You are on page 1of 1445

บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร

เล่มที่ 11 บทที่ 301 ข้อตกลงสีเลือด


ชวีเสี่ยวชางพูดว่า “ท่านหัวหน้าไป๋ ท่านรู้หรือไม่ว่า
คนที่วางยาพิษในเมืองหลวงครั้งนี้คือใคร?”
“หืม?” ไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า “หรือว่าชวีเซี่ยวเว่ยจะสืบหา
ตัวคนร้ายพบแล้วแล้ว?”
ฉีหนิงรู้สึกตกใจ แอบคิดในใจว่าหรือว่าทางจวนเสิน
โหวจะสืบหาคนร้ายตัวจริงได้แล้ว? จากนั้นเขาก็ได้
ยินชวีเสี่ยวชางพูดขึ้นมาว่า “คนร้ายตัวจริงพวกเรา
พบแล้ว แต่ว่าจากข้อสันนิษฐานของจวนเสินโหว การ
วางยาพิษในครั้งนี้เป้าหมายที่แท้จริง น่าจะไม่ใช่ราช
สำนัก แต่เป็นพรรคกระยาจกของพวกท่าน”
ไป๋เซิงเฮ่าพูดเสียงเข้มว่า “ใครกัน?”
ชวีเสี่ยวชางพูดว่า “หลังจากพิษระบาด ทางจวน
เสินโหวได้ส่งคนไปตรวจสอบ คนร้ายพวกเราพุ่งเป้า
ไปที่ตัวของราชาพิษจิ่วซี อีกทั้งพวกเรายังจับคนของ
พรรคบัวดำที่แอบแฝงตัวในเมืองหลวงได้อีก”
“เป็นราชาพิษจิ่วซีจริงหรือ?” ไป๋เซิงเฮ่าพูด
ชวีเสี่ยวชางพูดว่า “ถึงแม้จวนเสินโหวจะสงสัยราชา
พิษจิ่วซีของพรรคบัวดำ แต่ว่าพวกเราไม่มีหลักฐาน ก็
ไม่อาจพูดได้อย่างมั่นใจว่าเขาคือคนร้ายตัวจริง ถึงแม้
พวกเราจะจับคนของพรรคบัวดำมาได้ สอบปากคำ
อย่างละเอียด ก็ต้องให้อีกฝ่ายรับสารภาพออกมา
ก่อนถึงจะพูดได้เต็มปาก”
“รับสารภาพแล้วหรือยัง?”
ชวีเสี่ยวชางพูดว่า “ตอนที่พวกเรากำลังสอบปากคำ
อยู่ ก็เกิดเรื่องคาดไม่ถึงที่จวนเสินโหวของพวกเรา...มี
คนบุกเข้ามาชิงตัวนักโทษถึงในจวนเสินโหว”
ฉีหนิงเห็นสีหน้าของผู้อาวุโสจูเชวี่ยสีหน้าดูเปลี่ยนไป
ในใจก็คิดว่าชิวเฉียนอี้บุกชิงตัวนักโทษในจวนเสินโหว
แม้แต่พรรคกระยาจกเองก็ยังไม่รู้เลยหรือ
เขารู้สึกแปลกใจมาก แอบคิดในใจว่าการสืบหา
คนร้าย เป็นหน้าที่ของจวนเสินโหวก็จริง แต่เหตุใดชวี
เสี่ยวชางจะต้องบอกเรื่องพวกนี้กับพรรคกระยาจก
ด้วย? เพราะเขาถูกจับตัวไปที่จวนเสินโหว เรื่องนี้
เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของจวนเสินโหวในยุทธภพ คนที่
รู้เรื่องนี้ยิ่งน้อยยิ่งดี
ไป๋เซิงเฮ่าพูดด้วยเสียงเข้มว่า “บุกชิงตัวคนในจวนเสิน
โหว? คนของพรรคบัวดำหรือ? หึ บุกชิงตัวคนในจวน
เสินโหว รนหาที่ตายชัดๆ”
“ท่านหัวหน้าไป๋ เดิมทีเรื่องนี้ไม่เหมาะที่จะให้คนนอก
ได้รับรู้ ข้าพูดตามตรง จวนเสินโหวของพวกเราไม่เคย
มีใครบุกเข้าไปได้เลย แต่ครั้งนี้พวกเราประมาท” ชวี
เสี่ยวชางถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องนี้มันถือเป็นการ
หยามเกียรติจวนเสินโหวของพวกเรามาก มันพูด
ออกมายากมาก อีกฝ่ายไม่เพียงชิงตัวนักโทษออกไป
ได้ อีกทั้ง เหอะเหอะ อย่าพูดถึงเลยจะดีกว่า”
ไป๋เซิงเฮ่ารู้สึกตกใจมาก ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีความรู้สึก
ดีกับทางจวนเสินโหวเท่าไหร่ แต่ว่าสามารถบุกเข้าไป
ช่วยคนถึงในจวนเสินโหวได้สำเร็จ มันทำให้ไป๋เซิงเฮ่า
ตกใจมากจริงๆ เขารีบถามว่า “ชวีเซี่ยวเว่ย คนที่บุก
ชิงตัวนักโทษไป ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นคนของพรรค
บัวดำ?”
“พวกเราแน่ใจ เพราะเขาคือราชาพิษจิ่วซีชิวเฉียนอี้”
ชวีเสี่ยวชางพูดว่า “เดิมทีพิษระบาดในเมืองหลวง
พวกเราเองก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเป็นฝีมือของชิวเฉียนอี้
แต่ว่าชิวเฉียนอี้มาปรากฏตัวที่จวนเสินโหว ก็ไม่มี
อะไรต้องพูดอีก คนร้ายที่วางยาจะเป็นใครไปได้อีก
เล่า มันเหมือนได้คำตอบมาแล้ว”
ไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า “ต่อให้ชิวเฉียนอี้ไม่ได้เป็นคนลงมือ
ด้วยตัวเอง เขาเองก็หนีไม่พ้น ชิวเฉียนอี้เป็นคนของ
พรรคบัวดำ พรรคบัวดำก็ต้องเป็นคนร้ายตัวจริง
แน่นอน”
“ถูกต้อง” ชวีเสี่ยวชางพูดว่า “ตั้งแต่ก่อตั้งจวนเสิน
โหวมา พวกเราก็ได้ทำการดูแลจัดการความเรียบร้อย
ในยุทธภพมาโดยตลอด หลายปีมานี้ เพราะมีจวนเสิน
โหวทำการไกล่เกลี่ยให้ ในยุทธภพถึงได้ลดการล้มตาย
ลงไปมาก เรื่องนี้ ท่านหัวหน้าไป๋น่าจะรู้ดีจริง
หรือไม่?”
ไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า “ในยุทธภพไม่ได้เกิดการเคลื่อนไหว
ใหญ่มานานหลายปี ก็เพราะจวนเสินโหว ข้ารู้เรื่องนี้
ดี”
ชวีเสี่ยวชางพูดว่า “ท่านหัวหน้าไป๋ ข้าเองก็รู้ว่าเหตุใด
ท่านถึงได้มีอคติต่อจวนเสินโหวนัก ท่านคิดว่าครั้งนี้
ทางจวนเสินโหวไม่ได้ช่วยพรรคกระยาจกของพวก
ท่านอย่างเต็มที่ ใช่หรือไม่? แต่ว่าท่านหัวหน้าไป๋ลอง
คิดดูนะ พิษระบาดคราวนี้เริ่มต้นมาจากพรรค
กระยาจก พวกท่านเองก็ไม่ได้แจ้งพวกเราแต่แรก ทำ
ให้เสียเวลาไปไม่น้อย พอพวกเรามารู้เรื่องอีกที พิษก็
เริ่มปะทุร้ายแรงขึ้นแล้ว จวนเสินโหวก็ไม่ใช่เทพเจ้า ที่
เจอพิษก็สามารถถอนได้ทันที”
ไป๋เซิงเฮ่าไม่พูดอะไรมาก
“พวกท่านคิดว่ามันคือบุญคุณความแค้นในยุทธภพ
ระหว่างพรรคกระยาจกกับพรรคบัวดำ ดันจวนเสิน
โหวให้ออกห่างจากเรื่องนี้ สุดท้ายก็กลายเป็นภัย
ใหญ่” ชวีเซี่ยวชางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เกรงใจ “ขอ
พูดอะไรที่น่าเกียจสักหน่อย เรื่องในครั้งนี้ พรรค
กระยาจกของพวกท่านจะต้องรับผิดชอบมากที่สุด”
“ชวีเซี่ยวเว่ยท่านมาเพื่อถามหาความรับผิดชอบอย่าง
นั้นหรือ?” ไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า “หากเป็นเช่นนั้น ข้า
สามารถตามท่านไปที่จวนเสินโหวกับท่านตอนนี้เลย
ข้ายอมรับการถูกท่านไต่สวนทุกประการ”
ชวีเสี่ยวชางพูดว่า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถามหาความ
รับผิดชอบ ไม่ว่าจวนเสินโหว หรือว่าพรรคกระยาจก
ก็มีเรื่องอื่นสำคัญกว่าที่ต้องทำ”
“เรื่องอะไร?”
“พรรคบัวดำวางยาพิษในเมืองหลวง ถือว่าได้ทำลาย
กฎของยุทธภพแล้ว” ชวีเสี่ยวชางยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า
“ตอนนั้นทางจวนเสินโหวของพวกเราได้ทำการ
ประกาศข้อตกลงสีเลือดเอาไว้ ทุกพรรคทุกสำนัก
ต้องเคลื่อนไหวในขอบเขตของตนเองเท่านั้น หาก
ออกนอกเขตของตน ก็ถือว่าเป็นกบฏ ท่านหัวหน้าไป๋
ข้อตกลงสีเลือดนี้เพิ่งประกาศใช้ไปได้แค่สิบหกปี
เท่านั้น ท่านเองก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดี”
ฉีหนิงรู้สึกอยากรู้ แอบคิดในใจว่าข้อตกลงสีเลือดนี่
มันอะไรกัน?
ไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า “ถูกต้อง ข้อตกลงสีเลือดของยุทธภพ
เป็นข้อตกลงที่ซีเหมินเสินโหวของจวนเสินโหวเป็นคน
ประกาศด้วยตัวเอง แปดพรรคสิบหกสำนักร่วมกันลง
นามในข้อตกลงนี้ ในข้อตกลงสีเลือดได้ระบุขอบเขต
อำนาจของแปดพรรคสิบหกสำนักเอาไว้ชัดเจน ต่อให้
มีบางพรรคจะมีขอบเขตอำนาจที่เดียวกัน ในข้อตกลง
สีเลือดก็มีระบุรายละเอียดเอาไว้อย่างชัดเจน ในตอน
นั้นทางแปดพรรคสิบหกสำนักได้ประทับลายนิ้วมือ
บนข้อตกลงสีเลือดร่วมกัน หากใครฝ่าฝืน ก็จะถือว่า
เป็นศัตรูกับยุทธภพ”
“ดี” ชวีเสี่ยวชางตบมือยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านหัวหน้าไป๋
ความจำดีทีเดียว หลังจากลงนามในข้อตกลงสีเลือด
แล้ว สิบหกปีที่ผ่านมา นอกจากสำนักหู่ซาที่ละเมิด
กฎ รุกล้ำอาณาเขตของพรรคจิ่วหลง จนถูกจวนเสิน
โหวลงมือกวาดล้างไป ก็ไม่มีพรรคหรือสำนักไหนกล้า
ละเมิดกฎอีก ทำให้ในสิบหกปีที่ผ่านมานี้ในยุทธภพมี
แต่ความสงบ ทุกคนต่างทำอะไรในที่ของตัวเองไป”
ฉีหนิงตอนนีถ้ ึงได้รู้แล้ว เขาแอบคิดในใจว่าที่แท้ที่จวน
เสินโหวสามารถควบคุมยุทธภพได้ เพราะได้ให้ทาง
แปดพรรคสิบหกสำนักลงนามในข้อตกลงสีเลือดนี่เอง
มันก็เหมือนกฎหมายของทางราชสำนัก สำหรับใน
ยุทธภพแล้ว ข้อตกลงสีเลือดก็เหมือนกฎหมายที่มัด
ตัวพวกเขาเอาไว้ เมื่อนึกดีๆ แล้ว จะประเมินซีเห
มินอู๋เหิงต่ำไม่ได้เลย
ฉีหนิงรู้ดีว่า พรรคและสำนักในยุทธภพก็เหมือนปลา
ในน้ำ มีมากนับไม่หมด หากไม่มีกฎเกณฑ์ผูกมัดตัว
พวกเขาเอาไว้ เลือดคงนองไปทั่ว แต่ว่าจะออกกฎมา
มัดม้าพยศพวกนี้เอาไว้ มันยากมาก หากไม่มีคนที่มี
อำนาจสะเทือนไปทั่วทุกพรรคทุกสำนักออกหน้าทำ
เรื่องนี้ คิดว่าอยากจะให้พวกเขาลงนามทำตาม
กฎเกณฑ์ คงเป็นแค่ฝันแน่นอน
แต่ว่าคำพูดของชวีเสี่ยวชาง หมายความว่าอย่างน้อย
ภายในสิบหกปีที่ผ่านมานั้น มีน้อยคนนักที่กล้าท้า
ทายอำนาจบารมีของจวนเสินโหว
จวนเสินโหวมีราชสำนักหนุนหลัง ไม่ว่าพรรคไหนใน
ยุทธภพ แม้แต่ศิษย์พรรคกระยาจกที่มีมากที่สุดในทั่ว
หล้านี้ ก็ไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจของจวนเสินโหว
นอกเหนือจากนี้ ฐานะของซีเหมินเสินโหวในยุทธภพ
เอง ก็ไม่ใช่เล็กๆเลย
อาศัยแค่วรยุทธ์คงไม่อาจทำให้เหล่าชาวยุทธนั้นยำ
เกรง และอาจจะไม่สามารถทำให้พวกเขาทำตามกฎ
ได้
ไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า “ถูกต้อง หลายปีที่ผ่านมา
จวนเสินโหวทำอะไรมากไม่น้อย”
“ในข้อตกลงสีเลือดระบุไว้ชัดเจน ไม่ว่าขั้วอำนาจไหน
ในยุทธภพทำลายกฎเกณฑ์ ก็จะต้องได้รับโทษ” ชวี
เสี่ยวชางพูดว่า “ในบรรดาแปดพรรคสิบหกสำนัก
พรรคกระยาจกคือหนึ่งในนั้น ประมุขพรรคกระยาจก
คนก่อนอย่างท่านประมุขเซียวกับทางจวนเสินโหว
ของพวกเราถือว่าใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก เขา
สนับสนุนข้อตกลงสีเลือดนี้มาก”
“ชวีเซี่ยวเว่ย ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา” ไป๋เซิงเฮ่าพูด
ว่า “ท่านพูดอ้อมไปอ้อมมา ต้องการพูดอะไรกันแน่
พูดออกมาตรงๆ น่าจะดีกว่า ท่านบอกว่า มีเรื่อง
อยากจะหารือกับท่านผู้อาวุโสจูเชวี่ย ฐานะของข้ายัง
ไม่ถึงขั้นนั้น ดังนั้นไม่ว่าท่านจะพูดอะไรมา ข้าจะนำ
ความไปรายงานให้ท่านผู้อาวุโสได้ทราบทุกคำ ท่าน
พูดมากเกินไป ข้าความจำไม่ค่อยดี หากตกหล่นไป
ถึงเวลานั้นไม่อาจส่งความได้ครบ จะมาโทษข้าไม่ได้
นะ”
ชวีเสี่ยวชางหัวเราะแล้วพูดว่า “ดี ท่านหัวหน้าไป๋เป็น
คนตรงไปตรงมาดี แต่ว่าท่านหัวหน้าไป๋อย่าได้รีบร้อน
ถึงอย่างไรข้าต้องพูดชัดเจนอยู่แล้ว ท่านหัวหน้าไป๋จะ
ได้ไปรายงานท่านผู้อาวุโสจูเชวี่ยถูก ท่านวางใจได้
เมื่อข้าพูดจบ ท่านเองก็ไม่ต้องรายงานทุกคำก็ได้ แค่
แจ้งความประสงค์ของข้าไปก็พอแล้ว”
ไป๋เซิงเฮ่า “อืม” ตอบไปแค่นั้น ไม่ได้พูดอะไรมากอีก
“ยุทธภพสงบมาแล้วสิบหกปี แต่ว่าตอนนี้เหมือนจะมี
คนไม่อยากเห็นยุทธภพสงบต่อไปแล้ว” ชวีเสี่ยวชาง
พูดว่า “ข้อตกลงสีเลือดในครั้งก่อนถึงแม้จะไม่ได้ครบ
ทุกพรรคทุกสำนัก แต่ว่าแปดพรรคสิบหกสำนักก็ถือ
ได้ว่าเป็นตัวแทนของยุทธภพทั้งหมด ไม่ว่าพรรคไหน
ก็ตามที่ไม่ได้ลงนาม ก็ต้องทำตามกฎเช่นเดียวกัน
พรรคบัวดำอยู่ทางตะวันตก ทำตัวลับๆ ล่อๆ เท่าที่
จวนเสินโหวรู้ พรรคบัวดำก่อตั้งมานานหลายปีแล้ว
แต่ว่าพวกเขาหลบซ่อนตัวอยู่ในภูเขา ไม่เคยออกมา
สร้างความเดือดร้อนข้างนอก ดังนั้นทางจวนเสินโหว
เองก็ไม่เคยไปยุ่ง” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วย
น้ำเสียงที่ดุดัน “ถึงแม้พรรคบัวดำจะไม่ได้ลงนามใน
ข้อตกลงสีเลือด แต่ว่าพรรคหรือสำนักอื่นในยุทธภพ
ทั้งหมด ที่อยู่ในดินแดนแคว้นฉู่ ก็ทำตามกฎของ
ข้อตกลงสีเลือดทั้งนั้น”
“ความหมายของชวีเซี่ยวเว่ยคือ พรรคบัวดำมาก่อ
เรื่องในเมืองหลวง ถือว่าผิดกฎของข้อตกลงสีเลือด
ดังนั้นแปดพรรคสิบหกสำนักก็ควรจัดการตามกฎของ
ข้อตกลงสีเลือดอย่างนั้นใช่หรือไม่?” ไป๋เซิงเฮ่าพูด
น้ำเสียงเข้ม
ชวีเสี่ยวชางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าว่าแล้ว ว่าท่านหัวหน้า
ไป๋เป็นคนฉลาด เข้าใจความหมายของข้า ถูกต้อง
ท่านเสินโหวมีคำสั่ง เพราะพรรคบัวดำก่อความ
วุ่นวาย คิดจะสร้างความปั่นป่วนในยุทธภพ แปด
พรรคสิบหกสำนัก จะต้องให้ความร่วมมือกับจวนเสิน
โหว ในการกวาดล้างพรรคบัวดำ”
ถึงแม้ฉีหนิงจะไม่รู้รายละเอียดในข้อตกลงสีเลือด แต่
ว่าเขาเดาเจตนาของชวีเสี่ยวชางออก เมื่อชวีเสี่ยวชาง
พูดจบ ฉีหนิงก็ตะลึงไป
จวนเสินโหวต้องการร่วมมือกับกลุ่มอำนาจในยุทธภพ
เพื่อกวาดล้างพรรคบัวดำ
พริบตาเดียว สมองของฉีหนิงก็แล่น เมื่อ
ประติดประต่อเรื่องก่อนหน้านี้ที่ล่ะนิด เขาจำได้ว่า
ราชาพิษจิ่วซีชิวเฉียนอี้เคยพูดว่า เรื่องชิงตัวในจวน
เสินโหว มันเป็นแผนของซีเหมินอู๋เหิง เป้าหมายของซี
เหมินอู๋เหิงไม่ได้ต้องการจับตัวชิงเฉียนอี้ เป้าหมายที่
แท้จริงก็คือ แค่หาหลักฐานให้ทางพรรคบัวดำ
เกี่ยวข้องกับเรื่องพิษในเมืองหลวง
ราชาพิษจิ่วซีบุกเข้าจวนเสินโหว บุกชิงตัวนักโทษ นี่
ถือว่าเป็นหลักฐานชั้นดี มีแค่หลักฐานชิ้นนี้ ก็มากกว่า
อย่างอื่นแล้ว
ก่อนหน้านี้ฉีหนิงยังไม่ค่อยเชื่อเฉียนอี้มากนัก วันนี้พอ
ได้ยินคำพูดของชวีเสี่ยวชาง เขาก็ตกใจ เขารู้สึก
เหมือนว่าราชาพิษจิ่วซีน่าจะพูดจริง ซีเหมินอู๋เหิง
วางแผนเพื่อหาหลักฐาน เป้าหมายที่แท้จริงของพวก
เขา กลับเหมือนกับพวกไหวหนานอ๋อง ที่ต้องการลง
มือกับพรรคบัวดำ
เพียงแต่ว่าซีเหมินอู๋เหิงสุขุมมาก ไม่เคยพูดมาก แต่รุก
ทุกอย่าง
ฉีหนิงรู้สึกไม่เข้าใจว่า เหตุใดเหล่าขุนนางใหญ่ในราช
สำนัก ถึงกลับพุ่งเป้าไปยังพรรคบัวดำที่อยู่ซีชวนโดย
ไม่ได้นัดหมายแบบนี้ อยากจะเห็นพรรคบัวดำล่ม
สลายไป?
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 11 ความหนาวเหน็บของคืนวัน
บทที่ 302 แปดพรรคสิบหกสำนัก

undefined
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 11 บทที่ 303 สายน้ำไม่หวนคืน
หวังเสียงตบหัวตัวเองไปหนึ่งที แล้วรีบพูดว่า “โหว
เยว่ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ก่อนแม่นางจะไป ได้พูดถึง
ท่านอยู่ขอรับ อีกทั้งยังฝากจดหมายเอาไว้ด้วย แม่
นางบอกว่าโหวเยว่อาจจะไม่มา หากโหวเยว่ไม่มา
จดหมายนี่ก็ให้เก็บเอาไว้ที่เรือ ไม่ต้องนำไปมอบให้
ท่าน แต่ว่าหากท่านมาที่นี่ ก็จะต้องเอาจดหมายฉบับ
นี้มอบให้โหวเยว่กับมือ โหวเยว่ ท่านรอสักครู่นะ
ขอรับ ข้าน้อยไปเอาจดหมายมาให้ท่านก่อน”
ที่จริงแล้วฉีหนิงก็ไม่ได้มั่นใจว่าจั่วเซียนเอ่อร์จะคิดถึง
เขาหรือไม่
ฉีหนิงไม่เคยรู้สึกว่าตัวเขาจะสามารถทำให้ผู้หญิงหยุด
อยู่ที่เขาหรือว่าตายแทนเขาได้ เขาเองก็เข้าใจ
ความคิดของผู้หญิงนั้นคาดเดาได้ยาก อีกทั้งผู้หญิงที่
อยู่ในสถานที่เริงรมย์แบบนี้ คิดอยากจะได้ความรู้สึก
ที่แท้จริงจากตัวพวกนางมันยากยิ่งกว่ายาก
คืนนั้นความอ่อนโยน ความอบอุ่นของจั่วเซียนเอ่อร์ ฉี
หนิงไม่ได้รู้สึกว่าจั่วเซียนเอ่อร์จะหยุดอยู่ที่เขาแต่
อย่างใด
หวังเสียงกลับลงมาจากเรืออย่างรวดเร็ว เขาขึ้นมาบน
ฝั่ง แล้วยื่นจดหมายให้ด้วยสองมือ ฉีหนิงรับจดหมาย
มา เหมือนเขาจะได้กลิ่นหอมจากบนกระดาษ
จดหมาย
เขาเปิดจดหมายออกอ่าน ด้านในมีบทกลอนอยู่สอง
ประโยค
ผีเสื้อน้อยที่น่ารักล่องลอยมาตามลม คนรู้ใจอยู่ไหน
ไม่มีใครรู้
ฉีหนิงขมวดคิ้ว กลอนสองประโยคนี้จั่วเซียนเอ่อร์เคย
ท่องออกมาเมื่อคืนนั้น เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เก็บ
จดหมายเข้าเสื้อไป เขายิ้มแล้วพูดว่า “หลังจากที่แม่
นางเซียนเอ่อร์กลับมาแล้ว เจ้าไปแจ้งข้าทีนะ”
“โหวเยว่โปรดวางใจ เมื่อแม่นางกลับมา ข้าน้อยจะ
รีบไปรายงานทันทีเลยขอรับ” หวังเสียงตอบกลับด้วย
ความนอบน้อมว่า “โหวเยว่ท่านจะขึ้นเรือไปดื่มชา
หรือไม่ขอรับ?”
“ไม่หรอก” ฉีหนิงส่ายหน้า ในเมื่อจั่วเซียนเอ่อร์ไม่อยู่
บนเรือ ฉีหนิงก็ไม่เสียเวลาอีก เขาขี่ม้ากลับจวนทันที
เมื่อกลับเข้าจวน ฉีหนิงก็เห็นพ่อบ้านที่เพิ่งได้รับการ
แต่งตั้งใหม่อย่างหานโซ่วเดินเข้ามาหา แล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ท่านหกมาขอรับ เอาของขวัญมาด้วยไม่
น้อยเลยขอรับ”
“ท่านหก?” ฉีหนิงพูดอย่างแปลกใจว่า “ท่านหก
ไหน?”
หานโซ่วรีบพูดว่า “ท่านหกฉีซงขอรับ”
ฉีหนิงตะลึงไป ทันใดนั้นเองก็เข้าใจขึ้นมาทันที ท่าน
ใหญ่สามมีลูกชายอยู่สองคน คนหนึ่งชื่อว่าฉีซง อีกคน
ชื่อว่าฉีไป๋ ฉีหนิงยังพอจะจำฉีซงได้บ้าง เขายิ้มแห้ง
แล้วพูดว่า “เขามาทำไม? ฮูหยินสามเล่า?”
“ฮูหยินสามไม่ออกมาพบขอรับ” หานโซ่วพูดว่า
“ข้าน้อยแจ้งไปแล้วว่าโหวเยว่ไม่อยู่ แต่ว่าท่านหกก็ไม่
ยอมกลับไป ยังบอกว่าจะรอจนกว่าโหวเยว่จะกลับมา
ขอรับ”
“เขามาหาเรื่องหรือ?” เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉีหนิงได้ยินคน
ของตระกูลฉีสามหลังใหญ่ เขาก็จะโมโหมาก หาก
ไม่ใช่เพราะเขาออกหน้า กู้ชิงฮั่นเองก็ไม่รู้ว่าจะถูก
ท่านใหญ่สามพ่อลูกรังแกอย่างไรบ้าง “ตอนนี้เขาอยู่
ไหน?”
“รออยู่ที่โถงใหญ่ขอรับ รอมาประมาณหนึ่งชั่วยาม
แล้ว” หานโซ่วพูดว่า “โหวเยว่ ที่ท่านหกมาวันนี้
เหมือนจะไม่ได้มาหาเรื่องนะขอรับ เขาเอาของขวัญ
ห่อเล็กห่อใหญ่มามากมายเลย”
ฉีหนิงยิ้มเจื่อน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเดินตรงไป
ที่โถงใหญ่ทันที ภายในโถงใหญ่เงียบมาก เห็นเพียง
ท่านหกของตระกูลฉีที่รูปร่างอ้วนท้วมกำลังนั่งอยู่บน
เก้าอี้ เขานั่งสัปหงก กำลังกรนอยู่เลย เขารอจนหลับ
ไป
ฉีหนิงกวาดสายตามองไป เขาเห็นของขวัญมากมาย
กองอยู่ที่โต๊ะ เขาค่อยๆ เดินไป แล้วนั่งตรงข้ามกับที่
ฉีซงนั่งอยู่ เขานั่งไขว้ห้างขึ้นมาแล้วจ้องไปที่ฉีซง
จากนั้นก็ไอสองที
ใครจะรู้ว่าฉีซงนั้นจะหลับลึกมาก เขาไออีกหลายที
แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ฉีหนิงไม่ว่างมาเสียเวลา
กับคนแบบนี้ เขาตบโต๊ะอย่างแรงไปหนึ่งที “ปึ้ง”
ฉีซงตกใจตื่นจากความฝัน เกือบจะตกลงมาจากเก้าอี้
เขารีบลุกขึ้นมาทันที เขาเห็นฉีหนิงนั่งอยู่ตรงข้ามเขา
ก็รีบจัดแจงเสื้อผ้า แล้วรีบลุกขึ้นมาดื่มน้ำชาไปหนึ่ง
คำ จากนั้นก็วางลง เขายิ้มแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อร์กลับ
มาแล้วหรือ?”
“หนิงเอ๋อร์?” ฉีหนิงดึงเสื้อของตัวเอง แล้วพูดว่า
“ชื่อนี้เจ้าเรียกได้หรือ?”
ฉีซงยิ้มแล้วพูดว่า “อาหกผิดเอง อาหกควรเรียกเจ้า
ว่าโหวเยว่ถึงจะถูก ฮ่าฮ่า...โหวเยว่ช่วงนี้เป็นอย่างไร
บ้าง?”
สีหน้าของฉีหนิงไม่เปลี่ยนเขาพูดว่า “มีอะไรก็พูดมา
ตรงๆ ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมา”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ฉีซงยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่
รับบรรดาศักดิ์ อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการ
ทหารค่ายกิเลนดำ ถือเป็นเกียรติของวงศ์ตระกูลของ
พวกเรา อาหกเป็นตัวแทนของผู้อาวุโสกับญาติพี่น้อง
ในตระกูลมาแสดงความยินดีกับเจ้า จริงสิ คืนนี้ ทาง
เราได้จัดงานเลี้ยงไว้ เพื่อฉลองให้กับโหวเยว่ โหวเยว่
...”
“ช้าก่อน” ฉีหนิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา “เดี๋ยวนะ ที่
เจ้าพูดมาข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจเลย เจ้าบอกว่าข้าได้เป็น
ผู้บัญชาการค่ายกิเลนดำ เป็นเกียรติของวงศ์ตระกูลฉี
มันหมายความว่าอย่างไร?”
ฉีซงเขยิบเข้าใกล้ ใบหน้าอวบอิ่มของเขาเปี่ยมไปด้วย
รอยยิ้ม “โหวเยว่เหตุใดต้องถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วด้วย
ค่ายกิเลนดำเป็นค่ายที่ตระกูลฉีของพวกเราก่อตั้ง
ขึ้นมา ตอนนี้โหวเยว่ได้เป็นผู้บัญชาการทหารค่าย
กิเลนดำได้อีกครั้ง นี่ถือเป็นเกียรติของตระกูลฉีของ
พวกเรา ท่านพ่อ...เอ่อ ท่านใหญ่สามรู้สึกดีใจมาก ชื่น
ชมท่านอยู่ตลอดเวลาเลย”
เขาพูดจาแบบนี้ออกมา เหมือนลืมไปแล้วว่าก่อนหน้า
นี้ไม่นานนักฉีหนิงได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลฉี
ไปแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า...” ฉีหนิงหัวเราะร่า “นี่เป็นเกียรติของจวน
จิ่นอีโหว ไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลฉี ฉีซงข้าว่าเจ้าเองก็
อายุไม่ได้มากเท่าไหร่ ทำไมถึงได้เป็นโรคหลงๆ ลืมๆ
เร็วขนาดนี้เล่า? จวนจิ่นอีโหวกับตระกูลฉีไม่ได้มีอะไร
เกี่ยวข้องอีกต่อไปแล้ว ต่อให้ข้าต้องไปเป็นขอทาน
ข้างถนน ตระกูลฉีก็ไม่เสียเกียรติ ข้าเจริญรุ่งเรือง นั่น
ก็ไม่ใช่เกียรติของตระกูลฉี เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ฉีซงไม่ได้มีท่าทางเสียหน้า แต่เขายังคงยิ้มแล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ท่านพูดไปถึงไหนกัน ครั้งที่แล้วก็แค่ล้อเล่น
กันเอง ตระกูลฉีจะกล้าตัดขาดกับจวนจิ่นอีโหวได้
อย่างไรกัน สายเลือดเดียวกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็
ตัดกันไม่ขาดหรอก” เขาชี้ไปที่กองของขวัญที่โต๊ะ
“ท่านดูสิ นี่เป็นของที่ท่านใหญ่สามให้พวกเราไป
จัดการ มีแต่ของดีทั้งนั้น ท่านใหญ่สามกับพวกเราคิด
เหมือนกัน ท่านจะต้องรับมันไว้นะ”
“มันมีมูลค่าเท่าไหร่กัน?” ฉีหนิงเหลือบไปมอง
ฉีซงตะลึงไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ไม่มาก
เท่าไหร่ แค่ประมาณหนึ่งพันแปดร้อยตำลึงเอง คนใน
ตระกูลเดียวกันทั้งนั้น โหวเยว่อย่ารังเกียจว่ามันน้อย
เกินไปเลยนะ”
“น้อยไปหน่อยจริงๆ” ฉีหนิงพูดว่า “เงินภาษีของ
เจียงหลิงที่ซ่อนไว้ที่บ้านของพวกเจ้าครั้งที่แล้ว ข้าส่ง
คนไปขอคืน พวกเจ้าก็ยังหักเก็บไว้ห้าร้อยหลัง เมื่อ
เทียบกับเงินแค่นี้ พวกเจ้าเองก็ยังเหลืออยู่อีกมากเลย
นะ”
ฉีซงอึ้งไป เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกแล้ว
“ข้าไม่ค่อยมีข้อดีอะไรกับเขาหรอกนะ มีแค่พูดคำ
ไหนคำนั้น” ฉีหนิงพูดว่า “เห็นแก่ท่านเหล่าโหวกับ
ท่านแม่ทัพใหญ่ เงินภาษีห้าร้อยหลัง ก็ถือว่าให้ท่าน
ใหญ่สามไว้รักษาสุขภาพในยามแก่เฒ่าแล้วกัน แต่ว่า
ก็ได้เท่านี้ ข้าเคยบอกไปแล้ว จวนจิ่นอีโหวกับ
ตระกูลฉีไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ตั้งแต่นี้ต่อไป พวก
เราจะไม่ให้เงินช่วยเหลืออะไรพวกเจ้าอีกแล้ว” เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่า หลายปีมานี้ พวกเจ้า
สามบ้านมีการค้าขายในเมืองหลวงอยู่ไม่น้อย ถือว่า
ร่ำรวยมาก ดีกว่าจวนจิ่นอีโหวของพวกเราด้วยซ้ำ แค่
เงินภาษีห้าร้อยตำลึง พวกเจ้าเองก็คงไม่ชายตามอง
หรอก”
ฉีซงรีบพูดว่า “โหวเยว่ เอ่อ...เฮ้อ คนในครอบครัว
เดียวกันทั้งนั้น ทำไมต้องทำลายบรรยากาศกันด้วย ที่
ข้ามาในวันนี้ ที่จริงแล้วก็มาเพื่อขอขมาแทนพวกเรา
ทุกคน ก่อนหน้านี้พวกเขาอาจพูดจารุนแรงไปบ้าง
แต่ว่า...จะอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ทำเพื่อตระกูลฉี
ของพวกเรา”
“สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ เจ้าเคยเรียนหนังสือมาก็
น่าจะเข้าใจ?” ฉีหนิงไม่รีบไม่ร้อน เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านหก ของพวกนี้ ท่านก็ทิ้งเอาไว้ที่นี่ ส่วนท่าน ก็
กลับไปได้แล้ว”
ฉีซงอ้าปากค้าง สายตาของเขาเหมือนจะโมโห แต่ก็
ยังข่มอารมณ์ได้อยู่ เขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้า
รู้ว่าท่านไม่พอใจมาก แต่ว่า...แต่ว่าท่านก็น่าจะเห็น
แก่หน้าพวกเราบ้าง ท่านกำลังเจริญรุ่งเรือง สุดท้าย
แล้ว ก็ยังต้องให้คนในตระกูลช่วยเหลืออยู่ดีไม่ใช่หรือ
คนนอก จะมาทำได้ดีกว่าคนในบ้านได้อย่างไรกันจริง
หรือไม่?”
ฉีหนิงรู้สึกว่าคำพูดของฉีซงแฝงความหมายอื่นอยู่ เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านหกพูดแบบนี้หมายความว่า
อย่างไร? ที่มาวันนี้ มีเรื่องอื่นอีกใช่หรือไม่?”
“เอ่อ...” ฉีซงเห็นน้ำเสียงของฉีหนิงไม่เย็นชาเหมือน
ก่อนหน้านี้แล้ว ก็เลยเขยิบเข้ามาใกล้ แล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ที่จริง...ที่จริงก็มีเรื่องเล็กๆ อยากจะให้ท่าน
ช่วย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่ท่านพูดคำเดียวก็ได้
แล้ว”
ฉีหนิงพูดแค่ “อ่อ” เขายิ้มแล้วถามว่า “เรื่องอะไร?”
ฉีซงรีบพูดว่า “ท่านรู้จักฝูเอ๋อร์ใช่หรือไม่? ลูกชายของ
ข้า สองเดือนก่อนเพิ่งจะเต็มสิบหกไป ตอนนี้ก็โตเต็ม
วัยแล้ว เขาเป็นคนฉลาด เขาชอบการต่อสู้มาตั้งแต่
เด็ก ฮ่าฮ่า เขายังชอบหนังสือกลยุทธ์ ท่านคงไม่รู้ บาง
ทีเขาก็อ่านหนังสือกลศึกพวกนี้ถึงดึกดื่นเที่ยงคืน เมื่อ
เทียบกับข้า เขาเก่งกว่าข้ากว่าร้อยเท่า”
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาทันที เขาเหลือบตามองฉีซง แล้ว
พูดว่า “ความหมายของเจ้าคือ อยากให้ลูกชายของ
เจ้ามาเป็นทหารของค่ายกิเลนดำอย่างนั้นสินะ?”
ฉีซงรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ใช่ใช่ เจ้าเข้าใจความคิดของ
อาหกจริงๆเลยนะ ถูกต้อง ฝูเอ๋อร์เป็นคนมี
ความสามารถ คนที่เห็นเขา ไม่มีใครไม่ชมเขาเลย อีก
ทั้งเขาก็เป็นพี่น้องกับเจ้าด้วย อาหกได้ยินมาว่าค่าย
กิเลนดำกำลังรับสมัครคนอยู่ ให้ฝูเอ๋อร์ติดตามเจ้าเข้า
ไปฝึกฝนในค่ายทหาร มีเขาช่วยเหลือเจ้า พี่น้องร่วม
ใจ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องให้ตำแหน่ง
ใหญ่กับเขาก็ได้ ให้เขาได้ดูแลคนสักร้อยคนก็พอ
หลังจากที่สร้างผลงานได้แล้ว ค่อยเลื่อนตำแหน่งให้
เขา”
“เจ้าอยากให้ลูกชายเจ้าเข้าเป็นทหารของค่ายกิเลน
ดำ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “จริงๆ ก็ใช่ว่าจะไม่ดี แต่
ว่าเจ้าต้องคิดให้ดีก่อนนะ หลังจากที่เข้ามาเป็นทหาร
ในค่ายแล้ว มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ ทุกอย่างต้องว่าไป
ตามกฎทหาร คิดจะมาก็มาจะไปก็ไปไม่ได้นะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ฉีซงเห็นฉีหนิงพูดแบบนี้คิดว่า
ฉีหนิงรับปากแล้ว ก็ดีใจมาก “อาหกรู้อยู่แล้วว่าเจ้า
เป็นคนเข้าใจอะไรง่าย ข้าจะกลับไปบอกฝูเอ๋อร์ ให้
เขาเตรียมตัว ต่อไปเจ้าก็ช่วยดูแลเขาด้วยนะ”
“ช้าก่อน ข้ายังพูดไม่จบ” ฉีหนิงพูดว่า “กฎของค่าย
กิเลนดำระบุไว้ชัดเจนว่า ต้องสู้รบทำศึก ทหารทุก
นายจะต้องบุกไปยังด้านหน้าทุกคน หากใครกลัวศัตรู
ไม่ยอมบุก ต้องโทษประหารอย่างเดียวเท่านั้น อีก
อย่าง หลังจากก่อตั้งค่ายกิเลนดำเสร็จแล้ว ข้าคิดว่า
ต้องอยู่ฝึกในค่ายทหารตลอดเวลา ถึงเวลาก็ค่อยส่งไป
ยังแนวหน้าที่ชายแดน หากไม่ใช้ทหารเป่ยฮั่นในการ
ฝึก ก็ใช้พวกโจรในการฝึก ศึกแนวหน้าเพิ่งสงบลง
พวกโจรผู้ร้ายมีมาก จะได้เอามาใช้ในการฝึก ในเมื่อ
เป็นดาบเป็นหอกจริง ถึงเวลานั้นคงมีคนไม่น้อยที่ต้อง
ตาย เจ้าเตรียมใจไว้แล้วหรือยัง?”
ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มของฉีซงแข็งทื่อไปทันตา
“ต้อง...ต้องออกไปสู้รบกับศัตรูด้วยหรือ?”
ฉีหนิงหัวเราะแห้ง “อะไรกัน เจ้าคิดว่าให้ลูกชายเจ้า
มาเป็นทหาร มีตำแหน่งก็จะร่ำรวยขึ้นอย่างนั้น
หรือ?” เขาลุกขึ้นมา “ถึงแม้จวนจิ่นอีโหวกับตระกูลฉี
ของพวกเจ้าจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว แต่หาก
เจ้าอยากให้ลูกชายมาเป็นทหาร ข้าเองก็จะไม่ตัดเขา
ออก แต่ว่าหากไปถึงแนวหน้าจริง บาดเจ็ดหรือตาย
ขึ้นมา เจ้าเองก็ต้องทำใจไว้นะ หากมีความสามารถ
จริง อาจจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก็ได้ หึหึ หากเป็นแค่
ขยะ แต่เจ้ากลับยังอยากจะส่งเขามา ก็เหมือนกับส่ง
เขาไปตายนะ ท่านหก เจ้าเองต้องคิดให้ดีนะ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 11 บทที่ 304 ภาษาหมากรุก
เนื้อบนใบหน้าของท่านหกกระตุกเล็กน้อย เหมือนกับ
ว่ามันถูกแช่แข็งเอาไว้ แล้วพยายามฝืนยิ้มออกมา เขา
พูดว่า “เขาเป็นพี่น้องกับเจ้านะ เจ้า...เจ้าคงไม่อยาก
เห็นเขาไปตายหรอกกระมัง”
“ทหารทุกคนในค่ายกิเลนดำล้วนแต่เป็นพี่น้องของข้า
ทั้งนั้น” ฉีหนิงพูดว่า “หากเจ้าให้ฝูเอ๋อร์ของเจ้ามาฝึก
ที่นี่ ทุกครั้งที่ออกรบ ก็ต้องบุกออกไปหน้าสุดถึงจะถูก
แต่เจ้าวางใจได้ เจ้าส่งเขามาได้ตลอดเวลา ถ้าไม่
อยากส่งตัวเขาเป็นแล้วล่ะก็ ต่อไปก็ไม่ต้องมาคุยเรื่อง
นี้อีก” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “แต่ว่าพวก
เราต้องพูดกันให้ชัดเจนก่อนนะ เมื่อเขาเข้ามายังค่าย
กิเลนดำ ข้าสามารถเห็นเขาเป็นพี่น้องของข้าได้
ไม่เช่นนั้นจวนจิ่นอีโหวของข้ากับตระกูลฉีของพวก
เจ้าก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ต่อไปไม่ต้องมาพูดเรื่อง
ญาติพี่น้องอะไรกับข้าอีก”
ฉีซงรู้สึกทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงพูดว่า “ถ้า...ถ้า
อย่างนั้นขอข้ากลับไปคิดดูอีกที” เขามองไปที่กอง
ของขวัญ จากนั้นก็กลับออกไปอย่างหัวเสีย
พอเขาเดินออกไป กู้ชิงฮั่นก็เดินออกมาจากประตู
ด้านข้าง เมื่อเห็นฉีซงออกไปแล้ว นางก็พูดด้วยความ
โมโหว่า “เพิ่งจะนึกอยากจะมานับญาติในเวลาแบบนี้
ได้”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ก็แค่มาฉวยโอกาส ไม่มีอะไร
ต้องพูดถึง”
กู้ชิงฮั่นหันหน้ามาแล้วพูดว่า “ตอนที่ท่านแม่ทัพใหญ่
ยังอยู่ พวกเขาก็อยากจะได้ตำแหน่งขุนนางในค่าย
ทหารเพื่อหาเงิน แต่ถูกท่านแม่ทัพปฏิเสธ คนพวกนี้
ไม่มีการเรียนรู้ เอาแต่คิดจะนอนกินสบายๆ ไม่มีทาง
อยู่ในค่ายทหารได้แม้แต่วันเดียวหรอก”
“ซานเหนียงวางใจได้ หากพวกเขาอยากเข้ามาเป็น
ทหารจริง ข้ารับประกันว่าจะให้พวกเขากลับไป
ภายในวันเดียว” ฉีหนิงหัวเราะร่า แล้วถามว่า
“พวกต้วนฉางไห่ไปไหนกันหมด?”
“อ๋อ พวกเขาออกไปรวบรวมคน” กู้ชิงฮั่นนั่งลงตรง
เก้าอี้ “ค่ายกิเลนดำยังมีขุนพลเดิมเหลืออยู่อีกสิบกว่า
คน ต้วนฉางไห่บอกว่า เขาจะไปดึงพี่น้องเหล่านั้นมา
ขอแค่สามารถดึงพวกเขาเหล่านั้นกลับมาได้ จิต
วิญญาณของค่ายกิเลนดำก็ยังคงไม่ไปไหน”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาถูกจัดแจงให้ไป
รับตำแหน่งอื่นหมดแล้ว หลายคนได้เลื่อนขั้นเลื่อน
ตำแหน่งไปแล้ว แล้วพวกเขาจะยอมกลับมาที่ค่าย
กิเลนดำหรือ?”
“ข้าเองก็ไม่รู้” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “แต่ต้วนฉางไห่มั่นใจ
มาก เขามองว่าถึงแม้คนพวกนั้นจะอยู่คนละทิศคนละ
ทาง แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน ในใจของพวกเขาก็ยังคงมี
แต่ค่ายกิเลนดำ ขอแค่ตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่ ให้
พวกเขาทิ้งเบี้ยหวัดที่สูงมากแค่ไหนก็ตาม พวกเขาก็
จะกลับมา” นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ข้าคิดว่า
มันก็ไม่น่าจะง่ายขนาดนั้น ค่ายกิเลนดำ...สลายไป
นานหลายปี ไม่ใช่ว่าใครก็จะจำได้”
“ก็จริง” ฉีหนิงพยักหน้า เขายิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่า
หลายๆ เรื่องมันก็เกิดจากคน บางคนจำไม่ได้ บางคน
ก็จำได้ดี ก็เหมือนข้า บางเรื่องหากเข้าไปอยู่ในหัวแล้ว
ก็จะนึกถึงมันตลอดเวลา ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่มีวัน
ลืม” ระหว่างที่เขาพูด ก็มองไปที่ใบหน้าอันขาวเนียน
ของกู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่าคำพูดของฉีหนิงนั้นมีความหมายแฝง
นางเหลือบมองมาที่ฉีหนิง เห็นฉีหนิงยิ้มแล้วมองมาที่
ตนเอง ในใจของนางก็เต้นแรง ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา
แต่นางก็ยังพยายามทำเป็นฟังไม่เข้าใจ นางพูดว่า
“ตอนนั้นที่ท่านแม่ทัพก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมา ท่าน
ทุ่มเทกับมันมาก เจ้า...เจ้าต้องตั้งใจให้มาก อย่าได้คิด
เรื่องอื่น ถึงจะได้ประสบผลสำเร็จ”
ฉีหนิงเป็นคนฉลาด เขารู้อยู่แล้วว่ากู้ชิงฮั่นมี
ความหมายแฝง เขาหัวเราะ แล้วถามว่า “ซานเหนียง
วันนี้ไม่มีงานต้องทำหรือ? เหมือนวันนี้ท่านจะว่าง
นะ?”
“หรือว่าเจ้าอยากจะให้ข้ายุ่งจนไม่มีเวลาเจ้าถึงจะ
พอใจหรืออย่างไรกัน?” กู้ชิงฮั่นเหลือบไปมองฉีหนิง
สีหน้าอารมณ์ของเขามีมากมาย
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ฉีหนิงรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ว่าง
ไม่มีอะไรทำ พวกเรามาเล่นหมากรุกกันดีหรือไม่?”
ในยุคสมัยนี้การละเล่นผ่อนคลายเทียบไม่ได้กับยุค
สมัยในปัจจุบัน มันน้อยมาก ฉีหนิงชวนเล่นหมากรุก
กู้ชิงฮั่นก็รู้สึกแปลกใจมาก นางรู้สึกว่ามันผิดปกติ
กู้ชิงฮั่นเกิดในตระกูลผู้ดี กินดีอยู่ดีมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่า
จะเป็นการเล่นดนตรี หมากรุก ตำรา การวาดภาพ
ต่างเชี่ยวชาญหมด ฝีมือการเล่นหมากรุกของนางไม่
ธรรมดาแน่นอน เพียงแต่ว่าหลังจากที่แต่งงานเข้า
มาแล้ว ต้องดูแลจวนใหญ่ จึงไม่มีเวลาได้พักผ่อน พอ
มีเวลาว่าง ก็ทำได้แค่วาดภาพนิดหน่อย ไม่ค่อยได้เล่น
หมากรุกเลย
เดิมนางก็ระวังตัวกับฉีหนิงอยู่แล้ว หลังจากเกิดเรื่อง
เช่นนั้นในคืนนั้นแล้ว นางก็รู้ว่าสถานภาพของทั้งคู่ตก
อยู่ในอันตรายแล้ว ฉีหนิงกล้าทำเรื่องแบบนั้นออกมา
ได้ ใครจะรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ทำอีก หากเกิด
เรื่องที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกขึ้นมาจะทำเช่นไร
ในตอนนี้นางรู้สึกหวาดกลัวมาก ตอนกลางวันนาง
แทบไม่กล้าเจอหน้าฉีหนิงเลย ตกกลางคืน นางก็ไม่
กล้าที่จะอยู่กับฉีหนิงตามลำพังเลย
เรื่องแบบนี้ นางเองก็ไม่กล้าจะพูดให้ใครฟัง ทำได้แค่
ระวังตัวเองเท่านั้น
ที่จริงแล้วฉีหนิงมีใจให้นาง มันก็ทำให้กู้ชิงฮั่น
หวาดกลัว แต่ว่าภายในใจลึกๆ แล้ว ถึงแม้รู้ดีว่านาง
กับฉีหนิงไม่มีทางมีอะไรเกินเลยกันได้ แต่มันก็ทำให้
นางหวั่นไหวเหมือนกัน มันเหมือนกับว่ามีอะไรมา
กระตุ้นหัวใจของนางอยู่เป็นระยะๆ มันทำให้นางรู้สึก
ตื่นเต้นมีความสุข แต่มากกว่านั้นมันคือความกังวล
แต่นางก็รู้ดีว่า ในเมื่อนางเข้ามาเป็นคนของตระกูลฉี
แล้ว ท่านสามของตระกูลฉีตายไปแล้ว นางเองก็ไม่มี
ลูก ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ก็ต้องพึ่งฉีหนิงอยู่ดี ทั้งคู่อาศัย
อยูใ่ นจวนเดียวกัน ก้มหน้าไม่เห็น แต่เงยหน้ามาก็
ต้องเจอ หากจะหลบหน้ากันไปมาแบบนี้
ความสัมพันธ์มันก็จะแย่ลง
ฉีหนิงก็รู้ว่ากู้ชิงฮั่นกำลังหลบหน้าเขาอยู่ ให้เป็นแบบ
นี้ต่อไปไม่ได้ เขาอยากทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น
ทั้งคู่ต่างมีความคิดของตัวเอง กู้ชิงฮั่นลังเล จากนั้นก็
ยิ้มแล้วถามว่า “เจ้าเล่นหมากรุกเป็นด้วยหรือ?”
“แน่นอน” ฉีหนิงได้ยินกู้ชิงฮั่นพูดอย่างผ่อนคาย ก็
รู้สึกสบายใจมากขึ้น เขายิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าข้าไม่
กล้าเล่นหมากล้อมกับซานเหนียงหรอก ข้ารู้ว่าท่าน
เก่งทั้งการเล่นดนตรีเล่นหมากรุกตกปลาวาดภาพ ถ้า
เล่นหมากล้อมกับท่าน ก็เหมือนฆ่าตัวตายชัดๆ”
กู้ชิงฮั่นตาเป็นประกายขึ้นมา “ไม่เล่นหมากล้อม?
แล้วเจ้าจะเล่นอะไร?”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ไว้เดี๋ยวข้าจะบอกท่านเอง”
ที่โถงด้านข้างมีห้องเล่นหมากรุกโดยเฉพาะ มันไม่ได้
ใหญ่มาก ตกแต่งเรียบง่าย มีความเก่าแบบโบราณ
หน่อย กู้ชิงฮั่นยังคงเหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง เขาไม่
กล้าอยู่ในห้องกับฉีหนิงตามลำพัง จึงเรียกสาวใช้มา
อยู่รับใช้คนหนึ่ง เมื่อมีสาวใช้มาคอยรับใช้รินน้ำชา
แบบนี้ ทำให้กู้ชิงฮั่นเบาใจขึ้นเยอะ นางคิดว่าต่อให้ฉี
หนิงกล้ามากแค่ไหน ก็ไม่กล้าทำอะไรต่อหน้าสาวใช้
แน่นอน
“พวกเราจะไม่เล่นหมากล้อมกัน แต่พวกเราจะเล่น
หมากห้าตัวกัน” ฉีหนิงหยิบกล่องหมากสีดำมา แล้ว
ดันหมากสีขาวให้กับกู้ชิงฮั่น
วันนี้กู้ชิงฮั่นสวมชุดกระโปรงสีขาวลายดอกเหมย เสื้อ
คลุมตัวนอกปักลายผีเสื้อบิน ส่วนเสื้อชั้นในสุดเป็น
เกาะอกผ้าแพรสีชมพู ชายแขนเสื้อปักผีเสื้อด้วยด้ายสี
ทอง เสื้อตรงบริเวณหน้าอกเป็นลายดอกไม้ ทำให้ดูมี
สง่าราศีงดงามราวกับดอกไม้บาน
นางสวมตุ้มหูผีเสื้อสีเงิน ปักปิ่นลายนกอีกาสีเงิน ทำ
ให้ภาพรวมของนางดูสดชื่นเรียบง่ายสบายตา คิ้วดำ
ริมฝีปากสีลูกท้อ ทั่วทั้งตัวมีกลิ่นหอมอ่อนๆ มีเสน่ห์
งดงามมาก
ฉีหนิงมองไปที่คอของกู้ชิงฮั่น เมื่อเห็นนางไม่ได้ใส่
สร้อยที่เขามอบให้ เขาก็รู้สึกผิดหวัง แต่ก็เป็นสิ่งที่เขา
คาดเอาไว้แล้ว
กู้ชิงฮั่นเป็นม่ายสาวที่ชาญฉลาด นางรู้อยู่แล้วว่าการ
สวมสร้อยมันหมายถึงอะไร หากสวมสร้อยเส้นนั้นต่อ
หน้าฉีหนิง ความในใจของนางคงไม่ต้องถามอีก เรื่อง
แบบนี้กู้ชิงฮั่นต้องหลบเลี่ยงต่อหน้าฉีหนิงอยู่แล้ว จะ
เอาสร้อยเส้นนั้นออกมาได้อย่างไรกัน
ไม่รู้ว่าช่วงนี้อากาศหนาวหรือเพราะเหตุผลอื่น ฉีหนิง
รู้สึกว่าเสื้อผ้าของกู้ชิงฮั่นในช่วงนี้ดูรัดกุมมากขึ้น แต่
ถึงจะอย่างนั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งที่ควรมียังปิดไม่มิด
ถึงแม้จะปิดแน่นหนา แต่หน้าอกก็ยังเด้งออกมาอยู่ดี
“หมากห้าตัว?” กู้ชิงฮั่นยิ้ม รอยยิ้มมีเสน่ห์มาก “ข้า
คิดว่าเจ้าจะมีความคิดอะไรประหลาดกว่านี้เสียอีก
หมากล้อมเจ้าไม่ใช่คู่ปรับของซานเหนียง หมากห้าตัว
ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
หมากห้าตัวเกิดมานานแล้ว เท่าที่ได้ยินมามันเกิด
ก่อนหมากล้อมเสียอีก
“ข้าเริ่มก่อน” กู้ชิงฮั่นใช้นิ้วมืออันเรียวยาวของนาง
กำลังจะวางหมากลงหนึ่งตัว แต่ฉีหนิงกลับยื่นมือไป
ขวางเอาไว้ ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ในเมื่อ
ฝีมือของท่านร้ายกาจกว่าข้า ท่านก็ออมมือให้ข้าเถอะ
ให้ข้าเริ่มก่อน ข้าเป็นผู้ชายก็ควรจะกระตือรือร้น
หน่อย ท่านว่าจริงหรือไม่?”
เขายิ้มแล้วมองไปที่กู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นไม่ยอมอ่อนข้อให้
นางพูดว่า “ข้าเป็นซานเหนียงของเจ้า เจ้าเป็นผู้น้อย
ผู้น้อยก็ตอ้ งเชื่อฟังผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่บอกว่าไม่ได้ ก็คือ
ไม่ได้”
สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกงง แอบคิดในใจว่าก็แค่เดิน
หมากรุกกัน เหตุใดถึงได้มาแย่งกันวางหมากก่อนหลัง
ได้นะ
กู้ชิงฮั่นไม่รอให้ยื้อต่อ นางได้วางหมากสีขาวลงไปบน
กระดานแล้ว ฉีหนิงจนปัญญา จึงได้เก็บมือกลับไป
เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ซานเหนียง การละเล่น
บางอย่าง มันไม่ได้แบ่งแยกผู้อาวุโสหรือผู้น้อยนะ
ท่านลองดูหมากสีดำในมือของข้ากับหมากสีขาวในมือ
ของท่านสิ ถึงแม้สีมันจะต่างกัน แต่ว่าขนาดเท่ากัน
ในเมื่อต้องปะทะกัน ก็ไม่สามารถตัดสินกันด้วยขนาด
ได้”
“ใครบอก?” กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่ฉีหนิง “ผู้อาวุโสก็คือผู้
อาวุโส ผู้น้อยก็คือผู้น้อย ถึงแม้ตัวหมากรุกจะ
เหมือนกัน แต่ว่าสถานะของคนที่เล่นหมากก็ชัดเจน
อยู่ อีกทั้งการเล่นอะไรแบบนี้ มันก็ต้องเคารพ
กฎเกณฑ์ หากทำลายกฎเกณฑ์ การเล่นก็จะไม่
สามารถดำเนินต่อไปได้อีก”
ฉีหนิงหัวเราะและยิ้มแย้มพูดว่า “นี่เป็นการเล่นของ
พวกเราสองคน ไม่เห็นต้องไปสนใจกฎที่คนอื่นตั้งเลย
พวกเราว่ากฎของพวกเราเป็นอย่างไร มันก็เป็นอย่าง
นั้น ใครก็มาว่าพวกเราไม่ได้” จากนั้นเขาก็วางหมาก
สีดำลงไป “มันก็เหมือนการวางหมาก ข้ายอมให้ท่าน
ท่านก็สามารถวางหมากก่อนได้แล้ว”
กู้ชิงฮั่นก้มหน้ามองที่กระดานหมากรุกอย่างเดียว ไม่
มองหน้าฉีหนิง นางพูดว่า “ตอนเริ่มเล่นไม่ว่าใครเริ่ม
ก่อนไม่สำคัญเลย สำคัญที่ว่าก้าวต่อไปจะเดินอย่างไร
มากกว่า ฝีมือการเดินหมากของเจ้ายังอ่อนหัดมาก
การเดินหมากของข้านอกจากอาสามของเจ้าแล้ว ไม่
เคยแพ้ให้ใครมาก่อน”
“ข้ารู้ว่าฝีมือการเดินหมากของซานเหนียงนั้นร้าย
กาจ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากรุกซึ่งหน้า อาจจะไม่
สำเร็จ แต่ว่าการเดินหมากมีหลายวิธี เข้าทางตรง
ไม่ได้ ก็ใช้วิธีอื่นแทนสิ”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้า นางเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็
จ้องไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “เวลาข้าเดินหมากไม่ได้
เน้นรุกเป็นหลัก แต่เน้นรับแล้วเปลี่ยนเป็นรุก ทางข้า
มีกำแพงเหล็กกั้นอยู่ แน่นหนามาก นอกจากอาสาม
ของเจ้าที่ชนะข้าได้แล้ว ไม่มีใครเคยชนะข้าได้เลย
แม้แต่ครึ่งก้าว หากเจ้ายอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังทัน
ไม่เช่นนั้นไม่ว่าเจ้าจะมีลูกไม้อะไรก็ตาม มันก็เสียแรง
เปล่าๆ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 11 บทที่ 305 เงาสีขาวดุจวิญญาณ
สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ฟังจนตาโต นางรู้สึกว่าโหวเยว่
กับฮูหยินสามคุยกันอย่างมีชั้นเชิงมาก ทั้งคู่ต่างฝ่าย
ต่างวางหมาก ก็พูดถึงเรื่องรุกเรื่องรับ ฮูหยินสามบอก
ว่าป้องกันหนาแน่น แต่ว่ามองอย่างไรก็ไม่เหมือนกับ
ป้องกันหนาแน่นเลย
กู้ชิงฮั่นวางหมากสีขาวลง ฉีหนิงก็รีบวางหมากสีดำ
ตาม จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ป้องกันแน่นหนา
หรือ? ซานเหนียง ท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่าในใต้หล้านี้
ไม่มีกำแพงเมืองไหนที่บุกไม่แตกบ้าง?” จากนั้นเขาก็
เอามือลูบคาง แล้วมองไปที่กระดานหมากรุก “ในใต้
หล้านี้ไม่มีกำแพงเมืองไหนบุกแล้วไม่แตก ต้องดูที่ว่า
คนที่บุกมีใจหนักแน่นแค่ไหน ขอแค่หนักแน่น ไม่กลัว
อุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นกำแพงเหล็กหนาสักกี่ชั้น ก็ต้อง
เห็นช่องทางจนได้”
“ไม่มีทาง” กู้ชิงฮั่นเหมือนจะเริ่มโมโห “ต่อให้คนที่
บุกมาจิตใจหนักแน่นแค่ไหน แต่หากคนที่ป้องกัน
หนักแน่นยิ่งกว่า เมืองยังอยู่คนก็ยังอยู่ เมืองแตกคนก็
ตาย” นางกัดปาก แล้วเหลือบไปมองฉีหนิง “ถึง
อย่างไร...ข้าจะต้องปกป้องเมืองจนตัวตาย ไม่มีทาง
ให้เจ้าบุกเข้ามาได้หรอก”
ฉีหนิงยังนิ่งอยู่ เขาพูดด้วยน้ำเสียเศร้าใจว่า “ซาน
เหนียง ท่านเผยช่องโหว่ของท่านออกมาแล้ว ประตู
ของท่านเปิดกว้างแล้ว ต่อให้ข้าไม่อยากเข้าไปมันก็
ไม่ได้แล้ว” พูดจบ เขาก็วางหมากสีดำลงไป
กู้ชิงฮั่นเหลือบมองไปที่กระดานหมากรุก นางพบว่า
ขณะที่นางกำลังคุยกับฉีหนิง ฉีหนิงได้เดินหมากเรียง
กันสี่ตัวแล้ว เพราะว่านางเดินหมากไม่มีสมาธิ ตอนนี้
ไม่ว่าฉีหนิงจะวางหมากตรงด้านไหน ก็สามารถชนะ
ได้อย่างง่ายดาย นางเห็นฉีหนิงกำลังจะวางหมากลง
นางก็พลันร้อนใจ นางใช้มือสองข้างปิดกระดานหมาก
เอาไว้ แล้วรีบพูดว่า “ไม่ได้ ไม่ได้ รอบ...รอบนี้ไม่นับ
...”
ฉีหนิงกระพริบตา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่นับได้อย่างไร
เล่า? ข้าไม่ได้โกงเสียหน่อย ข้าเดินตามกฎตลอด ท่าน
แพ้แล้ว ท่านจะไม่รับหรืออย่างไรกัน?”
กู้ชิงฮั่นหน้าเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา นางใช้มือปัดไปที่
หมากบนกระดาน แล้วพูดว่า “ข้ามัวแต่คุยกับเจ้า ดัง
นั้น...ไม่รู้ล่ะ ถึงอย่างไรรอบนี้ไม่นับ มาเดินใหม่อีก
รอบ”
“ซานเหนียง ท่านบอกว่าท่านป้องกันแน่นหนา แต่ว่า
ข้าแค่คุยกับท่านไม่กี่คำ ท่านก็ว้าวุ่นเสียกระบวนเลย”
ฉีหนิงจ้องไปที่ใบหน้าขาวๆ ที่มีรอยแดงอ่อนๆ “ยังดี
นะที่แค่เดินหมาก หากเป็นเรื่องอื่น ไม่ใช่ว่าท่านจะ
ถูกจับตัวไปโดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้หรือ?”
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่ฉีหนิงด้วยสายตาที่ดุดัน นางพูดว่า
“ข้าถูกจับโดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้เมื่อไหร่กัน ข้า...” เขา
เหลือบไปมองสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ นางเลยพยายามข่ม
อารมณ์ลง แล้วพูดว่า “ข้าก็แค่ไม่ทันระวังเท่านั้น
แหละ ถึงได้ถูกฉวยโอกาสได้ แต่ว่าข้าก็ยังไหวตัวทัน
ให้เจ้าชนะอีกไม่ได้ เมื่อมีบทเรียนแล้วครั้งหนึ่ง ก็รู้
แล้วว่าเจ้าคิดอะไร ก็จะระวังมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า
ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
“ซานเหนียง ท่านมั่นใจขนาดนั้นเลยหรือ?”
“ถ้าไม่เชื่อจะลองอีกครั้งก็ได้” กู้ชิงฮั่นจัดกระดาน
หมากรุกใหม่ แล้ววางหมากขาวลง จากนั้นนางก็เงย
หน้าท้าทายฉีหนิง
ฉีหนิงยิ้ม แล้วก็ขยับมือสองข้าง แล้วพูดว่า “ซาน
เหนียง พวกเรามาตกลงกันก่อนนะ ท่านพลาดไปแล้ว
หนึ่งครึ่ง ข้าไม่ได้รุกจนสุดกำลัง แต่ว่าก็จะได้แค่ครั้ง
เดียวเท่านั้นนะ มีโอกาสครั้งที่สองอีก ข้าไม่มีทางทิ้ง
มันไปแน่นอน ถึงเวลานั้นท่านห้ามโกงเหมือนเมื่อครู่
อีกนะ”
กู้ชิงฮั่นยกมือขึ้นจับขมับ สมาธิของนางทั้งหมดอยู่ที่
การเดินหมากอย่างเดียว
กู้ชิงฮั่นเดิมทีก็ชำนาญการเดินหมากอยู่แล้ว นางคุ้ย
เคยกับหมากห้าตัวเป็นอย่างดี พอนางจริงจังขึ้นมา ก็
ยากที่จะรับมือได้ ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับ ไม่มี
ใครยอมเป็นโอกาสให้อีกฝ่ายเลย ไม่ว่าจะเป็นฉีหนิง
หรือกู้ชิงฮั่น ต่างเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม เมื่อ
รวบรวมสมาธิทั้งหมดมาเดินหมาก ก็ไม่มีฝ่ายไหนหา
ช่องโหว่ของอีกฝ่ายได้เลย
หลังจากนั้นไม่นานนัก กระดานหมากก็เต็มไปด้วย
หมาก หมากดำหมากขาวไขว้กันไปมา ราวกับตาข่าย
“ฝีมือการเดินหมากของซานเหนียงร้ายกาจจริงๆ” ฉี
หนิงอดชื่นชมไม่ได้
สีหน้าของกู้ชิงฮั่นเหมือนจะได้ใจ นางยิ้มแล้วพูดว่า
“เป็นอย่างไรเล่า? ข้าบอกแล้วว่าข้าป้องกันแน่นหนา
เจ้าไม่มีทางได้โอกาสหรอก”
“ก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว” ฉีหนิงลูบคาง แล้วจ้อง
ไปที่กระดานหมากแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ท่านเห็น
หมากดำกับขาวไขว้สลับกันไปมาหรือไม่ ท่านมีข้า ข้า
มีท่าน ถึงแม้จะไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ในเวลาอัน
สั้นได้ แต่ว่าพอมันอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ยากที่จะแยกออก
จากกันอีก” เขามองไปที่สายตาอันน่าหลงใหลของกู้
ชิงฮั่น “ขอแค่อยู่ด้วยกัน โอกาสก็จะต้องปรากฏในไม่
ช้า ขอแค่มีความอดทนก็พอ”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว สีหน้าของนางเหมือนจะโกรธมาก
จากนั้นนางก็ลุกขึ้น แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “ไม่
เล่นแล้ว”
สาวใช้รู้สึกแปลกใจมาก นางแอบคิดว่าเหตุใดวันนี้ฮู
หยินสามถึงได้อารมณ์แปลกๆ เดินหมากอยู่กับโหว
น้อยดีๆ เหตุใดถึงอารมณ์เสียได้เล่า? อีกทั้งปกติฮูหยิ
นสามเป็นคนที่เวลาโมโหไม่ออกทางสีหน้า นางไม่
ค่อยโกรธใคร อีกทั้งยังไม่เคยเห็นนางโกรธใส่โหวน้อย
เลยสักครั้งเดียว แต่ว่าวันนี้บรรยากาศเหมือนจะไม่
ปกติ
ฉีหนิงก็ไม่ได้ร้อนใจอะไร เขายิ้มแล้วพูดว่า “ซาน
เหนียงท่านยอมแพ้แล้วหรือ?”
“ข้ายอมแพ้เมื่อไหร่กัน?” กู้ชิงฮั่นไม่ได้พูดดี “ไม่ได้
แพ้แล้วก็ไม่ได้ชนะ อย่างมากก็เสมอ ถึงอย่างไรก็ไม่มี
ทางให้เจ้าได้เปรียบหรอก”
“หากซานเหนียงจากไปตอนนี้ ก็เหมือนกับทิ้งหมาก
กระดานนี้ให้อยู่ในมือของข้า” ฉีหนิงกำหมากดำตัว
หนึ่งไว้ในมือ แล้วพูดว่า “เมื่อหมากกระดานนี้อยู่ใน
การควบคุมของข้า ข้าคิดอยากจะเดินอย่างไรก็ได้ ข้า
ก็ต้องชนะแน่นอน”
“เจ้า...” กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความโมโหมากว่า “เจ้า
อยากจะทำอะไรก็ทำ ถึงอย่างไร...ข้าไม่ยุ่งแล้ว...”
นางกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความโมโห แล้วเดินบิด
สะโพกจากไป สาวใช้เห็นดังนั้น ก็รีบตามออกไปด้วย
ฉีหนิงเห็นเงาส่ายไปส่ายมาของกู้ชิงฮั่น เขาก็ยิ้ม แล้ว
พูดกับตัวเองว่า “ความอดทนของท่านอย่างไรก็สู้ข้า
ไม่ได้หรอก” เมื่อเขากวาดสายตาไปยังกระดานหมาก
รุก เขาก็วางหมากดำลงไปหนึ่งเม็ด เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ข้าชนะแล้ว”
ผ่านไปหนึ่งวันเต็ม ฉีหนิงก็รู้สึกเพลียมาก หลังจาก
อาหารค่ำ เขาก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง จากนั้นเขาก็
หยิบภาพเคล็ดวิชากระบี่ออกมาดูอีกรอบ กระบวน
ท่าในนี้เขาจำได้ขึ้นใจแล้ว ทุกครั้งที่ผ่านตา เขาก็จะ
จำมันได้ดีมากขึ้น
ด้วยความสะลึมสะลือ ไม่รู้ว่าเขาหลับเข้าสู่ความฝัน
ไปตอนไหน
ก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกว่าเขารู้สึก
หนาวขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าไฟในห้องยัง
สว่างอยู่ แต่ว่าไม่รู้ว่าหน้าต่างมันเปิดออกตั้งแต่
เมื่อไหร่
ฉีหนิงตะลึงไป เขาขมวดคิ้ว แล้วก็รู้สึกได้ว่ามัน
ผิดปกติ
ทุกครั้งที่เขาเข้าห้อง เรื่องแรกที่เขาจะทำคือการปิด
หน้าต่างให้สนิท หากจำไม่ผิด หน้าต่างบานนั้นมันปิด
ตาย ไม่มีทางที่จะเปิดเองได้ แต่ว่าตอนนี้มันเปิดกว้าง
ค่ำคืนหนาวเหน็บแบบนี้ แค่ลมพัดเข้ามามันก็หนาว
ไปทั้งห้องแล้ว ไม่แปลกที่เขาจะหนาวจนตกใจตื่น
ขึ้นมา
ในระหว่างที่เขาตกใจอยู่ ฉีหนิงก็สะดุ้ง เขาหันหน้า
กลับไป เขาเห็นที่เก้าอี้มีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง เขาตกใจ
มาก ทำให้อดถอยหลังไปสองก้าวไม่ได้
เงาสีขาวสะดุดตามาก ฉีหนิงเมื่อครู่นี้ยังสะลึมสะลือ
เห็นไม่ชัดเจน ตอนนี้พอเหลือบมองไป เขารู้สึกว่าเงา
สีขาวนี้เหมือนกับวิญญาณ แต่ว่าฉีหนิงก็รู้ว่ามันไม่
น่าจะใช่ผี
เขาแอบด่าในใจว่า จวนจิ่นอีโหวมันเป็นสถานที่อะไร
กัน คิดว่าเป็นตลาดกันหรืออย่างไร เหตุใดแต่ละคน
เข้ามาในห้องเขาโดยไม่มีเสียงกันแบบนี้
หากอีกฝ่ายคิดร้ายกับเขา เขาคงตายไปไม่รู้กี่รอบแล้ว
เขารู้สึกหัวเสียมาก แต่ก็ยังข่มอารมณ์ได้อยู่ เมื่อมอง
ดีๆ คนๆ นั้นเงยหน้าขึ้นมา แล้วยิ้มให้กับฉีหนิง เมื่อ
เห็นใบหน้าใบนั้น ฉีหนิงก็ตกใจ เขาคิดไม่ถึงเลยว่า
คนที่อยู่ตรงหน้าเขา จะเป็นคนชุดขาวที่ครั้งที่แล้ว
จากไปโดยไม่ร่ำลา
เขาเจตนาดีให้คนชุดขาวขึ้นรถม้ามาด้วย อีกทั้งยังให้
คนชุดขาวกินข้าวด้วยกัน แต่ว่าระหว่างทาง เขากลับ
จากไปโดยไม่บอกกล่าว ทิ้งสร้อยรูปหัวใจเอาไว้เส้น
เดียวเท่านั้น
เดิมฉีหนิงคิดว่าคงไม่ได้เจอเขาอีก คิดไม่ถึงเลยว่าเขา
จะมาปรากฏตัวในห้องของเขาเอง
“เจ้า...เจ้าเองหรือ?” ฉีหนิงเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว
เขามองไปที่มือของคนชุดขาว ในมือขาวๆ ของเขา
ถือภาพเคล็ดวิชากระบี่อยู่
สีหน้าเปลี่ยนไป ภาพเคล็ดวิชากระบี่เป็นความลับ
ของเขา เขาไม่เคยให้ใครดูเลย เขาจำได้ว่าหลังจาก
เมื่อคืนที่เขาดูจบแล้ว เขาก็เก็บมันเอาไว้ใต้หมอนแล้ว
“เอาคืนมา” ฉีหนิงรู้สึกโมโห แอบคิดในใจว่าเหตุใด
เขาถึงได้ไม่มีมารยาทขนาดนี้ เข้ามาในห้องเขาราวกับ
วิญญาณ อีกทั้งยังขโมยเคล็ดวิชาภาพของเขาไปอีก
ฉีหนิงรู้สึกว่าตัวเองกล้ามากขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ดึกๆ
ดื่นๆ มีเงาประหลาดปรากฏอยู่ในห้องของเขา ไม่ว่า
เป็นใครคงตกใจขวัญกระเจิงไปแล้ว แต่ฉีหนิงกลับไม่
ตะโกนเรียกใครเลย อีกทั้งยังข่มอารมณ์สงบอยู่ ถือว่า
ร้ายกาจมากแล้ว
ลมหนาวพัดโชยมา ไฟบนโต๊ะสั่นไหว มันส่องไปที่
ใบหน้าขาวๆของคนชุดขาว มันยิ่งดูเนียนนุ่ม
คนชุดขาวยิ้มอ่อนๆ เวลาเขายิ้ม มันสวยมาก เขาวาง
ภาพเคล็ดวิชากระบี่ลง แล้วดันคืนมาให้
ฉีหนิงค่อยๆ เข้าไปอย่างระวัง เขายื่นมือไปหยิบภาพ
เคล็ดวิชากระบี่มา แล้วถามว่า “เจ้า...เจ้าเข้ามาในนี้
ได้อย่างไร?” พอพูดออกไปแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้น
ถามอะไรโง่ๆ ออกไป หน้าต่างเปิดอ้าอยู่อย่างนั้น คน
ชุดขาวก็ต้องมาจากทางนั้นแน่นอนสิ
ไม่ผิดจากที่คาด คนชุดขาวยิ้ม แล้วชี้ไปที่หน้าต่าง
ฉีหนิงเห็นอีกฝ่ายท่าทางอ่อนโยน เหมือนจะไม่ได้
คิดร้าย อีกทั้งหากอีกฝ่ายอยากจะลงมือจริง เขาก็
น่าจะไม่มีทางตื่นขึ้นมาแบบนี้ได้อีกแล้ว
เขาลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร
ว่าข้าอยู่ที่น?ี่ ดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้เจ้ามาที่ห้องของข้า คิด
จะทำอะไร?” ใต้แสงไฟ เห็นผิวของคนชุดขาวชัดเจน
สายตามีเสน่ห์มาก สุดท้ายเขาอดที่จะพูดไม่ได้ว่า
“ดึกๆ ดื่นๆ ชายหญิงอยู่กันตามลำพัง เจ้า...เจ้าไม่
กลัวหรือ?”
คนชุดขาวได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้ว สายตาของเขาดุ
มาก แต่ว่าหลังจากนั้นก็สงบลง เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมา
คนๆ นี้มาที่ห้องของเขาโดยไร้ร่องรอย แม้แต่เขาเอง
ยังไม่รู้สึกเลย ฉีหนิงรู้ว่าวรยุทธ์ของเขาจะต้อง
ร้ายกาจมากแน่ๆ ครั้งที่แล้วเขาคงประเมินต่ำเกินไป
เห็นเขาลุกขึ้น ฉีหนิงก็เลยถอยหลังไปสองก้าว กำลัง
จะพูด แต่คนชุดขาวหมุนตัวไปมา ฉีหนิงรู้สึกตาลาย
ยังไม่ทันรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นคนชุดขาวมายืน
อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ใบหน้าขาวๆ บวกกับหน้าตาก็ดี
กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“เจ้า...” เขายังไม่ทันพูดอะไร ก็รู้สึกปวดหลังคอ
จากนั้นก็ไม่เห็นอะไรอีกเลย เขาอยากจะด่าออกไปสัก
ประโยค แต่ก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 11 บทที่ 306 มังกรซ่อนกาย
ขณะที่ฉีหนิงสะลึมสะลืออยู่นั้นเขาก็ได้กลิ่นหอม
อ่อนๆโชยมา เขารู้สึกเหมือนตัวเขาล่องลอยอยู่ใน
อากาศ
ทั่วตัวของเขาราวกับวิญญาณ เขาลืมตาขึ้นมา เขา
รู้สึกได้ว่าลมกำลังกรอกเข้าหูของเขาอยู่ คิดไม่ถึงว่า
ร่างกายของเขามันขยับได้อยู่ หางตาของเขาก็เหลือบ
มองไปที่เงาสีขาว ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวไปมา
ไม่ได้เลย
ฉีหนิงตกใจมาก ตอนนี้เขาเองก็รู้แล้วว่า เขาถูกห่อ
ด้วยผ้านวมอยู่ และคนชุดขาวกำลังอุ้มผ้านวมนี้เอาไว้
คนชุดขาวลอยตัวพลิ้วไหวราวกับก้อนเมฆ
เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเขานั้นอยู่ที่ไหน อีกทั้งคิดไม่ถึง
เลยว่าวรยุทธ์ของคนชุดขาวจะร้ายกาจแบบนี้ด้วย
“นี่...” ฉีหนิงไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรได้ไหม เขาเลยลอง
ตะโกนดู “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? พวกเราไม่เคยมี
ความแค้นต่อกัน เหตุใดเจ้าถึงต้องทำร้ายข้าด้วย?”
เมื่อแน่ใจว่าเขายังพูดได้อยู่ ฉีหนิงก็เบาใจ
คนชุดขาวไม่ได้สนใจเขา รอบตัวเงียบสงัด เมื่อผ่านไป
ครู่หนึ่ง ฉีหนิงก็รู้สึกว่าคนชุดขาวหยุดเดินแล้ว
จากนั้นเขาก็พลิกมือขึ้นมา ทำให้ตัวฉีหนิงยืนตรง เขา
ดึงผ้านวมออกใช้มือขวาจี้สกัดจุดไปหลายที แต่เขา
ไม่ได้แตะตัวของฉีหนิงเลย แต่ว่าฉีหนิงสัมผัสได้ถึง
พลังพุ่งเข้าใส่จุดชีพจรของเขา กำลังจะตกใจ ทันใด
นั้นเองก็รู้สึกว่าร่างกายที่แข็งทื่อก่อนหน้านี้มันผ่อน
คลายลง กล้ามเนื้อคลายตัวออก เขาสามารถกลับมา
ขยับได้อีกครั้ง
คนชุดขาวเดินไขว้มอื ไว้ด้านหลัง เขายิ้มแล้วมองมาที่
ฉีหนิง ฉีหนิงแอบโมโห แต่ว่าพอเห็นรอยยิ้มบน
ใบหน้าของเขา ก็โกรธไม่ลง ทำได้แค่พูดว่า “เจ้าคิด
จะทำอะไรกันแน่?”
คนชุดขาวไม่พูดอะไรอีก สายตาของเขามองไปทาง
อื่น ฉีหนิงมองตามเขาไป สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
ทันที เมื่อก้มหน้าลง เขาถึงได้รู้ว่าเขากำลังยืนอยู่บน
หลังคา ใต้เท้าเป็นกระเบื้อง เมื่อมองลงไปแล้ว ก็เห็น
แสงไฟระยิบระยับ เรือนหลังต่างๆ เป็นสีทองเหลือง
อร่าม มีเสาแกะสลักมากมาย รอบๆ มีแต่ตำหนักเต็ม
ไปหมด อีกทั้งยังมีทหารชุดเกราะเดินลาดตระเวนไป
ทั่ว
ฉีหนิงตกใจ เขานึกขึ้นมาได้ แล้วพูดว่า “นี่...นี่มันวัง
หลวงไม่ใช่หรือ? เจ้า...เจ้าพาข้าเข้าวังมาหรือ?”
ครั้งนี้เขาตกใจมากจริงๆ
หากจะบอกว่าคนๆ นี้บุกเข้าห้องของเขาโดยไม่มีใครรู้
ก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว แต่ว่าเขายังพามายังเขต
พระราชฐานอีก มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
เลยยามจื่อแล้ว ตอนนี้ก็ดึกมาก ภายในวังหลวงเงียบ
สงัด ถึงแม้ในวังจะมีทหารลาดตระเวนแน่นหนา แต่
ว่าใครจะเงยหน้ามามองบนหลังคากันเล่า คนชุดขาว
มองจากด้านบนลงมา กลับไม่มีใครมองเห็นเขาเลย
ยิ่งสูงยิ่งหนาว ฉีหนิงสวมเสื้อบางๆ เพียงตัวเดียว พอ
ยืนอยู่บนที่สูง ลมพัดมาที ถึงแม้เขาจะร่างกาย
แข็งแรง แต่ก็รู้สึกหนาวอยู่ดี ถึงแม้จะรู้ว่าคนชุดขาว
นั้นเป็นใบ้ พูดไม่ได้ แต่ก็อดจะถามไม่ได้ว่า “เจ้าพา
ข้ามาที่วังหลวงเพราะเหตุใดกัน?”
คนชุดขาวหันหน้ามามองฉีหนิง เขายิ้มอ่อนๆ จากนั้น
ก็ยื่นมือมาจับข้อมือของฉีหนิง เดิมฉีหนิงคิดจะขัดขืน
แต่ว่าเห็นว่าคนชุดขาวนั้นไม่ได้มีเจตนาร้าย อีกทั้ง
สายตาของเขาก็ดูอ่อนโยน เขาลังเลไปครู่หนึ่ง
จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าตัวของเขาลอยขึ้น คิดไม่ถึงว่า
คนชุดขาวจะพาตัวเขาลอยขึ้นมาได้
ฉีหนิงพอจะเข้าใจในโลกนี้มากขึ้นแล้ว รู้ว่าคนที่วร
ยุทธ์สูงนั้นมันมีอยู่จริงๆ
เขารู้ดีว่า ในโลกนี้ ยอดฝีมือส่วนใหญ่ก็มักจะมีวิชาตัว
เบาที่ร้ายกาจมาก
แต่ว่าวิชาตัวเบาของคนชุดขาว มันทำให้เขาตกใจมาก
เขาเชื่อว่ายอดฝีมือบางคนสามารถลอยไปลอยมาอยู่
เหนือตำหนักบ้านเรือนต่างๆ แต่ว่าคนชุดขาวลากเขา
มาด้วย แต่ก็ยังสามารถลอยตัวได้ราวกับเมฆ วิชาตัว
เบาของเขามันเหนือมนุษย์ไปแล้ว
คนชุดขาวใช้เท้าสัมผัสที่กระเบื้องเบาๆ แทบไม่มีเสียง
เลย ทุกครั้งที่สัมผัส เขาก็จะสามารถกระโดดลอยตัว
ได้ไกลมาก ราวกับเทพเจ้า
ลมพัดโชยมา คนชุดขาวลอยตัวอยู่เหนือวังหลวงได้
ราวกับเมฆ เมื่อผ่านมาหลายตำหนัก ฉีหนิงไม่รู้เลยว่า
คนชุดขาวต้องการจะทำอะไรกันแน่ คนชุดขาวลอย
ไปได้เร็วมาก ฉีหนิงยังมองไปรอบๆ ไม่ทันเลย ทันใด
นั้นเขาก็เริ่มตื่นตระหนก แอบคิดในใจว่าเขาเข้ามาใน
วังหลวงกลางดึกแบบนี้ หรือว่าเขาจะคิดร้ายกับ
ฮ่องเต้น้อยหลงไท่กัน?
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ ทันใดนั้นเองก็เหมือนร่างกาย
กำลังร่วงลงสู่พื้น เมื่อก้มหน้าลง คนชุดขาวก็ลงมา
จากกำแพงสูง กำแพงนั้นสูงมาก หากเป็นคนปกติ
กระโดดจากที่สูงแบบนั้นลงมา ไม่ตายก็คงพิการ แต่
ว่าคนชุดขาวจับมือเขาเอาไว้ด้วย ยังสามารถกระโดด
ลงมาอย่างสบายๆ และปลอดภัย ฉีหนิงเองก็ไม่ได้รับ
บาดเจ็บอะไร
ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายเย็นขึ้นมา จากนั้นก็ได้ยิน
เสียงน้ำ ในค่ำคืนของฤดูหนาว กลับได้กลิ่นหอม
อ่อนๆ โชยเข้าจมูก
ฉีหนิงรู้สึกสงสัย คนชุดขาวปล่อยมือแล้ว แล้วเดิน
นำหน้าไป ฉีหนิงลังเลไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เดิน
ตามหลัง คนชุดขาวก็ไม่ได้เร่งฝีเท้า แต่ว่าฉีหนิงเดิน
ตามอยู่ด้านหลัง เร่งฝีเท้าอย่างไรก็เดินไม่ทันเขา
สุดท้ายเขาก็เกือบตามคนชุดขาวไม่ทันแล้ว
เขามองซ้ายมองขวา พบว่าตอนนี้เขากำลังเดินผ่าน
ป่าไผ่อยู่ เมื่อครู่พอเขาได้กลิ่นหอม เหมือนจะลอยมา
จากป่าไผ่นี้ ในเขตพระราชฐานแบบนี้ กลับมีสถานที่
ที่ทำให้รู้สึกเหมือนป่าแบบนี้ด้วย
ยิ่งเดินเข้าไป ยิ่งรู้สึกว่าป่ามันทึบมากขึ้น ยิ่งเดินลึก
เข้าไป ก็ยิ่งรู้สึกสงบ
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก แอบคิดในใจว่านี่น่าจะไม่ใช่
ตำหนักหลัก อาจจะเป็นอุทยานหลวง เมืองหลวง
เจี้ยนเย่เดิมก็ใหญ่มากอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นสถานที่ตั้ง
ของพระบรมมหาราชวังอีก แม้แต่คนที่อยู่ในวังหลวง
มานานก็คงไม่รู้ทุกซอกทุกมุมของเมืองหลวงหรอก
เขารู้สึกแปลกใจมากว่า เหตุใดคนชุดขาวถึงได้คุ้นเคย
กับวังหลวงเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่
เดินตามหลังคนชุดขาว รู้สึกได้แต่ว่าเขาเหมือนกลุ่ม
ก้อนเมฆ ลอยตัวเหมือนเทพ ยังไม่ทันทะลุผ่านป่าไผ่
ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลดังมากขึ้น เมื่อเดินออกมาจากป่า
ไผ่ ด้านหน้าก็เป็นลานกว้าง ไม่ไกลจากที่ยืนอยู่มีภูเขา
จำลองอยู่สิบกว่าลูก มีการทำธารน้ำไหลลงมาจาก
ภูเขานั่น มันไหลลงสู่สระน้ำ ด้านล่างสระน้ำนั่น
เหมือนจะมีทางน้ำไหลไปอีกแห่งหนึ่ง ดังนั้นน้ำที่ไหล
ลงมามันถึงไม่เต็มสระเสียที
สระน้ำเป็นทรงกลม ขนาดไม่เล็ก บนสระน้ำ มีกลุ่ม
หมอกควันปกคลุมอยู่ มันราวกับอยู่ในความฝัน เขา
ยืนอยู่ริมสระน้ำ ทำให้คนแทบจะลืมไปเลยว่านี่คือฤดู
หนาว ในสระน้ำ มันเหมือนมีความอบอุ่นแปลกๆ
คนชุดขาวยืนไขว้มอื อยู่ริมสระ กลุ่มควันนั้น
เหมือนกับหลอมรวมไว้ด้วยกัน ในตอนนี้ กลุ่มควันนั้น
เหมือนความฝัน คนชุดขาวก็เหมือนคนในความฝัน
คนชุดขาวหันหน้ากลับมามอง เขามองไปที่ฉีหนิง
จากนั้นก็ยิ้ม
“พี่...พี่ชาย เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” ฉีหนิงเขยิบ
เข้าใกล้ “กลางดึกแบบนี้เจ้ากลับพาข้ามาที่วังหลวง
คงไม่ได้พาข้ามาแค่ชมสระน้ำหรอกกระมัง?”
คนชุดขาวยิ้มแย้มขึ้นมา เขาพยักหน้า
ฉีหนิงเหงื่อไหลท่วมตัว เขาพูดว่า “เจ้าให้ข้ามาดูเพียง
สระน้ำ ในใต้หล้านี้มีสระน้ำสวยๆ มากมาย เจ้ากลับ
เสี่ยงอันตรายขนาดนี้ เพื่อมาดูสระน้ำที่นี่น่ะหรือ มัน
ไม่คุ้มเอาเสียเลยนะ” เขามองซ้ายมองขวา เหมือนจะ
ไม่มีทหารลาดตระเวนอยู่ เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ข้ารู้ว่าวรยุทธ์ของเจ้านั้นสูงมาก แต่ว่านี่คือวังหลวง
ของต้าฉู่นะ ยอดฝีมือที่นี่มีมากมาย หากเจ้าถูกจับได้
ว่าเจ้าบุกเข้าวังหลวงมานั้น เจ้าคิดว่ามันจะมีผล
อย่างไรบ้าง? มือเปล่ายากที่จะสู้กับคนรอบทิศ ต่อ
ให้วรยุทธ์ของเจ้าจะร้ายกาจแค่ไหนก็ตาม เจ้าคิดว่า
เจ้าจะหนีไปได้หรือ?”
คนชุดขาวยักไหล่ เขายิ้มอย่างยินดี แต่ว่าไม่มีเสียง
“ยอดฝีมือช่างกล้าหาญนัก ข้าเลื่อมใส” ฉีหนิงยก
นิ้วโป้งให้ แต่ในใจ เขานับถือในวรยุทธ์ของคนชุดขาว
จริงๆ แต่ว่าความกล้าของเขาทำให้ฉีหนิงเลื่อมใสมาก
ขึ้นไปอีก ในใต้หล้านี้ จะมีสักกี่คนที่กล้าบุกเข้าเขต
พระราชฐานแบบนี้กัน? ฉีหนิงส่ายหน้า เขาพูดว่า
“แต่ว่าถ้าเจ้าอยากเข้ามาดูสระน้ำ ที่จริงก็ไม่
จำเป็นต้องพาข้ามาด้วยก็ได้นะ? เจ้าไม่รู้ว่าข้าชอบ
อะไร ที่จริงข้าไม่ได้สนใจมันเลย อีกอย่าง...เฮ้อ พี่ชุด
ขาว ข้าพูดอย่างนี้ดีกว่า ครั้งที่แล้วข้าเองก็ดีกับท่าน
ไม่น้อย ท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องลากข้ามาเดือดร้อน
ด้วย วรยุทธ์ของท่านร้ายกาจขนาดนี้ หากถูกจับได้ ดี
ไม่ดีท่านหนีไปได้ แล้วข้าเล่า?”
คนชุดขาวก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เขายังคงไขว้มือไว้
ด้านหลัง เขายิ้มแล้วมองฉีหนิงอย่างสนใจ
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ” ฉีหนิงพบว่าเขาพูดอยู่ตั้งครึ่ง
ค่อนวัน แต่คนชุดขาวกลับไม่ส่งเสียงอะไรเลย
เหมือนกับกำลังดูเขาแสดงละครอยู่ฝ่ายเดียว เขาจึง
นั่งลงริมสระ “ท่านก็ดูให้เต็มที่ก็แล้วกัน ดูเสร็จแล้วก็
ส่งข้ากลับจวนด้วยแล้วกัน”
คนชุดขาวหันหน้าไปที่สระต่อ
ด้านบนของสระมีกลุ่มควันปกคลุมอยู่ ต่อให้ฉีหนิงจะ
ตาไม่ดีอย่างไร ก็ยงั เห็นน้ำที่ขอบสระอยู่ แต่ว่ากลาง
สระมันเป็นอย่างไร ฉีหนิงยังมองเห็นไม่ชัด
ทันใดนั้นเองก็เห็นคนชุดขาวขยับตัว ฉีหนิงยังไม่ทันรู้
เลยว่าเกิดอะไรขึ้น คนชุดขาวก็ลอยตัวราวกับเทพเข้า
ไปยังกลุ่มควัน จากนั้นก็ถูกกลุ่มควันกลืนหายไป
ฉีหนิงตะลึงไป เสียงน้ำที่กระทบน้ำในสระ ทำให้ฉี
หนิงไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ ของคนชุดขาว
เลย เขาขมวดคิ้ว ก็รู้สึกว่าการกระทำของคนชุดขาว
นั้นประหลาดมาก
ยังดีที่เป้าหมายของของคนๆ นี้เหมือนจะเป็นสระที่
อยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อฮ่องเต้น้อย
ทำให้ฉีหนิงเบาใจไปเยอะมาก
เขาหวังว่าฮ่องเต้น้อยจะไม่มีอันตรายใดๆ แต่ว่าก็ห่วง
ตัวเองเหมือนกัน หากคนชุดขาวพาเขามาที่นี่เพื่อ
สังหารฮ่องเต้น้อย เมื่อถูกจับได้ เกรงว่าจะถูกคิดว่า
เป็นพวกเดียวกัน จวนจิ่นอีโหวก็จะเดือดร้อน
ทันใดนั้นเอง ก็เห็นคลื่นน้ำพุ่งออกมาจากกลุ่มหมอก
ควัน ฉีหนิงขมวดคิ้ว กำลังจะหลบออกไป แต่ใน
พริบตาเดียว ก็เห็นสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งกำลังบีบเข้ามาหา
เขา ถึงแม้มันจะเป็นสีขาว แต่ว่านั่นมันไม่ใช่คนชุด
ขาว ฉีหนิงตกใจขึ้นมาทันที เขาไม่พูดอะไรให้มาก
ความ เขาพลิกตัวถอยหลังออกจากสระน้ำ เมื่อเงย
หน้าขึ้น ก็เห็นงูยักษ์สีขาวตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ หัว
ของมันใหญ่เท่ากับหมัดของคนสองคน ปากของมัน
อ้ากว้าง ทำให้เห็นเขี้ยวของมันชัดเจน มันน่ากลัวมาก
ฉีหนิงคุกเข่าอยู่ที่พื้น เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถงึ
เลยว่า ในสระน้ำนี้ จะมีงูยักษ์สีขาวซ่อนตัวอยู่
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 11 บทที่ 307 คัมภีร์เฉียนหยวน
งูยักษ์แลบลิ้นออกมา ฉีหนิงตกใจมาก เขาเห็นคนชุด
ขาวปรากฏตัวออกมาจากกลุ่มหมอกควัน เท้าของเขา
แตะอยู่บนศีรษะของงู ร่างกายของเขาดูเบาบาง
ลอยตัวลงมาบนฝั่ง
งูยักษ์ตัวนั้นก็ตามลงมา พริบตาเดียวก็ตามหลังของ
คนชุดขาวมา คนชุดขาวไม่ได้หันหลังกลับไป เขาใช้
มือข้างหนึ่งซัดไปที่ด้านหลัง แต่ไม่มีการกระทำอย่าง
อื่น ฉีหนิงเห็นงูยักษ์ตัวนั้นล้มลงกับพื้น มันขยับแค่
สองสามที ครึ่งตัวบนของมันพาดอยู่บนฝั่ง ครึ่งตัวล่าง
อยู่ในน้ำ ไม่นานนักมันก็ไม่ขยับอีก
ฉีหนิงอึ้งไป
วรยุทธ์ของคนชุดขาวน่าตกใจมาก
คนชุดขาวเห็นฉีหนิงตกใจ ก็ยิ้มอ่อน เขากวักมือเรียก
ฉีหนิงมา ฉีหนิงลุกขึ้นมา ในใจก็คิดอยากรู้ว่าคนชุด
ขาวเป็นใครมาจากไหน เขาเดินขึ้นมา เขาเลยถามว่า
“เจ้า...เจ้าฆ่างูขาวยักษ์หรือ?”
คนชุดขาวตะลึงไป จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า
จากนั้นก็นั่งยองลงไปที่ข้างงูขาวยักษ์เขาใช้มือพยุงงู
ขาวยักษ์ขึ้นมา ใบหน้าของเขาสวยมาก เขามีราศีของ
ความเป็นเทพ ตอนนี้พยุงงูขาวยักษ์ขึ้นมา กลับทำให้
คนรู้สึกหนาวถึงกระดูสันหลัง
ฉีหนิงค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ เห็นงูขาวยักษ์ไม่ขยับ ก็
อดไม่ได้ที่จะนั่งยองๆ ลงไป เขามองไปที่คนชุดขาว
แล้วถามว่า “เจ้าใช้วรยุทธ์อะไร? เหตุใดเจ้างูขาวยักษ์
นี่ถึงได้ยอมเจ้าได้เพียงกระบวนท่าเดียว?” จากนั้น
เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ที่เจ้าเข้าวังมาเพราะงูยักษ์
ตัวนี้หรือ”
คนชุดขาวพยักหน้า เขายิ้มแล้วมองไปที่ฉีหนิง
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นงูยักษ์?” ฉีหนิงพูดด้วย
ความสงสัย “ในเขตพระราชฐาน มีตำหนักอยู่
มากมายเหมือนเมฆหมอก แม้แต่คนที่อยู่ในวังหลวง
มานานยังหลงทางเลย เจ้ารู้จักที่นี่ได้อย่างไร?”
คนชุดขาวยิ้ม แล้วพูดว่า “ข้าเคยมาที่นี่แล้ว”
เขาพูด ทำให้ฉีหนิงตกใจ หลังจากที่เขารู้จักคนชุด
ขาวมา คนชุดขาวไม่เคยพูดกับเขาเลยสักคำเดียว ทำ
ให้ฉีหนิงเข้าใจว่าเขาเป็นใบ้ แต่พอเขาพูด เขาถึงได้รู้
ว่าคนชุดขาวนั้นพูดได้ เขาตะลึงไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็
อดพูดไม่ได้ว่า “เจ้า...เจ้าพูดได้?”
คนชุดขาวยิ้มหน้าบาน “ข้าเคยบอกเจ้าหรือ ว่าข้าพูด
ไม่ได้?”
น้ำเสียงของเขาดูอ่อนโยน และมีความไพเราะ ฉีหนิง
ได้ยินน้ำเสียงของเขา ก่อนหน้านี้ยังสงสัยอยู่ แต่
ในตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่า คนชุดขาวเป็นผู้หญิงจริงๆ
“เปล่า ข้าแค่เข้าใจผิดไปเอง” เขาเป็นคนที่สวยมาก
ไม่ว่าจะมีวรยุทธ์ที่ร้ายกาจแค่ไหน ก็ไม่ได้ทำให้ฉีหนิง
รู้สึกกลัวเขาเลย เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่พูด ข้าก็คิด
ว่าเจ้าพูดไม่ได้”
“พูดอะไรไร้สาระไปก็ไร้ประโยชน์ แล้วจะพูดให้
เสียเวลาพูดทำไม?” คนชุดขาวยิ้ม เวลานางยิ้มมุม
ปากของนางเหมือนมีปีก มันดูงดงามมาก มันเหมาะ
กับใบหน้าของนางแล้ว
ฉีหนิงยกมือแล้วลูบคาง แล้วถามว่า “เจ้าบอกว่าเจ้า
เคยมาที่นี่? เจ้าเป็นใครกันแน่? จริงสิ เจ้างูขาวยักษ์นี่
ถูกเจ้าตีสลบแล้วหรือ?”
คนชุดขาวพยักหน้า จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นมา ฉีหนิง
ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็รู้สึกเหมือนมีคนเอาอะไรไม่รู้มา
สกัดจุดชีพจรของเขาหลายจุด เขาคิดจะตอบโต้ แต่
ว่าพริบตาเดียว ร่างกายของเขาก็ขยับไม่ได้ เขารู้สึก
โมโหมาก เขาพูดว่า “เจ้า...เจ้าทำแบบนี้หมายความ
ว่าอย่างไร?”
คนชุดขาวไม่ได้สนใจเขา เขายื่นมือไปจับคางของฉี
หนิง แล้วบีบให้เขาต้องอ้าปาก ฉีหนิงยังอยากจะพูด
อะไรต่อ แต่พบว่าปากของเขามันหุบลงไม่ได้แล้ว
อยากจะพูดอะไรก็พูดไม่ได้แล้ว
เขาเหลือบตาไปมอง สีหน้าของเขาโกรธมาก คนชุด
ขาวก็ไม่ได้สนใจเขา เขายกมือซ้ายขึ้นมาและงอนิ้วชี้
ลงแล้วใช้นิ้วโป้งกดไปบนเล็บ จากนั้นก็ดีด “เพลี๊ยะ”
เขาดีดจนมีรูเกิดขึ้นบนตัวของงูขาวยักษ์
ฉีหนิงไม่รู้เลยว่าคนชุดขาวต้องการทำอะไร แต่เพราะ
เขาขยับตัวไม่ได้ ด้วยความจนใจ ทำได้แค่มองดูอย่าง
เดียว
ตอนที่เผชิญหน้ากับราชาพิษจิ่วซีชิวเฉียนอี้ ฉีหนิง
ไม่ใช่คู่ปรับของเขา แต่ก็ไม่ถึงขนาดไม่มีโอกาสตอบโต้
แต่ว่าการกระทำต่างๆ ของคนชุดขาวนัน้ มันคาดเดา
ไม่ได้เลย อย่าว่าแต่ตอบโต้เลย แม้แต่เวลาตั้งตัวก็ไม่มี
ในใจเขารู้แล้วว่าเขาได้เจอสุดยอดฝีมือแล้วจริงๆ
คนชุดขาวยกมือขวาขึ้นมา เขางอนิ้วมือทั้งห้าลง
เล็กน้อย และกดไปที่รอบๆ รูบนตัวงูขาวยักษ์ เห็น
เลือดออกมาจากรูบนตัวของงูขาวยักษ์ เลือดกระเซ็น
ออกมาจากรู มันกำลังจะพุ่งใส่มือของคนชุดขาว ฉี
หนิงตกใจมาก เห็นคนชุดขาวพลิกฝ่ามือ เลือดยังไม่
ทันได้พุ่งใส่มือของคนชุดขาว ราวกับว่ามันมีตา มัน
เลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง แล้วพุ่งเข้าใส่ปากของฉีหนิงที่
กำลังอ้าปากค้างอยู่
ฉีหนิงตกใจเข้าไปอีกยกใหญ่ แต่ว่าเขาขยับตัวไม่ได้
เลย แม้แต่จะหุบปากลงก็ทำไม่ได้ แอบคิดในใจว่า
“เจ้าผู้หญิงคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่?”
เมื่อเลือดงูเข้าปากฉีหนิงไป ทำให้เขาต้องกลืนมันลง
ไป ฉีหนิงขัดขวางอะไรไม่ได้เลย กลิ่นคาวเลือดเต็ม
ปากไปหมด อยากจะอ้วกออกมาก็ทำไม่ได้
คนชุดขาวยังไม่หยุดแค่นั้น เขาดูดเลือดออกมาจากรู
อีกสามครั้ง แล้วโยนเข้าปากของฉีหนิงไปอีกครั้ง ฉี
หนิงสำลักจนแทบหายใจไม่ทัน กลิ่นคาวเลือดของงู
ขาวยักษ์คุ้งไปทั่ว ด้วยความจนใจ จึงถูกบังคับให้ดื่ม
เลือดเข้าไปอีกสามครั้ง
ฉีหนิงแอบด่าในใจไม่หยุด แต่ในเวลานี้คนชุดขาวก็ดูด
เลือดออกมาจากตัวของงูขาวยักษ์อีก แต่ครั้งนี้ไม่ได้
โยนให้ฉีหนิงดื่ม แต่ครั้งนี้เขาดื่มเอง ท่าทางของนางดู
อ่อนช้อยมาก ถึงแม้การดื่มเลือดจะเป็นเรื่องน่ากลัว
แต่พอนางทำมันกลับดูสวยงามทุกท่วงท่า
“ที่แท้ทนี่ างมาในวังหลวง ก็เพื่อดื่มเลือดงูขาว” ตอน
นี้ฉีหนิงตกใจเอามากๆ เห็นท่าทางของนางดู
เชี่ยวชาญ อีกทั้งยังคุ้นเคยเส้นทางดี ก็คิดว่านางน่าจะ
ไม่ได้มาที่นี่ครั้งแรก คิดว่าก่อนหน้านี้น่าจะเคยมาดื่ม
เลือดงูขาวนี่แล้ว
ในระหว่างนั้นเอง ฉีหนิงก็ตกใจ เขานึกถึงแม่ทัพ
หน้ากากทองแดงที่ดูดเลือดคนขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ในเมืองหลวงมีคนถูกดูดเลือดจนตัวแห้งไป
หลายคน หรือว่าคนสวยตรงหน้านี้จะมีส่วนเกี่ยวข้อง
ด้วย?
แต่ว่าความคิดนี้ของเขาก็ถูกปฏิเสธไปเพราะความคิด
ของเขาเอง
แม่ทัพหน้ากากทองแดงนั่นถึงแม้วรยุทธ์จะสูง แต่ว่า
รูปลักษณ์ภายนอกไม่เหมือนกับคนชุดขาวเลย มองก็
รู้ว่าไม่ใช่คนเดียวกัน
หลังจากที่คนชุดขาวดื่มเลือดไปแล้วสามครั้ง เขา
เคลื่อนไหวไปมา พริบตาเดียวก็เดินมาอยู่ด้านหลัง
ของฉีหนิงแล้ว ฉีหนิงตกใจมาก จากนั้นก็รู้สึกว่า
ด้านหลังมีลมวูบหนึ่ง เขารู้สึกว่าคนชุดขาวซัดฝ่ามือ
ไปที่หลังของเขา เขารู้สึกว่ากำลังภายในกำลังทำให้
ร่างกายของฉีหนิงสั่นสะเทือน ฉีหนิงรู้สึกตะลึง แอบ
คิดในใจว่าเจ้าบ้าเอ้ยกล้าลงมือกับข้าหรือ
กำลังภายในนี้ถึงแม้จะหนาแน่นมาก แต่ฉีหนิงไม่ได้
รู้สึกว่าไม่สบายตัวเลย ในทางกลับกัน คนชุดขาวซัด
ฝ่ามืออีกหลายครั้ง ตั้งแต่หัวไหล่จนถึงกระดูกก้นกบ
ทั้งหน้าและหลังซัดฝ่ามือเข้าใส่อีกสิบกว่าครั้ง
ฝ่ามือสุดท้าย ฉีหนิงรู้สึกว่าหน้าอกของเขาร้อนผ่าว
ขึ้นมา คนชุดขาวลอยตัวมาตรงหน้าของฉีหนิง
จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิตรงข้ามกับเขา เขาใช้ฝ่ามือซัด
ไปที่หน้าอกตรงจุดตันเถียนของฉีหนิง ฉีหนิงไม่รู้ว่า
ผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามี
ลมปราณชี่สองอย่างออกมาจากฝ่ามือของคนชุดขาว
กำลังพุ่งไปที่จุดตันเถียนของฉีหนิง
ที่จุดตันเถียนของเขามีกำลังภายในสะสมอยู่เยอะมาก
เมื่อลมปราณชี่ทั้งสองเข้าไปในจุดตันเถียนแล้ว
ลมปราณชี่ภายในเกิดการปะทะพุ่งชนกับพลัง
ลมปราณชี่ที่เข้ามาใหม่ ทำให้เขารู้สึกร้อนมาก
เหมือนกับมีอะไรเผาไหม้อยู่ที่หน้าอกของเขา มัน
อธิบายไม่ถูกว่ามันทรมานยังไง ทำได้แค่อ้าปาก
หายใจเท่านั้น แต่ไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย ร่างกาย
ของเขาทรมานมาก มันเหมือนเขากำลังถูกลงทัณฑ์
ฉีหนิงร้องไม่ออกเลย ในหัวของเขาตอนนี้ได้แต่
ภาวนาให้ความร้อนนี้หายไปเร็วๆ มันระบายออกไป
ทั่ว เขาลืมตาขึ้นมามอง เขาเห็นคนชุดขาวสีหน้านิ่ง
มาก แต่ว่าสีหน้าของเขาเหมือนจะซีดเซียว ตอนนี้
ขาวเหมือนกระดาษแล้ว สายตาของนางดูไม่ปกติสัก
เท่าไหร่
ขณะที่เขารู้สึกเหมือนกับว่าหน้าอกของเขากำลังจะ
ระเบิด ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าคนชุดขาวได้เก็บกำลัง
ภายในที่เขาปล่อยออกมานั้นกลับไป ไม่เพียงเท่านั้น
กำลังภายในที่จุดตันเถียนของเขามันก็พุ่งกระจาย
ออกมา ราวกับน้ำพุ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความร้อนดังไฟเผาของเขาก็ค่อยๆ
ลดลง
ร่างกายของเขาสบายลงเยอะมาก แต่ว่าในใจของเขา
ยังคงตกใจอยู่ แอบคิดในใจว่าหรือว่าคนชุดขาวนี่ก็
รู้จักพลังหกเทพประสานเหมือนกัน เขาถึงได้ใช้กำลัง
ดูดพลังชี่ในตัวเขาไป?
พลังชี่มันไหลผ่านฝ่ามือของคนชุดขาวออกไป ถึงแม้ฉี
หนิงจะพูดไม่ได้ แต่ว่าตาของเขาก็เห็นได้อย่างชัดเจน
เขาเห็นใบหน้าของคนชุดขาวเริ่มแดงขึ้นมาก
เหมือนกับว่าใบหน้าของเขามีเลือดฝาด ขณะที่กำลัง
สงสัยอยู่ ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่ากำลังภายในที่ถูกดูดไป
เมื่อครู่นั้นมันไหลย้อนกลับมาผ่านฝ่ามือของคนชุด
ขาวอีกครั้ง
เขาไม่รู้ว่าคนชุดขาวกำลังจะทำอะไรกันแน่ เขาทำได้
แค่อดทน
เมื่อกำลังภายในย้อนกลับมา ความร้อนก็กลับมาอีก
ครั้ง ร่างกายของเขาทรมานอย่างผิดปกติ ใบหน้าที่
แดงก่ำของคนชุดขาวเริ่มซีดขาวอีกครั้ง
“เฉียนหยวน กำเนิดทุกสรรพสิ่ง สามารถรวบรวมฟ้า
และดินได้” ทันใดนั้นเองก็ได้ยินคนชุดขาวพูดว่า
“เคลื่อนย้ายเมฆาฝนฟ้าคะนอง สรรพสิ่งก่อร่างสร้าง
ตัว สุดท้ายก่อกำเนิด ทะลวงจุดทั้งหก เมื่อทะลวงจุด
มังกรทั้งหกได้ หลักเฉียนเต้าจะแปรเปลี่ยน ชีวิต
เปลี่ยนเป็นบวก สร้างสมดุล ถือเป็นคุณ นี่คือคัมภีร์
เฉียนหยวน”
ฉีหนิงเริ่มแรกยังฟังไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออะไร แต่พอ
ได้ยินคำว่า “คัมภีร์เฉียนหยวน” เขาก็ตะลึง
ความรู้สึกร้อนมันทวีคูณเพิ่มขึ้นตรงหน้าอกของเขา
ในหัวของเขาตอนนี้มึนงงไปหมด ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขา
ตาลาย เหมือนจะสลบไป
ในตอนนี้เขาแทบจะฝืนต่อไปไม่ไหวแล้ว เขารู้สึกว่า
คนชุดขาวดูดพลังชี่ในตัวเขาออกไปอีกครั้ง
ทำเหมือนเมื่อครู่ไม่มีผิด คนชุดขาวหน้าแดงอีกครั้ง
บนหน้าผากของนางในตอนนี้ มีเหงื่อไหลออกมาเป็น
เม็ดแล้ว
ขณะที่ฉีหนิงรู้สึกดีขึ้น คนชุดขาวก็ปล่อยกำลังภายใน
เข้าตัวของฉีหนิงอีกครั้ง ในปากก็ท่อง “เฉียนหยวน
กำเนิดทุกสรรพสิ่ง...ทะลวงจุดทั้งหก...ถือเป็นคุณ นี่
คือคัมภีร์เฉียนหยวน”
เขาทำแบบนี้อยู่ประมาณเจ็ดครั้ง ทุกครั้งที่เขาถ่าย
กำลังภายในย้อนคืนมา ฉีหนิงก็จะรู้สึกตัวร้อนดังไฟ
เผา หัวของเขาก็จะมึน เหมือนจะสลบ แต่ว่าทุกครั้งที่
จะสลบ คนชุดขาวก็จะดึงกำลังภายในออกไปอีก ให้ฉี
หนิงได้ผ่อนคลาย
จนกระทั่งคนชุดขาวปล่อยกำลังภายในครั้งที่แปด ฉี
หนิงเห็นแล้วว่าหน้าของคนชุดขาวนั้นไม่ซีดแล้ว แต่
กลับเป็นเลือดฝาดสีแดงอ่อนแทน ผิวของเขาขาว
เนียนเป็นธรรมชาติแล้ว หากเป่าเบาๆ ก็เหมือนไข่มุก
คนชุดขาวท่องประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมา จนฉีหนิงจำได้
กำลังภายในในครั้งนี้เหมือนจะมากและเร็วกว่าก่อน
หน้านี้มาก ฉีหนิงรู้สึกว่าเหมือนหน้าอกจะฉีกขาด เขา
ปวดหัวมาก ตาของเขามืดสนิท จากนั้นก็สลบไป ไม่
รู้สึกตัวอีก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 11 บทที่ 308 ค้อนยักษ์
ขณะที่ฉีหนิงตื่นขึ้นมา เขาก็รีบลุกขึ้นนั่งทันที เขามอง
ซ้ายแลขวา เขาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในจวน
จิ่นอีโหวแล้ว บนตัวของเขามีผ้าห่มห่มตัวเอาไว้ ไฟ
บนโต๊ะมอดไปแล้ว อีกทั้งหน้าต่างที่เปิดไว้ก่อนหน้านี้
ตอนนี้ก็ปิดสนิท
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหัน
ไปที่หัวเตียง พบว่าภาพเคล็ดวิชาของเขายังอยู่ใต้
หมอนอย่างดี เขาวางหมอนลง แล้วยกมือจับไปที่หลัง
คอ เรื่องที่พบคนชุดขาวเมื่อคืนมันชัดเจนมาก แม้แต่
ตอนที่เขาสลบไปเขาก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หรือว่า
ทั้งหมดนี่มันเป็นแค่ฝัน?
เขาเอามือขึ้นมาป้องปาก แล้วเป่าลมออกมา กลิ่น
คาวเลือดมันลอยขึ้นมาแตะจมูก มันคือเลือดของงู
ขาวยักษ์ เขาถึงได้แน่ใจว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมัน
ไม่ใช่ความฝัน มันคือเรื่องจริง
เขาเปิดผ้าห่มออกแล้วมองไปที่เสื้อผ้าของตัวเอง เป็น
ชุดเดียวกับเมื่อคืน เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจ
ทันทีว่า เมื่อคืนเขาสลบไป คนชุดขาวคงเอาเขา
กลับมาส่ง
ความร้อนที่หน้าอกของเขาตอนนี้ไม่มีแล้ว ฉีหนิงลอง
เดินลมปราณดู ก็ดูปกติดีทุกอย่าง พลังชี่ภายใน
ร่างกายลดหรือเพิ่มขึ้น ตอนนี้ฉีหนิงพอจะแยกแยะได้
แล้ว เขารู้สึกได้ว่าพลังภายในของเขาไม่ได้ลดลง แล้ว
ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น เขารู้สึกแปลกใจ เมื่อคืนคนชุดขาวทำ
การเดินลมปราณย้อนไปมาหลายครั้ง ก็ไม่รู้ว่านาง
ต้องการอะไรกันแน่
ยังดีที่กำลังภายในไม่ได้ลดลง ฉีหนิงก็รู้สึกเบาใจไปไม่
น้อย
เขาเอามือไปไว้ทางท้ายทอยแล้วนอนลงไป ในใจของ
เขาเต็มไปด้วยคำถาม เขาแอบคิดในใจว่าคนชุดขาว
คุ้นเคยเส้นทางในวังหลวงเป็นอย่างดี น่าจะไม่ใช่คน
ธรรมดาทั่วไป อีกทั้งผิวพรรณของคนชุดขาวก็เนียน
ใบหน้างดงาม มีสง่าราศี ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา คนๆ นี้จะ
มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเชื้อพระวงศ์ต้าฉู่หรือไม่?
อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย แม้แต้บรรดาเชื้อพระวงศ์เอง
ก็ไม่น่าจะคุ้นเคยกับวังหลวงได้มากขนาดนี้
นางดื่มเลือดของงูขาว เพื่ออะไรกัน?
จากนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดประหลาดของคนชุดขาว ฉี
หนิงยังจำมันได้ดี แต่ไม่รู้ว่ามันมีความหมายอะไร
ระหว่างที่คิด เขาก็สะลึมสะลือแล้วหลับไป พอตื่น
ขึ้นมาอีกที ก็เก้าโมงเข้าไปแล้ว เขารีบตื่นขึ้นมาแล้ว
เรียกคนมาปรนนิบัติเขาล้างหน้าล้างตา หานโซ่วเดิน
มารายงานว่า “โหวเยว่ ท่านอาจารย์จั่วส่งคนมาถาม
ว่าท่านจะมีเวลาว่างเมื่อไหร่ หากมีเวลาก็ขอเรียนเชิญ
ที่วิทยาลัยฉงหลินสักหน่อยขอรับ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าช่วงนี้เบลอไปมากจริงๆ เกือบลืม
เรื่องที่วิทยาลัยฉงหลินไปเลย ตอนนี้เขาได้รับการ
ว่าจ้างให้เป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยฉงหลินแล้ว เขา
รับปากจั่วชิงหยางว่าหากมีเวลาว่างจะเข้าไปบรรยาย
แต่หลังจากครั้งนั้น ก็ผ่านไประยะหนึ่งแล้วยังไม่ได้ไป
เลยสักครั้งเดียว
ในตอนนี้ในหัวของเขาก็มีใบหน้าของเสี่ยวเหยาลอย
ขึ้นมา เขาก็นึกกังวลใจ
ซูจื่อเซวียนเปิดเผยฐานะของเขาในวิทยาลัยฉงหลิน
นางโอหังอวดดี ทำให้เขาต้องลงมือสั่งสอนคุณหนูป่า
เถื่อนนั่นไป ก็ไม่รู้ว่าซูจื่อเซวียนจะคิดแค้นใจ แล้ว
ฉวยโอกาสที่เขาไม่อยู่ ระบายอารมณ์ใส่เสี่ยวเหยา
หรือไม่
เขารู้สึกเป็นห่วงมาก เขาไม่เสียเวลาอีก กินข้าวเช้า
เสร็จ ก็ตรงไปยังวิทยาลัยฉงหลินเลย เมื่อเข้าไปถึงใน
วิทยาลัย เขาก็ตรงไปหาจั่วชิงหยางที่เรือนไม้ไผ่ก่อน
ครั้งที่แล้วเขาเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง ท่าทีของจั่วชิงหยาง
เป็นมิตรมากขึ้น ฉีหนิงยังกังวลอยู่ว่า เขาหยามเกียรติ
ศิษย์ของเขาอย่างเจียงซุยอวิ๋นต่อหน้าคนหลายคนที่
สนามประลอง จั่วชิงหยางจะไม่พอใจหรือไม่ แต่ว่า
เขากลับไม่ได้ยินจั่วชิงหยางพูดถึงเจียงซุยอวิ๋นเลย
แม้แต่คำเดียว อีกทั้งท่าทางของเขายังอ่อนโยนขึ้น
มากด้วย เขาก็เลยสบายใจขึ้น
จากนั้นเขาก็ไปยังหอการศึกษา เหล่าแม่นางกำลังรอ
เขาอยู่ การมาของฉีหนิงในวันนี้ ทำให้แม่นางเหล่านี้
รู้สึกดีใจมาก ฉีหนิงเข้ามายังห้องเรียนก็กวาดสายตา
มองไป เขามองไปทีม่ ุมห้อง เพื่อจะมองหาเสี่ยวเหยา
แต่เขากลับไม่เห็น เสี่ยวเหยาไม่อยู่ในห้องเรียน
เขาขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองไปที่ซูจื่อเซวียน ก็เห็นว่า
ซูจอื่ เซวียนก็ไม่อยู่เช่นกัน
“เหตุใดถึงมีคนไม่มา?” ฉีหนิงกระแอมไปสองที เขา
ยืนเอามือไขว้หลังแล้วถามว่า “ซูจื่อเซวียนไปไหน?
ยังมี เสี่ยวเหยาอีกคนทำไมถึงไม่มา?”
แม่นางคนหนึ่งรีบตอบว่า “อาจารย์ฉี เสี่ยวเหยาไม่
ได้มาเรียนหลายวันแล้ว เหมือนว่าจะมีธุระทางบ้าน
ส่วนจื่อเซวียน...จื่อเซวียนเมื่อครู่นางยังอยู่ในวิทยาลัย
เลย ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปไหนแล้ว”
ฉีหนิงได้รับการว่าจ้างจากวิทยาลัยฉงหลิน ใน
วิทยาลัยทุกคนรู้กันทั่ว ดังนั้นจึงเรียกฉีหนิงว่า
อาจารย์
ฉีหนิงได้ยินแม่นางคนนั้นพูดมา ก็รู้สึกแปลกใจ แต่ใน
ใจก็เข้าใจ ซูจื่อเซวียนหลบหน้าเขา เพราะไม่อยาก
เจอ หรืออาจจะกลัว หรืออาจจะอคติ ฉีหนิงเองก็
ไม่ได้อยากจะเจอหน้าคุณหนูซูคนนั้นเหมือนกัน
แต่ว่าเสี่ยวเหยาไม่อยู่ ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก ในใจ
คิดว่าเสี่ยวเหยากับแม่ของนางเหมือนคนๆ เดียวกัน
ที่บ้านนางเกิดเรื่อง หรือว่าแม่ของนางเป็นอะไรไป
หรือ? เมื่อคิดๆ ดูแล้ว ก็ถามว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า
ที่บ้านเสี่ยวเหยาเกิดอะไรขึ้น?”
เหล่าแม่นางต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครพูดอะไร มีกลุ่ม
เล็กๆ ที่ก้มหน้าลง
ฉีหนิงเห็นดังนั้น ก็ชี้ไปที่คนๆ หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้า
ตามข้ามา”
เพื่อนที่อยู่ข้างๆ ดึงเสื้อนาง แล้วชี้ไปที่ฉีหนิงที่เดิน
ออกไปนอกห้อง แม่นางคนนั้นตะลึงไป แต่ก็ยังลุกขึ้น
แล้วออกจากห้องไป
เมื่อออกจากห้องไปแล้ว ฉีหนิงหันมาเห็นแม่นางคน
นั้นดูตื่นกลัว เขาก็พูดด้วยความอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่
ต้องกลัวหรอก ข้าแค่อยากจะถามเจ้าเรื่องเสี่ยวเหยา
เท่านั้น”
แม่นางคนนั้นก้มหน้า แล้วตอบแค่ “อืม”
“เสี่ยวเหยาไม่ได้มาเรียนนานแค่ไหนแล้ว?”
แม่นางคนนั้นลังเลไปครู่หนึ่งแล้วถึงพูดว่า “หลังจาก
ครั้งที่แล้วที่อาจารย์กลับไป วันต่อมาเสี่ยวเหยาก็ไม่
ได้มาที่วิทยาลัยอีกเลย ได้ยินมาว่าท่านอาจารย์จั่วส่ง
...ส่งคนไปหานาง แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราว”
ฉีหนิงตะลึงไป เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “วันต่อมาก็
ไม่ได้มาแล้วหรือ? ซูจื่อเซวียนทำอะไรอีกใช่หรือไม่?”
เวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างอ่อนไหว ฉีหนิงคิด
ออกแค่เหตุผลเดียวคือซูจื่อเซวียนต้องทำอะไร
แน่นอน
แม่นางคนนั้นรีบพูดว่า “ข้า...ข้าไม่รู้” ท่าทางของนาง
ดูตื่นกลัวมาก
ฉีหนิงสีหน้าจริงจัง แล้วถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าบ้าน
ของเสี่ยวเหยาอยู่ที่ไหน?”
แม่นางคนนั้นส่ายหน้า เห็นฉีหนิงจ้องมาที่นางด้วย
สายตาที่เฉียบคม นางก็พูดอย่างเกร็งๆ ว่า “ข้าไม่รู้
แต่ว่ามีคนรู้”
ฉีหนิงถามว่า “เจ้าไปถามมาว่าบ้านของเสี่ยวเหยาอยู่
ที่ไหน ข้าจะรอเจ้าตรงนี้”
แม่นางคนนั้นก็ไม่ให้เสียเวลา นางรีบกลับเข้าไปที่
ห้องเรียน
ฉีหนิงรู้สึกว่าที่เสี่ยวเหยาไม่ได้มาที่วิทยาลัย เรื่องนี้
จะต้องเกี่ยวข้องกับซูจื่อเซวียนแน่ เมื่อคิดว่าที่ซูจื่อเซ
วียนทำแบบนี้ก็เพราะโกรธนางเลยไปลงที่เสี่ยวเหยา
แทน เขาก็รู้สึกผิดต่อเสี่ยวเหยามาก ตอนนี้เขาไม่มี
อารมณ์บรรยายความรู้ให้กับนักเรียนแล้ว แล้วก็ไม่มี
เวลาไปถามซูจื่อเซวียนให้รู้เรื่องด้วย เขาคิดแต่
อยากจะไปอธิบายให้เสี่ยวเหยาเข้าใจในตัวเขา
แม่นางคนนั้นเข้าไปครู่หนึ่งแล้วก็ออกมา นางบอกที่
อยู่ของเสี่ยเหยา ฉีหนิงพูดว่า “เดี๋ยวเจ้าบอกกับท่าน
อาจารย์จั่วหน่อยนะว่า ข้ามีเรื่องด่วนต้องไปทำต้อง
ขอตัวก่อน ไว้ข้าจะกลับมาใหม่” เขาไม่มีเวลาแม้แต่
จะไปลาจั่วชิงหยาง เขารีบออกจากวิทยาลัย แล้วตรง
ไปหาเสี่ยวเหยาเลย
เสี่ยวเหยาอาศัยอยู่ที่ตรอกชิงซุ่ย ไม่ไกลจากวิทยาลัย
มากนัก แต่ฉีหนิงไม่รู้จักตรอกชิงซุ่ยว่ามันอยู่ที่ไหน
เลยต้องถามเอาตลอดทางจนมาถึงปากทางของตรอก
ชิงซุ่ย
เมืองหลวงเจี้ยนเย่ถงึ แม้จะเป็นเมืองเก่า แต่ว่ามันก็
ขยายไปมาก จากภาพรวม ยังคงไว้ซึ่งรูปแบบโบราณ
มีพระราชวังอยู่ตรงกลาง รอบๆพระราชวังเป็น
หน่วยงานราชการ ที่อยู่ของเหล่าขุนนาง จวนจิ่นอี
โหวเองก็อยู่ทางทิศตะวันออกของวังหลวง ไม่ไกลจาก
วังหลวงมากนัก
ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าพวกเขาจะรัก
ประชาชนหรือไม่ แต่พวกเขาก็หนีไม่พ้นการสนับสนุน
ของประชาชน ดังนั้นในเมืองเก่าแห่งนี้ ก็ต้องมีบ้าน
ของชาวเมืองอยู่ไม่น้อย
ทางด้านทิศเหนือของเมืองเป็นพื้นที่ของเหล่าพ่อค้า
ส่วนประตูเมืองทางทิศเหนือถือว่าเป็นประตูเมืองหลัก
ของเมืองหลวง มีคนเข้าออกเป็นจำนวนมาก ดังนั้น
เมืองทางทิศเหนือก็ถือได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของ
ฮ่องเต้ เมื่อเข้าเมืองมา ก็จะเจอถนนที่กว้างขวาง มี
ร้านค้ามากมาย อีกทั้งยังเป็นทีเ่ จอคนมีฐานะดี
มากมายอีกด้วย
ทางตัวเมืองทิศเหนือจะเป็นบ้านเรือนของคนที่ทำ
การค้าช่างฝีมือ ชาวบ้านจริงๆ ที่ฐานะยากจนจะอยู่
รวมกันทางทิศตะวันตกของเมือง
วิทยาลัยฉงหลินอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง ส่วน
ตรอกชิงซุ่ยเองก็อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเช่นกัน
สถานการณ์ของเมืองทางทิศตะวันออกค่อนข้าง
ซับซ้อน มีทั้งจวนของขุนนาง มีทั้งวิทยาลัย สถานที่
ชุมนุมของเหล่าบัณฑิตอีกทั้งยังมีสถานเริงรมย์อีกด้วย
เมื่อทางทิศเหนือค่อนข้างรุ่งเรือง ส่วนทางทิศ
ตะวันออกก็มีหลากหลายชนชั้น มีคนหลากหลาย
ประเภทอยู่รวมกัน
ตรอกชิงซุ่ยเป็นหนึ่งในร้อยกว่าตรอกของทิศ
ตะวันออกของเมือง ภายในตรอกมีร้านค้าประปราย
ไม่ได้ครึกครื้นเหมือนเมืองทางทิศเหนือ อีกทั้งการค้า
ก็ดูเงียบ
ฉีหนิงเข้ามาในตรอกจากนั้นก็ถามหาบ้านของเสี่ยว
เหยา ไม่นานก็ได้เรื่อง เขารู้มาว่าบ้านอยู่หลังที่อยู่สุด
ซอย เขาจึงขี่ม้าตรงเข้าไป ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นคน
สิบกว่าคนกำลังยืนมุงอะไรอยู่ในตรอก เขาชะโงก
หน้าเข้าไปดู เห็นคนกำลังวิจารณ์อะไรกันอยู่ จากนั้น
เขาลงจากม้า แล้วจูงม้าเดินไป เมื่อได้ยนิ เสียงฝีเท้าม้า
ก็มีคนหันไปมอง เห็นฉีหนิงแต่งตัวดูดี อีกทั้งยังจูงม้า
ตัวใหญ่มา ก็รู้ว่าเขาไม่น่าจะใช่คนธรรมดา ก็เลยดึง
ชายเสื้อของคนข้างๆ เหมือนจะบอกให้เขาหลีกทาง
ให้
ฉีหนิงเดินตรงเข้าไป เห็นที่ด้านหน้าไม่ไกลนัก มีคน
สองสามคนกำลังยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง คนหนึ่งถือ
ค้อนอันหนึ่งเอาไว้ กำลังทุบเก้าอี้ไม้หน้าประตูบ้าน
เขาทุบมันลงไปหลายทีจนขาเก้าอี้หัก
ในตรอกชิงซุ่ยบ้านส่วนใหญ่เป็นแบบสองห้องนอน
ไม่ได้ใหญ่มาก เปิดประตูเข้าไปก็จะเจอห้องโถงเลย
อีกด้านหนึ่งก็จะเป็นห้องนอนที่มีหน้าต่างบานเดียว
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ เห็นหลายคนมาเพื่อมุงดู แต่ไม่มี
ใครกล้าเข้าไปใกล้ คนที่อยู่ตรงนั้นมีแต่รูปร่างสูงใหญ่
ทั้งนั้น อีกทั้งยังดุและโหดมากด้วย
“เกิดอะไรขึ้นตรงนั้นหรือ?” ฉีหนิงถามชายแก่คน
หนึ่งอย่างมีมารยาท “เหตุใดถึงได้ทำลายข้าวของ
กลางวันแสกๆ แบบนี้เล่า?”
ชายคนนั้นยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “คุณชาย ท่านอย่า
ไปยุ่งเลยนะ เข้าไปไม่ได้เชียว พวกเขามาทวงหนี้ มา
ทุกสองสามวันเลย...เฮ้อ สองแม่ลูกนั่น ก็น่าสงสาร”
“สองแม่ลูก?” ฉีหนิงสะดุ้งไป “บ้านหลังนั้นใช่บ้าน
ของเสี่ยวเหยาหรือไม่?”
“เสี่ยวเหยา?” ชายแก่พูดว่า “ถูกต้อง แม่นางคนนั้น
เหมือนจะชื่อเสี่ยวเหยา มีอะไรรึ คุณชายท่านรู้จัก
อย่างนั้นหรือ?” เขายังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นฉีหนิงขึ้นม้า
แล้วควบม้าเดินตรงไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็
มาถึงหน้าบ้าน เขาพูดด้วยเสียงดุดันว่า “ใครอยาก
ตาย ก็ทุบต่อได้เลย”
ขณะที่เขาควบม้ามา สามคนนั้นก็สังเกตเห็นเขาแล้ว
คนที่ถือค้อนในมือก็หยุดทุบ เมื่อเห็นคุณชายอายุน้อย
ขี่ม้ามา อีกทั้งพูดจาดุดัน เขาก็อึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะ
เหมือนกับว่าไม่ได้สนใจว่าฉีหนิงจะแต่งตัวเช่นไร มีคน
หนึ่งเดินขึ้นหน้ามา เขายิ้มแล้วพูดว่า “อะไรกัน ผ่าน
ทางมาเห็นความอยุติธรรมเลยอยากยื่นมือมาช่วย
อย่างนั้นหรือ?”
คนๆ นี้ใบหน้าของเขาเหมือนม้า หากแสดงเป็นคน
เลวก็แทบไม่ต้องแต่งหน้าเพิ่ม เขาจะต้องแสดงมัน
ออกมาได้ดีแน่นอน อีกสองคนสูงอีกคนหนึ่งอ้วน คน
สูงถือค้อนยักษ์ในมือ ใบหน้าของเขามีรอยบาก มองก็
รู้ว่าไม่ได้มีเจตนาดีแน่นอน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 11 บทที่ 309 เดิมพัน
ฉีหนิงยิ้มเจื่อน เขาลงจากม้ามา เขาไม่มองใครเลย
จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในบ้าน
คนที่อยู่ข้างๆ อยากจะห้าม คนที่หน้าเหมือนม้า
ค่อนข้างดูเจ้าเล่ห์ ถึงแม้จะไม่ได้หวาดกลัวฉีหนิง แต่
ว่าฉีหนิงฐานะไม่ธรรมดา สุดท้ายก็ยื่นมือออกไปห้าม
ไม่ได้ทำอะไรวู่วาม
ฉีหนิงเดินเข้าไปในบ้าน เห็นสภาพบ้านเละเทะมาก
ของหลายอย่างพังหมด ที่มุมบ้านมีชั้นวางดอกไม้ที่ล้ม
ละเนละนาด กระถางดอกไม้หล่นลงมาแตกหมด
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะหันเข้าไปในห้อง ก็มี
คนมาขวางเอาไว้ ในมือถือมีดสั้นเอาไว้เล่มหนึ่งฉีหนิง
หยุดชะงักไป ทันใดนั้นเขาก็เห็นชัด ว่าคนที่มาขวาง
เขาเอาไว้นั้นคือเสี่ยวเหยา
เสี่ยวเหยาสวมชุดสีเขียวอ่อน ถึงแม้จะเป็นผ้าหยาบ
แต่ว่ามันก็ทำให้เสี่ยวเหยาดูสบายตา เพียงแต่ว่าสี
หน้าของนางตอนนี้ดูดื้อรั้นดุดัน เมื่อเห็นชัดว่าเป็นฉี
หนิง นางก็ตะลึงไป นางหลุดพูดออกมาว่า “โหว...
เป็น...” นางไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องพูดอะไรเลย
ตอนนี้คนหน้าเหมือนม้าพวกนั้นก็เดินตามหลังมา คน
หน้าเหมือนม้ายืนวางท่าอยู่ด้านข้าง แต่ก็ไม่ได้พูด
อะไร
ฉีหนิงยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วพูดว่า “ไม่ต้องกลัวนะ
ข้าอยู่นี่แล้ว เจ้าวางใจได้ ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน”
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองบ้าน เห็นหญิงม่ายคนหนึ่งนั่ง
อยู่ที่เก้าอี้ภายในห้อง มือสองข้างของนางกอดเข่า
เอาไว้ ผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าซีดเซียว ดูเหมือนจะสติ
ไม่ค่อยสมประกอบแล้ว
“เจ้าไปดูแลแม่ของเจ้าก่อนเถอะ” ฉีหนิงรู้ว่าคนที่นั่ง
อยู่ที่เก้าอี้นั้นน่าจะเป็นแม่ของเสี่ยวเหยา จากนั้นเขา
ก็ยื่นมือไปปิดประตูห้อง จากนั้นถึงได้หันหลังกลับมา
เขาไขว้มือไว้ด้านหลัง แล้วมองไปที่คนหน้าเหมือนม้า
จากนั้นก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าพวกท่าน
มาทวงหนี้กันหรือ?” เขาจ้องไปที่คนหน้าเหมือนม้า
แล้วถามว่า “ไม่ทราบต้องเรียกท่านว่าอะไร?”
“เกรงใจไปแล้ว ข้าชื่อหม่าเหล่าลิ่ว” คนหน้าเหมือน
ม้าเห็นฉีหนิงอายุยังน้อย แต่ว่าดูสุขุม จะประเมินเขา
ต่ำไม่ได้ “ไม่ทราบว่าควรเรียกน้องชายว่าอะไร?”
“ข้าแซ่ฉี” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เริ่มตรงไหนก่อนดี
เล่าให้ฟังหน่อย ว่ามันเกิดอะไรขึ้นหรือ?” เขากวาด
สายตาไปยังข้าวของที่เละเทะ จากนั้นก็ถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “กลางวันแสกๆ พวกท่านมารังแกสองแม่
ลูกถึงที่นี่ มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?”
ในตอนนี้ด้านนอกก็มีคนที่มีความกล้าอยู่บ้างเขยิบเข้า
มาใกล้ แต่ไม่กล้าเข้าใกล้ประตูมากนัก ได้แต่มองอยู่
ห่างๆ
หม่าเหล่าลิ่วยิ้มแล้วพูดว่า “มันก็ไม่มีทางเลือก บ้าน
หลังนี้เป็นชื่อข้าแล้ว เป็นทรัพย์สินของข้าหม่าเหล่า
ลิ่ว หลายวันก่อนข้าก็ได้ให้คนมาแจ้งพวกนางสองแม่
ลูกแล้ว ให้เวลาพวกนางย้ายออกไป แต่ว่าพวกนาง
กลับไม่ยอมย้ายออกไป ข้าหม่าเหล่าลิ่วก็ไม่ใช่คนไม่มี
เหตุผล ให้เวลาพวกนางตั้งหลายวันแล้ว ในเมื่อพวก
นางไม่ยอมไป ข้าเลยจำเป็นต้องพาคนมาช่วยพวก
นางนี่ไง”
“บ้านหลังนี้เป็นชื่อของเจ้าอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “หมายความว่าอะไรรึ? เท่าที่ข้ารู้มา สอง
แม่ลูกนี่อยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้วนะ”
คนข้างๆ หม่าเหล่าลิ่วคนหนึ่งอดไม่ได้เลยถามว่า
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรของเจ้า เจ้ามา
ยุ่งเรื่องนี้ทำไมกัน?”
“แถวนี้มีแต่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป” ฉีหนิงพูดว่า “ข้า
ไม่อยากรบกวนพวกเขา ดังนั้นทางที่ดีพวกเจ้าอย่าทำ
ให้ข้าโมโหจะดีกว่า”
“เจ้า...” คนๆ นั้นกำหมัดแน่น กำลังจะระเบิด
อารมณ์ออกมา หม่าเหล่าลิ่วก็ยกมือขึ้นมาขวาง เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “น้องชายคนนี้พูดถูกแล้ว เรื่องของ
พวกเราเป็นเรื่องเล็ก พวกเรากับเจ้าไม่เคยพบกันมา
ก่อน ไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน ทางที่ดีอย่าให้ต้องผิด
ใจกันเลยนะ”
ฉีหนิงส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่
คิดจะไว้หน้าพวกเจ้าอยู่แล้ว เพียงแต่ไว้หน้าเหล่า
เพื่อนบ้านตรงนี้มากกว่า” ไม่รอหม่าเหล่าลิ่วพูด เขา
ยื่นมือออกไปแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าบ้านหลังนี้เป็น
ของเจ้า มีหลักฐานไหม เอาหลักฐานมาให้ข้าดูสิ”
“หลังฐาน?” หม่าเหล่าลิ่วหัวเราะ แล้วก็หยิบ
กระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง เมื่อเปิดออก “เจ้ามองดูให้
ดี นี่คือโฉนด ด้านบนเขียนไว้อย่างชัดเจน พวกเราไม่
อยากมีเรื่อง หากเจ้ารู้จักสองแม่ลูกนี่ ก็รีบกล่อมให้
นางย้ายออกไปซะ”
“ข้าเห็นแล้ว” ฉีหนิงพยักหน้า ในตอนนี้เอง ประตู
ด้านหลังก็เปิดออก เสี่ยวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
ว่า “หากจะเอาบ้านคืน เจ้าก็ไปบอกคนที่สั่งพวกเจ้า
ให้มาด้วยตัวเอง ขอแค่เขามา ข้ากับแม่จะไปทันที”
หม่าเหล่าลิ่วยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าพูดแบบนี้ทำข้า
ลำบากใจนะ โฉนดนี่ข้าเล่นชนะถึงได้มา บ้านหลังนี้ก็
ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคนๆ นั้นแล้ว ข้าจะไปเรียกเขา
มาได้อย่างไรเล่า?”
“เล่นชนะมาได้?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “เจ้าได้มันมาจาก
ใคร?” จากนั้นเขาก็หันหน้ากลับไป แล้วถามว่า
“เสี่ยวเหยา โฉนดไม่ได้อยู่กับพวกเจ้าหรือ?”
เสี่ยวเหยากัดปาก ไม่ได้พูดอะไร ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ
ขึ้นมาทันที
ถึงแม้เสี่ยวเหยาจะเป็นลูกสาวของอู่เซียงโหวซูเจิน
แต่ตอนเกิดมา ก็ถูกขับออกจากจวนอู่เซียงโหวแล้ว
แต่ซูเจินก็ไม่ได้ตัดขาดพวกนางไปเลยทีเดียว น่าจะหา
บ้านให้เสี่ยวเหยาสองแม่ลูกอยู่
ดูท่าตอนนั้นซูเจินให้สองแม่ลูกอาศัยอยู่ที่นี่ แต่ว่า
โฉนดเขาไม่ได้ให้เอาไว้
หากบอกว่าโฉนดอยู่ที่อู่เซียงโหว แล้วเหตุใดถึงได้มา
อยู่ในมือของนักเลงพวกนี้ได้เล่า? อู่เซียงโหวซูเจิน
ถึงแม้จะไม่ได้มีความสามารถอะไรมากนัก แต่ว่า
อย่างไรเขาก็เป็นถึงหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหว ตำแหน่ง
ของเขาถือว่าสูง จวนอู่เซียงโหว ไม่มีทางมีสัมพันธ์กับ
พวกนักเลงพวกนี้แน่นอน
หม่าเหล่าลิ่วตั้งใจถอนหายใจ แล้วพูดว่า “เป็นหนี้ก็
ต้องชดใช้ นี่เป็นเรื่องที่ใครก็รู้ อีกทั้งอยู่ใต้จมูกโอรส
สวรรค์ด้วย ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ชดใช้”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว เป็นหนี้
ต้องชดใช้เป็นเรื่องที่ใครก็รู้ ไม่มีข้อโต้แย้งใด”
หม่าเหล่าลิ่วอึ้งไป ฉีหนิงพูดต่อว่า “แต่ว่าบ้านเป็น
ของพวกเจ้า แต่ว่ากระถางดอกไม้เก้าอี้พวกนี้ เป็น
ของพวกเจ้าด้วยหรือ?”
หม่าเหล่าลิ่วตะลึง เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าไม่
เข้าใจความหมายของเจ้า”
“เรื่องนี้เข้าใจง่ายมาก เก้าอี้โต๊ะพวกนี้ไม่ใช่ของเจ้า
ดอกไม้พวกนี้ก็ไม่ใช่ของเจ้า พวกเจ้าต้องการเอาบ้าน
ไป นั่นย่อมทำได้แน่นอน แต่ว่าการทำลายกระถาง
ดอกไม้หรือข้าวของพวกนี้ พวกเจ้าทำไม่ได้” ฉีหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “กลางวันแสกๆ ใต้จมูกองค์ฮ่องเต้แบบ
นี้ พวกเจ้ากล้าบุกรุกทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้เลยหรือ?”
“ข้า...” หม่าเหล่าลิ่วหน้านิ่งไป แต่เขาพยายามข่ม
อารมณ์เอาไว้แล้วพูดว่า “ทั้งหมดนี่ก็เพราะสองแม่ลูก
นี่บีบให้พวกเราต้องทำ แค่พวกนางยอมย้ายออกไป
ดีๆ ค่าเสียหายโต๊ะเก้าอี้พวกนี้ ข้าจะลองคิดดูว่าจะ
ชดใช้ให้อย่างไร”
ฉีหนิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “ข้าว่าเจ้าเองก็เป็นคนพูด
ง่าย พวกเราก็อย่าเสียเวลาอีกเลย ในเมื่อเจ้าได้โฉนด
มาจากมือของคนอื่น ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะกล้าเดิมพันกับ
ข้าด้วยหรือไม่”
“เดิมพัน?” หม่าเหล่าลิ่วยิ้ม “เจ้าอยากจะเดิมพันกับ
ข้าหรือ?”
เสี่ยวเหยารีบพูดว่า “โหว...ไม่...ท่านอย่าเดิมพันกับ
เขาเลยนะ”
หม่าเหล่าลิ่วหัวเราะแล้วพูดว่า “น้องชาย เจ้าได้ยิน
หรือไม่ นางกำลังเตือนเจ้าว่าอย่าเดิมพันกับข้าอยู่
นะ”
ฉีหนิงส่ายหัวพูดว่า “ในเมื่อข้าบอกว่าจะเดิมพันกับ
เจ้า ก็ไม่คืนคำแน่นอน ไม่เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านจะกล้า
พอหรือไม่?”
เมื่อพูดออกมาแบบนี้แล้ว หม่าเหล่าลิ่วกับพวกอีก
สามคนก็หัวเราะเสียงดัง เหมือนกับนี่คือเรื่องที่น่าขำ
ที่สุดที่พวกเขาเคยได้ยินมา หม่าเหล่าลิ่วหัวเราะแล้ว
พูดว่า “เจ้าอยากจะเดิมพันอะไรเล่า?”
“ตอนที่เจ้าได้โฉนดมา เจ้าเดิมพันอะไรเล่า?” ฉีหนิง
ย้อนถามกลับไป
“ลูกเต๋า” หม่าเหล่าลิ่วพูด “ทำไมหรือ เจ้าคิดจะเดิม
พันลูกเต๋ากับข้าอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “บังเอิญจังเลย ข้าชอบเล่น
ลูกเต๋ามาตั้งแต่หกขวบ พวกเรามาเล่นลูกเต๋ากันดี
หรือไม่?”
หม่าเหล่าลิ่วมองไปที่ฉีหนิง เห็นฉีหนิงนิ่งมาก เขาก็
เริ่มลังเล จากนั้นถามว่า “แล้วเจ้าจะเดิมพันด้วย
อะไร? ในเมื่อเป็นการพนัน ก็ต้องวางเดิมพันสิจริ
หรือไม่?”
คนที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้นมาว่า “ลูกพี่ ในมือของพวก
เรามีโฉนด เอาบ้านมาก็พอแล้ว เหตุใดต้องมาเดิมพัน
อะไรกับเขาอีก?”
ฉีหนิงพูดว่า “เหมือนว่าพี่น้องของเจ้าจะไม่เชื่อมั่นใน
ตัวเจ้าเลยนะ”
หม่าเหล่าลิ่วจ้องไปที่คนๆ นั้น ฉีหนิงควักเอาตั๋วเงิน
ออกมาหนึ่งใบ จากนั้นก็สะบัดออก ยื่นไปให้หม่า
เหล่าลิ่วดู “เจ้าดูให้ดี นี่คือตั๋วเงินจำนวนห้าร้อยตำลึง
บ้านหลังนี้อย่างมากก็แค่หนึ่งร้อยตำลึง หากเจ้าชนะ
ตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงนี่ก็เป็นของเจ้า ข้าวของที่เสียหาย
ที่นี่ทั้งหมดเจ้าเองก็ไม่ต้องชดใช้ แต่หากเจ้าแพ้ ทิ้ง
โฉนดนี่เอาไว้ จากนั้นคุกเข่าขอขมาเสี่ยวเหยากับแม่
ของนาง แล้วคลานออกไปจากตรอกชิงซุ่ยนี่ด้วย เจ้า
ว่าแบบนี้ยุติธรรมดีหรือไม่?”
หม่าเหล่าลิ่วจ้องไปที่ตั๋วเงินห้าร้อยตำลึง เขาถึงกลับ
กลืนน้ำลาย เขาไม่ลังเลที่จะตอบว่า “ได้ พูดแล้วห้าม
คืนคำนะ”
ฉีหนิงส่ายหัวยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าสามคน ในมือยัง
ถือค้อนยักษ์อยู่ หากข้าคืนคำ พวกเจ้าจะปล่อยข้าไป
หรือ?”
หม่าเหล่าลิ่วพูดว่า “ดี” จากนั้นเขาก็เอาลูกเต๋า
ออกมาสามเม็ด เขายิ้มแล้วพูดว่า “ลูกเต๋าข้าเตรียม
เอาไว้แล้ว เจ้าจะแทงสูง หรือว่าต่ำ?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าพกแม้กระทั่งลูกเต๋า
ไว้กับตัวแบบนี้ ดูท่าจะเป็นยอดฝีมือนะ”
“พวกเราไม่ต้องเล่นตาเดียวชนะก็ได้” หม่าเหล่าลิ่ว
ยิ้มแล้วพูดว่า “ชนะสองในสาม เล่นแทงสูงต่ำ เจ้าเริ่ม
ก่อนได้เลย”
ฉีหนิงยกนิ้วโป้งให้แล้วพูดว่า “เป็นคนเข้าใจง่ายดี แต่
ว่า...ในเมื่อจะเดิมพันกัน อีกทั้งข้าก็วางเดิมพัน
มากกว่าตั้งห้าเท่า ก็ควรจะให้มันยุติธรรมหน่อย”
“ยุติธรรม?” หม่าเหล่าลิ่วขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หรือ
ว่าเจ้าคิดว่าแบบนี้มันไม่ยุติธรรม?”
ฉีหนิงเดินขึ้นหน้าไป ยื่นมือออกไป หม่าเหล่าลิ่วเอา
ลูกเต๋าวางบนมือของฉีหนิง ฉีหนิงแกว่งไปมาในมือ
เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าใช้ลูกเต๋านี่เอาชนะแล้วได้โฉนด
มาหรือ?”
“ถูกต้อง”
“ถ้าเช่นนั้นก็แปลกนะ” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ข้าเดาว่าคนที่มาพนันกับเจ้าน่าจะเป็นพวกมือใหม่”
เขาจ้องไปที่ลูกเต๋าในมือ แล้วพูดว่า “เจ้าว่า หากใน
ลูกเต๋านี่มีปรอทอยู่ ก็จะชนะแน่นอนใช่หรือไม่?”
หม่าเหล่าลิ่วกับพวกหน้าถอดสี
พวกนักพนันส่วนมาก ก็จะมีเล่ห์กลของตัวเองทั้งนั้น
ลูกเต๋าสามลูกนี้ข้างในมีปรอทอยู่ นอกจากพวกที่
ชำนาญมากแล้ว คนทั่วไปไม่มีทางดูออกแน่นอนว่า
ด้านในลูกเต๋าซ่อนกลโกงเอาไว้ หากฝึกฝนมากหน่อย
อยากจะควบคุมลูกเต๋าก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ฉีหนิงพูดแค่คำเดียวก็จับทางได้ ทำให้หม่าเหล่าลิ่วกับ
พวกถึงกับตะลึงไป เดิมเขายังประเมินฉีหนิงต่ำมาก
แต่ว่าพอฉีหนิงพูดมาแบบนี้พวกเขาคิดในใจว่าเขา
น่าจะร้ายกาจแน่ ต้องระวังตัวไว้ก่อนถึงจะดี
ไม่เช่นนั้นจะเสียท่าง่ายๆ
“หากเจ้าพูดแบบนี้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเดิมพันกัน
แล้ว” หม่าเหล่าลิ่วยิ้มเจื่อนแล้วพูด
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมพันยังคงต้องเล่น แต่ว่าพวก
เรามาเปลี่ยนวิธีเล่นกัน วิธีนี้ง่ายมาก” เขามองไปที่
คนอ้วนที่อยู่ข้างหม่าเหล่าลิ่ว แล้วพูดว่า “ไปหาชาม
มาสองใบ”
ชายอ้วนยังลังเลอยู่ หม่าเหล่าลิ่วส่งสัญญาณให้เขา
เขาเลยรีบไปตามหา จานชามต่างๆ ของเสี่ยวเหยา
แตกไปหมดแล้ว ชายอ้วนจึงต้องไปยืมมาจากบ้าน
ข้างๆ ไม่ช้าเขาก็เอาชามกระเบื้องมาสองใบ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 11 บทที่ 310 หาเรื่องใส่ตัว
ฉีหนิงรับชามมาสองใบ จากนั้นก็เอาลูกเต๋าสองลูกคืน
ให้หม่าเหล่าลิ่วไป จากนั้นเขาก็หาแผ่นไม้ที่ยังพอใช้
งานได้มา แล้วนำลูกเต๋าที่เหลืออยู่ในมือวางบนลูกเต๋า
ไม่รอพวกหม่าเหล่าลิ่วทำความเข้าใจว่ามันคืออะไร
เขากดคว่ำชามสองใบลง จากนั้นสลับชามไปมาอยู่
หลายรอบถึงจะหยุด
หม่าเหล่าลิ่วขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าทำแบบนี้
หมายความว่าอย่างไร?”
“การเดิมพันเริ่มแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “พวกเจ้าแค่เดา
ว่าลูกเต๋าอยู่ในชามใบไหนก็พอ หากทายถูกก็ถือว่า
เจ้าชนะ”
หม่าเหล่าลิ่วแทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลย เขาพูด
ด้วยความตกใจว่า “ง่าย...ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?”
“เดิมทีก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรอยู่แล้ว” ฉีหนิงพูดว่า
“อะไรกัน พวกเจ้าไม่คิดจะเริ่มเล่นกันหรือ?”
หม่าเหล่าลิ่วกับพวกมองหน้ากัน พวกเขาดูไม่ค่อน
เชื่อเท่าไหร่
ถึงแม้ฉีหนิงจะแกล้งสลับชามหลายที แต่ว่าเขาไม่ได้
ทำเร็วเลย พวกเขาสามคนมองเห็นชัดเจน พวกเขา
แน่ใจว่าลูกเต๋าอยู่ในชามด้านซ้ายของฉีหนิง
“เจ้าไม่เสียใจแน่นะ?” หม่าเหล่าลิ่วขมวดคิ้ว
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ยินดีเดิมพันต้องรับความพ่าย
แพ้ได้ ในเมื่อวางเดิมพันไปแล้ว เหมือนจะไม่มีโอกาส
ให้ได้เสียใจอีก”
เสี่ยวเหยามองมาที่ฉีหนิง นางไม่รู้เลยว่าฉีหนิงกำลัง
วางแผนอะไรอยู่
ชายอ้วนยิ้ม เขาไม่พูดอะไร ยื่นมือออกไปคิดจะไป
เปิดชามใบที่อยู่ทางด้านซ้ายของฉีหนิง แต่ถูกหม่า
เหล่าลิ่วยื่นมือไปขวางเอาไว้ ชายอ้วนอึ้งไป แล้วรีบ
พูดว่า “ลูกพี่ มันอยู่ทางซ้ายมือของเขา ยังต้องคิด
อะไรอีก?”
หม่าเหล่าลิ่วค่อยๆ ส่ายหน้า ไม่ไปมองที่ชาม แต่เขา
กลับมองไปที่ฉีหนิง
ฉีหนิงยังคงนิ่งเหมือนเดิม บนริมฝีปากของเขามีแต่
รอยยิ้ม หม่าเหล่าลิ่วแอบคิดในใจว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่โง่
เขาดูเหมือนจะเป็นคนลึกซึ้งเอามากๆ เขาจะเสนอ
การเดิมพันโง่ๆ ได้อย่างไรกัน?
ขอแค่คนที่มีตา ดูก็รู้ว่าลูกเต๋าอยู่ที่ชามด้ามซ้าย แทบ
จะไม่ต้องลังเลที่จะเลือกเลย
แต่ยิ่งเป็นอย่างนั้น หม่าเหล่าลิ่วรู้สึกว่ามันต้องมี
เงื่อนงำอะไรแน่นอน ชายอ้วนรีบร้อนจะไปเปิดชาม
หม่าเหล่าลิ่วเห็นความเจ้าเล่ห์ในแววตาของฉีหนิง
เขาแสยะยิ้มแล้วเราะ จากนั้นก็นั่งยองลง เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “น้องชายฉลาดมาก ดูท่าทางจะเป็นคนในสาย
แต่น่าเสียดายที่ข้าหม่าเหล่าลิ่วอยู่กับลูกเต๋าพวกนี้
ตลอดเวลา ข้าฟังข้าก็ฟังออก” เขามองไปที่มือขวา
ของฉีหนิง
ฉีหนิงยังนิ่งอยู่ แต่ว่าสายตาของเขากลับดูกังวลใจ มือ
ของของเขาเหมือนจะออกแรงมากขึ้นอีก เขา
พยายามกดชามด้านขวามือเอาไว้ แต่ว่าสีหน้าท่าทาง
ของเขายังนิ่งอยู่
หม่าเหล่าลิ่วยื่นมือออกไป แล้วกดไปที่มือขวาของฉี
หนิง เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ายังอายุน้อย การเดิมพัน
ไม่ได้อาศัยแค่ฝีมือ แต่ยังต้องอาศัยการสังเกตด้วย
ฝีมือของเจ้าไม่เลวเลย แต่ว่ามันปิดข้าไม่ได้หรอกนะ”
เขาจ้องไปที่ชามด้านขวามือ “ลูกเต๋าอยู่ในชามใบนี้”
ชายอ้วนกับชายสูงรีบพูดว่า “ลูกพี่ ผิดแล้ว ข้าเห็นชัด
เลยนะ ลูกเต๋าอยู่ในชามด้านซ้าย”
หม่าเหล่าลิ่วหัวเราะ เขาพูดว่า “เอามือออก” เขาปัด
มือขวาของฉีหนิงออก แล้วจับชามด้านขวา แล้วเปิด
มันออกอย่างมั่นใจ แล้วพูดว่า “ลูกเต๋าอยู่ใน...” เสียง
เขาขาดหายไป สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ใต้ชามด้าน
ขวามือนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของลูกเต๋าเลย
ฉีหนิงยิ้ม แล้วเปิดชามด้านซ้ายออก เห็นลูกเต๋าแน่นิ่ง
อยู่ในนั้น
“เป็น...เป็น...เป็นไปได้อย่างไร?” หม่าเหล่าลิ่วหน้า
ถอดสี “มัน...มันเป็นไปไม่ได้”
ชายอ้วนอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ลูกพี่ เห็นอยู่ว่าลูกเต๋า
มันอยู่ด้านนี้ ทำ...เหตุใดท่านยังเลือกด้านนี้เล่า นี่มัน
...” ในใจเขาก็แอบด่าหม่าเหล่าลิ่วว่าโง่อย่างกับควาย
แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าพูดออกมาจากปาก
ฉีหนิงยืนขึ้นมา แล้วยื่นมือออกไป “ยอมพนันก็ต้อง
ยอมรับความพ่ายแพ้ได้ เอาโฉนดมา คุกเข่าลงขอขมา
ซะ”
หม่าเหล่าลิ่วอึ้งไป จากนั้นเขาก็ยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า
“ไม่จริง เจ้าโกง”
“โกง?” ฉีหนิงพูดว่า “ลูกน้องของเจ้าก็เห็นอยู่ ข้าวาง
ลูกเต๋าไว้ในชามด้านซ้ายมือ เจ้ามองผิดเอง เหตุใด
กลายเป็นว่าข้าโกง?”
ชายอ้วนพูดว่า “ลูกพี่ เขาไม่ได้โกงนะ ท่านมองผิดไป
เอง พวกเราเห็นชัดเลย ท่าน...” พูดยังไม่ทันจบ หม่า
เหล่าลิ่วก็ตบไปที่หน้าของชายอ้วน แล้วด่าว่า “หุบ
ปากหมาๆ ของเจ้าไปซะ”
“จะลงไม้ลงมือก็ออกไปทำข้างนอก ทิ้งโฉนดไว้
หลังจากขอขมาแล้ว ก็คลานออกไปจากตรอกชิงซุ่ย
ซะ บัญชีครั้งนี้ของพวกเราถือว่าจบกัน” ฉีหนิงถอย
หลังไปสองก้าว แล้วทำมือ จากนั้นก็พูดว่า “มา ขอ
ขมาเสี่ยวเหยาก่อนเลย”
หม่าเหล่าลิ่วยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “เจ้าโกง ครั้งนี้ไม่
นับ”
ฉีหนิงหน้าเริ่มดุ แล้วพูดว่า “อะไรนะ คิดจะคืนคำ
หรือ?”
“เจ้าเด็กบ้า เจ้าโกง กล้าเล่นแง่กับข้าอย่างนั้นหรือ”
หม่าเหล่าลิ่วยิ้มอย่างชั่วร้ายแล้วพูดว่า “ใครจะกล้า
พิสูจน์ได้ว่าข้าแพ้แล้ว?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าไม่อยากใช้
กำลังกับพวกเจ้า จะได้ไม่เปื้อนมือของข้า แต่ว่าเจ้า
มันรนหาที่ตาย จะโทษข้าไม่ได้นะ” สายตาของเขา
ราวกับคมดาบ “เอาโฉนดมา” เขาเดินออกไปสอง
ก้าว มือขวาของเขายื่นออกไปตรงหน้าของหม่าเหล่า
ลิ่ว
หม่าเหล่าลิ่วหัวเราะแห้ง จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไป
เหมือนกัน แต่ว่าเขากลับจับไปที่ข้อมือของฉีหนิง
จากนั้นก็บิด แต่ว่าข้อมือของฉีหนิงนั้นแข็งราวกับ
ก้อนหินก้อนใหญ่ ไม่ขยับเลย หม่าเหล่าลิ่วตกใจ เขา
ร้องคำราม พยายามออกแรงอย่างเต็มที่ แต่ว่ามือของ
ฉีหนิงก็ไม่ขยับเลย
หม่าเหล่าลิ่วรู้ทันทีว่าตัวเขาเจอกับยอดฝีมือเข้าให้
แล้ว เห็นฉีหนิงสีหน้านิ่งมาก รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่
ก็เลยปล่อยมือ แต่ว่าเขากลับรู้สึกว่าข้อมือของเขา
แน่นขึ้นมา เขาถูกฉีหนิงจับข้อมือเอาไว้แทน
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ฉีหนิงก็
จับข้อมือข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ แล้วยกเท้าขึ้นมา
แล้วถีบไปที่หัวเข่าของหม่าเหล่าลิ่ว จากนั้นก็ได้ยิน
เสียง “แกร็ก” หม่าเหล่าลิ่วรู้สึกปวดข้อเข่าขึ้นมา เขา
ถูกฉีหนิงหักขาภายในพริบตาเดียว
ฉีหนิงเดิมทีก็รู้เรื่องจุดชีพจรของคนพวกเราอยู่แล้ว
อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่เหมือนวันวาน ถีบไปคราวนี้ เข่าของ
หม่าเหล่าลิ่วถึงกับหักเลยทีเดียว
หม่าเหล่าลิ่วร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด ขาของเขา
งอลงไปทันที เขาคุกเข่าลงกับพื้นแล้ว
เสี่ยวเหยาได้ยินหม่าเหล่าลิ่วร้องตะโกนด้วยความ
เจ็บปวด สีหน้าของนางก็ตกใจ เขาเหลือบไปเห็นชาย
ตัวสูงกำลังใช้ค้อนยักษ์ของเขาฟาดมาที่ฉีหนิง นางรีบ
ตะโกนออกไปว่า “ระวัง”
ฉีหนิงเตรียมป้องกันเอาไว้อยู่แล้ว ค้อนของชายตัวสูง
ยังไม่ทันได้ฟาดลงมา เขาก็ยกเท้าซ้ายขึ้น แล้วถีบไปที่
หน้าอกของชายตัวสูงอย่างแรง ชายตัวสูงถึงกับ
ลอยตัวปลิวไป ค้อนยักษ์ของเขาหลุดออกจากมือ
ชายตัวสูงตัวปลิวไปกระแทกกำแพง คนหล่นลงมา
จากกำแพงอย่างอนาถ เลือดพุ่งออกมาจากปากของ
เขา ในขณะนั้นเขาลุกไม่ขึ้นเลย
ชายอ้วนหน้าซีด ไม่กล้าลงมือ เขาถอยหลังไปสอง
ก้าว
ฉีหนิงหน้าเย็นชามาก เขามองไปที่ชายอ้วน แล้วพูด
ว่า “หยิบค้อน แล้วตามข้ามา” อีกมือหนึ่งของเขายัง
จับข้อมือของหม่าเหล่าลิ่วอยู่ เขาลากหม่าเหล่าลิ่ว
ออกจากบ้านไปยังกลางซอย
คนที่มาล้อมดู ต่างก็ตกใจ ไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่มอง
อยู่ห่างๆ
ฉีหนิงปล่อยมือเขาออก หม่าเหล่าลิ่วนอนกองอยู่ที่
พื้น เขาเจ็บปวดทรมานมาก ชายอ้วนเห็นฉีหนิงลงมือ
แค่สองสามทีก็จัดการหม่าเหล่าลิ่วกับชายตัวสูงอย่าง
เด็ดขาดและดุดัน เขาก็ไม่กล้าขัด เขาลากค้อนยักษ์
ตามมา จากนั้นฉีหนิงก็ถกแขนเสื้อขึ้น แล้วรับค้อน
ยักษ์มา แล้วพูดกับชายอ้วนว่า “ในนั้นยังมีอีกคน ไป
ลากเขาออกมา”
ชายอ้วนรีบกลับเข้าไปในบ้าน ฉีหนิงนั่งยองอยู่ข้าง
หม่าเหล่าลิ่ว เขายิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้าก็บอกเจ้า
ไปแล้ว ที่นี่มีเพื่อนบ้านอยู่เยอะ ข้าไม่อยากมีเรื่อง
พวกเจ้าเองก็อย่าหาเรื่องข้า ข้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว
แต่ว่าพวกเจ้ามันไม่รักดีเอง”
หม่าเหล่าลิ่วเห็นฉีหนิงยิ้มแปลกๆ เขาก็หวั่นใจ เขา
พูดว่า “เจ้า...เจ้าคิดจะทำอะไร? ที่นี่ใต้จมูกองค์
ฮ่องเต้ เจ้า...เจ้าอย่าทำอะไรเหลวไหลนะ”
“เจ้าขู่ข้าหรือ?” ฉีหนิงหน้านิ่งไป
หม่าเหล่าลิ่วเสียงสั่น “มิกล้า เจ้า...เจ้าอย่าทำอะไร
เหลวไหลนะ พวกเรา...พวกเราทำตามคำสั่งแค่ไหน
เอง หากเจ้าทำอะไรพวกเรา จะต้อง...” เขาไม่กล้า
พูดต่อ
“จะต้องอะไร?” ฉีหนิงแสยะยิ้ม แล้วยื่นมือไปจับผม
ของหม่าเหล่าลิ่ว แล้วกระชากหัวเขา “เจ้ารับคำสั่ง
มา รับคำสั่งของใคร?” เขาหยิบโฉนดมาจากตัวของ
หม่าเหล่าลิ่ว แล้วสะบัดมันออก “เจ้าบอกว่าโฉนดนี่
เจ้าเล่นพนันชนะเลยได้มา โฉนดใบนี้ควรจะอยู่ที่จวน
อู่เซียงโหวถึงจะถูก พวกเจ้าได้มันมาอย่างไร? อู่เซียง
โหวเล่นพนันกับเจ้าหรืออย่างไรกัน? หรือว่าอู่เซียง
โหวซื่อจื่อ?”
เขารู้ว่าหม่าเหล่าลิ่วพูดจาเหลวไหลแต่แรก ถึงแม้อู่
เซียงโหวจะนิสัยไม่ดีเท่าไหร่ แต่ว่าเขาก็มีตำแหน่ง
บรรดาศักดิ์ ไม่มีทางเล่นพนันกับนักเลงหัวไม้แบบนี้
แน่นอน ยิ่งอู่เซียงโหวซื่อจื่อ ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้
หม่าเหล่าลิ่วข้อเข่าหักไปแล้ว ตอนนี้เจ็บปวดทรมาน
มาก เหงื่อเขาไหลออกมาไม่หยุด “มี...มีคนให้โฉนด
ข้ามา ให้พวกเราเอามันมาไล่สองแม่ลูกนี่ออกไป หลัง
เสร็จเรื่อง บ้านหลังนี้ก็จะเป็นของพวกเรา อีกทั้ง...อีก
ทั้งเรายังจะได้เงินอีกหนึ่งร้อยตำลึง”
“ใคร?”
หม่าเหล่าลิ่วพูดว่า “พ่อ...พ่อบ้านใหญ่ของจวนอู่เซียง
โหว เขา...เขาสั่งให้พวกเราทำแบบนี้”
“พ่อบ้านใหญ่ของจวนอู่เซียงโหว?” ฉีหนิงยิ้มเจื่อน
แล้วพูดว่า “เหตุใดเขาต้องให้พวกเจ้าทำแบบนี้ด้วย?”
“ไม่รู้เหมือนกัน...” หม่าเหล่าลิ่วพูดว่า “พวกเราแค่
รับเงินมาทำงาน เรื่องอื่น...เรื่องอื่นพวกเราไม่รู้อะไร
เลย...”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าวันนี้
เจ้าโชคร้าย วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี พวกเจ้าก็รองรับ
อารมณ์ข้าหน่อยนะ บุกเข้าบ้านคนอื่นกระทำการ
โหดร้าย รังแกสองแม่ลูก ข้าทำได้แค่ผ่านมาแล้วเห็น
ความอยุติธรรมไม่ได้เลยต้องยื่นมือเข้าช่วย” เขาลุก
ขึ้นมา แล้วยกค้อนยักษ์ขึ้นมา แล้วเดินไปที่ขาของ
หม่าเหล่าลิ่ว หม่าเหล่าลิ่วเห็นสถานการณ์ไม่ดี ก็พูด
ว่า “น้องชาย ไม่...นายท่าน ข้าขอร้องล่ะ...”
ฉีหนิงไม่ได้สนใจ เขาทุบค้อนลงไปที่ข้อเข่าอีกข้างของ
หม่าเหล่าลิ่ว คนที่ยืนดูอยู่ต่างก็ตกใจ การทุบครั้งนี้
ทำให้กระดูกข้อเข่าของหม่าเหล่าลิ่วนั้นแตกละเอียด
ไม่มีทางกลับคืนมาได้อีก หม่าเหล่าลิ่วร้องอย่าง
ทรมาน จากนั้นก็สลบไป
ชายอ้วนลากอีกคนออกมาพอดี ทั้งคู่เห็นภาพเช่นนั้น
ก็สีหน้าซีดเซียว ขวัญกระเจิงไปหมด พวกเขาคิดไม่ถึง
เลยว่าชายหนุ่มที่สีหน้ามีแต่รอยยิ้มคนนี้จะลงมือได้
โหดขนาดนี้
“ข้ารู้ว่าปกติพวกเจ้าชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่าจน
เคยชินแล้ว” ฉีหนิงหันหน้ากลับไป แล้วมองไปที่สอง
คนที่สติหลุดไป แล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ายังมีพวก
อีก หามหม่าเหล่าลิ่วกลับไปให้พวกเขาดู ใครกล้า
รังแกคนที่อ่อนกว่าอีก อีกทั้งกล้ากลับมาเหยียบที่
ตรอกชิงซุ่ยนี่แม้แต่ก้าวเดียว นี่ถือว่าแค่สั่งสอน หากมี
คนไม่พอใจ มาหาข้าได้ทุกเมื่อ จริงสิ ข้าชื่อฉีหนิง
อาศัยอยู่ในจวนจิ่นอีโหว มาล้างแค้นข้าได้ตลอด”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 11 บทที่ 311 หน้าที่จะปฏิเสธไม่ได้
ชายอ้วนได้ยินฉีหนิงบอกที่อยู่ของตัวเอง ขาของเขาก็
พลันอ่อนยวบลงในทันที ตอนนี้เขาคุกเข่าลงพื้นไป
แล้ว
กลุ่มการเมืองในราชสำนักแย่งชิงอำนาจกัน สำหรับ
คนธรรมดาทั่วไปแล้ว มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่ว่า
ชื่อเสียงของจิ่นอีโหวนั้น ขอแค่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง
เท่านั้น ก็ไม่มีทางไม่รู้จัก
หนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์ใหญ่ ตระกูลขุนพลนักรบอันดับ
หนึ่งของแคว้น ผู้บัญชาการทหารใหญ่ของกองทัพฉิน
ไหวทั้งสองรุ่น
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก?” ฉีหนิงสีหน้านิ่ง
ชายอ้วนพยายามฝืนลุกขึ้นมา เขากับคนตัวสูงที่เริ่ม
ฟื้นตัวค่อยๆเดินไปหามหม่าเหล่าลิ่วที่สลบไป แล้ว
จากไป
ฉีหนิงยกมือคำนับคนที่ยืนดูอยู่รอบๆ เขาไม่ได้พูด
อะไรมากความ จากนั้นก็เดินเข้าประตูบ้านไป เขา
เห็นเสี่ยวเหยายังคงถือมีดยืนอยู่หน้าประตูห้อง เขา
พูดด้วยความอ่อนโยนว่า “เสี่ยวเหยา ไม่เป็นอะไร
แล้วนะ พวกมันไปหมดแล้ว”
เสี่ยวเหยาตาแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้า แต่ก็ไม่ได้ไหล
ออกมาจากดวงตา นางฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “โหว...โหว
เยว่ ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณท่านมากจริงๆ”
ฉีหนิงเดินเข้าไปใกล้ แล้วหยิบมีดจากมือของเสี่ยว
เหยาออก เขายิ้มแล้วพูดว่า “มือคู่นี้ของเจ้าเหมาะกับ
การปลูกดอกไม้และอ่านหนังสือมากกว่า ไม่ควรเอา
มาถือมีดแบบนี้”
เสี่ยวเหยาก้มหน้าลง แต่ไม่นานนักก็เงยหน้าขึ้นมา
“โหวเยว่ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
“ข้าไปที่วิทยาลัย แต่ไม่เจอเจ้า ได้ยินมาว่าเจ้าไม่ได้
ไปที่วิทยาลัยมาสักพักแล้ว ก็เลยแวะมาดูว่าเกิดอะไร
ขึ้น” ฉีหนิงกวาดสายตาไปรอบบ้านที่เละเทะ จากนั้น
ก็ขมวดคิ้ว
เสี่ยวเหยาส่ายหน้าพูดว่า “โหวเยว่ ต่อไปเสี่ยวเหยา
คงไปที่วิทยาลัยไม่ได้อีกแล้ว ข้า...”
“ไปที่วิทยาลัยไม่ได้แล้ว?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดขัด
ว่า “ทำไม? หรือว่าเจ้าไม่ชอบเรียนหนังสือ? หรือว่า
เพราะเกิดอะไรขึ้นที่บ้าน?”
เสี่ยวเหยาพูดว่า “โหวเยว่ไม่ต้องถามเหตุผลหรอก ถึง
อย่างไร...” นางกัดฟัน แต่ก็ไม่ได้พูดต่อ
ฉีหนิงก็ไม่พูดอะไรให้มากความ เขาเดินอ้อมตัวของ
เสี่ยวเหยาไป จากนั้นก็เปิดประตูห้องออก เห็นหญิง
คนหนึ่งกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ สายตาของนาง
ดูเลื่อนลอยไม่มีสติ
ฉีหนิงรู้ว่านางคือแม่ของเสี่ยวเหยา นางเคยเป็นนาง
นางโลมบนแม่น้ำฉินไหวมาก่อน หลังจากนั้นก็ถูกอู่
เซียงโหวซูเจินพากลับมาที่จวนโหว จากนั้นก็ได้ให้
กำเนิดเสี่ยวเหยา นับตามอายุ เสี่ยวเหยาก็น่าจะอายุ
ประมาณสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น หญิงคนนี้ก็น่าจะอายุ
ราวสามสิบต้นๆ เท่านั้น แต่ว่าตอนนี้ ผิวพรรณของ
นางเหี่ยวย่น ผมเผ้าของนางขาวโพลน ดูเหมือนคน
อายุราวสี่สิบห้าสิบปี
“ผู้น้อยคำนับท่านป้า” ฉีหนิงยกมือทักทายแม่ของ
เสี่ยวเหยาอย่างมีมารยาท เสี่ยวเหยาเดินตามเข้ามา
ในห้อง นางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่ นางฟังอะไร
ไม่เข้าใจหรอก”
“ฟังไม่เข้าใจ?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วมองอย่าง
ละเอียด แม่ของเสี่ยวเหยายังคงเหม่อลอยเหมือนเดิม
เหมือนไม่ได้รู้สึกว่ามีคนเข้ามาเลย เขาตะลึงไป
จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “เสี่ยวเหยา มัน...มันเกิดอะไร
ขึ้น?”
เสี่ยวเหยายิ้มขื่นแล้วพูดว่า “ท่านแม่ไม่ปกติมาหลาย
ปีแล้ว ตอนข้าเด็กๆ นางมักนั่งเหม่อลอยอยู่หน้า
กระถางดอกซุ่ยเซียนเสมอ ไม่กินไม่ดื่มอะไรทั้งวัน ไม่
สนใจใคร เพียงแต่ตอนนั้นอาการไม่ได้หนักขนาดนี้
แต่ละเดือนจะมีวันที่เป็นอย่างนั้นวันสองวันเท่านั้น
โดยทั่วไปแล้วยังดูแลข้าได้อยู่ ท่านแม่ฝีมือดีมาก
รับจ้างเย็บปักถักร้อยแลกเงินใช้ชีวิตไปวันๆ หนึ่ง ยัง
สอนข้าอ่านเขียนหนังสืออีก...”
ฉีหนิงรู้ดีว่า ผู้หญิงที่มาจากแม่น้ำฉินไหว ส่วนมาก
หากไม่ชำนาญเรื่องการร้องเพลงเต้นรำ ก็จะต้องอ่าน
เขียนได้ อีกทั้งบางคนยังแต่งโคลงกลอนได้ด้วย ซึ่ง
ล้วนมาจากการฝึกอบรมตั้งแต่เล็ก ผู้หญิงหลายคนมี
ความสามารถมาก แม่ของเสี่ยวเหยาเองก็น่าจะเป็น
หนึ่งในผู้หญิงที่มีความสามารถมากในตอนนั้น มิ
เช่นนั้นซูเจินคงไม่ถูกใจ
“แต่ว่าสองสามปีมานี้อาการของนางหนักขึ้น” เสี่ยว
เหยาเดินเข้าไปใกล้ ช่วยแม่ของตัวเองจัดเสื้อผ้า แล้ว
พูดว่า “ตั้งแต่เมื่อปีก่อน นางก็เริ่มจำอะไรไม่ได้...”
นางหยุดไป แล้วพูดว่า “ตอนนี้ท่านพูดอะไรไป นางก็
ฟังไม่เข้าใจ”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อู่เซียงโหว...เขาไม่เคยมา
ดูแลพวกเจ้าเลยหรือ?”
เสี่ยวเหยายิ้มเจื่อน แต่ไม่ได้พูดอะไร
“แม่ของเจ้าอาการหนักมาก จะให้เป็นอย่างนี้ต่อไป
ไม่ได้” ฉีหนิงพูดว่า “เสี่ยวเหยา ที่นี่พังหมดแล้ว คง
อยู่ไม่ได้แล้ว หากเจ้าตกลง เจ้าไปอยู่ที่จวนจิ่นอีโหว
กับข้าสักสองสามวันก่อน ให้ข้าส่งคนมาเก็บกวาดที่นี่
ให้ก่อนดีหรือไม่” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ก็ยื่นโฉนดที่ดินให้
“โฉนดนี่เจ้าเก็บเอาไว้ให้ดีนะ”
เสี่ยวเหยาไม่แม้แต่จะมอง แล้วพูดว่า “ในเมื่อ
ต้องการไล่พวกเราสองแม่ลูกออกไป แม้แต่โฉนดก็เอา
ออกมาแล้ว ข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเก็บมันเอาไว้” นาง
มองไปที่แม่ของนาง จากนั้นก็จัดผมให้กับแม่ของ
ตัวเอง แล้วพูดว่า “ข้าจะพาท่านแม่ไป เดิมทีที่นี่ก็
ไม่ใช่บ้านของพวกเราอยู่แล้ว”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “เจ้าจะไปไหน?”
“ไปไหนก็ได้” เสี่ยวเหยาพูดว่า “ต่อให้ต้องไปเป็น
ขอทาน ข้าก็จะไม่ให้ท่านแม่ต้องอดตาย”
“เหลวไหล” ฉีหนิงเสียงเข้ม “แม่ของเจ้าสอนเจ้าร่ำ
เรียนเขียนอ่าน เพื่อให้เจ้าไปเป็นขอทานเลี้ยงดูนาง
อย่างนั้นหรือ? นางอยากให้เจ้าอยู่อย่างมีเกียรติมี
ศักดิ์ศรี” เขามองไปที่แม่ของเสี่ยวเหยา แล้วพูดว่า
“ตอนนี้อากาศหนาวมาก เจ้าพาแม่ออกไปอยู่ข้าง
นอก เจ้าคิดว่าแม่ของเจ้าจะทนได้หรือ?”
เสี่ยวเหยาตัวสั่นเทา นางหลับตาลง สุดท้ายน้ำตาของ
นางก็ไหลพรากลงมาอาบแก้มของนาง
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง แต่ว่าในเวลานี้ไม่ใช่
เวลาที่เจ้ามาดื้อรั้นนะ” ฉีหนิงพูดจาอ่อนลง “เสี่ยว
เหยา เจ้าเองก็รู้ ท่านอาจารย์จั่วว่าจ้างให้ข้าเป็น
อาจารย์ในวิทยาลัยฉงหลิน ดังนั้นตอนนี้ข้าเองก็ถือว่า
เป็นอาจารย์ของเจ้า นักเรียนของข้าเดือดร้อน คน
เป็นอาจารย์อย่างข้าจะไม่สนใจได้อย่างไร เจ้าเชื่อข้า
นะ ตามข้ากลับจวนโหวก่อน เรื่องหลังจากนี้ พวกเรา
ค่อยหารือกันอีกครั้งหนึ่ง เจ้าว่าดีหรือไม่?”
เสี่ยวเหยาก้มหน้าลง แต่ไม่พูดอะไรมาก
“ข้าพูดกับเจ้าตามตรง ในจวนของข้ามีหมอเทวดาอยู่
ท่านหนึ่ง สามารถช่วยดูอาการของท่านป้าได้ ไม่แน่
ว่าท่านป้าอาจจะมีโอกาสหายดีก็ได้” ฉีหนิงพูดอย่าง
อ่อนโยนว่า “ตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ สิ่ง
สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือดูแลรักษาอาการของท่านป้า
ให้ดี เรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เมื่อหาที่ทางให้ท่านป้า
ได้แล้ว เจ้าเองก็จะกลับไปเรียนหนังสือได้อีกครั้ง
หากเจ้าทิ้งมันไปตอนนี้ มันก็เท่ากับที่ทำมาทั้งหมด
มันเสียเปล่า ข้าว่าท่านแม่ของเจ้าคงไม่อยากเห็น
ผลลัพธ์แบบนั้นแน่”
เสี่ยวเหยาเสียงสั่นเครือ “ข้า...ข้าไม่รู้ต้องทำอย่างไร
แต่ว่า...”
“ไม่ต้องคิดมาก เชื่อข้าเถอะ” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าเก็บ
ของก่อนนะ เดี๋ยวข้าออกไปครู่หนึ่ง จะรีบกลับมา”
เขาไม่พูดอะไรมาก ออกจากห้องไป กลุ่มคนที่อยู่ข้าง
นอกยังคงยืนคุยกันอยู่ เมื่อเห็นฉีหนิงออกมา ทุกคนก็
กระจายตัวไปคนละทิศคนละทาง เมื่อครู่ฉีหนิงใช้
ค้อนยักษ์ทุบขาของหม่าเหล่าลิ่วจนหัก เขาทำมัน
อย่างเด็ดขาดดุดัน หม่าเหล่าลิ่วได้รับการสั่งสอน ทุก
คนในซอยต่างรู้สึกสะใจ แต่ว่าก็ทำให้ทุกคนรู้สึก
หวาดกลัวเหมือนกัน
ฉีหนิงกลับยิ้มแล้วเรียกพวกเขาเอาไว้ จากนั้นก็ถาม
ว่าจะจ้างรถม้าสักคันได้จากที่ไหน ทุกคนเห็นฉีหนิง
ท่าทางเป็นมิตร ก็มีอีกหลายคนรวมกลุ่มพูดคุยกันอีก
พวกเขาบอกว่าในตรอกชิงซุ่ยคงหารถม้าไม่ได้ แต่ว่า
หากออกจากซอยไปนั้นมีแน่นอน ฉีหนิงเอาเศษเงิน
ให้ไป แล้วขอให้คนๆ หนึ่งเป็นธุระจัดการให้ ให้เขา
ออกไปจ้างรถม้ามา
คนๆ นั้นก็ดูกระตือรือร้นดี บอกแค่ว่าเมื่อรถม้ามาถึง
ค่อยจ่ายค่ารถ ไม่ต้องให้ก่อน แล้วเขาก็ออกไปจาก
ตรอก ไม่นานนัก เขาก็กลับมาพร้อมกับรถม้าคันหนึ่ง
ฉีหนิงขอบคุณคนๆ นั้น จากนั้นก็เอาเงินให้เป็น
สินน้ำใจ คนๆ นั้นรับมันมาก็ตกใจพร้อมกับดีใจมาก
ฉีหนิงนำรถม้ามาหน้าบ้านของเสี่ยวเหยา คนที่ไปหา
รถม้ามาก็เหมือนจะมองอะไรออก เขารีบเรียกอีกสอง
คนให้มาช่วย
เสี่ยวเหยาเป็นห่วงแม่ของนางมาก ในบ้านก็เละเทะ
ไปหมด ตอนนี้ไม่สามารถอาศัยต่อไปได้อีก อีกทั้งได้
ยินฉีหนิงบอกว่าที่จวนจิ่นอีโหวมีหมอเทวดาที่
สามารถรักษาแม่ของนางได้ อีกทั้งฉีหนิงก็หารถม้า
มาแล้ว ก็เลยทำได้เพียงแค่พยุงแม่ขึ้นรถม้าไปก่อน
จากนั้นก็ไปเก็บเสื้อผ้าสองสามชุด แล้วตามขึ้นรถม้า
ไป
ฉีหนิงเอาเงินให้พวกนั้นอีกสองตำลึง แล้วขอให้พวก
เขาช่วยเก็บกวาดบ้านให้ เงินสองตำลึงสำหรับพวก
เขาแล้ว มันไม่น้อยเลย พวกเขารับปากโดยไม่ต้องคิด
อะไร
ฉีหนิงขี่ม้านำหน้า นำรถม้าออกจากตรอกชิงซุ่ย แล้ว
บอกคนบังคับม้าว่า ให้ไปส่งเสี่ยวเหยาสองแม่ลูกที่
จวนจิ่นอีโหว แล้วบอกคนในจวนว่าเป็นเจตนาของจิ่น
อีโหว คนบังคับรถม้ารับปาก ฉีหนิงก็ไม่พูดมาก
บังคับม้าแล้วตรงไปยังจวนอู่เซียงโหวทันที
เขาเคยไปที่จวนอู่เซียงโหว เขารู้เส้นทางดี เขาควบม้า
ไป จนถึงหน้าประตูจวนอู่เซียงโหว จากนั้นก็ลงจาก
ม้า แล้วให้คนไปแจ้งอู่เซียงโหวซูเจิน ไม่นานนัก ก็มี
คนมาเชิญฉีหนิงเข้าจวนไป ฉีหนิงเดินเข้ามายังห้อง
โถงของจวน แล้วเขาก็นั่งรออยู่ในนั้น ไม่นานนักก็มี
คนยกน้ำชามาให้ แต่ว่าผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงเห็นอู่เซียง
โหวซูเจินเดินมา
สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก น่าจะเป็นเพราะยังไม่ฟื้น
ตัวจากอาการพิษระบาด ดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่ซูเจินนั่งลงแล้ว ยังไม่ทันพูดอะไร ฉีหนิงก็
ลุกมาจากที่นั่ง แล้วเดินมาตรงหน้าเขา แล้วเอาโฉนด
วางลงตรงหน้าของซูเจิน เขาไม่พูดอะไรมาก แล้ว
กลับไปนั่งที่เดิมอีกครั้ง
ซูเจินมองไป เห็นโฉนดใบนั้นวางอยู่ ก็พูดด้วยความ
สงสัยว่า “นี่มันหมายความว่าอะไร?”
“อู่เซียงโหว ท่านดูโฉนดแผ่นนี้ให้ชัดที ท่านจำมันได้
หรือไม่?” ฉีหนิงพูดว่า “มีคนบอกว่าโฉนดแผ่นนี้เขา
ได้มาจากคนในจวนอู่เซียงโหว ข้าเลยนำมันกลับมา
คืนให้ท่าน”
ซูเจินตะลึงไป แล้วหยิบโฉนดขึ้นมาดูอย่างละเอียด สี
หน้าของเขาเปลี่ยนไป แล้วพูดเสียงเข้มว่า “เจ้าได้มัน
มาได้อย่างไร?”
ฉีหนิงแสยะยิ้มพูดว่า “พูดแบบนี้ แสดงว่าโฉนดแผ่น
นี้เป็นของจวนอู่เซียงโหวจริงๆ สินะ?”
“ถูกต้อง” ซูเจินพูดว่า “ข้าถามเจ้าว่าโฉนดใบนี้มาอยู่
ในมือเจ้าได้อย่างไร?”
ฉีหนิงพูดว่า “อู่เซียงโหวร่ำรวยร้นฟ้า มีทรัพย์สินใน
มือมากมาย โฉนดแผ่นนี้อย่างมากราคาก็แค่หนึ่งร้อย
ตำลึง หรือว่าอู่เซียงโหวจะรู้ทรัพย์สินทุกชิ้นของท่าน
ชัดเจนเช่นนี้เลยหรือ?”
ซูเจินถือโฉนดในมือแน่น แล้วพูดว่า “อย่าพูดมาก ข้า
ถามเจ้า เจ้าได้โฉนดมาได้อย่างไร?”
“ข้าต่างหากที่จะถามเจ้า ในเมื่อโฉนดเป็นของเจ้า
แล้วเหตุใดถึงได้ไปอยู่ในมือของคนอื่น?” ฉีหนิง
เหลือบไปมองอู่เซียงโหว “มีชายสองสามคนนำโฉนด
ใบนี้ไปยังบ้านหลังนัน้ อีกทั้งยังพยายามไล่สองแม่ลูก
อยู่ในบ้านหลังนั้นออกจากบ้าน ต้องการให้พวกนาง
ไม่มีบ้านอยู่ อู่เซียงโหว ท่านอย่าบอกข้านะว่า ท่านไม่
รู้เรื่องนี้เลย”
อู่เซียงโหวตะลึงไป เขาขมวดคิ้ว “เจ้าพูดอะไรนะ? ไล่
ออกจากบ้าน? ฉีหนิง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เจ้า
อธิบายมาให้ชัดเจนทีสิ”
ฉีหนิงเห็นเขาสีหน้าเคร่งเครียดมาก ก็รู้ว่าเรื่องนี้เขา
ไม่รู้จริงๆ เขาเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ พูดเพียงว่า
“อู่เซียงโหวหากท่านไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ ท่านลองถาม
พ่อบ้านใหญ่ของจวนท่านดูสิ เขาเหมือนจะรู้เรื่องนี้ดี
เลยล่ะ”
ซูเจินอึ้งไป แล้วตะโกนเสียงดังว่า “ใครก็ได้ ไปตามซู
เฉวียนมา”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 11 บทที่ 312 ตบฉาด
ซูเฉวียนพ่อบ้านใหญ่ของจวนอู่เซียงโหวอายุราวๆ ห้า
สิบปี ดูท่าน่าจะเป็นคนที่ทำงานได้ดีเลยทีเดียว เขาวิ่ง
หน้าตาตื่นมายังห้องโถงใหญ่ ยังไม่ทันพูดอะไร ซูเจิน
ก็โยนโฉนดไปตรงหน้าเขา แล้วพูดว่า “นี่มันเรื่อง
อะไรกัน?”
ซูเฉวียนยังงงๆ อยู่ เขาโค้งตัวลงแล้วหยิบโฉนดขึ้นมา
เมื่อมองดูอย่างละเอียด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
จากนั้นเขาก็คุกเข่าลง แล้วพูดว่า “นายท่าน ข้าน้อย
...ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ...”
ซูเจินตาโต เขาพูดเสียงดุว่า “เจ้ารู้เรื่องโฉนดใบนี้
จริงๆ ใช่หรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น? โฉนดไม่ได้เก็บอยู่
ในห้องบัญชีตลอดหรืออย่างไรกัน?” เขาลุกขึ้นยืน
แล้วเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว ชี้ไปที่หน้าของซูเฉวียน
“เจ้าพูดมา มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดถึงมีคนเอาโฉนด
นี้ไปที่บ้านหลังนั้นได้?”
ซูเฉวียนทำได้เพียงก้มหน้าลงกับพื้น เขาพูดว่า “โหว
เยว่ ข้าน้อยสมควรตาย ขอโหวเยว่ลงโทษด้วย”
ซูเจินรู้สึกโกรธมาก เขายกเท้าขึ้นมา แล้วถีบไปที่
หัวไหล่ของซูเฉวียน เขาออกแรงค่อนข้างมาก ซู
เฉวียนถูกถีบจนกลิ้งลงไปกับพื้น แต่ว่าซูเจินร่างกาย
อ่อนเพลียอยู่ หลังจากที่ถีบแล้ว เขาก็เกือบล้มลง เขา
พยายามฝืนยิ้ม แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “เจ้าพูดมา
ให้ชัดนะ เหตุใดโฉนดแผ่นนี้ถึงได้ถูกคนเอาไปได้?”
เห็นซูเฉวียนก้มหน้าไม่พูด เขาก็ตะคอกว่า “หากเจ้า
ไม่อธิบายมาให้ชัดเจน เจ้าก็ออกจากจวนนี้ไปตอนนี้
เลย ต่อไปอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
ซูเฉวียนตัวสั่นเทา เขาลังเล แล้วพูดว่า "เป็นเพราะ...
เพราะคุณหนูใหญ่...
เมื่อพูดแบบนี้ออกมา ฉีหนิงก็หน้านิ่งไป สายตาของ
เขาเย็นชามาก
“คุณหนูใหญ่? จื่อเซวียน?” ซูเจินตะลึงไป “แล้วมัน
เกี่ยวอะไรกับนางด้วย?”
ในตอนนี้เองก็มีคนมารายงานว่า “เรียนโหวเยว่ ด้าน
นอกมีคนแซ่เจียงเขาบอกว่าเขาเป็นหยวนว่ายหลาง
ของกรมกลาโหมมาขอพบขอรับ”
“หยวนว่ายหลาง?” ซูเจินเงยหน้าขึ้น ยกมือแล้วพูด
ว่า “หยวนว่ายหลางอะไร ไปบอกเขาว่า วันนี้ข้าไม่มี
เวลาพบใคร ให้เขากลับไปก่อน”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินว่าเป็นคนแซ่เจียงเขาบอกว่า
เขาเป็นหยวนว่ายหลางของกรมกลาโหม เขาก็นึก
ขึ้นมาได้ว่าเป็นเจียงซุยอวิ๋น แอบคิดในใจว่าเจ้าบ้านี่
มาทำอะไรจวนอู่เซียงโหว
“โหวเยว่ เขาบอกว่าเขาตั้งใจมาคารวะท่าน” บ่าว
ไพร่ด้านนอกพูดว่า “นี่เป็นนามบัตรของเขา บอกว่า
จะต้องนำมาให้โหวเยว่กับมือให้ได้ขอรับ”
ซูเจินลังเล แล้วพูดว่า “เอาเข้ามา”
บ่าวไพร่ส่งนามบัตรมาให้ จากนั้นซูเจินก็เปิดอ่าน
แล้วพูดว่า “ที่แท้ก็คุณชายเจียงแห่งตงไห่นี่เอง ไป
เชิญเขาเข้ามา” บ่าวไพร่ถอยออกไป ซูเจินหันมามอง
ฉีหนิง ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เจ้าไปที่ไหนมาหรือ?
แล้วทำไมโฉนดแผ่นนี้ถึงได้ไปอยู่ในมือของเจ้าได้?”
“ที่ข้ามาหาท่านในวันนี้ แค่อยากจะมาถามท่านว่า
แม่ลูกคู่นั้น สรุปแล้วท่านยังจะดูแลอยู่หรือไม่?” ฉี
หนิงพูดนิ่งมาก
ซูเจินยิ้มเจื่อน แล้วพูดว่า “ข้าจะดูแลหรือไม่ แล้วมัน
เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมายุ่ง
ได้?”
“อู่เซียงโหวท่านมันกบในกะลาจริงๆ เลยนะ” ฉีหนิง
ยิ้มบางๆ “ข้าถูกท่านอาจารย์จั่วว่าจ้างให้เป็นอาจารย์
ในวิทยาลัยฉงหลิน เสี่ยวเหยาเป็นนักเรียนอยู่ใน
วิทยาลัย เมื่อนักเรียนเดือดร้อน คนเป็นอาจารย์อย่าง
ข้า ก็มีสิทธิที่จะถามไถ่”
“อะไรนะ?” ซูเจินไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย เขาพูดด้วย
ความตกใจว่า “เจ้า...เจ้าถูกว่าจ้างให้เป็นอาจารย์ใน
วิทยาลัยฉงหลินหรือ?” เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ฉีหนิงพูดว่า “เจียงหยวนว่ายหลางของกรมกลาโหม
มาพอดีเลย ท่านลองถามเขาดูก็ได้ คุณหนูใหญ่ของ
พวกท่านเองก็รู้เรื่องนี้ดี หรือว่านางไม่ได้บอกกับท่าน
หรือ?”
พูดถึงก็มาพอดี ฉีหนิงพูดจบ เสียงของซูจื่อเซวียนก็ดัง
มาจากด้านนอก “ท่านพ่อ คุณชายเจียงมาแล้ว
ตอนนี้เขาเป็นหยวนว่ายหลางของกรมกลาโหมแล้ว
นะ...” ระหว่างที่พูด ซูจื่อเซวียนเหมือนจะวิ่งเข้ามา
ในห้องโถง ฉีหนิงเห็นนางแต่งหน้าแต่งตัวสีสันสดใส
ใบหน้ามีแต่ความดีใจ
ตอนที่ซูจื่อเซวียนเข้ามาในห้องโถงยังดูดีใจมาก แต่
พอนางเห็นฉีหนิงนั่งอยู่ในห้องโถง ก็ตะลึง หลังจาก
นั้นก็พูดเสียงไม่ดีออกมาว่า “เจ้า...เจ้ามาทำอะไรที่
บ้านข้า?”
ฉีหนิงพูดว่า “ซูจื่อเซวียน เจ้ามีมารยาทหรือไม่ ใคร
สอนเจ้าแบบนี้กัน? หรือว่าอาจารย์ที่วิทยาลัยไม่ได
สอนเจ้าให้เคารพอาจารย์หรืออย่างไร?”
ในตอนนี้เอง ก็เห็นเจียงซุยอวิ๋นมาถึงห้องโถง
ด้านหลังของเขามีบ่าวไพร่อีกสองคน ถือกล่อง
ของขวัญมากมายทั้งกล่องเล็กทั้งกล่องใหญ่เข้ามา
ด้วย
เจียงซุยอวิ๋นแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยเหมือนเคย ครั้งที่
แล้วเขาถูกฉีหนิงตบจนหน้าบวมฟันหักไป ผ่านไป
หลายวัน เหมือนจะอาการดีขึ้นมาก หากไม่สังเกตดีๆ
แทบจะมองไม่ออกเลย เมื่อเข้ามาในห้องโถง เดิมยัง
ยิ้มแย้มอยู่ แต่เมื่อเห็นหน้าฉีหนิง เขาก็อึ้งไป
ฉีหนิงเห็นท่าทางของเขาแล้ว ก็คิดในใจว่าเจ้านี่น่าจะ
ได้ยารักษาแผลดี ไม่อย่างนั้นคงไม่หายเร็วแบบนี้
แน่นอน
ซูเจินเห็นเจียงซุยอวิ๋น ก็ยิ้มออกมา เจียงซุยอวิ๋ยแค่อึ้ง
ไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้สติคืน เขายิ้มแล้วเดินขึ้นหน้า
แล้วทำความเคารพซูเจิน “ผู้น้อยคำนับอู่เซียงโหว”
ซูเจินยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเกรงใจ ตอนนั้นพ่อของ
เจ้ามายังเมืองหลวง ข้าได้มีโอกาสพบกับเขา ก็ถือว่า
เป็นสหายเก่ากัน”
เจียงซุยอวิ๋นรีบตอบกลับไปว่า “ท่านพ่อเคยเล่าให้ฟัง
เหมือนกัน บอกว่าท่านโหวเยว่ตอนนั้นเป็นหนุ่มรูป
งามองอาจกล้าหาญนัก ยังกำชับมาว่าให้ผู้น้อยมา
เยี่ยมท่านให้ได้” จากนั้นเขาก็มองไปทีบ่ ่าวไพร่ที่
ตามมา ให้นำของขวัญเข้ามายังห้องโถง ซูเจินพูดว่า
“นี่มันอะไรกัน?”
“โหวเยว่ ของเหล่านี้เป็นของที่ผู้น้อยนำมาจากตงไห่
หลายอย่างเป็นของหายากที่ได้มาจากการเดินเรือทาง
ทะเล ถึงแม้จะมีมูลค่าไม่มากนัก แต่ก็สามารถให้ท่าน
ได้ชื่นชมเล่นได้ โหวเยว่ห้ามปฏิเสธนะขอรับ ท่านพ่อ
ได้กำชับไว้ว่า หากโหวเยว่ไม่ยอมรับไว้ ต่อไปก็ไม่ต้อง
กลับไปพบหน้ากันอีก”
ซูเจินพูดว่า “ช่างเถอะ พ่อของเจ้าก็ไม่ใช่คนอื่น” เขา
ส่งสัญญาณให้เจียงซุยอวิ๋นนั่งลง ซูจื่อเซวียนยิ้มแล้ว
พูดว่า “คุณชายเจียง ท่านนั่งลงตรงนี้ก่อน ที่แท้ท่าน
พ่อของเจ้ากับท่านพ่อของข้าก็รู้จักกันมาก่อนหรือ”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นมา หลายคนมอง
ไป เป็นฉีหนิงนั่นเองที่ทำ ฉีหนิงนั่งวางท่าอยู่ ฉีหนิงไม่
แม้แต่จะมองเจียงซุยอวิ๋น เจียงซุยอวิ๋นหน้านิ่งไป เขา
ลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไป ทำความเคารพแล้วพูด
ว่า “ข้าน้อยคำนับโหวเยว่”
ฉีหนิงพูดว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าถูกยกให้เป็นผู้มีคุณธรรม
ไม่มีตำแหน่งขุนนาง ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า แต่
ว่าตอนนี้หากยังไม่รู้จักมารยาทอีก ข้าสามารถทำให้
เจ้าต้องเก็บข้าวของแล้วออกจากเมืองหลวงไปได้นะ
เจ้าเชื่อหรือไม่”
เจียงซุยอวิ๋นกัดฟัน แต่ยังข่มอารมณ์เอาไว้ได้ เขาฝืน
ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร
ซูจื่อเซวียนอาศัยว่าซูเจินอยู่ข้างๆ นางยิ้มเจื่อนแล้ว
พูดว่า “เจ้าอยากจะเบ่งอำนาจบารมี จะไปทำที่ไหนก็
ไป แต่เจ้าไม่มีสิทธิมาทำในจวนอู่เซียงโหว”
“ซูจื่อเซวียน ข้าหรือที่เบ่งอำนาจต่อหน้าเจ้า ข้ามี
ความจำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วยหรือ?” ฉีหนิงไม่รีบ
ไม่ร้อนเขาพูดว่า “เจ้าเองก็อย่าคิดว่าเจียงซุยอวิ๋นอยู่
ที่นี่ แล้วคิดจะทำอะไรก็ได้ คุณชายเจียงของพวกเรา
คนนี้ ผู้หญิงสวยๆ มากมายที่ไหนเขาไม่เคยเจอมา
บ้าง ก่อนหน้านี้ข้ายังเคยเจอเขาที่แม่น้ำฉินไหวอยู่
เลย หากเจ้าไม่ใช่คุณหนูใหญ่ของจวนอู่เซียงโหว ข้า
ยังสงสัยอยู่เลยว่าเขาจะมองเจ้าหรือไม่”
คนที่อยู่ตรงนั้นทุกคนถึงกับตะลึงไป คิดไม่ถึงเลยว่าฉี
หนิงจะพูดตรงๆ แบบนี้ เขาไม่ได้ไว้หน้าซูจื่อเซวียน
เลยแม้แต่น้อย
ซูจื่อเซวียนหน้าแดงก่ำ นางอับอายมาก นางกัดปาก
แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ ท่าน...ท่านดูสิ...”
ซูเจินขมวดคิ้วยิ้มเจือ่ นแล้วพูดว่า “ฉีหนิง ถึงอย่างไร
เจ้าก็มีบรรดาศักดิ์นะ พูดจาอะไรสำรวมหน่อย?”
“อู่เซียงโหว นักเรียนทำผิด คนเป็นอาจารย์ก็ต้อง
ชี้แนะ ที่ทำก็เพราะหวังดีกับนางนะ” ฉีหนิงพูดว่า
“แต่ว่าวันนี้ที่ข้ามาก็ไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้” เขายื่นมือ
ไปพูดกับซูเฉวียน “เอาโฉนดคืนมา”
ซูเฉวียนอึ้งไป แล้วมองไปทางซูเจิน ซูเจินยิ้มเจื่อน
แล้วพูดว่า “โฉนดนี่เป็นของจวนอู่เซียงโหว เหตุใด
ต้องให้เจ้าด้วย”
“ต้องขออภัยด้วย โฉนดที่ดินนี่ข้าใช้ห้าร้อยตำลึงเดิม
พันชนะได้มา” ฉีหนิงลุกขึ้น แล้วเดินไปหยิบโฉนดมา
จากมือของซูเฉวียน “ส่วนโฉนดมันออกไปจากจวน
โหวของท่านได้อย่างไร ท่านก็ลองถามคุณหนูใหญ่
ของท่านดูเอาเองก็แล้วกันนะ”
ซูจื่อเซวียนได้ยินคำว่าโฉนด ก็หน้าถอดสี
ซูเจินมองไปที่ซูจื่อเซวียน แล้วถามว่า “เรื่องโฉนดนี่
มันอะไรกัน?”
“ข้า...ข้าไม่...ข้าไม่รู้” ซูจื่อเซวียนก้มหน้าลง แล้วพูด
เสียงเบา
ฉีหนิงเก็บโฉนด แล้วพูดว่า “วันนี้ที่ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อจะ
พูดกับท่านให้ชัดเจน บ้านที่สองแม่ลูกอยู่ ตอนนี้
เละเทะไม่มีชิ้นดี แม้แต่ชามสักใบก็ไม่เหลือ อย่าว่าแต่
ให้คนอยู่เลย แม่แต่ชามที่จะกินข้าวก็ยังกินไม่ได้ จริง
ด้วย แม่ของเสี่ยวเหยาเสียสติไปแล้ว ใครพูดอะไรไป
นางก็ไม่รู้เรื่องแล้ว เสี่ยวเหยาเตรียมจะพาแม่ของนาง
ไปใช้ชีวิตแบบขอทาน...”
ซูเจินหน้าเสียมาก
“หลายปีมานี้ พวกนางใช้ชีวิตลำบากมากแล้ว
แน่นอนว่า ในสายตาของคนมีกินมีใช้ ความยากจน
ของพวกเขามันไม่ได้มีค่าให้ไปสนใจเลย” ฉีหนิงพูดจา
นิ่งมาก แต่ว่าคำพูดของเขากลับเย็นชาเยือกเย็นมาก
“หน้าหนาวแบบนี้มีคนไปหาพวกนักเลงหัวไม้เอา
โฉนดนี่ไปบีบให้สองแม่ลูกนั่นออกจากบ้านไป ซูเจิน
หากท่านไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ข้าก็ยังนับถือท่านในฐานผู้
อาวุโสกว่า แต่หากท่านรู้เรื่องนี้อยู่เต็มอก ถ้าอย่างนั้น
ข้าก็พูดได้เพียงว่า ท่านไม่คู่ควรกับตำแหน่งอู่เซียง
โหวเลย อีกทั้งยังไม่คู่ควรกับคำว่าลูกผู้ชายด้วย”
“หุบปาก” ซูเจินตะคอกเสียงเข้ม เขาจ้องไปที่ซูจื่อเซ
วียน “เจ้าเอาโฉนดออกมาจากห้องบัญชีใช่หรือไม่?”
ซูจื่อเซวียนก้มหน้า ไม่พูดไม่จา
“ข้าเคยบอกแล้วใช่หรือไม่ว่า ไม่ว่าใครก็ห้ามไปหา
เรื่องพวกนางเด็ดขาด” ซูเจินเสียงดุมาก “เจ้าเงย
หน้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
ซูจื่อเซวียนเหมือนจะกลัวซูเจินไม่น้อย นางเงยหน้า
ขึ้นมา ซูเจินตะคอกว่า “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง โฉนดนี่
เจ้าเป็นคนไปเอามาใช่หรือไม่?”
“ข้า...” ซูจื่อเซวียนกัดปาก แล้วเงยหน้าขึ้นมา แล้ว
ตะโกนว่า “ใช่ ข้าเป็นคนไปเอาออกมาเอง ข้า...ข้าไม่
ยอมเห็นพวกนางอยู่ดีมีสุขหรอก นางแพศยาสองคน
นั่น มันคนชั้นต่ำ พวกนาง...”
“เพลียะ”
เสียงดังฟังชัด ซูเจินยกมือขึ้นมา แล้วตบไปที่หน้าของ
ซูจื่อเซวียนอย่างแรง เขาพูดด้วยความโมโหว่า “หุบ
ปากเดี๋ยวนี้นะ”
ซูจื่อเซวียนอึ้งไป นางจับหน้าข้างที่ถูกตบเอาไว้ แล้ว
มองไปที่ซูเจิน ภายในห้องโถงเงียบไป ทันใดนั้นเอง
ซูจื่อเซวียนก็ตะโกนออกมาว่า “ท่าน...ท่านตบข้า?
ท่าน...ตบข้าเพราะนางแพศยาสองคนนั่นหรือ? ข้า...
ข้าไม่อยากอยู่แล้ว...” จากนั้นนางก็วิ่งออกจากห้อง
โถงไป
เจียงซุยอวิ๋นรีบวิ่งตามไป แล้วตะโกนเรียกว่า “คุณ
หนูซู คุณหนูซู...” เขาวิ่งตามนางออกไป
ซูเจินสีหน้าซีดเซียว เขาหอบหายใจอย่างรุนแรง แล้ว
ก็เซจะล้มลง ซูเฉวียนรีบลุกขึ้นมาพยุงซูเจินไปนั่ง ฉี
หนิงเดินไปหา เหลือบไปมอง แล้วพูดว่า “ข้าเป็น
อาจารย์ของเสี่ยวเหยา ตอนนี้นางลำบาก ดังนั้นข้า
วางแผนให้นางอยู่ที่จวนจิ่นอีโหวชั่วคราวก่อน” เขา
ไม่พูดมากความ จากนั้นก็เดินออกไปเลย
ซูเจินยกมือขึ้น อ้าปากอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้าย
เขาก็ไม่ได้พูดมันออกมา เขามองฉีหนิงเดินจากไปทั้ง
อย่างนั้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 11 บทที่ 313 ชุมนุมวิชาการจิงหัว
ฉีหนิงออกจากห้องโถง เดินออกจากจวนอู่เซียงโหว ก็
เห็นซูจื่อเซวียนกำลังร้องไห้อยู่ที่ริมกำแพง เจียง
ซุยอวิ๋นกำลังปลอบนางอย่างอ่อนโยนอยู่ อีกทั้งยังยื่น
ผ้าเช็ดหน้าให้กับซื่อจื่อเซวียนอีกด้วย
มีคนจูงม้าของฉีหนิงมาให้ ฉีหนิงก็ไม่ได้ไปสนใจชาย
หญิงคู่นั้น เขากระโดดขึ้นม้าไป ขณะทีก่ ำลังจะไป
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเจียงซุยอวิ๋นพูดขึ้นมาว่า “โหวเยว่
ช้าก่อนอย่าเพิ่งไป”
ฉีหนิงหันกลับมามอง เห็นเจียงซุยอวิ๋นกำลังมองมาที่
ตัวเอง เขายิ้มแล้วถามว่า “มีอะไรจะชี้แนะ?”
เจียงซุยอวิ๋นพูดว่า “โหวเยว่ยังจำเรื่องที่พวกเราเดิม
พันกันไว้หรือไม่?”
“เดิมพัน?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าหมายถึงเรื่องที่
เจ้าเตรียมจะมาเช็ดรองเท้าให้ข้าน่ะหรือ?”
เจียงซุยอวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “ใครแพ้ใครชนะ ยังไม่รู้
เลย แต่ว่าในเมื่อวันนั้นได้เดิมพันกันไว้แล้ว ข้าหวังว่า
โหวเยว่จะทำตามที่ได้เดิมพันกันไว้” เขาหยุดไปครู่
หนึ่ง สายตาของเขาเฉียบคมมาก “หากข้าแพ้ให้กับ
โหวเยว่ ก็จะรักษาคำพูดเช่นกัน แต่ว่าหากโหวเยว่แพ้
ก็หวังว่าโหวเยว่จะไม่คืนคำ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องอื่นข้าอาจจะจำไม่ค่อยได้
แต่ว่าการเดิมพันกับเจ้า ข้าจำได้เป็นอย่างดี” เขาไม่
พูดมากความอีก ควบม้าแล้วจากไปทันที
ซูจื่อเซวียนมองตามเงาของฉีหนิงไป สายตาของนางมี
แต่ความโกรธแค้น เจียงซุยอวิ๋นมองตาม เขาพูดว่า
“คุณหนูใหญ่ไม่ต้องกังวลไป รอให้ถึงคืนสิบห้าค่ำ
พวกเราจะให้เขามาคุกเข่าต่อหน้าพวกเราท่ามกลาง
สายตาของทุกคนในวิทยาลัย เพื่อล้างความอับอาย
ของคุณหนูในวันนี้”
“เจียงซุยอวิ๋น ท่าน...ท่านดีกับข้าจริงๆ” ซูจื่อเซวียน
น้ำตานองหน้า
ฉีหนิงกลับมาถึงจวน ก็รีบตามหาเสี่ยวเหยา เขาได้ยิน
มาว่ากู้ชิงฮั่นได้จัดเรือนให้เสี่ยวเหยาสองแม่ลูกแล้ว
เขากำลังจะไปหานาง ก็เห็นกู้ชิงฮั่นกำลังเดินมาพอดี
กู้ชิงฮั่นเห็นฉีหนิง ก็รีบเดินเข้ามาถามทันทีว่า “สอง
แม่ลูกนั่นเจ้าเป็นคนให้นางมาอยู่ที่จวนใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงเล่าเรื่องให้นางฟังอย่างละเอียด กู้ชิงฮั่นขมวด
คิ้ว ยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าซูเจินนิสัยไม่ได้ดีนัก
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นมากขนาดนี้ เรื่องนี้
เมื่อก่อนข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้าง ถ้าอย่างนั้น แม่นาง
เสี่ยวเหยา ก็เป็นลูกสาวของซูเจินน่ะสิ?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เสี่ยวเหยาเรียนหนังสืออยู่
ที่วิทยาลัย ยังดีที่วันนี้ข้าไปที่วิทยาลัย เห็นว่านางไม่
ได้มาที่วิทยาลัยเลย ไม่เช่นนั้นตอนนี้สองแม่ลูกคง
ร่อนเร่อยู่ข้างนอกแล้ว”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้า แล้วเข้าไปที่เรือน แล้วพูดเสียงเบา
ว่า “แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป?”
“ข้าเองก็ยังไม่ได้คิด” ฉีหนิงพูดว่า “ซานเหนียงท่านมี
ความคิดอะไรดีๆ หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นคิด แล้วพูดว่า “หากเป็นคนอื่น ให้เข้ามาอยู่
ในจวน ก็ไม่ได้มีอะไร แค่เพิ่มคนมาอยู่เท่านั้น แต่ว่า
...” นางหยุดไป แล้วพูดว่า “ถึงอย่างไรนางก็เป็นลูก
สาวของซูเจิน ก็ไม่ใช่ว่าลูกสาวของซูเจินไม่ดีนะ แต่ว่า
เรื่องของซูเจิน หลายคนก็รู้ดีแก่ใจ หากมีคนรู้ว่าเจ้า
พาลูกสาวของซูเจินเข้าจวนมาแบบนี้ เกรงว่าจะมีคน
นินทาได้ มันไม่ดีต่อแม่นางเสี่ยวเหยาเลยนะ”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ซานเหนียงท่านคิดถูก
แล้ว นิสัยของเสี่ยวเหยาเอง นางก็คงไม่มีทางอยู่ใน
จวนโหวไปตลอด นางไม่มีทางรับปากที่จะอยู่ในจวน
โหวระยะยาว” เขาหยิบโฉนดออกมาจากตัว “นี่เป็น
บ้านที่พวกนางอยู่ก่อนหน้านี้ โฉนดก็อยู่ในมือของข้า
ข้าจะให้คนเก็บมันไว้ก่อน แต่ว่า...”
“เจ้ากลัวว่าซูจื่อเซวียนจะส่งคนไปหาเรื่องอีกใช่
หรือไม่?”
ฉีหนิงพยักหน้า “ถึงแม้พวกนางจะเป็นพี่น้องกัน แต่
ว่านิสัยต่างกันราวฟ้ากับดิน ซูจื่อเซวียนเอาแต่ใจ ดื้อ
รั้น นางเกลียดข้าเข้ากระดูกดำ ไม่แน่อาจจะส่งคนไป
ก่อกวนอีกก็ได้ นักเลงหัวไม้หาได้ไม่ยากเลย แค่นาง
ใช้เงิน เสี่ยวเหยาสองแม่ลูกไม่มีทางสงบสุข”
กู้ชิงฮั่นคิดแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไปหาซื้อบ้าน
หลังเล็กๆ สักหลังแถวนี้ แล้วให้พวกนางสองแม่ลูกไป
อยู่ แล้วข้าจะเข้าไปดูแลให้ ทำแบบนี้แล้วพวกนาง
สองแม่ลูกก็จะไม่ถูกรังแก อีกทั้งยังไม่ถูกคนอื่นนินทา
ได้อีก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าซานเหนียงจะต้อง
มีทางออก มีซานเหนียงอยู่ ไม่ว่าข้าจะเจอเรื่องปวด
หัวอะไร ก็ผ่านไปได้สบายๆ เลย”
“อย่ามาพูดจาปลิ้นปล้อนแบบนี้นะ” กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่
ฉีหนิง “วันนี้เจ้าวิ่งไปก่อเรื่องที่จวนอู่เซียงโหว ถึง
อย่างไรเจ้าก็ทำไม่ถูก เจ้าช่วยเสี่ยวเหยา ไม่ได้ผิด
อะไร แต่ว่านั่นก็เป็นเรื่องภายในบ้านของพวกเขา เจ้า
วิ่งไปก่อเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?”
ฉีหนิงยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ซูเจินเป็นคนไม่เห็นค่า
ความสัมพันธ์ คนอย่างเขา ไม่สมควรด่าหรืออย่างไร
กัน?”
“เอาล่ะ” กู้ชิงฮั่นก็ไม่เถียงกับเขาอีก “เจ้าเข้าไปดู
พวกนางก่อนเถอะ ข้าจะสั่งให้คนไปดูว่าแถวนี้พอมีที่
จะซื้อได้หรือไม่ แล้วย้ายพวกนางไปอยู่ก่อนค่อยว่า
กัน” นางไม่พูดมากอีก แล้วเดินไปเลย
ฉีหนิงเดินเข้าไปในเรือน เขาเห็นประตูปิดอยู่ ก็เคาะ
ประตูเบาๆ จากนั้นก็ได้ยินเสี่ยวเหยาพูดว่า “เข้ามา
ได้”
ฉีหนิงเข้ามาในห้อง เห็นเสี่ยวเหยากำลังนั่งอยู่ที่ริม
เตียง เมื่อเห็นฉีหนิงเข้ามา นางก็รีบลุกขึ้น ฉีหนิงยก
มือขึ้นมาบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องลุก แล้วค่อยๆ เดินไป
หานาง เห็นแม่ของเสี่ยวเหยากำลังหลับอยู่บนเตียง
ภายในห้องสะอาดสะอ้าน บนเตียงปูผ้าใหม่ทั้งหมด
บนโต๊ะในห้องก็มีอาหารวางอยู่ ฉีหนิงเห็นเช่นนั้นก็
อุ่นใจขึ้น รู้ว่าทั้งหมดนี่น่าจะเป็นคำสั่งของกู้ชิงฮั่น
“โหวเยว่ ขอบ...ขอบคุณท่านมาก” เสีย่ วเหยารู้สึก
เขิน “รบกวนจวนของพวกท่าน...”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าพูดแบบนี้ห่างเหินกัน
เกินไปแล้ว เสี่ยวเหยา แม่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นางกินโจ๊กไปนิดหน่อย ตอนนี้หลับไปแล้ว” เสี่ยว
เหยามองไปที่แม่ของตัวเอง แล้วพูดเศร้าๆ ว่า
“หลายวันมานี้นางหลับได้ไม่ดีสักเท่าไหร่ วันนี้ได้
พักผ่อนดีๆ สักที”
“เจ้าเองก็ต้องพักนะ” ฉีหนิงพูดว่า “พรุ่งนี้เจ้าเองก็
ต้องกลับไปเรียนด้วย”
เสี่ยวเหยาขมวดคิ้ว แล้วนิ่งไป จากนั้นก็พูดว่า “โหว
เยว่ ข้า...ข้าไม่อยากไปที่วิทยาลัยอีกแล้ว”
“เหตุใดเจ้าถึงยังดื้อแบบนี้” ฉีหนิงนั่งลงบนเก้าอี้
“เสี่ยวเหยา เจ้านั่งลงคุยกันก่อน”
เสี่ยวเหยาลังเล แต่สุดท้ายก็นั่งลง ฉีหนิงถึงได้พูดว่า
“ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเรียนหนังสือมาก ข้าถามเจ้าหน่อย
ท่านอาจารย์จั่วก่อตั้งวิทยาลัยฉงหลินขึ้นมา ก็เพื่อให้
ผู้หญิงได้เรียนหนังสืออย่างไม่เกรงกลัวอะไร เจ้าคิดว่า
ท่านทำได้ง่ายๆ หรือไม่?”
เสี่ยวเหยาอึ้งไป นางส่ายหน้า
“ถูกต้อง ท่านอาจารย์จั่วทิ้งเบี้ยหวัดตำแหน่งขุนนาง
สูง เพื่อรักษาวิทยาลัยฉงหลินเอาไว้ นั่นคืออุดมการณ์
ของท่าน เท่ามั่นคงในความคิดนี้ของเขามาตลอด” ฉี
หนิงค่อยๆ พูดว่า “เจ้าชอบเรียนหนังสือ หากเพราะ
เจออุปสรรคแล้วก็ทิ้งมันไปง่ายๆ แบบนี้ มันไม่น่า
เสียดายหรอกหรือ? เจ้าเข้มแข็งไม่พอหรือไม่?” เขา
หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงแม่ของ
เจ้า เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะส่งคนไปดูแลให้”
เสี่ยวเหยาพูดว่า “แต่ว่า...โหวเยว่ ข้ารู้ว่าท่านเป็นคน
ดี แต่ว่าเราไม่ควรอยู่ที่นี่นาน”
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า” ฉีหนิงพยักหน้าแล้ว
พูดว่า “ข้าได้สั่งให้คนไปหาบ้านใกล้ๆ แถวนี้แล้ว พอ
เจอบ้านที่เหมาะสมแล้ว พวกเจ้าก็ค่อยย้ายไปอยู่
บ้านก่อนหน้านี้ พวกเจ้าไม่อยากอยู่ต่อแล้ว ข้าก็จะ
ไม่ให้พวกเจ้ากลับไปอยู่อีก”
เสี่ยวเหยาพูดว่า “ทำแบบนี้...ทำแบบนี้ไม่ได้ จะให้
ท่านมาหาบ้านให้พวกเราได้อย่างไรกัน?”
“ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า เจ้าเป็นนักเรียนของข้า
นักเรียนเดือดร้อน คนเป็นอาจารย์ก็ต้องช่วยเหลือสิ”
ฉีหนิงพูดว่า “เสี่ยวเหยา เจ้าเป็นผู้หญิงฉลาด น่าจะรู้
ดี ตอนนี้แม่เจ้าต้องรักษาตัวให้ดี หากไม่มีแวดล้อมที่
สงบ ข้าเกรงว่าอาการของแม่เจ้าจะหนักขึ้นนะ”
“ข้า...” เสี่ยวเหยามองไปที่แม่ของตัวเอง นางกัดปาก
คราหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
“เจ้าทำตามที่ข้าบอก พรุ่งนี้เจ้ากลับไปเรียนนะ” ฉี
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ท่านอาจารย์จั่ว
ตอนนี้กังวลเรื่องอะไรที่สุด”
เสี่ยวเหยาตาโต สายตาของนางเต็มไปด้วยความ
สงสัย
“ไม่มีผู้สืบทอด” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่าน
อาจารย์จั่วอายุมากแล้ว วิทยาลัยฉงหลินก็เหมือนกับ
หัวใจของเขา แต่สิ่งที่เขากังวลที่สุด ก็คือหลังจากที่
เขาตายไป วิทยาลัยฉงหลินจะยังสามารถไปต่อได้
หรือไม่? ถึงพวกเราจะไม่นับพวกที่อยากจะให้ปิด
วิทยาลัยลงก่อน แล้วพวกเราสามารถยื้อจนวิทยาลัย
สามารถต่อไปได้ แล้วใครจะยอมมาสอนต่อกันเล่า?”
เสี่ยวเหยาขมวดคิ้ว ท่าทางของนางดูเคร่งเครียด
“ดังนั้นท่านอาจารย์จั่วถึงได้ฝากความหวังทั้งหมดไว้
ในตัวของพวกเจ้า” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอาจารย์จั่ว
หวังว่าหลังจากที่เขาตายไป นักเรียนผู้หญิงของท่านที่
สำเร็จการศึกษาไปแล้ว จะยังอยู่สอนวิชาที่วิทยาลัย
ต่อไป”
“หะ?” เสี่ยวเหยาตกใจ “ท่านอาจารย์จั่วคิดแบบนี้
หรือ?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ดังนั้นวิทยาลัยฉง
หลินจะอยู่ต่อไปได้หรือไม่ อยู่ที่ความพยายามของ
พวกเจ้าทุกคน หากมีวันหนึ่งที่เจ้าสามารถสอน
หนังสือในวิทยาลัยได้ นั่นคือสิ่งที่ท่านอาจารย์อยาก
เห็นมากที่สุด”
“ข้าจะทำได้อย่างไร?” เสี่ยวเหยาส่ายหน้า “ข้า...”
“ไม่ลอง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้?” ฉีหนิงยิ้มแล้ว
พูดว่า “ไม่แน่อีกหลายปีหลังจากนี้ วิยาลัยฉงหลิน
อาจจะมีอาจารย์ผู้หญิงจริงๆ ก็ได้ และเจ้าก็คือหนึ่ง
ในนั้น”
เสี่ยวเหยาหน้าแดง นางยกมือขึ้นมา “มัน...มันไม่ได้
หรอก...”
ฉีหนิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “ดังนั้นพรุ่งนี้เจ้ากลับไปที่
วิทยาลัยซะ เรื่องอื่นข้าจัดการเอง” จากนั้นเหมือน
เขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาถามว่า “จริงสิ คืนสิบห้า
ค่ำ ที่วิทยาลัยมีจัดการแข่งขันอย่างนั้นหรือ?”
เสี่ยวเหยารีบตอบว่า “เดิมทีในเมืองหลวงมีวิทยาลัย
ใหญ่ทั้งหมดแปดแห่ง หลายปีก่อนได้ตั้งกฎขึ้นมาว่า
คืนวันสิบห้าค่ำของทุกปี วิทยาลัยทั้งแปดจะมา
รวมตัวกัน เพื่อแข่งขันศาสตร์ด้านดนตรี เดินหมากรุก
ตำรา ภาพวาด วิทยาลัยที่ได้รับชัยชนะ ก็จะได้รับ
พระราชทานอักษรลายพระหัตถ์ขององค์ฮ่องเต้ อีก
ทั้งทางราชสำนักจะทำการคัดเลือกผู้ที่มี
ความสามารถของวิทยาลัยนั้นไปเป็นขุนนาง ดังนั้น
วิทยาลัยใหญ่ทั้งแปดให้ความสำคัญกับชุมนุมวิชาการ
จิงหัวมาก”
“ชุมนุมวิชาการจิงหัว?” ฉีหนิงพยักหน้า
“วิทยาลัยฉงหลินเป็นหนึ่งในแปดวิทยาลัยใหญ่ด้วย
หรือ?”
เสี่ยวเหยาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เปล่า แปดวิทยาลัย
ใหญ่ไม่รวมวิทยาลัยฉงหลิน ข้าได้ยินมาว่าเมื่อห้าปีที่
แล้ว อดีตฮ่องเต้ได้มีราชโองการลงมา สั่งให้
วิทยาลัยฉงหลินเข้าร่วมงานชุมนุมวิชาการจิงหัวด้วย
ถึงแม้จะมีหลายคนที่คัดค้าน แต่ว่าเมื่อเป็นราช
โองการโปรดลงมา ดังนั้นวิทยาลัยฉงหลินก็เริ่มเข้า
ร่วมงานชุมนุมวิชาการจิงหัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา งาน
ชุมนุมวิชาการจิงหัวในตอนนี้ ก็ได้กลายมาเป็นการชิง
ที่หนึ่งกันระหว่างเก้าวิทยาลัย”
“แล้ววิทยาลัยฉงหลินเคยชิงที่หนึ่งมาได้บ้างหรือไม่?”
เสี่ยวเหยาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “แปดวิทยาลัยใหญ่มี
แต่เสือหมอบมังกรซ่อนทั้งนั้น อีกทั้ง...อีกทั้งเหล่า
บัณฑิตใหญ่ก็มีอคติกับวิทยาลัยฉงหลินอยู่แล้ว ต่อให้
พวกเราเหนือกว่า พวกเขาก็ไม่ให้พวกเราได้ชนะ”
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์จั่วเองก็ไม่ได้สนใจจะ
ชิงอันดับหนึ่ง เพียงแต่ให้พวกเราได้เจอประสบการณ์
ใหม่ๆ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง พอเจ้าพูดมาแบบ
นี้แล้ว ข้าก็อยากให้งานชุมนุมวิชาการจิงหัวมาถึง
เร็วๆแล้วสิ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 11 บทที่ 314 ยืมร่าง
เสี่ยวเหยาสองแม่ลูกฉีหนิงจัดให้พวกนางอาศัยในจวน
จิ่นอีโหวชั่วคราว เมื่อพิจารณาจากสุขภาพของแม่
เสี่ยวเหยาแล้ว ทำให้เสี่ยวเหยาตอบตกลงความหวังดี
ของฉีหนิงชั่วคราว
แต่ว่าตกดึกฉีหนิงก็ยังไม่เข้านอน เมื่อคืนคนชุดขาว
เข้ามาในจวนโหวราวกับวิญญาณ ฉีหนิงกังวลว่า
ผู้หญิงคนนั้นจะมาอีก เขาปิดประตูหน้าต่างอย่าง
มิดชิด อีกทั้งยังสั่งเพิ่มองครักษ์รอบๆ อีกด้วย
แต่เขาก็รู้ดีว่า หากคนชุดขาวจะมาจริงๆ องครักษ์
ของจวนจิ่นอีโหวทั้งหมดรวมกันก็ขวางนางไม่ได้
สะลึมสะลือกว่าครึ่งค่อนคืน เขารู้สึกว่าคนชุดขาวคง
ไม่มาแล้ว ก็เลยหลับสนิทไป ขณะที่เขากำลังหลับๆ
ตื่นๆ ก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ เขาลืมตา
ขึ้นมาดู สิ่งที่แรกที่เขาทำคือมองไปที่คนชุดขาวอยู่
เมื่อคืนนี้ เขาเห็นเงาสีขาวผ่านไป คนชุดขาวมาอีก
จริงๆ ด้วย
เขารีบลุกขึ้นนั่ง แล้วมองไปที่คนชุดขาว
ท่ามกลางแสงไฟ เขาเห็นผิวพรรณของคนชุดขาวนั้น
ขาวราวกับหิมะ คิ้วของนางโก่งโค้งดั่งคันศร เขายิ้ม
เจื่อนแล้วพูดว่า “ที่เจ้ามาในคืนนี้ คงไม่ได้จะพาข้าไป
เจออะไรแปลกๆ อีกใช่หรือไม่?”
คนชุดขาวทำตัวตามสบายมากนางเดินมารินน้ำชาให้
ตัวเอง แล้วเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วยิ้ม “ข้าจะไป
แล้ว ก็เลยมาหาเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย แล้วตัดสินใจอีก
ครั้งว่าจะลงมือดีหรือไม่”
“ลงมือ?” ฉีหนิงสะดุ้ง “หมายความว่าอย่างไร? เจ้า
คงไม่ได้คิดจะสังหารข้าหรอกใช่กระมัง?” ฝีมือของ
คนชุดขาว หากคิดจะลงมือกับเขา เขาเองก็ไม่มีกำลัง
มากพอจะตอบโต้หรือป้องกันได้เลย
คนชุดขาวยิ้มแล้วพูดว่า “หากเจ้าสามารถบอกเหตุผล
ดีๆ ให้ข้าสักข้อ ข้าอาจจะแหกกฎสักครั้ง” นางยิ้ม
ราวกับดอกไม้ มันงามผิดปกติไปมาก
“แหกกฎ?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “แหกกฎอะไรกัน?”
คนชุดขาวยกน้ำชาขึ้นมา แต่ไม่ได้ดื่ม นางพูดว่า “เจ้า
ได้รับพื้นฐานของคัมภีร์เฉียนหยวนแล้ว ในใต้หล้านี้
นอกจากข้าแล้ว ก็มีเจ้าที่ได้รับมันไป หลายคนก่อน
หน้านี้ ต่างตายกลายเป็นวิญญาณไปหมดแล้ว”
“คัมภีร์เฉียนหยวน?” ฉีหนิงดึงผ้าห่มออก แล้วลงจาก
เตียงมานั่ง แล้วพูดว่า “คัมภีร์เฉียนหยวนคืออะไร?
ข้าไปฝึกวิชาคัมภีร์เฉียนหยวนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ก็เมื่อคืนนี้ไง” คนชุดขาวยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อคืนตอน
ที่เจ้าช่วยข้าสลายเลือด ก็ได้รับการถ่ายทอดวิชา
คัมภีร์เฉียนหยวนจากข้าไปด้วย”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “ข้อแรก ต่อให้ข้าได้รับถ่ายทอด
คัมภีร์เฉียนหยวนมาจริง แต่ว่านั่นเป็นเพราะเจ้าให้ข้า
เอง ข้าไม่ได้รู้เรื่องด้วย ข้อสอง เจ้าบอกเมื่อคืนข้าช่วย
เจ้าในการสลายเลือด แสดงว่าข้าได้ช่วยเจ้าเอาไว้ เจ้า
...เจ้าคงไม่ลืมบุญคุณคนหรอกกระมัง”
“ลืมบุญคุณ?” คนชุดขาวถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใน
ใต้หล้านี้ จะมีกี่คนเชียวที่จะสำนึกบุญคุณคน?”
