You are on page 1of 1489

บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร

เล่มที่ 4 ตอนที่ 101 ราชาพิษจิ่วซี


หยางหนิงถูกจับขังไว้ในลังไม้ ไม่รู้ว่าด้านนอกสว่าง
หรือมืดกันแน่ รู้สึกแค่ว่าทางมันไม่เรียบ แล้วมันก็
ขรุขระเอามากๆ มึนหัวจนตาลาย จากนั้นก็ไม่
รู้สึกตัวอีกครั้ง พอตื่นมาอีกที รถม้ายังคงวิ่งอยู่ แต่
ว่าความขรุขระน้อยลงแล้ว รู้สึกว่ารถม้ากาลังวิ่งลง
มาจากที่สูง
เขาไม่รู้เลยว่าที่เขาสลบไปสองครั้งนี้มันนานเท่าไหร่
เมื่อรู้สึกตัวอีกที เหมือนจะผ่านไปประมาณวันสอง
วัน ถึงแม้ไม่ได้เดิน แต่อยู่ในลังมันก็ทาให้รู้สึกอ่อน
ล้า ทั้งหิวข้าวทั้งหิวน้า
ปีศาจน้อยแค่บอกว่าไปที่หุบเขา แต่หุบเขาไหนไม่ได้
บอกไว้ แล้วหุบเขาแห่งนั้นคือที่ไหน หยางหนิงไม่รู้
อะไรเลยสักนิด แอบคิดในใจว่าหรือว่าไปเมืองปาสู่
ปีศาจน้อยไม่สนว่าเขาจะหิวหรือไม่ หากเป็นอย่างนี้
ต่อไป อีกไม่กี่วัน ไม่ต้องรอพิษกาเริบ ก็ต้องหิวตาย
แน่นอน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ทันใดนั้นเองรถม้าก็หยุด
ลง ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวมาจาก
ด้านนอกลังไม้ เสียง “แกรก” ดังขึ้น แสงส่องเข้ามา
ด้านใน ลังไม้ที่มืดมาตลอดทาง ตอนนี้ถูกแดดส่อง
เข้ามา หยางหนิงเหมือนจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับแสง
สว่างเท่าไหร่ เขาปิดตา รอจนลืมตาขึ้นมา เห็น
ปีศาจน้อยยืนอยู่ข้างลังไม้ นางกาลังมองเขาอยู่
เมื่อหยางหนิงเห็นหน้าของนาง ก็โกรธจนอยากจะ
พุ่งเข้าใส่ ปีศาจน้อยยิ้มราวกับดอกไม้บาน แล้วพูด
ขึ้นว่า “เจ้ายังไม่ตายอีกรึ? ยังดูดีอยู่เลย หากเจ้า
ตายไปจริงๆ หากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่สนุกแล้ว”
หยางหนิงพูดกับปีศาจน้อยว่า “ด้านหน้านี้ก็คือหุบ
เขา ไม่มีถนน เจ้าลงมาแล้วเดินไปกับข้า”
หยางหนิงขยับตัว เหมือนจะมีแรงขึ้นมาบ้าง
เพียงแต่มือเท้ายังคงชาอยู่ รู้ว่าเป็นเพราะนั่งอยู่ใน
ลังไม้นาน ค่อยๆ คุ้นเคยกับมัน จากนั้นก็พูดว่า
“เจ้าบอกให้ข้าไปกับเจ้า มือเท้าของข้าถูกจับมัดไว้
เช่นนี้ หรือว่าเจ้าจะให้ข้ากระโดดไปกับเจ้ารึ?” เมื่อ
เงยหน้าขึ้นมา ก็พบว่าเย็นแล้ว พระอาทิตย์ยังไม่ตก
ดิน
ปีศาจน้อยตกใจ จากนั้นก็พูดว่า “กระโดดไป น่า
สนุกดี” แต่นางก็ยังคงยื่นมือออกไป ในมือถือมีดสั้น
ของหยางหนิงอยู่ จากนั้นก็ตัดไปที่เชือกที่มัดขาห
ยางหนิงเอาไว้ หยางหนิงถึงลุกออกมาจากลังไม้
อย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด ลังไม้ถูกวางไว้บนรถม้า
ด้านหน้าเป็นรถม้าคันหนึ่ง ด้านบนมีลังไม้สองใบ
เมื่อมองไปรอบๆ เห็นภูเขาล้อมรอบทั้งสามด้าน
ต้นไม้ต้นไผ่ใบหญ้า ขวางรถม้าเต็มไปหมด
“เจ้าดวงแข็งดีนะ ยังมีชีวิตอยู่รอดมาได้ หากเป็น
ผู้อื่นก็คงทนไม่ไหว ตายไปนานแล้ว” ปีศาจน้อย
หัวเราะแล้วชี้ไปด้านข้าง “เขาเองก็ไม่รู้ว่าตายไป
นานแค่ไหนแล้ว”
หยางหนิงออกมาจากลังไม้ ยืนอยู่ที่รถม้าแล้วมองไป
ตามทางที่นางชี้ เห็นที่ริมนั้นมีคนๆ หนึ่งนอนอยู่
เมื่อมองหน้าไป เขาคือชายฉกรรจ์ที่ถูกแขวนบน
ต้นไม้ เขาไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของ
เขาซีดเซียวเหมือนหิมะไม่มีแม้แต่เลือดฝาดบน
ใบหน้า ร่างกายแข็งทื่อ ดูก็รู้ว่าตายแล้ว
จ้าวยวนกับชายฉกรรจ์อีกคนก็ถูกตัดเชือกจนขาด
แต่มือยังถูกมัดเหมือนเดิม ชายฉกรรจ์นั่งก้มหน้า
จ้าวยวนสีหน้าอมเหลือง เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย สภาพ
น่าอนาถยิ่งนัก เทียบกับคนที่ดูเป็นบัณฑิตก่อนหน้า
นี้ต่างกันฟ้ากับเหว ตอนนี้สีหน้าของเขาดูเศร้าหมอง
ดวงตาเต็มไปด้วยความแค้นแล้วจ้องไปที่ปีศาจน้อย
เสียวกุ่ยและต้ากุ่ยกาลังยืนอยู่ข้างๆ ตอนนี้ฟ้ายังไม่
มืด ไม่เหมือนคืนวันนั้นที่มืดสนิท หยางหนิงมองไป
ที่สองคนนั้นอย่างละเอียด ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย
เสียวกุ่ยและต้ากุ่ยหากมองแต่เงา ร่างกายก็ดูกายา
แต่ว่าหากมองจากด้านหน้า พบว่าทั้งสองคนมีผิวสี
เหลืองราวกับเทียนไข เหมือนกับทาน้ามันสีเหลือง
เอาไว้บนหน้า ขนคิ้วยาว ที่ปากก็มีขนสีเหลืองงอก
ออกมา เหมือนลิง แต่ก็ไม่ใช่ลิง ก็เหมือนกับลิงที่ยัง
ไม่พัฒนาเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์
เขาทั้งคู่ไม่มีร่องรอยของบาดแผล แต่หยางหนิงรู้สึก
ว่าพวกเขามีหน้าตาดูไม่ได้ยิ่งกว่าชายอัปลักษณ์ซะ
อีก
เมื่อนึกถึงชายอัปลักษณ์ หยางหนิงก็นึกถึงกู้ชิงฮั่น
ขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาปลอดภัยแล้วหรือยัง
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงร้องแปลกๆ ลอยมา หยาง
หนิงรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนี้มาก จึงเงยหน้าขึ้นไปมอง
บนท้องฟ้ามีนกตัวใหญ่ตัวหนึ่ง หยางหนิงคิดในใจว่า
ในหุบเขานี้มีนกที่ร้องเหมือนสัตว์ป่าด้วยหรือ ในใจก็
รู้สึกตกใจแอบคิดในใจว่าหรือว่านกตัวนั้นจะบิน
มาถึงที่นี่?
เห็นนกยักษ์ตัวนั้นบินลงมาเหมือนกับก้อนหินที่หล่น
ลงมาจากฟ้า มันว่องไวราวกับเสือดาว หยางหนิง
ต้องถอยหลังไปสองก้าว เห็นนกยักษ์พุ่งมาราวกับ
ฟ้าผ่า มันพุ่งเข้าหาเจ้าปีศาจน้อยในทันที หยางหนิง
ขมวดคิ้ว เห็นปีศาจน้อยเหมือนจะไม่เห็นเจ้านก
ยักษ์ตัวนี้ จึงไม่ได้หลบ แอบคิดว่าเจ้าปีศาจน้อย
เหี้ยมโหด ร่างกายเล็กๆ แบบนั้นไม่มีทางรับแรงของ
เจ้านกยักษ์ได้แน่นอน แต่ว่านางอายุยังน้อย แถมยัง
เป็นเด็กหน้าตาน่ารักน่าชัง หากถูกนกยักษ์ทาร้าย
มันก็น่าเสียดายอยู่
อีกนิดเดียวนกยักษ์ก็จะบินไปถึงเจ้าปีศาจน้อยแล้ว
แต่เจ้านกยักษ์ตัวนั้นบินอ้อมตัวปีศาจน้อย จากนั้นก็
ลงไปเกาะบนศีรษะของเจ้าปีศาจน้อย
หยางหนิงตะลึงไป เมื่อมองชัดๆ มันคือนกเหยี่ยว
ยักษ์ ขนของมันสว่างไสว ปีกนกเหมือนเหล็ก
สายตาของมันแหลมคม ตัวของมันไม่ใช่เล็กๆ เกาะ
อยู่บนศีรษะของปีศาจน้อย ตัวของมันก็ใหญ่กว่าหัว
ของปีศาจน้อยยิ่งนัก
ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “ต้ากุ่ย!”
เห็นต้ากุ่ยหยิบถุงกระสอบมา แล้วหยิบของด้านใน
ออกมา แล้วโยนไปที่เหยี่ยวยักษ์ตัวนั้น การโยนของ
เขาช่างแม่นนัก เหยี่ยวยักษ์เองก็ไวพอๆ กัน ขณะที่
มันคาบของชิ้นนั้นไว้ในปาก หยางหนิงก็มองไป
อย่างละเอียด เขาก็พลันตกใจตะลึงไป เห็นได้
ชัดเจนว่ามันคือเนื้องู
เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่า วันนั้นต้ากุ่ยและเสียวกุ่ยจับ
งูอยู่บนหุบเขานั้น แถมยังสับงูออกเป็นชิ้นๆ ตอน
นั้นก็ไม่รู้ว่าเขาทาไปทาไม ในตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่า
เพื่อนามันมาเป็นอาหารของเหยี่ยวตัวนี้นี่เอง นก
เหยี่ยวตัวนี้ก็คือสัตว์เลี้ยงของเจ้าปีศาจน้อยนั่นเอง
มิน่าถึงได้ยินมันร้องตลอด ส่วนเจ้าปีศาจน้อยเองก็
ไม่ได้เงยหน้าไปมอง เหมือนไม่สนใจเลยว่ามันจะบิน
ลงมา เพราะมันเป็นสัตว์ที่นางเลี้ยงไว้ ก็ต้องไม่กลัว
อยู่แล้ว
หญิงสาวทั่วไปเขาก็เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวกัน แต่เจ้า
ปีศาจน้อยนี่กลับเลี้ยงงูเลี้ยงเหยี่ยว หยางหนิงรู้สึก
ว่าเจ้าปีศาจน้อยที่มาที่ไปต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
“นี่ เจ้าว่าเฮยส่านสวยหรือไม่?” ปีศาจน้อยถาม
อย่างหนิงด้วยความได้ใจว่า “ข้าเลี้ยงนางมากับมือ
เลยนะ ใช้งูเลี้ยงนางมาตั้งแต่เด็ก เคยกินคนด้วย
นะ” จากนั้นก็ชี้ไปที่ศพที่อยู่บนพื้น แล้วพูดว่า
“เดี๋ยวจะเอาศพนั้นให้เฮยส่านกิน” จากนั้นก็ใช้มือ
ลูบไปที่เจ้าเหยี่ยวยักษ์เฮยส่านตัวนั้น “เฮยส่าน เจ้า
อยากกินคนหรือไม่? เดี๋ยวข้าจะเก็บไว้ให้เจ้านะ”
หยางหนิงคิดในใจว่าศพตายเพราะพิษ เฮยส่านกิน
เนื้อคนผู้นี้เข้าไป ไม่ถูกพิษไปด้วยรึ? แล้วก็คิดอีกว่า
พิษนี้เจ้าปีศาจน้อยเป็นคนวางเอง เฮยส่านเองก็เป็น
สัตว์ที่นางเลี้ยงเอาไว้ ก็น่าจะไม่กลัวเช่นกัน
เจ้าปีศาจน้อยคิดจะให้เฮยส่ายกินเนื้อคน หยางหนิง
รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ในใจก็คิด
สะอิดสะเอียนแม่นางคนนี้ยิ่งนัก
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” จ้าวยวนที่แค้นเคืองเจ้าปีศาจ
น้อยในที่สุดก็พูดขึ้นมา “เจ้ารู้หรือไม่ เจ้าก่อเรื่อง
ใหญ่เข้าให้แล้ว”
ปีศาจน้อยกระพริบตาปริบๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อข้า
บอกว่าวันๆ ข้าก็เอาแต่ก่อเรื่อง ข้าเกิดมาก็ชอบก่อ
เรื่อง แล้วจะทาไมรึ?”
ถึงแม้เสื้อผ้าของจ้าวยวนจะขาดหลุดลุ่ย สภาพ
ในตอนนี้ราวกับหมาจนตรอก แต่กลับแสร้งทาเป็น
ยิ้มแล้วถามว่า “เจ้าแซ่ชิวรึ?”
“ชิวรึ?” ปีศาจน้อยหัวเราะเบาๆ แล้วถามกลับไปว่า
“เจ้าช่างพูดจาเรื่อยเปื่อนเสียจริง ข้าแซ้ชิวตั้งแต่
เมื่อไหร่?”
จ้าวยวนตะลึงไป แต่ก็รีบพูดออกมาว่า “ถ้าอย่างนั้น
เจ้ารู้จักชิวเฉียนอี้หรือไม่?”
ปีศาจน้อยพูดด้วยความแปลกใจว่า “เจ้า...เจ้ารู้จัก
อาจารย์ข้าด้วยรึ?” คาพูดของนาง ยอมรับอย่าง
ชัดเจนว่าชิวเฉียนอี้คืออาจารย์ของนาง
หยางหนิงคิดในใจว่าชิวเฉียนอี้คือใครอีก? แล้วจ้าว
ยวนรู้จักคนผู้นี้ได้อย่างไรกัน?
เขาไม่เพียงแต่สนใจที่มาที่ไปของปีศาจน้อยเท่านั้น
แต่ยังสนใจที่มาที่ไปของจ้าวยวนด้วย
จ้าวยวนหัวเราะแปลกๆ แล้วพูดว่า “ที่แท้เจ้าเป็น
ศิษย์ของชิวเฉียนอี้เองหรือ? มิน่าเล่า จริงๆ ข้าน่าจะ
เดาว่าเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับชิวเฉียนอี้ให้เร็วกว่า
นี้”
ปีศาจน้อยถือมีดสั้นในมือ จากนั้นก็เดินเอาขาขาวๆ
ของนางเข้าไปหาเขา เดินรอบตัวจ้าวยวนหนึ่งรอบ
จากนั้นก็ถามว่า “เจ้ารู้จักอาจารย์ด้วยรึ? เจ้ารู้ชื่อ
ของเขาได้อย่างไรกัน?”
“ชิวเฉียนอี้มีชื่อเสียงโด่งดัง คนที่รู้ก็มีอยู่มาก” จ้าว
ยวนฝืนยิ้มแล้วพูดต่อไปอีกว่า “ราชาพิษจิ่วซีถือได้
ว่าเป็นยอดฝีมือด้านยาพิษอันดับหนึ่งของปาสู่
ชิวเฉียนอี้ถูกชาวไป๋เหมียวมองว่าเป็นเทพเจ้า คิดไม่
ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นศิษย์ของเขา”
หยางหนิงได้ยินดังนั้น ถึงได้รู้ว่าชิวเฉียนอี้ที่แท้คือ
ราชาพิษ ไม่ว่าจะทางใด สามารถขนานนามว่าราชา
พิษได้ ก็จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา ในเมื่อชิวเฉียนอี้
เป็นถึงราชาพิษ ฝีมือด้านยาพิษก็คงไม่ธรรมดา
ปีศาจน้อยเป็นศิษย์ของชิวเฉียนอี้ ไม่แปลกที่นางจะ
ถนัดเรื่องยาพิษ
ปีศาจน้อยพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “ยอดฝีมือด้าน
ยาพิษอันดับหนึ่งของปาสู่รึ? หากเป็นเช่นนั้นก็คง
ไม่ใช่ พิษที่ร้ายแรงที่สุด อยู่ที่ปาสู่ ในเมื่ออาจารย์ข้า
เป็นมือยาพิษอันดับหนึ่งในปาสู่ อย่างนั้นก็
หมายความว่าเขาเป็นมือยาพิษอันดับหนึ่งในใต้หล้า
หากเขารู้ว่าเจ้าบอกว่าเขาเป็นแค่มือยาพิษอันดับ
หนึ่งในปาสู่ เขาไม่เพียงไม่พอใจ ยังจะทาให้เจ้าตาย
อย่างอนาถอีกด้วย”
“ปีศาจน้อย ข้าขอเตือนเจ้ารีบปล่อยข้าไปเสียดีกว่า
แล้วส่งตัวหยางหนิงมาให้ข้า” จ้าวยวนพูดเสียง
เข้มๆ ว่า “หากเจ้ายอมแต่โดยดี ข้าก็จะถือว่าเจ้า
อายุยังน้อย ไม่เอาเรื่องเจ้า ไม่เช่นนั้นไม่เพียงเจ้าจะ
หาเรื่องใส่ตัว เกรงว่าชาวไป๋เหมียวก็จะพินาศไป
ด้วย”
หยางหนิงทนอดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจ แอบคิด
ว่าจ้าวยวนไปเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากไหนกัน
ถูกทรมานขนาดนี้แล้ว ยังจะคุยใหญ่คุยโตอีก ปีศาจ
น้อยไม่ได้เป็นคนที่ตกใจกับคาขู่อะไรง่ายๆ เช่นนั้น
ในเวลาแบบนี้ยังจะไปขู่นางอีก หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ
ไม่ผิดจากที่คาดไว้ ปีศาจน้อยกล่าวว่า “อาจารย์
สอนข้าว่า จะทาอะไรอย่าทาครึ่งเดียวก็ทิ้งไป ใน
เมื่อข้าจับเจ้ามาแล้ว ก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไป เจ้าขู่ข้า
แบบนี้ ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก” จากนั้นนางก็ผิวปาก
ออกมา เฮยส่านที่อยู่บนหัวของนางก็สยายปีกออก
หยางหนิงคิดว่าเฮยส่านจะบินไปแล้ว กลับเห็นมัน
บินวนไปที่หน้าของจ้าวยวน ใช้กรงเล็บของมันข่วน
ไปที่หน้าและตาของจ้าวยวน จากนั้นก็ได้ยินเสียง
เขาร้องด้วยความเจ็บปวด จากนั้นเฮยส่านก็ได้ยิน
เสียงผิวปากยาวของเจ้าปีศาจน้อย แล้วสยายปีกบิน
ไป
เลือดไหลออกมาจากดวงตาของจ้าวยวนเป็นสาย
เขาถูกเฮยส่านควักลูกตาทั้งสองออกไปแล้ว
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 102 ลิงขนขาว
เสียงร้องของจ้าวยวนช่างน่าเวทนายิ่งนัก ชาย
ฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็เข่าอ่อนลง ทรุดเข่าลงกับ
พื้น
ปีศาจน้อยหัวเราะ แล้วถามชายฉกรรจ์ไปว่า “ข้า
ไม่ได้สั่งให้เฮยส่านควักลูกตาเจ้าเสียหน่อย เจ้ากลัว
อะไรรึ?”
ชายฉกรรจ์เหงื่อไหลออกมาราวกับสายฝน พูดด้วย
เสียงสั่นว่า “แม่นาง...แม่นางไว้ชีวิตข้าเถิด ข้า...ข้า
...!” พูดติดๆ ขัดๆ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
“เขาชอบพูดจาลึกลับซับซ้อน ไม่ยอมพูดความจริง
สักที” ปีศาจน้อยยืนอยู่ตรงหน้าของชายฉกรรจ์
จากนั้นก็ถามว่า “เจ้าบอกข้ามา เขาเป็นใครกัน
แน่?”
“เขา...เขาคือท่านผู้พิพากษา...!” ชายฉกรรจ์รู้ว่า
ปีศาจน้อยลงมืออย่างโหดเหี้ยม พูเเสียงสั่นไปว่า
“ข้า...ข้าเพียงฟังคําสั่งของเขา แม่นางปล่อยข้าไป
เถอะ”
“ผู้พิพากษามันหมายความว่าอะไร?” ปีศาจน้อย
ถามว่าอีกว่า “ขอแค่เจ้าเชื่อฟังคําสั่งข้า ก็อาจจะไม่
ต้องตายก็ได้”
ชายฉกรรจ์ตอบกลับไปว่า “ผู้พิพากษาก็คือผู้
พิพากษาในนรกภูมิ เป็นผู้ดูแลสมุดบัญชีความเป็น
ความตาย...!”
“สมุดบัญชีความเป็นความตายรึ?”
“คือ...คือ ดินแดนจิ่วโย การเวียนว่ายตายเกิด มีผู้
พิพากษาเป็นผู้กําหนด หลังจากนั้น...หลังจากนั้นก็
จะส่งไปยังนรกภูมิสิบแปดชั้น...!” ชายฉกรรจ์หน้า
ซีด ตัวสั่นไปทั้งตัว ท่าทางของเขาแสดงออกชัดเจน
ว่าถูกปีศาจน้อยขู่จนขวัญหนีดีฝุอไปหมดแล้ว “พวก
ข้า...พวกข้าเพียงแค่ติดตามท่านผู้พิพากษาเท่านั้น
ก็จะสามารถ...ก็จะสามารถอายุยืนนานได้ หลังจาก
ที่ตายไปก็ไม่ต้องตกนรกสิบแปดชั้น...!”
หยางหนิงรู้สึกตะลึงงันไปชั่วขณะ รู้สึกว่าชายฉกรรจ์
ผู้นี้คงจะกลัวจนบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงพูดจาอะไร
เหลวไหลเช่นนี้
เจ้าปีศาจน้อยเองก็รู้สึกว่าชายฉกรรจ์พูดจา
เหลวไหลเช่นกัน นางจึงพูดกลับไปว่า “หากเจ้ายัง
พูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะให้เฮยส่านควักลูกตาเจ้า
ออกมาเดี๋ยวนี้”
“แม่นาง ข้า...ข้าไม่ได้โกหก เรื่องที่ข้าพูดล้วนเป็น
เรื่องจริงทั้งนั้น” ชายฉกรรจ์คุกเข่าลงกับพื้น ก้ม
หน้า “ผู้พิพากษาอยู่นี่ ท่าน...ท่านถามเขาดูก็ได้”
ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าขอแค่เชื่อฟัง
เขา เจ้าก็จะสามารถอายุยืนได้รึ? ทําไมไม่บอกมา
เลยละว่าเจ้าจะอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีวันตาย”
ชายฉกรรจ์พูดว่า “หากว่า...หากว่าทําความดี
ความชอบได้ ก็จะ...ก็จะอยู่ยงคงกระพัน”
ปีศาจน้อยยิ้ม แล้วก็เดินไปดูจ้าวยวน เห็นจ้าวยวน
ใช้มือปิดตาเอาไว้ ไม่ขยับ ดวงตาทั้งสองเลือดไหลไม่
หยุด ดูไปแล้วก็น่ากลัวยิ่งนัก
ปีศาจน้อยพูดใส่จ้าวยวนว่า “เขาบอกว่าแค่เจ้าเชื่อ
ฟังเขาก็จะอยู่ยงคงกระพัน แม้แต่ตัวเจ้าเองยังเอา
ตัวไม่รอดเลย ยังจะไปทําให้คนอื่นอยู่ยงคงกระพัน
ได้อย่างไร? เจ้าเป็นผู้พิพากษา เขาบอกว่าเจ้า
กําหนดเรื่องความเป็นความตาย มีเรื่องเช่นนั้นจริง
รึ?” นางเดินเข้าไป แล้วพูดต่อว่า “ตอนนี้ความเป็น
ความตายของเจ้าอยู่ในกํามือข้า หากเป็นเช่นนั้นข้า
ก็เป็นผู้พิพากษาใช่หรือไม่?”
จ้าวยวนตัวสั่นไปทั้งตัว ยังคงพูดออกมาว่า “เจ้า
ทําลายความศักดิ์สิทธิ์ของภูตเงา เจ้าจะต้อง...เจ้า
จะต้องไม่ตายดีแน่นอน นรกภูมิจะต้องไม่...จะต้อง
ไม่ปล่อยเจ้าแน่นอน”
ปีศาจน้อยพูดขึ้นมาว่า “ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก หากมี
ภูตเงาอย่างที่เจ้าว่าจริง เจ้าก็ให้เขามาหาข้าสิ” ใน
มือของนางไม่รู้ว่ามียาเม็ดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ จ้าวยวน
ยังจะด่าต่อไปไม่หยุดปาก ปีศาจน้อยเห็นเขาอ้าปาก
จึงยัดยาเข้าปากของเขาไป ต้ากุ่ยได้ยื่นมือไปปิด
ปากของเขาเอาไว้ ไม่ให้เขาได้คายยาเม็ดออกมา
หยางหนิงเห็นอยู่ตําตา แอบคิดว่าปีศาจน้อยจะฆ่า
จ้าวยวนทิ้งรึ?
จ้าวยวนเองก็รู้สึกได้ว่าปีศาจน้อยได้ยัดยาเข้าไปใน
ปากของเขาแล้ว เขาพยายามดิ้นให้หลุด แต่ว่า
ต้ากุ่ยร่างกายกํายํา ปิดปากสนิทจนไม่สามารถอ้าได้
จ้าวยวนไม่มีทางดิ้นหลุด และไม่มีทางคายยา
ออกมาจากปากได้ หลังจากนั้นไม่นาน ต้ากุ่ยก็ยก
มือออก จ้าวยวนพยายามคายออกมา แต่ก็ออกมา
เพียงแค่น้ําลายเท่านั้น และไม่มียาออกมาแม้แต่เม็ด
เดียว
ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “ยาเข้าปากไปแล้วก็จะ
ละลายในทันที เจ้าอยากจะคายก็คายไม่ออก
หรอก”
“เจ้าปีศาจ เจ้า...เจ้าจะต้องไม่ได้เกิดใหม่แน่นอน”
จ้าวยวนสาปแช่ง จากนั้นก็พูดราวกับสวดมนต์ว่า
“ความอดทนทําอะไรแผ่นดินไม่ได้ ความเงียบเป็น
ดั่งความลับที่หลับซ่อนอยู่ ภูตเงา....อ้า...อ้า...!”
ทันใดนั้นเองเสียงของเขาก็หายไป มีเพียงแค่เสียง
“อ้า อ้า” แต่พูดอะไรไม่ได้อีกแล้ว
“ปล่อยให้เจ้าพูดอะไรเหลวไหล” ปีศาจน้อยปรบมือ
ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้ากลายเป็นใบ้ไปแล้ว ดูสิว่า
เจ้าจะพูดอะไรได้อีก”
ตอนนี้หยางหนิงถึงได้เข้าใจว่า ยาเมื่อครู่นี้ ที่แท้ก็ทํา
ให้คนพูดไม่ได้นั่นเอง
ปีศาจน้อยคิดแค่ว่าจ้าวยวนพูดจาเหลวไหล แต่ห
ยางหนิงกลับรู้สึกว่าคําพูดของจ้าวเยียนมันแปลกๆ
มันเหมือนมีความลับอะไรซ่อนอยู่
จ้าวยวนพาคนมาควบคุมจวนเก่าตระกูลฉีเอาไว้ มัน
ก็ผิดปกติมากพอแล้ว หยางหนิงเดาได้อยู่แล้วว่า
จะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังอีกแน่ ไม่อย่างนั้นแค่
กําลังคนไม่กี่คน ไม่มีทางทําอะไรจิ่นอีโหวได้แน่นอน
ตอนนี้ดูท่า จะต้องมีคนที่ใหญ่กว่าจ้าวยวนแน่ๆ แต่
เขาเป็นอย่างไรเป็นใคร แล้วจะลงมือกับตระกูลฉีไป
เพื่ออะไรกัน?
จ้าวยวนพูดถึง “ภูตเงา” หลายต่อหลายครั้ง แล้ว
“ภูตเงา” เป็นใครกัน?
แต่ทว่าวรยุทธ์ของจ้าวยวนไม่ได้เรื่องเลยสักนิด เขา
พูดถึง “ภูตเงา” วรยุทธ์ก็ไม่แน่จะดี เกรงแต่จะเป็น
พวกเจ้าแผนการเป็นแน่
แต่น่าเสียดายปีศาจน้อยใช้ยาทําให้จ้าวยวนเป็นใบ้
ไปเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นคงจะได้อะไรจากจ้าวยวน
มากกว่านี้
ปีศาจน้อยก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เดินตรงเข้าไปที่
ปุาไผ่ ต้ากุ่ยและเสียวกุ่ยก็บังคับให้หยางหนิงเดิน
ตามไป
หยางหนิงไม่พูดอะไรพยายามลองดิ้นเพื่อให้เชือก
หลุดจากมือ ตอนที่ฝึกในชีวิตหนก่อน ก็มีการฝึก
การเอาตัวรอดจากการถูกมัด หลังจากลองอยู่หลาย
ครั้ง ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เชือกนี้ไม่ใช่เชือกธรรมดา
มันรัดแน่นนัก นอกจากมีดสั้นเล่มนั้นแล้ว คงไม่มี
อาวุธชนิดใดจะสามารถตัดเชือกนี้ให้ขาดได้
เขากําลังคิดว่า รอพลังของเขาฟื้นฟูกลับมาเมื่อไหร่
หาโอกาสเหมาะๆ ลองดูว่าจะสามารถใช้ท่าเท้าท่อง
คลื่นเอาตัวรอดได้หรือไม่ ปีศาจน้อยเหี้ยมโหด จะ
ให้นางเป็นคนคุมสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด
หากมีโอกาส อาจจะสามารถจับตัวนางไว้ได้ก็ได้ แต่
ว่าปีศาจน้อยฉลาดนัก รับมือไม่ได้ง่ายๆเลย
เมื่อเดินผ่านปุาไผ่ไปแล้ว สองข้างทางก็เริ่มแคบลง
เดินไปได้ระยะหนึ่ง ก็เริ่มกว้างขึ้น ทันใดนั้นเองก็
เห็นสระน้ําสระหนึ่ง น้ําในสระใสสะอาดยิ่งนัก แถม
ยังมีทั้งดอกไม้ใบหญ้ามากมาย หยางหนิงเห็นก็
ตกใจ แอบคิดในใจว่าในฤดูแบบนี้ พืชพรรณก็ร่วง
โรยไปหมดแล้ว เหตุใดที่นี่ถึงได้มีดอกไม้ใบหญ้า
มากมายเช่นนี้
ไม่ไกลจากตรงนี้นักก็เป็นห้องน้ํา มองไปรอบๆ ไม่มี
ผู้คน
“ที่แท้ที่นี่ก็มีคนอาศัยอยู่” หยางหนิงคิดในใจว่า
“เจ้าปีศาจน้อยหาคนมาถอนพิษให้ข้า น่าจะอยู่
ที่นี่” ในใจก็ไม่รู้ว่าในขวดยาของปีศาจน้อยมันยา
อะไรกัน
เมื่ออ้อมสระน้ําไป ก็มาถึงกระท่อมหลังหนึ่ง หยาง
หนิงเห็นดอกไม้ใบหญ้าต่างขึ้นเป็นระเบียบ ดินถูก
พรวนเป็นแถวๆ หน้าดินเปียกชื้นเหมือนถูกรดน้ํา
มาแล้ว
ปีศาจน้อยมองไปที่กระท่อม แล้วทําสัญลักษณ์มือ
เห็นต้ากุ่ยถือสามง่าม แล้วเดินไปกวาดหญ้า
พละกําลังของเขามีอยู่มาก พอสามง่ามกวาดไป
ดอกไม้ใบหญ้าก็เละหมด ต้ากุ่ยก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะ
หยุดทํา กวาดต่อไปอย่างนั้น
หยางหนิงขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าเจ้าปีศาจน้อยนี่กําลัง
ทําอะไรอยู่ วิ่งมาถึงนี่ แม้แต่คนก็ยังไม่เจอ ยังจะใช้
คนอื่นทําสวนหญ้าอีก
หยางหยิงก็พอมองออกว่าหญ้าพวกนี้ไม่ใช่พืชปกติ
มันเป็นสิ่งที่คนตั้งใจปลูกมันขึ้นมา
ในตอนนี้เอง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง “เจี๊ยก เจี๊ยก”
ดังขึ้นมา หยางหนิงเห็นเงาๆ หนึ่งพุ่งออกมา เห็น
ต้ากุ่ยเองก็พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว หยางหนิงยังไม่ทัน
เห็นอะไรชัดเลย ก็ได้ยินต้ากุ่ยกรีดร้อง เมื่อมองไป
อย่างละเอียด ที่แท้ก็ลิงขนขาวตัวหนึ่งนั่งอยู่บนบ่า
ของต้ากุ่ย เจ้าต้ากุ่ยรู้สึกวุ่นวายใจมาก เสียงร้อง
“เจี๊ยก เจี๊ยก” ของมันดูเหมือนมันจะโกรธมาก
ลิงขนขาวตัวนั้นรูปร่างไม่ใหญ่ มีความว่องไว มันใช้
กรงเล็บของมันข่วนไปเรื่อยๆ ทําให้ผ้าโพกหัวของ
ต้ากุ่ยหลุดลุ่ยออกมา จนเห็นหัวโล้นๆ ของต้ากุ่ย
ใบหน้าของต้ากุ่ยเป็นขนสีเหลือง แต่ว่าบนหัวของ
เขากลับไม่มีขนเลย
ต้ากุ่ยทิ้งสามง่ามลงกับพื้น ใช้สองมือพยายามไปจับ
เจ้าลิงขนขาว แต่เจ้าลิงขนขาวว่องไวนัก ต้ากุ่ยยังไม่
ทันจับถึงตัว มันก็วิ่งไปที่หลังของต้ากุ่ย จากนั้นก็
ข่วนไปที่หลังของต้ากุ่ย พริบตาเดียวเสื้อผ้าของ
ต้ากุ่ยก็ขาดหลุดรุ่ย มันทําให้เขามีบาดแผลจน
เลือดออก
ถึงแม้ต้ากุ่ยจะมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่การเคลื่อนไหวก็
ไม่ใช่ช้าๆ เขาใช้สองมือจับไปจับมา แต่น่าเสียดายที่
เจ้าลิงขนขาวมันว่องไวกว่านัก
ในตอนนี้เอง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา หยาง
หนิงเงยหน้าไปมอง บนท้องฟูามีเงาๆ หนึ่งปรากฏ
ขึ้น ดูก็รู้ว่าคือเฮยส่าน มันร้องและพุ่งทะยานลงมา
ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “เฮยส่าน ข่วนลูกตาของ
เจ้าลิงตัวนั้นให้บอดไปเลย”
เฮยส่านบินพุ่งลงมา กรงเล็บพุ่งไปที่ลิงขนขาวที่อยู่
บนตัวของต้ากุ่ย หยางหนิงรู้สึกตกใจ กรงเล็บของ
เฮยส่านแหลมคมมาก หากเจ้าลิงขนขาวถูกจับได้
มันต้องตายแน่ๆ
ตอนนี้กรงเล็บของเฮยส่านอยู่ห่างจากลิงขนขาวไม่
ถึงคืบ กลับเห็นลิงขนขาวพลิกตัวอย่างรวดเร็ว มัน
หลบได้อย่างรวดเร็ว กรงเล็บของเฮยส่านข่วนลงไป
บนหลังของต้ากุ่ย ต้ากุ่ยกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
หลังของมันถูกเฮยส่านข่วนจนเนื้อหลุดออกมาสอง
ชิ้น
เฮยส่านจับไม่โดนอะไรเลย แต่มันก็ไม่ได้หยุด มัน
อ้อมไปที่ด้านหน้าของต้ากุ่ย ต้ากุ่ยก็เอามือไปจับอีก
ลิงขนขาววิ่งไปวิ่งมา เฮยส่านจับอยู่หลายครั้ง แต่
มันก็หลบได้ แต่ก็ข่วนจนต้ากุ่ยมีแผลเต็มไปหมด
หยางหนิงคิดในใจว่าความเร็วของเฮยส่าน ลิงขน
ขาวน่าจะไม่รอดกํามือของมันแน่นอน ใครจะคิดว่า
ความเร็วของเจ้าลิงมันจะไม่ด้อยไปกว่าเฮยส่าน
ด้วยรูปร่างและความฉลาดนั้นเหนือกว่าเฮยส่าน
มากนัก ลิงว่องไวอยู่แล้ว ลิงขาวตัวนี้มีความว่องไว
กว่าลิงปกติมากนัก การหลบหลีกของมันก็ไม่ใช่แบบ
ที่ลิงปกติเป็นกัน
หยางหนิงเกลียดปีศาจน้อยมาก เฮยส่านก็
เหมือนกัน ตอนนี้เห็นลิงขาวแกล้งเฮยส่าน ทําให้
ต้ากุ่ยกรีดร้องไม่หยุด ก็รู้สึกสะใจไม่น้อย
ปีศาจน้อยหน้านิ่งไป หยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมา
เหมือนจะแอบลอบทําร้ายเจ้าลิงขาว หยางหนิงเห็น
แอบคิดในเจ้าปีศาจน้อยคนนี้หน้าด้านจริงๆ ต้ากุ่ย
กับเฮยส่านร่วมมือกันยังไม่สามารถจับลิงขาวได้
ตอนนี้เจ้าก็เลยคิดจะลงมือ มันรังแกกันชัดๆ
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงใสๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น “ไปุห
ลิง มานี่!” เสียงๆ นั้นดังมาจากด้านหลังของหยางห
นิง
หยางหนิงหันไปมอง ห่างออกไปไม่ไกลนักมีหญิง
สาวนางหนึ่งสวมชุดผ้าธรรมดาสีเขียวยืนอยู่
ร่างกายเรียวยาว กางเกงยาวปิดเข่า ผิวของนางขาว
ไม่เท่ากับเจ้าปีศาจน้อย แต่ก็ถือว่าสวยงามใช่ย่อย
สองขาเรียวงามโผล่ออกมา นางแต่งกายธรรมดา
มาก แต่งกายเหมือนชาวบ้านธรรมดานางหนึ่ง แต่
นางกลับมีสง่าราศีที่ทําให้สบายตา
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 103 เข็มเงิน
เจ้าลิงขาวได้ยินหญิงสาวคนนั้นเรียก ก็รีบวิ่งเข้าไป
หาราวกับฟ้าแลบ เฮยส่านเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ
ยังคิดจะไล่ตามไป ปีศาจน้อยกลับผิวปาก เฮยส่าน
ถึงได้กางปีกบินหนีไป
เจ้าลิงขาววิ่งไปที่ตรงหน้าของผู้หญิงคนนั้น แล้วนั่ง
ลง ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง แล้วชี้ไปที่ต้ากุ่ย ปากก็บ่น
งึมงา หยางหนิงมองดูเจ้าลิงขาวตัวนั้นก็พลันรู้ว่าเจ้า
ลิงขาวตัวนั้นจริงๆ มันก็น่ารัก ฉลาด หากไม่มีสิ่งใด
เหนือความคาดหมาย หญิงผู้นั้นก็คงจะเป็นเจ้าของ
ของมัน
หญิงคนนั้นนั่งลงยื่นมือไปลูบหัวเจ้าไป๋หลิง ไป๋หลิงดู
อ่อนโยนนัก เมื่ออยู่กับนาง หญิงคนนั้นทา
สัญลักษณ์มือ ไป๋หลิงก็กระโดดขึ้นมาบนตัวของนาง
หญิงคนนั้นลุกขึ้นมา ในมือของนางถือตะกร้าไม้ไผ่
ค่อยๆ เดินมา ขณะที่เดินเข้ามาใกล้ หยางหนิงเห็น
ว่าแม่นางคนนั้นน่าจะมีอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น
ถึงแม้ผิวของนางจะเหมือนข้าวสาลีที่สุขภาพดี และ
หน้าตาของนางก็ดูสวยงาม แต่ว่านางสีหน้าของนาง
กลับไร้ซึ่งสีสัน เดินผ่านตัวของหยางหนิงไปแล้วตรง
ไปที่แปลงหญ้าแปลงหนึ่ง และเดินตรงไปยัง
กระท่อมสามหลังนั้น
ปีศาจน้อยเห็นแม่นางคนนั้นไม่พูดอะไรสักคาก็อด
รนทนไม่ไหวที่จะยกมือเท้าเอวแล้วพูดว่า “เจ้ามอง
ไม่เห็นข้ารึ?”
แม่นางคนนั้นหยุดเดิน แม้แต่หน้าก็ไม่หันกลับมา
มอง แล้วพูดกลับไปว่า “เจ้าไปซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้า
จะอยู่ได้”
“จะให้ข้าไปง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ?” ปีศาจน้อยยิ้ม
“ถังนั่ว ข้าไม่ได้เจอเจ้าตั้งหลายปี เจ้าไม่คิดถึงข้า
รึ?”
หยางหนิงคิดในใจว่าที่แท้แม่นางคนนี้ชื่อถังนั่ว จาก
ที่เจ้าปีศาจน้อยพูด พวกเขาน่าจะรู้จักกันมาก่อน คง
เป็นเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี ถังนั่ว
เห็นปีศาจน้อย กลับไม่มีความรู้สึกว่าได้เจอกันอีก
ครั้ง หยางหนิงรู้สึกสงสัยไม่น้อย
ถังนั่วหันกลับมา มองไปที่ดอกไม้ที่ต้ากุ่ยทาลาย
จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “สมุนไพรพวกนี้ หาก
นาไปสกัด สามารถทายาได้ ช่วยคนได้ เหตุใดเจ้า
ต้องให้คนทาลายมันด้วย?”
“เจ้าต้องการเงินเท่าไหร่ ข้าชดใช้ให้เจ้าก็ได้” ปีศาจ
น้อยพูดด้วยความไม่พอใจ “ข้าลงแรงทุ่มเทให้คน
ออกตามหากว่าจะเจอร่องรอยของพวกเจ้า เดินทาง
มาตั้งไกล เจ้าจะไม่เชิญข้าเข้าไปนั่งหน่อยรึ? ตอนนี้
ข้าหิวน้ายิ่งนัก เจ้าเอาชาให้ข้าดื่มหน่อยสิ”
หยางหนิงได้ยินนางพูดคาว่า “พวกเจ้า” แอบคิดใน
ใจว่าที่นี่น่าจะไม่ได้มีแค่ถังนั่วคนเดียว ไม่รู้
เหมือนกันว่ามีใครอื่นอยู่อีกบ้าง
ถังนั่วไม่ได้สนใจ พูดแค่ว่า “คนที่ถูกพิษผู้นั้นทิ้งไว้
ที่นี่ ส่วนเจ้าก็ไปเสียเถอะ ไปให้ไกลได้ยิ่งดี” ท่าทาง
ของนางดูนิ่งมาก น้าเสียงเรียบง่าย แต่ก็มองออกว่า
ไม่ชอบเจ้าปีศาจน้อยเอาเสียเลย
หยางหนิงได้ยินดังนั้น ก็คิดว่าถังนั่วคนนี้น่าจะไม่ใช่
คนธรรมดา นางมองพริบตาเดียวก็รู้ว่ามีคนถูกพิษ
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีทางผิดคาสาบาน” เจ้าปีศาจน้อยยิ้ม
แล้วพูดว่า “จริงสิ ตาเฒ่านั่นอยู่ที่ไหนรึ? อาจารย์ข้า
คิดถึงเขาเอามากๆ เลยนะ จากนั้นก็พูดอีกว่า ตา
เฒ่าหลี เจ้าหลบอยู่ในบ้านใช่หรือไม่? ยังไม่ออกมา
อีกรึ? ถ้ายังไม่ออกมาอีก ข้าจะให้คนเผาบ้านของ
เจ้าซะ”
หยางหนิงไม่รู้ว่าตาเฒ่าหลีผู้นั้นเป็นใคร แต่คิดว่าเจ้า
ปีศาจน้อยพูดว่าถังนั่วไม่มีทางผิดคาสาบาน กลับไม่
รู้ว่ามันเป็นคาสาบานอะไร แล้วเหตุใดปีศาจน้อยถึง
ได้รู้คาสาบานของถังนั่วเล่า? ถังนั่วตอบกลับไปว่า
“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่นานแล้ว หากอาจารย์เจ้าอยากเจอ
เขา รออีกสักปีครึ่งค่อยมาใหม่”
“หา?” ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่เชื่อ”
จากนั้นนางก็วิ่งเข้าไปในกระท่อม ถังนั่วก็ไม่ได้ห้าม
นาง ตอนที่นางวิ่งเข้าไป ถังนั่วก็ไม่มองนางเลย
แม้แต่น้อย จากนั้นนางก็เดินมา กวาดสายตามอง
ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง มือของนางดูเรียวยาว
สวยงามยิ่ง แต่ว่านางคงจะทางานหนัก เพราะบนฝ่า
มือของนางนั้นดูหยาบมาก นิ้วของนางหนีบยาเม็ด
หนึ่ง แล้วพูดกับจ้าวยวนแล้วพูดว่า “อ้าปาก!”
จ้าวยวนรู้สึกเหมือนมีคนเดินมาตรงหน้าเขา สีหน้า
ของเขามีความกังวล ทั้งยังปิดปากสนิท แล้วถอย
หลังออกไป เขาทั้งเกลียดทั้งกลัวปีศาจน้อยนักและ
เห็นถังนั่วรู้จักกับปีศาจน้อยเป็นอย่างดี จึงเห็นถังนั่ว
เป็นศัตรูไปด้วย
ถังนั่วพูดอย่างเรียบๆ ว่า “เจ้าใกล้ตายแล้ว ยาเม็ดนี้
จะช่วยปกป้องหัวใจของเจ้าชั่วคราว สามารถอยู่ได้
สิบสองชั่วยาม ไม่อย่างนั้นเจ้าจะอยู่ไม่ถึงสองชั่ว
ยาม”
จ้าวยวนตาบอดไปแล้ว อีกทั้งยังไม่สามารถพูดได้
ตอนนี้ทาได้แค่ฟังคนอื่นพูดอย่างเดียว สิ่งที่ถังนั่วพูด
เขาได้ยินชัดเจน เขาลังเลไปชั่วขณะ สุดท้ายก็ยอม
อ้าปาก ถังนั่วดีดยาเข้าไปเบาๆ ยาเม็ดนั้นเข้าไปใน
ปากของจ้าวยวน หยางหยางหนิงมองมือที่สวยงาม
ของนางข้างนั้น ในใจก็คิดว่าแม่นางคนนี้น่าจะพอ
มีวรยุทธ์อยู่พอตัว
ถังนั่วเดินไปหาชายฉกรรจ์ที่อยู่ข้างๆ จ้าวยวน
มองดูสีหน้าของชายฉกรรจ์อย่างละเอียด จากนั้นก็
ยื่นมือไป ชายฉกรรจ์คิดจะหลบ ถังนั่วก็พูดอย่าง
เย็นชาว่า “อย่าขยับ” แม้คาพูดของนางจะฟังดู
เรียบง่าย แต่กลับทาให้คนไม่กล้าขัดคาพูดของนาง
ชายฉกรรจ์หยุดนิ่งไม่ขยับตัว ถังนั่วยื่นมือไปจับหนัง
ตาของเขา จากนั้นก็ขมวดคิ้ว นิ่งไปแล้วชี้ไปที่สระ
น้านั้นแล้วพูดว่า “เจ้าลงไปในสระน้านั่น หากข้าไม่
สั่งเจ้า ไม่ต้องขึ้นมา”
ชายฉกรรจ์ตกใจ หยางหนิงเองก็ตกใจ ชายฉกรรจ์
ถามอย่างระมัดระวังว่า “แม่นาง ข้า...!”
“หากเจ้าไม่อยากตาย ก็โดดลงไปตอนนี้เลย” ถังนั่ว
พูดอีกว่า “พวกเจ้าถูกพิษ ข้าต้องช่วยเหลืออย่าง
เต็มที่อยู่แล้ว แต่ว่าหากช่วยไม่ได้ อย่ามาโทษข้าก็
แล้วกัน”
ชายฉกรรจ์ลังเลชั่วครู่ สุดท้ายก็หันหลังไป เดินตรง
ไปที่สระน้าอย่างไม่ลังเล “ตู้ม” ชายผู้นั้นได้กระโดด
ลงไปในสระน้าแล้ว
เมื่อถังนั่วเดินมาที่หน้าของหยางหนิง หยางหนิงคิด
ว่าตัวเขาแค่ถูกพิษผึ้งเท่านั้น น่าจะเบากว่าสองคน
นั้น ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางช่วยดูให้ข้าที”
ถังนั่วขมวดคิ้วมองแล้วพูดว่า “เจ้าบาดเจ็บรึ?”
“บาดเจ็บรึ?” หยางหนิงตะลึงไป ถังนั่วพูดต่อไปว่า
“เจ้าถูกพิษผึ้งนางพญา ไม่เป็นอะไรมาก แต่ว่า...เจ้า
บาดเจ็บภายใน มันสามารถเอาชีวิตเจ้าได้ทุกเมื่อ”
หยางหนิงคิดในใจว่าช่วงนี้ก็ไม่ได้ไปตีกับใคร ภายใน
ก็ไม่ได้มีบาดแผลอะไร แม่นางคนนี้เข้าใจผิดไป
หรือไม่ กาลังจะอธิบาย พลันนึกถึงลมปราณที่จุด
ตันเถียนขึ้นมา หรือว่าอาการบาดเจ็บที่ถังนั่วว่า
หมายถึงจุดตันเถียนอย่างนั้นหรือ?
ต้วนฉางไห่วรยุทธ์ล้าเลิศ แต่ว่าหลังจากที่เขาตรวจ
ชีพจรดู ถึงจะรู้ว่าจุดตันเถียนมีปัญหา แต่ถังนั่วแค่
มองก็รู้ว่าตัวเขามีปัญหาที่จุดตันเถียนแล้ว? เมื่อเป็น
เช่นนี้ หรือว่าคนอายุน้อยๆ อย่างถังนั่ว จะร้ายกาจ
กว่าต้วนฉางไห่รึ?
“อาการบาดเจ็บของเจ้าไม่ได้จะรักษาหายได้ภายใน
สองถึงสามวัน เขาถูกพิษหนักกว่าคนอื่น คงต้อง
รักษาเขาก่อน” ถังนั่วจ้องไปที่จ้าวยวน แล้วพูดว่า
“อาการของเจ้า ไว้ค่อยตรวจอย่างละเอียดอีกที”
หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะถามไปว่า “แม่นางถัง เจ้ารู้
หรือว่าพวกข้าเป็นคนดีหรือคนเลว? เหตุใดถึงต้อง
มาช่วยพวกข้าถอนพิษด้วยเล่า? หากพวกข้าเป็นคน
เลว ท่านก็จะช่วยคนเลวถอนพิษด้วยอย่างนั้นรึ?”
พูดจบ ก็มองไปที่จ้าวยวน ที่พูดมานั้นมัน
หมายความว่าอย่างไร จ้าวยวนผู้นี้ไม่ได้เป็นคนดี
อะไรมากมาย เจ้าคิดให้ดีก่อนเถิด
ไม่ว่าถังนั่วจะพูดหรือยิ้มก็ตาม หน้าของนางก็ยัง
นับว่าเย็นชาราวกับน้าแข็งอยู่ และนางก็พูดขึ้นอย่าง
เย็นชาว่า : “ตรงหน้าข้า ไม่มีคนดีหรือเลว ขอแค่
บาดเจ็บหรือป่วยมา ข้าก็จะรักษาให้ทั้งนั้น”
“มีจรรยาบรรณของคนเป็นหมอจริงๆ” หยางหนิง
ชื่นชมแล้วพูดว่า “แม่นางมีเมตตานัก ท่านช่างเป็น
หมอที่ดีจริงๆ”
ถังนั่วตอนแรกยังนิ่งอยู่ จู่ๆ ก็ไม่พอใจขึ้นมา แล้วพูด
ว่า “ข้าไม่ใช่หมอ”
ตอนนี้เองก็ได้ยินปีศาจน้อยตะโกนออกมาว่า “ตา
เฒ่าหลี เจ้ากลัวอาจารย์ข้าใช่หรือไม่? เจ้ามันเต่าหัว
หด ไม่กล้าออกมา” นางเข้าไปค้นในกระท่อมทั้ง
สามหลัง แต่ก็ไม่พบผู้ใดเลย
“พวกเจ้าสองคนตามข้าเข้าไป” ถังนั่วหยิบไม้ขึ้นมา
ท่อนหนึ่ง แล้วยื่นให้กับจ้าวยวน จ้าวยวนหยิบไม้
เอาไว้ ถังนั่วนาทางเขาเข้าไปที่กระท่อม
หยางหนิงเห็นดังนั้น คิดแค่ว่าถังนั่วเป็นคนจิตใจดี
หยางหนิงเดินตามหลังจ้าวยวนมาถึงนอกกระท่อม
ปีศาจน้อยนั่งอยู่บนแผ่นกระดานแผ่นหนึ่ง แล้วพูด
กับถังนั่วว่า “หากเจ้ามีปัญญา ก็รักษาตาของเขาให้
หายด้วยสิ”
ถังนั่วไม่ได้ใส่ใจ ผลักประตูเข้าไปในบ้าน นาทางจ้าว
ยวนเดินเข้าไป หยางหนิงลังเลชั่วขณะ แต่ก็เดินตาม
เข้าไป
ภายในบ้านตกแต่งเรียบง่าย ตอนนี้พระอาทิตย์
กาลังจะตกดิน ฟ้าเริ่มมืดลง ในบ้านก็สลัวไปด้วย
ถังนั่วจุดไฟตะเกียงขึ้น แล้วคลายเชือกให้กับทั้งสอง
คน จากนั้นก็เทน้าสองถ้วย ให้จ้าวยวนดื่มก่อน
หลังจากนั้นค่อยให้หยางหนิง หยางหนิงรับถ้วยน้า
ไป เห็นน้าใสยิ่งนัก ลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ดื่มเข้า
ไป
จ้าวยวนเองก็ไม่ลังเล เพราะเขากระหายน้ายิ่งนัก
ปีศาจน้อยไขว้มือไว้ด้านหลัง แล้วเดินเข้ามาในบ้าน
ยิ้มแล้วพูดกับหยางหนิงว่า “เจ้าไม่กลัวในน้ามีพิษรึ?
พิษของข้าถึงจะร้ายกาจแต่ก็ไม่ออกฤทธิ์ในทันที
พวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ ถังนั่วก็ใช้พิษเป็นนะ
อย่าเพิ่งตายล่ะ”
มือของหยางหนิงผ่อนคลายลงมาก เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “เจ้าคิดว่าโลกนี้จะเหี้ยมโหดเหมือนเจ้าทุกคนรึ?
เจ้ามันชั่วช้า เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ต่อไปก็ยังไม่รู้
เลยว่าเจ้าจะตายอย่างไร”
จ้าวยวนถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่ก็รู้สึกแค้นเช่นกัน
มองไปทางที่นางปีศาจน้อยพูด สีหน้าโกรธเคืองนัก
“เจ้าก็ดื่มน้าเองนะ” ถังนั่วชี้ไปที่ตุ่ม แล้วพูดกับ
ปีศาจน้อยว่า “หากเจ้าคิดว่ามันมีพิษ ก็ไม่ต้องกิน”
ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่กินของๆ เจ้าหรอก
ข้ารู้ว่าในใจของเจ้าอยากให้ข้าตาย น้าของพวกเขา
อาจจะไม่มีพิษ แต่เมื่อไหร่ที่ข้ากิน มันต้องมีพิษ
แน่นอน”
“ชิวเฉียนอี้สอนเจ้าให้ระแวงขนาดนี้เชียวหรือ?”
ถังนั่วพูดจาอย่างนิ่งเฉยว่า “นอกจากจะสอนการใช้
พิษแล้ว เขายังสอนอะไรเจ้าบ้างเล่า?”
ปีศาจน้อยยิ้ม แล้วเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ นางนั่งไขว่
ห้าง ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะสอนอะไร ก็ดีกว่าตา
เฒ่าหลีเยอะ” นางแกว่งขาไปมา แล้วถามต่อไปว่า
“ถังนั่ว หลายปีมานี้เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่หรือ? มิน่าถึง
ตามหาเจ้าไม่เจอเลย”
ถังนั่วเดินไปที่มุมห้องแล้วหยิบกล่องไม้ออกมา วาง
ไว้บนโต๊ะ เมื่อเปิดออก หยางหนิงเห็นว่ามันคือเข็ม
เงินแถวหนึ่ง น่าจะมีประมาณสิบยี่สิบเล่มได้ หยาง
หนิงเห็นดังนั้นก็รู้ว่าถังนั่วฝังเข็มเป็น
พูดออกมาง่าย ใช้การฝังเข็มรักษา จริงๆ แล้วมัน
เป็นการรักษาขั้นสูง ไม่เพียงแต่มือต้องนิ่ง แถมยัง
ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนนานมากด้วย ถังนั่วอายุยัง
น้อย หยางหนิงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะฝังเข็มเป็น
เมื่อครู่เขาชมนางว่าเป็นหมอที่ดี ถังนั่วกลับมี
ปฏิกิริยาตรงกันข้าม ไม่ยอมให้เรียกว่าหมอ หยาง
หนิงรู้สึกสงสัยนัก แอบคิดในใจว่าถังนั่วทาทุกอย่าง
ที่หมอทา กลับไม่ยอมให้เรียกนางว่าหมอ? นางกับ
ปีศาจน้อยรู้จักกันมาก่อน แต่ทั้งสองดูเหมือนจะไม่
ค่อยถูกกันเท่าไหร่นัก แต่ไม่รู้ว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์
กันอย่างไร?
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 104 สมุนไพรร้อยตำหรับ
ถังนั่วหยิบเข็มออกมา แล้วแทงไปที่คอของจ้าวยวน
ประมาณสิบเข็ม นางใช้เข็มได้อย่างเชี่ยวชาญ จะดู
อย่างไรนางก็คือหมอมืออาชีพ
ปีศาจน้อยนั่งมองอยู่ที่เก้าอี้ ทันใดนั้นเองก็ลุกขึ้นมา
แล้วค่อยๆ เดินเข้ามา ถังนั่วหยิบเข็มเล่มสุดท้าย
ขึ้นมา มันเป็นเข็มยาวกว่าปกติประมาณหนึ่งคืบ
แล้วแทงมันลงไปที่ลูกกระเดือกของจ้าวยวน
จากนั้นนางก็พูดว่า “อย่าขยับ ข้าจะดึงพิษออกมา”
ตอนแรกจ้าวยวนยังสงสัยในตัวของถังนั่ว แต่
ในตอนนี้เขาเชื่ออย่างสนิทใจ เขาพยักหน้าเล็กน้อย
เข็มเงินยาวของถังนั่วค่อยๆ ฝังเข้าไปในตัวของจ้าว
ยวน จ้าวยวนตัวสั่นเล็กน้อย หยางหนิงนั่งมองอยู่
ข้างๆ หลังจากที่เข็มได้ฝังเข้าไปแล้ว ก็เห็นเลือดไหล
ออกมาจากปลายเข็ม
เลือดที่ไหลออกมานั้นกลายเป็นสีดา แถมยังมีกลิ่น
เหม็นอีกด้วย
หยางหนิงรู้สึกว่ากลิ่นมันไม่น่าสูดดมเข้าไปเลย จึง
ยกมือขึ้นมาปิดจมูก ในตอนนี้ปีศาจน้อยอยู่ห่างจาก
ถังนั่วไม่กี่ก้าว ยืนจ้องที่คอของจ้าวเยียนอยู่ หยาง
หนิงคิดว่านางแค่จะดูว่าถังนั่วรักษาอย่างไร แอบคิด
ว่าปีศาจน้อยจงใจวางยา หรือว่าเป้าหมายก็เพื่อ
แอบเรียนวิชาจากถังนั่วกันแน่?
ทันใดนั้นเองก็เห็นเจ้าปีศาจน้อยซัดมือออกไปใส่
ถังนั่ว หยางหนิงรู้ดีว่านางใจคอโหดเหี้ยม เมื่อนาง
ลงมือ เขาก็รีบร้องออกไปว่า “ระวัง!”
ไม่ผิดจากที่คิดนางซัดฝ่ามือเข้าใส่ถังนั่วจริงๆ
หยางหนิงโกรธแค้นยิ่งนัก ปีศาจน้อยคนนี้หมดทาง
แก้แล้วจริงๆ เห็นถังนั่วดีดตัวขึ้น ทั้งตัวราวกับใบไม้
ลอยอยู่กลางอากาศ หลังจากร่วงหล่นลงมา ก็เห็น
ปีศาจน้อย สีหน้าไร้สีสัน หยางหนิงคิดว่านางน่าจะ
โกรธแน่ๆ ถึงแม้ในสายตาของนางจะไม่มีความโกรธ
หรือความรู้สึกอะไรเลย
“วรยุทธ์ของเจ้าเก่งขึ้นเยอะเลย” ปีศาจน้อยยิ้มแล้ว
พูดว่า “ข้าไม่อยากทาร้ายเจ้า แค่อยากจะรู้ว่าวร
ยุทธ์ของเจ้าถึงขั้นไหนแล้ว”
ถังนั่วพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่เจอกันหลายปี เจ้าก็ไม่
เคยเปลี่ยนไปเลย กลับร้ายกาจขึ้นถึงเพียงนี้เชียว
หรือ? ชิวเฉียนอี้นาพาเจ้าไปสู่เส้นทางชั่วร้าย คนผู้
นั้นไม่แยแสเจ้าเลยรึ?”
“เจ้าหมายถึงใคร?” ปีศาจน้อยยิ้มแย้มราวกับ
ดอกไม้บ้าน ถามกลับไปอีกว่า “อาจารย์ข้าคือราชา
พิษจิ่วซี เขาไม่สอนเรื่องพิษให้ข้า แล้วจะให้สอน
อะไรเล่า?”
ถังนั่วถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้ารีบไปซะ อย่าหาว่า
ข้าไม่เตือนเจ้านะ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากฆ่าข้า” ปีศาจน้อยกระพริบตา
แล้วพูดว่า “หากเจ้าอยากจะฆ่าข้า เจ้าทาไปนาน
แล้ว ข้าไม่ได้เจอเจ้าตั้งหลายปี คิดถึงเจ้ามาก ตอนนี้
ได้เจอแล้ว ไม่มีทางไปง่ายๆ หรอกนะ”
ถังนั่วไม่ได้สนใจนาง กลับมาที่ตัวจ้าวยวน แล้วดัน
เข็มเงินยาวเล็กๆ เล่มนั้นไปที่คอ เลือดที่เข้มข้นนั้น
ไหลออกมาจากเข็มเงินเล่มนั้น
หยางหนิงกาลังคิดว่า ปีศาจน้อยผู้นี้อยู่ห่างจากเขา
ไม่ไกล ถึงแม้เรี่ยวแรงของเขาจะยังไม่กลับมา ส่วน
มีดสั้นก็ถูกปีศาจน้อยนั่นยึดเอาไว้ แต่ในตอนนี้ได้
โอกาสจะจับนางได้ ขอแค่จับตัวนางได้ อานาจ
ต่อรองก็จะอยู่ที่ตัวเขาเอง
ท่าทางของเขานิ่งมาก แต่ก็เตรียมตัวไว้แล้วอย่างดี
เขาเตรียมจะลงมือกับเจ้าปีศาจน้อย
ปีศาจน้อยเหมือนจะไม่ทันได้ใส่ใจสังเกตุหยางหนิง
เท่าไหร่นัก นางห่างจากหยางหนิงเพียงสามสี่ก้าว
เท่านั้น ตอนนี้นางกลับถอยหลังเข้ามาอีก ทาให้
ระยะห่างจากหยางหนิงใกล้เข้ามาอีก หยางหนิง
รู้สึกชอบใจยิ่งนัก เมื่อปีศาจน้อยถอยหลังลงมา
โอกาสจับตัวนางได้ก็มีมากขึ้น
เขาพยายามคุมสติเอาไว้ รู้ว่าไม่ควรวู่วาม หากทา
อะไรผิดพลาดไป ปีศาจน้อยจะต้องเอาคืนแน่ๆ ชีวิต
ของเขาก็อาจจะตกอยู่ในกามือของนางอีกครั้ง
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังขึ้น เจ้าลิงขาวก่อนหน้า
นี้ไม่รู้ว่าวิ่งไปไหนแต่ตอนนี้มันกระโดดเข้ามาทาง
หน้าต่าง มันคุ้นเคยกับกระท่อมนี้ดี มันวิ่งไปที่เก้าอี้
ปีศาจน้อยเห็นดังนั้น ก็เดินเข้าไปหาแล้วพูดว่า “เจ้า
ลิงบ้า ถอยไปนะ นี่มันที่นั่งของข้า”
ไป๋หลิงไม่กลัวปีศาจน้อยสักนิดเดียว มันร้องตอบ
ปีศาจน้อยกลับไป มันไม่ได้มีท่าทีที่จะยกที่นั่งให้
ปีศาจน้อยยกมือขึ้นมา ทาท่าเหมือนจะตีเข้าไปที่หัว
ของเจ้าลิงน้อยขาวตัวนั้น ไป๋หลิงปฏิกิริยาว่องไว มัน
กระโดดลงจากเก้าอี้ ปีศาจน้อยเห็นดังนั้น ก็ยกมือ
ปิดปากแล้วหัวเราะ เหมือนกาลังหัวเราะเยาะไป๋ห
ลิง
ไป๋หลิงเองก็ราวกับว่าจะรู้ภาษาคน เห็นปีศาจน้อย
หัวเราะเยาะตัวเองอยู่ มันก็ร้องตอบปีศาจน้อย
กลับไป ทันใดนั้นเองก็กลับไปที่เก้าอี้ ท่าทางเหมือน
ไม่ยอมยกที่นั่งให้อีกเช่นเคย ปีศาจน้อยยกมือขึ้นมา
อีกครั้ง ครั้งนี้ไป๋หลิงไม่หลงกล ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
อย่างนั้น เหมือนไม่เชื่อว่าปีศาจน้อยจะตีมาจริงๆ
หยางหนิงยังคิดอยู่เลยว่าปีศาจน้อยนั้นก็ยังมีความ
เป็นเด็กอยู่ แค่เล่นกับไป๋หลิงเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลย
ว่าปีศาจน้อยจะลงมือจริงๆ นางซัดผงบางอย่างไปที่
ตัวของไป๋หลิง
ไป๋หลิงกระโดดออกจากเก้าอี้ หล่นลงมาอยู่ที่พื้น ยื่น
กรงเล็บของมันเพื่อจะไปข่วนเจ้าปีศาจน้อย แต่
ปีศาจน้อยถอยหลังหลบไปอย่างรวดเร็ว
ไป๋หลิงเตรียมที่จะบุกเข้าไป หยางหนิงกลับเห็นมัน
นอนดิ้นลงไปกับพื้น กลิ้งไปกลิ้งมาร้องด้วยความ
เจ็บปวด หยางหนิงก็พลันตกตะลึงไป รู้ทันทีว่าผง
นั้นเป็นยาพิษ เจ้าปีศาจน้อยกล้าลงมือแม้แต่กับลิง
ขนาดนี้เชียวหรือ
ดูท่าปีศาจน้อยไม่ได้จะหยอกล้อกับไป๋หลิง แต่นาง
แอบคิดวางแผนเอาไว้
ถังนั่วเห็นไป๋หลิงดิ้นอยู่ที่พื้น เดิมทีท่าทางและสีหน้า
ของนางนั้นสงบและเย็นชา แต่ในตอนนี้สีหน้าของ
นางดูจะมีความกังวลขึ้นมา นางก็รีบเดินไปข้างๆ
ไป๋หลิง ยื่นมือไปอุ้มไป๋หลิงขึ้นมา แต่เหมือนนางนึก
อะไรออก นางหยิบเอาถุงมือบางๆ ออกมา หยาง
หนิงเห็นว่ามันบางกว่าปกติมาก แต่ไม่รู้ว่าทามาจาก
อะไร
ถังนั่วสวมถุงมือคู่นั้นเสร็จสับ จากนั้นก็กดไป๋หลิง
เอาไว้ หยิบยาออกมาเม็ดหนึ่งแล้วยัดเข้าปากของ
ไป๋หลิง ไป๋หลิงที่ตอนแรกดิ้นอยู่ เมื่อยาเข้าปากไป ก็
สงบนิ่งลง
ถังนั่วลุกขึ้นมา แล้วหันไปพูดกับปีศาจน้อยด้วย
ความโกรธ “นิสัยเลวๆ ของเจ้ามันไม่เปลี่ยนเลยนะ
เจ้ารู้หรือไม่หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะทาร้าย
ตัวเจ้าเอง”
ปีศาจน้อยหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าไม่กลัว ใครที่
สามารถฆ่าข้าได้ ข้าจะนับถือเขายิ่งนัก” นาง
กระพริบตา แล้วพูดว่า “ถังนั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่า
ความผิดที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าคือสิ่งใด? คือเจ้าไม่ได้
ติดตามข้าไปเรียนวิชาพิษกับอาจารย์ของข้า ข้ารู้ว่า
เจ้าติดตามตาเฒ่าหลีเจ้าได้เรียนรู้หลายอย่าง วิธีการ
ถอนพิษรักษาอาการต่างๆ เจ้าก็เหนือกว่าข้า แต่น่า
เสียดาย...!” นางส่ายหัวแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าจะ
ป้องกันพิษของข้าได้หรือ น่าเสียดายที่เจ้าก็ถูกพิษ
เข้าให้แล้ว”
ถังนั่วขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?” นาง
เดินเข้าไปหนึ่งก้าว ทันใดนั้นเองขาก็อ่อน แล้วนางก็
ล้มลง สีหน้านางเปลี่ยนไป มันทาให้หยางหนิงตกใจ
ถึงกับลุกขึ้นมา แต่ร่างกายของเขาอ่อนแรงยิ่งนัก
ถึงแม้มือเท้าจะยังขยับไม่ได้ แต่ก็ยังพอก้าวเท้าได้
บ้าง
ปีศาจน้อยเห็นถังนั่วล้มลง นางรู้สึกสะใจไม่น้อย
ปรบมือหัวเราะแล้วพูดว่า “ถังนั่ว เจ้าว่า ระหว่างข้า
กับเจ้าผู้ใดเก่งกว่ากันรึ? เจ้าถอนพิษได้แล้วจะเป็น
อย่างไร? ตอนนี้เจ้าก็ขยับไม่ได้ แล้วจะถอนพิษให้
ตัวเองได้อย่างไรรึ?”
ถังนั่วขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “อาเหน่า เจ้ารู้ตัวหรือไม่
ว่าเจ้าทาอะไรลงไป?”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าข้ากาลังทาอะไรอยู่” ปีศาจน้อย
หัวเราะออกมา “เจ้าดูถูกข้ามิใช่หรือ? ตอนนี้เป็น
อย่างไรเล่า? เจ้าเก่งกว่าหรือข้าเก่งกว่าเจ้ารึ?”
หยางหนิงถึงได้เข้าใจว่า ปีศาจน้อยคนนี้ชื่อว่า “อา
เหน่า”
ถังนั่วถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าพูดตอนไหนว่าข้าดู
ถูกเจ้ารึ?”
“คาพูดบางคาไม่จาเป็นต้องพูดออกมาก็ได้” ปีศาจ
น้อยอาเหน่ายิ้มแล้วพูดว่า “ในใจข้ารู้ก็พอแล้ว ตา
เฒ่าหลียังไม่ออกมาช่วยเจ้าอีกหรือ เจ้าจะตายอยู่
แล้วนะ” จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมามองแล้วพูดว่า
“หากข้าเผากระท่อมนี้ เผาสมุนไพรทั้งหมดนี้ พวก
เจ้ายิ่งโมโหเพียงใด ข้าก็ยิ่งมีความสุขเพียงนั้น”
จากนั้นนางก็วิ่งออกไปที่หน้าประตู ตะโกนว่า
“ต้ากุ่ยเสี่ยวกุ่ย เผาสมุนไพรให้หมด แล้วเผา
กระท่อมนี้ทิ้งเสีย”
หยางหนิงรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก เขาเสียใจที่ตัวเองมัวแต่
กลัวความผิดพลาดพลาด ทาให้พลาดโอกาสดีๆ ไป
เมื่อครู่นี้เขาควรจะลงมือ แต่ตอนนี้คิดจะทาคงไม่
ง่ายแล้ว
ปีศาจน้อยอาเหน่ากลับเข้ามาในห้อง นั่งยองๆ ลง
เหมือนจะยังมีความกลัวถังนั่วอยู่ ไม่กล้าเข้าใกล้
เว้นระยะห่างแล้วพูด “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่ยอมให้
เจ้าตายเร็วอย่างนี้หรอก”
“เจ้าต้องการอะไร?” ถังนั่วพูดอีกว่า “นอกจากชีวิต
ข้า ที่นี่ไม่มีอะไรที่เจ้าอยากได้”
อาเหน่ายิ้มแล้วพูดว่า “จริงๆ ข้าก็อยากจะเรียนวิชา
แพทย์ ถังนั่ว หนังสือสมุนไพรร้อยตาหรับอยู่กับเจ้า
หรือไม่? หากอยู่กับเจ้า เอามันมาให้ข้า ข้าก็จะ
ปล่อยเจ้าไป”
ถังนั่วยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็มาเพราะตารา
สมุนไพรร้อยตาหรับ ข้าน่าจะรู้เร็วกว่านี้ ชิวเฉียนอี้
คิดอยากจะได้ตาราสมุนไพรร้อยตาหรับ เหตุใดเขา
ไม่มาเอาเองเล่า?”
อาเหน่าถอนหายใจแล้วพูดว่า “อาจารย์ก็อยากจะ
มาหาผู้เฒ่าหลีเอง แต่น่าเสียดายเขากับผู้เฒ่าหลีไม่
ค่อยถูกกันเท่าไหร่นัก เจอกันทีไร ก็ต้องสู้เอาเป็น
เอาตายทุกที”
“เจ้าพูดมาตรงๆ ว่าชิวเฉียนอี้ขี้ยังจะพอฟังเสีย
มากกว่า” ถังนั่วพูดอีกว่า “เขารู้ว่าพวกข้าไม่มีทาง
ฆ่าเจ้า จึงให้เจ้ามาแทน”
อาเหน่าหัวเราะแล้วพูดว่า “ถังนั่ว เจ้าเหมือนจะ
เข้าใจอาจารย์ข้าดีเสียจริงนะ ใช่ ผู้เฒ่าหลีจะต้อง
เป่าหูเจ้าทุกวันแน่ๆ อาจารย์บอกว่าในตารา
สมุนไพรร้อยตาหรับเล่มนั้น มีสมุนไพรแปลกๆ
หลายอย่าง เป็นตารารวบรวมสมุนไพรต่างๆ กว่า
ร้อยปี มีเพียงได้ตาราสมุนไพรร้อยตาหรับเล่มนั้นมา
อยู่ในมือ ไม่ว่ายาอะไรก็สามารถทาออกมาได้” นาง
พูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าอย่ามาใส่ความอาจารย์ของ
ข้านะ เขาไม่ได้ให้ข้ามาเอาตาราสมุนไพรร้อยตา
หรับ ข้าอยากจะได้ไว้เรียนรู้เองต่างหาก เจ้ายินดีที่
จะให้ข้ายืมตาราสมุนไพรร้อยตาหรับไปดูสักหน่อย
จะได้หรือไม่?”
ถังนั่วส่ายหน้าแล้วพูดว่า “มันไม่ได้อยู่ที่ข้า อีกอย่าง
ในชีวิตนี้เจ้าไม่มีทางได้เห็นมันแน่นอน”
อาเหน่าพูดว่า “ทาไมรึ? ทาไมข้าถึงจะไม่ได้เห็น
มัน?”
“เจ้าก็ลองไปถามชิวเฉียนอี้เองซิ ชิวเฉียนอี้จะตอบ
คาถามเจ้าเอง แต่ว่าเขาไม่น่าจะบอกเจ้านะ เพราะ
ต่อให้เป็นเขา ถึงตายก็ไม่มีทางได้เห็นตาราสมุนไพร
ร้อยตาหรับแน่นอน” ถังนั่วพูดอย่างเย็นชาว่า
“ตาราสมุนไพรร้อยตาหรับมันก็ไม่ใช่ของที่พวกเจ้า
จะได้เห็นอยู่แล้ว”
อาเหน่ายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่กังวล ผู้เฒ่าหลีดีกับ
เจ้าจะตาย หากข้าเอาชีวิตเจ้าแลกกับตาราสมุนไพร
ร้อยตาหรับเล่มนั้น ผู้เฒ่าหลีจะต้องเอามันออกมา
แน่นอน” นางลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ข้าจับเจ้าเอาไว้
ให้ท่านผู้เฒ่าทาสิ่งใด เขาย่อมไม่มีทางปฏิเสธได้
หรอก” จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่ไป๋หลิง แล้วพูด
ว่า “เจ้าลิงบ้าตัวนั้น ทาให้ต้ากุ่ยเกือบตาย ทาให้
ต้ากุ่ยบาดเจ็บ น่ารังเกลียดจริงๆ ข้าจะตัดคอของ
มันเดี๋ยวนี้เลย” นางหยิบมีดสั้นออกมา แล้วเดินไปที่
ไป๋หลิง
นางเดินไปได้สองก้าว หยางหนิงก็เห็นนางหยุดเดิน
กะทันหัน ร่างกายเซไปเซมา “โอ๊ย” นางร้องออก
มาแล้วล้มลงไปนอนกับพื้น
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 105
แสดงความสามารถของตนเองออกมาด้วยวิธีที่ต่างกัน

หยางหนิงเห็นอาเหน่าจู่ๆ ก็ล้มลงไปกองกับพื้น รู้สึก


ประหลาดใจกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้ เขาคิดว่า
เจ้าปีศาจน้อยเพียงแค่แกล้งทาไปอย่างนั้น แต่ว่า
เหมือนนางพยายามจะต่อสู้ดิ้นรนแต่กลับขยับ
ร่างกายไม่ได้ หรือว่านางปีศาจน้อยจะถูกพิษเช่นกัน
รึ?
เขาไม่รู้ว่าอาเหน่าทาให้ถังนั่วถูกพิษได้อย่างไร
ในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอาเหน่านั้นถูกพิษได้อย่างไร
อาเหน่าดิ้นอยู่ที่พื้น คิดจะลุกแต่กลับทาไม่ได้ จึง
ตะโกนไปข้างนอกว่า “เสี่ยวกุ่ย ต้ากุ่ย พวกเจ้า...
พวกเจ้ารีบเข้ามานี่...!”
ถังนั่วพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องเรียกพวกเขาหรอก พวก
เขาเข้ามาไม่ได้หรอก”
“เจ้า...เจ้าวางยาพิษพวกข้ารึ?” อาเหน่าพูดด้วย
ความโกรธว่า “เจ้าวางยาข้าได้อย่างไร?”
ถังนั่วพูดน้าเสียงว่า “เจ้าตั้งใจพาคนมาที่นี่ เพื่อให้
ข้าถอนพิษให้พวกเขา จริงๆ ก็เพื่อดึงความสนใจ
จากข้าไป จากนั้นก็ลงมือกับไป๋หลิง ให้ข้ากังวล ผง
พิษบนตัวของไป๋หลิงต่อให้ไม่สัมผัสแค่ดม ก็สามารถ
ถูกพิษได้แล้ว”
อาเหน่าพูดว่า “เจ้ารู้ไปแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร
เล่า? เจ้าเองก็ตกหลุมพรางของข้าอยู่ดีมิใช่หรือ?”
หยางหนิงถึงได้รู้ว่า อาเหน่าจับพวกเขามา เพื่อดึง
ความสนใจของถังนั่ว แล้วหาโอกาสลงมือ คิดๆ ดู
แล้ว หากอาเหน่ามาคนเดียว ถังนั่วมีอคติกับนางอยู่
แล้ว จะต้องมีการป้องกันไว้เป็นอย่างดี หากเจ้า
ปีศาจน้อยคิดจะลงมือก็คงทาได้ยากแล้ว
ตอนนี้ดูๆ ไปแล้ว เป้าหมายที่แท้จริงของอาเหน่าคือ
อยากจะได้ ตาราสมุนไพรร้อยตาหรับจากมือของ
ถังนั่ว ถ้าอย่างนั้นตาราสมุนไพรร้อยตาหรับก็จะต้อง
เป็นตาราสมุนไพรที่หายากแน่ๆ ถึงทาให้อาเหน่า
ถึงกับต้องวางแผนซับซ้อนเช่นนี้
“จิตใจคิดร้ายผู้อื่นมิพึงมี การระวังผู้อื่นนั้นมิควร
ขาด” ถังนั่วพูดต่อว่า “เจ้ามันเจ้าเล่ห์กว่าแต่ก่อน
มากนัก ชิวเฉียนอี้สอนเจ้ามาเช่นนี้ มันไม่ใช่ง่ายๆ
เลยนะ”
อาเหน่ายิ้มแล้วพูดว่า “ผู้เฒ่าหลีเองก็ไม่ธรรมดา
สอนให้เจ้าวางยาด้วย เขาไม่ต่อต้านยาพิษแล้วหรือ?
เขาเคยบอกว่ายาพิษมันเป็นวิธีต่าช้า ที่แท้เขาก็พูด
อย่างทาอย่าง แอบสอนเจ้าใช้ยาพิษด้วย”
ถังนั่วขยับตัวเล็กน้อย แต่ก็เหมือนจะไม่มีแรง จะ
เคลื่อนไหวทีก็ลาบาก นางพูดน้าเสียเย็นชาว่า “ข้า
เคยเตือนเจ้าแล้ว ให้เจ้าไปจากที่นี่ซะ เจ้าก็ไม่ฟัง
ข้า” ชะงักไปครู่หนึ่งและพูดต่อว่า “ข้าให้ยาถอน
พิษกับเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่เอาเอง โทษข้าไม่ได้”
“ยาถอนพิษรึ?” อาเหน่าพูดด้วยความแปลกใจ
“เจ้าให้ยาถอนพิษข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ถังนั่วพูดว่า “พวกเขาสองคนกินยาถอนพิษไปแล้ว
จึงไม่เป็นอะไร”
อาเหน่าตะลึง นางเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว นางเข้าใจ
ทันที จากนั้นก็มองไปที่ตุ่มน้า แล้วพูดด้วยความ
ตกใจว่า “เจ้าบอกว่า น้า...น้าในตุ่มนั่น...!”
ในตอนนี้หยางหนิงถึงได้เข้าใจ เมื่อครู่ถังนั่วเอาน้า
มาให้เขากับจ้าวยวนดื่มคนละถ้วย ไม่ใช่เพื่อให้เขา
แก้กระหาย แต่ในน้านั้นมียาถอนพิษ
อาเหน่าคิดว่าตัวเองนั้นฉลาด จึงไม่ดื่มน้านั้นเข้าไป
นางกลับไม่รู้ว่า หากไม่ดื่มน้ายิ่งถูกพิษได้ง่าย
แต่ในเมื่อดื่มน้าไปแล้ว เหตุใดร่างกายถึงยังไม่มีแรง
อย่างนี้อีกเล่า? สมองค่อยๆ นึกขึ้นมาได้ ก็เข้าใจ
ทันที อาเหน่าซัดผงพิษ ถึงแม้ตัวเขาไม่ได้เข้าไปใกล้
แต่ก็ได้สูดดมเข้าไป ตัวเขาก็ต้องได้รับพิษบ้างไม่มาก
ก็น้อย ดังนั้นจึงไม่เหมือนถังนั่วที่ขยับไปไหนไม่ได้
เลย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หยางหนิงก็รีบยกมือขึ้นมาปิดจมูก
พยายามให้ยาพิษเข้าตัวน้อยที่สุด
ถังนั่วพูดว่า “สมุนไพรข้างนอก มียาสองชนิดเมื่อ
กลิ่นของมันผสมกัน มันจะทาให้ไร้เรี่ยวแรง คนของ
เจ้าน่าจะถูกพิษมากกว่าเจ้าหลายเท่า”
อาเหน่าตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าตัวเองถูกพิษ ไม่ใช่
เพราะถังนั่ววางยานาง แต่ตั้งแต่นางถึงที่นี่ ก็ถูกพิษ
เข้าให้แล้ว จากนั้นนางก็มีสีหน้าที่น่าสงสารขึ้นมา
แล้วพูดว่า “พี่สาวคนสวย ข้าไม่ดีเอง ไม่ควรทาให้
ท่านโกรธ ท่าน...ท่านรีบถอนพิษให้ข้าเถอะนะ ข้า
ไม่ใช่คู่ปรับของท่าน หลังจากถอนพิษแล้ว ข้าจะพา
คนไปจากที่นี่ทันที แล้วจะไม่มากวนท่านอีก”
หยางหนิงแอบคิดในใจว่าเจ้าหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ
ก่อนหน้านี้ทาตัวหยิ่งเพียงใด ตอนนี้ตัวเองถูกพิษเข้า
กลับหันมาเรียกพี่สาวเสียอย่างนั้น ดูท่าต่อให้เรียก
ท่านย่าก็คงไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว
ถังนั่วพูดด้วยความไร้เยื่อใย “ตอนนี้เจ้ามาขอร้องข้า
ก็ไม่มีประโยชน์ ข้าเองก็ขยับตัวไม่ได้ ไม่มีทางถอน
พิษให้เจ้าได้แน่นอน นอกจากเจ้าจะถอนพิษให้ข้า
ก่อน”
“แต่ว่าตอนนี้ข้าเองก็ขยับตัวไม่ได้” อาเหน่าพูด
อย่างน่าสงสารว่า “พี่สาว พิษของเจ้า เมื่อไหร่จะ
หายรึ?”
ถังนั่วพูดตอบกลับไปว่า “เจ้าไม่ยอมดื่มน้า พิษ
น่าจะแรงอยู่ หากไม่ถอนพิษ ทั่วทั้งตัวของเจ้าก็จะ
แข็งเหมือนหิน”
สีหน้าของอาเหน่าก็พลันเปลี่ยนไปเป็นความ
หวาดกลัว
ในตอนนี้เอง หยางหนิงก็รู้สึกเหมือนว่าด้านหลังมี
คนเดินมา เมื่อหันหน้าไป เห็นจ้าวยวนลุกขึ้นมา ไม่
รู้ว่าเขาเอาเข็มที่ฝังนั้นออกมาตอนไหน เขา
เคลื่อนไหวได้ช้า แต่ก็ค่อยๆ เดินไปหาอาเหน่า
อาเหน่าเองก็รู้สึก เห็นจ้าวยวนเดินเข้ามาใกล้ นางก็
พลันตกใจ จากนั้นก็พูดว่า “เจ้า...เจ้าอย่าเข้ามานะ
หากเจ้าเข้ามาอีก ข้าก็จะฆ่าเจ้าซะ”
จ้าวยวนไม่ได้สนใจ ถึงแม้จะพูดไม่ได้ แต่ในลาคอ
กลับส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ออกมา
ถังนั่วเห็นจ้าวยวนเข้ามาใกล้อาเหน่า จากนั้นก็รีบ
พูดว่า “เจ้ายังอยู่ในช่วงถอนพิษอยู่นะ อย่าขยับ นั่ง
ลงเดี๋ยวนี้”
แม้แต่เสียงของถังนั่ว จ้าวยวนก็ไม่ได้สนใจ ยังคง
เดินเข้าไปใกล้อาเหน่า อาเหน่าเห็นจ้าวยวนสีหน้า
โหดเหี้ยม ในใจก็เริ่มกลัว พูดขู่กลับไปว่า “เจ้าอย่า
เข้ามานะ ข้า...ข้าจะฆ่าเจ้า เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ...!”
หยางหนิงคิดในใจว่าจ้าวยวนกาลังอาศัยเสียงแล้ว
เดินเข้าไปตามเสียงนั้น หากเจ้าไม่พูดยังจะดีกว่า ยิ่ง
เจ้าพูดมากเท่าไหร่ จ้าวยวนก็จะรู้ตาแหน่งชัดมาก
ขึ้น
ไม่ว่าจะจ้าวยวนหรืออาเหน่า สาหรับหยางหนิงพวก
เขาคือศัตรูไม่มีทางเป็นมิตรด้วยอย่างแน่นอน สอง
คนนี้ใครตายใครรอด เขาก็ไม่สนใจ แต่ว่าถังนั่วเป็น
คนมีเมตตา หากนางเดือดร้อน ตัวเองก็ต้องยื่นมือ
เข้าไปช่วย ตอนนี้เขาอุดจมูกเอาไว้ อาการไร้เรียว
แรงก็ไม่รุนแรงขึ้น แต่แรงก็ยังไม่ได้ฟื้นคืนสู่สภาพ
เดิม
ขณะที่จ้าวยวนเดินเข้าไป หยางหนิงคิดว่าเขาก็
น่าจะสูดพิษเข้าไปไม่น้อย ร่างกายไม่น่าจะมี
เรี่ยวแรงเหลือเยอะเท่าไหร่
เมื่อเดินมาถึงข้างๆ อาเหน่า จ้าวยวนนั่งยองๆ ลง
จากนั้นเขาก็ใช้เท้าเขี่ยหาของบนพื้น แล้วหยิบมัน
ขึ้นมา มันคือมีดสั้นของหยางหนิง
อาเหน่าเห็นจ้าวยวนหยิบมีดสั้นขึ้นมา ท่าทางช่าง
โหดเหี้ยม ในตอนนี้หน้าตาของเขาดูน่ากลัวนัก นาง
พูดเหมือนจะร้องไห้ว่า “เจ้าคิดจะทาอะไร? ข้า...ข้า
จะลงมือแล้วนะ”
หยางหนิงคิดในใจว่าหากเจ้าคิดจะลงมือ คงทาไป
นานแล้ว ไม่รอจนถึงตอนนี้หรอก
ถังนั่วขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ห้ามฆ่าคนที่นี่ เจ้าวาง
มีดลงเดี๋ยวนี้”
จ้าวยวนส่งเสียงหัวเราะประหลาดออกมา ยกมือขึ้น
ไปชี้ที่ดวงตาที่อาบเลือดของตัวเขา แล้วชี้ไปที่ปาก
ของเขา เพื่อสื่อความหมายว่า อาเหน่าทาให้ตากับ
ปากของเขาใช้งานไม่ได้ เขาไม่มีทางปล่อยนางไปแน่
เขายื่นมือออกไป คว้าผ้าโพกหัวของอาเหน่าเอาไว้
จากนั้นเขาก็สะบัดมันทิ้ง จากนั้นก็จับหัวของนาง
ขึ้นมา
อาเหน่ารีบพูดขึ้นว่า “เจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ข้าจะ
ไม่ไว้ชีวิตเจ้า ข้า...ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ”
จ้าวยวนหัวเราะ ยกมือขึ้นมา กาลังจะแทงลงไป
ถังนั่วก็พูดออกมาด้วยความตกใจว่า “หยุดเดี๋ยวนี้
เจ้าฆ่านางไม่ได้” นางรู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ แต่ก็
ยังพูดอีกว่า “เจ้ายังอยากมองเห็น ยังอยากพูดได้
หรือไม่? ข้ารักษาเจ้าได้ แต่หากเจ้าฆ่านางเจ้าก็จะ
ไม่เห็นอะไรอีกเลย”
จ้าวยวนถือมีดสั้นค้างอยู่กลางอากาศ
อาเหน่าเห็นดังนั้น รู้ว่าจ้าวยวนเริ่มลังเลแล้ว ก็รีบ
พูดว่า “ใช่แล้ว ดวงตาของเจ้าถึงจะบอด แต่ว่านาง
รักษาเจ้าได้ อาจารย์ของนางวิชาแพทย์สูงส่ง สอน
ความรู้แก่นางไม่น้อย ขอแค่...ขอแค่เจ้าปล่อยข้าไป
นางก็จะรักษาตาของเจ้าจนหาย จริงสิ ปาก...ปาก
ของเจ้าด้วย ข้ามียาถอนพิษ สามารถทาให้...ทาให้
เจ้าหายได้...!”
เหงื่อของนางไหลเต็มหน้าผาก ดวงตาของนางเต็ม
ไปด้วยความหวาดกลัว
จ้าวยวนเหมือนมีความลังเล ทันใดนั้นเองสีหน้าของ
เขาก็นิ่งไป จากนั้นก็ไม่ลังเลอีก เขาแทงมีดลงไปที่
อาเหน่า อาเหน่ากรีดร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด
ถังนั่วร้องออกมาด้วยความตกใจ เห็นอาเหน่ากาลัง
จะตายคาคมมีดของจ้าวยวน ทันใดนั้นเองก็มีของสิ่ง
หนึ่งลอยมาโดนข้อมือของจ้าวยวน ทาให้มีดสั้นนั้น
ปลิวออกไป
จ้าวยวนคารามเสียงออกจากลาคอ แต่ก็ไม่ลังเล ที่
จะใช้มือบีบไปที่คอของอาเหน่า
มือของเขาราวกับสัตว์ป่า สีหน้าโหดเหี้ยม ในลาคอ
มีแต่เสียงคาราม ต้องการให้อาเหน่าตายให้ได้ อาเห
น่าพยายามดิ้นรนต่อสู้ ผิวขาวของนาง ตอนนี้ยิ่งขาว
ซีดเข้าไปอีก
“เร็ว ช่วยนาง...!” ถังนั่วสีหน้ารีบร้อน
เห็นหยางหนิงลุกขึ้นมา เดินโซซัดโซเซเข้าไป แต่ก็
ไม่ได้รีบไปช่วยอาเหน่า แต่เดินไปหยิบมีดสั้น
จากนั้นหันหลังไปถีบจ้าวยวนอย่างสุดแรง จ้าวยวน
ที่ถูกถีบก็ล้มลงไปกองกับพื้น พออาเหน่าหลุดพ้น
จากมือสัตว์ป่าคู่นั้นได้ก็ไอออกมา รีบสูดอากาศเข้า
ไปอย่างเร็ว แต่ว่าจ้าวยวนยังไม่ยอมเลิกรา เขาลุก
ขึ้นมาอีก ยังคิดจะไปบีบคออาเหน่าอีกครั้ง หยาง
หนิงในตอนนี้อยู่ที่ด้านหลังเขา เขาไม่ได้ลังเลเลย ใช้
มีดสั้นแทงจากด้านหลังของจ้าวยวนทันที
มีดเล่มนั้นแทงเข้าไปอย่างแรง จ้าวยวนที่ถูกแทงนั้น
ก็ล้มลงไปนอนดิ้นอย่างทรมานอยู่สองสามตลบ แล้ว
ก็แน่นิ่งไป
ถังนั่วเห็นหยางหนิงฆ่าจ้าวยวน นางก็เบาใจ อาเห
น่ายังคงไอไม่หยุด หลังจากนั้น ถึงได้หันไปมองศพ
ของจ้าวยวน แล้วพูดว่า “น่าจะฆ่าเขาไปตั้งนานแล้ว
ข้าจะจับเขาฉีกเป็นชิ้นๆ”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาว่า “เจ้ายัง
อยากจะจับข้าฉีกเป็นชิ้นๆอีกหรือไม่?”
อาเหน่าตกใจ เห็นหยางหนิงถือมีดสั้นไว้ในมือ ยืน
อยู่ข้างๆ ดวงตาของเขาก็เหมือนคมมีดกาลังจ้องมา
ที่นางอยู่ นางฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบใจ...ขอบใจเจ้า
มากที่ช่วยชีวิตข้า เจ้าเป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าไม่
ทาร้ายเจ้าหรอก”
หยางหนิงนั่งลงข้างๆ อาเหน่า ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า
“คนแบบเจ้าพูดไปจะยังมีคนเชื่ออีกรึ? เจ้ารู้หรือไม่
ว่าเหตุใดข้าต้องฆ่าเขา?”
“เจ้าเป็นคนดี เห็นอะไรไม่เป็นธรรม ดังนั้น...ดังนั้น
ถึงได้ช่วยเหลือ” อาเหน่าพูดอีกว่า “ก่อนหน้านี้ข้า
ทาไม่ดีกับเจ้า ข้าขอโทษ”
“ที่แท้เจ้าก็รู้จักขอโทษด้วยรึ” หยางหนิงหัวเราะ
เจื่อนๆ “มารยาที่เจ้าใช้ข้าเห็นอยู่ตาตา ตอนนี้เจ้า
มาพูดดีกับข้า รอเจ้าหายดี ก็ย้อนกลับมาทาร้ายข้า
อยู่ดี”
“ไม่ ไม่แน่นอน” อาเหน่ารีบสาบานว่า “ต่อแต่นี้ไป
ข้าจะไม่ทาร้ายเจ้า เจ้าวางใจได้”
หยางหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “กับศัตรูต้องตัดราก
ถอนโคลน หลักการนี้ข้าเข้าใจดี ข้าฆ่าเขา ไม่ใช่
เพราะช่วยเจ้า คนจิตใจชั่วร้ายอย่างเจ้า ไม่มีค่าพอ
ให้ข้าไปช่วยหรอก จ้าวยวนเป็นศัตรูของข้า ดังนั้น
ข้าต้องการฆ่าเขาด้วยมือของข้าเอง ก็เหมือนเจ้า
เจ้าก็เป็นศัตรูของข้า ข้าไม่มีทางให้คนอื่นฆ่าเจ้า
แน่นอน มีเพียงข้าเท่านั้นที่ลงมือได้” เขายกมีดสั้น
ขึ้น ทาท่าเหมือนจะแทงไปที่อาเหน่า
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 106 หาเรื่องใส่ตัว
อาเหน่าปิดตาลงแล้วกรีดร้องออกมา ในครั้งนี้ถังนั่ว
กลับใจเย็น
“มีคนเคยพูดไว้ว่า อยากจะลองลิ้มรสชาติการร้อง
ขอชีวิตมิใช่หรือ?” หยางหนิงยิ้มอย่างเย็นว่า : “เหตุ
ใดตอนนี้เจ้ากลับขี้ขลาดแล้วรึ?”
อาเหน่าลืมตาขึ้นมา เห็นมีดปักอยู่ข้างๆ หัวของนาง
ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้าเป็นผู้ชาย รังแกผู้หญิง
อ่อนแอเช่นนี้ ไม่กลัวใครหัวเราะเยาะเอารึ?”
“ผู้หญิงอ่อนแออย่างนั้นรึ?” หยางหนิงยิ้มอย่างเย็น
ชาแล้วพูดว่า “เจ้าฆ่าคนได้ในพริบตาเดียว ข้าว่า
พวกโจรชั่วช้ายังเทียบเจ้ามิได้ด้วยซ้ํา” เขามองแล้ว
พูดว่า “ข้าว่าข้ากรีดหน้าของเจ้าไว้เป็นสัญลักษณ์
ดีกว่า เจ้าจะได้จําได้ เจ้าว่า ข้างซ้ายก่อนดีหรือข้าง
ขวาก่อนดีรึ?”
อาเหน่าพูดด้วยความน่าสงสารว่า “ไม่กรีดไม่ได้รึ?
หากใบหน้าของข้ามีริ้วรอย ก็จะไม่สวยแล้วนะ”
“ไม่สวยรึ? ตอนนี้ชีวิตของเจ้าจะไม่เหลืออยู่แล้ว ยัง
จะห่วงสวยอีกรึ?” หยางหนิงพูดด้วยน้ําเสียงอารมณ์
ไม่ดีว่า “อีกอย่างหน้าตาของเจ้าก็ออกจะไร้รสชาติ
ไร้สีสัน ไม่ได้สวยอะไรมากมาย” เขาหมุนมีด แล้ว
พูดว่า “ช่างเถอะ ข้าควักลูกตาเจ้าออกมาก่อนดีกว่า
เจ้าจะได้ไม่ต้องไปเห็นอะไร” เขาทําท่าทางเหมือน
จะทิ่มตาของนาง
อาเหน่าตกใจแล้วพูดว่า “อย่า ข้าขอร้องล่ะ เจ้าจะ
ให้ข้าทําอะไรก็ได้ แต่อย่าควักลูกตาข้าเลยนะ”
หยางหนิงแสร้งทําเป็นยิ้มแล้วพูดว่า “ยาถอนพิษอยู่
ที่ไหน?”
“ยาถอนพิษอะไรกัน?”
“ยังจะแกล้งไม่รู้เรื่องอีก ยาถอนพิษผึ้งอย่างไรเล่า”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าถูกพิษผึ้งนางพญาของ
เจ้า ยาถอนพิษก็ต้องอยู่ที่เจ้าสิ”
อาเหน่ารีบพูดว่า “ในตัวข้า มียาถอนพิษ เจ้าไป
หยิบน้ํามาถอนพิษให้ข้าก่อน หลังจากนั้นข้าจะถอน
พิษให้เจ้า”
“จนถึงตอนนี้เจ้ายังจะมาต่อรองกับข้าอีกรึ?” หยาง
หนิงยกมือขึ้นเคาะไปที่หน้าผากของอาเหน่า “หาก
เจ้าหาย ใครจะรู้ว่าเจ้าจะทําร้ายใครอีกหรือไม่” เขา
ถูกพิษผึ้ง รู้ดีว่าจะต้องรีบถอน เขาไม่พูดอะไร
มากมาย ยื่นมือไปจับที่เอวของอาเหน่า
อาเหน่าร้องแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นผู้ชายนะ อย่ามา
จับ”
หยางหนิงไม่ได้สนใจ จากนั้นก็ดึงถุงที่เอวของนาง
ออกมา รู้ว่าที่หน้าอกของนางยังมีของอีกไม่น้อย
เขาจึงยื่นมือไปจับที่หน้าอกของนาง อาเหน่า
หลับตา แล้วพูดว่า “เจ้าระวังหน่อยสิ อย่าให้โดน
ของข้า”
หยางหนิงยื่นมือเข้าไปที่หน้าอกของนาง เขาจับไป
โดนก้อนนิ่มๆ กลมๆ มันเหมือนเนินเขาเล็กๆ เจ้า
ปีศาจน้อยอายุยังน้อย แต่ว่ารูปร่างใช้ได้เลยทีเดียว
หน้าอกก็นูนออกมาแล้ว จริงๆ แล้วเขาไม่ได้คิดจะ
ล่วงเกินนางเลย เพียงแต่ต้องการหายาถอนพิษ
เท่านั้น จึงจําเป็นต้องล้วงมือเข้าไป เมื่อครู่จับโดน
หน้าอกของอาเหน่า ปีศาจน้อยก็กรีดร้องออกมา
“เอามือออกไป เจ้าคนเลว เจ้าจะล่วงเกินข้ารึ”
หยางหนิงรู้สึกเขินเล็กน้อย เขาดึงมือกลับมา แล้ว
ขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเองก็ได้ยินถังนั่วพูดว่า “เจ้าอย่า
ไปแตะต้องนางเลย ข้าช่วยหายาถอนพิษให้เจ้าได้”
ถึงแม้หยางหนิงจะเกลียดปีศาจน้อยยิ่งนัก แต่
อย่างไรนางก็เป็นผู้หญิง เขาเป็นผู้ชาย จะฆ่านางก็
ฆ่าได้ แต่ว่าจะให้แตะต้องนางเช่นนั้น มันก็น่า
เกลียดไปหน่อย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมา เห็นถังนั่ว
ขยับตัวไม่ได้จึงถามกลับไปว่า “ข้าช่วยอะไรเจ้าได้
บ้าง? เจ้าลุกขึ้นไหวหรือไม่?”
ถังนั่วมองไปที่เข็มเงินที่อยู่บนโต๊ะ แล้วพูดว่า “เจ้า
ไปหยิบเข็มเงินมาให้ข้าที”
หยางหนิงเดินไปหยิบกล่องนั้นมา ถังนั่วจึงได้ถาม
ขึ้นว่า “เจ้ารู้จักจุดซินซื่อกับจุดเฟิงฝูุหรือไม่”
หยางหนิงพยักหน้า จุดทั้งสองอยู่ที่บริเวณหลังคอ
หาได้ง่ายยิ่งนักถังนั่วพูดขึ้นว่า “เจ้าใช้เข็มฝังไปที่จุด
เฟิงฝูุก่อน จากนั้นค่อยฝังไปที่จุดซินซื่อ จากนั้นค่อย
ฝังไปที่จุดโถวเวยของข้าอีกหนึ่งเข็ม”
หยางหนิงพูดว่า “แม่นางถัง ข้าไม่เคยฝังเข็มมาก่อน
จุดชีพจรที่ว่าข้าพอจะหาได้ แต่ว่าจะให้ข้าฝังเข็มให้
เจ้าอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ข้าเกรงว่า...!”
ถังนั่วพูดขึ้นทันทีว่าว่า “ไม่ได้ให้เจ้าช่วยข้าถอนพิษ
แค่ปิดชีพจรเท่านั้น มันจะทําให้ข้าฟื้นฟูแรงได้
ชั่วคราว เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องการลงเข็มหรอก”
หยางหนิงก็ไม่ได้ลังเล หยิบเข็มออกมา แล้วทํา
ตามที่ถังนั่วบอก ฝังเข็มทั้งสามลงไป หลังจากฝังเข็ม
ลงไปแล้ว ร่างกายของถังนั่วก็เริ่มขยับได้ หลังจาก
นั้นนางก็ลุกขึ้นมานั่ง หยางหนิงรู้สึกดีใจแล้วก็โล่งอก
เป็นอย่างมาก แอบคิดว่าถังนั่วอายุยังน้อยขนาดนี้
แต่ว่าเก่งกาจยิ่งนัก อย่างน้อยๆ เรื่องการฝังเข็มนาง
ก็เก่งมากจริงๆ
ถังนั่วลุกขึ้นมา แล้วพยักหน้าให้กับหยางหนิง
จากนั้นก็เดินไปข้างๆ อาเหน่า ไม่กล่าวอะไรมาก
หยิบของออกมาจากหน้าอกของนาง
“ขวดสีดําขวดนั้นเป็นยาถอนพิษ” อาเหน่าพูด
ถังนั่วไม่ได้สนใจ มองดูบรรดาขวดที่วางอยู่ตรงนั้น
สิบกว่าขวด จากนั้นก็หยิบออกมาขวดหนึ่ง แล้วหัน
ไปโยนให้กับหยางหนิง แล้วพูดว่า “ในขวดนั้นเป็น
ยาถอนพิษผึ้งนางพญา เจ้าถูกพิษมานานแล้ว ต้อง
กินสามเม็ด”
หยางหนิงรับขวดยามา ก็เปิดออกทันที ด้านในมีอยู่
ประมาณสิบกว่าเม็ด เขาไม่ได้ลังเลเลย เทยาออกมา
สามเม็ด จากนั้นก็กินเข้าไป ถังนั่วเห็นเขาไม่ได้ลังเล
ที่จะกิน สายตาของนางก็รู้สึกโล่งใจ เห็นหยางหนิง
เก็บขวดเข้าไปในเสื้อของตัวเอง ถังนั่วก็ยิ้มขึ้นมา
ทันที
นางหยิบยาออกมาอีกขวดหนึ่ง แล้วเดินไปข้างๆ
ไป๋หลิง จากนั้นก็ยัดยาเข้าปากของไป๋หลิงไป และ
หยิบยาให้ตัวเองกินอีกสองเม็ด
อาเหน่าถึงได้พูดออกมาว่า “พวกเจ้าก็กินยาถอน
พิษแล้ว ยังไม่ช่วยข้าถอนพิษอีกหรือ”
หยางหนิงเดินไปข้างตัวอาเหน่าแล้วพูดว่า “อ้า
ปาก!”
