต่คนผม
ขาวโพลนทั้งนั้น หลวงจีนแก่คนนั้นวางหลวงจีน
สองคนนั้นลง ทุกคนเห็นชัดแล้วว่า ทั้งสองคนนั้น
มีเลือดออกมาที่หน้าอก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตาย
ไปแล้ว
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจาก
นอกตาหนัก เสียงนั้นดังมาก เหล่าหลวงจีนพุ่ง
ทยานออกไปนอกตาหนักทันที ฉีหนิงอดตามไป
ด้านหลังไม่ได้ เมื่อมาถึงนอกประตู เขาเห็นรูปปั้น
หินอันหนึ่งตั้งอยู่ที่พื้นไม่ไกลนัก รูปปั้นนั้นดู
องอาจมาก เหมือนว่าเป็นเกราะคุ้มกาย ฉีหนิงจา
ได้ว่าตอนที่เขามายังไม่มีรูปปั้นนี้เลย ตอนนี้เขา
เห็นชัดมาก บนรูปปั้น มีคนนั่งอยู่ด้านบนสุด
เสื้อผ้าของเขาขาดหลุดลุ่ย ดูสกปรกมาก ผมของ
เขาก็ยุ่งเหยิง ร่างกายดูซูบผอม มองหน้าไม่ชัด
“มู่เย่อ๋อง” ในบรรดาหลวงจีนแก่พวกนั้น ไม่รู้ว่า
ใครพูดชื่อนี้ออกมา น้าเสียงของเขาดูตกใจมาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 561 ศึกเย่อ๋อง
ณ ลานกว้าง คนคนนั้นหัวเราะออกมาเสียงดัง
มาก เขาเงยหน้าขึ้นมา เสียงของเขาดูเศร้ามาก
“มู่เย่อ๋อง? ข้าไม่ได้ยินชื่อนี้มานานมากแล้ว ที่แท้
บนโลกใบนี้ยังมีคนจาข้าได้หรือนี่”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่แท้คนคนนี้ก็คือมู่เย่อ๋องนี่เอง
ตัวเขายังไม่เคยได้ยินชื่อของคนคนนี้มาก่อนเลย
ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นจิงเฉิงเดินขึ้นหน้ามาหนึ่ง
ก้าว แล้วตะคอกไปว่า “มู่เย่อ๋อง เจ้าเป็นคนฆ่า
ศิษย์พี่จิ้งเฉินใช่หรือไม่?”
“หลวงจีนอย่างพวกเจ้า บาเพ็ญเพียร ก็เพื่อหลุด
พ้นเร็วๆ ไม่ใช่หรืออย่างไร” มู่เย่อ๋องพูดว่า
“หลายปีที่ผ่านมา หลวงจีนเฒ่าจิ้งเฉินเทศน์ข้า
ทุกวี่ทุกวัน ทาให้ข้าไม่เหงามากจนเกินไป
หลังจากที่ข้าออกมาได้แล้ว ข้าก็แค่ช่วยให้เขา
หลุดพ้นได้เร็วขึ้น ถือว่าข้าได้ตอบแทนน้าใจของ
เขาแล้ว มู่เย่อ๋องแยกแยะบุญคุณความแค้น
ชัดเจน มีบุญก็ต้องทดแทน มีแค้นก็ต้องชาระ”
“เจ้าปีศาจร้าย” หลวงจีนอาวุโสคนหนึ่งในกลุ่ม
เดินออกมา ฉีหนิงจาเขาได้ เขาคือจิ้งเหนิงไต้ซือ
ผู้ดูแลหอศีล เขาเดินออกมาสองก้าว จิ้งคงไต้ซือก็
พูดเสียงเข้มว่า “ศิษย์น้องจิ้งเหนิง”
จิ้งเหนิงเหมือนจะมีความยาเกรงจิ้งคงมาก เขา
หยุดเดิน กาหมัดแน่น แล้วจ้องไปที่มู่เย่อ๋อง
มู่เย่อ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน
มานานกว่าสิบแปดปี พวกเจ้าเหมือนจะไม่ได้มี
อะไรก้าวหน้าเลยนะ” เขากวาดสายตามองไป
แล้วพูดว่า “คงฉานไปไหนแล้วล่ะ?”
จิ้งคงไต้ซือเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว พนามมือ แล้ว
พูดอย่างใจเย็นว่า “ประสกมู่ ตลอดสิบแปดปีที่
ผ่านมา เจ้าอยู่บาเพ็ญเพียรในวัดต้ากวงหมิง ละ
ทิ้งการเข่นฆ่า หันหน้าเข้าสู่ทางธรรม ศิษย์พี่จิ้ง
เฉินเคยบอกว่าเจ้ามีความเข้าใจในเรื่องธรรมะ
อย่างดี ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วทาไมถึงยังเลือกที่
จะจับดาบขึ้นมา แล้วก่อกรรมอีกล่ะ?”
มู่เย่อ๋องส่ายหน้า “ข้าบาเพ็ญเพียร ไม่ได้ให้เห็น
ผล แต่เพียงรักษาตัว ตอนนั้นหลวงจีนเน่าอย่าง
พวกเจ้าฉวยโอกาสลงมือ จับข้าขังเอาไว้ที่นี่ หาก
ข้าไม่ยอมอ่อนข้อ คิดว่าข้าคงตายในน้ามือของ
พวกเจ้าไปแล้ว” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้า
ถามพวกเจ้าหน่อย เป่ยกงเหลียนเฉิงตอนนี้อยู่ที่
ไหน?”
ฉีหนิงได้ยินเขาพูดถึงเป่ยกงเหลียนเฉิงก็ตกใจ คิด
ในใจว่าที่แท้มู่เย่อ๋องก็มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเป่ยกง
เหลียนเฉิงด้วย
“ที่นี่คือวัดต้ากวงหมิง เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่ได้อยู่
ที่นี่” จิงเฉิงพูดว่า “มู่เย่อ๋อง หากตอนนั้นไม่ใช่
เพราะเป่ยกงเหลียนเฉิงไม่ได้ลงมือฆ่าเจ้า วันนี้เจ้า
จะกล้ามาโอหังแบบนี้ได้หรือ? เจ้าจะหาตัวเป่ยกง
เหลียนเฉิง เจ้าคิดจะรนหาที่ตายหรือยัง
อย่างไร?”
มู่เย่อ๋องหัวเราะแล้วพูดว่า “เป่ยกงเหลียนเฉิงแล้ว
ยังอย่างไร? ตอนนั้นข้าก็แค่พลาดไป แพ้ให้กับ
หากไม่อย่างนั้น หลวงจีนเน่าๆ อย่างพวกเจ้าจะ
ฉวยโอกาสได้หรือ? สิบแปดปีที่ผ่านมา ข้า
ทบทวนมาโดยตลอด เพลงกระบี่ของเป่ยกง
เหลียนเฉิงข้าจะแก้ได้หมดแล้ว แค้นในครั้งนัน้ ยัง
อย่างไรข้าก็ยังต้องแก้แค้น”
จิงเฉิงหัวเราะแปลกๆ ออกมาเหมือนกัน “มู่เย่
อ๋อง ตอนนั้นเจ้าเองก็ถือว่าเป็นหนึ่งในจงซือ
เหมือนกัน ทาไมถูกขังตั้งสิบแปดปี กลับเลอะ
เลือนมากกว่าเดิม ผ่านมาตั้งสิบแปดปีแล้ว เป่ย
กงเหลียนเฉิงยังเป็นเป่ยกงเหลียนเฉิงแบบตอน
นั้นอีกหรือ? ดูท่าทางเจ้าจะยังไม่รู้เรื่อง เป่ยกง
เหลียนเฉิงตอนนี้คือเทพกระบี่ในตอนนี้ หนึ่งใน
ห้าต้าจงซือ ถึงเจ้าบาเพ็ญเพียรมาตั้งสิบแปดปี
เจ้าก็ไม่ใช่คู่ปรับของเขา”
เวลาที่เขาพูด เขาดูเหมือนจะเคารพยกย่องเทพ
กระบี่เป่ยกงเหลียนเฉิงอย่างมาก
“สิบแปดปี...สิบแปดปี...” มู่เย่อ๋องก้มหน้าลง
แล้วบ่นพึมพากับตัวเอง เขาเงยหน้าขึ้นมา แล้ว
ตะคอกว่า “ข้าไม่สน เป่ยกงเหลียนเฉิงอยู่ที่ไหน?
บอกที่อยู่ของเขามา ข้าอาจจะไว้ชีวิตพวกเจ้าก็ได้
ไม่อย่างนั้นวันนี้ที่นี่จะต้องนองเลือดแน่นอน”
“บังอาจเกินไปแล้วนะ” หลวงจีนรูปหนึ่งตะคอก
ขึ้นมา “มู่เย่อ๋อง ผ่านไปสิบแปดปี เจ้ายังไม่สานึก
อีก วันนี้เจ้าอย่าคิดว่าจะไปจากที่นี่ได้”
เขาพูดจบ ฉีหนิงก็เห็นคนคนนั้นลอยตัวขึ้น มู่เย่
อ๋องเคลื่อนที่ราวกับวิญญาณ เหมือนสายลมที่พัด
ใบไม้ปลิว เขาพุ่งตัวไปหาหลวงจีนสิบคนที่อยู่
ตรงหน้า จากนั้นก็ได้ยินจิ้งคงไต้ซือพูดขึ้นมาว่า
“ระวัง” เขาพุ่งออกไปรับมือคนแรก ใช้ฝ่ามือซัด
ออกไป
ฉีหนิงตกใจมาก แอบคิดในใจว่ามู่เย่อ๋องนี่ไม่รู้ฟ้า
สูงแผ่นดินต่าเลย ต่อให้วรยุทธ์ของเขาจะร้ายกาจ
แค่ไหน แต่ว่าเขาถึงกับกล้าท้าทายสิบอรหันต์คน
เดียวแบบนี้ มั่นใจในตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า
ไม่ก็คงโง่มาก
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จิ้งคงไต้ซือจะบอกว่า ในบรรดา
หลวงจีนในวัดต้ากวงหมิง นอกจากคงฉานไต้ซือ
แล้ว ไม่มีใครเป็นคู่ปรับของมู่เย่อ๋องเลย แต่ว่าสิบ
อรหันต์อยู่ตรงนี้ มู่เย่อ๋องมาคนเดียว ยังอย่างไรก็
ไม่น่าสู้ได้ จิ้งคงไต้ซือยังกังวลว่าจะหาตัวของมู่เย่
อ๋องไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่กลัวอะไร
รนมาหาถึงที่คนเดียว
ตอนนี้มีหลวงจีนของวัดต้ากวงหมิงหลายคนมา
ล้อมเขาเอาไว้แล้ว ระฆังของตาหนักใหญ่ดังขึ้น
เพื่อแจ้งเตือน หลวงจีนหลายคนที่ตั้งค่ายกลยังอยู่
ที่เดิม ส่วนคนที่เหลือก็มาที่นี่ทั้งหมด
พริบตาเดียวเท่านั้น ก็มีหลวงจีนกว่าสามร้อยคน
มารวมตัวกันที่นี่แล้ว พวกเขาขวางทางหนีของมู่
เย่อ๋องเอาไว้หมดแล้ว
มู่เย่อ๋องพูดขึ้นมาว่า “มากันได้ดี” เขาพุ่งตัวเข้า
ใส่จิ้งคง มือขวาของเขากาหมัดไว้แน่น เขาตั้งใจ
ซัดไปที่หน้าอกของจิ้งคงไต้ซือ
จิ้งคงไต้ซือออกฝ่ามือคู่ออกไป กระบวนท่าไม่ได้
พิสดารอะไรมากมาย แต่ว่ากลับมีพลังหนักแน่น
ฝ่ามือข้างหนึ่งเอียงไปทางด้านข้างของฝ่ามือมู่เย่
อ๋อง มืออีกข้างก็ทาเป็นกรงเล็บ แล้วจับไปที่
ข้อมือของมู่เย่อ๋อง อีกนิดเดียวก็จะทาสาเร็จแล้ว
มู่เย่อ๋องกลับหมนุฝ่ามือ อ้อมไปทางด้านหลังมือ
ของจิ้งคงไต้ซือแล้วจับมือของเขาแทน
ในเวลานี้ทุกคนเห็นกันหมด มู่เย่อ๋องไขว้มือซ้าย
ไปที่ด้านหลัง ใช้มือขวามือเดียวในการรับมือ
กับจิ้งคงไต้ซือ
เหล่าหลวงจีนตะลึงกันมาก พวกเขารู้ดีว่าวรยุทธ์
ของจิ้งคงไต้ซือนั้นอยู่อันดับต้นๆ ในวัดต้ากวง
หมิง เขาเรียนรู้เรื่องการต่อสู้ได้ไวมาก แต่มู่เย่อ๋อ
งกลับใช้มือข้างเดียวในการรับมือกับเขา คิดว่า
น่าจะบ้าไปแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็รู้ดีว่าปีศาจเฒ่า
คนนี้วรยุทธ์ก็ไม่ธรรมดา การที่เขาบ้าได้ขนาดนี้
แสดงว่าเขาก็ต้องมีอะไรดีแน่นอน
ไม่ผิดอย่างที่คิด มู่เย่ออ๋ งถึงแม้จะใช้แค่มือข้าง
เดียว แต่ว่าไม่ถึงสิบกระบวนท่า จิ้งคงไต้ซือกลับ
ถูกบีบจนต้องถอย
เหล่าหลวงจีนต่างมองหน้ากัน จิงเฉิงพูดขึ้นมาว่า
“เจ้าปีศาจโหดเหี้ยมรักการฆ่าฟัน วันนี้จะให้เขา
รอดออกไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่จาเป็นต้องมาพูด
เรื่องกฎเกณฑ์อะไรกับเขามาก” เขาถือคทาเหล็ก
แล้วก็บุกขึ้นหน้าไป จากนั้นก็เตรียมฟาดใส่มู่เย่
อ๋อง
ฉีหนิงรู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นใครในสิบสามอรหันต์ก็
ไม่ใช่คู่ปรับของมู่เย่อ๋อง แต่ว่าการบุกโจมตีไป
พร้อมกัน มันก็ดูเหมือนใช้กาลังมากรังแกคนคน
เดียว จิงเฉิงพูดมาแบบนี้ เพื่อไม่ให้ทุกคนรู้สึก
กังวล เขาบุกขึ้นหน้าไปก่อน จิ้งเหนิงเองก็ไม่ได้
ลังเลอีก ต่างพร้อมใจกันบุก โดยใช้วิธีของตัวเอง
มู่เย่อ๋องไม่ได้มีท่าทีที่เกรงกลัวเลย ถึงแม้จะถูก
ล้อมเอาไว้ แต่เขากลับยังดูสบายๆ เขาขยับไป
ซ้ายทีขวาที สิบอรหันต์กลับทาอะไรมู่เย่อ๋องไม่ได้
เลย อีกทั้งคนก็มากเหมือนจะแออัดด้วย
สิบสามอรหันต์ของวัดต้ากวงหมิงชื่อเสียงเกรียง
ไกรไปทั่วหล้า ไม่มีใครในใต้หล้ากล้าลงมือกับสิบ
สามอรหันต์เลย ต่อให้รวมตัวสามถึงห้าคน ก็หา
ยาก
วันนี้สิบอรหันต์ลงมือพร้อมกัน แต่ละคนถนัดวิชา
คนละอย่าง แต่ว่าร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี แต่ว่า
ดูโดยรวมแล้ว มันดูกระจัดกระจาย
ถึงแม้สิบอรหันต์จะมีใจเดียวกัน แต่ว่ามู่เย่อ๋อง
เหมือนจะอ่านออกอยู่แล้ว ช่องโหว่ของสิบ
อรหันต์ เขารู้ดี รับมือได้สบายๆ ยิ่งมีช่องโหว่ ก็
ยิ่งทาให้พวกเขาไม่สามารถรวมกันเป็นหนึ่งได้
ตอนนี้สถานการณ์วุ่นวายไปหมด มองแล้วตาก็
ลาย เหล่าหลวงจีนที่ยืนมองดูอยู่เองก็มองจนมึน
ฉีหนิงเองก็เห็นชัดเจน ยิ่งมองเขาก็ยิ่งตกใจ แอบ
คิดในใจว่ามิน่าจิ้งคงไต้ซือถึงได้กลัวมู่เย่อ๋องกัน
นัก ตอนนี้ได้เห็นกับตา มู่เย่อ๋องวรยุทธ์เหนือกว่า
ที่เขาคิดไว้มาก เขาตัวคนเดียวสามารถรับมือกับ
สิบอรหันต์ได้ แสดงว่าวรยุทธ์ในระดับนี้ อาจ
เทียบได้กับห้าต้าจงซือเลย
บรรยากาศ ณ ที่เกิดเหตุ มีลมพัดวูบไปวูบมา ฉี
หนิงขมวดคิ้วแน่น คิดในใจว่า มู่เย่อ๋องแพ้ให้กับ
เป่ยกงเหลียนเฉิง ดังนั้นถึงได้ถูกขังอยู่ที่วัดต้ากวง
หมิง แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามู่เย่อ๋องมีความแค้นอะไร
กับเป่ยกงเหลียนเฉิง
ก่อนหน้านี้เขาก็พอจะรู้เรื่องในยุทธภพมากบ้าง
เรื่องเกี่ยวข้องยอดฝีมือในยุทธภพเองเขาก็พอรู้
แต่ว่าในหัวของเขานั้น กลับไม่มีใครพูดถึงมู่เย่อ๋อง
เลย แต่ว่ามู่เย่อ๋องกลับเคยประลองกระบี่กับเป่
ยกงเหลียนเฉิง อีกทั้งฝีมือยังพอๆ กันด้วย หาก
ไม่ได้แพ้ให้กับเป่ยกงเหลียนเฉิง แม้แต่วัดต้ากวง
หมิงก็ทาอะไรเขาไม่ได้ คนแบบนี้ ไม่มีทางไม่มี
ชื่อเสียง แต่ทาไมไม่มีใครพูดถึงเขาเลยล่ะ
เขาสงสัยมาก ทันใดนั้นเองก็เหมือนจะได้ยินเสียง
ดังขึ้น มู่เย่อ๋องหัวเราะขึ้นมาดังมาก เขาคิดในใจ
ว่ามู่เย่อ๋องบ้ามาก ถูกสิบอรหันต์ล้อมไว้แบบนี้ ยัง
กล้าหัวเราะอีก วันนี้คงไม่รอดแน่ ยังไม่ได้คิด
อะไรต่อ เขาก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจ มีเงา
คนคนหนึ่งลอยปลิวออกมาจากกลุ่ม จากนั้นมู่เย่
อ๋องก็หัวเราะแล้วพูดว่า “คนแรก”
คนคนนั้นลอยปลิวมา แล้วก็ตกลงมาบนพื้น
หลวงจีนอาวุโสคนนั้นหมุนตัว แล้วใช้มือค้าไปที่
พื้น เขาเอามือจับหน้าอก ฉีหนิงเห็นหลวงจีนคน
นั้นกาลังเดินลมปราณ ที่ไหล่ของเขามีรอยเลือด
เขาถูกมู่เย่อ๋องทาร้ายจนบาดเจ็บ
ณ ลานแห่งนี้ตอนนี้มีคนมากถึงสี่ห้าร้อยคน เหล่า
หลวงจีนต่างมองหน้ากันแบบงงๆ สิบสามอรหันต์
ในสายตาของพวกเขา มันเหมือนยอดภูเขาสุง ไม่
ว่าใครคนใดคนหนึ่งก็ไม่ใช่คนธรรมดาเลย แต่ว่า
ตอนนี้เห็นสิบอรหันต์ต้องรวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับ
คนคนเดียว สถานการณ์แบบนี้ ต่อให้เป็นฝันยัง
ไม่กล้าคิดเลย พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนที่
เหมือนคนบ้าคนนี้ เป็นใครมาจากไหนกัน ทาไม
ถึงได้ทาให้หลวงจีนยอดฝีมือทั้งหมดต้องรวมตัว
กันต่อสู้กันนะ
จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นอีก มีเงาของอีกสองคน
ลอยปลิวมา มู่เย่อ๋องพูดขึ้นมาอีกว่า “คนที่สอง
คนที่สาม...ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนนั้นข้าถูกพวกเจ้าหลอก
ให้มาที่นี่ หนี้สิบแปดปี ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องคืน
ให้ข้าแล้ว คงฉาน คงฉาน เจ้าลาเฒ่า หากเจ้าไม่
ยอมออกมาอีก ข้าจะให้เลือดของศิษย์พี่น้องของ
เจ้าต้องนองเต็มพื้น...” เขายิ่งสู้ยิ่งแกร่ง ตอนนี้
เขาเหมือนกับคนบ้า ลงมือเหี้ยมโหด สิบอรหันต์
ตอนนี้เจ็บไปแล้วสามคน ซึ่งมันน่าตกใจมาก อีก
ทั้งยังต้องระวังให้มากด้วย
“เจ้าลาเฒ่าคงฉาน ข้าไม่เพียงจะฆ่าศิษย์พี่น้อง
ของเจ้าเท่านั้น แต่ว่าข้าจะฆ่าศิษย์ลูกศิษย์หลาย
ทั้งหมดของเจ้าด้วย ข้าจะทาให้วัดต้ากวงหมิง
ของเจ้าไม่เหลือใครเลย” มู่เย่อ๋องลงมือรวดเร็ว
มาก แล้วพูดว่า “วัดต้ากวงหมิง...ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นถึง
เจ้าอาวาสกลับหดหัวเหมือนเต่า ข้าว่าเปลี่ยนชื่อ
เป็นวัดเต่าหดหัวดีกว่าไหม”
ฉีหนิงรู้ดีว่าคนคนพอพูดจา ก็เหมือนคนระบาย
อารมณ์ มันไม่ได้เป็นผลดีกับตัวเขาเลย แต่ว่ามู่เย่
อ๋องไม่ได้สนใจเลย ถึงแม้เขาจะพูดอยู่ แต่ว่าเขาก็
ลงมือไม่ได้ช้าลงเลย เขาตัวคนเดียวสู้กับศัตรูนับ
ไม่ถ้วน ไม่เพียงไม่ตกเป็นรอง กลับเหนือกว่าด้วย
ซ้า ใครจะคิดว่าปีศาจร้ายอย่างเขา กลับมีความ
กล้าหาญ ที่น่านับถือมาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 562 ศัตรูใหม่แค้นเก่า
สิบอรหันต์บาดเจ็บไปสามคน แต่ก็ยังทาอะไรมู่เย่
อ๋องไม่ได้เลย พวกเขาต่างเริ่มรู้สึกหวาดกลัว
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินร้องขึ้นมาอีก เขาเห็นมู่เย่อ๋อง
ลอยตัวขึ้น ยื่นฝ่ามือออกไป จากนั้นก็จับไปที่คทา
เหล็กของจิงเฉิง จิงเฉิงเห็นดังนั้นก็ร้องคาราม
ออกมา เขาพยายามจะยกคทาเหล็กของเขาขึ้น
แต่วินาทีนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าคทาเหล็กของเขานั้น
มันร้อนดังไฟเผา เขาตกใจมาก เขารู้ดีว่าหากเขา
ปล่อยมือ มู่เย่อ๋องก็จะต้องแย่งคทาเหล็กไป
แน่นอน ถึงแม้เขาจะร้อนมือมาก แต่เขาก็ยังกัด
ฟันทน ไม่ยอมปล่อยมือ
มู่เย่อ๋องหัวเราะร่า เขาใช้อีกมือหนึ่งซัดออกไปอีก
อย่างต่อเนื่อง บีบจนหลวงจีนยอดฝีมือสองคน
ต้องล่าถอย เขากระชากมือซ้ายอย่างแรง ทาให้
จิงเฉิงถลาตัวเข้ามา มือของจิงเฉิงข้างหนึ่งจับคทา
อยู่ อีกมือก็ลองซัดออกไป เพื่อจะไปจับมู่เย่อ๋อง
ไว้ มู่เย่อ๋องหัวเราะแปลกๆ แล้วพูดว่า “ฝ่ามือ
มังกรหมุน? ฝีมือต่าต้อยแค่นี้” ทั้งคู่มือหนึ่งจับ
คทาเหล็กไว้ อีกมือหนึ่งก็สู้กันประมาณสาม
กระบวนท่าเท่านั้น มู่เย่อ๋องก็สามารถจับไปที่
ข้อมือของจิงเฉิงได้ เขาได้ยินจิงเฉิงร้องตะโกน
ออกมาด้วยความตกใจ ทุกคนเห็นมู่เย่อ๋องยกตัว
จิงเฉิงลอยขึ้นมา
การเปลี่ยนแปลงแบบนี้มาเร็วจนไม่ทันตั้งตัว
หลายคนยังมองไม่ทันเลยว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียง
แค่คนส่วนน้อยที่ตกใจอยู่ที่มองทันว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากที่มู่เย่อ๋องจับข้อมือของจิงเฉิงแล้ว ก็ออก
แรงกดไปที่จุดชีพจร ทาให้จิงเฉิงขยับไม่ได้เลย
ส่วนมู่เย่อ๋องก็รีบจับไปที่คทาเหล็กของเขา แล้ว
แย่งมันมาไว้ในมือ จากนั้นก็ใช้คทาฟาดไปที่หน้า
ท้องของจิงเฉิง มืออีกข้างหนึ่งของเขาจับไปที่
ข้อมือของจิงเฉิง เขายกคทาขึ้นสูง แล้วยกตัวจิง
เฉิงลอยอยู่กลางอากาศ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เหล่าหลวงจีนผู้ใหญ่ต่าง
ตกใจมาก เห็นจิงเฉิงถูกมู่เย่อ๋องจับตัวเอาไว้
พริบตาเดียวพวกเขาก็ไม่กล้าขยับไม่กล้าโจมตี ทา
ได้แค่ล้อมเขาเอาไว้เท่านั้น
มู่เย่อ๋องหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “วัดต้ากวง
หมิงวัดอันดับหนึ่งในใต้หล้า มีหลวงจีนยอดฝีมือ
ตั้งมากมาย ตอนนี้ข้ากลับมีหลวงจีนยอดฝีมืออยู่
ในมือคนหนึ่ง เก่งยิ่งกว่าใครด้วย” น้าเสียงของ
เขา ทั้งไม่พอใจแล้วก็ประชดประชัน
“มู่เย่อ๋อง เจ้า...เจ้าปล่อยศิษย์พี่จิงเฉิงลงมา
เดี๋ยวนี้นะ” จิ้งเหนิงตะคอก
มู่เย่อ๋องไม่ได้สนใจ เขาตะคอกว่า “วัดต้ากวงหมิง
อาศัยว่ามีราชสานักหนุนหลัง เลยทะยานมาเป็น
วัดอันดับหนึ่ง หากเรื่องไหนในยุทธภพ ที่ไม่ถูกใจ
พวกเจ้า ก็อาศัยชื่อเสียงตรงนี้ใช้อานาจหาเหตุผล
เหมือนกับว่าพออยู่ในมือของหลวงจีนอย่างพวก
เจ้าแล้ว เจ้าจะบอกว่าใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่
ฮ่าฮ่าฮ่า...ตอนนี้คนของเจ้าอยู่ในกามือของข้า
วันนี้ข้าก็จะมาพูดเรื่องความเป็นธรรมกับเจ้า
บ้าง”
เหล่าหลวงจีนพนมมือ จิ้งคงไต้ซือพูดว่า “ประสก
มู่ สิบแปดปี ความชั่วร้ายในตัวของเจ้า เหมือนมัน
จะไม่ได้ลดลงเลยนะ”
“อย่ามาพูดมาก” มู่เย่อ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ตอน
นั้นข้าท่องไปทั่วยุทธภพ ข้าอยากจะทาอะไรข้าก็
จะทา หลวงจีนเน่าอย่างพวกเจ้าต่อขังตัวข้าได้สิบ
แปดปี พวกจ้าคิดว่าจะขังใจข้าได้หรือยังไง?”
สายตาของเขาเหมือนกับคมดาบ เขาพูดว่า “ใน
เมื่อพวกเจ้าเป็นห่วงคนร่วมสานักของเจ้า มา
คุกเข่าให้ข้าสิ จริงสิ ให้ศิษย์ลูกศิษย์หลานของ
พวกเจ้าทั้งหมดคุกเข่าให้ข้า หากทาให้ข้าพอใจ
ข้าก็จะไว้หน้าสักครั้ง ปล่อยเจ้าหลวงจีนนี่ไป”
พูดจบ เขาก็หัวเราะเสียงดัง
เหล่าหลวงจีนสีหน้าเปลี่ยนไป
มู่เย่อ๋องวรยุทธ์สูงมาก แต่ว่าเงื่อนไขแบบนี้ใครจะ
ไปรับได้
ที่นี่คือวัดต้ากวงหมิง เป็นผู้นาทางศาสนา วันนี้สิบ
อรหันต์ร่วมมือกันสู้กับมู่เย่อ๋อง ไม่เพียงเอาชนะ
เขาไม่ได้ แม้แต่ตัวพวกเขาเองยังบาดเจ็บด้วย จิง
เฉิงไต้ซือที่เป็นที่เคารพนับถือ ตอนนี้กลับถูกยก
ลอยตัวขึ้นเหนือหัวของมู่เย่อ๋อง ดูน่าอนาถมาก
ในตอนนี้หากมีหลวงจีนบางส่วนคุกเข่าให้กับมู่เย่
อ๋องจริงๆ แล้วเรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของ
วัดต้ากวงหมิงคงจบสิ้นแล้ว อาจไม่มีที่ยืนในยุทธ
ภพเอง
มีหลวงจีนหลายคนมองไปที่จิ้งคงไต้ซือ
สิบสามอรหันต์ เจ้าอาวาสคงฉานไต้ซือใหญ่ที่สุด
รองลงมาคือจิ้งเฉินไต้ซือ ส่วนจิ้งคงไต้ซืออยู่ใน
อันดับที่สาม ตอนนี้ไม่เห็นหน้าคงฉานไต้ซือ ส่วน
จิ้งเฉินไต้ซือก็ถูกสังหารไปแล้ว ตอนนี้ก็มีจิ้งคงไต้
ซือที่มีอานาจมากที่สุด
แต่ว่าก็มีหลวงจีนอาวุโสหลายคนที่ตัดสินใจแล้ว
ว่าต่อให้มู่เย่อ๋องอยากจะสังหารจิงเฉิง ก็จะไม่มี
ทางคุกเข่าให้เขาเด็ดขาด ชีวิตของจิงเฉิงสาคัญก็
จริง แต่ว่าชื่อเสียงของวัดต้ากวงหมิงก็จะไม่สนใจ
ไม่ได้ วัดต้ากวงหมิงมีเกียรติอย่างวันนี้ได้ ต้อง
สะสมมานานเท่าไหร่ หากวันนี้คุกเข่า ทุกอย่างที่
ทามาก่อนหน้านี้เท่ากับสูญเปล่า
มู่เย่อ๋องเห็นเหล่าหลวงจีนลังเล ก็หัวเราะแล้วพูด
ว่า “หลวงจีนจิ้งเฉินเคยบอกกับข้าว่า ความโลภ
ในชื่อเสียง เป็นสิ่งที่น่ากลัว การบาเพ็ญเพียร
ศึกษาธรรมะ ก็เพื่อมองให้ปลงเรื่องนี้ได้ หลวงจีน
อย่างพวกเจ้าไม่ยอมคุกเข่าสักที แสดงว่าคิด
อยากจะรักษาชื่อเสียงของวัดต้ากวงหมิงเอาไว้
เพื่อชื่อเสียง ไม่สนใจความเป็นความตายของพวก
พ้อง ไม่เป็นการตบหน้าตัวเองไปหน่อยหรือ? ฮ่า
ฮ่าฮ่า...”
เขาพูดจบ ก็มีเสียงดังขึ้นมาว่า “ประสกมู่พูดผิด
แล้ว หากเพื่อช่วยเหลือสรรพสิ่ง การคุกเข่า
สาหรับนักบวชอย่างเราแล้ว มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
เลย แต่ว่าประสกมู่ต้องการรังแกกัน วัดต้ากวง
หมิงไม่มีทางยอมอยู่แล้ว” น้าเสียงนี้ค่อนข้างมี
พลังอานาจ
ฉีหนิงได้ยินเสียงนี้คาแรก มันเหมือนว่าเขาเคยได้
ยินที่ไหนมาก่อน เขาหันกลับไปมอง เขารู้สึกได้ว่า
มีเงาชุดเทาวิ่งผ่านหน้าไป เมื่อพูดจบ เสียงนั่นก็
อยู่กลางลานแล้ว เสียงที่พูดออกมามันไม่ได้ดัง
กังวานมาก แต่มันก็เพียงพอที่จะทาให้ทุกคนได้
ยินชัดเจน
เหล่าหลวงจีนมองไป เงาสีเทาลงมาจากฟ้า ลอย
มายืนอยู่ตรงหน้าของเหล่าหลวงจีนอาวุโส เขา
รูปร่างผอมสูง เมื่อเทียบกับหลวงจีนอาวุโสคนอื่น
เขาสูงกว่ามาก หนวดเคราขาวโพลน เหล่าหลวง
จีนจาได้ในทันที เขาคือเจ้าอาวาสวัดต้ากวงหมิง
คงฉานไต้ซือ
มู่เย่อ๋องเห็นคงฉานไต้ซือลงมาจากฟ้า เขาก็ยิ้ม
แล้วพูดว่า “คงฉาน เจ้าออกมาจนได้นะ”
“ประสกมู่ หากข้าจาไม่ผิด ตอนนี้เจ้าก็น่าจะอายุ
หกสิบเก้าปีแล้ว อีกแค่ปีเดียว ก็จะอายุเจ็ดสิบ”
เสียงของคงฉานดูอ่อนโยนแต่ก็มีพลัง “คนเรา
อายุเจ็ดสิบก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ประสกมู่อยู่บาเพ็ญ
เพียรที่วัดกว่าสิบแปดปี ตามความคิดของข้า หาก
ผ่านไปอีกสักสองปี เมื่อประสกมู่อยู่ที่วัดครบยี่สิบ
ปี ก็จะปล่อยเจ้าลงเขา”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้น เขาก็ตกใจมาก แอบคิดในใจ
ว่ามู่เย่อ๋องอายุมากขนาดนี้เลยหรือ
คนเราอายุเจ็ดสิบก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง อายุขนาดนี้
แล้ว แต่กลับมีวรยุทธ์แบบนี้ได้ เขาร้ายกาจมาก
จริงๆ เมื่อกี้เห็นพวกเขาต่อสู้กัน มู่เย่อ๋องรวดเร็ว
ว่องไวมาก ดูไม่ออกเลยว่าเขาจะอายุมากขนาดนี้
แล้ว
แต่ว่าสิบสามอรหันต์เองก็อายุมากแล้วเหมือนกัน
วรยุทธ์ก็ไม่ได้ด้อย แสดงว่าการฝึกวรยุทธ์ มัน
ไม่ได้เกี่ยวกับเวลากับอายุเลย
ก่อนหน้านี้ได้ยินจิ้งคงไต้ซือบอกว่าคงฉานไต้ซือมี
อาการบาดเจ็บรบกวน ไม่สามารถดูแลเรื่องภาย
ในวัดได้ แต่ว่าตอนที่คงฉานไต้ซือลอยตัวลงมา
เขาไม่เหมือนคนไม่สบายหรือว่ามีอาการบาดเจ็บ
อะไรเลย เขาคิดในใจว่าหรือว่าจิ้งคงไต้ซือจะ
หลอกเขา มีแต่คนบอกว่าคนออกบวชไม่พูดโกหก
แต่ว่าจิ้งคงไต้ซือ พูดโกหกมาทีแทบจะไม่ได้มี
ความละอายใจเลย ตาเฒ่าหลวงจีนนั่นก็หน้าด้าน
เกินไปแล้ว
“คงฉาน เจ้าไม่ต้องมาเสแสร้ง ในสายตาคนอื่น
เจ้าอาจจะเป็นหลวงจีนที่น่านับถือ แต่ว่าใน
สายตาของข้า เจ้าก็เป็นแค่คนเจ้าเล่ห์ชั่วช้าคน
หนึ่งเท่านั้น” มู่เย่อ๋องพูดจาไม่ได้เกรงใจเลย เขา
พูดต่อว่า “ข้าถูกเจ้าจับขังมากว่าสิบแปดปี เจ้า
พูดอะไรง่ายๆ เจ้าคิดว่ารอยแค้นตลอดสิบแปดปี
มันจะหายไปง่ายๆ แบบนี้หรือ?”
คงฉานไต้ซือถอนหายใจแล้วพูดว่า “ประสกมู่
เจ้าหลุดออกมาได้แค่วันเดียว วัดต้ากวงหมิงของ
เราก็นองไปด้วยเลือดไม่รู้ว่ากี่ศพ ตลอดสิบแปดปี
ที่ผ่านมาศิษย์น้องจิ้งเฉินเทศนาธรรมให้เจ้าทุก
เดือนไม่เคยขาด ก็ถือว่ามีสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์กับ
เจ้า แต่ว่าเจ้ากลับแอบสังหารเขา ความชั่วช้า
แบบนี้ ข้าจะกล้าปล่อยเจ้าไปได้ยังไง?”
“หากตอนนั้นไม่ใช่เพราะพวกเจ้ายื่นมือเข้ามา
แทรก สถานการณ์ก็คงไม่ใช่แบบวันนี้แน่” มู่เย่
อ๋องพูดว่า “ตอนนั้นข้ากับวัดต้ากวงหมิงของพวก
เขาไม่มีความแค้นต่อกัน คนในใต้หล้าบอกว่า
วัดต้ากวงหมิงของพวกเจ้ามีเมตตา ข้านับถือพวก
เจ้าพอตัว ไม่เคยคิดจะล่วงเกิน แต่ว่าพวกเจ้ากับ
เข้ามายุ่ง ข้าไม่ได้หาเรื่องพวกเจ้า พวกเจ้ากลับมา
หาเรื่องข้า วันนี้คนที่ฆ่าไปพวกเจ้าก็สมควร
ได้รับ”
คงฉานไต้ซือพนมมือ แล้วพูดว่า “อมิตาพุทธ”
เหล่าหลวงจีนก็พนมมือขึ้นแล้วพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“คงฉาน เจ้าไม่ต้องพูดมาก” มู่เย่อ๋องพูดว่า
“ตอนนั้นข้าฆ่าไปแปดคน พวกเจ้าก็ไล่ล่าตัวข้า
สุดท้ายฉวยโอกาส จับข้าขังเอาไว้สิบแปดปี วันนี้
ข้าฆ่าคนไปแปดคน ข้าอยากจะรู้ว่า พวกเจ้าจะ
ทาอะไรกับข้าอีก”
ฉีหนิงตะลึงไป เขาเข้าใจตอนนี้ว่า มู่เย่อ๋องฆ่าคน
ในวัดรวมจิ้งเฉินไต้ซือแล้วแปดคน มันเกี่ยวข้อง
กับเรื่องในอดีตด้วย
หลวงจีนอาวุโสคนหนึ่งตะคอกขึ้นมาว่า “มู่เย่อ๋อง
เจ้าสังหารคนบริสุทธิ์ ยังจะกล้าพูดอีกหรือ”
“แปดคนในตอนนั้น ถึงแม้ข้าจะเป็นคนฆ่า แต่ก็
เป็นเพราะเป่ยกงเหลียนเฉิง” มู่เย่อ๋องพูดว่า
“แปดคนในวันนี้ ก็เหมือนกับตอนนั้น คนที่ตาย
ด้วยมือข้า ก็เป็นเพราะพวกเจ้า”
ฉีหนิงฟังจนมึนไปหมด แอบคิดในใจว่าคนที่มู่เย่
อ๋องฆ่าในตอนนั้น มันเกี่ยวอะไรกับเป่ยกงเหลียน
เฉิง?
คงฉานไต้ซือพูดว่า “ประสกมู่ ละดาบลง หันหน้า
เข้าทางธรรมเถอะ ความชั่วร้ายของเจ้ายังไม่
ลดลงเลย ข้าอยากขอให้เจ้าอยู่บาเพ็ญตนต่อไป
หากวันหนึ่งที่เจ้าบรรลุในรสพระธรรมแล้ว ก็ใช่ว่า
จะไม่มีโอกาสลงเขา”
มู่เย่อ๋องหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้ายังคิดจะขังข้าอีก
สิบแปดปีหรือ? หึ อย่าว่าแต่สิบแปดปีเลย ต่อให้
อีกแปดปี ข้าก็อาจจะไม่มีชีวิตรอด ข้าอดทนรอ
มากว่าสิบแปดปี ก็เพื่อวันนี้ เพื่อจะทาเรื่องที่ติด
ค้างเอาไว้ให้สาเร็จ คงฉาน เจ้าก็น่าจะรู้ดี ข้าไม่ได้
อยากฆ่าคน ในเมื่อออกมาแล้ว ข้าขอแค่สองชีวิต
ก็พอ ต่อให้ข้าตายก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว”
คงฉานไต้ซือถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดูท่า
ประสกมู่ไม่คิดจะกลับฝั่งแล้วสินะ”
“ไม่ต้องพูดมาก” มู่เย่อ๋องพูดว่า “หากเจ้าไม่ตาย
ข้าก็ไม่สบายใจ เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่ตาย ข้าตาย
ตาไม่หลับ” เขาเดินขึ้นหน้าสองก้าว แล้วพูดว่า
“คงฉาน ผ่านมาสิบแปดปี ข้าอยากจะรู้ว่า วร
ยุทธ์ของเจ้าก้าวหน้าไปแค่ไหน” เขาพูดจบ เขาก็
สะบัดมือที่ถือคทาเหล็กออกไปอย่างแรง จิงเฉิงที่
ลอยอยู่กลางอากาศ ก็ปลิวมาหาคงฉานไต้ซือ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 563 วิชาแยกร่าง
จิงเฉิงไต้ซือลอยลงมาจากอากาศ จิ้งคงไต้ซือพุ่ง
ตัวออกไป มู่เย่อ๋องเหมือนเงาเลย ขณะที่จิงเฉิง
ปลิวมา เขาก็มาถึงพอดี จิ้งคงกาลังจะไปรับตัวจิง
เฉิง มู่เย่อ๋องกลับพุ่งเข้ามา ซัดใส่ด้านหลังของจิง
เฉิงหนึ่งที จากนั้นก็ซัดใส่จิ้งคง
ในเวลานี้ จิ้งคงเองก็ซัดมือเข้าหามู่เย่อ๋อง ฝ่ามือนี้
ซัดออกไปเต็มแรง มู่เย่อ๋องเห็นเงาของคงฉาน
กาลังบุกมาทางด้านหลังของจิ้งคง เขาก็ไม่กล้า
ประมาท เขาเลยซัดฝ่ามือทางด้านซ้ายออกไป
พร้อมกับการซัดมือขวาออกไป เขาดันมือซ้าย
ออกไปก่อน จากนั้นต่อด้วยมือขวา ฝ่ามือทั้งสอง
ข้างสลับกันไปมา มันแปลกประหลาดมาก
คงฉานซัดฝ่ามือทั้งสองข้างออกไป จนเกิดลมพัด
ไปมาอย่างแรง มู่เย่อ๋องอยู่กลางอากาศ ทั้งรับทั้ง
รุก พริบตาเดียวก็สู้กันไปถึงสิบกระบวนท่า
จิ้งคงรับจิงเฉิงได้แล้ว เขาลอยตัวลงมาถึงพื้น แล้ว
วางจิงเฉิงลง จากนั้นก็เหลือบไปมองด้านข้างแล้ว
พูดว่า “ศิษย์น้องจิ้งฮุ่ย”
มีหลวงจีนอาวุโสคนหนึ่งเดินออกมาจากแถว เขา
ใช้นิ้วชี้ สกัดไปที่จุดหลายจุดที่อยู่บนร่างกาย จิง
เฉิงถูกสกัดจุด ชีพจรคลายตัว สิบสามอรหันต์แต่
ละคนมีความเชี่ยวชาญไม่เหมือนกัน จิ้งฮุ่ยเป็น
ผู้เชี่ยวชาญด้านชีพจร จิ้งคงกังวลว่ามู่เย่อ๋องจะจี้
จุดที่ซับซ้อน เลยให้จิ้งฮุ่ยมาเป็นคนคลายจุดให้
เหล่าหลวงจีนเห็นจิงเฉิงคลายจุดแล้ว สามารถ
เคลื่อนไหวได้เหมือนเดิม ไม่มีอะไรผิดปกติ ถึงได้
วางใจกัน
จิงเฉิงสีหน้าแย่มาก วันนี้เขาถูกมู่เย่อ๋องยกตัว
ลอย เขาอับอายมาก ในเวลานี้เขาทั้งโกรธทั้งอาย
คิดอยากจะเข้าไปช่วย เห็นคงฉานกับมู่เย่อ๋อง
ต่อสู้กันอยู่ เขาเลยไม่กล้าทาอะไร
เหล่าหลวงจีนที่อยู่ตรงนั้นทุกคน เห็นคงฉานไต้
ซือลงมืออย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างเคร่งเครียด
หากบอกว่าสิบสามอรหันต์เป็นเหมือนยอดเขาสูง
ที่ขึ้นถึงยาก คงฉานไต้ซือก็ไม่ต่างอะไรกับเทพเจ้า
หลวงจีนทุกคนเชื่อว่า ในใต้หล้านี้ นอกจากต้า
จงซือห้าคนแล้ว ก็ไม่มีใครเป็นคู่ปรับของคงฉาน
ใต้ซืออีก อีกทั้งยังมีคนไม่น้อยที่รู้สึกว่าต่อให้ต้า
จงซือทั้งห้าออกหน้าลงมือ คงฉานไต้ซือก็อาจจะ
ไม่ได้ด้อยกว่า
ตอนนี้ทั้งคู่ต่อสู้กัน แตกต่างกับมู่เย่อ๋องกับ
อรหันต์ทั้งสิบเมื่อกี้มาก
ทั้งคู่สู้กันอย่างรวดเร็วว่องไว หลายคนเห็นแค่เงา
โฉบไปโฉบมา เหมือนสายฟ้าฟาด แยกไม่ออกเลย
ว่าใครออกกระบวนท่าอะไร
มู่เย่อ๋องกับคงฉานไต้ซือต่างก็เป็นยอดฝีมือชั้นสูง
ทั้งคู่รู้จักความสามารถของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ไม่
มีใครประมาทเลย กระบวนท่าของทั้งคู่ดูธรรมดา
แต่ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่เพียง
รวดเร็วดังสายฟ้า อีกทั้งยังพิสดาร ทาให้อีกฝ่าย
ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะต้องรับมือยังไง
เมื่อมาถึงระดับนี้แล้ว ก็ไม่ได้สนใจกระบวนท่า
แต่สนใจที่พละกาลังและโอกาส
ทั้งสองสู้กัน เมื่อมีโอกาส ก็จะได้เปรียบทันที เมื่อ
ถูกอีกฝ่ายควบคุมสถานการณ์ได้ แค่พลาดทีเดียว
ก็ทาให้อีกฝ่ายได้โอกาสทันที ทั้งคู่เป็นยอดฝีมือ ก็
ต้องต่อสู้อย่างเต็มที่ แต่ก็กังวลว่าจะตกเป็นรอง
ทั้งคู่ไม่ได้ออกกระบวนท่าที่ซับซ้อนอะไรมากมาย
วรยุทธ์ต่างถึงจุดสูงสุดกันทั้งคู่แล้ว ท่าทางหนึ่ง
กระบวนท่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้แหลกหลาย
การโจมตี เพียงแต่พวกเขาลงมือกันอย่างรวดเร็ว
คนปกติออกครึ่งกระบวนท่า เท่ากับพวกเขาลง
มือไปสี่ห้ากระบวนท่าแล้ว เพราะอย่างนี้ เลยทา
ให้ดูเหมือนลายตา ต่อให้เป็นจิ้งคงไต้ซือ ก็ดูจน
ตาลาย
จิ้งคงไต้ซือสีหน้าเคร่งเครียด ขมวดคิ้วด้วยความ
กังวล ในบรรดาเหล่าหลวงจีนอาวุโส ต่างมีสีหน้า
เช่นเดียวกับจิ้งคงหลายคน พวกเขาต่างมีสีหน้าที่
กังวล
ฉีหนิงกาลังภายในร้ายกาจมาก เขาพอจะมอง
สถานการณ์ออก ตอนนี้คงฉานไต้ซือตั้งหลักอยู่
กับที่ มู่เย่อ๋องกลับเคลื่อนที่ราวกับพายุ อ้อมไป
อ้อมมารอบตัวของคงฉานไต้ซือ พริบตาเดียว ก็
ซัดฝ่ามือใส่คงฉานไต้ซือกว่าสิบฝ่ามือแล้ว คงฉาน
ไต้ซือสะบัดจีวรขึ้นใช้มือทั้งสองข้างรับฝ่ามือของ
เขา มู่เย่อ๋องก็อ้อมไปอีกข้าง เขาเคลื่อนที่ไปทั่ว
ราวกับงู เห็นสถานการณ์ดังนั้น มู่เย่อ๋องก็คือฝ่าย
รุก ส่วนคงฉานไต้ซือก็คือมีทั้งรุกและรับ
ลานกว้างขวางมาก นอกจากเสียงที่ทั้งสองต่อสู้
กัน ก็ไม่ได้มีเสียงอะไรอีก
ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงของคงฉานไต้ซือร้อง
คารามราวกับราชสีห์ออกมา ฉีหนิงเห็นคงฉานไต้
ซือที่เดิมที่ยืนตั้งมั่นอยู่ เหมือนจะแยกกระเด็น
ออกมา ซ้ายคนขวาคน
ฉีหนิงตาโต เขาคิดว่าเขาตาฝาด
มีแค่คนเดียวชัดๆ ทาไมถึงได้มีคงฉานไต้ซือสอง
คนได้ ด้วยความตกใจ เขาก็เห็นเงาสองคนนั้น
แยกออกเป็นสี่คน ตอนนี้มีคงฉานไต้ซือถึงสี่คนอยู่
ณ ลานต่อสู้ มันไม่น่าเชื่อเลย เงาทั้งสี่วนรอบตัวมู่
เย่อ๋องลงมืออย่างรวดเร็วว่องไว มู่เย่อ๋องตกใจแต่
ไม่รนราน รับมืออย่างเต็มที่
ฉีหนิงตาโต เห็นคงฉานไต้ซือเหมือนจะแยกตัว
ออกเป็นสองคน อีกทั้งพริบตาเดียวก็กลายเป็นสี่
คน เมื่อมองดีๆ ก็เหมือนจะมีเงาของสามคน เขา
ตกใจมาก แต่ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา มัน
ไม่ใช่ว่าคงฉานไต้ซือมีวิชาร่างมารหรอก แต่ว่าเจ้า
อาวาสวัดต้ากวงหมิงคนนี้มีความเร็วในการลงมือ
ที่น่าตกใจมาก วรยุทธ์ของเขาร้ายกาจมาก เงาทั้ง
สี่นั้นไม่ใช่ร่างจริง แต่เป็นภาพที่เกิดจากความเร็ว
ของเขา
“นั่นมัน...นั่นมันวิชาแยกร่างนี่นา” ฉีหนิงได้ยิน
หลวงจีนอาวุโสคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
ทันใดนั้นเองก็เห็นมู่เย่อ๋องถอยหลังไปสองก้าว คง
ฉานไต้ซือเหมือนเงาที่ลอยไปลอยมา เขาลงมือ
ต่อเนื่องอีกหลายครั้ง มู่เย่อ๋องถอยหลังอย่างต่อ
เนื่อง เมื่อเห็นสถานการณ์พลิกมาแบบนี้ หลาย
คนก็ตกใจ ฉีหนิงเห็นอยู่เต็มตา ตอนนี้คงฉานไต้
ซือเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
มู่เย่อ๋องไม่ใช่คนธรรมดา เขาถอยหลังหลายก้าว
แต่ก็ยังสามารถรับมือได้อย่างแข็งแกร่ง เขาซัดทั้ง
หมัดทั้งลูกเตะออกไป คงฉานไต้ซือถอยหลังบ้าง
มู่เย่อ๋องตอบโต้กลับในตอนที่เขากาลังตกที่นั่น
ลาบาก
คงฉานไต้ซือนิ่งมาก พริบตาเดียว เขาก็รุกบีบเข้า
ไปอีก ตอนนี้เขาแยกตัวออกเป็นสี่ มู่เย่อ๋องร้อง
ตะโกนจากนั้นก็รุกเข้าใส่ เขาลอยผ่านศีรษะของ
คงฉานไต้ซือไป คงฉานไต้ซือพลิกตัวกลับมา ยื่น
มือไปจับ มู่เย่อ๋องลอยอยู่กลางอากาศ เขาเตะขา
ใส่หลายครั้ง คงฉานไต้ซือใช้มือรับ เขาสู้กันอยู่
หลายกระบวนท่า มู่เย่อ๋องดีดตัวบนฝืมือของคง
ฉาน ทาให้ตัวเขาลอยไปทางด้านหลัง เหล่าหลวง
จีนวัดต้ากวงหมิที่ยืนอยู่แถวแรกที่ถือกระบอง
เห็นมู่เย่อ๋องลอยตัวมา เหล่าหลวงจีนไม่ลังเล มี
คนตะโกนออกมาว่า “เขาคิดหนี อย่าให้เขาหนี
ไป”
พริบตาเดียว เหล่าหลวงจีนหลายสิบคนก็เดิน
หน้าขึ้นมา กระบองในมือต่างชี้ไปที่มู่เย่อ๋อง
มู่เย่อ๋องหัวเราะน่า เขาคารามเสียงออกมา เขา
เคลื่อนที่รวดเร็วมาก เขาพุ่งตัวไปที่กลุ่มคน
พริบตาเดียวมีคนร้องแตกตื่นกันเสียงดังมาก
มู่เย่อ๋องพุ่งตัวเข้าใส่กลุ่มคน มือทั้งสองตวัดไปทั่ว
พริบตาเดียวมีคนบาดเจ็บเพราะเงือมมือเขาถึงสิบ
กว่าคน คงฉานไต้ซือตามไป แต่ว่าพอเคลื่อนที่
ออกไปไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดอยู่กับที่ ร่างกายของ
เขาเซไปเซมา ฉีหนิงมองมาจากที่ไกลๆ เขานึก
แปลกใจ จิ้งคงไต้ซือกับเหล่าหลวงจีนอาวุโสรีบ
เดินเข้าไปหา
มู่เย่อ๋องสังหารคนเหมือนหว่านเมล็ดพืช เหล่า
หลวงจีนเห็นเขาโหดร้าย ต่างก็หลบ มีคนตะโกน
ขึ้นมาว่า “ตั้งค่ายกล” เหล่าหลวงจีนฝ่ายบู๊กว่า
สิบคนถือกระบองยาว ยืนสลับไปมา เหมือนกาลัง
จะตั้งค่ายขังมู่เย่อ๋องเอาไว้ มู่เย่อ๋องทาร้ายคนไป
กว่าสิบคน เขาดีดตัวลอยขึ้น แล้วจับมือหลวงจีน
คนหนึ่งเอาไว้ แต่เขาไม่ได้ทาร้าย เขาจับแขน
หลวงจีนคนนั้น จากนั้นก็เหยียบหัวหลวงจีนคน
อื่น คิดอยากจะฝ่าค่ายกลออกไป
แต่ว่าวัดต้ากวงหมิงก็ไม่ใช่สถานที่ธรรมดาทั่วไป
มู่เย่อ๋องสังหารทาร้ายเหล่าหลวงจีน วงนอกก็มี
เหล่าหลวงจีนตั้งวงล้อมขวางไว้อีกหลายชั้น มู่เย่
อ๋องวรยุทธ์ร้ายกาจและประหลาด แต่ว่าหากจะ
ฝ่ากลุ่มคนจานวนมากขนาดนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
มู่เย่อ๋องเหมือนจะรู้ เขาเหยียบหัวของเหล่าหลวง
จีนแล้วหันกลับมาอีกครั้ง แล้วพุ่งกลับมาทาง
ตาหนักใหญ่อีกครั้ง
ฉีหนิงเห็น จิ้งคงไต้ซือกับเหล่าหลวงจีนอาวุโส
ล้อมตัวคงฉานไต้ซือเอาไว้ ส่วนหลวงจีนอาวุโสอีก
บางส่วนก็กาลังรุกเข้าใส่มู่เย่อ๋อง
มู่เย่อ๋องเหยียบหัวเหล่าหลวงจีน แล้วพุ่งเข้าใส่
หลวงจีนอาวุโสคนหนึ่ง เขาหัวเราะแล้วพูดว่า
“คงฉาน เจ้าใช้คนจานวนมากมารังแกข้า วันนี้ข้า
จะไม่หาเรื่องเจ้าแล้วก็ได้ ไว้อีกสักสองสามวัน ข้า
ค่อยกลับมาเอาชีวิตเจ้า” เขาพุ่งไปที่ตาหนักใหญ่
ตอนนี้ฉีหนิงยืนอยู่หน้าตาหนัก เขาแปลกใจมาก
เมื่อกี้เขาเห็นว่าคงฉานไต้ซือได้เปรียบชัดๆ ด้วย
ฝีมือของคงฉานไต้ซือ ไม่มีทางยอมให้มู่เย่อ๋องหนี
รอดไปได้ แต่ว่ามู่เย่อ๋องไม่เพียงเอาตัวรอดจาก
การต่อสู้ได้ อีกทั้งยังสังหารคนไปกว่าสิบคน คง
ฉานไต้ซือกลับยืนอยู่เฉยๆ ไม่ได้เคลื่อนไหว มัน
แปลกมาก
ตอนนี้มู่เย่อ๋องกาลังพุ่งตัวมาที่เขา เขาเข้าใจทันที
ที่ลานกว้างมีหลวงจีนอยู่มากมาย ยืนซ้อนกันเป็น
ชั้นๆ เพราะพวกเขาตั้งค่ายกลเอาไว้ มู่เย่อ๋อง
ถึงแม้จะมีความกล้า แต่เพราะเขามาตัวคนเดียว
คิดจะฝ่าค่ายกลของหลวงจีนนับร้อยออกไป แต่
ว่ามีใจแต่ไม่มีกาลังมากพอ เขาถึงได้วกกลับมาที่
ตาหนักใหญ่ คิดอยากจะหนีออกไปทางนี้
ฉีหนิงรู้ดีว่าด้วยวรยุทธ์ของเขา ไม่น่าจะขวางมู่เย่
อ๋องไว้ได้ เขากาลังลังเลอยู่ เขากลับเห็นหลวงจีน
ที่มู่เย่อ๋องจับมือเอาไว้คนนั้นหน้าคุ้นมาก ทันใด
นั้นเองเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า หลวงจีนนั่นถึงแม้จะ
หัวโล้นแต่ก็โครงหน้ามันก็คือฉีอวี้ ฉีหนิงตกใจ
มาก มู่เย่อ๋องผ่านหน้าเขาไป แทบจะไม่มองมาที่
เขาเลย แสดงว่าเขาไม่เห็นฉีหนิงอยู่ในสายตาเลย
ฉีหนิงตกใจมาก
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า มู่เย่อ๋องจะจับตัวฉีอวี้หนีไป ที่
ลานนี้มีคนมากกว่าสี่ร้อยคน ทุกคนไม่มีผมหมด
แต่มู่เย่อ๋องกลับจับตัวฉีอวี้
ทันใดนั้นก็ได้ยินจิ้งคงไต้ซือตะโกนขึ้นมาว่า “ล้อม
วัดต้ากวงหมิงไว้ทั้งหมด อย่าให้เจ้าปีศาจมันหนี
ไปได้” เหล่าหลวงจีนต่างแยกย้ายกันไปล้อม
วัดต้ากลวงหมิงเอาไว้
มีคนหลายคนวิ่งผ่านหน้าฉีหนิงไป ฉีหนิงขมวดคิ้ว
หนักมาก เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 564 พรสวรรค์ที่โง่เขลา
เหล่าหลวงจีนวัดต้ากวงหมิงล้อมตาหนักใหญ่
เอาไว้หมด หลวงจีนฝ่ายบู๊กลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปใน
ตาหนักใหญ่ แล้วตามค้นหาตัวมู่เย่อ๋องในตาหนัก
ฉีหนิงไม่ได้เข้าไปร่วมด้วย ถึงแม้มู่เย่อ๋องกับเป่ย
กงเหลียนเฉิงจะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่วันนี้มัน
เป็นความแค้นระหว่างมู่เย่อ๋องกับวัดต้ากวงหมิง
ฉีหนิงไม่อยากเข้าไปยุ่ง
ทันใดนั้นแองเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขา
มองไปที่ลานกว้าง คิดอยากจะดูอาการของคง
ฉานไต้ซอื แต่ว่า ณ ลานกว้าง ไม่มีเงาของคงฉาน
ไต้ซือแล้ว ไม่เพียงแค่คงฉาน แม้แต่จิ้งคงไต้ซือกับ
เหล่าหลวงจีนอาวุโสก็หายไปกันหมด ฉีหนิง
แปลกใจมาก แอบคิดในใจว่าสถานการณ์วุ่นวาย
ขนาดนี้ คงฉานไต้ซือควรจะอยู่ควบคุม
สถานการณ์ถึงจะถูก ทาไมถึงได้หายไปได้นะ
ขณะที่เขากาลังสงสัย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังมา
ว่า “โหวเยว่”
ฉีหนิงหันหน้ากลับมา เห็นหลวงจีนอาวุโสคนหนึ่ง
เขาเป็นหนึ่งในสิบสามอรหันต์ แต่เขาไม่รู้ฉายา
ธรรมของเขา เขายกมือคานับกลับไป “ไต้ซือ”
หลวงจีนอาวุโสท่านนี้หน้าตามีเมตตา เขามองมา
ที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ท่านตามอาตมาลงเขา
เถอะ” จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีกเลย เขาเดิน
นาหน้าไป ฉีหนิงขมวดคิ้ว แต่ก็ยังเดินตามเขาไป
อยู่ เขาเอ่ยปากถามว่า “ไม่ทราบฉายาธรรมของ
ไต้ซือคือ...?”
หลวงจีนอาวุโสไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่ก็พูดว่า
“อาตมาจิ้งฉุน”
“จิ้งฉุนไต้ซือ?” ฉีหนิงสะดุ้ง แล้วพูดว่า “ท่าน...
ท่านคือจิ้งฉูนไต้ซือ?” แอบคิดในใจว่านี่คือท่านสี่
ของจวนจิ่นอีโหวหรือนี่
ตอนนั้นจิ่นอีเหล่าโหวบาดเจ็บสาหัส เหลือลม
หายใจเหือกสุดท้าย วัดต้ากวงหมิงออกหน้ารักษา
ให้ เพื่อช่วยชีวิตจิ่นอีเหล่าโหว แต่ว่าตามกฎของ
วัดต้ากวงหมิง นอกจากจะหาคนมาออกบวชแทน
จิ่นอีเหล่าโหวเท่านั้น มิเช่นนั้นจิ่นอีเหล่าโหว
จะต้องออกบวช
จิ่นอีเหล่าโหวเป็นเสาหลักของบ้านเมือง หากต้อง
ออกบวช แคว้นก็จะต้องเสียเสาหลักไป ท่านสี่
ตระกูลฉีเลยออกหน้าของบวชแทนจิ่นอีเหล่าโหว
หลังจากนั้น ก็อยู่ศึกษาธรรมที่วัดต้ากวงหมิงมา
ตลอด
ฉีหนิงรู้จักคนผู้นี้ แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบ
กับจิ้งฉุนไต้ซือ
จิ้งฉุนไต้ซือไม่ได้หันหน้ากลับมา เขาพาฉีหนิงเดิน
ไปยังลานกว้าง เขาเดินขึ้นไปที่สะพานแขวน เมื่อ
ข้ามสะพานมาแล้ว ก็เดินไปตามทางเขาแคบ ฉี
หนิงเร่งฝีเท้าเดินตามไป แล้วพูดว่า “ท่าน...ท่าน
ปู่สี่...”
จิ้งฉุนไต้ซือหยุดเดิน ลังเล แล้วหันหน้ากลับมา
เขามองฉีหนิง พนมมือ แล้วพูดว่า “อมิตาพุทธ
โหวเยว่ อาตมาเป็นผู้ออกบวช ไม่ได้มีความอาลัย
ทางโลกแล้ว...”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านปู่สี่ หากไม่มีความ
อาลัยทางโลกแล้ว ทาไมตอนนั้นถึงได้ให้หลวงจีน
น้อยมาถ่ายทอด [คัมภีร์ชิงจิง] ให้ข้าล่ะ?”
จิ้งฉุนไต้ซือยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วเจ้าได้ฝึกมันทุกวัน
หรือเปล่า? อาตมาเห็นว่าเจ้าไม่ได้มี
ความก้าวหน้าใน [คัมภีร์ชิงจิง] เลยนะ”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านปู่สี่ มันพูดยาก
มากเลย เกิดเหตุกับข้านิดหน่อย เกรงว่าต่อไปข้า
อาจจะไม่อาจฝึก [คัมภีร์ชิงจิง] ได้อีกแล้ว”
ในร่างกายของเขามีพลังชี่เย็นประหลาด ตามที่
เซี่ยงไป๋อิ่งบอกมา เขาควรจะฝึกพลังชี่หยิน ถึงจะ
สามารถเพิ่มภูมิกาลังภายในได้ดี หากฝึกพลังชี่ห
ยาง ไม่เพียงไม่สามารถเพิ่มกาลังภายใน อีกทั้งยัง
ทาให้กาลังภายในลดลงอีกด้วย ด้วย
ความสามารถของเซี่ยงไป๋อิ่ง เขาไม่มีทางพูดจา
เหลวไหลแน่ กาลังภายในของวัดต้ากวงหมิง เป็น
พลังชี่หยาง ฉีหนิงไม่อาจฝึกมันได้อีก
จิ้งฉุนไต้ซือก็ไม่ได้ถามว่าทาไม เขาพยักหน้า แล้ว
พูดว่า “แต่ละคนมีวาสนาที่แตกต่างกันไป เจ้า
ตัดสินใจเองก็พอแล้ว” เขาหันหลังแล้วนาทางฉี
หนิงลงเขาต่อ
ฉีหนิงรีบเร่งเดินไปข้างๆ จิ้งฉุน แล้วถามว่า “ท่าน
ปู่สี่ มู่เย่อ๋องเขาเป็นใครกันหรือ? ทาไมวรยุทธ์
ของเขาถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ ทาไมข้าถึงไม่เคยได้
ยินชื่อของเขาเลย?”
จิ้งฉุนไต้ซือพูดว่า “หลังจากที่ลงเขาแล้ว เรื่องนี้
ห้ามพูดกับใครเด็ดขาด” เขาพูดอีกว่า “เขาบาด
เจ็บแล้ว ต่อให้วันนี้รอดไปได้ ในระยะสั้นก็ไม่เป็น
ภัยอะไร แต่ว่าก่อนที่เขาจะหายดี จะต้องจับตัว
เขาให้ได้ไม่อย่างนั้น ไม่เป็นผลดีต่อจวนจิ่นอีโหว”
“เขาบาดเจ็บ?” ฉีหนิงพูดอย่างสงสัย “ข้ามองไม่
ออกเลย เขา...เขาบาดเจ็บตอนไหนกัน?”
“หากเขาไม่ได้บาดเจ็บ เขาจะหนีไปง่ายๆ แบบนี้
หรือ?” จิง้ ฉุนไต้ซือพูดว่า “วิชาแยกร่างของศิษย์
พี่เจ้าอาวาส เป็นวิชาที่ร้ายกาจมากของวัดต้ากวง
หมิง เป็นหนึ่งในวิชาใน [คัมภีร์กวงหมิงเจินจิง] มู่
เย่อ๋องถึงแม้จะร้ายกาจ แต่ว่าเมื่อเทียบกับศิษย์พี่
เจ้าอาวาสแล้ว ยังอ่อนกว่ามาก”
“ท่านปู่สี่ ท่านหมายความว่า เมือ่ ครู่ที่ทั้งคูป่ ระ
มือกัน คงฉานไต้ซือได้ทาร้ายมู่เย่อ๋องหรือ?” ฉี
หนิงตกใจ
จิ้งฉุนไต้ซือพยักหน้าแล้วพูดว่า “หากเปลี่ยนเป็น
คนอื่น คงนอนกองไปกับพื้นแล้ว มู่เย่อ๋องร้ายกาจ
มากจริงๆ ผ่านมาแล้วสิบแปดปี วรยุทธ์ไม่ได้ด้อย
ลงเลย แต่เหมือนจะร้ายกาจมากกว่าเดิมด้วย”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “งั้นก็หมายความว่า
วันนี้ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บทั้งคู่ คงฉานไต้ซือเองก็
เหมือนจะบาดเจ็บ”
“เจ้าดูออกด้วยว่าศิษย์พี่เจ้าอาวาสบาดเจ็บ
หรือ?” จิ้งฉุนหยุดเดิน แล้วหันมามองฉีหนิง
ฉีหนิงเห็นเขาสีหน้าแปลกไป ก็เลยถามว่า “ท่าน
ปู่สี่หรือว่าท่านมองไม่ออก? คงฉานไต้ซือจู่ๆ ก็ไม่
ลงมือต่อ ยอมให้มู่เย่อ๋องหนีไป หากไม่ใช่เพราะ
คงฉานไต้ซือบาดเจ็บ เขาจะยอมให้มู่เย่อ๋องหนีไป
ง่ายๆ แบบนี้หรือ? ข้าเห็นจิ้งคงไต้ซือกับคนอื่น
ไม่ได้ไปสนใจตามล่าตัวมู่เย่อ๋อง แต่กลับคุ้มกันอยู่
รอบตัวคงฉานไต้ซือ มัน...มันน่าจะมีอะไร”
จิ้งฉุนเหมือนจะใช้ความคิด แต่ก็ไม่ได้นานนัก เขา
ยังคงนาทางเขาเดินไปตามทาง จากนั้นไม่นาน
เขาก็เลี้ยงไปตามทางในป่า ตอนนี้ใกล้เย็นแล้ว
เมื่อเดินมาได้อีกระยะหนึ่ง จิ้งฉุนก็พูดว่า
“หลังจากลงเขาไปแล้ว ทุกอย่างที่เจ้าเห็นบนเขา
ห้ามพูดออกไปเด็ดขาด”
ฉีหนิงได้ยินน้าเสียงที่จริงจังของจิ้งฉุน ก็รีบพูดว่า
“ท่านปู่สี่วางใจ ข้าไม่พูดออกไปแน่นอน”
จิ้งฉุนพยักหน้า เขาเดินหน้าต่อไป จากนั้นก็พูด
ขึ้นมาว่า “ตอนนั้นมู่เย่อ๋องสังหารยอดฝีมือใน
ยุทธภพไปแปดคน วิธีการโหดเหี้ยมมาก ในยอด
ฝีมือแปดคนนั้น มีสองคนพวกเขามาจากวัด
ต้ากวงหมิง...”
“มาจากวัดต้ากวงหมิง?”
จิ้งฉุนอธิบายต่อว่า “วัดต้ากวงหมิงเรามีทั้งศิษย์ที่
ออกบวช แล้วยังมีศิษย์ที่เป็นฆราวาสด้วย บางคน
บริจาคเงินให้กับวัด อยากจะเป็นศิษย์ของวัด แต่
ไม่อยากออกบวช ดังนั้นพวกเขาก็เลยทาการ
บริจาคเงินบาบุญจานวนมากแทน เพื่อให้ได้ชื่อว่า
เป็นศิษย์ของวัด ที่จริงก็คือต้องการให้ได้รับการ
คุ้มครองของวัด”
ฉีหนิงอดไม่ได้พูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ชาวยุทธ์พวก
นั้นไม่มีคนหนุนหลัง เลยใช้เงินเพื่อหาคน
สนับสนุน เลยจ่ายค่าคุ้มครองให้วัดต้ากวงหมิง
เพื่อให้...”
จิ้งฉุนด่าว่า “พูดเหลวไหลอะไรกัน ค่าคุ้มครอง
อะไรกัน เห็นวัดต้ากวงหมิงเป็นอันธพาลหรือไง
กัน?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าไม่ใช่แบบนี้หรือไงกัน แต่เขาก็ยัง
ยิ้มแล้วพูดว่า “ยกตัวอย่างเท่านั้นเอง ท่านปู่สี่
อย่าเพิ่งโกรธ”
“ในบรรดาแปดคน มีสองคนถูกทาร้าย พวกเขา
มาที่วัดต้ากวงหมิง ขอให้ทางวัดต้ากวงหมิงทวง
ความเป็นธรรมให้กับพวกเขา” จิง้ ฉุนไต้ซือพูดต่อ
ว่า “เดิมเรื่องนี้อยู่ในการดูแลของจวนเสินโหว แต่
เพราะมันเกี่ยวข้องกับศิษย์ของวัดต้ากวงหมิง
ศิษย์พี่คงฉานก็เลยส่งคนออกไปสืบเรื่องนี้” เขา
พูดต่อว่า “ตอนนั้นเหมือนจะส่งศิษย์พี่จิ้งคงไปสืบ
แต่ว่าไม่นานนัก ศิษย์พี่จิ้งคงกลับบาดเจ็บหนัก
กลับมา...”
“มู่เย่อ๋องเป็นคนทาหรือ?” ฉีหนิงถาม
จิ้งฉุนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตอนนั้นเรารู้เพียงว่ามี
ยอดฝีมือคนหนึ่งในยุทธภพ สังหารคนต่อเนื่องไป
แล้วแปดคน แต่ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน เราไม่รู้
เลย ตอนนั้นวรยุทธ์ของศิษย์พี่จิ้งคงก็ร้ายกาจมาก
แล้ว อีกทั้งเขายังพายอดฝีมือเก่งๆ ในวัดไปด้วย
หลายคน แต่กลับถูกอีกฝ่ายทาร้ายจนบาดเจ็บ
สาหัส มันทาให้เราตกใจกันมาก ก็เพราะเหตุใน
ครั้งนั้น จากปากของศิษย์พี่จิ้งคง เราถึงได้จักมู่เย่
อ๋อง”
“หมายความว่า หน่วยข่าวกรองของวัดต้ากวง
หมิงที่ว่าร้ายกาจ ก่อนหน้านี้ ก็ไม่เคยได้ยินชื่อ
ของมู่เย่อ๋องในยุทธภพเลยอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิง
ตกใจมาก
จิ้งฉุนพูดว่า “เอาเป็นว่าข้าไม่เคยได้ยิน แต่ว่าไม่
นานเราก็ได้ข้อมูลมาว่า มู่เย่อ๋องเขามาจากหนาน
เจียง หนานเจียงเป็นพื้นที่กันดารมาแห่งหนึ่ง
ถึงแม้ราชสานักจะมีตั้งหน่วยราชการที่หนานเจียง
แต่ก็คนที่สง่ ไปที่นั่น จนถึงวันนี้ ราชสานักก็ยัง
ควบคุมหนานเจียงไม่ได้เลย”
“มู่เย่อ๋องเป็นคนหนานเจียง แล้วทาไมถึงมาฆ่า
คนที่จงหยวนได้ล่ะ?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “หรือว่า
ต้องการประกาศแสนยานุภาพที่จงหยวน?”
“ที่จริงด้วยความสามารถของเขา มันไม่
จาเป็นต้องทาแบบนั้นเลย” จิ้งฉุนถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “ใต้หล้าใหญ่ขนาดนี้ ยอดฝีมือประหลาดก็
มีมาก ยอดฝีมือหลายคนซ่อนตัวเอาไว้ก็มีเยอะ
แต่ไม่มีชื่อเสียงในยุทธภพเลย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่อง
แปลก” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “แต่ว่าหลังจากที่
เราได้สืบอย่างละเอียดแล้ว กลับพบเบาะแสบาง
อย่าง ยอดฝีมือที่ถูกมู่เย่อ๋องสังหารทั้งแปดคนนั้น
ไม่มากก็น้อยเกี่ยวข้องกับท่านปู่รองของเจ้า
ทั้งนั้น”
“เทพกระบี?่ ”
จิ้งฉุนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เมื่อสิบแปดปีก่อน ไม่
มีต้าจงซืออะไรนี่หรอก เพลงกระบี่ของปู่รองของ
เจ้าถึงแม้จะร้ายกาจ แต่ก็ยังไม่มีใครเรียกเขาว่า
เทพกระบี่ ห้าต้าจงซือเหมือนจะเพิ่งมีเมื่อสิบห้าปี
ก่อน...อืม น่าจะเป็นหลังจากที่มู่เย่อ๋องถูกขังอยู่
ในวัดต้ากวงหมิง หลังจากนั้นผ่านไปประมาณ
สองถึงสามปีถึงได้แพร่กันไปทั่ว จนถึงกระทั่งเขา
กลายมาเป็นเทพกระบี่ น่าจะเพิ่งเป็นได้ประมาณ
สิบปีเท่านั้น”
ฉีหนิงถามว่า “ท่านปู่สี่ ท่านหมายความว่ายอด
ฝีมือทั้งแปดคน มีความสัมพันธ์กับเทพกระบี่ มู่เย่
อ๋องมาเพราะเทพกระบี่?”
“ยอดฝีมือแปดคนนั้น พวกเขาอาจจะเคยรู้จัก
เป็นเพื่อนกับเป่ยกงมาก่อน หรืออาจจะเป็นผู้
อาวุโสของพวกเขารู้จักเป่ยกงมาก่อน” จิ้งฉุนพูด
ว่า “เป่ยกงเป็นลูกอนุ ตั้งแต่เล็กจนโต เขาไม่เคย
ได้รับการอบรมที่ดีเลย ตอนเขาเป็นหนุ่มเขาออก
ท่องเที่ยวไปทั่ว มีเพื่อนมีสหายมากมาย ชอบอยู่
กับคนในยุทธภพ เพราะเหตุนี้เลยเกือบถูกไล่ออก
จากตระกูลหลายครั้ง”
“มิน่าเพลงกระบี่ของเขาถึงได้ร้ายกาจ” ฉีหนิงพูด
ว่า “ที่แท้เขาก็คบหากับคนในยุทธภพนั่นเอง”
จิ้งฉุนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ถึงแม้เขาจะชอบฝึก
เพลงกระบี่มาก แต่เท่าที่ข้ารู้มา จนเขาอายุสาม
สิบ วรยุทธ์ของเขาก็ยังธรรมดาอยู่ ถึงแม้เขาจะ
ฝึกเพลงกระบี่บ้าง แต่ว่ามันก็ไม่ได้ร้ายกาจไปกว่า
ใคร พูดได้ว่าสู้ใครไม่ได้เลย ดูจากความสามารถ
ของเขาในตอนนั้น เทียบกับเหล่ามือกระบี่จริงๆ
มันก็เหมือนปลาในอ่าง...”
เป่ยกงเหลียนเฉิงที่ฉีหนิงได้ยินมานั้น แทบจะไม่
ห่างจากเรื่องเพลงกระบี่เลย ตอนนี้เขาเป็นถึงเทพ
กระบี่ที่เหนือใคร เขาคิดว่าในเมื่อเป่ยกงเหลียน
เฉิงร้ายกาจขนาดนี้ แสดงว่าเขาต้องมีพรสวรรค์
ในพรสวรรค์ที่มากกว่าคนอื่นแน่ แต่พอได้ยินจิ้ง
ฉุนพูดมาแบบนี้แล้ว เขาตกใจมาก “ท่านปู่สี่ ท่าน
หมายความว่า...ท่านหมายความว่าตอนที่เขาอายุ
สามสิบ เพลงกระบี่ของเขายังธรรมดาอยู่เลย
หรือ?”
จิ้งฉุนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถึงแม้เขาจะเกิดมา
จากอนุ แต่อย่างไรก็เป็นคนของตระกูลฉี หลาย
คนก็รู้ว่าตระกูลฉีนั้นมีคุณชายคนหนึ่งที่รักในการ
ฝึกเพลงกระบี่มาก มีมือกระบี่หลายคนเคยเห็น
เพลงกระบี่ของเป่ยกง ต่อหน้าก็ไม่ได้พูดอะไร แต่
พอลับหลัง ก็มีแต่คนพูดว่า เขาไม่ได้มีพรสวรรค์
อะไรด้านนี้เลย บนเส้นทางกระบี่ของเขา คิดว่า
คงไม่ก้าวหน้าอะไร”
ถึงแม้ภายหลังเรื่องราวจะเหมือนการตบหน้าคนที่
พูดแบบนั้น แต่ว่าฉีหนิงก็รู้ดีว่า ตอนอายุสามสิบ
เพลงกระบี่ยังธรรมดา อีกทั้งยังไม่มพี รสวรรค์
หากต้องการบรรลุสุดยอดเพลงกระบี่ มันยากยิ่ง
กว่ายากอีก เขาสงสัยว่า จากมือกระบี่ที่ฝีมือ
ธรรมดา กลายมาเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งแบบนี้
เป่ยกงเหลียนเฉิงทาได้อย่างไรกัน?
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 565 สายเลือดหยวนโต้ว
จิ้งฉุนนิ่งไป เขาพูดขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่จิ้งคงถูกทา
ร้าย เหล่าศิษย์พี่ต่างก็ตกใจมาก รู้ทันทีเลยว่าเขา
ไม่ได้มาดีแน่นอน เลยสั่งให้คนลงเขาเพื่อตามหา
ตัวมู่เย่อ๋อง ตอนนั้นมู่เย่อ๋องสังหารยอดฝีมือไปอีก
หลายคนอย่างต่อเนื่อง เขาอาจจะรู้สึกอยู่ในจง
หยวนนั้นเขาไม่จาเป็นต้องกลัวอะไร การตามหา
ร่องรอยของเขาเลยไม่ใช่เรื่องยากอะไร ตอนนั้น
พอเราได้ข่าวของมู่เย่อ๋อง ศิษย์พี่เจ้าอาวาสก็พา
ศิษย์พี่ศิษย์น้องลงเขาไปเอง คิดอยากจะกล่อมให้
เขาหันหน้าเข้าสู่สายธรรมะ”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านปู่สี่ พูดง่ายๆ ก็คือ จับเขามา
ขังใช่ไหม”
จิ้งฉุนเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า “ทุกคนรู้ดี
ว่ามู่เย่อ๋องไม่ใช่คนดี ทุกคนก็ระวังตัวมาก แต่ว่ามู่
เย่อ๋องเจ้าเล่ห์มาก เราตามล่าตัวเขาอยู่เกือบครึ่ง
เดือน เขาไม่เพียงสามรถหลบหนีการไล่ล่าได้ อีก
ทั้งยังหาโอกาส ทาร้ายศิษย์พี่ด้วย ในตอนนั้นเอง
ปู่รองของเจ้าก็ปรากฏตัวมา”
“มู่เย่อ๋องสังหารคนไปหลายคน ทั้งหมดเกี่ยวข้อง
มีความสัมพันธ์กับเทพกระบี่หมด เป้าหมายของ
เขาคือเทพกระบี่” ฉีหนิงพูดว่า “เป้าหมายของมู่
เย่อ๋อง ก็เพื่อล่อเสือออกจากถ้า”
จิ้งฉุนพยักหน้า “หลังจากเกิดเรื่อง เป็นไปอย่างที่
เจ้าพูดมา มู่เย่อ๋องมาไกลจากหนานเจียง อีกทั้ง
ไม่ดูถูกผิดก็สังหารคนเป็นผักปลา เป้าหมายของ
เขาคือ เพื่อล่อให้เป่ยกงเหลียนเฉิงออกมา ซึ่งเขา
ก็ทาได้”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตอนนั้นเป่ยกงเหลียน
เฉิงท่องเที่ยวไปทั่วหล้า ถึงไม่ตระกูลฉีจะไม่ค่อย
ได้ถามอะไรมาก แต่วา่ เขาจะไปไหนมาไหนก็
พอจะรู้อยู่ แต่ว่าตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน เขาจะไป
ไหนมาไหน จะเป็นหรือตาย ตระกูลฉีไม่รู้เลย มู่เย่
อ๋องตามหาตัวเขาในจงหยวน เป่ยกงเหลียนเฉิงก็
แทบจะไม่มีข่าวคราวแล้ว”
“มู่เย่อ๋องมาไกลจากหนานเจียง สังหารคนบีบให้
เทพกระบี่ออกมา” ฉีหนิงพูดว่า “อาจเป็นเพราะ
มู่เย่อ๋องอย่างจะแสดงความร้ายกาจของตัวเขา
เอง เพื่อสร้างชื่อเสียงอย่างรวดเร็วในยุทธภพ เขา
จาเป็นต้องเอาชนะคนที่มีชื่อเสียงมากในยุทธ
ภพ”
จิ้งฉุนพูดว่า “ตอนนั้นห้าต้าจงซือยังไม่มีใครพูด
กัน หากจะพูดถึงเรื่องวรยุทธ์ คนที่มีชื่อเสียงกว่า
เป่ยกงมีมากมายนัก ศิษย์พี่เจ้าอาวาสกับผู้อาวุโส
ของพรรคกระยาจกต่างเหนือกว่าเป่ยกงทั้งนั้น
หากมู่เย่อ๋องต้องการประลองฝีมือ เขามาที่วัด
ต้ากวงหมิงหรือว่าไปที่พรรคกระยาจกก็ได้”
“เป็นเพราะวัดต้ากวงหมิงกับพรรคกระยาจกมี
อานาจมาก มู่เย่อ๋องไม่อยากมีความแค้นกับทั้ง
สองพรรคก็ได้”
จิ้งฉุนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เขาก็รู้ทั้งรู้ว่าศิษย์พี่จิ้ง
คงเป็นคนของวัดต้ากวงหมิง แต่ก็ยังลงมือกับเขา
แสดงว่ามู่เย่อ๋องไม่ได้กลัววัดต้ากวงหมิงเลย อีก
ทั้งตอนนั้นเป่ยกงก็รู้แค่เพลงกระบี่ หากมู่เย่อ๋อง
เป็นมือกระบี่ แล้วขอท้าประลองกับเป่ยกง มันก็
พอเข้าใจได้ แต่ว่ามู่เย่อ๋องไม่ใช่ยอดฝีมือด้าน
กระบี่ วิชาที่ร้ายกาจที่สุดของเขาก็คือรอยฝ่ามือ
เลือด”
“จริงสิ ท่านปู่สี่ รอยฝ่ามือเลือดมันเป็นวิชาอะไร
กันหรือ?” ฉีหนิงถาม
จิ้งฉุนอธิบายว่า “เจ้าอาจจะไม่รู้ เมื่อสองร้อยปี
ก่อน กลุ่มอานาจที่แข็งแกร่งที่สุดของยุทธภพคือ
ตาหนักหยวนโต้วแห่งเขาไท่ซาน ท่านเจ้าตาหนัก
มีนามว่าท่านนักพรตชางเฮาเป็นสุดยอด
ปรมาจารย์ของยุคนั้น วรยุทธ์ของเขาคาดเดาไม่
ได้เลย ทาให้ตาหนักหยวนโต้วมีบารมีในยุทธภพ
มากกว่าสิบปีไม่มีลดลงเลย นักพรตชางเฮาถือได้
ว่าเป็นเจ้ายุทธภพในตอนนั้น”
“ความหมายของท่านปู่สี่ก็คือ วรยุทธ์ของนักพรต
ชางเฮานั้นเทียบเท่ากับหาต้าจงซือ หรือเทียบได้
กับคงฉานไต้ซือในตอนนี้?” ฉีหนิงถาม
จิ้งฉุนยิ้มแล้วพูดว่า “วรยุทธ์เป็นยังไง เราก็ไม่ได้
เห็นด้วยตา แต่ในเมื่อถูกขนานนามว่าเป็นสุดยอด
ปรมาจารย์ ก็น่าจะร้ายกาจ แต่ว่าฐานะและ
ตาแหน่งในยุทธภพ คิดว่าน่าจะเหนือกว่าศิษย์พี่
คงฉานแน่นอน ในเวลานั้นมีคาพูดหนึ่งพูดว่า เมื่อ
ท่องยุทธภพ ก็จะต้องเข้าหยวนโต้ว ความหมายก็
คือ ขอแค่อยู่ในยุทธภพ ไม่ว่ายังไงก็จะต้อง
เกี่ยวข้องกับตาหนักหยวนโต้วให้ได้”
ฉีหนิงคิดในใจว่ายุทธภพมีคนเก่งมากมาย
ตาหนักหยวนโต้วเองก็รุ่งเรืองมาก่อน แต่ทาไม
ตอนนี้ถึงได้ไม่มีชื่อเลย
“ดอกไม้ไม่มีวันเป็นสีแดงไปได้ตลอด คนเราก็ไม่มี
ทางดีไปได้ตลอด” จิ้งฉุนพูดว่า “ถึงแม้ตาหนัก
หยวนโต้วจะดูแลควบคุมยุทธภพ แต่ว่าเพราะ
อานาจของเขามีมากเกินไป เป็นภัยต่อราชสานัก
หลังจากที่ท่านนักพรตชางเฮาสิ้นไป ศิษย์ของ
พวกเขาก็ชิงตาหนักเจ้าตาหนักกัน สุดท้ายก็แยก
ออกมาเป็นสี่ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งไปเข้ากับราชสานัก มี
ราชสานักหนุนหลัง เขาเลยได้ตาหนักไปครอง แต่
ว่าอีกสามฝ่ายไม่เห็นด้วย เลยพาคนของตัวเอง
ออกจากสานักไป สุดท้ายตาหนักหยวนโต้วที่เคย
รุ่งเรืองก็ล่มสลายแตกแยกไป ส่วนเคล็ดวิชาของ
นักพรตชางเฮา ก็หายสาบสูญไปตั้งแต่นั้นเป็นต้น
มา”
ฉีหนิงฟังจิ้งฉุนพูดเรื่องตาหนักหยวนโต้วอยู่นาน
เขาเริ่มจะเข้าใจอะไรขึ้นมา เขาถามว่า “ท่านปู่สี่
รอยฝ่ามือเลือด หรือว่าจะมาจากตาหนักหยวน
โต้ว”
จิ้งฉุนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ตาหนักหยวน
โต้วบารมีสะเทือนไปทั่วยุทธภพ ได้ยินมาว่า
ตาหนักหยวนโต้วมีหกสุดยอดวิชา ถือเป็นวิชาที่
ร้ายกาจทั้งนั้น หลังจากที่ตาหนักหยวนโต้วแยก
ออกเป็นสี่ฝ่ายแล้ว หกสุดท้ายวิชาก็กระจายกัน
ไปในแต่ละฝ่าย มีกลุ่มหนึ่งเพื่อหนีการไล่ล่า หนี
ไกลไปจนถึงหนานเจียง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวก
เขาก็ไม่เคยเหยียบเข้าจงหยวนอีกเลย ได้ยินมาว่า
กลุ่มที่หนีไปหนานเจียงได้เคล็ดวิชารอยฝ่ามือ
เลือดไป”
“ถ้าอย่างนั้น หรือว่ามู่เย่อ๋องจะเป็นศิษย์ของ
ตาหนักหยวนโต้ว?”
จิ้งฉุนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตาหนักหยวนโต้วล่ม
สลายไปเมื่อร้อยปีก่อนแล้ว ในยุทธภพถึงได้ไม่มี
ชื่อของพวกเขาอยู่เลย ส่วนที่แตกกระจายตัวกัน
ไปนั้น ก็ล่มสลายไปหมด ส่วนหกสุดยอดวิชานั่น
ก็ไม่ได้ปรากฏมาในยุทธภพอีกเลย มู่เย่อ๋องมา
ปรากฏตัวพร้อมกับรอยฝ่ามือเลือด ศิษย์พี่คงฉาน
เองก็ตกใจไม่น้อยเลย ตาหนักหยวนโต้วไม่อยู่แล้ว
มู่เย่อ๋องไม่มีทางเป็นศิษย์ของตาหนักหยวนโต้ว
แต่ว่าเขาน่าจะสายเลือดเกี่ยวข้องกับตาหนัก
หยวนโต้ว ไม่ผิดแน่นอน”
ฉีหนิงตอนนี้ถึงได้รู้ที่มาที่ไปของมู่เย่อ๋อง เขาคิด
ในใจว่าในเมื่อตาหนักหยวนโต้วเป็นใหญ่ในยุทธ
ภพมานานหลายปี มันไม่ใช่เรื่องง่าย หกสุดยอด
วิชา จะต้องเป็นวิชาที่ร้ายกาจมากแน่นอน
“รอยฝ่ามือเลือดกับเพลงกระบี่มันไม่น่าเกี่ยวพัน
กันได้ ดังนั้นหากมู่เย่อ๋องต้องการสร้างชื่อเสียงให้
ตัวเอง ก็ไม่น่าจะไปหาเป่ยกง” จิ้งฉุนพูด
ฉีหนิงพูดว่า “หากไม่ได้คิดจะอาศัยเทพกระบี่ใน
การสร้างชื่อเสียง นั่นก็หมายความว่า มู่เย่อ๋องมี
เรื่องบาดหมางกับเทพกระบี่ ที่เขามาที่จงหยวน
ก็เพื่อแก้แค้นเทพกระบี่” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า
“ที่หน้าตาหนักใหญ่เมื่อกี้ มู่เย่อ๋องบอกว่าเขา
ต้องการเอาชีวิตเทพกระบี่ หากตอนนั้นเขาแค่
อยากประลองกับเทพกระบี่ ก็คงไม่แค้นจนเข้า
กระดูกขนาดนี”้
จิ้งฉุนถอนหายใจแล้วพูดว่า “หลายปีที่ผ่านมา
เป่ยกงมีความแค้นอะไรกับใครที่ไหนบ้าง เราไม่รู้
เลย มู่เย่อ๋องอาจจะมีความแค้นกับเขาก็ได้” เขา
นิ่งไป แล้วพูดว่า “สิบแปดปีก่อน มู่เย่อ๋องบีบจน
เป่ยกงต้องออกมา แต่เขาก็ถูกกระบี่ของเป่ยกงทา
ร้ายจนบาดเจ็บ ตอนนั้นมู่เย่อ๋องบาดเจ็บหนัก
มาก ศิษย์พี่คงฉานพาคนไปพอดี แล้วก็จับเขามา
ที่วัดต้ากวงหมิง แล้วก็ถูกขังอยู่ที่นี่ตลอด พอรู้ว่า
วันนี้เขาหลุดออกมาได้ แต่ว่าสิบแปดปีที่ผ่านมา
เขาไม่เคยออกมาจากที่คุมขังเลยนะ”
“ท่านปู่สี่ มู่เย่อ๋องไม่ได้หนีไปไหนเลยตลอดสิบ
แปดปี แสดงว่าถ้ามังกรที่คุมขังเขาแน่นหนามาก
แล้วทาไมเขาถึงได้หลุดออกมาได้?” ฉีหนิงขมวด
คิ้วแล้วพูดว่า “หรือว่าเขาพังถ้ามังกรได้?”
จิ้งฉุนพูดว่า “ถ้ามังกรเป็นเจ้าอาวาสรุ่นที่สอง
หลังจากก่อตั้งวัดมาสร้างขึ้น มันเหมือนที่กุมขัง
จากฟ้า มันแข็งแกร่งมากกว่าปกติมาก ไม่มีทาง
หนีออกจากที่นั่นได้หรอก ตอนที่สร้างที่นั่น ไม่มี
คนนอกอยู่เลย เป็นสถานที่ขังศิษย์ที่ทาผิดกฎ
ร้ายแรง แล้วมีวรยุทธ์ร้ายกาจโดยเฉพาะ ได้ยิน
มาว่าก่อนหน้านี้มีศิษย์ของวัดคนหนึ่งมีวรยุทธ์
ร้ายกาจมาก แต่ทาผิดกฎวัดร้ายกาจเลยถูกส่งไป
ขังที่ถ้ามังกร แต่ว่าเขาไม่รู้สานึกพยายามจะหนี
ออกมาจากที่นั่นให้ได้ แต่ก็ไม่สาเร็จ สุดท้ายก็ถูก
ขังอยู่ที่นั่นยี่สิบเอ็ดปี ขังจนมรณะไป”
ฉีหนิงพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วมู่เย่อ๋องออก
มาได้ยังไง?”
จิ้งฉุนเหมือนจะใช้ความคิด เขาส่ายหน้าแล้วพูด
ว่า “ตอนนี้ อาตมาก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ว่าเรื่องนี้
ยังไงก็ต้องตรวจสอบให้ละเอียด”
ฉีหนิงพยักหน้า คิดในใจวัดต้ากวงหมิงเกิดเรื่อง
ใหญ่ขนาดนี้ คงไม่มีทางเลิกราเรื่องนี้ง่ายๆ แน่
ตอนนี้ตาหนักใหญ่ถูกล้อม ไม่รู้ว่ามู่เย่อ๋องจะหนี
ออกไปได้หรือเปล่า ทันใดนั้นเองเขาก็นึกขึ้นมาได้
ว่ามู่เย่อ๋องจับฉีอวี้ไป เขาพูดเสียงเบาๆ ว่า “ท่าน
ปู่สี่ มู่เย่อ๋องจับคนผู้หนึ่งเข้าไปในตาหนักใหญ่
ด้วย ท่านเห็นหรือเปล่า?”
จิ้งฉุนพยักหน้า ฉีหนิงพูดว่า “ท่านรู้หรือเปล่าว่า
เขาจับตัวใครไป?”