ฉีหนิงรู้ว่าคนชุดขาวคงไม่มีทางล้อเล่นกับเขาแน่นอน
หากเขาคิดจะสังหารตัวเขาจริง เมื่อคืนนี้เขาคงไม่มี
ทางได้กลับมายังจวนจิ่นอีโหวได้ เขาลุกจากเตียงเดิน
ไปที่โต๊ะ แล้วนั่งลงตรงข้ามคนชุดขาว เขามองไปที่
ใบหน้าของคนชุดขาว แล้วพูดว่า “ฟังจากน้ำเสียง
ของเจ้าแล้ว เฮ้อ...จิตใจคนเราทุกวันนี้ไม่ซื่อบริสุทธิ์
เหมือนแต่ก่อน ในเมื่อเป็นอย่างนี้ แสดงว่าเจ้าเองก็ไม่
อยากจะเป็นคนที่ไม่สำนึกบุญคุณคนสินะ”
คนชุดขาวยิ้ม มองไปที่ฉีหนิงแล้วถามว่า “ร่างกาย
ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? มีตรงไหนไม่สบายบ้าง?”
ฉีหนิงได้ยินน้ำเสียงนางเหมือนจะเป็นห่วง เขาส่าย
หน้าแล้วพูดว่า “ไม่มี ขอบใจนะ”
“แสดงว่าร่างกายของเจ้านั้นมีพรสวรรค์นะ” คนชุด
ขาวยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าต้องไปแล้ว ชาตินี้พวกเรา
อาจจะไม่ได้เจอกันอีก เรื่องของเมื่อคืน ห้ามเจ้าพูด
ออกไปเด็ดขาด”
“ช้าก่อน” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นใครกัน
แน่? แล้วเจ้าจะไปไหน?”
“ในเมื่อจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ข้าเป็นใคร จะไปไหน
เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องรู้” คนชุดขาวพูดว่า “ในเมื่อได้
เจอกันครั้งหนึ่ง ก็ถือว่ามีวาสนาต่อกัน คัมภีร์เฉียนห
ยวนก็ถือว่าเป็นของขวัญที่ข้ามอบให้เจ้าก็แล้วกัน”
นางยิ้มหวาน แล้วก็จากไป
ฉีหนิงงงมาก เขารีบพูดว่า “เจ้าอย่าเพิ่งไป ในเมื่อ...
ในเมื่อจะไม่เจอกันแล้ว เจ้าจะรีบไปทำไม”
คนชุดขาวคิด แล้วนั่งลงอีกครั้ง นางยิ้มแล้วถามว่า
“เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีก?”
“เมื่อ...เมื่อคืนเจ้าไม่ได้เข้าวังเป็นครั้งแรก เจ้า...เจ้า
เข้าวังบ่อยอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงถามว่า “เหตุใดเจ้า
ต้องดื่มเลือดงูด้วย?”
สายตาของคนชุดขาวใสมาก ฉีหนิงพบว่า ผิวของคน
ชุดขาวเหมือนจะขาวใสกว่าตอนที่พบกันคราวแรก
เสียอีก ผิวแต่ละชั้นของเขา มันเหมือนกับไข่ไก่ที่ปอก
เปลือกไข่แล้ว เหมือนกับถ้าแตะเบาๆ มันก็จะมีน้ำ
ไหลออกมา
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” คนชุดขาวยิ้มแล้วพูด
ว่า “เมื่อคืนที่ข้าเข้าวัง ข้าเข้าไปดื่มเลือดงูเพื่อฝึกวร
ยุทธ์ เพียงแต่วิชาที่ข้าฝึก จำเป็นต้องมีการยืมร่าง ใน
เมื่อข้ากับเจ้ามีวาสนาต่อกัน เมื่อคืนข้าให้เจ้าช่วยข้า
หากเป็นคนอื่น หลังจากข้ายืมร่างของเขาแล้ว ข้าก็จะ
ไม่ให้เขาได้มีชีวิตรอดต่อไปอีก”
ฉีหนิงเข้าใจแล้ว เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น
ก่อนหน้านี้เจ้าก็เคยยืมร่างเข้าวังฝึกยุทธ์ แล้วคนพวก
นั้น...ก็ถูกเจ้าฆ่าหมดแล้วหรือ?”
คนชุดขาวที่อยู่ตรงหน้าเขา ดูเป็นคนสมถะมาก แทบ
จะไม่เหมือนคนที่ชอบอะไรหรูหรา อีกทั้งสายตาของ
นาง ก็ดูใสสะอาด คนแบบนี้ ยากที่ใครจะคิดว่าจะมี
ความเกี่ยวข้องกับความตายได้
คนชุดขาวยกน้ำชาขึ้นดื่ม เมื่อวางที่ริมฝีปาก นางยิ้ม
แล้วพูดว่า “สิ่งที่เจ้าห่วงตอนนี้ไม่ใช่ว่าข้าฆ่าใครตาย
ไปแล้วกี่คน แต่ว่าเจ้าได้รับวิชาคัมภีร์เฉียนหยวน
มาแล้ว เจ้าจะทำอย่างไรใช่หรือไม่”
ฉีหนิงถามว่า “คัมภีร์เฉียนหยวนร้ายกาจมากเลย
หรือ?”
คนชุดขาวถอนหายใจแล้วพูดว่า “สำหรับใครหลาย
คน พวกเขาสามารถแลกได้ทุกอย่างกับคัมภีร์เฉียนห
ยวน แต่ต่อให้เป็นแบบนั้น ก็ไม่ได้แตะเลยแม้แต่ขน
เส้นเดียว” สายตาใสๆ ก็มองไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า
“เป่ยกงเหลียนเฉิงถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้เจ้า หรือเขา
ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเจ้า?”
“เจ้ารู้จัก...รู้จักเป่ยกงเหลียนเฉิงด้วยหรือ?” ฉีหนิง
พูดด้วยความตกใจ
“เทพกระบี่เป่ยกงเหลียนเฉิง ข้าเห็นภาพเคล็ดวิชา
กระบี่ของเจ้า ก็ต้องรู้ว่าเขาถ่ายทอดวิชากระบี่ให้
เจ้า” คนชุดขาวพูด
ฉีหนิงสะดุ้ง เขาสงสัยมาตลอดว่าภาพเคล็ดวิชากระบี่
นี่น่าจะเป็นของเป่ยกงเหลียนเฉิง แต่ว่าเขาก็ไม่แน่ใจ
แต่ว่าพอคนชุดขาวพูดมาแบบนี้ ฉีหนิงแทบจะไม่
สงสัยอีกต่อไปแล้ว เขารู้สึกว่าคนชุดขาวจะรู้สึกเป่
ยกงเหลียนเฉิงเป็นอย่างดี ทำไมเขาถึงได้มีความรู้สึก
แบบนี้นะ แม้แต่ตัวเขาเองก็อธิบายไม่ถกู
เขารู้สึกสงสัยมาก แต่พอเขากำลังจะถามอีก กลับ
พบว่า คนชุดขาวหายตัวไปแล้ว
เขาขมวดคิ้ว มองไปรอบๆ คนชุดขาวหายไปแล้ว
จริงๆ
เขานั่งอยู่ที่โต๊ะ ฉีหนิงนั่งทบทวนเรื่องราว เขาลองเดิน
ลมปราณดู เขาไม่ได้รู้สึกว่าพลังชี่ในตัวเขามีการ
เปลี่ยนแปลงอะไร มันทำให้เขายิ่งสงสัย
แต่ในคืนนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจ ที่คนชุดขาวพาเขาเข้าวัง
ไป ก็เพื่อยืมร่างดื่มเลือดแล้วฝึกยุทธ์ ที่พาเขาไปก็
ไม่ใช่เพราะจะให้เขาไปเป็นเพื่อน แต่อาศัยร่างกาย
ของตัวเองเป็นตัวช่วยในการฝึกวิชา เพียงแต่ว่าวิชาที่
คนชุดขาวฝึกนั้นมันแปลกมาก หลังจากยืมร่างแล้ว
คนที่ถูกยืมร่างเองก็จะได้รับวิชาคัมภีร์เฉียนหยวนไป
ด้วย
ตอนนี้ฉีหนิงไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าคัมภีร์เฉียนหยวนมัน
คือวิชาอะไร
เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่คนชุดขาวท่องออกมาเมื่อคืนนี้มัน
จะเป็นเคล็ดลับของการฝึกคัมภีร์เฉียนหยวนหรือไม่
แต่ว่าคำพูดแปลกๆ แบบนั้น ฉีหนิงไม่เข้าใจเลย เขา
ยิ่งไม่รู้ว่าจะต้องไปฝึกวิชาคัมภีร์เฉียนหยวนนี้อย่างไร
ด้วย อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าคัมภีร์เฉียนหยวนนี่มันมี
อานุภาพร้ายแรงแค่ไหน
แต่ว่าจากปากของคนชุดขาว คัมภีร์เฉียนหยวนน่าจะ
ไม่ธรรมดา
เขายังคงเดินลมปราณอย่างต่อเนื่อง คิดอยากจะหา
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เขาเดินมันมาประมาณ
สามรอบ เขาไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรเลย
เขากลับไปนอนคิดทบทวนที่เตียง เขาอยู่ในความที่
งุนงง จากนั้นเขาก็หลับไป
เช้าวันต่อมา ตอนที่
เขากำลังหลับสบาย อยู่ๆ ก็ถูกคนมาปลุกจนตื่น เมื่อ
เขาออกมา พ่อบ้านของจวนโหวหานโซ่วก็มายืนรออยู่
แล้ว ฉีหนิงเห็นฟ้ายังเช้าอยู่มาก เขาก็ขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
หานโซ่วเห็นฉีหนิงออกมา ก็รีบเขยิบเข้ามาใกล้แล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ว่า...
ท่านลุงมาขอรับ”
“ท่านลุง?” ฉีหนิงตะลึงไป แล้วพูดด้วยความแปลกใจ
ว่า “ท่านลุงอะไรกัน?”
หานโซ่วรีบพูดว่า “ท่านลุงของตระกูลกู้มาจาก
เจียงหลิง เพิ่งมาถึงเลยขอรับ กำลังขนของเข้าจวน
ขอรับ”
ฉีหนิงตกใจ ครั้งที่แล้วกู้ชิงฮั่นเคยพูดถึงเรื่องนี้ บอก
ว่าหลังตรุษจีน กู้เหวินจางจะพาคนที่บ้านมายังเมือง
หลวง ได้ยินว่าได้ซื้อร้านกับบ้านในเมืองหลวงไว้แล้ว
แต่ว่าตอนนี้ยังห่างจากตรุษจีนหลายเดือน ฉีหนิงคิด
ไม่ถึงเลยว่ากู้เหวินจางจะมาเมืองหลวงก่อนกำหนด
เขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านลุงพาคนที่บ้านมาด้วย
หรือ?”
“ขอรับ ท่านลุงพาเหล่าไท่ไท่มาด้วยขอรับ” หานโซ่ว
พูดว่า “ตอนนี้ฮูหยินสามกำลังต่อว่าท่านลุงยกใหญ่
เลยขอรับ โหวเยว่...โหวเยว่ท่านรีบไปดูหน่อยเถอะ
ขอรับ”
ฉีหนิงได้ยินว่ากู้ชิงฮั่นกำลังต่อว่าอยู่ ก็ไม่เสียเวลา เขา
รีบไปยังเรือนด้านหน้า เขาเห็นคนมากมายกำลังขน
ย้ายสิ่งของเข้าจวนอยู่ กู้ชิงฮั่นกำลังพยุงหญิงชราอายุ
ราวหกสิบปีอยู่ แล้วพูดกับชายสวมชุดผ้าแพรว่า
“ท่านมันเห็นแก่ตัว ท่านแม่แก่มากแล้ว ท่านไม่ห่วง
สุขภาพของท่านแม่เลย อากาศหนาวขนาดนี้ยัง
ทรมานให้ท่านเดินทางมาอีก ท่านคิดจะทำอะไรกัน
แน่?”
ฉีหนิงมองไปที่ชายคนนั้นเขาคือกู้เหวินจาง กู้เหวิ
นจางรู้สึกกระอักกระอ่วนเขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ข้า
ถามท่านแม่แล้ว ท่านก็บอกว่าอยากเจอหน้าเจ้าไวๆ
ดังนั้น...ดังนั้นข้าก็เลยเดินทางมาก่อนกำหนด น้อง
หญิง ข้ายังไม่ทันได้ดื่มน้ำสักคำเลย เจ้าบ่นอะไรแต่
เช้าเนี่ย ให้บ่าวไพร่เห็นมันไม่ดีนะ”
“ความคิดท่านทำไมข้าจะไม่รู้” กู้ชิงฮั่นโกรธจนจะ
ร้องไห้แล้วพูดว่า “ท่านพ่อไม่อยู่แล้ว ท่านก็ไม่สนใจ
อะไรอีก ก่อนหน้านี้ท่านยังเกรงใจท่านแม่ทัพใหญ่อยู่
บ้าง ไม่กล้ามา ตอนนี้ท่านแม่ทัพใหญ่ไม่อยู่แล้ว ก็ไม่
มีใครคุมท่านได้แล้ว ท่านคิดว่าในเมืองหลวงมัน
ครื้นเครง ก็เลยคิดจะมารื่นเริงที่นี่ใช่หรือไม่”
หญิงชราพยายามห้ามปรามแล้วพูดว่า “ฮั่นเอ่อร์ ช่าง
เถอะนะ เจ้าก็อย่าว่าพี่ชายเจ้าเลย ข้าคิดถึงเจ้า ก็เลย
ให้เขาเดินทางเร็วก่อนกำหนด”
“ท่านแม่ ท่านอย่าไปให้ท้ายเขาแบบนี้สิ” กู้ชิงฮั่นพูด
ว่า “ท่านให้ท้ายเขามาแบบนี้ตั้งแต่เด็ก เขาถึงกล้าทำ
แบบนี้ อยู่ที่เจียงหลิงก็ดีอยู่แล้ว จะมาเมืองหลวง
ทำไมกัน?”
กู้เหวินจางรู้สึกหงุดหงิดแล้วพูดว่า “เจ้าไม่จบใช่
หรือไม่ หรือว่าเจ้าจะให้ข้าพาท่านแม่กลับเจียงหลิง
ตอนนี้เลย? มาก็มาแล้ว ทำไมยังพูดมากขนาดนี้?
หากเจ้าไม่กลัวท่านแม่จะทรมาน ข้าจะพาท่านแม่
กลับเจียงหลิงเดี๋ยวนี้เลย”
กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความโมโหว่า “ท่านอยากไปก็ไปคน
เดียว ท่านแม่ให้อยู่กับข้าที่นี่”
ฉีหนิงเห็นสองพี่น้องโต้เถียงกัน ก็รีบเดินมา เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ท่านลุง ท่านมาแล้วหรือ พวกเรารอท่าน
อยู่เลย เหล่าฮูหยิน เดินทางลำบากแล้ว รีบเข้าไปพัก
ในห้องโถงก่อนเถอะ”
กู้เหวินจางถูกกู้ชิงฮั่นต่อว่าจนเสียหน้า เมื่อเห็นฉีหนิง
มา ก็เหมือนได้คนมาช่วย เขารีบพูดว่า “ท่านโหว
น้อย ยินดีด้วย ยินดีด้วย ได้ยินว่าท่านได้รับสืบทอด
ตำแหน่งจิ่นอีโหวแล้ว ข้าตั้งใจมาแสดงความยินดีกับ
ท่านที่เมืองหลวงเลยนะ” เขาเดินขึ้นหน้ามา แล้วยก
มือตบไหล่ของฉีหนิง แล้วพูดว่า “ข้าเอาของขวัญมา
ให้ท่านเยอะแยะเลย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 315 ใต้โต๊ะ
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านลุงเกรงใจเกินไปแล้ว” เขา
เห็นกู้ชิงฮั่นยังไม่หายโกรธ เขาก็เลยเดินขึ้นไปทำ
ความเคารพทักทายกู้เหล่าไท่ จากนั้นก็หันไปหากู้ชิง
ฮั่นแล้วพูดว่า “ซานเหนียง เหล่าฮูหยินเดินทางมา
เหนื่อยๆ ท่านพาเหล่าฮูหยินไปพักก่อนเถอะนะ เดี๋ยว
ทางนี้ข้าจัดการเอง”
กู้ชิงฮั่นเห็นกู้เหล่าไท่เหนื่อยมากแล้ว อีกทั้งคนก็
มาแล้ว พูดมาไปก็ไม่มีประโยชน์ นางจ้องไปที่กู้เหวิ
นจาง แล้วค่อยพยุงกู้เหล่าไท่ กับภรรยาของกู้เหวิ
นจางและญาติคนอื่นกลับไปพักที่ห้องก่อน
เมื่อพวกกู้ชิงฮั่นออกไปแล้ว กู้เหวินจางถึงกลับถอน
หายใจ เขาหันไปยิ้มให้ฉีหนิงแล้วพูดว่า “ท่านโหว
น้อย ท่านกำลังบินสูงเลยเชียว พวกเราญาติห่างๆ
ฐานะต่ำต้อยมาขอพึ่งใบบุญ ท่านคงไม่ได้ไม่พอใจใช่
หรือไม่?”
“ท่านลุงพูดอะไรอย่างนั้น ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น
พูดแบบนี้ดูห่างเหินจริงๆ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
ลุงส่งจดหมายมา ข้าเองก็รับทราบ เพียงแต่ไม่คิดว่า
ท่านจะมาเร็วขนาดนี้”
กู้เหวินจางสีหน้าลำบากใจแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย
ข้าขอพูดตามตรง ที่จริงแล้วข้าอยากมาลองทำอะไร
ในเมืองหลวงดูบ้าง ท่านเองก็เห็นแล้ว หน้าตาข้าก็ดี
เก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊ ขาดเพียงก็แค่โอกาสเท่านั้น หากมี
โอกาสข้าจะไม่ทำให้บรรพชนต้องผิดหวังแน่นอน
เพียงแต่ว่าตอนที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ ไม่เคยให้โอกาส
ข้าเลยสักครั้ง” เขาถอนหายใจ สายตาของเขาเป็น
ประกาย แล้วถามเสียงเบาว่า “ท่านโหวน้อย ท่านรับ
ตำแหน่งบรรดาศักดิ์แล้ว ราชสำนักได้แต่งตั้งตำแหน่ง
ขุนนางให้ท่านด้วยหรือไม่?”
ฉีหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ข้าอายุยังน้อย
ประสบการณ์ก็มีไม่มาก ราชสำนักไม่ได้ให้ตำแหน่ง
ใหญ่อะไรกับข้าหรอก แต่ตอนนี้ให้ข้าดูแลการก่อตั้ง
ค่ายทหารกิเลนดำขึ้นมาใหม่เท่านั้น”
“ค่ายกิเลนดำ?” กูเ้ หวินจางตะลึงไป เขาพูดด้วย
ความตกใจว่า “ราชสำนักจะก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมา
ใหม่หรือ?”
ฉีหนิงพยักหน้า กู้เหวินจางพูดด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นว่า
“เป็นเรื่องน่ายินดีมากๆ เลย ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านโหวน้อย
ก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่ ต้องรับสมัครทหารใช่
หรือไม่?”
ฉีหนิงพูดว่า “ตอนนี้กำลังเตรียมการอยู่ พวกของต้วน
ชางไห่กำลังรวบรวมไพร่พลอยู่”
กู้เหวินจางตบมือ แล้วพูดว่า “มิน่า เหตุใดตลอดทาง
ที่มาที่นี่ตาซ้ายของข้ามันถึงได้กระตุกตลอดเวลา ข้ารู้
ว่าข่าวดีกำลังจะมาหาข้าแล้ว พูดแบบนี้ดีกว่า ข้ามา
เมืองหลวงก่อนกำหนด ทำถูกแล้ว” เขาถอยหลังไป
ก้าวหนึ่ง แล้วตบหน้าอก จากนั้นก็พูดว่า “ท่านโหว
น้อย ท่านดูข้า ท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เหตุใดฉีหนิงจะไม่รู้ว่ากู้เหวินจางคิดอะไรอยู่ เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ท่านลุงเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ องอาจกล้า
หาญ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเด็กคนนี้นี่...ไม่ใช่สิ ข้ารู้ว่าท่านโหวน้อย
ตาดี” กู้เหวินจางหัวเราะร่า “ท่านวางใจได้ ในเมื่อ
ท่านลุงของเจ้ามาแล้ว หากเจ้ามีเรื่องอะไร ท่านลุงคน
นี้จะช่วยเจ้าอย่างเต็มที่” เขาชี้ไปที่นอกเรือน “ข้าพา
คนมาที่เมืองหลวงด้วยไม่น้อย ครั้งที่แล้วเจ้าก็เคยเจอ
คนพวกนั้นเป็นคนที่ข้าฝึกมากับมือ สู้หนึ่งต่อสิบได้
สบายๆ เห็นแก่ที่เราเป็นญาติกัน ข้ายกคนพวกนั้นให้
เจ้าก็ได้นะ”
“ท่านลุงเพิ่งมาถึง เรื่องพวกนี้ไว้ค่อยคุยกันก็ได้”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เข้าไปดื่มชากันก่อน” เขาหันไป
พูดกับหานโซ่วว่า “พ่อบ้านหาน ฮูหยินสามได้จัดที่
ทางไว้แล้วหรือยัง?”
หานโซ่วรีบตอบว่า “เรือนด้านหลังมีห้องเยอะมาก
แต่ว่าเพราะท่านลุงมาก่อนกำหนด ก็เลยยังไม่ได้เก็บ
กวาด ตอนนี้กำลังเก็บกวาดอยู่ คงต้องให้พักที่เรือน
ด้านหลังไปก่อนชั่วคราวขอรับ”
กู้เหวินจางพูดว่า “พ่อบ้านหาน ไม่ต้องยุ่งยากหรอก
นะ ข้าได้เตรียมบ้านในเมืองหลวงไว้แล้ว ตอนนี้กำลัง
ทาสีอยู่ อีกสักสิบวันหรือครึ่งเดือนก็ย้ายไปได้แล้วล่ะ
ทางนี้จัดพอประมาณก็พอนะ”
กู้เหวินจางมาจากเจียงหลิง เอาของมาด้วยไม่น้อย
นอกจากคนสนิทที่พามาด้วย ทางจวนโหวก็ได้ให้คน
ไปคอยช่วย อีกทั้งยังสั่งให้คนไปเก็บกวาดเรือน
ด้านหลังออกมา อีกสักพักใหญ่ก็ย้ายเข้าไปอยู่ได้เลย
ดังนั้นของมากมายยังคงกองอยู่ในจวนโหว ไม่ได้
เคลื่อนย้ายออกแต่อย่างใด
เพราะอย่างนี้ ตั้งแต่เช้าจนค่ำ ทุกคนต่างยุ่งวุ่นวายกัน
ไปหมด
ถึงแม้กู้ชิงฮั่นจะไม่พอใจที่กู้เหวินจางมาเมืองหลวง
แต่ในเมื่อได้ลากครอบครัวมาจนหมดแล้ว กู้ชิงฮั่นเอง
ก็ไม่เหมาะจะชักสีหน้าใส่อีก เพราะถึงอย่างไรเขาก็
เป็นพี่ชายของนาง ดังนั้นช่วงค่ำนางก็ยังสั่งให้จัดงาน
เลี้ยงต้อนรับอยู่
ในห้องที่อบอุ่น มีเพียงแค่สี่ที่นั่งเท่านั้น นอกจากกู้ชิง
ฮั่นกับฉีหนิงแล้ว ก็มีกู้เหล่าไท่และกู้เหวินจางเท่านั้น
โต๊ะเหลี่ยมที่มีที่นั่งสี่ที่ อาหารที่วางไว้ต่างทำมาอย่าง
ประณีต
บนโต๊ะอาหารกู้ชิงฮั่นไม่พูดกับกู้เหวินจางเลย นางเอา
แต่ดูแลกู้เหล่าไท่ เมื่อเหล้าลงท้องไปสองสามแก้ว กู้
เหวินจางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ข้าไม่แปลก
ใจเลยที่มีแต่คนอยากจะมาที่เมืองหลวง ในเมืองหลวง
ไม่เหมือนที่อื่นจริงๆ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านลุงเพิ่งจะมา ต่อไปมีเวลาก็
ลองไปเที่ยวเล่นในเมืองดูก็ได้”
“ไม่ได้หรอก” กู้เหวินจางส่ายหัวแล้วพูดว่า “ที่จริง
แล้วที่ข้ามาที่เมืองหลวง ก็คิดอยากจะทำการค้านิด
หน่อย แต่ว่าตอนนี้ค่ายกิเลนดำกำลังจะตั้งขึ้นใหม่ ข้า
คงไม่มีกะจิตกะใจไปทำการค้าแล้วล่ะ” เขามองไปที่ฉี
หนิง แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านโหวน้อย ท่าน
วางใจได้ มีข้าช่วย ท่านจะต้องฝึกทหารที่เก่งกาจไม่มี
ใครเทียบได้แน่”
กู้ชิงฮั่นเอาแต่คุยกับกู้เหล่าไท่ เมื่อได้ยินกู้เหวินจาง
พูดมาแบบนี้ ก็รีบพูดว่า “ค่ายกิเลนดำเกี่ยวอะไรกับ
ท่านด้วย? ท่านจะพูดมากทำไมกัน”
“น้องหญิง เจ้าพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก” กู้เหวินจางพูดสี
หน้าจริงจังว่า “ค่ายกิเลนดำท่านแม่ทัพใหญ่เป็นคน
ก่อตั้งมากับมือ มันก็คือเรื่องของตระกูลฉี ตระกูลกู้
ของเรากับตระกูลฉีเป็นครอบครัวเดียวกัน ตอนนี้ท่าน
โหวน้อยกำลังทำงานใหญ่ ตระกูลกู้ของเราก็ต้อง
ช่วยเหลือสิ”
“ท่านจะไปช่วยอะไรได้?” กู้ชิงฮั่นไม่ได้พูดดีด้วย “ใน
เมื่อท่านอยากจะทำการค้า ก็ลองทำดู หากทำไม่
สำเร็จ ก็รีบกลับเจียงหลิงไปซะ รากเหง้าของพวกเรา
อยู่ที่เจียงหลิง หากท่านพ่อยังอยู่ คงไม่มีทางให้ท่าน
มาเมืองหลวงแน่นอน”
กู้เหวินจางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อย่าหาว่าข้าว่าท่าน
พ่อเลย ตอนนี้ข้าบอกให้ท่านมาทำการค้าในเมือง
หลวง แต่ว่าเขาอยากจะเฝ้าที่ดินของเขาที่เจียงหลิง
หากเชื่อข้าแต่แรก ตระกูลกู้ของพวกเราก็ไม่เป็นแบบ
นี้หรอก”
“ตอนนี้มันเป็นอย่างไร?” กู้ชิงฮั่นยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า
“หรือว่ามรดกที่ท่านทิ้งไว้ให้มันน้อยเกินไป?”
กู้เหวินจางส่ายหัวแล้วพูดว่า “ลูกผู้ชาย จะมานั่งหวัง
แค่สมบัติตกทอดได้อย่างไร ต้องมีอุดมการณ์สิ” เมื่อ
พูดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา “หากตอนนั้นให้
ข้าไปเป็นทหาร ข้าคงไม่มีทางไม่มีอะไรเลยจนถึง
ตอนนี้หรอก”
กู้ชิงฮัน่ ยิ้มเจื่อน แต่ไม่พูดอะไร
กู้เหล่าไท่พูดกล่อมว่า “พวกเจ้าสองคนพูดให้มัน
น้อยๆ หน่อย ท่านโหวน้อยนั่งอยู่นี่ด้วย ไม่กลัวขาย
หน้ากันหรืออย่างไร” นางยิ้มแล้วพูดกับฉีหนิงว่า
“พวกเขาทะเลาะกันแบบนี้กันตั้งแต่เด็ก สงสัยชาติที่
แล้วคงมีความแค้นร่วมกันมาก่อนแน่ๆ”
“หากเป็นศัตรูคู่แค้นจริง ชาตินี้คงไม่ได้เป็นพี่น้องกัน
หรอก” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียงเป็นคน
อ่อนโยน หากท่านลุงไม่ใช่พี่ชายของนาง ซานเหนียง
ไม่มีทางพูดแบบนี้แน่นอน”
กู้เหวินจางหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยพูดถูก
แล้ว น้องหญิง เจ้าว่าข้าแบบนี้ ก็อยากให้ข้ารักษา
ทรัพย์สมบัติของตระกูลให้ดี พี่ชายคนนี้รู้ดี แต่ว่าเจ้า
เป็นผู้หญิง ไม่เข้าใจอุดมการณ์ของผู้ชายอย่างพวกข้า
หรอกนะ ข้ามาที่เมืองหลวง ก็เพื่อหน้าตาของวงศ์
ตระกูล ข้าอยากอาศัยสองมือของข้าคู่นี้สร้างผลงาน”
เขามองไปที่ฉีหนิง แล้วถามว่า “ท่านโหวน้อย ค่าย
ทหารสร้างเสร็จแล้วใช่หรือไม่? พรุ่งนี้ข้าไปดูมัน
พร้อมกับท่านเลยดีหรือไม่?”
“ยังไม่เสร็จเลย เรื่องแบบนี้จะรีบร้อนไม่ได้” ฉีหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าส่งคนไปแจ้งทางกรมโยธาไว้แล้ว
น่าจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง อีกทั้งอุปกรณ์ของ
ใช้ต่างๆ ก็อยู่ระหว่างการเตรียมการ เมื่อไหร่ที่ได้ไพร่
พลและม้ามา ก็จะเริ่มฝึกทันที”
กู้เหวินจางพูดว่า “ท่านโหวน้อย การฝึกทหารไม่ใช่
เรื่องธรรมดา โบราณกล่าวไว้ว่า ผู้นำไร้ความสามารถ
ก็จะกระทบทั้งกองทัพ หากผู้นำไม่มีความสามารถ ก็
ไม่สามารถฝึกทหารได้ดี”
ฉีหนิงรู้ดีว่ากู้เหวินจางเป็นคนพูดจาตรงๆ อีกทั้งปาก
ไม่ดีด้วย ถึงแม้สิ่งที่เขาพูดออกมามันจะไม่น่าฟัง แต่ฉี
หนิงกลับไม่ได้ใส่ใจ กำลังจะพูด เขาก็รู้สึกว่าเท้าของ
เขาถูกเตะ เขาสะดุ้งไป คิดว่าน่าจะมีคนไม่ตั้งใจถูก
เขาเลยไม่ได้พูดอะไร มองไปที่กู้เหวินจางยิ้มแล้วพูด
ว่า “ท่านลุงพูดถูกแล้ว ครั้งที่แล้วที่เจียงหลิง ข้าได้
เห็นคนของท่านแล้ว แต่ละคนดุดันราวกับเสือเลย”
“ถูกแล้ว” กู้เหวินจางพูดอย่างได้ใจว่า “อย่างอื่นข้า
ไม่กล้าพูด แต่ถ้าเป็นเรื่องการฝึกทหาร ข้าคิดว่าข้า
พอจะมีความสามารถอยู่ ท่านโหวน้อย ท่านเห็นคน
ของข้าแต่ละคน พอจะสู้ทหารในเมืองหลวงได้
หรือไม่?”
ฉีหนิงกำลังจะพูด ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าขาของเขาถูก
เตะอีกครั้ง เขาก็เริ่มสงสัย เขากวาดสายตาโดยไม่ให้
ใครจับได้ เห็นกู้ชิงฮั่นกำลังจ้องไปที่กู้เหวินจาง กู้เหวิ
นจางเอาแต่สนใจในสิ่งที่ตัวเองพูด ไม่ได้สนใจนาง
แม้แต่น้อย ฉีหนิงเลยแกล้งทำตะเกียบตก กู้ชิงฮั่นเห็น
ดังนั้น ก็กำลังจะสั่งให้คนไปเอาตะเกียบมาให้ใหม่ ฉี
หนิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องหรอก เช็ดเอาก็พอแล้ว”
เขาก้มตัวลง ขณะที่ลงไปเก็บตะเกียบ ก็เหลือบไปที่
ใต้โต๊ะ เห็นข้าของกู้ลิงฮั่นยื่นออกมา อยู่ข้างๆ ขาของ
เขาไม่ไกล เขาก็รู้ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
กู้เหวินจางนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของฉีหนิง ส่วนกู้ชิงฮั่น
นั่งอยู่ทางด้านขวาของฉีหนิง สองพี่น้องนั่งอยู่ตรงข้าม
กัน ขาขวาของเขาอยู่ข้างเก้าอี้ แต่ว่าเขายื่นขาซ้าย
ออกไป เท่ากับว่าขาของเขาขวางอยู่หน้าขาของกู้เหวิ
นจาง เมื่อครู่ขาซ้ายของเขาถูกถีบไปสองครั้งติดกัน ก็
คือกู้ชิงฮั่นที่คนถีบ แต่ว่าคนที่กู้ชิงฮั่นจะเตะนั้นไม่ใช่
เขา
ปกติแล้วกู้ชิงฮั่นทำอะไรระวังตลอด ถึงแม้กู้เหวินจาง
จะเป็นพี่ชายแท้ๆ ของกู้ชิงฮั่น แต่ว่านิสัยของพวกเขา
ไม่เหมือนกันเลย ปากของเขาไม่มีหูรูด กู้ชิงฮั่นเห็นกู้
เหวินจางพูดจาเหลวไหล แต่ว่าไม่สะดวกจะเตือนซึ่งๆ
หน้า ดังนั้นก็เลยคิดจะเตะเพื่อเตือนสติกู้เหวินจาง
ไม่ให้เขาพูดจาเหลวไหลอีก
เพียงแต่กู้ชิงฮั่นไม่รู้ว่าขาของฉีหนิงจะขวางอยู่ นาง
เตะไปสองครั้ง ก็เตะถูกขาของฉีหนิงทั้งสองครั้ง
ฉีหนิงลุกขึ้นนั่ง แล้วเช็ดตะเกียบจนสะอาด เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ท่านลุงนอกจากการทหารแล้ว ท่านมี
ความชอบอย่างอื่นอีกหรือไม่?”
“ในชีวิตของข้าข้าชอบนำทหารสู้รบที่สุด” กู้เหวิ
นจางพูดพร้อมกับความตื่นเต้นที่สุด เขามองมาที่ฉี
หนิง “ท่านโหวน้อย ข้ารู้ว่าทหารค่ายกิเลนดำไม่ใช่
กองกำลังธรรมดาทั่วไป หากขอตำแหน่งกับท่านง่ายๆ
ท่านอาจจะเห็นแก่หน้าข้า ให้ตำแหน่งกับข้า แต่ว่าข้า
กู้เหวินจางเป็นคนมีศักดิ์ศรี พวกเราทำแบบนี้ดี
หรือไม่ รอค่ายของท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าจะพาพี่
น้องของข้าไปทดสอบ ถึงเวลานั้นข้าจะแสดงฝีมือให้
ทุกคนได้เห็น ให้พวกเขาได้ยอมรับพวกเราจากใจจริง
ท่านก็จะได้ไม่ลำบากใจ อีกทั้งยังไม่มีใครมาว่าข้ากู้เห
วินจางอาศัยเส้นสายเข้ากองทัพด้วย ท่านว่าดี
หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นเตะไปอีกสองที เห็นกู้เหวินจางไม่มีปฏิกิริยา
ไม่ได้สนใจนางเลยสักนิด อีกทั้งยิ่งพูดยิ่งไปไกล นางก็
ขมวดคิ้ว ครั้งนี้นางถีบอย่างแรง แต่ว่าครั้งนี้ถีบไม่โดน
แต่นางกลับรูส้ ึกว่ามีอะไรกำลังหนีบขานางอยู่ นางก็
ตกใจมาก ขาอ่อนของนางกำลังถูกฉีหนิงหนีบเอาไว้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 316 เงาจากนอกหน้าต่าง
กู้ชิงฮั่นเป็นผู้หญิงฉลาด นางเข้าใจทันที นางตกใจ
มาก นางรู้ว่าฉีหนิงยกเท้าขึ้มมาหนีบขาของนางเอาไว้
นางกำลังจะหดขากลับมา นางกลับรู้สึกว่าขาของนาง
ถูกบีบรัดแน่นขึ้น ขาข้างหนึ่งของนางถูกฉีหนิงหนีบ
เอาไว้เรียบร้อยแล้ว
นางทั้งตกใจทั้งโกรธ คิดไม่ถึงเลยว่าฉีหนิงจะกล้าได้
มากขนาดนี้ แต่ว่ากู้เหล่าไท่กับกู้เหวินจางอยู่บนโต๊ะ
อาหารด้วย พวกเขามองไม่ออกเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
นางฝืนทำทุกอย่างให้เหมือนปกติ เพียงแต่ว่ากู้เหล่า
ไท่ถึงแม้จะอายุมากแล้ว แต่นางก็ยังเป็นหญิงชราที่มี
สติดีอยู่ นางเห็นกู้ชิงฮั่นสีหน้าท่าทางแปลกไป ก็รู้ว่า
น่าจะมีอะไรผิดปกติแน่ แต่ว่านางแค่คิดไม่ถึงว่า
เหตุการณ์มันจะมีสาเหตุอยู่ที่ใต้โต๊ะ นางแค่คิดว่ากู้ชิง
ฮั่นไม่พอใจกู้เหวินจางเท่านั้น นางเลยมองไปที่กู้เหวิ
นจางแล้วพูดว่า “จางเอ๋อร์ เจ้าเดินทางมายังไม่ได้พัก
เลย รีบกิน แล้วกลับไปพักเถอะนะ”
กู้เหวินจางไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เขายกมือยิ้มแล้ว
พูดว่า “ท่านแม่ ข้ากับท่านโหวน้อยกำลังคุยเรื่อง
สำคัญกันอยู่ ถ้าท่านเหนื่อยแล้ว ก็ให้น้องหญิงพา
ท่านกลับไปพักก่อน คืนนี้ข้ากับโหวน้อยไม่เมาไม่
เลิก”
ขาทั้งสองข้างของฉีหนิงหนีบขาเรียวราวของกู้ชิงฮั่น
เอาไว้ ถึงแม้จะมีเสื้อผ้ากั้นอยู่ แต่เนื้อของทั้งสองก็
แนบกันผ่านผ้าบางๆ นั้น เขารู้สึกได้ว่ากู้ชิงฮั่น
พยายามออกแรงเพื่อดึงขาออก แต่ว่าแรงของกู้ชิงฮั่น
จะไปสู้แรงฉีหนิงได้อย่างไรกัน เมื่อถูกฉีหนิงหนีบไว้
แบบนี้ ก็ไม่มีทางหลุดไปได้แน่นอน
“ซานเหนียง ท่านไม่สบายตรงไหนหรือ?” ฉีหนิงตั้งใจ
หันไปจ้องตาของกู้ชิงฮั่น แล้วแกล้งพูดว่า “ท่านจะพา
เหล่าฮูหยินไปพักก่อนหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นทั้งอายทั้งโกรธ แต่ก็กลัวว่ากู้เหล่าไท่จะจับได้
เลยพูดว่า “พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า
เพราะพวกเจ้าจะคุยอะไรกัน ข้าก็ยุ่งไม่ได้อยู่แล้ว แต่
อย่าให้มันเกินไปนักนะ”
“เกินไป?” ฉีหนิงสัมผัสได้ถึงความเนียนนุ่มของขา
เรียวยาวของกู้ชิงฮั่น เขายิ้มแล้วถามว่า “ซานเหนียง
รู้สึกว่าเรื่องไหนมันเกินไป หรือว่าเรื่องไหนมันทำ
ไม่ได้กันหรือ?”
“เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ” กู้ชิงฮั่นกัดปาก แต่ยังคงไม่แสดง
ออกมา นางคิดอยากจะดึงขาออกหลายครั้ง แต่ทุก
ครั้งที่ขยับ ฉีหนิงก็หนีบแรงขึ้น นางทั้งเขินทั้งโกรธทั้ง
จนปัญญา “หากทำผิดพลาดไปแล้ว มันไม่มีผลลัพธ์ที่
ดีแน่นอน”
แต่กเู้ หวินจางกลับตบไปที่หน้าอกของตัวเองแล้วพูด
ว่า “น้องหญิง เจ้าวางใจได้ ท่านโหวน้อยอายุยังน้อย
ต่อให้ทำอะไรผิดพลาดไปจริง ก็ไม่เป็นอะไรหรอก มี
ข้าคอยเตือนอยู่ข้างๆ ท่านโหวน้อยอย่างไรก็กลับตัว
มาได้ คนหนุ่มคนไหนบ้างที่จะไม่เคยทำผิดพลาด”
“ไม่ใช่เรื่องอะไรของท่าน” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว ไม่ได้พูด
ดีด้วย “ท่านหุบปากของท่านไปเลยนะ”
กู้เหวินจางอึ้งไป คิดไม่ถึงเลยว่าเขาพูดแค่คำเดียว จะ
ทำให้กู้ชิงฮั่นโกรธมากขนาดนี้ได้ จิตใจผู้หญิงยากแท้
หยั่งถึง ก็เลยไม่สนใจนางอีก เขาหันไปยิ้มให้ฉีหนิง
แล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ท่านคิดว่าข้อเสนอเมื่อครู่นี้
ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ท่านลุงพูดถูกต้องแล้ว” ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า
“คนหนุ่มทำผิด ก็ใช่ว่าจะให้อภัยไม่ได้ เรื่องสำคัญ
มากกว่านั้นคือ หากคนอื่นทำผิดแล้วผิดอีก คนหนุ่มก็
อาจจะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ได้ ถึงเวลานั้นไม่ว่าใครจะ
เป็นคนผิด มันก็แยกไม่ออกแล้ว หรืออาจจะไม่มีใคร
ผิดมาแต่แรกแล้ว หรืออาจจะไม่มีใครถูกเลยก็ได้”
กู้เหวินจางอึ้งไป ฉีหนิงพูดมาแบบนี้มันทำให้เขางงไป
หมด ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ว่าเขาอายุมากที่สุด ก็
จะต้องแสดงว่าตัวเองนั้นเข้าใจดีทุกอย่าง ถึงแม้จะไม่
เข้าใจความหมายที่ฉีหนิงพูด แต่ก็ยังพยักหน้าแล้วพูด
ว่า “ถูกต้องแล้ว หมายความว่าแบบนี้เลย”
กู้ชิงฮั่นเข้าใจความหมายดี นางรู้ความหมายแฝงที่ฉี
หนิงต้องการจะสื่อ นางอดไม่ได้ที่จะจ้องไปที่ฉีหนิง
ทันใดนั้นเองนางเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เลยใช้ขา
อีกข้างหนึ่งคลำหา เหมือนหาเท้าของฉีหนิงเจอแล้ว
นางก็ใช้แรงเหยียบไปอย่างแรง ฉีหนิงอดไม่ได้ร้อง
ออกมา “โอ้ย” กู้เหล่าไท่กับกู้เหวินจางตกใจ แล้ว
มองไปที่ฉีหนิง
“ท่านโหวน้อย ท่านเป็นอะไรไป?” กู้เหวินจางรีบถาม
ฉีหนิงรีบตอบกลับไปว่า “ไม่มีอะไร แค่นึกอะไรออก
แค่นั้น”
“หือ?” กู้เหวินจางเหมือนจะสนใจ “เป็นเรื่องนำ
ทหารออกศึกหรือไม่?”
“ไม่ใช่หรอก” ฉีหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “เมื่อคืนนี้
ตอนที่ข้ากำลังหลับสนิท กลางดึกถูกผึ้งบินเข้ามา
ต่อย”
“ผึ้ง?” กู้เหวินจางอึ้งไป “อากาศแบบนี้ เหตุใดถึงมีผึ้ง
ได้?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าเองก็
แปลกใจอยู่ หลังจากข้าถูกต่อยจนตื่น ก็ลุกขึ้นมา
พยายามจับผึ้งตัวนั้นเอาไว้ ข้าอยากจะจับมันให้ได้
แล้วสั่งสอนสักที แต่ว่าผึ้งบินไปบินมาอยู่ในห้อง ทำ
ให้ในห้องมีแต่กลิ่นหอมของผึ้ง”
“กลิ่นหอม?” กู้เหวินจางเกาหัว “มันเป็นผึ้งอะไรกัน?
ทำไมถึงมีกลิ่นหอม?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่
ว่ากลิ่นของมันแรงมาก จนถึงตอนนี้ในห้องของข้ายัง
หอมอยู่เลย หางของผึ้งมีเข็มที่ร้ายกาจมากเลย”
กู้เหวินจางหัวเราะแล้วพูดว่า “น่าแปลกจริงๆ ข้าใช้
ชีวิตมาขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอผึ้งที่มีกลิ่นหอมเลย
ในเมืองหลวงนี่ไม่เหมือนที่อื่นเลย อากาศหนาวแบบนี้
ยังมีผึ้งบินมาต่อยคนกลางดึกด้วย”
กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมืองหลวงมีเรื่องแปลกอีก
มาก เมื่อท่านอยู่ไปนานๆ อาจจะเจอเรื่องแปลกอีก
เยอะ” แล้วเขาก็เหยียบไปที่เท้าของฉีหนิงอีกครั้ง ฉี
หนิงถึงแม้จะหนีบขาของกู้ชิงฮั่นเอาไว้ แต่ก็ไม่กล้าทำ
อะไรวู่วาม เพื่อไม่ให้กู้เหล่าไท่จับได้ เขาทำได้แค่ทน
เจ็บต่อไป กู้ชิงฮั่นหันมาถามเขาว่า “โหวเยว่เป็นอะไร
ไปหรือ? ไม่สบายตรงไหนหรือ? จะให้เรียกหมอมา
ตรวจหน่อยดีหรือไม่?”
นางทำท่าทางดูเป็นห่วงเป็นใยมาก
ฉีหนิงทำได้แค่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร น่าจะ
ดื่มมากไป รู้สึกว่าไม่ค่อยสบายคอเท่าไหร่”
“ทุกเรื่องก็ควรอยู่ในระดับที่พอดี ไม่เช่นนั้นมันจะหา
เรื่องให้ลำบากตัวเองได้” กู้ชิงฮั่นพูด
กู้เหล่าไท่พูดว่า “ฮั่นเอ๋อร์ เหตุใดถึงได้พูดกับโหวเยว่
แบบนี้ล่ะ” นางคิดว่ากู้ชิงฮั่นคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่
กว่า คิดในใจว่าถึงแม้ฉีหนิงจะเด็กกว่า แต่ว่าตอนนี้
เขาก็เป็นถึงจิ่นอีโหว ฐานะสูงศักดิ์ กู้ชิงฮั่นจะพูดจา
อะไรก็ควรระวังให้มาก
ฉีหนิงเห็นกู้ชิงฮั่นเริ่มโมโหมากแล้ว เขาคิดในใจว่าครั้ง
ที่แล้วเพิ่งจะข้ามเส้นเกินไป ครั้งนี้จะให้เกินไปไม่ได้
ผู้หญิงที่อารมณ์ดีมากแค่ไหน หากถูกแกล้งถูกยั่ว
หลายต่อหลายครั้งก็คงทนไม่ไหว เขาก็เลยผ่อนแรงที่
ขาลง กู้ชิงฮั่นสัมผัสได้ ก็เลยรีบหุบขาลง
นางเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วลุกขึ้น นางเดินไปพยุงกู้
เหล่าไท่ “ท่านแม่ ข้าพาท่านกลับไปพักก่อน หาก
พวกเขายังดื่มแบบนี้ต่อไป ก็ไม่รู้จะดื่มนานแค่ไหน”
ถึงอย่างไรกู้เหล่าไท่ก็อายุมากแล้ว เดินทางมาก็
เหนื่อยมากจริง ก็เลยยอมออกจากห้องโถงเล็กไปกับ
กู้ชิงฮั่น
เห็นกู้ชิงฮั่นออกไปไม่หันกลับมามองที่ตัวเขา ฉีหนิงก็
รู้ว่านางโกรธแล้วจริงๆ กู้เหวินจางยังคงติดลมอยู่ เขา
รั้งฉีหนิงคุยโวอีกพักใหญ่ ไม่เพียงโม้ว่าเขาชอบการตั้ง
ค่ายกลศึกมาตั้งแต่เล็ก เขายังชอบอ่านตำราสงคราม
ด้วย หากมีโอกาสได้เข้าไปยังค่ายกิเลนดำ ก็จะ
สามารถช่วยฉีหนิงฝึกทหารได้แน่นอน
การตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่ ฉีหนิงมีแผนในใจอยู่
แล้ว กู้เหวินจางพูดอยู่ตั้งนาน ฉีหนิงทำได้แค่พยัก
หน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
เมื่อกู้เหวินจางเริ่มเมาแล้ว ฉีหนิงก็สั่งให้คนมาพยุง
เขากลับห้องไป ตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงคืนไปแล้ว
ฉีหนิงออกจากห้องโถงเล็ก ลมพัดโชยเข้ามา ทำให้
เขารู้สึกหนาว แต่มันก็ทำให้เขามีสติคืนมาไม่น้อย
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกถึงท่าทีของกู้ชิงฮั่นขึ้นมา แอบ
คิดในใจว่าหรือว่าวันนี้เขาทำเกินไปอีกแล้ว รู้สึกตัวอีก
ทีเขาก็เดินมาถึงเรือนนอนของกู้ชิงฮั่นแล้ว เขาคิดครู่
หนึ่ง สุดท้ายก็เดินเข้าเรือนไป เขาเคาะประตูห้องของ
กู้ชิงฮั่นเบาๆ
แต่กลับไม่ได้ยินคนตอบรับ เขาเหลือบไปเห็นห้อง
ด้านข้างยังมีไฟสว่างอยู่ ก็รู้สึกแปลกใจ เขาเดินไปที่
ริมหน้าต่าง คิดจะเคาะหน้าต่าง เขาลังเลไปครู่หนึ่ง
เห็นหน้าต่างแง้มอยู่ จากนั้นก็ได้ยินเสียงน้ำในห้อง
เขาอดไม่ได้ที่จะเขยิบไปมอง แค่มองไป ก็ทำให้ฉีหนิง
หัวใจเต้นแรงมาก
ที่แท้กู้ชิงฮั่นกำลังอาบน้ำอยู่ ขณะที่กลุ่มควันจากไอ
น้ำบางๆ ลอยฟุ้งขึ้นมา ทำให้เขาเห็นผิวขาวเนียนของ
กู้ชิงฮั่น ถึงแม้จะเห็นไม่ชัด แต่ฉีหนิงก็รีบเก็บสายตา
กลับมา เขาหลบตัวพิงกำแพงข้างหน้าต่าง เขารู้สึก
หัวใจของเขาเต้นแรงจนจะหลุดออกมาแล้ว
ถึงแม้จะเหลือบไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าเขาก็เห็น
มันชัดเจนในระยะเวลาสั้นๆ รูปร่างนั้น สามารถ
ตัดสินได้เลยว่ากู้ชิงฮั่นนั้นสวยมากๆ
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้ว่าหากเขาแหย่กู้ชิงฮั่นบ้างก็
อาจจะไม่เป็นอะไร แต่ว่าหากมาแอบดูกู้ชิงฮั่นอาบน้ำ
แบบนี้แล้วล่ะก็ มันเกินไป เพียงแต่ว่าคืนนี้ดื่มกับกู้เห
วินจางหนักไปหน่อย เลยทำให้เหลือบไปมองผิวขาว
เนียนแบบไม่ชัดของกู้ชิงฮั่นไปบ้าง แต่มันก็ยังทำให้ฉี
หนิงถึงกับหายใจหืดหอบ ฉีหนิงไม่กล้าขยับตัว เอาตัว
แนบชิดกับกำแพงเอาไว้ กลางดึกแบบนี้ รอบๆ ก็
เงียบสงบ หากไม่สังเกตดีๆ ก็ไม่มีคนมองเห็นเขา
ไม่นานนัก ก็มีสาวใช้สองคนเดินออกมาจากด้านหลัง
แล้วยกถังน้ำมา ฉีหนิงรู้ว่านั่นคือน้ำที่เหลือจากที่กู้ชิง
ฮั่นอาบน้ำ หลังจากที่สาวใช้พวกนั้นออกไปแล้ว ก็ปิด
ประตู ทั้งคู่ไม่ได้สังเกตเห็นฉีหนิงที่ตัวแนบกำแพงอยู่
พวกนางยกถังน้ำออกจากเรือนนอนไป
ฉีหนิงถอนหายใจ เมื่อเห็นสาวใช้สองคนออกไปไกล
มากแล้ว เขาเลยคิดจะออกจากเรือนไป พอเดิน
ออกมาจากประตูเรือน เขาก็อดที่จะหันกลับไปมองที่
ห้องของนางไม่ได้อีก แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจ
ประตูที่สาวใช้เมื่อครู่ปิด ตอนนี้มันกลับเปิดออก
จากนั้นก็มีเงาของคนๆ หนึ่งปรากฏขึ้น
เขาตะลึงไป คนที่ปรากฏตัวออกมาก็ตะลึงไปเช่นกัน
จากนั้นก็ร้อง “ว้าย” ออกมา ฉีหนิงตกใจมาก คิดใน
ใจว่าครั้งนี้คงทำให้คนแตกตื่นมาก กลางดึกกลางดื่น
มาอยู่ที่นี่ จะอธิบายอย่างไรก็ไม่ได้ เขาทำอะไรไม่ถูก
ทำได้แค่วิ่งกลับเข้าไปในเรือน จากนั้นก็เข้าไปหลบใน
ห้อง แล้วยื่นมือไปปิดปากคนๆนั้นเอาไว้ แล้วรีบพูด
ว่า “ซานเหนียง อย่าร้อง ข้าเอง”
คนๆ นั้นก็คือกู้ชิงฮั่นเอง
กู้ชิงฮั่นไม่เหมือนหญิงตระกูลใหญ่ทั่วไป เวลานาง
พักผ่อน นางไม่มีความเคยชินที่จะให้สาวใช้เฝ้าหน้า
ห้อง นางชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า หลังจากที่สาว
ใช้สองคนยกถังน้ำออกไปแล้ว นางก็สวมชุดนอน
บางๆ กำลังจะเตรียมเข้านอน ที่นางออกมาก็เพื่อจะ
มาล็อกประตูเรือน ใครจะคิดว่าพอออกมาจากห้องจะ
เห็นเงาคน อีกทั้งยังเป็นเงาของผู้ชายด้วย
ฐานะของกู้ชิงฮั่นในจวนโหวไม่ต้องพูดถึง เรือนนอน
ของนาง นอกจากฉีหนิงแล้ว ไม่มีผู้ชายคนไหนกล้า
เข้าใกล้เลย
กลางดึกแบบนี้ มีเงาของผู้ชายมายืนอยู่หน้าประตู
แล้วจะไม่ให้กู้ชิงฮั่นตกใจได้อย่างไร
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 317 ซ่อนตัวกลางดึก
ด้วยความตกใจ กู้ชิงฮั่นก็เลยกรีดร้องออกมา ฉีหนิง
วิ่งเข้ามาในเรือน กู้ชิงฮั่นยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกฉีหนิง
ปิดปากเอาไว้แล้ว นางกำลังคิดจะดิ้น กลับได้ยินเสียง
ของฉีหนิง ก็เบาใจ แต่ว่าระหว่างนั้น ในใจของนางก็
ตื่นกลัวขึ้นมาอีกครั้ง นางหันตัวกลับมา แล้วปัดมือ
ของฉีหนิงออก
ภายในเรือนไม่ได้จุดไฟ แต่ว่าฉีหนิงเห็นอย่างชัดเจน
ในตอนนี้เขามองเห็นหน้าอกของกู้ชิงฮั่นที่สวมชุด
เกาะอกรัดอยู่ ริมเสื้อปักลายด้ายสีทอง เป็นลายดอก
โบตั๋น ด้านล่างนางสวมกางเกงสีขาวอ่อน ด้านนอก
นางคลุมด้วยเสื้อสีฟ้าบางๆ อีกตัว เห็นได้ชัดว่านาง
กำลังจะเข้านอนแล้ว
นางเพิ่งจะอาบน้ำมา ทำให้ยังคงมีกลิ่นหอมหลงเหลือ
อยู่ กลิ่นกายของม่ายสาวแสนสวยบวกกับกลิ่นที่เพิ่ง
จะอาบน้ำมาผสมรวมกันแล้ว มันทำให้คนรู้สึกเคลิ้ม
ลอยไปเลย
กู้ชิงฮั่นรู้สึกโกรธมาก นางเห็นฉีหนิงมองมาที่ตัวเอง
นางหน้าแดง ยกมือดึงเสื้อมาปิดให้มิดชิดขึ้น เพียงแต่
ว่ารูปร่างสัดส่วนของนางมันอวบอึ๋มมาก ปิดอย่างไรก็
ปิดรูปร่างอันเย้ายวนนั้นไม่มิด นางพูดเสียงดุว่า “ยัง
ไม่รีบออกไปอีก”
ฉีหนิงมาที่นี่กลางดึก เดิมคิดว่าเรื่องที่งานเลี้ยงกู้ชิงฮั่น
น่าจะโกรธเขาแน่ ดังนั้นตั้งใจจะมาขอโทษ แต่ว่าทำ
ไปทำมา กลับกลายเป็นว่าเขาบุกเข้าห้องนอนของ
นาง กู้ชิงฮั่นรู้อยู่แล้วว่าฉีหนิงคิดเกินเลยกับนาง เมื่อ
ได้ยินเสียงของเขา สิ่งที่นางคิดในครั้งแรกก็คือเจ้าเด็ก
บ้านี่ดื่มหนักไปแล้ว จึงมีความกล้าขึ้นมา กล้าบุกมา
ในห้องเพื่อคิดมิดีมิร้ายกับตัวเอง
ฉีหนิงตอนนี้รู้สึกทำอะไรไม่ถูก เขารู้ว่ากู้ชิงฮั่นคิด
อะไร ในตอนนี้เขารู้สึกลำบากใจมาก หากรู้ว่าจะเป็น
อย่างนี้ เขาคงไม่มาที่นี่เด็ดขาด เขาพูดอย่างน่าสงสาร
ว่า “ซานเหนียง ท่าน...ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว...”
“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว” กู้ชิงฮั่นดวงตาแดงก่ำ “เจ้า
ออกไปได้แล้ว หากเจ้ายัง...ยังคิดจะทำอะไรเหลวไหล
อีก ข้าจะร้องให้คนช่วย...”
ฉีหนิงรู้ว่าเขาพูดอะไรไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ กู้ชิง
ฮั่นกำลังโกรธหนัก เขาคิดว่าพรุ่งนี้เขาค่อยมาอธิบาย
เรื่องนี้อีกทีดีกว่า เมื่อออกจากห้องไป กู้ชิงฮั่นกำลังจะ
ปิดประตู กลับเห็นฉีหนิงวิ่งกลับเข้ามาอย่างกับ
กระต่ายตื่นตูม กู้ชิงฮั่นตกใจมาก แล้วพูดว่า “เจ้า...
เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ซานเหนียง มีคนมา...” ฉีหนิงพูดเสียงเบา “กำลัง
เดินมาที่นี่ ข้า...ข้าขอหลบก่อนนะ...”
กลางดึกแบบนี้ กู้ชิงฮั่นแต่งตัวแบบนี้ หากใครมาเห็น
ว่าฉีหนิงกับกู้ชิงฮั่นอยู่ในเรือนกันสองคนแบบนี้ ต่อให้
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มันก็หาคำมาอธิบายไม่ได้แล้ว
กู้ชิงฮั่นรู้สึกสงสัย เลยโผล่หน้าออกไปดู มีเงาของคนๆ
หนึ่งเดินมาทางนี้จริงๆ ในใจก็นึกสงสัยว่า สาวใช้ก็ถูก
นางบอกให้กลับไปหมดแล้ว หากไม่ถึงพรุ่งนี้เช้า ไม่มี
ใครกล้ามารบกวนเด็ดขาด แล้วดึกขนาดนี้แล้ว ทำไม
ถึงยังมีคนมาที่นี่อีก เมื่อมองชัดๆ ถึงได้เห็นว่าเป็นใคร
นางหลุดพูดออกมาว่า “ท่านแม่ของข้า”
ฉีหนิงตะลึงไป สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขาร้อนใจจน
ทำอะไรไม่ถูกเลย ถึงแม้กู้เหล่าไท่จะอายุมากแล้ว แต่
ว่าฉีหนิงเห็นหน้าของกู้เหล่าไท่ก็รู้ว่านางเป็นท่านยาย
ที่ฉลาดมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหญิงชราคนนี้จะมาหา
กู้ชิงฮั่นกลางดึกแบบนี้ได้
ฉีหนิงรู้ว่า หากเป็นคนอื่น ต่อให้มาเจอพวกเขาใน
สภาพแบบนี้ ก็อาจจะไม่พูดอะไร แต่ว่านี่คือกู้เหล่าไท่
แม่แท้ๆ ของกู้ชิงฮั่น หากนางเห็นว่าเขาอยู่กับกู้ชิงฮั่น
ในสภาพนี้ ไม่อยากจะนึกถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเลย
กู้ชิงฮั่นก็รู้สึกร้อนใจมาก นางคิดเหมือนกับที่ฉีหนิงคิด
หากเป็นคนในจวนมาพบ นางสั่งแค่คำเดียว ก็ไม่มี
ใครกล้าพูดอะไรอีก แต่ว่ากู้เหล่าไท่มา นางจะทำ
อะไรไม่ได้เลย นางหันหลังกลับไปมอง เห็นฉีหนิง
กำลังหาที่หลบอยู่ นางพูดว่า “ยังไม่หลบเข้าไปใน
ห้องอีก”
ถึงแม้กู้ชิงฮั่นจะเกิดในตระกูลผู้ดี แต่ว่าในปกตินางใช้
ชีวิตเรียบง่าย ภายในห้องนอนของนาง มันไม่ได้มีของ
วางมากมายนัก ดูสะอาดเรียบง่าย เมื่อกวาดสายตา
ไปแทบจะไม่มีที่ให้หลบเลย
กู้ชิงฮั่นร้อนใจ เลยเดินออกไปมองที่หน้าประตู พบว่า
สาวใช้กำลังพยุงกู้เหล่าไท่เดินมาที่หน้าประตู เห็นว่ากู้
เหล่าไท่เดินไม่ค่อยจะไหว ก็เดินขึ้นหน้าไปหา แล้ว
พูดว่า “ท่านแม่ ดึกแบบนี้แล้ว เหตุใดท่านยังไม่
พักผ่อนอีก?”
“แล้วเจ้าทำไมถึงออกมาแบบนี้?” กู้เหล่าไท่นึกไม่ถึง
เลยว่ายังไม่ทันจะไปเคาะประตูเรือนกู้ชิงฮั่นก็ออก
มาแล้ว นางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ายังไม่หลับก็ดีแล้ว ฮั่น
เอ๋อร์ แม่นอนไม่หลับจริงๆ ก็เลยมาดูว่าเจ้าหลับหรือ
ยัง ข้ามีเรื่องที่จะคุยกับเจ้าให้ได้”
“มีเรื่องอะไรรอพรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้” กู้ชิงฮั่นพยุงกู้
เหล่าไท่ แล้วมองสั่งให้สาวใช้ถอยไป นางจะให้สาวใช้
เข้ามาในเรือนด้วยไม่ได้เด็ดขาด สาวใช้คนนี้กู้เหล่าไท่
พามาจากเจียงหลิงด้วย ฉีหนิงหลบอยู่ในห้อง กู้เหล่า
ไท่อายุมากแล้ว อาจจะไม่ได้ทันสังเกต แต่ว่าสาวใช้
คนนี้เพิ่งจะอายุสิบหกสิบเจ็ดปีหากให้ตามเข้าไปด้วย
แล้ว ใครจะรับประกันได้ว่านางจะไม่เห็นอะไรผิด
สังเกตแล้วเอาไปบอกกับกู้เหล่าไท่ เมื่อสาวใช้ถอย
กลับไปแล้ว กู้ชิงฮั่นก็พยุงกู้เหล่าไท่ค่อยเดินไปที่
ห้องนอน นางเดินไปด้วยพูดไปด้วยว่า “หากท่านมี
เรื่องด่วนอะไร รอถึงพรุ่งนี้ไม่ได้ ก็ให้คนมาตามข้าก็ได้
นี่นา”
“ก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ ข้าก็แค่อยากจะมาดูสักหน่อย”
กู้เหล่าไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “รีบเข้าห้องเถอะ ดูเจ้า
แต่งตัวสิ เดี๋ยวก็หนาวตายหรอก”
เมื่อเข้ามาในห้องนอน กู้ชิงฮั่นรู้สึกตื่นกลัวมาก นาง
มองไปรอบๆ กู้เหล่าไท่เองก็ฉลาดมาก พอเห็นกู้ชิง
ฮั่นสีหน้าแปลกๆ ก็ถามว่า “ฮั่นเอ๋อร์ เจ้าหาอะไรอยู่
หรือ?”
“หะ?” กู้ชิงฮั่นไม่เห็นฉีหนิง ก็วางใจ แล้วรีบพูดว่า
“ไม่...ไม่มีอะไร ท่านแม่ ท่านนั่งลงก่อน” นางกำลัง
คิดว่าฉีหนิงน่าจะหลบอยู่ที่ไหนสักที่ในห้องโถงแน่
นางพยุงกู้เหล่าไท่นั่งลง กู้เหล่าไท่พูดว่า “เจ้านี่เลอะ
เลือนไปแล้วหรืออย่างไรกัน? อากาศข้างนอกหนาว
ขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่จุดเตาผิงในห้องโถงนี่ ข้าแก่แล้ว
ไม่เป็นไร แต่เจ้านี่สิ แล้วถ้าหนาวจนไม่สบายไปจะทำ
อย่างไร?”
กู้ชิงฮั่นเริ่มตื่นตระหนก แต่ว่าสีหน้าท่าทางของนางยัง
นิ่งอยู่ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ ข้าเลอะเลือนไป
แล้วจริงๆ ด้วย ถ้าอย่างนั้นพวกเราไป...ไปที่ห้องนอน
กันดีกว่าดีหรือไม่?”
กู้เหล่าไท่ลังเล แล้วพยักหน้า กู้ชิงฮั่นกลับไม่ได้รีบ
พยุงกู้เหล่าไท่เข้าไปในทันที นางพูดว่า “ท่านแม่ ท่าน
รอเดี๋ยวนะ ข้ายังไม่ได้ทันเก็บห้อง ขอข้าเข้าไปเก็บ
ก่อนนะ...”
“ข้าเป็นแม่ของเจ้านะ รกหน่อยก็ไม่เป็นหรอก
กระมัง?” กู้เหล่าไท่พูดว่า “ฮั่นเอ๋อร์ ข้าว่าเจ้าดูใจไม่
อยู่กับเนื้อกับตัวเลย มีเรื่องอะไรในใจหรือไม่?”
“ไม่มี” กู้ชิงฮั่นรู้ว่าแม่ของนางเป็นคนฉลาดมาก เลย
รีบสงบท่าที นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่มาเมืองหลวง
ข้าดีใจมาก...ท่านแม่ ข้าพยุงท่านเข้าไปนะ” เมื่อพยุง
กู้เหล่าไท่เข้ามาในห้องนอนแล้ว นางเดินช้ากว่ากู้
เหล่าไท่มาก ขณะที่เดินอยู่ ก็คิดว่าฉีหนิงจะหาที่หลบ
ได้แล้วหรือยัง นางแค่อยากจะเผื่อเวลาให้ฉีหนิงสัก
หน่อย
กู้เหล่าไท่เห็นดังนั้น ก็รู้สึกว่ามันแปลก แต่นางก็คิดแค่
ว่ากู้ชิงฮั่นอาจจะมีเรื่องอะไรในใจ นางคิดไม่ถึงหรอ
กว่าในห้องนอนของกู้ชิงฮั่นจะมีผู้ชายอยู่อีกคนหนึ่ง
เมื่อเข้ามาในห้องนอนแล้ว กู้เหล่าไท่ก็มองไปรอบ
ห้อง แล้วพูดว่า “เจ้ารักความสะอาดมาตั้งแต่เล็ก ที่นี่
ไม่มีฝุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว...จริงสิ เจ้าใส่เสื้อแค่นี้
เดี๋ยวก็หนาวแย่หรอก รีบขึ้นไปนอนห่มผ้าบนเตียงเร็ว
เข้า แม่จะคุยกับเจ้าไปด้วย”
“ท่านแม่ ข้าไปใส่เสื้อมานั่งคุยเป็นเพื่อนท่านจะ
ดีกว่า” กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า สายตาของนางกวาด
มองไปรอบๆ ในห้องนี้ตกแต่งเรียบง่าย ที่ๆ สามารถ
ซ่อนตัวได้มีไม่กี่ที่ ที่สามารถซ่อนตัวได้นางก็มองจน
ทั่ว ในห้องไม่มีอะไรแปลกตาไปเลย ในใจก็นึกสงสัย
แอบคิดในใจว่าเจ้าตัวแสบฉีหนิงไปซ่อนตัวที่ไหน นาง
กวาดสายตาไปที่เตียง หรือว่าฉีหนิงจะหลบอยู่ใต้
เตียงหรือ
กู้เหล่าไท่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ต้องลำบากแบบนั้น
หรอก เจ้าขึ้นไปนั่งบนเตียงเถอะ ก่อนที่เจ้าจะ
แต่งงาน เจ้าชอบนั่งคุยกับแม่บนเตียงที่สุด เจ้าลืมไป
แล้วหรือ?”
กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ลืมอยู่แล้ว แต่ก่อนข้าชอบ
นั่งบนเตียงแล้วฟังท่านแม่เล่าเรื่องให้ฟัง”
กู้เหล่าไท่ตบหลังมือของกู้ชิงฮั่นเบาๆ กู้ชิงฮั่นยกเก้าอี้
มาวางที่ริมเตียง แล้วพยุงกู้เหล่าไท่นั่งลงก่อน จากนั้น
นางก็เปิดม่านเตียงขึ้นข้างหนึ่ง นางสวมชุดบางมาก
อากาศในเวลานี้ก็หนาวจริงๆ นางเองก็เริ่มรู้สึกเย็นตัว
บ้างแล้ว นางถอดรองเท้า แอบภาวนาในใจว่า หากฉี
หนิงหลบอยู่ใต้เตียงจริง ตอนนี้ก็ใกล้กันมาก ขอแค่
เขาไม่ขยับหรือเคลื่อนไหวเป็นพอ
ร่างกายอันอวบอึ๋มของนางนั่งลงบนเตียง ผ้าห่ม
หอมๆ ถูกสาวใช้กางเตรียมไว้ให้แล้ว เมื่อเปิดผ้าห่ม
ออก กำลังจะหยิบมาห่ม นางเหลือบไปเห็นก้อน
กลมๆอยู่ในผ้าห่ม ในใจก็ตกใจ คิดในใจว่าแย่แล้ว กู้
เหล่าไท่พูดขึ้นมาว่า “ฮั่นเอ๋อร์ รีบห่มผ้าเร็วสิ เดี๋ยวก็
หนาวแย่หรอก”
กู้ชิงฮั่นจนปัญญา จึงลากผ้าห่มมาคลุม นางคิดครู่
หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือเรียวๆ ของนางเข้าไปคลำดูก่อน
ทันใดนั้นเอง นางก็คลำเจออะไรร้อนๆ อยู่ในผ้าห่ม
นางแอบกรีดร้องในใจ ตอนนี้นางถึงได้รู้ว่า ฉีหนิงเจ้า
เด็กแสบแอบมาหลบซ่อนอยู่ในผ้าห่มบนเตียงของนาง
นี่เอง
ฉีหนิงหาที่ซ่อนตัวในห้องโถงไม่ได้ อีกทั้งเห็นกู้เหล่า
ไท่กำลังเข้ามาในห้องแล้ว ก็เลยเข้ามาหลบใน
ห้องนอน แต่ว่าที่แปลกคือห้องของกู้ชิงฮั่นนั้นตกแต่ง
เรียบง่าย คิดอยากจะซ่อนตัวไม่ง่ายเลย อีกทั้ง
อยากจะเปิดหน้าต่างแล้วออกไปก็ไม่ได้อีก
ครั้งที่แล้วฉีหนิงถูกงูพิษลอบทำร้ายกลางดึก เขานึก
ถึงความปลอดภัยของกู้ชิงฮั่น ก็เลยสั่งให้คนเพิ่ม
กลอนหน้าต่างในห้องของกู้ชิงฮั่น ดังนั้นหากจะเปิด
หน้าต่าง ต้องเสียเวลานานขึ้น มันจะไม่ทันกาล
เดิมเขาคิดจะหลบที่ใต้เตียง แต่ว่าเสียงของกู้เหล่าไท่
ดังเข้ามา กู้เหล่าไท่สามารถเดินเข้ามาได้ตลอดเวลา
ฉีหนิงเห็นว่าบนเตียงมีผ้าม่านปิดอยู่อีกทั้งผ้าห่มก็เป็น
ผ้านวมอย่างหนา เขาไม่ได้ถอดรองเท้าก็มุดเข้าไป
หลบอยู่ในผ้านวมนั่น หวังว่ากู้ชิงฮั่นจะสามารถกล่อม
ให้กู้เหล่าไท่กลับไปไวๆ ใครจะคิดว่า กู้เหล่าไท่กลับ
จะอยู่คุยกับกู้ชิงฮั่นกลางดึกแบบนี้อีก
เมื่อได้ยินเสียงกู้เหล่าไท่นั่งลงริมเตียงแล้ว กู้ชิงฮั่นเอง
ก็ขึ้นมานั่งบนเตียง ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าหากกู้เหล่า
ไท่จับได้ว่าเขามาหลบอยู่ในผ้าห่มของกู้ชิงฮั่น หญิง
ชราคนนี้คงตกใจตายแน่นอน เขารู้สึกตื่นกลัวมาก
เขาหลบอยู่ในผ้าห่มไม่กล้าขยับตัวเลย แม้แต่หายใจก็
ไม่กล้า ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาโดนตัว
เขา เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร ใช้สองมือจับไว้แน่น นั่นคือ
ข้าเรียวๆ ของกู้ชิงฮั่นนั่นเอง
“ว้าย” กู้ชิงฮั่นถูกกอดขาเอาไว้ ตกใจจนมีปฏิกิริยา
ตอบโต้ กู้เหล่าไท่รีบถามกลับไปว่า “เป็นอะไรไป?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 318 ยั่วจนโกรธ
กู้ชิงฮั่นรีบคุมผ้าห่มอำพราง “ท่านแม่ ดูข้าสิ ข้านี่
เลอะเลือนใหญ่แล้ว ลืมรินน้ำชาให้ท่าน” ใบหน้าของ
นางมีแต่รอยยิ้ม นางตั้งสติได้เร็วมาก ดูไม่ออกเลยว่า
มีอะไร
กู้เหล่าไท่ได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ก็ไม่ใช่คน
อื่น ไม่ต้องพิธีรีตองแบบนั้นหรอก”
กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะยิ้ม แต่ว่าในใจของนางตอนนี้มันมีแต่
ความลำบากใจ
นางเห็นผ้านวมมันปูดขึ้นมา เดิมคิดจะยื่นขาเข้าไป
ลองดูว่าฉีหนิงนั้นอยู่บนเตียงเหมือนที่นางคิดเอาไว้
หรือไม่จะได้เตรียมตัวเอาไว้ให้ดี เมื่อโดนถูกตัวเขาก็
จะรีบดึงขาออกทันที ใครจะคิดว่าฉีหนิงจะมีปฏิกิริยา
ที่ไวกว่า ถึงแม้นางจะพบว่ามีคนอยู่ แต่ว่ายังไม่ทันจะ
เก็บเท้าคืนมา กลับถูกฉีหนิงกอดเอาไว้แน่น ตอนนี้
หากจะเก็บเท้ากลับคืนมา เกรงว่ากู้เหล่าไท่จะต้องจับ
ได้แน่ ทำได้แค่ยอมปล่อยให้ฉีหนิงกอดขานางเอาไว้
แบบนั้น ในใจนางแอบคิดในใจว่าเจ้าเด็กบ้าอย่ามา
ฉวยโอกาสลวนลามตอนนี้นะ ไม่เช่นนั้นหลังจากที่กู้
เหล่าไท่กลับไป นางจะไม่เกรงใจเขาอีก
“ท่านแม่ ท่านมีอะไรก็พูดมาเถอะ” กู้ชิงฮั่นหวังว่ากู้
เหล่าไท่จะรีบพูดรีบไปให้เร็วที่สุด นางอยู่ที่นี่นาน
เท่าไหร่ เรื่องก็จะยิ่งยุ่งยากเท่านั้น
กู้เหล่าไท่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฮั่นเอ๋อร์ แม่รู้ว่าที่
พี่ชายของเจ้ามาเมืองหลวงครั้งนี้ เจ้าไม่ค่อยพอใจนัก
แต่ว่าตอนที่ท่านพ่อของพวกเจ้ายังอยู่ พี่ชายเจ้าก็
อยากจะมาที่เมืองหลวงอยู่แล้ว หลังจากที่พ่อของเจ้า
ตายไปหลายปีแล้ว แม่ก็คุมเขาไม่ไหว แม่เองก็เพิ่งรู้ไม่
นานมานี้ว่าเขาแอบมาซื้อบ้านเอาไว้ที่เมืองหลวง
เหมือนกัน...”
“ท่านแม่ มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่พอใจแล้วจะทำอะไรได้
เล่า?” กู้ชิงฮั่นถอนหายใจอย่างเศร้าๆ “เมืองหลวง
ถึงแม้จะดูหรูหรา แต่ว่ามีอันตรายอยู่รอบด้าน ข้า
กังวลว่าอุดมการณ์ของเขา มันจะทำให้เกิดเรื่อง ถ้า
อย่างนั้นมันจะดีได้อย่างไรกัน?”
“เดิมทีแม่ก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” กู้เหล่าไท่พูด
ว่า “เพียงแต่ตอนหลังคิดๆ ดูแล้ว จะให้เขาอยู่แต่ใน
เจียงหลิงแล้วจะอย่างไรเล่า? วันๆ ก็พาคนวิ่งไปทั่ว
เช่นเดิม ไม่แน่วันหนึ่งอาจจะก่อเรื่องขึ้นมาก็ได้ มา
เมืองหลวง หากอยู่ข้างๆ เจ้า อย่างน้อยเขาก็ยัง
สำรวมอยู่บ้าง”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าไปกังวลเรื่องพวกนี้
อีกเลย ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร”
“วันนี้เขาพูดเรื่องทหารกับท่านโหวน้อย ฮั่นเอ๋อร์ เจ้า
ว่าพี่ชายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” กู้เหล่าไท่ถามว่า
“พี่ชายเจ้าความสามารถอะไรอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรสัก
อย่าง แต่ว่าฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เล็กจนโต หากเขา
สามารถช่วยท่านโหวน้อยฝึกทหารได้จริง ก็อาจจะ
เป็นทางออกที่ดีเหมือนกัน...”
“ท่านแม่ แค่นำคนไปขี่ม้ายิงธนู ก็สามารถฝึกทหารได้
แล้วหรือ?” กู้ชิงฮั่นยิ้เจื่อนแล้วพูดว่า “ทั้งเรื่องนี้ข้าก็
ยุ่งไม่ได้ หนิงเอ๋อร์...เป็นเรื่องที่ท่านโหวน้อยเป็นคน
จัดการ ข้าเป็นแค่หญิงม่าย ไปยุ่งเรื่องทหารไม่ได้
หรอก” นางหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “หากว่าพี่ใหญ่
มีความสามารถนั้นจริง ก็น่าจะไปเป็นทหารได้ แต่ว่า
หากว่าเขาไม่มีความสามารถนั้น ก็ให้เขาทำการค้าใน
เมืองหลวงไปก่อน”
กู้เหล่าไท่ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ฮั่นเอ๋อร์ ที่จริงที่แม่
มาที่นี่ในคืนนี้ ไม่ใช่เพราะเรื่องพี่ชายเจ้า แต่...แต่เป็น
เพราะเรื่องของเจ้า”
“เรื่องของข้าหรือ?” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ข้ามีเรื่องอะไร
อย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าเด็กคนนี้นี่ เหตุใดถึงไม่รู้จักร้อนใจเหมือนคนอื่น
เขาบ้าง” กู้เหล่าไท่พูดด้วยความร้อนใจว่า “อีกสองปี
เจ้าก็จะสามสิบแล้วนะ อายุก็ไม่น้อยแล้ว เหตุใดถึงไม่
คิดถึงเรื่องอนาคตของตัวเองบ้าง?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ท่านแม่ ท่านพูดอะไรของท่าน?”
“เฮ้อ เจ้าโสดแบบนี้มานานหลายปีแล้วนะ อายุเจ้าก็
ยังไม่มาก เจ้าคิดจะอยู่เป็นโสดอย่างนี้ต่อไปชั่วชีวิต
หรือ?” กู้เหล่าไท่พูดว่า “หากเจ้ามีลูก ชีวิตที่เหลือ
ของเจ้าก็พอจะมีหวังอยู่บ้าง ข้าเองก็ไม่ว่าอะไร แต่ว่า
...เจ้าเองก็ไม่มีลูก เขาก็จากไปนานแล้ว เมื่อเจ้าแก่ตัว
ไป แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”
กู้ชิงฮั่นรีบพูดว่า “ท่านแม่ อย่าพูดอีกเลย ข้ารู้ว่าข้า
ต้องทำอย่างไร”
“รู้หรือ?” กู้เหล่าไท่พูดเสียงนิ่ง “หากเจ้ารู้ เจ้าก็คงไม่
รีบร้อนแบบนี้ เขาก็จากไปแล้ว เจ้าจะถือนามฮูหยิ
นสามตระกูลฉีต่อไป แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรอีก?
จิ่นอีโหวเป็นตระกูลใหญ่ ตอนนี้ในจวนโหวไม่มีคน
ดูแล เจ้ายังพอจะพูดอะไรได้ แต่เมื่อไหร่โหวน้อย
แต่งงานไป มีฮูหยินของตัวเอง เรื่องในจวนโหว ยัง
จะต้องให้เจ้าไปดูแลอีกหรือ?”
กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่าฉีหนิงบีบแน่นขึ้นอีก นางมี
ประสบการณ์มาก่อน อีกทั้งฉีหนิงยังคิดอะไรเกินเลย
อีก ผิวแนบชิดกันแบบนี้ เจ้าบ้านั่นไม่รู้สึกอะไรสิถึงจะ
แปลก นางกลัวว่าฉีหนิงเกิดเลือดพุ่งพล่านขึ้นมา ทำ
อะไรเหลวไหล ผลลัพธ์ที่ตามมาไม่อยากจะคิดเลย
นางขยับขาเรียวๆ ของนางเล็กน้อย เพื่อเตือนให้ฉี
หนิงอย่าทำอะไรวู่วาม
“เป็นอะไรไป?” กู้เหล่าไท่เห็นกู้ชิงฮั่นไม่พูด คิดว่ากู้
ชิงฮั่นเถียงไม่ได้ เลยพูดว่า “ไม่มีอะไรจะพูดเลยใช่
หรือไม่เล่า? แม่มีลูกสาวแค่คนเดียว เจ้าไม่คิดถึง
ตัวเอง แม่จะไม่กังวลได้อย่างไร? หากเจ้ายังเป็นอย่าง
นี้อยู่ ต่อให้แม่ตายตาหลับ แต่จะสบายใจได้อย่างไร”
“ท่านแม่ ท่านพูดเหลวไหลอะไรกัน?” กู้ชิงฮั่นพูดว่า
“ข้าอยู่ที่จวนโหวนี่ก็สบายดี ท่านไม่ต้องกังวลนะ”
กู้เหล่าไท่พูดว่า “ตอนนี้ยังดี แล้วอีกสองปีล่ะยังดีอีก
หรือ? เมื่อไหร่ที่ท่านโหวน้อยถึงอายุที่ควรจะแต่งงาน
แล้ว ภายในสองปีนี้อย่างไรก็ต้องมีฮูหยินคนใหม่มา
ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะลำบาก ฮั่นเอ๋อร์ พวกเราสองแม่
ลูกคุยกันก็พอนะ แม่เองก็ไม่อยากจะปิดบังอะไรเจ้า
เจ้าอายุยังน้อย เจ้าครองตัวเป็นโสด หากเป็นแบบนี้
ต่อไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ หลายปีก่อนแม่เองก็
เคยพูดเรื่องนี้กับพ่อของเจ้า อยากจะให้เจ้า...เฮ้อ คิด
อยากให้เจ้าแต่งงานใหม่ แต่ว่าพ่อของเจ้าหัวโบราณ
ไม่ยอมรับปาก ตอนนี้พ่อของเจ้าไม่อยู่แล้ว เรื่องนี้แม่
ก็จะเป็นคนตัดสินใจเอง ครั้งนี้ แม่จะไปพบกับไท่ฟูเห
ริน จะไปคุยกับนางเรื่องนี้ ให้นางยอมให้เจ้าไปจาก
จวนโหว”
กู้ชิงฮั่นหน้าถอดสีแล้วพูดว่า “ท่านแม่ ท่าน...ท่าน
กำลังพูดอะไรอยู่?”
ฉีหนิงที่ร้อนใจอยู่ในผ้าห่ม ได้ยินกู้เหล่าไท่พูดแบบนี้
เขาก็สะดุ้ง ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาหนาวใจมาก
“แม่บอกว่าอีกสักสองวันข้าจะไปขอพบกับไท่ฟูเหริน
ไปขอร้องให้นางยอมให้เจ้าไปจากจวนโหว” กู้เหล่า
ไท่พูดว่า “เจ้าเองก็ครองตัวโสดมานานหลายปีแล้ว ก็
ถือว่าไม่ได้ทำผิดอะไรต่อตระกูลฉีแล้ว เมื่อครู่นี้แม่ก็
พูดแล้ว หากเจ้ามีลูกสักคน เจ้าจะอยู่ครองตนใน
ตระกูลฉี แม่เองก็ไม่ว่าอะไร แต่ว่าเจ้ากับเขาไม่มี
ทายาท ครองตัวแบบนี้ต่อไป มันจะมีประโยชน์อะไร
กัน? แม่รู้มากกว่าที่เจ้ารู้นะ ผู้หญิงที่เสียสามีไปทั้งแต่
ยังสาว มากกว่าแปดคนก็แต่งงานไปใหม่ทั้งนั้น”
“ไม่ได้” ก็ชิงฮั่นรีบตอบ “ท่านแม่ ไม่ได้เด็ดขาด ท่าน
ห้ามไปคุยกับไท่ฟูเหรินเด็ดขาด ข้า...ข้ายังอยู่สุข
สบายดีที่จวนโหว ต่อให้ไม่มีทายาท แต่ว่า...แต่ว่า
ท่านก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครมาดูแลข้า”
“ท่านโหวน้อยน่ะหรือ?” กู้เหล่าไท่พูดว่า “เจ้าคิดว่า
เด็กคนนั้นจะดูแลเจ้าได้หรือ? เจ้าเป็นแม่สามของเขา
ไม่ใช่แม่แท้ๆ เขากับเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องทาง
สายเลือดกัน ตอนนี้เขาดีกับเจ้า ก็แค่อยากให้เจ้าช่วย
เขาดูแลจวนโหวก็เท่านั้น เมื่อเขามีภรรยาแล้ว เจ้าคิด
ว่าเขายังจะดีกับเจ้าอยู่หรือ? บนโต๊ะอาหารเจ้าเองก็
ได้ยิน พูดจาวกไปวนมา จริงสิ ฮั่นเอ๋อร์ ได้ยินมาว่า
ท่านโหวน้อยสติไม่ค่อยดีนัก เรื่องนี้จริงใช่หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “คนข้างนอกก็พูดจาเหลวไหลทั้งนั้น
หนิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาดมาก ไม่เช่นนั้นราชสำนักจะให้
เขาไปคุมทหารได้อย่างไรกันเล่า? ก่อนหน้านี้เขาแค่
ไม่ชอบพูดแค่นั้นแหละ”
“เจ้ายังจะมาแก้ตัวแทนเขาอีก” กู้เหล่าไท่พูดว่า
“เจ้าคิดว่าหญิงแก่อย่างแม่ตาบอดหรืออย่างไรกัน
ตอนที่ท่านโหวน้อยกินข้าวอยู่ เวลาที่เขามองเจ้า
สายตาของเขามันไม่ปกติเลย มองก็รู้ว่าจะต้องไม่
ปกติ”
ฉีหนิงฟังมาถึงตรงนี้ ในใจของเขาก็โกรธมาก แอบคิด
ในใจว่าตระกูลกู้ของพวกเจ้าย้ายมาที่นี่ ข้าให้คนจัดที่
ให้อยู่ อีกทั้งยังจัดงานเลี้ยงต้อนรับอีก แต่ว่าหญิงแก่
ของเจ้า กลางดึกมาหาลูกสาวกล่อมให้นางแต่งงาน
ใหม่ อีกทั้งยังพูดจาหาว่าข้าสติไม่ดี มันมากเกินไป
แล้วนะ
กู้ชิงฮั่นสะดุ้ง นางกัดปากคราหนึ่ง ในใจก็รู้ว่าคำพูด
ของกู้เหล่าไท่ฉีหนิงต้องโกรธแน่นอน นางรู้สึกลำบาก
ใจมาก นางแกล้งขยับผ้าห่ม แล้วยื่นขาออกไป เพื่อ
สะกิดฉีหนิง เตือนให้เขาอย่าวู่วาม ปากของนางก็พูด
ว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าพูดแบบนี้ หนิง...โหวน้อยไม่ได้
เป็นอย่างที่ท่านพูดหรอก” นางคิดว่าสิ่งที่นางพูดจะ
ทำให้ฉีหนิงใจเย็นลงได้บ้าง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 319 วิชากุลสตรี
“เจ้ายังจะพูดแทนเขาอีก” กู้เหล่าไท่พูดว่า “แม่ขอ
พูดอะไรไม่น่าฟังหน่อยเถอะนะ ตอนที่ฉีจิ่งยังมีชีวิต
อยู่ พี่ชายเจ้าขอร้องให้รับเขาไปเป็นทหาร ฉีจิ่งแทบ
จะไม่ได้ใยดีเขาเลย” นางพูดด้วยความแค้นว่า
“หลายปีที่ผ่านมา เจ้าเองก็เหนื่อยกับตระกูลฉีมาก็
มาก ตระกูลฉีก็ควรจะเห็นแก่ความลำบากของเจ้า
แต่นี่ไม่คิดถึงอนาคตของเจ้าเลย ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้
มาก่อน ข้าว่าคนตระกูลฉีเห็นแก่ตัวทั้งนั้น โหวน้อย
นั่น ก็ไม่น่าจะดีไปกว่านี้”
ฉีหนิงได้ยินกู้เหล่าไท่ลากเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เขา
ก็กัดฟัน หัวของเขาขยับเล็กน้อย กู้ชิงฮั่นรับรู้ได้ไว
มาก นางรู้สึกหวาดกลัวมากตอนนี้ แต่ไม่กล้าทำอะไร
มาก นางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรในตอนนี้ นางทำได้
แค่พูดว่า “ท่านแม่ เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า ดึกมากแล้ว
ท่าน...ท่านควรจะไปพักผ่อนได้แล้วนะ”
“พูดเรื่องนี้ เจ้าก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้” กู้เหล่าไท่พูดว่า
“ไม่ได้ พรุ่งนี้แม่จะไปหาไท่ฟูเหริน ต้องคุยเรื่องนี้ให้รู้
เรื่อง จะให้ลูกสาวข้าครองตัวเป็นโสดแบบนี้ตลอด
ชีวิตไม่ได้”
คางของฉีหนิงถูกมือของกู้ชิงฮั่นดันขึ้นไป มือของนาง
หอมมาก ฉีหนิงอดไม่ได้ที่จะจูบลงบนฝ่ามือของกู้ชิง
ฮั่น กู้ชิงฮั่นเองก็ทำอะไรไม่ได้ นางหน้าแดงระเรื่อ
ขึ้นมา ในสมองของนางสับสนไปหมด นางไม่รู้เลยว่า
ควรตอบกู้เหล่าไท่อย่างไรดี
กู้เหล่าไท่รักลูกสาวตัวเองมาก เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็
นึกย้อนกลับไปว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของนางคน
นี้หลังจากที่แต่งงานมาที่ตระกูลฉีแล้ว ตระกูลกู้ไม่
เพียงไม่เจริญรุ่งเรือง อีกทั้งลูกสาวของนางแต่งงานมา
ได้ไม่นานก็ต้องเป็นม่าย หลายปีมานี้ไม่เพียงต้องอยู่
คนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดาย ยังต้องทำงานให้กับ
ตระกูลฉีอย่างเด็ดเหนื่อยอีก นางยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ ยิ่ง
แค้นจวนจิ่นอีโหวเข้าไปอีก นางคิดว่านางแค่พูดกับ
ลูกสาวของตัวเองสองคนเท่านั้น นางเลยไม่กลัวอะไร
นางพูดอีกว่า “ฮั่นเอ๋อร์ ถึงแม้แม่จะอายุมากแล้ว แต่
ว่าสติแม่ก็ยังดีอยู่ วันนี้ตอนที่กินข้าว โหวน้อยนั่นมอง
เจ้าหลายครั้ง แม่ว่ามันแปลกๆ...”
มือของกูช้ ิงฮั่นที่จับคางของฉีหนิงเอาไว้อ่อนลง นาง
พูดด้วยความไร้เรี่ยวแรงว่า “แปลกตรงไหนหรือ ท่าน
แม่ ท่านสงสัยอะไร”
“คนแก่ก็สงสัยอะไรแบบนี้แหละ” กู้เหล่าไท่พูดว่า
“ฮั่นเอ๋อร์ เจ้าว่าโหวน้อยคงไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับ
เจ้าใช่หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นกับฉีหนิงที่อยู่ในผ้าห่มสะดุ้ง คิดในใจว่าเหล่า
ไท่ไท่นี่สายตาเฉียบคมมาก กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่าหน้าร้อน
ผ่าว นางพูดว่า “ท่านแม่ ท่านพูดอะไรของท่าน ท่าน
เลอะเลือนไปกันใหญ่แล้ว หากเรื่องนี้...เรื่องนี้มีใครมา
ได้ยินเข้า มันจะเป็นเรื่องใหญ่ได้นะ”
“แม่ก็แค่พูดกับเจ้าที่นี่เอง” กู้เหล่าไท่ถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “แม่อยู่มาจนป่านนี้แล้ว มีอะไรบ้างไม่เคยได้
ยินไม่เคยได้เห็น แม่ได้ยินมาว่าจวนขุนนางผู้ดีมี
บรรดาศักดิ์ ชอบเกิดเรื่องประหลาดๆ เจ้าอายุยังไม่
ถึงสามสิบ หน้าตาก็สวย โหวน้อยนั่นก็โตเป็นหนุ่ม
แล้ว พวกเจ้าอยู่ด้วยกันทุกวัน แม่ก็กลัวว่าจะเกิดเรื่อง
ไม่ดีขึ้น”
“ไม่หรอก...โหวน้อยเป็นคนซื่อตรง ไม่มีทาง...ไม่มี
ทางทำอะไรแบบนั้นแน่” กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่ามือของฉีหนิง
ที่ตอนนี้โอบเอวของนางเอาไว้กำลังขยับ นางกลัวว่า
คำพูดของกู้เหล่าไท่จะทำให้ฉีหนิงโกรธอีก นางรีบพูด
ต่อว่า “ท่านอย่าพูดนินทาคนอื่นลับหลังแบบนี้สิ แต่
ก่อนท่านเป็นคนสอนข้าเองไม่ใช่หรือ อย่านินทาใคร
ลับหลัง มันจะทำให้ตัวเองเดือดร้อน”
“ไม่พูด เจ้าก็อาจจะมีภัยก็ได้ไม่ใช่หรือ?” กู้เหล่าไท่
ไม่ได้พูดดี “เจ้าเด็กคนนี้นี่ ยังพูดจาแทนเขาอีกนะ
เป็นคนซื่อตรงหรือ? แม่ว่าโหวน้อยแปลกมาก ไม่เห็น
เหมือนคนซื่อตรงเลยสักนิด?”
“ฮั่นเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไปหรือไม่?” เห็นกู้ชิงฮั่นหน้า
แดง หายใจหอบ หน้าผากก็มีเหงื่อไหลออกมาเป็น
เม็ด กู้เหล่าไท่ก็ตกใจ กำลังจะเขยิบเข้าไปใกล้ กู้ชิง
ฮั่นจะไปกล้าให้กู้เหล่าไท่เข้าใกล้ได้อย่างไรกัน นางรีบ
พูดว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าเข้ามานะ...”
กู้เหล่าไท่เห็นน้ำเสียงของนางดูตื่นตระหนก ก็เริ่ม
สงสัย นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เป็นอะไรไป? เหตุใด
น้ำเสียงของเจ้าแปลกๆ?”
“ข้า...” กู้ชิงฮั่นถูกฉีหนิงจับไปที่สะโพก อีกทั้งนางยัง
รู้สึกว่าฉีหนิงบีบก้นของนางด้วย นางกัดฟัน แต่ว่านาง
ก็รู้ หากไม่ใช่เพราะกู้เหล่าไท่พูดจาไม่ดีก่อน ฉีหนิงคง
ไม่ทำแบบนี้ ตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดีล่ะ แม้แต่ก้นก็
ถูกเขาจับแล้ว หากเหล่าไท่ไท่ยังพูดอะไรยั่วโมโหเขา
อีกล่ะก็ ด้วยความกล้าของฉีหนิงในตอนนี้ หากจะทำ
อะไรเกินเลยกว่านี้ก็มีความเป็นไปได้ นางสูดหายใจ
เข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ข้ากำลังฝึกวิชาอยู่ท่านแม่”
“ฝึกวิชา?” กู้เหล่าไท่ตะลึงไป “เจ้าฝึกวิชาอะไร?”
กู้ชิงฮั่นหน้าแดงขึ้นมาก นางพูดว่า “ข้ากำลังฝึก...วิชา
กุลสตรีอยู่”
“วิชากุลสตรี?” กู้เหล่าไท่ตะลึงไปใหญ่ “เจ้าไม่เคย
ฝึกวรยุทธ์มาก่อนนี่นา แล้ววิชากุลสตรีนี่มันอะไร
กัน?”
“ท่านแม่ ท่าน...ท่านไม่เข้าใจหรอก พอมาถึงจวนโหว
มีคนมาสอนข้า เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง อีกทั้งฝึกมัน
ก่อนนอน ทำให้หลับสบายด้วย” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ท่าน
แม่ ท่านกลับไปพักก่อนเถอะ ข้าง่วงแล้ว พรุ่งนี้เช้า
ข้าจะไปคุยเป็นเพื่อนท่านเองนะ ข้าอยู่กับท่านทั้งวัน
เลย”
กู้เหล่าไท่เห็นกู้ชิงฮั่นดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สายตาก็
ดูเหมือนเลื่อนลอยแล้ว อีกทั้งยังมีเหงื่อออกที่
หน้าผากอีก นางก็พูดไม่ถูกแต่มันดูมีเสน่ห์แปลกๆ
แม้แต่น้ำเสียงก็ไร้เรี่ยวแรงไป นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“มันวิชาอะไรกัน ดูอย่างไรก็แปลก ฮั่นเอ๋อร์ ต่อไป
อย่าฝึกอีกเลยนะ”
“ข้า...ข้ารู้แล้ว” นางรู้สึกว่านิ้วของฉีหนิงกำลังจะ
เกี่ยวมาที่ก้นของนาง กู้ชิงฮั่นตัวอ่อนลงไปมาก นาง
พูดว่า “ท่านแม่ วิชานี้พอฝึกแล้ว ต้อง...ต้องฝึก
ต่อเนื่องครึ่งชั่วโมงขึ้นไปถึงจะหยุดได้ ไม่เช่นนั้นจะมี
ผลเสียต่อร่างกาย ท่าน...ท่านกลับไปพักก่อนเถอะนะ
ไว้ข้าฝึกรอบนี้เสร็จแล้ว ต่อไป...ต่อไปข้าจะไม่ฝึก
แล้ว”
“แม่กำลังพูดเรื่องสำคัญกับเจ้าอยู่นะ เจ้ากลับเลี่ยงไป
เรื่องโน้นเรื่องนี้ ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย” กู้เหล่าไท่
พูดด้วยความไม่พอใจว่า “ช่างเถอะ เจ้าไม่กังวลเรื่อง
ของตัวเอง แล้วยายแก่อย่างข้าจะไปยุ่งอีกทำไมกัน”
นางลุกจากเก้าอี้ กู้ชิงฮั่นรีบพูดว่า “ท่านแม่ ข้ากำลัง
ฝึกวิชาอยู่ ข้าไม่ออกไปส่งนะ ตอน...ตอนที่ท่าน
ออกไป ช่วย...ช่วยปิดประตูให้ข้าด้วยนะ”
กู้เหล่าไท่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฝึกวิชาอะไรเหลวไหล
จริง...” ถึงแม้นางจะอายุมากแล้ว แต่ว่าร่างกายของ
นางก็แข็งแรงดีอยู่ ไม่มีใครพยุงก็ยังเดินได้เองปกติ
เมื่อเดินออกไปสองสามก้าว นางก็หันกลับมามองกู้ชิง
ฮั่นที่กำลังหน้าแดงมาก นางอดไม่ได้ที่จะชี้ไปที่
กู้ชิงฮั่นแล้วพูดว่า “เจ้านี่นะ...” จากนั้นถึงได้ออกไป
กู้เหล่าไท่ออกจากห้องไป ก็ปิดประตู จากนั้นก็ได้ยินกู้
เหล่าไท่พูดขึ้นมาว่า “เจ้าฝึกวิชาเสร็จแล้ว ก็ลุกขึ้นมา
ลงกลอนด้วยนะ ดึกแล้วไม่ลงกลอนไม่ได้”
“รู้แล้ว ท่านแม่...” กู้ชิงฮั่นรีบตอบรับ
ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงปิดประตู ผ่านไปพักหนึ่ง เมื่อ
ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอะไร กู้ชิงฮั่นเองก็ไม่กล้า
รีบ หลังจากนั้นนานมาก เมื่อแน่ใจมากแล้วว่ากู้เหล่า
ไท่กลับไปแล้วจริงๆ ถึงได้ถอนหายใจ เหมือนยกภูเขา
ออกจากอกไป นางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากของ
ตัวเอง
ทันใดนั้นเองนางก็นึกถึงคนที่อยู่ในผ้าห่ม นางก็โกรธ
มาก แล้วขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร ยื่นมือไปเปิดผ้าห่ม
ออก เห็นฉีหนิงฟุบตัวเหมือนกับคางคกอยู่บนตักของ
นาง ไม่เคลื่อนไหวอะไร
กู้ชิงฮั่นทั้งอายและโกรธมาก นางใช้มือปิดไปที่หน้าอก
ของตัวเอง แล้วจ้องไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ท่านจิ่นอี
โหว ท่านคิดจะค้างที่นี่ทั้งคืนเลยหรืออย่างไรกัน?”
ตอนนี้ฉีหนิงรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับก้อนเมฆน้อยๆ
เมื่อได้ยินเสียงของกู้ชิงฮั่น ก็อดพูดไม่ได้ว่า “ค้างที่นี่ก็
ดีเหมือนกัน ข้าเองก็รู้สึกง่วงแล้ว” ทันใดนั้นเองเขาก็
รู้สึกผิดปกติ เขาเงยหน้าขึ้นมา พบว่าผ้าห่มถูกเปิด
ออกแล้ว กู้ชิงฮั่นเองก็พิงตัวไปที่หัวเตียงแล้ว มือทั้ง
สองข้างของนางกอดอกอยู่ในตอนนี้ แล้วจ้องมาที่เขา
ด้วยสายที่ดุดัน สายตาแบบนี้เขาไม่เคยเห็นจาก
ดวงตาของกู้ชิงฮั่นเลย
ฉีหนิงสะดุ้ง ในสมองหลุดลอยไป เขารีบเรียกสติ
กลับมา แล้วถามอย่างจริงจังว่า “ซานเหนียง ไท่ฮู
หยินไปแล้วหรือ? อันตรายจริงๆ เลยนะ ยังดีที่ข้า
หลบได้ทัน ขึ้นมาอยู่บนเตียง ไม่อย่างนั้นแย่แน่เลย”
กู้ชิงฮั่นรู้สึกทั้งโกรธทั้งขำ แต่ว่าสีหน้าท่าทางของนาง
ยังนิ่งอยู่ นางจ้องมาที่ฉีหนิงอย่างไม่ละสายตา แล้วก็
ไม่พูดอะไรด้วย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 320 ห่างเหิน
กู้ชิงฮั่นเป็นม่ายสาวที่แสนจะฉลาด นางรู้ดีว่า
ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเอาผิดฉีหนิงที่มาฉวย
โอกาสกับนาง
ตอนนี้ดึกมาแล้ว ท่ามกลางแสงไฟมีเงาของคนสองคน
อีกทั้งตัวนางเองก็สวมชุดบางๆ นางรู้ว่ารูปร่างอัน
อวบอิ่มของนางมันยั่วยวนฉีหนิงมาก อีกทั้งก็รู้ว่าหาก
นางจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดี ฉีหนิงที่ทำอะไรเหลวไหลไป
แล้วมาก่อนหน้านี้อาจจะทำเรื่องที่ร้ายแรงจนแก้ไข
ไม่ได้อีก
ในตอนนี้ นางไม่เพียงไม่ควรที่จะยิ้ม อีกทั้งยังพูดต่อ
ว่าไม่ได้อีก ทำได้แค่มองแต่ไม่พูดเท่านั้น เพื่อให้เขา
ตื่นกลัวและรับรู้ว่านางกำลังโกรธมาก ทำแบบนี้ถึงทำ
ให้เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกแล้วรีบกลับออกไป ไม่เช่นนั้นมี
ความเป็นไปได้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้น
นางผ่านเรื่องอะไรมาก็มาก ในตอนนี้ไม่เพียงแค่โกรธ
แต่ยังกลัวมากด้วย
นางรู้ว่า หากฉีหนิงเกิดอารมณ์ชั่ววูบพุ่งเข้าหานาง
นางก็ขัดขืนอะไรไม่ได้ อีกทั้งนางเองก็เรียกใครมาช่วย
ไม่ได้ด้วย
กู้ชิงฮั่นดูเย็นชามาก แต่ว่าใจของนางแทบจะหลุด
ออกมา หัวใจของนางเต้นแรงมาก นางไม่รู้ว่าฉีหนิง
จะทำอะไรต่อ อีกทั้งยังกลัวว่าท่าทางการเคลื่อนไหว
หรือสีหน้าของนางจะทำให้ฉีหนิงร้ายกาจกับนาง นาง
ทำได้แค่พิงไปที่หัวเตียง แล้วจ้องไปที่ฉีหนิง
ฉีหนิงเห็นสีหน้าของกู้ชิงฮั่นทั้งเย็นชาและเต็มไปด้วย
ความโกรธ ในใจก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว เดิมทีนาง
ก็เย็นชาจนผิดปกติอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้รอบๆ ก็เงียบ
สนิท ลมหายใจที่หอบแรงอีกทั้งหัวใจที่เต้นแรงมาก
ของนางมันเหมือนกำลังทรยศนางอยู่ แต่ว่าเขาก็รู้ว่า
หากเขายังคงฟุบอยู่อย่างนี้ มันก็ไม่สมควรมากเกินไป
แล้ว
ถึงแม้เขาจะรู้สึกเสียดายสัมผัสก้นอันนุ่มนิ่มของกู้ชิง
ฮั่น แต่ว่าฉีหนิงก็ยังคงพยายามข่มอารมณ์แล้วดึงมือ
ออกมา กู้ชิงฮั่นเห็นดังนั้น ก็โล่งใจ แต่ก็ยังไม่ประมาท
นางหวังว่าฉีหนิงจะรีบกลับออกไป
ฉีหนิงนั่งลงตรงข้ามกู้ชิงฮั่น เขามองไปที่กู้ชิงฮั่น
ท่ามกลางแสงไฟ นางดูงดงามมาก เหมือนกับลูกองุ่น
ที่แค่ดีดเบาๆ น้ำหวานของมันก็ไหลออกมาแล้ว ถึงสี
หน้าของกู้ชิงฮั่นจะดุ แต่ว่าท่าทางของนางและกลิ่น
หอมของห้องนอน มันทำให้คนหลงอยู่ในภวังค์
“ซานเหนียง เอ่อ...” หลังจากความเงียบพักใหญ่ ฉี
หนิงก็พูดทำลายความเงียบ “เรื่องที่ไท่ฮูหยินพูดไม่
จริงใช่หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว นางคิด แล้วถามว่า “เรื่องอะไร?”
“ที่นางบอกว่าจะไปคุยกับไท่ฟูเหริน...”
ฉีหนิงยังพูดไม่ทันจบ กู้ชิงฮั่นก็รู้ว่าเขาต้องการจะถาม
อะไร นางพูดอย่างเรียบๆ ว่า “ที่ท่านแม่พูดมาก็ใช่ว่า
จะไม่ถูก ข้าอยู่ที่ตระกูลฉีมาก็นานหลายปีแล้ว ก็ถือ
ว่าไม่ผิดต่อตระกูลฉี ข้าไม่มีทายาท หากไปบอกกับไท่
ฟูเหรินจริง นางก็คงไม่ห้ามที่จะให้ไปจากตระกูลฉี”
ฉีหนิงเห็นใบหน้าของนางแดงระเรื่อ งดงามราวกับ
ดอกไม้ แต่น้ำเสียงของนางนั้นเย็นชามาก เขาถอน
หายใจ แล้วพูดว่า “ท่านคิดจะไปจากตระกูลฉีจริงๆ
หรือ?”
“เดิมก็ไม่คิด แต่ว่า...” กู้ชิงฮั่นกัดปาก “เจ้าเป็นแบบ
นี้ ข้าจะไม่ไปได้อย่างไร?”
ฉีหนิงยิ้มเจื่อน เขาลุกขึ้นมานั่งที่ริมเตียง แล้วพูดว่า
“หากท่านไป จวนจิ่นอีโหวคงจบสิ้นแล้ว”
ความหมายของเขาง่ายมาก ตอนแรกที่เขายอมอยู่ที่
จวนจิ่นอีโหว ก็เพราะเห็นแก่กู้ชิงฮั่น หากกู้ชิงฮั่นไม่ใช่
คนของตระกูลฉีอีกต่อไป ฉีหนิงก็ไม่ได้มีความรู้สึก
อะไรกับตระกูลฉีอีก
“หืม?” กู้ชิงฮั่นเห็นฉีหนิงลุกไปนั่งที่ริมเตียง นางก็
เขยิบออกห่าง “เจ้าเก่งขนาดนี้ จวนจิ่นอีโหวจะจบ
สิน้ ได้อย่างไรกัน? ข้าต่างหาก หากยังอยู่ในจวนโหว
ต่อไป อาจจะ...” เดิมนางคิดจะพูดว่า หากนางยังอยู่
ในจวนโหวต่อไป อาจจะเกิดเรื่องขึ้นสักวัน แต่ว่านาง
ก็กังวลจะทำให้ฉีหนิงโกรธ เลยไม่พูดดีกว่า
ฉีหนิงหันไปมองกู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นได้หยิบผ้าห่มมาหุ้ม
ตัวไว้แล้วในตอนนี้ เมื่อเห็นฉีหนิงหันกลับมามอง นาง
ก็หันไป ไม่มองหน้าฉีหนิงเลย
เงียบไปพักใหญ่ ฉีหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “ท่าน...ท่านอยู่
ที่นี่ต่อไปได้หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นไม่พูดอะไร
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากท่านไป ข้าเองก็
ไม่ใช่จิ่นอีโหวอีก จวนจิ่นอีโหวก็จะไม่เป็นจวนจิ่นอี
โหวอีก...” แต่พอนึกถึงว่ากู้เหล่าไท่ยืนยันจะให้กู้ชิง
ฮั่นจากไป ในใจเขาก็รู้สึกกลัว เขาลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า
“ถึงอย่างไรข้า...ข้าจะไม่ยอมให้ท่านไปไหนเด็ดขาด
ไม่ว่าใครจะเห็นด้วยก็ไม่ได้เด็ดขาด”
กู้ชิงฮั่นเห็นฉีหนิงพูดจาหนักแน่น ก็อดไม่ได้ที่จะหัน
ไปมอง นางเห็นฉีหนิงเดินออกจากห้องไปอย่างเศร้าๆ
ฉีหนิงจากไปแบบนี้ ทำให้กู้ชิงฮั่นรู้สึกแปลกใจมาก
ถึงแม้จะโล่งใจมาก จากนั้นไม่นานนางก็ได้ยินเสียงปิด
ประตูลง ไม่นานนักบรรยากาศก็เงียบสนิท นางลุก
ออกจากเตียง แล้วรีบเดินไปยังหน้าประตูห้องโถง
นางโผล่หน้าออกไปดู นางเห็นเงาของฉีหนิงเดินออก
จากเรือนไปแล้ว ถึงได้กลับเข้าไปลงกลอนประตูห้อง
โถง จากนั้นก็รีบกลับเข้าห้องนอนไป
หลังจากปิดประตูแล้ว นางก็กัดปาก ยืนพิงประตู ใน
หัวของนางสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำ
อย่างไรดี
หลายวันต่อมา ฉีหนิงก็ไม่ไปหากู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นเองก็
ไม่พูดคุยกับฉีหนิงก่อน แต่ว่ากู้เหวินจางกับครอบครัว
เพิ่งมาเมืองหลวง ฉีหนิงเลยสั่งให้คนพาพวกเขาเที่ยว
ชมเมืองหลวงสักหน่อย
เมืองหลวงเจี่ยนเย่อย่างไรก็เป็นเมืองเก่าแก่อายุร้อย
กว่าปี ผังเมืองกว้างใหญ่ไพศาล สถานที่ท่องเที่ยวมี
อยู่มากมาย
กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะไม่ไปคุยกับฉีหนิงก่อน แต่เวลาเจอ
หน้ากันขอแค่ก้มหน้าเดินผ่านไป ก็เหมือนไม่ได้เห็น
หน้ากัน แต่เรื่องของฉีหนิงนางก็ยังคงใส่ใจมาก เรื่อง
เล็กเรื่องใหญ่นางก็ยังคงสั่งให้คนทำอย่างประณีต อีก
ทั้งยังไม่เห็นว่านางจะพากู้เหล่าไท่ไปหาไท่ฟูเหริน
เพื่อให้กู้ชิงฮั่นออกจากจวนโหวไปอย่างที่ฉีหนิงกังวล
นอกจากนี้กู้ชิงฮั่นเองก็ยังสั่งให้คนไปหาบ้านใกล้ๆ
ให้กับเสี่ยวเหยาสองแม่ลูก รอบๆ บริเวณนี้ต่างเป็น
บ้านของขุนนางใหญ่ มีแต่บ้านหลังใหญ่ แต่ว่าเสี่ยว
เหยากับแม่มีแค่สองคน อีกทั้งจวนโหวเองก็ไม่ได้
ร่ำรวย คงไม่ซื้อบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นให้พวกนาง
สองแม่ลูกอยู่
ส่งคนออกไปหาอยู่ประมาณห้าหกวัน ก็พบบ้านสาม
ห้องที่ห่างออกไปสองซอย ถึงแม้จวนจิ่นอีโหวจะไม่ได้
ร่ำรวย แต่ว่าซื้อบ้านแบบนี้ ยังถือว่าง่ายยิ่งกว่าพลิก
ฝ่ามือ กู้ชิงฮั่นไปดูบ้านด้วยตัวเอง จากนั้นถึงกลับไป
เบิกเงินออกมาจากห้องบัญชี แล้วสั่งให้คนเข้าไปทำ
ความสะอาด
ในช่วงนี้ถังนั่วเองก็ยังไม่ได้กลับไปตรวจโรคที่หย่งอัน
ถัง นางอยู่อ่านตำราที่ห้องของนาง ครั้งที่แล้วฉีหนิง
เห็นถังนั่วสนใจตำราแพทย์มาก หลังจากสอบถามดู
แล้ว ถึงได้รู้ว่าถึงแม้ถังนั่วจะมีฝีมือการแพทย์ที่ร้าย
กาจมาก แต่ว่านางอ่านตำราแพทย์น้อยมาก เลยสั่ง
ให้พ่อบ้านหานไปหาตำราแพทย์มาให้นางเยอะมาก
หลายวันที่ถังนั่วพักฟื้น ตำราแทบจะไม่ห่างตัวนาง
เลย ที่จริงหลักการแพทย์หลายอย่างถังนั่วก็รู้อยู่แล้ว
อีกทั้งพอเจอตรงไหนที่ผิด นางก็ดูออกทันที แต่ว่า
การศึกษามันไม่มีที่สิ้นสุด หลายอย่างมันก็เป็นความรู้
ใหม่สำหรับถังนั่ว การอ่านตำราแพทย์สำหรับนาง
แล้ว ก็เหมือนทองคำที่อยู่ในกองทราย ถึงแม้จะ
ลำบาก แต่นางก็รู้สึกสนใจมาก
ฉีหนิงเองก็ได้ไหว้วานถังนั่วช่วยตรวจดูอาการของแม่
เสี่ยวเหยา ถังนั่วเองก็ไป นางไม่ได้พูดอะไรเลย
จากนั้นก็เขียนใบสั่งยาให้ บอกว่าให้แม่ของเสี่ยวเหยา
ลองกินสักสามเดือนดูก่อนแล้วค่อยปรับเปลี่ยนยาอีก
ที ยาที่ต้องใช้ก็เป็นยาหาได้ทั่วไป ฉีหนิงก็สั่งให้คนไป
เอามาให้จากหย่งอันถัง เสี่ยวเหยารู้สึกซาบซึ้งใจต่อฉี
หนิงมาก หลายวันต่อมา หลังจากที่เปิดเรียนนางก็ทำ
ตามที่ฉีหนิงบอก กลับไปเรียนตามเดิม
วิทยาลัยฉงหลินไม่ได้เปิดเรียนทุกวัน แต่ละเดือนจะมี
วันหยุดทั้งหมดหกวัน
หลังจากกู้ชิงฮั่นซื้อบ้านได้เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ให้เสี่ยว
เหยากับแม่ย้ายเข้าไปอยู่ ถึงแม้เสี่ยวเหยาจะรู้สึกว่า
มันไม่เหมาะสม แต่ว่านางก็ไม่มีญาติที่ไหน อีกทั้งยัง
ห่วงอาการของแม่ด้วย ก็เลยจำใจยอมรับน้ำใจของฉี
หนิง เพื่อให้เสี่ยวเหยาได้กลับไปเรียนหนังสือ ฉีหนิง
ได้สั่งให้สาวใช้หนึ่งคนไปดูแลแม่ของนางด้วยเช่นกัน
สำหรับจวนโหวแล้ว การให้สาวใช้ไปหนึ่งคนไม่ใช่
เรื่องใหญ่อะไร แถมยังช่วยเสี่ยวเหยาแก้ไขความ
กังวลเรื่องแม่ไปด้วย
เรื่องที่สำคัญที่สุดของฉีหนิง คือการตั้งค่ายกิเลนดำ
ขึ้นมาใหม่ ต้วนฉางไห่กับจ้าวอู๋ซางออกจากจวนโหว
ไปนานมากแล้ว พวกเขาออกเดินทางไปรวบรวม
กำลังพลมา ส่วนฉีเฟิง ฉีหนิงสั่งให้ไปที่ค่ายเก่า ช่วย
กรมโยธาในการซ่อมแซมค่าย
ถึงแม้เรื่องเสบียงกับอุปกรณ์ทางกรมกลาโหมจะ
ทำงานช้ามาก แต่ว่าหลังจากส่งคนไปประสานงานกับ
คนของกรมโยธาแล้ว ก็ได้เงินจากกรมคลังมาก้อน
หนึ่งเพื่อนำมาซ่อมแซมค่ายทหาร การฟื้นฟูค่ายกิเลน
ดำขึ้นใหม่ถือเป็นราชโองการของฮ่องเต้น้อย เป็น
เรื่องที่ใครก็รู้ ไม่มีใครกล้าล่าช้า
แต่ละวันผ่านไป สิ้นปีใกล้เข้ามา สำหรับชาวบ้านใน
เมืองหลวง ในปีนี้เจอมรสุมมากมาย ดังนั้นไม่ว่าใครก็
อยากให้ในปีต่อไปเจอแต่เรื่องดีๆ เพื่อให้ความเศร้าที่
อดีตฮ่องเต้กับฉีจิ่งที่ตายไปได้จางหาย
แต่ว่าอดีตฮ่องเต้สวรรคตไป ชาวบ้านจะแขวนโคม
แดงมากไม่ได้ เพื่อไว้อาลัยให้กับอดีตฮ่องเต้ ในเมือง
หลวงหลายที่ยังคงแขวนผ้าขาว แต่มันไม่ได้กระทบ
ต่อจวนจิ่นอีโหวเลย ไม่ว่าจะเป็นเพราะอดีตฮ่องเต้
สวรรคตหรือว่าฉีจิ่งสิ้นไป ทางจวนจิ่นอีโหวก็ทำได้แค่
แขวนผ้าขาวเท่านั้น
ตามประเพณีของต้าฉู่ จวนโหวในปีนี้ยังคงไม่สามารถ
ฆ่าสัตว์จัดงานเลี้ยงในคืนปีใหม่ได้ อีกทั้งยังต้องนิมนต์
หลวงจีนมาสวดทำบุญอีกด้วย
คืนที่สามสิบ กู้ชิงฮั่นได้จัดให้นิมนต์ไต้ซือจิ้งอูจาก
วัดต้ากวงหมิงมาที่จวน หลวงจีนจิ้งอูเป็นหนึ่งในสิบ
สามหลวงจีนใหญ่ของวัดต้ากวงหมิง หน้าตาของท่าน
มีเมตตาธรรมมาก มีความรู้แตกฉานในเรื่องของ
ธรรมะมาก แต่วรยุทธ์ของท่านนั้นอยู่รั้งท้าย เรื่องของ
หลักธรรมะนั้น ในวัดต้ากวงหมิงไม่มีใครสู้ท่านได้เลย
แม้แต่คนเดียว
และก็มีเพียงจวนจิ่นอีโหวที่เป็นจวนบรรดาศักดิ์แบบ
นี้ ที่มีสิทธินิมนต์ไต้ซือมาจากวัดต้ากวงหมิงได้
สำหรับการมาของไต้ซือของวัดต้ากวงหมิง ทางจวน
โหวเองก็จัดต้อนรับอย่างดี นอกจากจิ้งอูไต้ซือแล้ว ยัง
มีหลวงจีนอีกประมาณสิบคนติดตามมาด้วย เพราะว่า
มีนักบวชมาที่จวน กู้ชิงฮั่นกับสาวใช้ในจวน จึงไม่
สะดวกออกหน้า ทุกอย่างมีฉีหนิงคอยรับหน้าจัดการ
และมีพ่อบ้านหานคอยช่วย
กู้ชิงฮั่นได้จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว ดังนั้นฉี
หนิงเองก็ไม่ต้องเสียเวลาเหนื่อย แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ฉี
หนิงยิ่งรู้ว่าในจวนโหวใครจะไปก็ได้ แต่ไม่ใช่กู้ชิงฮั่น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 321 เสือกลับถ้ำ
ฉีหนิงคิดในใจว่าพิธีการพวกนี้มันน่าเบื่อจริงๆ แต่ว่า
เขามีฐานะเป็นจิ่นอีโหว เขาไม่มีทางเลือก
คืนวันสิ้นปี ในเมืองหลวงหลายครอบครัวมีแต่คนอยู่
พร้อมหน้าพร้อมตาเฉลิมฉลองกัน แต่ว่าจวนจิ่นอีโหว
เริ่มตั้งแต่เที่ยง ก็เริ่มทำบุญฟังเทศฟังธรรม ถึงแม้จะ
ไม่นาน แต่มันก็ต่อเนื่องจนถึงเที่ยงของอีกวัน
ยาวนานถึงสิบสองชั่วยาม
ภายในสิบสองชั่วยามนี้ ฉีหนิงทำได้แค่นั่งเป็น
ประธานในพิธีแบบนี้ ไม่ได้ออกไปไหนเลย เรื่องใน
จวนมากมาย ถึงแม้เบื้องหลังจะมีกู้ชิงฮั่นดูแล แต่หน้า
งานก็มีแต่ให้หานโซ่วคอยออกหน้าดูแลแทน ยังดีที่กู้
เหวินจางยังไม่ย้ายออกจากจวนไป เลยช่วยงานเขาได้
มาก ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบอย่างเรียบร้อย
สำหรับฉีหนิงแล้ว เวลาสิบสองชั่วยามก็ไม่ใช่อะไรที่
สบายนัก หูก็ฟังหลวงจีนวัดต้ากวงหมิงสวดมนต์ ก็จะ
สัปหงกเป็นระยะ
เพราะมีป้ายเซ่นไหว้ใหม่ เช้าของวันปีใหม่ ก็เริ่มมีคน
มาไหว้สักการะ
คนที่มาไหว้สักการะนั้น ต่างจุดธูปคำนับ ไม่ว่าจะเป็น
ขุนนางใหญ่หรือขุนนางเล็ก ต่างก็ต้องไหว้คำนับ
ทั้งนั้น
ครั้งนี้จงอี้โหวมาด้วยตัวเอง ส่วนไหวหนานอ๋อง เขา
ส่งไหวหนานอ๋องซื่อจื่อมา อู่เซียงโหวก็มาแต่เช้า ส่วน
จินเตาโหวเองก็ส่งคนมาร่วมงานด้วย หกกรมใหญ่เอง
ก็ให้เกียรติมาเซ่นไหว้เช่นกัน ที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นงาน
ใหญ่อะไรมากมาย แต่ว่าหากเทียบกับในช่วงพิธีศพ
ของฉีจิ่งแล้วขุนนางที่มาวันนี้มีมากกว่ามาก
ตลอดช่วงเช้า คนมาไม่ขาดสาย จวนจิ่นอีโหวไม่ได้
คึกคักแบบนี้มานานแล้ว ยังดีที่มีคนในจวนมาก เลย
สามารถต้อนรับได้โดยไม่บกพร่อง อีกทั้งการเซ่นไหว้
ป้ายใหม่ก็ไม่ได้มีการเตรียมสุราไว้ แค่เข้ามาเซ่นไหว้
จากนั้นก็กลับไป ช่วงเช้าของวันปีใหม่แทบจะไม่มี
เวลาว่างเลย ถึงแม้ฉีหนิงจะร่างกายแข็งแรง แต่ว่าทุก
คนที่เข้ามาเซ่นไหว้เขาก็ต้องคำนับตอบกลับทุกคน
ทำให้พอจบช่วงเช้าแล้ว เขารู้สึกเวียนหัวตาลายมาก
อีกทั้งยังอ่อนเพลียอีกด้วย
พอเที่ยง คนที่ควรมาก็มาจนครบแล้ว พิธีทางศาสนา
ก็จบแล้ว ในจวนถวายเพลให้เหล่าหลวงจีน หลังจาก
นั้นไต้ซือจิ้งอูก็พาเหล่าหลวงจีนกลับวัดต้ากวงหมิงไป
หลายวันต่อมาแขกที่มาจวนจิ่นอีโหวก็ยังมาอย่างไม่
ขาดสาย ฉีหนิงได้รับราชโองการให้ตั้งค่ายกิเลนดำ
ขึ้นมาใหม่ ขุนนางหลายคนก็ฉลาดสังเกตเห็นว่า
ฮ่องเต้น้อยนั้นให้ความสำคัญต่อจิ่นอีโหวตระกูลฉี
แม้แต่ขุนนางที่ไม่เคยรู้จักกับฉีหนิงมาก่อน จนถึงไม่
เคยพบหน้ากัน ก็หอบหิ้วของขวัญทั้งใหญ่ทั้งเล็กมา
คำนับอวยพรกันยกใหญ่
ขอแค่รับราชการ หลังจากที่อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์
ไป ราชสำนักก็แบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน
ขณะที่อดีตฮ่องเต้ยังทรงบริหารราชกิจอยู่ สาย
วิชาการมีซือหม่าหลัน สายรบมีจิ่นอีโหว อีกทั้งอดีต
ฮ่องเต้เองก็ทรงเก่งทั้งสองด้าน บารมีสูงส่ง มันเพียง
พอที่จะกำราบเหล่าขุนนางได้ ทำให้ต้าฉู่สามารถ
เดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น
แต่ว่าหลังจากอดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไป สถานการณ์
ในราชสำนักเปลี่ยนไป จงอี้โหวซือหม่าหลันมีคุณ
ความชอบคนแรกในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ใหม่ ทำให้
อำนาจและบารมีของเขาแผ่กว้างไปอย่างรวดเร็ว อีก
ทั้งไม่มีบารมีของอดีตฮ่องเต้คุม ถึงแม้ไหวหนานอ๋อง
จะไม่ได้เปรียบในราชบัลลังก์ อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ทำอะไร
วู่วาม แต่ว่าเสียงข้างมากของเขาก็ยังมีอิทธิพลอยู่ เขา
มีพวกของราชสำนักอยู่ไม่น้อย ขุนนางที่เลือกฝ่าย
อำนาจนั้นมีไม่น้อยเลย
จงอี้โหวกับไหวหนานอ๋องแย่งชิงอำนาจกัน มันไม่ใช่
ความลับ ทั้งคู่แบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน แต่ว่าไม่ว่าขุน
นางพวกนี้จะอยู่ฝ่ายไหนก็ตาม ต่างก็ไม่ได้กระทบต่อ
การประจบประแจงจิ่นอีโหวเลย
ฉีจิ่งสิ้นไป สถานการณ์ในราชสำนักเปลี่ยนไป หลาย
คนกำลังแอบรอเยาะเย้ยจวนจิ่นอีโหวอยู่ แต่ว่า
ภายหลังเกิดเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด ใครก็คิดไม่ถึงว่า
จิ่นอีคนบ้าอย่างฉีหนิงจะสามารถค่อยๆ ก้าวสู่
ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารค่ายกิเลนดำได้เลย
ถึงแม้จิ่นอีโหวจะเป็นหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหว ฐานะ
สูงส่ง ขุนนางใหญ่น้อยพบหน้ายังต้องทำความเคารพ
แต่ว่าโหวเยว่ที่ไม่มีอำนาจจริงในมือ มันก็ไม่ค่อยมี
เกียรติเท่าไหร่ ก็เหมือนตอนที่ฉีหนิงได้รับสืบทอด
บรรดาศักดิ์โหวมาใหม่ๆ เหล่าขุนนางถึงแม้จะยังมี
มารยาทต่อเขา แต่ว่าในใจก็แค่ทำไปแบบนั้น
เมื่อมีอำนาจจริงอยู่ในมือ ตำแหน่งบรรดาศักดิ์โหวก็
จะไม่เหมือนเดิม
อีกทั้งพวกเขาต่างรู้ว่าฮ่องเต้น้อยตั้งใจผลักดันตระกูล
ฉี ในตอนที่ตระกูลฉียังไม่เข้ากับฝ่ายไหน การเข้าหา
ประจบประแจงนั้น เป็นเรื่องที่จะขาดไม่ได้เลย ใน
ฐานะข้าราชการ ใครจะไปรู้ว่าวันไหนลมพายุจะพัด
ไปอยู่ที่ใคร ก่อนที่ฝนจะไปตกที่ใคร การเตรียมตัวไว้
ล่วงหน้า ก็ถือว่าเหลือทางรอดไว้ให้ตัวเอง
ดังนั้นแขกที่มาในจวนจิ่นอีโหวในช่วงหลายวันนี้ ทำ
ให้จวนโหวดูคึกคักมาก
เมื่อผ่านวันชิวลักไปแล้ว ฉีหนิงถึงได้พอว่างลงบ้าง
เพียงแต่ว่าหลังจากคืนนั้นเป็นต้นมา เขาไม่ได้คุยกับกู้
ชิงฮั่นมาครึ่งเดือนแล้ว อีกทั้งกู้ชิงฮั่นเองก็เหมือนจะ
ไม่เปิดโอกาสให้ฉีหนิงได้อยู่กับนางสองต่อสองเลย
มันทำให้ฉีหนิงรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเลยกระอักกระอ่วน
ใจมาก
เช้าของวันชิวฉิก ในที่สุดต้วนฉางไห่ก็กลับมาที่จวน ฉี
หนิงได้ข่าว ก็รีบเรียกให้เขามาพบ ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ต้
วนฉางไห่ ยังมีคนอีกเจ็ดแปดคนที่ตามเขากลับมา
ด้วย เมื่อเห็นฉีหนิง พวกเขาก็คุกเข่าลงคำนับฉีหนิง ต้
วนฉางไห่ดูสกปรกมอมแมมมาก เดิมผิวของเขาก็
หยาบอยู่แล้วครั้งนี้ยังหยาบมากขึ้นกว่าเดิมอีก เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ นี่เป็นพี่น้องของพวกเราที่เคยอยู่
ค่ายกิเลนดำมาก่อน ข้าไปตามพวกเขากลับมาแล้ว”
ฉีหนิงตะลึงไป ต้วนฉางไห่กับจ้าวอู๋ซางออกจากจวน
ไประยะหนึ่งได้แล้ว การจะตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องการรวบรวมไพร่พล
ค่ายกิเลนดำไม่เหมือนกับค่ายทหารทั่วไป ในสายตา
ของฉีหนิง มันก็คือหน่วยรบพิเศษของในยุคนี้ การ
เลือกคนจะต้องทำมันอย่างละเอียด หากผ่อนปรน
เงื่อนไข อย่างมากก็ทำได้แค่ฝึกกองกำลังทหาร
ธรรมดากองหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถทำได้เทียบเท่า
มาตรฐานของทหารค่ายกิเลนดำเดิมเด็กขาด ดังนั้น
สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งก็คือกำลังพล
ต้วนฉางไห่เคยพูดว่า เขาจะรวบรวมทหารที่มีชีวิต
รอดของค่ายกิเลนดำในตอนนั้นกลับมา แต่ว่าฉีหนิง
คิดว่าคงไม่ได้
เพราะเขาไม่เชื่อว่าคนของค่ายกิเลนดำคนอื่นจะ
เหมือนกับพวกของต้วนฉางไห่ที่เฝ้ารอการกลับมา
ของค่ายกิเลนดำ อีกทั้งสิบกว่าคนที่เหลือรอดในคราว
นั้น ตอนนี้ก็ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งไปกันจน
หมดแล้ว แยกย้ายกันไปหลายที่ อย่างไรก็ยังเป็นขุน
นางทางฝ่ายทหารอยู่ หากลากพวกเขากลับมายังค่าย
กิเลนดำ ทุกอย่างต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด สายน้ำไหลลงสู่
ด้านล่าง แต่คนต้องเดินไปยังที่ที่สูงมากขึ้น
“โม่ฟูควน ขุนพลอู่เว่ยจงหลาง ได้ลาออกจาก
ตำแหน่งแล้ว ยินดีกลับมาติดตามโหวเยว่” ต้วนฉาง
ไห่ชี้ไปที่คนหนึ่งแล้วแนะนำ คนๆ นั้นรีบคุกเข่าลงกับ
พื้น แล้วพูดว่า “โม่ฟูควน คำนับโหวเยว่”
“เฉินต้าโยว เจี้ยนจงเซี่ยวเว่ย ลาออกจากตำแหน่ง
แล้ว”
“ลู่คัง ฉางซุ่ยเซี่ยวเว่ย ลาออกจากตำแหน่งแล้ว”
“โจวอวิ๋นปิน แม่ทัพเจียงหลิง ยินดีติดตามรับใช้โหว
เยว่”
ทุกคนที่ต้วนฉางไห่เรียกชื่อ ทุกคนก็จะคุกเข่าลง
คำนับฉีหนิง คนพวกนี้อายุน้อยสุดก็สามสิบหก
สามสิบเจ็ด มากสุดก็ห้าสิบปี แต่ว่าร่างกายของพวก
เขายังคงแข็งแรงกำยำอยู่ ฉีหนิงเห็นมันอย่างชัดเจน
เขารู้สึกว่าพวกเขามีราศีต่างจากทหารทั่วไปมาก มันดู
เข้มแข็ง สายตาของพวกเขามีแต่ความเด็ดเดี่ยวดุดัน
ตอนนี้ฉีหนิงรู้สึกได้ว่า ตัวเขาไม่เคยเห็นด้วยตาว่า
ตอนที่ทหารค่ายกิเลนดำบุกทะลวงอยู่ในแนวหน้า
เป็นอย่างไร พวกต้วนฉางไห่กับจ้าวอู๋ซางถึงแม้จะมา
จากค่ายกิเลนดำ แต่เพราะฐานะของพวกเขา ทำให้
พวกเขาเคารพฉีหนิงจนเคยชินไปแล้ว ทำให้เขา
ประเมินค่ายกิเลนดำต่ำเกินไป แต่ว่าตอนนี้เขาเห็น
คนเหล่านี้ล้วนแต่มีความเป็นทหารที่องอาจซ่อนอยู่
ภายในจิตวิญญาณของพวกเขา เขาก็รู้ทันทีว่าค่าย
กิเลนดำอาจจะแข็งแกร่งมากกว่าที่เขาคิด
จิตวิญญาณที่มันออกมาจากตัวของพวกเขา มันมีอยู่
ในสายเลือดที่ผ่านการฝึกฝนมากเป็นอย่างดี หาก
ไม่ได้มีประสบการณ์ผ่านความเป็นความตายมา ไม่มี
การผ่านการล้างทุกอย่างด้วยเลือด ไม่มีทางแผ่
กระจายความดุดันเด็ดขาดและป่าเถื่อนออกมาได้
มากขนาดนี้
“โหวเยว่ เจ้าพวกนี้ล้วนแต่ถูกส่งไปรับตำแหน่งขุน
นางฝ่ายทหารที่นอกเมือง” ต้วนฉางไห่พูดว่า “ข้า
ออกไปตามหาพวกเขาเสียทั่วเลย ตอนที่เจอพวกเขา
พวกเขายังยุ่งกับงานในมืออยู่ แต่ก็ได้ส่งหนังสือ
ลาออกไปแล้ว เมื่อทางกรมกลาโหมรับหนังสือไปและ
อนุมัติ ก็จะมารายงานตัวที่ค่ายได้ทันที”
ฉีหนิงพยุงพวกเขาขึ้นมาด้วยตัวเองทีละคน เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “พวกเจ้าต่างมีตำแหน่งขุนนางอยู่กับตัว
อีกทั้งยังมีความสามารถทั้งนั้น อนาคตยาวไกล ต้วน
ฉางไห่บอกพวกเจ้าแล้วหรือยัง หากพวกเจ้ากลับมาที่
ค่ายกิเลนดำ ทุกอย่างต้องเริ่มใหม่หมด ข้าไม่อาจ
รับประกันได้เลยนะว่าพวกเจ้าจะได้เลื่อนตำแหน่ง
หรือว่ารับทรัพย์อะไรเพิ่มขึ้น”
“โหวเยว่ การศึกกับกองกำลังเสวียหลัน พวกเราควร
ตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว” ในบรรดาพวกเขา ก่อน
ลาออกโม่ฟูควนมีตำแหน่งสูงสุด “ที่รอดมาได้ เพราะ
ท่านแม่ทัพสามได้สั่งเอาไว้ว่า ต่อให้เหลือรอดชีวิตได้
แค่คนเดียว ก็ต้องรอให้ค่ายกิเลนดำกลับมายิ่งใหญ่อีก
ครั้ง พวกเรารอมาตลอด อีกทั้ง...ความแค้นในตอน
นั้น พวกเราต้องแก้แค้นให้ได้”
ลู่คังพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยเป็น
คนตรงๆ อยากจะขอโหวเยว่แค่เรื่องเดียวเท่านั้น”
“เจ้าว่ามา”
“หลังจากที่ฝึกฝนค่ายกิเลนดำขึ้นมาได้แล้ว ข้าน้อย
หวังว่าสักวันหนึ่ง โหวเยว่จะพาพวกเราออกรบอีก
ครั้ง หลายปีมานี้ข้าน้อยได้ข่าวมาว่า กองกำลัง
เสวียนหลันของเป่ยฮั่นเองก็ยังคงอยู่” ลู่คังพูดว่า
“หากมีโอกาสได้ประมือกับกองกำลังเสวียหลันอีก
ครั้ง โหวเยว่จะต้องพาพวกเราไปถล่มจนเกราะพวก
เขาไม่เหลือชิ้นดี ข้าน้อยขอแค่นี้ไม่มีคำขออย่างอื่น
อีก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่
ไม่ใช่จะให้ทหารออกไปไล่จับโจรหรือเลี้ยงม้าอยู่แล้ว
หากเป็นมังกรก็ต้องทะยานขึ้นฟ้า หากเป็นเสือก็ต้อง
ดุดันสะเทือนไปทั่วภูเขา ในเมื่อคือค่ายกิเลนดำ
เป้าหมายของพวกเราก็คือแนวหน้า เรื่องที่กองกำลัง
อื่นทำไม่ได้ ก็ให้ค่ายกิเลนดำมาทำ เมืองที่กองทัพอื่น
ตีแตกไม่ได้ ค่ายกิเลนดำจะทำให้...” เขาหยุดไป
สายตาของเขาเหมือนกับคมดาบ “คนที่คนอื่นฆ่า
ไม่ได้ ก็ให้ค่ายกิเลนดำมาทำ”
น้ำเสียงของฉีหนิงไม่ได้ดัง แต่เรียบและนิ่ง แต่เพราะ
อย่างนี้ ทำให้สายตาของพวกเขาเป็นประกายขึ้นมา
ทุกคนพร้อมใจกันยกมือคำนับแล้วพูดว่า “พลีชีพเพื่อ
ราชสำนัก ภักดีต่อโหวเยว่”
“พวกเจ้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงกัน หลายวันมานี้ข้าก็
ไม่ได้กินเหล้าเลย” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้ามา
ได้จังหวะพอดี วันนี้พวกเรามาผ่อนคลายกันดีกว่า”
เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “พวกเจ้าแก่กว่าข้าทั้งนั้น แต่
อย่าเห็นว่าข้าอายุยังน้อย แล้วจะมารังแกข้าล่ะ ข้า
เป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นนะจะบอกให้”
ทุกคนตะลึงไป จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน พวก
เขารู้สึกว่าโหวน้อยเป็นคนสบายๆ ไม่ค่อยเหมือนคน
ของตระกูลฉีคนอื่นที่จะจริงจังเคร่งขรึมเลย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 322 บริจาคค่าที่
เมื่อฉีหนิงได้คนพวกนี้มาร่วมด้วย เขาก็เริ่มมีความ
มั่นใจมากขึ้น ตั้งแต่คืนวันที่เจ็ดหลังวันปีใหม่จนถึงคืน
วันที่แปด ฉีหนิงนั่งหารือหลายเรื่องกับพวกเขา หัวข้อ
หลักของพวกเขาก็หนีไม่พ้นเรื่องของค่ายกิเลนดำ
พวกเขาไม่เพียงเป็นทหารที่เหลือรอดของค่ายกิเลน
ดำ อีกทั้งยังเป็นทหารที่เข้าร่วมกับค่ายกิเลนดำใน
ช่วงแรกที่ฉีจิ่งเริ่มตั้งค่ายมาอีกด้วย
ตอนนั้นถึงแม้ฉีจิ่งจะก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมา มี
จำนวนคนแค่หนึ่งพันคน แต่ว่าทหารเหล่านี้ล้วนแต่
มาจากหลายที่ บางคนเป็นพี่น้องในตระกูลฉีเอง บาง
คนเป็นทหารที่ฉีจิ่งดึงมาจากกองทัพ บางคนยังเป็น
คนที่มาจากยุทธภพ
ฉีหนิงได้ข้อมูลอย่างละเอียดจากปากของพวกเขาว่า
ตอนนั้นค่ายกิเลนดำเริ่มตั้งแต่ไม่มีผลงานไม่มีชื่อเสียง
กระทั่งสามารถสร้างชื่อเสียงบารมีขึ้นมา สิ่งที่สำคัญ
ที่สุดที่เขาได้รู้คือขั้นตอนที่ฉีจิ่งใช้ในการฝึกค่ายกิเลน
ดำ พวกเขาพูดคนละช่วงสองช่วง จนฉีหนิงสามารถ
ปะติดปะต่อสร้างโครงสร้างในหัวขึ้นมาได้
ที่จริงแล้วการที่ฉีหนิงได้คนเหล่านี้มา ฉีหนิงแทบจะ
ไม่ต้องกังวลเรื่องที่มาของไพร่พลทหารเลย
คนพวกนี้เป็นคนของค่ายกิเลนดำมาแต่เดิม พวกเขารู้
วิธีการคัดเลือกทหารอยู่แล้ว อีกทั้งพวกเขาเหล่านี้
หลายคนก็เป็นนายกองขุนนางของฝ่ายทหารทั้งนั้น
ในสังกัดทหารที่พวกเขาดูแลอยู่น้อยสุดก็มีทหารอยู่
ร้อยกว่านาย พวกเขาก่อนหน้าก็มีสังเกตจับตามองอยู่
ว่าในสังกัดของพวกเขามีทหารเก่งๆ อยู่บ้างหรือไม่
แค่เหล่าขุนพลที่นั่งอยู่ตรงนี้ ก็สามารถเสนอชื่อ
นายทหารที่เหมาะสมเข้ามายังค่ายกิเลนดำได้
มากกว่าร้อยนายแล้ว
เท่าที่ต้วนชางไห่พูดมา คนของค่ายกิเลนดำเหลือรอด
อยู่ประมาณสิบนาย ส่วนมากยินดีกลับมา พวกเขาแค่
เขียนรายชื่อให้กับฉีหนิง ให้ฉีหนิงนำรายชื่อนี้ไปแจ้ง
ต่อกรมกลาโหม มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไร
เพราะถึงอย่างไรฉีหนิงก็เป็นถึงจิ่นอีโหว รับบัญชาให้
มาฝึกทหาร การขอโยกย้ายทหารมาส่วนหนึ่ง ก็ไม่มี
ใครกล้าขัดคำสั่งฉีหนิง เพราะมันถือเป็นการขัดราช
โองการ
ฉีหนิงรู้ดีว่า ขุนพลที่ดี ไม่ใช่ว่าจะทำงานได้ดีแค่ไหน
แต่คนผู้นั้นทำอะไรได้มากแค่ไหนมากกว่า ในเมื่อคน
พวกนี้คุ้นเคยกับค่ายกิเลนดำเป็นอย่างดี ฉีหนิงเลยสั่ง
ให้ต้วนชางไห่เป็นผู้รับผิดชอบในงานช่วงแรกของค่าย
กิเลนดำ คอยช่วยเหลือผู้อื่น หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา
ก็มาแจ้งที่เขา และเขาจะเป็นคนออกหน้าให้
มีจุดหนึ่งที่ฉีหนิงรู้ดีแก่ใจ เป้าหมายของฮ่องเต้น้อยให้
เขามาดูแลการก่อตั้งค่ายกิเลนดำ เพราะหวังว่าจะมี
กองกำลังที่ฮ่องเต้สามารถสั่งโยกย้ายได้ด้วยตัวเอง ใน
สถานการณ์ตอนนี้ การใช้ชื่อของจิ่นอีโหวที่เป็น
ตระกูลขุนพลอับดับหนึ่งมาทำงานให้ มันดีที่สุดแล้ว
บางครั้งฮ่องเต้พูดมาคำเดียวก็คือหนึ่งความหมาย ซึ่ง
มันก็เพียงพอที่จะให้ใครเจริญรุ่งเรืองหรือล่มจมได้
ตอนนี้ถึงแม้ฮ่องเต้น้อยจะยังไม่มีอำนาจในการ
ตัดสินใจเด็ดขาด แต่ว่าความคิดของเขา มันคือการให้
โอกาสฉีหนิงได้เข้าไปยังฝ่ายทหารอย่างจริงๆ จังๆ
เพื่อสร้างรากฐานไว้ในราชสำนัก
ฉีหนิงรู้อยู่แล้วว่า ไม่ว่าเขาจะฝึกทหารได้หรือไม่นั้นไม่
เป็นไร เพราะพวกต้วนชางไห่นั้นเป็นคนเก่าแก่ของ
ค่ายกิเลนดำพวกเขาสามารถฝึกได้อย่างแน่นอน
สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการควบคุมกอง
กำลังของเขาอย่าให้หลุดมือไปได้
ต้วนชางไห่จงรักภักดีต่อฉีหนิงมาก การที่ยก
ภาระหน้าที่ของค่ายกิเลนดำให้คนอย่างเขา ไม่เพียง
ทำให้พวกเขาซาบซึง้ ใจต่อตัวเขาเอง แต่ยังสามารถ
ควบคุมค่ายกิเลนดำไว้ในมือของตัวเองได้อีกด้วย
ในสายตาของต้วนชางไห่ การที่โหวน้อยของพวกเขา
สามารถชิงหน้าที่การก่อตั้งค่ายกิเลนดำมาไว้ในมือได้
นั่นเป็นผลงานที่ใหญ่มากแล้ว แต่ว่าโหวน้อยก็ยังเป็น
หนุ่ม อีกทั้งยังไม่เคยอยู่ในค่ายทหารจริงแม้แต่ครึ่งวัน
เลย เพราะการฝึกทหารมันยากลำบากมาก ไม่ใช่สัก
แต่แค่พูดหรือสั่ง ดังนั้นเดิมทีพวกเขาก็รู้สึกกลัว กังวล
ว่าฉีหนิงจะไม่มั่นคง ทนความลำบากไม่ไหว บางคน
ลึกๆ แล้วก็มีคำพูดที่อยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดหรือ
แสดงออกมา
แต่ว่าในคราวนี้ฉีหนิงกลับยกหน้าที่ของค่ายกิเลนดำ
เหล่านี้ไว้ในมือของต้วนชางไห่ ทำให้พวกเขารู้สึก
ตกใจมาก อีกทั้งยังนับถือหัวจิตหัวใจของฉีหนิงด้วย
เช้าวันที่เก้านับจากวันปีใหม่มา ก็มีคนส่งเทียบเชิญมา
เมื่อฉีหนิงเปิดออกอ่าน ถึงได้รู้ว่าจั่วชิงหยางให้คนส่ง
เทียบเชิญมาให้เขาไปเข้าร่วมงานชุมนุมวิชาการจิงหัว
ฉีหนิงถึงได้เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า คืนวันสิบห้าค่ำ ยังมี
งานวิชาการอีกงานหนึ่งด้วย
ในเทียบเชิญถึงแม้จั่วชิงหยางจะให้คนส่งมาให้ แต่ว่า
มันไม่ใช่หนังสือจากจั่วชิงหยาง แต่มันเป็นเทียบเชิญ
ที่เป็นประทับตราของกรมพิธีการ ฉีหนิงเลยรู้ว่า จั่ว
ชิงหยางคงให้คนไปแจ้งทางกรมพิธีการให้ออกเทียบ
เชิญมาให้โดยตรง
ฉีหนิงรู้มาจากเสี่ยวเหยาแล้วว่า งานชุมนุมวิชาการจิง
หัวจัดขึ้นปีละครั้ง โดยจะจัดในวันคืนสิบห้าค่ำเดือน
หนึ่งซึ่งตรงกับวันเทศกาลหยวนเซียว ซึ่งมีแปด
วิทยาลัยใหญ่บวกกับวิทยาลัยฉงหลิน รวมเป็นเก้า
วิทยาลัยใหญ่มาแข่งศิลปวิชาการกัน ถือว่าเป็นงาน
ใหญ่มากในเมืองหลวง
ในหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้วิทยาลัยฉงหลินจะเข้า
ร่วมงานชุมนุมวิชาการจิงหัว แต่ก็เหมือนคนที่แค่
มาร่วมเข้าชมเท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนที่ร่วม
แข่งขันกันจริงๆ คือแปดวิทยาลัยใหญ่ พวกเขาต่าง
เห็นว่างานชุมนุมงานวิชาการจิงหัวนั้นเป็นงานที่
สำคัญมาก
หากได้อันดับหนึ่งมาครอง ไม่เพียงจะได้ชื่อเสียง แต่
ยังได้รับตัวอักษรลายพระหัตถ์ขององค์ฮ่องเต้อีกด้วย
อีกทั้งทางราชสำนักอาจจะมีการคัดเลือกคนที่มี
ความรู้ความสามารถเข้ารับราชการอีกด้วย
ฉีหนิงไม่ได้สนใจการแข่งขันศิลปวิชาการพวกนี้อะไร
มากนัก เพียงแต่ว่าเขาได้เดิมพันกับเจียงซุยอวิ๋น
เอาไว้ในงานชุมนุมวิชาการครั้งนี้
ตอนนั้นฉีหนิงบอกว่าไม่มีปีกก็สามารถลอยขึ้นไปบน
ท้องฟ้าได้ เจียงซุยอวิ๋นก็เลยจับเอาประเด็นนี้ เดิมพัน
กับฉีหนิง เขาบอกให้เวลาฉีหนิงสองเดือน แล้วให้มา
ตัดสินกันในงานครั้งนี้
เดิมฉีหนิงคิดว่าเป็นการแข่งขันภายในวิทยาลัยฉง
หลินเท่านั้น ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า การแข่งขันวิทยาลัย ก็
คือเก้าวิทยาลัยใหญ่เข้าร่วมงานของชุมนุมวิชาการจิง
หัว
งานชุมนุมวิชาการจิงหัวมีบัณฑิตมากมายเข้าร่วมงาน
จำนวนคนที่มาร่วมงานมีมากถึงหนึ่งพันคน เจียง
ซุยอวิ๋นตั้งใจเลือกวันนี้ ก็เพื่อให้เขาขายหน้าต่อคนอื่น
งานชุมนุมวิชาการจิงหัวในครั้งนี้ ได้จัดตั้งขึ้นที่
วิทยาลัยหลงฉือ
ฉีหนิงเจียดเวลาไปเยี่ยมเสี่ยวเหยา ช่วงนี้เสี่ยวเหยา
กำลังเตรียมตัวเพื่อการแข่งในงานชุมนุมวิชาการครั้ง
นี้ ฉีหนิงได้ข้อมูลมาจากเสี่ยวเหยาว่า ในบรรดาเก้า
วิทยาลัยใหญ่ วิทยาลัยหลงฉือมีชื่อเสียงรองมาจาก
วิทยาลัยอวิ๋นซาน
วิทยาลัยอวิ๋นซานเป็นวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในเมือง
หลวง งานชุมนุมวิชาการเมื่อหลายปีก่อน
วิทยาลัยอวิ๋นซานได้อันดับหนึ่งมาตลอด ขุนนาง
หลายคนก็จบการศึกษามาจากวิทยาลัยนี้ แต่ว่าเมื่อปี
ก่อนจู่ๆวิทยาลัยหลงฉือก็ได้รับชัยชนะขึ้นมา ได้
อันดับหนึ่งต่อเนื่องมาถึงสามปีติด ทำให้ชื่อเสียงของ
พวกเขากว้างขวางมากขึ้น ขุนนางที่มาจากวิทยาลัย
หลงฉือเองก็เพิ่มมากขึ้น ซึ่งขุนนางจากทั้งสอง
วิทยาลัยนั้นก็ไม่ถูกกันแต่อย่างใด
ตามหลักแล้ว หากเพื่อความยุติธรรม งานชุมนุม
วิชาการจิงหัวก็ควรจะเวียนกันจัดในเก้าวิทยาลัยใหญ่
เพียงแต่ว่างานชุมนุมวิชาการจิงหัวไม่เพียงมีนักเรียน
นักศึกษาของวิทยาลัยเท่านั้นที่มาร่วมงาน แต่ยังมี
เหล่าบัณฑิตมาชมการแข่งขันครั้งนี้ด้วย หากภายใน
วิทยาลัยเล็กเกินไป ทำให้ไม่สามารถรองรับคนได้มาก
ขนาดนั้น ในเก้าวิทยาลัย มีเพียงวิทยาลัยอวิ๋นซานกับ
วิทยาลัยหลงฉือเท่านั้นที่มีลานกว้างสามารถรองรับ
คนได้มากขนาดนั้น ดังนั้น งานชุมนุมวิชาการจิงหัวก็
จะเวียนจัดกันแค่สองวิทยาลัยนี้เท่านั้น
วิทยาลัยต่างๆ ที่เข้าร่วมการแข่งขัน เป้าหมายของ
พวกเขาคืออันดับหนึ่ง เพราะเมื่อได้อันดับหนึ่งมา
ตามหลักแล้ว ราชสำนักก็จะคัดเลือกขุนนางจาก
วิทยาลัยนั้น อีกทั้งยังทำให้ราชสำนักเห็นความสำคัญ
มากขึ้นด้วย
สถานการณ์แบบนี้นั้นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่ก็ใช่
ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตั้งแต่ก่อตั้งงานชุมนุม
วิชาการจิงหัวจนถึงวันนี้ มีถึงแปดเก้าคนที่มาจาก
วิทยาลัยที่ไม่ได้อันดับหนึ่ง แต่ว่ากลับมีความสามารถ
โดดเด่น และถูกราชสำนักเลือกเข้าไปทำงาน
บัณฑิตที่เดินทางมาเพื่อชมการแข่งขันก็มีไม่น้อย
เพราะงานจัดขึ้นที่วิทยาลัยหลงฉือ ดังนั้นยังไม่ถึงวัน
ขึ้นสิบห้าค่ำ โรงเตี๊ยมรอบๆ ของวิทยาลัยหลงฉือต่าง
ถูกจองไว้หมดแล้ว พอตกดึก การค้าริมแม่น้ำฉินไหว
ก็คึกคักขึ้นมา
ใกล้ๆ ของวิทยาลัยฉงหลินนั้นเป็นเส้นทางที่สามารถ
ตรงไปยังวิทยาลัยหลงฉือได้ ซึ่งคนที่เดินทางไปมาต่าง
เป็นคนที่มคี วามรู้ความสามารถ บางคนมาค้าง
ล่วงหน้าหลายวัน บางคนใกล้ๆ วันถึงค่อยมา บางคน
ก็ได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน บางคนก็ได้
เจอเพื่อนใหม่ ทุกคนต่างพูดคุยสนทนาเรื่องโคลง
กลอน วิจารณ์ภาพวาดอย่างสนุกสนาน
คืนสิบห้าค่ำมาถึงจนได้ ฟ้าเริ่มสว่าง โรงเตี๊ยมรอบๆ
วิทยาลัยหลงฉือไฟสว่างไปทั่ว เหล่าบัณฑิตต่างลุกขึ้น
ตื่นกันตั้งแต่เช้า ทุกคนต่างเดินทางเข้าไปยังวิทยาลัย
หลงฉือ แถวหน้าประตูทางเข้าวิทยาลัยหลงฉือยาว
มาก ซึ่งหลายคนก็เป็นแขกประจำของการแข่งขันใน
ครั้งนี้ ซึ่งรู้กฎเกณฑ์ของที่นี่เป็นอย่างดี
วิทยาลัยหลงฉือในฐานะวิทยาลัยอันดับสอง ขนาด
ของวิทยาลัยนั้นไม่เล็กเลย อีกทั้งในการจัดการงาน
ชุมนุมวิชาการจิงหัวในครั้งนี้ วิทยาลัยหลงฉือเองก็
ลงทุนลงแรงไปไม่น้อย การแข่งขันถูกจัดขึ้นทางด้าน
ตะวันออกของวิทยาลัย สถานที่ตรงส่วนนี้กว้างมาก
สามารถรองรับคนได้มากถึงหนึ่งพันแปดร้อยคนได้
แบบไม่อึดอัด รอบๆ มีภูเขาจำลองลูกหนึ่ง ด้านหลังมี
สวนป่าไผ่ล้อม บรรยากาศก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่
คนที่มาชมการแข่งขันในครั้งนี้ต่างรู้ดีว่า หากสามารถ
อยู่ด้านหน้าได้ หรือเข้าไปในวิทยาลัยเป็นคนแรกๆ ก็
จะได้เปรียบ
ฉีหนิงได้แจ้งทางวิทยาลัยฉงหลินไปแล้วว่า ให้ไปเจอ
กันที่วิทยาลัยหลงฉือเลย เมื่อเขามาถึงที่วิทยาลัยหลง
ฉือ ประตูของวิทยาลัยก็ได้เปิดออกแล้ว คนที่มาเข้า
แถวค่อยๆ ทยอยกันเข้าไปภายในวิทยาลัยทีละคน
แถวเคลื่อนไปเรื่อยๆ ก็ถือว่าไม่ช้า
คนที่มาเข้าแถวมีอยู่แค่หกสิบเจ็ดสิบคนเท่านั้น อีกทั้ง
แถวก็ไหลไปเร็วมาก หลังจากทีฉีหนิงผูกม้าเรียบร้อย
แล้ว เขาก็ไม่ได้รีบเข้าไปด้านใน เขาเดินไปเข้าแถว
พอมาถึงหน้าประตูวิทยาลัย ก็เห็นมีคนสามคนนั่งอยู่
หลังเก้าอี้ยาวแถวหนึ่ง ด้านข้างมีกล่องไม้กล่องใหญ่
พร้อมกับกระดาษ เขาเห็นคนที่เข้าแถวมาก่อนเดิน
เข้าไปก็จะหยอดเงินเข้าไปในกล่อง จากนั้นก็จะหยิบ
กระดาษเข้าไปด้วย เขาก็รู้สึกแปลกใจ เมื่อมาถึงเขา
ฉีหนิงแทบจะไม่ได้ไปสนใจเลย เขากำลังจะเดินเข้าไป
ก็มีคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า “กลับมาก่อน ทำ
อะไรน่ะ? ไม่รู้ระเบียบเลยหรือ?”
“ระเบียบหรือ?” ฉีหนิงมองไปที่กล่องไม้ สายตาของ
เขาจ้องไป มีแต่เศษเงิน เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้า
คงไม่ได้หมายความว่า จะเข้าไปในนี้ต้องเสียเงินหรอก
ใช่กระมัง?”
“เหลวไหล” คนที่นั่งอยู่จ้องหน้าเขา “เสียเงินอะไร
กัน นี่เป็นการบริจาคค่าที่ เจ้าจะเข้าไปในวิทยาลัย
เจ้าไม่ต้องการป้ายหรืออย่างไร? ไม่คิดจะกินข้าวเที่ยง
ด้วยเลยหรือ?” เขายื่นมือไปหยิบกระดาษในมือของ
คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้านบนมีเขียนตัวเลขหกเจ็ดเก้า
แล้วพูดกับฉีหนิงว่า “นี่เป็นป้ายหมายเลข เจ้าจะเอา
หรือไม่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 323 แปดวิทยาลัยใหญ่
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากข้าไม่เอา ข้าจะเข้า
ไปเลยได้ใช่หรือไม่?”
คนผู้นั้นยังไม่ได้พูดอะไร คนด้านหลังจึงพูดเร่งเร้า
“เจ้าไม่เอาข้าเอา งานชุมนุมวิชาการจิงหัว เป็นงาน
ใหญ่ของต้าฉู่ของพวกเรา ไม่ใช่ว่าใครจะเข้าไปได้นะ”
เขาเดินเอาเงินใส่ไปในกล่องไม้ จากนั้นก็ยื่นมือไป
หยิบป้ายหมายเลข แล้วเดินเข้าไปในวิทยาลัย
ฉีหนิงอดไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า “ข้าว่าเศษเงินพวกนี้น้อย
สุดก็น่าจะมีสักสองตำลึง อาหารเที่ยงในวิทยาลัยเป็น
อาหารทะเลชุดใหญ่หรือ?”
“เจ้านี่ช่างพูดมากเสียจริง” คนที่โต๊ะเริ่มโมโห “ที่นี่มี
หมายเลขทั้งหมดเจ็ดร้อยหมายเลย ถ้าหมดแล้ว ต่อ
ให้เจ้าเอาเงินมากองเท่าภูเขาก็เข้าไปไม่ได้” เขาโบก
มือแล้วพูดว่า “เจ้าหลบไปเลย อย่ามาขวางทางคน
อื่น”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งพูด
ขึ้นมาว่า “เอ๊ะ โหวเยว่ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
คนผู้หนึ่งเดินมาจากด้านข้าง ฉีหนิงเงยหน้าไปมอง
เมื่อเห็นชัด เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายหยวนมาเช้า
เลยนะ” คนที่มานั่นก็คือคุณชายหยวนหรงแห่งจวน
ท่านเสนาบดีกรมพิธีการนั่นเอง
ช่วงนี้ฉีหนิงยุ่งมาก จนแทบไม่ได้เจอหยวนหรงเลย
หลังจากสามคนนั้นเห็นหยวนหรงเดินมา ก็รีบลุกขึ้น
ยืน รีบยกมือคำนับแล้วพูดว่า “คุณชายหยวน”
หยวนหยงเป็นคนฉลาด เขามองไปที่ฉีหนิงที่กำลังยืน
อยู่ด้านข้าง ก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “พวกเจ้าขวางไม่ให้โหวเยว่เข้าไปด้านใน
อย่างนั้นหรือ?”
“โหวเยว่...” ไม่เพียงแค่สามคนนั้น คนด้านหลังที่ยัง
ไม่ได้เข้าไปในวิทยาลัยเองก็ต่างตะลึงไป
หยวนหรงพูดว่า “พวกเจ้ามีตาแต่หามีแววไม่ นี่คือ
ท่านจิ่นอีโหว พวกเจ้ากล้าขวางท่านอย่างนี้ได้
อย่างไร?” เขาเดินไปดึงแขนของฉีหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า
“เข้าไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน แต่ละคนยืนตะลึงอยู่กับที่
“ท่านปลอมตัวออกมาสำรวจโลกหรืออย่างไร?” เมื่อ
เข้ามาภายในวิทยาลัย หยวนหรงเดินไปอย่างชำนาญ
ทาง เหมือนกับว่าเขารู้ทุกซอกทุกมุมของวิทยาลัย
หลงฉือ เขามองไปที่ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เหตุใดท่าน
ถึงได้มีอารมณ์มาร่วมงานชุมนุมวิชาการแบบนี้ด้วย?”
ที่ฉีหนิงมาในวันนี้ เขาไม่ได้สวมชุดหรูหราอะไร เขา
มาในฐานะตัวแทนของวิทยาลัยฉงหลิน ดังนั้นเขาจึง
ใส่เสื้อผ้าสบายๆ เขาไม่ตอบ แต่ถามย้อนกลับไปว่า
“เจ้าเห็นกล่องไม้นั่นหรือไม่?”
“ท่านหมายถึงกล่องบริจาคที่นั่งน่ะหรือ?” หยวนหยง
ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อก่อนท่านไม่เคยมางานแบบนี้ ไม่รู้
ก็ไม่แปลก การบริจาคค่าที่นั่งแบบนั้นมันมีมาหลายปี
แล้ว”
“เป็นวิทยาลัยสอนหนังสือแท้ๆ แต่เข้ามาด้านในยัง
ต้องเสียเงินอีก เจ้าไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือ?” ฉีหนิง
ถาม
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาจจะไม่รู้ ช่วงท้าย
ของงานชุมนุมในแต่ละปี ทางแปดวิทยาลัยใหญ่จะ
ออกโจทย์มาทีละสามข้อเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้อยู่ใน
วิทยาลัยพวกนี้ ใครก็ตามที่สามารถตอบโจทย์ของ
วิทยาลัยนั้นๆ ได้ ก็จะสามารถเข้าวิยาลัยไปได้ทันที
ข้อดีในการเข้ามาเป็นหนึ่งในแปดวิทยาลัยใหญ่ ท่าน
ก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือ?”
ฉีหนิงส่ายหน้า หยวนหรงพูดว่า “เมื่อสามารถเข้ามา
เป็นส่วนหนึ่งของแปดวิทยาลัยใหญ่ ก็จะมีโอกาสเข้า
ร่วมการแข่งขันงานชุมนุมวิชาการจิงหัว ขอแค่มี
ความสามารถโดดเด่น ก็จะสามารถเข้าเป็นขุนนางได้
เลย นอกจากนี้ แปดวิทยาลัยใหญ่จะมีการสอบครั้ง
ใหญ่ในทุกๆ สามปี มีทางกรมพิธีการเป็นคนจัดการ
ในเรื่องนี้ จากนั้นก็จะคัดเลือกเอาคนที่มี
ความสามารถส่วนหนึ่งมาอยู่ในรายชื่อสำรองเรียกใช้
ของราชสำนัก ท้ายที่สุดทุกคนก็จะได้ราชการหมด
นักเรียนจากแปดวิทยาลัยใหญ่ ต่างได้รับการคัดเลือก
มาที่ต่างๆ ในแต่ละปีมีจำนวนที่จำกัด การจะเข้าแปด
วิทยาลัยใหญ่ได้นั้น มันยากยิ่งกว่ายากเสียอีก ในงาน
ชุมนุมวิชาการจิงหัวนั้น แปดวิทยาลัยรวมกันแล้วก็จะ
มียี่สิบสี่คนเท่านั้นทีส่ ามารถเข้าไปเป็นหนึ่งในแปด
วิทยาลัยใหญ่ได้ เจ้าว่าคนพวกนั้นจะไม่แย่งกันหรือ?”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจขึ้นมา
ที่แท้ที่คนพวกนี้กระตือรือร้นที่จะมา ไม่ใช่เพราะ
อยากจะมาดูการแข่งขัน แต่อยากจะแย่งชิงการเข้าไป
เป็นหนึ่งในคนของแปดวิทยาลัยใหญ่
คิดว่านี่น่าจะเป็นวิธีการเพิ่มอิทธิพลของทั้งแปด
วิทยาลัยใหญ่
“เข้ามาที่นี่ต้องเสียเงินซื้อป้ายลำดับ หากเป็นคนมี
ความสามารถ แต่ไม่มีเงิน ไม่เสียโอกาสไปหรือ
อย่างไร?”
หยวนหรงถอนหายใจแล้วพูดว่า “มันก็จนปัญญา
หากเป็นคนที่มีความสามารถจริง ทางท้องถิ่นจะทำ
การเสนอชื่อไปให้กับทางแปดวิทยาลัยเอง ท่านเองก็
เห็นไม่ใช่หรือ ถึงแม้วิทยาลัยหลงฉือจะไม่เล็ก รองรับ
คนก็ได้มาก แต่คนที่สามารถเข้ามาได้จริงๆ หากไม่มี
กฎแบบนั้น วิทยาลัยคงแตก”
ฉีหนิงก็ไม่ได้ไปเถียงอะไรในเรื่องนี้อีก เขาถามว่า
“แปดวิทยาลัยใหญ่...เอ่อ คนของเก้าวิทยาลัยมาถึง
หรือยังนะ?”
“เก้าวิทยาลัยใหญ่?” หยวนหรงตะลึงไป จากนั้นก็ยิ้ม
แล้วพูดว่า “ท่านหมายถึงวิทยาลัยฉงหลินหรือ?”
“ถูกต้อง แปดวิทยาลัยใหญ่บวกกับวิทยาลัยฉงหลิน
ก็เป็นเก้าวิทยาลัยไม่ใช่หรือไง”
หยวนหรงหัวเราะร่าจากนั้นก็พูดว่า “วิทยาลัยฉง
หลินมาร่วมสนุกเพียงเท่านั้น ท่านอาจารย์จั่วชิงหยาง
เป็นนักปราชญ์อันดับหนึ่งของแคว้น งานชุมนุม
วิชาการจิงหัวเชิญวิทยาลัยฉงหลินมาด้วย ก็เห็นแก่
หน้าของท่านอาจารย์จั่วแค่นั้นแหละ”
“ถ้าอย่างนั้น ทางวิทยาลัยฉงหลินก็ไม่มีนักเรียนที่มี
ความสามารถเลยหรืออย่างไร?” ฉีหนิงเดินเอามือไขว้
หลังเอาไว้ แล้วย้อนถามกลับไป
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้ารู้จักวิทยาลัย
ฉงหลิน ท่านก็น่าจะรู้วิทยาลัยฉงหลินมีแต่ผู้หญิง ใน
มือของพวกนางหากจับเข็มเย็บผ้า ปักผ้าอะไรพวกนี้ก็
พอได้ ท่านให้พวกนางถือพู่กัน คิดว่าพวกนางจะ
เขียนบทความอะไรออกมาได้จริงหรือ? บนแม่น้ำฉิน
ไหวมีผู้หญิงฉลาดมีความสามารถมากมาย หากไม่
ท่องกลอนชมวิวก็ชมจันทร์ก็มีอยู่เท่านี้” ระหว่างที่
เขาพูด มีหลายคำที่ดูถูกผู้หญิงไม่น้อยเลย
เมื่อฉีหนิงได้ยินเขาพูดถึงแม่น้ำฉินไหว ทำให้เขานึกถึง
จั่วเซียนเอ๋อร์ขึ้นมา ก็ไม่รู้ผู้หญิงที่น่าหลงใหลคนนั้น
จะกลับมาที่เรือแล้วหรือยัง แต่ว่าน้ำเสียงของหยวน
หรงมันมีความหมายดูถูกอยู่ ฉีหนิงรู้ว่าเขาเป็นคน
จริงใจ ก็เหมือนที่จั่วชิงหยางเคยพูดกับเขา ถึงแม้
วิทยาลัยฉงหลินเปิดมาแล้วหลายปี แต่ว่าจนถึงตอนนี้
ยังไม่ถูกยอมรับในหมู่บัณฑิต
ระหว่างที่พวกเขาคุยกัน ก็เดินมาถึงเรือนด้าน
ตะวันออกของวิทยาลัยหลงฉือ เมื่อเข้ามาในเรือน ฉี
หนิงถึงได้รู้ว่างานชุมนุมวิชาการจิงหัวจัดขึ้นที่นี่
ภายในเรือนแห่งนี้กว้างขวางมาก เหมือนกับเป็นลาน
กว้างๆ ภายในมีจัดโต๊ะเก้าอี้เอาไว้ ทางด้านใต้มีโต๊ะ
ยาวและเก้าอี้วางอยู่ บนโต๊ะมีการปูผ้า หลังโต๊ะมี
เก้าอี้ห้าตัว
ฉีหนิงรู้ทันทีว่านั่นน่าจะเป็นที่นั่งของเหล่ากรรมการ
และประธาน
ด้านข้างเก้าอี้ทำมุมเก้าสิบองศาในแต่ละมุม มีเก้าอี้
เล็กวางอยู่สี่ตัว ด้านหลังเองก็มีเบาะวางอยู่อีกเก้าตัว
ไม่ต้องให้หยวนหรงอธิบาย ฉีหนิงก็รู้ทันทีว่านั่นน่าจะ
เป็นที่นั่งของแปดวิทยาลัย แต่ว่าเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใด
ถึงมีเก้าอี้แค่เก้าตัว
หยวนหรงเห็นสีหน้าฉีหนิงมีความสงสัย เขาเลยยิ้ม
แล้วอธิบายว่า “วิทยาลัยอันดับหนึ่งอย่าง
วิทยาลัยอวิ๋นซานมีคนรวมแล้วกว่าสามร้อยคน
วิทยาลัยที่คนน้อยสุดอย่างวิทยาลัยไป่เหมินก็มีคน
มากถึงแปดสิบคน หากคนในวิทยาลัยเหล่านี้มากัน
หมด วิทยาลัยหลงฉือนี่คงรองรับไม่ไหว” เขาหยุดไป
ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ในแต่ละวิทยาลัย จะทำการ
คัดเลือกนักเรียนที่ร้ายกาจที่สุดมาเข้าร่วมงานนี้แปด
คน เก้าอี้ด้านหน้านั่นเป็นเก้าอี้ของครูใหญ่ของ
วิทยาลัย”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ
นอกจากเก้าอี้ด้านข้างประธานจำนวนด้านละสี่ตัว
แล้ว ตรงข้ามที่ของประธาน ยังมีเก้าอี้อีกหนึ่งตัว ที่
ด้านหลังมีเบาะทรงกลมวางอีกเก้าตัวเหมือนกัน ฉี
หนิงคิด เขาเดาว่าน่าจะเป็นที่ของวิทยาลัยฉงหลิน
ครั้งนี้จั่วชิงหยางให้เขามาเข้าร่วมด้วย เบาะตรงนั้นก็
น่าจะเป็นที่นั่งของเขา ในบรรดาเบาะด้านหลังนั่น ก็
น่าจะมีที่นั่งของเขาอยู่
บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยที่นั่ง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้
ดูรก บัณฑิตที่เข้ามาก่อน ก็นั่งตามลำดับหมายเลขที่
นั่งของตัวเอง ทุกคนนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะที่นั่ง ถึงแม้
คนจะเยอะมาก แต่ว่าเมื่อเข้ามายังภายในวิทยาลัย
หลงฉือแล้ว ทุกคนก็เคารพกฎเหมือนๆ กัน ไม่เอะอะ
โวยวายอะไร
เป้าหมายที่คนพวกนี้มา ก็เพื่อชิงที่นั่งเข้าไปเป็นหนึ่ง
ในแปดวิทยาลัย ดังนั้นพวกเขาก็จะพยายามแสดง
ความสุขุมของพวกเขาออกมา
นอกจากบัณฑิตเจ็ดร้อยคนแล้ว ทางผู้จัดงานยังจัดที่
นั่งเผื่อเอาไว้อีกสามสิบที่นั่ง ซึ่งอยู่ตรงด้านหลังของ
วิทยาลัยตัวเอง ซึ่งเป็นเบาะนั่งทั้งแผง ฉีหนิงมองดู
เขาคิดว่าอีกเดี๋ยวเขาคงต้องนั่งอยู่ด้านหลังของจั่วชิงห
ยาง แสดงว่าเขาจะต้องอยู่ท่ามกลางเหล่าสาวๆ เขา
จะต้องเป็นที่สะดุดตาแน่นอน ไม่รู้ถึงเวลานั้นเขาจะ
เขินอายแค่ไหน
ในตอนนีเ้ อง ก็ได้ยินมีคนตะโกนขึ้นมาว่า “วิทยาลัย
ซื่อหมิงมาถึงแล้ว”
ฉีหนิงหันมองไปตามเสียง เห็นว่าไม่ไกลจากที่เขายืน
อยู่มีกลุ่มคณะสวมชุดเสื้อแขนยาวเดินมาทางนี้ คน
หน้าสุดนั้นถือไม้สีขาวท่อนหนึ่ง ด้านบนแขวนป้ายสี
เหลือง ที่เขียนคำว่า “วิทยาลัยซื่อหมิง” ตัวอักษร
ด้านบนที่เขียนไว้รามกับมังกร ดูมีพลังมาก คนที่ถือ
ป้าย เดินนำคนจากวิทยาลัยซื่อหมิงราวสามสี่สิบคน
เดินเข้ามาด้านในอย่างเป็นระเบียบ
ฉีหนิงมอง แล้วก็หลุดขำออกมา เขาแอบคิดในใจว่า
เหมือนการนำขบวนนักกีฬาในงานโอลิมปิกอย่างไร
อย่างนั้น
หลังจากที่วิทยาลัยซื่อหมิงเข้าประจำที่ของตัวเองแล้ว
ชายคนหนึ่งอายุราวหกสิบปีก็เดินมานั่งอยู่ที่เก้าอี้ โดย
มีเหล่าลูกศิษย์แปดคนแบ่งออกเป็นสองแถว ส่วนคน
ที่เหลือก็นั่งลงบนเบาะที่นั่ง เหมือนเป็นกองกำลัง
เสริม ส่วนป้าย “วิทยาลัยซื่อหมิงนั้น ก็ตั้งตรงอยู่
ด้านข้าง”
หลังจาที่คนของวิทยาลัยซื่อหมิงเข้านั่งประจำที่แล้ว
เหล่าบัณฑิตก็ต้องจ้องมองไปที่กลุ่มคนเหล่านั้นด้วย
ความอิจฉา
การเข้าหนึ่งในแปดวิทยาลัยได้ นั่นหมายถึงการได้เข้า
เป็นขุนนางราชสำนัก เพราะอยู่ในเมืองหลวง โอกาส
มันมีมากกว่าบัณฑิตที่อยู่นอกเมือง ใครอยู่ใกล้ยอด
หอคอยมากที่สุดคนนั้นก็จะได้เห็นพระจันทร์ได้ชัด
ที่สุด ทุกคนรู้เหตุผลนี้ดี
ถึงแม้หยวนหรงจะเป็นคุณชายของจวนท่านเสนาบดี
กรมพิธีการ แต่วันนี้เขามาในฐานะแขกผู้ชม แต่ว่าคน
ฐานะอย่างเขา ทางวิทยาลัยเองก็ได้จัดที่นั่งพิเศษ
เอาไว้ ซึ่งอยู่ด้านหลังที่ประธาน ซึ่งมีอยู่ประมาณ
สามสิบที่นั่ง หยวนหรงไม่ได้เจอฉีหนิงมาพักหนึ่งแล้ว
เลยไม่รู้ว่าฉีหนิงได้ถูกทาบทามให้เป็นอาจารย์ที่
วิทยาลัยฉงหลิน คิดว่าฉีหนิงแค่นึกสนุกอยากมา
ร่วมงานเท่านั้น เดิมคิดจะพาฉีหนิงไปนั่ง แต่ฉีหนิง
ส่ายหน้า แล้วบอกให้หยวนหรงไปก่อนได้เลย ไม่ได้
บอกความจริงกับเขาในทันที
ภายหลังเหล่าวิทยาลัยใหญ่ต่างทยอยกันเข้ามา เมื่อ
แปดวิทยาลัยเข้ามานั่งในที่ของตัวเองแล้ว ฉีหนิงยืน
อยู่หน้าประตูถึงเห็นเหล่าแม่นางของวิทยาลัยฉงหลิน
เดินมา
แต่ว่าเขาไม่เห็นจั่วชิงหยาง แต่คนที่อยู่หน้าสุดนั้นคือ
เจียงซุยอวิ๋น ซึ่งถือป้ายของวิทยาลัยมา แต่เขาไม่ได้
ยกมันขึ้น เมื่อเห็นฉีหนิง เขาก็ขมวดคิ้ว แต่ว่าก็ยังเดิน
เข้ามาหา แล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ฉี”
วันนี้คืองานชุมนุมวิชาการ เจียงซุยอวิ๋นเลยเรียกเขา
ว่าอาจารย์แทน
ฉีหนิงไม่เห็นจั่วชิงหยาง เขาก็พูดอย่างแปลกใจว่า
“ท่านอาจารย์จั่วไปไหนแล้ว?”
เจียงซุยอวิ๋นนำป้ายของวิทยาลัยในมือยื่นมาให้แล้ว
พูดว่า “ท่านอาจารย์สั่งไว้ว่า วันนี้ทางวิทยาลัยฉง
หลิน ให้ท่านเป็นผู้นำ” แม่นางในวิทยาลัยฉงหลินต่าง
มองมาที่ฉีหนิง สีหน้าท่าทางของพวกนางดูแปลกใจ
มาก พวกนางทั้งรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกสงสัย รู้สึกนับถือ
แล้วก็รู้สึกกลัว
“อะไรนะ?” ฉีหนิงสะดุ้ง “เจ้าหมายความว่า
อย่างไร?”
เจียงซุยอวิ๋นพูดว่า “ท่านอาจารย์ยกหน้าที่ในวันนี้ให้
ท่าน ท่านต้องเป็นผู้นำในการแข่งขันกับแปดวิทยาลัย
ทุกอย่างให้ท่านเป็นคนวางแผนจัดการ” จากนั้นเขา
ยื่นป้ายวิทยาลัยไปให้ เหมือนกับการถือป้ายนี้ไว้ใน
มือเขา เป็นเรื่องที่นา่ อายสำหรับเขามาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 324 หัวหน้าของเหล่าสาวงาม
ฉีหนิงไม่ได้รีบร้อนที่จะรับมันมา เขาถามว่า “ที่เจ้ามา
ในวันนี้ก็มาเป็นตัวแทนของวิทยาลัยฉงหลินหรือ?”
“อาจารย์มีบุญคุณกับข้า งานชุมนุมในวันนี้ ข้าต้อง
พยายามอย่างเต็มที่” เจียงซุยอวิ๋นพูดด้วยสีหน้าที่
จริงจัง
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ในเมื่อเจ้ามาใน
ฐานะตัวแทนของวิทยาลัยฉงหลิน ป้ายนี้ เจ้าก็ยกมัน
ไว้ แล้วนำทุกคนเข้าไป ข้าเห็นว่าที่นี่ก็ไม่ได้กำหนดให้
ครูใหญ่ของวิทยาลัยเป็นคนนำไม่ใช่หรือ”
“เจ้าให้ข้ายกป้าย?” เจียงซุยอวิ๋ยอึ้งไป เขาส่ายหน้า
แล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อยกป้ายนะ อีกทั้ง...
ท่านเองก็ไม่ใช่ครูใหญ่ด้วย”
“เมื่อครู่เจ้าก็บอกเองนี่นา ว่าอาจารย์จั่วให้ข้าเป็นคน
วางแผนจัดการในวันนี้ คำพูดของข้าก็คือคำพูดของ
ท่านอาจารย์ ในเมื่อเจ้าเคารพอาจารย์มาก คำสั่งของ
เขา เจ้าจะไม่ฟังเลยหรือ” ฉีหนิงมองไปที่ด้านในงาน
เห็นคนด้านในยังคงสงบอยู่ แต่ก็มีหลายคนที่มอง
มาแล้ว เขาพูดเสียงเข้มว่า “ทุกคนกำลังรออยู่ อย่า
เสียเวลาอีกเลย”
เจียงซุยอวิ๋นขมวดคิ้ว จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ต้องขออภัย หากท่านยังยืนยันแบบนี้ ข้าก็ขอถอน
ตัวจากงานในวันนี้ คงไม่สามารถออกไปในฐานะ
ตัวแทนของวิทยาลัยฉงหลินได้อีก”
เมื่อพูดออกมาแบบนี้ เหล่าสาวๆ ก็หน้าถอดสี ไม่รู้
ควรจะทำอย่างไร
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าจะ
ออกกลางคันแบบนี้หรือ?”
“ถูกต้อง” เจียงซุยอวิ๋นเอาป้ายยื่นให้แม่นางคนที่อยู่
ด้านหลัง “ท่านอาจารย์ให้ข้าพาพวกนางมาส่งให้ ข้า
ก็ได้ทำตามที่ท่านไหว้วานแล้ว แต่ไม่ได้สั่งให้ข้ายก
ป้ายนำขบวนเข้าไป”
เจียงซุยอวิ๋นคงรู้สึกว่าการยกป้ายนำขบวนเข้าไป
พร้อมกับมีผู้หญิงตามนั้นเป็นเรื่องที่น่าอายมาก
เขารู้ว่าเหล่าบัณฑิตมีอคติต่อวิทยาลัยฉงหลิน เดิมที
เขาก็ผยองกับการเป็นศิษย์ของจั่วชิงหยางอยู่ แต่ว่า
ภายในใจของเขาก็ไม่ได้อยากจะยุ่งเกี่ยวกับวิทยาลัย
ผู้หญิงที่จั่วชิงหยางสร้างขึ้นมา หากวันนี้ไม่ใช่เพราะ
จั่วชิงหยางสั่งให้เขาพาพวกนางมา แล้วเขาอยู่ข้างๆ
จั่วชิงหยางเขายังพอรับได้ แต่ว่าตอนนี้จั่วชิงหยางก็
ไม่ได้อยู่ที่นี่ ฉีหนิงยังจะให้เขายกป้ายนำทางเข้าไปอีก
หลังจากที่เขาคิดดูแล้ว เขารู้สึกว่าเขารับไม่ได้
“คุณชายเจียง ท่าน...ท่านจะไม่อยู่กับพวกเราหรือ?”
ซูจื่อเซวียนได้ยินว่าเจียงซุยอวิ๋นจะถอนตัว สีหน้าก็
เปลี่ยนไป
เจียงซุยอวิ๋นพูดว่า “มีท่านอาจารย์ฉีอยู่ ก็เพียงพอ
แล้ว ไม่ต้องมีข้าหรอก” น้ำเสียงของเขาไม่พอใจเป็น
อย่างมาก
เขาตั้งใจทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเขามีปัญหากับฉีหนิงเลย
ต้องถอนตัว
เพียงแต่ว่าฉีหนิงนั้นก็ดูออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “คุณชายเจียง ท่านแน่ใจนะว่าท่านจะไม่
ขอเกี่ยวข้องกับวิทยาลัยฉงหลินอีก?”
เจียงซุยอวิ๋นไม่ตอบ
ซูจื่อเซวียนกัดฟัน แล้วพูดว่า “คุณชายเจียง ข้าเป็น
คนยกป้ายเอง ท่าน....ท่านอยู่ต่อได้หรือไม่?”
เจียงซุยอวิ๋นตะลึงไป แอบด่าในใจว่าผู้หญิงคนนี้ยุ่ง
จริงๆ ซูจื่อเซวียนกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังช่วยแก้ไข
ปัญหาให้เจียงซุยอวิ๋นอยู่ นางยื่นมือไปหยิบป้ายมา
แต่ว่ากลับถูกแย่งไป คนที่แย่งไปคือฉีหนิง ฉีหนิง
เหลือบไปมองซูจื่อเซวียนแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าทำ
แบบนี้แล้วจะทำให้คุณชายเจียงพอใจได้หรือ? เฮ้อ
ข้าจะไม่พูดหรอกนะว่าเจ้าโง่แค่ไหน เจ้าคิดว่าป้ายนี้
ใครจะเป็นคนยกก็ได้หรือ? ไม่คิดเลยว่าตัวเองมีสิทธิ
หรือไม่”
เขาเห็นว่าคนด้านในกำลังรออยู่ ก็ไม่ให้เสียเวลา เขา
หันไปยิ้มให้กับเจียงซุยอวิ๋น แล้วพูดว่า “คุณชายเจียง
อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน วิทยาลัยฉงหลินของพวกเราก็
คงไม่ต้องรบกวนท่านอีกแล้วนะ จริงสิ อย่าลืมเรื่องที่
พวกเราเดิมพันกันในวันนี้นะ” เขาไม่พูดอะไรมากอีก
ยกป้ายแล้วพูดว่า “สาวๆ ตามข้ามา”
ทุกคนภายในงานต่างเห็นชัด มีผู้ชายคนหนึ่งยกป้าย
ชื่อของ “วิทยาลัยฉงหลิน” นำเหล่าแม่นางอีกสิบกว่า
คนเข้ามาในงาน
เดิมวิทยาลัยฉงหลินก็เป็นส่วนหนึ่งของงานนี้อยู่แล้ว
หลายปีที่ผ่านมาเมื่อเหล่าแม่นางเดินเข้ามาในงาน ต่อ
ให้สุขุมแค่ไหน พวกเขาก็จะมีมองไปบ้าง
แต่ว่าครั้งนี้คนที่ถือป้ายเข้ามานั้นเป็นผูช้ ายคนหนึ่งทำ
ให้พวกเขารู้สึกสนใจมากขึ้น
เดิมทีหยวนหรงยังนั่งหัวเราะอยู่กับอีกสองคนข้างๆ
เมื่อได้ยินว่า “วิทยาลัยฉงหลินมาถึงแล้ว” เขาก็เงย
หน้าขึ้นมามอง จากนั้นไม่นานก็เห็นฉีหนิงถือป้ายนำ
ขบวนเข้ามาภายในงาน สายตาของเขาแทบจะถลน
ออกมาจากเบ้าตา เขาลุกขึ้นยืน แล้วยืนอึ้งอยู่อย่าง
นั้น
เดิมภายในงานนั้นสงบมาก พอฉีหนิงเดินถือป้ายเข้า
มา ทำให้ภายในเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ คนที่
อยู่ในงานต่างเอียงหัวซุบซิบกันใหญ่
แต่ว่าฉีหนิงยังนิ่งอยู่ เขาพาแม่นางทั้งหลายเข้า
ประจำที่ จากนั้นก็ปักป้ายเอาไว้ด้านข้าง แล้วถามว่า
“ท่านอาจารย์ได้เลือกนักเรียนที่จะเข้าร่วมแข่งขัน
เอาไว้แล้วใช่หรือไม่? แปดคนที่จะเข้าแข่ง มีใคร
บ้าง?”
จากนั้นก็มีแปดคนที่เดินออกมาจากกลุ่ม ซึ่งหนึ่งใน
นั้นมีเสี่ยวเหยาด้วย เพียงแต่ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่า
ซูจื่อเซวียนจะอยู่ในนั้นด้วย
เขารู้สึกแปลกใจ แอบคิดในใจว่าในเมื่อเป็นการ
แข่งขัน จั่วชิงหยางจะต้องคัดเลือกนักเรียนที่มี
ความสามารถที่สุดออกมา เสี่ยวเหยาเขาคิดไว้อยู่แล้ว
แต่ว่าซูจื่อเซวียนเองก็ติดด้วย เขาแปลกใจมากจริงๆ
แอบคิดในใจว่าจั่วชิงหยางคงไม่ได้เห็นแก่หน้าของซู
เจินหรอกกระมัง? แต่ด้วยนิสัยของจั่วชิงหยาง ก็ไม่
น่าจะเห็นแก่หน้าใคร ถึงแม้เขาจะไม่ชอบนิสัยของ
ซูจื่อเซวียน แต่ว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะมีความรู้
ความสามารถจริงๆ ก็ได้
เจียงซุยอวิ๋นถอนตัว ซูจื่อเซวียนรู้สึกจิตตกมาก
หลังจากแม่นางทั้งแปดคนนั่งประจำที่แล้ว คนอื่นก็
นั่งลงตาม
เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เข้าร่วมงาน ทุกคนต่างรู้กฎ
เป็นอย่างดี เมื่อวิทยาลัยฉงหลินกับวิทยาลัยอื่นมากัน
ครบแล้ว จากนั้นก็ได้ยินเสียงระฆังดังขึ้น ทั่วทั้งงาน
เงียบลง ฉีหนิงนั่งอยู่ด้านหน้าสุด ก่อนหน้านี้เขายังคิด
อยู่ว่าเขาอยู่ท่ามกลางสาวๆ แล้ว เขาจะรู้สึกเขินอาย
หรือไม่ แต่ตอนนี้เขานั่งอยู่ในฐานะอาจารย์ใหญ่ของ
วิทยาลัย เขากลับไม่รู้สึกเขินอายเลย
ทันใดนั้นเองมีชายแก่คนหนึ่งยืนขึ้นมาจากทาง
ด้านขวาของโต๊ะยาว ด้านข้างปักป้ายของ “วิทยาลัย
หลงฉือ” เอาไว้ ซึ่งเป็นฝ่ายจัดงานในวันนี้
ชายแก่คนนั้นน่าจะเป็นอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยหลง
ฉือ เพื่อให้แน่ใจ ก็เลยหันไปถาม เขาถึงได้รู้ว่าชายแก่
คนนั้นคือเสวียตันชิงอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยหลงฉือ
เสวียตันชิงเดินมากลางลานแข่งขัน แล้วมองไปรอบๆ
จากนั้นก็พูดด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “ทุกท่าน ครั้งนี้ก็
เป็นอีกครั้งของงานชุมนุมวิชาการจิงหัว หรือก็คืองาน
วิชาการใหญ่ของพวกเรา ที่บัณฑิตทั้งหลายมารวมตัว
กัน ทุกคนก็รู้ดี เนื้อหาของงานชุมนุมของพวกเรา มี
วิทยาลัยใหญ่ในเมืองหลวงมาร่วมงาน เพื่อให้ทุกคน
ได้แสดงศักยภาพของตัวเองออกมา ถึงได้ตกลงใช้
วิธีการนี้ขึ้น”
เสวียตันชิงเป็นอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยหลงฉือ
วิทยาลัยหลงฉือเป็นรองแค่วิทยาลัยอวิ๋นซานเท่านั้น
อีกทั้งหลายปีมานี้วิทยาลัยหลงฉือก็ได้มีชื่อเสียงขึ้นมา
เท่าเทียมกับวิทยาลัยอวิ๋นซาน ซึ่งชื่อเสียงของพวก
เขานั้นก็ไม่ได้ด้อยกว่าวิทยาลัยอวิ๋นซานเลย
สำหรับแปดวิทยาลัยแล้ว พวกเขาไม่ได้เป็นแค่
ตัวแทนของวิทยาลัย แต่มันยังเกี่ยวข้องกับทางราช
สำนักด้วย
แปดวิทยาลัย มีศิษย์ที่เป็นขุนนางราชสำนักไม่น้อย
เลย ดังนั้นในฐานะอาจารย์ใหญ่ของทางวิทยาลัยหลง
ฉือ เสวียตันชิงเองก็ยังเป็นถึงหลางจงเจียของกรมพิธี
การด้วย
เวลาที่เขาพูด จึงไม่มีใครกล้าส่งเสียง
ถึงแม้เสียงของเขาจะไม่ได้ดังมาก แต่มันก็กระจาย
ออกไปได้ไกลมาก ทำให้ทุกคนได้ยินอยู่อย่างชัดเจน
และเข้าใจ
“หลายปีที่ผ่านมา การแข่งขันโคลงกลอน ก็เพื่อเพิ่ม
อรรถรส ไม่ใช่เพื่อการเอาชนะ อีกทั้งจะไม่ทำให้ต้อง
ผิดใจกัน” เสวียตันชิงพูดต่อไปว่า “รายละเอียดการ
แข่งขันในครั้งนี้ แบ่งเป็นห้าช่วง โดยจะทำการแข่ง
ดนตรีก่อน จากนั้นเป็นการเดินหมากรุก ต่อไปเป็น
โคลงกลอน จากนั้นเป็นการวาดภาพ หลังจากรู้ผลแพ้
ชนะกันแล้ว ในช่วงที่ห้า ก็เป็นการให้เหล่าบัณฑิตเข้า
ร่วมการแข่ง ทางแปดวิทยาลัยได้เตรียมหัวข้อเอาไว้
แล้ววิทยาลัยละสามข้อ ใครสามารถแย่งตอบได้ก่อน
ก็จะได้เข้าในวิทยาลัยนั้น ค่าใช้จ่ายสามปีที่อยู่ใน
วิทยาลัย ทางวิทยาลัยจะเป็นคนออกทั้งหมด”
เมื่อพูดเงื่อนไขออก ภายในงานส่งเสียงร้องตะโกน
ด้วยความดีใจ
เสวียตันชิงยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง
จากนั้นเขาก็ประกาศชื่อของวิทยาลัยทั้งเก้าแห่ง ทุก
ครั้งที่ประกาศรายชื่อไป ศิษย์ที่นั่งอยู่ในหลังอาจารย์
ใหญ่ทั้งแปดคนก็จะออกมาคำนับหนึ่งที
วิทยาลัยฉงหลินถูกประกาศรายชื่อท้ายสุด ฉีหนิงทำ
เป็นไม่รู้อะไร ลุกขึ้นมา สาวด้านหลังทั้งแปดคนก็ลุก
ตามขึ้นมา ฉีหนิงยกมือคำนับ สาวๆ ทั้งแปดถอน
สายบัว จากนั้นก็มีคนหัวเราะ แล้วก็มีคนตะโกน
ออกมาว่า “ท่านผู้นี้มีความชอบที่แปลกนะ ข้าว่าท่าน
ก็ควรจะเอาแป้งมาแต่งหน้าบ้างแล้วล่ะ จะได้ไม่ดูโดด
เด่นจนเกินไป”
เมื่อพูดออกมาแบบนี้ ทั่วทั้งงานก็หัวเราะ
สาวๆ หลายคนของวิทยาลัยฉงหลินเคยเข้าร่วมงานนี้
มาแล้ว ก่อนหน้านี้เคยสัมผัสสายตาแปลกประหลาด
ของคนในงานมาแล้ว แต่เพราะจั่วชิงหยางอยู่ในงาน
ด้วย ก็เลยไม่มีใครกล้าพูดอะไรเหลวไหล
แต่ว่าวันนี้กลับมีคนดูถูกซึ่งหน้า ในใจก็นึกโมโห มี
นักเรียนสาวคนหนึ่ง คิดว่าจะเกิดในตระกูลขุนนาง
เหมือนกับซูจื่อเซวียน อารมณ์ของนางก็ไม่เบา นาง
มองไปที่คนๆ นั้นแล้วตะโกนไปว่า “ใครกันพูดจาไม่
น่ามีแต่เรื่องเน่าๆ? หากกล้าก็ออกมาพูดตรงหน้าสิ”
ในกลุ่มคนตรงนั้นก็มีคนผิวปาก แต่ไม่มีคนออกมา
ยอมรับ รอบๆ มีแต่คน ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนพูด
เสวียตันชิงพูดเสียงเข้มว่า “ที่นี่เป็นสถานศึกษา จะ
มาพูดจาแบบนี้ได้อย่างไรกัน?” จากนั้นเขาก็หันไป
มองทางวิทยาลัยฉงหลิน แล้วพูดว่า “เป็นผู้หญิง ทำ
อะไรก็ควรระวังหน่อย จะมาร้องตะโกนแบบนี้ได้
อย่างไรกัน ไม่มีมารยาทเลย?”
ฉีหนิงยกมือขึ้น บอกให้แม่นางที่อยู่ด้านหลังไม่ต้องไป
เถียงด้วย ในใจก็แอบขำ แอบคิดในใจว่าบัณฑิตพวกนี้
มีอคติจริงๆ ด้วย ทั้งๆ ที่เห็นว่ามีคนด่าว่าวิทยาลัยฉง
หลินก่อน แต่ว่าเสวียตันชิงไม่แยกแยะถูกผิด กลับ
โทษว่าเป็นความผิดของวิทยาลัยฉงหลิน มันน่า
รังเกียจจริงๆ
เขาหยุดไป จากนั้นก็ยกมือขึ้นคำนับยิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านเสวียพูดถูกแล้ว สถานที่ศึกษา หากมีคนพูดจา
น่ารังเกียจ หากถูกข้าจับได้ ข้าจะไม่มีทางปล่อยเขา
ไปแน่นอน” เขามองไปรอบๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “พวก
ท่านต่อว่าข้า ข้าเป็นคนหน้าหนา ก็แค่ยิ้ม ไม่ถือสา
อะไรพวกท่านหรอกนะ แต่ว่าหากมีคนพูดจาว่าร้าย
หรือทำร้ายจิตใจนักเรียนของวิทยาลัยฉงหลิน ข้าจะ
ให้เขาคลานออกมาตรงนี้ ให้เขาไม่มีหน้าไปพบใคร
อีก”
พอฉีหนิงพูดจบ ก็มีเสียงลอยมาจากกลุ่มคนว่า “มี
ผู้หญิงอยู่เยอะเท่าไหร่ ก็มีเรื่องมากเท่านั้น ผู้ชายมา
นำกลุ่มผู้หญิงแบบนี้ หึ แย่ชะมัด...”
คำพูดนี้ถือว่าเสียมารยาทมาก ซึ่งตามหลังฉีหนิงมา
มันหมายถึงว่ากำลังท้าทายฉีหนิงอยู่
ฉีหนิงยิ้ม แล้วยื่นมือไปหยิบถ้วยน้ำชามา จากนั้นก็
ขว้างไป ถ้วยชาลอยออกไปอย่างกับดาวตก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 325 กรรมการ
ฉีหนิงตวัดมือคราหนึ่ง ถ้วยชาก็พลันลอยออกไป
หลายคนยังมองไม่ทันเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แก้วลอยไป
เหมือนกับดาวตก จากนั้นก็ได้ยินเสียง “โอ้ย” ถ้วยชา
ลอยไปโดนผู้ชมที่นั่งอยู่คนหนึ่ง
ถ้วยไปโดนสันจมูกของเขา เลือดของเขาไหลออกมา
จากจมูก คนข้างๆ รีบพยุงเขาเอาไว้ จากนั้นก็มีคนลุก
ขึ้นมาตะคอกว่า “ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?
สถานศึกษาที่มีแต่คนสุภาพ เหตุใดถึงได้โอหังแบบ
นี้?”
ตอนนี้คนในงานเริ่มมีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง
อาจารย์ของแปดวิทยาลัย ตอนนี้มีแต่คนที่ไม่พอใจ
เสวียตันชิงขมวดคิ้ว แล้วจ้องไปที่ฉีหนิง แล้วถามว่า
“วิทยาลัยฉงหลินของท่านอาจารย์จั่ว มีมารยาทมา
ตลอด เหตุใดถึงได้ลงมือทำร้ายคนต่อหน้าคนอื่นแบบ
นี้?”
“ท่านเสวีย เมื่อครู่ข้าบอกไปแล้วว่า หากล้อเล่นกับ
ข้า ข้าเป็นคนใจกว้าง แค่ยิ้มแล้วก็จบไป แต่หาก
พูดจาดูถูกนักเรียนของข้า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้อง
พูดกันอีก” ฉีหนิงพูดว่า “พวกท่านฟังไม่ออกเลยหรือ
ว่าเขาพูดจาน่ารังเกียจแค่ไหน แต่ข้าฟังได้ยินชัดเจน
เลยนะ”
“เจ้า...เจ้าใส่ร้ายข้า” คนที่บาดเจ็บเดินปิดจมูกมา
เขาพูดอย่างโมโหว่า “ข้าไม่ได้พูด”
“ทุกคนได้ยินแล้วใช่หรือไม่?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“น้ำเสียงจะไปปิดบังได้อย่างไร มันแก้ไขไม่ได้หรอก
นะ เมื่อครู่คนที่พูดจาน่ารังเกียจนั่นเหมือนกับเจ้าไม่มี
ผิด หากเจ้าปฏิเสธ งานชุมนุมวันนี้คงต้องพอแค่นี้
พวกเราคงต้องไปที่อำเภอกันก่อน เรื่องนี้ต้องพูดกัน
ให้ชัดเจนก่อน ไม่เพียงต้องสืบสาวราวเรื่องว่าเหตุใด
เจ้าถึงต้องพูดจาแบบนั้นออกมา อีกทั้งยังต้องให้เจ้า
สารภาพมาด้วยว่ามีใครบงการอยู่เบื้องหลังของเจ้า
อีกหรือไม่”
“บงการ?” คนๆ นั้นรีบพูดว่า “ไม่มี...ไม่มีใครสั่งข้า
ข้า...” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงก็หยุดไป
ทุกคนจับจ้องไปที่เขา คนผู้นั้นหลุดออกมา ทำให้อาย
มาก เขาก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดอะไรต่อ
ฉีหนิงยิ้มแล้วหันไปพูดกับเสวียตันชิงว่า “ท่านเสวีย
ที่นี่คือวิทยาลัยหลงฉือของท่าน สิ่งที่เขาพูด ท่านเองก็
ได้ยิน ท่านจะให้คนแบบนี้อยู่ที่แบบนี้ต่อไปหรือไม่ ก็
อยู่ที่ท่านแล้ว ที่นี่คือสถานศึกษา คนผู้นี้พูดจาน่า
รังเกียจ หากให้เขาอยู่ต่อไป เกรงว่าเหล่าบัณฑิตคงไม่
สบายใจ”
ถึงแม้เหล่าบัณฑิตที่อยู่ในงานจะไม่ค่อยพอใจ
วิทยาลัยฉงหลินที่มีแต่ผู้หญิง แต่ว่าการพูดจาแบบนี้
ท่ามกลางคนหมู่มาก มันก็เกินไป หลายคนก็เลยเริ่ม
ไม่เข้าข้างคนผู้นั้นแล้ว
เสวียตันชิงสีหน้าเริ่มแย่ลง เขาพูดเสียงเข้มว่า “พาตัว
เขาออกไป ตั้งแต่นี้ต่อไป ห้ามเขาเข้ามายังวิทยาลัย
หลงฉืออีกเป็นอันขาด”
ไม่นานนักก็มีนักเรียนของวิทยาลัยหลงฉือเดินมา
แล้วลากคนผู้นั้นออกไป
นักเรียนหญิงของวิทยาลัยฉงหลินรู้สึกตะลึงไป พวก
นางมองไปที่ฉีหนิง เหมือนจะรู้สึกเคารพยำเกรงมาก
ขึ้น
หลังจากที่คนผู้นั้นถูกลากตัวออกไป ภายในงานก็เริ่ม
สงบลงอีกครั้ง เสวียตันชิงพูดต่อไปอีกว่า “งานในครั้ง
นี้ พวกเรายังคงเชิญนักปราชญ์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ
ทางมาด้วยกันทั้งหมดห้าท่าน” จากนั้นเขาก็ประกาศ
เสียงดังขึ้นว่า “ทั้งห้าท่านที่พวกเราเชิญมาในครั้งนี้
ได้แก่ท่านหยวนหนิงเยียนเสนาบดีกรมพิธีการ ท่านซี
เหมินเสินโหวจากจวนเสินโหว อู๋ซานเต๋าจากซีหนิง
เฉินซีชางจากหุ๋ยอี๋ และ...อาจารย์จั่วชิงหยาง”
เสวียตันชิงพูดชื่อแต่ละคนออกมา คนรอบๆ ก็ต่างโห่
ร้องด้วยความดีใจ
งานชุมนุมจิงหัว ในแต่ละครั้งจะมีการเชิญนักปราชญ์
ผู้เชี่ยวชาญมาเป็นกรรมการ แต่ว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมี
เสนาบดีกรมพิธีการอยู่ด้วย
กรมพิธีการดูแลเรื่องเอกสารโคลงกลอนทางการ งาน
ใหญ่แบบนี้ ทางกรมพิธีการต้องให้ความร่วมมืออยู่
แล้ว การจัดงานที่ผ่านมา เสนาบดีกรมพิธีการก็จะ
ได้รับเชิญมาร่วมอยู่แล้ว มันกลายเป็นธรรมเนียม
ปฏิบัติไปแล้ว หยวนหนิงเยียนเป็นเสนาบดีกรมพิธี
การมานานหลายปี หากไม่มีเหตุเร่งด่วนอะไร เขาก็
จะมาทุกครั้ง
แต่ว่าอีกสี่คนที่เหลือจะหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนกัน
ไปเรื่อยๆ
ซีเหมินเสินโหวถึงแม้จะเป็นหัวหน้าของจวนเสินโหว
แต่เขาเป็นหนึ่งในศิลปินของศิลปะสี่แขนงที่เชี่ยวชาญ
ด้านภาพ ในสายนี้เขาก็มีชื่อเสียงพอตัว แต่ว่าเขาไม่
เคยมาร่วมงานแบบนี้เลย ในครั้งนี้พอทุกคนได้ยินว่าซี
เหมินเสินโหวมาร่วมเป็นกรรมการด้วย ทุกคนต่างก็
โห่ร้องดีใจมาก
งานชุมนุมวิชาการในแต่ละปี การแข่งขันศิลปะ
วิชาการทั้งสี่แขนง การหาผู้ชนะ มักจะมีการโต้เถียง
กันเกิดขึ้น แต่วันนี้พอได้ยินชื่อของซีเหมินเสินโหว
ทุกคนก็รู้สึกว่า อย่างน้อยในส่วนของภาพวาด มีซีเมิน
เสินโหวอยู่ คงไม่มีการโต้เถียงแน่นอน การตัดสินแพ้
ชนะไม่มีใครสงสัยแน่
ส่วนอู๋ซานเต๋ากับเฉินซีชาง ฉีหนิงไม่เคยได้ยินชื่อมา
ก่อน แต่ว่าคนในงานต่างโห่ร้อง แสดงว่าเขาก็น่าจะมี
ชื่อเสียงไม่น้อย และน่าจะไม่ใช่คนธรรมดา
พอประกาศชื่อคนสุดท้ายว่า “จั่วชิงหยาง” เสียง
เหมือนจะเบาลง เพราะทุกคนต่างตกใจ ทุกคนต่าง
มองหน้ากัน เหมือนจะตะลึงกันไปหมด
จั่วชิงหยางเป็นนักปราชญ์แห่งต้าฉู่ ในงานวิชาการ
แบบนี้ฐานะของเขาไม่มีข้อสงสัยใด ขอแค่เป็นคนที่
เรียนหนังสือ เมื่อได้ยินชื่อของจั่วชิงหยาง มีแต่ความ
น่าเกรงขาม
จั่วชิงหยางมาเป็นกรรมการในงานวิชาการแบบนี้
ตามหลักแล้ว ทุกคนต่างก็ต้องคาดหวัง เพราะไม่มี
ใครเหมาะสมมากไปกว่าเขาแล้ว
แต่ว่าในฐานะอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยฉงหลิน การที่
จั่วชิงหยางไปโผล่เป็นกรรมการนั้น ทำให้ทุกคนรู้สึก
ว่ามันไม่เหมาะสม ถึงแม้จะไม่มีใครสงสัยในตัวของจั่ว
ชิงหยาง แต่ว่าวิทยาลัยฉงหลินจั่วชิงหยางเป็นคน
สร้างขึ้นมา หากจะบอกว่าจั่วชิงหยางจะไม่ลำเอียง
กับวิทยาลัยฉงหลินเลย คงไม่มีใครเชื่อ
ฉีหนิงเห็นจั่วชิงหยางไปโผล่เป็นกรรมการ เขาก็ตกใจ
เช่นกัน แอบคิดในใจว่าตาเฒ่านี้ล้อเล่นหรือเปล่า ทิ้ง
วิทยาลัยฉงหลินไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่วิ่งไปเป็น
กรรมการเช่นนี้หรือ
มีคนอดไม่ได้ที่จะกระซิบวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่
ในตอนนี้เอง กรรมการทั้งห้าคนก็ปรากฏตัวขึ้น
เสนาบดีกรมพิธีการหยวนหนิงเยียนนั่งตรงกลาง ซีเห
มินอู๋เหิงกับจั่วชิงหยางนั่งคะนาบข้าง อู๋ซานเต๋า
กับเฉินซีชางถึงแม้จะมีชื่อเสียงเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อ
เทียบกับอีกสามคน ก็ต้องนั่งถัดออกไป
เมื่อกรรมการทั้งห้ามาถึง เหล่าวิทยาลัยกับศิษย์ก็ลุก
คนคำนับ ทั้งห้าคน จากนั้นทั้งห้าคนก็คำนับตอบ
หลังจากนั่งประจำที่แล้ว เสวียตันชิงก็พูดว่า “ทุกท่าน
คงรู้กฎของงานชุมนุมในครั้งนี้แล้ว ข้าจะขอพูดซ้ำอีก
ครั้ง ทุกวิทยาลัย จะร่วมกันแข่งศิลปะวิชาการทั้งสี่
แขนง ทุกแขนงจะมีกรรมการทั้งห้าท่านเป็นผู้ให้
คะแนน สิบคะแนนถือว่าสูงสุด คะแนนเต็มคือห้าสิบ
คะแนน...”
เขาพูดยังไม่จบ ก็ได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้นมา “ช้า
ก่อน”
เสวียตันชิงหันหน้ากลับไป เห็นจั่วชิงหยางลุกขึ้นมา
ทุกคนต่างมองไป จั่วชิงหยางพูดว่า “ในครั้งนี้เดิมข้า
ควรจะพาวิทยาลัยฉงหลินมาร่วมการแข่งขัน แต่ว่าได้
รับคำเชิญของท่านเสนาบดีหยวน...” พูดถึงตรงนี้ เขา
ก็หันไปยกมือคำนับให้กับหยวนหนิงเยียน หยวนหนิง
เยียนรีบคำนับตอบ จั่วชิงหยางถึงได้พูดต่อว่า “ท่าน
เสนาบดียืนยันที่จะให้ข้ามาร่วมเป็นกรรมการให้ได้
ข้าคิดดูแล้ว ข้าเองก็อายุมากแล้ว มีชีวิตอยู่อีกได้ไม่
นานนัก ก็เลยตอบรับคำเชิญ มานั่งเป็นกรรมการอยู่
ตรงนี้”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า
ก่อนหน้านี้จั่วชิงหยางก็เคยมาเป็นกรรมการอยู่บ้าง
เขาเป็นคนยุติธรรม ดังนั้นมีเขาอยู่ในงานนี้ด้วย
ยุติธรรมตลอด ผลที่ออกมา ไม่เคยมีผู้ใดออกมา
คัดค้าน
เพียงแต่หลังจากที่วิทยาลัยฉงหลินเข้าร่วมงานชุมนุม
ด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา จั่วชิงหยางก็ไม่เคยเข้า
ร่วมเป็นกรรมการมานานหลายปีแล้ว หลังจากนั้น
เป็นต้นมา ทุกครั้งที่มีการแข่งขัน ก็จะมีการโต้เถียง
กันเกิดขึ้น
“แต่ว่าการร่วมเป็นกรรมการในครั้งนี้ ข้าจะไม่ทำการ
ลงคะแนน” จั่วชิงหยางพูดว่า “เรื่องนี้ข้าได้ทำการ
แจ้งต่อท่านเสนาบดีหยวนไว้แล้ว”
หยวนหนิงเยียนลุกขึ้นมา เขาอายุมากแล้ว เขากวัก
มือเรียกเสวียตันชิงมา เสวียตันชิงรีบเดินมาหาเขา
หยวนหนิงเยียนกระซิบกับเขาสองสามคำ เสวียตันชิง
ลังเลไป แล้วพูดว่า “ทุกท่าน กฎในปีนี้ เนื่องจาก
ข้อเสนอของท่านจั่ว เลยมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย”
เขากระแอมสองที แล้วพูดว่า “คะแนนในแต่ละรอบ
ท่านจั่วจะไม่ทำการลงคะแนน ทำให้คะแนนเต็มมี
ทั้งหมดสี่สิบคะแนน ใครได้คะแนนสูงสุด ก็ถือว่าเป็น
ฝ่ายชนะ แต่ว่าที่เหมือนเดิมก็คือ จะประกาศคะแนน
กันในรอบสุดท้าย ใครได้คะแนนสูงสุดก็จะเป็นผู้ชนะ
ได้อันดับหนึ่งไป”
ในเมื่อตั้งกฎมาแบบนี้ ทุกต่างต่างนับถือจั่วชิงหยาง
มากขึ้นไปอีก พวกเขาคิดในใจว่าการที่จั่วชิงหยางทำ
แบบนี้ ก็เพื่อเลี่ยงคำครหา
“ทุกท่าน ได้เวลาแล้ว พวกเราอย่าเสียเวลากันอีก
เลย” เสวียตันชิงพูดว่า “รอบแรกแข่งบรรเลงดนตรี
ทุกท่านก็ทราบดี แต่ละวิทยาลัย สามารถส่งคน
ออกมาบรรเลงบทเพลง เครื่องดนตรีสามารถเลือกได้
ทุกประเภท พวกเราจะทดสอบด้านความลึกซึ้งของ
ดนตรีที่บรรเลงออกมา” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ทาง
วิทยาลัยหลงฉือของพวกเรารับผิดชอบในการจัดงาน
ในครั้งนี้ ตามหลักแล้ว พวกเราต้องเป็นผู้เริ่มเปิดงาน
ฉะนั้นพวกเราจะส่งตัวแทนขึ้นแสดงก่อน” จากนั้น
เขาก็หันไปทางคณะกรรมการ เห็นหยวนหนิงเยียน
พยักหน้า เขาถึงได้หันไปกวักมือด้านทางที่นั่ง ไม่นาน
นัก ศิษย์หนึ่งในแปดคนของวิทยาลัยหลงฉือก็เดิน
ออกมา เขาอายุประมาณยี่สิบสามสิบปี หน้าตาดี เขา
เดินออกมายืนอยู่ตรงกลาง ยกมือขึ้นคำนับกรรมการ
ทั้งห้า และทุกคนรอบๆ
“ข้าน้อยเหลียงปอ ศิษย์ของวิทยาลัยหลงฉือ” เขาพูด
ว่า “ครั้งนี้ได้รับโอกาสได้เข้าร่วมแข่งขัน ก่อนอื่น
ข้าน้อยต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัย
หลงฉือท่านอาจารย์เสวีย...” พูดถึงตรงนี้ เขาก็หันไป
คำนับเสวียตันชิง เสวียตันชิงยกมือขึ้นยิ้มแล้วพยัก
หน้า จากนั้นเหลียงปอก็พูดต่อว่า “ข้าน้อยยังต้อง
ขอขอบคุณศิษย์พี่ศษิ ย์น้องทุกท่าน แต่คนที่ข้าน้อย
อยากขอบคุณมากที่สุดคือท่านแม่ของข้า ตอนข้า
เล็กๆ ที่บ้านยากจนมาก เพื่อให้ข้าได้เรียนหนังสือ
ท่านแม่ต้องลำบากมาก สุดท้ายต้องตาบอด...” พูดถึง
ตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็สะอื้น
บรรยากาศเริ่มเงียบ
เหลียงปอดวงตาแดงก่ำ แล้วพูดว่า “หลายวันก่อน
ข้าได้รับจดหมายจากทางบ้านเกิด พวกเขาบอกข้าว่า
ท่านแม่ป่วยหนัก แต่นางยังคงคิดถึงข้าอยู่ นางได้ฝาก
ให้คนเอาพุทราเชื่อมมาให้ข้า มันเป็นของที่ข้าชอบกิน
มากตอนเด็กๆ...” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยิบ
ผ้าเช็ดหน้าออกมา ด้านในห่อเศษพุทราเชื่อมแห้ง
เอาไว้ “ข้าเสียดายไม่กล้ากิน ความรักที่ท่านแม่มีให้
ข้า ข้าเก็บมันไว้ข้างกายเสมอ เมื่อเห็นพุทราเชื่อมนี้
ข้าก็รู้สึกได้ว่าท่านแม่อยู่ข้ากายข้า...” เมื่อพูดถึงตรงนี้
เขาก็สะอื้น แล้วพูดต่อว่า “บทเพลงในวันนี้ มันทำให้
ข้านึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา คิดถึงความลำบาก
ของท่านแม่ เลยตั้งใจแต่งมันขึ้นมา หวังว่าทุกท่าน
จะชื่ชอบ”
คนรอบๆ ต่างโห่ร้องให้กำลังใจออกมา เสียงของศิษย์
วิทยาลัยหลงฉือดังที่สุด เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเหลียง
ปอ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 326 พิณและขลุ่ยผสานกัน
เครื่องดนตรีของเหลียงปอคือขลุ่ยไม้ไผ่เรียบง่าย
หลังจากคนในงานเงียบลง เสียงขลุ่ยก็ดังขึ้น เสียง
ขลุ่ยใสมาก ฉีหนิงได้ยินเต็มสองหู เขารู้สึกว่ามัน
ไพเราะมาก
ท่ามกลางเสียงขลุ่ยที่กำลังบรรเลงอยู่ ทำให้ฉีหนิงนึก
ถึงอะไรบางอย่าง จั่วเซียนเอ๋อร์เชี่ยวชาญด้านพิณ
โบราณ หากจั่วเซียนเอ๋อร์อยู่ที่นี่ด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกัน
ว่าจะสามารถชิงอันดับที่เท่าไหร่กลับมาได้บ้าง
ถึงแม้เสียขลุ่ยของเหลียงปอจะไพเราะมาก แต่หาก
เทียบกับเสียงพิณของจั่วเซียนเอ๋อร์แล้ว มันยังเทียบ
ไม่ได้เลย
ก็ไม่ใช่ว่าพิณโบราณมันจะเหนือกว่าขลุ่ยหรอกนะ แต่
เป็นเพราะจั่วเซียนเอ๋อร์นั้นเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกับ
พิณ ทำให้สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกที่ออกมาจาพิณ
ได้ ทักษะการเป่าขลุ่ยของเหลียงปอถึงแม้จะยอด
เยี่ยม แต่ก็ยังไม่สามารถดึงดูดใจผู้ฟังได้ อีกทั้งยังไม่
สามารถทำให้สัมผัสความรู้สึกภายในจิตใจได้
เมื่อเสียงขลุ่ยเงียบลง เหลียงปอหันไปคำนับให้กับ
กรรมการและคนที่อยู่รอบๆ มีหลายคนที่โห่ร้องด้วย
ความยินดี
กรรมการทั้งห้าคนไม่พูดอะไร ในใจของพวกเขามี
ความเห็นอยู่แล้ว นอกจากจั่วชิงหยางแล้ว คนอื่นๆ ก็
ได้ทำการบันทึกคะแนนลงไปในสมุดของตนเอง
ต่อไปเป็นศิษย์ของวิทยาลัยอวิ๋นซาน เครื่องดนตรีของ
พวกเขาคือซอสองสาย
วิทยาลัยใหญ่ทั้งหลายทยอยกันออกมาแสดง
ความสามารถทางด้านดนตรี วิจารณ์จากใจ เหล่าวิยา
ลัยใหญ่คัดเลือกคนออกมา ล้วนแต่เป็นคนที่ชำนาญ
ในเครื่องดนตรีที่เล่นเป็นอย่างดี สามารถนำจุดเด่น
ของเครื่องดนตรีแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม อีก
ทั้งดนตรีที่บรรเลงออกมา หากไม่เร้าใจ ก็ผ่อนคลาย
หรือไม่ก็เศร้า ต่างมีเอกลักษณ์ของตัวเอง
แต่ว่านอกจากของวิทยาลัยฉงหลูแล้วที่ทำให้ฉีหนิง
เกิดความรู้สึกบางอย่าง เสียงดนตรีบรรเลงของคนอื่น
ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรขึ้นมาได้
แต่ว่าพอลองนึกดูดีๆ แล้ว เกิดสถานการณ์อย่างนี้
ขึ้นมาก็ไม่แปลก
การคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักของวิทยาลัยทั้งแปดนั้น
เข้มงวดมาก ไม่เพียงแค่เฉลียวฉลาดแต่ยังต้องเคารพ
ในกฎเกณฑ์ได้ แม้แต่ด้านอายุยังมีการจำกัด หากอายุ
มาก วิทยาลัยทั้งแปดก็แทบจะไม่รับเข้าเลย
ฉีหนิงเห็นศิษย์ของแปดวิทยาลัยที่มาเข้าร่วมแข่งขัน
อายุมากสุดก็ไม่เกินสามสิบปี ซึ่งชัดมากว่าวิทยาลัย
ทั้งแปดเน้นการปลุกปั้นชายหนุ่มที่อายุยังน้อยเป็น
หลัก
คนพวกนี้เล่าเรียนเขียนอ่านอย่างหนักมาตั้งแต่เด็ก
ได้อันดับและคะแนนที่ดีมาจากท้องที่ของตัวเอง
จากนั้นก็ได้รับการเสนอชื่อให้กับวิทยาลัยที่ใหญ่ขึ้น
จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับมาจนเข้ามาเป็นหนึ่งในแปด
วิทยาลัย ซึ่งอุปสรรคระหว่างทางต้องมีอยู่แล้ว แต่
การเรียนแต่สิ่งที่อยู่ในตำรา มันทำให้ประสบการณ์
ภายนอกนั้นน้อยลงไปตาม
นักเรียนประเภทนี้ ให้แสดงฝีมือด้านวิชาการน่าจะไม่
เลว แต่หากให้แสดงฝีมือด้านศิลปวิชาการสี่แขนง
อย่างดนตรี หมากรุก ตำรา การวาดภาพก็อาจจะทำ
ได้ แต่ไม่สามารถทำได้สร้างสรรค์หรือโดดเด่น ซึ่งมัน
ก็น่าแปลกมาก
เมื่อคนของแปดวิทยาลัยแสดงจนครบแล้ว ฉีหนิงก็
หันกลับไป ยิ้มแล้วถามว่า “ท่านอาจารย์ได้วางแผน
แล้วใช่หรือไม่ว่าจะให้ใครออกไปแข่ง?”
ผู้หญิงทั้งแปดคนมองหน้ากัน แต่ไม่พูดอะไร ฉีหนิง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หรือว่าท่านอาจารย์ไม่ได้เตรียม
ไว้?”
เสี่ยวเหยาพูดขึ้นมาว่า “ท่านอาจารย์จั่วบอกว่าให้
ท่านเป็นคนวางแผนทุกอย่าง พวกเราแค่ทำตามที่
ท่านบอกเท่านั้น ท่านวางแผนจัดการอย่างไร พวกเรา
ก็ทำตามนั้น”
ฉีหนิงถึงกับอ้ำอึ้งตะลึงไป เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่
จั่วชิงหยาง เห็นจั่วชิงหยางกำลังมองมาทางนี้ เขาลูบ
เครา ท่าทางของเขาดูนิ่งมาก
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าใครเก่งดนตรีที่สุด เสนอตัวมา
เลย” ฉีหนิงยิ้ม
ผู้หญิงคนหนึ่งอดไม่ได้พูดขึ้นมาว่า “ที่จริงแล้ว...
วิทยาลัยของพวกเราเรียนศาสตร์ด้านดนตรีน้อยมาก
อีกทั้ง...คนของแปดวิทยาลัยนั่นพวกเขาร้ายกาจใน
เรื่องของดนตรีมาก ต่อให้พวกเราขึ้นไปแข่งจริงๆ
พวกเราก็สู้พวกเขาไม่ได้หรอก”
“อ๋อ?”
“เจ้าเป็นอาจารย์ เก่งกว่าพวกเราอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
ซูจื่อเซวียนพูด “พวกเราสู้พวกเขาไม่ได้ เจ้ามี
ความสามารถ เช่นนั้นเจ้าก็ออกไปสู้ในฐานะตัวแทน
ของวิทยาลัยฉงหลินเสียสิ ท่านอาจารย์จั่วสั่งให้เจ้า
เป็นตัวแทนของวิทยาลัยของพวกเราไม่ใช่หรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ซูจื่อเซวียน สงสัยเจ้าจะไม่จำ
ชอบหาเรื่องข้ามากเลยใช่หรือไม่ หรือว่าเจ้าอยาก
ออกไป?”
“ข้า...” ซูจื่อเซวียนมองไปที่ฉีหนิง นางขบปากแล้ว
พูดว่า “ข้าไม่ไป”
“เจ้าอยากไปก็คงไม่ได้หรอก ความสามารถของเจ้า
ข้าว่าออกไปก็ขายหน้าวิทยาลัยฉงหลินของพวกเรา
มากกว่า” ฉีหนิงหัวเราะ แล้วถามเสี่ยวเหยาว่า
“เสี่ยวเหยา เจ้าดีดพิณเป็นหรือไม่?”
เสี่ยวเหยาส่ายหน้า หน้าของนางแดงเรื่อ จากนั้นก็พูด
ว่า “ข้า...ข้าเป่าเป็นแค่ขลุ่ย...”
ทันใดนั้นเองฉีหนิงก็เข้าใจขึ้นมาทันที การดีดพิณ
ไม่ใช่ว่าใครจะเรียนได้ อยากจะเรียนศาสตร์ด้าน
ดนตรี ก็ต้องมีอาจารย์เฉพาะทางมาชี้แนะให้
แม่ของเสี่ยวเหยาเคยอยู่บนแม่น้ำฉินไหวมาก่อน ซึ่ง
นางเองก็น่าจะเชี่ยวชาญด้านดนตรีอยู่แล้ว แต่ว่าจะ
เอาพิณมาสอนเสี่ยวเหยา คงไม่ง่าย เพราะราคาของ
มันก็ไม่ใช่ถูกๆ เลย อีกทั้งยังต้องบำรุงรักษาอีก ค่า
บำรุงในแต่ละปีก็เป็นเงินไม่น้อยเลย
แม่ของเสี่ยวเหยาต้องอยากสอนการดีดพิณให้นางอยู่
แล้ว แต่ว่าราคาของขลุ่ยมันถูกกว่ามาก เสี่ยวเหยา
เลยได้เรียนการเป่าขลุ่ยมาจากแม่ของนางแทน ก็ถือ
ว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ดี เสี่ยวเหยา ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็
น่าจะดูโน้ตเพลงเป็นใช่หรือไม่?”
เสี่ยวเหยาอึ้งไป จากนั้นก็พยักหน้า
ฉีหนิงมองไปที่เหล่าสาวๆ แล้วถามว่า “ในบรรดา
พวกเจ้ามีใครดีดพิณเป็นบ้างหรือไม่?”
หลายคนมองหน้ากัน จากนั้นก็มองไปยังซูจื่อเซวียน
ฉีหนิงมองไปที่ซูจื่อเซวียน แล้วถามว่า “พวกนางมอง
มาที่เจ้า หรือว่าเจ้าดีดพิณได้เก่งกาจมากเลยหรือ?”
ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ท่านอาจารย์ฉี การดีด
พิณของจื่อเซวียน เก่งที่สุดในบรรดาพวกเรา แม้แต่
อาจารย์จั่วยังชมนางไม่ขาดปากเลย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่”
ซูจื่อเซวียนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็
แล้วแต่เจ้า ข้าไม่ได้สนใจสักหน่อย”
“หากเจ้าดีดพิณเป็นจริงๆ แล้วดูโน้ตเพลงเป็น
หรือไม่?” ฉีหนิงควักกระดาษออกมาจากสาบเสื้อสอง
แผ่น แล้วยื่นให้ซูจื่อเซวียน นางกวาดสายตามองไป
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โน้ตเพลงง่ายแบบนี้ เหตุใดจะดู
ไม่เป็น?”
ฉีหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ซูจื่อเซวียน เสี่ยวเหยา
รอบนี้ ข้าจะส่งพวกเจ้าออกไป”
ซูจื่อเซวียนกับเสี่ยวเหยาอึ้งไป คิดไม่ถึงเลยว่าฉีหนิง
จะตัดสินใจแบบนี้
“ในเมื่อวิทยาลัยฉงหลินเข้าร่วมการแข่งขันด้วย พวก
เราก็ต้องชิงอันดับที่ดีที่สุดมาให้ได้” ฉีหนิงพูดด้วย
ท่าทีที่จริงจังว่า “พวกเจ้าเองก็เห็นแล้ว หลายคนดูถูก
วิทยาลัยฉงหลินของพวกเราแค่ไหน หากปีนี้พวกเรา
ยังเป็นเสมือนผู้ชมอยู่เหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้น
วิทยาลัยฉงหลินของพวกเราก็จะต้องอยู่ใต้การ
คุ้มครองของท่านอาจารย์จั่วอย่างนี้ตลอดไป หาก
ต้องการให้พวกเขาเคารพและยอมรับในตัวพวกเรา
พวกเราจะต้องแสดงความสามารถของพวกเราให้
พวกเขาได้รู้”
เหล่าสาวๆ มองหน้ากัน แล้วก็มองมาที่ฉีหนิง
“ซูจื่อเซวียน วันนี้ข้าให้เจ้าออกไป ข้าไม่สนใจหรอก
นะว่าเจ้าจะมีฐานะอะไร อีกทั้งข้าก็ไม่สนใจความแค้น
อะไรของพวกเราด้วย” ฉีหนิงจ้องไปที่ซูจื่อเซวียน
แล้วก็หันไปมองเสี่ยวเหยา “พวกเจ้าสองคนจำไว้ให้ดี
ครั้งนี้เจ้าทำเพื่อวิทยาลัยฉงหลินของพวกเรา แล้วก็
เพื่อศักดิ์ศรีของผู้หญิงด้วย” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้ว
ถามว่า “พวกเจ้ายินดีทำหรือไม่?”
ซูจื่อเซวียนขมวดคิ้ว แล้วมองหน้ากับเสี่ยวเหยา ทั้ง
สองคนเหมือนจะลังเล แต่เสี่ยวเหยากลับพยักหน้า
ก่อน แล้วพูดว่า “อาจารย์ให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะทำ
อย่างนั้น”
ซูจื่อเซวียนได้ยินเสี่ยวเหยาตกลงรับปาก ถึงแม้จะ
ลังเล แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็พยักหน้าตาม
“อย่างนั้นก็ดี โน้ตเพลงง่ายมาก พวกเจ้าลองดูกัน
ก่อน ข้าจะสั่งให้พวกเขาไปเตรียมเครื่องดนตรีมาให้”
ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “เพลงเพลงนี้ ต้องใช้พิณกับ
ขลุ่ยผสานกัน หากใจไม่รวมเป็นหนึ่ง ต่างคนต่างคิด
บทเพลงนี้ก็จะพังลงทันที แต่ว่าถึงเวลาพวกเจ้าฟัง
สัญญาณของข้าก็พอ คิดแต่เรื่องการบรรเลงเท่านั้น
คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร จำไว้ จะต้องให้พิณกับ
ขลุ่ยรวมกันเป็นหนึ่งให้ได้”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสวียตันชิงพูดขึ้นมาว่า
“วิทยาลัยทั้งแปดแห่งแสดงจบแล้ว วิทยาลัยฉงหลิน
หารือเรียบร้อยหรือยังว่าจะส่งใครออกมา?”
ฉีหนิงลุกขึ้นมา ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ท่านเสวีย
การแสดงดนตรีนี้ ออกไปแสดงได้เพียงคนเดียว
หรือ?”
เสวียตันชิงตะลึงไป จากนั้นก็ตอบว่า “ก็ทำกันแบบนี้
มาตลอด เพียงแต่ว่า...ก็ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีแค่
คนเดียว แค่บอกว่าต้องแสดงหนึ่งบทเพลง”
“ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า ถ้าข้าส่งออกไปสักสอง
สามคน ขอแค่บรรเลงออกมาได้หนึ่งบทเพลงได้ ก็สา
มาระเข้าแข่งได้ใช่หรือไม่?”