อาเหน่าตกใจก็พลันปิดปากเอาไว้สนิท หยางหนิง
หยิบมีดขึ้นมา แล้วพูดด้วยน้ําเสียงดุดันว่า : “จะให้
ตัดจมูกของเจ้าดี หรือว่าเจ้าจะอ้าปาก เจ้าเลือก
เอง” ปลายมีดจี้ไปที่จมูกของนาง อาเหน่าไม่มี
ทางเลือก จึงอ้าปากขึ้น หยางหนิงใช้นิ้วดีด ของ
บางอย่างเข้าไปในปากของอาเหน่า อาเหน่ากําลังจะ
บ้วนมันออกมา หยางหนิงก็พูดว่า “กลืนมันเข้าไป
ไม่อย่างนั้นข้าจะตัดจมูกเจ้าทิ้งเสีย”
อาเหน่าดวงตาแดงก่ําทําได้แค่กลืนลงไป นางพูด
ด้วยความโกรธว่า “เจ้า...เจ้าให้ข้ากลืนอะไรเข้า
ไป?”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่ามีแค่เจ้าเท่านั้น
หรือที่รู้จักใช้ยาพิษ?” เขาเก็บมีดแล้วพูดด้วยท่าทาง
ที่จริงจังว่า “เมื่อครู่เจ้ากินยาพิษเข้าไป ไม่เกินหนึ่ง
ชั่วยามนี้เจ้าจะยังไม่ตาย แต่หากมันออกฤทธิ์ ตัว
ของเจ้าก็จะเน่าเฟะ เหมือนปีศาจ จากนั้นก็จะ
ค่อยๆ เจ็บปวดจนตาย”
อาเหน่าพูดว่า “เจ้า...เจ้ากล้าวางยาพิษข้าหรือ?”
“เจ้าวางยาข้าได้ ข้าเองก็วางยาเจ้าได้เหมือนกัน”
หยางหนิงพูดต่อไปว่า “พิษชนิดนี้ จะต้องกินยาถอน
พิษทุกๆ ครึ่งปี หากเจ้าเชื่อฟังข้า ข้าอาจจะ
พิจารณาให้ยาถอนพิษกับเจ้าครึ่งปีครั้ง ไม่อย่างนั้น
...!” จากนั้นเขาก็แสร้งทําเป็นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็
รอวันตายของเจ้าให้ดี”
ในตอนนี้ถังนั่วรีบเดินไปเอาน้ํามา แล้วปูอนอาเหน่า
อาเหน่ากินน้ําเข้าไปแล้ว ถึงได้พูดด้วยความโกรธว่า
“ท่านพี่ เขา...เขาวางยาข้า ท่านช่วยข้าเร็วเข้า”
ถังนั่วพูดด้วยน้ําเสียงเย็นชาว่า “หากเจ้ายังเป็น
เช่นนี้ไม่รู้จักฟูาสูงแผ่นดินต่ํา เป็นเจ้าที่หาเรื่องใส่
ตัวเองก็สมควรแล้ว ยาพิษของเขา ข้าเองก็ถอน
มิได้”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่
หรือไม่? แม่นางถังเองก็ไม่ถอนพิษให้เจ้า”
ตอนนี้อาเหน่าทําท่าทางน่าสงสารแล้วพูดว่า “ต่อไป
ข้าจะไม่ก่อเรื่องอีก ไม่ทําร้ายคนอื่นอีก เจ้าเอายา
ถอนพิษให้ข้าเถอะนะ ต่อไปข้าจะเชื่อฟังเจ้าทุก
อย่างเลย”
“อยากได้ยาถอนพิษก็ต้องดูท่าทีของเจ้าก่อน”
หยางหนิงพูดต่อไปว่า “ข้าบอกแล้ว ขอแค่เจ้าไม่ทํา
ร้ายผู้ใดอีก ยาถอนพิษก็พอคุยกันได้” จากนั้นก็
กวาดสายตาไป หยิบกระบอกไม้ไผ่มาไว้ในมือ
จากนั้นก็หยิบบ้านที่เลี้ยงผึ้งนางพญาขึ้นมาด้วย
พร้อมพูดว่า “ของสองสิ่งนี้เจ้าจะเก็บเอาไว้ไม่ได้
ไม่อย่างนั้นเจ้าก็จะเอาไปทําร้ายคนอื่นอีก อีกเดี๋ยว
ข้าจะเอาไปเผาทิ้งให้หมด”
“อย่านะ” อาเหน่าพูดด้วยความร้อนใจว่า “ผึ้ง
นางพญาพวกนี้ข้าใช้เวลานานมากกว่าจะฝึกมันได้
เจ้า...เจ้าห้ามเผามันนะ ต่อไปข้าจะไม่ใช้มันทําร้าย
ใครอีกแล้ว”
หยางหนิงไม่ได้สนใจ เขาเก็บกระบอกไม้ไผ่เข้าตัวไป
ส่วนบ้านผึ้งนางพญายังคงถือไว้ในมือ
อาเหน่าโกรธแค้นยิ่งนัก แต่จากนั้นไม่นาน ร่างกาย
ของนางก็เริ่มขยับได้ ไป๋หลิงเองก็รู้สึกตัวแล้วเช่นกัน
มันลุกขึ้นมาจากพื้น แล้วพุ่งไปบ่นๆ ที่หน้าอาเหน่า
สีหน้าโกรธแค้นยิ่งนัก
อาเหน่าลุกขึ้นมา ยื่นมือไปหาหยางหนิงแล้วพูดว่า
“เอาของข้าคืนมา”
หยางหนิงมือหนึ่งถือมีดสั้น อีกมือถือบ้านไม้ไผ่ แล้ว
พูดว่า “เจ้าไม่มีสิทธิมาต่อรอง เจ้าอย่าลืมนะ เจ้าถูก
พิษของข้าไปแล้ว วันนี้ข้าไม่ฆ่าเจ้า เพราะต้องการ
ให้โอกาสเจ้าได้แก้ตัว หากเจ้ายังมาแสดงอํานาจต่อ
หน้าข้าเช่นนี้ ก็อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมต่อเจ้าก็แล้ว
กัน”
อาเหน่ารู้ดีว่านางคงไม่ได้ผึ้งนางพญาของนางคืนมา
อย่างแน่นอน ก็พูดด้วยความโกรธว่า “เจ้า...เจ้า
จะต้องเสียใจ”
ในตอนนี้ถังนั่วดึงเข็มที่จุดชีพจรของตัวเองออกมา
แล้วไปดึงเข็มที่ตัวของจ้าวยวนออกมาด้วย นางพูด
โดยไม่เงยหน้าขึ้นมาว่า “เจ้ารีบกลับไปดีกว่า อยู่ที่นี่
ต่อไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเจ้า กลับไปบอก
ชิวเฉียนอี้ ให้เขาเลิกหวังจะได้ตําราสมุนไพรร้อยตํา
หรับเสีย ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีใดก็ตาม ก็ไม่มีทางได้มัน
ไปแน่”
อาเหน่าทั้งโกรธทั้งโมโห นางหันหลังแล้วเดินไปที่
ประตู จากนั้นก็หันกลับมา แล้วหยิบถ้วยสองใบไป
ตักน้ําในตุ่ม หยางหนิงรู้ว่านางจะเอาไปถอนพิษ
ให้กับต้ากุ่ยและเสียวกุ่ย
ถังนั่วดึงเข็มออก แล้วลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็เก็บเข็มเข้า
กล่องไป แล้วมองไปที่หยางหนิงพร้อมพูดว่า “เจ้า
เองก็ไปได้แล้ว”
หยางหนิงพูดว่า “แม่นางถัง ปีศาจน้อยผู้นั้น
เชี่ยวชาญด้านพิษ ข้าเกรงว่านางจะหาเรื่องข้าอีก
ข้าว่าข้ารออีกสักพักค่อยไปดีกว่า”
“หา?” ถังนั่วพูดขึ้นว่า “หากว่านางเฝูาอยู่ข้างนอก
ไปตลอด เจ้าจะไม่ไปไหนเลยตลอดชีวิตหรือ?”
“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” หยางหนิงยิ้มแล้ว
พูดว่า “ร่างกายของข้ายังฟื้นฟูไม่เต็มที่ หากมี
เรี่ยวแรงเต็มที่เมื่อไหร่แล้ว ก็คงไม่ต้องกังวลเรื่อง
นาง” จากนั้นเขาก็ลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “แม่
นางถัง วิชาฝังเข็มของเจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก เท่าที่ข้ารู้
มันเป็นของที่ไม่ใช่ใครที่ไหนจะเป็นกัน เจ้าอายุยัง
น้อย เหตุใดวิชาฝังเข็มของเจ้าถึงได้เยี่ยมยอดเช่นนี้
ได้เล่า?”
ถังนั่วไม่ได้ตอบอะไร แต่ย้อนถามกลับไปว่า “เมื่อ
ครู่เจ้าเอายาพิษให้นางกินจริงๆ หรือ?”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ก็แค่ให้นางกินฝุุนไปก้อน
หนึ่งเท่านั้น ไม่ตายหรอก”
ถังนั่วตะลึงไป ก็พลัยยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า “จริงๆ
แล้วนางก็ไม่ได้กลัวจริงๆหรอกนะ ชิวเฉียนอี้คือ
ราชาพิษจิ่วซี พิษในใต้หล้าทั้งหมด ไม่มีพิษใดที่เขา
ไม่รู้จักและถอนมันไม่ได้”
หยางหนิง “อ๋อ” ไปคําหนึ่ง แล้วก็พูดขึ้นว่า “แม่
นางถัง ข้ามีเรื่องขอร้องเจ้า ไม่รู้...ไม่รู้ว่าแม่นางทาง
จะยินดีช่วยข้าหรือไม่”
ถังนั่วจึงถามกลับไปว่า : “เจ้าอยากจะให้ข้ารักษา
เจ้าใช่หรือไม่?”
“หา?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้แม่นางถัง
ท่านก็นึกเอาไว้แล้ว”
“ลมปราณในจุดตันเถียนของเจ้ามันมั่วไปหมด มัน
อันตรายยิ่งนัก” ถังนั่วขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าดูจาก
ชีพจรของเจ้า เหมือนจะไม่เคยฝึกกําลังภายในมา
ก่อน กําลังสงสัยอยู่ว่าจุดตันเถียนของเจ้าเหตุใดถึง
ได้มีลมปราณอยู่มากขนาดนั้น” นางหยุดไปครู่หนึ่ง
แล้วพูดขึ้นว่า “ข้าไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน
ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าช่วยเจ้า หากข้าช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว
ข้ายังจะทําร้ายเจ้าด้วย”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 107 ยาโลหิตเลือด
หยางหนิงพูดด้วยความผิดหวังว่า “หรือว่าแม้แต่แม่
นางถังก็ช่วยข้าไม่ได้?”
ถังนั่วคิดไปครู่หนึ่ง ถึงได้พูดขึ้นว่า “มันก็ไม่ใช่ว่าจะ
ไม่มีวิธี แต่ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย หากไม่
ใช้เวลาสักสามถึงห้าเดือน เกรงว่าจะไม่สามารถ
ฟื้นฟูขึ้นมาได้”
หยางหนิงคิดในใจว่าแม้แต่คนเก่งอย่างถังนั่วยังต้อง
ใช้เวลานานขนาดนั้น ลมปราณที่จุดตันเถียนของ
เขามันคงยุ่งยากจริงๆ
แต่ว่าหากถังนั่วสามารถรักษาอาการนี้ได้จริง ใช้
เวลาสามถึงห้าเดือนก็ไม่เสียหายอะไรมากนัก แต่ว่า
เขาจะต้องอยู่ที่นี่นานขนาดนั้นเชียวหรือ?
ในตอนนี้เองถังนั่วได้เดินออกไปจากห้อง หยางหนิง
เดินตามหลังไป ฟ้ามืดลงแล้ว พระจันทร์ลอยละล่อง
อยู่ทางทิศตะวันออกของนภากาศ รอบๆ เงียบสงัด
ตอนนี้ก็ไม่เห็นเงาของอาเหน่าแล้ว
เห็นเพียงสวนสมุนไพรที่ถูกทาลายไปแล้วกว่าครึ่ง
แปลง ถึงแม้ถังนั่วจะขมวดคิ้ว แต่ไม่คิดจะหยุดเดิน
นางเดินไปถึงสระน้า ในตอนนี้เองหยางหนิงถึงได้นึก
ขึ้นมาได้ว่า ในสระน้านั้นยังมีคนอยู่อีกคนหนึ่ง เมื่อ
เดินเข้าไปถึง เห็นเพียงศพลอยน้า เขาคือชาย
ฉกรรจ์ผู้นั้น
หยางหนิงขมวดคิ้ว ในใจของเขาเดาได้ว่า หากไม่มี
อะไรเหนือความคาดหมาย ปีศาจน้อยอาเหน่า คง
จะโกรธแค้นมาก จึงมาลงที่คนผู้นี้
ถังนั่วถอนหายใจ หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า
“แม่นางถัง เจ้ากับเจ้าปีศาจนั่นเหมือนจะสนิทกัน
มากใช่หรือไม่?”
“เมื่อก่อนนางไม่ได้เป็นเช่นนี้” ถังนั่วพูดต่อว่า “ที่
นางกลายเป็นเช่นนี้ จะโทษนางทั้งหมดก็คงไม่ได้”
“จริงสิ แม่นางถัง เจ้าอาศัยอยู่ในหุบเขาลึกแบบนี้
แล้วเจ้าเพิ่มพูนความรู้ทางการแพทย์ได้อย่างไร
กัน?” หยางหนิงพูดต่อไปอีกว่า “ตามความเห็นของ
ข้า อ่านหนังสือเป็นหมื่นเล่มก็ไม่สู้เดินทางเป็นพันลี้
เจ้าศึกษาแค่ในตารา แต่ไม่ได้ลงมือรักษาคน วิชา
แพทย์ของเจ้าก็จะก้าวหน้าได้อย่างไร”
ถังนั่วหันมามองเขา แล้วถามว่า “เจ้าหมายความว่า
ข้าไม่ควรอาศัยอยู่ที่หุบเขาแห่งนี้อย่างนั้นหรือ?”
“ข้าก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” หยางหนิงพูดว่า
“วิชาแพทย์ของแม่นางถังล้าเลิศนัก หากแค่
ความชอบส่วนตัว จะพักอาศัยอยู่ที่หุบเขาแห่งนี้ ข้า
ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว แต่ว่า...แม่นางถัง ขออภัยที่
ต้องข้าพูดตรงๆ ท่านเองก็น่าจะรู้ดี ท่านรู้วิชาแพทย์
มากมาย ก็ควรใช้มันเพื่อรักษาคน เรียนเพื่อใช้
ไม่อย่างนั้น ต่อให้ท่านเป็นหมอเทวดาหนึ่งในใต้หล้า
มันจะมีประโยชน์อันใด?”
ถังนั่วขมวดคิ้ว จากนั้นก็ค่อยพูดว่า “ข้าก็ไม่ได้บอก
ว่าข้าจะไม่รักษาใคร เห็นคนป่วยหรือบาดเจ็บ ข้าก็
รักษาให้”
“จิตใจของแม่นางนั้นดี ข้าได้เห็นแล้ว แม่นางเป็น
คนมีเมตตา ไม่ว่าใครมา แม่นางก็ช่วยหมด” หยาง
หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าแม่นางอาศัยอยู่
ในหุบเขาแห่งนี้ เกรงว่าสิบวันหรือครึ่งเดือนก็
อาจจะไม่มีผู้ใดมาเลยก็ได้ แต่หากท่านเปลี่ยน
สถานที่ ท่านก็สามารถรักษาคนป่วยคนบาดเจ็บได้
ทุกวัน” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดเสริมไปว่า “ถ้า
ทาแบบนั้นไม่เพียงช่วยคนได้ วิชาแพทย์ของแม่นาง
ก็จะก้าวหน้าขึ้นด้วย”
ในตอนนี้เอง ทันใดนั้นก็เหมือนเห็นแสงสว่าง
บางอย่างสาดส่องเข้ามา ทั้งสองคนหันหน้าไปดู
เห็นกระท่อมทั้งสามหลังไฟไหม้ ตอนนี้ไฟไม่ได้แรง
มาก แต่มันมาจากหลายที่ ทั้งบนหลังคน ทั้งในห้อง
ไฟลุกโชนไปหมด
“แย่แล้ว” หยางหนิงพูดว่า “เจ้าปีศาจน้อย พวกเขา
ยังไม่ไปอีกรึ”
เขาถือมีดสั้นไว้แน่น แล้ววิ่งตรงไปยังกระท่อมสาม
หลังนั้น กระท่อมทั้งสามทามาจากหญ้ากับไม้
ตอนนี้มันก็เป็นฤดูใบไม้ร่วง ทุกอย่างแห้งมาก ทาให้
ติดไฟง่าย หยางหนิงรีบวิ่งไป เห็นไฟลามลุกไหม้ไป
อย่างรวดเร็ว
ในใจเขาลนลานยิ่งนัก ที่นี่เป็นที่อยู่ของแม่นางถังนั่ว
หากถูกไฟเผา ในเวลาสั้นๆเช่นนี้จะสร้างขึ้นมาใหม่
คงทาไม่ได้ ถังนั่วก็จะต้องนอนอยู่ข้างนอก ถึงแม้ที่นี่
จะมีสระน้า แต่ว่าไม่มีถังที่สามารถไปตักมาดับไฟได้
เขาวิ่งตรงมาที่กระท่อม มองไปรอบๆ เห็นไฟพวย
พุ่งลุกไหม้อย่างรุนแรง เขาเอามืออุดจมูกเอาไว้ รู้ว่า
แค่ตัวเขากับถังนั่วสองคน ไม่อาจดับไฟนี้ได้อย่าง
แน่นอน
เขาเห็นกล่องเข็มเงินวางอยู่ที่โต๊ะ เขาไม่ลังเลเลย
รีบวิ่งเข้าไปหยิบกล่องเข็มเงินออกมา เห็นถังนั่วยืน
อยู่ไม่ไกล นางยืนมองนิ่งๆ เหมือนไม่มีความคิดที่จะ
ดับไฟอีกต่อไปแล้ว ไป๋หลิงไม่รู้โผล่มาจากไหน มัน
ยื่นมือไปดึงกางเกงของถังนั่ว แล้วใช้อีกมือชี้ไปที่
กระท่อมที่ไฟไหม้ จากนั้นก็บ่นๆ อะไรก็ไม่รู้ เหมือน
กาลังอธิบายสิ่งที่มันเห็น
“แม่นางถัง” หยางหนิงยื่นกล่องเข็มเงินให้กับถังนั่ว
“ของสิ่งนี้เจ้าเก็บเอาไว้ให้ดี ส่วนกระท่อม...คงทา
อะไรไม่ได้แล้ว” เขาพูดว่า “นิสัยแก้ง่ายสันดานแก้
ยาก ต่อไปหากพบปีศาจน้อยอีก ไม่มีทางปล่อยไป
อีกแน่นอน”
ถังนั่วเงียบไป สุดท้ายก็พูดว่า “ข้ายังไม่รู้ชื่อของเจ้า
เลย”
“ข้าชื่อ...ฉีหนิง” หยางหนิงพูดว่า “แม่นาง
กระท่อมถูกเผาแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องเสียใจไปนะ
สร้างใหม่ก็ได้”
ถังนั่วส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
“หา?” ดวงตาของหยางหนิงเป็นประกาย จากนั้นก็
รีบพูดว่า “แม่นางถังคิดจะไปจากที่นี่หรือ? ถ้าอย่าง
นั้นก็ยิ่งดีเลยสิ อยู่ที่นี่ ห่างไกลผู้คน เงียบเหงา
เกินไป”
ถังนั่วพูดขึ้นว่า “ข้าไม่กลัวเหงาหรอก ข้าอยู่ที่นี่มา
นานหลายปี อาจารย์มาอยู่ที่นี่ปีละไม่กี่วันเท่านั้น”
นางคิดแล้วพูดต่อว่า “อาเหน่ารู้แล้วว่าข้าอยู่ที่นี่
ต่อไปที่นี่จะต้องไม่สงบสุขแน่”
“ใช่ ปีศาจน้อยเจ้าแผนการนัก แม่นางถังไม่อยากลง
มือกับนาง แต่ว่านางกับคิดร้ายกับแม่นางถัง เจ้า
เสียเปรียบตั้งแต่แรกเลย” หยางหนิงพูดอีกว่า “เจ้า
อาจจะเลี่ยงได้สิบครั้งยี่สิบครั้ง แต่หากพลาดแม้แต่
ครั้งเดียว ก็อาจจะตกหลุมพรางของนางได้ ไปจาก
ที่นี่เป็นดีที่สุด” เห็นถังนั่วไม่พูดอะไรมาก หยางหนิง
จึงถามอย่างระวังว่า “แม่นางถัง ข้าอยากจะขอเชิญ
ท่านไปที่ที่หนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านจะมีความเห็น
อย่างไรบ้าง?”
ถังนั่วหันไปมองหยางหนิง ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้า
ที่งดงาม ถึงแม้จะไม่พูดอะไร แต่สายตาของนางมัน
เต็มไปด้วยคาถามมากมาย
หยางหนิงรีบพูดขึ้นว่า “คือแบบนี้ ข้าเห็นวิชาแพทย์
ของแม่นางถังแล้วข้าเองก็สนใจ ท่านมิสู้ไปเมือง
หลวงจะดีกว่าหรือไม่ เมืองหลวงมีผู้คนมากมาย
ชาวบ้านที่เจ็บป่วยมีมากเหมือนขนวัว หากแม่นาง
ถังไปยังเมืองหลวง ก็สามารถเปิดโรงหมอได้ จะได้
ช่วยตรวจอาการได้ อีกอย่างในเมืองหลวงมีหมอที่มี
ชื่อเสียงมากมาย หากแม่นางมีโอกาสได้รู้จัก ท่านก็
สามารถเพิ่มพูนความรู้วิชาแพทย์ของท่านได้ด้วย...
แม่นางอย่าเข้าใจข้าผิด ข้าไม่ได้หาว่าวิชาแพทย์ของ
ท่านไม่ดี แต่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า มีสั้นต้องมียาว ไม่มี
อะไรที่เลวร้ายที่สุด”
จริงๆ เขาเห็นถังนั่วมีความเข้าใจในวิชาแพทย์สูง ก็
แอบคิดอย่างอื่นด้วย
แต่ว่าคนเช่นนี้อาศัยอยู่ในป่า ทาเหมือนเป็นเทวดา
ไม่ยุ่งกับทางโลก คิดจะให้คนเช่นนี้ลงจากเขา ปกติก็
เป็นเรื่องที่ยากลาบากอยู่แล้ว
เขาเห็นถังนั่วเหมือนจะค่อนข้างผ่อนคลาย ถึงได้
กล้ายุ
“จริงๆ แล้ววิชาแพทย์ของข้าธรรมดานัก” ถังนั่วพูด
อีกว่า “ยังห่างไกลจากอาจารย์ของข้ามาก แม้แต่
อาจารย์ยังมิกล้าบอกว่าตัวเองมีวิชาแพทย์เหนือกว่า
ผู้อื่นเลย”
“แม่นางถังถ่อมตัวเกินแล้ว” หยางหนิงยิ้มแล้วพูด
ว่า “แต่ว่าเรียนรู้มากๆ ก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
“เจ้าพูดถูก เหนือฟ้ายังมีฟ้า หากต้องการก้าวหน้า
ในทางการแพทย์ ก็ไม่ควรเอาแต่หลบอยู่อย่างนี้”
ถังนั่วพูดว่า “ในสองปีมานี้วิชาแพทย์ของข้า
ก้าวหน้าได้ช้ายิ่งนัก อาจารย์บอกข้าว่าอย่ารีบร้อน
แต่ว่าข้าเองก็รู้ดีว่ามันเป็นเพราะอะไร วันนี้ได้ฟังเจ้า
พูดแบบนี้ อาจจะเป็นไปได้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นถูกต้อง
ข้าต้องมีประสบการณ์มากๆ ต้องพบโรคที่แปลก
ประหลาด ที่รักษาได้ยาก ถึงจะก้าวหน้าได้รวดเร็ว”
เป็นแม่นางที่รักความก้าวหน้าจริงๆ
หยางหนิงรู้สึกดีใจยิ่งนัก แต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสี
หน้า เขาพูดอย่างจริงจังว่า “ถ้าพูดถึงโรคแปลกๆ
รักษายากๆ ในเมืองหลวงมีเยอะมาก หลายคนมีโรค
ประหลาด ก็เดินทางไปหาหมอที่มีชื่อเสียงในเมือง
หลวง แม่นางถัง ข้าพอมีเส้นสายในเมืองหลวงอยู่
บ้าง ถึงเวลานั้นข้าจะส่งคนที่มีโรคประหลาดไปให้
เจ้าลองตรวจดู”
ถังนั่วขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “เจ้าไปจากที่นี่ก่อนเถอะ
ข้ายังมีของที่ต้องจัดการ ต้องใช้เวลาหลายวัน หาก
ข้าพร้อมแล้ว ข้าจะไปหาเจ้าที่เมืองหลวง”
หยางหนิงพูดด้วยความดีใจว่า “แม่นางถังรับปากจะ
ไปเมืองหลวงแล้วใช่หรือไม่? บุญของฟ้าแท้ๆ แม่
นางวางใจ ข้ากลับไปถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ข้าจะรีบ
หาที่พักและช่วยเจ้าเปิดโรงหมอ”
“ไม่ต้องหรอก” ถังนั่วส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าหาวิธี
เองได้ ไม่รบกวนเจ้ามากหรอก”
“ไม่รบกวนเลย” หยางหนิงดีใจเกินหน้าเกินตาพูด
ด้วยความตื่นเต้นว่า “แม่นางถังไม่คุ้นเคยกับเมือง
หลวง จะไปเปิดโรงหมอ ท่านเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ท่านไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ข้า
จัดการให้เอง ครั้งนี้ถ้าไม่ได้ท่านช่วย ข้าก็คงถูกพิษ
ของเจ้าปีศาจน้อยตายไปนานแล้ว ข้าจะต้องตอบ
แทนท่าน”
“เจ้าก็อย่าไปเรียกนางว่าปีศาจน้อยแบบนั้น” ถังนั่ว
พูดว่า “เรื่องอาการที่จุดตันเถียนของเจ้าข้าก็ไม่รู้ว่า
จะรักษาได้หรือไม่ เจ้าก็อย่าดีใจจนเกินไป”
หยางหนิงตะลึงไป รู้สึกเขินนิดหน่อย ในใจก็คิดว่า
ผู้หญิงคนนี้ฉลาดจริงๆ ดูออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
“แม่นางถัง ข้าว่าข้ารอถึงเช้าพรุ่งนี้ค่อยไปดีกว่า”
หยางหนิงเงยหน้ามองท้องนภา “กระท่อมถูกเผาไป
แล้ว ข้ากลัวว่าอาเหน่าจะมาหาเรื่องท่านอีก ข้าอยู่นี่
จะได้ช่วยอะไรท่านได้บ้าง”
ถังนั่วส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นางเผากระท่อมไปแล้ว
ไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อหรอก ตอนนี้น่าจะไปไกลแล้วล่ะ”
นางยื่นมือหยิบขวดออกมา หยางหนิงพูดด้วยความ
แปลกใจว่า “แม่นางถัง นี่อะไรรึ?”
“นี่คือยาโลหิตเลือด” ถังนั่วพูดต่อว่า “นี่เป็นยาที่
อาจารย์ข้าใช้เวลาสิบกว่าปีคิดค้นมันออกมา ไม่ว่า
พิษชนิดไหน ขอแค่กินมันเข้าไป ยาโลหิตเลือดนี้ก็
จะไปปิดจุดการแพร่กระจายตัวเป็นเวลาสามวัน ยา
พิษทั่วไป ยาโลหิตเลือดสามารถถอนพิษได้สบายๆ
หากเป็นพิษที่ร้ายแรง มันก็สามารถลดฤทธิ์ของมัน
ลงได้ ภายในสามวัน จะไม่เป็นอะไรเลย เจ้ากังวลว่า
อาเหน่าจะมาหาเรื่องเจ้า ถ้าเจ้ามียานี่ในมือ ก็ไม่
ต้องกังวลอีก”
หยางหนิงคิดในใจว่าของชิ้นดีเป็นของหายาก
จากนั้นเขาก็พูดว่า “ของมีค่าเช่นนี้ ข้าจะรับมันได้
อย่างไร” ถึงแม้ปากเขาจะพูดแบบนี้ แต่มือของเขา
ก็ยื่นมือไปรับมา แต่ว่าเขาก็รู้ดีว่า ถังนั่วมอบยา
โลหิตเลือดให้ ก็หมายความว่ากาลังต้องการจะไล่
แขกลงเขาไป เขาก็ไม่หน้าด้านพอที่จะอยู่ต่อ ยกมือ
ขึ้นคานับ แล้วพูดว่า “แม่นางถัง รักษาตัวด้วย ข้า
จะรอท่านที่เมืองหลวง เมื่อท่านไปถึงเมืองหลวงแล้ว
ให้ไปที่จวนจิ่นอีโหว แล้วบอกชื่อของข้าก็พอ”
“จวนจิ่นอีโหวรึ?” ถังนั่วพยักหน้า “ข้าจาได้แล้ว”
นางได้ยินคาว่าจวนจิ่นอีโหว ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
อะไร เหมือนไปตามหาบ้านคนทั่วไปก็เท่านั้น
หยางหนิงก็ไม่เสียเวลาต่อ หันหลังแล้วเดินไป เดิน
ไปไม่กี่ก้าว ก็หันหลังกลับมา เห็นถังนั่วยืนมอง
กระท่อมที่ถูกเผาอยู่เงียบๆ เขาก็ลังเล จากนั้นก็พูด
ไปว่า “แม่นางถัง ท่าน...ท่านจะไปใช่หรือไม่?”
ถังนั่วไม่ได้หันหน้ากลับมา พูดเรียบๆ ว่า “เจ้าไม่
ต้องกังวล อย่างช้าครึ่งเดือน ข้าจะไปถึงเมืองหลวง
แน่นอน”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 108 ท่านลุง
ตลอดทางที่หยางหนิงเดินออกมาจากหุบเขานั้น
ราบรื่นยิ่งนัก รถม้าที่จอดอยู่นอกหุบเขาก็หายไป
แล้ว เขารู้ว่าปีศาจน้อยน่าจะพาต้ากุ่ยและ
เสียวกุ่ยจากไปแล้ว
ปีศาจน้อยคล้ายจะกลัวถังนั่วอยู่บ้าง เผาบ้านของ
นางไปแล้ว ก็ไม่กล้าอยู่ต่อ
ในตอนนี้หยางหนิงเองก็ไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ไหน อยู่ใน
เขตของเจียงหลิงหรือไม่ก็ยังไม่รู้ คลาหาเส้นทางใน
ตอนกลางคืน สุดท้ายก็มาถึงถนนใหญ่เสียที
ไม่สามารถแยกทิศทางออกได้ หยางหนิงเองก็ไม่รีบ
ร้อนเดินทาง เขาหาต้นไม้แล้วนอนพักก่อนสักหนึ่ง
คืน วันต่อมา เขาเดินจนเจอหมู่บ้าน เขาลองไป
สอบถามดู ถึงได้รู้ว่าตัวเขาออกนอกเขตเจียงหลิง
มาแล้ว ยังดีว่าในตัวเขาพอมีเศษเงินอยู่บ้าง จึงจ้าง
รถลาใกล้ๆ แถวนั้นหนึ่งคัน เดินทางหนึ่งวันหนึ่งคืน
กลับเข้าเขตเจียงหลิงเสียที
ตระกูลกู้ที่เจียงหลิงเป็นตระกูลใหญ่ แค่ไปถามก็รู้ได้
ง่ายยิ่ง จวนตระกูลกู้อยู่ที่เมืองชิงเห๋อ เมืองชิงเห๋อ
ห่างจากเมืองจิงโจวประมาณร้อยลี้ เดินทางได้สอง
วัน รถลาก็มาถึงเมืองชิงเห๋อ หยางหนิงจ่ายเงิน
ค่าจ้างเพิ่มเป็นสองเท่า ตรงเข้าเมืองไป ในใจก็แอบ
คิดเป็นห่วงกู้ชิงฮั่นจะยังกลับมาไม่ถึง
ตระกูลกู้เป็นตระกูลใหญ่ของเจียงหลิง จะถามหา
จวนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก จากเมืองถึงหน้าประตูจวน
ตระกูลกู้ ก็เย็นมากแล้ว ประตูใหญ่เปิดอยู่ หยาง
หนิงเดินเข้าจวนอย่างไม่เกรงใจ บ่าวไพร่คนหนึ่งรีบ
เดินมาขวางไว้ มองแล้วพูดว่า “เจ้าบุกเข้ามาเช่นนี้
ได้อย่างไร? ไม่เงยหน้าดูเลยหรืออย่างไรว่าที่นี่คือที่
ไหน?”
“ข้ามาหานายท่านกู้” หยางหนิงไม่รู้ว่าตระกูลกู้
ตอนนี้ใครเป็นใหญ่ ในใจคิดว่าหานายท่านน่าจะถูก
ที่สุดแล้ว
บ่าวไพร่คนนั้นรีบพูดว่า “นายท่านของข้าจะทาการ
ใหญ่ ไม่ว่างพบผู้ใดทั้งนั้น”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฮูหยินสามของจวน
จิ่นอีโหวเป็นคุณหนูของพวกเจ้าใช่หรือไม่?”
บ่าวไพร่คนนั้นยืดอกแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้
ทั้งนั้น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้ามิทราบ?”
“ฮูหยินสามกลับมาที่จวนหรือยัง?” หยางหนิงถาม
“ข้ามีเรื่องสาคัญต้องพบฮูหยินสามของพวกเจ้า”
บ่าวไพร่คนนั้นมองหยางหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
บอกว่าจะพบฮูหยินสามก็จะได้พบหรืออย่างไร? ฮู
หยินสามกาลังยุ่งอยู่ ไม่มีเวลามาพบเจ้าหรอก”
หยางหนิงพูดด้วยความดีใจว่า “ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า
ฮูหยินสามกลับมาแล้วใช่หรือไม่?” เขาถอนหายใจ
ด้วยความเบาใจ แล้วพูดว่า “ข้าฉีหนิง เจ้าไป
รายงาน...!”
เขายังพูดไม่ทันจบ บ่าวไพร่คนนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป
แล้วพูดว่า “ฉี...เจ้าคือ...อ๋อ...!” เขาไม่พูดอะไรมาก
หันหลังแล้ววิ่งเข้าจวนไป ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียง
แตกตื่นจากในจวน จากนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดิน
ออกมา คนแรกที่เห็นก็คือกู้ชิงฮั่น
“หนิงเอ๋อ หนิงเอ๋อจริงๆ ใช่หรือไม่?” กู้ชิงฮั่น
ตะโกนออกมาด้วยความลุกลี้ลุกลน น้าตานองหน้า
หยางหนิงรีบเดินเข้าไป หยางหนิงดีใจยิ่งนัก อ้าแขน
จะเข้าไปกอด ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีคนอยู่
รอบๆ กายเยอะเกินไป ก็รู้สึกเขินอาย แต่อ้าแขนไป
แล้ว จะเอาลงก็กระไรอยู่ จึงโผเข้าไปกอดคนที่อยู่
ข้างๆ คนผู้นั้นเป็นชายวัยสามสิบต้นๆ หน้าตาคล้าย
กู้ชิงฮั่นอยู่ไม่น้อย
คนผู้นั้นถูกหยางหนิงกอด ก็ตกใจตะลึงงันไป
ชั่วขณะ แต่ก็ยิ้มและกอดหยางหนิงกลับ แล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อ หลายวันมานี้พวกข้าเป็นห่วงท่านยิ่งนัก ใน
ที่สุดท่านก็กลับมา”
หยางหนิงรีบปล่อยมือ แล้วมองไปที่กู้ชิงฮั่น เห็น
หน้าของกู้ชิงฮั่นเต็มไปด้วยน้าตาและความดีใจ ช่าง
ดูงดงามยิ่งนัก เขาก็พูดขึ้นว่า “ซานเหนียง ข้าบอก
ท่านแล้วว่าข้าจะรีบกลับมาหาท่าน ท่านเชื่อข้าแล้ว
ใช่หรือไม่?”
“ซื่อจื่อ ไม่รู้ว่านางร้องไห้ไปแล้วกี่รอบ ข้าส่งคนไป
ตามหาที่เขาเสียซาน แต่ก็ไม่มีร่องรอยเลย” ชายคน
นั้นพูดว่า “คนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง ข้ารู้ว่าท่านจะต้อง
ไม่เป็นอะไร ข้าได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว ขอแค่ท่านสั่ง
มาคาเดียว พวกข้าจะออกเดินทางในทันที”
“เตรียมพร้อมแล้วรึ?” หยางหนิงตกใจ
ชายคนนั้นพูดว่า “ข้าได้รวบรวมบ่าวไพร่ที่คุ้มกัน
ตระกูลกู้ทั้งหมด ราวร้อยคน มาเพื่อการนี้ ข้ายังได้
เตรียมม้าไว้แล้วกว่าร้อยตัว ธงก็เตรียมไว้แล้ว ซื่อจื่อ
ท่านว่าพวกเราควรใช้ธงในนามจิ่นอีโหวหรือว่าธงใน
นามของต้าฉู่ดีขอรับ?” จากนั้นเขาก็กวักมือ “เอา
ออกมา!”
ด้านหลังมีคนเดินเข้ามา ในมือถือธงด้านบนปักคาว่า
“ฉู่” กับ “ฉี”
หยางหนิงเห็นดังนั้น ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชาย
คนนั้นยังพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ซื่อจื่อนาทัพอยู่
ข้างหลัง ข้าจะอยู่ด้านหน้าเอง บุกเข้าไปที่จวนเก่า
ตระกูลฉี”
“พี่ใหญ่ ท่าน...!” กู้ชิงฮั่นก็รู้สึกเขินอายไม่น้อยพูด
ขึ้นว่า “ซื่อจื่อเขามีแผนของเขา ท่านไม่ต้อง...!”
“น้องพี่ ตอนนี้ตระกูลฉีมีกบฏ ก็เท่ากับชาติพวกเรา
มีกบฏ” ชายคนนั้นพูดต่อว่า “ตระกูลกู้ของเรากับ
ตระกูลฉีมีสายสัมพันธ์ต่อกัน พวกเราก็ต้องออกหน้า
ช่วยสิ”
ตอนนี้หยางหนิงถึงได้รู้ว่า ชายผู้นี้คือพี่ชายของกู้ชิง
ฮั่น ก็ชิงฮั่นก็รู้ว่าหยางหนิงไม่รู้จักชายคนนี้ จึงพูด
ขึ้นว่า “นี่ท่านลุงของเจ้ากู้เหวินจาง”
เหวินจางรึ? เขาเขียนบทความได้ดีอย่างนั้นหรือ?
หยางหนิงยกมือขึ้นคานับแล้วพูดว่า “ฉีหนิงคารวะ
ท่านลุง!”
“ซื่อจื่อ ท่านไม่ต้องสนใจมารยาทพวกนี้หรอก เรื่อง
ใหญ่ต้องมาก่อน ท่านว่าพวกเราจะลงมือเมื่อไหร่
ดี?” กู้เหวินจางเหมือนจะตื่นเต้นเอามาก “ฟ้ามืด
แล้ว ข้าว่าพวกเรารีบลงมือกันเลยดีกว่า” จากนั้นก็
หยิบเอาของอย่างหนึ่งออกมา แล้วกางออก “นี่คือ
แผนที่ที่ข้าให้คนทาขึ้น ซื่อจื่อท่านจะวางแผนก่อน
หรือไม่?”
หยางหนิงคิดว่าท่านลุงคนนี้ดูเหมือนจะชอบต่อสู้ออ
กรบเอามากๆ จากที่นี่ไปบ้านเก่าตระกูลฉีไม่ได้ไกล
มาก แม้แต่แผนที่ก็เตรียมไว้พร้อม
กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความจนปัญญาว่า “พี่ใหญ่ ท่านอย่า
ก่อกวนได้หรือไม่ หนิงเอ๋อ...ซื่อจื่อเพิ่งมาถึง น้าสัก
คาก็ยังไม่ได้ดื่มเลย ท่านให้เขาพักก่อนได้หรือไม่?”
“จริงด้วย ข้าเลอะเลือนเอง” กู้เหวินจางตบไปที่หัว
“เด็กๆ จัดโต๊ะต้อนรับซื่อจื่อ พวกเราจะกินไปคุย
ไป”
หยางหนิงคิดว่าถึงแม้กู้เหวินจางจะดูไม่ค่อยเต็ม
เท่าไหร่นัก แต่ว่าชิงลงมือก่อนก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผล
จ้าวยวนตายไปแล้ว แต่ว่าเจ้าคนที่ปลอมตัวเป็นฉี
เฉิงยังอยู่ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเขายังอยู่ที่จวนเก่าหรือไม่
ชิงลงมือก่อน อาจจะยังสามารถจับตัวเขาไว้ได้
“ท่านลุง ท่านพูดถูก พวกเราต้องชิงลงมือก่อน”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านลุงเตรียมพร้อม
ไว้หมดแล้ว พวกเราออกเดินทางยิ่งเร็วยิ่งดี จับพวก
มันให้หมดในคราวเดียว”
กู้เหวินจางได้ยินหยางหนิงชมว่าแผนการของเขานั้น
ดีเยี่ยม ก็พลันดีใจขึ้นมา ปรบมือแล้วพูดว่า “ไม่เสีย
แรงที่เป็นจิ่นอีซื่อจื่อ สมกับความองอาจของตระกูล
เด็กๆ เอาชุดเกราะของข้ามา ข้ากับซื่อจื่อจะไปออก
รบ” จากนั้นก็ถามว่า “ซื่อจื่อ พวกเราไม่ได้เตรียม
อาหารไว้ หากอีกฝ่ายตั้งรับอยู่ที่จวนเก่า พวกเราบุก
เข้าไปมิได้ อาจจะต้องใช้เวลา พวกเราควรจะเหลือ
คนเอาไว้ส่งเสบียงให้พวกเราดีหรือไม่? ข้าจะสั่งให้
คนในจวนทาอาหารไว้เลย”
“ท่านลุงไม่ต้องหรอก พวกเราชิงลงมือลอบโจมตี
แบบนี้ อีกฝ่ายมีคนไม่เท่าพวกเรา น่าจะสามารถบุก
ได้ง่าย” หยางหนิงกลั้นหัวเราะเอาไว้ “หากถึงเวลพ
วกเราบุกเข้าไปไม่ได้จริงๆ ถึงเวลานั้นค่อยเตรียม
เสบียงก็ยังทัน”
กู้เหวินจางพยักหน้า แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อพูดถูก”
จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับอีกคนว่า “พ่อบ้านสวี่ พวก
ข้าจะออกรบคืนนี้ พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม หาก
ภายในสองวันพวกข้าไม่กลับมา แสดงว่าพวกข้าติด
พันการศึก เจ้าจะต้องรีบให้คนส่งเสบียงไปให้พวก
ข้า จริงสิ หลังจากที่พวกข้าไปแล้ว เจ้ารีบไปหาท่าน
นายอาเภอ ให้เขาส่งทหารมาคุ้มกันจวนเอาไว้
ป้องกันคนแอบมาลอบโจมตีรังของพวกเรา”
หยางหนิงคิดว่าท่านลุงคนนี้ถึงแม้จะดูไม่ค่อยเต็ม
เท่าไหร่ แต่ถือว่าคิดได้รอบคอบมาก เขาหันไปมอง
กู้ชิงฮั่นแล้วพูดด้วยน้าเสียงอ่อนโยนว่า “ซานเหนียง
ท่านรออยู่ที่นี่นะ พวกเราจะรีบไปรีบกลับ”
“หนิงเอ๋อ เจ้าต้องระวังตัวนะ คนพวกนั้นไม่รู้ที่มาที่
ไป รับมือได้ยากยิ่ง” สีหน้าของกู้ชิงฮั่นเต็มไปด้วย
ความเป็นห่วงและกังวล “หากทาไม่สาเร็จจริงๆ ก็
ไปขอทหารจากเมืองจิงโจวมาช่วย”
“น้องพี่ พวกเรามีคนตั้งร้อยกว่าคน แต่ละคนร้าย
กาจทั้งนั้น” กู้เหวินจางพูดด้วยความไม่พอใจว่า
“ปกติพวกเขาออกล่าสัตว์กับข้าบ่อยๆ ขี่ม้ายิงธนู
เก่งนัก หรือว่าเจ้าไม่เชื่อฝีมือพี่ใหญ่ของเจ้าคนนี้
แล้ว? ไปขอทหารจากจิงโจวมาตอนนี้ หากพวกนั้นรู้
เข้า พวกเขาต้องหนีไปแน่ๆ ซื่อจื่อบอกแล้ว ชิงลง
มือก่อน แต่จะทาชุ่ยๆ มิได้”
กู้ชิงฮั่นอดไม่ได้ที่จะมองไปที่กู้เหวินจาง แล้วพูดว่า
“ต่อให้ชิงลงมือก่อน ก็ควรให้ซื่อจื่อกับทุกคนได้กิน
อะไรกันก่อนจะดีกว่าหรือไม่แล้วค่อยไป?”
กู้เหวินจางยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้ารู้”
กู้เหวินจางเตรียมพร้อมมากจริงๆ รวบรวมคนหนุ่ม
ชายฉกรรจ์กว่าร้อยคน แถมยังเตรียมม้าไว้อีกนับ
ร้อยตัว เขาเหมือนรอแค่หยางหนิงกลับมาเท่านั้น
หลังจากทุกคนกินข้าวเสร็จแล้ว ก็ไม่เสียเวลาอีก กู้
เหวินจางเปลี่ยนชุดเกราะ หยิบกระบองไว้ในมือ ทุก
คนมีอาวุธครบมือทั้งขวานทั้งเหล็ก หลังจาก
สถาปนาแคว้นฉู่ขึ้น ได้ออกกฎหมายเตาโซ่วลิ่งหรือ
กฎหมายอาวุธ ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปจะมีอาวุธ
ทหารมิได้ ยิ่งเป็นตระกูลใหญ่ ก็ห้ามมีการเก็บสะสม
อาวุธมีดดาบ ใครก็ตามละเมิดกฎมีโทษประหาร
ถึงแม้ตระกูลกู้จะเป็นตระกูลการค้า แต่ก็มีอาวุธอยู่
บ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอาออกมาวางให้เห็นอย่าง
เปิดเผย
ถึงแม้จะดึกแล้วประตูเมืองก็ปิดลงไปแล้ว แต่ว่าคน
ของตระกูลกู้จะออกนอกเมืองก็ไม่มีใครกล้าห้าม
ปราม กู้เหวินจางขี่ม้านาหน้าไป เขาคุ้นเคยกับพื้นที่
นี้เป็นอย่างดี คนนับร้อยขี่ม้าออกไปอย่างดุดัน มุ่ง
ตรงไปที่จวนเก่าตระกูลฉี
ม้าเป็นม้าเร็ว วิ่งไปไม่หยุด ประมาณเที่ยงคืนก็อยู่
ห่างไม่ไกลจากจวนเก่าตระกูลฉีแล้ว กู้เหวินจางรู้สึก
ตื่นเต้นยิ่งนัก เขาขี่ม้าพรางพูดกับหยางหนิงว่า
“ซื่อจื่อ ศัตรูที่อยู่ในจวนเก่าที่มาไม่ชัดเจน พวกเรา
ส่งคนไปดูก่อนดีกว่าหรือไม่? ข้าพาคนไปดูก่อน
จากนั้นค่อยยิงธนูไฟส่งสัญญาณ ท่านค่อยนาคนบุก
เข้าไป”
หยางหนิงพูดว่า “ท่านลุง ข้าคุ้นเคยกับที่นั่นดี ท่าน
นาคนรออยู่ที่นี่ ข้าจะพาคนสองคนเข้าไปดูลาดเลา
เสียก่อน ท่านเชี่ยวชาญการทหาร หนักแน่น คน
ของพวกเราต้องมีท่านเป็นผู้นาถึงจะดี”
กู้เหวินจางสีหน้าจริงจัง คิดไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า
“ที่ท่านพูดก้มีเหตุผล ก็ได้ พวกเราจะรออยู่ที่นี่ หาก
มีความเคลื่อนไหวอะไร ข้าจะพาคนบุกเข้าไปทันที”
หยางหนิงไม่พูดอะไรมาก พาคนไปด้วยสองคน พุ่ง
ตรงไปที่จวนเก่า กลางดึกแบบนี้ ข้างๆ จวนเก่าจุด
ไฟให้แสงสว่าง ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ถนนใหญ่ ก็มีคน
ออกมาขวาง พวกเขาสวมชุดเกราะ จากนั้นก็มีคน
พูดขึ้นมาด้วยเสียงเข้มๆ ว่า “คนที่มาเป็นใคร? ลง
มาจากม้าเดี๋ยวนี้!”
หยางหนิงขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “แล้วพวกเจ้าเป็น
ใครกัน?”
“พวกข้าเป็นทหารใต้บังคับบัญชาของท่านเจ้าเมือง
จิงโจว” อีกฝ่ายมีคนพูดว่า “ที่นี่ถูกปิดแล้ว ใครก็
เข้าใกล้มิได้เด็ดขาด ใครฝ่าฝืนให้ฆ่าได้ทันที!”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 109 ภูติทั้งหกของนรกภูมิ
หยางหนิงตะลึงไป ในตอนนี้เอง ด้านหลังก็มีคนๆ
หนึ่งมองเห็นหยางหนิง ก็ตกใจ จากนั้นก็พูดออกมา
ด้วยความดีใจว่า “ท่านซื่อจื่อ!” จากนั้นก็เดินขึ้นเข้า
คุกเข่าลงแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้ว พวก
เรากาลังตามหาท่านอยู่เลย”
หยางหนิงมองไป เห็นคนผู้นั้นเป็นหนึ่งในองครักษ์ที่
ตามเขามาจากเมืองหลวง ทหารคนอื่นๆเห็นดังนั้น
ก็มองหน้ากัน จึงรีบคุกเข่าลง แล้วพูดพร้อมกันว่า
“ข้าน้อยคารวะซื่อจื่อ”
หยางหนิงยกมือแล้วพูดว่า “ลุกขึ้นมาเถอะ”
จากนั้นก็ถามกลับไปว่า “เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่?”
ทหารติดตามลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “เรียนซื่อจื่อ พวก
เราได้ยึดจวนเก่าคืนมาได้แล้ว ทุกคนถูกจับทั้งหมด
รอท่านซื่อจื่อกลับมาสั่งการขอรับ”
หยางหนิงขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “พวกเจ้าจับพวกนั้น
ไว้ได้หมดแล้วหรือ? จริงสิ เจ้าคนที่ปลอมตัวเป็น
ฉีเฉิงจับไว้ได้หรือไม่?”
“ท่านซื่อจื่อโปรดวางใจ จับได้แล้วขอรับ” จากนั้นก็
พูดด้วยความดีใจว่า “ทุกคนกาลังร้อนใจ ท่านเจ้า
เมืองเหมาก็ยู่ที่นี่ด้วย ข้าจะเข้าไปรายงานเดี๋ยวนี้
ขอรับ”
หยางหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าไป
เอง” จากนั้นเขาก็กระตุกเชือกม้า แล้วตรงไปยัง
จวนเก่า เมื่อถึงหน้าจวนเก่าแล้ว ก็เห็นรอบๆ เว้น
หนึ่งระยะจะมีทหารคนหนึ่งเฝ้าอยู่ นับๆ ก็น่าจะมี
กว่าร้อยคน ที่ด้านหน้าประตูมีคนเห็นหยางหนิง ก็ดี
ใจจนออกนอกหน้า หยางหนิงเดินเข้าไปในจวนเก่า
เห็นในห้องโถงจุดไฟสว่าง มีหลายคนกาลังนั่ง
รวมตัวกัน ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา ทั้งหมดก็
หันหน้ามาดู มีคนผู้หนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความดีใจ
“ซื่อจื่อ ท่าน...ท่านกลับมาแล้ว” จากนั้นเขาก็รีบพุ่ง
ตัวเดินมา เขาคนนั้นคือฉีเฟิง
คนอื่นๆ ได้ยินดังนั้น ก็รีบเดินตามมา มีคนผู้หนึ่ง
สวมชุดขุนนางยกมือขึ้นแล้วคานับแล้วกล่าวว่า
“ข้าน้อยเจ้าเมืองของเจียงหลิงมีนามว่าเหมาเหวิน
โซ่ว คานับซื่อจื่อ”
ถึงแม้หยางหนิงจะเป็นจิ่นอีซื่อจื่อ ถึงแม้จะไม่ใช่
ตาแหน่งขุนนาง มิหนาซ้ายังไม่ทันได้รับตาแหน่ง
โหว ความจริงแล้วท่านเจ้าเมืองเจียงหลิง ไม่
จาเป็นต้องคารวะเขาก็ได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น
ท่านเจ้าเมืองก็ยังคงมีมารยาทต่อเขามาก
หยางหนิงยกมือขึ้นตอบกลับ “ท่านเจ้าเมืองเหมา
ลาบากท่านแล้ว”
“ซื่อจื่อปลอดภัยก็ดีแล้ว” ท่านเจ้าเมืองเหมาถอน
หายใจยาวๆ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเรากาลัง
ปรึกษากันว่าจะติดประกาศตามหาตัวท่าน แต่ถ้าทา
แบบนั้นก็จะกลายเป็นเปิดเผยฐานะของท่าน เกรง
ว่าจะทาให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ทาให้ท่าน
เดือดร้อน จึงยังปรึกษาหารือกันอยู่”
“ทุกคนนั่งลงก่อน” หยางหนิงยกมือขึ้นแล้วพูด ทุก
คนต่างเป็นแม่ทัพขุนนางราชสานักทั้งนั้น แต่
ทั้งหมดก็ทาความเคารพต่อหยางหนิง หยางหนิงให้
ทุกคนนั่งลง จากนั้นก็พูดกับฉีเฟิงว่า “ฉีเฟิง ใต้เท้า
เหมา พวกเขา...?”
ฉีเฟิงรีบอธิบายว่า “ซื่อจื่อ ข้าไปถึงเมืองจิงโจว ไป
หาพ่อบ้านเก่าฉีหงก่อน ตอนนี้ข้างๆ ตัวพ่อบ้านเก่า
มีคนดูแลอยู่คนหนึ่ง” จากนั้นเขาก็ส่ายหน้าแล้วพูด
ว่า “ไม่ใช่ดูแลสิ แต่เป็นเฝ้า”
“เฝ้ารึ?”
“ถูกต้อง พ่อบ้านเก่าไม่ได้ล้มป่วย หากแต่เขาถูก
วางยาพิษ นอนอยู่บนเตียงเคลื่อนไหวมิได้ พูดก็
ไม่ได้ เขาถูกวางยา ยาพิษนั้นทาให้พูดไม่ได้ขอรับ”
ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “แรกเริ่มพวกเราเองก็เกือบถูก
หลอก แต่ว่าพอเห็นพ่อบ้านเก่า รู้สึกว่าสายตาของ
พ่อบ้านเก่าดูไม่ปกติ”
“สายตาไม่ปกติรึ?”
ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ขิงแก่เผ็ดร้อน ถึงแม้พ่อบ้าน
เก่าจะเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่เขาใช้สายตาส่งสัญญาณ
ให้ข้ารู้ ซื่อจื่อก็รู้ว่าข้าก็ฉลาดอยู่บ้าง พอเห็นสายตา
ของพ่อบ้านเก่า ก็ตัดสินใจ จับตัวคนเฝ้าพ่อบ้านเก่า
เอาไว้ เจ้านั่นมันขี้ขลาด พอบังคับถาม มีอะไรมันก็
สารภาพออกมาหมด เขาสารภาพว่าพ่อบ้านเก่า
ไม่ได้ล้มป่วย แต่ว่าตัวเขาไม่มียาถอนพิษ” จากนั้น
เขาก็หยุดไป “ในเมื่อพ่อบ้านเก่าไม่ได้ล้มป่วย ถ้า
อย่างนั้นก็แสดงว่ามันต้องมีเงื่อนงา ข้ากับท่านเจ้า
เมืองเหมาจึงหารือกัน แอบรวบรวมกาลังพล รอพี่
น้องที่ไปเจียงเซี่ยกลับมา ถึงได้รู้ว่าฉีเฉิงหายตัวไป
นานหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าไปไหน ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า
ฉีเฉิงที่อยู่ที่นี่จะต้องมีปัญหาแน่นอน”
หยางหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “หากฉีเฉิงคือตัวจริง
คนที่เจียงเซี่ยจะต้องรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ ก็จะไม่พูดว่าเขา
หายตัวไปไร้ร่องรอยแบบนี้”
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดต่อว่า “ดังนั้นท่านเจ้าเมือง
เหมาก็เริ่มเตรียมกาลังพลไว้พร้อม พวกเรานาคนมา
ที่จวนเก่าแห่งนี้ แต่ว่าป้องกันการผิดพลาด ข้าเลย
กลับมาที่นี่ก่อน รู้ว่าซื่อจื่อกับฮูหยินสามหายตัวไป
จึงรู้ว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน เลยติด
ต่อไปที่ท่านเจ้าเมืองเหมา ให้นากาลังพลมาชิงลงมือ
กับที่นี่ภายในสามวัน แล้วจับตัวฉีเฉิงตัวปลอมเอาไว้
ตอนนั้นคนของพวกมันอยู่รวมกันที่นี่พอดี จึงจับตัว
ไว้ได้ทั้งหมด” เขาลังเลไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้า
กลัวว่าคนของจวนเก่าจะเกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าชาย
หรือหญิงแก่หรือเด็ก ตอนนี้จับขังเอาไว้ทั้งหมด”
“คนของจวนเก่าไม่รู้เรื่องด้วย พวกเขาเองก็ถูกฉีเฉิง
ปิดบังไปเหมือนกัน” หยางหนิงพูดว่า “ฮูหยินสาม
ปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ดีแล้ว ดีแล้ว” ท่านเจ้าเมืองเหมาเบาใจขึ้นเยอะ
“ได้ยินว่าซื่อจื่อกับฮูหยินสามหายตัวไป พวกเราส่ง
คนออกตามหาท่าน จากปากของฉีเฉิง รู้ว่าซื่อจื่อ
อาจจะไปยังเขาเสียซาน จึงส่งคนไปตามหาที่นั่น
ตอนนี้ยังมีคนอยู่ที่นั่นอีกหลายคน”
หยางหนิงยกมือคานับแล้วพูดว่า “ลาบากพวกท่าน
จริงๆ” จากนั้นก็พูดอีกว่า “แล้วได้อะไรจากปาก
ของฉีเฉิงอีกหรือไม่?”
ท่านเจ้าเมืองเหมากับฉีเฟิงมองหน้ากัน แล้วพูดว่า
“ข้าน้อยให้คนลงทัณฑ์สอบสวน เขาบอกเพียงแค่ว่า
ทุกอย่างเป็นคาสั่งของผู้พิพากษา ยังบอกเรื่อง
เกี่ยวกับชีวิตอมตะอีกด้วย”
“เขาได้พูดถึงดินแดนจิ่วโย่วบ้างหรือไม่?”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วถาม
“ดินแดนจิ่วโย่วหรือขอรับ?” ท่านเจ้าเมืองเหมา
พลันตกใจ ส่ายหัวพูดว่า “ไม่ได้พูดถึงเลย ซื่อจื่อ ดิน
แดนจิ่วโย่วคืออะไรหรือขอรับ?”
“ความอดทนทาอะไรแผ่นดินมิได้ ความเงียบเป็นดั่ง
ความลับที่ซ่อนอยู่ พวกท่านเคยได้ยินประโยคนี้บ้าง
หรือไม่?”
ท่านเจ้าเมืองเหมาพยักหน้าแล้วพูดว่า “นี่เป็นคา
ของท่านพระกษิติครรภโพธิสัตว์ กล่าวกันว่าท่าน
พระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้รับการฝากฝังจากพระโค
ตมพุทธเจ้าว่า หลังจากที่พระโคตมพุทธเจ้านิพพาน
ก่อนที่พระศรีอริยเมตไตรยไปเกิดใหม่จะต้องอยู่บน
โลกมนุษย์ชั่วคราว เพื่อกล่อมเกลาภูตผี ปีศาจ สัตว์
เดรัจฉาน อสูร มนุษย์ให้ยอมพ่ายแพ้ต่อสรวงสวรรค์
เขาเองก็ได้ให้เขาสัตย์สาบานไว้ว่า หากนรกภูมิไม่
ว่างเปล่า เขาก็จะไม่บรรลุธรรมเด็ดขาด”
“ท่านเจ้าเมืองเหมาท่านความรู้กว้างขวางจริงๆ”
หยางหนิงกล่าวชื่นชม
ท่านเจ้าเมืองเหมายิ้มแล้วพูดว่า “มิกล้า ข้าน้อยบาง
ทีก็พอได้อ่านหนังสือธรรมะมาบ้าง ดังนั้นก็เลยพอรู้
เท่าที่ข้าน้อยรู้ นรกภูมิเองยังมีภูติที่เป็นสมุนอีกหก
ตน...! ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกว่าตัวเองอวดรู้มาก
เกินไป ก็ยกมือขึ้นยิ้มแล้วพูดว่า” ขายหน้าซื่อจื่อ
แล้ว"
หยางหนิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านเจ้าเมืองเหมา
เรื่องพวกนี้ข้าไม่รู้เรื่องเลย ดังนั้นข้าคิดอยากจะรู้
เรื่องพวกนี้อีกเสียหน่อย ที่ท่านพูดว่าภูติหกตนของ
นรกภูมิ หมายความว่าอย่างไร?”
“เรียนซื่อจื่อ ภูติทั้งหกของนรกภูมิ คือภูติที่ทา
หน้าที่นาเส้นทางการกล่อมเกลาทั้งหกเส้นของพระ
กษิติครรภโพธิสัตว์ไปเผยแพร่” ท่านเจ้าเมืองเหมา
อธิบายต่อว่า “หน้าที่แรกคือการเป็นภูติปีศาจ
กล่อมเกลานรกภูมิ อีกหน้าที่คือดูแลเด็กทารก
กล่อมเกลาให้เป็นปีศาจ อีกทั้งยังเป็นภูติที่มีอานาจ
ในการกล่อมเกลาให้เป็นสัตว์เดรัจฉาน เทพธิดา
กลายเป็นอสูร ทาให้เทพธิดากลายเป็นมนุษย์
สุดท้ายก็คือตัวแทนภูติสวรรค์ กล่อมเกลาเส้นทาง
แห่งสวรรค์”
หยางหนิงพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ที่แท้เป็น
อย่างนี้นี่เอง” แล้วพูดอีกว่า “ฉีเฉิงตัวปลอมฟัง
คาสั่งของจ้าวยวนจริงๆ จ้าวยวนคือท่านผู้พิพากษา
ของฉีเฉิง”
ฉีเฟิงรีบถามกลับไปว่า “ซื่อจื่อท่านพบจ้าวยวนด้วย
หรือ?”
“เขาตายแล้ว ข้าเป็นคนฆ่าเขาเอง” หยางหนิงพูด
อย่างนิ่งๆ ว่า “เขาบอกว่าเขารับคาสั่งมาจาก
ดินแดนจิ่วโย่ว แต่ว่าพระกษิติครรภโพธิสัตว์เป็น
โพธิสัตว์ที่มนุษย์กราบไหว้ ดินแดนจิ่วโย่วที่เขา
หมายถึง น่าจะหมายถึงโลกมนุษย์” จากนั้นก็ถาม
ว่า “ฉีเฟิง เจ้าเคยได้ยินอะไรในยุทธภพที่เกี่ยวกับ
ชื่อนี้บ้างหรือไม่?”
ฉีเฟิงนึกอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่
เคยได้ยินว่ามีคนชื่อนี้ในยุทธภพมาก่อน” จากนั้น
เขาก็เดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อ
ยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่อง คิดว่าท่านน่าจะยังไม่รู้”
“เรื่องใหญ่รึ?” หยางหนิงถามกลับไปว่า “เรื่องใหญ่
อะไรกัน?”
ฉีเฟิงมองไปที่ท่านเจ้าเมืองเหมา แล้วพูดว่า “ใต้เท้า
เหมา ท่านเป็นคนพูดดีกว่า”
ท่านเจ้าเมืองเหมาพยักหน้า สีหน้าเปลี่ยนเป็น
จริงจังขึ้นมาก จากนั้นก็พูดกับขุนนางที่เหลือว่า
“พวกเจ้าออกไปกันก่อน” คนอื่นก็ลุกขึ้นมองไปที่ห
ยางหนิงแล้วถอยออกไป หลังจากคนอื่นออกไปจน
หมดแล้ว ท่านเจ้าเมืองเหมาก็ถามขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อ
ท่านรู้เรื่องที่ฝ่าบาททรงสวรรคตแล้วหรือไม่?”
“สวรรคตรึ?” หยางหนิงไม่ทันได้ตั้งตัว จากนั้นก็
ถามว่า “อะไรสวรรคต? ฝ่าบาทสวรรคตรึ?”
จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้แล้วพูดกลับไปว่า “พวกเจ้า
หมายความว่า ฮ่องเต้ทรงสวรรคตแล้วหรือ?”
ท่านเจ้าเมืองเหมากับฉีเฟิงหน้าเปลี่ยนสี หยางหนิงรู้
ว่าตัวเองหลุดพูดออกไป ท่านเจ้าเมืองเหมายกมือ
ขึ้นให้หยางหนิงเบาเสียงลง จากนั้นเขาก็เดินออกไป
ดูข้างนอก แล้วค่อยเดินกลับเข้ามา แล้วพูดเสียง
เบาๆ ว่า “ซื่อจื่อ ข้าน้อยเพิ่งได้รับข่าวมาเมื่อคืนนี้
ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว”
ความคิดของหยางหนิงก็หลุดลอยออกไป
จิ่นอีโหวสิ้นบุญไป ในวังหลวงไม่มีการเคลื่อนไหว
อะไรเลย จนกระทั่งวันที่จิ่นอีโหวเคลื่อนขบวนศพถึง
มีราชโอการมา ทางจวนโหวยังคิดอยู่ว่าจะได้รับ
บาเหน็จตามกฎมณเฑียรบาลจะได้เอามาแก้ไข
ปัญหาเรื่องการเงิน เพราะอย่างไรก็เป็นเสาหลักของ
แคว้น จิ่นอีโหวสละชีพเพื่อบ้านเมือง สร้างผลงาน
มากมาย ฮ่องเต้ไม่มีทางไม่สนใจ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว จนถึงวันนี้ ก็ไม่เห็นฮ่องเต้
พระราชทานเงินลงมาเลยแม้แต่อีแปะเดียว
หยางหนิงยังคิดในใจว่า หากว่าฮ่องเต้ขี้เหนียวแบบ
นี้ แสดงว่าจะต้องทรงสมองเลอะเทอะอยู่เป็นแน่
จิ่นอีโหวทาคุณความดีให้กับต้าฉู่มากมาย ไม่มีใคร
เทียบได้ คนแบบนี้ยังไม่ดูแลครอบครัวที่เสียสละให้
ชาติ จะดูแลขุนนางนับร้อยกับราษฎรทั่วแค้วนได้
อย่างไร
อย่าว่าแต่ฮ่องเต้ไม่ได้ปูนบาเหน็จเลย แม้แต่ในวันที่
เคารพศพ ก็ไม่เห็นคนในวังมาสักคน มันก็ผิดปกติ
เกินไป
ในเมืองหลวงเกิดการโยกย้ายการทหาร ค่ายอวี่หลิน
ที่ดูแลความปลอดภัยในวังหลวงออกไปนอกเมือง
แล้วโยกเอาทหารค่ายดาบดาเข้ามาแทน อีกทั้งยัง
ประกาศใช้กฎอัยการศึก ทุกอย่างมันเป็นสัญญาณ
การเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง
ถึงแม้หยางหนิงจะรู้สึกว่าเมืองหลวงมีการ
เปลี่ยนแปลง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะฮ่องเต้จะ
สวรรคต
ในตอนนี้ได้รู้ถึงข่าวนี้แล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจ เขาเข้าใจ
ดีว่า ฮ่องเต้คงจะสวรรคตก่อนที่ทหารค่ายดาบดาจะ
เข้าเมืองหลวงเสียอีก การโยกย้ายการคุ้มกันวัง
หลวง ก็เพื่อป้องกันคนที่คิดไม่ซื่อที่จะช่วงชิงบัลลังก์
ในวังหลวงแม้แต่ฮ่องเต้ยังสวรรคต คงไม่มีกะจิตกะ
ใจจะไปสนใจงานศพของจิ่นอีโหว
ภายในระยะเวลาสั้นๆ เสาหลักของแคว้นสิ้นบุญไป
ฮ่องเต้ก็สวรรคต หนึ่งกษัตริย์หนึ่งแม่ทัพจากไปทีละ
คน มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนยิ่งนัก มันอาจจะทา
ให้ต้าฉู่ล้มสลายเลยก็ว่าได้ หยางหนิงคิดว่าในตอนนี้
ในเมืองหลวงน่าจะวุ่นวายไม่น้อยเลย
“ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ที่ทรงพระปรีชาสามารถ อายุยัง
ไม่มากแต่ก็สวรรคต...!” ท่านเจ้าเมืองเหมาดวงตา
แดงก่า จากนั้นก็ถอนหายใจยาวๆ ว่า “ต้าฉู่ของ
พวกเราจะไปทิศทางไหน น่ากังวลจริงๆ”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 110 พี่สิ้นน้องสืบบัลลังก์
ฮ่องเต้ต้าฉู่สวรรคต ถึงแม้หยางหนิงจะรู้สึกว่ามัน
เกินความคาดหมาย แต่ในใจก็ไม่ได้มีความรู้สึก
เสียใจอะไรมากมาย เห็นท่านเจ้าเมืองเหมาสีหน้า
เป็นกังวล ก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า “ฝ่าบาทสวรรคต
แล้ว รัชทายาทก็สืบทอดบัลลังก์ ข้าว่าทางราชสานัก
น่าจะมีการเตรียมการเอาไว้แล้ว เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่
ขึ้นครองราชย์ ทุกอย่างก็จะสงบขึ้นโดยเร็ว”
ท่านเจ้าเมืองเหมาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยก็
หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
ฉีเฟิงที่อยู่ข้างๆ พูดออกมาว่า “ตอนนี้ที่น่ากังวล
ที่สุดก็คือรัชทายาทจะกลับมาทันหรือไม่ ดีไม่ดีอาจ
เกิดการเปลี่ยนแปลงอีก”
“รัชทายาทกลับมาไม่ทันรึ?” หยางหนิงถามอย่าง
แปลกใจว่า “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? รัช
ทายาทไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงรึ?”
ฉีเฟิงพูดเสียงเบาๆ ว่า “แคว้นตงฉีจัดพิธีแต่งตั้งรัช
ทายาท รัชทายาททรงนาขบวนทูตไปร่วมงาน และ
ยังไม่ได้ข่าวว่ากลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว”
“แคว้นตงฉีรึ?” หยางหนิงอึ้งไปแล้วถามขึ้นมาว่า
“เหตุใดถึงได้มีแคว้นตงฉีโผล่มาได้รึ? มิใช้มีแค่เป่ย
ฮั่นหรือ?”
ฉีเฟิงกับท่านเจ้าเมืองเหมามองหน้ากัน ท่านเจ้า
เมืองเหมานิ่งไป ฉีเฟิงรู้สึกขวยเขินเล็กน้อยจึงยิ้ม
แล้วพูดขึ้นว่า “ที่ซื่อจื่อท่านพูดก็ถูก แคว้นตงฉีจริงๆ
ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเมืองใหญ่อะไรนัก เป็นพื้นที่เล็กๆ
ผู้คนที่อาศัยอยู่ก็มีเพียงนิดเดียว แต่ว่า...เหอะ เหอะ
...” แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขารู้ว่าซื่อจื่อของเขาคนนี้
ก่อนหน้านี้สติยังเลอะเลือนอยู่ เพิ่งจะมาดีได้ไม่นาน
นี้ หลายเรื่องไม่รู้จะดีเสียกว่า
ท่านเจ้าเมืองเหมาเห็นหยางหนิงยังคงงงอยู่ จึง
อธิบายต่อว่า “ซื่อจื่อ ตงฉีตั้งอยู่ที่เกาะซานตง มี
พื้นที่ขนาดเล็กมาก พื้นที่ประมาณเมืองชิงโจว
เทียบไม่ได้กับเมืองจิงหนานเลย จริงๆ ไม่ว่าจะ
เป็นต้าฉู่ของพวกเราหรือเป่ยฮั่น ก็ไม่เคยเห็นตงฉี
เป็นแคว้นใหญ่เลย แต่ว่าพวกเขาเชี่ยวชาญการทา
ศึกทางน้า ดังนั้นถึงแม้กาลังของแคว้นจะอ่อนแอ
แต่ก็ยังสามารถทาให้แคว้นของตนนั้นสงบสุขได้”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง” หยางหนิงถึงได้เข้าใจ
ระหว่างแคว้นใหญ่สองแคว้น มีแคว้นเล็กๆ แบบ
ตงฉีอยู่ คาพูดของเหมาเหวินโซ่ว เขาเข้าใจดี รู้ว่า
แคว้นตงฉีตั้งอยูกลางเกาะ ล้อมรอบด้วยแม่น้า มี
ความเชี่ยวชาญการทาศึกทางน้า
แคว้นเล็กๆ แต่สามารถอยู่ท่ามกลางแคว้นใหญ่สอง
แคว้นได้โดยไม่เป็นอะไรเลยถือว่าไม่ธรรมดา
แคว้นใหญ่สองแคว้นไม่เห็นตงฉีอยู่ในสายตา แต่ต้า
ฉู่กลับส่งรัชทายาทไปเป็นทูตเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งรัช
ทายาทของพวกเขารึ?
เมื่อลองคิดดู ก็เข้าใจในทันที
กาลังของหนานฉู่กับเป่ยฮั่นช่างแข็งแกร่งยิ่ง ต่าง
ฝ่ายต่ายไม่ยอมกัน ในสถานการณ์เช่นนี้ ใคร
สามารถดึงตงฉีมาอยู่ด้วยได้ ก็จะมีอานาจต่อรอง
มากขึ้น ถึงกาลังของตงฉีจะอ่อนแอกว่า แต่ก็ใช่ว่า
จะไม่มีอะไรดีสักอย่าง อย่างน้อยพวกเขาก็มีกุนซือที่
เชี่ยวชาญการทาศึกทางน้า มีกุนซือเก่งกาจเช่นนั้น
มันก็เพียงพอที่จะทาให้เป่ยฮั่นกับหนานฉู่อยากได้
จนน้าลายหกแล้ว
ท่านเจ้าเมืองเหมาพูดว่า “รัชทายาททรงเดินทางไป
ร่วมพิธีแต่งตั้งรัชทายาทของตงฉี ถือว่าเป็นการให้
เกียรติทางตงฉีเป็นอย่างมาก หากพวกเราสามารถ
ใช้ประโยชน์จากกุนซือของตงฉีได้ เป่ยฮั่นไม่มีทาง
กล้าทาอะไรพวกเราได้แน่นอน”
“หากเป็นอย่างนั้น รัชทายาทตอนนี้ก็ยังอยู่ที่ตงฉี
หรือ?” หยางหนิงพูดอีกว่า “ฮ่องเต้สวรรคต หากรัช
ทายาททราบข่าว ก็ต้องรีบกลับมาแน่นอน”
ท่านเจ้าเมืองเหมาสีหน้าดูกังวล แต่ก็ไม่พูดอะไรมาก
อีก
หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “พวกเจ้าบอกว่าใน
เมืองหลวงมีคนคิดฉวยโอกาส ใครบังอาจขนาดนั้น
รึ?”
ท่านเจ้าเมืองเหมาพูดว่า “มีจงอี้โหวอยู่ น่าจะไม่มี
ปัญหาอะไร” จากนั้นก็ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ราช
สานักมีหน่วยงานภายในของราชสานักเอง ฝ่าบาท
ทรงพระปรีชา ก่อนสวรรคต น่าจะมีการวางแผนไว้
เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็แค่พูดกันไปอย่างนั้น เรื่อง
ใหญ่ของแคว้นขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ขุนนางเล็กๆ จะ
มาพูดคุยกัน”
“เกรงแต่ว่า...!” ฉีเฟิงพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็ไม่ได้พูด
ต่อ สีหน้าจริงจังขึ้นมา
หยางหนิงเห็นทั้งคู่หยุดพูดไป ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า
“พวกเจ้าจะพูดอะไรก็พูดให้มันจบได้หรือไม่ ข้าฟัง
มาครึ่งค่อนวัน ไม่รู้ว่าพวกเจ้ากาลังพูดเรื่องอะไรอยู่
กันแน่” เขาชี้ไปที่ฉีเฟิงแล้วพูดว่า “เจ้ากลัวอะไร?”
ฉีเฟิงลังเล แล้วตอบกลับไปว่า “ซื่อจื่อ ท่านไม่รู้
อะไร มีบางคน...มีบางคนรู้สึกว่ารัชทายาทไม่
เหมาะสมที่จะครองบัลลังก์”
“อะไรนะ?” หยางหนิงตะลึงไป “ถ้ารัชทายาทไม่ได้
ครองราชย์ แล้วจะแต่งตั้งรัชทายาทเพื่ออะไรกัน?
รัชทายาทเป็นมกุฎราชกุมารไม่ใช่หรืออย่างไรกัน?”
ท่านเจ้าเมืองเหมาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อท่านพูดถูกแล้ว รัชทายาทเป็นมกุฎราชกุมาร
ลูกสืบทอดบัลลังก์จากพ่อ หลักการของฟ้าดินที่ไม่
สามารถเปลี่ยนแปลงได้ รัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ก็
ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด แต่ว่า...แต่ว่าเรื่อง
ในคราวนั้น ทาให้มีคนไม่วางใจ ข้าน้อยกังวลว่า คน
พวกนั้นจะฉวยโอกาสเอาได้”
“คนพวกไหนรึ?” หยางหนิงยังคงฟังไม่เข้าใจ
เช่นเดิม
“ไหวหนานอ๋อง” ในที่สุดฉีเฟิงก็พูดออกมา “พวก
เรากลัวว่าไหวหนานอ๋องจะฉวยโอกาสนี้ก่อเรื่อง”
“ไหวหนานอ๋องรึ?” หยางหนิงถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า
วันที่เคลื่อนขบวนศพจิ่นอีโหว ก่อนหน้าที่ราช
โองการจากวังหลวงจะมาถึง ไหวหนานอ๋องมาถึง
ก่อน ร้องไห้เสียใจ ทาให้คนซาบซึ้งใจไม่น้อย
เขาจาได้ว่าไหวหนานอ๋องอายุราวสี่สิบ ดูไปแล้วก็มี
สง่าราศีไม่น้อย แต่เมื่อทางขันทีในวังมาถึง ไหว
หนานอ๋องกลับหน้านิ่ง แล้วพาคนกลับไปก่อนที่จะมี
การประกาศราชโองการ แสดงให้เห็นถึงความไม่มี
มารยาทอย่างยิ่ง หยางหนิงจาไหวหนานอ๋องได้ดี
ตอนนี้ได้ยินฉีเฟิงพูดถึงไหวหนานอ๋อง ก็รู้สึกสงสัย
จึงถามไปว่า “พวกเจ้ากังวลว่าไหวหนานอ๋องก่อ
เรื่องรึ?” เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เขาจะก่อเรื่อง
อะไรได้? เป็นแค่อ๋อง หรือว่าสามารถหยุดรัชทายาท
ไม่ให้ครองราชย์ได้?”
“ท่านอ๋องคนอื่นอาจจะไม่มีความสามารถเช่นนั้น
แต่ว่าไหวหนานอ๋องนั้นต่างออกไป” ท่านเจ้าเมือง
เหมากดเสียงต่าลงแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ เท่าที่ข้าน้อย
ทราบ จริงๆ แล้ว...จริงๆ แล้วไหวหนานอ๋องนั้นท่าน
มีสิทธิที่จะครองบัลลังก์”
หยางหนิงตกใจแล้วพูดว่า “ไหวหนานอ๋องมีสิทธิ
ครองบัลลังก์หรือ? ใต้เท้าเหมา ท่านหมายความว่า
อย่างไร?”
เหมาเหวินโซ่วอธิบายต่อว่า “ต้าฉู่ของพวกเรา
สถาปนาในสมัยฮ่องเต้ไท่จู่อู่เต๋อ แต่ว่า...แต่ว่าท่าน
สิ้นไปตอนอายุยังน้อย จากไปตอนอายุยังไม่ถึงสี่สิบ
หลังจากที่ฮ่องเต้ไท่จู่สวรรคต ตอนนั้นไหวหนาน
อ๋องยังเป็นแค่ทารกน้อย ตอนนั้นใต้หล้ากาลัง
วุ่นวาย ทางใต้เกิดกบฏ ปาสู่ก็ยังไม่สงบ เป่ยฮั่นก็
จ้องโจมตีตลอดเวลา...!”
“ไหวหนานอ๋องเป็นลูกชายของฮ่องเต้ไท่จู่หรือ?”
หยางหนิงถาม
เหมาไท่โสวพยักหน้า “ไม่เพียงเป็นองค์ชายของ
ฮ่องเต้ไท่จู่ แต่ยังเป็นบุตรชายคนเดียวของท่านด้วย
จริงๆ แล้วฮ่องเต้ไท่จู่อู่เต๋อทรงมีราชโอรสอีกคน แต่
ว่าตายตั้งแต่เด็ก ไหวหนานอ๋องเป็นบุตรคนรองของ
ฮ่องเต้ไท่จู่อู่เต๋อ เมื่อพี่ชายสิ้นไป ไหวหนานอ๋องจึง
กลายเป็นโอรสองค์เดียวของฮ่องเต้ไท่จู่”
หยางหนิงถามด้วยความสงสัย “ในเมื่อไหวหนาน
อ๋องเป็นลูกของฮ่องเต้ไท่จู่ เหตุใด......เหตุใดตอนนี้
ถึงได้เป็นแค่อ๋องเล่า?”
“มันก็เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในตอนนี้” ท่านเจ้า
เมืองเหมาพูดว่า “ฮ่องเต้ไท่จู่สวรรคต สถานการณ์
อันตรายมาก ทั้งภายในและภายนอกเต็มไปด้วย
ศัตรู ตอนนั้นคนที่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
มีเพียงฮ่องเต้ไท่จงเท่านั้น ฮ่องเต้ไท่จงทรงเป็นอนุชา
แท้ๆ ของฮ่องเต้ไท่จู่ ฮ่องเต้ไท่จู่สวรรคต ฮ่องเต้ไท่
จงอยู่ข้างกายของพระองค์มาโดยตลอด ผลงานการ
รบมีมากมาย ถือเป็นแขนขาสาคัญของฮ่องเต้ไท่จู่
...!”
หยางหนิงเข้าใจในทันทีแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็
แสดงว่าพี่สิ้นน้องก็ขึ้นแทน”
เขารู้ว่าการสืบทอดบัลลังก์ มีสองอย่าง หากไม่ใช่ลูก
สืบต่อจากพ่อ ก็ต้องเป็นเมื่อพี่สิ้นน้องก็ต้องสืบต่อ
จากพี่ หรือไม่ก็เลือกคนที่เหมาะสม
แต่พูดถึงพี่สิ้นน้องสืบต่อจากพี่ ในประวัติศาสตร์ก็มี
น้อยยิ่งนัก นอกจากสถานการณ์คับขันแล้ว ปกติก็
ต้องเป็นลูกสืบทอดต่อจากพ่อ
ท่านเจ้าเมืองเหมาพูดมาเช่นนี้ หยางหนิงพอจะ
เข้าใจเหตุผล
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ยุคของไท่จู่เป็นยุคที่รุ่งเรือง ทา
ศึกสถาปนาแคว้น แต่ว่าวีรบุรุษมักจากไปเร็ว ตอน
นั้นไหวหนานอ๋องก็ยังเป็นทารกอยู่
ไหวหนานอ๋องสืบทอดบัลลังก์ สมเหตุสมผล แต่ว่า
ในสถานการณ์ในตอนนั้น แคว้นฉู่จาเป็นจะต้องมีคน
ที่มีบารมีมากพอที่จะควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ได้
ไม่อย่างนั้นมันก็จะล้มทั้งกระดาน แต่ว่าเด็กทารก
คนหนึ่ง ไม่สามารถควบคุมใจของใครได้
ฮ่องเต้ไท่จงติดตามฮ่องเต้ไท่จู่ออกรบมาโดยตลอด
ผลงานการรบมีให้เห็น บารมีสามารถทาให้คนวางใจ
ได้ ในสถานการณ์แบบนั้น ให้ฮ่องเต้ไท่จงสืบต่อ
บัลลังก์ ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด
“ถ้าอย่างนั้น ฮ่องเต้ไท่จงสืบทอดบัลลังก์แล้ว ก็ถือ
เป็นพี่ตายน้องรับต่อ ฮ่องเต้ไท่จู่เห็นแก่บ้านเมืองมา
ก่อน ยกบัลลังก์ให้ฮ่องเต้ไท่จง...!” เหมาเหวินโซ่ว
ลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเสียงเบาๆ ว่า “เพียงแต่ว่า
ภายหลังมีข่าวลือว่า ก่อนที่ฮ่องเต้ไท่จู่จะทรง
สวรรคตได้ยกบัลลังก์ให้ฮ่องเต้ไท่จง ฮ่องเต้ไท่จง
ทรงปฏิเสธ แต่เป็นเพราะฮ่องเต้ไท่จู่ยืนยันหนักแน่น
ให้ฮ่องเต้ไท่จงสืบต่อบัลลังก์ ฮ่องเต้ไท่จงถึงได้รับ
พระราชลัญจกรมา อีกทั้งยังให้คามั่นสัญญาว่า เมื่อ
ไหวหนานอ๋องเติบใหญ่ จะยกบัลลังก์คืนแก่ไหว
หนานอ๋อง”
หยางหนิงคิดว่า ยังไม่ต้องไปคิดว่าเรื่องนี้จริงหรือ
เท็จ ต่อให้ฮ่องเต้ไท่จงจะพูดจริง ก็จะถือเป็นความ
จริงทั้งหมดไม่ได้ อานาจเมื่ออยู่ในมือ ไม่มีใครคิดจะ
วางลงง่ายๆ หรอก
“ไหวหนานอ๋องตอนนี้ยังคงมีบรรดาศักดิ์เป็นอ๋อง
ฮ่องเต้ไท่จงไม่ได้ยกบัลลังก์ให้เขา” หยางหนิงพูด
เหมาเหวินโซ่วพูดว่า “หลังจากฮ่องเต้ไท่จงขึ้น
ครองราชย์แล้ว ก็สานต่องานของฮ่องเต้ไท่จู่ ปราบ
กบฏขยายอาณาเขต นอกจากปาสู่แล้ว ดินแดนเขต
ชายแดนไหวชุ่ยทั้งหมดยึดมาเป็นของต้าฉู่ทั้งหมด
ทาศึกมานานหลายปี ฮ่องเต้ไท่จงก็ทรงประชวร
จริงๆ แล้วตั้งแต่ไท่จงฮ่องเต้สืบทอดตาแหน่ง ก็มีขุน
นางมากมายถวายฎีกาขอให้พระองค์แต่งตั้ง
มกุฎราชกุมาร แต่ว่าฮ่องเต้ไท่จงไม่ได้ใส่พระทัยเลย
จนกระทั่งทรงประชวร ถึงได้แต่งตั้งฝ่าบาทเป็น
มกุฎราชกุมาร แล้วพระราชทานบรรดาศักดิ์อ๋อง
ให้กับไหวหนานอ๋อง”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าพวกเจ้าถึงบอกว่ามีคนไม่
พอใจ” หยางหนิงตอนนี้ถึงได้เข้าใจที่มาที่ไป เขา
เข้าใจว่าเหตุใดถึงไม่พอใจ แต่ว่าก็เข้าใจฮ่องเต้ไท่จง
เช่นกัน ฮ่องเต้ไท่จู่ถึงแม้จะทรงเป็นผู้ก่อตั้งแคว้น
แต่ว่าไม่ได้บริหารงานในต้าฉู่จริงๆ ต้าฉู่ยิ่งใหญ่
ขึ้นมาได้ก็เพราะด้วยน้ามือของฮ่องเต้ไท่จง ก่อนเขา
จะสิ้นพระชนม์คิดอยากจะให้แผ่นดินที่เขาสร้างมา
ให้กับลูกหลานของตัวเอง ก็ไม่มีทางยกบัลลังก์ให้กับ
ไหวหนานอ๋องอย่างแน่นอน
ไหวหนานอ๋องในฐานะโอรสองค์เดียวของฮ่องเต้ไท่จู่
ในสายตาของเขา ต้าฉู่ถูกก่อตั้งโดยฮ่องเต้ไท่จู่ การที่
เขาจะได้สืบทอดบัลลังก์ ก็เป็นเรื่องปกติ ส่วนฮ่องเต้
ไท่จงในสายตาของไหวหนานอ๋อง ก็คือคนที่ชิง
บัลลังก์ไปจากเขานั่นเอง
“ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันเก่งด้านบริหารด้อยการรบ ใช้
ความเมตตาในการบริหารราชการแผ่นดิน ตอนนี้ก็
ยึดเอาปาสู่เข้าผนวกกับต้าฉู่ของพวกเรา” เหมาเห
วินโซ่วพูดว่า “ฝ่าบาทเองก็ทรงเคารพไหวหนาน
อ๋องยิ่งนัก ตอนมีพระชนม์ชีพ เกียรติยศใดๆ ก็
ตามที่ไหวหนานอ๋องมี ไม่มีผู้ใดสามารถมีได้อย่างเขา
แต่ว่าเสียดาย...!” เขาส่ายหัว แต่ไม่ได้พูดต่อ
ฉีเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน ในตอนนี้เอง
ก็อดไม่ได้ที่พูดขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
จะให้ไหวหนานอ๋องสมหวังไม่ได้ หากให้ไหวหนาน
อ๋องขึ้นเป็นฮ่องเต้ ตระกูลฉีของพวกเราคง...!” เขา
กาหมัดแน่น สีหน้าแปลกประหลาดฉายขึ้นมา
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 111 เป็นหูเป็นตา
หยางหนิงพูดว่า “เจ้าดูเหมือนจะหวาดกลัวไหว
หนานอ๋องมากเลยนะ ทําไมรึ เขามีอะไรไม่ลงรอย
กับตระกูลฉีของพวกเราหรืออย่างไร?”
เหมาเหวินโซ่วพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อท่านอาจจะไม่รู้
ตอนที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งรัชทายาท ในราชสํานักก็
เกิดข้อพิพาทขึ้น มีคนถวายฎีกา ร้องขอให้ทรงมอบ
ราชบัลลังก์ให้กับไหวหนานอ๋อง ซึ่งไหวหนานอ๋อง
ชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่ว่าการแต่งตั้งรัชทายาท มัน
ทําให้เกิดความวุ่นวายมาก ทําให้ขุนนางหลายต่อ
หลายคนถูกสั่งลงโทษไป”
“หา?” หยางหนิงพูดว่า “ไหวหนานอ๋องยังคิด
อยากจะได้บัลลังก์มาครองอย่างนั้นหรือ?”
“หากมีแค่ไหวหนานอ๋องคนเดียว มันก็ไม่ค่อยน่า
กลัวเท่าไหร่” เหมาเหวินโซ่วพูดต่อไปว่า “แต่เท่าที่
ข้าน้อยทราบมา ในราชสํานักมีขุนนางไม่น้อยที่อยู่
ฝ่ายไหวหนานอ๋อง ส่วนหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์อย่าง
จินเตาโหว ก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไหวหนาน
อ๋อง”
“จินเตาโหว?”
ถึงแม้เหมาเหวินโซ่วจะเป็นแค่เจ้าเมืองเล็กๆ ใน
ท้องที่ แต่ว่ากลับรู้เรื่องของราชสํานักเป็นอย่างดี
เขาอธิบายต่อว่า “ซื่อจื่อ ตอนนั้นฮ่องเต้ไท่จู่ออกรบ
พิชิตแผ่นดิน ใต้บัญชาการมีแม่ทัพเก่งกาจมากมาย
จินเตาโหวเป็นคนที่ฮ่องเต้ไท่จู่สนับสนุนขึ้นมา
นอกจากจินเตาโหวแล้ว ในราชสํานักก็มีญาติพี่น้อง
สายเลือดของฮ่องเต้ไท่จู่อยู่อีกไม่น้อย หลังจากที่
ฮ่องเต้ไท่จงได้นั่งบัลลังก์ ก็ได้สนับสนุนคนมี
ความสามารถไม่น้อยเช่นกัน จิ่นอีโหวของตะกูลฉี ก็
เป็นคนที่ฮ่องเต้ไท่จงเป็นคนสนับสนุนขึ้น”
หยางหนิงเข้าใจในทันที เหมาเหวินโซ่วพูดอย่างนี้
ตอนนี้แคว้นฉู่ ยังคงมีสายเลือดของทั้งฮ่องเต้ไท่จู่กับ
ฮ่องเต้ไท่จง
จินเตาโหวกับขุนนางมากมายเป็นคนที่ฮ่องเต้ไท่จู่ตั้ง
แต่งขึ้น คนพวกนี้ยังระลึกถึงพระกรุณาของฮ่องเต้
ไท่จู่อยู่ ส่วนทางจิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นที่มีผลงานนับไม่
ถ้วน กลับเป็นฮ่องเต้ไท่จงที่แต่งตั้งขึ้น คนที่อยู่ฝ่าย
สายเลือดฮ่องเต้ไท่จู่ ก็ต้องการให้ทางไหวหนานอ๋อง
ที่เป็นสายเลือดแท้ๆ ของฮ่องเต้ไท่จู่ได้ครองบัลลังก์
ส่วนทางจิ่นอีโหวก็จะต้องคุ้มครองให้สายเลือดของ
ฮ่องเต้ไท่จงได้ครองบัลลังก์ ดังนั้นก็จะต้องสนับสนุน
รัชทายาท
“ในเมื่อฮ่องเต้ไท่จงขึ้นครองบัลลังก์ หรือว่า...หรือ
ว่าท่านไม่เคยคิดถึงเรื่องที่จะตามมาเลยหรือ?”
หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “ขุนนางฝ่าย
สายเลือดของฮ่องเต้ไท่จู่แอบคิดไม่ซื่อ หรือว่าฮ่องเต้
ไท่จงเดาไม่ออกเลยหรือ?”
“จริงๆ แล้วก็ไม่ต้องคาดเดาอะไรมากมาย เพราะ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เรื่องตําแหน่งมกุฎราชกุมาร ก็
เป็นปัญหามาโดยตลอด” เหมาเหวินโซ่วถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ไท่จงทรงมอบบัลลังก์ให้กับองค์
รัชทายาท ตอนนั้นก็มีคนไม่น้อยถวายฎีกา ให้ฝ่า
บาททรงมอบบัลลังก์ให้ไหวหนานอ๋อง คนพวกนั้นก็
มีจํานวนเยอะพอสมควร จริงๆ แรกเริ่มก็ไม่มีผู้ใด
พูดถึงเรื่องที่ฮ่องเต้ไท่จงทรงรับปากจะมอบบัลลังก์
ให้กับไหวหนานอ๋อง ในตอนนั้น ก็มีข่าวลือมากมาย
บอกว่าตอนที่ฮ่องเต้ไท่จงรับตราลัญจกรมา ทรงได้
รับปากว่าหากไหวหนานอ๋องเจริญวัยแล้ว จะมอบ
บัลลังก์คืนให้เขา จริงหรือเท็จ จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใคร
รู้ได้ แต่ว่ามีหลายคนก็ได้หยิบยกเรื่องนี้มาพูดกัน
แล้วบอกว่าไหวหนานอ๋องคือคนที่เหมาะสมที่สุดใน
การสืบทอดบัลลังก์” จากนั้นก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ
แล้วพูดว่า “แต่หลังจากฮ่องเต้ไท่จงทรงแต่งตั้ง
บรรดาศักดิ์ให้ไหวหนานอ๋อง ความวุ่นวายถึงได้ลด
น้อยลงไป”
“รากฐานของบ้านเมือง ไหวหนานอ๋องและพวก
ยังคงมีความทะเยอทะยาน พวกเขายังคงเป็นภัยต่อ
ราชบัลลังก์อยู่ไม่น้อย” หยางหนิงพูดเบาๆ ว่า
“ฮ่องเต้ไท่จงไม่เคยคิดกวาดล้างพวกเขาเลยหรือ?”
เหมาเหวินโซ่วพูดว่า “จริงๆ แล้วฮ่องเต้ไท่จงทรง
เตรียมความพร้อมอยู่ตลอดเวลา จริงๆ แล้วจินเตา
โหวเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของต้าฉู่ของพวกเรา
ตระกูลของจินเตาโหวมีหลายคนที่เป็นนักรบไม่น้อย
บารมีในด้านทหารของจินเตาโหวมีมากนัก ตอนนี้
ไม่มีใครสามารถเทียบเขาได้เลย ฮ่องเต้ไท่จง
ต้องการลดอํานาจด้านการทหารของเขาลง ดังนั้น
จึงทรงสนับสนุนท่านเหล่าโหว ท่านเหล่าโหวเองก็ไม่
ทําให้พระองค์ผิดหวัง สร้างผลงานมากมาย
จนกระทั่งบารมีสามารถทัดเทียมกับจินเตาโหวได้
แต่ว่าตอนนั้นสถานการณ์ของบ้านเมืองยังไม่มั่นคง
ภายนอกมีศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย หากฮ่องเต้
ไท่จงทรงลงมือในตอนนั้น ก็ทรงเกรงว่าต้าฉู่จะเกิด
ความวุ่นวาย”
หยางหนิงพยักหน้า เขาเข้าใจความคิดของฮ่องเต้ไท่
จง
คนที่ฮ่องเต้ไท่จู่เหลือเอาไว้ ต่างเป็นขุนนางสร้าง
ชาติทั้งนั้น ถึงแม้ฮ่องเต้ไท่จงจะระวังตัวจากพวกเขา
แต่ว่าก็เหมือนที่เหมาเหวินโซ่วพูด หากกําจัดจน
หมด มันจะกระทบต่อรากฐานของแคว้นฉู่ ใน
สถานการณ์ตอนนั้น สามัคคีกันไว้ก่อนถึงจะดีที่สุด
หากเกิดความวุ่นวายขึ้น ทุกอย่างจะจบสิ้น
“หลังจากที่ฮ่องเต้ไท่จงสวรรคต ฝ่าบาทขึ้น
ครองราชย์ ก็ปลอบขวัญทางไหวหนานอ๋องอย่าง
มาก ให้เกียรติยศมากมายแก่เขา อีกทั้งยังสนับสนุน
ขุนนางใหม่ๆ มากมาย อํานาจของขุนนางทั้งฝั่ง
สายเลือดของฮ่องเต้ไท่จู่ก็อ่อนลงไปมาก” เหมาเห
วินโซ่วพูดว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ประจําการณ์อยู่แถบ
ลุ่มแม่น้ําไหวชุ่ยตลอด มีผลงานมากมาย ฝ่าบาท
ทรงไว้วางพระทัยเป็นอย่างมาก หลายปีมานี้ ทาง
ไหวหนานอ๋องเองก็ถือว่าอยู่นิ่งไปไม่น้อย ไม่ได้ก่อ
ความวุ่นวายอะไร แต่พอฝ่าบาททรงแต่งตั้งรัช
ทายาท ก็มีคนถวายฎีกาขึ้นไปอีก ฝ่าบาทก็ปลดขุน
นางพวกนั้นออกไป”
หยางหนิงพูดว่า “ดังนั้นพวกเจ้ารู้สึกว่าพอฝ่าบาท
สวรรคต รัชทายาทอยู่ไกลถึงตงฉี พวกของไหว
หนานอ๋องอาจจะฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายขึ้น
อย่างนั้นหรือ?”
“เรื่องนี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้” เหมาเหวินโซ่วพูดว่า
“หากท่านแม่ทัพใหญ่ยังอยู่ ในมือมีอํานาจทหาร
ไหวหนานอ๋องอาจจะไม่กล้า แต่ว่าฝ่าบาทสวรรคต
แม่ทัพใหญ่เองก็สิ้นไป พวกเขาน่าจะมีความคิด
เช่นนั้น”
ในที่สุดฉีเฟิงก็พูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “หากไหวหนาน
อ๋องทําการสําเร็จจริง เขาจะต้องพุ่งเป้ามาจัดการ
จวนจิ่นอีโหวของพวกเราแน่นอน”
ตอนนี้หยางหนิงก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ในราช
สํานักบ้างแล้ว ตามที่เหมาเหวินโซ่วพูด จินเตาโหวก็
น่าจะเป็นคนของทางไหวหนานอ๋อง ส่วนจิ่นอีโหวก็
มาทางสายของฮ่องเต้ไท่จง หากไหวหนานอ๋อง
ครองราชย์ ก็ไม่มีทางปล่อยจวนจิ่นอีโหวไว้แน่นอน
ตอนที่เขาออกจากเมืองหลวงมา เขาไม่รู้เรื่องพวกนี้
เลย ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า ตอนนี้ในเมืองหลวงตกอยู่ใน
สถานการณ์ที่คับขันมาก มิน่าขุนนางหลายคนถึงไม่
มางานศพของฉีจิ่งเลย จนถึงตอนเคลื่อนขบวนศพ
เอง ก็มีเพียงขุนนางแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มาส่ง ขุน
นางพวกนั้นคงดูออกว่าในวังหลวงผิดปกติ แล้วก็รู้
ว่าจวนจิ่นอีโหวเป็นเป้าหมายที่ทางไหวหนานอ๋อง
ต้องการจัดการมากที่สุด ตอนนี้ฉีจิ่งตายไปแล้ว ใน
สายตาของพวกเขา จวนจิ่นอีโหวก็เหมือนมดตัว
เล็กๆตัวหนึ่งเท่านั้น ในตอนนี้ ไม่มีอํานาจเหมือน
เมื่อก่อน ดังนั้นพวกเขาก็เลยตีตัวออกห่าง เพื่อไม่ให้
ถูกเชื่อมโยงเข้าไปด้วย
เขาคิดว่า ตระกูลฉีเกิดเรื่องติดต่อกันหลายเรื่อง คง
ไม่ใช่ว่าทางไหวหนานอ๋องชักใยอยู่เบื้องหลังหรอก
กระมัง?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นก็ได้ยินคนวิ่งเข้ามาด้วย
ท่าทางตื่นตระหนกรีบพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ มีกลุ่มคนขี่
ม้าบุกเข้ามา พวกเขามีคนมากพอควร ไม่รู้ว่าเป็น
ใครมาจากไหนขอรับ”
หยางหนิงตกใจ ทันใดนั้นเขาก็ตบไปที่หัวของตัวเอง
แล้วพูดว่า “คนกันเอง อย่าเข้าใจผิด” เขารู้ว่าน่าจะ
เป็นพวกของกู้เหวินจาง
พอเขามาถึงที่บ้านเก่า เขาก็ลืมไปเลยว่ากู้เหวินจาง
ยังรอสัญญาณจากเขาอยู่ เขารีบพูดขึ้นว่า “พวกเขา
เป็นคนของตระกูลกู้ ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ายึดจวนเก่านี่
ไว้แล้ว ตระกูลกู้ได้เตรียมการไว้ว่าจะลอบเข้ามาจับ
คนในคืนนี้”
เหมาเหวินโซ่วยิ้มแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ท่านไปพักก่อน
เถอะ ข้ารู้จักพวกเขา ข้าจะไปอธิบายให้เขาฟังเอง”
จากนั้นเขาก็คํานับแล้วขอตัวออกไป
หยางหนิงเห็นพวกเขาออกไปแล้ว ก็พูดกับฉีเฟิงว่า
“เจ้าฉีเฉิงตัวปลอมถูกขังอยู่ที่ใด?”
ฉีเฟิงพูดว่า “ขังอยู่ที่ห้องเก็บฟืน ซื่อจื่อท่านจะไป
สอบสวนเขาหรือขอรับ?”
หยางหนิงพยักหน้า ฉีเฟิงพูดว่า “ทางนั้นข้าน้อยสั่ง
ให้คนเฝ้าเอาไว้ ข้าน้อยได้สอบสวนไปแล้วหนึ่งรอบ
แต่ไม่ได้อะไรเลย ข้าน้อยจะไปพาตัวเขามาให้ท่าน
เดี๋ยวนี้”
หยางหนิงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าจะไปที่ห้องเก็บ
ฟืน!”
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องเก็บฟืน นอกประตูมีคนเฝ้า
อยู่ เมื่อเข้าไปในห้อง เห็นฉีเฉิงตัวปลอมถูกมัดไว้อยู่
ตรงมุมหนึ่งของห้อง เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหว ฉี
เฉิงตัวปลอมก็เงยหน้าขึ้นมามอง เขาเห็นหยางหนิง
ก็ตกใจ แล้วพูดออกมาว่า “เจ้า...เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีก
หรือ?”
หยางหนิงเดินเข้าไป ยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อบ้านใหญ่คิด
ว่าข้าต้องตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ฉีเฉิงตัวปลอมอ้าปากค้าง แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา
สายตาดูหวาดกลัว
“จ้าวยวนตายแล้ว อ่อ ไม่สิ ท่านผู้พิพากษา” หยาง
หนิงนั่งยองๆ ลงไป แล้วพูดว่า “เรื่องของดินแดนจิ่ว
โย่วเอง ข้าก็รู้ จริงๆ ที่ข้ามาหาเจ้า แค่มีเรื่อง
อยากจะถามนิดหน่อย หากเจ้าตอบข้ามาตามตรง
ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้าก็ได้ ไม่อย่าง...!” ในมือของเขา
มีมีดสั้นโผล่ออกมา
“ในเมื่อเจ้าก็รู้ทุกอย่างแล้ว แล้วจะมาถามอะไรอีก
รึ?” ฉีเฉิงตัวปลอมพูดว่า “อะไรที่ควรพูดข้าก็บอก
พวกเขาไปหมดแล้ว เรื่องอื่นข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
“ดูท่าเจ้ายังคงซื่อสัตย์ต่อดินแดนจิ่วโย่วสินะ” หยาง
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าดินแดนจิ่วโย่วนั้นเคย
สนใจความเป็นความตายของเจ้าหรือไม่? พวกเจ้า
ภักดีต่อดินแดนจิ่วโย่ว ตายไปไม่ต้องตกนรก ในเมื่อ
เป็นอย่างนั้น ข้าจะใช้มีดนี่ปาดคอเจ้าให้ตายเสีย
ตอนนี้ เจ้าจะลองดูหรือไม่ว่าเจ้าจะไม่ตกนรกจริงๆ
หรือไม่?” พูดจบมีดสั้นก็จ่อไปที่คอของฉีเฉิงตัว
ปลอมทันที
ฉีเฉิงตัวปลอมกระพริบตาปริบๆ แล้วพูดว่า “เจ้า...
เจ้าอยากจะถามอะไร?”
“เงินภาษีอยู่ที่ไหน?” หยางหนิงพูดต่อไปว่า “พวก
เจ้าเก็บภาษีสองส่วนส่งไปเมืองหลวง ส่งให้กับ
ใคร?”
ฉีเฉิงตัวปลอมพูดว่า “เจ้าควรจะไปถามคนใน
ตระกูลฉีของเจ้านะ เงินภาษีส่งไปเมืองหลวง ก็ส่งไป
ให้กับคนในตระกูลฉีของพวกเจ้า”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า” หยางหนิงจิ้มมีดลงไปที่คอ
ของเขา เลือดก็พลันไหลซิบๆ ออกมา ฉีเฉิงตัว
ปลอมรีบพูดว่า “ให้...ให้กับท่านใหญ่สาม”
หยางหนิงตกใจ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านใหญ่สาม
หรือ?”
“ถูกต้อง เงินภาษีพวกนั้นถูกส่งไปตั้งนานแล้ว ทาง
ท่านใหญ่สามส่งคนมาตรวจสอบแล้วรับเอาไป” ฉี
เฉิงตัวปลอมพูดว่า “ท่านผู้พิพากษาสั่งว่า เงินภาษี
พวกนี้ไม่ต้องส่งไปที่จวนจิ่นอีโหวเหมือนแต่ก่อน แค่
ส่งไปที่นอกเมืองหลวง ก็จะมีคนมารอรับ”
หยางหนิงถามต่อว่า “แล้วเหตุใดจะต้องส่งไปให้กับ
ท่านใหญ่สามด้วย?”