“ตอนนี้คนมากตาลายไปหมด ข้ามองไม่ชัดเลย”
จิ้งฉุนมองไปที่ฉีหนิง “เจ้ารู้จักหรือ?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านปู่น่าจะรู้ดี
ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าบาดเจ็บขึ้นเขามารักษาตัว
ตามกฎขอวัด ต้องหาคนมาบวชแทนข้า”
จิ้งฉุนพยักหน้าแล้วพูดว่า “อาตมารู้มาบ้าง แต่ว่า
ไม่ได้ไปถามรายละเอียดอะไร” เขาขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “เจ้าหมายความว่า คนที่ถูกจับไป...?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ข้าเห็นเข้า
พอดี คนที่มู่เย่อ๋องจับเข้าไปในตาหนักใหญ่ คือ
ฉีอวี้”
จิ้งฉุนพนมมือ แล้วพูดว่า “ทุกเรื่องที่เกิดล้วน
แล้วแต่มีสาเหตุ เป็นตายคาดเดาไม่ได้ ฉีอวี้ถูกเจ้า
ปีศาจนั่นจับตัวไป เป็นตายยังไงก็สุดแล้วแต่บุญ
แต่กรรม” เขากาชับอีกครั้งว่า “หลังจากกลับไป
แล้ว ห้ามพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังเด็ดขาด เชื่ออาตมา
สิ่งที่เห็นในวันนี้ เจ้าก็ถือว่าเจ้าไม่เคยได้เห็น อีก
ทั้ง...เรื่องทีเ่ จ้าเห็นว่าศิษย์พี่คงฉานบาดเจ็บ ห้าม
ให้ใครรู้เป็นอันขาด”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “ท่านปู่สี่วางใจได้ ข้าจะไม่พูด
เลย” เขาคิดในใจว่า ตอนที่คงฉานไต้ซือบาดเจ็บ
นั้น มันแปลกมาก ไม่รู้ว่าจะมีใครรู้บ้าง แต่ว่า
วัดต้ากวงหมิงต้องปิดเขาแน่นอน อีกทั้งยังต้อง
พยายามปิดข่าวด้วย สิบอรหันต์จับมู่เย่อ๋องคน
เดียวไม่ได้ อีกทั้งแม้แต่คงฉานไต้ซือเองบาดเจ็บ
หากเรื่องนี้แผ่ออกไป มันส่งผลเสียต่อวัดต้ากวง
หมิงมาก
เขาอดคิดในใจว่า ยุทธภพในวันนี้ วัดต้ากวงหมิง
กับพรรคกระยาจกเป็นเหมือนเสือสองตัวบนเขา
ใหญ่ สองพรรคนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสงบของ
ยุทธภพ แต่ว่าในเวลาสั้นๆ ผู้อาวุโสไป๋หู่ก่อกบฏ
ในพรรคกระยาจก ประมุขพรรคบาดเจ็บสาหัส
ไม่สามารถออกหน้าในยุทธภพได้ ส่วนวัดต้ากวง
หมิงเองก็เกิดเรื่องขึ้น กลุ่มอานาจใหญ่ทั้งสองฝ่าย
ต่างประสบเรื่อง ไม่รู้ว่ามันจะทาให้ยุทธภพเกิด
ความวุ่นวายขึ้นหรือเปล่า
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 566 หยกสวยคู่สาวงาม
หลังจากที่ฉีหนิงลงจากเขา เขาก็คิดเกี่ยวกับสิ่งที่
เกิดขึ้นบนเขา
ที่เขาเดินทางไปที่วัดต้ากวงหมิงในคราวนี้ ก็
เพราะต้องการส่งข่าวที่เซี่ยงไป๋อิ่งไหว้วานมา
ให้กับคงฉานไต้ซือ แต่ว่าฟังจากที่จิ้งคงไต้ซือพูด
มา เหมือนเขาก็จะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายในซีชวน
ด้วย
อีกทั้งตอนนี้มู่เย่อ๋องก็หลุดออกจากถ้้ามังกรได้
วัดต้ากวงหมิงก็ไม่ได้มีเวลาสนใจเรื่องอื่น คิดว่าคง
ไม่มีทางไปถามไถ่เรื่องของพรรคกระยาจก
แน่นอน
เมื่อกลับมาถึงจวนโหว ฟ้าก็มืดแล้ว พ่อบ้านหาน
รีบมารายงานทันทีว่า มีคนส่งหีบของมาหลายหีบ
ตอนนี้ยกไปไว้ที่เรือนของกู้ชิงฮั่น หลังจากฉีหนิง
กลับมา ให้ไปหากู้ชิงฮั่น
ฉีหนิงแปลกใจมาก เขาไม่รู้ว่ามันคือหีบอะไร เมื่อ
มาถึงเรือนของกู้ชิงฮั่น เขาก็พูดว่า “ซานเหนียง
ท่านหาข้าหรือ?” เรื่องที่เขาไปที่วัดต้ากวงหมิง
เขาไม่มีทางเล่าให้กู้ชิงฮั่นฟังว่าไป๋เซี่ยงอิ่งให้เขาไป
แจ้งข่าว เขาบอกแค่ว่าเขาไปเพื่อขอบคุณที่ช่วย
ชีวิตเขาเมื่อคราวก่อน
กู้ชิงฮั่นตอบกลับมาว่า “เจ้ากลับมาแล้วหรือ? เข้า
มาสิ”
ฉีหนิงคิดว่าตอนนี้ท่าทีของกู้ชิงฮั่นดูเปลี่ยนไปบ้าง
แล้ว ก่อนหน้านี้ม่ายสาวคนนี้ไม่กล้าอยู่กับเขาใน
ห้องตามล้าพังเลย เอาแต่หลบหน้าเขา ตอนนี้
กลับกล้าให้เขาเข้าห้องของนาง เห็นว่าไม่มีคนอื่น
อยู่ เขาเข้ามาในห้อง เห็นกู้ชิงฮั่นเดินออกมาจาก
ห้องชั้นใน ในห้องสว่างมาก กู้ชิงฮั่นกวักมือเรียก
ฉีหนิง ให้ฉีหนิงเข้ามาในห้อง
ฉีหนิงเห็นท่าทางการเดินของกู้ชิงฮั่น เขาก็ใจสั่น
เขาเดินตามนางเข้าไปในห้อง ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก
กู้ชิงฮั่นก็ถามว่า “พ่อบ้านหานบอกเจ้าแล้วใช่
ไหม?”
ภายในห้องนอนของกู้ชิงฮั่น มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ
โชยมา ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องของหีบหรือ? มันหีบ
อะไร? ท้าไมดูลึกลับจัง”
“เจ้าพูดถูก คนที่ส่งหีบพวกนี้มาลึกลับมาก” กู้ชิง
ฮั่นไม่ได้พูดดีด้วย เขาชี้ไปที่โต๊ะ “เจ้าไปดูเองก็
แล้วกัน ว่ามีอะไรบ้าง”
ฉีหนิงเดินเข้าไป เห็นบนโต๊ะมีหีบไม้สีด้าอยู่สอง
กล่อง ดูจากด้านนอกก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ริม
กล่อง มีจดหมาย ฉีหนิงหยิบมันขึ้นมาอ่าน ด้าน
บนเขียนว่า “ผู้รับจิ่นอีโหว” หีบทั้งสองใบลง
กลอนเอาไว้ เขาถามว่า “ซานเหนียง ใครเป็นคน
ส่งมา?”
“ตอนเย็น มีคนมาเคาะประตู ข้าก็คิดว่าเจ้ากลับ
มาแล้ว เลยเปิดออกไปดู พอเปิดไปดู ก็ไม่เห็นใคร
เลย” กูช้ ิงฮั่นเดินไปที่ริมโต๊ะ นางพูดว่า “ที่ริม
ประตู ก็มหี ีบสองใบนี้วางอยู่พร้อมกับจดหมาย”
“ไม่ได้ลงชื่ออะไรเลย” ฉีหนิงพูดว่า “ใครที่ไหน
ส่งของขวัญไม่ทิ้งชื่อกัน? ข้างในนี้มีอะไร?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ของส่งให้เจ้า คนอื่นก็ไม่กล้าไป
เปิด” เขาพูดว่า “แต่ว่ากล่องของขวัญที่ใส่มาก็มี
ค่ามากขนาดนี้ ของข้างในของน่าจะไม่ธรรมดา”
“ของมีค่า?” ฉีหนิงมองไปที่กล่องสองใบนี้ แล้ว
พูดว่า “ก็แค่กล่องธรรมดาสองใบ มีค่าตรงไหน?”
กู้ชิงฮั่นมองบนใส่เขา แล้วพูดว่า “บอกให้เจ้า
เรียนหนังสือให้ดีๆ เจ้าเป็นถึงโหวเยว่นะ แม้แต่ไม้
หลินเซียงเจ้าก็ไม่รู้จักหรือ?”
“ไม้หลินเซียง?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ไม้หลินเซียงสามารถเอาไปเป็นยา
เอาไปท้าเครื่องหอม ตอนนี้ที่เจ้าเข้ามา เจ้าไม่ได้
กลิ่นหรือ? ไม้หลินเซียง เป็นไม้อย่างดี แม้แต่ใน
วังก็มีไม่มาก หายากมาก ๆ มีเงินก็หาซื้อไม่ได้”
ฉีหนิงประหลาดใจมาก ตอนที่เขาเข้ามาในห้อง
เขาได้กลิ่นหอมแน่นอน แต่เขาคิดว่ามันคือกลิ่น
กายของกู้ชิงฮั่น ตอนนี้พอดมดีๆ เขาก็ได้กลิ่น
หอมอีกกลิ่นนอกเหนือจากกลิ่นหอมของผู้หญิง
เมื่อกลิ่นนี้เข้าจมูกไปแล้ว มันท้าให้รู้สึกสดชื่นมาก
เขาเห็นกล่องสองกล่องนี้ลงกลอนเอาไว้ กลอน
สองอันนี้ เป็นทองค้า ดูมีมูลค่ามาก เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “เศรษฐีคนไหนส่งของขวัญมานะ รู้ว่าข้า
ก้าลังไม่มีเงินใช้ ในนี้คงจะไม่ใช้เครื่องประดับอัญ
มณีหรอกมั้ง” เขาเองก็ไม่ได้เกรงใจ หยิบมีดสั้น
ออกมา ถึงแม้มีดของเขาจะคมมาก แต่การตัด
ทองค้ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาตัดไปที่ตัวกล่องเลย
กู้ชิงฮั่นคิดในใจว่าเจ้าตัวแสบนี่ท้าอะไรใช้ก้าลัง
อย่างเดียว ของดีดีก็ท้าจนเสียหมด แต่ว่านางก็
เข้าใจ ในมือไม่มีกุญแจเลย ท้าแบบนี้ได้อย่าง
เดียว
ฉีหนิงวางกลอนทองค้าไว้บนโต๊ะ เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “ซานเหนียง กลอนทองนี่เอาไปเข้าบัญชีด้วย
นะ เอาไปเสริมเครื่องใช้ในจวนเรา”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ยังไม่รู้เลยว่ามันมาจากไหน เก็บ
ไว้ได้ไหมก็ยังไม่รู้เลย” ที่จริงแล้วฉีหนิงไปหาเงิน
มาได้จากข้างนอก เอาเข้าคลังมาหลายครั้ง ที่
จวนไม่ได้เครียดเรื่องเงินแล้ว กู้ชิงฮั่นเองก็ไม่ได้
ต้องกังวลเรื่องนี้แล้ว
ฉีหนิงยิ้มแล้วก็เปิดกล่อง กู้ชิงฮั่นรีบเตือนว่า
“หนิงเอ่อร์ ระวังด้วยนะ ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน
หาก...หากมีคนตั้งใจ...”
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาทันที เขายิ้มแล้วพูดว่า “ซาน
เหนียงคิดว่ามีคนตั้งใจเอากล่องมีค่ามา ล่อให้ข้า
เปิด แล้วใส่พิษหรืออะไรเอาไว้ด้านในหรือ?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ระวังไว้ดีกว่า”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่กู้ชิงฮั่นพูดว่าก็ถูก เขาเลยไม่ใช้
มือเปิด ใช้มีดสั้นของเขายกเปิดกล่องออก พอ
เปิดกล่องออกมา ก็มีสองระยิบระยับสะท้อนเข้า
ตา ทั้งสองคนมองของด้านใน ก็ต่างตกใจ ใน
กล่องมีไข่มุกราตรีอยู่สองเม็ด
ทั้งสองมองหน้ากัน ไม่ต้องอธิบายอะไร ฉีหนิงก็รู้
ว่าไข่มุกราตรีนี่มันมีมูลค่ามากแค่ไหน มันไม่เพียง
ใหญ่ อีกทั้งแสงของมันยังสว่างมากด้วย เขา
แปลกใจมาก เขาเปิดกล่องอีกใบ ในกล่องอีกมัน
เป็นพระพุทธรูปแกะสลักสีด้าท้าจากโลหะ ด้าน
ข้างมีก้าไลสีทับทิม ฉีหนิงเห็นก้าไลมากก็ไม่น้อย
แต่ว่าไม่เคยเห็นก้าไลสีแบบนี้เลย มันประหลาด
มาก
เขาเก็บมีดสั้นของเขากลับไป แล้วยกพระพุทธรูป
ออกมา มันหนักมาก ความเงาด้าก็มันแผ่ออกมา
รอบ ๆ แสงจากไข่มุกราตรีส่องสว่าง ท้าให้
พระพุทธรูปดีเงางามมาก ราคาต้องไม่ธรรมดา
แน่นอน
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วถามว่า “หนิงเอ่อร์ เจ้ารู้ไหม
ว่าใครส่งมา? ของ...ของพวกนี้ราคาไม่ธรรมดา
เลยนะ ไข่มุกสองเม็ดนี้ไม่ต้องพูดถึงเลย
พระพุทธรูปสีด้าทองนี่ยิ่งหายาก ยังมีก้าไลทับทิม
นี่อีก...”
ฉีหนิงเองก็สงสัย แต่ว่าสายตาของเขาก็ดีอยู่ เขา
มองออกว่า ของพวกนี้เป็นของหายากทั้งนั้น คิด
ว่าคนที่ใจป้า อีกทั้งไม่ลงชื่อไว้แบบนี้ จะเป็นใคร
ได้ เขานิ่งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้
แล้ว”
กู้ชิงฮั่นรีบถามว่า “ใคร?”
“ซานเหนียง ตอนที่ข้าอยู่ที่ซีชวน บังเอิญไป
ช่วยชีวิตคนกลุ่มหนึ่งไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “คนพวกนั้นเป็นประมุขเจ้าส้านักของ
แปดพรรคสิบหกส้านักทั้งนั้น ตอนที่ข้าจะกลับมา
พวกเขาบอกว่าจะตอบแทนบุญคุณข้า แต่ว่าข้า
ไม่ได้ใส่ใจใ วันนี้เห็นกล่องพวกนี้ที่หน้าประตู คิด
ดูแล้ว คงมีแต่พวกเขาแน่นอน”
กู้ชิงฮั่นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาถามว่า “ใช่พวกเขา
แน่หรือ?”
“คิดว่าน่าจะใช่” ฉีหนิงพูดว่า “ที่จริงพวกเขาก็รู้ดี
คนของราชส้านักกับคนในยุทธภพไม่ควรใกล้ชิด
กันเกินไป พวกเขาเลยไม่กล้าส่งมาอย่างเปิดเผย
เลยคิดวิธีแบบนี้ ท่านลองคิดดูนะ ของพวกนี้รวม
กันแล้ว ใช้เงินไม่น้อยเลยนะ จะมีใครส่งของขวัญ
แบบนี้มาได้ แล้วไม่ลงชื่อด้วย”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว “แล้วเราควรจะคืนของพวกนี้ให้
พวกเขาไหม?”
“ไม่ต้องหรอก” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ของพวกนี้
ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปได้มาอย่างไรๆ เจ้าของเดิมเป็น
ใคร อาจจะไม่ใช่พวกเขาก็ได้ อีกทั้งพวกเขาเอา
ของมาให้ ก็เพื่อขอบคุณที่ข้าช่วยชีวิตพวกเขาไว้
พวกเขารู้จักตอบแทน ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ของ
พวกนี้ ส้าหรับพวกเขาอาจจะไม่มีราคาอะไร สิ่งที่
ส้าคัญที่สุด ในเมื่อพวกเขาเอามาให้แล้ว หากข้า
ส่งคืนพวกเขาไป พวกเขาอาจจะคิดว่าข้าดูถูก
พวกเขาก็ได้”
กู้ชิงฮั่นคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “จะจัดการ
อย่างไรๆ เจ้าตัดสินใจก็แล้วกัน แต่ว่าเมื่อกี้เจ้า
เองก็พูดถูก เจ้าเป็นโหวเยว่ อย่าไปยุ่งกับคนพวก
นั้นมาก”
ฉีหนิงคิดในใจว่าหากเป็นเพื่อนกับพวกเขา มันก็
ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ว่าจะพูดออกไปไม่ได้แค่นั้น เขา
ยื่นมือออกไป แล้วจับข้อมือของกู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่น
ตกใจ แล้วต้าหนิเขาไปว่า “จะท้าอะไร? ปล่อย
นะ” นางพยายามจะสะบัดมือ ฉีหนิงกลับพูดว่า
“ซานเหนียง ท่านมาลองดู ดูสิว่าใส่แล้วจะสวย
หรือเปล่า” เขาจับมือของกู้ชิงฮั่นเอาไว้แล้วสวม
ก้าไลให้กับกู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นรีบพูดว่า “หนิงเอ่อร์ อย่าท้าแบบนี้ ก้าไล
นี่เจ้าเก็บเอาดีกว่า”
“ข้าจะเก็บก้าไลเอาไว้ท้าไม?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด
ว่า “ก้าไลนี่ราคาสูง มีเพียงซานเหนียงคนเดียว
เท่านั้นที่คคู่ วร ตาแก่พวกนั้นก็เข้าใจเลือกนะ รู้ว่า
ต้องส่งอะไรมาให้” เขาสวมก้าไลให้กู้ชิงฮั่นแล้ว ก็
บีบมือของนางเบา ๆ จากนั้นก็มอง เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ซานเหนียง สวมก้าไลนี่แล้ว มือของท่าน
ขาวมากเลยนะ ดูสิก้าไลนี่เกิดมาเพื่อท่าน
แน่นอน”
มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่ชอบเครื่องประดับ อีกทั้ง
ก้าไลทับทิมนี่ก็หาได้ยาก กู้ชิงฮั่นเกิดในตระกูลผู้ดี
สายตาของนางสูงมาก เมื่อกี้มองแค่พริบตาเดียว
นางก็ชอบแล้ว เมื่อกี้ฉีหนิงสวมให้นาง ก้าลังสี
ทับทิมแบบนี้ มันยิ่งท้าให้ข้อมือของนางดูขาวขึ้น
นางชอบมันมาก ๆ แต่ว่าก็รู้สึกว่าถ้าสวมมันดูไม่
เหมาะ นางพูดว่า “ข้าไม่เอา...เจ้า...เจ้าเก็บไว้เอง
เถอะ ก้าไลมีราคาแบบนี้ จะใส่ให้เห็นได้อย่างไรๆ
ล่ะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เห็นเป็นไรเลย ต่อไปซาน
เหนียงก็แอบใส่ แล้วให้ข้าดูคนเดียวก็พอ คนอื่น
อย่างดูก็ไม่มีบุญหรอก” จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่
ปล่อยมือกู้ชิงฮั่นเลย นางยิ้มแล้วมองมาที่กู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นหน้าแดง แต่ปากของนางก็ยังพูดว่า
“ท้าไมข้าต้องใส่ให้เจ้าดูด้วย? เจ้าอยากดู ก็ไปให้
คนอื่นใส่ให้ดู ข้าไม่เสียดายหรอก”
“คนอื่น?” ฉีหนิงพูดเสียงเบาๆ ว่า “นอกจากซาน
เหนียงแล้ว ข้านึกถึงใครไม่ออกเลย ข้ารู้สึกว่า
เครื่องประดับนี่ มีแค่ซานเหนียงคนเดียวที่ใส่แล้ว
ดูดี ซานเหนียงหน้าตาดี ผิวก็ขาว ไม่ใช่ว่าใครจะ
มีปัญญานะ...กระบี่ดีคู่วีรบุรุษ หยกสวยคู่สาวงาม
ซานเหนียงเป็นสาวงาม หยกสวยๆ ชิ้นนี้มีแต่ท่าน
เท่านั้นที่คคู่ วร”
กู้ชิงฮั่นหัวเราะแล้วพูดว่า “ปากเจ้าเนี้ยนะ เอาล่ะ
ไม่พูดเรื่องนี้แล้วดีกว่า” นางยิ้มหวานมาก มี
เสน่ห์ แล้วก็ดึงมือออกไปตอนไหนก็ไม่รู้ แล้ว
เปลี่ยนเรื่องทันที “จริงสิ วันนี้เถียนฮูหยินจาก
ร้านยาตระกูลเถียนพาลูกสาวมาที่จวน บอกว่า
เจ้าสั่งให้พวกนางมาหาแม่นางถัง เรื่องนี้จริง
หรือไม่?”
ก่อนที่ฉีหนิงจะออกจากบ้านไป เขาได้สั่งพ่อบ้าน
หานไว้ พอได้ยินกู้ชิงฮั่นถามขึ้นมา เขาเลยถาม
กลับไปว่า “จริง ซานเหนียง แล้วเป็นอย่างไร
บ้าง? แม่นางถังรักษาอาการของแม่นางคนนั้นได้
หรือไม่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 567 ถ้้ำหมื่นพิษ
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “แม่นางถังนิสัยดี มีเมตตา เจ้าสั่ง
ให้คนมาถึงที่ แม่นางถังจะปฏิเสธได้อย่างไร? เมือ่
วานตลอดช่วงเช้า แม่นางเถียนอยู่ในห้องของแม่
ถังตลอดไม่ได้ออกมาเลย กลางวันข้าให้คนจัด
อาหารให้สองแม่ลูก ช่วงบ่ายพวกนางถึงเอายา
กลับไปสองชุดได้ยินมาว่าอาการตาของแม่นาง
เถียนรักษาลาบาก ต้องใช้เวลาสักหน่อย อีกสอง
สามวันค่อยมาดูอาการใหม่อีกที”
ฉีหนิงพูดอย่างดีใจว่า “แสดงว่า ก็ยังมีหวังน่ะสิ?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ไว้เจ้าค่อยไปถามรายละเอียดกับ
แม่นางถังอีกทีละกัน ข้าเองก็บอกไม่ได้ละเอียด
แต่ว่าในเมื่อบอกให้พวกนางมาตรวจบ่อยๆ แสดง
ว่าน่าจะมีหวัง” นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “คิด
แล้วก็น่าเสียดายนะ ได้ยินมาว่าแม่นางน้อยคน
นั้นป่วยโรคตานั่นมาตั้งหลายปีแล้ว หาหมอมา
หลายคนก็ไม่หายสักที หากครั้งนี้แม่นางถังรักษา
นางหาย คงเป็นบุญครั้งใหญ่”
“พิษระบายครั้งก่อน แม่นางถังเป็นคนช่วยนะ” ฉี
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากบอกว่าสะสมบุญ บุญ
ของนางคงพอใช้ไปหลายชาติแล้ว”
กู้ชิงฮั่นปิดกล่องลง แล้วพูดว่า “เอาล่ะ เจ้าไปกิน
ข้าวเถอะ เดี๋ยวข้าเก็บของให้”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “ซานเหนียง อย่าเพิ่งรีบร้อน ข้า
ยังมีอีกเรื่องอยากจะถามท่าน”
“เรื่องอะไร?”
“ซานเหนียง ท่านรู้จักเป่ยกงเหลียนเฉิงหรือ
เปล่า?” ฉีหนิงถาม “หนึ่งในห้าต้าจงซือ ที่ถูก
เรียกว่าเทพกระบี่”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว “เจ้าหมายถึงท่านรองตระกูล
ฉีน่ะหรือ? ทาไมจู่ๆ ถึงถามถึงเขาล่ะ?”
“ซานเหนียง ท่านรู้เรื่องของเขามากแค่ไหน?” ฉี
หนิงถามว่า “เขาเป็นคนของตระกูลฉี ทาไมถึง
แซ่เป่ยกงล่ะ?”
กู้ชิงฮั่นคิด แล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าแต่งเขามาที่
ตระกูลฉี ท่านรองก็ไม่ได้อยู่ที่จวนแล้ว ที่จริงแล้ว
เขาไม่เคยมาที่จวนเลยด้วยซ้า ในจวนก็แทบจะไม่
มีใครพูดถึงเขาเลย ข้ารู้แค่ว่า ตอนที่เขายังเป็น
หนุ่ม เขาชอบออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ค่อนข้าง
ห่างเหินกับคนในตระกูลฉีมาก ข้าเองก็ไม่เคยเจอ
เขามาก่อน”
“แล้วท่านรู้หรือเปล่าว่าทาไมเขาถึงแซ่เป่ยกง?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่เคยถามนะ ที่
จริงต่อให้ข้าถาม ก็ไม่น่าจะมีใครบอกข้า”
ฉีหนิงได้ยินกู้ชิงฮั่นพูดมาแบบนี้ ก็รู้ว่านางรู้เรื่อง
เป่ยกงเหลียนเฉิงน้อยมาก เขารู้สกึ ผิดหวัง ทันใด
นั้นเองก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอกว่า “ฮูหยิน
สาม โหวเยว่ ทางวังหลวงให้คนส่งจดหมายมาให้
โหวเยว่ขอรับ”
ฉีหนิงเดินออกมาจากห้อง เห็นพ่อบ้านหานยืนอยู่
ที่ประตูเรือน เลยถามกลับไปว่า “ในวังส่งคนมา
หรือ?”
พ่อบ้านหานยื่นจดมหายมาให้เขาแล้วพูดว่า
“ฟ่านกงกงเป็นคนส่งมาให้ด้วยตัวเองขอรับ บอก
ว่าเป็นจดหมายลับของฝ่าบาท เขาทิ้งจดหมาย
เอาไว้ แล้วก็ไม่ได้อยู่ต่อ รีบกลับวังไปทันทีเลย
ขอรับ”
ฉีหนิงรับจดหมายมา แล้วเปิดออกอ่าน สายตา
ของเขาดูประหลาดใจมาก แต่ก็ยังเก็บจดหมาย
เอาไว้ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “พ่อบ้านหาน เจ้าไป
ที่ที่หนึ่งให้ข้าที...” เขากระซิบข้างหูเขา พ่อบ้าน
หานรับปาก แล้วออกไปทันที
เช้าวันต่อมา ฉีหนิงเพิ่งตื่นนอน ก็มีแขกมาขอพบ
เขา เขาเก็บของแต่งตัว แล้วเดินออกมาที่ห้องโถง
เห็นเจ้าหน้าที่หลวงอายุประมาณสี่สิบปีกาลังนั่ง
รอเขาอยู่ เห็นฉีหนิงเดินเข้ามา เขารีบลุกขึ้นแล้ว
คานับ “ข้าน้อยหูป๋อเวินจั่วซื่อหลางแห่งกรมพิธี
การ คานับโหวเยว่”
ฉีหนิงเห็นหูป๋อเวินอายุประมาณสี่สิบ รูปร่าง
หน้าตาทาทีเหมือนบัณฑิต เขายิ้มแล้วพูดว่า “ที่
แท้ก็ใต้เท้าหูนี่เอง ไม่ต้องเกรงใจ เชิญนั่งก่อน”
หลังจากที่เขานั่งลงแล้ว หูป๋อเวินก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ที่ข้าน้อยมาขอพบวันนี้ เพราะได้รับ
คาสั่งจากท่านเสนาหยวน ให้มาขอคาชี้แนะจาก
ท่าน”
“ชี้แนะ?”
“ครั้งนี้โหวเยว่ต้องเดินทางไปเป็นราชทูตที่ตงฉี
หลังจากที่เราได้หารือกันแล้ว ข้าน้อยได้รับคาสั่ง
ให้เดินทางติดตามโหวเยว่ไปด้วย” หูป๋อเวินยิ้ม
แล้วพูดว่า “ข้าน้อยจะติดตามโหวเยว่ ช่วย
จัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้ และคอยให้ความ
ช่วยเหลือในทุกเรื่อง”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างนี้ก็ดี” เขาคิดในใจว่า
หลังจากที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ส่งราชทูตไปตงฉี ราช
สานักเองก็ทางานกันรวดเร็วใช้ได้เลย มีการจัด
แต่งตั้งรองราชทูตมาแล้ว หูป๋อเวินจั่วซื่อหลาง
แห่งกรมพิธีการ เป็นลูกน้องของท่านเสนาหยวน
เขาน่าจะรู้จักธรรมเนียมต่างแดนเป็นอย่างดี มีคน
แบบนี้คอยช่วยเหลือ มันดีมากจริงๆ
หูป๋อเวินลุกขึ้นมา แล้วยื่นสมุดรายงานให้หนึ่งเล่ม
“โหวเยว่ นี่เป็นรายการของขวัญที่ทางกรมพิธี
การคัดเลือกมาแล้ว เชิญโหวเยว่ตรวจดูก่อน การ
เดินทางไปตงฉีเพื่อเจรจาการอภิเษกในครั้งนี้
ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถึงแม้ทางตงฉีจะเป็นแคว้นเล็ก แต่
ว่าเราก็จะให้เสียมารยาท รายการของขวัญพวกนี้
เหมาะสมตรงตามขนบธรรมเนียมทุกอย่าง ยัง
แสดงความมั่งคั่งความมีบารมีของแคว้นฉู่ของเรา
ได้ด้วย โหวเยว่ลองตรวจสอบดูได้ว่าควรเพิ่มหรือ
ลดอะไรบ้าง”
ฉีหนิงรับเอามาดู เขากวาดสายตาอ่าน เขาพบว่า
รายการของขวัญนี้มันมีมูลค่ามาก เขาอดไม่ได้
ถามว่า “ใต้เท้าหู ท่านเสนาโต้วของกรมคลังบอก
ตลอดว่าเขาไม่มีเงิน รายการของขวัญพวกนี้
ราคาไม่ธรรมดาเลย กรมคลังของพวกเขาจัดหา
ให้เราได้หรือ?”
หูป๋อเวินยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ เดินทางไปตงฉี
เป็นเรื่องของเรา แต่ว่าการเตรียมของขวัญ เป็น
เรื่องของกรมคลัง การจัดคัดเลือกรายการ เป็น
เรื่องของทางกรมพิธีการ เราไม่ต้องสนใจว่าทาง
กรมคลังจะจัดหาให้ได้หรือไม่ เราสนใจแค่ว่ามัน
เหมาะสมกับทาเนียมหรือเปล่าก็พอ โหวเยว่ก็
ทราบดี หากของขวัญของเราน้อยเกินไป ราคาต่า
เกินไป ทางตงฉีไม่พอใจปฏิเสธมา มันเสียหน้ากับ
ราชสานัก ถึงเวลานั้นคงมีคนต่อว่ามาทางกรมพิธี
การแน่นอน ความผิดก็จะลงมาที่หัวของเรา
ทันที”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ของที่ต้องเตรียมหรือควร
ต้องเตรียม เราก็ส่งไปทั้งหมดนั่นแหละ จะจัดได้
หรือไม่ ให้เป็นเรื่องของกรมคลังอย่างนั้นใช่
หรือไม่”
“ถูกต้องแล้ว” หูป๋อเวินพูดว่า “แต่ว่าทุกอย่าง
ต้องผ่านตาของโหวเยว่ก่อน หากโหวเยว่รู้สึกว่า
ไม่เหมาะสม ข้าน้อยจะกลับไปหารือแล้วคัดกัน
ใหม่”
ฉีหนิงปิดสมุดรายงาน แล้วยื่นกลับไป “ในเมื่อ
หารือกันมาแล้ว ทางข้าไม่มีปัญหาอะไรเลย เอา
รายงานนี่ส่งไปที่กรมคลังได้เลย”
หูป๋อเวินรับรายงานคืนมา แล้วพูดว่า “ข้าน้อยรับ
บัญชา”
“ใต้เท้าหู เจ้าว่าเรามีเวลาเตรียมตัวนานแค่
ไหน?” ฉีหนิงถาม
หูป๋อเวินพูดว่า “ทางกรมพิธีการได้ทาการเลือก
วันเดินทางไว้แล้ว มีหลายวันที่เหมาะสมที่จะออก
เดินทาง เร็วสุดคืออีกสามวัน ช้าสุดสิบเจ็บวัน แต่
ว่าวันที่ดีที่สุด ก็คืออีกแปดวัน เหมาะกับการออก
เดินทางมาก ท่านเสนาหยวนบอกว่า เราควรจะ
ออกเดินทางในอีกแปดวันซึ่งคือวันนี้สิบแปดเดือน
ห้า ดังนั้นตอนที่ข้าน้อยไปส่งรายการพวกนี้ที่กรม
คลัง ต้องหารือเรื่องนี้กับพวกเขาด้วย ให้พวกเขา
เตรียมของให้ทันภายในอีกแปดวัน ห้ามเสียฤกษ์
เดินทางเด็ดขาด”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ทุกอย่างก็ให้เจ้า
จัดการไปได้เลยนะ ต้องการให้ข้าช่วยอะไร ก็มา
หาข้าได้ตลอดเวลา”
หูป๋อเวินยกมือคานับแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น
ข้าน้อยก็ไม่ขอรบกวนแล้ว หากโหวเยว่ต้องการ
ให้ทาอะไรเพิ่มเติม ก็ให้คนไปแจ้งข้าน้อยได้
ทันที”
ฉีหนิงไม่ได้อยากจะไปยุ่งกับกรมคลังอยู่แล้ว
ตอนนี้ให้หูป๋อเวินมาจัดการเรื่องนี้ ฉีหนิงก็สบาย
ใจขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องจุกจิก ให้คนอย่างหูป๋อ
เวินไปทาแทนดีแล้ว
ตกเย็น ฉีหนิงให้คนเตรียมรถม้า เมื่อเตรียมรถม้า
เสร็จแล้ว ก็มีคนเข้ามารายงานว่า มีคนมาขอพบ
ฉีหนิงรู้ว่าใครจะมาหาเขา เขาให้คนไปเชิญเข้ามา
เขาเห็นชิวเฉียนอี้สวมชุดผ้าแพรสวมหมวกยืนรอ
อยู่ที่ห้องโถง ฉีหนิงเห็นชิวเฉียนอี้แต่งตัวแบบนี้
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ราชาพิษแต่งตัวแบบนี้แล้ว
เหมือนกับเศรษฐีมีเงินที่เกษียณอยู่ที่จวนเลยนะ”
ชิวเฉียนอี้นั่งลงที่เก้าอี้ เหลือบไปมองฉีหนิง แล้ว
ถามว่า “เจ้าคิดจะทาอะไร? ทาไมต้องให้ข้าใส่ชุด
แบบนี้ด้วย?”
ฉีหนิงสั่งให้พ่อบ้านหานไปหาชิวเฉียนอี้เมื่อคืน
แล้วเอาชุดไปให้เขาเปลี่ยนด้วย ฉีหนิงเดิมคิดว่าชิ
วเฉียนอี้จะยอมใส่หรือไม่ พอตอนนี้ได้เห็น เขาก็
วางใจ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ราชาพิษมาเมืองหลวง
หลายวันแล้ว ยังไม่ได้ต้อนรับท่านดีๆ สักครั้งเลย
วันนี้ข้าว่าง เลยอยากจะพาท่านไปผ่อนคลายสัก
หน่อย”
ชิวเฉียนอี้ตะลึง จากนั้นก็พูดว่า “ข้าจะไปไหนมา
ไหน ยังต้องให้เจ้ามาพาไปด้วยหรือ? เจ้าตัวแสบ
เจ้าคิดจะทาอะไรกันแน่?”
“ราชาพิษไม่ต้องถามมากหรอก” ฉีหนิงลุกขึ้น
แล้วพูดว่า “รถม้าเตรียมไว้แล้ว ท่านตามข้ามาก็
พอ”
ราชาพิษไม่รู้ว่าฉีหนิงคิดจะทาอะไร เขาลังเล แล้ว
เดินตามฉีหนิงออกไป ทั้งสองไม่ได้ขี่ม้า แต่นั่งรถ
ม้าคันเดียวกัน ชิวเฉียนอี้เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมา
ได้ เขาถามว่า “เจ้าจะพาข้าเข้าวังไปพบฮ่องเต้
หรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ราชาพิษ ข้าพูดอะไรตรงๆ
กับท่านหน่อยนะ ท่านมีชื่อเสียงด้านนอกก็จริง
แต่ว่าจะเข้าวัง คิดว่าคงไม่ได้”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าในวังหลวงมียอด
ฝีมือตั้งมากมาย รอบตัวฮ่องเต้ก็มีอยู่ไม่น้อยเลย
ทาไม เขากลัวข้าหรือ?”
“ราชาพิษท่านเชี่ยวชาญในการใช้พิษ มีใครบ้าง
ไม่กลัว?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พูดตามตรง
แม้แต่ข้า ยังนับถือการใช้พิษของท่านเลย ใต้หล้า
นี้ คงไม่มีใครใช้พิษได้ดีกว่าท่านแล้ว หากให้ท่าน
เข้าวัง เกิดท่านใช้พิษขึ้นมา ข้าไม่ซวยไปด้วย
หรือ?”
ชิวเฉียนอี้หัวเราะแห้ง ฉีหนิงชมว่าเขาใช้พิษไม่มี
ใครเทียบได้ เขารู้สึกว่ารู้สึกดีเหมือนกัน
“ราชาพิษ ข้าอยากถามอะไรหน่อย ท่านต้องตอบ
ข้ามาตามตรงนะ มีคนที่ใช้พิษเก่งเท่าท่านอีก
หรือไม่?” ฉีหนิงถามด้วยรอยยิ้ม “การใช้พิษในใต้
หล้านี้ ไม่ออกนอกซีชวน ในซีชวนท่านก็เป็น
อันดับหนึ่ง ถือว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้าแล้วใช่
หรือไม่”
ชิวเฉียนอี้บ้ายอ รู้สึกถ่อมตัวขึ้นมา “ในใต้หล้านีม้ ี
ผู้กล้ามากมาย ข้าใช้พิษก็ถือว่าพอใช้ ไม่เคยแพ้
ใคร แต่ว่าไม่ใช่อันดับหนึ่งในใต้หล้าหรอก”
“หืม?” ฉีหนิงพูดว่า “หรือว่ามีคนที่ร้ายกาจกว่า
ท่านอีกอย่างนั้นหรือ?”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมี
คน” เขาพูดว่า “เจ้าได้ยินชื่อถ้าหมื่นพิษที่หนาน
เจียงหรือไม่?”
“ถ้าหมื่นพิษ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ชื่อนี้ดู
องอาจมากเลย”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ถ้าหมื่นพิษที่หนานเจียงสืบทอด
มายาวนานมากแล้ว พวกเขาเป็นพรรคอันดับ
หนึ่งของหนานเจียงเลย ประมุขของถ้าหมื่นพิษ
แต่ละรุ่นจะมีคนถูกเรียกว่าอ๋องพิษ และเป็นคนที่
ใช้พิษได้ร้ายกาจมากที่สุด ตลอดเวลาที่ผ่านมา
ถ้าหมื่นพิษหนานเจียงกับพรรคห้าพิษของซีชวน
ถือเป็นพรรคใหญ่สองพรรคที่เชี่ยวชาญในการใช้
พิษมาก แต่ว่าเมื่อร้อยปีก่อน พรรคห้าพิษถดถอย
ลง สู้ถ้าหมื่นพิษไม่ได้เลย แต่ว่าถ้าหมื่นพิษเองก็
เคลื่อนไหวเฉพาะในหนานเจียง ทางจงหยวนเลย
รู้เรื่องของพวกเขาน้อยมาก”
“ราชาพิษเคยเจอคนของถ้าหมื่นพิษหรือไม่?” ฉี
หนิงถาม
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “เคยเจอ แต่ว่าไม่ได้คุยกับมาก
นัก คนของถ้าหมื่นพิษลึกลับมาก ดีร้ายไม่
แน่นอน นิสัยก็แปลก ข้าไม่ชอบยุ่งกับพวกเขา
เท่าไหร่”
ฉีหนิงถามว่า “ราชาพิษ พูดถึงหนานเจียง ข้าคิด
ขึ้นมาได้มีคนเคยเล่าให้ข้าฟัง เหมือนจะมีคนของ
ตาหนักหยวนโต้วกลุ่มหนึ่งหนีไปที่หนานเจียง ไม่
ทราบราชาพิษท่านเคยได้ยินเรื่องของพวกเขาบ้าง
หรือไม่?”
“ตาหนักหยวนโต้ว?” ชิวเฉียนอี้จ้องไปที่ฉีหนิง
แล้วพูดว่า “เด็กน้อยอย่างเจ้า ก็รู้จักตาหนัก
หยวนโต้วด้วย? หึ ข้าประมาทเจ้าเกินไป เจ้ารู้
เรื่องเยอะเหมือนกันนี่นา” เขาคิดจากนั้นก็ส่าย
หน้าแล้วพูดว่า “ตาหนักหยวนโต้วล่มสลายไป
หมดแล้ว ข้าเคยได้ยินว่าตาหนักหยวนโต้วมีเรื่อง
วุ่นวายเกิดขึ้นภายใน มีคนของตาหนักหยวนโต้
วกลุ่มหนึ่งหนีไปที่หนานเจียงจริง อีกทั้งยังครอง
ความเป็นใหญ่ในหนานเจียงเวลาหนึ่งด้วย ได้ยิน
มาว่าเพื่อการครอบครองพื้นที่ในหนานเจียง พวก
เขาเคยมีปัญหากับทางถ้าหมื่นพิษด้วย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 568 นัดพบ
ฉีหนิงรีบถามว่า “สายเลือดหยวนโต้วกับถ้าหมื่น
พิษมีปัญหากัน? แล้วผลเป็นยังไง?”
“ถึงแม้ต้าหนักหยวนโต้วจะเคยเป็นพรรคอันดับ
หนึ่งในยุทธภพ แต่ว่าตังแต่ชางเฮาตายไป
ต้าหนักหยวนโต้วก็ถอยหลังลงคลองมาก” ชิว
เฉียนอีพูดว่า “ต้าหนักหยวนโต้วแยกตัวออกเป็น
สี่ฝ่าย ต่อสู้กันเอง ไม่ถึงสิบปี ต้าหนักหยวนโต้วที่
เคยรุ่งเรืองก็ตกอับไม่ต่างกับพรรคเล็กพรรคน้อย
กลุ่มที่หนีไปที่หนานเจียงถึงจะถือเป็นสายเลือด
ของหยวนโต้ว แต่ว่าน่าเสียดายพวกเขาไม่ใช่
ต้าหนักหยวนโต้วอย่างเดิมอีกแล้ว”
ฉีหนิงรับค้าแค่ “อืม” ชิวเฉียนอีพูดอย่างประชด
ประชันว่า “น่าตลกนะพวกนันยังคิดว่าตัวเองคือ
คนของต้าหนักหยวนโต้วที่ยิ่งใหญ่อยู่ พอมาถึง
หนานเจียง ก็ยังวางมาด เจ้าลองคิดดูนะ ถ้าหมื่น
พิษยิ่งใหญ่อยู่ในพืนที่หนานเจียงมากว่าร้อยปี
พวกเขาจะยอมให้กลุ่มอ้านาจอื่นต่างแดนมาวาง
ท่าที่หนานเจียงได้หรือ เท่าที่ข้ารู้มา ไม่กี่ปีเท่านัน
กลุ่มหยวนโต้วที่หนานเจียงถูกถ้าหมื่นพิษจัดการ
จนไม่ออกมาเคลื่อนไหวอีกเลย”
ฉีหนิงขมวดคิวแล้วพูดว่า “ก็หมายความว่า
ต้าหนักหยวนโต้วที่หนานเจียงก็ไม่มีอยู่แล้วสิ?”
“ถูกต้อง” ชิวเฉียนอีพยักหน้า “แต่ว่าหากจะ
บอกว่าพวกเขาล่มสลายไปหมด มันก็ไม่ใช่ซะที
เดียว เท่าที่ข้ารู้มา คนของต้าหนักหยวนโต้วที่เข้า
ไปในหนานเจียง มีกว่าร้อยคน ต่อสู้กับถ้าหมื่น
พิษไป ตายไปครึ่งหนึ่ง คนของต้าหนักหยวนโต้ว
ไม่อาจสู้กับถ้าหมื่นพิษได้ เลยร้องของสงบศึก
เลยรอดมาได้อีกครึ่งหนึ่ง”
ฉีหนิงรู้งว่าชิวเฉียนีรู้เรื่องหนานเจียงเป็นอย่างดี
เขายิมแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนัน คนของต้าหนัก
หยวนโต้วก็ยังคงอยู่น่ะสิ”
“ถึงแม้คนจะรอด แต่ต้าหนักหยวนโต้วไม่มีทาง
กลับมาได้อีก” ชิวเฉียนอีพูดว่า “เท่าที่ข้ารู้มา
ตอนที่ต้าหนักหยวนโต้วขอสงบศึก ถ้าหมื่นพิษ
เองก็ได้ยื่นเงื่อนไขที่ไม่ดีเท่าไหร่ให้พวกเขาด้วย
หนึ่งในเงื่อนไขหนึ่งก็คือ ห้ามคนพวกนันใช้ชื่อ
ของต้าหนักหยวนโต้วอีก ดังนันก็หมายความว่า
คนของต้าหนักหยวนโต้วที่อยู่ในหนานเจียง ก็ถือ
ว่าไม่มีทางได้กลับมาอีกแล้ว”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วถามว่า “ราชาพิษ ข้าได้ยิน
คนพูดกันว่า ตอนนันต้าหนักหยวนโต้วบารมีทั่ว
แปดทิศ มีวิชาร้ายกาจมากมาย ท่านเองก็เป็นคน
เก่าแก่ของยุทธภพ ความรู้ก็มาก ท่านรู้เรื่องพวก
นีบ้างหรือเปล่า?”
สีหน้าของชิวเฉียนอีไม่ได้เย็นชาเหมือนก่อนหน้า
นีแล้ว เขาพูดว่า “ข้าเริ่มท่องยุทธภพตังแต่เด็ก
เรื่องในยุทธภพเองข้าก็พอรู้เรื่องอยู่บ้าง” เขายก
มือลูบเครา แล้วพูดว่า “ต้าหนักหยวนโต้วมีหก
สุดยอดวิชา ล้วนแต่เป็นสุดยอดวิชา เท่าที่ได้ยิน
มาเดิมต้าหนักหยวนโต้วก็เป็นแค่พรรคธรรมดาที่
ไม่มีคนสนใจในยุทธภพ ต่อมาได้เป็นพรรคอันดับ
หนึ่งในใต้หล้า ก็เพราะทุกคนพ่ายแพ้และยอม
สยบให้กับหกสุดยอดวิชาของนักพรตชางเฮา”
เขาส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าหกสุด
ยอดวิชาสุดท้ายก็ไม่เหลือเลย น่าเสียดาย......”
“ไม่เหลือเลย?”
“ต้าหนักหยวนโต้วแยกออกเป็นสี่ฝ่าย แต่ละฝ่าย
ต่างมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่ว่าต่อมา
ต้าหนักหยวนโต้วทังสี่ฝ่ายล่มสลายไป หลายคน
ต้องการหกสุดยอดวิชานีทังนัน แต่ว่าไม่มีใครได้
เลย” ชิวเฉียนอีพูดว่า “หกสุดยอดวิชาก็หายไป
พร้อมกับการล่มสลายของต้าหนักหยวนโต้ว ไม่มี
ใครในยุทธภพได้เห็นวิชาพวกนันอีกเลย ต่อมามี
คนคาดเดากันไปว่า หกสุดยอดวิชาของต้าหนัก
หยวนโต้ว มันคือเรื่องหลอกลวง วรยุทธ์ของ
นักพรตชางเฮาอาจจะร้ายกาจดุจเทพเจ้าจริง แต่
ว่าคงมีแวรยุทธ์ของเขาคนเดียวที่ร้ายกาจ ลืมกัน
ว่าตอนที่นักพรตชางเฮาท่องยุทธภพ ก็ไม่เคยได้
ยินว่ามีหกสุดยอดวิชาอะไรเลย แต่พอนักพรต
ชางเฮาเป็นเจ้ายุทธภพแล้ว ถึงได้ยินว่าเขามีหก
สุดยอดวิชานีขึนมา”
ฉีหนิงขมวดคิวแล้วพูดว่า “เพราะอะไร?”
“เจ้าฉลาดจะตายไป เจ้าไม่เข้าใจหรือ?” ชิวเฉียน
อีพูดว่า “ต้าหนักหยวนโต้วยิ่งใหญ่ เป็นเพราะ
นักพรตชางเฮายังอยู่ นักพรตชางเฮาถึงแม้จะมีวร
ยุทธ์สูง อีกทังยังเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในยุทธ
ภพตอนนัน แต่ว่าเขาคือคนไม่ใช่เทพเจ้า วันหนึ่ง
เขาก็ต้องตาย เจ้าลองคิดดูนะ นักพรตชางเฮากว่า
จะท้าให้ต้าหนักหยวนโต้วที่เป็นแค่พรรคเล็ก ๆ
ขึนมาเป็นพรรคอันดับหนึ่งในยุทธภพได้ เขาต้อง
ล้าบากแค่ไหน เขาจะไม่กังวลเลยหรือว่าหากเขา
ตายไป ต้าหนักหยวนโต้วจะสืบทอดความรุ่งเรือง
ของเขาต่อไปได้ไหม?”
ฉีหนิงเข้าใจขึนมาแล้วพูดว่า “ความหมายของ
ท่านก็คือ นักพรตชางเฮารู้ว่าเขาไม่มีผู้สืบทอด
ศิษย์ของเขาแต่ละคนไม่มีใครมีความสามารถ เลย
ตังใจปล่อยข่าวเรื่องหกสุดยอดวิชา เพื่อให้คนใน
ยุทธภพย้าเกรงในต้าหนักหยวนโต้ว ไม่กล้าท้า
อะไรอย่างนันหรือ?”
ชิวเฉียนอีพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ถึงแม้มัน
จะเป็นแค่การคาดเดาจากคนกลุ่มหนึ่ง แต่มันก็ใช่
ว่าจะไม่มีเหตุผล หลังจากนันมันก็ชัดเจนขึน เมื่อ
นักพรตชางเฮาตายไป คนของต้าหนักหยวนโต้ว
ไม่มีใครสามารถเป็นสุดยอดฝีมือได้เลยสักคน อีก
ทังเพื่อแย่งชิงเจ้าต้าหนัก ยังเข่นฆ่ากันเองอีก
สุดท้ายก็แยกเป็นสี่ฝ่าย” เขาลูบเคราแล้วพูดว่า
“หากว่ามีหกสุดยอดวิชาจริง ท้าไมพวกเขายังถูก
กวาดล้างอีก? อีกทังยังไม่เคยมีใครใช้วิชานีเลย”
“ต้าหนักหยวนโต้วแยกออกเป็นสี่ฝ่าย ได้ยินมาว่า
แต่ล่ะฝ่ายก็ได้หกสุดยอดวิชาไปคนละส่วน กลุ่มที่
หนีไปหนานเจียงก็ได้ไปเหมือนกัน เหมือนจะมี
เคล็ดวิชา...” ฉีหนิงขมวดคิว “หรือว่ามันเป็นแค่
ข่าวลือ ไม่ใช่เรื่องจริง?”
ชิวเฉียนอีพูดว่า “ข้าเองก็เคยได้ยินมา กลุ่มของ
หนานเจียง เหมือนจะได้รอยฝ่ามือเลือดไป ได้ยิน
มาว่ามันเป็นสุดยอดวิชา ข้าเองก็สงสัยว่า หาก
พวกเขามีรอยฝ่ามือเลือด เขาก็สามารถตังตัวที่จง
หยวนได้แล้ว ท้าไมต้องหนีไปหนานเจียงด้วย? ดู
ท่ามันน่าจะเป็นแค่ข่าวลือเท่านัน”
ฉีหนิงคิดในใจว่าหากเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง
เขาคงเชื่อที่คาดเดากันมาเหมือนกัน เสียดาย มู่เย่
อ๋องดันใช้รอยฝ่ามือเลือดที่วัดต้ากวงหมิง ด้วย
ฝีมือของมู่เย่อ๋อง นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือชันสูง
พอชิวเฉียนอีพูดมา ฉีหนิงก็แน่ใจว่า มู่เย่อ๋อง
น่าจะเป็นสายเลือดของต้าหนักหยวนโต้วแน่
“ท่านคิดว่า หากรอยฝ่ามือเลือดมีอยู่จริงๆ กลุ่ม
ต้าหนักหยวนโต้วมีโอกาสกลับมาจงหยวนไหม?”
ฉีหนิงถาม
ชิวเฉียนอีคิดแล้วพูดว่า “ใช่ว่าจะไม่มี อาจจะเป็น
ไปได้ว่ามันมีอยู่ตลอด แล้วก็อยู่ในมือของกลุ่ม
ต้าหนักหยวนโต้วหนานเจียง เพียงแต่คนพวกนัน
อาจจะไม่ได้มีฝีมือมากพอ ไม่สามารถฝึกมันได้
ต่อให้มีคนฝึกมันได้ แต่เขาอาจจะไม่ใช่คนที่ชอบ
ต่อสู้ ใช้ชีวิตเรียบง่ายในหนานเจียง ไม่อยากมายุ่ง
กับเรื่องในจงหยวนก็ได้” เขาพูดว่า “คนที่มีสุด
ยอดวิชาแต่ไม่ออกหน้ามีอยู่ไม่น้อย คนบนโลกใบ
นีไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการมีชื่อเสียง”
ฉีหนิงพยักหน้า คิดในใจว่าค้าพูดของชิวเฉียนอีใช่
ว่าจะไม่มีเหตุผล
มู่เย่อ๋องปรากฏตัวในวัดต้ากวงหมิง เขามีข้อสงสัย
เต็มไปหมด อีกทังเป่ยกงเหลียนเฉิงยังมีความ
เกี่ยวข้องอีก ฉีหนิงเลยสนใจเรื่องนีมาก
ระหว่างที่คุยกัน ทันใดนันเองก็ได้ยินเสียงพูดเสียง
หัวเราะดังมาจากข้างนอก ชิวเฉียนอีอดที่จะดึง
ผ้าม่านออกดูไม่ได้ เขามองออกไปข้างนอก เห็น
แสงไฟสว่างไปทั่ว ไม่ไกลจากตรงนีมีแม่น้าอยู่สาย
หนึ่ง บนแม่น้ามีเรือส้าราญล่องอยู่เต็มไปหมด บน
เรือมีเสียงหัวเราะเสียงดนตรีดังมาอย่างต่อเนื่อง
บรรยากาศครึกครืนมาก
ชิวเฉียนอีขมวดคิว หันไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า
“นี่มันแม่น้าฉินไหว ท้าไมถึงพาข้ามาที่นี่?”
ในตอนนีเอง รถม้าก็หยุด ฉีหนิงก็ไม่ได้พูดอะไร
มาก ลงรถม้า จัดเสือผ้า หลังจากที่ชิวเฉียนอีลง
จากรถม้ามาแล้ว คนรถก็ขับรถม้าออกไป
ฉีหนิงเดินเอามือไขว้หลังแล้วเดินไปที่ริมแม่น้า
เขามองไปที่เรือส้าราญ เขายิมแล้วถามว่า “ท่าน
ชิวรู้สึกว่าที่นี่เป็นยังไงบ้าง? แสงไฟสว่างไสว
เสียงดนตรีครืนเครง นี่เป็นที่สนุกที่สุดในเมือง
หลวงเลยนะ”
ที่นี่คนไปมามากมาย ฉีหนิงจะเรียกเขาว่า “ราชา
พิษ” ไม่ค่อยสะดวก เลยเปลี่ยนมาเรียก “ท่าน
ชิว” แทน
สีหน้าของชิวเฉียนอีไม่ดีมากๆ เขาพูดว่า “ข้า
ไม่ได้มีเวลาว่างมาเที่ยวเล่นกับเจ้านะ เจ้าเด็ก
น้อยแซ่ฉี เจ้าคิดจะท้าอะไรกันแน่ หากกล้าแกล้ง
ข้า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ”
“ท่านชิวอย่าเพิ่งร้อนใจไป” ฉีหนิงยิมแล้วพูดว่า
“ข้านัดคนเอาไว้ที่นี่ ไว้เราไปดื่มพร้อมกัน ท่านชิว
วางใจ ค่าใช้จ่ายวันนี ท่านไม่ต้องควักเลย”
สายตาของเขาจ้องไปที่บนแม่น้า พอมาที่นี่ ในหัว
ของเขาก็มีแต่หน้าของจั่วเซียนเอ่อร์ที่ท้าให้เขาใจ
สั่น
จั่วเซียนเอ่อร์หน้าตาสวยงาม มีเสน่ห์ที่มาจากข้าง
ใน พอคิดถึงเวลาที่อยู่ด้วยกันสองคน ฉีหนิงก็
หวั่นไหว
ชิวเฉียนอีสงสัยมาก เห็นฉีหนิงมองไปที่แม่น้า ใน
เวลานีเอง ก็ได้ยินเสียงดังขึนมาว่า “โหวเยว่ รอ
นานแล้วนะ”
ชิวเฉียนอีได้ยินเสียง ก็หันไปมองทันที เขาเห็น
คุณชายคนหนึ่งสวมชุดผ้าแพรก้าลังเดินมาทาง
เขา คุณชายคนนันหน้าตาหล่อเหลา ดูสุขุมและมี
ราศีสง่างามมาก เขาดูจากการแต่งกาย ก็น่าจะ
เป็นคุณชายตระกูลผู้ดี เขารู้ว่าฉีหนิงเป็นโหว
ของต้าฉู่ จะคบหาใครก็น่าจะคนมีตระกูลเช่นกัน
เขาเลยไม่ได้สนใจ ทันใดนันเองเขาก็ได้เหลือบไป
เห็นคนที่ติดตามคุณชายคนนันมา เหมือนจะไม่
ห่างกายของเขาเลย
เขาสวมชุดผ่าวยาว พกกระบี่ ไว้หนวดเครา ดู
อายุน่าจะประมาณห้าสิบปี ชิวเฉียนอีเห็นการ
เดินของเขา ก็รู้ว่าน่าจะไม่ธรรมดา
ฉีหนิงหันกลับมา เมื่อเห็นคุณชายคนนัน ก็รีบเดิน
เข้ามาหา ยกมือค้านับแล้วพูดว่า “คุณชายเซียว”
คุณชายคนนันยกมือค้านับกลับ เขายิมแล้วพูดว่า
“ไม่เจอกันหลายวันเลยนะ โหวน้อยยังสง่างาม
เหมือนเดิมเลยนะ” เขามองไปที่ชิวเฉียนอี เขายิม
แล้วพยักหน้า ชิวเฉียนอีขมวดคิว แต่ก็พยักหน้า
ให้เหมือนกัน ถือว่าเป็นการทักทาย แต่เขายังคง
จ้องไปที่คนที่อยู่ด้านหลังของคุณชายคนนันอย่าง
ระวัง
คุณชายเซียวเดินมือไขว้หลังไปที่ริมแม่น้า แล้ว
มองไปที่เรือส้าราญ เขายิมแล้วพูดว่า “โหวน้อย
เจ้าพอรู้จักเรือส้าราญที่นี่บ้างไหม เราขึนเรือไป
เที่ยวกันดีกว่า?”
ฉีหนิงก้าลังมองหาเรือของจั่วเซียนเอ่อร์ว่าอยู่หรือ
เปล่า ทันใดนันก็ได้ยินเสียงคนดีใจพูดขึนมาว่า
“ท่านโหวน้อย ท่านมาแล้วหรือ...” พวกเขาหัน
หน้าไปมอง เห็นชายวัยสี่สิบก้าลังเดินเข้ามา เขา
ยิมแล้วพูดว่า “แม่นางของเรารอโหวเยว่ทุกวัน
เลย ในที่สุดท่านก็มาจนได้”
ฉีหนิงมองไป เขาจ้าได้ว่า ชายคนนีคือหวังเสียง
คนบนเรือของจั่วเซียนเอ่อร์ คิดว่าบังเอิญจริงๆ
ก้าลังมองหาเรือของนาง หวังเสียงก็โผล่มา เขา
ยิมแล้วพูดว่า “แม่นางจั่วอยู่บนเรือหรือเปล่า?”
หวังเสียงพูดว่า “สองวันก่อนที่ส่งเทียบเชิญไปให้
โหวเยว่ แต่ว่าโหวเยว่ก็ไม่ได้มา แม่นางไม่มี
ความสุขเลย นางให้ข้าน้อยมารอโหวเยว่ที่นี่ นาง
บอกว่ายังไงโหวเยว่ก็ต้องมา คิดว่าอาจจะติดงาน
อยู่ เสร็จงานแล้ว ท่านคงจะมา แม่นางนี่เดาแม่น
มากเลย วันนีโหวเยว่ก็มาจริงๆ”
ฉีหนิงรู้สึกว่าคุณชายเซียวก้าลังมองมาที่เขาอย่าง
ยิมๆ เขาฝืนยิมแล้วพูดว่า “เพื่อน เพื่อนคนหนึ่ง”
เขาหันไปพูดกับหวังเสียงว่า “ไปเอาเรือเล็กมา
ข้าจะพาสหายข้าขึนไปดื่มเหล้าชมวิวสักหน่อย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 569 พบแบบลับๆ
ตอนที่พวกของฉีหนิงขึ้นเรือของจั่วเซียนเอ่อร์ จั่ว
เซียนเอ่อร์ก็มายืนรอต้อนรับอยู่แล้ว
ไม่ได้เจอกันนาน จั่วเซียนเอ่อร์ยังคงสวยมีเสน่ห์
เหมือนเดิม ดูจากสายตาของนาง ฉีหนิงเห็นความ
ดีใจซ่อนอยู่ในนั้น
คุณชายเซียวเดินมือไขว้หลัง แล้วมองไปรอบๆ
จากนั้นก็มองไปที่จั่วเซียนเอ่อร์ แล้วมองไปที่ฉี
หนิง เขายิ้ม ฉีหนิงรู้สึกเขิน เขาพูดไปว่า “เซียน
เอ่อร์ เตรียมห้องเงียบๆ ให้ข้าทีนะ ข้ากับแขก
ของข้าจะดื่มเหล้าคุยกันสักหน่อย”
จั่วเซียนเอ่อร์รับคา แล้วก็ออกไปสั่งการ นางพา
พวกเขาไปที่ห้องชั้นสองด้วยตัวเอง นางพูดว่า
“โหวเยว่ นี่เป็นห้องที่เงียบที่สุดของที่นี่ ไม่มีใคร
มารบกวนแน่นอน หากโหวเยว่มีอะไรจะสั่ง เรียก
ข้าได้ทันที”
ฉีหนิงพยักหน้า จั่วเซียนเอ่อร์ก็ไม่ได้อยู่ในเสีย
เวลา นางพาคนถอยออกไปจนหมด ฉีหนิงเดิน
เข้ามาในห้อง ภายในเรียบง่ายมาก มีกลิ่นหอม
อ่อนๆ ด้านในมีโต๊ะกลม บนโต๊ะมีของว่าง แล้ว
ด้านข้างมีเตียงนอน
เมื่อเข้ามาในห้อง ชายวัยกลางคนก็ปิดประตูทันที
คุณชายเซียวเดินตรงไปนั่งเลย เขามองมาที่ชิว
เฉียนอี้ เขายิ้มแล้วถามว่า “ท่านคือราชาพิษจิ่วซี
ผู้เรื่องลืมไปทั่วหล้าชิวเฉียนอี้หรือ?”
ชิวเฉียนอี้เดินหน้าหนึ่งก้าว ยกมือคานับแล้วพูด
ว่า “ชิวเฉียนอี้ถวายพระพรฝ่าบาท”
คุณชายเซียวตะลึง เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ารู้ฐานะ
ของข้า?”
“จิน่ อีโหวเป็นคนหัวสูง ฝ่าบาททรงอายุยังน้อย
แต่ว่าจิ่นอีโหวกลับนอบน้อมต่อท่านมาก ข้าไม่ได้
ตาบอด” ชิวเฉียนอี้อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้น้อยก็ไม่ได้
สารวมมาก เขาพูดว่า “อีกอย่างเขาจัดการให้ข้า
มาพบคนที่นี่ นอกจากฝ่าบาทแล้ว คงไม่มีใครที่
ข้าอยากจะพบอีก”
คุณชายเซียวก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันหลงไท่ ชาย
วัยกลางคนที่ติดตามเขามาก็คือมือกระบี่องครักษ์
ประจาตัวเขาเซี่ยงเทียนเป่ย
ตอนนี้เซี่ยงเทียนเป่ยนั่งลงที่พื้นด้านหลังคุณชาย
เซียว ในมือของเขาถือกระบี่ แต่ไม่ได้พูดอะไร
“สมแล้วที่เป็นท่านราชาพิษ สายตาของท่าน
เฉียบแหลมมาก” หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่า
วันนี้ได้พบ ไม่ใช่แผนของจิ่นอีโหวหรอกนะ แต่
เป็นข้าเอง” เขายกมือแล้วพูดว่า “นั่งลงก่อนแล้ว
ค่อยคุยกัน”
ชิวเฉียนอี้มองไปที่ฉีหนิง แต่ก็ไม่ได้เกรงใจ เขา
เดินไปนั่งตรงข้ามกับหลงไท่ เขามองไปที่หลงไท่
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ความกล้าหาญของฝ่า
บาท ข้านับถือยิ่งนัก”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านหมายถึงที่ข้ากล้ามา
พบท่านน่ะหรือ?”
ชิวเฉียนอี้ยิ้มแล้วพูดว่า “คนในยุทธภพ ส่วนมาก
มีแต่หลบหน้าข้า แม้แต่เหล่าเจ้าสานักใหญ่ๆ เอง
ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ข้าสักคน กลัวว่าตายด้วย
น้ามือของข้าโดยไม่รู้ตัว ฝ่าบาทกล้ามาพบกับข้า
ความกล้าหาญนี้ เจ้าสานักพวกนั้นเทียบไม่ได้
เลย”
ฉีหนิงกระแอมไอ แล้วพูดว่า “ราชาพิษ ฝ่าบาท
ทรงสูงส่งแค่ไหน จะไปเทียบกับพวกนั้นได้ยังไง
กัน?”
ชิวเฉียนอี้ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ชิวเฉียนอี้ ข้ารู้เรื่องของ
ท่านมาบ้าง ข้ารู้ว่า คนที่เจ้าอยากเจอมากที่สุด
ในตอนนี้ ชื่อว่าต้วนชิงเฉิน”
ชิวเฉียนอี้สะดุ้ง เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้า
หนอนบ่อนไส้นั่น มันเข้ากับราขชสานัก ฝ่ายบาท
ทรงทราบหรือว่ามันอยู่ที่ไหน?”
หลงไท่ส่ายหน้า แล้วก็พยักหน้า ชิวเฉียนอี้กับฉี
หนิงไม่เข้าใจความหมาย หลงไท่พูดขึ้นมาว่า
“ต้วนชิงเฉินไม่ได้เข้ากับราชสานัก แต่วว่าข้ารู้ว่า
เขาอยู่ที่ไหน”
ชิวเฉียนอี้สะดุ้ง แล้วรีบถามว่า “เขาอยู่ที่ไหน?”
เขาขยับตัว เซี่ยงเทียนเป่ยที่อยู่ด้านหลังเขา
สายตาก็ดุขึ้นมา เขากากระบี่ไว้แน่น แต่ยังคงมี
แค่ท่าทียังไม่เคลื่อนไหว
“ศึกที่เขาเฉียนอูหลิง จวนเสินโหวนาเหล่าชาว
ยุทธบุกขึ้นเขาไป รอดจากพิษของท่านมาได้”
หลงไท่พูดว่า “จากนั้นก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่ง หา
เส้นทางขึ้นเขาที่ไม่ควรจะรู้ได้บุกขึ้นเขาไป ข้าพูด
ถูกไหม?”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ถูกต้อง”
“แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แผนของจวนเสินโหวเลย”
หลงไท่พูดว่า “ข้าบอกเจ้าก็ได้ว่า เรื่องนี้จวนเสิน
โหวเองก็แปลกใจมาก เขารู้ว่าแผนการในครั้งนี้
มันเป็นคนอื่น ชิวเฉียนอี้ ข้าพูดแบบนี้ ท่านเข้าใจ
หรือเปล่า?”
ชิวเฉียนอี้ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คนที่พาคนบุกขึ้น
เขา คือ...คือลู่ซางเฮ่อ”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้นหากเจ้าอยากหาตัว
ต้วนชิงเฉิน เจ้าไปหาลู่ซางเฮ่อได้ ในใต้หล้านี้คน
เดียวที่รู้ว่าต้วนชิงเฉินอยู่ที่ไหน คงมีเพียงลู่ซาง
เฮ่อเท่านั้น”
ฉีหนิงกับชิวเฉียนอี้ตะลึงไป
หลงไท่ไม่รอให้ชิวเฉียนอี้พูดอะไร เขาพูดต่อ่า “ที่
ซีชวนเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมากมาย คนของถ้า
เฮยเหยียนถูกใส่ร้าย เกือบถูกราชสานักกวาดล้าง
ในเวลานี้เอง เหมียวอ๋องของชาวเจ็ดสิบสองถ้าก็
ถูกลอบสังหาร แล้วใส่ร้ายจิ่นอีโหว ยังดีว่าพบ
ความจริงซะก่อน” สายตาของเขาดุดันขึ้นมา “ชิ
วเฉียนอี้ ตามความเห็นของท่าน สองเรื่องนี้แทบ
จะเกิดในเวลาเดียวกันเลย มันมีเป้าหมายยังไง?”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “มันชัดเจนมาก มีคนอยากให้
เจ็บสิบสองถ้าก่อกบฏ”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วหากชาวเหมียวเจ็ดสิบ
สองถ้าก่อกบฏ ผลจะเป็นยังไง?”
ชิวเฉียนอี้รู้ว่าฮ่องเต้น้อยนัดเขามาพบแบบลับๆ
แบบนี้ คงไม่ได้มาเพื่อคุยเล่น อีกฝ่ายถามคาแต่
ละคา จะต้องมีความหมายอะไรแน่ เขาขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “หากชาวเจ็บสิบสองถ้าก่อกบฏ ราช
สานักก็จะต้องยกทัพไปกวาดล้าง ดินแดนซีชวนก็
จะวุ่นวาย ถึงแม้ราชสานักจะมีกองทัพที่แข็งแกร่ง
แต่หากชาวเจ็ดสิบสองถ้าร่วมมือกัน ต่อให้
สุดท้ายจะพ่ายแพ้ แต่ราชสานักเองก็จะเสียหาย
ไม่น้อย”
หลงไท่พูดว่า “ในสายตาของท่าน เป้าหมายของ
การที่ชาวเจ็ดสิบสองถ้าก่อกบฏนั้น ก็เพื่อให้
กองทัพเสียกาลังพลเท่านั้นหรือ?”
“นั้นก็แค่เป้าหมายหนึ่งเท่านั้น” ชิวเฉียนอี้พูดว่า
“สามารถวางแผน ให้ชาวเจ็ดสิบสองถ้าก่อกบฏ
ได้ แสดงว่าเขาต้องไม่พอใจราชสานัก ก็น่าจะพุ่ง
เป้ามาที่ราชสานัก”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล งั้น
เราลองย้อนคิดกลับไป ในช่วงเวลานี้ ยังมีเรื่องที่
เกิดขึ้นอย่างน่าตกใจอีกเรื่องหนึ่งเหมือนกัน ซึ่ง
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านโดยตรง”
“ฝ่าบาททรงหมายถึงพิษระบาดในเมืองหลวง?”
ชิวเฉียนอี้ขมวดคิ้ว
หลงไท่พูดว่า “ถูกต้อง พิษระบาดในเมืองหลวง
แค่ระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถตรวจพบว่าเป็นฝีมือ
ของท่าน อีกทั้งยังลากโยงไปถึงพรรคบัวดาด้วย
ท่านคิดว่ายังไง?”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ถึงแม้ข้าจะฆ่าคนไปมาก แต่ว่า
ข้าไม่เคยคิดจะลงมือกับชาวบ้าน อีกทั้งยังไม่เคย
ทาด้วย”
“เรื่องพิษระบาด ปลายกระบี่จ่อไปที่คอของ
พรรคบัวดา อีกทั้งพอเชื่อมโยงกับอีกสองเรื่อง
ท่านไม่รู้สึกหรือว่าทุกเรื่องมันพุ่งเป้าไปที่เจ็ดสิบ
สองถ้า?” ท่าทีของหลงไท่จริงจังขึ้นมา “หลาย
คนคิดว่าเรื่องพวกนี้พุ่งเป้ามาที่ราชสานัก แต่ว่า
หากเปลี่ยนมุมมองใหม่ ท่านไม่รู้สึกว่า ทุกเรื่องที่
เกิดขึ้นนั้นตั้งใจอยากจะให้ชาวเจ็ดสิบสองถ้าถึงที่
ตายหรอกหรือ?”
ชิวเฉียนอี้ตะลึงไป เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พุ่ง
เป้ามาที่ชาวเจ็ดสิบสองถ้า?”
“ในแต่ละเรื่อง มีเรื่องไหนบ้างไม่เกี่ยวข้องกับชาว
เหมียว” หลงไท่พูดว่า “ต้วนชิวเฉินเป็นคนของ
พรรคบัวดา หากเขาทรยศพรรคบัวดาจริง ทาง
เลือกที่ดีที่สุดสาหรับเขาก็คือเข้าร่วมกับอีกฝ่าย
ซึ่งก็คือราชสานัก แต่เขาไม่ได้ทาแบบนั้น แต่เอา
ความลับของพรรคบัวดาไปบอกกับลู่ซางเฮ่อ ทา
ให้พรรคบัวดาเกือบมีภัย” เขาพูดว่า “ราชาพิษ มี
คนกาลังพยายามปั่นหัว ให้ราชสานักกับเจ็ดสิบ
สองถ้าไม่ถูกกัน ท่านเข้าใจหรือยัง?”
ฉีหนิงนั่งฟังอยู่ข้างๆ เขาตกใจมาก คิดไม่ถึงว่า
หลงไท่อาศัยอยู่ในวังหลวง แต่กลับรู้เรื่องดีทุก
อย่าง
หลงไท่ยกน้าชาขึ้นดื่ม แล้วพูดว่า “ยังดีที่พวกเขา
ทาไม่สาเร็จ หากเป็นไปตามที่พวกเขาวางแผนไว้
ถ้าเฮยเหยียนก็จะต้องถูกกวาดล้างก่อน จากนั้นก็
ตามมาด้วยเหมียวอ๋องถูกสังหาร จากนั้นก็โยน
ความผิดให้จิ่นอีโหว แล้วก็จะมีคนเริ่มฉวยโอกาส
ยุแหย่ แล้วชาวเจ็ดสิบสองถ้าก็จะต้องก่อกบฏ
เมื่อเป็นอย่างนี้ ราชสานักไม่มีทางไม่ส่งทหารเข้า
ไปปราบ อย่างที่ท่านพูดมา หากชาวเจ็ดสิบสอง
ถ้าร่วมแรงร่วมใจกัน ราชสานักก็อาจจะกวาดล้าง
ไม่สาเร็จ แต่เมื่อเปิดศึก ทางราชสานักเองก็
จะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตาย แต่ว่าชาวเจ็ดสิบสอง
ถ้าก็จะตายกันไปมากมาย...ยังมีพรรคบัวดา คน
ของแปดพรรคสิบหกสานัก ไม่ว่าทางไหนก็ล้วน
แต่เป็นการฆ่าฟัน ต้องการเอาชีวิตของชาวเหมียว
ทั้งนั้น”
ชิวเฉียนอี้สีหน้าเคร่งเครียด เขากาหมัดแน่น เขา
พูดว่า “ฝ่าบาท ข้าขอพูดตามตรงการบุกโจมตี
พรรคบัวดา เป็นเรื่องที่จวนเสินโหว ซีเหมินอู๋เหิง
ผลักดัน หรือว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ซีเหมินเสินโหว
จะเป็นคนทาทั้งหมด? ชาวเหมียวมีความแค้น
อะไรกับเขา ทาไมเขาถึงต้องวางแผนร้ายแบบนี้
ด้วย”
หลงไท่พูดว่า “ข้าแค่กังวลว่า แม้แต่ซีเหมินอู๋เหิง
เองก็ถูกนับไปอยู่ในแผนด้วยน่ะสิ”
ชิวเฉียนอี้ตะลึงไป
“อานาจของแปดพรรคสิบหกสานักนับวันจะมี
มากขึ้น ซีเหมินอู๋เหิงอายุมากแล้ว เขาเป็นตัวแทน
ราชสานักดูแลเรื่องในยุทธภพ โดยหน้าที่ เขามี
สิทธิ์จะวางแผนแบบนั้น” หลงไท่พูดอย่างจริงจัง
ว่า “พิษระบาดที่เกิดขึ้น เรื่องนี้ท่านถูกลากเข้าไป
เกี่ยวข้องด้วย ซีเหมินฉวยโอกาสนี้ เรียกแปด
พรรคสิบหกสานักบุกโจมตีพรรคบัวดา ไม่ว่าจะ
แพ้หรือชนะ ทั้งสองฝ่ายก็จะต้องเกิดความสูญเสีย
ใหญ่ ยุทธภพสงบมานาน หากมองจากมุมของ
ราชสานัก ซีเหมินอู๋เหิงไม่ได้ทาอะไรผิด”
ชิวเฉียนอี้สีหน้าไม่ดี แต่ว่าฮ่องเต้น้อยก็ไม่ได้
ปิดบัง เขาเปิดเผยแบบนี้ ทาให้เขาแปลกใจมาก
เขารู้ว่าฮ่องเต้น้อยไม่ได้คิดร้ายกับเขา
ฉีหนิงฟังฮ่องเต้น้อยแล้วก็ตกใจเหงื่อเต็มหลัง เขา
ถามว่า “ฝ่าบาท หมายความว่า ตั้งแต่เริ่มพิษ
ระบาด คนพวกนั้นก็คิดไว้แล้วว่าซีเหมินเสินโหว
จะต้องฉวยโอกาสนี้ลงมือกับพรรคบัวดาใช่ไหม?”
“ถูกต้อง...” ชิวเฉียนอี้จู่ๆ ก็ยิ้มแปลกๆ ออกมา
“เมื่อมีข้ออ้างนี้ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ซีเหมินอู๋
เหิงไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไปแน่นอน การบุก
โจมตีเขาเชียนอูหลิง มันเป็นเรื่องที่ถูกกาหนดมา
ตั้งแต่แรกแล้ว” เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูด
ว่า “ดังนั้นหากเป็นไปอย่างที่ฝ่าบาททรงตรัสมา
อีกฝ่ายก็วางแผนนับรวมซีเหมินอู๋เหิงเข้าไปตั้งแต่
แรกแล้ว”
“ฝ่าบาท ทรงพูดมีเหตุผล” ฉีหนิงคิด แล้วพูดว่า
“แต่ว่าคนที่วางแผนนี้ พุ่งเป้ามาที่ชาวเจ็ดสิบสอง
ถ้า มัน...มันไม่น่าเชื่อไปหน่อยไหม คนพวกนั้นมี
ความแค้นอะไรกับชาวเหมียวหรือ ทาไมต้อง
อยากเห็นชาวเหมียวถึงที่ตายด้วย? ข้าคิดมา
ตลอดว่า...คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือหลี่หงซิ่นซะ
อีก...”
“การที่หลี่หงซิ่นถูกลากมาเกี่ยวด้วย เขาเองก็เป็น
แค่ตัวประกอบเล็กๆ เท่านั้น” หลงไท่พูดว่า “ชาว
เหมียวเจ็ดสิบสองถ้าก่อกบฏ ซีชวนก็จะวุ่นวาย
ใครก็รู้ว่านั่นเป็นโอกาสที่ดีที่หลี่หงซิ่นจะกลับมา
ยิ่งใหญ่อีกครั้ง” เขาพูดว่า “แต่ว่าตั้งแต่จิ่นอีโหว
ไปปราบซีชวน หลี่หงซิ่นสวามิภักดิ์ราชสานัก ราช
สานักจับตามองเขาแทบจะตลอดเวลา นอกจากซี
ชวนชื่อสื่อที่มีหน้าที่ตรวจสอบอย่างเปิดเผยแล้ว
เสด็จพ่อยังส่งสายไปจับตาเขาในรูปแบบอื่นด้วย
ข้าบอกเจ้าตรงนี้ได้เลย ในจวนสู่อ๋องของเขา ก็มี
สายของราชสานักกว่าห้าหกคนแล้ว ต่อให้หลี่หง
ซิ่นจะลาดแค่ไหน เขาก็ไม่สงสัยหรอก”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 570 ใช้พิษถอนพิษ
หลงไท่พูดมาตรงๆ เลยว่าในจวนของสู่อ๋องราช
สานักมีวางสายเอาไว้หลายคน ชิวเฉียนอี้รู้สึก
ตกใจมาก ถึงแม้ฉีหนิงจะไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร แต่
ในใจเขาก็ตกใจไม่น้อย เขาคิดว่าฮ่องเต้น้อย
ซับซ้อนกว่าที่เขาคิดมาก
เรื่องนี้ลับมาก ตามหลักแล้วไม่ควรจะเปิดเผย แต่
ว่าในเวลานี้หลงไท่ก็ไม่ได้กลัว พูดออกมาตรงๆ ชิ
วเฉียนอี้แปลกใจมาก
“หลี่หงซิ่นสวามิภักดิ์ต้าฉู่ เขาไม่เต็มใจแค่ไหน
ทาไมราชสานักจะไม่รู้?” หลงไท่พูดว่า “คนแบบ
นี้ ราชสานักไม่มีทางละเลยแน่นอน ต่อให้ซีชวน
จะเกิดความวุ่นวายขึ้นจริง ข้าก็ไม่มีทางเปิด
โอกาสให้หลี่หงซิ่นได้มีโอกาสก่อกบฏแน่นอน...
อีกทั้งหลี่หงซิ่นเองก็เป็นคนฉลาด เขาไม่มีทางไม่
เข้าใจ หากซีชวนเกิดเรื่อง คนแรกที่ราชสานักจะ
จับจ้องก็คือเขา เพราะฉะนั้นเขาไม่มีทางหาเรื่อง
ให้ราชสานักจับตามองไปที่เขาหรอก”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ฝ่าบาท หากอีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่
ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้าจริง มันเป็นเพราะอะไร?
ชาวเหมียวเจ็ดสิบถ้ากระจายตัวอาศัยตามเขา
ตามถ้าในซีชวน ระหว่างพวกเขาเองก็มีปัญหากัน
อยู่แล้ว ต่อให้ชาวเหมียวสักถ้าหนึ่งจะไปผิดใจกับ
อีกฝ่ายมาจริง พวกเขาก็ไม่น่าจะถึงขนาดเล่นงาน
ชาวเหมียวทั้งหมดนะ?”
ฉีหนิงเองก็พยักหน้า เขารู้สึกว่าสิ่งที่หลงไท่พูดมา
นั้นน่าตกใจมาก แต่ว่ามันเหลือเชื่อเกินไป เขาพูด
ว่า “หากชาวเหมียวถ้าใดถ้าหนึ่งไปมีปัญหากับอีก
ฝ่ายจริง ด้วยความเจ้าเล่ห์กับความสามารถของ
พวกเขา จะจัดการถ้าพวกเขา มันง่ายมากเลยนะ
แล้วทาไมจะต้องทาให้เรื่องใหญ่ เห็นชาวเหมียว
เจ็ดสิบสองถ้าทั้งหมดเป็นศัตรูด้วย? พวกเขาบ้า
ไปแล้วหรือยังไง?”
“อาจจะบ้าจริงๆ ก็ได้” หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า
“ช่องโหว่กับเบาะแสที่หลุดออกมา ราชสานักเป็น
เพียงเครื่องมือของพวกเขาเท่านั้น เป้าหมายของ
พวกเขาคือให้ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้าตาย หาก
เป็นอย่างนี้ ตามสืบจากเบาะแสนี้ต่อไป อาจจะ
เจออะไรเพิ่มเติมก็ได้”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ฝ่าบาทบอกว่าลู่ซางเฮ่อมีส่วน
กับเรื่องนี้ หรือว่าเรื่องนี้เป็นแผนการของลู่ซาง
เฮ่อ?”
“ประมุขพรรคเล็กๆ ไม่มีความสามารถขนาดนั้น
หรอก” หลงไท่พูดว่า “ต้วนชิงเฉินเป็นหนึ่งในสี่
ทูตของพรรคบัวดา เขากล้าทรยศพรรคบัวดา
เชื่อว่าผู้นั้นจะต้องปกป้องเขาได้ เจ้าคิดว่าลู่ซาง
เฮ่อมีปัญญานั้นหรือ”
ชิวเฉียนอี้ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “มีคนอยู่เบื้องหลังลู่
ซางเฮ่อ?”
ที่จริงคาถามนี้แทบจะไม่ต้องตอบเลย
ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียดมาก เบาะแสหลายอย่างที่
ซีชวน ทาให้ฉีหนิงรู้สึกได้ว่าเบื้องหลังของลู่ซาง
เฮ่อคือซีเหมินอู๋เหิง อีกทั้งข้อสงสัยนี้มันก็เพิ่มมาก
ขึ้นทุกวัน เบาะแสยิ่งเยอะมากเท่าไหร่ ความเป็น
ไปได้มันก็น่าจะมากขึ้น
แต่พอวันนี้ได้ยินหลงไท่พูดมาแบบนี้ ทาให้การ
สันนิษฐานของฉีหนิงพังหมด
หากบอกว่าแม้แต่ซีเหมินอู๋เหิงเองก็ถูกนับเป็น
หนึ่งในแผน แสดงว่าซีเหมินอู๋เหิงไม่มีทางอยู่
เบื้องหลังลู่ซางเฮ่อ แผนที่สร้างความวุ่นวายใน
พรรคกระยาจกเอง ก็ไม่มีทางเกี่ยวข้องกับซีเห
มินอู๋เหิง
เขาเข้าใจขึ้นมาทันที แผนการของอีกฝ่าย เอาคน
หลายคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทาให้เห็นว่าแต่ละฝ่าย
นั้นได้ประโยชน์จากแผนนี้
หากเบื้องหลังของลู่ซางเฮ่อเป็นคนอื่น ที่ไป๋หู่
ทรยศพรรคก็ไม่ใช่แผนของซีเหมินอู๋เหิง แต่ว่า
จวนเสินโหวกลับพบประโยชน์จากเหตุการณ์นี้
อาจจะพยายามช่วยให้ไป๋หู่เป็นประมุขคนใหม่ก็
ได้ หรือว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้มันถูกอีกฝ่าย
คานวณไว้หมดแล้ว?
หากเป็นอย่างนั้นจริง กลุ่มอานาจนี้น่ากลัวมาก
ในใต้หล้านี้จะมีใครกล้าปั่นหัวจวนเสินโหวได้แบบ
นี้?
หลงไท่ลุกขึ้นมา เดินไขว้มือแล้วเดินไปที่ริม
หน้าต่าง เขาพูดว่า “ข้าไม่อยากเห็นซีชวนเกิด
ความวุ่นวาย เพราะมันจะทาให้ราชสานักวุ่นวาย
ไปด้วย ดังนั้นเราต้องหาตัวคนร้ายตัวจริงให้เจอ”
“ฝ่าบาท หากลู่ซางเฮ่อรู้เรื่องนี้ดี ทาไมเราไม่จับ
เขามาถาม?” ชิวเฉียนอี้มองไปที่หลงไท่ “แค่ลู่
ซางเฮ่อ ในสายตาของราชสานัก แค่มดตัวหนึ่ง
เท่านั้น ทาไมถึงไม่ยอมลงมือ? ถ้าจับตัวลู่ซางเฮ่อ
ได้ คนของจวนเสินโหว น่าจะสอบสวนเอาความ
มาได้”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “เป้าหมายของราชสานัก
ไม่ใช่ลู่ซางเฮ่อ แต่เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเขา หาก
ราชสานักแตะต้องลู่ซางเฮ่อเมื่อไหร่ ก็จะเป็นการ
แหวกหญ้าให้งูตื่น คนพวกนั้นซ่อนตัวอย่างดี เมื่อ
เราแหวกหญ้าให้งูตื่น คิดจะหาตัวพวกเขามันก็
ยากขึ้นไปอีก” เขาหันกลับมา แล้วมองไปที่ชิ
วเฉียนอี้ “ข้าต้องการให้ท่านจับตาดูลู่ซางเฮ่อ
เอาไว้”
ชิวเฉียนอี้อึ้งไป เขาแปลกใจมาก หลงไท่พูดต่อว่า
“ต้วนชิงเฉินไปเข้ากับลู่ซางเฮ่อ กลายเป็นศัตรู
ของพรรคบัวดาไปแล้ว ในสถานการณ์แบบนี้
ท่านในฐานะทูตพิษของพรรคบัวดา ท่านจับตาดูลู่
ซางเฮ่อไว้ ต่อให้พวกเขารู้ตัว พวกเขาก็จะแค่คิด
ว่าท่านทาเพื่อหาตัวต้วนชิงเฉินเท่านั้น ไม่มที าง
คิดอะไรมากกว่านี้”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ฝ่าบาทต้องการให้ข้าไปตามดูลู่
ซางเฮ่อ แล้วหาตัวคนบ่งการเขาอย่างนั้นหรือ?”
“นี่ก็เพื่อพรรคบัวดาของพวกท่านด้วย” หลงไท่
พูดว่า “ต้วนชิงเฉินกับพรรคบัวดากลายเป็นศัตรู
ไปแล้ว พรรคบัวดาไม่ล่มสลาย ต้วนชิงเฉินไม่มี
ทางรามือแน่ ยังไงเขาจะต้องหาทางกับคนพวก
นั้นหาเรื่องใหม่อีกแน่ ท่านไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวก
เขาเลย แต่ว่าพวกเขามีต้วนชิงเฉิน รู้เรื่องพรรค
บัวดาอย่างดี หากไม่หาตัวพวกเขาออกมา พรรค
บัวดาไม่มีทางสงบแน่”
ชิวเฉียนอี้ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทาไมฮ่องเต้น้อยถึง
ได้นัดพบกับเขาที่นี่
ฉีหนิงเองก็เข้าใจแล้วว่า ฮ่องเต้น้อยความคิดลึก
ลับมาก เขาต้องการให้พรรคบัวดาไปสืบเรื่องของ
ลู่ซางเฮ่อกับคนพวกนั้น
อย่างที่หลงไท่บอก หากราชสานักส่งคนไปตาม
สืบลู่ซางเฮ่อ มันก็จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
แล้วมันจะทาให้เรื่องนี้ยากขึ้น สามารถวางแผนได้
ลึกลับขนาดนี้ได้ แสดงว่าพวกเขาจะต้องเจ้าเล่ห์
มาก รับมือไม่ง่าย อีกทั้งยังต้องใช้ทั้งกาลังคนและ
เงินมาก ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ให้พรรคบัวดาไป
เหมาะสมที่สุด
พรรคบัวดาตั้งถิ่นฐานที่ซีชวนมานานกว่าสิบปี มี
รากฐานแน่นมาก เพราะเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดย
ชาวเหมียว ยังไงก็มีชาวเหมียวเป็นหลัก พวกเขารู้
สภาพของซีชวนเป็นอย่างดี หากต้องใช้กาลังใน
การตามสืบ ไม่แน่อาจจะได้อะไรก็ได้ ราชสานัก
เองก็ไม่ต้องลงแรงไปทาเรื่องพวกนี้
หลงไท่รู้ดีว่า พรรคบัวดามีพื้นที่หลักอยู่ที่นั่น จะ
ให้เกียรติราชสานักไหม หากส่งคนไปเจรจากับชิ
วเฉียนอี้ ด้วยนิสัยของเขา ไม่มีทางเชื่อเจ้าหน้าที่
ของราชสานักแน่นอน แต่คราวนี้ฮ่องเต้ออกหน้า
เอง ซึ่งถือได้ว่าให้เกียรติเขามากแล้ว
ชิวเฉียนอี้เหมือนจะคิด เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูด
ว่า “แล้วถ้าสืบจนรู้แล้วว่าใครอยู่เบื้องหลัง แล้ว
ต้องทายังไงต่อ?”
“นี่ก็คือเรื่องที่ข้าอยากจะกาชับท่าน” หลงไท่พูด
อย่างจริงจังว่า “ไม่ว่าท่านจะสืบได้อะไรมา ท่าน
กับพรรคบัวดาห้ามทาอะไรวู่วามเด็ดขาด จะต้อง
แจ้งเบาะแสให้ข้ารู้ ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง” เขา
มองไปที่เซี่ยงเทียนเป่ย เซี่ยงเทียนเป่ยสะบัดมือ
จากนั้นก็มีของวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าของชิวเฉียน
อี้ ฉีหนิงมองไป มันเป็นเหยี่ยวสีดาตัวหนึ่ง ขนาด
ใช้มือหนึ่งกาได้ ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน เซี่ยงเทียน
เป่ยพูดขึ้นมาว่า “จะมีคนของเราติดต่อกับเจ้า
เป็นระยะ พวกเจ้าได้เบาะแสอะไรมา ต้องแจ้งเรา
แล้วก็จะต้องทาตามที่เราบอกทุกอย่าง”
ชิวเฉียนอี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ก็หมายความว่า ต้อง
การให้ข้าเป็นทาสของพวกเจ้าน่ะหรือ?”
“บนโลกใบนี้ไม่มีแผ่นดินของราชา แผ่นดินก็อาจ
จะไม่ใช่ราชาก็ได้” เซี่ยงเทียนเป่ยไม่มีอารมณ์
ความรู้สึก “หากพรรคบัวดาทาสาเร็จ ราชสานัก
อนุญาตให้พรรคบัวดาคุมดินแดนทางตะวันตกได้
ขอแค่ไม่ทาผิดกฎหมาย ราชสานักให้อิสระกับ
พวกเจ้าทุกอย่าง หากเจ้ารับปาก เก็บป้ายเหยี่ยว
นี่ไป หากเจ้าปฏิเสธ เจ้าออกไปได้เลยทันที”
ชิวเฉียนอี้ขมวดคิ้วหนักมาก เขาจ้องไปที่ป้าย
เหยี่ยว
“ราชาพิษท่องยุทธภพมานาน เจ้าไม่ใช่คนโง่”
เซี่ยงเทียนเป่ยพูดว่า “เจ้าลองคิดดูให้ดีนะ ด้วย
กาลังของพรรคบัวดาในตอนนี้ หากต้วนชิงเฉิน
กลับมาหาเรื่องอีกครั้ง พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะ
อยู่ต่อไปอีกได้ไหม? ฝ่าบาทก็ทรงตรัสแล้วว่า
เป้าหมายของพวกเขาอาจจะเป็นชาวเหมียวทั้ง
เจ็บสิบสองถ้า ครั้งนี้ทาไม่สาเร็จ ยังไงก็ต้องกลับ
มาทาอีกแน่ เจ้าอยากเห็นชาวเหมียวเจ็ดสิบสอง
ถ้านองเลือดหรือยังไง? หากยินดีช่วยราชสานัก
ราชสานักรับรองว่าพรรคบัวดาจะปลอดภัย เจ้า
เป็นคนฉลาด ข้าอาจจะไม่ต้องพูดมากอีก”
ชิวเฉียนอี้หลับตา นิ่งไปนาน สุดท้ายลืมตาขึ้นมา
แล้วพูดว่า “หากเจอคนร้ายตัวจริง จับคนพวกนั้น
ได้ ต้วนชิงเฉินต้องให้พรรคบัวดาเป็นคนจัดการ”
“เรื่องนั้นแน่นอน” เซี่ยงเทียนเป่ยพูดว่า “ราช
สานักตั้งจวนเสินโหวขึ้นมา เพราะต้องการรักษา
กฎของยุทธภพไว้ พรรคบัวดาเป็นกลุ่มอานาจใน
ยุทธภพ เราไม่ทาลายกฎในยุทธภพหรอก”
ชิวเฉียนอี้ไม่ลังเลอีก เขายื่นมือไปหยิบป้ายเหยี่ยว
ขึ้นมา แล้วพูดว่า “ข้าจะพยายามสืบเต็มที่”
ในตอนนี้เอง ก็เห็นเซี่ยงเทียนเป่ยขมวดคิ้ว เขา
พูดเสียงเข้มว่า “ใคร?” ตอนนี้พูด เขาก็พุ่งตัวไป
ที่หน้าประตูห้อง ชักกระบี่ออกจากฝัก แล้วแทง
ทะลุประตูออกไป มีเสียงด้านนอกร้องตะโกนด้วย
ความตกใจ จากนั้นก็มีของหล่นตกแตก
ชิวเฉียนอี้เห็นทุกอย่าง เขาหลุดพูดออกมาว่า
“กระบี่ลั่วเย่ ยอดเยี่ยม”
ฉีหนิงได้ยินเสียงร้อง ก็จาได้ว่าเป็นเสียงของจั่ว
เซียนเอ่อร์ เขารีบเดินไปที่หน้าห้องทันที เขาเห็น
เซี่ยงเทียนเป่ยคว้านประตูออก ฉีหนิงเห็นจั่ว
เซียนเอ่อร์นั่งขาอ่อนอยู่ที่พื้น ถาดในมือตกแตก
ของว่างหล่นอยู่ที่พื้นหมด
“ใต้เท้าเซี่ยง” ฉีหนิงตะโกน เขาเห็นสายตาของ
เซี่ยงเทียนเป่ยดุมาก กาลังจ้องไปที่จั่วเซียนเอ่อร์
ที่กาลังนั่งอยู่ เขาพูดว่า “ใครสั่งให้เจ้าเข้ามา
ใกล้?”
จั่วเซียนเอ่อร์สีหน้าซีดเซียว ดูท่าทางจะตกใจไม่
น้อย นางพูดด้วยเสียงสั่นว่า “ข้าน้อย...ข้าน้อย
อบขนมมาให้ เลยอยากจะยกมาให้โหวเยว่กับ
นายท่านทั้งหลายได้ชิมกัน ไม่...ไม่ได้เข้าใกล้เลย
...”
เซี่ยงเทียนเป่ยเก็บกระบี่ แล้วเดินเข้าห้องไป
ฉีหนิงเดินขึ้นหน้ามาแล้วไปพยุงจั่วเซียนเอ่อร์
แล้วพูดว่า “เซียนเอ่อร์ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?
ขอโทษด้วยนะ เพื่อนข้าเป็นคนระวังตัว กังวลว่า
จะมีใครมาแอบดู เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
จั่วเซียนเอ่อร์ส่ายหน้า นางตกใจมาก นางพูดว่า
“โหวเยว่ ข้า...ข้าไม่ได้แอบดูนะ ข้า...”
“ไม่ต้องอธิบายหรอก” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่
เป็นไรก็ดีแล้ว เจ้าเก็บของก่อนนะ แล้วเดี๋ยวข้า
จะมาดูเจ้าใหม่”
ทันใดนั้นเองหลงไท่ก็พูดขึ้นมาว่า “แม่นางเซียน
เอ่อร์ ลูกน้องข้าทาอะไรวู่วามไป ต้องขออภัย
จริงๆ ได้ยินว่าแม่นางเซียนเอ่อร์ดีดพิณได้ยอด
เยี่ยมมาก ไม่ทราบว่าข้าจะมีบุญได้ฟังหรือไม่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 571 จิตใจฮ่องเต้สุดลึก
เซียนเอ่อร์รู้สึกแปลกใจ ฉีหนิงหันหน้าไป เห็น
หลงไท่กาลังยิ้ม ในตอนนี้เองก็เห็นชิวเฉียนอี้เดิน
มา แล้วพูดว่า “ข้าขอตัวก่อน” เขาเหมือนจะไม่
ค่อยชินกับบรรยากาศของที่นี่เท่าไหร่ หลงไท่เอง
ก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ลาบาก
ท่านแล้ว”
ชิวเฉียนอี้เหลือบไปมองฉีหนิง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
จากนั้นก็เดินจากไป หลงไท่มองไปที่ชิวเฉียนอี้
เหมือนกาลังคิดอะไรอยู่
ฉีหนิงพูดเบาๆ ว่า “เซียนเอ่อร์ ในเมื่อคุณชาย
เซียวมีอารมณ์สุนทรีย์ เจ้าก็แสดงให้เขาดูเถอะนะ
คุณชายเซียวเชี่ยวชาญด้านดนตรี ให้เขาช่วยเจ้า
วิจารณ์ดีหน่อยก็ดีนะ”
จั่วเซียนเอ่อร์พูดว่า “โหวเยว่สั่ง เซียนเอ่อร์คงไม่
ปฏิเสธ โหวเยว่ ถ้า...ถ้าอย่างนั้นเซียนเอ่อร์ขอไป
เตรียมตัวก่อน”
ฉีหนิงพยักหน้า หลังจากที่จั่วเซียนเอ่อร์ออกไป
แล้ว เขาหันหลังกลับมา แล้วมองไปที่หลงไท่กับ
เซี่ยงเทียนเป่ย แล้วถามว่า “หูของใต้เท้าเซี่ยงดี
มาก ท่านรูไ้ ด้อย่างไรว่านางอยู่ข้างนอก?”