เสวียตันชิงครุ่นคิด แล้วหันไปพูดคุยกับทางกรรมการ
จากนั้นก็หันกลับมาตอบว่า “เจ้าสามารถส่งกี่คน
ออกมาก็ได้ แต่ว่าหากคนอื่นแสดงได้ดีแค่ไหน มีคน
หนึ่งหลุดหรือแย่กว่า ก็จะกระทบทั้งหมด ส่งผลกับ
คะแนน พวกเจ้าต้องคิดให้รอบคอบนะ”
ฉีหนิงพยักหน้า เขาเข้าใจดี หากส่งออกไปคนเดียว
จังหวะต่างๆควบคุมจากคนๆ เดียว ขอแค่ทักษะดีก็
จะสามารถควบคุมเอาไว้ได้ทั้งหมด แต่ว่าหากส่งไป
หลายคน ต่อให้มีคนที่ร้ายกาจแค่ไหน แต่มีคนที่เกิด
ผิดพลาดขึ้นมา ในฐานะที่เป็นวง มันก็ส่งผลต่อ
คะแนนได้
จั่วชิงหยางลูบเครา เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ เขามอง
มาที่ฉีหนิง เมื่อซูจื่อเซวียนกับเสี่ยวเหยาออกมาพร้อม
กัน ทำให้เขาแปลกใจมาก
การแข่งขันดนตรี หากผู้ที่เข้าแข่งขันเตรียมเครื่อง
ดนตรีมาเองถือว่าดีที่สุด แต่หากไม่มีทางวิทยาลัยหลง
ฉือเองก็มีการจัดเตรียมไว้ให้
ฉีหนิงได้แจ้งทางวิทยาลัยหลงฉือว่าต้องการพิณ
โบราณ กับ ขลุ่ย เครื่องดนตรีสองชนิดนี้หาได้ง่าย
ที่สุด ไม่นานนักก็มีคนนำมาให้ ทุกคนเห็นก็ไม่ได้รู้สึก
อะไร แอบคิดในใจว่าพิณกับขลุ่ยผสานกันก็ไม่ใช่เรื่อง
แปลกอะไร คนที่ชอบฟังดนตรี ก็มักจะเจอวง
ประสานแบบนี้
ซูจื่อเซวียนนั่งลงหลังพิณ นางเกิดในจนโหว ถึงแม้
นิสัยจะป่าเถื่อนเอาแต่ใจ แต่ว่าบรรยากาศของจวน
โหว ก็ทำให้นางมีราศีของคุณหนูตระกูลใหญ่อยู่ นาง
เรียนดีดพิณมาตั้งแต่เด็ก ทักษะด้านนี้ก็ไม่ด้อยกว่า
ใคร นางดีดพิณสายหนึ่ง เพื่อตรวจสอบและเตรียม
ความพร้อม
เมื่อเสี่ยวเหยาได้ขลุ่ยมา ก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ด
จากนั้นก็ตรวจสอบว่าขลุ่ยชำรุดหรือไม่
ทั้งคู่นำโน้ตเพลงที่ฉีหนิงให้มาดูอีกรอบ สำหรับคนที่
คุ้นเคยกับการเล่นดนตรีมานาน ต้องเคยเห็น
โน้ตเพลงมาก็ไม่น้อย โน้ตเพลงบางอย่างมันซับซ้อน
มาก แต่ว่าของฉีหนิงนั้นมันง่ายมาก ทั้งสองดูแค่ไม่กี่
ครั้ง ก็พอจะรู้ว่าต้องบรรเลงอย่างไร ในโน้ตเพลงนี้มัน
ระบุจุดที่พิณกับขลุ่ยต้องบรรเลงเอาไว้อย่างชัดเจน
ซึ่งมีจุดที่ต่างคนต่างเล่น มีจุดที่ต้องเล่นร่วมกัน ซึ่ง
จังหวะเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด
เพียงแค่บทเพลงนี้โน้ตเพลงมันง่ายมาก ทั้งสองคน
รู้สึกหวาดกลัว แอบคิดในใจว่าเพลงแบบนี้จะเอาไป
เทียบกับของแปดวิทยาลัยได้อย่างไรกัน
ฉีหนิงยังไม่เดินกลับไปยังที่นั่ง แต่เขาเดินไปหาซูจื่อเซ
วียนกับเสี่ยวเหยา ทุกคนต่างจ้องไปที่กลางลาน
แข่งขัน ฉีหนิงยิ้มให้ทั้งสองคน แล้วถามว่า “เตรียม
ตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
ทั้งคู่มองหน้ากัน แล้วพยักหน้า ฉีหนิงกำชับอีกว่า
“ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น คิดแค่บทเพลงอย่างเดียวพอ”
จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้น แล้วกระดกนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว
เขามองไปที่ซูจื่อเซวียน นางวางนิ้วบนสายพิณ
จากนั้นเสียงพิณเริ่มบรรเลงขึ้นมา
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 327 รอยยิ้มแห่งท้องทะเล
เสียงพิณค่อนข้างใส ราวกับเสียงของนกร้อง
ท่วงทำนองค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่
ว่าถึงแม้บทเพลงนี้จะมีทำนองที่เรียบง่าย แต่มนั ฟัง
แล้วสบายหู
จากนั้นก็เห็นเสี่ยวเหยายกขลุ่ยขึ้น เสียงขลุ่ยสอด
ประสานขึ้นมา
ทุกคนในงานต่างมองด้วยความเฉยเมย โดยเฉพาะ
แปดคนที่ออกมาแสดงก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่คดิ เลย
ว่าผู้หญิงจากวิทยาลัยฉงหลินจะเป็นคู่แข่งของพวก
เขาได้
หลังผ่านไปได้ท่องหนึ่ง จังหวะของพิณเริม่ เร็วขึน้
เสียงขลุ่ยเองก็เร่งตามมาเช่นกัน
ฉีหนิงมุมปากยกยิ้มขึ้น
ถึงแม้เขาจะไม่ชอบนิสยั ของซูจื่อเซวียนเอามากๆ แต่
ว่าฝีมอื การดีดพิณของนาง มันลื่นไหลไพเราะมาก ใน
ใจก็แอบถอนหายใจ แอบคิดในใจว่าถึงแม้ซูจื่อเซวียน
จะนิสัยไม่ดี แต่ด้านฝีมอื ก็ไม่ธรรมดาเลย อย่างน้อย
ที่สุด เวลาที่นางเล่นพิณ ก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เขา
จินตนาการเอาไว้ เพลงนี้นางเล่นเป็นครั้งแรก ได้ผล
แค่นี้ ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
เสี่ยวเหยาเป่าขลุ่ย ยิ่งทำให้ฉีหนิงชื่นชมไปใหญ่
ถึงแม้ทั้งคู่จะเป็นสายเลือดของซูเจิน แต่ว่าพวกนาง
ไม่ถูกกันเลย เดิมทีฉีหนิงยังกังวลว่าใจของพวกเขาจะ
ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน บทเพลงนี้จะไม่เป็นไปตามที่คิด
แต่ว่าตอนนี้ หลังจากทีท่ ั้งคู่ร่วมกันบรรเลงไปแล้ว ใจ
ของพวกนางก็วางเอาไว้ในบทเพลงอย่างเดียวจริงๆ
เสี่ยวเหยาพยายามให้ความร่วมมือกับซูจื่อเซวียนอ
ย่างเต็มที่ ให้ท่วงทำนองมาจากพิณเป็นหลัก แล้ว
คอยช่วยประคองกันไป
ถึงแม้จะดูเหมือนว่าใช้พณ ิ เป็นหลักแล้วขลุ่ยช่วย
ประคอง ทำให้พณ ิ และขลุ่ยไม่สามารถหลอมรวมเป็น
หนึ่งเดียวกันได้ แต่พอมันบรรเลงพร้อมกันแล้ว มัน
เกินที่ฉีหนิงคาดคิดเอาไว้มาก
หลังจากที่พณ ิ และขลุย่ รวมบรรเลงไปแล้วระยะหนึ่ง
ซีเหมินอู๋เหิงกับจั่วชิงหยางก็เหมือนจะชูคอขึ้นมา
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินฉีหนิงร้องขึ้นมาว่า “รอยยิม้ ของ
ทะเล คลื่นซัดสองฟากฝั่ง มาจนถึงวันนี้ รอยยิม้ ของ
ท้องฟ้า กระจายปกคลุมไปทั่วโลก ใครแพ้ใครชนะฟ้า
ย่อมรู้ดี รอยยิม้ ของแผ่นดิน ปกคลุมไปด้วยหมอก
และสายฝน คนบนโลกใครจะรู้ รอยยิม้ ของสายลม
ทำลายความเงียบสงบ เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ความรู้สึก
ยามค่ำคืน...”
เสียงของเขาตอบรับกับเสียงท่วงทำนองของพิณและ
ขลุ่ยมาก เหมือนกับว่ามันคือสิ่งเดียวกัน
เสียงบรรเลงพิณและขลุย่ เดิมก็ดึงดูดคนฟังมาก
พอแล้ว บทเพลงนี้ถึงแม้จะง่ายมาก แต่มันก็ฟงั สบาย
ให้ความรูส้ ึกที่แตกต่าง
พอฉีหนิงร้องเนือ้ ออกมาอีกทำให้ทุกคนตกตะลึงไป
หลังจากฉีหนิงร้องเนือ้ ออกมา หลายคนก็ถูกบทเพลง
นี้ดึงดูดเข้าไปอีก บางคนก็อดที่จะปรบมือตามไม่ได้
คนของแปดวิทยาลัยต่างมีเอกลักษณ์ในด้านดนตรี
ของตัวเอง แต่ไม่มีใครทีจ่ ะเคาะจังหวะตามเลย แต่
ในตอนนี้คนที่อยู่ในงานกว่าพันคน เกินกว่าครึ่งที่
กำลังเคาะจังหวะตาม พวกเขารูส้ ึกว่าบทเพลงนี้มัน
ทำให้พวกเขารูส้ ึกผ่อนคลาย และล่องลอยออกไป
แสนไกล
ในบรรดาพวกเขาเหล่านี้มีหลายคนทีเ่ ป็นบัณฑิต
เชี่ยวชาญด้านการเรียบเรียงบทความ พวกเขาจับ
สังเกตได้ว่าเนือ้ เพลงของฉีหนิงนั้น มันเป็นเนื้อเพลงที่
เขียนได้อย่างสวยงาม
เสียงพิณเริ่มเบาลง เสียงร้องของฉีหนิงก่อนหน้านี้ที่
ดังอยู่ ทำให้ทุกคนจับจ้องมาที่พวกเขาสามคน
หากจะบอกว่าซูจื่อเซวียนกับเสี่ยวเหยาไม่ได้เข้าถึง
บทเพลงในช่วงแรก แต่พอฉีหนิงร้องเพลงออกมา สือ่
ผ่านความรู้สึกไปยังพวกเขาทั้งคู่ ทำให้พิณและขลุ่ย
ผสมผสานได้อย่างลงตัวมากขึ้น เสียงสอดรับกับเสียง
ของฉีหนิงเป็นอย่างดี
จนกระทั่งเสียงของดนตรีค่อยๆ ลดเบาลงจนหายไป
หมด หลายคนยังคงตะลึงแข็งทือ่ ราวกับตอไม้อยู่ ยัง
ไม่ได้สติคืนมา
ก็ไม่รู้ว่าใครเหมือนกันทีร่ ้องตะโกนออกมาว่า “เยี่ยม”
จากนั้นรอบๆ ก็เริ่มร้องโห่ตะโกนแสดงความยินดี อีก
ทั้งยังมีคนทีล่ ุกขึ้นมาด้วย
ซูจื่อเซวียนกับเสีย่ วเหยาคิดไม่ถึงเลยว่าบทเพลงนี้จะ
บรรเลงจนจบได้ และยังสามารถได้รับปฏิกิริยาตอบ
รับได้ดีขนาดนี้ เสียงตะโกนโห่ร้องมันเหมือนจะดีกว่า
ของคนจากแปดวิทยาลัยใหญ่เสียอีก ไม่เพียงแค่เหล่า
บัณฑิต แม้แต่ศิษย์ของเหล่าแปดวิทยาลัยเองก็อดร้อง
ตะโกนไม่ได้เหมือนกัน
ทั้งสองคนหน้าแดงระเรือ่ ก้มหน้าด้วยความเขินอาย
ถึงแม้ซูจื่อเซวียนจะเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนอู่เซียง
โหว แต่ตั้งเกิดมา ก็ไม่เคยผ่านบรรยากาศอย่างนี้มา
ก่อน อีกทั้งรอบๆ มีแต่เหล่าบัณฑิตมากความสามารถ
ได้ยินเสียงโห่ร้องก้องไปทั่ว มันเหมือนกับฝัน เหมือน
มันไม่ใช่เรื่องจริง
เสวียตันชิงส่งสัญญาณให้ทุกคนสงบลง ถึงได้เห็นซีเห
มินอู๋เหิงกวักมือเรียกฉีหนิงมา ฉีหนิงเดินมาที่โต๊ะ
กรรมการ ยกมือคำนับ แล้วมองไปที่จั่งชิงหยาง เห็น
จั่งชิงหยางปิดความดีใจตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่เลย ในใจก็
รู้ว่ารอบนี้เขาทำสำเร็จแล้ว
“ท่านอู๋ ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี ท่านว่าบท
เพลงของวิทยาลัยฉงหลิน เป็นอย่างไรบ้าง?” ซีเห
มินอู๋เหิงมองไปทางอู๋ซานเต๋า
อู๋ซานเต๋าลูบเคราแล้วชื่นชมไปว่า “ยอดเยีย่ ม ยอด
เยี่ยม” จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉีหนิง แล้วถามว่า “ท่าน
ผู้นี้คอื ?”
ซีเหมินอู๋เหิงกระซิบข้างๆ หูอู๋ซานเต๋า อู๋ซานเต๋าตะลึง
ไป อีกทั้งยังรูส้ ึกแปลกใจ แล้วถามว่า “ที่แท้ทา่ นโหว
น้อยนี่เอง ท่านโหวน้อยบทเพลงเมื่อครู่ ไม่ทราบ...ไม่
ทราบใครเป็นผู้แต่งหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วย้อนถามกลับไปว่า “ท่านอูท๋ ่านเป็น
ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี ท่านเคยได้ยินบทเพลงนี้มา
ก่อนหรือไม่?”
“ไม่เคย” อู๋ซานเต๋าส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าได้ยนิ ได้
ฟังดนตรีมาก็มาก แต่บทเพลงในวันนี้ ยัง...จริงสิ ท่าน
โหวน้อย บทเพลงนี้มีชอื่ หรือไม่?”
“มี” ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “รอยยิม้ แห่งท้อง
ทะเล”
“รอยยิม้ แห่งท้องทะเล” อู๋ซานเต๋ายกนิ้วมือให้ “ชื่อดี
เหมาะสมกับท่วงทำนองมาก” เขาหยุดไป จากนั้นก็
พูดว่า “ท่านโหวน้อย บทเพลงนี้ท่านเป็นคนแต่ง
หรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ขอท่านอาจารย์ชี้แนะด้วย”
อู๋ซานเต๋าพูดด้วยความตกใจว่า “ท่านโหวน้อยเป็น...
เป็นผู้แต่งบทเพลงนี้จริงหรือ? นี่มัน...” เขาลุกขึน้ มา
แล้วมองไป แล้วพูดว่า “อัจฉริยะ อัจฉริยะ หากไม่ใช่
คนที่ชาญฉลาดมาก จะสามารถใช้วิธีแบบนี้ในการ
สร้างผลงานได้อย่างไรกัน?”
ท่านเสนาบดีกรมพิธีการหยวนหนิงเยียนไม่คอ่ ยรู้เรือ่ ง
ดนตรีมากนัก ถึงแม้เขาจะดูชื่นชมบทเพลงนี้มากก็
ตาม แต่ว่าเขาไม่มีทางเข้าใจความหมายของอู๋ซานเต๋า
ได้ เขาถามว่า “ท่านอู๋หมายความว่าอย่างไรกัน?”
“ใต้เท้า เพลงบทนี้ที่จริงไม่ได้ซับซ้อนเลย” อู๋ซานเต๋า
ยกมือคำนับ แล้วมองไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “กง (โด)
ซัง (เร) เจีย่ ว (มี) เวย (ฟา) อวี๋ (ซอล) ขอแค่คนที่รู้
เรื่องดนตรี ก็จะต้องเข้าใจ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็เดิน
ลุกออกจากโต๊ะ ไปตรงพิณทีอ่ ยู่ดา้ นข้างซูจื่อเซวียน
ในตอนนี้ แล้วก็นั่งลง ยืน่ มือออกไปดีดโน้ตทั้งห้า
คนที่รู้เรื่องดนตรีที่อยู่ในงานทั้งหมดไม่เข้าใจ
ความหมายของอู๋ซานเต๋า แต่กลับได้ยินอู๋ซานเต๋าถาม
ว่า “ทุกท่าน เสียงโน้ตห้าเสียง ใช่เสียงที่ขา้ ดีดไปเมื่อ
ครู่หรือไม่?”
ทุกคนพยักหน้า
ทันใดนั้นเองกอู๋ซานเต๋าก็ดีดพิณอีกครั้ง หลังจากจบ
เสียง ก็มคี นพูดขึ้นมาว่า “นี่มัน...นี่มันบทเพลงเมื่อครู่
นี้ไม่ใช่หรือ?”
อู๋ซานเต๋าลุกขึ้นยิ้มแล้วพูดว่า “บทเพลงเมื่อครู่ ข้าดีด
แค่ กง (โด) ซัง (เร) เจี่ยว (มี) เวย (ฟา) อวี๋ (ซอล)
เพียงแค่ดีดย้อนกลับมาเท่านั้น มันก็สามารถออกมา
เป็นเพลงได้แล้ว ทุกท่านที่อยูท่ ี่นี่ มีใครเคยคิดที่จะใช้
วิธีแบบนี้ในการแต่งบทเพลงบ้างหรือไม่?”
ทุกคนถึงได้เข้าใจขึ้นมาทันที แอบคิดในใจว่าบทเพลง
ที่ทำให้คนตกอยู่ในภวังค์ นั้นมันจะง่ายขนาดนี้
อู๋ซานเต๋าเดินไปที่โต๊ะกรรมการ แล้วพูดว่า “[ตำรา
ดนตรี] กล่าวว่า ท่วงทำนองที่ดีนั้น ต้องง่าย หรือก็คือ
บทเพลงที่ดี ที่สูงส่ง และไพเราะ จะต้องทำให้คน
เข้าใจและเข้าถึงง่าย บทเพลงรอยยิม้ แห่งท้องทะเล
ของวิทยาลัยฉงหลิน ทำให้เข้าใจถึงความหมายที่มา
จากข้อความนี้ใน [ตำราดนตรี] ได้อย่างแท้จริง”
ซีเหมินอู๋เหิงยิม้ ให้ฉีหนิงแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย
เนื้อเพลง ท่านเป็นคนเขียนหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่เขียนเล่นตอนที่ไม่มี
อะไรทำเท่านั้น ไม่รู้วา่ มันดีหรือไม่ บังเอิญว่าทำนอง
ของบทเพลงนี้มันเข้ากับเนื้อพอดี ก็เลยร้องมัน
ออกมาแบบงงๆ ทุกท่านอย่าได้ถือสาเลยนะ”
จั่วชิงหยางมีฐานะเป็นอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยฉง
หลิน ไม่สะดวกให้ความเห็น ท่านเสนาบดีกรมพิธีการ
หยวนหนิงเยียนกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ทำนองดี เนื้อก็
ดี” เขามองไปที่จั่วชิงหยาง แล้วก็ยิ้ม “ความรู้
ความสามารถของอาจารย์จั่ว ไม่มีใครเทียบได้จริงๆ”
ท่านเสนาบดียังคิดว่าจั่วชิงหยางคือคนที่จัดการ
วางแผนอยู่เบือ้ งหลัง
ฉีหนิงพาซูจื่อเซวียนกับเสี่ยวเหยากลับมานั่งที่
นักเรียนของวิทยาลัยฉงหลินต่างตื่นเต้นดีใจมากกว่า
ปกติ สถานการณ์ในตอนนี้ พวกนางเห็นกับตา ไม่
เพียงรู้สึกว่าบทเพลงไพเราะมาก ปฏิกิริยาของคนที่
หลังจากฟังเพลงนี้แล้ว มันทำให้รู้สึกว่าครั้งนีพ้ วกนาง
จะต้องได้อันดับที่ดีแน่นอน
ใบหน้าของซูจื่อเซวียนยังคงแดงเรือ่ อยู่ เดิมทีนางก็
เป็นคนชอบความมีเกียรติอยู่แล้ว วันนีพ้ อแสดง
ความสามารถออกไป มันทำให้นางรู้สึกถึงเกียรติและ
ศักดิ์ศรี นางมองฉีหนิงจากด้านหลัง ก่อนหน้านีพ้ อ
นางเห็นเงาของฉีหนิงก็แทบอยากจะกัด แต่ในตอนนี้
ก็เหมือนไม่ได้น่ารังเกียจขนาดนั้นแล้ว
ทันใดนั้นเองนางก็พลันนึกถึงว่านี่เป็นครั้งแรกทีน่ าง
ร่วมบรรเลงเพลงกับเสีย่ วเหยา แม้แต่ตัวนางเองก็รู้สึก
แปลกใจ นางอดที่จะหันไปมองเสี่ยวเหยา เสี่ยวเหยา
เองก็กำลังหันมามองนางอยูพ่ อดี เมือ่ สบตากัน พวก
นางก็รีบเก็บสายตาไป พวกนางรูส้ ึกเขินอายต่อกัน
มาก
เสวียตันชิงกระซิบกับเหล่ากรรมการ จากนั้นก็หัน
หลังกลับมา แล้วพูดว่า “การแข่งขันรอบแรกสิน้ สุด
แล้ว คะแนนของทั้งเก้าวิทยาลัยออกมาแล้ว แต่ว่าจะ
ยังไม่แจ้งให้ทราบในตอนนี้ จะมาประกาศอีกครั้งหลัง
จบการแข่งทั้งสี่รอบไปแล้ว” เขาหยุดไปครู่หนึง่
จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้เริ่มการแข่งรอบสอง
ได้”
ผู้ชมโดยรอบเริม่ วิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้ง
เสวียตันชิงยกมือให้สัญญาณเพือ่ เงียบลง แล้วพูดต่อ
ว่า “หลายปีทผี่ ่านมา รอบการแข่งหมากรุกเป็นรอบ
ที่กินเวลามากที่สุด ปีนพี้ วกเราเลยทำการเปลี่ยนกฎ
การแข่งขึ้นมาใหม่” เขาหันหลังกลับไป แล้วเคาะไปที่
ระฆัง ไม่นานนัก ก็มีชายฉกรรจ์หกคนลากรถเข้า
มายังลานแข่งขัน บนรถมีของสิ่งหนึ่งวางอยู่ แต่มันมี
ผ้าปิดอยู่จึงมองไม่ออกว่าเป็นอะไร
หลายคนอดยืนขึ้นมาไม่ได้ อยากรู้ว่ามันคืออะไร แต่
ว่าศิษย์ที่ดูแลความเป็นระเบียบของวิทยาลัยหลงฉือ
จัดการบอกให้พวกเขานั่งลง
ฉีหนิงเห็นนักเรียนหญิงของวิทยาลัยฉงหลินต่างก็
ตกใจ เห็นรถถูกลากมายังกลางสนาม เสวียนตันชิงถึง
ได้เดินมาข้างรถแล้วพูดว่า “นี่คอื ของที่ท่านเสนาบดี
หยวนสั่งให้ทำขึ้นเพื่อการแข่งขันในรอบนี้ ก่อนหน้านี้
นอกจากท่านเสนาบดีหยวนแล้ว คนของวิทยาลัยทั้ง
เก้าไม่มีใครเคยได้เห็นมันมาก่อน ทุกท่านลองเดากันดู
ได้ว่าด้านในนี้มันคืออะไร?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าอย่างไรก็ต้องเปิดออกมา แล้วจะมา
ทำให้มันลึกลับทำไมกัน แต่ตัวเขาก็เข้าใจดีว่า รถคัน
นี้ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ถึงอย่างไรก็ต้องเกี่ยวข้อง
กับหมากรุกแน่นอน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 328 กลหมากปิดตาย
ขณะทีท่ ุกคนกำลังแปลกใจ หยวนหนิงเยียนก็ทำ
สัญญาณมือ ให้คนนำผ้าปิดบนรถนั้นออก จากนั้นทุก
คนก็ได้เห็นสิ่งทีอ่ ยู่ในนัน้ มันเป็นเสา ลักษณะเป็น
สี่เหลีย่ ม ทำมาจากไม้
“เอ๊ะ นั่นมันกระดานหมากรุกไม่ใช่หรือ” มีคนพูด
ออกมาท่ามกลางฝูงชน
คนที่อยู่แถวหน้าเห็นชัดเจนมาก เสารูปสี่เหลีย่ มนี้
ใหญ่และสูงประมาณคนหนึ่งคนได้ ในแต่ละด้านมี
กระดานหมากรุกติดอยู่ ไม่ว่าจะมองจากด้านไหนก็
จะมองเห็นกระดานหมากรุกนี้
พูดแล้วมันก็แปลก บนกระดานหมากรุกนั้น มีตัว
หมากรุกวางเอาไว้อยู่แล้วทั้งหมากสีดำและขาว ซึ่ง
มันถูกวางเป็นกลหมากไว้เรียบร้อยแล้ว
ฉีหนิงเห็นกระดานเพียงด้านเดียว แต่เขาเห็นรอบข้าง
เกิดความเคลือ่ นไหว จากนั้นถึงได้เข้าใจว่ารอบๆเสา
ล้วนแต่มีกระดานหมากรุก แต่ไม่รู้วา่ แต่ละด้าน
เหมือนกันหรือไม่ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าการแข่ง
หมากรุกจะทำอะไรใหญ่โตมากขนาดนี้เท่านั้นเอง
แต่ว่าเขาก็เข้าใจขึ้นมาว่า เพือ่ ให้มันยุติธรรม เลยวาง
กลหมากออกมาให้ได้เห็นเลย แพ้ชนะ ทุกคนก็จะ
เห็นได้อย่างชัดเจน
อาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยอวิ๋นซานลุกขึ้นมาแล้วยก
มือให้กับหยวนหนิงเยียนแล้วถามว่า “ใต้เท้า นีค่ ือ
...?” เขามองดูเสาที่แปลกประหลาดนั่น สีหน้าของ
เค้าจึงเต็มไปด้วยคำถาม
หยวนหนิงเยียนพูดว่า “เสาทั้งสี่ต้นนี้ จะมีกระดาน
หมากรุกติดอยู่ ทุกคนก็คงได้เห็นแล้ว บนกระดาน
หมากรุกได้วางกลหมากไว้แล้ว วันนี้พวกเราจะไม่ให้
เหล่าผูเ้ ข้าแข่งขันมาเดินหมากกัน แต่พวกเราจะให้
ทุกคนมาแก้กลหมากนี้”
“แก้กลหมาก?” ทุกคนต่างตะลึงไป
“กระดานหมากรุกทั้งสีด่ ้านจะเป็นกลหมากที่
เหมือนกันวางเอาไว้” หยวนหนิงเยียนพูดว่า “นีเ่ ป็น
กลหมากที่คนโบราณหลงเหลือและตกทอดกันมา ผู้
เข้าแข่งขันสามารถใช้หมากสีขาวในการวางหมาก...”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ส่งสัญญาณมือ ไม่นานนักก็มี
ชายหนุ่มชุดดำสี่คนเดินไปประจำตามเสา เพื่อรอ
คำสั่ง
“ผู้เข้าร่วมการแข่งขันทัง้ เก้าวิทยาลัย ในครั้งนีพ้ วก
เราจะไม่จำกัดจำนวนในการเข้าแข่ง นอกเหนือจาก
แปดคนที่เป็นตัวแทนของวิทยาลัยแล้ว คนอื่นก็
สามารถลองได้เช่นกัน” หยวนหนิงเยียนลูบเครายิ้ม
แล้วพูดว่า “ใครสามารถแก้กลหมากได้เป็นคนแรก ก็
ถือว่าเป็นผู้ชนะ” เขายกมือขึ้น “เหล่าผูม้ ีความรู้
ความสามารถสามารถออกมาแก้กลหมากนี้ได้เลย”
ถึงแม้หยวนหนิงเยียนจะพูดแบบนี้ แต่ก็ยังไม่มคี น
ของวิทยาลัยใดเลยที่ออกมาหลายคน พวกเขายังคง
ส่งตัวแทนมาแค่คนเดียวเท่านั้น
ฉีหนิงไม่ได้เก่งในเรื่องการเดินหมากเลย ในใจก็คิดว่า
เขาคงช่วยอะไรไม่ได้แน่นอน เขาหันกลับไปถามว่า
“รอบนี้ใครจะออกไปแก้กลหมากบ้าง”
เหล่าสาวๆ ต่างมองหน้ากัน มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า
“เสีย่ วเหยากับฉินอีเก่งการเดินหมากที่สุด”
“อ๋อ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี ถึงอย่างไร
กฎบอกว่าคนที่เข้าร่วมการแข่งขันสามารถไปลองได้
หมด อีกสักครูท่ ุกคนก็ไปลองดูกัน”
หญิงคนหนึ่งพูดอย่างลำบากใจขึ้นมาว่า “ท่าน
อาจารย์ฉี ที่จริง...ที่จริงแล้วในการเล่นหมากล้อม
การแก้กลหมากถือว่ายากที่สุด ข้า...ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะ
ทำได้หรือไม่”
ฉีหนิงรู้ว่าแม่นางคนที่พดู นั้นน่าจะเป็นฉินอี เขายิ้ม
แล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าพูดเช่นนั้นเล่า?”
“กลหมากทีค่ นโบราณเหลือทิ้งเอาไว้นั้น ตอนนีก้ ็
เหมือนจะถึงทางตันแล้ว หรือก็คอื เป็นหมากทีค่ นสอง
คนเดินจนยากที่จะเดินต่อไปได้อีกแล้ว มันเรียกว่า
หมากปิดตาย” ฉินอีแสดงออกว่านางเชี่ยวชาญด้าน
การเดินหมากจริง นางอธิบายต่อว่า “หรืออีก
ประเภทหนึ่งก็คอื เวลาเดินหมาก เกิดสถานการณ์
พิเศษขึ้นมาในการรุกหรือรับ เป็นกลหมากที่เกิด
ขึ้นมาโดยที่ใครก็คาดไม่ถึง กลหมากประเภทนีต้ ก
ทอดมา เพราะมันเกิดจากการเดินหมากโดยไม่ได้
ตั้งใจถึงได้ตกทอดกันมา หรือที่เรียกว่าหมากเป็น”
“ถ้าอย่างนั้นกลหมากบนนั้นเจ้ามองออกหรือไม่?”
ฉีหนิงหันไปชี้ “มันเป็นหมากเป็นหรือว่าหมากตาย?”
ฉินอีพูดว่า “ยังมองไม่ชดั แต่ว่า...หากเป็นหมากเป็น
ยังพอไหว ขอแค่ทำความเข้าใจให้มากสักหน่อย คนที่
เจอรูปแบบการเดินหมากมามาก อาจจะสามารถแก้
กลหมากเป็นของคนโบราณได้ แต่ว่าหากเป็นหมาก
ตาย เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว...”
“เจ้าหมายความว่ากลหมากที่แม้แต่คนโบราณก็ไม่
สามารถเดินต่อไปได้ แทบจะไม่มีทางทำลายกลหมาก
นั้นได้เลยใช่หรือไม่?” ฉีหนิงถาม
เสี่ยวเหยายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ทีท่ ่านพูดเมื่อ
ครู่มันคือหมากตาย หมากตายก็คือเดินไปจนสุดท้าย
ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถวางหมากเดินต่อไปได้อีก แต่ว่า
การเจอสถานการณ์แบบนี้มันน้อยมาก อีกทั้ง...อีกทั้ง
วันนี้เป็นการแข่งขัน หากเอาหมากตายมาเป็นโจทย์
ก็คงไม่มีใครสามารถผ่านไปได้แน่”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “แล้วหมากปิดตายกับหมาก
ตายต่างกันตรงไหน?”
“หมากตายก็คอื หมากทีไ่ ม่มีทางเดินต่อได้อีก” เสี่ยว
เหยาพูดว่า “ส่วนหมากปิดตายถึงแม้จะดูเหมือนว่าไม่
มีทางเดินต่อไปได้เช่นกัน แต่กลับยังมีเหลือทางที่
สามารถแก้สถานการณ์ได้ ขอแค่เจอจุด ก็ยังมีโอกาส
ฟื้นกลับมาได้อีก”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้นเี่ อง” ฉีหนิงพยักหน้า
ฉินอีเองก็พูดว่า “กลหมากบางประเภทของคน
โบราณ เป็นกลหมากทีพ่ วกเขาไม่สามารถแก้ได้ แล้ว
คัดลอกมันเอาไว้ ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังมาแก้ ซึ่งก็มีกล
หมากปิดตายมากมายทีค่ นรุ่นหลังสามารถแก้ได้”
เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “แต่ว่ากลหมากปิดตายแบบ
นั้นมันมีให้เห็นน้อยมาก เพราะเมือ่ ถูกแก้ไปแล้ว ก็จะ
ไม่ถือว่าเป็นกลหมากปิดตายอีก”
ขณะทีค่ นของวิทยาลัยฉงหลินกำลังหารือกันอยู่ ศิษย์
ของวิทยาลัยอื่นก็เริ่มมีคนเดินมาที่ริมเสา ชายชุดดำที่
เฝ้าอยู่ทรี่ ิมเสาก็ยืนนิ่งๆ รอคนมาท้าทาย
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มคี นเดินออกมายกมือคำนับ
แล้วพูดว่า “ติงชิงซานจากวิทยาลัยหมิงเยว่ขอคำ
ชี้แนะด้วย”
ชายชุดดำที่ยืนอยู่ตรงข้ามยกมือขึ้นมา แล้วทำมือ
เรียนเชิญเขา ด้านล่างของกลหมาก มีกล่องหมากรุก
วางอยู่ ด้านในเป็นหมากดำและขาว แต่ว่าตัวหมาก
ทำมาจากวัสดุพิเศษมาก ไม่ใช่หมากรุกปกติเลย
ติงชิงซานขอท้า ศิษย์ของวิทยาลัยหมิงเยว่ก็รุมเข้ามา
ดู
ติงชิงซานวางหมากก่อน ชายชุดดำวางหมากเหมือน
ควบคุมได้ อีกทั้งเขายังเหมือนรู้วา่ การเปลีย่ นแปลงที่
ตามหลังมานั้นมันเป็นแบบไหน ติงชิงซานวางหมาก
ไปหลายครั้ง ชายชุดดำก็วางตอบโต้แบบไม่ต้องคิด
เลย
ที่จริงแล้วการเป็นหนึ่งในแปดวิทยาลัยใหญ่ ศิษย์ใน
วิทยาลัยไม่ได้จำเป็นต้องชำนาญในทุกๆ ศาสตร์ แต่
ว่าทุกแขนงก็จะพอมีพนื้ ฐานหมด
หลังจากที่ติงชิงซานเริ่มวางหมาก ทุกคนก็จับจ้องไปที่
พวกเขา แอบคิดในใจว่าติงชิงซานเป็นคนที่ทาง
วิทยาลัยหมิงเยว่ส่งมาในรอบการแข่งขันหมากรุกอยู่
แล้ว ก็ต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ติงชิงซานวาง
หมากลงไป นั่นถือเป็นทางเลือกที่ดีทสี่ ุดแล้ว
เริ่มแรกก็ยังพอไหลลื่นอยู่บ้าง แต่ว่าหลังจากเริม่ เดิน
ไปได้ยี่สิบตัว ติงชิงซานเริ่มวางหมากช้าลง แต่วา่ ทุก
การวางหมาก ชายชุดดำก็จะวางหมากโต้กลับมาแบบ
แทบจะไม่ตอ้ งคิดเลย ดูสบายๆ มาก ทุกคนในงาน
ต่างเป็นคนฉลาด พวกเขาเห็นชายชุดดำวางหมาก
อย่างไหลลื่น พวกเขาก็เข้าใจทันที อีกฝ่ายรู้หมดว่าติง
ชิงซานจะวางหมากตรงไหนบ้าง
การแก้กลหมาก ก็คือการคิดวิธีการมาพลิกแพลง
เอาชนะให้ได้ หากไม่ระวัง ก็จะแพ้ทันที ต่อให้เดินผิด
ไปแค่หมากเดียว สถานการณ์ก็จะเปลีย่ นไปทันที ใน
ฐานะหมากสีดำเป็นฝ่ายรับ นั่นก็แสดงว่าหมากขาวก็
จะต้องใช้ทุกวิถีทางในการพลิกแพลงสถานการณ์มา
ให้ได้
ตอนนี้ด้านข้างก็เริ่มมีคนออกมาขอท้าทายอีก
คนภายในงานกว่าพันคน แทบจะเงียบไม่มีเสียงเลย
ฉีหนิงคิดในใจว่าถ้าเล่นเดินหมากห้าตัวเขายังพอไว้
แต่ว่าหากต้องไปแข่งกับใคร เขาไม่ไหวจริงๆ นัก
หมากรุกของวิทยาลัยทัง้ แปด ไม่ว่าใครก็สามารถทำ
ให้เขาตายได้ทั้งนั้น ไม่ตอ้ งไปพูดถึงการแก้กลหมาก
ของคนโบราณเลย
อย่าว่าแต่หมากปิดตายเลย ต่อให้เป็นหมากเป็น เขา
คิดว่าเขาก็ไม่น่าจะแก้ได้ แต่ว่าหากให้เขาเดินจนเป็น
หมากตายก็น่าจะเป็นไปได้มากกว่า
ตอนนี้ความหวัง คงต้องให้เป็นหน้าที่ของเสีย่ วเหยา
กับฉินอีแล้วล่ะ
แต่ว่าแม่ของเสีย่ วเหยาเองก็ไม่ธรรมดา สามารถเลี้ยง
ดูเสี่ยวเหยามาคนเดียว เสี่ยวไม่เพียงงดงามเท่านั้น
อีกทั้งยังเฉลียวฉลาด การเป่าขลุย่ ว่ายากยังทำได้เดิน
หมากคงไม่ดอ้ ยไปกว่ากัน
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงลอยมาว่า “ศิษยพี่ ศิษย์พตี่ ิง...”
ฉีหนิงหันไปมอง เห็นติงชิงซานจากวิทยาลัยหมิงเยว่
ตอนนี้ถึงกับนั่งฟุบไปกับพื้น เหล่าศิษย์พี่ศิษย์นอ้ ง
ถึงกับต้องเข้ามาพยุงกันใหญ่ ฉีหนิงขมวดคิ้ว เห็น
พวกเขาพยุงติงชิงซานกลับไปนั่งที่ อีกทั้งติงชิงซาน
เองก็มีสีหน้าซีดเซียว และมีท่าทางที่ตะลึงค้างอยู่
“ติงชิงซานจากวิทยาลัยหมิงเยว่แก้กลหมาก
ล้มเหลว” ชายชุดดำทีเ่ ดินหมากกับติงชิงซานยืนตัว
ตรงขึ้นมาอีกครั้ง แล้วตะโกนประกาศ
ฉีหนิงได้ยินฉินอีพูดขึ้นมาว่า “ติงชิงซานแพ้อย่างนั้น
หรือ? ฝีมอื การเดินหมากของเขา...ติดอันดับหนึ่งใน
สามของบรรดาแปดวิทยาลัยเลยนะ แม้แต่เขายัง...”
น้ำเสียงของนางเหมือนจะสงสัย
ตอนนี้มีอีกสองคนเดินมาขอท้า ทุกคนพยายามเงียบ
เสียงให้สนิทที่สุด เพื่อไม่ให้ไปรบกวนผู้เดินหมาก
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินมีคนตะโกนว่า “หม่าอีหัง
จากวิทยาลัยซานหยวนแก้กลหมากล้มเหลว”
“โจวลู่จากวิทยาลัยอวิ๋นซานแก้กลหมากล้มเหลว”
“กงซุนถูจากวิทยาลัยหลงฉือแก้กลหมากล้มเหลว”
ภายในเวลาแค่ครึ่งชั่วยาม คนที่ขึ้นมาขอท้าทายใน
การแก้กลหมากต่างพ่ายแพ้ล้มเหลวกลับไป ตอนนี้มี
เพียงคนเดียวที่ยังคงอดทนแก้กลหมากอยู่ อีกทัง้ คน
อื่นตอนนี้ก็ไม่กล้าที่จะเดินขึ้นหน้าไปขอลอง
จะต้องรู้วา่ ศิษย์ของแปดวิทยาลัยนั้นร้ายกาจมาก
การที่ถูกส่งมาเป็นตัวแทนของวิทยาลัยได้ ไม่ตอ้ งพูด
ว่าพวกเขาเป็นอันดับที่เท่าไหร่ในใต้หล้า แต่วา่ ในต้าฉู่
พวกเขาอย่างน้อยก็ติดอันดับ แต่ว่าในตอนนี้คนที่ถูก
ส่งออกมาของทั้งแปดวิทยาลัย เกินกว่าครึ่งล้มเหลว
ไปแล้ว ส่วนคนทีเ่ หลือเมื่อเทียบกับคนที่ลองไปก่อน
หน้านี้นั้นก็ยังห่างชั้นอยูม่ าก ก็ไม่กล้าที่จะออกไปขาย
หน้า
“ตอนนี้คงต้องดูจูหลุนจากวิทยาลัยซีเฟิงแล้ว” ฉินอี
พูดว่า “จูหลุนเป็นมือหมากรุกอันดับหนึ่งที่ได้รบั การ
ยอมรับจากคนทั้งแปดวิทยาลัยใหญ่ หากว่าเขายัง
ล้มเหลว กลหมากในวันนี้ ก็น่าจะไม่มีใครสามารถแก้
ได้อีก”
คนของแปดวิทยาลัยค่อยๆ พ่ายแพ้ล้มเหลวกันไป
หากจูหลุนสามารถแก้กลหมากได้ ก็จะต้องเป็นที่น่า
ตกใจมากแน่นอน วิทยาลัยซีเฟิงต่อให้วันนี้จะไม่
สามารถชิงอันดับที่ดีได้ แต่ว่าแค่ฝีมอื ของจูหลุนคน
เดียว ก็สามารถเป็นหน้าเป็นตาของวิทยาลัยได้แล้ว
หากมองจากสีหน้าท่าทางของจูหลุนก็ยังถือว่านิ่งอยู่
เขายืนเอามือไขว้หลังไว้ข้างหนึ่ง ทุกครั้งทีเ่ ขาวาง
หมาก ก็จะระวังมาก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าคนในงานไม่ได้รสู้ ึกว่า
เหนื่อยล้าเลย อีกทั้งยังไม่มีใครรู้สึกว่าน่าเบื่อเลย ทุก
คนรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ กลหมากทีส่ ามารถเอาชนะคน
ของแปดวิทยาลัยไปมากมาย มันไม่ธรรมดาเลย บาง
คนยังคิดว่าจูหลุนนั้นจะต้องแก้กลหมากได้แน่นอน
แต่บางคนกลับคิดว่า อยากจะให้จูหลุนล้มเหลว
หลังจากนั้นพักใหญ่ ทุกคนต่างเห็นชายชุดดำวาง
หมากลงไปหนึ่งตัว แต่จหู ลุนนานมากไม่วางหมากเลย
หลายคนเริม่ รู้สึกผิดปกติ ทันใดนั้นเองจูหลุนก็โยน
หมากขาวกลับไปที่กล่องหมาก แล้วยกมือให้กับคน
ชุดดำ เขาไม่พูดอะไรมาก ส่ายหน้า จากนั้นก็เดิน
กลับไปที่นั่งของตัวเอง
“จูหลุนจากวิทยาลัยซีเฟิงแก้กลหมาก...ล้มเหลว”
ชายชุดดำตะโกน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 329 ซ่อนตัวกลางฝูงชน
หลังจากที่ชายชุดดำได้ประกาศว่าจูหลุนจากวิทยาลัย
ซีเฟิงแก้กลหมากล้มเหลว ภายในงานก็เริ่มเกิดการ
วิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง แม้แต่สาวๆ ของวิทยาลัยฉง
หลินเองก็เริม่ พูดคุยเช่นกัน
หลายคนรูส้ ึกว่าการแข่งหมากรุกในปีนี้เหมือนจะสนุก
มาก คิดในใจว่าในเมื่อเป็นการแข่งขัน จะง่ายไปไม่ได้
แต่ว่าจะให้ยากมากแบบนี้ ไปเอากลหมากโบราณมา
ให้ผู้เข้าแข่งขันแก้ มันก็เกินไป
เก้าวิทยาลัยที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ศิษย์ของ
แปดวิทยาลัยล้มเหลวกันไปหมดแล้ว ถึงแม้ในกฎจะ
บอกว่าศิษย์ในวิทยาลัยใครก็สามารถออกมาแก้กล
หมากได้ แต่ว่าแม้แต่มือหนึ่งในการเดินหมากของ
วิทยาลัยยังพ่ายแพ้ คนที่เหลือยังจะกล้าขึ้นมาอีกหรือ
หลายคนไม่กล้าออกมาลอง ถึงแม้ในใจของพวกเขา
จะอยากลองมากแค่ไหนก็ตาม แต่ว่าพวกเขารูด้ ีว่า
หากสามารถทำได้ก็ไม่เป็นไร แต่หากแพ้ ทุกคนก็จะ
มองว่าอยากได้หน้า จะถูกเยาะเย้ยเอาได้ พวกบัณฑิต
รักในชื่อเสียง ในงานมีบณ ั ฑิตมาจากหลายที่ หากถูก
เผยแพร่ออกไป ชื่อเสียงคงจบสิ้นแล้ว
ถึงแม้วิทยาลัยฉงหลินจะยังไม่ออกมา แต่วา่ แปด
วิทยาลัยล้มเหลวไปจนหมดแล้ว หลายคนคิดว่า
วิทยาลัยฉงหลินเองพอเห็นสถานการณ์แบบนี้แล้ว ก็
น่าจะเข้าใจอะไรแล้ว คงไม่ส่งใครออกมา
เสวียตันชิงถึงแม้จะรูส้ ึกว่าวิทยาลัยฉงหลินเองไม่
จำเป็นต้องออกมาลองก็ได้ แต่ว่าจั่วชิงหยางอยูท่ ี่นี่
ด้วย เขายังคงให้เกียรติจั่วชิงหยางอยู่ เขาหันไปถามฉี
หนิงว่า “แปดวิทยาลัยใหญ่ไม่สามารถแก้กลหมากได้
ไม่ทราบทางวิทยาลัยฉงหลินจะออกมาแก้กลหมาก
หรือไม่? หากทิ้งสิทธิ ก็ทำได้นะ พวกเราจะผ่านไป
แข่งขันในรอบที่สามเลย”
คำพูดของเขาชัดเจนมาก ความหมายของเขาคือ
แปดวิทยาลัยใหญ่ไม่สามารถแก้กลหมากได้
วิทยาลัยฉงหลินของพวกเจ้าก็ไม่ต้องเสียเวลาหรอก
ทิ้งสิทธิไปเถอะ
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้มั่นใจในรอบนี้เลย แต่ว่าพอเสวียตัน
ชิงพูดมาแบบนี้ มันแสดงออกชัดเจนว่าเขามีอคติต่อ
วิทยาลัยฉงหลิน เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เสีย่ วเหยา
ฉินอี พวกเจ้าสองคนตามข้าไปดูก่อน หากยังไม่ทันได้
ลอง แต่กลับจะยอมแพ้แล้ว เช่นนั้นคนอื่นจะยิง่ ดูถูก
พวกเราได้”
เสี่ยวเหยากับฉินอีมองหน้ากัน ถึงแม้ในใจจะรู้สกึ ว่า
โอกาสที่จะแก้กลหมากได้นั้นน้อยมาก แต่ว่าเห็นสี
หน้าท่าทางที่ฉีหนิงให้กำลังใจแล้ว ก็พยักหน้า
ทั้งสามคนเดินมายังหน้ากระดานหมากรุก ท่ามกลาง
สายตาของทุกคน
ฉีหนิงนำพาเสี่ยวเหยากับซูจื่อเซวียนแสดง
ความสามารถท่ามกลางผู้คนในรอบแรกมาแล้ว ถึงแม้
หลายคนจะรูส้ ึกว่าวิทยาลัยฉงหลินจะพอมีฝีมอื
ความสามารถอยู่บ้าง แต่ว่าความคิดเรื่องให้
ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงนั้นมันลงรากลึก
มาก ทำให้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความคิดทีม่ ีต่อ
วิทยาลัยฉงหลินไปได้ ตอนนี้เห็นฉีหนิงพาสองสาว
เดินมาที่หน้ากระดาน ก็นึกขำกัน แอบคิดในใจว่า
แม้แต่วิทยาลัยทั้งแปดยังไม่สามารถแก้กลหมากได้
แล้ววิทยาลัยฉงลินจะทำได้อย่างไร
ฉีหนิงยืนไขว้หลัง เขามองไปที่กระดานหมากรุก บน
กระดานมีหมากรุกขาวและดำวางอยู่ประมาณแปด
เก้าสิบตัวสลับไปมา ดูผวิ เผินเหมือนวุ่นวาย แต่ว่า
หมากทั้งสี่ด้านกลับมีการเผชิญหน้ารับรุกกันอย่าง
ชัดเจน ความรู้เรื่องหมากรุกของเขามีจำกัดมาก แค่
มองก็รู้สึกว่ามันซับซ้อนแล้ว แต่ว่ามันซับซ้อน
ตรงไหน เขาก็อธิบายไม่ถูก
เสี่ยวเหยากับฉินอียืนคะนาบข้างฉีหนิง ทุกคนต่าง
มองอย่างเคร่งเครียด เริม่ แรกพวกนางยังนิ่งอยู่ แต่
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินอีก็เริม่ ขมวดคิ้ว เสีย่ วเหยาเองก็เริ่ม
มีสีหน้าคิดหนัก หลังจากผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ฉีหนิงก็ได้
ยินฉินอีพูดว่า “ไม่ได้ แบบนั้น...แบบนั้นก็จะทำให้
ทางตัน แต่ว่า...อืม แบบนี้ก็ไม่ได้...” สีหน้าของนางดู
สับสนมาก ท่าทางของนางดูเคร่งเครียด
ถึงแม้ฉีหนิงจะพอรู้เรื่องหมากรุกบ้าง แต่ว่าในใจของ
เขาก็รู้ดี หากพอรู้ก็ไม่เป็นไร แต่จะให้ไปวิเคราะห์ให้
ลึกซึ้ง ทำความเข้าใจในหมากทุกตัวที่เดิน ยิ่งคิดมาก
เท่าไหร่ มันก็จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นไปอีก มันจะทำให้
คนปวดหัว แล้วก็จะทำให้ทรมานและเครียดตามมา
ฉีหนิงรู้ว่ากลหมากอันนีผ้ ู้เดินหมากเริม่ แรกอาจจะพอ
รับมือได้ แต่วา่ พอเดินไปเรื่อยๆ การเปลีย่ นแปลงก็
ยากที่จะคาดเดาได้ มันจะทำให้ซับซ้อนมากขึ้น คู่
ต่อสู้ก็จะเริม่ คาดเดาการเดินหมากได้ ยิ่งเป็นคนมี
ฝีมือ ก็จะยิ่งอ่านเกมออกได้มาก ทำให้คนที่เดินด้วย
เริ่มเข้าสู่สภาวะมึนงง
ฝีมือด้านการเดินหมากของเสีย่ วเหยากับฉินอีนนั้ ไม่
เลวเลย แต่เพราะอายุยงั น้อย พอเผชิญหน้ากับกล
หมากที่ซับซ้อน ก็รู้ว่าแก้ไม่ได้ ในใจของพวกนางคง
คิดว่าแม้แต่แปดวิทยาลัยใหญ่ยังแก้ไม่ได้ นั่นหมายถึง
ว่าทุกคนยอมรับแล้วว่ามันแก้ไม่ได้ อย่างมากในรอบ
นี้ทั้งเก้าวิทยาลัยเองก็ถือว่าเสมอกัน
เขากังวลว่าเสีย่ วเหยากับฉินอีหากยังคิดแบบนีต้ ่อไป
ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเลย กำลังคิดว่าจะยอมแพ้
ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยนิ เสียงดังในหูว่า “ในเมื่อเป็น
แค่การละเล่น จะคิดมากไปทำไม ข้าสอนเจ้าแก้กล
หมากเอง”
เสียงนีม้ าอย่างกะทันหัน ฉีหนิงสะดุ้งไป มองซ้ายมอง
ขวา เห็นเสีย่ วเหยากับฉินอียังคงจ้องอยู่ที่กระดาน
หมาก ชายชุดดำยังคงยืนอยู่ทเี่ ดิม คนรอบๆ ก็จบั จ้อง
มาที่นี่ ไม่มีใครรู้ว่าเสียงมาจากไหน
ฉีหนิงเอานิ้วแหย่ไปที่รหู ู คิดว่าตัวเองหูฝาดไปเอง
ไม่เช่นนั้นทำไมมีคนพูดกับเขา แต่คนอื่นไม่มีใครรู้ได้
ล่ะ
“ไม่ต้องมองไปไหนหรอก” เสียงนั่นดังขึ้นอีกครัง้ มัน
ชัดเจนมาก ฉีหนิงฟังได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ “หยิบ
หมากขาวขึ้นมา แล้ววางลงไปด้านล่าง แถวทีส่ ามสิบ
หก”
ฉีหนิงตกใจ เขาขมวดคิ้ว เสียงนั้นเล็กและเบามาก
ถึงแม้จะได้ยินชัด แต่ว่าแยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือ
หญิง เขาแอบคิดในใจว่าเหตุใดถึงได้มีเสียงดังมาได้
เขาลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินขึ้นหน้าไป เขาหยิบ
หมากขาวขึ้นมา พอเขาทำแบบนี้ มันทำให้ทุกคนต่าง
ตะลึงไป
ฉินอีกับเสี่ยวเหยาเดิมอยากจะสร้างชื่อให้กับ
วิทยาลัยฉงหลิน พวกนางพยายามแก้กลอย่างเต็มที่
แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งซับซ้อน พอคิดมากเข้า ก็รู้สึกว่าสมอง
นั้นว่างเปล่า ในใจก็นึกร้อนใจ ไม่อยากให้ฉีหนิงต้อง
ผิดหวัง แต่คิดไม่ถึงว่าฉีหนิงจะเดินไปหยิบหมาก
ขึ้นมาเอง
ทั้งสองมองหน้ากัน ต่างก็ตกใจ แต่กลับเห็นฉีหนิงเดิน
เอาหมากขาวไปวางลงด้านล่างในแถวทีส่ ามสิบหก
ไม่รู้วา่ ทำไมเหมือนกัน พอวางลงไปมันก็ติดลงที่
กระดานหมากเลย
ชายชุดดำเห็นฉีหนิงวางหมากลง ก็ยกมือขึ้นคำนับ ฉี
หนิงคำนับตอบ ชายชุดดำก็ไม่พูดอะไรมากมาย เขา
หยิบหมากสีดำขึน้ มา แล้วก็วางลงอย่างรวดเร็ว
ฉีหนิงเห็นชายชุดดำวางหมากลง กำลังคิดอยู่ว่าจะ
วางหมากต่อไปอย่างไร ในหูก็มีเสียงดังขึ้นว่า
“ด้านล่าง แถวทีส่ ามสิบเก้า”
ฉีหนิงแกล้งทำเป็นนิ่ง เขาหยิบหมากขึ้นมา แล้วอด
ไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปรอบๆ ในใจก็ตกใจ มันชัดเจน
ว่าเสียงไม่ได้มาจากคนรอบตัวเขา แต่น่าจะมาจาก
ทางฝั่งผู้ชม แต่ว่าคนทีอ่ ยู่ในงานมีกว่าพันคน จะรู้ได้
อย่างไรว่ามาจากไหน
หากมันดังมาจากฝูงชนจริง แล้วเหตุใดมีแค่เขาคน
เดียวที่ได้ยินล่ะ? เสีย่ วเหยากับฉินอี แม้กระทั่งชายชุด
ดำ ก็เหมือนจะไม่ได้ยินอะไรเลย
ฉีหนิงสะดุ้ง เหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ หรือว่า
เสียงนี่จะมีคนส่งเสียงอย่างลับๆ มา?
เขารู้อยู่แล้วว่า ในยุทธภพมีวิชาการส่งเสียงโดยที่
ไม่ให้ใครรู้ได้ มีเพียงคนที่พวกเราต้องการให้เขาได้ยิน
เท่านั้นที่จะได้ยินได้ แต่ว่าการจะฝึกวิชาแบบนี้ วร
ยุทธของคนๆ นั้นต้องร้ายกาจมาก กำลังภายในต้องมี
มาก อีกทั้งมันเป็นวิชาลึกลับ ฉีหนิงไม่เคยได้เห็นเลย
แต่ว่าในตอนนี้อีกฝ่ายใช้วิชานี้ในการส่งเสียงมาให้เขา
เขามองไปที่ซีเหมินอู๋เหิงทันที หากด้านวรยุทธ์
ภายในงานนี้ก็น่าจะมีซีเหมินอู๋เหิงคนเดียวทีม่ ีวรยุทธ์
ร้ายกาจ ถึงแม้เสียงที่ดังเข้าหูเขาจะไม่เหมือนเสียง
ของซีเหมินอูเ๋ หิงเลยก็ตาม แต่ในเมื่อเป็นวรยุทธ์ มันก็
อาจจะทำให้เสียงเปลี่ยนได้
แต่ว่าเหมือนซีเหมินอู๋เหิงจะไม่ได้สนใจทางนี้ เขา
เหมือนกำลังคุยอะไรบางอย่างกับหยวนหนิงเยียน
หากซีเหมินอู๋เหิงกำลังคุยกับหยวนหนิงเยียนอยู่ ถ้า
อย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางมาคุยกับตัวเองได้?
ฉีหนิงทำตามที่เสียงนั้นบอก เขาหยิบหมากขาววางลง
ด้านล่างแถวที่สามสิบเก้า
ชายคนนั้นก็วางหมากตอบโต้โดยไม่ลังเล
เสียงนั้นดังมาไม่หยุด ทุกครั้งที่ชายชุดดำวางหมากลง
ไม่กี่วินาทีตอ่ มาเสียงก็จะดังตามมาบอกให้ฉีหนิงวาง
หมากกลับไป ฉีหนิงวางหมากตามที่เขาบอก
พริบตาเดียว พวกเขาก็วางหมากไปแล้วกว่ายีส่ บิ ตัว
ทันใดนั้นเองเขาก็จับจุดได้ว่า อีกฝ่ายสามารถชีแ้ นะ
เขาวางหมากได้ แสดงว่าเขาก็จะต้องมองเห็นหมาก
กระดานนี้อย่างชัดเจน ตอนนี้เขานั่งหันหลังไปทาง
เหนือ กรรมการนั่งหันหน้ามาทางเหนือ ซึ่งอยู่ตรงกัน
ข้ามกับเขาในตอนนี้ คนที่อยูท่ างเหนือหากสายตาดี
หน่อย ก็จะมองเห็นหมากทั้งกระดานในตอนนี้ ซีเห
มินอู๋เหิงไม่มีทางมองเห็นได้ นอกจากว่าเขาจะมีวิชา
มองทะลุทะลวง ไม่เช่นนั้นไม่มีทางมองเห็นชัด
ทั้งหมด
พอคิดถึงตรงนี้ ฉีหนิงก็รู้ว่าคนๆ นั้นจะต้องอยู่
ทางด้านหลังคอยส่งเสียงให้เขาแน่นอน
อีกฝ่ายสามารถส่งเสียงลับมาให้เขาได้ วรยุทธ์ตอ้ ง
ร้ายกาจอยู่แล้ว แต่นอกจากนี้ คนๆ นี้ยังมีฝมี ือด้าน
การเดินหมากด้วยไม่เช่นนั้นกลหมากที่แม้แต่แปด
วิทยาลัยใหญ่ยังแก้ไม่ได้ เขาจะแก้ได้อย่างไร?
เสียงของคนๆ นั้นเล็กและเบามาก แต่น้ำเสียงของเขา
ดูสบายๆ จากน้ำเสียงของเขา เหมือนกับว่ากลหมาก
นี้มันไม่ยากเท่าไหร่
เดินไปอีกสิบกว่าหมาก ฉีหนิงเองก็เดินไปอย่างไม่
ค่อยเข้าใจ ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าใครได้เปรียบ
เสียเปรียบ เขาเห็นแค่หมากขาวหมากดำสลับกันไป
มา ดูแล้วก็ซับซ้อน
ชายชุดดำ ก่อนหน้านี้ยงั วางหมากอย่างรวดเร็วแต่ว่า
ตอนนี้หลังจากที่ฉีหนิงวางหมากลง เขาต้องคิดพัก
ใหญ่ ถึงจะวางหมากลง
ต่อมา ฉีหนิงก็เริม่ วางหมากเร็วขึ้น ชายชุดดำเดิน
หมากยิ่งช้าลงเรื่อยๆ ทุกคนต่างก็เห็นหมด พวกเขา
รู้สึกว่าสถานการณ์เริม่ เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เสนาบดี
กรมพิธีการหยวนหนิงเยียนกับกรรมการที่เหลือเองก็
เดินมาที่หน้ากระดานหมากรุก เขามายืนดูฉีหนิงเดิน
หมาก ฉีหนิงเห็นพวกเขามายืนอยู่ด้านหลัง เขาก็คิด
ว่าคนพวกนี้จะบังคนๆ นั้นหรือเปล่า ยังดีที่วา่ เสียง
ยังคงลอยมาเข้าหูเขาอยู่เรือ่ ยๆ ฉีหนิงถึงได้เบาใจ
หยวนหนิงเยียนเห็นกลหมากแล้ว สีหน้าของเขาก็
ตกใจมาก
ชายชุดดำที่เดินหมากกับฉีหนิงเองตอนนี้เหงื่อไหลทั่ว
หน้าผาก สีหน้าของเขาไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่นงิ่ สุขุม
แล้ว ถึงแม้จะพยายามสงบแล้ว แต่ว่าสีหน้าของเขา
มันดูกระวนกระวาย ฉีหนิงเดินตามที่ยอดฝีมือคนนั้น
บอก เขาวางหมากลงตรงตำแหน่งตรงกลาง ชายชุด
ดำถึงกับสะดุ้ง หยวนหนิงเยียนถึงกับอุทานออกมาว่า
“เอ๊ะ” แล้วหลุดออกมาว่า “แก้...แก้...แก้ได้แล้ว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 330 แข่งโคลงกลอน
ความสามารถด้านหมากรุกของฉีหนิงอ่อนมาก แม้แต่
ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนนีใ้ ครแพ้ใครชนะ เขาเพียงเดิน
ตามเสียงชี้แนะทีเ่ ขาได้ยินเท่านั้น ในเวลานี้ชายชุดดำ
เหงื่อไหลท่วมตัว หยวนหนิงเยียนก็หลุดพูดออกมา
ทุกคนต่างตะลึง เขาเหลือบไปมองบนกระดานหมาก
รุก แล้วพูดด้วยความสงสัยว่า “จบแล้วหรือ?”
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าสรุปแล้วหมากตานี้มันเดินจบแล้ว
หรือยัง ชายชุดดำเดินถอยหลังสองก้าว ยกมือขึน้
คำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยแพ้แล้ว ฝีมอื การเดินหมาก
ของท่านล้ำเลิศมาก ยากที่จะคาดเดาได้ ข้าน้อยนับ
ถือ”
ฉีหนิงตะลึงไป เขารู้สึกว่าเรือ่ งนี้บ้าสิ้นดี
เขาคิดว่าฝีมอื ในการเดินหมากของเขาในบรรดาคน
เข้าแข่งขันทั้งเก้าวิทยาลัย จะต้องอยู่อันดับท้ายๆ
แน่นอน แต่ว่าในท้ายทีส่ ุด กลับเป็นคนอ่อนที่สดุ
อย่างเขาทีส่ ามารถแก้กลหมากโบราณนี้ได้
“ท่านโหวน้อยฉลาดจริงๆ” หยวนหนิงเยียนมองไปยัง
กระดานหมากรุก จากนัน้ ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “นี่
คือกลหมากชีหวง ไม่มีใครสามารถแก้กลหมากนี้ได้
เลย ที่ได้มาตั้งกลหมากนี้ที่นี่ ก็เพราะได้รับอนุญาต
จากท่านซานหลิว อยากจะรู้ว่าจะมีใครในที่นสี่ ามารถ
แก้กลหมากได้หรือไม่”
“ท่านซานเหลิว?” จั่วชิงหยางหันหน้ากลับไปมอง
“ใต้เท้าหมายถึงท่านหลิวโม่เซิง?”
หยวนหนิงเยียนยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ท่านจั่ว ท่าน
กับท่านซานหลิวเคยพบหน้ากัน ท่านน่าจะรู้จักนิสัย
ของเขาดี”
จั่วชิงหยางพยักหน้าแล้วพูดว่า “มิน่าล่ะ ข้าคิดอยู่วา่
กลหมากนี้มันไม่ธรรมดาเลย มันไม่เหมือนกลหมาก
โบราณทั่วไป ที่แท้ก็เป็นกลหมากของหลิวโม่เซิง
นี่เอง”
“คนเหล่านี้เป็นลูกศิษย์ของท่านซานหลิว” หยวนห
นิงเยียนชี้ไปที่ชายชุดดำทั้งสี่ “ท่านซานหลิวตั้งใจส่ง
พวกเขามาร่วมการแข่งในครั้งนี้”
ชายชุดดำทั้งสี่ก็เดินขึ้นหน้ามาคำนับ ชายชุดดำคน
หนึง่ อธิบายต่อว่า “กลหมากชีหวงเป็นสมบัติลำ้ ค่า
ของอาจารย์ พวกเราใช้เวลามานานมาก สุดท้ายก็ยัง
ไม่สามารถแก้กลหมากได้ อาจารย์รู้วา่ วันนี้มีการจัด
งานจิงหัวขึ้น ก็เลยเกิดอารมณ์สุนทรีขึ้นมา ให้พวก
เรานำกลหมกชีหวงมายังเมืองหลวง โดยให้ใต้เท้า
หยวนเป็นคนดำเนินการให้ เพื่อลองดูว่าจะมีใครใน
งานชุมนุมวิชาการในครัง้ นี้สามารถแก้กลหมากได้
หรือไม่” เขามองไปทีฉ่ หี นิง แล้วชื่นชมว่า “คิดไม่ถึง
เลยว่า ในงานชุมนุมนี่จะมีเสือหลับมังกรซ่อนอยู่จริงๆ
ที่ท่านผู้นี้ได้ทำการแก้กลหมากได้ พวกเรานับถือ
จริงๆ”
ซีเหมินอู๋เหิงยิม้ แล้วพูดว่า “เท่าที่ข้ารู้มา ฝีมอื การเดิน
หมากของท่านซานหลิว ในใต้หล้านี้ มีเพียงแค่หนึ่งใน
สี่ศลิ ปะสี่แขนงอย่างเป่ยถังฮ่วนเยว่เท่านั้นที่สไู้ ด้ เขา
นำกลหมากนี้ออกมา นัน่ ก็แปลกกว่าปกติแล้ว ในเมื่อ
ท่านโหวน้อยสามารถแก้กลหมากได้ มันคาดไม่ถึง
จริงๆ” เขามองไปที่ฉีหนิง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
โหวน้อยนี่เสือซ่อนเล็บจริงๆ ข้าประเมินท่านต่ำ
เกินไปจริงๆ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ทีจ่ ริงแล้วฝีมือการเดินหมาก
ของข้าอ่อนมาก เดินมาถึงตรงนี้แล้ว แม้แต่ข้าก็ไม่รู้วา่
เกิดอะไรขึ้น” เขาพูดความจริงออกมา แต่วา่ คำพูด
เขาในสายตาคนอื่น มันคือคำพูดถ่อมตัว
เสี่ยวเหยากับฉินอีกลับทั้งดีใจและตะลึง พวกนางเดิม
ทีคิดว่าคงไม่มีทางแก้กลหมากนี้ได้แล้ว แต่คิดไม่ถึง
เลยว่าฉีหนิงจะลงมือเอง และสามารถแก้กลหมากได้
ไม่เพียงแค่พวกนางสองคน ในตอนนี้ข่าวเรื่องการแก้
กลหมากของฉีหนิงก็ได้แพร่กระจายไปทั่วงานแล้ว
มันทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงไป คิดในใจว่าขนาดแปด
วิทยาลัยแก้กลหมากไม่ได้ แล้ววิทยาลัยฉงหลินจะแก้
กลหมากได้อย่างไร?
หลายคนในงานไม่มีใครรู้จักว่าฉีหนิงเป็นใคร
ในตอนนี้พวกเขาเริม่ สอบถามกันยกใหญ่ ยังดีทมี่ ี
หลายคนที่รวู้ ่าฉีหนิงเป็นใคร จากนั้นก็พูดกันปากต่อ
ปาก ไม่นานนัก คนในงานก็ได้รู้ไปทั่ว ทีแ่ ท้คนที่โดด
เด่นมากในงานตอนนี้ เขาคือจิ่นอีโหวนั่นเอง
จิ่นอีโหวกับวิทยาลัยฉงหลินไปเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร
หลายคนไม่เข้าใจ แต่ว่าด้านการทหารของจิ่นอีโหว
นั้นสะเทือนไปทัว่ หล้า คิดไม่ถึงเลยว่าท่านโหวน้อยจะ
เก่งด้านศิลปวิชาการแบบนี้ด้วย
ทุกคนต่างรูส้ ึกเหมือนกัน ในตอนนี้เองก็มาถึงช่วง
เที่ยง วิทยาลัยหลงฉือเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องอาหาร
ของทุกคน แต่วา่ ถึงแม้จะเป็นวิทยาลัยหลงฉือ แต่ก็
ไม่ได้มโี รงอาหารที่สามารถบรรจุคนได้หนึ่งพันคนได้
ดังนั้นพวกเขาจึงให้คนมาแจกอาหารให้ แต่ละคนได้
หมั่นโถวคนละสองลูก อีกทั้งได้ข้าวต้มอีกคนละชาม
ถึงแม้อาหารกลางวันจะดูน้อยนิด แต่ว่าทุกคนทีม่ า
ร่วมงานไม่ได้มาเพือ่ กินข้าว หลังจากที่กินพออิม่ ท้อง
แล้ว กรรมการทั้งห้าคนก็กลับมาประจำที่นั่งอีกครั้ง
แล้วเริม่ ดำเนินการแข่งขันรอบที่สาม
หลังจากผ่านไปสองรอบ หลายคนก็เริ่มรู้วา่ ตอนนี้
คะแนนของวิทยาลัยฉงหลินในตอนนี้น่าจะสูงสุดใน
บรรดาเก้าวิทยาลัย
บทเพลงของรอยยิ้มแห่งท้องทะเลของฉีหนิง พูดได้ว่า
ยอดเยี่ยม ต่อให้ในรอบแรกคะแนนจะไม่ได้สูงสุด แต่
ก็ไม่ต่ำแน่นอน ในรอบสองการแข่งหมากรุก ใน
บรรดากเก้าวิทยาลัย นอกจากวิทยาลัยฉงหลินที่แก้
กลหมากได้แล้ว อีกแปดวิทยาลัยก็ลม้ เหลวหมด ใน
รอบที่สองวิทยาลัยฉงหลินก็จะเป็นที่เดียวที่ได้คะแนน
อีกแปดวิทยาลัยก็ไม่ได้เลย
จากสถานการณ์ในตอนนี้ วิทยาลัยฉงหลินไม่เพียงมี
คะแนนนำ อีกทั้งคะแนนก็น่าจะนำไปเยอะมาก ถ้า
อย่างนั้น อันดับหนึ่งในงานปีนี้นั้น จะเป็นใครไปได้อีก
มันก็พอจะเดาได้อยู่
ตั้งแต่มีงานชุมนุมวิชาการจิงหัวมา วิทยาลัยที่ได้
อันดับหนึ่งนั้นมีเพียงสี่วทิ ยาลัยเท่านั้น หนึ่งในนัน้
วิทยาลัยอวิ๋นซานคือวิทยาลัยทีไ่ ด้อันดับหนึ่งมากที่สุด
รองลงมาก็คอื วิทยาลัยหลงฉือ
ส่วนวิทยาลัยฉงหลิน เพิง่ ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานนี้ได้ไม่
นาน อีกทั้งยังเป็นวิทยาลัยผู้หญิงด้วย ทำให้อยูท่ ี่นั่งที่
อ่อนกว่าใคร ดังนั้นในหลายปีทผี่ ่านมา อย่าว่าแต่ได้
อันดับหนึ่งเลย ติดอันดับก็ไม่เคยด้วยซ้ำ เหมือน
มาร่วมชมเท่านั้นเอง
แต่ว่าไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ในปีนี้จะเกิดการ
เปลี่ยนแปลงขึ้นแบบนี้ วิทยาลัยฉงหลินที่เหมือนมา
เป็นผู้นั่งชมมาตลอด หลังจากผ่านไปสองรอบแล้ว
คะแนนจะนำไปไกลขนาดนี้ ทำให้มีโอกาสได้อนั ดับ
หนึ่งไป มันทำให้แปดวิทยาลัยใหญ่นั้นตกตะลึงมาก
ใบหน้าของพวกเขาไม่มใี ครที่ดูดีเลยตอนนี้
ถึงแม้ทั้งแปดวิทยาลัยจะเป็นคู่แข่งมาตลอด แต่ว่า
พวกเขาก็เปรียบเสมือนตัวแทนของการแลกเปลี่ยน
ด้านวิชาการ หากคราวนี้ถูกวิทยาลัยผู้หญิงชิงอันดับ
หนึ่งไป สำหรับแปดวิทยาลัยใหญ่แล้ว มันเหมือนจะ
ประสบกับภัยใหญ่ ตอนนี้แปดวิทยาลัยใหญ่มองมาที่
ฉีหนิง พวกเขาก็ไม่พอใจมาก
เสวียตันชิงเดินมาตรงกลางอีกครั้ง แล้วตะโกนว่า
“ผ่านการแข่งไปแล้วสองรอบ รอบต่อไปเป็นรอบที่
สาม ทุกท่านก็น่าจะรู้ การแข่งรอบที่สามนั้นเป็นการ
แข่งโคลงกลอน หลายปีที่ผ่านมามีท่านเสนาบดีเป็นผู้
ออกโจทย์ให้ ทางแปดวิทยาลัยใหญ่ก็จะส่งคนมาต่อ
บท” เขาหันไป แล้วยกมือคำนับให้กับเหล่ากรรมการ
“ใต้เท้า เชิญออกโจทย์ได้เลย”
หยวนหนิงเยียนลุกขึ้น แล้วพูดว่า “วันนี้เป็นวันขึ้นสิบ
ห้าค่ำ เทศกาลหยวนเซียว เดิมในคืนนี้การแขวนโคม
ไฟเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ทุกปีในวันหยวนเซียว ในเมือง
หลวงเองก็จะมีการแขวนโคมไฟ และติดปริศนาทาย
บทกลอนกัน สนุกสนานมาก” เขาพูดถึงตรงนี้ แล้ว
ยกมือขึ้นมา “แต่วา่ เนื่องจากอดีตฮ่องเต้เพิ่งสวรรคต
ไป ไว้อาลัยกันทัว่ แคว้น เทศกาลโคมไฟนั้นจัดไม่ได้
หน้าหนาวผ่านไปแล้ว ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึง วันนี้
ข้าจะตั้งโจทย์มาสองข้อ ให้ทุกท่านใช้คำว่าฤดูหนาว
กับฤดูใบไม้ผลิ เป็นโจทย์ในการแต่งกลอน โดยมีพวก
เราทั้งห้าคนเป็นคนประเมินและให้คะแนน”
ในตอนนี้เองเสวียตันชิงสั่งให้คนตั้งโต๊ะเอาไว้ด้านข้าง
แล้ววางกระดาษกับเครือ่ งเขียนเอาไว้ เพือ่ ให้ทกุ คน
ได้เขียนบทกลอนออกมา
ฉีหนิงรู้สึกเบาใจมาก
งานชุมนุมจิงหัว การแข่งศิลปวิชาการ หากบอกว่า
ด่านไหนที่ฉีหนิงมั่นใจมากที่สุด นั่นก็คือการแข่งโคลง
กลอน
เดิมที่เขายังกังวลว่าหยวนหนิงเยียนจะออกโจทย์
ประหลาดแค่ไหนกัน เมือ่ ได้ยินว่าให้ใช้ฤดูหนาวกับ
ฤดูใบไม้ผลิเป็นโจทย์ เขาก็ไม่มีแรงกดดันอีก
ครั้งนี้เขาไม่มคี วามลังเลเลย ในใจเขารู้ดีวา่ เหล่าสาวๆ
ของวิทยาลัยต่อให้มคี วามรู้ดีแค่ไหน ก็ไม่มที างแต่ง
กลอนได้มากกว่าเขาแน่ ถึงแม้บทกลอนในหัวของเขา
จะมีบทกลอนไม่มาก แต่ว่าแค่หัวข้อนี้ เขาก็สามารถ
เขียนออกมาได้ยี่สิบสามสิบโคลงกลอนแล้ว มันถือว่า
ง่ายมาก
เขารู้สึกว่าการแข่งแต่งกลอนของตัวเขา มันเหนือกว่า
การต่อสู้เสียอีก
บทกลอนที่เขาจำได้ในหัว มันเป็นโคลงกลอนที่
เผยแพร่มากกว่าร้อยปีแล้ว ผ่านวันคืนมาก็ยาวนาน
มันกลายเป็นตำรารวบรวมบทกลอนโบราณ ไม่ว่าจะ
บทไหน มันก็เหนือกว่าบทกลอนที่เพิ่งแต่งขึ้นในงาน
แน่นอน
เห็นแปดวิทยาลัยเริ่มทยอยส่งคนออกมา ฉีหนิงกำลัง
จะหยิบพู่กันขึ้นมา ทันใดนั้นเองก็นึกปัญหาสำคัญมา
ได้
เดิมรอบนี้มันคือการแต่งกลอน เหล่ากรรมการไม่ได้
สั่งให้ท่องบทกลอนออกมา แต่กลับให้เขียนมัน
ออกมา แสดงว่าจะต้องมีอะไรซ่อนเร้น เขาเหมือนจะ
รู้อะไรขึ้นมา น่าจะเป็นไปได้ว่าพวกเขาอยากจะดูลาย
ลักษณ์อักษรที่เขียนออกมาด้วย
ถึงแม้ฉีหนิงจะเขียนพู่กนั ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ถนัดอะไร
นัก เขาหันไปถามว่า “ในบรรดาพวกเจ้า ใครเขียน
อักษรได้ดีที่สุด?”
ทุกคนหันไปมองแม่นางที่อยูท่ ้ายแถว เสี่ยวเหยาพูด
ว่า “ท่านอาจารย์ หูฉงเขียนได้ดีที่สุด”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพยักหน้า แล้วบอกให้หูฉงเดินมาหา
หูฉงรู้สึกกลัวมาก “อาจารย์ ข้า...ข้าแต่งกลอนไม่
เป็น”
“ข้าท่องเจ้าแค่เขียนก็พอ” ฉีหนิงพูด “เจ้าไม่ต้องแต่ง
กลอนเอง”
หูฉงถึงได้เบาใจ
รอบนี้ฉีหนิงกับหูฉงเดินออกไปเป็นกลุ่มสุดท้าย แต่ว่า
กลับเป็นกลุ่มแรกที่ส่งบทกลอน ฉีหนิงได้คัดเลือกบท
กลอนที่มีฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลิออกมาอย่างละบท
แล้วท่องให้หูฉงฟัง นางก็เขียนตามลงบนกระดาษ
ฉีหนิงสังเกตสีหน้าของเหล่ากรรมการ พวกเขามี
ท่าทางที่แปลกออกไปหลังจากที่ได้รับบทกลอนไป
แล้ว ถึงได้วางใจ แอบคิดในใจว่าหากรอบนี้ได้รับ
คะแนนมาก็ดี วิทยาลัยฉงหลินก็จะได้อันดับหนึง่ ไป
ครอง เขาคิดว่าไม่นา่ จะมีปัญหาอะไรมากนัก
อาจารย์ใหญ่ของแปดวิทยาลัยเห็นหยวนหนิงเยียน
และคนอื่นๆรับบทกลอนของวิทยาลัยฉงหลินไปแล้ว
ก็พยักหน้า ในใจก็แอบคิดว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว
พวกเขามองหน้ากัน เหมือนกำลังสื่อสารกันทาง
สายตา
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ผู้เข้าแข่งขันจากแปดวิทยาลัยก็ได้
ส่งบทกลอนให้กับกรรมการ กรรมการทั้งห้าอ่าน แล้ว
ก็ประเมินคะแนนออกมา จากนั้นก็เห็นเหล่า
กรรมการนั่งพูดคุยกัน จากนั้นเฉินซีชางก็ลุกขึ้นแล้ว
เดินออกมา ยกมือขึ้นรอบทิศ แล้วพูดว่า “ผลของการ
แข่งขันในรอบนี้ออกมาแล้ว มีผลงานที่ถือว่ายอด
เยี่ยมมากบทหนึ่ง ข้าชืน่ ชมมาก” เขาหยุดไป แล้วยก
กระดาษออกมาอ่าน “ตรงนี้มีบทกลอนอยูส่ องบท มา
จากคนๆ เดียว พวกเราคิดว่า บทกลอนสองบทนี้มัน
พิเศษมาก อีกทั้งยังมีความหมายลึกซึ้ง เป็นการใช้คำ
ที่หาได้ยากมาก”
ทุกคนในงานมีความตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขากำลัง
คุยกันว่าบทกลอนที่เฉินซีชางหมายถึงนั้นมันเป็นของ
ใครกัน
อาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยอวิ๋นซานยกมือคำนับแล้ว
ถามว่า “ไม่ทราบบทกลอนสองบทนั้นเป็นของใคร
กัน? หากเป็นการใช้คำที่หาได้ยาก ให้พวกเราได้ชื่น
ชมด้วยจะได้หรือไม่?”
เฉินซีชางยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอน” เขายิม้ แล้วพูดว่า
“ดอกเหมยหลายกิ่งในป่าไผ่ นกเป็ดน้ำล่วงรู้ก่อนใคร
ในฤดูใบไม้ผลิ บนพื้นมีอะไรบางอย่างทีส่ ูงเท่าต้น
ถั่วงอก มันคือปลาปักเป้านั่นเอง” เขาลูบเคราแล้วพูด
ว่า “ยอดเยีย่ ม ยอดเยี่ยม ใช้คำได้สั้นและได้ใจความ
ทำให้เห็นภาพบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิได้อย่าง
ชัดเจน เหมือนมันมาอยูต่ รงหน้า เหมือนมันมีชวี ิต
เป็นบทกลอนที่หาได้ยากจริงๆ”
“แค่สี่ประโยคสั้นๆ แต่ทำให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน
หาได้ยากจริงๆ” หยวนหนิงเยียนปรบมือแล้วยิม้ “นี่
เป็นบทกลอนจากโจทย์ฤดูใบไม้ผลิ ท่านอาจารย์เฉิน
ยังมีอีกบทหนึ่ง รีบท่องมาเถอะ”
เฉินซีชางพยักหน้าแล้วพูดต่อว่า “อีกบทหนึ่ง เป็น
โจทย์ของฤดูหนาว” เขาหยุดไป แล้วท่องว่า “นก
น้อยบินล่องลอยกลางภูเขา เส้นทางนับล้านหายไป
เรือลอยโดดเดี่ยวกลางสายน้ำ ชายหนุ่มนั่งตกปลา
กลางหิมะ”
ทั่วทั้งงานต่างก็เป็นบัณฑิต บทกลอนดีหรือไม่ พวก
เขาแค่ฟังก็รู้ บทกลอนที่เฉินซีชางอ่านออกมานั้น
หลายคนถึงกับตกใจ แอบคิดในใจว่าเหนือคนยังมีคน
งานชุมนุมจิงหัวเป็นที่เสือซ่อนมังกรหลับจริงๆ พวก
เขาต่างคิดว่าบทกลอนสองบทนี้น่าจะมาจากหนึ่งใน
แปดวิทยาลัยใหญ่แน่นอน
ในตอนนี้ไม่เพียงเหล่าอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยที่มอง
หน้ากัน แม้แต่คนที่เข้าร่วมการแข่งขันเองก็เช่นกัน
ไม่มีเห็นวิทยาลัยฉงหลินอยู่ในสายตาเลย
“ท่านอาจารย์เฉิน ไม่ทราบบทกลอนสองบทนี้เป็น
ของใครกัน?” อาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยฉงหลูลกุ
ขึ้นมาถาม
เฉินซีชางหันไปมองหยวนหนิงเยียน เห็นหยวนหนิง
เยียนพยักหน้า เลยยิ้มแล้วพูดว่า “บทกลอนสองบทนี้
เป็นของ...วิทยาลัยฉงหลิน”
เมื่อเขาพูดจบ ฉีหนิงยังคงนิ่งอยู่ แต่ว่าสายตาของคน
อื่นๆ นั้นกลับมองมาที่เขา
อาจารย์ใหญ่ของแปดวิทยาลัยจ้องมาที่ฉีหนิง แล้ว
มองหน้ากัน อาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยฉงหลูปรบมือ
ยิ้มแล้วพูดว่า “ยอดเยีย่ ม เป็นกลอนทีย่ อดเยี่ยม
มาก” เขาหยุดไป แล้วมองไปทีอ่ าจารย์ใหญ่ของ
วิทยาลัยอวิ๋นซาน ยิ้มแล้วพูดว่า “บทกลอนก่อนหน้า
นีไ้ ม่เลวจริงๆ แต่วา่ บทหลังนั้น...”
เฉินซีชางถามว่า “ท่านอาจารย์ใหญ่อี้ กลอนบทหลัง
เป็นอย่างไรบ้าง?”
อาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยอวิ๋นซานหันไปมองฉีหนิง
แล้วถามว่า “ท่านโหวน้อย บทกลอนสองบทนี้
วิทยาลัยฉงหลินเป็นผู้แต่งอย่างนั้นหรือ?”
“เขียนออกไปแล้ว ก็ต้องเป็นของวิทยาลัยฉงหลินสิ”
ฉีหนิงเห็นสายตาของอาจารย์ใหญ่อี้ประหลาด เขา
แอบรู้สึกว่าสถานการณ์มันผิดปกติ
“ไม่จริง” อาจารย์ใหญ่อี้ พูดว่า “กลอนบทแรก ข้า
จะไม่พูดถึงก่อน แต่ว่ากลอนบทหลัง ไม่ใช่กลอนที่
วิทยาลัยฉงหลินของพวกเจ้าแต่งแน่นอน อีกทั้งไม่ใช่
กลอนทีโ่ หวน้อยท่านแต่งด้วย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 331 คิดร้าย
อาจารย์อพี้ ูดออกมาแบบนี้ ทั่วทั้งงานก็เริ่ม
วิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง หลายคนรูส้ ึกว่าอาจารย์อี้
กำลังจงใจพูดโกหก เพียงแต่พวกเขากำลังหวาดกลัว
ฐานะของเขา ทำให้ทุกคนไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ
ฉีหนิงก็พลันตกใจขึ้นมากะทันหัน แอบคิดในใจว่าตา
เฒ่านี่รไู้ ด้อย่างไรว่ากลอนบทนี้เขาไม่ได้เป็นคนแต่ง?
เขารู้ว่าในยุคนี้กับยุคที่เขาเคยอยู่ไม่ใช่โลกเดียวกัน ใน
ประวัติศาสตร์ทเี่ ขาเข้าใจ มันไม่มโี ลกใบนี้อยู่
ถ้าอย่างนั้น บทกลอนในหัวของเขาทั้งสองบทนี้ ก็
น่าจะไม่มีอยู่ในยุคนีเ้ หมือนกัน ไม่อย่างนั้นบัณฑิตอยู่
ในงานนี้ก็ต้องรู้จัก หากกลอนสองบทนี้เคยมีมาก่อน
ก็ต้องถูกจับได้ทันที กรรมการเองก็ไม่น่าจะชื่นชม
แบบนี้ได้
ไม่ว่าจะเป็นจั่วชิงหยางกับหยวนหนิงเยียน ยังมีเฉินซี
ชางอีก พวกเขาเป็นถึงศาสตราจารย์ใหญ่ทั้งนัน้ เหตุ
ใดหลายคนนั้นถึงไม่รลู้ ะ นั่นแสดงว่ากลอนพวกนี้มัน
ไม่มอี ยู่
แต่ว่าคำพูดของอาจารย์ใหญ่อี้ของวิทยาลัยฉงหลูพูด
ออกมาแบบนี้มันทำให้หลายคนตกใจ ฉีหนิงเดิมทีก็
ตกใจเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เขาก็พอจะเข้าใจ
อะไรบ้างแล้ว จึงพยายามข่มสติลง
จั่วชิงหยางอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด
ออกมา เฉินซีชางชื่นชมบทกลอนสองบทนี้มาก เมื่อ
ได้ยินอาจารย์ใหญ่อพี้ ูดมาแบบนี้ เขาก็ขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “ท่านอาจารย์ใหญ่อี้ ท่านรู้หรือไม่ว่ากำลังพูด
อะไรออกมา?”
อาจารย์อพี้ ูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ท่านอาจารย์เฉิน
นกน้อยบินล่องลอยกลางภูเขา เส้นทางนับล้าน
หายไป เรือลอยโดดเดี่ยวกลางสายน้ำ ชายหนุ่มนั่งตก
ปลากลางหิมะ มีคนแต่งขึ้นมาเมือ่ หลายปีที่แล้ว
เพียงแต่ไม่ได้บันทึกไว้เท่านั้น”
“มีมาก่อนแล้วอย่างนั้นหรือ?” หยวนหนิงเยียนขมวด
คิ้วแล้วพูดว่า “ข้าอ่านตำรามาก็มาก ไม่เคยเห็นบท
กลอนบทนี้เลย” เขาลูบเคราแล้วมองไปทีอ่ าจารย์
ใหญ่อี้แล้วถามว่า “อี้ซอื่ ฉี เจ้ามองว่าเจ้าเคยเห็นมา
ก่อน แล้วมันมาจากตำราเล่มไหนกัน?”
อาจารย์ใหญ่อมี้ องไปทีอ่ าจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยอวิ๋น
ซาน เขาลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “กลอนบทนี้ท่าน
อาจารย์ใหญ่เซียวโม่ของวิทยาลัยอวิ๋นซานเป็นคนแต่ง
ขึ้น”
เมื่อพูดมาอย่างนี้ สายตาของทุกคนก็มองไปที่เซียวโม่
ของวิทยาลัยอวิ๋นซาน
เซียวโม่ขมวดคิ้ว แต่สีหน้าของเขายังคงนิ่งอยู่ เขาลูบ
เครา เฉินซีชางขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ท่านอาจารย์
ใหญ่เซียว ทีท่ ่านอาจารย์ใหญ่อพี้ ูด ท่านได้ยินใช่
หรือไม่?”
เซียวโม่คอ่ ยๆ ลุกขึ้นมา แล้วกระแอมสองที เขายก
มือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “ถูกต้อง บทกลอนของโหว
น้อยบทนี้ ข้าได้แต่งไว้ตอนที่ออกไปท่องเที่ยวทีเ่ มือง
เสียงหยาง ตอนนั้นข้ากับซื่อฉีออกไปท่องเทีย่ ว
ด้วยกันที่ฤดูหนาว เห็นว่าบรรยากาศดี ก็เลยแต่ง
กลอนนี้ออกมา ตอนนั้นนอกจากซื่อฉีแล้ว ยังมีเพื่อน
อีกสองสามคนด้วย ที่ได้ยิน”
ฉีหนิงรู้สึกหดหู่
เซียวโม่พูดจาแบบนี้ ตอนนี้สายตาของทุกคนที่มองมา
ที่ฉีหนิง มันเป็นสายตาที่แปลกประหลาด ฉีหนิงแอบ
ขำในใจ แต่ว่าบรรยากาศในงานมันไม่เหมาะจะ
หัวเราะออกมา
อี้ซื่อฉีจากวิทยาลัยฉงหลูกับเซียวโม่ของวิทยาลัยอวิ๋น
ซาน ไม่ใช่คนธรรมดาทัว่ ไป เป็นอาจารย์ใหญ่ของ
หนึ่งในแปดวิทยาลัยใหญ่ในเมืองหลวง คำพูดของทั้ง
คู่ มีน้ำหนักมากกับเหล่าบัณฑิต อีกทั้งฐานะในงาน
วิชาการแบบนี้ ไม่ว่าใครเป็นคนพูด ก็ทำให้คนอื่นเกิด
ความสงสัยในตัวฉีหนิงอยู่แล้ว ยิ่งทั้งคูพ่ ูดพร้อมกัน
ด้วยแล้ว
อย่างน้อยในสายตาของคนอื่น ฉีหนิงเพิ่งแต่งกลอน
ออกมา อี้ซื่อฉีกับโม่เซียวก็คงไม่มที างหารือกันมา
ล่วงหน้า หลายคนก็เชื่อสนิทใจ
แต่ผู้หญิงของวิทยาลัยฉงหลินต่างก็หน้าถอดสีไป
หมดแล้ว
พวกนางรู้ดีว่าหากสิ่งทีอ่ ี้ซื่อฉีกับเซียวโม่พูดเป็นความ
จริง สำหรับฉีหนิงแล้ว ผลที่ตามมาไม่อยากจะคิดเลย
เกรงว่าบทเพลงรอยยิ้มแห่งท้องทะเล กับการแก้กล
หมากก่อนหน้านี้ อาจจะจบสิ้นเพียงเพราะบทกลอน
ของเขา ชื่อเสียงในด้านลบของเขาคงจะถูกพูดถึงอีก
นาน แม้แต่ในราชสำนักเขาเองก็อาจจะอยู่ไม่ได้
แม้แต่บรรดาศักดิ์ของเขาก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้
วิทยาลัยฉงหลินเองก็อาจจะเป็นเพราะฉีหนิง ทำให้
ชื่อเสียงเสียไป ถึงแม้จั่วชิงหยางจะเป็นนักปราชญ์
แห่งยุค แต่วา่ ก็มีผลกระทบไปด้วย เขาเองก็อาจจะ
รักษาวิทยาลัยฉงหลินเอาไว้ไม่ได้เหมือนกัน
หยวนหนิงเยียนสีหน้าเคร่งเครียด เขาขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “เซียวโม่ เจ้าบอกว่ากลอนบทนี้เจ้าเป็นคนแต่ง
ขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว? แล้วทำไมถึงไม่มีใครรู้?”
“เรียนใต้เท้า ตอนนั้นพวกเราดื่มเหล้าคุยเล่นกัน
บังเอิญอากาศมันเป็นใจ ก็เลยมีอารมณ์สุนทรีขนึ้ มา”
เซียวโม่พูดว่า “บทกลอนที่ข้าแต่ง ก็คือหิมะริมแม่น้ำ
....” เขามองไปทีอ่ ี้ซื่อฉี ลูบเคราแล้วพูดว่า “ชื่อหิมะ
แม่น้ำ ซื่อฉีก็เป็นคนคิดให้”
อี้ซื่อฉีรีบพูดว่า “ถูกแล้ว นอกจากข้าแล้ว ยังมีคนอื่น
เป็นพยานให้ได้ หากใต้เท้าไม่เชื่อ พวกเราสามารถหา
ตัวพวกเขามาเป็นพยานได้ เดิมทีกลอนบทนี้ข้าคิด
อยากจะบันทึกเอาไว้ แต่ว่าท่านอาจารย์ใหญ่เซียว
ไม่ได้รับปากในตอนนั้น ดังนั้น....”
“ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าเองก็พูดโดยไม่มีหลักฐานอย่าง
นั้นสินะ?” ซีเหมินอู๋เหิงพูดออกมา
เซียวโม่ยมิ้ แล้วพูดว่า “ท่านเสินโหวหากต้องการ
หลักฐาน พวกเราทำได้แค่หาพยานมา แต่ว่าบท
กลอนนี้ ข้าแต่งขึ้นเพราะความสนุก จะมีหลักฐานได้
อย่างไร? แต่ว่าเกียรติของพวกเรา มันก็ไม่ได้มีราคา
หากทุกคนไม่เชื่อ พวกเราก็ไม่มอี ะไรจะพูด”
เสวียตันชิงของวิทยาลัยหลงฉือไม่ได้พูดอะไรมาตลอด
ตอนนี้กลับพูดขึ้นมาว่า “ทุกท่าน ข้าคิดว่า ในเมื่อ
ท่านอาจารย์ใหญ่เซียวกับท่านอาจารย์ใหญ่อี้พูดแบบ
นี้แล้ว ก็น่าจะไม่ผิด นกน้อยบินล่องลอยกลางภูเขา
เส้นทางนับล้านหายไป ทุกท่านลองคิดดู บทกลอน
แบบนี้ ในเมืองหลวงคงไม่สามารถเห็นบรรยากาศ
แบบนี้ได้ หากไม่ได้ออกไปท่องเทีย่ ว พบเจอ
สถานการณ์มามาก จะแต่งคำกลอนที่มคี วามรูส้ ึก
แบบนี้ได้อย่างไรกัน?” เขาเหลือบไปมองฉีหนิง แล้ว
พูดว่า “เท่าที่ขา้ รู้ ก่อนที่ท่านโหวน้อยจะรับตำแหน่ง
บรรดาศักดิ์ อาศัยอยู่ในเมืองหลวงตลอด แทบจะ
ไม่ได้ออกจากเมืองหลวงเลย แล้วเพราะอะไร ที่จริง...
ทุกคนก็น่าจะรู้ดี ข้าก็ไม่อยากพูดมากอีก”
ในตอนนี้ทุกคนก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่า จิ่นอีโหวซือ่ จื่
อถูกคนขนานนามว่าจิ่นอีคนบ้า สมองของเขาไม่ค่อย
ปกตินัก จวนจิ่นอีโหวเพื่อดูแลซื่อจื่อที่ไม่ค่อยปกติคน
นี้ ก็เลยเลี้ยงเขาไว้ในจวนตลอด ไม่ค่อยให้ออกไปไหน
ก็อย่างทีเ่ สวียตันชิงพูด คนที่แทบจะไม่เคยได้เห็น
ทิวทัศน์อะไร อยู่แต่ในจวน จะสามารถแต่งกลอนที่ดี
แบบนี้ได้อย่างไรกัน
เซียวโม่กับอี้ซื่อฉีร่วมมือกัน ตอนนี้เสวียตันชิงยัง
ออกมาสนับสนุนอีก ทุกคนในงานก็เริ่มมั่นใจว่าฉีหนิง
ลอกบทกลอนของเขา ตอนนี้ทุกคนมองไปที่เขาด้วย
สายตาที่รังเกียจ
มีคนส่วนน้อยที่มองฉีหนิงด้วยสายตาทีเ่ ห็นใจ
ฉีหนิงแก้กลหมากที่แปดวิทยาลัยใหญ่ไม่สามารถแก้
ได้ ทำให้ใครหลายคนนับถือ หลายคนรูส้ ึกว่าฉีหนิงมี
ความรู้ความสามารถ พวกเขารู้สึกว่าฉีหนิงเป็นคน
หนุ่มไฟแรง รักในชื่อเสียงเกียรติยศมากเกินไป จึง
คัดลอกผลงานของคนอืน่ มา แต่ว่าไม่คิดว่าจะบังเอิญ
เป็นผลงานที่เซียวโม่แต่งขึ้น ความลับจึงถูกเปิดเผย
ขึ้น
พวกเขารู้วา่ หากฉีหนิงไม่สามารถนำเอาหลักฐาน
ออกมาได้ เรือ่ งคัดลอกบทกลอนก็จะกลายเป็นเรื่อง
จริงขึ้นมาทันที โหวน้อยคนนีอ้ นาคตก็จะดับทันที
“ท่านโหวน้อย ไม่ทราบท่านชี้แนะอะไรสักหน่อยจะ
ได้หรือไม่ ว่ากลอนบทนี้ ท่านได้มาจากที่ไหน?” เซียว
โม่ถอนหายใจ เหมือนเขามั่นใจว่าเรือ่ งนี้มีขอ้ สรุปไป
แล้ว “คนหนุ่มทำผิดพลาด แต่รู้ผิดแล้วแก้ไข ก็ยังได้
อยู่ ขอแค่ท่านโหวเยว่ขอโทษต่อหน้าทุกคน เรือ่ งนี้
พวกเราก็จะไม่เอาผิด”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงปรบมือขึ้นมา
ในตอนนี้เองฉีหนิงก็ยิ้ม เขาปรบมือ ทุกคนก็มองหน้า
กัน คิดในใจว่าหนุ่มน้อยนี่ทำไมไม่รู้กาลเทศะ ถึง
ตอนนี้แล้ว ยังยิม้ ยังหัวเราะออกมาได้อีก
ฉีหนิงหันหลัง แล้วมองไปที่เหล่านักเรียนสาวของ
วิทยาลัยฉงหลิน แล้วถามว่า “พวกเจ้าเองก็คิด
เหมือนกันใช่หรือไม่วา่ ข้าขโมยบทกลอนของคนอื่น
มา?”
เหล่านักเรียนหญิงมองหน้ากัน เสี่ยวเหยาส่ายหัวแล้ว
พูดว่า “ท่านอาจารย์ พวกเขาใส่ร้ายท่าน ท่าน......
ท่านไม่มีทางเป็นคนแบบนั้นได้”
“ใช่ ท่านอาจารย์ไม่ใช่......ไม่ใช่คนแบบนั้น พวกเขา
จงใจใส่ร้ายท่าน” ฉินอีกัดปาก นางเองก็สนับสนุนฉี
หนิง แต่ว่าเสียงของนางไม่ได้มั่นใจเท่าเสีย่ วเหยา
ฉีหนิงหัวเราะ แล้วจัดเสือ้ ผ้าให้เรียบร้อย จากนัน้ ก็
เดินไปยังกลางลานแข่งขัน เขาจ้องไปที่เสวียตันชิง
แล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ใหญ่เสวียบอกว่าข้าไม่เคย
ออกไปท่องเทีย่ วชมนกชมไม้ ไม่มีประสบการณ์
ดังนั้นเลยไม่มีทางแต่งกลอนได้แบบนี้ ซึ่งประเด็นนี้ข้า
ไม่อาจจะยอมรับได้ ในเมื่อเป็นองค์ความรู้ในศาสตร์
แห่งศิลป์ พวกท่านเล่าเรียนโคลงกลอนมากว่าครึ่ง
ชีวิต จนตอนนี้พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือว่าการ
เขียนหรือแต่งโคลงกลอนนั้นมันต้องใช้พรสวรรค์ด้วย
ไม่เช่นนั้นทุกคนทีอ่ ยู่ในงานวันนี้ก็คงมีผลงานทีไ่ ม่
ต่างกัน ไม่จำเป็นต้องมาเขียนบทความหาคนทีด่ ีที่สุด
หรอกจริงหรือไม่?”
คนของแปดวิทยาลัยต่างขมวดคิ้ว อี้ซื่อฉีพูดว่า “ท่าน
โหวน้อย การแข่งในวันนี้ พวกเราไม่พดถึงฐานะกัน
ถึงแม้ท่านจะเป็นจิ่นอีโหว แต่ว่าในงานชุมนุมจิงหัวใน
วันนี้ จะต้องทำตามกฎของที่นี่เท่านั้น ไม่ว่าท่านจะมี
ฐานะอะไร ก็อย่ามาทำลายกฎ พวกเราไม่มที างยอม
เด็ดขาด”
“ก็แค่คนแก่สองสามคนเท่านั้น” ฉีหนิงเดินมือไพล่
หลังเอาไว้ แล้วหัวเราะพูดว่า “โคลงกลอนสำหรับข้า
แล้ว มันก็แค่เครื่องมือปลูกฝังความเชื่อมั่นเท่านัน้ เอง
ต่อให้หลายอย่างข้าจะไม่เคยเห็นหรือมีประสบการณ์
แต่ว่ามันก็ไม่อาจขวางพรสวรรค์ของข้าในเรือ่ งการ
แต่งกลอนได้เลย พวกท่านบอกว่าข้าขโมยกลอนของ
ท่าน ท่านลองถามตัวท่านเองดีกว่า ว่าละอายแก่ใจ
บ้างหรือไม่?”
คำพูดของเขาในสายตาของทุกคนนั้น แทบไม่ได้มี
ความเกรงใจเลย หลายคนรู้สึกรังเกียจเขามาก แอบ
คิดในใจว่าจิ่นอีโหวนั้นไร้มารยาทที่สุด ขโมยกลอนไม่
ว่า ยังพูดจาไม่ให้เกียรติ เสียมารยาทกับผูอ้ าวุโสกว่า
“ถ้าอย่างนั้น ท่านโหวน้อยอยากจะบอกว่า ท่านมี
พรสวรรค์อย่างนั้นล่ะสิ?” เซียวโม่ถามว่า “หรือว่า
ท่านโหวน้อยสามารถแต่งกลอนแบบเมื่อครู่ออกมาได้
อีกอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านพูดถูกต้องแล้ว อย่างน้อยในการ
แต่งกลอน ข้าก็ไม่ดอ้ ยไปกว่าใคร” จากนั้นเขาก็
ตะโกนว่า “เสีย่ วเหยา หยิบพู่กันขึ้นมา เขียนกลอน”
ทางด้านวิทยาลัยฉงหลิน เมื่อเสี่ยวเหยาถูกฉีหนิงขาน
ชื่อ ก็ตกใจ แต่ว่าก็รีบเดินออกมา แล้วไปที่โต๊ะหยิบ
พู่กันขึ้นมา
ฉีหนิงมองไปที่เสี่ยวเหยาแล้วพูดว่า “ข้าพูด เจ้าเขียน
ข้าพูดไปเท่าไร เจ้าก็เขียนตามเท่านั้น ข้าไม่หยุด เจ้า
ก็ไม่ต้องหยุด”
เสี่ยวเหยาพยักหน้า นางจับพู่กันไว้แน่น
บัณฑิตรอบๆ ถึงกับอึ้งไป ไม่รู้ว่าฉีหนิงจะทำอะไร
ฉีหนิงยืนไขว้มอื ไว้ดา้ นหลัง เขาเหยียดคอตรง
บรรยากาศรอบๆ เงียบสะงัด ฉีหนิงเหลือบไปมอง
เซียวโม่ แล้วพูดว่า “แสงแดดส่องขุนเขา อากาศ
หนาวบ้านผู้ยากไร้ ได้ยนิ เสียงจากหน้าประตูไม้ ผู้คน
กลับมาในค่ำคืนของพายุหิมะ”
เสี่ยวเหยาเตรียมตัวไว้กอ่ นแล้ว มือของนางเขียนตาม
ไม่หยุด
“กิ่งก้านดอกเหมยริมกำแพง เบ่งบานออกมาเพียง
ดอกเดียว ใครจะคิดว่าไม่ใช่หิมะ มีเพียงกลิ่นหอมที่
โชยมา”
“ลมพายุพัดผ่านมา เกร็ดหิมะล่องลอยมาจากฟ้า
สายลมฤดูใบไม้ผลิกำลังมาถึง ดอกต้นหลีนับพันกำลัง
เบ่งบาน......ท้องทะเลจับตัวเป็นน้ำแข็ง ความเครียด
ทรมานยากที่จะคลี่คลายไป......”
“ลมตะวันออกพัดดอกไม้จนใบร่วง ดวงดาวราวกับ
สายฝน ม้าที่งามสง่าล่ามกับรถคันงาม เสียงขลุย่ ดัง
ลอยมา แสงไฟสว่างไสว หมู่ปลาเริงระบำ......ผูค้ น
มองตามไม่คลาดสายตา เมื่อนึกย้อนกลับไป คนที่รอ
คอยยังคงอยู่”
“......เรื่องนี้กลับกลายเป็นเพียงความทรงจำ เพียงแต่
ในเวลานี้มันเลือนราง......”
เมื่อเผชิญหน้ากับพวกของเซียวโม่ที่คิดร้ายต่อเขา
สุดท้ายแล้วฉีหนิงก็ระเบิดอารมณ์ของเขาออกมา
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องใช้วิธีการนึกบท
กลอนในหัวของเขาแล้วพูดออกมามากขนาดนี้ แต่ว่า
การเผชิญหน้ากับตาเฒ่าพวกนี้ พวกหัวเก่า ทำให้เขา
อดไม่ได้จริงๆ
ข้าขโมยกลอนมาก็จริง แต่ก็จะทำให้เจ้าเถียงไม่ออก
สักคำ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 332 ชื่อเสียงมลายสิ้น
“......แสงจันทร์บนท้องทะเล ฟากฟ้าอยู่ตรงหน้าแล้ว
.......” นีค่ อื กลอน [มองจันทร์ดว้ ยความคิดถึง] ของ
จางจิ่วหลิง
“เถาวัลย์ทเี่ ลีย้ วคด สะพานสายน้ำไหล ลมตะวันตก
พักม้าผ่านมา......” นี่เป็นกลอน [เทียนจิ้งซา ชิวซือ]
“......ยอดของภูเขา มองเห็นเขาน้อยมากมาย......” นี่
เป็นกลอน [มองเขา] ตู้ฝู่ ไม่ต่างกับที่ฉีหนิงกำลังมอง
ไปยังผูค้ นในตอนนี้
“ร่างกายไร้ปีกบินสยาย ในใจกลับเข้าใจทุกสรรพสิ่ง
......” นี่เป็นกลอนของหลีซางอิ่น
ไม่นานนัก ฉีหนิงก็ท่องกลอนออกมาได้ถึงยี่สิบบท
แล้ว ทุกคนต่างตกตะลึงไป บทกลอนทีอ่ อกมาจาก
ปากของฉีหนิง พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ว่าทุก
คนต่างรู้วา่ ทุกบทกลอนใช้คำได้สวยงามมากจริงๆ
ฉีหนิงท่องกลอนออกมา ซึ่งไม่ได้มีการนัดหมายอะไร
ไว้ก่อน ซึ่งเขาทำออกมาแบบสบายๆ ที่น่ากลัวกว่า
นั้นก็คือ ยีส่ ิบกว่าบทแรกๆ ท่องออกมาแบบไม่หยุด
เลย ฉีหนิงช้าลงบ้าง เพราะกลัวว่าเสี่ยวเหยาจะเขียน
ไม่ทันเท่านั้นเอง
“......ข้าคาดหวังให้พายุพัดกลับไป กลัวว่าบนหอคอย
ที่สูง จะไม่หนาวเหน็บ ภาพการเริงระบำ ยังคงตรา
ตรึงอยู่ในโลกมนุษย์......หวังเพียงมันจะคงอยูไ่ ปอย่าง
ยาวนาน”
หลังจากที่ฉีหนิงท่องกลอนออกมาได้มากถึงสามสิบ
หกบท ก็รู้สึกคอแห้งมากแล้ว เขาหันไปกวักมือขอน้ำ
จากคนของวิทยาลัยฉงหลิน แต่ว่าเหล่าแม่นางกลับ
ยังนั่งตะลึงอยู่ เลยยังไม่มีใครได้สติ
ทั่วทั้งงานเงียบเป็นเป่าสาก
แม้แต่ซีเหมินอูเ๋ หิงกับจั่วชิงหยางเอง สีหน้าก็มแี ต่
ความตกใจแทบไม่อยากจะเชื่อ
ตั้งแต่โบราณมา คนที่แต่งกลอนได้งดงามมีแค่ไม่กี่คน
บนโลกนี้มีคนเก่งอยู่มากมาย แต่ว่าคนทีส่ ามารถท่อง
กลอนออกมาได้สามสิบหกบท โดยไม่ได้มีการพัก
หายใจ เกรงว่ายังไม่เคยมีมาก่อน
หลายคนในงานนี้ไม่มีใครสามารถแต่งกลอนแบบนี้ได้
แต่ว่าอธิบายไม่ถูกว่ากลอนพวกนี้มีจุดบกพร่อง
ตรงไหน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บทกลอนที่ฉีหนิงท่องออกมานั้น
ไม่ว่าจะบทไหน ก็เป็นบทกลอนทีย่ อดเยี่ยมมากทั้งนั้น
แต่ว่าโหวน้อยกลับสามารถทำได้ง่ายๆ เหมือนการ
โรยเมล็ดปลูกผัก ถึงแม้จะมีคำที่แปลกไปบ้าง แต่
เพราะคนที่นี่ไม่รู้ว่ามีอีกโลกหนึ่งซ่อนอยู่ด้วย ทุกคนก็
เลยตกตะลึงมึนงงกันไปหมด
รอบๆ เงียบสนิท ฉีหนิงมองไปรอบๆ พบว่าทุกสายตา
จับจ้องมาที่เขาทั้งสิ้น ทุกสายตาต่างมีแต่ความตกใจ
ซึ่งปฏิกิริยาแบบนี้ก็เหมือนกับที่ฉีหนิงคิดเอาไว้แล้ว
เดิมเขาไม่อยากทำแบบนี้เลย แต่วา่ ตาแก่พวกนีท้ ำให้
เขาไม่พอใจมาก ตลอดเวลาทีผ่ ่านมา ฉีหนิงเป็นคน
ง่ายๆ แต่ถ้าใครทำให้เขาไม่พอใจ เขาเองก็จะให้คน
พวกนั้นลำบากเหมือนกัน ดังนั้นเขาเลยเลือกทีจ่ ะ
ท่องกลอนมันออกมาสามสิบหกบทเลย
เขารู้ว่าตอนนี้มันเพียงพอแล้ว
ท่ามกลางความเงียบ เหมือนจะไม่มีใครคิดจะทำลาย
บรรยากาศเลย
ฉีหนิงจัดเสื้อผ้า ยืนเอามือไพล่หลัง แล้วหันหลัง
กลับมา เผชิญหน้ากับเซียวโม่อาจารย์ใหญ่ของ
วิทยาลัยอวิ๋นซาน เขายิม้ แล้วถามว่า “ท่านอาจารย์
ใหญ่เซียว กลอนเมือ่ ครู่ ไม่ทราบมีบทไหนอีกทีเ่ ป็น
ของท่าน?”
เซียวโม่หน้าซีด ร่างกายของเขาในตอนนีส้ ั่นเทาไป
หมด ในลำคอของเขาเหมือนจะมีเสียงแปลกๆ หลุด
ออกมา เขายกมือขึ้นค้างอยู่กลางอากาศ ล้มลงไป
ด้านหลัง ยังดีทมี ีคนรีบวิ่งมาพยุง ก่อนทีเ่ ซียวโม่จะล้ม
ลง ศิษย์ของวิทยาลัยอวิน๋ ซานก็วิ่งกรูกันเข้ามา แล้ว
เรียก “ท่านอาจารย์......ท่านอาจารย์......”
ฉีหนิงหันไปหาอี้ซื่อฉี พบว่าอี้ซื่อฉีนั่งฟุบลงไปกับพื้น
ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ท่าทางของเขาดูตะลึงแน่นิ่งไป อ้า
ปากค้าง จะพูดแต่ก็พูดอะไรไม่ออก
“ข้าบอกแล้ว การแต่งกลอน มันไม่ใช่แค่การใช้คำ
หรือศาสตร์ของภาษาเท่านั้น ของบางอย่างมันไม่
จำเป็นต้องมีประสบการณ์มาก่อน มันก็สามารถแสดง
มันออกมาด้วยภาษาของพวกเราได้” ฉีหนิงถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ภาษาที่สวยงาม มันก็เหมือนการ
ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ มันสามารถหลอมรวมเข้า
กับจินตนาการได้ หากทำอยู่แค่ในกรอบ จะเขียนมัน
ออกมาให้ดีได้อย่างไร พวกท่านเป็นถึงอาจารย์ใหญ่
ของวิทยาลัยชื่อดัง แต่แม้แต่ทางของตัวเองยังเดินผิด
เลย แล้วจะชี้แนะลูกศิษย์ให้เดินถูกทางได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินฉีหนิงพูดมาแบบนี้ หลายคนไม่ลังเลใจแล้ว
ที่จะเชื่อเขา หลายเรือ่ งไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์
ก็สามารถแปลงมันออกมาให้งดงามได้
หากก่อนหน้านี้มีคนคิดว่าฉีหนิงขโมยบทกลอนอย่าง
อื่น แต่ในตอนนี้ ข้อหาที่ใส่ร้ายฉีหนิง มันไม่ได้เป็น
ประเด็นให้พูดถึงแล้ว มันหายไปหมดแล้ว
อัจฉริยะทีส่ ามารถแต่งกลอนได้สามสิบหกบทในคราว
เดียว ยังจะไปขโมยบทกลอนของใครเขาได้อีก? คนที่
ทำแบบนี้ได้ ยังจะไปสนใจบทกลอนของคนอื่นทำไม
กันอีก?
แต่เซียวโม่กับอี้ซื่อฉีเอง ก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน
อะไรอีก หลายคนก็มองไปที่พวกเขาด้วยสายตาที่ดู
ถูกและไม่พอใจ
คนในงานไม่ใช่คนโง่ หากฉีหนิงไม่ได้แต่งกลอน
ออกมาสามสิบหกบท ต่อให้ฉีหนิงอธิบายให้ตาย ก็ไม
มีทางพลิกสถานการณ์ได้ จะต้องถูกใส่ร้ายว่าเป็นคน
ต่ำช้า แต่ว่าพอเขาท่องกลอนออกมาได้ถึงสามสิบ
หกบทแล้ว ข้อหาที่ถูกใส่ร้ายมันก็ได้รับการพิสจู น์ไป
ได้โดยปริยาย
หลายคนเริม่ ได้สติ พวกเขาเริ่มรู้แล้วว่ามันมีอะไรใน
ก่อไผ่บ้าง
ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า แปดวิทยาลัยใหญ่มีอคติกับ
วิทยาลัยฉงหลิน งานในครั้งนี้ เห็นฉีหนิงนำ
วิทยาลัยฉงหลินเข้ามาร่วมงาน อีกทั้งยังมีโอกาส
ได้รับอันดับหนึ่งด้วย แปดวิทยาลัยก็แทบจะนั่งไม่ติด
ถึงแม้ก่อนหน้านี้หลายคนจะแอบสงสัย ว่าทำไมบท
กลอนของเซียวโม่ถึงได้ไม่มีคนรู้แต่ว่าฉีหนิงกลับรู้ แต่
ว่าเพราะเซียวโม่กับอี้ซอื่ ฉีมีบารมีผคู้ นนับถือ
กว้างขวางเลยไม่มีใครกล้าสงสัยในตัวของพวกเขา อีก
ทั้งยังเชื่อมั่นใจตัวของพวกเขามากด้วย
แต่ในตอนนี้ถึงได้รู้ว่า สองคนนี้กำลังอาศัยชือ่ เสียง
ความเชื่อมั่นของทุกคน ลงมือให้รา้ ยฉีหนิงกับ
วิทยาลัยฉงหลิน
หากฉีหนิงไม่ได้ทอ่ งกลอนออกมาสามสิบหกบท ผลที่
ตามมาไม่อาจคาดคิดเลย
หลายคนแอบคิดว่าตาเฒ่าสองคนนี้เป็นถึงนักปราชญ์
ที่มีชื่อเสียง คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าทำเรื่องต่ำช้าแบบนี้
ได้ กล้าให้ร้ายฉีหนิงว่าขโมยผลงานของตัวเองไป มัน
มากเกินไปแล้ว
ฉีหนิงสามารถแต่งกลอนได้มากถึงสามสิบหกบทใน
คราวเดียว ไม่มีทางไปขโมยโคลงกลอนของเซียวโม่ได้
แน่นอน แสดงว่าเซียวโม่กับอี้ซื่อฉีนั้นกำลังโกหกอยู่
หลายคนรูส้ ึกดูแคลน บางคนก็สงสาร รู้ว่าชายแก่สอง
คนนี้สะสมชือ่ เสียงมานาน แต่วันนี้กลับมลายสูญสิ้น
ไปหมดแล้ว
อาจารย์ใหญ่ของแปดวิทยาลัยอื่นเองก็อยากจะเห็น
จุดจบของวิทยาลัยฉงหลินเหมือนกัน แต่คิดไม่ถึงเลย
ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้ พวกเขา
แอบคิดในใจว่ายังดีที่ไม่ได้เข้าไปพัวพันด้วย
แต่ว่าเซียวโม่กับอี้ซอื่ ฉีชื่อเสียงป่นปี้ไปหมดแล้ว อีก
ทั้งวิทยาลัยอวิ๋นซานกับวิทยาลัยฉงหลูยังต้องถูก
หัวเราะเยาะเย้ยไปด้วย
เสวียตันชิงของวิทยาลัยหลงฉือแอบคิดกลัวอยู่ในใจ
เขาคิดว่ายังดีว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ออกความเห็นมาก
ไม่เช่นนั้นคงต้องซวยไปด้วยแน่นอน
ทุกคนรู้ว่า เซียวโม่โกรธจนความดันขึ้น ทำให้สลบไป
ศิษย์ของวิทยาลัยอวิ๋นซานสีหน้าไม่ดีสักคน พวกเขา
อับอายมาก ตอนนีไ้ ม่มอี ารมณ์จะอยูท่ ี่นี่ต่อไปได้อีก
เลยหามเซียวโม่แล้วรีบออกไปทันที
ทางวิทยาลัยฉงหลูเห็นทางศิษย์ของวิทยาลัยอวิ๋นซาน
กลับไปแล้ว พวกเขาเองก็พยุงอี้ซอื่ ฉีที่ตอนนี้หน้าไม่มี
สีแล้ว พวกเขาไม่มอี ารมณ์ในการชิงอะไรอีกแล้ว อีก
ทั้งตอนนี้วิทยาลัยอวิ๋นซานเองก็กลับไปกันแล้ว พวก
เขาก็ไม่มีหน้าอยู่ตอ่ ไปได้อีก พวกเขาก็เลยรีบกลับ
ออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน อีกทั้งพวกเขาก็ยังไม่อาจ
สู้หน้าหยวนหนิงเยียนอีกด้วย
พริบตาเดียว แปดวิทยาลัยมีถึงสองวิทยาลัยที่กลับไป
อย่างน่าอนาถ ทำให้เหลือที่นั่งไม่นอ้ ย
รอบๆ เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอีกครั้ง ประเด็นที่พูด
ถึงกันก็คือ ตกตะลึงในความสามารถของฉีหนิง
หรือไม่ก็เป็นเรือ่ งที่แปดวิทยาลัยรวมหัวกันใส่รา้ ยฉี
หนิง ทำเรือ่ งต่ำช้าแบบนี้ ทำให้วิทยาลัยที่เหลืออยู่นั้น
ก็รู้สึกอับอายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในตอนนี้ ความสามารถของฉีหนิง ไม่มีใครกล้าสงสัย
อีกแล้ว
หลายคนเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องของจิ่นอีคนบ้า
แต่ในวันนี้ได้พบตัวจริง พวกเขากลับหัวเราะ ได้ฟังไม่
สู้พบหน้า คนที่เคยดูถูกฉีหนิงว่าเป็นจิ่นอีคนบ้า แสดง
ว่าต้องมีใจคิดไม่ดีแน่ ตัง้ ใจใส่ร้ายจวนจิ่นอีโหว
หากคนบ้าประสาทไม่ดสี ามารถแก้กลหมากโบราณได้
อีกทั้งยังสามารถแต่งกลอนได้คราวเดียวถึงสามสิบ
หกบท แต่ละบทก็ใช้คำได้อย่างงดงามขนาดนี้
วิทยาลัยใหญ่ทั้งแปดก็คงสู้แม้กระทั่งคนประสาทไม่ดี
คนหนึ่งไม่ได้เลย?
คนที่ได้เห็นความสามารถของฉีหนิง ในใจของเขา
เชื่อมั่นว่า ในร้อยกว่าปีที่ผ่านมาไม่มีใครที่ร้ายกาจ
แบบนี้ได้ เกรงว่าอีกสักร้อยปี ก็คงยังไม่มีใคร
เหนือกว่าจิ่นอีโหวไปได้แน่นอน
เสวียตันชิงผ่านเวลาไปนานมากกว่าจะได้สติกลับมา
เขาเองก็รสู้ ึกอับอายเช่นกัน เขายกมือขึ้น ให้ทกุ คน
เงียบลง จากนั้นเขาก็ฝนื ยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกท่าน การ
แข่งขันรอบทีส่ ามสิ้นสุดแล้ว ทุกคนคงเห็นกันไปแล้ว
ในรอบที่สามนี้ ท่านโหวน้อย......ท่านโหวน้อยเป็นผู้มี
พรสวรรค์อย่างแท้จริง ทำให้พวกเราได้เปิดโลกใหม่
ดังนั้น......”
เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “ท่านเสวีย
งานชุมนุมวิชาการในวันนี้ ดูท่าแล้วคงไม่จำเป็นต้อง
แข่งต่อไปอีกแล้วกระมัง วิทยาลัยฉงหลินแสดง
ความสามารถเป็นที่ประจักษ์แล้วถึงสามรอบ ก็ได้
อันดับหนึ่งในปีนี้แน่นอนแล้ว”
พอคนๆ นีพ้ ูดมาแบบนี้ คนอื่นๆ รอบๆ ก็ต่างเห็นด้วย
ไม่ว่าใครหลายคนจะมีอคติต่อวิทยาลัยฉงหลินมากแค่
ไหน แต่หลังจากจบการแข่งขันทั้งสามรอบแล้ว ฉี
หนิงทำให้ทุกคนยอมรับได้ การที่วิทยาลัยฉงหลินชิง
อันดับหนึ่งมาได้นั้น มันก็คือความหวังของทุกคน
เสวียตันชิงยกมือโบกหลายที แต่เมือ่ ครู่ที่เซียวโม่ออก
หน้า ถึงแม้เขาจะไม่ได้เข้าไปพัวพันโดยตรง แต่ว่า
ความน่าเชื่อถือก็เสียไปไม่น้อยเลย ตอนนีไ้ ม่มีใครจะ
สนใจเขาสักนิด
จนกระทั่งหยวนหนิงเยียนลุกขึ้นมา ทุกคนถึงได้เงียบ
ลง เสวียนตันชิงเห็นทุกคนเงียบแล้ว ก็พูดอย่างจนใจ
ว่า “ทุกท่าน ไม่มีกฎระเบียบคงไม่ได้ งานชุมนุมยังไม่
สิ้นสุด ทุกท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ไม่แน่ว่าในการแข่งขัน
รอบที่สี่นั้นท่านโหวน้อยจะทำให้พวกเราตื่นตาตืน่ ใจ
อีกก็เป็นได้”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น ก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา
สามรอบก่อนหน้านี้ ในแต่ละรอบฉีหนิงทำให้ทกุ คน
ตกตะลึงทุกรอบ นี่เป็นรอบสุดท้ายเป็นการแข่งวาด
ภาพ ไม่รู้วา่ ฉีหนิงจะมีอะไรตื่นเต้นมาให้พวกเขาอีก
หรือไม่
ที่จริงการมาถึงจุดนี้ ฉีหนิงก็เหนือความคาดหมาย
ของทุกคนไปมากแล้ว ทุกคนเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
มากแล้ว
เสี่ยวเหยาเองตอนนี้ก็ทำการเก็บรวบรวมบทกลอน
แล้วยื่นให้กับฉีหนิง เมื่อฉีหนิงกลับมายังที่นั่ง เหล่า
สาวๆ ของวิทยาลัยฉงหลินต่างมองฉีหนิงด้วยสายตา
ของความนับถือ แม้แต่ซูจื่อเซวียนเองก็มองเขา
เปลี่ยนไป
แต่ฉีหนิงก็ยังคงนิ่งเหมือนเดิม เขามองไปรอบๆ แล้วก็
เหลือบไปมองเจียงซุยอวิ๋นด้วย ตอนนี้เจียงซุยอวิ๋
นเองก็มองไปที่ฉีหนิงพอดี ทั้งคูส่ บตากัน เหมือนกับ
ดาบสองคมกำลังฟาดฟันกันอยู่ มันดูเย็นชากันจน
หนาวถึงกระดูก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 333 ภาพวิญญาณ
การถอนตัวของวิทยาลัยอวิ๋นซานกับวิทยาลัยฉงหลู
สำหรับวิทยาลัยอื่นแล้ว มีประโยชน์มาก
แปดวิทยาลัยใหญ่ถอื เป็นตัวแทนด้านวิชาการของ
แคว้นฉู่ การมีชื่อเสียงสูงสุดของต้าฉู่ ก็เป็นเป้าหมาย
หลักของเหล่าบัณฑิต
เพียงแต่การเป็นขุนนางสายวิชาการ มันไม่ได้รบั การ
สนับสนุนมากนัก ดังนั้นการเป็นขุนนางราชสำนัก
จะต้องมีเส้นสายให้มาก ฐานะตัวแทนของเหล่า
บัณฑิต แปดวิทยาลัยนัน้ ก็คือเป้าหมายสำคัญของคน
ที่เล่าเรียนหนังสือ
แปดวิทยาลัยใหญ่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ก็มี
ผลประโยชน์เดียวกัน ดังนั้นเมื่อวิทยาลัยอวิ๋นซานกับ
วิทยาลัยฉงหลูสร้างเรื่องอับอายขึ้นมา ได้เผยแพร่
ออกไปแล้ว มันก็กระทบต่อชื่อเสียงของวิทยาลัย
อย่างแน่นอน
แต่ว่าวิทยาลัยอวิ๋นซานในฐานะวิทยาลัยที่ใหญ่สดุ ใน
บรรดาแปดวิทยาลัย ก็ยังคงเป็นวิทยาลัยที่ใครๆ ต่าง
ก็อิจฉา ที่ไหนมีคนทีไ่ หนก็จะมีพื้นที่ ต่อให้จะเป็นคน
ที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม การแข่งขันแบ่งพรรคแบ่งพวก
ก็ไม่เคยหยุดนิ่ง ตอนทีว่ ทิ ยาลัยอวิ๋นซานร่วมมือกับ
วิทยาลัยฉงหลูรับมือฉีหนิงที่เป็นตัวแทนของ
วิทยาลัยฉงหลินนั้น วิทยาลัยอื่นก็รอเห็นความล่มจม
ของวิทยาลัยฉงหลิน แต่ว่าพอสถานการณ์เปลีย่ นไป
ฉีหนิงพลิกสถานการณ์ได้ วิทยาลัยอวิ๋นซานกับ
วิทยาลัยฉงหลูกลับไปอย่างอับอาย เหล่าวิทยาลัยอื่น
ต่างก็รู้สึกโชคดีในความโชคร้ายของคนอื่น
บรรดาวิทยาลัยที่เหลืออยูค่ ิดว่า เซียวโม่พ่ายแพ้
กลับไปอย่างขายหน้า วิทยาลัยอวิ๋นซานได้รับ
ผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ทิศทางของแปดวิทยาลัยก็
จะต้องเริม่ ใหม่หมด ในโอกาสที่ดีแบบนี้ ก็ต้องคว้า
เอาไว้ให้ได้ วิทยาลัยฉงหลินได้อันดับหนึ่งแน่นอนแล้ว
แต่ว่าเหล่าวิทยาลัยที่เหลือก็จะต้องพยายามอย่าง
เต็มที่ เพือ่ ให้ได้อันดับทีด่ ีที่สุด เพือ่ สร้างรากฐานของ
ทิศทางใหม่ของแปดวิทยาลัยขึ้นมาใหม่
ดังนั้นถึงแม้จะเหลือการแข่งขันอยูอ่ ีกหนึ่งรอบ แต่
เหล่าวิทยาลัยที่เหลือก็ยงั ตั้งสติอย่างเต็มที่
ซีเหมินอู๋เหิงในฐานะหนึง่ ในศิลปะสีแ่ ขนงสาขา
ภาพวาด วันนี้มาร่วมงานด้วยตัวเอง ดังนั้นในรอบ
สุดท้ายนี้เขามีสิทธิและอำนาจเต็มที่
นอกจากวิทยาลัยฉงหลินแล้ว วิทยาลัยอีกหกแห่งที่
เหลือต่างส่งศิษย์ที่ดีทสี่ ดุ ออกมาแข่งวาดภาพ
กระดาษหมึกสี ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมสรรพ
ฉีหนิงรู้ว่านี่คอื รอบตัดสินแล้ว เมือ่ มีคะแนนมาจากใน
สามรอบแรกอยู่แล้ว อีกทั้งในรอบที่สองกับสามที่โดด
เด่นสะเทือนไปทัว่ ทั้งงาน คะแนนก็ถือได้ว่านำห่างไป
มากแล้ว ต่อให้รอบสุดท้ายจะมีพลาดหลุดไป ก็ไม่ได้
กระทบอะไรมากมาย
“ท่านอาจารย์ รอบสุดท้ายท่านจะออกไปวาดเองอีก
หรือไม่?” มีคนถาม
ในสายตาของคนอื่น ฉีหนิงนั้นเก่งศิลปะในทุกแขนง
เหล่าแม่นางของวิทยาลัยฉงหลินคิดว่าการวาดภาพ
ของฉีหนิงเองก็รา้ ยกาจไม่ต่างกัน
ฉีหนิงยิ้มแล้วส่ายหน้า การวาดภาพจะมาแกล้งวาด
ไม่ได้ หากจะลงหมึกต่อหน้าใครหลายคน เขาไม่มี
ความสามารถขนาดนั้น เขายิ้มแล้วถามว่า “ใคร
อยากจะออกไปวาดภาพบ้าง ตอนนี้ไปได้เลยนะ
เพราะถึงอย่างไรพวกเราก็ได้อันดับหนึ่งหรือสอง
แน่นอนแล้ว พวกเราแค่ออกไปแสดงทักษะนิดหน่อย
เท่านั้นพอ”
ตอนนี้พวกนางนับถือและเคารพฉีหนิงมาก รวมถึง
เสี่ยวเหยาด้วย พวกนางรู้สึกว่าไม่มอี ะไรที่ฉีหนิงทำ
ไม่ได้ ตอนนี้วทิ ยาลัยฉงหลินใกล้ที่จะได้อันดับหนึ่งมา
ครองแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อยากพลาดในรอบสุดท้ายนี้
อีกทั้งยังไม่อยากรับภาระด้วย ดังนั้นถึงแม้ฉีหนิงจะให้
เหล่าสาวๆ เสนอตัวเองออกมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าออก
ฉีหนิงจับไปที่หัว ในใจก็รู้ดีว่า ก่อนหน้านี้เขาน่าจะ
โดดเด่นมากเกินไป ทำให้เหล่าสาวๆ ไม่กล้าออกหน้า
เลย ซึ่งก็เข้าใจได้
“เสีย่ วเหยา ถ้าอย่างนั้น....” ฉีหนิงมองไปที่เสีย่ วเหยา
เสี่ยวเหยารีบยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ข้าวาด
ภาพไม่ได้เลย”
ฉีหนิงก็ไม่รู้ว่าเสี่ยวเหยาพูดจริงหรือไม่ แต่ในสายตา
ของพวกนางมันก็เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
ก็เหมือนกับที่เสวียตันชิงพูด สามรอบทีผ่ ่านมา ไม่ว่า
จะรอบไหนก็ทำให้ใครต่างตกตะลึง ดังนั้นทุกคนกำลัง
คาดหวังตัวเขาอยู่
ฉีหนิงลังเล แล้วมองไปที่คณะกรรมการ เห็นซีเหมินอู๋
เหิงกำลังลูบเคราอยู่ แล้วมองมาที่เขา สีหน้าของเขามี
รอยยิ้ม
ฉีหนิงนึกอะไรขึ้นมาได้ เขายิ้มเช่นกัน เขาลุกไปที่โต๊ะ
วาดภาพ จากนั้นก็นั่งลง หยิบพู่กันขึ้นมา เขาคิดไปครู่
หนึ่ง จากนั้นก็วางพู่กันลงอีก จากนั้นก็กวักมือเรียก
ศิษย์ของวิทยาลัยหลงฉือมา คนๆ นั้นเดินเข้ามาอย่าง
ยำเกรง ฉีหนิงกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับเขา เขา
ตกใจ แล้วก็รีบถอยไปอย่างรวดเร็ว
ในสายตาทุกคนในเวลานี้ เหมือนจะมองมาที่ฉหี นิง
หมด
เห็นฉีหนิงกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับศิษย์ของ
วิทยาลัยหลงฉือแล้ว ก็ไม่รู้ว่าฉีหนิงคิดอะไรอยู่ แต่ว่า
ในใจของพวกเขาก็แอบรอคอยกันอยู่
การได้รับอันดับหนึ่งของวิทยาลัยฉงหลินนั้นเป็นเรื่อง
ของเวลา เรือ่ งของวิทยาลัยฉงหลินได้รับอันดับหนึ่ง
ไม่มีใครสงสัยได้อีก แต่ว่าพวกเขาก็ยังอยากเห็นว่า
รอบสุดท้ายนี้ฉีหนิงจะมีอะไรมาให้พวกเขาได้
ประหลาดใจอีกหรือไม่
ภายในงานเงียบมาก พวกเขาเป็นบัณฑิตทั้งนั้น พวก
เขารู้ดีว่าในเวลาแบบนี้ไม่ควรที่จะรบกวนผูเ้ ข้า
แข่งขันในการวาดภาพ
ฉีหนิงนั่งขัดสมาธิลงหน้าโต๊ะ เขาหลับตา แต่ยังไม่
เคลือ่ นไหว ทุกคนไม่มีใครรู้วา่ เขาอยากจะทำอะไร
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เห็นศิษย์ของวิทยาลัยหลงฉือก
ลับมา เขากลับมาพร้อมกับก้านไม่ไผ่ บนก้านไม้ไผ่มี
ใบไม้อยูอ่ ีกเจ็ดแปดใบ
ภายในวิทยาลัยหลงฉือมีต้นไม้ใหญ่มากมาย เมือ่ ถึง
หน้าหนาว ใบไม้ก็จะเด่นสะดุดตามาก
ต้นสนหมายถึงความมีอารยธรรมต้นไผ่หมายถึงการมี
อายุยืน ต้นเหมยหมายถึงความสวยงาม ต้นสนกับต้น
ไผ่ใบไม้จะไม่ร่วง ดอกเหมยจะบานตอนหน้าหนาว
ซึ่งมันมีความหมายว่าสงบบริสุทธิ์แฝงอยู่ด้วย ใน
สายตาของบัณฑิต ไม่รวู้ ่าการทีศ่ ิษย์ของวิทยาลัยหลง
ฉือนำก้านไม้ไผ่มานั้น มันเพื่ออะไรกัน
ฉีหนิงรับก้านไม้ไผ่มาแล้ว ก็ยิ้ม เขาเหลือบไปมองซีเห
มินอู๋เหิง แล้วไม่ลังเลอีก เขาหยิบก้านไม้ไผ่จุ่มลงไปที่
ถาดหมึก จากนั้นก็เริ่มละเลงบนกระดาษภาพ ก้านไผ่
เมื่อสัมผัสลงบนกระดาษแล้ว ก็กระจัดกระจาย ไม่
เป็นรูปเป็นร่าง
ฉีหนิงจุ่มหมึกติดต่อกันสามครั้ง ลงละเลงบนกระดาษ
สามครั้ง บนกระดาษภาพมีแต่รอยน้ำหมึกเต็มไปหมด
มีทั้งสั้นยาว ดูยุ่งเหยิงไม่มีรูปทรง แต่ว่าถ้าสังเกตดูดีดี
แล้ว กลับดูเหมือนมีรูปทรง ฉีหนิงวางก้านไม้ไผ่ลง
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมา ยืดตัวบิดขี้เกียจ แล้วก้มลง
หยิบของมาทับกระดาษเอาไว้ จากนั้นก็เดินกลับไปนั่ง
ที่ของตัวเอง
ตอนนี้ก็มีคนลุกจากที่นงั่ เพื่อดูวา่ ฉีหนิงวาดอะไร แต่
เพราะมันไกลพอสมควร ก็เลยมองไม่ชัดว่ามันเป็น
ภาพของอะไร
เพราะว่าน้ำหมึกยังไม่แห้งสนิท เพราะฉะนั้นภาพวาด
ก็เลยยังไม่ได้ถูกเก็บไปในทันที ในตอนนี้เป็นเวลายาม
เซิน ห่างจากเวลาหัวค่ำไม่เกินหนึ่งชั่วยาม
ผ่านไปแล้วอีกครึ่งชั่วยาม ผู้เข้าแข่งขันทุกคนวาดภาพ
เสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็เป็นการแข่งขัน
เพราะฉะนั้นเลยไม่ยืดเวลาไว้ให้ผเู้ ข้าแข่งขันอีก มัน
กลายเป็นกฎของการแข่งขันในงานชุมนุมวิชาการ ข้อ
นี้ทุกคนรู้ดี
เมื่อวาดภาพกันเสร็จหมดแล้ว หลังจากนั้นพักหนึ่ง
รวมถึงภาพของฉีหนิงด้วย ก็ถูกส่งไปให้กรรมการ
กรรมการมองภาพของแต่ละคนอย่างละเอียด แต่เมื่อ
มองภาพของฉีหนิง พวกเขาต่างก็ตกใจ
ทุกคนในงานต่างรออย่างอดทน ทันใดนั้นเองก็เห็น
หยวนหนิงเยียนเงยหน้าขึ้นมา แล้วถามว่า “ภาพนี้
ของใครกัน? เหตุใดถึงไม่มีชื่อ?” เขาสะบัดภาพออก
ทุกคนต่างตะลึงไป จั่วชิงหยางยื่นมือไปรับภาพมา
จากมือของหยวนหนิงเยียน เมื่อมองไปที่ตัวภาพ สี
หน้าของเขาก็เปลีย่ นไป ร่างกายของเขาสั่นเทา
แต่ฉีหนิงเห็นอยู่ เขารู้สกึ แปลกใจมาก ในใจก็คิดว่าจั่ว
ชิงหยางพบเจออะไรมาก็มาก เป็นคนที่มคี วามรู้
กว้างขวาง เขาเป็นคนไม่ชอบแสดงความรูส้ ึก กับตัว
เขาก็ควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่ทำไมเห็นภาพนั้นแล้ว ถึง
ได้มีปฏิกิริยาแบบนั้นได้
หลังจากนั้นก็ได้ยินอู๋ซานเต๋าพูดว่า “ใต้เท้า ที่นมี่ ีภาพ
ที่ลงรายชื่อผู้วาดเอาไว้เจ็ดภาพ ผู้เข้าแข่งขันก็มี
ทั้งหมดเจ็ดคน ภาพในมือของท่านอาจารย์จั่ว เหมือน
......เหมือนจะเกินออกมา”
เมื่อพูดออกมาแล้ว ทุกคนต่างตกใจหน้าเสียกันไป
หมด
“มันมีภาพเกินมาได้อย่างไรกัน?” หยวนหนิงเยียน
ตกใจ แล้วพูดว่า “ผู้เข้าแข่งขันมีเจ็ดคน หรือว่า......”
เขามองภาพนั้นอย่างละเอียด สีหน้าของเขาตกใจ
มากกว่าเดิม “ทำไมถึงได้มีภาพแปดภาพ ใคร......ใคร
เป็นคนส่งมันมา?”
ในตอนนี้สถานการณ์ดูเปลี่ยนไปอีกแล้ว คนที่
รับผิดชอบเก็บภาพสองคนรีบเดินขึ้นมาตอบว่า
“เรียนใต้เท้า พวกเรา......พวกเราเก็บภาพของผูเ้ ข้า
แข่งขันมา เหมือน......เหมือนจะไม่ได้เกินมาจริงๆ นะ
ขอรับ”
“เหมือนว่า?” หยวนหนิงเยียนขมวดคิ้ว “ผู้เข้า
แข่งขันมีเจ็ดคน พวกเจ้าส่งภาพมาแปดภาพ อีกทั้งยัง
ไม่มลี งรายชื่ออีก มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ พวกเจ้า
ตรวจสอบดีดีแล้วหรือยัง” เขาลุกขึ้นมา แล้วมองไป
รอบๆ แล้วถามว่า “ผู้เข้าแข่งขันทั้งเจ็ดท่านเมื่อครู่ มี
ใครส่งภาพเกินมาหรือไม่?”
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนในตอนนี้ รวมถึงฉีหนิงด้วยต่างตก
ตะลึง ทุกคนลุกขึ้นยืน แล้วยกมือคำนับ “ไม่ได้ส่งเกิน
ขอรับ”
เมื่อครู่ด้วยเวลาที่จำกัด การวาดภาพภาพหนึ่งมันก็
กระชั้นชิดมากแล้ว ในเวลาปกติ จะวาดภาพออกมา
สองภาพนั้นมันเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย
ทันใดนั้นเองก็เห็นจั่วชิงหยางลุกขึ้นมา แล้วม้วนภาพ
เอาไว้ในมือ สีหน้าของเขาดูตื่นตระหนกมาก เขาพูด
ว่า “ในเมือ่ ภาพนี้มันเกินออกมา อีกทั้งยังไม่มลี งชื่อ
ก็ไม่นับว่าเป็นผลงานทีร่ ว่ มแข่งขัน” เขาไม่รอหยวนห
นิงเยียนตอบตกลง เขาม้วนภาพเก็บเข้าเสือ้ ไปเลย
จากนั้นก็ยกมือคำนับหยวนหนิงเยียนแล้วพูดว่า “ใต้
เท้า ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากจะขอตัวกลับก่อน”
หยวนหนิงเยียนกับทุกคนในงานต่างรู้สึกตกใจ แอบ
คิดในใจว่าการแข่งรอบสุดท้ายก็ใกล้จบแล้ว จั่งชิงห
ยางเองก็อดทนมาจนถึงรอบนี้แล้ว เหตุใดถึงขอ
ออกไปกะทันหันแบบนี้ แต่ว่าสีหน้าของจั่วชิงหยางก็
ไม่ดีจริงๆ ใบหน้าของเขาซีดเซียว หยวนหนิงเยียนพูด
ว่า “ท่านอาจารย์จั่วท่านไม่สบายหรือ? จะให้ตาม
หมอมาตรวจหน่อยดีหรือไม่?”
“ขอบคุณใต้เท้าที่เป็นห่วง” จั่วชิงหยางยกมือคำนับ
“โรคคนแก่ กลับไปกินยาก็ไม่เป็นไรแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะให้คนไปส่งท่านจั่วนะ”
“ไม่ต้องลำบากหรอก” จั่วชิงหยางพูด “รถม้าของข้า
อยู่ข้างนอกนี่เอง เดินออกไปก็เจอ ใต้เท้า ทุกท่าน
ต้องขออภัยมากจริงๆ” จั่วชิงหยางขออภัยอย่างมี
มารยาท เขาไม่เสียเวลา เดินอ้อมโต๊ะกรรมการ แล้ว
เดินออกไปเลย เขาเดินมาทางฉีหนิง จากนั้นเขาก็ฝืน
ยิ้มแล้วพยักหน้า แล้วเดินจากไป
ฉีหนิงแอบแปลกใจ เขารู้ว่าพอจั่วชิงหยางเห็นภาพที่
เกินออกมาแล้วนั้นก็เปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็ขอตัว
กลับ
ในสายตาของทุกคน จูๆ่ ก็มีภาพเกินออกมา หรือว่า
จะเป็นผี? อีกทั้งมันเป็นภาพอะไรกัน ทำไมถึงได้ทำให้
พวกของจั่วชิงหยางถึงได้มีปฏิกิริยาแปลกๆ แบบนี้
ได้?
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 334 ทำตามสัญญา
วิทยาลัยฉงหลินกำลังจะได้อันดับหนึ่ง ในฐานะ
อาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยฉงหลิน จั่วชิงหยางกลับไม่
อยู่รว่ มฉลอง แต่กลับรีบกลับไป ทำให้ทุกคนนั้นรู้สึก
ตะลึงไป
งานชุมนุมวิชาการในครัง้ นี้ มีแต่เรื่องประหลาด แต่
กลับเป็นงานที่สนุกมากปีหนึ่งเลย
ถึงแม้จั่วชิงหยางจะไปแล้ว แต่ว่าการตัดสินรอบ
สุดท้ายยังไม่สิ้นสุด ทุกคนเห็นกรรมการนั่งรวมกลุ่ม
พูดคุยกัน แสดงว่ากำลังหารือเรื่องภาพของใครใน
รอบสุดท้ายนั้นดีทสี่ ุด ไม่นานนัก ถึงได้เห็นหยวนหนิง
เยียนลุกขึ้นแล้วพูดว่า “การแข่งขันรอบสุดท้าย ภาพ
ทั้งเจ็ดภาพ มีเอกลักษณ์ของตัวเองทั้งนั้น แต่วา่ ......”
เขามองไปที่ซีเหมินอู๋เหิง แล้วพูดว่า “แต่วา่ มีเพียง
สองรูปเท่านั้นทีโ่ ดดเด่น ทำให้ไม่สามารถตัดสินได้”
เขากวักมือเสวียตันชิงมา หยวนหนิงเยียนกระซิบกับ
เขา เสวียตันชิงเลยเรียกศิษย์ของวิทยาลัยหลงฉือมา
สองคนหนึ่งกลุ่ม แล้วจับภาพแสดง
“สองภาพนี้ ภาพหนึ่งมาจากวิทยาลัยฉงหลิน อีกภาพ
มาจากวิทยาลัยหลงฉือ” เสวียตันชิงพูด “ทุกคนลอง
มาดูกัน”
หลายคนมองเห็น ภาพของวิทยาลัยหลงฉือเป็นภาพ
ทิวทัศน์วิวภูเขา แต่ให้ความรูส้ ึกที่เสมือนจริงมาก
ส่วนอีกภาพมันแปลกประหลาดมาก มีแต่หมึกดำ ไม่
เป็นรูปเป็นร่าง หลายคนยิ่งรู้สึกสงสัยว่า ภาพๆ นี้มัน
เหมือนกับภาพของวิญญาณ ไม่เห็นมีความโดดเด่น
ตรงไหน หากเทียบกับของวิทยาลัยหลงฉือแล้ว มัน
แตกต่างกันมาก ไม่รู้ว่าทำไมถึงเอาภาพแบบนี้มา
เทียบกันได้นะ
แต่ว่ากรรมการทุกท่าน ต่างเป็นคนที่มีชื่อเสียง
อิทธิพลมาก โดยเฉพาะซีเหมินอู๋เหิงที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ
ด้านภาพเฉพาะทาง ใครก็ไม่กล้ามีปัญหา
ซีเหมินอู๋เหิงเหมือนจะรูว้ ่าทุกคนคิดอะไรอยู่ เขา
ค่อยๆ เดินออกมาข้างหน้า เขามองไปที่ภาพวิว
ทิวทัศน์ แล้วลูบเครายิม้ “ภาพวิวทิวทัศน์นี้ ให้
ความรู้สึกเสมือนจริงมาก ทักษะการวาดดี เป็นภาพที่
ดีมากๆ เลย”
ผู้ที่วิทยาลัยหลงฉือเลือกมาได้รับคำชมจากซีเหมินอู๋
เหิง ก็รู้สึกดีใจตื่นเต้น เขายกมือขึ้นคำนับอย่างเคารพ
ซีเหมินอู๋เหิงเดินมาที่หน้า “ภาพวิญญาณ” แล้วมอง
ไปรอบๆ เขาถามขึ้นมาว่า “ทุกท่านมองเห็นอะไรใน
ภาพนี้บ้าง?”
“ขอถามท่านเสินโหว ภาพนี้เป็นฝีมือของใครกัน?” มี
คนที่พอกล้าตะโกนถามขึ้นมา “ศิษย์โง่เขลา มองไม่
ออกเลยว่ามันมีดีที่ตรงไหน ขอให้ท่านเสินโหวชี้แนะ
ด้วย”
ซีเหมินอู๋เหิงยิม้ แล้วพูดว่า “นี่เป็นภาพของท่านโหว
น้อยจากวิทยาลัยฉงหลิน”
เมื่อพูดออกมา ทุกคนในงานก็เงียบลง คนที่มองไปที่
ภาพของฉีหนิง มองไม่ออกจริงๆ ว่ามันดีตรงไหน ไม่
ว่าจะเป็นความงามหรือความหมายของภาพ แม้แต่
ทักษะการวาดภาพก็เหมือนจะมีปัญหา มันเหมือนไก่
เขี่ยมาก
หากเป็นภาพของคนอื่น อาจจะเกิดการวิจารณ์ขึ้น
มาแล้ว
แต่ว่าภาพนี้มันดันเป็นฝีมือของฉีหนิง มันเลยมีความ
ต่าง อีกทั้งซีเหมินอู๋เหิงที่เป็นเทพด้านภาพวาดยังพูด
อย่างชื่นชมแบบนี้ด้วยแล้ว ไม่มีใครกล้าตัดสิน แอบ
คิดในใจว่าภาพๆ นี้จะต้องมีความหมายนัยยะอะไร
ซ่อนอยู่แน่นอน แต่วา่ คนทั่วไปมองไม่ออก
“ภาพที่ส่งมาในวันนี้ รวมทั้งภาพทิวทัศน์นี้ด้วย ล้วน
แต่เป็นภาพหมึกดำ” ซีเหมินอู๋เหิงค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า
“แต่ว่าภาพของท่านโหวน้อยภาพนี้ ถึงแม้จะรังสรรค์
ขึ้นด้วยน้ำหมึก แต่ว่าทักษะในการวาดภาพของเขา
กับพวกเรานั้นแตกต่าง ภาพวาดของท่านโหวน้อย
ภาพนี้ เป็นภาพมโนศิลป์”
“ภาพมโนศิลป์?” ทุกคนรู้สึกแปลกใจ
ซีเหมินอู๋เหิงลูบเคราแล้วยิ้มว่า “ภาพมโนศิลป์ เมื่อ
เทียบกับภาพที่บณ ั ฑิตทุกท่านรู้จัก คือภาพที่สามารถ
เห็นรูปร่างชัดเจนก่อนถึงจะสามารถเข้าถึง
ความหมาย แต่ว่าภาพมโนศิลป์มันเป็นศาสตร์ที่
ตรงกันข้ามกันอยู่ ทุกท่านลองดูภาพของท่านโหว
น้อยให้ดี มันแยกรูปลักษณ์ได้ยากเลยใช่หรือไม่?”
ทุกคนพยักหน้า
ภาพทีเ่ หมือนรูปวิญญาณ หากสามารถแยกออกได้ว่า
ฉีหนิงวาดอะไร น่าจะเป็นผีแน่นอนแล้วล่ะ
“นี่ก็คือความร้ายกาจและความฉลาดของท่านโหว
น้อย” ซีเหมินอู๋เหิงยิ้มแล้วพูดว่า “ภาพวาดมโนศิลป์
เน้นความหมายก่อน ถึงจะมองเห็นรูปลักษณ์ของ
ภาพ หลายวันมานี้ข้ากำลังทบทวนถึงเรื่องนี้อยู่
ตอนนี้ถึงได้เข้าใจแล้วว่า ภาพมโนศิลป์ถึงแม้จะไม่
เหมือนภาพทั่วไปที่เห็นความหมายชัดเจน แต่วา่ ใจ
ของคนเรามันไม่เหมือนกัน การชอบของแต่ละคนก็
ต่างกัน เมื่อเห็นภาพพอมันเข้าไปในหัวของแต่ละคน
มันก็จะเกิดความรู้สึกทีแ่ ตกต่าง ภาพหนึ่งภาพ
สามารถมองเห็นหลากหลายรูปแบบ มันคือสัมผัส
ความรู้สึกและความหมายที่แท้จริงของภาพมโน
ศิลป์”
หลายคนยังคงฟังอย่างไม่เข้าใจ ไม่รวู้ ่าสิ่งที่ซีเหมิน
อู๋เหิงพูดนั้นมันหมายความว่าอย่างไร แต่วา่ เห็น
ท่าทางของซีเหมินอู๋เหิงพูดอย่างเหนือชั้น หลายคนก็
พยักหน้าตาม เหมือนจะเข้าใจความหมายของซีเห
มินอู๋เหิงมากขึ้น ส่วนคนอื่นก็ไม่กล้าจะไม่ยอมรับกลัว
ว่าคนอื่นจะดูถูกว่าไม่เข้าใจ ก็พยักหน้าตาม “อย่างนี้
นี่เอง ร้ายกาจอย่างทีค่ ดิ ”
ฉีหนิงแอบขำในใจ จะบอกว่าภาพของเขาคือภาพ
วิญญาณก็ไม่แปลก แต่ว่าพอซีเหมินอูเ๋ หิงออกมา
วิจารณ์ กลับทำให้มูลค่าภาพของเขามันสูงขึ้นทันตา
ก่อนหน้านี้เคยพูดเรือ่ งภาพมโนศิลป์ให้ซีเหมินอู๋เหิง
ฟัง ตาเฒ่านี่ฟังเข้าใจจริงๆ ไม่คิดเลยว่าเขามองครู่
เดียวก็มองออก วันนี้ภาพที่เขาวาด มันคือภาพมโน
ศิลป์จริงๆ
ถึงแม้ซีเหมินอูเ๋ หิงจะเป็นเทพแห่งภาพวาด แต่ว่ามัน
คือด้านภาพวาดที่มรี ูปลักษณ์ แต่สำหรับภาพมโน
ศิลป์แล้วเขาเพิ่งจะเคยได้ยินได้เห็น แต่จากการ
แข่งขันสามรอบก่อนหน้านี้ มันทำให้ซีเหมินอู๋เหิงรู้สึก
ว่าฉีหนิงคือเสือซ่อนเล็บ อีกทั้งภาพมโนศิลป์ของฉี
หนิงมันมีความหมายภายในแฝงอยู่ ดังนั้นเมือ่ ฉีหนิง
วาดภาพออกมา สำหรับซีเหมินอู๋เหิงที่เพิ่งจะรูจ้ ัก
ภาพมโนศิลป์แล้ว มันแสดงออกว่าฉีหนิงไม่ธรรมดา
ทุกคนไม่มีทางสงสัยในความสามารถด้านภาพวาด
ของซีเหมินอูเ๋ หิง เมื่อซีเหมินอู๋เหิงอธิบายภาพของฉี
หนิง ถึงแม้จะไม่เคยได้ยินภาพมโนศิลป์ที่ซเี หมินอู๋เหิง
พูดถึง แต่ในเมื่อซีเหมินอู๋เหิงพูดออกมาแบบนี้แล้ว
จะต้องสูงส่งมากแน่นอน
แม้แต่ผู้เข้าแข่งขันในรอบที่สี่เอง ก็ไม่มีใครไม่ยอมรับ
พวกเขากลับรูส้ ึกว่าฉีหนิงไม่ธรรมดา สามารถรังสรรค์
ผลงานที่ไม่เหมือนใครแบบนี้ออกมาได้ พวกเขาต่างก็
นับถือ
ผ่านการแข่งขันทั้งสีร่ อบไปแล้ว ต่อมาเป็นการนับ
คะแนนรวม ก็เป็นไปตามที่ทุกคนคาดไว้ วันนี้ความ
โดดเด่นของฉีหนิง วิทยาลัยฉงหลินกลายเป็นวิทยาลัย
ที่ได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันคราวนี้ วิทยาลัยหลงฉือ
ได้ที่สอง ส่วนวิทยาลัยอืน่ ๆ ก็ได้ตามลำดับ ส่วนหนึ่ง
ในสามอันดับแรกอย่างวิทยาลัยอวิ๋นซานกับ
วิทยาลัยฉงหลูถอนตัวไป จึงไม่มีคะแนนในรอบที่สี่
ทำให้พวกเขาได้อันดับหนึ่งและสองนับจากท้าย
อันดับ
ถึงแม้วิทยาลัยผู้หญิงจะได้อันดับหนึ่ง หลายคนจะไม่
พอใจ แต่ว่าความโดดเด่นของฉีหนิง กลับไม่มีใครไม่
ยอมรับ
วิทยาลัยฉงหลินได้อันดับหนึ่งในงาน เหล่าสาวๆ ของ
วิทยาลัยต่างตื่นเต้นดีใจกันใหญ่จนน้ำตาไหล ในฐานะ
ตัวแทนของวิทยาลัยฉงหลิน ฉีหนิงเลยถูกเชิญให้
ออกไปพูดอะไรนิดหน่อย
ฉีหนิงเดินไปยังกลางลานแข่งขันแล้วยกมือคำนับทุก
ด้าน ทุกคนต่างเงียบลง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้ว
ที่ข้ามาร่วมงานชุมนุมวิชาการในวันนี้หนึ่งคือเป็น
เพราะความต้องการของท่านอาจารย์จั่ว สอง......
เพราะมีเดิมพันที่ตอ้ งทำตามสัญญา เมือ่ ช่วงปลายปีที่
ผ่านมา ข้าได้วางเดิมพันกับคนๆ หนึ่งเอาไว้ ลูกผู้ชาย
พูดแล้วไม่คืนคำ” เมือ่ พูดถึงตรงนี้ สายตาของเขาก็
มองไปที่เจียงซุยอวิ๋น
เจียงซุยอวิ๋นขมวดคิ้วหนักมาก แต่ว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว
จะนั่งต่อไปก็คงไม่เหมาะ เขาลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นหน้า
มา แล้วตะโกนว่า “ถูกต้อง คนที่วางเดิมพันกับจิ่นอี
โหว คือข้าน้อยเอง เจียงซุยอวิ๋นจากตงไห่”
“อ๋อ ที่แท้ก็เจียงซุยอวิ๋นจากตงไห่นี่เอง” เสียงของคน
รอบๆ ต่างวิจารณ์กันขึน้ มา
ตระกูลเจียงของตงไห่เป็นคนที่มีชื่อเสียงมากในแคว้น
หนานฉู่ ในฐานะตระกูลที่โด่งดังและมีอำนาจทีส่ ุดใน
ตงไห่ ตระกูลเจียงอาศัยการค้าทางทะเล สะสมเงิน
ทองฐานะความร่ำรวยมากมาย ตระกูลเจียงร่ำรวย
ที่สุดไม่มีใครเทียบได้ในแผ่นดินนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก
เมื่อได้ยินเสียงคนรอบๆ เจียงซุยอวิ๋นสัมผัสได้วา่ ทุก
คนมีทั้งตกใจแล้วก็อิจฉา ก็เลยยืดตัวด้วยความภูมิใจ
เขาเดินมาที่กลางลานแข่งขัน ตรงข้ามกับฉีหนิง
วันนี้ฉีหนิงโดดเด่นมาก ในใจของเจียงซุยอวิ๋นรูส้ ึกอึด
อัดมาก เขาไม่สบายตัวเลย เขานั่งอยู่ตรงนั้น ไม่กล้า
พูดอะไรสักคำ ในใจคิดแต่เพียงว่า ยังมีเดิมพันครั้งนี้
อยู่ วันนีอ้ ย่างไรก็จะต้องทำให้ฉีหนิงทำตามสัญญา
แล้วขายหน้ากลับไปให้ได้
เจียงซุยอวิ๋นไม่มีทางเชื่อว่าฉีหนิงจะสามารถบินขึ้นไป
บนท้องฟ้าได้ เมือ่ คิดว่าวันนี้ฉีหนิงโดดเด่นมาก แต่ขอ
แค่ทำให้เขาทำตามสัญญาให้ได้ หากฉีหนิงทำไม่
สำเร็จ ก็จะต้องเช็ดรองเท้าให้กับเขา ถ้าอย่างนัน้ ฉี
หนิงก็จะต้องถูกเหยียบอยู่ตรงแทบเท้าของเขา ก็จะ
ทำให้ฉีหนิงขายหน้าเอามากๆ
ก่อนหน้าในการชิงตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายกิเลนดำ
เขากับฉีหนิงเป็นศัตรูกัน เดิมชัยชนะอยู่ในมือของเขา
แต่สุดท้ายฉีหนิงกลับเหยียบเขาจนจมดิน ในใจเขา
รู้สึกโกรธแค้นมาก เขาหวังว่าเดิมพันในวันนี้จะ
สามารถกู้หน้าคืนมาได้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ฉีหนิงเดินออกมาเปิดประเด็น
ขึ้นมาก่อนเลย
ฉีหนิงทำแบบนี้ ทำให้เจียงซุยอวิ๋นรูส้ ึกแปลกใจมาก
ในใจเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
ฉีหนิงยิ้มอยู่ตลอดเวลา ดูแล้วเหมือนมั่นใจมาก แต่ว่า
เจียงซุยอวิ๋นคิดไม่ออกเลยว่า ฉีหนิงไม่มีปีก แล้วจะ
บินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้อย่างไร?
“เดิมพัน?” ซีเหมินอู๋เหิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย
ไม่ทราบพวกท่านเดิมพันอะไรกันไว้หรือ?”
ฉีหนิงจ้องไปที่เจียงซุยอวิ๋น เขายิม้ แล้วพูดว่า
“คุณชายเจียงถ้าอย่างนัน้ ท่านอธิบายให้ทุกคนฟังดี
หรือไม่ เพราะท่านอยากจะให้มาทำตามสัญญาในงาน
ชุมนุมวิชาการในครั้งนี้ แสดงว่าท่านอยากให้ทกุ คน
เป็นพยานเรื่องนี้ให้กับพวกเรา”
เจียงซุยอวิ๋นถึงแม้จะกลัว แต่ว่าสีหน้าท่าทางของเขา
ก็ยังนิ่งอยู่ เขายิม้ แล้วพูดว่า “ถูกต้อง ข้าน้อยกับท่าน
จิ่นอีโหวได้เดิมพันกัน ตอนนั้นท่านโหวเยว่บอกว่า
เขาสามารถล่องลอยอยูบ่ นท้องฟ้าได้ ข้าน้อยไม่
อยากจะเชื่อ ดังนั้นก็เลยบังอาจขอเดิมพันว่าเขาไม่
สามารถลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ แต่ทา่ นโหวเยว่มนั่ ใจว่า
ท่านทำได้ อีกทั้งยังรับปากว่า หากเขาแพ้ ก็จะเช็ด
รองเท้าให้ข้าน้อย”
ทุกคนอึ้งไป คิดในใจว่าเหตุใดถึงได้เดิมพันแบบนี้
หลายคนมองไปที่ฉีหนิง ถึงแม้จะรูส้ ึกนับถือฉีหนิงไม่
น้อย แต่วา่ ฉีหนิงบอกว่าเขาสามารถลอยอยู่บน
ท้องฟ้าได้นั้น มันยากทีจ่ ะเชื่อได้ หลายคนรู้สึกว่าวันนี้
ฉีหนิงคงต้องเช็ดรองเท้าแน่นอน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 335 บินสูง
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายเจียงพูดถูกแค่ครึง่ เดียว
เท่านั้น ตามที่เดิมพันกันไว้ หากคุณชายเจียงแพ้ ท่าน
เองก็จะเช็ดรองเท้าให้ขา้ ต่อหน้าทุกคนเช่นกัน จริงสิ
คุณชายเจียงเป็นครอบครัวเศรษฐีอันดับหนึ่งของ
แคว้น เหมือนว่าคุณชายเจียงยังเดิมพันอีกว่าจะ
จ่ายเงินให้อีกหนึ่งหมื่นตำลึงด้วย พวกนี้คณุ ชายเจียง
คงไม่ลืมหรอกกระมัง”
เจียงซุยอวิ๋นหางตากระตุก แล้วพูดว่า “ข้าน้อยพูด
แล้วไม่คืนคำ” เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วพูดว่า
“ท่านจิ่นอีโหว ฟ้าใกล้มดื แล้ว หากท่านจะบินขึ้นไป
ข้าน้อยว่ายิ่งเร็วยิ่งดีนะ หากฟ้ามืดแล้ว ทุกคนจะ
ไม่ได้เห็นกันนะ”
“วางใจได้ ข้าจะลอยขึ้นไปบนฟ้า ก็ต้องให้ทุกคนเห็น
กันชัดเจนสิ” ฉีหนิงยิ้ม แล้วหันหลังไปพูดกับ
หยวนหนิงเยียนว่า “ใต้เท้า วิทยาลัยทั้งหลายยังต้อง
ออกโจทย์อีก ไม่ทราบว่า......ข้าทำแบบนี้แล้วจะ
เสียเวลาของทุกท่านหรือไม่?”
หยวนหนิงเยียนยิ้มพร้อมส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร
ยังสว่างอยู่ ต่อให้มืดแล้วงานชุมนุมก็ดำเนินต่อไปได้”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดี” เขายกมือ
คำนับไปทั่วสารทิศ ยิ้มแล้วพูดว่า “หากทุกท่านสนใจ
แล้วล่ะก็ ไปดูพร้อมกันได้นะ” เขาไม่พูดมาก เดิน
ออกไปทันที
เจียงซุยอวิ๋นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านจะไปไหน?”
“เจ้าวางใจได้ เจ้ายังไม่ได้เช็ดรองเท้าให้ข้า ข้าไม่มี
ทางไปไหนแน่นอน” ฉีหนิงไม่หันหน้ากลับมา แล้ว
เดินออกไป ทุกคนรู้สึกแปลกใจมาก แต่ก็เดิน
ตามหลังฉีหนิงไป
คนมาก ทำให้ดูอึดอัด ศิษย์ของวิทยาลัยหลงฉือรีบ
เข้ามาจัดระเบียบ
ฉีหนิงเดินตรงไปทางประตูด้านข้างของวิทยาลัยหลง
ฉือ พอออกจากประตู ก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งยืนล้อม
อยู่ เมื่อเห็นฉีหนิงออกมา ก็รีบวิ่งมารับ คนๆ นัน้ คือต้
วนชางไห่
“โหวเยว่ จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ” ต้วนชางไห่ยิ้ม
แล้วพูดว่า “ทุกอย่างพร้อมแล้ว รอเพียงโหวเยว่ออก
มา ตอนทีเ่ คลื่อนย้ายมาลำบากนิดหน่อย”
ฉีหนิงยืนเอามือไขว้หลัง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ลำบาก
พวกเจ้าแล้วนะ” เขาเงยหน้ามองไป เห็นตรงลาน
กว้าง มีของขนาดใหญ่วางอยู่ ตอนนี้มีหลายคนเดิน
ตามฉีหนิงออกมา เมือ่ เห็นของชิ้นนั้น ก็ตกใจมอง
หน้ากัน
“นั่นมัน......อะไร?” มีคนพูดอย่างตกใจว่า “มัน
เหมือนลูกโป่งยักษ์เลย”
“ไม่ เหมือนตะกร้ามากกว่า” มีคนพูดด้วยความสงสัย
ว่า “แล้วมันเอาไว้ใช้ทำอะไร?”
ตอนนี้ฉีหนิงเดินเข้าไปใกล้ หลายคนก็มองตามไป
เจียงซุยอวิ๋นเห็นของสิ่งนั้นแล้ว ก็ขมวดคิว้ เขาไม่
เข้าใจ ส่วนเหล่าสาวๆ ของวิทยาลัยฉงหลินก็กระซิบ
พูดคุยกัน
พวกซีเหมินอู๋เหิงเองก็เดินตามมาดูด้วยเหมือนกัน
เมื่อเห็นของสิ่งนี้ ก็มสี ีหน้าตกตะลึง
ทุกคนยืนล้อมรอบของสิ่งนั้นพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กัน
ใหญ่ “ทุกท่าน นี่เป็นของที่ข้าออกแบบด้วยตัวเอง
หากข้าสามารถใช้ของสิง่ นี้ลอยขึ้นไปบนฟ้าได้ ไม่
ทราบว่าข้าจะชนะหรือไม่?”
“ของ......ของชิ้นนี้ใช้ลอยขึ้นไปบนฟ้าได้จริงๆ หรือ?”
มีคนตกใจแล้วพูดว่า “เขาจะลอยขึ้นไปได้อย่างไร?”
ซีเหมินอู๋เหิงยิม้ แล้วพูดว่า “พวกเจ้าแค่เดิมพันกันว่า
จะลอยขึ้นไปได้หรือไม่ ไม่ได้มีขอ้ จำกัดอะไรอย่างอื่น
หากท่านโหวน้อยใช้ของสิ่งนี้ลอยไปบนฟ้าได้ ท่าน
โหวน้อยก็จะชนะ”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านเสินโหวพูดมาแบบนี้
ข้าก็วางใจแล้ว” เขาเหลือบไปมองเจียงซุยอวิ๋น แล้ว
มองไปที่เสี่ยวเหยา จากนั้นเขาก็กวักมือเรียกนาง
“เสีย่ วเหยา มานี”่
เสี่ยวเหยาอึ้งไป แต่ว่าฉีหนิงเรียกนางให้ไปหา นางก็
ไม่ได้ลังเล นางเดินไปหา ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
อยากจะขึ้นไปกับข้าหรือไม่?”
“ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าได้หรือ?” เสีย่ วเหยาอึ้งไป เห็น
ฉีหนิงออกแบบของประหลาดมา นางก็ไม่คอ่ ยจะเชื่อ
เท่าไหร่ “มัน......มันสามารถลอยไปบนฟ้าได้จริงๆ
หรือ?”
ฉีหนิงหัวเราะ แล้วหันหลังไป แล้วเดินไปที่ตะกร้า
ยักษ์ เขาเปิดทางเข้าด้านข้าง แล้วเดินเข้าไปด้านใน
จากนั้นก็กวักมือเรียกเสีย่ วเหยามา เสี่ยวเหยารูส้ ึก
กลัว แต่ก็ยังเดินเข้าไปในตะกร้ายักษ์ ฉีหนิงปิด
ตะกร้า แล้วตะโกนว่า “คบไฟ”
ต้วนชางไห่เตรียมคบไฟแล้วยื่นมาให้ ทุกคนมองตาไม่
กระพริบ ไม่รู้วา่ ฉีหนิงจะทำอะไร
ฉีหนิงรับคบไฟมา แล้วยกมือขึ้นสุดแขน จากนั้นก็จุด
ไปที่เครือ่ งพ่นไฟด้านบน ไฟเริม่ ลุกไหม้ขึ้น หลายคนก็
ตกใจ แอบคิดในใจว่าเจ้าลูกกลมๆ นี่ทำมาจากผ้าใบ
แต่ฉีหนิงกลับจุดไฟตรงผ้า หรือว่าเขาไม่กังวลเลยว่า
มันจะลามไปทีผ่ ้าใบ
หลายร้อยคนยืนล้อมอยูท่ ี่ลูกโป่งผ้าใบ มองไฟทีล่ ุก
ไหม้ ทุกคนต่างแปลกใจ ฉีหนิงกลับนิ่ง สีหน้าของเขา
มีแต่รอยยิม้
ระหว่างนั้น ก็มคี นพูดอย่างตกใจว่า “มันขยับแล้ว
.......มันขยับแล้วจริงๆ......”
เหมือนทุกคนจะมองเห็น ของประหลาดที่อยู่ตรงหน้า
ของพวกเขามันกำลังขยับ ตะกร้าที่แขวนเอาไว้
ตอนนี้มันกำลังขยับโยกไปโยกมา
เสี่ยวเหยาตื่นเต้นมาก ฉีหนิงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่
ต้องกังวล มีข้าอยู”่
เสี่ยวเหยาเห็นฉีหนิงนิ่งมาก อีกทั้งยังยิ้มอีก เดิมทีที่
รู้สึกตื่นเต้นก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง นางรูส้ ึกว่าบริเวณ
เท้าของนางมันโยก จากนั้นนางก็ได้ยินคนพูดว่า
“ลอยขึ้นแล้ว มันลอยขึน้ แล้วจริงๆ ด้วย......”
ทุกคนเห็นอยู่ตำตา ของที่อยู่ตรงหน้า ค่อยๆ ลอยขึ้น
ไปช้าๆ ตะกร้ามันลอยเหนือพื้นแล้ว
ไม่เพียงคนอื่น แม้แต่ซีเหมินอู๋เหิงเองก็มสี ีหน้าท่าทาง
ที่ตกใจมาก
พวกเขาไม่มีทางรู้ มันคือลูกโป่งลมร้อนที่ฉีหนิง
ทดลองออกมาในช่วงเวลานี้
หลักการของลูกโป่งลมร้อน ฉีหนิงรู้ดี ลูกโป่งลมร้อนมี
ส่วนประกอบหลักสามส่วน ซึ่งมีหน้าที่ทำให้มัน
ลอยตัวขึ้น ตรงส่วนล่างของผ้าใบมีช่องเพิ่มความร้อน
โดยที่ติดตั้งเครื่องพ่นไฟเอาไว้ ส่วนล่างสุดเป็นตะกร้า
ที่ห้อยไว้ ขอแค่จุดไฟ ภายในผ้าใบก็จะเกิดลมอากาศ
ขึ้น เมื่อความร้อนทำให้อากาศแออัด มันก็จะลอยขึ้น
ถึงแม้หลักการจะง่าย แต่เวลาออกแบบมันซับซ้อน
มาก แค่ผลิตของ มันก็ไม่ง่ายแล้ว ช่วงทีผ่ ่านมาฉีหนิง
ก็ลงทุนลงแรงกับมันไปมากทีเดียว
โดยเฉพาะเครื่องพ่นไฟ เพราะมันเป็นส่วนทีส่ ำคัญ
มากที่สุด มันถือได้วา่ เป็นหัวใจสำคัญที่ควบคุมอากาศ
การเคลื่อนไหวของลูกโปร่งลมร้อนด้วย ไม่ว่าจะขึ้น
หรือลง อยูท่ ี่ไฟที่เครื่องพ่นไฟว่ามันแรงหรืออ่อน หาก
ไม่สามารถทำเครือ่ งพ่นไฟออกมาได้ดี มันก็จะไม่
สำเร็จ
ดังนั้นฉีหนิงเลยสั่งให้ต้วนชางไห่แอบไปหาช่างฝีมือดี
มาออกแบบแล้วก็ผลิตเครื่องพ่นไฟให้ เสียเวลาไป
หลายวัน จนในทีส่ ุดก็สำเร็จจนได้
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีใครคิดว่าวิธีนี้จะสามารถ
ลอยขึ้นไปบนฟ้าได้ เมื่อเห็นลูกโปร่งลมร้อนลอยขึ้น
ตอนนี้มันลอยเหนือพื้นมากกว่าหนึ่งเมตร ทุกคนต่าง
เงยหน้ามองไป สายตาของพวกเขามีแต่ความตกใจ
อีกทั้งยังมีแต่ความชื่นชมด้วย
“โหวเยว่ พวกเรา......พวกเราลอยได้จริงๆ......” เดิมที
เสี่ยวเหยายังรูส้ ึกตื่นกลัวอยู่ แต่วา่ พอมันเริ่มลอยตัว
ขึ้น นางก็เริ่มรูส้ ึกตื่นเต้นมาก นางจับขอบตะกร้า นาง
เริ่มมีความกล้ามากพอที่จะมองไปด้านล่าง เมือ่ เห็น
คนที่อยู่ข้างล่างเริ่มตัวเล็กลง ทั่วทั้งวิทยาลัยหลงฉือ
อยู่ในสายตาของนางหมด
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เสีย่ วเหยา เจ้าชอบมองโลก
กว้างจากบนนี้หรือไม่? ก่อนหน้านี้เจ้ารูส้ ึกว่ามีของ
มากมายที่เจ้าคาดไม่ถึงที่จริงแล้วมันน้อยนิดมาก”
เสี่ยวเหยาพูดว่า “โหวเยว่ พวกเราลอยได้สูงกว่านี้อีก
หรือ?”
“หากเพิ่มความร้อนไปเรื่อยๆ ก็จะลอยได้สูงกว่านี้”
ฉีหนิงพูดว่า “แต่วา่ ที่นมี่ ีเชื้อเพลิงไม่มาก พวกเรา
ลอยไม่ได้ไกล รอครั้งหน้าข้าจะเตรียมเชือ้ เพลิงให้
มากกว่านี้ พวกเราก็จะทำการท่องเทีย่ วบนท้องฟ้า
แล้วก็ใช้มันไปดูที่อื่นๆ อีก เจ้าว่าดีหรือไม่?”
“ได้จริงๆ หรือ?” เสี่ยวเหยาตื่นเต้นมาก “ข้ายัง
สามารถขึ้นมาที่นี่ได้อีกหรือ? โหวเยว่ ที่นี่เรียกว่าลูก
โปร่งลมร้อนหรือ?”
“จริงสิ มันเรียกว่าลูกโปร่งลมร้อน” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด
ว่า “ขอแค่เจ้ายินดี ครั้งต่อไปต้องมีแน่นอน ไม่เพียง
แค่ครั้งต่อไปนะ ต่อไปขอแค่เจ้าต้องการ เพียงแค่
บอกข้า ข้าจะขึ้นเจ้านีม่ ากับเจ้า พวกเราจะอาศัยอยู่
บนนี้ด้วยกัน แล้วมองไปยังด้านล่าง”
“โหวเยว่ ท่าน.....ท่านทำมันออกมาได้อย่างไร?”
เสี่ยวเหยาหันไปมองฉีหนิง สายตาของนางมีแต่ความ
นับถือ “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามันจะมีวิธีแบบนี้
ด้วย”
“เจ้าก็คิดเสียว่าข้าเป็นอัจฉริยะแล้วกัน” ฉีหนิง
หัวเราะพูดว่า “มันเป็นความสามารถหนึ่งของข้า
เท่านั้น ต่อไปถ้ามีโอกาส ข้าจะให้เจ้าได้เห็นมากกว่า
นี้อีก”
ตอนนี้คนด้านล่างตัวเท่ามดแล้ว แถมยังรวมตัวกันอยู่
ที่เดิมไม่ไปไหน
หากบอกว่า ฉีหนิงโดดเด่นมากในการแสดง
ความสามารถทั้งสี่แขนง ตอนนี้พอลูกโปร่งลมร้อน
ลอยตัวขึ้น หลายคนก็นกึ ชื่นชมนับถือเขามากขึ้นไป
อีก
ทุกคนต่างเงยหน้ามอง มองดูลูกโปร่งลมร้อนยิ่งลอย
สูงขึ้นจนดูเล็กไป พวกเขารู้แล้วว่าฉีหนิงได้ลอยไปบน
ฟ้าแล้วจริงๆ
หลายต่อหลายคนไม่สามารถซ่อนความตกใจได้ เจียง
ซุยอวิ๋นมองไปทีล่ ูกโปร่งลมร้อนทีล่ อยอยู่กลางอากาศ
สีหน้าของเขาตอนนี้ถอดสีมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่า
เดิมที่ทำไว้กับฉีหนิง ไม่เพียงทำอะไรฉีหนิงไม่ได้ มัน
กลับทำให้ฉีหนิงมีโอกาสแสดงความสามารถอย่าง
เต็มที่ เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ซูจอื่ เซวียน เขาเห็น
ซูจื่อเซวียนเงยหน้าขึ้นไปมอง ใบหน้าอันงดงามของ
นางมันไม่มีความโกรธแค้นอยู่เลย อีกทั้งนางยังยกมือ
ขึ้นมาทาบหน้าอก สีหน้ามีแต่ความตื่นเต้น
ฉีหนิงยืนอยู่ในตะกร้า เขากางแขนออก อากาศที่นี่มัน
สดชื่นมาก ทำให้คนรูส้ กึ ผ่อนคลาย เขาหันมาแล้วพูด
ว่า “เสี่ยวเหยา ข้าสอนเจ้าร้องเพลงดีหรือไม่”
“ร้องเพลงหรือ?” เสี่ยวเหยาพูดว่า “เพลงอะไร
หรือ?”
ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วร้องออกมาว่า “ชีวติ ก็
เหมือนแม่นำ้ ที่กว้างใหญ่ บางครั้งก็เงียบ บางครั้งก็บ้า
ระห่ำ ในความเป็นจริงมันเหมือนเครือ่ งผูก
พันธนาการเอาไว้ มันผูกมัดตัวข้าไว้ ทำให้ข้าไม่อาจ
หลุดพ้น ชีวิตแบบนี้มันเหมือนกับคมดาบ มันทำให้ข้า
ต้องบาดเจ็บสาหัส ข้ารูว้ ่าข้าต้องการความสุข ก็
เหมือนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่นี้ ข้าจะบินให้สูงขึ้นอีก บิน
ให้สูงขึ้นอีก กางปีกรับลมพายุทพี่ ัดผ่าน บินให้สงู ขึ้น
อีก บินไปตลอด บินจนกว่า.......”
ฉีหนิงร้องเพลงเสียงใสไพเราะมาก เสี่ยวเหยามองไป
ที่ฉีหนิงปลดปล่อยอารมณ์แล้วร้องเพลงออกมา
ใบหน้าของนางมีแต่รอยยิ้ม เหมือนตกอยู่ในภวังค์
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 336 รอยเลือด
ต้วนชางไห่ขี่ม้าตามฉีหนิงมาติดๆ ตอนนีค้ ่ำแล้ว คน
ทั่วเมืองหลวงน้อยใหญ่ต่างออกมายืนดู เริม่ แรกยังไม่
มีใครสังเกตบนฟ้า แต่วา่ สุดท้ายก็มีคนมองเห็น ทุก
คนต่างตกใจ มีแต่คนร้องตะโกนมากมาย พวกเขา
เห็นลูกโป่งลมร้อน ต่างก็ตกใจ
พวกเขาไม่เคยเห็นภาพบรรยากาศแบบนี้มาก่อน คน
ที่ขี้เกียจก็หลบเข้าบ้านไป คนที่กล้าหน่อยก็เงยหน้า
มอง ต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์
ฉีหนิงก็รู้ดีว่าการลอยอยู่กลางเมืองหลวงแบบนี้ มัน
จะทำให้คนสนใจได้ง่าย มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉวย
โอกาสตอนทีย่ ังมีเชื้อเพลิงอยู่ ลดไฟให้มันลดลงไป
น่าจะดีกว่า ต้วนชางไห่ขี่ม้าตามมาทางตรอกเล็ก ยังดี
ที่ฉีหนิงไม่ได้ลอยอยู่บนฟ้านาน หลังจากที่พวกเขาลง
มาแล้ว ต้วนชางไห่กับคนอื่นก็มาถึงพอดี
ฉีหนิงมองหาลานกว้างเพื่อเอาลูกโป่งลมร้อนลง
หลังจากลงมาแล้ว เสี่ยวเหยาเหมือนยังตื่นเต้นไม่หาย
นางเหมือนยังไม่ได้สติ
ฉีหนิงสั่งให้ต้วนชางไห่จัดการเรื่องที่เหลือ ส่วนเขาก็
พาเสี่ยวเหยากลับไปยังวิทยาลัยหลงฉือ คนทีอ่ ยู่ใน
งานต่างวิพากษ์วิจารณ์ เห็นฉีหนิงกลับมา สีหน้าของ
พวกเขาก็มีแต่ความนับถือ สายตาทีม่ องมาที่ฉหี นิง
นั้นก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
สีหน้าท่าทางของเจียงซุยอวิ๋นแย่มาก ฉีหนิงเดินไป
ตรงหน้าของเขา แล้วเอามือไขว้หลัง เขาไม่พูดอะไร
มาก เพียงแค่ก้มหน้าลงมองไปทีร่ องเท้า แล้วยิม้
ความหมายชัดเจนมาก
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเริ่มกระซิบกัน หลายคนตรงนั้นมีสี
หน้าประชดประชัน ในสายตาของใครหลายคน การที่
เจียงซุยอวิ๋นเดิมพันกับโหวน้อยนั้น หาเรื่องใส่ตวั ชัดๆ
เจียงซุยอวิ๋นสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาลังเลครู่หนึ่ง เขารู้
ว่าวันนี้ฉีหนิงไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่นอน เขากัดฟัน
สุดท้ายเขาก็นั่งยองลงไป แล้วหยิบผ้าออกมาหนึ่งผืน
มือของเขาสั่นเทา แต่สดุ ท้ายก็ยังก้มลงไปเช็ดรองเท้า
ให้ฉีหนิง
ฉีหนิงยืนเอามือไขว้หลังไว้ มองลงมาจากที่สูง แล้ว
เหลือบมองไปที่ซูจื่อเซวียนที่อยู่ทา่ มกลางฝูงคน
ซูจื่อเซวียนเห็นฉีหนิงมองมา นางก็ตัวสั่น จากนั้นก็รีบ
ก้มหน้าลง
นางไม่ได้ลืมว่านางวางเดิมพันอะไรไว้ หากต้องทำ
ตามที่พูดไว้ ตอนนี้นางก็ต้องทำเหมือนกับเจียง
ซุยอวิ๋น คุกเข่าเช็ดรองเท้าให้ฉีหนิง
คุณหนูใหญ่ของจวนอู่เซียงโหว ต้องมาเช็ดรองเท้าต่อ
หน้าคนมากมายขนาดนี้ แค่คิดก็อับอายมากแล้ว ไม่
ต้องพูดถึงหรอกว่าถ้าออกไปเช็ดจริงๆ แล้วจะเป็น
อย่างไร
นางเห็นฉีหนิงมองมาทีต่ ัวเอง นางก็รสู้ ึกกลัว อดไม่ได้
ที่จะหดตัว
ยังดีที่ไม่ได้ยินฉีหนิงเรียกนางออกไป นางแอบมองไป
ที่ฉีหนิง สายตาของฉีหนิงไม่ได้อยู่ที่นางแล้ว ซูจื่อเซ
วียนถึงได้เบาใจ
เจียงซุยอวิ๋นหยิบผ้าออกมาเช็ดรองเท้าให้ฉีหนิงสอง
ข้า เขาเงยหน้ามองแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าโหวเยว่
พอใจหรือไม่?”
ฉีหนิงมองไปทีร่ องเท้าทัง้ หน้าทั้งหลัง ยิม้ แล้วพูดว่า
“ไม่เลว ฝีมือการเช็ดรองเท้าของคุณชายเจียงยอด
เยี่ยมมาก ต่อไปหากว่าท่านไม่มีจะกินก็ยึดเป็นอาชีพ
ได้นะ”
สีหน้าของเจียงซุยอว๋นมีแต่ความโกรธแค้น ฉีหนิงก็
ทำเป็นไม่เห็น แล้วยื่นมือออกไป “คุณชายเจียง เงิน
เตรียมเอาไว้แล้วใช่หรือไม่?”
เจียงซุยอวิ๋นลุกขึ้นมา สีหน้าของเขาซีดเซียว แต่ก็ยัง
พยายามข่มใจไว้ เขาพูดว่า “โหวเยว่ไม่ต้องกังวลไป
ในเมื่อข้าน้อยยินดีที่จะเดิมพันกับท่าน ก็ต้องยอมรับ
ผลด้วย เงินข้าไม่ได้พกติดตัวมากขนาดนั้น คืนนี้จะให้
คนส่งไปให้ท่านที่จวน อีแปะเดียวก็จะไม่ให้ขาด”
“ดี” ฉีหนิงยิ้มแล้วพยักหน้า “กล้าเดิมพันกล้ารับผล
คุณชายเจียงเป็นคนที่นา่ นับถือนัก ก่อนคืนนี้ยามจื่อ
รบกวนคุณชายเจียงนำเงินส่งมาให้ข้าที่จวนด้วย”
เขามองไปรอบๆ แล้วตะโกนว่า “มีทุกท่านในทีน่ ี้เป็น
พยานให้ข้า ที่ข้ารับเงิน ไม่ใช่การรับสินบน แต่เป็น
เพราะมีการเดิมพันอยู่กอ่ นแล้ว หากต่อไปมีคนคิด
เอาเรื่องนี้แทงข้างหลังข้า ทุกท่านต้องเป็นพยานให้ข้า
ด้วยนะ”
เมื่อพูดออกมา ทุกคนก็หัวเราะกันขึ้นมา
เสียงหัวเราะพวกนี้มันทิม่ แทงใจเจียงซุยอวิ๋นมาก
เจียงซุยอวิ๋นแทบจะหายใจไม่ออกเลย เขามองมาที่ฉี
หนิง สายตาของเขาราวกับคมดาบ เขาแทบอยากจะ
เอามีดมากฉีกเนื้อของฉีหนิงเป็นชิ้นๆ
ถึงแม้การแข่งขันทั้งสี่รอบจะผ่านไปแล้ว แต่ว่างาน
ชุมนุมวิชาการยังไม่จบ
บัณฑิตมาจากทั่วทุกสารทิศ เป้าหมายของพวกเขาก็
คือการมีโอกาสได้เข้าหนึ่งในแปดวิทยาลัย ถึงแม้
วิทยาลัยฉงหลูกับวิทยาลัยอวิ๋นซานจะถอนตัวออกไป
แล้ว แต่ว่าอีกหกวิทยาลัยยังสามารถออกโจทย์ได้อยู่
ทุกคนก็ยังมีโอกาสเข้าได้อยู่
แต่ว่าศิษย์ของเหล่าวิทยาลัยเมือ่ เสร็จสิ้นการแข่งแล้ว
สามารถกลับไปก่อนได้เลย วิทยาลัยฉงหลินเป็น
วิทยาลัยผู้หญิง ก็ไม่สะดวกที่จะอยูร่ วมกับเหล่าผู้ชาย
ก็เลยกลับไปก่อน
ฟ้าเริม่ มืดแล้ว เหล่าสาวๆ ของวิทยาลัยฉงหลิน
กลับไปแล้ว ต่างคนก็กลับไปที่บ้านของตัวเอง ตามกฎ
ของวิทยาลัย หลังจบงานชุมนุม เหล่าสาวๆ สามารถ
หยุดเรียนได้สองวัน ไม่ต้องไปเข้าเรียน
วิทยาลัยฉงหลินชิงอันดับหนึ่งมาได้ ฉีหนิงรับป้ายฝี
พระหัตถ์ของฮ่องเต้นอ้ ยจากมือของหยวนหนิงเยียน
ซึ่งเขียนไว้วา่ “เส้นทางศาสตร์แห่งอักษร” ที่มกี าร
ประทับตราไว้แล้ว สำหรับวิทยาลัยหนึ่งแห่งแล้ว มัน
คือเกียรติอันสูงสุดแล้ว
ฉีหนิงรับของมาแล้ว คิดในใจว่าควรจะเอาไปส่งให้กับ
จั่วชิงหยางดีกว่า
จั่วชิงหยางลำบากในการรักษาวิทยาลัยฉงหลินมา
อย่างยาวนาน แต่ว่าวิทยาลัยฉงหลินกลับยังห่างไกล
จากศาสตร์ของบัณฑิตมาก การชิงอันดับหนึ่งมาได้
ถึงแม้จะไม่สามารถเปลีย่ นแปลงฐานะของวิทยาลัย
หญิงให้สูงขึ้นได้ แต่ว่าหลายคนก็จะมองมันดีขึ้นมาก
ในวันนี้สำหรับจั่วชิงหยางแล้ว คงรอคอยมานานมาก
แล้ว การเอารางวัลอันดับหนึ่งไปให้ เขาก็น่าจะดีใจ
มาก
นอกจากนี้แล้ว ฉีหนิงยังเป็นห่วงอาการของจั่วชิงห
ยางด้วย
จั่วชิงหยางกลับไปก่อนทั้งๆ ที่งานชุมนุมยังไม่จบ เขา
ดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนมีเรื่องในใจ ฉีหนิง
รู้สึกแปลกมาก มันเรื่องอะไรกันนะทีท่ ำให้จั่วชิงหยาง
แปลกไปมากขนาดนั้น
เขาขี่ม้าตรงไปยังวิทยาลัยฉงหลินทันที ฟ้าเริ่มมืดแล้ว
ฉีหนิงลงจากม้า แล้วเดินตรงไปยังหน้าประตูวทิ ยาลัย
ทันที เขายื่นหน้าออกไปมอง แต่กลับเห็นเพียงป๋อเห
รินนั่งพิงอยู่ที่เก้าอี้ไม้ เขาเมาอย่างหนักแล้วหลับไป
ตาเฒ่านี้กินเหล้ามากเกินไป
วันนี้บรรดาลูกศิษย์ก็ไปร่วมงานชุมนุมวิชาการ อีก
สองวันก็พักได้ ภายในวิทยาลัยก็เลยเงียบเป็นป่าช้า
เลย ไม่แปลกใจเลยที่ปอ๋ เหรินจะแอบกินเหล้า
ฉีหนิงก็ไม่ได้กวนเขา มัดม้าไว้แน่น แล้วเดินเข้าไป
ภายในวิทยาลัยเลย
ภายในวิทยาลัยเงียบมาก ไม่เห็นเงาของสักคนเลย ฉี
หนิงรู้สึกระแวงมาก แอบคิดว่าพอเหล่านักเรียน
กลับไปกันหมดแล้ว ภายในวิทยาลัยเงียบขนาดนี้เลย
หรือ จั่วชิงหยางอาศัยอยู่บรรยากาศเงียบสงบขนาดนี้
เลยหรือ
ค่ำคืนอันเงียบสงบ ภายในวิทยาลัยไม่มีแสงไฟแม้แต่
ดวงเดียว ฉีหนิงสายตาดีมาก อีกทั้งเขาก็ยังคุ้ยเคยกับ
ทางภายในวิยาลัยอย่างดี เขาเดินตรงไปยังเรือนไม้ไผ่
ที่อาศัยของจั่วชิงหยาง
เมื่อมาถึงเรือนไม้ไผ่ ลมพัดโชยมา ต้นไม้สั่นไหว
ภายในเรือนไม้ไผ่ไม่มีแสงไฟ ฉีหนิงเริ่มขมวดคิว้ แอบ
คิดในใจว่าหลังจากจั่วชิงหยางออกจากงานชุมนุมแล้ว
เขาไม่ได้กลับมาที่นี่หรือ? ไม่อย่างนั้นทำไมภายใน
เรือนถึงไม่ได้จุดไฟ?
ถึงแม้ฟ้าจะเริม่ มืดแล้ว แต่ว่าในเวลานี้ ด้วยอายุของ
จั่วชิงหยาง ก็ไม่น่าจะนอนเร็วขนาดนี้
เขาขมวดคิว้ แต่ก็ยังเดินไปที่หน้าประตูเรือนไม้ไผ่
แล้วเรียก “ท่านอาจารย์จั่ว ข้าฉีหนิง ท่านหลับแล้ว
หรือยัง?”
ภายในห้องไม่มีเสียงตอบกลับมา ฉีหนิงยื่นมือไปดัน
ประตู เขาออกแรงดัน บรรยากาศเงียบมาก ขณะที่
เสียงประตูเปิดออกมันฟังแล้วดูนา่ สยอง
ฉีหนิงเปิดประตูแล้ว เขาเดินเข้าไปแล้วเรียกอีก แต่ก็
ไม่มีเสียงตอบกลับมา มีเพียงลมพัดจากด้านหลังเข้า
มาเท่านั้น
ฉีหนิงรู้สึกสงสัย แต่วา่ มีลมหนาวพัดมา เขาตกใจมาก
เขารู้สึกว่ามีลางสังหรณ์แปลกๆ เขายื่นมือไปหยิบมีด
สั้นของเขา เพือ่ ป้องกันตัว
ลางสังหรณ์ไม่ดีที่เขารู้สกึ ทำให้เขาคิดว่าบรรยากาศ
มันดูผิดปกติไปมาก
เขาค่อยๆ เดินเข้าไปในห้อง อาศัยแสงจันทร์ในความ
มืดกวาด มองสายตาไปรอบๆ
เครือ่ งเขียนที่เดิมควรจะวางอยู่บนโต๊ะ ตอนนี้กลับ
หล่นอยูท่ ี่พื้น น้ำหมึกกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด
โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาดไปหมด ถึงแม้ภายในห้องจะ
ไม่ได้ดูเละเทะมาก แต่ว่ามีสองอย่างทีแ่ ปลกไป มันก็
แน่ใจได้แล้วว่าผิดปกติ
ภายในห้องของจั่วชิงหยางเรียบง่ายอยู่แล้ว หากไม่ได้
เกิดอะไรขึ้น น้ำหมึกก็ไม่มีทางกระจายเต็มพื้นแบบนี้
อีกทั้งเก้าอีย้ ังล้มอยู่กับพื้นด้วย
เขากำมีดอยู่ในมือ สายตาของเขามองไปรอบๆ เขา
ค่อยๆ เดินไปยังริมโต๊ะ เขาพบว่ามีกระดาษใบหนึ่งใช้
แท่นหมึกทับไว้ บนกระดาษเหมือนจะเป็นภาพๆ
หนึ่ง เขาเดินอ้อมไปหลังโต๊ะ เขาเห็นว่ามันเป็นภาพๆ
หนึ่ง แต่ว่ามันเป็นภาพอะไร เขาเองก็ไม่แน่ใจเพราะ
มองไม่ชัด
ในตอนนี้เอง สายลมพัดมา ฉีหนิงได้กลิ่นแปลกๆ โชย
มาด้วย เขาพยายามดม ถึงได้แน่ใจว่ามันคือกลิน่ คาว
เลือด
ฉีหนิงตกใจ เขาหันไปมอง เขาพบว่า หน้าต่างบาน
หนึ่งเปิดออก ลมพัดมาจากทางนั้น กลิ่นคาวเลือดก็
มาจากทางนั้นเช่นกัน
เขาค่อยๆ เดินไปทางริมหน้าต่าง เขาเห็นขอบ
หน้าต่างเปียกชุ่ม เขายืน่ มือไปปาดขึ้นมาดม ไม่ผิด
จากที่คิดมันคือเลือด เขาสะดุ้งตกใจ เขาไม่ลังเลที่จะ
กระโดดออกจากหน้าต่างไป ที่นอกหน้าต่าง เขาเห็น
มีคนๆหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ตรงพื้นไม่ไกล
ฉีหนิงรีบเดินเข้าไป เขาระวังตัวมาก แล้วเรียกเบาๆ
ว่า “ท่านอาจารย์......” เขาเดินมาหยุดและเว้น
ระยะห่างประมาณสองก้าว เขามองอย่างละเอียด
พบว่าคนๆ นั้นนอนฟุบลงที่พื้น ไม่ขยับเลย เสือ้ ผ้าที่
เขาใส่มันไม่ใช่ชุดของจั่วชิงหยาง แต่มันเป็นเสือ้ ชุด
แขนสั้น
ฉีหนิงตกใจ แล้วรีบเข้าไป กลิ่นคาวเลือดแรงมาก เขา
มองไปทีพ่ ื้นอย่างละเอียด เขาพบว่าด้านล่างหน้าต่าง
ที่มีรอยเลือดเป็นแนวยาวนั้นมีคนนอนกองอยูอ่ ีกคน
รอยเลือดพวกนี้น่าจะมาจากบนตัวของเขา
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 337 กระบี่กู่เหวินอันโดดเดี่ยว
ค่ำคืนที่เงียบสงบ สายลมหนาวเหน็บดั่งคมดาบ
ฉีหนิงเดินขึ้นหน้าไป แล้วใช้เท้าถีบเพื่อให้คนผู้นนั้
พลิกกลับมา เขาสวมหน้ากากปีศาจไว้ ที่หน้าอกมี
รอยเลือด และตอนนี้เขาไม่มลี มหายใจแล้ว
ภายในวิทยาลัยเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขนาด
นี้ ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก แอบคิดว่าที่วันนี้จั่วชิงหยาง
ออกไปด้วยสีหน้าท่าทางประหลาดแบบนั้น เขาก็คิด
ว่าน่าจะมีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง
เขาตรวจดูอย่างละเอียด เห็นที่ไม่ไกลนักยังมีรอย
เลือดไหลอยู่ ก็เลยเดินตามรอยเลือดไป เมือ่ เดินตาม
รอยเลือดไปสักพักมันก็หายไป เขาเดินต่อไปอีกสิบ
กว่าก้าว เขาก็เห็นมีคนนอนอยู่อีกคน คนๆ นั้นไม่
ขยับแล้วเช่นกัน เขาเดินเข้าไปใกล้ เขาก็สวมหน้ากาก
เหมือนกัน อีกทั้งไม่มลี มหายใจแล้วเช่นกัน
พบศพคนสวมหน้ากากสองศพติดกัน ฉีหนิงยิ่งตกใจ
เข้าไปใหญ่
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงร้อง ฉีหนิงสะดุ้ง แล้วรีบวิ่ง
ไปตามเสียง เขาได้ยินมันอย่างชัดเจน เสียงร้องนั่นมา
จากด้านหลังสวนไม้ไผ่
เมื่อเดินมายังสวนไม้ไผ่ มันมืดมาก เขากำมีดสั้นไว้
แน่น ทันใดนั้นเองก็สะดุดอะไรบางอย่าง เกือบจะล้ม
ลง เขาก้มหน้าไปมอง เขาเห็นคนผู้หนึ่งนอนกองอยู่
ตรงพื้น เขาใช้เท้าดันขึน้ มา พบว่าคนผู้นั้นก็สวม
หน้ากากเช่นกัน อีกทั้งยังหมดลมหายใจไปแล้วด้วย
เขาขมวดคิว้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงลมหายใจหอบเสียง
หนึ่งดังมา เขาหันไปมอง เห็นคนผู้หนึ่งกำลังนั่งพิงอยู่
ใต้ต้นไผ่ จากรูปร่างของคนผู้นั้น เขาคือจั่วชิงหยาง
“ท่านอาจารย์จั่ว” ฉีหนิงเรียก แล้วรีบเดินเข้าไปหา
จั่วชิงหยางเงยหน้าไปมอง เห็นเป็นฉีหนิง ก็รู้สกึ
แปลกใจ เขาพูดด้วยลมหายใจที่แผ่วเบาว่า “เป็น......
เป็นเจ้าหรือ......” จากนัน้ เขาก็ไอแรงมาก
ฉีหนิงนั่งลงข้างๆ จั่วชิงหยาง เห็นในมือของจั่วชิงห
ยางกำกระบี่ไว้แน่น เขาหอบหายใจอย่างรุนแรง
ในตอนนี้พบว่า เสือ้ ผ้าของจั่วชิงหยางขาดหลุดลุย่
เสื้อตรงหน้าอกขาดจนไม่มีชิ้นดี เลือดไหลออกมามาก
เขาบาดเจ็บหนักมาก
ฉีหนิงรู้ว่าจั่วชิงหยางเป็นนักปราชญ์อันดับหนึ่ง แต่คิด
ไม่ถึงว่าเขาจะฝึกวิชาเพลงกระบี่ด้วย เขาพยุงจัว่ ชิงห
ยางขึ้นมา แล้วรีบถามว่า “ท่านอาจารย์จั่ว มันเกิด
อะไรขึ้น?”
จั่วชิงหยางไอเป็นระยะ ริมฝีปากของเขามีเลือดไหล
ออกมา เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “แค่พวกสวะ ไม่มี
อะไรมากหรอก เจ้า......เจ้ารีบไป ที่นี่ไม่ควรอยูน่ าน
พวกมัน.......พวกมันยังมีหลายคน......”
“พวกมันเป็นใครกัน?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“เหตุใดพวกมันต้องลงมือกับท่านด้วย?” เมือ่ คิดถึง
ตรงนี้ เขาก็ถามว่า “ท่านอาจารย์ ศพพวกนี้ ท่าน
......?”
“ถูกต้อง” จั่วชิงหยางแสยะยิ้ม “ข้าเป็นคนฆ่าพวก
มันเอง เจ้าพวกนี้......เชีย่ วชาญการใช้พิษ ข้า.....ข้าถูก
พิษแล้ว เจ้า......” เขากระอักเลือดออกมา
ฉีหนิงนึกขึ้นมาได้ว่าถังนั่วเคยให้ยาโลหิตเลือดเขา
เอาไว้ เลยรีบหยิบยาออกมา แล้วป้อนให้กับจั่วชิงห
ยาง “ท่านอาจารย์ นี่เป็นยารักษาบาดแผล ท่านกิน
มันลงไปก่อนนะ ข้าก็ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือไม่”
“ข้า......ข้าบาดเจ็บสาหัส ถึงอย่างไรคืนนี้ก็คงไม่รอด
แล้ว” จั่วชิงหยางพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาส่ายหน้า
“เจ้าเก็บมันเอาไว้เถอะนะ อย่าเอามาสิ้นเปลืองกับข้า
เลย......ท่านโหวน้อย วิทยาลัยฉงหลิน......ต่อไป......
ต่อไปก็มอบให้เจ้าแล้ว......”
ฉีหนิงเห็นจั่วชิงหยางหายใจแผ่วเบา เขารู้ว่า
สถานการณ์ไม่ดีแล้ว เขาพูดว่า “ท่านอาจารย์ อย่า
เพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย ข้าจะพาท่านออกไปจากที่นี่
ก่อน......” เขากำลังจะแบกจั่วชิงหยาง ในตอนนี้เอง
ก็มีเสียงดังมาจากด้านข้าง เมื่อหันไปก็มีแสงดาบ
สะท้อนพุ่งจูโ่ จมเข้ามาหาฉีหนิง
“ระวัง” จั่วชิงหยางตะคอก เขาใช้แรงผลักฉีหนิงออก
ถึงแม้ฉีหนิงจะหลบพ้น แต่ว่าจั่วชิงหยางกลับถูกแทง
เข้าเต็มๆ
ฉีหนิงปฏิกิริยารวดเร็วมาก เขาใช้มีดสั้นในมือของเขา
รับดาบที่พุ่งเข้ามาหา เสียงดาบปะทะกัน ดาบเล่มนั้น
ถูกฉีหนิงตัดขาดเป็นสองท่อน
อีกฝ่ายคิดไม่ถึงว่ามีดสัน้ ของฉีหนิงจะคมขนาดนี้ เขา
ตะลึงไป ฉีหนิงก็ไม่ได้ลงั เล เขาพุ่งเข้าใส่อย่างกับ
พรานป่าล่าสัตว์ เขาเห็นคนสวมชุดดำยืนอยู่ เขาใช้
มีดสั้นในมือแทงไปที่หน้าอกของคนผู้นั้น มันรวดเร็ว
รุนแรงและเด็ดขาดมาก
คนผู้นั้นเห็นว่าตัวเองกำลังจะถูกแทง เขารู้ว่า
สถานการณ์คับขันแล้ว ฉีหนิงเห็นที่หางตามีดาบที่
แหลมคมกำลังพุ่งมาทางด้านข้างของเขา คนทีถ่ ือ
ดาบเล่มนั้นเหมือนจะสวมชุดสีดำ ใส่หน้ากากเอาไว้
ฉีหนิงรู้ดีว่าหากเขาไม่ปราณี ก็จะสามารถแทงคนผู้
นั้นให้ตายได้ แต่ว่าคนทีถ่ ือดาบข้างๆ นั้นก็จะแทง
ดาบมาที่เขาด้วยเหมือนกัน ด้วยความจนใจ เขาเลย
หันตัวหลบ เมื่อหลบได้แล้ว ก็พลาดโอกาสที่จะ
สังหารคนผู้นั้นไปด้วย
เขาหลบไปข้างหนึ่ง แล้วกระโดดไปขวางหน้าจั่วชิงห
ยางเอาไว้
จั่วชิงหยางไม่นึกถึงความปลอดภัยของตัวเองผลักฉี
หนิงออก ทำให้ฉีหนิงซาบซึ้งใจมาก เขาแอบคิดในใจ
ว่าในเมื่อเขามาพบเห็นเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็
จะต้องคุม้ ครองจั่วชิงหยางให้ปลอดภัย
แต่ว่าฉีหนิงก็รู้ดีว่า อีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา พวกเขา
ลงมือรวดเร็ว อีกทั้งยังร่วมมือกันได้อย่างสามัคคี ตัว
เขาเองจะรับมือกับสองคนนี้ได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ อีกทั้ง
เขาก็ไม่รู้วา่ มันเกิดอะไรขึ้นในวิทยาลัยฉงหลิน อีกฝ่าย
มีกี่คนเขาก็ไม่รู้ หากยังมีคนโผล่ออกมาอีก เขาก็
อาจจะรับมือไม่ไหว
สองคนนั้นแบ่งออกไปยืนซ้ายคนขวาคน พวกเขาต่าง
สวมชุดดำ สวมหน้ากาก มีคนหนึ่งดาบหักไปแล้ว
เหลือดาบแค่ครึ่งเดียว
“พวกเจ้าเป็นใครกัน?” ฉีหนิงถาม “พวกเจ้าไม่อยาก
มีชีวิตอยู่แล้วหรือ?”
ทั้งสองคนได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะเสียงแปลก มีคนหนึ่ง
พูดขึ้นมาว่า “จั่วชิงหยาง ที่พวกเรามาในครั้งนี้ ไม่
ได้มาเพื่อฆ่าใคร เจ้าเองน่าจะรู้ดีว่าพวกเรามาทีน่ ี่เพื่อ
อะไร แค่เจ้าเอาของออกมา พวกเราจะไว้ชีวิตเจ้า พี่
น้องของพวกเราที่เจ้าฆ่าไป ข้าจะถือว่าเป็นของตอบ
แทนเจ้า”
จั่วชิงหยางไอเป็นระยะๆ เขาพูดอย่างหมดแรงว่า
“พวกเจ้าพูดมาตั้ง......ตัง้ นาน ของทีพ่ วกเจ้าอยากได้
ข้า.....ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
“หากเจ้าเสียดาย พวกเราเองก็ไม่อยากบังคับ” คนๆ
นั้นพูดว่า “พวกเราไม่เอาต้นฉบับก็ได้ ขอแค่ตวั สำเนา
ให้พวกเราก็ได้ พวกเราจะได้นำมันกลับไปรายงานได้
พวกเรารับคำสั่งมาทำงาน เจ้าก็อย่าทำให้ต้องลำบาก
ใจเลย ชื่อเสียงของจั่วชิงหยางโด่งดังไปทั่วหล้า พวก
เราไม่อยากเห็นเจ้าต้องตายด้วยดาบของข้า”
“รู้มาว่าท่านจั่วเป็นนักปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งยุค”
อีกคนพูดขึ้นมาว่า “แต่ว่าพวกเราคิดไม่ถึงเลยว่า
ท่านจั่วจะรู้จักเพลงดาบเพลงกระบี่ด้วย หากข้าดูไม่
ผิด กระบี่ในมือของท่านจั่ว น่าจะเป็นกระบี่อนั ดับ
สองในสิบสุดยอดกระบี่กระบี่กู่เหวิน”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้น ก็ตะลึง เขารูส้ ึกตกใจมาก
หนึ่งในสิบสุดยอดกระบี่ เขารู้จักอยูแ่ ล้ว เพราะในมือ
ของเขา ก็มีกระบี่ผีหลูทวี่ ัดต้ากวงหมิงมอบให้ เป็น
กระบี่อันดับสี่ นอกจากนี้ กระบี่อูเหยาของไป๋อวี่เฮ่อ
กับกระบี่ลั่วเย่ของเซี่ยงเทียนเปย ฉีหนิงก็เคยเห็นมัน
มาแล้ว เพียงแต่ว่าเขาคิดไม่ถึงเลยว่า กระบี่ในมือของ
จั่วชิงหยาง จะเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดกระบี่ด้วย แถม
ยังเป็นกระบี่อันดับที่สองอย่างกระบี่กู่เหวิน
นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ก็เป็นเสือซ่อนเล็บเหมือนกัน
“พวกเจ้าเองก็ดูมีความรู้เช่นกัน......” อาการบาดเจ็บ
ของจั่วชิงหยางไม่เบาเลย เสียงของเขาดูออ่ นแรง
“เพลงกระบี่ของพวกเจ้า......ถึงแม้จะไม่ด้อย แต่ว่า
......หึ เกรงว่าคงไม่ใช่คปู่ รับของ.....ของข้า......”
“ท่านอาจารย์พูดถูกต้องแล้ว” คนที่ถอื ดาบหักพูดว่า
“มีกระบี่กู่เหวินในมือ เพลงกระบี่ของท่านจั่วก็คงไม่
ด้อย ยังดีที่พวกเราไม่ได้ประมาทท่านแต่แรก พวกเรา
เตรียมตัวมาดี รู้วา่ ท่านชอบเขียนอ่าน ดังนั้นก็เลย
วางยาในหมึกของท่าน เพียงแค่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะ
ง่ายดายแบบนี้”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ ที่จั่วชิงหยางบาดเจ็บหนักขนาดนี้
ไม่ใช่เพราะศัตรูร้ายกาจ แต่ว่าก็เหมือนที่จั่วชิงหยาง
พูดไปเมื่อครู่ เขาถูกพิษของพวกเขา ทำให้อีกฝ่ายมี
โอกาสลงมือกับเขาได้
จั่วชิงหยางมีกระบี่กู่เหวินในมือ เพลงกระบี่ของเขา
ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเขา ก็
คงไม่บาดเจ็บแบบนี้หรอก
“ที่แท้ก็พวกสวะต่ำช้านีเ่ อง” ฉีหนิงแสยะยิม้ หัวเราะ
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าพูดถูก พวกเราก็คอื พวกวิญญาณ
เร่ร่อนในทีม่ ืด” อีกฝ่ายไม่สนใจคำพูดประชดประชัน
ของฉีหนิงเลย อีกทั้งยังยิ้มแล้วพูดว่า “หากไม่ใช้วิธี
แบบนี้ พวกเราก็ไม่ได้รา้ ยกาจอะไร” เขาพูดว่า “จั่ว
ชิงหยาง อย่าพูดมาก ของอยู่ที่ไหน เอาออกมาเดี๋ยวนี้
ไม่เช่นนั้นไม่เพียงแค่เจ้า แม้แต่เจ้าเด็กนี่ก็จะต้องตาย
ไปพร้อมเจ้าด้วย”
จั่วชิงหยางไม่พูดอะไร
ทั้งสองมองหน้ากัน เขาเอามือถือกระบี่ขึ้นมา แล้วชี้
ไปด้านหน้า คนหนึ่งยิม้ แล้วพูดว่า “ในเมือ่ เป็นอย่างนี้
ก็อย่าหาว่าพวกเราไม่ปราณีอีก ในเมื่อเจ้าอาศัยอยู่ใน
วิทยาลัย ของก็ต้องอยู่ทนี่ ี่ พี่น้องของพวกเราค้นจน
ทั่ว อย่างไรก็ต้องเจอ”
ข้อสงสัยของฉีหนิง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว คนพวกนี้บุก
เข้ามาที่วิทยาลัยฉงหลิน ก็เพื่อต้องการเอาของ
บางอย่างที่อยู่ในมือของจั่วชิงหยาง
จั่วชิงหยางเป็นนักปราชญ์ใหญ่แห่งยุค ที่นี่อยู่ใต้พระ
บาทฮ่องเต้ จวนเสินโหวก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ คนพวกนี้
บุกเข้ามาในวิทยาลัยฉงหลินแบบนี้ โดยไม่สนใจที่จะ
ถูกจวนเสินโหวตามล่าตัว แสดงว่าของสิ่งนั้นมันต้อง
สำคัญมาก
ฉีหนิงนึกถึงภาพเคล็ดวิชากระบี่ขึ้นมา
ในเมื่อจั่วชิงหยางมีกระบี่กู่เหวินในมือ เพลงกระบี่ของ
เขาก็ต้องไม่ธรรมดา หรือว่าคนพวกนี้บุกเข้ามาเพื่อ
ต้องการเคล็ดวิชากระบีข่ องจั่วชิงหยาง?
ฝันไปเถอะ
อีกฝ่ายไม่ลังเลอีกแล้ว พวกเขาสองคนยกดาบในมือ
แล้วแทงเข้ามาทั้งทางด้านซ้ายและขวาของฉีหนิง
กระบวนท่าของพวกเขาไม่ได้ซับซ้อน แต่รวดเร็วและ
เด็ดขาด
“หลบไป” จั่วชิงหยางตะคอก ฉีหนิงรู้สึกได้ว่าเริ่มมี
ลมพัดขึ้นมาจากข้างตัว จั่วชิงหยางที่เรีย่ วแรงแทบไม่
เหลือพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายออกกระบี่ออกมา
เขานั่งอยู่ที่พื้น ลุกขึ้นมาไม่ไหว แต่ว่ากระบี่ของเขาพุ่ง
ออกไปอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายพุ่งกระบี่เข้ามามันปะทะ
เข้ากับกระบี่ของจั่วชิงหยาง ทำให้มันเกิดสะเก็ดไฟ
ขึ้น
กระบี่ของจั่วชิงหยางถูกตวัดทิ้ง แต่ว่าเพลงกระบี่ของ
นักปราชญ์ใหญ่ท่านนี้นนั้ พลิกแพลงไปเร็วมาก
หลังจากดาบถูกตวัดไปแล้ว มันลอยขึ้นฟ้าแล้วตกลง
มา ในตอนนี้เองคนที่ถอื ดาบหักก็พุ่งขึ้นหน้ามา ดาบ
หักปะทะกับกระบี่ของจัว่ ชิงหยาง จากนั้นก็ได้ยนิ จั่ว
ชิงหยางร้องคำราม กระบี่ในมือของเขาหลุดออกจาก
มือไปแล้ว
หน้าตาภายใต้หน้ากากของพวกเขาทั้งคู่เปีย่ มไปด้วย
รอยยิ้ม คนที่ถอื ดาบในมือเหมือนจะสนใจกระบี่กู่เห
วินมาก เขาไม่รีบแทงจัว่ ชิงหยาง แต่กลับอยากจะ
ตวัดกระบี่กู่เหวินมาจากในมือของจั่วชิงหยาง เมื่อ
กำลังจะได้สัมผัสกระบีก่ ู่เหวิน แต่พริบตาเดียวกระบี่
มันก็หายไป
คนผู้นั้นตกใจไป พริบตาเดียวก็เห็นกระบี่รูปดอกไม้
พุ่งมาหาตน ด้วยความตกใจ โดยไม่รู้ตัวกระบีก่ ู่เหวิน
ก็ไปอยู่ในมือของฉีหนิงแล้ว หลังจากทีฉ่ ีหนิงได้กระบี่
มาไว้ในมือ ก็ไม่ลังเลอีก เขาแทงกระบี่เข้าไปทันที
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 338 อยู่ดดี ีก็หายไป
จั่วชิงหยางได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถต้านทาน
ศัตรูได้ ฉีหนิงรู้ เมื่อกระบี่ของจั่วชิงหยางหลุดมือ เขา
ก็ไม่ลังเลที่จะยื่นมือไปรับกระบี่มา เขารีบชิงเอากระบี่
กู่เหวินมาก่อนอีกฝ่าย เมื่อกระบีอ่ ยู่ในมือแล้ว เขา
อาศัยแรงมือของเขา จูโ่ จมใส่อีกฝ่ายทันที
เขาได้กระบีก่ ู่เหวินมาไว้ในมือ ในหัวของเขายังไม่ทัน
มีกระบวนท่ากระบี่ลอยมา แต่ว่าปฏิกิรยิ าในมือของ
เขามันออกกระบวนท่าไปโดยไม่รู้ตัว
หลังจากได้ภาพเคล็ดวิชากระบี่มา เขาฝึกมันอยู่
ตลอดเวลา นี่เป็นเพราะเขาฝึกจนคุ้นเคยแล้ว
เมื่อลงมือ อีกฝ่ายก็ตกใจ พวกเขารีบถอยหลังไป เมื่อ
คนตรงสายลงมือเอง ถึงแม้ฉีหนิงจะออกแค่กระบวน
ท่าเดียว แต่ว่าอีกฝ่ายก็มองออก แล้วพูดว่า “เจ้าแด็ก
นี่ร้ายกาจ จัดการเขาก่อน” คนที่ดาบหักไม่ลังเล เขา
บุกขึ้นหน้าสองก้าว แล้วพุ่งแทงกระบี่เข้าใส่ตัวฉีหนิง
ฉีหนิงปะทะกับพวกเขา เขาก็คิดจะใช้ท่าเท้าท่องคลื่น
ในการเคลือ่ นไหว แต่วา่ ภายในสวนไผ่มันทึบมาก
พื้นที่ก็น้อย ไม่มีช่องให้เขาได้ใช้ท่าเท้าท่องคลื่นเลย
ทำให้เขาต้องออกระบวนท่าอย่างระมัดระวัง เพราะ
ถ้าไม่ระวังบังเอิญแทงกระบี่ไปโดนต้นไผ่ แล้วดึงไม่
ออก เกรงว่าอีกฝ่ายจะฉวยโอกาสได้
ทั้งคู่ให้ความร่วมมือกันดีมาก ถึงแม้ในสวนไผ่จะมี
พื้นที่ไม่มาก แต่ว่าพวกเขาสองคนว่องไวมาก แรกเริ่ม
เดิมทีฉีหนิงยังกังวลว่ากระบี่จะปักเข้าไปในต้นไผ่ ก็
เลยไม่กล้าจะทำอะไรมาก แต่ว่ายิ่งทำแบบนี้ ก็ยิ่ง
ออกกระบวนท่าไม่ได้เต็มที่ อีกทั้งอีกฝ่ายเห็นฉีหนิง
กังวล ก็ยิ่งออกกระบวนท่าจู่โจมมากขึ้น ฉีหนิงตกอยู่
ในสถานการณ์ลำบากขึน้ ทำให้ตกอยู่ในอันตราย
เขาคิดในใจว่า สองคนนีต้ ้องการเอาชีวิตเขา ไม่ใช่มา
ประลองกระบี่กับเขา หากพลาดก็เหมือนกับเขาเอา
ชีวิตตัวเองมอบให้อีกฝ่ายไปเอง
เพลงกระบี่ของสองคนนี้ไม่ถึงกับร้ายกาจ แต่วา่ ก็ไม่
ธรรมดา ฉีหนิงสงบใจ เขาไม่กังวลอะไรอีก สายตา
ของเขามีแต่คมดาบที่กำลังพุ่งเข้าหาเขา พอเขามี
สมาธิ ต้นไผ่ทั้งหมดก็เหมือนหายไปจากในดวงตาของ
เขา เขาเห็นเพียงปลายดาบที่กำลังพุ่งมาหาเขา
ในหัวของเขาตอนนี้มีกระบวนท่ามากมาย เพลงกระบี่
ของเขามันแปลกมาก ซึง่ พอมีสมาธิ ต่อให้เป็นทีแ่ คบ
แค่ไหน มันก็มีกระบวนท่าทีส่ ามารถใช้ได้
เริ่มแรกยังทำอะไรไม่คอ่ ยถนัดนัก หลังจากผ่านไป
แล้วยีส่ ิบกระบวนท่า ฉีหนิงก็เริ่มปล่อยกระบวนท่าได้
คล่องขึ้น อีกฝ่ายเริ่มตื่นตระหนก ตอนนี้อยู่ใน
สถานการณ์ความเป็นความตาย ไม่เหมือนตอนที่
ประลองกับไป๋อวี่เฮ่อหรือเจียงซุยอวิ๋น ตอนนี้อนั ตราย
มาก ทักษะทีม่ ีอยู่ในภาพเคล็ดวิชากระบี่ มันยิ่งทำให้
เขาสามารถสัมผัสได้มากขึ้น
เมื่อออกกระบวนท่าออกมาทีละท่า ฉีหนิงสัมผัสถึง
ความร้ายกาจของมันมากขึ้น ความมั่นใจของเขาก็เริ่ม
มากขึ้นด้วยเช่นกัน
จั่วชิงหยางนั่งพิงอยู่ใต้ต้นไผ่ ลมหายใจของเขาแผ่ว
เบา เขาเห็นฉีหนิงอย่างชัดเจน เพลงกระบี่ของเขาคม
คาย กระบวนท่าแปลกประหลาด สายตาของเขาก็
ตกใจ
จากนั้นก็ได้ยินเสียง “อ๊าก” ฉีหนิงแทงไปที่เอวของ
คนที่ดาบหัก คนผู้นั้นเจ็บปวดมาก ยังดีที่เพือ่ นอีกคน
กำลังจะจู่โจมใส่ฉีหนิง ฉีหนิงเลยดึงกระบี่ออกมา
รับมือ เมือ่ ดึงกระบี่ออกมาจากเอวทำให้เลือดพุง่
ออกมา คนผู้นั้นยืนโซเซ สุดท้ายก็ล้มลงนั่งไปกับพื้น
เขาใช้มือปิดไปที่บาดแผล
เมื่อฉีหนิงแทงถูกอีกฝ่าย ความมั่นใจก็มีมากขึน้ เขา
หันกลับมามีสมาธิในการรับมือคนที่เหลืออยู่ เขาออก
กระบวนท่าออกไปอีกหลายท่า อีกฝ่ายล่าถอยไป
เรื่อยๆ ฉีหนิงบีบเข้าหาจนอีกฝ่ายไม่สามารถตั้ง
กระบวนท่าออกอาวุธได้ ฉีหนิงตะโกนคำราม คนผู้
นั้นตกใจ ถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว แต่ว่าต้นไผ่ขวาง
เอาไว้ เขาคิดจะหันตัวเอี้ยวหลบไป ฉีหนิงแทงกระบี่
เข้าไปที่ตรงตำแหน่งหัวใจของเขา ขอแค่ใช้แรงกระบี่
ในมือของฉีหนิงก็จะทะลุหัวใจไปถึงด้านหลัง
คนผู้นั้นตกใจขวัญกระเจิง ฉีหนิงหยุดมือ แล้วแสยะ
ยิ้มออกมา
“ทิ้งดาบ” สายตาของฉีหนิงดุดันมาก เขาจ้องไปที่คน
ผู้นั้น ทั้งสองคนไม่พูดไม่จา ทิ้งดาบลงกับพื้น ฉีหนิง
ถามว่า “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่? เหตุใดต้องลงมือ
โหดเหี้ยมกับท่านจั่วแบบนี้ด้วย?” เขาตวัดกระบี่ เปิด
หน้ากากของคนผู้นั้นออก ใต้หน้ากากเป็นชายคน
หนึ่งที่ไม่คุ้นหน้า อายุราวสามสิบปี สีหน้าของเขาซีด
เซียว มีแต่ความตกใจ
คนผู้นั้นก้มหน้าลังเลอยูค่ รู่หนึ่ง สุดท้ายก็เงยหน้า
ขึ้นมา เขาอ้าปาก ฉีหนิงรู้สึกว่ามีแสงสว่างขึ้นทีต่ า
เขาตกใจมาก คิดว่าแย่แล้ว เขาอยู่ใกล้คนๆ นัน้ มาก
เกินไป หลบไม่ทัน ทำให้เขาต้องถอยหลังไป เหมือน
รู้สึกว่ามีอะไรลอยผ่านไป
ฉีหนิงรู้สึกตกใจแล้วก็โกรธมาก เขาโทษตัวเองที่
ประมาทเกินไปไม่ทันได้ระวังตัว คนพวกนี้โหดเหี้ยม
มาก อะไรก็ทำได้ทั้งนั้น ควรจะระวังพวกเขาให้
มากกว่านี้
คนๆ นั้นยิ้มอย่างชั่วร้าย จากนั้นก็กระโดดลอยตัวขึ้น
แล้วเอาเท้าตวัดดาบบนพื้นขึ้นมาถือไว้ในมือ มัน
เกิดขึ้นแค่พริบตาเดียวเท่านั้น เขารวดเร็วว่องไวมาก
หลังจากที่จับดาบไว้ในมือได้แล้ว เขาก็พุ่งดาบเข้ามา
หาฉีหนิง อีกแค่นิดเดียวก็สามารถแทงทะลุคอของฉี
หนิงได้แล้ว แต่ว่าเขากลับรู้สึกว่าเจ็บที่หน้าอก
ร่างกายของเขาไม่ถูกดูดไป เมื่อก้มหน้าลงไปดู เขาถึง
ได้รู้ว่ากระบี่กู่เหวินในมือของฉีหนิงมันแทงทะลุหัวใจ
ของเขาแล้ว
ฉีหนิงแสยะยิม้ เขายกเท้าซ้ายขึ้นมา แล้วถีบไปที่หน้า
ท้องของคนผู้นั้น เขาถีบแรงมาก คนๆ นั้นถูกถีบจน
ตัวลอยไปกระแทกไม้ไผ่จนหัก จากนั้นเขาก็ตกลงมา
ดิ้นอยู่ทพี่ ื้นอยู่พักหนึ่ง แล้วก็แน่นิ่งไป
ฉีหนิงลุกขึ้นมาจากพื้น แล้วหันกลับไปมอง คนที่ถูก
เขาแทงทีเ่ อวกำลังพุ่งไปหาจั่วชิงหยางแล้ว
เขาเข้าใจทันทีวา่ คนๆ นั้นรู้แล้วว่าไม่ใช้คู่ตอ่ สู้ของเขา
ดังนั้นก็เลยคิดจะไปจัดการกับจั่วชิงหยางที่กำลัง
บาดเจ็บอยู่แทน เพื่อเอาตัวจั่วชิงหยางเป็นตัวประกัน
ฉีหนิงขว้างกระบี่กู่เหวินในมือออกไป มันแทงไปที่ขา
ของคนๆ นั้น กระบี่กู่เหวินคมมาก มันแทงทะลุขาจน
คนๆ นั้นล้มลง
ฉีหนิงถอนหายใจ ตอนนี้เขารู้สึกว่าด้านหลังของเขา
หนาวขึ้นมา เพราะมันมีแต่เหงื่อเต็มไปหมด
เขาเดินขึ้นหน้าไปดึงกระบี่กู่เหวินออกมา คนๆ นั้น
ร้องด้วยความเจ็บปวด ฉีหนิงเช็ดเลือดออกจากกระบี่
กู่เหวินบนตัวของคนๆ นั้น เขายกเท้าแล้วถีบไปที่หัว
ของคนๆ นั้น คนๆ นั้นร้องด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง
ล้มนอนตะแคงแล้วสลบไป
ฉีหนิงเดินไปหาจั่วชิงหยาง เขานั่งลงข้างๆ เขา แล้ว
พยุงจั่วชิงหยางขึ้นมา แล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ เหลือ
รอดคนหนึ่ง พวกเราเอาตัวเขาไปให้จวนเสินโหว ต่อ
ให้เขาปากแข็งแค่ไหน จวนเสินโหวจะต้องมีวธิ ที ำให้
เขาพูดออกมาได้แน่นอน ถึงเวลานั้นพวกเราก็จะรู้ว่า
พวกเขาเป็นใครมาจากไหน”
จั่วชิงหยางฝืนยิม้ เขาพูดด้วยความไม่มีแรงว่า “ฉีหนิง
เจ้า......เจ้าฟังข้าพูดนะ......” จากนั้นก็ไอ ฉีหนิงเห็น
เลือดไหลออกมาจากปากเขาไม่หยุด เลือดบนหน้าอก
ของเขาก็เต็มไปหมด ก็รีบพูดว่า “ท่านอาจารย์ ท่าน
บาดเจ็บหนักมาก อย่าเพิ่งพูดเลยนะ ข้าพาท่านไป
รักษาตัวก่อน” กำลังจะพยุงจั่วชิงหยางลุกขึ้น แต่จั่ว
ชิงหยางกลับร้องออกมา ทำให้ฉีหนิงต้องรีบให้เขานั่ง
ลงก่อน เขารู้ว่าจั่วชิงหยางบาดเจ็บสาหัก แทบจะ
ขยับตัวไม่ได้เลย
“ท่านอาจารย์ ท่านรอข้าเดี๋ยวนะ ข้าจะไปนำน้ำกับ
ผ้ามาล้างแผลให้ท่านก่อน” ฉีหนิงก็ไม่รู้ว่าแผลของ
เขาถูกจุดสำคัญหรือมา หากไม่ได้ถูกจุดสำคัญ ก็ต้อง
รีบจัดการล้างแผลก่อน แล้วห้ามเลือด ไม่อย่างนั้น
ด้วยอายุทมี่ ากแล้วของจั่วชิงหยาง อาจทำให้เสีย
เลือดมากจนตายได้
ขณะทีเ่ ขากำลังลุกขึ้นจะไป จั่วชิงหยางยื่นมือไปดึง
แขนเขาไว้ แรงของเขามีไม่มากแล้ว เขาหายใจหอบ
แล้วพูดว่า “ช้า.....ช้าก่อน ฉีหนิง ข้า......ข้าคิดว่าข้าไม่
ไหวแล้ว เจ้า......เจ้าจำไว้ ที่ด้านหลัง.....ด้านหลังป้าย
......” เขาไอรุนแรงอีกครั้ง เขาตัวสั่นไปทั้งตัว เขาไร้
เรี่ยวแรงมาก
ฉีหนิงตกใจ แล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ท่านรู้ใช่หรือไม่
ว่าพวกเขาเป็นใคร? ตกลงแล้วพวกมันเป็นใครกัน
แน่?”
“ต่อไปวิทยาลัย.......วิทยาลัยคงต้องพึ่งเจ้าแล้ว จะ
ต้อง......จะต้องรักษามันเอาไว้......” จั่วชิงหยางเริ่ม
ค่อยๆ หลับตาลง เขาจับมือฉีหนิงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
ฉีหนิงตกใจมาก รีบพูดว่า “ท่านอาจารย์” เขายื่นมือ
ไปที่จมูกของจั่วชิงหยาง ถึงแม้ลมหายใจจะอ่อนแรง
มาก แต่ยังมีลมหายใจอยู่ เขารู้ดีวา่ เขาไม่ควรจะ
เสียเวลาอีก เขาหยิบยาโลหิตออกมาแล้วให้จั่วชิงห
ยางกิน ยาโลหิตนี่เป็นยาที่ถังนั่วปรุงขึ้นมา มันล้ำค่า
มาก เมื่อกินเข้าไปแล้ว เท่าที่ถังนั่วบอก เมื่อตกอยู่ใน
อันตรายถึงชีวิต มันสามารถยือ้ ชีวิตได้อีกระยะหนึ่ง
เขาเองก็ไม่รู้ว่ายาโลหิตนี่จะได้ผลกับจั่วชิงหยาง
หรือไม่ เขาไม่มีเวลาคิดมาก เขาวิ่งออกจากสวนไผ่
แล้วไปที่เรือนไม้ไผ่ของจั่วชิงหยาง เมื่อเข้าไปในห้อง
เขาก็พยายามเปิดกล่องต่างๆตามตู้ เขาเจอผ้า แต่เขา
ไม่เจอยารักษาแผล เขาหยิบกาน้ำติดมือมาด้วย
จากนั้นก็วิ่งกลับไปที่สวนไผ่อีกครั้ง
จั่วชิงหยางอาการสาหัสมาก แทบจะแบกเขาออกไป
ไหนไม่ได้เลย ไม่อย่างนัน้ อาการของเขาจะหนักขึ้น
ต้องทำแผลให้เขาก่อน เพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อ หลังจาก
ล้างแผลแล้ว ค่อยไปหาคนมาช่วย
เมื่อวิ่งกลับเข้ามาในสวนไผ่ ฉีหนิงก็รู้สึกว่ามันผิดปกติ
แต่ว่าบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าผิดปกติตรงไหน เขาวิ่ง
ไปที่จั่วชิงหยางนั่งอยู่ แต่ว่าพอไปถึงเขาก็ต้องตกใจ
จั่วชิงหยางหายไป
เขาตกใจมาก เขามองไปรอบๆ สวนไผ่นี่ก็ไม่ได้ใหญ่
มาก เขาไม่น่าจะจำผิด จั่วชิงหยางอาการหนักมาก
เขาสลบไปแล้ว ก็ไม่มีทางจะลุกออกไปไหนได้เอง
ฉีหนิงยืนอึ้งอยูค่ รู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็สะดุ้ง ตอนนี้เขา
เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่ามันผิดปกติ
จากเรือนไม้ไผ่มาถึงสวนไผ่ ตลอดทางมันควรจะมีศพ
นอนอยู่หลายศพ เขานึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อครู่ตอนนี้ที่
เขารีบวิ่งกลับมาช่วยจั่วชิงหยาง เขาไม่ได้สนใจอะไร
มาก ตอนนี้นึกย้อนกลับไป ศพพวกนั้นมันเหมือนจะ
หายไปแล้วเหมือนกัน
เขารีบไปตามหา เขาพบว่าศพพวกนั้นมันหายไปจริงๆ
ไม่เพียงจั่วชิงหยางที่หายตัวไป แม้แต่คนที่เขาทำร้าย
ก็หายไปด้วย
คนหายไปแล้ว แม้แต่อาวุธสักชิ้นก็ไม่มี กระบี่กู่เหวิ
นของจั่วชิงหยางก็หายไปด้วย
ในสวนไผ่ เหมือนไม่เคยเกินอะไรขึ้นด้วย
ฉีหนิงรู้สึกเย็นสันหลังวาบ
หากไม่ใช่ว่ายังพอได้กลิน่ คาวเลือดทีโ่ ชยมาบ้าง
ฉีหนิงคงสงสัยว่าเรือ่ งที่เกิดขึ้นเมื่อครูม่ ันอาจจะเป็น
ภาพลวงตาก็ได้
จากสวนไผ่กลับไปที่เรือนไม้ไผ่ เพือ่ หาผ้า แล้ววิง่
ย้อนกลับมา เวลาสั้นๆ แบบนั้น จั่วชิงหยางกับศพ
พวกนั้นกลับหายไปไร้รอ่ งรอยได้ เหมือนถูกลมพัด
หายไป ในสวนไผ่มีแต่เสียงใบไผ่ปลิวไสว บรรยากาศ
น่ากลัวมาก ฉีหนิงรูส้ ึกว่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 339 ป้ายเหนือประตู
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก แต่ก็ยังคงตามหาร่องรอยในสวน
ไผ่อยู่ แต่หาอย่างไรก็หาไม่เจอ เขารู้ดีวา่ จั่วชิงหยาง
ไม่มีทางไปไหนด้วยตัวเอง ตอนที่เขากลับไปที่เรือนไม้
ไผ่จะต้องมีคนเอาศพกับตัวจั่วชิงหยางไปแน่นอน
อีกฝ่ายทำอะไรรวดเร็วมาก ทำอะไรให้คนตกตะลึงไป
ตามๆ กัน
ภายในสวนไผ่มืดมาก ฉีหนิงหาจั่วชิงหยางไม่พบ เขา
ก็ไม่คิดจะอยู่ทสี่ วนไผ่อกี เขาออกจากสวนไผ่ไป แต่
ท่าทางของเขาไม่ได้ผ่อนคลายเลย เขาแอบคิดในใจว่า
คนพวกนั้นมาหาของกับจั่วชิงหยางในคืนนี้ จั่วชิงห
ยางไม่มีทางให้มันไปง่ายๆ แน่ ทันใดนั้นเขาก็นึก
ขึ้นมาได้ว่าจั่วชิงหยางพูดว่า “ด้านหลังป้าย” แต่เขา
ไม่ได้พูดครบ ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร
วิทยาลัยฉงหลินถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ไม่ได้เล็ก
จนเกินไป จำได้ว่าป้ายเหนือประตูก็มีอยู่หลายที่ ไม่รู้
ว่าจั่วชิงหยางหมายถึงป้ายเหนือประตูอันไหน
ระหว่างที่กำลังสงสัยอยู่ เขาก็เดินกลับมาถึงเรือนไม้
ไผ่แล้ว เขาคิดว่าเขาจะกลับเข้าไปหาในเรือนไม้ไผ่อีก
ครั้ง แต่เขากลับได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง เขารูส้ ึก
ตกใจมาก มือเขาเริม่ เกร็งขึ้นมา เขาเดินไปใกล้ประตู
เห็นมีเงาเคลือ่ นไหวอยูห่ น้าตู้ภายในห้อง เหมือน
กำลังหาอะไรอยู่
ดึกมาแล้ว ภายในเรือนก็ไม่ได้จุดไฟ ทำให้มืดมาก
เห็นเงาเคลื่อนไหวไปมา ท่าทางว่องไวมาก
ฉีหนิงยิ้มเจื่อน เขาจับมีดสั้นไว้แน่น ไม่กล้าทำอะไร
วู่วาม
เงานั้นรื้อค้นภายในเรือนอยูพ่ ักใหญ่ เขาดูระวังตัว
มาก พยายามไม่ให้เกิดเสียงดัง ฉีหนิงแอบคิดในใจว่า
คนๆ นี้จะเป็นพวกเดียวกับพวกนั้นหรือไม่ คิดว่าศพ
กับตัวของจั่วชิงหยางคงเป็นเขาที่จัดการ ขอเพียงจับ
คนๆ นี้ได้ ก็น่าจะถามอะไรได้บ้าง
แต่ว่าวรยุทธ์ของเขาดูไม่ธรรมดาเลย หากสู้ซึ่งหน้า
คิดว่าน่าจะจับตัวได้ยาก ลอบจู่โจมน่าจะดีกว่า
เขาหลบอยู่ข้างประตู หลังจากนั้นไม่นาน คนทีอ่ ยู่
ภายในเรือนคิดว่าคงหาของไม่เจอแล้ว เขาก็ไม่ลังเล
ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินออกมาจากเรือน แค่เขาเดิน
ออกมาจากประตู ฉีหนิงก็ไม่ซ่อนตัวต่ออีก เขาตะโกน
แล้วแทงมีดสั้นของเขาออกไป เขาลงมือเร็วมาก เขา
คาดหวังให้คนๆ นั้นบาดเจ็บก่อน
คนผู้นั้นร้องด้วยความตกใจ แสดงว่าคิดไม่ถึงว่าจะมี
คนลอบทำร้ายเขาแบบนี้
ปฏิกิริยาของเขาก็ไวมาก เขาถอยหลังไป แล้วใช้มือ
หนึ่งจับข้อมือขวาของฉีหนิงเอาไว้ เหมือนคิดจะชิง
เอามีดสั้นมา
ฉีหนิงเชี่ยวชาญศาสตร์การต่อสู้ การใช้มีดสั้นก็เป็น
วิชาพื้นฐานในการต่อสู้ ถึงแม้มีดสั้นเล่มนีม้ ันจะยาว
กว่ามีดสั้นปกติหน่อย แต่พอได้ใช้มันก็ถนัดมือดี เขา
จับมันเอาไว้ในมือ แล้วพยายามจะตวัดมีดไปทาง
ข้อมือของคนผู้นั้น
คนผู้นั้นอาศัยแรงถอยกลับเข้าไปในเรือนไม้ไผ่ ฉีหนิง
คิดว่าเขาคนนี้ฉลาดมาก รับมือด้วยไม่ง่ายเลย ขณะที่
คนผู้นั้นถอยหลังเข้าเรือนไม้ไผ่ไป ฉีหนิงก็รีบบีบตาม
เข้าไป มีดสั้นพุ่งแทงเข้าใส่คนผู้นั้นอีกครั้ง คนผูน้ ั้น
ถอยหลังไปอีกหลายก้าว น้ำเสียงของเขาดุดันมาก
“ใคร?”