“ที่ข้ามาที่จวนเก่าตระกูลฉีนี่ เป็นคําสั่งของท่านผู้
พิพากษา แรกเริ่มเราก็จับตัวฉีเฉิงตัวจริงเอาไว้ก่อน
จากนั้นก็ข่มขู่พ่อบ้านฉีหง พอสบโอกาสก็วางยาฉีหง
ถึงยึดและควบคุมจวนเก่านี่เอาไว้ได้” ใน
สถานการณ์ความเป็นความตายเช่นนี้ ฉีเฉิงตัว
ปลอมก็ยอมสารภาพออกมาทุกอย่าง “หลังจากข้า
ควบคุมจวนเก่าเอาไว้แล้ว ก็หาโอกาสให้ผู้พิพากษา
เข้ามาที่นี่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สิ่งที่ข้าทําทุกอย่าง
ล้วนเป็นคําสั่งมาจากเขาทั้งสิ้น”
“พวกเจ้ากับท่านใหญ่สามเกี่ยวข้องกันอย่างไร?”
หยางหนิงถามต่อว่า “หรือว่าเพิ่งจะมาติดต่อกัน
ในช่วงหลังนี้หรือ? เจ้ารู้จักฉีอวี้หรือไม่?”
“เรื่องเป็นมาอย่างไร ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ว่าท่านผู้
พิพากษาบอกว่า ในตระกูลฉีของพวกเจ้ามีหูมีตา
ของพวกเราอยู่ เรื่องในจวนโหว ผู้พิพากษารู้ดีทุก
อย่าง” ฉีเฉิงตัวปลอมพูดว่า “ก่อนหน้านี้ท่านผู้
พิพากษาได้ติดต่อกับท่านใหญ่สามหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่
ก่อนข้าก็ไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงท่านใหญ่สามมาก่อน
การเบิกจ่ายของที่นี่ ท่านผู้พิพากษาเป็นคนดูแลเอง
ทั้งหมด ข้าก็แค่ทําตามคําสั่งของเขาเท่านั้น”
“จวนโหวมีคนที่เป็นหูเป็นตาให้กับพวกเจ้าอยู่อย่าง
นั้นหรือ?” หยางหนิงถามต่อว่า “เป็นใครกัน?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 112 เรื่องยุ่งอีนุงตุงนัง
ฉีเฉิงตัวปลอมตอบกลับไปว่า “ข้าไม่ร.ู้ ..!” เห็น
สายตาของหยางหนิงพร้อมที่จะฆ่าเขาได้ตลอดเวลา
จึงพูดด้วยความรีบร้อนว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าแค่ทา
ตามที่ท่านผู้พิพากษาสั่งเท่านั้น แต่เหตุผลที่ต้องส่ง
เงินไปให้ท่านใหญ่สามของตระกูลฉีด้วยนั้น ข้าเองก็
ไม่รู้เหตุผลจริงๆ”
“ในเมื่อพวกเจ้าควบคุมจวนเก่าเอาไว้ แล้วเหตุใด
หลายปีมานี้ยังคงส่งเงินภาษีไปที่จวนโหวตามปกติ
อีกเล่า?” หยางหนิงถามต่อไปว่า “เพื่อให้จวนโหว
ไม่สงสัยอย่างนั้นหรือ?”
ฉีเฉิงตัวปลอมรีบตอบกลับไปว่า “หากไม่ได้ส่งเงิน
ภาษีไปตามปกติ พวกเจ้าก็จะต้องสงสัยแล้วจะต้อง
มาตรวจสอบ แล้วแผนของพวกข้าที่วางไว้ก็จะเสีย
เปล่า ขอแค่พวกเจ้าทางนั้นไม่มีปัญหาอะไร พวกเรา
ถึงจะสามารถทาการต่างๆ จากทางเจียงหลิงได้
อย่างราบรื่น” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“หลังจากที่พวกเราควบคุมจวนเก่าตระกูลฉีเอาไว้
แล้ว ก็ได้สั่งเพิ่มเก็บภาษีขึ้นเป็นสี่ส่วน สองส่วน
ส่งไปที่จวนโหว อีกสองส่วนก็เอาเข้าถุงของจ้าว
ยวน”
“เงินภาษีสามปีไม่ใช่น้อยๆ เขาเอามันไปทาอะไร
รึ?”
ฉีเฉิงตัวปลอมกาลังจะตอบว่าไม่รู้ แต่ว่ารู้สึกว่ามีดที่
จ่อคออยู่มันกลับขยับเข้ามากว่าเดิม จึงพูดไปว่า
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเงินพวกนั้นเอาไปใช้อะไร แต่ว่า...
เท่าที่ข้ารู้ น่าจะถูกส่งไปยังปาสู่”
“ส่งไปปาสู่รึ?” หยางหนิงตะลึงไป
ฉีเฉิงตัวปลอมพูดว่า “ใช่ ข้าแค่รับผิดชอบควบคุม
จวนเก่าตระกูลฉี ไม่ได้มีการติดต่อกับคนอื่นเลย
เรื่องทุกอย่าง ท่านผู้พิพากษาเป็นผู้วางแผนทั้งหมด
ตอนเขาอยู่ที่ปาสู่น่าจะมีการติดต่อกับใครบ้าง ส่วน
เงิน ทุกปีจะมีการจัดส่งไปปาสู่แบบลับๆ แต่ว่าส่งไป
ถึงไหนของปาสู่ ข้า...ข้าไม่รู้จริงๆ”
“ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่ามา การควบคุมจวนเก่านี่
เอาไว้ ก็เพื่อเงินอีกสองส่วนที่เกินมาอย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงแสร้งทาเป็นยิ้มแล้วพูดว่า “แต่เท่าที่ข้ารู้
มา เรื่องนี้มันไม่ง่ายอย่างนั้น พวกเจ้าแอบติดต่อ
กับฉีอวี้ คิดจะให้ฉีอวี้มาแทนข้า มันหมายความว่า
อย่างไร?”
สีหน้าของฉีเฉิงตัวปลอมดูลาบากใจที่จะตอบกลับไป
จึงตอบกลับไปอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ข้าไม่รู้
จริงๆ ว่าท่านผู้พิพากษาต้องการจะทาสิ่งใด เขาแค่
บอกว่าเขาจะวางหลุมพราง เพื่อให้เจ้ากับ...กับ
ฮูหยินสามแอบมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกัน จากนั้น
พวกเราก็จะนาคนไปจับพวกเจ้า แล้วอาศัยเรื่องนี้
ควบคุมเจ้าเอาไว้ แต่ทาไปเพื่ออะไรนั้น ข้าไม่รู้จริงๆ
ส่วนคนที่ชื่อฉีอวี้ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
หยางหนิงสังเกตสีหน้าของเขาก็รู้เลยว่าฉีเฉิงตัว
ปลอมไม่ได้พูดโกหก แล้วถามไปว่า “แล้วดินแดนจิ่ว
โย่วเล่า เป็นใคร เจ้าเคยเจอหรือไม่?”
ฉีเฉิงตัวปลอมส่ายหน้าตอบกลับไปว่า “ไม่ ข้ารู้แค่
ว่าดินแดนจิ่วโย่วกว้างขวางยิ่งนัก แต่ไม่เคยเจอ”
หยางหนิงยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เคยเจอ
ดินแดนจิ่วโย่ว แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่นั่นมัน
กว้างขวางเล่า? ข้าเห็นท่านผู้พิพากษาของเจ้าก็ไม่
เท่าไหร่ หรือว่าเขาพูดอะไรแค่สองสามคาเจ้าก็เชื่อ
แล้วหรือ? เจ้าเองก็เป็นชายอกสามศอก เหตุใดถึง
มาเป็นทาสของเขาเช่นนี้”
“ข้าเห็นอภินิหารของเขากับตา” ฉีเฉิงตัวปลอมพูด
อย่างมั่นใจว่า “นอกจากท่านผู้พิพากษาแล้ว ข้าเคย
เจอภูตของดินแดนจิ่วโย่ว เขา...เขาฟันแทงไม่เข้า
ถูกไฟครอกก็ไม่เป็นอะไร ข้าเห็นไฟลุกที่มือของเขา
กับตา แต่เขาไม่เป็นอะไรเลย มันเป็นเรื่องจริง
แน่นอน”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าเคยเจอภูตของ
ดินแดนจิ่วโย่วหรือ?”
ฉีเฉิงตัวปลอมพูดว่า “ใช่ ภูตของดินแดนจิ่วโย่วยัง
บอกว่า จะฆ่าล้างตระกูลฉีของพวกเจ้าไม่ให้เหลือ
...!”
“พูดจาคุยโตโอ้อวดดีนิ หรือว่าดินแดนจิ่วโย่วมี
ความแค้นอัยใดกับทางจวนโหวหรือ?” หยางหนิง
ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ฆ่าล้างตระกูลไม่ให้เหลือรึ? ถ้า
คิดว่ามีปัญญา แล้วเหตุใดถึงทาตัวลึกลับเช่นนี้เล่า?”
ฉีเฉิงตัวปลอมพูดว่า “อะไรที่ข้ารู้ข้าก็บอกเจ้าไป
หมดแล้ว เจ้า...เจ้าเคยบอกข้าใช่หรือไม่ว่าเจ้าจะไว้
ชีวิตข้า”
หยางหนิงพูดว่า “เจ้าลองคิดอีกทีสิ มีอะไรที่ยังไม่ได้
บอกอีกหรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว เรื่องอื่นข้าไม่รู้จริงๆ” ฉีเฉิงตัวปลอมพูด
หยางหนิงยิ้ม แล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่รู้อะไรแล้ว ก็
เป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่ง เป็นแค่ขยะจะมีประโยชน์อันใด
ที่ข้าจะต้องเก็บไว้?” จากนั้นเขาก็ใช้มีดสั้นในมือ
ของเขาปาดไปที่คอของฉีเฉิงตัวปลอม
ฉีเฟิงที่อยู่ข้างๆ ถึงกับตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าซื่อจื่อ
ของเขาจะฆ่าคนได้เด็ดขาดเช่นนี้
หยางหนิงก็ไม่ได้คิดจะไว้ชีวิตเขาแต่แรกอยู่แล้ว คน
พวกนี้วางหลุมพราง เกือบทาให้เขาตาย แถมยังทา
ร้ายกู้ชิงฮั่นอีก กับคนเช่นนี้ หยางหนิงไม่เคยใจอ่อน
อยู่แล้ว
เขาเก็บมีดกลับไป แล้วสั่งว่า “จัดการศพให้
เรียบร้อย คนในจวนเก่าพวกนั้นก็ถูกหลอก
เหมือนกัน ปล่อยพวกเขาซะ จริงสิ คนติดตามพวก
นั้น ก็น่าจะไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย สั่งสอนพวกเขา
แล้วก็ปล่อยพวกมันไปไสหัวไป”
หยางหนิงกลับมาถึงห้องโถง เห็นกู้เหวินจางนั่งอยู่
ในห้องโถง สีหน้าดูผิดหวังยิ่งนัก เมื่อเห็นหยางหนิง
ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ พวกเรามาช้าไป”
หยางหนิงเข้าใจความหมายของเขา ยิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านลุง ต่อไปยังมีโอกาสอีก ท่านลุงเป็นผู้นาทหาร
ได้ดีมาก หากไม่ใช่ใต้เท้าเหมาชิงลงมือก่อน ตาม
แผนการของท่านลุงในคืนนี้ พวกเราจะต้องชนะ
แน่นอน”
กู้เหวินจางยิ้มแล้วพูดว่า “ฝึกทหารเป็นพันวันใช้
ทหารแค่วันเดียว คนของข้าเป็นพวกออกศึกได้
ตลอดเวลา ใช่ว่าข้าจะคุยโตโอ้อวด หากไม่ใช่ใต้เท้า
เหมานาทหารชิงลงมือก่อน วันนี้พวกเราคงได้ฆ่า
พวกมันได้ไม่เหลือ จริงสิ ซื่อจื่อ แม่ทัพใหญ่สิ้นไป
ตาแหน่งโหวท่านต้องได้รับสืบทอดแน่นอน เจ้าเป็น
คนของตระกูลฉี ต่อไปคงต้องออกศึกบ่อยครั้ง
แน่นอน หากต้องการให้ลุงช่วย ขอแค่ส่งคนมาบอก
คนของลุงพร้อมจะเป็นทัพหน้าให้เจ้าแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอขอบคุณท่านลุงล่วงหน้า” หยาง
หนิงยกมือขึ้นคานับ แล้วมองไปที่เหมาเหวินโซ่ว
แล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหมา ยังมีอีกเรื่องอยากจะไหว้
วานท่าน”
“ซื่อจื่อสั่งมาได้เลยขอรับ”
หยางหนิงพูดว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนเก่าคราวนี้
ทางจวนโหวไม่รู้เรื่องมาก่อน ทาให้พวกโจรพวกนี้
...!”
เขายังพูดไม่ทันหมด เหมาเหวินโซ่วก็รีบตาหนิ
ตัวเองว่า “เพราะข้าน้อยดูแลไม่ทั่วถึงเอง”
“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของใต้เท้าเหมา” หยางหนิง
ยกมือขึ้นมาพูดต่อว่า “แต่ว่าต่อไปก็ยังต้องรบกวน
ใต้เท้าเหมาช่วยดูแลให้ดีกว่านี้ นอกจากนี้ภาษีที่ดิน
ศักดินา ให้ทาตามกฎของท่านเหล่าโหว ไม่ว่า
เมื่อไหร่ก็ตาม ห้ามเกินสองส่วน จริงๆ ข้าควรจะอยู่
อธิบายกับทุกคนด้วยตัวเอง แต่ว่าดูเวลาแล้วน่าจะ
ไม่ทัน พวกเรายังต้องรีบกลับเมืองหลวง ดังนั้นเรื่อง
นี้ก็คงต้องรบกวนใต้เท้าเหมาด้วย”
“ซื่อจื่อจะกลับเมืองหลวงเลยหรือขอรับ?” เหมาเห
วินโซ่วรีบพูดว่า “ซื่อจื่อโปรดวางใจ เรื่องนี้ข้าจะรีบ
จัดการ”
ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ทุกคนอยู่พักผ่อนกันในจวนเก่า
สักหนึ่งคืนเถิด หยางหนิงกลับไปถึงห้องของตัวเอง
ก็หยิบเอาภาพกระบวนท่าฝึกกระบี่ออกมา ไม่มีผู้ใด
ไปแตะต้องมันเลย จากนั้นก็เก็บไว้กับตัว เขารู้ว่ากู้
ชิงฮั่นยังเป็นห่วงอยู่ พอเช้ามืดก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลา
เปล่า เดินทางกลับเมืองชิงเห๋อพร้อมกับกู้เหวินจาง
เลย
ส่วนทางจวนเก่า ถึงแม้เหมาเหวินโซ่วจะถอนทหาร
ออกไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือทหารจานวนหนึ่งเฝ้าเอาไว้
เมื่อกลับมาถึงจวนตระกูลกู้ที่เมืองชิงเห๋อก็เที่ยงแล้ว
กู้เหวินจางเตรียมอะไรใหญ่โต แต่สุดท้ายก็ไม่สาเร็จ
สมใจ ในใจเขาก็รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
เมื่อเดินเข้าจวนตระกูลกู้ หยางหนิงก็เห็นเจ้า
อัปลักษณ์นั่งอยู่ที่นอกกาแพงประตูห้องโถงใหญ่
เขานั่งทาตัวขี้เกียจตากแดดอยู่ ดูเหมือนเขาจะ
สบายอกสบายใจไม่น้อย
กู้เหวินจางกลัวหยางหนิงเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายว่า
“ซื่อจื่อ คนๆ นี้ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณของน้องหญิง
หลายวันมานี้พวกเราจึงดูแลเขาเป็นอย่างดี เตรียม
ห้องพัก หาอาหารให้เขา แต่ว่าเขาแปลกมาก ไม่ไป
นอนในห้อง ชอบนอนอยู่ริมกาแพง บางวันก็วิ่งไปวิ่ง
มาในห้องตอนดึกๆ ทาให้คนกลัวไม่น้อยเลย”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านลุงไม่ต้องกลัวหรอก
เขาไม่ใช่คนเลว ขอแค่เขากินอิ่มท้องเขาก็พอใจ
แล้ว”
“เขากินเยอะมากเลยนะ มื้อหนึ่งไก่สามตัวยังไม่อิ่ม
เลย” กู้เหวินจางพูดว่า “ซื่อจื่อ เขาเป็นใครมาจาก
ไหนกันหรือ?”
“ซานเหนียงไม่ได้บอกท่านหรือ?” หยางหนิงถาม
ด้วยความแปลกใจ
กู้เหวินจางถอนหายใจแล้วพูดว่า “หลังจากที่นาง
กลับมา ก็ให้ข้าส่งคนไปออกตามหาเจ้า เป็นห่วงเจ้า
ทุกคืนทุกวัน นางไม่ได้พูดถึงที่มาที่ไปของเขาเลย
ข้าเองก็ไม่กล้าถามมาก”
“ท่านลุง ท่านเห็นเสื้อคลุมสีดาที่เขาใส่อยู่หรือไม่
มันใช่หนังหมีหรือไม่?”
กู้เหวินจางพูดว่า “ใช่ นี่เป็นหนังหมีดาแน่นอน ใน
จวนข้ามีเสื้อคลุมขนเสือสามตัว แล้วก็เสื้อคลุมหนัง
จิ้งจอกอีกสองสามตัว แต่ไม่มีเสื้อคลุมหนังหมีเลย
สักตัว หมีเป็นสัตว์ที่จับยากยิ่งนัก อีกอย่างต่อให้ฆ่า
หมีดาได้จริงๆ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถทอเสื้อคลุมตัว
ใหญ่ขนาดนี้ได้”
“หรือว่ากลัวว่าจะมีบาดแผลหรือ?”
กู้เหวินจางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ไม่ว่าจะ
เป็นรอยดาบหรือธนู หากว่ามีรอย ก็ยากที่จะทอเสื้อ
คลุมใหญ่ๆ เช่นนี้ออกมาได้ ต่อให้ช่างฝีมือดีแค่ไหน
ก็ทาให้มันไร้บาดแผลทั้งหมดไม่ได้ จะฆ่าหมีโดย
ไม่ให้มีบาดแผลเลยไม่ใช่เรื่องง่าย” จากนั้นก็ชี้ไปที่
เสื้อคลุมสีดาของชายอัปลักษณ์ “เสื้อคลุมของเขา
ตัวนี้ถึงแม้จะสกปรก แต่ข้าก็เห็นว่าหนังหมีของมัน
ไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่น้อย”
“ท่านลุง ท่านเป็นคนรอบรู้มากจริงๆ ทั่วทั้งเจียงห
ลิงคงไม่มีผู้ใดเทียบท่านได้...!” หยางหนิงค่อยๆ พูด
กู้เหวินจากยืดอกอย่างภาคภูมิใจ แสดงออกอย่าง
ชัดเจนว่าเขาพอใจกับคาพูดของหยางหนิงมาก
จากนั้นหยางหนิงก็พูดต่อว่า “ท่านว่าเขาจะเป็นคน
เจียงหลิงหรือไม่? เสื้อคลุมหนังหมีของเขา พอจะหา
เบาะแสอะไรจากเสื้อคลุมตัวนั้นได้บ้างหรือไม่?”
กู้เหวินจางพูดว่า “ตอนที่ข้าเห็นเขาครั้งแรก ก็รู้สึก
แปลกใจมาก คนที่จะมีเสื้อคลุมหนังหมีแบบนี้ได้
จะต้องเป็นคนมีฐานะพอตัว และไม่ใช่คนธรรมดา
ตามหลักแล้ว ตระกูลใหญ่ๆ ในเจียงหลิง ที่ไปมาหา
สู่กับตระกูลกู้ ต่อให้ไม่ได้สนิทสนมกัน แต่ก็รู้จัก
หน้าตากันเป็นอย่างดี หากเป็นคนเจียงหลิงจริง ข้า
ก็ต้องรู้จัก”
“หมายความว่าท่านลุงคิดว่าเขาไม่ใช่คนเจียงหลิง
รึ?”
กู้เหวินจางพูดด้วยความมั่นใจว่า “เขาจะใช่คน
เจียงหลิงหรือไม่ข้าก็บอกไม่ได้ แต่ว่าเขาจะต้องไม่ใช่
คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน หากเขาเป็นคนเจียงหลิง
เสื้อคลุมตัวนี้ก็น่าจะขโมยมา เพราะทั่วทั้งเจียงหลิง
เท่าที่ข้ารู้ เสื้อคลุมแบบนี้มีไม่เกินสามตัว แล้วคนที่มี
ข้าก็รู้จักหมด พวกเขาเห็นมันเป็นสมบัติหายากเก็บ
เอาไว้อย่างดี แทบจะไม่เอาออกจากบ้านเลย คิดจะ
ขโมย ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องง่ายอย่างนั้น นอกจากว่า
เขาจะสามารถบินข้ามกาแพงเข้าไปได้”
หยางหนิงคิดว่าเขาจะสามารถได้ข้อมูลอะไร
เกี่ยวกับชายอัปลักษณ์มาบ้าง แต่ดูท่าแล้ว ก็คงไม่ได้
อะไรเหมือนเดิม มันยิ่งทาให้เขายิ่งอยากรู้ว่าชาย
อัปลักษณ์นั้นเป็นใครมาจากไหน
ชายอัปลักษณ์กินอิ่มนอนหลับ เขาตากแดดอย่าง
สบายใจ ถึงแม้จะเห็นหยางหนิง แต่ก็ไม่ได้วิ่งมาขอ
อาหารจากหยางหนิงอีก
“ซื่อจื่อ ฮูหยินสามขอเชิญท่านไปพบขอรับ”
ขณะที่หยางหนิงกาลังใช้ความคิด ก็ได้ยินเสียงสาว
ใช้ของตระกูลกู้ดังขึ้นมา
พวกหยางหนิงกลับมาถึงจวนตระกูลกู้ มีคนไป
รายงานให้กู้ชิงฮั่นทราบแล้ว หยางหนิงคิดว่าหลาย
วันมานี้กู้ชิงฮั่นเป็นห่วงเขาทุกวันทุกคืน ในใจก็รู้สึก
ซาบซึ้ง แล้วก็พูดว่า “พาข้าไปพบฮูหยินสามที!”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 113 เกลือเป็นหนอน
ถึงแม้กู้ชิงฮั่นจะแต่งเข้าตระกูลฉีไปแล้ว แต่ว่าจวน
ตระกูลกู้ก็ยังคงเก็บเรือนนอนของนางเอาไว้ โดยมี
การทาความสะอาดอยู่เป็นประจา หลังจากหยางห
นิงเดินเข้าไปในห้อง ก็เห็นกู้ชิงฮั่นนั่งรออยู่ในห้อง
แล้ว เมื่อเห็นหยางหนิงเข้าเดินมา กู้ชิงฮั่นก็รีบลุก
ขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาทันที
หยางหนิงกาลังคิดจะพูดปลอบขวัญนางสักประโยค
สองประโยค ทว่ากู้ชิงฮั่นก็รีบยกมือขึ้น แล้วตบไปที่
หน้าของหยางหนิง จริงๆ แล้วหยางหนิงสามารถ
หลบหลีกได้อย่างสบายๆ ทว่าเขาไม่คิดจะหลบแต่
อย่างใด แม้มือของกู้ชิงฮั่นตบมาที่หน้าของหยาง แต่
แรงของกู้ชิงฮั่นนั้นไม่ได้ทาให้หยางหนิงเจ็บเลย
แม้แต่น้อย หยางหนิงฝืนยิ้มอย่างขมขื่น กู้ชิงฮั่นพูด
ด้วยความโกรธว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงตบ
เจ้า?”
“ซานเหนียงโกรธที่ข้าแยกตัวไปคนเดียวในวันนั้น”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูด
กู้ชิงฮั่นดวงตาแดงก่า แล้วพูดว่า “เจ้ารู้ด้วยหรือ?
เจ้ารู้หรือไม่ หากเจ้าเป็นอะไรไป แล้วข้าจะอยู่ได้
อย่างไร?”
“ซานเหนียง...!” หยางหนิงรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก แล้ว
พูดด้วยความอ่อนโยนว่า “ท่านก็รู้ วันนั้น
สถานการณ์มันบังคับ ไม่อย่างนั้นข้าจะไปจากท่าน
ได้อย่างไร?”
กู้ชิงฮั่นน้าตาไหลพราก แล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะเกิด
อะไรขึ้น เจ้าก็ไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเช่นนี้ เจ้า
รู้หรือไม่ชีวิตของเจ้ามันเป็นชะตาของคนทั้งตระกูล
แล้วจะมาเสี่ยงเพื่อข้าแบบนี้ได้อย่างไรกัน? ยังดีที่
เจ้าปลอดภัยกลับมา ไม่อย่างนั้น...!” จากนั้นนางก็
ยกมือขึ้นมาปิดปาก หยางหนิงพูดอย่างอ่อนโยนว่า
“ซานเหนียง ตอนนี้ข้ากับท่านก็ปลอดภัยกันแล้ว
มิใช่หรือ อย่าเสียใจอีกแล้วนะ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องรับปากข้า ต่อไปจะไม่ทาเรื่อง
เหลวไหลเช่นนี้อีก” ดวงตาของกู้ชิงฮั่นงดงามราว
กับละอองน้า
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยง
อันตรายง่ายๆ แต่ว่าหากเจอสถานการณ์อย่างเช่น
วันนั้นอีก ข้าก็จะเลือกทาเหมือนเดิม”
“เจ้า..!” กู้ชิงฮั่นโมโหมาก ยกมือขึ้นจะตีอีก หยาง
หนิงจับข้อมือของนางเอาไว้ แล้วพูดว่า “ซานเหนียง
ท่านบอกว่าข้าโตแล้ว ในเมื่อข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
เรื่องบางเรื่องข้าก็รู้ว่าควรทาเช่นไร หรือว่าท่านไม่
อยากเห็นข้าเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวหรือ?”
“เจ้า...เจ้าปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ!” กู้ชิงฮั่นถูกหยางห
นิงจับข้อมือเอาไว้ หน้าก็พลันแดงระเรื่อขึ้นมา และ
รีบสะบัดมือทิ้งทันที แล้วหันตัวกลับไปนั่งด้วยความ
โมโห จากนั้นก็พูดว่า “ได้ ในเมื่อเจ้าโตแล้ว ต่อจาก
นี้ก็เป็นเรื่องของเจ้า ข้าจะไม่ยุ่งอีก เจ้าคิดจะทา
อะไรก็เรื่องของเจ้า ข้าไม่อยากเสียเวลาไปเป็นห่วง
แล้ว”
หยางหนิงเดินไปด้านหลังของกู้ชิงฮั่น จากนั้นก็พูด
ด้วยความอ่อนโยนว่า “เรื่องของข้าหากท่านไม่
สนใจแล้ว ใครจะสนใจอีกเล่า? ซานเหนียง ท่านอย่า
ทาเช่นนี้เลย หากท่านไม่สนใจข้าแล้ว ข้ากลัวว่าข้า
จะกลายเป็นคนไม่ดีเอาได้นะ”
กู้ชิงฮั่นรีบหันหน้ามามองหยางหนิงแล้วพูดว่า
“ตอนนี้เจ้าก็เป็นคนที่เลวที่ไม่รู้จักกลัวอะไรอยู่แล้ว
ไม่ใช่หรือ?”
“ตอนนี้ข้ากลายเป็นคนเลวแล้วหรือ?” หยางหนิง
ลูบจมูกตัวเองแล้วพูดต่อว่า “ซานเหนียง ถ้าอย่าง
นั้นท่านบอกข้าที ข้าเลวอย่างไรหรือ?”
เขาก็แค่พูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่พอกู้ชิงฮั่น
ได้ยิน ก็รู้สึกหูร้อน หน้าร้อนผ่าวขึ้นมา ก็พลันตั้งใจ
ทาหน้าบูดบึ้งขึ้นมา และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ที่
บ้านเก่าตระกูลฉีเป็นอย่างไรบ้าง? ใครเป็นคนส่งคน
พวกมันมารึ?”
หยางหนิงยื่นมือไปลากเก้าอี้มา คิดจะนั่งใกล้กู้ชิงฮั่น
แต่กู้ชิงฮั่นส่งสายตาไป แล้วพูดว่า “ไปนั่งตรงโน้น”
หยางหนิงชะงักงันขึ้นทันที ไม่มีทางเลือกอื่น ทาได้
แค่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกู้ชิงฮั่น แล้วพูดว่า “จ้าวยวน
ที่ทางานที่ห้องบัญชีตายแล้ว ฉีเฉิงตัวปลอมก็ตาย
แล้วเหมือนกัน”
“หา?” กู้ชิงฮั่นตกใจแล้วพูดว่า “พวกเขา......!”
“หลายปีมานี้พวกเขาควบคุมจวนเก่าให้อยู่ในกามือ
ของพวกเขา สั่งเก็บภาษีสี่ส่วน เงินภาษีสองส่วนส่ง
เข้าเมืองหลวง เพื่อคุมสถานการณ์ให้เป็นปกติเข้าไว้
ส่วนที่เหลือ เหมือนจะส่งไปยังปาสู่” หยางหนิงพูด
ต่อว่า “ส่วนที่ว่าส่งไปที่ไหนในปาสู่ ตอนนี้ยังไม่รู้”
“ปาสู่รึ?” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วมุ่นแล้วพูดว่า “เป้าหมาย
ในการควบคุมจวนเก่าเอาไว้ ก็เพื่อเงินสองส่วนนี้
อย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “มันไม่น่าจะง่ายอย่าง
นั้น ฉีเฉิงตัวปลอมก่อนตายสารภาพว่า ในจวนโหว
ของพวกเรา มีคนที่เป็นหูเป็นตาของพวกมันอยู่
ความเคลื่อนไหวทุกอย่างของทางจวนโหว พวกมัน
ล้วนรับรู้ทั้งหมด ข้าเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหก พวกเรา
กลับมาที่เจียงหลิงในครั้งนี้ เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน
คนที่รู้มีไม่กี่คน แต่ว่าทางจวนเก่ากลับรู้เรื่องทุก
อย่าง ถึงขั้นสามารถวางกับดักหลุมพรางได้ หากไม่
มีคนบอกพวกมัน พวกมันก็คงไม่สามารถเตรียมการ
ได้อย่างสมบูรณ์ขนาดนี้”
“เจ้าหมายความว่าในจวนโหวมีหนอนบ่อนไส้อย่าง
นั้นหรือ?” กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความตกใจ
“ไม่ผิด” หยางหนิงพูดอีกว่า “เงินภาษีรอบนี้ พวก
มันก็ส่งไปเมืองหลวงแล้วจริงๆ แต่แค่ไม่ได้ส่งไปที่
จวนโหว แต่ได้ส่งให้กับคนของตระกูลฉีแล้ว”
“เป็นไปได้อย่างไร?” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดต่อไป
ว่า “พวกเราก็เห็นอยู่ว่าไม่เห็นเงินภาษีส่งมาเลย
แม้แต่อีแปะเดียว”
“ทั้งหมดอยู่ที่ท่านใหญ่สาม” หยางหนิงยิ้มแล้วพูด
ว่า “เงินภาษีถูกท่านใหญ่สามเก็บเข้าถุงไปนานแล้ว
เขารู้อยู่เต็มอกว่าทางจวนโหวกาลังลาบาก แต่เขาก็
ไม่เคยปริปากพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วหนักขึ้น แล้วถามว่า “หรือว่าท่าน
ใหญ่สามจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องทั้งหมด
นี้? เขาเป็นหนอนบ่อนไส้หรือ?”
หยางหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านใหญ่สามมีส่วน
เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ แต่ว่าเขาไม่ใช่หนอนบ่อน
ไส้ที่ฉีเฉิงตัวปลอมพูดถึง” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้ว
พูดว่า “ซานเหนียง พวกเรามาที่เจียงหลิง นอกจาก
คนที่ติดตามพวกเรามาแล้ว ในจวนโหวคนที่รู้เรื่องนี้
มีไม่เกินสี่คน ส่วนทางท่านใหญ่สามเองก็ไม่รู้เรื่องนี้
ดูจากการเตรียมการของทางนี้แล้ว พอพวกเราออก
จากเมืองหลวง คนๆนั้นก็น่าจะส่งจดหมายมาบอก
ทางเจียงหลิงก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นไม่น่าจะใช่คน
ของท่านใหญ่สามอย่างแน่นอน”
กู้ชิงฮั่นยิ่งฟังก็ยิ่งงง แล้วถามว่า “หนิงเอ๋อ แล้วสรุป
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ข้ายิ่งฟังก้ยิ่งไม่เข้าใจ?”
“ซานเหนียง จ้าวยวนกับท่านใหญ่สามจะต้องเคย
ติดต่อกันมาก่อน และก็ต้องเคยติดต่อกับฉีอวี้ด้วย”
หยางหนิงพูดด้วยความจริงจังว่า “พวกเขาจะต้อง
แอบวางแผนอะไรอยู่แน่ๆ ส่วนคนที่เป็นหูเป็นตาอยุ่
ในจวนคนนั้น ก็น่าจะเป็นคนอื่น” จากนั้นก็ขยับเข้า
ไปใกล้ๆ แล้วพูดว่า “จ้าวยวนน่าจะส่งคนติดต่อกับ
ตระกูลฉีทั้งสองทาง ทางหนึ่งน่าจะเป็นท่านใหญ่
สามกับฉีอวี้ อีกทางก็เป็นหนอนบ่อนไส้ในจวน”
กู้ชิงฮั่นพูดขึ้นว่า “ท่านใหญ่สามอยากจะให้ฉีอวี้สืบ
ทอดตาแหน่งโหว พวกเขาแอบติดต่อกัน คิดว่าคง
อยากจะควบคุมจวนโหวเอาไว้ในกามือ นั้นก็
หมายความว่าเป้าหมายของพวกเขาก็เพื่อทาให้พวก
เราตกที่นั่งลาบาก”
หยางหนิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “จากคา
สารภาพของฉีเฉิงตัวปลอม พวกเขาตั้งใจวางกับดัก
ให้ข้ากับท่านสองคน...อย่างว่า เพื่อที่พวกเขาจะได้
ใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง ในการควบคุมให้ข้าอยู่ในกา
มือของพวกเขา...!” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็นึกถึง
เรือนร่างอันเย้ายวนของกู้ชิงฮั่นขึ้นมา น้าเสียงอัน
ยั่วยวนนั้นมันยังดังก้องอยู่ในหูของเขา ใจของเขาก็
พลันเต้นแรงขึ้นมา ในตอนแรกกู้ชิงฮั่นยังจ้องหน้า
ตั้งใจฟังที่หยางหนิงพูดอยู่อย่างเคร่งเครียด พอได้
ยินเรื่องนี้ ก็หันหน้ากลับไป ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา
เอามือขึ้นมาปิดหน้าอกเอาไว้ รู้สึกกระอักกระอ่วน
ยิ่งนัก
ภายในห้องอยู่ๆ ก็เงียบไป หยางหนิงรู้สึกขวยเขิน
ขึ้นมา จากนั้นก็พูดขึ้นเพื่อทาลายความเงียบขึ้นมา
ว่า “ข้าคิดว่าเขาต้องการอาศัยเรื่องนี้ควบคุมข้า
แล้วก็ควบคุมท่านด้วย แต่คงไม่ใช่เพื่อแค่อยากจะ
ให้ฉีอวี้สืบทอดตาแหน่งโหว เพราะจ้าวยวนไม่ได้
สนใจฉีอวี้เลยแม้แต่น้อย ฉีอวี้เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง
ของเขาเท่านั้น วางแผนกันขนาดนี้ คงไม่ใช่แค่
อยากจะช่วยให้ฉีอวี้ได้ตาแหน่งโหวหรอกกระมัง
จ้าวยวนคงไม่ได้ใจดีขนาดนั้น”
กู้ชิงฮั่นคิดแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อ หรือว่าคนพวกนั้น
ไม่ได้คิดจะควบคุมเจ้าโดยตรงตั้งแต่แรก เขาแอบ
ติดต่อกับฉีอวี้ หลังจากที่เขาได้ตาแหน่งโหว ก็หลอก
ใช้ฉีอวี้ให้ทาตามที่พวกเขาต้องการอีกที แต่ว่า
เพราะพวกเราอยู่ที่เจียงหลิง พวกเขาก็เลยคิดจะ
ควบคุมเจ้าแทน?”
หยางหนิงพยักหน้าพูดว่า “มันก็เป็นไปได้เหมือนกัน
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะควบคุมฉีอวี้หรือควบคุมข้า พวก
เขาก็เห็นพวกเราเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น
แผนการหลังจากนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่าง
แน่นอน พวกเขาคิดจะทาอะไรกันแน่?” เมื่อคิดถึง
ตรงนี้ ก็ถามว่า “ซานเหนียง ตัวของจ้าวยวนไม่ได้มี
ความสามารถขนาดนั้น แค่คนธรรมดาไม่กี่คน ไม่มี
ปัญญาลงมือกับจวนจิ่นอีโหวได้หรอก ข้ารู้คนที่อยู่
เบื้องหลังพวกเขาแล้ว พวกเขาบอกว่าเป็นคนของ
ดินแดนจิ่วโย่ว เหมือนคนๆ นี้จะมีความแค้นกับ
ตระกูลฉีอีกด้วย ท่านเคยได้ยินชื่อนี้บ้างหรือไม่?”
“ดินแดนจิ่วโย่วรึ?” กู้ชิงฮั่นตะลึงไป จากนั้นก็คิดอยู่
ครู่หนึ่งจากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เคยได้ยิน
เลยนะ คนๆ นี้มีความแค้นอะไรกับพวกเราหรือ?”
“ข้าเองก็ไม่รู้” หยางหนิงยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ศัตรู
อยู่ในที่ลับ พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ถึงแม้พวกเราจะ
แก้ไขปัญหาเรื่องจวนเก่าไปแล้ว แต่ว่าข้ายังเป็นห่วง
ว่าพวกเขาจะไม่เลิกราง่ายๆ ครั้งนี้เขาส่งจ้าวยวนมา
ก่อเรื่อง ก็ไม่ได้ออกหน้าเอง คิดว่าคงยังไม่มีเวลามา
สนใจเรื่องของพวกเรามากนัก ข้าเป็นห่วงว่าถ้าเขา
ลงมือเอง จะเป็นปัญหามากกว่านี้”
สีหน้าท่าทางของกู้ชิงฮั่นดูกังวล จากนั้นนางก็ยิ้ม
ฝืนๆ แล้วพูดว่า “ข้าทั้งอดทนทั้งยอมสองแม่ลูกฉีอวี้
มาตลอด ถึงแม้จะรู้ว่าพวกเขาสองแม่ลูกจะคิดไม่ซื่อ
แต่อย่างไรเขาก็เป็นสายเลือดของตระกูลฉี ข้าจึงปิด
ตาข้างหนึ่งมาตลอด แต่ว่าพวกเขากับทาตัวเกลือ
เป็นหนอนแบบนี้ ข้าจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่”
“ยังมีอีกเรื่อง เรื่องนี้ซานเหนียงน่าจะยังไม่รู้” หยาง
หนิงพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ฮ่องเต้สวรรคต
แล้ว!”
“หา?” กู้ชิงฮั่นตกใจยิ่งนัก “เจ้า...เจ้าไปได้ข่าวมา
จากที่ใดรึ?”
“เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน” หยางหนิงพูดว่า “ดังนั้น
ตอนนี้พวกเราจะต้องรีบกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุด
หากเมืองหลวงวุ่นวาย แล้วพวกเราไม่อยู่ในเมือง
หลวง ข้าเกรงว่าจะมีคนฉวยโอกาสลากพวกเราเหว
เอาได้ หากพวกเราไม่อยู่คุมสถานการณ์ในเมือง
หลวง จะต้องมีคนฉวยโอกาสนี้อย่างแน่นอน”
สีหน้าของกู้ชิงฮั่นเคร่งเครียด พยักหน้าแล้วพูดว่า
“หนิงเอ๋อพูดถูก ตอนนี้สถานการณ์คับขัน หากเดิน
พลาดแค่ก้าวเดียว อาจจะแหลกสลายไม่มีชิ้นดีเลยก็
ได้” จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “พวกเรารีบเก็บของ
แล้วกลับเมืองหลวงกันเถอะ” จากนั้นเหมือนนางจะ
คิดอะไรอยู่ ลังเลไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดว่า “
หนิงเอ๋อ ในเมืองหลวงวุ่นวายยิ่งนัก เอาอย่างนี้ดี
หรือไม่....เจ้าอยู่ที่เจียงหลิงไปก่อน ข้าจะกลับไป
ก่อนคนเดียว...!”
หยางหนิงรู้ว่านางเป็นห่วงว่าถ้าเขากลับไปตอนนี้
อาจจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับการแย่งชิง ก็เลย
อยากจะให้เขาอยู่ที่เจียงหลิงจนเรื่องสงบก่อน
จนถึงตอนนี้ หยางหนิงก็ไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับ
ตระกูลฉีมากมาย ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องภาระความ
รับผิดชอบ แต่เมื่อนึกถึงว่าหากตระกูลฉีได้รับโทษ
ตระกูลกู้ในฐานะตระกูลที่แต่งงานกับตระกูลฉี ก็
จะต้องถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน กู้
ชิงฮั่นก็จะต้องลาบากไปด้วย หากช่วยได้ก็ช่วย เขา
เป็นคนที่รู้ว่าบุญคุณความแค้นแยกชัดเจน คนที่มี
บุญคุณกับเขา เขาจะต้องตอบแทนแน่นอน แต่หาก
มีความแค้นกับเขา เขาก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกัน
เรื่องที่เจียงหลิงทาให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด ซึ่งมัน
ก็ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวกับท่านใหญ่สามกับฉีอวี้ สิ่งที่
สาคัญที่สุดคือในจวนโหวมีหนอนบ่อนไส้ ไม่ว่า
อย่างไรก็ตาม จะต้องกลับไปจัดการให้เรียบร้อย
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 114 วางอานาจบาตรใหญ่
เมื่อพวกของหยางหนิงกลับถึงเมืองหลวงแล้ว
อากาศก็เริ่มเย็นลง บรรยากาศในเมืองหลวง
เคร่งเครียดยิ่งนัก
ประตูเมืองหลวงถูกปิด ทหารเฝ้าประตูเมืองต่าง
เปลี่ยนชุดเกราะเป็นสีขาว ยังไม่ทันจะได้เข้าเมือง
หยางหนิงก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่ดูเคร่งเครียด
ถนนในเมืองหลวงเล็กใหญ่ต่างเป็นสีขาวโผน ก่อน
หน้านี้จิ่นอีโหวฉีจิ่งตายไป ถนนหลายเส้นก็แขวนผ้า
ขาวเอาไว้ ตอนนี้ก็ฮ่องเต้ต้าฉู่สวรรคต ทั่วทั้งเมือง
ต่างถูกปกคลุมไปด้วยสีขาว บนถนนคนที่เดินไปมาก็
มีน้อยมาก รู้สึกวังเวงยิ่งนัก
หยางหนิงรู้สึกถึงบรรยากาศที่ช่างหดหู่ นี่เป็นครั้งที่
สองที่เขาเข้าเมืองหลวง ครั้งแรกเข้าเมืองมาเจองาน
ศพของจิ่นอีโหว ครั้งที่สองเข้าเมืองมา เจองานศพ
ของฮ่องเต้ต้าฉู่
กลับเมืองหลวงมาครั้งนี้ เร่งเดินทางกันทั้งวันทั้งคืน
ไม่ให้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
ทางเจียงหลิงกู้ชิงฮั่นได้จัดการวางแผนสั่งการไว้
เรียบร้อยหมดแล้ว พ่อบ้านใหญ่จวนเก่าได้รับการ
รักษา ส่วนเรื่องภายในจวนเก่า เหมาเหวินโซ่วได้ส่ง
คนไปดูแลชั่วคราว รอจนกว่าทางจวนจิ่นอีโหวหา
คนเข้ามารับหน้าที่แทน
ชายอัปลักษณ์ไม่รู้ที่มาที่ไปที่ชัดเจน ถึงแม้ทาง
ตระกูลกู้จะเพิ่มเลี้ยงดูเพิ่มขึ้นอีกสักคนก็คงไม่เป็น
ปัญหาอะไร แต่หยางหนิงคิดว่าคนๆ นี้เคยช่วยชีวิต
กู้ชิงฮั่นเอาไว้ จึงพาเขากลับมาเมืองหลวงด้วย คน
ในจวนจิ่นอีโหวมีมากมาย เพิ่มมาอีกสักคนคงไม่ใช่
เรื่องใหญ่อะไร
พวกเขาเดินทางกลับมาจนถึงหน้าประตูจวน เห็น
ประตูจวนถูกปิดสนิท หน้าประตูก็ได้แขวนผ้าขาว
เอาไว้แล้ว ฮ่องเต้สวรรคต ไว้อาลัยกันทั่วแคว้น
ฉีเฟิงลงจากม้าลงมา จากนั้นก็เดินไปเคาะประตู
เคาะอยู่นานแต่ก็ไม่มีใครมาเปิดให้ คนๆ นั้นเมื่อเห็น
ฉีเฟิง ก็ตกใจ เขาเงยหน้าไปมองหยางหนิงที่กาลังลง
จากม้ามา สายตาของเขาก็พลันดีใจขึ้นมาเป็นอย่าง
มาก แม้แต่เสียงเองก็สั่นไปด้วยความตื่นเต้น
“ซื่อจื่อ พวกท่าน....พวกท่านกลับมาแล้วหรือ?”
ฉีเฟิงเห็นเขามีท่าทางแปลกๆ ขมวดคิ้วมุ่นแล้วพูดว่า
“ทาไมรึ? เจ้าดูแปลกๆ ไปนะ? เคาะประตูตั้งนาน
ทาไมถึงเพิ่งมาเปิดประตูเล่า?”
คนผู้นั้นก้มหน้าลง แล้วพูดว่า “พวกท่าน...พวกท่าน
เข้าไปดูเองเถิด”
หยางหนิงไปเปิดม่านรถม้าออก ช่วยพยุงกู้ชิงฮั่นลง
จากรถม้า จากนั้นเขาก็เดินไปที่หน้าประตู เห็นคนผู้
นั้นสีหน้าท่าทางแปลกประหลาด ก็รู้ว่าน่าจะเกิด
เรื่องอะไรขึ้นเป็นแน่ จึงรีบเดินเข้าไปในจวนทันที
ยังไม่ทันถึงห้องโถง ก็ได้ยินเสียงร้องเหมือนหมูถูก
เชือด หยางหนิงขมวดคิ้ว แล้วรีบเดินเข้าไป เห็นคน
ผู้หนึ่งถูกกดลงที่พื้น อีกคนถือไม้กระบองไว้ในมือ
กาลังฟาดตีก้นของคนผู้นั้นอย่างแรง ปากของเขาก็
พูดขึ้นว่า “เจ้ามีปากกับลิ้นไว้กินแค่ข้าวหรือ ให้
เรียกคนแค่นี้กลับเรียกไม่ได้”
หยางหนิงรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก ในเรือนนอกจากสอง
สามคนนี้แล้ว รอบๆ ก็ไม่มีผู้ใดอยู่เลย มันดูเงียบ
ผิดปกติ
เขาค่อยๆ เดินเข้าไป ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ คนผู้นั้นก็
เหมือนจะรู้ เห็นหยางหนิง อยู่ๆ ก็โผล่มา เห็นดังนั้น
แล้วเขาก็ตะลึงงันไปในทันที กระบองในมือก็
หยุดชะงักกลางอากาศ เหมือนถูกสกัดจุดเอาไว้
อย่างนั้น
พวกเขามองหน้ากัน คนผู้นั้นก็รีบโยนไม้ทิ้งไป แล้ว
หันหลังจะเดินไป หยางหนิงรีบเรียกให้เขาหยุด
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
คนผู้นั้นไม่กล้าขัดคาสั่งแต่อย่างใด จึงรีบหยุดเดิน
แล้วหันหลังกลับมา ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนพูดว่า
“ซื่อจื่อ ท่าน...ท่านกลับมาแล้วหรือ?”
“เหตุใดเห็นข้าแล้วต้องหนีด้วยรึ?” หยางหนิงถาม
“มิได้ขอรับ...!” คนผู้นั้นยิ้มขื่นแล้วพูดต่อไปว่า
“สายตาของข้าน้อยไม่ค่อยดี จึงไม่ทันเห็นท่าน
ซื่อจื่อ...!”
“เจ้าตาบอดหรืออย่างไร?” หยางหนิงเหลือบมอง
เขา จากนั้นเขาก็เห็นว่าที่ประตูห้องโถงใหญ่เหมือน
มีอะไร จากร่องประตูเห็นมีเงาคนเต็มไปหมด
จากนั้นก็ถามด้วยน้าเสียงเข้มๆ ว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
“ซื่อจื่อ ข้าน้อยเถียนหรง” คนผู้นั้นพูดต่อว่า
“ข้าน้อยจะเข้าไปรายงาน บอกทุกคนว่าซื่อจื่อกลับ
มาแล้วขอรับ” จากนั้นก็รีบหันตัวกาลังเตรียมจะไป
หยางหนิงยื่นมือไปจับที่ไหล่ของเขา แล้วถามว่า
“ข้าขอถามเจ้าหน่อย เหตุใดเจ้าต้องตีเขาด้วย?”
สีหน้าของเถียนหยงดูลนลาน แล้วพูดว่า “เอ่อ...เอ่อ
คือว่า...ข้าน้อยทาตามคาสั่งขอรับ”
“ทาตามคาสั่งอย่างนั้นรึ?” เสียงดังมาจากด้านหลัง
ของหยางหนิง “ทาตามคาสั่งของใครกัน? ใครสั่งให้
มาตีคนในจวนรึ?” กู้ชิงฮั่นเดินเข้ามา
คนที่ถูกตีเงยหน้าขึ้นมา เห็นหยางหนิงกับกู้ชิงฮั่น
หน้าตาของพวกเขาก็รุ้สึกดีใจยิ่งนัก แล้วพูดด้วย
น้าเสียงที่สั่นคลอนว่า “ซื่อจื่อ ฮู...ฮูหยินสาม พวก
ท่าน...พวกท่านกลับมาแล้ว ถ้าพวกท่านไม่กลับมา
ข้าน้อยต้องถูกตีจนตายแน่ๆ...!” เมื่อพูดถึงตรงนี้
น้าตาของเขาก็ไหลพรากลงมาทันที
หยางหนิงคิดในใจว่าในจวนจะต้องมีเรื่องอะไร
เปลี่ยนแปลงแน่ๆ จึงส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ตรงนั้น
ไม่ต้องพูดอะไร ค่อยๆ เดินไปยังนอกห้องโถงใหญ่
แล้วมองผ่านช่องประตูเข้าไป เห็นภายในห้องโถงมี
คนกลุ่มใหญ่กาลังคุกเข่าลง ฉงอี๋เหนียงนั่งอยู่ที่นั่ง
ตรงกลาง ด้านซ้ายมือมีฉีอวี้ยืนเอามือไขว้หลังอยู่
ด้านขวามีพ่อบ้านชิวยืนอยู่ด้วย
หยางหนิงไม่รีบเข้าไป เดินไขว้มือ ยืนอยู่ด้านนอก
ประตู จากนั้นก็ได้ยินเสียงของฉงอี๋เหนียงลอยมา
“...ข้าอยากให้พวกเจ้าจาไว้ให้ดีๆ ต่อไปใครกล้า
เรียกคุณชายน้อยอีก คนที่อยู่ด้านนอกนั่นก็คือผล
ของมัน ในบรรดาพวกเจ้ามีหลายคนที่ถูกซื้อมา มัน
ไม่ต่างอะไรกับวัวกับม้าหรอก หากเชื่อฟังทาตาม
คาสั่งดีๆ พวกเจ้าก็จะมีข้าวกิน หากไม่อย่างนั้นล่ะก็
อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
พ่อบ้านชิวที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “ได้ยินกัน
หรือไม่? ฮูหยินสามออกไปทาธุระด้านนอก เรื่อง
ภายในจวน ให้ฉงฮูหยินดูแลชั่วคราว ข้าขอบอกอีก
ครั้ง ต่อไปในจวนจะไม่มีคุณชายน้อยและฉงอี๋
เหนียงอีก มีแต่นายท่านกับฮูหยินเท่านั้น หากใคร
เรียกผิดอีก ถูกตีถือว่าน้อย ถึงเวลานั้นหากถูกตัดลิ้น
ขึ้นมา อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
เหล่าบ่าวไพร่สาวใช้คุกเข่าอยู่ที่พื้น ไม่กล้าพูดอะไร
“ยังมีอีก ตอนที่กู้ชิงฮั่นอยู่ พวกเจ้าแต่ละคนไม่รู้จัก
ฟ้าสูงแผ่นดินต่า มีบางคนเห็นว่ามีกู้ชิงฮั่นให้ท้าย
ไม่ให้เกียรติข้าเลยแม้แต่น้อย” ฉงอี๋เหนียงพูดด้วย
เสียงสูงว่า “จวนโหวไม่ได้แซ่กู้ ฉีอวี้เป็นนายของ
พวกเจ้า คาพูดของเขา ก็คือกฎของจวนนี้ พวกเจ้า
เข้าใจหรือไม่?”
ทุกคนต่างตอบว่า “อืม อืม” ฉงอี๋เหนียงเพิ่มเสียง
เข้าไปอีกว่า “เป็นใบ้กันหรืออย่างไร? ได้ยินกัน
หรือไม่?”
ทุกคนพร้อมใจกันพูดขึ้นมาว่า “ทราบแล้วขอรับ/
เจ้าค่ะ”
“ที่แท้ก็ยังมีแรงกันอยู่นี่นา” ฉงอี๋เหนียงยิ้มอย่างเย็น
ชาแล้วพูดว่า “แล้วเหตุใดเมื่อครู่ตอบเหมือนไม่มี
แรงอย่างนั้นเล่า? ดี พ่อบ้านชิว คืนนี้ไม่ต้องให้พวก
มันกินข้าว”
พ่อบ้านชิวกระแอมเสียง แล้วตะโกนว่า “ได้ยินกัน
แล้วใช่หรือไม่? คาพูดของฮูหยิน ต่อไปต้องตอบด้วย
เสียงที่ดังและฟังชัด ใครกล้าตอบแบบไม่มีเรี่ยวแรง
ก็จะไม่ได้กินข้าวอีก” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“ยังมีอีก เงินเดือนของเดือนนี้ ต้องถูกหักครึ่งหนึ่ง
เพื่อเป็นการลงโทษ”
เมื่อพูดจบ ก็มีคนผู้หนึ่งพูดขึ้นมาว่า “พ่อบ้านชิว
เรื่องนี้...เรื่องนี้คงไม่เหมาะสทเท่าไหร่กระมัง? คนใน
บ้านข้าต่างก็รอเงินก้อนนี้เพื่อไว้กินข้าวนะ หากว่า
ถูกหักไปครึ่งหนึ่ง...!”
“ทาไม ไม่พอใจหรือ?” ฉีอวี้ที่ไม่พูดอะไรเลยเอ่ย
ขึ้นมาว่า “คางคกหกขานั้นหายาก แต่คนใช้สองขา
หาได้ไม่ยาก หากเจ้าไม่พอใจ ก็ออกไปเสียเดี๋ยวนี้
เลย” เขายิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ต้วนฉางไห่
กล้ามากกว่าพวกเจ้าเยอะ? เขากินข้าวของจวนโหว
มาตั้งหลายปี ข้าพูดแค่คาเดียว เขาก็ออกไปเหมือน
หมาแล้วไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าเก่งกว่าเขาหรือ
อย่างไร? หากไม่อยากทา ก็ลุกขึ้นมา อยากไปไหนก็
ไปเลยตอนนี้”
ทุกคนก็มองหน้ากัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัด
“ใช่ มีบางคนอยากไปไหนก็ไป” ตอนนี้เอง ทุกคนที่
อยู่ในห้องโถงก็ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา เมื่อประตู
ถูกเปิดออก ก็มีคนยืนเอามือไขว้หลังเอาไว้ สีหน้า
ยิ้มอย่างเย็นชา ถึงแม้เขาจะไม่ได้ร่างกายกายาจนดู
น่ายาเกรง แต่ก็มีสง่าราศีไม่น้อย
ฉงอี๋เหนียงกับคนอื่นๆ ต่างเงยหน้าขึ้นมามอง เห็น
หยางหนิงเดินเอามือไขว้หลังเดินเข้ามา ทุกคนสี
หน้าก็เปลี่ยนไป บ่าวไพร่กับสาวใช้ที่คุกเข่าต่างหัน
ไปมอง เมื่อเห็นหยางหนิง ทุกคนก็มีสีหน้าที่ดีใจจน
ออกหน้าออกตา และมีคนพูดขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อ ซื่อจื่
อกลับมาแล้ว!”
พ่อบ้านชิวตกใจยิ่งนัก สีหน้าเขาพลันถอดสี แต่
พริบตาเดียวก็เปลี่ยนหน้าเป็นยิ้ม แล้วเดินเข้าไป ยก
มือคานับแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ท่านกลับมาสักที”
หยางหนิงเหลือบมองเขา แล้วพูดว่า “เหมือนจะมี
คนไม่อยากให้ข้ากลับมานะ” จากนั้นเขาก็เดินตรง
เข้าไป ทุกคนที่คุกเข่าอยู่ต่างหลีกทางให้ หยางหนิง
เดินไปถึงที่นั่งตรงกลาง เขาไม่แม้แต่จะมองฉีอวี้ เขา
จ้องไปที่ฉงอี๋เหนียง ฉงอี๋เหนียงพยายามสงบใจ
สายตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธ นางมองไปที่
หยางหนิง
“เจ้าคิดจะทาสิ่งใดรึ?” เห็นหยางหนิงจ้องมาที่
ตัวเองแบบไม่กระพริบตาเลย ฉงอี๋เหนียงก็รู้สึกกลัว
ขึ้นมาทันที
หยางหนิงพูดว่า “โตขนาดนี้แล้ว เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่รู้
อีกหรือ? ยังไม่รีบหลีกไปอีก ตรงนี้ เป็นที่ที่ของแม่
เลี้ยงอย่างท่านนั่งได้หรือ?”
“เจ้า...!” ฉงอี๋เหนียงโกรธแค้นยิ่งนัก “ฉีหนิง เจ้า
กล้าพูดกับข้าแบบนี้เชียวหรือ? ข้า...ข้าเป็นผู้ใหญ่
กว่าเจ้านะ เจ้ารู้จักกาลเทศะบ้างหรือไม่?”
“ข้าเองก็อยากจะพูดกับท่านแบบนี้เหมือนกัน ท่าน
รู้จักกาลเทศะบ้างหรือไม่?” หยางหนิงพูดต่อว่า
“จวนจิ่นอีโหวเปลี่ยนให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจเรื่อง
ต่างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่? ยังไม่หลีกไปอีก”
“เจ้าคงไม่อยากอยู่แล้วสินะ...!” ฉงอี๋เหนียงพูดอีก
ว่า “พวกเราให้คนอื่นมาตัดสินดีกว่า เจ้ามันคน
อกตัญญู กล้า...!”
“ฉงอี๋เหนียงท่านไม่อยากอยู่แล้วหรือ ไม่ทราบว่า
ท่านอยากจะตายอย่างไรหรือ?” หยางหนิงไม่รอให้
นางพูดจนจบ พูดขัดขึ้นมาว่า “อยากจะแขวนคอ
ตาย? หรืออยากจะปาดคอตัวเองตาย? หรือจะ
กระโดดตึกดีเล่า?” หยางหนิงพูดอีกว่า “ถ้าแขวน
คอข้าหาเชือกให้ท่านได้ ปาดคอข้าก็หามีดให้ท่านได้
แต่หากว่าจะกระโดดตึก ข้าจะให้คนไปหาบันใดให้
ท่าน เอาอย่างไรดีล่ะ ท่านอยากจะเลือกแบบไหน
ดี?”
ฉีอวี้กาหมัดแน่น ในตอนนี้เขาก็พลันตะคอกขึ้นมา
ว่า “ฉีหนิง เจ้าอย่ารังแกกันมากเกินไปนัก”
“รังแกมากเกินไปรึ?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“หลายวันที่ข้าไม่อยู่เมืองหลวง คิดว่าพวกเจ้ารังแก
คนอื่นน่าจะมากกว่านี้อีกกระมัง” จากนั้นเขาก็ยก
มือขึ้นแล้วชี้ไปยังบ่าวไพร่กับสาวใช้และพูดว่า
“พวกเขาทาอะไรผิด พวกเจ้ามีสิทธิอะไรสั่งให้พวก
เขาคุกเข่ารึ? พวกเจ้ามีสิทธิอะไรสั่งหักเงินเดือนพวก
เขารึ? เจ้าบอกว่าพวกเขาบางคนก็ไม่ต่างจากวัวกับ
ม้าที่ซื้อมา นั่นเป็นเพราะบ้านของพวกเขายากจน
พวกเขาไม่มีทางเลือกต้องเอาชีวิตรอด คนก็คือคน
มันเกี่ยวอะไรกับวัวกับม้ารึ?” จากนั้นก็หันหน้า
กลับไปพูดว่า “พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ”
คาพูดของหยางหนิง ทาให้ทุกคนรู้สึกปลื้มปีติเป็น
อย่างมาก พวกเขารู้สึกว่าอยู่ๆ ซื่อจื่อของพวกเขาก็
เปลี่ยนไป หยางหนิงออกคาสั่ง ทุกคนก็ต่างลุก
ขึ้นมาหมด แล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านซื่อจื่อ!”
ฉงอี๋เหนียงเห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็โกรธแค้นยิ่งนัก
แล้วพูดว่า “พวกเขาก็เป็นแค่คนใช้ ไม่รู้จักกาลเทศะ
หรือว่าข้าจะไม่มีสิทธิสั่งสอนพวกเขาเลยหรือ
อย่างไรกัน?”
“ไม่ได้!” หยางหนิงพูดอย่างเด็ดขาดมาก “นอกจาก
ลูกชายของเจ้า เจ้าไม่มีสิทธิมาสั่งสอนใครในจวนนี้
แม้แต่คนเดียว ม้าตัวเดียวเจ้าก็ไม่มีสิทธิ” เขาจ้อง
กลับไปแล้วพูดว่า “ท่านได้ยินชัดเจนหรือยัง?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 115 ขับไล่
“หุบปาก!” ฉีอวี้ตะคอกเสียงดัง “จวนจิ่นอีโหวไม่ได้
มีแค่เจ้าคนเดียว เจ้าเองก็ไม่มีสิทธิพูดกับแม่ข้าแบบ
นี้”
“เขาไม่มีสิทธิ แล้วใครมีสิทธิกัน?” เสียงเยือกเย็น
เสียงหนึ่งดังขึ้น กู้ชิงฮั่นค่อยๆ เดินมาจากข้างนอก
พูดต่อไปว่า “ฉีหนิงเป็นจิ่นอีซื่อจื่อ ท่านแม่ทัพสิ้น
ไป เรื่องในจวนโหวทั้งหมด เขาก็ต้องเป็นคนดูแล
ตัดสินใจ มันแปลกตรงไหนรึ?” สายตาเชือดเฉือน
จ้องไปที่ฉงอี๋เหนียง นางยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า
“ฉงอี๋เหนียง ที่นั่งตรงนั้น เจ้านั่งได้หรือ?”
พ่อบ้านชิวเห็นกู้ชิงฮั่นปรากฏตัวขึ้น จึงรีบยิ้มแล้ว
พูดว่า “ฮูหยินสาม ท่านกลับมาแล้ว เดินทางมา
นานท่านคงเหนื่อยแย่ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรมาก
หลายวันมานี้ท่านกับท่านซื่อจื่อไม่อยู่ที่จวน คนพวก
นี้จึงทาอะไรอืดอาด คุณชายน้อยกับฉงอี๋เหนียงจึง
มาช่วยดูแลก็เท่านั้นขอรับ”
“อ๋า?” หยางหนิงหันกลับมาพูดว่า “พ่อบ้านชิวเมื่อ
ครู่นี้เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าที่นี่ไม่มีคุณชายน้อย
กับฉงอี๋เหนียงอีก มีแค่นายท่านกับฮูหยินไม่ใช่
หรือ?”
พ่อบ้านชิวสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่ก็ฝืนยิ้มแล้วพูด
ว่า “เอ่อ...มันก็แค่แผนชั่วคราวเท่านั้น ก็เพื่อจัดการ
ดูแลจวนโหวได้ง่ายๆ เพียงเท่านั้นขอรับ”
“พ่อบ้านชิว คนในจวนไม่ทาตามกฎ ปกติเจ้าก็เป็น
คนจัดการดูแล เหมือนจะไม่ต้องให้ผู้ใดมายุ่งไม่ใช่
หรือ” ก็ชิงฮั่นพูดต่อไปอีกว่า “อีกอย่างบ่าวไพร่กับ
สาวใช้ในจวน ก็ถูกฝึกมาอย่างดีทางานมาแล้วหลาย
ปี กฎเกณฑ์ต่างๆ พวกเขาต่างก็รู้ดี ข้าอยู่ในจวนมา
หลายปี ก็ไม่เห็นพวกเขาจะบกพร่องอะไร หรือว่า
แค่ไม่กี่วัน พวกเขาก็เปลี่ยนไปแล้วหรือ?”
ทันใดนั้นเองก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “ฮูหยินสาม พวก
เราไม่ได้ทาอะไรบกพร่องเลยขอรับ พวกเราทางาน
ไม่ได้ต่างจากตอนที่ท่านอยู่เลย พอท่านไป ฉงอี๋
เหนียงก็มาบอกว่าต่อไปนี้เรื่องในจวนนางจะเป็นคน
ดูแลเอง แต่ว่าพอมีคนไม่ฟังคาสั่งของนาง นางก็ไล่
พวกเขาออกไป” จากนั้นก็ชี้ไปที่คนที่ถูกตีด้านนอก
แล้วพูดว่า “ส่วนเขาก็แค่เรียกคาว่าฉงอี๋เหนียง
ออกมาเท่านั้น ก็ถูกตีจนสภาพเป็นแบบนั้นแล้ว”
“ใช่ ฮูหยินสาม พวกเราไม่ได้ทาอะไรผิดเลย แม้แต่
ท่านพี่ต้วนยังถูกพวกเขาไล่ออกจากจวนไปเลย
ขอรับ”
เมื่อมีคนกล้าพูดขึ้นมาหนึ่งคน คนอื่นๆ ก็เริ่มฟ้องกู้
ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะดูแลจวนโหวอย่างเข้มงวด
แต่ว่านางก็มีเมตตากับบ่าวไพร่มาก ทุกคนทั้งกลัว
ทั้งเคารพกู้ชิงฮั่น หลายวันมานี้ฉงอี๋เหนียงสองแม่ลูก
ไม่เกรงกลัวใคร ทุกคนรู้สึกโกรธแค้นยิ่งนัก แต่
ตอนนี้ซื่อจื่อกับฮูหยินสามกลับมาแล้ว ทุกคนไม่
กลัวฉงอี๋เหนียงอีกแล้ว
ฉงอี๋เหนียงอยู่ในจวนไม่ได้มีบารมีอะไร เมื่อเทียบกับ
กู้ชิงฮั่นก็ต่างกันอย่างกับฟ้ากับเหว หลายวันมานี้
นางฉวยโอกาสที่กู้ชิงฮั่นออกนอกเมืองหลวงไป
วางอานาจในจวน ตอนนี้ทุกคนต่างร้องเรียนกู้ชิงฮั่น
กันใหญ่ ในใจนางก็รู้สึกกลัวขึ้นมา แต่ก็ยังต้องปั้น
หน้านิ่งเอาไว้ เหมือนว่าไม่รู้สึกอะไร
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินหยางหนิงพูดขึ้นมาว่า “เจ้าจะ
ไม่ลุกใช่หรือไม่?”
ฉงอี๋เหนียงรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังทาเป็นแข็ง
แล้วพูดว่า “หากข้าไม่ลุก เจ้า...เจ้าจะทาอะไรข้า
รึ?” นางยังคงกลัวหยางหนิงอยู่ไม่น้อยแต่ยังฝืนพูด
ออกไปว่า “ข้าเป็นแม่เลี้ยงเจ้า เจ้า...เจ้าจะไม่เคารพ
ข้าไม่ได้” นางพูดจนไม่มีความกล้าอีกแล้ว
พ่อบ้านชิวส่งสายตาให้กับฉงอี๋เหนียงติดๆ กัน แต่
นางกลับทาเป็นไม่เห็น
หยางหนิงยิ้ม จากนั้นก็ทาหน้าจริงจังแล้วพูดว่า
“ใครก็ได้เข้ามาที!”
ชายฉกรรจ์หลายคนเข้ามาด้านใน แล้วพูดพร้อมกัน
ว่า “ซื่อจื่อท่านมีอะไรจะสั่งหรือขอรับ?”
“ลากนางออกไป” หยางหนิงพูด
คนพวกนี้เกลียดฉงอี๋เหนียงเข้ากระดูกดาอยู่แล้ว พอ
ซื่อจื่อสั่ง จะอิดออดอยู่ได้อย่างไร คนเจ็ดแปดคนชิง
เดินหน้าไป ฉีอวี้เห็นดังนั้น ก็เดินมาขวางหน้าพวก
เขาเอาไว้ แล้วตะคอกออกไปว่า “ใครกล้าเข้ามา
รึ?”
พอเขาตะคอก ทาให้ในห้องโถงเงียบไปชั่วครู่
ถึงแม้เขาจะเป็นลูกอนุ แต่อย่างไรเขาก็มีสายเลือด
ของจิ่นอีโหว ซึ่งต่างจากฉงอี๋เหนียง ถึงแม้จะไม่มี
ผู้ใดยกย่องฉงอี๋เหนียง แต่ว่าก็ยังคงมีความเกรงกลัว
ต่อฉีอวี้อยู่ ตอนนี้เหล่าชายฉกรรจ์ไม่กล้าที่จะบุกเข้า
ไป
ฉีอวี้เห็นดังนั้น ก็ยิ้มอย่างเย็นชาเหมือนเขาจะได้ใจ
ไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าหยางหนิงจะใช้ขาถีบให้เขา
ออกไป เขาไม่ทันได้ตั้งตัว อีกอย่างเขาก็คิดไม่ถึง
ว่าหยางหนิงจะกล้าถีบเขาด้วย อีกทั้งหยางหนิงเอง
ก็ถีบไปเต็มแรงเข้าที่บั้นเอวของเขาอีก ฉีอวี้ร้องด้วย
ความเจ็บปวด พลันล้มไปกองกลับพื้นทันที
ลูกถีบของหยางหนิงมาอย่างกะทันหัน แต่ก็มีการ
เตรียมตัวเอาไว้แล้ว เขาเหลือบมองไป ถึงแม้จะ
ไม่ได้ทาให้ฉีอวี้ถึงแก่ชีวิต แต่มันก็มากพอที่จะทาให้
เขาลุกขึ้นมาในทันทีไม่ได้
เห็นฉีอวี้ล้มลงไปในครั้งนี้ไม่ต้องให้ใครมาลาก ฉงอี๋
เหนียงจึงลุกขึ้นมาจากเก้าอี้เอง แล้วรีบไปพยุงลูก
ชายตัวเอง แล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า “อวี้เอ๋อ
เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ตอนนี้หน้าผากของฉีอวี้เต็มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าของ
เขาดูเจ็บปวดไม่น้อย
หยางหนิงก็ไม่ได้เกรงใจผู้ใด นั่งลงไปที่เก้าอี้ แล้ว
มองไปที่ฉีอวี้แล้วพูดออกไปว่า “ฉีอวี้ข้าจาได้ว่าข้า
เคยเตือนเจ้าแล้วนะว่า อย่าทาตัวฉลาดลับหลังข้า
แล้วก็อย่าวางแผนอะไรโง่ๆ ลับหลังข้า ไม่อย่างนั้น
ชีวิตเจ้าก็จะต้องลาบาก แต่ว่าตอนนี้ข้าถึงได้รู้ว่า
เหมือนความจาของเจ้าจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ข้า
ห้ามเจ้าทาอะไร เจ้าก็ทาตรงกันข้ามไปเสียหมด
กาลังแสดงความกล้าหาญให้ใครดูอย่างนั้นหรือ?”
ฉีอวี้กัดฟันทนความเจ็บแล้วจ้องไปที่หยางหนิง
“ทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันที่นี่ก็ดีแล้ว ข้าในฐานะจิ่นอี
ซื่อซื่อ ข้าจะทาการตัดสินใจอย่างจริงๆ จัง” หยาง
หนิงค่อยๆ พูดว่า “ทุกคนฟังให้ดี คนที่ถูกสองแม่ลูก
นี้ไล่ออกจากจวน ให้รีบกลับจวนมาให้หมด
เมื่อก่อนทาอะไร ก็ให้ทาเหมือนเดิม” จากนั้นก็พูด
อีกว่า “พวกเจ้าพอจะตามหาพวกเขาได้หรือไม่?”
มีคนรีบตอบขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อ พวกเรารู้ว่าท่านกับฮู
หยินสามกลับมาจะต้องให้ความเป็นธรรมกับพวก
เราแน่นอน ดังนั้นทุกคนยังคงอยู่ในเมืองหลวง ตาม
หาไม่ยากขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกคนก็
รู้ใช่หรือไม่ว่าข้าใจดี จะต้องให้ความเป็นธรรมกับ
พวกเจ้าได้ใช่หรือไม่เล่า?”
ทุกคนต่างหัวเราะ ไม่นานก่อนหน้านี้บรรยากาศ
ภายในห้องนี้ช่างเคร่งเครียดและกดดันนัก แต่
ในตอนนี้ทุกอย่างกลับมาเป็นความสบายใจของทุก
คนแล้ว หลายคนก็คิดว่าก่อนซื่อจื่อถูกจับตัวไป
ซื่อจื่อเหมือนคนบ้า แต่ว่าพอถูกจับตัวไป ตอนนี้
กลับเฉลียวฉลาดเป็นการเป็นงานขึ้น ในใจทุกคน
ต่างก็ดีใจ สาหรับจวนโหวแล้ว นี่เป็นเรื่องน่ายินดี
มากที่สุด
เสียงหัวเราะของทุกคน ทาให้สองแม่ลูกรู้สึกโดด
เดี่ยว
หยางหนิงมองไปที่ฉีอวี้ แล้วถามว่า “พวกเจ้าก่อ
ความวุ่นวายในจวนโหวขนาดนี้ คงไม่คิดว่าหากพวก
เราได้กลับมา แผนการของพวกเจ้าจะล้มเหลว รู้ทั้ง
รู้ว่าต้องเป็นแบบนี้ พวกเจ้าจะทาไปทาไมรึ?” เขา
หัวเราะ แล้วพูดว่า “หรือว่าพวกเจ้ารู้สึกว่า ข้ากับฮู
หยินสามคงไม่มีวันได้กลับมาแล้วจริงๆ”
ฉงอี๋เหนียงกับฉีอวี้หน้าถอดสี
หยางหนิงเห็นเต็มสองตา จากนั้นก็พูดว่า “เหตุใด
ข้าถึงพูดแบบนี้ พวกเจ้าน่าจะรู้ดี วันนี้ข้าจะไม่พูดว่า
มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ข้าจะพูดว่าผลมันคือ
อะไรบ้าง...!” เขาชี้นิ้วไปที่ประตูใหญ่ “ตั้งแต่วันนี้
เป็นต้นไป ข้าในฐานะซื่อจื่อขอไล่พวกเจ้าสองแม่ลูก
ออกจากจวนโหว ตั้งแต่นี้ต่อไป พวกเจ้าไม่เกี่ยวข้อง
อะไรกับทางจวนโหวอีก”
ฉงอี๋เหนียงกับฉีอวี้ตะลึงจนหน้าถอดสี ฉงอี๋เหนียง
พูดว่า “เจ้าจะ...เจ้าจะไล่พวกเราออกจากจวน
หรือ?”
ไม่เพียงแค่ฉงอี๋เหนียงสองแม่ลูก แม้แต่กู้ชิงฮั่นกับ
คนอื่นๆ ก็ตกใจ
“เจ้าได้ยินชัดแล้วมิใช่หรือ” หยางหนิงพูดอีกว่า “มี
ของอะไรที่ต้องเก็บ ตอนนี้ก็ไปเก็บให้เรียบร้อย ข้า
จะให้คนไปเฝ้าพวกเจ้าเอาไว้ อะไรที่เป็นของพวก
เจ้า พวกเจ้าก็เอาไป แต่ว่าของของจวนโหวห้าม
พวกเจ้าเอาไปแม้แต่ชิ้นเดียว”
“เจ้ามีสิทธิอะไรมาไล่พวกเรารึ?” ฉีอวี้กัดฟันอดทน
กับความเจ็บปวดพูดขึ้นมาว่า “ต่อให้เจ้าเป็นซื่อจื่อ
เจ้า...เจ้าก็ไม่มีสิทธิไล่พวกเราไป”
หยางหนิงยักไหล่ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเคยบอกเจ้าไป
แล้วว่า เรื่องอื่นข้าอาจจะทาไม่ได้ แต่ว่าไล่พวกเจ้า
ออกไปจากจวน ข้ามีสิทธิที่จะทาได้ ข้าเคยเตือน
พวกเจ้าไปแล้ว แต่ว่าพวกเจ้าไม่จาเอง ข้าให้โอกาส
พวกเจ้าไปแล้ว แต่พวกเจ้าไม่รักษามันไว้เอง โทษข้า
ไม่ได้”
ฉงอี๋เหนียงลุกขึ้นยืน ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ไท่
ฮูหยินยังอยู่ คงไม่ปล่อยให้เจ้ากับกู้ชิงฮั่นก่อเรื่อง
แบบนี้แน่ ข้าจะไปเชิญไท่ฮูหยินมา” จากนั้นนางก็
เดินไป แต่เดินไปแค่สองก้าว หยางหนิงก็พูดขึ้นมา
ว่า “รบกวนบอกกับไท่ฮูหยินด้วยนะ ว่าพวกเจ้าทา
อะไรลับหลังบ้าง เรื่องที่เจียงหลิง อย่าบอกนะว่า
พวกเจ้าไม่เกี่ยว คนที่นั่นข้าก็พามาเมืองหลวงด้วย
หากต้องการพยานยืนยัน ข้าจะให้พาพวกเขามา
ตอนนี้เลยก็ได้”
กู้ชิงฮั่นก้พลันอึ้งขึ้นมาทันที แล้วมองไปที่หยางหนิง
เห็นหยางหนิงส่งสายตาให้ นางก็รู้ทันที
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร” ฉงอี๋เหนียงลังเลอยู่ครู่
หนึ่งแล้วพูดเสียงดุว่า “เจ้าคิดจะไล่พวกเราออกจาก
จวน มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก” จากนั้นนางก็พยุง
ฉีอวี้ขึ้นมา แล้วพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
ฉีอวี้ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เดินตามฉงอี๋เหนียงออก
จากประตูไป เมื่อถึงหน้าประตู หยางหนิงก็พูดขึ้น
อีกว่า “ขอเตือนอีกที เหลือเวลาอีกไม่นานฟ้าก็จะ
มืดแล้ว ก่อนตะวันตกดิน หากพวกเจ้ายังเก็บของไม่
เสร็จ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเก็บ” จากนั้นก็ชี้ไปที่บ่าว
ไพร่สองสามคน “พวกเจ้าไปที่เรือนของพวกเขา
ตอนนี้เลย เฝ้าดูให้ดี หากพวกเขาแอบเอาของของ
จวนโหวไปแม้แต่ชิ้นเดียว ข้าจะเอาเรื่องพวกเจ้า”
ทุกคนเห็นหยางหนิงไล่ฉงอี๋เหนียงออกไปจากจวน
ถึงแม้จะตกใจ แต่ในใจก็สะใจไม่น้อย แม่ลูกคู่นี้อยู่
ในจวนก็ทาให้บรรยากาศอึดอัด บ่าวไพร่มองแล้วก็
ขัดหูขัดตาไม่น้อย มีคนพูดขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อโปรด
วางใจ พวกเราจะไปเฝ้าเดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
หยางหนิงยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “ทุกคนแยกย้ายไป
กันได้แล้ว จริงสิ ส่งคนไปตามคนที่ถูกไล่กลับมาให้
หมด” จากนั้นก็ชี้ไปที่นอกประตูแล้วพูดว่า “คนที่
ถูกตีไปตามหมอมารักษาเขาด้วย แล้วเจ้าคนที่ชื่อ
เถียนหรงอะไรนั่นไล่ออกจากจวนไปเดี๋ยวนี้เลย”
เขายิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “พวกวาง
อานาจบาตรใหญ่ ข้าเกลียดคนแบบนี้ที่สุด”
ทุกคนทยอยกันแยกย้ายออกไป พ่อบ้านชิวเองก็คิด
จะออกไปด้วย แต่หยางหนิงเรียกเขาเอาไว้
“พ่อบ้านชิว เจ้าอยู่ก่อน ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับเจ้า
หน่อย”
พ่อบ้านชิวหันกลับมา โค้งคานับยิ้มแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อท่านมีอะไรจะสั่งหรือขอรับ?” จากนั้นก็หัน
ไปตาหนิตัวเองกับกู้ชิงฮั่น “ฮูหยินสาม ท่านวางใจ
มอบจวนโหวให้ข้าน้อยดูแล แต่ข้า...ข้ากลับไม่ดูแล
ให้ดี ขอฮูหยินสามลงโทษด้วย ส่วนต้วนฉางไห่
คุณชายน้อย...!”
“เลิกเรียกคุณชายน้อยสักทีจะได้หรือไม่” หยาง
หนิงพูดด้วยน้าเสียงเรียบๆ ว่า “เจ้าไม่ได้ยินหรือว่า
ข้าไล่พวกเขาสองแม่ลูกออกไปแล้ว? ต่อไปจวนโหว
จะไม่มีคุณชายน้อยอีก”
“ใช่ ใช่ ใช่...!” พ่อบ้านชิวรีบพูดว่า “ข้าน้อย
สะเพร่าเอง ก่อนหน้านี้ฉีอวี้ไม่ชอบหน้าต้วนฉางไห่
อยู่แล้ว คราวนี้จึงหาเรื่องไล่เขาออกไปจากจวน
ข้าน้อยพยายามช่วยพูดแล้ว แต่...แต่ว่าอย่างไรเสีย
ฉีอวี้ก็เป็นสายเลือดของท่านโหว เขายืนยันแบบนั้น
ข้าน้อยเองก็จนปัญญา ซื่อจื่อกับฮูหยินสามกลับมาก็
ดีแล้ว ข้าน้อยจะไปตามหาต้วนฉางไห่กลับมาด้วย
ตัวเอง!”
กู้ชิงฮั่นไม่ได้สนใจ นางเดินมานั่งข้างๆ แต่ไม่พูด
อะไร
หยางหนิงจ้องไปที่พ่อบ้านชิว รอเขาพูดจบ แล้วถึง
พูดว่า “พ่อบ้านชิว เจ้าเองก็คิดเหมือนกันใช่หรือไม่
ว่าข้ากับฮูหยินสามคงไม่ได้กลับมาอีกแล้ว?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 116 หยั่งเชิง
พ่อบ้านชิวสั่นไปทั้งตัว ยิ้มกระอักกระอ่วนแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อท่านพูดอะไร ข้าน้อยเฝูารอพวกท่านกลับมา
ทุกวันทุกคืน” เขาส่ายหัวแล้วถอนหายใจพูดว่า
“หากเหตุการณ์มันเลวกว่าที่คิด หากซื่อจื่อกับฮูหยิ
นสามไม่กลับมาจริงๆ จวนโหวคงถูกฉงอี๋เหนียงทา
ให้สถานการณ์มันสับสนวุ่นวาย ตื่นตระหนกกันไป
หมดอย่างแน่นอน”
หยางหนิงถามว่า “พ่อบ้านชิว ได้ยินว่าเจ้าสืบทอด
งานของพ่อบ้านใหญ่ของพ่อเจ้า”
“ใช่ ข้าน้อยกับท่านพ่อพวกเราทั้งสองรุ่นต่างพักดี
ต่อจวนโหวมาก” พ่อบ้านชิวถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ท่านเหล่าโหวกับแม่ทัพใหญ่มีบุญคุณกับพวกเรา
สองพ่อลูกมากนัก ตอบแทนทั้งชาติก็ไม่มีวันหมด”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูด “พ่อบ้านชิว เจ้าคิดว่าข้ากับ
ฉี่อวี้ ใครเหมาะสมที่จะสืบทอดตาแหน่งโหว
มากกว่ากัน?”
พ่อบ้านชิวตะลึงงันไปชั่วครู่ แล้วรีบพูดว่า “ฉีอวี้จะ
มาเทียบกับท่านซื่อจื่อได้อย่างไรขอรับ? ซื่อจื่อเป็น
คนที่ท่านแม่ทัพใหญ่เลือกให้เป็นผู้สืบทอด ไม่ว่า
มองจากตรงไหน ท่านก็สมควรสืบทอดตาแหน่ง
ขอรับ”
“พ่อบ้านชิว ที่ท่านพูดมาท่านจริงใจหรือไม่?” หยาง
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้ารู้จัก
จ้าวยวนหรือไม่?”
“จ้าวยวน” พ่อบ้านชิวสั่นไปทั้งตัวสั่นแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อ ข้าน้อย...ข้าน้อยไม่เคยได้ยินชื่อคนนี้มา
ก่อนเลยขอรับ”
“จ้าวยวนเป็นคนดูแลบัญชีที่จวนเก่า ทางจวนเก่า
ติดต่อกับเจ้ามาโดยตลอด แต่ผู้ดูแลบัญชีจวนเก่าเจ้า
กลับบอกว่าไม่รู้จักรึ?” กู้ชิงฮั่นถามด้วยน้าเสียงเย็น
ชา
พ่อบ้านชิวได้ยินดังนั้น ก็ตบไปที่หัวตัวเอง แล้วพูด
ว่า “จริงด้วย พอฮูหยินสามพูดขึ้นมาอย่างนี้
ข้าน้อยก็นึกขึ้นได้พอดี เหมือนจะมีคนผู้นี้อยู่ด้วย
จริงๆ ข้าเลอะเลือนไปเอง ข้าน้อยรู้ว่ามีคนชื่อท่าน
จ้าว แต่ไม่รู้ชื่อเต็มของเขาขอรับ”
“ในเมื่อเจ้ารู้จักจ้าวยวน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรู้จักฉี
เฉิง” หยางหนิงพูดต่อไปว่า “พ่อบ้านชิว ได้ยินมาว่า
พ่อบ้านคนเก่าฉีหงสามปีก่อนเกิดปุวยหนัก เลยถูก
ส่งตัวไปรักษาที่เมืองจิงโจว ตอนนี้งานที่จวนเก่าจึง
ให้ลูกชายของพ่อบ้านเก่าฉีหงดูแลแทน เขาชื่อฉีเฉิง
เรื่องนี้เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่รู้?”
พ่อบ้านชิวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย
หรือ?” จากนั้นก็อธิบายว่า “ซื่อจื่อ ฮูหยินสาม เงิน
ภาษีทางจวนเก่าจัดให้คนมาส่งทุกปี ข้าน้อยก็จะไป
ตรวจสอบด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าท่าน
พ่อบ้านคนเก่าล้มปุวยเลยขอรับ”
“เจ้าไม่รู้จักฉีเฉิง แล้วเหตุใดถึงรู้จักจ้าวยวน?”
หยางหนิงพูดว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่า จ้าวยวนเป็นคนที่
ฉีเฉิงจ้างมา?”
“เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ พวกเขาส่งเงินภาษีมา
ข้าน้อยก็แค่ตรวจสอบบัญชีกับพวกเขา พวกเขาเคย
พูดแค่ว่าที่จวนเก่ามีท่านจ้าวคอยดูแลบัญชี”
พ่อบ้านชิวยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า แล้วพูดว่า “
ฮูหยินสาม ในจวนโหวมีเรื่องเยอะแยะมากมาย
เรื่องของบ้านเก่าจึงถูกละเลยไปบ้าง เรื่องนี้เป็น
ความผิดของข้าน้อยเอง ฮูหยินสามกับซื่อจื่อลงโทษ
ข้าน้อยเถอะ”
หยางหนิงยิ้ม แล้วตะคอกไปว่า “พ่อบ้านชิว เจ้ายัง
ไม่ยอมรับอีกหรือ?”
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาโกรธถึงเพียงนี้ พ่อบ้านชิ
วถูกตะคอกจนตกใจ รีบคุกเข่าลงกับพื้นรีบพูดไปว่า
“ซื่อจื่อ ข้าน้อยทางานในจวนมาหลายปี จงรักภักดี
มาตลอด ไม่กล้าโกหกท่านหรอก” จากนั้นก็หันไป
มองกู้ชิงฮั่น แล้วพูดว่า “ฮูหยินสาม ท่านก็รู้ว่า
ข้าน้อยจงรักภักดี หากข้าน้อยทาอะไรผิดไป พวก
ท่านลงโทษข้าน้อยก็ได้ แต่ว่า...!”
ในตอนนี้เอง ฉีเฟิงก็เดินเข้ามา แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ
ฮูหยินสาม ฉงอี๋เหนียงกับคุณชายน้อยออกจากจวน
ไปแล้ว”
“พวกเขาไปแล้วหรือ?” หยางหนิงพูดว่า “ไม่ได้ไป
หาไท่ฮูหยินหรือ?”
ฉีเฟิงพูดว่า “ไม่ขอรับ พวกเขาไม่ได้เอาอะไรไปด้วย
ข้าน้อยตามไประยะหนึ่ง พวกเขาเหมือนจะไปหา
ท่านใหญ่สามขอรับ”
“ที่แท้ก็ออกไปหาพรรคพวกตัวเองนี่เอง” หยางหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “แบบนี้ก็ดี ข้ากาลังจะไปหาเขาพอดี
หากเขามาเองได้ ก็ไม่ต้องให้ข้าต้องไปหา” จากนั้น
ก็พูดขึ้นมาว่า “คนที่พามาด้วย ดูแลให้ดีๆ ล่ะ”
ฉีเฟิงตะลึงไป แล้วรีบพูดว่า “ซื่อจื่อโปรดวางใจ
ข้าน้อยได้...!”
ไม่รอให้ฉีเฟิงพูดจบ หยางหนิงก็ยกมือบอกให้เขา
ออกไป เมื่อฉีเฟิงออกไปแล้ว หยางหนิงก็มองไปที่
พ่อบ้านชิวแล้วถามว่า “พ่อบ้านชิว เจ้ารู้หรือไม่ว่า
ข้าให้ฉีเฟิงดูแลใคร?”
“ไม่...ไม่ทราบขอรับ!”
หยางหนิงยิ้ม แล้วค่อยๆ พูดว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่
เคยเจอจ้าวยวนใช่หรือไม่? คราวนี้ข้าพาเขากลับมา
ด้วย พวกเจ้าจะได้รู้จักกัน”
กู้ชิงฮั่นที่อยู่ข้างๆ พลันตะลึงงันในทันที แต่นางเป็น
คนฉลาด จากนั้นนางก็เข้าใจในทันที
หยางหนิงให้ฉีเฟิงดูแลชายอัปลักษณ์ให้ดี แต่แกล้ง
บอกเรื่องนี้ให้พ่อบ้านชิวว่าพาจ้าวยวนกลับมา เพื่อ
หยั่งเชิงพ่อบ้านชิว
พ่อบ้านชิวสีหน้าเปลี่ยนไปจริงๆ แต่ก็ยังคงฝืนยิ้ม
แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านพา...ท่านจ้าวกลับมาด้วย
หรือ?”
“แต่ว่าจ้าวยวนเขาสารภาพว่า เขารู้จักกับเจ้า”
หยางหนิงพูดว่า “จริงสิ ข้าลืมบอกเจ้าไป พวกเรา
ไปเจียงหลิงคราวนี้เกิดเรื่องขึ้นด้วยนะ ข้าเกือบตาย
อยู่ที่นั่น ยังดีที่สวรรค์เมตตาข้า ทาให้ข้ารอด
ปลอดภัยกลับมา เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนคิดทา
ร้ายข้า?”
“ไม่...ไม่ทราบขอรับ” พ่อบ้านชิวตากระตุกแล้วรีบ
พูดกลับไปว่า “ซื่อจื่อเป็นคนดีฟูาย่อมต้องคุ้มครอง
ไม่เป็น...ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกขอรับ”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคงไม่รู้สินะ ว่าที่จวน
เก้าน่ะมีเรื่องแปลกเกิดขึ้นด้วย ลูกชายพ่อบ้านเก่า
จริงสิ คนที่ชื่อฉีเฉิงนั่น มันเป็นตัวปลอม ยังมีท่าน
จ้าวอะไรนั่นอีก คนที่ชื่อจ้าวยวนนั่น มีคนอยู่
เบื้องหลังเขา ข้ารอดมาคราวนี้ ทางเจ้าเมืองเจียงห
ลิงได้นาทหารมาจับพวกเขาเอาไว้ได้” จากนั้นก็ยืด
ตัวออกไป ยิ้มแล้วพูดว่า “หลังจากการสอบสวน
อย่างหนัก จ้าวยวนได้สารภาพมาหมดแล้ว เจ้ารู้
หรือไม่ พวกเขาปิดบังทางจวนโหว เพิ่มภาษีศักดินา
เป็นสี่ส่วน แต่ว่าเพื่อไม่ให้ทางจวนโหวเกิดความ
สงสัย หลายปีมานี้พวกเขาก็เลยยังส่งเงินภาษีมาที่
จวนโหวตามปกติ”
พ่อบ้านชิวขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “คนพวกนั้น...คน
พวกนั้นมันน่า จริงๆ น่าจะ...น่าจะฆ่าตายให้หมด”
“จะทาอย่างนั้นได้อย่างไร หากว่าฆ่าตายไปจนหมด
ก็จะไม่รู้ความจริงกันพอดี” หยางหนิงพูดด้วย
รอยยิ้มว่า “พวกเขาบอกข้าว่า ภาษีของปีนี้ได้ส่ง
มายังเมืองหลวงแล้ว และมอบเงินให้กับคนของ
ตระกูลฉี แต่ไม่ได้ส่งมายังจวนโหว”
พ่อบ้านชิวพูดว่า “หรือว่า...หรือว่า...!”
“หรือว่าอะไรรึ?” หยางหนิงจ้องไปที่พ่อบ้านชิว
พ่อบ้านชิวรีบพูดว่า “ไม่มีอะไรขอรับ ซื่อจื่อ แล้ว
เงินภาษีตอนนี้อยู่ที่ไหนขอรับ?”
“เจ้าวางใจได้ เงินภาษีข้าจะเก็บกลับมา แม้แต่
อีแปะเดียวข้าก็จะไม่ให้ขาด ตอนนี้ก็ถือเสียว่าเก็บไว้
ที่อื่นก่อน” หยางหนิงพูดว่า “จริงสิ จ้าวยวนยังพูด
ถึงเจ้าด้วยนะ...!”
พ่อบ้านชิวสีหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นก็พูดว่า “ซื่อจื่อ
ท่านอย่าเชื่อคาพูดของเขานะ เขาใส่ร้ายคนดี
ข้าน้อยไม่ได้...ข้าน้อยไม่ได้แอบติดต่อกับพวกเขา
ซื่อจื่อ คนพวกนี้สมควรตาย จะละเว้นชีวิตไม่ได้”
“ใส่ร้ายคนดีรึ?” กู้ชิงฮั่นอยู่ข้างๆ ก็ยิ้มอย่างเย็นชา
แล้วพูดว่า “พ่อบ้านชิว เจ้ายังไม่รู้เลยว่าเขาพูด
อะไรบ้าง แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาใส่ร้ายเจ้า? เจ้า
คิดว่าเขาจะพูดอะไรบ้างอย่างนั้นรึ?”
พ่อบ้านชิวอึ้งตะลึงงันไปอีกรอบ กาลังจะอ้าปากพูด
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
กู้ชิงฮั่นถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “เป็นเจ้าจริงๆ
เจ้าเป็นหูเป็นตาให้กับจ้าวยวน เป็นเจ้าจริงๆ รึ?”
จากนั้นนางก็ลุกขึ้น พูดด้วยความโกรธว่า “ชิวอี้
จวนโหวทาอะไรที่ผิดต่อเจ้ารึ? นอกจากข้า เรื่องใน
จวนโหวทั้งหมดก็มีเจ้าเป็นคนดูแล พวกเจ้าพ่อลูก
ทางานในจวนโหว ไม่ว่าจะเป็นท่านเหล่าโหวหรือ
ท่านแม่ทัพใหญ่ ไม่มีผู้ใดที่ทาอะไรผิดต่อเจ้าเลย
เหตุใดเจ้าถึงทาตัวเป็นเกลือเป็นหนอนแบบนี้ด้วย?”
หยางหนิงเพียงแค่หยั่งเชิงเขา ถึงแม้พ่อบ้านชิวจะยัง
ไม่รับสารภาพ แต่ว่ากู้ชิงฮั่นก็แน่ใจแล้วว่าพ่อบ้าชิว
เป็นคนที่แอบติดต่อกับจ้าวยวน
เรื่องที่เกิดขึ้นที่เจียงหลิง คนที่อยู่เบื้องหลังมีพ่อบ้าน
ชิวรวมอยู่ด้วย มันทาให้กู้ชิงฮั่นยิ่งโกรธแค้นเป็นฟืน
เป็นไฟหนักกว่าเดิม
พ่อบ้านชิงรีบพูดว่า “ฮูหยินสาม ข้าน้อย...ข้าน้อย
ไม่ได้แอบติดต่อกับจ้าวยวนจริงๆ คนพวกนั้น...คิด
ทาร้ายข้าน้อยแน่ๆ”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “พ่อบ้านชิว หรือ
ว่าจะต้องให้นาตัวจ้าวยวนมาก่อนเจ้าถึงจะยอมรับ
สารภาพรึ? ไม่ว่าอย่างไร เจ้าทางานในจวนโหวมา
นานหลายปี ต่อให้ไม่เห็นแก่ที่เจ้าทางานในจวนโหว
มานาน ก็ต้องเห็นแก่พ่อของเจ้า เรื่องนี้จะพยายาม
จบแค่นี้ หากเจ้าสารภาพเสียตอนนี้ ข้ารับรองว่าข้า
จะไม่ทาอะไรเจ้า แต่ว่าหากนาตัวจ้าวยวนเข้ามา
ยืนยันเรื่องนี้ ข้าคงต้องส่งตัวพวกเจ้าไปให้กับ
ทางการเท่านั้น”
พ่อบ้านชิวก้มหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร หยางหนิงส่าย
หน้า แล้วตะโกนว่า “ใครก็ได้ ไปบอกให้ฉีเฟิงนาตัว
คนผู้นั้นเข้ามาที...!”
“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อ ช้าก่อน!” พ่อบ้านชิวเงยหน้า สีหน้า
ตกใจ แล้วพูดว่า “ข้าน้อย...ข้าน้อยไม่กล้าปิดบัง
จริงๆ แล้ว...จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้...ท่านใหญ่สามสั่ง
ให้ข้าน้อยทา ข้าน้อย...ข้าน้อยเองก็ไม่มีทางเลือก
ขอร้องพวกท่านไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย”
“ท่านใหญ่สามรึ?” กู้ชิงฮั่นลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “ชิว
อี้ เจ้าอย่ามาใส่ร้ายคนอื่นแบบนี้นะ”
ชิวอี้พูดว่า “ฮูหยินสาม ท่านใหญ่สามเป็นคนสั่ง
จริงๆ ขอรับ” เขารีบร้อนพูดว่า “ท่านใหญ่สาม
อยากจะให้ฉีอวี้สืบทอดตาแหน่งโหวมาตลอด ดังนั้น
...ดังนั้นก็เลยคิดจะกาจัดซื่อจื่อมาตลอด ข้าน้อยรู้จัก
จ้าวยวนจริง แล้วก็รู้จักคนที่ดูแลจวนเก่าอย่างฉีเฉิง
ด้วย แต่ว่าข้าน้อยไม่รู้เรื่องที่พวกเขาเพิ่มเงินภาษี
จริงๆ”
“เหตุใดท่านใหญ่สามถึงอยากจะให้ฉีอวี้มาแทนที่ข้า
นักเล่า?” หยางหนิงไม่มีรอยยิ้มอีกแล้ว เขาพูดเสียง
เข้มว่า “พวกเขาแอบแลกเปลี่ยนเงื่อนไขอะไรกัน
หรือไม่?”
“มีขอรับ ฉีอวี้...ฉีอวี้กับฉงอี๋เหนียงรับปากท่านใหญ่
สาม ขอแค่เขาได้สืบทอดตาแหน่ง จะให้เงินภาษี
ศักดินากับท่านใหญ่สามครึ่งหนึ่ง” ชิวอี้พูดต่อไปว่า
“ทางท่านใหญ่สามได้เงินภาษีแค่ห้าร้อยไร่ เมื่อฉีอวี้
ได้รับตาแหน่ง เขาก็จะได้เพิ่มเป็นภาษีเงินหนึ่งพัน
ห้าร้อยไร่ นอกจากนี้ ที่นาของทางเจียงหลิงอีกร้อย
กว่าไร่ ก็จะแบ่งให้ท่านใหญ่สามอีกครึ่งหนึ่งด้วย
ขอรับ”
กู้ชิงฮั่นสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง แล้วพูดด้วยความ
โกรธว่า “เจ้าไม่ได้โกหกใช่หรือไม่?”
“ข้าน้อยไม่กล้าปิดบังขอรับ” ชิวอี้พูดต่อไปว่า “ฉง
อี๋เหนียงยังรับปากอีกว่า จะให้เงินภาษีกับข้าน้อย
จานวนสองไร่ แล้วก็ให้ที่นากับข้าน้อยอีกแปดร้อย
ไร่ ข้าน้อย...ข้าน้อยลืมตัวไปชั่วขณะ ถึงได้ถูกพวก
เขาหลอกล่อไปขอรับ”
“เรื่องพวกนี้ตกลงกันหลังจากที่ท่านแม่ทัพสิ้นไป
หรือ?” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วถามว่า “เพราะตอนที่ท่าน
แม่ทัพใหญ่อยู่ พวกเจ้ามาไม้นี้ อย่างไรฉีอวี้ก็ไม่ได้
สืบทอดตาแหน่งอยู่ดี แต่ว่าทางจวนเก่าแอบติดต่อ
เจ้ามาถึงสามปี ไม่มีทางเพิ่งจะมาคุยกันในช่วงนี้
แน่นอน”
ชิวอี้รีบพูดว่า “ท่านใหญ่สาม เห็นว่าเมื่อสามปีก่อน
ชาวเปุยฮั่นยกทัพบุกมา แม่ทัพใหญ่ยกทัพไปปราบ
ตอนนั้นท่านใหญ่สามก็พูดว่า ตัวของท่านแม่ทัพ
บาดเจ็บทั้งตัว หากรักษาตัวดีๆ ก็อาจจะมีชีวิตไปอีก
หลายปี แต่ว่าออกรบแบบนี้ ต่อให้ไม่ตายในสนาม
รบแต่เพราะมีความเหนื่อยสะสมมานานหลายปี ก็
ไม่แน่อาจจะมีอายุไม่ยืนยาวได้” จากนั้นเขาก็หยุด
ไป
“มีอะไรอีก ที่เจ้ายังไม่สารภาพออกมา”
ชิวอี้รีบพูดว่า “ท่านใหญ่สามยังพูดอีกว่า กองทัพ
ไหวชุ่ยของต้าฉู่ถึงแม้จะอยู่ใต้บัญชาการของท่านแม่
ทัพใหญ่ แต่ว่าไม่ใช่คนที่ฝึกมาด้วยตัวเอง ถึงแม้
เหล่าทหารจะยาเกรงท่านแม่ทัพใหญ่ แต่...แต่ว่า
จริงๆ ก็มีคนที่แอบคิดไม่ซื่อกับท่านแม่ทัพอยู่ แม่ทัพ
ออกศึก ออกไปได้แต่คงไม่ได้กลับมา ดังนั้นเริ่ม
ตั้งแต่วันที่ท่านแม่ทัพออกรบ เขาก็เตรียมการให้
ฉีอวี้แทนที่ท่านซื่อจื่อแล้ว”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 117 เนรคุณ
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าพูดแบบนี้
หมายความว่าอะไร? หรือว่าเรื่องที่...ท่านพ่อตาย มี
เบื้องหลังอย่างนั้นหรือ?”
ชิวอี้รีบอธิบายว่า “ไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น ตอน
ที่ท่านแม่ทัพใหญ่ออกรบ ท่านใหย่สามก็เรียก
ข้าน้อยไปพบ ในครั้งนั้นที่ท่านใหญ่สามเรียกข้าน้อย
ไปก็เพื่อ...เพื่อให้ช่วยฉีอวี้ได้สืบทอดตาแหน่งโหว
ตอนนั้นฉีอวี้กับฉงอี๋เหนียงก็อยู่ด้วย พวกเขารับปาก
ข้าน้อยว่าจะให้เงินภาษีจานวนสองร้อยหลังคาเรือน
กับที่นาอีกแปดร้อยไร่”
“ถ้าอย่างนั้น ฉีอวี้ของพวกเราคนนี้ก็ใจกว้างไม่เบา
เลยนะ” หยางหนิงพูด “แต่ว่าเจ้าแอบติดต่อกับ
พวกจ้าวยวนนั้นเพื่ออะไรกัน?”
ชิวอี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้พูดว่า “ในตอนนั้น มี
อยู่วันหนึ่งที่ท่านใหญ่สามเรียกข้าน้อยไปพบ ก็ได้
พบกับจ้าวยวน ตอนนั้นข้าน้อยยังไม่รู้ว่าเขาเป็นคน
ดูแลบัญชีของจวนเก่าแล้ว เรื่องการเปลี่ยนแปลงที่
จวนเก่า ท่านใหญ่สามนั้นรู้ก่อนข้าน้อยอีก”
“เขาไปพบท่านใหญ่สามเพราะเหตุอันใดกัน?”
ชิวอี้ตอบว่า “รายละเอียดที่พวกเขาคุยกัน จนถึง
ตอนนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบ แต่ว่าท่านใหญ่สามสั่ง
ข้าน้อยว่า ให้ข้าน้อยเก็บเรื่องที่จวนเก่าเปลี่ยน
พ่อบ้านใหญ่คนใหม่ไว้ บอกว่ามันคือการเตรียมการ
ล่วงหน้า ฉีเฉิงกับจ้าวยวนจะสนับสนุนฉีอวี้ มีสอง
คนนี้อยู่ที่จวนเก่า ก็เหมือนกับได้ควบคุมทรัพย์สิน
เอาไว้ในมือแล้ว”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ดังนั้นเจ้าจึงปิดเรื่องนี้
มาตลอดสามปีรึ?” จากนั้นนางก็พูดว่า “ที่เจียงหลิง
มีคนมาร้องเรียนที่นี่เจ้าใช่หรือไม่ที่ไล่พวกเขา
กลับไป?”
“ใช่...!” ชิวอี้ก้มหน้าแล้วพูดว่า “มาประมาณสอง
สามครั้ง ข้าน้อยบอกพวกเขาไปว่าพวกเราจะ
จัดการให้ แล้วก็ไล่พวกเขากลับเจียงหลิงไป ทาง
จวนเก่ารู้เรื่องนี้ จึง...จึงส่งคนไปจัดการ”
“ชิวอี้ เจ้าก่อกรรมทาเข็ญมามากมาย เจ้ารู้หรือไม่
ว่าเจ้าทาให้คนตายไปเท่าไหร่?” กู้ชิงฮั่นโมโหยิ่งนัก
“ภาษีเงินที่เพิ่มขึ้นมาในช่วงหลายปีมานี้ ชาวบ้าน
ต่างต่อว่าโกรธแค้นจวนโหวแค่ไหน บารมีที่ท่าน
เหล่าโหวกับท่านแม่ทัพใหญ่ทาเอาไว้ พวกเจ้า
ทาลายไปจนหมด ยังมีอะไรอีก สารภาพออกมาให้
หมด”
ชิวอี้ก้มหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องอื่นๆ ข้าน้อยไม่รู้เรื่อง
แล้วจริงๆ ขอรับ”
“ไม่รู้หรือ? พ่อบ้านชิว ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้ง ให้เจ้า
สารภาพออกมาดีๆ จะดีกว่านะ หากส่งตัวเจ้าให้
ทางการไปแล้ว พวกเขาคงไม่อ่อนโยนกับเจ้าแบบนี้
แน่นอน” หยางหนิงนั่งแคะชี้หูแล้วพูดว่า “เจ้าอย่า
บอกข้านะว่าเรื่องที่เรือนรับรองของสุสานจงหลิง
เจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง?”