เซี่ยงเทียนเป่ยพูดว่า “คืนนี้เป็นการนัดพบแบบ
ลับๆ ไม่ควรให้ใครที่ไม่เกี่ยวข้องรู้โดยเด็ดขาด
นางเพิ่งเข้าใกล้ห้อง น่าจะไม่ได้ยินอะไร”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “อะไรที่ควรพูดก็พูดไปหมด
แล้ว อาจารย์เซี่ยง ท่านก็เป็นคนรู้เรื่องดนตรี ได้
ยินมาว่าเสียงพิณของแม่นางเซียนเอ่อร์เยี่ยมยอด
นัก เราอาศัยบารมีของจิ่นอีโหว ฟังกันสักเพลง
เถอะนะ”
ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่า...คุณชายเซียวรู้จักเซียนเอ่อร์
ด้วยหรือ?”
“เจ้าอย่าเข้าใจผิด” หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้า
ไม่ได้สั่งให้คนไปตรวจสอบหรอกนะ เพียงแต่เมื่อ
ไม่นานมานี้ที่แม่น้าฉินไหวมีการคัดเลือกราชินี
ดอกไม้ ข้าก็พอได้ยินมาบ้าง เพราะมันเป็น
เทศกาลที่ครึกครื้นทีส่ ุดในเมืองหลวง ข้าก็พอได้
ข่าวมาบ้าง ได้ยินมาว่าเสียงพิณของแม่นางเซียน
เอ่อร์ยอดเยี่ยมมาก ข้าเองก็อยากจะเจออยู่แล้ว
อยากรู้ว่าจะสมคาร่าลือหรือเปล่า”
ฉีหนิงพูดว่า “ในวังหลวงมีนักดนตรีตั้งมากมาย
เซียนเอ่อร์คงสู้พวกเขาไม่ได้หรอก”
หลงไท่ยิ้ม เขามองไปที่ประตูที่เซี่ยงเทียนเป่ยทา
พัง แล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว กลับไปสั่งให้คนเปลี่ยน
บานประตูด้วยนะ อย่าให้คนอื่นมาว่าได้ว่าเราบ้า
อานาจ” เขาหันกลับเข้าไปนั่งในห้อง ฉีหนิงคิดใน
ใจว่าเซี่ยงเทียนเป่ยทาประตูพัง แล้วมันเกี่ยว
อะไรกับข้าด้วย เขาเองก็เดินกลับเข้าไปนั่ง
เหมือนกัน
เดิมเขาคิดอยากจะถามว่าทาไมฮ่องเต้น้อยถึงได้รู้
เรื่องของซีชวนดีขนาดนี้ รู้มากกว่าที่เขารู้อีก แต่
ว่าพอคิดว่าหากหลงไท่อยากพูด เขาก็คงไม่
จาเป็นต้องถาม หากเขาไม่อยากพูด ถามไปก็
เหมือนพูดมาก เขายกกาน้าชามา แล้วรินให้หลง
ไท่ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ชาที่นี่อาจเทียบ
ไม่ได้กับในวัง ท่านทนเอาหน่อยนะ”
หลงไท่ยิ้มแล้วด่าว่า “ไม่ต้องมาพูดมาก ฉีหนิง
เจ้าสบายกว่าข้ามากเลยนะ คิดอยากจะมาที่แบบ
นี้ก็มา ข้าออกจากวังครั้งนี้ ยังต้องเตรียมตัว
หลบๆ ซ่อนๆ เลย”
“ฝ่าบาทยังต้องหลบออกจากวังด้วยหรือ?” ฉี
หนิงพูดด้วยความแปลกใจ
หลงไท่พูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าเดินออกมาเลยหรือ
อย่างไร? หากถูก...หึหึ ถูกไท่เฮาจับได้ ต้องมาบ่น
ข้าจนหูชาไปอีกหลายวันเลย” เขายกมือแล้วพูด
ว่า “ช่างเถอะ กว่าข้าจะได้ออกมาทีไม่ใช่เรื่องง่าย
จะเสียเวลามากไม่ได้ด้วย ฟังดนตรีของแม่นาง
เซียนเอ่อร์จบแล้ว ข้าก็จะกลับเลย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทออกจากวังมา ก็เพื่อ
พบกับชิวเฉียนอี้ แล้วก็ฟังเพลง เป็นบุญของเซียน
เอ่อร์”
“เจ้ากาลังคิดในใจอยู่ใช่ไหมว่า ทาไมข้าถึงได้รู้
เรื่องในซีชวนมากขนาดนี?้ ” หลงไท่ยกน้าชา
ขึ้นมาดื่ม เขาเหลือบมองไปที่ฉีหนิง “มีหลายเรื่อง
ที่ข้าไม่ได้บอกเจ้า เพราะไม่อยากให้เจ้าเข้าไปยุ่ง
เกี่ยวมากเกินไป เจ้าก็น่าจะรู้ บางเรื่องรู้มาก
เกินไป ความวุ่นวายก็มากตามไปด้วย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงคิดมากเกินไป
แล้ว กระหม่อมจะไปกล้าคิดอย่างนั้นได้อย่างไร
ฝ่าบาทรับสั่งให้กระหม่อมไปทาอะไร กระหม่อม
ทาให้เต็มที่ก็พอ ฝ่าบาททรงไม่อยากให้กระหม่อม
ทราบเรื่องอะไร กระหม่อมก็จะไม่ถาม”
หลงไท่ยิ้ม เขาพูดเสียงเบาว่า “ตอนที่เกิดเรื่อง
ของถ้าเฮยเหยียน คนแรกที่ข้านึกถึงคือหลี่หงซิ่น
รู้สึกว่าเขาอาจจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ หลี่
หงซิ่นไม่ได้เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว แต่ว่าเขายัง
อยู่ในซีชวน มันเป็นอันตรายกับทางราชสานัก
มาก”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตระกูลหลี่มีเส้นสาย
ในซีชวนมาหลายยุคหลายสมัย ถึงแม้จะสู้แต่ก่อน
ไม่ได้ แต่ก็จะประมาทไม่ได้เช่นกัน”
“เจ้ารู้หรือเปล่า หลังจากหลี่หงซิ่นสวามิภักดิ์ต้าฉู่
แล้ว เขาจะต้องส่งคนเข้าเมืองหลวงมาทุกปี”
หลงไท่สีหน้าเยือกเย็นมาก “ข้ารู้มาว่า เขาควบ
คุมการค้าในซีชวนหลายแห่ง จะบอกว่าเขาเกร็ง
กาไรทุกวันมันก็ไม่เกินไป แต่ว่าเงินมากมายพวก
นั้น บางส่วนส่งเข้าเมืองหลวงเพื่อเอาใจซื้อตัวขุน
นาง เท่าทีข่ ้ารู้มา ขุนนางในเมืองหลวง มีเกินกว่า
ครึ่งที่เคยรับเงินจากตระกูลหลี่”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว หลงไท่พูดต่อว่า “มีเงินมากอง
ตรงหน้า ขุนนางหลายคนก็รู้สึกว่าหากไม่รับมันก็
เสียเปล่า แต่ว่าพวกเขาไม่ได้คิดเลยว่า ทาไมหลี่
หงซิ่นจะต้องเสียเงินมากมายขนาดนี้ทุกปี เขาทา
เพื่ออะไรกัน?”
“เงินช่วยให้พ้นภัยได้” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “หลี่หงซิ่นก็อยากจะให้พวกขุนนางช่วยออก
หน้าแทนเขา ต่อให้ไม่ช่วยเขา ก็อย่าไปขวางเรื่อง
ของเขา”
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ตลอดเวลาที่
ผ่านมา ในราชสานักทุกครั้งที่พูดถึงหลี่หงซิ่น แต่
ละคนก็จะบอกว่าเขาซื่อสัตย์ภักดีทั้งนั้น ไม่ได้มีใจ
เป็นอื่นเลย บางครั้งพอพูดกันมากเข้า คนอื่นก็คิด
ว่าเป็นจริง ก่อนที่จะเกิดเรื่องถ้าเฮยเหยียน ใน
ราชสานักไม่มีใครคิดว่าหลี่หงซิ่นเป็นภัยแล้ว
แม้กระทั่งหลังเกิดเรื่องถ้าเฮยเหยียน ก็มีแต่คน
บอกว่าถ้าเฮยเหยียนถูกให้อิสระจนเคยตัว แต่ไม่
มีใครบอกว่าเกี่ยวข้องกับหลี่หงซิ่นเลย”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เงินที่หลี่หงซิ่นเสียไป
มากมาย มันเห็นผลชัดเจนเลย”
“เจ้ารู้ไหมว่าทาไมข้าถึงส่งเจ้าไปซีชวน?” หลงไท่
เหลือบมองไปที่ฉีหนิง “เจ้าเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด
นี่เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่ยังมีเหตุผลอื่นอีก เจ้ารู้ไหม
เพราะอะไร?”
ฉีหนิงพูดว่า “จิ่นอีตระกูลฉีกับตระกูลหลี่ซีชวน
ตอนนั้นมีความแค้นต่อกัน เท่าที่ข้าร็มา หลี่หงซิ่น
จ่ายเงินมากมายให้ขุนนางในเมืองหลวง แต่ไม่มี
แม้แต่อีแปะเดียวที่เข้าจวนจิ่นอีโหว”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีตระกูลฉีใสซื่อมือ
สะอาด ตระกูลฉีกับตระกูลหลี่มีความแค้นต่อกัน
ตระกูลหลี่คิดอยากจะส่งเงินให้ก็คงไม่กล้า” เขา
ยกชาขึ้นดื่มแล้วพูดว่า “การตรวจสอบเรื่องถ้า
เฮยเหยียน ในราชสานักก็มีคนที่สามารถทาได้
หลายคน แต่ว่าหากข้าส่งพวกเขาไป คิดว่าพอถึง
ซีชวน ไม่เพียงไม่ได้เรื่อง แต่อาจจะถูกหลี่หงซิ่น
จัดการเอาได้ อีกทั้งย้อนมาหลอกข้าอีก”
ฉีหนิงพยักหน้า คิดในใจว่าเรื่องนี้จริง แม้แต่ซี
ชวนชื่อสื่อเหว่ยซูถง ยังถูกหลี่หงซิ่นกุมความลับ
เอาไว้ในมือเพื่อข่มขู่เลย เงินในมือของหลี่หงซิ่น
หากส่งคนธรรมดาไป โดนอานาจเงินของหลี่หง
ซิ่นไป ก็อาจจะไม่ได้เรื่องอะไร
“ฝ่าบาทรู้สึกว่าที่ข้าไปซีชวน จะได้เรื่องอะไร
กลับมางั้นหรือ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วถาม
หลงไท่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ที่จริงข้าไม่ได้คาด
หวังว่าเจ้าจะได้อะไรกลับมา แต่ว่าการกระทา
ของเจ้า มันเกินกว่าที่ข้าคาดเอาไว้มาก มันทาให้
ข้าดีใจมากเลยทีเดียว”
“ฝ่าบาท ทรง...ทรงหมายความว่าอย่างไร?” ฉี
หนิงพูดด้วยความตกใจ
หลงไท่พูดเสียงเบาว่า “ข้าสงสัยว่ามันน่าจะเกี่ยว
ข้องกับหลี่หงซิ่นตั้งแต่แรก หลี่หงซิ่นมีรากฐานใน
ซีชวนแน่นมาก การตรวจสอบเรื่องของถ้าเฮยเห
ยียนแบบเปิดเผย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นข้า
เลยจาเป็นต้องดาเนินการสองแบบ อย่างแรกคือ
ทาอย่างเปิดเผย อย่างที่สองก็คือการสืบแบบ
ลับๆ”
ฉีหนิงตะลึง หลงไท่ค่อยๆ พูดว่า “ขอแค่คนของ
จิ่นอีตระกูลฉีไปที่ซีชวน ถึงจะทาให้หลี่หงซิ่นไม่
กล้าประมาท เขาจะต้องพุ่งความสนใจทั้งหมดไป
ที่เจ้า ตระกูลฉีกับตระกูลหลี่มีแค้นฝั่งลึกมาก หลี่
หงซิ่นรู้ดีว่าหากคนของตระกูลฉีมาที่ซีชวน ก็
จะต้องพยายามหาหลักฐานของตระกูลหลี่อย่าง
เต็มที่แน่นอน เขาจะต้องขวางเจ้าให้ถึงที่สุด...”
ฉีหนิงตอนนี้เข้าใจขึ้นมาแล้ว เขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาททรงให้ข้าไปซีชวน ที่จริงก็คือตัวล่อ
เป้าหมายก็เพื่อให้หลี่หงซิ่นสนใจข้า ส่วนฝ่าบาทก็
แอบส่งคนไปหาสืบเรื่องของถ้าเฮยเหยียนอีกที”
หลงไท่ยื่นมือไปจับไหล่ของฉีหนิงแล้วพูดว่า “เจ้า
อย่าโทษข้าเลยนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดเจ้า แต่ว่า
หากข้าบอกเรื่องนี้กับเจ้า พอเจ้าไปถึงซีชวนแล้ว
เจ้าก็จะไม่เป็นธรรมชาติ เรื่องของซีชวน เป็นเรื่อง
ใหญ่มาก ข้าจะประมาทไม่ได้” เขายิ้มแล้วพูดว่า
“แต่ว่าการแสดงออกของเจ้าที่ซีชวน มันดีกว่าที่
ข้าคิดเอาไว้มาก หากไม่ได้เจ้า ข้าก็คงจะเสียแรง
เปล่า”
“เสียแรงเปล่า?”
“ข้าคิดมาตลอดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือหลี่
หงซิ่น แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันแสดงให้เห็นแล้วว่า
หลี่หงซิ่นไม่ใช่คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เขาเองก็
เป็นแค่หมากตัวหนึ่งของเรื่องนี้เท่านั้น” หลงไท่สี
หน้าจริงจัง “ด้วยอานาจที่เขามี เขาไม่จาเป็นต้อง
ให้ชาวเหมียวก่อกบฏเลย อีกทั้งยังไม่จาเป็นต้อง
ให้ชาวเหมียวมาเข้าร่วมกับเขาด้วย”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านเหมียวอ๋องแห่ง
ชางซีถูกสังหาร ฝ่าบาทน่าจะทรงทราบแล้ว”
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ลูกชายคนรองของ
เหมียวอ๋องหลางชาตูลูสังหารเหมียวอ๋อง วางแผน
ใส่ร้ายเจ้ากับตันตูกู่ เกือบจะชิงตาแหน่งเหมียว
อ๋องไปได้แล้ว หลางชาตูลูกล้าวางแผนแบบนี้ได้
แสดงว่าจะต้องมีคนหนุนหลังเขา ส่วนคนนั้น ไม่
น่าจะใช่หลี่หงซิ่น เพราะหลางชาตูลูไม่น่าจะเชื่อ
ฟังคาสั่งของหลี่หงซิ่นได้”
ฉีหนิงคิดในใจว่าฮ่องเต้น้อยรู้เรื่องดีทั้งหมด
ความคิดของเขาลึกมากกว่าตัวเขาซีอก หลงไท่
พูดต่อว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในถ้าชางซี ทาให้ข้ายิ่ง
มั่นใจมากว่าคนร้ายตัวจริงนั้นไม่ใช่หลี่หงซิ่น
หลังจากนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นที่เขาเชียนอูหลิง ข้าก็รู้
เกิดเรื่องที่ซีชวนอย่างต่อเนื่อง มีคนตั้งใจหว่านแห
นี้เอาไว้” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนั้นข้า
เองก็กลัวว่าเจ้าจะเป็นอะไรไป ข้าคิดว่าเจ้าคงคิด
จะรับมือกับหลี่หงซิ่นเท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้น
หลังจากนั้น ข้ารู้ดีว่า คู่ปรับของเจ้าร้ายกาจกว่า
หลี่หงซิ่นเยอะมาก หากไม่ใช่เพราะเจ้าเปิด
โปงหลางชาตูลู หากเรื่องของเหมียวอ๋องสาเร็จ
ข้าคิดว่าเผ่าเหมียวจะต้องก่อกบฏแน่...”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงคิดการ
รอบคอบ ข้านับถือ” เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แต่
ว่าทาไมฝ่าบาทถึงได้ทรงห่วงเรื่องซีชวนมากขนาด
นี้? ยังมาพบชิวเฉียนอี้ด้วยตัวเองด้วย ยังให้เขาไป
สืบเรื่องนี้อีก?”
“เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องใหญ่แต่แรก” หลงไท่พูดว่า
“เป้าหมายของพิษระบาดในเมืองหลวง ก็คือใส่
ร้ายพรรคบัวดา แต่วา่ เรื่องนี้มันก็ไม่ได้เป็นอย่าง
นั้นซะทีเดียว ต้องการป้ายสีพรรคบัวดา ล่อให้
จวนเสินโหวลงมือกับพรรคบัวดา มันมีหลายวิธี
ทาไมอีกฝ่ายต้องลงทุนลงแรงทาเรื่องในเมือง
หลวงให้ใหญ่ด้วยล่ะ?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงตรัสถูก
แล้ว ที่จริงข้าก็รู้สึกว่า พิษระบาดในเมืองหลวง
เกรงว่ามันคงไม่ใช่แค่อยากใส่ร้ายพรรคบัวดาแค่
นั้นแน่”
“เจ้าลองคิดดูนะ หากพิษระบาดควบคุมไม่ได้
ทันเวลา ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?” หลงไท่
จริงจังมาก เมืองหลวงก็จะเกิดความวุ่นวายทันที
เมื่อพิษระบาดรุนแรงหนักขึ้น คิดว่าทหารก็
อาจจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีก หาก
เป็นอย่างนั้นจริง เมืองหลวงเจี้ยนเยี่ยก็จะ
กลายเป็นเมืองร้าง ข้าก็จะต้องย้ายเมืองหลวง
เมื่อย้ายเมืองหลวง คนที่คิดไม่ซื่อก็จะหาโอกาส
ลงมือ นี่คือผลที่ร้ายแรงที่สุดของพิษระบาด แต่
ในความเป็นจริงเราควบคุมพิษระบาดได้ ลด
ขอบเขตให้มันเล็กลง พอสถานการณ์เป็นแบบนี้
มันเลยทาให้จวนเสินโหวฉวยโอกาสประกาศ
สัญญาเลือด ฉีหนิง เจ้าลองคิดดูนะ อีกฝ่ายร้าย
กาจแค่ไหน ไม่ว่าพิษระบาดจะสาเร็จหรือเปล่า ก็
สามารถทาให้พวกเขาได้ผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่
เพียงแค่จวนเสินโหว อีกทั้งยังกล้าปั่นหัวราช
สานักด้วย...“สายตาของฮ่องเต้น้อยคมอย่าง
ดาบ” คิดจะวางแผนใหญ่ขนาดนี้ อีกฝ่ายจะเป็น
คนธรรมดาได้อย่างไรกัน? ข้าสงสัยว่า คนที่
วางแผนเรื่องนี้จะต้องเป็นกลุ่มอานาจขนาดใหญ่
อาจจะมีคนของราชสานักอยู่ด้วย"
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 572 พลับพลึงสีแดง
บนแม่น้ำฉินไหว มีเสียงหัวเรำะเสียงดนตรีดังเป็น
ระยะ
สีหน้ำของฉีหนิงไม่ค่อยดีเท่ำไหร่ เขำพูดเสียงเบำ
ว่ำ “ฝ่ำบำทรู้สึกว่ำมีขุนนำงรำชส้ำนักเข้ำไปเกี่ยว
ข้องหรือ?”
“แผนกำรนี มันรอบคอบมำก หลี่หงซิ่นเองก็ถูก
โยงเข้ำไปเกี่ยวข้อง” หลงไท่พูดว่ำ “โดยเฉพำะ
เรื่องพิษระบำด หำกไม่มีขุนนำงของรำชส้ำนักเข้ำ
ไปเกี่ยวข้อง ข้ำเดำไม่ได้เลยว่ำท้ำไมพวกเขำถึงได้
ท้ำกำรได้รำบรื่นขนำดนีได้ยังไง หลี่หงซิ่นเสียเงิน
ในเมืองหลวงไปมำกมำย ข้ำเชื่อว่ำ ตอนที่เขำต้อง
กำรใช้งำนใคร ก็จะต้องได้ประโยชน์” เขำหยุดไป
แล้วพูดว่ำ “ทุกอย่ำงนีมันเกิดขึนหลังจำกที่เสด็จ
พ่อสวรรคต ข้ำเพิ่งครองรำชย์ เรื่องนีมันจะ
บังเอิญขนำดนีเลยหรือ? ข้ำบอกกับชิวเฉียนอีไป
ว่ำ คนพวกนันพุ่งเป้ำไปที่ชำวเจ็ดสิบสองถ้ำ แต่
ข้ำก็รู้ พวกเขำใช่ว่ำจะไม่พุ่งเป้ำมำที่ข้ำ”
“ฝ่ำบำทรู้สึกว่ำมีคนจะฉวยโอกำสนีก่อกบฏอย่ำง
นันหรือ?” ฉีหนิงพูด
หลงไท่พูดว่ำ “ข้ำก็กังวลเรื่องนีอยู่ หำกพิษ
ระบำดในเมืองหลวงมันวุ่นวำยขึนมำ ท้ำให้เมือง
หลวงมีโอกำสก่อกำร นั่นก็แสดงว่ำพุ่งเป้ำมำที่ข้ำ
ถ้ำเป็นอย่ำงนันจริง ก็ต้องมีขุนนำงรำชส้ำนักเข้ำ
มำเกี่ยวข้องด้วย กลุ่มอ้ำนำจในยุทธภพถึงแม้จะ
ป่ำเถื่อน แต่พวกเขำก็ไม่กล้ำจะเห็นข้ำเป็นศัตรู
อีกทังไม่มีทำงอยำกจะได้บัลลังก์ของข้ำ”
ฉีหนิงคิด แล้วถำมว่ำ “หำกมีขุนนำงรำชส้ำนัก
เกี่ยวข้องด้วย เขำ...เขำคนนันเป็นใครกัน? อย่ำ
บอกนะว่ำ...?” เขำไม่ได้พูดชื่อออก
“ข้ำรู้ว่ำเจ้ำอยำกจะพูดชื่อไหวหนำนอ๋อง” หลง
ไท่พูดว่ำ “ไหวหนำนอ๋องเขำไม่พอใจข้ำอยู่แล้ว
เขำเป็นลูกชำยของฮ่องเต้ไท่จู่ เขำคิดไม่ซื่ออยู่
แล้ว เรื่องนีข้ำรู้ด”ี เขำเขยิบขึนหน้ำ แล้วพูดว่ำ
“แต่ว่ำไหวหนำนอ๋องไม่เคยออกนอกเมืองหลวง
เลยนะ ถึงแม้เสด็จพ่อจะออกประพำทหลำยครัง
พำเขำไปด้วยก็ตำม แต่ว่ำเขำก็ถูกจับตำมองอยู่
ตลอดเวลำ ไม่มีโอกำสไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มยุทธภพ
เลย ไหวหนำนอ๋องถูกรำชส้ำนักจับตำมอง เขำไป
ไหนคุยกับใคร ข้ำมีรำยงำนตลอด หำกเกี่ยวข้อง
กับทำงซีชวน มันดูไม่สมเหตุสมผลไปหน่อย”
ฉีหนิงพูดว่ำ “ฝ่ำบำท หลังจำกเกิดเรื่องพิษ
ระบำดในเมืองหลวง ไหวหนำนอ๋องกระตือรือร้น
ที่จะให้ใช้ก้ำลังทหำรมำกเลยนะ มันผิดปกติมำก
หำกจะบอกว่ำเขำไม่เกี่ยวข้องกับซีชวนเลย เขำ
จะกระตือรือร้นขนำดนันท้ำไมกัน? เขำเหมือนจะ
มีควำมแค้นกับพรรคบัวด้ำ หรือว่ำเรื่องนีจะมี
เบืองหลังอะไรอีก?”
หลงไท่พยักหน้ำ “ข้ำเองก็สังเกตถึงเรื่องนีเหมือน
กัน แล้วก็ส่งคนตำมสืบมำแล้ว แต่ว่ำก็ไม่เจอว่ำ
ไหวหนำนอ๋องมีกำรติดต่อกับใครในซีชวนเลย ข้ำ
ลองคิดทบทวนดูแล้ว ไหวหนำนอ๋องอำจจะอยำก
อำศัยทหำรซีชวน เสนอคนของเขำเข้ำไปใน
กองทัพ...” เขำเหมือนจะใช้ควำมคิด จำกนันก็
พูดอย่ำงจริงจังว่ำ “ไม่ว่ำยังไงก็ตำม เรื่องนีก็ต้อง
สืบให้รู้ให้ได้”
“ต้องสืบให้รู้อยู่แล้ว” ฉีหนิงพูดว่ำ “ฝ่ำบำท ข้ำ
ยังกังวลว่ำ เรื่องนีจะเป็นแผนของชำวเป่ยฮั่นหรือ
เปล่ำ? ชำวเป่ยฮั่นไม่อำจสู้กับเรำซึ่งหน้ำ เลยส่ง
คนเข้ำมำภำยในต้ำฉู่ของเรำ แผนแยบยลขนำดนี
คงอยำกให้ต้ำฉู่เกิดควำมวุ่นวำยภำยใน แล้วฉวย
โอกำสยกทัพลงใต้มำ”
“ถ้ำเป็นอย่ำงนัน เรำจะต้องรีบหำคนพวกนันให้
เจอ” หลงไท่พูดว่ำ “ยังดีที่ลู่ซำงเฮ่อดันหำงโผล่
ออกมำ ขอแค่จ้องคนผู้นันไว้ น่ำจะได้อะไรมำ
บ้ำง ข้ำไม่อยำกแหวกหญ้ำให้งูตื่น ดังนันเลยให้ชิ
วเฉียนอีไปแอบสืบ” เขำลุกขึนยืน ยืดมือบิดขี
เกียจ เขำยิมแล้วพูดว่ำ “ช่ำงเถอะ เรื่องนีไว้คุยที
หลัง ข้ำเหนื่อยแล้ว ฉีหนิง เจ้ำไปดูที แม่นำงเซียน
เอ่อร์เตรียมตัวเสร็จแล้วหรือยัง?”
ฉีหนิงคิดในใจว่ำเรื่องของซีชวนมันซับซ้อน ใน
เมื่อหลงไท่มีแผนแล้ว เขำก็ไม่ต้องคิดมำกอะไรอีก
ตอนนีเขำรู้แล้วว่ำ ในมือของหลงไท่ ยังมีคนอีก
กลุ่มหนึ่งอยู่ คนกลุ่มนีฝีมือก็ไม่ธรรมดำแน่
ไม่อย่ำงนันหลงไท่ไม่มีทำงรู้เรื่องซีชวนได้เยอะ
ขนำดนีแน่นอน
เมื่อกีพอเขำได้ยินหลงไท่พูดว่ำที่ส่งเขำไปซีชวนก็
ให้ไปเป็นเหยื่อล่อ เขำก็ไม่พอใจ แต่พอคิดอย่ำง
ละเอียดแล้ว หลงไท่เป็นฮ่องเต้ ต่อให้ในมือมีไม่มี
กลุ่มอ้ำนำจไหนใช้งำนได้ แต่ว่ำอดีตฮ่องเต้ไม่ใช่
คนโง่ ยังไงพระองค์ก็น่ำจะทิงคนที่หลงไท่ใช้งำน
ได้เอำไว้ให้อยู่แล้ว
รำชส้ำนักคิดว่ำหลงไท่เพิ่งครองรำชย์ อ้ำนำจ
ทังหมดส่วนใหญ่อยู่ในมือของตระกูลซือหม่ำ
ฮ่องเต้น้อยเองก็พยำยำมแสดงให้เห็นว่ำเขำไม่ได้
มีอ้ำนำจอะไรเลย เพรำะเขำตังใจให้มันเป็นอย่ำง
นัน อ้ำนำจที่มีในมือของเขำ จะให้โผล่ออกมำ
ไม่ได้เด็ดขำด แต่วันนีเขำพูดมำอย่ำงนี เท่ำกับว่ำ
เขำเปิดเผยเรื่องนีให้ฉีหนิงรู้ แสดงว่ำเขำเชื่อใจฉี
หนิงมำก
กำรปิดบังเรื่องของซีชวนของฮ่องเต้น้อย ก็ไม่ใช่
ว่ำเขำไม่ไว้ใจ เขำอำจจะแค่สงสัยในควำม
สำมำรถของเขำก็เท่ำนัน
เพรำะว่ำเขำเองยังไม่เคยท้ำผลงำนใหญ่เลย อีก
ทังในพืนที่ซีชวน ก็มีหลี่หงซิ่นเป็นเฒ่ำเจ้ำเล่ห์หัว
เรือใหญ่ ฮ่องเต้น้อยกังวลว่ำเขำจะรับมือหลี่หง
ซิ่นได้ไหม มันก็เป็นเรื่องปกติ เขำส่งคนไป
ตรวจสอบเรื่องนีลับๆ ก็ถือว่ำคิดรอบคอบมำก
ฮ่องเต้น้อยฉลำดมำกขนำดนี ก็ถือว่ำฉีหนิงได้มอง
เขำใหม่เหมือนกัน
จั่วเซียนเอ่อร์เตรียมพร้อมแล้ว เพียงแต่ทำงโน้น
ไม่ได้เรียกไป นำงก็ไม่กล้ำไปรบกวน ฉีหนิงเดินมำ
ดูว่ำเรียบร้อยแล้ว ก็เดินไปเชิญหลงไท่มำ
ตังแต่ออกจำกวังหลวงมำ มือกระบี่อย่ำงเซี่ยง
เทียนเป่ยก็ตำมหลงไท่เป็นเงำ ไม่พูดอะไรง่ำยๆ
บนเรือส้ำรำญ ณ ห้องพิณ ตกแต่งเรียบง่ำย
หลังจำกที่หลงไท่นั่งลงแล้ว ก็ให้เซี่ยงเทียนเป่ยนั่ง
ข้ำงๆ
จั่วเซียนเอ่อร์เปลี่ยนเสือผ้ำชุดใหม่ นำงสวมชุดสี
ฟ้ำ ปล่อยผมยำวประบ่ำ สำยคำดเอวสีน้ำเงิน ปิ่น
ปักผมเรียบง่ำย ปักอยู่บนผมรำวกับมีไข่มุก
ท่ำทำงของเซียนเอ่อร์หน้ำตำสวยงำม ดูสบำยตำ
ท้ำให้ดูสดชื่น โดยเฉพำะหน้ำตำของนำง ที่มี
เสน่ห์ อ่อนโยน
“ไม่ทรำบโหวเยว่กับคุณชำยอยำกฟังเพลงอะไร
ดี?” เซียนเอ่อร์ยิมแล้วพูดว่ำ “เซียนเอ่อร์ไม่ได้
เก่งอะไร ต้องขออภัยล่วงหน้ำ”
หลงไท่ยิมแล้วพูดว่ำ “เจ้ำถนัดเพลงไหนที่สุดก็
เล่นเพลงนันเลย” เขำพูดอีกว่ำ “เอำที่ไม่ค่อยได้
ยิน ยิ่งไม่มีใครรู้จักเลยยิ่งดี ข้ำฟังเพลงมำก็มำก
ฟังบ่อยก็เบื่อแล้ว อยำกได้ยินอะไรที่มันแปลก
ใหม่ เล่นมำได้เลยนะ”
เซียนเอ่อร์คิด แล้วพูดว่ำ “เซียนเอ่อร์เคยเห็นคน
เล่นบทเพลงหนึ่ง มันดูแปลกใหม่ดี ข้ำยังจ้ำมันได้
ดี ยังไม่เคยเล่นให้ใครฟัง มันมีชื่อว่ำพลับพลึงสี
แดง เป็นบทเพลงที่เซียนเอ่อร์ชอบเป็นกำร
ส่วนตัว เวลำไม่มีใคร มักจะเล่นเพลงนีประจ้ำ ไม่
ทรำบบทเพลงนีพอได้หรือไม่?”
“พลับพลึงสีแดง? ชื่อนีแปลกจริง ข้ำยังไม่เคยได้
ยินบทเพลงนีมำก่อน ฮ่ำฮ่ำฮ่ำ แม่นำงเซียนเอ่อร์
มีบทเพลงเช่นนี ดีมำกเลย” หลงไท่ปรบมือยิม
แล้วพูดว่ำ “ยิ่งแปลกยิ่งดี แม่นำงเซียนเอ่อร์ รีบ
เล่นเลย ข้ำอยำกฟังแล้ว”
เซียนเอ่อร์เหลือบไปมองฉีหนิง เห็นฉีหนิงก้ำลัง
ยิมแล้วมองมำที่ตัวเอง นำงก็ยิมตอบอย่ำงอ่อน
โยน นำงยกมือขึนมำแล้ววำงไปที่พิณ
ฉีหนิงรู้เรื่องดนตรีไม่มำก แต่ว่ำก่อนหน้ำนีได้ยิน
เสียงพิณของเซียนเอ่อร์ ก็รู้ว่ำนำงเล่นเก่งมำก
เสียงเพลงบรรเลงขึนมำ หลงไท่หลับตำฟัง
เสียงพิณเริ่มแรกใช้คีย์ที่สูงมำก มันท้ำให้รู้สึก
เครียด มันท้ำให้รู้สึกล่องลอยมำก เสียงดีดพิณ
แปลกมำก เหมือนมันจะหยุดลงตลอดเวลำ
หลังจำกนันไม่นำน เสียงพิณก็แปลกขึนไปอีก มัน
ไม่เหมือนดนตรีทั่วไป มันไม่ได้สูงจนแสบหู แต่มัน
ให้ควำมรู้สึกล่องลอย ท้ำนองก็ไม่ได้ไพเรำะมำก
มำย แต่มันก็ท้ำให้ตกอยู่ในภวังค์ หำกเปรียบกับ
กำรร้องเพลง มันก็เหมือนคนเสียงแหบก้ำลังร้อง
เพลงอยู่
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมำก เพลงนีมันไม่เหมือนเพลง
อื่นเลย มันไม่ได้เพรำะ แต่ก็ท้ำให้คนอยำกจะฟัง
ต่อไปอีก ฉีหนิงไม่ได้ชอบอะไรในดนตรีมำก แต่
ว่ำเขำกลับอยำกจะฟังเพลงนีต่อไปจนโน้ตสุดท้ำย
บทเพลงเริ่มลงเสียงคีย์ต่้ำ หลังจำกนันไม่นำน ก็
เล่นเป็นโน้ตเสียงต่้ำลง เสียงพิณสองสำมตัวมัน
แหลมเจ็บหู ฉีหนิงเดิมคิดว่ำเซียนเอ่อร์เล่นผิด แต่
พอต่อมำก็สลับต่้ำแบบนีเป็นระยะ เหมือนจะท้ำ
ให้คนตกใจกับเสียง ฉีหนิงถึงได้รู้ว่ำมันเป็น
ท้ำนองของเพลงนีเอง
เขำหลับตำลง ซึมซับไปกับบทเพลง เขำพบว่ำ
เสียงต่้ำที่เขำได้ยินเมื่อครู่ มันเหมือนมีเสน่ห์มำก
หำกไม่ได้มีเสียงลงต่้ำแบบเมื่อครู่ท้ำนองมันก็จะ
รำบเรียบจนเกินไป
เสียงพิณเริ่มเศร้ำขึนเรื่อยๆ ฉีหนิงรู้สึกว่ำควำม
รู้สึกของเขำถูกเสียงพิณน้ำพำไป มันวนเวียนอยู่
ในหูของเขำตลอดเวลำ อำรมณ์ควำมรู้สึกของเขำ
มันเคร่งเครียดขึน จนถึงขันจิตตก ไม่รู้ว่ำผ่ำนไป
นำนแค่ไหน เขำรู้สึกว่ำปลำยตำของเขำมันเย็น
เขำอดไม่ได้ที่จะยกมือขึนไปเช็ด เขำถึงขันตกใจ
ไม่รู้ว่ำน้ำตำมันไหลออกมำเมื่อไหร่
ฉีหนิงตกใจมำก แอบคิดในใจว่ำเขำร้องไห้ตังแต่
เมื่อไหร่ ท้ำไมไม่รู้เลย เขำลืมตำขึนมำ แล้วหัน
หน้ำไปมอง เขำเห็นหลงไท่ยังคงนั่งอยู่ท่ำเดิม
สำยตำของเขำปิดสนิท แต่มีน้ำตำไหลอำบหน้ำลง
มำ ในตอนนีเอง เสียงพิณก็หยุดลง วินำทีนันเอง
ฉีหนิงก็เห็นหลงไท่สะดุ้ง จำกนันเขำก็ค่อยๆ ลืม
ตำขึนมำ แล้วก็จ้องไปที่จั่วเซียนเอ่อร์
เซียนเอ่อร์ลุกขึนมำ แล้วค้ำนับ แต่ไมได้พูดอะไร
ในตอนนีหลงไท่เหมือนจะเพิ่งรู้ว่ำตัวเองร้องไห้
เขำยกมือขึนมำเช็ดหน้ำ แล้วพูดว่ำ “แม่นำง
เซียนเอ่อร์ บทเพลงนีของเจ้ำ ชื่อว่ำพลับพลึงสี
แดงอย่ำงนันหรือ?”
เซียนเอ่อร์พูดว่ำ “ใช่แล้ว”
“พลับพลึงสีแดง...” หลงไท่บ่นพึมพ้ำ แล้วพูดว่ำ
“ข้ำเคยได้ยินมำว่ำ พลับพลึงสีแดงเป็นดอกไม้
ชนิดหนึ่ง ว่ำกันว่ำเป็นดอกไม้ในนรกภูมิ แม่นำง
เซียนเอ่อรพอรู้บ้ำงหรือไม่?”
เซียนเอ่อร์พูดว่ำ “เคยเห็นผ่ำนตำมำจำกใน
หนังสือบ้ำง กล่ำวกันว่ำพลับพลึงสีแดงยินยอมลง
นรกไปเอง แต่ถูกเหล่ำปีศำจปฏิเสธแล้วส่งกลับ
แต่ยังคงวนเวียนอยู่ที่ทำงช้ำงเผือก เหล่ำปีศำจ
เห็นใจ เลยตกลงให้นำงผลิบำนอยู่ริมทำง เพื่อน้ำ
ทำงให้กับเหล่ำวิญญำณที่จะเข้ำมำ”
“ดอกบำนหนึ่งพันปี โรยหนึ่งพันปี ดอกกับใบไม่
เคยได้พบหน้ำกัน ควำมรู้สึกไม่ใช่เหตุผล
พรหมลิขิตก้ำหนดควำมเป็นและควำมตำย” หลง
ไท่ถอนหำยใจแล้วพูดว่ำ “ดอกไม้ชนิดนีจะขึนอยู่
บริเวณแม่น้ำของสำมภพ สีของมันแดงเหมือนกับ
เลือด น้ำทำงสู่ดินแดนนรกภูมิ อีกทังมีดอกไม่มี
ใบ เป็นดอกไม้เพียงดอกเดียวในดินแดนนรก ได้
ยินมำว่ำกลิ่นหอมของมันมีพลังมำร สำมำรถดูด
ควำมทรงจ้ำจำกชำติก่อนๆ ได้ด้วย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 573 เล่นพิณก็ได้วาดภาพก็ดี
ฉีหนิงยังได้ยินตำนำนของพลับพลึงสีแดงด้วย
เช่นกัน เขำรูม้ ำว่ำพลับพลึงสีแดงนั้นมีอีกชื่อว่ำ
ดอกไม้นรก
แต่เขำสงสัยแค่ว่ำทำไมนำงถึงเล่นเพลงแปลกๆ
ในเวลำนี้ แม้ว่ำมันจะเป็นแปลกใหม่ แต่ว่ำ
ทำนองมันเศร้ำมำกเกินไป มันไม่ค่อยเหมำะสม
เท่ำไหร่
เซียนเอ่อร์ยิ้มเบำๆ พูดว่ำ “เพลงนี้เซียนเอ่อร์ก็
ยินคนอื่นเล่นมำอีกที รู้สึกว่ำมันแปลกใหม่มำก ที่
แท้คุณชำยเซียวเองก็ชอบเพลงแบบนี้”
“เสียงเพลงเศร้ำเกินไป ข้ำไม่ค่อยชอบ” หลงไท่
ถอนหำยใจ “แต่เพลงแบบนี้ สำมำรถทำให้คนติด
และไม่สำมำรถหลุดพ้นได้” เขำหยุดชั่วหนึ่ง แล้ว
พูดว่ำ “แม่นำงเซียนเอ่อร์ ข้ำมีเรื่องอยำกจะขอ
เจ้ำ ไม่ทรำบว่ำแม่นำงจะรับปำกข้ำหรือไม่”
“คุณชำยเซียวเชิญกล่ำวมำได้เลย!”
หลงไท่กล่ำวว่ำ “ปกติหำกข้ำไม่มีอะไรทำ ข้ำ
ชอบดีดพิณ หำกแม่นำงสะดวก ช่วยคัดทำนอง
เพลง พลับพลึงสีแดงนี้ให้ข้ำได้หรือไม่” เขำปลด
หยกห้อยออกมำจำกเอว “หยกชิ้นนี้มีรำคำ
ประมำณหนึ่ง ถือว่ำเป็นค่ำตอบแทนให้เจ้ำก็แล้ว
กันนะ”
ฉีหนิงอดที่จะด่ำไม่ได้ว่ำ ข้ำช่วยเจ้ำทำงำนตั้ง
หลำยอย่ำง ไม่เห็นเจ้ำให้รำงวัลข้ำบ้ำงเลย ครั้งนี้
แค่ขอทำนองเพลง ถึงกับถอดหยกให้เลย ของใน
วังหลวง มีแต่ของดีทั้งนั้น รำคำไม่ต้องพูดถึง
เซียนเอ่อร์หัวเรำะ “มันยำกที่จะรู้จักที่รู้ในดนตรี
เซียนเอ่อร์มอบให้เลยก็ได้ แต่จี้หยกนี้จะไม่
ยอมรับ” นำงนั่งลงเขียนทำนองเพลงให้ทันที
แล้วยื่นให้เขำ “คุณชำยเซียวเก็บเอำไว้ให้ดีนะ”
หลงไท่เอื้อมหยิบมำแล้วพูดว่ำ “ทำนองแปลก
มำก เล่นไม่ง่ำยเลยนะ เอำไว้ข้ำจะกลับไปฝึกอีก
ที” เขำลุกขึ้นแล้วยิ้ม “จิ่นอีโหว ดึกมำแล้ว
ขอบใจสำหรับกำรต้อนรับในวันนี้ เมื่อข้ำมีโอกำส
จะกลับมำอีก ครั้งต่อไปข้ำจะเป็นเจ้ำมือเอง วันนี้
ข้ำขอตัวก่อน”
ฉีหนิงแอบด่ำในใจ เจ้ำเด็กคนนีม้ ำกินและดื่มแล้ว
ก็ไป ส่วนที่เหลือก็ทิ้งไว้ให้ข้ำเก็บ แต่เขำก็ยังพูด
ว่ำ “ถ้ำอย่ำงนั้นข้ำจะรอคุณชำยเซียวมำเป็น
เจ้ำมือนะ” เขำเดินออกไปส่งหลงไท่ที่ประตู เขำ
ก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบไม่ได้ว่ำ “ฝ่ำบำท ประตูที่
ถูกทำพังเมื่อครู่ เอ่อ...?”
“เจ้ำก็ชดใช้แทนข้ำไปก็แล้วกัน” หลงไท่กล่ำวว่ำ
“ข้ำเหนื่อยแล้ว ไว้ค่อยคุยกับเจ้ำใหม่นะ”
ฉีหนิงกลอกตำมองบน ตอนนี้เซี่ยงเทียนเป่ยคุ้ม
กันหลงไท่ขึ้นเรือเล็กไป ฉีหนิงเห็นเขำจำกไปแล้ว
ก็ส่ำยหัว เขำอยู่กับฮ่องเต้น้อย เขำต้องเสียเปรียบ
ตลอด ทันใดนั้นเองเขำก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลดังมำ
จำกข้ำงหลัง “โหวเยว่ หำกเซียนเอ่อร์ทำอะไรผิด
ไป โปรดอย่ำตำหนิข้ำเลยนะ”
ฉีหนิงหันกลับมำและเห็นจั่วเซียนเอ่อร์ยืนอยู่ข้ำง
หลังเขำ นำงมีควำมอำยบนใบหน้ำ เขำหัวเรำะ
แล้วพูดว่ำ "ไม่มีอะไรไม่ดีเลย ไม่ต้องคิดมำกนะ
เซียนเอ่อร์ ก่อนหน้ำนี้ตกใจมำกหรือเปล่ำ?
“ไม่...ไม่เลย” เซียนเอ่อร์ยิ้มอย่ำงหวำนๆ “เซียน
เอ่อร์รอให้โหวเยว่มำหำ วันนี้โหวเยว่ก็มำหำเซียน
เอ่อร์จนได้ เซียนเอ่อร์...เซียนเอ่อร์มีควำมสุข
มำก” หน้ำของนำงแดงมำก นำงก้มหน้ำลง
เล็กน้อย แต่นำงยังคงมีเสน่ห์ควำมเขินอำย
เล็กน้อยทำให้นำงดูสวยขึ้น
เมื่อเห็นสำวสวยท่ำทำงมีเสน่ห์ ฉีหนิงก็อดไม่ได้ที่
จะยื่นมือจับมือของ เซียนเอ่อร์และพูดเบำๆ ว่ำ
“หลังจำกครำวที่แล้วจำกกัน ข้ำก็ยุ่ง ไม่มีเวลำมำ
หำเจ้ำเลย เจ้ำสบำยดีหรือเปล่ำ?”
เซียนเอ่อร์กล่ำวว่ำ “อืม” เบำๆ ยังคงมีควำมอำย
นิดหน่อย ท่ำทำงของนำง ทำให้ฉีหนิงรู้สึกหวั่น
ไหว เซียนเอ่อร์ดูเหมือนจะคิดอะไรบำงอย่ำงได้
นำงพูดว่ำ “โหวเยว่ มำ เซียนเอ่อร์จะเอำอะไรให้
ท่ำนดู” นำงจูงมือฉีหนิง เข้ำไปอีกห้องหนึ่ง มัน
คือห้องนอนส่วนตัวของนำง
เมื่อเข้ำไปในห้องกลิ่นหอมโชยเข้ำจมูก ฉีหนิงมอง
ไปรอบๆ พบว่ำกำรตกแต่งภำยในนั้นไม่แตกต่ำง
จำกที่ข้ำเห็นในครั้งที่แล้วเลย หำกไม่ได้เกิดเรื่อง
พิษระบำดขึ้น จั่วเซียนเอ่อร์คงตกเป็นของเขำไป
แล้ว
เซียนเอ่อร์พำฉีหนิงไปที่โต๊ะแล้วนั่งลง จำกนั้น
นำงก็เดินเข้ำไปที่ฉำกบังลม นำงหยิบรูปมำหนึ่ง
รูป ฉีหนิงหัวเรำะแล้วพูดว่ำ “เซียนเอ่อร์จะให้ข้ำ
ชมภำพเขียนหรอ? ควำมสำมำรถในกำรวิจำรณ์
ภำพของข้ำต่ำมำกเลยนะ”
เซียนเอ่อร์หัวเรำะแล้วยิ้มว่ำ “โหวเยว่ ยังถ่อมตัว
อีก หรือว่ำโหวเยว่ไม่รู้ว่ำที่แม่น้ำฉินไหวตอนนี้
โหวเยว่ กลำยเป็นผู้มีชื่อเสียงใหญ่แล้วนะ”
ฉีหนิงตะลึงไป คิดว่ำที่แม่น้ำฉินไหว ชื่อเสียงของ
เขำดังมำก มันก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่ำไหร่ จั่วเซียนเอ่อร์
ฉลำดมำก นำงรีบพูดว่ำ “โหวเยว่ไม่ต้องกังวลใจ
ไป ที่งำนชุมนุมจิงหัวก่อนหน้ำนี้ ท่ำนแสดง
ควำมสำมำรถออกมำทุกวิชำ คนที่นี่ก็คุยเรื่องวัน
นั้นกัน เซียนเอ่อร์ได้ยินพวกเขำพูดมำ โหวเยว่
อำยุยังน้อย ไม่ว่ำจะวิชำศิลปะแขนงไหน ก็ล้วน
แต่ร้ำยกำจทั้งนั้น มีคนบอกว่ำโหวเยว่เป็นเสือ
ซ่อนเล็บ ทั่วทั้งเมืองหลวงคงไม่มีใครเทียบกับ
ท่ำนได้แล้ว”
ฉีหนิงหัวเรำะแล้วพูดว่ำ “พวกเขำพูดแบบนั้นกัน
หรอ?”
“เซียนเอ่อร์ไม่กล้ำพูดเหลวไหล” จั่วเซียนเอ่อร์
ยิ้มหวำนแล้วพูดว่ำ “พวกพูดมำแบบนี้ เซียน
เอ่อร์รู้สึกดีใจมำกเลย” นำงพูดไปด้วย แล้วก็กำง
ภำพออก “โหวเยว่ ท่ำนว่ำภำพของเซียนเอ่อร์
เป็นยังไงบ้ำง? ดีไหม ห้ำมหัวเรำะเซียนเอ่อร์
ด้วย”
ฉีหนิงเห็นว่ำมันคือภำพเหมือน ภำพนี้ไม่เล็กเลย
ในภำพเป็นชำยหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ท่ำมกลำงผู้คน
มำกมำย ท่ำทำงองอำจ ฉีหนิงมองไป ก็จำได้ว่ำ
มันคือภำพบรรยำกำศในงำนชุมนุมจิงหัว ชำย
หนุ่มคนนั้นน่ำจะเป็นเขำ ไม่ว่ำจะโครงร่ำงหรือรูป
หน้ำ ดูหล่อเหลำกว่ำตัวจริงมำก
ถึงแม้ว่ำมันจะไม่เหมือนมำก แต่ว่ำบรรยำกำศ
ทิวทัศน์ถือว่ำวำดได้เหมือนจริงมำก
ฉีหนิงปรบมือแล้วพูดว่ำ “เซียนเอ่อร์ เจ้ำเป็นคน
วำดหรือ? ฮ่ำฮ่ำฮ่ำ ข้ำไม่ได้องอำจขนำดนั้นนะ”
เซียนเอ่อร์พูดว่ำ “ในใจของข้ำ ท่ำนองอำจกว่ำ
นั้นตั้งเยอะ เซียนเอ่อร์วำดแบบนั้นไม่ได้”
หญิงงำมรำวกับหยก กลิ่นหอมโชยเข้ำจมูก ฉีหนิง
อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปโอบเอวของนำงมำ นำงรู้ดี
ว่ำเขำต้องกำรอะไร นำงแนบตัวเข้ำไปใกล้ ฉีหนิง
ดึงนำงมำนั่งบนตัก ก้นนุ่มๆ นั่งลงมำบนขำของฉี
หนิง มันอ่อนนุ่มมำก เซียนเอ่อร์หน้ำแดงมำก
เมื่อได้กลิ่นควำมเป็นชำยจำกตัวของฉีหนิง
ฉีหนิงเขยิบเข้ำมำใกล้แล้วถำมว่ำ “ทำไมถึงวำด
รูปแบบนี้?”
“เซียนเอ่อร์...เซียนเอ่อร์คิดถึงโหวเยว่บ่อยๆ”
ดวงตำอันน่ำหลงใหลของนำงเป็นประกำย นำง
พูดเขินๆ ว่ำ “มีคืนหนึ่งเซียนเอ่อร์นอนไม่หลับ ก็
เลย...ลุกขึ้นมำวำดภำพนี้ โหวเยว่ ท่ำน...ท่ำน
ห้ำมหัวเรำะเยำะข้ำนะ”
“เซียนเอ่อร์วำดได้ดี ข้ำจะหัวเรำะเยำะเจ้ำทำไม”
ฉีหนิงกอดเอวของเซียนเอ่อร์ แล้วลูบเบำๆ ถึงแม้
จะมีเสื้อผ้ำกั้นอยู่ แต่เขำก็สัมผัสได้ว่ำผิวของนำง
เนียนมำก เขำถำมว่ำ “ตอนที่ข้ำไม่อยู่ เจ้ำอยู่
ยังไง?”
จั่วเซียนเอ่อร์ฉลำดมำก ทำไมนำงจะไม่รู้ว่ำฉีหนิง
หมำยควำมว่ำยังไง นำงพูดว่ำ “เซียนเอ่อร์...
เซียนเอ่อร์ไม่ได้รับแขกเลย แต่ว่ำบนเรือต้องกิน
ต้องใช้ เซียนเอ่อร์ต้องเลี้ยงดูพวกเขำ บำงครั้ง...
บำงครั้งเลยต้องยอมให้คนขึ้นเรือมำ แต่ว่ำนั่งหลัง
ม่ำนเล่นพิณให้พวกเขำฟัง ไม่ได้ให้เห็นหน้ำเลย”
ฉีหนิงถอนหำยใจแล้วพูดว่ำ “ข้ำไม่ดีเอง ต่อไปข้ำ
จะให้คนส่งเงินมำให้เจ้ำ ให้พอที่จะใช้กันบนเรือ”
เขำคิดว่ำ ทำแบบนี้ ก็เหมือนเขำกำลังรับเลี้ยง
ผู้หญิงเลย
เซียนเอ่อร์พูดว่ำ “โหวเยว่ไม่ต้องเป็นห่วงเซียน
เอ่อร์ ข้ำไม่พบหน้ำพวกเขำ แค่ดีดพิณนั้น ก็พอ...
ก็พอเลี้ยงพวกเขำอยู่ เซียนเอ่อร์ขอแค่โหวเยว่มำ
หำข้ำบ้ำงตอนที่ท่ำนว่ำง เซียนเอ่อร์เกิดมำต่ำ
ต้อย ไม่ได้...ไม่ได้หวังสูง...”
นำงยิ่งพูดแบบนี้ ฉีหนิงยิ่งรู้สึกผิด เขำพูดว่ำ “ใน
เมื่อข้ำจัดกำรแล้ว ก็ไม่มีอะไรไม่ดี จริงสิ เซียน
เอ่อร์ ข้ำเห็นเจ้ำดีดพิณ เสียงพิณของเจ้ำดูไม่
เหมือนทั่วไป เหมือน...” เขำไม่รู้ควรพูดยังไงดี
เซียนเอ่อร์ยิ้มแล้วพูดว่ำ “โหวเยว่ตั้งใจจะบอกว่ำ
เสียงพิณของเซียนเอ่อร์ดูเศร้ำ เหมือนผ่ำนเรื่อง
เศร้ำมำมำกมำยอย่ำงนั้นใช่ไหม?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่ำ “ข้ำรู้สึกแบบนั้น เจ้ำอำยุยัง
น้อย แต่ว่ำเสียงพิณของเจ้ำเหมือนมีควำมรู้สึกที่
ลึกซึ้งมำก อีกทั้งน่ำจะเหมือนเจอเรือ่ งไม่ดีมำ
มำกมำย พลับพลึงสีแดงในวันนี้ ยิ่งพิเศษเข้ำไป
ใหญ่ ก่อนหน้ำนี้ข้ำไม่เคยได้ยินเสียงพิณแบบนี้มำ
ก่อนเลย”
เซียนเอ่อร์พูดอย่ำงเศร้ำๆ ว่ำ “เซียนเอ่อร์ก็ไม่รู้
ทำไมเหมือนกัน แต่ข้ำชอบควำมรู้สึกแบบนี้
พลับพลึงสีแดงข้ำเคยได้ยินคนเล่นมำนำนมำก
แล้ว เซียนเอ่อร์ชอบทำนองของมัน เลยของให้คน
ผู้นั้นเล่นให้ฟัง แล้วแอบจำทำนองเอำไว้ แล้วเอำ
กลับมำเล่นเอง โหวเยว่ มันไม่เพรำะเลยใช่ไหม?”
ฉีหนิงส่ำยหน้ำยิ้มแล้วพูดว่ำ “ไม่ใช่เลย ข้ำแค่
รู้สึกว่ำมันแปลกแค่นั้น” เขำคิดในใจว่ำพรสวรรค์
ด้ำนพิณของเซียนเอ่อร์นั้นน่ำตกใจมำก เห็นคน
เล่นแค่ครั้งเดียว ก็สำมำรถจำทำนองออกมำได้
หำกเป็นคนอื่น คงทำไม่ได้แน่ เขำพูดว่ำ
“พลับพลึงสีแดงมันเหมือนมีพลังปีศำจ บวกกับ
เสียงพิณ มันทำให้คนเมำ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่อง
ที่เศร้ำใจ เซียนเอ่อร์ เจ้ำมีเรื่องเศร้ำในใจมำกเลย
ใช่ไหม?”
เซียนเอ่อร์ก้มหน้ำลง แต่ไม่ได้พูดอะไร
เห็นนำงท่ำทำงเย้ำยวน น่ำหลงใหล ปำกเป็น
กระจับ เขำอดไม่ได้ที่จะขยับเข้ำไปใกล้ เซียน
เอ่อร์ก็ไม่ได้หลบ เมื่อปำกของฉีหนิงประกบลงไป
ที่ปำกของนำง นำงก็อดไม่ได้ที่จะจับแขนฉีหนิงไว้
แน่น
ปำกของเซียนเอ่อร์อ่อนนุ่มมำก เหมือนลิ้นจี่ที่เพิ่ง
ปอกเปลือกออก ริมฝีปำกที่อ่อนหวำน มันให้
ควำมรู้สึกกี่ดีมำกเลย
ฉีหนิงคิดในใจว่ำ เรื่องนี้ควรจะจัดกำรได้แล้ว
เสียเวลำมำจนวันนี้ นำงอยู่ตรงหน้ำเขำแล้ว
ตอนนี้ก็ไม่ควรเสแสร้งควำมเป็นสุภำพบุรุษแล้ว
เซียนเอ่อร์ผิวเนียนนุ่มมำก ทำให้เขำอดใจไม่ไหว
แล้ว
ตอนนี้เขำพบว่ำ ผิวของนำงมันเนียนใสมำกจริงๆ
ผู้หญิงที่เขำรู้จัก ถึงแม้จะมีผิวที่ขำวเนียนนุ่มมำก
เหมือนกัน แม้แต่กู้ชิงฮั่นเองที่เป็นม่ำยสำวแสน
สวย ก็ยังรักษำตัวอย่ำงดี แต่ว่ำผู้หญิงพวกนั้น
เหมือนยังเทียบกับเซียนเอ่อร์ไม่ได้เลย
ผิวของเซียนเอ่อร์มีแกมชมพูนิดๆ เหมือนว่ำหำก
ใช้แรงมำกอีกนิด เนื้อก็จะแตกได้แล้ว ไม่มี
ร่องรอย เหมือนของศิลปะที่ตั้งโชว์สวยงำม
“โหวเยว่...” เซียนเอ่อร์อำยมำก นำงซุกหน้ำไปที่
ไหล่ของฉีหนิง ไม่กล้ำมองหน้ำเขำ นำงบอกว่ำไม่
แสดงว่ำต้องกำร หลักกำรนี้ฉีหนิงเข้ำใจดี
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 574 ก่อนจากกัน
บนแม่น้ำฉินไหว บนเรือส้ำรำญ มีแต่กลิ่นอำย
ของควำมอ่อนโยน
ฉีหนิงสัมผัสได้ถึงควำมร้อนที่ออกมำจำกกลำยอัน
อ่อนนุ่มในอ้อมกอดของเขำ เขำลุกขึนมำ แล้วอุ้ม
เซียนเอ่อร์ขึน เขำรู้ว่ำเตียงในห้องนีอยู่ที่ไหน เขำ
อุ้มนำงไปที่เตียง เซียนเอ่อร์เหมือนจะตกใจได้สติ
กลับมำ นำงสะดุ้งแรงมำก แล้วรีบพูดว่ำ “โหว
เยว่ ไม่...ไม่ได้”
ฉีหนิงอุ้มเซียนเอ่อร์มำที่เตียง แล้ววำงเซียนเอ่อร์
ลง แล้วพูดอย่ำงอ่อนโยนว่ำ “เป็นอะไรไป?”
เซียนเอ่อร์หน้ำแดงมำก นำงพูดด้วยควำมเขิน
อำยว่ำ “โหวเยว่ ไม่ใช่...ไม่ใช่ว่ำเซียนเอ่อร์ไม่ยอม
ให้ท่ำนนะ เซียนเอ่อร์ถือว่ำตัวเองเป็นคนของท่ำน
นำนแล้ว เพียงแต่...เพียงแต่สองสำมวันนีเซียน
เอ่อร์ไม่สะดวก...”
“ไม่สะดวก?” ฉีหนิงตะลึงไป เห็นเซียนเอ่อร์หน้ำ
แดงเบำ ๆ เขำก็เหมือนเข้ำใจอะไรขึนมำ เขำถอน
หำยใจในใจหนักมำก เขำคิดในใจว่ำเขำน่ำจะเป็น
คนที่โชคร้ำยที่สุดในโลกแล้วมัง ก่อนหน้ำนีก้ำลัง
จะเข้ำได้เข้ำเข็ม ก็เกิดพิษระบำดมำขัด วันนีกว่ำ
จะมีโอกำสก็ไม่ง่ำย ใครจะคิดกลับ...
เซียนเอ่อร์เหมือนจะกังวลว่ำฉีหนิงจะไม่พอใจ
นำงกุมมือของฉีหนิงเอำไว้ แล้วพูดว่ำ “โหวเยว่
เซียนเอ่อร์เป็นคนของท่ำนแล้ว ขอแค่...ขอแค่รอ
อีกไม่กี่วัน โหวเยว่...โหวเยว่มำหำเซียนเอ่อร์อีก
เซียนเอ่อร์จะมอบทุกอย่ำงให้ท่ำนดีหรือเปล่ำ?”
ฉีหนิงคิดว่ำถึงว่ำจะถึงจะบอกว่ำไม่ดี ก็ดูท้ำลำย
บรรยำกำศไป เขำพูดอย่ำงอ่อนโยนว่ำ “เซียน
เอ่อร์ เจ้ำอย่ำเข้ำใจผิด ที่จริง...ที่จริงเมื่อกีข้ำแค่
อยำกทดสอบตัวเอง ว่ำข้ำจะอดทนได้มำกแค่ไหน
ที่จริง...ที่จริงต่อให้เจ้ำสะดวก ข้ำคงทนไหว”
เซียนเอ่อร์หัวเรำะ แล้วลุกขึนมำนั่ง แล้วเอำตัวมำ
แนบตัวฉีหนิง “โหวเยว่เป็นคนดี ข้ำรู้ว่ำท่ำนไม่
รังแกเซียนเอ่อร์แน่นอน”
ฉีหนิงหัวเรำะ เหมือนคิดอะไรได้ แล้วพูดว่ำ
“เซียนเอ่อร์ ครังหน้ำ คิดว่ำคงต้องรออีกระยะ
ใหญ่ อีกไม่กี่วัน ข้ำจะต้องออกไปรำชกิจนอก
เมืองหลวง อำจต้องไปนำนหน่อย ข้ำจะให้คนเอำ
เงินมำให้เจ้ำนะ เจ้ำไม่ต้องกังวลเรื่องกำรใช้ชีวิต
อีก รอข้ำกลับมำ แล้วจะมำหำเจ้ำใหม่นะ”
“โหวเยว่ท่ำนจะไปนอกเมืองหลวงหรือ?” เซียน
เอ่อร์อึงไป
ฉีหนิงพูดว่ำ “ฝ่ำบำททรงเพิ่งครองรำชย์ มีเรื่อง
ต้องท้ำมำกมำย มักมีงำนมำให้ท้ำบ่อยๆ” เขำ
หยุดพูดไป แล้วถำมว่ำ “เซียนเอ่อร์ เจ้ำแซ่จั่ว
ตังแต่เกิดเลยหรือ?”
จั่วเซียนเอ่อร์ส่ำยหน้ำแล้วพูดว่ำ “เซียนเอ่อร์ไม่รู้
ว่ำตัวเองชื่อแซ่อะไร ข้ำใช้แซ่เดียวกับมอม่อ”
“จั่วมอม่อ?”
เซียนเอ่อร์พูดว่ำ “ตังแต่เซียนเอ่อร์เริ่มจ้ำควำมได้
ข้ำก็เร่ร่อนตำมท่ำนปู่ ท่ำนปู่ไม่ได้บอกว่ำเขำชื่อ
แซ่อะไร ข้ำรู้แค่ว่ำเขำดูแลข้ำมำตังแต่เด็ก เขำ
เรียกข้ำว่ำนิวนิวมำตลอด พอข้ำอำยุได้สี่ขวบ
ท่ำนปู่ก็ล้มป่วย เรำไม่มีเงินไปรักษำ เขำ...เขำก็
ตำยไปทังอย่ำงนัน จั่วมอม่อรับเลียงข้ำไว้” พูดถึง
ตรงนี สำยตำของนำงเริ่มแดง นำงพูดว่ำ “จั่ว
มอม่อสอนข้ำเรียนหนังสือ ดีดพิณ เล่นหมำกรุก
วำดภำพ นำงดีกับข้ำมำก ตอนนันข้ำคิดมำตลอด
ว่ำนำงดีกับข้ำ รู้ว่ำพออำยุสิบห้ำ นำงก็จะส่งข้ำ
เข้ำเมืองหลวง ข้ำถึงได้รู้ว่ำ...” พูดถึงตรงนี นำงก็
ฝืนยิม
ฉีหนิงรู้สึกเห็นใจ แล้วพูดว่ำ “เรื่องที่ผ่ำนไปแล้วก็
ให้มันผ่ำนไปเถอะนะ ไม่ต้องคิดมำกนะ”
เซียนเอ่อร์ยิมอย่ำงอ่อนโยน แล้วพูดว่ำ “พอ
มำถึงเมืองหลวง ข้ำก็เปลี่ยนชื่อมำเป็นเซียนเอ่อร์
ก่อนหน้ำกำรคัดเลือกรำชินีดอกไม้ ก็อยู่ฝึกหนัก
มำกตลอด ตอนนันโหวเยว่ทุ่มเงินอย่ำงหนัก ก็ถือ
ว่ำได้คืนค่ำใช้จ่ำยทังหมดที่ลงทุนไปกับข้ำ
หมดแล้ว อีกสำมปี เซียนเอ่อร์ก็จะได้อิสระคืนมำ
อีกครัง” สำยตำของนำงดูซำบซึงใจมำก “หำก
ไม่ใช่เพรำะกำรทุ่มเงินของโหวเยว่ในวันนัน ข้ำคง
ไม่มีทำงได้ล้ำดับที่ดีขนำดนี เซียนเอ่อร์ก็ไม่มีทำง
ได้มำอยู่ที่นี่ มีเรือส้ำรำญของตัวเองแบบนี”
ฉีหนิงรู้ว่ำ วันนีเศรษฐีพวกนันทุ่มเงินไปให้เซียน
เอ่อร์ไม่น้อยเลย เงินพวกนันมันเพียงพอให้คนที่
อยู่เบืองหลังเซียนเอ่อร์ได้ก้ำไรไปมำก ไม่แปลกใจ
เลยที่เซียนเอ่อร์จะมีอิสระมำกกว่ำหญิงอื่นๆ ใน
สำยอำชีพเดียวกัน
เขำรู้ดีว่ำ กำรคัดเลือกรำชินีดอกไม้นัน ในควำม
เป็นจริงแล้วมันถือเป็นกำรตัดสินชีวิตของผู้หญิง
หลำยคน หำกไม่มีคนทุ่มเงินเลย ไม่ได้อันดับที่ดี
นำงก็จะตกอยู่ในสภำพไม่ต่ำงกับหญิงบริกำร
ทั่วไป มีเพียงผู้หญิงอย่ำงเซียนเอ่อร์ที่มีคนทุ่มเงิน
จ้ำนวนมำกเท่ำนัน ถึงจะมีชีวิตที่ดีขึนมำอีกหน่อย
“เซียนเอ่อร์ ข้ำจะออกไปท้ำงำนนอกเมืองแล้ว
ตอนนีคงไม่ทันกำร” ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่ำ “รอข้ำ
กลับมำเมืองหลวงแล้ว ข้ำจะจัดกำรเรื่องของเจ้ำ
ให้เรียบร้อย เจ้ำรอข้ำนะ”
เซียนเอ่อร์ก้มหน้ำลง “โหวเยว่ เซียนเอ่อร์...เซียน
เอ่อร์ไม่อยำกหำเรื่องให้ท่ำนต้องล้ำบำก เซียน
เอ่อร์มีวันนีได้ เพรำะโหวเยว่มอบให้ ท่ำนไม่ต้อง
ท้ำอะไรเพื่อข้ำแล้ว”
“เด็กโง่ ข้ำไม่ได้ท้ำอะไรเลย” ฉีหนิงกอดเซียน
เอ่อร์เอำไว้ แล้วพูดอย่ำงอ่อนโยนว่ำ “เจ้ำรอข้ำ
กลับมำก็พอ มีข้ำอยู่ ข้ำจะไม่ให้เจ้ำต้องล้ำบำก
เลยแม้แต่นิดเดียว”
เซียนเอ่อร์ร่ำงกำยไม่สะดวก ท้ำให้ฉีหนิงรู้สึกเสีย
ดำยมำก ยังดีที่นำงเป็นคนใจ เอำใจใส่ อยู่คุยกับ
นำงอยู่ครึ่งคืน ฉีหนิงก็ไม่สะดวกที่จะค้ำงที่นี่ต่อ
ตอนเขำจะออกมำ เขำสั่งก้ำชับอยู่หลำยเรื่อง
สำยตำของเซียนเอ่อร์ไม่อยำกให้เขำไปเลย
หลำยวันต่อมำ ก็ถึงวันที่ต้องเดินทำงไปตงฉีแล้ว
หูป๋อเวินแทบจะมำรำยงำนทุกวัน เป็นไปอย่ำงที่ฉี
หนิงคิด รำยชื่อของที่กรมพิธีกำรคัดเลือกออกมำ
กรมคลังรับไม่ได้เลย ทังสองฝ่ำยต้องหำรือแก้ไข
กันอยู่หลำยครัง กรมคลังฝืนรับเงื่อนไขส่วนใหญ่
ทังหมด อีกทังด้วยกำรสนับสนุนของทำงกรมพิธี
กำร เลยเลือกวันออกเดินทำงที่เหมำะสมมำก
ที่สุด
ที่จริงกำรไปเป็นรำชทูตในครังนีไม่ใช่เรื่องเล็กเลย
เรื่องนีเกี่ยวพันกับทั่งชีวิตของฮ่องเต้น้อย อีกทัง
ยังคำบเกี่ยวกับกำรเชื่อมสัมพันธไมตรีกับตงฉีด้วย
โต้วขุยเองก็ไม่กล้ำชักช้ำ
นอกจำกจะต้องเตรียมของก้ำนัลแล้วยังต้อง
เตรียมขบวนรำชทูตเฉพำะด้วย เพื่อให้ทำงชำว
ตงฉีรู้ว่ำต้ำฉู่ให้ควำมส้ำคัญแล้วก็ให้เกียรติพวก
เขำมำก หลงไท่สั่งให้ฉือเฟิงเตียนคัดเลือกทหำร
หลวงออกมำสองร้อยคน
ทหำรหลวงอวีหลินอำจจะไม่ใช่กองพันที่แข็ง
แกร่งที่สุดของต้ำฉู่ แต่ว่ำพวกเขำมีต้ำแหน่งที่สูง
มำก เพรำะพวกเขำคือทหำรของรำชำทหำรของ
ฮ่องเต้โดยตรง ไม่เพียงมีเครื่องแต่งกำยและอำวุธ
ที่ดีที่สุด พวกเขำเองก็มีรูปร่ำงสูงใหญ่องอำจกล้ำ
หำญ จำกภำยนอกที่เห็นดูมีบำรมีมำก แสดงถึง
แสงยำนุภำพของต้ำฉู่ได้เป็นอย่ำงดี
กำรเดินทำงก้ำหนดไว้ที่วันที่สิบแปดเดือนห้ำ
หน่วยงำนที่เกี่ยวข้องก็เตรียมของเตรียมตัวกัน
อย่ำงแข็งขัน เมื่อถึงช่วงเย็นของวันที่สิบเจ็ด หูป๋อ
เวินก็มำหำเขำอีกครัง มำรำยงำนกำรเตรียมกำร
ทังหมด เหลือเพียงขึนตอนสุดท้ำยคือพบฮ่องเต้
น้อยในตอนเช้ำก่อนออกเดินทำงเท่ำนัน
ในจวนโหวเองก็ยุ่งเตรียมของให้เขำตลอดทังคืน
กำรเดินทำงของฉีหนิงครังนี ถึงแม้ฮ่องเต้น้อยจะ
เลือกทหำรหลวงมำให้แล้วสองร้อยนำยไปคอยคุ้ม
กัน แต่ว่ำฉีหนิงไม่ได้สนิทกับทหำรหลวงมำกนัก
เลยคัดเอำองครักษ์ในจวนโหวไปด้วยอีกเจ็ดแปด
คน ฉีหนิงอยู่พักฟื้นอำกำรที่จวนหลำยวัน อำกำร
ดีขึนมำกแล้ว เดิมทีฉีหนิงกังวลว่ำเขำเดินทำงไกล
อำกำรจะก้ำเริบ แต่ฉีเฟิงยืนยันจะไปให้ได้ ฉีหนิง
เห็นว่ำเขำก็ดีขึนมำกแล้ว ก็เลยยอมให้เขำตำมไป
ด้วย อีกทังมีเขำอยู่ด้วยก็สะดวกไม่น้อย
นอกจำกนียังมีหลี่ถังกับโจวซุ่นที่ตำมไปด้วย
เช่นกัน
เช้ำวันต่อมำ กู้ชิงฮั่นมำปลุกฉีหนิงด้วยตัวเอง นำง
ดูแลฉีหนิงล้ำงหน้ำล้ำงตำด้วยตัวเอง จำกนันก็
ก้ำชับว่ำ “ตงฉีไม่เหมือนซีชวน ซีชวนอย่ำงไรก็อยู่
ในพืนที่ของต้ำฉู่ ชำวตงฉีเจ้ำเล่ห์มำก ไปเป็น
รำชทูตครังนี ท้ำอะไรก็ระวังให้มำก ห้ำมไปต่อสู้
กับพวกเขำเด็ดขำด”
ฉีหนิงยิมแล้วพูดว่ำ “ซำนเหนียงไม่ต้องกังวล
ถึงแม้ชำวตงฉีจะเจ้ำเล่ห์ แต่ข้ำเป็นตัวแทนของต้ำ
ฉู่ ด้วยก้ำลังพลของชำวตงฉี คงไม่กล้ำเป็รศัตรูกับ
เรำหรอก อีกทังไม่กล้ำท้ำอะไรทูตอย่ำงข้ำ
แน่นอน ไปตงฉีครังนี ก็เพื่อเจรจำเชื่อมสัมพันธ์
ด้วยกำรแต่งงำน ไม่น่ำมีปัญหำอะไรหรอก”
“ระวังตัวไว้ดีที่สุด” กู้ชิงฮั่นไม่ได้ค้ำปลอบของฉี
หนิงไม่กี่ค้ำลดควำมกังวลลง นำงพูดว่ำ “เรำส่ง
รำชทูตไปตงฉี คิดว่ำชำวเป่ยฮั่นเองก็น่ำจะรู้แล้ว
หำกพวกเขำรู้เรื่องแล้ว ก็ไม่มีทำงปล่อยให้เจ้ำท้ำ
กำรส้ำเร็จแน่ คิดว่ำต้องท้ำอะไรแน่นอน”
ฉีหนิงรู้ว่ำกู้ชิงฮั่นฉลำดมำก นำงคิดไปอีกขันหนึ่ง
แล้ว ที่จริงเขำเองก็มีคิดกำรป้องกันเอำไว้แล้ว
เหมือนกัน เดินทำงไปเป็นรำชทูตเจรจำเรื่องกำร
อภิเษก เรื่องใหญ่แบบนี ไม่มีทำงปิดได้แน่นอน
หำกชำวเป่ยฮั่นรู้เรื่องนีแล้ว ไม่มีทำงยอมให้ต้ำฉู่
ท้ำกำรส้ำเร็จแน่ พวกเขำจะต้องหำทำงล่มงำนนี
เพียงแต่เขำกลัวกู้ชิงฮั่นจะเป็นกังวล เลยพูดว่ำ
“ซำนเหนียง ข้ำกับฝ่ำบำทเตรียมกำรรับมือไว้
แล้ว ทำงจวนเสินโหวเองก็เตรียมพร้อมแล้ว
เหมือนกัน ท่ำนไม่ต้องกังวลหรอกนะ”
กำรปลอบใจกู้ชิงฮั่นแบบนี มันก็เหมือนจริงมำก
กู้ชิงฮั่นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ว่ำเรื่องใหญ่ขนำดนี
ทำงรำชส้ำนักเตรียมกำรไว้พร้อมมันก็
สมเหตุสมผลอยู่ นำงพยักหน้ำแล้วพูดว่ำ “ก็ดี
แล้ว หำกว่ำเสร็จเรื่องแล้ว ก็รีบกลับมำ อย่ำไป
เสียเวลำอยู่ข้ำงนอกนะ”
ถึงแม้ฉีหนิงจะไม่ใช่จิ่นอีซื่อจื่อที่นำงต้องคอย
ปกป้องอีกแล้ว แต่กู้ชิงฮั่นดูแลจิ่นอีซื่อมำหลำยปี
ทุกครังที่เขำออกจำกจวนไป นำงก็มักจะเป็นห่วง
กังวลตลอดเวลำ
ฉีหนิงเห็นว่ำรอบๆ ไม่มีใคร ก็ขยับเข้ำมำใกล้
แล้วพูดอย่ำงอ่อนโยนว่ำ “ต้องรีบไปรีบกลับอยู่
แล้ว กลัวแต่ว่ำพอออกนอกเมืองหลวงไป ก็
อยำกจะกลับมำแล้วมำกกว่ำ”
“หะ?” กู้ชิงฮั่นตะลึงไป แล้วถำมว่ำ “ท้ำไม?”
ฉีหนิงยิมแล้วพูดว่ำ “ซำนเหนียงท่ำนไม่รู้หรือ?”
กู้ชิงฮั่นเห็นเขำยิมแปลกๆ นำงฉลำดมำก เข้ำใจ
ควำมหมำยทันที นำงมองค้อนใส่เขำ แล้วพูดว่ำ
“ห้ำมพูดเหลวไหล”
“ข้ำยังไม่ได้พูดอะไรเลย จะพูดเหลวไหลได้
อย่ำงไร?” ฉีหนิงยิมแล้วพูดว่ำ “อีกทังข้ำก็ไม่ได้
พูดเหลวไหลด้วย ออกจำกเมืองหลวงไปแล้ว ไม่
ถึงครึ่งวัน ข้ำคงคิดถึงท่ำนแย่ คงอยำกกลับจวน
แน่นอน” เขำยกมือขึนมำ ในมือมีผ้ำเช็ดหน้ำ มัน
คือผ้ำเช็ดหน้ำที่กู้ชิงฮั่นมอบให้เขำ เขำเอำมันมำ
ดม แล้วพูดว่ำ “ยังดีที่ข้ำมีผ้ำเช็ดหน้ำอยู่ ในนีมี
กลิ่นหอมของซำนเหนียงอยู่ด้วย พอจะลดควำม
คิดถึงของข้ำลงมำได้บ้ำง”
กู้ชิงฮั่นอำยมำก คิดในใจว่ำเจ้ำเด็กบ้ำนี่ไม่รู้จัก
กำลเทศะเลย ไม่รู้จักกลัวบ้ำงหรืออย่ำงไร ยังดีที่
ก่อนหน้ำนีฉีหนิงก็ชอบพูดอะไรบ้ำๆ แบบนีเป็น
ประจ้ำ นำงเริ่มชินแล้ว เห็นฉีหนิงเก็บผ้ำเช็ดหน้ำ
ที่นำงให้ไว้กับตัว ไม่รู้ท้ำไม ในใจของนำงก็รู้สึกดี
ใจมำก แต่ว่ำยังหน้ำนิ่ง พยำยำมยื่นมือไปแย่ง
กลับมำ แล้วพูดว่ำ “เอำคืนมำนะ ข้ำเปลี่ยนใจ
แล้ว ข้ำไม่ให้เจ้ำแล้ว...”
ฉีหนิงหลบอย่ำงง่ำยดำย เขำยิมแล้วพูดว่ำ “ของ
ที่ให้แล้วไม่มีเหตุผลจะเอำคืนไปนะ ท่ำนคิดจะ
กลับค้ำหรืออย่ำงไร?”
“ข้ำก็แค่รู้สึกพลำดแล้ว” กูช้ ิงฮั่นไม่ได้พูดดีด้วย
นำงยื่นมือพยำยำมไปแย่งมำ “ตัวแสบ เอำคืนข้ำ
มำเดี๋ยวนีนะ ไม่...ไม่อย่ำงนันข้ำจะโกรธแล้วนะ”
ฉีหนิงไวมำก เขำจะยอมให้กู้ชิงฮั่นชิงคืนไปได้
อย่ำงไร เขำหลบไปด้ำนหลังของกู้ชิงฮั่น เขำเห็น
รูปร่ำงของกู้ชิงฮั่นจำกด้ำนหลัง เขำก็หวั่นไหว
จำกนันเขำก็โผเข้ำกอดกู้ชิงฮั่นจำกด้ำนหลัง กู้ชิง
ฮั่นตกใจมำก นำงพยำยำมดิน “เจ้ำบ้ำไปแล้ว
หรือ ปล่อย...ปล่อยมือเดี๋ยวนีนะ เจ้ำตัวแสบ เจ้ำ
...เจ้ำบ้ำไปแล้วแน่ๆ...”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 575 ราชทูตออกเดินทาง
กูช้ ิงฮั่นพยายามดิ้น ก้นที่อวบอิ่มกาลังถูไถไปกับ
ช่วงล่างของฉีหนิง มันทาให้ฉีหนิงเริ่มขนลุก เขา
กอดนางเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แล้วพูดว่า
“ซานเหนียง ข้าจะต้องไปแล้ว ไปคราวนี้ไม่รู้ว่า
จะได้กลับมาเมื่อไหร่ ท่านให้ข้ากอดท่านหน่อย
เถอะนะ ข้าไม่ทาอะไรแน่นอน”
กู้ชิงฮั่นได้ยินเสียงที่อ่อนโยนของเขา ก็หยุดดิ้น
นางถอนหายใจ หลับตาลง แล้วพูดว่า “หนิงเอ่อร์
ข้า...เฮ่อ ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอย่างไรกับข้า แต่ว่าเรา...
เราเป็นแบบนี้ต่อไป มันก็เหมือนเล่นกับไฟนะ ช้า
เร็วต้องเกิดเรื่องแน่”
“ซานเหนียงทาไมถึงคิดว่าจะต้องเกิดเรื่องล่ะ?”
ฉีหนิงพูด “ข้าอยากให้เกิดเรื่องจริงๆ แต่วา่ ซาน
เหนียง...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “แค่นี้ถือว่าข้า
ยอมให้มากแล้วนะ ห้ามเกินเขตของข้าเด็ดขาด”
นางถอนหายใจ หลับตาแล้วพูดว่า “ซานเหนียงรู้
ว่าเจ้าดีต่อข้า แต่ว่าบางเรื่อง มันไม่ใช่อยากให้
เป็นอย่างไรก็เป็นได้”
ฉีหนิงได้กลิ่นหอมจากตัวของกู้ชิงฮั่น แต่ทันใด
นั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนมา เขาหูไวมาก
รีบปล่อยมือทันที คนที่เดินมาคือฉีเฟิง “โหวเยว่
ทุกอย่างพร้อมแล้ว เราเดินทางไปที่วังได้เลย”
กู้ชิงฮั่นกับฉีหนิงแทบจะปล่อยมือพร้อมกัน นาง
รู้สึกตกใจจัดเสื้อผ้านิดหน่อย ฉีหนิงหันหลังเดิน
ออกจากประตูไปเลย เขาลังเลครู่หนึ่ง แล้วหัน
หลังกลับมามองกู้ชิงฮั่น แล้วพูดว่า “ซานเหนียง
ข้าไปแล้วนะ”
กู้ชิงฮั่นเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูด ฉีหนิงรู้ว่า
ขบวนราชทูตจะต้องไปพบฮ่องเต้น้อยก่อนแล้วถึง
ออกเดินทางได้ เขากลัวว่าทางวังหลวงจะรอนาน
เลยไม่ลังเล ออกจากห้องไปทันที
กู้ชิงฮั่นเห็นเงาของฉีหนิงหายไปแล้ว นางก็รู้สึก
เศร้ามาก
ฉีหนิงพาคนของจวนโหว เดินทางไปที่หน้าวัง
หลวง ประตูเมืองวังเปิดออกแล้ว ทหารหลวงเปิด
ประตูให้ฉีหนิงเข้าไป เมื่อมาถึงลานหน้าตาหนัก
ใหญ่ ก็เห็นมีคนไม่น้อยกาลังรอเขาอยู่ เสนาบดี
หยวนกรมพิธีการมารอตั้งแต่เช้าแล้ว นอกจาก
เจ้าหน้าที่บางส่วน ยังมีทหารหลวงอวี้หลินอยู่
ประมาณสองร้อยคน
เจิ้นกั๋วกงซือหม่าหลันเองก็อยู่ในนั้นด้วย แต่ว่าไม่
เห็นไหวหนานอ๋อง ฉีหนิงเดินขึ้นหน้าไป ก็เห็นผู้
บัญชาการทหารหลวงอวี้หลินฉือเฟิงเตียนเดินขึ้น
หน้ามา คานับเขาแล้วพูดว่า “โหวเยว่”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพยักหน้า ฉือเฟิงเตียนหันหลังกลับ
แล้วกวักมือ เห็นทหารหลวงสองนายวิ่งขึ้นหน้า
มา แล้วคานับฉีหนิง ฉือเฟิงเตียนแนะนาว่า “โหว
เยว่ ที่เป็นทหารหลวงอวี้หลินที่จะติดตามขณะทูต
ไปด้วย นี่คืออู๋ต๋าหลิน นี่คือเหลียงสยง เป็นรอง
หัวหน้ากองรักษาความปลอดภัย ความปลอดภัย
ทั้งหมด พวกเขาจะเป็นคนดูแล”
ทั้งสองยกมือคานับให้ฉีหนิงอีกครั้ง ฉีหนิงเห็น
อู๋ต๋าหลินหน้าตาไม่ได้ดุหรือน่าเกรงขาม แต่ว่าเขา
ให้ความรู้สึกหนักแน่น ส่วนเหลียงสยงกลับดุดัน
เหมือนเสือ ดูก็รู้ว่าเป็นพวกชอบบู๊
เสนาหยวนพูดขึ้นมาว่า “โหวเยว่ เดิมทีหน้าที่การ
ไปเป็นราชทูตนั้น เป็นหน้าที่ของข้า แต่ว่าข้าอายุ
มากแล้ว ทาได้แค่บอกรายละเอียดให้กับโหวเยว่
เท่านั้น เรื่องพิธีการต่างๆ จะมีหูซื่อหลางคอย
ชี้แนะให้ โหวเยว่ไม่ต้องเป็นกังวลไป”
“เดิมการเดินทางไปครั้งนี้ต้องรบกวนไต้เท้าหูอยู่
แล้ว” ฉีหนิงยิม้ แล้วพูด เห็นซือหม่าหลันเดินมา
เขาก็ยกมือคานับ “ท่านกั๋วกง”
ซือหม่าหลันพูดว่า “จิ่นอีโหว การไปเป็นราชทูต
ครั้งนี้ ทาเพื่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จะสาเร็จไหม อยู่ที่โหวเยว่
แล้วนะ”
“ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่” ฉีหนิงพยักหน้าแล้ว
พูด
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินขันทีตะโกนขึ้นมาว่า “ฝ่า
บาทเสด็จแล้ว”
เหล่าขุนนางตั้งแถว เห้นขันทีนางกานัลเดินนา
หน้าหลงไท่มา ถึงแม้ฟ้าจะยังไม่สว่างดี แต่ว่าท่าที
ของหลงไท่ดีมาก ทุกคนคุกเข่าลง หลงไท่บอกให้
ลุกขึ้น เขาเดินไปหาฉีหนิง แล้วพูดว่า “ได้ฤกษ์
แล้ว ข้าเตรียมเหล้ามาส่งพวกเจ้าด้วย ดื่มเหล้า
เสร็จแล้วก็เดินทางได้เลย การทางไปตงฉีครั้งนี้
ข้าต้องพึ่งเจ้าแล้วนะ”
ไม่รอให้ฮ่องเต้น้อยสั่ง ขันทีก็ยกเหล้า
พระราชทานมา ไม่เพียงแค่ฉีหนิงเท่านั้น แม้แต่หู
ป๋อเวิน อู๋ต้าหลินกับเหลียงสยงเองก็ได้รับคนละ
แก้ว หลงไท่หยิบเหล้าของตัวเองขึ้นมา แล้วพูดว่า
“ทุกท่าน การเดินทางไปในครั้งนี้ เกี่ยวพันถึงบ้าน
เมืองของเรา สาเร็จหรือไม่ อยู่ที่ทุกท่านแล้ว”
เขาก็ไม่ได้พูดมากอีก ยกแก้วดื่มจนหมด
ทุกคนก็ไม่พูดมาก ดื่มพร้อมกันจนหมด
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงกลองดังขึ้น หลงไท่มอง
ไปที่ฉีหนิง เขานิ่งไป สุดท้ายก็พูดขึ้นมาว่า “ไป
เถอะ ข้าจะรอเจ้ากลับมาพร้อมข่าวดีนะ”
ฉีหนิงยกมือคานับ เขาก็ไม่ได้พูดอะไร หันหลัง
แล้วเดินขึ้นม้าไป คนในคณะทูตเองก็ต่างขึ้นม้า
ตามหลังฉีหนิง แล้วออกนอกวังไป ฉีหนิงเห็น
ขบวนรถม้าต่างๆ มารอกันพร้อมแล้ว มีรถคัน
ใหญ่ประมาณเจ็ดแปดคันประกบหน้าประกบหลัง
บนรถเต็มไปด้วยของ
หัวคนเต็มไปหมด นอกจากทหารหลวงสองร้อย
คนแล้วยังมีคนรถอีกประมาณสามสี่สิบคน รวม
แล้วทั้งขบวนมีคนประมาณห้าหกร้อยคน
เมื่อออกจากวังมาแล้ว ด้านหน้าก็มีขบวนแถว
ของพลม้าอีกประมาณสิบคน ฉีหนิงกับหูป๋อเวิน
อยู่ตามหลังทหารอวี้หลินคุ้มอยู่ที่รถสิ่งของ มี
อาวุธพร้อมมือ ทั้งดาบ ธนู ทวน ขบวนเดินไป
ตามทางประตูเมืองทางเหนือ
“โหวเยว่ ของกานัล มีทั้งหมดสามคันรถ” หูป๋อ
เวินขี่ม้าควบอยู่ด้านข้างฉีหนิงแล้วอธิบายว่า
“ส่วนรถคันที่เหลือเป็นเสบียงอาหารข้าวของ
เครื่องใช้ที่เราต้องใช้ เจิ้นกั๋วกงสั่งเอาไว้ว่า การ
เดินทางของเราครั้งนี้ เป็นไปได้ พยายามอย่าไป
รบกวนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมาก”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเองก็คิดแบบนั้น
เหมือนกัน” เขาถามว่า “เส้นทางไปตงฉีแน่ใจกัน
แล้วใช่ไหม?”