ฉีหนิงได้ยินเสียงนั่น ก็รสู้ ึกว่าคุ้นหูมาก เขาหยุดไป
แล้วพยายามมองให้ดีๆ คนผู้นั้นถอยหลังไปจนถึงหลัง
โต๊ะหนังสือ เขาหันไปหยิบเก้าอี้เขาคิดจะเขวีย้ งเก้าอี้
มาที่ฉีหนิง เมื่อเห็นฉีหนิงหยุด เก้าอี้ในมือของเขาก็
ไม่ได้ขว้างออกมา เขามองไปที่ฉีหนิง แล้วหลุดพูด
ออกมาว่า “เจ้า.....เจ้าเองหรือ?”
ฉีหนิงเห็นอีกฝ่ายรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร ก็น่าจะเป็น
เจียงซุยอวิ๋นแน่นอน
“เจ้ามาอยูท่ ี่นี่ได้อย่างไรกัน?” เจียงซุยอวิ๋นจำฉีหนิง
ได้ เขาตกใจมาก เขารีบถามว่า “ท่านอาจารย์ไปไหน
แล้ว? เจ้าทำอะไรกับอาจารย์?”
ฉีหนิงยิ้มเจื่อน แอบคิดในใจว่าเจ้าบ้านี่กล้าใส่รา้ ยเขา
เขาพูดว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เจียงซุยอวิ๋นยังตกใจไม่หาย แต่ก็ยังฝืนยิ้ม “วันนี้เห็น
ท่านอาจารย์สีหน้าไม่คอ่ ยดี ข้าเลยตั้งใจกลับมาดูเขา
ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า......แล้วเจ้ามาทำอะไรที่น?ี่ ”
“มาดูว่าท่านอาจารย์เป็นอะไรหรือไม่หรือ?” ฉีหนิง
มองไปรอบห้อง “ที่นเี่ ป็นเรือนทีท่ ่านอาจารย์อาศัย
อยู่ ในเมือ่ เจ้ามาเยีย่ มท่านอาจารย์ เหตุใดถึงได้มารือ้
ตู้อยู่ในนี้ได้เล่า? เจ้าจะหาอะไร?”
เจียงซุยอวิ๋นพูดว่า “รือ้ ตู้หรือ? ฉีหนิง ข้าอยากจะ
ย้อนถามเจ้ามากกว่า เจ้าหลบอยู่นอกห้องของ
อาจารย์ แอบลอบทำร้ายข้า เจ้าคิดจะทำอะไรกัน
แน่? เจ้าทำอะไรท่านอาจารย์?”
ฉีหนิงได้ยินน้ำเสียงของเขา เหมือนจะไม่รู้จริงๆ ว่าจั่ว
ชิงหยางบาดเจ็บสาหัส เขาคิดว่าเจียงซุยอวิ๋นเป็นพวก
เดียวกับพวกนั้น แต่ว่าหลังจากรู้ว่าเป็นเขา กลับรู้สึก
ว่าเรือ่ งนี้ต้องมีอะไรมากกว่านั้น
ถึงแม้เจียงซุยอวิ๋นยังรูส้ กึ ขวัญกระเจิงอยู่ แต่ว่าหาก
จะบอกว่าเขาลงมือแบบนั้นกับจั่วชิงหยาง คิดว่าเขาก็
ไม่น่าจะกล้ามากขนาดนั้นนะ
แต่ว่าเขารือ้ ตู้รอื้ ข้าวของของจั่วชิงหยาง แสดงว่า
กำลังหาอะไรอยูแ่ น่นอน มันแปลกมากๆ
เขาเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาพูดว่า “ได้อันดับหนึ่ง
มาจากงานชุมนุมวิชาการ ข้าเลยเอาป้ายฝีพระหัตถ์
ของฝ่าบาทมาให้ทา่ นอาจารย์ แต่ว่าพอมาถึงทีน่ ี่ ก็
เห็นเจ้ากำลังรือ้ ตู้อยู่ ข้าคิดว่ามีขโมยก็เลยรออยูต่ รง
นี้”
เจียงซุยอวิ๋นตอบมาแค่ “อ่อ” แล้วพูดว่า “ตอนที่ข้า
เข้ามาที่นี่ เห็นในห้องผิดปกติ ก็เลยลองตรวจสอบดู”
“ผิดปกติ?”
เจียงซุยอวิ๋นเองก็กังวลว่าฉีหนิงจะคิดว่าเขาเป็นขโมย
จริงๆ เขาชี้ไปที่หน้าต่างแล้วพูดว่า “เจ้าดูนั่นสิ
หน้าต่างมีรอยเลือด อีกทั้ง.....” เขาก้มหน้าลง “บน
พื้นนี่ก็มีร่องรอยการต่อสู้กับรอยเลือด เลือดยังไม่แห้ง
เลย แสดงว่ามีคนต่อสู้กนั ตรงนี้”
ฉีหนิงแกล้งทำเป็นเหมือนเพิ่งจะมา “อ๋อ” แล้วถาม
ด้วยความสงสัยว่า “มีรอ่ งรอยการต่อสู้หรือ? ใครกัน
ที่มาต่อสู้กันที่น?ี่ ”
“ข้า......ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า” เจียงซุยอวิ๋นรีบพูด
ว่า “ตอนที่ข้ามาถึง ในห้องก็ไม่มีใครแล้ว”
ฉีหนิงยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “คำพูดของเจ้าข้าจะเชื่อ
หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ขอแค่คนของจวนเสินโหวเชื่อก็
พอ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” เจียงซุยอวิ๋นขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่าเรื่องนี้จวนเสินโหวรู้
เรื่องแล้วหรือ?”
“วิทยาลัยฉงหลินเกิดเรือ่ งใหญ่ขึ้นขนาดนี้ ไม่ควรแจ้ง
ทางการหรืออย่างไรกัน?” ฉีหนิงพูดว่า “คุณชายเจียง
เจ้ามาเยี่ยมท่านจั่ว ตอนที่เข้าห้องมา ท่านจั่วอยู่
หรือไม่?”
“ข้าก็บอกไปแล้ว ตอนที่ข้ามาถึง ในห้องนีไ้ ม่มใี คร
หน้าต่างนั่นมันเปิดอยู่ ในห้องเละเทะมาก” เจียง
ซุยอวิ๋นอธิบายต่อว่า “ข้าเห็นว่าทีร่ ิมหน้าต่างมีแต่
รอยเลือด อีกทั้งมีร่องรอยของดาบ ก็เลยคิดว่าน่าจะ
เป็นร่องรอยของการต่อสู้......”
“ดังนัน้ เจ้าก็เลยไม่ห่วงความปลอดภัยของท่าน
อาจารย์จั่ว ไม่ไปตามหาอาจารย์ แต่กลับมารือ้ ค้น
ของในห้องของท่านแทนอย่างนั้นหรือ” ฉีหนิงพูดว่า
“เจียงซุยอวิ๋น เจ้าคิดจะหาอะไรกันแน่?”
เจียงซุยอวิ๋นน่าเสียไป เขาพูดว่า “ข้าหาของอะไรกัน
ข้าแค่ตรวจหาเบาะแสเท่านั้นเอง”
“เบาะแส?” ฉีหนิงยิม้ แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่
หรือ เจ้าอยากจะปิดคดีเองหรืออย่างไร?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” เจียงซุยอวิ๋นพูดว่า
“เจ้ากำลังสงสัยว่าการหายตัวไปของอาจารย์
เกี่ยวกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
“หายตัวไป?” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอาจารย์หายตัวไป
ตอนไหนกัน? เขาแค่ไม่อยู่ในเรือนเอง เจ้ารู้ได้อย่างไร
ว่าท่านหายตัวไป?” เขาเดินบีบขึ้นหน้าไป “เกี่ยวข้อง
หรือไม่ เจ้าไปพูดกับจวนเสินโหวกับข้าก็จะรู”้
เจียงซุยอวิ๋นเห็นฉีหนิงเดินบีบเข้าหา เขาก็อดทีจ่ ะ
ถอยหลังไปไม่ได้ เขาพูดว่า “ฉีหนิง วรยุทธ์ของเจ้า
ไม่ได้เหนือไปกว่าข้า หากต้องสู้กันจริงๆ ข้าอาจจะ
ไม่ได้แพ้ให้เจ้า ต่อให้ไปที่จวนเสินโหว ข้าก็ไปกับเจ้า
ไม่ได้หรอก ที่นี่มีรอ่ งรอยการต่อสู้ อาจารย์เป็นตายไม่
รู้ ข้าจำเป็นต้องหาตัวอาจารย์ให้เจอก่อน” เขาเดินไป
ที่หน้าต่าง แล้วก็กระโดดออกนอกหน้าต่างไป
ฉีหนิงเดินตามไปที่หน้าต่าง แล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะหนี
อย่างนั้นหรือ?”
เจียงซุยอวิ๋นยืนอยู่นอกหน้าต่างแล้วพูดว่า “ข้าไม่
อยากเถียงกับเจ้าแล้ว ที่นี่เกิดเรื่อง ไม่ได้เกี่ยวอะไร
กับข้าทั้งนั้น เจ้าบอกว่าข้ารื้อของในตู้ เจ้าใส่ร้ายข้า
นอกจากเจ้าแล้ว มีใครอีกหรือไม่?” เขายิ้มเจือ่ น “ใน
มือของข้าไม่มีดาบ ในมือของเจ้ามีมีด ข้าว่าเจ้า
ต่างหากที่คิดไม่ซอื่ ”
“คิดไม่ซอื่ ?” ฉีหนิงมองหน้ากันผ่านการกั้นของ
หน้าต่าง เขายิม้ แห้งแล้วพูดว่า “ข้าคิดไม่ซื่อ
อย่างไร?”
“ก็เพื่อหาตำราโบ......” เจียงซุยอวิ๋นพูดแค่ครึ่งเดียว
แต่เหมือนนึกขึ้นได้ว่าเขาหลุดพูด เขาก็ไม่พูดต่อ
จากนั้นก็ค่อยๆ ถอยไป
ฉีหนิงรีบถามว่า “เพือ่ อะไรนะ? เจ้าพูดอีกทีซิ? หึหึ
ข้าเข้าใจแล้ว ในทีส่ ุดข้าก็เข้าใจแล้ว”
เจียงซุยอวิ๋นรีบพูดว่า “เจ้าเข้าใจอะไร?”
“เจ้าเข้าหาท่านอาจารย์จั่ว เดิมก็ไม่ใช่เพราะบุณคุณ
ของอาจารย์อะไรหรอก” ฉีหนิงมองไปด้วยสายตาที่
บีบคั้น “ที่เจ้าเข้าหาท่านอาจารย์ ก็เพราะเจ้าอยาก
ได้ของสิ่งหนึ่งจากท่านอาจารย์ ถูกหรือไม่?”
เจียงซุยอวิ๋นสีหน้านิ่งลง แต่ไม่ได้ตอบ เขาถอยหลังไป
หลายก้าว เขาหันหลังกลับแล้วหนีไปอย่างไว
พริบตาเดียวเขาก็หายตัวไปกับความมืด
ฉีหนิงก็ไม่ได้ขวางเขา
เขาหันหลังกลับไปในห้อง ตอนนี้ภายในเรือนไม้เละ
มาก เมื่อครูท่ ี่เขากลับมาหาผ้ากับยา ห้องก็เละมาก
อยู่แล้ว เจียงซุยอวิ๋นกลับมารื้อซ้ำอีก ถึงแม้หอ้ งของ
จั่วชิงหยางจะเรียบง่าย ของไม่ได้เยอะมาก แต่วา่
ในตอนนี้มันเละจนไม่มชี ิ้นดี
เขารู้ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นไม่ผิดเลย หลังจากที่เจียง
ซุยอวิ๋นมาเมืองหลวง เข้าหาจั่วชิงหยาง แสดงว่ามี
เป้าหมายอย่างอื่นอีก
แต่ว่าตามทีฉ่ ีหนิงคิด เขารู้สึกว่าเจียงซุยอวิ๋นคงไม่ได้
เกี่ยวข้องกับนักฆ่าในคืนนี้แน่
เจียงซุยอวิ๋นมาในคืนนี้ หรือว่าอาจจะมาเพื่อเยีย่ มดู
จั่วชิงหยางจริงๆ เป้าหมายก็เพื่อเข้าใกล้จั่วชิงหยาง
เพียงแต่บังเอิญมาเจอสถานการณ์แบบนี้ ถึงได้ฉวย
โอกาสหาของนั่นเลย ฉีหนิงไม่กล้าแน่ใจว่าเจียง
ซุยอวิ๋นกับนักฆ่าพวกนัน้ จะหาของสิ่งเดียวกัน แต่ว่า
จั่วชิงหยางถูกเพ่งเล็งนัน้ เป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว
“ป้ายเหนือประตู......” ฉีหนิงบ่นพึมพำ เขาค่อยๆ
เดินไปนอกเรือนไม้ไผ่ เขาเงยหน้าไปมองที่ดา้ นบน
ประตู ด้านบนประตูเรือนมีป้ายอยู่ด้วยจริงๆ ป้าย
เหนือประตูทำจากไม้สดี ำ เขียนคำว่า “ชิงเฟิง” สอง
คำ เขาคิดในใจว่าหรือป้ายที่จั่วชิงหยางหมายถึงจะ
เป็นที่นี่? หรือว่าของทีค่ นพวกนั้นอยากได้ จั่วชิงหยาง
จะซ่อนเอาไว้ที่ป้ายเหนือประตูนี่
จั่วชิงหยางพูดคำว่า “ป้าย” ออกมาตอนที่เขาหายใจ
อ่อนแรง แสดงว่าเขาเหลือเบาะแสเอาไว้ให้เขา
เพียงแต่วา่ ฉีหนิงไม่มั่นใจว่าตอนนี้รอบตัวเขานัน้ จะมี
ใครจ้องมองเขาอยูอ่ ีกหรือไม่ หากเขาทำอะไรวูว่ าม
เกินไป เกรงว่าคงมีคนคิดจะยัดข้อหาให้เขา ดังนั้นก็
เลยยังไม่รีบไปรื้อค้นที่หลังป้ายเหนือประตู แต่วา่ ไป
เดินไปรอบๆ เรือนไม้ไผ่รอบหนึ่ง เขาเดินสำรวจอยู่
ประมาณครึ่งชั่วยาม เมือ่ แน่ใจว่าไม่มีใครจริงๆ ถึงได้
กลับมาที่เรือนไม้ไผ่อีกครั้ง เขายืนจ้องไปที่ป้ายเหนือ
ประตู
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 340 ม้วนตำรา
เรือนไม้ไผ่ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ว่ากระโดดเอื้อมมือไป
แตะป้ายเหนือประตูก็ไม่ง่าย ฉีหนิงเดินกลับเข้าไปใน
เรือนไม้ไผ่ แล้วหยิบเก้าอี้ออกมา เขายืนบนเก้าอี้แล้ว
ยกมือขึ้น เขาพยายามจับไปที่ป้าย แล้วยื่นมือไป
ควานหา เขาไม่เจออะไรเลย เขาแอบคิดในใจว่าหรือ
ว่าป้ายเหนือประตูที่จั่วชิงหยางหมายถึงจะไม่ใช่อันนี้
เขาเอาเก้าอีย้ ้ายกลับไปที่เดิม ดึกมากแล้ว ลมก็พัด
แรง
ฉีหนิงเดินรอบวิทยาลัย ภายในวิทยาลัยมีป้ายอยู่
ประมาณสี่ห้าอัน ฉีหนิงตรวจสอบแวดล้อมจนแน่ใจ
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครแล้ว ถึงได้ย้อนกลับไปตามหา
เขารื้อค้นป้ายทุกป้ายจนทั่ว แต่กลับไม่เจออะไรเลย
ในใจของเขาก็เริ่มแปลกใจ แอบคิดในใจว่าหรือว่า
ป้ายที่จั่วชิงหยางหมายถึงจะไม่ได้อยู่ในวิทยาลัย?
แต่ว่าเขารูว้ ่า จั่วชิงหยางถึงแม้จะอายุมากแล้ว แต่ว่า
เขาไม่มีภรรยาหรือลูกเลย อีกทั้งวิทยาลัยฉงหลินนี่ก็
เป็นบ้านของเขา เขาอาศัยอยู่ที่นี่ตลอด หากมีของ
อะไรซ่อนไว้ ก็น่าจะไม่ได้ห่างจากตัว
หรือว่า ของที่ซอ่ นเอาไว้หลังป้าย จะมีคนมาเอาไป
ก่อนเขาแล้ว?
ฉีหนิงตกใจ ความเป็นไปได้แบบนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไป
ไม่ได้ ก่อนหน้านีม้ ีคนพาตัวจั่วชิงหยางไป จัดการกับ
ศพ ทุกอย่างลงมืออย่างรวดเร็วมาก ต้องไม่ใช่คน
ธรรมดามาก หากพวกเขามาค้นของจนเจอของไป ก็
ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
หลังจากคิดทบทวนดูแล้ว เขาก็กลับไปที่เรือนไม้ไผ่อีก
ครั้ง เขาเงยหน้ามองไปที่ป้ายเหนือประตูอีกครัง้ มันก็
ดูเรียบๆ ไม่มอี ะไรแปลก เขาลังเลครู่หนึ่ง แล้วก็เดิน
ไปเอาเก้าอี้ภายในห้องมาอีกครั้ง เขายืนขึ้นไปบน
เก้าอี้ ยกมือขึ้นจากนั้นก็ดึงป้ายลงมา ไม่เพียงแค่ป้าย
แต่เหมือนกับกระชากเอาไม้ส่วนบนของประตูออกมา
ด้วย
ฉีหนิงถือป้ายเอาไว้ในมือแล้วตรวจจนละเอียด เขา
หยิบมีดสั้นกรีดป้าย แต่ก็ไม่พบอะไร เขารูส้ ึกเศร้า
มาก จากนั้นก็โยนป้ายที่กรีดแล้วทิ้งลงพื้นไป แอบคิด
ในใจว่าหรือว่าจั่วชิงหยางจะเลอะเลือน เลยพูดอะไร
เหลวไหลออกมา ในความเป็นจริงแล้วป้ายนี่ไม่มีข่าว
ลับอะไรซ่อนอยู่หรอก
ทันใดนั้นเองเขาก็รสู้ ึกเหมือนมือของเขาถูกอะไรทิ่ม
เขายกมือขึ้นมาดู เมื่อมองไป เขาเห็นว่ามือของเขา
ข้างหนึ่งเอามือยันพื้นเอาไว้ มันทับไปโดนแผ่นไม้ไผ่
แผ่นหนึง่ อยู่ ทำให้โดนทิ่ม ในตอนนี้เอง เขาก็เหลือบ
ไปเห็นแผ่นไม้ไผ่ ทำให้เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง
เมื่อครู่ดึงป้ายเหนือประตูลงมา ทำให้ไม้ไผ่ทอ่ นบน
ประตูหลุดลงมาด้วย เรือนหลังนี้ทำมาจากไม้ไผ่ทั้ง
หลัง แม้แต่ประตูหรือคานประตูด้านบนก็เป็นไม้ไผ่
ด้วย กระบอกไม้ไผ่ที่แตกออกแบบนี้หาได้ยากมาก ฉี
หนิงยื่นมือออกไป กระบอกไม้ไผ่นมี้ ันดูเขียวชอุ่ม เป็น
บ้องไม้ไผ่ทสี่ มบูรณ์แบบมาก
เขาตะลึงไป วิทยาลัยฉงหลินสร้างมาแล้วหลายปี
เรือนไม้ไผ่นี่ก็เช่นกัน ซึ่งดูได้จากตัวไผ่ที่เริ่มเหลือง
แล้ว แต่ว่ากระบอกไม้ไผ่นี่มันยังเขียวชอุม่ อยู่เลย
เหมือนกับว่าเพิ่งเอามาวางไว้ได้ไม่นาน ฉีหนิงเหมือน
นึกอะไรออก ตอนนีเ้ ขาเข้าใจแล้วว่า เหตุใดเมื่อครู่ถึง
ได้ไม่เจอกระบอกไม้ไผ่อันนี้ กระบอกไม้ไผ่มันถูกซ่อน
เอาไว้ในคานไม้ไผ่อีกที ถึงแม้จะอยู่หลังป้ายเหนือ
ประตูของจริง แต่ก็ไม่สามารถคลำหาได้
เขามองมันอย่างละเอียด พบว่ากระบอกไม้ไผ่นใี่ ช้ไม้
ไผ่สองแผ่นหนีบไว้ มันแปลกมาก ลมพัดโชยมา ทำให้
หนาวมาก ฉีหนิงรู้ดีว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้ เขาจะ
เปิดกระบอกไม้ไผ่นี่ที่นี่ไม่ได้ ก็เลยนำเอากระบอกไม้
ไผ่เก็บเอาไว้กับตัว แล้วก็รีบออกจากวิทยาลัยไป
เมื่อออกจากวิทยาลัย เขาก็ตรงกลับจวนโหวเลย
ตอนนี้ดึกมากแล้ว คนในจวนก็หลับกันหมดแล้ว ฉี
หนิงตรงกลับไปที่ห้องของตัวเองทันที เขาจุดไฟ ถอด
เสื้อผ้าออก จากนั้นก็นั่งลงที่โต๊ะ เขาหยิบกระบอกไม้
ไผ่ออกมา แล้วตรวจดูมนั อย่างละเอียด เขาพบว่า
กระบอกไม้ไผ่นี่ถูกปิดผนึกไว้อย่างดี อีกด้านหนึง่ ก็ถูก
ปิดไว้เหมือนกัน แต่ว่ายังพอจะมองเห็นรูเล็กๆ อยู่
มันใช้ไขเทียนมาปิด หากไม่สังเกตดีดีก็จะดูเหมือนไม่
มีรู
สถานการณ์แบบนี้ ฉีหนิงรู้สึกตื่นเต้นมาก แอบคิดใน
ใจว่าหรือว่านี่จะเป็นของที่จั่วชิงหยางหมายถึง เขาใช้
มีดสั้นกรีดเอาไขเทียนออก จากนั้นเขาก็ส่องดูจากรูที่
เปิดออก ภายในกระบอกไม้ไผ่มืดมาก แต่ว่าด้านใน
นั้นมีของอยู่จริงๆ เขาไม่รู้ว่าข้างในนั้นมันคืออะไร
เขากลัวว่าหากเขาใช้มีดสั้นของเขาตัดมันออก ของใน
นั้นจะถูกทำลายไปด้วย เขาเลยตัดสินใจกรีดกระบอก
ไม้ไผ่นี้ออกเป็นแผ่นเท่ากับไม้เซียมซี จากนั้นก็คอ่ ย
ยื่นมือ เข้าไปเกี่ยวของให้เข้ามาใกล้กับปากกระบอก
ไม้ไผ่
ฉีหนิงถึงได้รู้สึกว่า ของด้านในมันบางมาก เขาใช้นิ้ว
ค่อยๆ หนีบแล้วดึงออกมา เขาค่อยๆ เห็นของสิง่ หนึ่ง
ค่อยๆ ออกมา หลังจากดึงมาจนสุดแล้ว เขาถึงได้รู้ว่า
มันเป็นม้วนตำราม้วนหนึ่ง เขาตกใจมาก
ม้วนตำรานีม้ ันมีความยาวสองช่วงนิ้ว มันทำมาจาก
ผ้าไหมซึ่งม้วนเป็นทรง แล้วมัดด้วยเชือกสีดำอีกที
ฉีหนิงถอนหายใจเฮือกใหญ่
เมื่อเห็นม้วนตำรานี่ เขาก็แน่ใจแล้วว่า นี่ก็น่าจะเป็น
ของที่เหล่านักฆ่านั่นต้องการ แล้วก็น่าจะเป็นของที่
เจียงซุยอวิ๋นรือ้ ค้นที่ตู้ดว้ ย
สามารถทำให้ใครหลายคนต้องทุม่ เทตามหาขนาดนี้
ม้วนตำรานี่ตอ้ งไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน
เขานิ่งไป ฉีหนิงคลี่เชือกสีดำออก เขาอาศัยแสงไฟ
ค่อยๆ เปิดม้วนตำรานีอ่ อก เขาพบว่าผ้าไหมด้านใน
เริ่มเหลืองแล้ว ดูท่ามันจะเป็นของทีอ่ ยู่มานานมาก
แล้ว
เมื่อเปิดม้วนตำราออกส่วนหนึ่ง ฉีหนิงพบว่าด้านขอบ
มีอักษรตัวใหญ่อยู่สามตัว ถึงแม้จะเห็นว่าเป็น
ตัวอักษร แต่เขาไม่รู้จักเลย
อักษรสามตัวนี้แปลกมาก ฉีหนิงลองเปลีย่ นมุมมอง ก็
ยังดูไม่ออกว่าเป็นตัวอักษรอะไร มันเหมือนตัวอักษร
โบราณ
ฉีหนิงใช้แสงไฟอ่านเนื้อหาในม้วนตำรา ยิ่งอ่านยิ่ง
ปวดหัว สายตาของเขาลายไปหมด
ด้านในม้วนตำรามีเพียงภาพทีไ่ ม่เป็นรูปเป็นร่าง
เหมือนมีตัวอักษร แต่ก็เหมือนภาพ มันเหมือนเป็น
สัญลักษณ์ ฉีหนิงตาโต เมื่อกางม้วนตำราจนสุด ตั้งแต่
ต้นจนจบ ไม่มีอักษรตัวไหนเลยที่เขาอ่านออก มัน
เหมือนตำราที่มาจากสวรรค์เลย
“บ้าเอ้ย” ฉีหนิงหยิบม้วนตำราโยนไปทีโ่ ต๊ะ “นี่มัน
อะไรกันแน่เนี่ย?”
ก่อนหน้านี้เขาสงสัยว่า ภายในกระบอกไม้ไผ่นนี่ ่าจะ
ซ่อนวิชาอะไรร้ายกาจไว้ เขาเดาว่าน่าจะเป็นสุดยอด
เพลงกระบี่
หลังจากได้ภาพเคล็ดวิชากระบี่มาจากจวนเก่า ฉีหนิง
ก็ได้อะไรกลับมาเยอะมาก เขาก็เริ่มสนใจในเรื่อง
ศาสตร์กระบี่ หากภายในม้วนตำรานีเ่ ป็นเพลงกระบี่
จริงๆ ฉีหนิงก็จะมีความสุขมากทีไ่ ด้เรียนรู้มัน
แต่ว่าม้วนตำรานี่เหมือนกับตำราสวรรค์เลย ฉีหนิงไม่
รู้จักตัวอักษรด้านในนัน้ สักตัว แค่มองก็ปวดหัวแล้ว
ฉีหนิงรู้ดีว่า จั่วชิงหยางถึงตายก็ไม่ยอมมอบม้วนตำรา
นี่ออกมา แม้แต่เจียงซุยอวิ๋นเองก็เข้าหาจั่วชิงหยาง
เพื่อเอาของสิ่งนีม้ า ม้วนตำรานี่ต้องไม่ธรรมดา
แน่นอน คนที่ต้องการของสิ่งนี้น่าจะมีอยู่ไม่น้อย ใน
เมื่อตอนนีเ้ ขาโชคดีได้มนั มาอยู่ในมือ นอกจากจั่วชิงห
ยางแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครรู้ว่าม้วนตำรานีอ่ ยู่ในมือของ
เขา
การที่ม้วนตำรานีอ่ ยู่ในมือตัวเอง คนรู้นอ้ ยเท่าไหร่ยิ่ง
ดี หากมีใครรู้มากเกินไป ก็จะเป็นภัยกับตัวได้
เขาทบทวนดูแล้วเขาคิดว่าตัวอักษรด้านในน่าจะเป็น
อักษรโบราณแน่นอน เขาไม่รู้จักสักตัว ก็ไม่ได้
หมายความว่าคนอื่นจะไม่รู้จัก ภายในจวนจิ่นอีโหวมี
ห้องบัญชี ภายในห้องบัญชีมีบัณฑิตเก่งๆ มากมาย
พวกเขาอาจจะรู้จักอักษรพวกนี้ก็ได้ เพียงแต่วา่ ม้วน
ตำรานี่ลำ้ ค่ามาก ฉีหนิงคงไม่เอามันไปถามแน่
เขาเอากระดาษกับหมึกมา แล้วคัดอักษรสามตัวแรก
ออกมา แล้วเขียนใส่กระดาษทีละตัว ไม่เขียนมันไว้
ด้วยกัน เขาคิดว่าไว้เช้าแล้วค่อยไปหาคนของห้อง
บัญชี
วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน เขารู้สึกง่วงมาก เขาเก็บม้วน
ตำราเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ แล้วเดินไปทีเ่ ตียง เอา
กระบอกไม้ไผ่วางลงตรงใต้หมอน จากนั้นก็หลับไป
เช้าวันต่อมา เขายังห่วงเรื่องของเมือ่ วานอยู่ เดิม
อยากจะไปห้องบัญชี แต่ว่าตอนเช้ามีคนมารายงานว่า
ในวังเรียกให้เข้าเฝ้า ฉีหนิงเลยต้องทิ้งเรือ่ งทุกอย่างไว้
ก่อน จากนั้นเตรียมตัวเล็กน้อย เปลี่ยนชุดประจำ
ตำแหน่งโหว แล้วก็ตรงเข้าวังไปทันที
ขันทีประจำเวรนำทางเข้าไปยังห้องทรงอักษร ฮ่องเต้
น้อยกำลังตรวจฎีกาอยู่ เมื่อเห็นฉีหนิงมา ฮ่องเต้น้อย
ก็วางฎีกาลง เขามองมาที่ฉีหนิง ยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ยมิ้
ฉีหนิงก้มหน้ามองตัวเอง เขาถูกฮ่องเต้น้อยมองจนไม่
สบายตัว เขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมทำ
อะไรผิดไปหรือไม่?”
ฮ่องเต้น้อยยิ้ม แล้วกวักมือเรียกเขามา ฉีหนิงเดิน
เขยิบมาใกล้โต๊ะ ฮ่องเต้น้อยตบโต๊ะอย่างแรง แล้วพูด
เสียงดังมากว่า “เจ้าบังอาจมากนะ”
ฉีหนิงตกใจมาก ยังไม่ทนั จะตั้งตัว ฮ่องเต้น้อยก็
หัวเราะออกมา “ฉีหนิง เจ้ากล้าหลอกลวงเบื้องสูง
เจ้าอยากให้ข้าตัดหัวเจ้ามากใช่หรือไม่?” จากนั้น
ฮ่องเต้น้อยก็หัวเราะออกมา
ฉีหนิงเห็นเขาหัวเราะ ก็เบาใจ แล้วรีบพูดว่า “ฝ่าบาท
กระหม่อมจงรักภักดี ไม่ได้หลอกลวงเบื้องสูงอะไร
กระหม่อมไม่ทราบทำไมพระองค์ทรงตรัสแบบนี้”
“ข้าได้รับรายงานมาว่า งานชุมนุมวิชาการเมื่อวานนี้
จิ่นอีโหวน่าเกรงขามมากเลยนะ” ฮ่องเต้นอ้ ยยิม้
“พวกเขาบอกว่าเจ้าเชี่ยวชาญศาสตร์ทุกแขนงเลย
อีกทั้งยังสร้างของทีส่ ามารถลอยขึ้นไปบนฟ้าได้ด้วย
เจ้าสารภาพมา เรื่องนี้จริงหรือไม่?”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ เดิมยังคิดอยูว่ ่ามันเรื่องอะไรที่แท้ก็
เรื่องนี้นี่เอง ที่จริงเขาก็รู้ เรื่องลูกโป่งลมร้อนเมือ่ วาน
ไม่มีทางเลีย่ งได้แน่นอน ฮ่องเต้น้อยอย่างไรก็ต้องรู้
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมกับเจียงซุยอวิ๋น
เดิมพันกัน มันไม่มีทางเลือก ถึงได้คิดวิธีแบบนั้น
ออกมา”
“พวกเขาบอกว่าเจ้าลอยขึ้นไปบนฟ้าได้ จริงหรือไม่?”
ฮ่องเต้น้อยถามอย่างสนใจว่า “เจ้าทำได้อย่างไร?”
ฉีหนิงคิดว่าหากเรือ่ งนี้อธิบายได้ไม่ชัดเจน ฮ่องเต้น้อย
ไม่ยอมเลิกราแน่ เขาเลยไม่ปิดบัง แล้วก็หยิบกระดาษ
กับหมึกมา แล้ววาดภาพของลูกโป่งลมร้อนลงบน
กระดาษ จากนั้นก็อธิบายหลักการของการพ่นไฟให้
ฟังอย่างง่ายๆ ฮ่องเต้นอ้ ยฟังอย่างสนใจ แล้วก็คอย
ถามเป็นครั้งคราว จนเขาเริ่มจะเข้าใจ ฮ่องเต้นอ้ ยพูด
ว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันจะต้องลอยแน่นอน? เหตุใด
ข้าถึงไม่รมู้ าก่อนเลย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงเป็นโอรสสวรรค์
เรียนรูเ้ รื่องการปกครองเป็นส่วนมาก กระหม่อม......”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง มองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคน
ก็พูดเสียงเบาว่า “เมื่อก่อนกระหม่อมเป็นขอทาน
เร่ร่อนไปทั่ว เห็นคนมาก็มาก เรื่องทีไ่ ด้ยินมาก็ไม่น้อย
ลูกโป่งลมร้อนนี่ก็ได้ยินคนอื่นเขาพูดมา แต่ว่าใคร
กระหม่อมก็จำไม่ได้แล้ว ครั้งนี้เป็นเพราะเดิมพันกับ
เจียงซุยอวิ๋นเอาไว้ ไม่มที างเลือกก็เลยต้องลอง แม้แต่
ตัวกระหม่อมเองก็ไม่ได้มั่นใจ”
ฮ่องเต้น้อยพยักหน้า แล้วพูดว่า “ในโลกของชาวบ้าน
มีเรื่องประหลาดมากมาย ข้าเองก็อยากจะไปลองดู
บ้าง จะได้เพิม่ พูนความรู้” เพียงแต่ว่าเขาเป็นผูน้ ำ
แคว้น อะไรก็ตามทีส่ ามารถมีได้ทั่วไป ตัวเขาเองบาง
ทีก็ไม่สามารถมีได้ เขายิม้ แล้วพูดว่า “พวกเขาบอกว่า
เจ้าเชี่ยวชาญทั้งดนตรีหมากรุกตำราวาดภาพ หึหึ ฉี
หนิง ตอนนี้ข้าเริ่มสงสัยในตัวเจ้าแล้วนะ”
“สงสัย?” ฉีหนิงแกล้งทำเป็นน้อยใจ “กระหม่อม
จงรักภักดี แทบจะควักหัวใจให้อยู่แล้ว ฝ่าบาทยังมี
อะไรสงสัยในตัวกระหม่อมอีก”
ฮ่องเต้น้อยจ้องมาที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้า
ไม่ใช่ฉีหนิงตัวจริง แต่ว่าที่ข้าสงสัย เจ้าไม่เพียงไม่ใช่
จิ่นอีโหวฉีหนิง อีกทั้งยังไม่น่าใช่ขอทานด้วย ประวัติ
ของเจ้า น่าจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ข้าคิด” สายตาของเขา
เป็นประกาย ตอนนีม้ ันดูลึกซึ้งมาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 341 พระบัญชา
ในใจของฉีหนิงก็รู้สึกหวาดกลัว แต่ว่าสีหน้าท่าทาง
ยังคงดูเป็นปรกติอยู่ ยังดีที่ฮ่องเต้น้อยเปลีย่ นประเด็น
ไป “ที่ข้าเรียกตัวเจ้ามา เพราะมีเรื่องจะหารือกับเจ้า
หน่อย” เขาคลำหาของบนโต๊ะของเขา แล้วยื่นฎีกา
ให้ฉบับหนึ่ง ฉีหนิงรับเอามาดู ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท ฎีกาฉบับนี้เพิง่ ส่งมาหรอพะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้น้อยพยักหน้าแล้วพูดว่า “เมื่อคืนจงอีโ้ หวเป็น
คนส่งฎีกาฉบับนี้มาให้ ตอนนี้มีแค่ขา้ กับจงอี้โหวที่
เห็นเนื้อหาในนี้”
“ในฎีกาฉบับนี้บอกว่าถ้ำเฮยเหยียนลอบโจมตีคา่ ย
ทหารของราชสำนัก สังหารทหารของพวกเราไปนับ
สิบคน เรือ่ งนี้จริงหรือไม่?” ฉีหนิงปิดฎีกา สีหน้า
เคร่งเครียด “ก่อนตรุษจีนเหว่ยซูถงบอกว่าเขาทำการ
ปิดทางเข้าออกของเขาเฮยเหยียนไว้ ขังพวกเขาเอาไว้
ในเขาแล้ว ไม่ได้โจมตีพวกเขาไม่ใช่หรือ?”
ฮ่องเต้น้อยพูดว่า “ในฎีกาไม่ได้บอกรายละเอียดอะไร
เจ้าก็เห็นแล้ว บอกแค่วา่ ชาวเหมียวในถ้ำเฮยเหยียน
ลอบโจมตีทหารของราชสำนัก อีกทั้งยังฆ่าทหารไป
อีกสิบคน เจ้าคิดว่าฎีกาฉบับนี้ไม่ใช่เรื่องจริงหรือ”
“เหว่ยซูถงถวายฎีกามา เรื่องนี้ก็น่าจะเกิดขึ้นจริง” ฉี
หนิงเหมือนใช้ความคิด “ค่ายทหารน่าจะถูกลอบ
โจมตีจริง แล้วก็มีคนตายจริง แต่ว่า......ฝ่าบาท ถ้ำ
เฮยเหยียนถูกปิด มีคนเฝ้าเต็มไปหมด พวกเขาจะกล้า
ลงมือจริงๆ หละหรือ?”
ฮ่องเต้น้อยพูดว่า “ข้าเองก็แปลกใจเหมือนกัน เมื่อปี
ก่อนข้าได้ให้จงอี้โหวเขียนราชโองการขึ้นมา ส่งคนไป
พูดคุยกับทางถ้ำเฮยเหยียน แต่ว่ากลับไม่มีรายงาน
อะไรกลับมาเลย แต่วันนี้กลับมีฎีกาฉบับนี้โผล่มา อีก
ทั้งยังบอกว่าชาวถ้ำบุกเข้าค่ายสังหารทหารอีก”
“หากเป็นฝีมือของชาวถ้ำจริง ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็
คิดกบฏจริงๆ” ฉีหนิงพูดว่า “พวกเขาแอบโจมตีค่าย
ทหาร อีกทั้งยังฆ่าคนอีก แสดงว่าหนีรอดไปได้แล้ว
ทหารของเหว่ยซูถงจับใครไม่ได้เลยหรือพะยะค่ะ?
หากจับใครมาได้สักคน ก็น่าจะส่งมาเมืองหลวง มอบ
ให้ราชสำนักสอบสวน เพื่อยืนยันเรื่องทีเ่ กิดขึ้น” เขา
หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ฝ่าบาท จงอีโ้ หวว่า
อย่างไรบ้างพะยะค่ะ?”
“จงอี้โหวบอกว่าเรือ่ งนีม้ ีจุดน่าสงสัยหลายที”่ ฮ่องเต้
น้อยพูด “ตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงพวกเขาทีส่ ่งฎีกามา
รายงาน แต่จับใครส่งมาเมืองหลวงไม่ได้เลย......ฉีหนิง
ข้ารู้สึกว่า เรื่องของถ้ำเฮยเหยียนอาจจะไม่งา่ ยอย่างที่
ข้าคิด ชาวเหมียวก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขาจะไม่รู้เลยหรือ
ว่าการสังหารขุนนางราชสำนัก พวกเขาจะถูกลงโทษ
อย่างหนัก? ถ้ำเฮยเหยียนเล็กๆ จะต่อต้านราชสำนัก
ได้อย่างไรกัน? แต่ว่าพวกเขากลับยังทำเรื่องแบบนี้อีก
อีกทั้งยังบุกสังหารคน พวกเขาจะเอาชีวิตตัวเองมาทิ้ง
ง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ?”
ฉีหนิงพยักหน้า “ฝ่าบาททรงตรัสถูกแล้ว” เขาหยุด
ไปครู่ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท หรือว่าจะมีคนทำแล้วใส่
ร้ายพวกเขา?”
“สวมรอยยเป็นพวกเขาน่ะหรือ?”
“อาจเป็นไปได้วา่ มีคนสวมรอยเป็นพวกเขา ตั้งใจบุก
ฆ่าคนในค่ายทหาร จากนั้นก็ใส่ร้ายให้กับพวกเขา” ฉี
หนิงพูดว่า “ถึงแม้เหว่ยซูถงจะทำการปิดทางเข้าออก
ของถ้ำไว้แล้ว แต่วา่ ตั้งแต่ปีที่แล้วถึงปีนี้ ก็ไม่ได้บุก
โจมตีเข้าไป ถ้าอย่างนั้น อาจจะทำให้คนบางกลุม่ ร้อน
ใจ กังวลว่าทางราชสำนักอาจจะไม่บุกโจมตีเขาเฮยเห
ยียนแล้ว ดังนั้นจึงสร้างเรื่องบุกเข้าไปสังหารคน แล้ว
ใส่ร้ายให้ชาวเหมียว เพือ่ กระตุ้นราชสำนักก็เป็นได้”
ฮ่องเต้น้อยคิด แล้วพูดว่า “เรือ่ งราวเป็นอย่างไร ข้า
เองก็ไม่ร”ู้ เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “แต่วา่ เสด็จ
พ่อเคยรับสั่งว่า ซีชวนไม่ใช่พื้นที่ทั่วไป ข้าต้องระวังให้
มาก หากพื้นที่ซีชวนเกิดความวุ่นวาย ผลที่ตามมา
ยากที่จะคิดได้ ข้าเพิ่งครองราชย์ไม่นาน ซีชวนก็เกิด
เรื่องประหลาดขึ้นมากมาย แต่ว่าอยู่ในวังแบบนี้ เรื่อง
จริงที่ซีชวนเป็นอย่างไรข้าไม่รเู้ ลย ฉีหนิง เมือ่ คืนข้า
คิดมาแล้วทั้งคืน ข้าออกจากเมืองหลวงไปไม่ได้ คง
ต้องให้เจ้าไปแทนข้าสักครั้งแล้วล่ะ”
ฉีหนิงตะลึงไป เขาเหมือนไม่ได้สติไปครู่หนึ่ง “ฝ่าบาท
พระองค์หมายความว่า......”
“ข้ารู้ ถ้ำเฮยเหยียนกับตระกูลฉีมสี ัมพันธ์ที่ดีตอ่ กัน
การสืบให้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ซีชวน จำเป็นจะต้อง
เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางถ้ำเฮยเหยียน” สีหน้าของ
ฮ่องเต้น้อยมีความคาดหวัง “ข้าคิดไปคิดมา ไม่ว่าจะ
ส่งใครไป ข้าก็ไม่วางใจ พวกเขาอาจจะไม่สามารถไป
พูดคุยหรือเจรจาได้ อีกทั้ง......” สีหน้าของเขาเศร้า
เล็กน้อย แล้วพูดว่า “อีกทั้งต่อให้ส่งพวกเขาไป สิ่งที่
ได้กลับมาก็อาจจะไม่จริงก็ได้ มีเพียงเจ้า ข้าถึงจะรู้ว่า
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่ฮ่องเต้น้อยเรียกเขามาในวันนี้
หลักๆ ก็เพราะจะปรึกษาเรื่องนี้ แสดงว่าเขาคิด
มาแล้วทั้งคืน และตัดสินใจดีแล้ว ต่อให้เขาปฏิเสธก็
คงไม่มีประโยชน์ อีกทั้งอาจจะทำให้ฮ่องเต้น้อยไม่
พอใจได้
หลังจากที่พวกเขาเผยตัวตนที่แท้จริงกันในวังแล้ว
ฮ่องเต้น้อยเองก็ดีกับเขาไม่นอ้ ย ให้เขารับตำแหน่ง
โหว อีกทั้งยังสร้างโอกาสให้เขาได้ตำแหน่งผู้
บัญชาการค่ายกิเลนดำ แต่ตัวเขากลับยังไม่เคยสร้าง
ผลงานให้ฮ่องเต้น้อยเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาลังเลไป
ครู่หนึ่ง เห็นฮ่องเต้นอ้ ยมองมาที่เขา เขาก็ถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “ฝ่าบาทหากทรงจะให้กระหม่อมไป ต่อให้
กระหม่อมบุกน้ำลุยไฟก็ไม่ปฏิเสธ”
ฮ่องเต้น้อยหลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารูอ้ ยู่แล้วว่าเจ้า
จะต้องไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
“ฝ่าบาท จะให้กระหม่อมไปซีชวนนั้นย่อมไม่มีปัญหา
แต่ว่าทางค่ายกิเลนดำ.....”
ถึงแม้ต้วนชางไห่กับจ้าวอู๋ซางจะตามคนในสังกัดค่าย
กิเลนดำกลับมาได้ อีกทัง้ เขายังมอบหมายงานให้กับต้
วนชางไห่กับพวกไปแล้ว แต่ว่าการตั้งค่ายกิเลนดำ
เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเสบียงอาหาร
เสื้อผ้ากฎระเบียบ ยังมีเรื่องอีกมากที่เขายังไม่ได้
จัดการ ต้วนชางไห่กับพวกคอยฝึกทหารให้ทำให้เขา
เบาใจไปได้เยอะ แต่ว่าเรื่องอื่นต้วนชางไห่กับพวก
อาจจะไม่สามารถไปประสานงานได้ โดยเฉพาะการ
เข้าหากับหกกรมใหญ่ ตำแหน่งของต้วนชางไห่นั้นต่ำ
มาก ไม่มที างคุยกับทางหกกรมได้
ฮ่องเต้น้อยหลงไท่คิดเรือ่ งนี้เอาไว้แล้ว เขาพูดว่า “เจ้า
วางใจได้ เรื่องตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่ ข้าให้
ความสำคัญมาก ไว้ข้าจะส่งคนไปช่วยเจ้าเอง เจ้า
ต้องการอะไร ข้าจะพยายามให้ได้ทุกอย่าง เจ้าไม่ต้อง
กังวลใจไป”
ฉีหนิงคิดในใจว่าในเมื่อฮ่องเต้น้อยพูดถึงขนาดนี้แล้ว
เขาเองก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก อีกทั้งการตั้งค่ายกิเลน
ดำขึ้นมาใหม่ก็เป็นความต้องการของฮ่องเต้นอ้ ย เพือ่
สร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมา ดังนั้นเขาไม่กังวลเลย
ว่าฮ่องเต้นอ้ ยจะใส่ใจค่ายกิเลนดำหรือไม่
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ฉีหนิงยกมือขึ้นคำนับ แล้วพูด
ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมไปซีชวน เป้าหมายหลักคือสืบ
ให้รู้แน่ชัดว่าทางถ้ำเฮยเหยียนต้องการก่อกบฏหรือ
ไม่ใช่หรือไม่พะยะค่ะ?”
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “เรือ่ งนี้สำคัญมาก ฎีกาที่
ทางซีชวนส่งมา ไม่ชัดเจน เจ้าไปซีชวนครั้งนี้ จะต้องรู้
ให้ได้ว่า ถ้ำเฮยเหยียนทำไมต้องสังหารขุนนางราช
สำนัก เป็นเพราะแค่เรือ่ งภาษีจริงหรือไม่” เขาเขยิบ
ตัวขึ้นหน้ามา แล้วพูดเสียงเบาว่า “อดีตฮ่องเต้เคย
บอกข้าว่า ความสงบของซีชวน มันเกี่ยวพันกับความ
สงบสุขของต้าฉู่ของพวกเรา ชาวเหมียวซื่อสัตย์
หรือไม่ มันเกี่ยวข้องกับความสงบของซีชวนโดยตรง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็เขียนตัวตัวอักษรสีแดงให้ฉีหนิง
ดู
ฉีหนิงมองไปบนกระดาษเขียนว่า “การพิชิตใจ
ประชาชนสำคัญเป็นลำดับแรก” เขายังไม่ทันได้พูด
อะไร ฮ่องเต้นอ้ ยหลงไท่ก็พูดว่า “นี่คอื เคล็ดลับที่อดีต
ฮ่องเต้สอนข้าไว้ใช้กับซีชวนโดยเฉพาะ”
“เคล็ดลับ?”
“ตระกูลหลี่แห่งซีชวนควบคุมดูแลปาสู่มานานหลายปี
มีรากฐานมั่นคงมากในท้องที่นั้น ถึงแม้ตระกูลหลี่จะ
ไม่มีทางเลือกถึงได้ยอมสวามิภักดิ์ต่อราชสำนักของ
พวกเรา แต่วา่ บารมีของเขาก็ยังคงอยูท่ ี่ซีชวน” หลง
ไท่สีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดว่า “อดีตฮ่องเต้เคยตรัส
ว่า หากต้องการให้ซีชวนเป็นของราชสำนักอย่าง
แท้จริงแล้ว การใช้กำลังทหารอาจไม่ได้ผล อีกทัง้
อาจจะทำให้พวกเขาย้อนกลับมาต่อต้านได้ มีเพียง
พิชิตใจพวกเขาให้ได้ พวกเขาถึงจะกลายมาเป็นพวก
เดียวกับพวกเรา”
ฉีหนิงพูดว่า “รับสั่งของอดีตฮ่องเต้ มีเหตุผลมาก ฝ่า
บาท การพิชิตใจประชาชนสำคัญเป็นลำดับแรก
อาจจะฟังดูง่ายแต่มันไม่ง่ายเลย แต่ว่าหากทำสำเร็จ
แล้ว มันทำให้ทุกคนมีความสุขจากใจจริงเลย”
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ดังนั้นตอนที่
อดีตฮ่องเต้ยังอยู่ ทรงกรุณาต่อซีชวนมาก โดยเฉพาะ
ชาวเหมียว ทรงปกป้องคุ้มครองพวกเขาทุกอย่าง
หากไม่จำเป็นหรือไม่มที างเลือก ทรงจะไม่ใช้กำลัง
ทหารเลย ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำ ถ้ำเฮยเหยียนคือ
หนึ่งในนั้น ไม่ว่าถ้ำเฮยเหยียนกับถ้ำเหมียวอื่นจะเข้า
กันได้หรือไม่ แต่วา่ ขอแค่ราชสำนักใช้กำลังทหารกับ
ถ้ำเหมียวที่ใดสักถ้ำหนึ่ง นั่นก็หมายความว่าพวกเรา
ไม่ไว้ใจชาวถ้ำเหมียวทั้งหมด ซึ่งจะทำให้พวกเขาเห็น
ราชสำนักเป็นศัตรูทันที”
“ฝ่าบาททรงกังวลว่าหากใช้กำลังทหารกับถ้ำเฮยเห
ยียนแล้ว จะทำให้สิ่งทีอ่ ดีตฮ่องเต้ทำทีผ่ ่านมาไร้
ความหมายอย่างนั้นหรือพะยะค่ะ?” ฉีหนิงถาม
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ากังวลว่าจะมีคนอยากจะให้
ความพยายามของอดีตฮ่องเต้เสียเปล่าน่ะสิ” เขาคิด
ไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “การพิชิตใจประชาชนชาว
เหมียวสำคัญเป็นลำดับแรก แต่ก็ใช้กำลังกับพวกเขา
ไม่ได้ หากชาวเหมียวมีใจคิดคดทรยศกับราชสำนัก
จริง ราชสำนักก็จะต้องทำให้พวกเขาไม่กล้า แต่ว่า
จำเป็นต้องมีหลักฐาน เพราะจะได้ชี้แจงกับชาว
เหมียวอื่นได้ ถึงจะเชือดไก่ให้ลิงดูได้จริงๆ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าฮ่องเต้น้อยอายุยังน้อย แต่คิดได้
รอบคอบมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้นฝ่าบาทจึงส่ง
กระหม่อมไปซีชวน เพือ่ หาหลักฐาน”
“หากชาวถ้ำเฮยเหยียนไม่เห็นราชสำนักอยู่ในสายตา
แล้วจริงๆ ก็ต้องทำอะไรสักอย่าง” หลงไท่พูดว่า “เจ้า
ไปสืบเรื่องนี้ให้ข้าอย่างละเอียด หากไม่มีหลักฐาน
แสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีเงือ่ นงำ พวกเราจะใช้กำลังทหาร
ไม่ได้ ข้าไม่อยากให้ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำเห็นราช
สำนักเป็นศัตรูเพราะเรือ่ งนี้” เขาหยุดไปครู่หนึง่ แล้ว
พูดว่า “ยังมีอีกเรื่อง เจ้าไปซีชวน จับตาดูด้วยว่าเหว่ย
ซูถงเป็นอย่างไรบ้าง”
“เหว่ยซูถง?”
“เหว่ยซูถงเป็นเจ้าหน้าที่ที่อดีตฮ่องเต้ทรงส่งไป
ประจำการณ์ที่ซีชวน เพื่อควบคุมความเรียบร้อยในซี
ชวน” ฮ่องเต้น้อยหลงไท่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ในเมื่อ
อดีตฮ่องเต้ไว้ใจคนผู้นี้มาก แสดงว่าเขาก็น่าจะเป็นคน
มีความสามารถ แต่ว่า......เรื่องของถ้ำเฮยเหยียนใน
ครั้งนี้ เหว่ยซูถงส่งฎีกามา ชี้แจงไม่ละเอียด มันดู
ผิดปกติ ข้าอยากจะรู้ว่าเขามีอะไรกันแน่ ซีชวนชื่อสื่อ
(ชื่อสือ่ =ผู้ว่าราชการแคว้น) ตำแหน่งอำนาจสำคัญ
มันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของต้าฉู่ หากเขาไม่
เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา.......” สายตาของเขาเริ่ม
ดุดันขึ้น เขากำหมัด “เช่นนั้นเขาก็ไม่ควรอยู่ใน
ตำแหน่งนี้อีก”
ฎีกาของเหว่ยซูถงหลายฉบับ เขียนชี้แจงอะไรไม่
ชัดเจน ทำให้ฮ่องเต้น้อยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใน
ฐานะสายของทางราชสำนัก การกระทำของเหว่ยซูถง
ทำให้ฮ่องเต้น้อยไม่พอใจมาก
ฉีหนิงรู้สึกว่า ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำแหน่งใหญ่ เหว่ย
ซูถงรูด้ ีว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร แต่วา่ เขากลับทำ
ในสิ่งที่ตรงข้ามกัน แสดงว่าจะต้องมีอะไรในกอไผ่
แน่นอน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 342 กังวลใจ
ฉีหนิงคิด แล้วถามว่า “ฝ่าบาท ครั้งนี้ให้กระหม่อมไป
ในฐานะอะไรดีพะยะค่ะ? หรือว่าให้ไปแอบสืบอย่าง
ลับๆ?”
“ข้าคิดเอาไว้แล้ว” ฮ่องเต้น้อยยื่นของอย่างหนึง่ ให้
เขา “เจ้าไปในฐานะข้าหลวงใหญ่ หรือก็คอื ไปเป็น
ตัวแทนของราชสำนักในการตรวจตราทหาร” พูดถึง
ตรงนี้ เขาก็ยื่นป้ายทองไปให้เขา “ป้ายทองเจ้าพกติด
ตัวไปด้วย อาจจะสั่งเคลื่อนทหารในซีชวนไม่ได้ แต่ว่า
มีป้ายทองในมือ พวกเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเจ้า”
ฉีหนิงมีราชโองการลับกับป้ายทองในมือ เขายกมือ
คำนับแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้
กระหม่อมรู้แล้วว่าควรทำอย่างไร”
“ฉีหนิง ข้ารู้วา่ การไปครั้งนี้มันไม่ค่อยสงบ” ฮ่องเต้
น้อยลังเล แล้วพูดว่า “แต่ว่าเจ้าเป็นคนที่ข้าไว้ใจมาก
ที่สุด ข้าไม่อาจทนเห็นต้าฉู่ของข้าวุ่นวายได้ ถึงได้ส่ง
ให้เจ้าไป เจ้าเองต้องระวังตัวให้มาก ไม่ว่าถ้ำเฮยเห
ยียนจะก่อกบฏหรือไม่กต็ าม ขอแค่เจ้าสืบหาความ
จริงออกมาให้ได้ แล้วเอาหลักฐานมาให้ข้า เจ้าก็จะได้
สร้างผลงานใหญ่”
ฉีหนิงรู้ว่าฮ่องเต้น้อยสงสัยในสถานการณ์ของซีชวน
มาก คิดว่าช่วงนี้ฮอ่ งเต้น้อยคงเครียดเรือ่ งนี้มาก เขา
พูดว่า “ฝ่าบาท พระองค์รับสั่งให้กระหม่อมไปซีชวน
จงอี้โหวทราบหรือไม่?”
“ข้าบอกแค่วา่ จะส่งไปตรวจสอบเรือ่ งนี้ ไม่ได้บอก
รายละเอียดอะไรไป” ฮ่องเต้น้อยพูดว่า “แต่ว่าเขาก็
น่าจะรู้ ไม่เป็นไร ซือหม่าหลันเองก็สงสัยเรือ่ งนี้
เหมือนกัน เกรงว่าเขาน่าจะแอบส่งคนไปตรวจแล้วล่ะ
แต่ว่าความจริงทีเ่ ขาสืบได้ ก็อาจจะไม่รายงานข้าก็
ได้”
ฉีหนิงพยักหน้า ฮ่องเต้น้อยพูดว่า “เดิมทีข้าคิดว่า
อยากจะเลือกทหารหลวงอวี๋หลินให้ตามเจ้าไปด้วยสัก
สองสามคน แต่ว่า......ข้ามาคิดอีกที เจ้าเลือกคน
ติดตามไปเองน่าจะดีกว่า ข้าไม่ส่งคนไปพร้อมเจ้า
ดีกว่า”
“พะยะค่ะ” ฉีหนิงรู้วา่ การที่ฮอ่ งเต้น้อยพูด เหมือนจะ
ไม่มีประโยชน์ แต่ว่ามันแฝงไปด้วยความหมาย
หากฮ่องเต้น้อยส่งคนตามไปด้วย มันเหมือนกับว่าส่ง
คนไปเป็นหูเป็นตา หากฮ่องเต้น้อยไม่ส่งตามไปด้วย
นั่นหมายถึงว่าเขาเชื่อมัน่ ในตัวเขามาก
“ฉีหนิง เจ้ากลับไปเตรียมตัว แล้วรีบเดินทางทันที”
ฮ่องเต้น้อยพูดว่า “ข้ากังวลว่าคนที่ซีชวนจะร้อนใจ
เกินไป เจ้ายังไปไม่ถึง พวกเขาจะต่อสู้กันเสียก่อน”
ฉีหนิงเองก็กังวลเรือ่ งนีอ้ ยู่เหมือนกัน ฮ่องเต้นอ้ ย
พยายามรักษาความสงบของซีชวน ก่อนที่จะเจอ
หลักฐาน เขาไม่มีทางทำอะไรกับทางถ้ำเฮยเหยียน
เพื่อไม่ให้ทางชาวเหมียวเห็นราชสำนักเป็นศัตรู
เพราะถึงอย่างไรชาวเหมียวก็ยังมีพรรคบัวดำหนุน
หลังอยู่ พรรคบัวดำหวังจะรวบรวมชาวเหมียวเจ็ดสิบ
สองถ้ำเป็นศัตรูกับราชสำนัก หากไม่มั่นใจแล้วใช้
กำลังกับทางถ้ำเฮยเหยียนไป ก็เท่ากับเป็นการผลักให้
ชาวเหมียนเจ็ดสิบสองถ้ำไปเข้ากับทางพรรคบัวดำ
ฮ่องเต้ใหม่เพิ่งขึ้นครองราชย์ สถานการณ์ในราช
สำนักยังไม่นิ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนีค้ ือการ
ควบคุมอำนาจทางการเมืองให้นิ่ง หากซีชวนเกิด
ความวุ่นวาย ไม่ได้เป็นผลดีของต้าฉู่
ฉีหนิงรู้ว่าฮ่องเต้น้อยคิดอะไรอยู่
ให้ชาวเหมียวเห็นราชสำนักเป็นศัตรูไม่ได้ แต่วา่ จะทำ
ให้ชาวเหมียวกลัวราชสำนักก็ไม่ได้ ไม่สู้กันเป็นทางที่
ดีที่สุด แต่ว่าหากถ้ำเฮยเหยียนสร้างความวุ่นวาย
หากจำเป็นก็ต้องสู้ แต่วา่ ก่อนที่จะลงมือ ต้องชีแ้ จงให้
เหล่าชาวถ้ำเข้าใจก่อนว่าถ้ำเฮยเหยียนกระทำการจริง
ฮ่องเต้น้อยเป็นผู้นำแคว้น แต่กลับใส่ใจถ้ำเฮยเหยียน
เล็กๆ แบบนี้ แต่ว่าเบื้องหลังของถ้ำเฮยเหยียนมัน
เกี่ยวข้องกับอำนาจ ทำให้ฮ่องเต้น้อยเป็นห่วงมาก
ฉีหนิงบอกลาฮ่องเต้นอ้ ย แล้วก็ตรงกลับไปที่จวนทันที
ฮ่องเต้น้อยบอกให้เขารีบเดินทาง เขาเองก็ไม่อยากให้
เสียเวลา เขาตามตัวต้วนชางไห่กับจ้าวอู๋ซางมา แล้ว
เล่าเรื่องของซีชวนให้พวกเขาฟัง ทั้งสองตกใจมาก ต้
วนชางไห่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ เส้นทางไปซี
ชวนไกลมาก ท่านไม่เคยไปที่นั่น ฝ่าบาทเหตุใดถึงทรง
รับสั่งให้ท่านไปเล่า?”
“ราชโองการออกมาแล้ว พูดไปก็เปล่าประโยชน์”
ฉีหนิงพูดว่า “หลังจากที่ข้าไปแล้ว ค่ายกิเลนดำก็
มอบหมายให้พวกเจ้าแล้วกัน ฝ่าบาทตรัสแล้ว จะส่ง
คนไปช่วย ถึงเวลานั้นขาดเหลืออะไร เจ้าก็แจ้งไปทาง
ราชสำนักนะ”
“โหวเยว่ ให้เหล่าจ้าวอยู่ที่นี่ ข้าไปซีชวนกับท่าน” ต้
วนชางไห่รีบพูดว่า “ข้าเคยไปซีชวน ถึงแม้จะไม่ได้
ชำนาญทางในซีชวนมาก แต่ว่า......”
“เจ้ากับจ้าวอู๋ซางคิดแต่เรื่องของค่ายกิเลนดำก็พอ
เรื่องนีส้ ำคัญกับพวกเจ้ามาก” ฉีหนิงพูดว่า “ให้ฉีเฟิง
พาคนตามข้าไปด้วยก็พอ”
ฉีหนิงรู้ดีว่า ความสามารถของเขา ไม่ได้ดอ้ ยไปกว่าต้
วนชางไห่แล้ว หากเรื่องที่แม้แต่ตัวเขายังไม่สามารถ
แก้ไขได้ ต่อให้มีต้วนชางไห่อยู่ด้วยก็ไม่มีประโยชน์
อีกทั้งค่ายกิเลนดำ ก็หนีไม่พ้นต้วนชางไห่อยู่ดี
ต้วนชางไห่อยากเถียงอีก ฉีหนิงยกมือห้ามเอาไว้ แล้ว
ก็สั่งงานมอบหมายเอาไว้ ทั้งสองเห็นฉีหนิงยืนยัน
หนักแน่น รู้ว่าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้แค่ทำ
ตามเท่านั้น
ครั้งนี้ต้องเดินทางไปซีชวน เส้นทางไกลมาก ก็ไม่รู้จะ
ได้กลับมาอีกทีเมื่อไหร่ ฉีหนิงรู้ว่าเรือ่ งนี้อย่างไรก็ต้อง
บอกกู้ชิงฮั่นให้รู้ เพียงแต่เพราะเรือ่ งในครั้งก่อน ทั้ง
สองแทบจะไม่ได้นั่งลงคุยกันดีๆ มาระยะใหญ่แล้ว อีก
ทั้งไม่เคยอยู่กันตามลำพังด้วย
ฉีหนิงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แต่ว่ายังคงต้องไปตาม
หากู้ชิงฮั่นอยู่ดี เขาอยากจะพูดอะไรด้วยสักหน่อย
เขาเดินตามหานางทั่วจวน ถึงได้รู้ว่ากู้ชิงฮั่นอยู่เรือน
ด้านหลัง
หลังจากกู้เหวินจางพาครอบครัวมาในเมืองหลวง ก็
อาศัยอยู่ในจวนตลอด ถึงแม้บ้านที่ซื้อเอาไว้จะเสร็จ
เรียบร้อยแล้ว แต่ว่ากู้เหวินจางเอาเวลาทั้งหมดยุ่งอยู่
กับร้าน ตระกูลกู้เข้าเมืองหลวงมาก็เพือ่ ทำการค้า
หลังจากวันที่เจ็ดเดือนหนึ่ง ก็จะเปิดร้านแล้ว ถึงแม้กู้
เหวินจางจะไม่ได้ชอบทำการค้าเท่ากับการต่อสู้ แต่ว่า
ในฐานะหัวหน้าครอบครัวของตระกูลกู้ การค้าของ
ตระกูลจะทิ้งไม่ได้ ดังนั้นช่วงนี้เขาก็ยุ่งอยู่กับร้านค้า
ของเขา ไม่มีเวลามาทำการย้ายบ้าน
ฉีหนิงเดินตรงไปยังเรือนด้านหลัง ยังไม่ทันเดินเข้าไป
ในเรือนก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมา เมื่อมาถึงหน้า
ประตู เขาเห็นมีผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งล้อมวงพูดคุย
กันอยู่ เขาไม่รู้วา่ เขาควรจะเดินเข้าไปหรือไม่ กู้ชิงฮั่น
เองก็นั่งอยู่ในนั้นด้วย เขาอยากจะเรียกนาง แต่ก็พูด
ไม่ออก
กู้เหล่าไท่เหลือบมองมาด้านนอก นางลุกขึ้นมา ยิ้ม
แล้วพูดว่า “โหวเยว่” คนอื่นหันมามองเห็นว่าเป็น
ฉีหนิง ก็ลุกขึ้นมาคำนับเช่นกัน
ฉีหนิงรู้สึกทำตัวไม่ถูก แต่ก็ยังหน้าหนาเดินเข้าไปใน
ห้อง แล้วพูดว่า “เหล่าฮูหยิน หลายวันมานีม้ ีเรือ่ งยุ่ง
มากมาย ไม่ได้มาเยี่ยมท่านเลย ดังนั้น......ดังนัน้ วันนี้
ข้าเลยตั้งใจจะเยี่ยมเยียนท่านสักหน่อย” ตอนที่พูด
หางตาของเขาก็มองไปทางกู้ชิงฮั่น เขาเห็นกู้ชิงฮั่น
ไม่ได้สนใจเขาเลย เอาแต่เล่นของเย็บปักในมือของ
นาง ไม่ได้สนใจจะมองมาเลย
เมื่อเห็นดังนั้น ฉีหนิงยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูก
กู้เหล่าไท่รีบพูดว่า “ท่านโหวเยว่เกรงใจไปแล้ว ช่วงนี้
พวกเราทั้งแก่ทั้งเด็กมารบกวนอยู่ที่จวนของท่าน ต้อง
ขออภัยท่านมากกว่า”
“เหล่าฮูหยินเกรงใจไปแล้ว ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น
อย่าพูดอะไรแบบนั้นเลย” ฉีหนิงรีบพูดขึ้น เขาลังเล
ไปครู่หนึ่ง เห็นกู้ชิงฮั่นไม่สนใจอะไร ก็ไม่กล้าพูดต่อ
เขากับเหล่าฮูหยินก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรให้พูดมาก แต่
สุดท้ายเขาก็พูดว่า “พรุง่ นี้ข้าต้องออกจากเมืองหลวง
ไปสักระยะหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมือ่ ไหร่ เหล่าฮูหยิ
นก็อยู่ที่นี่ต่อไปสักระยะเถอะ หากต้องการอะไรก็
บอกมาได้เลย.......”
กู้ชิงฮั่นแกล้งทำเป็นไม่สนใจ พอฉีหนิงพูดมาแบบนี้
นางก็สะดุ้ง แล้วรีบเงยหน้าขึ้นมา แล้วพูดด้วยความ
ลืมตัวว่า “เจ้า......เจ้าจะออกนอกเมืองหลวง? เจ้าจะ
ไปไหน?”
ฉีหนิงได้ยินเสียงของกู้ชงิ ฮั่น เขาก็เบาใจลง เขารู้สึก
ได้ว่าน้ำเสียงของกู้ชิงฮั่นเป็นห่วงเป็นใยเขามาก ในใจ
ก็รู้สึกอุ่นใจ แอบคิดในใจว่าม่ายสาวคนสวยนี้ถึงแม้จะ
ทำสงครามเย็นกับเขาอยู่ แต่ว่าลึกๆ แล้วก็ยังห่วงเขา
อยู่ เพียงแต่คนทีอ่ ยู่ในห้องมีมาก ฉีหนิงเลยต้องทำให้
เป็นธรรมชาติทสี่ ุด “ฝ่าบาทเรียกข้าเข้าวัง รับสัง่ ให้
ข้าไปตรวจตรากองกำลังทหาร เวลาค่อนข้างคับขัน
ดังนั้นวันนี้ต้องเก็บของ พรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางแต่
เช้า”
เขาไม่ได้บอกออกไปว่าเขาจะไปซีชวน
กู้เหล่าไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทรับสั่งให้โหวเยว่ไป
ตรวจตราทหาร นั่นก็เพราะให้ความสำคัญกับโหวเยว่
นะ”
กู้ชิงฮั่นลุกขึ้นมา แล้วหันไปพูดกับทางกู้เหล่าไท่ว่า
“ท่านแม่ พวกท่านนั่งคุยกันก่อนนะ” นางไม่พดู อะไร
มากอีก นางเดินตรงมา ขณะทีเ่ ดินผ่านฉีหนิง ก็ส่ง
สายตาให้เขา จากนั้นก็เดินบิดสะโพกออกไป ฉีหนิงรู้
ความหมายของกู้ชิงฮั่นดี เขายกมือคำนับกู้เหล่าไท่
จากนั้นก็เดินออกไป
กู้ชิงฮั่นเดินนำหน้า ฉีหนิงเดินตามหลัง เขามองไปที่
ท่าทางการเดินของนาง แอบคิดในใจว่าช่วงนี้ไม่ได้คุย
กับกู้ชิงฮั่นเลย รู้สึกกดดันแปลกๆ
เมื่อออกจากเรือนด้านหลัง กู้ชิงฮั่นเดินตรงไปที่ศาลา
ริมสระน้ำ เมื่อฉีหนิงเดินมาถึง นางถึงได้หันมามองฉี
หนิง แล้วก็หันกลับไปที่สระน้ำเหมือนเดิม
เมื่อยืนเผชิญหน้ากับม่ายสาวคนสวย ฉีหนิงรู้สึกเกร็ง
มาก เห็นกู้ชิงฮั่นไม่พูดอะไร เขาก็พยายามเขยิบเข้า
ไปใกล้ แต่ไม่ได้ใกล้มาก ห่างประมาณสามก้าว เขา
ลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ซานเหนียง ท่าน
......”
“หากไม่ต้องเดินทางไกล ก็ไม่คิดจะคุยกับข้าแล้วใช่
หรือไม่?” กู้ชิงฮั่นเหลือบมองฉีหนิง นางไม่ได้พดู ดี
ด้วย
ฉีหนิงสะดุ้ง เขาพูดว่า “ซานเหนียง ท่าน......ท่าน
เข้าใจผิดแล้ว เหตุใดข้าจะไม่อยากคุยกับท่านเล่า แต่
ว่า......ข้ากลัวว่าท่านจะไม่อยากคุยกับข้า ก็เลย......”
“รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ แล้วทำทำไม” กู้ชิงฮั่นกัดปาก
แล้วเหลือบมองฉีหนิง “ถ้าเจ้าไม่เหิมเกริมแบบนั้น ก็
ไม่เป็นแบบนี้ เป็นเพราะเจ้านั่นแหละ”
ฉีหนิงพูดว่า “ใช่ ใช่ ใช่ ข้าไม่ดีเอง หากข้าไม่แตะต้อง
ตัวซานเนียง......”
“เจ้ายังพูดเหลวไหลอะไรอีก” กู้ชิงฮั่นจ้องมาฉีหนิง
หน้าของนางแดงระเรือ่ ขึ้นมา
ฉีหนิงรีบหุบปาก ไม่กล้าพูดต่อ
กู้ชิงฮั่นถอนหายใจ แล้วมองเขา จากนั้นก็พูดว่า
“พรุ่งนี้จะไปแล้วใช่หรือไม่? แล้วจะไปไหนล่ะ?”
“ซีชวน” ฉีหนิงพูดว่า “ทหารซีชวนปิดทางเข้าออก
ของถ้ำเฮยเหยียน ทหารส่วนหนึ่งถูกลอบสังหาร ตาย
ไปกว่าสิบคน มีรายงานมาว่าคนของถ้ำเฮยเหยียน
เป็นคนทำ ลูกน้องของเหว่ยซูถงอยากจะนำทหารบุก
เข้าไปแก้แค้น ฝ่าบาทคิดว่าเรื่องนี้ตอ้ งมีเบื้องหลัง
กังวลว่าเรือ่ งนี้จะเป็นฉนวนเหตุให้ซีชวนเกิดความ
วุ่นวาย ก็เลยจะให้ข้าไปสืบหาความจริง”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ราชสำนักมีคนตั้ง
มากมาย เหตุใดจะต้องให้เจ้าไปด้วย? เจ้ายังต้องฝึก
ทหารในค่ายกิเลนดำอีกไม่ใช่หรือ?”
“จะสืบหาความจริง ก็ต้องไปใกล้ชิดกับทางถ้ำเฮยเห
ยียน” ฉีหนิงพูดว่า “ชาวเหมียวขีส้ งสัย ขุนนางทั่วไป
ชาวเหมียวไม่มที างเชื่อแน่ ตระกูลฉีของพวกเรามี
ความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวถ้ำเฮยเหยียน ฝ่าบาทเห็น
ตรงจุดนี้”
สีหน้าท่าทางของกู้ชิงฮั่นกังวลชัดเจน น้ำเสียงของ
นางดูตำหนิเล็กน้อย “ฝ่าบาทไม่รู้หรืออย่างไร ตอน
นั้นที่ท่านเหล่าโหวไปปราบซีชวน ท่านสังหารคนไปก็
มาก สร้างความแค้นเอาไว้ไม่น้อย แล้วส่งเจ้าไปแบบ
นี้ มัน.....มันจะไม่เป็นการขุดหลุมฝังเจ้าหรืออย่างไร?
เจ้า......เจ้าไปทูลฝ่าบาท ให้ทรงส่งคนอื่นไปแทน”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 343 สร้อยเขี้ยวหมาป่า
คำพูดเป็นห่วงเป็นใยของกู้ชิงฮั่น ทำให้ฉีหนิงรู้สึก
อบอุ่นใจ เขาอดไม่ได้ทจี่ ะเขยิบเข้าไปใกล้ กู้ชิงฮั่น
แอบถอยห่างเพือ่ เว้นระยะเอาไว้
ฉีหนิงจนปัญญา ทำได้แค่พูดว่า “ข้ารับปากฝ่าบาทไป
แล้ว อีกอย่าง......หลังจากที่ข้ารับตำแหน่งมา ไม่ได้มี
ผลงานอะไรเลย จะเอาแต่พึ่งใบบุญเก่าแบบนี้ไม่ได้
ซานเหนียง ท่านไม่ตอ้ งกังวลไป ถึงอย่างไรซีชวนก็
เป็นดินแดนของราชสำนัก ข้าไปถึงที่นั่น ต่อให้ใคร
เห็นข้าขวางหูขวางตา ก็ไม่กล้าทำอะไรข้าหรอก”
“เจ้านี่นะ ไม่รู้เลยว่าเรือ่ งไหนสำคัญไม่สำคัญ” กู้ชิง
ฮั่นถอนหายใจ “ฝ่าบาทยังคงระแวงสูอ่ ๋องคนนั้นอยู่
ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้น หาเหตุผลปลดเขาก็ได้นี่นา จะ
มานั่งกังวลแบบนี้ให้เหนื่อยทำไม”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้หล้ายังไม่เป็นหนึ่ง ฝ่าบาท
ทรงคิดไปไกลกว่าพวกเรามาก สู่ออ๋ งยอมมา
สวามิภักดิ์ด้วยตัวเอง หากจับไม่ได้คาหนังคาเขาหรือ
มีหลักฐานแน่ชัด ราชสำนักไม่มีทางทำอะไรเขา
เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหากพวกเราบุกปราบทางเหนือ
เมื่อไหร่ คงไม่มีใครทำตามคำสั่งของราชสำนัก
แน่นอน”
กู้ชิงฮั่นรู้เหตุผลเรือ่ งนี้ดี นางนิ่งไป แล้วพูดว่า “แล้ว
ต้วนชางไห่พวกเขาตามเจ้าไปด้วยหรือไม่? ฝ่าบาทส่ง
ทหารไปกับเจ้าด้วยหรือไม่?”
“ไม่ต้องใช้คนเยอะขนาดนั้นหรอก” ฉีหนิงพูดว่า “
ต้วนชางไห่ต้องอยู่ฝึกทหารที่คา่ ยกิเลนดำ ข้าให้ฉีเฟิง
ตามข้าไปก็พอ”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็พาคนไปแค่ไม่กคี่ นอย่างนั้นหรือ?”
กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความร้อนใจว่า “ทำแบบนั้นได้
อย่างไร? ถ้าอย่างนั้น......ให้องครักษ์ในจวนตามเจ้าไป
ด้วยดีหรือไม่ คนยิ่งเยอะยิ่งดีนะ”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ข้าไม่ได้จะไป
ออกรบนะ ไม่ต้องใช้คนมากขนาดนั้นหรอก ข้ารู้ว่า
ต้องทำเช่นไร ท่านวางใจได้ ข้าทำงานเสร็จแล้ว จะ
รีบกลับเมืองหลวง จะไม่ให้ท่านต้องกังวลใจหรอก”
กู้ชิงฮั่นหน้าแดง แล้วพูดว่า “ใครเป็นห่วงเจ้ากัน ต่อ
ให้เจ้าไปถึงสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็ไม่ห่วง”
ฉีหนิงเห็นนางทั้งโกรธทัง้ อาย นางดูสวยมาก รูส้ กึ
หวั่นไหว แต่ว่าเมือ่ มีบทเรียนจากคราวที่แล้วแล้ว เขา
ก็ระวังตัวมากขึ้นเยอะ เขาไม่กล้าพูดอะไรมากเกินไป
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียง หลังจากที่ข้าไปแล้ว
ท่านก็อย่าเหนื่อยให้มากนะ งานอะไรก็ให้บ่าวไพร่ไป
ทำ ข้าไม่อยากเห็นหลังจากที่ข้ากลับมาแล้ว ท่านซูบ
ผอมไปหรอกนะ”
กู้ชิงฮั่นเหลือบไปมองเขา นางใช้ความคิด เหมือนนาง
จะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางพูดว่า “เจ้าตามข้ามา”
ฉีหนิงก็ไม่รู้ว่ากู้ชิงฮั่นจะพาเขาไปไหน เขาเดินตามกู้
ชิงฮั่นไป เดินผ่านทะลุเรือนไป จนมาถึงนอกเรือนของ
ไท่ฟูเหริน
ฉีหนิงไม่อยากเจอหน้ายายแก่นี่มากทีส่ ุด คิดว่ากู้ชิง
ฮั่นจะให้เขาไปล่ำลาก่อน เขารู้สึกหงุดหงิดมาก แต่ว่า
กู้ชิงฮั่นเดินตรงเข้าไปในเรือน ไม่นานนัก นางไม่รอให้
ฉีหนิงเอ่ยปาก นางพูดขึน้ มาว่า “เจ้าตามข้ามา” ครั้ง
นี้นางพาฉีหนิงมายังห้องบัญชี
“จริงสิ เมื่อคืนเจ้ากลับมาดึกมาก มีเรือ่ งหนึ่งเกือบลืม
บอกเจ้าไป” กู้ชิงฮั่นเดินมาถึงที่ห้องบัญชี แล้วก็หัน
หลังกลับมาพูดกับเขา “เมื่อคืนมีคนเอาตั๋วเงินมาให้
หนึ่งหมื่นตำลึง เขาทิ้งตั๋วเงินไว้แล้วก็ไป บอกว่าเอามา
คืนให้เจ้า มันเรือ่ งอะไรกัน?”
ฉีหนิงนึกถึงเจียงซุยอวิน๋ ขึ้นมาทันที คิดในใจว่าเจียง
ซุยอวิ๋นคงเอาเงินมาให้ตามสัญญา เขาเองก็ไม่ได้ปิด
อะไรนาง เล่าเรื่องเดิมพันของเจียงซุยอวิ๋นให้กู้ชิงฮั่น
ฟัง กู้ชิงฮั่นหลุดยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง ตระกูล
เจียงจากตงไห่นี่ใจป้ำไม่เบา เดิมพันครั้งเดียว ก็ลง
เป็นหมื่นตำลึง”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “มีเงินพวกนี้แล้ว หลังจากที่ข้าไป
ข้าก็ไม่กังวลว่าซานเหนียงจะต้องอดอยากแล้ว”
“ไม่ต้องมาเล่นลิ้นเลย” กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่ฉีหนิง เขา
มองไปที่ฉีหนิง แล้วถามอีกว่า “ข้าได้ยินมาว่าทีง่ าน
ชุมนุมวิชาการจิงหัว เจ้าโดดเด่นมาก เรือ่ งนี้จริง
หรือไม่?”
ฉีหนิงรู้ว่าถึงแม้กู้ชิงฮั่นจะดูไม่สนใจใยดีเขา แต่ว่าที่
จริงแล้วนางยังคงห่วงใยเรื่องของเขาทุกเรื่อง เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “คิดว่าน่าจะมีใครพูดใส่สีตีไข่ข้ามากกว่า”
เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปยังห้องบัญชี กู้ชิงฮั่นก็ไม่พูดอะไร
มากอีก คนภายในห้องบัญชีเดินมาคารวะ กู้ชิงฮั่นสั่ง
ให้คนในห้องบัญชีคนหนึ่งตามนางออกไป แล้วสั่งให้ฉี
หนิงนั่งรออยู่ด้านใน
ฉีหนิงนั่งรออยู่ในห้องบัญชี เมื่อเห็นว่ายังมีคนอยู่ใน
ห้องบัญชี เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็เขยิบเข้าไป
ใกล้คนผู้นั้น แล้วถามว่า “ท่านกำลังยุ่งอยู่หรือไม่?”
คนนั้นรีบลุกขึ้นมา แล้วยกมือคำนับ “โหวเยว่”
ฉีหนิงรีบบอกให้เขานั่งลง เขาลังเลสุดท้ายก็ถามว่า
“ปกติท่านชอบอ่านตำราหรือไม่?”
เจ้าหน้าที่ในห้องบัญชีไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉีหนิงถึงได้
ถามแบบนี้ แต่ว่าในเมื่อโหวเยว่เอ่ยปากถาม จะไม่
ตอบก็คงไม่ได้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “หากมีเวลาว่างก็มี
เปิดอ่านอยู่บ้าง”
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็น่าจะพอรู้เรือ่ งเกี่ยวกับอักษร
โบราณน่ะสิ” ฉีหนิงยิม้ แล้วพูดว่า “ข้ามีของบางอย่าง
อยากจะขอคำชี้แนะจากท่านหน่อย”
“มิกล้า มิกล้า” เจ้าหน้าที่ห้องบัญชีรีบพูด
ฉีหนิงรีบหยิบกระดาษออกมา มันคือตัวอักษรทีเ่ มื่อ
วานคัดลอกมากจากม้วนตำรา “ท่านลองช่วยข้าดู
หน่อยสิว่า นี่มันอักษรอะไร?”
เจ้าหน้าที่ห้องบัญชียกมือรับด้วยสองมือ เขามองมัน
อย่างละเอียด จากนั้นก็พลิกไปพลิกมาดู เขาพูดอย่าง
เขินอายว่า “โหวเยว่ ข้า......ความรู้น้อยนัก ไม่เคย
เห็นมันมาก่อนเลย” เห็นฉีหนิงท่าทางดูผิดหวัง เขา
เลยรีบพูดว่า “แต่ว่าตัวอักษรบางตัวถึงแม้จะดู
ประหลาด โหวเยว่ท่านไม่ต้องร้อนใจไป ข้าสามารถ
ไปค้นตำราดูได้ น่าจะหาเจอ”
ฉีหนิงตอบว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็รบกวนท่านช่วยค้นให้
ข้าที”
ในตอนนี้เอง กู้ชิงฮั่นก็เดินกลับเข้ามา แล้วกวักมือ
เรียกฉีหนิง ฉีหนิงเดินไปหา ยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไร
กู้ชิงฮั่นยื่นกล่องให้เขา แล้วพูดว่า “เจ้าไปซีชวนครั้งนี้
เอานี่ไปด้วย น่าจะได้ใช้”
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ เมื่อเปิดออกดู เห็นด้านในวางของ
ที่ดูเหมือนเขีย้ วอยู่ มันถูกร้อยเป็นพวงเหมือนสร้อย
เขาพูดด้วยความสงสัยว่า “ซานเหนียง นี่มันอะไร?”
กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนที่ท่านเหล่าโหวไปปราบซี
ชวน ทางถ้ำเฮยเหยียนได้ยอมอยู่ในการควบคุมของ
ท่านเหล่าโหว ช่วยเหลือท่านไว้ไม่นอ้ ย ท่านเหล่าโหว
เองก็ดูแลพวกเขาดีมาก ตอนที่โยกย้ายทัพใหญ่ ท่าน
เจ้าถ้ำเฮยเหยียนได้มองของสิ่งนี้เอาไว้ให้ หลังจากที่
ท่านเหล่าโหวกลับมา ก็เก็บมันเอาไว้อย่างดี อาสาม
ของเจ้าเคยเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง เมือ่ ครู่ข้าไปแจ้งไท่ฟูเห
รินแล้ว เล่าเรื่องที่เจ้าจะไปซีชวนให้นางได้รู้ ไท่ฟูเห
รินอนุญาตให้ข้าเอาสร้อยเขี้ยวหมาป่านี่มาให้เจ้านำ
ติดตัวไปด้วย”
“สร้อยเขีย้ วหมาป่า?” ฉีหนิงเอามาดูอย่างละเอียด
แล้วพูดว่า “ทีแ่ ท้ก็เขี้ยวหมาป่านี่เอง”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ในเมื่อเป็นของที่ท่านเจ้าถ้ำเฮยเหยียน
มอบให้ท่านเหล่าโหว ก็น่าจะสำคัญไม่นอ้ ย เจ้าเห็น
หรือไม่ว่าบนเขี้ยวหมาป่ามีการแกะสลักลายดอกไม้
.....” มือเรียวราวลำเทียนของนางชี้มา ฉีหนิงมอง
อย่างละเอียด บนเขี้ยวหมาป่ามีลายแกะสลักจริง มัน
ละเอียดประณีตมาก ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามันมีความหมาย
อย่างไร แต่เดาว่าน่าจะเป็นภาพสัญลักษณ์อะไรสัก
อย่าง
“พอเจ้าไปถึงซีชวน หากต้องเข้าหาคนของถ้ำเฮยเห
ยียน เมื่อมีสร้อยเขีย้ วหมาป่านี่อยู่ พวกเขาคงเห็นแก่
ความสัมพันธ์เก่าก่อน น่าจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก
ใจ” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “มีสร้อยเขี้ยวหมาป่าในมือ ก็ดีกว่า
ไม่มอี ะไรเลย”
ฉีหนิงรู้ว่ากู้ชิงฮั่นเป็นห่วงเขา เขาพยักหน้ายิ้มแล้วพูด
ว่า “ได้ ข้าจะเอาติดตัวไว้” เขาเก็บสร้อยเขี้ยวหมาป่า
เอาไว้ ในใจก็คิดว่าการไปซีชวนครั้งนี้ อย่างไรก็ต้อง
เข้าหาถ้ำเฮยเหยียนแน่นอน มีสร้อยไว้ในมือ น่าจะมี
ประโยชน์แน่นอน
กู้ชิงฮั่นคิด แล้วหยุดพูดไป จากนั้นก็พูดว่า “ถ้าอย่าง
นั้นข้าไปเตรียมของให้เจ้าก่อนนะ”
ทั้งสองเดินออกจากห้องบัญชีพร้อมกัน ในใจของพวก
เขาเหมือนยังมีเรื่องอยากจะพูดอีกมาก แต่ไม่รู้จะพูด
อย่างไร ทันใดนั้นเองก็เห็นหานโซ่วเดินเข้ามา เขา
เห็นฉีหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “โหวเยว่ มีคนมาขอพบ
ขอรับ”
“หือ?” ฉีหนิงพูดว่า “ใคร?”
“เถียนฮูหยินจากร้านยาตระกูลเถียนขอรับ” หานโซ่ว
พูดว่า “นางบอกว่านางมีเรื่องจะมารายงานโหวเยว่”
“เถียนฮูหยิน?” กู้ชิงฮั่นเหลือบไปมองฉีหนิง ฉีหนิงรีบ
อธิบายว่า “ซานเหนียง มันเป็นอย่างนี้นะ แม่นางถัง
ให้สูตรยาข้ามาสูตรหนึ่ง ข้า......”
กู้ชิงฮั่นพูดขัดขึ้นมาว่า “มันเรือ่ งของเจ้า ไม่เกีย่ วอะไร
กับข้า อย่าให้นางต้องรอนาน เจ้ารีบไปเถอะ ข้าจะ
เก็บของให้เจ้าก่อน” นางไม่พูดอะไรให้มากความอีก
เดินจากไปเลย
ฉีหนิงส่ายหน้า แล้วเดินตรงไปยังโถงใหญ่ หลังจาก
เดินเข้าไปในห้องแล้ว ก็เห็นเถียนฮูหยินกำลังนั่งรอ
เขาอยู่ นั่งมัดผมขึ้น ปักปิ่นลายดอกไม้ ใบหน้ารูปไข่
สายตาของนางเป็นประกาย ดูแล้วงดงามมาก เมื่อ
เห็นฉีหนิงเดินเข้ามา เถียนฮูหยินก็รีบลุกขึ้น นางยิ้ม
แล้วถอนสายบัวให้ “โหวเยว่ มารบกวนท่านถึงที่จวน
ต้องขออภัยด้วย”
“ขออภัยอะไรกัน” ฉีหนิงยิ้ม แล้วบอกให้เถียนฮูหยิน
นั่งลง แล้วพูดว่า “ฮูหยินมาหาถึงที่จวน คิดว่าคงต้อง
มีเรื่องอะไรแน่นอนเลยใช่หรือไม่?”
เถียนฮูหยินยิ้มหน้าบาน แล้วพูดว่า “โหวเยว่ เรือ่ ง
สูตรยาแผ่นนั้น”
ฉีหนิงเดาได้อยู่แล้ว นอกจากสูตรยาแผ่นนั้นแล้ว ม่าย
สาวคนนี้ คงไม่มีทางยอมมาหาเขาถึงที่จวนแน่นอน
เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “สูตรยาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“โหวเยว่ สูตรยาของท่าน......ดีมากจริงๆ” เถียนฮู
หยินพูดว่า “ข้าได้ปรุงยาตามสูตรยาของท่าน ผลลัพธ์
มันดีมาก ทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มยี าเหมือนอย่างของ
ท่านเลย มีลูกค้าจากต่างเมืองมา ข้าก็เอาให้พวกเขา
ได้ดู ยังไม่พูดอะไรมาก พวกเขาสั่งจองกันแล้ว”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “นีถ่ ือเป็นข่าวดี”
“ใช่แล้ว” เถียนฮูหยินพยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่
ยารักษาบาดแผลนี่เมื่อไหร่ก็ตามที่วางขายหน้าร้าน
จะต้องขายดีมากแน่นอน เดิมคิดจะมาปรึกษากับโหว
เยว่ก่อน แต่ก็กลัวว่าท่านจะมีราชกิจมาก ดังนัน้ ......
ดังนั้นก็เลยเสียเวลามาจนถึงวันนี้” นางขยับขึน้ หน้า
นิดหน่อย “โหวเยว่ ที่ขา้ มาวันนี้ ก็มาเพือ่ ปรึกษากับ
ท่านเรือ่ งเปิดร้านขายยา.....”
ฉีหนิง “อ่อ” แล้วถามว่า “ฮูหยินจะมาเอาเงินกับข้า
หรือ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” เถียนฮูหยินรีบยกมือขึ้นโบก “โหว
เยว่เอาสูตรยาที่มีมลู ค่ามากขนาดนี้ให้ข้าแล้ว ข้า......
ข้าจะไปกล้าเอาเงินกับโหวเยว่ได้อย่างไร ข้าก็แค่
อยาก......อยากจะบอกว่า โหวเยว่แน่ใจแล้วหรือว่าจะ
ให้ข้าทำการค้านี้?” สายตาอันน่าหลงใหลของนางดู
ไม่มั่นใจเลย
“ฮูหยินคิดว่าข้าล้อเล่นอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงมองไป
ที่ใบหน้าขาวๆ ของเถียนฮูหยิน มันดูขาวราวกับหิมะ
เหมือนแค่บีบแค่แตะมันก็จะมีน้ำออกมา เขายิม้ แล้ว
พูดว่า “ครั้งทีแ่ ล้วข้ารับปากเจ้าไปแล้ว ก็จะไม่มีทาง
คืนคำ ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น”
“โหวเยว่เป็นลูกผู้ชาย ไม่มีทางล้อเล่นกับหญิงม่าย
อย่างข้าแน่” เถียนฮูหยินยิ้มหน้าบาน “ถ้าเช่นนั้น ข้า
จะกลับไปเตรียมการเรือ่ งเปิดร้านขายยา แล้วรีบผลิต
ยาออกมาให้เร็วที่สุด จะได้รีบนำออกมาวางขายใน
ร้านขายยา พรุ่งนี้ขา้ จะส่งคนไปซือ้ สมุนไพรที่ซชี วน
ทันที”
“ไปซีชวน?” ฉีหนิงรีบถามว่า “เจ้าจะส่งคนไปซี
ชวน?”
เถียนฮูหยินเห็นฉีหนิงตาเป็นประกาย แล้วจ้องมาที่
นาง นางรูส้ ึกเขินมาก อดไม่ได้ที่จะกำเสือ้ ผ้าของ
ตัวเองไว้แน่น “ใช่แล้ว ในสูตรยาของโหวเยว่ มี
สมุนไพรสองตัวทีเ่ ป็นของขึ้นชื่อของทางซีชวน ที่นั่น
ไม่เพียงมีสมุนไพรชั้นดี อีกทั้งราคายังไม่แพงด้วย เดิม
ต้องรออีกหนึ่งเดือนถึงจะส่งคนไปจัดซื้อสมุนไพรมา
แต่ว่าเพราะสูตรยาของโหวเยว่ ข้าก็เลยสั่งให้เดินทาง
ไปก่อน แล้วจะได้รีบส่งสมุนไพรกลับมาให้เร็วทีส่ ุด”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้น เขาก็หัวเราะ เถียนฮูหยินเห็นฉี
หนิงหัวเราะ ก็ตกใจขนลุกซู่ขนึ้ มา นางมองไปรอบๆ
ก็ไม่มีคนอื่น ในใจก็เริ่มกลัว
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 344 เดินทางไกล
ฉีหนิงเห็นท่าทางของเถียนฮูหยิน ก็รู้สึกไม่คอ่ ยพอใจ
เท่าไหร่ แอบคิดในใจว่าเขาเหมือนคนโรคจิตหื่นกาม
ขนาดนั้นเลยหรือ กู้ชิงฮั่นก็หลบเขา เถียนฮูหยินก็ยัง
มาทำท่าทางแบบนี้อีก ทำอย่างกับเขาจะไปข่มขืน
นางอย่างนั้นแหละ
เขารู้สึกงงมาก แต่ก็ยังพูดว่า “ไปซีชวน เจ้าส่งไปกี่
คน? ฮูหยินไปซีชวนเองด้วยหรือไม่?”
“เส้นทางคดเคี้ยว หญิงม่ายอย่างข้า จะไปทนได้
อย่างไร” เถียนฮูหยินยิม้ แล้วพูดว่า “ร้านยา
ตระกูลเถียนของพวกเรามีคนทำการจัดซื้อเฉพาะอยู่
แล้ว พวกเขาจะเดินทางไปซีชวนปีละสามครั้ง ครั้งนี้
ข้าส่งคนไปห้าหกคน เพือ่ ไปเตรียมสมุนไพรเอาไว้
ก่อน จากนั้นพวกเราก็จะจ้างคนจากสำนักคุ้มภัยคุ้ม
กันยาพวกนั้นส่งกลับมา”
“อย่างนี้นี่เอง” ฉีหนิงพยักหน้า “แล้วคนทีส่ ่งไปที่ซี
ชวน พวกเขาคุ้นเคยเส้นทางของซีชวนดีหรือไม่?”
เถียนฮูหยินพยักหน้า “บ้านเกิดของพวกเขาอยูท่ ี่ซี
ชวน ไปกลับปีละหลายครั้ง คุ้นเคยเส้นทางทั้งสิบหก
อำเภอเป็นอย่างดี” นางหยุดไป แล้วถามอย่างระวัง
ว่า “ทำไมโหวเยว่ถึงได้ถามเรือ่ งพวกนีล้ ่ะ?”
ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “พวกเขาจะเดินทางกันพรุ่งนี้เลย
ใช่หรือไม่?”
“ในเมื่อโหวเยว่ตกลงเรือ่ งการเปิดร้านขายยาแล้ว ข้า
ก็จะให้พวกเขาออกเดินทางกันพรุ่งนี้เช้าเลย” เถียนฮู
หยินพูดว่า “ข้าคาดการณ์ไว้วา่ ยาของโหวเยว่นา่ จะ
ขายได้ดีมาก ถึงเวลานัน้ เกรงว่าอาจจะไม่พอขายด้วย
ซ้ำ เลยอยากจะเตรียมของเอาไว้ล่วงหน้าก่อน เตรียม
สมุนไพรเอาไว้กอ่ นไม่มีเสียหาย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินท่านเป็นคนเก่งในการทำ
การค้า ข้าก็ไม่อยากปิดบังท่าน ที่ข้ายังมีสูตรยาอีก
หลายตัว หากเจ้าทำได้ดี ต่อไปข้าก็จะเอาสูตรยาพวก
นี้ให้เจ้าไปจัดการ”
ที่จริงในมือของเขาไม่มสี ูตรยาอะไรหรอก แต่วา่ เขารู้
ดีว่า เขาสามารถไปขอจากถังนั่วได้ มันไม่ใช่เรือ่ งยาก
อะไร
เถียนฮูหยินยิ้มหน้าบาน แล้วรีบพูดว่า “โหวเยว่
วางใจได้ ข้าจะทำให้ดีที่สุด ไม่ทำให้โหวเยว่ต้อง
ผิดหวังแน่นอน” นางดีใจมาก รู้สึกว่าตั้งแต่นางรู้จัก
โหวน้อยมา ร้านยาตระกูลเถียนก็เหมือนได้พบแสง
สว่าง
“พรุ่งนี้ขา้ เองก็ต้องไปซีชวนเหมือนกัน” ฉีหนิงคิด
แล้วพูดว่า “พอดีเลยข้าไม่คุ้นเคยเส้นทางซีชวน
เท่าไหร่ หากฮูหยินไม่รังเกียจ ไม่ทราบจะให้ข้ากับคน
ของข้าเดินทางตามคนของเจ้าไปที่ซีชวนด้วยได้
หรือไม่ ตอนที่เดินทางพวกเราจะได้มีเพือ่ นดูแลกันไป
ได้ด้วย”
เถียนฮูหยินอึ้งไป นางพูดด้วยความยินดีวา่ “อย่างนั้น
ก็ดีน่ะสิ มีโหวเยว่เดินทางไปกับพวกเขาด้วย ได้บุญ
บารมีของโหวเยว่ จะต้องราบรื่นแน่นอน” นางลุกขึ้น
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวไปสั่งให้พวก
เขาเตรียมตัวก่อนนะ พรุ่งนี้เช้าจะให้พวกเขามารอ
ท่านที่หน้าจวน”
ฉีหนิงยกมือแล้วพูดว่า “ไม่ต้อง พรุ่งนี้เช้า ข้าพาคน
ไปหาเจ้าที่จวนแล้วค่อยออกเดินทางพร้อมพวกเขา”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วกวักมือเรียกเถียนฮูหยินมา
เถียนฮูหยินลังเลครู่หนึ่ง ยังไม่เดินเข้าไปใกล้ ฉีหนิง
ขยับเข้าใกล้ แล้วพูดเสียงเบาว่า “เจ้าบอกพวกเขาว่า
ห้ามพูดเรือ่ งนี้ออกไปเด็ดขาด ข้าไปซีชวนครั้งนี้ เป็น
ความลับ ไม่อยากให้ใครรู้รอ่ งรอยของข้า หากมีใครรู้
เข้า ถึงเวลานั้นข้าจะจัดการกับเจ้าเป็นคนแรก”
เถียนฮูหยินตะลึงไป ใบหน้าสวยงามของนางเหมือนมี
ความตกใจ นางพูดอย่างน้อยใจว่า “โหวเยว่ ข้าไม่ได้
ทำอะไรผิดสักหน่อย เหตุใดต้องจัดการกับข้าด้วย
เล่า?”
ใบหน้าสวยงามของนางที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความ
น้อยใจ มองไปแล้วก็น่าสงสาร ยิ่งเป็นแบบนี้นางยิ่งดู
น่ารักน่าหลงใหล ฉีหนิงตั้งใจทำหน้านิ่งใส่นาง แล้ว
แกล้งพูดแบบจริงจังไปว่า “ข้าบอกเรื่องการเดินทาง
ของข้าให้เจ้าไปแล้ว หากมีคนอื่นรู้ขึ้นมา แสดงว่าเจ้า
เป็นของบอกน่ะสิ”
เถียนฮูหยินตอนนี้ถึงได้รู้ซึ้งแล้วว่าการอยู่ข้างเสือมัน
เป็นอย่างไร ในใจก็นึกสงสัยว่าการร่วมมือทำการค้า
กับโหวน้อยตกลงมันเป็นบุญหรือมันเป็นกรรมกันแน่
นางพูดด้วยความหงุดหงิดใจว่า “ข้าไม่มีทางพูด แล้ว
ข้าก็จะสั่งไม่ให้คนอื่นพูดด้วยเหมือนกัน หากว่า......
หากว่ามีใครรู้เรือ่ งการเดินทางของโหวเยว่ โหวเยว่
......โหวเยว่ก็ต้องตรวจสอบให้ดีก่อนถึงจะลงโทษได้”
นางกัดปาก ก้มหน้า เหมือนโกรธฉีหนิงที่ใส่ความนาง
ฉีหนิงเห็นนางทำท่าทางเหมือนสาวน้อยวัยใส ก็
หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป สั่งให้
พวกเขาปิดปากให้สนิทก็พอ จริงสิ แล้วเรื่องการค้า
กับทางสำนักหมอหลวงเป็นอย่างไรบ้าง? พวกเขาหา
เรื่องเจ้าหรือไม่?”
เมื่อพูดถึงสำนักหมอหลวงขึ้นมา เถียนฮูหยินก็ยมิ้
แล้วรีบพูดว่า “ตอนสิ้นปีส่งยาไปให้สำนักหมอหลวง
แล้วรอบหนึ่ง เดือนนี้ยังมีส่งให้อีก ใต้เท้าโจวเป็นคน
จริงใจ เข้าหาง่าย เขายังชมสมุนไพรของพวกเราอยู่
เลยว่าของเราเป็นของชัน้ ดีทั้งนั้น”
“ใต้เท้าโจว?”
เถียนฮูหยินอธิบายต่อว่า “ใต้เท้าโจวซือเหลียนเขา
เป็นโย่วหยวนพ่านของสำนักหมอหลวง ใต้เท้าโจ
วท่านดูแลเรื่องคลังยาหลวง”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “อย่างนั้นก็ดี” เขาลุกขึ้น
แล้วพูดว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องไปทำ ก็ไม่รั้งตัวฮูหยินไว้
แล้ว ฮูหยินกลับไปเตรียมตัวเถอะ พรุ่งนีเ้ ช้า ข้าจะไป
หา”
เถียนฮูหยินขอบคุณอีกครั้ง แล้วก็จากไป
ถึงแม้ฉีหนิงรู้ว่าจั่วชิงหยางหายไปตัวกะทันหัน
ทางการจะต้องเข้าไปสืบแน่ วิทยาลัยฉงหลินจะต้อง
เกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง แต่วา่ ตอนนี้เขาต้องออกจากเมือง
หลวงไป ก็ไม่มีเวลาไปจัดการ เขาทำได้แค่รอกลับมา
ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
เมื่อนึกถึงวิทยาลัยฉงหลิน ก็นึกถึงม้วนตำรา ฉีหนิง
กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ใช้มีดสั้นของเขากรีดไป
ที่อิฐก้อนหนึ่ง แล้วใช้ผ้าห่อม้วนตำรานั้นไว้สองชั้น
จากนั้นก็ยัดมันเข้าไปในอิฐ แล้วปิดปากช่องจนสนิท
ทำให้ดูไม่เห็นร่องรอยเลย
มีคนไม่น้อยต้องการม้วนตำรานี้อยู่ ถึงแม้ฉีหนิงยังไม่รู้
ว่าม้วนตำรานี่มันคืออะไรกันแน่ แต่ว่าเขารู้ว่ามันต้อง
ไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน ตอนนี้ยังไม่มีเวลาไปตาม
หาความลับที่ซอ่ นอยู่ในม้วนตำรา ทำได้แค่ซ่อนมันไว้
ก่อน
ถึงแม้จั่วชิงหยางจะหายตัวไป อาจเป็นไปได้ว่าจะถูก
ศัตรูจับตัวไป แต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ยังตัดสิน
ไม่ได้ว่า จั่วชิงหยางยังมีชวี ิตอยู่หรือไม่ ฉีหนิงไม่รู้เลย
จริงๆ หากจั่วชิงหยางกลับมาวันไหนสักวันหนึ่ง แล้ว
มาตามหาม้วนตำรากับเขา เขาเองก็ต้องคืนให้เขาไป
มีเงินทำอะไรก็ได้ เดินทางไกลไปซีชวน ฉีหนิงเลยได้
จังหวะเอาเงินที่คณุ ชายตระกูลพ่อค้ามาใช้ สำหรับ
เขาแล้ว การไปซีชวนครัง้ นี้ สัมภาระเขาไม่ได้สนใจ
เท่าไหร่ ขอแค่มีเงินติดตัวไป ไม่เอาอะไรอย่างอื่นไป
ยังได้เลย
เนื่องจากต้องเดินทางไกล คืนนี้ฉีหนิงเลยเข้านอนไว
มาก เช้าวันต่อมา ก็มีเสียงเคาะประตูมาปลุกเขาตื่น
เขาลุกขึ้นมาเปิดประตู ฟ้ายังไม่สว่างเลย เขาเห็นเงา
สวยงามยืนอยูท่ ี่หน้าประตู กู้ชิงฮั่นนั่นเอง กู้ชิงฮั่นเห็น
เขายังสะลึมสะลืออยู่ ก็ไม่พูดมาก เดินตรงเข้าไปใน
ห้องนอนของเขาทันที
ฉีหนิงรู้สึกดีใจมาก แอบคิดในใจว่าช่วงที่ผ่านมาม่าย
สาวคนสวยระวังตัวมาก แม้แต่เข้าใกล้ยังไม่ยอมเลย
ไม่ต้องพูดถึงว่าอยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่ว่าเช้าแบบนี้
นางกลับมาที่หอ้ งของเขาตามลำพัง นางเองก็ใจกล้า
ไม่น้อยเลย
“ซานเหนียง ทำไมท่านตื่นเช้าเช่นนี้?” ฉีหนิงดึงเสื้อ
มาคลุม เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้จะหนีไปสัก
หน่อย”
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่เขา แล้วถอนหายใจ “สัมภาระไม่ว่า
จะของกินหรือเสื้อผ้าข้าเก็บเตรียมไว้ให้หมดแล้ว เอา
ไปให้ฉีเฟิงแล้วนะ” นางหยิบตั๋วเงินออกมาปึกหนึ่ง
แล้วก็ถุงเศษเงินอีกหนึ่งถุง “นี่ตั๋วเงินสามพันตำลึง
เจ้าเอาติดตัวไว้ เดินทางข้างนอก ไม่มีเงินไม่ได้ ยังมี
อีก นี่ถุงเศษเงิน แล้วก็มแี ผ่นทองอีกนิดหน่อย เอาไว้
ใช้ตอนเดินทาง”
ฉีหนิงรับแต่ถุงเงินมา “ข้ามีเงิน ตั๋วเงินข้าก็ไม่เอา
แล้ว”
“เจ้าเอาติดตัวไปนั่นแหละ” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว “ต้อง
เดินทางไกล เหลือดีกว่าขาด”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ข้าโตแล้ว ข้ารู้ว่า
ต้องทำเช่นไร ตั๋วเงินนี่ไม่ต้องจริงๆ”
กู้ชิงฮั่นเห็นฉีหนิงยืนยันหนักแน่น ก็ถอนหายใจ เก็บ
ตั๋วเงินไป แล้วพูดว่า “อากาศยังไม่อุ่น ข้าเตรียมเสื้อ
หนาวไว้ให้แล้ว ตอนเดินทางเจ้าต้องใส่เสือ้ หลายชั้น
หน่อยนะ อย่าทนหนาว ยังมี ที่ซีชวนมีพิษมากมาย
เจ้าไม่เคยไปที่นั่น ก็ไม่รวู้ ่าจะอาหารเป็นพิษหรือไม่
อย่างไรก็ต้องระวังตัวให้มาก”
ฉีหนิงพยักหน้า กู้ชิงฮั่นพูดอีกว่า “อยู่ขา้ งนอก ไม่
เหมือนอยู่บ้าน หลายเรือ่ งไม่ใช่ว่าเจ้าจะตัดสินใจได้
นิสัยเจ้าสบายๆ อีกทั้งยังชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอีก อยู่
ข้างนอกสำรวจหน่อย ถึงแม้เจ้าจะเป็นถึงโหวเยว่ แต่
ว่าจิ่นอีโหวอย่างเราคุมซีชวนไม่ได้ ต่อให้ฝ่าบาทจะ
เป็นคนส่งเจ้าไปทำงานก็เถอะ ก็ใช่ว่าจะราบรืน่ ไปเสีย
ทุกอย่าง” นางหยุดพูดไป แล้วพูดต่ออีกว่า “อย่าไปมี
เรื่องกับใคร ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยถึงจะดี อย่า
ให้ข้าต้อง......เป็นห่วง”
กู้ชิงฮั่นกำชับเยอะมาก ฉีหนิงรู้สึกอบอุ่นใจมาก อีกทั้ง
ยังรู้สึกซาบซึ้งใจมากด้วย เขาพยักหน้า “ซานเหนียง
ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าทำภารกิจสำเร็จแล้ว จะรีบกลับมา
ท่านอยู่ที่บ้านก็อย่าเหนือ่ ยจนเกินไป ต้อง......ต้อง
ดูแลตัวเองให้ดี หากมีใครกล้ามาหาเรื่องจวนโหวของ
พวกเรา ท่านก็อย่าร้อนใจไป ไว้ข้ากลับมาจะไป
จัดการกับพวกมันเอง”
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่เขาแล้วต่อว่าไปว่า “เมือ่ ครู่ข้าเพิ่งจะ
พูดไป เจ้าลืมแล้วใช่หรือไม่? บอกว่าอย่าไปมีเรือ่ งกับ
ใคร ยังไม่ทันออกจากบ้านเลย ก็จะไปหาเรือ่ งคนอื่น
แล้ว เจ้าไม่อยู่ในเมืองหลวง ใครจะมาหาเรื่องเราได้
เล่า?”
ฉีหนิงยิ้ม ทันใดนั้นเองก็เห็นกู้ชิงฮั่นหันหลังไป เขา
กำลังสงสัย ยังไม่ได้พูดอะไร ก็เห็นกู้ชิงฮั่นตัวสั่น เขา
อดไม่ได้ที่จะเดินไปตรงหน้าของกู้ชิงฮั่น เห็นกู้ชิงฮั่น
หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ด ม่ายสาวคนสวยตาแดงก่ำ
เขารีบพูดว่า “ซานเหนียง ข้าก็แค่ออกเดินไปข้างนอก
เอง ท่านร้องไห้ทำไม?”
“ห้ามมอง” กู้ชิงฮั่นหันหลังไปอีกครั้ง “เมือ่ คืนข้า
นอนไม่ค่อยหลับ รูส้ ึกปวดตา ใครร้องไห้กัน? อย่าพูด
เหลวไหลนะ” นางพูดว่า “พวกของฉีเฟิงรอเจ้าอยู่
เจ้าเองก็ลา้ งหน้าล้างตาซะ......”
กู้ชิงฮั่นเตรียมน้ำร้อนให้ฉีหนิงล้างหน้าล้างตาด้วย
ตัวเอง หลังจากฉีหนิงล้างหน้าแล้ว ก็เก็บของอีก
หน่อย จากนั้นก็ออกจากห้องมาพร้อมกับกู้ชิงฮั่น
พวกของฉีเฟิงยืนรออยูท่ ี่หน้าประตูเรือน
ครั้งนี้เขาพาคนไปด้วยไม่เยอะ เขาเลือกองครักษ์ที่เก่ง
ทำงานได้ไปด้วยอีกสองคน กู้ชิงฮั่นสั่งกำชับว่า “ฉีเฟิง
พวกเจ้าไปซีชวนครั้งนี้ ต้องระวังตัวให้มาก ดูแลโหว
เยว่ให้ดี หากโหวเยว่ผมขาดไปแม้แต่เส้นเดียว
กลับมาข้าจะจัดการพวกเจ้า”
ฉีเฟิงพูดอย่างนอบน้อมว่า “ฮูหยินสามวางใจได้ ต่อ
ให้หัวของข้าต้องหลุดจากบ่าไป ก็จะ.....”
กู้ชิงฮั่นรีบพูดว่า “ใครสัง่ ให้เจ้าหัวหลุดกัน? ยังไม่ออก
จากประตู ก็พูดจาเหลวไหลแล้ว ข้าต้องการเห็นพวก
เจ้าทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัย”
ฉีเฟิงกับองครักษ์อีกสองคนยกมือคำนับแล้วพูดว่า
“คำสั่งของฮูหยินสาม พวกเราจะจดจำไว้เป็นอย่างดี”
ฉีหนิงพูดว่า “ซานเหนียง ข้าคงไม่ไปบอกลาแม่นาง
ถังกับไท่ฟูเหรินแล้วนะ รบกวนท่านบอกพวกนางให้ที
นะ”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้า แล้วเดินมาส่งพวกเขาที่หน้าประตู
จวน ม้าได้เตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว ฉีหนิงกับพวกขึ้น
ควบม้าไป กู้ชิงฮั่นกับหานโซ่วยืนอยู่ที่หน้าประตู ฉี
หนิงโบกมือแล้วพูดว่า “ซานเหนียง อากาศด้านนอก
หนาว พวกท่านรีบกลับเข้าไปดีกว่าพวกเราจะรีบ
กลับมา” เห็นกู้ชิงฮั่นยังคงมีสีหน้าที่กังวล ดวงตาของ
นางแดงก่ำ เขาก็รู้สึกปวดใจ เขายิ้มแล้วก็ควบม้าเดิน
ไป ควบไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็หันกลับมามอง เขาเห็น
กู้ชิงฮั่นยังยืนที่หน้าประตูจวนเหมือนเดิม ท่ามกลาง
ฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นมา นางดูอ่อนโยนมาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 345 กระท่อมในป่า
สายน้ำ ภูเขา เมฆหมอก บรรยากาศที่สวยงามราวกับ
สรวงสวรรค์ ทำให้คนเคลิบเคลิ้ม
เรือล่องลอยไปตามสายน้ำ คนเดินเรือทำงานกันอย่าง
คล่องแคล่วว่องไว แต่กร็ ะมัดระวัง เส้นทางน้ำสายนี้
สองฟากฝั่งเป็นภูเขาสูงใหญ่ สายน้ำไหลเชี่ยวมาก
คลื่นกระทบเรืออย่างแรง ตลอดทางมีแต่โขดหินเต็ม
ไปหมด เส้นทางอันตรายมาก แต่เรือก็ยังสามารถลอย
ไปตามน้ำราวกับปลาน้อยที่แหวกว่ายอยู่ใต้น้ำ
สถานที่อันตรายแบบนี้สำหรับใครหลายคนมันเหมือน
ความทรมาน แต่ใครอีกหลายคนก็รู้สึกว่ามันท้าทาย
ฉีหนิงยืนอยู่ที่หัวเรือ เขามองไปยังภูเขาสองฟากฝั่ง
เขาสัมผัสได้ถึงอากาศที่บริสุทธิ์ ทำให้เขารู้สึกสดชื่น
มาก ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าการมาซีชวนในครั้งนี้ไม่ใช่งาน
ง่ายๆ แต่ว่าตอนนี้ได้สูดบรรยากาศแบบนี้ มันก็ทำให้
เขามีความสุขมาก ไม่เสียแรงที่เขาได้เดินทางมา
“ฉีเฟิง ข้าว่าต่อไปเกษียณแล้ว มาอาศัยอยู่ที่นี่ได้เลย
นะ” ฉีหนิงสูดอากาศบริสุทธิ์ แล้วยิ้ม
ฉีเฟิงยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าของเขาดูเครียดมาก เขาพูด
อย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “โหวเยว่ รอบหน้าหากมาซีชวน
อีก ข้าไม่มีทางลงเรือมาอีกแน่นอน”
ครั้งนี้ฉีหนิงถึงได้รู้ว่า ปกติฉีเฟิงที่กระโดดโลดเต้นเป็น
ลิง ที่จริงเขาก็เหมือนเป็ดแห้ง ขึ้นเรือเมื่อไหร่ก็เมาเรือ
เมื่อนั้น หากไม่ใช่เพราะการเดินทางด้วยเรือมันเร็ว
แล้วก็สะดวก ฉีเฟิงไม่มีทางเลือกขึ้นเรือมาเด็ดขาด
ชายที่อยู่ข้างๆ อายุราวสี่สิบปีชี้ไปข้างหน้าแล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ตรงนั้นคือหุบเขาเทพธิดา หากผ่านตรงนี้
แต่ไม่ดูหุบเขาเทพธิดา ถือว่ามาเสียเที่ยวนะ”
ชายวัยกลางคนคนนี้เป็นหัวหน้าคณะจัดซื้อยาของ
ตระกูลเถียน เขาชื่อเถียนเม่า ฉีหนิงเดินทางมาในครั้ง
นี้ เขาดูแลฉีหนิงกับพวกเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะกินจะอยู่
ทุกอย่างดีหมด แทบจะไม่ต้องให้ฉีหนิงต้องกังวลเลย
อีกทั้งระหว่างเดินทางนั้นจะต้องไปทางไหนอย่างไร
เถียนเม่ารู้ดีทุกอย่าง
หลังจากฉีหนิงเดินทางออกจากเมืองหลวงมา พวก
เขาเดินทางอย่างเรียบง่าย การเดินทางมันไม่ใช่แค่วัน
เดียว ต้องเดินทางผ่านเซียงหยาง ไปทางทิศตะวันตก
แล้วลงเรือออกไปทางเหนือ
หลังจากลงเรือแล้ว ก็ต้องเดินทางผ่านอี๋หลิง เดินทาง
ต่อไปยังด่านหนานจิน ก็จะเดินทางมาถึงยังปลายหุบ
เขา จากนั้นต้องเดินทางตามสายน้ำไปทางตะวันตก
เดินทะลุผ่านหุบเขาที่อันตรายไปอีกหลายลูก เมื่อถึง
หุบเขาอูซานแล้วก็จะถูกขวางด้วยภูเขาอีก แม่น้ำที่
กว้างใหญ่เปรียบเสมือนขวานยักษ์ เมื่อล่องเรือทะลุ
ผ่านภูเขามาได้ ก็จะเดินทางไปทางทิศตะวันออกอีก
เส้นทางเหล่านี้ก็คือเส้นทางในเขื่อนสามผา
ทิวทัศน์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดเมื่ออยู่ที่จุดสูงสุด
เนื่องจากสองฟากฝั่งของเขื่อนสามผานั้นเป็นภูเขาสูง
ที่อันตรายมาก มีเส้นทางหุบเขาที่คดเคี้ยว ดังนั้นมัน
จึงทำให้งดงามมาก เพียงแต่ว่าเส้นทางน้ำที่นี่นั้นเชี่ยว
มาก เรือจะมีการโยกไปมาเป็นพิเศษ ฉีเฟิงกับ
องครักษ์อีกคนของฉีหนิงนั่งเรือจนเวียนหัวไปหมด
พวกเขาทรมานมาก
หลังจากที่ทุกคนผ่านหุบเขาซีหลิงมาแล้ว ไม่นานนักก็
มาถึงหุบเขาอูเสียที่สวยงาม ตอนนี้เรือล่องอยู่ภายใน
หุบเขาอูเสีย หุบเขาอูเสียมียอดเขาสูงทั้งหมดสิบสอง
แห่ง หุบเขาเทพธิดาเป็นหุบเขาที่งดงามที่สุดของที่นี่
บรรยากาศแบบนี้ ทำให้ฉีหนิงลืมไม่ลงจริงๆ
คนเดินเรือไม่ได้มองไปที่หุบเขาที่สวยงามนี้เลย เขา
สนใจแต่ทิศทางลมและน้ำ โขดหินและความอันตราย
ในน่านน้ำคือสิ่งที่พวกเขาสนใจ
เมื่อผ่านจากหุบเขาอูเสียมากแล้ว พวกเขาก็เข้าสู่
แม่น้ำต้าหนิง ด้านหน้าที่กำลังจะถึงก็คือหุบเขาชวีถัง
สายน้ำของที่หุบเขาชวีถังนั้นเชี่ยวมากกว่าเดิม การ
เดินเรืออันตรายมากกว่าเดิม แม้แต่คนเดินเรือก็ยากที่
จะควบคุมเรือได้ เถียนเม่าพิจารณาถึงฐานะของฉี
หนิงแล้ว ก็ไม่กล้าเสี่ยง เพื่อความปลอดภัย เขาจึง
แนะนำให้เดินทางต่อทางบก ฉีหนิงเองก็ไม่ได้คัดค้าน
ทุกคนทิ้งเรือแล้วเดินทางต่อทางบก พวกเขาแวะพัก
ในเมืองของเขตภูเขาอูซานหนึ่งคืน เช้าวันต่อมาถึงได้
เดินทางต่อ
เขาปาตงเส้นทางอันตราย จึงเกิดบทกลอนที่พูดกัน
ต่อมาว่า “หุบเขาสองแห่ง ทำให้ม้าที่วิ่งมานั้นตาย
ไป” ซึ่งหมายความว่าเส้นทางคดเคี้ยวมากอ้อมไปมา
มองไปจึงดูแสนไกล
เป้าหมายของฉีหนิงก็คือเดินทางไปจนถึงเมืองเฉิงตู
ก่อน แต่ว่าทางคณะของร้านยาตระกูลเถียนจะต้อง
เดินทางไปยังเขตปาซี ตอนนี้ก็เข้าสู่พื้นที่ของซีชวน
แล้ว เถียนเม่าเองก็เสนอว่าจะไปส่งฉีหนิงถึงเมืองเฉิง
ตูก่อน แต่ว่าฉีหนิงก็รู้ว่าช่องเขาของที่นี่เดินทาง
ลำบาก หากเถียนเม่าต้องไปส่งเขาที่เมืองเฉิงตูอีกแล้ว
ค่อยไปที่เขตปาซี ก็ต้องเดินทางอ้อมอีกรอบใหญ่ เขา
กล่าวขอบคุณแล้วปฏิเสธ เถียนเม่าเองก็ไม่ดึงดัน เขา
เลยสั่งให้หลี่ถังเป็นคนนำทางให้ฉีหนิง
หลี่ถังเป็นคนท้องที่ ไปมาระหว่างเมืองหลวงกับซีชวน
มาหลายปี เขาเดินทางหาซื้อสมุนไพรจากหลายพื้นที่
ในซีชวน ดังนั้นเขาคุ้นเคยกับพื้นที่นี้ดี เถียนเม่าทิ้งเขา
ไว้ ก็เปรียบเสมือนทิ้งคนนำทางไว้ให้กับฉีหนิง
ถึงแม้ฉีหนิงจะมีฐานผู้ตรวจการมายังซีชวน แต่ว่าเขา
กับฮ่องเต้น้อยกลับไม่ได้ประกาศให้ใครได้รู้ เขารู้ว่า
เป้าหมายการสืบเรื่องถ้ำเฮยเหยียนจะต้องเป็นไป
อย่างลับๆ หากสามารถทำเงียบๆ ได้จะดีที่สุด จะให้
เดินทางแบบผู้ตรวจการทั่วไปที่ตีฆ้องร้องเปล่าคง
ไม่ได้
สถานการณ์ของซีชวนซับซ้อน เครือข่ายอำนาจคาบ
เกี่ยวกันไปหมด หากมาอย่างเปิดเผยว่าเป็น
ผู้ตรวจการ เกรงว่าคงสืบไม่ได้เรื่องอะไรแน่นอน
เดินทางมาได้สองสามวัน ตอนนี้เข้าใกล้เมืองจิ่นกวน
เข้าไปเรื่อยๆ แต่ว่าเส้นทางในซีชวนคดเคี้ยวมาก
อ้อมภูเขาไปมาหลายลูก หากไม่มีคนนำทาง ฉีหนิงนึก
ไม่ออกเลยว่าจะไปถึงเมืองจิ่นกวนวันไหน
เดินทางมาทั้งวันตอนนี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว แต่ว่าข้างหน้าไม่
มีหมู่บ้านด้านหลังไม่มีร้านค้าเลย สถานการณ์แบบนี้
ถือได้ว่าไม่แปลกอะไร เส้นทางในซีชวนหากเดินผิด ก็
จะเสียเวลาได้ทันที
ยังดีที่หลี่ถังอธิบายว่า เส้นทางนี้มักจะมีกระท่อมไม้
โผล่เป็นระยะ อีกทั้งเจ้าของบ้านก็ใจดีมักจะรับดูแล
คนที่เดินผิดทางให้ได้พักค้างแรมประจำ เพื่อป้องกัน
ลมพายุฝนที่จะตกลงมา พวกเขาจะสร้างกระท่อมไม้
ไว้ให้ อีกทั้งยังทิ้งสัญลักษณ์ไว้อีก สำหรับคนนอกแล้ว
คงไม่เข้าใจความหมาย แต่ว่าหลี่ถังเป็นคนที่นี่ เขารู้
เรื่องพวกนี้ดี
ไม่ผิดจากที่คิด ก่อนฟ้ามืด หลี่ถังเจอสัญลักษณ์จริงๆ
พวกเขาเดินตามสัญลักษณ์ไป ก็เจอกระท่อมไม้จริงๆ
กระท่อมในป่าส่วนมากทำจากไม้ พื้นโล่ง เพดานสูง
ชั้นสองถึงจะเป็นที่พักอาศัยได้
“นี่เป็นกระท่อมแบบชาวปา” หลี่ถังอธิบายต่อว่า “ซี
ชวนนอกจากชาวฮั่นกับชาวเหมียวแล้ว ยังมีชาวปา
ด้วย แต่ว่าชนเผ่าของพวกเขาเหลืออยู่น้อยมากแล้ว
อำนาจก็เทียบไม่ได้กับชาวฮั่นกับชาวเหมียวที่อยู่ในซี
ชวนเลย”
หลี่ถังเดินอยู่หน้าสุด ฉีเฟิงกับพวกอีกสามคนเดินตาม
อยู่ข้างๆ ฉีหนิง พวกเขาถือห่อผ้าเดินมาที่บ้านไม้
ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว นอกจากนี้ ที่นี่ก็ไม่มีที่พักอื่นอีก
ไม่อย่างนั้นก็จะต้องพักในป่า
หลี่ถังเปิดประตูบ้านไม้เข้าไป แล้วมองดู จากนั้นก็หัน
มาพูดว่า “ที่นี่เหมือนจะไม่มีคน พวกเราจะพักที่นี่กัน
หนึ่งคืน”
พวกเขาเดินเข้ามาในบ้าน ภายในมืดมาก ฉีหนิงกำลัง
จะให้คนไปจุดไฟ แต่ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ เขามองเข้า
ไป ท่ามกลางความมืด เขาเห็นเหมือนเป็นเงาของคน
สองคน เขาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย ในตอนนี้เอง ก็
เหมือนมีแสงลอดลงมา ขณะที่ฟ้าผ่าลงมานั้น มันส่อง
มายังภายในห้อง ฉีหนิงเห็นสองคนนั้นกำลังถืออะไร
บางอย่าง แล้วจ้องมาที่ทางเขา
หลี่ถังยังไม่รู้สึก เขาพูดขึ้นมาว่า “พายุปีนี้มาเร็วจริงๆ
คิดว่าไม่น่าจะดี” ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกว่าผิดปกติ
เขาเห็นฉีเฟิงกับพวกเดินมาขวางหน้าฉีหนิงแล้ว
หลี่ถังตกใจ
หลังจากฉีเฟิงกับพวกเดินเข้ามาในบ้านแล้ว พวกเขา
ก็รู้สึกว่ามันผิดปกติ ขณะที่ฟ้าผ่า ฉีหนิงเห็นเงาโผล่มา
ฉีเฟิงกับอีกสองคนก็เห็นเหมือนกัน พวกเขาไม่พูด
อะไรมาก รีบมาคุ้มกันฉีหนิงทันที
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าเขามาที่ซีชวนครั้งแรก ไม่เคย
รู้จักอีกฝ่ายมาก่อน ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างความแค้นกับ
ใคร เขายกมือคำนับแล้วพูดว่า “พวกเรามาทำการค้า
ที่ซีชวน เดินผิดทาง ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ฝนก็จะตก
แล้วด้วย เลยจำเป็นต้องอาศัยที่นี่พักแรมสักคืน พวก
ท่านวางใจได้ พวกเราไม่รบกวนพวกท่านแน่นอน”
หลี่ถังเคยบอกว่า บ้านไม้พวกนี้ไม่มีเจ้าของ คนผ่าน
ทางสามารถใช้ได้ทุกคน คิดว่าก่อนหน้านี้ น่าจะมีคน
เข้ามาพักที่นี่ก่อนแล้ว
พวกเขาสองคนไม่พูดไม่จา เหมือนจะไม่อยากเป็น
ศัตรูกับพวกฉีหนิงเหมือนกัน พวกเขาหันหลังแล้วเดิน
ไปทางมุมด้านทิศตะวันตกของบ้าน ฉีหนิงเห็นดังนั้น
ก็สั่งให้ทุกคนไปยังทิศตะวันออกของบ้าน ต่างคนต่าง
อยู่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
พวกของฉีหนิงยืนล้อมเป็นวงกลมแล้วนั่งลง ฉีเฟิง
กำลังจะเปิดห่อผ้าเอาอาหารแห้งออกมา ฟ้าก็ผ่าลง
มาอีกพร้อมกับเสียง จากนั้นก็มีฝนตกราวกับเมล็ดถั่ว
เหลืองตกลงมา มันตกลงมาใส่บนหลังคาเสียงดังมาก
ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “โหว.....คุณชาย ยังดีที่เสียวหลี่
ฉลาด ถ้าไม่เจอที่นี่ พวกเราคงต้องตากฝนเปียกปอน
แน่เลย”
เขาเกือบหลุดปากพูดอะไรแล้ว แต่ยังดีที่หัวไว นึกขึ้น
ได้ว่าในบ้านไม้มีคนอยู่ เลยรีบเปลี่ยนคำ
เขารู้ว่า ฉีหนิงในฐานะผู้ตรวจการ กลับไม่ได้เดินทาง
มาแบบเปิดเผย แสดงว่าต้องการทำงานอย่างลับๆ
หากไม่เปิดเผยฐานะได้ยิ่งดี อีกทั้งอยู่ในป่าแบบนี้ด้วย
แล้ว แถมยังมีคนไม่รู้ที่มาที่ไปอยู่ที่นี่ด้วย ก็ต้องยิ่ง
ระวังเป็นพิเศษ
หลังจากคุ้นเคยกับบรรยากาศในบ้านไม้แล้ว ถึงแม้
ภายในจะมืด แต่ว่าพวกเขาก็ยังมองออก คนอีกด้าน
หนึ่งมีคนราวสี่ห้าคนได้ ซึ่งจำนวนคนเท่ากับพวกเขา
พวกเขาเปิดห่อผ้า แล้วหยิบอาหารแห้งออกมา ตลอด
ทางลำบากกันมามาก แต่ว่ากินดื่มก็ไม่ได้ขาด อีกทั้ง
พอผ่านร้านค้าก็จะซื้ออาหารแห้งเพิ่มเติม กันว่าจะ
พลาด
นอกจากขนมเปี๊ยะแล้ว ยังมีเป็ดย่างอีกสองชิ้น นี่เป็น
ของที่ฉีเฟิงเตรียมไว้ให้ฉีหนิง เมื่อหยิบเป็ดย่างออกมา
กลิ่นมันหอมมาก ฉีเฟิงหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่เหล้า
เอาไว้ออกมา เขายิ้มแล้วพูดว่า “คุณชาย ท่านลอง
เหล้านี่ดูว่ารสชาติดีหรือไม่” นี่เป็นของที่พอเข้าซีชวน
มาฉีเฟิงตั้งใจเตรียมให้เฉพาะ หลายที่ในซีชวนหมัก
เหล้าใช้กระบอกไม้ไผ่หมัก เมื่อเหล้ากับไม้ไผ่ผสมกัน
รสชาติหอมยวนใจมาก
ฉีหนิงยังไม่ทันรับมา ก็ได้ยินมีคนพูดขึ้นมาว่า
“รบกวน ขอ.....ขอเหล้าให้พวกเราสักหน่อยได้
หรือไม่?”
พวกเขามองไป เห็นคนจากอีกฝั่งหนึ่งเดินมา สายตา
ของเขามองไปที่กระบอกไม้ไผ่ในมือของฉีเฟิง
ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านชอบดื่มเหล้าหรือ?”
คนๆ นั้นส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าต้องการเหล้า......” คนผู้
นั้นหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ถูกต้อง ข้าเองก็ชอบ
ดื่มเหล้า ให้ข้าสักครึ่งกระบอกได้หรือไม่?”
ฉีเฟิงมองไปที่ฉีหนิง ฉีหนิงรับกระบอกไม้ไผ่มา แล้ว
ยื่นให้คนผู้นั้น “ในเมื่อชอบดื่มเหล้า ครึ่งกระบอกจะ
ไปพอได้อย่างไร เอาไปทั้งหมดนั่นแหละ พวกเรายังมี
อีก”
คนผู้นั้นยกมือสองข้างคำนับแล้วพูดว่า “ขอบคุณ
มาก” เขาโค้งตัวลง
หลี่ถังเห็นคนผู้นั้นเดินไปไกลแล้ว ก็พูดเสียงเบาๆ ว่า
“เขาเป็นชาวเหมียว พูดภาษากลางไม่ค่อยชัด ฟังดูก็รู้
แล้ว” เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ยิน เขาพูดด้วยความ
สงสัยว่า “ชาวเหมียวไม่ค่อยสวมเสื้อผ้าของชาวฮั่น
เท่าไหร่ แต่ว่า......เขาเป็นชาวเหมียวนี่นา แต่ทำไมใส่
เสื้อชาวฮั่นพูดภาษากลางเล่า น่าแปลกจริงๆ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 346 คืนฝนพรำที่น่าสะพรึง
พายุฝนโหมกระหน่ำ สายฝนตกมาบนหลังคาเสียงดัง
สนั่นหวั่นไหว น้ำฝนหยดลงมาจากรอยรั่วของหลังคา
กระท่อม มันเหมือนกับดึงม่านหมอกที่แขวนเอาไว้
ออกมาจากอากาศบางๆ ภายในกระท่อมกับด้านนอก
มันต่างกันเหมือนคนละโลก เสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว
มันแสดงให้เห็นถึงความสงบของป่า
เมื่อกินอาหารแห้งกันแล้ว ภายในห้องก็สงบอีกครั้ง
อีกฝ่ายเป็นชาวเผ่าเหมียวแท้ๆ แต่กลับแต่งกายเป็น
ชาวฮั่น ฉีหนิงกับพวกมีใจระแวงชาวเหมียวอยู่แล้ว
อีกทั้งอีกฝ่ายเองก็ระแวงพวกเขาเหมือนกัน ทั้งสอง
ฝ่ายมีแต่ความกังวล ดังนั้นแม้แต่ลมหายใจก็แทบจะ
ไม่ได้ยินกัน
ทันใดนั้นเองก็เหมือนมีเสียงเล็กๆ ลอดออกมา
เหมือนเป็นเสียงร้องของความเจ็บปวด ฉีหนิงก็ขมวด
คิ้ว ฉีเฟิงขยับเข้าใกล้หูของฉีหนิง แล้วพูดว่า
“คุณชาย พวกเขาเหมือนจะมีคนบาดเจ็บ”
ฉีหนิงพยักหน้า ทั้งสองฝ่ายถึงจะไม่ได้พูดคุยกัน แต่
ว่าก็แอบสังเกตการณ์กันอย่างเงียบๆ
กระท่อมไม้ถึงแม้จะไม่ได้เล็ก แต่มันก็ไม่ได้ใหญ่มาก
ถึงแม้พวกเขาทั้งสองอยู่กันคนละฝั่ง อีกทั้งยังไม่ได้ก่อ
กองไฟ ภายในห้องก็มืดมาก แต่ว่าการกระทำของอีก
ฝ่าย กลับสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
อีกฝ่ายขอกระบอกเหล้าไป ฉีหนิงรู้ว่าสถานการณ์ไม่
ปกติเพราะว่าพวกเขามาขอเหล้า หลังจากคนที่มาขอ
เหล้ากลับไป เขาก็สังเกตอยู่พักหนึ่ง เห็นเหมือนจะมี
คนนอนอยู่ที่พนื้ แต่ว่ามีคนล้อมอยู่แบบนั้น ก็ไม่เห็น
ว่าคนผู้นั้นเป็นอะไร
แต่ว่าเมื่อได้ยินเสียงร้อง ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ คนที่นอน
อยู่ที่พื้นนั้นได้รับบาดเจ็บ เพื่อนร่วมทางของเขากำลัง
ช่วยเขารักษาบาดแผล ดังนั้นเขาถึงได้เดินขอเหล้า
จากเขา หากไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะเอาไปล้างแผล
ให้คนเจ็บ ใช้เหล้าล้างพิษ มันเป็นวิถีของเหล่าชาว
ยุทธ์ เป็นเรื่องธรรมดาที่พบเห็นกันบ่อย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชาวเหมียวกลุ่มนี้มีที่มาไม่ธรรมดา
แน่นอน
แต่ว่าไม่เข้าไปยุ่งจะดีกว่า อีกฝ่ายก็ไม่ได้จะมาหาเรื่อง
เขา เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องหาเหาใส่หัว อีกทั้งอยู่
ที่นี่แค่คืนเดียว หลังจากสว่างแล้ว ทุกคนก็ต่างคนต่าง
ไป ไม่เกี่ยวข้องกัน
“คุณชาย พวกท่านพักก่อนเถอะ” ฉีเฟิงพูดว่า “เดี๋ยว
ข้าเฝ้าเอง”
ออกเดินทางอยู่ข้างนอก ต้องมีใจระวังตัวให้มาก ทั้ง
สองพวกอยู่ในกระท่อมหลังเดียวกัน ต่างคนต่างพัก
อย่างไรก็ต้องระวังตัวไว้ก่อน
เดินทางมาทั้งวันแล้ว แต่ว่าพรุ่งนี้ยังต้องเดินต่ออีก
อย่างไรก็ควรจะออมแรงไว้ก่อนดีกว่า ฉีหนิงกระซิบ
กำชับอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็พิงกำแพง เตรียม
จะเข้านอน พอหลับตาลง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคน
เขาก็ค่อยๆ ลืมตามาอย่างระวัง เขาก็เห็นคนที่เดินมา
ขอเหล้าเขาเดินเข้ามาหาอีกครั้ง
พวกของฉีเฟิงรีบตื่นตัว คนผู้นั้นยื่นกระบอกเหล้าคืน
มาให้ แล้วพูดว่า “ขอบคุณพวกท่านมาก”
ฉีเฟิงรับของคืนมา คนผู้นั้นพูดว่า “พวกท่านทำ
การค้าที่นี่หรือ? ถ้าเช่นนั้น ข้าขอเตือนพวกท่านสัก
หน่อย พวกท่านต้องคิดให้ดีนะ”
“อะไรนะ?” ฉีเฟิงระวังตัวมาก
คนผู้นั้นพูดว่า “ที่นี่ไม่ค่อยสงบนัก มีอันตรายได้
ตลอดเวลา หากพวกท่านเชื่อพวกเรา ก็รีบไปจากที่นี่
ซะ ไปไกลเท่าไหร่ยิ่งดี ไม่เช่นนั้น......พวกท่านอาจจะ
เดือดร้อนได้”
“อ๋อ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านบอกว่าที่นี่อันตราย
อย่างนั้นหรือ? ขอถามสักหน่อยได้หรือไม่ เหตุใดถึง
บอกว่าอันตรายเล่า?”
คนผู้นั้นก็ไม่อธิบายอะไรมาก พูดแค่ว่า “เชื่อหรือไม่
แล้วแต่พวกท่าน หากไปตอนนี้ยังทัน ถ้าอันตราย
มาถึงตัว พวกท่านคิดจะไป......อาจจะไม่ทัน” เขาไม่
พูดมากอีก หันหลังแล้วเดินกลับไป
ฉีเฟิงขยับตัวมาใกล้ๆ ฉีหนิง “คุณชาย ที่เขาพูดจะ
จริงหรือไม่?”
ฉีหนิงพูดเสียงเบาว่า “พวกเขามีคนเจ็บ น่าจะเป็น
อันตรายที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา แต่ว่า......” เขายังพูด
ไม่ทันจบ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องคำราม เหมือนกับ
สัตว์ป่าดังขึ้นมาจากด้านนอก
ฝนที่ตกลงมาอย่างรุนทำให้เสียงดังไปทั่วหลังคา แต่
ว่าเสียงร้องคำรามนั้นเหมือนจะดังทะลุเสียงฝนเข้า
มาถึงในหู
ในตอนนี้เอง พวกที่อยู่ตรงข้ามพวกเขาก็ต่างลุกขึ้นมา
ในมือของพวกเขาถืออาวุธพร้อมมือ
“เสียงอะไร?” หลี่ถังพูดขึ้นมา เขาลุกขึ้นมา ฉีเฟิง
กลับพูดว่า “เจ้ามาซีชวนก็บ่อย หรือว่าเจ้าฟังไม่ออก
หรือว่าเป็นเสียงอะไร?”
หลี่ถังยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ข้าคุ้นเคยเส้นทางในซีชวน
คุ้นเคยกับพวกสมุนไพร แต่ว่าไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น
ในซีชวนสักหน่อย”
เมื่อพูดจบ เสียงร้องโหยหวนนั้นก็ดังขึ้นอีก ครั้งนี้
เหมือนมันจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เขาลุกขึน้ มาที่ริมหน้าต่าง ยกมือขึ้น
แล้วแง้มหน้าต่างออก ลมพายุด้านนอกพัดเข้ามา
สายตาของเขาดีมาก เขาเห็นท่ามกลางพายุฝนด้าน
นอก เหมือนมีเงาอะไรบางอย่างกำลังใกล้เข้ามาที่
กระท่อม มันก็ไม่ได้เร็วมาก แต่ว่าพริบตาเดียว ก็
มาถึงด้านหน้ากระท่อมแล้ว
ฉีเฟิงเขยิบเข้ามาใกล้ฉีหนิงแล้วมองออกไปด้านนอก
เมื่อเห็นว่ามีคนมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาหลุด
พูดออกมาว่า “นั่นมันอะไรน่ะ?”
ท่ามกลางสายฝน เห็นเงารูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายกำยำ
แต่ว่าตัวโค้งโก่ง เหมือนจะไม่มีผม แต่ว่าทั่วทั้งตัวเต็ม
ไปด้วยขน บนหัวมีเขาขนาดใหญ่ แต่มันไม่ใช่วัวไม่ใช่
กวาง เหมือนเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวหนึ่ง แต่ว่ายืน
ได้ด้วยสองเท้า ในมือของมันมีอาวุธ ดูไม่ออกว่ามัน
คืออะไร
“ออกทางด้านหลังกัน” ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงชาว
เหมียวดังขึ้น “ข้าจะอยู่ต้านมันเอาไว้เอง” เมื่อพูดจบ
ชายเหมียวก็ถืออาวุธ ก็พุ่งออกไปหน้าประตู
“ไม่ได้ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน” ทันใดนั้นเองก็ได้ยิน
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมา “พวกเจ้ารีบออกไปทาง
ด้านหลัง ข้ากับหยากานจะอยู่รับมือเอง”
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก เขาหันหน้าไปมอง เขาเห็น
ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินมา ผู้หญิงคนนั้นรูปร่างสูงยาว
เข่าดี ผิวพรรณไม่ถือว่าขาว แต่ก็ไม่คล้ำ ร่างกาย
แข็งแรงมาก ในมือของนางถือดาบ ดาบนั้นคมมาก
ท่าทางของนางดูองอาจไม่น้อย
ผู้หญิงคนนี้ดูอายุประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี ดูจาก
หน้าตาแล้วไม่ค่อยเหมือนสาวชาวฮั่นเท่าไหร่ แต่ก็
เป็นสาวงามคนหนึ่ง ฉีหนิงเจอสาวงามมากมาย แต่ว่า
หญิงสาวที่สวยแบบชาวเผ่าอย่างเต็มตัวเช่นนี้เขาเจอ
ไม่มาก แต่ว่าความสง่างามองอาจที่ออกมาจากตัว
นาง มันทำให้ไม่อาจลืมได้เลย ภายในกระท่อมที่
มืดมน เหมือนไม่สามารถบดบังสายตาอันเป็น
ประกายของนางได้เลย
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก เมื่อเห็นปฏิกิรยิ าของชาวเหมียว
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นน่าจะมา
เพราะชาวเหมียวพวกนี้
“พวกเจ้าเองก็รีบหนีไปซะ” ผู้หญิงคนนั้นหันมามองฉี
หนิง “อยากมีชีวิตอยู่ ก็ต้องดูว่าพวกเจ้ามีดวงนั้น
หรือไม่”
ผู้หญิงคนนั้นพูดจบ ก็ได้ยินเสียงร้องคำรามของเจ้า
สัตว์ประหลาด อาวุธในมือของมันใหญ่มาก มันบุก
เข้ามาในกระท่อม ครั้งนี้มันรวดเร็วมาก คนภายใน
กระท่อมยังไม่ทันได้เตรียมตัว ประตูกระท่อมก็ถูก
กระแทกจนกระเด็น
มันกระจายไปทั่ว ทุกคนต่างหาที่หลบ
“รีบไป” ชาวเหมียวที่ถูกเรียกว่าหยากานตะโกน เขา
ยกดาบในมือขึ้นมา แล้วก็ฟันเข้าใส่เจ้าสัตว์ประหลาด
นั่น เจ้าสัตว์ประหลาดยกแขนขึ้นมา เขาไม่ได้สนใจ
เลยว่าหยากานจะใช้ดาบฟันมาที่เขา เขาสนใจแต่การ
ออกอาวุธของตัวเอง เขาตวัดดาบในมือใส่หยากาน
สีหน้าของฉีหนิงเปลี่ยนไป สายตาของเขาดีมาก
ตอนนี้เขาเห็นทุกอย่างชัดเจน นี่มันไม่ใช่สัตว์
ประหลาดนี่นา มันเป็นชายตัวใหญ่ร่างยักษ์ ที่มี
กล้ามเนื้อเห็นเป็นเส้นโผล่ออกมา อีกทั้งยังมีบาดแผล
เต็มตัวไปหมด อีกทั้งยังถืออาวุธที่เหมือนกับค้อนยักษ์
ไม่มีการแกะสลักลวดลายอะไร เหมือนกับค้อนยักษ์
ปกติทั่วไป ชายท่าทางดุดันแบบนี้ ในมือก็ไม่ได้
ต้องการอาวุธร้ายกาจอะไรมาก แค่ค้อนอันเดียว ก็
เพียงพอแล้ว
ชาวเผ่าเหมียวเห็นชายร่างยักษ์บุกเข้ามา ก็รู้ทันทีว่า
หนีไม่พ้น ชาวเหมียวอีกสามคนก็ไม่ลังเลที่จะหยิบ
อาวุธขึ้นมาแล้วบุกเข้าใสชายร่างยักษ์นั้น ท่ามกลาง
สายฝนอย่างหนัก มีแต่เสียงอาวุธที่ปะทะกัน
พวกของฉีเฟิงเองก็ชักอาวุธออกมาถือในมือ พวกเขา
คุ้มกันฉีหนิงไว้ เห็นชายร่างยักษ์ท่าทางประหลาด
ต่างก็ตกใจ
ชายร่างยักษ์มีพละกำลังมาก เขาตวัดอาวุธที ก็มี
แรงลมปะทะเข้ามา พวกของหยากานแทบจะเข้าใกล้
เขาไม่ได้เลย ทำได้แค่หลบแล้วก็หาโอกาสโจมตี
ไม่ว่าจะเป็นชาวเหมียวหรือว่าฉีหนิง พวกเขาต่างก็รู้ดี
ว่า ชายร่างยักษ์ไม่ได้มีลวดลายอะไรมากมาย แทบจะ
ไม่ได้เป็นกระบวนท่าด้วยซ้ำ ออกอาวุธแต่ละที ก็
อาศัยแค่พละกำลังของตัวเองอย่างเดียว ถึงแม้จะ
ไม่ได้มีกระบวนท่าชัดเจน แต่ว่ามันก็อันตรายมาก
หากถูกทุบ ต่อให้ไม่ตาย ก็ต้องเจ็บหนัก
“อีฝู เจ้าพาอาฉีหนีไปก่อน” หยากานตะโกน “พวก
เราจะอยู่ที่นี่......” เขายังพูดไม่ทันจบ ชายร่างยักษ์ก็
ออกอาวุธเข้าใส่ หยากานรีบถอยหลังฉากใหญ่ อาวุธ
ของมันทุบลงไปที่ไม้ในกระท่อม เสียงเศษไม้กระจัด
กระจาย บนพื้นเป็นรูขนาดใหญ่
“คุณชาย พวกเราทำอย่างไรดี?” ฉีเฟิงเห็นชายร่าง
ยักษ์พละกำลังมาก เขาก็ขมวดคิ้ว “พวกเราควรจะ
ช่วยพวกเขาหรือไม่?”
“พวกเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับบุญคุณความแค้นของ
พวกเขา” ฉีหนิงพูดว่า “พยายามอย่าไปยุ่งบุญคุณ
ความแค้นของคนอื่น พวกเรารีบไปกันดีกว่า”
ฉีเฟิงรับคำ หลี่ถังยืนอยู่หลังฉีหนิง ฉวยโอกาสตอนที่
ชายร่างยักษ์กับหยากานกำลังต่อสู้กัน ฉีเฟิงกับอีก
สองคนกำอาวุธในมือ แล้วค่อยเดินเลาะประตูไป เขา
คิดที่จะฉวยโอกาสในตอนนี้หนีออกไป แต่ว่าพวกเขา
กลับได้ยินเสียงร้อง จากนั้นก็มีบางอย่างลอยตัวมา
L แล้วหล่นมาอยู่บนเท้าของพวกฉีเฟิง
พวกเขาหลายคนเห็นแล้วก็ตกใจ
คนที่ตกลงมาที่พื้นเป็นชาวเหมียวคนหนึ่ง หน้าอก
และกะโหลกศีรษะตอนนี้เหมือนลานบิน แต่ว่ายังเห็น
ดวงตากับจมูก แต่ว่าดูอย่างไรก็ไม่เหมือนใบหน้าเอา
เสียเลย
เลือดสีแดงเหลือบดำ มันผสมกับน้ำเหลืองสีขาวขุ่นๆ
มันค่อยๆ ไหลออกมาจากร่างกาย อาจจะเป็น
เพราะว่าระหว่างที่ถูกชายร่างยักษ์ทุบ ขณะที่ร่างกาย
กำลังจะแตกสลาย ก็เหมือนมีแรงขนาดหนักคุมเอาไว้
ดังนั้นของเหลวพวกนี้ถึงได้ไหลออกมาช้าผิดปกติ
กลิ่นของมันผสมกันจนน่าขยะแขยง
ชายร่างยักษ์ฆ่าคนไปหนึ่งคน จากนั้นเขาก็ร้องคำราม
ภายในกระท่อมดังไปด้วยเสียงของเขา การต่อสู้
ดุเดือดมาก เหมือนทุกอย่างกำลังจะถล่มทลาย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 347 ผีดิบไร้วิญญาณ
เพื่อนถูกสังหาร ชาวเหมียวที่เหลือจึงโกรธมาก หยา
กานไม่ลังเลที่จะฟันดาบเข้าใส่ชายร่างยักษ์อีกแล้ว
ชายร่างยักษ์คำราม เหมือนกับปีศาจ เขาออกอาวุธ
ทำให้หยากานไม่กล้าปะทะ เขาเอี้ยวตัวหลบ เสียง
ดัง “ตุบ” ไม้แตกกระจาย ค้อนยักษ์ในมือทุบลงไป
บนกำแพงไม้ กำแพงไม้ถูกทุบเป็นรู ทำให้กระท่อม
สะเทือน เหมือนจะถล่มลงมา
ฉีหนิงรีบเดินไปที่ประตู ถึงแม้เขาจะรู้ว่าชาวเหมียว
ปะทะกับชายประหลาดนี่ จะเป็นลางร้ายมากกว่าดี
แต่เพราะเรื่องนี้มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เดินทาง
เจอความไม่ยุติธรรมเขายื่นมือเข้าช่วยก็เป็นเรื่อง
ปกติ แต่ว่าชาวเหมียวกลุ่มนี้ที่มาที่ไปไม่ชัดเจน เขา
ไม่แน่ใจว่าพวกเขาผิดใจอะไรกันมา เขามาที่นี่ครั้ง
แรก ต้องระวังตัวให้มากถึงจะดี ไม่เข้าไปยุ่งเรื่องนี้
น่าจะดีที่สุด
ด้านนอกฝนตกหนักมาก หลังจากที่พวกเขาออก
จากกระท่อมมาแล้ว ก็เห็นเงาสีขาวๆ หล่นลงมา
จากฟ้า “ปึก” คนๆ นั้นหล่นลงมาตรงหน้าของพวก
เขา ฉีหนิงหยุดเดิน เขาเห็นชัดเจน ธงสีขาวปลาย
แหลม ปักลงกับพื้น
ฉีหนิงกำมีดสั้นเอาไว้ในมือ สีหน้าเคร่งเครียดมาก
ท่ามกลางสายลมและสายฝน จากนั้นก็ได้ยินดังมา
ว่า “ธงเรียกวิญญาณอยู่นี่ เหล่าวิญญาณต้องทำตาม
คำสั่ง ผู้ที่ขัดขืนคำสั่งธง ฆ่าไม่มีเว้น”
พวกเขาหันไปมองรอบๆ ท่ามกลางค่ำคืนฝนตก
มองออกไปได้ไม่ไกล เลยไม่รู้ว่าใครกันที่เป็นคนพูด
ฉีเฟิงขมวดคิ้ว เขาหันกลับมาแล้วพูดว่า “คุณชาย
เหมือนเจ้านั่นจะไม่ให้เราเดินออกจากธงขาวนี่นะ”
ฉีหนิงยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ต่อให้เทพสวรรค์อยู่ตรงนี้
จะมาสั่งอะไรข้าได้? หลบหน้าหลบตา ข้าไม่ตก
หลุมพรางหรอก” เดิมทีเขาไม่อยากยุ่งเรื่องนี้ แต่ว่า
หากมีคนหาเรื่องก่อน ฉีหนิงเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน
เขาดันตัวฉีเฟิงออก แล้วพูดว่า “ตามข้ามา” เขากำ
มีดไว้ในมือ ไม่พูดอะไรมาก แล้วก็เดินไป เขาเดินไป
ผ่านธงขาวปลายแหลมนั้นไป เมื่อเดินออกไปได้แค่
สองก้าว ก็ได้ยินเสียงร้องแสบแก้วหูดังขึ้นมา เสียง
นั้นดุร้ายมาก ทำให้คนรู้สึกขนลุก
ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก เงาร่างหนึ่งลอย
มา ฉีหนิงขมวดคิ้ว ร่างกายแบบนี้เป็นรูปร่างของ
ชาวเหมียว ผมของนางสยาย ในมือของนางถือค้อน
เหล็ก ถึงแม้จะเล็กกว่าของชายร่างยักษ์ แต่ว่าเมื่อ
เทียบร่างกายเล็กๆ ของนาง มันก็ถือว่าใหญ่มาก มัน
ดูใหญ่กว่าตัวของนางเสียอีก
ผมของนางสยายออก ทำให้มองเห็นหน้าของนางไม่
ชัด แต่ว่าอาวุธใหญ่ขนาดนี้นางยังสามารถถือได้ ทำ
ให้ฉีหนิงตกใจมาก
ความเร็วของผู้หญิงคนนั้นยิ่งทำให้ฉีหนิงตกใจเข้าไป
อีก ตามหลักแล้ว คนที่มีร่างกายบอบบางแบบนี้ ถือ
อาวุธหนักขนาดนี้ได้มันก็น่าตกใจมากแล้ว แต่ว่า
ผู้หญิงคนนี้กลับยังสามารถใช้มันและมีความเร็วมาก
ขนาดนี้ อีกทั้งยังพุ่งทะยานออกมาท่ามกลางความ
มืดกับสายฝน ขาของนางทั้งสองเริ่มขยับ
พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้แล้ว
“บ้าเอ้ย เจ้าตัวประหลาดสองตัวนี้มาด้วยกัน” ฉี
หนิงก่นด่า “ฉีเฟิง พวกเจ้าระวังตัวให้ดี ปีศาจสาวนี่
เร็วมาก”
ชายร่างยักษ์ก่อนหน้านี้มีพละกำลังมาก แต่ว่าไม่มี
ความว่องไว อาศัยพละกำลังในการจู่โจมอย่างเดียว
แต่ว่าผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้านี้ มีความว่องไว เห็นได้
ชัดว่ารับมือได้ยากกว่าชายร่างยักษ์ที่อยู่ในกระท่อม
แต่ว่าฉีหนิงพลันนึกขึ้นมาได้ว่า เสียงที่ดังขึ้นมาเมื่อ
ครู่มันเสียงผู้ชายนี่นา น่าจะไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้พูด
หรอกนะ นั่นก็หมายความว่า ยังมีคนอื่นอีก
แต่ว่ายังคิดไม่ทันจบ ผู้หญิงคนที่ถือค้อนเหล็ก ก็ทุบ
ค้อนเข้าใส่ฉีหนิง
ฉีหนิงกำลังจะหลบ เงาข้างๆ ก็พุ่งเข้ามา เป็นฉีเฟิงที่
กลัวว่าโหวน้อยของเขาจะเป็นอะไรไป ก็เลยถือดาบ
ขึ้นหน้ามาขวาง
“อย่าไปสู้ซึ่งๆ หน้า” ฉีหนิงตะโกน แต่ว่าดาบของฉี
เฟิงก็ปะทะเข้ากับค้อนเหล็กไปแล้ว แทบจะเป็น
เวลาเดียวกัน ฉีเฟิงก็ร้องออกมา ดาบในมือของเขา
หลุดออกจากมือไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นคิดจะเอาค้อน
เหล็กในมือใส่หัวของฉีเฟิง ฉีหนิงยื่นมือไปจับฉีเฟิง
แล้วกระชากเขาออกมา
องครักษ์อีกสองคนเห็นดังนั้น ก็รีบถือดาบบุกขึ้น
หน้ามา
หลังจากฉีเฟิงถูกกระชากถอยหลังมา ก็ยกมือขึ้น
เขาพบที่มือของเขาเป็นแผลมีเลือดไหลออกมา เขา
ตกใจแล้วก็อายมาก
“สองคนนี้ไม่ปกติ” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “พวกเขาลงมือ
ไม่มีกระบวนท่าไม่มีทิศทาง เหมือนกับเป็นปีศาจ
ผู้หญิงคนนี้......เจ้าเห็นตาของนางหรือไม่?”
ฉีเฟิงปิดปากแผลของตัวเองไว้ แล้วถามว่า
“คุณชาย ท่านเห็นอะไรหรือ?”
“ดวงตาของผู้หญิงคนนั้น ไม่มีประกาย ไม่มี
ความรู้สึก เหมือนกับคนตาย” ฉีหนิงท่าทาง
เคร่งเครียดมาก “เจ้าเห็นหรือไม่ว่านางว่องไวแค่
ไหน แต่ว่า.....แต่ว่ามือเท้าของนางแข็งมาก มันดูไม่
เป็นธรรมชาติ......”
ฉีเฟิงสะดุ้ง แล้วพูดว่า “คุณชาย ท่านหมายความว่า
.....ท่านหมายความว่านางตายแล้วหรือ?”
“คนตายไม่มีทางเคลื่อนไหวได้” ฉีหนิงส่ายหน้า
“ข้าก็แค่รู้สึกว่า......ไม่ผิดแน่ นางเหมือนจะเสียสติ
ไม่รู้ว่าไปทำอะไรมา ถึงได้......” ฉีหนิงตาเป็น
ประกายขึ้นมา “นางน่าจะถูกใครควบคุมไว้”
“ควบคุม?” ฉีเฟิงมองซ้ายมองขวา ทันใดนั้นก็เข้าใจ
อะไรขึ้นมาทันที “คุณชาย เสียงเมื่อครู่......”
“แถวนี้น่าจะมีคนอีก หากข้าเดาไม่ผิด ชายหญิงคู่นี้
กลายเป็นแบบนี้ไป พวกเขาคงไม่ได้เต็มใจ แต่น่าจะ
ถูกคนควบคุม” ฉีหนิงกะพริบตาปริบ “เป้าหมาย
ของพวกเขาคือชาวเผ่าเหมียวพวกนั้น แต่ว่ารู้ทั้งรู้ว่า
พวกเราไม่เกี่ยวข้อง แต่ก็ยังคิดจะลงมือกับพวกเรา
ด้วย เท่ากับอยากจะฆ่าพวกเราปิดปาก”
ฉีเฟิงแสยะยิ้ม “เกรงว่าพวกเขาคงไม่มีทางทำ
สำเร็จ”
ถึงแม้ผู้หญิงคนนั้นจะว่องไวมาก แต่ว่าในมือของ
นางมีค้อนเหล็กอยู่ มันถือเป็นจุดอ่อนที่ฉีหนิงพูดถึง
มือเท้าของนางค่อนข้างแข็ง ไม่สามารถพลิกแพลง
ได้อย่างสะดวก สำหรับองครักษ์ในจวนโหวแล้ว
สามารถเดาออกได้ง่ายว่านางจะลงมือต่ออย่างไร
ดังนั้นถึงแม้จะไม่สามารถเข้าใกล้ตัวนางได้ แต่ว่าก็
สามารถจะควบคุมได้
เสียงของหล่นเละเทะไปหมด ฉีหนิงหันกลับไปดู
เห็นกระท่อมถล่มลงมาแล้ว แผ่นไม้ต่างๆ ล้วนแตก
กระจัดกระจายออก ชาวเหมียวต่างพากันออกมา
จากกระท่อม ชายร่างยักษ์นั่นถูกฝังไว้ในกระท่อม
หลังนั้น
ตอนนี้ฉีหนิงถึงได้เห็นชัดเจนว่า คนที่พุ่งออกมานั้น
เป็นชาวเหมียวสี่คน นอกจากหยากานแล้ว ชาว
เหมียวอีกคนแบกคนที่บาดเจ็บอยู่ และหญิงสาว
ชาวเหมียวอีกคนที่ชื่ออีฝูถือดาบอยู่ในมือ ซึ่งออกมา
เป็นคนสุดท้าย พวกเขาออกมายืนหันหลังให้กับฉี
หนิง แล้วมองไปที่กระท่อม
มองจากด้านหลังของหญิงสาวชาวเหมียว นางถูก
ฝนสาดจนตัวเปียกทำให้เห็นรูปร่างของนางอย่าง
ชัดเจน นางเอวบางร่างน้อย สะโพกอวบอิ่ม ผิวขาว
เนียน แต่ก็มีความดุดันของแม่เสือสาว การสวมชุด
ของชาวฮั่นก็ไม่อาจปกปิดมันเอาไว้ได้ อีกทั้งนิสัย
ของนางก็ดูเหมือนขวานผ่าซาก ไม่เห็นความ
อ่อนหวานจากตัวของนางเลย เหมือนก้อนน้ำแข็ง
มากกว่า
หยากานเห็นปีศาจสาวกับลูกน้องของฉีหนิงกำลังสู้
กันอยู่ เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เขาขยับเข้ามาใกล้
แล้วพูดว่า “น้องชายชาวฮั่น อีกฝ่ายฝีมือร้ายกาจ
มาก ตอนนี้พวกเจ้าอยากจะไปคิดว่าคงไปไม่ได้แล้ว
อยากจะรอด สงสัยพวกเราคงต้องร่วมมือกันแล้ว”
ฉีหนิงเปิดอกถามเลยว่า “พวกเขาเป็นใครกัน? เหตุ
ใดถึงถูกคนควบคุมแบบนี้?”
หยากานตะลึงไป เขาตกใจมาก “เจ้ามองออก
หรือ?”
“ดูท่าข้าเดาไม่ผิดสินะ” ฉีหนิงถอนหายใจ “ศัตรู
ของเจ้าดูท่าทางจะไม่ใช่คนธรรมดาเลยนะ เรื่องนี้ไม่
เกี่ยวกับพวกเรา พวกเราแค่มาหลบฝนเท่านั้น แต่
กลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย......”
หยากานยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “พวกท่านบอกว่ามาทำ
การค้าที่นี่ แต่ดูอย่างไรแล้ว พวกท่านก็ไม่เหมือน
พ่อค้าเลย”
“ไม่ต้องพูดมากแล้ว” หญิงสาวเหมียวอีฝูหันหลัง
กลับมา “พวกเจ้าจะทำอะไร พวกเราไม่สนใจ พวก
เราจะทำอะไร พวกเจ้าก็ไม่ต้องมาถาม ตามที่ชาว
ฮั่นของพวกเจ้ากล่าวไว้ ทุกคนผ่านทางมา ไม่
จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวอะไรกันมาก แต่หากต้องการ
รอดออกไป พวกเราต้องร่วมมือกัน”
ฉีหนิงมองไปที่อีฝู เห็นแม่นางคนนี้ดูผิวเผินก็
ธรรมดา แต่ว่าดูโดยรวมแล้ว กลับเป็นสาวงามมาก
คนหนึ่ง
เสื้อผ้าของนางเปียกช่ำไปหมด หน้าอกยื่นชูชัน
ออกมาชัด ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็อวบอิ่มไม่น้อย หญิง
สาวชาวเหมียวไม่มีค่านิยมในการสวมใส่ชั้นใน
ดังนั้นผ้าที่รัดหน้าอกเอาไว้ มันก็เลยเห็นโครง
สัดส่วนชัดเจน แค่ใช้สายตาก็เห็นความนุ่มนิ่ม
ชัดเจน
ไหล่ทั้งสองข้างของนางกว้าง เป็นเพราะการฝึกยุทธ์
ไหปลาร้าไม่เห็นกระดูกโผล่ออกมา คอยาวเรียวเล็ก
แขนบอบบาง ดูน่ารักแต่แข็งแรง ดูไปแล้วแทบจะ
ไม่ต้องกังวลเลยว่านางจะเดินล้มง่ายๆ
ช่วงสะโพกของอีฝูอวบอิ่มมาก กระโปรงของนางติด
เข้ากับก้นเพราะเปียกฝน มันดูเย้ายวนใจมาก แม้แต่
ขาอ่อนของนางก็ไม่มีเนื้อเหลวเลย ทำให้คนไม่
อาจจะละสายตาไปได้ มันเป็นก้นที่สวยงามหาได้
ยากมาก
ในหัวของฉีหนิงตอนนี้กลับนึกถึงซีเหมินจั้นอิงขึ้นมา
หากพูดถึงสะโพกสวยๆ แล้ว ในบรรดาสาวสวยที่
เขาพบมา ยังมีอีกคนที่เหนือกว่าผู้หญิงคนนี้ แต่ว่า
ความอวบอั๋นของอีฝูยังห่างชั้นกับซีเหมินจั้นอิงอยู่
มาก ถึงจะเทียบไม่เท่าซีเหมินจั้นอิง แต่ในตัวของอีฝู
ก็มีความสวยแบบดิบๆ ในแบบที่ซีเหมินจั้นอิงไม่มี
เหมือนกัน
ฉีหนิงไม่รู้มาก่อนเลยว่าสาวชาวเหมียวจะเป็นแบบนี้
หมดเลยหรือไม่ หรือว่าอีฝูเป็นกรณีพิเศษ แต่วา่ ใน
เวลาแบบนีเ้ ขาก็ไม่ได้มีอารมณ์มานั่งชื่นชมเรือนร่าง
ของสาวเหมียวคนนี้ เพราะทุกคนกำลังมองมาอยู่
ซากของกระท่อม จู่ๆ ก็มีเสียงดังอกมา ชายร่างยักษ์
โผล่ออกมาจากซากนั่น เขายกค้อนยักษ์ตวัดออกมา
เขาปัดซากไม้ออกจากตัว ร้องคำรามเสียงดัง แล้ว
ค่อยๆ เดินออกมาจากกองไม้
“พวกมันไม่มีความรู้สึก” อีฝูถือดาบไว้ในมือ นาง
ต้องการเตือนฉีหนิงกับพวก “บาดแผลบนร่างกาย
พวกมันไม่รู้สึกอะไร ต้องตัดหัวของพวกมันเท่านั้น
ถึงจะสังหารพวกมันได้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 348 เสียงพิณท่ามกลางสายฝน
ชายร่างยักษ์ลากค้อนที่เป็นอาวุธเดินเข้ามาทีละก้าว
ทีละก้าว แต่เวลาเดินกลับแข็งเหมือนกับท่อนไม้
ตอนนี้องครักษ์ของฉีหนิงนั้นกำลังตกอยู่ในอันตราย
วรยุทธ์ของทั้งคู่ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังร่วมมือกันอย่าง
ดี ระหว่างการต่อสู้ พวกเขาก็หาโอกาสได้หลายครั้ง
สามารถฟันใส่ลำตัวของปีศาจสาวได้ แต่ที่ทำให้ทั้ง
สองตกใจนั้นปีศาจสาวตัวกลับแข็งเหมือนท่อนไม้
ฟันไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้จะเกิดบาดแผล แต่
ว่านางกลับไม่เจ็บไม่ปวด อีกทั้งยังตอบโต้กลับมาอีก
องครักษ์คนหนึ่งฟันดาบลงบนตัวของปีศาจสาว
ปีศาจสาวใช้ค้อนเหล็กของนางฟาดกลับมายังตัว
ขององครักษ์ ปีศาจสาวว่องไวมาก องครักษ์หลบไม่
ทัน ทำได้แค่ใช้ดาบขวางเอาไว้ ใครจะคิดว่าแรงของ
นางมีไม่น้อยเลย ค้อนเหล็กฟาดอยู่บนดาบ ดันจน
สันดาบชนเข้ากับบริเวณหน้าอกขององครักษ์ นาง
กระแทกอาวุธใส่องครักษ์จนกระเด็นไปไกล
ฉีหนิงตกใจมาก ตอนนี้ชายร่างยักษ์เองก็กำลังบุก
เข้ามา เขาตวัดค้อนยักษ์ขึ้น กำลังจะฟาดใส่อีฝู ร่าง
บอบบางของอีฝูเอี้ยวหลบไป แต่นางก็ไม่ได้ตอบโต้
กลับไป นางอ้อมไปด้านข้างของชายร่างยักษ์ หยา
กานคำรามใส่ จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ เขากับอีฝูร่วมมือ
กันรับมือกับชายร่างยักษ์
ปีศาจสาวร้องโหยหวนเสียงแหลม ฉีเฟิงเห็น
องครักษ์ถูกซัดจนกระเด็นไป ก็ตกใจอย่างมาก เขา
ไม่ได้สนใจบาดแผลของตัวเอง พันแผลเล็กน้อย
แล้วรีบหยิบดาบที่อยู่ที่พื้นขึ้นมา แล้วพุ่งเข้าใส่ฉี
หนิง องครักษ์คนนั้นกระอักเลือดออกมา ดิ้นอยู่ที่
พื้นไม่สามารถลุกมาได้ ก็รู้ทันทีว่าเขาน่าจะบาดเจ็บ
ไม่น้อย หากยื้อต่อไปแบบนี้ เกรงว่าน่าจะไม่รอด ก็
รีบเดินเข้าไปหา แล้วหยิบยาเลือดโลหิตออกมายัด
ให้องครักษ์กิน แล้วพูดว่า “กลืนลงไป”
องครักษ์คนนั้นเวียนหัวมาก แต่พอได้ยินเสียงของฉี
หนิง ก็ยังฝืนกลืนยาลงไป ฉีหนิงได้หันไปตะคอก
ใส่หลี่ถังที่ยืนทื่ออยู่ข้างๆ ว่า “เจ้ามานี่ ดูแลเขาให้
ดี”
หลี่ถังถูกฉีหนิงตะคอกใส่ เขาจึงได้สติคืนมา จากนั้น
ก็รีบเดินไป เขาตัวสั่นไปทั้งตัว ก็ไม่รู้เป็นเพราะเปียก
ฝนหรือไม่
ฉีหนิงคิดในใจว่า ทั้งสองฝ่ายต่างฝ่ายต่างรับมือฝั่ง
ละคน ตามหลักแล้ว ผีดิบชายหญิงคู่นี้วรยุทธ์ไม่ได้
ร้ายกาจเลย หากสู้กันตัวต่อตัว วรยุทธ์ของทุกคนก็
แทบจะเหนือกว่าผีดิบสองตัวนี้อยู่แล้ว
แต่ว่าพละกำลังของผีดิบสองตัวนี้ ต่อให้เป็นปีศาจ
สาว พละกำลังก็มีมากกว่าทุกคนในที่นี่ ที่น่ากลัว
ที่สุดก็คือ ร่างกายของทั้งคู่ราวกับทำมาจากทองแดง
กระบี่ดาบฟันแทงไม่เข้า มีบาดแผล แต่พวกเขาก็ไม่
รู้สึกอะไร อีกทั้งในมือของพวกเขามีค้อนเหล็ก หาก
ถูกทุบหรือกระแทก ก็มีแต่บาดเจ็บหนักถึงตาย
ฉีเฟิงถึงแม้จะลุยขึ้นหน้าไปช่วย สองรุมหนึ่ง แต่ว่าก็
ไม่ได้เปรียบเลย
ปีศาจทั้งสองคนเหมือนกับมีพละกำลังไม่หมด ไม่
รู้จักเหน็ดเหนื่อย การต่อสู้ท่ามกลางสายฝน เดิมที
น่าจะเสียพละกำลังมากกว่าปกติ แต่พวกเขากลับ
เหมือนไม่ได้รับผลกระทบอะไร
ฉีหนิงเห็นทุกอย่าง เขารู้ดีว่า ต่อให้ฉีเฟิงกับองครักษ์
อีกคนจะไม่ได้ถูกทำร้าย แต่หากต้องสู้ต่อไปแบบนี้
อีก ก็อาจจะต้องเหนื่อยจนพลาดพลั้งในที่สุด เขา
ขมวดคิ้ว เหลือบไปมององครักษ์ที่นอนตัวสั่นอยู่ที่
พื้น เขาสูดลมหายใจ จากนั้นก็พูดว่า “ฉีเฟิง พวก
เจ้าสองคนถอยออกมา พาคนเจ็บไปก่อน ไม่ต้องสู้
กับนางนาน”
ฉีเฟิงกลับพูดว่า “คุณชาย พวกเราจะถ่วงเวลามัน
เอาไว้ ท่านพาโจวซุ่นหนีไปก่อน”
แต่ฉีหนิงกลับคิดว่า หากพวกฉีเฟิงสู้กันต่อไปจนถึง
สุดท้าย อาจจะพลาดจนถูกทำร้ายอีก โจวซุ่นที่
ได้รับบาดเจ็บตอนนี้ภายในของเขาน่าจะบอบช้ำ
มากแล้ว ถึงแม้จะได้ยาโลหิตของเขาไปยื้ออาการไว้
จะต้องรีบรักษา แต่ถ้าเป็นเขาเขาสามารถอาศัยท่า
เท้าท่องคลื่นหลอกล่อปีศาจสาวไว้ได้ แล้วให้พวก
ของฉีเฟิงจากไปก่อน เขามีวิชาท่าเท้าท่องคลื่น ต่อ
ให้ไม่สามารถสังหารปีศาจนี่ได้ แต่ก็เอาตัวรอดได้ไม่
ยาก
“ไม่ต้องเถียงแล้ว” ฉีหนิงกำมีดสั้นในมือ แล้วบุกขึ้น
หน้าไป แล้วพูดว่า “พวกเจ้ารีบไปซะ รู้ใช่หรือไม่ว่า
ต้องไปเจอกันที่ไหน”
ฉีเฟิงคิดจะพูดอีก ฉีหนิงกลับพูดด้วยความโมโหว่า
“ไม่ต้องพูดมาก ยังไม่รีบไปอีก”
ฉีเฟิงเห็นฉีหนิงโกรธ ถึงแม้จะไม่เต็มใจทิ้งฉีหนิง
เอาไว้ แต่ว่าเห็นฉีหนิงแน่วแน่ ก็ไม่ลังเลใจอีก รีบ
ถอยออกมา
“พวกเจ้าไปแล้ว ข้าไม่ต้องกังวลอะไร ก็จะเอาตัว
รอดได้” ฉีหนิงพูดว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป ข้าไม่มี
สมาธิ รีบไป”
ในระหว่างที่พูด ปีศาจสาวก็พุ่งเข้าใส่ฉีหนิง นาง
ฟาดอาวุธเข้าใส่ฉีหนิง
ฉีหนิงก้าวเท้าไปทางซ้ายและขวา หลบได้อย่าง
ง่ายดาย เขาว่องไวมาก
ฉีเฟิงรีบวิ่งเข้ามา แล้วแบกโจวซุ่นเอาไว้ องครักษ์อีก
คนคิดอยากจะเข้าไปช่วยฉีหนิงอีก แต่ถูกฉีหนิง
ตะคอกจนต้องถอยออกมา พวกเขาถึงแม้จะลังเล
แต่ว่าฉีหนิงตะคอกไปหลายที ฉีเฟิงก็จนใจ ทำได้แค่
แบกโจวซุ่น แล้วพาหลี่ถังกับองครักษ์อีกคนฝ่าฝน
ออกไปก่อน
หลังจากพวกฉีเฟิงไปแล้ว ฉีหนิงรู้สึกหมดกังวล ท่า
เท้าท่องคลื่นก็เคลื่อนไหวแปลกตา อยากจะหลบ
ปีศาจสาวง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ เมื่อมีโอกาส ฉีหนิง
ก็ลงมือสองครั้ง มีดสั้นของเขาปักเข้าที่ร่างกายของ
ปีศาจสาว ถึงแม้จะแทงจนเป็นรูสองแผล แต่ว่านาง
เหมือนจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย ยังตามไล่
พัลวันฉีหนิงอย่างเอาเป็นเอาตาย
อีฝูกับหยากานร่วมมือกันรับมือชายร่างยักษ์ ไม่มี
เวลาได้หยุดพัก
“ไม่ถูก.......” อีฝูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “หยา
กาน มันเป็นหลุมพราง”
“หลุมพราง?”
“เจ้าบ้าสองตัวนี้มาเพื่อตั้งใจถ่วงเวลาพวกเรา
เอาไว้” อีฝูนึกขึ้นมาได้ว่า “เจ้าพวกนั้นน่าจะกำลัง
ตามพวกเรามาที่นี่......”
“ถูกต้อง” หยากานนึกขึ้นมาได้เหมือนกัน “พวกเรา
จะยื้อต่อไปอีกไม่ได้แล้ว รีบไปเถอะ”
“พวกเราไปด้วยกันไม่ได้” อีฝูพูดว่า “พวกเราต้อง
แยกกันไป ใครรอดไปได้ ก็ไปเจอกันที่นั่น”
หยากานหลบอาวุธของชายร่างยักษ์ แล้วพูดว่า
“เจ้าไปก่อน ข้าจะถ่วงเวลาไว้ให้”
อีฝูก็ไม่พูดมากอีก นางตะโกนบอกฉีหนิงว่า “อย่า
อยู่ต่อ คนของพวกมันกำลังจะมาแล้ว รีบไป” นาง
ไม่พูดอะไรมาก หันหลังแล้วจากไป ชายร่างยักษ์
เหมือนจะไม่ยอมให้อีฝูไป มันร้องคำรามลั่น ยก
อาวุธแล้วฟาดไปที่อีฝู
อีฝูเอี้ยวเอวหลบ จนเห็นเอวเป็นเส้นชัดเจน นาง
หลบการโจมตีของชายร่างยักษ์ ขาทั้งสองข้างของ
นางเตรียมพร้อมจะวิ่งหนีไป ชายร่างยักษ์ตามมา
จากด้านหลัง หยากานเองก็ตามมันมาเช่นกัน เขาใช้
ดาบในมือฟันไปที่หลังของชายร่างยักษ์ ชายร่าง
ยักษ์ร้องคำรามอีกครั้ง มันทิ้งอีฝู แล้วหันตวัดอาวุธ
กลับมาที่หยากาน
ฉีหนิงได้ยินอีฝูตะโกนบอก เดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดจะสู้
กับปีศาจสาวอยู่แล้ว เขาเห็นว่าพวกฉีเฟิงไม่ได้อยู่
ท่ามกลางสายฝนแล้ว ก็ไม่ลังเล หันหลังแล้วเตรียม
จะหนีไป ปีศาจสาวเห็นฉีหนิงจะไป นางก็ไม่ปล่อย
ให้หนีแน่นอน นางลากอาวุธของนาง แล้วรีบตามฉี
หนิงมาจากทางด้านหลัง
ท่ามกลางอากาศฝนฟ้าที่ตกกระหน่ำ เสียงฟ้าผ่าดัง
ลงมาไม่หยุด
ฉีหนิงก็ไม่ได้สนใจอีกแล้วในตอนนี้ เขาลอยทะยาน
อยู่ท่ามกลางสายฝน ร่างกายบอบบางลากอาวุธ
ตามมา ถึงแม้แขนขาของนางจะแข็งกระด้าง แต่ว่า
มีความว่องไวมาก การออกแรงของนาง เหมือนมัน
ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ฉีหนิงเปียกชุ่มไปทั่วทั้งตัว ท่ามกลางสายฝนแบบนี้
มองไม่เห็นเส้นทาง เขาวิ่งมาหลายสิบลี้ ยังดีที่เขา
ฝึกวิชากำลังภายในมา ตอนที่วิ่งเลยรู้วิธีการหายใจที่
ถูกต้อง วิ่งมาหลายสิบลี้ พอหันหลังไปมอง ก็ไม่เห็น
เงาของปีศาจสาวแล้ว เขาถึงได้โล่งใจ
เขามองไปรอบๆ ทางซ้ายเป็นป่าทึบ ทางขวางเป็น
แม่น้ำสายหนึ่ง
กำลังคิดอยู่ว่าพวกของฉีเฟิงจะพ้นอันตรายไปแล้ว
หรือยัง ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงร้องคำราม
แปลกๆ ดังมา เขาขมวดคิ้ว เสียง “ตึงตึง” ดังลอย
มา เสียงลมและฝนดังไม่น้อยเลย แต่ก็ยังมีเสียง
“ตึงตึง” ไม่หยุด เมื่อฟังดีดี มันเหมือนเสียงของพิณ
ฉีหนิงรู้สึกตกใจ เขาหันไปตามต้นทางเสียง เขา
ยังคงเห็นไม่ชัดเจน ด้านหน้าของเขามีต้นไม้ใหญ่ต้น
หนึ่ง มีเงาร่างเงาหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เสียงดีดพิณดัง
ต่อเนื่อง แต่ยังมองไม่เห็นคนที่ดีดมัน แต่มีคนมาดีด
พิณกลางสายฝนแบบนี้ มันแปลกไปหน่อยนะ
ฉีหนิงไม่อยากหาเหาใส่หัว ก็เลยไม่เข้าไปใกล้ เขา
หันหลังเตรียมจะเดินจากไป ตั้งใจจะหลบเลี่ยงคนๆ
นั้น เมื่อเขาเดินไปได้ระยะหนึ่ง เสียงพิณนั้นก็
หายไป กำลังคิดว่าตัวเองน่าจะหลบเลี่ยงคนๆ นั้นได้
แล้ว แต่วินาทีเดียวเท่านั้น เสียงพิณก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เขาเงยหน้าไปมอง ก็เห็นเงาผ่านมาราวกับวิญญาณ
มาโผล่อยู่ตรงหน้าตัวเอง ครั้งนี้มายืนอยู่กลางถนน
เพื่อขวางทางเอาไว้
ฉีหนิงสะดุ้ง แอบคิดในใจว่าคนๆ นี้มีความว่องไว
มาก
คนๆ นั้นดีดสายพิณ ยิ้มแล้วพูดว่า “นานๆ ทีข้าจะ
ดีดพิณ ในเมื่อได้พบกัน เหตุใดไม่รอให้จบเพลงก่อน
แล้วค่อยไปล่ะ ไม่ให้เกียรติกันสักนิดเลยหรือ?”
“ท่านเป็นใครกัน?” ถึงแม้ฉีหนิงจะรู้สึกตกใจ แต่
น้ำเสียงของเขาก็ยังนิ่งอยู่ “ข้ารีบเดินทาง เกรงว่า
จะไม่มีเวลามาฟังท่านดีดพิณ” เขาแอบคิดในใจว่า
ที่แท้อีกฝ่ายก็เป็นชายแก่คนหนึ่ง เพลงของเขามันไม่
เป็นทำนองเลยด้วยซ้ำไป ไม่เพราะเอาเสียเลย ยังมี
หน้ามาบอกให้คนอื่นมาฟังอีก
คนๆ นั้นยิ้ม “ข้าไม่เคยขอร้องใครมาก่อน หากเจ้า
ยอมฟังดีดี ข้าอาจจะให้เจ้าตายสบายหน่อย ไม่
เช่นนั้น......หึหึ ข้าจะให้เจ้าฟังไปด้วยแล้วเฉือนเนื้อ
เจ้าไปด้วยทีละชิ้น เจ้าจะฟังหรือไม่?”
เมื่อพูดมาแบบนี้ ฉีหนิงรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นศัตรู
หรือมิตร
เขาเกลียดคนพูดจาข่มขู่มากที่สุด ชายคนนี้ไม่เคย
พบหน้ากันมาก่อน เจอกันก็จะเอาชีวิตเขาแล้ว ฉี
หนิงรู้สึกขำ เขาเหมือนคิดอะไรออก เขาพูดว่า “เจ้า
ผีดิบสองตัวเมื่อครู่ คงไม่ได้เป็นฝีมือของเจ้าหรอก
กระมัง? ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน เจ้าฆ่าคน
บริสุทธิ์ ไม่คิดว่าโหดเหี้ยมไปหน่อยหรืออย่างไร?”
“เจ้าอย่าโทษข้าเลย” คนๆ นั้นดีดพิณไปด้วยยิ้มไป
ด้วยแล้วพูดว่า “คืนนี้เจ้าเผลอเข้ามาพัวพันเรื่องนี้
เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น ได้ยินอะไรที่ไม่ควรได้ยิน ข้า
อยากจะให้เจ้ารอดไปก็คงทำไม่ได้ ที่จริงเจ้าก็ไม่ต้อง
ลำบากใจเลย บนโลกใบนี้ มีคนตายอย่างไม่เป็น
ธรรมอยู่มากมาย เจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเท่านั้นเอง”
เขาหยุดไป ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็ไม่น่าเรียกสองตัว
นั้นว่าเป็นผีดิบ หากใครมาได้ยินเข้า เขาจะไม่พอใจ
ได้นะ เพราะนั่นเป็นสมบัติที่เขารักมากเลยนะ เขา
ไม่ชอบคนอื่นมาพูดจาไม่ดีให้กับของรักของเขา
หรอก”
เขาพูดแบบนี้ เขากำลังบอกว่าผีดิบสองตัวนั่นไม่
เกี่ยวอะไรกับเขา
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่าคนพวกนี้เป็นใครกัน
ทำตัวลับๆ ล่อๆ ทำให้คนรู้สึกอคติมาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 349 ผีลามก
ฝนที่กำลังตกลงมาเริ่มเบาลงแล้ว แต่ว่าอากาศ
รอบๆ นั้นก็ยังคงหนาวเย็นอยู่
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “เจ้าคิดว่าการเอา
พิณมาถือไว้แล้วดีดไปดีดมา ก็จะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ได้
แล้วหรือ? คิดจะเอาชีวิตข้า เกรงว่าเจ้าคงทำไม่ได้”
เขาพูดอีกว่า “เสียงพิณของเจ้ามันก็ฟังไม่ได้เลย สู้
เด็กยังไม่ได้เลย”
เสียงของคนผู้นั้นเริ่มดุขึ้นมา “เจ้าว่าอะไรนะ?
พูดจาแบบนี้ได้หรือ เจ้ามันยังเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
จะรู้เรื่องดนตรีได้อย่างไรกัน”
“เจ้าเล่นไม่เพราะเอง ยังมาว่าคนอื่นอีกหรือ?” เห็น
ว่าอีกฝ่ายเหมือนจะใส่ใจเรื่องของดนตรีมาก ฉีหนิง
ก็ยิ่งยั่วยุ “ข้าพูดกับเจ้าตรงๆ เลยละกัน ข้าฟังคน
เล่นดนตรีมาก็มาก มีเพียงเพลงที่เจ้าดีดนี่แหละที่ข้า
ฟังแล้วแทบจะอ้วกออกมา หากข้าต้องตายจริงๆ ก็
ไม่ใช่เพราะเจ้าฆ่า แต่เป็นเพราะถูกเสียงเพลงของ
เจ้าทรมานจนตาย”
“เจ้าเด็กบ้า เจ้ารนหาที่ตายชัดๆ” คนๆ นั้นเดินขึ้น
หน้ามา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าพูดแบบนี้ ข้าก็
จะให้เจ้าฟังเพลงแห่งวิญญาณ”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงแหลมๆ เมื่อได้ยินเสียงนั้น
ฉีหนิงก็สะดุ้ง เขาหันไปมอง เห็นเงาๆ หนึ่งพุ่ง
ออกมาจากด้านข้างชายแก่ ถึงแม้จะมืดมองเห็นไม่
ชัด แต่ท่าทางและความว่องไว มันโผล่ออกมาแค่
เพียงชั่ววินาทีเดียว อาศัยแสงอันริบหรี่ ฉีหนิงเห็น
แล้วว่า ท่าทางแบบนั้นนางก็คือหญิงชาวเหมียวอีฝู
นั่นเอง ด้านหลังของอีฝู มีปีศาจสาวตามไล่ล่านาง
อยู่
ฉีหนิงรู้ทันทีว่าสถานการณ์แย่แล้ว อีฝูเองก็มองเห็น
ฉีหนิงแล้ว นางพูดว่า “ยังไม่รีบไปอีก”
ชายแก่ดีดพิณเห็นอีฝู ก็ยิ้มแปลกๆ เขาไม่สนใจฉี
หนิง แต่หันไปหาอีฝูแทน อีฝูเห็นด้านหน้ามีคนมา
ยืนขวาง นางไม่พูดมาก ฟันดาบพุ่งเข้าไปที่ชายแก่
ดีดพิณทันที
ชายแก่ดีดพิณว่องไวราวกับวิญญาณ เขาเอี้ยวตัว
หลบ มือซ้ายของเขาถือพิณเอาไว้ พริบตาเดียว ใน
มือขวาของเขาก็มีกระบี่เล่มหนึ่งโผล่ออกมา แล้ว
กำลังจะแทงไปที่อีฝู
ฉีหนิงเห็นชายแก่ลงมือเด็ดขาดว่องไว อีกทั้ง
ด้านหลังยังมีปีศาจสาวไล่ล่าอีก เขาคิดในใจว่าอีฝูไม่
น่าจะใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาพูดจาประชดประชันแล้ว
พูดว่า “ผู้ชายรังแกผู้หญิง รังแกคนที่อ่อนแอกว่า ตา
แก่ของเจ้ามันหน้าด้านจริงๆ เลย”
ชายแก่ดีดพิณแทงกระบี่ออกไปหลายครั้ง ยังดีที่อีฝู
ฝีมือก็ไม่ธรรมดา นางพยายามฝืนหลบออกไป แต่ว่า
เหมือนจะตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา คนนั้นลงมือ
ต่อเนื่อง แทบจะไม่ให้โอกาสตอบโต้เลย
ฉีหนิงคิดในใจว่าหากมีกระบี่ผีหลูอยู่ในมือ ตอนนี้คง
ขึ้นไปสู้กับชายแก่หน้าไม่อายนี่แล้ว เพียงแต่ว่าออก
เดินทางไกลมาก อยากจะเดินทางง่ายๆ และเงียบ
ที่สุด กระบี่ผีหลูมันเด่นเกินไป พกติดตามไม่สะดวก
อีกทั้งมีดสั้นมันก็คมมากพอที่จะป้องกันตัว ทำให้
ในตอนนี้เขาไม่มีอาวุธใหญ่ในมือเลย
อีฝูถูกขวางไว้ ปีศาจสาวกำลังไล่ตามมา นางไม่ได้
สนใจชายแก่ดีดพิณที่กำลังสู้กับอีฝูอยู่ นางยกอาวุธ
ของนางขึ้นมา แล้วฟาดไปที่อีฝูอย่างแรง
ลมที่เกิดมาจากการฟาดพัดมาแรงมาก อีฝูรู้สึกได้
นางดีดตัวของนางขึ้น แล้วหลบไป ค้อนเหล็กฟาดลง
ไปที่พื้นอย่างแรง ทำให้พื้นเป็นรู
ถึงแม้ปีศาจสาวจะดุร้าย แต่การปรากฏตัวของนาง
มันเหมือนเป็นการช่วยอีฝู ขณะที่นางฟาดอาวุธมา
ใส่ มันก็ทำให้ชายแก่ที่ดีดพิณเหมือนจะมีความ
กังวล จึงรีบถอยห่างออกไป อีฝูหลบออกไปได้ ก็เว้น
ระยะห่างจากพวกเขา ถอยมายืนอยู่ข้างๆ ฉีหนิง
ตอนนี้อยู่ใกล้กันมาก ฉีหนิงเห็นอย่างชัดเจน อีฝู
สวมชุดกระโปรงสีม่วง เสื้อแขนสั้น เย็บปิดด้วยผ้า
คาดอกทั้งด้านหน้าด้านหลัง เหมือนกับเป็นเกราะ
ป้องกันของทหาร
ฉีหนิงรู้ว่าผู้หญิงชาวฮั่นเองก็มีแบบนี้เหมือนกัน แต่
ไม่ได้นิยมมาก คนที่แต่งตัวแบบนีม้ ีไม่มาก แต่ว่าใน
ความทรงจำของเขา เหมือนชาวเหมียวจะชอบเสื้อ
กล้ามแบบนี้ คิดไปคิดมาถึงแม้อีฝูจะปกปิดว่าตัวเอง
เป็นชาวเหมียว ฝืนใส่ชุดของชาวฮั่น แต่ว่าสุดท้าย
แล้วก็เหมือนจะไม่ชิน เลยสวมเสื้อทับด้านนอกอีก
ชั้นหนึ่ง
ดูๆ ไปแล้ว มันก็ดูเรียบร้อยดี แต่ว่าชายเสื้อสองตัว
ค่อนข้างสั้น ชายเสื้อมันยาวปิดถึงแค่เต้านมด้านล่าง
ตัวเสื้อถูกหน้าอกดันขึ้นไปหมด เสื้อด้านข้างถูกร่อง
หน้าอกหนีบเอาไว้ ไม่เพียงทำให้เห็นร่องหน้าอก
ชัดเจน อีกทั้งยังไม่สามารถปกปิดความอวบอิ่มของ
หน้าอกได้เลย
อีฝูหายใจกระหืดกระหอบมาก ผมเผ้ายุ่งเหยิง
ใบหน้าที่สวยงามของนางดุดันมาก แต่ว่ามือของนาง
ยังคงจับดาบไว้แน่น แล้วจ้องไปที่ปีศาจสาวไม่ละ
สายตา
หลังจากปีศาจสาวพลาดไป ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หัน
กลับมามองอีฝูอีก แล้วจู่โจมเข้าใส่อีกครั้ง
อีฝูขมวดคิ้ว กำลังจะลุยขึ้นหน้าไป ฉีหนิงก็พูดขึ้นมา
ว่า “เจ้าฆ่านางไม่ได้หรอก”
ก่อนหน้านี้เขาไม่อยากจะไปยุ่งอะไรกับเจ้าพวกนี้
มาก แค่อยากจะล่อนางออกไป แต่ว่าคนพวกนี้
เคลื่อนไหวราวกับวิญญาณ ดูท่าคืนนี้พวกมันคงไม่
ยอมเลิกราแน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉีหนิงก็มีใจคิดจะสังหารแล้ว
เขาไม่ใช่คนชอบหาเรื่องใส่ตัว แต่วา่ หากรนมาหาถึง
ที่ ฉีหนิงก็ไม่เคยกลัว
ปีศาจสาวกำลังจะพุ่งเข้าหา ฉีหนิงรู้ว่าหากไม่จัดการ
ปีศาจสาว เกรงว่าน่าจะลำบาก ตอนนี้มันบีบเข้ามา
ใกล้แล้ว ฉีหนิงดีดตัวขึ้นไปรับมือ แล้วยิ้มให้ปศี าจ
สาว “เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์ มาดูกันซิว่าข้าจะ
จัดการกับเจ้าอย่างไรดี”
อีฝูเห็นฉีหนิงพุ่งออกไป ก็ตกใจ นางอดไม่ได้พูดว่า
“เจ้า.......ระวังตัวด้วย”
ปีศาจสาวคำรามออกมา แล้วตวัดค้อนเหล็กใส่ฉี
หนิง ฉีหนิงเตรียมรับมือไว้แล้ว เขาไถลตัวหลบไป
ทางด้านข้างของปีศาจสาว ถึงแม้ร่างกายของปีศาจ
สาวจะแข็งกระด้าง แต่ว่าปฏิกิริยาของนางกลับไม่
ด้อยเลย อย่างน้อยความรู้สึกด้านการสัมผัสก็
เหนือกว่าคนทั่วไป พอสัมผัสได้ว่าฉีหนิงไถลตัวไปอยู่
ข้างๆ ก็ยกค้อนเหล็กในมือกวาดมา
อีฝูเห็นค้อนเหล็กฟาดมาทางฉีหนิง ก็ร้องตกใจ แต่
นางกลับเห็นฉีหนิงหลบได้ว่องไวราวกับวิญญาณ
ในตอนนี้เอง อีฝูก็ได้ยินเสียงพิณดังขึ้น นางหันไป
มอง เห็นชายแก่ดีดพิณยืนอยู่ข้างตัวนางไม่ไกลมาก
นัก ถึงแม้จะมืด แต่ก็เห็นผิวขาวผ่องของคนๆ นั้น
ชัดเจน สีหน้าของเขายิ้มประหลาด สายตากำลัง
มองมาที่ตัวของนาง
อีฝูตากฝนจนเปียก ทำให้เสื้อผ้าของนางแนบเนื้อ
เห็นรูปร่างส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจน เย้ายวนใจไม่น้อย
ถึงแม้สาวชาวเหมียวจะไม่เหมือนกับสาวชาวฮั่น
ไม่ได้มีความอ้อนแอ้นเหมือนกับสาวชาวฮั่น แต่ว่า
เมื่อถูกชายแก่คนหนึ่งจ้องมาแบบนี้ ก็ทำให้อีฝูรู้สึก
โกรธมาก นางกำดาบในมือไว้แน่น แล้วตะคอกว่า
“พวกเจ้าเป็นใคร? เป็นคนของพวกมันหรือ?”
ชายแก่ดีดพิณยิ้ม แล้วพูดว่า “เจ้าอยากรู้ว่าข้าเป็น
ใคร? เจ้าก็รับปากข้าเรื่องหนึ่งก่อน ข้าก็จะบอกเจ้า
ว่าข้าเป็นใคร เจ้าอยากได้อะไร ข้าจะให้เจ้าทุก
อย่าง”
“รับปากเรื่องอะไร?”
ชายแก่ยิ้ม “ข้ากำลังรวบรวมสาวงามให้ครบสิบแปด
คน แต่ว่าหลายปีมานี้ เลือกไปเลือกมา ก็ไม่ถูกใจ
เลย ยังเหลืออีกสามคนก็จะครบแล้ว แม่นาง ข้า
ถูกใจเจ้าเหลือเกิน ขอแค่เจ้ารับปากยอมไปกับข้า
ข้าไม่เพียงบอกเจ้าว่าข้าเป็นใคร ต่อไปใครรังแกเจ้า
ข้าก็จะออกหน้าแทนเจ้าเอง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“หน้าด้านไร้ยางอาย” อีฝูยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้า
ช่วยคนเลว ต้องไม่ได้ตายดี”
“ช่วยคนเลว?” ชายแก่หัวเราะ “แม่นางคนสวยเจ้า
เหมือนจะอ่านหนังสือของพวกชาวฮั่นมากเกินไปนะ
ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยอ่าน [ตำราห้องหอ] บ้างหรือ
เปล่า ข้าสอนเจ้าได้นะ ดูรูปร่างของเจ้าสิ ข้าจะสอน
เจ้าให้ถึงใจเลย.....” พูดจบ อีฝูก็ฟันมีดเข้าใส่
ถึงแม้นางจะรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายแก่ผู้นี้ แต่
หญิงชาวเหมียวรักศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก
หญิงชาวเหมียวเปิดกว้างเรื่องชายหญิงมากกว่าหญิง
ชาวฮั่น กล้าที่จะรักและกล้าที่จะเกลียด แต่ว่าพวก
นางรักศักดิ์ศรีของตัวเองมาก ชอบใครให้ได้ทุกอย่าง
แต่ว่าหากถ้าเกลียดใคร ก็จะไม่ให้คำพูดจาอุบาท
หรือทุเรศมาแปดเปื้อนตัวนางเด็ดขาด
ชายแก่ดีดพิณพูดจาน่ารังเกียจใส่นาง อีฝูไม่มีทาง
ยอม
ชายแก่ดีดพิณเห็นอีฝูลงมือ เขาก็ยิ้ม แล้วหลบไป
ด้านข้าง อีฝูฟาดฟันดาบของนางไปหลายครั้ง นาง
บุกน้ำลุยไฟมานาน พละกำลังลังเริ่มถดถอย แรง
ของการออกดาบก็เบาลง ความเร็วก็ตกลง ชายแก่
ดีดพิณหัวเราะ “ใช่ ใช่ อย่างนี้แหละ แม่นางคนสวย
ฟันดาบมาหาข้าแบบนี้ ดูดีกว่าผู้หญิงที่ถอดเสื้อผ้า
เต้นรำต่อหน้าข้าพวกนั้นอีก.....” เขาหลบไป
ทางด้านหลังของอีฝู แล้วยื่นมือตั้งใจจะไปจับไหล่
ของอีฝู อีฝูตกใจ หน้าเสียไป นางพลิกตัวกลับมาฟัน
ดาบใส่อีก
ชายแก่ดีดพิณถอยห่างออกไป แล้วยกมือขึ้นดม เขา
หัวเราะแล้วพูดว่า “หอมมาก แม่สาวน้อย ข้าไป
จากเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าหนีไปไม่ได้
เด็ดขาด”
ส่วนฉีหนิงก็กำลังพัวพันอยู่กับปีศาจสาว เขา
เกือบจะถูกทำร้ายหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็สามารถ
หลบไปได้ทุกครั้ง
เขาอยากจะอ้อมไปทางด้านหลังของนางหลายครั้ง
แต่ว่าปีศาจสาวว่องไวรวดเร็วมาก แรงที่ฟาดอาวุธ
มาของนางมันกว้างมาก ฉีหนิงรู้ว่าค้อนเหล็กนั้นแรง
เยอะมาก ก็เลยไม่กล้าที่จะไปแตะต้อง เลยยังหา
โอกาสอ้อมไปด้านหลังไม่ได้สักที
เขามองออกอยู่แล้วว่าจุดอ่อนของปีศาจสาวนี่อยู่
ตรงไหน
หากเผชิญหน้ากับปีศาจสาวนี่ตรงๆ ไม่ได้เปรียบเลย
อีกฝ่ายฟันแทงไม่เจ็บไม่ปวด อีกทั้งยังมีค้อนเหล็ก
เป็นอาวุธฟาดตอบโต้มาตลอดเวลา รับมือยากจริงๆ
มีเพียงวิธีเดียว คือต้องอ้อมไปทางด้านหลังของ
ปีศาจสาว แล้วลงมือจากด้านหลังเท่านั้น
ก่อนหน้านี้อีฝูเคยบอกว่า จะรับมือกับผีดิบนี่
จะต้องตัดคอของมันเท่านั้น จุดนี้ทำให้ฉีหนิงเข้าใจ
ว่า เมื่อไม่มีศีรษะ มันยังมีชีวิตต่อไปได้อีก แสดงว่า
เจอผีเข้าให้แล้วจริงๆ
เพียงแต่ฉีหนิงอาศัยแค่วิชาการเคลื่อนที่ ปีศาจสาวก็
เหมือนตอบโต้โดยมีเงื่อนไข ค้อนเหล็กพัวพันอยู่
รอบตัวของฉีหนิง ฉีหนิงถึงแม้จะว่องไวมาก แต่กลับ
หาโอกาสดีดีไม่ได้เลย
ชายแก่ดีดพิณถึงแม้จะสู้อยู่กับอีฝู แต่ว่าฝีมือของทั้ง
คู่ห่างกันมาก ชายแก่ดดี พิณแทบจะไม่ต้องเปลือง
แรงที่จะเอาชนะอีฝูเลย แต่ว่าเขากลับไม่ลงมือสักที
แต่กลับยังแกล้งอยู่รอบตัวอีฝูไม่ไปไหน เหมือนเขา
จะมีความสุขมากที่ทำแบบนี้
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงคำรามดังขึ้น อีฝูกับฉีหนิง
ต่างก็สะดุ้ง พวกเขาฟังออกแน่นอน เสียงคำรามนั่น
มันคือเจ้าผีดิบชายร่างยักษ์ ตอนนี้ปีศาจสาวยังไม่ได้
จัดการ คิดไม่ถึงเจ้าบ้านี่ดันโผล่มาอีก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 350 ลิงขาว
ฉีหนิงสะดุ้ง ตอนนี้เขาพบว่าปีศาจสาวเองก็คำราม
ออกมา การเคลื่อนไหวของมันก็เหมือนจะแข็งทื่อไป
อีก แสดงว่าเสียงร้องคำรามของชายร่างยักษ์มันมี
ผลกับนาง
ฉีหนิงจะพลาดโอกาสแบบนี้ไปได้อย่างไร
เขาหันหลัง อาศัยจังหวะที่ปีศาจสาวผ่อนความเร็ว
ลง อ้อมไปทางด้านหลังของปีศาจสาว ตัวปีศาจสาว
เองสัมผัสได้แล้ว ก็คิดจะตวัดค้อนเหล็กไปทางนั้น
ในชาติที่แล้วฉีหนิงก็ฝึกวิชาการต่อสู้มาเป็นทุนเดิม
อยู่แล้ว ในชาตินี้เขายังฝึกกำลังภายในอีก ปฏิกิริยา
ของเขามันรวดเร็วมาก ไม่รอให้ปีศาจสาวได้หันตัว
กลับมา เขาก็ลุยขึ้นหน้า มือขวากำมีดสั้นไว้ แล้ว
แทงเข้าไปยังหลังคอของปีศาจสาว
ถึงแม้ร่างกายของปีศาจสาวจะแข็งแรงมาก แต่ว่าถึง
อย่างไรมันก็ไม่ใช่หิน มีดสั้นคมมาก เป็นอาวุธที่หา
ได้ยากชิ้นหนึ่ง อีกทั้งฉีหนิงก็ใช้แรงอย่างเต็มที่ มีด
สั้นแทงทะลุคอของปีศาจสาวจากด้านหลังถึง
ด้านหน้า
หากเป็นคนทั่วไป ถูกแทงทะลุคอแบบนี้ คงตายไป
แล้วแบบไม่ต้องสงสัย แต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้
ปีศาจสาวเหมือนไม่รู้ว่าเจ็บ นางยังอยากจะหันหน้า
กลับไป ฉีหนิงร้องออกแรงแล้วกำมีดสั้นดันออก
ทางด้านข้าง ตัดคอปีศาจสาวขาดไปครึ่งหนึ่ง
คอที่ยังเชื่อมอยู่อีกครึ่ง มีเลือดพุ่งกระฉูดออกมา ฉี
หนิงกังวลว่าตัวเขาลงมือโหด ปีศาจสาวจะยังมี
ปฏิกิริยาตอบโต้ เมื่อลงมือเสร็จแล้ว ก็กระโดดถอย
หลังออกมา
หัวของปีศาจสาวเบี้ยวไปข้างหนึ่ง เหมือนกับไม่มี
ศีรษะแล้ว จากนั้นก็ลากค้อนเหล็กเดินมาสองสาม
ก้าว แต่แล้วในที่สุดก็ล้มลง จมกองโคลนไป
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงดุดันเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ไกวไกว ไกวไกว อ่า......” ท่ามกลางคำพูดนั้น ฉี
หนิงเห็นชายร่างยักษ์รูปร่างกำยำเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา
เขาเดินมาถึงข้างตัวของปีศาจสาว
แรกเริ่มเดิมทีเขาคิดว่านั่นเป็นเสียงของชายร่างยักษ์
แต่วินาทีนั้นเขาก็รู้สึกว่าเสียงมันแปลกๆ น้ำเสียง
เหมือนจะไม่ใช่ ขณะที่กำลังแปลกใจ เขาก็
สังเกตเห็นว่า ที่บริเวณคอของชายร่างยักษ์ มี
บางอย่างที่เป็นสีขาวๆ นั่งอยู่ ขาทั้งสองข้างของมัน
พาดมาด้านหน้าคอของชายร่างยักษ์ มือหนึ่งจับเข่า
ของชายร่างยักษ์ อีกมือถือธงปลายแหลมสีขาว
ฉีหนิงพลันนึกถึงธงสีขาวปลายแหลมที่ตกลงมาจาก
ฟ้านอกกระท่อม ธงนั่นเหมือนอันนี้ไม่มีผิด
ในตอนนี้เขาเห็นชัดแล้ว หากคิดไม่ผิด น่าจะเป็นคน
ที่ควบคุมเจ้าผีดิบสองตัวนี้แน่นอน
เจ้านี่ตัวขาวทั้งตัว บนหัวคาดผ้าสีขาวปิดหมดเหลือ
แต่ลูกตา ร่างกายเล็กมาก เหมือนลิงตัวหนึ่ง
ชายร่างยักษ์อยู่ห่างจากศพของปีศาจสาวประมาณสี่
ถึงห้าก้าว เจ้าคนที่เหมือนลิงนั่นกระโดดออกจากคอ
ของชายร่างยักษ์ แล้วลงมายืนอยู่ข้างศพของปีศาจ
สาว ธงขาวปักลงที่พื้น เขายื่นมือไปจับคอที่ยังเชื่อม
อยู่กับหัว แล้วพูดว่า “ไกวไกว ไกวไกวของข้า อ่า
เจ้าจะตายไม่ได้ รีบลุกขึ้นมา รีบลุกขึ้นมา......”
น้ำเสียงของเขาดุมาก ท่ามกลางสายฝนแบบนี้ มัน
ทำให้คนรู้สึกขนลุกขึ้นมา
ชายร่างยักษ์ลากค้อนยักษ์เดินวนรอบตัวของปีศาจ
สาว ไม่ได้มาสนใจอะไรกับฉีหนิง
ชายแก่ดีดพิณเห็นคนที่เหมือนลิงขาวพูดจาอย่าง
ดุดัน ก็หยุดลงมือกับอีฝู เขาหัวเราะแล้วพูดว่า
“ตายก็ตายไปซิ ของเก่าไม่ไป ของใหม่ไม่มา หาใหม่
เอาก็ได้”
เจ้าลิงขาวนั่นโผล่หน้ามา จ้องมาที่ชายแก่ดีดพิณ
แล้วพูดเสียงแหลมว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
ถึงแม้เขาจะดูตัวเล็ก แต่สายตาของเขามันดู
โหดเหี้ยมผิดปกติ
ชายแก่ดีดพิณเหมือนจะหวาดกลัวลิงขาวอยู่ไม่น้อย
แต่ว่าไม่อยากจะแสดงท่าทีที่ดูเหมือนอ่อนกว่า เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าขาดผู้หญิงมาเป็นร่างยาให้ ข้ามี
ผู้หญิงตั้งมากมาย ให้เจ้าเป็นของขวัญสักสิบคนเลย
ดีหรือไม่ เจ้าชอบคนไหนใช้งานได้ เจ้าก็เอาไปเป็น
ร่างยา เจ้านี่หัวก็ไม่มีแล้ว จะไปมีประโยชน์อะไร
อีก”
ฉีหนิงตกใจ แอบคิดในใจว่าที่แท้เจ้าตัวประหลาด
แรงเยอะแบบนี้ที่แท้กค็ ือร่างยา มันก็หมายถึงว่า
พวกเขาทั้งคู่ไม่มีความคิดของตัวเอง ไม่ต่างจากคน
ตาย ส่วนร่างยา ก็น่าจะหมายถึงว่าตัวประหลาด
สองตัวนี้เกิดมาจากการใช้ยา
เท่าที่เขารู้มา ชาวเหมียวที่ซีชวนเชีย่ วชาญการใช้
พิษ แต่ว่าคนที่สามารถใช้พิษกับคนแล้วสร้างมันมา
เป็นอาวุธที่ร้ายกาจขนาดนี้ได้ หาได้ยากมาก แสดง
ว่าลิงขาวนี่จะต้องมีนิสัยที่โหดเหี้ยมมากแน่นอน
“เจ้ากล้าพูดว่าไกวไกวของข้าไม่มีประโยชน์แล้ว
อย่างนั้นหรือ?” ลิงขาวพูด “ข้าใช้เวลากว่าสี่ปี ถึง
จะได้สุดที่รักไกวไกวของข้าออกมา แต่เจ้า......เจ้า
กลับบอกว่านางไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ?” เสียง
ของเขาแหลมมาก อารมณ์ดูรุนแรง ท่าทางแบบนั้น
เหมือนสามารถลุยขึ้นหน้าได้ตลอดเวลา
ชายแก่ดีดพิณขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าบ้าป๋าย ข้า
แค่ปลอบใจเจ้า เจ้าอย่าหาเรื่องเลยน่า”
ลิงขาวกลับมายืนอยู่ที่เดิม เดินวนรอบศพ เขาตัว
ขาวทั้งตัว ถึงแม้จะเปียกไปด้วยฝน แต่ว่าดูไปแล้วก็
น่ากลัว สายตาของเขาดูร้อนใจ ทันใดนั้นเองเขาก็
หยุดเดิน แล้วจ้องไปที่ชายแก่ดีดพิณ แล้วพูดว่า
“เจ้าบอกว่าพิณของเจ้าสามารถทำให้คนตาย
กลับมามีชีวิตได้ รีบช่วยไกวไกวของข้าสิ เร็วเข้า”
ชายแก่ดีดพิณจ้องไปที่เขาแล้วพูดว่า “หัวหลุดขนาด
นั้นแล้ว ยังจะให้เกิดใหม่อีกหรือ? เจ้าบ้าไปแล้ว
หรือ?”
“ได้ เจ้าตั้งใจจะให้ไกวไกวของข้าตายไปแบบนีใ้ ช่
หรือไม่” ลิงขาวพูดอย่างโมโหว่า “ข้าจะสู้กับเจ้า”
เขาว่องไวมาก พุ่งตัวเข้าใส่ชายแก่ดีดพิณทันที ธง
ขาวปลายแหลมในมือของเขาพุ่งเข้าหาชายดีดพิณ
ฉีหนิงตกใจมาก
ชายดีดพิณกับลิงขาวเหมือนจะเป็นพวกเดียวกัน แต่
คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาสู้กันเองแบบนี้
เขาบอกกับตัวเองว่าหากเป็นคนใดคนหนึ่งในนี้ เขา
อาจจะยังพอฝืนรับมือได้ แต่ว่าสองคนนี้บวกชาย
ร่างยักษ์นั่นอีก ต่อให้เขากับอีฝูร่วมมือกัน ก็อาจ
ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
อีฝู ไม่ผิดจากที่เขาคิด อีฝูกำลังส่งสัญญาณมือให้เขา
เห็นว่าโอกาสหาได้ยาก รีบหนีไปจะดีกว่า
ลิงขาวลงมือโหดเหี้ยมมาก ธงปลายแหลมในมือของ
เขา ราวกับพายุหมุน ชายแก่ดีดพิณถอยหลังไป
หลายก้าว แต่เขาก็ซัดกระบี่ออกมา แล้วพูดด้วย
ความโมโหว่า “เจ้าบ้าป๋าย เจ้าอยากตายนักหรือ?”
ขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันอยู่ท่ามกลางสายฝน ฉีหนิงก็
แอบเดินมาที่ข้างตัวของอีฝู ทั้งสองกังวลว่าจะทำให้
สองคนนั้นรู้ตัว เลยค่อยๆ เดินออกมาระยะหนึ่ง
จากนั้นค่อยวิ่งหนี
กำลังภายในของฉีหนิงแข็งแรงมาก ท่ามกลางสาย
ฝนแบบนี้ หากต้องวิ่งก็สบายๆ เดิมทีเขาคิดว่าวร
ยุทธ์ของอีฝูไม่เท่าไหร่ คิดว่าจะวิ่งได้ไม่เร็วนัก ใคร
จะคิดว่าพอนางเริ่มวิ่ง กลับไม่ได้ช้าเลย นางวิ่งได้ไว
เหมือนกับสายฟ้า ไม่ได้อยู่หลังฉีหนิงเลย
นางรูปร่างอ้อนแอ้น สะโพกหน้าอกอวบอิ่ม อีกทั้ง
ไม่มีชั้นในรัดหน้าอกเอาไว้ พอวิ่งทำให้หน้าอกเด้งไป
มาไม่หยุด
“คนพวกนั้นเป็นใครกัน?” ฉีหนิงวิ่งไปด้วยถามไป
ด้วย “เหตุใดพวกเขาต้องตามฆ่าพวกเจ้าด้วย?”
“เจ้าไม่ได้ยินหรือ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร”
อีฝูไม่ได้มองหน้าเขา เหมือนกำลังกังวลสองคนนั้น
อยู่ “อย่าเพิ่งพูดเลย หาที่หลบก่อน”
“เจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร แต่ว่าเจ้ารู้ว่าพวกเขามา
จากไหน” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าบอกว่าพวกเขาช่วยคน
เลว แสดงว่ารู้ว่าใครส่งพวกเขามา แม่นางอีฝู เจ้า
เป็นใครกัน เหตุใดถึงมีคนส่งยอดฝีมือแบบนี้มาไล่ล่า
เจ้าด้วย ข้าเดือดร้อนเพราะเจ้าหนักเลยนะคราวนี้”
กำลังภายในของเขามีมาก อีกทั้งชายวัยกลางคนก็
ได้ถ่ายทอดวิธีเดินลมปราณให้เขาด้วย ต่อให้วิ่งอยู่
แต่ลมหายใจก็ไม่หอบ การเปลี่ยนลมคล่องมาก
พูดจาได้แบบไม่มีปัญหาอะไร
อีฝูหันหน้ามามอง แล้วยิ้ม “พวกเจ้ามาเจอเอง
เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? พวกเจ้าชาวฮั่นนี่ชอบโยน
ความผิดให้คนอื่นนักหรืออย่างไรกัน?”
นางพูดจบ ก็ได้ยินเสียงของชายร่างยักษ์ดังลอยมา
จากด้านหลัง ฉีหนิงสีหน้าเปลี่ยน แล้วพูดว่า “พวก
เขารู้ตัวแล้ว กำลังตามมา”
กลางดึกแบบนี้ ถึงแม้ฝนจะเบาลงแล้ว แต่ว่ารอบๆ
มืดสนิท แทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย ไม่รู้ว่าควรจะ
ไปทางไหนดี
อีฝูรู้ดีว่าสองคนข้างหลังนั่นมีความเร็วมาก หากเป็น
ทางเรียบ เกรงว่าไม่นานคงตามมาทัน ก็เลยวิ่งฝ่าป่า
เข้าไป ฉีหนิงรู้ดีว่ากำลังของเขาคนเดียว ไม่มีทาง
รับมือพวกเขาสองคนได้แน่ ก็เลยวิ่งตามอีฝูเข้าป่าไป
ตลอดทางที่วิ่งมา ด้านหลังก็มีเสียงของชายร่างยักษ์
ดังตามมาเป็นระยะ แต่ว่าเหมือนระยะทางจะห่าง
ออกไปแล้ว ฉีหนิงกำลังจะพูดอะไร ทันใดนั้นเขาก็
ได้ยินเสียง “โอ้ย” คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากวิ่งผ่านป่า
ออกไปแล้ว นอกป่าจะมีเนินเล็กๆ อีฝูไม่ทันระวัง
ทำให้สะดุดก้อนหิน เนื่องจากฝนตกทำให้ดินเป็น
โคลนลื่น อีฝูลื่นไถลลงไปตรงเนิน ฉีหนิงปฏิกิริยาไว
มากรีบพุ่งตัวเข้าไป แล้วจับมือของอีฝูเอาไว้ แต่ว่า
ไม่ทันระวังเหมือนกัน ทำให้ทั้งคู่ไถลลงเนินไป
ด้วยกัน
ทั้งสองกลัวว่าจะทำให้ได้ยินเสียง ต่างไม่กล้าออก
เสียง จึงปล่อยตัวให้ไถลลงเนินไป สักพักก็ได้ยิน
เสียง “ตูม” ทั้งคู่ตกลงมาในบ่อน้ำ ฉีหนิงรู้สึกหนาว
ขึ้นมา แต่มือที่จับอีฝูเอาไว้เขาก็ยังไม่ปล่อย เขารู้ว่า
เมื่อครู่มันมืดมากมองอะไรไม่เห็น พลาดตกเนินลง
มาแบบนี้ ข้างล่างก็น่าจะเป็นแม่น้ำ
เพราะฝนตกหนัก ทำให้น้ำขึ้น น้ำค่อนข้างเชี่ยว
หลังจากที่ทั้งคู่ตกลงมาในน้ำแล้ว ก็ถูกน้ำซัดอย่าง
แรง
ฉีหนิงตกใจนิดหน่อย น้ำฝนทำให้น้ำขึ้น น้ำในแม่น้ำ
เชี่ยวมาก ฉีหนิงพยายามลืมตาขึ้นมา คิดอยากจะ
หาที่เกาะเพื่อรักษาสมดุลร่างกายในน้ำเอาไว้ แต่ว่า
น้ำมันเชี่ยวเกินไป ร่างกายจมอยู่ในน้ำ แทบจะ
ควบคุมไม่ได้เลย ขณะที่เขากำลังคิดหาวิธีเอาตัว
รอด ทันใดนั้นเองก็รู้สึกเหมือนกับว่าที่เอวของเขา
มันแน่น เหมือนมีคนมาโอบเอวของเขาเอาไว้
ฉีหนิงรู้อยู่แล้วว่าคนที่โอบเอวเขาน่าจะเป็นสาวชาว
เหมียวอีฝู อยู่ท่ามกลางน้ำที่เชี่ยวขนาดนี้ เป็นใครก็
ตื่นตกใจทั้งนั้น ขณะที่อีฝูกำลังตื่นตระหนก คงคิดว่า
เขาเป็นหญ้าหรืออะไรที่ช่วยชีวิตได้ การกอดเขา
เอาไว้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกัน ฉีหนิงสัมผัสถึงความ
เรียบเนียนของผิวได้ หน้าอกของอีฝูอวบอิ่มมาก
ก้อนนิ่มๆ กำลังดันมาชนกับหน้าอกของเขา มันถูก
ซัดไปตามแรงน้ำ ชนเข้าหาตัวเขาเป็นระยะ
ฉีหนิงถูกโอบเอวไว้ เขาก็เลยปล่อยมือของอีฝู เขา
กางมือออก แล้วใช้มือแหวกว่ายเพื่อไม่ให้จมลงไป
ในน้ำ ตรงคอก็ถูกใบหน้ากับริมฝีปากเย็นๆ ของนาง
แนบติดอยู่ หน้าอกของนางก็ชิดติดอยู่กับหน้าอก
ของเขา จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงไอของอีฝูนาง
กำลังสำลักน้ำ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 351 สถานที่ซ่อนตัว
น้ำในแม่น้ำเต็มไปด้วยดินโคลน ฉีหนิงรู้ดีว่า ใน
สถานการณ์แบบนี้ ต่อให้ว่ายน้ำเก่งแค่ไหน ก็ไม่
สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ เมื่อน้ำเข้า
จมูกหรือปาก เมื่อน้ำหรือดินโคลนลงคอไป ก็จะทำ
ให้หายใจไม่ออก ถึงแม้เขากับอีฝูจะไม่มีอะไร
เกี่ยวข้องกัน อีกทั้งไม่รู้ว่านางเป็นใครมาจากไหน
แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ จะมองนางสำลักน้ำตาย
ไปต่อหน้าไม่ได้
หากตอนนี้ใช้มือหนึ่งดันสะโพกของอีฝูเอาไว้
พยายามดันตัวนางให้พ้นจากน้ำ แต่ถ้าเป็นแบบนี้
เขาทำได้แค่ว่ายน้ำได้เพียงมือเดียว แล้วจะทำให้เขา
สำลักน้ำแทนได้
ทั้งสองคนถูกน้ำที่ไหลเชี่ยวซัดลงไปตามน้ำ แม่น้ำ
ไหลโค้งวนไป จากนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนแรงลง ฉีหนิง
สามารถควบคุมร่างกายตัวเองในน้ำได้แล้ว ตอนนี้
เขาโล่งใจแล้ว เขามองซ้ายมองขวา ถึงแม้จะมืดมาก
แต่ก็ยังมองออกว่าแม่น้ำนี้กว้างมาก ตอนนี้พวกเขา
อยู่ท่ามกลางแม่น้ำ แม่น้ำสายนี้เองก็ลึกพอสมควร
อีฝูเองก็รู้สึกว่าสายน้ำไหลเบาลง นางจึงปล่อยมือ
ออก นางชำนาญกับการอยู่ในน้ำ สองเท้าของนาง
ดีดขาอยู่ภายใต้น้ำ แล้วชี้ไปที่ฝั่ง “พวกเรา......พวก
เราไปตรงนั้นกัน” นางไม่พูดอะไรเยอะ สูดหายใจ
เข้า แล้วว่ายไปทางฝั่ง
ฝนเริ่มเบาลงแล้ว ฉีหนิงว่ายน้ำตามหลังอีฝู เขาเห็น
ร่างกายอีฝูเคลื่อนไหว ระหว่างที่ว่ายน้ำไป ฉีหนิงถึง
ได้สังเกตเห็นว่ารองเท้าของนางหายไป ตอนนี้มีแต่
เท้าเปล่าๆ มันขาวเรียวเล็กราวกับเท้าแมว ท่าทาง
การว่ายของนางมันดูน่ารักมาก
น้ำที่ไม่ไหลเชี่ยว ทั้งสองใช้เวลาไม่นาน ก็ว่ายแล้ว
มาถึงฝั่ง อีฝูปีนขึ้นฝั่งไป ฉีหนิงขึ้นมาบนฝั่งแล้วพูด
ว่า “พวกเราน่าจะสะบัดเจ้าบ้านั่นได้แล้วล่ะ”
อีฝูพยักหน้ายังไม่ทันพูดอะไร นางดูเหนื่อยล้ไม่น้อย
นางพยายามฝืนลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “พวกมันมี
ความสามารถในการดมกลิ่น พวกเราพยายามหนี
จากการติดตามของพวกเขาหลายครั้ง แต่พวกเขาก็
ตามมาเจออีกเหมือนเดิม ถึงอย่างไรพวกเขาก็คง
ตามมาอยู่ดี พวกเราจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่ากว่าจะหลุดปีศาจสองตัวนั่นมา
ได้มันไม่ง่ายเลย ที่นี่ก็ดูปลอดภัย ชาวเหมียวนี่ถูกไล่
ฆ่า เขาตามมาแบบนี้ จะเดือดร้อนเปล่าๆ
เขาไม่ใช่คนที่กลัวเดือดร้อน หากเป็นเขา หากเจอ
เรื่องอะไรขึ้นมา ด้วยนิสัยเขา จะต้องออกหน้าช่วย
แน่นอน
แต่ว่าคู่ต่อสู้ของสาวชาวเหมียวนี่ไม่ธรรมดา ที่ไหนมี
คนที่นั่นก็คือยุทธภพ สิบหกเขตในซีชวน กว้างใหญ่
ไพศาล พื้นที่ที่มีหน่วยราชการเอง พรรคในยุทธภพ
ก็มีอยู่ไม่น้อย อำนาจในยุทธภพฆ่าฟันกันไปมา เป็น
เรื่องปกติ ขอแค่ไม่ละเมิดขอบเขตของยุทธภพ จวน
เสินโหวก็ไม่เข้ามายุ่ง
ตอนนี้ถึงแม้สู่อ๋องจะยอมสวามิภักดิ์ต่อแคว้นฉู่ แต่
ว่าอำนาจของซีชวนมันซับซ้อน จนถึงวันนี้ แคว้นฉู่
เองก็ไม่อาจจะควบคุมซีชวนทั้งหมดไว้ในมือได้
ถึงแม้จวนเสินโหวจะควบคุมอำนาจยุทธภพทางใต้
และบริเวณน่านน้ำ แต่ว่ามีเพียงซีชวนที่ยังไม่
ควบคุมไว้ในมือได้จริงๆ
ฉีหนิงรู้ว่าตัวเองเข้าไปยุ่งน้อยมากเท่าไหร่ยิ่งดี ขอ
แค่สืบเรื่องจริงของเฮยเยียนได้ก็พอ เรื่องฆ่าแกงกัน
ในยุทธภพแบบนี้ไม่ยุ่งจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นหากเข้าไป
พัวพันแล้ว เกิดเรื่องตามมามันไม่คุ้มกันเลย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ถามว่า “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?
เดินทางคนเดียวได้หรือไม่?”
อีฝูฉลาดมาก นางเข้าใจความหมายของฉีหนิง นาง
พูดว่า “ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้าไว้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้า
เดือดร้อนอีก พวกเราก็แยกกันตรงนี้เลยละกัน”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัว
ด้วยนะ”
อีฝูพยักหน้า แล้วหันหน้าเดินไปทางป่า ฉีหนิงเห็น
นางเดินจากไปแล้ว เขาถึงได้เดินตามแม่น้ำไป เมื่อ
เดินไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไป
มอง เขาเห็นอีฝูสลบล้มลงกับพื้น เขาตกใจมาก รีบ
วิ่งกลับมาแล้วพยุงอีฝูเอาไว้ “เจ้าเป็นอะไรไป?”
อีฝูนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา ผมของนางมีกลิ่น
หอมอ่อนๆ ฉีหนิงรู้สึกว่านางตัวร้อนไปทั้งตัว เขา
ขมวดคิ้ว รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว
คืนฝนตกหนาวเหน็บขนาดนี้ อีกทั้งยังแช่อยู่ในน้ำตั้ง
นาน แม้แต่เขาเองยังรู้สึกหนาว กำลังภายในของอีฝู
ไม่มีทางมากไปกว่าเขา ร่างกายของนางไม่ควรจะ
ร้อนขนาดนี้ ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมาก อีกทั้งตอนนี้
ใบหน้าของอีฝูเองก็หน้ามาก เขาสะดุ้งไป แล้วถาม
ว่า “เจ้าไม่สบายหรือไม่?”
อีฝูสะลึมสะลือ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “ที่
นี่......ที่นี่อยู่ต่อไปไม่ได้ ต้องรีบออกไปจากที่นี่ก่อน
......ข้า......ข้าอาจจะถูกพิษเข้าให้แล้ว”
“ถูกพิษ?” ฉีหนิงตกใจแล้วพูดว่า “เจ้าถูกพิษตั้งแต่
เมื่อไหร่กัน?”
อีฝูพูดว่า “ข้าถูกคนๆ นั้นซัดเข้าที่ไหล่......หลายครั้ง
ตอนนั้นที่ไหล่เจ็บมาก พอนึกย้อนกลับไป น่าจะ......
น่าจะถูกเขาใช้เข็มทิ่มเข้าให้”
“เจ้าหมายความว่า ตาเฒ่าดีดพิณนั่นใช้เข็มพิษซัด
ใส่ไหล่ของเจ้าหรือ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “วร
ยุทธ์ของเขาก็เหนือกว่าเจ้า จะฆ่าเจ้าก็ไม่ได้ยากเลย
แล้วทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากด้วย?” เขาเองก็รู้ว่า
ที่นี่อยู่ต่ออีกไม่ได้ เดิมทีเขาคิดจะแยกกันเดินทาง
กับอีฝู แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสาวชาวเหมียวคนนี้กลับถูก
พิษ หากทิ้งนางเอาไว้แล้วไปตอนนี้ ฉีหนิงคิดว่าเขา
ทำไม่ได้ เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หาที่หลบก่อน เจ้า
พูดถูก ที่นี่อยู่นานไม่ได้”
เขาแบกอีฝูขึ้นหลัง แล้วเดินทะลุเข้าป่าไป อีฝูตัวเบา
มาก ไม่ได้ต้องใช้แรงเยอะ เพียงแต่หน้าอกนิ่มๆ
ของนางทิ่มหลังเขาอยู่ มันทำให้เขาใจเต้นแรงมาก
เขาเดินเข้ามาในป่ากว่าครึ่งชั่วยาม แต่กลับหาทาง
ออกไม่เจอเลย เหมือนเขาจะหลงทางแล้ว ฉีหนิง
ขมวดคิ้ว เขาเดินตามหาทางออกอยู่พักใหญ่ ฝนเริ่ม
เบาลงแล้ว แต่กลับได้ยินเสียงเหมือนฝนตกหนัก
มาก เขาหันไปมองตามเสียง แล้วเดินตามเสียงนั้น
ไป ครั้งนี้เขาเดินออกจากป่ามาได้แล้ว เขามองไป
ด้านหน้ามันเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลลงไป
ข้างหน้า
ทางซ้ายของน้ำตก มีทางเล็กๆ ตรงหุบเขา ฉีหนิง
ลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังแบกอีฝูเดินไปทางหุบ
เขานั่น
เมื่อเข้ามาในหุบเขาแล้ว มันเป็นถนนสายเดียวภูเขา
สูงขนาบสองข้าง ด้านบนหุบเขาแคบกว่าด้านล่าง
เสียอีก ด้านข้างเหมือนมันจะ “เว้า” ออกมา มันทำ
ให้ฉีหนิงนึกถึงปรากฏการณ์ “ท้องฟ้า 1 เส้น” ขึ้น
มาแล้ว
สายลมหนาวเย็น เขาเดินผ่านช่องแคบของหุบเขา
เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของอีฝูร้อนเป็นอย่างมาก ไม่รู้
ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาถามนางว่า “แม่นางอีฝู
ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? จะพักก่อนหรือไม่?”
อีฝูพูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “เดินต่อไปพวกเรา......
พวกเราต้องไปให้ไกลที่สุดถึงจะปลอดภัย......”