ชิวอี้ตัวสั่นเทาขึ้นมาทันที หยางหนิงพูดต่อไปว่า
“ตอนนั้นข้าเองก็สงสัยแล้วว่า นักฆ่าเหมือนจะรู้จัก
ที่ทางในเรือนรับรองเป็นอย่างดี แม้แต่ข้าอยู่ที่ห้อง
ในเรือนไหนเขาก็รู้ชัดเจน แสดงว่าจะต้องมีคนบอก
ข้อมูลกับเขาแน่ๆ ตอนแรกข้ายังคิดว่าน่าจะเป็น
ฉีอวี้ แต่ว่าฉีอวี้ไม่เคยไปที่เรือนรับรองจงหลิงมา
ก่อน เขาไม่มีสิทธิเข้าไปที่นั่นก่อนแน่นอน ตอนนี้ข้า
จึงสงสัยว่าเจ้าเป็นคนทา เจ้าเป็นพ่อบ้านของจวน
โหว ก่อนที่พวกเราจะเดินทางไปที่เรือนรับรองจงห
ลิง เจ้าก็ต้องไปจัดการอะไรให้เรียบร้อยก่อน
เพราะฉะนั้นเจ้าก็จะรู้จักที่ทางที่นั่นเป็นอย่างดี
เพียงแต่ว่าตอนนั้นข้าคิดเหตุผลที่เจ้าทาแบบนั้นไม่
ออก เลยทาได้แค่สงสัย”
“ซื่อจื่อ เป็น...เป็นคาสั่งของท่านใหญ่สาม” ชิวอี้
เหงื่อแตกทั่วตัว ร่วมสังหารจิ่นอีซื่อจื่อ มีโทษ
ประหาร เขารีบอธิบายว่า “นักฆ่านั้นเป็นคนที่ท่าน
ใหญ่สามส่งไป ตอนแรกท่านใหญ่สามบอกข้าน้อย
ว่าให้ข้าน้อยนาแผนที่ของเรือนรับรองมาให้เขาแค่
ไหน ข้าน้อย...ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะสังหารท่าน
ซื่อจื่อ ไม่อย่างนั้น...ไม่อย่างนั้นข้าน้อยไม่มีวันทา
ตามที่เขาสั่งแน่ๆ”
“เรื่องที่ทางจวนเก่าตั้งใจส่งเงินภาษีไปให้ท่านใหย่
สาม ทาให้พวกเราเข้าใจผิดว่าเงินภาษียังไม่ได้ส่งมา
จนพวกเราต้องเดินทางไปที่เจียงหลิงด้วยตัวเอง
เรื่องนี้เจ้าสินะที่เป็นคนจัดการ?” หยางหนิงพูดต่อ
ว่า “เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเรื่องนี้ท่านใหญ่สามก็เป็น
คนสั่งอีกนะ”
ชิวอี้พูดว่า “ท่านใหญ่สามเป็นคนจัดการจริงๆ
ขอรับ ท่านใหญ่สามบอกว่า ขอแค่ทางจวนโหวตกอ
ยู่ในที่นั่งลาบาก ไม่มีเงิน ก็ต้องคาดหวังเงินจากทาง
เจียงหลิง เงินภาษีมาไม่ถึงสักที ฮูหยินสามจะต้อง
ร้อนใจมาก ข้าน้อยก็แค่...ก็แค่คอยอยู่ข้างๆ และฮู
หยินสามก็จะต้องเดินทางไปเจียงหลิงด้วยตัวเอง
แล้ว...แล้วฮูหยินสามก็ไม่มีทางทิ้งท่านซื่อจื่อไว้ที่นี่
คนเดียวแน่นอน ท่านจะต้องพาซื่อจื่อไปด้วย”
“สมรู้ร่วมคิดทั้งภายในและภายนอก ตั้งใจหลอก
พวกเราให้ไปที่นั่น แล้วก็วางกับดักไว้” หยางหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าคิดว่าไม่มีทางพลาดแน่นอน
หากพวกเราตายอยู่ที่นั่น ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่
พวกเจ้าวางแผนไว้ ต่อให้กลับมา แต่เพราะความลับ
ของเราสองคนอยู่ในมือของพวกเจ้า พวกเจ้าคิดจะ
ทาอะไรก็ได้ ข้ากับฮูหยินสามคงไม่กล้าพูดอะไรมาก
ใช่หรือไม่?”
ชิวอี้ตอบว่า “ท่านใหญ่สาม...วางแผนไว้อย่างนั้น
จริงๆ”
“เจ้าผลักความรับผิดชอบออกจากตัวเอง โยน
ความผิดให้ทางท่านใหญ่สามจนหมดเลย” กู้ชิงฮั่น
พูดต่อไปว่า “แต่ว่าเจ้ามันคนอกตัญํูเนรคุณ เกลือ
เป็นหนอน หรือว่าเจ้าไม่รู้สึกผิดอะไรบ้างเลยหรือ?
หลายปีมานี้ หรือว่าข้าทาอะไรให้เจ้าขุ่นเคืองหมอง
ใจหรืออย่างไร? เจ้าแอบยักยอกเงินเข้าถุงตัวเองไป
ไม่น้อย แอบไปซื้อบ้านข้างนอกหลายหลัง ข้ารู้ดีทุก
อย่าง แต่ก็ไม่ได้คิดจะเปิดโปงเจ้า เพราะเห็นว่าเจ้า
สองพ่อลูกก็ทางานภักดีให้กับจวนโหวมานาน แต่ว่า
เจ้าได้คืบจะเอาศอก เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน กล้า
ทาร้ายซื่อจื่อ ทาลายจวนโหว ถือว่าข้ากู้ชิงฮั่นดูเจ้า
ผิดไปจริงๆ”
ชิวอี้พูดว่า “ข้าน้อยเลอะเลือน ซื่อจื่อ ฮูหยินสาม
ขอร้องท่านล่ะเห็นแก่ที่พวกเราสองพ่อลูกทางาน
จงรักภักดีต่อจวนโหวมานานหลายปี ลงโทษสถาน
เบาด้วยเถอะ”
“ลงโทษอย่างไร ไม่ต้องรีบร้อนนักหรอกนะ” หยาง
หนิงแสร้งทาเป็นยิ้มแล้วพูดว่า “ขอดูท่าทีของเจ้า
เสียก่อน” จากนั้นเขาก็ตะโกนว่า “ใครก็ได้ มาเอา
ตัวพ่อบ้านชิวไปขังเอาไว้ แล้วเฝ้าเอาไว้ให้ดี”
หยางหนิงเห็นกู้ชิงฮั่นเศร้าไป จึงปลอบประโลมใจว่า
“ซานเหนียง ท่านอย่าคิดมากไปเลย ไว้ค่อยจัดการ
เขาทีหลัง”
“หนิงเอ๋อ ข้าแค่คิดไม่ถึงเลยว่า ชิวอี้จะทาแบบนี้”
กู้ชิงฮั่นยิ้มอย่างขื่นขมแล้วพูดว่า “ท่านใหญ่สามเป็น
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูล แต่ว่า...แต่ว่ากลับกล้าทา
เรื่องแบบนี้ได้ หากท่านเหล่าโหวกับท่านแม่ทัพใหญ่
อยู่ในปรโลกได้รับรู้ จะนอนตายตาหลับได้อย่างไร”
“ใจคนยากแท้หยั่งถึง ท่านใหญ่สามเขา...!” หยาง
หนิงกาลังจะพูด ก็รู้สึกว่าหน้าอกร้อนเป็นไฟ เหมือน
มีเข็มเป็นพันเล่มทิ่มแทงอยู่ ทรมานยิ่งนัก เขาจับไป
ที่หน้าอก กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงสีหน้าเจ็บปวด ก็รีบ
ลุกขึ้นมา แล้วเข้าไปพยุงเขา แล้วถามด้วยความเป็น
ห่วงว่า “หนิงเอ๋อ เจ้า...เจ้าเป็นอะไรไปรึ? อย่าทาให้
ข้าตกใจแบบนี้นะ”
หยางหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกเหมือนว่าอาการ
จะดีขึ้นเล็กน้อย เขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่...ไม่ต้อง
เป็นห่วง ไม่เป็นอะไรมาก” เขารู้สึกว่ามันน่าจะเป็น
อาการของจุดตันเถียนของเขา แอบคิดว่าเหตุใด
อยู่ๆ มันถึงได้กาเริบขึ้นมาได้?
ในหัวของเขาตอนนี้นึกถึงมู่เซิ๋นจวิน ถูกตาเฒ่านั่น
ทาร้ายจนบาดเจ็บ ก่อนหน้านี้กาเริบขึ้นมาสองครั้ง
แล้ว จากนั้นก็ไม่มีอาการอีก หยางหนิงเหมือนจะลืม
วิชามือไม้เปื่อยตายไปแล้ว ตอนนี้เขาปวดมาก แต่
เขาไม่รู้ว่ามันเกิดจากอาการบาดเจ็บของวิชามือไม้
เปื่อยตาย ยังคิดอยู่ว่ามันน่าจะเกิดจากอาการจาก
จุดตันเถียน
เขานึกถึงถังนั่วขึ้นมา ผู้หญิงคนนั้นรับปากว่าจะมา
เมืองหลวงในอีกครึ่งเดือน ซึ่งห่างจากวันนี้อีกสิบ
กว่าวัน ขอแค่ถังนั่วรักษาคาพูด ก็จะต้องมาช่วย
รักษาอาการให้เขาแน่ๆ
อาการเจ็บหน้าอกของเขามาเป็นระยะๆ ไม่หยุด
หน้าผากของเขาเหงื่อเริ่มไหลพราก กู้ชิงฮั่นเห็น
ดังนั้นก็ร้อนใจ จะส่งคนไปที่ตามหมอมา หยางหนิง
ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ไม่ต้องตามหมอ
หรอก ข้าพักเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็หายแล้ว” เขารู้ดีว่า
อาการของเขานั้น ต่อให้เป็นถังนั่วก็ไม่แน่ว่าจะ
รักษาได้ ไม่ต้องพูดถึงหมอคนอื่นหรอก
กู้ชิงฮั่นพยุงหยางหนิงไปที่ห้องพักด้านข้าง ภายใน
ห้องมีเปลนอนอยู่ หยางหนิงเอนตัวนอนไป พักหนึ่ง
อาการปวดก็ลดลงไปไม่น้อย
“หนิงเอ๋อ เกิดอะไรขึ้น?” กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิง
เจ็บปวด สายตาของนางก็แดงก่า “เจ้ามีอะไรปิดบัง
ข้าไว้ใช่หรือไม่? คนพวกนั้นทาร้ายเจ้าใช่หรือไม่?”
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา แล้วเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก
ให้หยางหนิง ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเป็นของติดตัวของ
นาง มันมีกลิ่นหอมจากตัวของผู้หญิงติดอยู่ด้วย
หยางหนิงไม่อยากให้กู้ชิงฮั่นต้องเป็นห่วงมากเกินไป
ก็พูดด้วยความอ่อนโยนว่า “น่าจะเป็นเพราะช่วงนี้
เหนื่อยเกินไป เลือดลมเลยไม่ดี ตอนนี้ข้าดีขึ้นแล้ว”
จากนั้นก็เปลี่ยนประเด็นไปว่า “ซานเหนียง วันนี้ข้า
ไม่ได้ปรึกษาท่านก่อน ไล่ฉีอวี้สองแม่ลูกไป ท่านไม่
โกรธข้าใช่หรือไม่?”
“พวกเขาต้องการทาร้ายเจ้า แค่ไล่พวกเขาออกไป
ถือว่าไว้หน้ามากแล้ว” เมื่อพูดถึงฉีอวี้สองแม่ลูก กู้
ชิงฮั่นเหมือนมีอารมณ์ฉุนเฉียวไม่น้อย จากนั้นพูดว่า
“หนิงเอ๋อ วันนี้เจ้าทาถูกแล้ว ตัดสินใจเด็ดขาด
เหมือนท่านแม่ทัพใหญ่เลย”
หยางหนิงคิดในใจว่าข้าเป็นแบบนี้มานานแล้ว เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าเข้าใกล้ชาดก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดง
ถ้าเข้าใกล้น้าหมึกก็จะกลายเป็นสีดา อยู่กับซาน
เหนียง ก็เรียนรู้การจัดการมาจากท่านบ้าง”
“ยังจะมาเล่นลิ้นอีกนะ” กู้ชิงฮั่นเห็นสีหน้าของ
หยางหนิงดีขึ้น ก็เบาใจลง นางยิ้มแล้วพูดว่า “
หนิงเอ๋อ ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่เป็นอะไรใช่
หรือไม่?” จากนั้นนางก็ยื่นมือไปแตะหน้าผากของ
หยางหนิง รู้สึกว่าตัวไม่ร้อน ก็ค่อยเบาใจลง
“ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ขอรับ” หยางหนิงพูดว่า
“จริงสิ ซานเหนียง พวกเรากลับมา ยังไม่ได้ไปหาไท่
ฮูหยินเลย ต้องไปหาท่านหรือไม่ขอรับ? เรื่องที่
เกิดขึ้นในวันนี้ อย่างไรก็ต้องบอกกับนางให้ได้รับรู้”
“เจ้านอนพักอยู่ที่นี่ก่อน ข้าไปหาไท่ฮูหยินเอง” กู้ชิง
ฮั่นลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เรื่องพวกนี้พูดกันครู่เดียวคง
ไม่รู้เรื่องหรอก ข้าจะไปพูดเอง” นางยังคงเป็นห่วง
จึงถามว่า “หนิงเอ๋อ เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่
หรือไม่?”
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “รอ
ท่านกลับมา ข้าจะกระโดดโลดเต้นให้ท่านดู”
กู้ชิงฮั่นยิ้ม จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินจากไป
หยางหนิงนอนอยู่ที่เปลนอน ในใจแอบเป็นห่วง
สภาพร่างกายของตัวเอง วันนี้อาการที่กาเริบต่าง
จากครั้งก่อนๆ มาก ความเจ็บนั่นมันไม่ได้หนัก แต่
มันอยู่นานเกินไป แต่ที่น่าอนาถใจที่สุดคือไม่รู้ว่ามัน
เกิดจากวิชามือไม้เปื่อยตายหรือลมปราณที่จุด
ตันเถียนกันแน่
เร่งเดินทางหลายวัน เขาก็รู้สึกอ่อนเพลียไม่น้อย
เอนตัวบนเปลสักพัก ก็หลับไป
ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ทันใดนั้นก็ได้ยินเหมือนมี
เสียงเรียกชื่อตัวเองอยู่ เมื่อลืมตาขึ้นมา ก็เห็นฉีเฟิง
ยืนอยู่ข้างๆ เขาลุกขึ้นมานั่ง เห็นว่าฟ้ามืดแล้ว ใน
ห้องจุดไฟ เห็นสีหน้าของฉีเฟิงดูเคร่งเครียด ก็ถาม
ว่า “เป็นอะไรรึ? ฟ้าถล่มดินทลายหรืออย่างไร?”
ฉีเฟิงพูดว่า “ซื่อจื่อ ไม่ต่างกับฟ้าถล่มดินทลายเลย
ขอรับ คุณชายน้อยกับฉงอี๋เหนียงกลับมาแล้ว พวก
เขายังพาท่านใหญ่สามมาด้วย”
หยางหนิงอึ้งไป จากนั้นก็ลงมาจากเปลนอน แล้วพูด
ว่า “ข้ากาลังอยากเจอเขาอยู่พอดี”
“ไม่ได้มีแค่ท่านใหญ่สามนะขอรับ” ฉีเฟิงพูดว่า
“บรรดาผู้อาวุโสทั้งหมดที่อยู่ในเมืองหลวงของ
ตระกูลฉี ราวสิบกว่าคน ก็มากันครบเลยขอรับ”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 118 ตัดขาดความสัมพันธ์
ในห้องโถงใหญ่ของจวนจิ่นอีโหว เห็นเงาคนสีดาเต็ม
ไปหมด ในห้องโถงเก้าอี้ซ้ายขวาราวแปดตัว มีผู้
อาวุโสนั่งกันจนเต็ม ด้านหลังของทุกคนต่างมีคนยืน
อยู่ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็อยู่เต็มห้องโถงไปหมด
ท่านใหญ่สามตระกูลฉีนั่งอยู่ทางเก้าอี้ตัวแรก
ด้านซ้ายสุด สวมชุดผ้าแพร สีหน้ามีแต่รอยเหี่ยวย่น
นั่งหน้านิ่งสงบอยู่
ท่านห้าไม่ได้อยู่ด้วย แต่ว่าท่านหกอยู่ด้านหลังท่าน
ใหญ่สาม สีหน้าดูไม่ดีเอาเสียเลย ฉีอวี้ที่อยู่ข้างๆ ยัง
อึดอัดไม่น้อย
ในห้องโถงซ้ายขวามีตะเกียงอยู่ข้างละสองอัน คนใน
ห้องโถงต่างคุยซุบซิบกัน เสียงดังเอะอะวุ่นวายดัง
ขึ้น เมื่อหยางหนิงปรากฏตัว เสียงเหล่านั้นก็หยุดลง
สายตานับไม่ถ้วนจ้องมาที่หยางหนิง สีหน้าท่าทาง
แตกต่างกันไปท่านใหญ่สามเหลือบไปมอง เงยหน้า
ลูบเครา สีหน้าเคร่งขรึม
หยางหนิงกวาดสายตาไป ยิ้มแล้วพูดว่า “มากันครบ
ทั้งตระกูลเลยหรือ?” เขายกมือขึ้นคานับ แล้วพูดว่า
“ฉีหนิงคานับเหล่าผู้อาวุโส”
ตระกูลฉี นอกจากสายเลือดทางตรงไม่กี่หลังคา
เรือนแล้ว นอกนั้นก็เป็นญาติห่างๆ ส่วนที่เหลือก็อยู่
ในเจียงหลิงทั้งหมด ตระกูลฉีทั้งสองรุ่นต่างเป็นเสา
หลักของต้าฉู่ ตระกูลฉีเองก็เหมือนเกาะบารมีต้นไม้
ใหญ่ต้นนี้ตลอด ไม่ว่าเป็นญาติทางไหนก็ค่อยๆ ย้าย
ตามมาอยู่เมืองหลวงกันหมด
จิ่นอีโหวไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับพวกเขามากนัก
แต่เพราะพวกเขาเป็นใครในตระกูล ก็ถือว่าตัวเอง
เป็นญาติของจิ่นอีโหวมาทางานในเมืองหลวง ก็ทา
ให้ราบรื่นไม่น้อย บางคนก็รับราชการ บางคนก็ทา
การค้า
ส่วนบ้านของท่านใหญ่สามนั้นทาการค้าเป็นหลัก
เมื่อเทียบกับร้านค้าของทางจวนจิ่นอีโหวที่มีเพียง
สองแห่งแล้ว ร้านค้าทางท่านใหญ่สามนั้นกลับมี
ร้านค้าอยู่หลายแห่ง
ตอนที่จิ่นอีโหวยังมีชีวิตอยู่ คนในตระกูลไม่ว่าจะใคร
ก็ตามก็ต้องฟังคาสั่งของจิ่นอีโหว แต่ว่าพอหลังจาก
ที่ท่านเหล่าโหวสิ้นไป ท่านใหญ่สามก็กลายมาเป็นผู้
อาวุโสสูงสุดของตระกูลฉี เรื่องภายในตระกูล ท่าน
ใหญ่สามสามารถสอบถามได้ทั้งหมด
หยางหนิงเอ่ยทักทาย แต่ไม่มีผู้ใดตอบรับเลย ทุกคน
หันหน้าหนีหมด
หยางหนิงยิ้ม แล้วเดินตรงไปยังที่นั่งตรงกลาง กาลัง
จะนั่งลง ท่านหกก็ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ช้า
ก่อน ฉีหนิง เจ้าไม่เห็นหรืออย่างไร ว่าวันนี้ผู้อาวุโส
ทั้งหลายต่างก็อยู่ที่นี่ วันนี้เป็นการประชุมใหญ่ของ
ตระกูล เจ้ากล้านั่งตรงนั้นเลยหรือ?”
หยางหนิงไม่ได้สนใจอยู่แล้ว จากนั้นเขาก็นั่งลงไป
คนในห้องโถงต่างซุบซิบพูดจากัน
“ไม่ต้องพูดมากหรอกขอรับ ที่นี่คือจวนจิ่นอีโหว
เป็นที่ของข้า อย่าว่าแต่นั่งเลย หากข้าอยากจะนอน
ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกท่าน” หยางหนิงนั่งพิงเก้าอี้
แถมยังยกเท้าขึ้นมาอีกด้วย จากนั้นก็พูดว่า “ท่าน
ลุงท่านน้ามาทาอะไรกันที่นี่รึ? นี่มันก็เลยเวลา
อาหารของจวนไปแล้ว หากใครยังไม่ได้กินข้าวมา ก็
ต้องขออภัยด้วย”
เมื่อพูดออกมาแบบนี้ หลายคนก็ไม่พอใจ อีกทั้งยังมี
คนส่ายหน้า
มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ฉีหนิง ในเมื่อเจ้า
เป็นจิ่นอีซื่อจื่อ ก็ควรทาตัวให้สมกับตาแหน่งหน่อย
เหตุใดถึงไม่มีกาลเทศะแบบนี้ หากคนอื่นรู้เข้า
ตระกูลฉีของพวกเรา...!”
เขายังพูดไม่ทันจบ หยางหนิงก็พูดแทรกขึ้นมาว่า
“ขออภัย ท่านเป็นใครรึ?”
ท่านผู้อาวุโสคนนั้นตะลึงไป ท่านใหญ่สามก็พูด
ขึ้นมาว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจว่าเขาเป็นใครหรอกนะ
คนในตระกูลฉีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างก็อยู่ที่นี่กัน
หมดแล้ว เจ้าเองรู้จักไม่หมดหรอก”
“ก็จริง” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านใหญ่สาม
เป็นหัวหน้าตระกูล เรื่องภายในตระกูล ท่านใหญ่
สามก็ดูแลอยู่คนเดียวอยู่แล้ว จะรู้จักไม่รู้จักใครก็คง
ไม่เป็นอะไร”
ท่านหกได้ยินดังนั้น ก็พลันรู้สึกโกรธขึ้นมาแล้วพูดว่า
“ฉีหนิง เจ้าพูดอะไรเกรงใจบ้าง รู้จักกาลเทศะบ้าง
หรือไม่?”
ครั้งที่แล้วเขาถูกหยางหนิงตีจนหัวแตก ในใจ
เกลียดหยางหนิงเข้ากระดูกดา
“ฉีซง เจ้าไม่ต้องพูดมาก” ท่านใหญ่สามนั่งนิ่งแล้ว
มองไปที่หยางหนิง แล้วถามว่า “ข้าขอถามเจ้า
หน่อย ไล่สองแม่ลูกฉีอวี้ออกจากจวนโหว ความคิด
ของเจ้าหรือ?”
หยางหนิงเหลือบไปมองฉีอวี้ เห็นฉีอวี้มองมาที่เขา
ด้วยสายตาอาฆาต ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ถูกต้อง
ความคิดของข้าเอง”
ภายในห้องโถงเงียบไป
“ฉีหนิง พ่อของเจ้าเพิ่งจะเสียไป เขาไปยังไม่ทันไร
เจ้าก็ลงมือกับพี่น้องแท้ๆ ของเจ้าแบบนี้แล้วหรือ
เจ้ายังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่?” ท่านใหญ่สามพูด
ด้วยความโกรธว่า “เจ้ามันจิตใจคับแคบ ไม่เห็นคน
อื่นอยู่ในสายตา ชื่อเสียงของจิ่นอีโหว จะต้องมาสูญ
สิ้นในมือของเจ้า”
หยางหนิงแกว่งขาไปมา แล้วถามว่า “ข้าให้พวกเขา
ออกจากจวนไปในคืนนี้ ตอนนี้น่าจะเหลือเวลาอีก
ประมาณสองชั่วโมง ท่านใหญ่สาม ท่านพากลุ่มใหญ่
มาที่นี่ เพราะต้องการพูดแทนสองแม่ลูกนี่อย่างนั้น
หรือ?”
ท่านใหญ่สามยิ้มกระอักกระอ่วนแล้วพูดว่า “พูด
แทนพวกเขาหรือ? ข้าจาเป็นต้องทาแบบนี้ด้วย
หรือ?”
“อ๋อ?” หยางหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านใหญ่สาม
คิดอย่างไรเล่า?”
“เจ้าทาผิดขนาดนี้ ในฐานะของหัวหน้าตระกูล จะ
นั่งดูเฉยๆ โดยไม่สนใจได้อย่างไร” ท่านใหย่สามพูด
ว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกหนึ่งครั้ง ให้เจ้าถอนคาสั่ง
คืนไป แล้วขอโทษสองแม่ลูกนี้เสีย ข้าจะถือว่าเจ้ายัง
เด็กไม่เป็นประสา เรื่องนี้ก็จะจบแค่นี้”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากข้าไม่ทาแล้วจะเป็น
อย่างไรเล่า?”
ท่านใหญ่สามก็ไม่พูดอะไร ค่อยๆ ลุกขึ้นมา แล้วมอง
ไปรอบๆ แล้วพูดว่า “วันนี้ทุกคนในตระกูลฉีมา
รวมตัวกันที่นี่หมดแล้ว ข้ามีเรื่องจะประกาศให้ทุก
คนได้รับรู้” เขากระแอม แล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้จิ่น
อีโหวออกสู้ศึกหลายปี มีคืนหนึ่งได้ตามข้าไปพบ
แล้วกาชับข้าไว้เรื่องหนึ่ง”
ทุกคนต่างมองไปที่ท่านใหญ่สาม ภายในห้องโถง
เงียบสงบ
“จิ่นอีโหวกังวลเรื่องฉีหนิงมากที่สุด ทุกคนก็รู้ว่าเขา
เป็นอย่างไรก่อนหน้านี้ ดังนั้นจิ่นอีโหวคิดว่า หากให้
เขาสืบทอดตาแหน่งโหว เขาไม่รู้เรื่องอะไร ไม่เพียง
จะทาให้คนอื่นหัวเราะเยาะพวกเราได้ อาจะทาให้
ชื่อเสียงของจิ่นอีโหวถูกทาลายลงเพราะเขาด้วย”
ท่านใหญ่สามถอนหายใจแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหวมี
ความคิดอยากจะให้ฉีอวี้สืบทอดตาแหน่งโหวตั้งแต่
ตอนนั้น ทุกคนก็เห็นๆ กันอยู่ สองพี่น้องนี้เมื่อเทียบ
กันแล้ว ฉีอวี้ไม่ว่าด้านไหนก็เหนือกว่าฉีหนิงทั้งนั้น”
ท่านหกพูดเสียงดังว่า “ถูกต้อง ฉีอวี้ฉลาดรู้จัก
กาลเทศะ มีคุณธรรม ส่วนฉีหนิง...!” เมื่อเหลือบไป
มองหยางหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เขาทาลาย
ชื่อเสียงของตระกูลมันยังไม่มากพอหรือ?”
หยางหนิงทาได้แค่ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร
“ตอนนั้นจิ่นอีโหวได้ฝากฝังข้าว่า หากฉีหนิง
เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ก็ให้คนในตระกูลสนับสนุน
เขา แต่ว่าหากฉีหนิงยังคงไม่รู้จักกาลเทศะ ก็ให้ข้า
สนับสนุนฉีอวี้แทน” ท่านใหญ่สามทาหน้าเศร้าๆ
“ฉีหนิงในฐานะลูกชายคนโตและลูกของเมียแต่ง ข้า
เองก็ไม่อยากทาลายกฎ ดังนั้นหลายปีมานี้ข้าก็
พยายามมองดูเขาเติบโต...!” จากนั้นเขาก็ส่ายหัว
แล้วพูดว่า “แต่ว่าความหวังดีของข้า มันสูญเปล่า
ใครจะคิดว่าเขาจะเป็นหนักขึ้นหลังจากจิ่นอีโหวสิ้น
ไป ไม่เพียงไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา แถมยังไม่รู้จัก
เด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ตอนนี้ยังปีกกล้าขาแข็ง จะไล่ฉีอวี้
สองแม่ลูกออกจากจวนอีก ในใจของทุกคนน่าจะรู้ดี
ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
ทุกคนเหมือนจะหันไปปรึกษากัน ทุกคนเหมือนจะ
ตาหนิฉีหนิงกันใหญ่ นอกจากคนส่วนน้อยเท่านั้นที่
เงียบ เหมือนส่วนใหญ่จะเอนเอียงไปยังท่านใหญ่
สามแล้ว
“ทาร้ายพี่น้องกันเองเรื่องเน่าเฟะขนาดนี้ จะต้องไม่
เกิดในตระกูลฉีของพวกเรา” ท่านใหญ่สามถึงแม้
อายุจะเยอะแล้ว แต่เสียงยังกังวานอยู่ “ก่อนจิ่นอี
โหวจะสิ้นไป ได้บอกข้าไว้ว่า เขากังวลเพราะว่าฉีอวี้
เป็นลูกอนุเกรงว่าจะถูกรังแก จะมีใครไม่ให้ความ
ยุติธรรมกับพวกเขา ให้ข้าช่วยดูแลพวกเขา ขอแต่
ข้ายังอยู่ ก็จะไม่ให้ใครมาก่อความวุ่นวายได้
เด็ดขาด”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านใหญ่สาม ท่านบอกว่า
ท่านพ่อของข้ากาชับท่านไว้ ไม่ทราบว่ามีใครเป็น
พยานให้ท่านได้บ้าง?”
“ไม่จาเป็นต้องมีใครเป็นพยาน” ท่านใหญ่สามเสียง
แข็ง “ฉีหนิง ข้าบอกแล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง
หากว่าเจ้าขอโทษสองแม่ลูกนี้ ข้าก็จะไม่ติดใจเอา
ความอีก แต่ว่า...!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก” หยางหนิง
หน้านิ่งแล้วพูดต่อไปว่า “อะไรที่ข้าพูดไปแล้ว ข้าจะ
ไม่คืนคา ตอนนี้เรื่องในจวนจิ่นอีโหวข้าเป็นคน
ตัดสินใจ ข้าไล่ฉีวี้สองแม่ลูก หากเลยเวลาของคืนนี้
ไป หากพวกเขายังอยู่ในจวน ข้าจะหักขาฉีอวี้ซะ
หากไม่เชื่อจะลองดูก็ได้”
ภายในห้องโถงมีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
“เจ้า...!” ท่านใหญ่สามโกรธจนหน้าดาหน้าแดง
จากนั้นก็พูดด้วยความโกรธว่า “ได้ ฉีหนิง เจ้าอย่า
หาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้านะ” เขาพูดจาเสียงดัง “ข้าใน
ฐานะหัวหน้าตระกูล วันนี้ทุกคนต่างอยู่ที่นี่ ข้าจะไล่
ฉีหนิงออกจากตระกูล ตั้งแต่นี้ต่อไป สายเลือดของฉี
หนิงทั้งหมด จะไม่เกี่ยวข้องกับคนในตระกูลฉีอีก”
เมื่อเขาพูดคาพูดนี้ออกมา มีหลายคนที่หน้าถอดสี
ไป
ทุกคนต่างรู้ ตระกูลใหญ่แบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
ตระกูลที่มีชื่อเสียง ทุกคนในตระกูลถือเป็นรากฐาน
สาคัญ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามรากก็เป็นส่วนสาคัญของ
ต้นไม้ใหญ่
เมื่อถูกไล่ออกจากตระกูล ก็เหมือนคนที่โดดเดี่ยว
เดียวดาย ต่อไปภายภาคหน้า ก็จะไม่มีคนในตระกูล
คอยคุ้มครองอีก สาหรับตระกูลใหญ่แล้ว การถูกไล่
ออกจากตระกูล ก็เหมือนถูกตีจนตาย ไม่มีการ
คุ้มครองจากคนในบ้าน ก็เหมือนไม่มีหนทางที่จะ
เดินไปต่อได้อีก
แต่ว่าตระกูลฉีกลับแตกต่าง
สายเลือดของทางจิ่นอีโหวมีบรรดาศักดิ์
พระราชทาน ถึงแม้สายเลือดทางจิ่นอีโหวจะมีฐาน
ของตระกูลฉี แต่ว่าที่ตระกูลฉีรุ่งเรืองได้ ก็เพราะ
สายเลือดของจิ่นอีโหวทั้งสองรุ่น หากเป็นเมื่อก่อน
ตระกูลฉีตัวแทบจะติดกับสายเลือดของจิ่นอีโหว ไม่
มีทางไล่สายเลือดของจิ่นอีโหวออกจากตระกูล
แน่นอน
แม้กระทั่งในตอนนี้ ถึงแม้จิ่นอีโหวซื่อจื่อจะดูไม่มี
เหตุผล แต่ก็เป็นผู้สืบทอดตาแหน่งจิ่นอีโหว การไล่
เขาออกจากตระกูล สาหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็ไม่ใช่
เรื่องดีอะไร สายเลือดของจิ่นอีโหวไม่มีรากฐาน ส่วน
ตระกูลฉี ก็จะไม่มีต้นไม้ใหญ่ไว้คอยพึ่งพิง
ท่านใหญ่สามในฐานะหัวหน้าของตระกูล เขามีสิทธิ
จะไล่ใครออกจากตระกูลก็ได้
ภายในห้องโถงเงียบจนน่ากลัว
หยางหนิงค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วจ้องมาที่ท่านใหญ่สาม
แล้วถามอย่างชัดถ้อยชัดคาว่า “ท่านบอกว่าจะไล่ข้า
ออกจากตระกูลอย่างนั้นหรือ?”
ท่านใหญ่สามจ้องมองไปที่หยางหนิง แล้วพูดว่า
“เจ้าสมควรโดนแล้ว ไม่อย่างนั้นขืนปล่อยไว้แบบนี้
เจ้าจะต้องก่อเรื่องใหญ่แน่ ตระกูลฉีของพวกเราจะ
ไม่ปล่อยให้เจ้าได้ทาอย่างนั้นเด็ดขาด นอกจากเจ้า
จะก้มหน้ายอมรับผิดต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสที่นี่
ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจในครั้ง
นี้เด็ดขาด”
หยางหนิงกวาดสายตาไปมอง แล้วถามว่า “พวก
ท่านก็ต้องการแบบนี้เหมือนกันใช่หรือไม่?”
ทุกคนต่างก้มหน้า ไม่พูดอะไร
หยางหนิงหยิบมีดสั้นออกมา แล้วจ้องเขม็งไปที่ท่าน
ใหญ่สาม จากนั้นก็ถามว่า “ข้าขอถามท่านเป็นครั้ง
สุดท้าย ท่านต้องการแบบนี้ใช่หรือไม่? ไม่เปลี่ยนใจ
แล้วแน่นะ?”
ท่านใหญ่สามเห็นหยางหนิงหยิบมีดออกมา ก็ถอย
หลังไปโดยไม่รู้ตัว “เจ้า...เจ้าจะทาอะไร?” จากนั้นก็
พูดอีกว่า “เจ้ากล้าเอามีดออกมาขู่ข้าหรือ? เจ้าฟัง
ให้ดี วันนี้ข้าจะไล่เจ้าออกจากตระกูล ตั้งแต่นี้ต่อไป
สายเลือดของเจ้าฉีหนิง จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ
ตระกูลฉีอีก”
“ฉึบ!”
หยางหนิงใช้มีดตัดขาเก้าอี้ ทุกคนล้วนตกใจกันหมด
เห็นสายตาของหยางหนิงคมราวกับคมดาบ เขา
กวาดสายตามองไปที่อยู่รอบๆ ทุกคน แล้วพูดอย่าง
ชัดถ้อยชัดคาว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็เหมือนมีดเล่มนี้
จวนจิ่นอีโหวกับตระกูลฉีทั้งตระกูล มีดเดียวตัด
ขาดป็นสองท่อน ตัดขาดความสัมพันธ์ต่อกัน จะมี
จะจนไม่เกี่ยวข้องกันอีก เป็นตายต่างคนต่างอยู่”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 119 กลับคืนเจ้าของ
ท่านใหญ่สามพลันตะลึงกับสิ่งที่หยางหนิงพูด
ออกมาและคิดไม่ถึงว่าหยางหนิงจะตัดสินใจเช่นนี้
คนในห้องโถงต่างก็ตะลึงไปหมด ภายในห้องโถงนั้น
ก็พลันเงียบขึ้นมาราวกับป่าช้า
ผ่านไปครู่ใหญ่ ท่านใหญ่สามก็พูดขึ้นมาว่า “เจ้า
ตัดสินใจเรื่องนี้เองได้หรือ?” เขายิ้มอย่างเย็นชาแล้ว
พูดว่า “ข้าว่าเจ้าไปถามความเห็นของไท่ฮูหยินก่อน
ดีหรือไม่?”
“ไม่ต้องถามแล้ว” มีเสียงดังมาจากด้านนอก
สายตาของทุกคนอยู่ที่หยางหนิง ไม่ทันได้สังเกตเห็น
เมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว สายตาของทุกคนก็มองไป
เห็นกู้ชิงฮั่นพยุงคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา ร่างเล็กๆ และ
หลังค่อม ผมสีขาวโพลน แต่เมื่อทุกคนเห็นคนผู้นั้น
สีหน้าก็พลันตะลึงไป คนที่ยืนอยู่ก็รีบตรงเข้าไปยัง
คนผู้นั้น ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ต่างก็ลุกขึ้นมาหมด
ไท่ฮูหยินของจวนจิ่นอีโหวมาที่นี่ด้วยตัวเองในตอนนี้
หยางหนิงเห็นไท่ฮูหยิน ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน
เขารู้สึกหนาวสันหลังวาบ ขนลุกขนพองไปทั้งตัว
เขาลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบเดินเข้าไป แล้ว
คานับอย่างมีมารยาทว่า “ท่านย่า!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ เท่านั้น นางตาบอดทั้งสอง
ข้าง มองไม่เห็นอะไร กู้ชิงฮั่นพยุงนางเดินไปยังที่นั่ง
ตรงกลางของห้อง จากนั้นก็หันกลับมานั่งอย่างช้าๆ
นางร่างกายบอบบางและตัวเล็ก นั่งอยู่บนเก้าอี้ จึงดู
ไม่สมส่วนเท่าไหร่ แต่ว่า คนที่อยู่ในห้องโถงทั้งหมด
ต่างยาเกรงต่อนางมาก
“ไท่ฮูหยิน...!” ท่านใหญ่สามเดินเข้าไปทักทายก่อน
น้าเสียงของเขาดูอ่อนโยนและมีมารยาทยิ่งนัก “
ฉีหนิง เจ้าเด็กคนนี้ไม่ไหวจริงๆ ข้าเพิ่งจะสั่งสอนเขา
แค่ไม่กี่คา ท่านดูเขาสิ...เฮ้อ ไท่ฮูหยิน เขาจะต้อง
ออกจากตระกูลฉี...!”
ในห้องโถงตอนแรกหลายต่อหลายคนรู้สึกใจคอไม่
ค่อยดี ได้ท่านใหญ่สามมีน้าเสียงอ่อนลง ก็เหมือนจะ
เบาใจไปไม่น้อย แอบคิดว่าหากไล่จิ่นอีซื่อจื่อออก
จากตระกูลฉี ตระกูลฉีก็จะไม่มีที่พึ่งอีก สาหรับพวก
เขามันเป็นเรื่องเลวร้ายมาก
ถึงแม้จิ่นอีซื่อจื่อจะยังอายุน้อย แถมยังหยิ่งยโส แต่
ตาแหน่งจิ่นอีโหวก็ถือเป็นบรรดาศักดิ์ที่ราชสานัก
แต่งตั้งให้ เป็นเหมือนหน้าตาเพียงหนึ่งเดียวของ
ตระกูลฉี ด้วยหน้าตาอันนี้ ในหลายปีมานี้ทาให้คน
ในตระกูลฉีหลายคนทาอะไรก็คล่องตัวไม่น้อย หาก
ไม่มีแล้ว ตระกูลฉีก็จะเสียผลประโยชน์มากมาย
แน่นอน
เพียงแต่ว่าท่านใหญ่สามเป็นหัวหน้าในตระกูล มี
อานาจในตระกูลทุกอย่าง ใครจะกล้าออกหน้าแทน
ฉีหนิงแล้วไปมีปัญหากับท่านใหญ่สามได้เล่า
ตอนนี้ไท่ฮูหยินปรากฏตัวขึ้น บางทีอาจจะมีโอกาส
เปลี่ยนแปลงอะไรก็ได้ ในใจของหลายคนก็เต็มไป
ด้วยความคาดหวัง
ไท่ฮูหยินเงยหน้าขึ้นมา แล้วพูดว่า “จิ่งเอ๋อตายไป ฉี
หนิงคือจิ่นอีซื่อจื่อ ข้าเป็นแค่ยายแก่คนหนึ่งไม่ต่าง
อะไรกับคนที่ไร้ประโยชน์ ไม่มีอานาจอะไรไป
ตัดสินใจเรื่องในจวนโหวหรอก วันนี้ที่ข้ามาที่นี่ แค่
อยากจะมาบอกว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป เรื่องทุกเรื่องใน
จวนโหว ให้ฉีหนิงเป็นคนตัดสินใจดูแลทุกอย่าง การ
ตัดสินใจของเขา คือคาตัดสินใจของจวนโหว”
เดิมทีทุกคนยังรู้สึกมีความหวัง แต่เมื่อไท่ฮูหยินพูด
อย่างนี้ออกมา ทุกคนต่างก็ตะลึงไปตามๆ กัน
เดิมทีหยางหนิงยังคิดว่าการที่แม่เฒ่าคนนี้ปรากฏตัว
ขึ้น จะทาให้เรื่องราวเลวร้ายลงไป แต่เขาคิดไม่ถึง
เลยว่านางจะเข้าข้างเขา ทาให้เขารู้สึกแปลกใจไม่
น้อย
“เรื่องไล่ฉีอวี้ออกจากจวน ข้ารู้แล้ว ในเมื่อเป็นการ
ตัดสินใจของฉีหนิง ถ้าอย่างนั้นฉีอวี้ก็จะต้องออก
จากจวนในคืนนี้” น้าเสียงของไท่ฮูหยินช่างดูเหนื่อย
ล้ายิ่งนัก นางพูดอย่างช้าๆ ราวกับคนไม่มีแรง แต่ว่า
ทุกคาพูดของนางมีพลังและอานาจยิ่ง “ในเมื่อ
ตระกูลฉีไล่ฉีหนิงออกจากตระกูล ต่อไปก็ไม่มีอะไร
เกี่ยวข้องกันอีก”
ท่านใหญ่สามสีหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นก็หลุดพูด
ออกมาว่า “ไท่ฮูหยิน...!”
ไท่ฮูหยินค่อยๆ พูดว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
ตระกูลฉีทอดทิ้งฉีหนิง ไม่ใช่ฉีหนิงต้องการตัดขาด
จากตระกูลฉี พวกเจ้าทั้งหมดก็อยู่ในเหตุการณ์ รู้ถึง
สาเหตุที่มาที่ไปเรื่องนี้ดี คิดว่าในใจก็รู้ดีแล้วว่า
เพราะอะไร”
ฉีอวี้เดินเข้ามา แล้วคุกเข่าลงกับพื้น “ท่านย่า ฉีหนิง
เป็นหลานชายท่าน แล้วฉีอวี้เล่ามิใช่หลานชายของ
ท่านหรือ?”
ไท่ฮูหยินยื่นมือเหี่ยวแห้งของนางออกไป แล้วกวัก
เรียกเขาเข้ามาใกล้ๆ ฉีอวี้คุกเข่าแล้วเขยิบเข้าไป
ใกล้ๆ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะถูกไล่ออกจาก
จวนโหว เขาทั้งโกรธทั้งกลัว ตอนนี้หวังแค่เพียงไท่ฮู
หยินจะรั้งตัวเขาไว้
ไท่ฮูหยินยื่นมือไปลูบหน้าเขา แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า
“พี่ชายเจ้าตัดสินใจไปแล้ว ข้าเป็นแค่ยายแก่ๆ คน
หนึ่งจะไปขัดเขาได้อย่างไร แต่ว่าเจ้าต้องจาเอาไว้
เขาเป็นจิ่นอีซื่อจื่อ เป็นผู้สืบทอดตาแหน่งจิ่นอีโหว
เจ้าทาผิด ก็ต้องได้รับโทษ วันนี้เขาไล่เจ้าออกจาก
จวน แต่หากวันหนึ่งเจ้าเปลี่ยนตัวเองได้สานึกผิด ก็
ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสกลับมา ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเจ้า
เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ฉีอวี้น้าตาไหลพราก กาหมัดแน่น ตัวสั่นไปทั้งตัว
ไท่ฮูหยินลูบไปที่หน้าของฉีอวี้เบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้น
แล้วพูดว่า “ชิงฮั่น พยุงข้ากลับห้องพระที”
กู้ชิงฮั่นรีบพยุงไท่ฮูหยินขึ้น ท่ามกลางสายตาของทุก
คน ไท่ฮูหยินก็เดินจากไปจากสายตาของทุกคน
อย่างรวดเร็ว
ในห้องโถงเงียบสนิท หยางหนิงมองไปรอบๆ แล้ว
พูดว่า “ทุกท่านยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่? ต่อไปทุก
คนก็ทางใครทางมัน ข้าจะไม่ทาให้พวกท่านต้อง
เดือดร้อนไปด้วยอีก ซึ่งแน่นอนว่า หากพวกท่านมี
เรื่องเดือดร้อนอะไร ประตูใหญ่ของจิ่นอีโหวก็จะไม่
เปิดรับพวกท่านเหมือนกัน”
ท่านใหญ่สามสีหน้าโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง สั้นไป
ทั้งตัว จากนั้นก็หันตัวเดินจากไป ฉีอวี้เห็นดังนั้น ก็
รีบวิ่งเข้าไป ดึงชายเสื้อของท่านใหญ่สามเอาไว้
จากนั้นเขาก็ถามด้วยความกลัวว่า “ท่านใหญ่สาม
ท่าน...ท่านจะไม่ทาอะไรเลยหรือ?”
“ฉีหนิงไม่ใช่คนของตระกูลฉีแล้ว ข้าทาอะไรเขา
ไม่ได้แล้ว” ท่านใหญ่สามพูดด้วยความแค้นว่า
“พวกเราไปกันเถอะ ในเมื่อเขาไม่ให้พวกเรามาที่นี่
ต่อไปจะเป็นจะตายก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก” เขาจ้องไป
ที่หยางหนิง แล้วพูดว่า “ทาตัวเองให้ดีเถอะ อย่าให้
จวนจิ่นอีโหวต้องล่มสลายเพราะเจ้าล่ะ”
คนอื่นๆ เมื่อเห็นดังนั้น บางคนก็ส่ายหน้า บางคนก็
ถอนหายใจ แยกย้ายกันกลับไป หยางหนิงพูดขึ้นมา
ว่า “ท่านใหญ่สามอย่าเพิ่งรีบไป ท่านเหมือนจะลืม
เรื่องอะไรไปนะ”
ท่านใหญ่สามขมวดคิ้ว หันหน้ากลับมาแล้วพูดว่า
“เรื่องอะไร?”
“เงิน” หยางหนิงพูดซ้าอีกครั้งว่า “เงินภาษี!”
ท่านใหญ่สามถึงกับตัวสั่น หยางหนิงพูดว่า “ในเมื่อ
ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว เงินภาษีของจวนโหว ก็
จะเอาไว้ที่บ้านของท่านไม่ได้อีก จะให้ข้าส่งคนไป
รับคืน หรือว่าพวกท่านจะเอามาส่งให้ที่นี่รึ? ทางข้า
ยังต้องตรวจสอบบัญชีอีก จะให้หายไปแม้แต่อีแปะ
เดียวก็ไม่ได้”
ท่านหกของตระกูลฉีพูดว่า “หากเอาเงินภาษีให้เจ้า
เกรงว่าเจ้าคงใช้มันจนหมด เป็นห่วงว่าเจ้าจะเอาไป
ก่อเรื่อง จึงเอาไว้ที่พวกเรา”
“เงินภาษีของจวนโหว จะเอาไปใช้อะไร มันก็เรื่อง
ของจวนโหว คงไม่รบกวนคนอื่นมายุ่ง” หยางหนิง
ยิ้มแล้วพุดว่า “เท่าที่ข้ารู้ พวกท่านได้เงินภาษีห้า
ร้อยหลังทุกปี ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็จะไม่ได้รับเงินนั่นอีก”
“เจ้ากล้าดีอย่างไร!” ท่านใหญ่สามสีหน้านิ่งไปแล้ว
พูดต่อไปว่า “นี่เป็นกฎที่ท่านเหล่าโหวตั้งขึ้น อย่าว่า
แต่เจ้าเลย ต่อให้เป็นพ่อของเจ้า ก็ไม่มีสิทธิยกเลิก”
ตอนนี้หลายคนออกจากห้องโถงไปแล้ว แต่ก็ยังมี
บางส่วนที่อยู่ในห้อง เมื่อได้ยินหยางหนิงต้องการลิบ
เงินภาษีคืน จึงอยู่ดูสถานการณ์
สายเลือดทางตรงของตระกูลฉีรวมๆ แล้วก็มีกว่า
ยี่สิบสามสิบครอบครัว คนในตระกูลส่วนใหญ่ก็ต่าง
ใช้หน้าตาของจวนจิ่นอีโหวทางานและทาการค้า
ทั้งนั้น
จวนโหวสมถะอยู่แล้ว คนรอบข้างแทบจะไม่ได้รับ
ผลประโยชน์จากทางจวนโหว มีเพียงสายเลือด
ทางตรงเพียงสามครอบครัวเท่านั้นที่ตอนที่ท่าน
เหล่าโหวยังอยู่ แบ่งเงินภาษีห้าร้อยหลังให้ หลักๆ ก็
เป็นเพราะสามครอบครัวนี้มีสมาชิกครอบครัวเยอะ
ที่สุด ค่าใช้จ่ายที่มีในเมืองหลวงต่อเดือนก็ไม่น้อย
ถึงแม้จะอยู่ในตระกูลเดียวกัน แต่ว่ามีเพียงแค่สาม
ครอบครัวเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์ คนอื่นถึงจะไม่ได้
พูดออกมา ในใจก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ ตอนนี้ได้ยิน
หยางหนิงจะลิบเงินภาษีห้าร้อยหลังคืน ในใจทุกคน
ก็รู้สึกสะใจไม่น้อย
หยางหนิงพูดว่า “ท่านเหล่าโหวแบ่งเงินภาษีให้ห้า
ร้อยหลัง ท่านเหล่าโหวไม่รู้นี่นาว่าวันหนึ่งท่านใหญ่
สามจะไล่ข้าออกจากตระกูล ตอนนี้ข้าไม่ใช่คนของ
ตระกูลฉีแล้ว แล้วทาไมข้าต้องเลี้ยงพวกท่านด้วย
ท่านอย่าลืมนะ เงินภาษีที่ดินศักดินาสามพันหลัง
ราชสานักประทานให้กับจวนจิ่นอีโหว เงินภาษีนี้จะ
ใช้อะไรก็ต้องให้ทางจวนโหวจัดการ ท่านย่าเมื่อครู่ก็
บอกแล้ว ต่อไปจวนโหวให้ข้าเป็นคนตัดสินใจ ดังนั้น
เงินภาษีข้าก็ต้องเป็นคนจัดแบ่ง แล้วตอนนี้ข้าเองก็
ต้องการเก็บเงินภาษีห้าร้อยหลังคืน”
หากถูกลิบคืนเงินภาษีไปจริง มันก็เหมือนเอามีดมา
ควักหัวใจออกไป ท่านหกของตระกูลฉีจะรับได้
อย่างไร เขาตะคอกกลับไปว่า “ฉีหนิง เจ้าจะก่อ
เรื่องอย่างไร ข้าจะไม่ขอยุ่ง แต่ว่าเจ้าจะมาแย่งเอา
ของของข้าไป ข้าไม่ยอม”
“ท่านนี่หน้าด้านจริงๆ เลยนะ” หยางหนิงยิ้มอย่าง
เย็นชาแล้วพูดว่า “ของของเจ้าหรือ? เงินภาษีของ
จวนโหวกลายเป็นของของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วพูดว่า
“เงินภาษีศักดินาเป็นของที่ราชสานักประทานมาให้
ตอนนี้มีคนมายึดเอาไปเป็นของตัวเอง ไม่รู้ว่าหาก
ทางราชสานักรู้เรื่องนี้ขึ้นมา จะทาอย่างไร? พวกเจ้า
ไม่ใช่ขุนนาง เป็นเพียงคนธรรมดา ตอนนี้จะรังแก
จวนจิ่นอีโหว ราชสานักอย่างไรก็ต้องให้ความเป็น
ธรรมกับทางจวนโหวอยู่แล้ว”
ท่านใหญ่สามหน้าซีดขาวเป็นไก่ต้ม จากนั้นก็พูดว่า
“ฉีหนิง เจ้าจะไม่เหลือเยื่อใยแบบนี้จริงๆ หรือ?”
“ไม่เหลือเยื่อใยรึ?” หยางหนิงสีหน้าจริงจังขึ้น
มาแล้วพูดต่อว่า “ข้ายังเรียกท่านว่าท่านใหญ่สาม
อยู่นะ คนที่ไม่เหลือเยื่อใย คือใครกันแน่? ท่านเห็น
ชิวอี้หรือไม่? ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?
ข้าบอกท่านดีหรือไม่ เขาถูกจับไปขังที่ห้องเก็บฟืน
แล้ว ยังมีจ้าวยวนกับฉีเฉิงตัวปลอมที่เจียงหลิง ท่าน
รู้จักหรือไม่? จริงสิ ที่เรือนรับรองของจงหลิง ที่ข้า
เกือบถูกฆ่าตาย นักฆ่าพวกนั้นรู้จักคุ้นเคยภายใน
เรือนเป็นอย่างดี ใครกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?”
สายตาของเขาเหมือนคมหอกคมดาบจ้องไปที่ตา
ของท่านใหญ่สาม
ท่านใหญ่สามร่างกายสั่นไปทั้งตัว เขาอ้าปากค้างพูด
อะไรไม่ออก จากนั้นก็ร้อง “อ๊า” ปากค้างอย่างนั้น
หุบไม่ลง ทันใดนั้นเขาก็ล้มลง ยังดีที่ฉีซงรีบพยุงเขา
เอาไว้ เห็นท่านใหญ่สามอ้าปากค้า ก็รีบพูดขึ้นด้วย
ความตกใจว่า “ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไร
ไป?” จากนั้นเขาก็ตะโกนว่า “ใครก็ได้ มาพยุงท่าน
พ่อข้าไปหาหมอที ท่านพ่อ ท่านอย่าทาให้ข้าตกใจ
แบบนี้สิ...!”
ทันใดนั้นเองก็มีคนหลายคนวิ่งเข้ามา แล้วก็หาม
ท่านใหญ่สามออกไป คนอื่นๆ เองอยู่ไปก็ไร้
ประโยชน์ ต่างก็ออกไปเช่นกัน ไม่นานนัก ในห้อง
โถงใหญ่ก็เงียบลง
ความคับแค้นใจของหยางหนิงที่ทับถมมานานถือว่า
ได้ระบายออกมาแล้ว มันสะใจมากจนพูดไม่ถูก หัน
กลับไปเขาก็ไม่เจอฉีอวี้แล้ว เขาเองก็รู้ว่าเขาน่าจะ
ฉวยโอกาสออกไปแล้ว จากนั้นเขาก็ตะโกนเรียกว่า
“ฉีเฟิง!”
ฉีเฟิงอยู่ไม่ไกลนัก เขารีบวิ่งเข้ามา สีหน้าเปี่ยมไป
ด้วยรอยยิ้ม “ซื่อจื่อ ข้าน้อยอยู่นี่” จากนั้นเขาก็ยื่น
นิ้วโป้งให้ “ซื่อจื่อ วันนี้ได้แก้แค้นสักที พวกเขายุ่ง
วุ่นวายกับจวนโหวมานาน เอาเปรียบพวกเรามา
มาก ตอนนี้ดีแล้ว ที่พวกเราจะลิบเงินภาษีห้าร้อย
หลังของพวกเราคืนมา...!” แค่คิดก็สะใจแล้ว
จากนั้นเขาก็หัวเราะร่าออกมา
“มีสองเรื่อง!” หยางหนิงพูดว่า “เรื่องแรก ก่อน
เที่ยงคืน ไล่สองแม่ลูกนั่นออกไปจากจวนโหวซะ
เรื่องที่สอง รวบรวมคนให้พร้อม เช้าพรุ่งนี้ ไปเก็บ
เงินภาษีคืนมาให้หมด จาไว้ ครั้งนี้ต้องเก็บกลับมา
ให้ได้สามพันหลัง”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 120 เสือร้ายคืนรัง
หยางหนิงรู้ดีว่าเรื่องที่กู้ชิงฮั่นกังวลมากที่สุดคือเรื่อง
เงิน ดังนั้นก็เลยตัดสินใจว่า วันรุ่งขึ้นจะต้องเก็บเงิน
ภาษีคืนกลับมาทั้งหมดให้ได้
แต่ว่าท่าทีของไท่ฮูหยินในวันนี้ มันทําให้หยางหนิง
รู้สึกแปลกใจ ไท่ฮูหยินยกจวนโหวให้หยางหนิงดูแล
ต่อหน้าทุกคนในวันนี้ มันทําให้หยางหนิงรู้สึกทําตัว
ไม่ถูก
ถึงแม้ฉีจิ่งจะตายแล้ว อีกไม่นานจวนโหวก็ต้องตก
เป็นของจิ่นอีซื่อจื่ออยู่ดี แต่ว่าไท่ฮูหยินเองก็เด็ดขาด
รวดเร็ว มันทําให้หยางหนิงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
เพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน จิ่นอีโหวซื่อจื่อก็แค่คน
ปัญญาอ่อนคนหนึ่ง เรื่องนี้ไท่ฮูหยินเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็ยกจวนโหวให้ หากเป็นคน
ปกติทั่วไป ก็ต้องประหลาดใจอยู่ดี
แต่ว่าเมื่อตัดขาดจากตระกูลฉีแล้ว ก็ทําให้หยางหนิง
สะใจไม่น้อยเลย
คนพวกนี้ชอบวางอํานาจบาตรใหญ่ หากไม่จัดการ
ตั้งแต่ตอนนี้ หยางหนิงก็จะรู้สึกแย่ต่อตระกูลฉีไป
เรื่อยๆ แต่ว่าตอนนี้ตัดขาดความสัมพันธ์ไปแล้ว ก็
เหลือเพียงสายเลือดจวนโหวอย่างเดียว หยางหนิง
กลับรู้สึกว่าเบาใจไปเยอะ ทําให้เขารู้สึกดีกับจวนจิ่น
อีโหวขึ้นมา
เขามาในโลกนี้โดยไม่รู้อะไรเลย วิญญาณของเขาสิง
เข้าร่างของเด็กหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวเตียวเอ๋อ ตอนนั้นเขา
ก็รู้แล้วว่าคงไม่สามารถกลับไปที่โลกเดิมของเขาได้
อีก ในเมื่อมาในยุคนี้แล้ว ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
เพราะต้องการช่วยเสี่ยวเตี๋ย เขากลายมาเป็นจิ่นอี
โหวซื่อจื่อ ตอนแรกเริ่ม หยางหนิงคิดจะอาศัย
อํานาจของจวนจิ่นอีโหวในการสืบหาเบาะแสของ
เสี่ยวเตี๋ย ในตอนนั้นยังคิดหาทางหนีไปจากที่นี่อยู่
เลย ไม่ได้คิดจะอยู่นาน
แต่พอนานไป หยางหนิงกลับรู้สึกว่าตัวเองกลายมา
เป็นส่วนหนึ่งของจวนจิ่นอีโหวไปแล้ว โดยเฉพาะ
ความรู้สึกที่ได้รับความรักและการปกป้องจากกู้ชิง
ฮั่น มันทําให้หยางหนิงค่อยๆ เปลี่ยนใจ
ในตอนที่จวนโหวประสบภัย ตระกูลฉีกับท่านใหญ่
สามคิดไม่ซื่อ สองแม่ลูกฉีอวี้ก็ทําตัวลับๆ ล่อๆ
หยางหนิงเชื่อว่าหากตัวเขาไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ จิ่นอี
ซื่อจื่อตัวจริงก็คงต้องตกอยู่ในมือของคนเลว กู้ชิงฮั่น
จะต้องมีจุดจบที่เจ็บปวดและทรมานมากแน่นอน
ตอนแรกเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับจวนจิ่นอีโหวเลย แต่
ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่า ตัวเองกลายมาเป็นเสาหลักที่
สําคัญมากของจวนที่มีเกียรติแห่งนี้ หากเขาปล่อย
ไปไม่สนใจอีก จวนแห่งนี้มีสิทธิที่จะล่มสลายได้
ตลอดเวลา
คนคิดร้ายต่อจวนนี้มีมาก หยางหนิงทนเห็นกู้ชิงฮั่น
กับคนบริสุทธิ์ในจวนต้องตกอยู่ในสถานการณ์
ลําบากไม่ได้จริงๆ
ไม่มีตระกูลฉีมาเป็นพันธะแล้ว หยางหนิงเองก็ยินดี
ที่จะอยู่ในจวนโหวต่อไป อย่างน้อยก็นําพาจวนจิ่นอี
โหวก้าวข้ามเรื่องเลวร้ายไป หากไม่เป็นอย่างที่คิด
ในทางที่เลวร้ายที่สุดก็แค่พากู้ชิงฮั่นหนีไป
ในเมื่อจะต้องอยู่ในโลกนี้ต่อไป ถ้าต้องเปลี่ยน
แวดล้อม ไม่สู้เริ่มจากที่นี่
ถึงแม้ตําแหน่งที่เขานั่งอยู่ตอนนี้มันจะร้อน แต่เขาก็
เข้าใจว่า ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความท้าทาย เต็มไป
ด้วยอันตรายรอบด้าน จากตอนแรกเป็นขอทานที่มี
แต่คนดูถูกที่เมืองหุ่ยเจ๋อ ใช้ชีวิตลําบากเหมือนคน
ทั่วไป ไม่สู้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะของซื่อจื่อไม่
ดีกว่าหรือ
ขณะที่เขากําลังคิด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังที่ข้างหู
ว่า “หนิงเอ๋อ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
หยางหนิงได้สติ เขาไม่รู้ว่ากู้ชิงฮั่นมาอยู่ข้างๆ เขา
ตั้งแต่เมื่อไหร่ ค่ําคืนที่สีแสงจันทร์สาดส่องมาที่มือ
และใบหน้าของกู้ชิงฮั่น
“เรียกเจ้าตั้งนาน เจ้าก็ไม่ตอบ คิดอะไรอยู่รึ?” กู้ชิง
ฮั่นถาม
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียง เร่งเดินทางกัน
มาตั้งหลายวัน เหตุใดท่านยังไม่ไปพักผ่อนอีกรึ? ข้า
มิได้คิดอะไร แค่เตรียมจะไปเอาเงินภาษีเงินมาในวัน
พรุ่งนี้อยู่”
กู้ชิงฮั่นถอนหายใจ แล้วพูดว่า “มาถึงขึ้นนี้แล้ว ก็ไม่
มีอะไรจะพูดอีก เพียงแต่ต่อไปต้องระวังให้ดี ข้า
กังวลว่าพวกเขาจะไม่เลิกรา”
“ซานเหนียง ท่านคิดผิดแล้ว คนที่ไม่เลิกราน่าจะ
เป็นพวกเราเสียมากกว่า” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ตาเฒ่านั่นเกือบจะฆ่าข้า ข้าจะไม่มีทางปล่อยเขา
ไปง่ายๆ หรอก”
กู้ชิงฮั่นเหมือนจะเงียบไป สุดท้ายก็พูดว่า “ไท่ฮูหยิน
เหมือนจะ...เหมือนจะยังสงสารฉีอวี้อยู่นะ”
“ก็เพราะว่าอย่างไรเขาก็เป็นหลานของนาง
เหมือนกัน แต่เหตุใดไท่ฮูหยินถึงได้ยอมให้ข้าไล่พวก
เขาสองแม่ลูกออกไปเล่า?”
“เจ้าไม่เข้าใจความลําบากใจของไท่ฮูหยินหรือ?” กู้
ชิงฮั่นพูดว่า “จะบอกว่าเจ้าโง่ บางทีเจ้าก็ฉลาดเสีย
เหลือเกิน แต่จะบอกว่าเจ้าฉลาด บางครั้งก็กลับโง่
เสียจริง” นางยกมือขึ้นมา วางไว้ที่หลังหู “ไท่ฮูหยิน
กําลังสร้างบารมีให้เจ้าอยู่ นางยกจวนโหวให้เจ้า
ดูแลต่อหน้าทุกคน อีกทั้งยังยอมให้เจ้าไล่ฉีอวี้ออก
จากจวนโหว ก็เพื่อจะทําให้คําพูดของเจ้าเป็นใหญ่ที
ที่สุดในจวนโหว”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง” หยางหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “แต่ว่าข้าไม่รู้ว่า...ข้าไม่รู้ว่าตัวข้าจะทํามันได้
หรือไม่”
กู้ชิงฮั่นกระพริบตาแล้วพูดว่า “เจ้าไม่กลัวอะไรอยู่
แล้วมิใช่หรือ? เหตุใด ตอนนี้ถึงได้กลัวขึ้นมาแล้ว
เล่า?”
“ข้าไม่ได้กลัวเสียหน่อย” เห็นท่าทางที่สวยงามของ
กู้ชิงฮั่น หยางหนิงก็หวั่นไหวแล้วกล่าวขึ้นว่า
“อย่างไรเสียก็มีซานเหนียงช่วยอยู่ หากเกิดอะไร
ขึ้นมาจริงๆ มีท่านอยู่ ข้าก็ไม่กลัวอะไรแล้ว”
“เดี๋ยวนี้หัดพูดจากระล่อนด้วยหรือ?” กู้ชิงฮั่นยิ้ม
จากนั้นก็พูดว่า “เพียงแต่คําพูดของไท่ฮูหยินวันนี้
เจ้าเองก็จะทําเป็นไม่ได้ยินไม่ได้นะ”
“คําไหนรึ?”
“ไท่ฮูหยินบอกกับฉีวอวี้ว่า หากเขาสํานึกแล้ว
เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ก็ยังมีโอกาสกลับจวนโหว
คําพูดนี้ถึงแม้จะพูดให้ฉีอวี้ฟัง แต่ก็พูดบอกกับเจ้า
ด้วย” กู้ชิงฮั่นพูดเบาๆ ว่า “ต่อให้เขาจะไม่ดีอย่างไร
ก็ตาม แต่เขาก็ยังเป็นน้องชายเจ้าอยู่ เจ้าเองก็ไม่
ควรจะไม่มีเยื่อใยกับเขาขนาดนั้น”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ซานเหนียง คนอื่น
อาจจะไม่รู้ แต่ว่าในใจของท่านก็น่าจะรู้ดีนี่นา หาก
ให้เขาได้ใจ เขาจะปล่อยข้าหรือ? ใจอ่อนกับคนแบบ
นี้ไป จะเป็นการทําร้ายตัวเองนะ”
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าดี” กู้ชิงฮั่นถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “แต่ก็จะไม่ใส่ใจความรู้สึกของไท่ฮูหยิน
เลยก็ไม่ได้ ฉีอวี้โตมาในจวนโหว ไม่เคยต้องลําบาก
ไล่เขาออกจากบ้านไปแบบนี้ ข้าแค่กลัวว่า...!”
“ท่านนี่นะ ใจอ่อนจริงๆ” หยางหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “เห็นปกติท่านชอบทําหน้านิ่งเป็นน้ําแข็ง แต่
จริงๆ ใจอ่อนเป็นที่สุดเลย...!”
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่หยางหนิง “เจ้าว่าอะไรนะ? หน้านิ่ง
เป็นน้ําแข็ง? เจ้าตัวแสบ เจ้าพูดอีกทีสิ” นางทําท่า
จะไปดึงหูของหยางหนิง
หยางหนิงยกมือขึ้นยอมแพ้แล้วพูดว่า “ข้าผิดไปแล้ว
ซานเหนียงอย่าโกรธเลยนะ” จากนั้นเขาก็ถามว่า
“ซานเหนียง แล้วท่านคิดจะทําอย่างไรต่อไป?”
“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าจะส่งคนไปหาบ้านให้พวก
เขาอยู่ไปก่อน แล้วดูไปสักช่วงหนึ่ง ดูว่าพวกเขาสอง
แม่ลูกมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่” กู้ชิงฮั่นพูดเบาๆ
ว่า “หากสํานึกได้จากใจจริง ก็หางานให้เขาทํา
อย่างไรก็จะปล่อยพวกเขาอดตายไม่ได้เด็ดขาด”
“เปลี่ยนภูมิทัศน์ยังง่ายกว่าเปลี่ยนสันดานคน”
หยางหนิงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ในเมื่อซานเหนียง
เองก็พูดถึงขนาดนี้แล้ว ก็ทําตามนั้นก็แล้วกัน”
ในตอนนี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงคนเดินเข้ามา
จากนั้นก็ได้ยินเสียงพูดว่า “ซื่อจื่อ พวกท่านกลับมา
กันแล้วหรือ” พวกเขาทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมามอง เห็น
ต้วนฉางไห่กับจ้าวอู๋ซังเดินเข้ามา
หยางหนิงพบว่าต้วนฉางไห่เดินเหินอย่างเสือ จ้าวอู๋
ซังเดินเบาอย่างกับนุ่น เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
อาต้วน พวกท่านกลับมาแล้วหรือ”
ต้วนฉางไห่กับจ้าวอู๋ซังคํานับ หยางหนิงรีบพยุงพวก
เขาแล้วพูดว่า “อย่าทําแบบนี้ หลายวันมานี้ทําให้
พวกท่านต้องลําบาก”
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าน้อยไม่เป็นอะไรหรอก
เพียงแค่ช่วงที่หลบไปมันก็ว่างๆ” แล้วชี้ไปที่จ้าวอู๋ซัง
“แต่ว่าเจ้านี่ คุณชายน้อยไม่ได้ไล่เขาออกจากจวน
เขากลับตามตูดข้าน้อยไปด้วย กินเหล้ากับข้าน้อย
ทุกวัน” เขาจ้องไปที่จ้าวอู๋ซังแล้วพูดว่า “ตาจ้าว
หลายวันมานี้ใช้เงินข้ากินเหล้าทุกวัน เจ้ากินเยอะ
กว่าข้าด้วย ข้าไม่ได้กลัวเสียเปรียบหรอกนะ แต่คืน
เงินค่าเหล้าให้ข้าด้วยครึ่งหนึ่ง”
จ้าวอู๋ซังไม่มีท่าทีอะไร พูดเรียบๆ ว่า “หากจะเอา
ชีวิตข้ามีให้ได้ แต่หากจะเอาเงิน...ข้าไม่ม!ี ”
ต้วนฉางไห่ด่าเขากลับไปว่า “เจ้านี่นะ ไม่เคยควัก
เงินเลยแม้แต่แดงเดียว นอกจากข้าแล้ว ใครจะยอม
เป็นเพื่อนเจ้าอีก”
จ้าวอู๋ซังมองไปที่ต้วนฉางไห่ แล้วพูดว่า “มีเจ้าเป็น
เพื่อนคนเดียว ก็เพียงพอแล้ว!”
คําพูดของเขา ทําให้ต้วนฉางไห่อึ้งไป จากนั้นเขาก็
ลูบเคราแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าพูดแบบนี้แล้วก็ไม่ต้อง
จ่ายค่าเหล้าหรือ? ไม่มีทางเสียหรอก”
หยางหนิงเห็นเขาสองคนเป็นแบบนี้ ก็รู้สึกสบายใจ
จากนั้นก็ถามว่า “มีคนไปตามพวกเจ้ากลับมา
หรือ?”
“ไม่ขอรับ พวกเราอยู่ที่ร้านเหล้าตรงถนนด้านหน้า
หากซื่อจื่อกลับมา จะต้องผ่านตรงนั้น” ต้วนฉางไห่
ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราทําได้แค่อดทนรอท่านซื่อจื่
อกลับมา คนอื่นไม่เอาพวกเราไว้ แต่ข้าเชื่อว่าซื่อจื่อ
ท่านจะต้องไม่ทิ้งพวกเราแน่นอน”
หยางหนิงหัวเราะร่า แล้วพูดว่า “ท่านอาต้วน ตั้งแต่
นี้ต่อไป ข้าต้องพึ่งพวกท่านจริงๆ แล้วนะ ข้าถูกขับ
ออกจากตระกูลฉีแล้ว ต่อไปจวนจิ่นอีโหวก็จะเป็น
ตระกูลที่โดดเดี่ยว”
ต้วนฉางไห่ตะลึงไป หยางหนิงพูดง่ายๆ แค่รอบ
เดียว ต้วนฉางไห่พยักหน้า แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ พวก
เรายอมอยู่ที่นี่ ก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า ถึงแม้ต้องตาย ก็
จะตายอยู่ที่หน้าจวนโหว” เขาพูดอย่างหนักแน่นว่า
“ต้วนฉางไห่ยินดีภักดีต่อซื่อจื่อ ถึงตายก็ไม่เสียดาย
ชีวิต!” จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง
จ้าวอู๋ซังเองก็คุกเข่าข้างเดียวลงเหมือนกัน จากนั้นก็
พูดว่า “ไม่เสียดาย!”
หยางหนิงมองไปที่จ้าวอู๋ซัง แอบคิดในใจว่าไม่
เสียดายของเขามันหมายถึงอะไร พูดอะไรก็ไม่จบ
จะอธิบายก็อยู่ที่ปากเขาแต่เขาก็ไม่พูด
เขารีบเดินเข้าไป เพื่อไปพยุงทั้งสองคน แต่ว่าไม่
เคลื่อนไหวยังดีกว่า แต่พอเดินไปแค่ก้าวเดียว
หน้าอกก็ปวดขึ้นมาอีก อาการปวดมาอย่าง
กะทันหัน หยางหนิงตัวสั่นไปทั้งตัว เขาโค้งตัวลง
จับไปที่หน้าอกของตัวเอง
“หนิงเอ๋อ...!” กู้ชิงฮั่นตกใจ
ต้วนฉางไห่จับสังเกตได้ เขาเงยหน้าขึ้นมา เห็นห
ยางหนิงสีหน้าซีดเซียว ใบหน้าเต็มไปด้วยความ
เจ็บปวด ร่างกายโซซัดโซเซจนล้มลง เขารีบไป
พยุงหยางหนิงเอาไว้ เขาใช้มือหนึ่งจับไปที่แขนซ้าย
ของหยางหนิง เพื่อตรวจชีพจร แค่แตะไป สีหน้า
ของเขาก็เปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็พูดเสียงเข้มๆ ว่า
“รีบพยุงซื่อจื่อนอนลงเร็วเข้า!”
จ้าวอู๋ซังรีบเดินขึ้นเข้ามา ทั้งสองพยุงหยางหนิงนอน
ลง ต้วนฉางไห่เปิดเสื้อของหยางหนิงออก แล้วใช้ฝ่า
มือซัดไปที่หน้าอกของหยางหนิง
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 121 วัดต้ากวงหมิง
กู้ชิงฮั่นเห็นสองตาของหยางหนิงหลับลงสนิท กัดฟัน
แน่น หน้าซีดขาว ตัวของนางก็เริ่มสั่นขึ้นมาเบาๆ
น้ําตาก็เริ่มไหลพรากออกมา
ต้วนฉางไห่ซัดฝ่ามือไปที่หน้าอกของหยางหนิง สี
หน้าเคร่งขรึม แต่ไม่นานนักสีหน้าของเขาก็
เปลี่ยนไป เหมือนอยากจะยกมือเก็บกลับมา แต่ว่า
มือก็ยังไม่ยกเก็บกลับมา
จ้าวอู๋ซังทนไม่ไหวเลยถามว่า “พี่รอง...!”
ต้วนฉางไห่เริ่มสั่นไปทั้งตัว เขาพลันถอยหลัง
เล็กน้อย จากนั้นเขาก็เอามือออกจากหน้าอก แล้วก็
ทิ้งตัวนั่งลง แล้วพูดว่า “ร้าย...ร้ายแรงมาก!”
“ฉางไห่ เกิดอะไรขึ้น?” กู้ชิงฮั่นรีบถาม
ต้วนฉางไห่สีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดว่า “
ฮูหยินสาม เส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณชงของ
ซื่อจื่อมีปัญหา”
“หมายความว่าอย่างไร? แล้วมันรุนแรงขนาด
ไหน?” กับเรื่องเช่นนี้กู้ชิงฮั่นมีความรู้น้อยยิ่งนัก ไม่
สามารถฟังไม่เข้าใจได้เลย ในใจของนางนั้นเหมือน
ลุกเป็นไฟรีบพูดออกไปว่า “ฉางไห่ รีบให้คนไปตาม
หมอมาเร็ว”
หยางหนิงในเวลานี้นอนหายใจอย่างรุนแรงอยู่ที่พื้น
ทว่าไม่นานเขาก็พลันสลบไป
“ฮูหยินสาม เชิญหมอมาก็ไม่มีประโยชน์อันใด”
ต้วนฉางไห่ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “มันไม่ได้เป็นอาการ
ป่วย หมอพวกนั้นไม่รู้หรอกว่าต้องรักษาอย่างไร”
“หากไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็บอกไปว่า...ไท่ฮูหยินไม่
สบาย ไปเชิญหมอหลวงมา แล้ว...!”
ต้วนฉางไห่พูดแทรกขึ้นว่า “ไม่มีประโยชน์
ฮูหยินสาม ท่านคงไม่รู้ จุดตันเถียนของซื่อจื่อ มี
ลมปราณสะสมอยู่มาก อีกทั้งลมปราณพวกนี้ไม่ใช่
ลมปราณบริสุทธิ์ มันผสมปนเปกับเหล่าลมปราณ
อย่างอื่นในจุดตันเถียน ที่มีมากเหนือกว่าข้าน้อยเสีย
อีก ตอนแรกข้าน้อยคิดจะใช้ลมปราณสะกดมัน
เอาไว้ แต่ว่า...แต่ว่าเมื่อครู่พอสัมผัสมัน แม้แต่
ลมปราณของข้าน้อยมันก็ดูดเข้าไปด้วย”
“ดูดลมปราณรึ?” จ้าวอู๋ซังพูดด้วยความตกใจ “มัน
เป็นวิชาอะไรกัน?”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้” ต้วนฉางไห่สี
หน้าเคร่งเครียด “จริงๆ แล้วครั้งที่แล้วข้าน้อยก็รู้
แล้วว่าในตัวของซื่อจื่อมีลมปราณพวกนี้อยู่ หลาย
วันมานี้ก็พยายามหาทางแก้ไขอยู่ ลมปราณในร่าย
กายของซื่อจื่ออันตรายมาก ในช่วงเวลาสั้นๆ คิดว่า
ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่า...แต่ว่าหากข้าไม่ได้เดาผิด
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่ลมปราณเริ่นกับชง ทํา
ให้เกิดอาการผิดปกติที่จุดตันเถียน”
“มันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?” กู้ชิงฮั่นรีบถาม
ขึ้น
“เส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณชง เป็นเส้น
ลมปราณที่สําคัญสองเส้นหลัก จุดชีพจรเริ่นไหล
ผ่านช่องเล็กๆ พาดผ่านลมปราณเส้นหยินหยาง
ระหว่างทางได้ไหลผ่านจุดตันเถียน” ต้วนฉางไห่พูด
ว่า “จุดชีพจรชงก็เหมือนกับจุดชีพจรเริ่น ไหลไป
ผสมกับจุดถานจง จุดชีพจรเริ่นเปรียบเสมือนกับ
ทะเลของลมปราณหยิน ส่วนจุดชีพจรชง
เปรียบเสมือนห้องเลือด ทั้งหมดเป็นชีพจรความเป็น
ความตายทั้งสิ้น”
กู้ชิงฮั่นร้อนใจยิ่งนัก แล้วพูดว่า “ข้าฟังไม่เข้าใจ
หรอก เจ้าบอกมาแค่ว่าหนิงเอ๋อจะเป็นอย่างไร”
“ร่ายกายของคนเราประกอบไปด้วยหยินหยาง
หยินหยางจะปรับความสมดุลให้กับร่างกาย แต่
ตอนนี้จุดชีพจรเริ่นเสียหาย นั่นก็หมายถึงทําร้ายห
ยินหยางด้วย ร่ายกายของซื่อจื่ออยู่ในภาวะอันตราย
อยู่แล้ว อีกทั้งตอนนี้ห้องเลือดก็ยังได้รับบาดเจ็บ ยิ่ง
แย่ไปกันใหญ่” ต้วนฉางไห่เองก็ร้อนจไม่น้อย “หาก
ไม่สามารถรักษาอาการโดยเร็ว ซื่อจื่อ...ซื่อจื่อ...!”
ไม่กล้าพูดต่อ
“รีบพูดมา มันจะเป็นอย่างไร?”
“คนที่อาการไม่หนักมากก็พิการขยับตัวไม่ได้ หาก
อาการหนักแล้วล่ะก็...!” ต้วนฉางไห่สีหน้า
เคร่งเครียด “หากหนักก็อาจจะมีอันตรายถึงชีวิต”
กู้ชิงฮั่นถึงกับขาอ่อน แทบจะล้มลง จ้าวอู๋ซังรีบมา
พยุงแล้วพูดด้วยความตกใจว่า “ฮูหยินสาม ท่าน
ต้องรักษาตัวเองด้วย”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?” น้ําตาของกู้ชิงฮั่นไหล
พรากออกมาราวกับสายฝน “มันเป็นแบบนี้ไปได้
อย่างไร?”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “เป็นเพราะข้าน้อยสะเพร่าเอง
ข้าน้อยรู้มาก่อนแล้วว่าจุดตันเถียนของซื่อจื่อมี
ลมปราณอยู่มาก แต่ว่า...แต่ว่าตอนนี้ดูไปแล้ว
นอกจากเรื่องนั้น ซื่อจื่อน่าจะมีบาดเจ็บอย่างอื่น
อีก” เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เมื่อครู่นี้
ข้าน้อยรู้สึกว่าที่จุดชีพจรเริ่นกับชงมันแปลกๆ มัน
หดตัวเล็กลง ทําให้ลมปราณที่จุดตันเถียนไม่
สามารถไหลเวียนได้ตามปกติ”
“ข้ารู้แล้ว...!” กู้ชิงฮั่นรีบพูดว่า “หนิงเอ๋อโกหกข้า
อยู่ เขา...เขาได้รับบาดเจ็บ...!”
นางพูดจาวกไปวนมา ต้วนฉางไห่กับจ้าวอู๋ซังไม่
สามารถฟังให้เข้าใจได้
กู้ชิงฮั่นก็ต้องไม่รู้อยู่แล้วว่าหยางหนิงถูกวิชามู๋เซิ๋น
จวินทําร้ายมา นางคิดว่าหยางหนิงล่อจ้าวยวนไป
ถึงแม้จะหนีไปได้ แต่ก็น่าจะมีการปะทะกัน ตอนนี้
จากอาการบาดเจ็บ ก็น่าจะเป็นพวกจ้าวยวนที่ทํา
ร้ายเขา เมื่อนึกถึงว่าหยางหนิงล่อคนพวกนั้นไปเพื่อ
ปกป้องนาง ในใจก็ยิ่งโทษตัวเอง นางทั้งกังวลทั้ง
เสียใจ
จ้าวอู๋ซังถามว่า “พี่รอง ซื่อจื่อตกอยู่ในอันตรายแบบ
นี้ ตอนนี้พวกเราควรจะทําอย่างไรดี?”
“ตอนนี้แตะต้องร่ายกายของซื่อจื่อไม่ได้” ต้วนฉาง
ไห่พูดว่า “ต่อให้พวกเราอยากจะใช้ลมปราณของ
พวกเราสะกดลมปราณในร่างกายไว้ แต่แค่แตะต้อง
ตัวของท่านซื่อจื่อ ซื่อจื่อก็จะดูดลมปราณของพวก
เราเข้าไปโดยไม่รู้ตัว...!” เขากําหมัดแน่นแล้วพูดว่า
“แต่ว่าร่ายกายของซื่อจื่ออันตรายมากแล้ว หาก
ลมปราณเพิ่มขึ้นแม้แต่นิดเดียว ก็จะอันตรายเพิ่มไป
อีก...!”
กู้ชิงฮั่นพูดด้วยน้ําตาว่า “ถ้าอย่างนั้นควรจะทํา
อย่างไรดี? พวกเจ้า...พวกเจ้าต้องหาวิธีช่วยเขาให้ได้
นะ” จากนั้นนางก็นั่งยองๆ ลงไป ยื่นมือไปจับ
หน้าผากของหยางหนิง นางรู้สึกถึงความร้อนที่ปะทุ
ขึ้นมาในตัวของหยางหนิง
ต้วนฉางไห่นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาพูด
ด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ฮูหยินสาม ในเมืองหลวงมีเสือ
ซ่อนเล็บอยู่มากมาย อาจจะมียอดฝีมือที่สามารถ
ช่วยซื่อจื่อได้ ดังนั้นพวกเราจะพยายามแอบตามหา
แต่หากในเมืองหลวงกว้างใหญ่ จะต้องไปหาจริงๆ
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ตอนนี้สถานการณ์คับขัน จะให้มา
ค่อยๆ หาคงไม่ได้ ตอนนี้ คิดว่าน่าจะมีที่เดียว
เท่านั้นที่ไปได้”
“ที่ไหนรึ?” กู้ชิงฮั่นรีบถามว่า “ขอแค่ช่วยหนิงเอ๋อ
ได้ ที่ไหนก็ไปได้ทั้งนั้น”
ต้วนฉางไห่จ้องไปที่กู้ชิงฮั่น พูดอย่างชัดถ้อยชัดคําว่า
“วัดต้ากวงหมิงขอรับ!”
จ้าวอู๋ซังสั่นไปทั้งตัว กู้ชิงฮั่นเองก็พลันตะลึงไป
“พี่รอง ต้องไปที่วัด...วัดต้ากวงหมิงจริงๆ หรือ?”
จ้าวอู๋ซังนิ่งไป แล้วถามว่า “เจ้าเองก็รู้ว่า หากจะเข้า
วัดต้ากวงหมิง มัน...มันไม่ง่ายเลย”
ต้วนฉางไห่พยักหน้าเบาๆ สีหน้าเคร่งเครียด “ข้ารู้
แต่ว่าตอนนี้ที่ที่ช่วยซื่อจื่อได้ มีเพียงแค่วัดต้ากวง
หมิงเท่านั้น มันเป็นทางเดียวเท่านั้นในตอนนี้” เขา
มองไปที่กู้ชิงฮั่น “ฮูหยินสาม ไม่รู้ว่าท่านจะรู้หรือไม่
ว่าตอนนั้น...ตอนนั้นท่านเหล่าโหวก็เคยไปรักษาตัว
ที่วัดต้ากวงหมิง”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้าจะพอได้ยิน
มาบ้าง แต่ว่า...แต่ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรข้าไม่รู้”
“ครั้งนั้นท่านเหล่าโหวก็มีอันตรายถึงชีวิตเหมือนกัน
...!” ต้วนฉางไห่ค่อยๆ พูดว่า “ที่เดียวที่ช่วยท่าน
เหล่าโหวได้ในตอนนั้นก็คือวัดต้ากวงหมิง ท่านเหล่า
โหวรอดมาได้ ก็เป็นเพราะวัดต้ากวงหมิง” ถอน
หายใจแล้วพูดต่อไปว่า “ถ้า...ถ้าไม่ใช่ว่ามีติดพัน
เรื่องการทําศึก อาการบาดเจ็บของแม่ทัพ หากได้
วัดต้ากวงหมิงช่วย ก็คงรอดเหมือนกัน”
“พี่รอง ด้วยฐานะของจิ่นอีซื่อจื่อ จะเข้าวัดต้ากวง
หมิง คงไม่ถูกขวาง” จ้าวอู๋ซังคิดไปครู่หนึ่ง เขาพูด
อย่างลําบากใจว่า “พวกเขาน่าจะช่วยชีวิตซื่อจื่ออ
ย่างเต็มที่แน่ๆ แต่ว่า...แต่ว่า...!”
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า เจ้ากําลังจะพูดถึงกฎ
ข้อนั้นของวัดต้ากวงหมิง” ต้วนฉางไห่พูดด้วยความ
จริงจัง
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วถามว่า “กฎ? ฉางไห่ กฎอันใด
กัน?”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “ฮูหยินสามน่าจะคุ้นเคยกับ
วัดต้ากวงหมิงดี”
“พวกเจ้าหมายถึง วัดต้ากวงหมิงที่อยู่เขาจงซานใช่
หรือไม่” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “บนยอดเขาจงซานมีเมฆสี
ม่วงอยู่ ดังนั้นจึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเขาจื่อซาน
วัดต้ากวงหมิงก็วัดที่อยู่บนเขาจื่อซานนั่นใช่
หรือไม่?”
ต้วนฉางไฮ่พยักหน้าแล้วพูดว่า “วัดต้ากวงหมิง เป็น
วัดเก่าแก่ของต้าฉู่พวกเรา เป็นสถานที่สวดบูชาราช
พิธีต่างๆ ของทางเชื้อพระวงศ์ ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์
ในวังก็จะนิมนต์พระของวัดต้ากวงหมิงไปทําพิธี”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “วัดต้ากวงหมิงถือ
เป็นวัดอันดับหนึ่งของต้าฉู่ของพวกเรา ไม่ใช่ว่าใครก็
จะสามารถเข้าไปได้ อีกทั้งก็ไม่มีทางยื่นมือช่วยใคร
ง่ายๆ อย่าว่าแต่ซื่อจื่อเลย ต่อให้เป็นองค์รัชทายาท
เอง เมื่อไปที่วัดต้ากวงหมิง ก็ต้องทําตามกฎของ
วัดต้ากวงหมิง”
“กฎที่เจ้าว่ามันเกี่ยวอย่างไรกับหนิงเอ๋อ?”
ต้วนฉางไห่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากพวกเขายื่น
มือช่วยเหลือซื่อจื่อ ซื่อจื่อต้องออกบวช เป็นศิษย์ใน
วัดต้ากวงหมิง”
“ไม่ได้!” กู้ชิงฮั่นอึ้งไป จากนั้นก็พูดว่า “จะให้หนิง
เอ๋อไปเป็นพระได้อย่างไร? มัน...มันเป็นไปไม่ได้
จวนจิ่นอีโหวจะไม่มีเขาไม่ได้ หากเขาไปเป็นพระ
แล้ว จิ่นอีโหวก็จะไม่มีผู้สืบทอดอีก?”
ต้วนฉางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ฮูหยินสามพูด
ถูกต้องแล้ว ซื่อจื่อเป็นเสาหลักของจวนโหว หาก
ออกบวชไปจริงๆ จิ่นอีโหวก็จะไม่มีผู้สืบทอดอีก”
แล้วพูดต่อว่า “แต่มันเป็นกฎของต้ากวงหมิง แค่ส่ง
ตัวไป พวกเขาอย่างไรก็ต้องช่วย แต่ว่าขอแค่ซื่อจื่อป
ลอดภัย ก็ไม่มีเหตุผลที่จะละเมิดกฎของ
วัดต้ากวงหมิง ไม่ว่าใคร ก็จะละเมิดกฎไม่ได้ทั้งนั้น”
จากนั้นก็ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “นี่ก็เป็นเพราะฐานะ
ซื่อจื่อ หากเป็นคนทั่วไป แม้แต่โอกาสก็คงไม่มี”
กู้ชิงฮั่นปกติเป็นคนทําอะไรเด็ดขาด แต่ว่าตอนนี้กับ
ทําอะไรไม่ถูก “นอกจากวิธีนี้ ก็...ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
หรือ?”
ต้วนฉางไห่มองไปที่หยางหนิงที่กําลังหมดสติ เขา
ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “อาการของซื่อจื่อ จะรอช้า
ไม่ได้ ตอนนี้ส่งไปที่วัดต้ากวงหมิง น่าจะยังทันการ
หากช้าไปมากกว่านี้...!” เขาไม่ได้พูดต่อจนจบ
“แต่ว่า...แต่ว่าเจ้าเองก็บอกว่า ท่านเหล่าโหวเองก็
เคยไปที่วัดต้ากวงหมิง” กู้ชิงฮั่นเหมือนจะนึกอะไร
ขึ้นมาได้ แล้วรีบพูดว่า “หรือว่าตอนนั้นยังไม่ได้มีกฎ
นี้หรือ?”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “ตั้งแต่ก่อตั้งวัดต้ากวงหมิงมา
ตั้งแต่วันแรก ก็มีกฎนี้แล้ว”
“แล้วเหตุใดท่านเหล่าโหว...?”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “เพราะว่ากฎนี้มันไม่ได้ตายตัว
เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากวัดต้ากวงหมิง ก็ต้อง
บวชเป็นศิษย์ของวัดต้ากวงหมิง กฎข้อนี้ละเมิดไม่ได้
แต่ว่าสามารถหาคนบวชแทนได้” จากนั้นก็อธิบาย
ต่อว่า “ดังนั้นพวกเราจะต้องหาตัวแทนออกบวชให้
ได้”
กู้ชิงฮั่นได้ยินดังนั้น สีหน้าก็คลายกังวลไป จากนั้นก็
ถอนหายใจว่า “เหตุใดเจ้าชอบพูดอะไรแค่ครึ่งเดียว
ทําข้าตกใจหมด จะหาคนไปบวชแทน ก็ไม่ใช่เรื่อง
ยากอะไร”
“หากจะหาคนทั่วไปมาบวชแทน ข้าน้อยคงไม่ร้อน
ใจแบบนี้” ต้วนฉางไห่พูดว่า “ข้าน้อยกับท่านจ้าว
บวชแทนเลยก็ได้ แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้
มีเพียงคนเดียว ที่สามารถออกบวชแทนซื่อจื่อได้
นอกจากเขาแล้ว คนอื่นก็บวชแทนไม่ได้”
กู้ชิงฮั่นอึ้งไป นางเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว เห็นต้วนฉาง
ไห่สีหน้าเคร่งเครียด ก็เดาได้ทันที แล้วถามว่า “ที่
เจ้าพูดถึง...เจ้าหมายถึงใครรึ?”
“คุณชายน้อยฉีอวี้!” ต้วนฉางไห่พูดว่า “มีเพียงพี่
น้องสายเลือดเดียวกันกับซื่อจื่อเท่านั้น ถึงมีสิทธิ
ออกบวชแทนซื่อจื่อได้!”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 122 เจินหมิง
หลังจากหยางหนิงฟื้นขึ้นมา แสงจากนอกหน้าต่าง
นั้นก็แยงเข้าตา เขาลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆ
รู้สึกได้ว่าสภาพแวดล้อมเช่นนี้เขาไม่คุ้นเคยเอา
เสียเลย เขาลุกขึ้นมาก็พลันรู้สึกได้ว่าอาการบาดเจ็บ
ที่หน้าอกที่รู้สึกเจ็บนั้นได้หายไปแล้ว
เขาพยายามเรียกสติคืนมา แล้วมองไปรอบๆ มัน
เป็นเพียงห้องธรรมดาห้องหนึ่ง มีหน้าต่างสองบาน
แสงลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา
ภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย นอกจากเตียงที่
เขานอนอยู่ ห่างออกช่วงหนึ่ง ก็มีเตียงที่เหมือนกับที่
เขานอนอยู่อีกหนึ่งเตียง ระหว่างเตียงสองเตียง มี
โต๊ะไม้กับเก้าอี้ไม้กั้นอยู่ บนโต๊ะมีกาน้้าชาอยู่
ฟูก ผ้าห่ม กับผ้าปูเตียงทั้งหมดล้วนเป็นสีขาวเทา
ไม่มีสีสันใดๆ อย่างอื่น ผ้าห่มถูกพับเป็นสีเหลี่ยม
อย่างเรียบร้อย
หยางหนิงขมวดคิ้ว ลุกขึ้นมาจากเตียง เขาจ้าได้ว่า
อยู่ๆ เขาก็ปวดหน้าอก เหมือนกับมีเข็มพันเล่มทิ่ม
แทงอยู่ จากนั้นก็สลบไปไม่รู้เรื่องอะไรอีก
ด้านหนึ่งของผนังแขวนภาพเอาไว้หนึ่งภาพ บนภาพ
มีเพียงค้าสั่นๆ ว่า สงบ!
หยางหนิงขมวดคิ้ว เขาลุกขึ้นมาจากเตียง เขาจ้าได้
ว่าอยู่ๆ เขาก็มีอาการปวดหน้าอกในจวนโหว เขา
เจ็บปวดยิ่งนัก จนหมดสติไป แล้วก็ไม่รู้สึกอะไรอีก
เลย
พอตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ทุกอย่างดูไม่คุ้นเคย
เพราะมันไม่ใช่จวนโหว
ประตูแง้มเอาไว้ หยางหนิงเดินไปได้สองก้าว ก็พลัน
รู้สึกว่าตัวเองเดินเซ รู้สุกได้ว่าร่างกายเหมือนจะ
อ่อนแอลง เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน
เมื่อออกมานอกประตู อากาศที่อบอุ่นกับแสงแดดที่
ส่องมาที่เขา ท้าให้เขารู้สึกอุ่นขึ้น
นอกประตูเป็นเรือนเล็กๆ มีต้นสน มีต้นหญ้า มีทาง
หินอ่อนเป็นทางเดินยาวไปนอกประตูเรือน
หยางหนิงเดินไปตามทางหินอ่อน เมื่อออกนอก
เรือนไป ก็มีลมพัดเข้ามา เดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าว มอง
ไปด้านหน้าเหมือนจะเป็นหน้าผายอดเขาสูง เมื่อ
เดินตรงไปที่ริมหน้าผา มีระฆังใบใหญ่แขวนไว้อยู่
เขามองซ้ายมองขวา ด้านนอกก้าแพงเรือน ทาง
ด้านซ้ายขวาเป็นทางที่สามารถเดินได้คนเดียว ด้าน
หนึ่งคือทก้าแพงของเรือน อีกด้านเป็นหน้าผาลึก มี
เพียงยอดแหลมที่ยื่นออกไปเท่านั้น
หยางหนิงตกใจไปชั่วขณะ ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าเขาอยู่
ที่หน้าผาแห่งหนึ่ง
เขาค่อยๆ เดินไปจนถึงระฆัง ด้านล่างของระฆังมี
ก้อนหินขนาดใหญ่ ด้านบนก้อนหินมีแผ่นหินแผ่น
หนึ่งวางเอาไว้ ด้านบนเหมือนมีเส้นสลับกันไปมา
หยางหนิงมองไป เหมือนจะเป็นตารางหมากรุก
ด้านซ้ายขวามีก้อนหินเล็กๆวางอยู่ แสดงว่าจะต้องมี
คนนั่งประลองฝีมือกันตรงนี้บ่อยๆ
เขามองลงไปด้านล่างหน้าผา แล้วเงยหน้ามองขึ้นไป
ด้านบน เห็นด้านบนภูเขามีสะพานเชื่อมเต็มไปหมด
ภูเขามีลักษณะที่แตกต่างกันไป ยาวราวกับมังกร
ระหว่างเขามีต้าหนักโบราณอยู่หลายต้าหนัก
หลายๆ ต้าหนักท้ามาจากไม้โบราณ แต่ดูหรูหรา
เมื่อแสงส่องไปก็ดูสะดุดตาไม่น้อย
หยางหนิงเห็นแล้วก็ตกใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าตัวเอง
ตอนนี้อยู่ที่ไหน แอบคิดในใจว่าอย่าบอกนะว่า
ตัวเองจะข้ามเวลาไปอีกมิติหนึ่งแล้ว?
ขณะที่ก้าลังสงสัย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาว่า
“อ้าว ท่านตื่นแล้วหรือ? ดีจริงๆ เลย”
หยางหนิงได้ยินเสียงอันนิ่มนวล เมื่อหันมองไป เห็น
หลวงจีนน้อยรูปหนึ่ง น่าจะอายุไม่เกินสิบสามสิบสี่ปี
หน้าตาใสซื่อ ในมือถือตะกร้าใบหนึ่ง ก้าลังมองมาที่
เขาด้วยความดีใจ
หยางหนิงอึ้งไป แล้วพูดด้วยความแปลกใจว่า “เจ้า
...เจ้าหมายถึงข้าหรือ?” เขามองซ้ายขวา ไม่มีคนอื่น
มีเพียงแต่ตัวเขาคนเดียว เขาพูดด้วยความสงสัยว่า
“เจ้ารู้จักข้าหรือ?”
หลวงจีนน้อยพูดว่า “ท่านอยู่ที่นี่มาสองวันแล้ว
อาตมามีนามว่าเจินหมิง ยังไม่รู้จักฉายาทางธรรม
ของท่านเลย!”
“เจินหมิงรึ?” หยางหนิงพูดว่า “เจ้าชื่อเจินหมิง
หรือ?”
“ใช่แล้ว” หลวงจีนน้อยยกมือตรงขึ้นข้างหนึ่ง “นี่
เป็นชื่อที่ท่านเจ้าอาวาสตั้งให้”
หยางหนิงรีบเดินหน้าขึ้นไป แล้วถามว่า “เจินหมิง
ข้าขอถามเจ้าหน่อย ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? แล้ว
ที่นี่คือที่ไหน?”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงพูดด้วยความสงสัยว่า “ท่าน
ไม่รู้หรือว่าที่นี่ที่ไหน? ที่นี่คือวัดต้ากวงหมิง อ๋อ ท่าน
ก้าลังถามว่าที่นี่ที่ไหนใช่หรือไม่? ตอนนี้พวกเราอยู่ที่
ยอดเขาเทียนเป่า เป็นยอดเขาที่เล็กที่สุดของ
เขาจื่อซาน”
“เขาจื่อซาน? วัดต้ากวงหมิง?” หยางหนิงพูดด้วย
ความมึนงงว่า “วัดต้ากวงหมิงมันคือที่ไหนกัน?”
เจินหมิงลูบไปที่หัวโล้นๆ ของเขา แล้วพูดด้วยความ
ล้าบากใจว่า “วัดต้ากวงหมิงก็คือวัดต้ากวงหมิง
ตอน...ตอนนี้พวกเราก็อยู่ที่วัดต้ากวงหมิง อาตมาก็
ไม่รู้ว่าที่ไหน” แล้วถามต่อว่า “อาจารย์บอกว่าท่าน
บาดเจ็บ ต้องรักษาตัวอีกระยะหนึ่ง ท่านเป็นศิษย์
ของวัดต้ากวงหมิงหรือไม่? ยังไม่ได้โกนผมหรือ?”
“ศิษย์วัดต้ากวงหมิงรึ?” หยางหนิงรีบส่ายหน้าแล้ว
พูดว่า “ข้าไม่เป็นหลวงจีนหรอกนะ”
เจินหมิงพูดอย่างประหลาดใจว่า “ไม่บวชหรือ? แต่
ว่า...แต่ว่าอยู่ที่วัดต้ากวงหมิง แต่ไม่เป็นหลวงจีนได้
หรือ? ท่านไม่ใช่หลวงจีน เหตุใดที่วัดถึงได้ช่วยรักษา
ท่านเล่า?”
หยางหนิงนึกไปถึงเรื่องที่ตัวเองอาการก้าเริบที่จวน
โหว แล้วก็เรียบเรียงเรื่องราว แล้วพูดว่า “เจ้า
หมายความว่าคนในวัดต้ากวงหมิงช่วยรักษาข้าอย่าง
นั้นหรือ?”
เจินหมิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ใช่น่ะสิ อาจารย์อา
สองท่านเป็นคนช่วยรักษาท่าน ตอนนี้ท่านเป็น
อย่างไรบ้าง? อาจารย์บอกว่าท่านยังไม่หายดี
อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง ดังนั้นช่วงนี้ต้อง
อยู่ที่นี่ชั่วคราวไปก่อน”
“อาจารย์ของเจ้าเป็นใครกัน?”
เจินหมิงบอกว่า “ฉายาธรรมของอาจารย์คือจิ้งฉุน
ท่านไม่รู้หรือ?”
หยางหนิงส่ายหน้า แล้วเหลือบไปมองรอยธูปจี้
ศีรษะสองจุด แล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า
“หลวงจีนน้อย เหตุใดศีรษะของท่านถึงมีรอยธูป
สองจุดเล่า? น่าจะมีเก้าจุดไม่ใช่หรือ?”
เจินหมิงอึ้งไป แล้วส่ายหน้าแล้วพูดว่า “มิกล้า มิ
กล้า นี่คือรอยศีล จะจี้ไปเรื่อยไม่ได้ รอยศีลมีตั้งแต่
หนึ่ง สอง สาม หก แปด เก้า สิบสอง สิบสองจุดเป็น
รอยพระโพธิสัตว์ ในวัดต้ากวงหมิง มีเพียงท่าน
อาจารย์อาที่เป็นเจ้าอาวาสเท่านั้นที่มีรอยศีลเก้าจุด
อาจารย์เองก็มีแค่แปดจุด อาตมาได้แค่รอยเล่อฝู
แค่นี้ก็พอแล้ว”
หยางหนิงตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเขาอยู่ในวัดต้ากวงหมิง
รอยศีลนี่ยังมีกฎมากมายขนาดนี้
“แล้วอาจารย์เจ้าไปไหนเล่า? แล้วข้ายังต้องอยู่ที่นี่
อีกนานแค่ไหน?” แล้วถามต่อว่า “แล้วหลวงจีนสอง
รูปที่ช่วยรักษาอาการข้า พวกเขาจะยังช่วยข้าอยู่
ไหม?”
เจินหมิงพูดว่า “พูดแบบนี้กับอาจารย์อาทั้งสองท่าน
ไม่ได้นะ แต่ว่าพวกเขาก็ลงเขาไปแล้ว ไม่ได้อยู่ใน
วัด”
“อะไรนะ?” หยางหนิงหยุดเดินแล้วถามว่า “แล้ว
พวกเขาจะกลับมาเมื่อไหร่?”
เขาก้าลังคิดว่า ตอนนี้ในจวนโหวมีเรื่องตั้งมากมาย
อยู่ๆ เขาก็จากมาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง
อีกอย่างเขาเองก็ยังมีนัดกับถังนั่ว ภายในครึ่งเดือน
แม่นางคนนั้นก็จะเข้าเมืองมาหาเขา เมื่อได้ยินหลวง
จีนน้อยบอกเขาว่าเขาอยู่ที่นี่มาสองวันแล้ว หากนับ
เวลาดูแล้ว แล้วหากถังนั่วรักษาสัญญา ภายในสอง
วันนี้ก็น่าจะมาถึงเมืองหลวง หากมาหาเขาที่จวน
โหว แต่เขาไม่อยู่ ถังนั่วก็ไม่รู้จักใคร แล้วก็ไม่รู้ว่าจะ
ไปที่ไหน
เขารู้สึกว่าร่างกายไม่มีตรงไหนที่รู้สึกไม่ดี เขาคิดว่า
หากอาการของเขารักษาหายแล้ว เขาต้องรีบกลับไป
จะดีกว่า
เจินหมิงตอบกลับไปตามความจริงว่า “พวกเขาลง
เขาไปประกอบพิธีกรรม อาจารย์บอกว่าเร็วสุด
น่าจะกลับมาภายในสามวัน”
“สามวัน?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าเห็น
ในวัดกวงหมิงนี้มีต้าหนักมากมาย ไม่น่าจะใช่วัด
เล็กๆ ญาติโยมที่มาก็น่าจะมีไม่น้อย เหตุใดยังต้อง
ออกไปประกอบพิธีกรรมหาเงินด้วยเล่า? ในวัดขาด
แคลนเงินหรือ?”