หูป๋อเวินพูดว่า “หลังจากผ่านแม่น้าแล้ว ตรงขึ้น
เหนือไปเรื่อยๆ พอถึงริมแม่น้าไหวเห๋อ ก็เดินทาง
ตรงไปทางตะวันออก จนถึงตงไฮ่ จากนั้นเราก็
ข้ามแม่น้า เขาไปในเมืองสวีโจว จากนั้นก็เดินทาง
ขึ้นเหนือไปอีก แล้วจนถึงชวีอี้ จากนั้นก็เลี้ยวไป
ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ก็จะถึงเมืองลู่เฉิง
เมืองลู่เฉิงเป็นที่ตั้งของวังหลวงตงฉี”
“รวมระยะทางแล้วต้องใช้เวลาเดินทางนานแค่
ไหน?” ฉีหนิงถามว่า
หูป๋อเวินพูดว่า “หากทุกอย่างราบรื่น น่าจะใช้
เวลาประมาณสิบวัน เราก็จะเดินทางไปถึงเมืองลู่
เฉิงได้ ไปกลับ ก็น่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่ง
เดือน”
ฉีหนิงพยักหน้า ในใจก็คิดถึงเรื่องที่เซี่ยงไป๋อิ่งฝาก
ฝั่งเอาไว้
เซี่ยงไป๋อิ่งเคยบอกว่า วันที่สิบแปดเดือนหก ที่
เสียงหยางกู่หลงจะมีการจัดการชุมนุมชิงมู่ วันนี้
คือวันที่สิบแปดเดือนห้า ยังเหลือเวลาอีก
ประมาณหนึ่งเดือนกว่าจะถึงงานชุมนุม หากเดา
ไม่ผิด ในงานชุมนุมชิงมู่ ผู้อาวุโสไป๋หู่ก็จะต้อง
พยายามชิงตาแหน่งประมุขมาให้ได้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่
เซี่ยงไป๋อิ่งอยากเห็น
ก่อนหน้านี้ฉีหนิงคิดมาตลอดว่าคนที่อยู่เบื้องหลัง
ของผู้อาวุโสไป๋หู่คือซีเหมินอู๋เหิง หากเป็นอย่าง
นั้น จวนเสินโหวก็จะควบคุมพรรคกระยาจกได้
เป็นผลดีต่อราชสานัก ถึงแม้ฉีหนิงจะไม่ชอบผู้
อาวุโสไป๋หู่ แต่ว่าเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง
อะไรได้ ที่จริงมันก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรต่อเขาต่อ
ราชสานักเลย
แต่หลังจากที่ได้คุยกับหลงไท่ที่แม่น้าฉินไหวแล้ว
ฉีหนิงรู้ว่าเบื้องหลังของไป๋หู่น่าจะเป็นคนอื่น เขา
ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องทบทวนกันใหม่
เพิ่งจะข้ามมิติมา ความหวังของฉีหนิงนั้นง่ายมาก
เขาอยากมีชีวิตทั่วไปอยู่อย่างเรียบง่ายต่อไป
เท่านั้น
แต่พอมาถึงเมืองหลวง ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เพราะกู้ชิงฮั่น ฉีหนิงเลยกลายมาเป็นคนแบกจวน
จิ่นอีโหว อีกทั้งฮ่องเต้น้อยเพิ่งครองราชย์ ก็ให้
ความสาคัญต่อเขามาก ฉีหนิงอยากช่วยฮ่องเต้
น้อยจริง อีกทั้งด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขา
แล้วก็เพื่ออนาคตของเขาเองด้วย
ในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องทาใจให้สบาย หลักการพวก
นี้ฉีหนิงรู้ดี ตอนนี้เขาชินกับชีวิตใหม่แล้ว
ฉีหนิงรู้สถานการณ์ดี หากเขาต้องการอยู่อย่าง
สบายมีอิสระ การเป็นโหวเยว่คนหนึ่งมันเป็น
ทางเลือกที่ดี หากจะรักษาสิ่งที่เขามีอยู่ในตอนนี้
ก็ต้องปกป้องกู้ชิงฮั่น จะคุ้มครองนางได้ก็จะต้อง
รักษาจวนจิ่นอีโหวให้อยู่ หากจะรักษาจวนจิ่นอี
โหวให้อยู่ ก็ต้องผูกตัวเองไว้กับฮ่องเต้น้อยให้แน่น
ให้ฮ่องเต้น้อยเป็นภูเขาหลักของเขา
พอเขานึกถึงเป้าหมายแรกที่เขามาเมืองหลวง ฉี
หนิงก็จะรู้สึกเสียใจมาก
เขามาจากเมืองหุ่ยเจ๋อ เพื่อตามหาเสี่ยวเตี๋ย แต่
หลังจากเกิดเรื่องขึ้นมากมาย มันทาให้แผนทุก
อย่างของเขาพังลง สานักคุ้มภัยที่พาตัวเสี่ยวเตี๋ย
มา ถูกปล้นไปกลางทาง ตอนนี้เสี่ยวเตี๋ยไม่รู้อยู่ที่
ไหน เสี่ยวเตี๋ยเดิมก็ตกที่นั่งลาบากอยู่แล้ว
หลังจากศึกแม่น้าฉินไหว มีคนเร่ร่อนมากมาย ไม่
มีใครตรวจสอบทะเบียนบ้าน ฉีหนิงไม่รู้ว่า
เสี่ยวเตี๋ยมาจากไหน ยิ่งไม่รู้ว่านางไปที่ไหน พอ
เขาคิดขึ้นมา เขาก็แอบภาวนาในใจ หวังว่าเสี่ยว
เตี๋ยจะอยู่รอดปลอดภัยได้
ก่อนหน้านี้ที่ไปซีชวน เดินทางไปอย่างลับๆ มีคน
ติดตามไม่กี่คน เดินทางไปตงฉีครั้งนี้ มีทหาร
หลวงอวี้หลินสองร้อย เมื่อเทียบกับครั้งทีแ่ ล้ว ถือ
ว่ามีหน้ามีตามาก
เมื่อออกจากเมืองหลวงมาแล้ว ความตื่นเต้นใน
เริ่มแรกก็ลดลง จากนั้นไม่นานสายตาของเขาก็
เต็มไปด้วยภูเขาต้นไม้ แม่น้ามาแทน
ตอนนี้เดือนห้า อากาศกาลังสบาย ตลอดเส้นทาง
การเดินทาง ทิวทัศน์สวยงามมาก หากเปลี่ยน
เป็นหลังจบเรื่องแล้ว สิ่งที่เห็นมันถือเป็นสถานที่
ท่องเที่ยวทีด่ ีมาก
ทางกรมพิธีการได้เลือกเส้นทางไว้แล้ว ด้านหน้ามี
พลทหารม้าเปิดทางให้ ฉีหนิงสบายมาก ตลอด
ทาง ก็เจอหมู่บ้านบ้าง เมื่อเห็นมีคนมาจานวน
มาก ชาวบ้านก็หลบ กลัวจะมีภัย
จากเมืองหลวงเจี้ยนเยี่ยเดินทางขึ้นเหนือไม่ถึง
สองวัน ก็จะเป็นแม่น้าใหญ่ เดินตามทางไปอีกไม่
ถึงหนึ่งวัน หลังจากข้ามแม่น้าแล้ว เดินทางไป
ตามทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ขบวนเดินทาง
ไม่ได้เร่งหรือช้าจนเกินไป หัวหน้าทหารคุ้มกัน
อย่างอู๋ต๋าหลินก็เป็นคนพูดน้อย เขาจะขี่ม้า
วนรอบขบวนเป็นระยะ ๆ ตรวจตราการคุ้มกันว่า
หย่อนยานหรือเปล่า เขาก็มีพูดคุยหยอกล้อกับ
พวกของฉีหนิงบ้าง ตอนนี้ก็เริ่มคุ้นเคยกันแล้ว
หูป๋อเวินเป็นขุนนางวิชาการ เรื่องวิชาการเขาไม่
ด้อยไปกว่าใคร แต่ทักษะการขี่ม้าของเขานั้นแย่
มาก เขาขี่ม้าตามฉีหนิงตลอด เขารู้ดีว่าจิ่นอีโหว
น้อยคนนี้ไม่ค่อยรู้เรื่องพิธีการเท่าไหร่ เขาก็จะ
อธิบายเป็นระยะๆ หูปอ๋ เวินคิดว่า การที่จิ่นอีโหว
เดินทางไปตงฉีครั้งนี้ ไปแค่ในนามเท่านั้น ราช
สานักต้องการแสดงความจริงใจ ถึงเวลาจริงๆ
หลายเรื่องเขาอาจจะต้องเป็นคนจัดการ
เขาบอกเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ฉีหนิงได้รู้ เพราะ
กังวลว่าหากไปถึงตงฉีแล้ว ฉีหนิงไม่รู้เรื่องอะไร
เลย เกิดผิดพลาดขึ้นมา ทาให้ชาวตงฉีเข้าใจผิด
อาจจะหัวเราะเยาะได้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 576 ท้ายขบวน
หลังจากที่ขบวนคณะทูตข้ามแม่น้าไปแล้ว การ
เดินทางก็ไม่ได้เร่งหรือช้าจนเกินไป ตลอดเส้นทาง
ราบรื่นไม่มอี ุปสรรคอะไร เพราะยังอยู่ในแคว้นฉู่
อีกทังยังมีทหารหลวงอวีหลินคุ้มกันกว่าสองร้อย
นาย อย่าว่าแต่คนธรรมดาจะเข้าใกล้เลย มอง
จากไกลๆ ก็หลบแล้ว เพราะกลัวจะเดือดร้อน
เดินทางผ่านไปแล้วสองวัน ตอนนีฟ้าเริ่มมืดแล้ว
พวกเขาหาสถานที่ตังค่ายพักผ่อน อยู่ที่ริมแม่น้า
ซึ่งก็พอดีกับการเก็บน้าตุนเอาไว้เพิ่ม
คณะทูตเดินทางไม่ได้เจอเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอะไร
มากมาย เพราะเส้นทางเลือกที่จะหลีกเลี่ยง ก่อน
การเดินทางมา ก็ได้เตรียมการตังค่ายพักเอาไว้
ก่อนแล้วด้วย ดังนันก่อนอาทิตย์ตกดิน ก็จะมีการ
สั่งให้หาที่เหมาะสมในการตังค่าย และไม่มีการ
เร่งเดินทางในตอนกลางคืน เพื่อให้ทุกคนได้
พักผ่อนอย่างเต็มที่
สถานที่ตังค่ายสงบเงียบ อยู่ริมแม่น้า บรรยากาศ
ดี น้าเอามาดื่มกินได้สบาย
หลังจากเหล่าทหารลงจากม้าแล้ว ก็เริ่มตัง
กระโจม ก่อไฟ รถขนของรวมเอาไว้ด้านในที่
เดียวกัน แล้วตังกระโจมล้อมเอาไว้โดยเฉพาะตาม
มุมต่างๆ จะเป็นกระโจมของทหาร กันคนบุกเข้า
มา ส่วนม้ามีการผูกเอาไว้ด้านนอก ทังหมดนีเป็น
การวางแผนของอู๋ต๋าหลิน ฉีหนิงเห็นทุกอย่าง เขา
คิดในใจว่าอู๋ต๋าหลินก็ถือว่าท้างานใช้ได้เลย
วางแผนได้รัดกุมมาก
ด้านอาหาร มีการเตรียมเนือและอาหารอย่างดี
เอาไว้ อีกทังยังมีอาหารแห้งด้วย ทหารหลวงอวีห
ลินมีการผลัดเวรยามสามกะ หลังกินข้าวแล้ว ก็
สลับกันมากิน
หลังกินข้าวเย็นแล้ว หูป๋อเวินก็มาที่กระโจมของฉี
หนิง เห็นหนิงก้าลังเช็ดกระบี่อยู่ เขายิมแล้วพูดว่า
“กระบี่เล่มนีของโหวเยว่ มองด้วยตาก็รู้ว่าเป็น
กระบี่หายาก”
หลายวันที่ผ่านมา ฉีหนิงก็พอจะรู้จักนิสัยของหู
ป๋อเวินบ้างแล้ว หูป๋อเวินเป็นคนง่ายๆ ฉลาดหลัก
แหลมมาก เวลาพูดกับใคร ก็มักจะยิมให้เสมอ ดู
ไปแล้วเข้าหาง่าย แต่ว่าเวลาท้างานเขาก็จะมี
ความคิดของเขาเอง ฉีหนิงไม่สนใจเรื่องจุกจิก
ดังนันตังแต่คณะเริ่มออกเดินทางจนถึงการตัง
ค่ายพักผ่อน ก็มีหูป๋อเวินเป็นคนจัดการทังหมด
หูป๋อเวินเป็นคนง่ายๆ ปกติแล้วฉีหนิงเองก็นิสัยไม่
ต่างจากเขา คนอื่นของแค่ดีกับเขา เขาก็จะเข้าหา
ด้วยความเกรงใจ ดังนันถึงแม้จะรู้จักเขาไม่กี่วัน
พวกเขาก็เข้ากันได้ดี บางทีอยู่ดว้ ยกันก็มีคุยเล่น
กันบ้าง
“ใต้เท้าหูเดินทางมาตังหลายวัน ไม่เห็นว่าเจ้าดู
เหนื่อยเลยนะ” ฉีหนิงวางผ้าเช็ดกระบี่พีหลูลง
เขายิมแล้วพูดว่า “พูดตามตรงนะ ตอนที่ออกจาก
เมืองหลวงมาแล้ว ข้ายังคิดอยู่เลยว่า ใต้เท้าหูเป็น
ขุนนางฝ่ายวิชาการ เดินทางไกลสิบวัน ใต้เท้าหู
จะทนไหวหรือเปล่า ตอนนีดูๆ ไปแล้ว ข้าคงคิด
มากไปเอง”
หูป๋อเวินพูดว่า “ถึงแม้ข้าน้อยจะเป็นขุนนางฝ่าย
วิชาการ แต่ปกติก็มีการยืดเส้นยืดสายอยู่บ้าง
ร่างกายก็พอจะแข็งแรงอยู่ โหวเยว่ ไม่ใช่ข้าน้อย
จะอวดอ้างตนนะ ต่อให้ข้าน้อยรู้สึกเหนื่อย นอน
สักคืน วันต่อมาก็หายเป็นปกติแล้ว”
ฉีหนิงหัวเราะ ในตอนนี จากนันก็มีเสียงออกมา
จากนอกกระโจมว่า “โหวเยว่ เหลียงสยงมาขอ
พบ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าในเวลาแบบนีนอกจากพวก
ทหารเฝ้าเวรแล้ว ทหารนายอื่นก็ไปพักกันหมด
แล้ว แม้แต่พวกของฉีเฟิงเอง เขาก็สั่งให้ไปพัก
แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเหลียงสยงมาท้าอะไร เขาพูดไปว่า
“เข้ามาสิ”
เหลียงสยงเข้ามาในกระโจม เห็นว่าหูป๋อเวินก็อยู่
ด้วย เขาก็ตกใจ แต่ก็ยังยกมือค้านับแล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ใต้เท้าหู”
หูป๋อเวินพยักหน้าแล้วถามว่า “ท่านรองเหลียง มี
อะไรจะรายงานหรือเปล่า?”
เหลียงสยงเงียบไป ฉีหนิงเลยพูดขึนมาว่า “ท่าน
รองเหลียง มีอะไรพูดมาได้เลย ไม่ต้องกลัว”
เหลียงสยงเดินขึนหน้ามาสองก้าว แล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ข้าน้อยไม่ค่อยแน่ใจ แต่ว่า...ข้าน้อย
ตรวจพบว่า หลังจากที่เราออกจากเมืองหลวง
มาแล้ว เหมือนจะมีคนสะกดรอยตามเรามาอยู่
ใกล้ๆ”
หูป๋อเวินตะลึงไป เขาขมวดคิวแล้วพูดว่า “มีคน
สะกดรอยตามเราอย่างนันหรอ? ท่านรองเหลียง
ท่านเห็นชัดหรือเปล่า? ท้าไมไม่รีบรายงานแต่แรก
ล่ะ”
“ใต้เท้าหู หลังจากที่เราออกเดินทางจากเมือง
หลวงมา เราตังค่ายพักแรมกันทุกคืน ใกล้ๆ นี
เหมือนจะมีเงาอยู่ตลอดเวลา” เหลียงสยงพูด
เสียงเบาว่า “ถึงแม้ข้าน้อยจะตรวจพบก็จริง แต่
ว่าไม่แน่ใจ เมื่อคืน ข้าน้อยเลยตังใจเดินส้ารวจ ก็
พบว่ามีคนคอยสะกดรอยมาจริง ข้าพาคนไปสอง
คน แอบเดินเข้าไปใกล้ๆ แต่กลับไม่พบอะไร แต่
ว่าต้าแหน่งที่เขาอยู่มีร่องรอยเหลืออยู่”
หูป๋อเวินกับฉีหนิงมองหน้ากัน เขาขมวดคิวแล้ว
พูดว่า “เรื่องนีท่านนายกองอู๋รู้หรือเปล่า?”
เหลียงสยงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยไม่มี
หลักฐาน ไม่กล้าพูดเหลวไหล เพิ่งจะเมื่อครู่นี
ข้าน้อยก็พบว่ามีคนอยู่ใกล้ๆ ก็เลยแอบตามไป
แต่ว่าคนๆ นันระวังตัวมาก ข้าน้อยไม่อาจเข้าใกล้
เขาได้เลย อีกทังยังถูกจับได้ เขาก็หลบไป แล้วก็
หายไปเลย ข้าน้อยตามหาไปทั่ว แต่ก็หาไม่เจอ
เลย” เขามองไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “โหวเยว่
เรื่องนีมันแปลกมาก ถึงแม้ข้าน้อยจะไม่สามารถ
จับตัวเขามาได้ แต่เพื่อความปลอดภัย ข้าน้อย
เลยมารายงานก่อน”
ฉีหนิงพยักหน้า “เจ้าท้าได้ดีแล้ว” เขาโบกมือแล้ว
พูดว่า “ข้ารับรู้แล้ว เจ้าออกไปก่อน ให้ทุกคนเพิ่ม
การรักษาการปลอดภัยให้ดี”
เหลียงสยงยกมือค้านับแล้วออกจากกระโจมไป ฉี
หนิงหันไปถามหูป๋อเวินว่า “ใต้เท้าหู เหลียงสยง
บอกว่าเราถูกสะกดรอยตาม ท่านคิดว่าอย่างไร?”
หูป๋อเวินขมวดคิวแล้วพูดว่า “ดูไม่เหมือนเรื่อง
โกหก แต่ว่าคนที่ตามเรามาเป็นใครกันนะ? พวก
เขามีเป้าหมายอะไรกัน?”
ฉีหนิงยิมแล้วพูดว่า “หากมีคนคิดร้ายอะไรกับ
คณะทูตเรา ข้ากังวลแค่เรื่องเดียวเท่านัน”
“อ๋อ?” หูป๋อเวินพูดว่า “โหวเยว่โปรดชีแนะด้วย”
“ของก้านัล” ฉีหนิงยิมแล้วพูดว่า “เรามีคนเกือบ
สามร้อยคน ทหารหลวงอวีหลินร้ายกาจทุกคน
โจรทั่วไป ไม่มีทางคิดจะท้าอะไรกับคณะทูต
แน่นอน อีกทังหากจะบุกเผชิญหน้าเข้ามา ไม่มี
คนถึงร้อยคน ไม่มีทางลงมือแน่”
หูป๋อเวินพยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่กล่าวถูก
ต้องแล้ว ทหารหลวงอวีหลิน เป็นทหารที่ทางราช
ส้านักคัดเลือกมาแล้วอย่างดี หากพวกเขาจะบุก
เข้ามาจริง แสดงว่าเขาจะต้องกล้ามาก หากเป็น
แค่โจรทั่วไป ทหารหลวงอวีหลินคนเดียวก็สู้ได้ห้า
คนสบายๆ”
“ดังนันเป้าหมายของอีกฝ่ายไม่น่าจะใช่คณะทูต”
ฉีหนิงพูดว่า “การจับตาดูพวกเราเอาไว้ ก็น่าจะ
เพราะเรามีหน้าที่กับตัว ขอแค่ของก้านัลที่เราเอา
มามีปัญหา การเดินทางไปที่ตงฉีในครังนี ก็จะ
เกิดปัญหาแน่นอน”
หูป๋อเวินหน้าถอดสี “โหวเยว่ เรื่องอื่นหากเกิด
ปัญหาไม่เป็นอะไรเลย แต่ว่าหากโหวเยว่กับของ
ก้านัล จะมีปัญหาไม่ได้เด็ดขาด ร่างกายของโหว
เยว่มีค่าดังทองค้าพันชั่ง จะให้เป็นอะไรไม่ได้เลย
ส่วนของก้านัลนัน กรมคลังล้าบากยากเข็ญกว่า
จะหามาได้ การเดินทางไปตงฉีครังนี หากไม่ได้
ของเหล่านี เราจะไปเจรจาเรื่องงานอภิเษกได้
อย่างไรกัน?” เขาสีหน้าเคร่งเครียดมาก แล้วพูด
ว่า “แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปเวลาไปเยี่ยมเยือน
บ้านใคร ยังต้องมีของขวัญเล็กน้อยพกติดมือไป
ด้วยเลย หากเราไปถึงตงฉี แต่ไปมือเปล่า ไม่เพียง
เอ่ยปากไม่ได้ ชาวตงฉีอาจจะเข้าใจผิดว่าเราดูถูก
พวกเขาด้วย ถึงตอนนีปัญหาใหญ่มาแน่นอน”
ฉีหนิง “อืม” ที่จริงตังแต่ออกจากเมืองหลวงมา
เขาก็รู้ว่าของพวกนีส้าคัญแค่ไหน อย่างไรตงฉีก็
เป็นแคว้นๆ หนึ่ง พวกเขาอาจจะไม่ได้สนใจใน
ของก้านัลพวกนีหรอก แต่ว่าหากไม่มีของพวกนี
แทบจะเอ่ยพูดเรื่องอภิเษกไม่ได้เลย เพราะมัน
เป็นเรื่องของหน้าตาเกียรติยศ ต้าฉู่ให้ของก้านัลมี
ราคา มันแสดงถึงความมั่งคั่งของแคว้น ตงฉีรับ
ของพวกนีไว้ ก็แสดงว่าพวกเขาเองก็มีเกียรติ
ดังนันระหว่างทางไม่ได้พบปัญหาอะไรมากมาย
แต่สุดท้ายก็มีคนจ้องไปที่ของก้านัลในรถ
หากของก้านัลหายไป ก็ไม่มีทางส้าเร็จภารกิจที่
ตงฉีได้ อีกทังพวกของโต้วขุยก็จะจับจุดนี ฉวย
โอกาสโจมตีร้องเรียนเขาทันที ถึงเวลานันมันก็
เป็นปัญหาจริงๆ
“ใต้เท้าหู ตามความเห็นของท่าน ใครกันทีก่ ล้า
ท้าแบบนี?” ฉีหนิงพูด “เราเพิ่งจะข้ามแม่น้ามา
เอง ตามที่เหลียงสยงพูดมา ก่อนหน้านีเขาก็
พบว่ามีคนตามท้ายขบวนเรามาแล้ว แสดงว่าอีก
ฝ่ายน่าจะตามเรามาตังแต่ออกเมืองหลวงแล้ว”
หูป๋อเวินเหมือนจะใช้ความคิด เขานิ่งไปแล้วถอน
หายใจ “โหวเยว่ ข้าน้อยไม่กล้าเดามั่ว” เขาพูด
เสียงเบาว่า “แต่ว่าคนที่คิดจะท้าลายการเจรจา
อภิเษกครังนีมากที่สุด ก็คือชาวเป่ยฮั่น”
“ใต้เท้าหูพดู ถูกแล้ว ชาวเป่ยฮั่นแน่นอนว่าต้องไม่
อยากให้เราท้าเรื่องนีส้าเร็จแน่” ฉีหนิงยิมแล้วพูด
ว่า “แต่ว่าตังแต่ฝ่าบาทมีราชโองการลงมาว่าจะ
ให้ส่งราชทูตไปตงฉี จนถึงเราออกเดินทาง เป็น
เวลาแค่ไม่กี่สิบวันเท่านัน ก่อนหน้านีเราก็ไม่ได้มี
ข่าวในเรื่องนีเลย หากชาวเป่ยฮั่นมีสายอยู่ในเมือง
หลวง แล้วรายงานไปยังเป่ยฮั่น ชาวเป่ยฮั่นก็ใช่ว่า
จะไม่รู้เรื่อง”
หูป๋อเวินลูบเคราแล้วพูดว่า “โหวเยว่พูดถูกแล้ว
พอเป่ยฮั่นรู้ข่าว ส่งคนมาท้าลายเรา ก็ไม่สามารถ
ท้าได้ในเวลาสันๆ แน่ เรื่องใหญ่แบบนี แม้แต่
สายในเมืองหลวงก็ไม่กล้าท้าอะไรวู่วามแน่ เพื่อ
ไม่ให้แผนเสีย”
ฉีหนิงพูดว่า “ใต้เท้าหู การเดินทางในครังนี ข้า
เป็นราชทูต ท่านเป็นรองราชทูต ส้าเร็จหรือไม่
เราถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยกัน หากสามารถท้าส้าเร็จ
ตามประสงค์ของฝ่าบาท เราก็จะได้ผลงาน ฝ่า
บาทจะปูนบ้าเหน็จให้ แต่ว่าหากเราพลาด เรา
สองคนก็ไม่รอด ข้ากังวลว่าจะมีคนในราชส้านัก
ฉวยโอกาสหาเรื่องเรา”
หูป๋อเวินเข้าใจเหตุผลนีดี เขาพูดว่า “โหวเยว่พูด
ถูกต้องแล้ว ดังนันหลังจากที่ข้าน้อยออกจาก
เมืองหลวงมา ตลอดทางก็กังวล ไม่กล้าละเลย”
“ข้ากับใต้เท้าหูก็รู้จักกันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เรา
เองก็เข้ากันได้ดี อีกทังจะดีจะร้ายเราก็เกี่ยวพัน
กัน ดังนันบางค้าพูด เราก็ไม่ควรเก็บเอาไว้ในใจ”
ฉีหนิงพูดว่า “ใต้เท้าหู ท่านว่าในราชส้านักของ
เรา จะมีคนมากเท่าไหร่ที่ก้าลังรอหัวเราะเยาะ
เย้ยเราอยู่ อีกทัง...ยังอยากจะขัดขวางเราไป
เจรจาเรื่องการอภิเษก?”
หูป๋อเวินสะดุ้งแรงมาก เขามองไปที่ฉีหนิง เห็นฉี
หนิงเหมือนก้าลังยิมอยู่ แต่ว่าสีหน้าของเขา
เคร่งเครียดมาก เขาคิด แล้วพูดว่า “โหวเยว่ หรือ
ว่าท่านก้าลังสงสัยว่าคนที่สะกดรอยตามเรามา...
เป็นคนในราชส้านักส่งมา?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหูท่านก็เป็นผู้
ที่มีประสบการณ์มาก มากกว่าข้ามาก ตอนนีเรา
แค่พบคนสะกดรอยตามเรา เรื่องอื่นเราไม่รู้อะไร
เลย ต่อให้คนพวกนันไม่ได้พุ่งเป้ามาที่คณะทูต
เราก็ไม่อาจแน่ใจได้ ดังนันข้าเองก็แค่สงสัย หาก
ไม่ใช่ชาวเป่ยฮั่น มันจะเป็นใครไปได้ที่อยากจะ
ท้าลายการเจรจาในครังนี เราควรจะมีข้อ
สันนิษฐานเบืองต้นไว้ก่อน ไม่อย่างนันเราก็จะงง
กันไปหมด จับทางไม่ได้ มันจะเป็นปัญหาใหญ่เอา
ได้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 577 สถานการณ์ผิดปกติ
หูป๋อเวินพยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ไม่ว่าจะ
เป็นใครก็ตาม เราก็ต้องระวังให้มากกว่านี้ จะให้
พวกเขาทาสาเร็จไม่ได้”
ฉีหนิงยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร
คณะทูตออกเดินทางในช่วงเช้ามืดของวันต่อมา
ตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่าง เห็นทางไม่ชัด แต่หลังจาก
พักมาแล้วตลอดทั้งคืน ทุกคนดูสดชื่นกันมาก
ทุกคนจัดเตรียมสิ่งของ เก็บกระโจม หลังจากเอา
ทุกอย่างขนขึ้นรถแล้ว ก็เริ่มออกเดินทางกันใหม่
ม้าก็ได้พักมาทั้งคืน พวกมันก็เหมือนคน สดชื่นขึ้น
มาก
ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น พวกเขาเดินทางขึ้นเหนือ ไม่
นานนัก ฟ้าก็สว่างจ้า พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ทุกคน
รู้สึกสดชื่นสบาย หญ้าสีเขียวชอุ่ม นกร้อง ทาให้
ทุกคนรู้สึกกระตือรือร้นมาก
เมื่อวานเหลียงสยงมารายงานเรื่องคนที่สะกดรอย
ตาม หูป๋อเวินรู้สึกเป็นกังวล แต่ว่าฟ้าสว่างแล้ว
มันก็ทาให้เขาไม่ได้เครียดมากเท่าไหร่ เขารู้สึกว่า
ทั้งขบวนมีคนมากกว่าสามร้อยคน ทุกคนล้วนแต่
ฝีมือดี ต่อให้มีคนคิดร้าย ก็แค่ระวังเพิ่มขึ้น ก็
น่าจะพอ
เหลียงสยงในฐานะรองนายกอง เขาคุมท้ายขบวน
หูป๋อเวินหันไปมองบ่อยๆ เขาเห็นเหลียงสยงเองก็
มองรอบๆ อยู่บ่อยๆ ระวังตัวดีมาก
อู๋ต๋าหลินยังคงเงียบพูดน้อยเหมือนเดิม เขาขี่ม้า
อยู่ข้างๆ ขบวน เขาหยุดม้าลง แล้วหันไปมองทั้ง
ขบวนอยู่บ่อยๆ
เมื่อถึงกลางวัน ขบวนก็หยุดกลางป่า แจกจ่าย
อาหาร แล้วก็พักครู่หนึ่ง ฉีหนิงกินข้าวไวอยู่แล้ว
จากนั้นเขาก็เดินไปรอบๆ ทันใดนั้นก็เห็นเหลียง
สยงเดินเข้ามา เขาหยุดเดิน เหลียงสยงเห็นฉีหนิง
ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านรองเหลียง ลาบากแล้ว
นะ”
“ไม่ลาบาก ไม่ลาบากเลย” เหลียงสยงยิ้มแล้วพูด
ว่า “โหวเยว่ต่างหากที่ลาบาก โหวเยว่สาคัญดุจ
ทองคาพันชั่ง มาใช้ชีวิตลาบากกับเราคนหยาบ
เรานับถือยิ่งนัก ทุกคนพูดว่า โหวเยว่เข้ากับคน
ง่าย ครั้งนี้ได้เดินทางร่วมกับโหวเยว่ พวกเขาต่าง
ก็ดีใจ โหวเยว่ หากมีอะไรจะให้รับใช้ สั่งมาได้
เลย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกคนเดินทางไปตงฉีด้วย
กัน ต้องร่วมแรงร่วมใจกัน มีอะไรก็ต้องแบ่งกัน”
เหลียงสยงยิ้มอย่างนับถือ แล้วพูดว่า “โหวเยว่พูด
ถูกแล้ว” เขามองซ้ายมองขวา เห็นว่าไม่มีใครอยู่
ใกล้ๆ เขาก็พูดเสียงเบาว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยมี
เรื่อง ไม่รู้ว่า...ควรไม่ควรพูด...”
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก เขาถามว่า “มีเรื่อง
อะไร?”
เหลียงสยงมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “โหวเยว่ เมื่อ
คืนนี้ ท่านนายกองอู๋เหมือน...เหมือนจะออกไป
นอกค่าย”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วมองไปรอบๆ เห็นอู๋ต๋าหลินนั่ง
อยู่ที่ใต้ต้นไม้ ด้านข้างมีทหารหลวงอยู่หลายคน
เหมือนกาลังพูดอะไรกันอยู่ ไม่ได้มองมาทางนี้
ฉีหนิงก็ไม่ได้พูดอะไร เขาลังเล แล้วก็ส่งสัญญาณ
ให้เหลียงสยงตามมา เขาหันไปหลังต้นไม้ รอบๆ
ไม่มีคนอยู่ แล้วถามว่า “ท่านนายกองอู๋ไม่อยู่ที่
ค่าย?”
เหลียงสยงพูดว่า “หลังจากที่เมื่อคืนนี้เข้าไปราย
งานเรื่องให้โหวเยว่ทราบแล้ว ข้าน้อยก็ออกไป
สารวจรอบค่ายเหมือนเดิม ครั้งนี้ไม่พบคนที่
สะกดรอยตามแล้ว นายกองอู๋มีหน้าที่รับผิดชอบ
ความปลอดภัยของคณะทูต ถึงแม้ข้าน้อยจะไม่มี
หลักฐาน แต่คิดว่าในเมื่อรายงานโหวเยว่แล้ว ก็
ควรจะไปรายงานเขาด้วย...”
“ท่านรองเหลียง เจ้าพบว่ามีคนสะกดรอยตามมา
ทาไมถึงมารายงานข้าก่อน?” สายตาของฉีหนิง
เป็นประกาย “นายกองอู๋มีหน้าที่รับผิดชอบความ
ปลอดภัยของคณะทูต ทาไมเจ้าถึงไม่ไปหารือกับ
นายกองอู๋?”
เหลียงสยงสีหน้าซีด ไม่ได้พูดอะไร
ฉีหนิงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้ามีอะไรก็พูดมา
ที่นี่ไม่มีคนอื่น”
เหลียงสยงคิดแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อย...ไม่ได้
มีอคติอะไรกับท่านนายกองอู๋ เพียงแต่...” เขา
เหมือนจะยังลังเล เห็นฉีหนิงใช้สายตาให้กาลังใจ
เขา เขาก็โผล่หน้าไปมองอู๋ต๋าหลินก่อน เมื่อแน่ใจ
ว่าไม่ได้สนใจมองมา ก็ถึงได้พูดว่า “โหวเยว่
ทหารหลวงที่ตามมาในครั้งนี้ ต่างเป็นคนในค่าย
อวี้หลิน แต่ว่าท่านนายกองอู๋ไม่ได้เป็นทหารหลวง
อวี้หลินมาตั้งแต่แรก”
“หือ?” ฉีหนิงขมววดคิ้วแล้วพูดว่า “หมายความ
ว่าอย่างไร?”
เหลียงสยงพูดว่า “โหวเยว่น่าจะทราบ เพราะ
อดีตฮ่องเต้สวรรคต การคุ้มกันในเมืองหลวงมีการ
เปลี่ยนแปลงโยกย้าย ทหารหลวงอวี้หลินทั้งหมด
ถูกโยกออกนอกเมืองหลวงไป คนของค่ายดาบดา
ถูกย้ายเข้าเมืองหลวงแทน”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ข้ารู”้
“ตอนที่ทหารหลวงอวี้หลินถูกโยกให้ออกไป
ประจาการนอกเมืองหลวง นายกองต่างๆ ในค่าย
ก็มีการปรับเปลี่ยน” เหลียงสยงพูดว่า “ผู้บัญชา
การใหญ่ของทหารหลวงอวี้หลินคือท่านผู้บัญชา
การฉือมาตลอด รองลงมาจากเขาก็มีรองผู้บัญชา
การสองคน แต่ว่าในครั้งนั้นกลับมีการเปลี่ยน
แปลง นอกจากตาแหน่งของท่านผู้บัญชาการฉือ
แล้ว รองผู้บัญชาการสองคนถูกเปลี่ยนหมด ท่าน
นายกองอู๋คือหนึ่งในสองรองผู้บัญชาการที่เปลี่ยน
เข้ามา”
ฉีหนิงรู้ว่าทหารหลวงอวี้หลินกับค่ายดาบดาเคยมี
การปรับเปลี่ยนโยกย้ายกัน แต่ว่าการเปลี่ยน
แปลงภายในของทหารหลวงอวี้หลินนั้น เขาไม่รู้
มาก่อน เขาถามว่า “นายกองอู๋เพิ่งมาอยู่ทหาร
หลวงอวี้หลินไม่นานอย่างนั้นหรือ?”
เหลียงสยงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกแล้วรองผู้
บัญชาการที่มาใหม่สองคน คนหนึ่งมาจากค่าย
ดาบดา อีกคนมาจากค่ายเสวียนอู่ นายกองอู๋ก็คือ
คนที่ถูกโยกมาจากค่ายเสวียนอู่”
ฉีหนิงเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา เขาถามว่า
“เจิ้นกั๋วกงเป็นคนจัดการใช่ไหม?”
เหลียงสยงพยักหน้า ฉีหนิงถามต่อว่า “แล้วที่ท่าน
นายกองอู๋มาเป็นคนดูแลการรักษาความปลอดภัย
ในครั้งนี้ เป็นความประสงค์ของเจิ้นกั๋วกงหรือ?”
“ฝ่าบาทมีราชโองการ ให้ท่านผูบ้ ัญชาการฉือ
คัดเลือกทหารกล้าสองร้อยนายมา” เหลียงสยง
อธิบายต่อว่า “ท่านผู้บัญชาการฉือต้องดูแลความ
เรียบร้อยในวังหลวง ไม่สามารถมาได้อยู่แล้ว
ดังนั้นนายกองที่จะนาทหารมา ก็มีแค่หนึ่งในสอง
รองผู้บัญชาการเท่านัน้ ไม่อย่างนั้นมันดูไม่เหมาะ
ผู้บัญชาการฉือเลยเลือกนายกองอู๋มา แต่ว่า...”
เขาลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ก่อนหน้าที่จะ
ออกจากเมืองหลวงมา ผู้บัญชาการฉือได้กาชับกับ
ข้าน้อยไว้ว่า หากมีเรื่องอะไร ให้รายงานโหวเยว่
โดยตรง”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจขึ้นมาทันที เขาพูดว่า “ถ้าอย่าง
นั้น ผู้บัญชาการฉือไม่ได้ไว้ใจท่านนายกองอู๋อย่าง
นั้นหรือ?”
“ท่านผู้บัญชาการฉือก็กันไว้ก่อน” เหลียงสยงพูด
ว่า “ท่านนายกองอู๋ไม่ใช่คนสนิทของท่านผู้บัญชา
การฉือ อีกทั้ง...อีกทั้งเขายังเป็นคนที่เจิ้นกั๋วกง
โยกมาจากค่ายเสวียนอู่ จะบอกว่าต้องระวังเขาก็
ไม่ได้ แต่ระวังไว้ก่อนก็ดี”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้บัญชาการฉือรอบคอบมา
จริงสิ เมื่อกี้เจ้าพูดว่า ท่านนายกองอู๋ไม่ได้อยู่ใน
ค่ายเมื่อคืน มันเพราะอะไร?”
“โหวเยว่ เมื่อคืนข้าน้อยไปหาท่านนายกอง
อยากจะไปรายงานเรื่องที่ตรวจพบคนน่าสงสัย”
เหลียงสยงพูดว่า “แต่ว่าท่านนายกองไม่ได้อยู่ใน
กระโจม ถึงแม้จะมีไฟสว่าง แต่ไม่เจอใคร ข้าเองก็
ไม่สะดวกจะทาให้คนอื่นแตกตื่น เลยออกสารวจ
รอบๆ แต่ก็ไม่เจอใคร”
“เขาไปไหน?”
เหลียงสยงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยไม่ทราบ
ข้าน้อยรออยู่ในกระโจมของเขาประมาณครึ่งชั่ว
ยาม แต่ก็ไม่เห็นเขากลับมา เลยต้องกลับกระโจม
ของตัวเองก่อน เช้าตื่นขึ้นมา ก็พบว่าเขาอยู่ใน
กระโจมแล้ว”
ฉีหนิงนิ่งไปแล้วพูดว่า “ท่านรองเหลียง เรื่องนี้
ห้ามบอกใครเด็ดขาด ท่านเองก็ต้องระวังให้ดี ไม่
ว่ามีเรื่องอะไร ให้มารายงานข้าทันที”
เหลียงสยงรับคา แล้วยกมือคานับแล้วกลับ
ออกไป เมื่อเหลียงสยงไปแล้ว ก็มีเสียงฝีเท้าคน
เดินมา ฉีหนิงหันหน้าไปมอง เห็นฉีเฟิงเดินมา
เขาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ฉีเฟิงเขยิบเข้ามาใกล้ แล้วมองไปที่เหลียงสยง
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ เมื่อคืนข้าเห็นเขาลับๆ ล่อๆ
อยู่ในค่ายตั้งนาน เหมือนกาลังหาอะไรอยู่ ไม่รู้ว่า
ทาอะไร”
“หือ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าได้ไปดูหรือเปล่า
ว่าเขาหาอะไร?”
ฉีเฟิงพูดว่า “ข้าน้อยตามเขาไปแล้ว แต่ว่าเขา
ระวังตัวมาก เหมือนรู้ว่ามีคนตามเขาอยู่ ข้าเกือบ
ถูกจับได้ เลยไม่ได้ตามต่อ”
ฉีหนิงคิดแล้วถามว่า “เจ้าเคยเจอนายกองสองคน
นี้หรือไม่? ค่ายอวี้หลินมีการโยกย้ายภายใน เจ้ารู้
เรื่องนี้หรือไม่?”
ฉีเฟิงพูดว่า “ตอนนั้นค่ายอวี้หลินถูกสั่งย้ายไป
ประจาการนอกเมืองหลวง ได้ยินมาว่ามีการโยก
ย้ายจริง เหมือนจะมีการปรับตาแหน่งนายกองแม่
ทัพหลายตาแหน่ง แต่ว่าข้าน้อยไม่เคยไปสืบอย่าง
ละเอียด อู๋ต๋าหลินข้าน้อยเคยได้ยินชื่อของเขามา
ก่อน แต่ว่าเหลียงสยงนั้น เขาเหมือนจะอยู่ในค่า
ยอวี้หลินมาหลายปีแล้ว แล้วก็ก้าวหน้ามาจน
วันนี”้
“อู๋ต๋าหลินเป็นคนของค่ายเสวียนอู่หรือ?” ฉีหนิง
ถาม
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้อู๋ต๋าหลิน
เป็นผู้บัญชาการค่ายเสวียนอู่ ถูกโยกมารับ
ตาแหน่งรองผู้บัญชาการค่ายอวี้หลิน ถือว่าลดขั้น
เขา รองผู้บัญชาการค่ายเสวียนอู๋รับตาแหน่งของ
เขาแทน” เขายิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าค่ายเสวียนอู่
ประจาการอยู่นอกเมืองหลวง ตาแหน่งของพวก
เขาต่าที่สุด อาวุธอะไรก็เทียบค่ายอื่นไม่ได้เลย
ถึงแม้จะดูเหมือนถูกลดขั้น แต่ว่าการอยู่ในค่าย
ทหารหลวงอวี้หลิน รักษาความปลอดภัยในวัง
หลวง อนาคตมันดูสดใสกว่าอยู่ที่ค่ายเสวียนอู
มาก”
“ค่ายอวี้หลินเป็นกองรักษาการณ์ของวังหลวง
ยังไงก็แกร่งกว่าค่ายเสวีนอูอยู่แล้ว” ฉีหนิงพยัก
หน้าแล้วพูดว่า “แล้วนิสัยของอู๋ต๋าหลินนิสัยเป็น
ยังไง?”
ฉีเฟิงพูดว่า “อู๋ต๋าหลินเป็นคนพูดน้อย แต่ว่าเมื่อ
หลายปีก่อนเขาไม่ได้เป็นอย่างนี้นะ แต่ลาบาก
มากๆ นิสัยของเขาก็เปลี่ยนไป”
“ลาบาก?”
ฉีเฟิงพูดว่า “อู๋ต๋าหลินเคยอยู่ในค่ายหู่เสินมาก่อน
มีครั้งหนึ่งรับคาสั่งให้นากาลังพลคุ้มกันเสบียง
อาหารไปแนวหน้า ระหว่างทางเจอฝนตกหนัก
น้าล้นแม่น้า ตอนที่เสบียงไปถึง ช้าไปหนึ่งวัน
ท่านแม่ทัพใหญ่โกรธมาก เขียนฎีการ้องเรียนขึ้น
ไปเบื้องบน...” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “โหวเยว่
ท่านจาได้ไหมว่าจวนจิ่นอีโหวของเรากับตระกูล
โต้วมีความแค้นต่อกัน?”
“โต้วขุย?”
“ถูกต้อง” ฉีเฟิงพูดว่า “ที่โต้วขุยมีวันนี้ได้ ที่จริง
แล้วก็เพราะท่านแม่ทัพเป็นคนเสนอสนับสนุนเขา
ตอนที่โต้วขุยยังเป็นแค่หัวหน้าฝ่ายงานกรมคลัง
เขามักจะนากาลังพลส่งเสบียงไปแนวหน้าบ่อยๆ
ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยพลาดเลย อีกทั้งยังมีระเบียบ
มากด้วย ท่านแม่ทัพใหญ่ถึงได้จาเขาได้ดี เวลาอยู่
ต่อหน้าอดีตฮ่องเต้ ก็มักจะชื่นชมโต้วขุยอยู่
บ่อยครั้ง ตอนนั้นเขาเชื่อฟังท่านแม่ทัพใหญ่มาก
จนกระทั่งต่อมาได้เลื่อนขั้น ก็ยังไปส่งเสบียงด้วย
ตัวเองอยู่”
ฉีหนิงรู้เรื่องนี้ เขาถามว่า “หรือว่าครั้งที่อู๋ต๋าหลิน
ส่งเสบียงช้า เขาอยู่กับโต้วขุย?”
ฉีเฟิงพูดว่า “ถูกต้อง ครั้งนั้นโต้วขุยส่งเสบียง
อาหารไป เขาอาศัยกาลังพลของค่ายหู่เสิน อู๋ต๋า
หลินถูกเลือกให้เป็นคนคุ้มกันไป ก็เพราะเหตุนั้น
แม่ทัพใหญ่เลยส่งฎีการ้องเรียนโต้วขุยกับอู๋ต๋า
หลิน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โต้วขุยกับเราก็ไม่มอง
หน้ากันอีก อู๋ต๋าหลินถูกสั่งย้ายออกจากค่ายหู่เสิน
ไปเป็นทหารที่ซีชวนสองปี เขาสร้างผลงานได้
เลยถูกโยกกลับมาที่เมืองหลวง มาอยู่ในค่าย
เสวียนอู่ หลังจากนั้น เขาก็อดทนอยู่ที่นั่นหลายปี
จนได้เป็นผู้บัญชาการค่ายเสวียนอู่ จนกระทั่งถูก
โยกมาที่ค่ายอวี้หลิน”
ฉีหนิงยกมือลูบจมูก แล้วถอนหายใจพูดว่า “ถ้า
อย่างนั้น นายกองอู๋ก็มีปัญหากับเรามาก่อน่ะสิ
จวนจิ่นอีโหวเราผิดใจกับหลายคนเลยน่ะเนี่ย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 578 ตายอนาถ
ฉีเฟิงพูดว่า “โหวเยว่ โหวเยว่ทั้งสองรุ่นท่านเป็น
คนตรงไปตรงมา เพื่อหน้าที่ ไม่ว่าใครหน้าไหน
ท่านก็ไม่ไว้หน้าเลย เลยเลี่ยงที่จะไปผิดใจกับใคร
ไม่ได้ จวนจิ่นอีโหวของเราศัตรูมีมาก มิตรก็มาก”
เขาถามว่า “โหวเยว่ แล้วเหลียงสยงพูดอะไรกับ
ท่านหรือ?”
“เมื่อคืนอู๋ต๋าหลินไม่อยู่ที่ค่าย” ฉีหนิงไม่ได้ปิดบัง
อะไรฉีเฟิง เขาพูดว่า “เหลียงสยงเมื่อคืนไปตา
มหาอู๋ต๋าหลินในค่าย”
ฉีเฟิงสะดุ้ง เขาขมวคิ้วแล้วพูดว่า “อู๋ต๋าหลินไม่อยู่
ในค่าย? แล้วเขาไปไหน?”
“ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉี
เฟิง เจ้าบอกว่าอู๋ต๋าหลินเคยมีปัญหากับเรามา
ก่อน เขาจะแก้แค้นหรือเปล่า?”
ฉีเฟิงพูดว่า “โหวเยว่ ท่านสงสัยอู๋ต๋าหลิน?”
“ไม่มีหลักฐาน ข้าเองก็จะไม่สงสัยใคร” ฉีหนิงพูด
ว่า “แต่ว่าเราต้องระวังให้มาก เรากับอู๋ต๋าหลินไม่
เคยไปมาหาสู่มาก่อน ความคิดของเขา เราเดา
ไม่ได้เลย”
หลังจากออกจากเมืองหลวงมา ฉีหนิงคุยกับอู๋ต๋า
หลินไม่ถึงสิบคา เขาเป็นคนพูดน้อย เดาความคิด
เขายากมาก
“โหวเยว่ อู๋ต๋าหลินกับเรามีปัญาหกันมาก่อน อีก
ทั้งเขายังเข้าค่ายอวี้หลินได้ เพราะเจิ้นกั๋วกงย้าย
เขาไป” ฉีเฟิงพูดว่า “ตระกูลซือหม่าคิดอยากให้
คุณหนูใหญ่ของตระกูลเขาเข้าวัง การเดินทางไป
ตงฉีครั้งนี้ ตระกูลซือหม่าไม่พอใจมาก หากบอก
ว่าพวกเขาต้องการทาลายการอภิเษกครั้งนี้
ข้าน้อยก็เชื่อนะ”
“ทาลายการอภิเษก ไม่ได้จาเป็นต้องทาลายของ
กานัลที่เราเอามาด้วยหรอก” ฉีหนิงพูดว่า “อู๋ต๋า
หลินมามที่นี่ในฐานะนายกองรักษาความปลอด
ภัย คุ้มกันรถขนของ เขามีหน้าที่สาคัญมาก หาก
ของกานัลเป็นอะไรไป เขาก็หนีความรับผิดชอบ
ไปไม่พ้น เจ้ารู้สึกว่าเขากล้าลอบขโมยของอย่าง
นั้นหรือ?”
ฉีเฟิงพูดว่า “โหวเยว่ หากอู๋ต๋าหลินรับคาสั่งจาก
ตระกูลซือหม่า ให้หาเรื่องทาลายเราจริง ต่อให้
ถามหาความผิดมา ตระกูลซือหม่าจะต้องออก
หน้าช่วยอู๋ต๋าหลินอยู่แล้ว ตอนนี้อานาจของ
ตระกูลซือหม่าไม่มีใครเทียบได้ คิดจะรักษาอู๋ต๋า
หลิน ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดูท่าข้าคงต้องระวัง
ตัวมากกว่านี้ หากของกานัลเสียหาย การเจรจา
เรื่องอภิเษก อู๋ต๋าหลินมีคนคุ้มหัน แต่ข้าไม่มี”
ฉีเฟิงพูดว่า “โหวเยว่ ตั้งแต่วันนี้ไป เราจะต้องจับ
ตาดูอู๋ต๋าหลินเอาไว้ให้ดี จะให้เขามีโอกาสทาลาย
ของกานัลไม่ได้เด็ดขาด”
ฉีหนิงยกมือจับไปที่ไหล่ของฉีเฟิง พยักหน้าแล้ว
พูดว่า “อู๋ต๋าหลินก็ให้เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าแล้ว
นะ จะต้องอย่าให้คลาดสายตาเด็ดขาด”
อีกสองวันต่อมา ฉีเฟิงกับหลี่ถังก็จับตาดูอู๋ต๋าหลิน
อย่างไม่กะพริบตาเลย พวกเขาทาอะไรไม่มีใคร
มองออก แต่ว่าการเคลื่อนไหวของอู๋ต๋าหลินทั้ง
หมด อยู่ในสายตาพวกเขาตลอด
หลังจากคณะทูตเดินทางต่อไปอีกสองวัน พวก
เขาก็เดินทางไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่ง
ใกล้กับแม่น้าไหวเห๋อมากขึ้นไปอีก ยังดีที่ตลอด
ทางไม่มีเรื่องอะไรรบกวนเลย ถึงแม้อู๋ต๋าหลินจะ
น่าสงสัย แต่ว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างราบรื่น
ดี
ห่างจากแม่น้าไหวเห๋ออีกแค่วันเดียว คณะเดิน
ทางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เดิมหลายวันที่ผ่านมา
อากาศดีมาก แต่ว่าเย็นวันนี้กลับมีฝนตกหนัก ฝน
หน้าร้อนจะมาคิดจะมาก็มา ฟ้าร้องฟ้าผ่าหมด
ตอนที่เข้าใกล้แม่น้าไหวเห๋อ เขาเห็นหมู่บ้านร้าง
เป็นจานวนมาก ตอนที่เกิดศึกฉินไหว ทหารเป่ย
ฮั่นข้ามแม่น้ามา กองทัพฉู่ขับไล่ข้าศึกจนถอยข้าม
แม่น้ากลับไป ริมสองฟากของแม่น้า ต่างฆ่าฟันทา
ศึกกันอย่างรุนแรง ถึงแม้ศึกจะสงบไปแล้ว ราช
สานักก็จะได้ออกคาสั่งให้ชาวบ้านอพยพกลับ
บ้านเกิดได้ แต่ว่าการศึกทาให้คนล้มตายไป
จานวนมาก มีหลายหมู่บ้านที่ล่มสลายไป ผู้คน
หนีลงใต้ไป ชาวบ้านส่วนหนึ่งกลับบ้านจริง แต่ยัง
มีหลายคนเร่ร่อนอยู่ด้านนอก
ส่งทหารออกไปหาหมู่บ้านร้าง เพราะฝนตกหนัก
คณะทูตให้เร่งฝีเท้า ไปหลบฝนที่หมู่บ้าน
หมู่บ้านนี้มีแค่ยี่สิบสามสิบคนเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้
ไม่มีใครเลย บ้านช่องรกร้างไปหมด คนสองสาม
ร้อยคนเบียดเสียดกันหลบฝน เพราะฝนตกหนัก
มาก
บ้านสองหลังที่สมบูรณ์ที่สุด ก็เป็นของฉีหนิงกับหู
ป๋อเวิน ทหารคนอื่นก็หาที่หลบกันเอง อู๋ต๋าหลิน
สั่งให้คนเอาของไปไว้ที่บ้านหลังหนึ่งทั้งหมด อีก
ทั้งยังสั่งทหารเฝ้ายามเอาไว้อย่างดี แล้วยังให้คน
เดินลาดตระเวนรอบๆ อีกด้วย
ฉีหนิงจุดไฟในห้อง แต่ว่ามันค่อนข้างมืด เขายัง
สติดีอยู่ กาลังคิดว่าเขาจะเดินลมปราณฝึกวรยุทธ์
ของเขาสักหน่อย เขาเลยปิดประตู แล้วฝึกวิชาที่
เซี่ยงไป๋อิ่งถ่ายทอดให้เขามา
เขาคุ้นเคยกับวิชานี้แล้ว แต่ว่าแต่ละท่าทางยังไม่
สามารถเดินลมปราณแสดงประสิทธฺภาพสูงสุดได้
ถึงแม้วิชานี้จะร้ายกาจ แต่ว่าอานุภาพยังไง ฉีหนิง
ยังไม่เคยลอง เขาเลยไม่ค่อยแน่ใจ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะ
ประตู ฉีหนิงเดินมาเปิดประตู ด้านนอกฝนยังตก
อยู่ เห็นเหลียงสยงเปียกไปทั้งตัว สีหน้าซีดเซียว
ตามมาด้วยทหารอีกสองคน เขาเห็นฉีหนิง ก็รีบ
พูดว่า “โหวเยว่ เกิด...เกิดเรื่องแล้ว”
ฉีหนิงเห็นสีหน้าเขาไม่ดีเลย ก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่
ดีแล้วแน่ เขาพยายามข่มใจให้นิ่ง แล้วถามว่า
“เกิดอะไรขึ้น?”
“โหวเยว่เชิญทางนี้” เหลียงสยงพูดว่า “มี...มีพี่
น้องของเราถูกสังหาร”
ฉีหนิงตกใจมาก เขาขมวดคิ้ว เขาไม่สนใจว่าฝน
จะตกอยู่ไหม ออกจากห้อง เหลียงสยงเดินนาทาง
ไป เดินไปอีกระยะหนึ่ง ก็มาถึงหน้าหมู่บ้าน เห็น
มีคนล้อมอยู่ประมาณยี่สิบสามสิบคน เหลียงสยง
พูดว่า “หลีกไป โหวเยว่มาแล้ว”
เหล่าทหารรีบหลีกทางให้ ฉีหนิงเดินหน้าไป เห็น
ทหารสามคนนอนตายอนาถ อู๋ต๋าหลินนั่งยองอยู่
ที่ศพๆ หนึง่ เหมือนกาลังชันสูตรศพอยู่ พอเห็นฉี
หนิงมา อู๋ต๋าหลินก็ลุกขึ้นคานับ “โหวเยว่”
ฉีหนิงเดินไปที่ข้างศพ เขานั่งลง อู๋ต๋าหลินยืนอยู่
ข้างๆ แล้วพูดว่า “โหวเยว่ บาแผลที่ทาให้ถึงตาย
อยู่ตรงนี้”
ฝนตกในตอนกลางคืน ค่อนข้างมืดมาก แต่ฉีหนิง
มองเห็นชัดมาก ที่ศพมีรอยปาดคอขนาด
นิ้วหัวแม่มือ
“อาวุธสังหารล่ะ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วถาม
อู๋ต๋าหลินสีหน้าเคร่งเครียดมาก เขาพูดว่า “อาวุธ
แทงทะลุคอ แต่ว่าจากรอยแผลไม่เหมือนดาบ
หรือกระบี่ อาวุธนี่เล็กและละเอียดมาก ใหญ่แค่
หัวแม่มือเท่านั้น ข้าน้อยเดาไม่ออกเลยว่ามันคือ
อาวุธชนิดไหน”
“เกิดเรื่องตอนไหน?”
“เมื่อครู่นี้เอง” อู๋ต๋าหลินพูดว่า “สามคนนี้ข้าน้อย
สั่งให้เขามาเฝ้าเวรที่นี่ เมื่อครู่มีคนอื่นมาเปลี่ยน
เวร ก็เห็นสามคนนี้นอนตายแล้ว พอได้ข่าว
ข้าน้อยก็รีบมาเลย จากนั้นก็ให้คนไปรายงานโหว
เยว่ทันที”
ฉีหนิงถามว่า “ทั้งสามคนเฝ้าเวรอยู่ที่นี่ กลับถูก
สังหาร อีกฝ่ายมีเป้าหมายอะไรกัน?”
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “อาจจะมีใครแฝงตัวเข้ามาในหมู่
บ้าน ข้าน้อยสั่งให้คนเฝ้ารอบหมู่บ้านไว้แล้ว คิด
จะแฝงตัวมา มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
ฉีหนิงมองไปที่อู๋ต๋าหลิน แล้วถามว่า “ท่านนายก
องอู๋หมายความว่ามีคนแฝงตัวเข้ามาในหมูบ่ ้าน?”
“ข้าน้อยส่งคนไปนับจานวนคนแล้ว” อู๋ต๋าหลิน
พูดว่า “โหวเยว่ พี่น้องของเราสามคนนี้ปกติเป็น
คนระวังตัวมาก แต่ว่าพวกเขาไม่แม้แต่ชักดาบ
ออกมา แต่ว่าที่เกิดเหตุกลับไม่มีร่องรอยการต่อสู้
เลย...ดูท่าทางแล้ววรยุทธ์ของคนๆ นั้นต้องร้าย
กาจมากแน่นอน”
ในตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงของหูป๋อเวิน “อยู่ที่ไหน?
จับคนร้ายได้หรือเปล่า?” เห็นหูป๋อเวินตากฝนวิ่ง
มา ชุดของเขาเปียกโชกเลย เมื่อเห็นศพบนพื้น หู
ป๋อเวินก็หน้าถอดสี เขารีบถามว่า “โหวเยว่ นี่...นี่
มันเรื่องอะไรกัน?”
ฉีหนิงลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหู ข้างนอกฝน
ตกหนัก ท่านกลับไปที่ห้องก่อนเถอะ” เขาหันไป
พูดกับอู๋ต๋าหลินว่า “ท่านนายกองอู๋ สั่งให้เพิ่ง
กาลังพล ให้พวกเขาเข้มงวดให้มากกว่านี้ ค้นรอบ
หมู่บ้านให้ทั่ว ดูสิว่ามีใครลอบเข้ามาในหมู่บ้าน
จริงสิ รถของกานัล จะต้องเฝ้าอย่างเข้มงวด ยุง
ตัวเดียวก็ห้ามหลุดเข้าไปเด็ดขาด”
“โหวเยว่โปรดวางใจ ห้องที่เก็บของ ด้านนอกมี
คนอยู่ชั้นหนึ่ง ภายในห้องมีคนอีกชั้นหนึ่ง ข้าน้อย
สั่งให้ทุกคนพกอาวุธพร้อมมือ ไม่มีใครเข้าไปใกล้
ได้แน่นอน” อู๋ต๋าหลินพูดอย่างจริงจัง
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “สั่งให้คนฝั่งพี่น้องพวก
นี้ให้ดี ข้ากลับเมืองหลวงเมื่อไหร่ จะส่งรายงาน
ทูลฝ่าบาท แล้วค่อยจัดการทีหลัง”
เมื่อกลับมาที่ห้อง หูป๋อเวินยังตกใจไม่หาย “โหว
เยว่ ดูท่าทางที่เหลียงสยงพูดมาจะจริง เราถูกจับ
ตามองอยู่ พวกเขาเริ่มจะลงมือกันแล้ว”
“ใต้เท้าหู หากเป้าหมายของพวกเขาคือขัดขวาง
เรา ทาไมต้องฆ่าทหารพวกนั้นด้วย?” ฉีหนิงเดิน
ไปนั่งที่เก้าอี้ เขาเหมือนใช้ความคิด “ต่อให้พวก
เขาจะฆ่าทหารเฝ้ายามไป แล้วลอบเข้าหมู่บ้านมา
แต่ว่ามีทหารเวรเฝ้าอยู่ที่ของกานัลมากมาย จะ
เข้าใกล้ยากมาก พวกเขาน่าจะรู้ข้อนี้ดี”
หูป๋อเวินพยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่พูดถูก ฆ่า
ทหาร ไม่มที างขวางให้เราไปตงฉีได้ อีกทั้งพวก
เขาลงมือในเวลานี้ มันจะกลายเป็นการแหวก
หญ้าให้งูตื่น หรือว่าพวกเขาไม่กังวลเลยว่าการฆ่า
ทหาร เราจะเพิ่มการป้องกันมากขึ้น?”
ฉีหนิงกระพริบตาแล้วพูดว่า “ทหารทั้งสามคน
ไม่ได้ชักดาบออกมาเลย อีกทั้งที่เกิดเหตุก็ไม่มี
ร่องรอยการต่อสู้เลย แสดงว่าเขาถูกสังหารทันที”
“แสดงว่าคนพวกนี้จะต้องร้ายกาจมากแน่” หูป๋อ
เวินกังวลมาก “ทหารหลวงอวี้หลินเก่งในเรื่อง
การทาศึก คนพวกนี้ถูกคัดเลือกมาอย่างดี ถึงแม้
จะไม่ใช่คู่ปรับ แต่ก็ไม่ถึงขนาดตอบโต้ไม่ได้เลย”
เขาหยุดไปแล้วพูดว่า “โหวเยว่ หรือว่าอีกฝ่ายมา
กันหลายคน?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “มีความเป็นไปได้”
เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “ใต้เท้าหูยังมีความเป็นไป
ได้อีกอย่างหนึ่ง”
“โหวเยว่ชี้แนะด้วย”
“หากคนคุ้นเคยของพวกเขาเป็นคนลงมือล่ะ
พวกเขาไม่ทันระวัง เลยไม่มีร่องรอยการต่อสู้เลย
มีความเป็นไปได้ไหม?” ฉีหนิงถาม
หูป๋อเวินตะลึงไป เขาพูดด้วยความตกใจว่า “คน
คุ้นเคยเป็นคนฆ่า? โหวเยว่ ท่านหมายความว่า...
หรือว่า?” เขาตกใจมาก
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่เดาเท่านั้น
คิดไปว่ามันก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน”
“โหวเยว่ หาก...หากเป็นอย่างนั้นจริง แล้วทาไม
พวกเขาถึงต้องลงมือด้วย?” หูป๋อเวินขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “ฆ่าพวกเขาสามคนไป มีเป้าหมาย
อะไร?”
ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “นี่คือเรื่องที่ข้าไม่เข้ามใจ ฆ่า
คนมันก็ต้องมีแรงจูงใจ ข้าคิดไม่ออกเลยจริงๆ ไม่
ก็อาจจะมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง”
หูป๋อเวินถามว่า “อะไร?”
ฉีหนิงพูดอย่างเคร่งเครียดว่า “ฆ่าคนปิดปาก”
“ฆ่าคนปิดปาก?”
“สามคนนี้เดินลาดตระเวนอยู่หน้าหมู่บ้าน เขา
อาจจะไปเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็น” ฉีหนิงพูด
อย่างจริงจังว่า “พวกเขาเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็น
กลับถูกอีกฝ่ายพบ อีกฝ่ายกังวลว่าสามคนนี้จะ
พูดออกไป เลยลงมือฆ่าพวกเขา”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 579 นักฆ่า
ฝนยังตกลงมาอย่างหนัก ฟ้าร้องฟ้าผ่าไม่หลุด บน
หลังคาเสียงฝนตกลงมาดังมาก หูป๋อเวินไม่สบาย
ใจเลย เขาถามว่า “โหวเยว่ พวกเขาเห็นอะไร?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากข้ารู้ ข้าคงไม่
มานั่งเครียดแบบนี้?”
หูป๋อเวินมองมาด้านนอก แล้วพูดว่า “โหวเยว่
หากเป็นคนคุ้นเคยที่เป็นคนฆ่า แสดงว่าเขาจะ
ต้องเป็นคนมีฝีมือมาก ต่อให้ทั้งสามคนจะเห็นคน
คุ้นเคย เลยไม่ทันระวังถูกอีกฝ่ายลงมือ อีกฝ่ายลง
มือสังหารพวกเขาไปแล้วเพราะความผิดพลาด
แต่หากไม่มีวรยุทธ์ที่ร้ายกาจ คิดอยากจะฆ่าคน
สามคนในพริบตาเดียว โดยที่สามคนนั้นไม่ได้
ตอบโต้ มันก็เป็นเรื่องที่ยากมากเลยนะ”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหูคิดอะไรได้
หรอ?”
หูป๋อเวินยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่านดีกับข้าน้อย
มาก ข้าน้อยก็ขอพูดตามตรงเลยนะ ท่านเองก็รู้
ฝ่าบาทเพิ่งครองราชย์ได้ไม่นาน ราชสานักยังไม่
มั่นคง ตอนนี้ตระกูลซือหม่าก็ยิ่งใหญ่ ไหวหนาน
อ๋องเองก็ไม่พอใจที่ถูกกดขี่ ทั้งสองฝ่ายต่างมีการ
เคลื่อนไหว แต่ละหน่วยงาน ก็มีคนของพวกเขา
ทั้งนั้น มีเพียงกรมพิธีการของเรา ที่ยังถือได้ว่า
สงบที่สุด...”
“การเดินทางไปตงฉีในครั้งนี้ เป็นพระประสงค์
ของฝ่าบาท แต่ว่ามีบางคนก็อาจจะไม่ได้เห็นด้วย
ความราชโองการนัก” หูป๋อเวินถอนหายใจ แล้ว
พูดอย่างเศร้าๆ ว่า “คณะทูตที่เดินทางไปตงฉีครั้ง
นี้ของเรา อาจจะไม่ได้ใจเดียวกันหมดก็ได้”
“อ๋อ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหูท่านก็
มองเห็นปัญหาหรือ?”
หูป๋อเวินพูดว่า “เรียนโหวเยว่ตามตรง พอข้าน้อย
รู้ว่าอู๋ต๋าหลินเป็นคนคุ้มกันคณะมา ในใจก็รู้สกึ
เป็นกังวล อู๋ต๋าหลินเดิมเป็นคนของค่ายหู่เสินแต่
ถูกย้ายไปอยู่ชายแดน เพราะท่านแม่ทัพใหญ่
ร้องเรียนเขา เขามีปัญหากับจวนจิ่นอีโหว
ตระกูลฉีมาก่อน ข้าน้อยแค่กังวลว่าแค้นเก่า จะ
ทาให้อู๋ต๋าหลินก่อเรื่อง”
ฉีหนิงพูดว่า “ใต้เท้าหูเมื่อครู่พูดว่ายอดฝีมือที่ลง
มือสังหารสามคนนั้นในพริบตามีไม่มาก อู๋ต๋าหลิน
คือหนึ่งในนั้นหรือ?”
หูป๋อเวินคิดแล้วพูดว่า “ข้าน้อยไม่กล้าเดามั่ว แต่
ว่าพอข้าน้อยรู้ว่าอู๋ต๋าหลินเป็นคนคุ้มกันคณะ ก็
ลองไปสืบดู วรยุทธ์ของอู๋ต๋าหลินไม่ธรรมดาเลย
เขาเกิดมายากจน อาศัยความสามารถของตัวเอง
เดินมาถึงวันนี้ หากจะบอกว่าเขาคิดไม่ซื่อ สังหาร
คนไปสามคน มันก็มคี วามเป็นไปได้” เขาหยุด
แล้วพูดว่า “แต่ว่าเหลียงสยงเองก็มีวรยุทธ์ไม่
ธรรมดาเหมือนกัน น่าจะทาได้เช่นกัน”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหูสงสัยเหลียงส
ยงหรือ?”
“ก็ไม่เชิง” หูป๋อเวินพูดว่า “ข้าน้อยก็แค่รู้สึกว่า
ในขบวนของเรา คนที่มีความสามารถในการ
สังหารสามคนต่อเนื่องแบบนี้ ก็มีแค่สองคนนี้ อีก
อย่างพวกเขาเป็นคนคุมการคุ้มกันของคณะทูต
หากลอบลงมือจริง ทหารสามคนนั้นก็ไม่มีทาง
ระวังตัวแน่นอน แต่ว่าเหลียงสยงเป็นทหารเก่าแก่
ของทหารหลวงอวี้หลิน นิสัยก็ร่าเริง ข้าน้อยไม่ได้
รู้สึกว่าเขาแปลกอะไร”
ฉีหนิงเหมือนจะใช้ความคิด หูปอ๋ เวินลังเล แล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ท่านต้องระวังให้มาก หากมีคน
ลอบเข้ามาจริง อาจจะไม่ประสงค์ดีกับโหวเยว่
นะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ลาบากใต้เท้าหูต้องเป็นห่วง
ข้าไปด้วย ใต้เท้าหู เดินทางมาเหนื่อยมากแล้ว
ท่านกลับไปพักก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้จะไม่
มีแรงได้นะ”
หูป๋อเวินยกมือคานับ ถอนหายใจแล้วออกไป
หูป๋อเวินเพิ่งเดินไป ก็มีเสียงของเหลียงสยงดัง
ขึ้นมา “โหวเยว่ ข้าน้อยมีเรื่องจะรายงาน”
ฉีหนิงสั่งให้เขาเข้ามา เหลียงสยงเปียกไปทั้งตัว
“โหวเยว่ เราได้ตรวจสอบรอบๆ หมู่บ้านแล้ว ไม่
พบร่องรอยของใครเลย นายกองอู๋สั่งให้คนเฝ้า
โดยรอบแล้ว ส่วนเขาจะเป็นคนไปเฝ้าของไว้เอง
เขาสั่งให้ข้าน้อยพาคนมาเฝ้ารอบบ้านของโหวเยว่
เพื่อป้องกันนักฆ่าบุกเข้ามา”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วมองไปที่เหลียงสยง แล้วพูด
ว่า “เหลียงสยง เมื่อกี้ตอนที่เกิดเรื่อง เจ้ารู้หรือ
เปล่าว่านายกองอู๋อยู่ที่ไหน?”
เหลียงสยงตะลึงไป เขาลังเล แล้วพูดว่า “โหวเยว่
หลังจากที่เข้ามาในหมู่บ้านแล้ว ก็จัดเวรยามใน
การเฝ้าระวัง ข้าน้อยกังวลว่าจะเกิดข้อผิดพลาด
เลยไปตรวจสอบรอบๆ ตอนนี้เลยไม่ได้ทันดูว่า
นายกองอู๋ไปอยู่ที่ไหน เขาอาจจะพักอยู่ในห้อง
เขาก็ได้”
ฉีหนิงพูดว่า “ที่ข้าไม่ต้องกังวลมาก ท่านรองเหลี
ยง เพิ่มการคุ้มกันที่ใต้เท้าหู เจ้าพาคนไปเฝ้าที่นั่น
ไว้ ห้ามให้ใต้เท้าหูเป็นอะไรเด็ดขาด”
เหลียงสยงตะลึงไป เขายกมือคานับแล้วพูดว่า
“ข้าน้อยรับบัญชา” เขาไม่พูดอะไรมาก หันหลัง
แล้วเดินออกไปเลย
ฝนตกหนักมาก ฉีหนิงเดินไปหน้าประตู นอก
ประตูมืดมาก หมอกหนา ทาให้มองไม่เห็นอะไร
เลย
ทหารสามคนถูกสังหาร มันทาให้คนในขบวน
เดินทางเกิดความแตกตื่น สามคนนี้ตายอย่างมี
นัยยะ พวกทหารคิดแค่ว่ามีคนนอกแอบเข้ามา
เลยตื่นตัวกันหมด เพื่อป้องกันความผิดพลาด
อู๋ต๋าหลินเพิ่มการเดินตรวจตรามากขึ้น เริ่มแรกมี
คนเดินตรวจประมาณยี่สิบสามสิบคน หลังจาก
เกิดเรื่อง เขาเพิ่มคนไปอีกหนึ่งเท่า
เดิมฉีหนิงคิดว่าฝนน่าจะตกไม่นาน แต่ว่าฝนกลับ
ตกมาเหมือนโกรธใครอยู่ มันตกต่อเนื่องมาหลาย
ชั่วโมงแล้ว เส้นทางในหมู่บ้านก็นองไปด้วยน้า
กลางดึก ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องตะโกนด้วยความ
ตกใจ ฉีหนิงปฏิกิริยาไวมาก รีบพุ่งออกนอกห้อง
ไปทันที เขาเห็นมีคนวิ่งไปทางเดียวกันหมด ไปที่
ห้องๆ หนึ่ง ฉีหนิงขมวดคิ้ว เขาจาได้ว่า มันคือ
ห้องของหูป๋อเวิน
เขาหน้าขรึมทันที แล้ววิ่งออกไปที่ประตู มีคนรีบ
วิ่งมา เกือบจะชนเขา ยังดีฉีหนิงก็ปฏิกิริยาไว เขา
หลับ แล้วจับตัวคนๆ นั้นไว้ เขาคือเหลียงสยง
เหลียงสยงเห็นฉีหนิง ก็รีบพูดว่า “โหวเยว่ ใต้เท้า
หู...ใต้เท้าหู...” เขาดูตกใจมาก เหมือนจะพูด
อะไรไม่ออก
ฉีหนิงพูดเสียงเข้ม “ใต้เท้าหูเป็นอะไรไป?”
“ใต้เท้าหู...ใต้เท้าหูถูกทาร้าย” เหลียงสยงพูด
ออกมาจนได้ เขายกมือชี้ไป “อยู่...อยู่ในนั้น...”
ฉีหนิงรีบไปที่ห้องทันที เขาเห็นทหารอวี้หลินสอง
คนถือดาบในมือ คุมเข้มมาก ฉีหนิงเดินเข้าห้อง
ไป สองคนนั้นก็ชี้ดาบเข้าใส่ พอเห็นว่าเป็นฉีหนิง
ก็รีบเก็บดาบ แล้วพูดว่า “โหวเยว่”
ฉีหนิงเห็นแล้วว่า หูป๋อเวินนั่งอยู่ที่เก้าอี้ สีหน้า
ของเขาซีดเซียว ท่าทางตกใจมาก เหงื่อไหล
ออกมาจานวนมาก ฉีหนิงผ่อนคลายลง เขาเดิน
ไปหาแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหู ท่าน...?”
หูป๋อเวินได้ยินเสียงของฉีหนิง ก็ได้สติคืนมา แล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อย...ข้าน้อยเกือบจะไม่ได้
เจอหน้าท่านอีกแล้ว...” เขาหันหน้าไปมองที่
หน้าต่าง ฉีหนิงมองตามเขาไป เห็นหน้าต่างเปิด
ออก ด้านนอกลมแรงมาก มีน้าฝนพัดเข้ามา
มากมาย
เหลียงสยงเดินเข้ามาด้านใน แล้วรายงานว่า
“โหวเยว่ นักฆ่าลอบเข้ามาจากทางหน้าต่าง ตั้งใจ
จะสังหารใต้เท้าหู โชคดีที่ใต้เท้าร้องตะโกนเสียง
ดัง เราเลยรีบเข้ามาทัน มันเลยหนีออกทาง
หน้าต่างไป”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ที่นี่มีคนเฝ้าอยู่กี่
คน?”
เหลียงสยงพูดว่า “ข้าน้อยทาตามคาสั่ง พาคนมา
เฝ้าที่นี่สี่คน สองคนเฝ้าอยู่ด้านหน้า ข้ากับอีกสอง
คนอยู่ด้านในห้องโถงของบ้านนี้ เมื่อได้ยินเสียง
ของใต้เท้าหู ข้าน้อยก็พุ่งเข้าไปคนแรก เห็นว่าคน
นั้นหนีไปทางหน้าต่าง ข้าน้อยรีบตามไป แต่ว่า
เขาเร็วมาก ลมฝนก็แรง ข้าน้อยไร้ความสามารถ
ทาให้เขาหนีไปได้”
ในตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ฉีหนิงหันไปดู
เห็นอู๋ต๋าหลินเดินเข้ามา เขาเปียกไปทั่งตัว แล้ว
มองไปที่หูป๋อเวินที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ เขาขมวดคิ้วแล้ว
ถามว่า “ใต้เท้าหู ท่านเห็นหน้าคนร้ายไหม?”
หูป๋อเวินส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ข้าน้อยนอนอยู่ที่
เตียง กาลังคิดเรื่องที่ทหารสามคนนั้นถูกฆ่าตาย
แล้วเลยนอนไม่หลับ ทันใดนั้นข้าก็รู้สึกว่าในห้อง
มันหนาว เลยหันไปมอง ก็เห็นว่าหน้าต่างมันเปิด
อยู่ จากนั้นก็เห็นเงาๆ หนึ่งเข้ามาในห้อง ข้าน้อย
รู้ทันทีว่าเป็นนักฆ่า ก็เลยตะโกนเรียกคนเข้ามา”
เขายกมือขึ้น เช็ดเหงื่อที่หน้าผาก แล้วพูดว่า
“โชคดีที่เหลียงสยงปฏิกิริยาไ เขาพุ่งเข้ามาจาก
นอกห้อง นักฆ่านั่นเหมือนจะไม่ได้สนใจด้วยซ้าว่า
ข้าน้อยอยู่ที่เตียงไหม พอข้าน้อยตะโกน เขาก็หนี
ออกทางหน้าต่างไปทันที ตอนที่ท่านรองเหลียง
พาคนเข้ามา เห็นนักฆ่านั่นพอดี เลยตามไป...”
เขาพูดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกตกใจกลัว เหงื่อก็ไหล
ออกมา
อู๋ต๋าหลิยมองไปที่เหลียงสยง แล้วถามว่า “ท่าน
รองเหลียง เจ้าได้ส่งคนไปเฝ้าด้านหลังบ้านหรือ
เปล่า?”
เหลียงสยงพูดว่า “ข้าน้อยคิดว่ามีคนเฝ้าด้านหน้า
เราอยู่ในห้องโถง คงไม่มีใครกล้าเข้ามา แต่ว่า...
ข้าน้อยประมาทเกินไป ขอโหวเยว่กับท่านนาย
กองลงโทษด้วย”
ฉีหนิงพูดว่า “นายกองอู๋ จะโทษท่านรองเหลียงก็
ไม่ได้หรอก นักฆ่าคนนั้นมันบังอาจมากเกินไป”
เขามองไปที่หูป๋อเวินแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหู ท่าน
บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
หูป๋อเวินยกมือแล้วพูดว่า “โหวเยว่ไม่ต้องกังวล
นักฆ่านั่นพอเห็นมีความเคลื่อนไหว ก็หนีไปทันที
ไม่ได้ลงมืออะไร ข้าน้อยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”
เขายกมือแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรแล้ว นายกองอู๋
เจ้าสั่งห้คนตรวจสอบรอบๆ นี้อีกรอบนะ ชีวิตข้า
ไม่เป็นไร แต่จะให้นักฆ่าเข้าใกล้โหวเยว่ไม่ได้
เด็ดขาด”
อู๋ต๋าหลินยกมือคานับแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหู
ข้าน้อยบกพร่อง สมควรตาย ข้าน้อยจะรีบสั่งให้
คนหาตัวคนร้ายให้เจอ” เขาโบกมือแล้วพูดว่า
“ทุกคนออกไปก่อน ท่านรองเหลียง พาคนของ
เรามาที่นี่ เฝ้ารอบบ้านของใต้เท้าหูกับโหวเยว่ให้
แน่นหนาที่สุด ห้ามเปิดช่องโดยเด็ดขาด”
เหลียงสยงยกมือคานับแล้วรับคา เขากับอู๋ต๋าหลิน
เดินออกจากห้องไป
เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว ภายในห้องก็เหลือแค่
หูป๋อเวินกับฉีหนิง หูป๋อเวิน เดินไปที่หน้าประตู
มองไปด้านนอก จากนั้นก็ปิดประตู เขาเดินกลับ
เข้าห้องมา สีหน้าเคร่งเครียดมาก เขาพูดว่า
“โหวเยว่ ที่จริงข้าน้อย...ข้าน้อยจาคนร้ายได้ แต่
ไม่สะดวกพูด”
ฉีหนิงตะลึงไป เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “จาได้จริง
หรือ?”
หูป๋อเวินพูดว่า “ถึงแม้เขาจะรีบหนีไป แต่ว่าการ
เคลื่อนไหวของเขา ข้าน้อยจาได้ดี จาไม่ผิด
แน่นอน” สายตาของเขานิ่งมา เขาพูดว่า “โหว
เยว่ ท่านเดาไม่ผิดเลย อู๋ต๋าหลินมีปัญหา คนที่เข้า
ห้องมาเพื่อสังหารข้าน้อย เขาคืออู๋ต๋าหลิน”
ฉีหนิงสะดุ้ง แล้วพูดว่า “เป็นเขาจริงหรือ?”
“ข้าน้อยไม่มีทางจาคนผิด” หูป๋อเวินพูดว่า “เขา
คิดว่าข้าน้อยหลับไปแล้ว ก็เลยลอบเข้ามาจาก
ทางหน้าต่าง โชคดีที่ข้าน้อยครึ่งหลับครึ่งตื่น
ไม่อย่างนั้นคงตายไปแล้ว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 580 ล่อศัตรู
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เขาคิดวางแผนมาแล้วจริงๆ
เขาคิดสังหารใต้เท้าหู แสดงว่าต้องการขัดขวาง
การเดินทางไปตงฉีจริงๆ หากวันนี้เขาทาสาเร็จ
เราจะต้องหยุดการเดินทางแล้วส่งม้าเร็วไปราย
งานราชสานัก ไม่สามารถเดินทางไปตงฉีต่อได้
ต้องเสียเวลาที่นี่นานแน่นอน ไม่แน่นี่อาจจะเป็น
แผนจริงๆ ของเขาก็ได้”
หูป๋อเวินถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถึงแม้ข้าน้อยจะรู้
ว่าเขากับจวนจิ่นอีโหวจะไม่ลงรอยกัน แต่ว่าเรื่อง
ใหญ่อย่างการเดินทางไปตงฉีแบบนี้ เขาไม่น่าเอา
ความแค้นส่วนตัวมาทาให้งานบ้านเมืองเสียหาย
แบบนี้” เขาส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ทหารสามคน
ก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นฝีมือของเขา”
“ใต้เท้าหู ท่านอย่าลืมนะว่า ตระกูลซือหม่าเป็น
คนสนับสนุนอู๋ต๋าหลิน” ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาท
ต้องการอภิเษกสมรสเชื่อมสัมพันธ์กับทางตงฉี
ตระกูลซือหม่าไม่พอใจมากเลยนะ ข้ากาลังคิดว่า
ตระกูลซือหม่าจะยอมให้การเดินทางไปครั้งนี้
ราบรื่นอย่างนั้นหรือ ตอนนี้ข้าแค่กังวลว่าจะมี
แผนการอะไรมากกว่านี้อีก”
“มีแผลอื่นอีก?” หูป๋อเวินพูดว่า “โหวเยว่หมาย
ความว่าอย่างไร?”
“ใต้เท้าหู หลังจากที่เราออกเดินทางออกจาก
เมืองหลวง มีคนสะกดรอยตามดูเรามาตลอดนะ”
ฉีหนิงพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดอยู่ว่าคนพวก
นั้นจะกล้าลงมือกับคณะทูตได้อย่างไร ตอนนี้ดูๆ
ไปแล้ว คนพวกนั้นน่าจะเป็นพวกเดียวกับอู๋ต๋า
หลิน พวกเขามีทั้งคนนอกและใน ร่วมมือกัน
ทาลายการเดินทางในครั้งนี้”
หูป๋อเวินพูดด้วยความตกใจว่า “โหวเยว่ ท่าน
หมายความว่า คนที่สะกดรอยตามดูเรามาตลอด
นั้น เป็นคนของอู๋ต๋าหลินอย่างนั้นหรือ?”
“จากสถานการณ์ตอนนี้ น่าจะเป็นอย่างนั้น” ฉี
หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหู ท่านลองนึก
ภาพตามนะ คืนนี้หากอู๋ต๋าหลินทาการสาเร็จ ใน
ฐานะรองราชทูตอย่างท่านถูกสังหาร ผลที่ตามมา
จะเป็นอย่างไรได้? พูดได้ว่า มันจะต้องเกิดความ
วุ่นวายขึ้นแน่นอน แม้แต่ข้าเอง ก็อาจจะถูกเชื่อม
โยงไปด้วย”
หูป๋อเวินเข้าใจขึ้นมาทันที เขาพูดว่า “โหวเยว่
ที่อู๋ต๋าหลินต้องการสังหารข้าน้อย หรือว่าจะต้อง
การให้เกิดความวุ่นวายขึ้น? ถ้าอย่างนั้น คนที่
ตามสะกดรอยอยู่ท้ายขบวนเราก็จะแอบแฝงตัว
เข้ามา แล้วก็ทาลายของกานัล?”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น” ฉีหนิงพูดว่า “หากใต้เท้าหู
ถูกสังหาร ของกานัลถูกทาลาย การไปตงฉีก็จะ
เหลือแค่เงา ข้าก็ต้องกลับเมืองหลวงอย่างน่าอดสู
ในฐานะราชทูต หนีความรับผิดชอบไปไม่พ้น ถึง
เวลานั้นฎีกาที่ร้องเรียนข้าคงมีท่วมภูเขา ต่อให้ข้า
ไม่ตาย อยากจะเดินทางไปตงฉีอีก ก็ไม่มีทาง
เป็นไปได้แล้ว”
หูป๋อเวินถอนหายใจยาว เขายิ้มแล้วพูดว่า “คิดไม่
ถึงว่าเจิ้นกั๋วกงจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ เพื่อเป้าหมาย
ที่ตัวเองต้องการ ถึงกับไม่สนใจผลประโยชน์ของ
บ้านเมือง”
“ก่อนหน้านี้ที่ข้าเดาไว้ ทหารสามคนนั้นที่ถกู
สังหาร ก็น่าจะเป็นการฆ่าปิดปากแน่” ฉีหนิงพูด
ว่า “ถึงแม้เราจะไม่มีหลักฐาน แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ผิด
จากที่ข้าเดาไว้แน่ คืนนี้อู๋ต๋าหลินจะต้องหลบ
ออกไปหาคนของเขาแน่ แล้วถูกทหารสามคนนั้น
มาพบเข้า อู๋ต๋าหลินกังวลว่าทหารพวกนั้นจะพูด
ออกไป เลยลงมือสังหารพวกเขา...ใต้เท้าหู ท่าน
คิดว่าสิ่งที่ข้าคิดจะเป็นไปได้ไหม?”
หูป๋อเวินพยักหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เดิมก็มีข้อ
สงสัยมากมาย แต่ในเวลานี้ถ้าพูดแบบนี้ มันก็ฟัง
ขึ้น” เขาถามเบาๆ ว่า “โหวเยว่ อู๋ต๋าหลินมา
สังหารข้าน้อยในคืนนี้ ดูท่าทางพวกเขาจะเริ่มลง
มือแล้ว เราควรจะรับมืออย่างไรดี? หากไม่รีบ
จัดการ ข้าน้อยคิดว่าจะยิ่งเกิดเรื่องรุนแรงขึ้น”
ฉีหนิงนิ่งไป แล้วพูดว่า “ใต้เท้าหู ท่านว่า เราควร
รับมืออย่างไรดี?”
หูป๋อเวินรีบพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยไม่ได้จะปัด
ความรับผิดชอบ แต่ว่าเรื่องนี้สาคัญมาก โหวเยว่
ตัดสินใจเองน่าจะเหมาะสมกว่า ไม่ว่าโหวเยว่จะ
ตัดสินใจอย่างไร ข้าน้อยจะทาตามทุกอย่าง”
ฉีหนิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ เหมือนกาลังใช้ความคิด
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดว่า “อู๋ต๋าหลินไม่กาจัด
ผลที่ตามมาไม่อยากจะคิดเลย ใต้เท้าหู หากกาจัด
คนคนนี้ไป เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ท่านคิดว่า
อย่างไร?”
“โหวเยว่ หากทา...หากทาอย่างนั้นจริง จะทาให้
ตระกูลซือหม่าไม่พอใจหรือเปล่า?” หูป๋อเวิน
ขมวดคิ้ว เขาพูดอย่างกังวลว่า “ตระกูลซือหม่ามี
อานาจมาก เรา...เราไม่ควรไปแหย่เขา”
“อะไรกัน ใต้เท้าหูท่านกลัวหรือ?” ฉีหนิงพูดว่า
“ท่านวางใจได้ หากมีคนถามหาความรับผิดชอบ
โยนมาให้ข้าก็พอแล้ว”
หูป๋อเวินรีบพูดว่า “โหวเยว่ท่านเข้าใจผิดแล้ว
ข้าน้อยไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น หากโหวเยว่
ตั้งใจกาจัดเขา ข้าน้อยก็จะร่วมเป็นร่วมตายกับ
ท่าน”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี เราทาก็เพื่อ
ให้การเดินทางไปตงฉีราบรื่น เรื่องนี้สาคัญมาก
เราไม่จาเป็นต้องสนใจอะไรอีก”
หูป๋อเวินเดินไปที่หน้าต่าง เขาเปิดหน้าต่างไป
มองดู ฝนสาดเข้ามา ด้านนอกมืดมาก เขาปิด
หน้าต่างแล้วเดินกลับมาพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อย
คิดว่า หากท่านจะกาจัดอู๋ต๋าหลิน ก็ต้องระวังให้
มาก เราจะทาให้ทั้งขบวนแตกตื่นไม่ได้” เขาพูด
ว่า “ทหารหลวงอวี้หลินสองร้อยนาย เราไม่รู้ที่มา
ที่ไปของพวกเขา ในนี้มีคนสนิทของอู๋ต๋าหลินอยู่
ด้วยหรือเปล่า เราก็ไม่รู้”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหูพูดถูก ก่อน
หน้านี้เราไม่เคยไปมาหาสู่กับทหารหลวงอวี้หลิน
เลย เราไม่รู้จักพวกเขาเลย หากในนี้มีคนของอู๋ต๋า
หลินอยู่ หากจะลงมือ คิดว่าจะเกิดความวุ่นวาย
ภายในแน่ ก่อนหน้านี้ข้าเห็นอู๋ต๋าหลินเหมือนจะมี
ลูกน้องคนสนิทอยู่ หากทาอะไรเขาไป คิดว่า
น่าจะมีปัญหาตามมา” เขาขมวดคิ้ว เหมือนกาลัง
ใช้ความคิด
หูป๋อเวินคิดแล้วก็พูดว่า “โหวเยว่ มีอีกคน
อาจจะช่วยเราแก้ปัญหานี้ได้?”
“ใคร?”
“เหลียงสยง” หูป๋อเวินพูดอย่างจริงจังว่า
“เหลียงสยงเป็นคนในค่ายอวี้หลิน ความสัมพันธ์
ของเขากับเหล่าทหารก็ไม่ได้แย่ อีกทั้งเขาก็รู้สึก
ทหารอวี้หลินดี หากให้เขาช่วยลงมือ น่าจะดีไม่
น้อย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง เหลียงสยงเป็นคน
ฉลาด ใต้เท้าหู พูดตามตรง ที่จริงแล้วเหลียงสยงรู้
แต่แรกแล้วว่าอู๋ต๋าหลินไม่ปกติ อีกทั้งก่อนที่จะ
ออกนอกเมืองหลวง ฉือเฟิงเตียนเองก็ได้กาชับ
เขามา ให้ระวังอู๋ต๋าหลินให้ดี”
หูป๋อเวินพูดด้วยความดีใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ
โหวเยว่ เหลียนสรงเป็นรองนายกอง หากถึงเวลา
มีคนถามหาเอาความเรื่องของอู๋ต๋าหลิน เราสอง
คนกับเหลียงสยงยืนยันว่าอู๋ต๋าหลินคิดทาลายการ
เดินทางไปตงฉี คนอื่นก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก โหว
เยว่ ท่านรออยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้าน้อยจะไปตาม
เหลียงสยงมาหารือ”
ฉีหนิงพูดว่า “คนรู้ยิ่งน้อยยิ่งดีนะ”
หูป๋อเวินพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเข้าใจ” เขา
เดินไปเปิดประตู แล้วเดินออกไป ไม่นานนัก ก็
เห็นหูป๋อเวินนาตัวเหลียงสยงมา หลังจากที่หูป๋อ
เวินเข้ามาแล้ว ก็ปิดประตูทันที เหลียงสยงยกมือ
คานับแล้วพูดว่า “โหวเยว่ พี่น้องของเราตรวจ
สอบรอบๆ แล้ว ตอนนี้ยังไม่พบร่องรอยของ
คนร้ายเลย”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วมองหน้ากับหูป๋อเวิน เขา
กระแอมไอ แล้วกวักมือ ให้เหลียงสยงเข้ามา
ใกล้ๆ เหลียงสยงสงสัย แต่ก็เขยิบเข้ามา ฉีหนิง
เอนตัวไปข้างหน้า แล้วพูดว่า “เจอตัวนักฆ่าแล้ว”
“ท่านรองเหลียง เมื่อครู่คนมาก ข้าไม่ได้พูดความ
จริง” หูป๋อเวินเข้ามาใกล้ๆ แล้วพูดว่า “คนร้ายที่
ลอบสังหารข้าในคืนนี้ ก็คือนายกองหัวหน้าชุดคุ้ม
กันคณะทูตอู๋ต๋าหลิน”
เหลียงสยงสะดุ้ง เขาตกใจมาก เขานิ่งไป แล้วพูด
ว่า “ใต้เท้าหู ท่าน...ท่านเห็นชัดหรือ? ท่านนายก
องหูถึงแม้จะแปลกไปบ้าง แต่ว่า...แต่ว่าเขาคงไม่
บังอาจคิดร้ายกับใต้เท้าหรอกมั้ง?”
ฉีหนิงพูดว่า “ใต้เท้าหูแน่ใจมาก อีกทั้งข้าก็คิดว่า
อู๋ต๋าหลินเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด”
เหลียงสยงยิ้มอย่างลาบากใจ “ก่อนที่จะออก
เดินทาง ผูบ้ ัญชาการฉือเคยกาชับเอาไว้ ข้าน้อย
คิดว่าแค่ระวังเขาก็พอ คิดไม่ถึงเลยว่า...” เขา
หยุดไป แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ใต้เท้าหู พวกท่าน
ตามข้าน้อยมาที่นี่ เพื่อบอกเรื่องนี้ แสดงว่ามีอะไร
ต้องการจะสั่ง ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ข้าน้อยจะทา
อย่างเต็มที่”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารอเจ้าพูดคานี้อยู่เลย”
เขาสีหน้าจริงจังมาก “ท่านรองเหลียง เดิมข้าพา
คณะทูตไปตงฉี เป้าหมายของข้าคือทาตามพระ
ประสงค์ของฝ่าบาทให้สาเร็จ ดังนั้นอะไรก็ตามที่
ขัดขวางการไปตงฉี ก็ต้องกาจัดไปให้หมด” เขา
จ้องไปที่ตาของแหลียงสรง แล้วถามว่า “เจ้าเข้า
ใจความหมายของข้าไหม?”
เหลียงสยงพยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่
หมายความว่า จะ...จะกาจัดอู๋ต๋าหลินหรือ?”
หูป๋อเวินพูดว่า “ท่านรองเหลียง ทหารสองร้อย
คนว มีคนของอู๋ต๋าหลินไหม?”
เหลียงสยงพูดว่า “อู๋ต๋าหลินถึงแม้จะมาในค่ายอวี้
หลินไม่นาน แต่ว่าเขามีชื่อเสียงมาก่อนแล้ว เขา
เกิดมาลาบาก ทหารอวี้หลินส่วนใหญ่ก็เกิดมา
ลาบาก ดังนั้นทุกคนเลยเคารพเขามาก”
“โหวเยว่ เราไม่อาจจะทาอะไรเขาอย่างเปิดเผย
ได้เลย” หูป๋อเวินพูดว่า “ในเมื่อจะทา ก็ต้องทา
ให้เด็ดขาดและเงียบที่สุด”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านรองเหลียง เรื่อง
นี้สาคัญมาก ท่านมีแผนอะไรดีดีไหม?”
เหลียงสยงนิ่งไป จากนั้นก็พูดว่า “โหวเยว่
ความหมายของท่านกับใต้เท้าหู ข้าน้อยเข้าใจดี
จะต้องทาแบบลับๆ คนรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี ข้าน้อยมี
แผน ไม่รู้ว่าจะใช้ได้ไหม” เขาเขยิบเข้ามาใกล้
แล้วกระซิบ ฉีหนิงฟังแล้วก็พยักหน้า เมื่อเหลียง
สยงพูดจบ ฉีหนิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ดี ทาตามที่
ท่านรองเหลียงว่ามาก็แล้วกัน”
ท่ามกลางสายฝน อู๋ต๋าหลินกาลังนาทหารเดิน
ตรวจตราค้นหาตัวคนร้ายอยู่ แต่เขาไม่ได้ร่องรอย
อะไรเลย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพูดว่า “ท่านนายก
องอู๋” มีคนโผล่ออกมาจากความมืด อู๋ต๋าหลิน
มองไป เห็นว่าเป็นเหลียงสยง ก็ถามว่า “มี
ร่องรอยคนร้ายไหม?”
เหลียงสยงเดินมาหา แล้วพูดเสียงเบาว่า “นายก
องอู๋ โหวเยว่เจอเบาะแสแล้ว เขาพาคนไปที่หน้า
หมู่บ้าน แล้วสั่งให้ข้ามารายงานท่าน ท่านรีบไป
เถอะ”
อู๋ต๋าหลินขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ออกไป
นอกหมู่บ้าน? เจอเบาะแสอะไร”
“น่าจะเป็นร่องรอยของคนร้าย” เหลียงสยงพูด
ว่า “โหวเยว่สั่งให้ข้าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ให้คน
อื่นค้นหากันต่อไป ส่วนเราสองคนตามท่านไปดู”
อู๋ต๋าหลินมีสีหน้าแปลกๆ เขาลังเล สุดท้ายก็พยัก
หน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่อยู่ที่ไหน พาข้าไป”
เหลียงสยงเดินนาทางไป อู๋ต๋าหลินเดินตามอยู่
ด้านหลัง ทั้งสองเดินออกนอกหมู่บ้านไป ทหาร
เองก็ไม่กล้าขวาง เดินไปได้ระยะหนึ่ง ก็เห็นป่า
เล็กๆ ผืนหนึ่ง ริมป่ามีสระเล็กๆ อยู่ อู๋ต๋าหลิน
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านรองเหลียง โหวเยว่อยู่ที่
ไหนกันแน่?”
เหลียงสยงยกมือชี้ไปด้านหน้าแล้วพูดว่า “นั่นไง”
อู๋ต๋าหลินเงยหน้ามองไป เขาเห็นคนยืนอยู่ที่ริมป่า
จริงๆ เขารีบเดินขึ้นหน้าไป เขาเห็นชัดแล้วว่าเป็น
ฉีหนิง กาลังจะคานับ ฉีหนิงก็หันเข้าป่าไป อู๋ต๋า
หลินขมวดคิ้ว หันไปมองหน้าเหลียงสยง แต่ก็ยัง
เดินตามไปอยู่
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 581 ดินสีแดง
ในป่ามืดมาก มันดูน่ากลัวแปลกๆ อู๋ต๋าหลินเห็นฉี
หนิงหยุด แล้วเดินขึ้นหน้าไป แล้วยกมือคานับ
“โหวเยว่”
ฉีหนิงหันหลังกลับมา ในป่ามืดมาก แต่อู๋ต๋าหลิน
กลับมองเห็นใบหน้าของฉีหนิงชัดเจน เมื่อเห็นฉี
หนิงสีหน้าไม่ดี ก็อดถามไม่ได้ว่า “โหวเยว่ ท่าน
รองเหลียงบอกว่าเจอเบาะแสของนักฆ่าแล้ว ไม่รู้
ว่านักฆ่าตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านนายกองอู๋ นัก
ฆ่าอยู่ตรงหน้าข้าแล้ว”
อู๋ต๋าหลินตะลึง เขามองซ้ายมองขาว นอกจาก
เหลียงสยงที่อยู่ข้างๆ เขาแล้ว ก็ไม่มีใครอีก เขา
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยไม่เข้าใจ
ความหมายของท่าน”
“เจ้าไม่เข้าใจจริงหรือ?” ที่ด้านข้างของฉีหนิงมี
เสียงการเคลื่อนไหว อู๋ต๋าหลินหันไปมอง เห็นหู
ป๋อเวินเดินออกมา ในตอนนี้เอง รอบๆ ก็เหมือนมี
เงาของคนมากมาย อู๋ต๋าหลินสีหน้าเคร่งเครียด
มาก เขาจับไปที่ดาบของเขา เหลียงสยงถอยหลัง
ไปสองก้าว แล้วจับดาบเหมือนกัน เขาจ้องไป
ที่อู๋ต๋าหลิน
อู๋ต๋าหลินมองไปรอบๆ มีคนประมาณห้าถึงหกคน
เขาจาได้ ว่าพวกเขาเป็นองครักษ์ของจิ่นอีโหว
พวกเขาเป็นคนสนิทของฉีหนิง
“โหวเยว่ ใต้เท้าหู พวกท่านทาแบบนี้หมายความ
ว่าไง? อู๋ต๋าหลินเสียงเข้ม” หรือว่าพวกท่านไม่ได้
คิดจะหานักฆ่า?"
หูป๋อเวินพูดว่า “อู๋ตา๋ หลิน จนถึงตอนนี้แล้ว เจ้า
ยังจะมาเสแสร้งอีกหรือ คนที่เข้าไปลอบสังหารข้า
ในคืนนี้ ก็คือเจ้าไม่ใช่หรือไง? เจ้ามันกาเริบเสิบ
สาน กล้าทาร้ายคณะทูต โชคดีที่โหวเยว่ฉลาด
ไม่อย่างนั้นเจ้าคงทาสาเร็จไปแล้ว”
เหลียงสยงโกรธมาก “อู๋ต๋าหลิน เจ้าเป็นคนของ
ตระกูลซือหม่าใช่หรือไม่ คืนนี้เจ้าไม่รอดแน่” เขา
เขยิบขึ้นหน้า แล้วสะบัดดาบใส่อู๋ต๋าหลิน อู๋ต๋า
หลิน หลบ แล้วก็ชักดาบออกมา พวกเขาปะทะ
กัน
เหลียงสยงร้องคาราม แล้วก็ฟันดาบใส่อีก เขาลง
มือโหดมาก อู๋ต๋าหลินถอนหลังสองก้าว “โหวเยว่
ใต้เท้าหู ข้าน้อยถูกปรักปรา...” เขายังไม่ทันพูด
จบ เหลียงสยงก็ฟันใส่เขาอีกหลายดาบ อู๋ตา๋ หลิน
ถูกบีบจนต้องถอยหลัง
หูป๋อเวินเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว แล้วพูดว่า “พี่น้อง
ทุกท่าน อู๋ต๋าหลินจิตใจโหดเหี้ยม ทุกคนต้องระวัง
ให้ดี อย่าให้เขาหนีไปได้”
ฉีเฟิงกับพวกที่อยู่รอบๆ ค่อยๆ เดินบีบเข้ามา
ทันใดนั้นเองหลี่ถังก็บุกขึ้นหน้า เขาลงมือไวมาก
ในมือของเขาถือดาบ จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้อง
“โอ๊ย” ดังขึ้นมา หลี่ถังฟันดาบใส่ไปที่ไหล่ข้าง
ซ้ายของเหลียงสยง ยังดีที่เหลียงสยงปฏิกิริยาไว
มาก เขารู้สกึ ได้ว่ามันปกติ เลยรีบหลบ แต่ถึงจะ
อย่างนั้น ที่ไหล่ของเขาก็ยังถูกฟังอยู่ดี
เขาพลิกตัว แต่ก็ยังถอยหลังอย่าทุลักทุเล อู๋ต๋า
หลินบุกขึ้นหน้า จากนั้นก็ชักดาบออกมา เหลียง
สรงตกใจมาก เขาล้มลง คิดอยากจะลุกขึ้นมา
อู๋ต๋าหลินก็เอาดาบมาจ่อที่คอเขาแล้ว จากนั้นก็
พูดว่า “หากขยับอีกแค่นิดเดียว เจ้าตายแน่”
ทุกอย่างเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงเร็วมาก หูป๋อ
เวินหน้าถอดสี แล้วพูดว่า “โหวเยว่...”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหูไม่ต้องแตกตื่นไป
เราออกมาจับคนร้าย ตอนนี้คนร้ายก็ถูกจับแล้ว”
“โหวเยว่...” เหลียงสยงหน้านิ่งไป อู๋ต๋าหลินเอา
ดาบจี้คอเขาอยู่ก็จริง แต่เขากลับไม่กลัวเลย “ข้า
น้อย...ข้าน้อยไม่เข้าใจ ท่านหมายความว่าอย่าง
ไร? ท่านวางแผนนี้ขึ้นมา ให้ข้าช่วยท่านฆ่าอู๋ต๋า
หลิน แต่ว่าตอนนี้...ตอนนี้มันเรื่องอะไรกัน?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เหลียงสยง เจ้าเองก็เป็นคน
ฉลาด เจ้าไม่เข้าใจความหมายของข้าจริงหรือ?”