ฉีหนิงรับคำ แล้วเดินต่อไป ก็ไม่รู้ว่าเดินไปนานแค่
ไหน เมื่อออกจากช่องแคบของหุบเขา ทางด้านหน้า
กว้างมาก เขาเดินตามทางออกไปอีกประมาณหลาย
ลี้ ฉีหนิงรู้สึกว่าด้านหน้านั้นเหมือนจะมีแสงไฟ เขา
รู้สึกดีใจมาก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันที่ไหน แสงไฟนั่น
มันลอยอยู่กลางอากาศ ฉีหนิงมองไปเห็นว่ามันเป็น
ภูเขาลูกหนึ่ง
เขาเดินทางตามแสงไฟนั้นไป เมื่อเดินเข้าไปใกล้ แต่
ว่าพอเดินเอาเข้าจริงแล้วมันก็ไกลมาก พวกเขาเดิน
ผ่านป่าเล็ก ก็พบทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อน เขาเดิน
ตามหินอ่อนไป ก็เห็นภูเขาลูกนั้นอยู่ตรงหน้า แสง
ไฟนั่นอยู่กลางภูเขาลูกนั้น
ฉีหนิงคิดในใจว่าอีฝูถูกพิษ ก็จะต้องถอนพิษ ตัวเขา
นอกจากยาโลหิตแล้ว ก็ไม่มียาอะไรที่ถอนพิษได้เลย
กลางป่าแบบนี้ กลับมีที่แบบนี้อยู่ ก็ลองไปเสีย่ งดวง
ดูได้ ต่อให้ไม่สามารถถอนพิษได้ ก็หลบฝนสักหน่อย
ก็ยังดี
แรงเขาไม่ดีเลย เขาแบกอีฝูเดินตามทางหินอ่อนไป
เดินไปได้ไม่นาน เขาก็เห็นตรงหน้าของเขานั้นเป็น
กำแพงสูงใหญ่สีแดงฉาน ดูไปแล้วยิ่งใหญ่ไม่น้อย
ฉีหนิงอดกะพริบตาไม่ได้ เขารู้สึกประหลาดใจมาก
พื้นที่ป่าแบบนี้ มองไปทางไหนก็ไม่มีบ้านคนเลย
เหตุใดกลางเขาถึงได้มีคฤหาสน์ที่ใหญ่ขนาดนี้ได้นะ
กำแพงสีแดงทอดยาวไปตามแนวระหว่างภูเขา
ด้านซ้ายและขวามองไปไกลสุดลูกหูลูกตา หน้า
ประตูมีโคมไฟแขวนอยู่ มันสว่างมาก
ฉีหนิงเดินเข้าไปใกล้ประตูใหญ่ เมื่อมองอย่าง
ละเอียด เขาถึงได้เข้าใจว่า มันไม่ใช่ประตูใหญ่ แต่
มันเป็นประตูด้านหลัง
เขากำลังคิดจะไปเคาะประตู แต่กลับเห็นประตูมัน
แง้มอยู่ เขาลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือไปผลักประตู
ออก แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปในเรือน ภายในเรือนมืด
สนิท ทันใดนั้นก็ได้ยินอีฝูพูดขึ้นมาว่า “พวกเราไม่รู้
ว่าที่นี่ที่ไหนเป็นของใคร พวกเรา.....พวกเราอย่าทำ
ให้คนที่นี่แตกตื่นจะดีกว่า”
ฉีหนิงเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน เขาพยักหน้า แล้ว
เลี่ยงไปเดินข้างกำแพง เรือนหลังนี้ไม่เล็กเลย เขา
เดินอยู่นานมาก เดินมาไกลจากเรือนด้านหลังมาก
แล้ว เขาเห็นเรือนเล็กหลังหนึ่งที่ทำจากไม้ตั้งอยู่หลัง
เดียวโดดๆ ไม่มีอะไรอยู่ข้างๆ เลย
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าสวรรค์เข้าข้างเขาแล้ว เขาคิด
ว่าที่นี่คงไม่มีใครสังเกตเห็น ที่นี่เงียบสงบ คงไม่มีใคร
มารบกวน เขาเองก็กำลังจะหาที่หลบฝนเพื่อให้อีฝู
ได้พัก ที่นี่เหมาะมาก อีกทั้งเจ้าลิงขาวกับเฒ่าดีดพิณ
นั่นก็ไม่น่าจะตามมาถึงที่นี่ได้
ทางด้านซ้ายและขวาห้องไม้หลังนี้ เป็นลานกว้าง มี
ตั้งไม้ไว้ เหมือนจะใช้ตากผ้า ฉีหนิงเดินเข้าไปใกล้
หน้าต่าง แล้วแง้มหน้าต่างดู ข้างในมืดมาก แต่ก็ยัง
มองเห็นว่าด้านในแม้แต่โต๊ะหรือเก้าอี้สักตัวก็ไม่มี
แต่ภายในห้องกลับมีแต่กองฟาง ที่ถูกมัดเป็นกองๆ
วางเอาไว้
ฉีหนิงวางอีฝูลง อีฝูพยายามฝืนพิงข้างกำแพง ฉีหนิง
ทำสัญญาณมือ เพื่อบอกไม่ให้อีฝูส่งเสียง แล้วหยิบ
มีดสั้นเอาไว้ในมือ เขาเดินสำรวจไปรอบๆ เมื่อแน่ใจ
ว่าไม่มีใครแล้ว ถึงได้พยุงอีฝูเข้าไปในห้อง
ห้องไม้หลังนี้มีสองชั้น แต่ว่าชั้นสองไม่มีอะไรเลย
ข้างในเป็นรูปทรง “เหลี่ยม” กว้างราวสองฉือ มี
แผ่นไม้พาดบนบันได ฉีหนิงรู้ว่ามันเอาไว้ลำเลียง
กองฟาง
เมื่อปิดประตูหน้าต่างแล้ว ก็สามารถกั้นลมที่มาจาก
ภายนอกได้ ซึ่งก็สร้างความอบอุ่นได้
ฉีหนิงพยุงอีฝูไปที่มุมๆ หนึ่ง แล้วใช้กองฟางปูพื้น
ซึ่งมันอยู่ตรงระหว่างกองฟาง ต่อให้มีใครเดินเข้ามา
ก็จะมองไม่เห็น
หลังจากอีฝูนั่งลงแล้ว ฉีหนิงถึงได้โล่งใจ เขาส่ายหัว
แล้วถอนหายใจ เขาหยิบยาโลหิตออกมาหนึ่งเม็ด
ภายในขวดนี้เหลือยานี่เม็ดสุดท้ายแล้ว กำลังจำยื่น
ยาไปให้อีฝูเพื่อควบคุมพิษเอาไว้ชั่วคราว เขายังไม่
ทันจะพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงอีฝูพูดขึ้นมาว่า “เจ้า......
ช่วยข้าถอดเสื้อผ้าให้ข้าที”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 352 จื่อติงเซียง
ค่ำคืนใต้แสงจันทร์ ชายหญิงอยู่ในห้องไม้กันตาม
ลำพัง อีฝูจู่ๆ ก็พูดออกมาแบบนี้ ทำให้ฉีหนิงตะลึง
ไป เห็นอีฝูก้มหน้าลง เขาก็พูดจริงจังขึ้นมาว่า “แม่
นางอีฝู เจ้าเห็นข้าเป็นคนอย่างไรเนี่ย? ข้ารู้ว่าข้า
ช่วยเจ้า เจ้ารู้สึกขอบคุณข้า แต่ว่า......พวกเราไม่
ต้องใช้ร่างกายมาตอบแทนก็ได้กระมัง เจ้าทำแบบนี้
ข้ารู้สึกกระอักกระอ่วนมากเลยนะ” ไม่รอให้อีฝูพูด
อะไร เขาก็เขยิบเข้าไปใกล้ แล้วพูดว่า “แม่นางอีฝู
เจ้าจะให้ข้าช่วยถอดตรงไหนก่อนดีล่ะ?”
อีฝูเงยหน้ามามองฉีหนิง นางลังเลไปครู่หนึ่ง แล้ว
พูดว่า “เจ้าช่วย......ช่วยข้าดูที่ด้านหลังของไหล่ซ้าย
ให้ที ข้ามองไม่เห็น อีกทั้ง.....ตอนนี้ข้าเองก็ไม่มีแรง
ด้วย เจ้า.....”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกเขินขึ้นมา
อีฝูในตอนนี้เองก็หน้าแดงมาก ผิวของนางแดง
เหมือนคนเป็นไข้สูง ใบหน้าที่แดงราวกับลูกท้อ
เลือดฝาดบนใบหน้าพุ่งพล่านเหลือเกิน
“อ่อ ข้าช่วยดูให้นะ” ฉีหนิงเดินไปคุกเข่าลง
ด้านหลังของอีฝูเขายื่นมือไปจับไหล่ของอีฝู เขายัง
ไม่ทันได้สัมผัสถูกตัวนาง เขาก็ลังเล เขาถามว่า “แม่
นางอีฝู เจ้า......เจ้าจะให้ข้าถอดเสื้อผ้าของเจ้าจริงๆ
หรือ?”
“เจ้าเป็นผู้ชาย ไม่จำเป็น......ไม่จำเป็นต้องพูดมาก
แบบนี้” อีฝูพูดอย่างเด็ดขาดมาก
ฉีหนิงพูดว่า “ก็ได้ ข้าจะถอดแล้วนะ เพียงแต่ว่า.....
เสื้อแขนสั้นของเจ้า ถอดมันออกก่อนได้หรือไม่ มัน
ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”
อีฝูรับคำ ถึงแม้ตอนนี้นางจะไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ยัง
ปลดกระดุมออกได้ ฉีหนิงค่อยๆ ช่วยถอดเสื้อแขน
สั้นของอีฝูออกอย่างระวัง หลังจากถอดเสื้อออกแล้ว
ภายในเป็นชุดกระโปรงสีม่วงโปร่ง ชุดกระโปรงแนบ
เนื้อของนางอยู่ ช่วงไหล่ของนางสวยงามคมคาย
มาก
ฉีหนิงคิดในใจว่าแม้แต่สาวชาวเหมียวยังไม่มี
พิธีรีตองอะไรมากเลย ตัวเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังกับ
ทำตัวเงอะงะอยู่นั่น อีกทั้งการที่อีฝูให้เขาช่วยนางดู
ไหล่ ไม่ใช่ว่าจะให้เขามาชื่นชมเรือนร่างของนางสัก
หน่อย แค่อยากให้เขาช่วยดูบาดแผลให้ เฒ่าดีดพิณ
นั่นใช่เข็มพิษรอบทำร้ายอีฝู อยากจะรู้ว่าเป็นพิษ
อะไร อย่างน้อยก็ต้องดูบาดแผลก่อน
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้ลังเลต่อไปอีก เขาเปิดเสื้อตรง
บริเวณไหล่ของอีฝูอย่างระมัดระวัง ผิวด้านในของ
นางนั้นก็โผล่ออกมา ผิวของนางไม่ได้ขาวมาก แต่ว่า
มันก็เนียนนุ่มไม่น้อย
“เห็นรอยเข็มหรือไม่?” อีฝูถาม “มันบวมขึ้นมา
หรือไม่?”
ฉีหนิงพูดว่า “ใจเย็นๆ มันมืด ยังมองไม่เห็น รอข้า
หาดูก่อน”
เขาเขยิบเข้าไปใกล้ แอบคิดในใจว่าหากเป็นเข็มพิษ
เล็กๆ ต่อให้ทิ่มเข้าไปในผิวหนังจริง ก็หายาก เมื่อ
มองดูอย่างละเอียด เขาก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “แม่
นางอีฝู เหมือนจะ......เหมือนจะไม่บวมนะ แต่ว่า
.....”
“ไม่บวมอย่างนั้นหรือ?” อีฝูสะดุ้ง ไหล่ของนาง
กระตุก “ถ้าเช่นนั้น.....เจ้าเห็นสีอะไรบ้างหรือไม่? มี
......มีตรงไหนที่เป็นรอยแดงบ้างหรือไม่?” ไม่รอฉี
หนิงพูดอะไร อีฝูก็ยกมือขึ้นมาพร้อมกับของในมือ
บางอย่าง จากนั้นไม่นานแสงไฟก็สว่างขึ้นมา
“แม่นางอีฝู ที่นี่......” ฉีหนิงยังไม่ทันพูดคำว่า “จุด
ไฟ” ออกมา ก็เห็นภายในห้องสว่างขึ้นมาแล้ว แต่ว่า
มันวงแคบมาก เหมือนกับแสงของหิ่งห้อย เดิมทีเขา
กังวลว่าจุดไฟจะทำให้มีคนเห็น เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว
เขาก็โล่งใจ เห็นอีฝูยื่นไฟมาให้เขา ฉีหนิงรับมันมา
แล้วเอาไฟไปส่องไหล่ของอีฝู เขาเห็นด้านหลังที่ไหล่
ของอีฝูนั้นมีรอยแดงขนาดหนึ่งฝ่ามือ มันมีเลือดคั่ง
เต็มไปหมด แต่ว่ามันไม่บวม
ฉีหนิงรีบพูดว่า “แม่นางอีฝู เจ้าพูดถูก ที่ไหล่ของเจ้า
มันแดงมากเลย เหมือนมีไฟเผา เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไร
บ้าง?”
อีฝูพยายามฝืนดึงเสื้อที่ไหล่กลับมาคุม นางเงียบไป
ไม่พูดไม่จา
ฉีหนิงดับไฟ แล้วนั่งอยู่ข้างๆ อีฝู แล้วพูดว่า “พิษนี่
แปลกมาก หากเป็นพิษร้ายแรง ก็น่าจะมีสีม่วงออก
ดำถึงจะถูก แต่ว่านี่......”
“มันคือพิษจื่อติงเซียง” อีฝูพูด
“จื่อติงเซียง?” ฉีหนิงรู้สึกว่าชื่อนี้ไม่คุ้นหูเลย แต่ว่า
พอฟังแล้วก็เหมือนจะเป็นพิษร้าย เขาขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “เจ้ารู้ว่าเป็นพิษอะไรก็ดีแล้ว แล้วเจ้ารู้
หรือไม่ว่ามันต้องถอนอย่างไร? เรือนหลังนี้ใหญ่มาก
น่าจะเป็นบ้านเศรษฐีมีเงิน บ้านหลังนี้สร้างอยู่กลาง
หุบเขา บ้านพวกนี้ก็น่าจะมีห้องยานะ หากเจ้ารู้ว่า
ถอนพิษอย่างไร ข้าจะแอบไปหายามาให้ จะได้ลอง
ดูว่ามีอะไรพอจะช่วยเจ้าถอนพิษได้บ้าง”
อีฝูไม่พูดไม่จา เหมือนไม่ร้อนใจเลย
ฝนด้านนอกเบาลงมากแล้ว เหมือนพายุฝนได้หยุด
พัก ภายในห้องเริ่มอุ่นขึ้น มีเพียงพวกเขาสองคน
เท่านั้นที่ยังตัวเปียกอยู่ ฉีหนิงคิดในใจว่าในเมื่ออีฝู
ถูกพิษ แต่ว่ายังต้องมาใส่เสื้อผ้าเปียกๆ อีก เขากลัว
ว่านางจะล้มป่วยไปอีก เลยพูดขึ้นมาว่า “แม่นางอีฝู
เจ้าพักผ่อนก่อนนะ ข้าจะออกไปดูว่าพอจะหา
เสื้อผ้าสักสองชุดได้หรือไม่ อากาศหนาวแบบนี้ ทำ
อะไรก็ไม่ได้ ใส่เสื้อผ้าเปียกๆ แบบนี้ มันจะไม่สบาย
ได้นะ รองเท้าของเจ้าก็หายไป เดี๋ยวข้าจะลองหามา
ให้ด้วยก็แล้วกัน”
เขากำลังจะลุกขึ้น อีฝูกพ็ ูดขึ้นมาว่า “ข้า......ข้าจะ
ตายไม่ได้ จะตายไม่ได้”
คำพูดนี้พูดออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ฉีหนิงหัน
กลับไปมองนาง เขารู้สึกสงสัย อีฝูเงยหน้าขึ้นมาแล้ว
พูดว่า “เจ้า......เจ้าแต่งงานหรือยัง?”
ใบหน้าของนางดูแดง แต่ว่าสีหน้าท่าทางของนาง
จริงจังมาก
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าในเวลาแบบนี้แล้ว สาวชาว
เหมียวนี่ยังมีกระจิตกระใจมาถามเรื่องส่วนตัวเขาอีก
แต่ก็ได้แต่ตอบกลับไปว่า “ข้าอายุยังน้อย ยังไม่ได้
แต่งงาน แล้วแม่นางอีฝูเล่า?”
อีฝูดูไปแล้วก็น่าจะอายุยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี เป็นสาว
เต็มตัวแล้ว ฉีหนิงคิดในใจว่าชาวชนบทกลางป่าเขา
มักแต่งงานเร็ว หญิงสาวชาวฮั่นอายุสิบหกสิบเจ็ดก็
แต่งงานออกเรือนกันหมดแล้ว อีฝูคิดว่าน่าจะ
แต่งงานแล้วเหมือนกัน แต่ว่ารูปร่างของสาวชาว
เหมียวคนนี้ ดูยังงดงามเป็นสัดเป็นส่วน ดูไม่เหมือน
คนเคยคลอดลูกมาก่อน
อีฝูถามอีกครั้ง “เจ้าบอกว่าเจ้ายังไม่ได้แต่งงานอย่าง
นั้นหรือ?”
“ใช่” ฉีหนิงพูดว่า “เหตุใดแม่นางอีฝูถึงได้ถามเรื่อง
นี้เล่า?”
อีฝูคิดแล้วพูดอีกว่า “เจ้า.....เจ้าเคยได้ยินชื่อของจื่
อติงเซียงหรือไม่?”
“ไม่เคย แต่ว่าชื่อนี้ฟังไปแล้วก็เพราะดีนะ ไม่เหมือน
ยาพิษเลย” ฉีหนิงนั่งลงอีกครั้ง “แม่นางอีฝู จื่อติ
งเซียงนี่มันพิษอะไรกัน? มันร้ายกาจมากเลยหรือ?”
อีฝูกัดปาก แล้วพูดว่า “บัดซบ”
ฉีหนิงสะดุ้ง ขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร อีฝู
ก็พูดว่า “ข้าไม่ได้ว่าเจ้า ข้าว่า......ข้าว่าเจ้าเฒ่านั่น”
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาทันที อีฝูพูดถึงชายแก่ดีดพิณนั่น
เขาพูดว่า “ก็ไม่รู้ว่าเจ้าบ้าสองคนนั่นมาจากที่ไหน
เลวมากจริงๆ”
“จื่อติงเซียงเองที่จริงก็ไม่ได้เจอในซีชวนง่ายๆ” อีฝู
ก้มหน้าลง สายตาของนางมองไปที่พื้น นางพูดด้วย
เสียงที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใด “จื่อติงเซียงมักถูก
พวกขุนนางซื้อเป็นยาเพิ่ม.....เพิ่มอารมณ์ ถ้ามีแค่จื่
อติงเซียงอย่างเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าเมื่อกิน
ยาปรุงมาจากจื่อติงเซียง เมื่อถูกน้ำแล้ว มัน.....มันก็
จะกลายเป็นพิษ.....”
ฉีหนิงตอนนี้ถึงได้เข้าใจ เขาพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว
เจ้าแก่ดีดพิณนั่นใช้เข็มพิษทำร้ายเจ้า พิษนั่นมีตัวจื่
อติงเซียงอยู่ จากนั้นเจ้าก็ตากฝน เดิมก็โดนน้ำเย็น
อยู่แล้ว พวกเรายังตกน้ำอีก ทำให้อาการของพิษ
กำเริบ”
อีฝูพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าก็พอจะเดาได้แล้ว
เพียงแต่ยังไม่แน่ใจ ตอนนี้.......ตอนนี้แน่ใจแล้ว”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แม่นางอีฝู ข้าเห็นหน้า
ของเจ้าแดงมากเลย ไม่เหมือนคนที่ถูกพิษที่หน้าจะ
เป็นสีคล้ำ คนที่ถูกพิษของจื่อติงเซียง จะมีอาการ
อย่างไรบ้าง? จริงสิ เจ้าบอกว่าพวกขุนนางซื้อจื่อติ
งเซียงไปใช้เป็นยาเพิ่มอารมณ์ ยาพิษแบบนี้ มันจะ
ไปเพิ่มอารมณ์อะไรได้?”
อีฝูเหลือบไปมองฉีหนิง นางไม่พูดอะไร แต่สุดท้ายก็
พูด “ใช้มาเป็น.....เป็นยาร่วม.....ร่วมรัก......” เมื่อ
พูดถึงตรงนี้ ต่อให้สาวชาวเหมียวจะเปิดกว้าง
มากกว่า แต่อีฝูเองก็ยังหน้าแดงหูแดงอยู่ดี แต่
ท่าทางของนางยังดูนิ่งอยู่
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาทันที เขาพูดว่า “เจ้า......เจ้าถูกยา
ปลุกกำหนัดหรือ?” เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่า ชายแก่
ดีดพิณนั่นหื่นกามไม่น้อย ระหว่างที่ต่อสู้กับอีฝูนั้น
มักจะแหย่อีฝูอยู่ตลอด เหมือนกับว่าอีฝูเป็นอาหาร
ของเขา เขาตั้งใจใช้เข็มแทงเข้าที่ไหล่ของอีฝู ไม่ได้
คิดจะเอาชีวิตนาง แต่กลับมีเป้าหมายแบบนี้
หลังจากที่อีฝูพูดออกมาตรงๆ แล้ว นางก็ไม่เขินอาย
อีก นางดูเปิดเผยขึ้นไม่น้อย “ตัวข้า.....ร้อนขึ้น
เรื่อยๆ เท่าที่ข้ารู้ หากภายในหกชั่วยามไม่สามารถ
ถอนพิษได้ ก็จะ......ก็จะมีอันตรายถึงชีวิต ภารกิจ
ของข้ายังไม่สำเร็จ ตอนนี้ยังตายไม่ได้ ดังนั้น......”
“หกชั่วยาม?” ฉีหนิงคิด แล้วพูดว่า “ตั้งแต่ถูกพิษ
จนถึงตอนนี้ ก็น่าจะสองสามชั่วยามมาแล้ว ถ้าอย่าง
นั้น ก็เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วน่ะสิ” เขาขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “พวกเราต้องรีบถอนพิษ”
อีฝูลังเล ในที่สุดเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองไปที่ฉีหนิง
แล้วถามว่า “ข้ายังไม่รู้จักชื่อของเจ้าเลย”
“เอ่อ ข้าชื่อ......ฉีอู๋หมิง” ฉีหนิงคิด สุดท้ายก็
ตัดสินใจไม่บอกชื่อจริงของตัวเองออกไป
อีฝูขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฉีอู๋หมิง?” นางพูดว่า “ชื่อ
เจ้าจริงๆ หรือ? เจ้าอย่ามาหลอกข้านะ”
ฉีหนิงทำได้แค่ยิ้ม แต่เขาเห็นอีฝูถามกลับมาว่า “ฉีอู๋
หมิง เจ้า......เจ้าชอบข้าหรือไม่?”
ฉีหมิงสะดุ้ง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าสาวชาวเหมียวจะเปิด
กว้างเรื่องของชายหญิง แต่ว่าอีฝูถามตรงๆ แบบนี้
มันก็ยังทำให้เขารู้สึกแปลกใจ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“แม่นางอีฝูหน้าตางดงาม ข้าคิดว่าไม่ว่าผู้ชายคน
ไหนก็ชอบทั้งนั้นแหละ”
“ข้าถามเจ้า ไม่ได้ถามถึงผู้ชายคนอื่น” อีฝูสีหน้า
จริงจังมาก “หากให้เจ้ามาเป็นผู้ชายของข้า เจ้ายินดี
หรือไม่?”
ฉีหนิงยกมือเกาหัว แล้วพูดว่า “แม่นางอีฝู เจ้า......
เจ้าล้อข้าเล่นใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่มีเวลามาล้อเล่นกับเจ้า” อีฝูพูดอย่างจริงจัง
ว่า “ข้าอยากให้เจ้าเป็นผู้ชายของข้า ขอแค่เจ้ายินดี
ตอนนี้ข้าก็จะให้เจ้าเป็นผู้ชายของข้า เจ้ายินดี
หรือไม่?”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เขาคิด ทันใดนั้นเองเขาเหมือนจะ
นึกอะไรขึ้นมาได้
ถึงแม้อีฝูจะเป็นสาวเผ่าเหมียว แต่ว่านางไม่มีทาง
เห็นผู้ชายแล้วก็ชอบเลยในทันที พวกเขารู้จักกันไม่กี่
ชั่วยามเอง ไม่ได้รู้จักกันดีเลยด้วยซ้ำ ในสถานการณ์
แบบนี้ หากบอกว่าอีฝูถูกใจเขา มันเป็นไปไม่ได้เลย
เขาเข้าใจแล้ว พิษในตัวของอีฝู เกรงว่าคงต้องใช้
วิธีการถอนพิษแบบพิเศษ เขาคิดไม่ถึงเรื่องอย่างว่า
ก่อนหน้านี้อีฝูถามเขาว่าเขาแต่งงานหรือยัง อีกทั้ง
ยังถามเขาอีกว่าชอบนางหรือไม่ ถึงขึ้นบอกว่าอยาก
ให้เขาเป็นผู้ชายของนางด้วย เป้าหมายของนางก็คือ
ถอนพิษบนตัวของนาง
ฉีหนิงแค่คิดไม่ถึงแค่นั้น ในชาติก่อนเขาก็เคยเห็น
ภาพบรรยากาศแบบนี้ในนิยายบ้างโทรทัศน์บ้าง แต่
คิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์การใช้ชีวิตแบบนั้นมันจะ
เกิดขึ้นกับตัวเขา ถึงแม้เรือนร่างของอีฝูจะเร่าร้อน
ยั่วยวนมาก หน้าตาของนางก็ดี แต่ว่าทั้งสองเพิ่ง
รู้จักกันไม่นานเลย จะให้มามีความสัมพันธ์ทางกาย
กันแล้ว ถึงแม้ฉีหนิงจะไม่ได้เป็นคนหัวโบราณเรื่อง
พรรณ์นั้น แต่เขาก็ยังอดรู้สึกตกใจไม่ได้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 353 ถอนพิษ
ฉีหนิงเป็นพวกชอบรุก เมื่อเจอเรื่องอะไรก็ตามก็
จะต้องไปเผชิญหน้า หาทางแก้ไขปัญหา ไม่มีการ
บ่ายเบี่ยง แต่ว่าจะให้ถอนพิษให้นางแบบนี้ จะให้ทำ
ก็ทำเลยมันก็ไม่ได้
เขาเข้าใจความรู้สึกของอีฝูในตอนนี้ดี
อีฝูต้องเผชิญกับการต้องเลือกระหว่างเสียความ
บริสุทธิ์หรือว่าจะเสียชีวติ ไป สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง
แล้ว มันเป็นการเลือกที่เจ็บปวด ถึงแม้อีฝูจะดูนิ่ง
แต่ว่าฉีหนิงรู้ว่านางต้องสับสนมากแน่ๆ อีกทั้งยัง
เจ็บปวดอีกด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลย อีฝูไม่ได้เสียดายชีวิตัวเองเลย ก็
เหมือนที่นางพูดเมื่อครู่นี้ นางมีภารกิจที่ยังต้องทำ
อยู่ ก่อนที่ภารกิจของนางจะเสร็จสิ้น นางจะเอาชีวิต
มาทิ้งแบบนี้ไม่ได้
ทั้งสองคนเงียบไป เวลาผ่านไป อีฝูเห็นฉีหนิงไม่พูด
อะไร นางก็พูดขึ้นมาว่า “หากเจ้าไม่ยินดี ก็......ก็ไม่
เป็นไรนะ”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่า พูดกันตามตรง จะให้มีอะไร
กับสาวสวยหุ่นเผ็ดร้อนแบบนี้ ขอแค่เป็นผู้ชาย ไม่มี
ทางไม่ตกลงหรอก แต่ว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของอีฝู
ดี เขารู้สึกว่าทำแบบนี้มันดูฉวยโอกาสเกินไป
ฉีหนิงก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษอะไรขนาดนั้น แต่ว่าในเรื่อง
แบบนี้ มันก็ยังทำให้เขารู้สึกเขินอายแล้วก็ทำไม่ลง
“ถ้า......ถ้ามีแค่วิธีนี้วิธเี ดียว ถ้าอย่างนั้น......” ฉีหนิง
คิด แล้วพูดว่า “ถ้าช่วยเจ้าได้ ข้าก็จะ......ข้าก็จะ
ช่วยเจ้า.......”
ฉีหนิงคิดในใจว่า แค่ช่วยคนเท่านั้น ไม่ได้ฉวยโอกาส
ถึงแม้อีฝูจะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าอาย นางก้มหน้า
เห็นฉีหนิงไม่ทำอะไรเลย แอบคิดในใจว่า ผู้ชายคนนี้
อายุน้อยกว่านาง คิดว่าน่าจะไม่เคยทำเรื่องอย่างว่า
มาก่อน ถึงแม้นางเองก็ไม่เคยผ่านเรื่องอย่างว่า
เหมือนกัน แต่ว่าผ่านมาแล้วกว่ายี่สิบปี ในเผ่า
เหมียวเองนางก็ถือว่าเป็นผู้หญิงมีอายุมากแล้ว เรื่อง
แบบนี้ก็พอรู้มาบ้าง
นางไม่เหมือนหญิงชาวฮั่น ที่จะทำอะไรก็
กระมิดกระเมี้ยนตลอดเวลา นางแค่รู้สึกว่านางอายุ
มากกว่าเขา เห็นอีกฝ่ายไม่รุก นางก็ทำได้แค่เริ่ม
ก่อน นางพูดว่า “ร่างกาย......เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?
ต้อง......ต้องพักก่อนหรือไม่?” ถึงแม้เขาจะแสดง
ท่าทีนิ่งมาก แต่เพราะเป็นผู้หญิง อย่างไรก็อาย นาง
ก้มหน้าแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่า.......ข้าได้ยินมาว่า
เรื่องแบบนั้น......เรื่องแบบนั้นทำให้เสียแรงมาก
......”
ฉีหนิงยกมือเกาหัว เขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนั้น
......ข้าไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าเจ้า......เจ้าต้องพักก่อน
หรือไม่?”
“ไม่ต้อง” อีฝูส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่จำเป็น......ไม่
จำเป็นต้องรออีก ทำให้เสร็จยิ่งเร็วยิ่งดี รีบ......รีบ
ถอนพิษออกเถอะ......” นางพูดจบก็ตัวหด แล้วถอย
หลังไปที่มุมกำแพงด้านหนึ่ง นางกึ่งนั่งกึ่งนอน
หลับตาลง นางเอามือทั้งสองข้างกอดอกเอาไว้ ขา
ทั้งสองข้างเหยียดตรง ดูแข็งมาก พื้นผนังห้องนั้น
เย็นมาก ในขณะที่นางกำลังพิงกำแพงอยู่นั้นทำให้
นางอดตัวสั่นไม่ได้
ฉีหนิงรู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกๆ
ชายหญิงร่วมรักกันมันเหมือนความฝัน บรรยากาศ
มันควรจะน่ารักมีแต่กลิ่นอายของความรัก แต่ว่า
ท่าทางของอีฝู เหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่
ต้องทำ
แต่ว่าช่วยชีวิตคนเหมือนสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ฉีหนิง
ลังเล แต่สุดท้ายเขาก็ขยับตัวเข้าไปใกล้กับอีฝู เห็น
อีฝูหลับตา ร่างกายของนางร้อนเป็นไฟ ถึงแม้จะยัง
ไม่ได้แตะต้องตัวนาง แต่ก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่
แผ่ซ่านออกมา เหงื่อของนางไหลออกมาจาก
หน้าผาก ฉีหนิงรู้ว่านั่นไม่ใช่น้ำฝนแน่นอน
ฉีหนิงยื่นมือไปจับมือที่อยู่ตรงหน้าอกของอีฝู เขา
รู้สึกได้ว่าอีฝูกำลังตัวสั่น มือของนางแข็งมาก เขารู้
ว่าอีฝูตื่นเต้นมาก มันทำให้ฉีหนิงเองก็ตื่นเต้นขึ้นมา
เหมือนกัน เขาดึงมือของอีฝูออกอย่างระมัดระวัง
ฉีหนิงกลืนน้ำลาย เขาใช้มือข้างหนึ่งแตะไปที่ไหล่
ของอีฝู อีฝูตัวสั่นเทิ้ม แล้วหลับตาลง ฉีหนิงพูดอย่าง
อ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกลัวนะ......” เขายื่นมือไปจับ
เสื้อผ้าตรงหน้าอกของอีฝู
ตอนที่ฉีหนิงแตะไปที่ไหล่ของอีฝู อีฝูอายมากจน
หนีบขาของตัวเองไว้แน่น นางลืมตาขึ้นมา ร่างกาย
ของนางก็อ่อนแรงอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าแรงนั้นมา
จากไหน นางยกมือขึ้นมาแล้วออกแรงตบไปที่ฉีหนิง
นางกัดฟันแล้วพูดว่า “เจ้า......เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ยังดีว่านางยังคงอ่อนแรงอยู่ เลยลงมือได้ไม่เร็ว ฉี
หนิงปฏิกิริยาดี เลยยื่นมือไปจับข้อมือของนางเอาไว้
ได้ ทำให้นางไม่ทันได้ตบลงมาที่หน้าของเขา เขาพูด
อย่างรู้สึกผิดว่า “อีฝู ถ้า......ถ้าไม่ถอดเสื้อ ข้า......ข้า
ก็ถอนพิษให้เจ้าไม่ได้นะ หากเจ้าไม่เต็มใจ พวกเรา
คิดหาวิธีอื่นก็ได้นะ”
ที่จริงเขาเองก็รู้ดีว่า ตั้งแต่ถูกพิษจนถึงตอนนี้ มัน
หลายชั่วยามมาแล้ว เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว หาก
ฟ้าสาง คิดอยากจะช่วย ก็คิดว่าไม่ทันแน่
อีฝูตะลึงไป นางรู้ว่าตัวเองปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงไป
นางรู้สึกผิดมาก นางพูดว่า “ไม่ต้องหรอก......ไม่ต้อง
ถอดเสื้อ ถอดแค่......ถอดแค่.....ถอดแค่กางเกงก็
พอแล้ว......” ทันใดนั้นเองนางรู้สึกเหมือนลังเล
เวลายิ่งผ่านไป นางยิ่งรู้สึกทรมาน ไม่สู้ทำให้มัน
เสร็จๆ ไป นางพูดว่า “ข้า......ข้าถอดเอง”
นางยกก้นขึ้น แล้วถอดกางเกงออก
ห้องไม้มืดสนิท แต่ว่าสายตาของฉีหนิงดีมาก
ท่ามกลางความมืด กางเกงถูกถอดออก ผิวหนังที่
แข็งแรงเนียนนุ่มโผล่ออกมาให้เห็น มันดึงดูดสายตา
ของฉีหนิงมาก
อีฝูก้มหน้าลง แล้วค่อยๆ ถอดเสื้อออก นางหายใจ
แรงมาก ใบหน้าของนางแดงขึ้นเรื่อยๆ ฉีหนิงเองก็
รู้สึกคอแห้ง หัวใจของเขาเต้นแรงมาก
อีฝูถอดสลัดกางเกงทางด้านขวาออกแล้ว นางชะงัก
ไปครู่หนึ่ง กัดฟันแล้วหลับตานอนลงไป ร่างกายของ
นางสั่นเทา นางรออยู่ครู่หนึ่ง เห็นฉีหนิงไม่ขยับ ก็
ลืมตาขึ้นมา เห็นฉีหนิงกำลังจ้องมาที่ตัวของนาง ทำ
ให้นางรู้สึกเขินเล็กน้อย นางพูดว่า “เจ้ายัง.....ยังไม่
ลงมือถอนพิษอีกหรือ?”
ฉีหนิงได้สติคืนมา จากนั้นก็ขยับเข้าไปหา
ไม่รู้ว่านานแค่ไหน บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด
ภายในห้องไม้มีแต่เสียงลมหายใจหอบ หลังจากนั้น
พักใหญ่ ถึงได้ยินเสียงฉีหนิงพูดขึ้นมาว่า “อีฝู ต้อง
ถอนพิษอีกครั้งหรือไม่? ข้ากลัวว่าพิษจะถอนไม่
หมด”
แต่ว่าอีฝูกลับพูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ไม่.......ไม่ต้อง
ข้ารู้ดี น่าจะ......น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าหากรู้สึกไม่ดี
ต้องบอกข้านะ ไหนๆ ก็ช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึง
ที่สุด ข้าจะทำอย่างเต็มที่”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” อีฝูเหมือนจะรู้สึกโกรธ “เรื่องมัน
ผ่านไปแล้ว ก็......ก็ถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ทำอย่างนั้นได้อย่างไร
เจ้าคิดว่าทำการค้าอยู่หรือ จ่ายเงินแล้วก็จบกัน
อย่างนั้นหรือ? มัน......มันเป็นครั้งแรกของข้านะ เจ้า
ต้องรับผิดชอบข้าถึงจะถูก”
อีฝูพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าครั้งแรกคนเดียวหรือ
อย่างไรกัน?” นางรู้สึกว่าตกหลุมพรางของฉีหนิงเข้า
ให้แล้ว เลยไม่พูดอะไรต่ออีก
“อีฝู ตัวของเจ้ายังร้อนอยู่เลย มันเรื่องอะไรกัน?” ฉี
หนิงน้ำเสียงจริงจังมาก “มา ขอข้าจับดูหน่อย เอ๋
โอ้ย เจ้าตีข้าทำไมกัน ข้าแค่อยากดูว่าตัวเจ้าร้อน
หรือไม่ ข้าเป็นห่วงนะ ดูเจ้าสิ เหงื่อไหลมากขนาดนี้
จะไม่ให้ห่วงได้อย่าไร แล้วเจ้าหยิบมีดขึ้นมาทำไม
เนี่ย?”
อีฝูดึงเสื้อผ้ามาห่มตัวไว้ แล้วหยิบมีดสั้นที่ฉีหนิงวาง
ไว้ข้างๆขึ้นมา แล้วจี้ไปที่คอหอยของฉีหนิง แล้วพูด
อย่างเย็นชาว่า “หากเจ้าพูดเหลวไหลอีกคำเดียว ข้า
จะฆ่าเจ้าซะ”
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“สามีภรรยาคืนเดียวความรู้สึกมีไปตลอดชีวิต พวก
เรา......เฮ้อ เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าข้าเป็นผู้ชายของ
เจ้า? เจ้าอยากจะฆ่าข้า ไม่เป็นการฆ่าสามีตัวเอง
หรือ?”
“เรื่องนี้ข้าจะให้คำตอบของเจ้าในวันหนึ่ง” อีฝูพูด
ว่า “ครั้งนี้เจ้าช่วยข้าเอาไว้ ข้า......ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้า
ไว้แบบนี้หรอก แต่ว่า......แต่ว่าตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้น
ไป เจ้าต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากข้าเสร็จ
ภารกิจของข้าแล้ว ข้าจะให้......ให้คำตอบกับเจ้าเอง
แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น หากเจ้าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
ข้าก็จะ......”
“เจ้าจะทำไม?”
“ข้าก็จะ......ฆ่าเจ้าปิดปาก” อีฝูแกล้งทำเป็นดุใส่
“พูดเร็ว เจ้าจะรับปากหรือไม่?”
“รับปากเรื่องอะไร?”
“รับปากข้าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” อีฝูพูดว่า
“ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้าปิดปากทันที”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าพูดถึงขนาด
นี้แล้ว ข้าจะไม่รับปากก็คงไม่ได้ แต่ว่าข้าไม่ได้ทำ
เพราะกลัวตายหรอกนะ แต่เพราะเจ้าอยากจะให้ข้า
ทำแบบนี้ อีฝู ที่จริงแล้วข้าเป็นคนเพียบพร้อมนะ
นิสัยก็พอได้ ในเมื่อเจ้าขอร้องข้า ข้าเห็นใจเจ้า ไม่มี
ทางไม่รับปากหรอกนะ เจ้าเอามีดลงก่อนดีหรือไม่
พวกเราคุยกันดีดีก็ได้นะ”
“เจ้ารับปากแล้วใช่หรือไม่?” อีฝูค่อยวางมีดลง
ฉีหนิงอาศัยแสงสว่างอันน้อยนิด มองไปที่ร่างกาย
ของอีฝู เขาเห็นสัดส่วนส่วนเว้าส่วนโค้งของอีฝู มัน
เร่าร้อนและเย้ายวนมาก น่าหลงใหลมาก
“ข้ารับปากเจ้า แต่ว่าเจ้าเองก็ต้องรับปากข้าเรื่อง
หนึ่งเหมือนกัน” ฉีหนิงพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า
“พวกเราจะต้องถอนพิษจนหมด ข้ารู้สึกว่าพิษในตัว
เจ้ายังถอนออกไม่หมด ข้าเป็นห่วง ดังนั้น.....เจ้า
จะต้องรับปากข้า พวกเรามาถอนพิษอีกครั้งหนึ่ง
ไม่อย่างนั้นข้าไม่สบายใจ”
อีฝูจ้องไปที่ฉีหนิงด้วยสายตาที่เหมือนคมดาบ ฉีหนิง
ถูกนางจ้องจนขนลุกไปหมด เขารู้ว่าสถานการณ์ไม่ดี
แล้ว แต่เขากลับได้ยินอีฝูพูดขึ้นมาว่า “หากเจ้าไม่
กลัวเสียแรงจนเกินไป ก็......ก็เข้ามาเลย ข้าจะรอดูสิ
ว่าเจ้าจะ......เจ้าจะถอนได้อีกกี่ครั้งกัน” นางเห็นฉี
หนิงฉีกยิ้มแล้วเขยิบเข้ามา นางเลยรีบพูดว่า “ยังมี
อีกเรื่องหนึ่ง......ข้าขอเตือนเจ้าก่อนนะ เจ้าเข้าใจ
หญิงชาวเหมียวใช่หรือไม่......ทำเนียมของสาวชาว
เหมียว.....นี่ อย่ากัดสิ......”
“รู้ ข้ารู้ทุกอย่าง อีฝู ตอนนี้ต้องถอนพิษก่อน เรื่อง
อื่นค่อยว่ากันนะ......” ฉีหนิงพูดว่า “ตอนนี้ข้าห่วง
สุขภาพของเจ้ามากที่สุดเลย เรื่องอื่นไม่สำคัญ.....”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 354 เฉิงอิ่ง
ฉีหนิงช่วยอีฝูถอนพิษสองครั้งอย่างเต็มที่ เมื่ออีฝู
เหงื่อท่วมไปทั้งตัวแล้ว ฉีหนิงถึงได้รู้สึกว่าภารกิจ
ของเขาเสร็จสิ้นแล้วจริงๆ
ความร้อนที่แผ่จากตัวของอีฝูหายไปแล้ว ทำให้ฉี
หนิงโล่งใจ
“ตอนนี้ดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่?” ฉีหนิงเขยิบเข้าไปพูด
กับอีฝูใกล้ๆ “จะทำอีกครั้งหรือไม่?”
อีฝูถูกเขาทรมานจนอ่อนแรง นางพูดด้วยความ
เกลียดว่า “ไปไกลๆ เลย” นางผลักฉีหนิงออก ฉี
หนิงหัวเราะ ถึงแม้จะเป็นการถอนพิษ แต่มันก็ทำให้
เขาสบายตัว ไม่ได้รู้สึกว่าการถอนพิษนี่จะทำให้อ่อน
แรง แต่มันกลับทำให้เขาสดชื่น เขาพูดว่า “หิว
หรือไม่?”
อีฝูยังคงนอนคดตัวในกองฟาง นางดึงเสื้อผ้ามาปิด
ไม่พูดอะไร
ฉีหนิงรู้ว่าเสียแรงไปเยอะมาก แม้แต่ตัวเขาก็รู้สึกหิว
เขาพูดว่า “ข้าจะออกไปหาอะไรให้เจ้ากินก่อนนะ
แล้วจะไปหารองเท้ามาให้เจ้าด้วย เจ้าพักอยู่ที่นี่
ก่อนนะ ข้าจะรีบกลับมา”
อีฝูหันไปมองฉีหนิง เหมือนคิดจะพูดอะไร แต่
สุดท้ายก็ไม่ได้พูดมันออกมา
ฉีหนิงสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็หยิบมีดสั้นขึ้นมา
จากนั้นก็ออกจากห้องไป พร้อมทั้งปิดประตูด้วย
พายุฝนข้างนอกหยุดแล้ว แต่ว่าที่หลังคายังคงมี
น้ำฝนหยดอยู่
บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิท อีกทั้งยังดึกมากแล้ว
ฉีหนิงคิดในใจว่าคฤหาสน์ใหญ่ขนาดนี้ คนในจวนคง
หลับกันหมดแล้ว
คฤหาสน์หลังใหญ่ ถึงอย่างไรก็ต้องมีห้องครัว ตอนนี้
เขาหิวมาก อีฝูเองก็น่าจะไม่ได้กินอะไร อีกทั้งเสีย
แรงไปมาก ตอนนี้ก็หิวจนปวดท้อง
จวนหลังนี้ใหญ่ไม่น้อย ฉีหนิงกำลังคิดว่าห้องครัว
น่าจะอยู่ทางนั้น เขาค่อยๆเดินเสียงเบามาก
ในเรือนหลังนี้เหมือนจะไม่มีร่องรอยของคนเลย มัน
เงียบจนน่ากลัวเกินไป ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นแสงไฟ
อยู่ตรงหน้า มันเหมือนกำลังเคลื่อนไหว เขาค่อยๆ
เดินเข้าไป เห็นมีคนเดินถือโคมไฟมา เขาสวมชุดสี
เขียว เดินลัดเลาะมาทางทางหินอ่อน เขาโค้งตัวเดิน
ไม่ไกลจากด้านหลังของเขา มีเงาของคนๆ หนึ่งซึ่ง
เดินเว้นระยะห่าง เขาเดินช้ามาก มันมืดมาก ทำให้ฉี
หนิงมองไม่เห็นว่าหน้าตาของเขาเป็นอย่างไร
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น ก็เห็นตรงหน้า
ของคนชุดเขียวมีกลุ่มคนกำลังเดินมา คนด้านหน้า
เดินมาไวมาก ฉีหนิงกระโดดหลบเข้าไปที่หลังภูเขา
จำลอง เขาโผล่หน้าออกมามอง เขาเห็นชายวัย
กลางคนสวมชุดผ้าแพรเดินนำคนหลายคนตรงมาหา
ชายชุดเขียว ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ชายวันกลางคนก็
พูดขึ้นมาว่า “เซียวเหยา ใช่......ใช่เซียวเหยาใช่
หรือไม่?” น้ำเสียงของเขาดูตื่นเต้นดีใจมาก
คนผู้นั้นผลักชายชุดเขียวที่ถือโคมไฟออกไปข้างๆ
คนที่อยู่ด้านหลังของเขารีบเดินขึ้นหน้ามา แล้วยก
มือคำนับ “พี่ใหญ่ ท่านสบายดีหรือไม่” น้ำเสียงของ
เขาดูเหมือนจะสะอื้น
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก เห็นชายวัยกลางคนยืนกอด
กัน เขาพูดทั้งน้ำตาว่า “เซียวเหยา เซียวเหยาจริงๆ
ด้วย น้องชายข้า หลายปีมานี้ เจ้าไปไหนมา? เจ้ารู้
หรือไม่ หลายปีที่ผ่านมา ข้าคิดถึงเจ้าทุกคืนทุกวัน
หวังแค่อยากจะได้เจอหน้าเจ้าอีกสักครั้ง”
คนที่ชื่อเซียวเหยาเองก็ตื่นเต้นมากเหมือนกัน เขา
พูดว่า “พี่ใหญ่ ตอนนั้นจากไปไม่ลา เป็นความผิด
ของข้าเอง ข้าเองก็คิดถึงพี่เหมือนกัน”
ฉีหนิงฟังจนถึงตรงนี้ ถึงได้เข้าใจว่า สองคนนี้น่าจะ
เป็นพี่น้องกัน แต่ว่าจากกันไปนาน คืนนี้ได้กลับมา
พบกันใหม่
เพียงแต่ว่าระยะไกลมาก เลยเห็นหน้าไม่ชัด เขา
เหมือนรู้สึกว่าเสียงของคนที่ชื่อเซียวเหยานั้นเคยได้
ยินที่ไหนมาก่อน
“น้องชาย ข้าคิดถึงเจ้าจริงๆ เลย” ชายวัยกลางคน
หัวเราะออกมา “พวกเราพี่น้องได้กลับมาพบกัน มัน
เป็นเรื่องน่ายินดีนะ เหตุใดร้องไห้เป็นผู้หญิงไปได้”
เขาปล่อยมือออกจากเซียวเหยา เหมือนเขาคิดอะไร
ขึ้นมาได้ หันไปพูดว่า “น้องชาย พวกเขาเป็นแขก
ของข้า ทุกคนมาร่วมกันกินดื่มคุยเรื่องวรยุทธ์กัน ฮ่า
ฮ่าฮ่า ถึงแม้ข้าจะชอบฝึกดาบ แต่ว่าหลายปีมานี้ก็
ไม่ได้ก้าวหน้าเลย วรยุทธ์ของเจ้าในตอนนั้นก็
เหนือกว่าข้า หลายปีผ่านไปแล้ว จะต้องก้าวหน้าไป
อีกใช่หรือไม่”
คนด้านหลังยกมือคำนับ มีคนหนึ่งยิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านเจ้าสำนักลู่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ชื่อเสียงของ
ท่านเจ้าสำนักลู่แห่งสำนักเฟิงเจี้ยนเป็นที่เลื่องลือ
ใครๆ ก็รู้ หากพูดถึงวรยุทธ์ หลายปีมานี้ก็ก้าว
กระโดดไปไกล ในซีชวนนี้ คงมีไม่กี่คนที่เป็นคู่ต่อสู้
ของท่านได้”
เจ้าสำนักลู่สีหน้านิ่งไป แล้วพูดเสียงเข้มว่า “ท่าน
ประมุขหง หากท่านพูดแบบนี้ พวกเราคงเป็นเพื่อน
กันไม่ได้แล้วนะ”
ประมุขหงถึงกับชะงักนิ่งไป เจ้าสำนักลู่ก็พูดอีกว่า
“ทุกท่าน ตั้งแต่นี้ต่อไป ห้ามใครเรียกข้าว่าเจ้าสำนัก
อีก ข้าลู่ซางเฮ่อก็แค่ช่วยน้องชายข้าดูแลสำนักเฟิง
เจี้ยนนี้เท่านั้น ตอนนี้เจ้าสำนักตัวจริงกลับมาแล้ว ก็
ต้องคืนตำแหน่งให้เขาไป”
ทุกคนต่างตะลึง ฉีหนิงเองก็รู้สึกมึนงง
ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นมาได้ว่า พวกเขาพูดถึง
สำนักเฟิงเจี้ยน ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าคฤหาสน์
หลังนี้ ชื่อที่ได้ยิน ก็น่าจะเป็นชื่อของพรรคในยุทธ
ภพ แสดงว่าเขาบังเอิญบุกเข้ามาในสำนักเฟิงเจี้ยน
เข้าให้แล้ว ส่วนลู่ซางเฮ่อ ก็น่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง
ของซีชวน
“พี่ใหญ่ หากท่านพูดแบบนี้ น้องจะกลับไปเดีย๋ วนี้
เลย” เซียวเหยาพูดว่า “เดิมข้าไม่คิดจะมารบกวนพี่
ใหญ่เลย แต่ว่าในเมื่อพี่ใหญ่ให้คนมาหาข้า หากข้า
......ข้าไม่มา เกรงว่าพี่ใหญ่จะต่อว่าข้าได้”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าเสียงของคนที่ชื่อเซียว
เหยานั้นคุ้นหูมาก เมื่อลองสังเกตรูปร่างของคนๆ
นั้นดู มันก็ยิ่งคุ้นเข้าไปใหญ่ แต่ว่าเคยเจอที่ไหน
เมื่อไหร่ ตอนนี้เขานึกไม่ออก
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากลับมาที่ซีชวนแล้ว ก็เลยส่งคน
ออกไปตามหา” ลู่ซางเฮ่อหัวเราะแล้วพูดว่า “ก่อน
หน้านี้มีคนมารายงาน บอกว่าเจ้าจะต้องมาหาข้าใน
คืนนี้แน่นอน ข้าก็มานั่งรอเจ้าที่นี่นานหลายชั่วยาม
เลย พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นคนมีชอื่ เสียงในซีชวน ที่
เชิญพวกเขามาที่นี่ ก็จะให้เขามาเป็นพยาน ว่าข้าจะ
มอบสำนักเฟิงเจี้ยนคืนให้กับเจ้า เจ้าต่างหากที่เป็น
เจ้าสำนักเฟิงเจี้ยนตัวจริง”
คนที่ตามมานั้นเหมือนไม่รู้อะไรเลย พวกเขาต่าง
ตกใจ “เจ้าสำนักลู่...ท่านลู่ หรือว่า...หรือว่าท่านนี้
คือนายน้อยของสำนักเฟิงเจี้ยน...ท่านเจ้าสำนักน้อย
เซี่ยง...เซี่ยงเซียวเหยา?”
ลู่ซางเฮ่อหัวเราะแล้วพูดว่า “ถูกต้อง นี่เป็นพี่น้อง
ร่วมสาบานของข้าน้องเซียวเหยา”
เซี่ยงเซียวเหยายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เจอกันตั้งสิบแปด
ปี พี่ใหญ่ได้รู้จักกับชาวยุทธ์มากมายเลยนะ”
“เซียวเหยา อากาศข้างนอกหนาวมาก พวกเราไป
คุยข้างในกันเถอะ ข้าเตรียมอาหารเครื่องดื่มไว้แล้ว
คืนนี้พวกเราไม่เมาไม่เลิก” ระหว่างที่พูด ลู่ซางเฮ่อก็
ดึงมือของเซี่ยวเซียวเหยาเอาไว้ แล้วเดินตรงไปที่
ห้อง พวกเขาเดินกอดคอพูดคุยกันไปอย่างมี
ความสุข
ภายในเรือนเงียบลงอีกครั้ง ฉีหนิงเดินออกมาจาก
หลังภูเขาจำลอง เขาเห็นห้องที่ไม่ไกลจากตรงนี้มาก
นัก มีแสงไฟสว่าง ซึ่งเป็นห้องที่คนพวกนั้นเดินไป
ฉีหนิงนึกในใจ เขาพยายามนึกว่าเขาเคยเจอคนที่ชื่อ
เซี่ยงเซียวเหยาที่ไหนมาก่อน แต่ว่าคิดอย่างไรก็คิด
ไม่ออก
เขาลังเล แล้วมองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคน ก็
เลยเดินเข้าไปใกล้กับห้อง พวกเขาเป็นชาวยุทธ์ หู
ตาว่องไว ฉีหนิงจึงต้องระวังมากกว่าปกติ เขาแอบ
ยืนอยู่ข้างๆ ห้อง เห็นว่าหน้าต่างข้างหนึ่งเปิดอยู่ ก็
เลยค่อยๆ เดินไป
ภายในห้องสว่างมาก ทำให้ฉีหนิงไม่สะดวกที่จะโผล่
หน้าไปมอง เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ หลังจากพูดกันไม่กี่
คำแล้ว พวกเขาก็นั่งลง จากนั้นก็ได้ยินลู่ซางเฮ่อยิ้ม
แล้วพูดว่า “ทุกท่าน วันนี้เป็นวันที่พวกเราพี่น้องได้
กลับมาพบกันอีกในรอบสิบแปดปี เรื่องอื่นพวกเรา
จะไม่พูดถึงก่อน คืนนี้พวกเรามาเมากันให้จุใจไปเลย
ใครมอมเหล้าน้องชายข้าได้ ข้าให้ไปเลยหนึ่งพัน
ตำลึง”
ฉีหนิงคิดในใจว่าลู่ซางเฮ่อนี่ใจป้ำไม่เบา เงินหนึ่งพัน
ตำลึงไม่ใช่น้อยๆ เลย
เซี่ยงเซียวเหยายิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ล้อข้าเล่นแล้ว
หลายปีมานี้ข้าไม่ได้คอแข็งเหมือนเดิมแล้ว”
“อ๋อ?” ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “น้องชายเจ้าจำได้
หรือไม่ ตอนนั้นพวกเราสองคนบุกไปสังหารลิ่วหุ๋นที่
ปาตง หลังจากนั้นพวกเราก็ดื่มกันหนักมาก สุดท้าย
ก็เมาหลับกันกลางถนน”
“เหตุใดจะจำไม่ได้” เซี่ยงเซียวเหยาถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “มันเป็นเรื่องที่ผ่านมาเป็นยี่สิบปีแล้ว ตอน
นั้นพวกเราเป็นหนุ่มบ้าคลั่ง ตอนนี้......พี่ใหญ่เองก็
แก่ขึ้นมากแล้ว”
“ข้าสี่สิบแปดแล้ว” ลู่ซางเฮ่อเองก็ถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “อีกสองปี ข้าก็ห้าสิบปีแล้ว น้องชายเอง
ตอนนี้ก็สี่สิบสามแล้วใช่หรือไม่?”
เซี่ยงเซียเหยายิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ยังจำได้”
“เหตุใดจะจำไม่ได้ ข้ายังจำได้อีกว่า อีกเดือนหนึ่ง ก็
วันเกิดเจ้าแล้ว” ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “เซียวเหยา หาก
เจ้ายังเห็นข้าเป็นพี่ วันเกิดเจ้าปีนี้ จะต้องให้พี่ใหญ่
ของข้าช่วยเจ้าจัดงาน สิบแปดปีแล้วนะ พี่คิดถึงเจ้า
ตลอด จะต้องทำอะไรให้เจ้าบ้าง แต่ว่า......” เมื่อพูด
ถึงตรงนี้ เสียงของเขาก็สะอื้น
“ท่าน......ท่านลู่ เท่าที่ข้ารู้ หลายปีก่อนสำนักเฟิง
เจี้ยนถูกขนานนามว่าสำนักเฉิงอิ่ง ต่อมานายท่าน
เซี่ยงของพวกเราได้กระบี่เฟิงเจี้ยนมาครอง
สำนักเฉิงอิ่งเลยเปลี่ยนชื่อมาเป็นสำนักเฟิงเจี้ยน”
เสียงพูดเศร้าขึ้น “ข้าบังอาจล่วงเกิน ตั้งแต่นั้นเป็น
ต้นมา ชื่อเสียงของสำนักเฟิงเจี้ยนก็ทดถอยลง ใน
ยุทธภพก็แทบจะลืมสำนักนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ ต่อมา
ท่านลู่ก็ทำให้สำนักเฟิงเจี้ยนกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง
ในซีชวน สำนักเฟิงเจี้ยนในตอนนี้นั้น แตกต่างจาก
ตอนนั้นมากนัก”
ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “ท่านประมุขหงหมายความว่า
อย่างไร?”
“ท่านลู่ ท่านก็รู้ปกติข้าเป็นคนปากไวพูดตรง”
ประมุขหงพูดว่า “ท่านลู่ตอนนี้ท่านก็ถือว่าเป็นผู้นำ
ชาวยุทธ์ในซีชวน หลายต่อหลายคนก็เห็นท่านเป็น
แบบอย่าง หากวันนี้ท่านลู่จะมอบสำนักเฟิงเจี้ยนคืน
ให้กับ......หึหึ มอบให้กับน้องเซี่ยง ข้าเกรงว่าชาว
ยุทธ์ของซีชวนอาจจะมีการเคลื่อนไหว”
ลู่ซางเฮ่อพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจมาก “ประมุขหง
ข้าเชิญท่านมาวันนี้ เพราะเห็นว่าท่านเป็นคนมี
คุณธรรม ทำอะไรตรงไปตรงมา แต่ว่าท่านพูดแบบนี้
ไม่เป็นการยุแยงให้พวกเราพี่น้องต้องแตกคอกัน
หรือ?”
ประมุขหงพูดว่า “ท่านลู่ ก็เพราะข้าเป็นคน
ตรงไปตรงมา ถึงได้พูดแบบนี้ สำนักเฟิงเจี้ยน ไม่ใช่
สิ่งที่ท่านลู่รับผิดชอบคนเดียวแล้วนะ มันคือชื่อเสียง
เกียรติยศ ท่านลู่เป็นคนมีคุณธรรม ตัดสินทุกอย่าง
ยุติธรรม ซึ่งเป็นที่ทุกคนนับถือแล้วยอมรับสำนักเฟิง
เจี้ยน เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชาวยุทธ์ในซีชวน ก่อนที่
ท่านลู่จะตัดสินใจอะไรลงไป ท่านจำเป็นต้องคิดถึง
ชาวยุทธ์ในซีชวนด้วย”
เสียงของเขาดูกระตือรือร้นมาก
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดในใจว่าความสัมพันธ์พี่น้องของลู่
ซางเฮ่อกับเซี่ยงเซียวเหยานั้นเหมือนจะลึกซึ้งมาก
แต่ว่าคนพวกนี้กลับกังวลว่าลู่ซางเฮ่อจะลงจาก
ตำแหน่งสำนักเฟิงเจี้ยน
ทันใดนั้นก็ได้ยินเซี่ยงเซียวเหยายิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า
“ทุกท่านไม่ต้องกังวล ที่ข้ากลับมาคราวนี้ ก็เพื่อ
เยี่ยมพี่ใหญ่เท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่น ตอนนั้น
ข้ามอบสำนักเฟิงเจี้ยนให้พี่ใหญ่ไปแล้ว ก็ไม่เคยคิด
จะเอามันคืน ก่อนหน้านี้สำนักเฟิงเจี้ยนเป็นของพี่
ใหญ่อย่างไร ต่อไปก็ยังเป็นของพี่ใหญ่อย่างนั้น” เขา
หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “กระบี่เฉิงอิ่งข้ามอบ
ให้กับพี่ใหญ่ไปแล้ว มีกระบี่เฉิงอิ่งในมือ ไม่มีใคร
กล้าสงสัยฐานะของพี่ใหญ่ได้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 355 พี่น้องร่วมสาบาน
ตอนนี้ฉีหนิงรู้แล้วว่า สำนักเฟิงเจี้ยนก่อนหน้านี้มีชื่อ
ว่าสำนักเฉิงอิ่ง แล้วชื่อของสำนักเฉิงอิ่งนั้น ก็น่าจะมี
ที่มามาจากกระบี่เฉิงอิ่งของเซี่ยงเซียวเหยา
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียง “ปึ้ง” เหมือนมี
คนโมโหแล้วตบโต๊ะ จากนั้นก็ได้ยินลู่ซางเฮ่อตะคอก
ว่า “เรื่องภายในของสำนักเฟิงเจี้ยน เป็นเรื่อง
ส่วนตัวของพวกเราพี่น้อง ทุกท่านอย่ายุ่งจะดีกว่า”
เขาโมโหมากแล้ว
ทุกคนต่างหยุดพูดไป หลังจากที่เงียบไปพักหนึ่ง ก็
ได้ยินประมุขหงพูดขึ้นมาว่า “พวกเรายุ่งมากเกินไป
เอง ท่านลู่ น้องเซี่ยง อย่าได้ถือสาเลยนะ”
เซี่ยวเซียวเหยาพูดสบายๆ ว่า “พวกท่านเองก็ทำ
เพราะชาวยุทธ์ในซีชวน อีกทั้งยังดีต่อพี่ใหญ่ข้าอย่าง
จริงใจ พี่ใหญ่ได้พวกท่านเป็นเพื่อน ข้าจะถือสาพวก
ท่านได้อย่างไรกัน?”
ประมุขหงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านลู่น้องชายท่านคนนี้
ไม่เหมือนใครจริงๆ ใจกว้างมากเลยนะ” เขาหยุดไป
แล้วถามขึ้นมาว่า “น้องเซี่ยง ท่านลู่บอกว่าเจ้าไม่ได้
กลับมาซีชวนนานหลายปีแล้ว ไม่ทราบกลับมาที่ซี
ชวนในครั้งนี้ เพื่อสิ่งใดหรือ? หรือว่าเกี่ยวข้องกับ
......สัญญาเลือด?”
ฉีหนิงฟังแล้วก็ตกใจ
เขารู้ว่าสัญญาเลือดนั่นคืออะไร สัญญาเลือดคือ
คำสั่งที่แปดพรรคสิบหกสำนักใหญ่ในยุทธภพ
ร่วมกันลงนามกับทางจวนเสินโหว ก่อนหน้านี้เขารู้
เรื่องนี้มาจากพรรคกระยาจก ตอนนี้มาได้ยินประมุข
หงพูดถึงสัญญาเลือดอีก เขาเลยตั้งใจฟังมากขึ้น
เซี่ยงเซียวเหยายิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ทุกท่าน
ได้รับรายงานเรื่องนี้แล้วสินะ?”
ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “เซียวเหยา เจ้ากลับมาคราวนี้
เพราะสัญญาเลือดอย่างนั้นหรือ?”
“พี่ใหญ่ ข้าท่องไปในยุทธภพ ได้ยินเรื่องสัญญา
เลือดนี่ไปทั่วแล้ว” เซี่ยงเซียวเหยาพูดว่า “ในช่วงนี้
มีคนไม่น้อยเดินมารวมตัวกันที่ซีชวนมากมาย ท่านก็
น่าจะรู้นิสัยข้าดี ชอบที่คึกคัก ยุทธภพมีเกิดเรื่อง
ใหญ่ขนาดนี้ หากข้าไม่มา คงไม่ใช่ข้า”
ลู่ซางเฮ่อหัวเราะแล้วพูดว่า “ถูกต้อง เจ้ากับข้าชอบ
ยุ่งเรื่องของคนอื่น ถึงได้กลายมาเป็นพี่น้องร่วม
สาบานกันจริงหรือไม่”
ฉีหนิงสะดุ้ง เขารู้ว่าทางจวนเสินโหวได้ทำการ
ประกาศเรื่องของสัญญาเลือดไปแล้ว แต่ว่าคิดไม่ถึง
เลยว่ามันจะเร็วขนาดนี้ ได้ฟังความหมายของลู่ซาง
เฮ่อ พรรคต่างๆในยุทธภพก็น่าจะมารวมตัวกันที่ซี
ชวนหมดแล้ว
เป้าหมายในการประกาศสัญญาเลือดของจวนเสิน
โหว ก็เพื่อจะรวบรวมกำลังของชาวยุทธ รับมือกับ
พรรคบัวดำ
เรื่องพิษระบาดในเมืองหลวง หลักฐานทุกอย่างพุ่ง
เป้าไปที่พรรคบัวดำ ถึงแม้ฉีหนิงจะรู้ว่าเรื่องนี้มี
เงื่อนงำ แต่ว่ามีจวนเสินโหวเป็นกำลังหลักของเรื่อง
นี้ ซึ่งพวกเขาเหมือนจะตั้งใจเอาข้อหานี้ยัดให้กับ
พรรคบัวดำ
สถานที่ตั้งของพรรคบัวดำตั้งอยู่ที่ทางทิศตะวันตก
ถือเป็นกองกำลังในยุทธภพ หากทางจวนเสินโหวจะ
ใช้กองกำลังในยุทธภพในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้
ราชสำนักเองก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหารในการ
เข้าปราบปราม
“พี่ใหญ่ พรรคบัวดำมีฐานอยู่ในซีชวน ไม่ทราบว่า
พวกท่านเคยไปมาหาสู่กับพวกเขาบ้างหรือไม่?”
เซี่ยงเซียวเหยาถาม
ลู่ซางเฮ่อยังไม่ทันได้พูดอะไร ประมุขหงก็พูดว่า “ก็
แค่สุนัขชาวเหมียวกลุ่มหนึ่งเท่านั้น วันๆ ไม่เห็น
เดือนเห็นตะวัน พวกเราอยู่ในยุทธภพอย่างถูกต้อง
จะไปมาหาสู่กับพวกที่เอาแต่หลบๆ ซ่อนแบบนั้นได้
อย่างไร”
เซี่ยงเซียวเหยาพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ทุกท่านก็ไม่รู้
อะไรเกี่ยวกับพรรคบัวดำเลยสินะ?”
เมื่อพูดมาแบบนี้ ทุกคนก็ไม่พูดอะไรเลย
หลังจากนั้นไม่นาน ถึงได้ยินลู่ซางเฮ่อพูดว่า “เซียว
เหยา ทุกคนรู้เรื่องของพรรคบัวดำมีประวัติแค่สิบปี
ที่ผ่านมานี่เอง เรื่องราวก่อนหน้านั้น ถึงแม้พวกเขา
จะอยู่แนวชายแดน แต่ไม่มีใครรู้เรื่องของพวกเขามา
ก่อนเลย พรรคบัวดำมีอยู่มากกว่ายี่สิบปี เจ้าออก
จากซีชวนไป เหมือนพรรคบัวดำเองก็เพิ่งจะก่อตั้ง”
“อ๋อ?” เซี่ยงเซียวเหยาพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้าเองก็
แปลกใจ ข้าได้ยินมาว่า วรยุทธ์เจ้าลัทธิบัวดำไม่
ธรรมดาเลย น่าจะเกือบเป็นต้าจงซือแล้ว ไม่มีใน
ผู้ใดในยุทธภพซีชวนทีร่ ู้จักพวกเขาเลยหรือ? หาก
เป็นเช่นนี้ แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่าวรยุทธ์ของพวก
เขาดีไม่ดี แล้วจะแยกแยะได้อย่างไรว่าวรยุทธ์ของ
เขาเกือบจะเป็นถึงต้าจงซือแล้ว?”
ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “ก็แค่ข่าวลือตามกันมาเชื่อไม่ได้
หรอก อาจจะเป็นพวกชาวเหมียวตั้งใจปล่อยข่าวให้
ดูยิ่งใหญ่ก็ได้” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “แต่ว่า
พรรคบัวดำกลายมาเป็นภัยของซีชวนแล้ว จวนเสิน
โหวประกาศสัญญาเลือด รวบรวมคนของแปดพรรค
สิบหกสำนักเพื่อกวาดล้างพรรคบัวดำ ก็ถือเป็นบุญ
ของยุทธภพ”
“พี่ใหญ่บอกว่าพรรคบัวดำเป็นภัยของซีชวน หรือว่า
พวกเขาก่อเรื่องในซีชวนหรือ?” เซี่ยงเซียวเหายาพูด
ว่า “พวกเขาก่อกรรมทำเข็นอย่างนั้นหรือ?”
ประมุขหงยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องเลวร้ายที่พรรคบัวดำ
ทำมีมากนับไม่ถ้วนเลย คนที่ตายในมือของพวกเขา
ก็มีมาก”
“ประมุขหงหมายความว่าอย่างไร?”
ประมุขหงพูดว่า “คนที่อยู่ในสายซีชวนต่างรู้ดี แปด
ปีที่ผ่านมา ท่านเจ้าสำนักป๋ายกับศิษย์อีกแปดคน
ของเขา ถูกคนของพรรคบัวดำสังหารทั้งสิ้น
หลังจากสังหารแล้ว ยังนำศีรษะของพวกเขามา
แขวนไว้กับธง แล้วทิ้งธงสีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของ
พรรคบัวดำเอาไว้ด้วย ท่านประมุขเซียวหยวนคน
ก่อนแห่งหอเซียวหยวนกับท่านเจ้าสำนักป๋ายเป็น
เพื่อนกัน ได้ทำการรวบรวมยอดฝีมือในซีชวนกว่า
สิบคนบุกไปทวงถามความยุติธรรมถึงเขาเฉียนอูหลิง
แต่ว่า......” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ไม่ได้พูดต่อไปอีก
แต่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ผลเป็นอย่างไร?”
ประมุขหงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านประมุขเซียว
หยวนคนก่อนกับพวกเข้าไปในเขาเฉียนอูหลิง แล้วก็
ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย จากนั้นไม่นานหอเซียว
หยวนก็ได้รับศีรษะของท่านประมุขคนก่อนแทน”
“พรรคบัวดำโหดเหี้ยมขนาดนี้เลยหรือ?” เซี่ยงเซียว
เหยาตกใจมาก “แล้วเหตุใดพวกเขาต้องลงมือกับ
บ้านตระกูลป๋ายด้วย?”
ทุกคนต่างนิ่งไป ลู่ซางเฮ่อถอนหายใจแล้วพูดว่า “ก็
น่าจะฆ่าคนเพื่อแสดงศักดากระมัง แต่อยากจะอยู่
ในยุทธภพได้ ก็ต้องทำให้คนเห็นคนรู้จัก ถึงแม้
ตระกูลป๋ายจะไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าแปดพรรคสิบหก
สำนัก แต่ว่าพวกเขาก็มีชื่อเสียงในแถบซีชวน”
ฉีหนิงแอบฟังอยู่นอกหน้าต่าง เขารู้สึกแปลกใจมาก
แอบคิดในใจว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อแปดปีก่อน ตอน
นั้นจวนเสินโหวเองน่าจะเข้ามาในซีชวนแล้ว เกิด
เรื่องแบบนี้ในซีชวน มีพรรคใหม่โผล่มากำจัดตระกูล
หนึ่งในยุทธภพ เหตุใดจวนเสินโหวถึงได้ไม่เข้ามา
จัดการ แล้วเหตุใดจวนเสินโหวถึงไม่สนใจเรื่องนี้
หากติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่แปดปีก่อน จวนเสินโหว
เองก็น่าจะรู้เรื่องของพรรคบัวดำไม่น้อยเลย
เซี่ยงเซียวเหยาพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง พี่ใหญ่ ข้าได้ยิน
มาว่าพรรคบัวดำบ้าคลั่งมาก แต่ก็มีอำนาจไม่เกิน
ดินแดนซีชวน จริงหรือไม่? หลายปีมานี้ที่นอกเขตซี
ชวน ไม่เคยได้ยินเรื่องของพรรคบัวดำเลยนะ”
“ก็แค่พวกสุนัขเผ่าเหมียวที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
เท่านั้นแหละ” ประมุขหงเหมือนจะแค้นพรรคบัวดำ
มาก “ถึงแม้จะบอกว่าเจ้าลัทธิของพรรคบัวดำจะ
มีวรยุทธ์ล้ำเลิศมาก แต่ก็เหมือนที่ท่านลู่พูดนั่น
แหละ คิดว่าพวกเขาก็น่าจะแค่ปล่อยข่าวออกมา
อย่างนั้น คนพวกนั้นสามารถตั้งหลักได้ในซีชวนก็ถือ
ว่าไม่เลวแล้ว จะไปออกนอกซีชวนได้อย่างไรกัน
พวกเขาก็แค่อาศัยภูมิศาสตร์ที่ดีของหุบเขาเฉียนอูห
ลิง หลบซ่อนตัวก็เท่านั้น หากออกจากที่นี่ไป คงทำ
อะไรไม่ได้”
ฉีหนิงรู้สึกขำ แอบคิดในใจว่าประมุขหงน่าจะคิดไป
ข้างเดียว
ก่อนหน้านี้เขาได้ข้อมูลมาจากต้วนชางไห่ว่า ซีเหมิน
เสินโหวกับฉีจิ่งเคยคุยเรื่องยุทธภพกัน ได้พูดถึงเจ้า
ลัทธิของพรรคบัวดำ พวกเขามั่นใจมากว่าเจ้าลัทธิ
บัวดำนั้นเป็นหนึ่งในห้าต้าจงซือ ด้วยตำแหน่งของซี
เหมินเสินโหว กับการพูดคุยกับฉีจิ่ง ไม่น่าจะเป็น
การพูดเล่น
ประมุขหงกับคนอื่นๆ ถึงแม้จะเป็นชาวยุทธ์ในซีชวน
แต่เมื่อเทียบกับข่าวคราวข้อมูลของจวนเสินโหวแล้ว
ก็เทียบไม่ได้
แม้แต่ซีเหมินเสินโหวยังยำเกรงเจ้าลัทธิบัวดำเลย
แต่ประมุขหงนี่เอาแต่พูดจาคุยโว ฉีหนิงรู้สึกว่า
คำพูดของพวกเขาไม่เชื่อน่าจะดีกว่า
หากพรรคบัวดำเป็นแค่พรรคธรรมดาทั่วไป ประมุข
เซียวหยวนคนก่อนกับพวกอีกสิบคนที่บุกไปทวง
ความยุติธรรม เหตุใดไม่มีใครกลับมาได้สักคน?
อีกทั้งคนพวกนี้เกลียดพรรคบัวดำมาก แต่พรรคบัว
ดำกลับไม่ได้ล้มเหลวในการตั้งถิ่นฐานที่ซีชวน แต่
กลับมีรากที่แน่นมากอีกด้วย หากจะต้องต่อสู้กัน
ขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าชาวยุทธ์ในซีชวนทั้งหมดน่าจะ
ถูกกวาดล้างไปจนสิ้น
เซี่ยงเซียวเหยาถามว่า “พี่ใหญ่ จวนเสินโหว
ประกาศสัญญาเลือด รวบรวมกำลังพลจากแปด
พรรคสิบหกสำนักเพื่อกวาดล้างพรรคบัวดำ พี่ใหญ่
คิดว่าพวกเขาทำถูกแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“น้องชายเหตุใดเจ้าถึงได้ถามแบบนี้?” ลู่ซางเฮ่อพูด
ว่า “พรรคบัวดำทำร้ายยุทธภพ ที่จริงก็ควรจะกำจัด
มานานแล้ว ครั้งนี้จวนเสินโหวออกหน้า ก็เป็นการ
ควบคุมความเรียบร้อยของยุทธภพถือเป็นเรื่องดี อีก
ทั้งสัญญาเลือดก็ประกาศมาแล้ว ก็แสดงว่าต้องทำ
แน่นอน” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “น้องชาย
พูดตามตรงเลยนะ ที่จริงแล้วที่เชิญสหายมาที่
สำนักเฟิงเจี้ยน ก็เพราะต้องการหารือเรื่องการบุก
โจมตีเขาเฉียนอูหลิง”
ประมุขหงพูดว่า “ถูกต้อง ถึงแม้จวนเสินโหวจะ
ประกาศสัญญาเลือดแล้ว ยอดฝีมือของแปดพรรค
สิบหกสำนักต่างมารวมตัวกันที่ซีชวน แต่ว่าเหล่า
ชาวยุทธซีชวนจะให้คนของแปดพรรคสิบหกสำนักดู
ถูกไม่ได้ ที่นี่เป็นพื้นที่ของพวกเรา พวกเราจะต้องใช้
โอกาสนี้แสดงศักดาของพวกเรา หากพวกเราไม่
สามารถชิงผลงานใหญ่ได้ ต่อไปชาวยุทธ์ในซีชวนจะ
มีหน้าอยู่ในยุทธภพได้อย่างไร?”
ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “น้องชาย เจ้ากลับมาได้
จังหวะพอดี คิดถึงตอนที่สำนักเฟิงเจี้ยนยังโด่งดังใน
ยุทธภพ สะเทือนไปทั่วหล้า ได้เจ้ากลับมาติดตามข้า
อีกครั้ง พวกเราจะต้องยิ่งใหญ่ได้แน่นอน ผ่าน
มาแล้วกว่าสิบแปดปี พวกเราพี่น้องร่วมมือกัน
สังหารโจรชั่ว มา ทุกท่าน ดื่ม”
ฉีหนิงกำลังคิดว่าเซี่ยงเซียวเหยาจะติดตามพวกเขา
ไปโจมตีหุบเฉียนอูหลิงหรือไม่ แต่กลับได้ยินเสียงลม
พัด เขาก็สะดุ้ง เห็นของชิ้นหนึ่งถูกซัดมาทำให้
หน้าต่างแตก พุ่งมาตรงหน้าเขา
ปฏิกิริยาของเขาไวมาก เขาก้าวเท้าแล้วเอี้ยวตัว
หลบ
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงของลู่ซางเฮ่อดังมา “ใน
เมื่อท่านมาแล้ว เหตุใดไม่ออกมาพบหน้าล่ะ ซ่อนตัว
อยู่แบบนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนดีดีเขาทำกันนะ”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายในห้อง จากนั้นก็
เห็นเงากระโดดออกมาจากหน้าต่าง แสงสะท้อน
ออกมา ดาบเล่มหนึ่งกำลังฟันมาที่เขา
ฉีหนิงเห็นคนที่มาไม่ใช่ลู่ซางเฮ่อ แอบคิดในใจว่าวร
ยุทธ์ของลู่ซางเฮ่อน่าจะไม่ธรรมดา เขารู้ว่าตัวเอง
หลบอยู่ที่หน้าต่าง อีกทั้งมีคนฟันดาบเข้ามาใส่เขา
เขาก็เลยต้องหลบไปด้านข้าง
เมื่อหลบได้หนึ่งเงา ก็มีเงาคนอีกสองคนโผล่มาอีก
พริบตาเดียว ก็กลายเป็นสามรุมหนึ่ง ล้อมตัวเขา
เอาไว้
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าเหตุใดถึงได้ซวยอย่างนี้
จากนั้นก็ได้ยินเสียงของลู่ซางเฮ่อพูดขึ้นมาว่า “ท่าน
เป็นใครมาจากไหน ดึกดื่นแบบนี้ เหตุใดถึงต้องหลบ
หน้าไม่ออกมา คิดจะทำอะไร?”
ฉีหนิงกำมีดสั้นของเขาเอาไว้ในมือ แล้วหันหลัง เห็น
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าแพรยืนไขว้หลังอยู่ เขายืน
จ้องมาทางเขา ด้านข้างคนๆ นั้น มีอีกคนยืนอยู่สวม
ชุดผ้าหยาบ มองก็รู้ว่าเป็นเซี่ยงเซียวเหยา เขามอง
ไปที่เซี่ยงเซียวเหยา ท่ามกลางแสงไฟ เมื่อเขาเห็น
ใบหน้าของเขาชัดเจน ก็ถึงกับตกใจ เกือบจะหลุด
ร้องออกมา
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 356 ซู่อิ่ง
ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่า เซี่ยงเซียวเหยาจะเป็นคนชาย
วัยกลางคนลึกลับที่เขาเคยพบมาก่อน
ก่อนหน้านี้เขาถูกราชาพิษจิ่วซีของพรรคบัวดำจับตัว
ไป ก็ได้ชายวัยกลางคนคนนี้มาช่วยเอาไว้ อีกทั้งเขา
ยังถ่ายทอดวิธีการเดินลมปราณกับฝ่ามือดันภูเขาให้
เขาอีกด้วย แต่ว่าคนๆ นี้รีบมารีบไป ฉีหนิงเลยไม่รู้
ว่าเขาชื่อว่าอะไร อีกทั้งไม่รู้ว่าเหตุใดต้องช่วยเขา
ด้วย
ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกว่าเสียงของเซี่ยงเซียวเหยานั้น
คุ้นมาก แต่ว่านึกเท่าไรก็นึกไม่ออก เขาไม่ได้นึกถึง
ชายกลางคนลึกลับนั่นเลย ตอนนี้ได้เห็นใบหน้าของ
เซี่ยงเซียวเหยาแล้ว ถึงได้เข้าใจ
เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอเขาอีก อีกทั้งยังคิดไม่ถึงด้วย
ว่าเขาจะเป็นนายน้อยของสำนักเฟิงเจี้ยน
หรือว่าสำนักเฟิงเจี้ยนมีความสัมพันธ์อะไรกับจวน
จิ่นอีโหวมาก่อน ดังนั้นเซี่ยงเซียวเหยาก็เลยยื่นมือ
เข้าช่วย?
ตอนนี้ถูกยอดฝีมือหลายคนล้อมไว้ ฉีหนิงสีหน้า
เคร่งเครียดมาก เขาคิดว่าเขาประมาทลู่ซางเฮ่อ
เกินไป เดิมทีเขาควรจะระวังมากกว่านี้ แต่กลับคิด
ไม่ถึงเลยว่าจะถูกจับได้
“เสี่ยวหลินจื่อ ยังไม่ขอขมาอีก” เซี่ยงเซียวเหยาพูด
ด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด “เจ้าบังอาจมากเลย
นะ ข้าสั่งให้เจ้ารอที่ตีนเขา เหตุใดเจ้าถึงได้กล้าขัด
คำสั่งข้าแบบนี้?”
ฉีหนิงอึ้งไป แต่เขาก็เข้าใจในทันทีว่าเซี่ยงเซียวเหยา
หมายความว่าอย่างไร
เขาเดินหน้าขึ้นไป แล้วยกมือขึ้นคำนับลู่ซางเฮ่อ
“คารวะท่านลุง ผู้น้อยเสียมารยาทไป ขอให้ท่าน
อภัยด้วย”
ลู่ซางเฮ่อกับพวกเห็นดังนั้น ก็ตะลึง เซี่ยงเซียวเหยา
ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ หลินฉีเป็นศิษย์ที่ข้ารับไว้
ตอนที่ท่องยุทธภพ เขาฉลาดมาก เพียงแต่ซนเอา
เรื่อง เปลี่ยนยาก ครั้งนี้มาซีชวน ข้าเลยพามาด้วย
ก่อนขึ้นเขามา ข้ากังวลว่าเขาจะซนเกินไป ก็เลยสั่ง
ให้รออยู่ที่ตีนเขา ใครจะคิดว่าเขาจะแอบขึ้นเขา
มาแล้วบุกเข้ามาที่นี่ พี่ใหญ่อภัยด้วย” เขาจ้องมาที่ฉี
หนิง แล้วพูดว่า “ก่อเรื่องอีกแล้วนะ”
ฉีหนิงรู้ว่าเซี่ยงเซียวเหยากำลังปกป้องเขาอยู่ เขา
ต้องการช่วยให้ฉีหนิงรอดจากสถานการณ์นี้ไป ในใจ
ของเขารู้สึกซาบซึ้งมาก เขาเองก็ฉลาด พอเซี่ยง
เซียวเหยาพูดจบ เขาก็รีบพูดว่า “อาจารย์ ข้ารอ
ท่านอยู่ที่ตีนเขาตั้งนาน เห็นท่านไม่กลับลงมาสักที
ข้าก็คิดว่าเกิดเรื่องอะไรกับท่านหรือไม่ ก็เลยขึ้นเขา
มาดู พอเข้ามาที่นี่แล้ว ก็ไม่มีใครขวางข้า ข้าเห็นที่นี่
มีแสงไฟ ก็เลยเดินมา แต่ว่าเห็นพวกท่านกำลังคุย
กันอยู่ ข้าก็ไม่กล้าเข้าไปขัด”
เขาพูดตอบรับกับเซี่ยงเซียวเหยาได้เป็นอย่างดี ไร้ที่
ติ
คนสวมเสื้อสีม่วงที่ถือดาบถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
ว่า “น้องเซี่ยง เจ้าเด็กนี่เป็นศิษย์ของเจ้าหรือ?”
ฉีหนิงฟังน้ำเสียงของเขา ก็รู้ว่าเป็นประมุขหง
เซี่ยงเซียวเหยายิ้มแล้วพูดว่า “มาอยู่กับข้าได้สองปี
แล้ว”
ลู่ซางเฮ่อหัวเราะแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็คนกันเอง เสี่ยว
หลินจื่อ อาจารย์ของเจ้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับข้า
เจ้าจะเรียกข้าว่าท่านลุงก็ไม่ผิดนะ” เขาหันไปพูด
กับเซี่ยงเซียวเหยาว่า “เซียวเหยา ในเมื่อเจ้าเป็น
อาจารย์ของเขา ก็เหมือนเป็นพ่อของเขา สำนักเฟิง
เจี้ยนเดิมทีเป็นบ้านของเจ้าอยู่แล้ว ในเมื่อเสี่ยว
หลินจื่อมาแล้ว ก็เหมือนได้กลับบ้าน จะเดินดูรอบๆ
ก็ไม่เป็นไรหรอก ข้าจะลงโทษเขาได้อย่างไร?” เขา
มองไปที่คนอื่น แล้วพูดว่า “ทุกท่านเก็บอาวุธเถอะ”
ฉีหนิงยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านลุง”
“มา ข้างนอกอากาศหนาว เจ้านี่ก็ซื่อจริง มาถึงแล้ว
จะมายืนอยู่ข้างนอกอีกทำไมกัน?” ลู่ซางเฮ่อพูด
อย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่ต้องกลัวอาจารย์จะ
ลงโทษหรอกนะ มีข้าอยู่ เขาไม่กล้าทำอะไรเจ้า
หรอก” เขาเดินหน้าขึ้นมา แล้วยื่นมือไปจับมือของฉี
หนิง แล้วดึงเข้าห้องไป “มา เข้ามากินอะไรก่อน
ร่างกายจะได้อุ่นด้วย”
ฉีหนิงเห็นลู่ซางเฮ่อถึงแม้จะมีอายุเกือบห้าสิบปีแล้ว
แต่ว่าเขาน่าจะดูแลตัวเองดี ดูแล้วยังเหมือนคนอายุ
สี่สิบอยู่เลย ดูอายุน้อยกว่าเซี่ยงเซียวเหยาอีก
สายตาของลู่ซางเฮ่อนั้นเป็นประกายระยิบระยับ ดูก็
รู้ว่าฝึกฝนมามาก
แต่ชายชุดม่วงกลับเก็บอาวุธแล้วยกมือขึ้นมาคำนับ
แล้วพูดว่า “ท่านลู่ ในเมื่อพวกท่านพี่น้องได้มาพบ
กัน ก็ควรจะดื่มกันให้เต็มที่ สัญญาเลือดประกาศ
ออกไปแล้ว อีกไม่กี่วันทางจวนเสินโหวคงเรียกพบ
พวกเรา พวกเราควรจะกลับไปเตรียมตัวก่อน คงไม่
รบกวนแล้ว”
ลู่ซางเฮ่อรีบพูดว่า “ประมุขหง นี่ท่าน......”
“ท่านลู่ ประมุขหงพูดถูก ครั้งนี้พวกเราจะอยู่หลัง
คนอื่นไม่ได้” ชายชุดดำข้างๆ พูดว่า “ครั้งนี้มีชาว
ยุทธ์มาจากทั่วทุกที่ หากพวกเราไม่สามารถสร้างชื่อ
ได้ ก็จะเสียหน้าของชาวซีชวน” เขายกมือคำนับ
แล้วพูดว่า “ขอตัวก่อน”
ทั้งสามคนยกมือคำนับแล้วจากไป ไม่แม้แต่จะหัน
หน้ากลับมา
ลู่ซางเฮ่อเห็นดังนั้น เมื่อพวกเขาไปไกลแล้ว ก็ถอน
หายใจแล้วพูดว่า “เซียวเหยา เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่
คนพวกนี้นิสัยแบบนี้ตลอด” เขาดึงมือของฉีหนิงเข้า
ไปในห้อง ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเขาไปแล้ว แต่ว่า
อาหารกับเหล้ายังร้อนอยู่ พวกเรามาดื่มกัน”
ฉีหนิงรู้สึกได้ว่าลู่ซางเฮ่อได้เดินพลังลมปราณของ
เขาออกมาจากฝ่ามือ เขาต้องการทดสอบกำลัง
ภายในของเขา เขารู้สึกขำมาก ลู่ซางเฮ่อไม่รู้ฟ้าสูง
แผ่นดินต่ำเลย หากเขาเดินลมปราณแค่นิดเดียว
พลังหกเทพประสานปะทุออกมา กำลังภายในของลู่
ซางเฮ่อก็จะถูกดูดจนหมด
แต่ว่าเซี่ยงเซียวเหยามีบุญคุณกับเขา อีกทั้งลู่ซาง
เฮ่อก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานของเซี่ยงเซียวเหยา ฉี
หนิงลงมือกับเขาไม่สะดวก อีกทั้งอีกฝ่ายก็แค่
อยากจะทดสอบหยั่งเชิงเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำร้าย
เขา
เมื่อเข้ามาในห้อง ลู่ซางเฮ่อก็ปล่อยมือ ฉีหนิงถึงเห็น
ได้ชัดว่าภายในห้องตกแต่งได้อย่างงดงาม บนโต๊ะมี
อาหารกับเหล้าอย่างดี
เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว ที่ซีชวนอากาศเริ่มเย็น แต่ว่า
ภายในห้องมีเตาผิง มันอุ่นมาก อาหารบนโต๊ะยังไม่
เย็น มีหลายจานที่ยังมีควันลอยขึ้นมาอยู่
“เด็กๆ เก็บถ้วยพวกนี้ไป แล้วเปลี่ยนของใหม่มา” ลู่
ซางเฮ่อตะโกนสั่ง จากนั้นก็มีคนรีบเอาถ้วยชามใหม่
มาเปลี่ยนให้ เซี่ยงเซียวเหยานั่งลงตรงข้ามกับลู่ซาง
เฮ่อ ฉีหนิงนั่งลงข้างๆ เขามองไปที่เซี่ยงเซียวเหยา
เห็นเซี่ยงเซียวเหยาหน้านิ่งมาก แต่ว่าเสื้อผ้าหยาบๆ
ของเขา เหตุใดเขาถึงไม่แต่งตัวหน่อยนะ ดูไปแล้ว
มันไม่สดชื่นเลย มันห่างชั้นกับเสื้อผ้าของลู่ซางเฮ่อ
มาก คิดภาพตอนที่เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักเฟิง
เจี้ยนไม่ออกเลย
“พี่ใหญ่อยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ?” เซี่ยงเซียวเหยาถาม
“ข้าเห็นว่าที่นี่มันดูเงียบจนเกินไป หรือว่า......”
“แต่ละปีข้าจะหาเวลามาพักที่นี่ระยะหนึ่ง” ลู่ซาง
เฮ่อถอนหายใจแล้วพูดว่า “เซียวเหยาเจ้าคงไม่รู้
อะไร หลังจากที่เจ้าจากไปแล้วเมื่อสิบแปดปีก่อน
เพื่อให้สำนักเฟิงเจี้ยนคงอยู่ต่อไป ข้าเลยรับศิษย์เข้า
มากลุ่มหนึ่ง เพื่อสร้างรากฐานที่ซีชวนนี้ สิบหกปี
ผ่านไป จวนเสินโหวทำสัญญาเลือดกับแปดพรรคสิบ
หกสำนัก สำนักเฟิงเจี้ยนเองก็เป็นหนึ่งในแปดพรรค
สิบหกสำนักด้วย......”
เซี่ยงเซียวเหยายิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้ารู้ ข้าได้ยิน
มาว่าตอนนั้นสำนักเฟิงเจี้ยนที่มีพี่ใหญ่เป็นผู้นำ
ชื่อเสียงสะเทือนไปทั่วซีชวน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งใน
แปดพรรคสิบหกสำนัก น้องรู้สึกดีใจมาก”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่แท้สำนักเฟิงเจี้ยนก็เป็นหนึ่งใน
แปดพรรคสิบหกสำนักนี่เอง
เขารู้ว่า สัญญาเลือดเป็นข้อตกลงที่จวนเสินโหวทำ
ขึ้นกับชาวยุทธ์ที่อยู่ในดินแดนแคว้นฉู่ เป็นข้อตกลง
ของแคว้นกับกลุ่มอำนาจในยุทธภพ โดยมีแปด
พรรคสิบหกสำนักเป็นกลุ่มผู้นำ แปดพรรคสิบหก
สำนักก็เลยถือเป็นโครงสร้างหนึ่งของกลุ่มอำนาจใน
ยุทธภพของแคว้นฉู่ เมือ่ มีคำมั่นสัญญาจากแปด
พรรคสิบหกสำนัก กลุ่มอำนาจยุทธภพอื่นๆ ก็จะไม่
กล้าทำลายกฎลง
สามารถทำให้จวนเสินโหวให้ความสำคัญได้ แปด
พรรคสิบหกสำนักจะต้องมีชื่อเสียงมากในยุทธภพ
สำนักเฟิงเจี้ยนนี่สามารถเป็นหนึ่งในแปดพรรคสิบ
หกสำนักได้ การได้เป็นถึงเจ้าสำนักเฟิงเจี้ยน แสดง
ว่าลู่ซางเฮ่อเองก็ไม่ธรรมดาเลย
ฉีหนิงอาศัยอยู่ในจวนโหว เรื่องภายในราชสำนักเขา
ก็รู้ไม่น้อย แต่ว่าเรื่องในยุทธภพเขาเองไม่ค่อยรู้อะไร
ถึงแม้จะรู้จักชื่อแปดพรรคสิบหกสำนัก แต่ว่ามี
พรรคหรือสำนักใดบ้าง เขาไม่รู้เลย
ลู่ซางเฮ่อส่ายหัวแล้วถอนหายใจพูดว่า “ทั้งสิบหก
เขตในซีชวน ชาวยุทธ์ในชวนตงหกเขตก็ถือว่าให้
เกียรติกันอยู่ เห็นสำนักเฟิงเจี้ยนของพวกเราเป็น
ผู้นำ ปกติก็จะมีเรื่องในยุทธภพหลายเรื่องที่ต้อง
สะสาง หากอยู่ที่นี่ตลอดเวลา มันไม่สะดวก ดังนั้นที่
เจียงหยาง ข้าได้สร้างสำนักเอาไว้ที่นั่นด้วย จะ
ทำงานอะไรก็จะทำที่นั่น” เขามองไปรอบๆ แล้วพูด
ว่าอย่างเศร้าใจว่า “แต่ว่าอย่างไรเสียสำนักเฟิงเจี้ยน
จริงๆ แล้วก็ยังคือที่นี่ เซียวเหยาเจ้าจากไปสิบแปดปี
ข้าคิดถึงเจ้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นก็เลยกลับมาที่นี่
บ่อยๆ นึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่ผ่านมาตลอด”
เซี่ยงเซียวเหยาพูดอย่างเศร้าใจว่า “เวลาผ่านไปเร็ว
นัก คิดไม่ถึงเลยว่าจะผ่านมาแล้วกว่าสิบแปดปี
เรื่องราวในตอนนั้น มันเหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน
เลย”
ตอนนี้ฉีหนิงแทบจะนั่งไม่ติดแล้ว เขาอยากจะรีบ
กลับไปหาอีฝู ไม่มีใจจะมานั่งฟังพวกเขาสองคนคุย
เรื่องเก่าๆ
แต่ว่าตอนนี้เขายอมรับไปแล้วว่าเป็นศิษย์ของเซี่ยง
เซียวเหยาแล้ว พอนั่งลง จะไปทันทีก็ไม่ได้
อาหารบนโต๊ะมีแต่ของดี มันหอมมาก ฉีหนิงเองก็
รู้สึกหิวมาก เขาเลยไม่เกรงใจ ปล่อยให้พวกเขาสอง
คนคุยเรื่องเก่ากันไป ส่วนเขาก็หยิบตะเกียบขึ้น
มาแล้วลงมือกิน
“เซียวเหยา เจ้ากลับมาครั้งนี้ เจ้า......เจ้าก็น่าจะไป
พบซู่อิ่งหน่อยนะ” ลู่ซางเฮ่อมองไปที่เซี่ยงเซียว
เหยา “นางคิดถึงเจ้าตลอดเวลาเลย”
ฉีหนิงรู้สึกสงสัย แอบคิดในใจว่า “ซู่อิ่ง” นี่ใครกัน
อีก?
เซี่ยงเซียวเหยาสะดุ้ง เขานิ่งไป หลังจากที่นิ่งไปนาน
สุดท้ายก็ถามขึ้นมาว่า “นางสบายดีหรือไม่?”
ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “สบายดี ตอนนั้นข้ารับปาก
เจ้าแล้ว ข้าจะดูแลนางอย่างดี ชีวิตของข้าที่มีอยู่ ก็
เพื่อทำให้นางได้อยู่อย่างสุขสบาย”
เซี่ยงเซียวเหยาพยักหน้าแล้วพูดว่า “มีพี่ใหญ่ดูแล
นางจะต้องมีความสุขแน่นอน” เขาคิดไปครู่หนึ่ง
แล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ สิบแปดปีผ่านไปแล้ว นางคงคิด
ว่าข้าตายไปแล้ว ท่านไม่ต้องบอกนางหรอกนะว่าข้า
กลับมา ข้าเองก็คงไม่ไปพบนาง รอเสร็จเรื่องนี้แล้ว
ข้าก็จะไปทันที”
“เซียวเหยา เจ้าทำแบบนี้ไม่ถูกนะ” ลู่ซางเฮ่อขมวด
คิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าหายไปไม่มีข่าวคราวกว่าสิบแปด
ปี ข้ากับซู่อิ่งคิดถึงเจ้าตลอด พอเจ้ากลับมา เจ้ากลับ
ไม่ยอมไปพบนาง เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ฉีหนิงเห็นเซี่ยงเซียวเหยาท่าทางเศร้า ก็เลยคิดว่า
แสดงว่าเรื่องนี้น่าจะมีความหลังอะไร
ลู่ซางเฮ่อกับเซี่ยงเซียวเหยาเป็นพี่น้องร่วมสาบาน
กัน เซี่ยงเซียวเหยายกสำนักเฟิงเจี้ยนให้กับลู่ซาง
เฮ่อ ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีมาก ถ้าเช่นนั้น เหตุ
ใดเซี่ยงเซียวเหยาถึงได้จากไปแบบไม่ลาเล่า แล้วนี่ก็
ผ่านไปกว่าสิบแปดปีแล้ว? แสดงว่าจะต้องมี
เบื้องหลังอะไรแน่
ลู่ซางเฮ่อเห็นเซี่ยงเซียวเหยาไม่พูด ก็ถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “เซียวเหยา เจ้ากับข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว เสี่ยว
หลินจื่อก็ไม่ใช่คนอื่น ข้าถามเจ้าสักคำเถอะนะ ตอบ
ข้าตามความจริงได้หรือไม่ ตอนนั้นที่เจ้าจากไปไม่
ลา เพราะเจ้าโทษข้าใช่หรือไม่? เจ้า......เจ้าโกรธข้า
ตลอดเวลาใช่หรือไม่?”
“พี่ใหญ่เหตุใดถึงพูดแบบนั้น?” เซี่ยงเซียวเหยารีบ
เงยหน้าขึ้นมา “พี่ใหญ่ ตอนนั้นที่ข้าจากไป ก็แค่พอ
รู้ว่าท่านแต่งงาน ต้องการมีชีวิตที่สงบ ส่วนข้าไม่เคย
อยู่นิ่ง ชอบไปไหนมาไหนไปเรื่อย จะให้ข้ามาใช้ชีวิต
เรียบง่าย ฆ่าข้าให้ตายดีกว่า” เขาถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “ข้ารู้ว่าหากไปลาท่าน ท่านคงไม่ยอมให้ข้า
ไป ดังนั้นก็เลยทิ้งจดหมายเอาไว้ ยกสำนักเฟิงเจี้ย
นกับกระบี่เฉิงอิ่งให้ท่าน สำหรับข้าแล้ว ท่าน
เหมาะสมที่จะดูแลมันมากกว่าข้า รวมถึงซู่อิ่งด้วย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 357 เสวียนหยางไท่อิน
ฉีหนิงเหมือนจะกำลังกินอาหารอยู่ ดูหมือนไม่ได้
สนใจที่พวกเขาคุยกัน แต่ว่าที่จริงแล้วเขาฟังมันอยู่ทุก
ถ้อยทุกคำ
ถึงแม้สองคนนี้จะไม่ได้พูดคุยกันแบบเปิดอกมาก แต่ฉี
หนิงก็พอจะเชื่อมโยงเรื่องราวได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนที่ชื่อซู่อิ่งเป็นผู้หญิงแน่นอน
อีกทั้งเซี่ยงเซียวเหยาเองก็รู้จักเป็นอย่างดี จากคำพูด
ของเขา เหมือนเซี่ยงเซียวเหยาจะมีความหลังลึกซึ้ง
กับทางซู่อิ่งไม่น้อย
แต่ว่าสุดท้ายแล้วซู่อิ่งกลับแต่งงานไปกับลู่ซางเฮ่อ
จะต้องมีความซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่างนั้นแน่
แต่ว่าฉีหนิงไม่ได้สนบุญคุณความแค้นอะไรของพวก
เขาสามคนมากนัก เขาคิดแต่พียงจะหาโอกาสไปจาก
ที่นี่ เพราะเซี่ยงเซียวเหยาเองก็พูดเองว่าเขานิสัยซน
ไม่อยู่นิ่ง หากไปไม่ลา เซี่ยงเซียวเหยาเองก็มีเหตุผลที่
จะอธิบายให้ลู่ซางเฮ่อฟังได้
อี๋ฟูยังอยู่ในห้องไม้คนเดียว เขาจะอยู่ที่นี่ไม่ได้
ลู่ซางเฮ่อนิ่งไป สุดท้ายก็พูดขึ้นมาว่า “เซียวเหยา
หากเจ้ายังเห็นข้าเป็นพี่ชายเจ้า ก็ต้องไปพบหน้านาง
สักครั้ง ข้ารู้ว่าที่เจ้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องที่ต้องทำ จวน
เสินโหวประกาศสัญญาเลือด ทุกคนเดินทางไปที่เขา
เฉียนอูหลิงเพื่อกวาดล้างพรรคบัวดำ ตอนนี้ข้าจะไม่
เร่งเร้าให้เจ้าไป แต่ว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว รอซีชวน
สงบเมื่อไหร่ เจ้าจะต้องไปกับข้าสักครั้ง”
“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านจะต้องดึงดันขนาดนี้ด้วย?”
“ใช่ว่าข้าจะดึงดัน” ลู่ซางเฮ่อพูดอย่างจริงจังว่า
“ตอนที่ความสัมพันธ์ของพวกเราสามคนแน่นแฟ้น
ชาตินี้ทั้งชาติเจ้าไม่คิดจะไปพบหน้านางอีกเลยอย่าง
นั้นหรือ? ต่อให้เจ้าไม่สนใจอดีตที่ผ่านมา อย่างไรเสีย
ข้าก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเจ้าอยู่ดี นางเป็นพี่สะใภ้
ของเจ้า เจ้าก็ไม่คิดจะไปพบพี่สะใภ้ของเจ้าหรือ
อย่างไร?”
เซี่ยงเซียวเหยายิ้มอย่าลำบากใจ แล้วพูดว่า “ในเมื่อพี่
ใหญ่พูดถึงขนาดนี้แล้ว เซียวเหยาก็คงต้องทำตาม”
ลู่ซางเฮ่อยิ้ม แล้วพูดว่า “แบบนี้สิถึงจะเป็นน้องชาย
ข้า” เขายกแก้วขึ้นมาชนกับเซี่ยงเซียวเหยา
ฉีหนิงวางตะเกียบลง มองไปที่ลู่ซางเฮ่อ ยิ้มแล้วถาม
ว่า “ท่านลุง ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะขอคำชี้แนะเสีย
หน่อย ท่านลุงได้โปรดชี้แนะด้วย”
“อ๋อ?” ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “เสี่ยวหลินจื่อ เจ้า
อยากจะถามอะไรหรือ?”
“เมื่อครู่ตอนที่ข้าอยู่ด้านนอกได้ยินว่า เจ้าบ้านตระกูล
ป๋ายกับลูกศิษย์ทั้งแปดคนของเขาถูกคนของพรรคบัว
ดำทำร้ายจนตาย พวกเขาทำเพราะต้องการแสดง
อำนาจบารมีแค่นั้นจริงๆ หรือ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“มันมีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่?”
“เหตุใดเจ้าถึงได้ถามแบบนี้เล่า?”
ฉีหนิงมองไปที่เซี่ยงเซียวเหยา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้า
กับอาจารย์ท่องยุทธภพมาก็นานหลายปี เห็นอะไรมา
ก็มาก ถึงแม้ข้าจะโง่เรียนรู้อะไรได้ไม่มาก แต่ว่า
อาจารย์มักพูดอยู่เสมอว่า การอยู่ในยุทธภพ สิ่งที่
สำคัญมากที่สุดคือการสร้างมิตรให้มากและสร้างศัตรู
ให้น้อย หากอยู่ในยุทธภพแต่มีศัตรูไปทั่ว ต่อให้มี
ความสามารถมากเพียงใด ก็ทำอะไรได้ยาก”
ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์เจ้าพูดถูกแล้ว อยู่ใน
ยุทธภพต้องสร้างมิตรให้มาก”
“เมื่อครู่ข้าได้ยินว่า ตระกูลป๋ายก็ถือเป็นตระกูลชาว
ยุทธ์ในซีชวนที่มีชื่อเสียง” ฉีหนิงพูดว่า “หลังจาก
ตระกูลป๋ายประสบภัยร้ายแล้ว เจ้าสำนักเซียวหยวน
ของหอเซียวหยวนรวบรวมยอดฝีมือกว่าสิบคน
เดินทางไปล้างแค้นที่เขาเฉียนอูหลิง ถ้าอย่างนั้น
ตระกูลป๋ายเองก็น่าจะมีเส้นสายในยุทธภพกว้างขวาง
อำนาจบารมีก็น่าจะมีไม่น้อยเลยสินะ”
“ถูกต้อง” ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “ตระกูลป๋ายถือเป็นสำนัก
ที่ติดอันดับหนึ่งในสิบของซีชวนเลย”
“พรรคบัวดำก่อตั้งมากว่าสิบแปดปี แต่ว่าตระกูลป๋าย
เคราะห์ร้ายตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อน” ฉีหนิงพูดว่า “หาก
พรรคบัวดำต้องการจะสังหารคนเพื่อสร้างบารมี เหตุ
ใดต้องทำหลังจากก่อตั้งมาแล้วกว่าสิบปีเล่า? พรรค
บัวดำเองก็เป็นพรรคหนึ่งในยุทธภพ คนในยุทธภพ
ส่วนใหญ่ต่างก็รู้ดีว่าไม่ควรสร้างศัตรู พรรคบัวดำเอง
จะไม่เข้าใจหลักนี้เลยหรือ? แล้วเหตุใดพวกเขา
จะต้องทำร้ายตระกูลป๋ายเพื่อสร้างอำนาจบารมีด้วย
เล่า? หรือว่าพวกเขาไม่รู้ว่า การกวาดล้างตระกูลป๋าย
ทิง้ ชื่อเอาไว้ มันคือการสร้างศัตรูกับชาวยุทธ์ในซีชวน
ถ้าทำอย่างนั้นแล้ว มันไม่รนหาที่ตายให้ตัวเองหรือ?”
เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้ประมุขหงเองก็พูด
แล้วว่า พรรคบัวดำก่อตั้งขึ้นโดยชาวเหมียว กำลังเอง
ก็ไม่ได้แข็งแกร่งตามข่าวลือ ถ้าอย่างนั้น พวกเขาก็
ควรจะเป็นมิตรกับชาวยุทธ์ในซีชวนถึงจะถูก แต่ว่า
พวกเขากลับทำในสิ่งที่ตรงข้ามกัน เจ้าลัทธิบัวดำโง่
ขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร?”
ลู่ซางเฮ่อได้ยินดังนั้น ก็ตะลึงไป เซี่ยงเซียวเหยาพูด
ขึ้นมาว่า “ห้ามพูดจาเหลวไหล”
ฉีหนิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “อาจารย์ ข้าก็แค่แปลกใจ
ก็เลยอยากจะขอคำชี้แนะจากท่านลุงก็เท่านั้นเอง”
ลู่ซางเฮ่อกลับพูดชื่นชมเขาว่า “เซียวเหยา ลูกศิษย์
ของเจ้าคนนี้ฉลาดหลักแหลม ไม่เลวเลยนะ เขาพูดถูก
ที่พรรคบัวดำลงมือกับตระกูลป๋ายนั้น มีเหตุผลอื่น
ซ่อนอยู่”
“หืม?” เซี่ยงเซียวเหยาพูดว่า “พี่ใหญ่ชี้แนะด้วย”
“ก่อนหน้านี้พวกของประมุขหงยังอยู่ เรื่องบางเรื่อง
ไม่สะดวกพูด” ลู่ซางเฮ่อถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้า
เองก็น่าจะรู้ ในซีชวนมีทั้งชาวฮั่นและก็ชาวเหมียว
ชาวฮั่นหลายคนรังแกชาวเหมียว ส่วนชาวเหมียวเอง
ก็ระวังตัวกับชาวฮั่นมาก แต่ว่าชาวเหมียวต่างอาศัย
อยู่ในภูเขา ภูเขาหลายลูกอยู่ในการควบคุมของพวก
เขา สมุนไพรหลายอย่างพวกเขาก็เป็นคนควบคุมดูแล
อยู่ ในแต่ละเดือนจะมีการแลกเปลี่ยนสินค้ากันในที่ที่
กำหนดไว้”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับตระกูลป๋าย?”
ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “ตระกูลป๋ายตั้งอยู่ที่จื่อถง ทั่วทั้ง
จื่อถงอยู่ในการควบคุมดูแลของตระกูลป๋าย คนของ
ตระกูลป๋ายหลายคนเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการ ดังนั้น
พวกเขาเลยมีอำนาจมาก ในทุกเดือนตระกูลป๋ายจะ
ส่งคนเข้าไปดูแลความเรียบร้อยในตลาด แล้วเก็บค่า
คุ้มครอง......”
“ที่แท้ก็เจ้าถิ่นนี่เอง” ฉีหนิงอดที่จะพูดไม่ได้
ลู่ซางเฮ่อรีบพูดว่า “เสี่ยวหลินจื่อ จะพูดแบบนั้นก็ไม่
ถูก สิบหกเขตในซีชวน พื้นที่กว้างขวางผู้คนก็มีไม่
น้อย มีหลายเรื่องที่แม้แต่เจ้าหน้าที่ทางการก็ดูแลไม่
ไหว ชาวยุทธ์ในหลายท้องที่ ในความเป็นจริงก็ช่วย
ทางการในการดูแลความสงบเรียบร้อยนั่นแหละ ชาว
เหมียวเองก็มีหลายคนที่เป็นคนชั่วและโหดเหี้ยม ชาว
ฮั่นเองก็มีพวกที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดินเหมือนกัน ในความ
เป็นจริงแล้วคนพวกนี้ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ ก็
มักจะเกิดการต่อสู้ขึ้น ทำให้มีคนตายเกิดขึ้น
มากมาย”
ฉีหนิงถามว่า “ตระกูลป๋ายออกหน้า ตลาดก็เลยเงียบ
สงบไม่มีเรื่องวุ่นวายหรือ?”
“ก็ประมาณนั้น” ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “เดิมทีก็ไม่มีปัญหา
อะไร แต่ว่ามีอยู่พักหนึ่ง มีชาวเหมียวกลุ่มหนึ่งเอา
โสมป่าหายากมาที่ตลาด โสมป่าพวกนั้นมีราคาไม่
น้อย พวกเขาขายในราคาที่สูงมาก เป็นแบบนี้อยู่
หลายเดือน คนที่อยู่ในสายเดียวกับพวกเขารู้ทันทีว่า
ชาวเหมียวพวกนี้น่าจะเจอพื้นที่โสมป่าแน่นอน ดังนั้น
ก็เลยเกิดความโลภขึ้นมา......”
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาทันที “ท่านลุงลู่ หรือว่าตระกูลป๋าย
คิดอยากจะได้พื้นที่โสมป่าพวกนั้น?”
“ตอนนั้นศิษย์คนที่สองของเจ้าสำนักป๋ายอยู่ที่ตลาด
พอดี พวกเขาเกิดความโลภขึ้นมา หลังจากตลาดวาย
ไปแล้ว ก็พาคนไปจับชาวเหมียวพวกนั้นกลับมา” ลู่
ซางเฮ่อถอนหายใจแล้วพูดว่า “คนที่รู้เรื่องนี้มีน้อย
มาก ชาวเหมียวพวกนั้นเป็นอย่างไรบ้างหลังจากนั้น
แม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ว่าหลังจากนั้นไม่เกินครึ่งเดือน
พรรคบัวดำก็ลงมือ พอนึกย้อนกลับไป เรื่องสร้าง
อำนาจบารมีอะไรนั่น มันไม่ใช่เรื่องจริงหรอก”
ฉีหนิงพูดว่า “สำนักป๋ายรังแกชาวเหมียว พรรคบัวดำ
ออกหน้าสั่งสอน ก็ไม่ได้ผิดอะไรไม่ใช่หรือ” เดิมทีเป็น
เพราะชิวเฉียนอี้เลยทำให้เขาอคติต่อพรรคบัวดำ
ตอนนี้มาได้ยินลู่ซางเฮ่อพูดแบบนีแ้ ล้ว เขาก็รู้สึกว่า
เขาลดความอคติที่มีในใจลงไปได้มาก แอบคิดในใจว่า
พรรคบัวดำก่อตั้งขึ้นโดยชาวเหมียว จะคอยช่วยชาว
เหมียว ก็ไม่ได้ผิดอะไร
“เป็นหนี้ต้องจ่ายเป็นคนร้ายก็ต้องชดใช้กรรม ต่อให้
จะแก้แค้นจริง ก็น่าจะไปหาศิษย์คนรองของ
สำนักป๋ายสิ เหตุใดถึงได้ต้องสังหารเจ้าสำนักป๋ายกับ
ศิษย์ทั้งแปดคนจนหมดด้วย?” ลู่ซางเฮ่อพูดด้วยสี
หน้าจริงจังว่า “ชาวยุทธ์มีกฎของชาวยุทธ์ ห้ามทำ
ร้ายผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งเรื่องนี้เป็นมาอย่างไรกันแน่ จน
ตอนนี้ยังคงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่เลย คนตายก็ฆ่า
ไปแล้ว แต่เหตุใดถึงยังต้องลบหลู่คนตาย ด้วยการตัด
หัวพวกเขาแล้วแขวนไว้บนธงอีกนะ? ลงมือได้
เหี้ยมโหดจริงๆ”
เซี่ยงเซียวเหยาหยิบกาเหล้าขึ้นมา แล้วรินให้ตัวเอง
เหมือนแค่นั่งฟัง แต่จะไม่พูดแทรก
“พูดแบบถอยมาก้าวหนึ่ง ต่อให้สำนักป๋ายมีความผิด
จริง พรรคบัวดำมีเหตุผลพอที่จะลงมือ แต่ว่าท่านผู้
เฒ่าเซียวหยวนกับยอดฝีมืออีกสิบคนพวกเขาไม่เกี่ยว
อะไรด้วย แค่ไปถามหาความยุติธรรมที่เขาเฉียนอูห
ลิงเท่านั้น เหตุใดต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมดด้วย พรรค
บัวดำโหดเหี้ยมจริงๆ” ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “พรรค
มารแบบนี้ ควรจะกำจัดไปให้สิ้น”
เซี่ยงเซียวเหยาสุดท้ายก็ถามว่า “พี่ใหญ่ เซียวหยวน
เต๋อของหอเซียวหยวน ข้าเคยได้ยินมาก่อน คนๆ นี้วร
ยุทธ์ไม่ธรรมดาเลย มีสหายมากมายในซีชวน เขาเชิญ
ยอดฝีมือมากกว่าสิบคน แสดงว่าเขาเองก็ไม่ใช่
ธรรมดา พวกเขารวมตัวกัน คนที่ขวางทางพวกเขาได้
นั้นมีไม่มาก สามารถสังหารพวกเขาจนหมดไม่เหลือ
แม้แต่คนเดียวแบบนี้ ทั่วทั้งซีชวน นอกจากพรรคบัว
ดำแล้ว คงไม่มีพรรคไหนทำได้อีก.......”
ลู่ซางเฮ่อพยักหน้า เซี่ยงเซียวเหยาพูดต่อไปอีกว่า
“แสดงว่ากำลังความสามารถของพรรคบัวดำนี่ไม่
ธรรมดาเลยนะ ราชาพิษจั่วซีชิวเฉียนอี้มีชื่อเสียงมาก
ไม่ได้อยู่แค่ที่ซีชวน ทั่วทั้งยุทธภพรู้จักเขาหมด แต่ว่า
เท่าที่ข้ารู้มา เขาเองก็เป็นคนของพรรคบัวดำ”
“ถูกต้อง” ลู่ซางเฮ่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “น้องชาย
เจ้ารู้จักชิวเฉียนอี้ด้วย แสดงว่าก็ต้องรู้จักภูตทั้งสี่ของ
พรรคบัวดำด้วยล่ะสิ?”
“ภูตทั้งสี่ของพรรคบัวดำ?” เซี่ยงเซียวเหยาตาเป็น
ประกาย “ข้าไม่ได้อยู่ซีชวนมานานหลายปี อีกทั้ง
อิทธิพลของพรรคบัวดำไม่ได้อยู่นอกซีชวน นอกจาก
ชาวยุทธ์ในซีชวนแล้ว เรื่องของพรรคบัวดำก็ไม่รู้อะไร
เลย ภูตทั้งสี่ของพรรคบัวดำมันคืออะไรกัน?”
ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็ไม่รู้จักภูตทั้งสี่ของพรรค
บัวดำ ที่จริงที่ข้ารู้ก็ไม่มาก รู้แค่ว่าพรรคบัวดำมีภูต
พิษ ภูตหมอ ภูตสี ภูตวิญญาณ ในบรรดาภูตทั้งสี่ คน
ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุกก็คือภูตพิษราชาพิษจิ่วซีชิวเฉียน
อี้ ส่วนอีกสามคนเป็นใครนั้น ชาวเหมียวเดิมก็ลึกลับ
มากอยู่แล้ว พวกเขาก็แทบไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็น
แม้แต่ข้าก็ไม่รู้”
“ชิวเฉียนอี้วรยุทธ์ไม่ธรรมดา การใช้พิษของเขาในใต้
หล้านี้ไม่มีใครเทียบได้” เซี่ยงเซียวเหยาเหมือนจะใช้
ความคิด “ในเมื่อเป็นภูตทั้งสี่ อีกสามคนก็น่าจะไม่ได้
ด้อยไปกว่าชิวเฉียนอี้ ถ้าอย่างนั้น เจ้าลัทธิบัวดำเองก็
มียอดฝีมือทั้งสี่คนนี้เป็นสมุนหลักล่ะสิ?”
“ไม่ใช่สี่ แต่เป็นหก” ลู่ซางเฮ่อพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ว่า “ระหว่างเจ้าลัทธิกับภูตทั้งสี่ ยังมีเสวียนหยาง
กับไท่อินอีก”
“เสวียนหยาง? ไท่อิน?” ฉีหนิงรู้สึกงุนงง
ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “เสวียนหยางไล่ล่า ไท่อินเอาชีวิต ข้า
อยู่ที่ซีชวนมานานหลายปี นี่เป็นประโยคเดียวที่ข้ารู้
เกี่ยวกับพวกเขา” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง สายตาของเขา
ดุดันขึ้นมา “หากเทียบกับภูตทั้งสี่ สมุนของเจ้าลัทธิ
บัวดำที่น่ากลัวที่สุดน่าจะเป็นสองคนนี้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 358 เหมียวอ๋อง
เซี่ยงเซียวเหยาขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “เสวียนหยางไท่
อินข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ชาวเหมียวทำตัวลับๆ ล่อๆ พรรคบัวดำนี่ก็ลึกลับยิ่ง
กว่า” ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “คนของเจ้าลัทธิที่เป็นที่รู้จัก ก็
มีแค่ชิวเฉียนอี้คนเดียวเท่านั้น ภูตทั้งสี่อีกสามคนก็
ลึกลับ ไม่ต้องพูดถึงเสวียนหยางกับไท่อินหรอก”
เซี่ยงเซียวเหยาพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ไม่แปลกที่จวน
เสินโหวจะประกาศสัญญาเลือดออกมา พรรคบัวดำมี
ยุทธศาสตร์พื้นที่ที่ได้เปรียบ อีกทั้งพวกเขาก็มียอด
ฝีมือมากมาย จะรับมือกับพวกเขานั้นไม่ง่ายเลย”
ฉีหนิงคิด แล้วถามว่า “ท่านลุงลู่ พรรคบัวดำก่อตั้ง
โดยชาวเหมียว ตอนนี้ยอดฝีมือจากทุกสารทิศก็
เดินทางมาที่เขาเฉียนอูหลิง แล้วชาวเหมียวเจ็ดสิบ
สองถ้ำไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยหรือ?”
“ถ้าจะบอกว่าไม่ ก็คงไม่เกินไป” ลู่ซางเฮ่อพูดว่า
“เสี่ยวหลินจื่อ เจ้ารู้หรือไม่ ถึงแม้ชาวเหมียวจะมีเจ็ด
สิบสองถ้ำ แต่ว่าพวกเขายังแบ่งออกเป็นเซิงเหมียว
กับสูเหมียวด้วยนะรู้หรือไม่?”
“พอรู้มาบ้าง”
“ในบรรดาถ้ำเหมียว ก็จะมีห้ากลุ่มอำนาจใหญ่
แบ่งเป็นเฮย ไป๋ หัว ชิง หง ที่ถือว่าเป็นกลุ่มอำนาจที่
แข็งแกร่งที่สุด” ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “ถึงแม้พรรคบัวดำ
จะก่อตั้งโดยชาวเหมียว แต่เท่าที่ข้ารู้มา ชาวถ้ำกลุ่ม
เฮยเหมียว เหมือนจะไม่ยุ่งกับพรรคบัวดำเลยแม้แต่
น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มชาวถ้ำอื่นๆ หรอก”
ฉีหนิงถามว่า “เพราะเหตุใดกัน?”
“เหมียวอ๋อง” ลู่ซางเฮ่อพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“เพราะในสายตาของชาวเหมียว เหมียวอ๋องคือผู้นำที่
แท้จริงของชาวเหมียว พรรคบัวดำในสายตาของพวก
เขาก็คือลัทธิหนึ่งที่ลึกลับ อีกทั้งยังเป็นกองกำลังใน
ยุทธภพ สำหรับชาวเหมียวแล้ว พวกเขาหวังที่จะมี
ชีวิตที่เรียบง่ายมากกว่า เชื่อในหมอผี แต่เท่าที่ข้ารู้มา
พรรคบัวดำมีสมมติเทพคนเดียว นั่นก็คือท่านเจ้าลัทธิ
บัวดำ”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านลุงหมายความว่า ชาว
เหมียวไม่ปกป้องพรรคบัวดำอย่างนั้นหรือ?”
“ชาวเหมียวทุกคนทุกถ้ำ ตั้งแต่โบราณจนถึงวันนี้เชื่อ
และนับถือหมอผีแม่มดเท่านั้น” ลู่ซางเฮ่อพูดว่า
“ถึงแม้พรรคบัวดำจะก่อตั้งโดยชาวเหมียว แต่กลับ
ละเมิดประเพณีความเชื่อของชาวเหมียว ไม่นับถือ
หมอผีแม่มด แต่เรียกตัวเองเป็นเทพแทน มันตรงข้าม
กับสิ่งที่ชาวเหมียวนับถือกันมานาน หากต้องการการ
ปกป้องมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย” เขายิ้มแล้วพูดต่อว่า
“หากชาวเหมียวปกป้องพรรคบัวดำกันหมด พรรคบัว
ดำคงยกกองทัพเหมียวก่อกบฏไปแล้ว”
“เหมียวอ๋องเป็นชาวเฮยเหมียวหรือ?” ฉีหนิงคิดในใจ
ว่าเขามาซีชวนในครั้งนี้ เดิมทีก็คือการแก้ไขปัญหา
ของชาวเหมียว ลู่ซางเฮ่อรู้สถานการณ์ในซีชวนนี้ดี
เรื่องของชาวเหมียวก็รู้มากเช่นกัน แต่เขาก็ได้ข้อมูล
จากลู่ซางเฮ่อมามากเหมือนกัน
เขารู้ดีว่า ในห้วงมิตินี้มันไม่เหมือนกับห้วงมิติที่เขา
คุ้นเคย ต่อให้ทั้งสองมิติจะมีชนเผ่าเหมียวเหมือนกัน
แต่ก็ต้องมีหลายอย่างที่แตกต่างกันแน่นอน
ชาวเผ่าเหมียวในซีชวนมีหลายเผ่าพันธุ์ โดยมีชาวเฮย
เหมียวเป็นกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งมากที่สุด หากบอก
ว่าในบรรดาชาวเหมียวมีเหมียวอ๋องอยู่ ก็น่าจะมา
จากชาวเฮยเหมียว
แต่ลู่ซางเฮ่อกลับส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เหมียวอ๋องเป็น
ชาวหัวเหมียว”
“หัวเหมียว?”
“ชาวเหมียวนับถือหมอผีแม่มดเป็นหลัก ในบรรดา
เผ่าเหมียวทั้งหมด มีเผ่าหนึ่งที่เป็นเผ่าของหมอผี
โดยเฉพาะ นั่นก็คือถ้ำซางซุ่ยของชาวหัวเหมียว” ลู่
ซางเฮ่อรู้เรื่องของชาวเหมียวเยอะมากจริงๆ “ถ้ำซาง
ซุ่ยถือเป็นหัวเหมียว ถึงแม้จะเป็นหัวเหมียว แต่
ตลอดเวลาที่ผ่านมา กลับเป็นแยกตัวออกมาไม่
เหมือนกับถ้ำอื่น ในใจของชาวเหมียว มีเพียงแม่หมอ
ของถ้ำซางซุ่ยเท่านั้นที่ติดต่อกับเทพได้ มีเพียงการทำ
พิธีต่างๆ ของท่านแม่หมอถึงจะขับไล่ความชั่วร้ายได้
สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้ชาวเหมียวอยู่เย็น
เป็นสุข ส่วนเหมียวอ๋อง ก็อยู่ที่ถ้ำซางซุ่ยเป็นหลัก”
“ที่แท้อย่างนี้นี่เอง” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านลุงพูดแบบนี้
ทำให้ข้ารู้อะไรขึ้นเยอะเลย ท่านลุง ในเมื่อมีเหมียว
อ๋อง แสดงว่าชาวเหมียวก็ต้องฟังคำสั่งเขาใช่
หรือไม่?”
“ก็ไม่เชิง” ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ที่ไหนมีคนที่นั่นก็
มีการแก่งแย่งชิงดีกัน การต่อสู้ภายในของชาวเหมียว
เองก็ไม่เคยหยุดมาก่อน ทั้งเผ่าเฮย ไป๋ ชิง หัว หง
ต่างแย่งชิงพื้นที่กัน แอบต่อสู้กันเงียบๆ มาตลอด
ดังนั้นในซีชวนถึงแม้จะมีคนอยู่ไม่น้อย แต่ว่ามันไม่
เคยรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน”
“เหมียวอ๋องเป็นแค่ตำแหน่งในนามหรือ?”
ลู่ซางเฮ่อส่ายหน้า “มันก็ไม่ใช่ เหมียวอ๋องมีบารมีมาก
ในกลุ่มชาวเหมียว ชาวเหมียวแต่ละกลุ่มมีการ
แก่งแย่งชิงดีกันไม่น้อย เหมียวอ๋องก็จะเรียกหัวหน้า
เผ่าของพวกเขามาพูดคุย ส่วนมากก็จะหยุดแล้ว
ยกเลิกการใช้กำลังเกือบทุกครั้ง ที่สำคัญที่สุดก็คือ
เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอศัตรูภายนอก ชาวเหมียวจะ
สามัคคีกันมาก เมื่อมีคำสั่งของเหมียวอ๋องลงมา
เมื่อไหร่ ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำทั้งหมดก็จะอยู่
ภายใต้การบัญชาการของเหมียวอ๋อง เพื่อต่อสู้กับ
ศัตรู”
ตอนนี้ฉีหนิงเองก็เริ่มมีข้อมูลของชาวเผ่าเหมียวบ้าง
แล้ว เขาพูดว่า “ชนเผ่าเหมียวทั้งหมดมีแม่มดเป็นสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด พรรคบัวดำมีเจ้าลัทธิของพวกเขาเป็น
เทพสูงสุด ดังนั้นพรรคบัวดำกับเหมียวอ๋องไม่ว่าจะ
มองจากมุมไหน ก็ถือได้ว่าเป็นศัตรูกัน ครั้งนี้เข้ากวาด
ล้างเฉียนอูหลิง สำหรับเหมียวอ๋องแล้ว เป็นเรื่องที่เขา
ต้องการอยู่แล้ว เหมียวอ๋องไม่มีทางพาชาวเหมียวของ
เขาไปช่วยแน่นอน”
“ถูกต้อง” ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “เซียวเหยา ศิษย์ของเจ้า
คนนี้ฉลาดหลักแหลมมาก พูดทีเดียวก็เข้าใจเลย
ต่อไปอนาคตไกลแน่นอน”
เซี่ยงเซียวเหยายิ้ม แต่ไม่พูดอะไร
ลู่ซางเฮ่อรีบพูดว่า “แต่ว่าจะบอกว่าชาวเหมียวเจ็ด
สิบสองถ้ำจะไม่ยุ่งกับพรรคบัวดำเลย มันก็ไม่ใช่
เพราะถึงอย่างไรแล้วพรรคบัวดำก็เป็นลัทธิหนึ่งของ
ชาวเหมียว ตั้งแต่ก่อตั้งพรรคบัวดำมา พวกเขาก็
พยายามซื้อใจชาวเหมียวไม่น้อย แอบทำงานให้กับ
ชาวเหมียวก็ไม่น้อย กลายเป็นที่พึ่งหลักของชาว
เหมียว ชาวเหมียวส่วนใหญ่ก็ถือว่าซาบซึ้งต่อการ
กระทำของพรรคบัวดำมาก อาจจะไม่มองดูพรรคบัว
ดำถูกกวาดล้างไปต่อหน้าก็ได้ อีกทั้งในบรรดาเจ็ดสิบ
สองถ้ำ ก็มีส่วนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับพรรคบัวดำมาก พวก
เขาไม่มีทางนั่งดูเฉยๆ หรอก” เขาพูดว่า “แต่ว่าใน
เมื่อจวนเสินโหวออกหน้าแล้ว ใครก็ตามที่อยู่ฝั่ง
เดียวกับพรรคบัวดำ ก็ถือเป็นปรปักษ์กับราชสำนัก
คงจบไม่สวยมาก”
“ท่านลุง ข้ากับอาจารย์ระหว่างทางได้ยินคนพูดว่า
ทหารเหมือนกำลังจะเข้ากวาดล้างถ้ำเฮยเหยียน ไม่
ทราบท่านลุงทราบเรื่องนี้หรือไม่?” ฉีหนิงเหมือนถาม
ไปอย่างนั้น
ลู่ซางเฮ่อขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ทั่วทั้งซีชวน
เหมือนจะมีคนรู้ไม่มาก ถ้ำเฮยเหยียนหนีภาษี อีกทั้ง
เกิดการปะทะกับขุนนางเก็บภาษี นายอำเภอตันปา
ไป๋ถังหลิงพาคนไปถามหาความรับผิดชอบ แต่ถูกคน
ของถ้ำเฮยเหยียนสังหารจนหมด” เขาพูดว่า “ไป๋ถังห
ลิงถึงแม้จะเป็นแค่นายอำเภอ แต่ก็เป็นขุนนางราช
สำนัก ถ้ำเฮยเหยียนกล้าสังหารขุนนางราชสำนัก ก็
เหมือนการก่อกบฏ ราชสำนักไม่มีทางอยู่เฉยแน่”
พวกเราได้ยินมาว่าเมื่อปีก่อนเขาเฮยเหยียนถูกล้อม
ปิดทางเข้าออกไว้ ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร
บ้าง? “ฉีหนิงถามว่า” เขาเฮยเหยียนถูกยึดไว้แล้ว
หรือยัง?"
“จะว่าไปมันก็แปลกนะ ปีที่แล้วหลังจากที่เกิดเรื่องได้
ไม่นานซีชวนชื่อสื่อเหว่ยซูถงก็ได้นำกำลังทหารมาปิด
ล้อมเขาเฮยเหยียนไว้ แม้แต่สู่อ๋องหลี่หงซิ่นเองก็ส่ง
ทหารจิ่นอีเว่ยมาประจำการณ์ด้วย พูดได้ว่าไปไหน
ไม่ได้เลย คนของถ้ำเฮยเหยียนกว่าพันคนถูกขังอยู่ใน
นั้น” ลู่ซางเฮ่อพูดด้วยความสงสัยว่า “หากบอกว่าปีที่
แล้วหิมะตกหนักโจมตีไม่ได้สะดวกก็เข้าใจได้ แต่
ตอนนี้หิมะก็ละลายไปหมดแล้ว แต่ว่าทหารก็ยังไม่
เคลื่อนไหวอยู่ดี มันน่าแปลกจริงๆ”
“ทหารยังไม่บุกโจมตีอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงรู้สึกดีใจ
มาก
ลู่ซางเฮ่อพยักหน้า แล้วพูดว่า “แต่ว่าก็เริ่มมีข่าวลือ
มาแล้วนะ” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “เสี่ยวหลินจื่อ
อายุเจ้ายังน้อย อาจจะไม่รู้อะไร ตอนนั้นหลี่หงซิ่น
ยิ่งใหญ่มากในซีชวน ต่อมาจิ่นอีโหวนำทัพมาปราบ
ถ้ำเฮยเหยียนยอมเข้าร่วมกับจิ่นอีโหว สร้างคุณ
ความชอบไว้มาก มีความสัมพันธ์กับทางจิ่นอีโหวมาก
ตามหลักแล้ว ต่อให้ชาวเหมียวจะกล้ามากแค่ไหน ก็
ไม่มีทางกล้าฆ่าขุนนางราชสำนักได้ แต่ว่าถ้ำเฮยเห
ยียนกล้ามากขนาดนี้ จะว่าไปแล้ว ก็อาจจะเป็น
เพราะเบื้องหลังของเขามีจิ่นอีโหวอยู่ ครั้งนี้เหว่ยซูถง
ไม่ลงมือสักที น่าจะเป็นเพราะเกรงกลัวอำนาจของจิ่น
อีโหวกระมัง”
ฉีหนิงคิดในใจว่าคำพูดของคนน่ากลัวจริงๆ ดูท่าคน
ในซีชวนหลายคนคงคิดว่าจวนจิ่นอีโหวอยู่เบื้องหลัง
ถ้ำเฮยเหยียน เพียงแต่เขารู้ดีว่า เรื่องของถ้ำเฮยเห
ยียน ไม่เกี่ยวอะไรกับจวนจิ่นอีโหวเลย เหว่ยซูถงเหตุ
ใดถึงไม่ยอมลงมือ ฉีหนิงยังไม่เข้าใจในจุดนี้ หรือว่า
เหว่ยซูถงเห็นว่ายังไม่มีคำสั่งของราชสำนัก ไม่กล้าทำ
โดยพลการ หรืออาจจะมีเหตุผลอื่นอีก แต่ว่าไม่
เกี่ยวกับจวนจิ่นอีโหวแน่นอน
“ท่านลุง ถ้ำเฮยเหยียนเป็นชาวหัวเหมียวหรือ?”
ลู่ซางเฮ่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ชาวเหมียวเจ็ด
สิบสองถ้ำ มีหัวเหมียวทั้งหมดสิบสามถ้ำ ถ้ำเฮยเห
ยียนเป็นหนึ่งในสิบสามถ้ำนั้น”
“ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่า เมื่อมีคนนอกโจมตีเข้ามา
เหมียวอ๋องจะรวบรวมทั้งเจ็ดสิบสองถ้ำร่วมกันต้าน
ศัตรู?” ฉีหนิงขอคำชี้แนะอย่างระวัง “ถ้ำเฮยเหยียน
เป็นชาวหัวเหมียว ถ้ำซางซุ่ยของเหมียวอ๋องก็เป็นชาว
หัวเหมียว ทหารล้อมถ้ำเฮยเหยียนอย่างนี้ เหตุใด
เหมียวอ๋องถึงไม่เคลื่อนไหวอะไรเลยเล่า?”
ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ถึงอย่างไรเหมียวอ๋องก็คือ
เหมียวอ๋อง เขาไม่มองแค่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าหรอก
เขาต้องมองอะไรมากกว่านั้น ไม่เช่นนั้นเขาจะคู่ควร
เป็นเหมียวอ๋องได้อย่างไรกัน อย่าว่าแต่ถ้ำเฮยเหยียน
จะก่อกบฏเลย ต่อให้ถ้ำเฮยเหยียนบริสุทธิ์ ถูกทหาร
โจมตีเข้ามา เหมียวอ๋องก็ทำได้แค่เจรจาก่อน หาก
ไม่ได้จนปัญญาหรือไม่มีทางเลือก เขาไม่มีทางใช้กำลัง
ทหารแน่ ทหารต้าฉู่มีเป็นแสนนาย แต่ละคนเก่งกาจ
ทั้งนั้น แม้แต่ทหารเป่ยฮั่นก็ยังทำได้แค่เสมอ ไม่เคย
ข้ามแม่น้ำมาได้ เจ้าคิดว่าแค่ชาวเหมียวเล็กๆ จะเป็น
คู่ต่อสู้กับทหารต้าฉู่ได้หรือ? ราชสำนักไม่อยากให้ซี
ชวนเกิดความวุ่นวาย ดังนั้นเลยพยายามจะปลอบ
ขวัญชาวเหมียว แต่ว่าไม่ใช่ว่าราชสำนักจะกลัวชาว
เหมียวนะ หากชาวเหมียวก่อกบฏจริง ราชสำนักเองก็
ใจแข็งพอที่จะกวาดล้างพวกเขา สำหรับชาวเหมมียว
แล้ว มันคือการล้มล้างเผ่าพันธุ์เลยนะ”
ฉีหนิงพยักหน้า เหมือนจะตั้งใจรอฟังมาก
ลู่ซางเฮ่อดีรู้สึกดีกับลูกศิษย์ของพี่น้องร่วมสาบานของ
เขามาก เขากำลังติดลมพูดไม่หยุด “หากไม่จำเป็น
จริงๆ เหมียวอ๋องไม่มีทางใช้กำลังทหารแน่นอน หาก
ถ้ำเฮยเหยียนถูกใส่ร้าย เหมียวอ๋องอาจจะพิจารณาใช้
กำลังทหารไปช่วย เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของชาวเหมียว
แต่ว่าใครก็รู้ ถ้ำเฮยเหยียนสังหารขุนนางราชสำนัก ก็
ถือว่าเป็นกบฏแล้ว เหมียวอ๋องจะช่วยกบฏ นำภัยมา
สู่ชาวเหมียวทั้งหมดได้หรือ”
ตอนนี้ฉีหนิงถึงได้เข้าใจอะไรมากขึ้น เขาพูดว่า “ถ้า
อย่างนั้น คราวนี้ถ้ำเฮยเหยียนก็ต้องล่มสลายไปอย่าง
นั้นหรือ”
ลู่ซางเฮ่อส่ายหัวแล้วพูดว่า “ผลจะออกมาด้านไหน ก็
ต้องดูท่าทีของราชสำนัก พวกเราคาดเดาไม่ได้หรอก
แต่ว่าถ้าเทียบกับถ้ำเฮยเหยียนแล้ว พรรคบัวดำน่าจะ
ล่มสลายไปมากกว่า”
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ฟ้าเริ่มสางแล้ว ฉีหนิงเห็น
ดังนั้น คิดว่าอีฝูเห็นเขาไม่กลับไปสักที อาจคิดว่าเขา
เกิดเรื่องก็ได้ ถ้าเกิดสาวชาวเหมียวเป็นห่วงเขาแล้ว
ออกมาตามหา ใครมาเจอเข้า จะแก้ตัวลำบาก
เขาเลยลุกขึ้น แล้วพูดว่า “ท่านลุง อาจารย์ พวกท่าน
คุยกันไปก่อนนะ ข้าจะออกไปเข้าห้องน้ำก่อน”
“ด้านหลังนี่มีกระโถนอยู่” ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วชี้ไป “ไม่
ต้องเดินไปไกลหรอก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านลุง ข้ารู้ว่าท่านกับอาจารย์มี
เรื่องคุยกันอีกมาก ข้ากินอิ่มจนจุกมาก อยู่ข้างๆ ก็ไม่
สะดวกเท่าไหร่ พวกท่านคุยกันไปก่อน ข้าออกไปเข้า
ห้องน้ำ แล้วถือโอกาสเดินเล่นในสำนักเฟิงเจี้ยนชม
บรรยากาศไปด้วย ข้ามาที่นี่ครั้งแรก รู้สึกว่าที่นี่
บรรยากาศดีมาก”
ลู่ซางเฮ่อกำลังจะพูด เซี่ยงเซียวเหยาก็พูดขึ้นมาว่า
“อย่าไปไหนไกลล่ะ”
เห็นเซี่ยงเซียวเหยาพูด ลู่ซางเฮ่อก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เขาพูดว่า “ชิงซง เจ้าพาเสี่ยวหลินจื่อไปเดินเล่นที”
นอกประตูมีคนโผล่มาคนหนึ่ง ฉีหนิงมองไป เขาคือ
คนที่ถือโคมไฟเดินนำหน้าเซี่ยงเซียวเหยาเมื่อครู่
คนชุดเขียวสีหน้าไร้อารมณ์ ยกมือแล้วพูดว่า “เชิญ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 359 พ่อบ้านพันมือ
ฉีหนิงเดินออกมาจากห้องโถง เห็นแสงอาทิตย์เริ่มมา
เขาเห็นบรรยากาศภายนอกอย่างชัดเจน ในใจก็คิดถึง
แต่อีฝู เขาเดินไปสองสามก้าว ก็เห็นชายชุดเขียววาง
โคมไฟลง แล้วเดินตามหลังเขามา
“เจ้าไม่ต้องนำทางข้าหรอก” ฉีหนิงหันกลับมายิ้ม
แล้วพูดว่า “ข้าเดินเองได้”
ชายชุดเขียวพูดว่า “เจ้าสำนักสั่งให้ข้าน้อยมาคอยรับ
ใช้ ข้าน้อยไม่อาจขัดคำสั่งได้”
“อ่อ” ฉีหนิงยิ้ม แล้วพูดว่า “จริงสิ เมื่อครู่ตอนที่กิน
ข้าวข้าเห็นมีขนมสีม่วง รสชาติไม่เลวเลย ยังมีอีก
หรือไม่?”
“มี” ชายชุดเขียวพูดว่า “จอมยุทธหลินท่านต้องการ
หรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ากับอาจารย์ท่องไปทั่วยุทธภพ
ก็ต้องเตรียมอาหารไว้ เอาอย่างนี้นะ หากเจ้าสะดวก
เจ้าไปเอามาให้ข้าสักกล่องได้หรือไม่ ข้าจะได้พกติด
ตัวเอาไว้” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “อาจารย์ข้า
เป็นคนหน้าบาง หากเขารู้ จะต้องไม่ให้ข้าเอาไปแน่
เจ้าอย่าบอกพวกเขาเด็ดขาดเลยนะ”
ชายชุดเขียวลังเล แล้วพูดว่า “ท่านจอมยุทธรอ
สักครู่” เขาหันเดินไปหยิบของว่างมาให้
ฉีหนิงคิดในใจว่าเจ้านี่ก็เชื่อฟังดีเหมือนกันนะ ไม่นาน
นัก ชายชุดเขียวก็กลับมาพร้อมห่อของว่าง เขายื่น
สองมือให้ “จอมยุทธหลิน นี่ของว่างของท่าน ห่อ
เอาไว้ให้แล้ว จะได้สะดวกในการพกติดตัว”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ดี ขอบใจเจ้ามากนะ ข้าจะเดิน
เล่นรอบๆ เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ” เขารับห่อของ
ว่างมา จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินไป เมื่อเดินออกจาก
เรือนไป ก็รู้สึกว่าชายชุดเขียวเดินตามเขาอยู่ เขาหัน
ไปขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าบอกแล้ว ข้าจะไปเดินเล่น
เอง เจ้าไม่ต้องตามข้ามาหรอก”
“จอมยุทธหลิน ที่นี่มันใหญ่มาก ให้ข้าน้อยคอยรับใช้
จะดีกว่า” ชายชุดเขียวพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “เรือน
ที่นี่ซับซ้อนไปมา หากเดินไม่ระวัง จะหลงเอาได้นะ”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าขึ้นเหนือลงใต้มาตั้ง
หลายปี ยังไม่เคยหลงเลย แค่เรือนใหญ่บนภูเขาแค่นี้
จะหลงทางได้อย่างไร เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” เห็น
ชายชุดเขียวไม่พูดอะไร เขาก็ขู่ว่า “อาจารย์ของข้า
กับเจ้าสำนักของเจ้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน หาก
เจ้าไม่เชื่อฟังข้า เดี๋ยวข้าจะไปฟ้องเจ้าสำนักของเจ้า
เจ้าจะลำบากได้นะ”
ชายชุดเขียวก้มหน้าลง ไม่พูดอะไรอีก
ฉีหนิงยิ้ม แล้วเดินจากไป เมื่อเดินไปได้ระยะหนึ่งแล้ว
หันกลับมามองอีกครั้ง ชายชุดเขียวก็ไม่ได้เดินตามเขา
มาอีกแล้ว เขาถึงได้โล่งใจ
เขามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าไม่มี
ใครตามเขามาแล้ว เขาก็แอบเดินไปที่เรือนด้านหลัง
เมื่อมาถึงห้องไม้ มองไปรอบๆ จากนั้นเขาก็ผลัก
ประตูเข้าไป เมื่อมองไปที่มุมห้อง ถึงแม้ฟ้าจะเริ่ม
สว่างแล้ว แต่เพราะปิดหน้าต่างไว้ ภายในห้องเลยมืด
สนิท มีกองฟางอยู่ที่มุมห้อง ฉีหนิงพูดเสียงเบาๆ ว่า
“อีฝู ข้าเอง ข้าเอาของกินมาให้เจ้าแล้ว”
เขาเขยิบขึ้นหน้าไป ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกว่าผิดปกติ
เขายื่นมือไปจับดู สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ที่มุมห้อง
มีแต่กองฟาง อีฝูหายไปแล้ว
เขาตกใจมาก ตอนที่เขาไป อีฝูยังเปลือยกายนอนอยู่
ที่กองฟางนี่อยู่เลย ตอนนี้แม้แต่เสื้อผ้าของอีฝูก็
หายไปด้วย
ฉีหนิงรู้ว่าแย่แล้ว แอบคิดในใจว่าหรือว่าอีฝูถูกคนจับ
ได้ว่าอยู่ในนี้?
แต่ว่าเมื่อครู่เขาก็อยู่กับพวกลู่ซางเฮ่อ หากเกิดเรื่อง
ภายในเรือนนี้หรือว่าอีฝูถูกจับได้จริง ก็จะต้องมีคนไป
รายงานลู่ซางเฮ่อถึงจะถูก แต่ว่าก็ไม่มีใครไปรายงาน
เขาเลยนี่นา คิดในใจว่าอีฝูอาจจะไม่ได้ถูกจับได้ก็ได้
หากเป็นคืนก่อนหน้านั้น อีฝูจะจากไป ฉีหนิงก็อาจจะ
ไม่สนใจ แต่ว่าเมื่อคืนทั้งคู่มีอะไรกันแล้ว อีฝูเป็น
ผู้หญิงคนแรกตั้งแต่ฉีหนิงมายังมิตินี้ อีกทั้งเมื่อคืนยัง
ทำไปตั้งสองรอบ เขารู้ดีว่า อีฝูนั้นเป็นสาวบริสุทธิ์
นางมอบความบริสุทธิ์ให้กับเขาเป็นคนแรก
ถึงแม้สาวชาวเหมียวที่อายุยี่สิบสามยี่สิบสี่ปีจะยังคง
ความบริสุทธิ์ไว้ได้จะทำให้ฉีหนิงนั้นตกใจ แต่ในความ
เป็นจริง เขารู้ว่าเขาก็รู้สึกพิเศษกับอีฝู ตอนนี้อีฝูหาย
ตัวไป เขารู้สึกเป็นห่วงมาก เขานิ่งไปเหมือนกำลังคิด
อะไรอยู่ เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกห้องไม้
พอออกมาจากห้องไม้ เดินไปยังไม่ถึงสองก้าว ก็ได้ยิน
เสียงดังขึ้นมาว่า “จอมยุทธหลิน ในห้องไม้นี่มีแต่กอง
ฟางกองหญ้า ที่แท้ท่านก็สนใจกองหญ้าพวกนี้นี่เอง”
ฉีหนิงหันหน้าไป เห็นชายชุดเขียวมายืนอยู่หลังเขา
เหมือนกับวิญญาณ
ในใจเขาห่วงอีฝูมาก ฉีหนิงรู้สึกกระวนกระวายใจ ทำ
ให้ไม่รู้สึกเลยว่าชายชุดเขียวโผล่มาตอนไหน ยังดีที่
ปฏิกิริยาของเขายังไว สติเขายังดีอยู่ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ก็แค่เดินผ่านมา จึงเดินเข้ามาดูว่ามันคืออะไร”
“จอมยุทธหลิน ท่านเองก็ขึ้นเหนือล่องใต้มามาก
มารยาทท่านไม่รู้เลยหรือ?” ชายชุดเขียวพูดด้วย
น้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ที่นี่คือสำนักเฟิงเจี้ยน ท่านเป็น
แขก หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ บางแห่งท่าน
จะเข้ามาโดยพลการไม่ได้”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “เหมือนเจ้าจะลืมไปนะว่า
สำนักเฟิงเจี้ยนเดิมก็แซ่เซี่ยง อาจารย์ข้าเซี่ยงเซียว
เหยาเคยเป็นเจ้าสำนักของที่นี่มาก่อน ถึงแม้จะมอบ
ให้นายของเจ้าไปแล้ว แต่อย่างไรก็ยังเป็นเจ้าของที่นี่
อยู่ครึ่งหนึ่ง ข้าเป็นศิษย์ของเขา เดินเล่นรอบๆ นี่ ยัง
จะต้องขออนุญาตอีกหรือ?”
ชายชุดเขียวสีหน้านิ่ง แล้วพูดว่า “จอมยุทธหลินท่าน
ก็พูดเองว่า เซี่ยงเซียวเหยาเคยเป็นเจ้าของสำนักเฟิง
เจี้ยน มันมีความหมายอีกอย่างแฝงอยู่ นั่นก็คือตอนนี้
เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสำนักเฟิงเจี้ยนแล้ว” เขา
พูดด้วยสายตาเย็นชา “ข้าในฐานะพ่อบ้านของ
สำนักเฟิงเจี้ยน เจ้าสำนักมอบที่นี่ให้ข้าดูแล เรื่อง
อะไรก็ต้องระวังไว้ก่อน”
ฉีหนิงเห็นสายตาของเขาราวกับจะเอาเรื่องเขาให้ได้
เขาก็พลันตกใจสะดุ้งไป แอบคิดในใจว่าเขาประมาท
ตาเฒ่านี่เกินไป หากเป็นบ่าวไพร่ทั่วไป จะกล้าเสีย
มารยาทกับเขาแบบนี้ได้อย่างไรกัน คำพูดของเขาไม่มี
ความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย ดูท่าทางแล้วเขาน่าจะ
สงสัยในตัวของฉีหนิงไม่น้อย
เพียงแต่ตอนนี้ฉีหนิงเป็นห่วงอีฝูมาก ไม่มีเวลามานั่ง
พูดมากกับชายชุดเขียวนี่ “หากเสียมารยาทไป ข้าจะ
ไปขอขมากับท่านเจ้าสำนักเอง” จากนั้นเขาก็เดินไป
ชายชุดเขียวเหมือนจะไม่ยอมจบ “จอมยุทธหลินท่าน
จะไปไหน?”
“ข้าก็บอกท่านไปแล้ว จะไปเดินเล่นรอบๆ ท่านมี
เรื่องอะไรกับข้าหรือ หรือว่าท่านพ่อบ้านจะเดินตาม
ข้าอีกอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงพูด
ชายชุดเขียวพูดว่า “จอมยุทธหลิน ไม่ทราบท่านเซี่ยง
เคยพูดเรื่องสำนักเฟิงเจี้ยนให้ท่านฟังบ้างหรือไม่?”
“พูดแล้วจะอย่างไร ไม่พูดแล้วจะอย่างไร?” ฉีหนิง
รู้สึกหงุดหงิดแล้ว “มันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
ชายชุดเขียวพูดว่า “ข้าก็แค่อยากถามดู หากท่าน
เซี่ยงเคยพูดถึงสำนักเฟิงเจี้ยนมาก่อน เคยบอกท่าน
หรือไม่ว่า ใครเป็นคนสร้างสำนักเฟิงเจี้ยน?”
ฉีหนิงหันหลังแล้วพูดว่า “คำพูดของเจ้าเหมือนมี
อะไรบางอย่าง”
“มิกล้า” ชายชุดเขียวพูดต่อไปว่า “ข้าก็แค่สงสัยว่า
ท่านเซี่ยงเคยพูดเรื่องเก่าให้จอมยุทธหลินฟังบ้าง
หรือไม่กเ็ ท่านั้นเอง”
ฉีหนิงคร้านจะสนใจเจ้าพ่อบ้านชุดเขียวผู้นี้แล้ว จึงคิด
จะเดินหนีไป แต่ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมี
ลมพัดโชยผ่านมา จากนั้นก็เห็นชายชุดเขียวพุ่งตัวมา
จับไหล่ของฉีหนิง ฉีหนิงตกใจสะดุ้งในทันที ชายชุด
เขียวพูดว่า “จอมยุทธหลิน ภายในสำนักเฟิงเจี้ยนข
องพวกเรา ที่จริงแล้วมีหลายที่ที่เป็นสถานที่ต้องห้าม
ข้ามีหน้าที่อยู่กับตัว ต้องขวางทุกคนที่จะบุกรุกเข้า
สถานที่ต้องห้าม ดังนั้น......หากท่านจอมยุทธหลินไม่
อยากให้ข้าต้องลำบากใจ เชิญออกจากที่นี่จะดีกว่า
พวกเราไปเดินเล่นกันที่อื่นเถอะนะ”
“แล้วถ้าข้าบอกว่าไม่ล่ะ?” ฉีหนิงพูด
ตอนนี้ขอแค่เขาเดินลมปราณ ก็จะสามารถดูดกำลัง
ภายในของชายชุดเขียวนี่มาได้แล้ว แต่ว่าถ้าทำอย่าง
นั้น ก็จะเปิดเผยวรยุทธของเขาออกมา อาจจะมีเรื่อง
ตามมาอีก หากไม่จำเป็นจริงๆ ฉีหนิงไม่คิดจะใช้วิธีนี้
เด็ดขาด
ชายชุดเขียวพูดว่า “ข้ามีหน้าที่อยู่ของข้า หากจอม
ยุทธหลินยังดึงดันที่จะละเมิดกฎของที่นี่ ข้าน้อยก็คง
ต้องล่วงเกิน แล้วค่อยไปขอขมากับเจ้าสำนักกับท่าน
เซี่ยง”
ฉีหนิงคิดว่าทำแบบนี้ต่อไปจะทำให้เสียเวลาไปอีก จะ
ทำให้หาร่องรอยของอีฝูไม่พบ ด้วยความร้อนใจ เขา
จับมือของชายชุดเขียวขึ้นมาแล้วสะบัดออก “ข้าขอ
เตือนเจ้าอีกครั้งนะ หากเจ้าแตะต้องตัวข้าอีกแค่ครั้ง
เดียว เจ้าจะต้องเสียใจ” เขาเดินออกไป ชายชุดเขียว
ยื่นมืออกมา แล้วจับไปที่ไหล่ของฉีหนิงอีกครั้ง
ฉีหนิงไม่ได้คิดอยากจะอยู่เสียเวลากับเขา เขาเอียงตัว
ไปด้านขวา ชายชุดเขียวก็พลันคว้าอากาศทันที สี
หน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไป แต่ว่าเขาก็ปฏิกิริยาไวมาก
วรยุทธ์ของเขาไม่ธรรมดาเลย เขาพูดว่า “ขออภัยข้า
ต้องล่วงเกินท่านแล้ว” เขาทำมือทั้งสองข้างของเขา
เป็นกรงเล็บ แล้วเดินขึ้นหน้ามาเพื่อจับฉีหนิงอีกครั้ง
ฉีหนิงรู้สึกโมโหมาก แอบคิดในใจว่าพ่อบ้านชุดเขียวนี่
น่ารังเกียจจริงๆ เขาซัดฝ่ามือออกไป มันคือฝ่ามือดัน
ภูเขาของเขานั่นเอง
ฝ่ามือดันภูเขากระบวนท่าไม่มาก แต่ว่าใช้ได้ดีมาก
เขาซัดฝ่ามือไปที่หน้าอกของพ่อบ้านชุดเขียว
พ่อบ้านชุดเขียวเดินไพล่มือไว้ด้านหลัง ขวางฝ่ามือ
ของฉีหนิงเอาไว้ แล้วก็ยื่นมือจะไปจับเขาอีกครั้ง
เมื่อปะมือกัน ฉีหนิงถึงได้รู้ว่าชายชุดเขียวนี่ถึงแม้วร
ยุทธ์ของเขาจะไม่ได้ยอดเยี่ยมมาก แต่ว่าก็พอมี
พละกำลัง ไม่ใช่บ่าวไพร่ธรรมดาทั่วไปอย่างที่คิด
เอาไว้จริงๆ พอนึกๆ ดูแล้วสำนักเฟิงเจี้ยนเป็นหนึ่งใน
แปดพรรคสิบหกสำนัก ชายชุดเขียวเป็นพ่อบ้านของ
สำนักเฟิงเจี้ยน แสดงว่าเขาต้องมีฝีมืออยู่บ้าง ซึ่งก็ไม่
แปลกอะไร
กำลังภายในของชายชุดเขียวนี่ไม่ธรรมดา แต่ว่าเขาก็
ไม่กล้าที่จะทำร้ายฉีหนิง เลยไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่
ฉีหนิงรู้ว่าหากสู้กันด้วยหมัดมวย คงตัดสินแพ้ชนะ
ไม่ได้แน่ เขาก็รู้อีกว่า หากเขาทำร้ายพ่อบ้านชุดเขียว
ผู้นี้ เซี่ยงเซียวเหยาเองก็จะเดือดร้อน
เซี่ยงเซียวเหยามีบุญคุณกับเขาหลายครั้ง ถึงแม้ฉีหนิง
จะยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ถึงอย่างไรเขาก็มีบุญคุณ
จะทำให้เขาลำบากมันก็ไม่ดี
เขาใช้เพลงหมัดบีบจนพ่อบ้านชุดเขียวถอยล่นไป
จากนั้นก็หันตัวจากไป ชายชุดเขียวรีบตามเขาไป
เหมือนรู้ว่าการเคลื่อนที่ของฉีหนิงนั้นว่องไวมาก
พ่อบ้านชุดเขียวรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาเคลื่อนไหว
ราวกับเงา ซ้ายทีขวาที ไม่รู้เลยว่าฉีหนิงอยู่ตรงไหน
กันแน่
ขณะที่กำลังตะลึงงัน ก็เห็นฉีหนิงห่างออกไปไกลแล้ว
พ่อบ้านชุดเขียวคิดจะตามไปอีก แต่ว่าการเดินของฉี
หนิงพิสดารนัก รวดเร็วมาก พริบตาเดียวเขาก็หายไป
ด้านข้างของห้องไม้แล้ว เขาวนรอบห้องไม้ พ่อบ้าน
ชุดเขียวสีหน้าดุดัน เขาพยายามเดินตามฉีหนิง
วนรอบบ้านไม้ เริ่มแรกเขายังพอจะเห็นฉีหนิงอยู่ แต่
ว่าหลังจากผ่านไปสี่รอบแล้ว ฉีหนิงก็หายไปเหมือน
วิญญาณ
พ่อบ้านชุดเขียวกำหมัดแน่น สายตาของเขาเหมือน
ดาบอันแหลมคม เขามองไปรอบๆ ฉีหนิงหายไปแล้ว
จริงๆ เขายิ้มแปลกๆ ออกมา แล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่า
เจ้าฉลาด แต่ว่า.......ข้าไม่ได้คิดจะรั้งเจ้าไว้อยู่แล้ว”
เขายกมือขวาขึ้นมา แล้วแบมือออก ในมือของเขา
มันมีสร้อยเขี้ยวหมาป่าอยู่
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 360 ท่านพี่ที่รัก
ฉีหนิงใช้ท่าเท้าท่องคลื่นในการหลีกหนีพ่อบ้านชุด
เขียว เมื่อแน่ใจว่าปลีกตัวออกมาจากพ่อบ้านชุดเขียว
มาได้แล้ว เขาถึงได้ปีนกำแพงออกจากสำนักไป
จากนั้นก็เดินตามทางแล้วรีบลงเขาไป
เขารู้ว่าความเป็นไปได้มากที่สุดก็คืออีฝูอาจจะลงเขา
ไปแล้ว
อีฝูกับพวกถูกไล่ฆ่ามาตลอดทาง อีกทั้งยังปลอมตัว
เป็นชาวฮั่นด้วย ฉีหนิงเดาว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องมี
ภารกิจที่สำคัญมากแน่นอน
เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว นางยอมสละความบริสุทธิ์
และศักดิ์ศรีของตัวเอง เป้าหมายของนางก็เพื่อรักษา
ชีวิตเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ นางไม่มีทางนั่งเสียเวลา
อยู่ที่สำนักบนเขานั่นนานแน่นอน
ฉีหนิงรู้สึกว่าตัวเองนั้นประมาทเกินไป ก็ไม่รู้ว่าอีฝูไป
นานแค่ไหนแล้ว แต่ว่าพอนึกไปถึงว่าอีฝูถูกไล่ล่าทุก
วัน ร่างกายอ่อนเพลียไม่น้อย อีกทั้งเมื่อคืนเพื่อถอน
พิษแล้ว ยังมีอะไรกับเขาไปถึงสองรอบ พละกำลังคง
เสียไปไม่น้อย ยังไม่ทันได้กินอะไร แล้วจากไปแบบนี้
คิดว่าคงยังเดินทางไปได้ไม่ไกลนัก
ระหว่างแสงแดดเริ่มส่องมา ฉีหนิงคิดอะไรดีดีขึ้นมา
ได้ เขาเห็นด้านข้างมีต้นไม้ใหญ่ ก็ไม่ลังเล เขาปีนขึ้น
ไปบนต้นไม้ พอเขาปีนขึ้นไปถึงยอด แล้วมองลงไปที่
ตีนเขาจากด้านบน ในตอนนี้เขาไม่เพียงมองเห็น
บรรยากาศอันสวยงามของภูเขา ช่องแคบที่เขาเดิน
ผ่านมาเมื่อวานนี้ เขาก็สามารถมองเห็นเหมือนกัน
ฉีหนิงสายตาดีมาก แต่การปีนขึ้นไปบนต้นไม้ มัน
เสียเวลาไปมากเหมือนกัน ตอนนี้เมื่อมองไปทางตีน
เขาอย่างละเอียด สุดท้ายเขาก็เห็นว่ามีเงาเคลื่อนไหว
อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เขาดีใจมาก เขาลงมา
จากต้นไม้ แล้วรีบเดินทางลงจากเขา ตามต่อไปยัง
ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ตอนที่มองลงมาจากบนเขา เงานั่นไม่ได้ไกลมาก แต่
พอตามมาจริงๆ แล้ว กลับเสียเวลาไปไม่น้อย ยังดีที่
เขากินอิ่มมาแล้ว พละกำลังของเขาจึงมีอยู่เต็มเปี่ยม
สามารถมองเห็นเงาเคลื่อนไหวอยู่ได้ตลอด พอเร่ง
ฝีเท้าตามไป เมื่อเข้ามาใกล้แล้ว เขามองจากด้านหลัง
ก็เป็นอีฝูจริงๆ
อีฝูได้ยินมีเสียงการเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลังนาง จึงรีบ
หันมาดู เห็นฉีหนิงตามมา นางก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
เดินหน้าต่อไป
“อีฝู เหตุใดเจ้าถึงจากมาไม่ลาแบบนี้เล่า?” ฉีหนิงเดิน
ตามมา “ข้าเป็นห่วงเจ้ามากรู้หรือไม่”
อีฝูพูดว่า “เจ้าอย่าคิดนะว่าตอนนี้ข้ากับเจ้าเป็นอะไร
กัน เรื่องเมื่อคืน......เจ้ารู้ดีว่าข้าทำไปเพราะอะไร”
“รู้ ข้ารู้” ฉีหนิงเดินตามอีฝู เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ข้ารู้ว่าเจ้าทำเพราะต้องการถอนพิษ ไม่ใช่เพราะข้า
หน้าตาหล่อเหลาเจ้าถึงถูกใจข้า......”
อีฝูไม่รอเขาพูดจบ ก็พูดว่า “ข้ากับเจ้าไม่มีอะไร
เกี่ยวข้องกัน ต่างคนต่างไป เจ้าไม่จำเป็นต้องตามข้า
มา”
“อีฝู เจ้าก็พูดง่ายเกินไป” ฉีหนิงถอนหายใจ “อาจ
เป็นไปได้ว่าทำเนียมของชาวเหมียวของเจ้ากับชาวฮั่น
ของข้าไม่เหมือนกัน ในเมื่อข้ากับเจ้า......ข้ากับเจ้ามี
ความสัมพันธ์อย่างนั้นกัน พวกเราก็ต้องรับผิดชอบ
ร่วมกันสิ อีกอย่าง......” เขาเหลือบไปมองอีฝู แล้วพูด
ด้วยความเขินอายว่า “เมื่อคืนเป็นครั้งแรกของข้า
และก็เป็นครั้งแรกของเจ้าด้วย มันยิ่งไม่ปกติ”
อีฝูหยุดเดิน ฉีหนิงสังเกตเห็น เท้าของอีฝูสวมรองเท้า
ที่ทำจากกองฟาง เวลาเร่งรีบ ถึงแม้รองเท้านี่จะดู
เรียบง่าย แต่มันก็สามารถคุมเท้าได้
“ข้าจะพูดอีกครั้ง รอข้าเสร็จงานทุกอย่างแล้ว หากข้า
ยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะให้คำตอบกับเจ้า” ดวงตาอัน
สวยงามของอีฝูจ้องไปที่ฉีหนิง “แต่ว่าตอนนี้ระหว่าง
ข้ากับเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน เมื่อคืนนี้ไม่มีอะไร
เกิดขึ้นทั้งนั้น ข้าจะไม่เอามันมาใส่ใจ เจ้าเองก็ไม่ต้อง
คิดมากหรอกนะ”
พูดจบ นางเริ่มค่อยๆ เดินออกไป
ฉีหนิงเข้าใกล้เข้านางเหมือนกะละแมเลย เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “เจ้าอาจจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ แต่
ว่าข้าคิดแบบนั้นไม่ได้ ข้าเป็นผู้ชาย ในเมื่อเจ้ามอบ
ครั้งแรกของเจ้าให้กับข้าแล้ว ก็ถือเป็นผู้หญิงของข้า
ข้า......”
อีฝูขยับมือ ฉีหนิงสังเกตเห็นเข็มที่นางถือเอาไว้ในมือ
ก็ไม่รู้ว่านางซ่อนเอาไว้ตรงไหน เห็นสีหน้าของอีฝูเริ่ม
ดุดัน นางพูดว่า “หากเจ้ายังตามข้ามาอีก ข้า......ข้า
จะใช้เข็มพิษกับเจ้า เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าชาวเหมียวของ
พวกข้าเชี่ยวชาญการใช้พิษ หากเจ้าถูกเข็มพิษของข้า
เจ้าก็จะตาย”
“เจ้าคิดจะฆ่าสามีเจ้าเลยหรือ?” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าจะ
ทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะ อีฝู สามีภรรยากันหนึ่งวัน
ความสัมพันธ์ยืนยาวตลอดชีวิต ข้ากับเจ้า.......”
อีฝูเห็นฉีหนิงแกล้งทำหน้าใสซื่อ นางก็รู้สึกทั้งโมโหทั้ง
ตลก นางหันหลังแล้วเดินไปโดยไม่สนใจเขาอีก
“อีฝู ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้ข้าเดือดร้อน ก็เลยไม่อยาก
ให้ข้าตามเจ้ามา” ฉีหนิงเดินตามอีฝูยิ้มแล้วพูดต่อว่า
“เจ้ากังวลว่าข้าจะเดือดร้อน แต่ว่าข้าเป็นห่วงความ
ปลอดภัยของเจ้ามากกว่า เจ้าดูเจ้าสิ เดินยังไม่มีแรง
เลย หากเจอคนร้ายอีก สภาพเจ้าแบบนี้จะสู้ได้
อย่างไร?”
อีฝูยังไม่หยุดเดิน นางพูดว่า “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว
ในเมื่อข้าบอกแล้วว่าข้ากับเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน
เจ้าจะเป็นจะตายมันก็ไม่เกี่ยวกับข้า เรื่องของชาว
เหมียว ชาวฮั่นอย่างเจ้าไม่ต้องมายุ่ง”
“อีฝู เมื่อคืนเจ้าเป็นของข้าแล้ว เจ้าเสียสละมาก
ขนาดนี้ ก็เพื่อทำงานของเจ้าให้สำเร็จไม่ใช่หรือ?” ฉี
หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าหากเจ้าใช้อารมณ์
ในการทำงาน หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เจ้าคิดว่า
เจ้าจะทำภารกิจของเจ้าสำเร็จอยู่หรือไม่? ถึงข้าจะไม่
รูว้ ่าเจ้าจะทำอะไร แต่ว่าเรื่องนี้จะต้องสำคัญกับเจ้า
มากแน่ เจ้าว่าจริงหรือไม่? สหายของเจ้าก็กระจัด
กระจายกันไปหมดแล้ว พวกเขาเป็นตายไม่มีใครรู้
เรื่องนี้สำเร็จหรือไม่อาจจะอยู่ที่เจ้าคนเดียวก็ได้
ดังนั้นเจ้าคิดว่าความปลอดภัยของเจ้าสำคัญหรือไม่
เล่า?”
อีฝูสะดุ้ง นางหยุดเดิน แล้วหันกลับไปมองฉีหนิง
แสงแดดส่องลงมา ฉีหนิงเห็นหน้าของนางชัดแล้ว
ใบหน้าของสาวชาวเหมียวนี่ไม่ได้สวยมาก แต่พอมอง
รวมๆ แล้วกลับงดงามไม่มีที่ติ นางอายุราวยี่สิบสาม
ยี่สิบสี่ปี ไม่ได้มีความอ้อนแอ้นเหมือนสาวรุ่นทั่วไป
แต่มีความแข็งแกร่งแผ่กระจายออกมาจากตัวนาง
ผิวพรรณของนางท่ามกลางแสงแดด ดูราวกับผ้าต่วน
ที่กำลังตากแดด ฉีหนิงรู้ว่าผิวของนางเนียนนุ่มแค่ไหน
ถึงแม้นางจะดูอ่อนเพลียมาก แต่ว่าร่างกายก็ยังดู
แข็งแรงอยู่ นางยังดูมีพละกำลังดี
“เจ้าอยากจะพูดอะไร?” อีฝูคิดสุดท้ายก็ถามออกมา
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “อีฝู ไม่ว่าเจ้าจะพูด
อย่างไร เมื่อวานข้าอาจจะไม่สนใจความปลอดภัย
ความเป็นความตายของเจ้าได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้ สภาพ
เจ้าตอนนี้ แค่เจอศัตรูก็เอาตัวไม่รอดแล้ว ถ้าเจ้ายินดี
ข้าจะส่งเจ้าไปยังที่ที่เจ้าจะไป ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะทำ
อะไร ข้าแค่จะส่งเจ้าไปถึงอย่างปลอดภัยเท่านั้น”
อีฝูก้มหน้า เหมือนกำลังคิด
“เจ้าก็บอกเอง ว่าเจ้าถูกไล่ฆ่ามาตลอดทาง เจ้าเคย
คิดหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?” ฉีหนิงถาม “พวกเจ้า
สลัดศัตรูรอดมาตั้งหลายครั้ง เหตุใดถึงยังถูกไล่ล่าไม่
หยุดอีกเล่า?”
อีฝูขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าเองก็รู้สึกแปลกใจ”
“มีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง” ฉีหนิงพูดว่า “ถ้า
ไม่ใช่เพื่อนร่วมขบวนการของเจ้าหักหลังทรยศพวก
เจ้า ทิ้งสัญญาลักษณ์ให้ศัตรูตามมา......”
อีฝูรีบพูดแทรกว่า “ไม่มีทาง ไม่มีทางเด็ดขาด พวก
เขาเป็นผู้กล้าที่ซื่อสัตย์ภักดี ไม่มีทางทรยศเด็ดขาด”
“ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้อีกอย่าง” ฉีหนิงพูดว่า
“อีกฝ่ายรู้ว่าเจ้าจะไปที่ไหน รู้เส้นทางการเดินทางที่
พวกเจ้าจะเดินผ่านเป็นอย่างดี ดังนั้นหลังจากที่พวก
เจ้ารอดพ้นมือของพวกเขามาแล้วในแต่ละครั้ง พวก
เขาก็สามารถเดินทางตามเส้นทางที่พวกเจ้าจะไป
แล้วตามหาพวกเจ้าจนเจอ”
อีฝูตะลึงไป นางพูดว่า “เจ้าหมายความว่า พวกเขา
......พวกเขารู้ว่าพวกข้าคิดวางแผนอะไร รู้ว่าพวกข้า
จะไปไหนอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายอย่างไรว่าเหตุใดพวกเจ้าถึง
หนีพวกเขาไม่พ้นสักที” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“พวกเขาไม่ใช่จะมีหูตากว้างไกลได้ถึงพันลี้สักหน่อย
หรือว่าพวกเขาติดตั้งเครื่องติดตามพวกเจ้าไว้หรือ
อย่างไรกัน......”
“เครื่องติดตามอะไรกัน?”
“ไม่มีอะไร” ฉิหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “สถานการณ์
ของพวกเจ้าก่อนหน้านี้ พวกเขาอยู่ในที่มืดเจ้าอยู่ในที่
สว่าง พวกเขาสามารถควบคุมเส้นทางการเดินทาง
ของพวกเจ้าไว้ได้หมด คิดจะไล่ตามพวกเจ้าไม่ใช่เรื่อง
ยากเลย” เห็นอีฝูเหมือนกำลังใช้ความคิด เขาก็ถาม
ว่า “อีฝู ตั้งแต่พวกเจ้าเริ่มเดินทางมา ระหว่างทาง
เคยเปลี่ยนแปลงการเดินทางหรือไม่?”
อีฝูพูดว่า “สถานการณ์คับขัน พวกข้าต้องเดินทางไป
ให้ถึงโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้น.......ไม่อย่างนั้นทุกอย่าง
จะไม่ทันการ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ผิด” ฉีหนิงพูดว่า “พวกเขาไม่เพียงรู้
ว่าพวกเจ้าจะไปทำอะไร อีกทั้งยังรู้ว่าพวกเจ้าเร่งรีบ
จะต้องเลือกเส้นทางที่เร็วที่สุด พวกเจ้าไม่
เปลี่ยนแปลงการเดินทางเลย ดังนั้นทุกอย่างก็อยู่ใน
มือของพวกเขาทั้งหมด” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้
เจ้าคิดจะเดินทางไปตามเส้นทางเดิมของพวกเจ้าอีก
ใช่หรือไม่?”
ที่จริงไม่จำเป็นให้อีฝูตอบ ท่าทางของอีฝูก็บอกฉีหนิง
หมดแล้ว
“ข้าควรบอกว่าพวกเจ้าซื่อ หรือพวกเจ้าโง่ดีนะ” ฉี
หนิงส่ายหน้า “หลักการง่ายๆ แค่นี้พวกเจ้ากลับคิด
ไม่ได้ ข้าล่ะเชื่อจริงๆ”
อีฝูจ้องไปที่ฉีหนิง แต่นางรู้ว่าสิ่งที่ฉีหนิงพูดนั้นมี
เหตุผล นางไม่ได้ตอบโต้ นางลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็
ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามีแผนอะไรดีๆ หรือไม่?”
ฉีหนิงเห็นนางถาม ก็รู้ว่านางเริ่มผ่อนปรนลงแล้ว เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ามีแผนอยู่แล้ว แต่ว่า......” เขาขยับ
เข้าใกล้อีฝู แล้วพูดว่า “เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ที่รักก่อน
แล้วข้าจะบอกว่าต้องทำอย่างไร”
อีฝูหน้าดุดัน ฉีหนิงไม่รอให้นางพูดอะไร เขาพูดขึ้นว่า
“ส่วนรวมเป็นหลัก ส่วนรวมเป็นหลัก”
อีฝูสูดหายใจเข้า เห็นฉีหนิงยิ้มแล้วมองมาที่ตัวเอง
นางกัดฟัน สุดท้ายก็พูดว่า “น้องชายสุดที่รัก ต่อไป
ต้องทำอย่างไรต่อ?”
“ไม่ใช่สิ ข้าบอกให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ไม่ใช่หรือ?” ฉี
หนิงพูดอย่างจริงจังมาก “เจ้าเรียกผิดแล้ว”
อีฝูไม่ได้พูดดีด้วย “เจ้าอายุน้อยกว่าข้า เจ้าไม่รู้หรือ
อย่างไร แล้วเหตุใดข้าจะต้องเรียกเจ้าว่าท่านพี่ด้วย”
นางพูดอย่างร้อนใจว่า “ข้าไม่มีเวลาพูดคุยกับเจ้าที่นี่
หรอกนะ เจ้าบอกข้ามาเร็ว ต้องทำอย่างไร?”
ฉีหนิงโบกมือแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ให้เจ้าเรียกข้า
น้องชายก่อนก็ได้ ถึงอย่างไรพอถึงเวลาข้าก็จะให้เจ้า
เรียกข้าว่าท่านพี่ให้ได้” เขาขยับเข้าไปใกล้นาง “ที่
จริงแล้วแผนของข้าง่ายมากเลย นั่นก็คือ......เปลี่ยน
เส้นทางการเดินทาง”
อีฝูรีบพูดว่า “ไม่ได้ หากเปลี่ยนเส้นทาง จะต้อง
เสียเวลาไปอีกสองถึงสามวัน”
“แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ หากไม่เปลี่ยนเส้นทาง เจ้าก็
อาจจะไปไม่ถึงที่ที่เจ้าอยากจะไป” ฉีหนิงพูดว่า “ถ้า
เช่นนั้นเจ้าก็เลือกเอาว่าจะเสียเวลาเพิ่มอีกสองสาม
วันเพื่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย หรือว่า......ชาตินี้
ทั้งชาติก็ไปไม่ถึง”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 361 ตังชวี
ซีชวนสิบหกเขต เขตปาตงกับปาซีที่มีพื้นที่และ
ประชากรมากทีส่ ุด ระหว่างสองเขตนี้ ยังมีเขตกั้น
ขวางอยู่สามเขตนั่นคือตังชวี ชิงหัวกับถงชวน
ชิงหัวกับถงชวนอยู่ทางเหนือมีพื้นที่ติดกับอีกหลาย
เขต ตังชวีอยู่ทางทิศตะวันตกของปาตง หากข้าม
ตังชวีมาได้แล้วก็จะเข้าเขตของปาซี
ตังชวีกับปาซีเป็นเขตพื้นที่ที่มีภูเขามาก ช่วงเริม่ เข้า
ฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้บนภูเขาที่ทอดเป็นแนวยาวก็จะ
เริ่มมีต้นหญ้าอ่อน แตกใบสวยงาม
คนในสองเขตนี้เป็นคนที่มีอำนาจมาก ตลอดเวลาที่
ผ่านมา ต่อให้เป็นขุนนางท้องที่ในซีชวน ก็ใช้วิธีใน
การปลอบประโลมในการปกครองสองเขตนี้เป็น
หลักก่อน
ภายในเขตตังชวี ทิวทัศน์งดงาม สายน้ำทอดยาว
ออกไปแสนไกล ถือว่ามีบรรยากาศสวยทีส่ ุดในซี
ชวน
ภายในเขตตังชวี มีภูเขาเลื่องชื่ออยูท่ ั้งหมดสามลูก
ได้แค่เขาเทียนฉวน เขาหู่จวีและเขาซีซาน
เขาทั้งสามลูกถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่ดีทสี่ ุด รอบๆ มี
แม่น้ำชางซีไหลอยู่ พื้นที่คดเคีย้ ว ล้อมรอบไปด้วย
ภูเขา สลับซับซ้อนไปมา ทั้งสองฟากฝั่งมีอาคาร
บ้านเรือนแบบเฉพาะของซีชวน
การก่อสร้างแบบกานหลันคือการใช้ไม้ไผ่สร้างเป็น
หลัก ด้านล่างเป็นลานกว้าง ด้านบนเป็นที่อยู่อาศัย
น้ำในแม่น้ำชางซีใสสะอาดมาก มันทอดยาวไป ไหล
ผ่านตั้งแต่บนเขาเทียนฉวนลงไปด้านล่าง ระหว่างที่
ไหลผ่านตรงกลางจะรวมตัวกันเป็นลำธาร ลำธาร
มากมายพวกนั้นตลอดสายจะมีที่อยู่อาศัยของชาว
เหมียว ตั้งอยู่รอบๆ ถึงแม้จะไม่ใหญ่มาก แต่วาปกติ
คนที่มาแลกเปลีย่ นสินค้าก็มีไม่นอ้ ย
ที่ตลาดเพื่อสะดวกกับนักเดินทาง ยังมีโรงเตีย๊ มอยู่
สองแห่ง เป็นร้านของชาวฮั่น
สำหรับคนทำการค้า ไม่ว่าจะชาวฮั่นหรือว่าชาว
เหมียว ก็หวังว่าจะทำการค้าอย่างสงบได้กำไรดี
ดังนั้นทุกคนเลยพยายามทำตามกฎที่ตั้งไว้อย่าง
เคร่งครัด ชาวฮั่นรู้จักกฎเกณฑ์ของชาวเหมียวดี ขอ
แค่เคารพกฎของชาวเหมียว ชาวเหมียวก็จะยินยอม
ทำการค้ากับชาวฮั่น เพราะชาวฮั่นมักจะนำสิ่งของที่
พวกเขาชอบติดไม้ติดมือมาด้วยมากมาย
ฉีหนิงกับเดินทางไปถึงโรงเตี๊ยมหนึ่ง ฟ้าก็ใกล้มดื
แล้ว
เมื่อออกมาจากสำนักเฟิงเจี้ยน อีฝูก็ฟังคำแนะนำ
ของฉีหนิง ยอมเปลีย่ นเส้นทาง เดินอ้อม ทั้งสอง
เหมือนจะเร่งเดินทางกันทั้งวันทั้งคืน ระหว่างทางฉี
หนิงควักเงินซื้อม้าแก่มาสองตัว ต้องเดินทางเพิม่ อีก
หนึ่งวัน ในที่สุดก็มาถึงบริเวณใกล้กับเขตเขาเทียนฉ
วน
ต้าฉู่ขาดแคลนม้า ทางซีชวนเองก็ไม่ค่อยมีม้า คิดจะ
หาม้าดีม้าแข็งแรงวิ่งไวนั้นลำบากมาก กว่าจะได้ม้า
มาสักตัวลำบากแสนเข็น ถึงแม้อายุมันจะมากแล้ว
กำลังความเร็วก็ธรรมดา แต่ฉีหนิงก็ยังคงยอมควัก
เงินซื้อ เพือ่ ไม่ให้เป็นการเสียเวลา
เส้นทางในซีชวน เหมือนสายน้ำในแม่น้ำชางซี คด
เคี้ยวอ้อมไปอ้อมมา อีกทั้งยังหลงทางด้วย แต่
หลังจากถามทางแล้ว ก็สามารถทะลุผ่านตัวซีชวน
มายังเขาเทียนฉวน
ตอนนี้ฉีหนิงก็พอจะรู้แล้วว่าที่ที่จะไป นั่นก็คือเขาซี
ซานที่เขตตังชวี หากจะไปจากเขาซีซาน ก็
จำเป็นต้องผ่านยอดเขาทั้งสาม ถึงแม้เส้นทางจะ
ไม่ได้ไกลมาก แต่ว่ามันอันตรายและเดินทางลำบาก
ต้องใช้เวลาเดินทางกว่าหนึ่งวัน
เมื่อมาถึงเขาเทียนฉวน ฟ้าก็มืดแล้ว ฉีหนิงพูดกล่อม
ให้พักที่โรงเตี๊ยมในตลาดหนึ่งคืน
เดิมคิดอยากจะเดินทางต่อ แต่ว่าอ้างเหตุผลสารพัด
อย่าง ให้นางได้พักสักคืน เพื่อออมแรงตั้งสติเอาไว้
พรุ่งนี้ก็จะมีแรงมากพอเดินทางก็จะได้เร็วขึ้น เร่ง
เดินทางมาหลายวันเหนือ่ ยล้ามาก ก็เลยฝืนรับปาก
ถึงแม้ฉีหนิงจะรู้แล้วว่าเป้าหมายของถือเขาซีซาน
แต่ว่าเขายังไม่รู้ว่าไปทีเ่ ขาซีซานทำไม ตลอดการ
เดินทางหลอกถามหลายครั้ง แต่ก็ฉลาดกว่าทีฉ่ หี นิง
คิดเยอะมาก นางไม่พูดเลย ถึงแม้ทั้งคู่จะอยู่ด้วยกัน
มาสามสีว่ ันแล้ว แต่ว่าฉีหนิงไม่เพียงไม่รู้ว่านางมาที่
เขาซีซานเพื่ออะไร แม้แต่นางเป็นใครมาจากไหน ก็
ไม่หลุดพูดเลยแม้แต่คำเดียว
ยังดีที่เปลีย่ นเส้นทางการเดินทาง ตลอดการเดินทาง
เลยไม่มอี ุปสรรคขวางกั้น อีกทั้งระหว่างทางเขายัง
ซื้อชุดชาวฮั่นผ้าหยาบสองชุดมาเปลีย่ นด้วย
เมื่อเข้ามาในโรงเตี๊ยม ก็มีเด็กในร้านเดินมาต้อนรับ
เห็นพวกเขาแต่งตัวแบบชาวฮั่น เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านทั้งสองต้องการค้างแรมใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงโยนเศษเงินไป แล้วพูดว่า “มีหอ้ งว่างสักห้อง
หรือไม่?”
รีบพูดว่า “สองห้อง”
ฉีหนิงส่งสายตาไปให้เด็กในร้าน สามารถทำงานอยู่
ในสถานที่แบบนี้ได้ จะต้องฉลาดมากกว่าปกติทั่วไป
เด็กในร้านรีบพูดว่า “แม่นาง ต้องขออภัยด้วย พวก
ท่านมาช้าไป ตอนนี้เหลือแค่หอ้ งเดียวเท่านั้น หาก
ว่ามาช้ากว่านี้ ห้องสุดท้ายนี่ก็คงไม่เหลือ”
ฉีหนิงแอบชมในใจ แล้วหันไปมอง แล้วพูดว่า
“ออกมาข้างนอกแบบนี้ อยู่ด้วยกันเถอะนะ จะได้
คอยดูแลกัน เจ้าวางใจ มีข้าอยู่ ไม่เกิดเรื่องแน่นอน”
แอบคิดในใจว่าจะมีเรื่องเพราะอยู่กับเจ้านี่แหละ
สาวชาวเหมียวถึงแม้จะอารมณ์อ่อนไหวง่าย แต่ใช่
ว่าจะไม่รักตนเอง ก่อนหน้านี้นางกับฉีหนิงมีสัมพันธ์
ทางร่างกาย เพราะไม่มที างเลือก แต่ตั้งแต่นั้นเป็น
ต้นมา นางก็ไม่ได้ให้ฉีหนิงแตะต้องตัวนางเลยแม้แต่
ครั้งเดียว ตลอดการเดินทาง ถึงแม้อีฝูจะรู้สึกซาบซึ้ง
ใจมากที่ฉีหนิงคุ้มกันนางมายังเขตตังชวี แต่ก็ไม่มี
การพูดจาหรือทำอะไรในเชิงชู้สาวกับฉีหนิงเลย
“แม่นาง ท่านว่า...?” เห็นอีฝูไม่พูดอะไร เด็กในร้าน
ยิ้มแล้วถาม
อีฝูมองไปที่ฉีหนิง นางไม่พูดอะไร เด็กในร้านก็
เข้าใจความหมาย แล้วรีบไปเปิดห้องให้ ฉีหนิงกำลัง
จะพาอีฝไู ปที่ห้อง ก็ได้ยนิ เสียงคนเดินเข้ามา เขาหัน
ไปมอง เห็นมีกลุม่ คนกำลังเดินมามีประมาณเจ็ด
แปดคน แต่ละคนแต่งตัวดี พกดาบทุกคน
ฉีหนิงเห็นคนที่เดินนำหน้านั้นเป็นคนหัวโล้น
ร่างกายสูงใหญ่ ใบหน้ามีรอยบาก ดูก็รู้ก็ไม่ใช่คนดี
แน่ เขารู้วา่ พื้นทีแ่ บบนี้คนแบบไหนก็มีหมด หากไม่
มีใครมาหาเรือ่ ง เขาเองก็ไม่อยากมีเรือ่ ง เขากำลัง
คิดจะเดินไป คนผอมแห้งด้านหลังคนหัวโล้นก็เดิน
มาแล้วพูดว่า “โรงเตี๊ยมพวกเจ้าข้าเหมาหมด ไล่
แขกคนอื่นออกไปให้หมด”
ฉีหนิงเดิมทีคิดจะเดินไป แต่พอได้ยินอย่างนี้ เขาก็
หยุดลง ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่น่าใช่คนซีชวน อีกทั้ง
เห็นพวกเขาแต่ละคนพกดาบพกอาวุธ ฉีหนิงก็
กะพริบตามอง
“นายท่าน โรงเตี๊ยมพวกเรามีห้องเยอะมากพอ ไม่
ต้องไล่แขกคนอื่นไปหรอก” เพราะที่นี่มคี นทุก
ประเภท เด็กในร้านเองก็เจอคนมาเยอะไม่น้อย เลย
ไม่กลัวอะไร เขายิ้มแล้วพูดว่า “หากดูแลไม่ทั่วถึง
นายท่านทั้งหลายมาคิดบัญชีกับข้าน้อยได้เลย”
“ถ้าเช่นนั้นข้าถามเจ้าหน่อย โรงเตี๊ยมของเจ้ามีชาว
เหมียวมาพักหรือไม่?” คนผอมแห้งพูดว่า “คนอื่น
ข้าไม่สนใจ แต่ว่าหากทีน่ ี่มีชาวเหมียวพักอยู่ ให้รีบ
ไล่ไปเดี๋ยวนี้ ต่อให้มีห้องเหลือมากแค่ไหน ก็ห้าม
ชาวเหมียวมาพักเด็ดขาด”
อีฝสู ีหน้านิ่งไป ดวงตาอันงดงามมีแต่ความโกรธ แต่
ในมือนางกำหมัดแน่นมาก ฉีหนิงจับมือนางไว้
อีฝูรวู้ ่าฉีหนิงกำลังเตือนไม่ให้นางวู่วาม ตอนนี้มเี ด็ก
ในร้านเดินมา แล้วนำทางฉีหนิงกับนางไปยังห้องพัก
ไฟในห้องถูกจุดสว่าง ถึงแม้ในห้องจะเรียบง่าย แต่ก็
สะอาดมาก ฉีหนิงสั่งให้เด็กในร้านไปเตรียมอาหาร
มา เด็กในร้านรับคำ แล้วก็ออกไป
ฉีหนิงเดินไปที่ริมเตียง จากนั้นก็เอนตัวนอน บิดขี้
เกียจ แล้วพูดว่า “ในทีส่ ุดก็จะถึงแล้ว อีฝู พรุ่งนี้
พวกเราก็จะเดินทางถึงเขาซีซานอย่างปลอดภัยแล้ว
นะ ภารกิจของข้าก็จะถือว่าสำเร็จ”
อีฝูรู้ดีวา่ หากไม่ใช่ฉีหนิงช่วยนางวางแผน ไม่เพียงจะ
มาไม่ถึงเขาซีซาน คิดว่าชีวิตนางก็คงทิ้งอยู่กลางทาง
แน่นอน ชาวเหมียวแยกแยะบุญคุณความแค้นดี
นางพูดว่า “ขอบใจเจ้ามาก”
“พูดอะไรกัน?” ฉีหนิงลุกขึ้นนั่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียง
ตำหนิว่า “พวกเราเป็นอะไรกัน เหตุใดยังต้อง
ขอบคุณอีก?”
อีฝูนั่งลงที่โต๊ะแล้วพูดว่า “คืนนี้เจ้าก็พักผ่อนให้ดี
พรุ่งนี้เช้า พวกเรา...พวกเราก็แยกกันตรงนี้เลย”
“แยก?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “จะถึงแล้วไม่ใช่หรือ?”
อีฝพู ูดว่า “พอข้ามแม่นำ้ ซีชางไป ก็เป็นพื้นที่ของ
ชาวเหมียวแล้ว เจ้าเป็นชาวฮั่น หากข้ามไป เกรงว่า
...”
“เจ้ากลัวว่าชาวเหมียวจะหาเรือ่ งข้าหรือ?” ฉีหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “อีฝู ข้าเป็นน้องชายสุดทีร่ ักของเจ้า
นะ ก็ถือว่าเป็นชาวเหมียวครึ่งหนึ่ง พวกเขาไม่ทำ
อะไรข้าหรอก อีกอย่าง ครั้งนี้เจ้าจะไปเขาซีซาน ก็
ไม่ได้ไปหาเรื่องพวกเขา ไม่มคี วามแค้นอะไรกัน
พวกเขาจะมาหาเรื่องข้าได้อย่างไร?”
อีฝูเหลือบไปมองเขาแล้วพูดว่า “ห้ามพูดเหลวไหล”
“เจ้าหมายถึงเรือ่ งที่ข้าเป็นน้องชายสุดทีร่ ักของ
เจ้าน่ะหรือ?” ฉีหนิงเดินไปด้านหลังของอีฝู ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ข้าไม่ได้พูดเหลวไหลสักหน่อย ข้าไม่ได้เป็น
น้องชายสุดที่รักของเจ้า แล้วเป็นอะไร?”
อีฝูแสดงออกชัดมากว่าไม่อยากจะคุยเรือ่ งนี้กับเขา
นางถามว่า “เหตุใดชาวฮั่นพวกนั้นถึงไม่ยอมให้ชาว
เหมียวค้างที่นี่ด้วย? ฟังจากน้ำเสียงของพวกเขา
น่าจะเป็นคนนอกพื้นที่ ที่นี่เป็นพื้นที่ของชาวเหมียว
พื้นที่ตัวเองแท้ๆ แล้วเหตุใดชาวเหมียวถึงพักไม่ได้?”
ฉีหนิงก็นึกถึงพวกคนหัวโล้นขึ้นมา ในใจก็รู้ว่าอีฝูคง
โกรธมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าทางของพวกเขา
แล้ว ก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี คนสวยๆอย่างเจ้า คิดจะหา
เรื่องพวกเขาหรือ? ไม่ตอ้ งไปสนใจหรอกว่าพวกเขา
จะพูดอะไร อยูท่ ี่นี่ เจ้าคิดว่าพวกเขากล้าทำอะไร
หรือ?”
สาวชาวเหมียวอ่อนไหวง่าย อีกทั้งนิสัยตรงไปตรงมา
ไม่เหมือนกับสาวจงหยวน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉีหนิงชม
อีฝูวา่ สวย แต่อฝี ูไม่ได้รสู้ ึกไม่พอใจเลย นางพูดว่า
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหน้าตาด้วยล่ะ? หน้าตาไม่ดี
ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นคนเลวเสมอไปนี่นา
คนหน้าตาสวยงดงามก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีเสมอไป
ต้องดูจากคำพูดการกระทำ พวกเขาเดินเข้ามาก็
บอกว่าชาวเหมียวของพวกเราไม่ดี แสดงว่าพวกเขา
ไม่ใช่คนดี”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูก อีฝู พวกเราเดินทาง
กันมาหลายวันแล้ว ข้าว่าเจ้าดูเหนื่อยมากแล้ว อีก
เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ ก็รีบพักเถอะนะ”
อีฝูมองไปที่เตียง แล้วถามว่า “คืนนี้เจ้าจะนอนที่
ไหน?”
หน้าของฉีหนิงเหมือนจะบอกว่ายังต้องถามอีกหรือ
“พวกเราเปิดแค่ห้องเดียว ก็ต้องนอนที่นี่สิ เจ้าคง
ไม่ได้จะให้ข้าไปนอนที่ทางเดินหรอกกระมัง?”
อีฝูใช้สายตาประหลาดมองไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า
“ชาวฮั่นพวกนั้นเข้ามา ทางร้านบอกว่ายังมีห้อง
เหลืออยู่ แล้วเหตุใดเด็กในร้านถึงบอกข้าว่าเหลือ
ห้องเดียวล่ะ? เจ้าแอบวางแผนอะไรไว้ใช่หรือไม่?”
“เปล่านะ” ฉีหนิงยักไหล่ “เจ้าเองก็อยู่ข้างๆ เจ้าเอง
ก็ได้ยินได้เห็นเอง ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยนะ อืม ข้า
เข้าใจแล้ว อาจเป็นเพราะว่าเด็กในร้านอาจจะเข้าใจ
ว่าพวกเราสองคนเป็นคนรักกัน ก็เลยพูดแบบนั้น
เจ้าคิดดูสิ คนรักกันแยกห้องกันมันมีที่ไหนล่ะ” เขา
เขยิบไปที่ข้างหูของอีฝแู ล้วพูดว่า “พีอ่ ีฝู ข้าเห็นสี
หน้าท่านดูไม่ค่อยดีเลย หรือว่าพิษในตัวท่านยังถอน
ออกไปไม่หมด พวกเรา...ถอนพิษกันอีกดีหรือไม่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 362 แอบฟัง
อีฝูหูแดงมาก นางพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าพูดว่า
อะไรนะ?” นางเตรียมจะควักมีดสั้นออกมา ฉีหนิง
รีบพูดว่า “เจ้าอย่าเพิ่งลงมือ พีอ่ ีฝู มีอะไรค่อยพูด
ค่อยจากันนะ พวกเราอย่าใช้มีดใช้ดาบคุยกันเลย
นะ”
อีฝูชี้ทพี่ ื้นแล้วพูดว่า “พืน้ ที่นี่ทำจากไม้ บนพื้นก็
นอนได้” นางพูดว่า “หากเจ้า...เจ้าทำอะไร
เหลวไหลล่ะก็ ข้าจะไม่ละเว้นเจ้าเด็ดขาด”
ฉีหนิงถอนหายใจ จากนัน้ ก็ได้ยินมีคนมาเคาะประตู
เด็กในร้านเอาอาหารมาส่ง
หลังจากที่ทั้งสองคนกินข้าวแล้ว ฉีหนิงก็ยิ้มแล้วถาม
ว่า “พีอ่ ีฝู พวกเราเดินทางมาตั้งหลายวันไม่หยุดเลย
เจ้าจะอาบน้ำหรือไม่? ข้าจะได้ไปสั่งให้พวกเขา
เตรียมน้ำ”
“ไม่ต้อง” อีฝูพูดอย่างเย็นชา
ฉีหนิงหันหน้าไปแล้วเดินเข้าใกล้อีฝแู ล้วพูดว่า “ข้า
รู้สึกคันตัวมาก อยากอาบน้ำ ถ้าอย่างนั้น....”
อีฝูจ้องไปที่เขา แล้วพูดว่า “ถ้าเจ้าอยากอาบน้ำ รอ
ข้ามแม่นำ้ ชางซีไปแล้ว เจ้าสามารถแหวกว่ายใน
แม่น้ำได้ตามสบายเลย ไม่ต้องรีบอาบคืนนี้หรอก”
นางปัดมือดับเทียนบนโต๊ะแล้วก็ขึ้นเตียงนอนลง
ภายในห้องมืด ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า "พีอ่ ีฝู ที่
จริงบนเตียงก็นอนได้สองคน ข้านอนบนเตียงมา
ตั้งแต่เล็ก หากให้ข้านอนพื้น คิดว่าคงนอนไม่หลับ
เจ้าว่าพวกเรานอนเบียดกันหน่อยดีหรือไม่?
อีฝูไม่สนใจเขา ฉีหนิงจนปัญญา ทำได้แค่นอนลงไป
กับพื้น
เริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ร่างกายของฉีหนิงดีมาก
นอนบนพื้น ก็ไม่รสู้ ึกว่าหนาวอะไร เขาหลับตา แล้ว
คิดว่าเป้าหมายทีอ่ ีฝไู ปที่เขาซีซานนั้นคืออะไร
ฉีหนิงพอรูอ้ ยู่บ้างว่า ทีน่ ี่เป็นพื้นที่ของชาวเหมียว
ริมเขาซีซาน เป็นที่อยู่ของชาวเผ่าเหมียว เป้าหมาย
ที่เขามาในครั้งนี้ ก็เพือ่ สืบหาความจริงเรือ่ งถ้ำเฮยเห
ยียน นอกจากนั้น การทำความเข้าใจเรื่องของชาว
เหมียวเพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่เรือ่ งร้ายอะไร
ฮ่องเต้น้อยให้ความสำคัญกับเรื่องของถ้ำเฮยเหยียน
มาก ไม่ใช่เพราะสนใจในถ้ำเฮยเหยียนเท่านั้น แต่ว่า
กังวลว่าเรือ่ งนี้จะมีเบื้องหลัง อีกทั้งยังกลัวว่าเรือ่ ง
ของถ้ำเฮยเหยียนจะทำให้ชาวเจ็ดสิบสองถ้ำก่อกบฏ
อีฝลู ำบากลำบนเร่งเดินทางมายังเขาซีซาน ฉีหนิง
แอบรู้สึกว่าเรื่องนีม้ ันไม่ปกติ หากสามารถฉวย
โอกาสนี้เข้าไปในถ้ำของชาวเหมียวได้ และคอยจับ
สังเกตความเคลื่อนไหวของชาวเหมียว ฉีหนิงก็จะดี
ใจมาก อีกทั้งเป้าหมายของอีฝูยังก็เป็นเขาซีซาน ยิ่ง
ทำให้ฉีหนิงแปลกใจเข้าไปอีก จึงคิดอยากจะรู้วา่ มัน
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ฉีหนิงรู้ว่า หากจวนจิ่นอีโหวต้องการมีรากฐานที่
มั่นคง เขาจะต้องหาโอกาสสร้างผลงานให้ได้ ถึงจะ
สามารถมีตำแหน่งที่มั่นคงในราชสำนัก การเดินทาง
มายังซีชวนในครั้งนี้ ฮ่องเต้น้อยเชื่อใจเขามาก ที่จริง
แล้วก็เหมือนกับหาโอกาสให้ฉีหนิงได้สร้างผลงาน
นั่นแหละ
เขาคิดไปเรือ่ ยๆ ยิ่งทำให้เขานอนไม่หลับ พลิกตัวไป
มาเป็นระยะ สักพัก ก็ได้ยินเสียงอีฝูพูดขึ้นมาว่า
“เจ้านอนพื้นไม่ได้จริงๆ หรือ?”
ฉีหนิงได้สติกลับมา เขาถอนหายใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร
อีฝลู ุกขึ้นนั่ง แล้วพูดว่า “เจ้าขึ้นมาบนเตียงนี่”
ฉีหนิงรู้สึกดีใจ แทบจะไม่คิดเลย เขาพลิกตัวแล้ว
ขึ้นมาทันที กำลังจะขึ้นเตียง อีฝูกล็ ุกขึ้นมาจากเตียง
แล้วพูดว่า “ข้าจะนอนที่พื้น” แล้วพูดว่า “เจ้าเป็น
ผู้ชายภาษาอะไร ลำบากนิดหน่อยก็ทนไม่ได้แล้ว?
ผู้ชายชาวเหมียวของพวกข้า ไม่ว่าที่ไหนก็อยูไ่ ด้
ทั้งนั้น”
นางกำลังจะลุกเดินไป ฉีหนิงก็จับข้อมือของนางไว้
อีฝูถูกรั้งมือเอาไว้ก็ตกใจสะดุ้ง กำลังจะพูด ฉีหนิง
กลับใช้แรงกระชากนางกลับมา นางยังไม่ทันจะทรง
ตัวได้ นางก็นั่งลงบนขาของฉีหนิงไปแล้ว สะโพกกับ
ก้นของนางอวบอิม่ มาก อีฝูตกใจ กำลังจะโกรธ ฉี
หนิงก็พูดเสียงเบาๆ ว่า “อย่าเพิ่งพูด มีคนแอบฟัง
พวกเราอยู”่
อีฝูตกใจ เลยไม่ขยับตัว ตาของนางกลอกไปกลอก
มา ฉีหนิงโอบเอวของนางเอาไว้ แล้วกระซิบที่ขา้ งหู
นางว่า “ที่นี่มีคนหลากหลาย มีคนแอบฟังอยู่ดา้ น
นอกแบบนี้ แสดงว่ามีคนคิดไม่ดีกับเรา”
อีฝูถูกไล่ฆ่ามาตลอดทาง ตอนนี้ฉีหนิงบอกว่ามีคน
แอบฟังอยู่ด้านนอก นางก็เลยไม่ได้สงสัยอะไร นาง
ถูกฉีหนิงกอด ยอมให้ฉหี นิงโอบกอดเอวบางๆ ของ
นาง นางแทบไม่กล้าหายใจ เพราะต้องการอยากจะ
ฟังว่าใครกันที่มาแอบฟัง พอจะได้ยินเสียงออกมา
จากห้องอื่น ไม่รู้ว่าคนทีแ่ อบฟังนั้นมาจากตรงไหน
แผ่นหลังของนางแนบชิดหน้าอกของฉีหนิง กลิน่
หอมจากตัวนางโชยเข้าจมูกของฉีหนิง หรือว่า
อาจจะเป็นเพราะอยู่ท่ามกลางป่าเขานาน อาหาร
การกินไม่เหมือนกัน กลิ่นหอมบนตัวของนางไม่
เหมือนกลิ่นดอกไม้บนตัวของกู้ชิงฮั่น แต่มันเหมือน
กลิ่นหอมของยาสมุนไพร
ลมหายใจทีร่ ้อนผ่าวมันพ่นใส่หูในจุดที่อ่อนไหว อีฝู
รู้สึกตัวอ่อนไปทั้งตัว
นางกับฉีหนิงมีสัมพันธ์ทางกายกันไปแล้ว ถึงแม้จะ
ไม่ได้เต็มใจ แต่ว่าสำหรับสาวชาวเหมียวแล้ว ผูช้ าย
คนแรกของนางอย่างไรก็มีความสำคัญไม่น้อยอยู่
แล้ว
เพราะถึงอย่างไรนางก็มเี ลือดมีเนื้อ รอบๆ เงียบสงบ
อีกทั้งยังถูกผู้ชายโอบกอดเช่นนี้ ถึงแม้จะอยู่ใน
สถานการณ์ที่ตึงเครียด แต่ว่าร่างกายของนางก็
อ่อนไหวง่าย ในสถานการณ์แบบนี้ ในสมองของนาง
กลับมีภาพในคืนที่ถูกพิษ หูของนางเริม่ แดง นางกัด
ฟัน แล้วพูดว่า “คนๆ นัน้ อยู่ไหน? เหตุใดข้า...ข้าถึง
ไม่รสู้ ึกตัวเลย?”
น้ำเสียงของฉีหนิงจริงจังมาก เขาพูดว่า “อย่าเพิ่ง
พูด ข้ากังวลว่าจะเป็นเจ้าปีศาจเมือ่ ครั้งก่อน ต่อให้
ไม่ใช่พวกเขา ก็อาจจะเป็นพวกของมัน”
“เจ้าหมายถึง...”
“ถึงแม้พวกเราจะเดินทางอ้อมมาสลัดพวกเขามาได้
แล้ว แต่พวกเขาไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ แน่” ฉี
หนิงแอบเอามือไปลูบทีห่ น้าของอีฝู “พวกเขารูว้ ่า
เป้าหมายของเจ้าคือเขาซีซาน ระหว่างทางอาจจะ
ไม่เจอ แต่อาจจะส่งคนมาสืบหาร่องรอยก็ได้”
อีฝูขมวดคิ้ว ในใจแอบกังวลว่าพวกนั้นจะตามมา
จริงๆ ตอนนี้นางไม่ได้สนใจที่ฉีหนิงกำลังลูบไล้เอว
ของนางเลย
“แต่ว่าเจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป” ฉีหนิงพูดว่า “พวกเรา
เปลี่ยนเสื้อผ้า ทำอะไรเรียบง่าย พวกเขาอาจจะยัง
จำพวกเราไม่ได้ อย่างมากก็อาจจะแค่สงสัย พวกเรา
แค่ทำให้เป็นธรรมชาติทสี่ ุด พวกเขาก็น่าจะไม่สงสัย
แต่ว่า...หากพวกเราทำอะไรเด่นเกินไป ข้ากังวลว่า
พวกเขาอาจจับพวกเราได้ พรุ่งพวกเราอาจจะไปที่
เขาซีซานไม่สำเร็จ”
เขาซีซานอยู่ใกล้แค่เอือ้ ม สำหรับอีฝูแล้ว การไปยัง
เขาซีซาน ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตามนางทำได้
ทั้งนั้น พอนางได้ยินฉีหนิงบอกว่ามีคนสืบหา
ร่องรอย นางก็ร้อนใจ
“พวกเรา...พวกเราควรทำอย่างไร?” อีฝูถามขึน้
ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “พวกเราจะนอนแยกกัน
ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะต้องสงสัยแน่นอน พีอ่ ีฝู
ตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าจะต้องทำตามที่ข้าบอก ข้ารับรอง
ว่าหนีพวกเขาได้แน่”
อีฝูได้ยินฉีหนิงพูดอย่างจริงจัง นางก็ไม่ได้สงสัยอะไร
นางกำลังคิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ทันใดนั้นเอง
เอวของนางก็ถูกรัด ฉีหนิงอุ้มนางมาที่เตียง แล้ว
ค่อยๆวางนางนอนลง อีฝูขมวดคิว้ ฉีหนิงก็กระซิบที่
หูนางว่า “อย่าส่งเสียง”
อีฝูตอบ “อืม” กลับมา ฉีหนิงถอดรองเท้า แล้วขึ้น
ไปนอนบนเตียง ถึงแม้เตียงไม้นี่จะไม่ได้แคบ แต่มัน
ก็ไม่ได้กว้าง หากจะนอนสองคนมันก็ต้องแนบชิดกัน
ฉีหนิงนอนตะแคง แล้วจะไปกอดอีฝู อีฝูตกใจสะดุ้ง
แล้วพูดว่า “เจ้าจะทำอะไร?”
“พวกเขายังมองอยู่” ฉีหนิงเขยิบเข้าไปข้างหูอฝี ู
แล้วพูดว่า “พวกเราแกล้งเป็นผัวเมียกัน ก็ต้องนอน
ด้วยกันสิ ไม่เช่นนั้นคนจะสงสัยได้?”
“แต่...” อีฝูขมวดคิ้ว เริม่ สงสัย “เจ้าห้ามทำอะไร
เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าอีก...” นาง
นอนตะแคงไป ทิ้งแผ่นหลังงามๆ ของนางไว้ให้กับฉี
หนิง
ฉีหนิงเขยิบเข้าไปใกล้ แล้วกอดอีฝูจากด้านหลัง มือ
ของเขาพาดไปที่เอวของนาง ร่างกายของทั้งคู่แนบ
ชิดติดกัน
ขาทั้งสองข้างของอีฝูเรียวยาวแต่ก็อวบอิม่ นางรู้สึก
ได้ว่าฉีหนิงเขยิบเข้ามาใกล้ ก็รีบหนีบขาเข้าทันที
นางเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ก็พยายามดิ้น แล้วชนไป
ด้านหลัง คิดอยากจะกระแทกตัวฉีหนิงให้ห่าง
ออกไป แต่ฉีหนิงกลับไหลไปตามจังหวะของนาง
เขยิบเข้าไปใกล้อีก
“เจ้า...เจ้าถอยออกไปหน่อย...” อีฝูกัดฟันพูด
ฉีหนิงขยับเข้าใกล้ขึ้นอีก แล้วพูดว่า “พีอ่ ีฝู เจ้าโทษ
ข้าไม่ได้นะ มันเป็น...มันเป็นปฏิกิริยาปกติ ไม่ต้อง
ร้อนใจไป หากคนข้างนอกนั่นจับผิดอะไรไม่ได้ พวก
เขาก็น่าจะรีบจากไป พวกเราทนเอาหน่อยนะ”
“เจ้า...เจ้าพูดจริงหรือไม่?” อีฝูรู้สึกว่าฉีหนิงโอบเอว
นางไว้ นางรู้สึกว่ามันไม่ปกติ “มีคนแอบฟังจริง
หรือ? หรือว่า...หรือว่าเจ้าหลอกข้า?”
“พี่อฝี ู เจ้าเห็นข้าเป็นคนอย่างไรกัน” ฉีหนิงพูดด้วย
ความไม่พอใจว่า “ข้าเป็นคนหน้าไม่อายขนาดนัน้
เลยหรือ? เฮ้อ เจ้าเห็นข้าเป็นคนแบบนั้น ข้าเสียใจ
จริงๆ นะ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 363 ชางซี
อีฝูรีบจับมือของฉีหนิงเอาไว้ แต่ว่านางไม่มีแรงดึง
มือของเขาออก
ฉีหนิงขยับไปที่คอของนาง ร่างกายของสาวชาว
เหมียวคนนี้มันร้อนดังไฟ กลิ่นหอมบนตัวนางบวก
กับอุณหภูมิในร่างกายของนางตอนนี้ ฉีหนิงแทบ
อยากจะกัดมาก
“อย่า” อีฝูรวู้ ่าฉีหนิงจะทำอะไร นางรูส้ ึกทั้งอายทั้ง
โมโห
อีฝูทั้งอายทั้งโมโห “เจ้า...เจ้ากล้าหรือ” นางเดิมก็
โกรธมาก แต่วา่ เสียงทีอ่ อกมา กลับเป็นเสียงที่
อ่อนหวาน
ยังไม่ทันได้พูดอะไร ฉีหนิงก็พลิกตัวนางลง
อีฝูรู้ดีวา่ เรือ่ งมาถึงขั้นนีแ้ ล้ว นางก็จนใจ นางพูดว่า
“หากเจ้า...หากเจ้าทำให้สาวชาวเหมียวเสียใจ จะ
ต้อง...จะต้องไม่ตายดีแน่...”
เรื่องราวความสุขในค่ำคืนนี้คงไม่ต้องพูดให้ละเอียด
เช้าวันต่อมา ฉีหนิงพลิกตัวตื่นขึ้นมา เขาไม่เห็นอีฝู
อยู่ข้างๆ เขาก็ตกใจ เขาเปิดผ้าห่มออก พบว่าตัวเขา
ยังเปลือยกายอยู่ จากนั้นก็รีบใส่เสื้อผ้า แล้วจะ
ออกไปถาม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดประตู มีคน
เดินเข้ามาในห้อง
คนๆ นั้นสวมชุดสีน้ำเงินลายดอกไม้สีขาว มันดู
สวยงามมาก มันคือชุดชาวเหมียวแบบแท้ๆ เขา
ตกใจ จากนั้นก็รีบเอามือไปคลำหามีดสั้นของเขา
เมื่อมองขึ้นด้านบน เขาก็ตกใจกว่าเดิม แล้วพูดว่า
“พี่อฝี ู เจ้า...” คนทีม่ าคืออีฝู
อีฝสู วมต่างหูหนึ่งคู่ ใหญ่ประมาณจอกเหล้า ทีเ่ อว
คาดสายคาดเอวสีเส้นหนึ่ง สวมรองเท้าสีฟ้าขาว
หนึ่งคู่ ก่อนหน้านี้นางสวมชุดชาวฮั่นนางก็สวยมาก
อยู่แล้ว ตอนนีส้ วมชุดชาวเหมียว ยิ่งดูออ่ นหวาน
น่ารักกว่าเดิมอีก
ในมือของอีฝูถอื ห่อผ้ามาห่อหนึ่ง หลังจากเข้ามาใน
ห้องแล้ว ก็ไม่มองฉีหนิง วางห่อผ้าบนโต๊ะ แล้วพูด
ว่า “เปลีย่ นเสือ้ ผ้าซะ ฟ้าสางแล้ว พวกเราต้อง
เดินทางต่อแล้ว” นางไม่พูดอะไรมากอีก เดินออก
จากห้องไป
ฉีหนิงถึงได้รู้ว่า ตั้งแต่ฟา้ ยังไม่สาง สาวชาวเหมียว
คนนี้ก็ออกไปซื้อชุดชาวเหมียวกลับมา อีฝูเปลี่ยน
เสื้อผ้าแล้ว เขาเลยเดาว่าในห่อผ้านั่นน่าจะเป็นชุด
ชาวเหมียวผู้ชาย เขารีบพูดว่า “พี่อฝี ู เดี๋ยวก่อน ชุด
ชาวเหมียวข้าใส่ไม่เป็น เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่?”
อีฝูหันหลังกลับมา แล้วพูดว่า “เจ้าใจกล้าไม่กลัว
อะไรขนาดนี้ มีอะไรที่เจ้าทำไม่ได้บ้างล่ะ? ข้าว่า
เรื่องทีเ่ จ้าทำได้มีเยอะจะตายไป” นางไม่พูดอะไรอีก
แล้วเดินออกจากห้องไป
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “สงสัยเมื่อคืนเล่นท่า
เยอะไปหน่อย เจ้าถึงได้คิดว่าข้าทำอะไรได้เยอะ”
เขายิ้มแล้วเดินไปเปิดห่อผ้า ด้านในเป็นเสื้อผ้าชาว
เหมียวจริงๆ
เขาก็ไม่เสียเวลาอีก เปลีย่ นเสือ้ ผ้าทันที เขารูส้ ึกว่า
พอสวมชุดชาวเหมียวแล้ว ก็ได้อีกความรูส้ ึกอีกอย่าง
หนึ่ง เขามองไปที่ประตูแล้วพูดออกไปว่า “ใส่เสร็จ
แล้ว”
อีฝูเปิดประตูเข้ามา ตอนนี้ฟ้าเริม่ สาง แต่ว่าก็
สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน อีฝูเห็นฉีหนิงสวม
ชุดชาวเหมียว นางมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ฉีหนิง
หน้าตาไม่ได้แย่อยู่แล้ว พอสวมชุดชาวเหมียวแล้ว ก็
ยิ่งทำให้ดูหล่อเหลาเข้าไปอีก อีฝูอดยิ้มไม่ได้ นางพูด
ว่า “เจ้าขึ้นเขาไปแบบนี้ สาวๆ ชาวเหมียวของพวก
ข้าเห็นหน้าหนุ่มน้อยหน้าตาดีอย่างเจ้า คงชอบกัน
มากแน่”
ฉีหนิงเห็นนางยิ้มเป็นครัง้ แรก ถึงแม้จะแค่ครู่เดียว
แต่มันก็งดงามมาก ฉีหนิงอดชมนางไม่ได้ “พีอ่ ฝี ู เจ้า
สวยมากเลยนะ สาวเหมียวคนอื่นข้าไม่สนใจหรอก
ขอแค่เจ้าชอบข้าก็พอ”
อีฝูจ้องไปที่เขา แล้วพูดว่า “ยังไม่รีบเตรียมตัวอีก
พวกเราต้องเดินทางต่อไปยังเขาซีซาน”
ฉีหนิงขยับเข้าไปใกล้ แล้วพูดว่า “พีอ่ ีฝู ตัวข้าไม่
เป็นไรหรอก เมือ่ คืนเจ้าเหนื่อยจนขยับตัวไม่ได้เลย
นะ พักพอหรือยัง...” พูดยังไม่ทันจบ อีฝูก็หยิบมีด
สั้นออกมา ฉีหนิงหัวเราะ แล้วก็หลบไปทันที
ทั้งคู่ก็ไม่เสียเวลา จ่ายเงินแล้วก็ขี่ม้าออกจากตลาด
ตรงไปทางทิศตะวันตก
เส้นทางในดินแดนสู่นั้นเดินทางลำบาก หลังจาก
ออกจากตลาดมาแล้ว ผ่านไปไม่นาน ก็เป็นทาง
ภูเขา ต่อให้มีทางถนนทีม่ ีคนมาสร้างไว้ แต่มันก็
ไม่ใช่ทางยาวมาก อีกทัง้ ยังแคบมากด้วย อีกด้าน
เป็นหน้าผาสูงชัน ขอแค่หันหน้าไป ก็จะเห็นตีนเขา
กับแม่น้ำด้านล่าง
แม้แต่อฝี ูเองก็เหมือนจะไม่คุ้นเคยกับเส้นทางนี้ ยังดี
ที่อีฝรู ู้จักตำแหน่งของเขาดี เมื่อเดินผ่านเขาเทียนฉ
วนมาแล้ว ตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็จะไป
ถึงเขาซีซานแล้ว
ในบรรดาเขาทั้งสามลูก เขาซีซานกว้างใหญ่มาก
ที่สุด มองจากไกลๆ ยังสามารถมองเห็นรูปร่างของ
เขาซีซานได้
ทั้งคู่ควบม้าไปไม่หยุด ตอนนี้เลยเทีย่ งไปแล้ว ใน
ที่สุดก็มาถึงริมแม่นำ้ ชางซี แม่น้ำชางซีคดเคี้ยวมาก
น้ำไหลเชี่ยว อีฝูควบม้ามาถึงริมแม่น้ำ เห็นแม่นำ้
ไหลเชี่ยวและแรง นางก็ขมวดคิ้ว ฉีหนิงบังคับม้าขึ้น
หน้ามา แล้วถามว่า “พีอ่ ีฝู พวกเราต้องข้ามแม่น้ำ
หรือไม่?”
“ต้องข้ามแม่น้ำนีไ่ ปฝั่งตรงข้าม ก็จะถึงเขาซีซาน
แล้ว ไม่เกินครึ่งวัน พวกเราก็น่าจะไปถึงถ้ำซางซุย่ ”
อีฝพู ูดว่า “ไม่เช่นนั้นถ้าอ้อมอีก ยังต้องใช้เวลาอีก
สองวันกว่าจะไปถึง”
“ถ้ำซางซุย่ ?” ฉีหนิงตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่อฝี ูบอก
เป้าหมายของนาง ฉีหนิงรู้มาจากสำนักเฟิงเจีย้ นว่า
ในบรรดาเจ็ดสิบสองถ้ำ ถ้ำซางซุ่ยนั้นเป็นทีอ่ ยูข่ อง
เหมียวอ๋อง
เขาเงยหน้ามองไปที่ฝั่งตรงข้าม เห็นเส้นทางตาม
ภูเขาเป็นแนวยาวราวกับมังกร มองไม่เห็นปลายทาง
เลย
ฉีหนิงรู้ว่า มันน่าจะเป็นเส้นทางสายหลักของเขาซี
ซาน
“พี่อฝี ู เจ้าจะไปถ้ำซางซุ่ยหรือ?” ฉีหนิงหันหน้าไป
มองอีฝู “เจ้ามีเรือ่ งไปขอร้องเหมียวอ๋อง หรือว่าเจ้า
เป็นคนของถ้ำซางซุ่ย?”
อีฝูหันไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้ารู้จักเหมียวอ๋อง
ของถ้ำซางซุย่ ด้วยหรือ?”
“ข้าไม่รู้จักหรอก แต่ว่าเคยได้ยินมาบ้าง” ฉีหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำ ถ้ำ
ซางซุ่ยเป็นทีอ่ ยู่ของเหมียวอ๋อง แต่ว่าข้าแค่ไม่รวู้ ่า
ถ้ำซางซุ่ยอยูท่ ี่เขาซีซาน”
อีฝูก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก นางมองไปรอบๆ แล้ว
ขมวดคิ้ว “ที่นี่น่าจะมีเรือข้ามฟากถึงจะถูกเหตุใดไม่
เห็นเลยนะ?” นางหยุดไปแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ได้จริงๆ
พวกเราก็ต้องว่ายน้ำข้ามไปแล้วล่ะ”
ฉีหนิงถึงได้รู้ว่า อีฝูน่าจะไม่ใช่คนของถ้ำซางซุย่
ไม่เช่นนั้นนางจะต้องคุ้นเคยกับสถานที่ที่ดีกว่านี้ ไม่
มีทางไม่รู้วา่ ท่าเรือของแม่น้ำชางซีอยู่ทไี่ หน
ถ้าอย่างนั้น นางร้อนใจไม่คิดชีวิตมาถึงที่นี่ จะต้องมี
เรื่องขอร้องเหมียวอ๋องแน่
ฉีหนิงเงยหน้ามองท้องฟ้า วันนีอ้ ากาศไม่ค่อยจะดี
ฟ้ามืดครึ้ม เหมือนฝนจะตกตลอดเวลา คงจะเหลือ
แค่ฟา้ ผ่าเท่านั้นแหละฝนก็น่าจะตกลงมาแล้ว
“พี่อฝี ู แม่นำ้ สายนี้กว้างมาก อีกเดี๋ยวฝนก็น่าจะ
ตก” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ต่อให้พวกเรา
ชำนาญการว่ายน้ำ ให้ว่ายข้ามแม่น้ำชางซีนไี่ ป คง
ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยามนะ หากเกิดฝนตกลง
กลางทาง คิดว่ารับมือไม่ได้แน่”
ทั้งสองเคยมีประสบการณ์สยองขวัญกับแม่น้ำ
มาแล้วหนึ่งครั้ง แม่น้ำชางซีกว้างกว่านั้นมาก หากมี
ฝนตก คลื่นลมกระแสน้ำแรง คิดจะว่ายน้ำข้ามไปไม่
ต้องคิดเลย ตายแน่นอน
สายน้ำในหุบเขาซีชวน ไม่เหมือนที่อื่น ริมสองฟาก
ฝั่งเต็มไปด้วยก้อนหิน หากถูกน้ำซัดขึ้นฝั่งมา
กระแทกก้อนหิน ไม่ตายก็เจ็บหนักแน่นอน
อีฝูรวู้ ่าที่ฉีหนิงพูดนั้นไม่ผิด นางลังเล แล้วพูดว่า
“พวกเราเดินขึ้นหน้าไปอีกหน่อย น่าจะเจอท่าเรือ
ไม่ว่าอย่างไร วันนีพ้ วกเราก็ต้องข้ามฟากไปให้ได้”
เมฆเริ่มเคลื่อนทีม่ า ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ลมเริม่ แรง
คลื่นก็เริม่ ซัดสาด
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 364 สำนักห้าคุณธรรม
ทั้งคู่เดินตามริมแม่น้ำชางซีมาระยะหนึ่ง ฉีหนิงเห็น
บ้านหลังหนึ่งมาแต่ไกล อีฝูเองก็มองไปแล้วพูดอย่าง
ดีใจมากว่า “ที่นั่นน่าจะมีเรือข้ามฟาก”
ห่างจากตรงที่พวกเขาอยู่ไม่เกินร้อยลี้ มีบ้านไม้อยู่
หลังหนึ่ง ด้านล่างโล่งกว้าง ด้านหน้าบ้านเป็นแม่น้ำ
มีเสาปักอยู่ด้านหน้า เชือกผูกอยูท่ ี่เสา เรือก็ถูกน้ำ
ซัดลอยขึ้นมาบนฝั่ง
ทั้งสองควบม้าตรงไป ฉีหนิงตะโกนเข้าไปในบ้านไม้
ว่า “มีใครอยู่หรือไม่?”
พูดจบ ก็มีสาวน้อยคนหนึ่งเดินออกมาหน้าประตู
สาวน้อยคนนั้นผิวขาว ใบหน้าสดใส สวมชุดสีเขียว
เข้ม กระโปรงสีน้ำเงินดำ สายเสือ้ ปกคอ เอว คาด
ไปด้วยผ้าสีสันสวยงาม มีเครือ่ งประดับที่ขอ้ มือและ
คอ นางแต่งงานแบบชาวเหมียวแท้ๆ
ฉีหนิงมองออก เครื่องประดับของชาวเหมียวคนนั้น
ธรรมดามาก ไม่ได้มีราคาแพงเท่าไหร่
สาวน้อยคนนั้นยิ้มต้อนรับอย่างมีไมตรี นางถามว่า
“พวกท่านจะนั่งเรือข้ามฟากหรือ?” น้ำเสียงของ
นางใส อ่อนหวานไม่น้อย นางมองมาที่ฉีหนิง
จากนั้นก็มองไปที่อฝี ู แล้วหันไปตะโกนในบ้านว่า
“ท่านปู่ มีแขกจะข้ามฟาก”
มีเสียงชายแก่สำเนียงชาวเหมียวดังมาจากด้านหลัง
บ้านว่า “ฝนจะตกแล้ว ไปตอนนี้อันตรายมาก พวก
ท่านเข้ามาพักในบ้านก่อนเถอะ ฝนมาครู่เดียว เดี๋ยว
ก็ไปแล้ว ไม่นานหรอก”
อีฝูมองไปที่ฉีหนิง ฉีหนิงพูดว่า “พวกเขาคุ้นเคยที่นี่
ดี เชื่อพวกเขาเถอะนะ”
อีฝูเงยหน้ามองท้องฟ้า นางเองก็รู้วา่ ฝนกำลังจะ
มาแล้ว ก็เลยต้องไปผูกม้าเอาไว้ก่อนแล้วเดินเข้า
บ้านไป
ในบ้านเรียบง่ายมาก แต่ว่ากว้างขวาง ชายแก่ชาว
เหมียวเป็นมิตรมาก เชิญพวกเขาสองคนมานั่งที่โต๊ะ
แล้วสั่งให้สาวน้อยรินน้ำมาให้ หลังจากที่ฉีหนิงนัง่ ลง
แล้ว เขายิ้มแล้วถามว่า “ท่านผู้เฒ่า พวกท่านรับส่ง
คนข้ามฟากนานแล้วหรือ?”
ชายแก่ชาวเหมียวยิ้มแล้วพูดว่า “ทำมาห้าหกปีแล้ว
พวกเจ้ารีบข้ามฟากกันหรือ?”
อีฝพู ยักหน้า ชายแก่ชาวเหมียวพูดว่า “ไม่ต้องรีบ
รอฝนผ่านไปแล้ว ข้าจะส่งพวกเจ้าข้ามไปเอง ไม่ให้
เสียเวลาพวกเจ้าแน่นอน เขามองไปที่ฉีหนิง เขายิ้ม
แล้วพูดว่า เจ้าเป็นหนุ่มชาวฮั่นใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงยกนิ้วโป้งแล้วพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าตาดีจริงๆ แต่
ว่าตอนนี้ข้าก็เป็นชาวเหมียวครึ่งหนึ่งแล้ว” เขาชี้ไป
ที่อีฝู “นี่เมียข้า”
อีฝูรีบจ้องไปที่ฉีหนิง ฉีหนิงไม่สนใจ ชายแก่ชาว
เหมียวพยักหน้าแล้วพูดว่า “หนุ่มน้อย สาวชาว
เหมียวของพวกเราจิตใจดีนะ เจ้าได้แต่งกับสาวชาว
เหมียวทีส่ วยมากขนาดนี้ จะต้องดีกับนางให้มากนะ
ห้ามทำให้นางเสียใจเด็ดขาด”
อีฝูหน้าแดง แต่ก็ไม่ได้พดู อะไร
สาวน้อยยกน้ำมาให้ อีฝหู ันไปยิ้มให้แล้วถามว่า
“สาวน้อย เจ้าชื่ออะไร?”
“ข้าชื่ออาหลิง” สาวน้อยยิ้มหวาน “พี่สาวท่านชื่อ
อะไรหรือ? ท่านสวยจังเลย ชื่อท่านจะต้องเพราะ
มากแน่เลย”
“เจ้าต่างหากทีส่ วย” อีฝูยิ้ม “ข้าชื่ออีฝ”ู
ในตอนนี้เอง ด้านนอกเสียงฟ้าผ่าดังมาก เมือ่ หัน
กลับไป ฝนห่าใหญ่ตกลงมาอย่างหนัก อีฝูลุกแล้ว
เดินไปที่หน้าประตู เห็นฝนตกลงมาหนักมาก ก็
ขมวดคิ้ว ชายแก่ชาวเหมียวพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป
ครู่เดียวเดี๋ยวก็หยุด”
อีฝพู ยักหน้า ทันใดนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้า
นางชะโงกหน้าไปมอง ฝนสาดมาอย่างหนัก มองไม่
เห็นเลยว่าเป็นใคร แต่นา่ จะมีสักเจ็ดแปดคนกำลัง
มุ่งหน้ามาทางนี้
อีฝสู ะดุ้ง แล้วพูดว่า “หรือว่าจะเป็น...?” นางไม่ได้
พูดต่อ ฉีหนิงเข้าใจความหมายนาง นางกังวลว่าจะมี
คนตามมาหรือไม่ นางไม่แน่ใจ
ชายแก่ชาวเหมียวเห็นสีหน้าของพวกเขาสองคน ก็
ถามว่า “พวกเจ้ากังวลอะไรอยู่หรือไม่?”
อีฝูกับฉีหนิงมองหน้ากัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ชายแก่
ชาวเหมียวหันไปพูดกับสาวน้อยว่า “อาหลิง เจ้าพา
พวกเขาขึ้นไปด้านบนที”
บ้านไม้หลังนี้นอกจากด้านล่างที่เป็นที่โล่งกว้างแล้ว
ทั้งหมดมีสองชั้น ตอนนีพ้ วกเขาอยู่ในส่วนของ
ห้องรับแขก อาหลิงกวักมือแล้วพูดว่า “พีส่ าว พวก
ท่านมาทางนี้ ข้าจะพาพวกท่านขึ้นไปเอง”
อีฝูรีบคำนับให้ชายแก่ชาวเหมียว เพือ่ แสดงความ
ขอบคุณ ฉีหนิงเองก็ยิ้มให้ชายแก่ชาวเหมียว
ชายแก่ชาวเหมียวเหมือนจะเดาอะไรออก เลยให้อา
หลิงพาพวกเขาสองคนไปหลบด้านบน
ทั้งสองตามอาหลิงขึ้นไปด้านบน ด้านบนเป็นที่อยู่
อาศัยของพวกเขา อาหลิงพูดว่า “พวกท่านพักที่นี่
ก่อนนะ หากไม่มีเรือ่ งอะไร ข้าจะมาเรียกพวกท่าน”
ทั้งคู่ขอบคุณไปอีกครั้ง อาหลิงก็รีบลงไปด้านล่าง
อาหลิงเดินลงมาด้านล่าง คนกลุ่มหนึ่งก็มาถึงริม
บ้านไม้ทันที ส่วนคนอื่นก็นำม้าไปผูกไว้ที่ใต้ถุนบ้าน
มีสองคนเดินเข้ามาในบ้าน ชายแก่ชาวเหมียวก็ลุก
ขึ้นมาแล้วพูดว่า “พวกท่านจะข้ามฟากหรือ?”
“ถูกต้อง” คนที่เดินนำหน้าพูดว่า “ตาเฒ่า ฝนหยุด
เมื่อไหร่ เจ้าส่งพวกเราข้ามฟากไปที ต้องไปได้ทั้งคน
และม้าด้วย ถึงเวลาจ่ายให้เจ้าเต็มที่แน่นอน”
ฉีหนิงกับอีฝูอยู่ดา้ นบน ได้ยินบทสนทนาด้านล่าง
อย่างชัดเจน อาคารหลังนี้ทำมาจากไม้ แผ่นไม้กั้น
ระหว่างชั้นก็เป็นไม้ทั้งหมด แผ่นไม้จะมีร่อง ฉีหนิง
นั่งยองลงมา แล้วมองทะลุผ่านร่องนั้น พอชายสอง
คนที่เดินเข้าบ้านมา ฉีหนิงก็เริ่มขมวดคิว้
“พวกเขานี่นา” อีฝูขยับมาดูผ่านร่องด้วยเช่นกัน
นางขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “คนพวกนั้นที่พวกเราเจอ
ที่โรงเตีย๊ มไม่ใช่หรือ?”
ฉีหนิงพยักหน้า
คนที่เข้ามาในบ้านสองคน คนหนึ่งหัวโล้น หน้าตา
ดุดัน เป็นคนที่เจอในโรงเตี๊ยมเมือ่ วาน อีกทั้งยังพก
ดาบอีกด้วย
สักพักเมื่อคนอื่นๆ ผูกม้าเสร็จแล้ว ก็เดินเข้ามาหลบ
ฝนด้านใน มีทั้งหมดเจ็ดคน อาหลิงเห็นคนที่เข้ามา
ต่างก็พกดาบ ก็รู้สึกกลัว หลบอยู่หลังชายแก่ชาว
เหมียว
“ตาแก่ ที่นี่มีของกินหรือไม่?” ชายหัวโล้นมองไปที่
ชายแก่ชาวเหมียว “พวกเราเร่งเดินทางกันมา ยัง
ไม่ได้กินอะไรเลย ไปเอาของกินมาที” พูดจบ ก็โยน
เงินไปให้
ชายแก่ชาวเหมียวพยายามข่มอารมณ์ เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “มี มี แค่เกรงว่าจะไม่ถูกปากพวกท่าน” เขา
สั่งว่า “อาหลิง ไปเตรียมอาหารมาที”
อาหลิงรับคำ แล้วก็ไปเตรียมอาหารมา พวกเขาจ้อง
ไปที่อาหลิง มีคนหนึ่งยิม้ แล้วพูดว่า “ท่านประมุข
พวกสุนัขชาวเหมียวถึงแม้จะน่ารังเกียจ แต่ว่าสาว
สวยก็มไี ม่น้อยเลย ท่านดูผู้หญิงคนเมื่อครู่นสี้ ิ สวย
มากจริงๆ”
“หวงเหล่าซือ่ เจ้าคิดไม่ดีอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย?” ชาย
หัวโล้นยิ้ม “แม้แต่สุนัขเหมียวเจ้าก็จะเอา ไม่ได้เรื่อง
เลย”
“ท่านประมุข ท่านก็รู้ขา้ ก็มีดีแค่นี้” หวงเหล่าซือ่ ยิ้ม
แล้วพูดว่า “สาวน้อยคนสวยขนาดนี้ หากข้าไม่
หวั่นไหว มันก็ผิดกับตัวเองมากไป”
“ท่านประมุข อย่าว่าแต่เด็กสาวแบบนี้เลย ต่อให้
เป็นสาวแก่อายุสามสี่สบิ ปี ขอแค่ก้นใหญ่ หวงเหล่า
ซื่อก็ชอบหมดแหละ” คนที่อยู่ขา้ งๆ ยิ้มแล้วพูดว่า
“เมียของเจ้าของร้านเงินครั้งที่แล้ว อายุสี่สิบแล้ว
ข้าก็เห็นว่านางหน้าอกใหญ่ก้นอวบอิ่ม กลางดึกข้าก็
เลยปีนกำแพงเข้าบ้านนางเข้าไปจัดการนางมาแล้ว
ไม่ใช่หรืออย่างไร?”