เจินหมิงอึ้งไป แล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า
“หาเงินรึ? เหตุใดต้องหาเงิน? ฮ่องเต้สวรรคต
วัดต้ากวงหมิงนอกจากอาจารย์อาที่เป็นเจ้าอาวาสที่
ต้องนั่งกรรมฐานแล้ว มีพระอรหันต์ทั้งหมดสิบสาม
รูปลงเขาไปสิบรูป เพื่อไปท้าพิธีอาบน้้าศพ มันถือ
เป็นพิธีกรรมใหญ่ จะต้องมีพระสงฆ์อยู่ครบสิบรูป
อาจารย์เป็นหนึ่งในสิบสามรูปที่ต้องไป”
“สิบสามอรหันต์ที่เจ้าว่าหมายถึงอะไร?” หยางหนิง
พูดอย่างประหลาดใจว่า “วัดใหญ่ขนาดนี้ คงไม่ได้มี
หลวงจีนแค่สิบสามรูปหรอกนะ?”
เจินหมิงรีบพูดว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น ในวัดมีพระ
ทั้งหมดสี่ห้าร้อยคน แต่ว่าอรหันต์ชั้นสูงมีสิบสามรูป
ซึ่งหมายถึงอาจารย์อาที่เป็นเจ้าอาวาสกับท่านผู้
อาวุโสสิบสามท่านที่มีฉายาธรรมน้าหน้าว่าจิ้ง”
จากนั้นก็ถามว่า “เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวัดต้ากวง
หมิงเลยหรือ? สงบราวกับมหาสมุทร เจ้าอย่าบอก
ว่าเจ้าไม่รู้เลย?”
“ข้าไม่รู้จริงๆ” หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ข้าอยู่เมืองหลวงดีๆ ลืมตามาอีกที ก็มาอยู่ที่นี่
แล้ว”
เจินหมิงตบหัวตัวเองไปทีหนึ่ง “จริงด้วย อาตมา
เกือบลืมไป เจ้าเพิ่งจะเข้าวัดมานี่นา เฮ้อ อาจารย์ไป
กะทันหัน ก็ไม่ได้สั่งอะไรไว้ชัดเจน” เขาถือตะกร้า
เดินเข้าไปในห้อง แล้ววางไว้บนโต๊ะ แล้วพูดว่า “รีบ
มากินข้าวเถอะ”
หยางหนิงรู้สึกว่าตัวเองหิวแล้ว เดินเข้าไปในห้อง
เจินหมิงเอาอาหารที่อยู่ในตะกร้าออกมาวางบนโต๊ะ
มีเต้าหู้ กับผัก แล้วก็ข้าวสวยสองถ้วย
“นี่...นี่กินคนเดียวหรือสองคนรึ?” หยางหนิงอด
ไม่ได้ที่จะถาม กับข้าวแค่นี้ อย่าว่าแต่สองคนเลย ตัว
เขาคนเดียวก็กินไม่อิ่ม
ถึงแม้เจินหมิงจะซื่อ แต่ก็ไม่ได้โง่ เขารู้ความหมาย
ของหยางหนิง เขาพูดว่า “อาตมาไม่หิว เจ้ากิน
เถอะ”
ถึงแม้หยางหนิงจะหิว แต่จะให้เจินหมิงนั่งดูเขากิน
ก็คงไม่ดี เขาดันถ้วยข้าวไป แล้วพูดว่า “กินด้วยกัน
เถอะ” จากนั้นเขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “วัดต้ากวง
หมิงจนจริงๆ หรือ? เหตุใดถึงมีกับข้าวแค่นี้?”
เจินหมิงอธิบายว่า “ศิษย์พี่ของหออู๋กู่บอกว่าหาก
อยากจะบ้าเพ็ญเพียรอย่างจริงจังจะต้องกินให้
น้อยๆ ยังบอกว่าอาตมาอายุยังน้อย ไม่ควรกินมาก”
“คนอื่นก็เป็นแบบนี้หรือ?” หยางหนิงขมวดคิ้ว
เจินหมิงส่ายหัว “ก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” จากนั้นก็
ถามว่า “จริงสิ ศิษย์...ศิษย์น้องเจ้ามีฉายาธรรมหรือ
ยัง?”
หยางหนิงหยิบตะเกียบขึ้นมาเตรียมจะกินข้าว ได้
ยินเจินหมิงถามมาแบบนี้ ก็รีบวางตะเกียบลง แล้ว
พูดอย่างจริงจังว่า “หลวงจีนน้อย เจ้าฟังข้าให้ดีนะ
ข้าไม่มีทางเป็นหลวงจีนเด็ดขาด ตอนนี้ไม่เป็น
ต่อไปก็ไม่เป็น ชาตินี้ข้าไม่มีบุญกับพระโพธิสัตว์
หรอก แล้วก็ไม่มีทางเป็นพระอรหันต์ได้ ดังนั้นฉายา
ธรรมนั้นก็ไม่มีทางมีได้” จากนั้นก็ชี้ไปที่ตัวเองแล้ว
พูดว่า “เจ้าเรียกข้าว่า...พี่หนิงก็ได้!”
“พี่หนิงหรือ?” เจินหมิงยกมือค้านับแล้วพูดว่า “ใน
วัดมีแต่เรียกศิษย์พี่ศิษย์น้องเท่านั้น เจ้า...เจ้าเข้าวัด
มาไม่นาน อาตมาคงเรียกท่านได้แค่ว่าศิษย์น้อง เจ้า
คงจะยังไม่ทราบสินะ?”
“แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน ขี้เกียจเสียเวลากับเจ้า” หยาง
หนิงยกชามข้าวขึ้นมา แล้วกินไปสองสามค้า เงย
หน้าเห็นเจินหมิงก้าลังมองมาที่ตัวเอง เขาวาง
ตะเกียบลง แล้วถามว่า “เป็นอะไรรึ?”
“ศิษย์น้องหนิง ท่านดูเหมือนจะหิวมากเลยนะ ถ้า
อย่างนั้นชามนี้ท่านก็กินเถอะ” เจินหมิงยื่นชามข้าว
ไปให้เขา “อาตมาไม่กินสักมือ ก็ไม่เป็นไรหรอก”
หยางหนิงถามว่า “หออู๋กู่ไกลจากที่นี่ไหม? พวกเรา
ไปขออาหารเพิ่มก็ได้”
เจินหมิงโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่ได้หรอก หออู๋กู่มี
เวลาอาหารที่ชัดเจน ตอนนี้ปิดแล้ว จากที่นี่ไปหออู๋
กู่ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งก้านธูป ต่อให้ไปถึงที่นั้น ศิษย์พี่
ที่หออู๋กู้ก็ไม่มีทางเอาอาหารให้พวกเราหรอก”
หยางหนิงตบโต๊ะ แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เป็น
ศิษย์พี่ประสาอะไร เหตุใดถึงท้าเช่นนี้ แม้แต่ข้าวก็
ไม่ให้กินอิ่ม พวกเขาคิดจะท้าอะไรกัน?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 123 เจ้าไม่ใช่คู่ปรับของข้า
อยู่ๆ หยางหนิงก็เกิดโทสะขึ้นมา เจินหมิงเห็นดังนั้น
ก็พลันอึ้งไป แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหนิง พวกเขา
เหล่านั้นล้วนเป็นศิษย์พี่ของพวกเรา ในเมื่อบอกว่า
กินอาหารน้อยสามารถบาเพ็ญเพียรได้ มันก็
สมเหตุสมผลแล้ว เหตุใดเจ้าต้องโกรธด้วยเล่า?”
“หลวงจีนน้อย เจ้าโง่หรือฉลาดน้อยกันแน่?” หยาง
หนิงพูดอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “เขากาลังรังแกเจ้า
เพราะเจ้าอายุน้อย เจ้ายังคิดว่าที่พวกเขาพูดมี
เหตุผลอีกหรือ?”
“อามิตตาพุทธ” เจินหมิงรีบคานับแล้วพูดว่า “ศิษย์
น้องหนิงเจ้าจะพูดเหลวไหลไม่ได้นะ”
เขาอายุแค่สิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ว่าการกระทา
ทุกอย่าง กลับเหมือนคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เพียงแต่
ว่าหยางหนิงถูกเขาเรียกว่าศิษย์น้อง ฟังแล้วไม่ค่อย
จะรื่นหูเท่าไหร่นัก หยางหนิงจึงถามขึ้นว่า “จริงสิ
ที่นี่เรียกว่ายอดเขาอะไรนะ?”
“ยอดเขาเทียนเป่า” เจินหมิงตอบ “เขาจื่อจินซานมี
ยอดเขาสามแห่ง ได้แก่ ยอดเขาเป่ยเกา ยอดเขา
เสี่ยวเหมา และยอดเขาเทียนเป่าสามยอดเขานี้
เปรียบเสมือนกับที่เสียบปากกาอันหนึ่ง...!”
หยางหนิงยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องอธิบาย
ละเอียดขนาดนั้น ข้าขอถามเจ้าหน่อย ที่นี่มีแค่ข้า
กับเจ้าสองคนหรือ?”
“อาจารย์ไม่อยู่ ก็เหลือแค่อาตมากับเจ้าสองคน”
เจินหมิงพูดตอบ
“ระฆังที่เจ้าพูดเทื่อครู่นี้หมายความว่าอะไรหรือ?”
หยางหนิงชี้ไปข้างนอก “เจ้าหมายถึงระฆังโง่ๆ ที่อยู่
ตรงหน้าผาหรือ?”
เจินหมิงรู้สึกว่าจนปัญญากับศิษย์น้องที่มาใหม่คนนี้
เสียจริง เขาพูดจาไม่รู้จักกลัวเลยสักนิด เขาทาได้แค่
เตือนว่า “ศิษย์น้องหนิง ในวัดในวาเจ้าจะพูดจา
อะไรก็ระวังบ้าง ที่นี่มีเพียงแค่อาตมากับเจ้าสองคน
ก็ไม่เป็นอะไรมาก แต่หากคนอื่นมาได้ยินเข้า เจ้า
จะต้องถูกส่งไปที่อาจารย์อาจิ้งเหนิงแน่ๆ”
“อาจารย์อาจิ้งเหนิง”
เจินหมิงพูดว่า “อาจารย์อาจิ้งเหนิงเป็นหัวหน้าของ
หอศีล ดูแลกฎเกณฑ์ทั้งหมดของวัดต้ากวงหมิง ไม่
ว่าใครก็ตามที่ทาผิดกฎ ก็ต้องถูกส่งไปยังหอศีลเพื่อ
รับโทษทั้งนั้น”
หยางหนิงพูดว่า “ข้ากับเจ้าคุยกันในนี้ ก็ไม่มีใครได้
ยิน อย่าเบี่ยงประเด็น ไปไกล เจ้าระฆังที่ว่ามัน
หมายความว่าอะไร?”
“อ่อ เขาจื่อจินมียอดเขาสามแห่ง ทุกแห่งมีหอระฆัง
ทั้งสิ้น หอระฆังของที่นี่เรียกว่าเฉินจง ยามอิ๋น
(ช่วงเวลา 03.00 ถึง 04.59 น.) ของทุกวัน จะต้อง
ไปเคาะระฆังเฉินจง เมื่อทุกคนในวัดได้ยินเสียงระฆัง
นี้ดังขึ้น จะต้องตื่นขึ้นมาทาวัตรเช้า” เจินหมิงอธิ
บายต่อไปว่า “เมื่อระฆังของยอดเขาเสี่ยวเหมาดัง
ขึ้น ก็จะต้องฉันเพล และเมื่อระฆังของยอดเขาเป่ย
เกาดังขึ้น ก็จะทาวัตรเย็น เมื่อถึงช่วงดึก ระฆังทั้ง
สามก็จะดังพร้อมกัน ก็จะดับไฟเข้านอนกัน”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น เจ้าก็จะต้องตื่นขึ้นมาก่อนระฆัง
ครั้งแรกจะดังขึ้น ตอนค่าก็จะต้องรอจนกว่าระฆัง
เสียงสุดท้ายดังขึ้นอีก และยังได้กินข้าวเพียงเท่านี้
หรือ?” หยางหนิงพูดอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าบอกเอง
ไม่ใช่หรือว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นหนึ่งในสิบสาม
อรหันต์? ตาแหน่งของท่านในวัดก็น่าจะไม่ด้อยกว่า
ใครจริงหรือไม่?”
เจินหมิงรีบพูดว่า “คนในวัด ต่างเคารพอาจารย์กัน
มาก”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าแปลกใจ หลวงจีนที่มีตาแหน่งสูง
เช่นนี้ เหตุใดถึงไม่อยู่ในที่ที่ดีกว่านี้เล่า?” หยางหนิง
พูดว่า “เหตุใดถึงมาอยู่ในที่ที่ไกลเช่นนี้? ข้าเห็นเจ้า
ก็ผ่ายผอมเอาการอยู่ ระฆังด้านนอกนั้นเจ้าเองก็ไม่
น่าจะตีไหว อาจารย์เจ้าจะต้องตื่นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่
สางเพื่อมาตีระฆัง เรื่องนี้เขายอมทาหรือ?”
เจินหมิงส่ายหน้า “อาตมาก็ตีระฆังเองมาตั้งแต่แปด
ขวบแล้ว เช้าเย็นวันละสองครั้ง อาตมาเป็นคนตี
ทั้งหมด”
หยางหนิงก็พลันอึ้งไปอีกรอบ จากนั้นก็กวาดสายตา
มองไปรอบๆ หลวงจีนรูปนี้หน้าตาสดใส ร่างกาย
ผ่ายผอม ดูอย่างไรก็ไม่อยากเชื่อว่าหลวงจีนรูปร่าง
เช่นนี้จะตีระฆังใหญ่เช่นนั้นได้
แต่ว่าหลวงจีนน้อยรูปนี้ก็ดูไร้เดียงสา ไม่เหมือนคน
คุยโตโอ้อวดแต่อย่างใด
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี” หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “ข้าเพียงแค่กังวลว่าอาจารย์ของเจ้าไม่อยู่ แล้ว
จะให้ข้าต้องไปตีระฆังทุกเช้า”
เจินหมิงพูดด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าไม่ยินดี
จะทาหรือ?”
“ไม่แน่นอน” หยางหนิงพูดว่า “จริงสิ ถ้าอย่างนั้น
เจ้าไม่เคยออกจากวัดต้ากวงหมิง ตั้งแต่แปดขวบเลย
หรือ? ทุกวันต้องตีระฆังสองครั้ง หากเจ้าไม่อยู่จะทา
อย่างไร?”
เจินหทมิงพูดว่า “อาตมาอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว ไม่เห็นต้อง
ไปที่อื่นเลย”
หยางหนิงแอบคิดในใจว่าหลวงจีนน้อยรูปนี้ดู
ซื่อสัตย์ไม่น้อย หลายปีมานี้เฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด ไม่กลัว
จะล้มป่วยเลยแม้แต่น้อย หากเป็นเขาแล้วล่ะก็ ไม่มี
ทางทาได้อย่างแน่นอน
“ศิษย์น้องหนิง ก่อนอาจารย์จะไปท่านได้สั่งเอาไว้
ว่า หากเจ้าฟื้นขึ้นมา ก็ให้ถ่ายทอดชิงจิงให้แก่เจ้า
ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” เจินหมิงพูดอย่าง
จริงจังว่า “หากเป็นไปได้ วันนี้อาตมาจะบอกสูตรให้
เจ้าก่อน”
“ชิงจิงรึ?” หยางหนิงพูดด้วยความสงสัยว่า “มันคือ
อะไร พระไตรปิฎกหรือ?”
เจินหมิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “อาจารย์บอกสูตรชิง
จิงให้อาตมาตั้งแต่หกขวบ มันคือเนื้อหา
พระไตรปิฎกส่วนแรกที่อาตมาได้เรียนรู้”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้คิดจะเป็น
หลวงจีนเสียหน่อย พระไตรปิฎกข้าไม่จาเป็นต้อง
เรียน”
“ศิษย์น้องหนิง ไม่ได้นะ ในเมื่ออาจารย์สั่งไว้ ก็ต้อง
ทาตามที่อาจารย์บอก” เจินหมิงพูดด้วยสีหน้า
จริงจังว่า “อาตมาเห็นเจ้ากินได้เดินได้ ซึ่งก็เป็นไป
ตามเงื่อนไขที่อาจารย์บอกแล้ว ใกล้เวลาเพลแล้ว
...!” เขาพูดยังไม่ทันจบ หยางหนิงก็ได้ยินเสียงระฆัง
ดังขึ้น
เสียงระฆังนั้นดังกัมปนาทไปทั่วเขา ถึงแม้เขาจะอยู่
ที่ยอดเขาเทียนเป่า แต่กลับได้ยินเสียงนั้นอย่าง
ชัดเจน
เสียงระฆังดังต่อเนื่องแปดครั้ง เจินหมิงรีบลุกขึ้น
แล้วหันออกไปนอกประตู แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องห
นิง ถึงเวลาฉันเพลแล้ว พวกเราไปกันเถอะ...!” เมื่อ
หันไปมอง ก็เห็นหยางหนิงไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
เขาอึ้งไป แล้วถามว่า “ศิษย์น้องหนิงเหตุใดเจ้าถึงไม่
ลุกเล่า?”
หยางหนิงยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้าไปฉันเพล
เถอะ ข้าไม่ใช่หลวงจีน ไม่จาเป็นต้องทาอะไรพวก
นี้” แล้วชี้ไปที่อาหารที่อยู่บนโต๊ะแล้วพูดว่า “ในเมื่อ
เจ้าไม่กิน ข้าก็จะกินมันให้หมด หลวงจีนน้อย เจ้าไม่
ต้องสนใจข้าหรอก”
เจินหมิงเดินเข้ามา แล้วจ้องมองไปที่หยางหนิง แล้ว
พูดว่า “ศิษย์น้องหนิง หากเลยเพลแล้ว ก็ไม่
สามารถกินอาหารได้แล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้กฎของวัด
หรือ? อือ เจ้าเพิ่งขึ้นเขามา อาจจะยังไม่รู้ อาตมา
ผิดเอง แต่ว่าอาตมาจะค่อยๆสอนกฎของวัดให้เจ้ารู้
เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ” เห็นหยางหนิงไม่ได้สนใจเขา
เลยแม้แต่น้อย หลวงจีนน้อยยื่นมือไปหยิบตะเกียบ
และยื่นมือไปจับชามข้าวของหยางหนิงเอาไว้ แล้ว
พูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ศิษย์น้องหนิง อาตมา
บอกแล้วว่ามันเป็นกฎ เหตุใดเจ้าถึงยังละเมิดมันอีก
เล่า?”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หลวงจีนน้อย
เจินหมิง หรือว่าเจ้าอยู่ที่นี่นานเกินไป แม้แต่คาพูด
ของข้าเจ้าก็ยังฟังไม่เข้าใจ?” จากนั้นเขาก็ยกมือชี้ไป
ที่ปากของเขาเองแล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “ดูปากของ
ข้านะ ข้าไม่เรียนอะไรทั้งนั้น แล้วข้าก็ไม่ใช่หลวงจีน
ของวัดต้ากวงหมิงด้วย ไม่จาเป็นต้องทาตามกฎของ
ที่นี่”
เจินหมิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เพียงแค่ขึ้นเขามาที่วัด
นี้ ก็ต้องทาตามกฎของวัด นี่เป็นคาที่อาจารย์อา
จิ้งเหนิงพูดกับข้า ไม่ว่าทาผิดกฎข้อไหนก็ตามของ
วัด ก็จะต้องถูกส่งไปรับโทษที่หอศีล ก่อนอาจารย์
จะลงเขาไปบอกว่า เจ้าเพิ่งขึ้นเขามา มีกฎหลาย
อย่างที่ไม่รู้ อย่าโหดกับเจ้ามากเกินไป แล้วก็ไม่ต้อง
ส่งเจ้าไปที่หอศีลด้วย แต่ว่า...แต่ว่าเจ้าจะต้องเรียน
ชิงจิง”
“อย่าพูดมาก” หลวงจีนรูปหนึ่งจะมาตั้งกฎกับเขา
หยางหนิงไม่สนใจ อีกทั้งยังราคาญด้วย เขายกมือ
ขึ้นแล้วสะบัดมือออก “หลวงจีนน้อย ในวัดต้ากวง
หมิงนี่ไม่มีใครสั่งข้าได้ เจ้าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง คิดจะ
มาตั้งกฎกับข้าหรือ? ไปเถอะ..!” จากนั้นเขาก็ไป
หยิบตะเกียบขึ้นมาอีก ยังไม่ทันจะแตะถูกตะเกียบ
ก็ถูกเจินหมิงจับข้อมือเอาไว้อีก
หยางหนิงหน้านิ่งไป แล้วพูดด้วยความโมโหว่า
“หลวงจีนน้อย เจ้าคิดจะทาอะไร? ข้าบอกเจ้าไว้
ก่อนนะ ข้าไม่ใช่คนดีอะไรนัก อย่าหาว่าข้าไม่
เกรงใจเจ้านะ”
“เจ้าต้องไปเรียน” เจินหมิงจ้องไปที่หยางหนิง ไม่
ยอมลดราวาศอกแล้วพูดด้วยความจริงจังว่า
“ไม่อย่างนั้นอาตมาจะลากเจ้าออกไปเอง”
“โอ้โฮ ฝีปากเจ้าไม่เลวเลยนะ” หยางหนิงยิ้มแล้ว
พูดว่า “เจ้าหมายความว่า เจ้าจะลงมือกับข้าหรือ?”
ถึงแม้หยางหนิงจะไม่ได้ประมาทหลวงจีนน้อยคนนี้
แต่หลวงจีนน้อยรูปนี้อายุก็ไม่เกินสิบขวบ รูปร่าง
บอบบาง อย่างน้อยเขาเองก็ผ่านการศึกทหาร
มาแล้ว ชายฉกรรจ์สามถึงห้าคนก็ยังเข้าใกล้เขา
ไม่ได้เลย ไม่ต้องไปพูดถึงหลวงจีนตัวเล็กๆ แบบนี้
หรอก
เจินหมิงไม่ได้พูดอะไรมาก เขาออกแรงมือ ต้องการ
จะลากหยางหนิงออกไป หยางหนิงก็พลันมือสั่น
ขึ้นมา ครั้งนี้เขาไม่สามารถสะบัดมือออกจาก
เจินหมิงได้ แต่เป็นหลวงจีนน้อยที่ออกแรงมากขึ้น
ไปอีก เห็นเขาอายุน้อยแบบนี้ แต่แรงของเขาไม่น้อย
เลย หยางหนิงรู้สึกได้ว่าข้อมือของเขาถูกบีบจนแน่น
ไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย เขาจึงพูดขึ้นว่า
“หลวงจีนน้อย เจ้าอย่าทาให้ข้าโกรธจะดีกว่า ข้าจะ
ไม่ไว้หน้าเจ้าแล้วนะ ข้าจะนับแค่สาม เจ้าจะปล่อย
หรือไม่ปล่อย?”
“ศิษย์น้องหนิง เจ้าจะไปเรียนหรือไม่?” หลวงจีน
น้อยเจินหมิงถาม “หากเจ้าปฏิเสธ อาตมาก็คงต้อง
ทาตามที่อาจารย์สั่งไว้ ต้องลงโทษเจ้า”
หยางหนิงได้ยินดังนั้น เขาก็หลุดหัวเราะออกมาแล้ว
พูดว่า “ลงโทษหรือ? เจ้าจะลงโทษข้าหรือ เจ้าพูด
อะไรผิดไปหรือไม่? ฮ่า ฮ่า ฮ่า...มา มา มา ข้าก็
อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าจะลงโทษข้าอย่างไร”
เขากระพริบตาสองที แล้วพูดว่า “ข้าชอบจริงๆ
เวลามีคนบอกว่าจะลงโทษข้า ข้ารอแทบจะไม่ไหว
แล้ว เจ้าเข้ามาได้เลย...!”
เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็รู้สึกว่าแขนของเขาถูกบีบแน่น
เข้าไปอีก เหมือนกับตัวของเขามันลอยอยู่กลาง
อากาศ ยังไม่ทันจะตั้งตัว เขาก็ลอยออกไปนอก
ประตูแล้ว เขาปลิวไปกองที่พื้นอย่างไม่รู้ตัว
ครั้งนี้มันมาอย่างกะทันหันไม่ทันได้ตั้งตัว หยางหนิง
ยังไม่ทันได้เตรียมใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากล้มลง
ไปกองกับพื้นแล้ว ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาตามตัว ในใจ
ก็ตกใจไม่น้อย เงยหน้าไปมอง ก็เห็นเจินหมิงยืนอยู่
ที่หน้าประตู ยกมือคานับ แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหนิง
อาตมาลงมือหนักไปหน่อย เจ้าไม่เป็นอะไรใช่
หรือไม่?”
หยางหนิงลุกขึ้นมาอยู่ๆ เขาก็ถูกโยนออกมา
กะทันหัน เขาไม่เข้าใจเลยว่าหลวงจีนน้อยใช้วิธี
อะไรถึงโยนเขาออกมาได้ ยิ่งสงสัยว่าหลวงจีนน้อยผู้
นี้มีความสามารถแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
เขายิ้มเจื่อนๆ แล้วมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ยอด
ฝีมือท่านไหนอยู่ที่นี่ ได้โปรดออกมาเถอะ?”
เขาไม่เชื่อจริงๆ ว่าหลวงจีนน้อยผู้นี้จะเป็นคนโยน
เขาออกมา เขาคิดว่าน่าจะมีคนอยู่เบื้องหลัง แต่ว่า
ไม่มีผู้ใดตอบกลับเขาสักคน
“ศิษย์น้องหนิง ไม่มีคนอื่นหรอก” เจินหมิงพูดว่า
“ภายในสามร้อยก้าว หากมีคนอื่นเข้ามา อาตมาก็
จะรู้”
หยางหนิงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
เจินหมิงเดินเข้ามาสองก้าว มาข้างตัวของหยางหนิง
แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหนิง เริ่มเรียนกันได้หรือยัง?
อย่าเสียเวลาอีกเลย”
หยางหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าเรียน
กับเจ้าก็ได้”
เจินหมิงยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหนิงวางใจ อาตมา
จะทาตามที่อาจารย์สั่ง สอนเจ้าเป็นอย่างดี”
จากนั้นเขาก็เดินตรงไปนอกเรือน หยางหนิงพุ่งเข้า
หาเขาจากด้านหลังราวกับหมาป่า ใช้มือจับไปที่ไหล่
ของเจินหมิง แล้วพูดว่า “หลวงจีนน้อย เจ้ากล้าลง
มือกับข้าหรือ? รนหาที่ตายชัดๆ” จากนั้นก็กวาดไป
ที่ขาของเขา คิดจะให้เจินหมิงล้มหัวคะมา
ขายังไม่ทันได้กวาด ก็เห็นเจินหมิงกระโดดลอยตัว
ขึ้น ร่างกายของเขาลอยตัวราวกับก้อนเมฆ จากนั้น
ก็พลิกตัวมาอยู่ด้านหลังของหยางหนิง แล้วบิดมือ
ของหยางหนิงมาไว้ด้านหลัง หยางหนิงรู้สึกได้ว่าเอว
ของเขารู้สึกชาไม่น้อย จากนั้นขาของเขาก็อ่อนแรง
ลง
หลวงจีนน้อยเจินหมิงพูดว่า “ศิษย์น้องหนิง วรยุทธ์
ของเจ้ามันแย่เสียจริง เจ้าไม่ใช่คู่ปรับของอาตมา
หรอก”
หยางหนิงแทบจะกระอักเลือดออกมาคาใหญ่แล้ว
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 124 ชิงจิง
ภายในใจของหยางหนิงทั้งรู้สึกโกรธและยังตกตะลึง
มากอีกด้วย
เขารู้ว่า วรยุทธ์ของหลวงจีนน้อยรูปนี้เหนือกว่า
ตัวเองมาก เมื่อครู่นี้พลิกตัวครั้งเดียวก็ราวกับเมฆที่
ลอยกลางนภากาศ ตัวเขาเองนั้นคาดไม่ถึง เขาคิด
ว่าหลวงจีนน้อยนั้นอ่อนแอ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมอง
ผิดไป วรยุทธ์ของหลวงจีนน้อยรูปนี้นั้นร้ายกาจ
อย่างนี้นี่เอง
หลวงจีนน้อยไม่ได้เก่งเพียงวิชาตัวเบาเท่านั้น ทั้ง
กําลังวังชายังมากอีกด้วย อีกทั้งความเร็วยังทําให้น่า
ตกใจ วิชาการต่อสู้ของหยางหนิงก็ไม่เลว แต่ว่าก็ยัง
สู้หลวงจีนน้อยรูปนี้ไม่ได้ แทบจะตั้งตัวไม่ทันเลย
“ศิษย์น้องหนิง ไปเรียนกันได้หรือยัง?” หลวงจีน
น้อยเจินหมิงถามขึ้นมาอีกครั้ง
หยางหนิงรู้ดีว่าตัวเขาเจอกับยอดฝีมือเข้าให้แล้ว วร
ยุทธ์ของหลวงจีนน้อยไม่ธรรมดา และเขายังฉลาด
อีกด้วย มิหนําซ้ํายังยึดคําสั่งของอาจารย์อย่างเอา
เป็นเอาตาย
หากตอนนี้ยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เกรงว่าตัวเองจะ
เสียเปรียบแล้วล่ะ
หยางหนิงเข้าใจดีว่าแก้แค้นสิบปียังไม่สาย อีกทั้งยัง
รู้ว่าลูกผู้ชายจะต้องทนลําบากได้ เขาลุกขึ้นมา แล้ว
ปัดฝุ่นที่เขลอะอยู่บนเสื้อผ้า จากนั้นก็ถามว่า “ศิษย์
...ศิษย์พี่หลวงจีนน้อย วิชาของเจ้าเรียนมาจากไหน
หรือ?”
“อาจารย์เป็นคนสอน” หลวงจีนน้อยเจินหมิงพูด
หยางหนิงยกนิ้วโป้งให้แล้วพูดว่า “ดูดูไปแล้ว
อาจารย์ของเจ้าน่าจะเป็นคนเก่งมากเลยทีเดียวนะ
เจ้าเองก็มีพรสวรรค์ไม่เบา วรยุทธ์เหมือนจะ
เหนือกว่าข้าอีก”
“ศิษย์น้องหนิง เจ้าเคยฝึกวรยุทธ์หรือ?” หลวงจีน
น้อยเจินหมิงถามต่อว่า “วรยุทธ์ของเจ้าไม่ค่อยดี
เท่าไหร่”
หยางหนิงแอบด่าในใจว่า เจ้าเป็นใครกัน ก็แค่วร
ยุทธ์เหนือกว่าข้า จะมาพูดความจริงต่อหน้าแบบนี้
ได้อย่างไรกัน แต่ใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้ม
เจื่อนๆ อยู่ แล้วพูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่หลวงจีนน้อย ข้า
ฝึกวรยุทธ์มามาน้อยเกินไป...จริงสิ ศิษย์พี่หลวงจีน
น้อยเกิดมาก็เป็นวรยุทธ์เลยหรือ? เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้า
แรงเยอะมาก”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงพูดอย่างสงสัยว่า “อาตมาแรง
เยอะมากขนาดนั้นเชียวหรือ? อาตมาถูกอาจารย์พา
ขึ้นเขามาตั้งแต่เล็ก ตามอาจารย์มาอยู่ที่นี่ จําได้ว่า
ตั้งแต่หกขวบ อาจารย์ก็ถ่ายทอดวิชาชิงจิงให้
จากนั้นก็ทําตามสูตรเคล็ดวิชาที่ท่องมา จากนั้นแรง
ก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น”
“เดี๋ยวนะ!” หยางหนิงยกมือขึ้นมาตาเบิกกว้างแล้ว
ถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? แรงมากมายขนาดนั้น ที่
สามารถพลิกแพลงการต่อสู้ได้ เป็น...เป็นเพราะฝึก
ชิงจิงหรือ?”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงพูดว่า “ถูกต้อง ศิษย์น้องหนิง
เหตุใดถึงถามอย่างนั้นเล่า?”
หยางหนิงจับแขนหลวงจีนน้อยเจินหมิง ยิ้มแล้วพูด
ว่า “ศิษย์พี่หลวงจีนน้อย เหตุใดท่านพูดอะไรไม่จบ
ท่านก็น่าจะบอกแต่แรกว่าฝึกชิงจิงแล้วสามารถ
ฝึกวรยุทธ์ได้ด้วย”
หยางหนิงเข้าใจว่าชิงจิงเป็นแค่คัมภีร์ธรรมะธรรมดา
เท่านั้น จึงไม่คิดอยากจะเรียนเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อ
ฟังหลวงจีนน้อยเจินหมิงพูดมาแบบนี้ จึงรู้ประจักษ์
ชัดแล้วว่าชิงจิงเล่มนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
เขารู้ดีว่าโลกนี้มีคนเก่งกล้ามากมาย ยอดฝีมือก็มี
เยอะราวกับก้อนเมฆ ถึงแม้ตนจะเชี่ยวชาญกับการ
ต่อสู้ แต่หากสู้กับยอดฝีมือขึ้นมาจริงๆ ก็อาจตาย
อย่างน่าอนาถได้ หลวงจีนน้อยรูปนี้เพิ่งจะอายุสิบปี
แต่กลับสามารถทําให้เขาตกอยู่ในกํามือของเขาได้
อย่างง่ายดาย ทั้งที่วิชาการต่อสู้ของเขาในโลก
ปัจจุบันก็ไม่ธรรมดาเลย
หากต้องอยู่ที่นี่ต่อไป เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้
ให้ได้
หากชิงจิงสามารถทําให้เขาแกร่งขึ้น เขาย่อมที่จะ
ตั้งใจเรียนอย่างแน่นอน
หลวงจีนน้อยเจินหมิงมองอย่างงงๆ แล้วถามว่า “ชิง
ทําให้ฝึกวรยุทธ์ได้รึ? อาตมาไม่รู้มาก่อนเลย”
จากนั้นเขาก็พูดอีกว่า “แต่ว่าการฝึกชิงจิง มัน
สามารถช่วยเรื่องวรยุทธ์จริง อาจารย์เคยบอกว่า
ชิงจิงไม่เพียงสามารถนํามาฝึกลมปราณได้ แต่ยัง
สามารถทําให้เลือดลมไหลเวียนดีอีกด้วย อาจารย์
เคยบอกว่าห้ามถ่ายทอดชิงจิงให้กับคนอื่นเด็ดขาด
ครั้งนี้ไม่รู้เพราะเหตุใดท่านถึงให้อาตมามาถ่ายทอด
ให้เจ้า”
หยางหนิงตะลึงกับคําพูดของหลวงจีนน้อยรูปนี้ ใน
ใจก็คิดว่า ชิงจิงสามารถปรับเลือดลมให้ไหลเวียน
ปกติ หรือว่าที่จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ สามารถ
นํามารักษาตัวได้รึ?
หลวงจีนน้อยเจินหมิงเดินออกจากเรือนไป จากนั้นก็
หันกลับมาเป็นระยะ ครั้งนี้หยางหนิงไม่ดื้ออีกแล้ว
หลวงจีนน้อยเดินมาถึงระฆังเฉินจง จากนั้นก็
นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ก้อนหินก้อนหนึ่งที่หน้าผา หินก้อน
นั้นเรียบลื่นราวกระจก ราวกับว่ามีคนใช้งานมานาน
หลายปี
ตรงข้ามก้อนหินก้อนนั้นมีหินอีกก้อนหนึ่ง ด้านบนก็
เรียบลื่นมากเช่นเดียวกัน หยางหนิงนึกถึงหลวงจีน
น้อยกับอาจารย์ ดูท่าศิษย์กับอาจารย์ทั้งสองรูปนี้
น่าจะนั่งกรรมฐานที่นี่มาหลายปี
เขาเองก็ไม่เกรงใจ นั่งลงตรงข้ามกับหลวงจีนเจิน
หมิง ยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หลวงจีนน้อย พวกเจ้า
นั่งฝึกกันที่นี่หรือ?”
“ที่นี่อากาศบริสุทธิ์ เหมาะกับการฝึกกรรมฐานยิ่ง
นัก” หลวงจีนน้อยเจินหมิงตอบอย่างตรงไปตรงมา
ว่า “เริ่มตั้งแต่หกขวบ ข้าก็ตามอาจารย์มาฝึกที่นี่”
“มิน่าวรยุทธ์เจ้าถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้” หยางหนิง
ยกนิ้วโป้งขึ้นมาอีกครั้งแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หลวงจีน
น้อย ข้าว่าวรยุทธ์ของเจ้าคงอยู่ในระดับต้นๆ ของ
วัดต้ากวงหมิงแน่ๆ”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เลย
ศิษย์พี่ศิษย์น้องในวัดอีกหลายคน เก่งกว่าข้าอีก”
หยางหนิงได้ยินดังนั้น ก็ตะลึงงันไปทันที แอบคิดใน
ใจว่าหลวงจีนน้อยรูปนี้เคยบอกว่า วัดต้ากวงหมิงมี
หลวงจีนประมาณสี่ห้าร้อยคน หากเขาบอกว่ามีคน
อื่นที่วรยุทธ์เหนือกว่าเขาอีก ถ้าอย่างนั้นวัดต้ากวง
หมิงก็เป็นสถานที่ที่น่ากลัวไม่น้อยเลยทีเดียว เขาอด
ไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าเคยประลองฝีมือกับพวกเขา
หรือ หรือว่าเคยประลองยุทธ์กันมาก่อนเล่า? เจ้ารู้
ได้อย่างไรว่าพวกเขาฝีมือเหนือกว่าเจ้า?”
หลวงจีนน้อนอึ้งไป แล้วพูดว่า “อาตมาไม่เคยลงมือ
กับใคร ปกติก็ฝึกปรือวิชากับแค่อาจารย์เท่านั้น
วัดต้ากวงหมิงเน้นการฝึกธรรมเป็นอันดับหนึ่ง ฝึกวร
ยุทธ์เป็นอันดับสอง ศิษย์ที่เข้ามาอยู่ที่นี่ จะต้อง
ฝึกวรยุทธ์ทุกคน”
หยางหนิงถึงได้ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “เจ้าไม่เคย
ประลองฝีมือกับใคร แล้วรู้ได้อย่างไรว่าคนอื่น
เหนือกว่าเจ้า?”
หลวงจีนน้อยยกมือขึ้นลูบหัว แล้วพูดว่า “อาตมาโง่
เขลานัก วรยุทธ์ก้าวหน้าได้ช้ายิ่ง อีกทั้งระยะเวลาที่
ฝึกวรยุทธ์ก็ไม่นาน เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่น
น่าจะเหนือกว่าอาตมา”
“ศิษย์พี่หลวงจีนน้อย เจ้าบอกข้าว่าอย่าพูดจา
เหลวไหล ที่แท้เจ้าเองก็คาดเดาเหมือนกัน” หยาง
หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่เคยประลองกันเลย
ไม่สามารถประเมินได้ เจ้าบอกว่าเจ้าโง่อาจจะจริง
แต่ว่าอาจจะมีคนที่โง่กว่าเจ้าก็ได้ ไม่แน่นะพวกเขา
อาจจะก้าวหน้าช้ากว่าเจ้าก็ได้ ต่อไปเจ้าอย่าไปบอก
ใครว่าคนอื่นเก่งกว่าเจ้าอีกนะ หากใครเชื่อเจ้าเข้า
เขาอาจจะตกใจตายก็ได้”
“เหตุใดถึงตกใจตายเล่า?” หลวงจีนน้อยพูดด้วย
ความงุนงงว่า “หากเรื่องที่อาตมาคาดเดามันไม่ใช่
เรื่องจริง ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็ผิดจริง แต่ว่าภายใน
วัดต้ากวงหมิง น่าจะ...น่าจะไม่มีคนที่โง่กว่าอาตมา”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ทุกปีภายในวัดจะมี
การจัดประลองยุทธ์ขึ้น คนทั้งหมดภายในวัดจะต้อง
ไปรวมตัวกัน อาตมาเคยเห็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง
ทั้งหลายประลองยุทธ์กัน วรยุทธ์ของพวกเขาเยี่ยม
ยอดจริงๆ อาตมาเทียบไม่ได้เลย”
“แล้วเหตุใดเจ้าไม่เข้าร่วมเล่า?” หยางหนิงพูดว่า
“เจ้าต้องขึ้นประลอง อาจจะไม่แพ้ให้กับพวกเขาก็
ได้”
เขาไม่กลัวที่จะประจบหลวงจีนน้อย เมื่อครู่หลวงจีน
น้อยรูปนี้เอาชนะเขาได้จริงๆ หากว่าหลวงจีนน้อย
รูปนี้วรยุทธ์แย่ที่สุดในวัดต้ากวงหมิงจริง ถ้าอย่างนั้น
ทั่วทั้งวัดแห่งนี้ผู้ใดก็สามารถเหยียบเขาให้จมดินได้
เชียวหรือ คิดแล้วก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อย มีเพียงตั้งใจ
เรียนวรยุทธ์กับหลวงจีนน้อยรูปนี้เท่านั้น ถึงจะ
สามารถเอาตัวรอดได้ หยางหนิงถึงจะสบายใจได้
แต่ว่าหลวงจีนน้อยรูปนี้ยากที่จะเดาใจได้ อีกทั้ง
ยังคงถ่อมตนไม่เลิก หยางหนิงจึงรู้สึกหงุดหงิด
อยากจะยกเอาก้อนหินใหญ่ๆ ไปทุบหัวของเขาให้
แตกไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด
หลวงจีนน้อยไม่รู้อยู่แล้วว่าหยางหนิงกําลังคิด จึง
เพิ่มน้ํามันให้กับไฟไปว่า “มีแค่ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่วร
ยุทธ์ดีเท่านั้นแหละ ถึงจะร่วมประลอง วรยุทธ์ของ
อาตมายังไม่เก่งกาจถึงปานนั้น ส่วนอาจารย์ก็มีข้า
เป็นศิษย์เพียงคนเดียว ท่านเตือนอาตมาว่าอย่าไปสู้
กับใคร อย่าไปชิงดีชิงเด่นกับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องใน
วัด ดังนั้นอาจารย์จึงสั่งไม่ให้ข้าเข้าร่วม”
“ไม่ใช่ว่าวรยุทธ์ของเจ้าไม่เก่งกาจหรอกกระมัง แต่
เพราะอาจารย์ของเจ้าไม่ให้เจ้าเข้าร่วมเสีย
มากกว่า” หยางหนิงพูดอย่างมั่นใจ จากนั้นก็พูดว่า
“อาจารย์เจ้ามีเจ้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวหรือ?”
หลวงจีนน้อยพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ นอกจาก
อาจารย์อาเจ้าอาวาสแล้ว ผู้อาวุโสที่มีฉายานําหน้า
ว่าจิ้งต่างมีลูกศิษย์ของตัวเองทั้งนั้น อาจารย์อา
อาจารย์ลุงคนอื่นๆ อย่างน้อยก็มีศิษย์ประมาณยี่สิบ
สามสิบคน มีเพียงอาจารย์ ที่รับอาตมาเป็นศิษย์
เพียงคนเดียว” จากนั้นก็มองไปที่หยางหนิง แล้วพูด
ว่า “แต่ว่าอาจารย์ให้อาตมาถ่ายทอดชิงจิงให้เจ้า ก็
น่าจะเตรียมรับเจ้าเป็นศิษย์ด้วย”
หยางหนิงคิดแล้วถามว่า “ศิษย์พี่หลวงจีนน้อย เจ้า
รู้จักวัดเส้าหลินหรือไม่?”
วัดที่เขาคุ้นเคยที่สุดคือ วัดเส้าหลิน หนังสือหลาย
เล่ม เมื่อพูดถึงยุทธภพ ก็จะต้องมีวัดเส้าหลินอยู่ด้วย
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโลกนี้มีวัดเส้าหลินอยู่หรือไม่
“วัดเส้าหลินรึ?” หลวงจีนน้อยถามด้วยความแปลก
ใจว่า “มันที่ไหนกัน?”
หยางหนิงคิดในใจว่า ‘อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้จักวัด
เส้าหลิน’ จึงอธิบายว่า “วัดเส้นหลินเป็นวัดอันดับ
หนึ่งในใต้หล้า เหมือนกับวัดต้ากวงหมิงแห่งนี้แหละ
มีหลวงจีนอยู่มากมาย มีประโยคหนึ่งที่พูดกันบ่อยๆ
ว่าอย่างไรนะ...อ่อ ใช่ วรยุทธ์ใต้หล้าเกิดมาจากเส้า
หลิน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?”
หลวงจีนน้อยส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่เคยได้ยินเลย
แต่เท่าที่อาตมารู้ วัดอันดับหนึ่งในใต้หล้าก็คือ
วัดต้ากวงหมิงของพวกเรา”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าลงเขา
ไม่บ่อย จึงไม่เคยได้ยิน วัดต้ากวงหมิงของเจ้ามีแค่
ไม่กี่ร้อยคน จะบอกว่าเป็นวัดใหญ่คงไม่ได้ วัดที่ใหญ่
จริงๆ ต้องมีมากกว่าพันคน วัดต้ากวงหมิงยัง
ห่างไกลกับพวกเขามากนัก”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นเพราะอาตมาโง่เขลาเหมือน
กบในกะลามากเกินไป” หลวงจีนน้อยพูดด้วยความ
จริงจังว่า “อาจารย์ไม่เคยพูดถึงวัดเส้าหลินให้ฟัง
เลย ดังนั้นอาตมาจึงไม่รู้จัก” จากนั้นก็พูดว่า “แต่ว่า
หากว่าวัดเส้าหลินเป็นวัดอันดับหนึ่งของใต้หล้า เหตุ
ใดอาจารย์ถึงไม่เคยพูดให้อาตมาฟังเลยเล่า วัดที่มี
ชื่อเสียงทั้งหมด อาจารย์พูดถึงมีแค่สิบแห่ง อาตมา
จําได้อย่างชัดเจน แต่ไม่เคยได้ยินชื่อของวัดเส้าหลิน
เลย” จากนั้นก็เงียบไป แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “รอ
อาจารย์กลับมา อาตมาจะไปขอคําชี้แนะกับ
อาจารย์ ศิษย์น้องหนิง เจ้ารู้วิธีเดินลมปราณ
หรือไม่?”
“เดินลมปราณรึ?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“เจ้าหมายถึงหายใจใช่หรือไม่?”
หลวงจีนน้อยคิด แล้วพูดว่า “ก็ไม่ต่างกับหายใจ
หรอก แต่ว่า...แต่ว่าก็ต่างกันอยู่บ้าง การเดิน
ลมปราณเป็นพื้นฐานของการฝึกวรยุทธ์ ขอแค่เดิน
ลมปราณได้ทั่วร่ายกาย แขนขาก็จะเหมือนลอยได้
ลมปราณก็จะเต็มเปี่ยม...!” หยุดไปครู่หนึ่งจากนั้นก็
พูดว่า “เคล็ดวิชาชิงจิง จะสอนวิธีการรับและคาย
ลมปราณอย่างไร”
หยางหนิงมั่นใจมากว่าชิงจิงคือวิชาฝึกปราณยุทธ์
แขนงหนึ่ง
ต้วนฉางไห่เคยพูดไว้ว่า ที่ตัวเขาบาดเจ็บ เป็นเพราะ
ในร่างกายมีลมปราณเจินชี่มากเกินไป แต่ไม่รู้วิธีการ
เดินลมปราณที่ถูกต้อง จึงไม่สามารถนําลมปราณนี้
มาใช้ได้
ตอนนี้ก็ราวกับว่าพอฝนตกก็เหมือนมีคนส่งร่มลงมา
ให้ หลวงจีนน้อยกําลังจะถ่ายทอดวิธีการเดิน
ลมปราณให้กับเขา มันช่างเหมาะเจาะอะไรอย่างนี้
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 125 หออู๋กู่
หยางหยิงเต็มใจที่จะให้หลวงจีนน้อยเจินหมิง
ถ่ายทอดชิงจิงให้ หลวงจีนน้อยเองก็ช่างใสซื่อ
ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้กับหยางหนิง หยางหนิงรู้สึกได้
ว่าเคล็ดวิชานี้ถึงแม้ว่าตัวเลขจะมีไม่มาก แต่มันก็
ช่างท่องได้ตะกุกตะกักนัก หลวงจีนน้อยเจินหมิงท่อ
งออกมาหลายรอบ ให้หยางหนิงท่องตาม ทาแบบนี้
วนไปเรื่อยๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม หยางหนิงก็เริ่มจะจา
ได้
ชิงจิงเป็นไปตามที่หยางหนิงคิดเอาไว้ มันเป็นวิชา
เจินชี่ควบคุมลมปราณ หยางหนิงคิดไว้ว่าจะเรียน
มันคงไม่ง่ายนัก แต่พอหลวงจีนน้อยเจินหมิง
ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้หยางหนิงแล้ว ก็ไม่รอช้ารีบ
สอนวิธีการปล่อยและควบคุมลมปราณให้กับหยางห
นิงต่อทันที ส่วนหยางหนิงก็ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่ว
ยาม ก็สามารถเข้าใจแล้วว่าจะต้องใช้วิชาชิงจิงไป
เดินลมปราณอย่างไร
เขามีวิชาพลังเทพหกประสาน ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขา
จะโง่เขลาไปหน่อย แต่ในขณะที่ตกอยู่ในอันตรายก็
ได้ใช้พลังเทพหกประสานในการดูดพลังของผู้อื่นมา
ตัวเองได้สัมผัสความรู้สึกการเดินลมเจินชี่ในการทา
ให้ลมปราณไหลเวียนมาแล้ว ใช่ว่าจะไม่มีพื้นฐานมา
ก่อนเลย ตอนนี้หลวงจีนน้อยเจินหมิงสอนเคล็ดวิชา
เดินลมปราณให้ มันก็เป็นการสูดลมเข้าสู่ร่างกาย
แล้วก็ให้หมุนเวียนไปตามเส้นชีพจร
ตามที่หลวงจีนน้อยเจินหมิงว่ามา ถึงแม้ท่านหลวง
จีนอาวุโสจิ้งฉุนจะสั่งไว้ว่าห้ามถ่ายทอดวิชานี้ให้กับ
ใคร แต่ตัวชิงจิงเองนั้นก็ไม่ได้เรียนยาก มันเป็นการ
ฝึกลมหายใจซึ่งเป็นพื้นฐานของการฝึกวรยุทธ์
นั่นเอง
ตอนนี้หยางหนิงรู้แล้วว่า หากในร่างกายไม่มีเจินชี่ ก็
เหมือนฝึกวรยุทธ์แล้วแต่ไม่มีวิญญาณ
หากเปรียบท่าทางการออกอาวุธของวรยุทธ์คือ
รูปร่าง ถ้าอย่างนั้นเจินชี่ก็เปรียบได้กับวิญญาณ วร
ยุทธ์ที่ไม่มีวิญญาณ ก็ไม่ต่างกับศพที่เดินได้ ต่อให้
ร้ายกาจเพียงใด ก็แข็งกระด้างอยู่ดี
แต่ว่าเมื่อมีวิญญาณ ไม่ว่าจะฝึกวิชาอะไร เจินชี่เป็น
ส่วนหนึ่งของการฝึกวรยุทธ์ เมื่อมันรวมตัวกัน มันก็
จะมีพลังมหาศาล
ตามที่หลวงจีนน้อยเจินหมิงว่ามา ชิงจิงไม่ต่างกับ
พลังเจินชี่ทั่วไปเท่าไหร่ ที่สามารถเดินลมปราณ
หมุนเวียนได้ เมื่อผ่านการฝึกฝนเจินชี่แล้ว ก็
สามารถนาลมปราณในจุดตันเถียนที่สะสมใน
ร่างกาย แปรสภาพเป็นลมเจินชี่จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่อง
ยากเย็นอะไร
ถึงแม้หยางหนิงฝึกหลักการเดินลมปราณจะใช้เวลา
เพียงไม่นาน ภายใต้คาชี้แนะของหลวงจีนน้อยเจิน
หมิง ก็พอจะดูดเอาลมเข้าสู่ร่างกายได้บ้างแล้ว แต่
ว่าเมื่อมันหมุนผ่านเส้นชีพจรไปได้ส่วนหนึ่ง แล้วก็
พลันหายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันยังห่างจากจุด
ตันเถียนอยู่มาก
“ศิษย์น้องหนิงอย่าเพิ่งรีบร้อน” หลวงจีน
เจินหมิงดูออกว่าหยางหนิงรู้สึกผิดหวัง จึงพูด
ปลอบใจว่า “เจ้าเพิ่งเรียนวันนี้เป็นวันแรก สามารถ
เข้าใจวิธีการเดินลมปราณก็ถือว่าหาได้ยากแล้ว
หลักสาคัญของชิงจิง คาเดียวสั่นๆ คือ ‘สงบ’
จะต้องสงบให้ได้เหมือนสายน้า เมื่อไหร่ที่สงบก็จะ
เกิดสมดุล จากนั้นค่อยสูดลมหายใจเข้าสู่ร่างกาย ไม่
นานนัก ก็จะสามารถกักเก็บลมไว้ในร่างกายได้ เรื่อง
แบบนี้จะรีบร้อนไปมิได้”
ท่าทางของเขาดูจริงจังมาก ถึงแม้จะอายุน้อย แต่
คาพูดคาจากลับเป็นผู้ใหญ่มาก
หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าใช้เวลานาน
เพียงใดในการสะสมเจินชี่รึ?”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบอย่าง
ตรงไปตรงมาว่า “อาตมาใช้เวลาประมาณสามเดือน
เพราะอาตมานั้นโง่เขลานัก”
“ที่แท้เจ้าเองก็ต้องใช้เวลาสามเดือน” หยางหนิงพูด
ว่า “ดูท่า หากไม่ใช้เวลาสักแปดวันสิบวัน ข้าเองก็
คงไม่สาเร็จ”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงเงยหน้ามองฟ้า แล้วพูดว่า
“ศิษย์น้องหนิง ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว อาตมา
จะไปเอาอาหารที่หออู๋กู่ เจ้า...!”
หยางหนิงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าไปกับเจ้าด้วย หาก
ยังเหมือนกับเมื่อกลางวัน เอาอาหารมาแค่นั้น
สงสัยพออาจารย์เจ้ากลับมา ข้ากับเจ้าคงตายอยู่
ที่นี่”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงลังเลแล้วพูดว่า “แต่ว่าเจ้าไป
ด้วย ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่หออู๋กู่ก็ใช่ว่าจะให้อาหาร
เพิ่มขึ้น” แล้วพูดอีกว่า “อีกไม่นานอาจารย์ก็จะ
กลับมาแล้ว อาตมาทนหิวไม่กี่วัน ไม่น่าจะตาย
หรอก”
หยางหนิงคิดในใจว่า ‘หลวงจีนน้อยผู้นี้ไม่มีอารมณ์
ขันเอาเสียเลย’
หลวงจีนน้อยเจินหมิงเองก็ไม่ได้ห้ามเขาแต่อย่างใด
แต่ว่าให้หยางหนิงเปลี่ยนเสื้อผ้าของหลวงจีนก่อน
ถึงแม้หยางหนิงรู้สึกว่าสวมชุดหลวงจีนมันจะดูไม่
เข้าพวกไปหน่อย แต่ว่าหลวงจีนน้อยเจินหมิงบอก
ว่ามันเป็นกฎของวัด กล่อมเขาอยู่นาน หยางหนิง
กลัวว่าจะผิดใจกับหลวงจีนน้อยอีก แล้วจะถูก
“ลงโทษ” อีก จึงยอมเปลี่ยนชุด หลังจากเปลี่ยน
แล้ว ก็รู้สึกว่ามันก็พอดีตัว มันก็พอได้อยู่
ทั้งคู่เดินไปเส้นทางแคบๆ เส้นหนึ่งของเขา เส้นทาง
คดเคี้ยวราวกับงู หยางหนิงมองไปรอบๆ เห็นเพียง
ภูเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน ทอดยาวออกไปราวกับ
มังกร ท่ามกลางภูเขา มีแม่น้าและภูเขามากมาย ถือ
ว่าเป็นภูเขาลูกใหญ่มากๆ พระอาทิตย์กาลังจะลับ
ขอบฟ้า แสงสว่างแยงตาสีอร่ามทอง
วัดต้ากวงหมิงไม่ใช่วัดที่สมบูรณ์หลังใหญ่ แต่เป็นวัด
ที่มีโบสถ์กระจัดกระจายตามภูเขา มีหลายๆ หลัง
ลอยที่อยู่กลางอากาศ หลวงจีนน้อยเจินหมิงรู้ว่าห
ยางหนิงเพิ่งมาครั้งแรก จึงค่อยๆ อธิบายเรื่องต่างๆ
ให้ฟังอย่างอดทน หยางหนิงจึงได้รู้ว่า วัดต้ากวงหมิง
นี้มีทั้งหมดสามตาหนักใหญ่ มีหอห้าแห่ง ตาหนัก
เล็กอีกเจ็ดแห่งและหอเล็กอีกสิบแปดแห่งถือเป็น
สถานที่ที่กว้างใหญ่ไม่น้อย การก่อสร้างวัดแห่งนี้ไม่
เพียงแต่ฉลาดหลักแหลมในการสร้าง แต่ยังสวยงาม
ตระการตาอีกด้วย
หออู๋กู่เองเป็นหนึ่งในสิบแปดหอเล็ก อยู่ระหว่าง
ยอดเขาเป่ยเกากับยอดเขาเทียนเป่า
เดินไปนานพอสมควร หยางหนิงก็เริ่มรู้สึกเบื่อกับ
การเดินทางในครั้งนี้แล้ว แอบคิดในใจว่า ‘หลวงจีน
ในวัดต้ากวงหมิงนี้ก็ลาบากเหมือนกันจะกินข้าวแต่
ละครั้ง ต้องเดินไปกลับเป็นชั่วโมงเลย’
หออู๋กู่เป็นเหมือนโรงอาหารของหลวงจีนทั้งวัด
ดังนั้นจึงมีขนาดมากกว่าที่อื่น เมื่อทั้งสองมาถึง เห็น
ภายนอกของหออู๋กู่ มีคนเข้าแถวนับร้อยคนแล้ว
หลวงจีนน้อยเจินหมิงพาหยางหนิงไปต่อแถว
ด้านหลัง หยางหนิงคิดในใจว่าตัวเขายังไม่โกนผม
อาจจะเป็นที่จับตามองของหลวงจีนอื่นแน่ แต่เมื่อ
มาถึงที่นี่ กลับพบว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่เป็นแบบนี้ มี
คนประมาณห้าหกคนที่สวมชุดหลวงจีน แต่ไว้ผม
ยาว เหล่าหลวงจีนคนอื่นก็ไม่ได้ใส่ใจ
ด้านหน้ามีหลวงจีนประมาณยี่สิบสามสิบคน ผ่านไป
ชั่วโมงหนึ่งแล้วก็ยังมาไม่ถึงหยางหนิงเสียที หยาง
หนิงอดที่จะนึกถึงตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนไม่ได้
ที่ต้องเข้าแถวตักอาหารเหมือนกัน ไม่รู้ว่าผ่านไป
นานกี่ปีแล้ว ตัวเองก็เป็นถึงจิ่นอีโหว แต่ก็ยังต้องมา
เข้าแถวอีก
ในตอนนี้เอง ก็เหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าคนมาจาก
ด้านหลัง เห็นมีหลวงจีนประมาณสี่ห้าคนถือถังไม้
กาลังเดินมา
หลวงจีนเหล่านี้ไม่เหมือนหลวงจีนคนอื่น หลวงจีน
ภายในวัดต้ากวงหมิงส่วนใหญ่จะสวมชุดหลวงจีนสี
เทา แต่ว่าหลวงจีนเหล่านี้ใส่ชุดสีเหลือง ที่เอวยังมี
สายคาดเอวสีเหลืองด้วย ไม่ว่าจะมือหรือเท้าก็มีสาย
รัดเอาไว้ พวกเขาเดินเร็วมาก แตกต่างจากหลวงจีน
คนอื่นมาก
เห็นพวกหลวงจีนเหล่านี้เดินถือถังไม้มา แต่กลับไม่
เข้าแถว พวกเขาเดินตรงไปด้านในห้องโถงของหออู๋
กู่ หยางหนิงเห็นดังนั้น ในใจก็คิดว่าหลวงจีนเหล่านี้
น่าจะเป็นคนที่ทางานอยู่ในหออู๋กู่แน่ๆ
รออยู่ครู่หนึ่ง ด้านหน้ามีคนเข้าแถวราวสิบคน
ด้านหลังมีคนเข้าแถวอีกไม่น้อย ถึงแม้ภายในลาน
กว้างด้านหน้าของหออู๋กู่จะมีคนอยู่มากมาย แต่
กลับไม่มีผู้ใดปริปากพูดสักคา จึงทาให้สถานที่แห่งนี้
ดูสงบไม่น้อย
ในตอนนี้เอง หยางหนิงก็เห็นคนสวมชุดเหลืองพวก
นั้นออกมาจากหออู๋กู่ ในถังไม้มีไอความร้อนของ
อาหารพวยพุ่งขึ้นมา หนึ่งในหลวงจีนเหล่านั้นก็เดิน
ผ่านหยางหนิงพอดี หยางหนิงเหลือบไปมอง เห็น
ภายในถังไม้มีผัดหน่อไม้อยู่ครึ่งถัง หน้าตาดูดีทีเดียว
กลิ่นของหน่อไม้โชยมา มันทาให้หยางหนิงที่เดิมทีก็
กินข้าวกลางวันไม่อิ่มอยู่แล้วเกิดความหิวขึ้นมา
อย่างฉับพลัน
หลวงจีนเหลืองเห็นหยางหนิงมองมาที่ถังไม้ สองคิ้ว
ขมวดมุ่นพร้อมเหลือบมองไปที่หยางหนิง ทาเสียงฮึ
ขึ้นมาหนึ่งที หยางหนิงที่มองถังไม้ด้วยความหิวโหย
อยู่นั้นก็พลันตกใจ จากนั้นก็เห็นหลวงจีนชุดเหลือง
นั้นเดินตามคนที่เหลือไป
เห็นสีหน้าของเหล่าหลวงจีนชุดเหลืองหยิ่งผยอง
ราวกับว่าตัวเองอยู่เหนือผู้อื่น หยางหนิงเห็นดังนั้น
จึงเกิดความรู้สึกไม่พอใจ อดไม่ได้ที่จะตบไปที่บ่า
ของหลวงจีนน้อยเจินหมิง แล้วถามว่า “ศิษย์พี่
หลวงจีนน้อย คนพวกนั้นเขาเป็นใครกันหรือ? เหตุ
ใดถึงไม่เข้าแถวเหมือนคนอื่นเล่า?”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงส่ายหน้า แต่ก็ไม่พูดอะไร
หยางหนิงรู้สึกไม่พอใจเป็นอันมาก แต่ก็รอไปอีก
ระยะหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงหลวงจีนน้อยเจินหมิงเสีย
ที คนตักอาหารเป็นหลวงจีนอ้วนคนหนึ่ง หน้าของ
เขาเต็มไปด้วยเนื้อ เขาเงยหน้ามามองหลวงจีนน้อย
เจินหมิง ใช้ทัพพีตักอาหารให้หลวงจีนน้อยเจินหมิง
แค่ครึ่งชาม จากนั้นก็ตักผักให้อีกสองสามเส้น
จากนั้นก็มองมาที่หยางหนิงเหมือนจะบอกให้
หยางหนิงเดินเข้ามา
หยางหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดกับหลวงจีนอ้วนนั้นว่า
“ศิษย์พี่...ท่านตักอาหารให้ศิษย์พี่หลวงจีนน้อยน้อย
ไปหรือไม่? ท่านคิดจะให้เขากินข้าวอยู่หรือไม่?”
เสียงของเขาไม่ถือว่าดังเท่าไหร่ แต่ก็ทาให้คนไม่
น้อยหันมามอง บางคนถึงกับเงยหน้าขึ้นมามอง
หลวงจีนน้อยเจินหมิงรู้สึกกังวลใจจึงรีบดึงชายเสื้อ
ของหยางหนิงเอาไว้ แล้วพูดว่า “พอได้แล้ว!” เขา
ตั้งใจจะบอกให้หยางหนิงหยุดพูด
หยางหนิงเริ่มดูไม่น้อย เดินขึ้นเข้าไปตรงโต๊ะที่วาง
ชามข้าว เขาตั้งใจเลือกชามข้าวใบที่ใหญ่ที่สุด
ออกมา แต่หลวงจีนอ้วนกลับตักข้าวให้หยางหนิง
น้อยกว่าเจินหมิงเสียอีก แถมผักอีกสองเส้น แล้วรีบ
กวักทัพที ให้หยางหนิงเดินไป
หยางหนิงไม่เพียงแต่ไม่หยิบชามข้าวออกมา อีกทั้ง
ยังยืดอกหยิ่งผยองอยู่ตรงหน้า แล้วมองไปที่หลวง
จีนอ้วน
เมื่อหลวงจีนอ้วนเห็นดังนั้น ก็พูดอย่างหยาบคายไร้
มารยาทว่า “ยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก คนข้างหลังไม่
ต้องกินข้าวแล้วกระมัง?”
“คนข้างหลังจะได้กินข้าวหรือไม่ค่อยว่ากัน ข้าขอ
ถามเจ้าหน่อย เจ้าทาแบบนี้หมายความว่ากระไร?”
หยางหนิงชี้ไปที่ชามข้าวแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้าเห็น
เจ้าตักข้าวให้ผู้อื่นจนเต็มเกือบจะล้นออกมาจาก
ชามอยู่แล้ว แต่พอข้ามาถึง ข้าวและกับข้าว รวมกัน
ยังไม่ถึงครึ่งชาม ข้ากินข้าวเยอะ เจ้าให้ข้าเพิ่มอีก
หน่อยสิ”
หลวงจีนอ้วนยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่อยากกินแล้ว
หรือ?”
หยางหนิงพูดว่า “ต้องกินสิ แต่ว่าแค่นี้ไม่พอ ตักเพิ่ม
มาอีก”
หลวงจีนอ้วนวางทัพพีลง แล้วกอดอก มอง
หยางหนิง แล้วถามว่า “เจ้าเพิ่งขึ้นเขามาหรือ?”
“ข้าขึ้นเขามาเมื่อไหร่ ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
หยางหนิงพูดว่า “ข้ามาเพื่อกินข้าว ข้าวแค่นี้ข้าไม่
อิ่ม”
“ที่หออู๋กู่ต้องเปลี่ยนไปฟังคาสั่งของเจ้าตั้งแต่
เมื่อไหร่?” หลวงจีนอ้วนพูดว่า “เจ้าจะกินก็กิน ไม่
กินก็ถอยไป”
หยางหนิงพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าเป็นนักบวช
พูดจาอะไรให้มันดีๆหน่อยสิ คาขอของข้าไม่ได้หนัก
หนาอันใดเลย ในเมื่อหออู๋กู่เป็นพวกท่านที่ดูแลเรื่อง
นี้ ก็ควรจะให้ทุกคนได้กินอิ่ม”
“ไม่ต้องพูดมาก” หลวงจีนอ้วนยกมือชี้ไปที่หยางห
นิง “เจ้าจะไปไหม? มาจนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครกล้ามา
ทาป่าเถื่อนกับหออู๋กู่มาก่อน”
“ขอโทษที ก่อนหน้านี้คงไม่มีใครกล้าพูด เพราะไม่
อยากมีปัญหากับเจ้า แต่ว่าข้าไม่ใช่คนดีอะไรขนาด
นั้น” หยางหนิงแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “พระโพธิสัตว์
สอนว่าทุกคนล้วนมีความเท่าเทียมกัน เจ้าเป็นศิษย์
เหตุใดยังทาเรื่องแบบนี้อีก? บางคนได้ข้าวพูนชาม
กินยังจะไม่หมด บางคนแม้แต่หนังท้องก็ยังเติมไม่
เต็มกินก็ไม่อิ่ม ความเท่าเทียมของทุกคนอยู่ที่ไหน
กัน?”
หลวงจีนเจินหมิงเห็นดังนั้น ก็รีบเดินเข้ามาหา แล้ว
พูดกับหลวงจีนอ้วนว่า “ศิษย์พี่ เขาคือศิษย์น้องหนิง
ที่เพิ่งขึ้นเขามา ยังไม่รู้กฎของวัดเท่าไหร่ ท่าน...!”
“ที่หออู๋กู่นี่ เขาไม่มีสิทธิพูดอะไรทั้งนั้น” หลวงจีน
อ้วนพูดขัดขึ้นมาแล้วพูดต่อไปว่า “เขาเป็นศิษย์น้อง
ของเจ้ารึ? อ๋อ อาจารย์ลุงจิ้งฉุนรับศิษย์คนใหม่หรือ?
พวกเจ้าฟังให้ดีนะ อย่าว่าแต่วันนี้เลย ตั้งแต่นี้ต่อไป
ข้าวของพวกเจ้าทุกมื้อก็จะมีแค่นี้ หากพวกเจ้าไม่
พอใจ ก็รีบไปฟ้องได้เลย”
ในตอนนี้เอง ก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “ใครมาเอะอะ
โวยวายที่นี่?” ชายคนหนึ่งรูปร่างสูงโปร่งใบหน้า
ผอมเล็ก สายตาแหลมคมราวกับคมดาบก็พลันเดิน
เข้ามา
“ศิษย์พี่เจินปี้!” หลวงจีนน้อยเจินหมิงรีบพูดว่า “นี่
คือศิษย์น้องหนิง เขา...!”
ศิษย์พี่เจินปี้ยกมือหยุดหลวงจีนน้อยเจินหมิงเอาไว้
แล้วมองไปที่หยางหนิง แล้วถามว่า “เจ้ามาก่อเรื่อง
ที่นี่หรือ?”
“ก่อเรื่องรึ?” หยางหนิงมองไปที่ศิษย์พี่เจินปี้ “ท่าน
เข้าใจผิดแล้ว ข้ามากินข้าว แต่มีใครไม่กับข้า ดังนั้น
ข้าจึงต้องพูด ก็แค่นั้น ข้าไม่รู้ว่าข้าก่อเรื่องตรงไหนมิ
ทราบ”
จากนั้นก็เห็นศิษย์พี่เจินปี้เหลือบไปมองข้าวในชาม
ของหยางหนิง ยิ้ม แล้วสะบัดมือออกไปปัดชามข้าว
ชามนั้นตกแตก ข้าวและกับข้าวที่มีอยู่น้อยนิดนั้นก็
กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 126 มีความแตกต่าง
สีหน้าของเหล่าหลวงจีนล้วนถอดสี แต่คนส่วนใหญ่
กลับไม่ได้แปลกใจอะไร
ศิษย์พี่เจินปี้จ้องไปที่หยางหนิง แสยะยิ้มแล้วพูดว่า
“ตอนนี้ถือว่าก่อเรื่องแล้วหรือยังเล่า? เจ้ารังเกียจที่
ข้าวน้อยเกินไป จึงโยนชามข้าวทิ้งจนแตก เจ้ารู้
หรือไม่ว่าที่หออู๋กู่จะจัดการกับคนเช่นเจ้าอย่างไร?”
หยางหนิงตะลึงไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ข้าคิดในว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิแบบนี้เป็นดินแดนแห่ง
พระพุทธ ที่แท้มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากแดน
สงคราม”
“เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“ไฉนบอกว่าวัดต้ากวงหมิงมีกฎเกณฑ์มากมายมิใช่
หรือ?” หยางหนิงพูดต่อว่า “ที่แท้ก็เอามาหลอกข้า
เพียงเท่านั้น รังแกคนที่อ่อนแอกว่าถือเป็นสิ่งที่เห็น
ได้บ่อย” แล้วถามกลับไปอีกว่า “เจ้าบอกว่าข้าทํา
ชามข้าวแตกรึ?”
“ใครๆ ก็เห็น” ศิษย์พี่เจินปี้รีบพูดขึ้นมา “ตามกฎ
ของวัด ต่อจากนี้อีกสามวัน เจ้าห้ามมาที่หออู๋กู่อีก
หลังจากนั้นสามวัน เจ้าถึงจะเห็นความสําคัญของ
ชามข้าว”
หยางหนิงยิ้ม จากนั้นก็เดินเข้าไปที่ห้องโถงของหออู๋
กู่ ศิษย์พี่เจินปี้ขมวดคิ้ว หลังจากที่หยางหนิงเดินเข้า
ไปแล้ว เขาเดินตรงเข้าไปที่หลวงจีนอ้วนทันที ไม่พูด
อะไรมาก เขาก็พลันคว่ําหม้อข้าวลงทันที หลวงจีน
อ้วนตกใจจนหน้าเสีย รีบตะคอกกลับไปว่า “เจ้า...
เจ้าคิดจะทําอะไร?”
“ข้าคิดจะทําอะไร?” หยางหนิงชี้ไปที่ข้าวสวย “คน
หลายคนยังกินข้าวไม่อิ่มเลย เจ้ากลับคว่ําหม้อข้าว
ทิ้ง ตามกฎของวัด เจ้าเองก็จะไม่ได้กินข้าวด้วยสาม
วันใช่หรือไม่?”
ศิษย์พี่เจินปี้เดินเข้ามาหยุดอยู่ด้านหลังของหยางห
นิง เห็นดังนั้น ก็พูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าบังอาจ
มากไปแล้วนะ กล้ามาทําป่าเถื่อนที่หออู๋กู่เชียว
หรือ” เขายื่นมือไปจับไหล่ของหยางหนิง หยางหนิง
ไม่ลังเลอะไรมาก จับมือของศิษย์พี่เจินปี้แล้วพลิกตัว
กลับมา เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น ตัวเขา
โค้งลง แล้วสะบัดศิษย์พี่เจินปี้ล้มลงไปที่กองข้าว
ทันที
หยางหนิงคิดว่าศิษย์พี่เจินปี้อาจรับมือได้ยาก จึงไม่
รอช้า ออกแรงไปอย่างเต็มที่ แต่ว่าศิษย์พี่เจินปี้กลับ
ไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่เขาคิด หลังจากที่ล้มลง ก็ร้อง
ออกมาเสียงหลง
ภายในหออู๋กู่ตอนนี้มีคนวิ่งออกมาประมาณหกเจ็ด
คน พวกเขาต่างมาพยุงศิษย์พี่เจินปี้ มีอีกหลายคนที่
ถือไม้พองมาด้วย ล้อมตัวหยางหนิงไว้
หลวงจีนน้อยเจินหมิงเดินเข้ามา แล้วพูดอย่างตื่น
ตระหนกว่า “ศิษย์พี่ทุกท่าน เป็น...เป็นศิษย์น้องห
นิงที่ผิดเอง อาตมาขอขมาพวกท่าน เขามาที่นี่ครั้ง
แรก...!”
ตอนนี้ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นกลัว
ศิษย์พี่เจินปี้เปื้อนข้าวไปทั้งตัว จ้องไปที่หยางหนิง
แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้า...เจ้ากล้าดีอย่างไร
มาทําตัวป่าเถื่อนที่หออู๋กู่แบบนี้?”
“ศิษย์พี่เจินปี้ ข้าวพวกนี้ถูกท่านทําลายจนเละแล้ว
ถ้าอย่างนั้นท่านเองก็จะไม่ได้กินข้าวหนึ่งปีใช่
หรือไม่?” หยางหนิงแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “แค่คน
ดูแลโรงอาหาร ทําตัวใหญ่โต ใครไม่รู้คงนึกว่าเป็น
เจ้าอาวาสเสียอีกนะ”
“จับเขาเอาไว้” ศิษย์พี่เจินปี้ตะโกนด้วยความโกรธ
“จับเขาแล้วส่งไปที่หอศีล...!”
จากนั้นหลวงจีนของหออู๋กู่ที่ถือไม้พอง พุ่งเข้าใส่
หยางหนิงราวกับลูกศร ลงมือโดยไม่มีความปราณี
หยางหนิงเอี้ยวตัวหลบ เขาก้าวเท้าออกไปด้านหน้า
แค่ไม่กี่ก้าว เขาก็ออกจากโรงอาหาร ไปยังลานด้าน
นอก
หลวงจีนที่อยู่ด้านนอกไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วย
จึงหลบออกไปกันหมด หลวงจีนที่อยู่ด้านในหออู๋กู่ก็
พุ่งตัวออกมา แล้วตามไปหยางหนิงไป หลวงจีนน้อย
เจินหมิงร้อนใจยิ่งนัก เขาโกนตามไปว่า “ศิษย์พี่ทุก
ท่าน อย่าตามเขาอีกเลย เขา...!”
เขายังพูดไม่ทันจบ ศิษย์พี่เจินปี้ยกมือชี้ไปที่หลวงจีน
น้อยเจินหมิง แล้วตะคอกถามว่า “เจ้าเป็นคนพาเขา
มาหรือ?”
“ขอรับ ข้าน้อยพาเขามาเอง...!”
“เจินหมิง เจ้าตั้งใจพาเขามาก่อเรื่องที่นี่ ใช่
หรือไม่?” ศิษย์พี่เจินปี้พูดด้วยความโกรธว่า “ข้ารู้ดี
ว่าพวกเจ้าศิษย์อาจารย์ไม่พอใจพวกเราหออู๋กู่ วันนี้
จึงตั้งใจพาคนมาก่อเรื่อง เจินหมิง ครั้งนี้เจ้าหนีไม่
รอดแน่ ข้าจะต้องส่งตัวเจ้าไปให้อาจารย์ลุงจิ้งเหนิง
ที่หอศีลให้ได้”
หลวงจีนของหออู๋กู่ต่างตามล่าหยางหนิง วรยุทธ์
ของพวกเขาดูแล้วก็ช่างธรรมดานัก หยางหนิงหลบ
ไปหลบมาท่ามกลางผู้คน แต่ไม่มีผู้ใดสามารถตาม
เขาได้เลย
หลวงจีนอ้วนรูปนั้นตามจนหายใจไม่ทัน เขาหยุดพัก
กะทันหัน ทันใดนั้นเองก็เหมือนมีเงาวิ่งผ่านมา
เห็นหยางหนิงกําลังวิ่งมาทางเขา หลวงจีนอ้วนยื่น
มือจะไปจับเขา เขาตะโกนไปว่า “อยู่ตรงนี้ อยู่ตรง
นี้”
หยางหนิงหลบได้อย่างง่ายดาย ด้านหน้าของหลวง
จีนอ้วนก็พลันสั่นไหว หลวงจีนอ้วนรูปนั้นก็ตะโกน
เสียงดังหนึ่งครั้ง และเพ่งเล็งไปที่หยางหนิงอีกครั้ง
แต่กลับมองเห็นเพียงเงาของหยางหนิงเท่านั้น หยาง
หนิงเอี้ยวตัวหลบอีก แล้วใช้เท้าขัดไปที่ขาของหลวง
จีนอ้วน เขาก็พลันร้องขึ้นมาเสียงดัง “โอ๊ย” และล้ม
ไปนอนกองกับพื้น
คนรอบๆ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา บางคนก็ตั้งใจ
ปล่อยให้หยางหนิงวิ่งผ่านไป และตั้งใจที่จะขวาง
เหล่าหลวงจีนหออู๋กู่ที่ไล่ตามหยางหนิงเอาไว้
หออู๋กู่ที่เงียบสงบก่อนหน้านี้นั้น ในเวลานี้กลับส่ง
เสียงเอะอะโวยวายตื่นตระหนกวุ่นวายกันไปทั่ว
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงตะคอกเสียงหนึ่งดังขึ้น “ทุก
คนหยุดเดี๋ยวนี้”
น้ําเสียงที่หนักแน่นและดูดุดัน มันทําให้บรรยากาศ
ที่ยุ่งเหยิงทั้งหมดนั้นหยุดลงทันตา หยางหนิงได้ยิน
ดังนั้นก็พลันตะลึงไป จากนั้นก็มองไปตามเสียง เห็น
หลวงจีนเฒ่าคนหนึ่งสวมชุดหลวงจีนสีเหลือง อายุ
น่าจะเกินห้าสิบไปแล้ว ร่างกายสูงใหญ่กํายํา มี
หนวดเคราสีดํา สีหน้าเคร่งขรึมกําลังมองมาทางนี้
คนรอบๆ ต่างเงียบลง หลวงจีนของหออู๋กู่ต่างวางไม้
พองลง คุกเข่าอยู่ที่พื้น ศิษย์พี่เจินปี้รบี วิ่งเข้าไป
แล้วคุกเข่าลงที่พื้น แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า
“อาจารย์ลุงจิ้งเหนิง”
หยางหนิงได้ยินดังนั้นก็พลันตะลึงงันขึ้นทันที ในใจ
คิดว่า ‘ตายแน่ เมื่อครู่เจ้านั่นบอกว่าจะส่งเขาไปที่
หอศีล คิดไม่ถึงหัวหน้าของหอศีลพระอาจารย์จิ้งเห
นิงกลับปรากฏตัวในตอนนี้’
หลวงจีนคนอื่นๆ ต่างดูหวาดกลัวไม่น้อย ต่างก้ม
หน้าไม่พูดไม่จา
จิ้งเหนิงมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “เหตุใดถึงได้
เอะอะโวยวายกันเช่นนี?้ ”
ศิษย์พี่เจินปี้รีบพูดว่า “เรียนอาจารย์ลุง มีศิษย์คน
หนึ่งที่เพิ่งขึ้นเขามา หาว่าอาหารของพวกเราไม่ดี ได้
ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นที่นี่ อาจารย์ลุงให้ความเป็นธรรม
กับพวกเราด้วย”
จิ้งเหนิงมองไปที่หยางหนิง แล้วพูดว่า “เจ้ามานี่ส”ิ
เสียงของเขาช่างดูมีบารมีไม่น้อย หยางหนิงลังเลไป
ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังเดินเข้าไป คํานับแล้วพูดว่า “ข้า
น้อยฉีหนิง คารวะผู้อาวุโส”
เขาไม่ได้โกนหัว อีกทั้งก็ยังไม่ได้ไหว้ครู รู้สึกว่าเรียก
จิ้งเหนิงว่าอาจารย์ลุงนั้นคงไม่เหมาะ
จิ้งเหนิงเองก็ไม่ได้สนใจคําเรียกขานเท่าไหร่ เขาถาม
ว่า “เจ้าไม่พอใจอาหารของที่นี่หรือ?”
หยางหนิงพูดว่า “ท่านผู้อาวุโส กฎของวัดเข้มงวด
ไม่ทราบว่าพูดจาเหลวไหลไม่เป็นความจริงผิดกฎ
หรือไม่?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องถามศิษย์พี่เจินปี้คนนี้แล้ว”
หยางหนิงพูดว่า “เขาบอกว่าเขาเป็นคนดูแลหออู๋กู่
แต่ว่าตอนตักอาหาร กลับตักให้ไม่เท่ากัน อาหาร
ของที่นี่จะดีหรือไม่ข้าไม่ขอพูด แต่ว่าเรื่องความไม่
ยุติธรรม ข้าทนไม่ได้จริงๆ”
จิ้งเหนิงถามว่า “เจ้าคือฉีหนิงที่ขึ้นเขามารักษาตัวใช่
หรือไม่?”
หยางหนิงพยักหน้า ในใจคิดว่าจิ้งเหนิงรู้จักเขาด้วย
ดูท่า เขาก็น่าจะรู้ว่าเขาคือจิ่นอีซื่อจื่อ คิดว่าคงจะไว้
หน้าบ้าง
“หออู๋กู่มีกฎของหออู๋กู่” จิ้งเหนิงสีหน้านิ่งพูดต่อไป
ว่า “เจ้ามาที่นี่ครั้งแรก ก็ก่อเรื่อง ทําลายกฎของวัด
ปล่อยไว้ไม่ได้” จากนั้นก็สั่งว่า “ใครก็ได้ พาเขาไปที่
หอศีลเดี๋ยวนี้”
จากนั้นก็มีหลวงจีนสองคนเดินมาจากหลังของเขา
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ช้าก่อน” จากนั้นก็
ถามว่า “ท่านผู้อาวุโสหมายความว่า จะลงโทษข้า
หรือ?”
“ทําผิดกฎวัด ก็ต้องรับโทษ”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าท่านผู้อาวุโสยังไม่รู้
ที่มาที่ไปของเรื่องเลย ก็ตัดสินความแล้วหรือ? เหตุ
ใดท่านถึงไม่ถามว่าคนของหออู๋กู่ทําอะไรบ้าง?”
“ข้ารู้แต่ว่าเจ้ามาก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่” จิ้งเหนิงพูดว่า
“เรื่องอื่น ข้าค่อยสอบสวนทีหลัง”
หยางหนิงหัวเราะร่าออกมา ทําให้หลวงจีนหลายคน
รู้สึกตกใจ คิดในใจว่าหลวงจีนภายในวัด อยู่ต่อหน้า
จิ้งเหนิง แทบจะไม่กล้าพูดอะไรเลย เจ้าเด็กคนนี้ไป
กินดีหมีตีนหมาที่ไหนมา ถึงกล้าทําแบบนี้ได้ คิดว่า
เขาคงต้องเดือดร้อนแน่แล้ว
“เจ้าขําอะไร?” จิ้งเหนิงถาม
หยางหนิงพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าคิดว่าวัดต้ากวง
หมิงเป็นวัดอันดับหนึ่งในใต้หล้า อํานาจบารมีไม่ต้อง
พูดถึง ตอนนี้ดูๆ ไปแล้ว นอกจากความรุ่งเรืองของ
สิ่งก่อสร้างแล้ว อย่างอื่นก็เน่าเฟะไปหมด”
จิ้งเหนิงหน้าเปลี่ยนสี แล้วตะคอกว่า “เจ้าว่าอะไร
นะ?”
เจินปี้พูดอยู่ข้างๆ ว่า “อาจารย์ลุง ท่านได้ยินที่เขา
พูดหรือไม่ คนผู้นี้มันบ้า จะให้เขามาทําลายชื่อเสียง
ของวัดต้ากวงหมิงไม่ได้นะ...!”
“เจ้าไม่ต้องพูด” จิ้งเหนิงจ้องไปที่เจินปี้
หยางหนิงชี้ไปที่เจินปี้แล้วพูดว่า “คนผู้นี้ของหออู๋กู่
วางอํานาจบาตรใหญ่ ยังมีอีกหลายคนที่อยู่ด้านในก็
เป็นเช่นกัน รังแกคนอ่อนแอกว่า ตอนแรกข้าคิดว่า
หลวงจีนอาวุโสอย่างท่านจะให้ความเป็นธรรมได้
แต่ดูๆ ไปแล้ว ก็ไม่ไหว ทั้งบนทั้งล่างไม่ต่างกันเลย
ข้าไม่รู้เลยว่าวัดต้ากวงหมิงมีสิทธิอะไรบอกว่าตัวเอง
เป็นวัดอันดับหนึ่งในใต้หล้า”
เมื่อคําพูดแบบนี้ออกมา ทุกคนต่างหน้าถอดสี หลวง
จีนน้อยเจินหมิงแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหนิง มันไม่ใช่
อย่างนั้น...!”
“ศิษย์พี่หลวงจีนน้อย เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ คน
ของหออู๋กู่ เห็นเจ้าอายุน้อย จึงตั้งใจจะรังแกเจ้า
เจ้าไม่เห็นหรือว่าพวกเขาตักข้าวให้คนอื่นเท่าไหร่?”
หยางหนิงพูดต่อว่า “เมื่อครู่พวกเจ้าก็เห็น มีบางคน
ยังเดินเข้าไปในหออู๋กู่ได้โดยไม่ต้องเข้าแถว แถมยัง
เอาถังไม้มาตักข้าวได้ด้วย ไม่ต้องพูดถึงว่าอาหาร
ของพวกเขาดีกว่าแค่ไหน แค่ที่เขาไม่ต้องเข้าแถว
เดินเข้าออกหออู๋กู่ได้ ไม่ทราบว่าความเท่าเทียมของ
วัดต้ากวงหมิงเป็นแบบนี้น่ะหรือ?”
หลายคนที่ได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะเยาะเย้ย
ศิษย์พี่เจินปี้เองก็พูดว่า “เจ้าหมายถึงศิษย์พี่ของ
ตําหนักคงหมิงน่ะหรือ?”
“ข้าไม่สนใจว่าพวกเขาจะเป็นใคร ในเมื่อพูดถึงเรื่อง
ความเท่าเทียม ก็น่าจะเริ่มจากวัดต้ากวงหมิง”
หยางหนิพูดว่า “แม้แต่ตัวเองยังทําไม่ได้ จะมาพูด
เรื่องความเท่าเทียมของคนเราต่อคนนอกได้
อย่างไร?”
“เจ้าเข้าวัดมากี่วัน มีสิทธิอะไรมาพูดหลักศาสนา
รึ?” ศิษย์พี่เจินปี้พูดประชดว่า “เจ้ากําลังอิจฉาศิษย์
พี่ของตําหนักคงหมิงใช่หรือไม่? เหอะ เหอะ เจ้าจะ
ไปสู้อะไรกับพวกเขาได้เล่า? ในสายตาของพวกเขา
เจ้าเทียบไม่ได้กับนิ้วมือเขาด้วยซ้ํา”
หยางหนิงหัวเราะร่าออกมา “เป็นอย่างที่ข้าพูด
จริงๆ กฎของวัดต้ากวงหมิงเข้มงวดตามลําดับชั้น
จริงๆ ไม่มีความเท่าเทียมเลยแม้แต่น้อย เจ้าเองก็ยัง
คิดว่าตัวเองเทียบพวกเขาไม่ได้เลย แต่ข้าคิดว่าข้า
ไม่ได้ต่างอะไรจากพวกเขา” จากนั้นก็เหลือบมองไป
ที่ศิษย์พี่เจินปี้ “แม้แต่เจ้ายังดูถูกตัวเองแบบนี้ ไม่รู้
เลยจริงๆ ว่าเจ้ามีสิทธิอะไรวางอํานาจบาตรใหญ่ต่อ
หน้าผู้อื่น?”
จิ้งเหนิงมองหยางหนิง แล้วพูดถามว่า “เจ้าคิดว่า
วัดต้ากวงหมิงไม่มีความยุติธรรมหรือ?”
หยางหนิงพูดขึ้นว่า “การมีลําดับชั้นมันไม่ได้ผิด
อะไร แต่ว่าอย่ามาย้อมแมวขาย” หยางหนิงพูดอีก
ว่า “ในเมื่อในวัดยังแบ่งชนชั้น ก็ไม่เห็นต้องไป
เผยแพร่เรื่องของความเท่าเทียมกับคนนอก ข้าว
ชามเดียวยังทําให้เท่ากันไม่ได้เลย เรื่องอื่นๆ ก็ไม่
ต้องพูดถึง” เขาพูดอีกว่า “จริงสิ ท่านผู้อาวุโสจะให้
ข้าไปรับโทษที่หอศีลใช่หรือไม่? ต้องขออภัยจริงๆ
ข้าไม่ใช่คนของวัดต้ากวงหมิง ดังนั้นท่านไม่
จําเป็นต้องมาสั่งสอนข้า”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 127 แขกผู้มีเกียรติ
จิ้งเหนิงยังคงหน้านิ่งไม่ถอดสี หน้าตาของเขาดู
เหมือนคนที่พร้อมจะระเบิดอารมณ์ได้ตลอดเวลา
แต่กลับมีความอดทนมากพอที่จะฟังหยางหนิงพูด
จนจบ เมื่อหยางหนิงพูดจบ จิ้งเหนิงก็พูดขึ้นว่า
“เจ้าพูดจบแล้วใช่หรือไม่?”
หยางหนิงเองก็ไม่รู้ว่าอาการของตัวเองรักษา
หายขาดแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไปนานแล้ว
“เจ้าพูดผิดไปสองคา” จิ้งเหนิงพูดว่า “อย่างแรก
ใครก็ตามที่เข้ามาในวัดต้ากวงหมิง ไม่ว่าจะเป็นศิษย์
ของที่นี่หรือไม่ก็ตาม ก็ต้องทาตามกฎของวัดต้ากวง
หมิง ไม่ว่านอกเขานี้เจ้าจะยิ่งใหญ่มีเกียรติเพียงใด
เมื่อมาถึงที่วัดต้ากวงหมิงแห่งนี้ ก็ต้องละทิ้งฐานะที่
มีทั้งหมดไป” จากนั้นก็พูดว่า “อย่างที่สอง ตั้งแต่
ก่อตั้งวัดต้ากวงหมิงมา คนในวัดต้ากวงหมิงไม่เคยมี
ผู้ใดออกไปนอกวัด และไม่มีใครไปสั่งสอนเรื่องความ
เท่าเทียม เจ้าได้ยินชัดเจนหรือยัง?”
หยางหนิงตะลึงไป
“การเดินทางไปเผยแพร่ศาสนา เป็นเรื่องที่ทุกวัดใน
ใต้หล้าเขาทากัน แต่ว่าวัดต้ากวงหมิงไม่ใช่หนึ่งใน
นั้น” จิ้งเหนิงค่อยๆ พูด “เจ้าบอกว่าทุกคนมีความ
เท่าเทียมกัน ต่อให้สามารถสร้างความเท่าเทียมได้
แล้วมันจะมีประโยชน์อันใด? หลักการของวัดต้า
กวงหมิง ก็คือการทาจิตใจให้สงบ ไม่มีใครพูดถึง
เรื่องความเท่าเทียมอะไรทั้งนั้น ดังนั้นคาพูดของเจ้า
มันไม่ได้มีประโยชน์อันใดกับวัดต้ากวงหมิงเลย”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลย เขารู้แต่ว่าศาสนาเผยแพร่แต่
เรื่องของความเท่าเทียม เดิมคิดว่าวัดต้ากวงหมิง
เป็นหนึ่งใน ศาสนสถาน ก็น่าจะไม่ต่างกัน แต่ว่าจิ้ง
เหนิงกลับพูดมาแบบนี้ ทาให้เขาแปลกใจไม่น้อย
จิ้งเหนิงพูดอีกว่า “ศิษย์ของตาหนักคงหมิงมาเอา
ข้าว ไม่จาเป็นต้องเข้าแถว นี่ก็เป็นกฎของวัด หาก
เจ้าอยากจะเหมือนพวกเขา ก็เข้าตาหนักคงหมิงให้
ได้สิ เมื่อนั้น ทุกคนก็จะมีโอกาส แต่ว่าหากเจ้าไม่ได้
อยู่ในฐานะนั้น ก็ต้องเข้าแถวทาตามกฎเท่านั้น เจ้า
เข้าใจหรือไม่?”
ตอนแรกหยางหนิงคิดจะแก้ต่างด้วยเหตุผลของ
ความเท่าเทียม แต่คิดไม่ถึงว่าวัดต้ากวงหมิงจะไม่
แยแสเรื่องนี้แม้แต่น้อย ไม่พูดถึงความเท่าเทียม ทา
ให้เขาไม่รู้ว่าควรจะต้องตอบโต้กลับไปอย่างไร
“พาเขาไปที่หอศีล” จิ้งเหนิงก็ไม่ได้พูดมาก หันหลัง
แล้วเดินไป หลวงจีนสองคนเดินเข้ามา เพื่อจับ
ตัวหยางหนิง
หยางหนิงพลันเดือดพล่าน ไม่รอให้ใครเข้าใกล้ เขา
ถอยหลังสองก้าว แล้วพูดว่า “ใครกล้าแตะต้องตัว
ข้า?”
ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ลงมืออย่างรวดเร็ว
ซ้ายคนขวาคนจับไปที่ไหล่ของหยางหนิง ทั้งสองคน
นี้มาจากหอศีล วรยุทธ์ของพวกเขาไม่ธรรมดาเลย
เทียบกับคนของหออู๋กู่กับเจินปี้แล้วเหนือกว่ามาก
แต่ว่าจะให้เขาไปที่หอศีล เขาจะยอมได้อย่างไร
ทันใดนั้นเองเขาก็พลันยิ้มอย่างเย็นชา เขาไม่คิด
อะไรมาก เอี้ยวตัวหลบสองคนนั้น สาวท้าวเดินตรง
ไป
หลวงจีนสองคนนั้นได้แต่อ้าปากค้างพูดสิ่งใดไม่ออก
แต่ก็มีไหวพริบอยู่พอตัว พวกเขาพุ่งเข้าหาหยางห
นิงอีกครั้ง
หยางหนิงก้าวเท้าหนึ่งก้าว อีกก้าวตามไป จากนั้นก็
ไถลตัว นั่นก็คือท่าเท้าท่องคลื่น หลวงจีนทั้งสองพุ่ง
เข้าหาตัวของเขาอีกครั้ง ทั้งคู่สีหน้าเปลี่ยนไป
คนรอบๆ เห็นแค่หลวงจีนสองคนพุ่งเข้าใส่ซ้ายทีขวา
ที หยางหนิงเปลี่ยนเป็นเงาสายหนึ่งได้ใน
พริบตาเดียว ในระยะเวลาอันสั้นนี้จึงมองไม่ทันว่า
เขาใช้วิชาอะไร หลวงจีนน้อยเจินหมิงเห็นหยางหนิง
ลอยโฉบไปโฉบมาราวกับวิญญาณ หลวงจีนสองคน
นั้นก็ดูราวกับผีเสื้อที่บินรอบดอกไม้ น่าประหลาดใจ
ไม่น้อย
หลวงจีนทุกคนที่อยู่ในที่นั้น ต่างรู้ดีว่าหลวงจีนสอง
คนนั้นเป็นศิษย์ของจิ้งเหนิง วรยุทธ์ย่อมไม่ธรรมดา
แต่ว่าตอนนี้ถึงทั้งคู่จะร่วมมือกัน แม้แต่เสื้อผ้าของห
ยางหนิงก็ยังไม่สามารถคว้าเอาไว้ได้เลย ต่างก็พากัน
งงงันไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ศิษย์ของหออู๋กู่
กับเจินปี้ล้วนสะดุ้งตกใจไปตามๆ กัน ตอนแรกคิด
ว่าเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาที่ขึ้นเขามาเท่านั้น ไม่
คิดเลยว่าวรยุทธ์ของเขาจะยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้
พวกเขาต้องไม่รู้อยู่แล้ว หากพูดถึงวรยุทธ์ หยาง
หนิงยังถือว่าไม่เก่งกาจเท่าไหร่นัก แต่ว่าท่าเท้าท่อง
คลื่น หยางหนิงฝึกจนชานาญ หากจะใช้วิชานี้ มันก็
ไม่แข็งทื่ออีกต่อไปแล้ว ถึงแม้จะยังไม่พลิ้วไหว แต่
การก้าวเท้าก็ถือว่าคล่องตัวไม่น้อย
เขาเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว แถมพื้นฐานก็ไม่ได้แย่
แรกๆ เวลาก้าวเดินยังมีความกังวลอยู่บ้าง แต่
ตอนนี้สามารถมองสถานการณ์รอบข้างได้แล้ว
ท่าเท้าท่องคลื่นพวกเขาไม่เคยเห็น หลวงจีนทั้งสอง
จะจับหยางหนิงตั้งหลายครั้ง แต่ว่าก็มีแต่เกือบได้
เพราะหยางหนิงหลบได้ตลอด
ทันใดนั้นก็ได้ยินเหมือนเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น
รู้สึกเหมือนมีลมวูบหนึ่งผ่านตัวไป หยางหนิงสัมผัส
ได้ถึงคลื่นลมนั้น มันทาให้คนรู้สึกหายใจไม่ออก เขา
ก้าวเท้าช้าลง เห็นเงาดาลอยผ่านศีรษะของเขาไป
ถึงแม้หยางหนิงจะตกใจ แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนก เขา
เดินไปทางซ้ายทีขวาที เมื่อเดินไปก้าวหนึ่ง เขาเห็น
เงาดานั้นอยู่ทางด้านซ้ายของตัวเอง
อีกฝ่ายมีความเร็วสูงมาก มากกว่าเขาด้วยซ้า หยาง
หนิงตกใจ เขารู้สึกว่าไหล่ของเขาเหมือนถูกซัด แรง
ระลอกหนึ่งผลักมาที่ไหล่เขา ทาให้เขาล้มลงกับพื้น
ไปในทันที
เขารู้สึกเหมือนแน่นหน้าอก เลือดลมไหลเวียนเริ่มมี
ปัญหา เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นจิ้งเหนิงพุ่งเข้ามา
รวดเร็วราวกับเมฆ ลงมายืนอยู่ตรงหน้าเขา ใช้
สายตาแปลกประหลาดมองมาที่เขา
“เมื่อครู่เจ้าใช้วิชาอะไร?” จิ้งเหนิงขมวดคิ้วแล้วถาม
หยางหนิงสูดหายใจเข้า เมื่ออาการที่หน้าอกลดลง
แล้ว ก็ค่อยๆ เงยหน้าแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ทาไม ข้า
เรียนวิชาอะไร เมื่อเข้ามายังวัดต้ากวงหมิงแล้ว ต้อง
สอนพวกเจ้าด้วยหรือ?”
จิ้งเหนิงตะลึงไป แล้วพูดเสียงเข้มว่า “เอาตัวไป”
หลวงจีนสองคนเดินเข้ามา จับตัวหยางหนิงเอาไว้
หยางหนิงรู้สึกหงุดหงิดมาก แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “วร
ยุทธ์ของท่านผู้อาวุโสร้ายกาจมากจริงๆ ข้าเป็นเพียง
คนธรรมดาคนหนึ่ง ยังต้องรบกวนให้ท่านต้องลงมือ
เองอีก วัดต้ากวงหมิงสมแล้วที่ที่ได้เป็นวัดอันดับ
หนึ่งในใต้หล้า”
เขารู้สึกอคติกับจิ้งเหนิงไม่น้อย ในใจก็รู้ดีว่า ตัวเขา
เป็นจิ่นอีซื่อจื่อ หลวงจีนพวกนี้ต่อให้ไม่พอใจเขา ก็
ไม่กล้าทาอะไรเขาหรอก
จริงๆ ที่วัดต้ากวงหมิงยื่นมือเข้ามารักษาตัวเขา เขา
เองก็รู้สึกขอบคุณไม่น้อย แต่ว่าวันนี้เหตุการณ์ที่
หออู๋กู่ คนพวกนี้ไม่มีเมตตาเลยสักนิด แถมยังทา
เกินไปอีกด้วย ทาให้หยางหนิงรู้สึกแย่กับวัดต้ากวง
หมิงมากๆ
ในตอนนี้เอง ก็เหมือนได้ยินเสียงระฆังดังขึ้น มันดัง
มาจากทางยอดเขาเป่ยเกา มันเป็นเสียงที่ดูเร่งรีบ
และดังไม่หยุด
หยางหนิงรู้สึกแปลกใจมาก ตามที่หลวงจีนน้อยเจิน
หมิงพูด วัดต้ากวงหมิงมีการตีระฆังสี่ครั้งต่อวัน
ระฆังสามครั้งตีไปแล้ว ครั้งที่สี่จะเป็นเสียงระฆังสาม
แห่งดังพร้อมกัน จากนั้นก็ปิดไฟนอน แต่ตอนนี้เพิ่ง
ถึงเวลากินข้าวเย็น อาทิตย์ก็เพิ่งจะตกดินไป ฟ้าก็ยัง
ไม่ทันจะมืดมากนัก ทาไมถึงได้ให้คนเข้านอนตอนนี้
เล่า
เขาเห็นสีหน้าของจิ้งเหนิงเปลี่ยนไป แล้วพูดเสียง
เข้มว่า “ไปที่ตาหนักกวงหมิง” แล้วก็ไม่ได้สนใจห
ยางหนิงอีก เขาหันตัวเดินออกไปทันที หลวงจีนสอง
คนสีหน้าเคร่งขรึมปล่อยตัวหยางหนิงไป แล้วรีบเดิน
ตามจิ้งเหนิงไป
ตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่จิ้งเหนิง หลวงจีนทุกคนต่าง
ตามหลังจิ้งเหนิงไปที่ยอดเขาเป่ยเกา
หลวงจีนน้อยเจินหมิงเดินเข้ามาหาเขา แล้วถามว่า
“ศิษย์น้องหนิง เจ้าไม่เป็นอะไรมากใช่หรือไม่?”
ถึงแม้หยางหนิงจะถูกจิ้งเหนิงซัดฝ่ามือเข้าใส่ ถึงแม้
จะมีอาการแน่นหน้าอก แต่ตอนนี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว
เขาอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่หลวงจีนน้อย เกิด
อะไรขึ้น?” เห็นหลวงจีนทุกคนมุ่งหน้าตรงไปยังยอด
เขาเป่ยเกา ก็ถามด้วยความแปลกใจว่า “พวกเขาไป
ไหนกันรึ?”
“เจ้าได้ยินเสียงระฆังใช่หรือไม่ มันเป็นสัญญาณ
เรียกรวมพล” หลวงจีนน้อยเจินหมิงอธิบายต่อว่า
“ทุกคนกาลังไปที่ตาหนักกวงหมิง นอกจากจะมี
เรื่องใหญ่แล้ว ปีหนึ่งแทบจะได้ยินเสียงระฆังแบบนี้
น้อยมาก” หลวงจีนน้อยขมวดคิ้วแล้วกล่าวต่อไปว่า
“คิดว่าน่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ดังนั้นก็เลยเรียกทุก
คนไป ศิษย์น้องหนิง พวกเรารีบไปกันเถอะ อย่า
เสียเวลาอีกเลย”
หยางหนิงเห็นทุกคนไม่สนใจเรื่องที่หออู๋กู่แล้ว ในใจ
ก็รู้สึกไม่เข้าใจอะไรเลย เห็นหลวงจีนน้อยเองก็ตาม
พวกเขาไปด้วย ก็ลังเลไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตามไป
ทุกคนเดินเร็วมาก ขณะที่พวกเขาเดินผ่าน
สะพานลอย สะพานโยกเล็กน้อย แต่ทุกคนก็ยังนิ่ง
สงบ หยางหนิงรู้ว่าพวกเขาคงเดินจนเคยชินแล้ว
เดินไปได้พักใหญ่ ในที่สุดก็เดินมาถึงตาหนักกวงหมิง
ตาหนักกวงหมิงเป็นตาหนักใหญ่ของวัดต้ากวงหมิง
ใหญ่โตโอ่อ่า ภายในตาหนักสามารถบันจุคนได้
ประมาณสองสามร้อยคน หยางหนิงก็เดินตามหลัง
ของหลวงจีนน้อยเจินหมิง ภายในตาหนักใหญ่โตไม่
น้อย ตอนนี้มีคนอยู่ประมาณร้อยกว่าคน
ภายในตาหนักใต้องค์พระพุทธรูปมีเบาะที่นั่งสี
เหลืองวางอยู่ หยางหนิงลองนับดูแล้ว มีทั้งหมดสิบ
สามที่ นั่นก็หมายถึงสิบสามอรหันต์ของวัดต้า
กวงหมิง แอบคิดว่าวันนี้ที่หลวงจีนทุกคนมารวมตัว
กัน ที่นั่งเหล่านั้นก็คือที่นั่งของสิบสามอรหันต์ของ
วัดหรือ?