เขาหันไปมองหูป๋อเวิน ยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหู
ท่านเป็นคนมาอธิบายดีกว่า”
หูป๋อเวินขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อย...
ข้าน้อยเองก็ไม่เข้าใจความหมายของท่านเลย
อู๋ต๋าหลินเป็นคนร้าย แต่...แต่ว่าทาไมกลับลงมือ
กับท่านรองเหลียงด้วยล่ะ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “นักฆ่าที่ลอบสังหารท่านใต้
เท้าหูในคืนนี้ จะเป็นอู๋ต๋าหลินก็ได้ จะเป็นท่าน
รองเหลียงก็ได้ แล้วก็จะเป็นใครก็ได้ ถูกหรือไม่?”
หูป๋อเวินงงไปหมด เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “โหว
เยว่...โหวเยว่พูดแปลกๆ นะ ข้าน้อยก็บอกไปแล้ว
นักฆ่าคนนั้นคืออู๋ต๋าหลินแน่นอน แล้วจะเป็นท่าน
รองเหลียงกับคนอื่นไปได้อย่างไรกัน?”
“โหวเยว่ ข้าน้อยจงรักภักดี คืนนี้ก็ทาตามคาสั่ง
ของท่านให้มาสังหารอู๋ต๋าหลิน” เหลียงสยงพูดว่า
“แต่ว่าทาไมโหวเยว่ถึงทากับข้าน้อยแบบนี้ มันน่า
เสียใจนัก ข้าน้อยไม่ได้กลัวตาย แต่ว่าตายแบบไม่
รู้เรื่องแบบนี้ ต่อให้เป็นผี ก็ตายตาไม่หลับ”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว
ท่านเหลียงยังไม่คิดจะยอมรับอีกหรือ? เจ้าอย่า
บอกข้านะว่า ทหารหลวงสามคนที่ตายไปไม่ได้
เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
“เกี่ยวข้องกับข้า?” เหลียงสยงยิ้ม “โหวเยว่
ล้อเล่นแบบนี้ไม่สนุกเลยนะ”
ฉีเฟิงเดินขึ้นหน้ามา แล้วพูดว่า “เหลียงสยง
ทหารสามคนที่ถูกฆ่า วิธีการที่ถูกฆ่าแปลกมาก
อาวุธแทงทะลุคอ ตอนที่ตรวจสอบ มันจะทาให้
คนอื่นเข้าใจว่าทหารสามคนนั้นถูกฆ่าจากด้าน
หน้า แต่ที่จริงมันไม่ใช่อย่างนั้น ก่อนที่จะฝัง ข้า
ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ที่จริงแล้ว
พวกเขาสามคนถูกแทงจากข้างหลัง อาวุธทะลุ
จากข้างหลังมาด้านหน้า”
เหลียงสยงตะลึงไป แล้วพูดว่า “แล้วอย่างไร หรือ
ว่าสามคนนั้นถูกแทงจากข้างหลัง ก็จะบอกว่า
เกี่ยวกับข้าหรือ?”
“แน่ใจสิ ตอนที่สามคนนั้นถูกฆ่า พวกเขาไม่ได้ทัน
ระวังเลย จนถึงตอนที่พวกเขาตาย พวกเขายังไม่รู้
เลยว่ามีคนคิดลงมือกับพวกเขา” ฉีเฟิงพูดว่า
“สามคนนั้นถูกฆ่าจากด้านหลัง แต่ว่าข้าลอง
สังเกตเวรยามดูแล้ว ท่านนายกองอู๋ จะสั่งให้
ทหารสามคนรวมกันกลุ่ม แล้วเว้นระยะการยืน
เฝ้าระวัง หากคนใดคนหนึ่งถูกลอบทาร้าย อีกคน
ก็จะเห็นว่าคนอื่นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็จะมาช่วยได้
ทันเวลา”
อู๋ต๋าหลินพยักหน้าแล้วพูดว่า “นี่เป็น
ประสบการณ์หลายปีของข้าเอง การจัดการแบบ
นี้ มันปลอดภัยหากต้องเจอคนร้าย จะได้ช่วยกัน
ระวังได้มากขึ้น”
“แต่ว่า ณ ที่เกิดเหตุ ตอนที่สามคนนั้นถูกฆ่า
ชัดเจนว่าพวกเขาอยู่ด้วยกัน” ฉีเฟิงพูดว่า “นั่นก็
หมายความว่า มีคนสามารถสังหารพวกเขาได้
ในทันที อีกทั้งยังไม่ทาให้คนอื่นสงสัยด้วย ก่อน
เกิดเรื่องสามารถเรียกพวกเขามารวมตัวกันได้”
“การจัดเวรยาม เป็นเรื่องใหญ่ นอกจากข้าน้อย
กับเหลียงสยงแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นสามารถเรียกพวก
เขาออกจากตาแหน่งได้” อู๋ต๋าหลินพูดเสียงเข้ม
ฉีเฟิงพูดว่า “แสดงว่าในเวลานั้นจะต้องมีคนตั้งใจ
เรียกพวกเขามารวมตัวกัน จากนั้นก็ให้คนอื่นเป็น
คนลงมือ หากเดาไม่ผิด คนร้ายทีอ่ ยู่ในที่เกิดเหตุ
น่าจะมีสองคนเป็นอย่างน้อย คนหนึ่งเบี่ยงเบน
การสนใจของสามคนนั้น ส่วนอีกคนก็อยู่ด้านหลัง
ลอบสังหารพวกเขา”
เหลียงสยงพูดว่า “ต่อให้เป็นอย่างนั้นจริง นั่นก็
ไม่ได้หมายความว่าข้าเป็นคนลงมือนี่นา อู๋ต๋าหลิน
น่าสงสัยมากกว่าข้าไม่ใช่หรือไง”
ฉีหนิงยืนไขว้หลัง แล้วพูดวว่า “หลังจากเกิดเรื่อง
ข้าก็มั่นใจ คนร้ายน่าจะเป็นเจ้าหรือไม่ก็อู๋ต๋าหลิน
คนใดคนหนึ่งแน่นอน” เขามองไปที่หูป๋อเวิน ยิ้ม
แล้วพูดว่า “ใต้เท้าหู เจ้าจาได้หรือไม่ ข้าเคยบอก
เจ้าว่า สามคนนั้นถูกสังหาร เพราะพวกเขาไปเห็น
อะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า มีคนกังวลว่าพวกเขาจะ
หลุดปากพูดอะไรไป เลยลงมือสังหารเขา
เป้าหมายก็คือฆ่าคนปิดปาก”
หูป๋อเวินพยักหน้า “โหวเยว่พูดถูกต้องแล้ว เพียง
แต่...โหวเยว่ ข้าน้อยรับประกันได้เลยว่า เหลียง
สยงไม่ใช่คนร้ายแน่นอน ตอนที่ข้าน้อยถูกลอบ
สังหาร เหลียงสยงก็อยู่ในห้องด้วย อีกทั้งเขายัง
เป็นคนแรกที่บุกเข้ามาในห้อง ตอนนั้นนักฆ่าก็ปีน
หนีออกทางหน้าต่างไป ต่อให้ข้าน้อยมองผิด นัก
ฆ่าไม่ใช่อู๋ต๋าหลิน แต่ก็ไม่ใช่เหลียงสยงแน่นอน”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากไม่ใช่ใต้เท้าหูเกิดเรื่อง
ข้ายังไม่กล้ามั่นใจว่าคนร้ายคือเหลียงสยงเลย”
หูป๋อเวินขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหู มีคนเข้าไป
ลอบสังหารท่านจริงหรือ?”
หูป๋อเวินตะลึงไป หน้าของเขาถอดสี “โหเยว่
ท่านพูดแบบนี้หมายความว่าไง? หรือว่า...ท่าน
สงสัยว่าข้าโกหก?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหู รอบนี้ท่าน
พูดถูก ข้าสงสัยว่าท่านโกหกจริงๆ”
“โหวเยว่ ท่าน...” หูป๋อเวินสะดุ้ง แล้วพูดว่า “ข้า
เข้าใจแล้ว ท่านวางแผนนี้ขึ้นมา เพราะต้องการ
ลงมือกับข้า ข้าน้อยบริสุทธิ์ใจ ไม่ทราบไปล่วงเกิน
โหวเย่เมื่อไหร่”
“ใต้เท้าหู คนที่ท่านล่วงเกินไม่ใช่ข้า แต่เป็นต้าฉู่
กับฝ่าบาท” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านเป็นคนที่อยู่
เบื้องหลังทุกอย่างที่เกิดขึ้น เหลียงสยงแค่หนึ่งใน
หมากของท่านก็เท่านัน้ เอง”
“ข้า?” หูป๋อเวินไม่โกรธแต่กลับยิ้ม “ทาไมถึงเป็น
ข้าล่ะ?”
“แน่นอนก็ต้องมีคนบอกข้าน่ะสิ” ฉีหนิงยิ้ม
หูป๋อเวินหน้านิ่งไป แล้วพูดว่า “ใคร?”
“เจ้า” ฉีหนิงชี้ไปที่หูป๋อเวิน “นอกจากใต้เท้าหู
แล้ว จะมีใครมาบอกความลับเรื่องนี้ได้อีก?”
“ข้า?” หูป๋อเวินรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเหลวไหลไร้
สาระเกินไป เขายิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่านล้อ
ข้าเล่นแล้ว”
น้าฝนหยดลงมาจากใบไม้ คนที่อยู่ตรงนั้นเปียก
ปอนไปทั้งตัว ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ทหารหลวงสามคนถูกฆ่า ทุกคนวิ่งไปที่เกิดเหตุ
ทั้งหมด ใต้เท้าหูเองก็วิ่งมาที่เกิดเหตุทันที
เหมือนกัน ใต้เท้าหู ข้าอยากจะถามท่านหน่อย
ตอนที่เกิดเรื่อง ตอนนั้นท่านอยู่ทไี่ หน?”
หูป๋อเวินยืนเอามือไขว้หลังไว้ แล้วพูดว่า
“หลังจากที่คณะของเราเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว ข้า
ก็อยู่ในห้องตลอด พอมีคนมารายงานว่ามีคนถูก
สังหาร ข้าก็รีบวิ่งไปที่เกิดเหตุทันที”
“แต่ว่าความจริงที่ท่านบอกข้ามันไม่ได้เป็นแบบ
นั้นเลย” ฉีหนิงพูดว่า ตอนที่ใต้เท้าหูมาถึงที่เกิด
เหตุ คิดว่าน่าจะเพิ่งกลับไปที่ห้องได้ไม่นาน มี
บางอย่างท่านยังไม่ทันได้จัดการให้เรียบร้อย
“บางอย่าง?” หูป๋อเวินขมวดคิ้ว “อะไร?”
“รองเท้า” ฉีหนิงก้มหน้าลง แล้วมองไปที่รองเท้า
ของหูป๋อเวิน แล้วพูดว่า “ตอนที่ใต้เท้าหูกลับไปที่
ห้องแล้ว ท่านไม่ได้ทันสังเกตเห็นหลักฐานที่
รองเท้าของตัวเอง ตอนนั้นรองเท้าของท่านมัน
เต็มไปด้วยดินโคลน ท่านรู้ตัวหรือไม่?”
หูป๋อเวินอึ้งไป จากนั้นก็ยิ้มแปลกๆ “โหวเยว่
ตอนนั้นฝนตกลงมาหนักมาก พื้นเต็มไปด้วยดิน
โคลน ข้าน้อยออกมาจากห้อง รีบไปที่หน้า
หมู่บ้าน ระหว่างทางเหยียบถูกดินบ้าง มันแปลก
ตรงไหน? หากพูดแบบนี้ รองเท้าของทุกคนก็
เหยียบเปื้อนโคลน หรือว่าทุกคนก็เป็นผู้ต้องสงสัย
กันหมดหรืออย่างไร?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านยังไม่เข้าใจอีก
รองเท้าของทุกคนเปื้อนดินโคลนจริง แต่ว่า
รองเท้าของที่เปื้อนดินสีแดง มันมีแต่ของท่านใต้
เท้าหูคนเดียวเท่านั้น”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 582 สมรู้ร่วมคิด
“ดินสีแดง?” หูป๋อเวินตกใจ เขารีบก้มลงไปมองที่
รองเท้าของตัวเอง
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหูจะลองถอดรองเท้า
ดูก็ได้นะ ที่พื้นรองเท้าของท่าน น่าจะยังมีดินสี
แดงเปื้อนอยู่ ตอนนั้นมันก็ไม่ได้เด่นชัดอะไรมาก
แต่ว่าข้าดันนึกได้พอดีว่า ท่านใต้เท้าหูเป็นคนของ
กรมพิธีการ ท่านค่อนข้างจะให้ความสาคัญเรื่อง
การแต่งงานภายนอกมาก ไม่เพียงเสื้อผ้าจะต้อง
สะอาดทุกวัน อีกทั้งก่อนที่ท่านจะนอนพัก ก็จะ
สั่งให้คนเอารองเท้าของท่านไปซักล้างและขัด
ก่อน ถูกต้องไหม?”
ตลอดการเดินทาง ทุกคนรู้เรื่องความเคยชินนี้
ของหูป๋อเวินดี แต่ว่าไม่มีใครสนใจ ตอนนี้พอฉี
หนิงพูดขึ้นมา ทุกคนก็นึกขึ้นมาได้เหมือนกัน
“เมื่อคืนก่อนเข้านอน ใต้เท้าหูเองก็ทาเหมือนเช่น
เคยให้คนเอารองเท้าไปขัด หลังจากวันนี้เช้าออก
เดินทาง ระหว่างทางแวะพักหนึ่งครั้ง อีกทัง้ ใต้
เท้าหูเองก็ไม่ได้ไปไหน ข้ายังจาได้ว่า ตรงที่พัก
มันก็ไม่ได้มีดินสีแดงเลย” ฉีหนิงพูดว่า “ก่อนที่ใต้
เท้าหูจะมาถึงที่นี่ ท่านขี่ม้ามาตลอด รองเท้าแทบ
จะไม่ได้ถูกพื้นเลย ดังนั้นก่อนที่จะถึงที่นี่ รองเท้า
ของท่านไม่มีทางเปื้อนดินสีแดงได้แน่นอน”
หูป๋อเวินสีหน้าแย่มาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ดังนั้นหลังจากข้ากลับไปที่ห้องแล้ว ข้าก็ลองดู
รองเท้าของตัวเอง แต่ว่ารองเท้าของข้าไม่มีดินสี
แดงเลย” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หลังจาก
ที่ใต้เท้าหูกับข้ารู้ว่าเกิดเรื่อง ก็อยู่แต่ในหมู่บ้าน
ตลอด หากรองเท้าของใต้เท้าหูเปื้อนดินสีแดง
รองเท้าของข้าก็ต้องเปื้อนเหมือนกัน แต่ว่าทาไม
ถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะ? ข้าเลยสั่งให้ฉีเฟิงไปสืบอย่าง
ละเอียด ในหมู่บ้านไม่มีดินสีแดงเลย พวกเขา
อาศัยช่วงที่มีการค้นหาตัวคนร้าย ออกตามหาไป
รอบๆ หมู่บ้าน ใต้เท้าหู ท่านลองเดาดูสิว่าพวก
เขาเจออะไร?”
หูป๋อเวินยิ้มแล้วพูดว่า “เจออะไร?”
“ที่นอกหมู่บ้าน มีสระน้าแห่งหนึ่ง” ฉีหนิงยิ้มแล้ว
พูดว่า “พูดไปแล้วมันก็แปลก ที่สระน้านั่น มันมี
ดินที่แปลกมาก เพราะมันเป็นสีแดง ฉีเฟิงเอาดิน
นั่นกลับมา พอข้าดูแล้ว มันเป็นดินแบบเดียวกัน
กับที่รองเท้าท่าน หากใต้เท้าหูไม่เชื่อ เราจะลอง
ไปดูที่สระน้านั่นดูก็ได้นะ”
หูป๋อเวินยิ้มแห้ง แต่ว่าสีหน้าของเขาซีดมาก
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าลองคิดๆ ดูแล้ว
ที่จริงก็ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจ ใต้เท้าหูบอกว่า
ตัวเองอยู่ในห้องตลอดเวลา ก็น่าจะไม่ได้พูดเรื่อง
จริง เพราะอย่างน้อยท่านก็ออกมาที่สระน้านี่ ฝน
ตกลงมาอย่างหนัก ใต้เท้าหูไม่อยู่ในห้อง แต่กลับ
ตากฝนออกมาที่สระน้าทาไมกัน? ข้าคิดขึ้นมาได้
ว่า เหลียงสยงบอกว่าหลังจากที่ออกมาจากเมือง
หลวงแล้วก็มีคนเหมือนสะกดรอยตามมาตลอด
ทาง เขาไม่ได้โกหก เพียงแต่คนที่ตามมาท้าย
ขบวนนั่นไม่ใช่คนของอู๋ต๋าหลิน แต่เป็นคนของใต้
เท้าหู...อืม พูดแบบนี้ก็ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ แต่ว่า
คนพวกนั้นน่าจะสนิทสนมกับท่านเป็นอย่างดี ใต้
เท้าหูยอมตากฝนออกมา ก็เพื่อมาหาเรือกับพวก
เขา”
หูป๋อเวินยิ้มแล้วพูดว่า “ทั้งหมดก็เป็นการคาดเดา
ของโหวเยว่คนเดียว ไม่มีหลักฐาน ท่านจะบอกว่า
ข้าแอบมาพบคนอื่น ท่านมีหลักฐานอะไร?”
ฉีหนิงไม่ได้สนใจ เขาพูดต่อว่า “ใต้เท้าหูแอบ
ออกมาพบคน ก็จะต้องมีความลับที่บอกใครไม่ได้
แต่ว่าอู๋ต๋าหลินสั่งให้ทหารเฝ้ารอบๆ เอาไว้จน
หมด หากใต้เท้าหูจะออกจากหมู่บ้าน ยังไงก็ต้อง
มีคนเห็น แน่นอนว่า เหลียงสยงเองก็มีอานาจใน
การสั่งย้ายกาลังพล และหาช่องให้ใต้เท้าหูออกไป
ได้ แต่ว่าหากทาอย่างนั้น มันก็จะเปิดช่องโหว่
ใครจะรับประกันได้ว่าคนที่เหลียงสยงสั่งย้ายนั้น
จะไม่พูดออกไป พวกเจ้าอาจจะรู้สึกว่าข้าอายุยัง
น้อย มีหลายเรื่องน่าจะไม่รู้เรื่อง แต่ว่าพวกเจ้า
กลับไม่กล้าประมาทท่านนายกองอู๋”
อู๋ต๋าหลิงหน้าดุมาก เขาพาดดาบไว้ที่คอของเหลี
ยงสยง เหลียงสยงนอนกองอยู่ที่พื้น ไหล่ของเขา
ถูกหลี่ถังฟัน เลือดไหลไม่หยุด ปนไปกับน้าฝน
“ใต้เท้าหูมีเรื่องจะออกไปพบคน ก็จะเป็นการ
เปิดเผยการเคลื่อนไหว หากต้องการปกปิดเรื่องนี้
จาเป็นต้องฆ่าคนปิดปาก” ฉีหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “น่าเสียดายทหารหลวงสามคนนั้น คิดไม่
ถึงเลยว่า เพราะเห็นว่าท่านออกจากหมู่บ้าน เลย
ทาให้โชคร้ายแบบนี”้
หูป๋อเวินยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่พูดแบบนี้มันไม่
แปลกไปหน่อยหรือ ท่านบอกว่าเหลียงสยงกับข้า
สมรู้ร่วมคิดกัน ถ้าอย่างนั้น ข้าส่งเหลียงสยงไป
พบไม่ดีกว่าหรือ ทาไมข้าต้องยอมตากฝนไปเอง
ด้วย? เหลียงสยงเดินลาดตระเวนในหมู่บ้าน เขา
ออกจากหมู่บ้านไป ไม่มีใครสงสัยแน่นอน ทาไม
ข้าต้องเสี่ยงออกไปเองด้วยล่ะ?”
“คนที่เจ้าจะไปเจอ เจ้าเจอได้ แต่เหลียงสยงจะไป
เจอไม่ได้” ฉีหนิงพูดว่า “เป้าหมายของเหลียง
สยงไม่เหมือนกับเจ้า อาจจะเป็นไปได้ว่า...เหลียง
สยงก็แค่หมากตัวหนึ่งของท่านตั้งแต่แรกแล้วก็
ได้”
“หมาก?”
“เหลียงสยงร่วมแผนการในครั้งนี้ หากข้าเดาไม่
ผิด เขาไม่ได้คิดจะทาลายคณะทูต แต่เป็นเพราะ
อู๋ต๋าหลิน” ฉีหนิงพูดว่า “อู๋ต๋าหลินเข้ามาในหน่วย
ทหารหลวงอวี้หลินไม่นาน เขาถูกสั่งย้ายมาจาก
ค่ายเสวียนอูและรับตาแหน่งรองผู้บัญชาการของ
หน่วยทหารหลวงอวี้หลินทันที ที่จริงมันก็ไม่ได้
เรื่องใหญ่อะไร แต่ว่ามันทาให้เหลียงสยงแค้น
เคืองมาก”
เหลียงสยงเสียเลือดไปมาก แต่วา่ ก็เป็นคนฝึกยุทธ
ร่างกายแข็งแรง ตอนนี้ก็ยังฝืนไหวอยู่ “แค้น
หรือ? ทาไมข้าต้องแค้นด้วย?”
“ข้าสั่งให้ฉีเฟิงไปลองสืบจากเหล่าทหารหลวงมา
แล้ว จากปากของพวกเขา ข้าได้เรื่องมาเรื่อง
หนึ่ง” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หลังจากที่ท่านรอง
เหลียงเข้ามาทางานในหน่วยทหารหลวงอวี้หลิน
แล้ว ดีกับทุกคนมาก อีกทั้งส่วนตัวของมีความ
สามารถ แล้วก็สนิทสนมกับฉือเฟิงเตียนพอควร
หลายปีมานี่ เจ้าก้าวหน้ามาก หากเดาไม่ผิดแล้ว
ล่ะก็ อีกสักปีสองปี เจ้าก็อาจจะขึ้นไปเป็นรองผู้
บัญชาการทหารหลวงอวี้หลิน แต่ว่าเจ้ากลับคิด
ไม่ถึงว่า ค่ายอวี้หลินกลับได้รองผู้บัญชาการใหม่
จากการโยกย้ายมาสองคน มันทาให้เส้นทางการ
ก้าวหน้าของเจ้ามันถูกปิดตาย แล้วถ้าเดาไม่ผิด
อีกสามถึงห้าปี ตาแหน่งรองผู้บัญชาการก็ไม่มี
ทางตกมาถึงเจ้าแน่นอน”
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “ที่น่าขาก็คือหลังจากที่ข้าได้ย้าย
มาที่ทหารหลวงอวี้หลินแล้ว เขาท่าทีเอาอกเอาใจ
ดีต่อข้ามาก เหมือนกับว่ารู้จักข้ามานานแสน
นาน” เขาจ้องไปที่เหลียงสยง แล้วพูดว่า “เหลียง
สยง วันนั้นเจ้าเชิญข้าไปกินเหล้าด้วย ยังบอกว่า
นับถือข้ามาก ข้าถูกย้ายมารับตาแหน่งนี้ เจ้า
ยอมรับอย่างเต็มใจ”
สายตาเหลียงสยงดุมาก เขาพูดว่า “ข้าเข้ามา
ทางานในหน่วยทหารหลวงอวี้หลิน กว่าจะเดิน
มาถงวันนี้ ข้าต้องแบกรอยยิ้มให้ทุกคน ปกติทา
อะไรก็จะระวังมาก กลัวว่าจะเกิดความผิดพลาด
ฉือเฟิงเตียนเคยรับปากข้า ว่าจะให้ข้ารับตาแหน่ง
รองผู้บัญชาการ แต่ว่าพอเจ้าเข้ามา ทุกอย่าง
สลายหายไปหมด ความพยายามตลอดหลายปีที่
ผ่านมา มันไม่เหลืออะไรเลย” เขาจ้องไปที่อู๋ต๋า
หลิน แล้วพูดว่า “ตอนนั้นเจ้าทาผิด จิ่นอีโหว
ร้องเรียนเจ้า สั่งย้ายเจ้าไปประจาชายแดน ข้าไม่
เคยทาอะไรผิดเลย แล้วทาไมเจ้าถึงได้ไปเหยียบ
บนหัวของข้าได้?”
หูป๋อเวินได้ยินเหลียงสยงพูดแบบนี้ เขาก็หน้าเสีย
เหลียงสยงพูดแบบนี้ นั่นก็หมายความว่าเขา
ยอมรับแล้วว่าเขาแค้นอู๋ต๋าหลินจริง เจ้าบ้านี่พอ
โกรธมากๆ ก็หลุดมาจนหมด
แต่ว่าเหลียงสยงก็ยังเจ้าเล่ห์ เขาตั้งใจพูดถึงเรื่อง
ของอู๋ต๋าหลินกับจวนจิ่นอีโหว แสดงว่าเขามีแผน
แต่อู๋ต๋าหลินกลับยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องมายุให้
เสียเวลาหรือก เรื่องการส่งเสบียงล่าช้า เดิมก็เป็น
การผิดกฎทหารอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนรู้ว่าท่านแม่
ทัพใหญ่จึงสั่งให้โบยข้าห้าสิบทีตามกฎทหาร รู้ว่า
ท่านแม่ทัพใหญ่ร้องเรียนข้า แต่ว่ามีไม่กี่คนเท่า
นั้นที่รู้ว่า หลังจากที่ข้าถูกโบย กลางดึกคืนนั้น
ท่านแม่ทัพมาหาข้าด้วยตัวเอง อีกทั้งยังทายาให้
ข้าเองด้วย คืนนั้นท่านแม่ทัพบอกข้าว่า เราขนส่ง
เสบียงมาล่าช้า ถึงแม้จะเป็นเพราะมีฝนตกหนัก
แต่ว่าบ้านเมืองมีกฎหมาย กองทัพก็มีกฎของ
กองทัพ ต้องตกรางวัลและลงโทษแยกกันให้ชัด
เจน ถึงทาให้คนเคารพและยอมทาตามคาสั่ง
อย่างเต็มใจ ดังนั้นเขาถึงได้เขียนฎีการ้องเรียนไป
ยังราชสานัก” เขาเงยหน้าแล้วพูดว่า “คืนนั้น ข้า
เองก็บอกท่านแม่ทัพใหญ่ว่า ในฐานะทหารคน
หนึ่ง มีโทษก็ต้องรับผิด ข้าไม่ติดใจ ท่านแม่ทัพ
เองยังมอบมีดสั้นให้ข้าเล่มหนึ่ง ข้ายังเก็บมัน
จนถึงวันนี้เลย”
หูป๋อเวินกับเหลียงสยงหน้าถอดสีทันที พวกเขา
คิดว่าการทีจ่ ิ่นอีตระกูลฉีร้องเรียนอู๋ต๋าหลิน เขา
จะต้องโกรธแค้นแน่นอน คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนั้น
ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วย พออู๋ต๋าหลินพูด
ออกมาแบบนี้ นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ได้โกรธ
หรือว่าเกลียดตระกูลฉีเลย
ฉีหนิงยิม้ แล้วพูดว่า “ลูกผู้ชายบางคนแยกแยะ
บุญคุณความแค้นชัดเจน รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่
บางคนเพื่อความแค้นส่วนตนแล้ว กลับเลือกทา
ทุกวิถีทางเพื่อแก้แค้น ไร้ยางอายจริงๆ” เขาจ้อง
ไปที่เหลียงสยงแล้วพูดว่า “การเดินทางของคณะ
ทูตในครั้งนี้ อู๋ต๋าหลินเป็นนายกองดูแลความ
ปลอดภัยของขบวน ส่วนเจ้าเป็นรองนายกอง
หลังจากรู้เรื่องนี้แล้ว เจ้ารู้ทันทีว่านี่คือโอกาส อีก
ทั้งในเวลานี้ ก็มีคนแอบไปหาเจ้า พวกเจ้าเลว
เหมือนกัน อาจจะมีคนรับปากเจ้า ว่าหากกาจัด
อู๋ต๋าหลินได้ เจ้าจะได้เป็นรองผู้บัญชาการ ซึ่งมัน
เป็นความฝันของเจ้าอยู่แล้ว เจ้าไม่มีทางทิ้ง
โอกาสนี้ไปได้แน่ ส่วนเจ้าก็กลายเป็นหมากตัว
หนึ่งให้พวกเขาควบคุม”
หูป๋อเวิน พูดว่า “โหวเยว่เดาได้น่าสนุกดีนะ”
“จะใช่การเดาหรือเปล่า พวกเจ้ารู้ดี ข้าเองก็รู้ดี”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เป้าหมายของเหลียงสยงคือ
กาจัดอู๋ต๋าหลิน ส่วนเป้าหมายของเจ้าใต้เท้าหูมัน
ใหญ่มากกว่านั้น ไม่เพียงต้องการกาจัดอู๋ต๋าหลิน
ยังต้องการขัดขวางการเดินทางไปตงฉีด้วย ทุก
อย่าง พวกเจ้าวางแผนมาอย่างรอบคอบแล้ว ใน
คณะทูต เจ้ามีเหลียงสยงเป็นผู้ช่วย ส่วนด้านนอก
คณะทูต เจ้าเอก็มีคนคอยสนับสนุนอยู่ แต่ว่า
วางแผนทั้งหมดนี้ คิดอยากจะให้เหลียงสยงทาให้
ข้าเข้าใจผิดว่า คนพวกนั้นเป็นพวกเดียวกันกับ
อู๋ต๋าหลิน”
“พวก?” หูป๋อหลินยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าตอนนี้ข้า
ยังไม่เห็นใครเลยนะ?”
“ไม่ต้องรีบร้อน” ฉีหนิงพูดว่า “ที่ควรมาเดี๋ยวมัน
ก็มา พวกเขาออกมาแน่ ข้ายังเชื่ออีกว่า คืนนี้
พวกเขาก็จะลงมือกันแล้ว”
หูป๋อเวินขมวดคิ้ว ฉีหนิงพูดต่อว่า “เจ้าออกจาก
หมู่บ้านไปแอบพบคน ก็น่าจะคงไปหารือเรื่องการ
ลงมือ ยังเหลืออีกวันหนึ่ง ก็จะไปถึงแม่น้าไหวเห๋อ
แล้ว หลังจากข้ามแม่น้าไป ก็จะออกจากเขต
แคว้นฉู่แล้ว ถึงเวลานั้นถ้าจะทาอะไรมันก็ไม่
สะดวก ดังนั้นเจ้าเลยต้องรีบหาโอกาสลงมือให้
เร็วที่สุด ทหารสามคนนั้นเห็นเจ้าออกจาก
หมู่บ้านไป เจ้าจาเป็นต้องฆ่าคนปิดปาก หากข้า
เดาไม่ผิด คนที่เรียกทหารสามคนนั้นมาก็น่าจะ
เป็นเหลียงสยง เหลียงสยงเบี่ยงเบนความสนใจ
ของทั้งสามคน ส่วนพวกของเจ้า ก็ฉวยโอกาสลง
มือจากด้านหลัง ใต้เท้าหูไม่เป็นวรยุทธ ต่อให้สาม
คนนั้นเอาคอยื่นมาให้เจ้าแทง เจ้าก็ไม่มีปัญญาฆ่า
สามคนนั้นได้หรือก” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหู
สิ่งที่ข้าคาดเดาไปนั้น มีถูกสักกี่ส่วน?”
หูป๋อเวินถอนหายใจแล้วพูดว่า “โหวเยว่น่าจะ
เป็นเล่านิทานที่โรงน้าชานะ จะต้องมีคนชอบมาก
แน่ๆ”
“หากคืนนี้ยข้าเชื่อคาพูดของพวกเจ้า กาจัดอู๋ต๋า
หลินที่นี่ หลังจากนี้คนที่คุมขบวนคณะทูตนั้นก็คือ
เหลียงสยง” ฉีหนิงพูดว่า “พอเหลียงสยงได้เป็น
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยได้ ไม่มีอู๋ต๋า
หลินเป็นอุปสรรค ขบวนคณะทูตก็จะอยู่ในกามือ
ของพวกเจ้า ถึงเวลานั้นคนของเจ้าก็จะบุกเข้ามา
ขบวนคณะทูตมีหนอนบ่อนไส้ ของกานัลก็คง
รักษาเอาไว้ไม่อยู่ พวกเจ้าก็จะฉวยโอกาส ตอนที่
เกิดความวุ่นวาย ฆ่าข้าไปเลยทีเดียว เมื่อเป็น
อย่างนั้น หลังจากที่กลับเมืองหลวงไปแล้ว เรื่องนี้
ก็จะกลายเป็นอู๋ต๋าหลินสบคบกับพวก ทาลายการ
เดินทางของคณะทูต ส่วนจิ่นอีโหวเองก็ตาย
เพราะคนของอู๋ต๋าหลิน ใต้เท้าหูกับท่านรองเหลี
ยงถึงแม้จะมีหน้าที่ แต่เพราะมีคนช่วยอยู่ ถึงเวลา
นั้นคงไม่เดือดร้อน” เขาไอ ยิ้มแล้วพูดว่า “ผลที่
จะเกิดขึ้น อู๋ต๋าหลินตาย เหลียงสยงกลายเป็นรอง
ผู้บัญชาการทหารหลวงอวี้หลิน ของกานัลถูก
ทาลาย ก็ไม่มีทางได้เดินทางต่อได้อีก การ
แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นพังไป จิ่น
อีโหวถูกสังหาร ราชสานักเสียประโยชน์ หึ...เรื่อง
ก็จะประมาณนี้ ใต้เท้าหู นิทานของขาเรื่องนี้
สนุกไหม?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 583 ความมั่นใจเต็มเปี่ยม
หูป๋อเวินถอนหายใจยาว เขายิ้มแล้วพูดว่า “โหว
เยว่คิดอย่างนี้ ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูด ท่านบอก
ว่าข้ากลัวทหารสามคนนั้นหลุดพูดเรื่องของข้า
เลยฆ่าพวกเขาปิดปาก หากเป็นอย่างนั้นจริง ข้ามี
พวกที่ร้ายกาจ แล้วจะมานั่งทาให้เหนื่อยแบบนี้
ทาไม ทหารสามคนนั้นถึงแม้จะระวังตัว แต่ว่า
หากจะฆ่าพวกเขา ก็ไม่เห็นจาเป็นต้องวุ่นวาย
ขนาดนี้เลย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหูเป็นคนฉลาด ทาไม
ตอนนี้ถึงได้เลอะเลือนแบบนี้ล่ะ ลอบสังหารคน
จากด้านหลัง สามารถสังหารคนได้ในพริบตา
เดียว โดยไม่มีโอกาสให้พวกเขาได้ร้องเลย แสดง
ว่าพวกเขามีวรยุทธ์ร้ายกาจมาก ข้าเชื่อว่า หาก
จะฆ่าคนปิดปาก ด้วยฝีมือของพวกนั้น น่าจะทา
ได้” เขายกมือขึ้นมาเช็ดน้าฝน เขายิ้มแล้วพูดว่า
“แต่ว่าใต้เท้าหูเป็นใครกัน? ชีวิตคนถึงสามคน ไม่
เพียงเป็นการฆ่าปิดปาก แต่ยังเป็นการใส่รา้ ยได้
เจ้าไม่มีทางพลาดโอกาสแบบนี้แน่นอน ที่ต้องทา
ให้ซับซ้อน ทาให้คนเข้าใจว่าเป็นคนสนิทใกล้ตัว
ลงมือ นั่นคือเป้าหมายของท่านใต้เท้าหู สรุป
ง่ายๆ ก็คือ ต้องการให้ข้าตกหลุมพรางของพวก
เจ้านั่นเอง”
“อ๋อ?”
ฉีหนิงพูดว่า “ก็อย่างที่ข้าสงสัยก่อนหน้านี้ ที่เกิด
เหตุ มันทาให้ข้าต้องสงสัยหัวหน้ารักษาความ
ปลอดภัยสองคน ส่วนอู๋ต๋าหลินก็น่าสงสัยมาก
ที่สุด ทั้งหมดใต้เท้าหูเป็นคนชี้นา มันก็ทาให้ข้า
สามารถเชื่อได้ว่าอู๋ต๋าหลินนั้นคือคนร้าย หาก
ไม่ใช่เพราะรองเท้าของเจ้ามีดินสีแดงเปื้อนอยู่ ทา
ให้ข้าเกิดความสงสัย ข้าคงต้องเข้าใจผิดใส่ร้ายคน
ดีแล้ว”
หูป๋อเวินหัวเราะแปลกๆ เขารู้สึกว่าเหมือนมี
ความเย็นจากเท้ามันกาลังกระจายไปทั่วตัว
“เจ้ากังวลว่าละครฉากนี้ของเจ้ามันยังไม่เพียงพอ
เลยแกล้งทาเป็นถูกลอบสังหารอีก” ฉีหนิงจ้องไป
ที่ตาขอหูป๋อเวิน “นักฆ่านั่น มันก็แค่การแสดง
ของเจ้า เหลียงสยงรู้แผนนี้อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น
ตอนที่เจ้าร้องตะโกนอยู่ในห้อง เขาก็เป็นแรกที่วิ่ง
ไปที่ห้องของเจ้า ร่วมแสดงละครพร้อมเจ้าไป
ด้วย”
หูป๋อเวินตากระตุก เขาทาได้แค่ยมิ้ แห้ง
“มันไม่มีนักฆ่ามาลอบฆ่าเจ้า เหลียงสยงเป็น
พยานว่าคนร้านหนีออกทางหน้าต่างไป” ฉีหนิงสี
หน้าจริงจังขึ้นมา “เป้าหมายของแผนการในครั้ง
นี้ ก็เพื่อโจมตีอู๋ต๋าหลินให้ถึงที่ตาย ใต้เท้าหูบอก
ว่าเห็นชัดว่าคนร้ายคืออู๋ต๋าหลิน ข้าจะไม่เชื่อท่าน
ได้ยังไง? ท่านจาเป็นจะต้องล่อให้ข้ากาจัดอู๋ต๋า
หลิน ยืมมือฆ่าคน ใต้เท้าหูคิดแผนนี้มาล่วงหน้า
แล้ว”
ฉีหนิงพูดจบ ก็มองไปรอบๆ
หลังจากนั้นไม่นาน หูป๋อเวินก็ถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “โหวเยว่ในเมื่อต้องการใส่ร้ายข้าน้อย ข้าจะ
ยังมีอะไรพูดได้อีก? ข้ามองท่านผิดไปจริงๆ”
“เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ที่จริงอยากจะรู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดไปนั้นมันจริงหรือ
เปล่า อีกเดี๋ยวก็ได้เห็นกันแล้ว ตามแผนที่เจ้าวาง
ไว้ เราจะกาจัดอู๋ต๋าหลินกันที่นี่ หลังจากนั้นเหลี
ยงสยงจะรับหน้าที่หัวหน้าชุดดูแลความปลอดภัย
แทนที่อู๋ต๋าหลิน พรุ่งนี้เราก็จะไปถึงที่แม่น้าไหว
เห๋อ ดังนั้นคืนนี้หากมีโอกาส พวกเจ้าไม่มีทาง
ปล่อยไปแน่นอน” เขายิ้ม เหลือบไปมองเหลียง
สยงที่นอนกองอยู่ที่พื้น แล้วพูดต่อว่า “ใต้เท้าหู
ข้ามาวางแผนแทนท่านดีไหม ท่านมาลองดูสิว่า
ข้าพูดถูกหรือเปล่า หลังจากที่เหลียงสยงรับหน้าที่
หัวหน้าชุดดูแลความปลอดภัยแล้ว คืนนี้จะมีการ
จัดเวรยามใหม่ อีกทั้งข้ามั่นใจว่า เขาจะต้องเลย
ช่องเอาไว้ ให้คนของท่านลอบเข้ามาในหมู่บ้าน
โดยไม่มีใครรู้ จากนั้นก็ทาลายของกานัล หลังจาก
ทาสาเร็จแล้ว เจ้าก็จะอาศัยความวุ่นวายที่เกิด
ขึ้นมาสังหารข้า ต่อให้ฆ่าข้าไม่สาเร็จ เจ้าก็ยัง
สามารถโยนความผิดนี้ให้กับอู๋ต๋าหลิน เจ้าว่ามัน
ร้ายกาจเปล่าล่ะ?”
หูป๋อเวินพยายามเก็บสีหน้าท่าทาง น้าเสียงของ
เขาดูกลัว “โหวเยว่ ท่าน...ท่าน...ใส่รา้ ยป้ายสีข้า
หลังจากกลับเมืองหลวงไป ข้าน้อย...ข้าน้อย...”
เขาถอนยหลังหลายก้าว ฉีหนิงหลบ แล้วเอามือ
จับหูป๋อเวิน หูป๋อเวินคิดจะวิ่งหนี ฉีหนิงยกเท้า
ขึ้นมา แล้วถีบไปด้านหลังของหูป๋อเวิน ทาให้เขา
ล้มลง
ไม่รอให้เขาลุกขึ้นมา ฉีเฟิงบุกขึ้นหน้าไป แล้วจับ
หูป๋อเวินกดลงกับพื้น จากนั้นก็ได้พวกที่อยู่
ด้านข้างเอาเชือกมาจับหูป๋อเวินมัดเอาไว้
ส่วนหลี่ถังก็ให้คนจับเหลียงสยงมัดไว้เช่นกัน หูป๋อ
เวินหน้าเสียหนักมาก “ฉีหนิง เจ้า...เจ้าใส่ร้ายคน
ดี ข้า...ข้าไม่จบเรื่องนี้ง่ายๆ แน่”
ฉีหนิงพูดว่า “ใส่ร้ายเจ้าหรือเปล่า เดี๋ยวก็ร”ู้ เขา
โบกมือ สั่งให้ฉีเฟิงนาตัวพวกเขาไป
อู๋ต๋าหลินเก็บดาบ เดินขึ้นหน้าแล้วคานับแล้วพูด
ว่า “โหวเยว่ ข้าน้อย......เห้อ หากไม่ใช่เพราะโหว
เยว่ เกรงว่าข้าน้อยคงตายอย่างมีมลทินแล้ว”
ฉีหนิงจริงจังมาก “ท่านนายกองอู๋ ตอนนี้ยังไม่ใช่
เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้กัน เราต้องรีบกลับไปที่
หมู่บ้าน แล้วเตรียมการทุกอย่างให้ดี คืนนี้คน
พวกนั้นจะต้องมาลงมือแน่นอน เราจะให้พวกเขา
ทาสาเร็จไม่ได้เด็ดขาด”
ทันใดนั้นเองฟ้าผ่าลงมาจากฟ้า น้าฝนตกลงมาอีก
ครั้ง
ฉีหนิงยืนอยู่หลังหน้าต่างห้อง ท่าทางเคร่งเครียด
มาก เขายืนมือไขว้หลัง เหมือนกาลังคิดอะไรอยู่
ตอนนี้มันตอนดึกของอีกวันแล้ว ในหมู่บ้านเงียบ
เหมือนป่าช้า ก่อนหน้านี้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก
ตอนนี้ฝนเบาบางลงบ้างแล้ว ลมพัดโชยเข้า
หน้าต่างมา โชยเข้าหน้าของฉีหนิง ทาให้เขา
เหมือนตื่นตัวตลอดเวลา
ฉีหนิงอดทนมาก ถึงแม้จะรอมากว่าหนึ่งชั่วยาม
แล้ว แต่ว่าเขายังคงนิ่งอยู่
เมื่อเห็นเงาของคนหลายคนโผล่มาไม่ไกลจาก
หน้าต่าง ฉีหนิงก็ยิ้มมุมปาก
สายตาของเขาเฉียบแหลมเห็นทุกอย่างชัดมาก
พวกเขาเคลื่อนไหวว่องไวมาก ทุกคนมีอาวุธครบ
มือ อย่างน้อยก็มากันเจ็ดแปดคน ทุกคนเตรียม
พร้อมกันหมด
คนด้านหน้าสุดเหมือนระวังตัวมาก เขากวาด
สายตาไปทั่ว จากนั้นก็ยกมือกวักให้คนที่เหลือ
ตามมา เขาตรงไปที่บ้านหลังหนึ่ง
ที่บ้านหลังนี้ไม่มีทหารเฝ้าเวรอยู่แล้ว ด้านในมี
สองห้อง ด้านซ้ายเป็นห้องหลัก อีกห้องอยู่
ทางด้านขวา เดิมห้องนี้ไม่มีอะไรเป็นห้องโล่งๆ
แต่ในตอนนี้ในห้องมีของเต็มไปหมด ที่นี่เป็นบ้าน
หลังที่ใหญ่ที่สุดของหมู่บ้าน อีกทั้งยังเป็นบ้านที่
ยังอยู่ในสภาพดีอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้มีคนอยู่มานาน
มากแล้ว มีผุพังไปบ้าง แต่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องฝนที่
ตกลงมา
ด้านบนของ มีการคลุมผ้าใบไว้ ที่ห้องโถงหลักมี
ทหารเวรนั่งอยู่ที่พื้นห้าหกคน มีสองคนที่ฝืนลืม
ตาขึ้นอยู่ ส่วนคนอื่นหลับสนิทแล้ว เงาพวกนั้น
เจาะกาแพงลอบเข้ามาผ่านรู้ เมื่อเห็นสภาพด้าน
ในห้อง ก็ส่งสัญญาณให้คนอื่นเข้ามา
หน้าต่างด้านหลังปิดสนิท ทหารหลวงอวี้หลินยัง
ใช้ผ้าใบคลุมไว้อีกชั้น คนที่นาหน้าเข้ามาถือมีดสั้น
เอาไว้ในมือ กรีดผ้าใบออก แล้วมอง สายตาของ
พวกเขาตกใจมาก ในห้องมีของวางอยู่จริง แต่ว่า
ไม่มีคนเฝ้าอยู่ในห้องที่วางของเลย เขาไม่ลังเลอีก
เขาใช้มีดสั้นของเขากรีดไปที่ผ้าจากนั้นก็พลิกตัว
เข้าห้องมา พวกเขาลงมือกันเบามาก คนทีต่ ามมา
ค่อยเข้ามาในห้องทีละคน สุดท้ายเหลือคนดูต้น
ทางคนเดียว
เมื่อเข้ามาในห้อง คนที่เป็นผู้นาส่งสัญญาณ คนที่
ตามมาก็ถอดถุงหนังวัวออก จากนั้นก็เทราดน้าที่
อยู่ด้านในบนกองของ มีคนหนึ่งเมื่อราดน้าจากถุง
หนังวัวแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะดึงผ้าใบออกดู แต่
ทันใดนั้นเองแสงสะท้อนสว่างขึ้น ผู้นาคนที่ถอื มีด
สั้นนั้นเอาดาบจี้คอคนที่ต้องการจะเปิดผ้าใบ เขา
เลยรีบเก็บมือไป
เมื่อเห็นทุกคนราดน้าจนหมดแล้ว เขาก็หยิบที่จุด
ไฟขึ้นมา เขาเป่าให้ไฟติด ในห้องที่มืดมนก็สว่าง
ขึ้น ผู้นาคนนั้นไม่ลังเลใจ โยนที่จุดไฟลงไปที่ผ้าใบ
ไฟลุกโชนขึ้นมาทันที
ถุงหนังวัวของพวกเขามันคือน้ามัน เมื่อถูกไฟมันก็
จะลุกลามรุนแรงมาก
ผู้นาคนนั้นเห็นไฟลุกโชน สายตาของเขาเหมือน
ได้ใจมาก เขาโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนถอน
กาลัง ทุกคนถือดาบแล้วพุ่งไปที่หน้าต่าง คนที่อยู่
ใกล้หน้าต่างที่สุดห่างแค่สามก้าวเท่านั้น ทันใด
นั้นเองพวกเขาก็ถูกธนูยิง ธนูนั่นมาไวมาก มันไม่มี
ลางบอกเหตุมาก่อนเลย จากนั้นธนูก็ตามมาอีก
หลายดอก พุ่งทะลุคอบ้าง หน้าอกบ้าง
คนที่อยู่ด้านหลังพวกเขาตกใจมาก ในตอนนี้เอง
ก็มีเสียงยิงธนูมาอย่างต่อเนื่อง มันพุ่งเข้ามาจน
มองแทบไม่ชัด ที่ด้านนอกหน้าต่างมีมือธนูยืน
เรียงแถวสิบคนอยู่สองแถว พวกเขายิงธนูเข้ามา
กันอย่างต่อเนื่อง ในตอนนี้หากจะหนีไปทาง
หน้าต่างนั้น แทบทาไม่ได้แล้ว
เมื่อธนูยิงเข้ามา พวกเขาก็ใช้ดาบพยายามปัด มี
คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “แย่แล้ว เราตกหลุมพราง
เข้าให้แล้ว”
“ออกไปทางหน้าต่าง” จู่ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง
ขึ้นมา หัวหน้าทีมยังคงนิ่ง เขาหันไปทางหน้าต่าง
ด้านหน้า ยังไม่ทันเข้าใกล้ ก็มีธนูพุ่งเข้ามาอีก
หน้าต่างถูกธนูยิงจนพัง ธนูพวกนั้นเหมือนฟ้าผ่า
เลย
ตอนนี้ภายในห้องไฟลุกโชนหนักมาก ของที่ถูก
ผ้าใบปิดอยู่ ถูกไฟคลอกจนหมด ฝนตกลงมาใน
คืนนี้ อากาศเย็นมาก แต่ว่าไฟที่กาลังลุก ทาให้
ภายในห้องอุณหภูมิสูงมาก ทั้งด้านหน้าและ
ด้านหลังธนูยิงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทุกคนถูกบีบ
ให้มายืนรวมกัน แล้วใช้ดาบปัดธนู
“เราต้องฝ่าออกไป...” มีคนพูดขึ้นมา “หากเรา
ออกไปไม่ได้ เราก็จะถูกไฟคลอกตายอยู่ในนี้......”
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาความเป็นความตาย ทุกคนรู้
ว่าหน้าต่างถูกปิดตาย ไม่มีทางออกไปได้แน่
จาเป็นจะต้องฝ่าออกจากทางประตูเท่านั้น ผูน้ า
คนนั้นตัดสินใจเด็ดขาด เขาสั่งให้คนคุ้มกันเขา
แล้วค่อยๆ เดินไปที่ประตู จากนั้นก็ยื่นมือไปเปิด
ประตู พวกเขาพบว่าประตูเองก็ถูกปิดจากด้าน
นอก มันเปิดไม่ออก เขาพยายามจะถีบประตูให้
พังจนเป็นรู
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะคอกรุนแรงจากด้านนอกว่า
“ฆ่าพวกโจรพวกนี้อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คน
เดียว” ระหว่างที่พูด ก็แทงทวนเข้าจากทางรู
ผู้นาคนนั้นตกใจมาก เขารีบถอยหลังไปสองก้าว
แล้วสะบัดดาบฟันไปที่หัวทวน ทันใดนั้นเองเขาก็
ได้ยินเสียงร้อง เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นคนของ
เขาถูกธนูล้มลงนอนกับพื้นไปแล้วสองคน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 584 ไฟที่ลุกโชน
ฝนตกลงมาเบาลงแล้ว แต่ไฟยังลุกโชนอยู่ ของถูก
วางกองอยู่นอกบ้าน มีทหารอวี้หลินล้อมกันเอาไว้
สามชั้น มือธนูปิดทางหน้าต่างทั้งหน้าและหลัง
ทหารอวี้หลินคนอื่นถือทวนเอาไว้ในมือ ภายใน
ห้องลมแทบจะพัดไม่เข้า คนที่อยูด่ ้านใน ก็
ออกมาไม่ได้
ฉีหนิงยืนเอามือไขว้หลัง แล้วยืนดูอยู่ไม่ไกล เขา
จ้องมาที่บ้านหลังที่ไฟไหม้อยู่ สายตาของเขาดุ
มาก ที่ด้านหลังเขา ซ้ายขวาคืออู๋ต๋าหลินกับฉีเฟิง
ส่วนหูป๋อเวินที่ถูกมัดเป็นก้อนกลมๆ สีหน้าก็ซีด
เขายืนอยู่หลังฉีหนิงไม่ไกล มีทหารอวี้หลินสอง
คนคุมอยู่ มีคนหนึ่งเอาดาบพาดที่บ่าของหูป๋อเวิน
ภายในบ้านหลังนั้นมีเสียงร้องดังอย่างต่อเนื่อง
บางคนถูกธนูยิงตาย คนที่เหลือถึงแม้จะอยาก
ออกจากหนีไปห้องโถงหลัก แต่ว่าทางนั้นมีทหาร
เฝ้าอยู่ หลี่ถังนาคนไปเฝ้าอยู่ที่นั่นด้วยตัวเอง คน
พวกนั้นจะหนีออกมาก็ไม่ได้
“โหวเยว่เดาได้อย่างกับตาเห็น” อู๋ต๋าหลินสีหน้า
เคร่งเครียดมาก “หากไม่ใช่โหวเยว่มองแผนของ
เจ้าสารเลวหูป๋อเวินได้ ของกานัลคงถูกทาลาย
การเดินทางไปตงฉีคงล่มไป”
“ท่านนายกองอู๋ ของกานัลไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ฉีหนิงหันมาถาม
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “ตามที่โหวเยว่สั่ง ได้สั่งย้ายของ
กานัลออกไปจนหมดแล้ว อีกทั้งยังสั่งทหารเฝ้า
เอาไว้อย่างดี ไม่มีปัญหาแน่นอน”
ฉีหนิงพยักหน้าเล็กน้อย ฉีเฟิงถามขึ้นมาว่า “โหว
เยว่ เราจับเป็นสักสองคนดีไหม จะได้สอบสวนให้
มันสารภาพออกมา?”
“พวกเขารู้อะไรไม่มากหรอก” ฉีหนิงพูดว่า “ใคร
อยู่เบื้องหลัง ที่จริงแล้วใต้เท้าหูรู้ดีแก่ใจ” เขาหัน
หลังไป เขาเดินไปที่หน้าของหูป๋อเวิน แล้วพูดว่า
“ใต้เท้าหู ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้ามีอะไรอยากจะพูดอีก
ไหม?”
หูป๋อเวินเงยหน้าขึ้นมา หลับตา แต่ไม่พูดอะไร
“ที่จริงแล้วเจ้าเองก็ถือว่าสร้างผลงานใหญ่นะ” ฉี
หนิงพูดว่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีคนทั้งในและ
นอก แผนการของข้า พวกเขาคงไม่ติดกับ”
หูป๋อเวินถอนหายใจ แล้วพูดว่า “โหวน้อย ข้า
ประมาทท่านเกินไป คิดไม่ถึงเลยว่าท่านอายุแค่นี้
จะเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการขนาดนี้”
“หากไม่คิดให้เยอะหน่อย คงถูกกลืนเข้าท้องไป
แล้ว ข้าคงไม่รู้ตัวเลยว่าข้าตายยังไง” ฉีหนิงถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหู ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้
เจ้าเป็นรองราชทูต ทรงมีพระกรุณากับเจ้ามาก
แต่เจ้าไม่เพียงไม่สานึกพระกรุณาธิคุณของ
พระองค์ ยังกล้าทาลายขบวนการเดินทางไปตงฉี
อีก เจ้าควรจะรู้นะ หากเรื่องนี้รู้ถึงหูราชสานัก
เจ้าจะตกอยู่ในสภาพไหน”
หูป๋อเวินมองไปที่ฉีหนิง เขายิ้มแล้วพูดว่า “เรื่อง
มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูด โหวเยว่จะ
ฆ่าจะแกง ก็ตามแต่ใจท่านเถอะ”
“จะฆ่าจะแกง ให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยเอง”
ฉีหนิงพูดว่า “ใต้เท้าหู เจ้าเองก็ยังไม่ต้องคิดว่า
ต้องตายแน่ๆ แล้ว ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้เจ้าเองก็ถูกคน
หลอกใช้เป็นหมากตัวหนึ่งเท่านั้น พูดอย่างไม่
เกรงใจเลยนะ เจ้าเป็นแค่ซื่อหลางของกรมพิธีการ
ต่อให้คิดอยากจะทาเรื่องนี้ ก็ไม่กล้าหรอก ข้า
แปลกใจอยู่ว่า หากเรื่องนี้สาเร็จ เจ้าเองก็จะมี
ผลงานไม่น้อยเลย แค่เจ้ากลับยอมให้คนอื่นมาสั่ง
การเจ้า ทาลายคณะทูตทาไม?”
หูป๋อเวินยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ต้องการสอบสวน
ข้าหรอ?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ลง
ทัณฑ์โดยพลการหรอก แต่จะมีคนมาสอบสวน
เจ้าแน่นอน” เขาเอามือไขว้หลังแล้วพูดว่า “ที่
จริงเหลียงสยงฉลาดกว่าเจ้ามาก หากไม่ใช่เพราะ
เขาสารภาพว่าพวกเจ้าร่วมมือกัน แผนการของข้า
คงไม่สมบูรณ์ แล้วอาจจะถูกจับทางได้”
“เขาดูเป็นคนกล้าหาญก็จริง แต่ที่จริงแล้วเขาขี้
กลัวยิ่งกว่าหนูสักอีก” หูป๋อเวินพูดว่า “โหวเยว่
คิดว่าคนแบบนั้น จะมีใครเชื่อหรอ?”
“เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
หูป๋อเวินยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ไม่ได้หมายความว่ายังไง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าโหวเยว่ได้อะไรจากปากเขาบ้าง
ล่ะ?”
ฉีหนิงย้อนถามกลับไปว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะถาม
อะไรเขา?”
“โหวเยว่ก็ต้องถามว่า ใครอยู่เบือ้ งหลังการ
ทาลายการเดินทางของคณะทูตอยู่แล้ว” หูป๋อ
เวินถึงแม้จะหน้าซีด แต่ว่าน้าเสียงของเขายังนิ่ง
อยู่ “เหลียงสยงเองก็น่าจะสารภาพมาหมดแล้ว”
ฉีหนิงพูดว่า “ในเมื่อเขาสารภาพแล้ว ใต้เท้าหูก็
ไม่จะปิดปากสนิทอีกแล้ว เพราะมันไม่มี
ประโยชน์”
หูป๋อเวินหัวเราะร่าออกมา ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้ว
ถามว่า “เจ้าคิดว่ามันน่าขามากหรอ?”
“ข้าก็แค่รู้สึกเสียใจ โหวเยว่เป็นคนฉลาด แผน
ของเราท่านเองก็รู้ดีอย่างละเอียด แต่ว่าพอถึง
เวลาจริงๆ ท่านเองก็คงถูกเหลียงสยงหลอกเข้าให้
อยู่ดี”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าถูก
หลอก?”
“ในเมื่อโหวเยว่รู้ว่าเหลียงสยงเป็นแค่หมากตัว
หนึ่ง แล้วท่านคิดว่าเขาจะรู้ความจริงเรื่องนี้
เท่าไหร่กัน?” หูป๋อเวินยิ้มแล้วพูดว่า “คนแบบนั้น
ข้าไม่เคยเชื่อใจเขาแต่แรกอยู่แล้ว โหวเยว่เองก็
น่าจะรู้ ข้าน้อยมาเป็นขุนนางมาตั้งหลายปี ตอนนี้
ก็ห้าสิบเข้าไปแล้ว คิดจะปั่นหัวเหลียงสยง ก็ไม่ใช่
เรื่องยาก”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเชื่อ เหลียงสยงถูก
เจ้าปั่นหัว ส่วนเจ้าเองก็ถูกคนอื่นเขาปั่นหัว
เช่นกัน”
หูป๋อเวินพูดว่า “โหวเยว่ประเมินข้าน้อยต่าเกินไป
แล้ว เหลียงสยงเป็นหมากให้ข้าปั่นหัว เขาไม่รู้ตัว
เลย แต่ว่าที่ข้าถูกคนอืน่ ปั่นหัว ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ
สองอย่างนี้มันไม่เหมือนกัน โหวเยว่อย่าเอาข้าไป
เทียบกับเขาแบบนี้เลย”
ฉีเฟิงยืนอยู่ข้างฉีหนิง เห็นท่าทางเย่อหยิ่งของหู
ป๋อเวิน ก็มองแล้วขัดหูขัดตา “เจ้าแซ่หู ไม่ต้องเส
แสร้งแกล้งทา จะตายอยู่แล้ว ยังปากแข็งอีก เจ้า
สารภาพมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นข้าจะจับเจ้าโยนเข้า
กองไฟเดี๋ยวนี้เลย”
ไฟยังคงลุกโชนอยู่ มือธนูแบ่งกันปิดหน้าต่างทั้ง
ด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อมีคนเข้าใกล้หน้าต่าง
ก็จะยิงธนูเข้าใส่ทันที ภายในห้องเก็บของไฟไหม้
หนักมาก มีคนกรีดร้องมาจากด้านในอย่าง
ต่อเนื่อง พวกเขากรีดร้องอย่างโหยหวน ราวกับ
ถูกนาวิญญาณไปลงทัณฑ์ในนรก
หูป๋อเวินได้ยินเสียงกรีดร้องนั่น ก็เหมือนจะตา
กระตุก ฉีหนิงสบายๆ ไม่เปลี่ยนสีหน้า เหมือน
ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
กับศัตรู ฉีหนิงไม่เคยปราณีอยู่แล้ว
“หากโหวเยว่จะฆ่าข้า ก็ลงมือได้เลย” หูป๋อเวิน
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเลือกเดินทางนี้ ก็
รู้อยู่แล้วว่ามันเสี่ยงแค่ไหน หากไม่ระวัง ตัวข้าเอง
ก็คงไม่รอด แต่ในบางครั้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเส้นทางที่
เดินมันอันตราย แต่จะไม่เดินมันก็ไม่ได้ โหวเยว่
อายุยังน้อย อาจจะไม่เข้าใจความจาเป็นแบบนี้
สักวันหนึ่ง ท่านอาจจะเข้าใจความลาบากใจของ
ข้าน้อยก็ได้” เขาหลับตาลง แล้วไม่พูดอะไรอีก
เลย
ฉีหนิงเห็นอย่างนั้น ก็รู้ว่าหูป๋อเวินตัดสินใจแล้วว่า
จะไม่พูด เขาเองก็ไม่บังคับฝืนใจ เขาส่งสัญญาณ
ทหารก็นาตัวหูป๋อเวินออกไป
“โหวเยว่ จะให้ส่งคนคุมตัวเขากลับเมืองหลวง
หรือเปล่า?” อู๋ต๋าหลินพูดว่า “หรือว่าจะจัดการ
ที่นี่เลย?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ถึงแม้เขาจะมีโทษไม่
น่าให้อภัย แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นขุนนางราชสานัก
อยู่ ให้ฝ่าบาททรงตัดสินดีกว่า แต่ว่าตอนนี้จะส่ง
ตัวเขากลับไปไม่ได้เด็ดขาด”
“อ๋อ?” อู๋ต๋าหลินขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หรือว่าโหว
เยว่จะพาเขาไปตงฉีด้วย?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เราก็จะเดินทางไปถึง
ริมแม่น้าไหวเห๋อแล้ว กองทัพฉินไหวมีค่ายอยู่ที่
ริมฝั่งแม่น้านั่น ก่อนข้ามแม่น้าไป เราจะเอาสอง
คนนี้ฝากขังไว้ที่ค่ายทหารในกองทัพฉินไหวก่อน
ไว้เรากลับจากตงฉี ค่อยคุมตัวเขากลับเมืองหลวง
ไปพร้อมกัน”
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “โหวเยว่กังวลว่าหากส่งตัวพวก
เขากลับไปก่อน จะเกิดเรื่องอย่างนั้นหรอ?”
ฉีหนิงพูดว่า “เป็นถึงรองราชทูตต้าฉู่ ยังไม่ทัน
ออกนอกเขตต้าฉู่ ก็ถูกส่งตัวกลับเมืองหลวง หาก
เรื่องนี้แพร่ออกไป จะต้องเกิดการวิพากษ์วิจารณ์
แน่ แล้วมันจะต้องกระทบถึงการไปตงฉีในครั้งนี้
ด้วย” เขายิ้มแล้วพูดว่า “อีกอย่างหากส่งตัวพวก
เขากลับไปตอนนี้ แต่เรากลับไปตงฉีต่อ ใครจะรู้
ว่าหูป๋อเวินกลับเมืองหลวงไปแล้ว จะมีอะไร
เปลี่ยนไปหรือเปล่า เจ้าอย่าลืมนะว่า คนที่
สามารถบงการซื่อหลางกรมพิธีการมาเสี่ยง
อันตรายแบบนี้ได้ แสดงว่าเขาคนนั้นจะทาอะไรก็
ได้ทั้งนั้น เรื่องนี้สาคัญมาก เราจะรีบร้อนไม่ได้
เด็ดขาด”
อู๋ต๋าหลินคิดในใจว่าจิ่นอีโหวอายุยังน้อย แต่ว่า
เขาฉลาดมาก คิดอะไรรอบคอบ เขาแอบนับถือ
ในใจ เขายกมือคานับแล้วพูดว่า “ทุกอย่างเป็นไป
ตามที่โหวเยว่สั่งการ”
ตอนนี้เสียงกรีดร้องจากด้านนอกหยุดลงแล้ว หลี่
ถังพาทหารอวี้หลินถอยออกมาจากบ้านหลังนั้น
ห้องในบ้านหลังนั้นถูกไฟกลืนลงไปหมด ฝนตก
ลดลงไปมาก แต่ว่าไฟกลับไม่ได้ถูกฝนดับเลย
อู๋ต๋าหลินเดินขึ้นหน้าไป แต่ไม่ได้สั่งให้ทหารถอย
กลับออกมา
ฉีเฟิงขยับเข้าไปใกล้ฉีหนิง แล้วพูดว่า “โหวเยว่
คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร ไม่
ต้องสอบสวนเลยด้วยซ้ายังได้”
“หือ?” ฉีหนิงเหลือบไปมองฉีเฟิง แล้วพูดว่า
“ท่านหัวหน้าองครักษ์ฉีดูดวงเป็นด้วยหรอ?”
ฉีเฟิงเขิน แล้วพูดว่า “โหวเยว่ นอกจากเจ้าเฒ่า
เจ้าเล่ห์ซือหม่าแล้ว จะมีใครอีก? หลานสาวของ
เขาเข้าวังไม่ได้ เป็นฮองเฮาไม่ได้ เขาเลยคิด
หาทางทาลายการไปตงฉีในครั้งนี้ไง”
“อย่าพูดเหลวไหล” ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียง
เข้มว่า “ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานอะไรบอกว่า
ตระกูลซือหม่าเป็นคนทา ก่อนที่จะมีหลักฐาน
อะไรในเรื่องนี้ ห้ามพูดเหลวไหลเด็ดขาด”
ฉีเฟิงเห็นโหวน้อยเหมือนจะโกรธแล้ว เขาเลยไม่
กล้าพูดอะไรอีก
หลังจากนั้น ก็ได้ยินดังขึ้น เหมือนห้องในบ้านหลัง
นั้นจะถล่มลงมา คนภายในห้องนั้น น่าจะตายไป
หมดแล้ว ไม่ตายเพราะธนู ก็ตายเพราะถูกไฟเผา
ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว
หลังจากที่ห้องถล่มลงมาแล้ว ไม่นานนัก ไฟก็ค่อย
มอดลงท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาทั้งคืน เมื่อไฟ
มอดจนหมดแล้ว ทหารอวี้หลินก็เข้าไปตรวจค้น
จนพบศพทั้งหมดเจ็ดศพ สี่ในเจ็ดคนถูกธนูยิงตาย
อีกสามคนถูกไฟเผาตาย
คนชุดดาอีกคนที่เฝ้าดูต้นทาง ถูกทหารอวี้หลินยิง
ธนูดอกเดียวตายทันที รวมทั้งหมดแปดศพ
ฉีหนิงรู้ว่าหากทิ้งศพพวกนี้ที่นี่ หมู่บ้านนี้ก็ไม่ค่อย
มีคนมา คงไม่มีใครรู้ แต่ว่าก็กังวลว่าหากศพเน่า
แล้ว มันส่งกลิ่นแล้วก็แพร่โรคระบาด เลยสั่ง
ทหารให้ขุดหลุมที่ใกล้ๆ หมู่บ้านแล้วเอาพวกเขา
ไปฝัง
คืนนี้พวกเขามั่นใจมาก ทหารอวี้หลินไม่มีใครตาย
เลยแม้แต่คนเดียว หลังจากที่ฝังศพแล้ว เก็บ
กวาดทุกอย่างเรียบร้อย ฟ้าก็เริ่มสางแล้ว อีกทั้ง
ฝนตกลงมาทั้งคืน ในที่สุดก็ได้พักกันสักที อู๋ต๋า
หลินสั่งให้เหล่าทหารขนของทุกอย่างใส่รถแล้ว
เตรียมเดินทางอีกครั้ง
ก่อนฟ้าสว่าง คณะทูตเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง หู
ป๋อเวินกับเหลียงสยงถูกจับกุมตลอดการเดินทาง
หูป๋อเวินไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คาเดียว แต่เหลียงส
ยงกลับรู้สึกกลัว เขาจะหันไปคุกกับทหารที่เฝ้า
เขาอยู่เป็นระยะๆ แต่ว่าอู๋ต๋าหลินได้สั่งเอาไว้แล้ว
ห้ามใครพูดคุยกับพวกเขาสองคนเด็ดขาด เลยไม่
มีใครสนใจเหลียงสยง
อากาศหลังฝนตกชื้นนิดหน่อย ต้นไม้ใบหญ้าเขียว
สดงดงามสดชื่น
ถึงแม้จะตรวจพบอันตรายและแก้ไขสถานการณ์
ได้ทัน แต่ว่ายังไม่ทันจะออกนอกแคว้นฉู่ รอง
คณะทูตกับรองหัวหน้ารักษาความปลอดภัยกลับ
ถูกจับ ฉีหนิงไม่พอใจเลย
ก่อนตกเย็น อู๋ต๋าหลินขี่ม้ามาข้างๆ ฉีหนิง เขาชี้ไป
ด้านหน้า “โหวเยว่ ข้างหน้านี้ก็เป็นค่ายกองทัพ
ฉินไหวแล้ว อีกไม่ถึงยี่สิบลี้ ก็จะเป็นแม่น้าไหว
ซุ่ย” ฉีหนิงเงยหน้ามองไป เขาเห็นค่ายทหาร
ตั้งอยู่จริงๆ จากนั้นก็เห็นกาลังพลกลุ่มหนึ่งกาลัง
ขี่ม้ามุ่งมาทางนี้ จากนั้นก็สะบัดธง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 585 ค่ายทหาร
แม่น้ำไหวเห๋อ แยงซีเกียง ฮวงโห ฉีซุ่ย ถูกขนานนาม
ว่าคูน้ำสี่สาย เป็นหนึ่งในสี่แม่น้ำสำคัญที่ไหลลงสู่
ทะเลเพียงอย่างเดียว พวกมันไหลหักโค้งไปทางทิศ
ตะวันออกเฉียงเหนือ ไหลผ่านแม่น้ำไหวอิ่น ไปทาง
ทิศตะวันออกและไหลลงสู่ทะเล แม่น้ำสายนี้ทั้งเชี่ยว
และลึก ไม่มีเนินไม่มีเขื่อนที่กั้น ดังนัน้ ชาวบ้านสอง
ฟากฝั่งจึงถูกน้ำท่วมเป็นประจำ
ก่อนหน้าที่จะเกิดศึกฉินไหว แคว้นฉูค่ วบคุมพื้นที่
สองเขตทางเหนือของแม่น้ำไหวซุ่ย มีทหาร
ประจำการอยู่เป็นจำนวนมาก ราวกับว่าเอาปลาย
ดาบจ่อคอของชาวเป่ยฮั่นอยู่ ซึง่ ในความเป็นจริงแล้ว
สิทธิ์ในการควบคุมแม่น้ำไหวซุ่ยในหลายปีที่ผ่านมา
อยู่ในกำมือของหนานฉู่
ถึงแม้เป่ยฮั่นจะก่อตั้งแคว้นก่อนหน้าหนานฉู่ แต่
ว่าเป่ยฮั่นฝักใฝ่การขยายอำนาจอาณาเขต การยึด
ครองดินแดนทางเหนือของตระกูลเป่ยถังนัน้ พวกเขา
ลงทุนลงแรงไปมากทีเดียว ก่อนที่จะยึดทางเหนือ
ทั้งหมดได้ ตระกูลเป่ยถังไม่มีทางยกทัพลงใต้มา
แน่นอน ส่วนตระกูลเซียวก็ฉวยโอกาส ยกทัพยึด
ดินแดนทางใต้ เมื่อตระกูลเป่ยถังยึดดินแดนทาง
เหนือจนครบแล้ว ตระกูลเซียวเองก็ได้ยึดครอง
ดินแดนทางใต้ทั้งหมดและสถาปนาแคว้นขึ้นมา
เรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองฝ่ายเหมือนจะประกาศแสนยานุภาพพร้อมกัน
ต่างฝ่ายต่างได้รับชัยชนะ เป่ยฮั่นยึดครองดินแดน
มาถึงริมแม่น้ำแยงซีเกียง ส่วนกองทัพหนานฉู่ก็กิน
พื้นที่มาจนถึงแม่น้ำฮวงโห
เสือสองตัวชิงอำนาจกัน บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน
สุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายก็ยึดเอาเขตแม่น้ำไหวเห๋อ
เฝ้าระวังต่อกัน ต่อมาจิ่นอีเหล่าโหวยกทัพข้ามแม่น้ำ
ไหวเห๋อ ควบคุมพื้นที่สองเขตทางเหนือของแม่น้ำ
ไหวซุ่ยไว้ จวบจนจิ่นอีเหล่าโหวตายไป จิ่นอีโหวรุ่นที่
สองฉีจิ่งสืบทอดหน้าที่อันมีเกียรตินี้ ประจำการแนว
หน้า หลายปีที่ผ่านมาได้ทำการควบคุมพื้นที่สองเขต
ทางเหนือของแม่น้ำไหวซุ่ยไว้อย่างดี
ชาวหนานฉู่ยึดพื้นที่สองเขตทางเหนือของแม่น้ำไหว
ซุ่ยไว้ ชาวเป่ยฮั่นพยายามยกทัพมายึดคืนไปหลาย
ต่อหลายครั้ง หลายปีก่อน ฉางหลิงโหวเป่ยถังชิ่งของ
เป่ยฮั่นได้นำทหารกล้าทัพเสวียหลันของเขา มาชิง
เอาสองเขตนี้จากมือของฉีจงิ่ อีกทั้งยังชิงเอาชัยชนะ
ไปจากค่ายกิเลนดำของฉีจิ่งไปด้วย แต่ว่าก็ยังไม่
สามารถยึดพื้นที่คืนไปได้
จนกระทัง่ เป่ยฮั่นส่งกองทัพจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่น
นายมาอีก โดยมีจงหลีอวี้เป็นแม่ทัพใหญ่ยกทัพบุก
โจมตีต้าฉู่อีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายกรำศึกยาวนานถึงสาม
ปี ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ยอมพักรบกันชั่วคราว การศึก
ในครั้งนี้ชาวเป่ยฮั่นได้สองเขตคืนกลับไปได้ แม่น้ำ
ไหวเห๋อหลุดออกจากมือของหนานฉู่ไป หลังจากศึก
ฉินไหว ทั้งสองฝ่ายทิ้งทหารประจำการริมแม่น้ำไว้
โดยมีแม่น้ำขวางกั้น ทั้งสองฝ่ายมีการตั้งค่ายทหาร
เอาไว้เตรียมพร้อมรับมือตลอดเวลา
ทางเหนือของแม่น้ำไหวเห๋อ ทัพใหญ่ต้าฉู่กว่าแสน
นานประจำการอยู่แนวหน้าทั้งหมด ส่วนฝั่งตรงข้าม
นั้น ก็เป็นกองทัพของเป่ยฮั่น ทั้งสองเฝ้าระวังกันโดย
มีแม่น้ำกั้นอยู่ ต่างไม่มีใครประมาทใคร
ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะมีทหารพร้อมรบ มีการเฝ้าระวัง
ที่เข้มงวด แต่ในช่วงพักรบ ทัง้ สองฝ่ายได้ตกลง
ร่วมกันแล้วว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ ต้องฟื้นฟู
การค้าที่สูญเสียไปในสามปีที่ทำศึก ทั้งสองฝ่ายมีการ
จำกัดการส่งคนค้าข้ามฝั่งไปทำการค้า อีกทั้งยังมีการ
ตรวจสอบอย่างเข้มงวดด้วย
ชาวเป่ยฮั่นสั่งห้ามค้าม้ามายังหนานฉู่ ส่วนชาวหนาน
ฉู่สั่งห้ามค้าแร่เหล็กไปยังเป่ยฮั่น
เพียงแต่แม่น้ำไหวเห๋อนั้นกว้างใหญ่ราวกับทะเล เขต
การรบเองก็ยาวมาก ไปจนสุดทางตะวันออกของ
ทะเลอีกฝั่งหนึ่งนัน้ ก็ไม่ใช่พื้นที่ของทหารเป่ยฮั่นแล้ว
แต่เป็นเขตพืน้ ที่ของแคว้นตงฉี
หลังจากคณะทูตข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงไปแล้ว ตรงไป
ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือต่อ ก็ถือได้ว่าเลี่ยง
แนวศึกของเป่ยฮั่นได้แล้ว และเข้าสู่พื้นที่ทางน้ำไหล
ลงของแม่น้ำไหวเห๋อ
ถึงแม้แคว้นตงฉีจะมีกำลังประเทศทีอ่ ่อน อาณาเขต
พื้นที่เล็ก แต่กลับได้พื้นที่ของเมืองชิงโจวกับสวีโจว
ซึ่งอยู่ทางน้ำไหลลงของแม่น้ำไหวเห๋อ หลังจากข้าม
แม่น้ำไปแล้วก็จะเข้าสู่เขตเมืองสวีโจวทันที
เป่ยฮั่นกับหนานฉูเ่ หมือนกับเสือสองตัวเฝ้าระวังกัน
แต่ว่าเมื่อถึงทางน้ำไหลลงของแม่น้ำไหวเห๋อ กลิ่น
สงครามระหว่างหนานฉู่กับตงฉีมันอ่อนกว่ามาก
หลังจากเป่ยฮั่นสามารถควบคุมพื้นที่ทางเหนือทัง้
หมดแล้ว ก็ฉวยโอกาสที่ตระกูลเซียวยกทัพยึด
ดินแดนทางใต้ ยกทัพไปตีตงฉี คิดอยากจะยึดเอา
ตงฉีมาด้วย หลังจากนั้นค่อยยกทัพลงใต้ตีหนานฉู่
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าชาวตงฉีจะแข็งแกร่งมาก ไม่เพียง
สามารถต้านทัพใหญ่ของเป่ยฮั่นได้ อีกทั้งยังทำให้
ทหารเป่ยฮั่นเสียหายไปไม่น้อยเลย
หลังจากนั้นเป่ยฮั่นก็กลัวว่าหนานฉู่จะอาศัยจังหวะนี้
บุกโจมตี เลยถอนกำลังกลับไปจนหมด ตั้งแต่นั้นเป็น
ต้นมา เป่ยฮั่นก็ไม่กล้าบุกตงฉีอีก ส่วนตงฉีก็ได้ทำ
ข้อตกลงร่วมกับเป่ยฮั่น อีกทัง้ ต่อว่าก็ยังทำข้อตกลง
กับหนานฉู่อีก ว่าพวกเขากับทั้งสองแคว้นจะเป็น
มิตรต่อกัน หลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้อาจจะมีการ
ปะทะกับทางเป่ยฮั่นกับหนานฉูบ่ ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาด
ต้องยกทัพเข้าโจมตี
ถึงแม้เป่ยฮั่น จะเคยมีสงครามกับตงฉีมาบ้าง แต่
ความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้นก็ถือว่ายังดีต่อกัน ที่
ชายแดน ทหารทั้งฝ่ายก็ไม่ถึงขนาดอาฆาตแค้นต่อ
กันขนาดนั้น
ตอนที่ฉีหนิงนำคณะทูตมาจนใกล้ถึงค่ายทหาร ก็มี
กลุ่มคนขี่ม้ามาต้อนรับแล้ว อยู่ห่างจากกันระยะหนึ่ง
คนที่มาลงจากม้า คนที่เดินนำหน้ามาสวมชุดเกราะ
เขาเร่งฝีเท้าเดินมา ห่างจากตัวฉีหนิงประมาณสอง
สามก้าว เขายกมือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยแม่ทัพอี้
เหยาจงหลางหานอวี้ คำนับโหวเยว่”
ฉีเฟิงที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้างฉีหนิงควบม้าขึ้นหน้ามา แล้ว
ยิ้มให้กับหานอวี้ “เจ้าทึ่มหาน เจ้าถูกสั่งย้ายมา
ประจำการที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่? ยังจำข้าได้หรือเปล่า?”
แม่ทัพอี้เหยาจงหลางตะลึงไป เขาเงยหน้าขึ้นมา
แล้วมองไปที่ฉีเฟิง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉีเฟิง
เจ้าบ้า เจ้ามาอยู่นี่ได้ยังไง?”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้น ก็รทู้ ันทีว่าคนกันเอง ก็ผ่อนคลาย
ลงไม่น้อย เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านคือท่านแม่ทัพ
หานหรือ?”
“มิกล้า” หานอวี้รีบพูดว่า “โหวเยว่ ท่านเรียก
ข้าน้อยว่าหานอวี้ก็พอ ข้าน้อยเพิ่งได้รับรายงานแจ้ง
ว่า คณะทูตของโหวเยว่จะผ่านมาทางนี้ ก็เลยรีบ
ออกมาต้อนรับ โหวเยว่กับทุกท่านเดินทางกันมา
เหนื่อยๆ ข้าน้อยได้เตรียมอาหารไว้ในค่ายแล้ว โหว
เยว่ เชิญทางนี้”
ฉีหนิงพยักหน้า หานอวี้ก็ไม่พูดมาก เดินกลับขึ้นม้า
แล้วนำทางฉีหนิงกับพวกไปที่ค่าย
เมื่อเข้าใกล้ค่าย เหมือนจะได้ยินเสียงตีกลอง ภายใน
ค่ายมีทหารออกมาเรียงแถว เพื่อต้อนรับแขก
หานอวี้นำทางอยู่ด้านหน้า เขาหันมายิ้มแล้วพูดกับฉี
หนิงว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยไม่ค่อยรู้ทำเนียมพิธีเท่าไหร่
ต้องขออภัยด้วย” เขาหันไปตะโกนบอกกับทหารทุก
คนว่า “ท่านนี้คือท่านโหวน้อย เป็นคุณชายของท่าน
แม่ทัพใหญ่”
ทหารทุกคนจริงจังขึน้ มา จากนั้นก็ยดื ตัวตรง ทุกที่ที่
ฉีหนิงผ่านไป จะได้ยินเสียงเคาะอาวุธอย่างพร้อม
เพรียง ทหารทุกนายพร้อมใจกันก้มหน้าเพื่อทำความ
เคารพเขา
ฉีหนิงรู้ว่า ตั้งแต่มีการก่อตั้งกองทัพฉินไหวขึ้นมา จิ่น
อีเหล่าโหวเป็นผู้บัญชาการกองทัพกุมกองทัพทั้งหมด
คนแรก หลังจากที่ท่านเหล่าโหวสิ้นบุญไป ฉีจงิ่ ก็
รับหน้าที่นี่ต่อ ต่อให้วันนี้คนทีเ่ ป็นแม่ทัพใหญ่ของ
กองทัพฉินไหวจะเป็นเวียห้วนซาน แต่เขาก็เป็น
ลูกน้องคนสนิทของฉีจิ่ง ถือได้ว่าเป็นคนที่ฉจี ิ่งฝึกมา
กับมือ
ในกองทัพฉินไหวเต็มไปด้วยร่องรอยของจิ่นอีตระกูล
ฉี มันไม่มีทางหายไปได้ในวันเดียวแน่นอน
สำหรับทหารในกองทัพฉินไหว จิ่นอีตระกูลฉีมัน
เหมือนสัญลักษณ์ มันคือสัญลักษณ์ของกองทัพฉิน
ไหวทั้งหมด
แม่ทัพใหญ่ตระกูลฉีทั้งสองรุ่นเป็นขุนพลอันดับหนึ่งที่
ชื่อเสียงเกรียงไกรไปทั่วหล้า ไม่เพียงจัดการดูแล
กองทัพได้อย่างมีระบบ อีกทัง้ ยังรักทหารทุกนาย
เหมือนลูกหลาน ทำให้เหล่าทหารต่างเคารพยำเกรง
มาก
ฉีจิ่งเสียไปไม่นาน ทั้งกองทัพฉินไหวต่างโศกเศร้า วัน
นี้จิ่นอีโหวน้อยมาถึงค่าย เหล่าทหารนึกถึงแม่ทัพ
ใหญ่ตระกูลฉี เลยอดที่จะทำความเคารพต่อฉีหนิงซึ่ง
เป็นตัวแทนของตระกูลฉีไม่ได้
ตอนที่ฉีหนิงอยู่ทเี่ มืองหลวง รู้สึกว่าจิ่นอีตระกูลฉี
อำนาจน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นตระกูลซือหม่าหรือว่า
ไหวหนานอ๋อง เหมือนจะมีอำนาจเหนือกว่าตระกูลฉี
ทั้งนั้น แต่ว่าตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ตระกูลฉีใน
ฐานะหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหวสืบทอดของต้าฉู่ ที่จริง
แล้วแข็งแกร่งมากกว่าที่เขาคิดมาก แค่ดูจากการ
แสดงออกของเหล่าทหารเขาก็รู้แล้วว่า ในตัวของ
พวกเขามีตระกูลฉีมากแค่ไหน
อีกทั้งทุกอย่างนี้ จิน่ อีโหวทั้งสองรุ่นใช้เวลากว่าสิบปี
ใช้ความสามารถของตัวเองสะสมมาทั้งนั้น
ฉีหนิงจู่ๆ ก็หยุดม้า จากนั้นก็ลงจากม้ามา เมื่อมีคน
ก้มหน้าทำความเคารพเขา ฉีหนิงก็จะหันหน้าไปพยัก
หน้าให้ เพื่อแสดงความขอบคุณ
ฉีหนิงรู้ว่า การกระทำง่ายๆ แค่นี้ของเขา มันเป็นการ
ให้เกียรติอย่างหนึ่ง
เมื่อเข้ามาภายในค่ายทหาร อู๋ต๋าหลินไปจัดการเรื่อง
ของด้วยตัวเอง ฉีหนิงหันไปพูดกับหานอวี้ว่า “หา
นอวี้ ข้ามีคนสองคนอยากจะให้เจ้าไปดูแล หลังจาก
ที่ข้ากลับมาจากตงฉีแล้ว ข้าจะคุมตัวพวกเขากลับไป
เมืองหลวง ในระหว่างนี้ เจ้าจำเป็นต้องเฝ้าพวกเขา
เอาไว้ให้ดี ห้ามให้ใครเข้าใกล้พวกเขาโดยเด็ดขาด
หลังจากที่ข้ากลับมา เจ้าจะต้องมอบตัวพวกเขาให้
ข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะถามหาความรับผิดชอบจาก
เจ้า”
เดิมเขาคิดว่าหานอวี้น่าจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ใครจะ
คิดว่าหานอวี้ไม่ถามอะไร เขาหันกลับไป แล้วพูด
เสียงเข้มว่า “ซ่งเหลียน เจ้าพาคนทีโ่ หวเยว่พูดถึง
สองคนนี้ ไปขังเอาไว้ให้ดี ก่อนที่โหวเยว่จะกลับมา
ห้ามให้ใครไปเจอพวกเขาเด็ดขาด” ทหารด้านหลัง
รับคำ แล้วพาหูป๋อเวินกับเหลียงสยงไปขังทันที
หานอวี้พูดว่า “โหวเยว่ อาหารเตรียมไว้พร้อมแล้ว
เดินทางมาเหนื่อยๆ ไปดื่มให้หายเหนื่อยดีกว่า”
ฉีหนิงหันไปชี้ที่อู๋ต๋าหลินแล้วพูดว่า “หานอวี้ เขาเป็น
หัวหน้ารักษาความปลอดภัยของคณะทูตเราท่าน
นายกองอู๋ต๋าหลิน” เมื่อเขาพูดออกไป เขาเหมือนจะ
รู้สึกว่าเขาเห็นหานอวี้เป็นเหมือนคนของเขาไปแล้ว
เขาไม่เคยมารู้จักกับคนในกองทัพฉินไหว แต่วินาทีที่
เขาเข้ามาที่นี่ เขากลับรู้สึกใกล้ชิดอย่างบอกไม่ถูก
หานอวี้รีบยกมือคำนับอู๋ต๋าหลินแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็
ท่านนายกองอู๋ ได้ยินชื่อเสียงมานาน”
อู๋ต๋าหลินก็ยกมือคำนับกลับ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
แม่ทัพหานเฝ้าประจำการแนวหน้า คงลำบากไม่
น้อย”
หานอวี้หัวเราะแล้วพูดว่า “พูดตามตรง กองทัพหนึ่ง
แสนของเรา เฝ้าอยู่ตลอดริมแม่น้ำ มีเพียงทีน่ ี่ที่สบาย
ที่สุดแล้ว ฝั่งตรงข้ามเป็นชาวตงฉี มีแต่คนบอกว่าแม่
ทัพเรือของตงฉีร้ายกาจมาก ข้าเองก็ไม่เคยเห็นกับตา
ตัวเอง แต่ว่าทหารตงฉีที่อยู่ตรงข้ามเราตอนนี้อ่อน
ปวกเปียก หากแม่ทัพเรือของตงฉีก็เป็นแบบนี้
เช่นกัน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด”
“หมายความว่ายังไง?” ฉีหนิงถาม
หานอวี้พูดว่า “โหวเยว่ วินัยทหารของทัพตงฉีหลวม
มาก พวกเขาจะมาว่ายน้ำเล่นกันทุกสามหรือห้าวัน
จากนั้นก็จะเป็นตากแดดอยู่ริมฝั่ง บางครั้งก็จะมานั่ง
ตกปลา ปิ้งปลากิน ท่านว่ากองทัพแบบนี้ จะไปทำ
สงครามได้ยังไงกัน? พูดอย่างไม่เกรงใจเลยนะ หาก
พวกเขาเห็นต้าฉู่เราเป็นศัตรู ทหารมดของข้าข้าม
แม่น้ำไปบุกไปตอนดึกๆ พวกเขาก็ไม่มีทางรู้ตัว เรา
เข้ายึดทำลายค่ายของพวกเขาได้ง่ายๆ เลย”
อู๋ต๋าหลินถามอย่างแปลกใจว่า “ที่จริงแล้วเมื่อหลาย
ปีก่อนยังดีอยู่ เพิง่ จะมาเป็นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
นี่เอง” เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “โหวเยว่ นายกองอู๋
พวกท่านรู้หรือว่าว่าแม่ทัพผู้บัญชาการกองทัพฝั่งตรง
ข้ามเป็นใคร?”
ฉีหนิงส่ายหน้า อู๋ต๋าหลินขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้า
ไม่ได้ถามไถ่เรื่องของชายแดนมานานแล้ว ไม่รู้จริงๆ”
หานอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ นายกองอู๋ เข้าไปคุย
กันในกระโจมดีกว่า” เขานำทางฉีหนิงเข้าไปใน
กระโจมใหญ่ พวกของฉีเฟิงก็เข้าไปด้วย
ภายในกระโจมใหญ่ ตอนนี้มีแม่ทัพอยู่ประมาณสิบ
คน เมื่อเห็นฉีหนิงเข้ามา เหล่าแม่ทัพก็เดินขึ้นหน้า
มา เสียงชุดเกราะดังมาก พวกเขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
แล้วพร้อมกันพูดว่า “คำนับท่านโหวน้อย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 586 ข้ามแม่น้ำ
ฉีหนิงรีบเดินหน้าไปพยุงแม่ทัพคนหนึ่ง เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ทุกคนลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องมากพิธี”
ทุกคนลุกขึ้นมา ในกระโจมมีการจัดโต๊ะยาวเอาไว้
โดยใช้โต๊ะสั้นหลายตัวต่อกัน กระโจมนี้กว้างขวาง
มาก อาหารเต็มโต๊ะ
ฉีหนิงกับอู๋ต๋าหลินถูกวางให้นั่งอยู่ทหี่ ัวโต๊ะ หานอวี้
นั่งอยู่ทางด้านซ้ายของฉีหนิง ฉีเฟิงนั่งอยู่รองลงมา
จากหานอวี้ ส่วนคนอื่นก็นั่งลงตาม
บนโต๊ะมีอาหารหลากหลาน ฉีหนิงมองไป บนโต๊ะมี
ทั้งเนื้อสัตว์และผักสด นอกจากเนื้อวัวกับเนื้อแพะ
แล้ว เนื้ออย่างอื่นก็เป็นเนื้อปลา หน้าตาดูไม่ค่อยน่า
กิน แต่ว่ากลิ่นอาหารมันหอมฟุ้งไปทั่วกระโจม หา
นอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ในค่ายของเรา ไม่มีของ
ดีอะไรมากมาย นี่เป็นของที่พวกเรารวบรวมมาให้
ปลากับกุ้งพวกนี้ เป็นของทีป่ กติเราหามาจากแม่น้ำ
โหวเยว่อย่าได้ถือสาเลยนะ”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “พูดตามตรงเลยนะ ของ
พวกนี้มันทำให้ข้าอยากอาหารมากเลยทีเดียว” เขา
พลันนึกถึงเรื่องในชาติที่แล้วขึ้นมา เขากับพี่น้องของ
เขาล้อมวงกันกินเนื้อย่าง บรรยากาศก็ประมาณนี้
“หากโหวเยว่ชอบ เราจะดีใจมาก” หานอวี้ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ใครก็ได้ เอาเหล้ามา”
ทหารเข้ามาในกระโจม จากนั้นก็เอาเหล้ามาให้ แล้ว
วางไว้ให้ฉีหนิงกับเหล่าคณะทูต ส่วนทหารต้าฉู่แต่ละ
คน ไม่มีสักคนที่ได้เหล้าเลย
ฉีหนิงกวาดสายตามองไป แล้วพูดด้วยความแปลกใจ
ว่า “หานอวี้ นี่มัน...”
“โหวเยว่ กฎของทางกองทัพ เว้นเสียแต่จะได้รับชัย
ชนะจากการทำศึกแล้วดื่มฉลอง ในเวลาปกติไม่ว่า
ใครก็ดื่มเหล้าไม่ได้แม้แต่หยดเดียว” หานอวี้พูดอย่าง
จริงจัง “กฎเกณฑ์เหล่านี้ท่านเหล่าโหวเป็นคนตั้งขึน้
ไม่ว่าจะกี่ปีที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครกล้าละเมิดกฎนี้เลย
วันนี้เราไม่ได้รบชนะศึก กฎนี้จึงไม่อาจละเมิดได้ โหว
เยว่ไม่ต้องกังวลกับกฎนี้หรอกนะ”
ฉีหนิงคิดในใจว่ากฎในกองทัพฉินไหวเข้มงวดจริงๆ
เขาถามว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้ากินเนื้อกันโดยไม่ดื่ม
เหล้าแบบนี้นะ่ หรือ?”
เขาพูดจบ ทหารก็เดินเข้ามาในกระโจม พวกเขายก
ถังเหล็กเข้ามา ด้านในมีไอร้อน หานอวี้ยิ้ม แล้วหยิบ
ถ้วย เดินไปเทอะไรบางอย่างออกมาใส่ถ้วย แม่ทัพ
คนอื่นก็เช่นกัน หานอวี้กลับมานั่งที่ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ปกติหากเรากินเนื้อกัน ก็กินน้ำในแม่น้ำ
ไหวเห๋อแทนเหล้า น้ำพวกนี้เราเอามาจากในแม่น้ำ
ทั้งนั้น ต้มจนเดือดจนสุก มันก็ทำให้การกินเนื้อ ได้
รสชาติอีกอย่างหนึ่ง”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วสั่งว่า “เอาเหล้าออกไปให้หมด”
ทุกคนตะลึงไป จากนั้นก็เห็นฉีหนิงหยิบถ้วยของ
ตัวเอง แล้วไปเทน้ำ จากนั้นก็เดินกลับมาที่โต๊ะ เขา
เห็นทุกคนมองมาที่เขา เขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ข้า
เองก็อยากลองกินน้ำในแม่น้ำไหวเห๋อบ้าง วันนี้ข้าจะ
ไม่ดื่มเหล้า”
หานอวี้รีบพูดว่า “โหวเยว่ ไม่ได้นะ นี่เป็นน้ำใน
แม่น้ำ มันไม่สะอาด ท่าน...”