คนอื่นก็หัวเราะร่าขึ้นมา เหมือนกับว่าไม่เห็นว่าชาย
แก่ชาวเหมียวนั้นยืนอยูข่ ้างๆ เลย
ชายแก่ชาวเหมียวขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ไม่นานนัก ก็เห็นอาหลิงยกถาดไม้ออกมา แล้ววาง
บนโต๊ะ ชายแก่ชาวเหมียวฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ทุก
ท่าน นี่เป็นอาหารรองท้องของพวกท่าน นอกจาก
ของพวกนีแ้ ล้ว พวกเราไม่มอี ย่างอื่นอีก พวกท่านก็
ฝืนเอาหน่อยนะ”
มีคนยื่นมือไปหยิบขนมเปี๊ยะผักขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้ว
กัดไปหนึ่งคำ จากนั้นก็พ่นมันออกมา แล้วด่าว่า “นี่
มันอะไรกัน อาหารหมูยงั ดีกว่าเลย สุนัขเหมียว
อย่างพวกเจ้ากินของพวกนี้หรือ?”
ชายแก่ชาวเหมียวรู้สึกโกรธมาก หวงเหล่าซือ่ ลุกขึ้น
แล้วพูดว่า “ตาแก่ เจ้าตัง้ ใจทำให้พี่น้องข้าไม่พอใจ
ใช่หรือไม่? สำนักห้าคุณธรรมของพวกเรามาซีชวน
ครั้งนี้ เพื่อมากวาดล้างพรรคบัวดำของพวกเจ้า หึ
พวกเจ้าเป็นคนของพรรคบัวดำ อยู่ที่นี่คอยสืบข่าว
ใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงฟังอยู่ด้านบน ก็ตกใจ เขารู้ทันทีว่า คนพวกนี้
น่าจะเป็นชาวยุทธ์ที่เดินทางมาหลังจากที่จวนเสิน
โหวประกาศสัญญาเลือด แต่ว่าออกมาก็ต้อมาเจอ
คนพวกนี้ซวยจริงๆ
เขามองไปที่อฝี ู เห็นอีฝกู ัดฟัน ในมือกำมีดสั้นไว้แน่น
ชายแก่ชาวเหมียวรีบพูดว่า “พวกเราอยู่ที่นคี่ อย
รับส่งคนข้ามแม่นำ้ เท่านั้น พรรคบัวดำทีพ่ วกท่าน
พูดถึงพวกเราไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
“เจ้าไม่มีทางยอมรับอยูแ่ ล้ว” หวงเหล่าซือ่ ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ดูทา่ หากไม่สอบสวนดีดี พวกเจ้าคงไม่
ยอมรับ” เขายื่นมือไปจับแขนของอาหลิง อาหลิงร้อ
งอย่างตกใจ ชายแก่ชาวเหมียวพูดว่า “พวกเจ้าคิด
จะทำอะไร” จากนั้นก็เดินขึ้นหน้าไป คนที่อยู่ขา้ งๆ
ชักดาบออกมา แล้วชี้ไปทางหน้าอกของชายแก่ เขา
ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “เจ้าสุนัขเหมียวแก่ อย่าขยับนะ
ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าซะ”
“ท่านปู่...” อาหลิงหน้าซีด หวงเหล่าซื่อจับมือของ
อาหลิงแล้วกระชากนางมากอด เขาหัวเราะแล้วพูด
ว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านประมุข คิดไม่ถึงว่าตัวนางจะหอม
มากขนาดนี้ พวกเรา พวกเจ้าอยากให้ข้าพานางขึ้น
ไปข้างบน หรือว่าทำให้พวกเจ้าดูตรงนี้ดี?”
“พวกเจ้ามันสวะ” ชายแก่ชาวเหมียวตะคอก แล้ว
พุ่งออกไป คนที่ถอื ดาบยิ้มแห้ง แล้วด่าว่า “เจ้าสุนัข
เจ้าอยากตายมากใช่หรือไม่” เขายกดาบขึ้นมาคิด
จะฟันลงไป
ฉีหนิงตาขวาง คิดอยากจะไปช่วย แต่ว่ามันไม่ทนั
แล้ว ก็เลยคิดจะตะคอกเพื่อหยุดยั้งอีกฝ่ายไว้ แต่ยัง
ไม่ทันได้พูด ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “หยุดเดี๋ยวนี้
นะ”
เสียงนั้นดุดันราวกับฟ้าผ่า
ฉีหนิงตะลึงไป อีฝูเดิมก็คิดจะลงไปชั้นล่าง เมือ่ ได้ยิน
เสียง ก็อดที่จะมองหน้าฉีหนิงไม่ได้ จากนั้นก็มอง
ผ่านร่องไม้ไป มีคนเดินเข้ามาด้านในสองคน
สองคนนี้แต่งตัวแบบชาวเหมียว คนที่เดินนำหน้า
ร่างกายกำยำล่ำสัน สายตาของเขามีประกาย อายุ
ประมาณสามสิบ อกผายไหล่ผึ่ง ตอนนี้เขากำหมัด
แน่น สีหน้าโกรธมาก เข้าเดินเข้ามาด้านใน
ด้านหลังของเขา เป็นชายชาวเหมียวอายุราวยีส่ ิบปี
ถึงแม้จะไม่ได้ดูแข็งแรงเท่าอีกคน แต่ก็กำยำ
เหมือนกัน
เมื่อมีคนตะคอก ดาบก็ชะงักไป คนของสำนักห้า
คุณธรรมต่างหันไปมองคนที่เดินเข้ามา
ชายเหมียวร่างกายกำยำยกมือชี้ไปที่หวงเหล่าซือ่
แล้วตะคอกว่า “ปล่อยนางเดี๋ยวนี้นะ”
ชายหัวโล้นลุกขึ้นมา แล้วมองไปที่ชายเหมียวร่าง
กำยำ เขายิ้มแห้งๆ หวงเหล่าซื่อปล่อยมือจากอา
หลิง แล้วก็หยิบดาบของตัวเองขึ้นมา “วันนี้ข้า
ต้องการมีความสุข ไม่ได้อยากฆ่าใคร แต่ว่าพวก
สุนัขเหมียวอย่างพวกเจ้ารนหาที่ตายเอง ดาบของ
ข้าวันนี้ก็คงต้องดื่มเลือดสักหน่อยแล้ว” เขาชักดาบ
ออกมาจากฝัก แล้วชี้ไปที่ชาวเหมียวหนุ่ม “ไม่ตอ้ งมี
ใครมาช่วย วันนี้ข้าจะฆ่าสุนัขเหมียว ปล้ำผู้หญิง
เหมียว ใครแย่งกับข้า ก็ไม่ใช่พี่น้องข้าอีก”
ชายเหมียวร่างกำยำแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้า
กล้ามากำเริบเสิบสานในพื้นที่ของชาวเหมียว
รนหาที่ตายชัดๆ”
“เจ้าเป็นใคร?” คนหัวโล้นจ้องแล้วถาม “ไม่กลัว
ตายหรืออย่างไร?”
ชายเหมียวร่างกำยำพูดว่า “ข้าตันตูกู่กลัวตายมา
ตั้งแต่เล็ก แต่ว่าเวลาทีไ่ ม่ควรจะกลัว ก็ไม่เคยกลัว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 365 รังสีกระบี่ที่รนุ แรง
“ตันตูก?ู่ ” หวงเหล่าซื่อยิ้มแล้วพูดว่า “เดี๋ยวข้าจะ
ทำให้กระดูกของเจ้าแหลกเป็นชิ้นๆ เลย” พูดจบ ก็
กระโดดขึ้นหน้าไป แล้วฟันดาบใส่ตันตูกู่
คนอื่นต่างถอยห่างออก ชายแก่ชาวเหมียวเองก็กอด
อาหลิงหลบไปด้านข้าง
ถึงแม้หวงเหล่าซือ่ จะหืน่ กาม แต่ว่าเพลงดาบของ
เขาก็ไม่ธรรมดาเลย ความเร็วที่เขาลงมือไม่ได้ช้าเลย
ตันตูกู่หลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว หวงเหล่าซือ่ ฟัน
โดนอากาศ จากนั้นก็รู้สกึ ได้ว่าเหมือนมีกลุ่มลม
กำลังซัดมา ตันตูกู่ซัดหมัดเข้าไปที่จุดไท่หยางเสวียน
ของหวงเหล่าซือ่
“ท่านประมุข ฝีมือเจ้าสุนัขเหมียวนี่ไม่ธรรมดาเลย”
คนของสำนักห้าคุณธรรมยืนดูอย่างสนุกสนาน มีคน
กอดอกแล้วพูดว่า “หวงเหล่าซื่อ อย่าแพ้ให้กับสุนัข
เหมียวนี่นะ”
หวงเหล่าซื่อถอยหลังมา จากนั้นก็ตวัดมือ ฟันดาบ
ไปที่หน้าท้องของตันตูกู่
ตันตูกู่มีแค่มือเปล่า ก็เลยไม่กล้ารับมือซึ่งหน้ากับ
หวงเหล่าซื่อ เขาถอยหลังไป
ทั้งสองคนสู้กันไปมา พริบตาเดียวก็แลกกันไปกว่า
สิบกระบวนท่าแล้ว ตันตูกู่แรงเยอะมาก อีกทั้งยัง
ว่องไว แต่วา่ เพลงดาบของหวงเหล่าซือ่ เองก็ไม่
ธรรมดา สามารถรับมือกันได้สูสีพูดได้ว่าเสมอ ไม่มี
ใครทำร้ายใครได้เลย
ฉีหนิงมองมาจากชั้นบน แอบชื่นชมอยู่ในใจ เขามอง
ออกว่า ตันตูกู่นั้นวรยุทธ์ไม่ได้ดีมาก หากเป็นคน
ทั่วไป ด้วยความไวและพละกำลังของตันตูกู่ รับมือ
สามถึงห้าคนไม่มีปัญหาเลย แต่วา่ คนของสำนักห้า
คุณธรรมเป็นชาวยุทธ์ หวงเหล่าซื่อฝึกเพลงดาบมา
ตันตูกู่คิดอยากจะเอาชนะเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เขารู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายพกดาบพกกระบี่ แต่ตันตูกู่ก็ยัง
กล้าที่จะออกหน้าช่วยเหลือ หนุ่มชาวเหมียวถือว่า
ใจเด็ดทีเดียว
“หวงเหล่าซือ่ สุนัขเหมียวใช้มือเปล่า แต่ว่าเจ้ากลับ
ใช้อาวุธ ต่อให้ฆ่าเขาได้ ก็ไม่สมศักดิ์ศรี” คนทีอ่ ยู่
ข้างๆ หัวเราะแล้วพูดว่า “หากเจ้าอยากจะเอาชนะ
เขา ก็ใช้มือเปล่าสู้กับเขาสิ จะได้ชนะแบบมีศักดิ์ศรี
หน่อย”
หวงเหล่าซื่อได้ยินดังนั้น ก็ทิ้งดาบ แล้วซัดหมัดเข้า
ใส่ตันตูกู่
ตันตูกู่ไม่หลบ แต่ว่าซัดหมัดไปเหมือนกัน หวงเหล่า
ซื่อเห็นอีกฝ่ายตอบโต้มาแบบนี้ ก็ตกใจ แต่ว่าเพื่อน
ยืนดูอยู่ จะแสดงว่าอ่อนกว่าไม่ได้ หมัดของทั้งคู่
ปะทะกัน ตันตูกู่สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่วา่ หวงเหล่าซื่อ
กลับรู้สึกว่ากระดูกมือของเขาแตก มันเจ็บปวดมาก
เขารู้ว่าสถานการณ์ไม่ดแี ล้ว แต่ตันตูกู่ก็ไม่รอให้เขา
มีเวลาได้คิดนาน ซัดหมัดไปอีกหนึ่งหมัด หวงเหล่า
ซื่อคิดจะหลบ แต่อีกฝ่ายรวดเร็วมาก เลยถูกซัดเข้า
ที่ไหล่อย่างจัง
“โอ้ย”
หวงเหล่าซื่อร้องออกมา กระดูกไหล่ของเขาถูกชาย
ชาวเหมียวซัดจนหัก ตันตูกู่เห็นดังนั้น ก็เดินขึ้นหน้า
คิดจะซัดหมัดเข้าไปอีก ในตอนนี้เอง ก็มีแสงสะท้อน
มา มีคนใช้กระบี่แทงมาที่ตันตูกู่
คนๆ นี้ปกติสนิทสนมกับหวงเหล่าซื่อมาก รู้ว่าตันตู
กู่มีฝีมืออยู่บ้าง หากปล่อยให้ตันตูกู่ชกหวงเหล่าซื่อ
หวงเหล่าซื่อถึงแม้ไม่ตาย ก็อาจจะต้องบาดเจ็บหนัก
อีฝูมองเห็นจากด้านบนอย่างชัดเจน เห็นคนข้างๆ
แอบลอบจู่โจม ก็อดด่าไม่ได้ว่า “ไร้ยางอาย”
ยังดีที่ด้านล่างกำลังต่อสู้กันอยู่ สายตาของทุกคนจับ
จ้องไปที่ตันตูกู่ อีกทั้งด้านนอกฝนตกหนัก เลยไม่มี
ใครได้ยินเสียงของอีฝู
ท่าทางของฉีหนิงเครียดมากตอนนี้
คนของสำนักห้าคุณธรรม ได้รับประกาศสัญญา
เลือดแน่นอน เลยเดินทางมายังซีชวน เพือ่ เตรียมตัว
บุกโจมตีพรรคบัวดำ ตามที่จวนเสินโหวได้แจ้งไว้
พรรคบัวดำเป็นพรรคหนึ่งในยุทธภพ แต่กระทำแต่
ความชั่ว ไม่รู้จักสำรวม ไม่ต่างอะไรกับพรรคมาร
จำเป็นต้องกำจัด
แต่ว่าพรรคบัวดำทำเรือ่ งเลวมากแค่ไหน ฉีหนิงไม่รู้
แต่ว่าการกระทำของสำนักห้าคุณธรรมในวันนี้ ฉี
หนิงเห็นอยู่ตำตา ในใจรู้สึกขำมาก คิดในใจว่าการ
กระทำต่ำช้าของสำนักห้าคุณธรรม อาจจะเลวร้าย
กว่าพรรคบัวดำด้วยซ้ำไป
เห็นคนๆ นั้นพุ่งกระบี่คดิ จะแทงไปที่ตันตูกู่ แต่ว่า
คนที่ตามตันตูกู่มาไม่รวู้ า่ เป่ากระบอกไม้ไผ่มาตัง้ แต่
เมื่อไหร่ ขณะที่ปลายกระบี่กำลังจะแทงถูกตัวของ
ตันตูกู่ ลูกดอกก็พุ่งปักคอของชายคนที่ถอื กระบีเ่ ข้า
ไป
กระบี่ในมือของเขาหลุดออกจากมือ เขาใช้มือจับไป
ที่คอ แล้วถอยหลังไปสองสามก้าว ใบหน้าของเขา
ม่วงคล้ำขึ้นมาทันที จากนั้นก็ล้มกองลงไปกับพืน้
ดิ้นอยู่สองสามที จากนั้นก็ไม่ขยับอีก
ทุกคนต่างตกใจ ชายหัวโล้นทีเ่ ป็นประมุขปฏิกิรยิ า
ไวมาก เขาพูดว่า “ฆ่าพวกเขาให้หมด” เขาคิดในใจ
ว่าชายเหมียวเก่งในการใช้พิษ เขาก็รีบลงมือก่อน
ชาวเหมียวนั่นยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกซัดด้วยหมัดเข้า
ที่หน้าอกอย่างเต็มแรง ชาวเหมียวคนนั้นร้องออกมา
ด้วยความเจ็บปวด ตัวของเขาปลิวไปด้านนอก หล่น
อยู่ทา่ มกลางสายฝน กระอักเลือดออกมา แล้วนอน
กองอยูท่ ี่พื้นลุกไม่ขึ้น
ตันตูกู๋ตกใจแล้วพูดว่า “ปาชา” เขาคิดอยากจะ
ออกไปดูอาการเพือ่ นของเขา แต่มสี องคนมาขวาง
เอาไว้ ดาบหนึ่งตะขออีกหนึ่ง ต่างพุ่งเข้าหาตันตูกู่
ตันตูกู่กระดกเท้าเกี่ยวกระบี่ที่อยู่บนพื้นขึ้นมา แล้ว
จับมันไว้ในมือ จากนั้นก็เริ่มปะทะกัน แต่ดูออกเลย
ว่าเขาไม่เคยใช้กระบี่มาก่อน มันไม่มีทิศทาง สักพัก
สองคนนั้นร่วมมือกันจู่โจมเขา ทำให้เขาถอยหลัง
รับมือไม่ทัน
“ตายซะเถอะ”
คนถือดาบทีอ่ ยู่ขา้ งๆ ฉวยโอกาสลอบโจมตี เขาฟัน
ดาบลงมาที่ดา้ นหลังของตันตูกู่ ตันตูกู่เจ็บมาก คนที่
ใช้ตะขอก็ใช้ตะขอของเขาเกี่ยวไหล่ของตันตูกู่ไว้
แล้วลากไป ไหล่ของตันตูกู่เป็นแผลเปิดกว้างเลือด
ไหลออกมาไม่น้อย
ตันตูกู่มีอันตรายถึงชีวิตแล้ว ชายแก่ชาวเหมียวร้อน
ใจมาก เขาหันไปหยิบไม้ตะบองมา แล้วเตรียมจะ
ขึ้นหน้าไปช่วย แต่ก็มีเงามายืนบังหน้าเขาเอาไว้
ชายแก่ชาวเหมียวตกใจ แต่พอมองดีดี ถึงได้รู้วา่ เป็น
ฉีหนิง
“สำนักห้าคุณธรรม ไม่มีคุณธรรมเลยนะ” ฉีหนิง
แสยะยิม้ “ใช้คนมากรังแกคนน้อย ใช้กำลังรังแกคน
ที่อ่อนแอกว่า พวกเจ้าไม่อายบ้างหรือ?”
ตอนนี้อีฝูก็เดินมาข้างๆ ฉีหนิงแล้วเหมือนกัน นาง
จับมือของอาหลิงไว้ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ตอ้ ง
กลัวนะ”
ฉีหนิงโผล่ออกมา คนของสำนักห้าคุณธรรมต่างมอง
ไปที่เขา พวกเขาเห็นฉีหนิงใส่ชุดชาวเหมียว เลย
แยกไม่ออก มีคนหนึ่งแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ประมุข
มีคนไม่อยากมีชีวิตอีกสองคนมาแหนะ หึ มีสาวสวย
ด้วย เหมือนจะดูดีกว่าคนเมื่อครู่อีกนะ...”
ตอนนี้ตันตูกู่ได้ถอยไปอยู่ข้างๆ ฉีหนิง เขาเลือดไหล
ทั้งตัว คนที่ถอื ดาบยังคงไม่หยุดมือ เขาฟันดาบเข้า
หาตันตูกู่อีกครั้ง ตันตูกู่ตั้งใจฝืนเจ็บรับมือ แต่วา่ มือ
ของเขาอ่อนแรง ทำให้กระบี่หลุดมือฉีหนิงรีบรับ
กระบี่มา หลังจากทีฉ่ ีหนิงรับกระบี่มาแล้ว ก็ไม่ได้
ลังเล เขาเคลื่อนไหวไปตามกระบี่ ยกกระบี่ขึ้น แล้ว
เฉือนไปที่ขอ้ มือของคนที่ถือดาบ
คนๆ นั้นรูส้ ึกเจ็บข้อมือ ดาบหลุดออกจากมือ ฉีหนิง
ตวัดกระบี่ขึ้นด้านบน เขาตัดเสื้อผ้าตั้งแต่ช่วงเอวไป
จนถึงไหล่ของคนๆ นั้นฉีกออก อีกแค่ไม่ถึงคืบ ก็
สามารถเปิดหน้าท้องของคนๆ นั้นออกมาได้แล้ว
คนๆ นั้นยืนตะลึงไป มือไม้เย็นเฉียบ ยืนแข็งทือ่ เป็น
ก้อนหิน ไม่ขยับอีก
คนของสำนักห้าคุณธรรมต่างตกใจ พวกเขาเป็นคน
ฝึกยุทธ์ ถึงแม้วรยุทธ์ของพวกเขาจะไม่ได้รา้ ยกาจ
อะไรมาก แต่วา่ ทักษะเพลงกระบี่พวกเขาก็พอมอง
ออก ฉีหนิงลงมือกระบวนท่าเดียวก็ทำให้ข้อมือ
บาดเจ็บ เสื้อผ้าฉีกขาดหมด พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า
หนุ่มน้อยชาวเหมียว จะมีเพลงกระบี่ที่รา้ ยกาจได้
ขนาดนี้
ไม่เพียงแค่คนของสำนักห้าคุณธรรม แม้แต่อฝี ูเองก็
ตกใจ
นางรู้ว่าฉีหนิงพอมีฝีมอื อยู่บ้าง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฉี
หนิงจะมีเพลงกระบี่ทรี่ า้ ยกาจมากขนาดนี้
บรรยากาศเงียบมาก ชายหัวโล้นส่งสัญญาณ คนที่
อยู่ด้านซ้ายขวาของฉีหนิงพุ่งโจมตีใส่เขา ฉีหนิง
หัวเราะอย่างชั่วร้าย อาวุธของพวกเขายังไม่ทันจะ
ถูกตัว เขาเอี้ยวตัวหลบแล้วออกอาวุธทันที เขาแทง
ไปที่หัวไหล่ของคนๆ หนึ่งจากนั้นก็บิดกระบี่ ปลาย
กระบี่มันหมุนอยู่ในเนื้อของเขารอบใหญ่ คนๆ นั้น
ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เส้นเอ็นที่หัวไหล่ถูกฉี
หนิงตัดขาดแล้ว อาวุธในมือของเขาหล่นลงพื้นไป
ฉีหนิงก็ไม่เสียเวลาอีก เขาดึงกระบี่ออกมา แล้วทำ
ตามภาพจำของเคล็ดวิชาเพลงกระบี่ หมุนตัวไถลไป
กับพื้นแล้วแทงทะลุไปที่ขาของอีกคนหนึ่ง จากนั้นก็
ดึงกระบี่ออก คนๆ นั้นร้องด้วยความเจ็บปวด ล้มลง
ไปกับพื้น
พริบตาเดียว ฉีหนิงใช้ไม่ถึงสิบกระบวนท่า ก็ทำให้
คนหนึ่งตะลึงไป แล้วบาดเจ็บอีกสองคน
นี่ก็เป็นเพราะเพลงกระบี่ในภาพเคล็ดวิชากระบี่ที่
เขาฝึกมันคาดเดาไม่ได้ อีกทั้งวรยุทธ์ของพวกนีก้ ็
ไม่ได้รา้ ยกาจมาก ไม่มที างรับมือเขาได้อยู่แล้ว
สำนักห้าคุณธรรมมีทั้งหมดเจ็ดคน ถูกลูกดอกพิษ
ตายไปหนึ่งคน หวงเหล่าซื่อกระดูกไหล่หัก ฉีหนิงใช้
กระบี่ ตัดเอ็นหัวไหล่ไปหนึ่ง แทงขาอีกหนึ่ง เหลือ
อีกสามคนยังอยูค่ รบ แต่ว่าในตอนนี้ รวมท่าน
ประมุขด้วย ต่างขวัญกระเจิงไปหมด ใครจะกล้าลง
มืออีก
ตันตูกู่ตกใจมาก ชายแก่ชาวเหมียวเองก็ยืนตาโต ไม่
กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
ฉีหนิงเห็นประมุขหัวโล้นยืนตะลึงอยู่ ก็พูดขึ้นมาว่า
“นี่ ประมุขท่านนี้ พวกเราจะสู้กันอีกหรือไม่?”
ประมุขหัวโล้นเหงื่อท่วมตัว ถึงแม้วรยุทธ์ของเขาจะ
เหนือกว่าคนอื่น แต่ว่าเขาเห็นเพลงกระบี่ของฉีหนิง
กับตาตัวเอง ในใจก็รู้ทันทีว่าฉีหนิงเหนือกว่าเขา เขา
ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “เพลง...เพลงกระบี่ของน้องชาย
ท่านนี้ ทำให้....ทำให้ข้านับถือนัก ไม่สู้ก็คงไม่ได้รู้จัก
กัน พวกเรา...พวกเรามาเป็นเพื่อนกันดีหรือไม่?”
“ขยะอย่างพวกเจ้าน่ะหรือ คูค่ วรเป็นเพื่อนข้า
หรือ?” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่รู้ฟา้ สูง
แผ่นดินต่ำเสียเลยนะ” เขามองไปที่หวงเหล่าซือ่
แล้วถามว่า “เจ้าชื่อหวงเหล่าซื่อหรือ?”
หวงเหล่าซื่อยังตกใจไม่หาย รีบพยักหน้า
“เจ้าชอบผู้หญิงมากใช่หรือไม่?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด
ว่า “หากนางยินดี ข้าคงไม่ยุ่ง แต่วา่ นางไม่ยอม เจ้า
ยังจะบังคับนางอีก เจ้านี่มันควบคุมไอ้นั่นของเจ้า
ไม่ได้เลยนะ ข้าคงต้องช่วยคุมเองล่ะกัน” เขาหันไป
พูดกับประมุขหัวโล้น “เจ้าใช้ดาบเป็นใช่หรือไม่?”
ประมุขหัวโล้นพูดว่า “เป็น...ไม่เป็น...ข้า...”
“ตกลงเป็นหรือไม่?”
“ต่อหน้า...ต่อหน้าท่านจอมยุทธ์น้อย เพลงดาบ...
เพลงดาบของข้า สู้...สู้หมาตัวหนึ่งยังไม่ได้เลย...”
ประมุขหัวโล้นฝืนยิ้ม
“หยิบดาบขึ้นมา แล้วพาหวงเหล่าซือ่ ออกไป” ฉี
หนิงพูดว่า “ตัดไอ้นั่นของเขาซะ เจ้าเป็นประมุข
ลูกน้องตัวเองยังคุมไม่ได้ ยังต้องมารบกวนคนอย่าง
ข้าอีก แย่จริงๆ”
หวงเหล่าซื่อหน้าถอดสี “จอมยุทธ์นอ้ ย ไม่...ไม่นะ
...”
“หากเขาไม่ตัดของเจ้า ข้าก็จะฆ่าเขา เจ้าคิดว่าเขา
จะเลือกอย่างไหน?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เขาเป็น
ประมุขของเจ้า เจ้าคงไม่ห่วงไอ้นั่นของเจ้า จนไม่
สนใจชีวิตของประมุขเจ้าหรอกใช่หรือไม่?”
ประมุขหัวโล้นก็ทำอะไรเด็ดขาดดี เขาถือดาบ ลาก
หวงเหล่าซื่อไปนอกประตู หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้
ยินเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของหวง
เหล่าซื่อดังขึ้นมา ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“คราวนี้ดีแล้ว น่าจะไม่ไปทำอะไรไม่ดีกับใครอีก”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 366 ข้ามฟาก
ตันตูกู่เป็นห่วงเพื่อนที่ตามมาด้วย เขาฝืนทนความ
เจ็บปวดแล้วเดินออกไปดูอาการบาดเจ็บของเพือ่ น
ประมุขหัวโล้นถือดาบกลับมา แล้วพูดว่า “จอมยุทธ
น้อย ข้า...ข้าตัดไอ้นั่นของเจ้านั่นแล้ว ต่อไป...ต่อไป
จะไม่มที างเกิดเรือ่ งแบบนี้ขึ้นอีก”
“พวกเจ้าจำเอาไว้ให้ดี ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมากำแหง
ได้” ฉีหนิงพูดว่า “เอาอาคารไม้นี่เป็นหลัก ในระยะ
หนึ่งร้อยลี้ หากข้าเห็นพวกเจ้าอีก ไม่ต้องบอกพวก
เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่วา่ จะเจออะไร”
ประมุขหัวโล้นรีบพูดว่า “พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้เลย
จะไม่มาที่นอี่ ีก” เขาปัดมือให้ลูกน้องออกไปทันที
“อย่าเพิ่งรีบไป” ฉีหนิงพูดว่า “พวกเจ้าก่อเรื่องขึ้น
ไม่คิดจะชดใช้หน่อยหรือ? เอาออกมา ในตัวพวกเจ้า
มีเงินเท่าไหร่ควักออกมาให้หมด หากกล้าเหลือเงิน
แม้แต่อีแปะเดียว ข้าจะเชือดพวกเจ้าซะ”
พวกเขารีบควักเงินออกมาจากตัว เงินสดมีประมาณ
ร้อยกว่าตำลึง อีกทั้งยังมีตั๋วเงินอีกประมาณร้อย
ตำลึง
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้เกรงใจ เขาหยิบตั๋วเงินเก็บเข้าตัว
จากนั้นก็สะบัดมือบอกให้พวกเขารีบไป ขณะทีพ่ วก
เขากำลังจะไป ฉีหนิงก็ตะโกนว่า “ศพคนของเจ้า
จะทิ้งไว้ที่นี่ทำไม?”
พวกเขาจนใจ กลัวว่าศพจะมีพิษ จึงต้องถอดเสื้อ
คลุมศพไว้ แล้วหามศพออกไป หลังจากนั้นไม่นาน
ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้า คนของสำนักห้าคุณธรรมหนีไป
อย่างอนาถ
ฉีหนิงเห็นดังนั้นก็ทิ้งกระบี่ แล้วหันไปยกมือคำนับ
ชายแก่ชาวเหมียวแล้วพูดว่า “ท่านผูเ้ ฒ่า ต้องขอ
อภัยจริงๆ ทีท่ ำให้พวกท่านต้องตกใจ”
ชายแก่ชาวเหมียวได้สติกลับมา แล้วรีบพูดว่า
“หนุ่มน้อย หากวันนี้ไม่ได้เจ้า คงจะ...” เขาไม่รวู้ ่า
ควรพูดอะไรดี สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความ
ซาบซึ้งใจ
อาหลิงรีบพูดว่า “พี่ชาย ขอบคุณท่านมาก” นางหัน
ไปพูดกับอีฝูด้วยว่า “พีส่ าว ขอบคุณพวกท่านมาก
จริงๆ”
อีฝพู ูดว่า “อาหลิง ไม่รวู้ ่าคนพวกนั้นจะกลับมาแก้
แค้นหรือไม่ ที่นี่...ที่นี่ไม่ควรอยู่ต่อ” นางจ้องไปที่ฉี
หนิง แล้วพูดว่า “คนเลวๆ พันนั้น เหตุใดเจ้าไม่ฆ่า
พวกมันซะ”
“คนทำชั่วก็ต้องได้รับผลกรรมตามนั้น ไม่ตายในมือ
ของข้า ก็ต้องไปตายที่ไหนสักที่อยู่ด”ี ฉีหนิงพูดว่า
“เงินพวกนี้ พวกท่านรับไปเถอะนะ หาที่อื่นอยู่สัก
พัก แต่ว่าพวกเขาน่าจะไม่กล้ากลับมาแล้วล่ะ พวก
ท่านรอสักระยะหนึ่งแล้วค่อยกลับมานะ”
ชายแก่ชาวเหมียวส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เงินนี่ไม่ใช่
ของพวกเรา พวกเรารับไว้ไม่ได้หรอก”
ฉีหนิงคิดในใจว่าชาวเหมียวนี่ซอื่ สัตย์มาก เงินนีม่ ีตั้ง
ร้อยกว่าตำลึง สำหรับชาวเหมียวที่อาศัยอยู่ตามป่า
เขา ถือว่าเป็นจำนวนทีไ่ ม่น้อยเลย เขายิ้มแล้วพูดว่า
“คนพวกนั้นสร้างความวุ่นวายให้พวกท่าน เงินพวก
นี้เป็นเงินชดเชยให้กับท่าน ท่านผู้เฒ่าจะต้องรับ
เอาไว้นะ จริงสิ หลังจากที่พวกเราข้ามฟากไปแล้ว
ม้าของพวกเราคงไม่ได้ใช้ พวกเราก็มอบให้พวกท่าน
เลยก็แล้วกัน”
ชายแก่ชาวเหมียวพูดว่า “พวกเจ้าขี่มา้ มา แสดงว่ามี
ธุระ ฝากม้าไว้กับพวกข้าก่อนได้ พวกเจ้ากลับมา
เมื่อไหร่ หากยังต้องขีม่ า้ พวกเราจะช่วยดูแลแทน
ให้”
อีฝูเดินเข้ามา แล้วมองไปที่ฉีหนิง แล้วพูดเสียงเบาๆ
ว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ฉีหนิงแอบขำในใจ พวกเขาสองคนก็มอี ะไรฉันท์สามี
ภรรยากันตั้งหลายครั้ง แต่ว่าจนถึงตอนนี้ทั้งสอง
ฝ่ายยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขากระซิบไปที่ข้าง
หูอีฝูว่า “พีส่ าวคนสวยของข้า เจ้าลืมไปได้อย่างไร
ว่า ข้าเป็นน้องชายคนรักของเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าคง
ไม่คิดจะไม่ยอมรับข้าหรอกกระมัง?”
อีฝูกัดปาก ในตอนนี้เอง ก็เห็นตันตูกู่อุ้มเพื่อนของ
เขาเข้ามา สีหน้าท่าทางเคร่งเครียดมาก เพือ่ นของ
เขาสลบอยู่ในอ้อมแขนของเขา
ตันตูกู่มองไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “วันนี้ต้องขอบคุณ
ท่านมาก บุญคุณที่ช่วยชีวิต ข้าตันตูกู่จะไม่มีวันลืม
หากมีโอกาส ข้าจะต้องตอบแทนท่านแน่นอน”
“ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจหรอก” ฉีหนิงเดินขึ้นหน้าไป
เห็นชาวเหมียวอีกคนหน้าซีดเซียว แต่ยังมีลมหายใจ
อยู่ แอบคิดในใจว่ายังดีที่เจ้าประมุขหัวโล้นนั้นฝีมือ
ยังไม่ถึงขั้น หากเป็นคนที่ร้ายกาจกว่านี้ คงตายไป
แล้ว แต่ว่าชาวเหมียวคนนี้แค่บาดเจ็บสาหัส เขา
ถามว่า “เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
ตันตูกู่สีหน้าท่าทางเครียดมาก เขาพูดว่า “เขา
บาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ถึงตาย อาจจะต้องพักนาน
หน่อย อีกทั้งยังต้องรีบทำการรักษา”
ชายแก่ชาวเหมียวรีบเดินขึ้นหน้ามา “ข้าพอมี
สมุนไพรอยู่ เจ้าเองก็บาดเจ็บ ต้องรีบห้ามเลือด”
เขาหันไปสั่งอาหลิงว่า “อาหลิง รีบไปเอาสมุนไพร
รักษาบาดแผลมาเร็ว”
ตันตูกู่พูดว่า “ขอบคุณมาก”
ชายแก่ชาวเหมียวถอนหายใจแล้วพูดว่า “ที่เจ้าต้อง
เป็นแบบนี้ก็เพราะพวกข้า ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
เขาเห็นฝนด้านนอกเริ่มเบาลงแล้ว ก็หันไปพูดกับฉี
หนิงกับอีฝูว่า “ฝนใกล้หยุดแล้ว เดีย๋ วข้าจะส่งพวก
เจ้าข้ามฟากไป”
ตันตูกู่มองไปที่ฉีหนิง แล้วถามว่า “พวกเจ้าจะข้าม
ฟากหรือ? จะไปที่ไหน? ข้ามแม่นำ้ นี่ไปก็เป็นเขาซี
ซานแล้ว ที่นั่นคือถ้ำซางซุ่ย พวกเจ้าจะไปที่ถ้ำ
เหมียวนั่นหรือ?”
ฉีหนิงไม่พูดอะไร อีฝูเห็นชายชาวเหมียวนี่มี
คุณธรรม อีกทั้งก็เป็นชาวเหมียวเหมือนกัน ก็ไม่
ปิดบัง “พวกเราจะไปขอพบท่านเหมียวอ๋อง”
“หืม?” ตันตูกู่มองไปทีฉ่ ีหนิง ขมวดคิ้วแล้วถาม
“เจ้าไม่ใช่ชาวเหมียว เจ้าเป็นชาวฮั่น?”
ฉีหนิงรู้ว่าเขาสวมชุดชาวเหมียว คนของสำนักห้า
คุณธรรมอาจจะมองไม่ออก แต่ว่าชาวเหมียว
ด้วยกัน อย่างไรตันตูกู่ก็ดูออก เขาพยักหน้า
“ถูกต้อง ข้าเป็นชาวฮั่น แต่ว่าตอนนี้ข้าก็เป็นชาว
เหมียวครึ่งหนึ่ง...” เขามองไปทีอ่ ีฝู เหมือนจะพูด
อะไร อีฝูรู้วา่ เขาต้องการจะพูดอะไร ก็เลยพูดแทรก
ขึ้นมาว่า “เขาไม่ใช่คนเลว ไม่เหมือนชาวฮั่นคนอื่น”
“เจ้าเป็นคนของถ้ำไหน?” ตันตูกู่จ้องไปที่อีฝู
อีฝูได้ยินตันตูกู่ถามแบบนี้ ในใจก็เริ่มระแวง นางพูด
ว่า “เรือ่ งนั้นไม่สำคัญหรอก”
ตันตูกู่รู้อยู่แล้วว่าอีฝูไม่พูดแน่ ก็ไม่ถามต่อ เขาพูด
แค่ว่า “ท่านเหมียวอ๋องอายุมากแล้ว ไม่ใช่ใครก็จะ
ได้พบ หวังว่าเจ้าไปที่เขาซีซานในครั้งนี้ จะได้พบเขา
นะ” เขาไม่พูดมากอะไรอีก แล้วมองไปที่ชายแก่ชาว
เหมียว “ปาชาบาดเจ็บหนักมาก ข้ามฟากไปตอนนี้
ไม่ได้ ต้องพักรักษาตัวก่อน มีที่ให้เขานอนสักครู่
หรือไม่?”
ชายแก่ชาวเหมียวรีบพูดว่า “ด้านบนมี” เขาเดินนำ
ตันตูกู่เดินขึ้นด้านบนไป
หลังจากนั้นไม่นาน ชายแก่ชาวเหมียวก็ลงมา ฝน
ด้านนอกหยุดตกแล้ว เป็นไปตามที่ชายแก่ชาว
เหมียวได้พูดไว้ ฝนมาแค่ครูเ่ ดียวก็ผา่ นไปแล้ว
อีฝูรอ้ นใจอยากจะเจอเหมียวอ๋อง เห็นฝนหยุดแล้ว
ก็คิดอยากจะข้ามฟากทันที ชายแก่ชาวเหมียวเห็น
อีฝูรอ้ นใจ ก็พูดว่า “เดีย๋ วพวกเราจะข้ามฟากกัน
พวกเจ้าตามข้ามาที่เรือ”
ทั้งคู่ก็ไม่เสียเวลาต่อ พอออกจากอาคารไม้ ก็เดินไป
ริมแม่นำ้ ชายแก่ชาวเหมียวแกะเชือกออก แล้วก็
กระโดดขึ้นเรือไป จากนั้นก็เรียกพวกเขาสองคนให้
ขึ้นเรือตาม
ถึงแม้ลมฝนจะหยุดแล้ว แต่ว่าน้ำในแม่น้ำยังคงไหล
เชี่ยว ยังดีที่ชายแก่ชาวเหมียวเชี่ยวชาญในการ
บังคับเรือมาก เลยใช้เวลาข้ามฟากไม่เท่าไหร่
เมื่อเทียบฝั่งแล้ว ชายแก่ชาวเหมียวก็พูดว่า “พวก
เจ้าวางใจได้ ม้าข้าจะดูแลให้ ไม่ว่านานแค่ไหน
หลังจากพวกเจ้ากลับมาก็มารับไปได้เลย”
“ท่านผู้เฒ่า ขอบคุณท่านมาก” ฉีหนิงหยิบตั๋วเงิน
ออกมาหนึ่งใบ ตั๋วเงินนัน่ ก็ไม่ใช่ของเขาอยู่แล้ว เขา
ก็ไม่ได้เสียดาย เขายื่นไปให้ ชายแก่ชาวเหมียวถอย
หลัง แล้วพูดว่า “ไม่ได้ ไม่ได้”
ฉีหนิงก็ไม่พูดอะไรมาก ยัดตั๋วเงินใส่ตัวของชายแก่
ชาวเหมียว แล้วจูงมือของอีฝูกระโดดขึ้นฝั่งไป ชาย
แก่ชาวเหมียวรีบพูดว่า “พวกเจ้าจะกลับมา
เมื่อไหร่? ข้าจะแวะมาดูบ่อยๆ นะ ข้าจะมารับพวก
เจ้ากลับไป”
“หากพรุ่งนีพ้ วกเรายังไม่กลับมา ก็ไม่ตอ้ งรอแล้ว”
อีฝพู ูด
ชายแก่ชาวเหมียวหยุดชะงักไป เขาคิดแล้วพูดว่า
“หนุ่มน้อย พอพวกเจ้าไปถึงเขาซีซานแล้ว ต้อง
ระวังตัวให้มากนะ ทางที่ดี...ทางที่ดอี ย่าให้ใครรู้ว่า
เจ้าเป็นชาวฮั่นนะ”
“ทำไมล่ะ?” ฉีหนิงถาม
ชายแก่ชาวเหมียวพูดว่า “ที่จริงก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มี
เรื่องอะไร แต่ว่าตั้งแต่เมื่อปลายปีก่อน ถ้ำเหมียวที่
เขาซีซานระวังชาวฮั่นมาก ขอแค่มีคนชาวฮั่นเข้า
ใกล้เขาซีซาน ชาวเหมียวที่นั่นก็จะจับตามองไม่
ปล่อยเลย เพราะฉะนั้น...เฮ้อ เพราะฉะนั้นพวกเจ้าก็
ระวังตัวด้วยนะ แต่วา่ มีแม่นางอีฝูอยู่ พวกเขาน่าจะ
ไม่กล้าหาเรื่องเจ้าหรอก” เขาไม่พูดอะไรมากอีก
เขาหันไปพยักหน้าให้ฉหี นิง จากนั้นก็พายเรือ
ออกไป
ฉีหนิงเหมือนใช้ความคิด อีฝูอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาว่า
“ที่จริง...ที่จริงเจ้าจะไม่ไปก็ได้นะ เอาอย่างนี้เจ้ารอ
ข้าอยูท่ ี่นี่ ข้า...”
“เจ้าคิดจะทิ้งข้าหรือ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
คิดจะทิ้งข้าแล้วหนีไปคนเดียวใช่หรือไม่? ไม่ได้นะ
คนสวยๆ แบบนี้ ข้าจะปล่อยให้หลุดมือไปได้
อย่างไร”
อีฝูทั้งขำทั้งโกรธ แต่นางก็รู้ว่าฉีหนิงเป็นห่วงนาง แต่
ว่านางก็ยังสงสัยอยู่ดี นางถามว่า “เจ้าบอกข้ามา
เจ้าเป็นใครกันแน่ ห้ามล้อเล่น เจ้ารับปากได้หรือไม่
ที่เจ้าจะไปที่ถำ้ กับข้า ไม่ได้...ไม่ได้มีเจตนาอย่าง
อื่น?”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าหลอกใช้เจ้า
เพื่อเข้าหาท่านเหมียวอ๋องหรือ?”
“ข้า...” อีฝูได้ยินน้ำเสียงของฉีหนิงเหมือนไม่พอใจ
ก็รู้ว่าที่นางสงสัยทำให้ฉหี นิงไม่พอใจมาก นางถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ข้าเคยคิดแบบนั้น แต่ว่า...แต่ว่า
ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่คนเลว”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ชาวฮั่นอย่าง
พวกเรามีคำพูดหนึ่งที่วา่ แต่งกับไก่ก็ต้องเป็นไก่
แต่งกับหมาก็ต้องเป็นหมา ข้าจะเป็นคนดีหรือคน
เลว ไม่สำคัญเลย สำคัญที่ว่าต่อให้ข้าเป็นคนเลวจริง
เจ้าก็ต้องเป็นเมียของคนเลวอย่างข้า ทำเรื่องเลวๆ
เหมือนข้า” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้า
วางใจได้ ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายกับชาวเหมียว ช้าเร็ว
เจ้าก็จะรู้ว่าข้าเป็นใคร แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ข้าคือ
น้องชายคนรักที่สนิททีส่ ุดของเจ้า อีกอย่างเจ้าเองก็
ประเมินข้าสูงไป ต่อให้ข้าจะเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ หาก
คิดร้ายกับท่านเหมียวอ๋องจริง ก็ไม่กล้าจะมาเข้าถ้ำ
เสือคนเดียวแบบนี้หรอก มันรนหาที่ตายชัดๆ เลย
จริงหรือไม่?”
อีฝูรวู้ ่าที่ฉีหนิงพูดไม่ผิดเลย เห็นฉีหนิงยิ้ม ก็รู้วา่ นาง
น่าจะเข้าใจเขาผิด นางพูดว่า “ข้า...ข้าไม่ดีเอง คิด
มากไป เจ้าอย่าใส่ใจเลยนะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่เจ้าไม่ดี แม้แต่น้องชายคน
รักของเจ้าเองเจ้ายังไม่เชื่อใจเลย เจ้าว่า เจ้าควรถูก
ทำโทษหรือไม่?”
“ทำโทษข้าหรือ?”
ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “ถูกต้อง ข้าเป็นคนถือเอา
ความจริง ยอมรับผิดแค่คำพูดไม่ได้หรอก ต้อง
กระทำด้วย”
“กระทำอะไร?”
ฉีหนิงเข้าไปกระซิบที่ขา้ งหูนางว่า “หากทำงาน
ลุล่วงแล้ว พวกเราหาทีส่ งบๆ แล้วลองท่าที่เจ้าไม่
ยอมทำเมื่อคืนดูสักครั้ง เจ้าไม่เคยลอง ไม่รู้หรอกว่า
บางท่ามันดีแค่ไหน ข้ารับประกันเลยว่าเจ้าจะมี
ความสุขจนล้นเลย...โอ้ย เจ้า...เจ้าเหยียบเท้าข้า...
ผู้หญิงใจร้าย เจ้า...เจ้าใจร้ายมาก...”
อีฝูหน้าแดง แล้วพูดว่า “คนเลวอย่างเจ้า เหยียบให้
ตายไปเลยยิ่งดี ต่อไปถ้าพูดเหลวไหลอีก ข้าจะ
เหยียบแรงกว่านีอ้ ีก” นางหันตัว แล้วเดินไปที่ตาม
ทางขึ้นเขาซีซาน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 367 เรื่องบังเอิญ
ถ้ำเหมียวที่เขาซีซานเป็นสถานที่ชุมนุมของเหล่าชาว
หัวเหมียวของถ้ำซางซุ่ย มีอาคารตั้งอยู่บนเขาอยู่
หลายชั้น ถ้ำเหมียวอาศัยอยู่ใกล้ภูเขา เมื่อมองจาก
ด้านล่าง มันจะเห็นเป็นชั้นๆ บรรยากาศดีมาก
ฉีหนิงกับอีฝูเข้าใกล้เขาซีซานเข้าไปเรื่อยๆ พวกเขา
มองจากไกลๆ แอบคิดในใจว่าโลกนี้มีเสือหลับมังกร
ซ่อนตัวอยู่มากมาย ถ้ำเหมียวนี่ก็อาจจะมียอดฝีมือ
อยู่เยอะ จะประมาทไม่ได้ ตอนนี้เริ่มเย็นแล้ว
หลังจากที่ฝนตก ป่าไม้ใบหญ้าถูกฝนสาด ทำให้มันดู
เขียวชอุ่ม สวยงามมาก
บนเขาซีซานมีถ้ำของชาวหัวเหมียวทั้งหมดหกถ้ำ
ทั้งหกถ้ำถึงแม้จะเป็นส่วนหนึ่งของถ้ำซางซุ่ย แต่ว่า
คนที่อาศัยอยู่ในหกถ้ำ ต่างก็จะเว้นระยะ
ความสัมพันธ์ แต่หากมีเรื่อง ก็จะมารวมตัวกัน แต่
ว่าเวลาปกติก็จะอยู่ใครอยู่มัน อีกทั้งถ้ำแต่ละที่ก็กว่า
จะเดินทางถึงกันก็ต้องใช้เวลาวันหนึ่ง
เหมียวอ๋องอาศัยอยู่ในถ้ำเหมียว มีถ้ำอีกห้าแห่ง
ล้อมรอบ อาศัยอยู่กึ่งกลางของเขาซีซาน
เมื่อมาถึงพื้นที่เขาซีซาน ฉีหนิงก็เริ่มรู้สึกว่ามีชาว
เหมียวเยอะมากขึ้น นานๆ ทีจะเจอชาวฮั่นสักคน
ถึงแม้พวกเขาจะสวมชุดชาวเหมียว แต่หน้าตาของ
อีฝูถือว่าดีมากในหมู่ชาวเหมียว ฉีหนิงเองก็หล่อ
เหลา ชายหนุ่มหญิงสาวแบบนี้เดินอยู่ด้วยกัน
อย่างไรก็สะดุดตา
อีฝูสอบถามที่อยู่ของถ้ำหลักระหว่างทาง ก่อนที่ฟ้า
จะมืด ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงตีนเขา พวก
เขาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นอาคารห้อยอยู่เต็มไปหมด
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “ใคร?” มีชาว
เหมียวหลายคนออกมาจากพุ่มป่าไม้ ในมือต่างถือ
อาวุธ
อีฝูทำความเคารพ แล้วพูดว่า “พวกเรามาขอพบ
ท่านเหมียวอ๋อง รบกวนช่วยไปรายงานให้ที”
“ท่านเหมียวอ๋องมีคำสั่ง ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกถ้ำ
เด็ดขาด” คนๆ หนึ่งพูดขึ้นมา “คนในถ้ำยังออกมา
ไม่ได้เลย คนนอกจะเข้าไปได้อย่างไร”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว “พวกเราเป็นชาวเหมียวเหมือนกัน
คนนอกที่ไหนกัน”
“ก็ไม่แน่นักหรอก” ฟ้าเริ่มมืดแล้ว อีกฝ่ายเห็นฉี
หนิงสวมชุดชาวเหมียว แต่เห็นหน้าไม่ชัด “ชาว
เหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำ ในบรรดานี้ก็มีทั้งดีและไม่ดี
ชาวเหมียวบางคนไม่ใช่คนนอก แต่ก็อาจจะเป็นศัตรู
ได้เหมือนกัน”
ฉีหนิงยังพูดว่า อีฝูกลับยกมือห้ามไว้ นางเดินขึ้น
หน้าไป แล้วหยิบของชิน้ หนึ่งออกมา ฉีหนิงเห็นมัน
เหมือนเป็นสร้อยเส้นหนึ่ง แต่ว่ามันคืออะไร มองไม่
ชัด อีฝูพูดขึ้นว่า “เอาของชิ้นนี้ไปรายงานท่าน
เหมียวอ๋อง หากท่านเหมียวอ๋องไม่ยอมให้พบ พวก
เราจะไปทันที”
อีกฝ่ายมองหน้ากันเอง มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “พวก
เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน” เขาหันไปสั่งว่า “พวกเจ้าเฝ้า
พวกเขาเอาไว้ให้ดี” จากนั้นก็เอาสร้อยเข้าไป
รายงาน
คนที่เหลือถือดาบยืนเฝ้า จ้องพวกเขาสองคนไม่
กะพริบตา เหมือนพวกเขาเป็นนักโทษ
ฉีหนิงเดินเข้าไปใกล้อีฝู แล้วพูดว่า “พี่อีฝู พวกเขา
บอกว่าไม่ให้คนนอกเข้าไป แล้วก็ไม่ให้คนของพวก
เขาออกมา มันหมายความว่าอย่างไร? ถ้ำเหมียวมี
กฎแบบนี้หรือ?”
อีฝูส่ายหน้า “น่าจะเป็นคำสั่งของท่านเหมียวอ๋อง
แต่เหตุใดเป็นแบบนี้ ข้าเองก็ไม่รู้”
ถ้ำซางซุ่ยหลักมีคนอยู่จำนวนมาก ทั่วทั้งเขามีแต่ที่
อยู่อาศัยของชาวเหมียว หากต้องขึ้นเขาไปรายงาน
ไม่ใช่เวลาสั้นๆ พวกเขารออยู่ประมาณราวเกือบครึ่ง
ชั่วยาม ก็ยังไม่มีใครกลับลงมา แต่ว่าฟ้ามืดสนิทแล้ว
ฉีหนิงบิดขี้เกียจ ในใจก็คิดว่าถ้ำซางซุ่ยนี่ตั้งอยู่ริม
แม่น้ำซีซาน เส้นทางภูเขาอันตรายมาก พื้นที่
สลับซับซ้อน คิดอยากจะเข้ามาใกล้ ไม่ง่ายเลย หาก
เขาไม่ได้ใส่ชุดชาวเหมียว อีกทั้งยังมีชาวเหมียวแท้ๆ
อย่างอีฝูอยู่ข้างๆ คิดจะมาที่นี่แทบจะเป็นไปไม่ได้
เลย
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า เหตุใดอีฝูถึงได้ให้เขาเปลี่ยน
เสื้อผ้าเป็นชุดชาวเหมียว
ตอนที่จะข้ามฟาก ชายแก่ชาวเหมียวก็ยังหวังดี
เตือนเขา บอกให้เขาระวังตัวให้ดี ถึงแม้จะไม่ได้พูด
ชัด แต่ฉีหนิงก็รู้ว่า ชาวเหมียวที่นี่มีอคติต่อชาวฮั่น
มาก มองว่าพวกเขาเป็นศัตรู เหมือนจะเริ่มตั้งแต่
ปลายปีที่ผ่านมา
เขาพลันนึกถึงขึ้นมาได้ว่า ซีชวนชื่อสื่อก็ส่งทหารมา
ล้อมเขาเฮยเหยียนไว้เมื่อปลายปีที่ผ่านมาเหมือนกัน
หรือว่าเป็นเพราะเหตุนี้ ทำให้ชาวเหมียวเห็นชาวฮั่น
เป็นศัตรู?
หากเป็นอย่างนั้นจริง มันถือว่าเป็นข่าวร้ายมากๆ
สิ่งที่ฮ่องเต้น้อยกังวลมากที่สุดก็คือเรื่องของถ้ำเฮย
เหยียน จะทำให้ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำเห็นพวก
เราเป็นศัตรู หากเหมียวอ๋องกับถ้ำอื่นเห็นพวกเรา
เป็นศัตรูไปแล้ว ถ้ำอื่นคงไม่ต้องพูดถึง
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า “พวก
เจ้าเดินทางเร็วใช้ได้นี่นา”
ฉีหนิงหันไปมอง เห็นมีคนๆ หนึ่งกำลังเดินมา
ร่างกายของเขากำยำ มีกล้ามเนื้อ ท่ามกลางความ
มืด เห็นเป็นเงาเคลื่อนไหวเท่านั้น คนๆ นั้นมีพัน
แผลเหมือนจะบาดเจ็บ ฉีหนิงมองไปที่หน้าของเขา
ก็ตกใจ “เจ้าเองหรือ? เจ้าคือ...ตันตูกู่?”
คนที่จู่ๆ โผล่มา คือตันตูกู่นั่นเอง
อีฝูเองก็แปลกใจเหมือนกัน ชาวเหมียวหลายคนเดิน
ขึ้นหน้ามา ต่างก็ทำความเคารพ “ตันตูกู่ ท่าน
กลับมาแล้วหรือ?”
ฉีหนิงหางตากระตุก ตันตูกู่พูดว่า “ข้าคือตันตูกู่
เหมียวอ๋องเป็นพ่อของข้า”
ฉีหนิงกับอีฝูต่างก็สะดุ้ง อีฝูขมวดคิ้ว เหมือนกำลัง
คิดอะไรอยู่ นางถามว่า “หรือว่า...หรือว่าเจ้าเป็นลูก
ชายคนรองของท่านเหมียวอ๋องตันอาเป้า?”
“อาเป้าเป็นฉายาที่พวกเขาเรียกข้า” ตันตูกู่ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ชื่อของข้าคือตันตูกู่ แต่ว่าหลายคนรู้จักข้า
ในชื่อของตันอาเป้า ไม่ค่อยรู้ว่าข้าชื่อตันตูกู่”
อีฝูยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าได้ยินชื่อของตันอา
เป้ามานานแล้ว แต่ว่า...พวกเขาบอกว่าเจ้าเป็น
นักรบที่เก่งมากที่สุดในชางซี วันนี้ได้พบ สมคำร่ำ
ลือ”
“ชื่อเสียงหรือจะสู้ความจริง” ตันตูกู่ส่ายหน้าแล้ว
พูดว่า “วันนี้หากไม่ได้พวกเจ้าช่วยไว้ ข้าคงกลับมา
ที่นี่ไม่ได้ จะเรียกว่านักรบได้อย่างไรเล่า” ถึงแม้เขา
จะพูดแบบนี้ แต่ว่าท่าทางของเขายังนิ่ง เหมือน
ไม่ได้สนใจเลยว่าวันนี้เกือบจะถูกฆ่าตายไปแล้ว
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “นักรบไม่ได้หมายถึงต้องมีวร
ยุทธ์สูงอย่างเดียวเท่านั้น ตันตูกู่วันนี้เจ้าออกหน้า
ช่วยเหลือคนอื่น สู้กับศัตรูคนเดียว ทั้งๆ ที่รู้ว่า
อันตราย ความกล้านี้ ไม่ใช่ใครจะมีได้นะ อีกอย่าง
หากสู้กันตัวต่อตัว เจ้าอาจจะไม่แพ้ให้กับพวกนั้นก็
ได้”
ตันตูกู่ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าพูดแบบนี้ ให้เกียรติข้า
เกินไปแล้ว” เขามองไปที่ชาวเหมียวคนหนึ่ง แล้ว
ถามว่า “ไปรายงานท่านเหมียวอ๋องหรือยัง?”
คนๆ นั้นพูดว่า “ไปแล้ว แต่ยังไม่ลงมา”
“ไม่ต้องรอแล้ว” ตันตูกู่พูดว่า “พวกเจ้าสองคนตาม
ข้ามาเถอะ”
อีฝูยิ้มอย่างดีใจ นางพูดว่า “ขอบคุณมากนะตันตูกู่”
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกนะ” ตันตูกู่พูดว่า “ในเมื่อ
เจ้ามาถึงที่นี่แล้ว คนอืน่ ท่านเหมียวอ๋องอาจจะไม่
พบได้ แต่ว่าท่านต้องพบกับเจ้าแน่นอน เพียงแต่ว่า
เจ้าจะเกลี่ยกล่อมท่านเหมียวอ๋องได้หรือไม่ ข้าไม่รู้
นะ”
อีฝูอึ้งไป นางถามว่า “เจ้ารู้หรือว่าข้าเป็นใคร?”
“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าน่าจะเป็นน้องสาวของปาเย่
ลี่” ตันตูกู่พูดว่า “หลังจากท่านจ้าวถ้ำเฮยเหยียนคน
เก่าเสียไป ปาเย่ลี่ที่มีนิสัยสุขุมก็รับสืบทอดตำแหน่ง
จ้าวถ้ำเฮยเหยียน ท่านจ้าวถ้ำเฮยเหยียนคนเก่ามีลูก
ชายและลูกสาว ลูกชายชื่อปาเย่ลี่ ลูกสาวชื่ออีฝู
อายุห่างกันสิบเอ็ดปี” เขายิ้มแล้วพูดว่า “อีฝูแห่งถ้ำ
เฮยเหยียน ถือเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของปาเย่ลี่ เป็นวีร
สตรีที่แข็งแกร่ง ข้าคิดว่าข้าคงเดาไม่ผิดใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงหน้าถอดสี เขาสะดุ้งไป เขามองไปที่อีฝู เขา
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าโลกมันจะเล็กขนาดนี้ เขาเข้า
มาเจอสาวชาวเหมียวคนแรกในซีชวน ก็เป็น
น้องสาวของจ้าวถ้ำเฮยเหยียน
การมาครั้งนี้ เป้าหมายหลักของเขาก็คือตรวจสอบ
เรื่องของถ้ำเฮยเหยียน แต่ตัวเขากลับอยู่กับน้องสาว
ของจ้าวถ้ำหลายวันโดยไม่รู้ตัวเลย
อีฝูพูดว่า “สมแล้วที่เป็นตันตูกู่ ตาดีจริงๆ”
“ไม่ใช่ว่าข้าตาดีอะไรหรอกนะ” ตันตูกู่ถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “เรื่องของถ้ำเฮยเหยียน ทางถ้ำซางซุ่ย
ได้รับข่าวแล้ว พวกเจ้ารีบร้อนข้ามฟากกันมา
ต้องการจะพบท่านเหมียวอ๋อง ในเวลาแบบนี้ คนที่
อยากจะพบท่านเหมียวอ๋องมากที่สุดก็หนีไม่พ้นคน
ของถ้ำเฮยเหยียน อีกทั้งอายุของเจ้าก็เห็นๆ กันอยู่
เดาได้ไม่ยากหรอก” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า
“เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า ถ้ำเฮยเหยียนถูกล้อมปิด
ตายขนาดนั้น เจ้ายังเอาตัวรอดมาได้ถึงเขาซีซาน
ได้”
อีฝูสีหน้าแปลกใจ พูดว่า “ตันตูกู่ในเมื่อเจ้ารู้ที่มา
ของจ้า ก็น่าจะรู้ว่าข้ามาที่นี่ทำไม”
“เจ้าไม่ต้องบอกข้าหรอก” ตันตู่กู่ส่ายหน้า “เมื่อเจ้า
ได้พบท่านเหมียวอ๋อง เจ้าบอกท่านก็พอ” เขามอง
ไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นชาวฮั่น หากไม่ได้มา
กับอีฝู คงมาไม่ถึงที่นี่ ข่าวถ้ำเฮยเหยียนถูกล้อม ชาว
เจ็ดสิบสองถ้ำได้ข่าวกันเกือบหมดแล้ว หลายคนไม่
พอใจมาก”
อีฝูขมวดคิ้ว ตันตูกู่เหมือนจะรู้ว่านางจะพูดอะไร
เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าบอกแล้ว ไม่ต้องพูด
อะไรกับข้า เจ้าเองก็น่าจะเข้าใจดี ท่านเหมียวอ๋อง
ถึงแม้จะเป็นคนของหัวเหมียวของถ้ำซางซุ่ย แต่ว่า
เขาเป็นเหมียวอ๋องของทั้งเจ็ดสิบสองถ้ำ คนทั่วไปไม่
พอใจได้ ใช้ความรู้สึกตัวเองตัดสิน แต่ว่าการ
ตัดสินใจของเหมียวอ๋อง จะต้องยึดผลประโยชน์ของ
เจ็ดสิบสองถ้ำเป็นหลักก่อน”
ในเมื่อฉีหนิงรู้ฐานะของอีฝูแล้ว ก็รู้ว่านางมาที่เขาซี
ซานมาที่นี่เพื่ออะไร
ถ้ำเฮยเหยียนถูกล้อมทุกทาง ตอนนี้พวกเขา
เผชิญหน้ากับการล่มสลาย อีฝูยอมลำบาก มาถึงที่
เขาซีซาน เพื่อพบเหมียวอ๋อง มีเพียงเหตุผลเดียว ก็
เพื่อขอให้ท่านเหมียวอ๋องช่วยเหลือ
ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำ มีเพียงเหมียวอ๋องคนเดียว
เท่านั้นที่เรียกรวมพลได้
ตอนนี้เขาก็พอจะเข้าใจแล้วว่า คนนั้นที่อีฝูถูกพิษ
ของเจ้าเฒ่าประหลาดนั่น ทำไมถึงไม่ลังเลที่จะให้
เขาช่วยนางถอนพิษเลย
บนตัวของอีฝู แบกภาระและความหวังความอยู่รอด
ของคนนับพันที่ถ้ำเฮยเหยียนเอาไว้ เมื่อเทียบกับ
ชีวิตพวกเขาแล้ว อีฝูไม่มีทางรักษาพรหมจรรย์ฆ่าตัว
ตายไปง่ายๆ นางเป็นความหวังเดียวของถ้ำเฮยเห
ยียน หากนางตายกลางทาง ถ้ำเฮยเหยียนก็จะไม่
เหลือความหวังอะไรอีกเลย
แต่ว่าพอตันตูกู่พูดมาแบบนี้ อีฝูฟังแล้วก็ถึงกับขมวด
คิ้ว
ในตอนนี้เอง คนที่ขึ้นเขาไปก็เดินมา เมื่อเห็นตันตูกู่
ก็ทำความเคารพ ตันตูกู่ถามว่า “ท่านเหมียวอ๋องว่า
อย่างไรบ้าง?”
“ท่านเหมียวอ๋องบอกว่าคืนนี้ดึกมากแล้ว ให้พวก
เขาสองคนพักก่อนหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยเข้าพบ”
ชาวเหมียวคนนั้นพูดอย่างมีมารยาท
อีฝูสีหน้าร้อนใจมาก นางกำลังจะพูด ฉีหนิงจับมือ
ของนางเอาไว้แล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านเหมียวอ๋อง
เตรียมการแบบนี้ พวกเราฟังคำสั่งของท่านเหมียว
อ๋องก็แล้วกัน”
ตันตูกู่มองไปที่ฉีหนิง เขายิ้มอย่างชื่นชม แล้วถามว่า
“น้องชาย เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ แต่ว่าข้ายังไม่รู้ชื่อของ
เจ้าเลย”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเขารับสืบทอดตำแหน่งมาได้ไม่นาน
ชื่อของเขาชาวเหมียวคงไม่มีใครรู้หรอก แต่ว่าพอ
นึกได้ว่า ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าเหมียวอ๋องคิดอย่างไร
เขายังเดาทางไม่ได้ เกิดบอกชื่อจริงไป แล้วมีคนรู้ว่า
เขาคือจิ่นอีโหว อาจจะทำให้อีกฝ่ายไม่ไว้ใจสงสัยได้
เหมียวอ๋องคิดอย่างไรกับจิ่นอีโหว ยังจับทางไม่ได้
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าชื่อหลินฉี”
“หลินฉี?” ตันตูกู่ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าจะชื่อหลินฉี
หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ข้าอยากจะเตือนเจ้าสัก
หน่อย อยู่ต่อหน้าเหมียวอ๋อง เจ้าห้ามพูดโกหก
เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นคงไม่ดีกับใครทั้งนั้น” เขาสั่งว่า
“พาพวกเขาสองคนไปพัก ดูแลให้ดีด้วย ห้ามเสีย
มารยาทเด็ดขาด” เขาหันไปยิ้มแล้วพูดกับอีฝูว่า
“พวกเจ้าไปพักกันก่อน พรุ่งนี้เช้าท่านเหมียวอ๋อง
เรียกพบพวกเจ้า ข้าเองก็จะได้เจอพวกเจ้าเช่นกัน”
พูดจบ เขาก็ไม่พูดอะไรอีก เดินขึ้นเขาไปเลย
อีฝูหันไปจ้องฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าไม่ได้ชื่อฉีอู๋หมิง
หรือ? เหตุใดตอนนี้ถึงได้ชื่อหลินฉีเล่า? ถ้าเจอ
เหมียวอ๋องแล้ว ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะชื่ออะไร
อีก?”
ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ข้าเองก็คิดไม่ถึง ว่า
เจ้าจะเป็นน้องสาวของจ้าวถ้ำเฮยเหยียน ตันตูกู่จะ
เป็นลูกชายของเหมียวอ๋อง ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่า
เรื่องบังเอิญมันเป็นอย่างไร”
“เรื่องบังเอิญ?” อีฝูขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เหตุใดพูด
แบบนี้เล่า?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร พวกเราไปพักกัน
ก่อนเถอะ แล้วค่อยคิดกันว่า พรุ่งนี้เจอเหมียวอ๋อง
แล้ว จะต้องรับมืออย่างไรดี”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 368 ร้องทุกข์
ในคืนนั้นทั้งคู่ก็ได้ไปพักตามที่ชาวเหมียวบนเขาซี
ซานได้จัดเตรียมไว้ให้ แต่ว่าพวกเขาสองคนไม่ได้พัก
อยู่ห้องเดียวกัน แต่อยู่ในห้องพักที่เป็นสองชั้น
ชาวเหมียวดูแลพวกเขาอย่างเป็นมิตร ถึงแม้ฉีหนิง
จะไม่ค่อยคุ้นชินกับอาหารของชาวเหมียวเท่าไหร่
แต่ก็ถือได้ว่าสามารถกินเพื่อความอยู่รอดได้
เช้าวันต่อมา หลังจากรับอาหารเช้าแล้ว ก็มีคนมา
เชิญฉีหนิงกับอีฝูไปพบกับท่านเหมียวอ๋อง เมื่อคืน
อีฝูพักอยู่ในถ้ำซางซุ่ย นางคิดอยากให้เช้าเร็วๆ จน
แทบจะไม่ได้นอน เมื่อท่านเหมียวอ๋องเรียกพบ ก็รีบ
พาฉีหนิงไปพบทันที
เมื่อคืนขึ้นเขามาตอนดึก ฉีหนิงมองไม่เห็น
บรรยากาศรอบๆ เลย ตอนนี้พอมองออกไปแล้ว มัน
สดชื่นมาก บ้านไม้มีนับไม่ถ้วนราวกับดวงดาว
เส้นทางขึ้นเขากว้าง เพียงพอที่จะควบม้าได้ บางที่
ยังมีการสร้างสะพานไม้พาดผ่าน บนเขาก็มีหุบเขา
อยู่อีก ตรงนี้มีบ่อน้ำ ใสมากราวกับกระจก ป่าบน
เขาทึบมาก บรรยากาศสวยเกินบรรยาย
เมื่อมาถึงถ้ำใหญ่ถ้ำหนึ่ง ด้านหน้าถ้ำมีคนยืนเฝ้าอยู่
ราวสิบคน คนหน้าสุดสวมชุดกางเกงขายาว คาด
สายคาดเอวต่อไป ดูเรียบง่าย ใบหน้ามีรอยบาก
ร่างกายไม่ได้สูงใหญ่มาก แต่ว่าก็ดูดี
วันนี้เป็นวันที่อีฝูจะได้พบกับเหมียวอ๋อง ดังนั้นฉี
หนิงทำได้แค่ตามอีฝูอยู่ด้านหลังเท่านั้น
หลังจากได้รู้ฐานะที่แท้จริงของอีฝูแล้ว ฉีหนิงมองว่า
การที่อีฝูพบเหมียวอ๋องเป็นเรื่องที่เขาให้ความสำคัญ
มากที่สุดในตอนนี้ หากสามารถฉวยโอกาสเรื่องนี้สืบ
หาความจริงเรื่องถ้ำเฮยเหยียนได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดี
มาก
ชายชาวเหมียวใจดีเห็นอีฝูเดินมา ก็เดินหน้าขึ้น
มาแล้วทำความเคารพ “ข้าคือหลางชาตูลู เป็นลูก
ชายคนโตของเหมียวอ๋อง เจ้าคืออีฝูน้องสาวของ
ปาเย่ลี่จ้าวถ้ำเฮยเหยียนใช่หรือไม่?”
อีฝูทำความเคารพกลับไปแล้วพูดว่า “ข้าคืออีฝู มา
ขอพบท่านเหมียวอ๋อง”
ฉีหนิงมองไปที่หลางชาตูลู ถึงแม้หลางชาตูลูกับตันตู
กู่จะเป็นพี่น้องกัน แต่วา่ หน้าตาของพวกเขาไม่
เหมือนกันเลย เขาดูดุดันกว่าตันตูกู่มาก หลางชาตูลู
ดูสุขุมกว่า และดูมีพิธีรีตองมากกว่า
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดนตรีดังขึ้นมา ฉีหนิงเงย
หน้าไปมอง เห็นหน้าถ้ำใหญ่ มีชายชาวเหมียวสวม
เสื้อแขนสั้นกว่าสิบคนกำลังเป่าขลุ่ยหลู เสียงเพลง
สนุกสนาน แสดงถึงความยินดีในการต้อนรับแขก
ที่มาเยือน ฉีหนิงพอรู้มาบ้างว่า ขลุ่ยหลูเป็นเครื่อง
ดนตรีที่ชาวเหมียวชอบมากที่สุด ที่ไหนมีชาวเหมียว
ที่นั่นก็จะมีขลุ่ยหลู ชายชาวเหมียวทุกคนเป่าขลุ่ย
หลูได้หมด ถึงเวลาสามารถใช้มันในการแสดงหรือ
ขอความรักจากหญิงสาวที่ตัวเองชอบได้
เพียงแต่ฉีหนิงแอบคิดในใจว่า บทเพลงของขลุ่ยหลู
สนุกสนานขนาดนี้ แต่อีฝูกลับไม่ได้มีความสุขขนาด
นั้น
ฉีหนิงไม่รวู้ ่า มันเป็นพิธีต้อนรับแขกของชาวเหมียว
ถึงแม้ถ้ำซางซุ่ยจะมีเหมียวอ๋องอยู่ แต่ถ้ำชาวเหมียว
ทั้งเจ็ดสิบสองถ้ำมีฐานะเท่าเทียมกัน อีฝูเป็น
น้องสาวของจ้าวถ้ำเฮยเหยียน ถือเป็นตัวแทนของ
ถ้ำเฮยเหยียน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขามาที่ถ้ำซาง
ซุ่ย การเป่าขลุ่ยหลู ก็ถือเป็นการให้เกียรติถ้ำเฮยเห
ยียน
หลางชาตูลูเดินนำทางพาพวกเขาสองคนเข้าไปใน
ถ้ำหลัก เมื่อมาถึงหน้าประตู กลับมีชาวเหมียวคน
หนึ่งยื่นมือมาขวางเอาไว้ ฉีหนิงขมวดคิ้ว หลางชา
ตูลูยิ้มแล้วพูดว่า “ภายในถ้ำใหญ่ พกอาวุธไม่ได้ มัน
เป็นกฎที่ท่านเหมียวอ๋องตั้งไว้”
อีฝูไม่พูดอะไรมาก หยิบมีดสั้นที่มีในตัวออกมา ฉี
หนิงลังเล แต่สุดท้ายก็หยิบมีดสั้นของเขาออก
มาแล้วยื่นให้พวกเขาไป หลางชาตูลูเห็นมีดสั้นเล่ม
นั้น ก็พูดว่า “มีดยังไม่ออกจากฝัก แต่ไอเย็นยังแผ่
ออกมาขนาดนี้ เป็นมีดที่ดีจริงๆ”
ฉีหนิงแค่ยิ้ม คิดในใจว่ามีดสั้นนี่พิเศษมาก ไม่ใช่มีด
ทัว่ ไป ไม่ได้เป็นมีดดาบที่ไร้คม แต่ก็เป็นของชั้นดี
หลางชาตูลูเห็นทั้งคู่หยิบอาวุธออกมา ก็พาพวกเขา
สองคนเดินเข้าถ้ำใหญ่ไป
เมื่อเข้ามาภายในถ้ำใหญ่ ฉีหนิงรู้สึกว่าที่นี่โล่งและ
กว้างมาก ตรงหน้าของเขา มีชายแก่นั่งอยู่บนเก้าอี้
ผมขาวโพลน ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่น เมื่อเห็นพวกเขา
สองคนเดินเข้ามาด้านในแล้ว ก็พยักหน้าพร้อม
รอยยิ้ม
ทางด้านซ้ายและขวา มีคนนั่งอยู่อีกราวสิบคน ตันตู
กู่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดทางด้านขวาใกล้กับชาวแก่ผม
ขาว เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ก็เหลือบมามอง แต่
ไม่มีสีหน้าอะไร
ฉีหนิงเดินอยู่ข้างๆ อีฝู แล้วมองมาที่ชายผมขาว
แอบคิดในใจว่าชายแก่คนนี้ก็น่าจะเป็นท่านเหมียว
อ๋องผู้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของเหล่าชาวเหมียว
เจ็ดสิบสองถ้ำ
ท่านเหมียวอ๋องดูแก่กว่าต้นไม้ร้อยปีเสียอีก แต่ว่า
เวลาเขายิ้ม กลับทำให้คนรู้สึกได้ถึงความเมตตาที่มี
อยู่เต็มเปี่ยม อีกทั้งเวลาเขายิ้ม ยังทำให้คนรู้สึก
สบายใจด้วย
อีฝูเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็ทำความเคารพ
“อีฝูจากถ้ำเฮยเหยียนคำนับท่านเหมียวอ๋อง ขอให้
บารมีท่านเทพมนต์ดำคุ้มครองและให้ท่านสุขภาพ
แข็งแรง”
ฉีหนิงเองเห็นพิธีของชาวเหมียวแล้ว เขาเองก็ทำ
ความเคารพตามอีฝู
เหมียวอ๋องพยักหน้า น้ำเสียงของเขาค่อนข้างแก่
แล้ว แต่ว่าพละกำลังไม่น้อยเลย เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เด็กน้อย ข้าเองก็ขอให้เจ้าประสบความสำเร็จและ
ราบรื่นนะ”
ภายในถ้ำกว้างใหญ่มาก สามารถรองรับคนได้มาก
ถึงห้าหกสิบคน ตอนนี้มีประมาณแค่สิบคน เลยทำ
ให้ดูโล่งและกว้างมาก ถึงแม้น้ำเสียงของเหมียวอ๋อง
จะดูแก่ แต่ว่าคำพูดทุกคำของเขาชัดเจนมาก คนที่
อยู่ ณ ที่นั้นก็ได้ยินชัดเจน ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าชาย
แก่คนนี้ดูแข็งแรงจริง อายุน่าจะประมาณเจ็ดสิบ
แล้ว
ถึงแม้เวลาจะนำพาความเยาว์ของเหมียวอ๋องไปแล้ว
แต่ว่าไม่ได้นำพาความฉลาดของเขาไปด้วย
“นั่งลงคุยกัน” เหมียวอ๋องทำมือให้นั่งลง
อีฝูนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น ฉีหนิงเองก็นั่งลงตาม ทุก
คนมองมาที่อีฝูทั้งหมด ฉีหนิงแอบมองไปรอบๆ คิด
ในใจว่าคนพวกนี้น่าจะเป็นบุคคลสำคัญของถ้ำซาง
ซุ่ยแน่นอน
เหมียวอ๋องรู้ที่มาที่ไปของอีฝูดี เขารู้อยู่แล้วว่าวันนี้
อีฝูจะมาพูดเรื่องอะไรบ้าง ถึงแม้เหมียวอ๋องจะรู้ดี
แต่การเจอกันครั้งนี้มันไม่เหมือนเวลาทั่วไป เป็นการ
พบหน้าที่สำคัญมาก ดังนั้นคนสำคัญในถ้ำซางซุ่ย
ทั้งหมดเลยมารวมตัวกันที่นี่ รวมถึงลูกชายของเขา
ทั้งสองคนด้วย
หลางชาตูลูตอนนี้เดินไปนั่งลงด้านหน้าสุดทาง
ด้านซ้าย ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับตันตูกู่
“ท่านเหมียวอ๋อง ข้า...” อีฝูกำลังจะพูด เหมียวอ๋อง
ก็ยกมือขึ้น แล้วมองไปที่ตันตูกู่ ตันตูกู่เคารพพ่อของ
เขามาก เขาพยักหน้า แล้วมองไปที่อีฝู แล้วพูดว่า
“ถ้ำเฮยเหยียนถูกทหารปิดล้อม หลังจากที่พวกเรารู้
เรื่องนี้ ท่านเหมียวอ๋องได้สั่งให้ข้าไปที่จวนชื่อสื่อ
แล้วสอบถามที่มาที่ไปจากท่านเหว่ยชื่อสื่อ ข้าได้พบ
เขาแล้ว และอยู่ที่จวนชื่อสื่ออยู่หลายวัน เพิ่งกลับมา
เมื่อวาน”
ฉีหนิงกับอีฝูถึงได้รู้ว่า เมื่อวานตันตูกู่ไปโผล่อยู่ที่
ท่าเรือ แสดงว่าเพิ่งกลับมา
“เหว่ยชื่อสื่อแจ้งสาเหตุให้กับข้า อีกทั้งยังมีพยาน
ด้วย” ตันตูกู่สีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดว่า
“นายอำเภอตันปาไป๋ถังหลิงพาเจ้าหน้าที่ทางการห้า
คนไปยังถ้ำเฮยเหยียน เพื่อเร่งรัดเรื่องการเสียภาษี
แล้วเกิดมีปากเสียงกับพวกเจ้า จากนั้นก็ปะทะกัน
พวกเจ้าลงมือสังหารไป๋ถังหลิงกับลูกน้องของเขาห้า
คนทั้งหมด แต่ว่าก่อนที่ไป๋ถังหลิงจะเข้าไปในถ้ำของ
พวกเจ้า เหลือลูกน้องเอาไว้ พวกเขาไม่เห็นไป๋ถังห
ลิงกลับออกมา อีกทั้งพวกเจ้ายังส่งคนมาไล่ตาม
สังหารพวกเขาอีก สุดท้ายมีคนหนึ่งรอดออกมาได้”
เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “สังหารขุนนางราชสำนัก ก็
เท่ากับกบฏ เหว่ยชื่อสื่อได้ทำการส่งสารเรียกตัว
ปาเย่ลี่มาชี้แจงเรื่องนี้ที่จวนชื่อสื่อ แต่ปาเย่ลี่ขัด
คำสั่ง เหว่ยชื่อสื่อเลยทำการส่งทหารปิดล้อมถ้ำเฮย
เหยียน”
ตันตูกู่น้ำเสียงเข้ม อีฝูฟังแล้วรู้สึกโกรธมาก แต่ก็
ไม่ได้พูดแทรกตันตูกู่
ตันตูกู่พูดจบ เหมียวอ๋องก็มองไปที่อีฝู เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “เด็กน้อย ที่ตันตูกู่พูดมา เป็นข้อมูลที่ได้มา
จากเหว่ยชื่อสื่อ ข้าอยากจะฟังเรื่องจากปากเจ้า
ด้วย”
ฉีหนิงคิดในใจว่า ที่ซีชวนชื่อสื่อส่งทหารไปล้อมถ้ำ
เฮยเหยียนไว้แต่ยังไม่จู่โจม หรือจะเป็นเพราะตันตูกู่
ตันตูกู่บอกว่าเขาอยู่ที่จวนชื่อสื่อระยะหนึ่ง แสดงว่า
ไม่ได้แค่ต้องการทราบเรื่องราว แต่ว่ายังมีเรื่องอื่น
อีก
ตันตูกู่ไปในฐานะตัวแทนของเหมียวอ๋อง เหมียวอ๋อง
คือตัวแทนของชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำ เหว่ยถงซู
ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร เขาก็ยังต้องไว้หน้าของ
เหมียวอ๋องบ้าง
หากตันตูกู่เกลี่ยกล่อมให้เหว่ยถงซูชะลอการใช้กำลัง
ทหาร เหว่ยถงซูอาจจะทบทวนดูจริงๆ ก็ได้
อีฝูพูดว่า “ท่านเหมียวอ๋อง ทางการบอกว่าถ้ำเฮยเห
ยียนของพวกข้าเลี่ยงภาษี มันไม่ใช่เรื่องจริง ถ้ำเฮย
เหยียนมีสมุนไพรหายากมากมาย อีกทั้งยังมีสัตว์ป่า
หายากหลายชนิดด้วย ในเมื่อพวกมันอยู่ในบริเวณ
ถ้ำเฮยเหยียนของพวกข้า ก็ถือว่าเป็นของพวกข้า”
เหมียวอ๋องพยักหน้า สีหน้านิ่งเรียบ
“ช่วงฤดูใบไม้ผลิของทุกปีสู่อ๋องซื่อจื่อหลี่หยวนจะ
พาคนจำนวนมากมาที่ถ้ำเฮยเหยียนเพื่อล่าสัตว์”
อีฝูพูดว่า “มาแต่ละครั้งก็ไม่น้อยกว่าร้อยคน อีกทั้ง
ล่าสัตว์ทีก็ใช้เวลาหลายวัน ในช่วงนั้น ไม่ว่าจะกินจะ
อยู่ ถ้ำเฮยเหยียนของพวกข้าก็จะเป็นคนจัดหาให้
ตลอด”
ฉีหนิงได้ยินคำว่า “สู่อ๋องซื่อจื่อ” ก็ขมวดคิ้ว
ตอนที่เขาอยู่เมืองหลวง เคยมีปากเสียงกับสู่อ๋อง
ซื่อจื่อหลี่หยวนมาก่อน รู้ว่าสู่อ๋องซื่อจื่อคนนี้ป่า
เถื่อนแค่ไหน ขนาดอยู่ในเมืองหลวง ยังกล้ากำแหง
ขนาดนั้น หากพาคนไปล่าสัตว์ที่ถ้ำเฮยเหยียน ชาว
ถ้ำก็ไม่น่าจะสบายแน่นอน
“หลี่หยวนไม่ยอมใช้ของของชาวเหมียวของพวกข้า
จะกินจะอะไรก็จะให้พวกข้าส่งคนไปซื้อมาจากใน
เมือง แล้วจ้างให้พ่อครัวชาวฮั่นมาทำอาหารให้พวก
เขาโดยเฉพาะ” อีฝูเริ่มมีสีหน้าดุดัน “อีกทั้งพวกเขา
ยังล่าสังหารสัตว์ป่าของพวกเราไปจำนวนมาก ยังสั่ง
ให้พวกข้าส่งคนไปเก็บสมุนไพรหายากให้พวกเขานำ
กลับไปอีก ทุกครั้งพวกเราเสียค่าใช้จ่ายไปจำนวน
มาก มากกว่าภาษีที่พวกเราต้องจ่ายเสียอีก หลี่
หยวนบอกพวกเราว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมด สามารถถือ
เป็นภาษีที่ต้องจ่าย แต่ว่าถึงเวลาเจ้าหน้าที่ทางการก็
ยังส่งคนมาเรียกเก็บภาษีกับพวกเราอยู่ดี”
ก่อนหน้านี้ฉีหนิงสงสัยมาก คิดว่าถ้ำเฮยเหยียนคิด
ว่าตัวเองมีสัมพันธ์ที่ดีกับจวนจิ่นอีโหว เห็นจวนจิ่นอี
โหวเป็นที่พึ่งหลักตั้งใจไม่เสียภาษีจริง ตอนนี้ได้ฟัง
สาเหตุที่มาที่ไปแล้ว ถึงได้รู้ว่าถ้ำเฮยเหยียนถูกใส่
ร้าย
หลางชาตูลูพูดอย่างโมโหว่า “ท่านเหมียวอ๋อง หลี่
หยวนเที่ยวก่อความวุ่นวายไปทั่ว เรื่องที่เขาพาคน
ไปล่าสัตว์ที่ถ้ำเฮยเหยียน ข้ารู้ดี...”
เหมียวอ๋องขมวดคิ้ว สีหน้านิ่งไป แล้วพูดว่า “หลาง
ชาตูลู เจ้าไม่ต้องรีบร้อนพูด ฟังคนอื่นพูดให้จบ
ก่อน”
หลางชาตูลูเหมือนจะหวาดกลัวเหมียวอ๋องมาก เขา
หุบปากทันที
“เด็กน้อย ถ้าอย่างนั้น ตอนที่นายอำเภอไป๋ไปหา
พวกเจ้า พวกเจ้าสามารถอธิบายให้เขาได้ ไม่ก็ไปหา
เหว่ยชื่อสื่อได้นี่นา” เหมียวอ๋องมองไปที่อีฝู แล้วพูด
ว่า “แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงได้เกิดการปะทะกับ
เจ้าหน้าที่ทางการได้เล่า อีกทั้งยังสังหารพวกเขา
ด้วย? ปาเย่ลี่ไม่ใช่คนวู่วาม อะไรทำให้เขาโกรธจน
ขาดสติขนาดนี้ได้?”
“ท่านเหมียวอ๋อง เรื่องไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย?” อีฝู
กำหมัดแน่น “พวกเราไม่ได้ฆ่าเจ้าหน้าที่ทางการ
นายอำเภอไป๋มาหาพวกเราที่ถ้ำเฮยเหยียน พวกเรา
พี่น้องก็ต้อนรับเขาอย่างดี อีกทั้งยังอธิบายทุกอย่าง
ให้เขาฟัง นายอำเภอไป๋เองก็ไม่โทษพี่ใหญ่ ทั้งยัง
บอกว่าเรื่องของหลี่หยวน พี่ใหญ่สามารถเขียนชี้แจง
เรื่องนี้ได้ เขาจะนำกลับไปให้กับเหว่ยชื่อสื่อเอง”
“อีฝู อยู่ต่อหน้าเหมียวอ๋อง ห้ามพูดโกหกนะ” ชาย
เหมียวคนหนึ่งอายุราวห้าสิบปีพูดขึ้นมาว่า
“นายอำเภอไป๋เข้าไปในถ้ำเฮยเหยียน แล้วไม่ได้
กลับมาอีกเลย หรือว่าเรื่องนี้ไม่จริง?”
อีฝูส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
นายอำเภอไป๋กับลูกน้องของเขาไม่ได้ออกจากถ้ำ
เฮยเหยียน เพราะพวกเขาเกือบจะตายอยู่ที่ถ้ำเฮย
เหยียน”
“ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าก็สังหารขุนนางราชสำนักจริง
ล่ะสิ?” ชาวเหมียวคนนั้นพูด “ท่านเหมียวอ๋องพูด
อยู่เสมอ จะต้องไปมาหาสู่กับชาวฮั่นอย่างสงบ ห้าม
ก่อเรื่องเด็ดขาด พวกเจ้ากลับสังหารเจ้าหน้าที่
ทางการก่อกบฏ ตอนนี้ยังมีหน้ามาขอให้ท่านเหมียว
อ๋องช่วยอีก หรือว่าคิดอยากให้ชาวเหมียวของพวก
ข้าเข้าไปเดือดร้อนด้วยอย่างนั้นหรือ?”
อีฝูส่ายหน้า “เจ้าหน้าที่ทางการตาย ไม่เพียงไม่ใช่
พวกเราที่สังหาร พวกเขาใส่ร้ายพวกเรา เพราะว่า...
นายอำเภอไป๋ยังไม่ตาย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 369 ความจริง
พออีฝูพูดแบบนี้มา ทุกคนต่างก็ตกใจ แม้แต่ฉีหนิง
เองก็ตกใจเช่นกัน
ทุกคนรู้ว่า เรื่องของถ้ำเฮยเหยียน เกิดมาจาก
นายอำเภอตันปาไป๋ถังหลิงถูกคนของถ้ำเฮยเหยียน
สังหาร แต่ว่าอีฝูบอกว่านายอำเภอไป๋ถังหลิงยังไม่
ตาย ข่าวเรื่องนี้ถือว่าเหมือนฟ้าผ่าลงมาอย่างแรง
ทุกคนอึ้งไปหมด
“เจ้าว่าอะไรนะ?” หลางชาตูลูได้สติ เขาลุกขึ้นแล้ว
พูดว่า “เจ้าบอกว่า...เจ้าบอกว่าไป๋ถังหลิงยังมีชีวิต
อยู่หรือ? เขายังไม่ตาย?”
อีฝูยิ้มเจื่อน “มีคนอยากให้เขาตายจริง แต่ว่าตอนนี้
เขายังอยู่สบายดี”
ทุกคนมองหน้ากัน ฉีหนิงเริ่มงง เหมียวอ๋องเอ่ยปาก
ถามว่า “เด็กน้อย เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่?”
อีฝูพูดว่า “ท่านเหมียวอ๋อง นายอำเภอไป๋เป็นขุน
นางดี หลังจากที่พี่ใหญ่เล่าที่มาที่ไปให้เขาฟังแล้ว ก็
เขียนจดหมายชี้แจงมอบให้นายอำเภอไป๋ เพื่อให้เขา
นำไปมอบให้กับเหว่ยชื่อสื่อ พี่ใหญ่ก็เดินไปส่งพวก
เขาที่ปากทางถ้ำด้วยตัวเอง อีกทั้งยังจัดคนคุ้มกัน
พวกเขาออกจากหุบเขาเฮยเหยียนด้วย แต่ว่ายังไม่
ทันจะออกจากหุบเขาเฮยเหยียน ก็ถูกคนลอบโจมตี
คนที่คุ้มกันไปรีบส่งสัญญาณ พี่ใหญ่รีบส่งคนไปช่วย
พอไปถึงที่เกิดเหตุ นายอำเภอไป๋กับทหารคุ้มกันที่
พวกเราส่งไปก็นอนกองอยู่ที่พื้นแล้ว...”
ทุกคนตายหมด
“ทั้งหมดมีด้วยกันสิบเอ็ดคน เดิมทีพวกเราคิดว่าถูก
ฆ่าตายจนหมด แต่ว่านายอำเภอไป๋กับพี่น้องที่ตาม
ไปคุ้มกันคนหนึ่งของพวกเรารอดมาได้ เพียงแต่
บาดเจ็บเท่านั้น” อีฝูพูดต่อว่า “อาจเป็นไปได้ว่า
พวกเราตามไปได้ทันเวลา คนพวกนั้นก็เลยไม่กล้า
อยู่ต่อ นายอำเภอไป๋ก็เลยรอดมาได้ แต่ว่าเขา
บาดเจ็บสาหัส พวกเราช่วยชีวิตเขาอยู่สามวันสาม
คืน ถึงได้ช่วยเขาเอาไว้ได้”
ตันตูกู่ขมวดคิ้ว “ในเมื่อนายอำเภอไป๋ยังมีชีวิตอยู่
แล้วเหตุใดชื่อสื่อยังสั่งทหารไปอีกเล่า? นายอำเภอ
ไป๋ไม่ช่วยเป็นพยานให้พวกเจ้าหรือ?”
อีฝูพูดว่า “พี่ใหญ่รู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ เดาว่าคน
ที่คิดจะสังหารนายอำเภอไป๋เพื่อจะใส่ร้ายถ้ำเฮยเห
ยียน ดังนั้นตอนที่นายอำเภอไป๋พักรักษาตัว เลยให้
คนคุ้มกันอย่างแน่นหนา อีกทั้งยังต้องใจวาง
หลุมพราง ปลอมตัวเป็นนายอำเภอไป๋ พี่ใหญ่ก็เดา
ไม่ผิดเลย หลังจากนั้นก็มีคนบุกเข้าถ้ำเฮยเหยียน
คิดจะฆ่าปิดปากนายอำเภอไป๋จริงๆ...”
“แล้วจับนักฆ่าพวกนั้นได้หรือไม่?” หลางชาตูลูรีบ
ถาม
อีฝูส่ายหัว “ถึงแม้พวกเราจะจับตัวเขาได้ แต่ว่านัก
ฆ่าพวกนั้นเป็นนักฆ่าเดนตาย หลังจากที่พวกเขารู้ว่า
เสียท่าให้พวกเราแล้ว ก็ฆ่าตัวตายทันที...”
ฉีหนิงตะลึงไป คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะกลายเป็น
แบบนี้ไปได้
“หลังจากเกิดเรื่อง ด้านนอกจะเริ่มมีข่าวนายอำเภอ
ไป๋กับเจ้าหน้าที่ทางการถูกถ้ำเฮยเหยียนของพวก
เราสังหารทั้งหมด” อีฝูพูดว่า “ถึงแม้พี่ใหญ่จะรู้ แต่
ก็ไม่ได้สนใจมากนัก เขาตั้งใจรักษาอาการให้
นายอำเภอไป๋ เพื่อให้นายอำเภอไป๋เป็นพยานให้
พวกเราด้วยตัวเอง พวกเราถ้ำเฮยเหยียนถึงได้
พิสูจน์ความจริงได้”
เหมียวอ๋องพยักหน้า “ถูกต้อง นายอำเภอไป๋คือหนึ่ง
ในคนที่อยู่ในเหตุการณ์ หากเขามีชีวิตอยู่ อีกทั้ง
ออกหน้าล้างมลทินให้พวกเจ้า ความเข้าใจผิด
ทั้งหลายก็จะคลี่คลายลง”
ตันตูกู่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แล้วเหตุใดตั้งแต่เกิด
เรื่อง จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว ทหารปิด
ล้อมพวกเจ้ามาก็นาน นายอำเภอไป๋ถึงยังไม่ออกมา
สักที?” เขาหยุดไป แล้วถามอีกว่า “หรือว่าพวกเจ้า
ไม่ได้ส่งคนไปแจ้งข่าวให้เหว่ยชื่อสื่อทราบเรื่อง?”
“นี่ก็คือสิ่งที่ข้ากำลังจะบอก” อีฝูพูด “หลังเกิดเรื่อง
แค่วันเดียวเท่านั้น ก็มีข่าวเรื่องที่พวกเราสังหารขุน
นางเพื่อก่อกบฏ ตอนนั้นพวกเรากำลังพยายาม
ช่วยชีวิตของนายอำเภอไป๋อยู่เลย พี่ใหญ่กังวลว่าจะ
ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ก็เลยเขียนจดหมายฉบับ
หนึ่ง ส่งม้าเร็วไปยังจวนชื่อสื่อ เพื่อรายงาน
ข้อเท็จจริง”
เหมียวอ๋องถามว่า “เหว่ยชื่อสื่อได้รับจดหมายจาก
พวกเจ้าหรือไม่?”
“พี่น้องท่พวกเราส่งไปไม่มีใครกลับมาเลย” อีฝูสี
หน้าเคร่งเครียดมาก “พี่ใหญ่ไม่แน่ใจว่าเหว่ยถงซู
ได้รับจดหมายชี้แจงจากพวกเราแล้วหรือไม่ แต่ว่า
หลังจากที่ส่งจดหมายออกไปแล้ว ก็มีนักฆ่าบุกมา
สังหารนายอำเภอไป๋ในถ้ำเฮยเหยียน”
ตันตูกู่พูดว่า “จดหมายของพวกเจ้า ทำให้คนรู้ว่าไป๋
ถังหลิงยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นก็เลยส่งนักฆ่ามาอีก” เขา
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น จดหมายนั่น
เหว่ยถงซูยังไม่ได้รับล่ะสิ”
หลางชาตูลูยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “มันก็ไม่แน่หรอก”
เหมียวอ๋องยังนิ่งอยู่ เขาถามว่า “พวกเจ้ายังส่งคนไป
อีกหรือไม่?”
“พวกเราส่งคนไปทั้งหมดสองครั้ง แต่ไม่กลับมาเลย
สักคนเดียว” อีฝูพูดว่า “พี่ใหญ่รู้สถานการณ์ที่
เกิดขึ้นดี เลยคิดว่ารอนายอำเภอไป๋หายดี ค่อยพา
เขาไปพบเหว่ยถงซูด้วยตัวเอง แต่ว่านายอำเภอไป๋
บาดเจ็บสาหัสมาก ต้องใช้เวลาในการรักษาตัวนาน
พอสมควร ตอนนี้ยังลงจากเตียงไม่ได้เลย อาการ
ของนายอำเภอไป๋ยังไม่หายดี เหว่ยถงซูก็นำกำลัง
ทหารมาปิดล้อมพวกเราไว้แล้ว ยังส่งคนมาแจ้งว่า
ให้พี่ใหญ่ไปชี้แจงด้วยตัวเอง”
“ปาเย่ลี่ไม่ได้ไป?” ตันตูกู่ถาม
อีฝูส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่รู้สึกว่าเรื่องนี้ตั้งแต่
ต้นจนถึงตอนนี้มีแต่เงื่อนงำเต็มไปหมด หากเขาไป
อาจจะตกหลุมพรางได้”
“ปาเย่ลี่สงสัยว่าที่ไป๋ถังหลิงถูกลอบสังหารเกี่ยวข้อง
กับเหว่ยถงซูหรือ?” หลางชาตูลูถาม
เหมียวอ๋องขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร อีฝูพูดว่า
“เรื่องจริงเป็นมาอย่างไร เหว่ยถงซูจะเกี่ยวข้องกับ
เรื่องนี้หรือไม่ พี่ใหญ่ก็ไม่แน่ใจ แต่รู้แค่ว่าไม่ควร
ไว้ใจพวกเขาง่ายๆ พี่ใหญ่ส่งคนไปแจ้งว่า ให้ทาง
เหว่ยชื่อสื่อส่งคนมาในถ้ำ ถ้าเขามาเห็นนายอำเภอ
ไป๋ พวกเขาก็จะได้รู้ความจริง แต่ว่าเหว่ยถงซูกลับ
ไม่ส่งใครมาเลย อีกทั้งยังบอกว่าพวกเราก่อกบฏ
ด้วย บอกแค่ว่าให้จ้าวถ้ำของพวกเราลงมาชี้แจง
ด้วยตัวเองเท่านั้น จะไม่มีการส่งเจ้าหน้าที่ทางการ
เข้ามาในถ้ำเด็ดขาด”
เหมียวอ๋องเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา “ดังนั้นถ้ำ
เฮยเหยียนกับทหาร ไม่มีใครยอมส่งใครไปก่อน
เลย?”
อีฝูพูดว่า “พี่ใหญ่ส่งทหารยิงธนูส่งสารไปหลายครั้ง
ในจดหมายแจ้งไปว่านายอำเภอไป๋ยังไม่ตาย ทหาร
พวกนั้นได้จดหมายไปแล้ว แต่ว่าเหว่ยถงซูกลับไม่
สนใจเรื่องนี้เลย เอาแต่ส่งคนมาตะโกนให้พี่ใหญ่
ออกจากถ้ำ”
ตอนนี้ฉีหนิงคิดไปไกลมาก สิ่งที่อีฝูพูดกับเหมียวอ๋อง
น่าจะไม่ใช่เรื่องโกหก หากทุกอย่างที่พูดมาเป็นเรื่อง
จริงทั้งหมด เรื่องของถ้ำเฮยเหยียนมีเบื้องหลัง
แน่นอน
ไป๋ถังหลิงถูกลอบสังหาร เป้าหมายของอีกฝ่ายคือ
การใส่ร้ายถ้ำเฮยเหยียน ถ้ำเฮยเหยียนส่งคนไปส่ง
สารถึงสองครั้ง แต่ไปแล้วไม่กลับมาเลย จดหมาย
ตกอยู่ในมือของใครกันแน่? ไปถึงมือของเหว่ยถงซู
แล้ว หรือว่าใครชิงเอาไปแล้ว?
หากเหว่ยถงซูเห็นจดหมายแล้ว ในฐานะขุนนางใหญ่
ของชายแดน ต่อให้ไม่ไปพิสูจน์หลักฐานด้วยตัวเอง
ก็ควรจะส่งคนไป
แต่ในความเป็นจริงเหว่ยถงซูไม่ได้เข้าใกล้ถ้ำเฮยเห
ยียนเลย อีกทั้งยังส่งทหารไปปิดล้อมถ้ำเฮยเหยียน
ด้วย
ถ้ำเฮยเหยียนยิงธนูออกไปให้หลายครั้ง ในสารบอก
ว่าไป๋ถังหลิงยังมีชีวิตอยู่ แต่ปฏิกิรยิ าของเหว่ยถงซู
มันไม่ปกติเลย
อย่างน้อยในฎีกาที่ส่งไปในเมืองหลวง ไม่ได้พูดถึง
นายอำเภอไป๋ถังหลิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุกคน
เข้าใจว่าไป๋ถังหลิงถูกสังหารไปแล้ว
หากบอกว่าเหว่ยถงซูตั้งใจปิดบัง เป้าหมายของเขา
เพื่อกำจัดถ้ำเฮยเหยียน แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้มัน
ก็ไม่น่าจะใช่
เป้าหมายการปิดล้อมถ้ำเฮยเหยียน ก็คือตัดขาดการ
ติดต่อจากโลกภายนอก สุดท้ายก็กำจัดถ้ำเฮยเห
ยียน แต่ว่าตอนนี้ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การโจมตี
ถ้ำเฮยเหยียนมาก แต่ว่าเขาก็ไม่ลงมือ
ฉีหนิงขมวดคิ้ว หวังว่าเบาะแสที่เขาได้มาจะสามารถ
ทำให้เขาเชื่อมโยงอะไรได้บ้าง
“หากไป๋ถังหลิงยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเช่นนั้นเรื่องถ้ำเฮยเห
ยียนก่อกบฏก็อธิบายได้” ตันตูกู่พูดว่า “เหมียวอ๋อง
ข้าสามารถไปพบเหว่ยชือ่ สื่อ แล้วอธิบายเรื่องนี้อีก
ครั้ง”
“อธิบายกับพวกเขา?” หลางชาตูลูยิ้มเจื่อน “ตันตูกู่
เจ้าไปหาเขาครั้งนี้ เขาพูดถึงเรื่องไป๋ถังหลิงไม่ตาย
หรือไม่?”
ตันตูกู่ลังเล แล้วก็ส่ายหน้า
หลางชาตูลูยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “เรื่องมันชัดขนาดนี้
แล้ว เรื่องนี้อย่างไรก็เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ทางการ
แน่ ไป๋ถังหลิงถูกลอบฆ่า อาจจะเป็นการแสดงละคร
ของพวกเจ้าหน้าที่ก็ได้”
“ไม่มีหลักฐาน ห้ามพูดเหลวไหล” สีหน้าเหมียวอ๋อง
ไม่พอใจมาก
หลางชาตูลูพูดว่า “ท่านเหมียวอ๋อง ข้ารู้ว่าพูดอย่าง
นี้ไม่สมควร แต่จะไม่พูดก็ไม่ได้ เหว่ยถงซูรู้ทั้งรู้ว่าไป๋
ถังหลิงยังไม่ตาย แต่กลับส่งทหารมาปิดล้อมถ้ำเฮย
เหยียนอีก เขาคิดจะทำอะไรกันแน่? ถ้ำเฮยเหยียน
เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองถ้ำของพวกเรา เหตุใด
เหว่ยถงซูถึงได้คิดจะเล่นงานชาวเหมียวแค่ถ้ำเดียว
เล่า?”
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร?” เหมียวอ๋องพูดว่า
หลางชาตูลูพูดว่า “ก็ไม่อยากห้พวกเราชาวเหมียวมี
ชีวิตที่ดีอย่างไรเล่า วางหลุมพราง หาเหตุผล ลงมือ
กับถ้ำเฮยเหยียน เพียงแต่ว่าพวกเขาคิดไม่ถึงว่าไป๋
ถังหลิงยังไม่ตายแค่นั้น ไม่เช่นนั้นถ้ำเฮยเหยียนจะ
แก้ต่างอย่างไรก็ไม่ได้” เขามองไปที่อีฝู แล้วพูดว่า
“ครั้งนี้อีฝูฝ่าออกมาแจ้งข่าวกับพวกเรา ไม่มีใครรู้ว่า
ไป๋ถังหลิงยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนเข้าใจว่าถ้ำเฮยเหยียน
สังหารขุนนางราชสำนัก ถึงถูกทหารล้อม”
ตันตูกู่พูดว่า “เหว่ยถงซูรับตำแหน่งซีชวนชื่อสื่อมา
นานหลายปี อยู่กับพวกเราอย่างสงบมาโดยตลอด
แล้วเหตุใดเขาถึงได้เปลี่ยนมาลอบกัดพวกเราได้เล่า?
หรือว่าเขาหวังว่าให้พื้นที่ของเขาเกิดความวุ่นวาย
ขึ้น? หลางชาตูลูที่เจ้าพูด มันไม่มีเหตุผลเลย”
“เรื่องมันก็เห็นกันอยู่ เจ้าบอกว่าข้าพูดไม่มี
เหตุผล?” หลางชาตูลูยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “เขารู้ทั้งรู้
ว่าไป๋ถังหลิงยังไม่ตาย ยังคิดจะโจมตีถ้ำเฮยเหยียน
อีก หรือว่าไม่จริง? ชาวฮั่นเจ้าเล่ห์มาก เขาคิดอะไร
อยู่ หรือว่าเจ้าเดาไม่ออก? ไม่แน่พวกเขาอาจจะคิด
กำจัดพวกเราชาวเหมียวอยู่แล้วก็ได้ ก่อนหน้านี้ก็แค่
แสดงละคร เพื่อให้พวกเราตายใจ จากนั้นก็ค่อยๆ
ลงมือกับพวกเรา การโจมตีถ้ำเฮยเหยียน อาจจะ
เป็นการหยั่งเชิงก็ได้ ว่าชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำมี
ปฏิกิริยาอะไรบ้าง”
“หากเขาคิดจะโจมตีถ้ำเฮยเหยียน เหตุใดถึงไม่ลง
มือสักทีเล่า?” ตันตูกู่เริ่มเสียงดังขึ้นมา
หลางชาตูลูกำหมัดแล้วพูดว่า “ข้าก็บอกแล้ว เขาก็
แค่หยั่งเชิง เขาตั้งใจรอ หากชาวเหมียวไม่มีปฏิกิริยา
อะไร เขาก็จะกำจัดถ้ำเฮยเหยียนทิ้ง หากมีปฏิกิริยา
เขาก็จะได้ดูว่ามีถ้ำเหมียวไหนบ้างที่แทรกแซงเรื่องนี้
หากว่าน้อย เขาก็หาข้ออ้างกำจัดไปที่ละถ้ำ”
ชาวเหมียวกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นมองหน้ากัน มีคน
ไม่น้อยที่คิดว่าสิ่งที่หลางชาตูลูพูดนั้นใช่ว่าจะไม่มี
เหตุผล มีคนพยักหน้าเห็นด้วย
“ท่านเหมียวอ๋อง หากพวกเรายังรออยู่แบบนี้
เหว่ยถงซูก็จะยิ่งกำแหงเข้าไปใหญ่ ไม่นานเขาก็จะ
โจมตีถ้ำเฮยเหยียน” หลางชาตูลูพูดว่า “พวกเรา
ต้องรีบรวบรวมกำลังพล ทำแบบนี้เหว่ยถงซูกจ็ ะ
กลัว ไม่กล้าทำอะไร ขอแค่พวกเขาไม่ทำอะไร พวก
เราก็สามารถพาไป๋ถังหลิงไปอธิบายกับเขาได้” เขา
กำหมัดแล้วพูดว่า “ขอแค่พวกเรามีกำลังมากพอ
เขาถึงจะยอมคุยกับพวกเรา”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 370 เสียงร่ำไห้ยามค่ำคืน
ตันตูก่พูดเสียงเข้ม “หลางชาตูลู หลายปีที่ผ่านมา
พวกเราชาวเหมียวกับชาวฮั่นอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
มาโดยตลอด เจ้ารู้หรือไม่หากรวบรวมกำลังพลของ
ถ้ำทั้งหมด มันจะมีผลอย่างไรบ้าง?”
หลางชาตูลูย้อนถามกลับไปว่า “แล้วเจ้าจะรู้ได้
อย่างไร ว่าถ้ำของพวกเราไม่ทำอะไรเลย ไม่
ช่วยเหลือถ้ำเฮยเหยียนในครั้งนี้ มันจะมีผลอย่างไร
บ้าง” เขาเดินหน้าขึ้นไป แล้วพูดว่า “ทุกการกระทำ
ของชาวถ้ำซางซุ่ยก็เหมือนเป็นสิ่งที่ตัดสินใจชะตา
ชีวิตของชาวเหมียวอย่างพวกเรา ตอนนี้พวกเรารู้
แล้วว่าชาวถ้ำเฮยเหยียนถูกใส่ร้าย กลับนิ่งดูดาย
แล้วชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำจะมองพวกเรา
อย่างไร?”
“ถูกต้อง ท่านเหมียวอ๋อง อีฝูเล่าความจริงทุกอย่าง
ให้พวกเราฟังแล้ว เรื่องนี้ชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับ
ทางการ พวกเขาเล่นแง่กับพวกเราก่อน หรือว่าพวก
เราจะรอให้พวกเขาสังหารถ้ำเฮยเหยียนไปจนหมด
ก่อนแล้วถึงจะทำอะไร?” ชาวเหมียวคนหนึ่งพูดด้วย
ความโกรธ “พวกเราต้องรีบส่งทหารของพวกเรา
ออกไปช่วยถ้ำเฮยเหยียน”
“ท่านเหมียวอ๋อง หลางชาตูลูพูดถูก หากพวกเราไม่
ทำอะไรไปบ้าง เหว่ยถงซูจะต้องคิดว่าพวกเราชาว
เหมียวรังแกกันง่ายๆ แน่” อีกคนก็พูดขึ้นมาว่า “มี
เพียงพวกเรากองกำลังของพวกเราเข้าข่ม เหว่ยถงซู
ถึงจะยอมฟังพวกเรา ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยให้
ปาเย่ลี่พาไป๋ถังหลิงออกไป แบบนี้เหว่ยถงซูจะได้ไม่
มีข้ออ้างอะไรอีก”
อีกคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “เหว่ยถงซูวางแผนให้พวก
เราตกหลุมพราง พวกเรายังสามารถพาไป๋ถังหลิง
เข้าเมืองหลวงเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้ ให้ฝ่าบาทออกหน้า
ให้พวกเรา”
ทุกคนเริ่มเสนอความเห็นกันมากขึ้น แต่ฉีหนิงกลับ
มองแต่เหมียวอ๋อง ที่ไม่พูดอะไรเลย
ตอนนี้เขาเห็นแล้วว่า หลางชาตูลูกับตันตูกู่นั้น
ความเห็นไม่ตรงกัน หลางชาตูลูกู่ถึงแม้จะมีรูปร่าง
เล็กกว่าตันตูกู่ แต่ว่าเป็นคนอารมณ์ร้อน คิดแต่จะ
รวบรวมกำลังพลของชาวเหมียว แล้วใช้กำลังทหาร
ในการบีบบังคับเหว่ยถงซูมาเจรจา ส่วนตันตูกู่กลับ
ดูสุขุมมากกว่า และไม่เห็นด้วยในการใช้กำลังทหาร
ในบรรดาชาวเหมียวกว่าสิบคน เหมือนทุกคนจะ
เห็นด้วยกับทางหลางชาตูลู
แต่ว่าฉีหนิงก็รู้ว่า สิ่งที่ทุกคนหารือกัน สุดท้ายก็ต้อง
รอการตัดสินใจของเหมียวอ๋องอยู่ดี
ฉีหนิงรู้ว่าถ้าหากถ้ำซางซุ่ยเรียกรวบรวมกำลังพล
แล้วจะมีผลอย่างไรบ้าง
คนที่ใส่ร้ายถ้ำเฮยเหยียนเป็นใคร มันไม่ใช่เป้าหมาย
สำคัญในตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหากเรื่องที่อีฝู
พูดคือเรื่องจริง คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้นั้นก็จะต้อง
วางแผนที่ร้ายกาจกว่าที่คิดแน่นอน
ที่หลางชาตูลูพูดนั้นก็ไม่ได้ผิด ถ้ำเฮยเหยียนแค่ถ้ำ
เดียว ไม่มีทางไปสร้างความแค้นใหญ่หลวงกับใครได้
ทหารซีชวนอยู่รอบเขา ถ้ำเฮยเหยียนเสี่ยงถูกกวาด
ล้างจนล่มสลาย ใครจะไปสนใจถ้ำเล็กๆ ถ้ำหนึ่งที่
ถูกกวาดล้างกันเล่า? เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังแน่ เพื่อ
ล่อให้ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำลงมือ
เหว่ยถงซูเป็นชื่อสื่อของซีชวน หากปกครองซีชวนได้
ดี ราชสำนักก็ให้ความสำคัญแน่นอน ต่อไปจะเลื่อน
ขึ้นได้ยศก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าหากซีชวนเกิด
ความวุ่นวายนี้ขึ้นมา ไม่ได้เป็นผลดีต่อเหว่ยถงซูเลย
อีกทั้งยังเสี่ยงจะเสียตำแหน่งไปด้วย หากร้ายแรงก็
อาจจะต้องเสียชีวิตไป
ตำแหน่งอย่างเหว่ยถงซู ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไร ไม่
มีทางทำอะไรตามใจแน่ จะต้องผ่านการคิดทบทวน
มาแล้ว ทุกการตัดสินใจ ก็ต้องประเมินผลประโยชน์
ของส่วนรวมเป็นหลัก
แต่ว่าปฏิกิริยาของเหว่ยถงซูในตอนนี้ มันแปลกมาก
หากบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา แต่ว่าการกระทำที่
ทำตอนนี้ มันก็ไม่เหมือนจะไม่เกี่ยว
ฉีหนิงเป็นหนึ่งในบรรดาศักดิ์โหวของต้าฉู่ เรื่องใน
ราชสำนักเขาพอรู้บ้าง
สิ่งที่ฮ่องเต้น้อยกังวลมากที่สุดคือซีชวนเกิดความ
วุ่นวาย หวังว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ให้
สงบได้ มันก็จะเป็นผลดีต่อแคว้นฉู่ เหล่าขุนนางไม่มี
ทางไม่รู้ถึงข้อนี้
แต่ว่าฉีหนิงก็รู้ หากชาวเหมียวก่อความวุ่นวายขึ้นมา
จริง ราชสำนักเองก็ไม่มีทางนิ่งเฉย จะต้องทำทุก
อย่างเพื่อให้ที่นี่สงบลง สำหรับชาวเหมียวแล้ว
น่าจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
เขามองไปที่เหมียวอ๋อง เขาอยากรู้ว่าเหมียวอ๋องจะ
ตัดสินใจอย่างไร
หากเหมียวอ๋องตัดสินใจใช้กำลังทหาร เขาก็ต้อง
ออกหน้า หยุดยั้งเรื่องนี้ ไม่ว่าจะต้องเปิดเผยตัวตน
ไปก็ไม่เป็นไร
หลางชาตูลูนิสัยวู่วาม แต่ว่าหลายเรื่อง มันจะใช้
ความวู่วามแก้ปัญหาไม่ได้ อีกทั้งอาจจะทำให้เรื่อง
เลวร้ายลงไปอีก แล้วจะทำให้แก้ไขไม่ได้อีก
การเดินทางมาที่เขาซีซานในครั้งนี้ ทำให้ฉีหนิงรู้
ความจริงเรื่องถ้ำเฮยเหยียนโดยไม่ได้ตั้งใจ ในเมื่อรู้
ความจริงแล้ว ต่อไปจะต้องทำอย่างไร มันก็เป็น
เรื่องยากอยู่
เห็นเหมียวอ๋องไม่พูดอะไร ทุกคนก็เงียบลง เหมือน
พวกเขาต่างรู้ ว่าสุดท้ายแล้วการตัดสินใจก็จะอยู่ที่
เหมียวอ๋อง
เมื่อทุกคนเงียบลง เหมียวอ๋องถึงพูดขึ้นมาว่า “ตอน
ที่ข้าหนุ่มๆ มีวันหนึ่งที่กำลังเดินอยู่บนถนน เห็น
ผู้หญิงคนหนึ่งในมือถือห่อผ้า กำลังวิ่งมาด้วย
ความเร็ว ด้านหลังของนางมีชายสามสี่คนถือไม้วิ่ง
ตามหลังนางมา ข้าเลยเดินไปขวางผู้ชายพวกนั้น
เอาไว้ คิดอยากจะช่วยผู้หญิงคนนั้นไม่ให้ถูกชิงของ
ของนางไป”
ทุกคนตะลึง มองหน้ากัน ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดเหมียว
อ๋องถึงมีอารมณ์พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“แต่เพราะว่าข้าขวางพวกเขาเอาไว้ ทำให้ผู้หญิงคน
นั้นมีโอกาสวิ่งหนีไปไกล” น้ำเสียงของเหมียวอ๋อง
แก่ชรามากแล้ว สายตาของเขาเหมือนคิดอะไร
ลึกซึ้งอยู่ “ข้าคิดว่าข้าช่วยผู้หญิงคนนั้นได้ แต่ว่า
หลังจากที่ชายกลุ่มนั้นอธิบายเรื่องราวให้ข้าฟังแล้ว
ข้าถึงได้รู้ว่า ผู้หญิงคนนั้นขโมยห่อผ้าของพวกเขามา
พวกเขากำลังตามไล่ขโมยกันอยู่”
ทุกคนตะลึงไป
ทุกคนต่างคิดว่าขโมยไล่ล่าผู้หญิง แต่คิดไม่ถึงเลยว่า
ผู้หญิงกลับเป็นขโมยเสียเอง
“หลางชาตูลู เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”
เหมียวอ๋องมองไปที่หลางชาตูลู “ไม่ว่าเรื่องอะไรก็
ตาม อย่าเพิ่งรีบร้อนด่วนตัดสิน ความวู่วามเพียง
ชั่วขณะ จะทำให้พวกเราทำเรื่องผิดพลาดไป เหว่ย
ชื่อสื่อจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ เจ้าไม่มีหลักฐาน
ก็อย่าด่วนตัดสิน เพราะมันจะทำให้เจ้าตัดสินใจ
ผิดพลาดได้ง่าย แล้วจะทำให้เรื่องมันไม่มีทางแก้ไข
ได้อีก”
อีฝูพูดว่า “ท่านเหมียวอ๋อง ทหารสามารถบุกโจมตี
หุบเขาเฮยเหยียนของพวกเราได้ตลอดเวลา หาก
ท่านเหมียวอ๋องไม่...”
“เด็กน้อย เหว่ยชื่อสื่อจะต้องมีความคิดของเขา
ไม่เช่นนั้นเขาไม่รอจนป่านนี้แล้วยังไม่โจมตีหรอก”
เหมียวอ๋องพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร แต่ว่าหาก
ไม่ได้ไม่มีทางเลือก อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับความ
เป็นอยู่กับเจ็ดสิบสองถ้ำ การใช้กำลังทหารมันไม่ใช่
วิธีการแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาดเลย”
“ท่านเหมียวอ๋อง แล้วข้าควรจะทำอย่างไร?” อีฝู
ดวงตาเริ่มแดงก่ำ “นอกจากท่านแล้ว ไม่มีใครช่วย
ถ้ำเฮยเหยียนได้อีกแล้ว”
“ข้าอายุมากแล้ว เดินทางลงเขาซีซานไปคงไม่
สะดวก” เหมียวอ๋องนิ่งมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “แต่
ว่าข้าจะให้ตันตูกู่นำคำสั่งของเหมียวอ๋อง แล้วไปพบ
กับเหว่ยชื่อสื่ออีกครั้ง แล้วไปบอกกับเขาว่าไป๋ถังห
ลิงยังไม่ตาย จากนั้นตันตูกู่จะไปที่ถ้ำเฮยเหยียนของ
พวกเจ้า พวกเจ้าก็คุ้มกันไป๋ถังหลิงลงเขามา เมื่อทุก
คนได้พบเหว่ยชื่อสื่อ ไป๋ถังหลิงก็สามารถบอกความ
จริงกับทุกคนได้ มีหลายคนเป็นพยาน มลทินของ
พวกเจ้าถ้ำเฮยเหยียนก็จะถูกสะสางไป”
“แต่ว่า...แต่ว่าเหว่ยถงซูจะยอมมาพบพวกเรา
หรือ?” อีฝูพูดอย่างกังวล
เหมียวอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นหน้าที่ของตันตูกู่
เขาไม่เพียงต้องเกลี้ยกล่อมให้เหว่ยถงซูไปพบกับ
พวกเจ้า อีกทั้งยังต้องนัดเวลาสถานที่ให้พร้อม ถึง
เวลานั้นข้าจะให้คนอยู่เป็นพยานด้วย อธิบายเรื่อง
เข้าใจผิดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จนกระจ่าง”
ฉีหนิงโล่งใจ คิดในใจว่าเหมียวอ๋องก็คือเหมียวอ๋อง
จัดการเรื่องนี้แบบนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว
เมื่อเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าเหว่ยถงซูจะวางแผนอะไรไว้
หรือไม่ แต่มีหลายคนเป็นพยาน ไป๋ถังหลิงเองก็ยังมี
ชีวิตอยู่ เมื่อเห็นความจริงอยู่ตรงหน้า ถ้ำเฮยเหยียน
เองก็จะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา เหว่ยถงซูเองก็ต้อง
ถอนทหารกลับไป
“อีฝูน้อมรับคำสั่งของท่านเหมียวอ๋อง” อีฝูทำความ
เคารพอย่างนอบน้อม “ข้าจะรีบกลับไปที่เขาเฮยเห
ยียน แล้วรายงานเรื่องนี้ให้พี่ใหญ่ทราบ”
เหมียวอ๋องส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป
ข้าจะเขียนหนังสือให้สองฉบับ ฉบับหนึ่งจะให้ตันตูกู่
นำไปมอบให้เหว่ยถงซู อีกฉบับเจ้าก็นำไปให้กับ
ปาเย่ลี่ ข้าอายุมากแล้ว เขียนหนังสือต้องใช้เวลาสัก
หน่อย พวกเจ้าก็อยู่อีกสักคืนเถอะนะ พรุ่งนี้เช้าพวก
เจ้าค่อยออกเดินทางไป”
อีฝูร้อนใจแล้วพูดว่า “แต่ว่า...”
“เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป ถ้ำเฮยเหยียนถูกปิดล้อม
ตอนนี้เจ้ารีบร้อนกลับไป ถึงนอกเขาเฮยเหยียน ก็ไม่
น่าจะเข้าไปได้” เหมียวอ๋องพูดว่า “หลังจากตันตูกู่
ได้พบกับเหว่ยชื่อสื่อแล้ว เหว่ยชื่อสื่อก็จะปล่อยพวก
เจ้าเข้าไปในถ้ำเอง ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยนำจดหมาย
ของข้าให้กับปาเย่ลี่”
อีฝูเหมือนยังอยากจะพูดอะไรอีก เหมียวอ๋องก็พูดว่า
“หลางชาตูลู เจ้าพาพวกเขาไปพักก่อน” เขาอาจจะ
มีอุดมการณ์ที่แน่วแน่ของเขา แต่ตอนนี้เขาแก่แล้ว
ความแข็งกร้าวแบบคนหนุ่มก็ไม่มีแล้ว แม้แต่ยืนก็ยัง
ลำบากเลย ดังนั้นตอนนี้เขาดูเหนื่อยมากแล้ว
อีฝูทำความเคารพอย่างมีมารยาท ฉีหนิงเองก็
เช่นกัน
หากทุกอย่างเป็นไปตามที่เหมียวอ๋องจัดการ เรื่อง
ของถ้ำเฮยเหยียนสามารถจบอย่างราบรื่นได้
สำหรับฉีหนิงแล้ว ถือว่าเป็นผลดีมาก
หลางชาตูลูเดินมา แล้วยกมือเชิญพวกเขาออกไป
อีฝูเดินออกไปสองสามก้าว ก็หันหลังกลับมามอง
เหมียวอ๋องมองมาที่นางยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็
ยกมือขึ้น เพื่อบอกให้อีฝูไม่ต้องกังวล รอยยิ้มที่
อ่อนโยนนั้น ทำให้อีฝูสบายใจลงไม่น้อยเลย
ถึงแม้ถ้ำซางซุ่ยจะกว้างใหญ่ แต่ว่าทั้งคู่ก็ไม่สะดวกที่
จะเดินเล่นไปไหนมาไหนได้ ครึ่งวันที่เหลือก็เลยน่า
เบื่อมาก
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าโชคดีที่ไป๋ถังหลิงหนีเอาตัวรอด
ได้ ไม่เช่นนั้นถ้ำเฮยเหยียนล่มสลายแน่นอนอีกทั้ง
ล้างมลทินไม่ได้แน่นอน เขาพยายามคิดว่าใครกันที่
เป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมด
อีฝูคิดอยากจะรีบเดินทาง แต่ว่าที่เหมียวอ๋องพูดก็
ถูก ตอนที่กลับไป อาจจะขึ้นเขาเฮยเหยียนไม่ได้
ตอนนั้นนางโชคดีฝ่าวงล้อมออกมาได้มันก็ไม่ง่าย
แล้ว แต่หลังจากนั้น การปิดล้อมก็น่าจะเข้มงวดขึ้น
คิดจะกลับเข้าไปมันน่าจะยากยิ่งกว่า
แต่ว่าในเมื่อเหมียวอ๋องได้จัดการทุกอย่างไว้แล้ว ทำ
ให้อีฝูก็พอจะมีแผนอยู่บ้าง
จดหมายของเหมียวอ๋อง ก็หมายถึงท่าทีของชาวเจ็ด
สิบสองถ้ำ ถึงแม้อีฝูจะไม่รู้ว่าเหมียวอ๋องเขียนอะไร
ในจดหมาย แต่ว่าสิ่งที่มั่นใจได้ว่า ต่อให้เป็นซีชวน
ชื่อสื่อเอง เมื่อเห็นจดหมายของเหมียวอ๋อง ก็ยังต้อง
คิดหนัก
หลังจากกินข้าวเย็นแล้ว จดหมายของเหมียวอ๋องก็
ยังไม่ได้ส่งมาให้ แต่ว่ามีชาวเหมียวผอมสูงคนหนึ่ง
มาอยู่ที่นอกห้อง แล้วพูดว่า “ท่านเหมียวอ๋องเชิญ
ไปพบขอรับ”
อีฝูรีบออกจากห้อง ฉีหนิงเองก็เดินตามมา
เหมือนกัน ชาวเหมียวคนนั้นพูดว่า “ท่านเหมียว
อ๋องเชิญท่านทั้งสองไปพบ มีเรื่องอยากจะกำชับ”
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจจึงถามว่า “เรียกข้าไปด้วย
หรือ?”
“ใช่” ชาวเหมียวคนนั้นพูดอย่างนอบน้อม “ท่าน
เหมียวอ๋องก็มีเรื่องจะพูดกับท่านด้วย ให้ท่านทั้งสอง
ไปพร้อมกัน” เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาพูดขึ้นมา
อีกว่า “ท่านเหมียวอ๋องจะพบพวกท่านที่ห้องพัก
ของท่าน ดังนั้นอาวุธของพวกท่านคงไม่เหมาะที่จะ
พกไปด้วย ทิ้งเอาไว้ที่นี่ ไม่มีใครกล้าขโมยของพวก
ท่านแน่นอน”
อีฝูคิดว่าเหมียวอ๋องเรียกพบ น่าจะเป็นเรื่องของ
จดหมาย แต่ว่าเรียกฉีหนิงไปด้วย มันดูแปลกมาก
ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในถ้ำใหญ่ ก็ไม่ให้พกอาวุธ ทั้ง
สองรู้ว่ามันเป็นระเบียบที่เหมียวอ๋องกำหนดไว้ เลย
เก็บอาวุธไว้ในห้อง
พวกเขาไปโดยปราศจากอาวุธ ตอนนี้ไม่ได้มีเรื่องคับ
ขันอะไร พวกเขาอยู่บนเขาซีซาน หากถ้ำซางซุ่ยคิด
จะจัดการพวกเขา ต่อให้มีอาวุธในมือ ก็ป้องกันไม่ได้
ชาวเหมียวรูปร่างผอมสูงนำทั้งคู่ลงไปที่กลางเขา ฟ้า
เริ่มมืดแล้ว อาคารหลายที่เริ่มจุดไฟแล้ว มัน
เหมือนกับดวงดาวเลย
เดินมาได้ระยะหนึ่ง ข้ามสะพานมาจนสุด ด้านหน้า
ก็มีอาคารไม้ไผ่ตั้งอยู่ ดูไม่ได้แปลกพิเศษอะไร ชาว
เหมียวรูปร่างผอมก็พูดว่า “ท่านเหมียวอ๋องกำลังรอ
อยู่ด้านใน ข้าจะรอพวกท่านอยู่ตรงนี้”
อีฝูพยักหน้า ขอบคุณ แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไป ภายใน
ไม่มีใครอยู่เลย สงสัยเหมียวอ๋องอายุมากแล้ว เลยไม่
ชอบคนพลุกพล่าน
อีฝูเดินขึ้นไปชั้นบนของห้อง แล้วเปิดประตู ภายใน
ห้องมีการจุดไฟเอาไว้ อีฝูพูดอย่างเคารพว่า “อีฝู
แห่งถ้ำเฮยเหยียน มาขอพบท่านเหมียวอ๋อง”
ภายในห้องเงียบมาก ไม่มีเสียงอะไรเลย อีฝูหันไป
มองหน้าฉีหนิง ฉีหนิงพูดเบาๆ ว่า “ท่านเหมียวอ๋อง
อายุมากแล้ว อาจจะไม่ได้ยินก็ได้ ลองเรียกอีกทีสิ”
อีฝูพยักหน้า แล้วก็ตะโกนแจ้งไปอีก ภายในก็ยังคง
ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร
ฉีหนิงเริ่มรู้สึกแปลกๆ เสียงของอีฝูก็ไม่ได้เบาเลย
วันนี้ตอนพบท่านเหมียวอ๋อง ถึงแม้เขาจะอายุมาก
แล้ว แต่การได้ยินของเขาก็ยังดีอยู่ รอบๆ เงียบมาก
ขนาดนี้ หากเหมียวอ๋องอยู่ในห้อง แต่กลับไม่ได้ยิน
มันแปลกมาก
อีฝูขมวดคิ้ว หันมาพูดว่า “ด้านในเหมือนไม่มีคน”
ฉีหนิงหันกลับไปมองที่สะพานไม้ที่เขาเดินมา เขา
เห็นว่าชาวเหมียวที่พาพวกเขามานั้นหายไปแล้ว เขา
แอบตกใจ เหมือนรู้สึกอะไรขึ้นมา เขาพูดว่า “พวก
เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
กำลังจะลงจากอาคารไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง “เอ๋
เหตุใดพวกเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่? พวกเจ้าจะมาพบ
ท่านเหมียวอ๋องหรือ?” ระหว่างที่พูด ก็มีคนอีกสี่ห้า
คนออกมา คนที่อยู่หน้าสุดนั้นก็คือหลางชาตูลู
อีฝูเห็นหลางชาตูลูพาคนมา นางก็ตกใจ แอบรู้สึกได้
ว่ามันผิดปกติ แต่ว่าก็ยังพูดออกไปว่า “ท่านเหมียว
อ๋องเรียกพวกเราสองคนมาที่นี่ พวกเรายังไม่ทันได้
เข้าไป เหมือนท่านเหมียวอ๋องจะไม่ได้อยู่ในห้อง”
หลางชาตูลูส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีทาง ในเวลา
นี้ของทุกวัน ท่านเหมียวอ๋องจะอยู่ในห้อง หลายสิบ
ปีมานี้ ไม่เคยเปลี่ยน” เขาเดินขึ้นไปด้านบน แล้ว
พูดว่า “ข้าจะเข้าไปดู” เขาไม่ได้เคาะประตู เปิด
ประตูเข้าไปเลย หลางชาตูลูเดินเข้าไปข้างใน แล้ว
ตะโกนว่า “ท่านพ่อ อีฝูอยู่ด้านนอก บอกว่าท่าน
เรียกพบนาง...” ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงที่ดูตื่น
ตระหนก “ท่านพ่อ...ท่านพ่อ ท่าน...ท่านเป็นอะไร
ไป ใครก็ได้ เข้ามาที ท่านเหมียวอ๋องถูกลอบ
สังหาร”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 371 การตายของเหมียวอ๋อง
หลางชาตูลูพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน สีหน้าของอีฝูเริ่ม
เปลี่ยน ฉีหนิงเองก็นิ่งไปเช่นกัน
ชาวเหมียวที่ตามหลางชาตูลูมาก็ตกใจ มีอีกสองคน
วิ่งเข้าไปในห้อง อีฝูเองก็เช่นกัน
ฉีหนิงเดินตามอีฝูไป ที่มุมห้องมีเก้าอี้เถาวัลย์อยู่
เหมียวอ๋องนั่งอยู่บนเก้าอี้เถาวัลย์ หัวของเข้าพับลง
มาตรงหน้าอก ภายในห้องมีกลิ่นคาวเลือดแรงมาก
หลางชาตูลูคุกเข่าอยู่ข้างๆ เหมียวอ๋อง
ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียดมาก เขาอาศัยแสงไฟ
เห็นชัดว่า ที่หน้าอกของเหมียวอ๋อง มันมีเลือดไหล
อยู่ เหมือนกับว่าเพิ่งถูกสังหารได้ไม่นาน
สิ่งที่ทำให้ฉีหนิงตกใจมากกว่าการตายของเหมียว
อ๋องคือ มีดที่ปักอยู่ที่อกของเหมียวอ๋อง
ถึงแม้จะมีระยะห่าง แต่ฉีหนิงมองก็ดูออกแล้ว มีดที่
ปักอยู่ที่อกของเหมียวอ๋อง เหมือนจะเป็นมีดของเขา
ที่เก็บไว้ที่ห้องพัก
เขาตกใจสะดุ้งไป รู้ว่าตัวเองน่าจะตกหลุมพรางของ
คนที่คิดร้ายแล้วแน่ๆ
“หลางชาตูลู ทำไมถึงเป็นแบบนี้?” อีฝูหน้าถอดสี
เสียงของนางสั่นเครือ “เหตุใดท่านเหมียวอ๋อง...
ท่านเหมียวอ๋องถึงถูกลอบสังหารได้?”
หลางชาตูลูหันกลับมา แล้วพูดด้วยความโกรธว่า
“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”
อีฝูตกใจ หลางชาตูลูลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “ข้ารู้อยู่
แล้ว ถ้ำเฮยเหยียนถูกทหารล้อมปิดตายแบบนั้น
พวกเจ้าจะฝ่าวงล้อมของพวกเขามายังเขาซีซานนี่ได้
อย่างไร” เขายกมือชี้มาที่อีฝู “พวกเจ้าเป็นใครกัน
แน่? เหตุใดต้องลงมือเหี้ยมโหดกับเหมียวอ๋องแบบนี้
ด้วย?”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” อีฝูอึ้งไป แล้วรีบพูดว่า “เจ้าบอก
ว่า...เจ้าบอกว่าพวกข้า...” สีหน้าของนางโกรธมาก
“หลางชาตูลู เจ้าอย่าพูดเหลวไหลนะ”
“เหลวไหล?” หลางชาตูลูพูดว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย
ในเวลาแบบนี้ พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่? หลายปีมานี้
หากไม่ใช่ว่ามีเรื่องด่วนอะไร หลังจากตะวันตกดิน
แล้ว เหมียวอ๋องไม่เคยเรียกใครมาพบ” ดวงตาของ
เขาแดงก่ำ กำหมัดแน่น เหมือนจะพุ่งเข้าใส่พวกเขา
ได้ตลอดเวลา
อีฝูรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว แต่ยังข่มอารมณ์เอาไว้
“หลางชาตูลู ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังโกรธ แต่ว่าเจ้าจะมาใส่
ร้ายคนดีแบบนี้ไม่ได้นะ พวกข้ามาที่นี่ เพราะท่าน
เหมียวอ๋องเรียกพวกข้ามา เหมียวอ๋องมีเรื่องจะสั่ง
พวกข้า....แต่ว่าพวกข้าเรียกอยู่หลายครั้ง ในห้องก็
ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย พวกข้าไม่กล้าเข้าไป
กำลังคิดจะไป เจ้าก็พาคนมาพอดี” นางขมวดคิ้ว
แล้วจ้องไปที่หลางชาตูลู
หลางชาตูลูพูดว่า “เจ้าบอกว่าท่านเหมียวอ๋องเรียก
พวกเจ้ามาพบ ถ้าเช้นนั้นเจ้าบอกข้าที ใครเป็นคน
ไปตามเจ้ามา ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
“เมื่อครู่เขายืนรอพวกข้าอยู่ที่สะพานไม้นั่น” อีฝูพูด
ว่า “แต่ว่าตอนนี้...ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว”
หลางชาตูลูหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แสยะยิ้มออกมา
ด้วยความโกรธแล้วพูดว่าว่า “เจ้าบอกว่าที่สะพาน
ไม้มีคนยืนรอพวกเจ้าหรือ? แต่ว่าตอนที่พวกข้ามา
ไม่เห็นมีใครเลย” เขาพูดว่า “จับตัวคนร้ายเอาไว้
เดี๋ยวนี้”
ชาวเหมียวหลายคนตอนนี้ล้อมตัวของฉีหนิงกับอีฝู
เอาไว้ แล้วชักดาบออกมาจากฝัก
อีฝูตะคอกกลับไปว่า “หลางชาตูลู พวกเจ้ากล้าลง
มือหรือ?”
“พวกเจ้าสังหารท่านเหมียวอ๋อง ก็ถือว่าเป็นศัตรู
ของพวกข้าชาวเจ็ดสิบสองถ้ำ” หลางชาตูลูกำหมัด
แน่นแล้วพูดว่า “พวกเจ้าจะต้องถูกเลาะหนังตัดเส้น
เอ็น”
“เจ้าบอกว่าพวกข้าสังหารท่านเหมียวอ๋อง มี
หลักฐานอะไรหรือไม่?” อีฝูพูด
หลางชาตูลูพูด หันหลังกลับไปแล้วพูดว่า “ท่านพ่อ
ขออภัยด้วย” เขายื่นมือไปดึงมีดที่อยู่ที่หน้าอกของ
เหมียวอ๋องออกมา ฉีหนิงเห็นชัดแล้ว มีดนั่นมันเป็น
มีดสั้นของเขา
“มีดเล่มนี้ พวกเจ้าน่าจะคุ้นเคยมากกว่าใคร” หลาง
ชาตูลูกำมีดสั้นไว้ แล้วยื่นให้กับอีฝู “วันนี้พวกเจ้ามา
ที่ถ้ำใหญ่ วางอาวุธไว้นอกถ้ำ หนึ่งในสองชิ้นนั้น ก็
คืออาวุธที่ใช้ในการสังหาร” สายตาของเขาจ้องไปที่
ฉีหนิง “มีดดีดีแบบนี้ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะ
เอามันเข้าถ้ำมา ที่แท้มีแผนร้ายแบบนี้นี่เอง”
อีฝูถึงได้สังเกตเห็น นางเคยเห็นมันสองครั้ง นาง
สะดุ้งไป สีหน้าเริ่มเปลี่ยน
นางรู้ว่าการตายของเหมียวอ๋องไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร
กับฉีหนิงเลย ทั้งสองคนเก็บอาวุธไว้ที่ห้องพัก
หลังจากนั้นก็มาที่นี่ตัวเปล่า ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ห่างจาก
กันเลย ฉีหนิงไม่มีทางเข้าใกล้เหมียวอ๋องได้เลย
“มีคนใส่ร้าย” อีฝูก็เข้าใจทันที “หลางชาตูลู มีดเล่ม
นี้เป็นของพวกข้าจริง แต่ว่า...พวกข้าไม่ได้เอามันมา
ด้วย”
“หลักฐานอยู่นี่แล้ว พวกเจ้ายังจะแก้ตัวอีกหรือ”
หลางชาตูลูกัดฟันพูด
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะ ทุกคนก็หันไปมอง
เห็นฉีหนิงหัวเราะ หลางชาตูลูขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“เจ้ายังมีหน้ามาหัวเราะอีกหรือ? ทำการสำเร็จแล้ว
ใช่หรือไม่?”
“อีฝู เจ้าเข้าใจหรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” ฉีหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตั้งแต่เริ่มจนจบ มันก็คือ
หลุมพราง ก่อนที่พวกเราจะมาพบท่านเหมียวอ๋อง
ก็มีคนวางหลุมพรางเอาไว้แล้ว มีดสั้นเล่มนี้ คงมีคน
จ้องเอาไว้ก่อนแล้ว”
หลางชาตูลู “หลุมพราง?” เขาเอามีดสั้นชี้ไปที่หน้า
ของฉีหนิงแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นชาวฮั่นนี่นา แต่กลับ
แต่งตัวเป็นชาวเหมียว คิดจะทำอะไร? พวกเจ้าขึ้น
เขามาก็เพื่อลงมือสังหารท่านเหมียวอ๋อง แต่น่า
เสียดาย...ที่ท่านพ่อมองแผนร้ายของพวกเจ้าไม่
ออก”
ตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนดังขึ้น ด้านนอกมีชาว
เหมียวห้าหกคนเดินเข้ามา ในมือถือธนูเล็งมาที่ฉี
หนิง
ฉีหนิงหลับตาลง เหมือนเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว รอแค่
พวกเขาลงมือเท่านั้น เขาก็จะรีบลงมือจับตัวหลาง
ชาตูลูไว้ ขอแค่ควบคุมตัวหลางชาตูลูได้ ชาวเหมียว
พวกนั้นก็ไม่กล้าลงมือ เขารู้ดีว่า ชาวเหมียวพวกนี้
เข้าใจไปแล้วว่าเขากับอีฝูเป็นคนร้ายที่สังหารเหมียว
อ๋อง หากเขาลงมือก่อน ก็เหมือนกับยอมรับว่าทำ
จริง ต่อให้หนีไปได้ก็ล้างมลทินได้ยาก
อีฝูหน้าเริ่มซีดขาว
นางลำบากลำบนเดินทางมาจนถึงเขาซีซาน เพื่อพบ
กับเหมียวอ๋อง เหมียวอ๋องเองก็ยอมรับปากให้ตันตูกู่
เดินทางไปพบกับเหว่ยชื่อสื่ออีกครั้ง เตรียมการไว้ให้
พร้อมแล้ว หากมีเหมียวอ๋องยื่นมือเข้าช่วยเหลือใน
เรื่องนี้ ถ้ำเฮยเหยียนก็จะมีโอกาสพลิกสถานการณ์
กลับมาได้
นางฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้ที่เหมียวอ๋อง แต่ว่า
นางคิดไม่ถึงเลยว่า เหมียวอ๋องเพิ่งจะออกคำสั่งเรื่อง
นี้ไป กลับถูกลอบสังหารทันที
การตายของเหมียวอ๋อง สำหรับชาวเหมียวแล้ว มัน
คือเรื่องใหญ่
อีฝูไม่ได้กังวลเรื่องที่ตัวเองจะตายหรือไม่ แต่ว่า
เหมียวอ๋องตายไป เรื่องที่เพิ่งมีคำสั่งออกไป คงไม่มี
ทางสำเร็จ
“จับพวกเขามัดเอาไว้” หลางชาตูลูออกคำสั่ง ชาว
เหมียวหลายคนนำเชือกเถาวัลย์มา แล้วเดินมามัด
ตัวฉีหนิงกับอีฝูเอาไว้
“ช้าก่อน” ในตอนนี้เอง ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
มีชายคนหนึ่งเดินมาจากด้านนอก รูปร่างกำยำสูง
ใหญ่ คนๆ นั้นคือตันตูกู่
เห็นตันตูกู่มา อีฝูก็เหมือนมีความหวังขึ้นมา นางพูด
ทันทีว่า “ตันตูกู่ พวกข้าไม่ได้ฆ่าท่านเหมียวอ๋อง
นะ”
พอตันตูกู่เดินเข้ามา หลางชาตูลูก็ขมวดคิ้ว ยังไม่ทัน
พูดอะไร ตันตูกู่ก็เดินไปที่ข้างๆ เหมียวอ๋อง เขาตัว
สั่นไปทั้งตัว สีหน้าของเขาเสียใจมาก เขาคุกเข่าลง
กับพื้น
ภายในห้องเงียบสงัด
หลังจากนั้นไม่นาน ตันตูกู่ก็ลุกขึ้นมา แล้วมองไปที่
หลางชาตูลู แล้วถามว่า “ท่านเหมียวอ๋องถูกพวก
เขาสังหารหรือ?”
“นี่หลักฐาน” หลางชาตูลูเอามีดสั้นให้ตันตูกู่ “เจ้าก็
รู้ ท่านเหมียวอ๋องสั่งให้พวกเราเดินลาดตระเวน
อย่างเข้มงวด ดังนั้นปกติแล้วข้าจะพาคนเดินสำรวจ
ภายในถ้ำไปทั่ว คืนนี้พอข้าเดินสำรวจมาถึงที่นี่ ก็
เห็นพวกเขาทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ที่หน้าห้องของท่าน
เหมียวอ๋อง ถามพวกเขาว่าเหตุใดมาอยู่ที่นี่ได้ พวก
เขาบอกว่าท่านเหมียวอ๋องเรียกพวกเขามาพบ”
“พวกข้าไม่ได้โกหกนะ” อีฝูรีบพูด “ท่านเหมียวอ๋อง
เรียกพวกข้ามาจริงๆ”
หลางชาตูลูไม่ได้สนใจ เขาพูดต่อว่า “ท่านเหมียว
อ๋องไม่มีทางเรียกใครมาพบในเวลานี้เด็ดขาด ข้าถึง
ได้รู้สึกสงสัย คิดว่าอาจจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นมา ก็เลย
คิดจะเข้ามาถามท่านเหมียวอ๋องว่าเกิดอะไรขึ้น แต่
ว่าหลังจากเปิดประตูเข้ามาแล้ว ก็พบว่า...” เขากัด
ฟัน แล้วพูดต่อว่า “ข้าเข้ามาในห้องก็พบว่าท่าน
เหมียวอ๋องถูกสังหารอยู่บนเก้าอี้ แล้วมีด...มีดเล่มนี้
ก็ปักอยู่ที่หน้าอกของท่านเหมียวอ๋อง”
ตันตูกู่ถามว่า “มีดเล่มนี้เป็นของใคร?”
“ก็ชาวฮั่นที่ปลอมตัวมานั่นอย่างไรเล่า” ชาวเหมียว
อีกคนรีบเดินออกมา “วันนี้ตอนที่พวกเขามาที่ถ้ำ
ใหญ่ ได้ฝากอาวุธไว้ หนึ่งในนั้นก็มีมีดเล่มนี้ด้วย”
ฉีหนิงมองไปที่คนๆ นั้น เขาจำได้ว่าชาวเหมียวคนนี้
เหมือนจะเป็นคนที่รับฝากอาวุธเมื่อเช้า
อีฝูหวังแค่ตันตูกู่จะคืนความเป็นธรรมให้ได้ นางเลย
พูดขึ้นมาอีกว่า “คนๆ นั้นบอกว่า หากจะเข้าพบ
เหมียวอ๋องจะพกอาวุธเข้าไปไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจึง
นำอาวุธฝากไว้ ท่านเหมียวอ๋องถูกสังหาร ไม่
เกี่ยวกับพวกเรา จะต้องมีคนขโมยอาวุธของพวกเรา
แล้วนำมาใส่ร้ายพวกเราแน่” นางพูดต่อว่า “หาก
พวกเราเป็นคนสังหารท่านเหมียวอ๋องจริง พวกเรา
จะทิ้งอาวุธไว้ ให้พวกเจ้ามีหลักฐานมาจับพวกเราได้
อย่างไร?”
“ทีพ่ วกเจ้าพูดมาไม่มีหลักฐาน ไม่มีใครเป็นพยานให้
พวกเจ้าได้” หลางชาตูลูยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “พวกเจ้า
สังหารท่านเหมียวอ๋อง พวกเรามีทั้งพยานบุคคล
และหลักฐาน หากไม่ใช่ว่าพวกเรามาพบเข้าพอดี
พวกเขาคงเอาอาวุธหนีไปแล้ว แต่ว่าพวกเราเดิน
ลาดตระเวนมาที่นี่ พวกเจ้าตื่นตระหนก เลยไม่ทัน
ได้จัดการกับอาวุธ พวกเราถึงได้จับตัวได้ทันเวลา”
เขาจ้องไปที่ตันตูกู่ แล้วถามว่า “ตันตูกู่ พวกเขาสอง
คนสังหารท่านพ่อของพวกเรา เจ้าว่า พวกเราควร
ทำอย่างไรกับพวกเขาดี?”
“ท่านเหมียวอ๋องเคยพูดไว้ว่า หลายเรื่องไม่ควรรีบ
ร้อนตัดสินใจ ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน” ตันตูกู่
นิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาแดงก่ำ แต่ก็ยังนิ่งอยู่
“หากพวกเขาสังหารท่านเหมียวอ๋องจริง เขาทำไป
เพราะอะไรเล่า? เหตุใดพวกเขาต้องลงมือกับท่าน
เหมียวอ๋องด้วย? เบื้องหลังมีแผนอะไรซ่อนอยู่
หรือไม่ เรื่องนี้ต้องทำให้ชัดเจน”
หลางชาตูลูพูดด้วยความโมโหว่า “เจ้าพูดแบบนี้
หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าสิ่งที่พวกเราเห็นอยู่
มันไม่เพียงพอจะเป็นหลักฐานหรือ?”
“ไม่พอ” ตันตูกู่พูดอย่างจริงจังว่า “การฆ่าคนมันก็
ต้องมีแรงจูงใจ ต่อให้พวกเขาเป็นคนลงมือจริง ก็
ต้องสืบให้รู้ว่าใครอยู่เบือ้ งหลังพวกเขา” เขาชี้ไปที่
อีฝูแล้วพูดว่า “นางเป็นคนของถ้ำเฮยเหยียน กำลัง
ต้องการความช่วยเหลือจากท่านเหมียวอ๋อง จะลง
มือกับเหมียวอ๋องในเวลาแบบนี้น่ะหรือ?”
“หรือไม่นางก็อาจจะไม่ใช่อีฝู ไม่ใช่คนของถ้ำเฮยเห
ยียน” หลางชาตูลูพูดว่า “สองคนนี้ปลอมตัวขึ้นเขา
มา เป้าหมายก็คือการหาโอกาสลงมือ” เขาแสยะยิ้ม
แล้วพูดว่า “ตันตูกู่ เจ้าคงไม่ได้คิดจะปกป้องพวก
เขาหรอกกระมัง?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 372 คุกหมาป่า
ตันตูกู่สีหน้านิ่งไป แล้วพูดเสียงเข้มว่า “เจ้าว่าอะไร
นะ?”
“ตันตูกู่ ได้ยินมาว่าเจ้ารู้จักกับพวกเขาสองคนมา
ก่อน?” หลางชาตูลูกำมีดสั้นไว้ในมือ “ตอนที่เจ้าอยู่
ตีนเขา ยังไม่ทันมีคำสั่งของท่านเหมียวอ๋อง เจ้าก็พา
ตัวพวกเขาขึ้นเขามาแล้ว?”
ตันตูกู่สีหน้าเปลี่ยนไป เขาตะคอกกลับไปว่า “หลาง
ชาตูลู เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
หลางชาตูลูเหมือนจะยังกลัวตันตูกู่อยู่บ้าง เขาถอย
หลังสองก้าว เขาตะโกนเสียงดังว่า “ข้าหมายความ
ว่าอย่างไร เจ้าฟังไม่เข้าใจหรือ? สองคนนี้มีที่มายัง
อย่างไร เจ้าควรจะให้ความเห็นพวกเราถึงจะถูก”
ตอนนี้ภายในห้องมีคนอยู่ประมาณสิบคน พอทุกคน
ได้ยินหลางชาตูลูพูดแบบนี้แล้ว ก็มองไปที่ตันตูกู่
ตันตูกู่กำหมัดแน่น “ถูกต้อง ข้ารู้จักกับพวกเขา
ระหว่างทางที่กลับมา อีกทั้ง...พวกเขายังช่วยชีวิตข้า
เอาไว้ด้วย”
“เจ้ายอมรับก็ดีแล้ว” หลางชาตูลูนิ่งไป “แต่เจ้า
บอกว่าเจ้ารู้จักพวกเขาระหว่างทาง จริงหรือไม่ มี
เพียงตัวเจ้าเท่านั้นที่รู้”
ตันตูกู่เริ่มโมโห เขาตะคอกว่า “หรือว่า...หรือว่าเจ้า
คิดว่าท่านเหมียวอ๋องถูกลอบสังหาร เกี่ยวข้องกับข้า
ด้วย?”
“เกี่ยวหรือไม่ มีเจ้าคนเดียวที่รู้” หลางชาตูลูพูดว่า
“พวกเขาฆ่าท่านเหมียวอ๋อง พยานหลักฐานพร้อม
แต่ว่าเจ้ากลับปกป้องพวกเขา คิดจะทำอะไรหรือ?”
“ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าใส่ร้ายคนดี” ตันตูกู่ตัวสั่น
เพราะโกรธมาก “หากเป็นเพราะอารมณ์ชั่วครู่ใส่
ร้ายคนดี ทำให้คนร้ายตัวจริงหนีไป พวกเราจะมอง
หน้าท่านพ่อได้อย่างไร?”
หลางชาตูลูพูดเสียงดังว่า “จะปล่อยให้คนร้ายตัว
จริงหนีไปได้อย่างไร คนร้ายก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว เจ้า
ยังคิดจะปกป้องอีกหรือ เจ้าจะเกี่ยวข้องกับการตาย
ของท่านเหมียวอ๋องหรือไม่ ทุกคนรู้ดีแก่ใจ”
ถึงแม้ตันตูกู่จะมีนิสัยสุขุมกว่าหลางชาตูลูมาก แต่ว่า
คำพูดของหลางชาตูลู ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าตันตูกู่คือ
คนบงการสังหารท่านเหมียวอ๋อง ตันตูกู่เดิมทีก็เป็น
คนหัวรั้นพอตัว เขาจะทนได้อย่างไร เขาตะคอกว่า
“หลางชาตูลู เจ้าบอกว่าที่ท่านพ่อต้องตายเพราะข้า
หรือ?”
หลางชาตูลูเห็นตันตูกู่โกรธ ก็เหมือนจะกลัว “ตันตูกู่
เจ้าไม่ต้องทำมาเป็นเสียงดัง ท่านเหมียวอ๋องถูกสอง
คนนี้สังหาร หลักฐานมัดแน่นขนาดนี้ อีกทั้งก่อนที่
พวกเขาจะขึ้นเขามา เจ้ากับพวกเขาก็รู้จักกันมา
ก่อน เจ้าเองก็เป็นคนพาพวกเขาขึ้นเขามาด้วย มัน
น่าสงสัยเกินไปนะ”
“เหตุใดข้าต้องทำร้ายท่านพ่อด้วย?” ตันตูกู่ตะคอก
หลางชาตูลูแสยะยิ้ม “เจ้าอยากจะให้ข้าพูดออกมา
จริงๆ หรือ” เขาพูดว่า “ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว พวก
เรามาเปิดอกพูดกันดีกว่า ท่านพ่ออายุมากแล้ว
ร่างกายก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว หากท่านพ่อตายไป
ตำแหน่งเหมียวอ๋องข้าก็จะเป็นคนสืบทอดไป แต่ว่า
เจ้าตันตูกู่คิดว่าตัวเองมีความสามารถ ส่งคนปล่อย
ข่าวไปทั่วว่า ตำแหน่งเหมียวอ๋องเจ้าเป็นคนที่ควร
จะได้รับสืบทอด ถูกหรือไม่?”
ตันตูกู่โกรธจนหน้าดำคล้ำ “ใครจะรับตำแหน่ง
เหมียวอ๋อง ไม่ใช่เรื่องที่เจ้ากับข้าจะตัดสินได้ มีเพียง
ท่านพ่อคนเดียวเท่านั้นที่ตัดสินใจเรื่องนี้ได้ หาก
ท่านพ่อให้เจ้าสืบทอดตำแหน่งเหมียวอ๋อง ข้าก็จะ
ช่วยเจ้าอย่างเต็มที่ ข้าไม่มีความคิดอื่น ข่าวลือที่
ปล่อยมา ข้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”
ในเวลานี้ ก็เริ่มได้ยินเสียงเอะอะโวยวายขึ้น ฉีหนิง
มองผ่านหน้าต่างไป เห็นชาวเหมียวจำนวนหนึ่งโผล่
มา แล้วล้อมอาคารห้องของท่านเหมียวอ๋องเอาไว้
จากนั้นก็มีคนประมาณห้าหกคนเดินออกมาจาก
กลุ่มนั้น ฉีหนิงมองไป เขาจำได้ทันทีว่าเป็นคนที่อยู่
ในห้องโถงเมื่อเช้านี้
ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำในแต่ละถ้ำเองก็มีแยกเป็น
หลายถ้ำย่อย แต่ละถ้ำก็จะมีจ้าวถ้ำของตัวเอง ซึ่ง
ถือเป็นผู้นำของถ้ำ
ซึ่งในแต่ละถ้ำก็มีหลายเชื้อสายอยู่รวมกัน
จ้าวถ้ำของถ้ำซางซุ่ยก็ถือเหมียวอ๋อง โดยมีถ้ำย่อย
หกถ้ำ ก็มีหัวหน้าถ้ำหกคน ฉีหนิงกับอีฝูตอนนี้อยู่ที่
ถ้ำหลักของถ้ำซางซุ่ย ดังนั้นท่านเหมียวอ๋องในฐานะ
เป็นจ้าวถ้ำซางซุ่ย ก็ถือเป็นหัวหน้าของเหล่าถ้ำย่อย
ทั้งหมด
ภายในถ้ำหลัก มีชาวเหมียวเผ่าเล็กเผ่าน้อยเต็มไป
หมด
เผ่าที่เหมียวอ๋องอาศัยอยู่ ถือเป็นเผ่าอันดับหนึ่งของ
ถ้ำซางซุ่ย และก็ถือเป็นเผ่าที่เปรียบเสมือนเทพ
เจ้าของชาวเจ็ดสิบสองถ้ำ เพราะแม่หมอของชาว
เหมียวถือเป็นหนึ่งชนเผ่า ชนเผ่านี้เป็นชนเผ่าที่
สนับสนุนตำแหน่งเหมียวอ๋องมาหลายยุคหลายสมัย
หลังจากที่อีฝูมาถึง เหมียวอ๋องรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก
ดังนั้นจึงได้เรียกเหล่าหัวหน้าของถ้ำย่อยมา เพราะ
ตันตูกู่กับอีฝูยังไม่ได้ออกเดินทาง ไม่รู้ว่าเหมียวอ๋อง
จะเปลี่ยนความคิดหรือเปล่า พวกเขาก็เลยยังไม่ได้
กลับไป
ด้านของเหมียวอ๋อง ถึงแม้จะไม่ได้แพร่ออกไปในถ้ำ
ในทันที แต่เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ข่าวจึงไปถึง
เหล่าหัวหน้าถ้ำอย่างรวดเร็ว เมื่อเหล่าหัวหน้าถ้ำได้
ข่าว ก็รีบเดินทางมาอย่างรวดเร็ว
เหล่าหัวหน้าถ้ำพาคนมาล้อมเอาไว้ เพื่อไม่ให้คนร้าย
หนีรอดไปได้ จากนั้นก็ค่อยเดินเข้ามาในห้องที่เกิด
เหตุ ในห้องของเหมียวอ๋องถือว่ากว้างขวางมาก แต่
ว่าพอมีคนราวยี่สิบคนมาออกันด้านใน มันเลยดู
แออัดขึ้นมาทันตา แต่ว่าพวกเขาหลายคนถืออาวุธ
ถือธนูล้อมฉีหนิงกับอีฝูไว้ กลัวว่าพวกเขาจะหนีหลุด
รอดไป
หัวหน้าถ้ำเดินเข้ามาในห้อง เห็นเหมียวอ๋องนั่งอยู่ที่
เก้าอี้เถาวัลย์ ก็มีสองคนร้องไห้ออกมาด้วยความ
เศร้าเสียใจ แล้วก็วิ่งเข้าไปคุกเข่าและร้องไห้ไม่หยุด
เหมียวอ๋องเป็นคนมีปัญญาเฉียบแหลมสุขุม
รอบคอบ หลายปีมานี้ถือว่าเสียสละทำอะไรหลาย
อย่างให้กับชาวเหมียวมาก อีกทั้งยังใจดีมีเมตตา มี
ความสามารถโดดเด่นมาก มีบารมีและเป็นที่ยำเกรง
มากในหมู่ของชาวเหมียว ตอนนี้เหมียวอ๋องถูกลอบ
สังหาร ทุกครั้งจะเสียใจมาก
หลังจากพวกเขาลุกขึ้นมาแล้ว มีคนหนึ่งก็ถามขึ้นมา
ว่า “คนร้ายอยู่ไหน?” เขามองไปที่ฉีหนิงกับอีฝู
ตอนนี้เขาชักดาบที่พกไว้ออกมา แล้วเดินหน้าขึ้นไป
เขามองไปที่อีฝูแล้วฟันดาบเข้าใส่ แล้วพูดว่า “ฆ่า
คนร้ายซะ แก้แค้นให้ท่านเหมียวอ๋อง”
อีฝูคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะกลายมาเป็นแบบนี้ได้ อีก
ฝ่ายกำลังพุ่งดาบเข้ามา นางตกใจสะดุ้งไป ฉีหนิง
เดินหน้าไปขวางเอาไว้ แล้วยื่นมือไปจับมือของคนๆ
นั้น แล้วพูดว่า “คิดจะฆ่าคนปิดปากหรืออย่างไร?”
คนๆ นั้นรู้สึกว่าข้อมือของเขาถูกบีบแน่น ขยับไม่ได้
เลยแม้แต่น้อย
ตันตูกู่ตะคอกว่า “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
เหล่าหัวหน้าถ้ำสีหน้าเคร่งเครียด ฉีหนิงยกมือขึ้น
คนที่ถือดาบถอยก็หลังไปหลายก้าว ถึงจะยืนได้
มั่นคง
มีคนรูปร่างผอมสูงถามขึ้นมาว่า “เกิดอะไรขึ้น? เหตุ
ใดเหมียวอ๋องถึงได้ถูกลอบสังหารได้?”
หลางชาตูลูเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง แล้วใช้มีดสั้นชี้ไป
ที่ตันตูกู่พูดว่า “หัวหน้าถ้ำทุกท่าน ตันตูกู่รู้จักสอง
คนนี้มาก่อน เมื่อวานตอนขึ้นเขามา เหมียวอ๋องยัง
ไม่มีคำสั่ง เขาก็ให้พวกเขาเข้ามาที่นี่โดยพลการ เหตุ
ใดเขาถึงต้องรีบร้อนให้พวกเขาขึ้นเขาด้วย?”
“หลางชาตูลู จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก” หัวหน้าถ้ำตัว
ผอมพูดขึ้นมาว่า “ตันตูกู่เป็นคนตรงไปตรงมา แต่ว่า
เขาเป็นคนใจดี กตัญญูต่อท่านเหมียวอ๋องมาก เจ้า
จะใส่ร้ายตันตูกู่แบบนี้ หลายคนคงไม่ยอมหรอก”
“แต่ว่าที่หลางชาตูลูพูดมาก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผลนะ”
หัวหน้าถ้ำคนข้างๆ พูดขึ้นมาว่า “หลายเรื่องมันดู
บังเอิญเกินไป เหตุใดตันตูกู่มาถึงเขาซีซาน ก็บังเอิญ
เจอพวกเขาพอดี? พวกเขาสองคนเป็นใครมาจาก
ไหน? ถึงแม้อีฝูจะมีสัญลักษณ์ของถ้ำเฮยเหยียนมา
ด้วย แต่ว่าก็ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็น
อีฝูแห่งถ้ำเฮยเหยียน”
อีฝูแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “หากข้าไม่ใช่อีฝูแห่งถ้ำเฮย
เหยียน แล้วข้าเป็นใครกันเล่า?”
“เป็นใครมาจากไหน พวกเราต้องทำให้ชัดเจนอยู่
แล้ว” คนๆ นั้นพูดว่า “ทุกท่าน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญ
มากที่สุดไม่ใช่มาสอบสวนพวกเขา ท่านเหมียวอ๋อง
ถูกลอบสังหาร พวกเราต้องจัดการเรื่องศพของท่าน
เหมียวอ๋องก่อน รอทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเรา
ค่อยมาสอบสวนพวกเขาอีกที” จากนั้นก็หันไปพูด
กับฉีหนิงกับอีฝูว่า “พวกเจ้าจะใช่คนร้ายหรือไม่
พวกเราจะสืบหาความจริงอย่างละเอียด หากถูกใส่
ร้ายจริง พวกเราก็คืนความเป็นธรรมให้พวกเจ้า”
“ต้องรอนานแค่ไหน?” อีฝูพูดว่า “พวกเราต้องรอ
อยู่ที่นี่อย่างนี้น่ะหรือ?”
คนๆ นั้นพูดว่า “พวกเจ้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ท่าน
เหมียวอ๋องถูกลอบสังหาร เรื่องนี้สำคัญมากกว่า
เรื่องของถ้ำเฮยเหยียนมาก คงต้องให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่
ไปก่อน รอทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเราค่อยมาว่า
กันอีกที”
หลางชาตูลพูดว่า “แล้วตันตูกู่ล่ะจะจัดการอย่างไร?
สองคนนี้เกี่ยวข้องกับพวกเขาสองคนนะ”
ตันตูกู่ยิ้มแล้วพูดว่า “หลางชาตูลู เจ้าคิดจะจับข้าไป
ขังด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“ถ้าไม่จับเจ้าขังเอาไว้ เกิดเจ้าปล่อยตัวคนร้ายไปจะ
ทำอย่างไร?” หลางชาตูลูพูดว่า “เกรงว่าแม้แต่ตัว
เจ้าเองก็จะหาโอกาสหนีไปด้วยน่ะสิ”
“หัวหน้าถ้ำทุกท่าน พวกท่านคิดอย่างไร?” ตันตูกู่
มองไปที่เหล่าหัวหน้าถ้ำ “หลางชาตูลูใส่ความข้าหา
ว่าข้าเป็นคนทำให้เหมียวอ๋องต้องตาย พวกเจ้าก็คิด
อย่างนี้เหมือนกันหรือ?”
หลางชาตูลูพูดว่า “เจ้าคิดอยากจะได้ตำแหน่ง
เหมียวอ๋องมาตลอด แต่ว่าท่านพ่อคิดอยากจะให้
ตำแหน่งนี้กับข้า เจ้าไม่พอใจ หากจะคิดเรื่องต่ำช้า
แบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
“เจ้า...” ตันตูกู่กำหมัดแน่นคิดอยากจะพุ่งเข้าใส่
คนผอมสูงรีบมาขวางเอาไว้ แล้วพูดว่า “ตันตูกู่
อินทรีย์ให้ตายอย่างไรก็ยังเป็นอินทรีย์ หมาป่า
อย่างไรก็คือหมาป่า ขอแค่เจ้าไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่
ต้องกลัว พวกเราจะจัดการเรื่องศพของท่านเหมียว
อ๋องก่อน พวกเจ้าไปที่คุกหมาป่า รอพวกเราจัดการ
ศพท่านเหมียวอ๋องก่อน แล้วพวกเราทุกคนจะ
ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด ต่อให้พวกเราจะไม่
สามารถตรวจสอบได้ พวกเรายังมีท่านแม่หมอ
อย่างไรก็ต้องทำให้เรื่องนี้กระจ่างให้ได้”
คนพวกนี้เองก็มีบารมีอยู่พอตัว ตันตูกู่ถึงแม้จะโมโห
มาก แต่เขาก็ลังเล สุดท้ายแล้วเขาก็พยักหน้า
“อย่างไรข้าก็จะสืบหาความจริงให้ได้”
คนผอมสูงหันไปคำนับอีฝู แล้วพูดว่า “ไม่ว่าเจ้าจะ
เป็นอีฝูแห่งถ้ำเฮยเหยียนหรือไม่ หากเจ้าไม่มี
ความผิด พวกเราจะล้างมลทินให้เจ้าแน่นอน ชนเผ่า
ของข้าขอรับประกันชีวติ ของพวกเจ้าเอง”
เมื่อรับประกันแบบนี้ สำหรับชาวเหมียวแล้ว มัน
สำคัญมาก
อีฝูรู้ดีว่า ท่ามกลางคนหมู่มากขนาดนี้ ต่อให้นางไม่
เห็นด้วยก็ไม่มีทางอื่นอยู่ดี อีกทั้งคนผอมสูงยัง
รับประกันแบบนี้แล้ว นางก็ทำได้แค่พูดว่า “ท่าน
เหมียวอ๋องถูกลอบสังหาร ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวก
เรา หวังว่าพวกเจ้าจะสืบหาความจริงให้ได้เร็วที่สุด
ถ้ำเฮยเหยียนกำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเราจะอยู่
ที่นี่นานไม่ได้ อย่างมากก็ได้แค่หนึ่งวันเท่านั้น ข้า
หวังว่าพวกเจ้าจะให้คำตอบกับข้าได้”
ฉีหนิงเองก็รู้ว่า อีกฝ่ายมีคนมากกว่า หากเขาลงมือ
ไปในตอนนี้ ชาวเหมียวจะต้องร่วมมือกันจู่โจมเข้า
มาแน่นอน ตัวเขาไม่เป็นไร แต่อีฝูอาจจะตายได้ พอ
นึกถึงข้อนี้เขาจะวู่วามไม่ได้ จึงแอบวางแผนเอาไว้ใน
ใจ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
จากนั้นก็มีคนมามัดมือของฉีหนิงกับอีฝูไว้ แม้แต่ตัน
ตูกู่เองก็ถูกมัดเช่นกัน หลังจากนั้นก็มีคนเจ็ดแปดคน
ที่ถือมีดมา คุมพวกเขาสามคนเดินออกจากห้องไป
เดินไปทางทิศตะวันตก เดินทะลุป่าไป มาถึงหน้าผา
ริมหน้าผามีทางแคบสายหนึ่ง ที่สามารถเดินได้ทีละ
คน
ฉีหนิงระวังตัวมาก ยังดีที่คนพวกนี้ไม่ได้ทำอะไร พา
พวกเขาเดินตามทางของหน้าผาไป เมื่อผ่านทาง
แคบมาแล้ว มันเป็นลานกว้าง มีบ้านไม้หลังหนึ่ง
หลังบ้านไม้ ด้านหนึ่งเป็นผนังหิน ผนังหินมีปากถ้ำ
อยู่หลายถ้ำ ปากถ้ำมีกรงเหล็กกั้นอยู่ เหมือนกับว่า
เป็นห้องขัง
“ที่นี่คือคุกหมาป่า” ตันตูกู่มองไปที่ฉีหนิง “เป็น
สถานที่ใช้ขังนักโทษ คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งข้าเองก็จะ
ถูกขังอยู่ที่นี่เหมือนกัน”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 373 แผนลูกโซ่
ทั้งสามถูกจับแยกออกจากกัน อีฝูอยู่ห้องตรงกลาง
ส่วนฉีหนิงกับตันตูกู่ขนาบซ้ายขวา
เมื่อฉีหนิงเข้าไปด้านใน ก็รู้ได้ทันทีว่าจะหาทางออก
จากที่นี่มันลำบากมาก ในคุกทั้งสามด้านเป็นหิน
ทั้งหมด มีเพียงทางเข้าห้องขังด้านหน้าที่เป็นกรง
เหล็กและเป็นทางเดียวที่สามารถเข้าออกได้
เห็นได้ชัดว่าคุกหมาป่าเป็นสถานที่ที่ทางถ้ำซางซุ่ยอ
อกแบบสร้างมาอย่างดี กรงเหล็กก็เป็นเหล็กที่ทำจาก
เหล็กชั้นดี อีกทั้งยังลงกลอนแน่นหนา หากมีดสั้นของ
เขายังอยู่ในมือ ฉีหนิงก็ยังรู้สึกว่ายังพอมีโอกาสแหก
คุกออกไปได้ ตอนนี้จะให้ใช้มือเปล่าแหกห้องขัง แทบ
ไม่ต้องคิดเลยว่าออกไปได้หรือไม่
นอกจากพวกเขาสามคนแล้วยังมีชาวเหมียวร่างกาย
กำยำอีกจำนวนหนึ่งเฝ้าเอาไว้ บ้านไม้ที่อยู่ด้านหน้า
หันเข้าหาคุกหิน คนในบ้านสามารถมองเห็นความ
เคลื่อนไหวในคุกทุกอย่าง
อีฝูนั่งอยู่ภายในคุกหิน นางร้อนใจมาก นางไม่ได้เป็น
ห่วงว่าตัวเองจะตายหรือไม่ แต่ว่าพอนึกถึงว่าเหมียว
อ๋องถูกลอบสังหาร เรื่องหลังจากนี้น่าจะร้ายมากกว่า
ดี นางจึงเครียดมาก
ฉีหนิงนั่งพิงกำแพงหิน ค่ำคืนอันเงียบสงบ ในบรรดา
คนที่เฝ้าคุก มีคนหนึ่งที่จะคอยเดินสำรวจไปทั่ว
ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ทันใดนั้นเองอีฝูก็พูดขึ้นมาว่า “ตัน
ตูกู่ เจ้าหลับหรือยัง?”
อีฝูอยู่ห้องขังข้างๆ อีกทั้งค่ำคืนนี้ก็เงียบสงบ ฉีหนิงได้
ยินอย่างชัดเจน
“ในเวลาแบบนี้ จะไปหลับลงได้อย่างไรเล่า?” ตันตูกู่
พูดว่า “ตอนที่พวกเจ้าไปพบท่านเหมียวอ๋อง เจอ
อะไรที่เป็นพิรุธหรือไม่?”
ที่เขาพูดมาแบบนี้ก็แสดงว่าเขาไม่เชื่อว่าพวกเขาทั้ง
สองคนจะเป็นคนสังหารเหมียวอ๋อง
“ตอนที่พวกข้าไปถึงหน้าห้องของท่านเหมียวอ๋อง
พวกข้าไม่เห็นความผิดปกติอะไรเลย” อีฝูพูดว่า
“พวกเราไม่กล้าเข้าไปในห้องโดยพลการ พวกเราเลย
ตะโกนแจ้งไปหลายครั้ง แต่ว่าท่านเหมียวอ๋องก็ไม่ได้
ตอบพวกข้ากลับมา พวกข้ากำลังคิดว่ามันแปลกมาก
หลางชาตูลูก็พาคนมาถึงที่แล้ว อีกทั้งหลางชาตูลูคือ
คนแรกที่เข้าไปในห้องของเหมียวอ๋องแล้วบอกว่าท่า
เหมียวอ๋องถูกลอบสังหาร”
ตันตูกู่พูดว่า “อาวุธพวกเจ้าเก็บเอาไว้ที่ห้องพัก
หรือ?”
“ถูกต้อง” อีฝูพูดว่า “มีคนบอกว่าจะไปพบท่าน
เหมียวอ๋อง จะนำอาวุธเข้าไปไม่ได้ ดังนั้นพวกข้าเลย
ไม่กล้านำอาวุธติดตัวไปด้วย” นางหยุดไปครู่หนึ่ง
แล้วพูดว่า “ที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่พาพวกข้าไปพบ
ท่านเหมียวอ๋องจู่ๆ ก็หายตัวไป หากเขายังอยู่ จะต้อง
เป็นพยานให้พวกข้าได้”
ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “อีฝู ตันตูกู่ ถึงตอนนี้
พวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น? หรือว่า
พวกเจ้ารู้อยู่แล้วแต่ไม่กล้าที่จะยอมรับ? พวกเขาจับ
พวกเราขังไว้แบบนี้แล้ว จะยังทางรอดอีกหรือไม่ ก็ยัง
ไม่แน่เลย”
“หลางชาตูลูคิดจะลงมือกับพวกเราอย่างนั้นหรือ?”
อีฝูพูดว่า “เขากล้าฆ่าพวกเราอย่างนั้นเลยหรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “คนที่กล้าข้าพ่อแท้ๆ ของตัวเองได้ เจ้า
คิดว่าคนอย่างเขาจะไม่กล้าฆ่าคนอื่นอีกหรือ?”
ตันตู่กู่พูดว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าหมายความว่า...”
“ตันตูกู่ เจ้าเป็นคนฉลาด เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เจ้าดู
ไม่ออกเลยหรือ?” ฉีหนิงนั่งพิงผนัง แล้วพูดว่า “ตอน
เช้าที่พวกเราเจอท่านเหมียวอ๋อง มีดสั้นของพวกเรา
หลางชาตูลูก็จ้องตาเป็นมันแล้ว คืนนี้มีคนอ้างคำสั่ง
ของท่านเหมียวอ๋อง มาบอกให้พวกเราไปพบ อีกทั้ง
ยังกำชับให้พวกเราเก็บอาวุธไว้ในที่พักอีก พวกเรา
เพิ่งออกไป ก็มีคนเข้าไปขโมยอาวุธของพวกเราทันที”
ตันตูกู่พูดว่า “ที่ที่พวกเจ้าพักอยู่ ไม่มีใครเข้าไป
รบกวนได้ง่ายๆ”
“เจ้าพูดถูกแล้ว ดังนั้นคนที่สามารถมาขโมยอาวุธของ
พวกเราได้ ต้องรู้จักที่พักของพวกเราเป็นอย่างดี” ฉี
หนิงพูดว่า “พอพวกเรามาถึงที่พักของท่านเหมียว
อ๋อง คนที่นำทางมาก็หายไปแล้ว ตอนนั้นข้าก็รู้แล้ว
ว่าสถานการณ์มันผิดปกติ คิดอยากจะออกจากที่นั่น
ให้เร็วที่สุด หลางชาตูลูก็พาคนมาถึงพอดี หึ เจ้าไม่
รู้สึกหรือว่ามันบังเอิญเกินไป?”
ตันตูกู่พูดว่า “มันก็อาจจะบังเอิญจริงๆ ก็ได้”
“หากเจ้าคิดแบบนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดต่อว่า “แต่ว่าที่พวกเราเจอกันเมื่อวานที่ตีน
เขา เจ้าบอกกับหลางชาตูลูอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าหลางชาตูลูเหมือนจะไม่ได้รู้ว่า
พวกเราเจอกันที่ตีนเขา เรื่องที่เจอกันที่ริมแม่น้ำเองก็
เหมือนจะรู้ดีเหมือนกัน ตันตูกู่ พี่ชายของเจ้าคนนี้
เหมือนจะสนใจความเคลื่อนไหวของเจ้ามากเลยนะ”
เขาพูดต่อไปอีกว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ที่จริงไม่ได้
พุ่งเป้ามาที่ข้ากับอีฝูหรอกนะ ข้ากับอีฝูก็แค่ถูกใช้เป็น
เครื่องมือเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงของหลางชาตูลู
เหมือนจะเป็นเจ้านะ”
ครั้งนี้ตันตูกู่เหมือนจะไม่พูดอะไร เขานิ่งเงียบไป
อีฝูถามว่า “เจ้าหมายความว่า หลางชาตูลูตั้งใจใส่ร้าย
ตันตูกู่ เอาความผิดฐานลอบสังหารท่านเหมียวอ๋องให้
เขาอย่างนั้นหรือ?”
“มีอาวุธของข้าเป็นหลักฐาน หลางชาตูลูกับคนของ
เขาเอาความผิดฐานลอบสังหารท่านเหมียวอ๋องมาให้
พวกเราสองคนก็จริง” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าเป้าหมาย
ที่แท้จริงของเขา ก็คือฉวยโอกาสนี้กำจัดตันตูกู่ซะ
อย่างน้อยก็ให้คนอื่นรู้ว่า ที่พวกเราสังหารท่านเหมียว
อ๋องนั้น เป็นคำสั่งของตันตูกู่”
อีฝูพูดว่า “หรือว่าพี่ชายของตันตูกู่ จะทำเพื่อแย่งชิง
ตำแหน่งเหมียวอ๋อง จนบ้าไปแล้ว?” เขาหยุดไป แล้ว
พูดอย่างสงสัยว่า “หากเป็นอย่างนั้นจริง เหตุใดเขา
ต้องเลือกทำในเวลาแบบนี้ด้วย?”
ฉีหนิงพูดว่า “อาจเป็นไปได้ว่าท่านเหมียวอ๋องอาจจะ
ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของเขาก็ได้”
“เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?” ตันตูกู่พูดว่า
“เขายังคิดจะทำอะไรอีก?”
ฉีหนิงคิดแล้วถึงพูดว่า “ตันตูกู่ เรื่องของถ้ำเฮยเหยียน
ในครั้งนี้ ถ้ำเหมียวแต่ละถ้ำไม่เคลื่อนไหวแสดงท่าที
อะไร ก็เพราะท่านเหมียวอ๋องไม่ได้มีคำสั่งลงมา”
“ถูกต้อง” ตันตูกู่พูดว่า “ไม่มีคำสั่งของท่านเหมียว
อ๋อง แต่ละถ้ำไม่กล้าทำอะไรพลการ”
“นี่อาจจะเป็นปมของปัญหานี้ก็ได้” ฉีหนิงถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “ตอนนี้พวกเราลองย้อนกลับไปคิดดูเรื่อง
ของถ้ำเฮยเหยียน หากทหารจะกำจัดถ้ำเฮยเหยียน
จริง คงไม่ดึงเวลามาจนถึงป่านนี้ ข้ายังสงสัยอยู่เลยว่า
อีฝู เจ้าฝ่าออกมาจากเขาเฮยเหยียน คงไม่ได้เพราะ
พวกเจ้าร้ายกาจ อาจจะมีคนตั้งใจปล่อยเจ้าออกมา
มากกว่าอีก”
“อะไรนะ?” อีฝูตกใจ “มีคนตั้งใจปล่อยพวกข้ามา
อย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “แต่มันก็เป็นสิ่งที่ข้าเดาเท่านั้น ข้าเองก็
ไม่มั่นใจ” เขานิ่งไป แล้วพูดว่า “หรืออาจจะมีคน
อยากให้เจ้ามาที่เขาซีซานเพื่อพบท่านเหมียวอ๋องก็
ได้”
“ไม่จริง” อีฝูรีบพูดว่า “หากพวกเขาตั้งใจปล่อยพวก
ข้าออกมา เพื่อมาพบท่านเหมียวอ๋องจริง เหตุใด
ระหว่างทาง ถึงยังมีคนไล่ฆ่าพวกข้าเล่า?”
ฉีหนิงค่อยๆ คิดแล้วพูดว่า “อาจเป็นแผนยิงปืนนัด
เดียวได้นกสองตัวก็ได้”
อีฝูกับตันตูกู่ยิ่งฟังยิ่งงง อีฝูถามว่า “ยิงปืนนัดเดียวได้
นกสองตัวอะไร?”
“อีฝู ข้าขอถามเจ้าหน่อย พี่ชายเจ้าปาเย่ลี่ตอนนี้มี
ความคิดแบบไหน?” ฉีหนิงถามว่า “เขาคิดจะปะทะ
กับทหารจริงหรือ?”
อีฝูรีบพูดว่า “หากทหารบุกโจมตีถ้ำเฮยเหยียนจริง
ไม่เพียงแค่พี่ใหญ่เท่านั้น หกถ้ำเล็กทั้งหมดไม่ว่าจะลูก
เล็กเด็กแดง ก็จะสู้จนเลือดหยดสุดท้าย”
“แต่ว่าหากยังมีความหวังที่จะได้เจรจากันสักครั้ง
สามารถล้างมลทินให้พวกเจ้าได้ พี่ชายเจ้าคงไม่ยอม
ให้ถ้ำเฮยเหยียนล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาใช่หรือไม่?”
อีฝูคิดแล้วพูดว่า “ถูกต้อง”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามเจ้าอีก หากเจ้าถูกสังหาร
ระหว่างทางที่มาเขาซีซาน อีกฝ่ายส่งศพของเจ้า
กลับไปที่ถ้ำเฮยเหยียน พี่ชายเจ้าจะทำอย่างไร?” ฉี
หนิงน้ำเสียงจริงจัง
อีฝูครั้งนี้ไม่ได้ตอบ แต่ตันตูกู่กลับพูดขึ้นมาว่า “ข้า
พอจะรู้จักนิสัยของปาเย่ลี่อยู่บ้าง อีกทั้งรู้ดีด้วยว่า
พวกเจ้าสองพี่น้องรักกันมากแค่ไหน หากเจ้าถูกคน
ฆ่าตายจริงๆ ทหารอยากจะเจรจาคงไม่มีทางอีก
ปาเย่ลี่ตอนนี้ถูกใส่ร้าย แต่ว่าหากน้องสาวคนเดียว
ของเขาถูกฆ่าตายไป เขาต้องก่อกบฏแน่นอน”
“ถูกต้อง” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดังนั้นคนที่
ไล่สังหารเจ้า อาจเป็นไปได้ว่าที่พวกเขาทำก็เพื่อตัด
ช่องทางการเจรจาของถ้ำเฮยเหยียนกับทหาร ทำให้
ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่สถานการณ์ที่ยากลำบาก” เขาพูดต่อ
อีกว่า “แต่ว่าหากเจ้าสามารถหนีรอดจากการไล่ล่าได้
รอดมาถึงเขาซีซาน ไม่ว่าท่านเหมียวอ๋องจะใช้กำลัง
ทหารหรือไม่ ท่านเหมียวอ๋องก็จะถูกลากโยงเข้ามา
เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่ดี ถูกต้องหรือไม่?”
ตันตูกู่พูดว่า “ที่จริงหลังจากที่ถ้ำเฮยเหยียนถูกปิด
ล้อม ท่านเหมียวอ๋องก็ได้คิดวางแผนการรับมือไว้แล้ว
ท่านอยากจบเรื่องนี้อย่างสันติ”
“พออีฝูมาถึงเขาซีซาน นำความจริงมาบอก ทางถ้ำ
ซางซุ่ยก็จะต้องเกลียดทหารเข้ากระดูกดำ” ฉีหนิงพูด
ว่า “ก็เหมือนตอนที่อยู่ในถ้ำใหญ่ หลางชาตูลูกับอีก
หลายคนเห็นว่าควรให้ท่านเหมียวอ๋องใช้กำลังทหาร
เข้าสู้ อีกทั้งยังดูแค้นเคืองมากด้วย มองจากด้าน
ความรู้สึก ถ้ำเฮยเหยียนถูกใส่ร้าย การที่ชาวเหมียว
ยกกำลังพลเข้าช่วยเหลือ มันก็สมเหตุสมผล”
ตันตูกู่เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา เขาถามว่า “เจ้า
หมายความว่า หลางชาตูลูยืนยันที่จะให้ท่านเหมียว
อ๋องยกทัพไป มีเบื้องหลังหรือ?”
“มีเบื้องหลังอะไรหรือไม่นั้น ข้าไม่รู้ ท่านเหมียวอ๋อง
ปรีชาปราดเปรื่อง มองการไกล” ฉีหนิงพูดว่า “หาก
เปลี่ยนเป็นคนที่ใจร้อนอีกหน่อย อาจจะรวบรวม
กำลังพล เข้ากดดันทางการไปแล้ว แต่ว่าท่านเหมียว
อ๋องรู้ว่า หากทำอย่างนั้น จะนำภัยมาสู่ชาวเหมียว
ทั้งหมดแน่นอน และอาจจะทำให้ซีชวนเกิดความ
วุ่นวายขึ้นได้ ดังนั้นท่านจึงหาวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องนี้
อย่างละม่อม”
ตันตูกู่พูดว่า “ถูกต้อง ท่านเหมียวอ๋องต้องนึกถึงชาว
เหมียวทั้งหมดก่อน ไม่มีทางตัดสินเพราะอารมณ์
แน่นอน” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “ที่จริงเมื่อคืนนี้
ท่านเหมียวอ๋องได้เรียกพบเหล่าหัวหน้าถ้ำต่างๆ
ก่อนที่จะพบพวกเจ้า พวกเราได้หารือเรื่องนี้กันมา
ก่อนแล้ว หัวหน้าถ้ำทั้งหกถ้ำ มีห้าคนที่สนับสนุน
ความคิดของหลางชาตูลู ที่จะให้รวบรวมกำลังพล
แล้วแสดงอานุภาพของพวกเรากดดันราชสำนัก”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านเหมียวอ๋องถูก
สังหาร หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ น่าจะเป็นเพราะ
ความคิดของเขา หากเขาตกลงที่จะรวบรวมกำลัง
ทหาร อาจจะ...อาจจะไม่ออกมาเป็นแบบนี้ก็ได้”
อีฝูรีบพูดว่า “เจ้าหมายความว่า ที่ท่านเหมียวอ๋องถูก
สังหาร เพราะมีคนอยากจะขัดคำสั่งของท่านหรือ?”
“วิธีการแก้ไขปัญหาของท่านเหมียวอ๋อง ถือว่าเป็นวิธี
ที่ดีที่สุดที่ทำได้ในตอนนี้แล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “แต่น่า
เสียดายมีคนไม่อยากให้ท่านเหมียวอ๋องใช้วิธีสันติ
แบบนี้ในการแก้ปัญหา พวกเขาหวังที่จะเห็นการยก
ทัพทำศึก การตัดสินใจของท่านเหมียวอ๋องขัดขวาง
แผนการของพวกเขา ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเขา
ทำได้แค่ต้องสังหารท่านเหมียวอ๋องเท่านั้น” เขาพูด
ต่อว่า “ตันตูกู่ ความเห็นของเจ้าเหมือนกับท่าน
เหมียวอ๋อง ไม่อยากให้ใช้กำลังทหาร ดังนั้นเจ้าเลย
กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายของพวกเขาด้วย เลยถือ
โอกาส เอาความผิดในการสังหารท่านเหมียวอ๋องให้
เจ้า เจ้าคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้ พวกเรายังจะมี
ชีวิตรอดไปอีกหรือ?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 374 กับดักมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
พอฉีหนิงพูดมาแบบนี้แล้ว อีฝูก็เข้าใจขึ้นมา นางพูด
ว่า “หลางชาตูลูคิดอยากจะใช้กำลังทหาร แต่ว่าท่าน
เหมียวอ๋องกับตันตูกู่ไม่เห็นด้วย ยืนยันที่จะเจรจา
ดังนั้นหลางชาตูลูจึงวางกับดักสังหารท่านเหมียวอ๋อง
แล้วก็ใส่ร้ายพวกเรากับตันตูกู่”
“นี่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของข้า” ฉีหนิงถอน
หายใจแล้วพูดว่า “หากข้าเดาไม่ผิด พวกเราน่าจะ
รอดไม่เกินหนึ่งวันเท่านั้น หากตันตูกู่ถูกขังอยู่ที่นี่
ท่านเหมียวอ๋องถูกสังหาร หลางชาตูลูก็จะกลายเป็น
หนึ่งเดียวที่มีอิทธิพลมากที่สุดของถ้ำซางซุ่ย เขาก็จะ
มีอำนาจในการสั่งการ” เขาพูดว่า “ตอนนี้สิ่งที่เขาไม่
วางใจมากที่สุดก็คือพวกเราสามคน หากพวกเราตาย
เรื่องการตายของท่านเหมียวอ๋องก็จะมีแพะรับบาป
แทนเขา เขาก็จะหมดเสี้ยนหนามทันที”
ตันตูกู่กำหมัดแน่น “หากท่านเหมียวอ๋องถูกเขา
สังหารจริง ข้า...ข้าจะต้องฉีกเจ้าเดรัจฉานนั่นออกมา
เป็นชิ้นๆ ให้ได้”
“เจ้าจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ ได้หรือไม่ข้าไม่รู้” ฉีหนิงถอน
หายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าตอนนี้เขาจะฆ่าเจ้า ไม่ยาก
เลย”
ตันตูกู่สีหน้าเคร่งเครียด สายตาของเขาราวกับคม
ดาบ
“พวกเจ้าเงียบๆ กันหน่อย” ชาวเหมียวด้านนอกได้
ยินว่าด้านในมีความเคลื่อนไหว เลยถือดาบเดินเข้ามา
แล้วพูดว่า “ข้าไม่สนหรอกนะว่าพวกเจ้าจะนั่งจะ
นอน อยู่นิ่งๆ ก็พอ อย่าพูดมาก ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่
เกรงใจแล้วนะ”
ตันตูกู่พูดว่า “ชี่กู่ เจ้าบังอาจเกินไปแล้วนะ กล้าพูด
กับข้าแบบนี้หรือ?”
“ตันตูกู่ ข้าถือว่าเกรงใจเจ้ามากแล้วนะ” ชาวเหมียว
ที่ชื่อชี่กู่ถือดาบเดินมาที่หน้ากรงขัง แล้วจ้องหน้าตันตู
กู่แล้วพูดว่า “เจ้าคือคนร้ายที่สังหารท่านเหมียวอ๋อง
แม้แต่พ่อของตัวเองก็ฆ่าได้ คนไร้มนุษยธรรมอย่างเจ้า
ข้าอยากจะเฉือนเจ้าออกเป็นชิ้นๆ ด้วยซ้ำไป”
“หากเจ้ากล้าพูดจาเหลวไหลอีก ถ้าข้าออกไปได้ ข้า
จะคิดบัญชีกับเจ้าแน่” ตันตูกู่พูดต่อว่า “ท่านเหมียว
อ๋องถูกสังหาร ไม่เกี่ยวกับข้า”
ชี่กู่พูดว่า “คิดบัญชีกับข้าหรือ? ก็ต้องดูว่าเจ้าจะ
ออกมาได้หรือไม่ก่อน เจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยว แต่ว่า
สองคนนี้สังหารท่านเหมียวอ๋องก็เป็นคนของเจ้า เจ้า
เป็นคนสั่งให้พวกเขาไปสังหารท่านเหมียวอ๋อง”
ถึงแม้ตันตูกู่จะได้รับบาดเจ็บ บนตัวยังมีผ้าพันแผลอยู่
แต่จะทนการเหยียดหยามแบบนี้ได้อย่างไรกัน เขากำ
กรงเหล็กเอาไว้ แล้วตะคอกกลับไปว่า “หากเจ้าพูด
อีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้เลย” เพราะเขา
โกรธมากทำให้หน้าของเขาตอนนี้เดือดดาลที่สุด มันดู
เหมือนกับใบหน้าของราชสีห์ที่กำลังอยู่ในความโกรธ
ชี่กู่ยังคงมีความกลัวต่อตันตูกู่อยู่บ้าง ก็อดที่จะถอย
หลังไปไม่ได้ เขาพูดว่า “ตอนนี้เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก
แต่ว่าเจ้าต่างหากที่จะต้องถูกเลาะกระดูกตัดเอ็น”
เขาก็ไม่พูดมากอีก หันหลังแล้วเดินไปเลย
ตันตูกู่เห็นชี่กู่เดินไปแล้ว ความโกรธของเขาก็ยังไม่
ลดลง แต่ว่าก็รู้ว่าจะพาลใส่คนเฝ้าคุกแบบนี้มันก็ไม่มี
ประโยชน์ จึงนั่งลงสงบสติอารมณ์
“อีฝู พวกเขาบอกว่าเลาะกระดูกตัดเอ็น มัน
หมายความว่าอย่างไร?” ฉีหนิงถาม “คงไม่ได้จะทำ
กับพวกเราแบบนั้นจริงๆ ใช่หรือไม่?”
อีฝูพูดว่า “เลาะกระดูกตัดเอ็นนั่นคือโทษสูงสุดของ
ชาวเหมียวเรา หาก...หากพวกเขายังยืนยันว่าพวกเรา
คือคนที่สังหารท่านเหมียวอ๋อง ตามกฎของชาว
เหมียวเรา พวกเราก็ต้อง...” นางไม่กล้าพูดต่อ ถึงแม้
นางจะไม่รู้สึกละอายใจต่อตัวเอง แต่ว่าพอนึกว่าถูกใส่
ร้ายแบบนี้ ถึงเวลาหลางชาตูลูจะใช้วิธีนั้นกับพวกเขา
นางก็รู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมา
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หากถูกเลาะกระดูกตัด
เอ็นจริง คงสยดสยองน่าดู”
อีฝูตัวสั่น แล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” นางหยุด
ไป แล้วถามว่า “เจ้าว่าหลางชาตูลูสังหารท่านเหมียว
อ๋อง อีกทั้งยังใส่ความพวกเรากับตันตูกู่ เขาทำเพื่อแค่
ต้องการยกทัพออกศึกเท่านั้นหรือ เขา...เขายังมี
เป้าหมายอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่? เขาทำเพื่อช่วยถ้ำ
เฮยเหยียนจริงน่ะหรือ?”
“เจ้ารู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่ แล้วจะถามทำไม?” ฉีหนิง
พูดต่อว่า “หากเขาฆ่าเจ้าจริง เขาจะไม่รู้เลยหรือว่า
จะทำให้เขาสร้างความแค้นกับถ้ำเฮยเหยียน? ถ้า
อย่างนั้นแล้ว เขาจะสร้างความแค้นกับถ้ำเฮยเหยียน
ก่อน แล้วค่อยส่งกำลังทหารไปช่วยหรือ?”
“แล้วเขามีเป้าหมายอะไรกัน?”
“ก็ทำเพื่อก่อกบฏอย่างไรเล่า” ฉีหนิงพูดว่า “ก็อาศัย
เรื่องในครั้งนี้ ยุแยงให้ชาวเหมียวเห็นราชสำนักเป็น
ศัตรู จากนั้นก็ก่อความวุ่นวายในซีชวน”
อีฝูพูดว่า “แล้วเขาจะได้ประโยชน์อะไร? หรือว่าเขา
ไม่รู้ กองทัพของราชสำนักแข็งแกร่งแค่ไหน ต่อให้
ชาวเหมียวของพวกเรารวบรวมกำลังไพร่พลได้
ทั้งหมด ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้กับราชสำนักเลยนะ?”
ฉีหนิงพูดว่า “เขากล้าทำแบบนี้ ก็จะต้องมีความมั่นใจ
ในระดับหนึ่ง แต่ว่าความมั่นใจพวกนั้นมาจากไหน ข้า
เองก็ไม่รู้” เขาคิดแล้วพูดว่า “หากคนที่ไล่ล่าพวกเจ้า
สองคนนั้นคงจะเป็นคนของหลางชาตูลู เช่นนั้นก็
แสดงว่ากับดักที่วางไว้ในครั้งนี้หลางชาตูลูไม่ได้ทำคน
เดียวแน่นอน เบื้องหลังจะต้องมีคนอื่นอีกแน่ อาจ
เป็นไปได้ว่า...หลางชาตูลูจะเป็นหนึ่งในหมากของ
พวกเขาก็ได้”
ตันตูกู่ฟังเข้าใจทุกอย่าง เขารีบถามว่า “เจ้า
หมายความว่าหลางชาตูลูถูกคนหลอกใช้หรือ?”
“ข้าบอกไปแล้ว ตั้งแต่เริ่มจนจบมันโยงเป็นทาง
เดียวกันหมด ข้าก็แค่คิดมากไปอีกขั้นเท่านั้น” ฉีหนิง
พูดว่า “ที่จริงข้าเองก็อยากจะให้สิ่งที่ข้าคิดมันไม่ใช่
เพราะมันอาจจะทำให้พวกเรารอดไปได้ ไม่เช่นนั้น...
พวกเราต้องตายแน่นอน” เขาถามว่า “ตันตูกู่ เจ้า
คุ้นเคยกับคุกหมาป่านี่ดี มีวิธีหนีออกจากที่นี่ได้
หรือไม่?”
ตันตูกู่พูดอย่างหนักแน่นว่า “คุกหมาป่าของถ้ำซางซุ่ย
เจ้าเองก็เห็นแล้ว คิดจะหนีออกไป ไม่มีทางเป็นไปได้
เลย กรงเหล็กมีกลอนหนาแน่น อีกทั้งยังใช้ทองคำ
จำนวนมากซื้อมาจากชาวฮั่น มันแข็งแกร่งมาก ต่อให้
มีมีดหรือดาบที่คมมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางเปิดออก
นอกจากจะมีกุญแจอยู่ในมือ”
“แล้วกุญแจอยู่ที่ไหน?” ฉีหนิงถาม “อยู่ในมือของคน
เฝ้าคุกพวกนั้นหรือไม่?”
ตันตูกู่พูดว่า “ถูกต้อง แต่ว่าหลางชาตูลูจับพวกเราขัง
ไว้ที่นี่ คนที่เฝ้าก็เป็นคนของเขา ชี่กู่ติดตามหลางชา
ตูลูมาตั้งแต่เล็ก เป็นคนที่สนิทที่สุดของหลางชาตูลู
อีกสองคนก็เป็นคนของเขา คิดอยากจะเปิดกรงเหล็ก
นี่ออกไป แทบเป็นไปไม่ได้เลย”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แล้วเจ้าไม่มีคนสนิทที่
ถ้ำซางซุ่ยนี่เลยหรือ? เจ้าถูกจับมาอยู่ที่นี่ ไม่มีใครมา
ช่วยเจ้าเลยหรืออย่างไร? จริงสิ ข้าจำได้ว่าหัวหน้าถ้ำ
คนที่ผอมๆ สูงๆ ที่กล่อมให้เจ้ายอมให้จับนั่น เขา
รับปากจะคืนความเป็นธรรมให้แก่พวกเรา เจ้าเชื่อใจ
เขาได้หรือไม่?”
“เขาคือไป๋หย่าลี่ เขากับข้าสนิทกันดีอยู่ เขาเป็นคน
ตรงไปตรงมา” ตันตูกู่พูดว่า “แต่หากทั้งหมดนี่หลาง
ชาตูลูเป็นคนวางแผนจริง ไป๋หย่าลี่คนเดียว คงไม่มี
ทางต่อกรกับหลางชาตูลูได้” เขาถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “หลางชาตูลูจะต้องทำให้ทุกคนรู้ว่า ข้าเป็นคนสั่ง
ให้พวกเจ้าไปสังหารท่านเหมียวอ๋อง หากคนในถ้ำรู้
เรื่องนี้แล้ว จะต้องเกลียดข้าเข้ากระดูกดำ ไม่มีทางมี
ใครมาช่วยพวกเราหรอก ต่อให้ใครคิดอยากจะมา
ช่วยพวกเรา หลางชาตูลูจะต้องสั่งให้คนปิด
ทางเข้าออกหน้าผานี้ไว้แน่นอน แทบไม่มีทางทำ
สำเร็จได้”
ฉีหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็ไม่มีความหวัง
อะไรแล้วน่ะสิ ต้องรอความตายในนี้อย่างเดียวอย่าง
นั้นหรือ”
ตันตูกู่พูดขึ้นมาว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่? วรยุทธ์ของ
เจ้าสูงมาก เพลงกระบี่ก็ร้ายกาจ ต่อให้เป็นชาวฮั่น ก็
น่าจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง” เขาพูดว่า “อีฝู เจ้าพาคน
แบบนี้ ขึ้นเขามาเพราะอะไรกัน?”
“เจ้าไม่ต้องทำให้อีฝูลำบากใจหรอก” ไม่รอให้อีฝูพูด
อะไร ฉีหนิงพูดว่า “ระหว่างทางอีฝูถูกคนไล่ฆ่า ข้า
บังเอิญไปพบเข้า ก็เลยได้เป็นเพื่อนกัน ครั้งนี้ขึ้นเขา
มา ข้าคุ้มกันนางมาส่งถึงที่นี่ ที่จริงแล้วข้าเองก็
อยากจะพบท่านเหมียวอ๋องเหมือนกัน หากท่าน
เหมียวอ๋องต้องการยกทัพไปจริง ข้าก็อาจจะขอเจรจา
กับท่านเหมียวอ๋องตามลำพังก็ได้ แต่ว่าท่านเหมียว
อ๋องไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวัง ดังนั้น...”
ตันตูกู่กำลังจะถามต่อ แต่มีคนๆ หนึ่งเดินเข้ามา
ชาวเหมียวคนหนึ่งถือกระบอกไม้ไผ่มาสามอัน แล้ว
เดินมาหน้ากรงเหล็ก จากนั้นก็โยนกระบอกไม้ไผ่ไป
ให้พวกเขาทีละห้องขัง แล้วพูดว่า “หลางชาตูลูรู้ว่า
พวกเจ้าคงจะกลัวกันมาก น่าจะนอนไม่หลับ จึงให้
พวกเราส่งเหล้ามาให้ หลางชาตูลูบอกว่า คืนนี้พวก
เจ้าหลับให้สบาย พรุ่งนี้จะพาพวกเจ้าไปพบท่านแม่
หมอ ให้ท่านแม่หมอตัดสินว่าพวกเจ้าใช่คนร้าย
หรือไม่”
ตันตูกู่รีบถามว่า “เขาจะพาพวกเราไปพบท่านแม่
หมอจริงหรือ?”
“ถูกต้อง เหล่าหัวหน้าถ้ำบอกว่าปกติเจ้าเป็นคนมี
เมตตา ไม่น่าจะเป็นคนสังหารท่านเหมียวอ๋อง หลาง
ชาตูลูรับปากจะพาพวกเจ้าไปพบท่านแม่หมอ” คนๆ
นั้นพูดว่า “แต่ว่าทางที่ดีพวกเจ้าดื่มเหล้าสักหน่อยจะ
ดีกว่านะ ไม่เช่นนั้นพอเจอท่านแม่หมอแล้ว ไม่รู้จะ
พูดอะไรมันจะไม่ดี”
คนๆ นั้นไม่พูดอะไรมาก หันหลังแล้วเดินจากไปเลย
ตันตูกู่พูดด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “ที่แท้เหล่าหัวหน้าถ้ำก็
ไม่ได้เลอะเลือน ขอแค่ได้พบท่านแม่หมอ จะต้องหา
คนร้ายตัวจริงได้แน่นอน ไม่มีทางใส่ร้ายคนดี
เด็ดขาด” มือทั้งสองข้างของเขาถูกมัดเอาไว้ แต่ก็ยัง
ยื่นมือไปหยิบกระบอกไม้ไผ่มา ฉีหนิงก็พูดขึ้นมาว่า
“ตันตูกู่ หากเจ้าไม่ดื่มเหล้าในกระบอกไม้ไผ่นี้ อาจจะ
มีโอกาสได้เจอท่านแม่หมอ แต่ว่าหากเจ้าดื่มมัน คง
ไม่ได้เจอแน่นอน”
ตันตูกู่สะดุ้ง เขาจ้องไปที่กระบอกไม้ไผ่ “เจ้า
หมายความว่า...เหล้านี่มีพิษหรือ?”
“หากเหล่าหัวหน้าถ้ำพวกนั้นสติยังดีอยู่ ก็คงไม่เห็น
ด้วยที่จะจับตัวเจ้ามาขังในนี้หรอก” ฉีหนิงพูดว่า
“คนๆ นั้นบอกว่า อยากให้เจ้าผ่อนคลาย ไม่ว่า
อย่างไรเหล้าที่อยู่ในนี้ ข้าไม่ดื่มมันแน่นอน”
ตันตูกู่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หากเหล้านี่มีพิษจริง พวก
เราก็คงตายอยู่ในนี้แน่ ทุกคนก็จะสงสัยว่าหลางชาตูลู
อาจจะฆ่าคนปิดปาก มันไม่ได้มีผลดีกับเขาเลยนะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้อแรก หากพวกเราตายอยู่ในนี้
จริง หลางชาตูลูก็ไม่มีทางยอมรับว่าเขาส่งเหล้าพวกนี้
มาหรอก ต่อให้มีใครสงสัย ก็ไม่มีหลักฐาน จะมีใครทำ
อะไรเขาได้? ข้อสอง เหล้านี่มีพิษ ก็อาจจะไม่ได้ทำให้
พวกเราตาย แต่ทำให้พวกเราพูดอะไรไม่ได้ หรือ
อาจจะทำให้พวกเราเสียสติ ถึงเวลานั้นก็ไม่มีทางแก้
ต่างต่อหน้าคนอื่นได้อีก เขาก็จะได้ทุกอย่างที่เขา
ต้องการไป”
อีฝูถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเจ้าชาวฮั่นความคิด
ซับซ้อนจริง”
“ข้าจะถือว่าเจ้าชมข้าก็แล้วกันนะ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด
ว่า “ที่จริงข้าไม่ได้รู้สึกว่าหลางชาตูลูจะฉลาดมาก
ขนาดนั้น ข้ากังวลว่าเบื้องหลังของเขามีคนอื่นอีก
คนๆ นั้นน่าจะเป็นคนชี้แนะให้หลางชาตูลูทำ”
ตันตูกู่เขวี้ยงกระบอกไม้ไผ่ทิ้ง กำหมัดแน่น แล้วพูดว่า
“เหตุใดหลางชาตูลูถึงได้ต่ำช้ามากขนาดนี้ กล้าคิดที่
จะทำให้ชาวเหมียวของเราไปสู่ความตายได้?”
“เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป” ฉีหนิงพูดว่า “ขอแค่พวกเรามี
ชีวิตรอด ก็ไม่ต้องรอนาน ก็จะรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง
เรื่องนี้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 375 มังกรคืนฟ้าเสือคืนกลับรัง
ตลอดทั้งคืนทั้งสามคนข่มตาไม่หลับเลย เช้าวันต่อมา
ตลอดทั้งวันก็ยังไม่มีใครมา
คุกหมาป่ายังห่างจากถ้ำหลักระยะหนึ่ง แต่ถึงจะเป็น
อย่างนั้น ทั้งสามคนก็ยังได้ยินเสียงร่ำไห้ดังลอยมา
ในวันนี้ไม่เพียงไม่มีใครมาสอบสวน แม้แต่อาหารก็ไม่
มีใครส่งมาให้ หลังจากที่ฟ้ามืดลงแล้ว ถึงเห็นชี่กู่พา
คนเฝ้าอีกคนถือตะกร้าอาหารเข้ามา
ชี่กู่นำอาหารส่งรอดผ่านช่องกรงเหล็กไปให้ตันตูกู่
ก่อน จากนั้นก็เป็นอีฝู แล้วก็ให้ฉีหนิงเป็นคนสุดท้าย
ฉีหนิงเห็นว่าอาหารก็ถือว่ามากพอสมควร เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “พี่ชาย มือของข้าถูกมัดเอาไว้แบบนี้ มันกินไม่
ค่อยสะดวกเลย แก้มัดให้ข้าก่อนได้หรือไม่?”
ชี่กู่พูดด้วยความโมโหว่า “ไม่สะดวกก็ไม่ต้องกิน ข้า
เตือนเจ้าไว้ก่อนนะ รีบกินเข้า ไม่อย่างนั้นหากเจ้า
ตายไป เกิดเจ้าหิวขึ้นมาจะไม่มีใครเผาอะไรให้เจ้ากิน
นะ”
“เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?” ฉีหนิงขมวด
คิ้ว
ชี่กู่นั่งยองลง แล้วพูดว่า “พวกเจ้าสังหารท่านเหมียว
อ๋อง หลักฐานมัดแน่น หัวหน้าถ้ำทั้งหลายกำลังหารือ
กันอยู่ พรุ่งนี้เช้าพวกเจ้าก็จะถูกเลาะกระดูกตัดเอ็น”
ฉีหนิงหน้าถอดสี อีฝูที่อยู่ห้องข้างๆ ก็ได้ยิน ก็พูดว่า
“พวกเจ้า...พวกเจ้าคิดจะฆ่าพวกข้าหรือ?”
“มันเป็นผลที่เหล่าหัวหน้าถ้ำหารือกันแล้ว” ชี่กู่พูดว่า
“ไม่อย่างนั้นใครจะกล้าเอาอาหารดีๆ แบบนี้มาให้
พวกเจ้ากันเล่า? นี่เป็นมื้อสุดท้ายของพวกเจ้าแล้ว จะ
กินเท่าไรก็เรื่องของเจ้า” จากนั้นเขาก็ลุกแล้วเดิน
ออกไป
ฉีหนิงรีบพูดขึ้นมาว่า “ช้าก่อน เจ้าต้องแก้มัดให้ข้า
ก่อน พวกเราถูกขังอยู่ในนี้ ถึงแก้เชือกก็ออกไปไม่ได้
อยู่ดี ในเมื่อเป็นมื้อสุดท้ายแล้ว ก็จะต้องให้พวกเรา
กินให้อิ่มสิ”
ชี่กู่ไม่ได้สนใจ เขาเดินออกไปพร้อมอีกคน
ฉีหนิงหยิบจานอาหารขึ้นมาหนึ่งจาน แล้วเขวี้ยงลง
พื้นอย่างแรง “เพล้ง” ชี่กู่กับอีกคนหันหน้ากลับมาดู
เห็นชาวข้าวแตกกระจายอยู่ที่พื้น สีหน้าของพวกเขา
ก็เปลี่ยนไป ชี่กู่วิ่งกลับมาดู แล้วพูดด้วยความโกรธว่า
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ฉีหนิงนั่งใกล้กับกรงเหล็ก แล้วพูดว่า “ข้าถูกมัดแบบ
นี้มันไม่สบาย กินข้าวไม่ได้”
“กินข้าวไม่ได้?” ชี่กู่โกรธมาก เขาเดินเข้ามาใกล้ ยก
เท้าขึ้นมา แล้วถีบฉีหนิงผ่านช่อง แล้วด่าว่า “กินไม่ได้
ก็ไปตายซะ”
เมื่อเห็นเท้าของเขายื่นเข้ามา ฉีหนิงก็พลันนึกอะไร
ขึ้นมาได้ เขาใช้มือที่ถูกมัดเอาไว้ จับไปที่ข้อเท้าของชี่
กู่ จากนั้นก็ใช้แรงกระชาก ชี่กู่ถูกกระชากขา
กะทันหันทั้งตัวก็ถูกดึงไปข้างหน้า
ชี่กู่ตกใจมาก ยื่นมือจะไปหยิบดาบที่อยู่ตรงเอว
ในตอนนี้เอง ก็รู้สึกได้ว่าขาที่ถูกฉีหนิงจับไว้นั้นมันเริ่ม
มีอาการชา เขาตกใจมาก ทันใดนั้นเองพลังภายใน
ร่างกายของเขาก็เหมือนกับสายน้ำ มันไหลไปที่ขา
ทั้งหมด
ชี่กู่รู้แล้ว่าแย่แน่ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ด้วย
ความตกใจ ก็เลยตะโกนไปว่า “เร็ว...รีบมาช่วยข้า...”
ตอนนี้เขาลืมชักดาบไปแล้ว มือทั้งสองข้างของเขาจับ
กรงเหล็กเอาไว้ พยายามจะดึงขาออกมาจากร่องนั้น
ให้ได้
ในตอนนี้ฉีหนิงก็ใช้สองมือของเขาจับไปที่ข้อเท้าของชี่
กู่ไว้แน่น พลังภายในของชี่กู่ มันไหลเข้าร่างของฉีหนิง
ไปเรื่อยๆ
พลังหกเทพประสานของฉีหนิงมันไม่เหมือนเดิมนาน
แล้ว
ตอนที่เพิ่งได้พลังหกเทพประสานมา ฉีหนิงไม่รู้วิธีใช้
มัน อาศัยแค่คู่ต่อสู้เดินลมปราณก่อน ถึงจะดูดเข้า
ร่างกายได้ ฉีหนิงไม่สามารถควบคุมกำลังภายในของ
อีกฝ่ายได้เลย หากอีกฝ่ายไม่หยุด เขาก็ดูดมันมา
เรื่อยๆ
แต่ตอนนี้เขาพอจะรู้หลักของวิชาหกเทพประสานแล้ว
อีกทั้งเซี่ยงเซียวเหยาเองก็ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาการ
เดินลมปราณให้เขาด้วย ทำให้เขาเริ่มรู้จักการควบคุม
กำลังภายใน
ตอนนี้เขารู้หลักของวิชาพลังหกเทพประสานแล้ว ไม่
เหมือนแต่ก่อนที่รอแต่รับพลังมาอย่างเดียว ตอนนี้ขอ
แค่สัมผัสจุดสำคัญของร่างกายหนึ่งในสิบจุดของอีก
ฝ่าย แล้วเดินลมปราณ ก็จะสามารถดูดพลังของอีก
ฝ่ายมาได้
พลังหกเทพประสานของฉีหนิงในตอนนี้ ไม่ได้แค่รอ
รับอย่างเดียวแล้ว แต่กลายเป็นคลื่นลูกใหญ่
ขอแค่เขาเดินลมปราณ ร่างกายของฉีหนิงก็จะเหมือน
คลื่นน้ำวน ต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้ออกแรงหรือเดิน
ลมปราณ ฉีหนิงก็สามารถใช้กำลังภายในของตนเอง
ในการดูดพลังของอีกฝ่ายมา อีกฝ่ายอยากหนีก็หนีไม่
พ้น
ถึงแม้ชี่กู่จะไม่เคยฝึกกำลังภายใน แต่ว่าเขามี
พละกำลังมาก แต่เพราะกำลังภายในต่ำแบบนี้ เมื่อ
มาเจอกับพลังหกเทพประสาน จะไปต้านทานไหวได้
อย่างไร พริบตาเดียวชี่กู่ก็รู้สึกได้ว่าร่างกายอ่อนแรง
ลง แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าแรงของเขามันถูกดูดออกไป
ฉีหนิงตั้งใจตะโกน “เหตุใดพวกเจ้าต้องลงไม้ลงมือกับ
ข้าด้วย? ข้า...ข้าก็แค่จะให้พวกเจ้าแก้มัดให้ข้าเท่า
นั้นเอง เหตุใดพวกเจ้าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย?”
ชาวเหมียวที่อยู่ข้างๆ เห็นอย่างนั้น ก็ยืนอึ้ง เห็นชี่กู่ตัว
สั่น ก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดี จึงยื่นมือมาจับข้อมือของชี่
กู่เอาไว้ คิดจะดึงเขาออกมา แต่ว่าพอจับไปที่ข้อมือ
ของชี่กู่ ก็รู้สึกว่ามือของเขานั้นมีอาการชา เขาออก
แรงมากขึ้น แต่ก็รู้สึกว่ามือไม้อ่อนลงมากกว่าเดิมอีก
เขาไม่รู้ว่าฉีหนิงกำลังดูดกำลังภายในของชี่กู่ไป เขา
รู้สึกแปลกใจ เขาใช้มืออีกข้างจับไปที่ข้อมือของชี่กู่ทั้ง
สองข้าง
พริบตาเดียว พวกเขาก็รู้สึกว่าพลังภายในของเขามัน
ไหลออกไป แต่ไม่รู้ว่าชี่กู่กลายเป็นตัวแปรไปแล้ว
พลังภายในของชี่กู่ถูกดูดไปจนหมด แต่ว่าฉีหนิงก็ยัง
ไม่หยุดมือ พลังของคนๆ นั้นมันผ่านตัวของชี่กู่เข้าไป
ในร่างกายของฉีหนิง
คนๆ นั้นไม่ได้โง่ เขาเห็นถึงปัญหาของเรื่องนี้แล้ว จึง
ตะโกนว่า “อาลู่ อาลู่ รีบมาเร็ว...” เขาคิดอยาก
ปล่อยมือ แต่ว่าตอนนี้มือของเขาติดอยู่ที่ข้อมือของชี่
กู่ ทำอย่างไรก็ไม่ออก
เขาร้องตะโกนไปอีกหลายครั้ง ใช้แรงไม่น้อย คนที่เฝ้า
อยู่ในบ้านไม้เหมือนจะได้ยินความเคลื่อนไหว ก็มอง
เข้ามา แล้วก็รีบวิ่งมา แล้วพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ตอนนี้ชี่กู่อ่อนแรงมาก เขาไม่มีแรงเลยทั้งตัว เขาพูด
ว่า “รีบ...รีบช่วยพวกเรา เจ้าเด็กนี่...” เขาพูดแทบไม่
ไหว น้ำเสียงที่พูดแทบไม่มีเสียง
คนๆ นั้นจะยื่นมือไปดึง อีกคนเห็นดังนั้น ก็รีบห้าม
“อย่า...” แต่ว่ามันไม่ทันแล้ว คนๆ นั้นลงมือไวมาก
เขาจับไปที่แขนของคนที่อยู่ตรงกลาง ตอนนี้ทั้งสาม
คนยืนเรียงเป็นลูกชิ้นเสียบไม้ พลังทั้งหมดไหลเข้าสู่
ร่างกายของฉีหนิง
ครู่เดียวเท่านั้น ชี่กู่กับคนที่อยู่ตรงกลางก็ขาก็ทรุดลง
ไปที่พื้น คนที่อยู่ท้ายสุดเห็นท่าไม่ดี คิดอยากจะเอา
มือออก แต่ทำอย่างไรก็เอาไม่ออก
ชี่กู่ทรุดตัวลงคนแรก คนตรงกลางทรุดตัวตามมา ฟุบ
ไปบนตัวของชี่กู่ คนสุดท้ายพยายามดิ้น จนท้ายที่สุด
ก็หมดเรี่ยวแรงฟุบลงกับพื้นไปอีกคน ทั้งสามกองอยู่
บนพื้นรวมกัน เหมือนกองดินกองทราย แม้แต่ลม
หายใจก็แผ่วเบา แรงจะพูดยังไม่มีเลย
อีฝูได้ยินความเคลื่อนไหวจากห้องข้างๆ รู้ว่าเกิดเรื่อง
ขึ้นแน่ แต่มองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น นางรีบถามว่า
“เกิดอะไรขึ้น?”
ฉีหนิงรอจนพวกเขาสามคนหมดสติแล้ว เขารู้ว่าพลัง
หกเทพประสานร้ายกาจแค่ไหน รู้ว่าหากเขาไม่หยุด
ดูดพลังต่อไปอีก พวกเขาสามคนตายแน่
เขาแค่ขอให้หลุดออกไปได้เท่านั้น ไม่ได้อยากจะเอา
ชีวิตพวกเขา เมื่อแน่ใจว่าพวกเขาไม่มีแรงขยับอีก ก็
ปล่อยมือ
ทั้งสามคนสลบไปจนหมดแล้ว ลมหายใจก็แผ่วเบา
มาก
ฉีหนิงยื่นมือที่มัดเอาไว้ไปหยิบดาบมา จากนั้นก็วางไว้
ที่พื้น ใช้เท้าหนีบเอาไว้ จากนั้นก็เอาเชือกถูไปดาบจน
เชือกขาด หลังจากที่เชือกขาดแล้ว ฉีหนิงก็เขยิบเข้า
ไปใกล้ แล้วมองไป เห็นที่เอวของชีก่ ู่มีพวงกุญแจอยู่
เขายิ้ม แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบมา
เขาลองไขกุญแจอยู่สองดอก ในที่สุดก็เปิดออก เขา
กระโดดข้ามร่างของสามคนนั้น แล้วออกมานอกห้อง
ขัง จากนั้นก็ได้ถือกุญแจเดินไปที่หน้าห้องขังของอีฝู
อีฝูเห็นฉีหนิงเดินมาที่หน้าห้องขัง สีหน้าของนางก็
เปลี่ยนไป นางทั้งตะลึงทั้งดีใจ “เจ้า...เจ้าออกมาได้
อย่างไร?” คุกหินแบบนี้มันแทบจะไม่มีทางหนีได้เลย
ฉีหนิงยกมือขึ้น แล้วแกว่งกุญแจไปมา จากนั้นเขาก็
ยิ้มแล้วพูดว่า “มีคนเอากุญแจมาให้ หากพวกเรายัง
ไม่รีบออกไป อาจจะไม่ให้เกียรติพวกเขา” จากนั้น
เขาก็ไขกุญแจให้กับอีฝูแล้วก็ตันตูกู่
หลังจากที่ตันตูกู่กับอีฝูออกมาแล้ว ก็เห็นชี่กู่กบั พวก
นอนกองอยู่ที่พื้น ไม่ขยับเลย ต่างก็ตกใจ อีฝูเลยถาม
ขึ้นมาว่า “พวกเขา...พวกเขาตายแล้วหรือ?”
“วางใจได้ พวกเขาแค่ตัวประกอบ น่าจะไม่รู้เรื่อง ไม่
จำเป็นต้องเอาชีวิตพวกเขา” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าพวก
เราต้องรีบลงมือก่อน ที่นี่จะมีใครมาเมื่อไหร่ก็ได้ หาก
พวกเราถูกจับได้ พวกเราอาจจะหนีไปไม่รอด”
“ลงมือ?” ตันตูกู่เดินเข้าไปตรวจดู เมื่อแน่ใจว่าพวก
เขาสามคนสลบไปแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมา “ต้องลงมือ
อย่างไร?”
ฉีหนิงพูดว่า “จับพวกนี้มัดรวมกันไว้ก่อน อุดปาก
เอาไว้ แล้วโยนเข้าห้องขังลงกลอนซะ” เขาเดินขึ้น
หน้าไป แล้วจับพวกเขาโยนเข้าไปในคุกหิน แล้วลง
กลอน จากนั้นก็โยนกุญแจลงหน้าผาไป
ตันตูกู่ตะลึงไป ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้เจ้านี่
มันตะคอกใส่เจ้า ข้าแก้แค้นให้เจ้าแล้วนะ นอกจาก
กุญแจพวงนี้แล้ว มีกุญแจพวงอื่นอีกหรือไม่?”
ตันตูกู่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีกุญแจ พวกเขาจะ
ออกมาคงยาก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราอยู่ที่นี่มาหนึ่งวันหนึ่งคืน
ให้พวกเขาได้ลิ้มรสการอยู่ในนี้เสียบ้าง” เขาเหลือบ
ไปมองอีฝู ยิ้มแล้วพูดว่า “สนุกใช่หรือไม่?”
อีฝูทั้งโกรธทั้งตลก นางจ้องไปที่เขา แต่ว่าการออกมา
จากคุกหินได้ เป็นผลงานของฉีหนิง นางรู้สึกขอบคุณ
และซาบซึ้งใจต่อเขามาก อีกทั้งยังแอบนับถือเขามาก
อีกด้วย นางถามว่า “พวกเราควรทำอย่างไรต่อไป
ดี?”
“พวกเราออกมาจากคุกได้ ก็เหมือนมังกรคืนฟ้าเสือ
คืนกลับรัง” ฉีหนิงยืดเส้นยืดสาย แล้วมองไปที่ตันตูกู่
“ตันตูกู่ พวกเราถูกคนใส่ร้าย พรุ่งนี้พวกเขาก็จะฆ่า
พวกเราให้ตาย พวกเราไม่ควรจะหนีไปแบบนี้ ในเมื่อ
ออกมาแล้ว ก็ต้องล้างมลทินให้ได้ หาคนร้ายตัวจริง”
สายตาของเขาเป็นประกาย เขาพูดว่า “ปรัชญาชีวิต
ของข้าก็คือ เป็นหนี้ต้องชดใช้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 376 ลอบจู่โจม
ค่ำคืนอันมืดมิดไร้แสงจันทร์ เขาซีซานถูกปกคลุมไป
ด้วยความมืดสนิท
เหมียวอ๋องถูกสังหาร ศพถูกจัดวางไว้ที่ถ้ำเหมียวใหญ่
ทางถ้ำได้ถูกจัดคนไปเฝ้าตามเส้นทางที่มาบนเขาทุก
เส้น ไม่ว่าจะผู้เฒ่าผู้แก่เด็กเล็กต่างก็มารวมตัวกันที่ถ้ำ
ใหญ่ ท่ามกลางความมืด ผู้คนกลุ่มใหญ่ อย่างน้อยก็มี
ประมาณหนึ่งพันคน
เสียงร่ำไห้ดังตั้งแต่เช้ายันค่ำ เหมือนมันไม่เคยหยุดมา
ก่อน
ตอนที่เหมียวอ๋องยังมีชีวิตอยู่ ถ้ำเหมียวชางซีภายใต้
การเป็นผู้นำของเขา สงบไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งมัน
พาความมั่นคงสุขสงบมาให้กับชาวเหมียวมาก
เหมียวอ๋องเปรียบเสมือนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ฟ้าประทาน
มาให้ เขาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของชาวเหมียว ผู้คนเคย
ชินกับการมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิคอยปกป้องคุ้มครอง
แต่ว่าแค่คืนเดียวเท่านั้น ต้นไม้ใหญ่อย่างเหมียวอ๋อง
ล้มลง สำหรับใครหลายคนแล้ว การที่เหมียวอ๋องถูก
ลอบสังหารมันก็เหมือนกับฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่ปาน
ผู้คนทั้งหลายทั้งเสียใจ แล้วก็โกรธมาก
หากเหมียวอ๋องแค่ร่างกายโรยราไปตามเวลา แล้ว
ตายไป ผู้คนก็คงแค่เศร้าเสียใจกันไป แต่ว่าเหมียว
อ๋องตายเพราะถูกคนลอบสังหาร ในใจของเขามีแต่
ความโกรธแค้นดังไฟเผา
ทุกคนต่างตกใจว่า คนที่วางแผนการสังหารในครั้งนี้ก็
คือตันตูกู่
ตันตูกู่มีบารมีมากในถ้ำเหมียวชางซี ถึงแม้จะเป็นลูก
ชายคนรองของเหมียวอ๋อง แต่ว่าเขาเป็นคนมี
คุณธรรม ทำการทำงานได้ดี ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของชาว
เหมียวหลายคน
กฎของชาวเหมียวกับชาวฮั่นนั้นไม่เหมือนกัน การสืบ
ทอดตำแหน่งหรืออะไรต่างๆ ของชาวฮั่นจะต้องไล่
ตามลำดับ แต่ว่าชาวเหมียวไม่ได้เป็นแบบนั้น
ความสามารถที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับของ
ชาวบ้าน ต่อให้ไม่ได้เป็นลูกชายคนโตหรือเมียแต่ง ก็มี
สิทธิรับสืบทอดตำแหน่งเหมือนกัน
ในความเป็นจริงแล้วหลายคนในถ้ำเหมียวชางซีต่างก็
รู้สึกว่า เมื่อเทียบกับคนอารมณ์ร้อนอย่างหลางชาตูลู
เหมียวอ๋องอาจจะตัดสินใจเลือกคนที่ทำงานเป็นอย่าง
ตันตูกู่มารับช่วงเหมียวอ๋องมากกว่า
แต่ว่าไม่มีใครคิดเลยว่า ตันตูกู่จะสั่งให้คนไปลอบ
สังหารเหมียวอ๋องในเวลาแบบนี้ได้
ถ้ำใหญ่ของถ้ำเหมียวชางซีตั้งอยู่บนเขาสูงเป็น
สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุด และยังเป็นสถานที่ไว้ประชุม
หารือเรื่องต่างๆ การรองรับกว่าร้อยคนไม่ใช่ปัญหา
แต่ว่าตอนนี้ศพของเหมียวอ๋องตั้งอยู่ในนี้ เลยมีการสั่ง
ให้คนคุ้มกันหลายคน คนที่ล้อมรอบถ้ำใหญ่ก็ต่างถือ
คบไฟ ทำให้ทางถ้ำใหญ่นั้นสว่างไสว
เหมียวอ๋องในฐานะผู้นำของชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำ
งานศพจะทำลวกๆ ไม่ได้
หลางชาตูลูตอนนี้ถือเป็นคนที่จัดการดูแลเรื่องภายใน
ของถ้ำเหมียวชางซี นอกจากจะสั่งให้คนไปแจ้งเหล่า
ชาวเหมียวถ้ำอื่นแล้ว ยังต้องหารือกับทางเหล่า
หัวหน้าถ้ำ จัดงานพิธีตามแบบประเพณีโบราณดั้งเดิม
อีกด้วย
มีถนนหลายสายที่สามารถเชื่อมโยงมาที่ถ้ำใหญ่นี้ได้
เส้นทางสองฟากฝั่งก็จะมีคนคุกเข่าเรียงเป็นแนวยาว
ตอนที่หลางชาตูลูเดินออกมาจากถ้ำใหญ่ เหล่า
หัวหน้าถ้ำเองก็เดินตามเขามาเหมือนกัน
มีคนไม่น้อยเงยหน้าขึ้นมามองหลางชาตูลู
หลางชาตูลูดูอ่อนเพลียมาก สีหน้าของเขาดูเศร้า
เสียใจ หน้าตาเคร่งเครียด เขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณ
จากนนั้นหลายคนก็หยุดร้องไห้
หลางชาตูลูรอจนรอบๆ เงียบลงหมด ถึงได้พูดเสียงดัง
ขึ้นมาว่า “ท่านเหมียวอ๋องถูกลอบสังหาร พวกเราจะ
ไม่อ่อนข้อให้กับคนร้ายโดยเด็ดขาด ข้ากับเหล่า
หัวหน้าถ้ำของพวกเราได้หารือกันแล้ว พรุ่งนี้เช้า พวก
เราจะประหารคนร้ายทันที เพื่อให้ท่านเหมียวอ๋องได้
ตายตาหลับ”
ผู้คนรอบๆ ต่างถูกกระตุ้นอารมณ์ขึ้นมา ทุกคนยกมือ
โห่ร้อง “ฆ่าคนร้าย ฆ่าคนร้าย...” เสียงของคนนับพัน
คนดังขึ้นพร้อมกัน มันดูมีความน่าเกรงขามมาก
“คนที่เป็นผู้วางแผนสังหารท่านเหมียวอ๋องคือตันตูกู่
ส่วนคนที่ลงมือนั้นคือชาวฮั่น” หลางชาตูลูส่ง
สัญญาณให้เงียบลงอีกครั้ง “ชาวฮั่นฟังคำสั่งของตันตู
กู่ นั่นก็แสดงว่า ตันตูกู่แอบสมรู้ร่วมคิดกับชาวฮั่น ทุก
คนก็น่าจะเคยได้ยินมาแล้วว่า ถ้ำเฮยเหยียนที่อยู่ที่
เขาเฮยเหยียนถูกทหารทางการปิดล้อมเอาไว้ เท่าที่
ข้ารู้มา ทางการใส่ร้ายถ้ำเฮยเหยียน ตั้งใจหาเรื่องลง
มือจัดการกับพวกเราชาวเหมียว”
“หลางชาตูลู ตันตูกู่เป็นคนสั่งให้คนสังหารท่าน
เหมียวอ๋องจริงๆ หรือ?” มีคนตะโกนถามออกมาจาก
ฝูงชน
หลางชาตูลูกำหมัดแน่น แล้วพูดว่า “เดิมทีเรื่องนี้ไม่
ควรเปิดเผย แต่ว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าทำได้แค่
บอกความจริงกับทุกท่าน ท่านเหมียวอ๋องอายุมาก
แล้ว ร่างกายก็ไม่เหมือนเดิมอีก อีกทั้งเรื่องของถ้ำเฮย
เหยียนถูกล้อม ร้อนใจอยู่หลายวัน ร่างกายก็แทบจะ
รับไม่ไหว หลายวันก่อนไม่นานมานี้ ท่านเหมียวอ๋อง
ได้พูดคุยกับข้าตามลำพังว่า หลังจากที่ท่านจากไป ให้
ข้ารับตำแหน่งเหมียวอ๋องต่อจากท่าน คำสั่งของท่าน
ข้าเองก็ไม่กล้าปฏิเสธ แต่ว่า...แต่ว่าเรื่องนี้ตันตูกู่
กลับมารู้เข้า เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นมีความสามารถ
มากกว่า ดังนั้นเลยไม่พอใจที่ข้าจะได้รับตำแหน่ง
เหมียวอ๋อง...” เขาถอนหายใจ “เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึง
ว่า เพราเรื่องนี้ เขาถึงกับสมรู้ร่วมคิดกับคนนอก
สังหารท่านเหมียวอ๋อง”
“หลางชาตูลู แล้วพรุ่งนี้ประหารคนร้ายที่ลงมือ
สังหารแล้ว หรือว่ายังต้องประหารตันตูกู่ด้วยหรือ?”