แต่ว่าตอนนี้บนที่นั่งทั้งสิบสามที่ตรงนั้นนอกจาก
จิ้งเหนิงที่นั่งอยู่ด้านหน้าทางซ้ายแล้ว ที่เหลือกลับ
ว่างเปล่า
เขารู้ว่าสิบในสิบสามอรหันต์เข้าวังไปเพราะฮ่องเต้
สวรรคต เหลืออยู่ที่วัดนั้นแค่ไม่กี่คน
นอกตาหนักก็มีหลวงจีนอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาใน
ตาหนักไม่ได้ ตอนนี้รวมๆแล้วน่าจะมีประมาณสี่ห้า
ร้อยคน แต่ทุกคนที่อยู่ทั้งด้านในและทั้งด้านนอก
ต่างยืนกันอย่างมีระเบียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ในตอนนี้เข็มตกเล่มเดียวก็ยังได้ยิน
ทันใดนั้นเองก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาด้านใน
ตาหนัก ด้านหลังมีหลวงจีนสี่รูปติดตามมา
หยางหนิงมองออกไป เห็นพวกเขามีสายคาดเอวสี
เหลือง เหมือนกับพวกคนที่ถือถังไม้ไปเอาข้าวเลย
เขารู้ว่าพวกนี้น่าจะเป็นหลวงจีนของตาหนักคงหมิง
ศิษย์ของตาหนักคงหมิงเหมือนจะมีสิทธิพิเศษมาก
ที่สุดในวัด พอดูออกตั้งแต่ตอนที่อยู่หออู๋กู่ เพราะ
พวกเขาดูหวาดเกรงศิษย์ของตาหนักคงหมิงมาก
คนที่อยู่ด้านหน้าสุดน่าจะมีอายุราวหกสิบปี บนตัว
ของเขาสวมชุดหลวงจีนสีม่วงอมเหลืองแบบ
เดียวกัน ในความทรงจาของหยางหนิงมันเป็นชุดที่
พิเศษกว่าชุดอื่น
หลวงจีนเฒ่ารูปนี้หนวดเคราผมเผ้าสีขาวโพลน
หน้าตาดูมีเมตตา ร่างกายผอมบอบบาง ถึงแม้จะดู
อายุมากแล้ว แต่การเดินยังคล่องแคล่วว่องไว เมื่อ
เข้ามาถึงด้านในตาหนัก หัวหน้าหอศีลอย่างจิ้งเหนิง
ก็ลุกขึ้นมา คานับแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่จิ้งคง”
หลวงจีนเฒ่าจิ้งคงยกมือรับการคานับ แล้วพูดว่า “มี
แขกมาเยือน ศิษย์พี่เจ้าอาวาสยังนั่งกรรมฐานอยู่
ออกมาไม่ได้ ศิษย์น้องคนอื่นก็ยังไม่กลับวัดมา วันนี้
จึงเป็นหน้าที่ข้ากับเจ้าที่ต้องรับแขก”
เสียงของเขาดูหนักแน่น อีกทั้งภายในตาหนักก็เงียบ
มาก ถึงแม้หยางหนิงจะยืนอยู่ไกลแต่ก็ได้ยินอย่าง
ชัดเจน แอบคิดในใจว่าที่แท้ก็มีคนมาไหว้พระที่วัด
แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว แขกที่มาที่วัดน่าจะไม่
ธรรมดา ไม่อย่างนั้นคงไม่ทาอะไรใหญ่โตขนาดนี้
จิ้งคงเดินไปนั่งที่เบาะ หยางหนิงเห็นเขานั่งไปที่
เบาะตรงกลางทางด้านซ้ายมือ ดูจากที่นั่งแล้ว ก็
น่าจะมีตาแหน่งไม่ธรรมดาเลย
“ขอเชิญแขกจากเกาะไป๋อวิ๋นแคว้นตงฉี” จิ้งคงพูด
เสียงดังฟังชัดกึกก้องไปทั่วตาหนัก
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 128 ชื่อเหมยและไป๋อวี่
หยางหนิงเห็นพอสิ้นเสียงของจิ้งคง มีหลวงจีนไม่
น้อยหน้าถอดสีไป แม้แต่หลวงจีนเจินหมิงเองก็สั่น
ไปทั้งตัวเช่นเดียวกัน เหมือนทุกคนรู้ว่าพวกเขาเป็น
ใคร
เกาะไป๋อวิ๋นเขาไม่เคยได้ยิน แต่ว่าแคว้นตงฉีเขาก็
พอรู้อยู่บ้าง
แคว้นตงฉีเป็นแคว้นเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างแค้วนเป่ย
ฮั่นกับแคว้นหนานฉู่ เป็นแคว้นเล็กและมีคนน้อย
แต่มีกองทัพเรือที่แข็งแกร่ง ได้ยินมาว่ารัชทายาท
ของแคว้นหนานฉู่เดินทางไปร่วมงานสถาปนารัช
ทายาทแห่งตงฉี ฮ่องเต้สวรรคต รัชทายาทตอนนี้ก็
ยังอยู่นอกราชอาณาจักร
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงนกบางชนิด มันบินเข้ามา
จากนอกตาหนัก สีสันสดใส รูปร่างคล้ายกับนกยูง
แต่ตัวเล็กกว่านกยูงอยู่มาก เมื่อเข้ามาในตาหนัก
แล้ว หลวงจีนทุกคนก็เงยหน้าขึ้นไปมอง นกตัวนั้น
บินวนอยู่ภายในตาหนัก แล้วก็บินไปที่เกาะที่คาน
ต้นหนึ่ง
จากนั้นก็มีหนึ่งคนเดินเข้ามาในตาหนัก สวมชุดขุน
นาง หลังจากนั้นไม่นานจึงมีผู้ติดตามมาอีกจานวน
หนึ่ง หยางหนิงเห็นสองคนในกลุ่มคนเหล่านั้นดู
สะดุดตาไม่น้อย
หนึ่งในนั้นสวมเสื้อสีขาวราวกับหิมะ ดูสะอาด
สะอ้านไม่สกปรกแม้แต่น้อย รูปร่างสูงโปร่ง อายุ
น่าจะไม่เกินสามสิบปี ผมยาวดาขลับใช้ปิ่นกลัดผม
เอาไว้ หน้าตาหล่อเหลา มือซ้ายของเขาถือกระบี่ สี
หน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ทาให้คนที่เห็นมีความรู้สึกอึด
อัด ราวกับว่าไม่ได้กินอาหารบนโลกมนุษย์
ข้างๆ กายมีหญิงนางหนึ่งมีใบหน้าที่งามได้รูปราว
กับเทพธิดา รูปร่างอ้อนแอ้นอรชร มีส่วนเว้าส่วน
โค้งชัดเจน แต่งองค์ทรงเครื่องได้สวยยวนตายิ่งนัก
ถึงแม้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว แต่ชุดที่แม่นางผู้นี้สวมนั้น
กลับเป็นชุดบางที่ใส่สบายๆ กันในฤดูร้อน กระโปรง
สีแดงแหวกกลาง ในขณะที่เดินกระโปรงก็จะพลิ้ว
ไหวเล็กน้อย สามารถมองเห็นขาที่เรียวงามและขาว
ราวกับหิมะได้รางๆ สีหน้าท่าทางเย็นชาจนทาให้
บรรยากาศเย็นยะเยือกขึ้นมาได้ ท่าทางการเดินยัง
สง่างามสวยหยาดเยิ้มชวนมองอีกด้วย
ชายสวมชุดขาวหน้าตาหล่อเหลา ส่วนหญิงที่สวมชุด
แดงก็งดงามราวกับเทพธิดาลงมาจากชั้นฟ้าก็ไม่ปาน
เมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกันมันจึงทาให้ผู้คนสะดุดตาไม่น้อย
หากสองคนนี้ปรากฏตัวขึ้น ก็ทาให้ดึงดูดสายตาคน
ทั้งโลกได้
หลวงจีนทั้งหลายเมื่อเห็นท่าทางที่ยวนตาของแม่
นางชุดแดงนั้น สีหน้าท่าทางกลับเปลี่ยนไปอย่างไม่
เป็นธรรมชาติ บางคนก้มหน้าไม่กล้ามอง บางคน
ถึงแม้จะมองไปด้านหน้า แต่หางตาก็ยังแอบชาเลือง
มองไปที่หญิงชุดแดงผู้นั้น
แม่นางผู้นี้สวยหยาดเยิ้มไม่มีที่ติ ไม่ว่าจะไปอยู่
ตรงไหนก็ทาให้คนน้าลายไหลทั้งนั้น อีกทั้ง
วัดต้ากวงหมิงเองก็ไม่ได้มีแขกที่เป็นผู้หญิงมานาน
จึงไม่แปลกที่เหล่าหลวงจีนจะมองนาง
ด้านหลังของพวกเขาสองคน เป็นชายฉกรรจ์อีกสี่
คน จากท่าทางการเดินของพวกเขา ดูก็รู้ว่าไม่
ธรรมดา
เมื่อเดินเข้ามาด้านในของตาหนักแล้ว เจ้าหน้าที่
ทางการคนที่เดินนาหน้าก็หยุดเดินทันที คานับ
ให้กับจิ้งคงและจิ้งเหนิงแล้วพูดว่า “ไต้ซือทั้งสอง ข้า
น้อยซูลั่วเจ้าหน้าที่กรมพิธีการ ได้พาศิษย์สองคน
ของเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋นของแคว้นตงฉีมาคารวะ
ขอรับ ทั้งสองท่านนี้ติดตามมากับคณะทูตที่มา
คานับศพขององค์ฮ่องเต้ ตั้งใจจะมาคารวะท่านทั้ง
สองที่นี่โดยเฉพาะ หวังว่าจะได้รับการชี้แนะจาก
ทางไต้ซือ รบกวนพวกท่านดูแลให้ด้วยขอรับ”
คาพูดของเขาดูเกรงใจและมีมารยาทต่อวัดต้า
กวงหมิงด้วย แถมยังพูดแทนตัวเองกับ “จิ้งคง” ว่า
ข้าน้อยอีกด้วย เป็นถึงเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการแต่
กลับมีท่าทีเช่นนี้ หยางหนิงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า วัดต้ากวงหมิงของแคว้น
หนานฉู่นั้นมีความสาคัญแค่ไหน
หญิงชุดแดงเดินเข้ามาสองก้าว ยิ้มหวาน แล้วพูด
อย่างอ่อนหวานว่า “ข้าน้อยมีนามว่าชื่อตันเหมย
ศิษย์ของเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋น คารวะไต้ซือทุก
ท่าน”
เดิมทีนางก็สวยหยาดเยิ้มจนไม่มีที่ติอยู่แล้ว น้าเสียง
ของนางยังใสราวกับน้า ยิ่งฟังก็ยิ่งชวนให้หลงใหล
เมื่อพูดออกมาแล้วอาจจะทาให้คนที่ได้ยินรู้สึก
ร่างกายอ่อนระทวย ราวกับวิญญาณออกจากร่าง
หยางหนิงเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหว ในใจก็คิด
ว่าชื่อของผู้หญิงคนนี้ตั้งได้เหมาะสมมาก เพราะมีคา
ว่า “เหมย” ที่แปลว่างดงาม อยู่ด้วย ซึ่งมันก็เป็น
เช่นนั้น
ถึงแม้เสียงของนางจะมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหล
เหมือนจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิด ไม่ได้แสร้งทา แต่ก็
เพราะอย่างนี้ มันยิ่งทาให้คนหวั่นไหวได้ง่าย
เสียงของชายชุดขาวไม่มีความรู้สึกใดๆ นิ่งราวกับ
ก้อนหิน “ไป๋อวี่เฮ่อจากตงไห่”
หยางหนิงได้ยินน้าเสียงของเขา คล้ายกับจ้าวอู๋ซังไม่
น้อย พูดสั้นๆ แต่ได้ใจความ แต่ว่าหากพูดถึงสง่า
ราศีแล้ว จ้าวอู๋ซังเทียบไป๋อวี่เฮ่อได้เลย
“ได้ยินมาว่าเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋นเป็นราชครูของ
แคว้นตงฉี แต่กลับอาศัยอยู่ที่เกาะไป๋อวิ๋นที่ตั้งอยู่ที่
ตงไห่ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและอิสระ ไม่ยุ่งกับเรื่อง
โลกภายนอก” น้าเสียงของใต้ซือจิ้งคงมีเมตตายิ่งนัก
“ถึงแม้อาตมาจะได้ยินชื่อเสียงของท่านเจ้าสานัก
เกาะไป๋อวิ๋นมานาน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พบกันสักครั้ง
วันนี้มีวาสนาได้พบกับศิษย์ของท่านเจ้าสานักเกาะ
ไปอวิ๋นถือว่าเป็นเกียรตินัก” จากนั้นก็ยกมือขึ้น
มาแล้วพูดว่า “เชิญนั่งก่อน”
เจ้าหน้าที่กรมพิธีการยกมือแล้วพูดกับไป๋อวี่เฮ่อว่า
“ทุกท่านเชิญนั่งขอรับ”
ไป๋อวี่เฮ่อยืนนิ่งราวกับท่อนไม้ ไม่พูดไม่จา ไม่ขยับ
ทาให้ซูลั่วรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ว่าแม่นาง
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วก็พูดว่า “ใต้เท้าซู ศิษย์พี่ข้าตอน
นอนก็เป็นแบบนี้ ท่านไม่ต้องเกรงใจเขาหรอก”
จากนั้นก็คุกเข่าลงไปที่เบาะนั่ง นางยืดตัวตรง
หน้าอกที่ชูชันอวบอิ่มของนางก็ยื่นออกมา
“ท่านทั้งสองเดินทางมาไกล ไม่ทราบว่าต้องการให้
พวกเราชี้แนะเรื่องอะไรหรือ?” ไต้ซือจิ้งเหนิงเห็น
ศิษย์จานวนไม่น้อยจ้องมาที่แม่นางชื่อตันเหมยไม่ละ
สายตา จึงรู้สึกอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก ศิษย์วัดกวง
หมิงต้องศึกษาพระธรรมอย่างเคร่งครัดอยู่ภายใต้กฎ
แต่ตอนนี้มีหลวงจีนหลายรูปกลับจ้องแม่นางชื่อตัน
เหมยไม่ละสายตา มันทาให้ชื่อเสียงและเกียรติของ
วัดต้ากวงหมิงเสียหายแน่นอน เขาจึงบังเกิด
ความรู้สึกที่อคติต่อแม่นางชื่อตันเหมยไม่น้อย
น้าเสียงจึงเปลี่ยนเป็นเย็นชามากขึ้น
แม่นางชื่อตันเหมยคลี่รอยยิ้มที่งดงามราวกับดอกไม้
แล้วพูดว่า “ครั้งนี้พวกเราได้รับคาสั่งจากอาจารย์
ให้ติดตามคณะทูตมายังที่นี่ มีสองเรื่องที่ต้องทา
เรื่องแรกคือการไปเข้าเคารพศพของฮ่องเต้ของพวก
ท่าน อีกเรื่องก็คือ บรรลุความปรารถนาเมื่อยี่สิบ
กว่าปีก่อนของอาจารย์” น้าเสียงที่อ่อนหวานของ
นางชวนให้ผู้คนหลงใหลไม่น้อย
ผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์ยิ่งนัก ผิวขาวเนียนอมชมพู
คุกเข่าอยู่ที่พื้น ขาเรียวขาวของนางโผล่ออกมาข้าง
นอกให้เห็นรางๆ สีขาวตัดสีแดง ทาให้ร่างกายของ
นางดูเร่าร้อนชวนมองไม่น้อย นางน่าจะมีอายุราว
ยี่สิบปี ใบหน้าก็งดงาม อีกทั้งยังมีเสน่ห์ที่หาได้ยาก
จากผู้หญิงทั่วไป
“อ๋อ?” ไต้ซือจิ้งคงคานับแล้วพูดว่า “ความ
ปรารถนาเมื่อยี่สิบปีก่อนรึ? ความปรารถนาของ
ท่านเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเกี่ยวข้องกับวัดต้ากวงหมิงของ
พวกเราด้วยหรือ?”
แม่นางที่ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “อายุของไต้ซือ
ก็น่าจะอยู่ในตอนที่ทางวัดเกิดเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อน
แน่นอน”
“แม่นางได้โปรดชี้แนะด้วย”
“เมื่อยี่สิบสามปีก่อน อาจารย์ออกเดินทางไกล
มาถึงที่วัดของพวกท่าน” แม่นางชื่อตันเหมยพูดว่า
“วัดต้ากวงหมิงเป็นวัดอันดับหนึ่งของแคว้น เป็นวัด
ของหลวง มียอดฝีมือมากมาย อาจารย์ท่านจึงนับ
ถือมาก จึงตั้งใจปลอมตัวมาคารวะเพื่อเป็นศิษย์
หวังว่าจะมีวาสนาสักครั้ง แต่กลับถูกพวกท่าน
ปฏิเสธ”
หลวงจีนทุกคนหน้าเปลี่ยนสีไป จิ้งเหนิงไต้ซือพูดว่า
“ท่านหมายความว่า เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ท่านเจ้าเกาะ
เคยมาที่นี่หยามเกียรติเราถึงที่นี่หรอ? มัน......มันจะ
เป็นไปได้ยังไง?”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “ตอนนั้นอาจารย์ใช้ชื่อว่าอู๋ต่ง ไม่
ทราบไต้ซือพอจะจาได้หรือไม่?”
“อู๋ต่ง?” ไต้ซือจิ้งคงนิ่งไป แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ไต้ซื
อจิ้งเหนิงรู้สึกอคติกับแม่นางที่ชื่อตันเหมยอยู่แล้ว
ตอนนี้เห็นนางท่าทางหยิ่งผยองก็รู้สึกต่อต้านหนัก
เข้าไปใหญ่ “หากท่านเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋นจะมา
เยือนวัดของพวกเรา เหตุใดถึงไม่มาอย่างเปิดเผย
เหตุใดต้องปลอมตัวเข้ามาด้วยเล่า? คนที่จะมาเป็น
ศิษย์ของวัดต้ากวงหมิง มีอยู่ไม่น้อย วัดต้าหวงหมิง
ของพวกเราหากจะต้องคัดเลือกศิษย์ก็ต้องทาตาม
กฎอย่างเข้มงวด ไม่ใช่ใครที่ไหนก็จะเข้าได้”
ไป๋อวี่เฮ่อยืนปิดตา ถือกระบี่ ไม่ขยับตัว ราวกับว่า
กาลังหลับใหลอยู่
หยางหนิงเหลือบมองไปด้านข้างของไป๋อวี่เฮ่อ เห็น
เขากอดกระบี่เอาไว้ ในใจก็คิดว่าเขาน่าจะเป็นพวก
มือกระบี่ เห็นท่าทางของเขาเย็นชา คิดว่าฝีมือน่าจะ
ไม่ธรรมดา
ตอนนี้เขาก็ได้รู้ว่า เจ้าสานักเกาะไป๋หวินเป็นถึง
ราชครูของแคว้นตงฉี
มองจากด้านหลังของแม่นางชื่อตันเหมย ก็พบว่า
รูปร่างของชื่อตันเหมยเหมือนกับผลน้าเต้า เอวบาง
ร่างน้อย แต่ก็มีเนื้อหนังในส่วนที่ควรมี เพราะว่านาง
คุกเข่าอยู่ ทาให้สะโพกของนางเหยียดตรง
กระโปรงของนางรัดก้นจนเห็นชัด
ทันใดนั้นเองไต้ซือจิ้งคงก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านบอกว่า
ตอนนั้นท่านเจ้าสานักเกาะใช้ชื่อปลอมว่า...อู๋ต้งอ
ย่างนั้นหรือ?”
“ดูเหมือนว่าท่านไต้ซือจะนึกออกแล้ว” ชื่อตันเหมย
พูด “ไต้ซือจาได้หรือไม่ว่าตอนนั้นพวกท่านปฏิเสธ
อาจารย์อย่าไร?”
ไต้ซือจิ้งคงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เท่าที่อาตมา
ทราบ ตอนนั้นท่านเจ้าสานักเกาะยังไม่ได้อาศัยอยู่ที่
เกาะไป๋อวิ๋น พวกท่านทั้งสองก็น่าจะยังไม่ได้ติดตาม
ท่านเจ้าสานัก”
“ถูกต้อง หลังจากที่อาจารย์ถูกพวกท่านปฏิเสธ ก็
กลับไปที่ตงฉี จากนั้นก็ไปอยู่ที่เกาะไป๋อวิ๋น” ชื่อตัน
เหมยพูดอีกว่า “ตอนนั้นอาจารย์ต้องการที่จะเป็น
ศิษย์ของที่นี่ ท่านรออยู่ที่ตีนเขาจื่อจินซานห้าวันห้า
คืนเต็มๆ ไม่มีอาหารสักเม็ดตกถึงท้อง แต่ว่าทางวัด
กลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย...”
ไต้ซือจิ้งเหนิงเหมือนจะนึกขึ้นมาได้ เขามองไปที่ไต้ซื
อจิ้งคงแล้วถามว่า “ศิษย์พี่ ที่พวกเขาพูดถึงใช่คนที่
...!”
ไต้ซือจิ้งคงพยักหน้าเบาๆ “ถูกต้อง เขาคนนั้น ที่แท้
ก็คือท่านเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋น”
“หึ ที่แท้เขาก็คือเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋น” ปฏิกิริยา
ของจิ้งเหนิงต่างจากจิ้งคงเป็นอันมาก เขามองไปที่
ชื่อตันเหมย แล้วพูดว่า “ตอนนั้นท่านเจ้าสานักเกาะ
ไป๋หวินปลอมตัวมา เขาต้องการจะเป็นศิษย์ของ
อาจารย์อาตมา...ตอนนั้นอาจารย์ของอาตมาเป็น
เจ้าอาวาสวัดต้ากวงหมิง เขาร้องขอให้อาจารย์
ถ่ายทอดวิชาคัมภีร์กวงหมิงเจินจิงให้กับเขาด้วย คิด
แล้วก็น่าแปลก” เขาพูดต่อว่า “คัมภีร์กวงหมิงเจิน
จิงเป็นวิชาล้าค่าของวัดต้ากวงหมิง มีเพียงคนที่เป็น
เจ้าอาวาสวัดเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกฝนวิชานี้ได้
แม้แต่พวกเราเองก็ไม่เคยเห็น คนนอกคนหนึ่งอยู่ๆ
ก็มาขอฝึกวิชาคัมภีร์กวงหมิงเจินจิงหรือว่าเขา
อยากจะเป็นเจ้าอาวาสวัดต้ากวงหมิงหรือ?”
ชื่อตันเหมยไม่โกรธและไม่หยาบคาย นางยิ้มแล้วพูด
ว่า “แต่ตอนนั้นอาจารย์เองก็ได้รับปากว่าขอแค่ทาง
วัดยินดีถ่ายทอดวิชาคัมภีร์กวงหมิงเจินจิงให้ จะทา
ให้วัดต้ากวงหมิงเป็นวัดอันดับหนึ่งในใต้หล้าให้ได้
พวกท่านไม่ได้รับเงื่อนไขนี้ จนถึงตอนนี้วัดต้า
กวงหมิงเองก็เป็นได้แค่เพียงศาสนสถานแห่งหนึ่ง
เท่านั้น”
หยางหนิงฟังจนถึงตรงนี้ ก็เข้าใจแล้วว่า ศิษย์ของ
เกาะไป๋อวิ๋นมาที่นี่ ไม่ได้มาดี น่าจะมาแก้แค้นเรื่อง
เมื่อยี่สิบปีก่อนแน่ๆ
ท่านเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋นตอนนี้มีฐานะเป็นถึง
ราชครูแคว้นตงฉี ไม่สะดวกออกหน้า จึงส่งลูกศิษย์
สองคนมาแทน
แต่ว่าในเมื่อวัดต้ากวงหมิงได้ชื่อว่าเป็นวัดอันดับหนึ่ง
ในใต้หล้า แถมยังเป็นวัดหลวงของราชวงศ์หนานฉู่
ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋นส่งศิษย์มา
เพื่อหยามเกียรติ นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่เห็น
ใครอยู่ในสายตาเลย
ไต้ซือจิ้งคงยังคงนิ่งอยู่ จากนั้นก็พูดว่า “ทางวัดไม่
เคยคิดเป็นใหญ่ ไม่เคยอยากจะเป็นวัดอันดับหนึ่งใน
ใต้หล้า อุดมการณ์ของท่านเจ้าสานักเกาะไป๋หวิ๋นกับ
ทางวัดต้ากวงหมิงนั้นต่างกัน เข้ากันไม่ได้ ตอนนี้คา
ร้องขอของอาจารย์ของท่านมันมากเกินไป ก็ไม่
แปลกที่จะถูกปฏิเสธ”
“อาจารย์รออยู่ที่ตีนเขาห้าวันห้าคืนเต็มๆ แต่ทางวัด
กลับไม่ได้ให้คาตอบ ดังนั้นอาจารย์จึงลงเขาไปทิ้ง
ข้อความไว้ที่ก้อนหินก้อนหนึ่ง” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้ว
พูดว่า “ไต้ซือยังจาได้หรือไม่ว่ามันเขียนว่าอะไร?”
ไต้ซือจิ้งคงนั่งแล้วพูดเรียบๆ ว่า “แล้วจะกลับมา”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง แล้วจะกลับมา
สุดท้ายก็กลับมา นี่คือความปรารถนาของอาจารย์
ที่พวกเรามาในวันนี้ก็มาเพราะความปรารถนาของ
อาจารย์”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 129 ตำหนักจิ้งซินเก๋อ
ไต้ซือพูดจิ้งคงว่า “แม่นางชื่อ ตอนที่ท่านเจ้าสํานัก
เกาะมาที่นี่ในตอนนั้น ไม่สามารถขึ้นเขาได้ นั่น
แสดงว่าไม่มีวาสนาต่อกัน ทุกท่านเองก็ไม่ควร
จะต้องใส่ใจกันเกินไป”
ไต้ซือจิ้งเหนิงกลับพูดว่า “แล้วจะอย่างไร พวกท่าน
คิดจะมาแก้แค้นให้อาจารย์หรือ? วรยุทธ์ท่านเจ้า
สํานักเกาะนั้นล้ําเลิศ อาตมาเคยได้ยินมาว่า ศิษย์ทั้ง
สามของท่านเจ้าสํานักเกาะเอง ถือว่าเป็นยอดฝีมือ
ที่สุดยอด แต่ว่าจะมาท้าทายหาเรื่องวัดต้ากวงหมิง
พวกเราเองก็คงจะยอมไม่ได้เช่นกัน”
“ไต้ซือโปรดวางใจ หากพวกเราจะมาท้าประลอง
พวกเราก็คงไม่ให้ไต้เท้าซูเป็นคนพาพวกเราขึ้นเขา
มา” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “วัดต้ากวงหมิงถึงแม้
จะมีการเวรยามเฝ้าแน่นหนาเพียงใด หากว่าพวกข้า
จะขึ้นเขาจริงๆ เกรงว่าคงจะมีไม่มีหลวงจีนคนไหน
ขวางพวกข้าได้ทั้งนั้น”
จิ้งเหนิงยังคิดที่จะพูดอีก แต่จิ้งคงกลับพูดขึ้นมาว่า
“ศิษย์น้องจิ้งเหนิง” เขาหันหน้าไปมอง เพื่อบอกให้
จิ้งเหนิงไม่ต้องพูดมาก
จิ้งเหนิงมีความเกรงกลัวจิ้งคงไม่น้อย ถึงแม้จะรู้สึก
โกรธม่น้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ตอนนี้ภายใน
ตําหนักได้จุดไฟแล้ว ภายใต้แสงเทียนมันทําให้ใน
ตําหนักดูหรูหรา สว่างไสว
“แม่นางชื่อบอกว่าจะมาบรรลุความปรารถนาของ
ท่านเจ้าสํานักเกาะ ไม่ทราบว่าความปรารถนาของ
ท่านเจ้าสํานักเกาะคืออะไรหรือ?” ไต้ซือจิ้งคงสีหน้า
และท่าทางยังคงสงบนิ่ง เขาพูดด้วยความอ่อนโยน
ว่า “หากว่าต้องการเยี่ยมชมบรรยากาศของ
วัดต้ากวงหมิง อาตมายินดีที่จะพาพวกท่านเยี่ยมชม
วัดด้วยตัวเอง”
ตอนนี้การใช้คําพูดของเขาเปลี่ยนไป ถึงแม้สีหน้า
และน้ําเสียงยังสงบนิ่งอยู่ แต่มันก็แสดงออกว่าจะให้
ใครมาก่อความวุ่นวายในวัดต้ากวงหมิงไม่ได้เด็ดขาด
ชื่อตันเหมยพูดว่า “วัดของพวกท่านมีตําหนักและ
หอมากมายเต็มไปหมด หากจะให้เยี่ยมชมทุกที่คง
ไม่สามารถเยี่ยมชมได้หมดทุกที่ในเวลาสั้นๆ พวกข้า
มาที่นี่ ไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น เพราะฉะนั้นพวก
ข้าคงไม่สามารถไปเยี่ยมชมจนหมดได้” นางยิ้มแล้ว
พูดว่า “ร่างกายไม่บริสุทธิ์ การรับรู้เป็นทุกข์ จิตไม่
สงบ ทําให้คนปฏิบัติธรรมมิได้” หากทางวัดจะ
กรุณา พวกเราหวังว่าพวกเราจะขอเยี่ยมชมเพียงแค่
ตําหนักจิ้งซินเก๋อที่เดียวเท่านั้นพอ"
นางท่องบทพระไตรปิฎก เป็นเรื่องที่เคร่งครัดมาก
แต่นางพูดออกมาได้อย่างอ่อนหวาน ทําให้คนรู้สึก
แปลกใจไม่น้อย แต่ว่านางพูดถึงตําหนักจิ้งซินเก๋อ
แสดงว่ามีนางคงจะมีความเข้าใจกับวัดนี้ไม่น้อย
จิ้งคงไต้ซือยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางชื่อสนใจเยี่ยม
ชมจิ้งซินเก๋ออย่างนั้นหรือ?”
“ขอให้ทางวัดอนุญาตด้วย” ชื่อตันเหมยิ้มแล้วพูดว่า
“ความปรารถนาของอาจารย์ ก็คือการได้ศึกษา
คัมภีร์กวงหมิงเจินจิงหรือไม่ก็ให้พวกเราเข้าไปอ่าน
คัมภีร์กวงหมิงเจินจิงในตําหนักจิ้งซินเก๋อสักสามวัน
คัมภีร์กวงหมิงเจินจิงทางวัดไม่เผยแพร่ให้ผู้อื่น หาก
บีบบังคับท่านมากเกินไป จะลําบากใจกันไปเปล่าๆ
ดังนั้นจึงยอมถอยสักก้าว ขอทางวัดยินดีให้เข้าไป
อ่านตําราในตําหนักจิ้งซินเก๋อสักสองสามวันด้วย”
“อย่าได้ฝัน” จิ้งเหนิงทนไม่ไหวพูดขึ้นมาว่า “อย่า
บอกนะว่าพวกเจ้าไม่รู้ ตําหนักจิ้งซินเก๋อถือเป็น
สถานที่ต้องห้ามของวัดต้ากวงหมิง ในนั้นมีตําราวร
ยุทธ์หายากมากมายเก็บเอาไว้ จะให้พวกเจ้าเข้าไป
ได้อย่างไร?”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์รู้ว่าหากมาขอ
ตรงๆ ทางวัดก็ไม่น่าจะไม่อนุญาต แต่ว่าความ
ปรารถนาของอาจารย์ พวกเราเองก็นิ่งดูดายไม่ได้”
นางหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “แคว้นของพวกท่าน
กับตงฉีของพวกเราเป็นมิตรที่ดีต่อกัน พวกเราก็ไม่
อยากทําลายความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น ดังนั้น
ครั้งนี้พวกเราต้องการเข้าไปในตําหนักจิ้งซินเก๋อ
พวกเราจะไม่มีการบุกรุกเข้าไปเด็ดขาด”
ไต้ซือจิ้งเหนิงพูดว่า “ต่อให้พวกเจ้าคิดจะบุกเข้าไป
คิดว่าพวกเจ้าก็น่าจะไม่มีปัญญา”
ชื่อตันเหมยเหลือบตาไปมอง ยิ้มบางๆ พูดว่า “ไต้ซื
อหมายความว่าพวกเราคนของเกาะไป๋อวิ๋นจากตง
ไฮ่ไม่มีความสามารถอย่างนั้นหรือ?” นางเหลือบไป
ที่ไป๋อวี่เฮ่อ ยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ ท่านได้ยินไหม?”
ไป๋อวี่เฮ่อยังคงหลับตา แต่พูดด้วยความนิ่งสงบว่า
“เราไปกันเถอะ”
แม้เขาจะพูดเพียงเพียงสั้นๆ แต่จิ้งคงเองก็ฉลาดมาก
พอ ในใจรู้ดีว่าเมื่อพวกเขาออกไปจากที่นี่ นั่น
หมายความว่าวัดต้ากวงหมิงกับเกาะไป๋อวิ๋นจากตง
ไห่ก็จะผิดใจกันแน่แล้ว
เขารู้ความร้ายกาจของเกาะไป๋อวิ๋น หากวันนี้ผิดใจ
กับพวกเขาแล้ว มันไม่เป็นผลดีต่อวัดต้ากวงหมิงเลย
“แม่นางชื่อ ในเมื่อท่านไม่อยากบีบบังคับในการเข้า
ไปยังตําหนักจิ้งซินเก๋อ แต่ว่าตําหนักจิ้งซินเก๋อเป็น
สถานที่ต้องห้ามของวัด อย่าว่าแต่ศิษย์ของเกาะ
ไป๋อวิ๋นจากตงไห่เลย แม้แต่อาตมาเองก็ไม่เคยได้เข้า
ไป” ไต้ซือจิ้งคงยังคงนิ่ง “แม่นางชื่อมีวิธีอะไร ที่
สามารถแก้ไขความลําบากใจของทั้งสองฝ่ายได้
หรือไม่?”
ชื่อตันเหมยคํานับแล้วพูดว่า “ชื่อเสียงของวัดต้ากวง
หมิง ดูไปแล้วก็ไม่ได้มีแค่ชื่อ ไต้ซือความคิดล้ําลึกนัก
ข้าน้อยนับถือ”
มีคนได้ยินดังนั้น ในใจก็แอบคิดว่า ท่าทางของนาง
ยั่วยวนขนาดนี้ ไม่รู้ว่านอนกับผู้ชายมาแล้วกี่คน
ตอนนี้ยังกล้าพูดจาแบบนี้อีก แต่ใบหน้าที่งดงามราว
กับหยก เรือนร่างที่งดงามบอบบางน่าทะนุถนอม
กลับยิ่งทําให้ใครๆ ก็ต้องหวั่นไหวได้ง่ายจริงๆ
“ตามที่ข้าน้อยทราบมา วรยุทธ์ของทางวัด มีอยู่
สามวิชาที่เป็นที่เลื่องลือ” ชื่อตันเหมยพูดว่า “วิชา
ค่ายกล วิชาหมัดมวย และเพลงกระบี่”
ไต้ซือจิ้งคงยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์ในพุทธศาสนา
บําเพ็ญเพียรเป็นหลัก ที่แม่นางชื่อพูดถึง เป็นวิชา
ฝึกความแข็งแรงของร่างกายเท่านั้น”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “วันนี้พวกข้าคนของเกาะ
ไป๋อวิ๋นตงไห่ จะขอคําชี้แนะวิชาทั้งสามอย่างของ
ทางวัด ชนะสองในสามถือว่าชนะ หากทางวัดชนะ
พวกเราจะไปจากที่นี่ทันที และต่อไป ศิษย์ของเกาะ
ไป๋อวิ๋นจะไม่มาเหยียบวัดต้ากวงหมิงเลยแม้แต่ก้าว
เดียว ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม ศิษย์ของวัดต้ากวงหมิงก็
จะไม่มีเรื่องกับทางวัดต้ากวงหมิง” นางยิ้ม “หาก
พวกเราชนะ ก็ขอให้ทางวัดเปิดทางให้พวกเราได้เข้า
ไปที่ตําหนักจิ้งซินเก๋อด้วย”
จิ้งเหนิงยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “หากพวกเราไม่รับปาก
เล่า พวกเจ้าจะหาเรื่องพวกเราหรืออย่างไร?”
รอยยิ้มที่เปี่ยมเสน่ห์ของชื่อตันเหมย ราวกับดอกไม้
ที่กําลังจะผลิบาน ทําให้ผู้คนหลงใหลได้ พูดว่า “
ไต้ซือท่านนี้ช่างแข็งแกร่งและซื่อตรงเสียจริง
ข้าน้อยรู้สึกกลัวเหลือเกิน” จากนั้นก็ยกมือตบไปที่
หน้าอกของตัวเองเบาๆ “แต่ว่าอาจารย์สอนพวกเรา
มาตั้งแต่เล็กว่า ไม่ว่าจะเจอเรื่องยากแค่ไหนก็ตาม ก็
ห้ามถอยเด็ดขาด พวกเราเป็นชาวยุทธ์ มีหลายอย่าง
ก็ต้องจัดการด้วยวิธีของชาวยุทธ์ เป็นความแค้น
หรือไม่ มันเป็นประเด็นที่ไม่เคยหายไปจากยุทธ์ภพ
เลย” สีหน้านางยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แต่ว่า
สายตาของนางนั้นมันคมคายเยือกเย็น “อาจารย์มี
บุญคุณต่อพวกเรา หากเรื่องแค่นี้ยังทําให้อาจารย์
ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีหน้ากลับไปที่เกาะ
ไป๋อวิ๋นอีก” น้ําเสียงของนางอ้อนวอน “ไต้ซือ ท่าน
ก็ยอมเถอะนะ อย่าให้พวกเราต้องลําบากใจมากเลย
อย่างน้อยก็ต้องให้พวกเรามีอะไรกลับไปรายงาน
อาจารย์บ้าง”
ถึงแม้คําพูดที่นางใช้จะเป็นการอ้อนวอน แต่มันก็
แฝงไปด้วยการข่มขู่
เจ้าหน้าที่กรมพิธีการที่ไม่ได้พูดอะไรมาตั้งนาน
สุดท้ายก็พูดว่า “ไต้ซือทั้งสอง คณะทูตของตงฉีมา
แคว้นของพวกเราในครั้งนี้ ก็เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ของ
ทั้งสองแคว้น ไต้ซือทั้งสองก็เห็นแก่ราชสํานัก ยอม
เถอะนะ”
จิ้งเหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่น้องหลายท่านเข้าวัง
ไป พวกเจ้าเลือกมาในเวลานี้ ช่างเลือกได้
เหมาะเจาะเสียจริง”
ชื่อตันเหมยรีบพูดว่า “ข้าน้อยได้ยินมาว่าทาง
วัดต้ากวงหมิงมียอดฝีมือมากมาย อย่าบอกนะว่าพอ
มีกลุ่มหนึ่งไม่อยู่แล้ว ก็ไม่มีใครสามารถรับหน้าแทน
วัดต้ากวงหมิงได้อีก? วัดต้ากวงหมิงเป็นวัดอันดับ
หนึ่งในใต้หล้า แค่ศิษย์เล็กๆสองคนของเกาะไป๋อวิ๋น
ทางวัดยังจะถอยอีกหรือ ทําให้ข้าน้อยนึกไม่ถึง
จริงๆ” นางยิ้มแล้วพูดว่า “หากเป็นอย่างนั้น พวก
เราคงประเมินพวกท่านสูงเกินไป วันนี้คงไม่ต้อง
ประลองอะไรกันอีกแล้ว รอให้คนในวัดอยู่กันครบ
ก่อน แล้วพวกเราค่อยมาใหม่”
จิ้งเหนิงหน้าดําคร่ําเครียด เขากํามือแน่นแล้วพูดว่า
“ได้ พวกเรามาประลองกัน...!” เขาตอบอย่าง
รวดเร็ว จิ้งคงคิดอยากจะห้าม แต่ก็ไม่ทันแล้ว
หยางหนิงดูอยู่ คิดในใจว่าปกติจิ้งเหนิงกลัวการ
ละเมิดกฎเกณฑ์มากที่สุด แต่กลับมีนิสัยใจร้อนแบบ
นี้ ชื่อตันเหมยแสดงชัดเจนว่าต้องการจี้จุด แต่ตา
เฒ่านั่นกับตกหลุมพรางซะอย่างนั้น
ชื่อตันเหมยไม่รอให้จิ้งคงไต้ซือพูด นางยิ้มแล้วพูดว่า
“ไต้ซือท่านนี้ตัดสินใจได้หรือ? ข้าน้อยขอให้ไต้ซือ
ท่านนี้ตัดสินใจจะดีกว่า” พูดจบก็มองไปที่จิ้งคง
ยางหนิงคิดในใจว่า แม่นางคนนี้ไม่ใช่คนที่มีแต่
หน้าอกแต่ไร้สมอง แต่กลับเจ้าเล่ห์ไม่น้อย นาง
เหมือนจะจับจุดจิ้งเหนิงได้ จึงพูดจี้เขา เมื่อจิ้งเหนิง
โกรธมากจนรับคําท้า ก็เหมือนได้ยื่นมีดออกไปแล้ว
เมื่อพูดออกมา ด้วยนิสัยของเขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจ
แต่กลับยังย้อนไปถามจิ้งคงอีก
หากว่าจิ้งคงไม่รับปาก จิ้งเหนิงก็จะเสียหน้าไม่น้อย
หลวงจีนอาวุโสของวัดต้ากวงหมิงก็จะผิดใจกัน ศัตรู
อยู่ตรงหน้า หากภายในไม่สามัคคี ก็จะเป็นผลร้าย
หากว่าจิ้งคงรับปาก มันก็จะเป็นไปตามแผนของ
ศิษย์เกาะไป๋อวิ๋น
หยางหนิงรู้สึกว่าพวกของชื่อตันเหมยมาที่นี่ พวก
เขาคงจะวางแผนเอาไว้แล้ว ในบรรดาสิบสามพระ
อรหันต์นั้น มีสิบคนไปวังหลวง เจ้าอาวาสเข้า
กรรมฐาน หยางหนิงไม่รู้ว่าการเข้ากรรมฐานนั้นมัน
หมายความว่าอย่างไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนมาก
เจ้าอาวาสไม่มีทางออกหน้าตอนนี้ได้ ไม่อย่างนั้น
วันนี้คงไม่ต้องให้ผู้อาวุโสสองคนนี้มารับแขกแทน
แน่นอน
ชื่อตันเหมยเลือกมาเวลานี้ ถือได้ว่าเลือกได้ดีไม่น้อย
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ แต่ทุกอย่างได้ถูกเตรียมการ
เอาไว้หมดแล้ว
นั่นก็แสดงว่า ชื่อตันเหมยมาในครั้งนี้ก็วางแผน
เอาไว้อย่างดีแล้ว มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า
ส่วนวัดต้ากวงหมิง ตอนนี้คาดว่าคงจะเกิดเรื่องที่ไม่
ดีเป็นแน่
จิ้งคงยังคงนิ่ง แล้วพูดว่า “คนออกบวชไม่คิดจะ
เอาชนะใคร แม่นางชื่อบอกว่าทางวัดต้ากวงหมิง
ของพวกเราอยากถอย มันก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ขอแค่
สามารถทําให้ทุกคนพอใจได้”
จิ้งเหนิงได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้ว สีหน้าดูไม่ได้ หลวง
จีนภายในตําหนักต่างหน้าถอดสี พวกเขาคิดว่าจิ้งคง
ยอมถอยไม่ยอมเดินหน้า ทําให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจ
มาก วัดต้ากวงหมิงเป็นวัดอันดับหนึ่งในใต้หล้า
ตอนนี้แค่ศิษย์ของเกาะไป๋อวิ๋นสองคนมาเยือน คน
นับร้อยในวัดต่างมารวมตัวกัน แต่กลับยอมได้อย่าง
ง่ายดาย มันเหมือนทําลายชื่อเสียงและบารมีของวัด
เป็นอันมาก ต่อไปก็จะทําให้คนอื่นดูถูก
“แต่ว่าวัดต้ากวงหมิงปกติทําแต่บุญ ในเมื่อศิษย์น้อง
จิ้งเหนิงรับปากพวกท่านแล้ว วัดต้ากวงหมิงเองก็ไม่
มีเหตุผลที่จะต้องยอมถอย” น้ําเสียงของจิ้งคงนิ่ง
“แม่นางชื่อ ท่านกับคนของท่านต้องการปะมือกับ
คนของวัดกวงหมิง หากทางวัดปฏิเสธ คงต้อนรับ
พวกท่านได้ไม่ทั่วถึง”
จิ้งเหนิงคลายคิ้ว แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่จิ้งคงพูดถูก ใน
เมื่อทางเกาะไป๋อวิ๋นมาถึงที่ วัดต้ากวงหมิงเองก็ไม่มี
เหตุผลที่จะต้องยอมถอย”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วก็ปรบมือพร้อมพูดว่า “สมแล้วที่
เป็นวัดอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่ทําให้คนผิดหวัง
จริงๆ” นางถามอีกว่า “ไต้ซือทั้งสอง หากชนะสอง
ในสาม พวกท่านก็ตกลงใช่หรือไม่?”
จิ้งเหนิงกับจิ้งคงมองหน้ากัน จิ้งคงพูดว่า “ในเมื่อ
ต้องบรรลุความปรารถนาของท่านเจ้าสํานักเกาะ
หากพวกท่านสามารถชนะสองในสามได้ ทางวัดก็
ยินดีที่จะให้เข้าไปที่ตําหนักจิ้งซินเก๋อ แต่ว่า...
ตําหนักจิ้งซินเก๋อเป็นสถานที่ต้องห้ามของวัด ต่อให้
พวกท่านชนะ ก็เข้าได้แค่คนเดียว ให้เวลาแค่สามวัน
หลังจากสามวันต้องลงเขาไปทันที”
ชื่อตันเหมยไม่ได้พูดอะไร ไป๋อวี่เฮ่อลืมตาขึ้นมา
พยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 130 ค่ายกลอู๋เซียง
จิ้งคงพูดว่า “ในเมื่อพวกท่านกาหนดการแข่งสาม
รอบ เสนอการประลองกับทางวัดต้ากวงหมิงของ
พวกเรา ในเมื่อพวกท่านเดินทางมาไกล ทางเราก็
ต้องทาตาม แต่ว่าถึงแม้ทางเกาะไป๋อวิ๋นกับ
วัดต้ากวงหมิงจะมีปัญหากันเล็กน้อยจากเรื่องเก่า
แต่ก็ไม่เคยมีความแค้นต่อกัน ดังนั้นสามรอบเท่านั้น
ต้องหยุดทันที พยายามอย่าทาให้ใครต้องบาดเจ็บ”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้ซือโปรดวางใจ พวก
เรามาที่นี่ แค่อยากประลอง ไม่ได้มาเพื่อสร้าง
ความแค้นต่อกัน”
ในใจของจิ้งคงก็มีคิดวิธีรับมือไว้แล้ว ในเมื่ออีกฝ่าย
เสนอเงื่อนไขอย่างชัดเจน ว่าต้องการประลองค่าย
กล เพลงหมัด และเพลงกระบี่
อายุของเขาก็เกินห้าสิบไปแล้ว ประสบการณ์มีอยู่ไม่
น้อย รู้อยู่แล้วว่าไป๋อวี่เฮ่อเพลงกระบี่คงจะไม่
ธรรมดา
วัดต้ากวงหมิงเองถึงแม้จะมียอดฝีมือทางกระบี่ แต่
มือกระบี่อันดับหนึ่งของวัดอย่างจิ้งถงกลับเข้าวังไป
แล้ว ไม่ได้อยู่ในวัด หากจิ้งถงอยู่ในวัด อาจจะ
สามารถรับมือกับไป๋อวี่เฮ่อได้ แต่ว่าตอนนี้ในวัด
เกรงว่าจะไม่มีใครรับมือไป๋อวี่เฮ่อได้
เพลงกระบี่ จาเป็นจะต้องพ่ายแพ้ก่อน
จิ้งคงรู้ดีว่าตาหนักจิ้งซินเก๋อเป็นสถานที่สาคัญของ
วัดต้ากวงหมิง ภายในมีการเก็บตารายุทธ์ไว้มากมาย
ถือว่าเป็นหัวใจสาคัญของวัดต้ากวงหมิง ปกติไม่
เพียงสั่งให้คนเฝ้าอย่างดี ยังมีกลไกตั้งไว้ภายในด้วย
หากให้คนนอกเข้าไป แล้วพบวิชาบางอย่างจากด้าน
ใน ก็เหมือนเอามีดมาแทงเข้าที่หัวใจ
หากคนที่มาวันนี้เป็นคนอื่น วัดต้ากวงหมิงไม่มีทาง
รับปากแน่นอน ในเมื่อชัยชนะอยู่ในมือ ก็ไม่มีทางให้
โอกาสเข้าใกล้ตาหนักจิ้งซินเก๋อแน่นอน
แต่ว่าคนที่มานั้นคือศิษย์ของเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋น
มันไม่เหมือนกัน
วัดต้ากวงหมิงไม่ใช่วัดธรรมดาทั่วไป แต่เป็นวัดหลวง
ของราชวงศ์ ตั้งแต่ก่อตั้งต้าฉู่มา ก็ถือว่ามีตาแหน่ง
และฐานะที่สูงส่งไม่น้อย
วัดต้ากวงหมิงไม่จาเป็นต้องอาศัยผู้ศรัทธาในการใช้
ชีวิต เพราะพวกเขาได้รับค่าใช้จ่ายตามศักดินาที่
ได้รับ เงินจากศักดินามันมากเพียงพอ และเหลือ
เก็บ
พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากในต้าฉู่ ชาวบ้าน
ศรัทธาในพุทธศาสนา พุทธศาสนามีความสาคัญต่อ
ชาวบ้านไม่น้อย ในฐานะวัดอันดับหนึ่ง วัดต้า
กวงหมิงก็ยึดถือเอาพุทธศาสนาเป็นหลัก ถึงแม้จะ
ไม่ได้ให้ศิษย์ออกไปเผยแพร่คาสอน แต่เพราะ
เป็นศาสนสถาน ดังนั้นจึงไม่มีผลอะไรนัก
ราชสานักต้าฉู่ดูแลวัดต้ากวงหมิงเป็นพิเศษ
วัดต้ากวงหมิงเองก็ถือเป็นหน้าเป็นตาของราชสานัก
หนานฉู่ หากบอกว่าราชสานักกุมอานาจบริหารไว้
วัดต้ากวงหมิงก็ถือได้ว่ากุมอานาจทางศาสนาไว้ ทั้ง
สองช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ปกป้องกันคนละอย่าง
หากเป็นวัดทั่วไป คงไม่มีความจาเป็นต้องมาสนใจ
เรื่องการเมืองของหนานฉู่ แต่ว่าวัดต้ากวงหมิงจะคิด
เช่นนั้นไม่ได้
จิ้งคงรู้ดีว่า หนานฉู่กับเป่ยฮั่นเป็นศัตรูกัน แคว้นตงฉี
ไม่เลือกข้าง แต่จากสถานการณ์ที่คับขันของทั้งสอง
แคว้น ตงฉีอยากจะไม่ข้องเกี่ยว ก็ทาได้ยาก ไม่
ว่าเป่ยฮั่นหรือหนานฉู่ ก็อยากจะได้ตงฉีมาเป็นพวก
ด้วยอยู่แล้ว
ครั้งนี้ตงฉีส่งคณะทูตเดินทางมาเคารพศพของฮ่องเต้
สาหรับต้าฉู่ ถือเป็นเรื่องที่ดี ราชสานักหนานฉู่ให้
ความสาคัญของคณะทูตตงฉีมาก มิเช่นนั้นคงไม่ส่ง
เจ้าหน้าที่กรมพิธีการพาชื่อตันเหมยกับพวกขึ้นเขา
มา
ชื่อตันเหมยเป็นศิษย์ของเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋น ส่วน
เจ้าสานักเกาะไปอวิ๋นเป็นราชครูของตงฉี
จิ้งคงรู้ว่า เจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋นรักอิสระ อยู่ไกลถึง
เกาะไป๋อวิ๋น ปกติไม่เคยถามเรื่องในราชสานักตงฉี
แต่ฐานะของเขานั้นอยู่เหนือคนอื่นมาก พูดอะไรคา
เดียวก็ส่งผลต่อราชสานักตงฉีได้ทันที
ในฐานะศิษย์ของเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋น วัดต้ากวง
หมิงต้องคานึงถึงต้าฉู่ไว้ก่อน แต่ก็จะประมาทไม่ได้
เหมือนกัน
หากผิดใจกับเกาะไป๋อวิ๋นเมื่อไหร่ ก็หมายถึงผิดใจ
กับตงฉีด้วย ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ก็จะ
มีผลกระทบครั้งใหญ่หลวงแน่นอน
ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอให้ประลองสามรอบ จิ้งคง
พิจารณาดูแล้ว รู้ว่าน่าจะปฏิเสธไม่ได้ ตอนนี้ใน
วัดต้ากวงหมิงเป็นเขาทีใหญ่ที่สุด จะรีรอไม่ได้ต้อง
เด็ดขาด
ในเมื่อจะให้อีกฝ่ายเข้าไปในตาหนักจิ้งซินเก๋อ แต่ก็
ปฏิเสธเงื่อนไขของพวกเขาไม่ได้ มีเพียงทางเดียว ก็
คือจะต้องชนะสองในสามให้ได้
เพลงกระบี่อย่างไรก็แพ้ ดังนั้นหากจะขัดขวางอีก
ฝ่ายเข้าตาหนักจิ้งซินเก๋อ ก็จะต้องเอาชนะให้ได้ใน
สองรอบ
จิ้งคงคิดดูแล้ว คิดว่าวัดต้ากวงหมิงเองก็ใช่ว่าจะไม่มี
โอกาส ถึงแม้จะแพ้ในเพลงกระบี่ แต่ว่าอีกสองรอบ
อาจจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้
ในตอนนี้เองจิ้งเหนิงก็ได้ลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “ได้ยิน
มาว่าท่านเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋นมีวรยุทธ์ล้าเลิศ ทุก
ท่านมาจากเกาะไป๋อวิ๋น วรยุทธ์คงไม่ธรรมดา
อาตมาอยากจะขอชี้แนะเพลงมวยเสียหน่อย ไม่
ทราบว่าท่านใดจะรับคาชี้แนะจากข้ารึ?”
จิ้งคงพูดขึ้นมาว่า “ศิษย์น้องจิ้งเหนิง เจ้าถอยไป
ก่อน” น้าเสียงของเขาเรียบง่าย แต่ทรงพลังอานาจ
ไม่อาจขัดขืนได้
จิ้งเหนิงอึ้งไป เขาเข้าใจทันที แล้วพูดว่า “ทราบ
แล้ว”
เขาอคติต่อศิษย์ของเกาะไป๋อวิ๋นอยู่แล้ว อยากจะสั่ง
สอนพวกเขาไม่น้อย แต่ว่าเขาก็เข้าใจ ในเมื่อเป็น
ศิษย์ของท่านเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น ก็ไม่น่าจะธรรมดา
ในบรรดาพระอรหันต์สิบสามรูป หากพูดถึงเรื่องวร
ยุทธ์ เจ้าอาวาสวัดต้ากวงหมิงถือว่าเป็นอันดับหนึ่ง
ของวัด พระอรหันต์อีกสิบสองรูปเทียบไม่ได้เลย
แม้แต่น้อย จิ้งเหนิงรู้ว่าวรยุทธ์ของเขาถือว่าธรรม
ส่วนวรยุทธ์ของจิ้งคง ถือว่าอยู่ในสามอันดับแรก
ในเมื่อกาหนดการประลองไว้แล้วที่สามรอบ ก็จะส่ง
คนไปมั่วๆ มิได้ จะต้องดูจากภาพรวม เพลงหมัด
มวย ก็ต้องให้วรยุทธ์อันดับหนึ่งในตอนนี้อย่างจิ้งคง
ลงมือ
ชื่อตันเหมยขยับตัวยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้ซือทั้งสองไม่
ต้องแย่งกัน พวกเราเป็นแขกที่เดินทางมาจากแดน
ไกล ในเมื่อพวกเราเป็นแขก จะประลองอย่างไรกับ
ใคร เพวกเราก็ควรเป็นคนเลือกเองจริงหรือไม่?”
จิ้งคงรู้ดีว่าชื่อตันเหมยเจ้าเล่ห์ เขายิ้มแล้วถามว่า
“แม่นางชื่อคิดจะทาอย่างไรเล่า?” เหลือทางหนีทีไล่
ไว้ แต่ไม่ได้ตอบอะไร
ชื่อตันเหมยพูดว่า “ทั้งสองฝ่ายใครจะออกมาสู้ ให้
แต่ละฝ่ายเลือกกันเอง แต่ว่าวันนี้ฝ่ายของพวกข้ามี
เพียงหกคน เพลงกระบี่ ศิษย์พี่ข้าจะเป็น
ผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว ส่วนค่ายกล สี่คนที่อยู่ด้านหลัง
ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนเพลงมวย ข้าจะ
รับผิดชอบเอง”
จิ้งคงพยักหน้าแล้วพูดว่า “แบบนี้ก็ดี แล้วแม่นางชื่อ
อยากจะประลองอะไรก่อนดี? ทางวัดพวกเราเน้น
การบาเพ็ญเพียรเป็นหลัก ไม่เน้นวรยุทธ์ แต่เพราะ
พวกท่านเดินทางมาไกล ก็คงต้องยอมทาตาม”
หยางหนิงกาลังคิดว่า วัดต้ากวงหมิงกับเกาะไป๋อวิ๋น
ผู้ใดจะชนะผู้ใดจะแพ้ มันไม่ได้สาคัญสาหรับเขาเลย
เขาไม่ได้รู้สึกดีกับวัดต้ากวงหมิงอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ได้
รู้สึกอะไรกับเกาะไป๋อวิ๋นด้วย ทั้งสองฝ่ายประลอง
ยุทธ์กัน ก็แค่ยืนดูละครดีๆ ฉากหนึ่งเท่านั้น
ชื่อตันเหมยพูดว่า “ข้าน้อยได้ยินมาว่าทางวัดมีค่าย
กลมากกว่าสิบอย่าง ค่ายกลปีศาจที่แข็งแกร่งมาก
ที่สุดใช้คนมากถึงสามสิบหกคน ศิษย์ของเกาะ
ไป๋อวิ๋นคงไม่บ้าใช้คนแค่สี่คนไปรับมือกับค่ายกล
ปีศาจแน่นอน” นางยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าค่ายกลอู๋
เซียงของพวกท่าน ได้ยินว่าใช้คนแค่สี่คนเท่านั้น ไม่
ทราบว่าพวกท่านมีความเห็นว่าอย่างไร”
“แม่นางชื่อเหมือนจะรู้เรื่องของวัดต้ากวงหมิงของ
พวกเราดีจริงๆ รู้จักค่ายกลอู๋เซียงด้วย” จิ้งคง
น้าเสียงเรียบง่าย ยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ค่ายกล
อู๋เซียง ใช้คนสี่คนในการตั้งค่าย”
ชื่อตันเหมยยกมือขึ้นมาแล้วชี้ไปที่ชายฉกรรจ์สี่คนที่
อยู่ด้านหลังให้เดินเข้ามา
“อาจารย์ได้คิดค้นค่ายกลซื่อจี๋ขึ้นมา จึงอยากจะ
ลองประลองกับค่ายกลของทางวัดดูสักที” ชื่อตัน
เหมยพูดว่า “ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่?”
จิ้งคงพูดว่า “ค่ายกลสี่คนปะทะค่ายกลสี่คน
สมเหตุสมผล ยุติธรรม อาตมาไม่มีเหตุผลที่ต้อง
ปฏิเสธ” จากนั้นก็พูดว่า “เจินสวี เจินจ้าว เจินฮุ้ย
เจินจี้ ตั้งค่ายกลอู๋เซียง”
หลังสิ้นเสียง ก็มีคนสี่คนลอยออกมาท่ามกลางผู้คน
หยางหนิงเห็นสี่คนนั้นชัดเจนพวกเขาผูกผ้าคาดเอว
สีเหลือง เป็นศิษย์ขงตาหนักคงหมิง
ศิษย์สี่คนนี้ต่างมีชื่อขึ้นต้นด้วยคาว่าเจิน ยืน
เผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าฟังให้ดี เอา
พอประมาณ ห้ามทาร้ายใครจนถึงแก่ชีวิต วันนี้ที่มา
เพื่อบรรลุความปรารถนาของท่านเจ้าสานักเกาะ
หากพวกเจ้าแพ้ หลังลงจากเขา ปลิดชีวิตตัวเองเสีย
พวกเราจะเอาศีรษะของพวกเจ้ากลับไปให้ท่านเจ้า
เกาะ”
ขณะที่นางพูด ยิ้มราวกับดอกไม้ที่กาลังแย้มบาน
เสียงอ่อนหวาน แต่ว่าคาพูดกลับทาให้คนตะลึงพรึง
เพริด
จิ้งคงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ขอคาชี้แนะด้วย” ศิษย์นาหน้าด้วยเจินทั้งสี่ มีคน
หนึ่งพูดด้วยเสียงเข้มๆ ว่า “ตั้งค่าย” จากนั้นก็เห็น
หลวงจีนทั้งสี่ได้ล้อมชายฉกรรจ์สี่คนเอาไว้แล้ว
ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ไม่มีใครพูดอะไร ต่างคนต่าง
เคลื่อนไหว ตั้งเป็นค่ายกลเล็กๆ ขึ้นมา
หยางหนิงไม่เคยเห็นค่ายกลชั้นสูงแบบนี้มาก่อน เขา
มองจากที่ไกลๆ ก็รู้สึกว่ามันแปลกใหม่ดี
เห็นทั้งสองฝ่ายตั้งค่ายกลจนนิ่งแล้ว แต่ยังไม่มีใคร
ลงมือทาอะไร มันแปลกมาก เขาไม่รู้ว่าการสู้แบบ
ค่ายกลไม่เหมือนกับการสู้ตัวต่อตัวอย่างไร หากทั้ง
สองฝ่ายต้องการชนะ จะต้องแก้ค่ายกลของอีกฝ่าย
ให้ได้ ต่อให้มีคนบาดเจ็บแต่ค่ายกลไม่แตก ก็ไม่อาจ
ชนะได้
ไม่ว่าจะเป็นวัดต้ากวงหมิงหรือว่าเกาะไป๋อวิ๋น ก็ถือ
เป็นพรรคอันดับต้นๆ ตอนนี้แสดงค่ายกลออกมา ก็
จะต้องไม่ใช้ค่ายกลธรรมดาได้ ค่ายกลจะต้องมี
กลไกบางอย่างซ่อนอยู่ หากประมาท ผลที่ตามมา
นั้นแทบไม่อยากคิด
หลวงจีนวัดต้ากวงหมิงสี่คนกับชายฉกรรจ์สี่คนแทบ
จะไม่ขยับ เพื่อสารวจค่ายกลของอีกฝ่าย จากนั้น
ค่อยคิดวิธีการแก้ค่ายกล คนนอกมองเห็นทั้งแปด
คนยืนตั้งมั่น แต่คนที่อยู่ภายในนั้นกลับกาลังมอง
สารวจจุดเด่นจุดด้อยของค่ายกล
ตอนนี้ภายในตาหนักกวงหมิง เงียบสงัด สายตาของ
ทุกคนจดจ้องไปที่แปดคนที่อยู่กลางตาหนัก
ตาหนักกวงหมิงกว้างใหญ่ไม่น้อย มันจึงง่ายต่อการ
ตั้งค่ายกลของทั้งแปดไม่น้อย
จากนั้นก็มีเสียงร้องคารามออกมา เห็นหลวงจีนทั้งสี่
ชิงลงมือ หลวงจีนทั้งสี่เหมือนจะไม่ได้แบ่งว่าใครลง
มือก่อนหลัง เหมือนจะลงมือแทบจะพร้อมกัน พวก
เขาร่วมมือกันอย่างสามัคคี
ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ก็เหมือนจะเคลื่อนไหวขึ้นมา
เหมือนกัน พริบตาเดียวพวกเขาก็ปะทะพัวพันกันไป
เงาของพวกเขาสลับกันไปมา
หยางหนิงเห็นหลวงจีนทั้งสี่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ส่วน
ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ก็เป็นฝ่ายตั้งรับ หากพูดถึงการ
ปะทะ หลวงจีนทั้งสี่นั้นลอยพลิ้วไหว ส่วนชาย
ฉกรรจ์ทั้งสี่เหมือนจะยืนอยู่นิ่งๆ ถึงแม้พวกเขาจะมี
การเคลื่อนไหว แต่รูปแบบค่ายกลของพวกเขามัน
คือรูปสี่เหลี่ยม รวดเร็วแต่ไม่สะเปะสะปะ ตอนแรก
ยังพอมองออกว่าใครคือหลวงจีนหรือใครคือฝ่าย
ชายฉกรรจ์ แต่หลังจากนั้นไม่นาน หยางหนิงเห็นแค่
เงาของคนสลับกันไปมา จนตาลาย ตอนนี้ไม่รู้แล้ว
ใครเป็นใคร
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 131 ต่อสู้ด้วยค่ายกล
หยางหนิงสู้กับหลวงจีนน้อยเจินหมิงที่เขาเทียนเป่า
ซานจนตัวเองต้องเสียหน้าไม่น้อย เดิมทีก็พอจะยา
เกรงวัดต้ากวงหมิงอยู่บ้าง แต่ว่าเมื่อหออู๋กู่ลงมือกับ
เขา ถูกหลวงจีนพวกนั้นแกล้งจนไม่มีชิ้นดี ความยา
เกรงที่เคยมีก็พลันหายไปหมด เขาคิดว่าวัด
ต้ากวงหมิงก็เท่านี้
แต่ว่าเมื่อหลวงจีนจากตาหนักคงหมิงออกมาตั้งค่าย
กลต่อสู้ เขาก็รู้ทันทีว่าเขาด่วนตัดสินเกินไป หยาง
หนิงดูไม่ทันเลยด้วยซ้าว่ามันเกิดอะไรขึ้น หลวงจีน
ตาหนักคงหมิงจะดูถูกพวกเขาไม่ได้เลย
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดศิษย์ของตาหนักคงหมิงถึง
ได้สิทธิพิเศษกว่าคนอื่น ไม่เพียงแต่สามารถเข้าออก
หออู๋กู่ได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องเข้าแถว อาหารยัง
ดีกว่าคนอื่นอีกด้วย จากวรยุทธ์ของหลวงจีนทั้งสี่คน
พวกเขาก็ร้ายกาจกว่าที่คนอื่นจะเทียบได้
หยางหนิงดูจนตาลายไปหมด หลวงจีนคนอื่นที่อยู่
ตรงนั้นก็ไม่ต่างกับหยางหนิง เห็นเงาโฉบไปโฉบมา
แต่ไม่เห็นว่าค่ายกลมีการขยับหรือเปลี่ยนแปลงไป
หยางหนิงเหลือบไปมองหลวงจีนน้อยเจินหมิง เห็น
เขาดูการประลองอย่างไม่ละสายตาเลย ในใจก็แอบ
คิดว่า “อย่าบอกนะหลวงจีนน้อยรูปนี้มองออก?”
แต่ว่าวรยุทธ์ของเขาก็ไม่เลวเลย อาจจะมองอะไร
ออกจริงๆ ก็ได้ เขาทนไม่ได้ที่จะกระซิบถามว่า
“ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? ใครได้เปรียบ
หรือ?”
จริงๆ ภายในตาหนักใหญ่ ก็มีหลวงจีนไม่น้อยที่หูตา
ไว
หลวงจีนน้อยเจินหมิงกดเสียงเบาลงแล้วพูดว่า
“พวกศิษย์พี่วรยุทธ์ล้าเลิศ พลิกแพลงไปมาได้อย่าง
ว่องไว อีกทั้งค่ายกลของเปลี่ยนไปอย่างเยี่ยมยอด
แต่ว่าศิษย์ของเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋นเองก็ตั้งรับได้
อย่างแข็งแกร่ง เหล่าศิษย์พี่ยังตีค่ายกลของพวกเขา
ไม่แตก...แต่ตอนนี้เท่าที่ดูเหล่าศิษย์พี่น่าจะได้เปรียบ
อยู่”
หยางหนิงคิดในใจว่าหลวงจีนน้อยนี่ดูออกจริงๆ
ด้วย
เขาเงยหน้ามองต่อ เห็นหลวงจีนจิ้งคงนั่งขัดสมาธินิ่ง
ไม่ขยับ ส่วนจิ้งเหนิงถึงแม้จะนั่งอยู่เหมือนกัน แต่ว่า
ร่างกายของเขาแกว่งไปแกว่งมา เหมือนมีความ
กังวลอยู่หลายส่วน ซึ่งไม่มีความนิ่งสงบอย่างจิ้งคง
เลย
ไป๋อวี่เฮ่อตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังคงนิ่งสงบ
เหมือนเดิม ชื่อตันเหมยขยับตัวเป็นระยะ ร่างกาย
ของนางช่างดูเราร้อนยิ่ง ทุกการเคลื่อนไหวของนาง
มันช่างเย้ายวนน่าหลงใหล
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง “อ๊า” ทุกคนในตาหนักต่าง
ตกใจ ทุกคนต่างหันไปมอง เห็นหลวงจีนรูปหนึ่งใน
บรรดาคนที่กาลังยืนดู มีคนหนึ่งโผล่ออกมาจากกลุ่ม
ยังดีที่เพื่อนรอบๆ ตัวเขามือไว ดึงเขาเอาไว้ก่อนที่
จะล้มลง แต่ไม่นานนักคนนั้นก็เป็นลมสลบไป
หยางหนิงแปลกใจ สีหน้าของจิ้งเหนิงเหมือนมีความ
โกรธเคืองปรากฏอยู่ แต่ไม่กล้าส่งเสียง แค่ยกมือ ให้
พยุงเขาออกไป
“เกิดอะไรขึ้น?” หยางหนิงรีบถามหลวงจีนน้อยเจิน
หมิง
เจินหมิงคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “อาตมาก็ไม่รู้ อาจ
จะ...อาจจะเป็นเพราะศิษย์พี่คนนั้นยังฝึกฝนได้ไม่
ลึกซึ้งพอ ดูการต่อสู้ค่ายกลไม่ได้...”
หยางหนิงคิดในใจว่าหลวงจีนน้อยนี่ยังจะมาอวดเก่ง
อีก ไม่รู้ก็ไม่รู้สิ เหตุใดต้องโยนไปให้ค่ายกลด้วย
คนสู้กัน คนดูเป็นลมเป็นแร้ง แต่ไปโทษค่ายกลได้
อย่างไรเล่า?
เขาเงยหน้ามองดูต่อ แต่จะว่าไปก็แปลก เห็นมีหลวง
จีนหลายคนก้มหน้าก้มตาไม่มองเลย สายตาไม่ได้อยู่
ที่การประลอง หยางหนิงรู้สึกตะลึง มองไปยังแปด
คนที่ตั้งค่ายกลสู้กัน เห็นทั้งแปดคนเหมือนกับเงา
ผลุบๆ โผล่ๆ หมุนเป็นเป็นวงกลมราวกับพายุหมุน
เขาจ้องไปที่ค่ายกล ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกเวียนหัว
ขึ้นมาแล้ว แค่แปดคนแต่สามารถทาให้เห็นภาพคน
มากกว่าร้อยคนได้ หยางหนิงก็พลันรู้สึกแข้งขาเริ่ม
ไร้เรี่ยวแรง เขารีบหันหน้าหนีทันที ในใจก็แอบคิด
ว่านี่มันช่างร้ายกาจมากจริงๆ แสดงว่าที่หลวงจีน
น้อยพูดมาก็ไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้า
ร่วม แต่ค่ายกลของทั้งสอง กลับส่งผลต่อคนดูได้
เขาไม่รู้เรื่องของค่ายกลเลย ตอนนี้ถึงได้รู้ว่ามันร้าย
กาจมากเพียงใด
คนดูแทบจะทนไม่ได้เวียนหัวตามๆ กันไป แอบคิด
ว่าแล้วคนที่ตั้งค่ายกลจะต้องร้ายกาจแค่ไหน เขา
รู้สึกนับถือศิษย์ในตาหนักคงหมิงขึ้นมาไม่น้อยเลย
เขาคิดว่าตัวเองชานาญวิชาการต่อสู้ สามารถรับมือ
กับศัตรูได้ อีกทั้งยังได้วิชาท่าเท้าท่องคลื่นมา บางที
ยังคิดอยู่เลยว่าหากใช้วิชาท่าเท้าท่องคลื่นบวกกับ
การต่อสู้ ตัวเองอาจจะเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งได้ ไป
ไหนมาไหนก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีก
แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ความสามารถของเขานั้น
มันเทียบไม่ได้เลยกับในโลกของความเป็นจริงที่เขา
เห็น
หากรับมือกับพวกคนธรรมดาทั่วไป สามถึงห้าคนไม่
น่าจะมีปัญหา แต่ว่าหากเจอยอดฝีมือจริงๆ มัน
เทียบกันไม่ได้เลย
ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายกาลังต่อสู้กันด้วยค่ายกล ตัวเขาก็
ดูไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะออกไป
สู้กับค่ายกลนี้เลยด้วยซ้า ดูท่าหากจะใช้ชีวิตอยู่ใน
โลกนี้ ต่อไปต้องตั้งใจฝึกวรยุทธ์จริงๆ จังๆ
ไม่อย่างนั้นจะไปปกป้องคนอื่นได้อย่างไร เพราะ
แม้แต่ตัวเองก็ยังปกป้องไม่ได้เลย
“แย่แล้ว...” ทันใดนั้นเองก็ได้ยินหลวงจีนน้อยร้อง
ขึ้นมา หยางหนิงรีบถามกลับไปว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงพูดเสียงเบาว่า “มีศิษย์พี่คน
หนึ่งถูกชก ค่ายกลอู๋เซียงเกือบแตก ยังดี...ยังดีที่
ศิษย์พี่คนนั้นน่าจะฝึกวิชาเราะคุ้มกายมา เลยไม่
บาดเจ็บ อันตรายจริงๆ...” สายตาของเขาเป็น
ประกาย แล้วพูดเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ตาหนักคงหมิง
ร้ายกาจจริงๆ ศิษย์พี่สี่คนนี้ต้องฝึกฝนค่ายกลนี้
มากกว่าพันครั้งแน่นอน ไม่อย่างนั้นไม่เข้าขากัน
ได้มากขนาดนี้”
หยางหนิงรู้ว่าหลวงจีนน้อยคนนี้อายุยังน้อย แต่ไม่
พูดจาเหลวไหล ในเมื่อเขาพูดแบบนี้ แสดงว่า
ตาหนักคงหมิงนั้นต้องร้ายกาจจริงๆ เขาพูดเสียง
เบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หลวงจีนน้อย เจ้าว่าใครจะชนะ?
สู้กันมานานมากแล้ว ทุกคนก็น่าจะเริ่มเหนื่อยกัน
แล้วจริงหรือไม่?”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงพูดเสียงเบาว่า “อาตมาไม่
กล้าตัดสินหรอก แต่ว่า...แต่ว่าหมัดเมื่อครู่ หากว่า
ศิษย์พี่บาดเจ็บ ค่ายกลอู๋เซียงก็อาจจะแพ้ได้ การ
พลิกแพลงไปมาของค่ายกลอู๋เซียง ค่ายกลซื่อจี๋
เทียบไม่ได้เลย” เขาจ้องไปที่การประลอง แล้วพูด
เสียงเบาว่า “ค่ายกลซื่อจี๋เน้นตั้งรับเพื่อรุก ไม่มีการ
พลิกแพลงเหมือนกับค่ายกลอู๋เซียง แต่เพราะตั้งมั่น
มันก็ยากที่จะมองเห็นช่องโหว่ ส่วนค่ายกลอู๋เซียง
เปลี่ยนแปลงไปมา เลยทาให้เห็นช่องโหว่มีมาก แต่
ว่าอาตมาว่า ช่องโหว่พวกนั้นมันทาให้อีกฝ่ายพลาด
ได้ง่าย”
“ศิษย์พี่หลวงจีนน้อยร้ายกาจมาก” หยางหนิงรู้สึก
นับถือหลวงจีนน้อยนี่มากเลยในตอนนี้ “จากที่เจ้า
ว่า ค่ายกลอู๋เซียงก็มีสิทธิชนะมากกว่าล่ะสิ”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงพูดว่า “อาตมารู้สึกว่า...”
เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้น หยางหนิงรีบ
หันกลับไปมอง เห็นมีเงาสี่เงากระจายตัวออกมา
ลอยล้มลงกับพื้น เห็นหลวงจีนของตาหนักคงหมิง
ยืนตัวตรง ส่วนชายฉกรรจ์อีกสี่คนก็ยืนตัวตรงแล้ว
เหมือนกัน ทั้งหมดยืนเหมือนตอนที่ยังไม่เริ่ม
ประลอง
หลวงจีนทั้งสี่ยื่นมือคานับ ก้มหน้าไม่พูดอะไร ชาย
ฉกรรจ์ทั้งสี่กลับมีสีหน้าโกรธเคืองเหมือนจะไม่ค่อย
พอใจ
เห็นแค่สีหน้า หยางหนิงก็รู้แล้วว่าใครชนะ
ร่างกายของทั้งแปดคนเต็มไปด้วยเหงื่อ เหงื่อไหล
ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ว่าการต่อสู้นี้มันน่าตื่นตาตื่นใจ
จริงๆ
จิ้งคงพูดขึ้นมาว่า “แม่นางชื่อ ค่ายกลซื่อจี๋
เปลี่ยนแปลงประหลาด อาตมานับถือ”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เสียชื่อที่เป็นวัดต้ากวง
หมิง รอบแรกค่ายกลพวกท่านเป็นฝ่ายชนะ
อาจารย์เองก็เดาเอาไว้แล้ว ค่ายกลของทางวัดมี
ประวัติยาวนานกว่าร้อยปี เยี่ยมยอดลึกลับ ไม่ใช่จะ
ทาลายมันได้ง่ายๆ” นางยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่า
ข้าน้อยจะไม่พูดไม่ได้ หากพวกท่านไม่ได้ฝึกวิชาคุ้ม
กายมา ค่ายกลซื่อจี๋ก็อาจจะไม่แพ้”
จิ้งเหนิงรีบพูดว่า “การฝึกวิชาคุ้มกาย ก็เป็นส่วน
หนึ่งของการฝึกค่ายกล มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แม่
นางชื่อเหตุใดต้องแก้ต่างด้วยเล่า?”
หยางหนิงเข้าใจขึ้นมาทันทีว่า การที่ค่ายกลอู๋เซียง
ชนะนั้น ไม่ได้มาจากพละกาลังที่แท้จริง แต่เพราะ
หลวงจีนทั้งสี่รูปนั้นฝึกวิชาคุ้มกายมาก่อน มิน่าเมื่อ
ครู่หลวงจีนน้อยเจินหมิงบอกว่าพวกเขาถูกโจมตี
แล้วแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ถึงแม้เขาจะดูไม่ชัดเลย
ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ว่ารู้ว่าชายฉกรรจ์สี่คนเห็นช่อง
โหว่การทาลายค่ายกล แต่ไม่อาจมีจังหวะในการลง
มือได้ ก็เลยแพ้ไป
ไม่สามารถทาลายค่ายกลได้ในทีเดียว เพราะวิชาคุ้ม
กาย มันก็เลยทาให้พวกเขาดูไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่
นัก
แต่จะบอกว่าค่ายกลอู๋เซียงชนะแบบไม่ยุติธรรม
ไม่ได้หรอก เพราะอย่างไรค่ายกลก็เกิดจากการ
เคลื่อนไหวของคน ไม่ว่าค่ายกลไหนก็มีเงื่อนไข
ด้วยกันทั้งนั้น ในเมื่อค่ายกลอู๋เซียงทั้งตั้งรับทั้งรุก
การฝึกวิชาคุ้มกายก่อน ก็เพื่อป้องกัน ไม่ได้ใช้เพื่อ
การโกง
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้ซือท่านเข้าใจผิดแล้ว
ชนะหรือแพ้เห็นชัดแล้ว ข้าน้อยจะแก้ตัวไปทาไม
กัน? ถูกต้อง รอบแรกพวกเราแพ้แล้ว”
จิ้งเหนิงถึงได้เบาใจ
เขารู้ดีว่า รอบประลองกระบี่คนที่ออกมาประลอง
นั้นคือไป๋อวี่เฮ่อ การใช้กระบี่ถือเป็นอาวุธร้ายแรง
คนที่ฝึกวิชากระบี่ในทางศาสนานั้นมีไม่มาก ในวัดก็
มีเพียงจิ้งถงเท่านั้นที่เป็นสุดยอดมือกระบี่อันดับ
หนึ่งของวัด แต่หากเทียบกับในใต้หล้าแล้ว ก็อาจจะ
ไม่ติดอันดับหนึ่งในสิบด้วยซ้า นี่ก็ถือเป็นจุดอ่อน
ของวัดต้ากวงหมิง หากวันนี้จิ้งถงอยู่ที่นี่ อาจจะพอ
สู้กับไป๋อวี่เห้อได้ แต่ถึงอย่างนั้น โอกาสชนะก็ห้าสิบ
ห้าสิบอยู่ดี
ตอนนี้จิ้งถงไม่อยู่ โอกาสที่จะชนะในรอบกระบี่ก็
น้อยลง
วันนี้การประลองทั้งสามรอบ วัดต้าหวงหมิงก็หวัง
เพียงว่าจะได้รับชัยในรอบของค่ายกลกับหมัดมวย
สาคัญที่สุดคือค่ายกล
หมัดมวยมีจิ้งคงออกสู้ มันเป็นของถนัดของเขาอยู่
แล้ว ถึงแม้ว่าชื่อตันเหมยจะเป็นหนึ่งในสามของ
ศิษย์ท่านเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋น แต่ก็ยังอายุน้อยอยู่
โอกาสที่จิ้งคงจะชนะน่าจะมีมากอยู่ หลวงจีนทุกคน
ในใจรู้อยู่แล้วว่าฝ่ายไหนจะชนะ
ตอนนี้ค่ายกลอู๋เซียงได้รับชัยชนะ ศิษย์เกาะ
ไป๋อวิ๋นคิดอยากจะเข้าไปในตาหนักจิ้งซินก็ยากมาก
แล้ว
ร่างกายของชื่อตันเหมยอ่อนราวกับอสรพิษ นางลุก
ขึ้นมา แล้วเดินออกมาด้านนอก หุ่นของนางดู
อย่างไรก็เร่าร้อน นางพูดว่า “ไต้ซือจิ้งคง การ
ประลองรอบที่สอง ข้าน้อยขอคาชี้แนะด้วย หวังว่า
ไต้ซือจะออมมือให้ ไม่ทาร้ายข้าน้อยนะเจ้าคะ” พูด
จบและก็คลี่ยิ้มออกมา
จิ้งคงค่อยๆ ลุกขึ้นมา ยิ้มแล้วพูดว่า “อามิตตาพุทธ
อาตมาชราภาพมากแล้ว อีกทั้งอาตมาไม่ได้ประลอง
กับใครมานานมากแล้ว ไม่เคยคิดจะต่อสู้กับใครด้วย
แต่ว่าวันนี้ศิษย์ของท่านเจ้าสานักเกาะให้เกียรติมา
เยือน อาตมาก็คงต้องใช้ร่างกายอันชราภาพของ
อาตมาประลองกับแม่นางชื่อแล้วล่ะ” จากนั้นก็
คานับเล็กน้อย แต่ว่าในวัดต่างรู้ดีว่า นี่เป็นมารยาท
ก่อนการประลองเท่านั้น
จิ้งคงยกมือคานับ จากนั้นก็ตั้งท่าพร้อมต่อสู้
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 132 มือมืด
หยางหนิงเห็นจิ้งคงดันตัวเองขึ้นมาจากเบาะที่นั่ง
เขาก็รู้ทันทีว่ากาลังภายในของเขานั้นไม่ธรรมดาเลย
วรยุทธ์ก็น่าจะใช่ย่อย
ชื่อตันเหมยยิ้ม หันตัวแล้วพุ่งตัวเข้าใส่จิ้งคงอย่างไม่
เกรงใจ มันรวดเร็วราวกับพายุหมุน เหมือนผีเสื้อที่
กาลังบินรอบดอกไม้
นางกางฝ่ามือออก นิ้วของนางเรียวและยาว ปลาย
เล็บสีแดง มันดึงดูดใจไม่น้อย
จิ้งคงเห็นชื่อตันเหมยซัดฝ่ามือออก ก็เอี้ยวตัวหลบ
แล้วซัดฝ่ามือกลับไป ท่าทางของเขารวดเร็วว่องไว
ท่าทีของเขาปกติธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ แต่ว่ามัน
เปี่ยมไปด้วยพลัง
ชื่อตันเหมยร่ายกายนุ่มนิ่ม จิ้งคงซัดฝ่ามืออีกครั้ง
ชื่อตันเหมยก็ไม่ได้หลบแต่ใช้กรงเล็บของนางโต้ตอบ
กลับไป โดยไขว้มือไปจับข้อมือของจิ้งคง
มือของจิ้งคงไขว้สลับไปมา ชื่อตันเหมยรู้สึกว่า
สถานการณ์แบบนี้มันเป็นอุปสรรคของนางไม่น้อย
จึงไม่กล้าเข้าใกล้ นางลอยตัวขึ้นแล้วอ้อมไปอีกข้าง
ของจิ้งคง แล้วใช้มือจับไปที่หัวไหล่ของเขา
การต่อสู้ค่ายกลก่อนหน้านี้ หยางหนิงเห็นไม่ชัดเจน
ครั้งนี้สู้กันแค่สองคน เขากลับเห็นและเข้าใจการ
ออกกระบวนท่าต่างได้อย่างชัดเจน
เขาไม่รู้ว่าวรยุทธ์ของชื่อตันเหมยเก่งมากน้อย
เพียงใด แต่ว่าดูจากราศีของจิ้งคง ทุกครั้งที่ลงมือ
มันหนักแน่นเหมือนภูเขาลูกใหญ่ รู้สึกได้ว่าโอกาส
ชนะของจิ้งคงนั้นมีมากกว่า
วัดต้ากวงหมิงไม่ได้มีแค่ชื่อแน่นอน เมื่อครู่หลวงจีน
จากตาหนักคงหมิงก็ได้พิสูจน์แล้ว เขารู้ว่าการที่จิ้ง
คงเสนอตัวสู้เอง แสดงว่าวรยุทธ์ต้องเหนือกว่าจิ้งเห
นิงแน่นอน
หลวงจีนอาวุโสผู้นี้ถึงแม้อายุจะมากแล้ว ผมและ
หนวดเคราล้วนขาวโพลน แต่เพราะเป็นเช่นนี้ วร
ยุทธ์ถึงได้ล้าลึก
เจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋นคนนั้นเองก็คงไม่ธรรมดา ศิษย์
ของเขากล้าขึ้นเขามาท้าประลอง แสดงว่าจะต้องไม่
ธรรมดาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าชื่อตันเหมยอายุยัง
น้อย ถึงแม้วรยุทธ์ของนางจะไม่ธรรมดา แต่หยางห
นิงรู้สึกว่ามันก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับจิ้งคง
ถึงแม้ตอนนี้วรยุทธ์ของหยางหนิงจะไม่ได้ดีสัก
เท่าไหร่ แต่ว่าเขาก็เข้าใจหลักการของวิชาหมัดมวย
ดี มันไม่ใช่วิชาที่ฝึกได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะวิชา
หมัดมวยของที่ไหนก็ตาม ก็ต้องสร้างพื้นฐานให้แน่น
ก่อนทั้งนั้น แล้วค่อยๆฝึกฝนไปทีละขั้น ยิ่งเป็นหลวง
จีนของวัดต้ากวงหมิง นั่งกรรมฐานฝึกวรยุทธ์ ร่าย
กายมีพื้นฐานที่ดีมากอยู่แล้ว
ถึงแม้กระบวนท่าของชื่อตันเหมยจะมีมาก แต่ว่า
หากพูดถึงพละกาลังแล้ว อย่างไรก็ยังห่างชั้นกับจิ้ง
คงอยู่มาก
ตอนนี้ทั้งคู่ประลองฝีมือกัน มันก็เหมือนได้พิสูจน์
เรื่องนี้แล้ว จิ้งคงยืนตั้งรับอยู่กับที่ มือทั้งสองข้าง
เคลื่อนไหวกระบวนท่าไม่หยุด ส่วนชื่อตันเหมยนั้น
กลับใช้การเคลื่อนไหวทุกรูปแบบ เหมือนผีเสื้อที่
โบยบินไปทั่ว ทุกครั้งที่นางจู่โจม จิ้งคงก็สามารถเอา
ตัวรอดได้อย่างง่ายดาย ต่อให้เรียนมาในคนละสาย
ดูก็รู้ว่าตอนนี้จิ้งคงได้เปรียบยิ่งกว่า
จิ้งเหนิงนั่งดูอยู่ที่เบาะ จ้องตาไม่กระพริบ ก่อนหน้า
นี้สีหน้าของเขายังแย่อยู่ แต่ในตอนนี้เหมือนจะ
ค่อยๆ ผ่อนคลายลงไปมาก เหมือนจะมีความดีใจ
เล็กๆ อยู่บ้าง
ทันใดนั้นเองชื่อตันเหมยเหมือนจะจู่โจมไวขึ้น
แรกเริ่มเดิมทีหยางหนิงยังเห็นตัวของชื่อตันเหมยอยู่
บ้าง แต่ว่าหลังจากนั้นไม่นาน ก็เห็นชื่อตันเหมยวิ่ง
วนเป็นเหมือนลูกไฟ ส่วนจิ้งคงก็เหมือนถูกลูกไฟ
ล้อมเอาไว้
หยางหนิงรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย
ตอนแรกคิดว่าอยากจะมองให้ดีๆ ใครจะคิดว่าการ
ต่อสู้แบบนี้บทจะเร็วก็เร็ว ดูไม่ทันเอาเสียเลย
วรยุทธ์ของชื่อตันเหมยเทียบจิ้งคงไม่ได้เลย แต่ว่า
ความเร็วของนางนั้นมันเยี่ยมมาก
ไป๋อวี่เฮ่อเหมือนจะไม่สนใจเลยว่าชื่อตันเหมยจะแพ้
หรือไม่ ยังคงปิดตาอยู่เหมือนเดิม
หยางหนิงเห็นเขาไม่ขยับตัว ในใจก็คิดว่าชายคนนี้
นิ่งสงบมาก แต่ว่าตอนนี้โอกาสที่จิ้งคงจะชนะนั้นมี
มาก แค่ชื่อตันเหมยแพ้ วัดต้ากวงหมิงก็ชนะต่อกัน
สองครั้ง การประลองครั้งที่สามนั้นก็ไม่มีความหมาย
วัดต้ากวงหมิงเองก็ไม่จาเป็นต้องส่งใครมาออกมา
ประลองอีก
ไป๋อวี่เฮ่อนั้นคิดอยากจะประลองกระบี่อยู่แล้ว แต่
ตอนนี้คิดว่าคงไม่สมหวังแล้ว
ขณะที่หยางหนิงกาลังคิดอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง
อะไรบางอย่าง เขารีบหันไปดู เห็นเงาของคนชุดแดง
ลอยตัวอยู่ จากนั้นก็ล้มลงที่พื้น เหล่าหลวงจีนต่าง
ตกใจ หลายคนร้องออกมาอย่างเสียอาการ
หยางหนิงคิดว่าหรือว่ารู้แพ้ชนะแล้วหรือ?
เห็นจิ้งคงยืนเฉยไม่ขยับ ร่างของชื่อตันเหมยอยู่ที่พื้น
ในใจก็คิดว่าชื่อตันเหมยแพ้ให้กับจิ้งคงแล้ว ว่าแต่
การสู้รอบนี้จบเพียงเท่านี้หรือ ชื่อตันเหมยอย่างไรก็
เป็นศิษย์ของเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋นนะ หากจะแพ้ก็
ควรจะสู้อีกสักหน่อยหรือไม่ ไม่คิดว่าจะจบเร็วขนาด
นี้
จิ้งเหนิงลุกขึ้นมาแล้ววตะโกนว่า “การประลองสาม
รอบ วัดต้ากวงหมิงของพวกเรา...!”
เขายังไม่ทันพูดจบ ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วลุกขึ้นมา ไม่
เหมือนกับคนที่บาดเจ็บเลย นางพูดว่า “ท่านไต้ซือ
ใจร้อนไปหรือไม่? ใครว่าข้าน้อยแพ้แล้ว?”
จิ้งเหนิงตะลึงไป นางฉีกเสื้อผ้าของตัวเองจนขาด
ตอนนี้เสื้อของชื่อตันเหมยขาดไปหมด ผิวขาวๆ ที่
หัวไหล่ของนางก็โผล่อออกมา
ผิวของนางขาวเนียนราวกับหยกหิมะ ดูนุ่มนวลราว
กับมีน้า ไม่เพียงแค่ไหล่ แม้แต่เนินอกก็โผล่ออกมา
ให้เห็น มันทาให้คนไม่อาจละสายตาไปได้เลย
มีหลวงจีนหลายคนถึงกับต้องเอามือมาปิดตา แต่ว่า
สายตาจริงๆ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ชื่อตันเหมย
หยางหนิงมองอยู่ แอบคิดในใจว่าแม่นางคนนี้
ทรวดทรงองเอวนั้นช่างชวนมองยิ่ง ไม่ว่าชายใดที่ได้
เห็นก็ต้องหวั่นไหวทั้งนั้น แต่ว่าจู่ๆ นางฉีกเสื้อตัวเอง
แบบนี้ น่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ชื่อตันเหมยพูดขึ้นมาว่า “เสื้อของข้าใช้เวลาอยู่นาน
กว่าจะทาเสร็จ ตอนนี้กลับขาดจนเป็นแบบนี้...!”
นางยื่นมือไปดึงเสื้อขึ้นมาคลุมไหล่ แต่อีกข้างหนึ่งก็
ขาดหลุดลุ่ย ปิดอย่างไรก็ไม่มิด
จิ้งคงพูดว่า “แม่นางชื่อสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
แล้วค่อยประลองต่อ อาตมารอได้”
“ไม่จาเป็น” ชื่อตันเหมยยิ้ม “ฝีมือของไต้ซือร้าย
กาจนัก ข้าน้อยคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ไม่ถึงสิบ
กระบวนท่า ข้าน้อยอาจจะแพ้ได้ ไม่ต้องเสียเวลาจะ
ดีกว่า” เสียงของนางนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่
พริบตาเดียว นางก็พุ่งเข้าใส่จิ้งคง
หยางหนิงแอบยิ้มในใจ ชื่อตันเหมยรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่
ต่อสู้ของจิ้งคง ดังนั้นจึงเลือกใช้วิธีนี้
การประลองแบบนี้ บางทีแพ้ชนะมันอยู่แค่เสี้ยว
วินาที จะต้องมีสมาธิให้มาก ชื่อตันเหมยฉีกเสื้อผ้า
ของตัวเองออก อย่าว่าแต่จะเห็นเสื้อชั้นในสีม่วงด้าน
ในของนางเลย แค่ไหล่ขาวๆ ของนาง คงไม่มีผู้ชาย
คนไหนไม่มอง
ที่นางทาแบบนี้ ก็เพื่อที่จะทาลายสมาธิของจิ้งคง
แต่ว่าหยางหนิงก็แอบคิดว่า หลวงจีนที่ยังบวชไม่
นานอย่างไรก็คงไม่อาจข่มใจจากการกระทาแบบนี้
ของชื่อตันเหมยได้ แต่ว่าจิ้งคง เป็นหลวงจีนที่บวช
มานานแล้ว อายุก็มากแล้ว จะหวั่นไหวไปได้อย่างไร
กัน
อย่าว่าแต่ชื่อตันเหมยชนะได้ยากเลย แต่ให้ชนะ
จริงๆ ก็คงไม่มีใครยอมรับได้
แต่ว่าศิษย์ของไป๋อวิ๋นมาที่นี่เพื่อเข้าไปยังตาหนักจิ้ง
ซินเก๋อ รอบแรกแพ้ไปแล้ว หากแพ้อีก ตามที่ตกลง
กันไว้ หลังจากนี้ แม้แต่ประตูตาหนักก็คงไม่ได้เห็น
เมื่อเป็นแบบนี้ วิธีการของชื่อตันเหมย ก็ถือว่าไม่
แปลกที่นางจะใช้
จากนั้นก็เห็นชื่อตันเหมยปะมือกับจิ้งคง ทั้งคู่เหมือน
ต้องการจะจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้ แต่ว่าก็ไม่มีใคร
ทาได้สาเร็จ หลังจากนั้น ก็เห็นทั้งคู่เปลี่ยนท่าทาง
การต่อสู้ พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วกว่าสิบกระบวน
ท่า
ก่อนหน้านี้จิ้งเหนิงยังมั่นใจมาก เห็นว่าอย่างไรชื่อ
ตันเหมยก็สู้จิ้งคงไม่ได้ แอบดีใจอยู่ไม่น้อย แต่ว่า
ในตอนนี้เขากลับพบว่า เมื่อชื่อตันเหมยลงมือจริงจัง
กลับไม่ธรรมดา ทาให้คนที่เห็นรู้สึกตะลึงไปไม่น้อย
คนที่อยู่ในตาหนักแล้วรู้ศาสตร์นี้มีไม่น้อย พวกเขา
เองต่างก็ตกใจ
แรกเริ่มเดิมทีที่ชื่อตันเหมยจู่โจม นางมีท่าทาง
อ่อนแอ กระบวนท่าก็ไม่ได้แข็งแรกมาก มันก็เป็นไป
ตามที่คิด แต่ว่านางในตอนนี้ การออกท่าทางแต่ละ
ท่ากลับน่าเหลือเชื่อ ถึงแม้จะบอกว่าพวกเขาทั้งคู่แค่
ประลองกัน แต่ชื่อตันเหมยกลับลงมืออย่างไร้ปราณี
ซึ่งเหมือนกับเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้
มีหลายคนเห็นว่า ชื่อตันเหมยไม่เพียงต้องการจับไป
ที่มือของจิ้งคง แต่กระบวนท่าของนางนั้นแปลกมาก
เพราะนางกาลังจะจับไปที่คอของจิ้งคง
จิ้งเหนิงกาหมัดไว้แน่น สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไป จิ้งคงลง
มืออย่างเที่ยงตรงแข็งแกร่ง ทุกกระบวนท่าที่ออกไป
มันเป็นการออกหมัดเพื่อเอาชนะ แต่ชื่อตันเหมย
โหดร้ายกว่านั้น กระบวนท่าของนางนั้นมันเอาถึง
ตาย ที่น่ากลัวที่สุดคือกระบวนท่าที่เปลี่ยนไปมาของ
นาง จิ้งเหนิงนั้นไม่เคยเห็นมาก่อน
วัดต้ากวงหมิงมีวรยุทธ์ลึกลับมากมาย จิ้งเหนิงอยู่ใน
วัดมาหลายปี วรยุทธ์เทียบไม่ได้กับจิ้งคง แต่นั่นก็
เป็นเพราะจิ้งเหนิงฝึกวิชาหลายแขนง เขาเป็นหนึ่ง
ในสิบสามอรหันต์ของวัด วรยุทธ์ที่เก็บสะสมในวัด
เขาสามารถเลือกฝึกได้ วิชาที่มีในวัด เป็นวิชาหา
ยากจากหลายศาสตร์ เพราะอย่างนี้ จิ้งเหนิงเองก็
เลยมีวรยุทธ์มากกว่าสิบวิชา
ไต้ซือจิ้งจื่อเป็นคนสนับสนุนจิ้งเหนิง แต่ว่าเพราะ
อย่างนี้ จิ้งเหนิงฝึกวิชามากเกินไป ทาให้เขาไม่
สามารถฝึกอย่างใดอย่างหนึ่งไปจนชานาญได้
แต่ว่าในตอนนี้ เขามองออกว่า วรยุทธ์ของชื่อตัน
เหมยถึงแม้จะห่างชั้นแต่มันแปลกและอันตราย ซึ่ง
มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน เขาคิดในใจว่าเขา
ดูถูกผู้หญิงคนนี้มากเกินไป ศิษย์ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น
ไม่ธรรมดาจริงๆ หากเปลี่ยนคู่ต่อสู้ของชื่อตันเหมย
มาเป็นตัวเขา ตัวเขาเองน่าจะมีอันตรายถึงชีวิตได้
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 133 อับจนหนทาง
การปะทะของสองคนตรงหน้าทาให้คนไม่อาจละ
สายตาได้ หยางหนิงรู้สึกชื่มชมอยู่ในใจ ตอนนี้ตัว
เขารู้ว่าก่อนหน้านี้เขาดูถูกชื่อตันเหมยเกินไป
ร่างกายบอบบางของนางที่สามารถออกกระบวนท่า
ได้ขนาดนี้ได้ แสดงว่าก่อนหน้านี้นางเพียงแค่
ต้องการหยั่งเชิงจิ้งคง
ทันใดนั้นเองจิ้งคงก็ร้องออกมา เห็นทั้งสองมือของ
เขาแกว่งไปแกว่งมา หยางหนิงตะลึงไปชั่วขณะ และ
ก็เห็นมือทั้งสองของจิ้งคงมีภาพหลอนปรากฎขึ้น
จากมือมีสองข้างก็เปลี่ยนเป็นสี่ข้าง ในช่วงเวลาสั้นๆ
ฝุามือของเขาก็กลายเป็นภาพลวงตานับพันมือ
จากนั้นก็ได้ยินเสียงตกใจมาจากฝูงชนว่า “ฝุามือ
เมตตาธรรม”
ชื่อตันเหมยร้องออกมาเบาๆ ร่างกายถอนร่นออกไป
ลอยตัวราวกับผีเสื้อ จิ้งคงที่ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับใน
ตอนแรก ตอนนี้ก็พุ่งถลาบุกเข้าไปอย่างสุดกาลัง ซัด
ทั้งหมัดและฝุามือใส่ชื่อตันเหมยอย่างต่อเนื่อง ฝุา
มือภาพลวงตานั่น เหมือนกับว่ามีมือนับพันซัดใส่ตัว
ของชื่อตันเหมย ชื่อตันเหมยถอยกรูดไปเรื่อยๆ
สีหน้าของหนางหนิงดูตื่นตาตื่นใจยิ่ง
จิ้งคงใช้หมัดท่าไม้ตาย ถึงแม้หยางหนิงจะไม่ได้
เข้าใจวิชาหมัดมวยเท่าไหร่ แต่ว่าฝือมือของจิ้งคงจู่
โจมได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก เขาแอบคิดในใจว่าหลวงจีน
เฒ่าคนนี้แสดงท่าทีซื่อๆ ที่แท้ก็เป็นเสือซ่อนเล็บ
นี่เอง สุดท้ายก็ออกอาวุธเด็ดในช่วงเวลาที่คับขัน
ตอนนี้คนที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมดเห็นชัดว่าจิ้งคงได้เปรียบ
ชื่อตันเหมยถูกจิ้งคงควบคุมสถานการณ์เอาไว้ นาง
ใช้วิชาตัวเบาในการหลบเลี่ยง ไม่มีโอกาสตอบโต้ได้
ทันใดนั้นเองก็เห็นว่าจิ้งคงจู่โจมช้าลง ถึงแม้เขาจะมี
พลังภายในแก่กล้า วรยุทธ์ล้าเลิศ ชื่อตันเหมยไม่มี
ทางเลือกจึงต้องหลบลูกเดียว ถึงแม้จิ้งคงจะไม่
สามารถแตะต้องชื่อตันเหมยได้ แต่พริบตาเดียว
ภาพหลอนฝุามือก็ค่อยๆหายไป จิ้งคงไม่เพียง
เคลื่อนไหวช้าลง แม้กระทั่งสีหน้าท่าทางของเขายัง
ดูไร้ความรู้สึกและจิตวิญญาณอีกด้วย
หลวงจีนภายในตาหนักต่างมองหน้ากัน ทุกคนรู้สึก
แปลกใจ จิ้งคงที่เดิมทีก็ได้เปรียบอยู่แล้ว ถึงแม้ชื่อ
ตันเหมยจะหลบ แต่ก็ถูกจิ้งคงกุมสถานการณ์เอาไว้
อยู่หมัด ใครๆ ก็ดูออก ขอแค่อดทนอีกนิด จิ้งคง
จะต้องชนะแน่นอน
แต่ใครจะคิดว่าจิ้งคงจะหยุดมือ แล้วให้ชื่อตันเหมย
ได้มีโอกาสได้หายใจ
มีคนแอบคิดว่าหรือว่าจิ้งคงอายุเยอะมากแล้ว ร่าย
กายไม่ไหวแล้ว? แต่ว่าในตัวของจิ้งคงมีพลังภายใน
แก่กล้ามาก ต่อให้อายุมากแล้ว แต่ว่าเขาก็น่าจะทน
ไหวนะ
ทันใดนั้นเองก็เห็นชื่อตันเหมยหันตัวมา ตอนที่นาง
หลบนางก็รวดเร็วเหมือนม้าตัวหนึ่งอยู่แล้ว ตอนนี้ก็
มาโผล่ตรงหน้าของจิ้งคง จิ้งคงฝืนซัดฝุามือออกไป
ชื่อตันเหมยกลับพุ่งเข้าใส่ฝุามือของเขา นางใช้
หน้าอกของนางยื่นออกไปรับ แล้วอาศัยจังหวะไถล
ตัวไปด้านล่างของจิ้งคง จากนั้นยื่นมือออกไปสกัด
จุดที่เอวของจิ้งคง
จิ้งคงตกใจมาก เขาถอยฉากไปหลายก้าว ไม่
สามารถยืนให้มั่นคงได้ จากนั้นก็กระอักเลือดออก
มาคาใหญ่ ขาทั้งสองข้างไร้เรี่ยวแรง แล้วล้มลงกับ
พื้นไป
ชื่อตันเหมยลุกขึ้นยืน จากนั้นก็จับเสื้อมาคลุมไหล่
ยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้ซือวรยุทธ์ล้าเลิศ ข้าน้อยเกือบจะ
เสียท่าแพ้เสียแล้ว ยังดีที่ไต้ซือมีเมตตา ออมมือให้
ข้า ทาให้ข้าน้อยชนะในรอบนี้”
จิ้งเหนิงลอยตัวออกมาพยุงจิ้งคงไว้ แล้วพูดว่า
“ศิษย์พี่จิ้งคง ท่าน...!”
จิ้งคงฝืนนั่งยิ้มแล้วถอนหายใจพูดว่า “แม่นางชื่อ
เป็นคนฉลาดนัก อาตมา...อาตมาแพ้แล้ว”
คนภายในตาหนัก ทุกคนต่างตกใจ ใครก็คิดไม่ถึงว่า
วรยุทธ์ของไต้ซือจิ้งคงที่เป็นรองแค่เจ้าอาวาสนั้น จะ
แพ้ให้กับผู้หญิงแบบนี้
จิ้งคงได้เปรียบมาตลอด ทุกคนไม่มีใครรู้ว่ามันเกิด
อะไรขึ้น
หยางหนิงขมวดคิ้ว เขากับคนอื่นก็เหมือนกัน เขา
ตกใจมาก แต่ว่าเมื่อคิดว่า การต่อสู้ของทั้งคู่จุดหัก
เหมันอยู่แค่เสี้ยววินาที จริงๆ ฝุามือคุณธรรมของจิ้ง
คงมันกาลังได้เปรียบชื่อตันเหมยอยู่แล้ว แต่ว่าจู่ๆ ก็
หยุด สาหรับยอดฝีมือแล้ว จิ้งคงไม่มีทางไม่รู้
ช่วงเวลาแพ้ชนะแบบนี้ แต่ว่าเหตุใดจู่ๆ เขาถึงหยุด
ล่ะ?
ท่าตอนที่ชื่อตันเหมยไถลไปนั้นช่างสวยงามมาก แต่
ว่ายังไม่ถือว่าชานาญพอ จากความสามารถของจิ้ง
คง ไม่มีทางให้ชื่อตันเหมยใช้ท่าทางแบบนี้เข้าใกล้ได้
แต่ถึงอย่างไรก็ถูกชื่อตันเหมยจู่โจมเข้าใส่ แต่ว่าใน
สายตาของทุกคน จิ้งคงนั้นยังไม่ทันตั้งตัว
“เจ้า...เจ้าโกง” จิ้งเหนิงตะคอก จากนั้นก็ยกมือ
ของจิ้งคงขึ้นมาข้างหนึ่ง “รอยบนมือของศิษย์พี่จิ้ง
คง เป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่?”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้ซือ ท่านพูดจาไม่มี
เหตุผลเอาเสียเลย ประลองยุทธ์ ถึงแม้พวกเราจะมี
การตกลงกันไว้ก่อนแล้ว ว่าจะไม่ทาร้ายเอาถึงชีวิต
กัน แต่ว่าจะให้ไม่มีแผลกันเลยหรือ? การประลอง
ยุทธ์ อย่าว่าแต่บาดเจ็บเล็กน้อยเลย ต่อให้เอ็นแขน
ขาขาด มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรืออย่างไร?”
จิ้งเหนิงพูดว่า “ศิษย์พี่จิ้งคงได้เปรียบมาตลอด แต่
ว่าจู่ๆ ก็ออกยุทธ์ไม่ถนัด เจ้าอย่าบอกนะว่าไม่
เกี่ยวกับเจ้า?”