“พวกเจ้าดื่มได้ ข้าก็ต้องดื่มได้” ฉีหนิงไม่พูดมาก เขา
ยกชายเสื้อขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้เจ้ายศเจ้าอย่าง
แบบทีพ่ วกเจ้าคิด” เขาหยิบเนื้อชิ้นหนึ่ง แล้วก็กัด
กินไปพูดไปว่า “พ่อครัวที่นี่ใครกัน? รสชาติไม่เลว
เลย รสชาติแบบนี้แหละที่ข้าอยากกิน”
ทุกคนมองหน้ากัน
ถึงแม้ฉีหนิงจะเป็นทายาทของจิน่ อีตระกูลฉี ทหาร
ขุนพลในกองทัพฉินไหวต่างเคารพนบน้อมจิ่นอี
ตระกูลฉีมาก แต่ว่าพวกเขาเห็นฉีหนิงดูเป็นคุณชาย
เรียบร้อย อายุกน็ ้อย พวกเขาต่างคิดว่าโหวน้อยถูก
เลี้ยงดูแบบผู้ดี ทนลำบากไม่ได้แน่ อีกทั้งในกองทัพ
ฉินไหวเองก็รู้เรื่องของตระกูลฉีดี โดยเฉพาะคนใน
ตำแหน่งอย่างหานอวี้ พวกเขารู้ว่าหลังจากซื่อจื่อคน
นี้เกิดมา เขาก็ไม่ค่อยเต็ม ถูกเลี้ยงอยู่ในจวนตั้งแต่
เล็ก ไม่เคยมาอยู่ในค่ายทหารเลยแม้แต่วันเดียว
แต่ว่าฉีหนิงไม่ได้วางมาดผู้ดี เขาทำตัวสบายๆ มา อีก
ทั้งยังกินน้ำในแม่น้ำกินเนื้อคำโต ไม่มีท่าทางของ
คุณชายตระกูลผู้ดีที่จะต้องเรื่องมากเรื่องเยอะ ใช้มือ
หยิบชิ้นเนื้อ เห็นฉีหนิงทิง้ เนื้อไปอีกชิ้น อีกทั้งยังดื่ม
น้ำอีกเรื่อยๆ พวกเขาต่างเงียบจนตกใจ
ฉีหนิงวางถ้วยลง เห็นทุกคนมองมาที่เขา เขาก็
หัวเราะ แล้วพูดว่า “อะไรกันคิดว่าข้าโตมาในจวน
โหว ถูกเลี้ยงมาอย่างดี จะทนลำบากไม่ได้? ปลากับ
เนื้อที่นี่ ยังมีน้ำทีเ่ ต็มเดือดแล้ว มันไม่ได้ลำบากเลย
นะ บางคนอย่างลำบากแบบนี้ยงั ไม่มีโอกาสเลย ยัง
ไม่ลงมือกันอีก กินสิ”
ทุกคนเห็นโหวน้อยง่ายๆ สบายๆ ก่อนหน้านี้พวกเขา
ยังกังวลกันอยู่ว่าจะต้อนรับเขายังไงดี ทำแบบนี้มัน
จะลวงเกินไปไหม ตอนนี้ความกังวลของพวกเขา
หายไปหมด ทุกคนยิ้ม แล้วก็เริ่มลงมือกินกัน
ทุกคนในกระโจม นอกจากฉีหนิงแล้ว เคยใช้ชีวิตใน
ค่ายทหารมาก่อนทั้งนัน้ พวกเขาก็ไม่ได้เกรงใจอะไร
แต่ละคนพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง
ฉีหนิงกินปลาหมดเป็นตัวหนึ่ง ก็ถามขึ้นมาว่า “หา
นอวี้ เมื่อกี้เจ้าบอกว่ากฎระเบียบวินยั ทหารของทัพ
ตงฉีไม่เข้มงวด มันเรื่องอะไรกัน?”
หานอวี้วางเนื้อในมือ เขายิ้มแล้วพูดว่า “แต่ละคน
อ่อนปวกเปียกทัง้ นั้น โหวเยว่ ที่จริงก่อนหน้านี้ทัพ
ตงฉีไม่ได้เป็นแบบนี้ คนทีเ่ ฝ้าประจำการชายแดน
ก่อนหน้านี้มีชื่อว่าเฉิงอู่ เขาเป็นคนเก่งมาก เข้มงวด
เรื่องระเบียบของกองทัพ แต่ว่าตั้งแต่ไท่ซานอ๋องมา
ที่นี่แล้ว ทัพตงฉีก็ไม่เหมือนเดิมอีก”
“ไท่ซานอ๋อง?”
หานอวี้อธิบายต่อว่า “กษัตริย์ตงฉีมีลูกชายสามคน
ลูกสาวสองคน คนโตคือไท่ซานอ๋อง ลูกชายคนรอง
คือรัชทายาทองค์ปัจจุบัน ส่วนลูกชายคนเล็กหลินจือ
อ๋องยังเด็กมาก เมื่อสองปีก่อน ไท่ซานอ๋องถูกสั่งย้าย
มาที่สวีโจว เฉิงอู่เลยต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของไท่
ซานอ๋อง แต่ว่าเฉิงอูเ่ องก็เชื่อฟังคำสัง่ ของไท่ซานอ๋อง
มาก ไท่ซานอ๋องพูดอะไร เขาไม่เคยขัดเลย”
ขุนพลคนหนึ่งด้านข้างพูดขึ้นมาว่า “หลังจากไท่ซาน
อ๋องมาที่สวีโจวแล้ว ก็แสดงตัวเหมือนว่าตัวเองมี
ความสามารถมาก เขาเลยเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของ
ทหารหลายอย่าง เฉิงอู่เองก็ไม่กล้าพูดมาก เท่าที่เรา
รู้มา ไท่ซานอ๋องเป็นคนหัวดื้อมาก ถ้ามีคนพูดว่าเขา
หรือขัดเขา เขาก็จะสั่งประหารทันที หากว่ามีคนมา
ประจบประแจง ไม่ว่าคนๆ นัน้ จะเป็นคนยังไง เขาก็
จะรับเอาไว้ใช้งานให้ความสำคัญ หลายต่อหลายคน
ก็เลยแอบเข้าหาประจบประแจงไท่ซานอ๋อง ขอแค่
ประจบเขาได้ อนาคตก็สดใส”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “มีเรื่องแบบนี้ดว้ ยหรือ?”
“คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำชื่อว่าเหมิงเจียวโจว เขา
เป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า” หานอวี้พูดว่า
“ตระกูลเหมิงเป็นตระกูลใหญ่ในเมืองสวีโจว มีฐานะ
มาก หลังจากที่ไท่ซานอ๋องมาที่สวีโจวแล้ว ตระกูล
เหมิงไม่เพียงถวายของเงินจำนวนมาก อีกทั้งเหมิง
เจียวโจวยังถวายน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองให้ไท่ซาน
อ๋องอีกด้วย ไท่ซานอ๋องไม่พูดอะไรมาก ยกตำแหน่ง
แม่ทัพชายแดนให้เขาทันที หลังจากที่เหมิงเจียวโจว
มาที่นี่ เขาไม่ได้มีความสามารถในการทหารเลย
ปกติแล้วเขาก็จะพาทหารของเขามาแสดงอวดบารมี
บ้าง ส่วนระเบียบของกองทัพก็อ่อนจนไม่เหลือชิ้น
ดี” เขาส่ายหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่ามันก็ถือเป็น
เรื่องดี ชาวตงฉีไร้ความสามารถแบบนี้ เวลาอยู่ต่อ
หน้าเรา ก็เหมือนแพะน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เหมิงเจียวโจวทำแบบนี้
ไท่ซานอ๋องไม่ว่าอะไรเลยหรือ?”
“โหวเยว่ ได้ยินมาว่าไท่ซานอ๋องเองวันๆ ก็ไม่ทำ
อะไร ส่งคนไปค้นหาสาวงามทั่วเมืองสวีโจว” หานอวี้
พูดว่า “ที่เมืองสวีโจวเองก็วุ่นวายไปหมด เขามีเวลา
มาสนใจเรื่องนี้ที่ไหนกัน? อีกอย่างน้องสาวของเหมิง
เจียวโจวก็หน้าตางดงาม เป็นที่โปรดปราณของไท่
ซานอ๋อง หากเกิดอะไรขึ้นกับเหมิงเจียวโจว น้องสาว
ของเขาพูดกับไท่ซานอ๋องแค่คำเดียว เรื่องก็จบแบบ
ง่ายๆ ทันที”
อู๋ต๋าหลินพูดว่า “ตอนนั้นทัพเป่ยฮั่นนับแสนบุกตีตงฉี
ชาวตงฉีสู้อย่างไม่ถอย แข็งแกร่งดุจหินผา ไม่เพียง
ไม่ให้ชาวเป่ยฮั่นนั้นได้เปรียบ อีกทัง้ ยังทำให้พวกเขา
กลับไปแบบเสียหายหนักอีกด้วย หลังจากศึกในครั้ง
นั้น หลายปีที่ผ่านมาสงบมาก” เขายิ้มแล้วพูดว่า
“หลายปีไม่มีสงคราม มันก็ไม่ใช่เรื่องดี สงบมากไปก็
ไม่ระวัง ชาวตงฉีตอนนี้คิดว่าทั้งสองฝั่งเป็นมิตรต่อ
กัน เป่ยฮั่นกับต้าฉู่ไม่มีทางทำอะไรพวกเขา กฎทหาร
ผ่อนปรนแบบนี้ ช้าเร็วต้องเดือดร้อนแน่”
“แม่ทัพเรือของตงฉีน่าจะร้ายกาจอยู่” หานอี้พูดว่า
“แม่ทัพเรือของตงฉีกบั เรือรบของพวกเขา จะมา
ปรากฏบ้างเป็นครั้งคราว แต่ว่าเขาก็ไม่อาจเข้าไปยุ่ง
เรื่องของทหารบก”
“ไท่ซานอ๋องเป็นลูกชายคนโต ทำไมถึงถูกสั่งย้ายมา
ที่เมืองสวีโจวได้ล่ะ?” ฉีหนิงถามว่า “การแต่งตั้งรัช
ทายาทต้องตั้งลูกชายคนโตของเมียแต่งไม่ใช่หรือ ไท่
ซานอ๋องไม่ใช่ลูกภรรยาเอกหรือ?”
หานอวี้พูดว่า “ไท่ซานอ๋องกับรัชทายาทตงฉีเป็นพี่
น้องแม่เดียวกัน เป็นลูกเมียเอก แต่ว่าเท่าที่รู้มา ไท่
ซานอ๋องมีนิสัยเหลวไหล อารมณ์ร้าย ขุนนางแคว้น
ตงฉีมีแต่เกลียดและแค้นเขามาก ส่วนรัชทายาทตงฉี
ได้ยินมาว่าเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไปมาก ดังนั้นไท่
ซานอ๋องจึงถูกย้ายมาที่สวีโจว ซึ่งก็ถอื ว่า
สมเหตุสมผลอยู่”
ขุนพลคนหนึ่งพูดว่า “ไท่ซานอ๋องมาถึงสวีโจว นิสัย
ของเขาก็เหมือนเดิม ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป จะต้องเกิด
เรื่องแน่นอน”
ฉีหนิงพยักหน้า เหมือนใช้ความคิด เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ช่างเถอะ วันนี้ทกุ คนมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
อย่าพูดเรื่องนี้กันเลยนะ มา กินเนื้อกันดีกว่า”
งานเลี้ยงต้อนรับฉีหนิงนั้นจัดแบบง่ายๆ แต่ว่าทุกคน
มีความสุขมาก กินอิ่มมาก หานอวี้ให้คนเก็บกวาด
กระโจมใหญ่ให้สะอาด แล้วเชิญให้ฉีหนิงพักที่นี่
ตอนนี้ฟ้ามืดลงแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะข้าม
แม่น้ำ
เช้าวันต่อมา หานอวี้สั่งให้คนเตรียมเรือเอาไว้แต่เช้า
เพื่อส่งคณะทูตข้ามแม่น้ำไป เมื่อออกจากค่ายทหาร
คณะทูตก็เดินทางมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ฉีหนิงมองไปที่ฝั่ง
ตรงข้าม เห็นน้ำไหลเชี่ยว บนแม่น้ำมีเรือจอดเตรียม
เอาไว้ยี่สิบลำ ไม่จำเป็นต้องให้คนของคณะทูตต้อง
ทำอะไร หานอวี้สั่งให้คนขนของลงจากรถแล้วขนขึ้น
เรือ
เรือมีทั้งลำเล็กลำใหญ่ แต่ว่ามันก็เพียงพอที่จะส่ง
คณะทูตข้ามแม่น้ำไป ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว
ขุนพลทุกนายก็ได้ร่ำลากันที่ฝั่ง ส่วนหานอวี้ก็นำ
ทหารอีกสิบนายส่งฉีหนิงข้ามแม่น้ำไป
เรือออกจากท่ามาแล้ว ฝั่งตรงข้ามยังไม่เห็นมี
ปฏิกิริยาอะไร เมื่อรถขนของทุกอย่างขึ้นฝั่งหมดแล้ว
ถึงได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น มีกลุ่มทหารตงฉีกำลังมา
ทางนี้ เมื่อเห็นเป็นขบวน ทหารก็ตะโกนเสียงดังว่า
“แย่แล้ว ชาวแคว้นฉู่บุกเข้ามาแล้ว ชาวแคว้นฉู่บุก
เข้ามาแล้ว...” ทหารกลุ่มนั้นไม่ได้เข้ามาใกล้กว่านั้น
แต่กลับขี่ม้าหันหลังกลับไป
เมื่อวานฉีหนิงได้ยินมาวินัยทหารของตงฉีอ่อนยวบ
มาก แต่เขายังไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่ว่าตอนนี้
เห็นทหารกลุ่มนี้ไม่แม้แต่จะกล้าเข้ามาใกล้ อีกทั้งยัง
ขี่ม้าหันหลังกลับไป เขาถึงกับอึ้งไป คิดในใจว่า
กองทัพแบบนี้ ไม่มีแม้แต่กำลังจะไปรบ เมื่อเทียบกับ
กองทัพต้าฉู่แล้ว ต่างกันฟ้ากับเหวเลย
หานอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่านเห็นแล้วใช่ไหม
ว่า มีแต่พวกไม่เอาไหน หลังจากที่เหมิงเจียวโจวมา
ชาวตงฉียิ่งอยู่ยิ่งขี้ขลาด”
ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “หานอวี้ ไม่ว่าตงฉีจะ
เป็นยังไงก็ตาม เจ้าประจำการอยู่แนวหน้า ห้าม
ประมาทเด็ดขาด”
หานอวี้พูดอย่างจริงจังว่า “โหวเยว่โปรดวางใจ
แม้แต่ตอนนอน ข้าน้อยก็ยังลืมตา ไม่กล้าประมาท
แม้แต่วินาทีเดียว” เขายกมือคำนับแล้วพูดว่า “โหว
เยว่ การเดินทางในครั้งนีร้ ะวังตัวให้มาก ข้าน้อยไม่
อาจไปส่งได้อีก ไว้โหวเยว่กลับมาเมื่อไหร่ ข้าน้อย
คอยไปจับปลาจับกุ้ง มาต้อนรับท่านอีก”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 587 ไม่ตอบสนองเสียมารยาท
ฉีหนิงรู้ดีว่าหานอวี้มีความกังวล พวกเขาเป็นใน
กองทัพฉินไหว เป็นคนในฝ่ายทหาร ไม่ได้เกี่ยวข้อง
อะไรกับคณะทูต หากยังเดินทางต่อไปแล้วเข้าสู่เขต
ตงฉี มันอาจเกิดการปะทะได้
พวกของหานอวี้กลับลงเรือไป แล้วคำนับให้ฉีหนิงอีก
ครั้ง ฉีหนิงรอจนเรือข้ามกลับฝั่งตรงข้ามไป จากนั้นก็
ออกคำสั่งให้เดินทางต่อ
ขบวนของคณะทูตเดินผ่านทางเล็กๆ ไป ทันใด
นั้นเองก็ได้ยินเสียงของฝีเท้าม้า เมื่อเงยหน้ามองไป
ก็เห็นทหารม้ากว่าร้อยนายอยู่ตรงหน้า เต็มไปด้วย
กลิ่นอายสังหาร แต่ว่าเว้นระยะอยู่ช่วงหนึ่ง จากนั้นก็
มีคนตะโกนว่า “เราทั้งสองแคว้นไม่ได้มีการสู้รบกัน
ทำไมถึงส่งทหารข้ามแม่น้ำมา?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ คิดในใจว่าอีกฝ่ายยัง
ไม่เข้าใจอีกว่ามันเกิดอะไรขึ้น เสียเวลาตั้งนาน หาก
ทหารฉู่ยกทัพข้ามมาจริง ตอนนี้คงตั้งค่ายกันที่ฝั่ง
เรียบร้อยไปแล้ว
อู๋ต๋าหลินควบม้าขึ้นหน้าไป แล้วพูดว่า “เราเป็นคณะ
ทูตมาจากแคว้นฉู่ เราเดินทางมาครัง้ นี้เพื่อพบกับ
องค์เหนือหัวี่เมืองลู่เฉิง เรามีสาส์นตราตั้งมาด้วย
อย่าได้เข้าใจเราผิด”
อีกฝ่ายเหมือนจะสะดุ้งไป หลังจากนั้นไม่นาน ก็มี
ทหารสองคนขี่ม้าเดินหน้ามา แล้วหยุดตรงหน้า
ของอู๋ต๋าหลิน แล้วถามว่า “สาส์นตราตั้งอยู่ที่ไหน”
อู๋ต๋าหลินหันหน้ากลับไป ฉีหนิงนำสาส์นตราตั้งยื่นให้
ฉีเฟิง ฉีเฟิงรับสาส์นตราตั้งมา จากนั้นก็ควบม้ามา
ด้านหน้า แล้วยื่นไปให้กับอีกฝ่าย อีกฝ่ายรับสาส์น
ตราตั้งไปแล้ว ก็ควบม้ากลับไป หลังจากนั้นไม่นาน ก็
เห็นทหารกว่าสิบคนคุ้มกันแม่ทัพชุดเกราะดำนาย
หนึ่งเดินขึ้นหน้ามา อู๋ต๋าหลินเห็นแม่ทัพเกราะดำนั่น
อายุประมาณสี่สิบปี ร่างกายสูบผอม เมื่อเขาเข้ามา
ใกล้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าเป็นขบวนคณะทูตจาก
แคว้นฉู่หรอ? ยังดีที่อธิบายได้ทัน ไม่อย่างนั้นข้านำ
ทหารโจมตีพวกเจ้าขึ้นมา จะลำบาก”
อู๋ต๋าหลินยิ้มแล้วพูดว่า “แคว้นของเราทั้งสองเป็น
มิตรที่ดีต่อกัน จะถือดาบเข้าหากันไปทำไม”
แม่ทัพคนนัน้ ส่งสาส์นตราตั้งคืนกลับมาให้ เรากวาด
สายตามอง เขามองเห็นฉีหนิงอยู่ด้านหน้าสุดของ
คณะทูต “เขาเป็นใคร?”
“ท่านผู้นั้นคือจิน่ อีโหวของต้าฉู่เรา เป็นหัวหน้า
ราชทูตในครั้งนี้” อู๋ต๋าหลินพูดอย่างจริงจัง “ไม่ทราบ
ควรเรียกขานท่านว่าอย่างไร?”
แม่ทัพคนนัน้ พูดว่า “เจ้าเรียกข้าว่าแม่ทัพเหมิงก็
พอ” เขาพูดอีกว่า “ได้ยินมาว่าต้าฉู่มีสี่บรรดาศักดิ์
โหวสืบทอด จิ่นอีโหวผลงานการสงครามสะเทือนไป
ทั่วแผ่นดิน กองทัพฉินไหวได้รับการฝึกฝนของจิ่นอี
โหว ก่อนหน้านี้ท่านแม่ทัพใหญ่ฉีสิ้นบุญไป ท่านนี้คิด
ว่าน่าจะเป็นลูกชายของท่านแม่ทัพใหญ่ฉีสินะ?”
อู๋ต๋าหลินขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหวอยู่ที่นี่ ห้าม
เสียมารยาท”
แม่ทัพเหมิงตะลึงไป เขาเหมือนไม่พอใจ เขาพูดว่า
“เขาเป็นโหวเยว่ของแคว้นเจ้า แต่ไม่ใช่โหวเยว่ของ
แคว้นตงฉีเรา อยู่ต่อหน้าข้า อย่ามาบังอาจ”
ฉีหนิงกลับหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านผู้นี้น่าจะคือท่าน
แม่ทัพเหมิงเจียวโจวสินะ? ได้ยินชื่อเสียงมานาน
วันนี้ได้พบ สมคำร่ำลือ?”
เหมิงเจียวโจวตะลึง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ท่านก็
เคยได้ยินชื่อของข้าอย่างนัน้ หรือ?”
“ก็ต้องเคยได้ยินสิ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินว่า
แม่ทัพเหมิงได้รับการไว้วางพระทัยจากไท่ซานอ๋อง
มาก ไม่เพียงแค่แม่ทัพเหมิงคนเดียวเท่านั้น น้องสาว
ของท่านแม่ทัพเองก็เป็นที่โปรดปรานของไท่ซานอ๋อง
ด้วย พี่น้องตระกูลเหมิงได้รับพระกรุณามากแบบนี้
ชื่อเสียงก็ต้องเกรียงไกร คนที่ไม่รู้เรือ่ งนี้คงมีไม่มาก”
เดิมฉีหนิงตั้งใจประชด คิดว่าเหมิงเจียวโจวจะต้อง
โกรธแน่นอน ใครจะคิดว่าเหมิงเจียวโจวไม่เพียงไม่
โกรธ แต่ยังดีใจอีก “ถูกต้อง ข้าเป็นขุนพลที่ท่านอ๋อง
ทรงโปรดที่สุด น้องสาวข้าเป็นชายาที่ทรงรักมาก
ที่สุด เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วย แสดงว่าการข่าวของเจ้าก็ไม่
ธรรมดาเลยนะ” เขาควบม้าขึ้นหน้ามา เห็นขบวนรถ
มากมาย เขาถามว่า “พวกเจ้าจะมาถวายเครื่อง
บรรณาการให้ต้าฉีของเราหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นเรื่องการเมือง ท่านแม่
ทัพเหมิงไม่รู้มากเกินจะดีกว่า เรายังต้องรีบเร่ง
เดินทางอีก ขอให้ท่านแม่ทัพเหมิงเปิดทางให้ด้วย
อย่าให้เราต้องเสียเวลาเลย”
เหมิงเจียวโจวเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า “ใครก็
ได้ ไปค้นดูสิว่าบนรถมีอะไรบ้าง”
ฉีหนิงพูดอย่างนิง่ ๆ แต่หนักแน่นว่า “ใครกล้าก็มา”
เหมิงเจียวโจวตกใจ เขาพูดด้วยความโกรธว่า “พวก
เจ้าต้องการผ่านด่านข้าไป ก็ต้องให้ข้าตรวจค้น หาก
บนรถมีอาวุธ ข้าคงปล่อยพวกเจ้าไปไม่ได้”
อู๋ต๋าหลินขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพเหมิง คณะ
ทูตแคว้นฉู่ของเราต้องการเดินทางไปพบฝ่าบาทของ
ท่านที่เมืองลู่เฉิง เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์อันดีของทั้ง
สองแคว้น พวกเจ้าไม่ต้อนรับไม่พอ ยังหาเรื่องให้เรา
ลำบากใจอีก ท่านหมายความว่ายังไง? นี่เป็นคณะ
ทูตนะ ไม่ใช่ขบวนสินค้า จะให้เจ้ามาค้นได้ยังไง
กัน?” เขาพูดว่า “อย่าบอกนะว่าท่านแม่ทัพเหมิงไม่รู้
ธรรมเนียมปฏิบัติตามการเชื่อมสัมพันธไมตรีของสอง
แคว้นน่ะ?”
เหล่าทหารมองหน้ากัน ไม่รู้ควรจะทำยังไงต่อ
“ท่านแม่ทัพเหมิง สาส์นตราตั้งท่านก็ได้อ่านแล้ว”
อู๋ต๋าหลินเสียงเข้ม “หากรู้สึกว่าสาส์นตราตั้งนี้มี
ปัญหา ท่านสามารถส่งคนไปรายงานเบื้องบนได้ ให้
ทางแคว้นของท่านส่งคนของกรมพิธีการมา ซึ่งเมื่อ
ถึงเวลานั้นหากว่าสาส์นตราตั้งนี้ไม่มีปัญหา ท่านแม่
ทัพเหมิงทำให้การเดินทางของเราเสียเวลา เราก็
จำเป็นต้องแจ้งให้ฝ่าบาทของพวกท่านทรงทราบ
แล้วก็ขอให้พระองค์อธิบายเหตุผลให้เราได้รู้ด้วยว่า
เพราะอะไร” เขาเสียงดุดัน “หากว่าท่านคิดว่าสาส์น
ตราตั้งของเราไม่มีปัญหาอะไร นั่นก็หมายความว่า
เรายังคงเป็นคณะทูตจากต้าฉู่ เราเป็นถึงคณะทูต
ของต้าฉู่ เดินทางมาเชื่อมสัมพันธไมตรีกับพวกท่าน
เราคงไม่ยอมให้พวกท่านมาหยามเกียรติของเรา
แน่นอน”
“สาส์นตราตั้ง?” เหมิงเจียวโจวยกมือเกาหัว ฉีหนิง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แม่ทัพเหมิงท่านอย่าบอกนะว่า
ท่านอ่านสาส์นตราตั้งนี้ไม่รู้เรื่องน่ะ?”
เหมิงเจียวโจวรีบพูดว่า “ข้าอ่านรู้เรือ่ งอยู่แล้ว”
“แล้วท่านแม่ทัพเหมิงคิดว่ามันเป็นของจริงหรือ
เปล่า” ฉีหนิงพูดว่า “หากเป็นของปลอม เราจะยอม
ไปกับท่านตอนนี้เลย ท่านเจ้าเราไว้ก่อนก็ได้ จากนั้น
ท่านก็ไปรายงาน ให้คนมาตรวจสอบ หากเป็นของ
จริง เจ้าก็สง่ คนนำทางเรา ส่งเราไปที่เมืองลู่เฉิง”
เหมิงเจียวโจวรู้สึกอาย “สาส์น...สาส์นตราตั้งนั่น...
อืม ก็ต้องเป็นของจริงสิ”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “แม่ทัพเหมิงสายตาเฉียบ
แหลมมาก ในเมื่อเป็นของจริง ต่อไปก็ง่ายแล้ว สั่งให้
คนนำทางเราที ในเมื่อตอนนี้เราอยู่ในเขตของตงฉี
แล้ว การกินอยู่อาศัยระหว่างทางทั้งหมด ทางแคว้น
ของท่านจะต้องเป็นคนจัดการ พิธีการเหล่านี้ ท่าน
แม่ทัพเหมิงน่าจะรู้จริงไหม?”
“รู้สิ เรื่องนี้...เรื่องนี้ข้าต้องรู้อยู่แล้ว” เหมิงเจียวโจ
วฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าเป็นคณะทูตของแคว้นฉู่
ข้า...ข้าจะต้องส่งคนส่งเจ้าไปเมืองลูเ่ ฉิงแน่นอน การ
กินอยู่ระหว่างทางของพวกเจ้า...”
“ไม่ต้องหรูหรามาก” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “เอา
ตามมาตรฐานอาหารแต่ละมื้อสามร้อยตำลึงก็พอ
จริงสิ อาหารเช้าเอาง่ายๆ ก็ได้ ลดราคาลงมาได้อีก
เป็นหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงก็พอ”
เหมินเจียวโจวตาโต เขาพูดว่า “มื้อละ...มื้อละสาม
ร้อยตำลึง?”
ฉีหนิงแกล้งทำเป็นตกใจ “แม่ทัพเหมิงชื่อเสียงเกรียง
ไกร ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน รู้ว่าท่านแม่ทัพ
เหมิงได้รับการไว้วางใจจากไท่ซานอ๋องแค่ไหน หรือ
ว่ากฎเกณฑ์พวกนี้ท่านไม่รู้เลยหรือ?”
เหมินเจียวโจวรีบยิ้มแล้วพูดว่า “รู้สิ ข้าหมายความ
ว่า มื้อละ...มื้อละสามร้อยตำลึง มัน...มันจะไม่น้อย
เกินไปหรือเปล่า?”
ฉีเฟิงอดขำไม่ได้ เขาแกล้งพูดจริงจังว่า “โหวเยว่ของ
เราเป็นคนประหยัดอยู่แล้ว ไม่ทำให้พวกท่านต้อง
ลำบากใจหรอก”
เหมิงเจียวโจวยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกแล้ว ถูกแล้ว” แต่ใน
ใจของเขาก็คิดว่า อาหารมื้อละสามร้อยตำลึง ต่อให้
จัดอาหารทะเลยอย่างดีทั้งโต๊ะ มันก็ไม่ได้มากขนาด
นั้น
ฉีหนิงเอี้ยวตัวกระซิบพูดกับฉีเฟิง ฉีเฟิงหยิบเงินออก
มาแล้วโยนไปให้ เหมิงเจียวโจวรีบรับมา แล้วถามว่า
“นี่คือ...?”
“เรามาที่เมืองของพวกท่าน ผู้ที่เราเจอเป็นคนแรก
คือท่านแม่ทัพเหมิง ดังนั้นนี่คือของขวัญพบหน้า
ท่านรับไว้ด้วย” ฉีหนิงยิ้ม
เหมิงเจียวโจวรู้สึกโกรธมาก แอบคิดในใจว่าเอาเงิน
มาให้เป็นของขวัญแค่นี้ เงินที่หล่นจากกระเป๋าของ
เขายังมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่เขาไม่กล้าพูดออกมา
แอบคิดในใจว่าในเมื่อเป็นขบวนคณะทูต เขาควรจะ
รับมือให้ดี เพื่อไม่ให้คนอื่นมาหัวเราะเยาะเขาได้
เดิมทีเขาเป็นเศรษฐีใหญ่ในเมืองสวีโจว ช่องทางการ
หาเงินเขารู้ดีกว่าใคร แต่ว่านี่เป็นการเชื่อมสัมพันธ์
ระหว่างประเทศนะ เขาจะไปรู้ได้ยงั ไง อีกทั้งตั้งแต่
ก่อตั้งแคว้นตงฉีมา ที่จริงยังไม่เคยมีการพูดคุยกัน
อย่างเป็นทางการเลย การส่งคณะทูตระหว่างแคว้น
ไปมาหาสู่ยิ่งหาได้ยาก เหมิงเจียวโจจะไปรู้ธรรม
เนียมพวกนี้ได้ยังไงกัน แต่ว่าท่ามกลางสายตาคนอื่น
เขากลับไม่กล้าแสดงออกว่าเขาไม่รู้ เขาฝืนยิ้มแล้ว
พูดว่า “ขอบคุณ ขอบคุณ”
เขาหันหลัง แล้วโบกมือ “ปล่อยคณะทูตต้าฉู่ไป”
แต่ว่าคณะทูตกลับไปขยับเลย เหมิงเจียวโจวอดถาม
ไม่ได้ว่า “ทุกท่าน ข้าได้สั่งให้เปิดทางให้แล้ว ทำไม
ยังไม่ไปกันอีกล่ะ?”
ฉีเฟิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพเหมิง ท่าน...
ท่านยังต้องให้ข้าเตือนท่านอีกหรือ?”
“เตือน?” เหมิงเจียวโจวตะลึง “เตือนเรื่องอะไร?”
“ท่านลืมหลายเรื่องเลยนะ” ฉีเฟิงพูดว่า “แม่ทัพเห
มิง ไม่ตอบสนองเสียมารยาทนะ เอ่อ...ท่านอย่าบอก
ว่าท่านไม่รู้นะ เราพีน่ ้องเดินทางกันมาอย่างลำบาก
พอเข้ามาถึงดินแดนของท่าน ก็ได้พบกับท่านแม่ทัพ
เหมิงเป็นคนแรก แม่ทพั เหมิงควรจะแสดงความ
จริงใจหน่อยจริงไหม?”
เหมิงเจียวโจวรู้สึกมึนไปหมด “หมายความว่ายังไง?”
ฉีเฟิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม่ทัพเหมิง ทางโหว
เยว่ไม่ต้องก็ได้ แต่ว่า...แต่ว่าพี่น้องของเราเดินทาง
กันมาเหนื่อยมาก แม่ทัพเหมิงก็ควรจะให้ค่าน้ำชา
หน่อยไหม”
“ค่าน้ำชา?” เหมิงเจียวโจวตาโต แล้วพูดว่า “มีธรรม
เนียมแบบนี้ด้วยหรือ? ข้า...ข้าต้องควักเงินจ่ายค่าน้ำ
ชาอีกหรือ?”
“นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่ตั้งกันมานาน ในการเชื่อม
ความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น” ฉีเฟิงขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “แม่ทัพเหมิงหรือว่าท่านไม่รู้เรื่องพวกนีเ้ ลย?
หาก...หากท่านแม่ทัพเหมิงไม่สะดวก หลังจากไปถึง
เมืองลู่เฉิงแล้ว แล้วทางขุนนางกรมพิธีการถามถึง
เราคงต้องตอบไปตามความจริง”
เหมิงเจียวโจวรู้สึกตื่นตระหนก เขารีบพูดว่า “ช้า
ก่อน ช้าก่อน เจ้าว่า...เจ้าว่าค่าน้ำชานี่ก็เป็นธรรม
เนียมอย่างนั้นหรือ?”
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “แม่ทัพเหมิงไม่ต้องรีบร้อน
ที่จริงเงินพวกนี้ก็ใช่ว่าจะให้เจ้าเป็นคนควัก เงินค่าน้ำ
ชาที่ท่านจ่ายให้พี่น้องของเรา ท่านสามารถกลับไป
เบิกกับทางกรมพิธีการได้ ทางกรมพิธีการจะทำการ
จ่ายเงินคืนให้ท่านครบทุกตำลึงไม่มีขาด จริงสิ เรามา
ที่แคว้นของท่าน แต่ไม่ได้ทำการแจ้งล่วงหน้า ทาง
แคว้นของท่านอาจจะลืมไป ไม่ได้ทันแจ้งท่านแม่ทัพ
เหมิง เรื่องนี้ถือเป็นความผิดของเรา”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ แม่ทัพเหมิงเก่งเรื่อง
การยกทัพทำศึก อาจจะไม่ค่อยรู้เรือ่ งพิธีรีตองอะไร
พวกนี้มากนัก หากท่านแม่ทัพเหมิงจ่ายไม่ได้จริงๆ
เราก็ไม่บังคับ”
เหมิงเจียวโจวคิดในใจว่าในเมื่อเงินก้อนนี้ก็ไม่ใช่เงินที่
ตัวเองต้องจ่าย ก็ไม่เป็นไร สำรองจ่ายไปก่อนก็ได้
แล้วค่อยไปเบิกกับทางกรมพิธีการ เขามีไท่ซานอ๋อง
หนุนหลัง เขาไม่กลัวกรมพิธีการไม่จ่ายหรอก เขาพูด
ว่า “ไม่ทราบว่า...ค่าน้ำชาควรที่จะจ่ายเท่าไหร่ถึงจะ
เหมาะสม?”
“ขบวนคณะทูตของเราทั้งหมด รวมโหวเยว่กับท่าน
นายกองอู๋ ทัง้ หมดก็สองร้อยห้าสิบสามคน” ฉีเฟิงพูด
อย่างจริงจังว่า “เท่าไหร่ก็แล้วแต่ท่านแม่ทัพเหมิง
แล้ว ต่อให้ท่านจ่ายแค่คนละสิบตำลึง เราก็ไม่
รังเกียจเลย” เขาพูดอีกว่า “แน่นอนว่า ของโหวเยว่
ไม่ต้องจ่าย ส่วนคนอื่น ก็ไม่ได้อยากจะได้เงินนีจ้ ริงๆ
หรอกนะ แต่ว่ารับเพื่อเป็นมงคล หวังจะให้สอง
แคว้นเป็นมิตรไมตรีต่อกัน”
เหมิงเจียวโจวยืนเซ อย่างอืน่ เขาอาจจะไม่ถนัด แต่
ว่าเขาชำนาญในการคิดเงินมาก เขาคิดเรียบร้อยแล้ว
ว่า ถ้าต้องจ่ายคนละสิบตำลึง มีทั้งหมดสองร้อยคน
งั้นก็ต้องควักเงินกว่าพันตำลึง? พวกเจ้าให้เงินข้ามา
ไม่กี่ตำลึง แต่ว่าข้าต้องควักเป็นพันตำลึง สัมพันธ์
สองแคว้น ทำไมถึงได้มีธรรมเนียมแปลกแบบนี้?
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 588 หน่วยเสือบิน
ฉีเฟิงต้องการค่าน้ำชาจากเหมิงเจียวโจว เหมิงเจียว
โจวรู้สึกมึนๆ เห็นทุกคนกำลังจะจ้องมาที่เขา เขา
ลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เก็บดาบไป เขายืน่ มือไป
ที่หน้าอก แล้วหยิบตั๋วเงินออกมา แล้วนับ จากนั้นก็
เงยหน้าพูดกับฉีหนิงว่า “ข้า...ข้ามีตั๋วเงินอยู่หนึง่ พัน
เจ็ดร้อยตำลึง เอ่อ...”
ฉีหนิงพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร ฉีเฟิงยื่นมือมารับ
เหมิงเจียวโจวเองก็ยื่นไปให้แบบมึนๆ ฉีเฟิงนับดู
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม่ทัพเหมิง เงินหนึ่งพันเจ็ด
ร้อยตำลึง พี่น้องของเราได้คนละห้าตำลึง มันไม่ถึง
สิบตำลึงเลยนะ มัน...มันน้อยเกินไปหรือเปล่า?”
เหมิงเจียวโจวรีบพูดว่า “ไม่รีบ ไม่รีบ ข้ากลับไปเอา
เดี๋ยวนี้เลย คนละสิบตำลึง ถือว่าเป็นค่าน้ำชาให้กับ
ทุกคน ไม่ทราบ...ไม่ทราบแบบนี้ได้หรือเปล่า?”
ฉีเฟิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “คงต้องตามนั้น” เขายื่น
เงินไปให้อู๋ต๋าหลิน แล้วพูดว่า “ท่านนายกองอู๋ แม่
ทัพเหมิงให้ค่าน้ำชากับพีน่ ้องของเรา รบกวนท่าน
นำไปแจกจ่ายให้ทีนะ”
อู๋ต๋าหลินรู้สึกขำมาก เขาเองก็ไม่เกรงใจ ยื่นมือไป
รับมา จากนั้นก็ยกมือคำนับเหมิงเจียวโจว “ขอบคุณ
ท่านแม่ทัพเหมิงมาก”
เหมิงเจียวโจวโล่งใจ ในตอนนีเ้ อง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้า
ม้าดังมา เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นทหารนายหนึ่งขี่
ม้าถือธงกำลังมาทางนี้ พวกควบม้ามาเร็วมาก เครื่อง
แต่งกายของพวกเขา ไม่เหมือนลูกน้องของเหมิง
เจียวโจว ทุกคนกำลังแปลกใจ คนทีข่ ี่ม้าถือธงก็
ตะโกนว่า “ท่านอ๋องทรงมีสารด่วน ท่านแม่ทัพเหมิ
งอยู่ที่ไหน?”
เหมิงเจียวโจวควบม้ากลับไปหา ทหารคนนั้นเห็น
เหมิงเจียวโจว ก็หยิบจดหมายออกมายื่นให้ ยื่นเสร็จ
เขาก็ไม่อยู่ต่อ ควบม้ากลับไปทันที
เหมิงเจียวโจวรับจดหมายมาแล้วก็เปิดอ่านทันที เขา
นั่งอ่านจดหมายบนหลังม้า ฉีหนิงกับอู๋ต๋าหลินมอง
หน้ากัน เขาคิดในใจว่าเพิ่งจะขึ้นฝั่งมา ก็บังเอิญมา
เจอกับจดหมายของไท่ซานอ๋อง ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับ
คณะทูตหรือเปล่า
เหมิงเจียวโจวอ่านอยู่ครู่หนึ่ง จากนัน้ ก็ยัดจดหมาย
เข้าเสื้อผ้าไป เขาขี่ม้าขึ้นหน้ามา แล้วยิ้มให้ฉีหนิง
“จิ่นอีโหว พวกท่านเดินทางกันมาไกล บังเอิญว่าข้า
มีงานที่ต้องไปยังเมืองสวีโจวพอดี พวกท่านจะไปที่
มืองหลวง จำเป็นจะต้องผ่านเมืองสวีโจว ข้านำทาง
พวกท่านไปได้”
“อ๋อ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นรบกวนท่าน
แม่ทัพเหมิงแล้ว”
เหมิงเจียวโจวพูดว่า “ผ่านทางพอดี มีข้าอยู่ การ
เดินทางของพวกเจ้าจะไม่มีอุปสรรคแน่นอน
ไม่อย่างนั้นพวกท่านผ่านแต่ละด่านไปจะต้อง
เสียเวลามาก”
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก แอบคิดในใจว่าเหมิงเจียว
โจวรับจดหมายแล้ว ก็ไม่รู้ว่าในนั้นเขียนว่าอะไร แต่
ว่าในเมื่อเหมิงเจียวโจวจะนำทางให้ มันก็ไม่ใช่เรื่อง
เลวร้ายอะไร
ออกเดินทางจากริมฝั่งชายแดน ฉีหนิงรู้สึกหดหู่มาก
ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเข้าในการจัดทัพเท่าไหร่ แต่ว่า
เขาก็ยังมองออกว่าทัพตงฉีมีช่องโหว่ใหญ่ อีกทั้ง
ทหารตงฉีเองก็ไม่ได้มีสมาธิที่ดีมาก ทหารไม่ฮึกเหิม
เขาคิดว่า ชายแดนสถานที่สำคัญแบบนี้ ตงฉียังยอม
ให้คนไม่เอาไหนอย่างเหมิงเจียวโจวมาประจำการณ์
ได้ ยังดีที่ตงฉีกับต้าฉู่ไม่ได้มีสงครามกัน แต่หากเกิด
การปะทะขึ้นมา คงเป็นอย่างที่หานอวี้พูด ทัพต้าฉู่คง
บุกโจมตีเข้ามาง่ายๆ
เหมิงเจียวโจวยังถือว่ารักษาคำพูด เมื่อออกมาจาก
ค่ายริมชายแดน เขาก็ส่งเงินมาให้อีกหนึ่งพันแปด
ร้อยตำลึง รวมสองครั้งเป็นเงินจำนวนสามพันตำลึง
ฉีหนิงคิดในใจว่ามีแต่คนบอกว่าเหมิงเจียวโจวเป็นคน
ใจป้ำ ตอนนี้ดูไปแล้วก็น่าจะเป็นเรื่องจริง ควักเงิน
เป็นพันตำลึงสบายๆ เลย
เหมิงเจียวโจวกำชับฉีเฟิงใหญ่ ให้ฉีเฟิงจำให้ดี เมื่อถึง
เมืองลู่เฉิงแล้ว จะต้องแจ้งยอดให้กรมพิธีการทราบ
ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้กรมพิธีการเบีย้ ว
ฉีเฟิงรู้สึกขำมาก แต่เขาก็ยงั คงรับปากอยู่ดี
ตลอดการเดินทางราบรื่นมาก เหมิงเจียวโจวคุ้นเคย
เส้นทางของเมืองสวีโจวดี เพื่อไม่ให้เสียเวลาการ
เดินทางของคณะทูต เลยส่งคนให้ไปเตรียมอาหาร
เครื่องดื่มเอาไว้ล่วงหน้า อาหารการกินในต้าฉู่ สู้
อาหารการกินในตงฉีไม่ได้เลย
เที่ยงของวันต่อมา เมื่อเห็นภูเขาสูง เดินทางไปอีก
ประมาณสิบลี้ ทันใดนั้นเองก็เห็นถนนด้านหน้า
เหมือนจะไปต่อไม่ได้ เพราะมีทหารสวมชุดเต็มยศ
ยืนขวางทางอยู่ เมื่อเห็นคนของคณะทูตมา เขาก็
ตะโกนว่า “ถนนถูกปิดแล้ว ไม่ว่าใครก็ผ่านไปไม่ได้
ไปใช้ทางอื่น”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เหมิงเจียวโจวสีหน้าโกรธมาก เขา
ควบม้าขึ้นหน้าไป แล้วตะโกนว่า “ข้าคือเหมิงเจียว
โจว ได้รับพระบัญชาให้ไปเฝ้าไท่ซานอ๋อง ยังไม่หลีก
ไปอีก”
อีกฝ่ายตะคอกกลับมาว่า “เจ้าจะเป็นเหมิงเจียว
โจวหรือเปล่าเราไม่สน ถนนเส้นนี้ไม่ว่าใครก็ผ่านไป
ไม่ได้ ใครฝ่าฝืน ฆ่าได้ทันที”
ฉีหนิงมองไปที่เหมิงเจียวโจว เขาพูดด้วยความสงสัย
ว่า “ท่านแม่ทัพเหมิง ในพื้นที่เมืองสวีโจว ยังมีคน
กล้าขวางทางท่านอีกหรือ?”
เหมิงเจียวโจวเพิง่ โอ้อวดตัวเองไปว่า เดินทางมากับ
เขา ไม่มีอุปสรรคแน่นอน คิดไม่ถึงว่าจะถูกขวางทาง
แบบนี้ ฉีหนิงถามขึ้นมา เหมิงเจียวโจวรู้สึกเสียหน้า
มาก เขามองไปที่ทหารสิบกว่าคนตรงหน้า ส่วนเขาก็
พาทหารมาด้วยสามสี่สิบคน อีกทั้งยังมีทหารของ
คณะทูตอีกสองร้อยกว่าคน รวมแล้วก็น่าจะมีสักสาม
ร้อยคน มีมากกว่าฝั่งตรงข้ามอีก เขามั่นใจมาก เลย
ด่าไปว่า “บังอาจเกินไปแล้ว ตาบอดกันหรือยังไง ข้า
คือเหมิงเจียวโจวนะ เป็นแม่ทัพคนสนิทของไท่ซาน
อ๋อง พวกเจ้ากล้าขวางทางข้าหรือ ไม่อยากอยู่กัน
แล้วใช่หรือไม่?”
เหล่าทหารมองหน้ากัน จากนั้นก็หัวเราะร่าขึ้นมา มี
คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “หมาบ้าที่ไหนหลุดมาเนี่ย กล้า
มาตะโกนโวยวายตรงนี้ รนหาที่ตายชัดๆ ยังกล้า
พูดจาไม่รู้เรื่องแบบนี้อีก”
เหมิงเจียวโจวชักดาบออกมา เขาพูดด้วยความโกรธ
ว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน? ใครสั่งให้พวกเจ้ามาปิด
ถนนแบบนี้?”
อีกฝ่ายพูดเสียงเข้มว่า “ถ้ายังไม่ยอมหยุด ไม่ปล่อย
พวกเจ้าไว้แน่ ยังไม่รีบไปอีก”
เหมิงเจียวโจวหน้าเปลี่ยนสี เขาตะโกนว่า “เจ้าบ้า
เอ๊ย อยากตายนักใช่หรือไม่ ทหาร จับเจ้าพวกนี้
เอาไว้ ข้าจะจับพวกมันไปให้ไท่ซานอ๋องทรงตัดสิน”
คนของเหมิงเจียวโจวได้ยินเขาตะโกนสั่ง ก็ควบม้า
ขึ้นหน้ามา จากนั้นก็คิดจะลงมือ อีกฝ่ายเห็นว่าจะลง
มือก็ยืนเรียงแถว จากนัน้ ก็ยกธนูขนึ้ มาพร้อมยิง คน
ด้านหน้าสุดก็พูดขึ้นมาว่า “ไท่ซานอ๋อง? ต่อให้เป็น
ไท่ซานอ๋อง ก็สั่งเราไม่ได้ เราคือคนของหน่วยเสือบิน
เป็นทหารขององค์รัชทายาท พวกเจ้ากล้าลงมือกับ
เรา คิดกบฏหรือยังไง?”
เหมิงเจียวโจวตะลึงไป เหล่าทหารมองหน้ากัน
ฉีหนิงกับอู๋ต๋าหลินมองหน้ากัน ดูสถานการอยู่ข้างๆ
โดยไม่พูดอะไร เขาคิดในใจว่า แคว้นตงฉีมีด้วยกัน
สองเมือง เมืองชิงโจวกับสวีโจว เมืองลู่เฉิงอยู่ทาง
เมืองชิงโจว ในเมื่อรัชทายาทเป็นผู้สบื ทอดตำแหน่ง
กษัตริย์ ก็ควรอาศัยอยู่ในเมืองหลวงถึงจะถูก แล้ว
ทำไมคนของเขาถึงได้มาปิดถนนทีเ่ มืองสวีโจวได้ล่ะ?
สองคนนี้เหมือนจะนึกอะไรขึน้ มาได้ หรือว่ารัช
ทายาทตงฉีจะอยู่ในเมืองสวีโจว
เหมิงเจียวโจวได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นคนของหน่วยเสือ
บิน เขาก็เริ่มอ่อนลง ไท่ซานอ๋องถึงแม้จะร้ายกาจ แต่
ว่ารัชทายาทตำแหน่งสูงศักดิ์ แม้แต่ไท่ซานอ๋องก็ไม่
กล้ามีปัญหาด้วย แล้วเขาล่ะ? เขาแอบคิดในใจว่ายัง
ดีที่ยังไม่ได้สู้กันขึ้นมา ไม่อย่างนั้นทหารรัชทายาท
บาดเจ็บขึ้นมา ผลที่ตามมาไม่อยากจะคิดเลย
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็พี่น้องหน่วยเสือบินนี่เอง
ฮ่าฮ่าฮ่า เกือบทำร้ายคนกันเองซะแล้ว เรื่องเข้าใจ
ผิด เป็นเรื่องเข้าใจผิด”
ทหารคนนั้นพูดว่า “คนกันเอง? ใครเป็นคนกันเอง
กับเจ้า? ที่เจ้าพูดจาเหลวไหล จะคิดบัญชีกันยังไง?”
“เอ่อ...เรื่องนั้นเราผิดเอง” เหมิงเจียวโจนรีบพูดว่า
“องค์รัชทายาททรงเสด็จมาที่สวีโจวหรือ? ล่วงเกิน
แล้ว เราเดินทางอ้อมไปก็ได้” เขาควบม้า เตรียมจะ
ไป
อีกฝ่ายพูดเสียงเข้มว่า “ช้าก่อน คิดจะไปมันไม่ง่าย
อย่างนั้นหรอก เมื่อกี้เจ้าด่าเรา ใช่หรือไม่?”
เหมิงเจียวโจวไม่พูดมาก ยกมือขึ้นตบปากตัวเอง
ทันที แล้วพูดว่า “ข้าปากหมาไปเอง ขออภัยพี่น้อง
ทุกท่านด้วย ข้ามันมีตาแต่ไร่แวว พวกท่านเป็น
ผู้ใหญ่ใจกว้าง อย่าถือสาข้าเลยนะ”
“ไม่ถือสาก็ได้” เห็นเหมิงเจียวโจวขอขมา อีกฝ่ายก็
ยอมเลิกรา คนหน้าสุดพูดว่า “เพื่อเป็นการแสดง
ความจริงใจว่าพวกเจ้าสำนึกผิดแล้ว ทุกคนคุกเข่า
แล้วโขกหัวให้เราคนละที เราก็จะไม่เอาเรื่อง”
เหมิงเจียวโจวขมวดคิ้ว เขาลังเล อีกฝ่ายพูดขึ้นมาอีก
ว่า “ทำไม ไม่อยากโขกหัวหรือ?”
“พี่น้องหน่วยเสือบิน ยังไงก็น่าจะไว้หน้าข้าบ้าง”
เหมิงเจียวโจวคิดในใจว่าขบวนคณะทูตต้าฉู่อยู่ข้างๆ
หากไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย เขาโขกหัวให้มันก็ไม่ใช่เรื่อง
ใหญ่อะไร แต่ว่ามีคนอยู่มากขนาดนี้ จะให้เขาโขกหัว
มันเสียหน้ามากเกินไป “ไว้ข้าค่อยจัดงานเลี้ยงให้
พวกท่านนะ เรื่องในวันนี้ ยังไงก็ไว้หน้าสักหน่อย
เถอะ”
ยิ่งเหมิงเจียวโจวยอม ทหารของรัชทายาทพวกนัน้ ก็
ยิ่งได้ใจ เขาพูดว่า “พวกเราไม่ได้ไม่มีเหล้าหรือ
อาหารกิน เจ้าด่าเรา ล่วงเกินองค์รชั ทายาท งาน
เลี้ยงมื้อเดียวก็จบงั้นหรือ? หากไม่ยอมคุกเข่า วันนี้ก็
ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น”
เหมิงเจียวโจวลงจากม้า เขารู้ว่าทหารพวกนี้รับมือ
ลำบาก เขาได้รับการไว้วางใจจากไท่ซานอ๋อง ในส
วีโจวเขาไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใคร แต่ว่าเขาเองก็ไม่โง่
เขารู้หากผิดใจกับรัชทายาท แม้แต่ไท่ซานอ๋องก็ช่วย
เขาไม่ได้ เขาเดินขึ้นหน้าไป แล้วหยิบตั๋วเงินออกมา
สองใบแล้วยื่นไปให้ หัวหน้าคนพวกนั้นเหลือบมอง
จำนวน เขายิ้มแล้วรับไป จากนั้นก็ดา่ ว่า “ต่อไปลืม
ตาให้โตหน่อย เห็นแก่หน้าของไท่ซานอ๋อง วันนี้ข้า
จะไม่ถือสาหาความเจ้า ต่อไปหากทำผิดอีก ข้าจะไม่
ปล่อยไปแน่”
เหมิงเจียวโจวยังน้อยก็มีเงินพอจะหาเหตุผลให้ตัวเอง
รอดได้ ถึงแม้ในใจของเขาจะไม่พอใจ แต่ว่าเขาก็ยัง
ยิ้มแล้วพูดว่า “มิกล้า มิกล้า” เขาหันหลังกลับ
มาแล้วพูดว่า “เราเลี่ยงเส้นทางนี้ก็แล้วกัน เปลี่ยนไป
เดินเส้นอื่น”
ฉีหนิงถามขึ้นมาว่า “ท่านแม่ทัพเหมิง หากเรา
เปลี่ยนเส้นทาง ไม่ทราบว่าต้องใช้เวลาแค่ไหน?”
เหมิงเจียวโจวพูดว่า “ก็น่าจะเสียเวลาไปอีกหนึ่งวัน
โดยประมาณ”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วยกมือชี้ไปด้านหน้า “ถ้าอย่าง
นั้น เราก็เดินทางนี้สิ จะได้ประหยัดเวลาไปหนึ่งวัน
ทำไมเราต้องเปลี่ยนเส้นทางด้วย”
เหมิงเจียวโจวอึ้งไป หน้าเขาเปลี่ยนสี คิดในใจว่าเขา
เพิ่งจะคลี่คลายสถานการณ์ไป ทำไมจิ่นอีโหวถึงได้
หาเรื่องแบบนี้อีก ทหารรัชทายาทได้ยินเต็มสองหู มี
คนหันมาพูดว่า “โอ้โห ไม่กลัวตายกันเลยจริงๆ นะ
เหมิงเจียวโจว พวกเขาเป็นใคร? หือ ธงแคว้นฉี เป็น
ชาวแคว้นฉีหรือ?”
บนรถขนสิ่งของในขบวน ต่างปักธงของแคว้น “ฉี”
เอาไว้ ทำให้คนเห็นได้ง่ายว่าเป็นทหารแคว้นฉี
เหมิงเจียวโจวรีบพูดว่า “ท่านนีค้ ือจิน่ อีโหวจาก
แคว้นฉี นำขบวนขณะทูตมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
“ต่อให้ฮ่องเต้ของพวกเขามาเองก ก็ต้องเดินอ้อม
ไป” ทหารคนนัน้ พูดว่า “ข้ารับคำสั่งมาให้ปิด
เส้นทาง ใครก็ตามก็ผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด”
ฉีหนิงพูดขึ้นมาว่า “ข้าได้รับพระบัญชาให้เดินทาง
มายังเมืองหลวงของตงฉี หากมีการขัดขวางการ
เดินทาง เจอเทพฆ่าเทพ เจอพระฆ่าพระ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 589 รัชทายาทตงฉี
ทหารพวกนั้นได้ยินดังนัน้ ก็ตะลึงไป จากนั้นก็
หัวเราะออกมา มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “เจ้าคิดว่าที่นี่
เป็นแคว้นฉู่ของพวกเจ้าหรือไง กล้ามาบังอาจขนาด
นี้ที่นี่ ระวังตัวจะไม่ได้กลับไป”
ฉีหนิงไม่ได้พูดอะไรเลย เขาส่งสัญญาณให้อู๋ต๋าหลิน
อู๋ต๋าหลินพยักหน้า ยกมือขึ้น วินาทีที่เขายกมือ
ทหารแคว้นฉีก็ขี่ม้าออกมาตั้งค่ายกลอย่างรวดเร็ว
ทหารรัชทายาทตฉียังหัวเราะเยาะอยู่ แต่ไม่คิดว่า
ชาวแคว้นฉีจะลงมือจริง ทหารอวี้หลินถึงแม้จะสู้
ทหารค่ายดาบดำไม่ได้ แต่พวกเขาก็เป็นรองทหาร
ของค่ายดาบดำเท่านัน้ อีกทั้งทัง้ สองฝ่ายก็อยู่ใกล้กัน
มาก เมื่อทหารออกมาตั้งค่ายรบ มันเหมือนแค่
กะพริบตาเดียวเท่านั้นเอง
ไม้กั้นขวางทาง แต่ว่าทหารม้าอยู่ใกล้มาก บนม้ามี
ทหารหลวงอวี้หลินคอยส่งเสียงคำราม สายตาดุดัน
อีกทั้งพร้อมบุก ทหารม้ากว่าสิบนาย ดีดตัวลอยขึ้น
ราวกับพญาเหยี่ยวพุ่งไปหาทหารของรัชทายาท
เหมิงเจียวโจวตกใจหน้าเสีย เขารีบตะโกนว่า “อย่า
ลงมือ อย่าลงมือ” เขารู้ว่า หากทั้งสองฝ่ายเกิดปะทะ
กันขึ้นมา ถึงเวลานั้นเขาเองก็หนีไม่พ้น นี่คือจิ่นอีโหว
หนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์สืบทอดของต้าฉู่ ราชสำนัก
อาจจะไม่ทำอะไรจิ่นอีโหว แต่ว่าเขาไม่น่าจะรอด
ทหารรัชทายาทต่างก็ตกใจ แต่เพราะพวกเขาก็ต่าง
เป็นทหารกล้า พวกเขาชักดาบออกมา แต่ว่าทหาร
หลวงอวี้หลินนั้นเคลื่อนทีร่ วดเร็วมาก ทหารของรัช
ทายาทคิดไม่ถึงเลยว่าทหารหลวงอวี้หลินคิดจะลงมือ
ก็ลงมือเลย พริบตาเดียว ก็เอาดาบมาพาดเอาไว้บน
บ่าแล้ว
อู๋ต๋าหลินตะคอกเสียงเข้มว่า “จิ่นอีโหวอยู่ที่นี่ ใคร
เสียมารยาท สังหารได้ทันที”
เสียงเขาหนักแน่นมาก ดังสะเทือนไปทั่ว ทหารรัช
ทายาทตกใจมาก มีคนอาศัยวินาทีทที่ หารหลวงอวี้ห
ลินลงมือ เห็นว่าอีกฝ่ายมากันเป็นจำนวนมาก รู้ว่าสู้
กันแล้วน่าจะเสียเปรียบ เลยรีบวิ่งขึน้ ม้าไป ในวินาที
นั้น นอกจากทหารของรัชทายาทห้าหกคนแล้ว คน
อื่นก็วิ่งหนีขึ้นม้าไปแล้ว
เหมิงเจียงวโจวหน้าเสียมาก เขาพูดว่า “แย่แน่ แย่
แน่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพเหมิง ทหารหน่วย
เสือบินขวางทางรีดไถเงิน การกระทำเสียมารยาท
ขนาดนี้ ถือว่าโอหังมาก หากสอบสวนขึ้นมา เราเป็น
พยานให้ท่านแม่ทัพเหมิงได้ ว่าท่านไม่ได้ทำผิด
อะไร”
“รีดไถเงิน?” เหมิงเจียวโจวตะลึงไป คิดในใจว่าไม่ใช่
เพราะข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่อง เลยเสนอสินบนไปให้
หรือไงกัน?
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ทหารพวกนี้ทำเกินไปแล้ว แม่
ทัพเหมิงก็ตั้งใจจะเดินอ้อมอยู่แล้ว แต่ว่าพวกเขายัง
ไม่ยอมเลิกราอีก ยังทำตัวเป็นโจรรีดไถอีก เราทุกคน
เห็นกันอยู่ ไม่มีผิดแน่นอน” เขาพูดเสียงเข้มว่า
“พวกเจ้าเห็นกันหรือเปล่า?”
คนที่อยู่ด้านหลังพูดว่า “ถูกต้อง ทหารพวกนั้น
ขวางทางรีดไถเงิน รัชทายาทตงฉีไม่มีทางปล่อย
ลูกน้องมาทำเรื่องแบบนีแ้ น่นอน จะต้องเป็นโจร
ปลอมตัวมาเป็นทหารรัชทายาทแน่”
เหมิงเจียวโจวคิดในใจว่าชาวแคว้นฉูพ่ ูดจากเกินไป
แล้ว แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ก็รู้สึกว่าก่อเรื่องใหญ่เข้าให้
แล้ว หากรัชทายาทเอาความขึ้นมา เขาหนีไม่รอดแน่
หากทำตามที่ชาวแคว้นฉู่พูด ก็ยังหาข้ออ้างแถไปได้
เขาถามอย่างนระวังว่า “โหวเย่ พวกเขาเป็นโจร
อย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นโจรแน่นอน หากเป็นทหาร
ของรัชทายาท จะกล้าขวางทางรีดไถเงินแบบนี้หรือ?
เราทำเพื่อรักษาชื่อเสียงขององค์รัชทายาท จับโจร
พวกนี้เอาไว้ แล้วค่อยส่งตัวไปให้ทางการ เพื่อ
สอบสวนอีกครั้ง”
อู๋ต๋าหลินสั่งให้คนมัดทหารของรัชทายาทเอาไว้ อีก
ทั้งยังสั่งให้คนเอาที่กนั้ ออก แล้วหันมาพูดกับฉีหนิง
ว่า “โหวเยว่ เราเดินทางต่อกันได้แล้ว”
ฉีหนิงท่าทางนิง่ มาก เขาออกคำสั่งให้เดินทางต่อ
เหมิงเจียวโจวรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย เขารู้สึกกลัว
มาก เขาไม่มีอะไรในหัวเลย ทำได้แค่เดินทางตามฉี
หนิงไป
เดินทางมาอีกราวหนึ่งชั่วยาม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง
ฝีเท้าม้า อู๋ต๋าหลินพูดว่า “ทุกคนระวังตัวให้ดี” เขา
คิดในใจว่าน่าจะเป็นคนของรัชทายาทแน่นอน
ไม่นานนักก็เห็นทหารขี่ม้ากันมาเป็นกลุ่มใหญ่ ห่าง
จากพวกเขาประมาณหนึ่ง แล้วหยุดม้า มีคนลงจาก
ม้า แล้วก็เดินตามชายคนหนึ่งที่สวมชุดขุนนางมา ฉี
หนิงควบม้าขึ้นหน้าไป แล้วมองไปอย่างละเอียด คน
สวมชุดขุนนางอายุประมาณห้าสิบ สวมหมวกขุนนาง
รูปร่างผอม แต่เดินเร็วมาก เมื่อมาถึงด้านหน้า เขาก็
ทำความเคารพฉีหนิง “หมิงเยว่ชางซื่อถูแห่งจวนรัช
ทายาท คำนับโหวเยว่”
ฉีหนิงเห็นอีกฝ่ายมาด้วยมารยาทครบถ้วน ก็ลงจาก
ม้า แล้วคำนับกลับ “ที่แท้ก็ท่านซือถูนี่เอง”
หมิงเยว่ซื่อถูแห่งจวนรัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “รัช
ทายาททรงล่าสัตว์อยู่แถวนี้ กังวลว่าชาวบ้านจะหลง
เข้ามา แล้วพวกเขาอาจได้รับบาดเจ็บได้ เลยสั่งให้
ปิดถนน ทหารพวกนี้มีตาแต่ไร้แวว ล่วงเกินโหวเยว่
สมควรตายนัก” เขาพูดเสียงเข้มขึ้นมา “พาตัวมานี่”
ทหารด้านหลังคุมตัวทหารเจ็ดแปดคนมา ฉีหนิง
จำพวกเขาได้ เป็นทหารรัชทายาททีห่ นีไปก่อนหน้านี้
ทุกคนต่างก้มหน้าลงกันหมด ไม่ได้มีความโอหัง
เหมือนเมื่อกี้เลย
“โหวเยว่ รัชทายาททรงมีรับสั่งว่า ทหารพวกนี้โอหัง
ล่วงเกินโหวเยว่ จึงพาตัวมาให้โหวเยว่ทรงลงโทษ” ซื
อถูหมิงเยว่ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่นำคณะทูตมายัง
แคว้นตงฉีของเรา ถือเป็นอาคันตุกะของเรา จะให้มี
การล่วงเกินแบบนี้ไม่ได้”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ทหารขององค์รัชทายาทเอง ข้า
จะไปกล้าสั่งลงโทษได้อย่างไร”
ซือถูหมิงเยว่พยักหน้า เขาหันหลัง จากนั้นก็โบกมือ
ทหารกลุ่มหนึ่งพาตัวทหารพวกนั้นเป็นด้านข้าง ไม่
พูดอะไรมาก ชักดาบออกมาแล้วก็ฟันหัวพวกเขา
ทันที พริบตาเดียว หัวเจ็ดแปดคนของหลุดลงกอง
กับพื้น
ถึงแม้ฉีหนิงจะเห็นคนตายมามาก แต่เห็นอีกฝ่ายลง
มือเด็ดขาด ก็ตกใจเหมือนกัน
ทหารรัชทายาทที่ถูกทหารหลวอวี้หลินจับตัวไว้เห็น
เพื่อนถูกประหารต่อหน้า ต่างตกใจขวัญกระเจิง
แทบจะทรุดลงกับพืน้
หลังจากที่ศพของทหารถูกลากออกไปแล้ว ซือถูหมิง
เยว่ก็ยกมือคำนับยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ รัชทายาท
ทรงตั้งค่ายล่าสัตว์อยู่ห่างจากที่นี่สามสิบลี้ พระองค์
ทรงกำชับให้พวกข้าน้อยมาเรียนเชิญโหวเยว่
พระองค์รับสั่งว่าจิน่ อีตระกูลฉีชื่อเสียงสะเทือนไปทั่ว
หล้า พระองค์เคารพนับถือมานาน ทรงอยากพบ
หน้าสักครั้ง ขอให้โหวเยว่เดินทางไปที่ค่ายสักครั้ง
เถอะ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่แท้รัชทายาทแห่งตงฉีก็อยู่ที่สวี
โจวจริงๆ ด้วย เขายิ้มแล้วพูดว่า “รัชทายาททรงอยู่
ที่นี่ด้วย ถ้าอย่างนั้นสมควรจะเดินทางไปเฝ้าอยู่
แล้ว”
ซือถูหมิงเยว่เองก็ไม่ได้พูดมาก เขาหันหลังแล้วกลับ
ขึ้นม้าไป เขาขี่ม้ามาอยู่ข้างๆ ฉีหนิง อย่างมีมารยาท
จากนั้นถึงนำทางคณะทูตไปที่ค่าย เดินทางต่อไปอีก
ประมาณหนึ่งชั่วยาม พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว เมื่อ
มองไปด้านหน้า ก็มีทั้งภูเขา สายลม แม่น้ำ ไม่นาน
นัก ก็เห็นทหาร ด้านหน้าเป็นเนินเขาขนาดใหญ่ เมื่อ
มองเข้าไป ก็เห็นกระโจมตั้งเต็มไปหมด
กระโจมค่ายพวกนี้ตั้งอยู่บนที่สูงมาก รอบๆ มีไม้กั้น
ขวาง ซึ่งไม่มีทางให้หลุดเข้าไปได้เลย ส่วนตรงกลาง
มีการเว้นไว้ให้เป็นทางเข้าออกอยู่ ด้านข้างมีการปัก
ธงเอาไว้สองเสา เหล่าทหารมีการเดินลาดตระเวนอยู่
ทุกคนล้วนสวมชุดเกราะ ถือทวนยาว ไม่ก็ถือดาบ
ทุกคนสีหน้าจริงจังมาก
ฉีหนิงคิดในใจว่ารัชทายทมาล่าสัตว์ในป่าแค่นี้ แต่
เตรียมตัวไว้พร้อมเลย หากเป็นเชื้อพระวงศ์ทั่วไป
ที่มาล่าสัตว์ คงพาคนมาแค่สิบกว่าคนเท่านัน้ แต่ว่า
จากที่เห็น คิดว่าน่าจะมีกว่าร้อยคน ล่าสัตว์ก็ยังไม่
เท่าไหร่ แต่ดูจากการตั้งค่าย มันเหมือนค่ายทหารที่
จะมาออกรบเลย
ซือถูหมิงเยว่ยิ้มแล้วพูดว่า “รัชทายาททรงออกล่า
สัตว์ เพื่อปกป้องกันไว้ก่อน เลยโยกทหารหน่วยเสือ
บินมาแปดร้อยนายตตามมาด้วย” เขาชี้ไปด้านหนึ่ง
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ทางนั้นเป็นเนินหมูป่า ห่างจาก
เนินพญาวัวไม่ไกลเท่าไหร่ หากโหวเยว่รู้สึกว่า
เหมาะสม ก็ให้คณะทูตไปตั้งค่ายพักผ่อนด้านนั้น
ก่อนดีไหม?”
ฉีหนิงมองตามมือของเขาที่ชี้ไป เห็นตรงนั้นไม่ไกล
มาก เป็นเนินเขาแห่งหนึง่ เตี้ยกว่าของค่ายรัช
ทายาทนิดหน่อย เขาคิดในใจว่าทางนี้ชื่อเนินพญาวัว
ตรงนั้นชื่อเนินหมูป่า ชื่อยังมีการแบ่งชนชั้นอีก ไม่รู้
ว่าเขางมงายหรือเปล่า แต่ก็คิดว่าตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้
ยังไงก็ต้องหาที่ตั้งค่ายอยู่ดี ตอนนี้กค็ งไม่สามารถไล่
รัชทายาทตงฉีไปอยูท่ ี่อื่นได้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้า
พอใจมาก ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนซือถูหมิงเยว่แล้วนะ”
ซือถูหมิงเยว่พยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่โปรดรอ
สักครู่ ข้าจะรีบเข้าไปทูลรายงานให้รัชทายาททรง
ทราบ”
“รบกวนแล้ว” ฉีหนิงยกมือคำนับ เขาเดินทางมา
ตงฉีในครั้งนี้ ก็เพื่อเจรจาเรื่องการอภิเษกเชื่อม
สัมพันธ์ รัชทายาทตงฉีเป็นพระเชษฐาขององค์หญิง
เทียนเซียง อีกทัง้ ยังทรงเป็นรัชทายาทมกุฎราชกุมาร
แห่งแคว้นตงฉี ตำแหน่งของเขาในตงฉีสูงศักดิ์มาก
หากสามารถมีสัมพันธภาพที่ดีกับองค์รัชทายาทแล้ว
เรื่องการอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ ก็น่าจะสำเร็จไปเกิน
กว่าครึ่ง
เหมิงเจียวโจวเดินทางมาพร้อมกับฉีหนิง เดิมเขาจะ
ไปเมืองสวีโจว แต่กลับเดินทางมาที่ค่ายของรัช
ทายาทพร้อมกับฉีหนิงแบบมึนๆ เขารู้สึกไม่สบายใจ
เลย เขาเห็นซือถูหมิงเยว่จะไปทูลรายงาน ก็รบี พูด
ขึ้นมาว่า “ใต้เท้า...ใต้เท้าซือถู ข้าน้อยยังมีงานต้อง
รีบไป อีกทัง้ ยังคุ้มกันโหวเยว่มาจนถึงที่นี่แล้ว ไม่
ทราบ...ไม่ทราบว่าจะขอตัวไปก่อนได้หรือไม่?”
ซือถูหมิงเยว่ไม่ได้มองเขาเลย เขาพูดว่า “เจ้ารออยู่
ที่นี่ด้วยดีกว่า” กับเหมิงเจียวโจว เขาไม่ได้มีมารยาท
มากเหมือนตอนที่พูดกับฉีหนิง
เหมิงเจียวโจวจนปัญญา ทำได้แค่รอ
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เห็นซือถูหมิงเยว่ออกมา เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “องค์รัชทายาททรงรออยู่ที่กระโจมด้าน
ใน โหวเยว่ เชิญท่านตามข้าน้อยเข้าเฝ้าทางนี้” เขา
พูดอีกว่า “รัชทายาททรงรับสั่งว่า ให้คณะทูตตั้งค่าย
พักผ่อนกันทีเ่ นินหมูป่าได้เลย”
ฉีหนิงหันไปสั่งกำชับอู๋ต๋าหลินสองสามเรื่อง อู๋ต๋าหลิน
พาคนและของไปที่เนินหมูป่า ส่วนฉีเฟิงกับองครักษ์
จากจวนตามฉีหนิงเข้าไปในค่าย ภายในค่ายมีการคุ้ม
กันหนาแน่น มีทหารหลายกลุ่มเดินลาดตระเวนกัน
อย่างแข็งขัน เมื่อมาถึงหน้ากระโจมใหญ่หลังหนึ่งใน
เนินพญาวัว ก็มีคนสวมชุดสีดำกลุ่มหนึ่งล้อมกระโจม
ไว้ พวกเขาแต่งตัวไม่เหมือนทหารกลุ่มอื่น ฉีหนิงมอง
ไปรอบๆ ก็รู้ทนั ทีว่ากลุ่มคนพวกนี้นา่ จะไม่ธรรมดา
ห่างจากกระโจมใหญ่ประมาณสิบก้าว ทหารสีดำสอง
คนก็ยกมือขวางเอาไว้ ซือถูหมิงเยว่ยิ้มแล้วพูดว่า
“จิ่นอีโหวอย่าได้ถือสาเลยนะ รัชทายาททรงประทับ
อยู่ด้านใน จะเข้าไปในกระโจมไม่อาจพกอาวุธเข้าไป
ได้ ขอโหวเยว่อภัยด้วย”
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม อีกทั้งฉีหนิงก็รู้ว่ารัช
ทายาทตงฉีไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป การป้องกันแบบ
เข้มงวด ก็เป็นเรื่องทีเ่ ข้าใจได้ เขาเลยปลดอาวุธออก
แล้วพาแค่ฉีเฟิงกับหลี่ถังตามซือถูหมิงเยว่เข้าไปใน
กระโจมเท่านั้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 590 คุยเรื่องดาบ
ฉีหนิงตามซือถูหมิงเยว่เข้าไปในกระโจม ตอนที่เขา
อยู่นอกกระโจมเขาก็รู้สึกว่ามันใหญ่มาก แต่พอเข้า
มาด้านในแล้ว ถึงได้รู้ว่ามันใหญ่มากกว่าที่คิด คิดว่า
กระโจมแห่งนี้ น่าจะจุได้สักร้อยคนยังอาจจะมีที่
เหลือเลย
ภายในกระโจมก็ไม่ได้หรูหรา แต่ว่ามีการจัดว่างได้
อย่างมีวัฒนธรรม ราวกับว่าย้ายตำหนักมาอยู่ที่นี่
ด้านในมีนางกำนัลอยู่ไม่น้อย ตรงกลางมีโต๊ะไม้
โบราณตัวหนึ่งวางอยู่ มีคนหลายคนนั่งล้อมอยู่ที่โต๊ะ
ประธานตัวนั้น ฉีหนิงมองไป น่าจะมีอยู่ห้าหกคน
ทุกคนสวมชุดสีดำทั้งหมด ไม่ได้หรูหราอย่างที่เขาคิด
ตอนที่ฉีหนิงเดินเข้ามาด้านใน คนทีน่ ั่งล้อมอยู่นั้นก็
ลุกขึ้นมาทั้งหมด ซือถูหมิงเยว่เดินเข้าไปทำความ
เคารพแล้วพูดว่า “ทูตรัชทายาท ราชทูตแคว้นฉู่จิ่นอี
โหวขอเข้าเฝ้า”
มีหนึ่งในคนนัน้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านก็คือจิ่นอีโหวที่
สะเทือนไปทั่วใต้หล้าน่ะหรือ?” น้ำเสียงของเขา
อบอุ่น ฉีหนิงมองไป เห็นชายคนนั้นอายุประมาณ
ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีได้ เขาสวมเสื้อแพรสีดำ ผิวของ
เขาออกเหลือง หน้าตาก็ไม่ได้หล่อเหลามาก แต่ว่า
เขาดูเป็นคนฉลาด มีสง่าราศี บนหัวของเขาคาดผ้าสี
เหลือง ใบหน้ามีรอยยิ้ม เขาคิดในใจว่าเขาก็น่าจะ
เป็นรัชทายาทแห่งตงฉี เขายกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า
“ฉีหนิงแห่งแคว้นฉู่ คำนับองค์รัชทายาท”
รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องมากพิธี จิ่นอีโหว ข้า
เองก็ได้ยินมาว่าแคว้นฉู่จะส่งคณะทูตมา ไม่คิดเลยว่า
จะมาถึงเร็วขนาดนี้”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉีหนิงรับราชโองการให้เดินทาง
มาเชื่อมสัมพันธไมตรีกับตงฉี ได้พบกับองค์รัช
ทายาทที่นี่ ช่างเป็นเกียรติของข้านัก”
“เสด็จพี่รัชทายาท มีแต่คนพูดกันว่าจิ่นอีโหวเป็นเสา
หลักของแคว้นฉู่ บารมีสะเทือนไปทัว่ แผ่นดิน ทำไม
ถึงได้เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้นล่ะ?” เสียง
หัวเราะใสดังขึ้น
ฉีหนิงหันไปมองตามเสียง เห็นคนทีพ่ ูดสวมชุดผ้า
แพรสีดำ อายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี ดูจากอายุน่าจะ
อ่อนกว่าเขาหลายปีอยู่ รัชทายาทผิวพรรณดูคล้ำ แต่
ว่าหนุ่มคนนี้ผิวเขียวเนียน ดูก็รู้ว่าเลี้ยงมาอย่างทะนุ
ถนอม
เมื่อได้ยินหนุ่มน้อยพูดอย่างเสียมารยาทออกมา ฉี
เฟิงกับหลี่ถังที่อยู่ด้านหลังฉีหนิงก็ขมวดคิ้ว รัช
ทายาทพูดเสียงเข้มว่า “เจ้าสามห้ามพูดจาเหลวไหล
นะ ยังไม่รบี ขอโทษจิ่นอีโหวอีก?”
ฉีหนิงสะดุ้ง จากนั้นก็รีบยิ้มแล้วพูดว่า “หลินจืออ๋อง
ทรงไร้เดียงสา คำพูดของเด็กไม่มีภัย ฉีหนิงไม่ถือสา”
เขาได้ยินรัชทายาทเรียกหนุ่มน้อยคนนั้นว่าเจ้าสาม
เขาก็นึกขึ้นได้ว่า กษัตริย์ตงฉีมีลูกชายสามคน รัช
ทายาทเป็นลูกชายคนรอง จากอายุแล้วชายหนุ่มคน
นี้น่าจะเป็นลูกชายคนเล็กของกษัตริย์ตงฉีหลินจือ
อ๋อง
รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหวสายตาเฉียบแหลม
นัก ดูครู่เดียวก็รู้ทนั ที ฉลาดจริงๆ” เขายกมือขึ้นแล้ว
พูดว่า “ข้ากำลังคุยเรื่องดาบกับพวกเขาอยู่พอดี จิ่น
อีโหวเป็นคนในตระกูลนักรบของต้าฉู่ น่าจะคุน้ เคย
กับเรื่องอาวุธทหารเป็นอย่างดี ถ้ายังไงก็มาคุย
ด้วยกันสิ” เขาพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า “ข้าไม่ได้สนใจ
เรื่องพิธีรีตองมาก ครัง้ นี้ข้าออกมาเพื่อล่าสัตว์ หลาย
เรื่องอาจจะสบายๆ มากไปหน่อย จิน่ อีโหวท่านเองก็
ไม่ต้องมากพิธีมากหรอกนะ”
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก เขาเดินหน้าขึ้นไป มีนาง
กำนัลเอาแผ่นรองนัง่ มาวางไว้ให้ ฉีหนิงพยักหน้า
ขอบคุณ แล้วนั่งลง ตอนนี้เขาเห็นแล้วว่า บนโต๊ะ มี
ดาบวางอยู่ประมาณห้าหกเล่ม รูปร่างแตกต่างกัน
ออกไป
ตอนนี้เขามองไปทั้งซ้ายและขวา นอกจากรัชทายาท
ตงฉีกับหลินจืออ๋องแล้ว ยังมีชายฝึกยุทธอีกสองคน
คิดว่าน่าจะเป็นขุนพลในสังกัดของรัชทายาทเอง ที่
ข้างกายของรัชทายาท ยังมีชายอายุประมาณห้าสิบ
นั่งอยู่ด้วย รูปร่างอ้วนนิดหน่อย ตอนนี้ซือถูหมิงเยว่
เองก็นงั่ ถัดมาจากชายคนนั้น
รัชทายาทเหมือนจะรู้ว่าฉีหนิงคิดอะไรอยู่ เขายิ้มแล้ว
แนะนำว่า “ซือถูชางสือเจ้าน่าจะรู้จกั แล้ว” เขายก
มือตบไปที่ไหล่ของชายแก่ ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่คือสวีโจ
ชื่อสื่อไต้เท้าฟางซิ่งจาย ส่วนนี่กแ็ ม่ทัพสือถังกับแม่
ทัพซูหลุน”
ทุกคนต่างยกมือคำนับฉีหนิง ฉีหนิงเองก็ยกมือคำนับ
กลับไป รัชทายาทหยิบดาบมาเล่มหนึ่ง เขาชักดาบ
ออกมาจากฝัก มันสะท้อนสว่างจ้าภายในกระโจม
รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว เจ้าว่าดาบเล่มนี้
เป็นยังไงบ้าง?” เขายื่นดาบมาให้ ฉีหนิงรับมาดู บน
ตัวเขามีมีดสั้นที่คมกริบอยู่เล่มหนึ่ง มันเป็นอาวุธที่
หายากมาก ดาบเล่มนี้เป็นดาบที่คมมาก แต่ก็ยังห่าง
ชั้นกับของเขามาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ลักษณะดี แต่
ว่าความคมน่าจะธรรมดาไป”
รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อจิ่นอีโหวพูดมาแบบนี้
ก็ไม่น่าจะผิด” เขาหยิบดาบมาให้อีกเล่มหนึ่ง แล้ว
ถามว่า “แล้วเล่มนี้ล่ะ?”
ฉีหนิงวางดาบลง แล้วรับดาบมาอีกเล่ม เขามองแล้ว
รู้สึกคุ้นตามาก เมื่อชักดาบออกมา เขาดูก็รู้ทันทีว่า
มันคมมากกว่าเล่มก่อนหน้านี้มาก เขาพยักหน้าแล้ว
พูดว่า “นี่เป็นดาบที่ดีมาก” เหมือนเขาจะนึกอะไร
ขึน้ มาได้ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ดาบเล่มนี้
เหมือนจะ......เป็นดาบพกของทหารหลวงอวี้หลินข
องแคว้นฉู่เรา”
รัชทายาทหัวเราะยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง เป็นดาบ
พกของทหารหลวงอวี้หลินของแคว้นท่านจริง” เขา
หยิบดาบเล่มก่อนหน้านี้มา ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่คือดาบ
ขององครักษ์หลวงในวังเป่ยฮั่น ซึง่ ห่างชั้นมากเมื่อ
เทียบกับดาบพกของทหารหลวงอวี้หลินของแคว้นฉู่
ต่างก็พูดกันว่าเหนือมีม้าใต้มีดาบ ชาวเป่ยฮั่นทำศึก
บนหลังม้าได้อย่างแข็งแกร่ง หนานฉู่เองก็มีดาบที่คม
กริบไม่มีใครเทียบ คำพูดนี้เป็นจริงไม่มีเท็จเลย”
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก เขาไม่รู้เลยว่ารัชทายาทตงฉี
คิดอะไรอยู่ จากนัน้ ก็เห็นรัชทายาทตงฉีหยิบดาบมา
อีกเล่มหนึ่ง เขายิ้มแล้วพูดว่า “แล้วดาบเล่มนี้ล่ะ
ท่านลองดู”
ฉีหนิงมองดูแล้ว เขารู้สึกตกใจนิดหน่อย ดาบเล่มนี้
พิเศษมาก เมื่อเทียบกับดาบทั่วไปแล้ว เหมือนจะ
ยาวกว่า ส่วนเว้าโค้งของดาบก็ดูเด่นชัดมาก มัน
เหมือนมีดสั้นของญี่ปุ่น เมื่อชักดาบออกจากฝัก มันก็
มีกลิ่นอายความเย็นแผ่ออกมา ตัวดาบมีความ
สะอาด ตัวดาบโค้งมนและบางมาก บางกว่าก่อน
หน้านี้ครึ่งหนึ่ง
ฉีหนิงยิ่งมองยิง่ รู้สึกว่าเหมือน ทันใดนั้นเองก็ได้ยินรัช
ทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นดาบล้ำค่าที่ข้าเพิ่งจะ
ค้นพบ การตีดาบละเอียดประณีต แล้วก็คมมาก”
เขาส่งสัญญาณไป สือถังกับซูหลุนลุกขึ้น สือถังหยิบ
ดาบของเป่ยฮั่นมา ส่วนซูหลุนไปหยิบดาบที่
เหมือนกับเล่มที่ฉีหนิงถืออยู่มา ทั้งสองยืนอยู่ไม่ไกล
กันนัก พวกเขาชักดาบออกมา สือถังยื่นดาบตรง ซู
หลุนจับดาบสองมือ จากนั้นก็ฟันดาบลงมาใส่ดาบใน
มือของสือถัง ดาบในมือของสือถังขาดเป็นสองท่อน
ส่วนดาบในมือของซูหลุนนั้นไม่เป็นอะไรเลย
ฉีเฟิงกับหลี่ถังตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี
พวกเขาเป็นคนฝึกยุทธ พวกเขาคุ้นเคยกับดาบเป็น
อย่างดี ดาบของทหารในวังเป่ยฮั่นไม่ได้ดีอะไร
มากมาย แต่ก็ไม่ใช่ของห่วย ใครจะคิดว่าดาบโค้งเล่ม
นี้จะสามารถฟันดาบเล่มนี้ออกเป็นสองท่อน
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยเห็นดาบโค้งแบบนี้มาก่อน
ตอนนี้ได้เห็นอานุภาพของดาบโค้ง ต่างก็ตกใจ
ถึงแม้ฉีหนิงจะเห็นของล้ำค่ามีราคามามากมาย ไม่ว่า
จะเป็นมีดสั้นของเขาหรือว่ากระบี่ผหี ลู ก็ต่างเป็น
กระบี่ทคี่ มมาก แต่ว่าตอนนี้เขาได้เห็นอานุภาพของ
ดาบโค้ง เขาก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน แต่ว่าท่าทาง
ของเขายังนิ่งอยู่ ดูไม่ออกว่าตกใจ
รัชทายาทเห็นว่าฉีหนิงยังคงนิ่งอยู่ ก็รู้สึกแปลกใจ
เขายิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว หรือว่าดาบเล่มนี้ไม่เข้า
ตาท่านเลย?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “มันเป็นดาบทีด่ ีมาก ถือว่าหาได้
ยาก”
“จิ่นอีโหวสายตาดีมาก” รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า
“ในเมื่อท่านชอบ ข้ามอบให้ท่านเล่มหนึ่ง”
เขาหยิบดาบโค้งแล้วยื่นให้เขา จากนั้นก็พูดว่า “ข้า
คิดอยากจะให้กองทัพตงฉีของเราพกดาบแบบนี้ เพื่อ
เพิ่งกำลังรบให้กับกองทัพของเรา”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากกองทัพฉีมีดาบดีๆ แบบนี้
เป็นอาวุธ ในใต้หล้านี้ คงไม่มีใครต้านได้”
หลินจืออ๋องพูดอย่างได้ใจว่า “จิ่นอีโหวกลัวแล้ว
หรือ?”
ฉีหนิงเหลือบไปมองเขาทีหนึง่ จากนั้นก็ยิ้มแล้วหยิบ
ดาบพกของทหารหลวงอวี้หลินมา เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท ท่านอ๋องน้อย นี่เป็นดาบพกของทหาร
หลวงอวี้หลินของต้าฉู่เรา เราเดินทางมายังตงฉีใน
ครั้งนี้ คนของข้าต่างพกพาดาบเล่มนี้มา ฝ่าบาทได้
ทรงรับสั่งให้ทางกรมกลาโหมเปิดเหมืองขุดแร่เหล็ก
ตีดาบแบบนี้ปีละห้าหมื่นเล่ม ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดที่
เราจะทำได้แล้ว เกินกว่านี้กท็ ำไม่ได้”
ฉีเฟิงกับหลี่ถังมองหน้ากัน คิดในใจว่ามีเรื่องแบบนี้
ด้วยหรือ?
แคว้นฉู่มีเหมืองแร่เหล็กที่ดีมาก ทั่วแผ่นดินไม่มีใคร
ไม่รู้ อีกทั้งการจัดทำอาวุธในแคว้นฉูก่ ็ดีมาก ถือเป็น
จุดเด่นของแคว้นเลย หน่วยทหารอวี้หลินเป็นทหาร
หลวงในวังหลวง มีดาบที่ดีที่สุดในแคว้นแล้ว แต่ว่าฉี
เฟิงกับหลี่ถังก็รู้ดีว่า การเปิดเหมืองไม่ใช่เรื่องง่าย อีก
ทั้งยังการผลิตอาวุธมากขนาดนี้ กรรมวิธีซับซ้อน
อย่าว่าแค่ห้าหมื่นชิ้นต่อปีเลย ห้าพันชิ้นอาจจะทำ
ไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นหากกองทัพฉู่มีดาบแบบนี้
หมด กำลังรบคงเพิ่มขึ้นมากเลย
ซือถูหมิงเยว่ลูบเครายิ้มแล้วพูดว่า “ปีหนึ่งห้าหมื่น
เล่ม ขอเรียนตามตรง จิ่นอีโหว ด้วยกำลังของแคว้น
ท่าน ปีหนึ่งคงไม่สามารถผลิตดาบเหล็กแบบนี้
ได้มากขนาดนั้นหรอกจริงหรือไม่?”
ฉีหนิงหัวเราะยิ้มแล้วพูดว่า “นี่มันก็เป็นแผนระยะ
ยาวของแคว้นเราเท่านัน้ จะทำได้หรือไม่ ก็ลอง
พยายามดู” เขาวางดาบของทหารอวี้หลิน แล้วหยิบ
ดาบโค้ง แล้วชมว่า “ฝ่าบาท ดาบเล่มนี้เป็นดาบล้ำ
ค่า หาได้ยากนัก แค่เล่มเดียว ราคาคงไม่ธรรมดา ทั้ง
ยาว ทั้งแข็งแกร่ง ดาบเล่มนี้ยาวกว่าดาบทั่วไปถึงเท่า
หนึ่ง หากใช้มันขึ้นมาถือว่าได้เปรียบมากๆ สิ่งที่
น่าจะเป็นจุดเด่นที่สุดของมันก็คือดาบเล่มนี้บางมาก
เวลาถือไว้ในมือนั้นเบาราวกับนุ่น ดาบที่เบาขนาดนี้
มันจะทำให้การออกดาบรวดเร็วว่องไวมากขึ้น
กว่าเดิม แต่ว่าดาบบางขนาดนี้ มันหักได้ง่าย หาก
ต้องการรักษาความคมของมันเอาไว้ ดาบโดยมาก
เลยไม่นิยมทำให้มันยาวขนาดนี้”
รัชทายาทพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง”
“แต่ว่าดาบเล่มนี้ทั้งยาวทั้งบาง อีกทั้งยังคมมาก ไม่
ต้องกังวลว่ามันจะหัก การตีดาบดีมากขนาดนี้ มันน่า
ตะลึงมาก” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าข้า
ขอพูดตามตรงนะ รัชทายาททรงอยากให้กองทัพตงฉี
ใช้ดาบแบบนี้ คิดว่าคงมีแต่ใจแต่ไร้กำลังจะทำ”
หลินจืออ๋องพูดด้วยความไม่พอใจว่า “เจ้าพูดอะไร?”
รัชทายาทยกมือห้ามไม่ให้หลินจืออ๋องพูดมาก เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “จิ่นอีโหวหมายความว่ายังไง?”
“รัชทายาท วัตถุดิบที่นำมาตีดาบเล่มนี้ น่าจะเป็นหยู
กัง หรือเรียกว่าเหล็กหนัง” ฉีหนิงยิม้ แล้วพูดว่า
“เหมืองของแร่เหล็กชนิดนี้มีน้อยมาก แต่มันคือ
วัตถุดิบหลัก สิ่งที่สำคัญที่สุดในการตีดาบเล่มนี้ มัน
ไม่ใช่ช่างตีเหล็กทั่วไปจะทำได้ หากไม่ได้มี
ประสบการณ์สูงหรือมากพอ คิดว่าอาจจะทำไม่ได้
เลย ขั้นตอนการทำดาบเล่มนี้ ต้องใช้เวลานานมาก
ถึงจะได้ความคมและความบางที่พอดีและแข็งแกร่ง
ซึ่งมันจำเป็นต้องทาผงถ่านกับดินเหนียวอย่างพอดี
อีกทั้งยังต้องทำการเผาไฟด้วย หลังจากที่เผาไฟแล้ว
ก็จะต้องทำการตีดาบอย่างต่อเนื่อง ถึงจะได้ดาบเล่ม
นี้ออกมา การตีดาบอย่างน้อยก็ต้องตีถึงร้อยที การตี
ดาบกว่าร้อยที หากทักษะไม่ดีน้ำหนักไม่ได้ ก็จะเกิด
รอย ทำให้ดาบหักได้” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็พูดว่า
“ฝ่าบาท ช่างตีดาบฝีมือดีขนาดนี้ หากข้าเดาไม่ผิด
ในใต้หล้านี้ น่าจะมีไม่เกินสามสิบคน พวกเขาแต่ละ
คนน่าจะตีได้ปีละไม่เกินสิบเล่ม นั่นถือว่ามากที่สุด
แล้ว ต่อให้ฝ่าบาททรงมีความสามารถมาก ได้พวก
เขามาทำงานให้พระองค์ทั้งหมด ต่อให้เอาดาบพาด
บ่าเขา ปีหนึ่งก็ได้ดาบไม่เกินสามร้อยเล่ม พระองค์
อยากให้หน่วยเสือบินของท่านทั้งแปดร้อยนาย ใช้
ดาบแบบนี้ คิดว่าคงต้องใช้เวลาสามปีด้วยกัน”
ทุกคนมองไปที่ฉีหนิงอย่างตะลึง แม้แต่ฉีเฟิงกับหลี่
ถังเองก็อ้าปากค้าง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ฉี
หนิงจะรู้เรื่องการตีดาบได้ละเอียดขนานนี้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 591 นัดรบ
ฉีหนิงเริ่มแรกยังไม่รู้ว่ารัชทายาทตงฉีจะทำอะไร
ทำไมจู่ๆ ถึงมามีอารมณ์คุยเรื่องดาบกับเขา แต่พอ
เขาพูดขึ้นมาว่ากองทัพตงฉีคิดใช้ดาบโค้ง เขาก็เข้าใจ
ทันทีว่ารัชทายาทตงฉีคิดจะแสดงอานุภาพของ
กองทัพ เขาต้องการให้ราชทูตแคว้นฉู่อย่างเขารับรู้
ว่า กองทัพตงฉีมีดาบโค้งที่มีอานุภาพร้ายกาจ ไม่
เป็นรองกองทัพของแคว้นฉู่ด้วย
ฉีหนิงรู้สึกขำมาก เขารู้ดีว่า ดาบดีแบบนี้หาก
สามารถผลิตในจำนวนมาก สำหรับตงฉีแล้ว มันก็จะ
กลายเป็นอาวุธสังหารที่ร้ายกาจมาก อาวุธแบบนี้
ชาวตงฉีไม่มีทางเอามาแสดงให้เห็นแน่นอน ในเมื่อ
เขาเอามาวางให้เห็น แสดงว่าเขาแค่ต้องการเอามา
อวดอ้างเท่านั้น
ในชาติที่แล้วฉีหนิงฝึกวิชาการต่อสู้ เขารู้จักเหล่า
อาวุธเป็นอย่างดี โดยเฉพาะมีดดาบ เขารู้เรื่องมาก
ที่สุด
ดาบโค้งเล่มนี้ มันเป็นดาบแบบญี่ปนุ่ เขารู้เรื่องดาบ
โค้งแบบนี้เป็นอย่างดี มันเบาเหมือนก้อนเมฆ
อานุภาพน่าตกใจมากเวลาใช้งาน
รัชทายาทจ้องไปที่ฉีหนิง จากนั้นก็ปรบมือยิ้มแล้วพูด
ว่า “ดี ดี ดี จิ่นอีตระกูลฉี ชื่อเสียงสมคำร่ำลือ ข้า
บังเอิญได้ดาบเล่มนี้มา ในกองทัพตงฉี ยังไม่มีใครรู้
จิ่นอีโหวไม่เพียงรู้จัก อีกทัง้ ยังรู้ด้วยว่าผลิตยังไง ข้า
นับถือจริงๆ”
ฉีเฟิงกับหลี่ถังอดไม่ได้ที่จะยืดอก พวกเขาคิดว่าเขา
ได้หน้ามาก
พวกเขาเมื่อกี้เห็นรัชทายาทตงฉีคุยเรื่องดาบกับฉี
หนิง ในใจก็นึกกลัว เพราะโหวน้อยไม่ได้มี
ประสบการณ์ด้านนีเ้ ลย ถึงแม้จะกลับมาฉลาดแล้ว
แต่ว่าเขาเหมือนคนละคนมากกว่า ไม่เพียงรู้อาวุธ
น้อยมาก พวกเขายังกังวลว่าจะขายหน้ากับชาวตงฉี
แต่ว่าการแสดงออกของท่านโหวน้อย มันเกินความ
คาดหมายของทุกคน เมื่อเห็นโหวน้อยพูดแบบนี้
ออกมา แม้แต่รัชทายาทตงฉีเองก็บอกว่ายอดเยี่ยม
เลย พวกเขารูท้ ันทีว่าสิ่งที่ฉีหนิงพูดมานั้นพูดตรง
ประเด็น ทำให้พวกเขาเหมือนได้หน้าไปด้วย ไม่ได้
เสียหน้าต่อหน้าชาวตงฉี
ฉีหนิงกลับพูดจาถ่อมตัวว่า “รัชทายาททรงได้ดาบดี
ขนาดนี้มา ถือเป็นบุญนัก”
รัชทายาทหัวเราะ หลินจืออ๋องพูดอย่างโมโหว่า “รู้
แล้วยังไง? จิ่นอีโหว ข้าขอถามเจ้าหน่อย ได้ยินมาว่า
คนของเจ้าอยู่ในแคว้นของเรา ไม่รฟู้ ้าสูงแผ่นดินต่ำ
ฆ่าคนชิงถนน พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”
รัชทายาทขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าสาม เรื่องนี้ไม่
ต้องพูดอีก เจ้าพวกนั้นมันไม่รู้กาลเทศะเอง โทษจิน่ อี
โหวไม่ได้หรอกนะ”
ฉีหนิงรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะจบง่ายๆ เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ท่านอ๋องน้อย เรื่องนีพ้ ระองค์ไม่พูด เราเองก็
ต้องอธิบายอยู่แล้ว...”