มีคนถามขึ้นมา
หลางชาตูลูพูดว่า “ถึงแม้เขาจะเป็นน้องชายข้า แต่ว่า
...โทษนี้ละเว้นไม่ได้ ข้าเองก็ไม่อาจจะทำลาย
กฎเกณฑ์ของชาวเหมียวของพวกเราได้ ไม่เพียงแค่
ตันตูกู่เท่านั้น คนที่อยู่เบื้องหลังการตายของท่าน
เหมียวอ๋อง อย่างทหารทางการ พวกเขาคิดจะบังคับ
พวกเราชาวเหมียว ข้าเองก็จะไม่ยอมให้ชาวเหมียว
ของพวกเราถูกบีบจนไม่มีทางไป ดังนั้น...พวกเรา
จะต้องร่วมแรงร่วมใจ รวบรวมกำลังพลจากเหล่าถ้ำ
ทั้งหลาย ยกทัพช่วยถ้ำเฮยเหยียน”
เมื่อได้ยินหลางชาตูลูบอกว่าจะยกทัพไปช่วยถ้ำเฮยเห
ยียนทุกคนก็ยกมือขึ้น แล้วพร้อมใจกันพูดว่า “ยกทัพ
ยกทัพ”
หลางชาตูลูพยักหน้า เหมือนจะพอใจ จากนั้นก็เดิน
ขึ้นหน้ามาสองสามก้าว แล้วตะโกนพูดว่า “ถึงแม้ท่าน
เหมียวอ๋องจะสิ้นไปแล้ว แต่ว่าข้าหลางชาตูลูยังอยู่
ขอแค่หลางชาตูลูยังอยู่ จะไม่มีทางให้ใครมารังแก
พวกเจ้าได้”
เสียงตะโกนที่ราวกับสายฟ้าฟาด และเงาที่จู่ๆก็พุ่ง
ออกมาท่ามกลางฝูงชน เข้าจู่โจมเข้าใส่หลางชาตูลู
หลางชาตูลูกำลังตื่นเต้นดีใจ ทันใดนั้นเองก็รู้สึก
เหมือนมีลมพัดเข้ามา เขาก็ตกใจ ถอยหลังไปสองก้าว
จากนั้นก็ตะโกนว่า “มีคนร้าย” เขาคิดที่จะยื่นมือไป
ชักดาบออกมา
เงานั้นราวกับวิญญาณ อยู่ปะปนกับผู้คน เพื่อหา
โอกาส แล้วจู่โจมแบบกะทันหัน มันรวดเร็วมาก
หลางชาตูลูยังไม่ทันได้จับดาบ ก็รู้สึกมีมีดมาอยู่ที่
ด้านหน้าของเขาแล้ว ด้วยความตกใจ เขาเลยถอย
หลังไปหลายก้าว คิดจะหลบ แต่พอถอยหลัง ก็สะดุด
จนเกือบล้มไป
องครักษ์ชาวเหมียวสองคนที่อยู่ข้างๆหลางชาตูลู เห็น
หลางชาตูลูถูกลอบโจมตี ก็ร้องด้วยความตกใจ ทั้งคน
ทางซ้ายและขวาต่างก็รีบกระโจนเข้ามา
ในตอนนี้เอง ก็มีคนตะโกนออกมาจากท่ามกลางฝูง
ชน เงาอีกเงาหนึ่งพุ่งออกมาราวกับราชสีห์จะขย่ำ
เหยื่อ
ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างก็ตกใจ หลายคนยังไม่ได้สติคืน
มา ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนร้ายซ่อนตัวอยู่ในหมู่
พวกเขา
หลางชาตูลูโซเซล้มลงก้นกระแทกลงกับพื้น เห็นมีด
อ้อมหลังของตัวเองมา เขาก็ขวัญกระเจิง พยายามจะ
ลุกขึ้นมาจากพื้น แต่คนๆ นั้นรวดเร็วมาก หลางชาตูลู
พลิกตัวอยู่สองรอบ ทันใดนั้นเองก็รู้สึกที่คอของเขา
นั้นมันเย็นวาบ ความเย็นนั่นมันทะลุเข้ามาในผิวหนัง
ของเขา หลางชาตูลูรู้สึกวิญญาณของเขาเหมือนจะ
หลุดออกมาจากร่าง สีหน้าของเขาซีดขาว จากนั้นเขา
ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “ถ้าขยับอีก ข้าจะตัดคอเจ้า
เดี๋ยวนี้”
คนที่พุ่งเข้ามาลอบจู่โจมหลางชาตูลูก็คือฉีหนิง
หลังจากที่ทั้งสามออกมาจากคุกหินได้แล้ว ตันตูกู่ก็นำ
ทางแอบเข้ามาที่ถ้ำใหญ่ ตันตูกู่รู้เส้นทางบนเขานี้เป็น
อย่างดี ไม่ว่าจะมีป้อมหรืออะไรก็ตามเขาก็รู้ดีทั้งหมด
การจะลอบเข้ามาที่ถ้ำใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องยาก
ระหว่างทางทั้งสามคนได้ทุบทหารสลบไปสองคน
แล้วชิงเอาอาวุธมา
ชายหนุ่มชาวเหมียวในถ้ำพกอาวุธติดตัวเป็นเรื่องปกติ
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร คนที่มารวมตัวกันที่ถ้ำใหญ่ มี
เกินกว่าครึ่งก็พกดาบมา
ทั้งสามคนปะปนเข้ามาพร้อมกับฝูงชน ฟ้าเริ่มมืดแล้ว
ทั้งสามคนตั้งใจปกปิดใบหน้า จึงไม่มีใครสังเกตเห็นได้
ทัน
ฉีหนิงรู้ดีว่าการจะจับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน เขา
หลบซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน รอจังหวะเวลาที่เหมาะสม
อีกทั้งหากหาโอกาสไม่ได้ ก็จะรอจนถึงกลางดึก ค่อย
เข้าไปจับตัวหลางชาตูลู เพราะตันตูกู่รู้จักที่นี่เป็น
อย่างดี อีกทั้งยังรู้ว่าหลางชาตูลูนั้นเป็นอย่างไร จะหา
โอกาสไม่ใช่เรื่องยาก
ตันตูกู่ได้ยินหลางชาตูลูใส่ร้ายเขาเรื่องสังหารเหมียว
อ๋องต่อหน้าฝูงชน อีกทั้งยังใส่ความว่าเขาสมรู้ร่วมคิด
กับคนนอกเพื่อชิงตำแหน่งเหมียวอ๋อง ก็โกรธจนลุก
เป็นไฟ เมื่อเห็นหลางชาตูลูเข้ามาใกล้ ก็เลยคิดจะลง
มือ เขารู้ว่าฉีหนิงรวดเร็วกว่าเขา พอเขามีความ
เคลื่อนไหวนิดเดียว ฉีหนิงก็พุ่งออกไปแล้ว
เมื่อเห็นองครักษ์ของหลางชาตูลูบุกเข้ามา ตันตูกู่ก็รีบ
เข้าไปขวาง
เขารู้ดีว่า การลอบโจมตีในครั้งนี้ หากไม่สามารถจับ
ตัวหลางชาตูลูได้ ไม่เพียงตัวเขาจะไม่สามารถล้าง
มลทินให้ตัวเองได้ อีกทั้งยังเป็นการยืนยันเรื่องสมรู้
ร่วมคิดกับคนนอกอีกด้วย
ขอแค่จับหลางชาตูลูได้ นั่นถึงจะเป็นการกดดันชาว
เหมียวที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดได้ ถึงจะมีโอกาสบีบให้หลาง
ชาตูลูพูดความจริงออกมาได้
ก่อนที่ฉีหนิงจะลงมือ เขาได้เตรียมรับมือไว้แล้ว วร
ยุทธ์ของเขาเดิมทีก็รวดเร็วว่องไวอยู่แล้ว อีกทั้งใน
ชาติที่แล้ว เขาเองก็เป็นคนนิสัยเด็ดขาด ดังนั้นการจะ
ควบคุมหลางชาตูลูที่ไม่ทันได้ระวังตัวนั้นไม่ใช่เรื่อง
ยาก ตอนนี้เขาได้ยินคนร้องตะโกนด้วยความตกใจว่า
“นั่นตันตูกู่ นั่นตันตูกู่”
บริเวณโดยรอบเริ่มมีความเคลื่อนไหว มีหลายคนเดิน
ออกมาด้านนอก แล้วล้อมพวกเขาเอาไว้ ในเวลานี้เอง
อีฝูเองก็วิ่งออกมาแล้ว คุ้มกันอยู่ข้างๆ ฉีหนิง
ฉีหนิงใช้ดาบจี้ไปที่คอของหลางชาตูลู อีกมือหนึ่งก็
ล็อคคอของเขาเอาไว้ เขาพูดว่า “ใครกล้าเข้ามา ข้า
จะฆ่าหลางชาตูลูทันที”
หลางชาตูลูเป็นผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งเหมียวอ๋อง
ถึงแม้ชาวเหมียวจะมีจำนวนมากกว่า แต่ว่าก็ไม่มีใคร
กล้าที่จะบุกเข้าไป
“ตันตูกู่ เจ้าบังอาจเกินไปแล้วนะ” หัวหน้าถ้ำคนหนึ่ง
ชี้ไปที่ตันตูกู่ แล้วตะคอกด่าว่า “เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับ
คนนอก ทำให้ท่านเหมียวอ๋องต้องตาย ตอนนี้ยังคิด
จะทำร้ายหลางชาตูลูอีกหรือ?”
ตันตูกู่ถือดาบในมือ แล้วมองไปรอบๆ เห็นสายตาของ
ทุกคนมีแต่ความโกรธแค้น จ้องมาที่เขาเหมือนเขา
เป็นคนที่มีบาปหนามาก
“พวกเจ้าฟังให้ดี” ตันตูกู่ตะโกนว่า “การตายของ
ท่านเหมียวอ๋อง ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าแค่ต้องการให้หลาง
ชาตูลูพูดความจริงออกมา แล้วล้างมลทินให้ข้า
เท่านั้น”
“ล้างมลทิน?” ถึงแม้หลางชาตูลูจะถูกดาบจี้คออยู่
แต่เขาก็ไม่ได้กลัวเลย เพราะเขาเข้าใจว่าพวกเขาถูก
ล้อมไว้แบบนี้ ฉีหนิงไม่มีทางกล้าลงมือแน่ เขาพูดว่า
“พวกเจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่ คนๆ นี้เป็นชาวฮั่น แต่ว่า
ปลอมตัวมาเป็นชาวเหมียวของพวกเรา คนที่สังหาร
ท่านเหมียวอ๋องก็คือเขา ตันตูกู่สมรู้ร่วมคิดกับชาวฮั่น
ข้าคงไม่ต้องอธิบายมากแล้ว พวกเจ้าก็เห็นแล้วกับตา
ตันตูกู่ เจ้าทอดทิ้งชาวเหมียวของพวกเรา ทุกคนที่อยู่
ตรงนี้มีสิทธิจะฆ่าเจ้าได้”
“ฆ่าพวกมันให้หมด” มีคนตะโกนมา “ตันตูกู่ เจ้า
สังหารท่านเหมียวอ๋อง พวกเราจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ”
ทุกคนเริ่มถูกกระตุ้น ดาบหลายเล่มถูกชักออกมาจาก
ฝัก หากไม่ใช่ว่าหลางชาตูลูอยู่ในมือของฉีหนิง เกรง
ว่าพวกเขาคงพุ่งไปฉีกพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ แล้ว
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 377 ยอดเขาสุริยันจันทรา
เหล่าหัวหน้าถ้ำมองหน้ากัน มีคนหนึ่งพูดออกมาว่า
“ตันตูกุ่ เจ้าสังหารท่านเหมียวอ๋องไปแล้วคนหนึ่ง
หรือว่าเจ้ายังคิดจะทำผิดซ้ำอีกหรือ? หากผมของ
หลางชาตูลูหายไปแม้แต่เส้นเดียว พวกเราจะฉีกเจ้า
เป็นชิ้นๆ”
ตันตูกู่ตะคอกกลับไปว่า “แค่คำพูดของหลางชาตูลู
ข้างเดียว พวกเจ้าก็เอาโทษทั้งหมดโยนมาให้ข้าแล้ว
หรือ? พวกเจ้าต่างก็เป็นหัวหน้าของถ้ำต่างๆ เหตุใด
ถึงเชื่อในคำพูดของหลางชาตูลูง่ายๆ แบบนี้?”
หลางชาตูลูตะโกนออกมาว่า “หลักฐานมัดแน่น จะว่า
ข้าใส่ร้ายเจ้าหรืออย่างไร? ตันตูกู่ โทษเจ้ามันหนักนะ
ควรจะฆ่าตัวตายต่อหน้าทุกคนไปด้วยซ้ำ” เขารู้สึกว่า
มีดมันจี้จนคอเย็นไปหมด เขาก็สะดุ้ง ในใจก็เริ่มรู้สึก
กลัว
“ข้าคืออีฝูของถ้ำเฮยเหยียน การตายของท่านเหมียว
อ๋อง เป็นแผนร้ายของหลางชาตูลู” อีฝูเห็นคนอยู่กัน
เยอะ ก็ตะโกนขึ้นมาว่า “หลางชาตูลูส่งคนไปขโมย
อาวุธของพวกเรา”
“เจ้าคิดว่าทุกคนจะเชื่อเรื่องโกหกที่เจ้าแต่งขึ้นอย่าง
นั้นหรือ?” หลางชาตูลูยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “พวกเจ้า
เป็นสายที่ทหารทางการส่งมาที่เขาซีซาน ตันตูกู่สมรู้
ร่วมคิดกับทางการ พวกเจ้าฟังคำสั่งของตันตูกู่
สังหารท่านเหมียวอ๋อง หากพวกเจ้ายอมรับผิด พวก
เราอาจจะให้ศพของพวกเจ้าอยู่ครบสมบูรณ์ก็ได้”
อีฝูยังคิดที่จะเถียง ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “อีฝู ไม่
ต้องแก้ต่างไปหรอก” เขาพูดว่า “หลางชาตูลู ดู
ท่าทางเจ้าจะไม่ยอมรับสินะว่าตัวเองคือฆาตกรที่
แท้จริง?”
“เจ้าฆ่าข้าเลยสิ” หลางชาตูลูพูดว่า “หลังจากฆ่าข้า
ไปแล้ว ดูสิว่าเจ้าจะลงจากเขาไปได้หรือไม่”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าวางใจได้ ปกติแล้วข้าฆ่าใคร
ไม่เคยให้คนๆ นั้นตายสบายๆ อยู่แล้ว ตอนนี้เจ้าไม่
ยอมรับไม่เป็นไร มีเจ้าอยู่ในมือของข้า ข้าจะพาเจ้าลง
เขาไปแล้ว จะมีคนทำให้เจ้าสารภาพเอง”
“จะให้พวกเขาลงเขาไปไม่ได้เด็ดขาด” หัวหน้าถ้ำคน
หนึ่งพูดขึ้นมา
หลางชาตูลูพูดว่า “พวกเจ้าไม่ต้องห่วงข้า หากพวก
เขาฆ่าข้าไปแล้ว พวกเจ้าก็รีบจัดการพวกเขาซะ”
ในตอนนี้เอง มีคนๆ หนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ห้ามวู่วาม
เด็ดขาด” หัวหน้าผอมสูงคนหนึ่งเดินออกมา เขาคือ
ไป๋หย่าลี่ที่สนิทสนมกับตันตูกู่
“ไป๋หย่าลี่ เจ้ารู้จักข้าดี ข้าจะทำร้ายท่านเหมียวอ๋อง
ได้จริงหรือ?” ตันตู่กู่ยืนอยู่ข้างฉีหนิง เขาระวังตัวมาก
เขารู้จักถ้ำของเขาดี รู้ว่าในนี้มีคนที่ถนัดในการใช้ธนู
ก็เลยป้องกันการถูกลอบโจมตีมาก “มันเป็นแผนของ
หลางชาตูลูตั้งแต่ต้น พวกเจ้าจะเชือ่ ข้าหรือไม่ก็ตาม
แต่ว่าหลางชาตูลูจะรวบรวมกำลังพลยกทัพออกไป
ทำไม่ได้เด็ดขาด”
หัวหน้าถ้ำคนหนึ่งยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าสมคบคิดกับ
ทางการ ถึงได้กลายเป็นสุนัขรับใช้ ก็คงไม่คิดอยากจะ
ให้พวกเรายกทัพไปอยู่แล้ว”
“พวกเจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ ต่อให้ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำ
ทั้งหมดยกทัพไปจนหมด ก็ไม่มีทางเป็นคู่ปรับของราช
สำนักอยู่ดี” ตันตูกู่พูดว่า “หลังจากที่สู่อ๋องสวามิภักดิ์
ต่อต้าฉู่ ราชสำนักก็ดูแลชาวเหมียวของพวกเราดีมา
โดยตลอด หลายปีมานี้ ทุกคนก็อยู่กันอย่างสงบสุข
หากพวกเรายกทัพไปตอนนี้ ก็ถือว่าพวกเรากบฏ
เพราะฉะนั้นพวกเราก็จะถูกกวาดล้างแน่นอน ความ
สงบสุขของชาวเหมียวของพวกเราก็จะถือว่าสิ้นสุด
ลง”
“พวกเจ้าอย่าไปฟังเขา” หลางชาตูลูพูดว่า “เจ้าถูก
ทางการซื้อตัวไปแล้ว ก็ไม่คิดอยากจะให้พวกเราส่ง
ทหารไปช่วยถ้ำเฮยเหยียน ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำมี
เกียรติก็ร่วมกันแบ่งปัน ถ้ำเฮยเหยียนมีภัย หากพวก
เราไม่ช่วย ทางการก็จัดการกับพวกเราไปทีละถ้ำ”
เขาพูดจบ ก็รู้สึกว่าที่บริเวณคอของเขาเจ็บ ฉีหนิง
ปาดคอเขาเป็นแผล ถึงแม้แผลจะไม่ได้ลึกมาก ไม่มี
อันตรายถึงชีวิต แต่ว่าเลือดก็ยังไหลออกมาอยู่ดี มัน
ทำให้หลางชาตูลูเชื่อว่าหากคนๆ นี้ลงมือจริง ก็
สามารถเอาชีวิตเขาได้ง่ายๆ เลย
ฉีหนิงกรีดคอหลางชาตูลูจนเป็นแผล คนที่อยู่รอบๆ ก็
ร้องตะโกนออกมา มีคนไม่น้อยเริ่มถือดาบเดินบีบเข้า
มาใกล้
“ตันตูกู่ หากพวกเจ้าทำร้ายหลางชาตูลู เรื่องก็จะไม่มี
ทางแก้ไขอีก” ไป๋หย่าลี่เห็นดังนั้นก็ตกใจ “พวกเจ้า
บอกว่าพวกเจ้าบริสุทธิ์ มีหลักฐานหรือไม่?”
ไม่รอให้ตันตูกู่พูด ฉีหนิงก็พูดว่า “ในเมื่อมีคนตั้งใจ
วางแผน จะมีหลักฐานเหลือให้พวกเราได้ยัง
อย่างไร?”
ไป๋หย่าลี่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หลางชาตูลูในมือมี
หลักฐาน พวกเจ้าไม่มีอะไรเลย พวกเราไม่มีทางเชื่อ
พวกเจ้าได้”
“ได้ยินมาว่าที่ถ้ำเหมียวชางซีนี่นอกจากท่านเหมียว
อ๋องแล้ว คนที่ชาญฉลาดอีกท่านหนึ่งก็คือท่านแม่
หมอ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าไม่อยากเห็น
หลางชาตูลูตาย พวกเราเองก็ไม่อยากตาย ในเมื่อ
ท่านแม่หมอสามารถสื่อสารกับท่านเทพมนต์ดำได้
พวกเราก็ไปพบท่านแม่หมอกัน ให้ท่านแม่หมอเป็น
คนตัดสินว่าใครคือคนร้ายตัวจริงดีหรือไม่?”
ทุกคนตะลึงไป
ถ้ำซางซุ่ยมีฐานะที่แน่นอนในใจของชาวเจ็ดสิบสองถ้ำ
อยู่แล้ว เพราะชนเผ่าของท่านเทพมนต์ดำอาศัยอยู่ที่
ถ้ำซางซุ่ยต่ง อีกทั้งเหมียวอ๋องกับท่านแม่หมอมาจาก
ชนเผ่าเดียวกัน
เหมียวอ๋องเป็นบุคคลที่ใครๆ ก็ต่างพากันยำเกรง ส่วน
แม่หมอถึงไม่ยุ่งเรื่องทางโลก แต่ก็มีความศักดิ์สิทธิที่
มากกว่าเหมียวอ๋องมาก เพราะท่านคือตัวแทนของ
เทพเจ้าที่พวกเขากราบไหว้และนับถือ
ฉีหนิงเสนอให้ไปพบแม่หมอเพื่อหาคนร้ายตัวจริง
เหนือความคาดหมายของทุกคนมาก
แม่หมอสามารถสื่อสารกับเทพมนต์ดำได้ หยั่งรู้ฟ้าดิน
เรียกลมเรียกฝนได้ แต่ยังไม่มีใครได้ยินว่าแม่หมอ
สามารถหาคนร้ายตัวจริงออกมาได้
ตันตูกู่เหมือนจะเข้าใจความหมายที่ฉีหนิงเสนอมา
แบบนี้ เขาพูดว่า “ถูกต้อง ในเมื่อไม่สามารถล้าง
ความผิดได้ พวกเราก็คงต้องไปขอให้ท่านแม่หมอ
ช่วย” เขาจ้องไปที่หลางชาตูลู แล้วตะคอกว่า “หลาง
ชาตูลู เจ้ากล้าไปพบท่านแม่หมอกับพวกเราหรือไม่?”
หลางชาตูลูยิ้มแห้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
หัวหน้าถ้ำคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่หมอใครจะ
ขอเข้าพบก็ได้อย่างนั้นหรือ? เรื่องที่มีหลักฐานแน่น
หนาขนาดนี้แล้ว จะไปรบกวนท่านแม่หมอเพื่ออะไร
อีก?”
ไป๋หย่าลี่คิด แล้วพูดว่า “หลางชาตูลูอยู่ในมือของพวก
เขา ไปพบแม่หมอ เพื่อหาความจริง ก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
“ไม่ได้ พวกเขาสังหารท่านเหมียวอ๋อง ใครจะ
รับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่ทำร้ายท่านแม่หมอ” มี
คนพูดว่า “จะให้พวกเขาไปพบท่านแม่หมอไม่ได้
เด็ดขาด”
ฉีหนิงยกไหล่ แล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกเราทุกคน
ตรงนี้ก็คงต้องตายไปพร้อมกันหมด ท่านเหมียวอ๋องมี
หลางชาตูลูกับตันตูกู่เป็นลูกชายสองคนเท่านั้น หาก
ทั้งสองคนนี้ตายไปพร้อมกัน สายเลือดของท่าน
เหมียวอ๋องก็คงจบสิ้น ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะรับผิดชอบ
เรื่องนี้ไหวหรือไม่? แน่นอนว่า หากพวกเจ้าไม่สนใจ
ความเป็นความตายของหลางชาตูลู ข้าเองก็ไม่พูด
มากอีก” ในมือของเขาถือดาบไว้แน่น แล้วจี้ลงไปที่
คอของหลางชาตูลู
“อย่านะ” ไป๋หย่าลี่ยกมือขึ้นห้าม “พวกเจ้ารอเดี๋ยว
ขอพวกข้าปรึกษากันก่อน” จากนั้นก็หันไป เหล่า
หัวหน้าถ้ำรู้ว่าเรื่องนี้เร่งด่วน ก็ไม่ได้ลังเล
ท่านเหมียวอ๋องตายแล้ว หลางชาตูลูถูกจับตัวเอาไว้
จึงเป็นหน้าที่ของเหล่าหัวหน้าถ้ำที่จะต้องทำการ
ตัดสินใจ
สายตาของคนรอบๆ ต่างจับจ้องมาที่ฉีหนิง
เหมือนกับว่าหากพวกเขากะพริบตา ทั้งสามคนก็จะ
หายไป
อีฝูเห็นฉีหนิงถูกล้อม แต่ยังนิ่งอยู่ เหมือนเขาจะมั่นใจ
มาก ก็รู้สึกนับถือในใจ รู้สึกว่าเขาไม่เหมือนชาวฮั่น
ทั่วไป
ผ่านไปไม่นานนัก เหล่าหัวหน้าถ้ำก็กลับมา หน้าตา
แต่ละคนเคร่งเครียด ไป๋หย่าลี่พูดขึ้นว่า “พวกเราไป
พบท่านแม่หมอกัน แต่ว่าตอนที่ไปพบแม่หมอ ห้าม
พกอาวุธ”
“ได้” ฉีหนิงไม่ได้ลังเลเลย
ฉีหนิงตอบอย่างรวดเร็ว ไป๋หย่าลี่รู้สึกแปลกใจมาก
เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าไม่กังวลว่าพวกเราจะ
กลับคำหรือ?”
“พวกเจ้าต่างก็เป็นหัวหน้าถ้ำของชาวเหมียวชางซี ข้า
เชื่อว่าพวกเจ้าทำอะไรไม่ใช้อารมณ์เป็นหลัก” ฉีหนิง
พูดว่า “อีกทั้งข้าเชื่อว่าพวกเจ้าเองก็อยากจะรู้ความ
จริง ได้ยินมาว่าชาวเหมียวถือคำสัตย์ยิ่งกว่าชีวติ พวก
เจ้าหัวหน้าถ้ำก็คงไม่ใช่คนที่ไม่รักษาคำพูดหรอกจริง
หรือไม่”
สายตาของไป๋หย่าลี่มีความชื่นชมแฝงอยู่ เขาพยัก
หน้าแล้วพูดว่า “ดี เช่นนั้นพวกเราไปพบท่านแม่หมอ
กัน”
หลังจากหารือกันแล้ว เหล่าหัวหน้าถ้ำก็ได้สั่งการคน
ของตัวเอง ฉีหนิงยังคงควบคุมหลางชาตูลูเอาไว้ ตันตู
กู่กับอีฝูคุ้มกันอยู่ข้างๆ เขา เหล่าหัวหน้าถ้ำได้พาชาว
เหมียวรูปร่างกำยำหลายคนเดินทางไปพบท่านแม่
หมอด้วย
หลังจากออกจากถ้ำใหญ่ ก็เดินเข้าไปในป่าลึกของเขา
ซีซาน ตลอดเส้นทางไม่มีใครพูดอะไรเลย แต่ว่าชาว
เหมียวร่างกายกำยำกว่าสิบคนจับตามองพวกของฉี
หนิงแบบไม่กระพริบตาเลย อีกทั้งยังมีคนถือหน้าไม้
เล็งมาที่พวกเขาตลอดเวลา หากพวกฉีหนิงทำอะไร
ขึ้นมา พวกเขาก็จะลงมือทันที
ด้านหน้าของฉีหนิงตอนนี้ เป็นภูเขาที่มีเส้นทางเดิน
คดเคี้ยว เมื่อเดินผ่านป่ามา ด้านหน้าเป็นทะเลสาบ
สายหนึ่ง
ค่ำคืนดึกดื่น ลมหนาวพัดผ่าน ทะเลสาบนิ่งสงบ ฉี
หนิงเห็นแล้ว ก็รู้สึกสบาย
ตรงข้ามของทะเลสาบ เป็นยอดเขาสูงชัน ที่มีเมฆ
หมอกปกคลุมหนา
ไป๋หย่าลี่เดินนำอยู่หน้าสุด เหล่าหัวหน้าถ้ำเดินตามอยู่
ด้านหลัง พวกเขาเดินตรงขึ้นไปบนยอดเขา เส้นทาง
ขึ้นเขาเป็นทางลาดชัน ยังดีที่พวกเขามีพละกำลังดี
มาก ต่อให้เหล่าหัวหน้าถ้ำหลายคนจะมีอายุแล้ว แต่
ว่าเดินทางเขาทุกวัน กำลังขาของพวกเขาก็ไม่แย่
ถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ แต่พอเดินขึ้นยอดเขาแบบนี้ ก็
ออกอาการเหนื่อยล้าบนใบหน้าเหมือนกัน
ฉีหนิงคิดในใจว่าบนยอดเขาสูงแบบนี้ คนพวกนี้พา
เขามาที่นี่ แม่หมอของชาวเหมียวก็น่าจะอาศัยอยู่ที่นี่
แต่ว่าเดินมานานแบบนี้ ยังถึงแค่ครึ่งทาง หากแม่หมอ
อยู่ที่ยอดเขาจริง ทุกครั้งที่จะขอพบแม่หมอ ไม่ต้อง
เสียเวลาครึ่งวันเลยหรือ
แต่ว่าแม่หมอเป็นสมมุติเทพของชาวเหมียว คนแบบนี้
ลึกลับซับซ้อน ไม่มีทางออกหน้ามาให้เห็นง่ายๆ
แน่นอน อีกทั้งก็ไม่มีทางลงจากเขาด้วย ในเมื่อเป็นแม่
หมอของชาวเหมียว อายุก็จะต้องมาก ลงจากเขาครั้ง
หนึ่งคงลำบาก
เขาไม่รู้ว่าแม่หมอจะอยู่บนเขานี้หรือไม่ จะอยู่คน
เดียวบนเขาหรือไม่ ถ้าอยู่คนเดียวก็น่าจะเหงาน่าดู
บนยอดเขานี้ตกแต่งไม่เหมือนกับที่เขาซีซาน ยอดเขา
มีต้นไม้ปกคลุมอย่างหนาทึบ ดูเงียบเหงามาก
อีฝูอดไม่ได้พูดขึ้นมาว่า “ที่นี่คือยอดเขาสุริยันจันทรา
ที่ท่านแม่หมออาศัยอยู่หรือ?”
หัวหน้าถ้ำที่อยู่ด้านหน้าหันกลับมามอง แต่ไม่พูด
อะไร ตันตูกู่พูดว่า “ถูกต้อง ที่นี่คือยอดเขาสุริยัน
จันทรา”
เดินอีกสักพักใหญ่ ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว พระอาทิตย์
กำลังขึ้นมาแสงสาดส่องมาที่ยอดเขาสุริยันจันทรา
มันทำให้ที่นี่ดูบรรยากาศแตกต่างไม่เหมือนที่ใด
“ด้านบนนั่นก็คือที่อาศัยของท่านแม่หมอ” ไป๋หย่าลี่
หยุดเดิน แล้วหันหลังกลับมา “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่
ก่อน” คำพูดของเขาคือการสั่งชายชาวเหมียวรูปร่าง
กำยำสิบกว่าคนที่ตามมา
ทุกคนหยุดเดิน ไป๋หย่าลี่พาพวกของฉีหนิงเดินขึ้นเขา
ไปอีกระยะหนึ่ง แล้วก็หยุดอีกครั้ง เขาหันกลับไปพูด
ว่า “วางอาวุธลงกันได้แล้ว” พูดจบ ก็หยิบดาบของ
ตัวเองที่พกมา วางไว้ข้างๆ เหล่าหัวหน้าถ้ำคนอื่นก็
ไม่ได้ลังเล วางอาวุธลงทั้งหมด
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้ลังเล วรยุทธ์ของคนอื่นๆ เขาเห็น
แล้ว ไม่ได้ร้ายกาจอะไรมาก ต่อให้เขาไม่มีอาวุธในมือ
ด้วยฝีมือของเขา หลางชาตูลูเดิมทีก็หนีรอดจากมือ
เขาไปไม่ได้ ขอแค่เขาอยากจะทำ ก็สามารถฆ่าหลาง
ชาตูลูได้ด้วยมือเปล่า
หัวหน้าถ้ำหลายคนเห็นฉีหนิงวางอาวุธลงอย่างไม่
ลังเล เดิมทีพวกเขาสีหน้าเคร่งเครียดก็เริ่มผ่อนคลาย
ลง พวกเขารู้สึกว่าฉีหนิงก็รักษาคำพูด สายตาของ
พวกเขาตอนนี้ก็ไม่ได้เห็นเขาเป็นศัตรูเหมือนก่อนหน้า
นี้แล้ว
แต่หลางชาตูลูกลับมองซ้ายทีขวาที สายตาของเขา
กลับตกไปอยู่ที่ดาบที่กองอยู่ที่พื้น ตันตูกู่รู้จักพี่ชาย
ของตัวเองดี เขาพูดว่า “หลางชาตูลู ที่นี่คือยอดเขา
สุริยันจันทรา จะให้มีเลือดนองที่นี่ไม่ได้ หากเจ้าคิด
จะลงมือลงไม้ที่นี่ ก็ถือว่าเจ้าคิดจะทำลายกฎของท่าน
แม่หมอ ข้าสามารถฆ่าเจ้าให้ตายเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ไป๋หย่าลี่พูดว่า “หลางชาตูลูรู้กฎนี้ดี ในฐานะชาว
เหมียว ใครก็ไม่กล้าทำลายกฎหรอก” คำพูดนี้ฟังดู
เหมือนจะเป็นการปกป้องหลางชาตูลู แต่ในความเป็น
จริงก็เหมือนเป็นการเตือนให้หลางชาตูลูอย่าคิดตุกติก
หลางชาตูลูรู้ว่าเขากำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะเขาไม่
มั่นใจ เขาเลือกที่จะไม่ทำตามโดยที่ไม่ให้ใครรู้ สีหน้า
ของเขาแย่มาก
เดินไปอีกระยะหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงหน้าปากถ้ำหิน
ถ้ำหินนี้กว้างมาก เป็นทรงกรม ไป๋หย่าลี่หันกลับมา
พูดว่า “ท่านแม่หมออยู่ข้างในนี้ หลังจากที่เข้าไปแล้ว
หากท่านแม่หมอไม่อนุญาต ใครก็ห้ามพูดก่อน
เด็ดขาด ข้าจะเข้าไปรายงานก่อน พวกเจ้ารอก่อน
นะ” จากนั้นเขาก็เดินเขาไปในถ้ำหินคนเดียว
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก คิดในใจว่าแม่หมอฐานะสูงส่งใน
หมู่ชาวเหมียวมาก ต่อให้ไม่มีตำหนักใหญ่อะไรให้
อาศัย แต่ก็ควรจะมีที่พักให้อย่างดี แต่ว่าแม่หมอชาว
เหมียวกลับมาอยู่ในถ้ำหินแบบนี้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 378 เผยตัว
หลังจากที่พวกของฉีหนิงรออยู่นอกถ้ำไม่นาน ก็เห็น
ไป๋หย่าลี่ออกมา แล้วพูดว่า “ท่านแม่หมออนุญาตให้
พวกเราเข้าไปได้แล้ว พวกเจ้าตามข้ามา”
ทุกคนเดินตามหลังไป๋หย่าลี่เข้าไปในถ้ำหิน
เมื่อมองจากภายนอก ถ้ำหินนี่ก็เหมือนถ้ำหินทั่วไป
แต่ว่าพอฉีหนิงเดินเข้าไปภายในแล้ว ถ้ำหินแห่งนี้มี
การใช้แรงงานก่อสร้างอย่างหนัก รูปแบบของผนังถ้ำ
ครึ่งหนึ่งมาจากธรรมชาติ ต่อมาชาวเหมียวได้ทำการ
ก่อสร้างไม่หยุดหย่อน ถึงได้มีรูปแบบอย่างทุกวันนี้
ถึงแม้ถ้ำนี้จะไม่เล็ก แต่มันก็ดูโดดเดี่ยว เมื่อทุกคนเดิน
เข้ามาในถ้ำหินแล้ว เสียงเดินก้องดังไปทั่วถ้ำ มัน
แสดงให้เห็นว่าถ้ำหินนี้เงียบมาก
ฉีหนิงพลันนึกขึ้นว่า หากท่านแม่หมออยู่ที่นี่คนเดียว
โดดเดี่ยวเดียวดายก็น่าสงสารอยู่
เมื่อเดินผ่านช่องทางถ้ำหินมา ด้านหน้าก็เป็นที่โล่ง
กว้าง เห็นแสงสว่างลอดผ่านเข้ามาในถ้ำ ฉีหนิงเงย
หน้าไปมอง ด้านหน้าเป็นปากถ้ำธรรมชาติแห่งหนึ่ง
แสงมันลอดผ่านมาทางนี้ ที่แท้เขาก็เดินมาถึงห้องโถง
หินขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง
ตันตูกู่กับอีฝูกังวลว่าหลางชาตูลูจะเล่นลูกไม้ ก็เลย
เดินตามหลังหลางชาตูลูตลอด เพื่อจับตาเขาเอาไว้
ไป๋หย่าลี่หยุดเดิน แล้วก้าวขึ้นหน้าไป ทันใดนั้นเองก็มี
ลมพัดมาวูบใหญ่ ซึ่งทำให้คนรู้สึกหนาวยะเยือก
หลายคนเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศมันไม่ปกติ ทันใด
นั้นเองไป๋หย่าลี่ที่อยู่หน้าสุดก็หยุดเดิน ทุกคนต่างก็
เดินขึ้นหน้ามา ฉีหนิงเองก็ตกใจ เขาเห็นธารน้ำไหล
อยู่ตรงนั้น แต่ว่าไม่มีทางไปจากตรงนั้นได้ ซึ่งคนปกติ
ไม่สามารถเดินเข้าไปได้แน่
ในถ้ำมีช่องทางเดินแบบนี้ มันแปลกมาก อี๋ฟูขมวดคิ้ว
หัวหน้าถ้ำคนอื่นก็มองหน้ากัน
ฉีหนิงเห็น นอกจากไปหย่าลี่ที่เคยมาที่นี่แล้ว คนอื่นก็
เหมือนกับเขาที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก
เมื่อมองอย่างละเอียดฉีหนิงก็พบว่า ตรงทางเดินนั่น
มันมีสะพานหินที่แคบมากอยู่ ซึ่งสามารถเดินผ่านได้
แค่คนเดียวเท่านั้น แต่ถึงจะอย่างนั้น สะพานหินมันก็
มองแทบจะไม่เห็น คนทั่วไปหากเดินไปตรงนั้นก็เข่า
อ่อนกันหมด ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเดินข้ามไปฝั่งตรงข้าม
เลย
หรือว่าท่านแม่หมอจะอาศัยอยู่ที่ธารน้ำฝั่งตรงข้าม
นั่น?
ฝั่งตรงข้ามถูกปกคลุมไปด้วยหมอก ราวกับอยู่ใน
ความฝันที่ไม่สามารถมองเห็นความจริงได้ หากบอก
ว่าก่อนหน้านี้ฉีหนิงก็ตกใจมากแล้ว ตอนนี้เขายิ่ง
ตะลึงมากขึ้นไปอีก เขาคิดไม่ถึงเลยว่า บนยอดเขา
แบบนี้ จะซ่อนความลึกลับแบบนี้อยู่ได้
เขาเชื่อว่าสะพานหินนี้ มันเกิดมาจากธรรมชาติ หาก
บอกว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น มันยากที่จะเชื่อได้
เมื่อมองไปด้านหน้า ตรงนั้นมันไม่เหมือนโลกมนุษย์
แล้วก็ไม่ใช่นรก มันเหมือนสวรรค์
ตอนนี้เอง เหมือนทุกคนลืมเป้าหมายที่มาที่นี่ไปแล้ว
ต่างก็ยืนอึ้งอยู่กับที่
ทันใดนั้นเองไป๋หย่าลี่ก็คุกเข่าลง หยิบก้อนหินขึ้นก้อน
หนึ่ง แล้วเคาะไปที่ริมธารน้ำสามครั้ง ภายในกว้าง
มาก เสียงสะท้อนของหินมันดังก้องไปทั่วถ้ำ ฉีหนิง
ขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่า น่าจะเป็น
การสื่อสารกับคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ไม่ผิดจากที่คิด มีเงาปรากฏออกมา ห่างจากธารน้ำ
ระยะหนึ่ง อีกทั้งมีหมอกหนา มองไม่เห็นรูปร่าง
หน้าตาของคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ฉีหนิงเห็นเพียงแค่เงา
เท่านั้น
ไป๋หย่าลี่เห็นเงาคน ก็คุกเข่าลงอีกครั้ง หัวหน้าถ้ำคน
อื่นเองก็รีบคุกเข่าลงเช่นกัน แม้แต่อีฝูก็ไม่เว้น มีเพียง
ฉีหนิงที่ยืนอยู่ที่เดิม
“เหตุใดเจ้าถึงไม่คุกเข่า?” เสียงของคนฝั่งตรงข้าม
ลอยมา เสียงดังชัดมาก
ฉีหนิงรู้ว่าต้องหมายถึงเขา เขายกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า
“ข้าน้อยเป็นชาวฮั่น มาขอพบท่านแม่หมอในวันนี้ ก็
เพื่อล้างข้อกล่าวหาเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่”
พูดจบ เขาก็คำนับไปหนึ่งครั้ง
“ท่านเหมียวอ๋องถูกสังหาร ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับเจ้า
ด้วย?” คนตรงข้ามถาม
ฉีหนิงพูดว่า “หากบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง ก็ไม่ถูก ตามคำ
กล่าวอ้างของหลางชาตูลู พวกข้าคือฆาตกรที่สังหาร
ท่านเหมียวอ๋อง”
“ต้นสายปลายเหตุ ไป๋หย่าลี่รายงานมาเรียบร้อย
แล้ว” คนๆ นั้นพูดว่า “แม่หมอได้ขอคำชี้แนะจาก
ท่านเทพมนต์ดำมาแล้ว มีวิธีที่จะให้ฆาตกรตัวจริง
ปรากฏขึ้นมาได้”
ฉีหนิงตะลึงไป เดิมทีเขาคิดว่าคนที่อยู่ตรงข้ามตอนนี้
คือแม่หมอของชาวเหมียว แต่ว่าพอเขาพูดมาแบบนี้
แสดงว่าแม่หมอนั้นคือคนอื่น
อีกฝ่ายไม่ได้ถาม คนอื่นก็ไม่กล้าพูด
ทันใดนั้นเองเงาที่อยู่ตรงข้ามก็ออกมาจากหมอกที่
หนาเตอะ มายืนอยู่ที่สะพานหิน ทุกคนเห็นดังนั้น สี
หน้าก็เปลี่ยนไป
คนๆ นั้นกางมือออกมาราวกับว่ามีปีก จากนั้นก็
ลอยตัวมาทางฝั่งนี้
“วิชาตัวเบาเยี่ยมยอดมาก” ฉีหนิงรู้สึกชื่นชม
อีกฝ่ายมีวิชาตัวเบาที่ร้ายกาจมาก สามารถยืนบน
สะพานหินแคบได้แบบนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่ เขาอยู่
ใกล้มาก คนๆ นั้นลอยตัวมาที่หน้าผาราวกับนก ฉี
หนิงเห็นชัดแล้วว่านางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
หลังจากที่คนๆ นั้นยืนที่หน้าผาแล้ว ไป๋หย่าลี่ก็พูด
ด้วยความนอบน้อมว่า “คำนับท่านทูตจันทรา”
ฉีหนิงตะลึง แอบคิดในใจว่าทูตจันทรานี่ใครกัน เขา
มองไปที่นาง เห็นนางสวมชุดชาวเหมียวรูปร่างเว้าโค้ง
เป็นผู้หญิงแน่นอน แต่ว่านางสวมหน้ากาก ปกปิด
ใบหน้า นอกจากดวงตาแล้ว ก็มองไม่เห็นแม้แต่ผิว
ของนาง
บริเวณหน้าผาก มีสัญลักษณ์คล้ายพระจันทร์ ฉีหนิง
ถึงได้เข้าใจว่า เหตุใดทุกคนเห็นเขาแล้ว ถึงได้เรียก
นางว่า “ทูตจันทรา”
ทูตจันทราสะบัดมือ ก็มีของสี่อย่างอยู่ตรงพื้น ฉีหนิง
มองไป รูปร่างของมันเหมือนบาตรที่หลวงจีนใช้กัน
แต่มันก็ไม่ใช่ เมื่อเทียบกับบาตรแล้วมันลึกกว่ามาก
บาตรทั้งสี่ใบตั้งเรียงกันเป็นแถวเดียว นั่นแสดงว่า
ฝีมือของทูตจันทรานั้นไม่ธรรมดาจริงๆ
ทูตจันทรามีวิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยมได้ มือของนางก็
เรียวงาม ฉีหนิงทั้งชื่นชมและตกใจ คิดในใจว่าที่แท้
ชาวเหมียวก็มียอดฝีมือซ่อนอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้
คิดว่าแม่หมอของชาวเหมียวจะอยู่ตัวคนเดียว ตอนนี้
เขารู้สึกว่ารอบตัวของนางมีแต่เสือซ่อนเล็บ
ทูตจันทราเป็นผู้หญิง แต่ว่าเสียงที่ลอยดังมาเมื่อครู่
มันเป็นเสียงของผู้ชาย คนๆ นั้นวรยุทธ์ก็น่าจะไม่
ธรรมดาเช่นกัน แสดงว่ารอบตัวของท่านแม่หมอ
จะต้องมียอดฝีมืออยู่หลายคน
ทูตจันทราวางบาตรลง แล้วถอยหลังไปข้างๆ ไม่พูด
อะไรเลย
ในตอนนี้เอง เสียงของอีกฝั่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ด้านหน้า
ของพวกเจ้าคือโถที่ใส่น้ำศักดิ์สิทธิจากสวรรค์ไว้ น้ำ
ศักดิ์สิทธินี้ท่านแม่หมอได้ผ่านการทำพิธีมาแล้ว หาก
เป็นฆาตกรจริง เมื่อยื่นมือเข้าไปแล้ว ผิวหนังของเขา
ก็จะเน่าเปื่อยลงเหลือแต่เถ้ากระดูกทันที”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดว่าเรื่องนี้มันเหมือนมีอะไรมากกว่า
นั้น เขาถามว่า “ขอบังอาจถามสักคำ หากไม่ใช่
ฆาตกรเล่า จะเป็นอย่างไร?”
“หากไม่เกี่ยวข้องกับการตายของท่านเหมียวอ๋อง ก็
จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น” คนๆ นั้นพูดว่า “แต่ว่าตอนที่ยื่น
มือเข้าไป ทุกคนจะต้องหลับตา ไม่เช่นนั้นท่านเทพ
มนต์ดำจะกริ้วและนำภัยพิบัติมาให้ อีกทั้งยังจะไม่
สามารถออกไปจากถ้ำหินนี้ได้อีกเลยตลอดชีวิต ต่อให้
เป็นทูตจันทรา ก็ไม่อาจลืมตาได้”
ตันตูกู่พูดว่า “ขอบคุณท่านแม่หมอ” เขาเดินขึ้นหน้า
ไปคนแรก แล้วนั่งลงตรงหน้าโถ กำลังจะยื่นเข้าไป
คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็พูดว่า “ไม่ต้องรีบร้อน พวกเจ้าสี่
คนต้องปิดตาแล้วยื่นมือเข้าไปพร้อมกัน”
ทุกคนมองหน้ากัน ไป๋หย่าลี่หันหลังไปคนแรก
หัวหน้าถ้ำคนอื่นก็หันหลังตาม สำหรับพวกเขาแล้ว
คำสั่งของแม่หมอคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะขัดคำสั่งไม่ได้
พวกเขารีบหลับตาลงทันที
หลางชาตูลูขมวดคิ้ว ตอนนี้พวกของฉีหนิงเดินไปที่
หน้าโถกันหมดแล้ว ทุกคนนั่งลงหน้าโถ ยื่นมืออกไป
หลางชาตูลูลังเล แต่สุดท้ายก็เดินไป แล้วยื่นมืออกไป
ทั้งสี่คนมองหน้ากัน จากนั้นก็หลับตา แม้แต่ทูต
จันทราเอง ก็หลับตาเช่นกัน
“หลับตา แล้วเอามือยื่นเข้าไปได้แล้ว” คนอีกฝั่งพูด
ฉีหนิงไม่ลังเล ยื่นมือเข้าไป มือของเขาสัมผัสถูกน้ำที่
อยู่ด้านในโถ มันเย็นมาก ฉีหนิงสะดุ้งเล็กน้อย
จากนั้นก็เอามือออกมา แต่ยังไม่ได้ลืมตา จากนั้นก็ได้
ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “ลืมตาได้แล้ว”
ทุกคนลืมตาขึ้นมา แล้วก็เดินไปดูมือของพวกเขา
พวกเขาเห็นหลางชาตูลูกำลังเช็ดมือของตัวเอง
ฉีหนิงอาศัยแสงไฟมองไปก็เห็นว่ามือของเขานั้นเป็นสี
ดำ ก็ตกใจ เขามองไปที่มือของตันตูกู่กับอีฝูก็เป็น
แบบเดียวกัน เขาขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่าในโถนั่น
ตกลงใส่น้ำอะไรไว้ เหตุใดถึงได้ทำให้มือดำแบบนี้ได้
ทูตจันทราเดินมา แล้วพูดว่า “ยื่นมือออกมา”
ทั้งสี่คนยื่นมือออกมา หลางชาตูลูเห็นมือของคนอื่น ก็
พูดด้วยความดีใจว่า “ท่านแม่หมอ ท่านแม่หมอ พวก
เขาคือฆาตกร พวกเจ้าดูสิ มือของพวกเขา...” เขาดูดี
ใจมากผิดปกติ
ฉีหนิงเห็นมือของหลางชาตูลู มีแค่มือของเขาเท่านั้นที่
ไม่มีสีอะไรเลย ตอนแรกเขาก็อึ้งไป จากนั้นก็เหมือน
เข้าใจอะไรขึ้นมา เขาหัวเราะร่าออกมา
ตอนนี้เหล่าหัวหน้าถ้ำหันกลับมาแล้ว เห็นมือของ
พวกฉีหนิงสามคนมีสีดำเปื้อนอยู่ ต่างก็ตกใจ แต่ได้
ยินฉีหนิงหัวเราะขึ้นมา พวกเขาก็แปลกใจยิ่งกว่า
คนฝั่งตรงข้ามพูดว่า “เจ้าหัวเราะทำไม?”
“ข้าน้อยแค่นับถือท่านแม่หมอมาก” ฉีหนิงพูดว่า
“ท่านแม่หมอชาญฉลาดมากจริงๆ แค่กลง่ายๆ ก็
สามารถทำให้คนร้ายเผยตัวได้”
หลางชาตูลูยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “เจ้ายังมีหน้ามา
หัวเราะอีก มือของพวกเจ้าเน่ากันไปหมดแล้ว ต้อง
เป็นฆาตกรมากแน่นอน”
“หลางชาตูลู ตอนนี้ข้ายิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีก ว่า
จะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเจ้าแน่นอน” ฉีหนิงถอน
หายใจแล้วพูดว่า “เจ้าจะตายอยู่แล้ว ยังไม่รู้ตัวอีก
เจ้าโง่ขนาดนี้ ยังคิดจะเป็นเหมียวอ๋องอีก น่าขำ
จริงๆ?”
“เจ้า...เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลางชาตูลูสีหน้า
เปลี่ยนไป
คนฝั่งตรงข้ามถามว่า “ไหนเจ้าว่ามาสิว่า เหตุใดหลาง
ชาตูลูถึงเป็นฆาตกร?” ความหมายของเขาตอนนี้
เหมือนแน่ใจแล้วว่าหลางชาตูลูก็คือฆาตกร
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงน้ำศักดิ์สิทธิ์นี่ไม่สามารถ
ทำให้ผิวหนังของใครเน่าเปื่อยลงได้ เป็นแค่วิธีที่ท่าน
แม่หมอใช้หยั่งเชิงของคนร้าย พวกเราสามคนยื่นมือ
เข้าไปในโถ ในมือถึงได้กลายเป็นสีดำ หากเดาไม่ผิด
ในโถนี่น่าจะเป็นสีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผิวดำ” เขา
เหลือบไปที่หลางชาตูลู “มือของหลางชาตูลูไม่มีอะไร
เปลี่ยนแปลง ซึ่งอธิบายได้อย่างเดียวก็คือ...เขาไม่ได้
เอามือเข้าไปในโถ”
หลางชาตูลูหน้าถอดสี แล้วตะคอกว่า “เจ้า...เจ้าพูด
เหลวไหล”
“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล” ฉีหนิงยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “เจ้า
ทำความผิดไว้ ในใจจึงรู้สึกกลัว คิดแต่ว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์
นี่สามารถทำให้ผิวคนเน่าเปื่อยได้จริง ดังนั้นก็เลยไม่
กล้ายื่นเข้าไปในโถ หลางชาตูลู ก่อนหน้านี้ข้ามั่นใจว่า
เจ้าคือฆาตกร แต่ไม่ได้มั่นใจมาก ตอนนี้เจ้าเผยตัว
ออกมาเอง ว่าเจ้านั่นแหละคือฆาตกรตัวจริง”
หลางชาตูลูพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าใส่ร้ายข้า...
เจ้า” เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเสียงหัวเราะหนึ่งดังขัด
ขึ้นมา คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพูดว่า “เจ้าหนุ่มชาวฮั่น เจ้า
ฉลาดมาก เจ้าพูดถูกแล้ว น้ำในโถนั่นใส่สีเอาไว้ หาก
ยื่นมือเข้าไปจริง ไม่ว่าจะเป็นคนร้ายหรือไม่ มือก็ไม่มี
ทางเน่าเปื่อย แต่มือแค่เปื้อนสีดำเท่านั้น มีเพียง
ฆาตกรเท่านั้น ถึงไม่กล้ายื่นมือเข้าไปในโถ”
คนๆ นั้นพูดมาแบบนี้ ตันตูกู่ก็ลุกขึ้นมา แล้วตะคอก
ว่า “หลางชาตูลู เป็นเจ้าจริงๆ เจ้า...เจ้ามันบ้าไปแล้ว
ถึงกลับกล้าสังหารท่านเหมียวอ๋อง”
พวกของไป๋หย่าลี่เองก็ต่างหน้าเสียไป แต่ก็เริ่มขยับตัว
แล้วล้อมตัวของหลางชาตูลูเอาไว้
ฉีหนิงเริ่มลุกขึ้นยืน แล้วจ้องไปที่หลางชาตูลู เขายิ้ม
แห้งแล้วพูดว่า “หลางชาตูลู ท่านแม่หมอแน่ใจมาก
ว่าฆาตกรไม่มีความกล้ามากพอที่จะยื่นมือเข้าไปในโถ
แน่นอน เจ้าตกหลุมพรางเข้าให้จริงๆ ข้าบอกเจ้าแล้ว
ว่าเจ้าจะตายอยู่แล้ว ตอนนี้เจ้าเข้าใจความหมายแล้ว
หรือยัง?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 379 สู้ด้วยมือเปล่า
หลางชาตูลูเห็นพวกของไป๋หย่าลี่เดินบีบเข้ามา เขา
ก็พูดว่า “พวกเจ้า...พวกเจ้าอย่าไปเชื่อพวกมันนะ
ท่านเหมียวอ๋อง...ท่านเหมียวอ๋องถูกตันตูกู่ฆ่าตาย
....”
“หรือว่าท่านแม่หมอคิดผิดหรืออย่างไร?” ไป๋หย่าลี่
ตะคอก “หลางชาตูลู ที่แท้เจ้าก็เป็นฆาตกรตัวจริง”
หลางชาตูลูถอยหลังไปหลายก้าว ก็พลันรู้สึกเย็นสัน
หลังวาบ เขาหันหลังกลับไปมอง พบว่าตัวเขายืนอยู่
ปลายหน้าผาแล้ว หากถอยอีกเพียงก้าวเดียว ก็จะ
ตกหน้าผาลงไปทันที เขาเหงื่อท่วมตัว สีหน้าซีด
เซียว เสียงของเขาสั่นเครือ “ไม่...ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้า
...”
ทันใดนั้นเองทูตจันทราก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านเหมียว
อ๋องคือผู้นำของชาวเหมียว เหตุใดเจ้าต้องสังหาร
ท่านเหมียวอ๋องด้วย? ความคิดของเจ้าเอง หรือว่ามี
ใครบงการเจ้า?”
ตันตูกู่โกรธจนตาแดง เขากำหมัดแน่น ท่าทางของ
เขาสามารถพุ่งเข้าใส่ใครก็ได้ในตอนนี้ แต่ว่าเขาก็ยัง
กังวลว่าหลางชาตูลูจะตกลงไปที่หน้าผา ก็เลยไม่ขึ้น
หน้าไป
แต่เขาไม่ได้กังวลว่าหลางชาตูลูจะตาย
การหยั่งเชิงครั้งเดียวของท่านแม่หมอ ทำให้หลางชา
ตูลูเผยตัวออกมา ตันตูกู่มั่นใจแล้วว่าหลางชาตูลูคือ
ฆาตกรที่สังหารท่านเหมียวอ๋อง ในตอนนี้แทบ
อยากจะฉีกตัวเขาออกเป็นชิ้นๆ
เพียงแต่ฉีหนิงพูดถูก ด้วยความสามารถของหลางชา
ตูลู ไม่มีทางวางแผนแบบนี้ได้แน่
เขารู้จักพี่ชายของเขาคนนี้ดี รู้ว่าหลางชาตูลูเป็นคน
อารมณ์ร้อน ไม่ได้ฉลาดมาก จะวางแผนซับซ้อน
แบบนี้ได้ แสดงว่าจะต้องเป็นคนที่ละเอียดอ่อนมาก
หลางชาตูลูรู้ว่าในบรรดาหัวหน้าถ้ำก็มีคนที่สนิทกับ
หลางชาตูลูอยู่ แต่ว่าจะบอกว่าพวกเขาร่วมกับหลาง
ชาตูลูสังหารเหมียวอ๋อง ดูไม่ค่อยน่าเป็นไปได้
เบื้องหลังของหลางชาตูลู จะต้องมีคนอื่นอีก ที่ช่วย
เขาวางแผนร้ายนี้ ตันตูกู่คิดอยากจะฉีกหลางชาตูลู
เป็นชิ้นๆ แต่ว่าในตอนนี้ เขายังอยากได้ยินคนที่อยู่
เบื้องหลังของเขามากกว่า
หลางชาตูลูหน้าซีด เหงื่อไหลท่วม เขาพูดว่า “พวก
เจ้า...พวกเจ้าใส่ร้ายข้า ข้าไม่ได้ฆ่าท่านเหมียวอ๋อง
พวกเจ้า...พวกเจ้าใส่ร้ายข้า”
“หลางชาตูลู ใครบงการให้เจ้าสังหารท่านเหมียว
อ๋อง?” ตันตูกู่เดินหน้าขึ้นไป ยกมือขึ้นชี้หน้าหลาง
ชาตูลู “ขอแค่เจ้ายอมรับสารภาพมา ข้าจะให้เจ้า
ตายแบบไม่ทรมาน”
หลางชาตูลูรู้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว รอบตัว
เขาก็มีคนเต็มไปหมด เขาแทบจะหนีไปไหนไม่ได้
เลย
ด้วยความหวาดกลัว เขาก็หัวเราะออกมา แล้วจ้อง
ไปที่ตันตูกู่ “ตันตูกู่ ครั้งนี้ถือว่าเจ้าชนะ แต่ว่าข้าไม่
ยอมหรอกนะ เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งเจ้ามีความสามารถ
แต่ว่าเจ้าทำอะไรขี้ขลาดมาตลอด เหมือนกับท่าน
พ่อของเรา หากข้าได้เป็นเหมียวอ๋อง ชาวเหมียวเจ็ด
สิบสองถ้ำจะต้องยิ่งใหญ่เกรียงไกรกว่านี้แน่นอน”
ตันตูกู่ ไม่ได้ตอบเขา
“ข้าเป็นพี่ชายเจ้า หลายปีมานี้ ข้าเสียสละทำอะไร
ให้ชาวเหมียวหลายอย่าง ช่วยท่านเหมียวอ๋อง
จัดการงานก็มาก หากไม่ใช่เจ้า ตำแหน่งเหมียวอ๋อง
ก็ต้องเป็นของข้า” สายตาของหลางชาตูลูมีแต่ความ
โกรธแค้น “เพราะเจ้า ท่านเหมียวอ๋องแก่จนเลอะ
เลือน จะยกตำแหน่งเหมียวอ๋องให้เจ้า ข้าเป็นพี่ชาย
เจ้า เจ้าเป็นเหมียวอ๋อง นั่นก็หมายความว่าเจ้า
เหยียบขึ้นไปบนหัวของข้าน่ะสิ ข้าไม่มีทางยอมให้
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน”
“หลางชาตูลู เจ้าเป็นลูกหลานของชาวเหมียว แต่ว่า
เจ้ากลับหักหลังชนเผ่าของตัวเอง” สายตาของตันตู
กู่คมเหมือนดาบ “เจ้าอยากจะเป็นเหมียวอ๋อง ข้าก็
ไม่เคยคิดจะแย่งกับเจ้า แต่เจ้ามันเสียสติไปแล้ว แต่
ว่าคนอย่างเจ้า หากเป็นเหมียวอ๋องจริง ชาวเหมียว
เจ็ดสิบสองถ้ำคงล่มสลาย เจ้าลงมือกับท่านพ่อแบบ
นี้ได้อย่างไรกัน?”
“มันเป็นของข้าแต่แรกอยู่แล้ว ข้าจะให้คนอื่นแย่ง
ไปได้อย่างไร” หลางชาตูลูตะคอกกลับมาว่า “ใคร
ขวางทางข้า ข้าจะฆ่ามันให้หมด”
ตันตูกู่พูดว่า “เจ้าลงมือในเวลานี้ จะต้องมีคนบง
การเจ้าแน่ เจ้าบอกมานะ ที่เจ้าฆ่าท่านพ่อ นอกจาก
ต้องการชิงตำแหน่งเหมียวอ๋องแล้ว เกี่ยวข้องกับถ้ำ
เฮยเหยียนด้วยใช่หรือไม่?”
อีฝูขมวดคิ้ว เมื่อพูดถึงถ้ำเฮยเหยียน นางก็จะ
อ่อนไหวมาก นางจ้องไปที่หลางชาตูลู
“ถ้ำเฮยเหยียนหรือ?” หลางชาตูลูหัวเราะออกมา
“อย่างไรครั้งนี้ถ้ำเฮยเหยียนก็ไม่รอด”
อีฝูเดินขึ้นหน้ามา แล้วพูดว่า “หลางชาตูลู พวกเจ้า
วางแผนอะไรเอาไว้?”
“ตันตูกู่ เจ้าอยากรู้มากไม่ใช่หรือว่าใครเป็นคนบง
การข้าให้สังหารท่านเหมียวอ๋อง?” หลางชาตูลูจ้อง
ไป “ข้าบอกเจ้าก็ได้ แต่ว่า...ข้ามีเงื่อนไข”
“ตันตูกู่ เขาเป็นคนสังหารท่านเหมียวอ๋องนะ ต้อง
ลงโทษเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นคงมีคนไม่ยอมแน่” ไป๋
หย่าลี่คิดว่าหลางชาตูลูจะเสนอเงื่อนไขให้ไม่ตาย ก็
เลยรีบพูด
หลางชาตูลูหัวเราะแล้วพูดว่า “ไป๋หย่าลี่ เจ้าคิดว่า
หลางชาตูลูกลัวตายอย่างนั้นหรือ?”
ตันตูกู่ขมวดคิ้ว “เจ้าต้องการอะไร?”
“หากเจ้ากล้า พวกเรามาสู้กันหรือไม่ ห้ามให้ใคร
ช่วยเด็ดขาด” หลางชาตูลูจ้องมาที่ตันตูกู่ “ตันตูกู่
หลายปีมานี้ พวกเราไม่เคยสู้กันแบบจริงจังเลย
แม้แต่ครั้งเดียวนะ ครั้งนี้พวกเรามาสู้กันให้จริงจัง
กันเถอะ หากเจ้าชนะข้าได้ ข้าจะบอกเจ้าว่าใครเป็น
คนบงการข้า”
“ตันตูกู่ อย่าไปสู้กับเขา” หัวหน้าถ้ำคนหนึ่งพูดด้วย
ความโกรธว่า “เขากลายเป็นสัตว์เดรัจฉานไปแล้ว
หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น เจ้ายังบาดเจ็บอยู่ เขาตั้งใจ
เอาเปรียบเจ้าชัดๆ”
เหล่าหัวหน้าถ้ำคนอื่นเองก็เห็นด้วย
ครั้งที่แล้วตันตูกู่สู้กับคนของสำนักห้าคุณธรรม
บาดเจ็บหนักพอตัว แขนข้างหนึ่งยังพันแผลอยู่
เคลื่อนไหวยังไม่ค่อยสะดวก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสู้กับ
หลางชาตูลูเลย
หลางชาตูลูถึงแม้จะรูปร่างเล็กกว่าตันตูกู่มาก แต่
พละกำลังของเขาก็มีมาก หากตันตูกู่ปกติดีไม่ได้รับ
บาดเจ็บอะไร หลางชาตูลูน่าจะไม่มีทางท้าสู้กับตันตู
กู่แน่นอน แต่ว่าในตอนนี้แพ้ชนะคาดเดาได้ยากมาก
ตันตูกู่ส่ายหน้า แล้วพูดว่า “พวกเจ้าไม่ต้องพูดแล้ว
หลางชาตูลู ข้ายอมรับเงื่อนไขของเจ้า ข้าจะสู้กับ
เจ้า” เขากวาดสายตาไปแล้วพูดว่า “พวกเจ้าไม่ต้อง
มาช่วย ต่อให้เขาจะฆ่าข้าจนตาย นั่นก็เป็น
ความสามารถของเขาเอง”
หลางชาตูลูยิ้มแล้วพูดว่า “ตันตูกู่ คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็
กล้าดีเหมือนกัน”
“ช้าก่อน” อีฝูขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หลางชาตูลู หาก
ตันตูกู่แพ้ แล้วเจ้าคิดจะทำอะไร?”
หลางชาตูลูพูดว่า “หากข้าบอกว่าให้ปล่อยข้าไป
พวกเจ้าคงไม่ยอม”
ไป๋หย่าลี่พูดว่า “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว”
“หากข้าชนะ พวกเจ้าให้เวลาข้าครึ่งวัน” หลางชา
ตูลูพูดว่า “หลังจากที่ข้าลงเขาไปแล้ว ภายในครึ่งวัน
เจ้าห้ามตามข้ามาเด็ดขาด หลังจากผ่านครึ่งวันไป
แล้ว หากพวกเจ้ายังตามตัวข้าเจอ ข้าจะยอมให้พวก
เจ้าจัดการอย่างไรก็ได้”
อีฝูยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็มีแผนอยู่แล้วนี่เอง ตัน
ตูกู่ เจ้าห้ามรับปากเขานะ”
“พวกเจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเบื้องหลังคนที่บงการข้า
อยู่เป็นใคร” หลางชาตูลูพูดว่า “ตอนนี้ข้าถอยหลัง
ไป ก็แค่ตาย แต่ว่าพวกเจ้าจะไม่มีทางได้รู้ว่าใครบง
การอยู่เบื้องหลัง พวกเจ้ารู้ว่านิสัยของข้าเป็น
อย่างไร หากข้าไม่อยากบอก ต่อให้พวกเจ้าใช้วิธี
อะไรก็ตามมาทรมานข้า ข้าก็ไม่มีทางพูด”
ฉีหนิงรู้ว่าถึงแม้หลางชาตูลูจะโหดร้าย แต่ว่าก็ยังดู
เป็นคนหัวรั้นน่าดู
หากเจ้าจับเขาแล้วมอบตัวให้จวนเสินโหว จวนเสิน
โหวคงมีทางให้เขาพูดแน่ แต่ว่าฉีหนิงก็รู้ดีว่า หลาง
ชาตูลูต่อให้ทำผิดร้ายแรงแค่ไหน มันก็เป็นเรื่อง
ภายในของชาวเหมียว หากนำตัวหลางชาตูลูส่งให้
จวนเสินโหว ตันตูกู่อาจจะเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วย
แน่
ตันตูกู่พูดว่า “ในเมื่อรับปากเจ้าแล้ว ก็ไม่มีการคืน
คำ หากเจ้ามีปัญญาเอาชนะข้าได้ ก็ฆ่าข้าให้ตาย
ตรงนี้เลย พวกเขาจะให้เจ้าลงจากเขาไป และจะไม่
ไล่ล่าเจ้าครึ่งวัน”
ไป๋หย่าลี่กับเหล่าหัวหน้าถ้ำต่างมองหน้ากัน หาก
เป็นปกติทั่วไป พวกเขาก็คงไม่คัดค้าน เพราะตันตูกู่
จะเอาชนะหลางชาตูลูไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าตอนนี้
เห็นตันตูกู่ยังบาดเจ็บอยู่ ใครจะชนะยังไม่รู้เลย
แต่ว่าตันตูกู่น้ำเสียงหนักแน่น หลายคนถึงแม้จะ
ลังเล แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน
ส่วนทูตจันทราก็ลอยตัวไปยืนอยู่ที่สะพานหิน ส่วน
คนที่พูดก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรแล้ว
ฉีหนิงรู้สึกสงสัย เขาไม่รู้ว่าท่านแม่หมอของชาว
เหมียวมีฐานะสูงมาก แต่ว่าไม่เคยเข้ามายุ่งเรื่อง
การเมืองหรือเรื่องภายในของชาวเหมียวเลย เหมียว
อ๋องถูกสังหาร ถึงแม้จะเป็นเรื่องใหญ่หลวงมาก แต่
ชาวเหมียวก็ยังเป็นผู้จัดการกันเอง
หลางชาตูลูรู้เรื่องนี้ดี เขารู้ว่าแม่หมอไม่มีทางเข้ามา
ยุ่งเรื่องนี้ ถึงได้เสนอเงื่อนไขแบบนี้ออกมา เพื่อ
หาทางรอดให้กับตัวเอง
เขาเห็นตันตูกู่รับปาก รู้ว่าตันตูกู่ไม่มีทางกลับคำ
แน่นอน ก็ไม่พูดมากอีก บุกเข้าใส่ทันที เขาซัดหมัด
ออกมา พุ่งไปที่บาดแผลที่แขนของตันตูกู่ทันที
อีฝูเห็นดังนั้น ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เลว” หัวหน้า
ถ้ำทั้งหลายก็มีสีหน้าที่ตกใจ แต่ว่ารับปากไปแล้ว
ต่อให้โกรธมากแค่ไหน ก็ออกไปช่วยไม่ได้
ฉีหนิงเห็นหลางชาตูลูลงมือเหี้ยมโหด อีกทั้งยัง
ว่องไว ก็รู้ว่าเขาก็น่าจะเป็นเพลงมวยอยู่บ้าง ตันตูกู่
ยังดูนิ่งอยู่ เมื่อเห็นหลางชาตูลูซัดหมัดเข้าใส่ ก็ไม่ได้
เผชิญหน้าโดยตรง เขาถอยหลังไปสองสามก้าว
หลางชาตูลูเห็นดังนั้น ก็รู้สึกดีใจมาก เขาออกหมัด
สลับไปมา ทำให้ตันตูกู่ต้องถูกบีบจนถอนร่นไป ทุก
คนที่ล้อมอยู่ รวมถึงอีฝูต่างก็ร้อนใจ
ทันใดนั้นเองก็เห็นตันตูกู่ยกเท้าขึ้นมาถีบใส่หลางชา
ตูลู แรงค่อนข้างมาก หลางชาตูลูเองก็ไม่ได้ช้า เขา
หลบไปด้านข้าง จากนั้นก็ซัดหมัดเข้าใส่ขาของตันตู
กู่
เพลงมวยของพวกเขาสองคน ฉีหนิงเองก็แอบชื่นชม
อยู่เงียบๆ แต่ว่าในสายตาของฉีหนิงมันก็ยังธรรมดา
ไป
สู้กันไปมาประมาณสามสิบกระบวนท่า จากที่เห็น
หลางชาตูลูเหมือนจะได้เปรียบ เขารู้ว่าแขนขวาของ
ตันตูกู่ไม่สะดวก จึงคิดจะจู่โจมแขนขวาของตันตูกู่
ตลอดเวลา ตอนนี้การเอาชนะสำคัญที่สุด เลยไม่
สนใจเกียรติหรือหน้าตาของตัวเองอีก
ทันใดนั้นเอง หลางชาตูลูก็ซัดหมัดเข้าที่หน้าอกของ
ตันตูกู่ อีฝูกับพวกหน้าถอดสี แต่ตันตูกู่กลับยื่นแขน
ออกมา แล้วจับแขนของตันตูกู่เอาไว้ หมัดอีกข้าง
ของหลางชาตูลูกำลังซัดมาแล้ว ตันตูกู่ไม่ได้หลบ แต่
ใช้ทั้งตัวกระแทกไปที่หลางชาตูลูอย่างแรง
หลางชาตูลูคิดไม่ถึงว่าตันตูกู่จะมาไม้นี้ คิดอยากจะ
หลบก็ไม่ทันแล้ว ร่างกายของพวกเขากำยำมันก็
เหมือนก้อนหินสองก้อนชนใส่กัน หลางชาตูลูถอย
หลังไปหลายก้าว ยืนไม่มั่น จนล้มลงก้นกระแทกลง
กับพื้น ตันตูกู่เองก็ถอยหลังไปสองก้าว เมื่อยืนนิ่ง
แล้ว เขาก็กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 380 เมฆกลางสายหมอก
“ตันตูกู่...” ไป๋หย่าลี่หลุดร้องออกมา เขาอยากจะ
พุ่งเข้าไป แต่ตันตูกู่ยกมือห้ามเอา ไว้ บอกไม่ให้ไป๋
หย่าลี่เข้ามา
หลางชาตูลูเห็นดังนั้น ก็ลุกขึ้นมา แล้วพุ่งเข้าใส่ตันตู
กู่อีกครั้ง
ตันตูกู่ร้องคำรามแล้วก็พุ่งขึ้นหน้าไป พวกเขาทั้งคู่
ปะทะกัน เหมือนสัตว์สองตัวกำลังต่อสู้กัน
หลางชาตูลูสู้เพื่อทางรอดเพียงทางเดียวของเขา ตัน
ตูกู่เองก็ไม่มีทางปล่อยหลางชาตูลูไปเด็ดขาด ทั้ง
สองสู้กันอีกสิบกระบวนท่า ทั้งคู่จู่โจมจุดอ่อนของ
อีกฝ่ายได้หลายครั้ง แต่ก็ยังอดทนสู้ต่อไปอีกได้
ทันใดนั้นตันตูกู่ก็ร้องคำรามออกมา ทุกคนเห็นตันตู
กู่ใช้มือข้างเดียวยกตัวหลางชาตูลูขึ้นมา จากนั้นก็
ทุ่มตัวเขาลงกับพื้น บนพื้นเป็นหินที่แข็งมาก
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของ
หลางชาตูลู เขากระอักเลือดออกมา
ทุกคนเห็นตันตูกู่ได้โอกาส ต่างก็ยินดี แผลที่มือของ
ตันตูกู่ฉีกขาด เสื้อด้านหลังก็มีเลือดไหลออกมาเต็ม
ไปหมด เมื่อเห็นหลางชาตูลูลุกไม่ขึ้น ถึงได้เดินขึ้น
หน้าไปสองก้าว เขาพูดว่า “หลางชาตูลู เจ้ายังมี
อะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
หลางชาตูลูฝืนขยับตัว ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ริมฝีปาก
สีหน้าของเขาซีดเซียว เขาพูดว่า “ตันตูกู่ เจ้าชนะ
แล้ว ข้าไม่มีอะไรจะพูด”
“ในเมื่อเจ้ายอมแพ้แล้ว ก็บอกพวกเรามา ใครเป็น
คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?” อีฝูรีบพูด
หลางชาตูลูเหลือบไปมองตันตูกู่ แล้วพูดว่า “ข้า
ไม่ได้บอกว่าจะบอกกับทุกคน ข้ารับปากแค่ว่าจะ
บอกตันตูกู่คนเดียว”
ตันตูกู่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ บอกข้าคนเดียวก็
ได้” เขาเดินขึ้นหน้าไป
หลางชาตูลูเดินขึ้นหน้ามาสองก้าว เมื่อเข้าใกล้ตันตู
กู่แล้ว ก็พูดว่า “คนที่บงการให้ข้าสังหารท่านเหมียว
อ๋องก็คือ...” ทันใดนั้นเอง เขาก็ตะคอกว่า “เจ้าไป
ตายซะเถอะ” เขาพุ่งเข้าใส่ตันตูกู่ ในมือถือมีดสั้นอยู่
เล่มหนึ่ง มีดเล่มนั้นคมมาก มันกำลังพุ่งไปที่หน้าอก
ของตันตูกู่
ตันตูกู่คิดไม่ถึงเลยว่าหลางชาตูลูจะต่ำช้าได้ถึงขนาด
นี้
ชาวเหมียวต่อสู้กัน ตอนที่ต่อสู้ก็จะสู้อย่างเต็มที่ แต่
ว่าพอรู้แพ้ชนะแล้ว ก็จะยอมรับผลที่เกิดขึ้นแบบไม่
ลังเล ซึ่งมันก็คือเกียรติและศักดิ์ศรีของชายชาว
เหมียว
แต่หลางชาตูลูกลับทิ้งเกียรติและศักดิ์ศรีสุดท้ายที่มี
ของเขาไป
ตันตูกู่บาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งคิดไม่ถึงเลยว่า
หลางชาตูลูจะแอบเอามีดสั้นเข้ามา ทั้งสองอยู่ไม่
ห่างกันมาก หลางชาตูลูแทงมาแบบนี้ ตันตูกู่จะไป
หลบทันได้อย่างไร
ไป๋หย่าลี่กับคนอื่นเห็นดังนั้น ต่างก็ตกใจ คิด
อยากจะช่วย แต่ก็ไม่ทันแล้ว
มีดสั้นนั่นกำลังจะแทงเข้าไปที่หน้าอกของตันตูกู่
แล้ว ทันใดนั้นเองก็มีก้อนหินก้อนหนึ่งปลิวมา ราว
กับดาวตก มันซัดเข้าไปที่ข้อมือของหลางชาตูลู
อย่างแม่นยำ หลางชาตูลูร้องด้วยความเจ็บปวด
ถึงแม้จะเป็นแค่ก้อนหินก้อนหนึ่ง แต่ว่าข้อมือของ
เขาก็ถูกซัดอย่างแรง มีดก็หลุดออกจากมือไป
ตันตูกู่ตอนนี้ถึงได้สติกลับมา เขาตะคอกว่า “เจ้าเลว
มาก” เขายกเท้าขึ้นมา แล้วถีบไปที่ท้องอย่างแรง
หลางชาตูลูถูกถีบไปที่หน้าท้อง ก็ถอยหลังไปเจ็ด
แปดก้าว เขารู้สึกว่าภายในร่างกายของเขามันราว
กับคลื่นลูกหนึ่ง ทุกอย่างมันเหมือนฉีกขาดไปหมด
หน้าก็เริ่มมืดลง
ไป๋หย่าลี่กับคนอื่นรีบพูดว่า “จับเขาเอาไว้” ทุกคน
ขึ้นหน้าไป พุ่งไปที่หลางชาตูลู
หลางชาตูลูเวียนหัวมาก ร่างกายของเขาโซซัดโซเซ
ไป เมื่อเห็นพวกไป๋หย่าลี่กำลังบุกเข้ามา ก็สติแตก
รีบถอยหลังไปหลายก้าว ในหูของเขาก็ได้ยินเสียง
ร้องตะโกน ก็ยิ่งทำให้เขาตื่นกลัวเข้าไปอีก เขาก็ยิ่ง
ถอยหลังไปอีก ทำให้ตกลงไปที่ร่องน้ำที่หน้าผา
ตันตูกู่เห็นหลางชาตูลูตกหน้าผา ก็ตกใจหน้าเสียไป
เขาเดินขึ้นหน้าไปแล้วยื่นมือจะไปจับเขา เมื่อได้ยิน
เสียงกรีดร้องของหลางชาตูลูลอยมาครั้งหนึ่ง แต่ไม่
นานนักเสียงก็เงียบไป เขาอึ้งไปชั่วครู่ จนลืมเก็บ
แขนกลับมา
ครั้งนี้เรื่องของชาวเหมียว เกิดขึ้นกะทันหัน หลางชา
ตูลูวางแผนสังหารเหมียวอ๋อง อีกทั้งยังเกือบสังหาร
ตันตูกู่ด้วย ถึงแม้ตันตูกู่จะโกรธเขามาก แต่ว่าเมื่อ
เห็นพี่ชายตัวเองตกหน้าผาไป วินาทีนั้นเขาเองก็นึก
อะไรไม่ออก
ไป๋หย่าลี่วิ่งไปที่หน้าผา ตอนแรกยังได้ยินเสียงร้อง
ของหลางชาตูลูอยู่ แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินอะไรอีก
เลย ภายในถ้ำหินเงียบสนิท
หลายคนมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา อีฝูเองก็
ขมวดคิ้ว
หลังจากนั้นพักหนึ่ง ตันตูกู่ถึงค่อยๆ เดินไปที่หน้าผา
ก้มหน้ามองลงไป เขามองไม่เห็นก้นหน้าผาเลย เขา
เงียบอยู่นาน สุดท้ายก็พูดว่า “อย่างนี้ก็ดี
เหมือนกัน”
ไป๋หย่าลี่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตันตูกู่ หลางชาตู
ลูตายแล้ว คนที่อยู่เบื้องหลังเขา พวกเราก็จะไม่มี
ทางรู้อีก”
“ก็ไม่เชิงหรอก” ฉีหนิงพูดขึ้นมาว่า “พวกเจ้าก็รู้ว่า
เป้าหมายของหลางชาตูลูดีนั่นก็คือการสังหารท่าน
เหมียวอ๋อง เป้าหมายของเขาเป็นประโยชน์ต่อใคร
พวกเราสามารถเดาจากเบาะแสตรงนี้ได้ พวกเราก็
อาจจะได้คำตอบ”
ตันตูกู่หันหน้ากลับมา แล้วมองไปยังฉีหนิง แล้วพูด
ว่า “เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้อีกแล้ว นี่ก็ครั้งที่สามแล้ว
นะ”
ตอนที่อยู่ริมแม่น้ำ ตันตูกู่ต่อสู้กับคนของสำนักห้า
คุณธรรม ฉีหนิงยื่นมือเข้าช่วย นั่นคือครั้งแรก
หลังจากที่เหมียวอ๋องถูกสังหาร หลางชาตูลูจับพวก
เขาสามคนขังไว้ที่คุกหมาป่า อีกทั้งเตรียมที่จะลงมือ
สังหารเขา ฉีหนิงพาพวกเขาสองคนรอดมาจากคุก
ได้ นั่นคือครั้งที่สอง
เมื่อครู่หลางชาตูลูคิดจะลงมือสังหารเขา แต่ถูกหิน
ปลิวกระแทกมา ทำให้มีดปลิวหลุดออกจากมือไป
หินก้อนนั้นฉีหนิงเป็นคนขว้างไป และนี่ก็คือครั้งที่
สาม
ฉีหนิงเห็นหลางชาตูลูกำลังจะบอกคนที่อยู่เบื้องหลัง
ให้ตันตูกู่ฟัง อีกทั้งยังเข้าใกล้ตันตูกู่มากด้วย ในชาติ
ที่แล้วตอนที่เขาฝึกเขามีสายตาที่เฉียบคมมาก ในใจ
ก็มองออกว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ ก็เลยขว้างก้อนหิน
ออกไป ทุกคนมัวแต่มองตันตูกู่กับหลางชาตูลู จึงยัง
ไม่รู้ตัว
เรื่องก็เป็นไปอย่างที่ฉีหนิงคิด หลางชาตูลูรู้ว่าตาย
แน่ แต่คิดอยากจะลากตันตูกู่ลงนรกไปด้วย ฉีหนิง
ตัดสินใจเด็ดขาด จึงรีบลงมือก่อน
การขว้างก้อนหิน สำหรับฉีหนิงแล้ว มันไม่ใช่เรื่อง
ยากเลย ในชาติก่อนที่ฝึกฝน เคยฝึกวิชามีดบินมา
ก่อน การควบคุมมือก็มีความสามารถพอตัวอยู่ ก้อน
หินเล็กถึงแม้ไม่เหมือนมีดบิน แต่การเคลื่อนไหวของ
ข้อมือ กำลังของเขาพอจะกะระยะได้อยู่
พอลงมือครั้งนี้ ก็เท่ากับช่วยชีวิตตันตูกู่ถึงสามครั้ง
ไป๋หย่าลี่กับคนอื่นมองหน้ากัน แล้วเดินหน้าขึ้นมา
เขาทำความเคารพให้กับตันตูกู่ แล้วพูดว่า “พวกข้า
ถูกหลางชาตูลูหลอกลวง ทำให้เข้าใจผิดว่าเจ้าคือ
คนร้าย ขอตันตูกู่ลงโทษพวกข้าด้วย”
“โทษพวกเจ้าไม่ได้หรอก” ตันตูกู่ส่ายหน้าแล้วพูด
ว่า “หลางชาตูลูตั้งใจวางหลุมพรางเอาไว้ อีกทั้งมี
หลักฐานในมือ เป็นใครก็ถูกหลอกได้” เขาหันไป
คำนับฝั่งตรงข้าม แล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านแม่หมอ
ที่ให้ความเป็นธรรม”
เสียงชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดังขึ้นมาอีกครั้ง “ความจริง
ปรากฏแล้ว งานศพของท่านเหมียวอ๋องพวกเจ้าจง
จัดการให้ดี”
พวกเขารับคำ ไป๋หย่าลี่พูดอย่างนอบน้อมว่า “ท่าน
แม่หมอ ท่านเหมียวอ๋องถูกสังหาร ถ้ำเหมียวของ
พวกเราไม่มีผู้นำ พวกเราหวังว่าจะรีบแต่งตั้งให้ตันตู
กู่ดำรงตำแหน่งเหมียวอ๋องคนใหม่ เพื่อคุมส่วนรวม
เอาไว้ ขอท่านแม่หมอชี้ทางด้วย”
เหล่าหัวหน้าถ้ำต่างพูดอย่างพร้อมเพียงว่า “ขอท่าน
แม่หมอชี้ทางด้วย”
ตันตูกู่เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว กำลังจะเอ่ยปาก แต่
สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เดิมทีเขาอยากจะปฏิเสธ แต่ว่าเขารู้ดีว่า ตำแหน่ง
ของเหมียวอ๋อง มีเพียงคนในตระกูลของเขาเท่านั้น
ที่เป็นได้ เดิมทีหลางชาตูลูกับเขามีสิทธิดำรง
ตำแหน่งทั้งคู่ แต่ว่าหลางชาตูลูตายแล้ว ทั่วทั้งเจ็ด
สิบสองถ้ำ ตอนนี้มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่
สามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้
ไป๋หย่าลี่พูดถูก เหมียวอ๋องถูกสังหาร เหล่าถ้ำเหมียว
ทั้งหมดไร้ผู้นำ อีกทั้งยังเกิดเรื่องของถ้ำเฮยเหยียน
อีก เบื้องหลังยังมีแผนร้ายอีก ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องไหน
ชัดเจนสักเรื่อง สถานการณ์ไม่ปกติ ชาวเหมียวจะไม่
มีเหมียวอ๋องคุมสถานการณ์ไม่ได้
ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นว่า “เรื่องภายในถ้ำ
เหมียว พวกเจ้าจัดการกันเองได้ ตันตูกู่เป็น
สายเลือดโดยตรงของท่านเหมียวอ๋อง ดำรงตำแหน่ง
เหมียวอ๋องได้”
ทุกคนต่างคำนับ เมื่อมีคำพูดนี้ของท่านแม่หมอ ตัน
ตูกู่ก็มีสิทธิขึ้นเป็นเหมียวอ๋องได้ ถือว่าแน่นอนแล้ว
เหล่าหัวหน้าถ้ำหันหลังกลับมา แล้วคุกเข่าลง
ตรงหน้าของตันตูกู่ แล้วพร้อมใจกันพูดว่า “คำนับ
ท่านเหมียวอ๋อง”
ตันตูกู่ลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็พูดว่า “พวกเจ้าลุกขึ้นมา
เรื่องนี้กลับถ้ำใหญ่แล้วค่อยว่ากัน”
“เรื่องก็จบแล้ว พวกเจ้ากลับไปได้” คนอีกฝั่งพูดว่า
“หนุ่มชาวฮั่นอยู่ก่อน ท่านแม่หมอมีเรื่องอยากจะ
พูดกับเจ้า”
ทุกคนต่างตะลึงไป
ตันตูกู่รับตำแหน่งเหมียวอ๋อง แม่หมอไม่ได้รั้งเขา
เพื่อพูดจาด้วย แต่กลับรั้งตัวฉีหนิงเอาไว้
แต่ว่าคำสั่งของท่านแม่หมอ แม้แต่ตันตูกู่ก็ไม่กล้าขัด
เขาก็ไม่ได้ทำให้เสียเวลา หันหน้าคำนับไปที่ฝั่งตรง
ข้าม แล้วหันหลังเดินไปที่ทางออกของถ้ำหิน อีฝูก็
รู้สึกแปลกใจ ก่อนจะไป นางหันไปมองฉีหนิง แต่ก็
ไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก แต่ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงแม่หมอ
ของชาวเหมียว เขาก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่ง เมื่อทุกคน
ออกไปจนหมดแล้ว ก็ได้ยินเสียงดังมาจากฝั่งตรง
ข้ามว่า “หนุ่มชาวฮั่น เจ้าชื่ออะไร มาจากไหน?”
ฉีหนิงรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องถามคำถามนี้ เขาลังเล
แต่สุดท้ายก็ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยฉีหนิง
มาจากเมืองหลวง”
เสียงของอีกฝั่งนั่นคือตัวแทนของแม่หมอ ฉีหนิง
สามารถปกปิดฐานะกับใครก็ได้ แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อ
หน้าแม่หมอของชาวเหมียว เขารู้สึกว่าพูดความจริง
ไปจะดีกว่า
ชาวเหมียวเดิมทีก็ขี้ระแวงอยู่แล้ว หากตัวเองยัง
ปกปิดฐานะอีก ไม่เพียงอีกฝ่ายจะจับได้ อาจทำให้
สถานการณ์เลวร้ายไปอีก การปิดบังความจริงกับแม่
หมอของชาวเหมียว มันถือเป็นการไม่ให้เกียรติ
มากๆ
“ฉีหนิง เจ้ามาจากเมืองหลวง มาเพราะคำสั่งของ
ราชสำนักใช่หรือไม่?” เสียงนั่นถามอีกครั้ง “เจ้า
มายังซีชวนในครั้งนี้ มีเป้าหมายอะไรกันแน่?”
“เรื่องของถ้ำเฮยเหยียนไม่มีความชัดเจน ราชสำนัก
เห็นว่าเรื่องนี้น่าจะมีเบื้องหลัง ก็เลยสั่งให้ข้ามายังซี
ชวน เพื่อสืบเรื่องราวที่แท้จริงของเรื่องนี้” ฉีหนิงพูด
ว่า “หลายปีมานี้ ซีชวนไม่เคยเกิดเรื่องเลย ชาว
เหมียวกับชาวฮั่นอยู่กันอย่างสงบสุข ราชสำนักไม่
อยากเห็นคนเลวคอยยุแยงให้แตกกัน ทำลายความ
สงบของซีชวน”
ฝั่งตรงข้ามเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงลอยข้าม
มาว่า “เจ้าแซ่ฉี อีกทั้งยังเป็นคนที่ราชสำนักส่งมา
อีก เจ้ากับจิ่นอีโหวตระกูลฉีเป็นอะไรกัน?”
ฉีหนิงคิดไปครู่หนึ่ง แล้วก็พูดว่า “ข้าน้อยก็คือจิ่นอี
โหว”
เสียงจากอีกฝั่งเหมือนจะหายไป ไม่มีความ
เคลื่อนไหวอะไรเลย ฉีหนิงเหมือนจะไม่เข้าใจกับสิ่ง
ที่เกิดขึ้น แอบคิดในใจว่าหรือว่าจะให้เขากลับ
ออกไป? หากเป็นอย่างนั้น จะไม่แจ้งบอกอะไรเขา
หน่อยหรือ เขาจะได้ไม่ต้องรอแบบนี้
ทันใดนั้นเอง เหมือนจะมีความเคลื่อนไหวจากฝ่าย
ตรงข้าม
ฉีหนิงมองเข้าไป เห็นว่าหมอกที่อยู่ตรงนั้น มัน
เหมือนมีเงาสีขาวปรากฏออกมา สายตาของเขาดี
มาก ถึงแม้ธารน้ำตรงหน้าผาแห่งนี้จะมองไม่เห็นก้น
บึ้งด้านล่าง แต่ว่าระยะจากทั้งสองฝั่งมันก็ไม่ได้ไกล
ยังพอที่จะมองเห็นอยู่ เงาร่างสีขาวนั่นลอยตัวลงมา
ราวกับดอกไม้ที่หล่นลงมาจากบนหน้าผา ด้านหลัง
ของเงาสีขาวนั่นมีเงาอีกสองคน หมอกหนามาก แต่
อีกคนเหมือนจะเป็นทูตจันทรา
ถึงแม้สายตาของฉีหนิงเฉียบแหลมมาก แต่เขาก็ไม่รู้
ว่าเงาสีขาวนั้นมาจากตรงไหน แต่ว่าจากโครงร่าง
แล้ว มีส่วนเว้าส่วนโค้ง แสดงว่าเขาเป็นผู้หญิง
ถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้า แต่นางดูบอบบาง
เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของหมอกเมฆ นางปรากฏตัว
ขึ้นมาดูราวกับกระโดดลงมาจากก้อนเมฆ แต่ดูอีกที
ก็ดูเหมือนลงมาจากท้องฟ้า
หญิงชุดขาวยืนอยู่ตรงข้าม ถึงแม้จะไม่ได้เคลื่อนไหว
แต่ก็ลอยเหมือนเซียนเทพ ทำให้คนรู้สึกแปลก แต่ก็
อดที่จะยำเกรงไม่ได้
ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ริมหน้าผา ราวกับว่านางยืนอยู่ที่
ริมขอบฟ้าที่ลอยอยู่เหนือเมฆา
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 381 เมฆหมอกหนา
ฉีหนิงเห็นดังนั้นก็ตะลึงไป ทันใดนั้นเองก็เหมือนจะ
นึกอะไรขึ้นได้ เขาเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว ยกมือขึ้น
คำนับแล้วพูดว่า “ท่าน...ท่านคือท่านแม่หมอของ
ชาวเหมียวใช่หรือไม่?”
หญิงชุดขาวที่ลอยอยู่ท่ามกลางสายหมอก ตามหลัก
แล้วก็คือผู้ที่ชาวเหมียวทั้งหมดเคารพกราบไหว้และ
นับถือมาก ในความคิดของฉีหนิงนางน่าจะเป็นคน
แก่ที่ไม่ยุ่งกับเรื่องทางโลกแล้ว แต่ว่าไม่รู้ทำไม
วินาทีที่ได้เห็นผู้หญิงคนนี้ เขากลับรู้สึกว่า นางน่าจะ
เป็นท่านแม่หมอ
“ฉีหนิง...” เสียง ๆ หนึ่งดังลอยมา “ชื่อนี้พ่อของเจ้า
ตั้งให้เจ้าหรือ?”
ฉีหนิงอึ้งไป เขาไม่รู้ว่าชื่อนี้ใครตั้งให้จึงไม่ได้ตอบ
กลับไป แต่ย้อนถามกลับไปว่า “ท่านแม่หมอเหมือน
จะรู้จักท่านพ่อของข้า?”
“องอาจกล้าหาญในสนามรบ ชนะศึกมานับไม่ถ้วน
ชื่อของท่านแม่ทัพฉีมีใครบ้างที่ไม่รู้” หญิงชุดขาว
กล่าว
น้ำเสียงของนางไม่ได้ดังมาก เสียงนิ่งและใส แต่ว่าหู
ของฉีหนิงได้ยินชัดเจน
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ท่านแม่หมอ
เหมือนจะรู้จักท่านพ่อเป็นอย่างดี” คิดในใจว่าถึงแม้
แม่หมอของชาวเหมียวจะอาศัยอยู่ในหุบเขาลึก แต่
อย่างไรก็ยังเป็นมนุษย์ เรื่องในใต้หล้านี้ ก็คงมีคน
นำมารายงานให้ทราบอยู่ดี
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?” แม่หมอจู่ๆ ก็ถามขึ้นมา
“หากข้าจำไม่ผิด น่าจะอายุสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว
สินะ?”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ในใจก็ตกใจ เขารู้สึกสงสัย “ท่านแม่
หมอรู้อายุข้าด้วยหรือ?”
แม่หมอที่อยู่ฝั่งตรงข้ามยังคงยืนอยู่เหมือนเดิม นาง
พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “วรยุทธ์ของเจ้าดีมาก
พ่อของเจ้าเป็นคนถ่ายทอดให้หรือ?”
ฉีหนิงรู้ว่าเมื่อครู่เขาขว้างก้อนหินก้อนเล็กไปยัง
ข้อมือของหลางชาตูลูอย่างแรง มันเป็นการเผย
ความสามารถของฉีหนิงออกมา อีกฝ่ายคงเห็นแล้ว
ฉีหนิงคลี่ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ท่านพ่อทำศึกอยู่ที่
ชายแดนตลอด ข้าจึงไม่ค่อยได้อยู่กับท่านสักเท่าไหร่
วรยุทธ์พวกนี้ท่านไม่ได้เป็นคนถ่ายทอดให้ข้า”
“อย่างนี้นี่เอง” แม่หมอดูเหมือนว่ากำลังครุ่นคิด
อะไรอยู่ “เจ้ากล้าพอที่จะเดินข้ามสะพานหินนี้มา
หรือไม่?”
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ คิดในใจว่าแม่หมอคิดจะทำอะไร
กันแน่?
เพียงแต่ว่าน้ำเสียงของแม่หมอนั้นดูอ่อนโยนเหมือน
ไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายอันใด เขายืนอยู่ริมหน้าผา
แล้วมองไปที่สะพานหิน เส้นทางของสะพานหินนี้
แคบมาก ส่วนด้านล่างก็ลึกจนมองไม่เห็นก้นผา
ฉีหนิงรู้สึกลังเลอยู่นาน ความจริงแล้วฉีหนิงไม่ได้
หวาดกลัว หากจำเป็นจริงๆ ต่อให้ต้องเสี่ยงอันตราย
เขาก็จะไม่ลังเลเลย แต่ว่าตอนนี้มันไม่ได้มีเหตุ
จำเป็นที่เขาจะต้องเดินข้ามไป แล้วจะให้เขาเอาชีวิต
ตัวเองไปเสี่ยง ฉีหนิงจึงจำเป็นต้องคิดไตร่ตรองให้
มากสักหน่อย
“เจ้าไม่ต้องกังวล” แม่หมอพูดอย่างอ่อนโยน “ข้า
แค่อยากรู้ว่าเจ้ากล้าแค่ไหนเท่านั้น เจ้าเป็นถึงจิ่นอี
โหว ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”
ฉีหนิงคิดในใจว่ามันก็จริงนะ เขาเป็นถึงจิ่นอีโหว
หากมาตายที่ถ้ำเหมียวชางซี ชาวเหมียวก็จะไม่
สามารถชี้แจงอะไรกับราชสำนักได้ อีกทั้งข้างตัว
ของแม่หมอก็มียอดฝีมืออยู่ ทูตจันทรามีวรยุทธ์ที่ไม่
ธรรมดา หากคิดร้ายกับเขา ไม่ต้องออกแรงมากเลย
“ทำไมเล่า เจ้าไม่กล้าหรือ?” แม่หมอยิ้มแล้วพูดว่า
“พ่อของเจ้ากล้ากว่าเจ้ามากเลยนะ”
ฉีหนิงหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ท่านแม่หมอ ท่านไม่
ต้องกระตุ้นข้าหรอก หากจะให้ข้าข้ามไป ท่าน
จะต้องรับปากเงื่อนไขข้าข้อหนึ่งก่อน”
“บังอาจ” เสียงชายก่อนหน้านี้ดังขึ้นมา “อยู่ต่อ
หน้าท่านแม่หมอ ห้ามเสียมารยาท”
แม่หมอกลับพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยนว่า “ทูตสุริยัน
พวกเจ้าไม่ต้องพูดมาก ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน
ว่า เขาจะมีเงื่อนไขอะไร”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านแม่หมอ หาก...หากจะให้ข้าข้าม
ไป ท่านจะให้ข้าได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่านได้
หรือไม่? ข้าอยากรู้ว่า แม่หมอของชาวเหมียวจะมี
หน้าตาอย่างไร?”
“เจ้าอยากจะเห็นหน้าข้าหรือ?” แม่หมอหัวเราะ
แล้วพูดว่า “ข้าอายุเกินเก้าสิบปีไปแล้ว อยู่ในโลกนี้
อีกไม่นานแล้ว เจ้ายังจะอยากเห็นหน้าคนแบบนี้อีก
หรือ?”
“ไม่จริง” ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “น้ำเสียงของ
ท่านแม่หมอ เหมือนคนอายุไม่ถึงสามสิบเลย ก่อน
หน้านี้ข้าคิดว่าแม่หมอของชาวเหมียวจะต้องเป็นผู้
อาวุโสอายุมาก แต่ว่าคิดไม่ถึงเลยว่า...”
แม่หมอพูดแทรกขึ้นมา “คิดไม่ถึงว่าแม่หมอจะเป็น
ผู้หญิง?” นางหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ได้ ข้า
รับปากเจ้า ขอแค่เจ้ากล้าพอที่จะใช้ความสามารถ
ของเจ้าเดินข้ามมา ข้าจะให้เจ้าได้เห็นใบหน้าที่
แท้จริงของข้า”
ที่จริงฉีหนิงก็แค่อยากรู้ แม่หมอของชาวเหมียวเป็น
ผู้หญิง อีกทั้งน้ำเสียงก็ดูไม่ได้มีอายุมาก ซึ่งมันเหนือ
ความคาดหมายของเขามาก อีกทั้งน้ำเสียงของแม่
หมอทั้งอ่อนโยนและเป็นมิตร ฉีหนิงถึงได้กล้าที่จะ
ร้องขอพบใบหน้าที่แท้จริงของแม่หมอ
เขารู้ดีว่า ชาวเหมียวเคารพแม่หมอดุจดังเทพ มี
ฐานะที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด อีกทั้งยังอาศัยอยู่ในยอด
เขาสุริยันจันทราที่ลึกขนาดนี้ด้วย แม้แต่ชาวเหมียว
เองก็มีไม่กี่คนที่จะได้พบนาง เพราะอย่างนั้น เขาถึง
ได้แปลกใจ คิดว่าข้อเสนอของเขาอีกฝ่ายคงไม่
รับปากแน่ คิดไม่ถึงเลยว่าแม่หมอจะตอบรับง่ายๆ
แบบนี้ได้
ฉีหนิงไม่ได้ลังเลอะไรอีก เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
แล้วกางแขนออก จากนั้นก็เดินขึ้นมาบนสะพานหิน
เส้นทางบนสะพานหินนี้แคบมาก มันราวกับด้าย
เส้นหนึ่ง ฉีหนิงรู้สึกได้ว่าเขากำลังเดินอยู่บนเส้นลวด
เขากางแขนออกและพยายามสร้างสมดุลให้แก่
ร่างกาย แล้วเดินตรงไปยังฝั่งตรงข้าม
แม่หมอของชาวเหมียวยืนมองอยู่นิ่งๆ ที่ริมหน้าผา
อีกฝั่ง นางดูราวกับดอกไม้ที่ผลิบานอยู่ริมหน้าผา
แรกเริ่มเดิมทีฉีหนิงก็นิ่งอยู่ แต่พอเดินมาได้ครึ่งหนึ่ง
พบว่าสะพานหินมันไม่เรียบเหมือนเดิมแล้ว ทำให้
ร่างกายของเขาโซเซไปไม่สามารถทรงตัวให้อยู่นิ่งได้
ฉีหนิงรู้ว่านี่ตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อไม่ให้ใครเดินข้ามไปได้
ง่าย ๆ
หากไม่เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น ต่อให้เป็นคนที่มีวรยุทธ์สูง
อยากจะข้ามสะพานหินนี้ไปแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
มันเป็นแค่ชั่ววินาทีเท่านั้น หากพลาดแล้วก็จะพลาด
เลย
เมื่อเดินมาถึงตรงกลางฉีหนิงก็พลันสัมผัสได้ถึง
อากาศที่เหน็บหนาวเหมือนจะมีสายลมพัดเข้ามาใน
ช่องโหว่ของถ้ำแห่งนี้
ฉีหนิงยังคงตั้งสติของเขาได้อยู่ ค่อยๆ เดินไปทีละ
ก้าว เมื่อผ่านมาได้อีกระยะหนึ่ง เขาก็เดินสะดุด ทำ
ให้ร่างกายเสียสมดุล เขาตกใจมาก ทันใดนั้นเองก็
เห็นผ้าสีขาวพุ่งมาอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู มามัด
ข้อมือของเขาเอาไว้ จากนั้นก็กระตุกเบา ๆ ทำให้
ร่างกายของเขาทรงตัวได้อีกครั้ง จากนั้นผ้าขาวนั้นก็
หายไป
หลังของฉีหนิงเต็มไปด้วยเหงื่อ เขานับถือวรยุทธ์
ของแม่หมอมาก แค่ผ้าบางๆก็สามารถลงมือได้
เหมือนกับเป็นเชือกเส้นหนึ่ง หากไม่ได้มีวรยุทธ์ที่
สูงส่ง ไม่มีทางทำได้แน่นอน
เขาค่อยๆ เดินไปทีละก้าว ท่ามกลางการมองดูของ
ท่านแม่หมอ ในที่สุดก็มาถึงฝั่งสักที จากนั้นฉีหนิงจึง
กระโดดขึ้นฝั่งไป
หลังจากที่ทะลวงชีพจรได้แล้ว ฉีหนิงรู้สึกว่าร่างกาย
ของเขาเบาขึ้นมาไม่เหมือนเดิมแล้ว
เพียงแต่ระหว่างทางเกือบพลาดตกเหวไป ฉีหนิง
รู้สึกอายมาก หลังจากที่ยืนนิ่งแล้ว แม่หมอก็พูดด้วย
เสียงที่อ่อนโยนว่า “ที่เจ้ามาถึงตรงนี้ได้มันไม่ใช่เรื่อง
ง่ายๆ เจ้าไม่ต้องรู้สึกอายหรอกนะ”
ฉีหนิงรู้สึกว่าแม่หมอนี่ร้ายกาจมากจริงๆ แม้แต่เขา
กำลังคิดอะไรอยู่ก็รู้ด้วย
ตอนนี้เมื่อเห็นแม่หมอที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว แม่
หมอสวมชุดสีขาว แต่ว่าเสื้อผ้าของนางไม่เหมือนชุด
ของชาวฮั่นซะทีเดียว แต่น่าจะมีการดัดแปลงมาเป็น
ชุดของชาวเหมียว นำชุดของชาวฮั่นมาทำเป็นชุด
ของชาวเหมียว มันก็แปลกตาดี แต่ว่าเมื่อมันอยู่บน
ตัวของแม่หมอแล้ว กลับดูมีสง่าราศีดุจดังเซียนเทพ
ผู้หนึ่งก็ไม่ปาน
แม่หมอสวมผ้าปิดหน้าสีขาว เหลือเพียงแค่ดวงตา
สองดวง ผมถูกม้วนเก็บแบบหญิงชาวเหมียว
ด้านหลังของนาง มีเงายืนประกบซ้ายขวา คนหนึ่ง
คือทูตจันทรา อีกคนร่างกายสูงใหญ่มากกว่าทูต
จันทราสวมชุดชาวเหมียวสวมหน้ากากปิดหน้าบน
หน้าผากมีสัญลักษณ์เหมือนกับพระอาทิตย์ ฉีหนิง
คิดในใจว่าน่าจะเป็นทูตสุริยัน
สายตาของแม่หมอดูลึกล้ำมาก เป็นประกายดัง
ดวงดาว รูปร่างโค้งเว้าอ้อนแอ้น อรช รดวงตา
งดงามคู่นั้นกำลังจ้องมาที่ฉีหนิง แต่นางไม่ได้พูด
อะไร
ฉีหนิงถูกแม่หมอจ้องเช่นนี้ จึงรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เขา
ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “ฉีหนิงคารวะท่านแม่
หมอ”
“เหมือน...เหมือนจริงๆ...” แม่หมอมองไปที่ฉีหนิง
แล้วพูดว่า “ที่แท้...ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง...”
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก ไม่รู้ว่าที่แม่หมอพูดนั้นมัน
หมายความว่าอย่างไร
นางเหมือนจะบอกว่าเขาเหมือนใครคนหนึ่ง แต่ว่าฉี
หนิงรู้ว่าหน้าตาของเขามันไม่เหมือนกับฉีจิ่งเลย
เขาสวมรอยเป็นจิ่นอีซื่อจื่อ แต่ว่าจิ่นอีซื่อจื่อนั้นมี
หน้าตาเหมือนกับเขาไม่มีผิด เขาเคยได้ยินมาว่า
หน้าตาของเขาไม่เหมือนฉีจิ่ง
ได้ยินมาว่าฉีจิ่งรูปร่างกำยำสูงใหญ่ หน้าตามีความ
เป็นชายสูงมาก แต่ว่าจิ่นอีซื่อจื่อกลับมีหน้าตา
สวยงามราวหญิงสาว ซึ่งแตกต่างกันมาก
“หรือว่านางจะรู้จักฮูหยินของจิ่นอีโหว?” ฉีหนิง
สะดุ้ง เขาพลันนึกถึงฮูหยินของจักจิ่นอีโหวหลิวซู่อี
ขึ้นมา
เขาไม่เคยเจอหลิวซู่อีมาก่อน อีกทั้งหลิวซู่อีก็ไม่ได้
อยู่ที่จวนจิ่นอีโหวนานแล้ว ไท่ฟูเหรินตระกูลฉีคิดจะ
ลบเรื่องราวของหลิวซู่อีออกจากตระกูลฉีไปให้หมด
ดังนั้นคนในจวนจิ่นอีโหวจึงไม่มีใครกล้าพูดถึงหลิวซู่
อีเลย
แม่หมอเหมือนจะรู้จักฉีจิ่งเป็นอย่างดี ตอนนี้ยังพูด
เหมือนกับว่าเขาหน้าตาเหมือนใครคนหนึ่ง ในเมื่อ
ไม่ใช่ฉีจิ่ง ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นหลิวซู่อี หรือว่าแม่
หมอรู้จักหลิวซู่อีด้วย?
แต่ว่านางเป็นแม่หมอของชาวเหมียว อยู่ไกลมาก
ขนาดนี้ เหตุใดถึงได้รู้จักหลิวซู่อีได้นะ?
หลิวซู่อีไม่มีทางเดินทางมาถึงซีชวนนี่ได้แน่นอน อีก
ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับแม่หมอของชาวเหมียว
ด้วย
ฉีหนิงรู้สึกสงสัย จึงอดที่จะถามไปไม่ได้ว่า “ท่านแม่
หมอ ท่าน...ท่านว่าข้าหน้าตาเหมือนใคร?”
แม่หมอส่ายหน้า ไม่ได้ตอบอะไรเขา แต่กลับย้อน
ถามว่า “หลังจากที่ท่านแม่ทัพใหญ่ฉีตายไป เจ้าก็
สืบทอดตำแหน่งจิ่นอีโหวหรือ?”
“ขอรับ” ฉีหนิงพยักหน้า แล้วเดินหน้าขึ้นไปหนึ่ง
ก้าว แล้วถามว่า “ท่านแม่หมอ ท่าน...ท่านรู้จักท่าน
พ่อท่านแม่ของข้าใช่หรือไม่?”
แม่หมอถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เคยพบหน้า
แม่ของเจ้าเลยใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ท่านแม่หมอ ท่าน
เหมือนจะรู้เรื่องของตระกูลฉีของพวกเราดี จะต้อง
รู้จักพวกเขาแน่ๆ ท่านรู้หรือไม่ว่าหลิว...เกิดอะไร
ขึ้นกับท่านแม่ของข้า?”
เรื่องของหลิวซู่อีมันเหมือนปริศนาที่ฉีหนิงหา
คำตอบไม่ได้ แต่ว่าคนที่รู้เรื่องนี้มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
กู้ชิงฮั่นอยู่ในจวนจิ่นอีโหวมานานหลายปี แต่ก็รู้เรื่อง
ของหลิวซู่อีน้อยมาก จั่วชิงหยางแห่งวิทยาลัยฉง
หลินเหมือนจะรู้มากหน่อย แต่ว่าเขาก็ไม่ยอมบอก
อีกอย่างตอนนี้เขาก็หายตัวไปไม่รู้อยู่ไหน
ฉีหนิงคิดไม่ถึงว่า ที่ถ้ำเหมียวชางซีบนยอดสุริยัน
จันทรา แม่หมอของชาวเหมียวคนนี้เหมือนจะรู้เรื่อง
ด้วย
“ข้าไม่รู้” แม่หมอตอบอย่างเด็ดขาด นางส่ายหน้า
แล้วพูดว่า “แต่ว่าข้ารู้ว่า แม่ของเจ้าไม่ใช่ผู้หญิง
ธรรมดา” นางหยุดไป แล้วถามว่า “ในจวนโหวของ
เจ้า ไม่มีใครพูดถึงแม่ของเจ้าเลยหรือ?”
“ถูกต้อง” ฉีหนิงพยักหน้า “บางคนไม่รู้ บางคนรู้แต่
ไม่พูด ข้าอยากรู้ว่าท่านแม่อยู่ไหน? ตอนนี้...ตอนนี้
นางเป็นหรือตาย?”
แม่หมอยิ้มแล้วถอนหายใจเบาๆ “บางเรื่อง เมื่อผิด
มาตั้งแต่แรก มันก็ผิดต่อมาเรื่อยๆ ข้าไม่เคยรู้เหตุผล
มาก่อนเลย จนวันนี้ที่ได้เจอเจ้า ข้าถึงได้รู้ว่า ที่แท้...
ที่แท้มันเป็นความผิดที่ร้ายแรงมาก อีกทั้งยัง
ย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว”
น้ำเสียงของนางดูโศกเศร้าและจนใจเป็นอย่างมาก
ฉีหนิงรู้สึกไม่เข้าใจว่าที่แท้แล้วนางหมายถึงอะไร
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 382 เพิ่มความสงสัย
ฉีหนิงลังเล แล้วถามว่า “ท่านแม่หมอ ข้าไม่เข้าใจว่า
ท่านหมายความว่าอย่างไร ท่าน...ท่านบอกว่ามัน
เป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง มันหมายความว่า
อย่างไร? แล้วใครทำเรื่องผิดพลาดอันใหญ่หลวง?
หรือว่า...หรือว่าจะเป็นท่านพ่อกับท่านแม่ของข้า?”
แม่หมอส่ายหน้า ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “บางทีเจ้า
อาจจะเข้าใจในสักวันหนึ่งก็ได้ ที่จริง...เจ้าไม่รู้น่าจะ
ดีกับเจ้ามากกว่า” เขาหยุดไป แล้วพูดด้วยเสียงที่
อ่อนโยนว่า “เงื่อนไขของเจ้าเมื่อครู่ ข้ารับปากไว้
แล้ว ก็จะไม่คืนคำ” นางยกมือขึ้นมา แล้วปลดผ้าที่
ผูกปิดหน้าออก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา
“ถัง...ถังนั่ว...” ฉีหนิงตกใจร้องเสียงหลงออกมา
ถึงแม้จะมีแสงแดดส่องมา แต่แสงก็ไม่ได้สว่างมาก
แต่ว่าฉีหนิงก็มองเห็นใบหน้าของแม่หมอชัดเจน
วินาทีที่เขามองเห็นใบหน้าของแม่หมอ ก็รู้สึกว่า
เหมือนกับถังนั่วมาก แต่ก็รู้ว่าตัวเองน่าจะมองผิดไป
แม่หมอดูแล้วน่าจะอายุราวสามสิบต้นๆ ผิวพรรณ
ไม่เหมือนกับชาวเหมียวทั่วไป ผิวของนางขาวเนียน
ราวกับหยก ถึงแม้จะดูเหมือนถังนั่ว แต่ก็มีความ
แตกต่างกันอยู่พอสมควร
ถึงแม้ถังนั่วจะมีใบหน้าที่งดงาม มีความคล้ายกับแม่
หมอมาก แต่ใบหน้าของแม่หมอจะดูอวบอิ่ม
มากกว่า ดูเรียบเนียนมากกว่าเมื่อเทียบกับถังนั่ว
อ่อนโยนมากกว่า แล้วก็มีความเป็นผู้หญิงมากกว่า
ดวงตาของนางดูน่าหลงใหลมาก เมื่อบวกกับใบหน้า
ที่งดงามนี้ มันทำให้มีเสน่ห์มาก
อายุเกินสามสิบแต่ยังดูมีเสน่ห์มาก เป็นผู้ใหญ่สุขุม
แม่หมอไม่เพียงมีจุดเด่นทุกอย่างที่ผู้หญิงเต็มวัยพึงมี
อีกทั้งยังคงความสง่างามเอาไว้ด้วย ใบหน้าของนาง
ประดับไปด้วยรอยยิ้มที่งดงาม เพียงแค่นางยิ้ม ก็
เหมือนกับทุกอย่างถูกความอ่อนโยนและรอยยิ้ม
ของนางทำลายล้างไปหมด
“ถังนั่ว?” แม่หมอขมวดคิ้ว “เจ้ารู้จักถังนั่วด้วย
หรือ?” นางพูดแบบนี้ แสดงว่ารู้จักถังนั่ว
ฉีหนิงคิด แล้วพูดว่า “ข้ากับนางถือได้ว่าเป็นเพื่อน
กัน นางเคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
“อย่างนี้นี่เอง” แม่หมอยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเคยเจอ
ถังนั่ว เหมือนข้ามากเลยหรือ?”
ฉีหนิงพยักหน้า ในใจก็รู้สึกแปลกใจ ดูจากใบหน้า
แล้ว ถังนั่วกับแม่หมอมีความคล้ายกัน เขาเห็น
ใบหน้าที่แท้จริงของแม่หมอครั้งแรก เกือบจำผิดว่า
เป็นถังนั่ว ในโลกนี้มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เลยหรือ
ตอนนี้ฟังจากความหมายของแม่หมอแล้วก็รู้ว่านาง
ก็รู้จักถังนั่ว ในใจก็รู้สึกว่าแม่หมอกับถังนั่วจะมี
ความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือไม่?
ถังนั่วกับปีศาจน้อยมีความเกี่ยวข้องกัน ฉีหนิงรู้ว่า
ถังนั่วก็น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับซีชวนแน่ ตอนนี้
พบแม่หมอก็คิดในใจว่าหรือว่าถังนั่วจะเป็นสาวชาว
เหมียว?
เดิมทีเขาคิดจะให้แม่หมอช่วยเขาแก้ปริศนาของตัว
เขา แต่ใครจะคิดว่าตอนนี้มันยิ่งเพิ่มความสงสัยให้
เขาเข้าไปอีก เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าคิดมา
ตลอดว่าแม่หมอของชาวเหมียวจะต้องเป็นหญิงชรา
คิดไม่ถึงเลยว่า...คิดไม่ถึงเลยว่าอายุจะน้อยแบบนี้
อีกทั้ง...อีกทั้งยังมีความงดงามแบบนี้ด้วย”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงไอกระแอมดังมา ทูตสุริยันเป็น
คนทำนั่นเอง
แม่หมอไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ต่อให้มีใบหน้างดงาม
แค่ไหน ก็จะพูดกับนางแบบนี้ไม่ได้ เขารีบยกมือขึ้น
แล้วพูดว่า “ท่านแม่หมอ ผู้น้อยเสีย...เสียมารยาท
ต้องขออภัย”
“นิสัยของเจ้าเหมือนแม่ของเจ้ามาก จริงใจซื่อตรง”
แม่หมอยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าที่
เกิดขึ้นในถ้ำเหมียวมาแล้ว เจ้าฉลาดมาก เหมือนแม่
ของเจ้าไม่มีผิด เจ้าคงได้รับความฉลาดนี้มาจาก
นาง”
“ท่านแม่หมอ ข้า...ข้ารู้เรื่องของท่านแม่น้อยมาก”
ฉีหนิงรีบพูดต่อว่า “ท่านช่วย...ท่านช่วยเล่าเรื่องของ
นางให้ข้าฟังได้หรือไม่ ข้าคิดถึงนาง”
แม่หมอพูดว่า “เจ้ารู้จักท่านจั่วชิงหยางหรือไม่?”
“ท่านก็รู้จักหรือ?” ฉีหนิงสะดุ้งไป คิดไม่ถึงว่าแม่
หมอจะรู้เยอะขนาดนี้ แต่ว่าในเมื่อนางพูดถึงจั่วชิงห
ยาง แสดงว่านางรู้เรื่องอะไร ด้วยความร้อนใจฉีหนิง
จึงเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว ราวกับจะลืมฐานะของแม่
หมอไปแล้ว เขายื่นมือไปจับมือของแม่หมอ แล้วพูด
ด้วยความร้อนใจว่า “แม่หมอ ท่านบอกข้าที หลิว...
ท่านแม่ของข้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่? ตอนนี้นางอยู่ที่
ไหน?”
“ห้ามหยามเกียรติท่านแม่หมอ” ทูตสุริยันตะคอก
ใส่ แล้วเดินหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าว เขาจ้องมาที่ฉีหนิง
ด้วยใบหน้าที่ดุดัน
ฉีหนิงรีบปล่อยมือ แต่แม่หมอเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจ
นางพูดว่า “ท่านจั่วสบายดีหรือไม่?”
ฉีหนิงลังเลครู่หนึ่ง ในใจก็คิดว่าหากบอกว่าจั่วชิงห
ยางถูกคนลอบสังหารแล้วหายตัวไป มันจะเชื่อมโยง
ไปถึงม้วนตำรานั่นหรือไม่ แต่ว่าหากไม่พูด ต่อไปแม่
หมอมารู้ความจริงเข้า ก็จะไม่ดี ไม่รู้ทำไม หากเป็น
คนอื่น ฉีหนิงคงไม่พูดอะไรสักคำ แต่ว่าอยู่ต่อหน้า
แม่หมอ เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เขาคิดไปครู่หนึ่ง
สุดท้ายก็พูดความจริงออกไป แต่ว่าไม่พูดถึงม้วน
ตำรานั่น
แม่หมอรู้สึกแปลกใจ แต่นางฝึกฝนจนถึงขั้นไม่
สะทกสะท้านต่อเรื่องใดๆ แล้ว นางพยักหน้า “เรื่อง
นี้เจ้าไม่จำเป็นต้องเล่าให้ข้าฟังก็ได้”
“ที่จริง...ที่จริงข้าก็ไม่อยากจะพูด แต่ว่า...แต่ว่าไม่รู้
ทำไม อยู่ต่อหน้าท่าน ข้า...ข้าไม่กล้าโกหก” ฉีหนิง
พูด
แม่หมอยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง” นางถอน
หายใจ แล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากรู้เรื่องอะไร ใน
เมื่อเจ้ารู้จักท่านจั่ว ท่านจั่วไม่บอกอะไรกับเจ้า นั่น
แสดงว่าต้องมีเหตุผล เมื่อครู่ข้าบอกไปแล้ว บาง
เรื่องเจ้าไม่รู้มันอาจจะดีกับเจ้ามากกว่า ฉีหนิง เจ้า
ต้องจำเอาไว้ให้ดี แม่ของเจ้าเป็นผู้หญิงที่ดีมากคน
หนึ่ง ไม่ว่าตอนนี้นางจะอยู่หรือตาย ในใจของนาง ก็
จะต้องคิดถึงเจ้ามากเช่นกัน”
ฉีหนิงรู้สึกผิดหวังมาก แม่หมอพูดมาแบบนี้แล้ว ก็
หมายความว่านางไม่ยอมบอกความจริงกับเขา
ในใจของเขารู้สึกแปลกใจมากว่า จวนจิ่นอีโหวไม่
อนุญาตให้ใครพูดถึงหลิวซู่อี จั่วชิงหยางกับแม่หมอรู้
เรื่องนี้ แต่ก็ไม่ยอมพูด หลิวซู่อีมีความลับอะไรอยู่นะ
ตอนนี้คนที่รู้ความจริงมีถึงสามคน
แม่หมอยกมือขึ้นนำผ้ามาปิดอีกครั้ง แล้วพูดด้วย
ความอ่อนโยนว่า “ครั้งนี้เจ้าช่วยถ้ำเหมียวเอาไว้ ข้า
รู้สึกขอบคุณมาก ชาวเหมียวหวังแค่มีชีวิตที่สงบ
เท่านั้น แต่ว่ามักมีคนอยากให้เกิดความวุ่นวายขึ้น
เสมอ เจ้ามาซีชวนครั้งนี้ ต้องแก้ไขความเข้าใจผิดที่
เกิดขึ้นให้ได้ ตัวเจ้าเองก็ต้องระวังตัวให้มาก บาง
เรื่อง เมื่อถึงเวลา ต่อให้เจ้าไม่อยากจะรู้ เจ้าก็จะได้รู้
แต่หากไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรรู้ ก็อย่าไปฝืน มันไม่ได้
เป็นผลเสียอะไรกับเจ้า”
ฉีหนิงรู้ว่าคำพูดของแม่หมอมันเหมือนกำลังจะส่ง
แขก เขาโค้งคำนับ แล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านแม่
หมอที่ชี้แนะ” เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่า
แม่หมอที่อยู่ตรงหน้าเขาได้หายไปแล้ว ทูตจันทรา
เองก็หายไปแล้วเหมือนกัน เหลือแค่ทูตสุริยันเท่านั้น
ที่ยังยืนมองเขาอยู่
ฉีหนิงเดิมทียังคิดอยากจะถามเรื่องหลิวซู่อีอีก อย่าง
น้อยก็อยากจะรู้เรื่องของถังนั่วกับนาง แต่ว่ายังไม่
ทันได้ถาม แม่หมอก็หายไปแล้ว
ทูตสุริยันเดินมาที่ริมหน้าผา ยกมือขึ้น แล้วเชิญฉี
หนิงให้เดินไป ฉีหนิงรู้ว่าเขาไม่ควรอยู่ต่อ เขาพยัก
หน้า แล้วก็กระโดดไปยังสะพานหินอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาระวังมาก ทูตสุริยันมองเขาอยู่ตลอด เมื่อฉี
หนิงข้ามฝั่งไปได้อย่างปลอดภัย เมื่อหันหน้าไปมอง
ทูตสุริยันก็หายไปแล้ว
ฉีหนิงยืนอยู่ริมหน้าผา เหมือนคิดอะไรอยู่ หลังจาก
นั้นก็ส่ายหน้า
ในเมื่อแม่หมอพูดว่าการไม่รู้ความจริงมันดีต่อตัวเขา
มากกว่า นั่นก็แสดงว่ามันคือเรื่องจริง ถ้าอย่างนั้น
เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งตามหาให้เหนื่อยแล้ว
ถึงแม้เขาจะรู้สึกสนใจในเรื่องของหลิวซู่อีมาก แต่ก็
ใช่ว่าจะต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้
เพราะจิ่นอีซื่อจื่อก็ตายไปแล้ว เขากับหลิวซู่อีก็ไม่ได้
เกี่ยวข้องอะไรกัน
ในถ้ำหินเย็นยะเยือกมาก ฉีหนิงไม่อยากอยู่ที่นี่
ต่อไปอีก เขาเดินไปที่ทางออก พอออกจากถ้ำมา ก็
เห็นอีฝูกำลังนั่งรออยู่ที่ปากถ้ำบนโขดหิน นางนั่ง
กอดเข่าอยู่ มือข้างหนึ่งถือกิ่งไม้ นั่งเขี่ยพื้นเล่น
เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
ฉีหนิงค่อยๆ เดินไปที่ด้านหลังของนาง เห็นอีฝูกำลัง
นั่งเหม่อลอย จึงถามขึ้นว่า “เจ้าคิดอะไรอยู่”
อีฝูสะดุ้งไป นางตกใจมาก แล้วหันไปเห็นฉีหนิง
กำลังยิ้มหวานให้นางอยู่ นางจ้องไปที่ฉีหนิงด้วย
ความโกรธ ทิ้งกิ่งไม้แล้วถามว่า “เหตุใดถึงเพิ่ง
ออกมา?”
“ท่านแม่หมอเห็นข้าเป็นหนุ่มหน้าตาดี ก็เลยอยาก
คุยกับข้านานหน่อย” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ารอ
ข้าอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ? พวกเขาไปไหนกันหมด?”
อีฝูขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ห้ามพูดเหลวไหล ห้ามดู
หมิ่นท่านแม่หมอด้วย” นางยกมือขึ้นแล้วชี้ไปที่ถ้ำ
เหมียว “พวกเขากลับไปแล้ว ตันตูกู่บอกว่า หากเจ้า
ออกมาแล้ว ให้พวกเราไปหาเขาที่ถ้ำ”
เข้ามาที่ถ้ำหินในตอนเช้า ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว อยู่ใน
ถ้ำหินมาระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดียว
ฉีหนิงพูดว่า “ตอนนี้ตันตูกู่เป็นคนดูแลทุกเรื่องแล้ว
เรื่องก็น่าจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี พวกเราไปหาเขาที่
ถ้ำ ให้เขาใช้ฐานะเหมียวอ๋องของเขาเขียนจดหมาย
เจ้าก็จะได้เอาไปพบกับเหว่ยถงซู มีจดหมายของ
เหมียวอ๋องในมือ เหว่ยถงซูก็น่าจะไว้หน้าอยู่บ้าง ขอ
แค่ไป๋ถังหลิงยังไม่ตายจริง ข้ารับประกันเลยว่า
เรื่องราวครั้งนี้จะคลี่คลายลงได้แน่นอน”
“เจ้ารับประกัน?” อีฝูพูดว่า “เจ้ามีสิทธิอะไรมา
รับประกัน?”
ฉีหนิงยิ้ม แล้วพูดว่า “ข้าไม่เพียงจะรับประกันว่า
เรื่องของถ้ำเฮยเหยียนจะพลิกสถานการณ์ได้ ยังจะ
สืบให้รู้ด้วยว่าใครอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารไป๋
ถังหลิงแล้วใส่ร้ายถ้ำเฮยเหยียนของเจ้าด้วย”
อีฝูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้าทำได้จริง
หรือ?”
ที่จริงก็ใช่ว่านางจะไม่เชื่อ หลายวันนี้ได้รู้จักกับฉี
หนิง อีฝูรู้สึกว่าฉีหนิงเหมือนเสือซ่อนเล็บ เพียงแต่
ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหนแค่นั้น แต่ว่าเห็นเขามี
ความมั่นใจ นางเองก็เชื่อเกินครึ่งแล้ว
ฉีหนิงขยับเข้าใกล้หูของนาง แล้วพูดว่า “หากข้า
ช่วยพลิกสถานการณ์ให้ถ้ำเฮยเหยียนได้ เจ้าจะตอบ
แทนข้าอย่างดีหรือไม่?”
อีฝูเริ่มรู้จักนิสัยของเขาบ้างแล้ว เวลาจริงจังขึ้นมา
พึ่งพาได้ทีเดียว แต่เวลาปกติ คำพูดทะเล้นก็
สามารถออกมาจากปากเขาได้ทันที หูของนางเริ่ม
แดง แต่ก็ยังพูดว่า “หากเจ้ามีปัญญาช่วยถ้ำเฮยเห
ยียนได้จริง ข้า...ข้าก็จะดีกับเจ้า”
“ตกลงตามนี้” ฉีหนิงหัวเราะ แล้วยื่นมือจะไปจูงมือ
ของอีฝู “พี่สาวคนสวย มานี่มา ให้น้องชายสุดที่รัก
ของเจ้าจูงมือน้อยๆ ของเจ้าหน่อยนะ พวกเราจะ
เดินไปท่ามกลางป่าไม้ที่ร่มรื่นแห่งนี้ด้วยกัน”
อีฝูคิดจะหลบ ฉีหนิงรีบพูดว่า “เมื่อครู่ยังบอกอยู่
เลยว่าจะดีกับข้า ดีแบบนี้หรือ? จะให้ม้าออกวิ่ง ก็
ต้องให้ม้ากินหญ้าหน่อยจริงหรือไม่ ข้าจะช่วยเจ้า
แก้ไขปัญหา แค่จับมือแค่นี้ไม่ได้หรือ?”
ที่จริงแล้วสาวชาวเหมียวก็ไม่ได้ถือตัวมากนัก หาก
เป็นคนรัก พวกนางก็ไม่กลัวที่เดินจูงมือต่อหน้าใคร
อีฝูมองไปที่เขา แล้วพูดว่า “เจ้าเปรียบตัวเองเป็นม้า
เชียวหรือ? ไหนเจ้าลองร้องเสียงม้าให้ข้าฟังสักสอง
ทีสิ” แต่พูดจบก็หัวเราะ เวลานางยิ้มออกมาทำให้
นางดูงดงามไม่น้อย แต่ก็ยอมให้ฉีหนิงจูงมือนางแต่
โดยดี แล้วเดินเคียงไหล่กันไป
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 383 กรีดเลือดร่วมสาบาน
ขึ้นเขานั้นยากแต่ลงนั้นเขาง่ายดายนัก เรี่ยวแรงขา
ของทั้งคู่นั้นดีไม่น้อย ถึงแม้จะเดินบนเส้นทางเขาที่
ลาดชันแค่ไหน แต่ว่าเวลาลงเขาก็ไม่ได้ใช้แรงอะไร
มากมาย
แต่ว่ายอดเขาสุริยันจันทราก็ถือว่าห่างจากถ้ำเหมียว
ไกลพอสมควร ตลอดทางฉีหนิงคิดทบทวนว่าถังนั่ว
กับท่านแม่หมอจะมีความสัมพันธ์อะไรกัน
ท่านแม่หมออายุราวสามสิบต้นๆ แต่ว่าอายุที่แท้จริง
เท่าไหร่กันแน่ ฉีหนิงไม่อาจรู้ได้ แต่ว่าแม่หมอผู้นี้คง
จะยังไม่ได้แต่งงาน จะมีถังนั่วเป็นลูกสาวก็เป็นไป
ไม่ได้
ฉีหนิงก็พอจะรู้ แม่หมอที่เป็นสื่อกับทางเทพเจ้าได้
ถูกชาวเหมียวมองเป็นตัวแทนของเทพ ปกติกจ็ ะอยู่
เป็นโสดจนตาย ไม่ได้แต่งงานกับใคร อีกทั้งบุตรก็ไม่มี
แต่เมื่อคิดไปว่าแม่หมอหน้าตางดงาม แต่ต้องอยู่คน
เดียวไปจนตาย ฉีหนิงเพียงแค่รู้สึกว่าน่าสงสาร
เดิมทีคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกัน หากแม่หมอไม่รู้จัก
ถังนั่วมาก่อน พวกนางอาจจะแค่มีหน้าตาที่คล้ายกัน
แต่ว่าแม่หมอเหมือนจะรู้จักถังนั่วมาก่อน แสดงว่าที่
หน้าตาของพวกนางคล้ายกันน่าจะไม่ธรรมดา
หรือว่าถังนั่วจะเป็นชาวถ้ำเหมียวชางซี แล้วเป็นญาติ
กับแม่หมอ?
ฉีหนิงถอนหายใจ เหมือนว่าทุกคนต่างมีความลับของ
ตัวเองเต็มไปหมด
อีฝูได้ยินฉีหนิงถอนหายใจ ก็ถามด้วยความแปลกใจ
ว่า “เจ้าคิดอะไรอยู่? ถอนหายใจทำไม?”
“อีฝู ท่านแม่หมอนางแต่งงานแล้วหรือยัง?” ฉีหนิง
คิด แล้วถึงถามออกมาว่า “นางมีลูกหรือไม่?”
อีฝูขมวดคิ้ว “เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน ท่านแม่หมอ
เป็นตัวแทนของท่านเทพมนต์ดำ แต่งงานไม่ได้ แล้ว
จะมีลูกได้อย่างไรกัน? เจ้าอย่าไปพูดดูหมิ่นท่านแม่
หมอแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นนะ”
“ท่านแม่หมอไม่มีลูก แล้วใครมาสืบทอดตำแหน่งต่อ
จากนางเล่า?” ฉีหนิงพูด “ท่านแม่หมอไม่ใช่ท่านเทพ
มนต์ดำ ไม่มีทางเป็นอมตะหรอก”
อีฝูอธิบายว่า “ท่านแม่หมอเป็นชาวเหมียวชางซี แม่
หมอในแต่ละรุ่น จะถูกคัดเลือกจากแม่หมอในรุ่นก่อน
แต่ว่าคัดเลือกกันอย่างไร ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ว่าเป็นการ
ทำอย่างละเอียดรอบคอบมาก ได้ยินมาว่าจะต้องดู
จากวันเดือนปีที่เกิดด้วยนะ”
“อย่างนี้นี่เอง” ฉีหนิงพยักหน้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่าน
แม่หมอได้ตำแหน่งนี้มานานแค่ไหนแล้ว?”
อีฝูคิด แล้วถึงพูดว่า “เหมือนจะเมื่อสิบห้าสิบหกปี
ก่อนนะ ท่านแม่หมอคนก่อนจู่ๆ ก็ถูกท่านเทพมนต์ดำ
เรียกตัวกลับไป ท่านแม่หมอคนปัจจุบันถึงได้เข้ามา
อยู่ที่ยอดเขาสุริยันจันทรานี่ ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้ท่าน
แม่หมอเพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ เอง ตอนนี้...ก็น่าจะมี
อายุประมาณสี่สิบปีนะ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่แท้แม่หมอก็อายุมากกว่าที่เขาคิด
ซะอีก แม่หมอดูไปแล้วเพิ่งจะอายุสามสิบปีเอง แต่คิด
ไม่ถึงว่าจะอายุสี่สิบปีแล้ว
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ฉีจิ่งก็เหมือนจะอายุ
ราวๆ สี่สิบเหมือนกัน ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่
หมอเลย
ภูเขาและสายน้ำทีห่ ลั่งไหล สายลมเย็นสบาย ใกล้ค่ำ
แล้ว พวกเขาใกล้ถึงถ้ำเหมียวแล้ว ทันใดนั้นพวกเขาก็
ได้ยินเสียงเป่าแตรยาวดังขึ้น มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
หาพวกเขา คนที่อยู่หน้าสุดนั่นก็คือไป๋หย่าลี่ สีหน้า
ท่าทางของเขาจริงจังมาก เมื่อเดินมาถึง ก็ทำการโค้ง
คำนับแล้วพูดว่า “ท่านเหมียวอ๋องส่งไป๋หย่าลี่มา
ต้อนรับสหายของพวกเรา เรียนเชิญ”
อีฝูปล่อยมือจากมือของฉีหนิงแล้ว เมื่อได้ยินไป๋หย่าลี่
พูดแบบนี้มา ใบหน้าของนางมีแต่ความยินดี ฉีหนิง
คำนับตอบกลับไป แล้วพูดว่า “ท่านหัวหน้าไป๋ไม่ต้อง
เกรงใจแบบนี้หรอกนะ”
ไป๋หย่าลี่เดินนำทางไป ฉีหนิงกับอีฝูเดินตามหลังเขา
พวกเขาได้ยินเสียงขลุ่ยหลูดังตลอดทางที่เดินผ่าน ฉี
หนิงมองไป เห็นด้านหน้าตรงลานกว้าง มีคนเกือบ
ร้อยคนยืนเป่าบรรเลงขลุ่ยหลูอยู่ เป็นบทเพลงที่มีแต่
ความสนุกสนานและมีความสุข บรรยากาศคือยินดีที่
ได้ต้อนรับแขกที่มาเยือนอย่างเต็มใจ ผู้หญิงและผู้ชาย
ต่างแต่งตัวทางการร้องเล่นเต้นรำออกมาต้อนรับ
บรรยากาศครึกครื้นป็นอย่างมาก
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก ก่อนหน้านี้อีฝูเข้ามาที่ถ้ำเพื่อ
พบท่านเหมียวอ๋อง ก็มีบรรเลงขลุ่ยหลูเหมือนกัน
เพราะมันเป็นพิธีการต้อนรับแขก แต่ว่าครั้งนี้มันดู
ยิ่งใหญ่กว่ามาก
ฉีหนิงอดที่จะมองไปที่อีฝูไม่ได้ เขาคิดว่าครั้งที่แล้วก็
ทำพิธีต้อนรับไปแล้ว ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องทำซ้ำก็ได้
อีฝูเห็นฉีหนิงสงสัย ก็ขยับมาแล้วพูดว่า “เมื่อครู่นี้ไป๋
หย่าลี่เรียกเจ้าว่าสหาย เจ้าได้ยินหรือไม่?”
ฉีหนิงพยักหน้า อีฝูยิ้ม “นั่นไม่ได้หมายถึงมิตรทั่วไป
นะ ครั้งนี้พวกเขามาต้อนรับเจ้า” นางรู้สึกยินดีไป
กับฉีหนิงด้วย ใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
แม่นางกับชายหนุ่มที่เป่าขลุ่ยหลูต่างโค้งคำนับให้กับฉี
หนิง จากนั้นก็โปรยดอกไม้ให้ตามทางที่ฉีหนิงเดินไป
ไป๋หย่าลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “สหาย เชิญ”
“นี่เป็นพิธีต้อนรับแขกที่มีเกียรติสูงสุดของชาวเหมียว
ของพวกเรา” อีฝูกระซิบ
ฉีหนิงเข้าใจทันที เขายิ้ม แล้วยกมือคำนับตอบ
กลับไปให้เหล่าชาวเหมียว ชาวเหมียวทุกคนรู้สึก
แปลกใจมาก แต่ก็ยินดีมากเช่นกัน
ฉีหนิงไม่รู้ว่า พิธีต้อนรับแขกที่มาเยือนแบบนี้ จะใช้
สำหรับบุคคลที่มีฐานะสูง ราชทูตของทางราชสำนัก
หรือแม้กระทั่งผู้ที่เดินทางมาจากแดนไกล ชาวเหมียว
ต้องการแสดงความจริงใจและความสันติ ก็จะทำพิธี
ต้อนรับแบบนี้ขึ้น แต่ว่าแขกที่มาเยือนเมื่อก่อนนั้น
มักจะเหย่อหยิ่ง ฉีหนิงทำตัวสบายเข้าหาง่ายแบบนี้
ยกมือขึ้นคำนับพวกเขา ถือว่าหายากมาก ไม่แปลกที่
เหล่าชาวเหมียวจะรู้สึกแปลกใจ
ก่อนหน้านี้ฉีหนิงใช้มีดจับหลางชาตูลูเป็นตัวประกัน
ชาวเหมียวหลายคนจำได้ดี และต่างพากันโกรธเขา
มาก แต่ตอนนี้พวกเขารู้ความจริงแล้ว อีกทั้งยังเห็น
หนุ่มชาวฮั่นผู้นี้เรียบง่ายสบายๆ เข้าหาง่าย ก็เลยรู้สึก
ดีกับฉีหนิงเป็นอย่างมาก เสียงดนตรีบรรเลงดังมาก
ขึ้นเรื่อย ๆ
ไป๋หย่าลี่นำทางพวกเขามายังถ้ำใหญ่ ตลอดทางจะมี
เหล่าหนุ่มสาวชาวเหมียวออกมาบรรเลงดนตรีเป็น
ระยะ ราวกับเขาเป็นดาราใหญ่ มีการเอาสร้อยที่ทำ
ขึ้นมาเป็นพิเศษมาคล้องคอให้ฉีหนิง ต่อเนื่องกันแปด
ครั้ง ฉีหนิงสวมสร้อยถึงแปดชิ้นบนคอ ก็ทำให้เขารู้สึก
หนักและปวดคอเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่สะดวกที่จะ
เอามันออก
“นี่คือพิธีต้อนรับแขกปาลู่ หาชมได้ยากมาก” อีฝูยิ้ม
แล้วพูดว่า “ดูท่าตันตูกู่...ไม่ใช่สิ ท่านเหมียวอ๋องให้
เกียรติเจ้ามากเลยนะ”
พวกของไป๋หย่าลี่ขออนุญาตจากท่านแม่หมอ ให้ตันตู
กู่รับช่วงต่อตำแหน่งเหมียวอ๋อง อีฝูก็อยู่ตรงนั้นด้วย
นางรู้ว่าจะเรียกชื่อของเขาเฉยๆ แบบเดิมไม่ได้อีก
แล้ว
อีกนิดเดียวก็จะถึงถ้ำใหญ่แล้ว พวกเขาเห็นตันตูกู่ยืน
รออยู่ด้านหน้า เขาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้ว ตอนนี้
เขาสวมชุดแบบเดียวกับที่ท่านเหมียวอ๋องคนก่อนสวม
ใส่ พวกเขาก็รู้ทันทีว่าตันตูกู่ได้ขึ้นเป็นเหมียวอ๋องโดย
สมบูรณ์แล้ว พวกเขารีบเดินขึ้นหน้าไป ตันตูกู่เองก็
เดินลงมารับพวกเขาเช่นกัน
“ท่านเหมียวอ๋อง” ฉีหนิงยกมือแล้วคำนับ
แต่ตันตูกู่กลับกางแขนออก แล้วเข้าไปสวมกอดฉีหนิง
ทันที เขายังบาดเจ็บอยู่ ฉีหนิงก็กลัวว่าจะไปถูก
บาดแผลของเขาเลยระวังมากเป็นพิเศษ ตันตูกู่จูงมือ
ฉีหนิง แล้วพาเข้าไปด้านใน โดยไม่พูดอะไร
ภายในห้องโถงได้จัดงานเลี้ยงเอาไว้ เหล่าบรรดา
หัวหน้าถ้ำต่างพากันมาครบ เมื่อเห็นฉีหนิงเข้ามา ทุก
คนต่างก็ทำความเคารพ
ฉีหนิงคิดในใจว่าตันตูกู่ทำอะไรก็รวดเร็วทันใจ
เหมือนกันนะ ลงเขามาในช่วงเช้านี้เอง แต่สามารถ
จัดแจงทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้ว
เขาไม่รู้เลยว่า หลังจากตันตูกู่ลงจากเขาแล้ว เขาได้สั่ง
ให้คนกลับมาจัดเตรียมทุกอย่างที่ถ้ำไว้แล้ว
ตันตูกู่จูงมือฉีหนิงแล้วเดินไปที่ที่นั่งประธาน ด้านข้าง
ของโต๊ะเหมียวอ๋อง จัดโต๊ะไว้สองที่ ตันตูกู่เชิญให้ฉี
หนิงกับอีฝูนั่งฝั่งซ้ายและขวาคนละข้าง ทั้งสองคน
ปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็เถียงสู้ตันตูกู่ไม่ได้อยู่ดี
หลังจากเข้านั่งประจำที่แล้ว ตันตูกู่ก็พูดขึ้นมาว่า
“ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในถ้ำเหมียว หากไม่ได้เจ้าช่วย
ไว้ เจ้าคนใจบาปอย่างหลางชาตูลูคงสมใจไปแล้ว เจ้า
มีบุญคุณกับข้าตันตูกู่ถึงสามครั้ง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
เจ้าไม่เพียงเป็นแขกที่สำคัญที่สุดของข้าตันตูกู่ แต่ยัง
เป็นสหายที่มีเกียรติสูงสุดของถ้ำเหมียวชางซีด้วย”
เขาพูดอีกว่า “ท่านพ่อของข้าเพิ่งถูกสังหารไป จึงไม่
อาจดื่มเหล่าร่วมด้วยได้ สหายโปรดอภัยด้วย”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “เหมาะสมแล้ว ท่านเหมียวอ๋องไม่
ต้องเกรงใจไป”
“อีฝูแห่งถ้ำเฮยเหยียน วันนี้ข้าจะเขียนจดหมายให้
เจ้า แล้วส่งคนไปพบกับท่านเหว่ยชื่อสื่อ” ตันตูกู่หัน
ไปมองอีฝูแล้วพูดว่า “ข้าจะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น
และผลร้ายแรงที่จะตามมาให้เขาเข้าใจ และเตือนเขา
หากเปิดศึกกับถ้ำเฮยเหยียนโดยพลการ พวกเราจะส่ง
คนเข้าเมืองหลวงทันที เพื่อสอบถามว่าเป็นประสงค์
ของทางราชสำนักหรือไม่ ท่านพ่อสิ้นไป สองสามวันนี้
ข้าคงไม่สะดวกที่จะลงเขาไป แต่ว่าหากเสร็จสิ้นงาน
ศพของท่านพ่อแล้ว เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการสะสาง ข้า
จะไปพบเหว่ยชื่อสื่อด้วยตัวเอง”
อีฝูรู้ดีว่าคำพูดของตันตูกู่ตอนนี้มีน้ำหนักมากกว่าแต่
ก่อนแล้ว นางลุกขึ้นมาคำนับแล้วพูดว่า “ขอบคุณ
ท่านเหมียวอ๋องที่คืนความเป็นธรรมให้แก่พวกข้า”
เหมียวอ๋องตันตูกู่ยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็หันไป
หาฉีหนิงแล้วพูดว่า “สหาย เจ้ามีบุญคุณกับข้า ตันตูกู่
จะจดจำไว้ไม่มีวันลืม ข้ามีความคิดดีๆ อยู่อย่างหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเจ้าจะยินดีหรือไม่?”
“ท่านเหมียวอ๋องเชิญพูดมาได้เลย?”
“ชาวเหมียวของพวกเรามีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง
เมื่อพบสหายหรือเพื่อนที่ถูกชะตากัน ก็จะกรีดเลือด
ร่วมสามบาน ถ้าพูดแบบชาวฮั่นก็คือ...ใช่ สาบานเป็น
พี่น้องกัน” ตันตูกู่ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่รู้ว่าเจ้าจะยินดี
กรีดเลือดร่วมสาบานกับข้าหรือไม่?”
ฉีหนิงตะลึงไป เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตันตูกู่จะเสนอมา
แบบนี้
ทุกคนด้านล่างต่างมองหน้ากัน
คนที่อาวุโสหน่อยก็เริ่มกังวล พวกเขารู้ดีว่าที่ผ่านมา
ตันตูกู่ทำอะไรสุขุมรอบคอบเสมอ แต่ว่าเขาก็เป็นคน
เปิดเผยตรงไปตรงมา กล้าได้กล้าเสีย หากเป็น
เมื่อก่อน ตันตูกู่จะกรีดเลือดร่วมสาบานกับใคร มันก็
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ตอนนี้ตันตูกู่เป็นเหมียวอ๋อง
แล้ว ฐานะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว จะกรีดเลือดร่วม
สาบานเป็นพี่น้องกับคนอื่นง่ายๆ ได้อย่างไร มันไม่ใช่
เรื่องเล็กๆ เลย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ถึงแม้ฉีหนิงจะช่วยแก้ไขปัญหา
ของชาวเหมียวได้มีผลงานใหญ่ ทุกคนรู้สกึกซาบซึ้งใจ
มาก แต่ว่าจนถึงตอนนี้ทุกคนรู้แค่ว่าเขาเป็นชาวฮั่น
แต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน หลายคนจึงรู้สึก
กังวลไม่น้อย
แต่ว่าในเมื่อเหมียวอ๋องเป็นคนเสนอขึ้นมาก่อน หาก
คัดค้านไป อาจเกิดพายุลูกใหญ่ขึ้นก็ได้
ฉีหนิงเองก็รู้สึกแปลกใจ แต่เมื่อเห็นตันตูกู่มองมาที่
เขาด้วยสายตาที่คาดหวังมาก เขาคิดครู่หนึ่งแล้วยิ้ม
“ท่านเหมียวอ๋องเปิดเผยตรงไปตรงมา กล้าได้กล้า
เสียขนาดนี้ ได้เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับท่าน ถือเป็น
เรื่องที่ไม่คิดที่จะอาจเอื้อม” เขาคิดในใจว่าเรื่องของ
ถ้ำเฮยเหยียนความจริงยังไม่กระจ่าง ซีชวนมีเรื่อง
ลึกลับมากมาย เบื้องหลังยังมีอะไรซ่อนอยู่หลายอย่าง
ไม่แน่อนาคตอาจจะต้องให้เหมียวอ๋องช่วยเหลืออีกก็
ได้ ตอนนี้เหมียวอ๋องเสนอกรีดเลือดร่วมสาบาน ก็ถือ
ว่าเป็นเรื่องที่ดี
ตันตูกู่เห็นฉีหนิงรับปากก็ดีใจมาก รีบสั่งให้คนนำชาม
ใส่น้ำเปล่ามา แล้ววางไว้บนโต๊ะ เขาก็ทำอะไรรวดเร็ว
มาก จากนั้นเขาจึงหยิบมีดออกมาแล้วกรีดไปที่นิ้วมือ
แล้วหยดเลือดลงไปในถ้วย ฉีหนิงเห็นดังนั้น เขาก็ทำ
ในแบบเดียวกัน
ตันตูกู่ยกถ้วยขึ้นมา แล้วยื่นให้ฉีหนิง ฉีหนิงเข้าใจ
ทันทีว่า มันคือการแลกถ้วยเลือดกัน ในใจก็แอบคิด
ว่าแลกเลือดกันดื่ม มันจะไม่สะอาดหรือไม่ แต่ว่า
มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ตันตูกู่พูดขึ้นมาว่า
“นี่คือน้ำจากทะเลสาบจันทรา หลังจากที่ดื่มไปแล้ว
พวกเราก็ถือว่ากรีดเลือดร่วมสาบานกันแล้ว ตั้งแต่นี้
ต่อไปพวกเราก็ถือว่าเป็นพี่น้องกัน จะไม่มีทางทรยศ
ต่อกันเด็ดขาด” เขายกมันขึ้นดื่มอย่างไม่ลังเล
ฉีหนิงองก็ยกมันขึ้นดื่มเช่นกัน ตันตูกู่เห็นฉีหนิง
เด็ดขาด ก็รู้สึกดีใจมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “น้องชาย
ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมไม่ลังเลดี ข้าชอบ”
ฉีหนิงคลี่ยิ้มออกมา แอบคิดในใจว่ายังดีที่ไม่ได้บอก
ว่า แม้จะไม่ได้เกิดวันเดือนปีเดียวกันแต่ขอตายวัน
เดือนปีเดียวกันอะไรแบบนั้น ไม่เช่นนั้นตันตูกู่ที่อายุ
มากกว่าเขาหลายปี หากสาบานแบบนี้ เขารู้สึกว่า
เสียเปรียบมาก
“เจ้าบอกว่าเจ้าชื่อหลินฉีใช่หรือไม่” ตันตูกู่พูดว่า
“ต่อไปข้าจะเรียกเจ้าว่าน้องหลิน”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้น ก็รู้ว่าถึงแม้ตันตูกู่จะพูดอย่าง
สบายๆ แต่ในคำพูดนั้นเหมือนมีความหมายอื่นแฝง
อยู่
ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอให้สาบานเป็นพี่น้องก่อน แสดงว่า
เขาก็จริงใจมากแล้ว เขาพูดมาแบบนี้ ก็หมายความว่า
อยากให้เผยตัวตนที่แท้จริงให้เขาได้รู้ แต่ว่าไม่ได้พูด
ออกมาตรงๆ ในความเป็นจริงแล้วก็ถือว่ายังเหลือ
ทางเลือกให้ตัวเขาอยู่ หากไม่สะดวกเผยตัวจริงๆ ก็ไม่
จำเป็นต้องพูดออกมาต่อหน้าทุกคนก็ได้เหมือนกัน
ฉีหนิงรู้ดีว่าหากตันตูกู่ไม่ใช่เหมียวอ๋อง เขาอาจจะพอ
ปิดบังต่อไปได้ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นถึงผู้นำของชาว
เหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำ อีกทั้งยังเป็นพี่น้องร่วมสาบาน
ของเขาอีก หากเขายังดื้อดึงที่จะปิดบังต่อไป มันก็ไม่
เหมาะเท่าไหร่ เขาคิดครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือไปคลำหา
สร้อยเขี้ยวหมาป่าที่กู้ชิงฮั่นมอบให้เขาเอาไว้
เขารู้ว่าหากเขาบอกว่าเขาคือจิ่นอีโหว ชาวเหมียว
พวกนี้อาจจะไม่เชื่อเขา แต่ว่าหากมีสร้อยเขี้ยวหมา
ป่าในมือ อีฝูจะต้องจำได้ เมื่อเขาเผยฐานะที่แท้จริง
ออกมา ก็จะไม่มีอะไรผิดพลาดได้
สัมภาระทั้งหมดในการเดินทางครั้งนี้ อยู่กับฉีเฟิง
ทั้งหมด บนตัวเขานอกจากตั๋วเงินแล้ว ก็มีป้ายทอง
พระราชทานจากฮ่องเต้กับเขี้ยวสร้อยหมาป่าเท่านั้น
ตลอดการเดินทาง เขาแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามี
ของสองอย่างนี้ด้วย โดยเฉพาะสร้อยเขี้ยวหมาป่า
ตอนนี้ถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าเขาพกมันมาด้วย ขณะที่
เขายื่นมือเข้าไปคลำหา เขาก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้น ทุกคนดู
จะไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอะไร ฉีหนิงคลำหาอยู่นาน
สุดท้ายสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาหลุดพูด
ออกมาว่า “แย่แล้ว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 384 การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด
ทุกคนเห็นฉีหนิงหน้าถอดสี ก็ตกใจ เหมียวอ๋องถาม
ขึ้นมาว่า “น้องหลิน เกิดอะไรขึ้น?”
ฉีหนิงรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาพยายามคลำหา ยังดี
ที่ป้ายทองพระราชทานยังอยู่ แต่สร้อยเขี้ยวหมาป่าที่
กู้ชิงฮั่นให้มานั้นหายไปแล้ว
สร้อยเขี้ยวหมาป่าเป็นของที่ถ้ำเหมียวที่เขาเฮยเห
ยียนให้ท่านจิ่นอีเหล่าโหวมา ครั้งนี้เขาเดินทางมาที่ซี
ชวน กู้ชิงฮั่นรู้ว่าฉีหนิงจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับถ้ำ
เฮยเหยียน ก็เลยให้สร้อยเขี้ยวหมาป่ากับเขาเอาไว้
ด้านบนของสร้อยเขี้ยวหมาป่ามันมีภาพเป็น
สัญลักษณ์อยู่ ฉีหนิงรู้ดีว่าคนอื่นอาจจะมองไม่เข้าใจ
แต่คนของถ้ำเฮยเหยียนต้องรู้แน่นอน มีสร้อยเขี้ยว
หมาป่าไว้ในมือ มันคือเครื่องหมายยืนยันตัวตนของ
คนจากจวนจิ่นอีโหว
เดิมทีฉีหนิงคิดว่าสร้อยเขี้ยวหมาป่าอาจจะไม่ได้มี
ประโยชน์อะไรมากมาย ไม่จำเป็นต้องใช้มันยืนยัน
ตัวตนก็ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าการพกสร้อยเขี้ยวหมาป่า
เอาไว้ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ไม่แน่อาจจะมี
ประโยชน์จริงๆ ก็ได้ จึงพกติดตัวเอาไว้
ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เขาไม่ได้ไปใส่ใจสร้อย
เขี้ยวหมาป่าเลย แต่ให้ความสำคัญกับป้ายทอง
พระราชทานมากกว่า ด้วยเหตุนี้เขาเลยไม่รู้ตัวว่ามัน
หายไปตอนไหน
แต่ว่าตอนนี้เขาคิดจะหยิบมันออกมา เพื่อยืนยันฐานะ
ของเขา คิดไม่ถึงว่ามันจะมีประโยชน์จริง แต่สร้อย
เขี้ยวหมาป่ากลับมาหายไปอีก
ฉีหนิงกังวลมากเกี่ยวกับการหายไปของสร้อยเขี้ยว
หมาป่า
หากระหว่างทางเขาไม่ทันระวัง แล้วมันหายไป ฉีหนิง
อาจจะไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่
เขากังวลมากว่า สร้อยเขี้ยวหมาป่าจะตกไปอยู่กับคน
ที่ไม่หวังดี
เขาแอบโทษตัวเอง คิดว่ามาถึงซีชวนแล้ว เขาควรจะ
ระวังตัวมากกว่านี้ เหตุใดถึงได้สะเพร่าได้ คิดไม่ถึงว่า
เขาจะทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ขนาดนี้
เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก
หากสร้อยเขี้ยวหมาป่าตกหล่นกลางป่า หรือคนที่ไม่
เกี่ยวข้องได้ไป อาจจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ว่าหาก
มีคนตั้งใจขโมยสร้อยเขี้ยวหมาป่าไป เรื่องนี้ก็ลำบาก
แล้ว
สิ่งแรกที่เขาคิดก็คืออีฝูเอาไปหรือไม่ แต่ว่าพวกเขา
สองคนก็อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา อีกทั้งพวกเขา
ก็มีอะไรกันแล้ว เห็นทุกอย่างของกันและกัน อีฝู
อาจจะเห็นสร้อยเขี้ยวหมาป่าก็ได้ แต่ว่าความคิดนี้ก็
ถูกเขาปัดออกไป
หากอีฝูเห็นสร้อยเขี้ยวหมาป่าจริง ก็น่าจะรู้ฐานะที่
แท้จริงของเขาไปแล้ว แต่ว่าจนถึงตอนนี้ อีฝูยัง
เหมือนไม่รู้อะไรเลย
อีฝูเห็นฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด ก็ขมวดคิ้ว
“ท่านเหมียวอ๋อง ข้าอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว” ฉีหนิงรู้ว่า
เขาไม่ควรเสียเวลาต่อไปอีก หากสร้อยเขี้ยวหมาป่า
ถูกคนไม่หวังดีเอาไป อีกฝ่ายจะต้องหลอกใช้
ประโยชน์จากสร้อยเขี้ยวหมาป่าสวมรอยเป็นคนของ
จิ่นอีโหว เข้าไปในเขาเฮยเหยียนแน่นอน “ข้ามีเรื่อง
สำคัญอยากจะขอให้ท่านช่วย”
ถึงแม้เหมียวอ๋องจะรู้จักฉีหนิงไม่นาน แต่ว่ารู้ว่าเขาก็
ไม่ใช่คนที่แสดงออกสีหน้าท่าทางอะไรมาก แต่ตอนนี้
ฉีหนิงดูตื่นตระหนกมาก แสดงว่าต้องเกิดเรื่อง
แน่นอน เขาไม่ลังเลเลย “เจ้าว่ามาได้เลย ขอแค่ข้าทำ
ได้ จะช่วยเจ้าอย่างเต็มที่”
“ท่านเหมียวอ๋อง ข้าอยากจะขอยืมม้าสักสองตัว กับ
อาหารแห้งและน้ำสำหรับเดินทาง” ฉีหนิงสีหน้า
เคร่งเครียด “ข้ากับอีฝูจะต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้เลย
พวกเราจะต้องเร่งเดินทางไปยังเขาเฮยเหยียนให้เร็ว
ที่สุด”
อีฝูรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านเหมียวอ๋อง พวกเราไม่
ควรเสียเวลาอีกจริงๆ”
“น้องหลิน เรื่องนี้ไม่น่าจะต้องรีบร้อนขนาดนี้นะ”
ตันตูกู่ชี้ไปด้านนอก “ฟ้าจะมืดแล้ว ไปพรุ่งนี้ดีหรือไม่
ข้าจะให้คนคุ้มกันพวกเจ้าไปด้วย?”
“ความหวังดีของท่านเหมียวอ๋องข้ารู้ดี แต่ว่าหากไม่
รีบเดินทางตอนนี้ เกรงว่าจะไม่ทันการ” ฉีหนิงพูด
อย่างจริงจังว่า “พวกเราต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้เลย”
ความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาเรื่องของเขาเฮยเหยียน
ก็คือไป๋ถังหลิงยังไม่ตาย
ทั้งสองฝ่ายยังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหว เพราะเหว่ยถงซูไม่
ยอมส่งคนไปเจรจา ทางเขาเฮยเหยียนเองก็ไม่ยอมพา
ไป๋ถังหลิงลงจากเขา หากไป๋ถังหลิงยังคงมีชีวิตอยู่ ฉี
หนิงก็มั่นใจในฐานะของตัวเอง อีกทั้งยังมีป้ายทอง
พระราชทานอยู่ในมือ มีน้องสาวของจ้าวถ้ำปาเย่ลี่อยู่
ด้วย จะพาไป๋ถังหลิงลงจากเขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ขอแค่ไป๋ถังหลิงตามเขาลงจากเขาเฮยเหยียน เรื่องนี้ก็
สามารถประกาศออกไปได้ ความผิดฐานสังหารขุน
นางราชสำนักก็จะถูกล้างไป ภัยอันตรายของเขาเฮย
เหยียนก็จะได้รับการแก้ไข
แต่ว่าหากสร้อยเขี้ยวหมาป่าตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่
หวังดี หากอีกฝ่ายอาศัยสร้อยเขี้ยวหมาป่าแฝงตัวเข้า
ไปในเขาเฮยเหยียน ใช้ฐานะจิ่นอีโหวพาตัวไป๋ถังหลิง
ไป ผลที่ตามมาแทบไม่อยากจะคิดเลย
สิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องนี้คือไป๋ถังหลิง เมื่อไป๋ถังหลิง
ตาย เรื่องก็จะยากขึ้นไปอีก
เหมียวอ๋องคนใหม่ไม่ใช่คนที่ทำอะไรลวกๆ เมื่อเห็น
สถานการณ์แบบนี้ ก็รู้ว่าเรื่องนี้น่าจะด่วนมาก เขาพูด
ว่า “ไป๋หย่าลี่”
ไป๋หย่าลี่ลุกคำนับแล้วพูดว่า “ท่านเหมียวอ๋อง”
“เจ้ารีบไปเลือกทหารฝีมือดีของพวกเราสามสิบคน
เตรียมอาหารและน้ำอย่างดีให้พร้อม คุ้มกันน้องหลิน
ไปยังเขาเฮยเหยียน” ตันตูกู่พูดว่า “หากมีโอกาสได้
พบเหว่ยชื่อสื่อ เจ้าบอกกับเขาในนามของข้า ถ้ำเฮย
เหยียนถูกใส่ร้าย อีกทั้งพวกเรามีหลักฐาน ข้าจะรีบไป
พบเขาให้เร็วที่สุด”
ไป๋หย่าลี่รีบพูดว่า “ไป๋หย่าลี่รับบัญชา”
ฉีหนิงกับอีฝูเห็นตันตูกู่จัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย ก็
รู้สึกซาบซึ้งใจมาก ต่างก็คำนับขอบคุณ
ฉีหนิงคิดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปกระซิบข้างหูของตันตู
กู่ ตันตูกู่สีหน้าเริ่มเปลี่ยน เขาพูดด้วยความตกใจว่า
“เจ้า...เจ้าคือ...”
“ท่านเหมียวอ๋อง เมื่อเสร็จจากเรื่องของถ้ำเฮยเหยียน
แล้ว ข้าค่อยมาพบกับท่านอีกครั้ง” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด
แทรกขึ้นมา
ตันตูกู่รีบพูดว่า “ได้ ขอให้พวกเจ้าราบรื่นทุกอย่าง”
พวกเขาก็ไม่เสียเวลาอีก จะต้องลงเขาก่อนที่ฟ้าจะมืด
ไป๋หย่าลี่คุ้นเคยกับที่นี่ดี เขาพาทหาชาวรเหมียวอีก
สามสิบคนที่ร่างกายกำยำพกธนูคุ้มกันไป
ไป๋หย่าลี่เป็นหนึ่งในหกหัวหน้าถ้ำเหมียวชางซี เขา
เป็นคนฉลาดมาก เขาไม่เพียงมีชื่อเสียงในถ้ำเหมียว
ชางซีเท่านั้น แต่กับถ้ำอื่นเขาก็เป็นที่รู้จัก ครั้งนี้ตันตูกู่
สั่งให้ไป๋หย่าลี่เป็นคนคุ้มกัน แสดงว่าเขาคิดอย่าง
รอบคอบแล้ว
ฉีหนิงไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของตันตูกู่
ครั้งนี้ต้องเร่งเดินทางไปถึงเขาเฮยเหยียนให้เร็วที่สุด
จะเดินทางอ้อมไม่ได้ เพราะมันจะทำให้เสียเวลา อีก
ทั้งหากเดินอ้อม เกรงว่าอีกฝ่ายจะส่งคนมาลอบโจมตี
อีก
ฉีหนิงรู้ข้อนี้ดี การกระทำของอีกฝ่ายลับๆ ล่อๆ ไม่
เปิดเผย เรื่องของถ้ำเฮยเหยียนราชสำนักให้
ความสำคัญมาก หากราชสำนักจับใครมาได้ ก็อาจจะ
หาตัวคนร้ายตัวจริงยากขึ้นไปอีก
ถ้ำเหมียวส่งทหารมาสามสิบคน พวกเขาเชี่ยวชาญใน
การขี่ม้ามาก พกดาบพกอาวุธ หากอีกฝ่ายไม่มีคน
มากพอ คิดจะขัดขวางก็คงได้แค่ฝัน
พวกเขาเลือกเส้นทางที่ใช้ระยะเวลาที่สั้นที่สุด
เดินทางทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดพัก
ถ้ำเหมียวชางซีตั้งอยู่ในพื้นที่ของอำเภอตันชวี ส่วน
เขาเฮยเหยียนตั้งอยู่ที่อำเภอตันปา ที่จริงก็ไม่ไกลกัน
มาก เพียงแต่ตอนนั้นอีฝูถูกไล่ล่า เลยทำให้เสียเวลา
ไป
อำเภอตันปาตั้งอยู่ระหว่างปาตงกับปาซี ในพื้นที่มี
ภูเขาหลายลูก เขาเฮยเหยียนคือหนึ่งในนั้น และกิน
พื้นที่มากที่สุด น่าจะกินพื้นที่ประมาณสี่สิบห้าสิบลี้
ภูเขาหลายส่วนเป็นหน้าผา แทบจะไม่มีคนเดินได้
ถ้ำเฮยเหยียนมีถ้ำย่อยหกแห่ง มีประชากรประมาณ
ห้าหกพันคน หลังจากที่เกิดเรื่อง ชายในถ้ำบางส่วน
ถูกจัดให้ไปเฝ้าที่ถ้ำหลัก ส่วนที่เหลือถูกส่งไปยังปาก
ทางเข้าถ้ำต่างๆ ทหารของซีชวนถูกโยกมาปิดล้อมที่นี่
ราวสองพันคน ปิดล้อมทุกทางเข้าออกของเขาเฮยเห
ยียน ชาวถ้ำกังวลว่าพวกทหารจะบุกเข้ามา ก็เลย
ออกมาเฝ้าประชิดทางเข้าออกเอาไว้จนหมด
ทหารอยู่ที่ตีนเขา ชาวเหมียวไม่ยอมให้จับง่ายๆ ไม่
เพียงผู้ชายที่ถูกส่งไปเฝ้าปากทางเข้าออกทุกทาง
เหล่าผู้หญิงเองก็เช่นกัน
เมื่อเทียบกับเหล่าทหารซีชวน อาวุธของชาวเหมียว
ล้าหลังกว่ามาก
นอกจาอาวุธดาบแล้ว อาวุธที่สำคัญที่สุดของพวกเขา
ก็คือธนู
เขาเฮยเหยียนเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีอาณาเขตหลายสิบลี้
มีป่ารกทึบ มีหลายถ้ำย่อย แต่ในหลายพื้นที่เป็นที่
ต้องห้าม บางที่มีไว้เพื่อเป็นที่อยู่ของนกและสัตว์ป่า
บางชนิด ดังนั้นภายในเขาเฮยเหยียนจึงมีนกและสัตว์
ป่าบางชนิดจำนวนมากอาศัยอยู่ ซึ่งเหมาะแก่การล่า
สัตว์อย่างมาก
ผู้หญิงจะรับผิดชอบลูกธนูของผู้ชาย อีกทั้งพวกเขายัง
ทำตามคำสั่งของปาเย่ลี่ทุกอย่าง เพื่อขัดขวางไม่ให้
ทหารบุกเข้ามา ดังนั้นจึงได้วางกับดักเอาไว้ใกล้กับ
บริเวณตีนเขา ซึ่งเรื่องนี้เป็นความลับนอกจากคนใน
ถ้ำแล้วคนนอกไม่มีคนรู้เลย
ถ้ำเฮยเหยียนไม่คิดต่อสู้ แต่ว่าหากทหารบุกเข้ามา
จริง ถ้ำเฮยเหยียนเองก็ไม่คิดจะยอมให้จับง่ายๆ
การเตรียมรับมือของถ้ำเฮยเหยียน ฉีหนิงไม่รู้ ตอนนี้
เขาหวังแค่สร้อยเขี้ยวหมาป่าที่หายไปจะไม่ตกไปอยู่
ในมือของคนไม่หวังดี ตลอดการเดินทางเขาพยายาม
นึกถึงสถานที่ที่เป็นไปได้ว่าจะทำสร้อยเขี้ยวหมาป่า
หายไป เขาจำได้ว่านอกจากตอนที่เตรียมของออก
เดินทาง เห็นครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ไม่คิด
จะใส่ใจมันอีก แล้วมันหายไปที่ไหน หายตอนไหน
เขาจำไม่ได้เลย
ของหาย เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ มันหายที่ไหนก็ได้
เขาโทษตัวเองตลอด แอบคิดในใจว่าเหตุใดเขาถึงได้
ประมาทขนาดนี้ ของบางอย่างถึงจะมองแล้วขัดตา
แต่ในเวลาสำคัญ มันอาจเป็นของที่ชี้ชะตาเลยก็ได้
ตันตูกู่สั่งให้คนเตรียมม้าไว้ให้ ต่างก็เป็นม้าดีทั้งนั้น
ถึงแม้ซีชวนจะเป็นสถานที่เลี้ยงม้า แต่ก็เพราะเหตุนี้
จึงเป็นม้าที่เหมาะกับการใช้ในซีชวนเท่านั้น เส้นทาง
คดโค้งไม่ราบเรียบ ม้าวิ่งมาก็ราบรื่นมาก
ใกล้ค่ำแล้ว เดินทางมาตลอดสองวันสองคืนเต็ม คน
และม้าอ่อนเพลียมากแล้ว ยังดีที่ตลอดเส้นทางไม่มี
อุปสรรค ก็ถือได้ว่าราบรื่น ยังดีที่เห็นถึงตัวเขาแล้ว
อีฝูยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อ นางชี้ไปด้านหน้าแล้วพูดว่า
“ที่นั่นก็คือเขาเฮยเหยียนแล้ว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 385 เขาเฮยเหยียน
การเดินทางยากลำบาก ยากกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก
เมื่อเข้าใกล้เขาเฮยเหยียน ฉีหนิงจึงเข้าใจเลยว่าเหตุ
ใดทหารถึงไม่บุกเข้าไปโจมตีเขาเฮยเหยียนเสียที แค่
มองลักษณะรอบๆ ของเขาเฮยเหยียนก็รู้ได้ทันที
เส้นทางคับแคบ ถนนหนทางก็มองไม่เห็น ดังนั้นจะ
หาทางเข้าไปยังเขานั้นยากมาก
ป่ารกทึบต้นไม้ใบหญ้าปกคลุมหนาทึบไปหมด
หลายต่อหลายที่หญ้าปกคลุมถนนจนมิดชิด เมื่อ
เหยียบก็เจอแต่หลุมแต่บ่อ
รอบๆ เขาเฮยเหยียนเดินทางลำบากไม่น้อย นึก
ภาพได้เลยว่าบนเขานั้นจะมีสภาพอย่างไร
ไม่มีถนนตัดผ่านขึ้นเขา ก็แสดงว่าเขาเฮยเหยียนทำ
การขนส่งไม่สะดวก การใช้ชีวิตในถ้ำก็ไม่ได้สบาย
แต่เพราะอย่างนี้ ทหารคิดอยากจะบุกโจมตี ก็ไม่ใช่
เรื่องง่าย
ยังดีที่อีฝูคุ้นเคยเส้นทางนี้ดี นางจึงนำทางอยู่
ด้านหน้า เดินผ่านเส้นทางที่คับแคบนี้ไป สักพักก็มี
ลูกธนูยิงเข้ามาจากพื้นด้านบน หลังจากที่ทุกคน
กำลังเหยียบเขาพื้นที่ของเขาเฮยเหยียน ก็ระวังตัว
กันมากขึ้น เมื่อมีธนูยิงมา ทุกคนก็ชักดาบออกมากำ
ไว้ในมืออย่างพร้อมเพรียงกัน
จู่ๆ มีธนูยิงมาต่อเนื่อง ยังดีว่าไม่นานมาก จากนั้นก็
มีกลุ่มคนโผล่ออกมาจากหลังพุ่มไม้ พวกนั้นเป็น
ทหารของทางการราวสิบกว่าคน
“อย่าวู่วาม” ฉีหนิงพูด
ทหารที่โผล่ออกมารวมๆ แล้วก็น่าจะมีประมาณสี่
สิบห้าสิบคน พวกเขาล้อมพวกของฉีหนิงเอาไว้ ชาว
เหมียวต่างกำดาบเอาไว้แน่น
อีฝูเข้าใกล้ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ทำอย่างไรดี? จะฝ่าไป
เลยดีหรือไม่? คนของพวกเราก็ไม่น้อยนะ”
ฉีหนิงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ที่นี่ใครเป็นคนคุม?”
มีคนๆ หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มฝ่ายทหารทางการ
อายุราวสามสิบปี ในมือถือดาบ แล้วพูดกับฉีหนิงว่า
“พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกับกบฏถ้ำเฮยยเหยียน
หรือไม่? ทางที่ดี วางอาวุธลงซะ แล้วยอมให้จับเสีย
ดีๆ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ถามให้แน่ชัดก่อน พวกเจ้าก็
คิดจะฆ่าคนแล้วหรือ พวกเจ้าเป็นโจรป่าหรืออย่าไร
กัน?”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” คนๆ นั้นหน้าถอดสี เขาชี้ไปที่
เสื้อเกราะของเขา “เจ้าตาบอดหรืออย่างไร ไม่เห็น
หรือว่านี่คืออะไร? พวกเราเป็นทหารซีชวน มีหน้าที่
กำจัดโจรผู้ร้าย”
“ที่แท้ก็ไม่ใช่โจร” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่พวก
เจ้ายิงธนูใส่พวกข้า ข้ายังคิดว่ามีโจรจะมาปล้นพวก
ข้าเสียอีก”
“บังอาจ” คนๆ นั้น ตะคอก แล้วมองไปที่ฉีหนิง
“เจ้าเป็นชาวเหมียวหรือ? พูดจาฉะฉานดีนี่ พูด
ความจริงมา พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่? อ๋อ ข้ารู้
แล้ว พวกเจ้าเป็นกองหนุนที่จะมาช่วยเขาเฮยเห
ยียนใช่หรือไม่?”
เวลาชาวเหมียวพูด จะติดสำเนียงแบบชาวเหมียว
แต่ว่าฉีหนิงพูด ไม่มีสำเนียงแบบชาวเหมียวเลย
“รีบหลีกทางไปซะ” ฉีหนิงไม่อยากเสียเวลาทีน่ ี่อีก
“ข้ามีเรื่องด่วนต้องรีบเข้าไป”
“น่าขำนัก เจ้าคิดจะเข้าไปก็เข้าไปได้หรือ?” คนๆ
นั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “อย่าว่าแต่จะเข้าที่นี่
เลย ตอนนี้พวกเจ้าจะถอยกลับไปก็ไม่ได้เหมือนกัน”
จากนั้นเขาก็ยกมือให้ลูกน้องเดินหน้า แต่ฉีหนิงเองก็
ยกมือขึ้น ในมือของเขามีป้ายสีทองที่ถูกแสงสะท้อน
อยู่ ฉีหนิงกำป้ายแล้วเดินขึ้นหน้าไป แล้วถามว่า
“เห็นชัดแล้วหรือยัง?”
คนๆ นั้นตะลึงไป เขาไม่เพียงเดินขึ้นหน้าไป อีกทั้ง
ยังยื่นมือจะไปหยิบมาด้วย ฉีหนิงทำสีหน้าดุดัน
คนๆ นั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ดีนี่ พวกเจ้ากล้าติดสินบน
เจ้าหน้าที่ กล้าใช้ทองมาติดสินบนพวกข้า บังอาจ
เกินไปแล้วนะ” จากนั้นเขาก็คิดจะยึดป้ายทองมา
“ข้าจะยึดมันไว้เป็นหลักฐานว่าเจ้าติดสินบน”
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาทันที คนๆ นี้ไม่รู้จักป้ายทอง
พระราชทาน เขาแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “หากเจ้า
อยากตาย ก็ลองแตะต้องมันดู”
คนๆ นั้นตะลึง เห็นบนป้ายทองมีอักษรสลักอยู่ อีก
ทั้งฉีหนิงก็มีสีหน้าที่จริงจังมาก ก็รู้สึกว่าน่าจะไม่ใช่
ของธรรมดาแล้ว เลยถามไปว่า “นี่...นี่มันเขียนมัน
ว่าอะไร?”
“ใครเป็นคนรับผิดชอบที่นี่?” ฉีหนิงถาม “เจ้าหรือ?
มีคนอื่นอีกหรือไม่?”
คนๆ นั้นฟังสำเนียงของฉีหนิงแล้วก็คิดว่าน่าจะเป็น
คนจงหยวน แต่ว่ากลับพาชาวเหมียวกลุ่มหนึ่งมา
ด้วย เขารู้สึกว่าแปลกใจไม่น้อย เขาลังเลไปครู่หนึ่ง
จากนั้นก็หันกลับไปกระซิบกับทหารอีกคน ทหาร
คนนั้นก็รีบเดินไปทันที
ฉีหนิงรู้ว่าเขาก็น่าจะไปรายงานหัวหน้าของพวกเขา
เดินทางมาไม่หยุด ก็รู้ว่าจะรีบร้อนไม่ได้ เขาหันไป
บอกให้คนอื่นพักก่อน พวกทหารเองก็ล้อมพวกเขา
ไว้อย่างนั้น
“เจ้ามานี่” ฉีหนิงกวักมอเรียกทหารมา คนๆ นั้นก็
รู้สึกโกรธมาก แต่ก็ยังเดินตามไป แล้วถามว่า “เจ้า
จะทำอะไรน่ะ?”
“พวกเจ้ายังไม่ได้บุกโจมตีเขาเฮยเหยียนใช่หรือไม่?”
คนๆ นั้นพูดว่า “เจ้ามีสิทธิอะไรมาถาม?” เขาพูดว่า
“เบื้องบนยังไม่มีคำสั่งลงมา พวกเราทำได้แค่เฝ้า
เอาไว้ตรงนี้ ตั้งหลายเดือนแล้ว ที่ต้องมาอยู่ที่แบบนี้
...จะบุกก็ไม่บุก จะถอยก็ไม่ถอย ก็ไม่รู้...ก็ไม่รู้ว่า
เบื้องบนกำลังคิดอะไรอยู่?”
ฉีหนิงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียง
ฝีเท้าคนเดินมา เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมชุด
เกราะพาทหารมาสี่ห้านาย เขาเห็นทหารล้อมชาว
เหมียวกลุ่มหนึ่งเอาไว้จึงก็ขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าพลัน
เคร่งเครียดขึ้นมา เขาถามว่า “พวกเจ้ามาจากถ้ำ
ไหน?”
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้พูดมาก ยกป้ายทองพระราชทาน
ออกมาทันที
ชายชุดเกราะขมวดคิ้ว แล้วเดินหน้าขึ้นมาสองก้าว
เขาจ้องมองมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป จากนั้น
เขาก็คุกเข่าลงและพูดด้วยความเคารพอย่างสูงสุดว่า
“เยว่กันเหลียงตำแหน่งเสี้ยวเว่ยในสังกัดของใต้เท้า
เหว่ยชื่อสื่อแห่งซีชวน ถวายพระพรฝ่าบาท”
เมื่อพูดแบบนี้ออกมา ทุกคนก็ต่างก็ตะลึงตกใจกันไป
ตามๆ กัน
อีฝูกับไป๋หย่าลี่ถึงกับอ้าปากค้าง พวกเขามองมาที่ฉี
หนิง ในสมองของพวกเขาว่างเปล่าไปหมด พูดอะไร
ไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว
ทหารที่อยู่รอบๆ ก็อึ้งไป จากนั้นก็คุกเข่าลงกันหมด
แล้วพูดอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ทรงพระเจริญ
หมื่นปีหมื่นๆ ปี”
“เยว่เสี้ยวเว่ยลุกขึ้นเถอะ” ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูด
ว่า “ข้าไม่ใช่ฝ่าบาทหรอก แต่ว่าเจ้าจำป้ายทองนี้ได้
ก็ดีแล้ว เพราะมันเป็นป้ายที่ฝ่าบาททรงประทานให้
มา”
“ที่แท้ก็ท่านผู้แทนนี่เอง” เยว่กันเหลียงพูดอย่าง
นอบน้อมว่า “ไม่ทราบว่าท่านผู้แทนมาที่นี่ ไม่ทราบ
ว่ามีอะไรให้รับใช้หรือขอรับ?”
ไป๋หย่าลี่กับอีฝูมองหน้ากัน ตอนนี้พวกเขาถึงได้รู้ว่า
พวกเขาเข้าใจผิด ฉีหนิงไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่ว่าถึงอย่าง
นั้น ในมือของฉีหนิงมีป้ายทองพระราชทาน ฐานะ
ของเขาก็ไม่ธรรมดาแน่นอน
“ใต้เท้าเหว่ยอยู่ที่นี่ด้วยหรือหรือไม่?” ฉีหนิงถาม
เยว่กันเหลียงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรียนท่านผู้แทน
ท่านชื่อสื่อตอนนี้อยู่ที่เมืองเฉิงตู แล้วสั่งให้ผู้
บัญชาการเหยารับผิดชอบปิดล้อมเขาเฮยเหยียน
เอาไว้”
“ผู้บัญชาการเหยา?”
“ถูกต้อง” เยว่กันเหลียงพูดว่า “ทหารได้เริ่มปิด
ล้อมเขาเฮยเหยียนตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยทหารได้
ปิดล้อมทั้งหมดสามด้าน ทั้งทิศตะวันออก ตะวันตก
ทางเหนือ ส่วนทางใต้มีทหารจิ่นเว่ยกวนของท่านสู่
อ๋องปิดล้อมอยู่ พวกเราปิดล้อมเอาไว้ทั้งหมด ไม่ว่า
อะไรก็หลุดรอดไม่ได้ ไม่นานนัก ชาวบ้านในเขาเฮย
เหยียนก็จะต้องอดตาย”
อีฝูเดินขึ้นหน้ามา สีหน้าของนางโกรธมาก สายตา
ของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจ
นางรู้สถานการณ์ภายในถ้ำดี ถึงแม้ในถ้ำจะมีการ
เตรียมรับมือไว้หลายอย่าง แต่ว่าสำหรับถ้ำเฮยเห
ยียนแล้ว อาหารคือสิ่งที่ขาดแคลนมากที่สุด
ในตอนนี้
ก่อนหน้านี้ถ้ำเฮยเหยียนจะใช้สมุนไพรกับพวกหนัง
สัตว์ในการแลกอาหารกับของใช้จำเป็น แต่ว่าพอถ้ำ
เฮยเหยียนถูกปิดตาย แหล่งอาหารก็ถูกตัดขาด
ภายในเขามีอาหารเก็บอยู่ส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังส่งคน
ไปล่าสัตว์บนเขามา แต่ว่าทั่วทั้งเขาเฮยเหยียน มี
มากถึงห้าหกพันคน ใช้อาหารในแต่ละวันก็ไม่น้อย
อีกทั้งตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ หลายเดือนผ่านไป
แล้ว พวกเขาไม่กลัวทหารบุกเข้ามา แต่กลัวว่าจะไม่
มีอาหารมากกว่า เพราะคนในถ้ำจะอดตายกันหมด
ก่อนหน้านี้อีฝูเองก็เห็นจุดนี้แล้ว ดังนั้นก็เลยเสนอให้
ฝ่าวงล้อมออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือ
จากที่นี่ไปก็สิบกว่าวันแล้ว ตอนนี้อาหารเหลือไม่
มากแล้ว อีฝูรู้ว่าผ่านไปสิบวัน อาหารบนเขาก็น่าจะ
ยื้อได้ไม่นานแล้ว
“พวกเจ้าไม่ยอมบุกโจมตี เพราะอยากจะให้คนใน
ถ้ำอดตายอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วถาม
เยว่กันเหลียงลังเลครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เรียนท่าน
ผู้แทน เป็นประสงค์ของท่านชื่อสื่อ เขาเฮยเหยียน
เฝ้าง่ายแต่บุกยาก หากฝืนบุกเข้าไป คิดว่าน่าจะมี
คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงล้อม
พวกเขาเอาไว้ก่อน เมื่อพวกเขาขาดอาหาร ทนไม่
ไหว ก็จะต้องฝ่าวงล้อมออกมา ถึงเวลานั้นพวกเรา
ค่อยจัดการพวกเขาทีเดียว”
“ต่ำช้า” อีฝูโกรธจนหน้าแดง
เยว่กันเหลียงเหลือบไปมองอีฝู แต่ว่าอีฝูมากับฉีหนิง
เยว่กันเหลียงจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก
ฉีหนิงคิดในใจว่า หรือว่าเหว่ยซูถงจะคิดแบบนี้จริง?
หากมองจากด้านกลยุทธ์ เหว่ยซูถงไม่บุกแต่นั่งรอ
พวกเขาฝ่าออกมาเอง มันก็เป็นวิธที ี่ชาญฉลาดมาก
เพราะฝ่ายทหารทางการนั้นมีอาหารเต็มที่ มีส่งมา
ให้ไม่ขาด แต่ชาวเหมียวในถ้ำเฮยเหยียนเมื่อใช้ไป
หนึ่งส่วนก็เสียไปทันทีหนึ่งส่วน เมื่อถ้ำเฮยเหยียน
ขาดแคลนอาหารแล้วฝ่าวงล้อมลงมา ทหารก็ชนะ
โดยไม่ต้องออกแรงเลยแม้แต่น้อย
แต่ทำแบบนี้ มันจะเสียเวลานานหน่อย
เหว่ยซูถงจะมั่นใจแล้วรอเวลาแบบนี้น่ะหรือ เขาไม่
กลัวจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยหรือ? หรือว่าที่เหว่ย
ซูถงไม่ยอมบุก เป็นเพราะอยากจะยื้อเวลาเพื่อให้
เกิดการเปลี่ยนแปลง?
“แล้วเหตุใดสู่อ๋องจะต้องส่งทหารมาล้อมพวกเขาไว้
ด้วย?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “จิ่นกวนเว่ยเป็น
ทหารองครักษ์ของเขา รับผิดชอบในการคุ้มกันเขา
แล้วจะเอามาใช้โจมตีเขาเฮยเหยียนได้อย่างไรกัน?”
เยว่กันเหลียงก้มหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยทราบเพียง
ว่าทางใต้ของเขาเฮยเหยียนมีพื้นที่ของสู่อ๋องอยู่
หลังจากเขาเฮยเหยียนก่อกบฏ สู่อ๋องก็ส่งทหารหก
ร้อยนายมา ช่วยปิดช่องทางทางใต้ของเขาเฮยเห
ยียน”
ฉีหนิงคิดแล้วถามว่า “เยว่เสี้ยวเว่ย เจ้ารีบส่งคนไปที่
เมืองเฉิงตู รายงานให้เหว่ยชื่อสื่อทราบ ให้เขารีบ
เดินทางมาที่เขาเฮยเหยียนทันที ข้าจะขึ้นเขาไปพบ
ท่านจ้าวถ้ำเฮยเหยียน”
เยว่กันเหลียงเงยหน้าขึ้นมา แล้วพูดอย่างตกใจว่า
“ท่านผู้แทน ท่านจะขึ้นเขาไม่ได้นะ ถ้ำเฮยเหยียน
ก่อกบฏแล้ว นายอำเภอตันปาไป๋ถังหลิงถูกพวกเขา
สังหารไปแล้ว ก่อนหน้านี้ ชาวเหมียวก็ลอบโจมตี
ค่ายทางเหนือของพวกเราด้วย เหมือนคิดจะส่งคน
บุกฝ่าออกมาจากค่ายทางเหนือของพวกเรา อีกทั้ง
ยังสังหารพี่น้องของพวกเราไปตั้งหลายคน ยังดีที่
กองหนุนมาได้ทันเวลาพอดี”
“เรื่องนี้ทางราชสำนักรู้เรื่องแล้ว ข้าขอถามเจ้า
หน่อย จับใครได้หรือไม่?” ฉีหนิงถาม “บุกโจมตี
กลางดึก ฆ่าคนไปหลายคน จับใครไม่ได้เลยหรือ?”
เยว่กันเหลียงรู้สึกกระอักกระอ่วนแล้วพูดว่า “เรียน
ท่านผู้แทน ที่จริง...ที่จริงแล้วคืนนั้นพวกเราไม่เพียง
จับใครไม่ได้เลย อีกทั้ง...อีกทั้งโจรชั่วชาวเหมียวสัก
คนพวกเราก็ฆ่าไม่ได้เลย...”
“คำก็โจรชั่วชาวเหมียวสองคำก็โจรชั่วชาวเหมียว
ใครเป็นโจรกันแน่ ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้แน่เลย” อีฝู
รู้สึกโกรธมาก นางพูดว่า “ตายไปสิบกว่าคน แต่อีก
ฝ่ายไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลย ถ้าไม่ใช่ทหารทางการ
ไร้ความสามารถ ก็แสดงว่าคนร้ายวรยุทธ์คงสูงมาก
พวกเจ้าทำอะไรพวกเขาไม่ได้เลย”
เยว่กันเหลียงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่พูดอะไร
“ไม่ต้องเถียงกัน เยว่เสีย้ วเว่ย พวกเราจะขึ้นเขา
ตอนนี้ เจ้านำทางพวกเราไปที” ฉีหนิงพูดต่อว่า “ข้า
มีเรื่องต้องหารือกับท่านจ้าวถ้ำเฮยเหยียน เจ้ารีบส่ง
คนไปแจ้งข่าวให้เหว่ยชื่อสื่อทราบ”
เยว่กันเหลียงเห็นฉีหนิงสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงไม่ได้มี
ช่องทางให้เจรจาได้ เขาลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยก
มือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยรับบัญชา”
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 386 พี่น้องพบหน้า
ฉีหนิงมีป้ายทองอยู่ในมือ ถึงแม้จะไม่สามารถสั่ง
เคลื่อนกำลังพลหรือโยกย้ายทหารได้ แต่ว่าสามารถ
ทำให้เยว่กันเหลียงนำทางเขา มันก็ง่ายยิ่งกว่าพลิก
ฝ่ามือเสียอีก
เยว่กันเหลียงพาทหารอีกสองสามคนเดินนำทางไป
พวกเขาเดินไปทางเขาเฮยเหยียน ถึงแม้จะเห็นเขา
เฮยเหยียนมาแต่ไกล แต่ว่าพอต้องเดินทางเข้าไปก็มี
ระยะเกือบสิบลี้ ตลอดทางมีทหารซุ่มอยู่เป็นจำนวน
มาก ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ฉีหนิงคิดในใจว่าหากไม่มี
คนนำทาง คิดอยากจะบุกเข้าไปในเขาเฮยเหยียน
นั้นอันตรายไม่น้อย
ตะวันตกดินแล้ว ในทีส่ ุดก็มาถึงตีนเขาเฮยเหยียน
เขาเห็นด้านหน้ามีทางแคบที่สามารถเดินขึ้นเขาไป
ได้ ซึ่งตีนเขามีแผงกั้นอยู่อีกด่านหนึ่ง มีหนามแหลม
คมเป็นสิ่งกีดขวาง มีทหารนับร้อยนายประจำการณ์
อยู่
“ท่านผู้แทน ตรงนั้นมีทหารเหมียวเฝ้าอยู่” เยว่กัน
เหลียงยกมือชี้ไปที่ช่องแคบบนเขา “ตรงนี้สามารถ
ทะลุผ่านขึ้นไปบนเขาได้ แต่ว่า...” เขาหยุดไปครู่
หนึ่ง พูดด้วยความลังเลว่า “ท่านผู้แทนท่านจะขึ้น
เขาจริงหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นหรือ
อย่างไร?”
“ท่านผู้แทน กล้าหาญมาก น่านับถือยิ่งนัก” เยว่กัน
เหลียงแสดงท่าทีนับถือ จากนั้นก็เหลือบไปมองอีฝู
แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “ท่านผู้แทนเชิญทางนี้หน่อย
ได้หรือไม่?”
ฉีหนิงพยักหน้า ทั้งสองคนเดินไปด้านข้าง เยว่กันเห
ลียงพูดว่า “ท่านผู้แทน ข้าน้อยขอบังอาจถาม ชาว
เหมียวพวกนั้นเป็นใครมาจากไหนกัน?”
ฉีหนิงพูดว่า “มีอะไรหรือไม่?”
“ท่านผู้แทนจะขึ้นเขา ท่านกล้าหาญมาก แต่ว่า...
พวกเราจะไม่ระวังชาวเหมียวไม่ได้” เยว่กันเหลียง
พูดว่า “เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าน้อยสั่งให้ทหารคุ้ม
กันท่านขึ้นไปด้วย แต่ว่าชาวเหมียวพวกนี้จะต้องอยู่
ที่นี่ก่อน เพื่อเป็นตัวประกัน หากปาเย่ลี่คิดร้ายต่อ
ท่าน พวกเราจะจัดการตัวประกันพวกนี้ทันที เขา
น่าจะไม่กล้าทำอะไร”
ฉีหนิงยกมือตบไปที่ไหล่ของเยว่กันเหลียง เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดี แต่ว่าถ้าทำอย่างนั้น
ความเข้าใจผิดที่มีอยู่มันก็จะยิ่งคลี่คลายยากขึ้นไป
อีก ที่ข้ามาในครั้งนี้ ข้ารับบัญชาจากฝ่าบาทเพื่อมา
แก้ไขเรื่องนี้ จะมาทำให้เข้าใจผิดกันมากกกว่าเดิม
ไม่ได้ จริงสิ ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า ไม่น่าจะใช่คน
ที่นี่?”
“ท่านผู้แทนช่างหูดีเหลือเกิน” เยว่กันเหลียงรีบพูด
ว่า “ตอนที่ใต้เท้าเหว่ยมารับตำแหน่งที่ซีชวน
ข้าน้อยติดตามผู้บัญชาการเหยามาอยู่ในสังกัดของ
ท่านใต้เท้าเหว่ยขอรับ”
“อย่างนี้นี่เอง” ฉีหนิงพูดว่า “เป็นคนรอบคอบดี
เยว่กันเหลียง หากข้ากลับมาได้อย่างปลอดภัย ข้า
จะสนับสนุนเจ้ากับทางราชสำนัก”
เยว่กันเหลียงรู้ดีว่าผู้แทนพระองค์ที่ได้รับ
พระราชทานป้ายทองมา จะต้องมีตำแหน่งที่ไม่
ธรรมดาแน่นอน ขอแค่พูดนิดเดียว อนาคตเขาก็ไป
ไกลแน่นอน ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เขารีบยกมือขอบคุณ
แล้วพูดว่า “ขอบคุณใต้เท้า” เขารู้ว่าฉีหนิงตัดสินใจ
แน่นอนแล้ว ก็ยกมือขึ้น “เปิดที่กั้นออก ส่งท่าน
ผู้แทนขึ้นเขาไป”
เมื่อผ่านด่านสุดท้ายมาได้แล้ว อีฟูก็เป็นคนนำทาง
ทุกคนจูงม้าเดินมาถึงตีนเขา ก็เห็นว่าทางข้างหน้า
น่าจะเดินได้แค่คนเดียว หากเดินจูงม้าเดินไปด้วย
มันจะลำบากมาก
อีฝูพูดว่า “ม้าของพวกเราทิ้งไว้ที่นี่ก่อนได้ เดินจาก
ตรงนี้ขึ้นไปเป็นระยะทางอีกประมาณสิบลี้ แต่ว่าพอ
ทะลุผ่านทางตรงนี้ไปแล้วจะเป็นทางโล่งกว้าง
จากนั้นก็เดินผ่านช่องเขาไปอีก ก็จะถึงถ้ำ เดินทะลุ
ถ้ำไปถึงเนินเขาก็จะเป็นถ้ำใหญ่ของพวกเรา”
“ดี” ฉีหนิงสั่งให้ทุกคนผูกม้าเอาไว้ที่ตีนเขา อีฝูก็ไม่
เสียเวลาอีก เดินนำทางขึ้นไปในทันที ยังไม่ทันจะ
เดินเข้าไปใกล้ ก็มีคนตะโกนมาว่า “ใคร? หาก
เดินหน้ามาอีกก้าวเดียว พวกข้าจะยิงพวกเจ้าทิ้ง
ซะ”
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ทางก็แคบอีกทั้งยังมืด แทบจะ
มองไม่เห็นเงาของใคร
ฉีหนิงคิดในใจว่าไม่แปลกใจเลยที่เขาเฮยเหยียนกล้า
เป็นปรปักษ์กับทหาร พื้นที่ของที่แห่งนี้พิเศษมาก
เดินเข้าออกก็ไม่ง่ายเลย คิดอยากจะขึ้นเขาไป ยิ่ง
ไม่ใช่เรื่องง่าย
อีฝูก็ไม่พูดมาก นางใช้นิ้วเข้าปากแล้วเป่าทันที
เสียงเป่าปากของนางดังมาก สั้นสามยาวสาม ไม่
นาน ก็มีคนเดินออกมา แต่ในมือยังคงยกธนูขึ้นมา
อยู่ เขาระวังตัวมาก อีฝูเดินเข้าไปใกล้ แล้วพูดว่า
“ข้าเอง”
คนๆ นั้นมองไป จากนั้นก็วางธนูลง แล้วพูดด้วยควา
ดีใจมากว่า “อีฝู เจ้า...เจ้ากลับมาแล้ว ช่างดี
เหลือเกิน” เขาเงยหน้ามองไปที่ด้านหลังของอีฝู
ต่างก็สวมชุดชาวเหมียว เขาก็ดีใจมากกว่าเดิม “เจ้า
พาทหารมาช่วยพวกเราแล้วใช่หรือไม่? ฮ่าฮ่า...หาก
ท่านจ้าวถ้ำรู้ว่าเจ้ากลับมา จะต้องดีใจมากแน่ๆ”
จากนั้นเขาก็ทำสัญลักษณ์มือ ทันใดนั้นด้านในก็มี
คนอีกหลายคนเดินออกมา ต่างก็มีสีหน้าที่ดีใจและ
ตืน่ เต้นกันมาก
ฉีหนิงเดินขึ้นหน้าไป แล้วถามว่า “มีชาวฮั่นเข้ามา
ที่นี่บ้างหรือไม่? หรือว่ามีคนจากทางการเข้ามาบ้าง
หรือไม่?”
“คนของทางการ?” เหล่าชาวเหมียวก็มองหน้ากัน
เขาส่ายหน้า ฉีหนิงกำลังดีใจ ก็มีคนพูดขึ้นมาว่า
“พวกเราก็ไม่รู้ พวกเราเฝ้าอยู่แต่ที่นี่ ไม่ให้ใครเข้า
มาได้ อีกทั้งก็ไม่มีใครเข้าไปได้เช่นกัน”
ตลอดทางที่ผ่านมา อีฝูมองออกว่าฉีหนิงมีเรื่อง
หนักใจ นางเลยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น เจ้ากังวลอะไร
อยู่?”
ฉีหนิงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “พวกเราไปพบพี่ชายของ
เจ้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
อีฝูพยักหน้า แล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้บอกว่ามี
ชาวฮั่นคนอื่นขึ้นเขามาเล่า? ทางขึ้นเขาของพวกเรา
มีเป็นสิบเส้นทาง ที่นี่ไม่มีคนเข้ามา ไม่ได้
หมายความว่าทางอื่นจะไม่มีคนเข้ามา”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าถึงได้บอกว่าพวกเราต้องรีบไปพบ
ปาเย่ลี่ให้เร็วที่สุด” เขาไม่พูดอะไรมากอีก เดินขึ้น
เขาไปทันที ผู้คุมเห็นฉีหนิงมากับอีฝู ถึงแม้จะแปลก
ใจ แต่ก็ไม่ได้ขวางทางเอาไว้
พวกเขาเดินผ่านทางแคบขึ้นเขาไป เป็นไปตามที่อีฝู
บอก พวกเขาเดินไปอีกหลายลี้ สองฟากฝั่งเป็นหน้า
ผาสูงชัน ทางเดินสามารถเดินได้เพียงคนเดียว ฉี
หนิงคิดในใจว่าหากทหารจะโจมตีเขาเฮยเหยียน
เส้นทางนี้ไม่สามารถบุกได้แน่นอน แค่จัดคนเฝ้าตรง
นี้เอาไว้ เมื่อทหารมาถึง ใช้ก้อนหินปิดทางตรงนี้ ก็
สามารถตัดช่องทางเข้าออกได้แล้ว
ยังดีที่หลังจากผ่านสิบลี้ไปแล้ว ถนนก็เริ่มกว้างขึ้น
อีฝูยังคงเดินนำทางต่อไป
บนเขาเฮยเหยียน มีถนนอยู่หลายเส้น ซึ่งต่างก็เป็น
เส้นทางที่เกิดขึ้นจากมนุษย์ บนพื้นไม่ได้มีถนน แต่
พอคนเดินมากๆ เข้า มันก็กลายเป็นเส้นถนนขึ้นมา
แต่ก็เพราะแบบนี้ เส้นทางบนเขาก็เลยไม่ได้เป็นรูป
เป็นร่าง มันคดเคี้ยวไปมา เดินไปครึ่งหนึ่งอาจ
เป็นไปได้ว่าจะต้องเจอกับทางตัน
ฟ้ามืดแล้ว อีฝูเดินมาได้ระยะหนึ่ง ก็ถอนหายใจครา
หนึ่ง
“เป็นอะไรไป?” ฉีหนิงถาม
อีฝูฝืนฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อก่อนในเวลาแบบนี้ บน
เขามักจะได้ยินเสียงนกและสัตว์ป่าร้อง แต่ว่าตอนนี้
...นกบนเขาตอนนี้ก็คงเหลือไม่เท่าไหร่แล้ว”
ฉีหนิงเข้าใจความหมายของคำพูดนางแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาเฮยเหยียนขาดแคลนอาหาร
มาก ทำได้แต่ล่าสัตว์และนกมาเป็นอาหาร แสดงว่า
ในช่วงนี้บนเขาเฮยเหยียนล่านกล่าสัตว์เป็นจำนวน
มาก แม้แต่เสียงร้องของนกยังน้อยลง
เป็นไปตามที่อีฝูบอก เมื่อเดินผ่านเขามาแล้ว ก็มาถึง
หนึ่งในถ้ำย่อย มีแสงไฟน้อยมาก อีฝูพาคนเข้ามาใน
ถ้ำ เรื่องที่อีฝูฝ่าวงล้อมออกไปจากถ้ำทุกคนต่างก็รู้
กันทั่ว เมื่อเห็นอีฝูพาคนกลับมา ต่างก็ดีใจมาก
แต่ว่าชายหนุ่มถูกจัดให้ไปเฝ้ารอบเขาหมดแล้ว ใน
ถ้ำจึงเหลือแค่ผู้เฒ่าผู้แก่กับเด็กเล็ก บางส่วนกำลัง
เตรียมอาหาร บางส่วนกำลังทำลูกธนู
เพราะกังวลว่าจำนวนคนจะมีมากเกินไป ฉีหนิงสั่ง
ให้องครักษ์สามสิบคนที่ตามมารออยู่ที่ถ้ำนี้ก่อน เขา
ไปที่ถ้ำใหญ่กับอีฝูและไป๋หย่าลี่เท่านั้น
ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่รู้ว่าฉีหนิงทำแบบนี้ทำไม แต่ก็ไม่
คัดค้านออกมา
เมื่อผ่านถ้ำมา เดินขึ้นเนินมาอีกราวสองชั่วยาม ก็
เห็นกลุ่มไฟกลุ่มหนึ่ง อีฝูสูดลมหายใจเขาลึกๆ แล้ว
หันกลับมาพูดว่า “ตรงนั้นคือถ้ำใหญ่ของพวกเรา”
ฉีหนิงพูดว่า “พวกเราไปพบพี่ชายของเจ้ากัน อย่า
กระโตกกระตากไป คนรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี”
อีฝูรู้สึกสงสัยมาก แต่ก็ยังพยักหน้าตอบรับ
ที่จริงชายหนุ่มของถ้ำต่างออกไปจนหมดแล้ว เหลือ
แค่ผู้เฒ่าผู้แก่กับเด็กเล็กที่เตรียมของอยู่ในบ้านของ
ตัวเอง อีฝูคุ้นเคยกับที่นี่ดี นางนำทางเดินมาถึงถ้ำ
ใหญ่ ตลอดทางทหารที่เฝ้าอยู่ก็ต้องเห็นบ้าง ทหารที่
เห็นอีฝูต่างก็ดีใจมาก แต่อีฝูสั่งให้ไม่ต้องส่งเสียง
ออกมา
เมื่อมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่ไม่ไกลจากหน้าผา อีฝูก็เดิน
ขึ้นไปเคาะประตู จากนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มๆ เสียงหนึ่ง
ดังขึ้น “ใคร?”
“พี่ใหญ่ ข้าอีฝู” อีฝูพูดเสียงเบา ๆ
จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบเดินมาเปิดประตู ฉี
หนิงเห็นชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู
ชายเหมียวคนนั้นอายุราวสี่สิบปี เขาเห็นอีฝูยืนอยู่
หน้าประตู ใบหน้าของเขาดีใจมาก เขาจับมือของ
อีฝูแล้วพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “น้องหญิง น้องหญิง
เจ้า...เจ้ากลับมาแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า...เทพมนต์ดำคุ้มครอง
เจ้า...เจ้ารอดกลับมาได้แล้ว...”
อีฝูเองก็เหมือนจะตื่นเต้นมาก สายตาของนางเริ่ม
แดงก่ำ “พี่ใหญ่ ข้า...ข้าคิดว่าจะไม่ได้พบหน้าพี่อีก”
“อย่าพูดแบบนี้” ชายชาวเหมียวหัวเราะแล้วพูดว่า
“เทพมนต์ดำคุ้มครองเจ้า ตอนนี้เจ้าก็ปลอดภัยดี
ตอนนี้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ฮ่าฮ่าฮ่า...” ตอนนี้
เขาสังเกตเห็นฉีหนิงกับไป๋หย่าลี่ที่อยู่ด้านหลังอีฝู
เขาก็ตะลึงไป จากนั้นก็จ้องไปที่ไป๋หย่าลี่ เขาลังเล
ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เจ้า...เจ้าคือ...คือหัวหน้าถ้ำ
ไป๋หย่าลี่จากถ้ำเหมียวชางซีใช่หรือไม่?”
ไป๋หย่าลี่เดินขึ้นหน้ามาคำนับ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านจ้าวถ้ำปาเย่ลี่ ข้าคือไป๋หย่าลี่ ไม่ได้เจอกันนาน
หลายปี ท่านยังแข็งแรงดีเหมือนเดิมเลยนะ”
“ถ้าอย่างนั้น...น้องหญิง เจ้าเจอท่านเหมียวอ๋องแล้ว
ใช่หรือไม่?” ชายเหมียวคนนี้ก็คือจ้าวถ้ำเฮยเหยียน
ปาเย่ลี่ เขาพูดด้วยความดีใจว่า “ดี คราวนี้ปัญหา
ทุกอย่างก็จะคลี่คลายแล้ว” เขายกมือขึ้นมา
“หัวหน้าไป๋หย่าลี่ เข้ามาด้านในก่อน” เขามองไปที่
ฉีหนิง แล้วก็อึ้งไป จากนั้นก็ขมวดคิ้ว แล้วมองไปที่
อีฝู
ฉีหนิงไม่รอให้อีฝูพูดอะไร เขายกมือคำนับแล้วพูดว่า
“ท่านจ้าวถ้ำปาเย่ลี่ ข้าขอคารวะ”
ปาเย่ลี่พยักหน้า จากนั้นอีฝูจึงพูดว่า “พี่ใหญ่ เขา
เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับท่านเหมียวอ๋อง”
“อะไรนะ?” ปาเย่ลี่ตัวสั่นเทาก่อนจะพูดออกมา
“เป็น...กับท่านเหมียว มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
ท่านเหมียวอ๋องอายุมากขนาดนั้นแล้ว อีกทั้งเขายัง
เป็นชาวฮั่นด้วย จะเป็นไปได้อย่างไร...”
“พี่ใหญ่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป พวกเราจะค่อยๆ
เล่าให้ฟัง” อีฝูพูดว่า “พวกหยากันกลับกันมาหรือ
ยัง?”
“หยากัน?” ปาเย่ลี่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกเขา
ไม่ได้อยู่กับเจ้าหรอกหรือ?”
อีฝูเข้าใจทันที หลังจากที่แยกกันวันนั้นแล้ว คนที่
ติดตามนางในครั้งนั้นยังไม่มีใครกลับมาเลย ในใจก็
นึกกังวล แต่ว่าพอคิดว่าเขาเฮยเหยียนถูกปิดล้อม
เมื่อฝ่าออกไปแล้วความเป็นความตายนั้นเท่ากัน
พวกของหยากันเพื่อความปลอดภัย อาจจะซ่อนตัว
อยู่ แล้วรอโอกาสก็ได้
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก” ปาเย่ลี่เห็นอีฝูสีหน้า
เคร่งเครียด ก็ปลอบใจว่า “ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น
ใกล้จะคลี่คลายได้แล้ว พรุ่งนี้เช้า พวกเราจะลงเขา
กัน”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ทำไม?”
ปาเย่ลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “เพราะว่าจิ่นอีโหวมาที่นี่ จิ่นอี
โหวเป็นสหายของพวกเรา ตอนนี้พวกเราเผชิญ
ปัญหา เขาจึงมาช่วยพวกเรา” เขายกมือไปจับไหล่
ของอีฝู “มีจิ่นอีโหวกับท่านเหมียวอ๋องออกหน้าให้
พวกเรา อีกทั้งยังมีนายอำเภอไป๋อีก ถ้ำเฮยเหยียน
ของพวกเราจะต้องปลอดภัย”
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 387 โหวเยว่ตัวจริงตัวปลอม
ฉีหนิงหน้าเสียไปทันที แล้วรีบเดินขึ้นหน้า แล้วพูด
เสียงเข้มว่า “ท่านจ้าวถ้ำปาเย่ลี่ ท่านบอกว่าจิ่นอี
โหวอยู่ที่ไหนนะ? แล้วตอนนี้นายอำเภอไป๋อยู่ที่
ไหน?”
“เจ้าเป็นใคร?” ปาเย่ลี่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อีฝ คน
ผู้นี้เหตุใดถึงอยู่กับเจ้าได้?”
“พี่ใหญ่ ข้าบอกแล้ว?” ปาเย่ลี่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“อีฝู เหตุใดเขามากับเจ้าได้?”
“พี่ใหญ่ ข้าเคยบอกแล้วว่า เขาไม่เพียงช่วยชีวติ ข้า
ไว้ แต่เขายังช่วยชีวิตท่านเหมียวอ๋องเอาไว้ด้วย เขา
เป็นมิตรกับชาวเหมียวของพวกเรานะ” อีฝูพูดว่า
“พวกเราเชื่อใจเขาได้”
ไป๋หย่าลี่พูดว่า “ท่านจ้าวถ้ำปาเย่ลี่ สหายท่านนี้
พวกเราเชื่อถือเขาได้ เจ้าไม่ต้องกังวลไป”
สีหน้าของปาเย่ลี่คลายกังวลลง คำนับแล้วพูดว่า “ที่
แท้เจ้าก็ช่วยน้องหญิงกับท่านเหมียวอ๋องเอาไว้ ข้า
เสียมารยาทแล้ว เข้ามาก่อนค่อยคุยกัน”
ที่จริงจ้าวถ้ำกับหัวหน้าถ้ำมีตำแหน่งสูงมากใน
บรรดาถ้ำเหมียว เมื่อพวกเขาเข้ามาในห้องแล้วก็จะ
เห็นที่พักที่จะพิเศษมากกว่าคนอื่น ซึ่งจะกว้างและ
ใหญ่กว่าคนอื่น
ภายในห้องกว้างขวางมาก บนผนังที่ใกล้กับประตู
ใหญ่ มีแผนที่แขวนอยู่แผ่นหนึ่ง แผนที่นั้นละเอียด
มาก ฉีหนิงคิดว่ามันน่าจะเป็นแผนที่ของเขาเฮยเห
ยียนทั้งหมด ด้านบนมีการทำสัญลักษณ์เอาไว้ น่าจะ
เป็นจุดสำคัญต่างๆ และจุดที่ส่งคนไปเฝ้า
หลังจากนั่งลงแล้ว อีฝูก็ถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านบอก
ว่าจิ่นอีโหวมา แล้วมาเมื่อไหร่?”
“เมื่อวานตอนกลางวัน” ปาเย่ลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อ
วานตอนกลางวัน เพิ่งจะได้ข่าวมา จิ่นอีโหวมาถึงซี
ชวนด้วยตัวเอง อีกทั้งยังขึ้นเขามาหาข้าด้วย เดิมที
ข้าก็ยังไม่เชื่อ หลังจากที่โหวเยว่ขึ้นเขามาแล้ว เขาก็
เอาหลักฐานยืนยันมาแสดง ข้าถึงได้เชื่อ”
“ท่านจ้าวถ้ำ ข้าขอถามท่านหน่อยได้หรือไม่
หลักฐานที่เขานำมาแสดง ใช่สร้อยเส้นหนึ่ง
หรือไม่?” ฉีหนิงจ้องไปที่ปาเย่ลี่ แล้วพูดว่า “สร้อย
เขี้ยวหมาป่า”
ปาเย่ลี่อึ้งไป แล้วรีบถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ฉีหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น อีกฝ่ายนำสร้อยเขี้ยวหมา
ป่ามาเพื่อซื้อใจท่านจ้าวถ้ำแล้วสินะ?”
“เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?” ปาเย่ลี่
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “สร้อยเขี้ยวหมาป่า มี
สัญลักษณ์พิเศษของถ้ำเฮยเหยียนของพวกเรา
แม้แต่คนในถ้ำ ก็รู้ไม่มาก ตอนนั้นท่านจิ่นอีเหล่า
โหวมาปราบหลี่หงซิ่น ถ้ำเฮยเหยียนของพวกเราเคย
ช่วยท่านเหล่าโหวเอาไว้ ท่านเหล่าโหวดีกับพวกเรา
มาก ตอนพวกเขากำลังจะกลับไป ท่านพ่อได้มอบ
สร้อยไว้ให้กับท่านเหล่าโหว คนที่รู้เรื่องนี้มีไม่กี่คน
แล้วเจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”
อีฝูก็มองฉีหนิงด้วยความสงสัยเช่นกัน “เจ้ารู้เรื่อง
สร้อยเขี้ยวหมาป่าได้อย่างไร?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วถามว่า “ไป๋ถังหลิงถูกจิ่นอีโหว
พาไปแล้วหรือยัง?”
“เรื่องนี้เจ้าก็รู้หรือ?” ปาเย่ลี่พูดว่า “ถูกต้อง หากจะ
อธิบายเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมด มีเพียงนายอำเภอไป๋
ออกหน้าเท่านั้น เหว่ยซูถงไม่กล้าขึ้นเขามา อีกทั้งยัง
ไม่ส่งคนขึ้นมาเจรจากับพวกเรา พวกเขาคิดไม่ดี
จะต้องคิดทำร้ายพวกเราแน่ ข้าเองก็เชื่อใจเขาไม่ได้
เหมือนกัน จิ่นอีโหวมาแล้ว พวกเราเชื่อใจเขาได้
เมื่อมอบตัวนายอำเภอไป๋ไปให้กับจิ่นอีโหวแล้ว โหว
เยว่ก็จะช่วยให้ความเป็นธรรมล้างมลทินให้กับพวก
เราได้”
“ไป๋ถังหลิงถูกนำตัวไปแล้ว ไม่เพียงจะไม่สามารถคืน
ความบริสุทธิ์ให้พวกเจ้าได้ อีกทั้งยังมีเรื่องวุ่นวาย
ตามมาอีก” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “แต่ว่านี่เป็นความผิดพลาดของข้าเอง ข้าจะต้อง
คืนความเป็นธรรมของพวกเจ้าได้”
ฉีหนิงพูดมาแบบนี้ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกมึนงงไปหมด
ปาเย่ลี่เหมือนจะไม่พอใจ “สิ่งที่เจ้าพูดมา ข้าฟังไม่
เข้าใจ”
“ไป๋ถังหลิงถูกพาตัวไป หากข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้เขาก็
น่าจะกลายเป็นศพแล้ว” ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด
มาก “ศพ ก็ไม่สามารถช่วยพวกท่านล้างมลทินได้”
ปาเย่ลี่ยืนขึ้นมา แล้วตะคอกว่า “เจ้าบอกว่าจิ่นอี
โหวจะคิดร้ายกับพวกเราหรือ?” เขาหันหลัง แล้วไป
หยิบดาบของเขามา แล้วชี้มาที่ฉีหนิง แล้วพูดด้วย
ความโกรธว่า “เจ้ากำลังจะยุแยงให้ถ้ำเฮยเหยียน
กับจวนจิ่นอีโหวต้องแตกกันอย่างนั้นหรือ ที่แท้เจ้าก็
เป็นคนเลวนี่เอง”
ยิ่งเขาทำแบบนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าถ้ำเฮยเหยียน
เชื่อมั่นในตัวจิ่นอีโหวมาก
อีฝูเห็นดังนั้น ก็รีบไปจับข้อมือของปาเย่ลี่ไว้ แล้วพูด
ว่า “พี่ใหญ่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ เขาไม่ได้ยุแยง
หรอกนะ”
ไป๋หย่าลี่ลุกขึ้นมา “ท่านจ้าวถ้ำปาเย่ลี่ ลองให้สหาย
ท่านนี้ได้อธิบายก่อนดีหรือไม่”
“พวกเจ้าก็รู้ ข้าปาเย่ลี่ไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น”
ปาเย่ลี่พยายามสงบสติอารมณ์ก่อน “แต่ว่าข้าจะไม่
ยอมให้ใครมาดูหมิ่นจิ่นอีโหวเด็ดขาด”
ฉีหนิงลุกขึ้น แล้วคำนับแบบมารยาทของชาวเหมียว
แล้วพูดว่า “ท่านจ้าวถ้ำ ขอบคุณท่านมากที่เชื่อมั่น
ในตัวจิ่นอีโหว ข้าไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นจิ่นอีโหวเลย”
เขาหยุด แล้วพูดต่อว่า “ข้าแค่อยากจะบอกท่านว่า
คนที่นำสร้อยเขี้ยวหมาป่ามาหาท่าน เขาไม่ใช่จิ่นอี
โหวตัวจริง”

เมื่อพูดแบบนี้ออกมา ไม่เพียงแค่ปาเย่ลี่ แม้แต่อีฝู


กับไป๋หย่าลี่ก็หน้าถอดสี
ปาเย่ลี่จ้องไปที่เขาแล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่า
อย่างไร?”
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ายากที่เชื่อ” ฉีหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “แต่ว่าเรื่องนี้คือเรื่องจริง สร้อยเขี้ยวหมาป่า
นั้น ไม่ใช่ของเขาแต่แรก เขามีสร้อยเขี้ยวหมาป่า
แสดงว่ารู้ความเป็นมาของสร้อยเขี้ยวหมาป่าเป็น
อย่างดี ถึงได้สวมรอยเป็นจิ่นอีโหวมาที่นี่ เป้าหมาย
ของพวกเขาก็คือ การนำตัวไป๋ถังหลิงไป แล้วฆ่าเขา
ซะ ทำให้ถ้ำเฮยเหยียนไม่มีข้อแก้ต่างใดๆ อีก”
“ไม่สิ” อีฝูส่ายหน้าแล้วพูดว่า “สร้อยเขี้ยวหมาป่า
เป็นของที่ท่านพ่อมอบให้กับจิ่นอีโหว ของๆ จิ่นอี
โหว จะไปอยู่ในมือของคนอื่นได้อย่างไรกัน?” นาง
มองไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าเข้าใจอะไรผิด
หรือไม่?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องอื่นข้าอาจจะไม่
แน่ใจ แต่เรื่องนี้...ทั่วทั้งใต้หล้าไม่มีใครรู้ดีไปกว่าข้า
แล้ว”
ไป๋หย่าลี่เองตอนนี้ก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “สหาย
หากเป็นจิ่นอีโหวตัวปลอมที่มาพาตัวนายอำเภอไป๋
ไปจริง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ เจ้ามีหลักฐานว่า
เขาคือจิ่นอีโหวตัวปลอมหรือไม่?”
ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “ข้านี่แหละคือหลักฐาน”
“อะไรนะ?” อีฝูกับปาเย่ลี่มองหน้ากัน ขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “เจ้าคือหลักฐาน?”
“ที่จริงต่อให้ข้าพูดออกมา พวกเจ้าเองก็อาจจะไม่
เชื่อ” ฉีหนิงพูดว่า “เพราะถ้าเปลี่ยนเป็นข้า ก็
อาจจะไม่เชื่อเหมือนกัน แต่ว่าเรื่องนี้คือเรื่องจริง”
เขาหยุดไป แล้วมองไปที่อีฝู แล้วพูดว่า “เพราะข้า
คือจิ่นอีโหวตัวจริง ฉีหนิง”
ภายในห้องเงียบขึ้นมาทันที
พวกเขาพากันตกใจไปตามๆ กัน เหมือนจะขยับ
ปากแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ไม่อยากจะเชื่อเลย
เงียบไปสักพัก ฉีหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้า
คงไม่เชื่อ แต่นอกจากป้ายทองพระราชทานชิ้นนี้
แล้ว ข้าเองก็ไม่มีของอย่างอื่นที่สามารถยืนยัน
สถานะของข้าได้” เขาพูดจบ ก็หยิบป้ายทอง
พระราชทานออกมาวางไว้บนโต๊ะ “นี่เป็นป้ายทองที่
ฝ่าบาททรงประทานให้”
อีฝูได้สติคืนมา นางพูดอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เจ้า...
เจ้าบอกว่าเจ้าคือจิ่นอีโหว เจ้า...เจ้าคือจิ่นอีโหวจริง
หรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อีฝู ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้เปิดเผย
ตัวตนให้เจ้าได้รู้แต่แรก ที่ข้าเดินทางมาซีชวนในครั้ง
นี้ เพราะรับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาสืบความ
จริงเรื่องของถ้ำเฮยเหยียน ฝ่าบาททรงคิดว่าเรื่องนี้
อาจจะมีเบื้องหลัง จึงสั่งให้ข้ามาที่นี่เพื่อสืบหาความ
จริง ดังนั้นข้าจึงไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริง”
อีฝูรู้สึกสับสนมาก เลยไม่รู้ควรจะพูดอะไร
ปาเย่ลี่พูดว่า “หากเจ้าคือจิ่นอีโหว เช่นนั้นคนที่มา
หาพวกเราแล้วขอตัวไป๋ถังหลิงไปเป็นใครกันเล่า?
แล้วเหตุใดเขาถึงต้องสวมรอยเป็นเจ้าด้วย? สร้อย
เขี้ยวหมาป่าเป็นหลักฐานยืนยันฐานะที่ท่านพ่อมอบ
ให้กับจิ่นอีโหว ของๆ จิ่นอีโหว จะไปอยู่ในมือของ
คนอื่นได้อย่างไรกัน?”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าผิดเอง” ฉีหนิงพูดว่า “มาซี
ชวนในครั้งนี้ ระหว่างทางข้าไม่รู้ว่าสร้อยเขี้ยวหมา
ป่ามันหายไปตอนไหน”
อีฝูถึงได้เข้าใจขึ้นมา นางถามว่า “ตอนที่เจ้าอยู่ที่ถ้ำ
เหมียวชางซี จู่ๆ ก็รีบจะออกไป หรือว่า...?”
“ถูกต้อง ตอนนั้นข้าคิดจะเปิดเผยฐานะของตัวเอง
ให้เจ้ากับท่านเหมียวอ๋องรู้ แต่ว่าพูดปากเปล่าไป
อาจจะไม่เชื่อ ข้าคิดว่าหากนำเอาสร้อยเขี้ยวหมาป่า
ออกมา ก็สามารถยืนยันฐานะของข้าได้” ฉีหนิงพูด
ว่า “ตอนนั้นข้าถึงได้รู้ว่า สร้อยเขี้ยวหมาป่ามัน
หายไปแล้ว ข้ารู้ทันทีว่าเรื่องนี้วุ่นวายแน่ หากมันตก
กลางป่า ไม่มีใครรู้ คงไม่เป็นไร แต่หากมีคนตั้งใจชิง
เอาสร้อยเขี้ยวหมาป่าจากข้ามา เขาจะต้องสวมรอย
เป็นข้ามาขอตัวไป๋ถังหลิงไปแน่นอน”
ไป๋หย่าลี่เองก็เข้าใจขึ้นมาแล้วเช่นกัน “ที่แท้อย่างนี้
นี่เอง ดังนั้นท่านเลยเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน โดยไม่
หยุดพักเพื่อมาที่นี่”
“ใช่แล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าคิดว่าอีกฝ่ายก็น่าจะใช้
เวลาไปมากเช่นกัน คิดว่าน่าจะมาทัน ขัดขวางไม่ให้
เขานำตัวไป๋ถังหลิงไป แต่ว่าตอนนี้ พวกเราเหมือน
จะมาช้าไป”
ปาเย่ลี่มองไปที่อีฝูกับไป๋หย่าลี่ แล้วถามว่า “พวก
เจ้าเชื่อเขาหรือ?”
“พี่ใหญ่ หากเขาไม่ใช่จิ่นอีโหว เหตุใดหลังจากรู้ว่า
สร้อยเขี้ยวหมาป่าหายไปแล้ว ต้องเร่งเดินทางมาที่
เขาเฮยเหยียนของพวกเราด้วย?” อีฝูพูดอย่าง
จริงจังว่า “อีกทั้งป้ายทองนี่ก็ของจริง พวกเราเห็น
กับตาว่าเหล่าทหารทางการเห็นป้ายทองนี่แล้วก็
คุกเข่าลงทันที ฮ่องเต้จะทรงมอบไปให้คนอื่นไปมั่วๆ
ได้อย่างไรกันล่ะจริงหรือไม่?”
ไป๋หย่าลี่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตอนที่อยู่ที่ตีนเขา
เขาก็ถามว่ามีชาวฮั่นเข้ามาที่นี่หรือไม่ แสดงว่าเขา
คิดไว้แล้วว่าน่าจะมีคนสวมรอยเป็นจิ่นอีโหวขึ้นเขา
มา ปาเย่ลี่ ข้าเชื่อสหายท่านนี้...ไม่สิ ข้าเชื่อว่าเขา
คือจิ่นอีโหว”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ขอบคุณพวกท่านมากที่
เชื่อใจข้า แต่ว่าเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไป โจรชั่ว
นั่นเอาตัวไป๋ถังหลิงไปแล้ว” เขารู้สึกหงุดหงิดมาก
ปาเย่ลี่พูดขึ้นมาว่า “ข้าบอกว่าจิ่นอีโหวเอาตัว
นายอำเภอไป๋ไปแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าพวกเขาลงเขา
ไปแล้ว หากเจ้าเป็นจิ่นอีโหวตัวจริงแล้วล่ะก็ เจ้าก็ไม่
ได้มาช้าไป”
ทั้งสามคนมองไปที่ปาเย่ลี่ สีหน้าตกใจมาก
“พี่ใหญ่...” อีฝูรู้สึกดีใจมาก นางจับแขนของปาเย่ลี่
“ท่านบอกว่า...คนที่ปลอมตัวเป็นจิ่นอีโหวยังไม่ลง
จากเขาหรือ?”
ปาเย่ลี่พูดว่า “เมื่อวานตอนกลางวันพวกเขามาถึงที่
เขาเฮยเหยียน จากนั้นก็นำหลักฐานยืนยันตัวตน
ออกมา พวกเขาบอกว่าจะคืนความเป็นธรรมให้กับ
พวกเรา จิ่นอีโหวมีบุญคุณกับพวกเรามาก มาถึงบน
เขาด้วยตัวเอง ข้าก็ต้องไม่ให้เขากลับลงไปทันที
แน่นอน ถึงแม้ถ้ำของพวกเราจะอยู่ในภาวะขาด
แคลนอาหาร แต่เมื่อคืนข้าเองก็ได้จัดงานเลี้ยง
ต้อนรับเขา อีกทั้งยังยื้อให้เขาพักที่นี่ก่อน”
ฉีหนิงคิดไม่ถึงว่าจะสถานการณ์จะพลิกผันแบบนี้
เขาดีใจมาก เขาถามว่า “แล้วหลังจากนั้นเล่า?”
“จิ่นอีโหวมีความสุขมากเมื่อคืน ไม่เพียงกินดื่มอย่าง
เต็มที่ อีกทั้งยังชมการแสดงของพวกเราด้วย” ปาเย่
ลี่พูดว่า “ตอนที่ชมการแสดง เขาถูกใจหญิงสาวสอง
คน อีกทั้งบอกว่าจะพาพวกนางกลับเมืองหลวงแต่ง
พวกนางเข้าจวนด้วย เพื่อให้ความสัมพันธ์ของถ้ำ
เฮยเหยียนกับจวนจิ่นอีโหวยั่งยืนตลอดไป”
อีฝูขมวดคิ้ว ปาเย่ลี่พูดต่อว่า “จิ่นอีโหวถูกใจสาว
ชาวเหมียวของพวกเรา อีกทั้งยังยินดีจะแต่งกับพวก
นางด้วย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร อีกทั้งจิ่นอี
โหวยังพาพวกนางเข้าหอไปแล้วเมื่อคืนด้วย”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร
“เช้าวันนี้ จิ่นอีโหวตื่นสายมาก หลังจากตื่นแล้ว
เดิมทีเขาคิดจะลงจากเขาไปเลย แต่ว่าเขาไม่รู้ธรรม
เนียมของชาวเหมียวของพวกเรา หากจะแต่งงานกับ
หญิงสองคนนั้นแล้ว จะต้องไปพบพ่อแม่ของพวก
นางก่อน” ปาเย่ลี่พูดว่า “ตามขนบธรรมเนียมของ
ชาวเหมียว ต้องจัดงานเลี้ยงให้กับพ่อแม่ของฝ่าย
หญิงก่อน ขอให้พวกเขาอวยพรให้”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้นเขาเลยจัดงานเลี้ยงที่นี่
ยังไม่ได้กลับลงจากเขาไป”
ปาเย่ลี่พยักหน้า แล้วพูดว่า “ถูกต้อง ถึงแม้เขาจะ
เป็นจิ่นอีโหว มีภรรยาได้หลายคน แต่เมื่อเข้ามาใน
ถ้ำเหมียวแล้ว จะแต่งหญิงชาวเหมียวไป ก็ต้องทำ
ตามกฎของชาวเหมียว จะละเมิดธรรมเนียมนี้ไม่ได้
พอเขารู้ก็รับปาก ดังนั้นข้าเลยเป็นตัวแทนช่วยเขา
จัดงาน แล้วเชิญพ่อแม่พี่น้องของหญิงสองคนนั้นมา
ทุกคนมีความสุขกันมาก ตั้งแต่เที่ยงจนถึงค่ำ จิ่นอี
โหวดื่มมากจนเมา จึงลงจากเขาไม่ได้ ก็เลยต้องค้าง
ที่นี่อีกหนึ่งคืน”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เขา...?”
“เขาพักอยู่ที่เรือนไม้ที่ห่างจากที่นี่ไปหนึ่งลี้” ปาเย่ลี่
พูดว่า “ไป๋ถังหลิงข้ามอบให้พวกเขาไปแล้ว ตอนนี้ก็
อยู่ที่นั่นเหมือนกัน มีคนของเขาเฝ้าอยู่”
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 388 เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
โลกใบนี้จะว่าไปก็แปลก เวลาที่กำลังเผชิญหน้ากับ
อันตราย มันจะมีอะไรที่มาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์
เสมอ
ในตอนนี้ฉีหนิงรู้สึกแบบนั้น
“พี่ใหญ่พวกเรารีบไปจับตัวพวกเขามาเลยสิ” อีฝูพูด
ด้วยความดีใจมาก “หลังจากจับตัวพวกเขามาแล้ว
ก็สอบสวนพวกเขาเลยว่าใครบงการเขามา พวกเรา
ถึงจะรู้ว่าใครคิดให้ร้ายถ้ำเฮยเหยียนของพวกเรา”
“ไม่ได้” ปาเย่ลี่กับฉีหนิงพูดขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน
ทั้งสองมองหน้ากัน ฉีหนิงยิ้ม แล้วยกมือให้ปาเย่ลี่
พูดก่อน
ปาเย่ลี่คิดครู่หนึ่ง แล้วมองไปที่ฉีหนิงแล้วพูดว่า
“เจ้าบอกว่าเจ้าคือจิ่นอีโหว แต่ว่าเจ้าไม่มีสร้อยเขี้ยว
หมาป่า ถึงแม้จะมีเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ แต่ข้า
จะฟังความข้างเดียวไม่ได้”
“ท่านจ้าวถ้ำพูดถูกแล้ว” ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า
“ในเวลาแบบนี้ ระวังตัวไว้ก่อนเป็นดีที่สุด”
“ขอบคุณที่เข้าใจ” ปาเย่ลี่พูดว่า “หากเขาคนนั้นคือ
จิ่นอีโหวตัวจริงแล้วเจ้าเป็นตัวปลอม พวกเราก็จะ
ถือว่าได้ล่วงเกินจิ่นอีโหวตัวจริงทันที”
อีฝูพูดด้วยความร้อนใจขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ ท่านยัง
สงสัยอยู่อีกหรือ เขา...” นางมองไปที่ฉีหนิง เห็นฉี
หนิงกำลังยิ้มให้นางอยู่ ก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มหน้าแดง
เรื่อขึ้นมาทันมี นางก้มหน้าแล้วพูดว่า “เขาต่างหาก
ที่เป็นจิ่นอีโหวตัวจริง”
“อีฝู ตอนนี้พวกเราจะไปจับตัวเขามาไม่ได้หรอก
นะ” ฉีหนิงพูดว่า “ต่อให้เขาเป็นตัวปลอม พวกเราก็
จะทำแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไมเล่า?”