“เกี่ยวกับข้าสิ” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ในการ
ประลอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันก็ต้องเกี่ยวกับคน
ที่กาลังประลองอยู่ไม่ใช่หรือ? ไต้ซือ รอบแรกพวก
เรายอมแพ้ไปแล้ว ไม่เอาความเรื่องที่พวกท่าน
วัดต้ากวงหมิงใช้วิชาคุ้มกาย ตอนนี้ข้าน้อยโชคดี
ชนะมาได้ ท่านกลับจะมาเล่นแง่กันหรือ?” นางมอง
ไปที่จิ้งคงแล้วพูดว่า “ไต้ซือจิ้งคงเองก็พูดเองว่าแพ้
แล้ว เขาดูมีเกียรติมากกว่าท่านมากนัก”
จิ้งเหนิงพูดด้วยความโกรธว่า “เล็บของเจ้าจะต้องมี
ปัญหาแน่พวกเรา...”
“ศิษย์น้องจิ้งเหนิง อย่าพูดอีกเลย” จิ้งคงถอน
หายใจ “อาตมาไม่ระวังเอง รอบนี้แม่นางชื่อเป็น
ฝุายชนะ”
“ศิษย์พี่ ท่านอาศัยอยู่ในวัดมานานหลายปี ไม่รู้หรอ
กว่าคนพวกนี้ร้ายกาจแค่ไหน พวกเขาเล่นไม่ซื่อ ใช่
เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ นาๆ ท่านแค่อยากจะประลองกับ
นาง แต่นาง...!” จิ้งเหนิงยังพยายามอยู่ จิ้งคงโบก
มือ บอกให้จิ้งเหนิงพอได้แล้ว
“คาพูดของไต้ซือไม่น่าฟังเอาเสียเลย” ชื่อตันเหมย
ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านกาลังจะบอกว่าข้าน้อยเล่นไม่
ซื่ออย่างนั้นหรือ? คนออกบวช เขาพูดจากันแบบนี้
หรือ ท่านกับข้าน้อยเพิ่งจะเคยพบกันเป็นครั้งแรก
ไม่เคยอยู่กับท่านสองต่อสอง แล้วจะมาบอกว่าข้า
เล่นไม่ซื่อได้อย่างไร?”
จิ้งเหนิงพยุงจิ้งคงมานั่งที่เบาะแล้วพูดว่า “แม่นาง
ชื่อ ศิษย์น้องไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอก เจ้า
อย่าเข้าใจผิด”
ทันใดนั้นเองต้นไม้แข็งทื่ออย่างไป๋อวี่เฮ่อก็เดิน
ออกมา แล้วพูดว่า “ชี้แนะด้วย”
คาสามคา สะเทือนไปทั่วตาหนัก
สถานการณ์ตอนนี้ วัดต้ากวงหมิงกาลังอับจน
หนทางแล้ว
หากชนะรอบนี้ ทางวัดต้ากวงหมิงก็ไม่จาเป็นต้องส่ง
ใครออกไปสู้กับไป๋อวี่เฮ่อ
แต่ใครจะไปคิดว่า จะต้องสู้กันจนถึงรอบประลอง
กระบี่ ถ้าเป็นอย่างนั้นวัดต้ากวงหมิงเองก็ถือว่าแพ้
แน่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นจิ้งคงหรือว่าจิ้งเหนิง พวกเขายอมแพ้
รอบกระบี่ไปแต่แรกแล้ว แต่ว่าผ่านไปสองรอบ กลับ
เสมอกัน รอบที่สามอย่างไรก็ต้องประลอง
วรยุทธ์ของจิ้งเหนิงถึงจะมีมาก แต่ก็ไม่ได้ฝึกวิชา
กระบี่เลย ไม่เพียงแค่นั้น เขาเองก็ไม่เคยจับกระบี่
แม้แต่ครั้งเดียว ตอนนี้อยากจะช่วย ก็ช่วยไม่ได้
ในวัดต้ากวงหมิงมีคนมากกว่าห้าร้อยคน แต่คนที่ฝึก
กระบี่มีไม่ถึงยี่สิบคน แล้วพวกนั้นก็เป็นศิษย์
ของจิ้งถงด้วย ตอนนี้จิ้งถงไม่อยู่ที่นี่ ก็รับประกัน
ไม่ได้ว่าจะชนะ ไม่ต้องพูดถึงศิษย์เลย
“ชี้แนะด้วย” ไป๋อวี่เฮ่อพูดซ้าอีกครั้ง
ถึงแม้จะยังไม่ได้เริ่มประลอง แต่ไป๋อวีเฮ่อเองก็
ออกมาวางมาดก่อนแล้ว
หลวงจีนในวัดต่างมองหน้ากัน เห็นการวางท่าของ
ไป๋อวี่เฮ่อแล้ว ตอนนี้ก็รู้สึกว่าวัดต้ากวงหมิงหมด
หนทางแล้ว ทุกคนก็เริ่มเสียใจกันไปตามๆ กัน
บางคนก็รู้สึกโกรธ อยากจะขึ้นไปประลอง แต่ว่า
ความนิ่งสงบของไป๋อวี่เฮ่อมันทาให้รู้สึกอึดอัดมาก
มันทาให้ไม่มีใครกล้าที่จะออกไป
จิ้งคงถอนหายใจ มองหน้ากับจิ้งเหนิง ทั้งสองรู้แล้ว
ว่าไม่มีทางย้อนเวลากลับไปได้อีกแล้ว เพราะตกลง
กันไว้แล้วว่า ศิษย์ของเกาะไป๋อวิ๋นสามารถส่งคน
หนึ่งเข้าไปยังตาหนักจิ้งซินเก๋อได้สามวัน วัดต้ากวง
หมิงเป็นวัดใหญ่ พูดไปแล้วจะกลับคาไม่ได้ แต่ว่า
ตาหนักจิ้งซินเก๋อเป็นเสมือนหัวใจของวัดต้ากวงหมิง
เมื่อศิษย์ของเกาะไป๋อวิ๋นเข้าไปด้านใน ก็เหมือนเอา
มีดมากรีดแทงหัวใจ
ภายในตาหนักจิ้งซินเก๋อมีคัมภีร์ยุทธ์ที่สืบทอดกันมา
หลายชั่วอายุคนของวัดมากมาย ภายในระยะเวลา
สามวัน ไม่มีทางอ่านได้หมด ต่อให้ไม่พักเลยภายใน
สามวันก็ทาได้แค่อ่านได้บางส่วน
แต่ว่าศิษย์ของเกาะไป๋อวิ๋นมีการเตรียมการไว้แล้ว
ก่อนมา เพราะตั้งใจมาเพื่อเข้าไปในตาหนัก
จิ้งซินเก๋อ แสดงว่าพวกเขามีสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว รู้
ว่าอะไรคือที่สุดของวัดต้ากวงหมิง
ขอแค่ศิษย์ของเกาะไป๋อวิ๋นได้อ่านตารายุทธ์เพียง
เล็กน้อยแล้วท่องจาลงจากเขาไป ชะตาของ
วัดต้ากวงหมิงก็จะอยู่ในกามือของพวกเขา
วันนี้รับปากประลองยุทธ์ เพราะไม่อยากมีปัญหากับ
ทางเกาะไป๋อวิ๋น แล้วต้องเป็นศัตรูกัน เพราะมันจะ
ทาให้ความสัมพันธ์ของตงฉีกับหนานฉู่มีปัญหา อีก
ทั้งยังมั่นใจด้วยว่าจิ้งคงจะสามารถเอาชนะการ
ประลองได้
หากชนะ ไม่เพียงจะให้ทางเกาะไป๋อวิ๋นหาเหตุผลมา
อ้างไม่ได้ แล้วก็จะขจัดปัญหาของเกาะไป๋อวิ๋นได้
ด้วย ทาให้ไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสอง
แคว้น
แต่ว่าชะตาไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้
จิ้งคงคิดไม่ถึงว่าจะแพ้ให้กับความเจ้าเล่ห์ของชื่อตัน
เหมย
ตอนนี้พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ จิ้งคงพูดว่า “ชื่อเสียง
ของท่านไป๋ อาตมาพอได้ยินมาบ้าง เพลงกระบี่ของ
ท่านเป็นที่เลื่องลือในยุทธ์ภพไม่เป็นสองรองใคร...”
ไป๋อวี่เฮ่อฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไร
หยางหนิงคิดในใจว่า ที่แท้ผู้ชายคนนี้มีเพลงกระบี่ที่
ร้ายกาจขนาดนี้ ก่อนหน้านี้คิดแค่ว่าเขาแค่วางมาด
ไปอย่างนั้น ที่แท้จิ้งคงก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว รู้
ว่าเพลงกระบี่ของเขานั้นร้ายกาจมากแค่ไหน
“ในวัดของพวกเราศิษย์น้องจิ้งถง เชี่ยวชาญด้าน
เพลงกระบี่..แต่ว่าตอนนี้ศิษย์น้องจิ้งคงไม่อยู่ที่วัด
ดังนั้นรอบสุดท้ายนี้ก็ไม่ต้อง...” จิ้งคงจนปัญญา
กาลังจะยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ก็เหมือนได้ยิน
เสียงการเคลื่อนไหวบางอย่าง เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง
ก็เห็นคนๆ หนึ่งโผล่ออกมาท่ามกลางฝูงชน
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เขา ในใจก็เต้าระรัว
ขึ้นมา “ที่แท้ในวัดของพวกเราก็มีคนที่ใจกล้าแบบนี้
ด้วย ไม่รู้ว่าเป็นศิษย์พี่คนไหนกันนะ?”
เมื่อทุกคนมองไป คนที่โผล่ออกมาถึงแม้จะใส่ชุด
หลวงจีน แต่ไว้ผมยาว มีคิ้ว หลายคนจาเขาได้ คนที่
โผล่มาคือคนที่มีเรื่องที่หออู๋กู่
จิ้งเหนิงดูก็จาได้แล้ว เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฉีหนิง
เจ้าคิดจะทาอะไร?”
คนที่โผล่ออกมา คือฉีหนิงนั่นเอง
ฉีหนิงอึ้งไป หันหน้ากลับไป แล้วด่าคนข้างหลังว่า
“มารดาข้าเถอะ ใครผลักข้าออกมา? แน่จริงก็โผล่
หัวออกมาสิ”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 134 ความหวังคืนกลับมา
หยางหนิงดูออก คนที่ยืนอยู่หลังเขาคือคนของหออู๋
กู่ หนึ่งในนั้นคือเจินปี้ เขามองมาที่ลานประลอง
ด้านหน้า แต่ไม่คิดว่าจะมีคนถีบเขาออกมา ก็เลย
รู้สึกโกรธพวกนั้นมาก
คนของหออู๋กู่ต่างหลบหน้า ไม่มองหยางหนิง แกล้ง
ทําเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หยางหนิงรู้ทันทีว่าคือพวกเขาแน่ๆ
ที่ถีบเขาออกมา
“เจ้ามาก่อเรื่องอีกแล้วนะ” จิ้งเหนิงรู้สึกไม่พอใจ
อย่างยิ่ง ตอนนี้มองไปที่หยางหนิงแล้วด่าว่า “ใครสั่ง
ให้เจ้าออกมาตรงนี้?”
หยางหนิงแอบคิดในใจว่าข้าเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่
ตรงนี้ เมื่อครู่นี้หากไม่ใช่เพราะเสียงระฆังดัง หลวง
จีนวิ่งมาที่นี่กันหมด เขาเองก็ไม่มาหรอก
ทันใดนั้นเองชื่อตันเหมยก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าก็
คิดว่าเป็นผู้กล้าคนไหนกันที่ออกมาประลอง ที่แท้ก็
แค่...” นางไม่ได้พูดต่อให้จบ แต่ใช้สายตามองไปที่
หยางหนิงตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วแสยะยิ้มออกมา
“ที่แท้ก็อะไร?” หยางหนิงเห็นสายตาของชื่อตัน
เหมยกําลังเยาะเย้ยเขา พูดขึ้นอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า
“ข้าไม่มีความแค้นอะไรกับเจ้า เจ้าไม่จําเป็นต้องมา
เยาะเย้ยข้าแบบนี้”
“หลวงพี่ท่านนี้พูดจาดูไม่ค่อยเกรงใจเลยนะ ข้า
ไม่ได้เยาะเย้ยท่านเสียหน่อย” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้ว
พูดว่า “แต่ว่าท่านออกตัวมาแบบนี้ ทําให้คนเข้าใจ
ผิด ข้าก็คิดว่าท่านจะออกมาประลองกระบี่เสียอีก”
“เจ้ามันเจ้าเล่ห์ ข้าสู้ไม่ไหวหรอก” หยางหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “ข้าก็แค่ผู้ชม ไม่มีอะไรต้องคุยกับพวก
เจ้า”
ไป๋อวี่เฮ่อเหลือบไปมองหยางหนิง แล้วพูดว่า “เจ้า
ตัวตลก ยังไม่รีบถอยออกไปอีก”
หยางหนิงคิดจะถอยกลับไป แต่พอไป๋อวี่เฮ่อพูดจา
แบบนี้ หยางหนิงก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ที่นี่เป็นบ้าน
ของเจ้าหรืออย่างไรกัน เจ้าสั่งให้ข้าถอยข้าก็ต้อง
ถอยอย่างนั้นหรือ? ดูจากท่าทางของเจ้าก็ดูสุขุม แต่
เหตุใดถึงพูดจาไม่มีมารยาทแบบนี้?”
ไป๋อวี่เฮ่อไม่ได้สนใจเขา แต่ชื่อตันเหมยกลับยิ้มแล้ว
พูดว่า “ศิษย์พี่ข้าเป็นคนนิสัยแปลกๆ หากเจอคนที่
มีความสามารถ ศิษย์พี่ก็จะมีมารยาทเอง แต่ว่า...”
นางยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่ากับเจ้า เขาไม่ได้มีความ
อดทนขนาดนั้น”
หยางหนิงจ้องกลับไปแล้วพูดว่า “เจ้าพูดให้ชัด
หน่อยสิ ข้ามันเป็นอย่างไร? เจ้ามาทําท่าทางยั่วยวน
ที่นี่ ข้ายังไม่ได้ว่าอะไรเจ้าเลย แต่เจ้ากลับมาว่าข้า
เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้ในสิ่งที่เจ้าคิดหรืออย่างไรกัน?”
เขาพูดจาก็ไม่ได้เกรงใจ หลายคนต่างก็ตกใจ จิ้งเห
นิงตะคอกใส่เขาว่า “ฉีหนิงหุบปากเดี๋ยวนี้นะ ยังไม่
ออกไปจากตรงนี้อีก”
ชื่อตันเหมยไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย ยิ้มแล้วถาม
กลับไปว่า “ไต้ซือน้อย ท่านบอกว่าข้ายั่วยวน แต่ว่า
ข้าเกิดมาก็เป็นแบบนี้ หรือว่าท่านไม่ชอบที่ข้าเป็น
แบบนี้หรือ?”
หยางหนิงไม่ได้สนใจจิ้งเหนิงแล้วพูดว่า “อย่าคิดว่า
ท่าทางของเจ้าแบบนี้มันจะทําให้ผู้ชายทั้งหมด
วิญญาณหลุดจากร่างทุกคนได้ ผู้หญิงอย่างเจ้ามี
เยอะแยะในหอนางโลม” คําพูดของหยางหนิงเต็ม
ไปด้วยคําดูถูก หยางหนิงไม่ใช่คนที่จะให้ใครมาเอา
เปรียบได้ ก็เลยตอบโต้กลับไป คิดในใจว่าใน
วัดต้ากวงหมิง ชื่อตันเหมยคงไม่กล้าลงมือทําร้าย
ใคร
หลวงจีนในวัดต่างตะลึงไป แอบหัวเราะเบาๆ จิ้งคง
ทําได้แค่ส่ายหน้า จิ้งเหนิงอดไม่ได้ที่จะด่าออกไปว่า
“สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจะมาพูดจาเหลวไหลที่นี่ได้
อย่างไร เจ้ายังไม่ออกไปอีก ฉีหนิง ที่นี่คือวัดต้ากวง
หมิง ท่าทางของจิ่นอีโหวซื่อจื่อ เจ้าเก็บกลับไปใช้ที่
อื่น”
เขาเห็นหยางหนิงไม่สํารวม แถมยังพูดถึงหอนาง
โลมในวัดอีก จึงรู้สึดเดือดพล่าน กลัวว่าคนของเกาะ
ไป๋อวิ๋นจะเข้าใจผิดว่าหยางหนิงเป็นศิษย์ของ
วัดต้ากวงหมิง ทําให้วัดต้ากวงหมิงเสื่อมเสียชื่อเสียง
ดังนั้นจึงเปิดเผยฐานะของหยางหนิง
ไป๋อวี่เห้อได้ยินคําว่า “จิ่นอีโหวซื่อจื่อ” ก็ขมวดคิ้ว
เขาไม่ได้สนใจหยางหนิงเลย แต่ตอนนี้เขาหันหน้า
กลับมามองหยางหนิง แล้วถามว่า “เจ้าแซ่ฉีหรือ?”
“เจ้าหูหนวกหรืออย่างไร?” เมื่อครู่นี้ไป๋อวี่เฮ่อด่าห
ยางหนิงว่าเป็นตัวตลก ถือเป็นการดูถูกหยางหนิงไม่
น้อย หยางหนิงเองก็ไม่ได้รู้สึกดีกับเขาเท่าไหร่นัก
ในใจก็คิดว่าก็แค่มือกระบี่ใหม่ที่ติดอันดับ ยังไม่ใช่
อันดับหนึ่งในใต้หล้าเสียหน่อย แต่วางท่าทาง
เหมือนเหนือคนอื่น หากวันหนึ่งได้เป็นหนึ่งในใต้
หล้าขึ้นมา ไม่ยกตัวเองลอยอยู่บนฟ้าเลยหรือ
ไป๋อวี่เฮ่อพยักหน้า พูดด้วยน้ําเสียงที่อ่อนลงว่า “ตง
ไห่ไป๋อวี่เฮ่อ ขอให้ท่านชี้แนะด้วย” พูดจบก็โค้ง
คํานับเบาๆ
หยางหนิงเห็นเขาเหมือนจะรู้ว่าตัวเองผิด ก็ยิ้มแล้ว
ยกมือขึ้น “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้อยากประลอง
กระบี่กับเจ้า หากต้องประลองจริงๆ คงได้แต่หนี”
“ท่านไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก” ไป๋อวี่เฮ่อพูดว่า
“ชี้แนะด้วย”
พูดจบ เขาก็หันมาเผชิญหน้ากับหยางหนิง แล้วถอย
หลังไปสองสามก้าว แล้วชักกระบี่ออกมา
หยางหนิงเห็นไป๋อวี่เฮ่อมีสีหน้าจริงจัง เหมือนไม่ได้
ล้อเล่น ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา แล้วพูดว่า “ข้าบอกแล้ว
ว่า...ว่าท่านไป๋ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้า...ข้าไม่ได้คิดจะ
ประลองกระบี่กับท่าน แล้วก็...จริงด้วย เจ้าก็ได้ยิน
แล้วนี่นา ข้าไม่ใช่ศิษย์ของวัดต้ากวงหมิง ต่อให้
ประลองกับเจ้าจริงๆ มันก็ไม่ได้อะไร”
ไป๋วี่เฮ่อรีบพูดว่า “ขอแค่ท่านยอมชี้แนะข้า หากข้า
แพ้ ก็ถือว่าวัดต้ากวงหมิงชนะการประลองกระบี่”
เขาพูดอีกว่า “ชี้แนะด้วย”
เจ้าคนแซ่ไป๋ที่มันโง่เง่าจริงๆ เหตุใดถึงไม่ปล่อยเขา
ไปสักที?
บอกแล้วว่าอย่าประลองกับเขา แต่ว่าเจ้าโง่ไป๋นี่พุ่ง
เป้ามาที่เขา หยางหนิงรู้ว่าตัวเองมีความสามารถแค่
ไหน หากต้องประลองกระบี่กับเขา รนหาที่ตายชัดๆ
เขาพูดว่า “ไม่ก็คือไม่ เจ้าหาคนอื่นเถอะ”
จิ้งคงกับจิ้งเหนิงมองหน้ากัน แล้วมองไปที่หยางหนิง
สายตาของจิ้งคงเปี่ยมไปด้วยความคิดบางอย่าง เขา
พูดว่า “ฉีหนิง เจ้าขึ้นเขามารักษาตัว ในช่วงนี้ ก็ถือ
ว่าเป็นศิษย์ของวัดต้ากวงหมิงของเรา” แล้วอธิบาย
ต่อว่า “เจ้าอาจจะไม่รู้ อาการของเจ้าตอนที่ขึ้นเขา
มานั้นหนักมากตอนที่มาที่นี่ชีวิตเจ้าก็เหมือนแขวน
อยู่บนเส้นด้ายแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องของวัดหลายคน
ต้องร่วมมือกันช่วยชีวิตของเจ้า”
หยางหนิงรู้ว่าคําพูดของจิ้งคงนั้นไม่ได้โกหกแน่นอน
ถึงแม้เขาจะไม่ได้รู้สึกดีกับจิ้งเหนิงเท่าไหร่ แต่ว่า
กับจิ้งคงนั้นเขาเคารพนับถือพอสมควร เขาพูดว่า
“ไต้ซือจิ้งคง ข้าน้อยต้องขอขอบคุณที่ช่วยชีวิต
ข้าน้อยไว้ ข้าน้อยไม่มีอะไรตอบแทน แต่ว่า แต่ว่า...
แต่ว่าที่ท่านบอกว่าข้าเป็นศิษย์ของวัดต้ากวงหมิง
เรื่องนี้...” เขายิ้ม มันหมายความว่าเขาไม่ยอมรับ
จิ้งคงมองไปที่จิ้งเหนิง จิ้งเหนิงพูดขึ้นมาว่า “กฎของ
วัดต้ากวงหมิง หากขึ้นเขามารับการรักษาตัว ทางวัด
ยอมช่วยเหลือ เจ้าก็จะต้องออกบวชเป็นศิษย์ของ
วัดต้ากวงหมิง”
หยางหนิงอึ้งไป แอบคิดในใจว่ากฎบ้ากฎบออะไร
ไหนบอกว่าคนออกบวชมีเมตนตา แล้วเหตุใดช่วย
แล้วต้องบังคับให้ออกบวชด้วยเล่า?
“ถึงแม้ว่าทางจวนจิ่นอีโหวรับปากว่าจะส่งคนมา
บวชแทนเจ้า แต่ก่อนที่คนๆ นั้นจะมาถึง เจ้าก็ถือว่า
เป็นศิษย์ของวัด” จิ้งเหนิงพูดว่า “การที่เจ้าออกไป
ประลอง ถือได้ว่าสามารถเป็นตัวแทนของวัดต้ากวง
หมิงของพวกเราได้”
“พวกท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่?” หยางหนิงรู้สึก
ว่าปวดหัวขึ้นมาทันที “เมื่อครู่ข้าถูกคนเลวทรามต่ํา
ช้าถีบออกมา ไม่ใช่อยากจะได้หน้าอะไร พวกท่าน
อย่าเข้าใจผิดแบบนี้สิ ข้าไม่เคยจับกระบี่เลยแม้แต่
ครั้งเดียว แล้วตอนนี้จะให้ข้ามาประลองกระบี่กับ
เขาผู้นี้หรือ เอาข้าโยนเข้ากองไฟชัดๆ” จากนั้นก็หัน
ไปชี้คนของพวกหออู๋กู่ “หนึ่งในพวกเขาถีบข้า
ออกมาแน่ๆ ต้องสืบหาความจริงให้ได้ คืนความเป็น
ธรรมให้ข้าด้วย”
จิ้งคงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉีหนิง เพลงกระบี่ของท่านไป๋
ร้ายกาจ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่แล้ว จริงๆ เจ้า
เองก็ไม่มีสิทธิจะประลองกับท่านไป๋ แต่ว่าพวกเขา
เดินทางมาไกล อาตมาเห็นว่าท่านไป๋เองจริงใจที่
อยากจะประลองกับเจ้า เจ้าเองก็ลองดูสักหน่อย
พวกเราตกลงกันไว้แล้ว ว่าจะไม่ลงมือจนถึงชีวิต
ท่านไป๋เป็นคนฝึกกระบี่อยู่ในวัด เขาไม่กล้าทําร้าย
เจ้าหรอก”
หยางหนิงอึ้งไป คิดในใจว่าไป๋อวี่เฮ่อบีบบังคับเขาให้
ประลอง นี่มันโง่ชัดๆ แต่เหตุใดไต้ซือจิ้งคงก็จะให้
เขาออกไปประลองด้วยเล่า? หรือว่าอาการแบบนี้
มันแพร่เชื้อกันได้ด้วยหรือ
เขาคิดไม่ตกจริงๆ
จากนั้นก็ได้ยินคนที่อยู่ในตําหนักร้องตะโกนชื่อของ
เขา “ฉีหนิง ฉีหนิง”
เขามองไปรอบๆ คนที่เริ่มตะโกนคือเจินปี้ของหออู๋กู่
จากนั้นคนรอบๆ ก็ยกมือขึ้นแล้วตะโกนตาม
“ฉีหนิง ฉีหนิง”
สถานการณ์แบบนี้ทุกคนต่างยกมือขึ้นร้องตะโกนชื่อ
ของ “ฉีหนิง” พริบตาเดียวทั่วทั้งวัดต้ากวงหมิงก็
สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
หยางหนิงแสยะยิ้มใส่เจินปี้ เขาอยากจะเดินเข้าไป
แล้วชกหน้าเขาให้ออกไปเจอใครไม่ได้เลยสักสิบวัน
หรือครึ่งเดือน
เขารู้ว่าเจินปี้ไม่มีทางคิดดีแน่นอน เขาต้องการบีบ
เขาให้หมดหนทาง แต่คนอื่นๆ ในวัดนั้นต้องการ
สนับสนุนเขาจริงๆ เพราะว่าไม่มีใครออกหน้าอีก
แล้ว มีเพียงหยางหนิงเท่านั้น
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดกับหยางหนิงว่า “ไต้ซือน้อย
ดูท่าแล้วท่านจะเป็นความหวังของพวกเขานะ หาก
ท่านไม่รับปากเกรงว่าจะไม่มีใครให้เกียรติท่านอีก”
หยางหนิงยกมือขึ้นมาสองข้าง หลวงจีนทุกคนเห็น
ดังนั้น ก็เงียบลง
สีหน้าของหยางหนิงเคร่งขรึม ท่าทางเปลี่ยนไป เขา
ค่อยๆ หันหลังกลับมา เผชิญหน้ากับไป๋อวี่เฮ่อ ไป๋อวี่
เฮ่อเองก็มองไปที่หยางหนิงอย่างเงียบๆ เดิมทีเขามี
สายตาที่ไม่หวั่นไหวเลยที่ถูกจ้องมอง แต่ตอนนี้เขา
กลับหลบสายตาของหยางหนิง
หยางหนิงเห็นดังนั้น เขาคิดว่าก็น่าตื่นเต้นดี จากนั้น
ก็ถามว่า “ในเมื่อทุกคนพูดมาแบบนี้แล้ว ดูท่าไม่
ประลองคงไม่ได้”
ไป๋อวี่เฮ้อได้ยินดังนั้น สายตาก็ดีใจ แล้วพูดว่า
“ชี้แนะด้วย”
“ข้ายอมแพ้เลยได้หรือไม่?” หยางหนิงถาม
ไป๋อวี่เฮ่ออึ้งไป เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ยังไม่ทัน
ประลอง จะรู้ได้อย่างไรว่าแพ้หรือชนะ”
ทั่วทั้งวัดต้ากวงหมิงพลันเงียบไป หยางหนิงรู้ว่าไม่มี
ทางเลือกแล้ว เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ก็ได้
ประลองก็ประลอง แต่ว่า...แต่ว่าข้ามีเงื่อนไขสอง
สามข้อได้หรือไม่?”
“เชิญกล่าวมาได้”
พวกเราประลองกระบี่กัน ไม่ใช้กําลังภายใน ดังนั้น
พวกเราแค่ออกท่าทางก็พอแล้วได้หรือไม่?
“หยางหนิงพูดว่า” ก็ไม่ต้องเดินพลัง จะได้ไม่มีใคร
บาดเจ็บแล้วต้องผิดใจกัน"
ไป๋อวี่เฮ่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ ข้าจะไม่ใช้กําลัง
ภายใน”
หยางหนิงเบาใจลง แอบคิดในใจว่าหากใช้กําลัง
ภายในมาประลองกระบี่ หากไม่ระวังให้มาก ตัวเอง
อาจจะบาดเจ็บอีก อีกฝ่ายรับปากไม่ใช้กําลังภายใน
ถือว่าดีมาก
“ยังมีอีกเรื่องที่ว่าเอาพอประมาณ” หยางหนิงพูดว่า
“ท่านไป๋ หากพวกเราประลองไปแล้วฝีมือพอๆ กัน
แยกไม่ออกว่าใครชนะ พวกเราจะสู้กันไปเรื่อยๆเลย
หรือ? ควรจะมีเส้นตายหน่อยได้หรือไม่ เช่นภายใน
ยี่สิบกระบวนท่าตัดสินแพ้ชนะ ท่านคิดว่าอย่างไร?”
ไป๋อวี่เฮ่อนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “หากเป็นคนอื่น
ภายในสามกระบวนท่าหากข้าเอาชนะไม่ได้ ก็ถือว่า
ข้าแพ้ แต่ว่าเจ้า หากภายในสิบกระบวนท่าข้า
เอาชนะไม่ได้ ถือว่าข้าแพ้เลย ตกลงหรือไม่?”
“เจ้าเป็นคนพูดเองนะ” หยางหนิงไม่รู้ว่าเหตุใดไป๋
หวี่เห้อถึงได้ให้สิทธิพิเศษกับเขาแบบนี้ เขาพูดอย่าง
ดีใจว่า “เจ้าพุดเองนะว่าภายในสิบกระบวนท่าหาก
เจ้าไม่ชนะ ถือว่าเจ้าแพ้ ห้ามกลับคําเล่า?”
ไป๋อวี่เฮ่อสีหน้าจริงจังพูดว่า “ข้าพูดแล้วไม่คืนคํา”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 135 ประลองกระบี่
หยางหนิงขี่หลังเสือไปแล้วลงยาก จาใจต้องประลอง
แต่ว่าในใจก็มีการวางแผนรับมือไว้แล้วประมาณ
หนึ่ง ไป๋อวี่เฮ่อพูดแล้วว่าภายในสิบกระบวนท่าหาก
เขาไม่สามารถเอาชนะได้ ก็จะถือว่าวัดต้ากวงหมิง
ชนะ นั่นก็หมายความว่า ขอแค่เขาทนให้ได้สิบ
กระบวนท่า เขาก็จะชนะไป๋อวี่เฮ่อ
เพลงกระบี่ของไป๋อวี่เฮ่อร้ายกาจไม่น้อย หยางหนิง
ไม่มีทางเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ อย่างแน่นอน แต่ว่า
หากเขาใช้วิชาท่าเท้าท่องคลื่น หลบไป๋อวี่เฮ่อได้ถึง
สิบกระบวนท่า ก็อาจจะมีโอกาส
ความลึกลับและมหัศจรรย์ของวิชาเท้าท่องคลื่น
หยางหนิงเข้าใจอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งเขาก็คุ้นเคยกับ
มันดี
ถึงแม้จะหวังว่าจะยื้อให้ได้สิบกระบวนท่า แต่ว่า
หยางหนิงเองก็ไม่ได้มั่นใจมากปานนั้น คิดว่าลองดู
สักตั้ง หากไม่ไหวจริงๆ ก็ยอมแพ้ ไป๋อวี่เฮ่อเดินมา
อย่างมีมารยาท ก็คิดว่าคงไม่ลงมือรุนแรง อีกทั้ง
รอบที่สามนี่ไม่มีใครกล้าออกมาสักคน ก็ถือซะว่า
ตัวเองทาบุญก็แล้วกัน
ไป๋อวี่เฮ่อชักกระบี่ออกมาแล้วในตอนนี้ คนรอบๆ
จ้องมองมอด้วยความกดดัน กระบี่สะท้อนเข้าตา
ของคนที่ยืนดูอยู่ ถึงแม้หยางหนิงจะยืนห่างออกไป
แต่ก็สัมผัสได้ถึงความคมกริบของกระบี่เล่มนั้น
“ช้าก่อน” หยางหนิงยกมือขึ้นห้าม
ไป๋อวี่เฮ่อขมวดคิ้ว หยางหนิงพลิกมือไปมา แล้วพูด
ว่า “นี่คือการประลองกระบี่ แต่ในมือข้าไม่มีกระบี่
สักเล่ม ใจคอจะให้ข้าเอามือเปล่าไปสู้กับเจ้าหรือ
หรือ?”
ก่อนหน้านี้จิ้งเหนิงก็ไม่ได้อะไรกับหยางหนิงอยู่แล้ว
เขาลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ไม่ต้องรีบ ข้าจะให้คนไปเอา
กระบี่มาให้” กาลังจะเรียกคนไปเอากระบี่มา
หยางหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “กระบี่ของท่านไป๋ ดูก็รู้ว่า
เป็นกระบี่ชั้นยอด ไต้ซือจิ้ง เหนิง ท่านจะไปเอา
กระบี่อย่างดีมาให้ข้าจะได้หรือไม่ อย่าเอาของสัป
รังเคมาให้ข้าล่ะ ขายหน้าเขาเปล่าๆ นี่ไม่ได้มาเล่น
ขายของกันนะ”
จิ้งเหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “เจินซิ่ง เจ้าไป...”
“ไต้ซือจิ้งเหนิง ข้าว่า ท่านไปเอาให้ข้าเองจะดีกว่า”
หยางหนิงไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อจิ้งเหนิงเท่าไหร่นัก
เขาเองก็ไม่รู้เหตุใดอยู่ๆ เขาถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนไป
แบบนี้ แต่ว่าในเมื่อมีโอกาสแล้ว เขาเองก็ไม่เกรงใจ
“คนอื่นข้าไม่ไว้ใจ”
จิ้งเหนิงสีหน้านิ่งไป เขาเป็นถึงหัวหน้าของหอศีล
เป็นหนึ่งในพระอรหันต์ชื่อนาหน้าว่าจิ้ง มีใครบ้างไม่
เกรงกลัวเขา แม้แต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องชื่อขึ้นต้นด้วยจิ้ง
เองก็เถอะ ก็ไม่เคยมีใครกล้ามาสั่งเขาแบบนี้ แต่
หยางหนิงกลับสั่งให้เขาไปเอากระบี่ต่อหน้าคน
มากมายขนาดนี้ เขาพลันเดือดพล่านขึ้นมาไม่น้อย
กาลังจะระบายอารมณ์ออกไป หยางหนิงก็พูดขึ้นมา
ว่า “ทาไมเล่า? ท่านไป๋เดินทางมาไกล พวกเราคง
ไม่ได้จะให้เขารอไปแบบนี้หรอกกระมัง?” จากนั้นก็
ยิ้มให้ไป๋อวี่เฮ่อ แล้วหันไปขมวดคิ้วใส่จิ้งเหนิงแล้ว
พูดว่า “ไต้ซือจิ้งเหนิง ยังต้องการให้ข้าประลอง
กระบี่หรือไม่? หากไม่แล้วข้าจะได้ถอยกลับไปที่
เดิม”
จิ้งคงหันไปมองจิ้งเหนิงแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องจิ้งเห
นิง เจ้าไปสักครั้งเถอะ”
จิ้งเหนิงข่มอารมณ์เดือดดาลเอาไว้ ในใจคิดว่าให้เจ้า
กาเริบเสิบสานไปก่อน รอเสร็จการประลองกระบี่
ข้าค่อยมาคิดบัญชีกับเจ้า จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินไป
ชื่อตันเหมยเองก็ฉลาด นางเข้าใจ หลุดหัวเราะออก
มาแล้วพูดว่า “ไต้ซือน้อย เรื่องส่วนตัวทั้งนั้นเลย
กระมัง?”
“เจ้าพูดให้น้อยๆ หน่อย” หยางหนิงกรอกตาใส่ชื่อ
ตันเหมย “เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ากับท่านไป๋กาลัง
เคร่งเครียดกันอยู่? เจ้าคิดว่าประลองกระบี่มันง่าย
เหมือนเจ้าฉีกเสื้อผ้าหรืออย่างไร? มือกระบี่เป็นเรื่อง
ละเอียดอ่อน ตอนนี้กระบี่คือกระบี่ คนก็คือคน แต่
ว่าหากจะเอามาเทียบกัน คนก็คือกระบี่ กระบี่ก็คือ
คน คนกับกระบี่เป็นหนึ่งเดียว...พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ
ท่านไป๋ ท่านว่าจริงหรือไม่?”
ไป๋อวี่เฮ่อตะลึงไป จากนั้นก็พยักหน้า “คนกับกระบี่
เป็นหนึ่งเดียว พูดได้ถูกต้อง วิชากระบี่ของซื่อจื่อ ไม่
ธรรมดาเลยจริงๆ”
เขาเรียกหยางหนิงว่า “ซื่อจื่อ” มีมารยาทไม่น้อย
“อย่าเข้าใจผิด” หยางหนิงรีบพูดว่า “ข้าก็พูดไป
เรื่อย”
ไป๋อวี่เฮ่อพยักหน้า แล้วไม่พูดอะไร
ชื่อตันเหมยคิดไม่ถึงว่าหยางหนิงจะมาไม้นี้ นางยิ้ม
แล้วพูดว่า “ไต้ซือน้อย ประลองกระบี่ใครชนะไม่รู้
แต่หากว่าวันนี้แข่งการโต้วาที เจ้าชนะแน่นอน”
“ขอบใจ” หยางหนิงแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าว่าเจ้า
น่าจะหาเสื้อมาคลุมก่อนนะ ในวัดในวา ไม่ใช่...ไม่ใช่
ที่แบบนั้น เจ้าเผยไหล่แบบนี้ มันไม่งามเอา
เสียเลย?” จากนั้นเขาก็พูดว่า “อามิตตาพุทธ” แต่
ว่าสายตาของเขากลับจ้องไปที่หน้าอกของนาง
ชื่อตันเหมยกรอกตาใส่หยางหนิง และไม่สนใจเขา
อีก
ไม่นานนัก จิ้งเหนิงก็กลับมาที่ตาหนัก ในมือถือ
กระบี่มาเล่มหนึ่ง แล้วเดินตรงมายังหยางหนิง แล้ว
ยื่นกระบี่ให้เขาแล้วกล่าวว่า “นี่คือกระบี่ผีหลูเป็น
กระบี่ล้าค่าของวัดต้ากวงหมิง เจ้าใช้กระบี่เล่มนี้ก็
แล้วกัน”
ไป๋อวี่เฮ่อยิ้มแล้วมองไปที่กระบี่ที่หยางหนิงรับมา
แล้วพูดว่า “กระบี่ผีหลูหนึ่งในสิบสุดยอดกระบี่
หรือ?”
“อ๋อ เจ้าเคยได้ยินชื่อของกระบี่เล่มนี้ด้วยหรือ?”
หยางหนิงยิ้มแล้วถาม “ที่แท้ก็เป็นหนึ่งในสิบสุด
ยอดกระบี่นี่เอง” เขาชักกระบี่ออกมา เนื้อกระบี่ใส
ราวกับหยก เมื่อถูกแสงไฟ มันสะท้อนแสงสว่างไป
ทั่ว ยอดกระบี่จริงๆ ดูๆ ไปแล้วจิ้งเหนิงเองก็เป็นคน
ละเอียดเหมือนกัน ไม่ได้เอากระบี่สัปรังเคมาให้
“ข้าได้ยินมาว่าวัดต้ากวงหมิงได้เก็บสะสมกระบี่ผีหลู
หนึ่งในสิบสุดยอดกระบี่เอาไว้ วันนี้ได้เห็นกับตาช่าง
เป็นบุญตาเสียจริง เป็นยอดกระบี่จริงๆ” สายตา
ของไป๋อวี่เฮ่อเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาพูดด้วย
ความชื่นชมว่า “กระบี่ผีหลูสุดยอดกระบี่อันดับสี่
สมคาล่าลือ”
หยางหนิงเหลือบไปมองจิ้งเหนิง เห็นเขาเดินไปแล้ว
ในใจก็นึกแปลกใจ เขายอมให้ตัวเองประลอง ทั้งๆ
ที่รู้ว่าไม่มีหวัง วัดต้ากวงหมิงเองก็ไม่ได้จาเป็นต้อง
เอากระบี่มีค่าขนาดนี้ออกมากระมัง?
“ท่านไป๋ ข้าใช้กระบี่เล่มนี้เอาเปรียบเจ้าไป
หรือไม่?” หยางหนิงเห็นกระบี่ของไป๋อวี่เฮ่อ ตัว
กระบี่เป็นสีดา ถึงแม้จะดูดุดัน แต่มันไม่ได้สะดุดตา
เท่าไหร่นัก
ไป๋อวี่เฮ่อส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่เลย เพราะกระบี่
ของข้าเป็นกระบี่อูเหยา คือสุดยอดกระบี่อันดับ
สาม”
หยางหนิงอยากจะสบถออกมาหลายๆ คา กระบี่
ของเขาดันมาเหนือกว่าเสียอย่างนั้น ตอนแรกก็ดีใจ
ว่าตัวเองได้กระบี่พผีหลูมา สุดยอดกระบี่อันดับสี่
เชียว คิดอยากจะข่มขวัญเสียหน่อย ใครจะคิดว่าใน
มือของเขาจะเป็นกระบี่อูเหยา สุดยอดกระบี่อันดับ
สาม เหนือกว่ากระบี่ผีหลูเสียอย่างนั้น
ทุกคนในตาหนักจับจ้องมาที่หยางหนิงกับไป๋อวี่เฮ่อ
แม้แต่ชื่อตันเหมยกับชายฉกรรจ์ทั้งสี่ก็ถอยหลัง
ออกไป
การประลองครั้งสุดท้ายไม่ว่าใครก็ตื่นเต้นทั้งนั้น ทุก
คนเป็นกังวลเรื่องของตาหนักจิ้งซินเก๋อ ใครจะรู้ว่า
หลังจากหยางหนิงขึ้นไปแล้ว จะพูดมากขนาดนี้ ถึง
ตอนนี้ก็ยังไม่ลงมือเลย พวกเขาทั้งร้อนใจและ
หงุดหงิด แต่ก็เพราะหยางหนิงทาให้บรรยากาศใน
ตาหนักนั้นไม่ได้กดดันมากเท่ากับก่อนหน้านี้
หลวงจีนน้อยเจินหมิงจ้องไปที่หยางหนิง เขาก็ไม่คิด
ว่า หยางหนิงจะถูกคนถีบออกไป แล้วก็ถูกบีบให้
ต้องประลองกระบี่ ในใจเขารู้สึกกังวลไม่น้อย ก่อน
หน้านี้เขาเคยปะมือกับหยางหนิงมาแล้ว รู้ว่าเขา
ไม่ได้เก่งกาจอะไร หากคิดจะชนะไป๋อวี่เฮ่อ แทบ
เป็นไปไม่ได้เลย
“ชี้แนะด้วย” ไป๋อวี่เฮ้อไม่พูดพร่าทาเพลง ยกกระบี่
ในมือขวาขึ้นมา แล้วสะบัดฝักกระบี่ด้วยมือซ้ายทิ้ง
ไปด้านหลัง ชายฉกรรจ์รับฝักกระบี่เอาไว้
หยางหนิงสะบัดฝักกระบี่ไปด้านหลัง หลวงจีนน้อย
เจินหมิงก็ฉลาด รีบออกมารับเอาไว้
ไป๋อวี่เฮ่อใช้นิ้วมือของเขาลูบไปที่กระบี่อูเหยา
ท่าทางของเขานุ่มนวลไม่น้อย ราวกับกาลังสัมผัสผิว
ของคนรักยังไงอย่างนั้น จากนั้นก็พุ่งปลายกระบี่เข้า
ใส่หยางหนิงทันที
หยางหนิงเห็นไป๋อวี่เฮ่อสีหน้าจริงจัง เหมือนเห็นเขา
เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้าสมเนื้อ
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ กากระบี่ผีหลูไว้แน่น จากนั้น
ก็ก้าวเท้า เดินเคลื่อนที่ไปทางด้านซ้าย เขากาลังใช้
วิชาท่าเท้าท่องคลื่น คนอื่นดูไม่ออกว่าอย่างหนิง
กาลังทาอะไร คิดว่าหยางหนิงกาลังชิงลงมือก่อน
คนในตาหนักต่างรู้สึกนับถือ แอบคิดในใจว่ารู้ว่า
ตัวเองสู้ไม่ได้ แต่ก็ยังสู้ หยางหนิงเป็นลูกผู้ชายจริงๆ
ไป๋อวี่เฮ่อเห็นหยางหนิงเคลื่อนไหว ก็คิดว่าหยางห
นิงจะลงมือแล้ว
ถึงแม้เขาจะตกลงกับหยางหนิงไว้ว่าภายในสิบ
กระบวนท่า แต่ก็ไม่รู้เหตุใดเขาถึงได้มีความ
หวาดกลัวหยางหนิงก็ไม่รู้ แต่ว่าหากสามารถ
เอาชนะได้ในทีเดียวก็ดี จะได้ไม่ต้องเหนื่อย
ในเมื่ออีกฝ่ายลงมือแล้ว ไป๋อวี่เฮ่อเองก็เคลื่อนไหว
เช่นกัน เขากระโดดลอยตัว พุ่งเข้าหาหยางหนิง
ปลายกระบี่พุ่งไปข้างหน้า เห็นหยางหนิงเคลื่อนไหว
ไม่หยุด แต่ไม่มีการยื่นกระบี่ออกมา
เขารู้ดีว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ยื่นกระบี่ออกมา ก็จะต้อง
ตกอยู่ภายในการต่อสู้นั้น หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นใน
วัดต้ากวงหมิง หากว่าอีกฝ่ายยังไม่มีการยื่นกระบี่
ออกมาสู้ ไป๋อวี่เฮ่อเองก็จะไม่ออกกระบวนท่าง่ายๆ
แต่ว่าหยางหนิงนั้นไม่เหมือนกัน ถึงแม้หยางหนิงแค่
เคลื่อนไหวร่ายกาย แต่ว่าไป๋อวี่เฮ่อก็ยังคงยื่นกระบี่
เข้าหาเขาอยู่ดี
หยางหนิงก้าวไปได้แค่สองก้าว ก็รู้สึกเหมือนมีไอ
เย็นๆ กาลังพุ่งใส่เขา
เขาคิดว่าไป๋อวี่เฮ่อลงมือได้ว่องไว ตอนนี้เขาก็ไม่ได้
คิดอะไรมาก ใช้วิชาเท้าท่องคลื่นเดินลอยเท้าเดิน
ไป๋อวี่เฮ่อพุ่งปลายกระบี่เข้าใส่ เห็นกระบี่กาลังจะ
แทงใส่หยางหนิงแล้ว อีกแค่ไม่ถึงคืบ แต่ว่าหยางห
นิงกลับไม่มีทีท่าจะหยิบกระบี่ออกมาสู้เลย เหมือน
ยอมรับกระบี่ของเขา ในใจก็ตะลึง เหมือนชะงักมือ
ไปนิดหนึ่ง แต่ว่าพริบตาเดียวก็เห็นหยางหนิงเคลื่อน
ตัวหายไป
เขาไม่ได้ลังเลอะไรอีก ตวัดกระบี่ออกไปใส่เงานั้นอีก
ครั้ง
หยางหนิงเดินอย่างสบาย เคลื่อนที่ไปมาไม่หยุด
หลบกระบวนท่าแรกของไป๋อวี่เฮ่อไปได้ ชื่อตันเหมย
เห็นอยู่คาตา สายตาที่น่าหลงใหลของนางมันมี
ความตกตะลึงอยู่ในนั้น
กระบวนท่าแรกของไป๋อวี่เฮ่อพลาดไป เขาจู่โจมเข้า
ใส่อีกสามครั้งติด คนที่รู้วิชาเพลงกระบี่มีไม่กี่คน
เห็นไป๋อวี่เฮ่อเคลื่อนที่ได้อย่างว่องไว ออกอาวุธ
รวดเร็วดังสายฟ้า แต่ว่ามีไม่กี่คนที่รู้ว่ากระบี่สาม
กระบวนท่าเมื่อครู่นี้ มันเป็นเพลงกระบี่ที่สุดยอดไม่
น้อย หากเปลี่ยนคู่ต่อสู้เป็นคนอื่นหรือต่อให้เป็น
ยอดฝีมือก็อาจจะหลบกระบี่กระบวนท่าเมื่อครู่ไม่ได้
แต่ว่าคู่ต่อสู้ของเขาในวันนี้คือหยางหนิง หยางหนิง
ดันมีวิชาท่าเท้าท่องคลื่นที่มีการเคลื่อนไหวที่
ประหลาด เขาสามารถหลบการจู่โจมของไป๋อวี่เฮ่อ
ได้ทุกกระบวนท่า
วิชาท่าเท้าท่องคลื่นที่ดูไม่มีทิศทาง เดินไปมั่วๆ แต่
ว่ามันมีลาดับการเดินที่แน่นอน หยางหนิงก็แค่พอ
คุ้นเคยกับมันบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงเคล็ด
การใช้ที่แท้จริงได้ แต่ถึงจะอย่างนั้น วิชานี้มันก็
แปลกประหลาดเกินไป ไป๋อวี่เฮ่อจับทางเขาไม่ได้
เลย หลังผ่านไปสี่กระบวนท่า เขาไม่สามารถแตะ
ต้องตัวหยางหนิงได้เลยแม้แต่ปลายผม
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 136 กระบวนท่าประหลาด
ไป๋อวี่เฮ่อออกไปแล้วสี่กระบวนท่าพลาดทั้งหมด สี
หน้าของชื่อตันเหมยรู้สึกตะลึงพรึงเพริด
นางรู้ถึงความสามารถในเพลงกระบี่ของไป๋หวี่เฮ่อดี
พรสวรรค์ในเพลงกระบี่ของไป๋อวี่เฮ่อมันเป็น
มากกว่าเพลงกระบี่ ภายใต้การชี้แนะและสั่งสอน
ของท่านเจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋น เพลงกระบี่ของเขา
แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย
ไป๋อวี่เฮ่อฝึกเพลงกระบี่มาตั้งแต่เด็ก เขามักจะ
ออกไปขอประลองกับมือกระบี่ที่มีชื่อเสียงมากมาย
แต่หลายปีมานี้ แทบจะไม่ค่อยมีมือกระบี่มือดีเลย
แต่หากได้ประลอง เขาสามารถเอาชนะได้ภายใน
สามกระบวนท่าเท่านั้น
เพลงกระบี่ของเขาว่องไวและดุดัน ชื่อตันเหมยเองก็
เชื่อมั่นว่า อีกไม่กี่ปี เพลงกระบี่ของไป๋อวี่เฮ่อเองก็
จะสามารถขึ้นสู่ทาเนียบของยุทธภพได้
แต่ว่าในตอนนี้ไป๋อวี่เฮ่อออกกระบวนท่าไปแล้วถึงสี่
ท่า แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะหยางหนิงได้ แม้แต่
ชายเสื้อของหยางหนิงเขาก็ยังสัมผัสไม่โดน แล้วจะ
ไม่ให้ชื่อตันเหมยตะลึงได้อย่างไร?
ส่วนการเคลื่อนไหวอันแปลกประหลาด ชื่อตันเหมย
เองก็ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
จิ้งคงกับจิ้งเหนิงมองหน้ากัน ทั้งคู่ก็มีสีหน้าที่ตะลึง
ไม่ต่างกัน สีหน้าของจิ้งคงเคร่งเครียดขึ้นมา
เหมือนกับว่ากาลังคิดอะไรอยู่
ไป๋อวี่เฮ่อพลาดไปแล้วสี่ครั้ง ครั้งที่ห้าเขาก็จึงไม่ลง
มือบุ่มบ่าม
เขาเป็นคนที่ประลองอยู่ เขารู้ว่าการเคลื่อนไหว
ของหยางหนิงนั้นแปลกประหลาดไม่น้อย เพลง
กระบี่ของเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร ปัญหาใหญ่ที่สุด
ของเขาคือการเคลื่อนไหวของหยางหนิง
เขารู้ว่าหากสามารถเคลื่อนไหวตามที่หยางหนิง
เคลื่อนไหวได้ ก็จะสามารถสร้างแรงกดดันให้กับ
ตัวหยางหนิงได้ทันที ถึงแม้จะไม่อาจเอาชนะได้ใน
สิบกระบวนท่า แต่ในสถานการณ์ในตอนนี้หาก
เอาชนะได้ ก็จะถือว่าโชคดี ชนะด้วยโชค นั่นคือสิ่งที่
ไป๋อวี่เฮ่อปรารถนามากที่สุด
เขาหยุดไป มือของเขายังคงมีกระบี่อูเหยาอยู่ในมือ
เขาปิดตาลง แล้วปล่อยให้หยางหนิงเดินเคลื่อนไหว
ไป ไม่ขยับตัว
ภายในตาหนักกวงหมิงนั้นเงียบสนิท บรรยากาศ
ในตอนนี้เคร่งเครียดมาก ทุกคนเห็นหยางหนิงวิ่งไป
เรื่อยๆ เป็นดั่งเงา เขาเดินไปมาแบบนี้ได้อย่างไร ไม่
มีใครดูออก
หยางหนิงไม่รู้ว่าตอนนี้ทุกคนกาลังอึ้ง เขาเองก็ไม่ได้
คิดว่าจะสามารถเอาชนะไป๋อวี่เฮ่อได้ หวังเพียงแค่
ว่าเพลงกระบี่ของไป๋อวี่เฮ่อจะร้ายกาจอย่างที่คิด
เพราะมีเพียงแบบนี้เท่านั้น ไป๋อวี่เฮ่อถึงจะได้เป็นไป
ตามที่คิด ไม่ลงมือทาร้ายตัวเขา
บรรยากาศเย็นยะเยือกแบบนี้ทาให้หยางหนิงรู้สึก
เคร่งเครียด
ทันใดนั้นเองเขารู้สึกว่าสัมผัสกระบี่มันหายไป หยาง
หนิงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว
เขามองไปทางไป๋อวี่เฮ่อ เห็นไป๋อวี่เฮ่อยืนอยู่เฉยๆ
ไม่ขยับ แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทาอะไรกันแน่
หยางหนิงเดินเคลื่อนไหวหมดไปแล้วรอบหนึ่ง เขา
เริ่มเดินรอบใหม่อีกครั้ง เมื่อเขาเดินรอบใหม่มันก็
เริ่มชานาญมากขึ้น เดินคล่องตัวไหลลื่นเหมือน
สายน้า แต่ว่าก้าวสุดท้ายมันคือการเริ่มต้นของการ
เดินรอบใหม่อีกครั้ง พละกาลังของหยางหนิง
สามารถให้เขาเดินได้หลายรอบ แต่ทุกครั้งที่เริ่มรอบ
ใหม่มันมีความช้าลงไปเล็กน้อย
ในตอนนี้เอง ไป๋อวี่เฮ่อก็ลืมตาขึ้นมาจากนั้นก็พุ่งตัว
เข้าใส่หยางหนิงราวกับลูกธนู กระบี่กับตัวเขาตรง
เป็นแนวเดียวกัน พุ่งเข้าหาหยางหนิง
ก้าวนี้ของหยางหนิงช้าไปเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ว่ามี
แสงกระบี่สะท้อนการเคลื่อนไหว ถึงแม้กระบี่จะยัง
มาไม่ถึงตัว แต่ด้วยความที่กระบี่อูเหยานั้นมีไอเย็น
รอบกระบี่อยู่แล้ว มันทาให้ไอเย็นนั้นซึมเข้าสู่
ร่างกาย
หยางหนิงตกใจ คิดไม่ถึงว่าไป๋อวี่เฮ่ออยู่ๆ จะลงมือ
กระทันหัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะลงมือได้อย่างรวดเร็ว
แบบนี้
เขาพลันอึ้งไป จากนั้นก็รีบถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว
เขาเกิดสะดุดกับอะไรบางอย่าง แล้วก็เอนตัวล้มลง
สายตาของไป๋อวี่เฮ่อเฉียบคม เขาบีบให้หยางหนิง
ล้มลง แต่ก็ยังไม่เก็บกระบี่ ปลายกระบี่ถูกกดลงไป
ทางหยางหนิง พยายามพุ่งแทงใส่หยางหนิง
หยางหนิงเห็นกระบี่พุ่งเข้าหา สีหน้าพลันถอดสี
แอบคิดในใจว่าตาบ้านี่คิดจะไม่รักษาคาพูดแล้ว
ตอนนี้เขาก็ไม่ได้สนใจว่าไป๋อวี่เฮ่อจะหยุดหรือไม่
เขาหลับตาลง แล้วยกมือขวาขึ้นมา กวาดกระบี่ผีหลู
ในมือออกไป เป็นกระบวนท่าที่ประหลาด
ในตอนนี้เองก็ ได้ยินเสียงร้องตกใจดังขึ้น หยางหนิง
คิดในใจว่าตัวเองตายแน่แล้ว ในใจก็นึกเกลียดหลวง
จีนของวัดต้ากวงหมิงยิ่งนัก ต่อให้เขาต้องตายไป ก็
จะต้องแก้แค้นให้ได้
ทันใดนั้นเองเขารู้สึกว่าทุกอย่างเงียบลงไป จากนั้นก็
ตามมาด้วยเสียง “กริ๊ง” เหมือนมีอะไรหล่นลงบน
พื้น หลังจากนั้นก็เงียบไปอีก เงียบจนน่ากลัว
หรือว่าเขาตายแล้วจริงๆ เหตุใดไม่ได้ยินเสียงอะไร
เลย?
แต่ว่าเหตุใดที่หน้าอกของเขาถึงไม่มีความเจ็บปวด
อะไรเล่า?
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พบว่ายังคงอยู่ในตาหนัก
กวงหมิงอยู่ ภายในตาหนักยังคงสว่างไสว เขาเห็นว่า
ตัวเขายกมือขวาที่ถือกระบี่ขึ้น ข้อมือมันปัดออกไป
ทางด้านขวามือ ปลายกระบี่ผีหลูพุ่งตรงไปทาง
ด้านขวา
เขากวาดสายตาออกไป เห็นไป๋อวี่เฮ่อยืนอยู่ห่างจาก
เขาไม่ไกล มือกระบี่คนนี้ยืนหน้าซีดอยู่ ตัวแข็ง เขา
ยกมือขวาของเขาขึ้นมา นิ้วมือของเขาดูเกร็ง กระบี่
อูเหยาไม่ได้อยู่ในมือของเขาแล้ว ที่น่าตกใจยิ่งกว่า
คือ ในมือของไป๋อวี่เฮ่อเหมือนจะมีเลือดไหลออกมา
หยางหนิงก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขายกมือขึ้นแล้ว
จับไปที่หน้าอกของตัวเอง ปลอดภัยไม่มีอะไร
กระบวนท่าเมื่อครู่ของไป๋อวี่เฮ่อไม่ได้แทงถูกเขา
หยางหนิงถึงได้ถอนหายใจ เขาลุกขึ้นนั่ง มองไปที่
ซ้ายขวา เห็นคนในตาหนักทุกคนต่างมองมาที่ตัวเขา
น่าจะมีกว่าร้อยคน สีหน้าเหมือนกันทุกคน แม้แต่
ชื่อตันเหมยเองก็มีสีหน้าตะลึง ตัวแข็งเหมือนกัน
เหมือนกับว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
หยางหนิงขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเหมือนจะนึกอะไร
ขึ้นมาได้ เขามองไปที่พื้น เห็นกระบี่อูเหยาตกอยู่ที่
พื้น ห่างจากตัวของไป๋อวี่เฮ่อประมาณสี่ห้าก้าว
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
หยางหนิงลุกขึ้นยืน ร่างกายรู้สึกหนาวยะเยือก
ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า ตัวเองเหงื่อไหลพราก เหงื่อมันเยอะ
จนทะลุเสื้อออกมา
“เกิด...เกิดอะไรขึ้น?” หยางหนิงกวาดสายตาไป
แล้วก็พูดขึ้นว่า “พวกเจ้า...พวกเจ้าเป็นอะไรกันไป
หมด?” เขามองไปที่ไป๋อวี่เห้อ กาลังจะเอ่ยปากถาม
ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก เขาพูดว่า “กระบี่
ในมือเจ้า...ข้าเป็นคนทาให้มันปลิวไปหรือ?”
ตอนนี้เลือดที่มือของไป๋อวี่เฮ่อยังคงไหลไม่หยุด
ไป๋อวี่เฮ่อไม่มีทางทาร้ายตัวเองแน่ๆ หากไม่ได้มียอด
ฝีมือแอบช่วย แสดงว่าตัวเขาออกกระบี่มั่วๆ แต่ดัน
ไปโดนไป๋อวี่เฮ่อแน่ๆ
แต่ว่ามันก็ยากที่จะเชื่อจริงๆ
ไป๋อวี่เฮ่อเป็นมือกระบี่ แต่ตัวเขาไม่เคยจับกระบี่มา
ก่อนเลย จะเอาชนะไป๋อวี่เฮ่อในกระบวนท่าเดียวได้
อย่างไรกัน?
ไป๋อวี่เฮ่อค่อยๆ เก็บมือกลับไป เขาไม่ได้สนใจเลือด
ที่ไหลออกมา แล้วมองไปที่กระบี่อูเหยา แล้วมองมา
ที่หยางหนิง แล้วพูดว่า “วันนี้เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่
ได้รับการชี้แนะจากท่าน เพลงกระบี่ของท่านมัน
เยี่ยมยอดเหนือใคร ถือได้ว่าไร้เทียมทานนัก ไป๋อวี่
เฮ่อยอมแพ้อย่างเต็มใจ”
“ท่าน...ท่านไป๋ ช้าก่อน เจ้า...เจ้าว่าอะไรนะ?”
หยางหนิงตาโต “เจ้าบอกว่า...ว่าเจ้าแพ้แล้วอย่าง
นั้นหรือ?”
ไป๋อวี่เฮ่อถอนหายใจแล้วพูดว่า “วันนี้ข้าถึงได้รู้ว่า
ศาสตร์ของกระบี่หลักของมันก็คือการเข้าถึง ท่าน
อายุยังไม่เต็มยี่สิบ แต่ฝีมือเทียบเท่าคนที่เป็น
ปรมาจารย์ ข้ายังห่างชั้นนัก”
นี่เจ้ากาลังล้อข้าเล่นอยู่หรือไม่?
แต่ว่าน้าเสียงและคาพูดของไป๋อวี่เฮ่อไม่ได้มีความ
ประชดประชันเลย อม่แต่น้อย อีกทั้งยังฟังดูชื่นชม
และนับถือมากๆ เขาตั้งตัวแทบไม่ทัน ไม่อยากเชื่อ
ว่าตัวเองเอาชนะมือกระบี่ได้
ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อเก็บซ่อน
ตัวตนไว้ สุดท้ายใช้แค่กระบวนท่าเดียวก็เอาชนะได้
แล้ว ในเมื่อศิษย์พี่ยอมแพ้แล้ว พวกเราก็จะทาตาม
สัญญาที่ตกลงกันไว้ ตั้งแต่นี้ต่อไป ศิษย์ของเกาะ
ไป๋อวิ๋นจะไม่มาเหยียบวัดต้ากวงหมิงอีก” นางหัน
หน้าไปพูดกับจิ้งคงว่า “ไต้ซือจิ้งคง วันนี้รบกวนแล้ว
การประลองยุติแค่นี้ แพ้ชนะเห็นกันอยู่ ต่อไปหาก
ศิษย์ของเกาะไป๋อวิ๋นมีโอกาสได้พบหลวงจีนของวัด
ท่าน พวกเราจะทาความเคารพนอบน้อมแน่นอน”
คนที่อยู่ในตาหนักยังไม่ได้สติคืนมา จิ้งคงพูดว่า “อา
มิตตาพุทธ ศิษย์ของเกาะไป๋อวิ๋นยึดถือสัจจะ แสดง
ว่าท่านเจ้าสานักเกาะเองก็เป็นคนที่น่านับถือ หลวง
จีนในวัดของพวกเราลงเขาน้อยมาก แต่หากว่า
ต่อไปบังเอิญได้เจอพวกท่านอีก ก็จะต้องปฏิบัติต่อ
กันด้วยความมีเมตตา”
ชื่อตันเหมยยิ้มอย่างอ่อนโยน หันหลังส่งสายตา ชาย
ฉกรรจ์คนหนึ่งรีบเดินมาเก็บกระบี่อูเหยาขึ้นมา แล้ว
เก็บเข้าฝักไป แล้วยื่นให้กับไป๋อวี่เฮ่อ
ไป๋อวี่เฮ่อขมวดคิ้ว แล้วส่ายหัว “มือขวาบาดเจ็บใช้
การไม่ได้แล้ว ต่อไปข้าจะไม่แตะต้องกระบี่อีก”
จากนั้นก็พยักหน้าให้กับหยางหนิง แต่ก็ไม่รับกระบี่
เล่มนั้น จากนั้นก็เดินจากไป
หยางหนิงได้สติกลับมา รู้ว่ามือของไปอวี่เฮ่อเขาเป็น
คนทาให้บาดเจ็บ สาหรับมือกระบี่แล้ว มือบาดเจ็บ
ต่อให้รักษาหายแล้วก็ไม่สามารถใช้งานได้
เหมือนเดิม เพราะมันส่งผลต่อการใช้กระบี่ ส่วนการ
ประลองของยอดฝีมือ ก็มักจะตัดสินแพ้ชนะกันแค่
เสี้ยววินาที
วันนี้ไป๋อวี่เฮ่อพ่ายแพ้ ทาให้ความมั่นใจของเขาหมด
สิ้น
ตอนแรกหยางหนิงไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับไป๋อวี่เฮ่อ
มากมาย แต่ว่าหลังจากเห็นเขาพ่ายแพ้ เขายอมแพ้
อย่างเต็มใจแบบนี้ แล้วเขาก็ไม่ได้ติดใจเอาความ
เรื่องที่เขาบาดเจ็บด้วย อย่างน้อยในหนทางของวิถี
มือกระบี่ ไป๋อวี่เฮ่อก็ถือว่าเป็นลูกผู้ชายพอ เขาก็ชื่น
ชมเพิ่มขึ้นไม่น้อย เห็นไป๋อวี่เฮ่อหันตัวแล้วเดินไป
เขาก็รีบห้ามไว้ “ท่านไป๋ ช้าก่อน”
ไป๋อวี่เฮ่อหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันหลังกลับมา แล้วถาม
ว่า “ท่านยังมีอะไรชี้แนะหรือ?”
“เจ้าบอกว่าชาตินี้จะไม่จับกระบี่อีกหรือ?” หยาง
หนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “มันเกินไปหรือไม่ วันนี้ข้า
ไม่ดีเอง ไม่ได้คุมมือของตัวเองให้ดีพอ ทาให้เจ้า
บาดเจ็บ ข้าต้อขออภัยเจ้าด้วย แต่ว่า...แต่ว่าเจ้าฝึก
วิชากระบี่มาตั้งหลายปี มีความสามารถอย่างวันนี้ได้
มันไม่ง่ายเลยนะ แล้วจะมาทิ้งง่ายๆ แบบนี้ได้
อย่างไร?”
ไป๋อวี่เฮ่อไม่ได้พูดอะไร
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้ามองออก ว่า
เจ้าชื่นชอบวิชากระบี่มากแค่ไหน การชอบอะไรสัก
อย่างถึงขึ้นพร้อมจะสละเลือดเนื้อของตัวเอง อดทน
จนถึงที่สุด มันไม่ง่ายเลยนะ” จากนั้นก็ถามว่า “ข้า
ขอถามเจ้า เจ้าฝึกกระบี่เพื่ออะไรกัน?”
“เพื่ออะไรรึ?” ไป๋อวี่เฮ่ออึ้งไป แล้วหันกลับมา
มองหยางหนิง แล้วพูดว่า “ฝึกกระบี่ก็เพื่อให้ไปถึง
ที่สุดของกระบี่ ชิงความเป็นหนึ่งในใต้หล้า”
หยางหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “เจ้าผิดแล้ว หากว่าเจ้า
ใช้ความคิดแบบนี้เพื่อฝึกกระบี่ ข้าว่าเจ้าไม่มีทางไป
ถึงจุดที่เจ้าต้องการหรอก แล้วอะไรคือการช่วงชิง
ความเป็นหนึ่งเล่า? เป้าหมายในการฝึกกระบี่ ข้าว่า
ไม่ใช่การเอาชนะคู่ต่อสู้หรอกนะ”
ไป๋อวี่เฮ่อสีหน้าจริงจังขึ้นมา เลือดในมือของเขายัง
ไหลไม่หยุด แต่ไม่รู้เหตุใดเขาถึงได้ยกมือสองข้าง
ของเขาขึ้นมาคานับ “ได้โปรดชี้แนะด้วย”
หยางหนิงคิดในใจว่าข้าจะไปรู้อะไรเล่า จะไปชี้แนะ
อะไรเจ้าได้ ก็แค่คิดว่าตัวเองทาให้เขาต้องบาดเจ็บ
แค่ไม่อยากทาให้อุดมการณ์ของคนๆ หนึ่งต้อง
พังทลาย เขาเลยพูดว่า “ข้ายกตัวอย่างง่ายๆ แล้ว
กัน ก็เหมือนคนที่เรียนหนังสือ หากพวกเขาเรียน
เพื่อให้เหนือกว่าคนอื่น การอ่านหนังสือของพวกเขา
ก็จะเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมาน แต่หากว่าพวกเขาอ่าน
เขียนเพื่อความสุขของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็
จะค้นพบสิ่งที่พวกเขาตามหา เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ไป๋อวี่เฮ่อหลับตาแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็
โค้งคานับให้ สายตาของเขาเป็นประกายขึ้นมา แล้ว
พูดว่า “ทราบแล้ว” จากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไป
อีกครั้ง หลังจากเขาเดินไปไม่กี่ก้าว เขาก็หันมาถาม
ว่า “ข้ามีหนึ่งคาถาม อยากจะขอคาชี้แนะจาก
ท่าน?”
“คาถามอะไร?”
เพลงกระบี่เมื่อครู่ ใช่...ใช่ท่านนั้นเป็นคนถ่ายทอดให้
หรือไม่? “ไป๋อวี่เฮ่อพูดว่า” หากท่านนั้นเป็นคน
ถ่ายทอดให้ การพ่ายแพ้ภายใต้เพลงกระบี่กระบวน
ท่านั้น ถือเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิต"
“ท่านนั้น?” หยางหนิงอึ้งไป รู้สึกจับต้นชนปลายไม่
ถูก ทาได้แค่ยิ้มว่า “จริงๆ แม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าชนะ
มาได้อย่างไร ก็เหมือนกับแค่...แค่ออกกระบวนท่า
ไปมั่วๆ”
ไป๋อวี่เฮ่อพยักหน้าเบาๆ ไม่พูดอะไรมากความ หัน
หลังแล้วเดินจากไป ไม่หันหลังกลับมาอีก
ชื่อตันเหมยยิ้ม และชายฉกรรจ์สี่คนเดินตามหลังไป
ขณะที่เดินผ่านหยางหนิง ก็หันไปหาหยางหนิง แล้ว
เข้าไปใกล้ๆ กลิ่นหอมจากกายนางโชยเข้าจมูก แล้ว
พูดเสียงเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อไปหอนางโลมบ่อยหรือ?
พวกนางฉีกเสื้อผ้าได้น่าดูกว่าข้าอย่างนั้นหรือ?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 137 เทพกระบี่
ตอนนี้หยางหนิงอยู่ในระยะประชิดตัวกับชื่อตัน
เหมยมาก กลิ่นกายอันหอมเย้ายวนของชื่อตันเหมย
โชยเข้าจมูกของเขา มันทําให้ใครที่ได้กลิ่นต้อง
เคลิบเคลิ้ม ผู้หญิงคนนี้ผิวขาวราวกับหิมะ เธอยิ้ม
ให้กับหยางหนิง หยางหนิงเหลือบตาไปมอง ในใจก็
แอบคิดว่ารูปร่างแบบนี้มันช่างเร่าร้อนเหลือเกิน เขา
พูดขึ้นมาว่า “เจ้าอยากจะเทียบกับพวกนางหรือ?
ง่ายนิดเดียว สักวันข้าจะพาเจ้าไปดู ให้เจ้าลองเทียบ
กับพวกนาง”
“อ๋อ?” ชื่อตันเหมยยิ้ม แล้วพูดด้วยน้ําเสียงนุ่มนวล
ว่า “เจ้ารับปากข้าแล้วนะ วันไหนข้ามีเวลา ข้าจะไป
หาเจ้า”
หยางหนิงถึงรู้สึกตัวว่าตัวเองเผลอพลั้งปากไปแล้ว
เขาคิดว่าถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะมีรูปร่างเร่าร้อนแค่ไหน
ก็ตาม แต่ว่าวรยุทธ์ของนางก็ไม่ธรรมดา อีกทั้งยัง
เป็นคนตงฉี มาใกล้ชิดตัวเขาแบบนี้ ไม่เป็นผลดี
เท่าไหร่ ไม่แน่อาจจะทําให้เขาเดือดร้อนก็ได้
ชื่อตันเหมยยิ้ม ไม่พูดอะไรมาก หันตัวแล้วเดินจาก
ไป ชายฉกรรจ์สี่คนก็เดินตามไปด้วย
เมื่อเห็นศิษย์เกาะไป๋อวิ๋นเดินจากไปไกลแล้ว หลวง
จีนในตําหนักก็ต่างโล่งอกโล่งใจ คิดว่าหาก
หยางหนิงไม่ชนะครานี้ ตําหนักจิ้งซินเก๋อก็จะ
กลายเป็นสถานที่ที่ใครก็สามารถเข้าออกได้ ภายใน
ใจพวกเขาก็รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา แต่ไม่ว่า
อย่างไรก็ตาม หยางหนิงก็ทําคุณประโยชน์ให้กับ
วัดต้ากวงหมิง หลวงจีนหลายคนก็เริ่มมองหยางหนิง
ใหม่อีกครั้ง
แต่ว่าบางคนก็ยังคิดอยู่ว่า หยางหนิงเอาชนะไป๋อวี่
เฮ่อในกระบวนท่าเดียวได้อย่างไร ตอนนี้หลายคน
ยังคิดไม่ออกเลย
เจ้าหน้าที่กรมพิธีการซูลั่วที่อยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จามา
ตลอดตอนนี้ก็โผล่ออกมา “ไต้ซือจิ้งคง วันนี้
อันตรายมาก ยังดีว่าทางวัดออกหน้าช่วยเหลือ ทํา
ให้พวกเขายอมเลิกรากลับไป”
จิ้งเหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ใต้เท้าซู สถานการณ์
ในวันนี้ อันตรายมากจริงๆ เกาะไป๋อวิ๋นแอบคิดไม่
ซื่อ ท่านไม่ควรพาพวกเขามาที่นี่เลยตั้งแต่แรก”
เขาพูดจาก็ไม่ไดเกรงใจเท่าไหร่ ถึงแม้ซูลั่วจะเป็น
เจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการ ขุนนางราชสํานัก แต่
น้ําเสียงของจิ้งเหนิงก็ไม่ได้มีความเกรงกลัวเขาแต่
อย่างใด
ซูลั่วยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้ซือท่านอาจจะไม่รู้ ตอนนี้
ท่านจงอี้เหล่าโหวสําเร็จราชการแทนชั่วคราว ต้าฉู่
ของพวกเรามีเป้าหมายในการเจริญสัมพันธไมตรีกับ
ชาวตงฉี ครั้งนี้พวกเขาส่งคณะทูตมา ก็ถือว่าเป็น
นิมิตหมายอันดี ท่านเจ้าสํานักเกาะไป๋อวิ๋นตอนนี้
เป็นถึงราชครูของตงฉี ศิษย์ของพวกเขาติดตาม
คณะทูตมา พวกเราเองก็ไม่กล้าเสียมารยาท พวก
เขาส่งคนแจ้งมาทางราชสํานักหลายครั้งว่าให้พา
พวกเขามาที่วัดต้ากวงหมิง ท่านเหล่าโหวเองก็
พิจารณาอยู่นาน สุดท้ายจึงสั่งให้ข้าน้อยพาพวกเขา
มาที่นี่ เพราะท่านเหล่าโหวคิดว่าทางวัดต้ากวงหมิง
น่าจะสามารถทําให้พวกเขากลับไปได้”
จิ้งเหนิงยังคิดจะพูดอีก จิ้งคงพูดขึ้นมาก่อนว่า
“ศิษย์คนอื่นๆ กลับไปที่ของตนซะ ส่วนที่ตําหนักจิ้ง
ซินเก๋อ จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด กลับไปกันก่อน
เถอะ”
หลวงจีนทั้งหมดยกมือคํานักปลกๆ แล้วทยอยกัน
ออกไป ในมือของหยางหนิงยังถือกระบี่เล่มนั้น
เอาไว้อยู่ กําลังคิดว่าจะเอาไปคืนให้แล้วค่อยไป
แต่จิ้งคงกลับพูดขึ้นมาว่า “ฉีหนิง เจ้าอยู่ก่อน”
หยางหนิงพลันตะลึงอึ้งไป จากนั้นก็พยักหน้า
หลวงจีนทุกคน รวมไปถึงหลวงจีนน้อยเจินหมิงด้วย
ต่างทยอยออกไปจนหมด
“ใต้เท้าซู หากแคว้นฉู่ประสบความลําบาก
วัดต้ากวงหมิงของพวกเราจะช่วยเหลืออย่าง
แน่นอน” หลังจากเห็นหลวงจีนออกไปจนหมดแล้ว
จิ้งเหนิงก็พูดขึ้นมาอีกว่า “แต่ว่าคราวนี้รับปากคํา
ขอของศิษย์เกาะไป๋อวิ๋น แล้วพาพวกเขาขึ้นเขามา
ง่ายๆ เช่นนี้ มันไม่เหมาะสมเท่าไหร่ อาตมาหวังว่า
ต่อไปจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก”
หยางหนิงได้ยินดังนั้น แอบคิดในใจว่าวัดต้ากวงหมิง
นี่ก็ร้ายกาจจริงๆ ตามหลักแล้ว วัดต้ากวงหมิงเป็น
เพียงวัดแห่งหนึ่ง ราชสํานักกลับพาคนมาที่นี่ จิ้งเห
นิงกลับพูดจาไม่ไว้หน้า เขาเป็นแค่หัวหน้าหอศีล
ไม่ใช่เจ้าอาวาส
ซูลั่วไม่ได้มีท่าทางไม่พอใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “นอกจาก
ศิษย์ของท่านเจ้าสํานักเกาะไป๋อวิ๋นแล้ว คิดว่าไม่น่า
มีใครกล้าขอแบบนี้อีก” เขาเดินเข้าไปแล้วพูดว่า
“ไต้ซือทั้งสอง ข้าน้อยมาครั้งนี้ ยังมีอีกที่เรื่องสําคัญ
จะต้องแจ้งให้ทางวัดได้เตรียมการเอาไว้”
“เรื่องอะไร?”
“ฝ่าบาทสวรรคต นํามาซึ่งความโศกเศร้าอาลัยแก่
พสกนิกรทั่วทั้งแคว้นแต่ว่าแคว้นจะไม่มีเจ้าเหนือหัว
มิได้ หลังจากเสร็จงานราชพิธีศพแล้วรัชทายาทก็จะ
ขึ้นครองราชย์ทันที ถึงเวลานั้นจะต้องขึ้นเขามาทํา
พิธีบูชาฟ้า” ซูลั่วพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ขั้นตอน
และพิธีการมีมากจะผิดพลาดไม่ได้ ถึงเวลาขอให้
ทางวัดให้การสนับสนุนกับทางกรมพิธีการด้วย ถึง
เวลาทางกรมพิธีการจะส่งเจ้าหน้าที่มาล่วงหน้า เพื่อ
แจ้งรายละเอียดให้ทางวัดทราบอีกครั้ง”
จิ้งคงมองหน้ากับทางจิ้งเหนิง พนมมือแล้วพูดว่า
“อามิตตาพุทธ” สีหน้าของทั้งคู่ เปี่ยมไปด้วย
รอยยิ้ม
หยางหนิงได้ยินอยู่ชัดเจน ร่างกายก็สั่นเล็กน้อย
แอบคิดในใจว่าก่อนหน้านี้รัชทายาทไปเป็น
ตัวแทนต้าฉู่ไปยังตงฉี หากยังไม่ย้อนกลับมาที่เมือง
เจี้ยนเยี่ย ดูท่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายเช่นั้น ที่แท้รัชทายาท
ก็กลับมาที่เมืองหลวงแล้ว และตอนนี้กําลังเตรียมตัว
ขึ้นครองราชย์
เขารู้ว่าราชสํานักต้องแอบกระทําการพวกนี้อยู่ ก็
เพื่อป้องกันไหวหนานอ๋อง คนในราชสํานักที่
สนับสนุนไหวหนานอ๋องมีไม่น้อย เวลาแบบนี้ มัน
เป็นสถานการณ์ที่อันตรายมาก
สมัยโบราณพี่น้องเข่นฆ่าชิงบัลลังก์มีนับไม่ถ้วน พี่
น้องฆ่ากันเอง พ่อลูกฆ่ากันเอง มีมากมายให้เห็น
หยางหนิงยังแอบกังวลอยู่ว่า หากไหวหนานอ๋อง
ฉวยโอกาสชิงบัลลังก์ ไม่ว่าสุดท้ายใครจะชนะ
หนานฉู่เองก็จะต้องเผชิญกับพายุลูกใหญ่อย่าง
หลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
ตอนนี้ได้ยินว่ารัชทายาทเตรียมจะนั่งบัลลังก์แล้ว ดู
ท่าสิ่งที่เขากังวลเกินไป ตําแหน่งฮ่องเต้ว่างหนึ่งวัน
ก็จะอันตรายมากขึ้นอีกวัน
จวนจิ่นอีโหวกับรัชทายาทมีความเกี่ยวเนื่องกัน
ดังนั้นหากรัชทายาทสามารถนั่งบัลลังก์อย่างราบรื่น
ก็เป็นผลดีต่อจวนจิ่นอีโหว
“ไต้เท้าซูท่านกลับไปรายงานท่านจงอี้เหล่าโหวได้
เลย วัดต้ากวงหมิงจะเริ่มเตรียมการราชพิธีบูชาฟ้า
ตั้งแต่วันนี้เลย” จิ้งคงพูดด้วยความจริงจังว่า “ทาง
วัดยินดีต้อนรับฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์”
ซูลั่วยกมือขึ้นคํานับปลกๆ แล้วพูดว่า “ข้าน้อยไม่
กล้ารบกวน อีกสองวันค่อยมาเยือนใหม่” จากนั้น
เขาก็ลาออกไป
หลังจากซูลั่วออกไป จิ้งคงถึงพูดกับหยางหนิงว่า “
ฉีหนิง เจ้าเข้ามานี่ซิ”
ก่อนเจินหมิงจะจากไป ได้เอาฝักกระบี่มาให้หยางห
นิงแล้ว หยางหนิงเก็บกระบี่เข้าฝัก แล้วยื่นกระบี่ผี
หลูแล้วเดินเข้าไป แล้วใช้สองมือยื่นออกไป “ไต้ซื
อจิ้งคง ขอบคุณที่ให้ข้ายืมกระบี่”
จิ้งคงไม่ได้รีบรับกระบี่ผีหลูคืนมา จากนั้นก็ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ฉีหนิง อาตมามากกว่าที่ต้องขอบใจเจ้า
หากไม่ใช่เพราะเจ้ายอมออกหน้าเอาชนะไป๋อวี่เฮ่อ
ข้าไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย” เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “เจ้าคงโกรธอาตมามากใช่หรือไม่ที่ให้เจ้าออกไป
ประลองกระบี่?”
หยางหนิงแอบคิดในใจว่าเขาก็รู้นี่นา แต่ก็ยังยิ้มแล้ว
พูดว่า “มิกล้า”
“ฉีหนิง เพลงกระบี่ของเจ้าเมื่อครู่ เจ้าทําได้
อย่างไร?” จิ้งเหนิงถามขึ้นมา “เพลงกระบี่ของไป๋อวี่
เฮ่อร้ายกาจ เจ้าเอาชนะเขาในกระบวนท่าเดียวได้
อย่างไรกัน?”
ที่แท้หลวงจีนอาวุโสเองก็เห็นไม่ชัดเหมือนกัน
หยางหนิงนึกย้อนกลับไปถึงสถานการณ์ในตอนนั้น
ทันใดนั้นเหมือนเขาจะเข้าใจอะไรขึ้นมา เขาอ้าปาก
จะพูด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เขาจําได้ว่า ช่วงวินาทีความเป็นความตายนั้น เขา
นอนอยู่ และมือของเขาออกกระบวนท่าออกไป โดย
ไม่มีปี่มีขลุ่ย
แต่ว่าตอนนี้เขานึกออกแล้วว่า ท่านั้นมันเป็นท่าที่
เลียนแบบภาพในกระดาษในเรือนผีสิงที่จวนเก่า
เจียงหลิง เขาได้ภาพเคล็ดวิชาพวกนี้มาโดยบังเอิญ
แล้วเคยลองทําดูแล้ว
เพราะกระบวนท่าเหล่านั้นมันแปลกประหลาด ไม่
เหมือนเพลงกระบี่ทั่วไป
หนึ่งในกระบวนท่านั้นคือท่าที่นอนลง ภาพใน
กระบวนท่ามันมีมากมายนัก หยางหนิงไม่สามารถ
จําได้หมด แต่ว่าท่านอนมันเป็นหนึ่งในท่าที่เขาลอง
ทํา ถือว่าจําได้ค่อนข้างแม่นยํา วันนี้ตอนที่ทําการ
ประลอง ก็ไม่ได้คิดเลยว่าจะใช้กระบวนท่าใน
ภาพวาดพวกนั้นมาใช้ เพราะไป๋อวี่เฮ่อนั้นเป็นยอด
ฝีมือกระบี่ นํากระบวนท่าในภาพมาใช้กับแขกที่มา
เยือนเช่นนี้ มันเหมือนการเล่นแบบเด็กๆ ไปหน่อย
แต่ว่าหลังจากที่เขาล้มลง ด้วยความร้อนใจ จึงใช้มัน
ออกไป แต่ว่ามันจะถูกหรือผิดนั้นเขาเองก็ไม่รู้ เขา
ไม่มีทางคิดได้ว่า กระบวนท่าที่เขาใช้นั้น มันจะทํา
ให้ไป๋อวี่เฮ่อได้รับบาดเจ็บ
หลังจากได้สติคืนมา เขาเองก็ไม่ได้ดีใจ อีกทั้งยัง
ตกใจอีกต่างหาก แอบคิดในใจว่าเคล็ดวิชากระบี่นั้น
มันร้ายกาจมาก แม้แต่ยอดฝีมืออย่างไป๋อวี่เฮ่อก็แพ้
ได้ในกระบวนท่าเดียว
จิ้งเหนิงเห็นหยางหนิงเงียบไป เขาก็ไม่รู้ว่าเขากําลัง
คิดอะไรอยู่ เห็นเขาขมวดคิ้ว คิดว่าเขาไม่อยากจะ
ตอบ จึงไม่อยากถามอีก
จิ้งคงพูดว่า “ฉีหนิง ถึงแม้เจ้าจะยังไม่โกนผม แต่ว่า
ก็ถือเป็นศิษย์ของวัด ไม่รู้ว่าอยากจะเข้าตําหนักคงห
มิงหรือไม่?”
จิ้งเหนิงมองไปที่จิ้งคง แล้วไม่ได้พูดอะไร
หยางหนิงปวดหัวขึ้นมาทันทีแล้วตอบกลับไปว่า
“ไต้ซือ ข้า...เฮ้อ ข้าไม่มีวาสนากับทางธรรม แล้วก็
ไม่เคยคิดจะออกบวช พวกท่านคงไม่บังคับให้ข้า
ออกบวชหรอกใช่หรือไม่?” แอบคิดในใจว่าท่านให้
เขาเข้าตําหนักคงหมิง เป้าหมายก็คือให้ข้าเป็นพระ
ข้าไม่สนหรอกว่าจะเป็นอะไรที่ไหน ข้าข้ามเวลามา
ที่นี่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีทางมาเป็นหลวงจีนแบบนี้
แน่นอน
“จริงๆ แล้วการที่เจ้าอยู่ที่วัดต้ากวงหมิง ก็มีแต่
ประโยชน์ไม่มีโทษต่อเจ้าเลยนะ” จิ้งคงยังคงพูดต่อ
ว่า “ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ฝึกยุทธ์ให้ร่างกายได้
แข็งแรง”
หยางหนิงพูดแทรกขึ้นมาว่า “ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ไต้
ซือ ตอนนี้ก็ค่ํามากแล้ว เห็นแก่ที่ข้าช่วยพวกท่าน
ประลองยุทธ์จนชนะ ท่านปล่อยข้ากลับไปเถอะ ให้
ข้าได้กลับไปพักผ่อนได้หรือไม่? พวกท่านก็บอกเอง
ว่า จะมีคนมาบวชแทนข้าไม่ใช่หรือ? เขาจะมา
เมื่อไหร่? ถ้าเขามาแล้วข้าก็ลงเขาไปได้เลยใช่
หรือไม่? พวกท่านลองส่งคนไปตามดูดีหรือไม่ ข้ายัง
มีเรื่องอีกมากที่ต้องทํา อยู่ที่นี่นานไม่ได้”
จิ้งเหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
หยางหนิงคิดในใจว่าที่หออู๋กู่วันนี้ เจ้ายังจะพาข้าไป
ที่หอศีลอยู่เลยไม่ใช่หรือ? ข้าช่วยเจ้ารอดพ้น
อันตราย พวกเจ้ายังกล้ามีเรื่องกับข้าหรือ
เขาวางกระบี่ผีหลูไว้ที่พื้น บิดขี้เกียจ แล้วพูดว่า “ไต้
ซือทั้งสองราตรีสวัสดิ์ ข้าขอไปพักก่อน” จากนั้นเขา
ก็หันหลังแล้วเดินไป เมื่อเดินไปไม่กี่ก้าว ก็เหมือน
คิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วพูดว่า “ไต้ซือจิ้งคง ข้าขอพูด
อะไรหน่อยได้หรือไม่?”
“เจ้าพูดมาเถอะ”
หยางหนิงพูดว่า “คืออย่างนั้น ข้าว่าคนของหออู๋กู่
นิสัยแย่มาก พวกท่านต้องจัดการอย่างจริงจัง หาก
คนในวัดต้ากวงหมิงมีคนหิวตายขึ้นมาจริงๆ หาก
เรื่องนี้แพร่ออกไป มันจะน่าเกลียดมาก” จากนั้น
เขาก็คํานับปลกๆ แล้วพูดว่า “ข้าขอตัวก่อนนะ ทั้ง
สองราตรีสวัสดิ์”
เห็นหยางหนิงเดินออกจากตําหนักไป จิ้งเหนิงก็ถาม
ขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่ เหตุใดถึงไม่ถามหาร่องรอยคนๆ
นั้นจากเขาเล่า?”
“ในเมื่อเขาไม่อยากพูดพวกเราก็ไม่ควรถามมาก”
จิ้งคงสีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “ฉีหนิงตั้งใจซ่อนตัวตน
อยู่แล้ว เขาคิดปิดบังพวกเราแต่แรก หากไม่ใช่ว่าอับ
จนหนทาง เขาไม่มีทางออกหน้าแน่” เขาถอน
หายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าพื้นฐานของฉีหนิงไม่ได้
แน่นมาก เพราะแบบนี้ คนๆ นั้นจึงถ่ายทอด
วิชาการเคลื่อนที่ให้เขา”
จิ้งเหนิงรีบถามต่อว่า “ศิษย์พี่จะบอกว่า วิชาการ
เคลื่อนที่ของฉีหนิงที่พิสดารนั้นก็เป็น...ก็เป็นเขาที่
ถ่ายทอดให้หรือ?”
“นอกจากเขาแล้ว ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว” จิ้งคงพูดว่า
“เพลงกระบี่ของหยางหนิงถึงแม้จะร้ายกาจ แต่ว่า
เขาเหมือนยังไม่คุ้นเคยกับมันมากนัก หากไม่ผิดไป
จากที่คิด เขาน่าจะฝึกได้ไม่นาน ตอนนี้คนผู้นั้น
น่าจะอยู่ในเมืองหลวงแล้ว”
จิ้งเหนิงสีหน้าดูหนักใจ แล้วถามว่า “คนผู้นั้น
อยากจะถ่ายทอดวิชาของเขาทั้งหมดให้ฉีหนิง
หรือ?”
“ก็ไม่แน่ อาจจะถ่ายทอดให้ไม่กี่กระบวนท่า
เพื่อให้หยางหนิงไว้ป้องกันตัว” จิ้งคงเหมือนกําลัง
คิดอะไรอยู่ แล้วค่อยๆ พูดว่า “ต่อให้เขาตั้งใจ
ถ่ายทอดให้จริงๆ ฉีหนิงก็ไม่มีทางไปถึงขั้นเขา
แน่นอน เขาคนนั้นเลยจุดปรมาจารย์ไปมากแล้ว
แทบจะกลายเป็นปีศาจไปแล้ว ไม่ใช่ใครที่ไหนจะ
เทียบได้” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพลงกระบี่
ของไป๋อวี่เฮ่อ ติดอันดับหนึ่งในห้าของสุดยอดเพลง
กระบี่ เขารู้ที่มาที่ไปของฉีหนิง ดังนั้นจึงเลือกที่จะ
ประลองกับฉีหนิง ที่ทําไปไม่ใช่เพราะฉีหนิงแต่เป็น
เพราะคนที่อยู่ข้างหลังฉีหนิงต่างหาก ไป๋อวี่เฮ่อคิด
อยากจะประลองกระบี่กับคนผู้นั้นมาก แต่ว่าเขาคน
นั้นลงมือเองไม่ได้ จึงอาศัยฉีหนิงออกหน้าแทน
เพียงแค่กระบวนท่าเดียว ก็เอาชนะไป๋อวี่เฮ่อได้แล้ว
แต่ว่าเพลงกระบี่ของคนผู้นั้นมันเกินกว่าคําว่า
ปรมาจารย์เสียอีก อยากทําอะไรก็ทําอย่างนั้น
เทียบได้กับเทพเจ้า ชื่อของเทพกระบี่ สมคําล่ําลือ
จริงๆ”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 138 พ่อครัวหลวง
หยางหนิงออกจากตาหนักกวงหมิง หลวงจีนน้อย
เจินหมิงยังคงรออยู่ด้านนอก อากาศเริ่มเย็นขึ้นมา
ทางเดินก็ไม่ค่อยจะดีนัก แต่ว่าหลวงจีนน้อยเจิน
หมิงชานาญเส้นทางเป็นอย่างดี เขานาทางหยางห
นิงกลับมายังยอดเขาเทียนเป่าซานได้อย่างปลอดภัย
ตลอดทางที่กลับมาหลวงจีนน้อยเจินหมิงไม่ไปริปาก
พูดอะไรเลย
เมื่อเข้ามาในห้อง เขาก็จุดตะเกียง หลวงจีนน้อยเจิน
หมิงถึงได้พูดว่า “ศิษย์น้องหนิง ที่แท้...ที่แท้วรยุทธ์
ของเจ้าก็ร้ายกาจขนาดนี้เลยหรือ ก่อนหน้านี้เจ้า...
เจ้าออมมือให้อาตมาใช่หรือไม่”
สามารถออกหน้าตอนที่วัดต้ากวงหมิงเดือดร้อน
รักษาไม่ให้คนนอกเข้าไปในจิ้งซินเก๋อ สาหรับหลวง
จีนในวัดอย่างเจินหมิงแล้ว ซาบซึ้งแล้วก็ชื่นชมในตัว
ของหยางหนิงยิ่งนัก ส่วนหยางหนิงเองก็สามารถ
เอาชนะไป๋อวี่เฮ่อได้ในกระบวนท่าเดียว ทาให้เจิน
หมิงนั้นยิ่งนับถือ คิดว่าหยางหนิงที่แท้ก็เป็นเสือซ่อน
เล็บนี่เอง
หยางหนิงหัวเราะร่า เขารู้ว่าหลวงจีนน้อยนี่ชื่นชม
อย่างใสซื่อ เขาถามว่า “หลวงจีนน้อย เจ้าเคยได้ยิน
ชื่อของเกาะไป๋อวิ๋นหรือไม่?”
เจินหมิงตอบไปอย่างตรงไปตรงมา “อาจารย์เคย
เล่าให้อาตมาฟังอยู่ แต่ว่าไม่ได้เล่าเยอะเท่าไหร่นัก
อาจารย์บอกว่า ตอนนี้ในยุทธภพคนที่มีวรยุทธ์
ระดับปรมาจารย์นั้นมีไม่มาก เจ้าสานักเกาะไป๋อวิ๋
นคือหนึ่งในนั้น ส่วนท่านเจ้าสานักเกาะนั้นอาศัยอยู่
ที่เกาะไป๋อวิ๋นที่ตงไห่มานานหลายปี ออกจากเกาะก็
น้อยครั้ง...”
“ปรมาจารย์?” หยางหนิงพูดว่า “หมายความว่า
อย่างไร?”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงพูดว่า “ปรมาจารย์คือผู้ที่มีวร
ยุทธ์ล้าเลิศเหนือกว่าคนปกติทั่วไป อาจารย์แอบ
บอกข้าว่า คนพวกนั้นต่อให้หยิบแค่ใบไม้ใบเดียวไว้
ในมือก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้ อาจารย์บอก
ว่าวรยุทธ์ของอาจารย์ลุงเจ้าอาวาสนั้นร้ายกาจมาก
แต่ก็ยังห่างชั้นกับปรมาจารย์อยู่มาก”
“ยังมีอีกกี่คนรึ?” หยางหนิงพูดด้วยความอึ้งตะลึง
งันว่า “เจ้าบอกว่า นอกจากท่านเจ้าสานักเกาะ
ไป๋อวิ๋นแล้ว ยังมี...ยังมีปรมาจารย์คนอื่นอีกหรือ?”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “อาจารย์
บอกว่ามีอีกสามสี่คน นอกจากท่านเจ้าสานักเกาะ
แล้ว ยังมีฝ่าอ๋องแห่งเขาชิงจั่งต้าเสวี่ย ส่วนคนอื่นๆ
นั้นอาจารย์ไม่ได้บอกชื่อ แต่ว่าทั้งหมดล้วนแล้วแต่
เป็นคนที่ร้ายกาจไม่น้อย”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฝ่าอ๋องของเขา
ชิงจั่งต้าเสวี่ยรึ? คนผู้นี้เป็นใครอีกรึ?”
“อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกัน” หลวงจีนน้อยเจินหมิงพูด
ว่า “แต่ว่าเวลาอาจารย์พูดถึงพวกเขา มักจะบอกว่า
คนพวกนี้ไม่ควรเกิดมาบนโลก”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แปลก
อาจารย์ของเจ้าวรยุทธ์เทียบพวกเขาไม่ได้ จึงอิจฉา
หรือ?”
“อามิตตาพุทธ ศิษย์น้องหนิงอย่าได้พูดเช่นนี้”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงรีบพูดอีกว่า “อาจารย์ไม่ได้มี
จิตใจที่อยากจะเอาชนะเลย หลายปีมานี้ อาตมาอยู่
กับอาจารย์มานาน อาจารย์เป็นคนรักสงบ ก็แต่เล่า
เรื่องภายในให้อาตมาฟัง อาจารย์ไม่ค่อยยุ่งเรื่องทาง
โลกมาก เขาบอกว่าคนที่มีวรยุทธ์เกินขีดจากัดของ
ร่างกายมนุษย์ นั่นก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแล้ว แต่
เป็นปีศาจ ปีศาจจะอยู่ร่วมกับมนุษย์ไม่ได้ มันเป็น
ภัยอันตราย”
ในตอนนี้เอง หลวงจีนน้อยเจินหมิงก็ขมวดคิ้ว แล้ว
พูดว่า “มีคนอยู่ข้างนอก!” จากนั้นเขาก็รีบลุกขึ้นมา
หยางหนิงรีบถามว่า “อาจารย์เจ้ากลับมาแล้ว
หรือไม่?”
“หากเป็นอาจารย์ อาตมาไม่มีทางรู้ได้” หลวงจีน
น้อยเจินหมิงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ที่นี่ไม่ค่อยมี
คนมา อาตมาจะออกไปดูหน่อย”
หลังจากที่เขาออกไป หยางหนิงก็ยื่นมือไปในเสื้อ
หน้าอก สีหน้าของเขาเคร่งขรึมมาก
วันนี้ที่ได้หน้าในตาหนักกวงหมิง อย่างไรก็ได้มาจาก
ภาพเคล็ดวิชานั้น หยางหนิงจาได้ว่าหลังจากเขา
จัดเรียงภาพพวกนั้นแล้ว เขาก็เอาติดตัวเอาไว้ตลอด
เมื่อกลับเมืองหลวงแล้ว ยังไม่ได้เอาซ่อนไว้ที่ไหน
เพราะมีเรื่องฉีอวี่สองแม่ลูกขึ้นมาก่อน
หลังจากที่ไล่แม่ลูกฉีอวี่ออกไปแล้ว ก็มีเรื่องกับ
ตระกูลฉีต่อ ยังไม่ทันได้เก็บภาพเคล็ดวิชาเลย
อาการก็มากาเริบเสียก่อน จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกจน
มาถึงวันนี้ถึงได้รู้สึกตัวขึ้น
เขาจาได้ว่าเขาเอาภาพเคล็ดวิชาพวกนั้นเก็บไว้กับ
ตัว หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็อยู่ในห้องแห่งหนึ่ง
ของวัดต้ากวงหมิงแล้ว ตอนนั้นยังไม่ได้นึกถึงมันเลย
พอมาตอนนี้ก็นึกขึ้นมาได้แต่ว่ามันไม่ได้อยู่กับตัว
แล้ว
เขานิ่งไป
ขณะที่กาลังคิดอยู่ ก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอกว่า
“ศิษย์น้องฉี ยังไม่นอนใช่หรือไม่? พอดีเลย พวกข้า
ทามื้อดึกมาให้” เป็นเจินปี้ที่เดินยิ้มเข้ามา ด้านหลัง
ของเขาคือหลวงจีนอ้วนของหออู๋กู่ หลวงจีนอ้วนถือ
ตะกร้าอาหารใหญ่เข้ามา โค้งกายลงคานับและคลี่
ยิ้มออกมา
หยางหนิงเหลือบไปมอง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนของ
หออู๋กู่ เขาไม่ได้ลุกขึ้น แต่พูดว่า “นี่มันศิษย์พี่ที่หออู๋
กู่มิใช่หรือ? ทาไม ยังไม่พักผ่อนกันอีกเล่า?”
“ไม่ได้ ไม่ได้” เจินปี้ยิ้มแล้วโค้งคานับ “ศิษย์น้องฉี
วันนี้เจ้าเสี่ยงอันตราย ทั่วทั้งวัดดีใจที่เจ้าเอาชนะได้
พวกข้าว่าคงมีคนนอนไม่หลับไปหลายคืนเลย”
จากนั้นก็หันไปส่งสัญญาณให้หลวงจีนอ้วนยกกล่อง
อาหารมาให้ ตัวเขานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับหยางหนิง
ยังไม่ได้พูดอะไร เห็นหยางหนิงขมวดคิ้ว เขาก็รีบลุก
ขึ้นแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องฉี เจ้าดูก่อนว่าพวกข้าทา
อะไรมาให้เจ้าบ้าง?”
หลวงจีนอ้วนกาลังเปิดกล่องอาหาร หยางหนิงก็ยก
มือขึ้นแล้วพูดว่า “ช้าก่อน” จากนั้นเขาก็มองไปที่
เจินปี้ แล้วพูดว่า “ข้าว่านะศิษย์พี่เจินปี้ พวกเจ้าจะ
มาเล่นลูกไม้อะไรอีก?”
“ศิษย์น้องฉี เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด” เจินปี้พูดว่า
“วันนี้ตอนที่หออู๋กู่ พวกข้าไม่ดีเอง พวกข้าทบทวนดู
แล้ว พวกข้าเองที่ทาผิด จึงตั้งใจมาขอโทษศิษย์
น้องฉีที่นี่ ศิษย์น้องฉีเป็นจิ่นอีโหวซื่อจื่อ เป็นคนใจ
กว้างคงไม่ติดใจเอาความพวกข้าใช่หรือไม่”
“อ๋อ!” หยางหนิงยิ้มเจื่อน “พวกเจ้ามาขอโทษหรือ?
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ”
เจินปี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องฉี เจ้าดูก่อนว่าพวกข้า
ทาอะไรมาให้” เขามองไปที่หลวงจีนอ้วน หลวงจีน
อ้วนเอากล่องอาหารหยิบมาทีละจาน “นี่คือผัด
เต้าหู้เฟยชุ่ย ส่วนนี่ผัดม่วง ศิษย์น้องฉี เจ้าดูนี่ ผัด
เห็ดหอม ยังมี ถั่วผัดเซียน เห็ดหูหนูห้าอย่าง ผัด
เผ็ดหยูอี้ แล้วก็ผัดสามสหาย”
หลังจากที่หยางหนิงเห็นอาหารที่อยู่บนโต๊ะแล้ว
กลิ่นหอมของมันก็โชยเข้าจมูก ถึงแม้มันจะเป็น
อาหารเจทั้งหมด แต่ว่าจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ว่าอาหาร
พวกนี้ทามาอย่างดี อาหารที่พวกเขาเอามาให้ไม่เละ
เลยแม้แต่น้อยดูน่ากินยิ่งนัก
หลวงจีนน้อยเจินหมิงที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วก็ตาโต
แล้วถามว่า “ศิษย์พี่เจินปี้ นี่...นี่มันอาหารในวัดของ
พวกเราหรือ? อาตมาไม่เคยเห็นเลยนะ”
หลวงจีนอ้วนยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นอาหารที่ศิษย์พี่
เจินปี้ลงมือทาเองเลย แม้แต่อาจารย์อาและอาจารย์
ลุงในยามปกติก็ยังไม่ได้กินเลย นอกจากจะนั่ง
กรรมฐาน ศิษย์พี่เจินปี้ถึงจะลงมือทาอาหารให้พวก
เขาเอง อาจารย์ลุงเจ้าอาวาสช่วงนี้นั่งกรรมฐานอยู่
อาหารของท่านศิษย์พี่เจินปี้จะเป็นคนลงมือทาให้
เอง เจ้าเพิ่งมาที่นี่วันไม่กี่วัน แต่สามารถได้ลิ้มรส
อาหารฝีมือของศิษย์พี่เจินปี้แล้ว”
หยางหนิงไอ แคก แคก สีหน้าของเจินปี้นิ่งไป แล้ว
ด่าหลวงจีนอ้วนว่า “เจ้าโง่ เจ้าพูดเหลวไหลอะไร
ศิษย์น้องเจินหมิง เจ้าจะไม่ได้กินอาหารฝีมือของ
พวกเราได้อย่างไรเล่า? ตอนนี้พวกเราก็เอามันมาที่นี่
แล้วมิใช่หรือ?” จากนั้นเขาก็พูดกับหลวงจีนน้อย
เจินหมิงว่า “ศิษย์น้องเจินหมิง หากเจ้าชอบ ต่อไป
ศิษย์พี่จะทาแล้วส่งมาให้เจ้าเอง”
เจินปี้พูดด้วยความเคารพ หยางหนิงรู้ว่ามัน
หมายความว่าอย่างไร เขายิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่เจิน
ปี้ เจ้าให้สิทธิพิเศษกับพวกข้าเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่
เหมาะ ศิษย์พี่ในตาหนักคงหมิงยังไม่ได้รับการดูแล
แบบนี้เลย พวกข้าจะกล้ารับได้อย่างไร?”