รัชทายาทส่ายหน้าแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว เรื่องนี้ไม่
ต้องพูดอีกแล้ว”
หลินจืออ๋องพูดว่า “เสด็จพี่รัชทายาท เรื่องนี้จะให้
จบแบบนี้ได้ยังไง?”
“เจ้าคิดจะทำยังไง?” รัชทายาทดูเคร่งเครียดมาก
หลินจืออ๋องจ้องไปที่ฉีหนิง เขาพูดว่า “จิ่นอีโหว เจ้า
กล้าลงมือลงไม้ ไม่เพียงใช้คนมากรังแกคนน้อย เจ้า
คิดว่าตงฉีเรากลัวเจ้าหรือยังไง?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องน้อยกล่าว
เกินไปแล้ว ต่อให้ทหารแคว้นฉู่จะไม่เกรงกลัวใครเลย
แต่ข้าเชื่อว่าทหารแคว้นของท่านเองก็ไม่เกรงกลัว
ใครเช่นกัน”
“เจ้าจะพูดอะไรก็ได้ แต่ในใจคงไม่คดิ แบบนี้หรอก”
หลินจืออ๋องพูด
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องน้อยอ่านใจคนได้อย่าง
นั้นหรือ?”
หลินจืออ๋องพูดว่า “เจ้ารู้ดีแก่ใจ? หากเจ้ามี
ความสามารถจริง เราก็เลือกทหารมาฝ่ายละคน ลอง
ประลองกันดูไหมล่ะ ดูว่าชาวหนานฉู่ร้ายกาจกว่า
หรือว่าทหารของตงฉีเราจะร้ายกาจกว่ากัน”
ฉีหนิงยกมือลูกจมูก แล้วพูดว่า “ท่านอ๋องน้อยกล่าว
เกินไปแล้ว ข้าได้รับพระบัญชาให้มาที่แคว้นท่าน ก็
เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีของทั้งสองแคว้น ไม่ได้มาเพื่อ
วัดว่าใครเหนือกว่ากัน ไม่สู้ ไม่ได้หมายถึงว่าเราไม่
กล้า สู้แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเรากล้า ท่านอ๋อง
น้อยคิดว่าจริงไหม?”
หลินจืออ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าพูดแบบนี้ แสดงว่าไม่
กล้าสินะ?”
ฉีเฟิงเห็นหลินจืออ๋องเอาแต่หาเรื่องฉีหนิง หลายปี
ก่อนเขาเป็นถึงทหารของค่ายกิเลนดำของต้าฉู่ เป็น
ทหารกล้าที่สู้กับทหารเสวียหลันของเป่ยฮั่น เขาไม่
เห็นแคว้นเล็กๆ อย่างตงฉีอยู่ในสายตาเลย อีกทั้งฉี
หนิงเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ดีกับเขาเหมือนพี่น้อง
แม้แต่เวลาพูดคุยยังสบายๆ เลย ในเวลานี้เขาทนไม่
ไหว พูดเสียงเข้มขึ้นมาว่า “หากท่านอ๋องน้อยทรง
อยากจะให้ประลอง ข้าน้อยไร้ความสามารถ แต่ยินดี
จะประลอง” เขาคิดในใจว่าข้ายังต้องกลัวคนของ
แคว้นตงฉีหรือไงกัน
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฉีเฟิง ทีน่ ี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะ
พูดมาก? ยังไม่ขออภัยต่อท่านอ๋องน้อยอีก”
ฉีเฟิงพูดว่า “ท่านอ๋องน้อย ข้าน้อย...”
หลินจืออ๋องกลับลุกขึ้นมา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้อง
ขอโทษหรอก ไม่ต้องขอโทษ ชาวแคว้นฉู่กล้าหาญดี
เหมือนกันนะ” เขาหันไปหารัชทายาท แล้วพูดว่า
“เสด็จพี่รัชทายาท ท่านว่า พวกเขาดูจะไม่พอใจ
มากกว่าเราอีกนะ เราออกมาล่าสัตว์ เดิมก็เพื่อหา
ความสุขอีกแล้ว ถ้ายังไงจัดให้มีการประลองดีไหม
เราจะได้คลายเครียดกันด้วย”
รัชทายาทขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คณะทูตแคว้นฉู่เป็น
อาคันตุกะของเรา ห้ามเสียมารยาท จิ่นอีโหวยังไม่ได้
รับปาก เจ้าก็สั่งให้คนประลองกันแล้ว มันไม่เกินไป
หน่อยหรือ?”
ฉีหนิงได้ยินรัชทายาทพูดมาแบบนี้ เขาก็เข้าใจแล้ว
เขาหันไปมองฉีเฟิง เห็นฉีเฟิงคันไม้คันมือมาก เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “หากรัชทายาททรงอยากจะให้พวกเขา
ประลองกัน ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ว่าเป็นการทำเพือ่ ให้
ทุกคนสนุกสนานกัน เพิ่มสัมพันธภาพต่อกัน อย่าให้
การประลองนี้ ทำให้เราต้องหมางใจกันก็พอ”
หลินจืออ๋องเห็นฉีหนิงรับปาก ก็ดีใจมาก “ดี” เขา
หันไปมองขุนพลสองคน “สือถัง ซูหลุน เจ้าสองคน
ใครจะออกไปประลอง?”
ทั้งสองคนลุกขึ้นมาพร้อมกัน แล้วพูดพร้อมกันว่า
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยยินดีขอคำชี้แนะ”
รัชทายาททำได้แค่ส่ายหน้า “ต่อให้จะประลอง ก็
ไม่ใช่ตอนนี้ จิ่นอีโหวนำขบวนคณะทูตเดินทางมา
เหนื่อยๆ ทหารคนนีเ้ นื้อตัวก็เปื้อนฝุ่นไปหมด จะให้
มาประลองตอนนี้ มันไม่ยุติธรรม” เขาหันไปพูดกับฉี
หนิงว่า “ในเมื่อพวกเขาอยากจะประลองฝีมือกัน
เอาไว้สักคืนพรุ่งนี้ดีไหม ให้นายทหารคนนี้ได้พักสัก
คืนหนึ่งก่อน”
ฉีหนิงพูดว่า “รัชทายาททรงตรัสถูกแล้ว”
รัชทายาทลุกขึ้น แล้วสั่งไปว่า “ซือถูชางสือ จิ่นอีโหว
นำขบวนคณะทูตมาแคว้นของเรา เดินทางมาลำบาก
มาก เจ้ารีบสั่งให้คนเตรียมจัดงานเลีย้ งต้อนรับจิ่นอี
โหวด้วย” เขาหันไปมองฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อ
จิ่นอีโหวมาแล้ว ก็ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะอยู่ล่าสัตว์ที่นี่
อีกสามวันแล้วจะกลับเมืองหลวง ถึงเวลานั้นคณะทูต
ของท่านก็กลับไปพร้อมกับข้าเลยก็แล้วกัน”
ฉีหนิงคิดว่าอยากจะเจรจาเรื่องการอภิเษกกับตงฉี
ยังไงก็ต้องผ่านด่านของรัชทายาทด้วย สองสามวันนี้
อยู่ทำความรู้จักรัชทายาทก่อนน่าจะดี เขาคิดว่า
ออกมาจากเมืองหลวงเจี้ยนเยี่ยก็เจ็ดแปดวันแล้ว
เสียเวลาไปสามวัน เมื่อถึงเมืองลู่เฉิง หากทุกอย่าง
ราบรื่น เขายังมีเวลาเดินทางไปร่วมงานชุมนุมชิงมู่
ของพรรคกระยาจก
ฉีหนิงออกจาเนินพญาวัว ก็กลับมายังเนินหมูป่า อู๋ต๋า
หลินได้จัดแจงตั้งค่ายข่าวของทหารคุ้มกันไว้
หมดแล้ว ฉีหนิงคิดในใจว่าในเมื่อได้เจอรัชทายาท
แล้ว ยังไงก็ต้องส่งของขวัญไปให้ เขาหารือกับอู๋ต๋า
หลินแล้ว ก็เลือกภาพวาดมาสองสามภาพ อีกทั้งการ
เดินทางในครั้งนี้ ยังมีการเอาเหล้าหลวงที่เก็บสะสม
มานานหลายปีติดมาด้วยสิบไห ฉีหนิงให้คนนำมา
สองไห แล้วให้คนส่งไปที่กระโจมใหญ่ที่เนินพญาวัว
พร้อมกัน
รัชทายาทตงฉีเองก็รับเอาไว้ทั้งหมด
คืนนั้นที่กระโจมใหญ่มีการจัดงานเลีย้ ง นอกจากฉี
หนิงกับอู๋ต๋าหลินแล้ว ยังมีคนของจวนจิ่นอีโหวที่ฉี
หนิงพามาด้วย ทุกคนมาร่วมงานเลี้ยงด้วยกัน มีทั้ง
เหล้า มีทั้งเนื้อ ส่วนใหญ่เป็นเนื้อสัตว์ที่ล่ามาได้ ถือ
ได้ว่าสดมาก
ทหารงฉีกลุ่มหนึ่งสู้กันเพิ่มความสนุกสนานใน
กระโจม แกล้งล้มบ้าง แกล้งสู้กันดุเดือดมาก ฉีหนิง
เห็นทหารตงฉีร่างกายกำยำแข็งแรง ก็เดาว่าพวกนี้
น่าจะเป็นองครักษ์ส่วนตัวของรัชทายาทเอง ทีเ่ นิน
พญาวัวกว้างมาก ไม่แออัด ถึงแม้จะมีการร้องเล่น
เต้นรำตลอด แต่ไม่มีการเต้นรำของหญิงสาว
ขุนนางที่ตามรัชทายาทมาด้วยก็มีไม่น้อย นอกจาก
ขุนนางที่ตามมาจากเมืองหลวงแล้ว ยังมีสวีโจวชื่อสื่อ
ฟางซิ่งจายเป็นผู้นำเหล่าขุนนางสวีโจว รัชทายาท
มายังเมืองสวีโจว ฟางซิ่งจายก็ต้องพาขุนนางกลุ่ม
หนึ่งมาเฝ้า พวกเขามาก่อนที่ฉีหนิงจะมาไม่นาน ขุน
นางเหล่านี้แต่ละคนเดินขึน้ หน้ามาดื่มเหล้าคารวะฉี
หนิงกันทั้งนั้น ฉีหนิงคิดอยากจะสร้างสัมพันธ์กับรัช
ทายาทตงฉี เขาเลยไม่ปฏิเสธ
คนในงานพูดคุยเรื่องการล่าสัตว์เป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้
พูดเรื่องการเมือง หลังจากจบงาน ฉีหนิงก็กลับไปพัก
ที่เนินหมูป่าทันที
เช้าวันต่อมา หลินจืออ๋องส่งคนมาทักทาย ให้ทางฉี
หนิงเตรียมตัวให้พร้อมกับการประลอง ฉีหนิงคิดใน
ใจว่าในเมื่อรับปากแล้วเมื่อวาน ก็ไม่ควรปฏิเสธ แต่
เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะประลองอะไรกัน ฉีเฟิงเพิ่งจะหาย
จากอาการบาดเจ็บไม่นาน เพิง่ ฟื้นตัว ฉีหนิงรู้สึกเป็น
กังวล เลยไปถามเขา แต่ฉีเฟิงบอกว่าเขาไม่เป็นไร
ฉีหนิงคิดว่าฉีเฟิงมาจากค่ายกิเลนดำ การต่อสู้ซึ่ง
หน้าเขาไม่เป็นรองใคร อีกทัง้ การประลองในวันนี้ ก็
ใช่ว่าจะต้องชนะให้ได้ ไม่ว่าจะประลองแบบไหน ก็
จะต้องพยายามเข้าใกล้รัชทายาทตงฉีให้มากขึ้น ต่อ
ให้ฉีเฟิงแพ้ในวันนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
พวกเขาเดินทางไปยังเนินพญาวัว เมื่อเห็นที่เนินเขา
มีลานกว้าง มีธงปักอยู่ ทหารม้ายืนเรียงสองแถว ไม่
ไกลจากตรงนั้นก็มีโต๊ะเก้าอี้ยาววางอยู่ บนโต๊ะมี
ผลไม้วางไว้มากมาย หลินจืออ๋องมานั่งรออยู่แล้ว คน
ที่ชื่อสือถังยืนอยู่ด้านหลังหลินจืออ๋อง ทั้งสองกระซิบ
พูดกันอยู่
เห็นฉีหนิงพาคนมา หลินจืออ๋องก็รบี ลุกขึ้นแล้วกวัก
มือเรียก “จิ่นอีโหว ทางนี้ มานี่ๆ” เขาเหมือนดีใจ
ตื่นเต้นมาก
ฉีหนิงรู้ว่าหลินจืออ๋องที่จริงไม่ใช่คนเลวร้าย แค่นิสัย
ดื้อแล้วก็นิสัยเด็กมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “สวัสดีตอน
เช้าท่านอ๋อง”
หลินจืออ๋องยกมือชี้ฟ้าแล้วพูดว่า “ไม่เช้าแล้วนะ จิ่น
อีโหว ทหารของเจ้าเมื่อคืนไปอยู่ไหนแล้ว?” เมื่อเห็น
ฉีเฟิงอยู่หลังฉีหนิงไม่ไกล เขาก็กวักมือเรียก “มาๆ
เจ้ามาตรงนี้”
ฉีเฟิงคิดในใจว่าข้าเป็นองครักษ์ของจวนโหว ต่อให้
เจ้าเป็นถึงท่านอ๋อง ก็สั่งข้าไม่ได้ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งเขา
แต่ว่าตอนนี้เขาจะมาฉีหน้าเขาไม่ได้ เขาเดินขึ้นหน้า
ไป แล้วฝืนยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องน้อย”
หลินจืออ๋องนั่งลงทีเ่ ก้าอี้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าชื่อ
อะไร?”
“ข้าน้อยฉีเฟิง”
“ฉีเฟิง?” หลินจืออ๋องพยักหน้า “ฉีเฟิง การประลอง
ในวันนี้ เจ้าต้องทำอย่างเต็มที่นะ อย่าให้ขายหน้า
หนานฉู่ของพวกเจ้านะ หากเจ้าชนะ ข้าจะมีรางวัล
ให้เจ้าอย่างงามเลย”
ฉีหนิงนิ่งมากแล้วพูดว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา ทุกคนหันไปมอง
มีกลุ่มคนขี่ม้ามา คนด้านหน้าสวมชุดผ้าแพร คาดผ้า
สีเหลืองที่หัว เขาคือรัชทายาทนั่นเอง เขาลงจากม้า
มา วันนี้การแต่งตัวของเขาวันนี้เหมือนเมื่อวาน แต่ฉี
หนิงเห็นเครื่องประดับที่ต่างออกไป ถือว่าได้เปลี่ยน
ชุดใหม่แล้ว
หลังจากที่รัชทายาทตงฉีลงจากม้าแล้ว ก็จัดเสื้อผ้า
เขาเดินมาทางนี้ ซือถูหมิงเยว่กับฟางซิ่งจายเดิน
ประกบซ้ายขวาตามมา ฉีหนิงเดินขึ้นหน้า ยกมือ
คำนับ “องค์รัชทายาท”
รัชทายาทตงฉียิ้มแล้วพูดว่า “การประลองในวันนี้
เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น ไม่ต้องจริงจังมาก” เขา
ยื่นมือไปจับแขนของฉีหนิง แล้วพูดว่า “มาๆ นั่งกับ
ข้าทางนี้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 592 ประทานเหล้า
หลังจากที่ฉีหนิงเดินตามรัชาทายาทตงฉีไปนั่ง รัช
ทายาทก็มองไปที่หลินจืออ๋อง แล้วถามว่า “เจ้าสาม
การประลองในวันนี้ เจ้าอยากจะประลองอย่างไร?”
หลินจือ๋องพูดอย่างได้ใจว่า “เสด็จพี่รัชทายาท เดิม
ข้าอยากจะให้ทั้งคูป่ ระลองยุทธ์กัน แต่ว่าเราก็ดูคน
ประลองแบบนัน้ เยอะแล้ว มันเริ่มไม่สนุกตื่นเต้นอีก
ในเมื่อครั้งนี้เสด็จพี่รัชทายาทออกมาเพื่อล่าสัตว์ เรา
ก็มองประลองล่าสัตว์กันดีหรือไม่?”
“หือ?” รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “หมายความว่า
อย่างไร?”
หลินจืออ๋องผิวปาก เห็นทหารของนายจูงม้ามา สี
เขียวหนึ่งตัวสีน้ำตาลหนึ่งตัว ดูแล้วก็รู้ว่าเป็นม้าดี
หลินจืออ๋องพูดว่า “ถึงแม้ว่าม้าสองตัวนี้จะมีสีที่
แตกต่างกัน แต่ว่าความอดทนกับความเร็วนั้นไม่
ต่างกันมาก ฉีเฟิง เจ้าเป็นแขกของรา ให้เจ้าได้เลือก
ม้าก่อน จะได้ไม่หาว่าข้าลำเอียงหากว่าเจ้าแพ้”
ฉีเฟิงไม่รู้ว่าหลินจืออ๋องคิดจะทำอะไร แต่ว่าในเมื่อ
พูดอย่างนี้มาแล้ว เขาก็ไม่พูดมากอีก เขาเดินไปมอง
เขาเป็นคนฝึกยุทธ์ อยู่ในค่ายกิเลนดำมาก่อน อยู่กับ
ม้าทั้งวันทั้งคืน ม้าดีไม่ดี เขารู้ดีกว่าใคร เขามองไป
ครู่หนึ่ง ก็รู้ทนั ทีว่าม้าสองตัวนี้ความสามารถพอๆ กัน
เขาเลยเอามือจูงม้าตัวสีเขียวมา
สือถังเดินไปจูงม้าตัวสีน้ำตาลมา ตอนนี้เองก็มีทหาร
อีกสองนายเดินขึ้นหน้ามา เขาหยิบธนูมา ทุกคันมีลูก
ธนูมาให้สามดอก
หลินจืออ๋องพูดว่า “ฉีหนิง ธนูนี่เจ้าก็เลือกก่อนเลย”
ฉีหนิงหยิบธนูมาพร้อมกับแบกกล่องลูกธนู สือถังเอง
ก็หยิบไปหนึ่งชุดเช่นกัน หลินจืออ๋องยิ้มแล้วพูดว่า
“อีกเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนปล่อยเหยื่อออกมา พวกเจ้า
รอฟังคำสั่งจากข้าก็พอ”
ฉีเฟิงกับสือถังมองหน้ากัน จากนั้นก็ต่างคนต่างขึ้นม้า
ไป หลินจืออ๋องทำสัญลักษณ์มือ จากนั้นก็ได้ยินเสียง
กลองดังขึ้น ในตอนนีเ้ อง ก็มีทหารพุ่งออกมาสอง
แถว ร้องตะโกนเสียงดัง ทุกคนไม่รู้วา่ เกิดอะไรขึ้น
ทหารสองแถวนั้นแยกออกไปซ้ายขวา ล้อมไปยังกรง
ไม้ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ทุกคนเห็นว่าทีก่ รงไม้นั้นมีไก่
กับกระต่ายออกมาเป็นจำนวนมาก อีกมั้งยังมีละมั่งที่
ตกใจวิ่งออกมาจากกรงด้วย
ทหารล้อมไว้รอบๆ จนหมด ทหารต้อนเหยื่อไปยัง
ลานล่าสัตว์
หลินจืออ๋องพูดขึ้นมาว่า “ฟังให้ดี ในนี้มีละมั่งอยู่แค่
ตัวเดียวเท่านั้น ใครฆ่าละมั่งได้ก่อน ก็ชนะ หากยิง
ถูกสัตว์ตัวอื่นก็ถือว่าแพ้ทันที”
บรรดาเหยื่อถูกล้อมเอาไว้ในลานล่าสัตว์ต่างก็ตื่น
ตกใจ พวกมันหวาดกลัวกันมาก วิ่งหนีกระจัด
กระจายไปทั่ว จะยิงละมั่ง ไม่สามารถเล็งเป้าได้ใน
ครั้งเดียวแน่นอน
ทุกคนเห็นสือถังขี่ม้าพุง่ ไป ฉีเฟิงกลับไม่ขยับเลย เขา
แปลกใจมาก คิดในใจว่าชาวแคว้นฉูท่ ำไมถึงได้
เชื่องช้าแบบนี้ พวกเขาก็ไม่คิดอะไรมาก ทันใด
นั้นเองก็เห็นฉีเฟิงขี่ม้าออกไปราวกับลูกธนูที่ถูกยิง
ออกจากคันศร สือถังออกตัวไปก่อน เว้นระยะจากฉี
เฟิงประมาณหนึ่ง ในใจของเขารู้สึกดีใจมาก แต่ว่าดี
ใจไม่เท่าไหร่ เขาก็ตกใจ เหมือนมีอะไรเขียวผ่านหน้า
เขาไป พริบตาเดียว ฉีเฟิงก็ควบม้าผ่านหน้าเขาไป
แล้ว
ฉีหนิงยิ้มหน้าบาน อู๋ต๋าหลินกับเหล่าทหารแคว้นฉู่ก็
ดีใจมาก แม้แต่ทหารของตงฉีเอง ก็แอบชื่นชมกันใน
ใจไม่น้อย ทุกคนเป็นคนฝึกยุทธ์ พวกเขารู้ดีว่าการ
ออกตัวที่หลังแล้วแซงหน้าไปได้ มันไม่ได้อยู่ที่ว่าม้าดี
แค่ไหน แต่มันอยู่ที่ทักษะการควบคุมม้า แค่ทักษะ
ด้านนี้ด้านเดียวฉีเฟิงก็เหนือกว่าสือถังอย่างเห็นได้ชัด
ฉีเฟิงมาจากค่ายกิเลนดำ ทางค่ายกิเลนดำฝึกหนัก
แค่ไหน ไม่ใช่คนทั่วไปจะนึกออกได้ ในฐานะทหาร
กล้าของหน่วย ทหารในค่ายกิเลนดำทุกคน
จำเป็นต้องฝึกทักษะการขี่ม้าอย่างหนัก ต้องฝึกจนม้า
และคนเป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ ทักษะการควบคุมม้า
ของฉีเฟิงร้ายกาจมาก เขาตั้งใจแสดงทักษะนี้ต่อหน้า
ชาวตงฉี ขึ้นสูงลงต่ำ แล้วแต่ม้าจะพาไป ม้าสองตัวนี้
ไม่ได้มีความแตกต่างเท่าไหร่ แต่ว่าจากการ
แสดงออกของฉีเฟิงมันทำให้ม้าสีเขียวดูเหนือกว่าม้า
สีน้ำตาลอย่างมาก
สือถังไม่พอใจที่ตามหลัง เขาเร่งควบม้าตามมา
พริบตาเดียวก็เลยออกมาประมาณสิบจั้ง ทัง้ คู่กวาด
สายตามองไปในกลุ่มเหยื่อเพื่อหาละมั่ง เหล่าเหยื่อ
เห็นสถานการณ์ไม่ดี เลยพยายามจะหนี พวกมันวิ่ง
เร็วกว่าม้าอีก
ทั้งคู่เหมือนจะเจอละมั่งพร้อมๆ กัน ต่างก็ง้างธนูขึ้น
ละมั่งว่องไวมาก อีกทั้งเหล่าเหยื่อที่เหลือก็เหมือนจะ
ร่วมแรงร่วมใจกันดี ถึงแม้จะวิ่งอย่างไม่รู้จดหมาย
แต่ก็วิ่งมารวมตัวกัน สือถังเล็งไปตรงเป้าหลายครัง้
แต่ละมั่งก็หลบไปได้เพราะกลุ่มเหยื่อตัวอื่นทุกครั้ง
ทำให้เขาไม่สามารถยิงธนูออกไปได้สักที
มีการตกลงไว้ก่อนแล้ว หากยิงถูกเหยื่อตัวอื่น ก็ถือว่า
แพ้ทันที อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องสู้ก็จะชนะทันที หาก
ยิงพลาดตั้งแต่ดอกแรก ดอกที่สองก็คงไม่มีแม้แต่
โอกาส
เดิมฉีเฟิงอยู่ด้านหน้า นำอยูป่ ระมาณครึ่งช่วงตัว สือ
ถังเลยต้องหาทางแก้ไขสถานการณ์ เพราะกลัวว่าฉี
เฟิงจะได้เปรียบ ทันใดนั้นเองก็ไม่รทู้ ำไม เขารู้สึกว่า
เหมือนฉีเฟิงจะผ่อนความเร็วลง สือถังรู้สึกลังเล แต่ก็
ยังควบม้านำหน้าฉีเฟิงไป ความมั่นใจของเขากลับมา
มาก เขาควบม้าง้างคันธนูเล็งไปที่ละมั่ง ไม่พูดอะไร
มาก แล้วยิงออกไป
ลูกธนูพุ่งม้าเหมือนดาวตก เล็งมาที่หัวของละมั่ง ลูก
ธนูกำลังจะพุ่งใส่หัวของละมั่งอยู่แล้ว สือถังรู้สึกดีใจ
มาก ทันใดนั้นเองก็มีลูกธนูอีกดอกพุ่งตามมาจาก
ด้านหลัง ลูกธนูนั้นยิงมาถูกลูกธนูของสือถัง ถึงแม้ลูก
ธนูของอีกฝ่ายจะไม่โดนละมั่ง แต่ก็ทำให้ลูกธนูของ
เขามันไม่ตรงเป้า
สือถังรู้สึกตกใจมาก เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ
เมื่อเขายิงธนูดอกที่สองออกมา แล้วยิงมันออกไปอีก
ครั้ง ครัง้ นีเ้ หมือนจะยิงออกมาแทบจะพร้อมกัน ธนู
ของฉีเฟิงพุ่งใส่ธนูของสือถังอีกครัง้ รอบนี้ก็พลาดอีก
สือถังตกใจมากจริงๆ
เขาเองก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ครั้งแรกเขานึกว่ามัน
คือเรื่องบังเอิญ ครั้งที่สองเขาถึงได้รู้ว่าฉีเฟิงเป็นคู่
ต่อสู้ที่น่ากลัว อีกฝ่ายไม่เพียงมีทักษะการขี่ม้าที่น่า
ตกใจ อีกทั้งทักษะการยิงธนูยังร้ายกาจมากด้วย
สามารถออกตัวทีหลังแต่นำไปก่อน แล้วยังยิงธนูใส่
ธนูของเขาได้ อีกฝ่ายยิงธนูแบบรู้มุมของอีกฝ่ายเป็น
อย่างดี เพราะถ้าหากมุมเพี้ยนไปแค่นิดเดียว ก็จะไม่
มีทางได้ผลแบบนี้แน่นอน
เขาไม่รู้ว่าฉีเฟิงมาจากไหน หากรู้มาก่อน เขาคงไม่
ตกใจมากขนาดนี้
ค่ายกิเลนดำชื่อเสียงเกรียงไกรแค่ไหน สามารถสู้กับ
ทัพเสวียหลันกลายเป็นหน่วยทหารกล้าสองกองที่
แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า ทหารม้าพวกนี้ด้านอื่น
อาจจะไม่ได้ร้ายกาจอะไรมากมาย แต่ว่าทักษะการขี่
ม้ายิงธนูนั้น ถือเป็นยอดฝีมือชั้นสูงเลยทีเดียว
สือถังยิงพลาดไปถึงสองดอก ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเห็น
กันชัดเจน ก่อนหน้านีร้ ัชทายาทไม่ได้รู้สึกอะไรกับ
การประลองในวันนี้มากนัก แต่ว่าตอนนี้เขากลับมีสี
หน้าที่จริงจังเคร่งเครียด หลินจืออ๋องกำหมัดแน่นอน
เขาเหมือนจะตื่นเต้นมาก
ทั้งคู่เหลือลูกธนูกันคนละดอกเท่านัน้ สือถังหันหน้า
ไปมอง เขารู้ว่าฉีเฟิงทักษะการควบคุมม้าดีมาก ยัง
ไม่ทันที่สือถังจะมองได้ชัด ฉีเฟิงก็ควบม้านำหน้าสือ
ถังไปแล้ว ทุกคนเห็นฉีเฟิงง้างธนูขึ้นมา แล้วยิง
ออกไปอย่างรวดเร็ว
สือถังได้ยินเสียงยิงธนู เขาก็ตกใจ เมื่อคนที่ชำนาญ
ลงมือเขาก็รู้ว่าคงจบแล้ว ธนูสองดอกก่อนหน้านี้ มัน
ทำให้สือถังรู้ทันทีว่าทักษะการยิงธนูของฉีเฟิงร้าย
กาจแค่ไหน เขาไม่มีความสามารถที่จะยิงธนูขวางธนู
ของฉีเฟิง แต่ด้วยความตกใจ เขาเกือบทำธนูหลุดมือ
หลินจืออ๋องสั่งให้เขาออกมาประลอง เขารู้ว่าหาก
คราวนี้แพ้ ด้วยนิสัยของหลินจืออ๋อง เขาคง
เดือดร้อนหนักแน่
ทุกคนที่มองเห็นก็คิดว่าฉีเฟิงคงยิงถูกแล้วแน่นอน
แต่ว่าใครก็คิดไม่ถึงเลยวว่าธนูจะปักลงที่เท้าของ
ละมั่ง ละมั่งถูกธนูยิงใส่ เหมือนจะตกใจมาก มัน
พยายามจะดิ้น วินาทีทเี่ ชื่องช้าลง สือถังคงไม่ปล่อย
ให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เขาฝืนยกธนูขึ้นมา แล้วยิง
ออกไป ครั้งนี้ถูกไปทีค่ อ จากนัน้ ก็ล้มลงทันที
ทหารตงฉีต่างโห่ร้องตะโกนขึ้นมา สือถังหันหน้าไป
มองฉีเฟิง เห็นฉีเฟิงเหมือนไม่ได้เดือดร้อนอะไร เขา
เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา เขาควบม้ามาข้างๆ เขา
แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ขอบคุณมาก” เขารู้ว่าธนู
ดอกสุดท้าย ฉีเฟิงออมมือให้เขา ถึงแม้จะชนะแบบ
ไม่ได้ดีมาก แต่ว่ามันก็สามารถเลี่ยงการถูกตำหนิจาก
หลินจืออ๋องได้
พวกเขาทั้งสองควบม้ากลับมา เมื่อมาถึงใกล้ที่
ประทับ พวกเขาก็ลงจากม้า แล้ววางธนูลง แล้วเดิน
ขึ้นหน้ามา
หลินจืออ๋องเห็นสือถังได้รับชัยชนะ ก็รู้สึกได้หน้า เขา
ปรบมือยิ้มแล้วพูดว่า “สนุกมาก สนุกมาก สือถัง เจ้า
ทำให้ข้าได้หน้ามากเลยนะ ฉีเฟิง เจ้าเองก็ไม่เลวเลย
พวกเจ้าสูสีกันมาก ครั้งนีเ้ จ้าแค่ขาดดวงไปนิดเดียว
เอง”
ฉีเฟิงคิดในใจว่าพูดแบบนี้ค่อยเหมือนคนหน่อย เขา
มองไปที่ฉีหนิง เห็นฉีหนิงพยักหน้าให้เขาแล้วยิ้ม
ก่อนหน้านี้ฉีหนิงได้กำชับไว้แล้วว่า การประลองใน
วันนี้ จะให้เสียหน้าแคว้นฉู่ไม่ได้ แต่ก็ไม่ต้องจ้องจะ
เอาชนะ ฉีเฟิงฉลาด เข้าใจความหมายของโหวน้อยดี
เขากังวลว่าหากเอาชนะอีกฝ่ายได้ จะทำให้อีกฝ่าย
รู้สึกเสียหน้า แล้วอาจทำให้รัชทายาทตงฉีกับหลินจือ
อ๋องไม่พอใจได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเรื่องหลังจากนี้
อาจจะลำบากขึ้น
รัชทายาทเองก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าสองคนทักษะ
การยิงธนูเยี่ยมยอดมาก” เขาสั่งไปว่า “เอาเหล้ามา”
สวีโจวชื่อสื่อฟางซิ่งจายยกเหล้ามาเอง แล้วรินให้กับ
รัชทายาท รัชทายาทยกมือห้ามไว้ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เมื่อวานจิ่นอีโหวมอบเหล้าเก่าแก่ในวังหลวงแคว้นฉู่
มาให้ข้าสองไห สือถังวันนี้เจ้าทำได้ดีมาก ข้าจะมอบ
เหล้าของแคว้นฉู่ให้เจ้า” เขาหันไปบอกฟางซิง่ จาย
ว่า “ใต้เท้าฟาง รบกวนเจ้าไปเอามาให้ทีนะ”
ฟางซิ่งจายรับคำ แล้วก็ออกไปสั่งให้คนเอาเหล้ามาที่
กระโจม รัชทายาทมองไปที่ฉีหนิงเขายิ้มแล้วพูดว่า
“จิ่นอีโหว ลูกน้องของท่านทักษะการขี่ธนูกับยิงธนู
ร้ายกาจมาก คนของจิ่นอีตระกูลฉี สมคำร่ำลือ
จริงๆ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “รัชทายาททรงชมเกินไปแล้ว”
รัชทายาทถามฉีเฟิงว่า “การเคลื่อนไหวของเจ้าเมื่อ
ครู่ น่าจะเป็นเคยสู้ศึกในสนามรบมาก่อน เคยทำศึก
มา?”
ฉีเฟิงยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ทูลรัชทายาท
กระหม่อมเคยอยู่ในค่ายกิเลนดำมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเขาพูดแบบนี้ออกมา ทุกคนที่ได้ยินชื่อของค่าย
กิเลนดำก็ต่างตกใจ รัชทายาทชื่นชมต่อว่า “ที่แท้ก็
คนของค่ายกิเลนดำนี่เอง มิน่าทำไมถึงได้ร้ายกาจ
ขนาดนี้ ขุนพลทหารม้าค่ายกิเลนดำเป็นหน่วยทหาร
ที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า สามารถต้านทหารเสวียห
ลันของเป่ยฮั่นได้ วันนี้ได้เห็นความสามารถของเจ้า
ชื่อเสียงและความร้ายกาจของทหารค่ายกิเลนดำ
ไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน”
สือถังได้ยินว่าฉีเฟิงเป็นคนของค่ายกิเลนดำมาก่อน สี
หน้าของเขาก็นับถือมากขึ้นกว่าเดิมอีก
ฟางซิ่งจายหยิบเหล้ากลับมาไหหนึ่ง เขาวางมันบน
โต๊ะ แล้วเปิดฝาออก กลิ่นเหล้าหอมๆ ก็โชยออกมา
รัชทายาทได้กลิ่น ก็พูดขึ้นว่า “เหล้าหมักชั้นดีจริงๆ
สือถัง วันนี้เป็นบุญปากของเจ้าได้”
หลินจืออ๋องเขยิบเข้ามา แล้วก็ดมเหล้าในไหนั้น เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “เหล้าดีจริงๆ ด้วย เหล้านี้หอมกว่า
เหล้าปกติ” จากนั้นเขาก็เดินไปหยิบถ้วยเหล้าของ
เขามา แล้วรินให้ตัวเอง จากนั้นก็ดื่มเข้าไปเฮือกใหญ่
แล้วพูดว่า “เหล้าดี เหล้าดี จิ่นอีโหว นี่เหล้าที่พวก
เจ้าให้มาหรือ? เหลือไว้ให้ข้าสักสองไหได้หรือไม่?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าคิดไม่ถึงเลยว่าหลินจืออ๋องอายุแค่นี้
จะติดเหล้า เขายิ้มแล้วพูดว่า “กระหม่อมไม่ทราบว่า
ท่านอ๋องน้อยจะชอบดื่มเหล้าขนาดนี้ เสียมารยาท
จริงๆ ไว้ข้าจะสั่งให้คนนำเหล้ามามอบให้นะ”
เขารู้ดีว่าวังหลวงแคว้นฉู่สะสมเหล้าแบบนี้มานาน
หลายปี หากไม่ดีจริงๆ ก็ไม่มีทางเอามามอบเป็น
ของขวัญให้ตงฉีแน่นอน
หลินจืออ๋องรินเหล้าให้ตัวเองอีก “ดี พูดแล้วห้ามคืน
คำนะ เดี๋ยวต้องส่งมาให้ข้าสองไห”
ฟางซิ่งจายรินเหล้าให้รัชทายาทเต็มแก้ว รัชทายาท
ยกขึ้นมา แล้วกวักมือให้สือถังเข้ามา แล้วพูดว่า
“แก้วนี้ ข้าให้เจ้าเป็นของรางวัล”
สือถังดมเหล้า แล้วก็สองมือรับมา ขอบคุณเสร็จแล้ว
ก็ดื่มจนหมด
รัชทายาทริมเหล้าใหม่อีกครั้ง เขาหันไปพูดกับฉีเฟิง
ว่า “นายทหารท่านนี้ การแสดงออกของวันนี้ ก็เยี่ยม
ยอดมากเช่นกัน ข้าเคารพนับถือท่านแม่ทัพใหญ่มา
นานแล้ว ค่ายกิเลนดำของเขา ข้าเองก็รับถือไม่น้อย
เหล้าแก้วนี้ ข้าให้เจ้าเป็นรางวัล”
ฉีเฟิงไม่ได้เดินขึ้นหน้าไป เขายกมือคำนับแล้วพูดว่า
“ขอบพระทัยรัชทายาท เพียงแต่กระหม่อมไม่ได้รับ
ชัยชนะ ไม่มีผลงานไม่อาจรับรางวัลได้”
รัชทายาทหัวเราะแล้วพูดว่า “นิสัยเด็ดขาดดี เหล้า
แก้วนี้ไม่พูดเรื่องแพ้ชนะ พูดกันแค่...” เขายังพูดไม่
ทันจบ ก็ได้ยนิ เสียง “เพล้ง” เขาขมวดคิ้วแล้วหันไป
มอง เห็นหลินจืออ๋องยืนเซ จากนัน้ ก็ล้มลง
“เจ้าสาม เจ้า...” รัชทายาทยังพูดไม่จบ ก็เห็นว่า
หลินจืออ๋องมีเลือดไหลออกมาจากทั้งเจ็ดทวาร เขา
ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงที่เบาบางว่า “มี
...มีพิษ...” จากนั้นเขาก็ล้มกองลงไปกับพืน้ ดิ้นอยู่
สองที แล้วก็ไม่ขยับอีกเลย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 593 พิษร้ายแรง
หลินจืออ๋องถูกพิษล้มกองอยู่ทพี่ ื้น เหมือนจะตายลง
ทันทีเลย ทุกคนต่างตกใจมาก ยังไม่ทันได้สติคืนมา
ก็ได้ยินเสียงอะไรดังขึ้นอีก ทุกคนหันตามเสียงไป
เห็นสือถังกระอักเลือดสีดำออกมา จากนั้นก็ล้มกอง
อยู่ที่พื้น เขาดิ้นอยู่สองที จากนั้นก็ตายไป
แค่ไม่กี่วินาที มีคนถึงสองคนตายไปต่อหน้า คนหนึ่ง
คือองค์ชายของตงฉี อีกคนเป็นลูกน้องขุนพลของรัช
ทายาท ทุกคนยืนอึง้ ไปหมด
รัชทายาทตาโต หน้ากระตุก แล้วก็วิ่งขึ้นหน้าไป กอด
หลินจืออ๋องเอไว้ แล้วพูดว่า “เจ้าสาม เจ้าสาม...”
เขานิ่งมาตลอด แต่วินาทีที่เขาเห็นน้องชายของเขา
ตายไปต่อหน้าต่อตา เขาดูตระหนกมาก น้ำเสียงของ
เขาดูเศร้ามาก
ฉีหนิงยืนมองหลินจืออ๋องกับสือถังตายเรียงกันต่อ
หน้า เขาตกใจมาก เขารู้ทันทีเรื่องนีแ้ ย่แน่นอน
ในตอนนี้เอง สวีโจวชื่อสื่อฟางซิ่งจายเหมือนจะได้สติ
กลับมา เขาตะโกนขึ้นมาว่า “มีคนร้าย ทุกคนอยู่กับ
ที่ ห้ามขยับไปไหน”
หลังจากที่ฟางซิ่งจายตะโกนออกมา ขุนพลของรัช
ทายาทอีกคนที่ชื่อซูหลุนก็ได้สติกลับมา เขาพูดเสียง
เข้มขึ้นมาว่า “ล้อมที่นี่เอาไว้ให้หมด หากไม่มีคำสั่ง
จากองค์รัชทายาท ใครก็ห้ามไปไหนเด็ดขาด” เขา
ชักดาบออกมา รอบๆ บริเวณนี้นอกจากทหารของ
รัชทายาทแล้ว ก็มีทหารองครักษ์ เมื่อได้ยินซูหลุนสั่ง
การ แต่ละคนก็ชักดาบออกมา ทหารทั้งหมดล้อมกัน
เป็นกลุ่มแน่นอแม้แต่ลมก็รอดเข้ามาไม่ได้
อู๋ต๋าหลินรู้ทันทีสถานการณ์ไม่ดีแล้ว เขาเลยพาทหาร
มาด้วยสิบคน รวมกับองครักษ์ที่อยูก่ ับฉีหนิงแล้ว มี
ไม่ถึงยี่สิบคน ทีน่ ี่ถูกล้อมไว้หมดแล้ว สถานการณ์คับ
ขันมาก อู๋ต๋าหลินจับดาบเอาไว้แน่น แต่ไม่ได้ทำอะไร
เขาสั่งเสียงเข้มว่า “ห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม และห้ามชัก
ดาบเด็ดขาด”
เขารู้ดีว่า ตอนนี้สถานการณ์คับขัน หลินจืออ๋อง
กับสือถังต่างดื่มเหล้าพิษจนตาย อีกทั้งทุกคนยังรู้อีก
ว่า เหล้านั้นเป็นของที่คณะทูตแคว้นฉู่เป็นคนถวาย
ให้ อีกฝ่ายต้องพุ่งเป้ามาที่คณะทูตแน่นอน ทางเขา
ไม่ชักดาบออกมา เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าพวกเขา
ขัดขืน เพราะไม่อย่างนั้นจะทำให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่
ไม่ผิดอย่างที่คิด ซือถูหมิงเยว่มองมาที่ฉีหนิง เขาพูด
ด้วยความโกรธว่า “จิ่นอีโหว นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียดมากเขาพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้
ว่ามันเรื่องอะไร”
ฟางซิ่งจายชี้หน้าฉีหนิงแล้วพูดว่า “พวกเจ้า...พวก
เจ้าแคว้นฉู่โหดเหี้ยมนักกล้าลงมือสังหารหลินจืออ๋อง
แบบนี้ ฉีหนิง เจ้ารู้ความผิดของเจ้าหรือไม่?”
“แคว้นฉู่ของเราต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแค้น
ตงฉี จึงส่งคณะทูตมา ไม่ทราบมีโทษอันใดกัน?”
ฟางซิ่งจายพูดด้วยความโกรธว่า “ยังกล้าพูดว่าไม่มี
โทษอีก? เจ้าคิดว่าทุกคนตาบอดหรืออย่างไร?” เขาชี้
ไปทางไหเหล้าแล้วพูดว่า “ข้าขอถามเจ้า เหล้าไหนี้
คณะทูตเป็นคนถวายมาใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง” ฉีหนิงพยักหน้า
ฟางซิ่งจายยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “เจ้ายอมรับก็ดี อย่างนี้
แล้วยังบอกว่าตัวเองไม่ผิดอีกหรือ?”
ฉีหนิงพูดอย่างเรียบๆ ว่า “เหล้าไหนี้ข้าเป็นคนถวาย
ให้กับรัชทายาทเอง แต่ว่าคนถวายเหล้าให้ ก็อาจจะ
ไม่ใช่คนที่วางยาก็ได้นี่นา”
“เจ้ายังจะคิดแก้ตัวอีกหรือ?” ฟางซิง่ จายกำหมัด
แน่นแล้วพูดว่า “ฉีหนิง ถึงแม้เจ้าจะเป็นจิน่ อีโหวของ
แคว้นฉู่ แต่ว่าเจ้ากล้าสังหารหลินจืออ๋องของตงฉีเรา
เจ้าก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
ซูหลุนพูดเสียงเข้มว่า “จับพวกเขาเอาไว้ให้หมด”
ทหารตงฉีเหมือนเสือหิวโหยทุกคนพุ่งเข้ามา อู๋ต๋า
หลินตะคอกกลับไปว่า “ใครกล้า” เขารู้ว่าหากไม่ขัด
ขืนตอนนี้ ก็ต้องถูกจับ ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีคนมากกว่า
แต่ว่าคนของแคว้นฉู่ก็ไม่ได้กลัว อู๋ต๋าหลินชักดาบ
ออกมา แล้วพุ่งมายืนอยู่ข้างๆ ฉีหนิง ส่วนคนอื่นก็ชัก
ดาบตามมาคุ้มกันฉีหนิงเหมือนกัน
รัชทายาทตงฉียังนั่งกอดศพหลินจืออ๋องไว้ เขาดู
เสียใจมาก ในเวลานี้หากฉีหนิงลงมือ ก็สามารถ
ควบคุมรัชทายาทเอาไว้เหมือนกัน ขอแค่มีรัชทายาท
อยู่ในมือ ทหารตงฉีก็ไม่กล้าทำอะไร อีกทั้งยัง
สามารถหลุดไปจากที่นี่ได้ด้วย
แต่ว่าฉีหนิงรู้ดีว่า หากเขาลงมือ ทุกอย่างก็จะไม่มี
ทางย้อนกลับไปได้อีก
วินาทีที่หลินจืออ๋องล้มลง ฉีหนิงก็รทู้ ันทีว่ามีเรื่อง
เดือดร้อนแน่นอน หลินจืออ๋องไม่ใช่คนธรรมทั่วไป
เขาเป็นถึงองค์ชายของตงฉี หากเรื่องนี้ไม่อธิบายให้
ชัดเจน คณะทูตแคว้นฉู่ทงั้ หมดคงไม่มีทางออกจาก
ตงฉีไปได้แม้แต่คนเดียว
แต่ว่าหากเขาลงมือจับรัชทายาทตงฉีเป็นตัวประกัน
ต่อไปไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม ชาวตงฉีจะไม่มีทาง
เชื่อเขาอีกแน่นอน
ทหารตงฉีกำลังจะบุกเข้าใส่ ทันใดนัน้ ก็ได้ยินเสียง
ตะคอก “หยุดเดี๋ยวนี้” รัชทายาทตงฉีลุกขึ้นยืน แล้ว
ตะคอกอย่างดุดัน
รัชทายาทตะคอกมาแบบนี้ ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรอีก
ทำได้แค่ล้อมพวกของฉีหนิงไว้
รัชทายาทถอนหายใจแล้วมองมาที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า
“จิ่นอีโหว ข้าอยากฟังว่าเจ้าจะอธิบายเรื่องนี้
อย่างไร”
ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “รัชทายาททรงพระ
ปรีชา การสังหารใครสักคนหนึง่ มันต้องมีแรงจูงใจ
หากเราเป็นคนวางยาพิษในเหล้า สังหารหลินจืออ๋อง
แล้วแรงจูงใจของเราคืออะไร?”
“เจ้าไม่ได้ต้องการสังหารหลินจืออ๋อง” ซือถูหมิงเยว่
หน้านิ่งแล้วพูดว่า “เหล้าสองไหนี้ เจ้าเป็นคนถวาย
ให้กับองค์รัชทายาท รัชทายาททรงไม่ทราบว่าเหล้า
นี่มีพิษ เลยมอบให้กับสือถัง ใครจะไปรู้ว่าหลินจือ
อ๋องจะมาดื่มเหล้าชนิดนี้ เป้าหมายที่แท้จริงของพวก
เจ้า ไม่ใช่หลินจืออ๋อง ไม่ใช่สือถัง แต่เป็นองค์รัช
ทายาท”
ฉีหนิงจ้องซือถูหมิงเยว่ แล้วถามว่า “ซือถูชางสือ ข้า
ยังคงคำถามเดิม แรงจูงใจในการสังหารองค์รัช
ทายาทของเราคืออะไร? ไม่ว่าใครจะทำอะไรสัก
อย่างหนึ่ง มันก็ต้องมีแรงจูงใจกันทั้งนั้น ยิ่งเป็นเรื่อง
การคิดสังหารขององค์รัชทายาทด้วยแล้ว?” เขา
เหลือบไปมองรัชทายาท แล้วพูดว่า “ข้ากับรัช
ทายาทคนหนึง่ อยู่แคว้นฉู่ คนหนึ่งอยู่ตงฉี ไม่เคยได้
พบหน้ากันเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการไปมาหาสู่ อีก
ทั้งเราทัง้ สองแคว้นนั้นก็แทบจะไม่ได้เจริญ
สัมพันธไมตรีต่อกันเลย ไม่ได้มีความแคว้นอะไรต่อ
กัน ข้าจะสังหารรัชทายาททำไม?”
“เจ้ามีเจตนาอย่างไร พวกเจ้ารู้ดีแก่ใจ” ฟางซิ่งจาย
บีบบังคับ “เจ้าไม่ต้องมาแก้ตัว หลินจืออ๋องถูกพวก
เจ้าสังหาร ไม่ว่าจะแก้ตัวอย่างไร พวกเจ้าก็หนีไม่
รอดหรอก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วถามว่า “ใต้เท้าฟาง เจ้าถามว่าเจตนา
เราอยู่ที่ไหน? แล้วก็จะลงโทษเรา ถ้าอย่างนั้นก็ต้อง
พูดกันให้ชัดเจน เจ้าว่า เรามีเป้าหมายอะไรที่จะต้อง
สังหารองค์รัชทายาทด้วย?”
ฟางซิ่งจายพูดว่า “องค์รัชทายาททรงเป็นถึง
มกุฎราชกุมารของตงฉี การลอบสังหารรัชทายาท ก็
หมายถึงต้องการให้ตงฉีเราเกิดความวุ่นวาย จากนั้น
แคว้นฉู่ของพวกเจ้าก็จะได้ยกทัพมาโจมตีเราน่ะสิ?”
ฉีหนิงไม่ได้พูดเกรงใจอีกต่อไป “ใต้เท้าฟาง เจ้าโง่
หรือว่าข้าโง่กันแน่นะ? ต้องการให้ภายในแคว้นตงฉี
วุ่นวาย จากนั้นก็ฉวยโอกาสยกทัพเข้ามาโจมตี
ตรรกะอะไรกัน? หรือว่าเจ้าคิดว่าแคว้นฉู่ของเราจะ
ใช้กำลังทหารกับตงฉี? พวกเจ้าลองถามตัวเองก่อน
หรือไม่ว่า หากแคว้นฉู่บุกโจมตีตงฉีแล้ว ต้าฉู่ของเรา
ได้ประโยชน์อะไรกัน? ถึงแม้ข้าจะไม่ค่อยฉลาดนัก
แต่ก็ไม่โง่ ถึงขนาดวางยาพิษในเหล้า วิธีต่ำช้าแบบ
นั้น มันไม่รนหาที่ตายอย่างนั้น? ขบวนคณะทูตของ
เรามีเกือบสามร้อยคน หรือว่ารู้ทันรูว้ ่าจะต้องตาย
ยังจะมาให้ฆ่าหรืออย่างไร?”
รัชทายาทไม่พูดอะไรเลย ตอนนี้พูดขึ้นมาว่า “แล้ว
ในเหล้ามีพิษ จะอธิบายอย่างไร?”
“เรื่องนี้กระหม่อมไม่ทราบสาเหตุจริง ๆ” ฉีหนิง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “องค์รัชทายาท คนบริสุทธิ์กค็ ือ
บริสุทธิ์ เราไม่มีแรงจูงใจในการทำร้ายพระองค์ เรา
ไม่ได้คิดทำร้ายพระองค์เลย”
รัชทายาทนิ่งไป แล้วถามว่า “จิ่นอีโหว ข้าก็เชื่อว่า
ท่านไม่ได้คิดจะทำร้ายข้า แต่ว่า...ก่อนที่ท่านจะมอบ
เหล้าให้ข้า ได้ทำการตรวจสอบเหล้าว่าพิษก่อนหรือ
เปล่า?”
ฉีหนิงตะลึงไป คิดในใจว่าหากข้าตรวจพบพิษ ข้าจะ
เอามามอบให้เจ้าอีกทำไม? ทันใดนั้นเองเขาก็นึก
อะไรขึ้นมาได้ หรือว่าเหล้านี้จะแอบถูกทำอะไรมา
แล้วให้เขาเป็นแพะรับบาปแทน? เขาขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “องค์รัชทายาท เรื่องนีเ้ ราไม่เคยตรวจสอบมา
ก่อน ของเหล้านี้เป็นของที่ราชสำนักเตรียมไว้ให้
เป็นเหล้าหมักมานานหลายปี หากจะต้องตรวจสอบ
ก็ต้องเปิดไห ซึ่งมันไม่เป็นไปได้เลย”
รัชทายาทพูดว่า “จะให้ข้าเชื่อว่าท่านไม่คิดทำร้ายข้า
ก็ได้ แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า เรื่องนีอ้ าจจะไม่ได้พุ่ง
เป้ามาที่ข้า แต่พุ่งเป้ามาที่เจ้า?” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง
แล้วพูดว่า “ท่านมีศัตรูในราชสำนักหรือเปล่า ก่อนที่
พวกเจ้าจะออกเดินทาง เหล้าพวกนี้ถูกแอบทำอะไร
มาก่อนหรือเปล่า?”
ฉีหนิงคิดว่ามันก็เป็นไปได้เหมือนกัน เขาคิดในใจว่า
หากเป็นแบบนี้จริง เรื่องนีเ้ รื่องใหญ่แน่นอน ไม่ว่า
ใครก็ตามที่วางยาพิษ พิษนี่เขาเป็นคนมอบให้
หลินจืออ๋องตาย ชาวตงฉีไม่ยอมเลิกราแน่นอน เขา
เองก็มีโอกาสที่จะกลับออกจากตงฉีไม่ได้
“องค์รัชทายาท หากเป็นอย่างที่ทรงตรัสมา เรื่องนี้
พิสูจน์ง่ายมาก” ฉีหนิงพูดว่า “เมื่อคืนนี้กระหม่อม
ถวายเหล้าให้พระองค์สองไห ยังเหลืออีกหนึ่งไห ทรง
ให้คนเปิดอีกไหออกดูได้ ว่ามีการวางยาพิษด้านใน
หรือเปล่า กระหม่อมจะให้คนยกเหล้าที่เหลือมาที่นี่
ด้วย ให้ทุกคนตรวจสอบกันให้เห็นไปเลย หากบนรถ
ขนของของเรามีเหล้าที่มีพิษจริง เรือ่ งนี้ข้าเองก็จะ
ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ยอมให้ทรงลงอาญา
ทันที”
ฟางซิ่งจายพูดขึ้นมาว่า “ต่อให้เหล้าที่เหลือของเจ้า
ไม่มีพิษ แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าไม่ใช่คน
วางยา? เจ้า...” เขายังพูดไม่ทันจบ รัชทายาทก็ยก
มือห้าม แล้วพูดว่า “ทำตามที่จิ่นอีโหวบอก”
ฉีหนิงสั่งให้ฉีเฟิงกลับไปเอาเหล้าที่เหลือมา รัช
ทายาทสั่งให้ซือถูหมิงเยว่ไปหยิบเหล้าอีกไหหนึ่งมา
อีกทั้งยังสั่งให้คนนำศพหลินจืออ๋องกับสือถังไปตั้ง
วางให้ดี
หลังจากที่ศพของหลินจืออ๋องถูกยกลงมาแล้ว ไม่
นานนัก ซือถูหมิงเยว่ก็นำเหล้าอีกไหหนึ่งมา แล้ววาง
ที่โต๊ะ ซือถูหมิงเยว่สั่งให้คนเปิดไหออก ฉีหนิงกลับ
ห้ามก่อน “ตรวจสอบก่อน” เขาเขยิบเข้ามาใกล้ รัช
ทายาทเองก็เขยิบเข้ามาใกล้ ฉีหนิงมองอย่างละเอียด
แล้วชี้ “รัชทายาททรงทอดพระเนตรตรงนี้”
รัชทายาทก้มมอง เขาตกใจมาก ด้านบนทีป่ ิดของไห
เหล้านั้น มันมีรูเล็กๆ รูหนึ่ง มันเล็กเอามากๆ หาก
ไม่ได้ดูดีดี แทบจะมองไม่เห็นเลย ฉีหนิงพูดว่า “รัช
ทายาท หากข้าเดาไม่ผิด เหล้าไหนี้ก็ถูกวางยาแล้ว
เช่นกัน ส่วนยาพิษก็น่าจะวางยาผ่านรูนี้แน่นอน”
รัชทายาทสั่งว่า “ใครก็ได้ มาตรวจพิษสิ”
มีคนด้านข้างเดินขึ้นหน้ามา เปิดไหออก แล้วหยิบ
เครื่องเงินออกาม แล้วจุ่มลงไปในไห ทันใดนั้นเอง
เครื่องเงินเป็นสีดำ ฟางซิ่งจายพูดว่า “มีพิษจริงๆ
ด้วย”
ในตอนนีเอง ฉีเฟิงก็สั่งให้คนนำเหล้าที่เหลือมาจาก
ขบวนคณะทูต รัชทายาทพูดว่า “ไม่ต้องตรวจ
ทั้งหมดหรอก สุ่มเลือกสักสามไหก็พอ”
ซือถูหมิงเยว่สั่งให้คนอุ้มมาสามไห แล้วตรวจทีละไห
ฉีหนิงรู้สึกเกร็งมาก หากในเหล้าพวกนี้มีพิษ เรื่องจะ
ซับซ้อนมากขึ้นไปอีก เขาก็จะตกอยูใ่ นอันตรายทันที
โทษของการสังหารหลินจืออ๋อง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็
หนีไม่พ้นแน่นอน
ทุกคนจ้องตาไม่กะพริบ เห็นเครื่องเงินที่จุ่มลงไปใน
ไหไม่เปลี่ยนเป็นสีดำ คนตรวจสอบพิษพูดกับรัช
ทายาทว่า “ทูลรัชทายาท เหล้าสามไหนี้ไม่มีพิษพ่ะ
ย่ะค่ะ”
ฉีหนิงและคนอืน่ ถึงกับโล่งใจ แต่ว่าตอนนี้เขากลับคิด
ขึ้นมาได้ว่า แสดงว่าเหล้าที่ถวายให้รัชทายาทไปนัน้
มีคนลงมือวางยาหลังจากที่รัชทายาทรับเหล้าไปแล้ว
คนผู้นั้นจะต้องเป็นคนข้างตัวรัชทายาทแน่นอน ไม่รู้
ว่าใครคิดอยากจะสังหารรัชทายาท หากไม่ใช่
หลินจืออ๋องกับสือถังที่เป็นแพะมาตายแทน คนที่
ตายก็น่าจะเป็นรัชทายาทตงฉีแน่นอน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 594 กักบริเวณ
ฟางซิ่งจายเห็นเหล้าที่ฉีเฟิงเอามานั้นไม่มีพิษ เขาก็
พูดว่า “รัชทายาท ต่อให้มันไม่มียาพิษ มันก็พิสูจน์
ไม่ได้ว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขานะ เหล้าที่อยู่กับ
พวกเขาเองไม่มีพิษ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเหล้าสอง
ไหที่พวกเขาให้มานั้นไม่ใช่พวกเขาที่วางยาพิษ ท่าน
อ๋องน้อยถูกลอบสังหาร ก่อนที่จะเจอคนร้ายตัวจริง
จะปล่อยพวกเขาไปแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
ฉีหนิงอดแก้ต่างไม่ได้ “โหวเยว่ของเราก็บอกไปแล้ว
หากเราส่งเหล้าพิษให้พวกเจ้าในเวลาแบบนี้ เราไม่
รนหาที่ตายหรือ? ใครจะไปรู้อาจเป็นคนของรัช
ทายาทเองก็ได้ที่มีเจตนาไม่ดี คิดอยากจะวางยา
พระองค์...”
“หุบปาก” ฉีหนิงตะคอก แล้วยกมือคำนับ “รัช
ทายาท เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ขอทูลอะไรที่ไม่ควรสัก
หน่อย หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนร้ายตัวจริงคือ
ใคร เรื่องนี้อาจทำให้เราทั้งสองแคว้นต้องเอากำลัง
ทหารมาคุยกัน เราทัง้ สองแคว้นเป็นมิตรที่ดีต่อกันมา
นานหลายปี มันจะสลายหายไปในชัว่ พริบตาเลย
นะ”
ฟางซิ่งจายพูดว่า “เจ้าคิดจะข่มขู่เราหรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “ใต้เท้าฟาง ท่านอย่าบีบคั้นกันให้มาก
นัก ทำไมถึงได้พยายามยัดเยียดความผิดให้เราจัง
เลย? สิ่งที่ข้าทูลให้รัชทายาททรงทราบ มันคือเรื่อง
จริง ไม่ได้ข่มขู่อะไร หากท่านฟังไม่เข้าใจไม่เป็นไร
รัชทายาททรงพระปรีชาอยู่แล้ว ทรงต้องเข้าใจ
แน่นอน”
รัชทายาทสีหน้าเคร่งเครียดมาก เขานิ่งไปครู่หนึง่
แล้วพูดขึ้นมาว่า “จิ่นอีโหว เรื่องนี้ขา้ จะต้องสืบให้รู้
ความจริงให้ได้ เจ้าสั่งให้คนของเจ้าอยู่ในเนินหมูป่า
ห้ามออกไปไหน ต้องลำบากพวกเจ้ารออยู่ในค่าย
ของพวกเจ้าก่อนเถอะนะ” เขาหันไปสั่งซือถูหมิง
หมิงเยว่ว่า “ซือถู ถ่ายทอดคำสั่งออกไป เก็บของที่นี่
ให้เรียบร้อย พรุง่ นี้เช้าเราจะออกเดินทาง กลับเมือง
หลวงทันที”
หลินจืออ๋องถูกสังหาร เรื่องใหญ่แบบนี้ ล่าสัตว์คงทำ
ต่อไปไม่ได้อีก ซือถูหมิงเยว่รับคำ แล้วก็เดินหน้า
ขึ้นมา “โหวเยว่ เชิญ”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เขารู้ว่าอีกฝ่ายบีบบังคับให้เขายอม
ทหารแคว้นตงฉีอยู่รอบเต็มไปหมด หากลงมือขึ้นมา
ด้วยวรยุทธ์ของฉีหนิง ใช่ว่าจะฝ่าออกไปไม่ได้ แต่ว่า
คนของเขาอาจจะไม่ได้โชคดีแบบนัน้ อีกทั้งคนอีก
สองร้อยกว่าคนทีเ่ นินหมูป่า ก็อาจจะต้องเดือดร้อน
ไปด้วย
อู๋ต๋าหลินขมวดคิ้ว คิดจะแก้ต่าง ฉีหนิงยกมือห้าม
แล้วพูดว่า “ท่านนายกองอู๋ เจ้าพาคนกลับไปทีเ่ นิน
หมูป่าก่อน หากไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามทำอะไร
เด็ดขาด รัชทายาททรงปรีชา ไม่มีทางให้ร้ายคนดี
หรอก”
“โหวเยว่...”
“ไม่ต้องพูดมากอีก” ฉีหนิงเสียงเข้ม แล้วเดินซือถูห
มิงเยว่ไป องครักษ์รัชทายาทหลายคนจ้องตาไม่
กะพริบ อู๋ต๋าหลินกับฉีเฟิงมองหน้ากัน รู้ว่าตอนนี้จะ
ทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้ เขาทำให้แค่กลับไปยังเนินหมู
ป่า
ไม่มีใครคิดจะผลจะเป็นแบบนี้ ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
รัชทายาทอุ้มศพของหลินจืออ๋องกลับไปยังกระโจมที่
เนินพญาวัวด้วยตัวเอง เขาดูเสียใจมาก
เจ้าหน้าที่ขุนนางของตงฉีกับเหล่าขุนพลต่างรู้ดีว่า
หลินจืออ๋องติดรัชทายาทมากตั้งแต่เล็ก ถึงแม้ไม่ใช่
ลูกที่เกิดจากฮ่องเฮา ทั้งคูเ่ ป็นพี่น้องต่างแม่ แต่ว่า
ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีมาก ถึงแม้ไท่ซานอ๋องจะ
เป็นลูกชายคนโต แต่ว่าเขานิสัยใจร้อน ความสัมพันธ์
พี่น้องก็ไม่ค่อยจะดี ส่วนรัชทายาทกับหลินจืออ๋องก
ลับเหมือนพี่น้องท้องเดียวกันซะมากกว่า
การขี่ม้ายิงธนูนั้น หลินจืออ๋องก็เรียนมาจากรัช
ทายาท กษัตริย์ตงฉีมีลูกทั้งหมดห้าคน หลินจืออ๋อง
อ่อนกว่าองค์หญิงเทียนเซียงหนึ่งปี ถือว่าอายุน้อย
ที่สุดในบรรดาองค์ชายองค์หญิง เขาจึงเป็นที่รักและ
เอ็นดูของคนในวังหลวงมาก หลังจากที่รัชทายาท
ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมกุฎราชกุมาร ย้ายไปอยู่
ตำหนักรัชทายาท หลินจืออ๋องก็มาอยู่แต่ที่ตำหนัก
รัชทายาท ไม่ว่าใครก็เห็น รัชทายาทกับหลินจืออ๋อง
ถึงแม้จะเป็นพีน่ ้องกัน แต่ว่าพวกเขาให้ความรู้สึก
เหมือนพ่อลูกกัน รัชทายาทรักและเอ็นดูเขามาก
ออกนอกเมืองมาล่าสัตว์ในครั้งนี้ หลินจืออ๋องอ้อนให้
รัชทายาทพามาด้วย แต่กลับกลายมาเป็นแบบนี้ ทุก
คนรู้ว่ารัชทายาทปวดใจแค่ไหน
ฉีหนิงถูกจัดให้ไปอยู่ในกระโจมเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ตอนนี้เขาถึงได้สงบจิตใจลงบ้าง จากนั้นค่อยๆ
ทบทวนเรื่องทีเ่ กิดขึ้น
ดูจากสถานการณ์ รัชทายาทประทานเหล้า เป็น
เจตนาที่เพิง่ คิดได้ เดิมเหล้านี้ประทานให้สือถังคน
เดียว หลินจืออ๋องไม่ได้อยู่ในแผนในครั้งนี้ หลินจือ
อ๋องเข้ามาร่วมวงในเรื่องนี้เอง ดังนัน้ เป้าหมายของ
คนที่วางยาพิษนัน้ ไม่ใช่หลินจืออ๋อง
ฉีหนิงเริ่มแรกยังสงสัยว่า เหล้าทั้งสิบไหนี้อาจจะมี
ปัญหามาตั้งแต่แคว้นฉู่หรือไม่ ถึงแม้จะมาจากในวัง
หลวง แต่ว่าเป็นของที่กรมคลังเป็นคนจัดเตรียม มี
พิษในเหล้าอย่างนี้แล้ว หรือว่าโต้วขุยจะฉวยโอกาส
ทำให้เขาถึงที่ตาย? หากโต้วขุยเป็นคนวางยา เขา
เป็นคนมอบเหล้าให้รัชทายาทตงฉีเอง เมื่อมีคนตาย
ชาวตงฉีไม่มีทางไปหาเรื่องโต้วขุย แต่ยังไงก็ต้องเอา
เรื่องกับทางคณะทูตอยู่แล้ว ตอนนั้นฉีหนิงเครียด
มาก เมื่อแน่ใจแล้วว่าเหล้าหลวงที่เขานำมานั้นไม่มี
พิษ เขาก็แน่ใจทันทีว่า คนที่วางยาพิษน่าจะเป็นคน
ใกล้ตัวของรัชทายาทเอง
เป้าหมายของคนร้าย น่าจะเป็นการสังหารองค์รัช
ทายาท แต่ว่าไม่ตัดโอกาสที่อีกฝ่ายตั้งใจจะฆ่าสื
อถังอยู่ก่อนแล้ว การฆ่าสือถังนั้น เป้าหมายอาจไม่ใช่
เพราะมีความแค้นส่วนตัวอะไรกับเขา แต่เพราะ
ต้องการใส่ร้ายคณะทูตแคว้นฉู่
แต่ว่าพอฉีหนิงนึกทบทวนถึงตรงนี้ เขาก็คิดว่าเขาไม่
เคยรูจ้ ักคนพวกนี้มาก่อน อีกทัง้ แคว้นตงฉีกับแคว้นฉู่
เองก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน อีกฝ่ายทำไม
จะต้องใส่ร้ายคณะทูตด้วย? หากพุ่งเป้ามาที่ตัวเขา
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าต้องการลงมือกับจิ่นอีตระกูลฉี
หากบอกว่าเป็นชาวเป่ยฮั่นเกลียดจิน่ อีตระกูลฉี แล้ว
ชาวตงฉีมีความแค้นอะไรกับจิ่นอีตระกูลฉีล่ะ?
จิ่นอีตระกูลฉีทั้งสองรุน่ เคยทำสงครามกับชาวเป่ยฮั่น
มาก่อน แต่ไม่เคยทำสงครามกับชาวตงฉีเลย
เขาเหมือนจะคิดขึ้นมาได้ว่า รัชทายาทสั่งให้ฟางซิ่ง
จายไปหยิบเหล้ามา หลังจากหลินจืออ๋องตาย ฟาง
ซิ่งจายก็แสดงออกมากกว่าใคร มันหมายความว่า
ยังไง? หากจะบอกว่ามีคนวางยา ฟางซิ่งจางมีโอกาส
ลงมือมากที่สุด
ฉีหนิงนั่งทบทวนเรื่องนีใ้ นกระโจมอยู่นาน ก็ไม่รู้ว่า
รัชทายาทจะทำยังไงกับเรื่องนี้ต่อไป แต่ว่าเขาเข้าใจ
อย่างหนึ่ง ก่อนที่จะมีหลักฐานที่แน่ชัด ชาวตงฉีจะไม่
ทำอะไรคณะทูตแน่นอน เพราะคณะทูตคือตัวแทน
ของแคว้นฉู่ กำลังของแคว้นฉู่นนั้ มันเหนือกว่าตงฉี
มาก หากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน โยนข้อหาให้เปล่าๆ
แบบนี้ หนานฉู่ไม่มีทางยอมรับได้แน่นอน
แคว้นฉู่ไม่เคยใช้กำลังทหารกับตงฉีเลย เพราะกังวล
เรื่องของเป่ยฮั่น ไม่ใช่เพราะกลัวตงฉี แต่หาก
สถานการณ์บังคับ ต่อให้แคว้นฉู่ไม่สง่ ทหารมารบ
แบบจริงจัง แต่ก็คงต้องส่งกำลังพลมาแน่นอน
ชาวตงฉีเองก็เป็นกังวล ดังนั้นฉีหนิงเชื่อว่าหากอีก
ฝ่ายไม่มีหลักฐานแน่นอน เขากับคณะทูตจะ
ปลอดภัย
เขาคิดในใจว่าเดินทางมาตงฉี ยังไม่ทันถึงเมืองลู่เฉิง
ก็เจออุปสรรคใหญ่แล้ว ที่น่าแปลกก็คือมันเจอเรื่อง
ติดๆ กันสามสี่เรื่อง เขารู้สึกว่าทำไมการทำอะไรสัก
อย่าง มันถึงได้ยากลำบากขนาดนี้ เขาถอนหายใจ
หลังจากที่เขาถอนหายใจ ฉีหนิงรู้สกึ ตะลึง เพราะ
หลังจากที่เขาถอนหายใจแล้ว เหมือนมันมีเสียงอะไร
ดังขึ้น เหมือนจะเป็นเสียงของผู้หญิง
ฉีหนิงลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบๆ ภายในกระโจม
ไม่ได้ใหญ่มาก ตกแต่งแบบเรียบง่าย แค่มองก็รู้ว่ามี
อะไรแปลกปลอมหรือไม่
เขาขมวดคิ้ว คิดในใจว่าเขาอาจจะคิดมากไปเอง เลย
เกิดภาพหลอน แต่ว่าเสียงที่ตามมาหลังจากที่เขา
ถอนหายใจ มันชัดมาก มันเป็นเสียงของผู้หญิง น่า
แปลกมาก ขณะที่เขากำลังคิด ทันใดนั้นเองผ้า
กระโจมก็เปิดออก มีคนเดินเข้ามา สวมชุดบ่าวไพร่สี
เขียว ก้มหน้าลง ยกถาดอาหารเข้ามา เขาไม่ได้พูด
อะไร แล้วเดินตรงมาที่โต๊ะ จากนั้นก็วางถาดลง มีน้ำ
ชาหนึ่งใบ อีกทั้งของว่างสองจาน
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ใครเป็นคนให้เจ้าส่ง
มา?”
บ่าวไพร่คนนั้นพูดว่า “เป็นรับสั่งขององค์รัชทายาท
ทรงตรัสว่าจะต้องดูแลโหวเยว่อย่างดี จึงทรงส่ง
ข้าน้อยมา โหวเยว่หากต้องการอะไรเพิ่มเติม สั่งมา
ได้เลยนะขอรับ” เขาไม่พูดอะไรมากอีก คิดจะ
ออกไปทันที ฉีหนิงกวาดสายตามองไป แล้วพูดขึ้นว่า
“ช้าก่อน”
คนผู้นั้นก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “โหวเยว่มีอะไรจะสั่ง
หรือขอรับ?”
“เจ้าเป็นบ่าวรับใช้ขององค์รัชทายาทหรือ?” ฉีหนิง
ถามว่า “เจ้าเคยฝึกวรยุทธ์มาก่อนไหม?”
คนผู้นั้นไม่เงยหน้า พูดเพียงว่า “ข้าน้อยแค่ทำงาน
ทั่วไป ไม่เคยฝึกยุทธมาก่อน”
ฉีหนิงจ้องไปที่มือของเขา แล้วพูดว่า “แต่ว่ามือของ
เจ้ามันบอกข้าว่า เจ้าน่าจะฝึกยุทธมาแล้วอย่างน้อย
สิบปี” เขาลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ทำไมต้องปิดบัง?”
คนผู้นั้นถอยหลังทันที คิดจะหนี จึงรีบร้อนออกจาก
กระโจม ฉีหนิงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ เลยชิงออก
จากกระโจมไปก่อน เดินออกไปไม่ถึงสองก้าว ก็มี
แสงสะท้อนของเหล็ก ดาบสองเล่มขวางเขาอยู่
ทหารสองคนขวางเขาเอาไว้ แล้วจ้องมาที่ฉีหนิง แล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ รัชทายาททรงมีรับสั่ง ให้ท่าน
พักผ่อนอยู่ในกระโจม ห้ามออกไปไหน”
ฉีหนิงกวาดสายตามองไป เห็นรอบๆ มีทหารอยู่
ประมาณห้าหกคน ทหารสี่คนถือทวน กำลังเล็งมา
ทางเขา อีกสองคนยืนอยู่ไม่ไกลถือธนูเล็งมา
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ด้วยวรยุทธ์ของเขาตอนนี้ จะรับมือ
คนพวกนี้มันง่ายมาก แต่ว่าเขาจะใช้วรยุทธ์ไม่ได้ เขา
มองไป เห็นเงาของบ่าวไพร่ชุดเขียวนั่นอยู่ทางด้าน
ซ้ายไม่ไกล เขายกมือชี้ไปแล้วพูดว่า “จับตัวเขา
เอาไว้ เขามีปัญหา”
เหล่าทหารหันไปมอง บ่าวไพร่ชุดเขียวนั้นหลบเข้า
หลังกระโจมไป ทหารคนหนึ่งถามขึ้นว่า “โหวเยว่จะ
ให้จับใครหรือ?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ต้องจับใครทั้งนั้น
จับข้านี่แหละ” เขาคิดในใจว่าหากไม่ใช่เพราะพวก
เจ้ามาขวาง เขาทำอะไรเร็วหน่อย คนชุดเขียวนั่นคง
หนีไม่รอด แต่ว่าแค่พริบตาเดียวเขาก็สามารถทิ้ง
ระยะได้ แสดงว่าเขาฝีมือไม่ธรรมดาเลย
เหล่าทหารมองหน้ากัน พวกเขาคิดในใจว่าจิ่นอีโหว
แปลกๆ บ้าไปแล้วหรือไม่?
ฉีหนิงถามขึ้นมาว่า “เมื่อกี้มีคนเข้ามาในกระโจม
พวกเจ้าเห็นหรือไม่?”
“องค์รัชทายาทสั่งให้คนส่งอาหารมาให้โหวเยว่”
ทหารคนหนึ่งพูดว่า “หรือว่าคนผู้นั้นมีปัญหาอะไร?”
ฉีหนิงมองไปที่ทหารคนนั้น คิดในใจว่าเจ้าก็ไม่โง่นี่
เพียงแต่เขาไม่รู้จะอธิบายให้ทหารพวกนั้นยังไง เขา
พูดว่า “ข้าอยากไปเฝ้ารัชทายาท”
“องค์รัชทายาทกำลังทรงสรงน้ำเปลีย่ นเสื้อให้กับ
ท่านอ๋องน้อย ไม่ให้ใครไปรบกวน” ทหารคนนั้นพูด
ว่า “หากโหวเยว่ต้องการเข้าเฝ้า โปรดรอสักครู่”
ฉีหนิงตะลึงไป แต่ก็เข้าใจอะไรขึ้นมาทันที ตอนที่
หลินจืออ๋องถูกพิษจนตาย เลือดออกทั้งเจ็ดทวาร ดู
ไปแล้วน่ากลัวมาก รัชทายาททรงมีสัมพันธ์ที่ดีกับ
หลินจืออ๋อง คงอยากล้างเนื้อล้างตัวศพของหลินจือ
อ๋องด้วยตัวเอง แต่พอคิดถึงจุดนี้ ในเมื่อรัชทายาท
เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้หลินจืออ๋องอยู่ เขากำลังเสียใจมาก
แล้วจะมามีอารมณ์สั่งให้คนเอาอาหารมาให้เขาได้
ยังไง? เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าต้องการพบซือถู
ชางสื่อ รีบไปเชิญเขามาที่นี่เร็วเข้า”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 595 พิษไม้คันศร
ตอนที่ซือถูหมิงเยว่มาถึงกระโจมของฉีหนิง สีหน้า
ของเขาดูไม่สู้ดีนัก แต่ว่าเขายังคงฝืนยกมือคำนับให้ฉี
หนิง “ได้ยินมาว่าโหวเยว่ต้องการพบข้าน้อย? ไม่
ทราบมีเรื่องอันใดหรือ?”
ฉีหนิงยกมือชี้ไปที่ถาดอาหาร ซือถูหมิงเยว่มองตาม
ไป เห็นกาน้ำชากับอาหารสองจารวางอยู่ เขาไม่ค่อย
เข้าใจ เขาถามว่า “โหวเยว่ท่านหมายความว่า
อย่างไร?”
“เมื่อครู่มีคนส่งอาหารพวกนี้มา บอกว่าเป็นรับสั่ง
ของรัชทายาท” ฉีหนิงจ้องไปทีซ่ ือถูหมิงเยว่ แล้วพูด
ว่า “ท่านซือถูเป็นคนข้างกายองค์รชั ทายาท ท่าน
ทราบเรื่องนี้ด้วยหรือไม่?”
ซือถูหมิงเยว่ตะลึงไป แล้วพูดอย่างแปลกใจว่า “องค์
รัชทายาททรงรับสั่งให้ส่งมาอย่างนัน้ หรือ? นี่...นี่มัน
จะเป็นไปได้อย่างไร?” เหมือนเขาจะคิดอะไรขึ้นมา
ได้ เขาหยิบเหรียญเงินออกมาจากตัวหนึ่งก้อน
จากนั้นก็ยกกาน้ำชาขึ้น เทน้ำชาใส่เหรียญเงินนั่น
เงินก้อนเปลีย่ นเป็นสีดำโดยพริบตา
ซือถูหมิงเยว่หน้าถอดสี แล้วมองมาที่ฉีหนิง ฉีหนิงนิง่
มาก เขาพูดว่า “เป็นอย่างทีค่ ิดจริงด้วย”
“โหวเยว่ทราบว่ามันมีพิษ?”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้ารออยู่ที่นี่ ก็เพื่อรอให้ท่านซือถูมา
ตรวจสอบด้วยตัวเอง ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ ตั้งแต่
มันมาวางอยู่ที่นี่ ข้าไม่ได้แตะต้องมันเลย”
ซือถูหมิงเยว่ไม่ได้พูดอะไร เขาออกไปจากกระโจม
ไม่นานก็กลับมา สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาก แล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ทหารที่เฝ้าอยู่ด้านนอก ยืนยันว่ามี
คนบอกว่ารัชทายาททรงรับสั่งให้ส่งอาหารมาให้ แต่
ว่า...หลังจากที่รัชทายาททรงกลับไปที่กระโจมแล้ว ก็
กอดศพท่านอ๋องน้อยไว้ ไม่ได้ออกมาอีกเลย เราก็เฝ้า
อยู่ด้านนอกตลอด ไม่เห็นว่าเขาสั่งให้คนเอาอะไรมา
ที่นี่เลย”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แสดงว่า มีคนแอบอ้าง
คำสั่งขององค์รัชทายาท คิดจะฆ่าข้าให้ตาย”
ซือถูหมิงเยว่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ท่านจำคน
ที่มาส่งของนี่ได้หรือไม่?”
“สวมชุดสีเขียว ดูเหมือนผู้ติดตามทั่วไป” ฉีหนิงพูด
ว่า “อายุประมาณสามสิบ มือของเขาหยาบ แต่มี
กำลังเยอะมาก คิดว่าน่าจะฝึกวรยุทธ์มาไม่ต่ำกว่าสิบ
ปี ไม่ใช่คนติดตามธรรมดาแน่นอน” เขาคิดแล้วพูด
ว่า “เขาก้มหน้าลงตลอด แต่ว่ามีจุดหนึ่งเด่นมาก”
ซือถูหมิงเยว่ถามว่า “อะไรหรือ?”
“ที่ติ่งหูด้านซ้ายของเขา มีปานดำ” ฉีหนิงพูดว่า
“ปานไม่ได้ใหญ่มาก แต่หากมองดีดี ก็จะมองออก”
ซือถูหมิงเยว่นิ่งไป เขาพูดเสียงเบาว่า “โหวเยว่ เขา
จะต้องเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษแน่ แสดงว่าในคน
ที่ติดตามรัชทายาทมา มีหนอนบ่อนไส้อยู่จริงๆ” เขา
ถามว่า “โหวเยว่เหตุใดท่านถึงได้บอกเรื่องนีก้ ับข้า
เล่า?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านซือถูชางสื่อเป็นคนสนิท
ขององค์รัชทายาท ไม่ว่ารัชทายาทจะทรงรุง่ เรือง
หรือตกต่ำ มันก็สัมพันธ์กับท่านซือถูทั้งนั้น หากจะมี
ใครสักคนทีเ่ ป็นที่ไว้วางพระทัยขององค์รัชทายาท
คงมีเพียงท่านซือถูคนเดียวเท่านัน้ ”
“ขอบคุณโหวเยว่มาก” ซือถูหมิงเยว่รู้สึกซาบซึ้งใจ
มาก
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก
ข้าต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า หวังว่าท่านซือถูจะช่วย
ล้างมลทินให้กับเรา คืนความยุติธรรมให้กับพวกเรา”
ซือถูหมิงเยว่พูดว่า “โหวเยว่โปรดวางใจ ในเมื่อมี
เบาะแส เราจะไม่ปล่อยมันไว้แน่” เขาขมวดคิ้ว คิด
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่านอ๋องน้อยเพิ่งถูกลอบสังหาร
ไป ตอนนี้อยู่ในช่วงอ่อนไหวมาก คนที่วางยาพิษเหตุ
ใดต้องเลือกลงมือกับโหวเยว่ในเวลานี้ด้วย? หากโหว
เยว่ตายไป แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับเขา?”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าเองก็คิดเรื่องนี้อยูเ่ หมือนกัน”
ซือถูหมิงเยว่เหมือนใช้ความคิด “สังหารท่านอ๋อง
น้อย โยนความผิดให้คณะทูต ทำให้สองแคว้นเป็น
ศัตรูกัน หากโหวเยว่ไม่ทันระวังตัว ถูกสังหารไปอีก
ถ้าอย่างนั้น...” เขาถึงกับสะดุ้ง แล้วพูดว่า “ถึงเวลา
นั้นคนของคณะทูตก็จะต้องคิดว่ารัชทายาทวางยา
สังหารโหวเยว่ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจอธิบายให้
เข้าใจกันได้อีก เมื่อเป็นเช่นนั้น ทัง้ สองแคว้นก็จะเกิด
ความแค้นต่อไป จากนั้นก็ไม่สามารถคุยกันฉันมิตร
ได้อีก”
“คณะทูตสังหารอ๋องน้อย พวกเจ้าเองก็ใช้พิษสังหาร
โหวเยว่ สองเรื่องนี้ มันสามารถทำให้ความสัมพันธ์
ทั้งสองแคว้นแตกหักได้จริง” ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด
มาก “หรือว่า...มีคนอยากให้เราทั้งสองแคว้นผิดใจ
กัน?”
ซือถูหมิงเยว่พูดว่า “ตอนนี้เราอธิบายเรื่องนี้ได้แบบ
นี้เท่านัน้ ส่วนรายละเอียดที่แท้จริงเป็นอย่างไหร่ คง
ต้องจับตัวคนร้ายให้ได้ก่อน” เขาพูดว่า “หลังจากที่
ท่านอ๋องน้อยถูกสังหาร เราได้ทำการปิดค่ายล้อม
ค่ายทั้งหมดเอาไว้แล้ว ไม่มีใครเข้ามาได้ ไม่มีใคร
ออกไปได้ หากมีคนจะสังหารโหวเยว่ เขายังคงอยู่ใน
ค่ายแน่นอน ข้าจะสั่งให้คนไปค้นตัวเดี๋ยวนี้เลย ไม่ว่า
อย่างไรก็ต้องหาตัวให้เจอ”
ฉีหนิงยกมือคำนับ “รบกวนท่านซือถูแล้ว”
ซือถูหมิงเยว่นำกาน้ำชาออกไป ฉีหนิงก็นอนลงใน
กระโจม เขานอนคิด แอบคิดในใจว่าหากมีคนคิด
ทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น มันก็ไม่ใช่จะ
เป็นไปไม่ได้
การเดินทางมาตงฉีในครั้งนี้ มันก็ไม่ใช่ความลับสัก
ทีเดียว อีกทั้งเรื่องนี้ คิดจะปิดให้มิดมันก็เป็นไปไม่
ค่อยจะได้
ฉีหนิงเชื่อว่า จะต้องมีคนไม่น้อยไม่อยากเห็นทั้งสอง
แคว้นสร้างสัมพันธไมตรีอย่างราบรืน่ แต่ว่าก็มีคนไม่
น้อยคงกังวลว่าทั้งสองแคว้นลงน้ำเป็นพันธมิตรกัน
เลยคิดหาวิธีทำลาย
ซึ่งความน่าจะเป็นมากที่สุดก็คือชาวเป่ยฮั่น
แต่ว่าข้างกายขององค์รัชทายาท เหตุใดถึงได้มีชาว
เป่ยฮั่นได้?
ที่นี่เป็นสถานที่ที่องค์รัชทายาทมาล่าสัตว์ มีการเฝ้า
เวรยามแน่นหนา อยากจะลอบเข้ามาในค่าย มัน
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ฉีหนิงเลยมัน่ ใจว่าจะต้อง
เป็นคนของรัชทายาทแน่นอน
หลังจากนั้นอีกกว่าครึ่งวัน ไม่มีใครมารบกวนเขาอีก
เลย แม้แต่ข้าวปลาอาหารก็ไม่มีส่งมาให้ ฉีหนิงคิดใน
ใจว่าหลินจืออ๋องถูกสังหาร แต่ละคนรู้สึกหวาดผวา
ไม่มีใครมาสนใจเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ตกเย็น ก็ได้
ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า “จิ่นอีโหว รัชทายาทมีรับสั่งให้
ท่านไปเฝ้า”
ฉีหนิงลุกขึ้นไปเปิดม่านกระโจม เห็นซูหลุนยืนอยู่
นอกกระโจม เมื่อเห็นฉีหนิงออกมา ซูหลุนก็ยกมือ
คำนับ เขาดูนอบน้อมมาก เขาไม่พูดอะไรมา หันหลัง
แล้วนำทางฉีหนิงไปยังกระโจมใหญ่ในเนินพญาวัว
หลังจากที่เขาเข้าไปรายงานแล้ว ฉีหนิงก็เดินเข้าไป
ในกระโจม บรรยากาศภายในยังคงเหมือนเดิม แต่ว่า
ความรู้สึกของฉีหนิงนั้นไม่เหมือนเดิม
รัชทายาทนั่งอยู่ตรงกลาง สีหน้าของเขาเคร่งเครียด
มาก ขุนนางหลายคนยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายด้านขวา ซื
อถูหมิงเยว่กับฟางซิ่งจายอยู่ในนัน้ ด้วย แต่ว่าศพของ
หลินจืออ๋องไม่ได้อยู่ในกระโจมแล้ว คิดว่าคงหาที่ไว้
พระศพที่ดีไปแล้ว
ฉีหนิงเดินขึ้นหน้าไปคำนับ รัชทายาทถึงได้พูดว่า
“จิ่นอีโหว ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบ เพราะอยากให้เจ้า
เจอใครคนหนึ่ง เจ้าช่วยข้าดูหน่อยได้หรือไม่” เขา
หันไปมองซือถูหมิงเยว่ เขาพยักหน้าเล็กน้อย ซือถูห
มิงเยว่พูดว่า “พาตัวมา”
ไม่นานนักก็มีเสียงเหล็กโซ่ตรวน ทหารหลายนาน
ของรัชทายาทนำตัวคนผู้หนึ่งมา เขาสวมชุดสีเขียว มี
เลือดท่วมตัว ฉีหนิงเห็นว่าที่ขาของเขามีบาดแผลอยู่
หลายแห่ง เขาบาดเจ็บ เขาถูกดาบพาดบ่านำตัวเขา
มาในกระโจม รัชทายาทยกเหล้าขึ้นดื่ม แล้วพูดว่า
“จิ่นอีโหว เจ้าลองดูให้ดีๆ ใช่คนที่เอาอาหารไปให้
เจ้าหรือไม่?”
ฉีหนิงมองพริบตาเดียวก็จำได้ ถึงแม้เขาจะเลือดเต็ม
ใบหน้า แต่ว่ารูปร่างหน้าตา มันคือคนที่ส่งชากับของ
ว่างมาให้เขา แต่เพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง เขาเดินวนรอบ
ตัวเขา เห็นว่าติ่งหูของเขามีปานดำ ไม่ผิดแน่ เขา
พยักหน้าแล้วพูดว่า “รัชทายาท ใช่เขาแน่นอนพ่ะย่ะ
ค่ะ”
รัชทายาทพูดว่า “หลังจากที่เขาถูกจับ เขาพยายาม
ขัดขืน อีกทั้งยังทำร้ายองครักษ์ของข้าไปคนหนึ่งด้วย
วรยุทธ์ของเขาไม่ธรรมดาเลย” เขาจ้องไปที่ชายชุด
เขียวที่ถูกกดคุกเข่ากับพืน้ เขาพูดว่า “เจ้าเป็นใคร?
ข้าสั่งให้คนออกไปสืบมาแล้ว ในสังกัดของข้าไม่มี
เจ้า”
ฉีหนิงคิดในใจว่าทหารในค่ายบวกกับสาวใช้บ่าวไพร่
มีนับพันคน เหตุใดถึงได้หาตัวเขาออกมาได้เร็วขนาด
นี้ การดำเนินการไม่เลวเลย
คนชุดเขียวหยิ่งยโสมาก มือทั้งสองข้างของเขาถูกบิด
ไปทางด้านหลัง ที่บ่ามีดาบพาดอยู่ เขายังไม่เงยหน้า
ขึ้นมาก็พูดว่า “ข้าเป็นชาวเป่ยฮั่น ซ่อนตัวอยู่ในนี้ ก็
เพื่อทำลายความสัมพันธ์ของพวกเจ้า จะฆ่าก็ฆ่า ไม่
ต้องมาพูดมาก”
“ชาวเป่ยฮั่น?” รัชทายาทพูดว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็น
ชาวเป่ยฮั่น ข้าก็ต้องเชื่อว่าเจ้าเป็นชาวเป่ยฮั่นอย่าง
นั้นหรือ? ที่นี่เป็นค่ายของข้า ใครจะเข้าจะออก มี
การตรวจตราอย่างเข้มงวด ชาวเป่ยฮั่นจะลอบเข้ามา
ที่นี่ได้อย่างไร? สำเนียงการพูดของเจ้าน่าจะเป็น
ชาวสวีโจว เจ้าเชื่อหรือไม่ หากข้าจะตรวจสอบ
ประวัติของเจ้า ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ข้าก็จะได้ประวัติ
บรรพบุรุษเก้าชั่วโคตรของเจ้ามาทั้งหมด”
คนชุดเขียวก้มหน้า แล้วพูดว่า “ชาวเป่ยฮั่นให้เงินข้า
มา ข้าเห็นแก่เงินพวกนั้น เลยทำงานให้...”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว” ซือถูหมิงเยว่เดินขึ้นหน้า แล้ว
ตะคอกว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
คนชุดเขียวลังเล สุดท้ายก็พูดว่า “เย่เหวิน”
“เย่หวิน เจ้าฆ่าท่านอ๋องน้อย อีกทัง้ ยังคิดจะฆ่าจิ่นอี
โหวอีก เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด?” ซือถูหมิงเยว่
พูดว่า “หากเจ้าบอกว่าเจ้าทำคนเดียว โทษของเจ้า
ตามกฎหมาย ก็คือประหารเก้าชั่วโคตร”
เย่หวินสะดุ้ง ก้มหน้าลง แต่ไม่พูดอะไร
รัชทายาทพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าทำตามคำสั่ง เจ้าก็แค่
หมากตัวหนึ่งเท่านั้น จะมีความสามารถวางยาข้าได้
อย่างไร? ข้ารับปากเจ้า หากเจ้าสารภาพว่าใครเป็น
คนบงการเจ้า ข้าจะไม่เอาโทษครอบครัวเจ้าเลย
ไม่อย่างนั้น...” สายตาของเขาดูดุแล้วพูดว่า “หาก
เจ้าอยากให้ครอบครัวเจ้าเก้าชั่วโคตรต้องเดือดร้อน
ตายไปพร้อมเจ้า ข้าก็จะทำอย่างทีเ่ จ้าต้องการ”
ฟางซิ่งจายตะคอกว่า “ยังไม่สารภาพมาอีก
ไม่อย่างนั้นเจ้าจะถูกลากไปประหาร”
เย่เหวินมองไปทีฟ่ างซิง่ จาย แล้วพูดว่า “ใต้เท้าฟาง
ท่านรีบร้อนจะฆ่าข้า อยากจะฆ่าคนปิดปากหรือ
อย่างไร?”
“ฆ่าคนปิดปาก?” ฟางซิ่งจายตะลึงไป ทันใดนั้น
เหมือนจะคิดอะไรได้ “เจ้า...เจ้าพูดอะไร? ข้า...เหตุ
ใดข้าต้องฆ่าคนปิดปาก? เจ้า...เจ้าอย่ามาพูดจา
เหลวไหล ใส่ร้ายข้านะ”
เย่เหวินเหมือนจะโกรธมาก เขาพูดว่า “ข้าใส่ร้าย?”
เขามองไปที่รัชทายาท แล้วพูดว่า “รัชทายาท
กระหม่อมยอมสารภาพทุกอย่างแล้ว ขอแค่...ขอแค่
รัชทายาททรงปล่อยครอบครัวของกระหม่อมไป
เรื่องนี้ไม่เกีย่ วกับพวกเขาเลย...”
ตอนนี้เหมือนฉีหนิงจะเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว เขา
ขมวดคิ้ว แล้วมองไปที่ฟางซิ่งจาย เขาคิดในใจว่าจาก
สถานการณ์ในตอนนี้ หรือว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
คือฟางซิง่ จาย? ที่จริงก่อนหน้านีเ้ ขาเองก็สงสัย
เหมือนกัน แต่ว่าจะฆ่าคนมันก็ต้องมีแรงจูงใจ หาก
ฟางซิ่งจายเป็นคนที่อยูเ่ บื้องหลังเรื่องนี้จริง แล้ว
แรงจูงใจของเขาคืออะไร?
เขาเป็นสวีโจวชื่อสื่อ เหตุใดต้องวางยาพิษ ลอบ
สังหารรัชทายาทด้วย? หลังจากที่หลินจืออ๋องมาเป็น
แพะรับบาปแทน ตัวเขาถูกใส่ร้าย เขาเหตุใดยังต้อง
สั่งให้คนเอาชาพิษให้เขาอีกเล่า?
ฉีหนิงคิดแรงจูงใจของเขาไม่ออกเลย
รัชทายาทพูดว่า “หากเจ้าสารภาพความจริงทุก
อย่าง ข้าก็จะทำตามที่รับปากไว้”
เย่เหวินหันไปมองฟางซิ่งจายแล้วพูดว่า “รัชทายาท
พิษที่ท่านอ๋องน้อยถูกนั้น คือพิษไม้คันศร กระหม่อม
ยังมีเหลือติดตัวอีกนิดหน่อย”
คนด้านข้างยื่นมือไปค้นตัวของเขา ไม่นานก็ค้นเจอ
ขวด เย่เหวินพูดว่า “ในนี้เหลือพิษแค่ครึ่งเดียว เหล้า
สองไหนั้น กระหม่อมเป็นคนวางยาในนั้นเอง เมื่อครู่
ตอนที่ส่งชากับของว่างไปให้จิ่นอีโหว กระหม่อมก็ได้
ใส่ยาพิษไม้คันศรนี้ในน้ำชาไปอีก พิษไม้คันศรเป็น
พิษที่ได้สกัดพิษมาจากต้นไม้พิษชนิดหนึ่ง มันมีฤทธิ์
รุนแรงมาก หาได้ยาก คนทั่วไปไม่มีทางจะได้มันมา”
“แล้วเจ้าได้มาจากไหน?” รัชทายาทถามเสียงดุ
เย่เหวินพูดว่า “เขา...” เขามองไปทีฟ่ างซิ่งจาย “ใต้
เท้าฟางเป็นคนมอบให้กระหม่อม”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 596 คนร้าย
ฟางซิ่งจายหน้าเปลี่ยนสี เขาพูดด้วยความตกใจว่า
“เจ้า...เจ้าพูดเหลวไหลอะไรหรอก เหตุใด...ข้าต้อง
เอายาพิษให้เจ้าด้วย?” เขาหันไปมองรัชทายาทแล้ว
คุกเข่าลง เขาพูดด้วยความหวาดกลัวว่า “รัชทายาท
เขาใส่ร้ายกระหม่อม ข้าน้อยไม่ได้เอายาพิษให้เขา
อีกทั้ง...อีกทั้งกระหม่อมก็ไม่รู้จักเขาด้วย”
เย่เหวินพูดว่า “ใต้เท้าฟาง ท่านคิดจะทำอะไร ท่าน
บอกไม่รู้จักข้า แล้วข้าจะเข้ามาในค่ายนี่ได้อย่างไร?”