“ข้อแรก หากพวกเราลงมือก่อน คนที่เสี่ยงอันตราย
ที่สุดคือไป๋ถังหลิง” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “ความ
เป็นความตายของไป๋ถังหลิง เกี่ยวพันถึงความ
บริสุทธิ์ของถ้ำเฮยเหยียน ตอนนี้ไป๋ถังหลิงอยู่ในมือ
ของพวกเขา เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขารู้ว่าพวกเจ้ารู้
ความจริงแล้ว ไป๋ถังหลิงตายแน่นอน” เขามองไป
แล้วพูดว่า “ข้อสอง พวกเขาไม่ใช่คนร้ายตัวจริงแน่
เรื่องของถ้ำเฮยเหยียน มีข้อสงสัยมากมายเต็มไป
หมด หากข้าเดาไม่ผิด เรื่องของถ้ำเฮยเหยียน
อาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น พวกเขาต้องการ
อาศัยเหตุนี้ดึงชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำเข้ามาด้วย
เบื้องหลังของพวกเขาจะต้องมีอำนาจมากแน่ พวก
เราจะต้องหาต้นตอให้เจอ”
อีฝูรีบพูดว่า “พี่ใหญ่ โหวเยว่พูดถูก พวกเราไม่เพียง
ต้องล้างข้อกล่าวหาให้ได้ อีกทั้งยังต้องหาคนร้ายตัว
จริงให้เจอด้วย”
ปาเย่ลี่ถามว่า “เจ้าคิดว่าพวกเราควรจะทำอย่างไร
ต่อไป?” เขายังดูเหมือนสงสัยอยู่ แต่ก็ยังเหมือนจะ
เชื่อฐานะของฉีหนิงอยู่เหมือนกัน
“ท่านจ้าวถ้ำ พวกเขามีคนติดตามมากี่คน?” ฉีหนิง
ถาม
ปาเย่ลี่ตอบทันทีว่า “ห้าคน พวกเขาบอกว่าเป็น
องครักษ์ของจิ่นอีโหว เป็นคนที่คุ้มกันจิ่นอีโหวมา
ข้าดูออกว่า วรยุทธ์ของพวกเขาก็ไม่ธรรมดาเลย”
“ไป๋ถังหลิงอยู่ในมือของพวกเขา ท่านบอกว่าพวก
เขามาเพื่อคุ้มครองเขา แสดงว่าไป๋ถังหลิงก็อยู่ใน
การควบคุมของพวกเขาอย่างนั้นสิ?” ฉีหนิงถาม
ปาเย่ลี่พยักหน้า แล้วพูดว่า “ถูกต้อง พวกเขาบอก
ว่ามีคนคิดจะสังหารไป๋ถังหลิงตลอดเวลา
จำเป็นต้องคุ้มกันอย่างแน่นหนา หลังจากที่เช้าวันนี้
ส่งมอบตัวนายอำเภอไป๋ไปให้พวกเขาแล้ว ทั้งสี่คนก็
ตามติดนายอำเภอไป๋ตลอดเวลา ไม่มีใครเข้าใกล้เขา
ได้เลย วันนี้คนๆ นั้นอยู่ต่อเพราะต้องจัดงานเลี้ยงให้
พ่อแม่ของฝ่ายหญิง ตอนแรกพวกเขายืนกรานจะพา
นายอำเภอไป๋ไปให้ได้ แต่พวกเราเกลี้ยกล่อมจน
พวกเขายอมอยู่ต่อ พวกเราให้เหตุผลว่าเพื่อความ
ปลอดภัยของโหวเยว่ อีกทั้งคนยิ่งมากก็ยิ่ง
สนุกสนาน จะมีแค่พวกเราชาวเหมียวอย่างเดียว
ไม่ได้”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ยังดีที่ท่านจ้าวถ้ำทำแบบนี้
ไม่อย่างนั้นหากไป๋ถังหลิงถูกเอาตัวไป โหวเยว่ที่อยู่
ที่นี่ก็ไร้ประโยชน์”
“พี่ใหญ่ ตอนนี้พวกเขายังอยู่กับนายอำเภอไป๋
หรือ?” อีฝูถาม
ปาเย่ลี่พูดว่า “พวกเขาพักอยู่ห้องข้างๆ กับโหวเยว่
คนนั้น ห่างกันไม่เกินสิบก้าวในห้องมีคนสองคนเฝ้า
อยู่ ด้านนอกมีอีกสองคน” เขาสีหน้าเคร่งเครียด
มาก “อีกคน อยู่หน้าห้องของโหวเยว่คนนั้น”
ฉีหนิงเอานิ้วลูบจมูก เหมือนกำลังใช้ความคิด “โหว
เยว่คนนั้นถึงแม้จะดูลามกตัณหากลับ แต่ในเมื่อเป็น
คนที่ถูกส่งมาที่นี่ แสดงว่าไม่ใช่คนโง่ อีกทั้งยังมี
ผู้ติดตามมาอีกห้าคน ถึงแม้จะมีไม่มาก แต่ว่าวรยุทธ์
ไม่ธรรมดา มีคนอยู่ในห้อง ไม่ห่างตัวนายอำเภอไป๋
เลย หากมีความเคลื่อนไหว แล้วพวกเขารู้ตัว เกรง
ว่าพวกเขาก็จะลงมือสังหารนายอำเภอไป๋ทันที”
“โหวเยว่ ตอนนี้พวกเขายังไม่ลงมือ พวกเขาคิดจะ
ให้นายอำเภอไป๋รอดลงไปจากเขาก่อน” อีฝูเหมือน
คิดอะไรได้ “แต่เมื่อไหร่ที่ลงจากเขาไปแล้ว ก็จะลง
มือทันที แม้แต่กระดูกของนายอำเภอไป๋ก็น่าจะไม่
เหลือ”
นางเรียกฉีหนิงว่าโหวเยว่ แสดงว่านางเชื่อว่าฉีหนิงก็
คือจิ่นอีโหว
“อีฝูพูดถูกแล้ว” ฉีหนิงพยักหน้า “ในเมื่อพวกเขา
กล้าขึ้นเขามา แสดงว่าเตรียมตัวมาดีมากแล้ว พวก
เขาเป็นนักฆ่า เมื่อไหร่ที่ถูกจับได้ ก็จะลงมือทันที”
ไป๋หย่าลี่คิดแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ก่อนที่พวกเราจะ
ช่วยนายอำเภอไป๋มาจากพวกเขา พวกเราจะให้พวก
เขารู้ไม่ได้ว่าพวกเรารู้แผนการของพวกเขาแล้ว อีก
ทั้งยังต้อง...” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วมองไปที่หน้า
ของปาเย่ลี่ก่อนจะพูดว่า “ยังต้องเค้นถามจากโหว
เยว่ท่านนั้นด้วยว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เรื่องนี้ไม่
ง่ายเลย หากพวกเรามีการเคลื่อนไหวอะไร อีกฝ่ายก็
จะต้องรู้แน่นอน”
“สองเรื่องนี้ยากมาก” อีฝูขมวดคิ้ว “นายอำเภอไป๋
ถูกพวกเขาจับตาดูอย่างไม่ละสายตา แล้วจะช่วยเขา
ออกมาได้อย่างไร? อีกทั้งโหวเยว่ตัวปลอมนั่นจะ
ยอมรับง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน?”
ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “ในเมื่อโหวเยว่คนนั้นบ้าตัณหา
มาก ก็แสดงว่าตัวเขายังมีจุดอ่อนอยู่ หากสามารถ
จับตัวเขามาแบบง่ายๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยอมพูด
อะไรก็ได้ แต่ว่าท่านหัวหน้าถ้ำไป๋พูดถูก จะให้อีก
ฝ่ายรู้ว่าพวกเรามองแผนพวกเขาออกแล้วไม่ได้
เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นไป๋ถังหลิงตายแน่ๆ ดังนั้น..”
“ดังนั้นอะไร?” เห็นฉีหนิงลังเล อีฝูเลยรีบถาม
ฉีหนิงมองไปที่ปาเย่ลี่ แล้วพูดว่า “ท่านจ้าวถ้ำ ต้อง
ดูว่าท่านจะยืนหยัดได้แค่ไหน ข้ามีแผน อาจจะช่วย
ไป๋ถังหลิงออกมาได้ก็ได้”
“หืม?” ปาเย่ลี่พูดว่า “เจ้าว่ามา”
“แต่ว่าแผนของข้าอาจจะทำให้คนพวกนั้นลงมือใช้
อาวุธก็ได้ หากท่านจ้าวถ้ำกังวลว่าอีกฝ่ายจะเป็นจิ่น
อีโหว ไม่อยากปะทะกับอีกฝ่าย ก็คงต้องหาวิธีอื่น”
ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “แต่ว่าเวลาเหลือน้อยแล้ว
ท่านจ้าวถ้ำคงต้องตัดสินใจแล้วล่ะ จะให้เสียเวลาไป
มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
ปาเย่ลี่เหมือนจะใช้ความคิด อีฝูขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“พี่ใหญ่ ท่านยังลังเลอะไรอีก หรือว่าท่านยังคิดว่า
คนๆ นั้นคือจิ่นอีโหวอยู่อีก?”
ปาเย่ลี่คิด แล้วก็ถามฉีหนิงว่า “เจ้ามีแผนอะไร?”
คืนนั้น ทั่วทั้งเขาเฮยเหยียนถูกปกคลุมไปด้วยความ
มืดแล้ว แม้แต่รอบๆ เขาเฮยเหยียนในระยะสิบลี้
เหล่าสัตว์ป่าเงียบสนิทเพื่อรอซุ่มโจมตีในกลางดึก
ภายในถ้ำเฮยเหยียนเงียบสนิท
ที่กลางเขามีอาคารบ้านต่างๆ เต็มไปหมด ซึ่งมี
อาคารอยู่สองหลังที่อยู่ติดกันมาก เหมือนกับเป็นพี่
น้องสองคน ด้านนอกอาคารมีคนเฝ้าเดินสำรวจอยู่
คนที่เฝ้าสวมชุดผ้าแพร พกดาบ มองไปแล้วเหมือน
จะระวังตัวมาก อาคารด้านซ้าย คนที่เฝ้าเห็น
ด้านหน้ามีคนเดินมา ก็ขมวดคิ้ว เขาจับดาบไว้แน่น
แล้วพูดว่า “ใคร?”
มีชาวเหมียวคนหนึ่งเดินออกมา แล้วโค้งคำนับพูด
ว่า “ท่านจ้าวถ้ำให้มาถามว่าโหวเยว่ตื่นหรือยัง? เขา
มีเรื่องอยากจะขอพบโหวเยว่?”
“อย่างนั้นหรือ?” คนเฝ้ายามตื่นตัวแล้วถามว่า
“กลางดึกแบบนี้ โหวเยว่พักผ่อนอยู่ มีเรื่องอะไร
พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
“คือว่า ท่านจ้าวถ้ำทราบว่าพวกท่านจะลงเขากัน
ตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นก็เลยเตรียมของขวัญเอาไว้ให้”
ชาวเหมียวคนนั้นก้มหน้าลงพูดอย่างนอบน้อมว่า
“โหวเยว่ฐานะสูงศักดิ์ ท่านมีทุกอย่างไม่ขาด
ของขวัญที่ท่านจ้าวถ้ำเตรียมไว้ไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่
แต่ว่าท่านก็อยากจะให้ทุกท่านได้นำกลับไปยังเมือง
หลวงด้วย เพื่อมอบให้กับครอบครัวของท่านด้วย
ท่านจ้าวถ้ำเลยอยากจะให้โหวเยว่ได้ไปเลือกด้วย
ตัวเอง”
ผู้คุมสีหน้าคลี่คลายลง แล้วถามว่า “เตรียมของขวัญ
อะไรไว้บ้างเล่า?”
“เป็นของทั่วๆ ไป” ชาวเหมียวยิ้มแล้วพูดว่า “มี
หนังสัตว์ มีสมุนไพร และอัญมณี เป็นของที่ถ้ำเฮยเห
ยียนของพวกเราแอบเก็บสะสมเอาไว้ ถึงแม้จะมีไม่
มาก แต่ก็เป็นของหายากทั้งหมด ดังนั้น...”
ผู้คุมยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านจ้าวถ้ำของพวกเจ้าก็รู้เรื่อง
ดีนี่ ถ้าโหวเยว่รู้ จะต้องดีใจมากแน่ เตรียมของพวก
นั้นไว้ให้พร้อม พรุ่งนี้พวกเราจะเอามันกลับไปด้วย”
ชาวเหมียวคนนั้นพูดว่า “ยังดีภาพอักษรบางส่วน ที่
ต้องให้โหวเยว่ตรวจสอบด้วยตัวเอง ท่านจ้าวถ้ำบอก
ว่าเขาไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องให้โหวเยว่ไปเลือกด้วย
ตัวเอง”
“อักษรภาพ?” ผู้คุมพูดด้วยความสงสัยว่า “พวกเจ้า
ชาวเหมียวเหตุใดถึงมีอักษรภาพได้?”
ชาวเหมียวคนนั้นกล่าวว่า “ตอนที่ท่านเหล่าโหว
ปราบซีชวน หลังจากที่จะกลับเมืองหลวง ขุนนางใน
ซีชวนมากมายนำมามอบให้ท่านเหล่าโหว ท่านเหล่า
โหวใจดีมาก ท่านดีกับพวกเราชาวถ้ำเฮยเหยียนมาก
ด้วย ก็เลยมอบของบางส่วนให้กับท่านจ้าวถ้ำคน
ก่อนจำนวนไม่น้อย ให้พวกเราเก็บสะสมเอาไว้ บอก
ว่าเป็นของเก่าแก่หายาก ท่านจ้าวถ้ำคนก่อนจึงเก็บ
ของพวกนี้เอาไว้อย่างดี ครั้งนี้ท่านโหวเยว่มาถึงที่นี่
พวกเราเองก็ไม่ได้มีของดีจะมอบให้ ดังนั้น...ท่าน
จ้าวถ้ำจึงให้ไปนำมันออกมา คิดอยากให้โหวเยว่
เลือกนำกลับไป” เขาพูดอีกว่า “พวกท่านติดตาม
โหวเยว่มา ก็ลำบากไม่น้อย ท่านจ้าวถ้ำเองก็ได้
เตรียมของสำหรับพวกท่านด้วย”
ผู้คุมหันไปมองในห้อง แล้วพูดว่า “เจ้ารอเดี๋ยว ข้า
จะไปดูก่อนว่าโหวเยว่ตื่นหรือยัง”
เขาเดินไปยังหน้าประตู แล้วพูดว่า “โหวเยว่ โหว
เยว่ ท่านจ้าวถ้ำปาเย่ลี่เตรียมของขวัญเอาไว้ให้ท่าน
อยากเชิญให้ท่านไปดูหน่อย ไม่รู้ว่าโหวเยว่สะดวก
หรือไม่?” เมื่อไม่ได้ยินเสียงจากด้านใน ก็เรียกอีก
สองที
สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ชายหนุ่มอายุราว
สิบเจ็ดสิบแปดที่เปลือยท่อนบนเปิดประตูออกมา
จากนั้นก็อ้าปากหาวก่อนจะถามว่า “ของขวัญ
อะไร?”
ชาวเหมียวเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว เขายกมือขึ้นแล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ท่านจ้าวถ้ำมีของขวัญจะมอบให้
โหวเยว่ มีสมุนไพรหายาก หนังสัตว์ อัญมณี อักษร
ภาพ เชิญโหวเยว่ไปเลือกดูก่อน ว่าถูกใจหรือไม่”
“อัญมณีอักษรภาพหรือ?” ชายหนุ่มตาโต ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ดี ดี พวกเจ้าถ้ำเฮยเหยียนกตัญญูมาก ข้า
จะไปดูสิว่ามีของขวัญอะไรบ้าง รอเดี๋ยวนะ” เขาหัน
กลับเข้าห้องไป จากนั้นไม่นาน ก็สวมเสื้อผ้าออกมา
แล้วพูดว่า “นำทางไป”
ชาวเหมียวคนนั้นนำทางไปอย่างนอบน้อม ส่วนคน
ติดตามคนนั้นก็เดินตามหลัง มา เมื่อเดินมาได้ระยะ
หนึ่ง ชายหนุ่มก็พูดกับชาวเหมียวคนนั้นว่า “สาว
ชาวเหมียวของพวกเจ้าอ่อนโยนมาก ข้าชอบมาก
จริงสิ ในถ้ำนี้ยังมีสาวสวยมากกว่านี้อีกหรือไม่ เลือก
มาอีกสักสองสามคน ข้าจะพาลงเขาไปทีเดียวเลย
แต่งเข้าจวนโหวไปสุขสบายด้วยกันเลย”
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 389 นักฆ่าเดนตาย
ชายหนุ่มเพิ่งพาองครักษ์ของตนตามชาวเหมียวไป
ได้ไม่นาน ด้านหลังพวกเขาก็มีชาวเหมียวโผล่
ออกมาสองคน แล้วเดินไปที่อาคารที่พักของไป๋ถังห
ลิง
ที่นั่นมีคนคุมเฝ้าอยู่สี่คน ผู้เฝ้าสองคนเดินสำรวจไป
มาอยู่ด้านนอก ด้านหน้าประตูใหญ่มีองครักษ์คน
หนึ่งยืนเฝ้าอยู่อย่างระมัดระวังตัว ส่วนอีกคนก็เฝ้า
อยู่ใกล้ตัวไป๋ถังหลิง
เมื่อเห็นชาวเหมียวเดินมา องครักษ์ก็รีบเดินเข้ามา
หา แล้วจ้องมาอย่างไม่เป็นมิตร
“โหวเยว่มีคำสั่ง เพื่อความปลอดภัยของนายอำเภอ
ไป๋ ใครก็ตามห้ามเข้าไปด้านในเด็ดขาด” องครักษ์
พูด มือด้านหนึ่งจับอยู่ที่ดาบ
ชาวเหมียวด้านหน้าโค้งคำนับ จากนั่นก็หันไปชี้คนที่
อายุเกินครึ่งร้อยแล้วพูดว่า “ท่านนี้คือท่านหมอยา
ในถ้ำของพวกเรา อาการบาดเจ็บของท่าน
นายอำเภอ ท่านหมอยาเป็นผู้รักษา คืนนี้มาเพื่อ
เปลี่ยนยาให้ท่านนายอำเภอ”
“เปลี่ยนยา?”
เฒ่าหมอยาสีหน้าเคร่งเครียดมาก เขากระแอมครา
หนึ่ง ชาวเหมียวยิ้มแล้วพูดว่า “อาการบาดเจ็บของ
ท่านนายอำเภอไป๋ยังไม่หายดี หากไม่ดูแลให้ดี
อาจจะทำให้อาการกำเริบได้” เขาชี้ไปที่กล่องไม้
เล็กๆ “ในนี้เป็นสมุนไพรที่ท่านหมอยาปรุงออกมา
ท่านได้ยินว่านายอำเภอจะลงเขาพรุ่งนี้ ดังนั้นคืนนี้
จำเป็นจะต้องมาเปลี่ยนยาให้เขา”
องครักษ์พูดว่า “ไม่จำเป็น พรุ่งนี้ก็ลงเขาแล้ว เดี๋ยว
มีหมอมาเปลี่ยนยาให้นายอำเภอเอง”
“เมื่อครู่ก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่พวกเราได้พบกับ
ท่านโหวเยว่แล้ว” ชาวเหมียวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“โหวเยว่รู้แล้วว่าพวกเราจะมาเปลี่ยนยาให้ ยัง
กำชับพวกเราว่าต้องดูแลให้ดี เหตุใดตอนนี้ถึงไม่ให้
พวกเราเปลี่ยนยาแล้วเล่า? อาการบาดเจ็บของท่าน
นายอำเภอท่านหมอยารู้ดีที่สุด จะให้ผิดพลาดไม่ได้
เด็ดขาด หากอาการกำเริบ ถ้ำของพวกเรา
รับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ”
ชาวเหมียวอีกคนก็ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่ก็เพื่อสุขภาพ
ของท่านนายอำเภอไป๋นะ ท่านใต้เท้าองครักษ์ได้
โปรดให้พวกเราเข้าไปเถอะ”
องครักษ์ขมวดคิ้ว คิดครู่หนึ่งแล้วชี้ไปที่หมอยา “เจ้า
เข้าไปคนเดียวพอ” เขามองไปที่ชาวเหมียวอีกคน
“ส่วนเจ้ารออยู่ตรงนี้”
หมอยาก็ไม่ได้ลังเล ถือกล่องไม้แล้วเดินเข้าไปใน
อาคารที่พัก
ชาวเหมียวอีกคนยืนอยู่ด้านนอกสักพัก แต่ไม่เห็น
หมอยาออกมาสักที องครักษ์เองก็รู้สึกสงสัย เลย
ตะโกนถามไปว่า “เปลี่ยนยาเสร็จหรือยัง?”
แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมาเลย องครักษ์คนนั้น
ขมวดคิ้ว จากนั้นองครักษ์อีกคนก็เดินเข้ามา แล้ว
กระซิบพูดว่า “ในห้องไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย
เกิดอะไรขึ้นหรือไม่?”
“ไม่มีอะไรหรอก” ชาวเหมียวคนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า
“ฝีมือการรักษาของท่านหมอยาเยี่ยมยอดมาก
เพียงแต่การเปลี่ยนยาต้องใช้เวลาหน่อย”
องครักษ์คนหนึ่งขมวดคิ้ว ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียง
ดังขึ้นมาจากในห้อง มันเป็นเสียงของลูกธนู
องครักษ์สองคนตะลึงไป อีกคนส่งสัญญาณ จากนั้น
อีกคนก็รีบกระโดดลอยตัวขึ้นไปชั้นสองของอาคารที่
พัก จากนั้นก็เปิดประตูเข้าไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง
ตะโกนด้วยความตกใจว่า “แย่แล้ว เกิดเรื่องแล้ว”
องครักษ์อีกคนที่อยู่ด้านล่างหน้าเสียไป กำลังจะขึ้น
ไปดู ชาวเหมียวอีกคนก็เดินมาแล้วพูดอย่างร้อนรน
ว่า “เกิดอะไรขึ้น?” องครักษ์คนนั้นไม่พูดอะไร แต่
รู้สึกเหมือนมีอะไรเย็นๆ พุ่งเข้าหา ชาวเหมียวคนนั้น
สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นดุดัน ในมือของเขามันมีมีด
สั้นโผล่มาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วแทงเข้าใส่องครักษ์ทันที
องครักษ์คนนั้นก็ว่องไวมาก รีบหันหน้ากลับมา แล้ว
ชักดาบออกมา เขาเห็นท่ามกลางความมืดนั้นมีคน
โผล่ออกมาอีกหลายสิบคน ก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดี
แล้ว เขารีบตะคอกว่า “ฆ่าไป๋ถังหลิงซะ” จากนั้นก็
ฟันดาบเข้าหาชาวเหมียวทันที
ชาวเหมียวคนนั้นฝีมือไม่ธรรมดาเลย หลบไป
ด้านข้าง มีดสั้นในมือก็แทงเข้ามาอีกครั้ง ในตอนนี้
เอง ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาว่า “อย่าให้
พวกมันหนีไปได้ พวกเราบุกเข้าไป” เงาร่างหนึ่งพุ่ง
ออกมาว่องไวมาก ในมือถือดาบฟันเข้าใส่องครักษ์
คนนั้น นางก็คืออีฝู
องครักษ์คนนั้นฝีมือไม่ธรรมดาเลย สองรุมหนึ่ง ก็ยัง
ไม่เสียเปรียบ แต่ว่าชาวเหมียวมากขึ้นเรื่อยๆ
พริบตาเดียวก็บุกเข้ามาหลายคน เขาเห็นท่าไม่ดี
เลยตะคอกไปว่า “พวกเราเป็นคนของจิ่นอีโหว พวก
เจ้ากล้าลงมือกับพวกเรา คิดจะกบฏหรืออย่างไร”
อีฝูฟันพุ่งดาบเข้าหาอย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า “จิ่นอี
โหวรึ? หากเจ้าเป็นคนของจิ่นอีโหวจริง ตอนนี้ก็ควร
จะวางอาวุธ พวกเราจะไม่ทำอะไรเจ้า”
องครักษ์คนนั้นไม่ได้สนใจนาง เขากระโดดถอยหลัง
แล้วขึ้นไปบนอาคารที่พัก อีฝูดีดตัวขึ้นไปดักเอาไว้
ก่อน แล้วฟันดาบใส่เขาอีกครั้ง องครักษ์คนนั้นใช้
ดาบมาต้านเอาไว้ แล้วหันตัวตรงไปที่ประตู จากนั้น
เขาก็ถีบประตูออก เขาเห็นเพื่อนเขาอีกสามคน มี
สองคนนอนกองอยู่ที่พื้นไม่ขยับแล้ว เหลืออีกคน
หนึ่งกำลังไล่ล่าท่านหมอยาอยู่ภายในห้อง ท่านหมอ
ยาเคลื่อนไหลราวกับวิญญาณ ภายในห้องไม่ได้กว้าง
มาก แต่ว่าหมอยากลับหลบซ้ายทีขวาทีไปเรื่อยๆ
ร่างกายดูว่องไวมาก
องครักษ์คนนั้นไม่ได้ไปใส่ใจเขา เขาเดินไปที่เตียง
ทันที เขาเห็นผ้าห่มบนเตียงถูกเปิดออกแล้ว แต่ว่า
บนนั้นไม่มีใครอยู่เลย ไป๋ถังหลิงที่อยู่บนเตียงไม่อยู่
แล้ว
องครักษ์ผู้นั้นก็ตกใจมาก ไม่รอให้เขาได้คิดนาน
ด้านหลังก็มีลมจากดาบพัดมา อีฝูพาชาวเหมียวบุก
ขึ้นมาแล้ว
องครักษ์คนนั้นในเวลานี้ถึงได้เข้าใจแล้วว่าพวกเขา
หลงกลเข้าให้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าไป๋ถังหลิงนั้นหาย
ตัวไปได้อย่างไร
“ฉึก”
ทันใดนั้นเององครักษ์คนนั้นก็รู้สึกว่ามือของเขานั้น
ชาไปหมด เขาก็ตกใจ ในตอนนี้เขาเห็นชาวเหมียว
ด้านนอกยกธนูเล็งมา เขาก้มมองดู พบว่าลูกดอก
เล็กๆ มันปักเข้าที่มือของเขา
ชาวเหมียวเชี่ยวชาญการใช้พิษ องครักษ์เห็นว่ามือ
ของตัวเองถูกลูกดอกแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป ตอนนี้
เขาเหลือบไปเห็นเงาๆ หนึ่ง ผ่านหน้าตัวเองไป เขา
คิดอยากจะหลบ แต่เงานั้นรวดเร็วมาก เขาแค่ขยับ
เท้า เงานั้นก็ชนเข้ากับตัวเขาอย่างแรง ทั้งสองชน
กัน จากนั้นก็ล้มลงไปพร้อมกัน
ที่แท้ก็ท่านหมอยาที่หาช่องโหว่แล้วฉวยโอกาสลงมือ
เขาชกไปที่หน้าอกขององครักษ์คนนั้น ซึ่งเขาออก
แรงเต็มที่ องครักษ์คนนั้นตัวลอยไปแล้วชนเข้ากับ
พวกของตัวเอง
ทั้งคู่คิดจะลุกขึ้นมา แต่ชาวเหมียวบุกเข้ามาก่อน
พวกเขาใช้ดาบพาดไปที่คอของทั้งคู่ ทั้งคู่มองหน้า
กัน สายตาของพวกเขาดุดันมาก หมอยาเห็นดังนั้น
เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วพูดว่า “ระวังพวกเขา
จะฆ่าตัวตาย” ทุกคนตะลึงไป จากนั้นก็เห็น
องครักษ์สองคนนั้นดวงตากลายเป็นสีดำ หางตามี
เลือดไหลออกมา จากนั้นก็ล้มลงไปทันที
หมอยาขมวดคิ้ว อีฝูเดินขึ้นหน้ามา ใช้ปลายดาบจิ้ม
ไปที่เลือด ดาบกลายเป็นสีดำ นางพูดว่า “เป็นพิษที่
ร้ายแรงมาก”
หมอยาพูดว่า “พวกเขาเป็นนักฆ่าเดนตาย มีการ
เตรียมตัวในกรณีทำงานพลาดไว้แล้ว ยาพิษพวกนี้
น่าจะอยู่ในปากของพวกเขา เมื่อไหร่ที่พลาด ก็จะ
ฆ่าตัวตายทันที” เขาพูดว่า “พวกเขาฆ่าตัวตาย
เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเราจะไม่สามารถได้หลักฐาน
อะไรจากปากของพวกเขาได้” เขาชี้ไปที่อีกสองคน
ที่อยู่ที่พื้น “สองคนนั้นก็เหมือนกัน”
“โหวเยว่ พวกเขา...?” อีฝูมองไปที่หมอยา “พวก
เขาก็ฆ่าตัวตายเหมือนกันหรือ?”
หมอยายกมือขึ้นแล้วดึงหนวดเคราออก ที่แท้ก็เป็น
หนวดเคราที่ถูกติดขึ้น ไม่มีแสงสว่างส่องมา ทุก
อย่างมืดไปหมด อีกทั้งยังสวมชุดชาวเหมียว ตั้งใจ
คร่อมตัวลง มองผ่านๆ ก็นึกว่าคนแก่ ก่อนที่เขาจะ
เข้าไปในอาคารที่พัก เขาไม่พูดอะไรเลย ก็ไม่มีใคร
จับได้เพราะเสียงของเขา
หมอยาก็คือฉีหนิงที่ปลอมตัวมานั้นเอง
ฉีหนิงยื่นมือไปหยิบดาบของชาวเหมียวคนหนึ่งมา
แล้วเดินไปที่สองคนนั้น จากนั้นก็ใช้ดาบพลิกตัวของ
พวกเขาขึ้นมา หน้าของพวกเขาดำคล้ำ เห็นได้ชัดว่า
ตายแล้วแน่นอน
“หลังจากที่ข้าเข้ามา ก็ปล่อยยาสลบที่พวกเจ้าปรุง
ขึ้น” ฉีหนิงอธิบายว่า “สองคนนี้เฝ้าอยู่ในห้อง มีคน
หนึ่งอยู่ไม่ห่างตัวไป๋ถังหลิงเลย ยังดีว่าพวกเราไม่ได้
บุกเข้ามา ไม่เช่นนั้นหากมีความเคลื่อนไหวอะไร ไป๋
ถังหลิงตายแน่ คนพวกนี้ระวังตัวมาก” เขาหยุดไป
แล้วพูดต่อว่า “พวกเขาอาศัยอยู่บนเขามาสองวัน
ยังดีที่พี่ชายเจ้าเห็นพวกเขาเป็นคนของจิ่นอีโหวมา
ตลอด แล้วดูแลพวกเขาด้วยความจริงใจ คนพวกนี้
เลยได้ใจ เลยไม่ได้เคร่งครัดมากขนาดนั้น แต่คิดไม่
ถึงว่าจู่ๆ พวกเราจะกลับมา ตอนที่ข้าเอายาสลบ
ออกมา พวกเขาเลยคิดว่ามันเป็นยาของไป๋ถังหลิง
จริงๆ จึงหลงกล”
อีฝูพูดว่า “ที่จริงยาสลบนี่ก็มีไว้เพือ่ การรักษา โรค
บางโรคต้องใช้มีดผ่า เลือดเนื้อทั้งนั้นจะไปทนได้
อย่างไร จึงจำเป็นต้องใช้ยาสลบ เพื่อให้หลับไปไม่มี
ความรู้สึกอีก จะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวด”
“อย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น
ก็ไม่ต่างกับยาชาเลยสินะ” คิดในใจว่ายาสลบนี่
ประโยชน์ก็มีมากเหมือนกัน ไว้ค่อยขอถ้ำเฮยเหยียน
นำติดตัวไปสักหน่อย เขาลุกขึ้นแล้วพูดว่า “แต่ว่า
หลังจากที่สองคนนี้ถูกยาไปแล้ว พวกเขาน่าจะรู้ว่า
สถานการณ์ไม่ปกติแล้ว คิดอยากจะออกไปเตือน
ด้านนอกแต่ถูกพิษไปแล้ว กังวลว่าจะถูกพวกเราจับ
ตัวไปเป็นเชลย ก่อนที่จะไม่ได้สติจึงฆ่าตัวตายไป
ก่อน”
อีฝูเห็นศพขององครักษ์ทั้งสี่นอนกองอยู่ที่พื้น ก็รู้สึก
ขนลุกขนชัน นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตอนที่พวก
เขาฆ่าตัวตาย แทบจะไม่ลังเลเลย ช่างโหดเหี้ยม
นัก”
“คนที่ถูกส่งมา จะต้องเป็นนักฆ่าเดนตายแน่” ฉี
หนิงพูดว่า “พวกเขาใจแข็งดังหิน ถูกฝึกมาแบบนี้
ใช่ว่าใครที่ไหนจะฝึกได้ ดูท่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
อาจจะรับมือยากกว่าที่พวกเราคาดไว้”
อีฝูคิดแล้วก็ขนลุก นางจับไปที่หน้าอกของตัวเอง
หน้าอกของนางกระเพื่อมไหว นางพูดว่า “โหวเยว่
ยังดีที่ได้แผนจากท่าน พวกเขาแม้แต่ชีวิตตัวเองยัง
ไม่สนใจเลย หากคิดจะฆ่าไป๋ถังหลิง ง่ายยิ่งกว่า
กะพริบตาเสียอีก”
“หากรอดไปได้ ก็ไม่มีใครอยากตายหรอก” ฉีหนิง
มองไปที่ศพ “พวกเขาแค่คิดไม่ถึงว่าผลจะเป็นแบบ
นี้ ไม่เช่นนั้นไป๋ถังหลิงอยู่ในมือของพวกเขาคงตาย
ไปไม่รู้อีกกี่รอบแล้ว” เมื่อคิดถึงตรงนี้ ก็เดินไปมุม
ห้อง แล้วใช้ดาบกรีดไปที่แผ่นไม้ที่พื้น อีฝูเขยิบเข้า
มาใกล้แล้วมองลงไป จากนั้นก็ตะโกนลงไปว่า
“ท่านนายอำเภอไป๋ปลอดภัยหรือไม่?”
คนด้านล่างตอบขึ้นมาว่า “ไม่เป็นอะไร วางใจได้
ท่านนายอำเภอปลอดภัยดี”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ยังดีที่อาคารที่พักของชาว
เหมียวมีข้อดี ต่อให้ถูกล้อมเอาไว้ ก็สามารถลงไป
ด้านล่างได้โดยไม่มีใครรู้ ข้าใช้เชือกมัดตัวไป๋ถังหลิง
แล้วหย่อนลงไปจากตรงนี้ เขาน่าจะไม่เป็นอะไร
วางใจได้”
“ที่พักของพวกเราชาวเหมียวไม่เหมือนกับชาวฮั่น
ของพวกท่าน” อีฝูรู้ว่าไป๋ถังหลิงปลอดภัยแล้ว ถึงได้
โล่งใจ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ก็เหมือนกับสาวชาว
เหมียวของพวกเรา ก็ไม่เหมือนกับสาวชาวฮั่น”
ฉีหนิงรู้สึกว่าคำพูดของอีฝูเหมือนมีความหมายแฝง
อยู่ แต่ตอนนั้นเขานึกไม่ออกว่ามันหมายความว่า
อย่างไร เขาทำได้แค่ยิ้มบาง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไม่
รู้ว่าทางท่านจ้าวถ้ำจะเป็นอย่างไรบ้าง”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 390 นักแสดงแห่งคณะว่านชุน
ฉีหนิงกับอีฝูรีบกลับไปสมทบกับปาเย่ลี่ทันที ปาเย่ลี่
ยืนรออยู่นอกห้องด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด มีชายชาว
เหมียวพกอาวุธล้อมอยู่หลายคน
บนพื้น มีคนหนึ่งนอนเป็นศพที่เพิ่งฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็น
องครักษ์ที่ชายหนุ่มคนนั้นพามาด้วย
ปาเย่ลี่สีหน้าเคร่งเครียด เมื่อเห็นฉีหนิงเดินมา เขาก็
รีบเดินขึ้นหน้าไป แล้วพูดว่า “เขาพยายามขัดขืน
ฆ่าคนของพวกเราไปคนหนึ่ง บาดเจ็บไปอีกสามคน
รู้ว่าหนีได้ยาก ก็เลยฆ่าตัวตาย”
ฉีหนิงรู้ทันทีว่าที่นี่น่าจะเกิดกันปะทะกันเกิดขึ้นแล้ว
เขาขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ท่านจ้าวถ้ำ โหวเยว่ท่าน
นั้น...?”
“พวกเราจับเขามัดเอาไว้แล้ว” ปาเย่ลี่จ้องไปที่ฉี
หนิง “ความอยู่รอดของถ้ำเฮยเหยียนอยู่ที่เจ้าแล้ว
นะ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” เขามองไปที่
อีฝูแล้วพูดว่า “นายอำเภอไป๋เป็นอย่างไรบ้าง?”
อีฝูรีบพูดว่า “พี่ใหญ่ ท่านวางใจได้ นายอำเภอไป๋
ปลอดภัยดี” เขามองไปที่ฉีหนิงแล้วพูดว่า “คนก่อน
หน้านี้จะต้องเป็นตัวปลอมแน่นอน คนของเขา พอ
เห็นพวกเขาเข้าไป ก็คิดจะสังหารไป๋ถังหลิง หาก
พวกเขาเป็นคนของจิ่นอีโหวจริง ไม่มีทางฆ่าคน
บริสุทธิ์แบบนี้แน่”
ปาเย่ลี่พยักหน้า แล้วคำนับฉีหนิง แล้วพูดว่า “โหว
เยว่ เชิญ” ตอนนี้ก็เท่ากับว่าเขาเชื่อในฐานะของฉี
หนิงแล้ว
ฉีหนิงก็ยิ้มแล้วคำนับตอบ ปาเย่ลี่นำทางเข้าไปใน
ห้อง เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดผ้าแพรอายุ
ประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีที่กำลังถูกมัดอยู่ ในปากมี
ผ้ายัดปากเอาไว้ จึงทำให้พูดไม่ได้ มีชาวเหมียวสอง
คนยืนเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นปาเย่ลี่เดินเข้ามา ชายหนุ่มก็
พยายามส่งเสียงร้องอู้อี้อยู่ในลำคอ สีหน้าของเขา
โกรธมาก
ฉีหนิงกับปาเย่ลี่มองหน้ากัน ปาเย่ลี่เดินขึ้นหน้าไป
แล้วเอาของที่อุดปากเขาออกมา ชายหนุ่มคนนั้น
หายใจเข้าเฮือกใหญ่ จากนั้นก็มองด้วยความโกรธ
แล้วตะคอกว่า “ปาเย่ลี่ เจ้าบังอาจเกินไปแล้วนะ
กล้า...กล้าหลอกข้า วางกับดักกับข้าหรือ”
ปาเย่ลี่ไม่พูด แล้วเดินไปยืนข้างๆ
ฉีหนิงลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับชายหนุ่ม แล้วมอง
เขาอย่างละเอียด เขายิ้มแล้วพูดว่า “อายุก็ได้ ดู
ท่าทางพวกเจ้าจะรู้เรื่องของจิ่นอีโหวดีเลยนะ”
“เจ้าเป็นใคร?” เขามองไปฉีหนิงตั้งแต่หัวจรดเท้า
ชายหนุ่มพูดด้วยความโกรธว่า “อยู่ต่อหน้าข้า เจ้า
กล้าบังอาจขนาดนี้เลยหรือ?”
“เจ้าคือจิ่นอีโหวหรือ?” ฉีหนิงถาม
ชายหนุ่มพูดว่า “ถูกต้อง ข้าคือจิ่นอีโหวที่ฝ่าบาท
ทรงแต่งตั้ง” เขามองไปที่ปาเย่ลี่ แล้วพูดว่า “ปาเย่ลี่
ข้าเห็นแก่ที่พวกเจ้าถ้ำเฮยเหยียนกับจวนจิ่นอีโหวมี
สัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอด จึงตั้งใจมาแก้ไขปัญหาให้
พวกเจ้าถึงที่นี่ แต่ว่าพวกเจ้ากลับทำแบบนี้กบั ข้า
หรือว่าพวกเจ้าคิดอยากถูกกวาดล้างหรืออย่างไร?”
“ในเมื่อเจ้าเป็นจิ่นอีโหว แสดงว่าจะต้องรู้จักฮ่องเต้
ใช่หรือไม่” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทหน้าตาเป็น
อย่างไร? จริงสิ ที่จริงข้าเองก็เคยไปที่จวนจิ่นอีโหว
นะ พอจะรู้จักคุ้นเคยกับจวนจิ่นอีโหวอยู่บ้าง...” เขา
หันไปหาปาเย่ลี่แล้วถามว่า “ท่านจ้าวถ้ำ จวนจิ่นอี
โหวที่เมืองหลวง ท่านเคยไปหรือไม่?”
ปาเย่ลี่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเคยตามท่านพ่อไป
ครั้งหนึ่ง เคยได้พบท่านแม่ทัพฉีด้วย”
“ดี” ฉีหนิงยิ้มแล้วมองไปที่ชายหนุ่ม “ที่หน้าประตู
ใหญ่ของจวนจิ่นอีโหวมีหินแกะสลักสองตัว เจ้ารู้
หรือไม่ ไม่รู้ว่าม้าหินแกะสลักเป็นสีอะไร?”
“ม้าหินแกะสลัก?” ชายหนุ่มตะลึงไป
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หรือว่าเจ้าไม่รู้ เมือง
หลวงจวนขุนนางมากมายที่หน้าปากประตูมีหิน
สิงโตแกะสลักอยู่ แต่ว่าจิ่นอีโหวเป็นตระกูลนักรบ
ชอบทำศึก ชอบม้าศึก ดังนั้นหน้าปากประตูจึงมีหิน
ม้าแกะสลักสองตัว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ?”
ชายหนุ่มยังสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ถ้าเช่นนั้นก็แปลก เจ้าเป็นจิ่นอีโหว แม้แต่ม้าหิน
แกะสลักหน้าประตูเป็นสีอะไรก็จำไม่ได้?” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็น่าจะจำได้ว่า หลังจาก
ที่เข้าไปในจวนแล้ว ในจวนก็มีหินแกะสลักอีก ข้า
อยากถามเจ้าว่า มันเป็นหินแกะสลักอะไร?”
ชายหนุ่มลังเลไป อีฝูก็พูดขึ้นมาว่า “หรือว่าเรื่องนี้
เจ้าก็ไม่ร?ู้ จิ่นอีโหวแม้แต่จวนของตัวเองเจ้ายังไม่รู้
เลยหรือ แสดงว่าเป็นตัวปลอมแน่นอน?”
ชายหนุ่มพูดว่า “เป็น...เป็น...เป็นม้าแกะสลักหนึ่ง
ตัว? ไม่สิ...น่าจะ...น่าจะ...ใช่ เป็นสิงโตหินแกะสลัก
...”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แสดงว่าเจ้าเป็นตัว
ปลอมจริงๆ ในจวนจิ่นอีโหว ไม่มีทั้งหินม้าแกะสลัก
แล้วก็ไม่มีสิงโตแกะสลักอะไรด้วย ไม่มีอะไรเลย
เป็นแค่เรือนธรรมดา”
แสงดาบสะท้อนเข้ามา ไอเย็นกระจายไปทั่วห้อง
ปาเย่ลี่เอาดาบพาดไว้บนบ่าของชายหนุ่ม แล้ว
ตะคอกว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นจิ่นอีโหวตัวปลอม เจ้า
เป็นใครกันแน่?”
ชายหนุ่มรีบพูดว่า “ปาเย่ลี่ เจ้า...เจ้าบังอาจมาก ข้า
รู้สิว่ามันเป็นเรือนธรรมดา เพียงแต่...เพียงแต่พวก
เจ้าเอามีดมาพาดคอข้าไว้แบบนี้ ข้าจึงรู้สึกประหม่า
เลยจำผิด ปาเย่ลี่ ข้ามาที่นี่เพราะถ้ำเฮยเหยียนของ
พวกเจ้า แต่พวกเจ้าไม่รู้จักเจียมตัว หากเจ้าทำอะไร
ข้าแม้แต่ผมเส้นเดียว ถ้ำเฮยเหยียนของพวกเจ้าก็จะ
...”
เมื่อพูดจบ ฉีหนิงก็ลุกขึ้นมา แล้วหยิบดาบจากชาว
เหมียวมา ไม่พูดอะไรมาก เขากรีดลงไปที่บนใบหน้า
ของชายหนุ่ม เลือดสดไหลซึมออกมา ชายหนุ่มสี
หน้าเปลี่ยนไปทันที เขาร้องด้วยความตกใจ ฉีหนิง
นั่งลงข้างๆ เขา แล้วใช้ดาบจี้ไปที่คอของชายหนุ่ม
คนนั้น เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าทำลายใบหน้าของเจ้า
แล้ว เจ้าจะทำให้ถ้ำเฮยเหยียนกลายเป็นจุณอีก
หรือไม่?”
ชายหนุ่มเห็นฉีหนิงยิ้ม แต่ว่าสายตาดูเยือกเย็นมาก
สายตาของเขาเหมือนคมหอกคมดาบ เขาแกล้งเป็น
นิ่ง แล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้า...”
“เจ้าบอกว่าเจ้าคือจิ่นอีโหว ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ไม่รู้
แล้วว่าตัวเองเป็นใคร” ฉีหนิงพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่
เหมือนกับนักฆ่าเดนตายพวกนั้น ผิวเจ้ามันอ่อนนุ่ม
เหลือเกิน น่าจะถูกเลี้ยงมาอย่างดี ดังนั้นพวกเขา
กล้าตาย แต่เจ้าไม่กล้า แน่นอนว่าหากเจ้าไม่อยาก
ตาย ขอแค่ตอบคำถามที่พวกข้าอยากรู้มาเท่านั้น”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ที่จริงข้าเองก็รู้ เจ้าเองก็อาจจะรู้ไม่มาก” ฉีหนิง
จ้องไปที่ตาของชายหนุ่ม “สร้อยเขี้ยวหมาป่าใคร
เป็นคนมอบให้เจ้า เจ้าน่าจะรู้? ใครสั่งให้พวกเจ้าขึ้น
เขามาเอาตัวไป๋ถังหลิงไป เจ้าเองก็น่าจะจำได้” เขา
จี้ดาบเข้าไปที่คออีกครั้ง ฉีหนิงพูดว่า “ใคร?”
ชายหนุ่มปิดปากสนิท ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะ
นับหนึ่งถึงสาม ก็จะสามารถตัดสินชีวิตเจ้าได้แล้ว
อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป หรืออยากจะตายไปเพราะ
ใคร” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “หนึ่ง...สอง...”
เขายังไม่ทันจะนับถึงสาม เขาออกแรงที่มือขึ้นอีก
หน่อย ชายหนุ่มพูดว่า “อย่า...อย่าลงมือ”
“แสดงว่า เจ้าเลือกแล้วใช่หรือไม่?” ฉีหนิงยิ้มแล้ว
พูดว่า “ดี เจ้าบอกข้ามา”
“พวก...พวกเจ้ารับปากข้าก่อน หากข้าพูดไปแล้ว
พวกเจ้า...พวกเจ้าจะต้องปล่อยข้าไป” ชายหนุ่มพูด
“ชาวเหมียวรักษาสัจจะ ข้าเชื่อใจพวกเจ้า”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าวางใจได้ ชาวเหมียว
พูดคำไหนคำนั้น พูดมา”
ชายหนุ่มก้มหน้าแล้วคิดครู่หนึ่ง “ที่จริง...ที่จริงแล้ว
ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมากหรอก องครักษ์ที่ตามข้ามา
ด้วยรู้มากกว่าข้า...”
“องครักษ์?”
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วพูดว่า “เขาเป็นคนมาหาข้า
เอง แล้วให้ข้า...ให้ข้าปลอมตัวเป็นจิ่นอีโหว เขาบอก
ว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหว...”
ปาเย่ลี่ไม่รู้จักจวนเสินโหว ฉีหนิงได้ยินดังนั้นก็ขมวด
คิ้วฉับ
“จวนเสินโหวคืออะไร?” อีฝูรีบถาม
ฉีหนิงพูดว่า “จวนเสินโหวเป็นหน่วยงานหนึ่งของ
ราชสำนัก มีหน้าที่ดูแลเรื่องราวในยุทธภพ”
“หน่วยงานของราชสำนัก?” อีฝูรีบพูดว่า “เขา
โกหก”
ชายหนุ่มคนนั้นรีบพูดว่า “เปล่านะ ข้าไม่ได้โกหก
พวกเขา...พวกเขาเป็นคนของจวนเสินโหวจริงๆ
พวกเขาให้ข้าแต่งตัวสวมรอยเป็นจิ่นอีโหว บอกว่า
ถ้ำเฮยเหยียนก่อกบฏ จับเจ้าหน้าที่ขุนนางไปคน
หนึ่ง ขอแค่พาตัวขุนนางคนนั้นลงเขามาได้ ข้าก็จะ
สร้างผลงานให้กับทางราชสำนัก ถึงเวลานั้นข้าเองก็
จะได้เป็นขุนนาง”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อีฝู เขาอาจจะไม่ได้โกหกก็ได้
คนที่โกหกอาจจะเป็นคนพวกนั้นมากกว่า” เขาจ้อง
ไปที่ชายหนุ่ม “สร้อยที่เจ้าเอามาแสดงตัวตนของจิ่น
อีโหว องครักษ์พวกนั้นมอบให้เจ้าหรือ?”
“เดิมทีข้าก็ไม่อยากจะรับปาก แต่ว่า...แต่ว่าพวกเขา
ให้ทองคำข้ามาห้าสิบตำลึง ยังบอกกับข้าอีกว่าหาก
ข้าปลอมตัวเป็นจิ่นอีโหว หลังจากขึ้นเขามาแล้ว
ชาวเหมียวจะดูแลพวกเราอย่างดี” ชายหนุ่มก้มหน้า
ลงแล้วพูดต่อว่า “ทำงานเพื่อบ้านเมือง อีกทั้งยังได้
รางวัล ข้าก็เลย...”
“ดังนั้นเจ้าก็เลยรับปาก” ฉีหนิงยิ้มแล้วถามว่า
“แล้วเจ้าเป็นใคร? พวกเขาทำไมถึงต้องไปหาเจ้า
ด้วย?”
ชายหนุ่มก้มหน้าลง แล้วพูดว่า “ข้า...ข้าชื่อเหมยอวี้
ฉวน เป็น...เป็นนักแสดง”
เมื่อพูดออกมาแล้ว ฉีหนิงก็ตกใจ ปาเย่ลี่ยื่นมือไปจับ
คอเสื้อของเหมยอวี้ฉวน เขาพูดด้วยความโกรธว่า
“เจ้าเป็นแค่นักแสดงอย่างนั้นหรือ?”
ถึงแม้พวกเขาจะเป็นชาวเหมียว แต่ปาเย่ลี่ก็รู้ว่า
นักแสดงเป็นอะไร
เหมยอวี้ฉวนเห็นปาเย่ลี่ดุดันมาก ตอนนี้เปิดเผยตัว
แล้ว ก็ไม่กล้าจะหัวแข็งอีก แล้วพูดว่า “พวกเขาเป็น
...เป็นคนของราชสำนัก ข้า...ข้าไม่กล้าไม่รับปาก”
“ก็หมายความว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้าฟังคำสั่งของ
พวกเขาอย่างเดียวเท่านั้น” ฉีหนิงถอนหายใจ “เจ้า
คิดว่าพวกเขาเป็นคนของจวนเสินโหวมาตลอดเลย
สินะ?”
“ไม่ใช่หรือ?” เหมยอวี้ฉวนย้อนถาม “พวกเขา
ปลอมตัวเป็นคนของจวนเสินโหวหรือ?”
“ขนาดเจ้ายังกล้าปลอมตัวเป็นจิ่นอีโหวเลย แล้ว
เหตุใดพวกเขาจะไม่กล้าปลอมเป็นคนของจวนเสิน
โหวเล่า?” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้ามาจากคณะละคร
ไหน?”
“คณะว่านชุน” เหมยอวี้ฉวนพูดว่า “คณะของพวก
เรารับเล่นละครให้กับเหล่าขุนนางผู้ใหญ่”
“แล้วองครักษ์พวกนั้น ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเจอพวก
เขามาก่อนหรือไม่?” ฉีหนิงถาม “พวกเขามาหาเจ้า
ได้อย่างไร?”
“ข้าไม่เคยเจอมาก่อน คืนวันนั้น หลังจากที่ข้าเข้า
นอนแล้ว กลางดึกตื่นมา ก็พบว่าไม่ได้อยู่ที่ห้องของ
ตัวเองแล้ว” เหมยอวี้ฉวนพูดว่า “คนๆ นั้นอยู่ๆ ก็
โผล่มา แล้วบอกให้ข้าสวมรอยเป็นจิ่นอีโหว แล้ว
บอกรายละเอียดว่าข้าต้องทำอย่างไรบ้าง หลังจาก
นั้นเขาก็พาข้ามาที่ถ้ำเฮยเหยียน”
ปาเย่ลี่โกรธมาก แล้วถามว่า “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไร
ว่าสร้อยเขี้ยวหมาป่านั่นเป็นหลักฐานแสดงตัวตนกับ
เฮยเหยียน?”
“ข้าไม่รู้” เหมยอวี้ฉวนส่ายหน้า เขาพูดว่า “คนๆ
นั้นบอกข้าว่า เมื่อมาถึงถ้ำเฮยเหยียน แค่เอาสร้อย
ออกมา พวกเจ้าก็จะรู้ว่าข้าคือจิ่นอีโหว ข้า...ข้าเองก็
ไม่รู้ว่าพวกเขาเอาสร้อยนั่นมาจากไหน”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 391 วิญญาณไม่สลาย
ฉีหนิงดูนิ่งมาก แต่ว่าในใจกลับรู้สึกตกใจไม่น้อย
เขาพบว่าเขาทำสร้อยเขี้ยวหมาป่าหายที่ชางซี
ถึงแม้จะคิดผลที่ร้ายแรงที่สุดเอาไว้แล้ว แต่ในใจก็ยัง
รู้สึกว่าคงไม่เลวร้ายมากนัก
เพราะสร้อยเขี้ยวหมาป่าเขาเป็นคนพกติดตัวมา มัน
เป็นความลับมาก
ครั้งนี้ที่มาซีชวน เขาไม่ได้มาอย่างเปิดเผย อีกทั้งยัง
มาพร้อมกับขบวนจัดซื้อยาจากร้านยาตระกูลเถีย
นด้วย เมื่อเข้ามาในซีชวนแล้ว แม้แต่แผนการ
เดินทางก็เป็นความลับทั้งหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่อง
ว่าเขาพกสร้อยเขี้ยวหมาป่าติดตามจะบอกให้ใครรู้
เลย
แต่เมื่อเหตุการณ์มาจนถึงขั้นนี้แล้ว เหมือนมีคนรู้ว่า
บนตัวเขามีสร้อยเขี้ยวหมาป่าอยู่ อีกทั้งยังจับตาดู
เขาอยู่ตลอดเวลา มิหนําซ้ํายังแอบขโมยสร้อยของ
เขาไปอย่างไร่ร่องรอยอีก
ตอนนี้ฉีหนิงไม่ได้คิดว่าสร้อยเขี้ยวหมาป่าเขาไม่
ระวังทำหล่นหายแล้ว แต่ว่ามีคนตั้งใจขโมยไป อีก
ฝ่ายสามารถขโมยสร้อยเขี้ยวหมาป่าไปได้โดยที่เขา
ไม่รู้ตัวได้ อีกทั้งยังอาศัยสร้อยเขี้ยวหมาป่ามายังถ้ำ
เฮยเหยียนด้วย แสดงว่าเขาต้องวรยุทธ์สูงมาก มัน
ทำให้ฉีหนิงตกใจมาก
“ในเมื่อเจ้าเป็นนักแสดง ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ฆ่า
เลยดีกว่า” อี๋ฟูโกรธมาก ถือดาบเดินขึ้นหน้าไป
เหมยอวี๋ฉวนรีบพูดว่า “พวกเจ้า......พวกเจ้าต้อง
รักษาคำพูดสิ พวกเจ้ารับปากแล้ว หากข้ายอมพูด
......ยอมพูดความจริง พวกเจ้าจะปล่อยข้าไป”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่เชื่อที่เจ้าพูด ข้าคิดว่าเจ้า
พูดไม่หมด”
“ที่ข้ารู้ข้าก็พูดไปหมดแล้ว” เหมยอวี๋ฉวนรู้ว่าชีวิต
เขาอันตรายมากแล้ว “ข้าก็แค่ทำงานรับเงินเท่า
นั้นเอง”
“เจ้าอยู่กับพวกเขาทุกวัน พวกเขาไม่เคยพูดอะไร
เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเลยหรอ?” ฉีหนิงพูดว่า
“พวกเขาไม่เคยพูดถึงใครหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับ
เรื่องนี้เลยหรอ?”
“คนอื่น?” เหมยอวี๋ฉวนเหมือนกำลังคิด หลังจาก
นั้นครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นมาว่า “จริงสิ ข้า......ข้าจำได้ว่า
เหมือนพวกเขาจะพูดถึงคน ๆ หนึ่ง แต่ว่า.......แต่ว่า
ข้าฟังไม่ค่อยชัดว่าใคร”
“รีบพูดมา” อี๋ฟูรีบพูดว่า “พวกเขาพูดถึงใคร?”
เหมยอวี๋ฉวนพูดว่า “พวกเขาพูดถึง......กุมารอะไร
สักอย่าง.....” เขาขมวดคิ้วคิด “ท่านจ้าวถ้ำ......ท่าน
จ้าวถ้ำจัดงานเลี้ยงให้ข้า ดูแลข้าอย่างดี ข้า......ข้า
ดื่มหนักมาก......ดังนั้น......”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ปาเย่ลี่ก็โกรธมาก อี๋ฟูกำหมัดแน่น
แล้วพูดว่า “เจ้ามาถึงถ้ำเหมียว หื่นกามบ้าตัณหา
ทำลาย......เราไม่มีละเว้นชีวิตเจ้าแน่”
เหมยอวี๋ฉวนมาถึงถ้ำเหมียว ได้รับการดูแลอย่างดี
อีกทั้งยังถูกใจสาวชาวเหมียวสองคนด้วย ปาเย่ลี่คิด
ว่าเขาคือจิ่นอีโหว อีกทั้งยังมองถึงอนาคตของถ้ำเฮย
เหยียน ก็เลยยกสาวชาวเหมียวสองคนให้ไปดูแล
เหมยอวี๋ฉวน ใครจะคิดว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้ อี๋ฟู
กับปาเย่ลี่เองก็โกรธมาก
เหมยอวี๋ฉวนพูดว่า “ตอนนั้นข้า......ตอนนั้นข้าเมา
มาก องครักษ์คนหนึ่งเข้าห้องมาก็ต่อว่าข้า บอกว่า
เพราะข้าโลภทำให้ต้องอยู่ที่ถ้ำเหมียวต่อ ทำให้พวก
เขาเสียเรื่อง แต่ว่าข้าเมามากเลยฟังไม่ค่อยชัดนัก
แต่ว่า......แต่ว่ายังพอจะได้ยินพวกเขาพูดว่า หาก
เสียเวลาบนเขามากเกินไป กุมาร......กุมารอะไรสัก
อย่างจะโกรธมาก.......”
“กุมาร?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “กุมารอะไรกัน?”
เหมยอวี๋ฉวนขมดวคิ้วนึก แล้วพูดขึ้นมาว่า “ใช่ ข้า
จำได้แล้ว พวกเขาเหมือนจะบอกว่า......ใช่ กุมารฉือ
เป่า ไม่ผิดแน่ พวกเขาพูดว่ากุมารฉือเป่า พวกเขา
บอกว่าหากเสียเวลาบนเขานี้ต่อไป กุมารฉือเป่าจะ
โกรธมาก”
“กุมารฉือเป่า?” อี๋ฟูกับปาเย่ลี่มองหน้ากัน พวกเขา
ไม่เข้าใจเลย “ใครกัน?”
ฉีหนิงสีหน้าเปลี่ยนไป แล้วตะคอกว่า “พวกเขาพูด
ถึงกุมารฉือเป่าจริงหรอ?”
เหมยอวี๋ฉวนเห็นฉีหนิงสีหน้าเดือดดาด ก็รู้สึกกลัว
เขารีบพยักหน้า “ใช่ ใช่ ถึงแม้ตอนนั้นข้าจะเมามาก
แต่ว่า.......แต่ว่าข้าจำได้ พวกเขาพูดถึงกุมารฉือเป่า
ตอนนั้นข้าเองก็สงสัย ว่ากุมารฉือเป่านั้นเป็นใครกัน
แต่ว่าข้ารู้ว่า......ข้าร้ว่าพวกเขาคิดว่าข้าเมาจนฟังไม่
รู้เรื่อง ไม่งั้น......ไม่งั้นพวกเขาไม่มีทางพูดขึ้นมาแน่”
“กุมารฉือเป่า......” ฉีหนิงขมวดคิ้วหนักมาก “หรือ
ว่าจะเป็นเจ้าพวกประหลาดนั่น?”
อี๋ฟูอดไม่ได้ถามขึ้นมาว่า “โหวเยว่ กุมารฉือเป่าเป็น
ใครกัน? ท่านรู้จักหรอ?”
ฉีหนิงไม่รีบอธิบาย เขาถามเหมยอวี๋ฉวนว่า
“นอกจากนี้ เจ้ายังรู้อะไรอีก?”
“ข้าไม่รู้อะไรอีกแล้ว” เหมยอวี๋ฉวนพูด “พอเช้าวัน
ต่อมา พวกองครักษ์จะพาข้าลงจากเขา แต่ว่า.......
แต่ว่าข้าไม่คิดว่าเพราะธรรมเนียมของถ้ำเหมียว
จ้าวถ้ำ......จ้าวถ้ำไม่ยอมให้เราลงจากเขา องครักษ์
พวกนั้นกลัวว่าพวกเจ้าจะสงสัย ก็เลยยอมอยู่ต่อ
.......”
ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “อี๋ฟู เจ้าสั่งให้คนพาเขาไปขัง
ก่อน ไว้ค่อยสอบสวนใหม่”
อี๋ฟูสั่งให้ชายเหมียวสองคนพาตัวเหมยอวี๋ฉวนไปขัง
“ท่านจ้าวถ้ำ อี๋ฟู คนพวกนี้น่าจะได้รับคำสั่งจากคน
ที่ได้ชื่อว่ากุมารฉือเป่า ให้ขึ้นเขามา” ฉีหนิงพูดว่า
“พวกเจ้าเคยได้ยินชื่อของพญายมไหม?”
“พญายม?” ปาเย่ลี่หับอี๋ฟูมองหน้ากันแล้วก็ส่ายหัว
“อดทนอดกลั้นดังผืนพสุธา ซ่อนความสงบเอาไว้ลึก
ที่สุด” ฉีหนิงพูดว่า “พระยายมเป็นพระโพธิสัตว์
องค์หนึ่ง ทำหน้าที่พิพากษาแก่ดวงวิญญาณ
ทั้งหลาย ในลัทธิฝ่ายมหายาน เขาได้ให้คำสัตย์
สาบานไว้ว่า หากนรกภูมิไม่สูญสลายไป ก็จะไม่คืนสู่
โพธิสัตว์”
“ถ้าอย่างนั้นกุมารฉือเป่ามีความสัมพันธ์ยังไงกับ
พญายม?”
“พญายมต้องจุติลงมาบนโลกที่ไร้ซึ่งศาสนาและ
เผชิญวิบากกรรมทั้งหมดหกด่าน” ฉีหนิงอธิบายว่า
“พญายมมีลูกน้องในใต้บัญชาทั้งหมด 6 คน ถือเป็น
เทวทูตของนรกภูมิ เป็นเทวทูตที่จะคอยช่วยเหลือ
ให้พญายมผ่านวิบากกรรมไปได้อย่างราบรื่น” เขา
หยุดไป แล้วพูดว่า “กุมารฉือเป่า ถือหนึ่งในหกเทว
ทูตของพญายม”
ปาเย่ลี่กับอี๋ฟูตะลึงไป รู้สึกว่ามันยากที่จะเชื่อได้
ฉีหนิงพูดถึงตำนานของพญายม ที่จริงก็รู้มาจาก
เจียงหลิงไท่โซ่วเหมาเหวินโซ่ว
ตอนนั้นที่บ้านเก่าตระกูลฉีเกิดเรื่องแปลกประหลาด
มากมาย ฉีหนิงกับกู้ชิงฮั่นเดินทางไปสืบเรื่องนี้ที่
บ้านเก่า สุดท้ายได้ความมาว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เกิดจากฝีมือของจ้าวยวนที่ได้ชื่อว่าเป็นยมบาล ส่วน
ยมบาลก็ถือเป็นคนของพญายม
ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา ฉีหนิงก็รู้ว่าเบื้องหลังอำนาจ
นี้ลึกลับซับซ้อนมาก
หลังจากเกิดเรื่องที่บ้านเก่า เขาก็ไม่ได้เข้าใกล้กลุ่ม
อำนาจนี้อีก คิดไม่ถึงว่าคราวนี้จะมีกุมารฉือเป่าโผล่
มาอีก
กุมารฉือเป่าเป็นหนึ่งในหกเทวทูตของพญายม อีก
ทั้งยมบาลที่ก่อเรื่องที่บ้านเก่า ก็เป็นคนของพญายม
เช่นกัน ฉีหนิงแอบสงสัยว่า กุมารฉือเป่ากับยมบาล
ก่อนหน้านั้น จะเป็นพวกเดียวกันหรือเปล่า?
การมีอยู่ของยมบาลและกุมารฉือเป่า ก็หมายถึงการ
คงอยู่ของพญายม
กลุ่มอำนาจวิญญาณไม่ได้จางหายไปนี้ เป็นใครกัน
ทำไมถึงได้มาพัวพันกับเรื่องของถ้ำเฮยเหยียนได้?
ฉีหนิงรู้สึกว่าเบื้องหลังเรื่องนี้ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ
“โหวเยว่ เราเพิ่งได้ยินชื่อของกุมารฉือเป่านี่ครั้งแรก
ก่อนหน้านี้เราก็ไม่เคยมีความแค้นอะไรกับเขา ทำไม
เขาต้องใส่ร้ายเราด้วย?” ปาเย่ลี่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“กุมารฉือเป่านี่เขาเป็นใครกัน?”
ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้วข้าเองก็ไม่รู้
เหมือนกันว่ากุมารฉือเป่านี่เป็นใคร แต่ว่า......เมื่อกี้
เจ้านักแสดงละครนั่นก็บอกแล้วว่า เขาเป็นนักแสดง
ของคณะว่านชุน คณะว่านชุนรับเล่นร้องละคร
ให้กับเหล่าขุนนาง หรือก็หมายความว่า เขารู้จักเหม
ยอวี๋ฉวนเป็นอย่างดี ถึงได้ส่งคนไปหาเขาถึงที่”
“โหวเยว่พูดถูก กุมารฉือเป่าอาจจะเป็นขุนนางอย่าง
นั้นหรอ?” อี๋ฟูเข้าใจอะไรขึ้นมาทันที
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจมากุมารฉือเป่า
นั้นเป็นใครกันแน่ แต่ว่า.....คน ๆ นี้จะต้องไม่ใช่คน
ธรรมดาแน่นอน อาจจะเป็นขุนนางใหญ่ในซีชวนก็
ได้” เขาไม่ได้อธิบายต่อไป “ท่านจ้าวถ้ำปาเย่ลี่ ข้า
ได้สั่งให้คนไปตามเหว่ยซูถงมาแล้ว ก่อนที่เขาจะ
มาถึง สั่งให้คนคุ้มกันไป๋ถังหลิงให้ดี ทางที่ดีซ่อนตัว
เขาเอาไว้อย่าให้ใครรู้จะดีที่สุด”
ปาเย่ลี่พยักหน้า “โหวเยว่วางใจได้ ข้าจะรีบจัดการ
ทันที” เขาหันหลังไปสองก้าว จากนั้นก็หันกลับมา
แล้วคำนับฉีหนิง จากนั้นก็พูดว่า “โหวเยว่ ปาเย่ลี่
ประมาท เชื่อคนเลว ล่วงเกินโหวเยว่ ได้โปรด.......”
ฉีหนิงไม่รอเขาพูดจบ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านไม่
ต้องพูดแล้ว ข้าบอกไปแล้ว หากเปลี่ยนเป็นข้า ข้า
เองก็เข้าใจผิดเหมือนกัน ยังดีที่ไม่ได้เกิดเป็นเรื่อง
ร้ายแรงขึ้น”
ปาเย่ลี่เห็นฉีหนิงไม่ได้ติดใจ เขาก็โล่งใจ
หลังจากคนอื่นออกไปจนหมดแล้ว ภายในห้อง
ตอนนี้ก็เหลือแค่ฉีหนิงกับอี๋ฟูเท่านั้น อี๋ฟูเห็นฉีหนิง
เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ก็อดถามไม่ได้ “โหวเยว่คิด
อะไรอยู่?”
ฉีหนิงมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้ว
เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่อี๋ฟู ข้าไม่ชินเลยที่เจ้าเรียกข้า
ว่าโหวเยว่ เรียกข้าว่าน้องชายสุดที่รักเหมือนเดิม
ดีกว่า”
อี๋ฟูหน้าแดง แล้วพูดเสียงเบาว่า “ข้า......ข้าไม่รู้ว่า
ท่านคือจิ่นอีโหว ที่แท้......ที่แท้ท่านก็มาซีชวน เพื่อ
ช่วยเรา”
“จะบอกว่ามาเพื่อพวกเจ้าทั้งหมดมันก็ไม่ใช่หรอก
นะ” ฉีหนิงถอนหายใจว่า “ฝ่าบาททรงกังวลเรื่องที่
มีคนจะมายุแยงชาวเหมียวให้ก่อความวุ่นวายมาก
เมื่อไหร่ก็ตามที่ซีชวนเกิดความวุ่นวาย ชาวบ้านก็
จะต้องเดือดร้อน ราชสำนักก็จะไม่สงบ”
อี๋ฟูขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่......” เมื่อนางเห็นฉี
หนิงจ้องมาที่นาง ก็รู้สึกเขิน ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“บอกแล้วไงว่าข้าไม่ชินเลยที่เจ้าเรียกข้าว่าโหวเยว่
เรียกข้าว่าน้องชายดีกว่า”
“ไม่ได้” นางรู้ดีว่าฉีหนิงเป็นจิ่นอีโหวที่มี
ความสัมพันธ์อันดีกับถ้ำเฮยเหยียนของนาง อี๋ฟูก็
รู้สึกไม่เหมือนเดิม นางพูดว่า “หากพี่ใหญ่มาได้ยิน
เข้า จะต้องตำหนิข้าแน่”
ฉีหนิงเห็นว่าไม่มีใครอยู่ เขาก็ยื่นมือไปจับมือของอี๋ฟู
อี๋ฟูคิดจะหลบ แต่ก็ลังเล ฉีหนิงทำอะไรว่องไวมาก
เขาจับไปที่มือของนางแล้ว เขาพูดว่า “เจ้ากลัวว่าพี่
ใหญ่ของเจ้าจะตำหนิ แล้วไม่กลัวข้าจะตำหนิหรอ?
ยังไงข้าก็เป็นถึงจิ่นอีโหวนะ เชื่อฟังข้านะ หากเจ้าไม่
อยากเรียกข้าว่าน้องชาย เรียกข้าว่าท่านพี่แทนไหม
ละ”
“ไม่ได้” อี๋ฟูก้มหน้าลงเล็กน้อย เขาเหลือบไปมองฉี
หนิง ด้วยอายุแล้ว นางแก่กว่าฉีหนิงห้าถึงหกปีเลย
ทีเดียว จะเรียกท่านพี่ฉีหนิงได้ยังไงกัน นางพูดว่า
“ถ้าไม่มีใครอยู่ ข้าจะเรียก......ข้าจะเรียก......”
ถึงแม้หญิงชาวเหมียวจะอ่อนไหวง่าย แต่ก็ไม่ได้
เหมือนหญิงชาวฮั่น แต่ว่าถูกยั่วแบบนี้ มันก็น่าอาย
อยู่ดี
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงข้าเคยคิดนะ คนที่อยู่
เบื้องหลังในครั้งนี้ อาจจะเป็นไปได้ทั้งพรรคบัวดำ
หรือแม้กระทั่งสู่อ๋องหลี่หงซิ่น......” เขาขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “แต่ว่าตอนนี้กลับมีกุมารฉือเป่าโผล่มา ทำให้
ข้าจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย”
อี๋ฟูขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าสงสัยสู่อ๋องหรอ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงตอนที่ข้าอยู่เมืองหลวง
ข้าเคยคาดไว้ว่า หากเรื่องนี้มีคนตั้งใจยุแยงชาว
เหมียวซีชวนให้ก่อกบฏแล้ว จะต้องมีเป้าหมายอื่น
แฝงแน่ เมื่อชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำก่อกบฏ ใครจะ
ได้ประโยชน์มากที่สุด? หากประเมินจากจุดนี้ ก็
จะต้องหาผู้ต้องสงสัยได้แน่”
“ข้าเข้าใจแล้ว” อี๋ฟูพูดว่า “เจ้าหมายความว่าเมื่อ
ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำก่อกบฏ ซีชนวเกิดความ
วุ่นวาย สู่อ๋องก็อาจจะฉวยโอกาสก่อกบฏขึ้นใช่
ไหม”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 392 หนี้เลือด
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “มันก็แค่การคาดเดาของข้า
เพราะว่าเขาเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องที่ ตอนนั้นที่ยอม
สวามิภักดิ์ ในใจของเขาก็คงไม่ได้เต็มใจ”
อีฝูพูดว่า “แต่ว่าหลายปีมานี้ สู่อ๋องเองก็ออกทำศึก
น้อยมาก กินเจสวดมนต์ คิดอยากจะละเว้นการฆ่า
ฟัน”
“อย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงพูดด้วยความแปลกใจ “มี
เรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
อีฝูพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ได้ยินคนอื่นพูดมา
อีกที ได้ยินมาว่าเขายังบริจาคเงินสร้างวัดหลายแห่ง
อีกทั้งยังไปปฏิบัติธรรมที่นั่นบ่อยครั้ง” นางพูดว่า
“เพียงแต่ลูกชายเขาที่ชื่อหลี่หยวนต่ำช้ามาก ชอบ
รังแกคนที่อ่อนแอกว่า”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าถ้ำเฮยเหยียนห่างจาก
เมืองเฉิงตูก็ไกลประมาณหนึ่ง แม้แต่สู่อ๋องกินเจสวด
มนต์พวกเจ้ายังรู้เลย ดูท่าพวกเขาปล่อยข่าวได้ไม่
เลวเลยสินะ?”
“ปล่อยข่าว?”
ฉีหนิงพูดว่า “เขากินเจสวดมนต์จริงหรือไม่ เหตุใด
จะต้องบอกให้ใครรู้ด้วยเล่า? น่าจะตั้งใจปล่อยข่าว
ออกมา ให้ใครรู้กันทั่วมากกว่า เพื่อปิดบังอะไร
บางอย่าง”
“ปิดบังอะไรบางอย่าง?” อีฝูพูดว่า “เหตุใดถึงพูด
แบบนี้เล่า?”
“อีฝู เจ้าก็น่าจะรู้ สู่อ๋องถือว่าเป็นฮ่องเต้ของพื้นที่ซี
ชวนมาก่อนนะ เพื่อยึดซีชวนไว้ เขาถึงต้องต่อสู้กับ
ทหารของแคว้นฉู่” ฉีหนิงพูดต่อว่า “ตอนนั้นท่าน
เหล่าโหวยกทัพไปปราบทหารสู่ ตลอดทางสังหาร
แม่ทัพไปมากมาย สุดท้ายก็ยึดเมืองได้ หากไม่ใช่ว่า
ชาวเป่ยฮั่นมีความเคลื่อนไหวทางตอนเหนือ เมือง
เฉิงตูถูกบุกโจมตีไปนานแล้ว หัวของหลี่หงซิ่นคงไม่
อยู่บนบ่ามาจนถึงทุกวันนี้หรอก”
จิ่นอีโหวตระกูลฉีมีความแค้นกับสู่อ๋องตระกูลหลี่ ฉี
หนิงเองก็รู้เรื่องนี้ดี
ตอนนั้นท่านเหล่าโหวยกทัพทหารมากว่าแสนนาย
เพื่อมาปราบทหารสู่ สู่อ๋องหลี่หงซิ่นยกทัพ
ประจันหน้า ทำให้กองทัพของสู่อ๋องสูญเสียไปไม่
น้อยเหมือนกัน
เพียงแต่สุดท้ายแล้วทัพฉู่ก็เหนือกว่าทัพสู่อยู่ดี อีก
ทั้งท่านจิ่นอีเหล่าโหวเองก็เป็นขุนพลมีชื่อเสียง ทำ
ให้สามารถยึดเมืองเฉิงตูได้ในที่สุด อีกทั้งตอนนั้น
ชาวเป่ยฮั่นเองก็ยกทัพมาตีทางใต้ หลี่หงซิ่นจึงฉวย
โอกาสนั้น ยอมสวามิภักดิ์ต่อต้าฉู่
ฉีหนิงยอมรับว่า ที่หลี่หงซิ่นยอมสวามิภักดิ์มันเป็น
จังหวะที่ดีมากและได้ประโยชน์มาก
หากยังสู้กันต่อไป ตอนนั้นราชสำนักตัดสินใจแล้วว่า
จะยึดเอาซีชวนมา แล้วกวาดล้างหลี่หงซิ่นค่อย
เคลื่อนทัพขึ้นเหนือ แต่ถ้าอย่างนั้น หากทหารที่อยู่
ทางนั้นไม่อาจต้านทัพของชาวเป่ยฮั่นได้ ถึงเวลานั้น
ทหารที่เคลื่อนมาจากซีชวนก็ไม่มีความหมาย
แต่เมื่อหลี่หงซิ่นยอมสวามิภักดิ์ด้วยตนเอง มันเป็น
เรื่องที่ต้าฉู่ไม่คาดคิดเลย ในสถานการณ์แบบนั้น สู่
อ๋องเสนอเงื่อนไขภายใต้การสวามิภักดิ์ ต้าฉู่ก็
พยายามยอมรับเงื่อนไขเหล่านั้นให้ได้มากที่สุด
ก็เพราะแบบนี้ หลายปีมานี้ สู่อ๋องหลี่หงซิ่นก็ถือว่า
ยังมีอิทธิพลมากในซีชวนอยู่ ขุนนางซีชวนในหลาย
พื้นที่ ก็ยังเป็นคนของสู่อ๋องทั้งหมด
ฉีหนิงรู้สึกว่า ด้วยนิสัยของหลี่หงซิ่น หากบอกว่าเขา
สวามิภักดิ์ต่อต้าฉู่ทั้งกายและใจแล้ว คงพูดไม่ได้เต็ม
ปาก
หลี่หงซิ่นเป็นคนที่เก่งมากเรื่องการหาโอกาส อดีต
ฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้ใหม่ครองราชย์ ราชสำนักยัง
ไม่มั่นคง สถานการณ์แบบนี้ หากซีชวนเกิดการ
เปลี่ยนแปลง ฉีหนิงคิดว่าคนแรกที่คิดฉวยโอกาสหนี
ไม่พ้นสู่อ๋องแน่นอน
เพียงแต่ว่าครั้งนี้จู่ๆ ก็มีกุมารฉือเป่าโผล่มา ทำให้ฉี
หนิงรู้สึกงุนงงมาก ในใจเขาคิดว่ากุมารฉือเป่าน่าจะ
เป็นคนของพญายม แล้วพญายมนั่นคือใครกันอีก?
เขาจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับสู่อ๋องหลี่หงซิ่นหรือไม่?
ก่อนหน้านี้พญายมยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องที่จวนเก่า
ตระกูลฉีแล้ว ครั้งนี้ยังมาโผล่ที่ซีชวนอีก หากเขา
เป็นพวกเดียวกับสู่อ๋องจริง มันก็อธิบายได้ แต่หาก
พญายมกับสู่อ๋องไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แล้วกลุ่มนี้
มันมาจากไหนกัน?
อีฝูไม่มีทางรู้ว่าฉีหนิงคิดอะไรอยู่
ฉีหนิงรีบเร่งเดินทางมายังถ้ำเฮยเหยียน ไป๋ถังหลิง
รู้สึกตกใจแต่ก็ไม่มีอันตรายใดๆ ปาเย่ลี่ทำตามที่ฉี
หนิงสั่งทุกอย่าง เขานำตัวไป๋ถังหลิงไปซ่อน แล้วสั่ง
เฝ้าเวรยามแน่นหนาทุกจุด
หลังจากนั้นต่อมาอีกสองวัน อีฝูพาฉีหนิงเที่ยวรอบ
เขาเฮยเหยียนด้วยตัวเอง
ฉีหนิงมีภารกิจสำคัญกับตัว นั่นก็คือการแก้ไขปัญหา
เรื่องของถ้ำเฮยเหยียน ขอแค่เหว่ยซูถงมาถึง เขาก็
จะพาไป๋ถังหลิงลงเขาไปทันที
ผ่านไปอีกวัน ก็ยังไม่มีข่าวมาจากตีนเขา ฉีหนิงกำลัง
คิดว่าหรือว่าเขาควรจะลงเขาไปเลย ทันใดนั้นเองก็
มีคนเดินมาหน้าตาตื่น เขาคำนับแล้วพูดว่า “โหว
เยว่ ท่านจ้าวถ้ำขอเชิญท่านไปพบ บอกว่ามีเรื่อง
สำคัญจะหารือด้วย”
ฉีหนิงมาถึงห้องของปาเย่ลี่ เห็นปาเย่ลี่กับอีฝูกำลัง
รออยู่ ไป๋หย่าลี่เองก็เช่นกัน เมื่อเห็นฉีหนิงมาถึง
พวกเขาสามคนก็ทำความเคารพ ปาเย่ลี่สีหน้า
เคร่งเครียดแล้วพูดว่า “โหวเยว่ มีคนส่งหีบนี้มาให้
บอกว่าเป็นของขวัญให้กับถ้ำเฮยเหยียนของพวกเรา
พวกเรายังไม่ได้เปิดออก เลยเชิญโหวเยว่มาหารือ
ด้วย”
“หีบ?” ฉีหนิงอึ้งไป ตอนนี้เขาพบว่า บนโต๊ะมีกล่อง
หีบไม้ที่ทำอย่างประณีตมาก มันลงกลอนเอาไว้ เขา
สงสัยแล้วพูดว่า “ใครเป็นคนส่งมา?”
ปาเย่ลี่พูดว่า “อีกฝ่ายบอกว่าสู่อ๋องซื่อจื่อเป็นคนส่ง
มาให้”
“สู่อ๋องซื่อจื่อ?” ฉีหนิงรีบนึกถึงสู่อ๋องซื่อจื่อหลี่
หยวนที่เขาเคยมีเรื่องด้วยที่เมืองหลวง ในใจก็รู้สึก
ว่าไม่ปกติ เขาถามว่า “เขาบอกหรือไม่ว่าเขาส่งมา
ให้ทำไม?”
ปาเย่ลี่อธิบายต่อว่า “พวกเขาส่งคนเอาหีบนี้มาวาง
ไว้ที่ตีนเขา จากนั้นก็บอกว่าสู่อ๋องซื่อจื่อมอบ
ของขวัญมาให้พวกเรา ไม่ได้บอกอย่างอื่น”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “เปิดออกดูสิว่ามันเป็น
อะไร”
ปาเย่ลี่ไม่ได้ลังเล เขาใช้ดาบฟันกลอนออก เพราะไม่
มีกุญแจ ปาเย่ลี่เปิดกล่องไม้ออก ทุกคนเห็นด้านใน
มีห่อผ้าสีขาวคลุมเอาไว้ แต่ในวินาทีที่เปิดกล่องออก
มันมีกลิ่นคาวเลือดโชยมาด้วย ฉีหนิงเองก็แทบจะ
อ้วกออกมาแล้ว ทุกคนต่างอุดจมูกเอาไว้
ปาเย่ลี่เอามือข้างหนึ่งอุดจมูกไว้ อีกข้างก็ใช้มีดเปิด
มันออกอย่างระมัดระวังมาก เมื่อเปิดผ้าออก อีฝูก็
ถึงกับร้องกรี๊ดออกมา ทุกคนตกใจกันหมด ในกล่อง
ไม้ เป็นศีรษะของมนุษย์ มีคราบเลือดและเนื้อ
บางส่วนเริ่มเน่าแล้ว แต่ว่าใบหน้ายังเห็นชัดอยู่
“หยากัน...” ปาเย่ลี่ตกใจ “หยากัน...”
ฉีหนิงเองก็พอจะจำได้ ศีรษะที่อยู่ในนั้น เป็นชาว
เหมียวหยากันที่เคยเจอในคืนวันฝนตก หยากันกับ
ชาวเหมียวอีกหลายคนที่ติดตามอีฝูฝ่าวงล้อมออก
จากเขาไป ถูกไล่ฆ่าตลอดทาง ในคืนวันฝนตกเขาถูก
เจ้าลิงขาวกับผีดูดเลือดนั่นไล่สังหาร ทำให้ต้อง
แยกกันเดินทาง
ฉีหนิงเองก็แยกกับพวกฉีเฟิงเหมือนกัน ส่วนอีฝูก็
แยกกับพวกของหยากัน
คิดไม่ถึงเลยว่า กล่องไม้ที่ส่งมา จะเป็นหัวของหยา
กัน
ปาเย่ลี่ทั้งตกใจทั้งโกรธมาก อีฝูเองก็มองออกแล้ว
นางก็พลันตัวสั่นเทาทันที จากนั้นก็หันหลังเตรียมที่
จะเดินออกจากห้องไป ฉีหนิงรีบเดินไปขวางนาง
เอาไว้ อีฝูพูดด้วยความโมโหว่า “เจ้าหลีกไป”
“เจ้าจะไปไหน?” ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าจะไปฆ่าเจ้าหลี่หยวน” อีฝูสีหน้าซีดเซียว
สายตาของนางมีแต่ความแค้น “ข้าจะหั่นหลี่หยวน
เป็นชิ้นๆ ให้เขาตายไม่มีที่ฝัง”
ฉีหนิงพูดว่า “แล้วเจ้ารู้หรือ เป้าหมายของอีกฝ่าย
คืออะไร ในเวลาแบบนี้ หลี่หยวนส่งหัวของหยากัน
มาให้ทำไม?”
“ข้าไม่สน” อีฝูตาแดงก่ำ “หากไม่ฆ่าเขาให้ตาย
หยากันตายตาไม่หลับแน่”
ฉีหนิงพูดว่า “อีฝู ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้านะ แต่
ว่าเจ้าฟังข้านะ หลี่หยวนให้คนส่งศีรษะมาให้
เพื่อให้ทางถ้ำเฮยเหยียนเสียสติไป หากพวกเจ้าโกรธ
จนไม่ได้สติอาจจะทำอะไรที่เกินเลยได้” เขายกมือ
สองข้างวางบนไหล่อีฝู เขาจ้องไปที่อีฝู แล้วพูดว่า
“เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่?”
“ข้า...” น้ำตาของอีฝูไหลลงมา นางเห็นฉีหนิงมอง
มาที่นาง นางก็พยักหน้า
ฉีหนิงพูดว่า “ดี หากเจ้าเชื่อใจข้า ก็ฟังข้า ข้า
รับปากเจ้า ชีวิตของหลี่หยวน ข้าจะเอามาให้เจ้า
เขาจะได้รับผลกรรมที่เขาทำแน่นอน”
“แต่ว่า...”
“สูดหายใจเข้าลึกๆ สงบใจลงก่อนนะ” ฉีหนิงพูด
อย่างจริงจังว่า “พวกเราจะให้สิ่งที่พวกเราทำมา
ทั้งหมดสูญเปล่าไปเพราะความโกรธชั่วขณะไม่ได้
เด็ดขาด การตายของหยากัน จะไม่จบแค่นี้แน่ นี่มัน
แค่เริ่มต้น ข้ารับปากเจ้าว่าข้าจะให้หลี่หยวนชดใช้
หนี้เลือดในครั้งนี้แน่นอน ข้าไม่มีทางผิดคำพูดกับ
เจ้า”
อีฝูกระทืบเท้าแล้วหันหลังนั่งลงตรงเก้าอี้ แล้ว
ร้องไห้ด้วยความปวดใจ
ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วมองไปที่ปาเย่ลี่ที่โกรธมาก
เช่นกัน เขาพูดว่า “ท่านจ้าวถ้ำ ท่านเป็นผู้นำของถ้ำ
เฮยเหยียน มีอีกหลายพันชีวิตที่ท่านต้องรับผิดชอบ
ต้องทำอย่างไร ข้าคงไม่ต้องบอก ท่านเข้าใจใช่
หรือไม่”
ปาเย่ลี่พยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่โปรดวางใจ ข้า
รู้ว่าไม่ควรวู่วาม แต่ว่าหนี้เลือดในครั้งนี้ พวกเราจะ
ไม่มีวันลืม” เขากำหมัดแน่น แล้วทุบโต๊ะไปอย่าง
แรง
หยากันตายอย่างอนาถ ปาเย่ลี่กับอีฝูเจ็บปวดอย่าง
มาก ดีที่ฉีหนิงปลอบจนสงบลงได้
ปาเย่ลี่สั่งให้คนนำศีรษะของหยากันไปทำความ
สะอาด เพื่อไม่ให้คนในถ้ำวุ่นวาย เลยสั่งให้นำไปฝัง
ไว้ก่อน
เย็นวันต่อมา ฉีหนิงได้รับจดหมายจากตีนเขาจนได้
ทหารที่ตีนเขายิงธนูแนบจดหมายเข้ามา ปาเย่ลี่
ได้รับจดหมายมาแล้ว ก็รีบนำมาให้ฉีหนิง ฉีหนิงเปิด
จดหมายออกอ่าน ก็เลยได้รู้ว่าเหว่ยซูถงเร่งเดินทาง
มาถึงเขาเฮยเหยียนแล้ว
ฉีหนิงสั่งให้ปาเย่ลี่เตรียมตัวให้พร้อม เช้าวันต่อมา ฉี
หนิงพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งเดินมายังทางช่องเขาแคบ
เพื่อเดินออกจากเขา เขาเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งรอ
อยู่ที่ตีนเขา ฉีหนิงกันเอาไว้เผื่อพลาดจึงไม่สนใจคำ
เกลี่ยกล่อมของปาเย่ลี่กับอีฝู จึงลงจากเขาไปคน
เดียวก่อน
พอมองลงมาก็เห็นเวียกันเหลียงเสี้ยวเว่ยที่เจอกัน
ครั้งที่แล้วกำลังยืนรออยู่ เมื่อเขาเห็นฉีหนิง เวียกัน
เหลียงก็รีบวิ่งเข้าไปในกลุ่มคน ไม่นานนัก ฉีหนิงก็
เห็นชายคนหนึ่งสวมชุดเจ้าหน้าที่ทางการเดิน
ออกมาจากกลุ่มคน พร้อมกับเยว่กันเหลียงกับ
องครักษ์ รีบเดินมารับฉีหนิง
พวกเขายืนห่างกันประมาณเจ็ดแปดก้าว ฉีหนิงมอง
ไปที่ขุนนางที่เดินมา เขาอายุราวห้าสิบปี หน้าตา
ใช้ได้ แต่ว่าดูอ่อนเพลียไม่น้อย คิดว่าน่าจะเร่ง
เดินทางมาจากเมืองเฉิงตูทั้งวันทั้งคืน เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “เจ้าคือซีชวนชื่อสื่อเหว่ยซูถง?” เขายกป้ายทอง
พระราชทานออกมาแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทมีราช
โองการ ให้มาสืบเรื่องของถ้ำเฮยเหยียน”
เมื่อขุนนางคนนั้นเห็นป้ายทอง ก็เดินหน้าขึ้นสอง
ก้าว จากนั้นก็คุกเข่าลง แล้วพูดว่า “ข้าน้อยซีชวน
ชื่อสื่อเหว่ยซูถง คำนับโหวเยว่”
ฉีหนิงยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยลุกขึ้นเถอะ”
เหว่ยซูถงลุกขึ้นมา ฉีหนิงถึงได้เดินหน้าขึ้นมาอีกสอง
ก้าว เขายิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยเร่งเดินทางมา
ทัง้ วันทั้งคืน คงลำบากแย่ มาเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้มาก
เลยนะ”
เหว่ยซูถงโค้งคำนับแล้วพูดว่า “ไม่ทราบโหวเยว่จะ
มา ข้าน้อยไม่ได้มาต้อนรับ โหวเยว่โปรดอภัยด้วย”
“คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด ข้ามาซีชวนในครั้งนี้ เดิมทีก็ไม่ได้
คิดจะเปิดเผยตัวอยู่แล้ว” ฉีหนิงเก็บป้ายทองไป
แล้วเข้าเรื่องเลย “ไต้เท้าเหว่ย ข้าได้ยินว่า ท่านสั่ง
ให้ล้อมเขาเฮยเหยียนไว้ เพราะคนของเขาเฮยเห
ยียนสังหารขุนนางราชสำนัก จริงหรือไม่?”
“เรียนโหวเยว่ ทางถ้ำเฮยเหยียนได้สังหาร
นายอำเภอตันปาไป๋ถังหลิงอีกทั้งลูกน้องของเขา
เท่ากับก่อกบฏ ข้าน้องส่งคนไปเรียกตัวเขามาเพื่อ
ชี้แจงและรับทราบข้อกล่าวหา แต่ว่าเขาขัดคำสั่ง
ข้าน้อยไม่มีทางเลือก จึงจำเป็นต้องนำกำลังทหาร
มา” เหว่ยซูถงพูดว่า “ทำให้ราชสำนักต้องแตกตื่น
อีกทั้งยังต้องรบกวนให้โหวเยว่มาด้วยตัวเองอีก เป็น
ความสะเพร่าของข้าน้อยเอง”
ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าจ้าวถ้ำเฮยเหยียนส่งสารมาให้
ท่าน เนื้อจดหมายแจ้งว่าไป๋ถังหลิงยังไม่ตาย หรือว่า
ท่านไม่รู้?”
เหว่ยซูถงตะลึงไป เงยหน้าขึ้นมาแล้วขมวดคิ้ว “โหว
เยว่ ไป๋ถังหลิงยังไม่ตายจริงหรือ?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 393 โหดเหี้ยมทารุณ
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย ท่านไม่รู้สึกว่า
ข้าควรถามท่านหรือ? เรื่องนี้เกิดจากไป๋ถังหลิงถูก
สังหาร แต่ปาเย่ลี่ส่งจดหมายให้ท่านถึงสองครั้ง หรือ
ว่าท่านไม่รู้เลยว่าไป๋ถังหลิงยังไม่ตาย?”
เหว่ยซูถงพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยไม่ได้รับจดหมายนั่น
เลย แต่ว่าพอได้ยินข่าวลือว่าไป๋ถังหลิงยังไม่ตาย แต่
ข้าก็ยังไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่อ?”
“โหวเยว่คงไม่ทราบ ชาวเหมียวเจ้าเล่ห์มาก หากไป๋
ถังหลิงยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดถึงไม่ลงจากเขาเล่า?
ข้าน้อยให้คนยิงธนูส่งสารขึ้นไป ให้ปาเย่ลี่พาไป๋ถังห
ลิงลงมาพบ หากเขายังมีชีวิตอยู่ ข้าน้อยก็ถอนกำลัง
ทหารทันที” เหว่ยซูถงสีหน้าเคร่งเครียด “แต่ว่าปาเย่
ลี่ไม่ได้ทำตามคำสั่ง อีกทั้งยังสั่งให้คนมาเฝ้าทางขึ้นลง
เขาทั้งหมด อีกทั้งยังเรียกร้องให้ทางเราขึ้นไปคุยกับ
เขาบนเขาด้วย” เขาพูดต่อว่า “ข้าน้อยคิดว่า ชาว
เหมียวเจ้าเล่ห์ อาจจะคิดให้พวกเราขึ้นไปเป็นตัว
ประกันก็ได้”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย เจ้าเป็นชื่อ
สื่อของซีชวน เป็นขุนนางรับผิดชอบพื้นที่นี้ ไม่ว่าจะ
ชาวฮั่น ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำ แม้กระทั่งชาวปาเห
ริน ต่างก็เป็นประชาชนชาวต้าฉู่ทั้งนั้น เป็นคนในการ
ปกครองของท่าน แต่เหตุใดข้าฟังจากน้ำเสียงของ
ท่านแล้ว เหมือนท่านจะมีอคติกับชาวเหมียวมาก?”
เหว่ยซูถงตะลึงไป สีหน้าเขาเหมือนทำอะไรไม่ถูก เขา
ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยเป็นซีชวนชื่อสื่อ ก็
ต้องปกป้องซีชวนให้สงบสุข ถ้ำเฮยเหยียนสังหารราช
สำนัก ข้าน้อย...”
“ช่างเถอะ” ฉีหนิงพูดขัดขึ้นมา “ข้าขึ้นเขามาแล้ว ข้า
ได้พบไป๋ถังหลิงแล้ว ตอนนี้เขาสบายดี เรื่องจริงที่
เกิดขึ้น เขาจะมาอธิบายให้เจ้าฟังเอง” เขามองแล้ว
พูดว่า “เจ้าสั่งให้ถอนทหารได้แล้ว”
เหว่ยซูถงขมวดคิ้ว “โหวเยว่ท่านเจอไป๋ถังหลิงแล้ว
หรือ?”
ฉีหนิงหันหลัง แล้วยกมือสัญลักษณ์ให้กับบนเขา ไม่
นานนัก ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินลงมา มีประมาณสามสิบ
สี่สิบคน
เหล่าทหารต่างพากันตื่นตัว ทหารกว่าร้อยนายกำ
ดาบเอาไว้แน่น
ปาเย่ลี่เดินนำหน้าสุด เมื่อมาถึงบริเวณใกล้ๆ ก็
มองเห็นเหว่ยซูถง แม้เขาจะขมวดคิ้ว แต่ก็ยังคำนับ
“ปาเย่ลี่คำนับใต้เท้าเหว่ย” เขาต้องรู้จักเหว่ยซูถงอยู่
แล้ว
ในกลุ่มคนที่เดินมา มีคนหนึ่งเดินออกมา สวมชุดชาว
เหมียว อายุห้าสิบต้นๆ เขาคุกเข่าลงแล้วพูดว่า “ข้า
น้องไป๋ถังหลิง คำนับท่านชื่อสื่อ”
“เจ้าคือไป๋ถังหลิงอย่างนั้นหรือ?” เหว่ยซูถงมองไปที่
คนผู้นั้น ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไป๋ถังหลิง ในเมื่อเจ้ายัง
มีชีวิตอยู่ เหตุใดถึงไม่ยอมลงมาจากเขา?”
คนผู้นั้นหยิบของออกมาชิ้นหนึ่ง แล้วยื่นให้กับเขา “นี่
เป็นตราประจำตำแหน่งที่ข้าน้อยพกติดตัวไว้ ข้าน้อย
มาถึงเขาเฮยเหยียน ปาเย่ลี่ดูแลต้อนรับข้าดีมาก
อธิบายเรื่องภาษีที่เกิดขึ้นให้ข้าฟัง ข้าน้อยเดิมทีคิดจะ
ลงเขาไปเพื่อรายงานเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ว่า...
พอลงจากเขามา ก็ถูกคนร้ายกลุ่มหนึ่งลอบสังหาร จน
เกือบเอาชีวิตไม่รอด”
ฉีหนิงรู้ว่าเหว่ยซูถงเป็นชื่อสื่อของซีชวน ซีชวนมีสิบ
หกเขต ตำบลอำเภอมีเป็นร้อย ไป๋ถังหลิงเป็นแค่
นายอำเภอเล็กๆ อาจจะไม่เคยได้เจอเหว่ยซูถงก็ได้
ต่อให้เคยเจอ เหว่ยซูถงก็อาจจะจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
“อ๋อ?” เหว่ยซูถงยกมือลูบเครา “เจ้ารู้หรือไม่ว่านัก
ฆ่าพวกนั้นเป็นใคร?”
“ข้าน้อยไม่ทราบเลยขอรับ แต่ข้าน้อยมั่นใจ เรื่องนี้ไม่
เกี่ยวข้องอะไรกับถ้ำเฮยเหยียนเลย” ไป๋ถังหลิงพูด
ด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าน้อยคิดว่า มีคนคิดตั้งใจสังหาร
ข้าน้อยแล้วโยนความผิดทั้งหมดให้ถ้ำเฮยเหยียน ยังดี
ที่ท่านจ้าวถ้ำเฮยเหยียนปาเย่ลี่ช่วยชีวิตข้าน้อยเอาไว้
ไม่เช่นนั้นข้าน้อยคงตายไปแล้ว ท่านชื่อสื่อ ถ้ำเฮยเห
ยียนถูกใส่ร้ายจริงๆ นะขอรับ ข้าน้อยขอรับรองด้วย
ชีวิต” เขาหยิบของมาจากสาบเสื้อ เป็นจดหมายฉบับ
หนึ่ง “ข้าน้อยได้เขียนชี้แจงทุกอย่างไว้ในนี้แล้ว ที่ถ้ำ
เฮยเหยียนไม่เสียภาษี เพราะมีที่มาที่ไป ท่านชื่อสื่อได้
โปรดตรวจสอบให้ความเป็นธรรมด้วย”
เหว่ยซูถงรับจดหมายมา แล้วมองไปที่ฉีหนิง เห็นฉี
หนิงมองมาที่เขาอย่างจริงจัง เขารีบยื่นจดหมายไปให้
ฉีหนิง ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องราวตั้งแต่ต้น
จนจบข้ารู้หมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องดูอีก”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมา ทุกคนต่างก็
หันไปตามเสียง เห็นคนราวยี่สิบคนกำลังมุ่งหน้ามา
ทางนี้ คนที่นำอยู่ด้านหน้าสวมชุดผ้าแพรอย่างดี ขี่ม้า
สีขาวเด่นสะดุดตา ผ้าคาดหัวสีม่วง ดูมีสง่าราศีมาก
“ซื่อจื่อ” เยว่กันเหลียงเห็นคนที่มา ก็หลุดพูดออกมา
เหว่ยซูถงขมวดคิ้ว ฉีหนิงเองก็สีหน้าเคร่งเครียด ปาเย่
ลี่กับอีฝูกัดปาก กำหมัดแน่น
สู่อ๋องชื่อจื่อ*หลี่หยวนควบม้ามา เมื่อมาใกล้ๆ ก็มีคน
ๆ หนึ่ง ลงจากม้ามา แล้วรีบวิ่งไปที่ข้างม้าของหลี่
หยวน เขารีบคุกเข่าลง หลี่หยวนเหยียบหลังของเขา
ลงมาจากม้า จากนั้นถึงจะเดินมา เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ไต้เท้าเหว่ย ท่านอยู่นี่นี่เอง ข้าได้ยินว่าท่านเร่ง
เดินทางมาที่นี่ มีเรื่องอยากจะพบท่านอยู่พอดี”
(ชื่อจื่อ 世子 หมายถึงรัชทายาทหรือผู้สืบทอด
ตำแหน่ง)
เหว่ยซูถงยิ้มแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านเองก็มาที่นี่ด้วย
เหมือนกันหรือ?”
“ถ้ำเฮยเหยียนก่อกบฏ จิ่นกวนเว่ยปิดล้อมเขาเฮยเห
ยียนทางตอนใต้ ข้าเองก็จะประมาทไม่ได้ จะได้ไม่มี
โจรกบฏที่ไหนหนีรอดไปได้” หลี่หยวนยิ้มอย่างได้ใจ
เหมือนเขาเพิ่งจะสังเกตเห็นฉีหนิงกับปาเย่ลี่ จากนั้น
เขาก็ตะโกนว่า “ดี พวกสุนัขเหมียวลงเขามาแล้ว
ทหาร จับพวกเขาเอาไว้ให้หมด”
ฉีหนิงพูดขึ้นมาว่า “นี่มันสู่อ๋องซื่อจื่อไม่ใช่หรือ? อะไร
กัน เจ้าได้บรรดาศักดิ์รับยศตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?”
หลี่หยวนอึ้งไป เขาไม่เข้าใจความหมายของฉีหนิง
แล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“สู่อ๋องยังไม่สามารถสั่งเคลื่อนกำลังทหารซีชวนได้
เลย แล้วเหตุใดซื่อจื่อถึงได้กล้ามาออกคำสั่งอย่างนี้ได
เล่า?” ฉีหนิงพูดว่า “สู่อ๋องไม่ได้สอนมารยาทของ
ความเป็นคนให้เจ้าเลยหรือ?”
เหว่ยซูถงเข้าใจความหมายของฉีหนิง ก็เลยรีบพูดว่า
“ซื่อจื่อ ท่านนี้คือท่านจิ่นอีโหว”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดวา “ใต้เท้าเหว่ยไม่ต้องแนะนำหรอก
ข้ากับซื่อจื่อเคยพบกันที่เมืองหลวงมาแล้ว ซื่อจื่ออง
อาจมาก ข้าจำเขาได้ดีเลยล่ะ”
หลี่หยวนกัดฟัน แล้วพูดว่า “อ๋อ ที่แท้เจ้าก็ได้รับ
บรรดาศักดิ์แล้วหรือ”
“ทำไม ซื่อจื่อไม่รู้จักมารยาทหรือ?” ฉีหนิงพูดว่า
“ล่วงเกินแบบนี้ โทษถึงตายเลยนะ”
เหว่ยซูถงพูดว่า “ซื่อจื่อ โหวเยว่อยู่ที่นี่ ท่านรีบคารวะ
ท่านเร็ว”
หลี่หยวนกำหมัดแน่น แต่สุดท้ายก็เดินหน้าขึ้นมาสอง
ห้าว แล้วยกมือขึ้นมา “คำนับจิ่นอีโหว” ไม่รอให้ฉี
หนิงพูดต่อ เขาก็หันไปพูดกับเหว่ยซูถง “ใต้เท้าเหว่ย
ข้ามาเพราะเรื่องที่จะหารือกับท่าน”
“ซื่อจื่อมีเรื่องอันใด?”
หลี่หยวนยิ้มแล้วพูดว่า “มีสุนัขเหมียวสองตัวคิด
ลักลอบขึ้นเขา ถูกข้าจับตัวไว้ได้ ใต้เท้าเหว่ยอยาก
เห็นหรือไม่?”
อีฝูทนไม่ไหวอีกแล้ว นางตะคอกว่า “หลี่หยวน เจ้า
พูดจาอะไรให้มันดีๆ หน่อย อย่ามาดูหมิ่นชาวเหมียว
อย่างพวกข้านะ” นางแทบอยากจะบุกเข้าไปฉีกหลี่
หยวนให้เป็นชิ้นๆ
หลี่หยวนเหลือบไปมอง แต่ไม่ได้สนใจ เหว่ยซูถง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ เรื่องนี้มันเป็นความเข้าใจ
ผิด ไป๋...” เขายังพูดไม่ทันจบ หลี่หยวนก็พูดแทรก
ขึ้นมาว่า “ทหาร เอาตัวมันมา”
คนด้านหลังหามพรมมาสองผืน แล้วโยนลงไปที่พื้น
ทุกคนเห็นพรมมีรอยเลือด ก็ต่างตกใจ อีฟูกับปาเย่ลี่
มองหน้ากัน ก็รู้ว่าเรื่องไม่ดีแน่แล้ว จากนั้นก็ได้ยิน
เสียงหลี่หยวนพูดขึ้นมาว่า “เปิดพรมออก”
เมื่อเปิดพรมออก ก็มีคนร้องด้วยความตกใจ แม้ฉีหนิง
เองก็ไม่ต่างกัน
ภายในพรมทั้งสองพื้น มีคนนอนอยู่ มือทั้งสองข้างถูก
ตัดไปแล้ว ขาทั้งสองข้างก็ถูกตัดไปตั้งแต่หัวเข่า แต่ทั้ง
คู่ยังไม่ตาย แต่ยังคงดิ้นอยู่ในพรม
อีฝูเห็นดังนั้นก็หน้าถอดสี สีหน้าของนางรู้สึกเจ็บปวด
มาก นางร้องออกมาด้วยความตกใจ “ซางหลง อาทู
...”
หลี่หยวนกลับยิ้มอย่างได้ใจแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย
เจ้าคิดว่าอย่างไร? สุนัขเหมียวพวกนี้คิดจะขึ้นเขาจาก
ด่านของทหารจิ่นกวนเว่ย หลังจากถูกจับ ข้าเลยสั่ง
ให้ตัดแขนขาพวกเขาออก ตัดลิ้นด้วย จริงสิ แม้แต่ตา
ของเขา ข้าก็ควักออกมาแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า...”
สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันโหดร้ายมาก
อีฝูทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว นางทั้งเจ็บปวดและโกรธ
แค้น นางชักดาบออกมา คิดจะบุกเข้าใส่หลี่หยวน
ทหารเห็นอีฝูชักดาบ ต่างก็ชักดาบออกมากันหมด
องครักษ์ของหลี่หยวนเองก็เดินมาคุ้มกันด้านหน้า
ของหลี่หยวนแล้วเช่นกัน
“เจ้าโจรสุนัข ข้าจะฆ่าเจ้า” อีฝูขึ้นหน้าไป ยกมือคิดจ
พุ่งเข้าไป หลี่หยวนตะโกนขึ้นมาว่า “ใต้เท้าเหว่ย นาง
สารเลวผู้นี้คิดจะกบฏแล้ว ท่านยังไม่จับนางเอาไว้อีก
หรือ?”
เหว่ยซูถงสีหน้าไม่ดีเอามากๆ อีฝูฟันดาบลงมา
องครักษ์ของหลี่หยวนเดินขึ้นหน้ามา แล้วยกดาบขึ้น
ขวาง ดาบของทั้งคู่เกิดปะทะกันอย่างแรง องครักษ์
ยกหมัดขึ้น แล้วซัดออกมาเล็งมาที่หน้าอกของอีฝู เขา
ทั้งลงมือไวและโหดเหี้ยมมาก ดูก็รู้ว่าฝีมือไม่ธรรมดา
เลย
องครักษ์คนนั้นกำลังจะซัดหมัดเข้าใส่อีฝูแล้ว แต่มีเงา
หนึ่งโผล่มาอย่างรวดเร็ว คนนั้นคือฉีหนิงนั่นเอง ไม่รอ
ให้หมัดขององครักษ์มาถึง ฉีหนิงก็ยกเท้าถีบไปที่ข้าง
เอวขององครักษ์ผู้นั้นแล้ว องครักษ์คนนั้นยังไม่ได้ตั้ง
ตัว อีกทั้งฉีหนิงก็ถีบเต็มแรง เขาจึงหลบไม่ทัน เลยล้ม
ลงไปกับพื้น
พริบตาเดียวสถานการณ์ก็เริ่มวุ่นวายขึ้น องครักษ์
ของหลี่หยวนทั้งหมดชักดาบออกมา ปาเย่ลี่กับชาว
เหมียวเองก็ชักดาบออกมาเช่นกัน ส่วนทหารของ
เหว่ยซูถงเองก็ชักดาบเตรียมรับมือเช่นกัน
สถานการณ์ในตอนนี้เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ
“ฉีหนิง เจ้า...เจ้าบังอาจเกินไปแล้วนะ เจ้ากล้า...กล้า
สมคบคิดกับพวกกบฏหรือ” หลี่หยวนตะคอก “ใต้
เท้าเหว่ย เจ้ายังไม่ออกคำสั่งจับพวกเขาอีกหรือ?”
ตอนนี้ฉีหนิงจับมือของอีฝูเอาไว้แล้ว เขาจ้องไปที่หลี่
หยวน แล้วพูดว่า “หลี่หยวน ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากมี
ชีวิตแล้วกระมัง กล้าดีอย่างไรมาโอหังอวดดีต่อหน้า
ข้าแบบนี้ เจ้ามันตัวอะไร กล้าดีอย่างไรมาเอะอะ
โวยวายที่นี่แบบนี้?” เขาจ้องไปที่เหว่ยซูถง แล้วพูดว่า
“ใต้เท้าเหว่ย การกระทำของหลี่หยวนในวันนี้ ถือเป็น
การสังหารผู้บริสุทธิ์หรือไม่?”
เหว่ยซูถงฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ คิด....คิดว่าเรื่อง
นี้น่าจะมีการเข้าใจผิดกันนะ...”
ฉีหนิงชี้ไปที่ชาวเหมียวสองคนที่อยู่ในพรม แล้วพูดว่า
“สองคนนี้ทำอะไรผิด หลี่หยวนมีสิทธิอะไรทำกับพวก
เขาแบบนี้?”
“พวกเขาเป็นกบฏ ก็สมควรที่จะถูกกำจัดแล้ว” หลี่
หยวนพูดว่า “เจ้ากล้าปกป้องกบฏ แสดงว่าเจ้าก็เป็น
พวกเดียวกับพวกเขาด้วย มิน่าล่ะถึงได้มีคนบอกว่า
จวนจิ่นอีโหวหนุนหลังถ้ำเฮยเหยียนอยู่ วันนี้ข้าได้
หลักฐานแล้ว”
“กบฏ?” ฉีหนิงพูดว่า “ถ้ำเฮยเหยียนก่อกบฏ
เมื่อไหร่? อย่าว่าแต่พวกเขาไม่ได้กบฏเลย ต่อให้พวก
เขากบฏจริง เจ้าเองก็ไม่มีสิทธิลงโทษพวกเขา” เขา
ตะคอกออกไปว่า “ทหาร จับหลี่หยวนในข้อหา
สังหารผู้บริสุทธิ์เอาไว้เดี๋ยวนี้” ขณะที่เขาพูด เขาก็
จ้องไปที่เหว่ยซูถง
ทหารของเหว่ยซูถงฟังคำสั่งของชื่อสื่อ ไม่มีใครกล้า
ขยับสักคน ปาเย่ลี่เห็นดังนั้น ก็นำคนเดินขึ้นหน้าไป ฉี
หนิงยกมือขึ้นขวาง แล้วพูดว่า “จับตัวหลี่หยวน เป็น
หน้าที่ของขุนนางราชสำนัก” เห็นได้ชัดว่าฉีหนิงจะให้
เหว่ยซูถงออกคำสั่งจับหลี่หยวน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 13 บทที่ 394 ชกป้ายทอง
หลี่หยวนกลับยิ้มอย่างได้ใจว่า “จับข้า? ข้าจะดูสิว่า
ใครกล้า”
ฉีหนิงยื่นมือแล้วยกป้ายทองขึ้น แล้วพูดว่า “ใต้เท้า
เหว่ย ไม่ทราบว่าท่านยังเป็นขุนนางของต้าฉู่หรือไม่?”
เหว่ยซูถงสีหน้าเคร่งเครียด เขาพูดว่า “โหวเยว่
ข้าน้อยเป็นขุนนางของต้าฉู่แน่นอน ข้าน้อยภักดีต่อ
ฝ่าบาทภักดีต่อต้าฉู่...”
“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง” ฉีหนิงยิ้ม จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่หลี่
หยวนทันที
คนรอบๆ ต่างก็ตกใจ องครักษ์ที่คุ้มกันหลี่หยวนอยู่
เห็นฉีหนิงเดินหน้ามา ก็คิดจะใช้ดาบในมือตอบโต้ ฉี
หนิงยกป้ายทองในมือขึ้นมา แล้วตะคอกว่า “ใคร
ล่วงเกินป้ายทองพระราชทาน ประหารได้ทันที”
องครักษ์ผู้นั้นต่างตกใจ ง้างดาบค้างกลางอากาศ ไม่
กล้าลงมือ ฉีหนิงผลักองครักษ์นั่นไปข้างๆ จากนั้นก็
พุ่งเข้าหาตัวหลี่หยวนราวกับวิญญาณ หลี่หยวนคิดไม่
ถึงว่าฉีหนิงจะว่องไวขนาดนี้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
เขากำหมัดแน่นขึ้นมาทันที
ฉีหนิงลงมืออย่างรวดเร็ว ไม่หลบไม่หนี เมื่อเห็นหลี่
หยวนซัดหมัดมา เขาก็ใช้ป้ายทองพระราชทานมา
ขวางไว้ หลี่หยวนหลบไม่ทัน จึงชกเข้าป้ายทองเข้า
เต็มเป้า วรยุทธ์ของหลี่หยวนธรรมดามาก ถูกเลี้ยงดู
ตามใจมาตลอด ส่วนป้ายทองพระราชทานมีเนื้อที่
แข็งแรงมาก เมื่อเขาซัดเข้าใส่ป้ายทอง กระดูกมือ
ของเขาก็หักทันที หลี่หยวนร้องโอดโอยเพราะความ
เจ็บปวด เขายังไม่ทันได้เก็บมือของเขากลับไป ฉีหนิง
ก็ยื่นมือออกไป แล้วจับไปที่ข้อมือของหลี่หยวน
จากนั้นก็พลิกมือขึ้นมา ทุกคนได้ยินเสียงกระดูกลั่น
อีกครั้งหนึ่ง หลี่หยวนร้องเสียงเหมือนหมูโดนเชือด
“คุ้มครองซื่อจื่อ”
องครักษ์ข้างๆ ถึงแม้จะรู้ว่าหนุ่มคนนี้เป็นหนึ่งในสี่
บรรดาศักดิ์โหว แต่ว่าซื่อจื่อกระดูกมือหักไปแล้ว หาก
ไม่ทำอะไรสักอย่าง กลับไปก็ต้องตายแน่ มีสองคนบุก
ขึ้นหน้าไป ประกบฉีหนิงซ้ายขวา
ฉีหนิงยกเท้าขึ้นแล้วถีบไปที่ท้องของหลี่หยวน
จากนั้นก็ถอยหลังมาสองก้าว เพื่อหลบดาบของทั้ง
สองคนที่พุ่งเข้ามา
หลี่หยวนถอยหลังไปหลายก้าว ยังดีที่มีองครักษ์พยุง
เอาไว้ กระดูกมือของเขาหักไปแล้ว สีหน้าของเขาดู
เจ็บปวดมาก เหงื่อไหลออกมาเต็มไปหมด จากนั้นก็
ร้องว่า “ฆ่าเขา ฆ่าเขา”
เหว่ยซูถงเห็นองครักษ์ของหลี่หยวนจะลงไม้ลงมือ ใน
ใจก็คิดว่าหากจิ่นอีโหวถูกทำร้ายในพื้นที่ของเขา ผลที่
ตามมาคงไม่ต้องพูดถึง เขาพูดว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ ห้าม
ลงมือ”
ปาเย่ลี่เห็นฉีหนิงลงมือเองก็ทำให้หลี่หยวนกระดูกหัก
ในใจก็นึกสะใจขึ้นมา เมื่อเห็นองครักษ์มาล้อมฉีหนิง
เอาไว้ พวกเขาก็ไม่ลังเลเลยรีบเดินขึ้นหน้าไป คิด
อยากจะปกป้องฉีหนิง ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเหว่ยซูถง
ตะคอกออกมาแบบนี้ ทั้งสองฝ่ายก็หยุดลง
เหว่ยซูถงเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ไม่ว่าจะชาวเหมียว
หรือว่าองครักษ์ของจวนอ๋อง ก็ต่างยำเกรงเขาอยู่
ฉีหนิงยืนมองเหว่ยซูถง แล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย ข้า
อยากจะรู้ว่า เมื่ครู่สองคนนี้ลงไม้ลงมือกับข้า ไม่รู้ว่ามี
ความผิดอย่างไรบ้าง?”
เมื่อครู่องครักษ์สองคนนี้พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก แต่
ตอนนี้พวกเขารู้สึกหนาวสันหลังวาบขึ้นมา เหว่ยซูถง
ตะคอกว่า “ยังไม่ขออภัยกับท่านโหวเยว่อีก”
องครักษ์ทั้งสองมองหน้ากัน แล้วคุกเข่าข้างเดียวลง
ไปเพื่อขออภัย ฉีหนิงเองก็ไม่ลังเลรีบชักดาบของปาเย่
ลี่ออกมา ไม่พูดอะไรมาก เขาฟันไปที่คอขององครักษ์
คนหนึ่ง องครักษ์คนนั้นยังไม่ทันได้ตั้งตัว หัวของเขาก็
ถูกฟันขาดเป็นสองท่อนแล้ว องครักษ์อีกคนถึงกับ
ตกใจ ฉีหนิงชักดาบกลับมา แล้วก็ฟันไปที่คอของ
องครักษ์อีกคนทันที
ฉีหนิงเช็ดเลือดที่เปื้อนดาบบนเสื้อผ้าของศพ แล้วพูด
ว่า “กล้าลงมือกับข้า นี่คือจุดจบของพวกเขา”
จากนั้นเขาก็เดินไปหาหลี่หยวน หลี่หยวนเห็นฉีหนิง
ถือดาบเดินมาหาตัวเอง สีหน้าก็เริ่มซีดลง “เจ้า...เจ้า
คิดจะทำอะไร?”
ฉีหนิงยืนอยู่ห่างจากหลี่หยวนสามก้าว เขาจ้องไปที่ห
ลี่หยวน เขาถามว่า “เมื่อครู่เจ้าใช้มือข้างไหนชกป้าย
ทองพระราชทาน?”
หลี่หยวนถึงกับตาโต ฉีหนิงพูดว่า “ป้ายทอง
พระราชทานเป็นตัวแทนขององค์ฮ่องเต้ เมื่อครู่เจ้าชก
ป้ายทอง ก็เสมือนกับการชกหน้าองค์ฮ่องเต้...ใต้เท้า
เหว่ย เจ้าเป็นขุนนางของราชสำนัก ไม่รู้ว่าชกฮ่องเต้
มีโทษสถานใด?”
เหว่ยซูถงรู้ว่าหาเอาเรื่องขึ้นมาจริงๆ หลี่หยวนโทษ
ตายสถานเดียว เขาลังเล แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ซื่อจื่อ
บังอาจล่วงเกินป้ายทองพระราชทาน ถือเป็นความผิด
ใหญ่หลวง แต่ว่าซื่อจื่ออายุยังน้อย ตามความเห็นของ
ข้าน้อย ให้ซื่อจื่อกลับไปรายงานท่านสู่อ๋องก่อน ให้
ท่านสู่อ๋องได้เขียนฎีกาขอรับโทษก่อน แล้วค่อยให้
ราชสำนักมีคำสั่งลงมา ไม่ทราบโหวเยว่มีความเห็น
เป็นเช่นไร?”
“หากข้าจะฆ่าเขาในตอนนี้ มีเหตุผลเพียงพอ
หรือไม่?” ฉีหนิงยิ้มแปลกๆ
เหว่ยซูถงรีบพูดว่า “โหวเยว่อย่าเพิ่งวู่วาม ถึงแม้
ซื่อจื่อจะมีความผิด แต่ก็เป็นลูกชายของท่านอ๋อง
อย่างไรก็ควรจะแจ้งทางราชสำนักก่อน ให้ราชสำนัก
เป็นผู้ตัดสินจะดีกว่า”
ฉีหนิงยิ้ม แล้วมองไปที่หลี่หยวน แล้วพูดว่า “หลี่
หยวน เจ้าสังหารผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งยังชกป้ายทอง
พระราชทานอีก ความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้ เดิมทีข้า
สามารถประหารเจ้าตรงนี้เลยก็ได้ แต่ว่าหากข้าฆ่าเจ้า
ไปตอนนี้ เจ้าก็จะตายแบบไม่มีที่มาที่ไป ดังนั้นข้าจะ
ให้เจ้ากลับไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้พ่อของเจ้ารู้
อีกสองสามวันข้าจะไปพบพ่อของเจ้า ถึงเวลานั้นพ่อ
ของเจ้าจะต้องให้คำตอบข้า”
หลี่หยวนยังคิดจะเถียง เหว่ยซูถงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อ โหวเยว่มีเมตตา ท่านยังไม่รีบกลับไปพบท่าน
สู่อ๋องอีก ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว”
หลี่หยวนเห็นเหว่ยซูถงสีหน้าเคร่งเครียด อีกทั้งเห็นฉี
หนิงลงมือฆ่าคนก็เด็ดขาด ถือว่าไร้ความปราณี ในใจ
ก็นึกลัว เขามีองครักษ์แค่สิบคน ฉีหนิงมีชาวเหมียว
กว่าสิบคน หากทั้งสองสู้กันขึ้นมา เหว่ยซูถงไม่ยุ่ง เขา
ก็จะเสียเปรียบ
กระดูกมือของเขาหัก รู้สึกเจ็บปวดมากในตอนนี้ เขา
รู้สึกว่าที่นี่ไม่ควรอยู่ต่อ แต่ก็ยังพูดว่า “เจ้าคนแซ่ฉี
เจ้า...ข้าฝากไว้ก่อนเถอะ เรื่องนี้...เรื่องนี้ไม่จบแค่นี้แน่
...” เขากลับไปพร้อมการอารักขาขององครักษ์
เมื่อหลี่หยวนกลับไปแล้ว เหว่ยซูถงก็ยกมือขึ้นคำนับ
แล้วพูดว่า “โหวเยว่คงตกใจมาก ข้าน้อยบกพร่องต่อ
หน้าที่ โหวเยว่อภัยด้วย”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไม่ตกใจหรอก เพียงแต่...”
เขาส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องของที่นี่
ฝ่าบาทคาดการณ์ไว้ไม่มีผิดเลย”
เหว่ยซูถงตกใจ แล้วรีบพูดมาก “โหวเยว่หมายความ
ว่าอย่างไร ขอคำชี้แนะด้วย?”
ฉีหนิงก็ไม่รีบอธิบาย เขาหันไปพูดว่า “ปาเย่ลี่ เก็บ
ดาบ” แล้วมองไปที่เยว่กันเหลียง แล้วขมวดคิ้ว “ยัง
ไม่เก็บดาบอีกหรือ?”
ทั้งสองฝ่ายเก็บดาบเข้าฝัก
“ใต้เท้าเหว่ย พวกเราจะพูดต่อหน้าคนอื่น หรือว่า...
หาที่คุยกันส่วนตัว?” ฉีหนิงเหลือบไปมองเหว่ยซูถง
เหว่ยซูถงรีบยกมือขึ้น “โหวเยว่เชิญ”
ทั้งคู่เดินมาด้านข้าง ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ใต้
เท้าเหว่ย เจ้าเหมือนจะไม่กล้าทำอะไรหลี่หยวนเลย
นะ”
“โหวเยว่อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาดนะ” เหว่ยซูถงรีบพูด
ว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยเป็นขุนนางที่ทางราชสำนักส่งมา
ประจำการณ์ที่ซีชวน มีหน้าที่อย่างไร ข้าน้อยรู้ดี หาก
เมื่อครู่โหวเยว่ฆ่าเขาไปจริงๆ ผลที่ตามมาข้าน้อยไม่
กล้าคิดเลย”
“อ๋อ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หลี่หยวนชกป้ายทอง
พระราชาน ดูหมิ่นฝ่าบาท หรือว่าไม่ควรตาย?”
“สมควรตาย” เหว่ยซูถงรีบพูดว่า “ขอพูดตามตรง
หลี่หยวนก่อกรรมทำเข็นมาหลายปี ฆ่าคนไปไม่น้อย
คนแบบนี้สมควรตาย” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “แต่ว่า
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกชายของหลี่หงซิ่น”
“ทำไม เป็นลูกชายของหลี่หงซิ่นก็ไม่สมควรตายแล้ว
หรืออย่างไร?”
เหว่ยซูถงพูดว่า “โหวเยว่ หลี่หงซิ่นถึงแม้จะ
สวามิภักดิ์ต่อราชสำนักแล้ว แต่ว่าก็ใช่ว่ายอมแพ้แบบ
ไม่มีเงื่อนไข หลายปีมานี่ อำนาจในซีชวนของ
ตระกูลหลี่ไม่ได้หมดไปเลย พื้นที่ซีชวนมีทั้งหมดสิบ
หกเขต ขุนนางท้องที่เกินกว่าครึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับ
ตระกูลหลี่ทั้งสิ้น ตระกูลหลี่อยู่ในซีชวนมานาน กลุ่ม
อิทธิพลในซีชวนต่างมีสัมพันธ์กับตระกูลหลี่ทั้งนั้น
อดีตฮ่องเต้ทรงทราบว่าหากแตะต้องตระกูลหลี่แม้แต่
นิดเดียว ไม่เพียงคนอื่นจะมองราชสำนักว่าแก้แค้นกับ
ขุนนางที่สวามิภักดิ์ อีกทั้งยังจะทำให้ซีชวนเกิดความ
วุ่นวายตามมาด้วย”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แต่ไม่พูดอะไร
“ตระกูลหลี่เหมือนต้นไม้ใหญ่ กลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ใน
ซีชวนก็เหมือนลำต้น หากต้องการล้มต้นไม้ต้นนี้ลง ก็
ต้องตัดลำต้นของมันก่อน” เหว่ยซูถงสีหน้า
เคร่งเครียด “ดังนั้นอดีตฮ่องเต้จึงได้ส่งขุนนางมายังซี
ชวน เพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของหลี่หงซิ่น ขอแค่
เขาไม่เคลื่อนไหว ราชสำนักก็จะไม่ไปแตะต้องอำนาจ
ของเขา ช้าเร็วอำนาจของตระกูลหลี่ก็ต้องอ่อนลงจน
หมดลงไปในที่สุด แต่ว่าเมื่อยังไม่ถึงเวลา ราชสำนักก็
จะไม่ทำอะไรกับหลี่หงซิ่นเด็ดขาด หากโหวเยว่ฆ่าหลี่
หยวนไป หลี่หงซิ่นมีลูกชายเพียงคนเดียว เขาจะต้อง
เคลื่อนไหวแน่ ถึงเวลานั้น...” เขาไม่ได้พูดต่อ แต่
ความหมายของเขาชัดเจนมาก หากหลี่หงซิ่น
เคลื่อนไหว ซีชวนจะต้องเกิดความวุ่นวายอย่าง
แน่นอน
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “หลี่หงซิ่นมีลูกชายคน
เดียว?”
“โหวเยว่ท่านอาจจะไม่ทราบ เดิมทีหลี่หยวนมีพี่ชาย
อยู่อีกคนหนึ่ง ตอนที่ท่านจิ่นอีเหล่าโหวปราบทัพสู่
หลี่ฉวนเพิ่งจะมีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น แต่
เขากล้าหาญมาก เป็นที่รักของหลี่หงซิ่นมาก” เหว่ย
ซูถงอธิบายว่า “เพียงแต่หลี่ฉวนอยากสร้างผลงาน
ใหญ่ ได้ยินมาว่าในตอนนั้นเขานำทหารบุกลอบโจมตี
ค่ายทหารฉู่ แต่ถูกจับได้ ถึงแม้จะหนีเอาชีวิตรอดมา
ได้ แต่ก็ถูกลูกธนูยิงใส่ ต่อมาเพราะธนูดอกนั้น ทำให้
เขาตายไปตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นหลี่หยวนถึงได้
กลายมาเป็นสู่อ๋องซื่อจื่อมา หลังจากหลี่ฉวนตายไป
หลี่หงซิ่นก็เหลือหลี่หยวนเป็นลูกชายเพียงคนเดียว
เขาจึงรักและเอ็นดูลูกชายคนนี้มาก จึงตามใจหลี่
หยวนจนกลายมาเป็นแบบนี้”
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาทันทีแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็
หมายความว่า ลูกชายคนโตของหลี่หงซิ่น ก็ตาย
เพราะคนของตระกูลฉีสินะ”
“หลี่หงซิ่นได้นับรวมความแค้นนี้กับจิ่นอีโหวจริง”
เหว่ยซูถงพูดว่า "ดังนั้นหากวันนี้โหวเยว่สังหารหลี่
หยวนอีก ลูกชายของเขาสองคนก็กลายเป็นว่าตาย
ด้วยน้ำมือของจิ่นอีโหวตระกูลฉีทั้งสิ้น โหวเยว่ลองคิด
ดู ความแค้นแบบนี้ หลี่หงซิ่นจะยอมได้อย่างไร?
“ถ้าอย่างนั้น ข้าควรจะต้องขอบคุณใต้เท้าเหว่ยที่ช่วย
เกลี้ยกล่อมสินะ?” ฉีหนิงพูด
เหว่ยซูถงฟังออกว่าฉีหนิงประชด เขาจึงรีบเปลี่ยน
เรื่อง “โหวเยว่เมื่อครู่ท่านพูดว่าฝ่าบาททรงคาดการณ์
เรื่องของซีชวนไว้แล้ว ไม่ทราบว่าหมายความว่า
อย่างไร?”
“ใต้เท้าเหว่ยไม่รู้หรือ?” ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาททรง
คาดไว้ว่าเรื่องของถ้ำเฮยเหยียนจะต้องมีเบื้องหลัง อีก
ทั้งยังบอกว่าฎีกาของใต้เท้าเหว่ย ไม่ได้แจ้งความจริง
ทั้งหมด เกรงว่าตั้งใจจะปิดบังราชสำนัก”
เหว่ยซูถงได้ยินดังนั้นก็หน้าเสียไป แล้วรีบพูดว่า
“โหวเยว่ ข้าน้อย...ข้าน้อยถูกปรักปรำ”
ฉีหนิงเห็นเขาหน้าเสีย ก็รู้ว่าเหว่ยซูถงน่าจะมีอะไร
ปิดบัง เขาก็พูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย ท่านก็ไม่ต้องกังวลไป
ฝ่าบาททรงบอกว่า อดีตฮ่องเต้ส่งท่านมาที่นี่ แสดงว่า
เห็นถึงความสามารถของท่าน หากไม่เช่นนั้น จะยกซี
ชวนให้ท่านดูแลได้อย่างไร? ฝ่าบาทบอกว่าท่าน
อาจจะมีอะไรที่พูดออกมาโดยตรงไม่ได้ จึงสั่งให้ข้ามา
ที่นี่ เพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ใต้เท้าเหว่ย ฝ่าบาททรงเอาใจใส่ขุนนางของพระองค์
มาก ทรงเป็นองค์เหนือหัวที่ปรีชามาก หวังว่าท่านจะ
ไม่ทำให้พระองค์ทรงผิดหวังนะ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 395 สู่อ๋อง
เหว่ยซูถงยกมือคำนับแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อย
ภักดีต่อราชสำนัก ฟ้าดินเป็นพยานได้” เขาคิดแล้ว
พูดว่า “รบกวนโหวเยว่ทูลต่อฝ่าบาทด้วย ไม่ว่าฝ่า
บาทจะมีราชโอการอะไรมา ข้าน้อยยินดีบุกน้ำลุยไฟ
ให้ทุกอย่าง”
“หากท่านมีความสามารถจริง ฝ่าบาทไม่มีทางให้
ท่านเป็นอะไรไปแน่นอน” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้
เท้าเหว่ยเองก็น่าจะรู้ ฝ่าบาททรงเพิ่งครองราชย์ได้
ไม่นาน เป็นช่วงเวลาทีพ่ ระองค์ทรงต้องการใช้งาน
คน” เขาหยุดไปแล้วพูดว่า “แต่ว่า พระองค์ทรงมี
ราศีขององค์จักรพรรดิ ฝ่าบาททรงพระปรีชา หาก
ภักดีต่อพระองค์แล้ว ฝ่าบาทก็ทรงให้ความเมตตา
แน่นอน”
“ใช่ ขอรับ” เหว่ยซูถงรีบพูด
ฉีหนิงพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย ท่านว่าตอนนี้พวกเราควร
จะทำอย่างไรต่อดีล่ะ? ไป๋ถังหลิงปลอดภัยดี อีกทั้ง
ยังชี้แจงข้อเท็จจริงให้ท่านได้รู้แล้ว ถ้ำเฮยเหยียนถูก
ใส่ความ ท่านยังจะให้ทหารปิดล้อมพวกเขาไว้อกี
หรือ?”
เหว่ยซูถงคิดแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยจะรีบสั่ง
การให้ถอนทหารออกจากพื้นที่ทันที”
“อย่างนี้สิถึงจะถูก” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ทหารกว่า
พันคนประจำการณ์อยู่แบบนี้ เสบียงอาหารที่ใช้ก็
เป็นจำนวนไม่น้อยเลย เจ้าเองก็รู้ พวกเรากำลังทำ
ศึกกับชาวเป่ยฮั่น คลังหลวงแทบจะว่างเปล่า ใน
เวลาแบบนีเ้ จ้าเองก็เป็นถึงชื่อสื่อของซีชวน ควรจะ
นึกถึงสถานการณ์ของราชสำนักให้มาก แบ่งเบา
ภาระของฝ่าบาท”
เหว่ยซูถงเห็นฉีหนิงอายุยังน้อย แต่ว่าพูดจาสุขุมดู
เป็นผู้ใหญ่ ก็แอบแปลกใจเล็กน้อย
ไป๋ถังหลิงลงเขามาอย่างปลอดภัย ก็แสดงให้เห็นว่า
ถ้ำเฮยเหยียนถูกใส่ร้าย อีกทั้งจิ่นอีโหวอยู่ที่นี่ด้วย
เหว่ยซูถงก็ไม่มีเหตุผลจะต้องให้ทหารประจำการณ์
ที่นี่ต่อไป
เพียงแต่ว่าทหารเกือบสองพันนายที่อยู่ที่นี่ จะสั่งให้
กลับหมดในทันทีก็คงไม่ได้ เหว่ยซูถงเรียกเยว่กันเห
ลียงมา แล้วออกคำสั่งอยู่พักใหญ่ ถึงได้เดินกลับมา
บอกฉีหนิงว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยได้สั่งให้ทหารสอง
พันนายออกจากพื้นที่ทั้งหมดภายในสองวัน โหวเยว่
วางใจได้ ถ้ำเฮยเหยียนถูกใส่ร้าย ข้าน้อยจะต้องคืน
ความเป็นธรรมให้พวกเขาแน่นอน”
ปาเย่ลี่ได้ยินเหว่ยซูถงสั่งถอนทหารแล้ว ก็โล่งใจมาก
เขาซาบซึ้งใจต่อฉีหนิงมาก
หากฉีหนิงมาไม่ทันการ สองฝ่ายก็ไม่รู้ต้องยื้อกันไป
อีกนานแค่ไหน
ถ้ำเฮยเหยียนขาดแคลนอาหารอย่างหนัก อีกทั้งยัง
ถูกล้อมมาแล้วมากกว่าสิบวัน บนเขามีคนอดอาหาร
จนตายแน่ แม้ไม่ถึงเดือนและต่อให้ทหารไม่บุกเข้า
ไป ถ้ำเฮยเหยียนก็คงอยู่ไม่ได้
เพียงแต่ในเวลานี้หยากันและชาวเหมียวบางส่วน
ถูกหลี่หยวนสังหารไป เหล่าชาวเหมียวไม่พอใจมาก
แต่ว่าหลี่หยวนเป็นลูกชายของสู่อ๋อง จะทำอะไรก็ไม่
สะดวก ในใจก็รู้สึกแค้นมาก พวกเขาก็ไม่รู้
เหมือนกันว่าจะไปชำระหนี้เลือดนี้ได้อย่างไร
“โหวเยว่ ฟ้าใกล้มืดแล้ว เชิญโหวเยว่ไปพักที่อำเภอ
ตันปาก่อนสักคืน” เหว่ยซูถงพูดว่า “พรุ่งนี้เช้า พวก
เราค่อยเดินทางไปยังเมืองเฉิงตู โหวเยว่รับบัญชาให้
มาที่นี่ ถึงอย่างไรก็ต้องไปตรวจเยี่ยมที่เมืองเฉิงตูสัก
ครั้ง ให้ข้าน้อยได้ต้อนรับในฐานะเจ้าบ้านที่ดีด้วย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เลี้ยงต้อนรับในฐานะเจ้าบ้านที่
ดีไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แต่ว่าหลี่หยวนสังหารคน
บริสุทธิ์ไป บัญชีนี้จะให้นิ่งไปไม่ได้เด็ดขาด ข้า
จะต้องไปพบกับท่านสู่อ๋อง ดูสิว่าเขาจะว่าอย่างไร
บ้าง”
ถึงแม้เรื่องของถ้ำเฮยเหยียนคลี่คลายแล้ว ก็ถือได้ว่า
ได้ทำตามประสงค์ของฮ่องเต้น้อยไปแล้ว แต่ว่าฉี
หนิงรู้ว่า เรื่องจริงในครั้งนี้ ยังไม่ได้ถูกเปิดเผย
ตัวประหลาดที่ไล่ตามฆ่าอีฝูตลอดทาง อีกทั้งคนที่บง
การให้หลางชาตูลูสังหารเหมียวอ๋อง คนที่บงการให้
สังหารไป๋ถังหลิง รวมไปถึงคนที่สั่งให้นักแสดงละคร
มาสวมรอยเป็นจิ่นอีโหวอย่างกุมารฉือเป่า คนที่อยู่
เบื้องหลังคนพวกนี้คือใครกัน
ฉีหนิงรู้ว่า เมื่อเปิดเผยผู้ที่อยู่เบื้องหลัง จะต้องเป็น
คนที่ทุกคนตกใจมากแน่
แต่ว่ากลุ่มอำนาจนี้แพร่กระจายเป็นวงกว้างเหมือน
แหในซีชวน ฉีหนิงเป็นเพียงดอกไม้ดอกหนึ่งเท่านั้น
ยากมากที่จะสืบหาความจริง
เขารู้ว่า เรื่องของถ้ำเฮยเหยียนมันน่าจะเป็นเพียงแค่
จุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อล้มเหลวก็ไม่ได้หมายความว่า
กลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะหายไป แต่มันจะ
ยิ่งทำให้พวกเขาใช้แผนการที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้นจะต้องระวังให้มาก
ทั้งสองพูดกันสักพัก ฉีหนิงก็เดินมาหาปาเย่ลี่ เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ท่านจ้าวถ้ำ ข้าจะเดินทางไปยังเมืองเฉิง
ตู ใต้เท้าเหว่ยได้สั่งให้ถอนทหารแล้ว รอข้าเสร็จ
เรื่องที่เมืองเฉิงตูแล้ว ข้าจะกลับมาพบกับท่านที่นี่
อีกครั้ง”
ปาเย่ลี่คำนับแล้วพูดว่า “โหวเยว่มีบุญคุณกับถ้ำเฮย
เหยียนของพวกเรา ปาเย่ลี่ชาตินี้จะไม่มีวันลืม”
“เรื่องนี้เป็นความผิดของทางการ ทำให้พวกเจ้าต้อง
เดือดร้อน ข้าเป็นขุนนางบรรดาศักดิ์ของราชสำนัก
ฝ่าบาทส่งข้ามาที่นี่ก็เพื่อสืบหาความจริงอยู่แล้ว” ฉี
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ครั้งนี้พวกเจ้าต้องเดือดร้อน
การล้างมลทินให้พวกเจ้า ก็สมควรแล้ว” เขามองไป
ที่ไป๋หย่าลี่ที่อยู่ด้านหลังปาเย่ลี่ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านหัวหน้าถ้ำไป๋ รบกวนท่านแจ้งกับท่านเหมียว
อ๋องด้วยว่า หากข้ามีเวลา ข้าจะเดินทางไปพบ”
ไป๋หย่าลี่รีบคำนับแล้วพูดว่า “ข้าจะนำความของ
โหวเยว่เป็นแจ้งให้ขอรับ”
ฉีหนิงหันไปหาอีฝู แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“เจ้าดูแลตัวเองให้ดีนะ ข้าจะรีบไปแล้วรีบกลับมา
หาเจ้า”
อีฝูหน้าแดงระเรื่อ เรื่องของนางกับฉีหนิง ยังไม่มี
ใครรู้ ก็ไม่รู้ว่านางควรจะบอกกับปาเย่ลี่หรือไม่ เห็น
ฉีหนิงมาพูดด้วยเสียงอ่อนโยน ก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา
ปาเย่ลี่เห็นทหารยังอยู่ไม่ไกล เขาก็ขยับมาใกล้ แล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ท่านไปเมืองเฉิงตูต้องระวังให้มาก
นะ”
“หืม?”
“ท่านเพิ่งจะสั่งสอนหลี่หยวนไป อีกทั้งยังสังหาร
องครักษ์ของพวกเขาไปสองคนด้วย หลี่หยวนไม่มี
ทางยอมแน่” ปาเย่ลี่ค่อนข้างจะกังวล เขามองไปที่
เหว่ยซูถง แล้วกระซิบว่า “โหวเยว่ ปาเย่ลี่ขอพูด
ตามตรง ใต้เท้าเหว่ยเหมือนจะไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับ
ท่าน เมื่อถึงเมืองเฉิงตู โหวเยว่ไม่มีคนอยู่ข้างๆ ดัง
นั้น...”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านจ้าวถ้ำที่เป็นห่วง
แต่ว่าพวกเจ้าวางใจได้ จิ่นอีโหวไม่ได้มีแค่ชื่อเท่านั้น
หรอกนะ”
ปาเย่ลี่คิดแล้วพูดว่า “อีฝู ทหารยังไม่ถอนกำลัง
ออกไป ข้าจะไปไหนไม่ได้เด็ดขาด เจ้าพาพี่น้องเรา
คุ้มกันโหวเยว่ไปด้วยดีกว่า”
อีฝูรีบพูดว่า “ได้ พี่ใหญ่”
เดิมฉีหนิงคิดจะห้าม เพราะการไปเมืองเฉิงตูในครั้ง
นี้ อันตรายมาก ไม่แน่อาจจะเดือดร้อนมาถึงอีฝูด้วย
แต่ว่าเห็นอีฝูหน้าตาเบิกบานด้วยความดีใจ เขาก็ทำ
ได้แค่ยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ดีเหมือนกัน อีฝู เจ้าตามข้า
ไปเมืองเฉิงตู จะได้ไปเที่ยวด้วย”
ฟ้ามืดแล้ว พวกเขาก็ไม่เสียเวลาอีก ปาเย่ลี่พาคน
กลับขึ้นเขาไป เหว่ยซูถงก็จัดกำลังพลคุ้มกันฉีหนิง
ไปที่อำเภอตันปา
อีฝูนำชาวเหมียวบางส่วนติดตามฉีหนิงไปด้วย
ไป๋ถังหลิงเป็นนายอำเภอตันปา รอดตายมาได้
หลังจากข่าวการตายของเขากระจายไปทั่ว ตำแหน่ง
อำเภอตันปาก็ว่างลง มีรองนายอำเภอตันปามาทำ
หน้าที่แทนชั่วคราว จู่ๆ ไป๋ถังหลิงกลับมา ทุกคน
ต่างก็ตกใจ
ทุกคนค้างที่เมืองตันปาหนึ่งคืน เช้าวันต่อมา ก็ออก
เดินทางต่อไปยังเมืองเฉิงตู
เมืองเฉิงตูตั้งอยู่บนพื้นที่ราบของซีชวน เป็นจุด
ศูนย์กลางของซีชวน มีแม่น้ำ ทรัพยากร มี
การเกษตรที่พัฒนา ถือเป็นดินแดนที่สวยงามและ
อุดมสมบูรณ์มาก
วันนี้เดินทางทั้งวัน ได้ยินม้าวิ่งมาอย่างรวดเร็ว
ทหารมารายงานว่า “ท่านสู่อ๋องมารอต้อนรับโหว
เยว่ขอรับ”
เหว่ยซูถงกับฉีหนิงต่างก็ตกใจ
สู่อ๋องหลี่หงซิ่นมีศักดิ์เป็นถึงอ๋อง ส่วนฉีหนิงเป็นจิ่นอี
โหวมีศักดิ์เป็นหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหว แต่ถึง
อย่างไรบรรดาศักดิ์โหวก็ยังมีตำแหน่งที่ต่ำกว่าเขา
ถึงสองขั้น ถึงแม้ในความเป็นจริงจิ่นอีโหวจะมี
อำนาจบารมีเหนือกว่าสู่อ๋องก็ตาม แต่ว่าในศักดิ์อ๋อง
หลี่หงซิ่นออกนอกเมืองมารอต้อนรับเขา ทำก็ทำให้
แปลกใจอยู่ดี
ทุกคนควบม้าเข้าไป ห่างจากประตูเมืองไม่ไกล ก็
เห็นกลุ่มทหารชุดเกราะ ขี่ม้ารออยู่เป็นแนวยาว ฉี
หนิงลงจากหลังม้าก็เห็นคนๆ หนึ่งเดินออกมาจาก
กลุ่มทหารนั้น ห่างจากเขาประมาณสิบก้าว เขายัง
เดินไม่ทันถึง เสียงหัวเราะก็ลอยมาก่อน “จิ่นอีโหว
อยู่ที่ไหน?”
ฉีหนิงลงจากม้ามาแล้ว เขายิ้มแล้วเดินขึ้นไป เห็น
คนนั้นร่างกายกำยำสูงใหญ่ อายุไม่น้อยแล้ว แต่ดู
องอาจมาก
ฉีหนิงรู้ว่าสู่อ๋องหลี่หงซิ่นอายุประมาณห้าสิบต้นๆ
แต่คิดไม่ถึงว่าผมขาวจะมากขนาดนี้ หากไม่ได้เห็น
ความองอาจของเขา มองไปก็นึกว่าชายแก่อายุหก
สิบเจ็ดสิบปีแล้ว เขานึกขำอยู่ในใจ แอบคิดในใจว่าห
ลี่หงซิ่นยิ่งใหญ่ในซีชวน ต่อมาสวามิภักดิ์ต้าฉู่ ถูก
ราชสำนักจับตามอง หลายปีมานี้ท่านอ๋องคนนี้
อาจจะไม่ได้อยู่สบาย
ฉีหนิงรู้ว่า คนๆ นี้เผชิญหน้ากับท่านจิ่นอีเหล่าโหวที่
นำทัพกว่าแสนนาย โดยที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด เขานำ
ทัพไปรบกับทหารฉู่อย่างองอาจ ถึงแม้สุดท้ายจะ
ไม่ได้รับชัยชนะ แต่ก็ทำให้ทหารฉู่เสียหายไปมาก
ตอนนั้นหลี่หงซิ่นเพิ่งจะอายุสามสิบปี แต่ก็สามารถ
สู้กับทหารฉู่ได้อย่างสมศักดิ์ศรี แสดงว่าเขาก็เป็นคน
ที่ไม่ธรรมดาเลย
เมื่อเทียบกับหลี่หยวนที่ถูกเลี้ยงแบบตามใจมา หลี่
หงซิ่นคือชายชาตินักรบคนหนึ่งเลย
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ สู่อ๋องหลี่หงซิ่นก็เดินตรงเข้า
มา ฉีหนิงรู้ว่าอีกฝ่ายคืออ๋อง ตัวเองตำแหน่งฐานต่ำ
กว่า ตอนนี้พบหน้า จึงแกล้งทำความเคารพนับถือ
แต่ในใจก็แอบสบถออกมา แต่สีหน้าของเขาก็ยังนับ
ถืออยู่ หลี่หงซิ่นเดินมาจับมือของฉีหนิง เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ไม่ต้องเกรงใจแบบนั้น โหวเยว่เดินทางมา
ไกล คงลำบากแย่ ข้ารู้ว่าวันนี้โหเยว่จะมาที่เมืองเฉิง
ตูของพวกเรา ก็เลยมารอตั้งแต่เช้า”
“ท่านอ๋องลดเกียรติมาต้อนรับ ข้าน้อยรู้สึกไม่ดีเลย”
ฉีหนิงแสดงได้แนบเนียนมาก
หลี่หงซิ่นยกมือจับไปที่ไหล่ของฉีหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า
“จิ่นอีโหวตระกูลฉีของพวกเจ้ากับตระกูลหลี่ของ
พวกเราต่างเป็นตระกูลนักรบ ไม่ต้องพิธีรีตอง
หรอก”
แรงที่เขาตบมาที่ไหล่ของฉีหนิงไม่ได้เบา แต่ก็ไม่แรง
มากเกินไป ฉีหนิงขำ แอบคิดในใจว่าหากเจ้าคิดร้าย
กับข้า ข้าจะใช้พลังหกเทพประสานดูดเจ้าจนตัวแห้ง
ตายไปเลย
เหว่ยซูถงเดินขึ้นหน้ามา ยกมือคำนับ “คารวะท่าน
อ๋อง”
“ใต้เท้าเหว่ยลำบากท่านแล้ว” หลี่หงซิ่นยิ้มแล้วพูด
ว่า “เรื่องทางนั้น ข้าได้ข่าวแล้วนะ ไป๋ถังหลิงยังไม่
ตาย แสดงว่าพวกเราเข้าใจถ้ำเฮยเหยียนผิด หาก
ไม่ได้โหวเยว่มาสืบหาความจริง พวกเราคงทำเรื่องที่
ผิดพลาดใหญ่หลวงแล้ว”
เหว่ยซูถงรีบพูดว่า “ท่านอ๋องพูดถูกต้องแล้ว ครั้งนี้
ยังดีที่ได้โหวเยว่ พวกเราถึงไม่ได้สังหารคนดีไป”
เขาพูดจบ อีฝูก็เค้นหัวเราะออกมา
“ไม่สิ” ฉีหนิงส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย
เหมือนท่านจะลืมไปหรือไม่ ท่านเองก็เห็น มีผู้
บริสุทธิ์สองคนถูกสังหารไปแล้ว”
หลี่หงซิ่นพูดขึ้นมาว่า “ใครก็ได้ ไปเอาตัวเขามา”
จากนั้นก็มีคนสองคน ยกเปลไม้มา บนเปลไม้มีคน
นอนอยู่ เหมือนจะยังมีลมหายใจอยู่อย่างแผ่วเบา
เขาคือสู่อ๋องซื่อจื่อหลี่หยวนนั่นเอง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 396 นักฆ่าปาดคอ
หลี่หยวนนอนคว่ำอยู่บนเปลไม้ ก้นของเขาฉีกขาด
เป็นแผลฉกรรจ์ เลือดซึมไหลออกมาไม่หยุด หลี่
หยวนนอนอยู่อย่างนั้น ไม่ขยับเขยื้อนเหมือนเขา
กำลังสลบอยู่
ฉีหนิงกับเหว่ยซูถงมองหน้ากัน หลี่หงซิ่นพูดว่า
“โหวเยว่ ใต้เท้าเหว่ย เรื่องที่หลี่หยวนสังหารชาว
เหมียวไป ข้ารู้เรื่องแล้ว ในเมื่อถ้ำเฮยเหยียนถูกใส่
ร้าย ชาวเหมียวก็ไม่ใช่กบฏ หลี่หยวนทำผิดอย่าง
ใหญ่หลวง ตอนนี้ข้ามอบตัวเขาให้กับพวกเจ้าแล้ว”
“ท่านอ๋อง นี่ท่าน...?”
หลี่หงซิ่นยกมือพูด “พวกเจ้าก็ไม่ต้องพูดแล้ว ฮ่องเต้
ทำผิดโทษเท่าสามัญชน อีกอย่างเขาก็แค่คนไม่รักดี
คนหนึ่งเท่านั้น ใต้เท้าเหว่ย เจ้าเป็นขุนนางท้องที่
ปกครองซีชวน โหวเยว่ ท่านเองก็รับราชโองการให้
มาที่นี่ เป็นตัวแทนของราชสำนัก จะจัดการกับเขา
อย่าง ทั้งสองตัดสินได้เลย ข้าจะไม่เข้าข้างเขา
เด็ดขาด”
ฉีหนิงเห็นหลี่หงซิ่นเสแสร้งแกล้งทำ ก็คิดขำในใจ
เขาเดินทางมาเมืองเฉิงตู ก็จะต้องมาหาเรื่องหลี่หง
ซิ่นอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะออกาต้อนรับเขาถึง
นอกเมือง แล้วยังนำตัวหลี่หยวนมามอบให้อีก
เหว่ยซูถงไปกระแอม แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่านอ๋อง
พูดมาขนาดนี้แล้ว แสดงว่าท่านก็ยุติธรรมพอ
ซื่อจื่อตอนนี้ยังไม่ฟื้น ข้าน้อยเห็นว่า ส่งซื่อจื่อไป
รักษาตัวก่อนดีหรือไม่ หากจะลงโทษอีก พวกเรา
ค่อยมาว่ากันทีหลัง ท่านคิดว่าอย่างไร?”
ฉีหนิงรู้ว่าที่นี่เป็นพื้นที่ของหลี่หงซิ่น หากจะหักหน้า
กัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี เขายิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย
พูดถูก ท่านอ๋อง ให้คนส่งซื่อจื่อไปรักษาตัวก่อน
เถอะ หากซื่อจื่อเป็นอะไรไป มันจะไม่ดีเอานะ”
หลี่หงซิ่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าลูกไม่รักดี มัน
เป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ได้อบรมเขาให้ดีกว่านี้
วันนี้ถึงได้เป็นแบบนี้ ในเมื่อท่านทั้งสองพูดมาถึง
ขนาดนี้แล้ว ข้าเองก็จะไม่ปฏิเสธ แต่ว่าเรื่องนี้ไม่จบ
แบบนี้แน่นอน ไม่เช่นนั้นจะมีคนหาว่าข้าเข้าข้างคน
ผิดได้” เขาหันหลังกลับไป แล้วสั่งให้คนหามหลี่
หยวนกลับไป
อีฝูยืนอยู่หลังฉีหนิง นางอยากจะฉีกอกหลี่หยวน
เดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ แต่นางก็เป็นผู้หญิงฉลาด นางรู้ดี
ว่าในเวลาแบบนี้ หากหักหน้าหลี่หงซิ่น ไม่ใช่เรื่องดี
หลี่หงซิ่นกับฉีหนิงขี่ม้าเข้าเมืองไปพร้อมกัน
คนในเมืองเฉิงตูเกือบทุกคนรู้ว่าสู่อ๋องออกนอกเมือง
ไปรับแขก หลังจากเข้าเมืองแล้ว ริมสองข้างทางก็มี
คนมายืนดูกันเต็มไปหมด
จิ่นอีกวนของหลี่หงซิ่นเดินตามอยู่ด้านข้าง ด้านหน้า
เป็นทหารม้า ตลอดทางไม่มีใครขวางเลย
ในฐานะเมืองหลักของซีชวน เมืองเฉิงตูเป็นเมืองที่
ใหญ่มาก สองข้างทางมีแค่แผงร้านค้าเต็มไปหมด
ไม่ว่าจะร้านชา ร้านภาพ ร้านอาหาร โรงละคร ร้าน
เครื่องประดับ โดยรอบเป็นเหมือนกับเมืองโบราณที่
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเลย
“สวรรค์สร้างเฉิงตู บ้านเรือนดุจภาพวาด ต้นไม้ใบ
หญ้าภูเขาสวยงาม สายน้ำสายธารหมุนรอบกาย” ฉี
หนิงขี่ม้ามาบนถนนในเมืองเฉิงตู จากนั้นก็ท่องบท
กลอนออกมา
หลี่หงซิ่นตะลึงไป จากนั้นเขาก็ลูบเคราแล้วยิ้ม
“โหวเยว่ร้ายกาจจริงๆ เดิมทีคิดว่าเป็นลูกหลาน
นักรบ ไม่คิดว่าวิชาการก็ยอดเยี่ยมแบบนี้เช่นกัน”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ขายหน้าท่านอ๋องแล้ว”
“ไม่เลย” หลี่หงซิ่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “จิ่นอี
เหล่าโหวกับท่านพ่อของเจ้าต่างเป็นเสาหลักของ
แคว้น ชาวบ้านเล่าลือกันไปว่า ตระกูลหลี่ของพวก
เรากับจิ่นอีโหวตระกูลฉีนั้นไม่ถูกกัน เรื่องนั้นไม่เป็น
ความจริงเลย ที่จริงแล้วข้านับถือท่านจิ่นอีเหล่าโหว
กับท่านพ่อของเจ้ามาก ตอนนั้นพวกเราทั้งสอง
ตระกูลเจอกันในสนามรบก็จริง แต่ว่าไม่สู้ก็คงไม่ได้
รู้จักกัน ก็เพราะเวลานั้น ทำให้ข้านับถือตระกูลฉี
ของพวกเจ้ามาก”
“ท่านอ๋องใจกว้างจริงๆ” ฉีหนิงพูดว่า “ตอนที่ท่าน
พ่อมีชีวิตอยู่ เคยพูดถึงท่านอ๋องอยู่หลายครั้ง ท่าน
บอกว่าท่านอ๋องเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ความสามารถรอบ
ด้าน เป็นวีรบุรุษ ยังบอกว่าหากมีโอกาสได้พบท่าน
อ๋อง จะต้องขอคำชี้แนะจากท่านอ๋องด้วย ความรู้
ของข้าคงเทียบไม่ได้กับท่านอ๋องเลย”
เขารู้ว่าคำพูดของหลี่หงซิ่นโกหกทั้งนั้น ในเมื่อเป็น
อย่างนั้น ก็พูดคล้อยตามไปเลยได้ เพราะอย่างไรฉี
จิ่งก็ตายไปแล้ว เขาจะพูดอย่างไร ก็ไม่มีใครรู้
หลี่หงซิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพฉีคงชื่นชมผิด
คนแล้ว”
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน ก็มาถึงอาคารหลังหนึ่ง
ที่สวยงามมาก หลี่หงซิ่นพูดว่า “โหวเยว่ ที่นี่คือ
ภัตตาคารที่ดีที่สุดของเมืองเฉิงตู อาหารของที่นี่
รสชาติดีมาก อีกทั้งยังมีการแสดงมากมาย เดิมทีข้า
อยากจะจัดเลี้ยงต้อนรับท่านที่จวนอ๋อง แต่ว่า...” สี
หน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมา
ฉีหนิงถามว่า “ท่านอ๋องมีอะไรไม่สะดวกหรือไม่?”
“เรื่องนั้น...” หลี่หงซิ่นลังเล แล้วพูดว่า “หากเป็น
คนอื่น ข้าคงอาจจะไม่พูด แต่ว่าเพราะท่านโหวเยว่
หรอกนะ ข้าถึงไม่อยากปิดบัง ในจวนอ๋องของข้า
กำลังมีงานศพน่ะ”
“งานศพ?” ฉีหนิงตะลึงไป เหว่ยซูถงเองก็ตกใจ
“ท่านอ๋อง หรือว่าที่จวนของท่าน...?”
หลี่หงซิ่นพูดว่า “โหวเยว่ เรื่องนี้ใต้เท้าเหว่ยพอจะรู้
เรื่องอยู่บ้าง” เขาลงจากม้า แล้วพูดว่า “ฟ้ามืดแล้ว
พวกเราเข้าไปแล้วค่อยคุยกันจะดีกว่า”
ทุกคนตามเข้าไปในภัตตาคารทั้งหมด จิ่นกวนเว่ย
กับทหารของเหว่ยซูถงเฝ้าอยู่รอบภัตตาคาร อีฝูกับ
พวกตามฉีหนิงเข้าไปด้านใน
ภายในภัตตาคารสวยงามโอ่อ่ามาก พนักงานในร้าน
เองก็ดูแตกต่างกับภัตตาคารทั่วไป ส่วนมากเป็นสาว
งามที่มาคอยให้บริการ ผิวพรรณของพวกนางดีมาก
ดั่งคำทีว่ ่าซีชวนเป็นถิ่นสาวงาม มันเป็นแบบนี้นี่เอง
อีฝูมาสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรก ถือว่าเปิด
ประสบการณ์ใหม่ เห็นฉีหนิงเดินผ่านกลุ่มสาวงาม
ไป เขาแทบจะไม่มองเลย ในใจของนางก็รู้สึกดีใจไม่
น้อย
แต่ว่ามีการจัดเตรียมไว้หมดแล้ว อีฝูกับชาวเหมียว
คนอื่นอยู่ได้แค่ชั้นล่างเท่านั้น ส่วนฉีหนิงมีโต๊ะ
เฉพาะที่จัดเตรียมเอาไว้ด้านบนชั้นสองแล้ว
อีฝูรู้สึกกังวลที่ฉีหนิงต้องขึ้นไปด้านบนคนเดียว แต่ฉี
หนิงส่งสัญญาณบอกให้นางไม่ต้องกังวล
เมื่อขึ้นมาชั้นบน มีสาวงามแปดคนรอบริการอยู่ โต๊ะ
สีแดงกลมโตมีอาหารตั้งรออยู่แล้วมากมาย กลิ่น
อาหารหอมโชยเข้าจมูก รสชาติของอาหารเป็นยังไง
ฉีหนิงไม่รู้ แต่ดูจากหน้าตาของอาหารแล้ว มันเรียก
น้ำย่อยได้ดีทีเดียว
“โหวเยว่ ท่านเดินทางมาไกลจากเมืองหลวง เดิมที
ควรเรียกขุนนางจากที่ต่างๆ มาด้วย” หลังจากนั่งลง
แล้ว หลี่หงซิ่นก็พูด “เพียงแต่ได้รับข่าวมากะทันหัน
อาหารมื้อนี้ก็ถือว่าเป็นการเลี้ยงอาหารมื้อหนึ่งก็แล้ว
กันนะ เอาไว้ข้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับโหวเยว่ใหม่
อีกครั้ง แล้วเชิญคณะละครมาเล่นด้วย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ดีเหมือนกัน คนน้อยเป็น
กันเองดี จริงสิ ท่านอ๋องเหมือนจะชอบดูละครนะ?”
“ก็ไม่ถึงกับชอบ” หลี่หงซิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็เห็น
ว่าข้าอายุมากแล้ว บางทีไม่มีอะไรทำก็ปลูกผักปลูก
ต้นไม้ออกกำลังบ้าง บางทีอารมณ์ดีหน่อยก็เรียก
คณะละครมาเล่นให้ดู ซีชวนเป็นทีท่ ี่เหมาะกับคน
เกษียณอายุนะ”
“ท่านอ๋องร่างกายแข็งแรง เกษียณอายุดูเร็วไป
หน่อยนะ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ตามความเห็นของ
ข้า หากท่านอ๋องขึ้นบนหลังม้า ยังนำทัพออกรบได้
สบาย”
หลี่หงซิ่นนิ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่ไหวแล้ว ข้ารู้ตัวเองดี
หากเป็นเมื่อสิบปีก่อน ให้ข้าออกรบก็ยังพอไหว
ตอนนี้ต่อให้มีใจก็ไม่มีแรงแล้ว” เขายกมือขึ้น “โหว
เยว่ นี่อาหารพื้นเมืองของซีชวน ต่อให้เป็นในเมือง
หลวง ก็หากินไม่ได้เลยนะ เจ้าลองชิมดู ว่าถูกปาก
หรือไม่ หากว่าชอบ ถึงเวลาก็พาพ่อครัวที่นี่กลับ
เมืองหลวงไปด้วยเลย คนที่จวนของเจ้าจะได้กิน
ด้วย”
“ขอบคุณท่านอ๋องมาก” ฉีหนิงหยิบตะเกียบขึ้นมา
เขาไม่ได้กังวลว่าอาหารพวกนี้จะมีพิษหรือไม่ ด้วย
ความฉลาดของหลี่หงซิ่น น่าจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ
แน่นอน เขาลองชิมอาหารไปสองสามอย่าง จากนั้น
ก็ยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “รสชาติดีมาก ท่านอ๋อง
ท่านพูดเองแล้วนะ พ่อครัวของที่นี่ ข้าคงจะเอากลับ
เมืองหลวงจริงๆ แล้วนะ”
หลี่หงซิ่นหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง เมื่อครู่ตอนที่
อยู่ด้านล่างท่านพูดถึงเรื่อง...งานศพ ไม่ทราบว่ามัน
เกิดอะไรขึ้น?”
หลี่หงซิ่นสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา แล้วพูดว่า “ใต้เท้า
เหว่ย เรื่องที่ทำให้ชาวบ้านในเมืองเฉิงตูในช่วงนี้ เจ้า
เป็นคนเล่าให้โหวเยว่ฟังดีกว่า”
เหว่ยซูถงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง หรือว่าใน
จวนของท่าน...?”
หลี่หงซิ่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “เมื่อคืนนี้อนุของข้า
เฟยฉงถูกฆ่า”
ฉีหนิงตะลึงไป เหว่ยซูถงพูดว่า “ท่านอ๋อง ท่าน
หมายความว่านักฆ่าปาดคอ...กล้าบุกจวนอ๋องเลย
หรือ?”
หลี่หงซิ่นพูดว่า “ถึงแม้ข้าจะรู้ว่านักฆ่าปาดคอ
เหี้ยมโหด แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะกล้ามากขนาดนี้ บุก
เข้ามาถึงในจวนอ๋องของข้า เดิมทีในจวนอ๋องก็มี
องครักษ์เฝ้าอย่างแน่นหนาอยู่แล้ว หลังจากที่นักฆ่า
ปาดคอปรากฏตัวขึ้น ข้าก็ได้สั่งเพิ่มการคุ้มกันไปอีก
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า มันก็ยังบุกเข้ามาฆ่าคนจนได้อยู่
ดี”
“ท่านอ๋อง นักฆ่าปาดคอมันเรื่องอะไรกัน?”
“เมื่อครึ่งเดือนก่อน มีขุนนางสามคนตายพร้อมกัน
ในคืนเดียว อีกทั้งยังถูกปาดคอจนตายทุกราย” หลี่
หงซิ่นพูดว่า “อีกฝ่ายใช้มีดสั้นที่เป็นอาวุธโดยเฉพาะ
มันเป็นมีดสั้นขนาดเท่านิ้วโป้ง ปาดคอหอยเหยื่อ
ตายทันที บางรายก็ปาดทะลุลำคอไป เรื่องนี้มันเป็น
คดีใหญ่ ใต้เท้าเหว่ยสั่งให้คนออกสืบหาตัวคนร้าย
ทันที หลายวันผ่านไป ก็มีขุนนางถูกสังหารอีก เมื่อ
คืนเฟยฉงเองก็มาถูกฆ่า ตอนนี้มีคนที่ตายด้วยน้ำมือ
ของนักฆ่าปาดคอแล้วราวเจ็ดคน นอกจากเฟยฉง
แล้ว ที่เหลือก็เป็นขุนนางทั้งหมด” เขาพูดว่า “เมื่อ
คืนนี้เป้าหมายของมันไม่ใช่เฟยฉง แต่เป็นข้า”
“เหตุใดท่านอ๋องถึงพูดอย่างนั้นเล่า?” เหว่ยซูถงสี
หน้าจริงจัง
หลี่หงซิ่นพูดว่า “เมื่อคืนข้าเรียกเฟยฉงมาปรนนิบัติ
พอตกดึก ข้านอนไม่หลับ จึงออกไปที่ห้องหนังสือ
เมื่อข้ากลับมาที่ห้องนอนอีกครั้ง ก็พบว่าเฟยฉงถูก
ปาดคอตายไปแล้ว” เขาดูนิ่งมาก แต่สายตามีแต่
ความโกรธแค้น เขากำหมัดแน่นแล้วพูดว่า “นักฆ่า
ปาดคอลอบเข้าจวนอ๋อง ก็ต้องมีเป้าหมายเป็นข้าอยู่
แล้ว แต่ว่าข้าบังเอิญโชคดี แต่เฟยฉงกลับต้องมา
เป็นแพะรับบาปแทนข้า”
เหว่ยซูถงพูดว่า “ท่านอ๋อง นักฆ่าปาดคอทำให้
ชาวเมืองหวาดกลัวกันไปหมด เป็นความบกพร่อง
ของข้าน้อยเอง ถึงแม้จะสั่งให้คนตามล่าตัวแล้ว แต่
จนตอนนี้ก็ยังไม่มีเบาะแสเลย”
หลี่หงซิ่นยกมือแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยไม่ต้องโทษ
ตัวเองหรอก นักฆ่าปาดคอนั่นสามารถลอบเข้าจวน
อ๋องได้ แสดงว่าฝีมือต้องไม่ธรรมดาแน่ อีกอย่าง
หลายวันมานี้ ข้าเองก็ได้สั่งให้คนออกสืบตามล่าตัว
เหมือนกัน แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลย นักฆ่าปาด
คอนั่นราวกับวิญญาณก็ไม่ปาน”
ลมหนาวพัดมาจากด้านนอก บรรยากาศดูวังเวงมาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 397 ความจริงใจ
ฉีหนิงเห็นหลี่หงซิ่นสีหน้าเคร่งเครียด เขาคิดแล้วถาม
ว่า “ท่านอ๋อง คนร้ายจ้องแต่สังหารขุนนางราชสำนัก
หรือว่าเขาจะตั้งใจเล่นงานราชสำนักอย่างเดียว?”
หลี่หงซิ่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ขอพูดตาม
ตรง ข้าอยู่ที่เมืองเฉิงตูมาตั้งแต่เล็ก ตอนนี้อายุก็ห้าสิบ
กว่าปีแล้ว แต่ว่าข้าไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ข้า
เองก็จะไม่ปิดบังเจ้านะ ข้าผิดใจกับคนอื่นก็มาก
จนถึงตอนนี้ ข้าก็รู้ว่ามีคนอีกมากมายที่อยากจะเอา
ชีวิตข้า ดังนั้นในจวนของข้าเองก็มีเลี้ยงยอดฝีมือไว้
จำนวนหนึ่ง”
“เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “อย่าว่าแต่
ท่านอ๋องที่เป็นนักรบเลย แม้แต่ข้าเอง ไม่ได้มีเรื่องกับ
ใคร แต่ก็มีคนไม่น้อยที่อยากจะเอาชีวิตข้าเลย”
หลี่หงซิ่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตระกูลฉีของพวกเจ้า
กับตระกูลหลี่ของข้า มีกรรมที่สังหารคนอื่นไว้มาก ไม่
แปลกที่จะมีคนคิดแค้นใจ” เขาพูดต่อว่า “แต่ว่า
หลายปีมานี้ ข้าผ่านเรื่องเลวร้ายมามาก ครั้งนี้กลับ
ต้องมาปวดหัวกับนักฆ่าปาดคอพวกนี้อีก นักฆ่าปาด
คอวรยุทธ์สูงมาก สามารถลอบเข้าจวนอ๋องของข้าได้
โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว หากไม่ใช่ว่าข้าออกไปห้องหนังสือ
กลางดึก เฟยฉงถูกฆ่าตาย ก็คงไม่มีใครรู้”
“ท่านอ๋องแน่ใจหรือว่าเฟยฉงตายเพราะนักฆ่าปาด
คอ?”
หลี่หงซิ่นพยักหน้า “ไม่มีข้อสงสัยอื่นเลย นักฆ่าปาด
คอเหมือนจะกังวลว่าจะไม่มีคนจำเขาได้ ทุกครั้งที่ลง
มือจะปาดที่เดิมจุดเดิมทุกครั้ง” เขาพูดต่อว่า “ขุน
นางถูกสังหารหลายคนติดต่อกัน ข้ากับใต้เท้าเว่ย
หารือกันแล้ว เพราะไม่อยากให้ชาวเมืองต้องหวาด
ผวาจึงปิดข่าวนี้เอาไว้ แต่ว่าชาวบ้านบางส่วนก็
เหมือนจะรู้เรื่องแล้ว ครั้งนี้เฟยฉงถูกฆ่า หากคนใน
เมืองรู้เรื่องนักฆ่าปาดคอบุกเข้าจวนอ๋องแล้วล่ะก็ คง
ตื่นตระหนกมากแน่ ข้าเลยสั่งให้คนในจวนแอบทำพิธี
แล้วก็ฝังอย่างเงียบๆ”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในจวนอ๋องเกิดเรื่อง
ขนาดนี้ ท่านกลับยังออกนอกเมืองไปรับข้าอีก อีกทั้ง
ยังจัดงานเลี้ยงให้ข้าอีก ข้า...ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”
หลี่หงซิ่นส่ายหน้าแล้วยิ้มว่า “อย่าพูดแบบนั้น เจ้ามา
จากเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งยังมาเพราะ
ราชโองการด้วย ข้าจะไม่มาต้อนรับเจ้าได้อย่างไร
กัน?” เขามองไปที่เหว่ยซูถง แล้วถามว่า “ใต้เท้า
เหว่ย ทางถ้ำเฮยเหยียนท่านสั่งให้ถอนทหารแล้วหรือ
ยัง?”
เหว่ยซูถงรีบพูดว่า “ข้าน้อยได้สั่งให้พวกเขาถอน
กำลังพลทั้งหมดในพื้นที่ภายในสองวัน”
“หลังจากที่ข้าได้ข่าว ก็ส่งคนไปที่นั่นทันที” หลี่หงซิ่น
พยักหน้าแล้วยิ้ม “โหวเยว่ เรื่องของถ้ำเฮยเหยียน ข้า
ได้ส่งทหารจิ่นกวนเว่ยของข้าไป ไม่ทราบทางราช
สำนักสงสัยอะไรในตัวข้าหรือไม่?”
ฉีหนิงส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เลย”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอ๋องอาจจะยังไม่ทราบ ไป๋ถังหลิง
ถูกสังหาร ไม่เกี่ยวข้องกับถ้ำเฮยเหยียนเลย แต่เป็น
กลุ่มคนอื่น ที่คิดจะโยนความผิดให้กับถ้ำเฮยเหยียน
ยังดีที่ไป๋ถังหลิงรอดมาได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงเข้าใจ
คนดีผิดแน่”
“ถูกต้อง” หลี่หงซิ่นรีบพูดว่า “ข้ารู้เรื่องนี้แล้ว
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ข้าตกใจมาก” เขาขมวดคิ้ว แล้ว
ถามว่า “ใต้เท้าเหว่ย โหวเยว่ ตามความเห็นของเจ้า
ใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือ? เหตุใดพวกเขาต้องโยน
ความผิดให้ถ้ำเฮยเหยียนด้วย?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ซับซ้อนมาก
ข้าน้อยยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย”
หลี่หงซิ่นยกมือแล้วพูดว่า “มา โหวเยว่ กินก่อน กิน
ไปคุยไปก็ได้” แต่พอยกตะเกียบขึ้นมา เขาก็รีบวางลง
จากนั้นก็ถามว่า “โหวเยว่ เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้อง
กับข้าหรือไม่?”
เมื่อพูดมาแบบนี้ ฉีหนิงก็รู้สึกตกใจมาก แอบคิดในใจ
ว่าสู่อ๋องไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะ
กล้าถามแบบนี้บนโต๊ะอาหาร เดิมทีไม่ตกใจมาก แต่
ว่าเขาแสดงออกว่าตกใจสุดๆ “เหตุใดท่านอ๋องถึงได้
ถามแบบนี้เล่า?”
หลี่หงซิ่นวางตะเกียบลง เขายิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่
ขอพูดตามตรง หลังจากข้าสวามิภักดิ์ต่อต้าฉู่ หลายปี
มานี้ ข่าวลือที่ร้ายแรงก็มีไม่ขาดเลย”
“ข่าวลือร้ายแรง?” ฉีหนิงวางตะเกียบลง “ท่านอ๋อง
หมายความว่าอย่างไร?”
“มักจะมีคนพูดว่าข้าคิดที่จะก่อกบฏ” หลี่หงซิ่นยิ้ม
แล้วพูดว่า “หรือว่าโหวเยว่ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย?”
ฉีหนิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย แอบคิดในใจว่าเขาไม่
ธรรมดาจริงๆ พูดออกมาแบบนี้ ทำให้เดาใจเขาไม่
ออกเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ “จริงหรือเท็จมันอยู่ที่ตัว
เราเอง ท่านอ๋องจะไปสนใจข่าวลือที่ร้ายแรงพวกนั้น
ทำไม?”
หลี่หงซิ่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าเป็นคนฝึกยุทธ์
ไม่ชอบทำอะไรอ้อมค้อม มีคนบอกว่า ข้า
เปรียบเสมือนฮ่องเต้ของซีชวน ยังบอกว่าตอนนั้นที่
ข้ายอมสวามิภักดิ์ต่อต้าฉู่ เพราะไม่มีทางเลือก โหว
เยว่ วันนี้ที่ข้ายอมเปิดใจกับเจ้า ตอนนั้นที่ทัพฉู่โจมตี
พวกเรา ข้าไม่พอใจจริงๆ คิดว่าด้วยความสามารถ
ของข้า ข้าสามารถจัดการมันได้ แต่ว่าท่านจิ่นอีเหล่า
โหวใช้ทหารราวกับเทพสงคราม ทัพฉู่ใช้ทหารกลศึก
อย่างตรงไปตรงมา สุดท้ายข้าถึงได้ยอมแพ้ นั่นก็เป็น
เพราะพวกเราสู้ไม่ได้จริงๆ แต่ว่าเมื่อคิดย้อนไปแล้ว
ข้าความสามารถไม่ดีอย่างที่ข้าเข้าใจเอง”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอ๋องเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ใครๆ ก็รู้”
“เจ้าไว้หน้าข้าเกินไปแล้ว” หลี่หงซิ่นยกมือแล้ว
หัวเราะ “ข้ารู้ตัวข้าดี หากเทียบกับท่านจิ่นอีเหล่าโหว
แล้ว หรือแม้กระทั่งพ่อของเจ้า ข้ายังห่างชั้นนัก
หลายปีมาแล้ว ข้าทบทวนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ข้าคิด
ได้แล้วว่า ข้าอยากจะเป็นอ๋องที่ใช้ชีวิตบั้นปลายที่สุข
สบาย ไม่อยากต่อสู้อีกแล้ว ชาวบ้านจะได้ไม่ลำบาก
ด้วย...” เขาพูดต่อว่า “ชีวิตคนเราก็แค่นี้ มันไม่
ยาวนานหรอก ข้ารับอะไรหนักๆ ไม่ไหวอีกแล้ว ข้า
เองก็แก่แล้วด้วย...” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็
เหมือนคนที่ปลงทุกอย่างแล้ว
บรรยากาศเงียบไป หลี่หงซิ่นพูดขึ้นมาว่า “เรื่องของ
ถ้ำเฮยเหยียน ไป๋ถังหลิงถูกคนลอบสังหาร แสดงว่ามี
คนตั้งใจยุแยงให้ชาวเหมียวเกิดความวุ่นวาย แล้วฉวย
โอกาสให้ซีชวนวุ่นวายไปด้วย โหวเยว่ หากข้าเป็นคน
ธรรมดา ข้าจะสงสัยใครเป็นคนแรกเจ้าลองเดาดู?”
“ท่านอ๋องชี้แนะด้วย”
หลี่หงซิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ใครเลย ข้าเอง หลาย
คนคิดว่าข้าคิดไม่ซื่อ คิดอยากจะให้ซีชวนเกิดความ
วุ่นวาย เลยฉวยโอกาสเคลื่อนไหว ฮ่าๆๆๆ...”
ในใจของฉีหนิงคิดแบบนั้นจริงๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลี่
หงซิ่นจะพูดออกมาตรงๆ แบบนี้
“แต่ว่าข้าบอกเจ้าได้เลยนะ เรื่องในครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับ
ข้า” หลี่หงซิ่นสีหน้าจริงจังขึ้นมา เขาพูดว่า “ข้ารู้ ต่อ
ให้พูดกับคนอื่นอย่างไร คนที่เชื่อก็อาจจะมีไม่มาก แต่
ข้าเหนื่อยแล้ว ตอนนี้ชาวเมืองก็อยู่อย่างสงบดี หาก
ข้าทำผิดต่อชาวเมืองจุดจบของข้าคงไม่ดีแน่”
ท่าทางของเขาจริงใจและจริงจังมาก ฉีหนิงแอบคิดใน
ใจว่า หรือว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับหลี่หงซิ่นจริงๆ
เหว่ยซูถงไม่ได้พูดอะไรมานาน ตอนนี้พูดขึ้นมาได้ว่า
“ท่านอ๋อง มีคนตั้งใจให้ร้าย ท่านไม่ต้องไปสนใจ
หรอก ขอแค่ราชสำนักเชื่อใจท่าน ฝ่าบาทเชื่อท่าน
เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญเลย”
“ข้ารู้” หลี่หงซิ่นจริงจังมาก เขาคิดแล้วพูดว่า “ข้าอยู่
ที่นี่มาตั้งแต่เล็ก รักที่นี่มาก หลายปีมานี้ ชาวเมืองอยู่
กันอย่างสงบ อาหารอุดมสมบูรณ์ ใต้เท้าเหว่ยเองก็
ดูแลที่นี่เป็นอย่างดี ปกติถึงแม้ข้ากับใต้เท้าเหว่ยจะไม่
ค่อยได้เจอกัน แต่ว่าข้าซาบซึ้งใจมากนะ”
“ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว”
หลี่หงซิ่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ที่วันนี้ข้าพูดแบบนี้ได้
เพราะต่อไปพวกเจ้าอาจจะไม่ได้มีโอกาสได้ฟังข้าพูด
อีก ที่ข้าพูด แค่อยากจะบอกพวกเจ้าว่า ข้าอยากเห็น
ซีชวนสงบสุข ไม่อยากให้ใครมาทำลาย แต่ว่า
หลังจากที่ข้ารู้ว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลัง ข้าก็เริ่มกังวล
เพราะซีชวนกำลังจะเกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง”
“ท่านอ๋องว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำอย่างไร?” ฉีหนิงรีบถาม
หลี่หงซิ่นพูดว่า “มีคนคิดสร้างความวุ่นวายในซีชวน
ข้าคนแรกที่จะไม่ยอม” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “โหว
เยว่เคยได้ยินชื่อของพญายมหรือไม่?”
ฉีหนิงตกใจ แต่ยังคงพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ท่านอ๋อง
หมายถึงพญายมที่เป็นพระโพธิสัตว์ใช่หรือไม่? ข้าเคย
ได้ยินมาบ้าง พญายมเป็นจ้าวแห่งนรกภูมิ”
“อดทนอดกลั้นดังผืนพสุธา ซ่อนความสงบเอาไว้ลึก
ที่สุด” หลี่หงซิ่นพูดว่า “นรกภูมิไม่สูญสลายไป ก็จะ
ไม่คืนสู่โพธิสัตว์ เพื่อโปรดสัตว์ทั้งหลายในนรกภูมิ จึง
ยอมเฝ้าอยู่ในนรกภูมิต่อไป”
เหว่ยซูถงเหมือนจะสงสัย เหมือนไม่รู้ว่าเหตุใดหลี่หง
ซิ่นถึงได้พูดถึงพระโพธิสัตว์พญายมขึ้นมา
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องชอบเรื่องธรรมะหรือ?”
“หลายปีมานี้ข้าปฏิบัติธรรม อายุข้าก็มากแล้ว ก็ต้อง
หาอะไรทำบ้าง” หลี่หงซิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “มีคนบอก
ว่าการกินเจปฏิบัติธรรม มันล้างบาปได้ ข้าบริจาคเงิน
สร้างวัดมากมาย แต่ว่าข้าไม่ได้กินเจนะ หากให้ข้าตัด
การกินเนื้อกินเหล้า ฆ่าข้าให้ตายดีกว่า”
ทั้งสามคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
หลี่หงซิ่นพูดว่า “ที่ข้าพูดถึงพญายม ไม่ใช่พระ
โพธิสัตว์ แต่เป็นกลุ่มอำนาจ”
“กลุ่มอำนาจ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง
ที่ท่านพูดมาข้าฟังไม่เข้าใจเลย”
หลี่หงซิ่นพูดว่า “ข้าเองก็บังเอิญไปรู้มาเหมือนกัน ที่
ไหนสักที่ที่ลึกลับมาก มีกลุ่มอำนาจหนึ่งที่เรียกตัวเอง
ว่านรกภูมิ พวกเขาเหมือนภูตผีวิญญาณ ลึกลับ
ซับซ้อน ในสองปีที่ผ่านมา มาเคลื่อนไหวอยู่ในซีชวน
เหมือนจะมีความลับที่บอกใครไม่ได้ แต่ว่าพวกนี้เจ้า
เล่ห์มาก ข้าเคยส่งคนไปตามสืบ แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย
กลับมา แต่ว่ามันมีกลุ่มอำนาจนี้อยู่ในซีชวนจริง อีก
ทั้งยังอันตรายต่อซีชวนด้วย”
เหว่ยซูถงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง เหตุใด
ข้าน้อยถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย”
ฉีหนิงคิดในใจว่า อดีตฮ่องเต้ส่งเจ้ามาประจำการณ์
ที่นี่ ก็น่าจะหาคนที่ฉลาดกว่านี้ดีกว่าหรือไม่ เหตุใด
เรื่องภายในซีชวน ถึงได้ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าเขากิน
อะไรเป็นอาหารกันแน่
แต่จากบทสนทนา สองคนนี้เหมือนจะไม่ค่อยได้ไปมา
หาสู่กันเท่าไหร่
เหว่ยซูถงเป็นคนของทางราชสำนัก เป็นคนที่คอยจับ
ตาดูหลี่หงซิ่นไว้ หากทั้งคู่สนิทกันเกินไป มันคงไม่ดี
หลี่หงซิ่นพูดว่า “เดิมทีพวกเขาก็ลึกลับมากพออยู่แล้ว
ใต้เท้าเหว่ยไม่รู้ก็ไม่แปลก รู้แค่ว่าพวกเขามีจำนวนคน
น้อยมาก” สายตาของเขาเหมือนคมดาบ “ข้าสงสัย
ว่า เรื่องของถ้ำเฮยเหยียน น่าจะเกี่ยวข้องกับพวก
เขา”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 398 รวมตัวอีกครั้ง
อาหารบนโต๊ะเย็นหมดแล้ว ถึงแม้จะมีอาหารโอชะ
มากมาย แต่ว่าในตอนนี้ทั้งสามคนไม่ได้มีอารมณ์ใน
การกินอาหารเลย
สาวงามที่ยืนคอยปรนนิบัติก็ยืนก้มหน้า เมื่อไม่มีคำสั่ง
ก็ไม่มีใครกล้าเดินเข้าใกล้เลย
“ท่านอ๋องสงสัยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือกลุ่มนรกภูมิ
กลุ่มนี้หรือ?” เหว่ยซูถงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
หลี่หงซิ่นพูดว่า “ไม่เพียงแค่เรื่องของถ้ำเฮยเหยียน
ข้ายังสงสัยว่า นักฆ่าปาดคอก็อาจจะเป็นฝีมือของ
พวกเขาด้วย” เขาหยุดไปแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย
โหวเยว่ ข้าบอกไปแล้ว ข้าเป็นคนฝึกยุทธ์ อีกทั้งเรื่อง
ในคราวนี้ก็เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของซีชวน บาง
เรื่องเดิมทีก็ไม่ควรพูด แต่ข้าก็คงต้องพูดแล้ว”
ฉีหนิงยกมือแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องเชิญพูดมาได้เลย”
เหว่ยซูถงพูดว่า “ตอนนี้ซีชวนเริ่มไม่สงบแล้ว ข้าน้อย
เองก็อยากจะได้คำชี้แนะจากท่านอ๋องเช่นกัน”
หลี่หงซิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “ชี้แนะคงไม่กล้า พวกเราสาม
คนต่างก็เป็นคนของราชสำนัก ก็ควรจะทำอะไรเพื่อ
ราชสำนักบ้าง” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “พวกเจ้า
ออกไปก่อน”
เหล่าสาวงามต่างทำความเคารพแล้วถอยออกไป
ฉีหนิงรู้สึกขำมาก แอบคิดในใจว่าหากคำพูดของเจ้า
กับข้าไม่ได้เป็นความลับ จะให้สาวๆ ออกไปทำไม?
“ทั้งสองท่านก็น่าจะรู้ ข้าสวามิภักดิ์ต่อราชสำนัก ฝ่า
บาทท่านทรงมีเมตตา ไม่ได้เปลี่ยนแปลงขุนนางในซี
ชวนเลย” หลี่หงซิ่นพูดว่า “ขุนนางที่เคยติดตามข้า
ราชสำนักเองก็จัดการอย่างเหมาะสม จนถึงตอนนี้
ขุนนางในซีชวนเกินกว่าครึ่งก็ยังเป็นคนของข้าอยู่”
ฉีหนิงกับเหว่ยซูถงมองหน้ากัน แต่ไม่พูดอะไร
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ เขารู้สึกว่าคำพูดของหลี่หงซิ่น
พูดจาแปลกๆ
หลี่หงซิ่นไม่ใช่เด็กสามขวบ ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
เขาอยู่ที่ซีชวน ก็คือคนที่มีอำนาจมากที่สุด คำพูดที่
ออกมาจากปากเขาในวันนี้ ตามหลักแล้วเขาไม่ควร
จะพูดออกมาด้วยซ้ำ แต่เขากลับพูดมันออกมาโดยไม่
เกรงกลัวเลย เหมือนคนที่กำลังนั่งฟังเขาอยู่เป็นคน
สนิทของเขาเอง
“คนพวกนี้ก็เป็นแม่ทัพขุนนางเก่าทั้งนั้น ถึงแม้ข้าจะ
ยอมสวามิภักดิ์แล้ว แต่ว่าข้าพูดอะไรที่แน่ใจมาก
อย่างหนึ่ง หากข้าไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อควบคุมพวกเขา
จะต้องมีคนที่ลุกขึ้นมาก่อเรื่องแน่นอน” หลี่หงซิ่นสี
หน้าเคร่งเครียด “เรื่องของถ้ำเฮยเหยียน ทำเพื่อให้ซี
ชวนเกิดความวุ่นวาย นักฆ่าปาดคอสังหารขุนนาง ก็
เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน การลงมือกับ
ข้า ก็คือคิดให้ซีชวนไม่สงบ”
เหว่ยซูถงพยักหน้า แต่ไม่พูดอะไร
“ข้าอยู่ที่นี่ ไม่มีใครกล้าทำอะไร แต่หากข้าถูกสังหาร
โหวเยว่อาจจะไม่ทราบ แต่ใต้เท้าเหว่ยรู้ดี คนของข้า
ที่มีอยู่ก็ไม่น้อย จะต้องลุกขึ้นมาก่อความวุ่นวายแน่”
หลี่หงซิ่นพูดว่า “คนพวกนั้นต่างก็เป็นพวกมุทะลุทำ
อะไรก็หุนหันพลันแล่น ไม่คิดถึงผลที่ตามมา ดังนั้นข้า
ถึงได้บอกว่า การที่ข้าถูกลอบสังหาร มันน่าจะเป็น
เรื่องเดียวและเกี่ยวข้องกับเรื่องของถ้ำเฮยเหยียน”
เหว่ยซูถงคิดแล้วถึงได้พูดออกมาว่า “ท่านอ๋องพูดถูก
แล้ว ดูท่ากลุ่มของนรกภูมิ จะต้องรีบกำจัดให้สิ้น”
หลี่หงซิ่นพูดว่า “นิสัยของข้า มีแค้นต้องชำระ หาก
นรกภูมิลอบสังหารข้าจริง ข้าจะไม่ยอมพวกมันมีชีวิต
รอดต่อไปอีก เพียงแต่ตอนนี้พวกนั้นเป็นใครกันพวก
เราก็ไม่รู้ ข้ารู้แค่มีพวกนั้นอยู่ นักฆ่าปาดคอ สังหาร
ขุนนาง บุกเข้าจวนอ๋อง ข้าจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย
หากจะตามหาพวกเขา ไม่ง่ายเลย”
“ท่านอ๋อง นรกภูมิจะเกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำ
หรือไม่?” เหว่ยซูถงคิดแล้วพูดว่า “พรรคบัวดำที่อยู่ที่
เขาเฉียนหลิงลึกลับมาก หรือว่าคนพวกนี้อยู่
เบื้องหลัง?”
หลี่หงซิ่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ก็ใช่ว่า
จะไม่มีความเป็นไปได้ ก่อนหน้านี้พรรคบัวดำไม่ได้ทำ
อะไรผิดมาก่อน ทางการเองก็ไม่ได้ไปยุ่ง พวกเขาไม่
กล้าออกหน้าในนามของพรรคบัวดำ จึงใช้ชื่อแฝงว่า
นรกภูมิ เพื่ออำพรางตัวตนก็เป็นไปได้”
“จริงสิ ท่านอ๋อง ใต้เท้าเหว่ย ชาวยุทธ์เดินทางมา
รวมตัวกันที่ซีชวน เหมือนจะลงมือจัดการกับพรรคบัว
ดำ ทั้งสองท่านก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดี” ฉีหนิงพูดขึ้นมา
เหว่ยซูถงพยักหน้า “จวนเสินโหวประกาศสัญญา
เลือด แปดพรรคสิบหกสำนักเร่งเดินทางมาที่ซีชวน
แปดพรรคสิบหกสำนักอยู่กันคนละทิศคนละทาง ใกล้
ไกลนั้นต่างกัน ดังนั้นตอนนี้ยังอยู่ระหว่างเดินทางไปที่
ปาซี ข้าน้อยได้สั่งให้ขุนนางท้องที่ ตรวจดูอย่าง
เข้มงวด คนพวกนี้ทำอะไรบุ่มบ่าม แต่อย่าคิดมาก่อ
ความวุ่นวายในซีชวนเป็นอันขาด แต่ว่าครั้งนี้เป็น
คำสั่งของซีเหมินเสินโหว ทางการเองก็ไม่สะดวกที่จะ
ไปยุ่มย่ามมาก”
หลี่หงซิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “ความหมายของข้าคือ หากซี
เหมินเสินโหวมาซีชวนด้วยตัวเอง รบกวนท่านทั้งสอง
แจ้งกับทางท่านเสินโหวด้วยว่า รบกวนจวนเสินโหว
ตรวจสอบเรื่องของนรกภูมิด้วยว่ามีความเกี่ยวข้องกับ
พรรคบัวดำหรือไม่ หากไม่มีความเกี่ยวข้องกัน พวก
เราก็ต้องสืบหาว่านรกภูมินั้นเป็นใครมาจากไหน” เขา
ยกเหล้าขึ้นมา แล้วพูดว่า “ข้าไม่อาจยุ่งเรื่องนี้มากนัก
เพียงแต่กังวลว่าเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับนรกภูมิ จะ
ทำให้ซีชวนวุ่นวาย ดังนั้นวันนี้ ถึงได้กล้าพูดมาก
ขนาดนี้”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องกังวลเรือ่ งของซี
ชวน น่านับถือนัก ท่านอ๋องวางใจได้ หากท่านเสินโหว
มาที่ซีชวนนี้จริง ข้าจะชี้แจงเรื่องนี้ให้เขาฟังอย่าง
ละเอียดแน่นอน”
หลี่หงซิ่นยกมือแล้วพูดว่า “ช่างเถอะนะ พูดมากันตั้ง
นาน อายุมากแล้ว ก็ชอบพูดมากหน่อย โหวเยว่ ทน
กินอาหารมื้อนี้ก่อนนะ ข้าได้สั่งให้คนเตรียมเรือน
เจียนเจียไว้แล้ว อีกทั้งได้เชิญคนมีชื่อเสียงในพื้นที่มา
ด้วย จริงสิ ใต้เท้าเหว่ย ขุนนางของเฉิงตูอาจจะต้อง
ให้เจ้าออกหน้า”
“ท่านอ๋องเกรงใจเกินไปแล้ว ที่จริงไม่ต้องก็ได้” ฉีหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทส่งข้ามาปาสู่ซีชวน หลักๆ ก็
เป็นเพราะเรื่องของถ้ำเฮยเหยียน ตอนนี้รู้ความจริง
ทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ท่านอ๋องอาศัยอยู่ที่เมืองเฉิงตู
ข้าก็เลยตั้งใจมาคารวะท่าน”
หลี่หงซิ่นยื่นมือไปจับแขนของฉีหนิงอย่างสนิทสนม
“ไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าจะได้มาซีชวน เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่
หลายวันหน่อยนะ พ่อครัวที่ข้ารับปากไว้ ไว้ข้าจะให้
เจ้าพากลับไปด้วย ซีชวนมีของดีมากมาย ข้าจะสั่งให้
คนเตรียมไว้ให้ ถึงเวลาให้เจ้าเอากลับไปให้คนที่จวน
ของเจ้าด้วย” เขาเขยิบเข้ามาใกล้ แล้วพูดว่า “โหว
เยว่ ปาสู่สาวงามมากมาย คืนนี้...ข้าเลือกสักคนสอง
คนมาปรนนิบัติเจ้า ดีหรือไม่?”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “โหวเยว่ คงไม่ได้หรอก” เขาพูดเสียง
เบาว่า “โหวเยว่ท่านก็เห็นแล้ว ข้ามีสาวชาวเหมียว
ตามมาด้วยคนหนึ่ง...”
หลี่หงซิ่นหัวเราะแล้วพูดว่า “เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว
สาวชาวเหมียวก็อีกอรรถรสหนึ่ง ข้าก็จะไม่ขัด
ความสุขของเจ้าแล้วกัน ฮ่าฮ่าฮ่า...”
หลังจากออกมาจากภัตตาคาร หลี่หงซิ่นขอตัวกลับ
ก่อน เหว่ยซูถงเป็นซีชวนชื่อสื่อ ก็มีหน้าที่ในการดูแล
การกินอยู่ของจิ่นอีโหว
ทางเฉิงตูมีเรือนรับรองของทางการ ในฐานะขุนนางที่
ดูแลท้องที่นี้ ทุกอย่างเหว่ยซูถงต้องเป็นดูแล
ก่อนหน้านี้เหว่ยซูถงได้สั่งให้คนไปจัดเตรียมเรือน
รับรองเอาไว้แล้ว เรือนรับรองนี้เป็นสถานที่พักของ
ขุนนางราชสำนักที่เดินทางมาจากเมืองหลวง ซึ่งแบ่ง
ตามลำดับขั้นของขุนนาง ดูแลรับรองก็มีความ
แตกต่างกัน
ฉีหนิงเป็นหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหว การดูแลก็ต้องดี
ที่สุด
เหว่ยซูถงเดินทางมาส่งฉีหนิงด้วยตัวเอง ตอนนี้ฟ้ามืด
แล้ว เมื่อมาถึงหน้าเรือนรับรอง พอลงจากม้า ก็ได้ยิน
คนตะโกนเรียก “โหวเยว่ โหวเยว่” มีเงาหลายคนเดิน
มา ทหารทางการจึงยกดาบขึ้นขวาง แต่ฉีหนิงกลับจำ
เสียงของพวกเขาได้ เขาพูดด้วยความดีใจว่า “ให้พวก
เขาเข้ามา”
เงาทั้งสี่รีบเดินเข้ามา จากนั้นก็คุกเข่าลง คนที่อยู่หน้า
สุดพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “โหวเยว่ ในที่สุดท่าน...ท่าน
ก็มา” เขาคือฉีเฟิงที่แยกกันระหว่างทางนั่นเอง
ด้านหลังของฉีเฟิง ก็คือองครักษ์อีกสามคนที่ตามมา
จากจวนโหว แต่ว่าทั้งสี่คนแต่งกายเพื่อปิดบังฐานะ
เหว่ยซูถงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ นี่มัน...?”
“ใต้เท้าเหว่ย พวกเขาเป็นองครักษ์ที่ข้าพามาจาก
เมืองหลวงด้วย แต่ระหว่างทางมีเหตุให้ต้องแยกกัน”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ยังดีที่พวกเจ้าปลอดภัย ข้าก็เบา
ใจแล้ว” เขาพูดอีกว่า “ฟ้ามืดแล้ว ใต้เท้าเหว่ยเองก็
ลำบากมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักก่อนเถอะนะ ไว้พวก
เราค่อยหารือกันอีกที”
เหว่ยซูถงพูดว่า “อย่างนั้นก็ได้ โหวเยว่ท่านพักผ่อน
เถอะ ที่เรือนรับรองนี่ได้เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว
อีกทั้งยังมีคนคอยรับใช้”
เพราะจิ่นอีโหวมาพักอยู่ที่เรือนรับรอง ดังนั้นเหว่ย
ซูถงก็เลยสั่งให้ทหารมาเฝ้าอยู่รอบๆ เรือนรับรอง ฉี
หนิงเองก็ไม่พูดอะไร ด้านนอกที่เรือนรับรองมีคน
ออกมานำทางฉีหนิงและคนอื่นเข้าไป อีฝูเป็นผู้หญิง
จึงมีเรือนเฉพาะ ส่วนชายชาวเหมียวที่ติดตามมาก็มีที่
พักให้เฉพาะเช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้เตรียมห้องให้พวก
ของฉีเฟิงล่วงหน้า เพราะโผล่มากะทันหัน แต่ว่า
ภายในเรือนรับรองก็มีห้องมากมาย ไม่นานก็สามารถ
เตรียมให้ได้
เรือนที่ฉีหนิงพัก สงบเงียบมาก ดูหรูหรา ในระยะ
เวลาสั้นๆ ก็ถือว่าใส่ใจมากทีเดียว ภายในเรือนก็มีสาว
ใช้ดูแล
ฉีหนิงสั่งให้ชาวเหมียวที่ติดตามมาไปพักผ่อนแล้วให้
อีฝูกับฉีเฟิงเข้ามาในห้องของเขา อีฝูจำหน้าของพวก
ฉีเฟิงไม่ได้ แต่ว่ารู้ว่าน่าจะเป็นคนที่แยกกันวันที่ฝนตก
ในวันนั้น แต่ว่าฉีเฟิงจำอีฝูได้แม่น เพราะอีฝูรูปร่างเร่า
ร้อน ยั่วยวนใจมาก คืนวันฝนตกวันนั้น ก็สะดุดตา
พวกเขาไม่น้อย
“โจวซุ่น อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?
หายดีหรือยัง” เมื่อเข้ามาในห้อง ฉีหนิงก็มองไปที่
องครักษ์คนหนึ่งแล้วถามทันที
คืนนั้นต่อสู้กับตัวประหลาด โจวซุ่นบาดเจ็บสาหัส ฉี
เฟิงพาเขาออกจากที่นั่น ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็น
อะไรมากแล้ว ฉีหนิงก็เบาใจ คนพวกนี้เป็นองครักษ์
ของจวนโหว ไม่เหมือนคนทั่วไป ฉีหนิงรู้ว่าคนพวกนี้
ยอมตายเพื่อปกป้องเขา จึงใส่ใจพวกเขาเป็นพิเศษ
โจวซุ่นรู้สึกซาบซึ้งแล้วก็ดีใจมาก เขายกมือคำนับแล้ว
พูดว่า “ขอบคุณโหวเยว่ที่เป็นห่วง ตอนนี้ไม่เป็นอะไร
มากแล้ว”
ฉีเฟิงพูดว่า "โหวเยว่ โจวซุ่นกินยาแล้ว หลายวันนี้ได้
พักผ่อนอย่างเต็มที่ เจ้าบ้านี่ปกติก็แข็งแรงอยู่แล้ว
เลยฟื้นตัวได้เร็ว เพียงแต่ตอนนี้ยังออกแรงใช้วรยุทธ์
ไม่ได้แค่นั้น
“นั่งลงก่อน” ฉีหนิงสั่งให้ทุกคนนั่งลง ตัวเขานั่งลง
ข้างๆ อีฝู อีฝูรู้สึกเขินมาก แต่ก็ไม่ได้หลบไป เขาเห็นฉี
หนิงนั่งคุยกับลูกน้องแต่ไม่ได้หลบเลี่ยงนางเลย นางรู้
ว่าเขาเห็นนางเป็นคนกันเองแล้ว ในใจของนางก็นึกดี
ใจ
“พวกเจ้ามาที่เมืองเฉิงตูนานหรือยัง?” เมื่อทุกคนนั่ง
ลงแล้ว ฉีหนิงก็เริ่มถาม
ฉีเฟิงรีบตอบว่า “พวกเราเข้าเมืองมาหกวันแล้ว
หลังจากที่แยกกับโหวเยว่ในคืนนั้นแล้ว พวกเราก็หาที่
พักเพื่อรักษาและดูอาการของโจวซุ่น ตอนนั้น
เสียเวลาไปสองวัน ต่อมาคิดว่าอย่างไรก็แล้ว ก็เลยมา
ที่เมืองเฉิงตู แล้วก็รอท่านอยู่ในเมืองนี่ตลอด” เขาพูด
ว่า “พวกเราปลอมตัวเข้าเมืองมา ไม่ได้เปิดเผยตัว
เพราะกังวลว่าอาจทำให้ท่านเสียเรื่อง พวกเราไปรอ
อยู่ที่หน้าประตูเมืองกับที่เรือนรับรองนี่ เพื่อรอฟังข่าว
ของโหวเยว่ทุกวัน”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าก็ฉลาดเหมือนกันนี่นา”
“วันนี้เห็นท่านสู่อ๋องออกไปนอกเมืองด้วยตัวเอง ก็
เลยได้รู้ว่าเขาไปรับโหวเยว่ พวกเราก็เลยมารออยู่ที่
เรือนรับรองนี่” ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “เห็นโหวเยว่
ปลอดภัยพวก เราก็โล่งใจแล้ว” เขามองไปที่อีฟู แล้ว
ถามว่า “โหวเยว่ ท่านอยู่กับแม่นางท่านนี้ตลอดเลย
หรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเจอเรื่องมากกว่าพวกเจ้าเสีย
อีก จริงสิ นี่แม่นางอีฝู”
พวกเขาสายตาก็ไม่แย่ พวกเขามองออกว่าฉีหนิงกับ
อีฝูน่าจะมีสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ในใจก็คิดว่าโหวเยว่อ
ย่างไรก็คือโหวเยว่ ฝีมือไม่ธรรมดา เวลาแค่ไม่กี่วัน ก็
สามารถเผด็จศึกสาวเหมียวสุดเร่าร้อนผู้นี้ได้แล้ว พวก
เขาก็รีบลุกขึ้นแล้วยกมือคำนับอีฝูอีฝูเองก็ลุกขึ้นตอบ
รับ
“ฉีเฟิง ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้าหน่อย” ฉีหนิงพูดว่า
“พวกเจ้าอาศัยอยู่ในเมืองหลายวันแล้ว ได้ยินเรื่อง
ของนักฆ่าปาดคอหรือไม่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 399 ความในใจ
ฉีเฟิงรีบพูดว่า “โหวเยว่กำลังพูดถึงนักฆ่าที่ชาวเมือง
เฉิงตูพูดถึงในตอนนี้ใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงพยักหน้า อีฝูไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ นางถาม
ขึ้นมาว่า “โหวเยว่ นักฆ่าอะไร?”
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้ปิดบัง เขาเล่าเรื่องที่หลี่หงซิ่นพูดให้
พวกเขาฟัง อีกทั้งยังเล่าเรื่องที่เฟยฉงอนุชายาสู่อ๋อง
ถูกสังหาร ให้พวกเขาฟังด้วย ทุกคนต่างตกใจ ฉีเฟิง
พูดว่า “ที่แท้ก็บุกเข้าไปในจวนอ๋องได้แล้วนี่เอง โหว
เยว่ นักฆ่านี่มันร้ายกาจจริงๆ เลย องครักษ์ของสู่อ๋อง
พวกนั้นก็ราวกับกินหญ้าเป็นอาหารก็ไม่ปาน”
ฉีหนิงเหลือบไปมองเขา แอบคิดในใจว่าตอนที่ข้าอยู่
ในจวนจิ่นอีโหว ก็มีคนแอบเข้ามาในจวน พวกเจ้าเอง
ก็ไม่รู้เหมืนกัน เช่นนั้นพวกเจ้าก็กนิ หญ้าแทนข้าวสินะ
“อย่างนี้นี่เอง เมืองเฉิงตูมีนักฆ่าปาดคอจริงหรือ?”
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “พวกเราอยู่ในเมืองมา
หลายวัน ได้ยินชาวเมืองพูดถึงบ่อยมาก บอกว่ามีนัก
ฆ่าออกอาละวาดในเมือง สังหารขุนนางไปไม่น้อย
บางคนก็บอกว่าก็ดีช่วยชาวบ้านกำจัดคนชั่ว”
องครักษ์หลี่ถังตอนนี้ก็พูดขึ้นมาเช่นกันว่า “ฟังจาก
น้ำเสียงของชาวบ้าน เหมือนจะรู้สึกพอใจกับเหล่านัก
ฆ่านะ พวกเขาบอกว่าขุนนางเหล่านั้นโกงกิน
บ้านเมือง ถือว่าช่วยแก้แค้นให้กับชาวบ้าน”
ฉีหนิงคิดในใจว่า ขุนนางกับชาวบ้านมักอยู่ตรงข้าม
กันตลอด ในสายตาของชาวบ้าน ขอแค่เป็นขุนนาง
ไม่มีผู้ใดดีเลย ขุนนางถูกสังหาร เหล่าชาวบ้านก็ถือว่า
โชคดี
“โหวเยว่ ท่านรู้สึกว่าเรื่องนี้มีปัญหาใช่หรือไม่?” ฉี
เฟิงพูด
ฉีหนิงใช้ความคิดก่อนจะส่ายหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “จริง
สิ หลายวันนี้พวกเจ้าอยู่ที่นี่ คงไม่ได้อยู่เฉยๆ ใช่
หรือไม่ ได้สืบอะไรมาบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องของ
สู่อ๋องกับซีชวนชื่อสื่อ”
ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเรารู้อยู่แล้วว่าโหวเยว่
จะต้องถามเรื่องนี้แน่ ดังนั้นหลายวันมานี้พวกเราก็
ไม่ได้อยู่เฉยๆ” เขาพูดว่า “เท่าที่ข้ารู้มา สู่อ๋องไม่ค่อย
จะออกจากจวน พวกเขาบอกว่าตอนนี้เขากินเจสวด
มนต์ ไม่ค่อยยุ่งเรื่องภายนอกเท่าไหร่” เขาหยุดไป
“แต่ว่าในแต่ละเดือนสู่อ๋องจะไปไหว้พระที่เขาชิงเฉิง”
“ไหว้พระ?” ฉีหนิงพูดด้วยความสงสัย “เขาชิงเฉิง
ไม่ใช่ศาสนสถานของลัทธิเต๋าหรือ?”
ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่เขาชิงเฉิงมีลัทธิชิงเฉิงอยู่จริง
แต่ว่าสู่อ๋องได้บริจาคเงินสร้างวัดอีกหลังหนึ่งบนเขา
ชิงเฉิง เขาเป็นถึงสู่อ๋อง ใครจะกล้าขวางเขาเล่า? ได้
ยินมาว่าวัดแห่งนั้นก่อสร้างอย่างสวยงาม อีกทั้งสู่อ๋อง
ยังนิมนต์หลวงจีนมาประจำวัดด้วย สู่อ๋องมักจะไป
ไหว้พระที่นั่นบ่อยๆ”
“เขาชิงเฉิง...” ฉีหนิงเหมือนจะใช้ความคิด
เขารู้ว่า เขาชิงเฉิงอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมาก หากขี่ม้า
เร็วไป ครึ่งวันก็ถึงแล้ว
“เหว่ยซูถงเล่า?” ฉีหนิงลูบคางแล้วถาม “เหว่ยชื่อสื่อ
คนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ฉีเฟิงพูดว่า “ชาวบ้านรู้สึกจะชื่นชอบและชื่นชมใต้
เท้าเหว่ยมาก ใต้เท้าเหว่ยอยู่ที่ซีชวนหลายปี เป็นขุน
นางมือสะอาด เที่ยงตรง มีความเป็นธรรม” เขาหยุด
แล้วพูดว่า “แต่ว่ามีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ชาวบ้านเหมือนจะ
วิจารณ์เขาอยู่พอสมควร”
“เรื่องอะไร?” ฉีหนิงรีบตั้งใจฟัง
ฉีเฟิงพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยได้แต่งอนุเข้าจวนเมื่อปีก่อน
โดยที่ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปเลย เดิมทีซีชวนชื่อสื่อจะแต่ง
อนุสักคนมันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ที่น่าแปลกก็คือ
หลังจากที่อนุคนนั้นเข้าจวนแล้ว ไม่เกินหนึ่งเดือน
ฮูหยินใหญ่ของใต้เท้าเหว่ยจู่ๆ ก็เสียชีวิตไป”
ฉีหนิงพูดอย่างแปลกใจว่า “ฮูหยินใหญ่ตาย?”
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เกิดเรื่องนี้จริง แต่ว่า
รายละเอียดเป็นอย่างไร ชาวบ้านเองก็ไม่ค่อยรู้ ทุก
คนรู้ว่าหลังจากฮูหยินใหญ่ตายไป ใต้เท้าเหว่ยกลับไม่
จัดงานศพอย่างสมเกียรติ แต่จัดงานอย่างลวกๆ แล้ว
ฝังให้จบไป”
อีฝูขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เรื่องนี้มีเบื้องหลังแน่”
ฉีหนิงพยักหน้า เหมือนจะใช้ความคิด หลังจากนั้นไม่
นานก็พูดว่า “ฉีเฟิง พวกเราอาจจะต้องอยู่ที่เมืองเฉิง
ตูหลายวันหน่อย เจ้าแอบไปสืบมา ดูสิว่าสืบเรื่องของ
เหว่ยซูถงได้บ้างอีกหรือไม่ หากเป็นไปได้ ลองสืบที่มา
ที่ไปของอนุของเหว่ยซูถงด้วย”
ฉีเฟิงพูดว่า “ขอรับ”
“หลี่ถัง พรุ่งนี้เช้าเจ้าแอบออกนอกเมืองไปที่เขาชิง
เฉิงหน่อย ลองสืบดูว่าวัดที่สู่อ๋องชอบไปนั้นมันมีอะไร
หรือไม่” ฉีหนิงพูดว่า “ไม่ต้องฝืนนะ หากมีโอกาส
พยายามอย่าเปิดเผยฐานะ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่เมือง
เฉิงตู อย่างไรก็มีคนจับตามองพวกเราอยู่ เลี่ยงไม่ได้
ทำอะไรต้องระวังให้มาก”
ฉีเฟิงยกมือคำนับ
ฉีหนิงสั่งกำชับอีกสองสามเรื่อง ดึกมากแล้ว เขาจึงสั่ง
ให้พวกเขากลับไปพักก่อน แต่ให้อีฝูอยู่ก่อน
เมื่อภายในห้องเหลือพวกเขาแค่สองคน อีฝูก็รู้สึกเขิน
มาก ถึงแม้ฉีหนิงจะไม่ได้ทำอะไร อีฝูกลับรู้สึกว่าหัวใจ
ของนางเต้นแรงมาก นางถามว่า “เจ้ายังมีอะไรอีก
หรือ?”
ฉีหนิงรินน้ำชาด้วยตัวเอง บนโต๊ะมีของว่างวางอยู่
เขายื่นมือไปจับมือของอีฝู ดึงนางมานั่งข้างๆ เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าเย็นวันนี้เจ้าน่าจะกินไม่อิ่ม พอดี
ข้าเองก็กินไม่อิ่ม เจ้ากินของว่างเป็นเพื่อนข้าทีนะ”
เขาหยิบขนมของว่างขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วยื่นให้กับอีฝู
อีฝูจะยื่นมือไปรับแต่ฉีหนิงกลับส่ายหน้า แล้วพูด
อย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่ต้อง ข้าป้อนเจ้าเอง”
อีฝูตะลึงไป เมื่อฉีหนิงหยิบขนมป้อนเข้าปากนาง นาง
ก็หน้าแดงมาก ท่ามกลางแสงไฟ นางดูมีเสน่ห์และน่า
หลงใหลไม่น้อย
ถึงแม้สาวชาวเหมียวจะแยกแยะความรักได้ แต่ผู้หญิง
ก็คือผู้หญิง ทำอย่างไรก็เขินอยู่ดี
ถึงแม้อีฝูจะอายุไม่น้อยแล้ว หน้าตานางก็งดงาม แต่
เพราะนางเป็นน้องสาวของจ้าวถ้ำเฮยเหยียน ถึงแม้
นางจะเป็นดังนางฟ้าของเหล่าชาวเหมียว แต่อีฝูก็เป็น
คนหัวสูง ไม่เคยถูกใจผู้ชายคนไหนเลย ถึงแม้จะเสีย
ตัวให้ฉีหนิงโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้
สนิทสนมกับผู้ชายคนไหนเป็นพิเศษ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เรื่องการถูกเกี้ยวพาราสี
ถึงแม้นางจะมีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยากับฉีหนิง
ไปแล้ว แต่ว่าเจอบรรยากาศแบบนี้ เห็นฉีหนิงมองมา
ที่นางแล้วยิ้มให้ นางก็อดหน้าแดงไม่ได้ ฉีหนิงพูด
อย่างอ่อนโยนว่า “ลองสักคำนะ ได้เห็นเจ้ากิน ข้า
ชอบ”
อีฝูเห็นเขาอ่อนหวาน น้ำเสียงอ่อนโยน ก็เลยกัดขนม
ไปหนึ่งคำ ฉีหนิงยิ้ม จากนั้นก็เอาขนมมากัดทับรอยที่
อีฝูกัด
อีฝูหน้าร้อนผ่าว วินาทีนั้นนางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
เลย
ฉีหนิงหยิบขนมข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งจับมือของอีฝูไว้
แล้วพูดว่า “พี่อีฝู ตอนนี้เจ้ารู้ฐานะของข้าแล้ว ที่เคย
พูดเอาไว้ยังนับอยู่หรือไม่?”
“พูด...พูดอะไร?”
ฉีหนิงขยับเข้าไปใกล้อีฝู ขาของพวกเขาแนบชิดกัน
ห่างกันแค่คืบ ซึ่งสามารถได้กลิ่นกายของอีกฝ่ายได้
ถึงแม้อีฝูจะรู้สึกเขินอาย แต่ก็ไม่ได้หลบไป เมื่อเทียบ
กับสาวชาวฮั่นที่ชอบเล่นตัว ชาวเหมียวอย่างอีฝู
เปิดเผยกว่ามาก แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเกี้ยวพา
ราสีเท่าไหร่นัก
“เจ้าเคยบอกข้าว่า หากข้าช่วยแก้ไขสถานการณ์ของ
ถ้ำเฮยเหยียนได้ เจ้าจะ...เจ้าจะตอบแทนข้าเป็นอย่าง
ดี” ฉีหนิงบีบมือของอีฝูเบาๆ แล้วหน้าด้านพูดต่อว่า
“เจ้ารักษาคำพูดหรือไม่?”
อีฝูเข้าใจความหมายของฉีหนิงขึ้นมาทันที นางขยับ
ตัวนิดหน่อย นางเหมือนจะหายใจแรงขึ้น หน้าอก
ของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง ถึงแม้นางจะอาย
มาก แต่ก็ยังพูดว่า “ข้ารัก...รักษาคำพูดอยู่แล้ว ไม่...
ไม่หลอกเจ้าหรอก”
“พี่อีฝูดีกับข้าที่สุดเลย” ฉีหนิงหัวเราะ “พี่อีฝู เจ้า
บอกว่าหลังจบเรื่องนี้แล้ว จะให้คำตอบข้า เจ้าจะให้
คำตอบอะไรข้าล่ะ?”
อีฝูคิดแล้วพูดว่า “ก่อน...ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคือ
จิ่นอีโหว ดังนั้น...” นางหยุดไป แล้วพูดว่า “ข้าขอ
ถามเจ้าหน่อย เจ้าต้องตอบข้ามาตามตรง ห้ามหลอก
ข้าเด็ดขาด”
“ไม่ ข้าเป็นคนจริงใจเชื่อใจข้าได้ ข้าไม่เคยโกหกใคร”
ฉีหนิงพูดอย่างมั่นใจ
อีฝูอดขำไม่ได้ นางคิดในใจว่าเรื่องที่เจ้าหลอกข้าน้อย
เสียที่ไหน? นางรู้สึกว่าตัวเองแก่กว่าฉีหนิง แต่อยู่ต่อ
หน้าฉีหนิงยังตื่นเต้นขนาดนี้ นางพยายามข่มใจ แล้ว
พูดว่า “เจ้ากับข้า...มีอะไร...แล้วเจ้า...เจ้าคิดจะทำ
อะไรต่อไป?”
ตอนที่ถามเรื่องนี้ นางจริงจังมาก
ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา แล้วพูดว่า “พี่อีฝู เจ้า
กังวลว่าข้าจะเป็นคนเจ้าชู้ เมื่อได้เจ้าแล้ว ต่อไปจะไม่
สนใจใยดีเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
อีฝูก้มหน้า แล้วพูดว่า “ข้าเอง...ข้าเองก็ไม่รู้”
ที่จริงหลังจากที่นางรู้ว่าฉีหนิงคือจิ่นอีโหว ในใจของ
นางก็สับสนมาก ถึงแม้ดูจากภายนอกจะดูนิ่งมาก แต่
ว่าในใจของนางดูร้อนรนไม่น้อย
หากฉีหนิงเป็นคนธรรมดา อีฝูกับเขามีความสัมพันธ์
กันแล้ว อีกทั้งนางก็ไม่ได้รังเกียจเขา ตามกฎของสาว
ชาวเหมียว ก็ต้องยอมยกกายและใจให้เขาแน่นอน
แต่ว่าฉีหนิงเป็นถึงจิ่นอีโหว
ถึงแม้อีฝูจะอาศัยอยู่บนป่าบนเขา แต่นางก็รู้ว่า
จิ่นอีโหวหมายถึงอะไร
ถึงแม้ปาเย่ลี่จะเป็นจ้าวถ้ำเฮยเหยียน มีฐานะสูงมาก
ในถ้ำเฮยเหยียน แต่ว่าหากเทียบกันแล้ว ฐานะของ
เขาเทียบไม่ได้กับนายอำเภอเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
น้องสาวของจ้าวถ้ำอย่างนางหรอก
จิ่นอีโหวเป็นหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์ใหญ่ เป็นตระกูลที่
ทรงเกียรติที่สุดตระกูลหนึ่ง แม้แต่เหมียวอ๋องของชาว
เหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำ ยังต้องเคารพเขา
อีฝูรู้ว่าฉีหนิงมีฐานะสูงศักดิ์แค่ไหน อีกทั้งจิ่นอีโหว
ตระกูลฉีเองก็มีบุญคุณกับถ้ำเฮยเหยียนมาก อย่าว่า
แต่จิ่นอีโหวจะได้ตัวนางไปเลย แม้แต่ชีวิตของนาง
หากจิ่นอีโหวอยากจะเอาไป นางก็ไม่คัดค้านอะไร
ก็เพราะอย่างนี้ หลังจากที่นางรู้ฐานะของฉีหนิง ในใจ
ก็รู้สึกกังวลมาก
ถึงแม้สาวชาวเหมียวจะกล้ารักกล้าแค้น แต่ซื่อสัตย์
ต่อความรักมาก เมื่อมอบกายให้ไปแล้ว ก็เท่ากับมอบ
ทั้งชีวิตให้ไปด้วย ถึงแม้วันนั้นสถานการณ์จะบังคับให้
ต้องตกเป็นของฉีหนิง คืนนั้น อีฝูรู้แล้วว่า นอกจาก
ชาตินี้นางจะไม่แต่งงานอีกชั่วชีวิต หรือไม่อย่างนั้น
นางก็ต้องเป็นของฉีหนิงเท่านั้น
แต่ว่าฉีหนิงกลับเป็นถึงจิ่นอีโหว ฐานะสูงศักดิ์ แล้วจะ
แต่งงานกับสาวชาวเหมียวอย่างนางได้อย่างไร? อย่าง
น้อยภายในพื้นที่ของนาง ขุนนางชาวฮั่นไม่เคยเห็น
สาวชาวเหมียวอยู่ในสายตาเลย เท่าที่เคยสัมผัสมา ก็
เห็นสาวชาวเหมียวเป็นของเล่นทั้งนั้น
หลายวันมานี้นางสับสนมาก เพราะช่วงเวลาที่ผา่ นมา
ได้รู้จักกันมากขึ้น สิ่งที่ฉีหนิงทำให้ นางก็รู้สึกว่านาง
รักฉีหนิงไปแล้ว อีกทั้งหากนางไม่แต่งกับฉีหนิง ก็จะ
เป็นการทำผิดประเพณีของชาวเหมียว พอคิดถึงตรงนี้
นางก็รู้สึกหงุดหงิดใจมาก
ฉีหนิงไม่ได้โง่ เขาฉลาดมาก สิ่งที่อีฝูคิด เขารู้ดี เขา
จริงจังขึ้นมา แล้ววางขนมในมือจาน เขาจับมือทั้งสอง
ข้างของอีฝูไว้ แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “หากเจ้ายินดี
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือเมียของข้า ข้าจะแต่งเจ้า
เข้าจวนโหวอย่างสมเกียรติ แล้วดูแลเจ้าไปตลอด
ชีวิต”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 400 เรือนเจียนเจีย
สายตาของอีฝูเต็มไปด้วยความดีใจ แต่ว่าจากนั้นก็
เริ่มลังเล นางพูดว่า “ที่จริง...ที่จริงข้ารู้ดีแก่ใจว่า เจ้า
เป็นถึงจิ่นอีโหว ข้า...ข้าเป็นเพียงแค่สาวชาวเหมียว
ข้า...”
ฉีหนิงออกแรงดึงนางเข้ามาหา แล้วโอบเอวของนาง
เอาไว้ อีฝูร้องเบาๆ ฉีหนิงจับนางมานั่งบนตักของเขา
ท่ามกลางแสงไฟใบหน้าของอีฝูแรงระเรื่อไม่น้อย แต่
ว่านางมีอะไรกับฉีหนิงไปแล้วหลายครั้ง ก็เลยไม่ได้
ตื่นเต้นมากขนาดนั้น
“สาวชาวเหมียว สาวชาวฮั่น หรือจะเป็นสาวชาวปา
เหริน ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันนี่น่า ก็เป็นคน
เหมือนกัน มีเลือดเนื้อความรู้สึกเหมือนกันทั้งนั้น” ฉี
หนิงได้กลิ่นหอมจากตัวของอีฝู เขาพูดอย่างอ่อนโยน
ว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าจะให้คำตอบข้า ข้าจะไม่ยอมให้
เจ้าหนีไปหรอกนะ เจ้าวางใจได้ ในเมื่อข้าบอกไปแล้ว
ว่าข้าจะแต่งงานกับเจ้า เจ้าอยากจะหนีก็หนีไม่พ้น
หรอก”
อีฝูได้ยินคำหวานจากฉีหนิง ในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่ามือของฉีหนิงกำลังขยับขึ้นมา
ด้านบน อีกทั้งยังยื่นเข้าไปในเสื้อของนางด้วย
อีฝูรีบเอามือไปจับมือของเขาไว้ แล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้า
จะทำอะไร?”
“จะแตะต้องเมียของตัวเองไม่ได้เลยหรือ” ฉีหนิงขยับ
เข้าไปใกล้ แล้วกัดหูของอีฝูเบาๆ อีฝูรู้สึกร้อนผะผ่าว
ขึ้นมาทันที
“ครั้ง...ครั้งนี้ที่เจ้ามาที่นี่ เพราะมาตรวจสอบ...
ตรวจสอบเรื่องของเหว่ยซูถงหรือ?” อีฝูทนไม่ไหว จึง
ต้องรีบเปลี่ยนประเด็น คิดอยากจะลดความทรมาน
ทางร่างกายลง
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นก็ด้านหนึ่ง ที่สำคัญที่สุดก็คือ
ช่วยเจ้าให้หายแค้น”
“ช่วยข้า?”
“หลี่หยวนสังหารคนของถ้ำเฮยเหยียน เจ้าคิดว่าข้า
จะปล่อยเขาไปแบบนี้หรือ?” ฉีหนิงยิ้ม แล้วพูดว่า
“แต่ว่าเหว่ยซูถง ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ข้ามาที่นี่
ด้วย”
“เจ้า...เจ้ารู้สึกว่าเหว่ยซูถงแปลกๆ ใช่หรือไม่?” อีฝู
หน้าแดงไปหมดแล้ว ร่างกายของนางสั่นเทาไม่หยุด
นางกัดปากล่างคราหนึ่ง
ฉีหนิงพูดว่า “เหว่ยซูถงดูแปลกๆ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ที่
จริงจนถึงตอนนี้ ข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นมิตรหรือ
ศัตรู บนตัวเขาเหมือนมีความลับอยู่มากมาย ข้า
จะต้องรู้ให้ได้ ที่มาซีชวนในครั้ง ฝ่าบาททรงกำชับไว้
ว่า จะต้องตรวจสอบเหว่ยซูถงด้วย คนผู้นี้เป็นตัวแทน
ของราชสำนักมาประจำการณ์อยู่ที่ซีชวน หากเขาคิด
ไม่ซื่อกับราชสำนัก ตำแหน่งชื่อสื่อนี่ก็ควรเปลี่ยนเป็น
ของคนอื่นได้แล้ว”
“ข้าเองก็...ข้าเองก็รู้สึกแปลกใจ เหตุใดจู่ๆ ฮูหยินของ
เขาถึงได้ตาย” อีฝูพิงอยู่บนตัวของฉีหนิง นางพูดเสียง
สั่นเครือว่า “เรื่องนี้จะต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่
แน่นอน”
“อย่าคิดว่าเรื่องของถ้ำเฮยเหยียนจะจบลงแค่นี้นะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้สึกว่า หลายเรื่องมันเหมือน
เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ซีชวนมีความลับมากเหลือเกิน
ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับเหมือนถังระเบิด...หากไม่
ระวัง มันก็อาจจะปะทุขึ้นมาได้”
“ถังระเบิด...มันคืออะไร?” อีฝูไม่เคยได้ยินศัพท์คำนี้
มาก่อน
ฉีหนิงพูดว่า “ก็เหมือนกับน้องชายสุดที่รักของเจ้า
ตอนนี้ก็คือถังระเบิด หากไม่ได้กอดเจ้าในคืนนี้ คง
ต้องระเบิดตายแน่”
เรื่องของชายหญิงกลางค่ำคืน ก็ไม่ต้องลงรายละเอียด
กันมาก
สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ ก่อนหน้านี้ถ้ำเฮยเหยียนมีภัย
อีฝูมีเรื่องในใจมากมาย แต่ว่าครั้งนี้นางเต็มใจที่จะ
ร่วมรักกับฉีหนิง
ทั้งสองร่วมรักกันทั้งคืน เช้าวันต่อมาพวกเขาจึงพากัน
ตื่นสาย หลังจากตื่นมาแล้ว หลี่ถังออกเดินทางไปยัง
เขาชิงเฉิงแล้ว ส่วนฉีเฟิงเองก็ออกไปสืบเรื่องของ
เหว่ยซูถง
ฉีหนิงกับอีฝูเก็บของแต่งตัวแล้ว ก็ออกจากเรือน
รับรองไป และไปเดินเที่ยวในตัวเมืองเฉิงตู
เมืองเฉิงตูเป็นเมืองหลักของซีชวน มีประวัติศาสตร์
ยาวนาน ในชาติที่แล้วฉีหนิงก็เคยมาเมืองเฉิงตู แต่ว่า
ตอนนี้มาอยู่อีกในมิติหนึ่ง เขาอยากรู้ว่าเมืองโบราณ
แห่งนี้จะมีอะไรที่ไม่เหมือนในความทรงจำของเขา
บ้าง อีกทั้งยังอยากพาอีฝูมาเดินเที่ยวด้วย
ก่อนหน้านี้อีฝูไปไหนมาไหนแค่ในเขตของเขาเฮยเห
ยียนเท่านั้น ไม่ค่อยได้เข้าเมืองมาแบบนี้ ตลาดใน
เมืองหลวงครึกครื้นมาก ทั่วทั้งเมืองมีแต่คนไปมา
มากมาย ฉีหนิงพาอีฝูเดินเที่ยวไปทั่ว อีกทั้งยังซื้อ
เครื่องประดับให้อีฝูด้วย
ถึงแม้เขาจะดูเหมือนพาอีฝูเดินเที่ยว แต่เขาก็คอย
สังเกตความเคลื่อนไหวรอบตัวเขาเช่นกัน ตั้งแต่ออก
จาเรือนรับรองมา เขาก็พบว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้อง
มาที่เขา พอมาถึงที่ตลาด ก็มีสายตาอีกหลายคู่จับ
จ้องมาที่เขาเช่นกัน
เขารู้สึกขำมาก เขารู้ดีว่าเขากำลังถูกจับตามองอยู่
เพียงแต่ว่าคนพวกนี้เป็นคนของสู่อ๋องหรือว่าคนของ
เหว่ยซูถง ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจ อาจจะเป็นของทั้ง
สองคนเลยก็ได้เหมือนกัน
ช่วงเที่ยงฉีหนิงพาอีฝูมาที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ช่วงบ่าย
ก็พาอีฝูเดินเที่ยวอีก
เมืองเฉิงตูใหญ่มาก มีสถานที่ให้เที่ยวมากมาย สามวัน
สามคืนก็อาจจะเที่ยวไม่ทั่ว
พวกเขาเดินเที่ยวเล่นจนถึงช่วงบ่าย ฉีหนิงพาอีฝูกลับ
มายังเรือนรับรอง
นั่งลงก้นยังไม่ทันร้อนก็มีคนมารายงานว่า “เรียนโหว
เยว่ ฉางสื่อของจวนสู่อ๋องมาขอพบขอรับ”
เมื่อฉางสื่อของจวนสู่อ๋องเข้ามา ฉีหนิงมองก็จำได้ คน
ผู้นี้ตอนนั้นตามสู่อ๋องซื่อจื่อเข้าเมืองหลวง อายุราวสี่
สิบปี เขารูปร่างผอม ตอนนั้นสวมชุดสีดำไปเมือง
หลวง ตอนนี้ก็แต่งตัวไม่ต่างกับตอนนั้นเลย เขาสวม
ชุดดำ คาดผ้าโพกหัวสีดำ ฉีหนิงต้องจำได้ดีแน่เพราะ
เขามีแซ่ว่าซีเหมินเหมือนกัน
“ซีเหมินฉางสื่อคำนับโหวเยว่” เขายกมือคำนับพร้อม
คลี่ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ข้าน้อยซีเหมินเหิงเย่ของ
จวนสู่อ๋อง จากกันครั้งที่แล้ว ก็ไม่ได้พบกันอีกเลย
โหวเยว่ยังคงสง่างามเหมือนเดิมเลยนะขอรับ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็คือฉางสื่อของจวนสู่
อ๋องนี่เอง ครั้งที่แล้วล่วงเกินท่านแล้ว”
“มิกล้า” ซีเหมินเหิงเย่ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่ข้าน้อยมาที่นี่
เพราะได้รับคำสั่งจากท่านอ๋อง ให้มาเชิญโหวเยว่ไป
ร่วมงานเลี้ยงที่เรือนเจียนเจีย ท่านอ๋องสั่งกำชับไว้ว่า
เมื่อวานค่อนข้างเร่งรีบไป ต้อนรับได้ไม่ดีจึงทำให้โหว
เยว่ได้กินแค่อาหารเท่านั้น วันนี้เลยตั้งใจจัดงานเลี้ยง
ต้อนรับโหวเยว่ที่เรือนเจียนเจียโดยเฉพาะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงท่านอ๋องก็ไม่น่าจะต้อง
เกรงใจขนาดนี้”
“ท่านอ๋องกับใต้เท้าเหว่ยรออยู่ที่เรือนเจียนเจียแล้ว
ตอนนี้เหล่าขุนนางในเมืองเฉิงตูอีกทั้งผู้มีอิทธิพลใน
เมืองมารออยู่แล้ว” ซีเหมินเหิงเย่ยิ้มแล้วพูดว่า “โหว
เยว่ฐานะสูงส่ง แต่กลับมาเยือนเมืองเล็กๆ ของพวก
เรา ทุกคนก็อยากจะได้พบหน้าท่านสักครั้ง”
ฉีหนิงถามว่า “ซีเหมินฉางสื่อ เรือนเจียนเจียคือที่ไหน
หรือ?”
ซีเหมินเหิงเย่อธิบายทันทีว่า “โหวเยว่อาจจะไม่รู้
ตอนที่อดีตฮ่องเต้ยังทรงมีพระชนม์ชีพ เคยมาที่ซีชวน
ครั้งหนึ่ง และเสด็จมาที่เมืองเฉิงตู เพื่อต้อนรับอดีต
ฮ่องเต้ ท่านอ๋องเลยสั่งให้สร้างเรือนเจียนเจียขึ้น โหว
เยว่ฐานะสูงส่ง งานเลี้ยงต้อนรับท่านก็ต้องจัดที่เรือน
เจียนเจียเท่านั้น”
“พระราชนิเวศน์ของอดีตฮ่องเต้หรือ?” ฉีหนิงรีบพูด
ว่า “แล้วข้าจะไปที่นั่นได้อย่างไรกัน”
ซีเหมินเหิงเย่ส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ไม่ต้อง
กังวลไป หลังจากสร้างเรือนเจียนเจียมาแล้ว ต้อนรับ
อดีตฮ่องเต้แล้ว ขณะที่อดีตฮ่องเต้กำลังจะเสด็จกลับ
ได้ทรงพระราชทานเรือนเจียนเจียนี้ให้กับท่านอ๋อง
ท่านอ๋องเห็นอดีตฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตามาก เลยไม่
ย้ายเข้าไปอยู่ แต่สั่งให้คนเข้าไปทำความสะอาดอยู่
ตลอด หากจะว่ากันตามตรงเรือนเจียนเจียถือว่าเคย
เป็นตำหนักนอกของอดีตฮ่องเต้ แต่ตอนนี้ถือเป็น
บ้านพักของท่านอ๋อง”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง”
เรือนเจียนเจียตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเฉิงตู
ด้านในโอ่อ่ากว้างขวางหรูหราดูมีระดับ
ฉีหนิงและอีฝูนั่งรถม้ามาถึงเรือนเจียนเจีย สู่อ๋องหลี่
หงซิ่นกับซีชวนชื่อสื่อเหว่ยซูถงก็มารอรับอยู่แล้ว อีก
ทั้งยังมีขุนนางท้องที่อีกหลายคนด้วย เมื่อเข้าไป
ภายในเรือนเจียนเจียแล้ว ภายในมีการจัดโต๊ะอาหาร
เอาไว้แล้ว คนมีระดับตำแหน่งฐานะที่สำคัญต่างอยู่
กันครบ
ในเมื่อฉีหนิงเป็นคนที่ทางราชสำนักส่งมา ก็ต้องนั่งอยู่
ในตำแหน่งประธาน แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าฉีหนิงจะพา
อีฝูมาด้วย
ทุกคนเห็นว่าข้างกายของฉีหนิงมีสาวชาวเหมียวนั่งอยู่
ด้วย ต่างก็รู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
สู่อ๋องหลี่หงซิ่นถึงแม้จะมีบรรดาศักดิ์อ๋อง แต่เพราะ
เขาถือเป็นเจ้ามือ ฉีหนิงนั่งที่ประธาน อีฝูนั่งอยู่
ด้านขวาของเขา หลี่หงซิ่นจึงนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของ
เขา เขายิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ วันนี้คนสำคัญในเมือง
เฉิงตูมากันครบ คิดอยากจะมาพบหน้าโหวเยว่สักครั้ง
วันนี้พวกเราได้เชิญพ่อครัวที่ดีที่สุดในเมืองเฉิงตูมา
ทำอาหารให้แก่ทุกท่านในวันนี้ อาหารทุกจานต่างทำ
อย่างประณีต พวกเขาได้เตรียมอาหารตั้งแต่เมื่อคืน
อีกเดี๋ยวพวกเราจะมีการแสดงให้ชมด้วย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องเกรงใจเกินไปแล้ว ที่
จริงอาหารเมื่อคืนก็ถือว่าดีมากแล้ว”
หลี่หงซิ่นยิ้ม แล้วยกมือขึ้น ไม่นานก็มีนางระบำเดิน
เข้ามา จากนั้นดนตรีก็เริ่มบรรเลงขึ้น
---------------------------------

You might also like