“พาเจ้าเข้ามาในค่าย?” ฟางซิ่งจายหันกลับมามอง
แล้วตะคอกว่า “ข้าพาเจ้าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ซือถูหมิงเยว่พูดว่า “ใต้เท้าฟาง ที่นเี่ ป็นค่ายของรัช
ทายาท มีเวรยามเฝ้าแน่นหนา ไม่มีใครลอบเข้ามาได้
ง่ายๆ เมื่อวานเจ้าพาคนมาเข้าเฝ้ารัชทายาท ทั้งหมด
ยี่สิบหกคน ถูกต้องหรือไม่?”
ฟางซิ่งจายรีบพูดว่า “ถูกต้อง คนของข้าทั้งหมด ตั้ง
ค่ายห่างออกจากที่นี่ไปยี่สิบลี้ กระหม่อมกลัวว่าจะ
เป็นการรบกวนรัชทายาท นอกจากขุนนางของ
เมืองสวีโจวแล้ว ยังพาผู้ติดตามมาอีกสิบคน”
ซือถูหมิงเยว่ “จะพิสูจน์ว่าเขาพาเจ้าเข้ามาหรือเปล่า
เรื่องนีง้ ่ายมาก เพียงแค่เรียกคนทีเ่ จ้าพามาทั้งหมด
ยี่สิบหกคนมาที่นี่ หากน้อยไปคนหนึ่ง นั่นก็คือเจ้า”
ฟางซิ่งจายราวกับได้ยาช่วยชีวิต เขารีบพูดว่า
“ถูกต้อง ถูกต้อง” เขาหันไปพูดกับรัชทายาทว่า “รัช
ทายาท กระหม่อมเอาศีรษะเป็นประกันได้
กระหม่อมไม่เคยเจอเขา กระหม่อมไม่ได้พาเขามา
กระหม่อมจะรีบเรียกพวกเขามา ไม่ให้น้อยไปแม้แต่
คนเดียว”
รัชทายาทพูดว่า “ซือถู เจ้าไปเรียกคนของเขามาที่นี่
ทั้งหมดที”
ซือถูหมิงเยว่ยกมือคำนับแล้วถอยออกไป ภายใน
กระโจมเงียบ รัชทายาทกวักมือให้ฉหี นิงมานั่งข้างๆ
แต่ไม่ได้พูดอะไรด้วย ฟางซิ่งจายสีหน้าดูตื่นตระหนก
มาก เหงื่อของเขาไหลออกมามาก เขาหันไปมองเย่
เหวินหลายครั้ง สายตาดูอาฆาตแค้นมาก เย่เหวินก
ลับไม่ได้สนใจ เขาดูไม่กลัวเลย
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ซือถูหมิงเยว่กลับมาภายในกระโจม
แล้วทูลรายงานว่า “รัชทายาท เรียกคนมาครบแล้ว
พ่ะย่ะค่ะ”
ฟางซิ่งจายรู้ว่าอยู่ในช่วงความเป็นความตาย รัช
ทายาทยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็รีบถามว่า “ซือถูชา
งสือ ยี่...ยี่สิบหกคนครบแล้วใช่หรือไม่?”
ซือถือหมิงเยว่เหลือบไปมองฟางซิ่งจาย แล้วพูดว่า
“ใต้เท้าฟาง ท่านพาคนมาทั้งหมดยี่สิบหกคน เป็น
ขุนนางเมืองสวีโจวสิบหกคน อีกสิบคนเป็นผู้ติดตาม
รวมท่านแล้ว ทั้งหมดก็เป็นยี่สิบเจ็ดคน ถูกต้อง
หรือไม่?”
“ถูกต้อง” ฟางซิ่งจายรีบพูดว่า
ซือถูหมิงเยว่พูดว่า “ขุนนางสิบหกคนครบทุกคน
ผู้ติดตามสิบคน หายไปหนึ่งคน”
ฟางซิ่งจายสะดุ้ง เขาพูดว่า “มัน...มันจะเป็นไปได้
อย่างไร? ผู้ติดตามสิบคน เป็นคนสนิทของข้าทั้งนัน้
พวกเขา...พวกเขาผ่านการคัดเลือกจากข้าทั้งนั้น ไม่
มีทางเกิดข้อผิดพลาดได้” เหมือนเขาจะนึกอะไร
ขึ้นมาได้ จึงรีบพูดว่า “รัชทายาท พาเขาออกไป ให้
คนอื่นยืนยันอีกครั้ง พวกเขาไม่มีทางรู้จักเขา
แน่นอน”
ซือถูหมิงเยว่พูดว่า “หากใต้เท้าฟางเตรียมการไว้
ล่วงหน้า ต่อให้พวกเขาจำได้ พวกเขาก็ไม่มีทาง
ยอมรับแน่นอน”
เย่เหวินพูดว่า “เจ้าคนแซ่ฟาง เจ้ามันร้ายมาก ทุก
อย่างที่เกิดขึ้นเจ้าเป็นคนบงการให้ขา้ ทำ ยังบอกว่า
หากำสำเร็จ ข้าก็จะก้าวหน้า วันนี้ทกุ อย่างล้มเหลว
เจ้า...เจ้ากลับโยนความผิดให้ข้าคนเดียว” เขาหันไป
พูดกับรัชทายาทว่า “รัชทายาท กระหม่อมสารภาพ
ทุกอย่างหมดแล้ว ฟางซิ่งจายสั่งให้กระหม่อมเอาชา
พิษไปให้จิ่นอีโหว ไม่ใช่เพื่อให้สร้างรอยร้าวใน
ความสัมพันธ์ เพื่อฆ่าคนปิดปาก”
“ฆ่าคนปิดปาก?” รัชทายาทขมวดคิ้ว “เหตุใดต้อง
ฆ่าคนปิดปาก?”
เย่เหวินพูดว่า “ก่อนหน้านี้ฟางซิ่งจายสั่งให้
กระหม่อมวางยาในเหล้า ก็เพื่อที่จะสังหารรัชทายาท
แต่ว่ารัชทายาทกลับทรงประทานเหล้า ทำให้ท่าน
อ๋องน้อยต้องมารับเคราะห์แทน รัชทายาทไม่ทรงลง
อาญาจิ่นอีโหวในทันที ฟางซิ่งจายเห็นว่าเกิด
ข้อผิดพลาดขึ้น ทำให้เขารู้สึกกังวล เขากลัวว่าการที่
จิ่นอีโหวยังอยู่ ช้าเร็วรัชทายาทก็ทรงต้องทราบว่า
เรื่องนี้ไม่เกีย่ วข้องกับจิ่นอีโหวเลย มีเพียงสังหารจิน่ อี
โหว ถึงทำให้เบาะแสส่วนนี้หายไป จนสืบต่อไปไม่ได้
อีก...”
รัชทายาทพูดว่า “โง่เง่าสิ้นดี ทำผิดไปแล้ว แต่ก็ยังทำ
เรื่องโง่ๆ มาปกปิดความผิดเดิมอีก หากจิ่นอีโหวเป็น
อะไรไป เจ้าคิดว่าข้าจะสืบต่อไปไม่ได้หรืออย่างไร?
หากเขาตายไป แล้วไม่เกี่ยวกับเขาเลย ข้ายิ่งต้องสืบ
หาความจริงให้ได้”
เย่เหวินพูดว่า “ตอนนั้นเขาคิดว่าพลาดแล้ว ทำให้
เสียแผนไปหมด กระหม่อมก็แค่ตัวตายตัวแทน เขา
สั่งให้กระหม่อมไปทำ กระหม่อมก็ได้แต่ทำตามคำสั่ง
เท่านั้น” เขาเหลือบไปมองฟางซิ่งจาย แล้วพูดว่า
“ต่อให้กระหม่อมออกไปข้างนอกตอนนี้ คนพวกนั้น
ก็ไม่มีทางจำกระหม่อมได้” เขาหยิบของชิ้นหนึ่ง
ออกมา ซูหลุนรับมา แล้วมอบให้กับรัชทายาท รัช
ทายาทรับมาดู จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “นี่มัน...
หน้ากาก?”
เย่เหวินพูดว่า “นี่คือหน้ากากหนังหน้าคน เมื่อสวม
มันแล้ว ก็อยากตัวจริงตัวปลอมไม่ออก ฟางซิ่งจาย
ให้กระหม่อมแทนที่ผู้ติดตามคนหนึ่งเข้ามาในค่าย จึง
ไม่มีใครสงสัย เมื่อเข้ามาในค่ายแล้ว ก็หาโอกาสลง
มือ เขาบอกว่าหากกระหม่อมจับได้ ก็จะไม่มีใครจำ
กระหม่อมได้ อีกทั้งเรื่องนี้ก็จะไม่ถูกโยงไปถึงเขา เขา
ก็จะมีทางช่วยกระหม่อม แต่ว่า...แต่ว่าเขากลับ
โหดเหี้ยม คิดจะฆ่ากระหม่อมให้ตาย...”

รัชทายาทโยนหน้ากากหนังคนลงไปตรงหน้าของฟาง
ซิ่งจาย เขาพูดว่า “ฟางซิ่งจาย เจ้าจะอธิบายเช่น
ไร?”
ฟางซิ่งจายหน้าซีดมาก เสียงของเขาสั่น “รัชทายาท
กระหม่อมถูกใส่ร้าย ทุกอย่าง...ทุกอย่างกระหม่อม
เพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก กระหม่อมไม่มียาพิษ อีกทั้ง
ไม่เคยเห็นหน้ากากหนังคนนี่ด้วย หากโกหก ขอให้
ฟ้าผ่าตาย...”
“ฟางซิ่งจาย ต่อให้ฟ้าผ่าเจ้าตาย แล้วมันอย่างไร
ล่ะ?” ซือถูหมิงเยว่พูดว่า “หลักฐานแน่นหนาขนาดนี้
เจ้ายังจะแก้ตัวอีกหรือ?”
ฟางซิ่งจายมือขวาอ่อนหมด ทรุดตัวลงกับพื้น เขาพูด
ว่า “รัชทายาท กระหม่อมถูกปรักปรำ ข้าน้อยไม่เคย
คิดจะทำร้ายพระองค์เลย มี...มีคนคิดใส่ร้าย
กระหม่อม ทรงพิจารณาด้วย”
“ใส่ร้ายเจ้า?” รัชทายาทยกเหล้าขึ้นดื่ม แล้วพูดว่า
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่า ใครกันที่
คิดจะใส่ร้ายเจ้า? หากเขาไม่ใช่คนทีเ่ จ้าพาเข้ามา เขา
เป็นคนของข้าหรืออย่างไร? เจ้าหมายความว่า คน
ของข้า คิดจะฆ่าข้าอย่างนั้นน่ะหรือ?”
ฟางซิ่งจายก้มหน้าผากจรดถึงพื้น พูดด้วยเสียสั่นว่า
“กระหม่อม...กระหม่อมมิกล้า คนของรัชทายาท
จงรักภักดีทุกคน ไม่มีทาง...ไม่มีทาง...”
“ในเมื่อไม่ใช่คนรอบตัวข้า ไม่ใช่คนที่เจ้าพามา
แล้วเย่เหวินโผล่มาได้อย่างไร?” รัชทายาทเสียงเรียบ
เฉยมาก แต่ว่าสายตาของเขากลับมีความไม่พอใจ
“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคนของข้า หรือว่าเชื่อคนของเจ้า
ดีล่ะ? หากเจ้าปากแข็งอีก ข้าไม่เพียงจะตัดลิ้นของ
เจ้า ยังจะประหารเจ้าเก้าชั่วโคตรอีกด้วย”
ฟางซิ่งจายก้มอยู่ที่พนื้ ตัวสั่นไปทั้งตัว เขาพูดอย่าง
หมดทางสู้ว่า “รัชทายาท กระหม่อมถูกใส่ร้าย
กระหม่อมถูกใส่ร้าย...”

ซือถูหมิงเยว่ถามขึ้นมาว่า “ฟางซิ่งจาย เจ้าสารภาพ


มาดีกว่า เหตุใดถึงได้คิดสังหารองค์รัชทายาท? เจ้า
อยู่ที่เมืองสวีโจว เป็นถึงชื่อสื่อ ได้รับพระเมตตามาก
แค่ไหน เหตุใดถึงได้กล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้?” เขาหันไป
ส่งสัญญาณให้กับซูหลุน “ทหาร จับตัวฟางซิ่งจายมัด
เอาไว้”
รัชทายาทโบกมือ สั่งให้นำตัวเย่เหวินออกไปด้วย
เช่นกัน จากนั้นก็หันไปพูดกับฟางซิง่ จายที่กำลังถูก
มัดอยู่ว่า “ฟางซิ่งจาย ก่อนทีเ่ จ้าจะได้มาเป็นชื่อสื่อ
ของเมืองสวีโจว ก็เป็นขุนนางราชสำนักมาก่อน เคย
ไปมาหาสู่กับข้า เจ้ารู้นิสัยข้าดี เวลาข้าทำงาน
แยกแยะดีชั่วชัดเจน เรื่องนีเ้ จ้าน่าจะรู้ดีกว่าใคร”
ฟางซิ่งจายเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากจำนวนมาก
สีหน้าของเขาซีดเซียว เขาพูดว่า “รัชทายาท...รัช
ทายาทแยกแยะดีชั่วชัดเจน กระหม่อม...กระหม่อม
ทราบดี”
“วันนี้เจ้าคิดจะสังหารข้า เจ้าว่าข้าควรจะจัดการเจ้า
เช่นไรดี?” รัชทายาทถอนหายใจ “ที่เจ้าได้ดีในวันนี้
มันก็ไม่ง่ายเลย ตงฉีเราถึงแม้จะเป็นเมืองเล็ก เสด็จ
พ่อทรงแต่งตั้งให้เจ้ามาประจำการที่เมืองสวีโจว ก็ถือ
ได้ว่าได้มอบแคว้นครึ่งหนึ่งในเจ้าดูแล เจ้าไม่เพียงไม่
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อีกทั้งยังลงมือ
โหดเหี้ยม เจ้าก็น่าจะบอกเหตุผลข้าหน่อยหรือไม่ว่า
มันเพราะอะไร?”
ฟางซิ่งจายพูดเสียงสั่นว่า “รัชทายาท...กระหม่อม
จงรักภักดี ไม่ได้...”
รัชทายาทไม่รอให้เขาพูดจบ เขาพูดแทรกขึ้นมาว่า
“เจ้าพูดแบบนี้ เจ้ากำลังบอกว่าข้าใส่ร้ายเจ้าอย่าง
นั้นหรือ?”
ซือถูหมิงเยว่พูดว่า “ใต้เท้าฟาง รัชทายาททรงมี
เมตตา หากเจ้าสารภาพมาตามตรง อาจจะมีโอกาส
รอดก็ได้นะ การลอบสังหารรัชทายาท นอกจากเจ้า
แล้ว มีคนอื่นร่วมด้วยอีกหรือไม่?”
ฟางซิ่งจายพูดว่า “รัชทายาท กระหม่อม...” เขาเห็น
สายตาที่รัชทายาทจ้องเขานัน้ คมราวกับดาบ เขาไม่รู้
เลยว่าควรจะแก้ตัวเช่นไร
ซือถูหมิงเยว่เขยิบเข้ามาแล้วพูดว่า “ปกติแล้วรัช
ทายาทมักจะประหารแค่หัวหน้าคนผิด คนที่ทำตาม
ส่วนใหญ่ลงโทษสถานเบา เย่เหวินถึงแม้จะเป็นคน
วางยา แต่ว่าได้รับการบงการมาจากเจ้า รัชทายาท
ไม่ลงอาญาหนักกับเขาอยู่แล้ว หากเจ้าสารภาพ
ความจริงทุกอย่างมา รัชทายาทอาจจะทรงยอมเห็น
แก่เจ้าก็ได้” เขาพูดว่า “มีคนสมรู้ร่วมคิดอีก
หรือไม่?”
ฉีหนิงตั้งแต่เริ่มจนถึงตรงนี้ได้แต่นั่งมองอย่างเดียว
แต่ตอนนี้เขาเองก็ขมวดคิ้ว
ฟางซิ่งจายมองไปทีซ่ ือถูหมิงเยว่ เขาลังเลชั่วครู่ แล้ว
พูดว่า “รัชทายาท กระหม่อม...กระหม่อมไม่เคยคิด
จะลอบสังหารพระองค์เลย แต่...แต่กระหม่อมได้รับ
คำสั่งให้ต้องทำแบบนี้”
รัชทายาทหน้านิ่ง เขาพูดเสียงเข้มว่า “เจ้าเป็นชื่อสื่อ
ของเมืองสวีโจว ภายในเขตสวีโจวทั้งหมด ยังมีใคร
บงการออกคำสั่งกับเจ้าได้อีก?”
ฟางซิ่งจายลังเล จากนัน้ ก็พูดว่า “ไท่...ไท่ซานอ๋อง”
รัชทายาทลุกขึ้นยืน แล้วถีบใส่ไหล่ของฟางซิน่ จาย
เขาล้มกลิ้งไปกับพื้น แต่ก็รบี ลุกขึ้นมา รัชทายาท
ตะคอกว่า “ฟางซิ่งจาย เจ้าบังอาจมาก กล้าใส่ร้าย
เสด็จพี่ของข้าหรือ ข้ากับเสด็จพี่เป็นพี่น้องท้อง
เดียวกัน เขาจะทำร้ายข้าไปเหตุใด? เจ้ากล้าใส่ร้าย
เสด็จพี่ ข้าจะประหารเจ้าทิง้ เดี๋ยวนีเ้ ลย” เขาหัน
กลับไป แล้วเดินไปหยิบอาวุธมา ชักดาบแล้วพุ่ง
ปลายดาบไปใส่ฟางซิง่ จาย
ซือถูหมองเยว่เดินขึ้นมาขวาง แล้วพูดว่า “รัชทายาท
รัชทายาท อย่าทรงกริ้วไปเลย ฟางซิ่งจายใส่ร้ายไท่
ซานอ๋อง มีโทษร้ายแรง แต่ว่า รัชทายาทก็ทรงให้เขา
พูดให้จบก่อน ดูสิว่าเขาอยากจะพูดอะไรก่อนดีกว่า
นะพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทชี้ดาบใส่ฟางซิ่งจาย แล้วตะคอกว่า “พูด
มาให้หมด”
ฟางซิ่งจายเหงื่อออกเหมือนฝนตกลงมาที่หน้า เขา
ก้มหน้าแล้วพูดว่า “รัชทายาท หลังจากที่ไท่ซานอ๋อง
...ไท่ซานอ๋องได้รับราชโองการให้มาที่เมืองสวีโจว ก็
...ก็มีแต่ความไม่พอใจ เขา...เขารู้สึกว่าพระองค์ทรง
แย่งชิงตำแหน่งมกุฎราชกุมารที่ควรเป็นของเขาไป
เขาโกรธแค้นพระองค์มาก ไม่ว่าเวลาไหน...ไม่ว่า
เมื่อไหร่เขาก็คิดแต่จะหาทางแก้แค้น...แก้แค้น
พระองค์ให้ได้...” เขาเงยหน้ามองรัชทายาท เห็นรัช
ทายาทจ้องมาที่เขาอยู่ เขาไม่กล้าสบตา ก้มหน้าแล้ว
พูดว่า “พอคราวนี้พระองค์ทรงเสด็จมาล่าสัตว์ที่นี่
ไท่ซานอ๋องรู้สึกว่านีเ่ ป็นโอกาสที่หาได้ยาก ดังนั้น...
ดังนั้นก็เลยคิดแผนนี้ขึ้นมา ให้...ให้กระหม่อมส่งคน
วางยาพระองค์...”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 597 ควันไฟหมาป่าปะทุ
ฉีหนิงไม่ใช่คนโง่ เย่เหวินสารภาพว่าฟางซิ่งจายอยู่
เบื้องหลังการปฏิบัติตามในครั้งนี้ อีกทั้งยังบอกว่าถูก
สั่งให้นำชาที่มียาพิษมาให้เขา เพื่อฆ่าคนปิดปาก เขา
รู้สึกว่ามันแปลกๆ ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่
เอาตามที่คิด ฉีหนิงรู้สึกว่าฟางซิ่งจายน่าสงสัยจริง
แต่ว่าเขาเชื่อว่า ที่ฟางซิ่งจายมาถึงตำแหน่งของสวีโจ
วชื่อสื่อได้ เขาไม่ใช่คนที่ไม่มีความสามารถ จะต้อง
เป็นคนที่ทำงานได้ดีมากคนหนึ่ง
หากต้องการฆ่าคนปิดปาก ก็อย่างทีร่ ัชทายาทพูดไป
มันยิ่งยืนยันได้ว่าคณะทูตไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้
หากเรื่องนี้พลาด ก็จะต้องเผชิญอันตราย เหมือน
อย่างสถานการณ์ในตอนนี้ ฟางซิ่งจายถูกลากเข้ามา
เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เขาเชื่อว่าฟางซิ่งจายต่อให้ฆ่า
หลินจืออ๋องไปเพราะผิดตัว ก็ไม่มีทางกระวนกระวาย
จนผิดพลาดหนักขนาดนี้ อีกทั้งยังไม่โง่ถึงขนาด
ย้อนกลับมาให้ตัวเองเดือดร้อนแน่
แต่ว่าเย่เหวินยืนยันหนักแน่นว่าเป็นฝีมือของฟางซิ่ง
จาย เขากลายเป็นพยานคนสำคัญไป
เมื่อฟางซิ่งจายยอมรับสารภาพ ฉีหนิงก็ยิ่งรู้สึกว่ามัน
แปลก จนกระทั่งฟางซิ่งจายลากไท่ซานอ๋องมา
เกี่ยวข้องอีกคน ฉีหนิงก็เหมือนจะเริม่ เข้าใจอะไร
ขึ้นมาได้บ้างแล้ว
รัชทายาทสีหน้าเคร่งเครียดมาก เขานั่งลงเงยหน้า
ขึ้นมา แล้วตะคอกว่า “ฟางซิ่งจาย สิ่งที่เจ้าพูดมา
จริงหรือเปล่า? ข้ากับไท่ซานอ๋องเป็นพี่น้องกันแท้ๆ
หากเจ้าใส่ร้ายไท่ซานอ๋อง ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
หลังจากที่ฟางซิ่งจายถูกมัดมือเอาไว้แล้ว เขาก้มหน้า
เอาหน้าผากชิดกับพื้น เขาพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า
“กระหม่อม...กระหม่อมไม่กล้าพูดเหลวไหล ทุก
อย่างที่เกิดขึ้น...เป็นแผนการของไท่ซานอ๋อง
กระหม่อมไม่อาจขัดรับสั่งได้”
คนในค่ายต่างมองหน้ากัน แต่ละคนมีแต่ความตกใจ
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงดังมาจากนอกกระโจมว่า
“รายงานด่วน รายงานด่วน”
ทุกคนสะดุ้ง หันไปมองทีท่ างเข้ากระโจม รัชทายาท
หันไปมองซูหลุน ซูหลุนรีบเดินออกไป ทหารนาย
หนึ่งคุกเข่าลงทีพ่ ื้น แล้วพูดว่า “ทหารม้าขององค์รัช
ทายาท ที่ประจำการอยู่ด้านนอกค่ายห่างออกไปอีก
ยี่สิบลี้ ได้ยินเสียงฝีเท้าม้า และฝุ่นทีฟ่ ุ้ง เลยรีบไป
ตรวจสอบ พบว่ามีกองทัพขนาดเล็กกำลังมุ่งหน้ามา
ทางนี้”
รัชทายาทสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ซือถูหมิงเยว่รีบเดิน
ขึ้นหน้ามาถามว่า “แล้วรู้ไหมเป็นคนของใคร?”
“ทูลใต้เท้าชางสื่อ ตรวจทราบแล้ว เป็นทหารของไท่
ซานอ๋อง พวกเขาโบกธงสัญลักษณ์ของไท่ซานอ๋อง”
ทหารนายนั้นรายงานว่า “ดูจากลักษณ์ของทหารม้า
พวกนั้น น่าจะมีสักประมาณสี่ห้าพันคน พวกเขามา
กันรวดเร็วมาก อีกไม่นานก็จะมาถึงที่นี่แล้ว”
“ไท่ซานอ๋อง?” ทุกคนตกใจมาก ฟางซิ่งจายเพิง่ จะ
พูดถึงไท่ซานอ๋อง เขาก็นำทหารมาที่นี่แล้ว ทุกคน
มองหน้ากัน สายตาของพวกเขาดูไม่ค่อยอยากจะ
เชื่อเลย
รัชทายาทลุกขึ้น แล้วพูดว่า “เป็นทหารของไท่ซาน
อ๋องจริงหรือ?”
“ทูลรัชทายาท แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ทหารนายนั้นพูด
รัชทายาทโบกมือแล้วพูดว่า “สืบต่อไป แล้วรีบ
กลับมารายงาน”
นายทหารนั้นรีบออกไป ซือถูหมิงเยว่พูดว่า “รัช
ทายาท ไท่ซานอ๋องนำกำลังพลมากว่าหนึ่งพันนาย
ไม่ได้มาดีแน่ พวกเขาจะมาก็มาเลย ทรงรีบตัดสิน
พระทัยด้วย”
รัชทายาทขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไท่ซานอ๋องพุ่งเป้ามา
ที่ข้าจริงหรือ?”
ซือถูหมิงเยว่รีบพูดว่า “รัชทายาท ฟางซิ่งจายก็
สารภาพมาแล้ว ไท่ซานอ๋องส่งคนมาลอบสังหาร
พระองค์ ต่อให้น่าสงสัยก็จริง แต่ว่าในเวลานี้ไท่ซาน
อ๋องก็นำทหารบุกมาถึงทีน่ ี่แล้ว หลักฐานแน่นมาก
แล้ว”
ขุนนางข้างๆ คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “องค์รัชทายาท
อดีตฮ่องเต้เพื่อให้ท่านได้ขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารได้
อย่างราบรืน่ จึงทรงรับสั่งให้ไท่ซานอ๋องมมาประทับ
ที่สวีโจว เขาจะต้องไม่พอใจแน่ นิสยั ของไท่ซานอ๋อง
โหดเหี้ยม พระองค์เองก็ทราบดี พระองค์มาล่าสัตว์
ในครั้งนี้ ไท่ซานอ๋องจะต้องคิดหาโอกาสทำร้าย
พระองค์แน่นอน”
ฉีหนิงเองก็ตกใจเหมือนกัน แอบคิดในใจว่าเพราะ
เหตุใดไท่ซานอ๋องถึงได้กล้าขนาดนี้ กล้านำกำลังพล
มาประจันหน้ากับรัชทายาทขนาดนีเ้ ลยหรือ?
“ซูหลุน รีบนำตัวฟางซิ่งจายกับพวกไปขังไว้ก่อน” ซื
อถูหมิงเยว่รีบพูดว่า “ยังมีอีก พวกของเหมิงเจียวโจว
ที่มาพร้อมกับจิ่นอีโหวเมื่อคืน ก็รีบไปจับตัวเอาไว้ให้
หมด แล้วเฝ้าเอาไว้ให้ดี สั่งการลงไป ให้ทหารถอน
กำลังมาที่เนินพญาวัวให้หมดทุกหน่วย คุ้มกันให้
แน่นหนา เฝ้าเนินพญาวัวอย่างเข้มงวด”
ซูหลุนยกมือคำนับแล้วพูดว่า “รับบัญชา” จากนั้น
เขาก็ออกไปทันที
รัชทายาทดูเหมือนจะอึ้งไป ซือถูหมิงเยว่หันมาพูด
กับรัชทายาทว่า “รัชทายาท ศึกอยูห่ น้าประตูบ้าน
แล้ว จะลังเลอีกไม่ได้แล้ว หากไท่ซานอ๋องยกทัพก่อ
กบฏจริง เราก็ต้องรีบส่งพิราบแจ้งให้ทางเมืองหลวง
ส่งทหารมาช่วย ก่อนที่ศัตรูจะบุกมาถึงตัว เราต้อง
อาศัยยุทธศาสตร์ของเนินพญาวัว เฝ้าระวังอย่าง
เข้มงวด”
ท่าทางของรัชทายาทดูนิ่งและเยือกเย็นขึ้น เขาลุกขึน้
แล้วเดินออกไปนอกกระโจม ทุกคนเดินตามเขาไป ซื
อถูหมิงเยว่สั่งให้นำตัวฟางซิ่งจายออกไปก่อนแล้ว ฉี
หนิงเดินตามอยู่ข้างๆ รัชทายาท เมื่อออกจาก
กระโจม เขาเดินไปข้างหน้า แล้วมองจากด้านบนลง
มาด้านล่าง เห็นถนนด้านล่างมีแต่ฝุ่นตลบไปหมด
เสียงม้าควบมาอย่างรวดเร็ว ตอนนีเ้ ห็นชัดแล้ว ไม่
เพียงมีแต่ฝุ่นด้านหน้า ด้านข้างก็มีฝุ่นเช่นกัน ทหาร
มาจากทั้งสามด้านมุ่งหน้ามายังเนินพญาวัว
ห่างจากด้านหลังเนินพญาวัวไปประมาณสิบลี้ มี
ภูเขาต้นน้ำ ฉีหนิงเห็นทหารมาทั้งจากด้านซ้ายและ
ขวา ก็รู้ว่าพวกเขาต้องการตัดเส้นทางการหนีไป
ทางด้านหลัง ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ รัชทายาทจะ
หนีออกจากทางด้านหลังได้
ในเวลานี้ซูหลุนก็ได้สั่งให้ทหารทั้งหมดมารวมกันอยู่
ที่เนินพญาวัวเรียบร้อยแล้ว เงาวิ่งไปวิ่งมา แต่ก็มี
ระเบียบ ทหารของรัชทายาทตั้งค่ายรับศึกที่เนิน
พญาวัว ใช้ที่กั้นไม้เป็นอุปสรรคขวาง พลทวนยืนยื่น
ทวนไปด้านหน้า พลธนูยืนอยู่ด้านหลังพลทวน ทหาร
องครักษ์อีกสิบกว่านายยืนคุ้มกันอยูร่ อบตัวรัช
ทายาท ทุกคนชักดาบออกมา
“รัชทายาท ทหารของไท่ซานอ๋องวิ่งมุ่งหน้ามาอย่าง
รวดเร็วแบบนี้ พวกเขารู้ว่าพระองค์ล่าสัตว์อยู่ที่นี่ แต่
ยังกล้าทำแบบนี้อีก ไม่มีเคารพกันเลย แสดงว่าคิดไม่
ซื่อแน่นอน” ซือถูหมิงเยว่สีหน้าเคร่งเครียด เขาชี้ไป
ด้านหน้า “รัชทายาทร่างกายดุจทองคำ จะให้เกิด
อะไรขึ้นไม่ได้เด็ดขาด เราต้องร่วมมือกัน ต่อให้เรามี
แค่แปดร้อยคน ก็จะต้องเฝ้าระวังให้แน่นหนา”
รัชทายาทพยักหน้า ฉีหนิงเห็นว่าอีกฝ่ายมาด้วย
ความต้องใจที่จะสังหาร ก็รู้ว่าไม่ว่าทหารที่มานั้นจะ
ใช่ทหารของไท่ซานอ๋องหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้มาดี
แน่นอน เขารีบมองไปทางเนินหมูปา่ คนของเขาสอง
ร้อยคนอยู่ทางเนินหมูป่า เขากันไปพูดกับรัชทายาท
ว่า “รัชทายาททรงรักษาพระวรกายด้วย ข้าจะต้อง
รีบกลับไปทีเ่ นินหมูป่า”
รัชทายาทมองไป เขาส่ายหน้าแล้วถอนหายใจพูดว่า
“คิดว่าคงไม่ทันแล้ว”
เนินหมูป่าห่างจากที่พญาวัวไม่กี่ลี้เอง แต่ว่าทหารม้า
มาทั้งด้านซ้ายและขวาเร็วมาก อีกทัง้ ที่เนินเขานัน้ ก็
มีกำลังพลอีกคนหนึ่งพุ่งมาจากด้านหน้า ระหว่างที่
พูด อีกฝ่ายก็มาถึงเนินเขาแล้ว พวกเขาได้ตัดเส้นทาง
ของทั้งเนินพญาวัวและเนินหมูป่าออกจากกันแล้ว
ทหารสองกลุ่มนี้ไม่ได้สนใจสถานการณ์บนเนินเขา
พวกเขาวางแผนมาอย่างละเอียดแล้ว เขาได้ตั้งค่าย
ล้อมเนินเขาไว้ทั้งหมด กำลังพลทั้งสองกองนี้รวมกัน
ก็มีมากถึงพันสองพันคน ก่อนทีท่ หารจะมาถึง พวก
เขาก็ล้อมเนินพญาวัวเอาไว้หมดแล้ว
ทหารของรัชทายาทเองก็ผ่านการฝึกมาอย่างมี
ระเบียบ ศัตรูมาอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่พวกเขาไม่มี
อาการแตกตื่นเลย แต่ละคนประจำตำแหน่งของ
ตัวเองได้ดีมาก
ฉีหนิงคิดในใจว่าอู๋ต๋าหลินเองก็เป็นขุนพลทำศึกมา
ก่อน มีเขาอยู่ที่เนินหมูป่า อยู่ในสถานการณ์แบบนี้
เขาน่าจะรับมือได้ ตอนที่เขาเห็นทหารของศัตรูบุก
ล้อมเนินพญาวัว ทางเนินหมูป่าก็ได้ยกธงขึ้นแล้ว ธง
ของแคว้นฉีโบกสะบัดอยู่ภายใต้สายลมและแสงแดด
เป้าหมายของไท่ซานอ๋องคือรัชทายาทตงฉี ฉีหนิงคิด
ในใจว่าคณะทูตมาจากแคว้นหนานฉู่ ไม่ได้มี
ความแค้นอะไรกับไท่ซานอ๋อง หากเขารู้ว่าที่เนินหมู
ป่าเป็นคนของแคว้นหนานฉู่ น่าจะไปทำอะไร ตอนนี้
เขาเห็นมีคนมุ่งหน้าไปทางเนินหมูป่า แต่ว่ามีแค่สิบ
กว่าคนเท่านัน้ เขาถึงได้เบาใจ รู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้
สถานการณ์ของทางเนินหมูป่าแล้ว ถึงได้ส่งคนไป
สอบถาม
อีกฝ่ายมีแค่สิบกว่าคน แสดงว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนา
ร้ายต่อทางนั้น
ฉีหนิงกำลังคิด แต่ว่าสีหน้าท่าทางของเขานิ่งมาก รัช
ทายาทเหลือบมามองฉีหนิง เห็นฉีหนิงนิ่งมาก ไม่ได้
มีอาการตื่นตระหนกเลย เขาก็แอบชื่นชมในใจ เขา
คิดว่าคนของจิ่นอีตระกูลฉีไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ โหว
น้อยอายุน้อยแค่นี้ แต่ว่าเขากลับเยือกเย็นมากใน
เวลาแบบนี้
แวดล้อมของเนินพญาวัวตั้งอยู่ในทีส่ ูง นอกจากไม้
กั้นขวางแล้ว ยังมีท่อนไม้กลิ้ง ก้อนหินประหลาด
ทหารของรัชทายาทเฝ้ารักษาการณ์อย่างแน่นหนา
ทวน ดาบ ธนู พร้อมมือ บนเนินพญาวัวมีคนทั้งหมด
หนึ่งพันคน แต่ว่าหักขุนนางข้าราชการกับบ่าวไพร่
ออก คนที่สู้ศึกได้จริงมีไม่ถึงเก้าร้อยคน อีกฝ่ายมา
เต็มกำลัง ดูจากท่าทางน่าจะมีถึงพันคน ซึง่ ถือว่า
ได้เปรียบมากกว่า
ฉีหนิงคิดในใจว่าคนเราบทจะซวยขึน้ มา กินน้ำยังติด
ฟันเลย ก่อนหน้านี้เขาถูกใส่ร้ายกลายเป็นคนวางยา
เมื่ออธิบายจบเรื่องนั้นไปแล้ว ไท่ซานอ๋องก็นำทหาร
บุกมาอีก เขาคิดอยากจะกลับไปทีเ่ นินหมาป่าตอนนี้
ก็ไม่ได้ ยังต้องมาเสี่ยงอันตรายกับรัชทายาทตงฉีอีก
ปีนี้ไม่ใช่ปีของเขาเลยจริงๆ
ฉีหนิงรู้ดีว่าทหารทำสงครามกับการต่อสู้ในยุทธภพ
นั้นไม่เหมือนกัน วรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะ
ไม่ได้ด้อย แต่ว่าการเผชิญหน้ากับทหารนับร้อยคน
ต่อให้มีวรยุทธ์ร้ายกาจแค่ไหนมันก็ไม่เพียงพอ เมื่อ
ถึงเวลานั้นหากไท่ซานอ๋องบุกขึ้นเนินจริง เขาอาจจะ
เหนื่อยตายไปก่อน หวังว่าก่อนการเปิดศึก รัช
ทายาทจะพูดคุยกับทางไท่ซานอ๋องได้ก่อน ปล่อยเขา
กลับไปที่เนินหมูป่า แล้วทั้งคู่จะสู้กนั อย่างไร เขาก็จะ
ได้ไม่เข้าไปพัวพัน
รัชทายาทมองดูทุกอย่างด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
ทหารของอีกฝ่ายมาถึงเนินเขาแล้ว เขาพูดว่า “พวก
เจ้าเห็นพวกเขามุ่งหน้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว แต่ว่า
พวกเขามากันกระจัดกระจาย แสดงว่าไม่ได้มาอย่าง
เป็นกลุ่มก้อนเดียกัน คนของเราถึงแม้น้อยกว่า แต่ว่า
สามัคคีกว่า เราอาจจะไม่แพ้พวกเขาก็ได้” เขาพูด
เสียงเข้มว่า “ซือถู ถ่ายทอดคำสั่ง ให้ทหารทั้งหมด
ต้านเอาไว้ให้อยู่ ขอแค่ผ่านวันนี้ไปได้ กองหนุนก็จะ
มาถึงภายในวันพรุ่งนี้ หลังผ่านศึกครั้งนี้ไป ทุกคนจะ
ได้รางวัลเป็นเงินพันชัง่ ขุนนางจะได้เลื่อนคนละหนึ่ง
ขั้น หากมีใครตาย ทางราชสำนักจะเป็นคนดูแล
ครอบครัวของพวกเขาเอง ใครมีลูกชาย ข้าจะเป็น
คนจัดการทุกอย่างให้เอง”
ฉีหนิงได้ยินคำสั่งพวกนี้แล้ว ก็แอบชื่นชมรัชทายาท
ตงฉีในใจ สถานการณ์ในตอนนี้ การทำให้ลูกน้องเชื่อ
ฟังคำสั่ง ก็ต้องพูดเรื่องเป็นตายให้ชัดเจน อีกทั้งยัง
สามารถเพิ่มกำลังใจทหารได้ ให้พวกเขาได้รู้ว่าหาก
พวกเขาสู้พวกเขาจะได้อะไร
เสียงฝีเท้าม้าเริ่มเงียบลง ทหารของอีกฝ่ายตั้งค่าย
รับมืออยู่ด้านล่างเนินเขา พวกเขาโบกธงที่มีคำว่า
“ฉี” แต่ไม่ได้ใช้ธงที่มีคำว่า “ไท่ซาน” ฉีหนิงเลยไม่
มั่นใจว่าพวกเขาเป็นคนของไท่ซานอ๋องจริงหรือเปล่า
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงตีกลองดังขึ้น ทหารต่างๆ
เปิดทางเดินเล็กๆ ออก มีคนขี่ม้าออกมาตามทางนั้น
ม้าตัวหน้าสุดสีขาวสวยราวหิมะ คนบนหลังม้านั้น
รูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดเกราะสีทอง เสื้อคลุมสีม่วง ดู
มีบารมีบอกไม่ถูก เมื่อม้าขาวมาด้านหน้าสุดแล้ว
ขนาบข้างด้วยแม่ทัพขุนพล คนที่สวมชุดเกราะสีทอง
มองขึ้นมาบนเนิน เขาพูดว่า “ต้วนเซ่า ท่านอ๋องข้า
มาแล้ว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 598 พี่น้องสู้กันเอง
หนิงได้ยินคนสวมชุดเกราะทอง เรียกตัวเองว่าท่าน
อ๋องข้า เขาก็รู้ทนั ทีว่าเป็นไท่ซานอ๋องจริง ๆ
รัชทายาทมองไท่ซานอ๋องจากบนเนิน เขาเดินหน้า
ขึ้นมาสองก้าว แล้วตะโกนลงไปว่า “ที่แท้ก็พี่ใหญ่
นี่เอง ข้ายังคิดว่าเป็นคนอืน่ คิดก่อกบฏ พี่ใหญ่มาใน
วันนี้ มาล่าสัตว์กับข้าหรอ?”
ไท่ซานอ๋องหัวเราะร่า เขาตะโกนว่า “ต้วนเส้า จนถึง
ตอนนี้แล้ว เจ้าอย่าเสแสร้งอีกเลย เจ้ารู้หรือเปล่า ข้า
ไม่ชอบที่เจ้าเสแสร้งแสดงแบบนี้มากเลยรู้ไหม
ภายนอกเจ้าดูมีมารยาทมาก แต่ว่าข้ารู้ เจ้ามันคนใจ
คอโหดเหี้ยม เจ้ามันคนไม่มีหัวใจไม่มีความรู้สึก”
ไท่ซานอ๋องพูดจาไม่มีความเกรงใจเลย ซือถูหมิงเยว่
ตะคอกกลับไปว่า “ไท่ซานอ๋อง ท่านบังอาจเกินไป
แล้วนะ กล้าพูดจากับองค์รัชทายาทแบบนี้ได้ยังไง?
รัชทายาทเป็นถึงมกุฎราชกถมารของแคว้นฉี เป็นผู้
สืบทอดบัลลังก์ในอนาคต ท่านไม่รู้จกั มารยาทของ
ขุนนางหรือยังไงกัน?”
“มารยาทของขุนนางหรอ?” ไท่ซานอ๋องชักดาบ
ออกมา แล้วชี้ปลายดาบไปที่รัชทายาท แล้วพูดว่า
“ต้วนเส้า อยู่ต่อหน้าข้า เจ้ายังกล้ามาพูดเรื่อง
มารยาทของขุนนางกับข้าอีกหรอ? ข้าเป็นลูกชายคน
โต ตำแหน่งรัชทายาท มันควรเป็นของข้า แต่ว่าเจ้า
มันเสแสร้ง ว่ารักพี่ชายอย่างข้ามากแค่ไหน แต่ว่าลับ
หลังข้าเจ้าก็ไปทูลเอาความเลวของข้าให้เสด็จพ่อฟัง
หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะถูกสั่งให้ยา้ ยมาที่สวีโจวห
รอ?”
ซือถูหมิงเยว่พูดว่า “ไท่ซานอ๋อง รัชทายาททรงมี
พระทัยเมตตา เก่งทั้งบุน๋ และบู๊ ฝ่าบาททรงเลือก
พระองค์เป็นรัชทายาท เพราะทรงทอดพระเนตรตรง
จุดนี้ ถึงแม้ท่านจะเป็นองค์ชาย แต่ว่าท่านไม่เคย
สนใจเกียรติของราชวงศ์เลย อารมณ์ก็ร้อน ฆ่าคนบริ
สุทธ์ไม่เลือกหน้า ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านเองก็
น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ แล้ววันนี้ที่ท่านนำทหารมากมาย
มาที่นี่ ท่านคิดจะก่อกบฏหรือยังไง?”
“ซือถูหมิงเยว่ เจ้าหุบปากไปเลยนะ” ไท่ซานอ๋องพูด
ว่า “เจ้าสุนัขรับใช้ แผนเลว ๆ ของต้วนเส้าพวกนั้น
ก็เป็นความคิดของเจ้าทั้งนั้น วันนี้ขา้ จะจับเจ้าแยก
ร่างซะ” เขาสะบัดดาบ แล้วพูดว่า “ต้วนเส้า เจ้าเป็น
คนมีเมตตาธรรมไม่ใช่หรอ? ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้า
เจ้ายอมแพ้ต่อหน้าข้า ข้าอาจจะยอมปล่อยลูกน้อง
ของเจ้าไป ใช้ชีวิตเจ้ามาแลกไป มันก็เพียงพอต่อ
ความมีเมตตาธรรมของเจ้าแล้ว”
รัชทายาทนิ่งมาก เขากวาดสายตาไป แล้วพูดว่า
“เฉิงอู่ เจ้าเองก็คิดจะก่อกบฏหรอ?” น้ำเสียงของ
เขาไม่ได้ดังมาก แต่ว่าทุกถ้อยคำชัดเจนมาก ฉีหนิงรู้
ว่ากำลังภายในของเขาไม่ได้อ่อนเลย เขาเองก็เป็น
ชาวยุทธมือดีคนหนึ่ง เมื่อได้ยินเขาพูดถึงเฉิงอู่ ก็นึก
ถึงตอนที่อยู่ในค่ายทหารฉู่ หานอวี้เคยพูดถึงเขา เขา
เป็นแม่ทัพใหญ่ของตงฉี แต่ว่าหลังจากที่ไท่ซานอ๋อง
มายังสวีโจวแล้ว ก็โยกเหมิงเจียวโจวมาแทนที่เฉิงอู่
เดิมคิดว่าเฉิงอู่น่าจะโกรธแค้นไท่ซานอ๋อง คิดไม่ถึงว่า
วันนี้เฉิงอูจ่ ะกลายมาเป็นผู้ร่วมการกบฏกับไท่ซาน
อ๋องด้วย
ข้างตัวของไท่ซานอ๋องขี่ม้าขึ้นหน้ามา เขาสวมชุด
เกราะสีดำ เสียงของเขาหนามาก “ไท่ซานอ๋องเป็น
ลูกชายคนโต ตำแหน่งรัชทายา เดิมก็ควรเป็นของ
เขาอยู่แล้ว ท่านชิงตำแหน่งของเขาไป ถือเป็นภัย
ของแคว้น ข้าจะติดตามไท่ซานอ๋องปราบโจรร้ายของ
แผ่นดิน”
รัชทายาทยิ้ม “ไท่ซานอ๋อง หากว่าเจ้าลงจากม้ามา
ขอรับโทษ ข้าจะเห็นแก่ความเป็นพีน่ ้องของเรา ทูล
เสด็จพ่อให้ลงโทษเจ้าสถานเบา หากเจ้ายังดึงดัน
แบบนี้อีก ไม่ว่าใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
ไท่ซานอ๋องหัวเราะแล้วพูดว่า “ต้วนเส้า เจ้าจะตาย
อยู่แล้ว ยังปากดีอีก” เขาพูดว่า “เอาตัวพวกเขามา
นี่”
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดังวุ่นวาย กลุ่มทหารนำตัว
คนมากลุ่มหนึ่ง ฉีหนิงเห็นชัดมาก คนที่ถูกนำตัวมามี
ทั้งชายและหญิง มีแก่มีเด็ก ทหารพวกนั้นหยาบคาย
มาก ทำกับคนเหล่านั้นเหมือนวัวเหมือนแพะ พวก
เขามีกันเจ็ดแปดสิบคน กำลังร้องไห้อยู่อย่างหนัก
กลุ่มคนพวกนั้นถูกมัดมือเอาไว้ ทหารผลักพวกเขามา
ด้านหน้า คุกเข่าเรียงกันอยู่หน้าสุด แต่ละคนมีทหาร
คนหนึ่งเอาดาบพาดคอเอาไว้ ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดใน
ใจว่าคนกลุ่มนี้เป็นใครกันนะ?
รัชทายาทขมวดคิ้ว ไท่ซานอ๋องพูดขึน้ มาว่า “ต้วน
เส้า เจ้าจำคนพวกนี้ได้ไหม?” เขานั่งอยู่บนหลังม้า
ควบม้าไปที่ชายคนหนึง่ ใช้ดาบชี้ไปที่หัวของเขา
แล้วตะโกนว่า “หวงซินติดตามเจ้ามานาน หลายปี
มานี่ เจ้าส่งคนของเจ้ามายังสวีโจวไม่น้อยเลย เจ้าคิด
จะคุมสวีโจวเอาไว้ในมือ หวงซิน ต้วนผีกับเกาถูหลาง
เป็นคนที่ติดตามเจ้ามาตั้งแต่เจ้ายังเล็ก ๆ ข้าได้ยินมา
ว่า เจ้ากับพวกเขาก็เหมือนพี่น้อง ยังบอกอีกว่าจะมี
สุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นวิธีซื้อใจคนที่
ดีมากเลยนะ ทำให้คนพวกนีย้ อมถวายชีวิตทำงานให้
เจ้าได้......”
รัชทายาทตะคอกไปว่า “ไท่ซานอ๋อง เจ้าคิดจะทำ
อะไร?”
“ข้าคิดจะทำอะไรน่ะหรอ? หรือว่าเจ้ายังไม่เข้าใจ
อีก?” ไท่ซานอ๋องพูดว่า “ทุกคนบอกว่าเจ้าใจดีมี
เมตตาธรรม เจ้าเองก็บอกว่าจะมีสุขร่วมเสพมีทุกข์
ร่วมต้านกับพวกเขาไม่ใช่หรอ? เจ้าสั่งให้พวกเขาสาม
คนพร้อมครอบครัวแงตัวอยู่ที่สวีโจว ตอนนี้พวกเขา
อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว หากเจ้าอยากจะสุขร่วมเสพมี
ทุกข์ร่วมต้านกับพวกเขาจริง ก็ลงมา คุกเข่าก้มหัวให้
ข้า ข้าไม่เพียงไม่ฆ่าพวกเขา ข้าจะปล่อยพวกเขาไป
ด้วย ข้าไม่ได้เหมือนเจ้าที่โหดเหี้ยม พูดอะไรไว้ ข้า
ถือเป็นสัจจะเสมอ”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าไท่ซานอ๋องนี่เหี้ยมโหดมาก
ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้เจอมาก่อน แต่พอจะได้ยินมา
บ้าง ตอนนี้พอดูดูไปแล้ว เรื่องเล่าพวกนั้นน่าจะจริง
หากว่าไท่ซานอ๋องไม่พอใจที่ต้วนเส่าเป็นรัชทายาท
คิดจะก่อกบฏ ฉีหนิงก็นับถือความกล้าหาญของเขา
ต่อให้จับสายของรัชทายาทมาที่นี่ ข่มขู่รัชทายาท ฉี
หนิงก็แค่รู้สึกว่าคนนี้โหดร้ายเท่านั้น แต่ว่าเขาเอา
ครอบครัวของพวกเขามาด้วย ไม่เพียงเหี้ยมโหด แต่
ยังโหดร้าย มันไร้ยางอายมาก เขารูส้ ึกรังเกียจมาก
เขาดูถูกคนอย่างไท่ซานอ๋องมาก
ทันใดนั้นเองหวงซินก็ตะโกนขึน้ มาว่า “รัชทายาท
กระหม่อมไม่อาจรับใช้พระองค์ต่อไปได้อีก พระองค์
ต้องรักษาพระวรกายให้ดี กระหม่อมหวังเพียง
พระองค์จะสามารถกำจัดโจรชั่วพวกนี้ได้......” เขา
พูดยังไม่ทันจบ ไท่ซานอ๋องก็ลงมือฟันเข้าที่คอ หวง
ซินหัวหลุดลงพื้น
รัชทายาทเงยหน้ามองฟ้า ท่าทางของเขาเสียใจมาก
ไท่ซานอ๋องพูดว่า “ต้วนเส้า ในเมื่อเจ้าไม่กล้าลงมา
ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็ไม่ต้องใช้วิธีนี้ซื้อใจใครอีก เจ้าจำไว้
นะว่า ที่นี่มีคนทัง้ หมดหกสิบสามคน พวกเขาต้อง
ตายเพราะเจ้า กลายเป็นผีไป ก็จะต้องมาตามเอา
ชีวิตเจ้า” เขาโบกดาบในมือ เหล่าทหารยกดาบขึ้น
พวกคนที่ร้องไห้ต่างหยุดร้องลงทั้งหมด พริบตาเดียว
หัวของชายหญิงคนแก่เด็กเล็กทัง้ หมดหกสิบกว่าคนก็
ตกลงพื้นพร้อมกันหมด
ฉีหนิงรู้สึกว่าหลังของเขาเย็นวาบเลย เขาฆ่าหวงซินก็
แล้วไป แต่ว่าพริบตาเดียว หกสิบกว่าชีวิตก็ตายไป
แบบนี้ มันอนาถมากเกินไป คน ๆ นี้เหี้ยมโหดมาก
มากกว่าอสรพิษซะอีก
รัชทายาทหน้ากระตุก ทุกคนที่เนินพญาวัวต่างเคย
เห็นการนองเลือดมาก่อนทั้งนั้น แต่ว่าเมื่อเห็นไท่
ซานอ๋องพริบตาเดียวก็ตัดหัวคนกว่าหกสิบคน อีกทั้ง
ไม่ว่าจะชายหญิงคนแก่หรือเด็กเขาก็ไม่สนใจ พวก
เขาก็สั่นไปทั้งตัว
หลังจากที่ไท่ซานอ๋องฆ่าคนไปแล้ว ก็ยิ้มอย่างได้ใจว่า
“ต้วนเส้า หัวของหกสิบคนนี้ มันแค่เริ่มต้น หากเจ้า
ไม่สนใจชีวิตคนของเจ้าอีก ข้าก็ฆ่าแบบนี้ไปทีละคนที
ละคน ที่เนินพญาวัว ข้าจะไม่ปล่อยใครไปอีก”
รัชทายาทถอนหายใจยาว ๆ แล้วพูดว่า “ไท่ซานอ๋อง
เจ้าคงไม่เปลี่ยนใจแล้วสินะ สวีโจวเป็นเขตของตตงฉี
ไม่ใช่สวีโจวของไท่ซานอ๋อง วันนีเ้ จ้าก่อความวุ่นวาย
ขึ้น ก็เท่ากับเจ้าก่อกบฏ เป็นกบฏต่อแผ่นดิน ยังมี
ใครที่คิดจะรนหาที่ตายกับเจ้าอีก?” เขาตะโกนไปว่า
“ทหารสวีโจวจงฟัง ไท่ซานอ๋องก่อกบฏ หากพวกเจ้า
ยอมทิ้งอาวุธ ข้าจะไม่เอาโทษ ไม่เช่นนั้นทุกคนก็จะ
ถือเป็นกบฎต้องได้รับโทษประหารชีวิตเท่านั้น”
ทหารของไท่ซานอ๋องมีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย แต่
ไม่นานก็เงียบลง
ฉีหนิงตอนนี้ก็รู้สึกสงสัย แอบคิดในใจว่าไท่ซานอ๋อง
ก่อกบฏในวันนี้ ต่อให้สังหารรัชทายาทได้ เขาจะได้
ตำแหน่งรัชทายาทมาแล้วได้ขึ้นครองราชย์จริง ๆ น่ะ
หรือ?
มหาเสนาบดีหลิงหูซีกับแม่ทัพใหญ่กองพลเรือแห่ง
ตงฉีเซินถูหลัว ล้วนแต่เป็นคนสนับสนุนรัชทายาท
หยกคู่หนึ่งบุ๋นหนึง่ บู๊ มีอำนาจสูงมากในตงฉี ด้วย
ความสามารถของไท่ซานอ๋อง ไม่น่าจะเป็นคู่ต่อสู้กับ
พวกเขาสองคนได้
เป็นไปอย่างทีร่ ัชทายาทพูด ไท่ซานอ๋องอาศัยอยูท่ ี่
เมืองสวีโจว ต่อให้วันนี้ได้รับชัยชนะ แต่หากมีราช
โองการลงมาเมื่อไหร่ ไท่ซานอ๋องก็จะกลายเป็นโจร
กบฏทันที ในสถานการณ์แบบนี้ ทหารกับราษฎร
ของสวีโจวไม่มีทางปกป้องไท่ซานอ๋องอีกต่อไป แต่
หากราชสำนักตงฉีส่งทหารมาปราบเมื่อไหร่ ด้วย
กำลังพลของไท่ซานอ๋อง แถมจะต้านทหารของแคว้น
ตงฉีไม่ได้เลย
ฉีหนิงแค่รู้สึกว่าไท่ซานอ๋องก่อกบฏในครั้งนี้ คิดว่า
น่าจะตัดสินใจกะทันหัน เพราะรัชทายาทมาสวีโจว
ไม่นาน คนแบบนี้ ไม่มีทางเปิดเผยแผนการเดินทาง
ให้คนอื่นรู้แน่นอน ดังนัน้ แผนของไท่ซานอษอง
น่าจะเพิ่งเกิดขึ้นหลังจากทีร่ ัชทายาทมายังสวีโจว
ภายในเวลาไม่กี่วัน ก็ยกทัพมา แผนไม่รัดกุมเลย ไท่
ซานอ๋องแค่อยากระบายความแค้นที่อัดอั้นมานาน
หลายปี
แต่ว่าเฉิงอู่กลับติดตามไท่ซานอ๋องก่อกบฏด้วย มันยิ่ง
ทำให้ฉีหนิงรู้สึกว่าคิดไม่ตก
ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยรูจ้ ักเฉิงอู่ แต่ว่าจากคำบอกเล่า
ของหานอวี้ เฉิงอู่บญ ั ชาการทหารได้เก่งมาก เขา
น่าจะเป็นคนที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง คนแบบนี้
ทำไมถึงได้เลอะเลือนยอมก่อกบฏกับไท่ซานอ๋องนะ
ต่อให้ไท่ซานอ๋องจะดึงเขาเข้ามาเป็นพวก แต่ด้วย
ปัญญาของเขา เขาไม่มีทางคิดไม่ถึงผลของการก่อ
กบฏ
อีกทั้งเฉิงอู่ยังเป็นแม่ทัพที่ไท่ซานอ๋องสั่งย้าย แล้วให้
เหมิงเจียวโจวมาแทนที่ คนเรามีจิตใจ ฉีหนิงไม่เชื่อ
ว่าเฉิงอู่จะไม่คิดอะไร?
หากไท่ซานอ๋องไม่ได้ทำอะไรด้วยอคติ เขาไม่มีทาง
กล้าลงมือกับรัชทายาท? เฉิงอู่เป็นแม่ทัพนายหนึ่งที่
ประสบการณ์มาก แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไปติดตาม
คนอย่างไท่ซานอ๋องแล้วก่อกบฏ?
ฉีหนิงกำลังคิด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงส่งสัญญาณ เขา
เงยหน้าขึ้นไป เห็นไท่ซานอ๋องโบกดาบของเขา กลอง
รบดังขึ้น ทหารสวีโจวบุกเข้าใส่เนินพญาวัว ทหารส
วีโจวมีมาก ด้านหน้าสุดเป็นทหารถือโล่ ตามมาด้วย
พลธนูที่กำลังยิงธนูขนึ้ เขา ทหารรัชทายาทถูกธนูยงิ
จนเงยหน้าไม่ได้ ทำได้แค่ป้องกันตัว
รัชทายาทมีคนในมือไม่ถึงหนึ่งพันคน ที่ต้องเฝ้าเนิน
พญาวัวทั้งหมด กำลังทหารอ่อนกว่าเยอะมาก ทหาร
รอบตัวเขาไปหาโล่มา แล้วก็คุ้มกันรอบตัวรัชทายาท
เพื่อบังธนูให้เขา
ซือถูหมิงเยว่เห็นอีกฝ่ายบุกมา ก็รบี พูดว่า “รัช
ทายาท ที่นี่อนั ตราย ทรงหลบเข้าไปในกระโจม
ก่อน”
รัชทายาทส่ายหน้า ยังคงยืนอยู่ที่เนิน เขาขมวดคิ้ว
แต่ว่าครั้งนี้ออกมาล่าสัตว์ เตรียมโล่มาไม่ได้มาก รัช
ทายาทได้โล่กันไว้ ส่วนคนอื่นคงไม่ได้โชคดีอย่างนั้น
ต้องหาที่หลบธนูกันเอาเอง ฉีหนิงยืนอยู่ข้างรัช
ทายาทตลอดเวลา เลยได้ผลบุญมีโล่กำบัง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 599 ศึกสายเลือด
ทหารสวีโจวมีจำนวนมาก ธนูยิงพุ่งมาเหมือนดาวตก
พริบตาเดียวบุกมาถึงกลางเนินแล้ว ซูหลุนตะคอกสั่ง
ให้ทหารนำที่กั้นมา แล้วยิงธนูตอบโต้
ธนูของสองฝั่งยิงแลกกันไปมา เมื่อเทียบกับทหารส
วีโจว พลธนูของรัชทายาทดูจะเหนือกว่า อีกฝ่ายมี
พลธนูหลายร้อยคน ฝั่งรัชทายาทมีแค่ร้อยคนเท่านั้น
แต่ว่าวิถีการยิงเหนือกว่าทหารสวีโจวมาก แต่ไม่ว่า
จะทักษะการเล็งการยิงเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ทหารสวีโจวยิงธนูมาจากกลางเนินเขา พลทวนบุก
ขึ้นหน้า ถึงแม้จะถูกยิงตายไปบ้าง แต่ก็บีบขึ้นเนิน
เขาขึ้นเรื่อยๆ ซูหลุนเห็นศัตรูบุกขึน้ มาแล้ว ก็ตะโกน
สั่ง ทหารที่อยู่ด้านหน้าก็บุกลงไปรับมือ รัชทายาทสั่ง
ให้คนเป่าส่งสัญญาณ ทั้งสองฝ่ายเริม่ การปะทะอย่าง
รุนแรง
ทหารสวีโจวมีมาก นอกจากจะบุกมาตรงทางเข้าแล้ว
ยังบุกมาจากด้านอื่นๆ ด้วย แต่ว่าทางทั้งชันและแคบ
อีกทั้งยังมีที่กนั้ ปลายแหลม จึงทำให้กระโดดข้ามไป
ไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นก็จะถูกปลายแหลมทิ่ม ซึ่ง
ด้านหลังที่กั้นยังมีพลทวนคอยแทงทวนออกมาอีก
ด้วย
ซูหลุนสมกับเป็นขุนพลของรัชทายาท เขาแกว่งดาบ
ฟันซ้ายทีขวาที พริบตาเดียว สังหารไปได้ถึงห้าหก
คน ไหล่ของเขาถูกธนูยิงมาหนึ่งดอก ซูหลุนดึงธนู
ออก จากนั้นก็เอาธนูปักไปที่คอหอยของทหารที่ลอบ
โจมตีเขา
ฉีหนิงเห็นทหารสวีโจวบุกมาอย่างดุดัน คิดในใจว่า
เขายังถือว่าโชคยังดีแอบคิดในใจว่าดีที่รัชทายาทตั้ง
ค่ายที่เนินเขาสูง ซึ่งก็สมเหตุสมผล หากตั้งค่ายที่ตีน
เขา ทหารสวีโจวบุกมาแบบนี้ ต่อให้รัชทายาทมี
ทหารกล้ามากมายแค่ไหน แต่ก็คงสู้กำลังพลของอีก
ฝ่ายไม่ได้แน่นอน
ค่ายตั้งอยู่บนเนินพญาวัว รอบๆ มีหลุมมีบ่อไว้ล่อ
สัตว์ มีการแผงกั้นเป็นสิ่งกีดขวางปลายแหลม ซึ่ง
ตอนนี้ก็ได้ใช้งานจริงแล้ว ไม่อย่างนัน้ ทหารมาก
ขนาดนี้ คงขึ้นเขาโดยง่ายแล้ว
เดิมเขาคิดว่ารัชทายาทกับไท่ซานอ๋องก็น่าจะมีการ
เจรจากันก่อน ยังน้อยก็น่าจะปล่อยราชทูตแคว้นฉู่
อย่างเขาไปก่อน แต่ว่าตอนนี้เหมือนว่าเขาคงจะคิด
ไปเอง ไท่ซานอ๋องอยากรีบจัดการรัชทายาท เลยไม่
เหลือเวลาไว้ให้เลย สั่งให้บุกทันที
ทางภูเขาไม่เหมือนพื้นราบ การบุกไม่ได้ราบรื่นนัก
อีกทั้งรัชทายาทก็อยู่บนที่สูง ซูหลุนนำทหารต้าน
เอาไว้ พลธนูของรัชทายาทเองก็ยงิ ธนูช่วยสกัด ทั้ง
สองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด ไม่นานนัก ศพก็เกลื่อน
พื้นไปหมด เนินเขานองไปด้วยเลือด
สงครามที่ดุเดือดแบบนี้ ในยุคนีเ้ ป็นเรื่องปกติมาก
ชีวิตคนเหมือนผักปลา อำนาจใครแข็งแกร่งก็อยู่รอด
ต่อให้ไม่สนใจชีวิตใคร ต่อให้ไม่อยากตายก็ต้อง
กลายเป็นเหยื่อที่รอคนที่เหนือกว่ามาจัดการ
ทหารสวีโจวส่งทหารมาโจมตี สูญเสียคนไปมาก
ปะทะกันไม่ถึงครึง่ ชั่วยาม ก็มีคนตายไปแล้วนับร้อย
คน ทหารฝั่งรัชทายาทเองก็ตายไปเป็นสิบคน
บาดเจ็บอีกไม่น้อย
ทหารสวีโจวมั่นใจในกำลังพลของตัวเองมาก จึงได้
บุกขึ้นเขามา แต่ใครจะคิดทหารของรัชทายาทนัน้ จะ
แข็งแกร่งมาก ไม่มีการอ่อนข้อเลย เห็นทหารฝ่าย
ตัวเองบาดเจ็บล้มตาย เพื่อนรอบตัวล้มลงทีละคนๆ
กำลังใจของทหารสวีโจวก็ถดถอยลงไป เลยถอยหลัง
กันไปโดยไม่รู้ตัว ซูหลุนเห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็ยิ่ง
ฮึกเหิม ยิ่งสู้ยิ่งดุดัน เลือดเปื้อนชุดไปหมด
ไม่นานนัก ทหารสวีโจวเห็นว่าฝืนบุกแบบนีค้ งฝ่าเข้า
ไปไม่ได้ จึงเริ่มสลายตัว ก่อนหน้านี้พวกเขาบุกใส่
อย่างรวดเร็วแค่ไหน ตอนถอยไปก็เร็วไม่แพ้กัน
ไท่ซานอ๋องกำดาบแน่น เขามองไปอย่างตาโต ตอนนี้
เห็นทหารสวีโจวถอยกลับมา เขาก็ร้องคำราม แล้ว
เดินออกมา พลธนูรีบเรียงแถวหน้ากระดาน ไท่ซาน
อ๋องสั่งว่า “ใครจับหรือตัดหัวต้วนเซ่ามาได้ มีรางวัล
ให้หมื่นตำลึงทอง ใครหนีฆ่าทันที” เขาชี้ดาบไป
ด้านหน้า พลธนูรีบยิงธนูใส่ทหารสวีโจวที่ถอย
กลับมา
เสียงร้องต่อเนื่อง พริบตาเดียวมีทหารสวีโจวถูกธนู
ของพวกเดียวกันยิงจนตาย ไท่ซานอ๋องตะคอกว่า
“โชวหลง เจ้านำทหารบุกเข้าไป หากบุกขึ้นเนินพญา
วัว เอาหัวต้วนเซ่ากลับมาไม่ได้ ก็ไม่ต้องกลับมาอีก”
ขุนพลคนหนึ่งรับคำ ชักดาบออกมา แล้วนำทหารบุก
ขึ้นไปช่วย ทหารกำลังหนีถอยกลับมาสถานการณ์
วุ่นวายมาก เมื่อเห็นโชวหลงนำทหารบุกขึ้นมาช่วย ก็
รู้ว่าหากถอยกลับลงไป คงมีแต่ตายเท่านั้น หากบุก
ขึ้นเนินสำเร็จ ได้ผลงาน ก็จะได้รางวัล ถอยก็มีแต่
ตายกับตาย พวกเขาไม่มีทางเลือก ทำได้แค่วิ่งกลับ
ขึ้นเขาไป
ฉีหนิงเห็นทุกอย่าง เขาคิดในใจว่าถึงแม้บนเขาจะมี
แผงกั้น คนของรัชทายาทเองก็ร้ายกาจ แต่ว่าทหารส
วีโจวที่ยังบุกขึ้นมาไม่หยุดแบบนี้ สู้อย่างนี้ต่อไป ต่อ
ให้ผ่านไปหนึ่งวันจะมีทหารของราชสำนักมาช่วย คน
ของรัชทายาทอาจจะรอไม่ถึงตอนนัน้
รัชทายาทสีหน้าเคร่งเครียดมาก เขาหันไปมองฉีหนิง
ที่กำลังใช้ความคิด ถอนหายใจแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว
ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อนไปด้วย”
ฉีหนิงคิดในใจว่าในเวลาแบบนีจ้ ะมาพูดแบบนี้ทำไม
เขาพูดว่า “รัชทายาท จากสถานการณ์ตอนนี้ ทรง
คิดจะยื้อให้ผ่านไปวันหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
รัชทายาทยิ้มอย่างเศร้าๆ ว่า “อย่าว่าแต่หนึ่งวันเลย
ครึ่งวัน ก็อาจจะยื้อไว้ไม่อยู่”
“แล้วทรงมีแผนรับมือหรือเปล่า?”
รัชทายาทส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าไท่ซานอ๋องไม่
พอใจข้า แต่ก็คิดว่าอย่างไรเราก็เป็นพี่น้องท้อง
เดียวกัน คงไม่มีทางฆ่าฟันกันเองแน่นอน แต่คิดไม่
ถึงเลยว่า เขา...” เขากำหมัดแน่นถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “เพื่ออำนาจ เขากลับไม่สนใจในสายเลือดที่
เหมือนกันของเราเลย”
ฉีหนิงมองไปที่รัชทายาท แล้วไม่ได้พูดอะไร
รัชทายาทเหมือนมองออก เขาหันมาพูดว่า “ท่านมี
อะไรจะพูดหรือ?”
“ไม่มี” ฉีหนิงส่ายหน้า พูดแต่เพียงว่า “กษัตริย์ตงฉี
ไม่ได้แต่งตั้งไท่ซานอ๋องเป็นรัชทายาท ทรงทำถูกต้อง
แล้ว นิสัยเขาโหดเหี้ยมแบบนี้ หากให้เขาได้อำนาจ
มา ราษฎรชาวตงฉีคงไม่มีทางสงบสุข”
“ไท่ซานอ๋องชอบการต่อสู้” รัชทายาทพูดขึ้นมาว่า
“จิ่นอีโหว ข้าก็ไม่กลัวที่จะพูดกับท่านตรงๆ ข้าเองก็
ไม่ได้มีความสามารถอะไร แต่ว่ามีสิ่งที่เสด็จพ่อทรง
เห็นและให้ความสำคัญอย่างหนึ่ง ก็คือข้าเข้าใจ
สถานการณ์ของแคว้นตงฉีดี ไท่ซานอ๋องมีความ
ทะเยอทะยานสูง อยากจะขยายอาณาเขตอยู่
ตลอดเวลา แต่ว่าเขาลืมไปว่า ที่ตงฉีมีความสงบสุข
และความอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ มันไม่ง่ายเลย ยิ่งไม่
ต้องไปพูดถึงเรื่องการขยายดินแดน”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไท่ซานอ๋องคิดอยากจะ
ทำสงครามกับแคว้นอืน่ ?”
“หลายปีก่อนที่กองทัพเป่ยฮั่นรุกรานดินแดนของเรา
แต่กลับไปด้วยความพ่ายแพ้ไม่มีชิ้นดี” รัชทายาทพูด
ว่า “สงครามในครั้งนัน้ ทำให้ตงฉีของเราอยู่รอด
ปลอดภัย แต่ว่าก็เพราะศึกในคราวนั้น มีหลายคนคิด
ว่ากองทัพของตงฉีเก่งกาจในการทำศึกสงคราม
ทัพเป่ยฮั่นกับหนานฉู่ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเรา
เลย”
ฉีหนิงยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร
ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายยังปะทะกันอย่างดุเดือด ทหารของ
รัชทายาทรู้ว่าทางด้านหลังนั้นไม่มีอะไรป้องกันได้ มี
เพียงหลุมล่อสัตว์ที่ขุดเอาไว้ ดังนั้นก็เลยไม่ถอย
ทหารสวีโจวมีพลธนูขู่อยู่ด้านหลัง หากถอยก็ถูกยิง
ตาย ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องกัดฟันสู้
รัชทายาทเองก็เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว เขาหันไป
สั่งทหารที่อยู่รอบตัวเขาว่า “พวกเจ้าไม่ต้องอยู่ตรงนี้
รีบไปช่วยด้านหน้าเร็ว”
ซือถูหมิงเยว่รีบพูดว่า “รัชทายาท ทหารพวกนี้เป็น
องครักษ์ประจำตัวของพระองค์ หากให้พวกเขา...”
“ซือถู หากพวกเขาบุกเข้ามาได้ ทหารแค่สิบคน จะ
ยังคุ้มกันข้าได้อีกหรือ?” รัชทายาทโบกมือ แล้วพูด
ว่า “หากพวกเจ้าต้านไม่ไหว ข้าจะไปสู้เอง”
ทหารองครักษ์มองหน้ากัน รัชทายาทสั่งว่า “ยังไม่ไป
กันอีก”
ทหารพวกนั้นไม่ลังเลอีก พวกเขาบุกลงไปราวกับ
หมาป่าที่หิวโหย ฉีหนิงดูออกนานแล้วว่าองครักษ์
พวกนี้ฝีมือร้ายกาจมาก พวกเขาเคลือ่ นไหวว่องไว
พริบตาเดียวก็บุกไปถึงสนามรบแล้ว
ท่ามกลางทหารนับพันคน ต่อให้คนๆ หนึ่งจะมีวร
ยุทธ์มากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง
สถานการณ์ได้ อย่างมากก็แค่เอาตัวรอดได้ แต่ว่าวร
ยุทธ์สูงมันก็มีผลต่อการสังหาร ในการปะทะกันก็ถือ
ว่าได้เปรียบ หลังจากที่ทหารสิบกว่าคนนั้นลงไปแล้ว
ก็เหมือนกับเสือล่าแพะ สะบัดดาบทีเดียว ก็ทำให้
ทหารสวีโจวสะพรึงกลัวแล้ว ทหารองครักษ์ของรัช
ทายาทร้องคำรามขู่ขวัญอีก
รัชทายาทหันมาพูดกับฉีหนิงต่อว่า “ตอนนั้นไท่ซาน
อ๋องได้ทูลกับเสด็จพ่อว่า เราสามารถลงนามเป็น
พันธมิตรกับชาวเป่ยฮั่น ร่วมมือกันยกทัพลงไปโจมตี
หนานฉู่ แล้วยึดดินแดนมา จากนั้นก็แบ่งกับเป่ยฮั่น
เสด็จพ่อทรงทราบตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าไท่ซานอ๋อง
คิดอย่างไร ทรงกังวลว่าหากตงฉีอยู่ในมือของเขา ช้า
เร็วต้องล่มสลายแน่ ดังนั้นก็เลยแต่งตั้งข้าเป็นรัช
ทายาท”
ฉีหนิงคิดในใจว่าไท่ซานอ๋องอยากจะเป็นพันธมิตรบุก
โจมตีหนานฉู่เรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องจริง แต่ว่าเขาเป็น
คนมีความทะเยอทะยานสูงเรื่องนี้เป็นจริงแน่นอน
“ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ ในราชสำนักของเรามีคนที่
คิดเหมือนกับไท่ซานอ๋องเยอะมาก” รัชทายาทถอน
หายใจว่า “พวกเขาบอกว่า จากสถานการณ์
ในตอนนี้ ไม่ว่าเป่ยฮั่นหรือว่าหนานฉู่สุดท้ายใครจะ
ได้รับชัยชนะ อย่างไรภัยก็ต้องตกมาอยู่ที่ตงฉีอีกอยู่ดี
ในเมื่ออย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนัน้ ไม่สู้แสดงความ
แข็งแกร่งของเราออกไป ขยายอาณาเขต เพื่อให้เรา
มีทรัพยากรมากขึ้นไม่ดีกว่าหรือ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่พูดมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล หนาน
ฉู่กับเป่ยฮั่นไม่ว่าฝ่ายไหนได้รับชัยชนะ ตงฉีก็ไม่มี
ทางอยู่รอดต่อไปได้อีกแน่นอน
“แต่ว่าพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า ที่เราอยู่อย่างสงบ
อย่างทุกวันนี้ อย่างน้อยเราก็ทำให้ราษฎรของแคว้น
ตงฉีของเราอยู่อย่างสงบสุข ไม่ต้องรับความทุกข์จาก
สงคราม” รัชทายาทพูดว่า “แต่ว่าหากเราใช้อาวุธ
เข้าหากันเมื่อไหร่ ก็เท่ากับรนหาที่ตาย” เขาเหลือบ
ไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า “ดังนั้นข้าเลยคิดมาตลอด
ว่าเราควรเป็นมิตรกับแคว้นอืน่ เพื่อไม่ให้เกิด
สงคราม”
ฉีหนิงพยักหน้า รัชทายาทยิ้มอย่างเศร้าๆ ว่า “ไท่
ซานอ๋องก่อกบฏในวันนี้ คงต้องการให้ข้าตาย
แน่นอน เจ้าสามถูกฆ่า หากวันนี้ข้าตายอยู่ที่นี่อีก
เสด็จพ่อทรงกริ้วขึน้ มา จะต้องส่งทหารมาปราบไท่
ซานอ๋องอีก ถึงเวลานั้น ตงฉีก็จะไร้ผู้สืบสกุลทันที...”
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า เหมือนจะเศร้าใจมาก
ฉีหนิงนิ่งไป จากนั้นก็ถามขึ้นมาว่า “รัชทายาท ไท่
ซานอ๋องก่อกบฏ แสดงว่าเขาต้องรู้แล้วว่าเขาจะต้อง
กลายเป็นโจรกบฏแน่นอน ราชสำนักไม่มีทางปล่อย
เขาไปแน่ ด้วยความสามารถของเขา ไม่มีทางสู้กับ
ทางราชสำนักได้แน่ แต่ทำไมเขาถึงยังยอมเสี่ยงแบบ
นี้อีกเล่า? หากเขาทำไปด้วยอารมณ์ก็แล้วไป
ไม่อย่างนั้น...มันนึกเหตุผลที่เขาทำไม่ได้เลยนะ?”
รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ?
แต่ข้าคิดตกแล้วนะ ท่านพูดถูก ถึงแม้ไท่ซานอ๋องจะ
นิสัยมุทะลุ แต่ว่าเรื่องใหญ่แบบนี้ เกี่ยวพันความเป็น
ความตาย เขาไม่มีทางไม่เข้าใจ ถึงแม้เขาจะเป็นคน
อารมณ์ร้อน แต่ก็ไม่ได้โง่ เขากล้าทำแบบนี้ได้ แสดง
ว่าจะต้องมีคนหนุนหลังเขาอยู่แน่นอน”
“มีคนหนุนหลัง?”
ถึงแม้รัชทายาทจะยิ้ม แต่สายตาของเขานั้นโกรธ
เคืองมาก “ตอนนั้นเป่ยฮั่นพ่ายแพ้ให้เราก็จริง แต่
พวกเขาไม่ได้ยอมเลิกราจริง หลายปีมานี่ ถึงแม้ต่อ
หน้าไม่ได้กล้าทำอะไรตงฉีก็จริง แต่ว่าลับหลังแล้วก็
แอบทำอะไรมากมายเหมือนกัน หากข้าเดาไม่ผิด ไท่
ซานอ๋องกล้ายกทัพก่อกบฏ น่าจะเกีย่ วข้องกับชาว
เป่ยฮั่นแน่นอน”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 600 เหยี่ยวทยานฟ้า
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “รัชทายาททรงสงสัยว่า
เรื่องนีเ้ กี่ยวข้องกับชาวเป่ยฮั่นอย่างนั้นหรือ?”
“นอกจากเหตุผลนี้แล้ว ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใด
ไท่ซานอ๋องถึงได้กล้าได้ขนาดนี้” รัชทายาทพูดว่า
“หากเป็นอย่างที่คิดจริง ไท่ซานอ๋องก็ถือว่าเป็นโจร
กบฏที่เลวร้ายที่สุดประวัติศาสตร์กว่าหมื่นปีของตงฉี
เรา” เขานิง่ ไป แล้วพูดกับฉีหนิงว่า “จิ่นอีโหว ตอนนี้
ศึกนี้ดุเดือดนัก ท่านลงจากเขาไปไม่ได้ หากมีโอกาส
ข้าจะให้ท่านกลับออกไปอย่างปลอดภัยแน่นอน ท่าน
ไม่ต้องกังวล”
ตอนนี้สถานการณ์ดุเดือดเลือดพล่านมาก ไท่ซาน
อ๋องสั่งให้ขุนพลของตนโชวหลงนำทหารบุกขึ้นมา
ห้ามถอยเด็ดขาด ถึงแม้ทหารของรัชทายาทจะร้าย
กาจสามารถต้านได้ แต่ว่าก็สูญเสียกำลังพลไปไม่
น้อย มีศพกองอยู่ที่พนื้ เต็มไปหมด มีหลายคนที่ต้อง
เหยียบกองศพเดิน หากเป็นอย่างนีต้ ่อไป ไม่นานนัก
ค่ายต้องแตกแน่
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงแตรดังขึ้น มันไม่ได้ดังมา
จากทัพไท่ซานอ๋อง รัชทายาทกับฉีหนิงมองตามเสียง
ไป มันดังมาจากเนินหมูป่า
จากนั้นก็เห็นธงของแคว้นฉู่โบกสะบัด มีกลุ่มคนขี่ม้า
ลงมาจากเนิน ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดในใจว่า หรือ
ว่าอู๋ต๋าหลินเห็นสถานการณ์ทางนี้ไม่ดี เลยนำทหาร
มาช่วย เขาแอบด่าอู๋ต๋าหลินในใจ คณะทูตมีคนแค่
สองร้อยคน ถึงแม้จะเป็นทหารหลวงอวี้หลินทั้งหมด
แต่ว่าหากต้องปะทะกับทหารนับพันของไท่ซานอ๋อง
ต่อให้มาช่วย ทหารแค่นั้น มันก็ทำอะไรไม่ได้เลย
แต่พอมองไปอย่างละเอียด เขาก็เห็นว่ากลุ่มคนที่มา
จากเนินหมูป่านัน้ มีไม่กี่สิบคน ไม่ได้มาเป็นกลุ่มใหญ่
ไท่ซานอ๋องได้ยินเสียงแตรดัง ก็หันมองไป
หลังจากกลุ่มคนพวกนั้นฝ่าลงเขามา ก็มีทหารสวีโจว
มาล้อมเอาไว้ ทหารม้าแคว้นฉู่สิบคนนั้นดึงม้าหยุด มี
คนหนึ่งลงจากม้า ฉีหนิงมองมาจากด้านบน คนที่ลง
มานั้นคืออู๋ต๋าหลิน ทั้งสองฝ่ายกำลังเจรจากันอยู่
จากนั้นก็เห็นทหารห้าหกคนเอาทวนชี้ไปที่อู๋ต๋าหลิน
เขาเลยไปหาไท่ซานอ๋อง
รัชทายาทตงฉีเองก็เห็นเหมือนกัน เขาพูดว่า “จิ่นอี
โหว ลูกน้องของท่านน่าจะเป็นชี้แจ้งกับพวกเขา ถึง
แม้ไท่ซานอ๋องจะกล้าบ้าบิ่นแค่ไหน แต่ว่าเขาคงไม่
เอาชาวแคว้นฉู่มาเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน เขาน่าจะตก
ลงให้เจ้าลงจากเขา แล้วค่อยโจมตีใหม่” เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ข้ายังเคยคิดเลยว่าหลังจากกลับเมืองหลวง
ไปแล้ว ค่อยดื่มเหล้ากับท่านให้สะใจไปเลย แต่ว่าดู
จากสถานการณ์ตอนนี้ คงได้แค่คิดแล้วล่ะนะ”
อู๋ต๋าหลินถูกทหารสวีโจวพาไปหาไท่ซานอ๋อง
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เห็นเฉิงอู่มาพูดอะไรกับไท่ซาน
อ๋อง ไม่ผิดอย่างที่คิด อีกฝ่ายเป่าแตรขึ้น ทหารส
วีโจวได้ยินเสียงแตรดัง ก็รีบถอยลงเขาทันที เสียง
แตรนี้คือเสียงสัญญาณถอยทัพ ทหารสวีโจวถอน
กำลังอย่างรวดเร็ว เหลือไว้แค่ศพประมาณสามสี่ร้อย
คน ที่บง่ บอกถึงการต่อสู้ที่ดุเดือด
ซูหลุนกับทหารองครักษ์ของรัชทายาทถึงกับโล่งใจ
พวกเขาไม่เสียเวลาอีก รีบกลับมาตั้งหลักกันใหม่
เมื่อทหารสวีโจวถอยลงไปกันหมดแล้ว ไท่ซานอ๋องก็
ตะโกนขึ้นมาว่า “ต้วนเซ่า ศึกระหว่างเรา ไม่ต้องเอา
ชาวแคว้นฉู่มาเกี่ยวข้องด้วย ให้ราชทูตแคว้นฉู่ลงเขา
มา แล้วเราค่อยสู้กันใหม่”
รัชทายาทหันไปพูดกับฉีหนิงว่า “จิ่นอีโหว ไท่ซาน
อ๋องก่อกบฏ ในเมืองหลวงจะต้องวุ่นวายแน่นอน
ครั้งนี้ต่อให้เจ้าไปที่เมืองลู่เฉิงแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ไม่
ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ทางตงฉีเราคงไม่มีกะจิต
กะใจจะถามไถ่อีก ข้าว่าหลังจากที่ทา่ นลงเขาไปแล้ว
ก็พาคณะทูตของท่านกลับแคว้นฉู่ไปเถอะนะ ขอให้
โชคดี”
ฉีหนิงพยักหน้า เขารู้ว่าที่รัชทายาทพูดมานั้นถูก ไท่
ซานอ๋องก่อกบฏ หลังจากนี้แคว้นตงฉีต้องวุ่นวายแน่
คงไม่มีอารมณ์มาต้อนรับดูแลคณะทูตแน่นอน
รัชทายาทหันหน้าตะโกนลงเขาว่า “ไท่ซานอ๋อง
ถึงแม้เจ้าจะก่อกบฏ แต่ว่าไม่ลากราชทูตแคว้นฉู่มา
เกี่ยวข้องด้วย ถือว่ายังมีหัวคิดอยู่บ้าง ข้าจะให้เขาลง
เขาไปตอนนี้ ไว้พวกเขาปลอดภัยแล้ว เจ้าค่อยสั่งให้
คนของเข้าบุกเข้ามาใหม่”
ฉีหนิงคิด แล้วพูดกับรัชทายาทว่า “รัชทายาท ทรง
ประทานม้าสักตัว กับอาวุธให้ข้าได้หรือไม่”
รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ากังวลว่าเขาจะไม่รักษา
คำพูดหรือ? ที่นี่มีม้าเยอะแยะ หลังเสร็จศึกนี่ ก็คงถูก
ไท่ซานอ๋องยึดไป เจ้าอยากได้กี่ตัว ก็เอาไปเลย”
จากนั้นก็สั่งให้คนเอาม้าดีมาให้ฉีหนิงหนึ่งตัว แล้ว
ยังให้ดาบโค้งกับฉีหนิงหนึ่งเล่ม ฉีหนิงยังขอธนูพร้อม
ลูกศร กับดาบพกอีก จากนั้นก็ยกมือคำนับรัชทายาท
แล้วพูดว่า “รัชทายาททรงรักษาพระวรกายให้ดี
ด้วย”
เขาไม่พูดมากอีก ขี่ม้าตรงลงเขาไปทันที ไม่มีใคร
ขวางเขา เมื่อมาถึงตีนเขา เขามองเห็นไท่ซานอ๋อง
ไกลๆ ไท่ซานอ๋องเห็นฉีหนิง ก็ตะโกนว่า “เจ้าก็คือฉี
หนิงราชทูตจากแคว้นฉู่หรือ?”
ฉีหนิงยกมือคำนับจากทางหลังม้า “ถูกต้อง”
ไท่ซานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้หากไม่ใช่ข้าไว้หน้า
เจ้าก็คงตายไปพร้อมกับต้วนเซ่าบนเนินเขานัน่ แล้ว
เจ้ายังไม่ขอบใจข้าอีกหรือ” ท่าทางของเขาดูเย่อหยิ่ง
มาก
ฉีหนิงควบม้าขึ้นหน้า ทหารของไท่ซานอ๋องขวาง
เอาไว้ ฉีหนิงยกมือคำนับยิ้มแล้วพูดว่า “ไท่ซานอ๋อง
ขอบใจท่านมากเลยนะ”
ไท่ซานอ๋องเห็นฉีหนิงนั่งบนหลังม้า อีกทั้งยกมือ
คำนับข้างเดียว สีหน้าของเขาก็ไม่พอใจมาก เขาพูด
ว่า “แคว้นฉู่ของพวกเจ้าไม่รู้จักกาลเทศะหรือ
อย่างไรกัน?” เขายกมือขึ้น ชีป้ ลายดาบใส่ฉีหนิงแล้ว
พูดว่า “ข้าไว้ชีวิตเจ้า เจ้าก็ควรลงจากม้ามาคุกเข่าให้
ข้า เรื่องแค่นี้ยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือ?”
ฉีหนิงยิ้ม แล้วลงจากหลังม้า จากนั้นเขาก็เลยผ่าน
เหล่าทหารเข้าไป ขุนพลคนหนึ่งเห็นฉีหนิงมีดาบโค้ง
ก็รีบควบม้ากลับมา แล้วตะโกนว่า “ท่านอ๋องใหญ่
เขามีอาวุธ ระวังเป็นกับดัก”
ไท่ซานอ๋องอึ้งไป ยังไม่ทันได้สติดี ฉีหนิงก็ง้างธนูแล้ว
ยิงใส่ไท่ซานอ๋องแล้ว
ลูกธนูออกไปอย่างเต็มกำลัง ฉีหนิงรูส้ ึกแปลกใจมาก
แอบคิดในใจว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นมาก ธนูคันนี้เป็น
ธนูดีมากมันหนักมาก แต่พอง้างธนูกลับรู้สึกเบา
อย่างบอกไม่ถูก
เขากำลังตกใจกับกำลังของเขา ไท่ซานอ๋องกับเหล่า
ทหารรอบตัวเขาต่างตกใจ คิดไม่ถึงว่าราชทูตแคว้นฉู่
จะกล้าลงมือกับไท่ซานอ๋อง แต่ไท่ซานอ๋องก็ไม่เสีย
แรงที่เป็นนักรบ เขายกดาบขึ้นปัดลูกธนู แต่ลูกธนู
กลับไม่ได้กระเด็นออกไป แต่มันบิดผ่านไปทางแขน
ของไท่ซานอ๋อง
ไท่ซานอ๋องตกใจมาก คิดว่าธนูดอกนี้เหตุใดมันถึงได้
แรงมากขนาดนี้ เกือบเอาชีวิตเขาไปแล้ว เขาไม่รู้เลย
ว่าฉีหนิงจะมีแรงกำลังอย่างน่าตกใจ แต่ว่าทักษะการ
ยิงธนูของเขาธรรมดามาก หากเป็นมือธนูที่ร้ายกาจ
กว่านี้ ได้แรงกำลังอย่างฉีหนิง ไท่ซานอ๋องตาย
แน่นอน
ที่สำคัญคือ ฉีหนิงไม่ได้คิดจะฆ่าไท่ซานอ๋อง
ก่อนที่จะลงเขามา ฉีหนิงคิดแล้วดูสถานการณ์การ
รบไปด้วย เพื่อหาแผนเอาตัวรอดที่ดีที่สุด แต่ว่าไม่ว่า
อย่างไรจบเรื่องแล้วมันก็จะยังวุ่นวายอยู่ดี
ถึงแม้เรื่องนีจ้ ะเป็นสงครามระหว่างพี่น้อง ไม่ว่าใคร
แพ้หรือชนะ เหมือนคนอืน่ จะไม่ได้รับผลกระทบ
เท่าไหร่ แต่ว่ามันกลับส่งผลต่อประโยชน์ของแคว้นฉู่
เขาพยายามหาความสมดุลในเรื่องนี้ สองพี่น้องนีใ่ คร
ชนะ แล้วมีประโยชน์ต่อแคว้นฉู่มากที่สุด
หากเทียบด้านนิสัย รัชทายาทสุขุมมากกว่าไท่ซาน
อ๋อง อีกทั้งด้านความสามารถก็เหนือกว่าไม่น้อย
หากในอนาคตเขาได้เป็นกษัตริย์ ตงฉีภายใต้การ
ปกครองของรัชทายาทก็น่าจะแข็งแกร่งมากกว่าไท่
ซานอ๋องแน่นอน ซึง่ มันก็เหมือนจะเป็นภัยต่อแคว้นฉู่
ไม่น้อย แต่ว่าหากเบื้องหลังของไท่ซานอ๋องคือชาว
เป่ยฮั่นจริง แล้วไท่ซานอ๋องได้อำนาจไป หนานฉู่
เดือดร้อนแน่นอน
อีกทั้งฉีหนิงเชื่อว่าหากไท่ซานอ๋องก่อกบฏครั้งนี้
สำเร็จ แต่ว่าหยกคู่ตงฉียังอยู่ ไท่ซานอ๋องก็นั่งบัลลังก์
ไม่สำเร็จอยู่ดี
แต่กลับรัชทายาทแล้ว หากเขาสามารถช่วยได้ เมื่อ
สำเร็จ ความสัมพันธ์ของแคว้นฉู่กับตงฉีก็จะสนิท
สนมขึ้นมาทันที เมื่อเทียบกับไท่ซานอ๋องแล้ว หากรัช
ทายาทรอดจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ มันมีประโยชน์ต่อ
แคว้นฉู่มากกว่า
สิ่งที่สำคัญที่สุด ฮ่องเต้น้อยหลงไท่หวังกับการ
เดินทางมาตงฉีในครัง้ นี้มาก เพราะมันส่งผลต่อ
สถานการณ์การเมืองของแคว้นฉู่ด้วย หากรัชทายาท
พลาด การเจรจาเรื่องการอภิเษกเองก็จะล่ม ทาง
หนานฉู่ ตระกูลซือหม่าก็จะฉวยโอกาส ส่งซือหม่า
หว่านฉงเข้าวัง หลงไท่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แล้วก็
ไม่ใช่สิ่งที่ฉีหนิงอยากเห็นด้วย
ฉีหนิงมั่นใจในวรยุทธ์ของตัวเองพอสมควร เขาคิดว่า
ขอแค่เข้าใกล้ไท่ซานอ๋องได้ จู่โจมเข้าใส่ แล้วจับตัว
เขาไว้ สถานการณ์ทุกอย่างก็จะเปลีย่ นไปทันที
บนโลกใบนี้ไม่มีอาหารกลางวันที่ไม่ต้องเสียเงิน
ต้องการได้อะไรมา ก็ต้องลงทุนลงแรง
อู๋ต๋าหลินเห็นฉีหนิงอยู่ไม่ไกล เขาเห็นเนินพญาวัวถูก
ล้อม ฉีหนิงถูกขังอยู่บนเนิน เขาร้อนใจมาก แต่ก็รู้ว่า
สถานการณ์แบบนี้ คณะทูตไม่ควรทำอะไรวู่ว่าม ไท่
ซานอ๋องปะทะกับรัชทายาท เป็นเรือ่ งภายในของ
ตงฉีเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแคว้นฉู่ หากคณะทูต
ลงมือเมื่อไหร่ มันจะเป็นการดึงแคว้นฉู่เข้าไปผสมโรง
เรื่องนีท้ ันที
พวกของฉีเฟิงอยากจะพาคนบุกลงมาจากเนินหมูป่า
แต่อู๋ต๋าหลินก็ห้ามไว้ จนสุดท้ายเขาก็พาคนลงมาจาก
เนินหมูป่าเอง แล้วไปชี้แจงเรื่องราวให้ไท่ซานอ๋องรู้
ยังดีที่ไท่ซานอ๋องเข้าใจเหตุผล สั่งให้เป่าแตรถอน
กำลัง ให้ฉีหนิงลงจากเขามาได้ แต่ว่าพอลงมาแล้วไท่
ซานอ๋องกลับต้องการให้ฉีหนิงคุกเข่าให้เขา อู๋ต๋าหลิน
รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสม แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฉีหนิงจะ
ยิงธนูใส่ไท่ซานอ๋องในเวลาแบบนี้
ฉีหนิงยิงไม่โดน ขุนพลของไท่ซานอ๋องได้สติกลับมา
ทหารด้านหน้าและหลังต้องโห่ร้อง พุ่งดาบอาวุธใส่ฉี
หนิง ฉีหนิงอยู่ไม่ไกลจากไท่ซานอ๋อง เขาดีดตัวราว
กับนกกระเรียน ลอยกลางอากาศ จากนั้นก็ได้ยิน
เสียงดังขึ้นมาว่า “โหวเยว่...” อู๋ต๋าหลินพุ่งเข้ามา ยืน
อยู่ข้างฉีหนิง
อู๋ต๋าหลินตกใจมาก เพราะเขาก็มีประสบการณ์มา
ก่อน แต่เขาก็เข้าใจเจตนาของฉีหนิง เขารู้ว่าในเมื่อฉี
หนิงลงมือไปแล้ว ก็จะไม่มีทางถอยอีก เขาพุ่งตัวเข้า
มา ฉีหนิงลอยตัวขึ้นไปแล้ว เขาดีดขาบนไหล่
ของอู๋ต๋าหลิน เขามาได้จังหวะพอดี ทุกคนเห็นฉีหนิง
เหยียบไหล่อู๋ต๋าหลินลอยตัวขึ้น เขาเหมือนมังกรที่
ทะยานอยูบ่ นท้องฟ้า เหมือนเหยี่ยวที่กำลังสยายปีก
บินอย่างอิสระ ทุกคนก็ตกใจอ้าปากค้าง
รัชทายาทที่อยูบ่ นเนินเองก็เห็นทุกอย่างชัด หลายต่อ
หลายคนรู้สึกตกใจมาก รัชทายาทเห็นฉีหนิงราวกับ
เหยี่ยวที่ทะยานอยูบ่ นท้องฟ้า พุ่งเข้าใส่ไท่ซานอ๋อง
ก็พูดด้วยความตกใจว่า “ร้ายกาจมาก”
ฉีหนิงลอยตัวขึ้นง้างธนู แล้วยิงใส่ขนุ พลข้างกายของ
ไท่ซานอ๋อง
ไท่ซานอ๋องเห็นฉีหนิงลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าเหมือน
เทพเจ้า เขาตกใจอึ้งไป ลืมหลบ ถึงแม้เขาจะเป็น
นักรบกล้าคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เขาเองก็ไม่เคย
เห็นคนที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหมือนกับนกแบบนี้
---------------------------------

You might also like