“ศิษย์น้องฉี อย่าพูดแบบนั้น” เจินปี้รีบพูดอย่าง
จริงจังขึ้นมา “หากเจ้าต้องการเข้าตาหนักคงหมิง
เจ้าก็แค่ไปบอกอาจารย์ลุงจิ้งคง ท่านจะต้องรับปาก
แน่ๆ เขาดูแลตาหนักคงหมิง จะเข้าที่นั่นได้หรือไม่
ขอแค่อาจารย์ลุงพูดมาคาเดียว แต่ว่าวันนี้เจ้า
เอาชนะคนแซ่ไป๋นั้นได้ในกระบวนท่าเดียว คิดว่าวร
ยุทธ์ก็น่าจะแกร่งกว่าศิษย์พี่ในตาหนักคงหมิงเสียอีก
ข้าคิดว่าอาจารย์ลุงเจ้าอาวาสจะต้องให้ความสาคัญ
กับเจ้าแน่นอน”
หลวงจีนอ้วนยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องฉี ต่อไปพวก
ข้าก็ขอฝากตัวกับเจ้าด้วยนะ”
“ที่แท้พวกเจ้าก็วางแผนเอาไว้แบบนี้นี่เอง” หยาง
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากเจ้าอาวาสไม่เห็น
ความสาคัญของข้า ความหวังของพวกเจ้าไม่
พังทลายเลยหรือ? ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ข้าว่าพวก
เจ้าเอาของๆ เจ้ากลับไปเถอะ อย่าเสียเวลาเลย”
“ศิษย์น้องฉี เจ้าอย่าเข้าใจผิด” เจินปี้รีบพูดว่า
“พวกเราแค่อยากขอบคุณที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์
ให้กับวัดต้ากวงหมิง ไม่ได้มีความคิดอื่นเลย”
จากนั้นเขาก็จ้องไปที่หลวงจีนอ้วนเจินฉือ แล้วด่าว่า
“เจ้าพูดจาไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด ฟังที่ข้าสั่งอย่างเดียว
พอ ศิษย์น้องฉีใจกว้าง หากมีตรงไหนที่ดูแลเรา ไม่
ต้องให้เจ้าพูดเขาก็ทาอยู่แล้ว?”
เจินฉือยกมือตบหน้าตัวเอง แล้วด่าว่า “ข้าโง่เขลา
นัก ศิษย์น้องฉี เจ้าอย่าใส่ใจเลยนะ”
เจินฉือหยิบตะเกียบ แล้วยื่นสองมือให้กับหยางหนิง
แล้วพูดอย่างระวังว่า : “ศิษย์หน้องฉี เจ้าลองกินดู
ว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าชอบหรือไม่ ตั้งแต่นี้
ต่อไป ข้าจะลงครัวทาอาหารให้เจ้าเอง แล้วให้คนส่ง
มาให้เจ้าที่นี่ทุกวัน เจ้าก็ไม่ต้องลาบากลงไปเอาเอง
แล้”
หยางหนิงเห็นเจินปี้สีหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม จริงๆ
เขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับพวกเขา เพราะเรื่องแบบนี้เขา
ก็เจอมาเยอะ ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ในเมื่อสองคนนี้
ตั้งใจเอาอาหารมาขอโทษ ไม่ว่าจะมีจุดประสงค์
อะไรก็ตาม ก็จะให้พวกเขาเสียหน้ามากไม่ได้ เขารับ
ตะเกียบมา แล้วมองไปที่อาหารบนโต๊ะ แล้วคีบเข้า
ปากไปหนึ่งคา
หลังจากอาหารเข้าปากไปแล้ว มันเหนือความ
คาดหมายของหยางหนิงมาก รสชาติของมันเยี่ยม
ยอดมาก เขากินไปพรางถามไปว่า “ศิษย์พี่เจินปี้
อาหารพวกนี้ท่านลงครัวทาเองหรือ?”
เจินปี้รีบพูดอย่างจริงจังว่า “ทุกอย่างข้าลงครัวทา
เองไม่มีคนอื่น ศิษย์น้องฉี รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”
“น่าแปลกนะ พวกเจ้าออกไปจากตาหนัก
กวงหมิงก่อนข้าครู่เดียว ข้ากลับมาจากตาหนักก็ไม่
นานเท่าไหร่ ระยะเวลาแค่นั้น เจ้าทาอาหารพวกนี้
ออกมาได้อย่างไรกัน?” หยางหนิงถามด้วยความ
สงสัย “พูดตามตรงนะ รสชาติมันไม่เลวเลย ควบคุม
ไฟได้เป็นอย่างดี น่าจะไม่ใช่เจ้าคนเดียวที่ทาหรอก
กระมัง?”
เจินปี้หน้าถอดสี ยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องฉีเจ้าไม่รู้
อะไร ข้าสามารถผัดอาหารสี่อย่างพร้อมกันได้ แล้ว
ก็ก็สามารถต้มอาหารได้สี่หม้อ ไม่ทาให้เสียเวลา”
เจินฉือพูดขึ้นมาว่า “ศิษย์น้องฉี เจ้ารู้หรือไม่ว่าศิษย์
พี่เจินปี้ก่อนออกบวชเขาทาอะไรมาก่อน?” เขามอง
เจินปี้ด้วยสายตานับถือ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่เจินปี้
ก่อนออกบวช เขาเป็นถึงพ่อครัวหลวง มีหน้าที่
ทาอาหารในวังหลวง ต่อมายังได้รับใช้ไหวหนานอ๋อง
ด้วย”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 139 ปีศาจสิงกาย
หยางหนิงได้ยินคําว่า “ไหวหนานอ๋อง” เขาก็เกิด
ตกใจเล็กน้อย แล้วถามขึ้นว่าว่า “เจ้าเคยรับใช้ไหว
หนานอ๋องหรือ?”
เจินปี้ตอบว่า “ข้าเคยรับใช้ไหวหนานอ๋องอยู่สองปี
จริงๆ แล้วหน้าที่หลักก็คืออยู่ดูแลปรนนิบัติรับใช้
ไหวหนานอ๋องซื่อจื่อ”
“ไหวหนานอ๋องซื่อจื่อหรือ?” หยางหนิงถามด้วย
ความแปลกใจว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นถึงพ่อครัวหลวง
แล้วเหตุใดถึงไปอยู่ที่จวนไหวหนานอ๋องได้เล่า? ใน
เมื่อได้ไปอยู่ถึงจวนไหวหนานอ๋องแล้ว เหตุใดถึง
ได้มาอยู่ที่วัดต้ากวงหมิงเล่า?”
สีหน้าของเจินปี้เปลี่ยนไป เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า
“หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ ข้าคงตายไปแล้ว”
“อาจารย์?”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงรู้ว่าหยางหนิงมาที่นี่ไม่นานจึง
ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร จึงอธิบายว่า “ศิษย์พี่เจินปี้
เป็นศิษย์ของอาจารย์อาจิ้งซ่าน อาจารย์อาจิ้งซ่าน
เป็นหัวหน้าหออู่กวนถังและยังทําหน้าที่ในการ
จัดซื้อของภายในวัด”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” หยางหนิงพูดว่า “ศิษย์พี่เจินปี้
เจ้าบอกว่าหากเจ้าไม่ได้วัดต้ากวงหมิงเจ้าคงตายไป
แล้ว มันหมายความว่าอะไร?”
เจินปี้พูดว่า “ศิษย์น้องฉีไม่รู้อะไร เดิมทีข้าเป็นพ่อ
ครัวทํางานอยู่ในวังหลวง พอจะมีพรสวรรค์ในการ
ทําอาหารอยู่บ้าง หัวหน้าใหญ่ของห้องเครื่องในตอน
นั้นเห็นข้าพอมีความสามารถอยู่บ้าง จึงเริ่มสอนข้า
ทําอาหารด้วยตัวเอง แล้วดูแลข้าดีมากๆ ข้าจําได้ว่า
งานเลี้ยงในวังหลวงในครั้งนั้น ข้าทําอาหารเจไป
หลังจากไหวหนานอ๋องชิมแล้ว เขาก็ชมว่าข้าทําได้ดี
ทําได้อร่อย ต้องการจะพบตัวข้าให้ได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หยางหนิงพูดว่า “ไหวหนานอ๋อง
เห็นเจ้าทําอาหารได้ดี จึงขอตัวเจ้ากับฝุาบาท”
“ศิษย์น้องฉีฉลาดนัก” เจินปี้ถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ไม่ได้จะโอ้อวดแต่อย่างใด หากว่าข้ายังทํางานอยู่
ในวังหลวง ข้าก็คงไม่ได้มีสภาพแบบนี้ ต่อให้ไม่ได้
เป็นหัวหน้าใหญ่ของห้องเครื่อง อย่างน้อยต้องได้
เป็นรองหัวหน้าห้องเครื่องได้แน่นอน ไหวหนานอ๋อง
เอ่ยชื่นชมฝีมือการทําอาหารของข้ามาก ฝุาบาทเห็น
เขาจริงจัง ก็ไม่ได้รอให้เขาเอ่ยปาก สั่งให้ข้าไป
ทํางานที่จวนของไหวหนานอ๋อง ข้า...ข้าก็ไม่กล้าขัด
คําสั่งของฝุาบาท”
หยางหนิงพยักหน้าเล็กน้อย
ฮ่องเต้ตั้งใจปลอบขวัญไหวหนานอ๋องตลอด แทบจะ
ให้ทุกอย่างที่ไหวหนานอ๋องต้องการ ในสายตาของ
ฮ่องเต้ พ่อครัวในห้องเครื่องก็ไม่ได้ต่างอะไรจาก
แมลงวันตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ในเมื่อไหวหนานอ๋อง
พอใจ ส่งพ่อครัวคนเดียวให้เขาไปก็ไม่นับว่าเรื่อง
ใหญ่อะไร
“เมื่อย้ายไปที่จวนไหวหนานอ๋อง ในห้องครัวจวน
อ๋องเองก็มีคนอยู่ไม่น้อยแล้ว” เจินปี้พูดว่า “ถึงแม้
ข้าจะมาจากวังหลวง แต่ว่าเมื่อไปถึงจวนอ๋องก็ถือ
เป็นผู้น้อยที่มาทีหลัง...!” สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็น
เดือดพล่านขึ้นมา “เจ้านั่นมันเห็นข้าขวางหูขวางตา
มาตลอด หาเรื่องข้าทุกที่ทุกเวลา ในตอนนั้นข้าถึง
ได้รู้ว่า ที่ไหวหนานอ๋องสนใจข้า ก็เพราะข้าถนัดการ
ทําอาหารเจ ซื่อจื่อในจวนอ๋องคนนั้น กินอาหารเจ
ตลอดสามมื้อต่อวัน ไม่แตะเนื้อสัตว์เลย”
หยางหนิงพูดอย่างแปลกใจว่า “เป็นถึงไหวหนาน
อ๋องซื่อจื่อ อาหารเครื่องนุ่งห่มอุดมสมบูรณ์ แต่กลับ
ไม่แตะเนื้อสัตว์เลยหรือ?”
เจินปี้พูดเสียงเบาลงว่า “ตอนแรกข้าเองก็ไม่ค่อย
เข้าใจ แต่ว่าตอนหลังถึงได้รู้ว่า เหมือนซื่อจื่อจะโดน
ของไม่ดีเข้า เพื่อขอให้พระคุ้มครอง ขจัดภูตผีปีศาจ
ที่สิงในตัวออกไป จึงเริ่มกินเจมาตั้งแต่เด็ก ข้าถนัด
การทําอาหารเจ ดังนั้นพอย้ายไปจวนไหวหนานอ๋อง
ท่านอ๋องก็เลยให้ข้ารับผิดชอบอาหารทั้งสามมื้อของ
ซื่อจื่อ”
“ปีศาจสิงกายหรือ?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “มัน
จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงว่าบนโลกใบนี้มีผี
จริงหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะมีภูตผีปีศาจจริง ถ้าอย่างนั้น
จวนอ๋องมันเป็นสถานที่อย่างไรกันเล่า? พวกเขาเป็น
เชื้อพระวงศ์เชียวนะ จวนอ๋องเองก็ต้องมีราศีของ
อ๋องสิ ผีสางจะเข้าไปได้อย่างไร”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แต่มันก็คือเรื่องจริง”
เจินปี้พูดเสียงเบาลงอีกว่า “ข้าเคยเห็นมากับตาเลย
ตอนที่ไหวหนานอ๋องซื่อจื่อถูกปีศาจเข้าสิงนั้น เห็น
เขาวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในจวน ปากของเขาก็จะพูดอะไรก็
ไม่รู้ ในมือของเขาถือกระบี่ มีครั้งหนึ่งที่ข้าเห็นกับ
ตาตอนที่เขากําลังคลุ้มคลั่ง เกือบจะเอากระบี่ฟันคน
ในจวนตาย...!” ถึงแม้เรื่องนี้มันยากเกินจะเชื่อ แต่
ว่าสีหน้าของเจินปี้นั้นมีอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้
ชัด
หยางหนิงเห็นท่าทีของเขา ก็รู้ว่าความกลัวที่เขาเล่า
มานั้นมันเป็นเรื่องจริง เขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ไหวหนานอ๋องซื่อจื่อเป็นบ้าหรือ?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่แน่นอน” เจินปี้พูดด้วยความ
แน่ใจว่า “เขาจะเป็นเฉพาะตอนที่มีปีศาจเข้าสิงกาย
เขาเท่านั้น ถึงจะมีอาการเป็นบ้าเช่นนั้น ปกติซื่อจื่อ
เป็นคนสุขุม เข้ากับคนง่าย ดีกับทุกคน ถือเป็นคนดี
มากคนหนึ่งเลย” เขาพูดอีกว่า “หากซื่อจื่อไม่ได้ถูก
ผีสิง ข้าก็สามารถคอยปรนนิบัติรับใช้เขาได้ตลอด
มันก็ไม่ได้ลําบากอะไร ถึงแม้เขาจะเป็นถึงท่านอ๋อง
และซื่อจื่อ แต่เขาก็ไม่ได้เรื่องมากอะไร ต่อให้บ่าว
ไพร่สะเพร่าเพียงใด เขาก็แค่ยิ้ม ไม่ได้เอามาใส่ใจ
มาก”
“แล้วเจ้ามายังวัดต้ากวงหมิงได้อย่างไรกัน?”
สีหน้าของเจินปี้ยังเดือดพล่านไม่หาย แล้วพูดว่า “ก็
เพราะพวกที่อยู่ในครัวนั่นแหละ ข้าอยู่ที่จวนอ๋องมา
สองปี ท่านอ๋องกับซื่อจื่อพอใจการทํางานของข้า
มาก ต่อมาได้เลื่อนขั้นให้ข้าเป็นรองหัวหน้าพ่อครัว
ข้าจําได้ว่าครั้งนั้นอยู่ๆ ซื่อจื่อก็ถูกผีเข้า ไม่รู้เหตุใด
ไหวหนานอ๋องอยู่ๆ ถึงได้เชิญอาจารย์ไปที่จวน...
หรือก็คืออาจารย์จิ้งซ่านในตอนนี้ของข้า อาจารย์ไป
ที่จวนเพื่อสวดมนต์ขับไล่วิญญาณร้ายให้กับซื่อจื่อ
...!”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้หลวงจีนวัด
กวงหมิงเองก็ไล่วิญญาณด้วย”
เจินปี้กระอักกระอ่วนเล็กน้อย แล้วพูดว่า “วันนั้นข้า
ทําอาหารเจไปให้ แต่ว่า...แต่ว่าในอาหารของข้ากับ
มีหัวไก่อยู่...!” เขามองไปที่หยางหนิง แล้วอธิบาย
ต่อว่า “มันเป็นหัวของไก่ที่ถูกตัดมาสดๆ มันวางอยู่
ในกล่องอาหาร ยังมีเลือดสดๆ ยังไหลออกมาอยู่เลย
เมื่อเปิดออกมาแล้ว ซื่อจื่อตกใจมาก ท่านอ๋องทรง
กริ้วมาก จึงสั่งให้ตีข้าจนตาย”
หยางหนิงพูดว่า “คนในห้องครัวพวกนั้นตั้งใจใส่ร้าย
เจ้า”
“ถูกต้อง มีคนต้องการให้ข้าตาย” เจินปี้พูดต่อว่า
“ไหวหนานอ๋องก็เป็นคนฉลาด เขาน่าจะรู้ว่าต่อให้
ใจกล้าแค่ไหน ก็ไม่กล้าเอาหัวไก่ไปใส่ไว้ในกล่อง
อาหารหรอก แต่ว่าก็เพราะว่าเขาโมโหไปชั่วขณะ
ต้องการลงโทษข้าให้ได้ ยังดีที่อาจารย์อยู่ด้วยตรง
นั้นด้วย ท่านบอกกับท่านอ๋องว่าข้ามีบุญกับศาสนา
อยากจะพาข้ามาที่วัดต้ากวงหมิงด้วย ไหวหนาน
อ๋องเองก็ไว้หน้าของอาจารย์ รับปากปล่อยข้ามา ข้า
ถึงได้รอดชีวิตมาได้”
หยางหนิงพูดว่า “หากเป็นแบบนี้ ไต้ซือจิ้งซ่านก็มี
บุญคุณที่ช่วยชีวิตเจ้า”
“ใช่แล้ว” เจินปี้พูดว่า “ดังนั้นข้าจึงติดตามอาจารย์
ขึ้นเขามา อาจารย์รู้ว่าข้าถนัดการทําอาหาร ถามข้า
ว่าอยากทํางานที่หออู๋กู่หรือไม่ ชีวิตข้าอาจารย์เป็น
คนช่วยไว้ ในเมื่ออาจารย์ถามมาแบบนี้ ข้าก็ต้อง
ยินดีทําให้อยู่แล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าก็ทํางานใน
หออู๋กู่มาตลอดจนถึงวันนี้...!”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าเจินปี้จะผ่านเรื่องราวพวก
นี้มา เขายกนิ้วโปูงให้แล้วพูดว่า “มิน่าเล่าอาหารที่
เจ้าทําถึงได้รสชาติดีขนาดนี้ ที่แท้ก็เคยอยู่ที่ห้อง
เครื่องมาก่อนนี่เอง”
สายตาของเจินปี้ดูภูมิใจไม่น้อย แล้วพูดว่า “ศิษย์
น้องฉี ข้าไม่ได้จะโอ้อวดอะไรนะ ข้าฝึกฝนฝีมืออยู่ใน
หออู๋กู่มานานหลายปี ทําอาหารเจอยู่ทั้งวันทั้งคืน
หากให้พ่อครัวของห้องเครื่องมาทําอาหารเจแข่งกับ
ข้าตอนนี้ ข้ามั่นใจว่าข้าชนะพวกเขาแน่นอน”
“เรื่องนี้ข้าเชื่อ” หยางหนิงพูดต่อว่า “ศิษย์พี่เจินปี้
ในเมื่อเจ้าเปิดใจพูดกับข้าขนาดนี้แล้ว ข้าเองก็มี
เรื่องที่จะพูดแต่ไม่รู้ว่ควรจะพูดออกมาดีหรือไม่”
“เจ้าว่ามาได้เลย”
หยางหนิงพูดว่า “แต่ก่อนท่านเองก็เคยถูกคนบีบคั้น
มาก่อน ถูกรังแกมาก่อน จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ใน
เมื่อตัวท่านเองก็เคยมีประสบการณ์พวกนี้ก่อนมา
วัดต้ากวงหมิงแล้ว แล้วเหตุใดท่านยังรังแกศิษย์พี่
ศิษย์น้องคนอื่นอีกเล่า? ในเมื่อเขามาเพื่อบําเพ็ญ
เพียร มาอยู่รวมกัน ก็ถือว่ามีวาสนาต่อกัน จริงๆ ก็
ไม่จําเป็นต้องทําให้แตกแยก” จากนั้นเขาก็มองไปที่
หลวงจีนน้อยเจินหมิงแล้วพูดว่า “ข้าแปลกใจมาก
เหตุใดพวกเจ้าต้องรังแกเจินหมิงด้วย?”
เจินปี้มองหน้าเจินฉืออย่างกระอักกระอ่วน แล้วพูด
ว่า “ศิษย์น้องฉี เรื่องนี้...เรื่องนี้พวกเราไม่ดีเอง ต่อ
ไป...ต่อไปพวกเราจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
“พวกเจ้ายังไม่ได้ตอบคําถามของข้าเลยนะ” หยาง
หนิงพูดว่า “ข้าถามพวกเจ้าว่าเหตุใดถึงต้องแกล้ง
เจินหมิงด้วย เพราะเขาอายุน้อยหรือ?”
เจินปี้ลังเลแล้วพูดว่า “จริงๆ แล้ว...จริงๆ แล้ว
อาจารย์ของข้ากับ...กับพระอาจารย์ลุงจิ้งฉุนมี
ปัญหากันนิดหน่อย ข้าได้ยินมาว่า ตอนที่อายุยัง
น้อย พระอาจารย์ลุงจิ้งฉุนทําให้อาจารย์ของข้าต้อง
เสียหน้าหลายครั้ง ดังนั้น...!”
หยางหนิงพูดว่า “ข้าว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ศิษย์
พี่เจินปี้ วัดต้ากวงหมิง เป็นวัดอันดับหนึ่งในใต้หล้า
มีโพธิ์สัตย์คุ้มครอง ถึงพวกเราจะเป็นแค่คน
ทําอาหาร ก็น่าจะมีการอ่านตําราธรรมบ้าง ความ
บาดหมางของพระอาจารย์จิ้งฉุนกับจิ้ง...อาจารย์
ของเจ้า บางทีพวกเขาเองก็อาจจะลืมไปแล้วก็ได้
แต่พวกเจ้ายังจําไว้อีก คนออกบวชแต่มีใจคิดแค้น
ชิงชัง มันไม่ควรเลยนะ”
เจินปี้ยกมือจับไปที่หัวแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องฉีพูดถูก
แล้ว ต่อไป...ต่อไปข้าจะไม่ทําอีกแล้ว เรื่องในวันนี้
ศิษย์น้องฉีอย่าใส่ใจเลยนะ จริงสิ ศิษย์น้องฉีจะอยู่
บนเขาแค่ชั่วคราวหรือจะอยู่นานแค่ไหนหรือ?”
หยางหนิงพูดว่า “ถามทําไม?”
“ไม่มีอะไร ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเราจะส่ง
อาหารมาให้เจ้าที่นี่” เจินปี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์
น้องฉีขึ้นเขามารักษาตัวมิใช่หรือ? ร่างกายยังไม่
แข็งแรงดี พวกเราจะทําอาหารสําหรับคนที่รักษาตัว
เฉพาะมาให้ เจ้าจะได้ไม่ต้องลําบาก”
หยางหนิงคิดในใจว่าเรื่องนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย
ยิ้มแล้วพูดว่า “มัน...มันไม่ค่อยดีกระมัง? มันจะม่
พิเศษเกินหน้าเกินตาไปหน่อยหรือ?”
“ไม่เป็นไร” เจินปี้รีบพูด : “เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
จากนั้นเขาก็มองไปที่หลวงจีนน้อยเจินหมิงแล้วพูด
ว่า “ศิษย์น้องเจินหมิง แต่ก่อนหากศิษย์พี่ทําอะไร
ไม่ดีกับเจ้า เจ้าก็อย่าเอามาใส่ใจเลยนะ ต่อไป
อาหารของเจ้า ข้ารับรองว่าเจ้าจะได้กินอิ่มท้อง
แน่นอน” จากนั้นก็ยิ้มให้หยางหนิงแล้วพูดว่า “ศิษย์
น้องฉี พวกเจ้าค่อยๆ กินนะ ดึกแล้ว พวกข้าไม่
รบกวนแล้ว ครั้งหน้าจะหาโอกาศมาคุยกับพวกเจ้า
ใหม่นะ”
เขาเองก็รู้กาลเทศะไม่น้อย เขาพาเจินฉือออกไป
แม้แต่ปิดประตูยังต้องระวัง
หลวงจีนน้อยเจินหมิงนั่งลงตรงข้ามกับหยางหนิง
แล้วพูดว่า “ที่แท้ที่พวกเขาให้ข้าวข้าน้อย เพราะ
อาจารย์กับอาจารย์อาจิ้งซ่านมีปัญหากันมาก่อน
หรือนี่”
“ทุกการกระทําย่อมมีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น” หยาง
หนิงพูดว่า “ไม่มีเรื่องไหน ที่มันไม่มีเหตุผลหรอก
แต่ว่าอาจารย์เจ้าทําให้อาจารย์ของพวกเขาเสียหน้า
หลายครั้ง ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเหมือนกัน” จากนั้นก็
พูดเสียงเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หลวงจีนน้อย ตั้งแต่ข้ามา
ที่นี่ ท่านจะเป็นคนดูแลข้าตลอดใช่หรือไม่?”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงพยักหน้าแล้วตอบว่า “ใช่ เจ้า
มีปัญหาอะไรหรือไม่?”
“อ๋อ ข้าจําได้ว่าตอนที่ข้าตื่นมาก็อยู่บนเตียงนี้แล้ว”
หยางหนิงหันไปชี้ที่เตียง “เหมือนเจ้าจะเคยพูดว่า
ข้านอนอยู่ตรงนั้นสองวันสองคืน”
“ถูกต้อง” หลวงจีนน้อยเจินหมิงพูดว่า “ตอนที่
อาจารย์พาตัวเจ้ามา ตอนนั้นอาจารย์อากับอาจารย์
ลุงช่วยรักษาเจ้าเสร็จแล้ว แต่เจ้ายังไม่ฟื้น จึงให้
นอนอยู่ตรงนั้น แล้ววันนั้นอาจารย์ก็ลงเขาเข้าวัง
หลวงไป ก่อนไปอาจารย์สั่งไว้ว่าให้ข้าดูแลเจ้า แล้วก็
ถ่ายทอดเคล็ดวิชาการเดินลมปราณชิงจิง...อาตมา
จะทําตามที่อาจารย์สั่ง”
“แล้ว...แล้วเจ้าเห็นห่อผ้าของข้าบ้างหรือไม่?”
หยางหนิงลังเลไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เป็นห่อผ้าสี
ดํา ด้านในเป็นภาพวาด เจ้าเห็นบ้างหรือไม่?”
หลวงจีนน้อยเจินหมิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า : “ไม่เห็น
นะ ศิษย์น้องหนิง มีสิ่งของใดหายไปหรือ? ที่นี่ไม่มี
ใครนะ อาตมาเองก็ไม่ได้แตะต้องของๆ เจ้าเลย”
หยางหนิงรู้ดีว่าหลวงจีน้อยผู้นี้ไม่ได้โกหกเขา แต่คิด
ไม่ตกว่า ภาพวาดเคล็ดวิชานั้นใครเป็นคนเอาไป
หรือว่าจะถูกหลวงจีนที่รักษาเขาเอาไป?
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 140 ลงเขา
หลังจากนั้นสองวัน เจินปี้ทาตามที่พูดเอาไว๎ เขาให๎
คนนาอาหารมาสํงทุกวัน ไมํเพียงอิ่มจนพุงกางแล๎ว
ทวําอาหารยังเปลี่ยนเมนูไปทุกวันอีกด๎วย หลวงจีน
น๎อยเจินหมิงอยูํในวัดมาสิบกวําปี แตํไมํเคยได๎กิน
อาหารดีขนาดนี้มากํอน ถือวําได๎รับบุญปากเพราะห
ยางหนิงไปด๎วย
แตํวําเจินหมิงเองถึงแม๎จะได๎กินอาหารดีๆ มากมาย
ที่สํงมา ทวําเขาไมํได๎กินเยอะเกินไป ไมํได๎โลภ
มากมายขนาดนั้น แตํเป็นหยางหนิงเองที่กินอยําง
เต็มที่
ต๎องยอมรับวํา ถึงแม๎เจินปี้จะไมํใชํคนดีอะไรนัก แตํ
วําเรื่องการทาอาหารนั้นถือวํายอดเยี่ยม ใน
วัดต๎ากวงหมิงไมํสามารถกินเนื้อสัตว์ได๎อยูํแล๎ว แตํ
วําอาหารเจที่เขาสํงมานั้น มันก็ทาให๎คนเจริญ
อาหารไมํน๎อย ไมํแปลกใจเลยที่เขาสามารถทางาน
ในจวนไหวหนานอ๋องมาได๎หลายปี
สองวันมานี้ก็ไมํได๎หยุดฝึกวิชา ทุกเช๎า เจินหมิงจะ
พาหยางหนิงไปนั่งทาสมาธิที่ริมหน๎าผา แล๎ว
ถํายทอดชิงจิงให๎กับเขา
วันละสามครั้ง อยํางน๎อยต๎องฝึกครั้งละไมํเกินหนึ่ง
ชั่วยาม หากในชํวงปกติ สิบสองชั่วยามจะต๎องมีสัก
สามถึงสี่ชั่วยามในการนั่งทาสมาธิ หยางหนิงคิดวํา
เขาทาไมํไหวแนํนอน แตํวําบนยอดเขาเทียนเปุา ไมํ
มีผู๎ใดเลย มีแคํหลวงจีนน๎อยเจินหมิงที่แสนจะนํา
เบื่อผู๎นี้ผู๎เดียว หยางหนิงรู๎สึกเบื่อไมํน๎อย จึงฝึกเดิน
ลมปราณเพื่อฆําเวลาในทุกๆ วัน
ในเมื่อวัดต๎ากวงหมิงยอมรักษาอาการให๎เขา ตอนนี้
ก็แคํรอคนที่จะมาออกบวชแทนเขา พอเขาคนนั้น
มาถึงแล๎วหยางหนิงก็จะได๎ลงเขาไป แตํก็ไมํรู๎วําใคร
จะออกบวชแทนเขา
ทวําเขาก็เชื่อวํา กู๎ชิงฮั่นไมํมีทางทิ้งเขาไว๎แบบนี้
แนํนอน นางไมํมีทางให๎จิ่นอีโหวไมํมีผู๎สืบสกุลแนํ
เขานึกถึงสัญญาที่ตกลงกับทางถังนั่วเอาไว๎ ตอนนี้
นางก็นําจะมาถึงเมืองหลวงแล๎ว แตํก็ไมํรู๎วํานางจะ
มาหาเขาที่จวนจิ่นอีโหวหรือไมํ กํอนหน๎านี้เขาไมํทัน
ได๎เตรียมการอะไรเอาไว๎ ก็ไมํรู๎วําทางจวนโหว
จัดการเรื่องนี้อยํางไรบ๎าง
เดิมที่เขาคิดวําพระอาจารย์จิ้งฉุนเข๎าวังไปทาพิธีไมํ
นานก็คงกลับมา แตํวํากลับไมํได๎พบหน๎าเขาสักที
ตอนนี้คนของหออู๋กูํสํงข๎าวมาให๎ทุกวัน หยางหนิงก็
ลองถามดูวําเขากลับมาหรือยัง ไมํใชํแคํจิ้งฉุน แตํ
หลวงจีนทั้งสิบรูปที่ไปวังหลวงทั้งหมด ยังไมํมีผู๎ใด
กลับมาเลย มีแตํเจ๎าหน๎าที่กรมพิธีการที่ขึ้นเขามา
หลายคน เพื่อเตรียมพิธีขึ้นครองราชย์ของรัชทายาท
หลังจากนั้นอีกสามวัน หยางหนิงฝึกเดินลมปราณ
จนเริ่มคลํองแล๎ว แตํวํายังไมํได๎ก๎าวหน๎ามากนัก เมื่อ
มีลมปราณเข๎าสูํภายในรํางกายไปแล๎ว ยังไมํทันได๎
หมุนเวียนเปลี่ยนผําน มันก็จะสลายไป ในจุดตันเถีย
นของเขายังคงเหมือนมีลมระลอกหนึ่งอยูํด๎านใน แตํ
มันไมํได๎ทรมานเหมือนครั้งกํอนแล๎ว
เขารู๎วําชิงจิงเป็นการฝึกธรรม วรยุทธ์ของศาสนา
เน๎นไปที่ลาดับขั้นตอน ทุกขั้นตอนเน๎นการสร๎าง
พื้นฐานที่แข็งแกรํง มันต๎องใช๎เวลาการฝึกฝนเป็น
เวลานาน ตัวเขามาอยูํที่นี่ไมํกี่วันไมํมีทางทาได๎
แตํวําวันขึ้นครองราชย์ของรัชทายาทกาลังจะมาถึง
แล๎ว หยางหนิงคิดในใจวําตอนนี้ในเมืองหลวง
จะต๎องมีความลับมากมายเต็มไปหมด กํอนหน๎าที่รัช
ทายาทจะขึ้นครองราชย์อยํางเป็นทางการ อะไรก็
เกิดขึ้นได๎ทั้งนั้น จวนจิ่นอีโหวถูกลากเข๎าไปเกี่ยวข๎อง
ด๎วย หากเป็นตระกูลฉีกํอนหน๎านี้ หยางหนิงอาจจะ
แคํหํวงความปลอดภัยของกู๎ชิงฮั่นเทํานั้น แตํวํา
ตอนนี้มันไมํเหมือนกัน ตระกูลฉีไมํได๎มีความ
เกี่ยวข๎องอะไรกับจวนจิ่นอีโหวอีกแล๎ว ทาให๎เขารู๎สึก
หํวงจวนจิ่นอีโหวขึ้นมา
เช๎าของวันที่สี่ หลวงจีนรูปหนึ่งก็ขึ้นมาบนยอดเขา
แล๎วแจ๎งวําจิ้งคงเรียกหยางหนิงไปพบ หยางหนิงไมํรู๎
วําเกิดอะไรขึ้น จึงตามหลวงจีนรูปนั้นไปยังเรือนเล็ก
ที่อยูํใกล๎ๆ กับตาหนักกวงหมิง เมื่อเข๎าไปด๎านในก็
เห็นจิ้งคงนั่งพนมมืออยูํที่เบาะ
จิ้งคงเห็นหยางหนิงเดินเข๎ามา ก็ยิ้มแล๎วพูดวํา “อยูํ
ในวัดหลายวันนี้คุ๎เริ่มคุ๎ยเคยแล๎วหรือยัง?”
“ก็ดี ไต๎ซือ ทํานเรียกข๎ามาพบวันนี้ มีเรื่องอะไร
หรือ?” หยางหนิงถามวํา “อยําบอกนะวําข๎าลงเขา
ได๎แล๎ว?”
จิ้งคงยิ้มแล๎วพูดวํา “เจ๎าไมํอยากอยูํที่วัดต๎ากวงหมิง
หรือ?”
“ก็ไมํใชํแบบนั้น” หยางหนิงพูดวํา “เพียงแตํวําข๎า
ตัดทางโลกไมํได๎ ยังมีหลายเรื่องที่ต๎องทา ดังนั้นจะ
เสียเวลาอยูํที่วัดไมํได๎อีก”
จิ้งคงยิ้มอยํางมีเมตตา แล๎วหันไปพูดวํา “เอาออกมา
สิ”
หยางหนิงมองไป เห็นหลวงจีนรูปหนึ่ง เดินเข๎ามา
มือสองข๎างของเขาก็ถือกระบี่เลํมหนึ่ง ซึ่งมันคือ
กระบี่ผีหลูที่ใช๎ประลองกับไป๋อวี่เฮํอ
“ฉีหนิง อาตมาไปพบศิษย์พี่เจ๎าอาวาสมาแล๎ว ข๎าได๎
รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให๎เขาได๎ทราบ” จิ้งคงยิ้มแล๎ว
พูดวํา “ศิษย์พี่เจ๎าอาวาสต๎องการมอบกระบี่ผีหลู
เลํมนี้ให๎เจ๎า หวังวําเจ๎าจะดูแลมันเป็นอยํางดี ในเมื่อ
เจ๎าเองก็ฝึกกระบี่ ก็ต๎องรู๎เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของ
กระบี่อยูํบ๎าง กระบี่เลํมนี้ก็มีเชํนกัน เจ๎ารู๎หรือไมํวํา
เหตุใดกระบี่เลํมนี้ถึงมีชื่อวําผีหลู?”
หยางหนิงอึ้งไป คิดในใจวํากระบี่ผีหลูเป็นกระบี่
อันดับสี่ในสิบสุดยอดกระบี่ในยุทธภพ ของล้าคํา
ขนาดนี้ คิดไมํถึงเลยวําวัดต๎ากวงหมิงจะใจกว๎าง
มอบให๎เขา หลังจากได๎ยินจิ้งคงถาม เขาก็สํายหน๎า
แล๎วพูดวํา “ไต๎ซือชี้แนะด๎วย”
“ผีหลู มันมีความหมายวําแสงธรรมะสํอง” จิ้งคงพูด
อีกวํา “วันนั้นที่เจ๎าพูดในตาหนักกวงหมิง เปูาหมาย
ของการฝึกกระบี่ ไมํใชํเพื่อชํวงชิงตํอสู๎ แตํฝึกกระบี่
เพราะความรักและศรัทธา เป็นคาพูดที่ฉลาดมาก
ในเมื่อกระบี่ผีหลูเลํมนี้เป็นกระบี่แหํงแสงธรรมะ จะ
ใช๎กระบี่เลํมนี้อยํางไร เจ๎านําจะสัมผัสมันได๎”
หยางหนิงยังไมํอยากจะเชื่อ เขาถามวํา “ไต๎ซือจิ้งคง
ทําน...ทํานพูดจริงหรือไมํ? ทํานจะมอบกระบี่ผีหลู
เลํมนี้ให๎ข๎าหรือ?”
“เป็นพระเป็นเจ๎าไมํพูดโปูปดหรอก” จิ้งคงพูดวํา
“ในเมื่อศิษย์พี่เจ๎าอาวาสเป็นคนอนุญาตด๎วยตัวเอง
กระบี่เลํมนี้ก็ถือวําเป็นของเจ๎า” จากนั้นก็สํงสายตา
ให๎หลวงจีนที่ถือกระบี่ไว๎ ยื่นให๎กับหยางหนิง หยาง
หนิงลังเลอยูํครูํหนึ่ง จากนั้นก็รับกระบี่มา เขาก็ยัง
อดไมํได๎ที่จะถามอีกวํา “ไต๎ซือ พวกทํานมีเงื่อนไข
อะไรหรือไมํ? เจ๎าของกระบี่ผีหลูเลํมนี้เป็นข๎าจริงๆ
หรือ?”
“จะบอกวํามีเงื่อนไขหรือไมํ เอาจริงๆ มันก็มีอยูํ”
จิ้งคงยิ้มแล๎วพูดวํา
หยางหนิงคิดในใจวํารู๎อยูํแล๎ววําต๎องเป็นแบบนี้
กระบี่เลํมนี้ล้าคําแคํไหน ไมํใชํจะขอกันได๎งํายๆ ใน
โลกใบนี้ไมํรู๎มีอีกกี่คนที่อยากจะได๎มันมา พวกเจ๎ายก
ให๎งํายๆ แบบนี้ เงื่อนไขจะต๎องไมํธรรมดาแนํนอน
ข๎าไมํมีทางให๎พวกเจ๎าใช๎กระบี่เลํมเดียวมาควบคุมข๎า
หรอก เขายิ้มแห๎ง เตรียมสํงกระบี่คืนไป จิ้งคงก็พูด
ขึ้นมาวํา “เงื่อนไขของทางวัดต๎ากวงหมิงก็คือ ใน
ทุกๆ ปีเจ๎าจะต๎องหาเวลาขึ้นมาฟังเทศที่วัด
โดยเฉพาะทุกครั้งที่ศิษย์พี่เจ๎าอาวาสเป็นผู๎เทศนา
ธรรม เพราะมันเป็นพิธีกรรมใหญํของวัด ไมํเพียงแคํ
หลวงจีนในวัดเทํานั้นที่จะเข๎ารํวม แม๎แตํหลวงจีน
อาวุโสทั้งหมดของวัดก็จะมาเข๎ารํวมเชํนกัน เจ๎า
จะต๎องมารํวมงานนี้” เขายิ้มแล๎วพูดวํา “มันมีแตํ
ประโยชน์ ไมํมีโทษตํอเจ๎า เจ๎าไมํต๎องกังวล”
“เงื่อนไขมีแคํนี้หรือ” จิ้งคงยิ้มแล๎วพูดวํา “ตั้งแตํนี้
ตํอไป เจ๎าสามารถเข๎าออกวัดต๎ากวงหมิงเมื่อไหรํก็
ได๎ พวกเรายินดีต๎อนรับเจ๎าเสมอ”
หยางหนิงคิดไมํถึงเลยวําเงื่อนไขของทางวัดจะ
งํายดายปานนี้ เดิมทีตั้งใจจะคืนกระบี่ให๎ เขายิ้มแล๎ว
พูดวํา “ไต๎ซือจิ้งคง โปรดวางใจ ข๎าจะขึ้นเขามาฟัง
เทศทุกปี เวลาที่ข๎ารู๎สึกวุํนวายใจ ข๎าก็จะมาที่นี่
เงื่อนไขนี้ข๎ารับปากทํานได๎” จากนั้นก็ถามอยําง
ระวังอีกครั้งวํา “มีแคํเงื่อนไขนี้เงื่อนไขเดียวจริงๆ
หรือ?”
จิ้งคงพูดวํา “ลมปราณในตัวเจ๎า ศิษย์พี่ศิษย์น๎อง
ทั้งหลายรํวมมือกันชํวยสลายให๎เป็นลมปราณ
บริสุทธิ์แล๎ว ตอนนี้มันอยูํที่จุดตันเถียน เมื่อไหรํที่
เจ๎าฝึกวิชาเดินลมปราณได๎แล๎ว ลมปราณพวกนั้น
เจ๎าก็จะใช๎ได๎” จากนั้นเขาก็ยิ้มแล๎วถามวํา “จริงสิ
ศิษย์น๎องจิ้งฉุนได๎สอนวิชาเดินลมปราณให๎เจ๎าบ๎าง
หรือไมํ?”
หยางหนิงจาได๎วําหลวงจีนน๎อยเจินหมิงเคยบอกวํา
ห๎ามบอกใครวําได๎รับการถํายทอดชิงจิงเด็ดขาด เขา
คิดไมํถึงเลยวําจิ้งฉุนถํายทอดชิงจิงให๎เขา แม๎แตํจิ้ง
คงยังไมํรู๎เลย เขาตอบกลับไปวํา “หลังจากที่ข๎าฟื้น
ขึ้นมาจิ้งไต๎ซือฉุน ก็ลงเขาไป หลวงจีนน๎อย...เอํอ ก็
คือศิษย์พี่เจินหมิงนาข๎าสวดมนต์ทุกวัน บอกวํามัน
จะทาให๎จิตใจสงบ ข๎าเองก็ฟังไมํคํอยเข๎าใจ สํวน
เรื่องเดินลมปราณ มันทาอยํางไรหรือ?” จากนั้นเขา
ก็เดินเข๎าไป ยิ้มแล๎วพูดวํา “จิ้งคงไต๎ซือ ทํานเป็นคน
ดี วรยุทธ์ก็ไมํธรรมดา ถ๎าอยํางไรทํานสอนข๎าเดิน
ลมปราณดีหรือไมํ ให๎ข๎าได๎เรียนรู๎หนํอย”
จิ้งคงยิ้มแล๎วพูดวํา “เจ๎าถํอมตัวเกินไปแล๎ว เจ๎ามี
อาจารย์สอนเพลงกระบี่ที่มีชื่อเสียงขนาดนั้น เขา
ต๎องสอนวิธีเดินลมปราณให๎เจ๎าแนํนอน มีเขาที่เป็น
ยอดฝีมือขนาดนั้นถํายทอดวิชาให๎เจ๎า ไมํจาเป็นต๎อง
ไปหาจากที่อื่นแล๎ว”
“ยอดฝีมือหรือ? ยอดฝีมืออะไรกัน?” หยางหนิงนึก
ขึ้นมาได๎วํา หลังจากที่ไป๋อวี่เอํอพํายแพ๎ กํอนเขา
จากไป เขาก็พูดจาแปลกๆ แบบนี้เหมือนกัน หยาง
หนิงเข๎าใจวําไป๋อวี่เฮํอคิดวํามีคนถํายทอดเพลง
กระบี่ให๎ แล๎วไป๋อวี่เฮํอเองก็ดูจะยาเกรงคนผู๎นั้นมาก
แตํวําตอนนี้ไต๎ซือจิ้งคงก็พูดจาแปลกๆ แบบเดียวกัน
เขาจึงรู๎สึกฉงนสนเทํห์ไมํน๎อย
จิ้งคงไมํได๎ตอบเขา แล๎วพูดวํา “คนของจิ่นอีโหวรอ
อยูํที่ตีนเขา เจ๎าลงเขาได๎แล๎ว อยําลืม หาเวลามาฟัง
เทศด๎วย”
หยางหนิงได๎ยินวําคนของจวนจิ่นอีโหวมารออยูํที่ตีน
เขาแล๎ว เขาก็รู๎สึกดีใจ แล๎วพูดวํา “ไต๎ซือจิ้งคง
ขอบคุณพวกทํานที่ดูแลข๎ามาหลายวัน ข๎าน๎อยจะไมํ
ลืมบุญคุณในครั้งนี้เลย”
จิ้งคงไมํได๎พูดอะไร พนมมือ แล๎วสวดมนต์
หลวงจีนอีกคนยกมือขึ้นแล๎วพูดวํา “อาตมาจะพา
ทํานลงเขาเอง” เขาไมํได๎พูดอะไรมากอีก เขานา
ทางออกไป หยางหนิงมองไปที่จิ้งคง เห็นจิ้งคงไมํได๎
พูดอะไร เขาก็โค๎งคานับให๎จิ้งคง แล๎วถอยหลังเดิน
ออกจากประตูไป หลังจากออกจากประตูแล๎ว เขา
มองไปที่กระบี่ผีหลูที่อยูํในมือ เขาไมํคิดไมํฝันวําการ
มาอยูํที่วัดต๎ากวงหมิงนี่เขาจะได๎สุดยอดกระบี่แบบนี้
กลับไปด๎วย เขารู๎สึกดีใจมาก
เขาเองก็ไมํเคยคิดจะฝึกกระบี่จนถึงขั้นสุดยอดอะไร
ขนาดนั้น แตํวํากระบี่ผีหลูเลํมนี้มันล้าคําแคํไหน ใน
เมื่อมันตกมาอยูํในมือของเขาแล๎ว หากจาเป็นเอา
มันไปขายก็นําจะได๎หลายตังอยูํ
ความคิดของเขาแบบนี้จะให๎ใครเห็นไมํได๎
ไมํอยํางนั้นถ๎าจิ้งคงรู๎วําเขาคิดแบบนี้ อาจจะขอคืน
ไปเลยก็ได๎
“ศิษย์พี่ รอสักครูํได๎หรือไมํ ข๎าขอขึ้นไปลาศิษย์พี่
หลวงจีนน๎อยเจินหมิงที่เขาเทียนเปุากํอนได๎หรือไมํ”
หลวงจีนนาทางไมํหันหน๎ากลับมา “ไมํจาเป็น เขา
อยูํบนเขา เจ๎าอยูํทางโลก ไมํควรมีความผูกพันอันใด
ตํอกัน”
“ศิษย์พี่ ทํานพูดผิดแล๎ว ไต๎ซือจิ้งคงรับปากวําข๎าจะ
ขึ้นเขามาเมื่อไหรํก็ได๎” หยางหนิงพูดอีกวํา “ตอนนี้
ข๎าแคํอยากไปลาสักหนํอยก็ไมํได๎หรือ?”
“ในเมื่อยังขึ้นเขามาอีก แล๎วจะลาไปทาไม?” หลวง
จีนรูปนั้นกลําว
หยางหนิงตะลึงไป แอบคิดในใจวําวาทศิลป์ไมํเลว
เลย แตํวําคิดๆ ดูแล๎วมันก็จริง ในเมื่อลงเขาครั้งนี้ยัง
มีโอกาสมาอีก ก็ไมํจาเป็นต๎องลาหรอก
หลวงจีนนาทางหยางหนิงลงเขาไป ระหวํางทางก็
พบหลวงจีนหลายรูป เมื่อเห็นกระบี่ผีหลูในมือของ
หยางหนิง ทุกคนตํางมีสีหน๎านับถือเขามาก ทุกคนที่
เห็นตํางโค๎งคานับให๎กับเขา
เมื่อเดินข๎ามไปอีกตาหนักเดียว ก็จะเป็นทางลงเขา
แล๎ว สองข๎างทางเต็มไปด๎วยต๎นไผํสีเขียวขจี หยาง
หนิงกาลังจะกลําวอาลา ก็เห็นหลวงจีนมองไป
ด๎านหน๎า หยางหนิงจึงมองตามเขาไป เห็นตรงตีน
เขามีคนสองคนกาลังเดินขึ้นมา คนด๎านหน๎าสวมชุด
หลวงจีนสีเทา เป็นหลวงจีนธรรมดา สํวนคนที่เดิน
ตามหลังหลวงจีนมานั้นเป็นชายหนุํมสวมชุดผ๎าแพร
ในมือถือหํอผ๎า หยางหนิงจ๎องไปมองอยํางละเอียด
พลันขมวดคิ้ว เขาจาได๎ คนที่เดินตามหลวงจีนขึ้น
เขามานั้นคือฉีอวี้
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 141 ชีวิตไม่แน่นอน
เสื้อผ้าของฉีอวี้สะอาดและใหม่เอี่ยม ราวกับว่าเพิ่ง
ใส่เป็นครั้งแรก เขาเพียงแต่ก้มหน้าจ้องมองลงไปที่
ก้อนหินบนพื้น ราวกับว่ากาลังนับขั้นบันใดที่ตัวเอง
เดินผ่านมาแล้วมีกี่ขั้น
หยางหนิงไม่จาเป็นที่ต้องมองไปที่หน้าของฉีอวี้
เพียงแค่มองดูเรือนร่างและท่าทางการเดินของเขา
หยางหนิงก็แน่ใจว่าเป็นฉีอวี้
พริบตาเดียว หยางหนิงก็รู้ทันที ว่าคนที่มาบวชแทน
เขานั้น คือฉีอวี้
เขารู้สึกแปลกใจ เดิมทีคิดว่าหาใครมาบวชแทนก็ได้
สาหรับจวนจิ่นอีโหวนั้น หาคนมาบวชแทนแค่นี้
ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
ทว่าเขาคิดไม่ถึงอย่างยิ่งว่าคนที่มาออกบวชแทนเขา
คือฉีอวี้
“เป็นเขาไปได้อย่างไร?” หยางหนิงพูดเบาๆ เหมือน
คุยกับตัวเองและเหมือนกับกาลังสอบถามหลวงจีนที่
อยู่ข้างๆ ไปด้วย
หลวงจีนรูปนั้นพูดว่า “วัดต้ากวงหมิลงมือรักษาเจ้า
หากเจ้าไม่ออกบวช ก็จะต้องให้คนที่มีสายเลือด
เดียวกันกับเจ้ามาบวชแทน”
ตอนนี้ฉีอวี้ห่างจากหยางหนิงไม่ถึงสิบก้าว เมื่อได้ยิน
เสียง เขาก็เงยหน้าขึ้นมา เขาเห็นคนที่อยู่ด้านบน
ตรงหน้านั้นคือหยางหนิง
ฉีอวี้เห็นดังนั้นก็พลันตะลึงงัน เขาพลันหยุดชะงัก
จากนั้นก็ก้มหน้าลง แล้วเดินตามหลวงจีนขึ้นเขาไป
หลวงจีนข้างๆ หยางหนิงถามฉีอวี้ว่า “เจ้าคือคน
ที่มาออกบวชแทนหยางหนิงใช่ไหม?”
ฉีอวี้เงยหน้า แต่ไม่มองหน้าหยางหนิง แล้วพยักหน้า
พูด “ข้าเอง”
“เมื่อเข้ามาสู่ทางสายนี้ ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็ถือว่าตัด
ขาดจากโลกภายนอก” หลวงจีนชี้ไปที่ป้าย “เจ้ามา
ออกบวชแทน หลังจากขึ้นเขาไปแล้ว ก็จะถือว่าเป็น
หลวงจีนของวัดต้ากวงหมิง เจ้าสามารถตัดขาดจาก
เรื่องทางโลกได้หรือไม่?”
ฉีวอวี้พูดว่า “ข้าตัดขาดจากเรื่องทางโลกแล้ว เต็ม
ใจที่จะออกบวชเป็นหลวงจีนของวัดต้ากวงหมิง ไม่มี
ทางกลับคา”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าก็ไม่จาเป็นต้องเอาห่อผ้า
ขึ้นเขาด้วย” หลวงจีนพูดว่า “ในวัดมีทุกอย่างที่
จาเป็นสาหรับเจ้า ของจากทางโลก ไม่จาเป็นต้อง
เอาไปด้วย” จากนั้นเขาก็มองไปที่หยางหนิง แล้ว
พูดว่า “ฉีหนิง เจ้าลงเขาไปได้แล้ว” จากนั้นเขาก็
หันหลังขึ้นเขาไป และหันไปมองหลวงจีนที่พาฉีอวี้
มาแล้วพูดว่า “เจ้าตามอาตมาขึ้นเขาไป”
ฉีอวี้ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นี่เป็นของที่ท่านแม่เตรียม
ให้ข้า หรือว่า...”
“ตัดขาดทางโลกแล้ว ก็ไม่จาเป็นต้องอาลัยอะไร
อีก” หลวงจีนพูดอีกว่า “ตามข้ามาเถอะ” จากนั้นก็
หันหลังเดินขึ้นเขาไป
ฉีอวี้หลับตาลงแล้วคลี่ยิ้มอย่างเย็นชา ในที่สุดก็มอง
ไปที่หยางหนิง สายตาที่มองไปเต็มไปด้วยความแค้น
เคือง จากนั้นก็โยนห่อผ้านั้นทิ้งและเดินชนไหล่
ของหยางหนิงไป และเดินตามหลวงจีนขึ้นเขาโดย
ไม่หันกลับมามองอีก
หยางหนิงมองตามเงาของฉีอวี้ เขารู้สึกแปลกใจมาก
ที่เห็นฉีวอวี้ออกบวชแทนเขา ตอนแรกยังรู้สึก
สงสาร แต่ว่าพอฉีอวี้มองเขาด้วยสายตาที่แค้นเคือง
ความสงสารของหยางหนิงก็หมดสิ้นไปทันที
ฉีอวี้เป็นคนจิตใจคับแคบ ใจคอโหดเหี้ยม คนแบบนี้
ไม่สมควรได้รับความสงสารจากเขาด้วยซ้า เพราะ
มันจะเป็นเหมือนนิทานชาวนากับงูเห่า หยางหนิง
แค่ไม่เข้าใจว่า เขาไล่ฉีอวี้ออกจากจวนโหวไปแล้ว
แล้วเหตุใดเขาถึงยังยอมที่จะออกบวชแทนเขาอีก?
คนๆ นี้คิดจะชิงตาแหน่งโหวตลอดเวลา ตอนนี้ออก
บวช ตอไปก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว
ส่งคนแบบนี้มาวัดต้ากวงหมิง ก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่อง
เลวร้าย เพราะมันจะทาให้เรื่องวุ่นวายน้อยลงไป
บ้าง ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าเขาจะทาอะไรอีก อีกทั้ง
วัดต้ากวงหมิงก็เป็นวัดอันดับหนึ่ง เป็นธรรมสถาน
อาจจะทาให้ฉีอวี้ปล่อยวางไปได้ก็ได้ นิสัยของเขา
อาจจะดีขึ้นมาบ้าง
ในมือของเขาถือกระบี่ผีหลูและเดินลงเขาไป ยังไม่
ทันถึงตีนเขา ก็เห็นรถม้าจอดอยู่ที่ไกลๆ มีเงาของ
คนกลุ่มหนึ่งรออยู่ หยางหนิงเห็นก็รู้ทันทีว่าคือต้วน
ฉางไห่ จึงรีบเรียกเขา “ทุกคน ทาอะไรกันอยู่รึ? ข้า
ลงเขาแล้ว เหตุใดไม่มีใครสนใจข้าเลยเล่า?”
พวกของต้วนฉางไห่ได้ยินเสียงก็รีบหันมาดู เห็นห
ยางหนิงเดินลงเขามาแล้ว สีหน้าของพวกเขาก็พลัน
ตื่นเต้นดีใจไม่น้อย รีบเดินเข้าไปรับทันที ต้วนฉางไห่
เดินเร็วกว่าใคร เดินไปไม่กี่ก้าว ก็คานับพร้อมกับยิ้ม
แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ท่านลงเขามาแล้วหรือ พวกเรา
กาลังคุยกันว่าซื่อจื่อจะได้โกนผมหรือไม่ ตอนนี้เห็น
ผมของท่านยังอยู่ครบเส้น พวกเราก็วางใจแล้ว”
หยางหนิงยกเท้าถีบไปที่ต้วนฉางไห่ ต้วนฉางไห่รู้ว่า
เขาล้อเล่น จึงรีบหลบ จากนั้นก็ได้ยินหยางหนิงด่า
ว่า “หากข้าออกบวชจริงๆ พวกเจ้าก็ไม่รอด
เหมือนกัน พวกเจ้าทั้งหมดนี่ต้องไปบวชเป็นหลวง
จีนเป็นเพื่อนข้า”
ทุกคนต่างก็หัวเราะขึ้นมา ต้วนฉางไห่รีบพูดขึ้นว่า
“ซื่อจื่อ กระบี่ในมือท่าน...!” ต้วนฉางไห่เห็นกระบี่
ในมือของหยางหนิงแล้ว ก็นึกสงสัยขึ้นมา
“มันคือกระบี่ผีหลู เป็นกระบี่ของแสงแห่งธรรม”
หยางหนิงชักกระบี่ออกมาพร้อมพูดว่า “พวกเจ้าดูสิ
ว่า กระบี่นี้มันเป็นอย่างไรบ้าง?”
ฉีเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินก็ตกใจทันทีรีบพูดว่า
“กระบี่ผีหลูรึ?” เขามองหน้าต้วนฉางไห่ แล้วถามว่า
“พี่ต้วน กระบี่ผีหลูเหมือนจะ...”
ต้วนฉางไห่เหมือนจะรู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไร เขา
พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง กระบี่ผีหลูเป็นหนึ่งใน
สิบสุดยอดกระบี่ หลายปีก่อนมีตาหนักที่ชื่อว่าหลิง
หลงเก๋อ กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่ประจาตัวของเจ้า
ตาหนักหลิงหลงเก๋อ” เขาพูดด้วยความสงสัยว่า
“ซื่อจื่อ เท่าที่ข้ารู้มา กระบี่ผีหลูถูกเก็บเอาไว้ที่
วัดต้ากวงหมิงมานาน ถือเป็นกระบี่ประจาตัวของ
ท่านพระอาจารย์ชิงซง”
“พระอาจารย์ชิงซง?” หยางหนิงรู้ว่า วัดต้ากวง
หมิงเรียงลาดับอาวุโสจากคานาหน้าฉายาธรรม พระ
อาจารย์ท่านนี้มีคานาหน้าว่าชิง แสดงว่าตาแหน่ง
นั้นน่าจะสูงกว่าหลวงจีนอาวุโสที่มีคานาหน้าด้วย
จิ้งต้วนฉางไห่อธิบายว่า “วัดต้ากวงหมิงเป็นธรรม
สถาน มือกระบี่ก็มีน้อยมาก มีแค่คนสองคนเท่านั้น
แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมาย แต่ว่าพระอาจารย์
ชิงซงนั้นถือเป็นมือกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของ
วัดต้ากวงหมิง ในบรรดาสิบสามอรหันต์ของ
วัดต้ากวงหมิง มีท่านหนึ่งที่ชื่อว่า...” เขาคิดไปครู่
หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจาชื่อไม่ได้แล้ว แต่ว่าเขาผู้นั้น
ในตอนนี้ก็เป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งของวัดต้ากวง
หมิง...”
“เจ้าหมายถึงพระอาจารย์จิ้งถงใช่หรือไม่?”
“ใช่ ถูกต้อง พระอาจารย์จิ้งถง” ต้วนฉางไห่รีบพูด
ว่า “เขาก็คือลูกศิษย์ของพระอาจารย์ชิงซง...”
จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า
“แต่ข้าได้ยินมาว่า เพลงกระบี่ของพระอาจารย์จิ้งถง
นั้นก็ไม่ได้น่อยหน้า แต่ว่าหากเทียบกับพระอาจารย์
ชิงซงแล้ว ก็ยังห่างชั้นกันมากอยู่ เพลงกระบี่ของ
พระอาจารย์ชิงซงในตอนนี้ เป็นอันดับสามในใต้
หล้า”
หยางหนิงเก็บกระบี่เข้าฝัก แล้วพูดว่า “กระบี่เล่มนี้
เป็นของพระอาจารย์ชิงซงหรือ?”
“ใช่แล้ว ก่อนที่กระบี่ผีหลูจะมาเป็นของพระ
อาจารย์ชิงซง ก็ไม่รู้ว่าเป็นของใครมาก่อน ตอนที่
พระอาจารย์ชิงซงมีชื่อเสียงในไต้หล้าแล้ว ในมืออง
เขาก็ครอบครองกระบี่ผีหลูแล้ว” ต้วนฉางไห่พูดว่า
“ทางตาหนักหลิงหลงเก๋อได้ประเมินให้กระบี่ผีหลู
เป็นอันดับสี่ในสิบสุดยอดกระบี่ อาจจะเป็นเพราะ
ให้เกียรติชื่อเสียงของพระอาจารย์ชิงซง แต่ว่ากระบี่
เล่มนี้ เป็นกระบี่ที่เยี่ยมยอดแน่นอน” จากนั้นก็ถาม
ว่า “ซื่อจื่อ กระบี่เล่นนี้มาอยู่ที่ท่านได้อย่างไร?”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าของของ
กระบี่ผีหลูเล่มนี้จะเป็นข้าฉีหนิง”
ต้วนฉางไห่กับองครักษ์ที่ยืนอยู่ต่างก็ตกตะลึง ฉีเฟิง
ตกใจแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ท่าน...ท่านคงไม่ได้ขโมย
มันมาใช่หรือไม่? ไม่ได้นะ หลวงจีนพวกนั้นจะตาม
พวกเรามา พวกเราต้องเอาไปคืน หรือว่า...พวกเรา
จะรีบหนีไปตอนนี้เลย?”
หยางหนิงมองฉีเฟิง แล้วพูดว่า “เจ้าใช้สมองหน่อย
ได้หรือไม่ ถ้าข้าขโมยมันมา คิดว่าพวกเขาจะให้ข้า
ลงเขามาหรืออย่างไร? เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นที่ไหนกัน?
ขโมยของในวัดต้ากวงหมิง คิดมาได้อย่างไร” เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “พวกเขาให้ข้ามา”
“ซื่อจื่อ ท่านหมายความว่าพวกเขามอบกระบี่ผีหลู
ให้ท่านหรือ?” ต้วนฉางไห่ตะลึงไป แล้วพูดด้วย
ความแปลกใจว่า “เพราะอะไร?”
หยางหนิงพูดว่า “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้ จริงสิ เมื่อครู่
ข้าเห็นฉีอวี้ขึ้นเขาไป ข้าได้ยินมาว่าเขาจะออกบวช
แทนข้า เหตุใดเขาถึงได้ใจดีผิดปกติแบบนี้เล่า?”
ตอนที่เขาถามก็ได้เดินลงจากเขามาแล้ว ทุกคนเดิน
อยู่ข้างๆ เขา ต้วนฉางไห่อธิบายต่อว่า “ซื่อจื่อตอนนี้
ท่านน่าจะรู้แล้วว่า วัดต้ากวงหมิงรักษาให้ตัวท่าน
...” เหมือนนึกอะไรออกมาได้ แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ
รบกวนท่านยื่นมือออกมาให้ข้าที”
หยางหนิงรู้ว่าต้วนฉางไห่คิดจะทาอะไร เขายื่น
กระบี่ผีหลูให้กับฉีเฟิง แล้วถกแขนเสื้อขึ้นมา แล้ว
ยื่นมือออกไป ต้วนฉางไห่ยื่นมือไปตรวจชีพจรของห
ยางหนิง สีหน้าของเขาดูจริงจัง จากนั้นไม่นาน เขา
ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “หลวงจีนวัดต้ากวงหมิงร้ายกาจ
จริงๆ หากข้าเดาไม่ผิด พวกเขาใช้วิชาฉุนหยวนกง
ปรับสมดุลกาลังภายในให้กับท่าน”
หยางหนิงวางแขนลง แล้วถามว่า “ท่านอาต้วน
ท่านคิดว่าอาการของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ซื่อจื่อโปรดวางใจ ไม่เป็นอันตรายแล้ว” ต้วนฉาง
ไห่พูดว่า “ลมปราณที่จุดตันเถียน ตอนนี้หลอมรวม
เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปแล้ว ไม่เป็นอันตรายต่อ
ร่างกายของท่านแล้ว อีกทั้งยังกลายมาเป็นของล้า
ค่าในตัวของท่านด้วย รอท่านฝึกการเดินลมปราณ
จนไหลลื่นแล้ว ก็สามารถนาลมปราณพวกนี้มาปรับ
ใช้ได้ ซื่อจื่อ ท่านช่างโชคดีในความโชคร้ายจริงๆ
หากฝึกฝนการเดินลมปราณให้ดีแล้ว ลมปราณที่มี
อยู่ในตัวท่านตอนนี้ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีถึงจะสะสม
มาได้ หากเป็นคนอื่น ยี่สิบสามสิบปีแทบจะทาไม่ได้
เลย”
หยางหนิงคิดในใจว่าแสดงว่าที่จิ้งคงพูดก็ไม่ใช่เรื่อง
โกหก ตอนนี้เขารู้สึกขอบคุณวัดต้ากวงหมิงเป็นอ
ย่างมาก
ภายในร่างกายของเขาสะสมลมปราณของทั้งมู่เซิ๋น
จวินกับองครักษ์ที่เรือนรับรองจงหลิง โดยเฉพาะ
ของมู่เซิ๋นจวิน ที่มีกาลังภายในลึกล้า กาลังภายใน
ของต้วนฉางไห่ฝึกฝนยังต้องใช้เวลากว่าสิบปี
หยางหนิงรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่นานเกินไปเลย
“วัดต้ากวงหมิงใช้วิชาฉุนหยวนกงมารักษาอาการ
ของท่าน นั้นมันไม่ง่ายเลย” ต้วนฉางไห่พูดอีกว่า
“ซื่อจื่อท่านเองก็เห็นแล้ว วัดต้ากวงหมิงไม่ใช่
สถานที่ที่มีเมตตาขนาดนั้น คนทั่วไปอย่าว่าแต่รักษา
เลย จะเหยียบเข้าวัดยังทาไม่ได้เลย ซื่อจื่อท่านเป็น
คนสาคัญ ถึงได้มีโอกาสได้รับการรักษาที่นี่ ตามกฎ
ของวัด ท่านจะต้องโกนผมออกบวช แต่ว่าตอนนี้ฉี
อวี้ออกบวชแทนท่าน ซื่อจื่อก็ไม่ต้องออกบวชเอง”
พูดถึงตรงนี้ ทุกคนก็มาถึงรถม้า
หยางหนิงไม่นั่งบนรถม้า เขากลับกระโดดขึ้นหลังม้า
ตัวหนึ่งไป แล้วถามต้วนฉางไห่ว่า “แล้วเหตุฉีอวี้ถึง
ได้รับปากเล่า? เขาเกลียดข้าอย่างกับอะไรดี
อยากจะเอามีดมาฟันข้าให้ตายด้วยซ้า แล้วเหตุใด
ถึงได้ช่วยข้า?”
“จริงๆ แล้วตอนแรกเขาก็ไม่ยอม” ฉีเฟิงพูดขึ้นมา
ว่า “ฮูหยินสามไปหาเขาด้วยตัวเอง ถูกพวกเขาแม่
ลูกด่ากลับมา บอกว่าไล่พวกเขาออกจากจวน
มาแล้ว มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาอีก ฉีอวี้กับ
ซื่อจื่อเองก็ไม่ได้เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันอีก
ต่อไปแล้ว เขาไม่มีหน้าที่ในการออกบวชแทนท่าน”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ซานเหนียงไปขอร้อง
พวกเขาเพราะข้าเองเลยหรือ?”
ต้วนฉางไห่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านตกอยู่
ในอันตราย ฮูหยินสามทาได้แค่ให้พวกเราส่ง
ซื่อจื่อมายังวัดต้ากวงหมิงก่อน แต่ว่าซื่อจื่อเป็นผู้สืบ
ทอดของจวนโหว หากไม่ให้ฉีอวี้ขึ้นเขามา วัดต้ากวง
หมิงเองก็ไม่มีทางให้ท่านลงจากเขาแน่นอน ฮูหยิ
นสามไปหาพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่แทบจะ
ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ซื่อจื่อ ท่านคงไม่รู้ หลายวัน
มานี้ฮูหยินสามร้อนใจมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
...”
หยางหนิงรู้สึกซาบซึ้งมาก หากจะบอกว่าตอนนี้คน
ที่เป็นห่วงเขามากจนเข้ากระดูกคือใคร คนๆ นั้นก็
ต้องเป็นกู้ชิงฮั่นนี่แหละ
“จนหมดหนทางแล้วจริงๆ เมื่อวานไท่ฮูหยินจึงสั่งให้
พวกเราไปตามฉีอวี้ไปพบ แล้วคุยกับฉีอวี้เป็นการ
ส่วนตัวไม่ถึงหนึ่งก้านธูป หลังจากที่เขากลับออกมา
ฉีอวี้ก็รับปากขึ้นเขาออกบวชแทนท่าน” ต้วนฉางไห่
พูดว่า "ไม่รู้เหมือนกันว่าไท่ฮูหยินกล่อมฉีอวี้อย่างไร
แต่ว่ามันไม่สาคัญอีกแล้ว ตอนนี้ฉีอวี้ขึ้นเขาไปแล้ว
ซื่อจื่อสามารถกลับจวนได้ เรื่องนี้สาคัญยิ่งกว่า
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 142 ซานเหนียงผู้อยากรู้อยากเห็น
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
อะไร คนอย่างฉีอวี้ สมควรแล้วที่จะออกบวชขัด
เกลานิสัยบ้าง”
ต้วนฉางไห่ถึงแม้จะไม่ได้มีความรู้สึกดีกับฉีอวี้ แต่ก็
เพราะว่าเขาเป็นสายเลือดของฉีจิ่ง พอหยางหนิงพูด
มาแบบนี้ คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“จริงสิ เกือบลืมไปเลย” หยางหนิงก็พลันนึกถึง
ถังนั่วขึ้นมาทันที แล้วถามว่า “ท่านอาต้วน หลาย
วันมานี้ที่ข้าไม่อยู่ มีคนมาหาข้าที่จวนบ้างหรือไม่?”
ต้วนฉางไฮ่ตบหัวตัวเองไปหนึ่งที แล้วพูดว่า “ถ้า
ซื่อจื่อท่านไม่เตือน ข้าก็ลืมไปเลย” เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อ ท่านหมายถึงแม่นางที่แซ่ถังใช่หรือไม่?”
“ใช่” หยางหนิงถอนหายใจ “ถูกต้อง แม่นางถังนั่น
แหละ นางมาเมืองหลวงแล้วใช่หรือไม่? แล้วตอนนี้
อยู่ที่ไหน?”
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้แม่นางถังอยู่ใน
จวน ตอนแรกพวกเราก็แปลกใจ แต่นางบอกว่านาง
มีข้อตกลงกับท่านซื่อจื่อ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ฮูหยินสามจึงให้นางอยู่ในจวนโหวไปก่อน แล้วก็
ดูแลนางเป็นอย่างดี ซื่อจื่อท่านไม่ต้องเป็นกังวล”
ฉีเฟิงยิ้มแล้วถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านรู้จักกับแม่นางถัง
ได้อย่างไรกัน?”
“ข้าจาเป็นต้องอธิบายให้เจ้าฟังด้วยหรือ?”
หยางหนิงเหลือบไปมองฉีเฟิง ในใจก็คิดว่าถังนั่ว
รักษาสัญญา นางก็เป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่งเลย
พวกเขาไม่อยู่ต่อให้เสียเวลา ออกเดินทางกลับเข้า
เมืองทันที
วัดต้ากวงหมิงตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองเจี้ยนเยี่ย
ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลมาก รพอาทิตย์ยังไม่ตก
ดินก็กลับถึงเมืองหลวงแล้ว
เมื่อถึงจวนโหว หยางหนิงก็เดินตรงเข้าไปในจวน
คนในจวนเมื่อเห็นหยางหนิงกลับมาแล้วต่างก็
ตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ มีคนรีบไปรายงานกู้ชิงฮั่น
ก่อนแล้ว กู้ชิงฮั่นรู้ว่าหยางหนิงกลับมาแล้วก็ดีใจยิ่ง
กว่าผู้ใด เมื่อเจอหน้าหยางหนิงก็ถามนั่นถามนี่
หยางหนิงตอบไปอย่างคร่าวๆ แต่ว่าเรื่องที่เอาชนะ
ไป๋หวี่เฮ่อได้นั้นเขาไม่ได้เล่าให้กู้ชิงฮั่นฟัง
ต้วนฉางไห่บอกว่าหยางหนิงไม่เป็นอะไรแล้ว กู้ชิง
ฮั่นก็เบาใจ
นางรู้ว่าช่วงที่หยางหนิงอยู่ในวัดนั้น ก็คงจะได้กินแต่
อาหารรสจืดและไม่มีเนื้อสัตว์เลย นางจึงบอกให้ทาง
ห้องครัวเตรียมอาหารที่มีเนื้อสัตว์มากมายเอาไว้ให้
เขาแล้วตั้งแต่เช้า
เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้ว อากาศก็เริ่มเย็นลง คนใน
จวนก็เริ่มเปลี่ยนมาใส่เครื่องนุ่งห่มในฤดูหนาว กู้ชิง
ฮั่นสวมชุดกระโปรงยาวสีม่วง ปักลายดอกโบตั้น
สายคาดเอวสีเขียวอ่อน ทาให้ทรวดทรงองเอว
เด่นชัดขึ้นมาก หิมะสีขาวไม่สามารถบดบังผิวขาว
เนียนของนางได้เลย แต่มันกลับทาให้ใบหน้าของ
นาง ผิวของนางและผมของนางสวยเด่นมากขึ้น
ถึงแม้ตอนที่หยางหนิงอยู่ที่วัดต้ากวงหมิงจะมีบุญ
ปาก ได้กินอาหารที่หลวงจีนเจินปี้ทาเองกับมือและ
รสชาติยอดเยี่ยม แต่ว่ามันก็ไม่มีเนื้อสัตว์เลย ตอนนี้
เขาเห็นอาหารที่เต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ กลิ่นอาหาร
หอมยั่วน้าลายไม่น้อย เขาก็ไม่ได้เกรงใจมากรีบหยิบ
ตะเกียบขึ้นมากาลังเตรียมที่จะลงมือกิน กู้ชิงฮั่นเห็น
ดังนั้นจึงรีบตบไปที่มือของเขาเบาๆ แล้วพูดว่า “รีบ
ทาไม รอก่อน”
หยางหนิงรีบวางตะเกียบ แล้วพูดว่า “ซานเหนียง
ทาไมเล่า? อาหารพวกนี้ทาให้ข้าไม่ใช่หรือ?”
“ปากดีนักนะ” กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่า
อาหารพวกนี้ทาให้เจ้าคนเดียวหรือ? ของพวกนี้ข้า
เข้าครัวทาเองกับมือเลย รอแม่นางถังก่อนสิ”
“อ่อ อ่อ” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อาหารของซาน
เหนียง มองแล้วก็ทาให้อยากอาหารมากขึ้น” แล้ว
ถามว่า “ให้คนไปเชิญนางมาหรือยังเล่า?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “รอประเดี๋ยว” จากนั้นก็ถามว่า “
หนิงเอ๋อ เจ้าได้เจอท่านใหญ่สี่หรือไม่?”
“ท่านใหญ่สี่หรือ?” หยางหนิงอึ้งไป ก่อนหน้านี้เคย
ได้ยินคนพูดถึงท่านใหญ่สี่อยู่บ้าง เขาถามด้วยความ
แปลกใจว่า “ซานเหนียง ท่านหมายถึงใครกัน?”
กู้ชิงฮั่นรู้สึกแปลกใจแล้วถามว่า “เจ้าไม่ได้เจอท่าน
ใหญ่สี่หรือ? ท่านใหญ่สี่ที่อยู่วัดต้ากวงหมิง ข้าคิดว่า
ครั้งนี้เจ้าจะได้เจอท่านด้วย ไม่รู้ว่าท่านสบายดี
หรือไม่”
หยางหนิงเกาหัว รู้สึกมึนงง แล้วถามว่า “ซาน
เหนียง ท่านใหญ่สี่ที่ท่านหมายถึงนั้นเป็นคนจวน
พวกเราหรือ?”
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่เขา แล้วพูดว่า “อยู่ในวัดมาหลาย
วัน สมองเลอะเลือนไปแล้วหรือย่างไร? ท่าใหญ่สี่
เป็นพี่น้องแท้ๆ กับท่านเหล่าโหว ตอนนั้นท่านเหล่า
โหวบาดเจ็บสาหัส หลวงจีนวัดต้ากวงหมิงรักษา
อาการให้ ตามกฎของวัด ท่านเหล่าโหวต้องออก
บวช แต่ท่านใหญ่สี่ก็เสนอตัวออกบวชแทนท่าน
เหล่าโหว ตอนนั้นท่านเหล่าโหวอายุยังน้อย ตอนนั้น
ท่านใหญ่สี่อายุแค่สิบเจ็ดสิบแปดปี...” จากนั้นก็พูด
ว่า “สถานการณ์ในตอนนั้น ก็เหมือนกับคราวนี้นี่
แหละ”
หยางหนิงถึงได้รู้ว่า ที่แท้ท่านใหญ่สี่ของตระกูลฉีอยู่
ที่วัดต้ากวงหมิง คานวณอายุแล้ว ท่านใหญ่สี่ก็น่าจะ
เป็นผู้อาวุโสที่มีคานาหน้าว่าจิ้ง แต่ว่าไม่รู้ว่าฉายา
ธรรมของเขามีชื่อว่าอะไร ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สนใจ
มากเท่าไหร่
“ซานเหนียง ฉายาธรรมของท่านใหญ่สี่คืออะไร
หรือ?” หยางหนิงรีบถามว่า “อย่างไรเสียวัดต้ากวง
หมิงก็รับปากแล้วว่า ต่อไปข้าสามารถขึ้นไปได้ตลอด
เมื่อถึงเวลานั้นจะได้ไปหาท่านใหญ่สี่ได้ง่ายขึ้น”
กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจาได้ว่าฉายาธรรมของ
ท่านใหญ่สี่ก็คือจิ้งฉุน ขึ้นเขาไปแล้วประมาณสิบปี
ท่านเหล่าโหวไปเยี่ยมท่านมาหลายครั้ง แต่ว่าท่าน
ใหญ่สี่ก็ไม่ได้มาพบ ข้าจาได้ว่าตอนนั้นท่านใหญ่สี่
บอกว่าท่านเหล่าโหวออกไปรบราฆ่าฟันคนไปไม่
น้อย ถึงแม้จะมีความดีความชอบ แต่ก็ถือว่าเข่นฆ่า
สิ่งมีชีวิตไป ดังนั้นเขาจะออกบวชแทน เพื่อลดบาป
นี้ให้ท่านเหล่าโหว”
หยางหนิงตกใจแล้วพูดว่า “จิ้งฉุนเองหรือ?” ที่แท้
หลวงจีนจิ้งฉุนก็คือท่านใหญ่สี่นั่นเอง เขาพาตัวห
ยางหนิงไปพักรักษาตัวที่ยอดเขาเทียนเป่า ก็เพราะ
แบบนี้นี่เอง
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้พบหน้าของจิ้งฉุนเลย
ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นมาได้ว่า จิ้งฉุนให้หลวงจีนน้อย
เจินหมิงถ่ายทอดวิชาชิงจิงให้เขา โดยที่ไม่ให้ผู้ใดรู้
หรือว่าแอบคิดอะไรเอาไว้?
เห็นหยางหนิงตะลึง กู้ชิงฮั่นก็รีบถามว่า “เจ้าได้เจอ
หรือ?”
“ไม่ได้เจอ ท่านใหญ่สี่เข้าวังไป” หยางหนิงรีบพูดว่า
“ได้ยินมาว่าในวังหลวงจะต้องทาพิธีอาบน้าศพให้
ฝ่าบาท ทางวัดต้ากวงหมิงจึงส่งหลวงจีนเข้าวังไป
ท่านใหญ่สี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ที่แท้ท่านใหญ่สี่
ก็เข้าวังไปนี่เอง ได้ยินมาว่าวัดต้ากวงหมิงส่งพระมา
สิบรูป”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านใหญ่สี่รักพี่รัก
น้องมาก ไม่เห็นเหมือนคุณชายรองฉีอวี้ของพวกเรา
เลย ซานเหนียง ได้ยินมาว่าไท่ฮูหยินเป็นคนไปเกลี้ย
กล่อมเขา ฉีอวี้จึงยอมขึ้นเขาไปใช่หรือไม่?”
“หนิงเอ๋อ ไม่ว่าก่อนหน้านี้ฉีอวี้จะเคยทาอะไร
ตอนนี้เขาก็ขึ้นเขาแทนเจ้าไปแล้ว ไม่อย่างนั้นตอนนี้
เจ้าก็ยังอยู่บนเขานะ” กู้ชิงฮั่นถอนหายใจเบาๆ แล้ว
พูดว่า “ไท่ฮูหยินบอกว่า ในเมื่อเขายอมออกบวช
แทนเจ้า ถ้าอย่างนั้นเขาก็ยังคงเป็นคนของตระกูลฉี
อยู่ ต้องดูแลฉงอี๋เหนียงเป็นอย่างดี”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฉงอี๋เหนียงนางกลับ
มาแล้วหรือ?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เจ้าไล่นางออกไปแล้ว เจ้าไม่อนุญาต
ไท่ฮูหยินก็ไม่มีทางให้นางกลับมา ไท่ฮูหยินสั่งให้ซื้อ
จวนหลังเล็กให้นางหลังหนึ่ง แล้วซื้อบ่าวไพร่คอยรับ
ใช้นางอีกสองสามคน ต่อไปก็ให้เงินนางได้กินได้ใช้
ในทุกๆ ปี ถือว่ายังให้เกียรติและไว้หน้าเจ้าอยู่”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เงินภาษีของพวก
เราได้กลับมาครบหรือยัง?”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฉางไห่พาคนไปเอา
มาแล้วส่วนหนึ่ง แต่ว่าเงินภาษีห้าร้อยหลังพวกเขา
ไม่ยอมคืน ทางท่านใหญ่สามบอกว่านี่เป็นกฎที่ท่าน
เหล่าโหวตั้งขึ้น เจ้าไม่มีสิทธิตัดสินใจ ไม่ใช่แค่ครั้งนี้
ต่อไปเงินภาษีห้าร้อยหลังก็จะต้องส่งไปให้ตามเดิม
น้อยสักสลึงก็ไม่ได้”
“ตาเฒ่านี่หน้าด้านจริงๆ เลย” หยางหนิงยแสยะยิ้ม
แล้วพูดว่า “พวกเราไม่เกี่ยวข้องอะไรกับทาง
ตระกูลฉีแล้ว เขามีสิทธิอะไรมารับเงินภาษีเอาไป
เสวยสุขแบบนี้เล่า? ไม่ได้ อย่าว่าแต่ห้าร้อยหลังเลย
หลังเดียว ข้าก็จะต้องเอากลับมา”
กู้ชิงฮั่นลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อ ถึงแม้
จะแยกจากกันไปแล้ว แต่ก็ไม่จาเป็นต้องจากกันไม่ดี
นี่นา เอาอย่างนี้ไหม...”
“ซานเหนียง ข้าเคยบอกแล้ว ท่านเป็นคนใจอ่อน
ที่สุดเลย” หยางหนิงพูดว่า “เขาทาอะไรไว้กับพวก
เราบ้าง ท่านเองก็รู้ไม่ใช่หรือ? พวกเขาอยู่ในเมือง
หลวงมานานหลายปี ก่อนหน้านี้ก็อาศัยบารมีของ
จวนโหว เอาเปรียบพวกเราไม่น้อย ก่อนหน้านี้รู้ว่า
ทางเรากาลังลาบากเรื่องการเงิน เขาก็แอบซ่อนเงิน
ภาษีเอาไว้ ไม่พูดไม่ถามอะไรเลยสักคา คนแบบนี้
พวกเราจะใจอ่อนกับเขาไม่ได้”
กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นนายใหญ่ของ
จวนโหว เจ้าว่าอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น”
หยางหนิงรีบพูดว่า “ซานเหนียง อย่าพูดแบบนี้ ข้า
ก็เป็นแค่ในนามเท่านั้น คนที่ดูแลจวนโหวจริงๆ ก็
เป็นท่านไม่ใช่หรือ? ข้าแค่คิดแบบนี้ หากท่านเห็นว่า
ไม่เหมาะสม ก็ทาตามที่ท่านว่าก็ได้”
กู้ชิงฮั่นเหลือบไปมองหยางหนิง แล้วยิ้มอย่าง
อ่อนโยนพร้อมพูดว่า “ข้าดูแลจวนโหวมาตั้งหลายปี
ตอนนี้กลายเป็นยายแก่ไปแล้ว ต่อไปต้องให้เจ้ามา
ดูแลแล้ว หากเจ้าไม่อยากดูแล ก็หาคนอื่นมาดูแล
แทนเจ้า ข้าไม่อยากต้องมานั่งเหนื่อยแล้ว ให้ยายแก่
คนนี้พักบ้างเถอะนะ”
“ยายแก่รึ?” หยางหนิงหัวเราะร่าออกมาแล้วพูดว่า
“ซานเหนียง ท่านพูดแบบนี้ คนอื่นคงหัวเราะจนฟัน
ร่วงหมดปากแล้ว”
“หัวเราะอะไร?” กู้ชิงฮั่นหน้านิ่ง แล้วจ้องไปที่
หยางหนิง “พวกเขาจะมาหัวเราะอะไรเล่า?”
หยางหนิงพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “หากท่านเป็น
ยายแก่จริงๆ โลกใบนี้คงไม่มีผู้ใดเป็นสาวน้อยอีก
แล้วกระมัง? ท่านลองส่องกระจกดูสิ ดูอย่างไร ก็
เพิ่งจะอายุยี่สิบเอง ยายแก่ที่ไหนจะสวยขนาดนี้กัน?
คนอื่นได้ยิน จะไม่หัวเราะได้อย่างไร?”
กู้ชิงฮั่นไม่ได้โมโหแต่อย่างไร เพียงแต่พูดว่า “เจ้าพูด
แบบนี้ ก็แค่อยากให้ข้าช่วยเจ้าทางานก็เท่านั้น
แหละ เจ้าอย่าคิดนะว่าเจ้ามาพูดเอาใจข้าแบบนี้ ข้า
จะไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไร”
“พูดจากใจเลยนะ” หยางหนิงพูดว่า “ซานเหนียง
ข้าไม่ได้แค่พูดเอาใจท่านนะ จะมองดูท่านกี่ทีท่านก็
ยังอายุน้อย ถ้าท่านไม่เชื่อท่านก็ลองออกไปถามใคร
ดูก็ได้?”
“ข้าไม่พูดเหลวไหลกับเจ้าแล้ว” กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วถาม
ว่า “หนิงเอ๋อ ที่ข้าพูดเมื่อครู่เจ้าได้ยินหรืไม่ ให้เจ้า
หาคนมาช่วยดูแลจวนโหว”
หยางหนิงพูดว่า “จะมีใครที่จะฉลาดแล้วก็ดีอย่าง
ซานเหนียงอีกเล่า ต่อให้เจอจริงๆ ข้าก็ไม่เอา ซาน
เหนียงดีที่สุด”
“เฮ้อ เหตุใดเจ้าถึงได้ไม่เข้าใจอะไรเลยนะ” กู้ชิงฮั่น
เริ่มร้อนใจ “ข้าอยากให้เจ้าแต่งสะใภ้เข้าจวน ถึง
ตอนนั้นก็จะได้มีคนคอยช่วยเจ้าอย่างไรเล่า?”
จากนั้นเขาก็เขยิบเข้าไปใกล้ นางยิ้มแล้วถามว่า
“หนิงเอ๋อ แม่นางถัง พวกเจ้าเจอกันโดยบังเอิญ
แล้วนัดกันไว้ว่าจะมาเจอกันที่เมืองหลวง นางก็ไม่ได้
พูดชัดเจนอะไรมาก ข้าเองก็ไม่กล้าถามมากความ
ไหนเล่าให้ซานเหนียงฟังสักหน่อยสิ ว่าเรื่องมัน
เป็นมาอย่างไร?”
นางยิ้มเหมือนดอกไม้บาน สีหน้าของนางคล้ายว่า
อยากรู้อยากเห็นไม่น้อย
หยางหนิงเข้าใจขึ้นมาทันทีแล้วพูดด้วยความรีบร้อน
ว่า “ซานเหนียง ท่านอย่าคิดเลยเถิดนะ แม่นางถัง
กับข้าไม่มีอะไรกัน ข้ากับนางเป็นได้มากที่สุดก็แค่
เพื่อน ข้าเห็นว่านางมีความสามารถ จึงเตรียมที่จะ
ช่วยนาง อีกอย่างนางก็เคยช่วยรักษาข้ามาก่อน”
“เจ้าร้อนใจทาไมกัน?” กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็
ไม่ได้ว่าอะไร เจ้ากินปูร้อนท้องไปเองกระมัง?
หนิงเอ๋อ เจ้ามีอะไรที่ยังไม่ได้เล่าให้ข้าฟังอีกหรือ
ไหน ซานเหนียงถามเจ้าสักหน่อย เจ้าชอบนาง
หรือไม่?”
ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของนาง มองดูไปแล้วก็ช่าง
น่ารักเหลือเกิน แม่ม่ายสาวผู้นี้ที่เต็มไปด้วยความ
งดงาม ทาท่าทางแบบนี้แล้ว ช่างทาให้ใจหวั่นไหวไม่
น้อย
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 143 ประหยัดอดออม
หยางหนิงถึงกับเกาหัวเลย แล้วย้อนถามว่า “ซาน
เหนียง ท่านบอกข้าที ท่านดูยังไงว่าข้าชอบนาง?”
“เจ้าเห็นซานเหนียงเป็นเด็กหรือไง?” กู้ชิงฮานยิ้ม
แล้วพูดว่า “หากแค่เจอกันผ่านๆ ทาไมแม่นางคน
นั้นจะต้องมาหาเจ้าที่จวนโหวด้วยล่ะ?” นางพูด
อย่างมั่นใจว่า “นางไม่พูดอะไรเลย บอกแค่ว่ามีธุระ
กับเจ้า หนิงเอ๋อ เจ้าไม่ต้องกลัวหรอกนะ ต่อให้เจ้า
ชอบแม่นางถังจริงๆ ซานเหนียงก็ไม่ได้ว่าอะไร มัน
เป็นเรื่องที่ดีมากเลย”
“เรื่องดีรึ?” หยางหนิงขอคาชี้แนะด้วยสีหน้าที่
จริงจัง “ที่ท่านพูดมานั้นหมายความว่าอย่างไร?”
กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียงรู้ว่าเจ้าโตแล้ว
หากไม่ใช่เพราะซูเจินกลับคาเรื่องการแต่งงาน
ป่านนี้ซานเหนียงก็ได้จัดงานแต่งให้เจ้าไปแล้ว เจ้า
เป็นจิ่นอีซื่อจื่อ หากไม่มีอะไรผิดพลาด หลังจาก
ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เจ้าก็จะได้ตาแหน่ง
โหว อายุของเจ้าตอนนี้ก็ไม่น้อยแล้ว อายุเท่านี้ควร
ที่จะแต่งงานได้แล้ว ไท่ฮูหยินไม่ถามเรื่องเล็กๆ
น้อยๆ พวกนี้ ตอนนี้พวกเราก็ตัดขาดกับตระกูลฉีไป
แล้ว งานแต่งของเจ้าก็มีแต่ข้าเท่านั้น”
“ซานเหนียง เหตุใดท่านถึงได้ร้อนใจหาสะใภ้ให้ข้า
แบบนี้เล่า?” หยางหนิงถอนหายใจ เขาไม่ได้สนใจ
ประเด็นนี้มากมายนัก เพราะเขามาสวมรอยเป็นจิ่น
อีโหวซื่อจื่อเขาก็ไม่ได้คิดจะเป็นไปตลอด ไม่แน่
เหมือนกันว่าเขาจะหายไปเมื่อใดก็ได้ หากแต่งงาน
แล้ว ก็จะไปไหนไม่ได้อีก
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “อะไรคือ
รีบร้อนหาสะใภ้ให้? เจ้าเป็นถึงจิ่นอีซื่อจื่อ การมี
ทายาทสืบสกุลเป็นหน้าที่ของเจ้า เจ้าจะทาตามใจ
ตัวเองไม่ได้ หนิงเอ๋อ เรื่องอื่นข้ายอมเจ้าได้ แต่เรื่อง
นี้ ข้าจะให้เจ้าทาตามใจตัวเองไม่ได้”
“ก็ได้ ซานเหนียง ท่านให้ข้าแต่งงาน แต่คงไม่ได้ให้
ข้าแต่งกับแม่นางถังหรอกใช่หรือไม่?” หยางหนิงพูด
อย่างจนปัญญาว่า “ท่านยังไม่รู้อะไรเลย ก็จะจัด
งานแต่งให้ข้าแล้วหรือ?”
กู้ชิงฮั่นคิดแล้วพูดว่า “จริงๆ ถ้าเจ้าจะแต่งกับแม่
นางถัง ฐานะของนางก็ไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก ไท่ฮู
หยินอาจจะไม่ยอม แต่ว่า...แต่ว่าหากว่าเจ้าชอบนาง
จริงๆ ข้าจะลองไปคุยกับไท่ฮูหยิน ให้แต่งแม่นางถัง
มาเป็นอนุภรรยาให้เจ้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?”
หยางหนิงคิดในใจว่าในสมัยนี้มีความคิดที่ไม่เหมือน
คนในยุคปัจจุบัน กู้ชิงฮั่นกาลังจะสื่อว่าในสมัยนี้การ
ที่ผู้ชายมีเมียหลายคนไม่ใช่เรื่องแปลก
“ซานเหนียง ยังไม่ต้องถามหรอกว่าข้าชอบแม่นาง
ถังหรือไม่ ข้าถามท่านก่อน หากแม่นางถังไม่อยาก
เป็นอนุภรรยา แล้วก็ไม่อยากแต่งเข้าจวนโหว แล้ว
จะทาอย่างไร?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านคงไม่
จับตัวนางมัดแล้วมาแต่งกับข้าหรอกใช่หรือไม่?”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องชอบนาง ยอมรับแล้วใช่
หรือไม่?” กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล
หรอกว่าแม่นางถังจะไม่ยอมแต่งกับเจ้า? ซานเหนียง
ว่าไม่หรอก หนิงเอ๋อของพวกเราหน้าตาดี ฉลาด
นิสัยดี อีกทั้งยังเป็นถึงจิ่นอีซื่อจื่อ แม่หญิงนางใดก็
อยากจะแต่งด้วยทั้งนั้น แม่นางถังไม่มีทางไม่อยาก
แต่งกับเจ้าหรอก”
“หน้าตาดี ฉลาด นิสัยดี...ซานเหนียง ท่านประเมิน
ข้าไว้สูงเหลือเกิน” หยางหนิงหัวเราะร่าออกมาแล้ว
พูดว่า “ท่านบอกว่าแม่หญิงทุกคนต้องชอบคนอย่าง
ข้าหรือ?”
กู้ชิงฮั่นรีบพูดว่า “แน่นอน ผู้ใดไม่ชอบหนิงเอ๋อของ
พวกเรา นางจะต้องตาไม่ดีแน่ๆ”
หยางหนิงมองไปที่ใบหน้าอันงดงามและดวงตาใสๆ
ของกู้ชิงฮั่น แล้วพูดว่า “ซานเหนียง แล้วท่านชอบที่
ข้าเป็นแบบนี้หรือไม่เล่า?”
เดิมทีกู้ชิงฮั่นยังรู้สึกดีใจตื่นเต้นอยู่ ได้ยินหยางหนิง
พูดแบบนี้มา นางก็ตะลึงไป แล้วก็พูดว่า “พูดจา
เหลวไหลอะไรกัน ถ้ายังพูดจาแบบนี้อีก ซานเหนียง
จะลงโทษเจ้าแล้วนะ” จากนั้นนางก็หยิบตะเกียบ
ขึ้นมา แล้วตีไปที่หลังมือของหยางหนิง แล้วตาหนิ
ว่า “ข้ากาลังพูดเรื่องจริงจังกับเจ้าอยู่นะ อย่าทาเสีย
เรื่อง”
หยางหนิงรู้ดีว่าเรื่องนี้พูดเล่นนิดๆ หน่อยๆ ได้อยู่
แต่จะมากเกินไปไม่ได้ ก็เลยพูดว่า “ซานเหนียง เมื่อ
ถึงเวลาที่ต้องแต่งงานจริงๆ ข้าต้องให้จัดงานแต่งให้
ข้าแน่นอน แต่ว่าเรื่องของแม่นางถังช่างมันเถอะนะ
ข้าขอบอกอีกครั้ง ข้ากับนางเป็นได้มากที่สุดก็คือ
เพื่อนกัน ข้ายังมีเรื่องจริงจังจะถามท่านอีก”
“เรื่องอะไร?” กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงจริงจังขึ้นมาก็
เลยถามว่า “เจ้ามีเรื่องจริงจังอะไร?”
“เรื่องเงิน!” หยางหนิงถามว่า : “เอาเงินภาษีกลับ
มาแล้ว พอใช้จ่ายในจวนบ้างหรือไม่? ไฟไหม้ร้านคน
อื่นไปตั้งหลายร้าน จ่ายค่าชดเชยไปก็ไม่น้อย”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วพูดว่า “พูดเรื่องนี้ขึ้นมา
เกือบลืมบอกเจ้าเลย” นางหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูด
ว่า “หนิงเอ๋อ เจ้าจาได้หรือไม่ที่เจ้าบอกว่า เจ้าเจอ
ร่องรอยของน้ามันในร้าน”
หยางหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ผิด ในร้านจะต้อง
มีหนอนบ่อนไส้แน่นอน ตอนแรกข้าคิดจะหาตัวมัน
ออกมา แต่ว่าเกิดเรื่องขึ้นมากมาย จึงยังไม่ได้ทาสัก
ที”
“เจ้าไม่ต้องไปสืบหาแล้ว พวกเราเจอตัวแล้ว” กู้ชิง
ฮั่นพูดว่า “หลังจากที่เจ้าเตือนสติข้า ข้าก็รู้สึก
เหมือนกับเจ้า เลยให้จ้าวอู๋ซังไปสืบดู”
“ได้เรื่องแล้วหรือ?”
“คนในร้านพวกนั้นพวกเราสอบสวนทีละคน แต่ก็
ไม่ได้พบความผิดปกติอะไร มีเพียงแต่วันที่เกิดไฟ
ไหม้ ชิวอี๋ไปที่นั่น แล้วเข้าไปในคลังของร้าน” กู้ชิง
ฮั่นแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “จ้าวอู๋ซังจึงพุ่งเป้าไปที่ตัวชิว
อี๋ แล้วจับเขามาสอบสวนอีกที ตอนแรกเขาก็ไม่
ยอมรับ แต่ถูกจ้าวอู๋ซังข่มขู่ จึงยอมสารภาพ”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หรือว่าเป็นความคิด
ของท่านใหญ่สาม?” จากนั้นเขาก็ส่ายหน้า แล้วพูด
ว่า “ไม่สิ เรื่องนี้มีโต้วเหลียนจงมาเกี่ยวข้อง โต้ว
เหลียนจงต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแน่ๆ”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ใช่ โรงรับจานาของพวกเราไฟไหม้
ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านใหญ่สาม แต่มีโต้วเหลียนจงอยู่
เบื้องหลังเรื่องนี้”
หยางหนิงกาหมัดแน่นแล้วพูดว่า “เจ้าพวกสารเลว
ข้าไม่มีทางปล่อยมันไปแน่”
“เจ้ารู้หรือว่าโต้วเหลียนจงมีเป้าหมายอะไร?” กู้ชิง
ฮั่นถาม
หยางหนิงพูดว่า “ได้ยินมาว่าท่านราชเลขากรมพระ
คลังโต้วขุยกับจวนจิ่นอีโหวของพวกเรามีความ
ขัดแย้งกัน โต้วเหลียนจงก็คงคิดอยากจะฉวยโอกาส
นี้แก้แค้นแทน?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “มันก็เป็นหนึ่งในเหตุผล เป้าหมาย
ของเขาจริงๆ คือร้านขายยาของพวกเรา”
“ร้านขายยาหรือ?” หยางหนิงพูดอย่างแปลกใจว่า
“ซานเหนียง ตระกูลโต้วน่าจะไม่ได้ขาดแคลนเงิน
ทองหรอกกระมัง เหตุใดจะต้องวางแผนเพื่อเอาร้าน
ขายยาของพวกเราไปด้วย?”
กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าน่าจะไม่รู้ ก่อน
หน้านี้สภาพการเงินของจวนโหวไม่ค่อยคล่องตัว
เท่าใดนัก ข้าให้ชิวอี๋ไปยืมเงินมาจากธนาคาร สอง
วันก่อนที่ไปเอาเงินภาษีกลับมา ข้าได้ให้คนนาเงิน
ไปคืนธนาคารแล้ว ฉางไห่ได้ความมาว่า คนที่อยู่สั่ง
การเบื้องหลังธนาคาร คือชิวอี๋ เจ้าของธนาคารนั้น
เป็นลูกชายของราชเลขากรมพระคลัง เขาไม่สะดวก
ออกหน้าเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามีธุรกิจนี้
ด้วย”
หยางหนิงเข้าใจทันทีว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ชิวอี๋กับโต้ว
เหลียนจงร่วมมือกัน ให้ธนาคารของตระกูลโต้วป
ล่อยเงินกู้ให้ พวกเขาวางแผนกันไว้แล้ว รู้ว่าหาก
พวกเราไม่สามารถคืนเงินได้ตามกาหนด ถึงเวลานั้น
ก็จะบีบให้พวกเราเอาร้านยาไปชดใช้”
“เป็นอย่างที่เจ้าพูด” กู้ชิงฮั่นคิด ก็รู้สึกกังวลอยู่ไม่
น้อย นางยกมือขึ้นมาจับที่หน้าอก “พวกเขาร่วมมือ
กัน เพื่อให้จวนโหวของพวกเราตกต่า” จากนั้นนาง
ก็พูดด้วยความโกรธแค้นว่า “ชิวอี๋เจ้าสารเลวผู้นั้น
ไม่เพียงร่วมมือกับท่านใหญ่สามทาร้ายพวกเรา ยัง
แอบร่วมมือกับตระกูลโต้ว หักหลังพวกเราอีก”
หยางหนิงรู้สึกหดหู่ใจ
คนที่ยื่นความตายมาให้ไม่ใช่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า แต่
กลับเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ และข้างหลังของพวกเรา
หากไม่ได้จับทางโต้วเหลียนจงได้ ใช้ม้าหยกหลิวหลี
มัดตัวเขาเอาไว้ ตอนนี้จวนโหวคงตกที่นั่งลาบากไม่
น้อย
กู้ชิงฮั่นพูดขึ้นมาว่า “หนิงเอ๋อ หากไม่ใช่เจ้าคิดวิธี
เอาเงินภาษีกลับมาได้ เกรงว่าตอนนี้พวกเราคงไม่
เหลืออะไรแล้ว ยังดีที่เจ้าจับทางโต้วเหลียนจงได้
ทางธนาคารเองก็เหมือนจะรู้ว่าต้องทาตัวอย่างไร
ต่อมาพวกเขาก็ไม่ได้มาทวงเงินที่จวนเลย เกรงว่าจะ
ทาให้พวกเราโกรธ แล้วจะย้อนกลับไปหาเรื่องพวก
เขา”
“แล้วตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ทางโรงรับจานาเสียหายไม่น้อย ของหลายอย่าง
เสียหายไป เพราะฉะนั้นก็ต้องจ่ายเงินชดใช้” กู้ชิง
ฮั่นพูดว่า “ถึงแม้ทางธนาคารจะไม่ได้มาทวงเงิน แต่
ว่าเงินที่ค้างเอาไว้พวกเราก็ต้องเอาไปคืน”
“แล้วตอนนี้พวกเราเหลือเงินอยู่เท่าใด ยังใช้ได้อีก
นานแค่ไหน?” หยางหนิงรู้ว่าจวนจิ่นอีโหว ต่อให้ไม่
ใช้เงินทาอย่างอื่นเลย ในจวนก็จะต้องมีกินมีใช้
ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็ไม่น้อย
ยังไม่พูดถึงเรื่องอื่น เฉพาะค่าจัดงานศพของฉีจิ่งกับ
ค่าชดใช้ค่าเสียหายจากไฟไหม้ ไม่ว่าเรื่องไหนก็เป็น
เงินจานวนไม่น้อยเลย ไม่มีโรงรับจานา จวนโหวก็
ขาดรายได้ไปอีกทางหนึ่งแล้ว ถึงแม้จะผ่านเรื่องนี้ไป
ได้แล้ว แต่ว่าในจวนโหวเองก็ยังต้องอดทนลาบาก
ต่อไปอีกช่วงหนึ่ง
“สองวันมานี้ข้าได้ลองคานวณดูแล้ว เงินที่เหลือ
หากคานวณจากรายจ่ายปกติ ถ้าไม่มีเรื่องอะไร
เกิดขึ้นอีก ก็น่าจะอยู่ได้อีกสองเดือน” กู้ชิงฮั่นยิ้ม
เจื่อนแล้วพูดว่า “จริงๆ เงินภาษีสามารถใช้ได้ครึ่งปี
ตอนนี้ขาดไปหลายเดือนเลย” นางส่ายหน้าแล้วพูด
ว่า “คงต้องหาทางอื่น”
“มีทางไหนอีกบ้าง?”
กู้ชิงฮั่นลังเลแล้วพูดว่า “หากไม่มีทางแล้วจริงๆ ข้า
จะส่งคนไปที่เจียงหลิง ไปขอยืมจากตระกูลกู้...”
หยางหนิงรีบพูดขึ้นมาว่า “ซานเหนียงคิดจะยืมเงิน
จากที่บ้านของท่านหรือ?”
“ตอนนี้มีเพียงทางนี้เท่านั้น” กู้ชิงฮั่นพูดอย่างไม่มี
ทางเลือก “ในจวนยังต้องกินต้องใช้ ยังไม่รู้ว่าจะมี
อะไรเกิดขึ้นอีก ถ้าไม่มีเงินแล้ว มันก็ทาอะไรไม่ได้”
หยางหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “ไม่ได้เด็ดขาด ซาน
เหนียง ท่านบอกว่าจะไปยืมเงินจากตระกูลกู้มา พูด
ง่าย แต่มันไม่น่าฟังเอาเสียเลย หากคนนอกรู้เข้า จะ
มองจวนโหวของพวกเราอย่างไร? อีกทั้งตระกูลกู้จะ
มองท่านอย่างไร? อีกอย่างจวนโหวของพวกเราจะ
อาศัยยืมเงินคนอื่นแบบนี้ไปตลอดไม่ได้ จะต้องหา
วิธีขยายรายรับอย่างอื่น”
“ก็มันไม่มีทางเลือกแล้ว” กู้ชิงฮั่นยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า
“ข้าก็รู้ว่าต้องขยายรายรับแล้วก็ประหยัด ประหยัด
ยังพอว่า แต่ว่าคิดจะขยายรายรับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
นะ”
หยางหนิงพูดว่า “เรื่องเงิน ข้าจะหาวิธีเอง ท่านย่า
ยกจวนโหวให้ข้าดูแล หน้าที่การทาให้คนในจวนกิน
อิ่มนอนหลับ มันเป็นของข้า” ในใจก็คิดว่า หน้าที่
สาคัญอีกหน้าที่หนึ่งของเขา เป็นจุดแข็งของเขาเลย
ก็คือการออกไปหาเงิน “จริงสิ แล้วจัดการกับชิวอี๋อ
ย่างไรด้วย? ยังขังตัวเอาไว้กับจวนโหวหรือ?”
“พวกฉางไห่จับชิวอี๋ส่งให้ทางการไปแล้ว แต่ว่าข้า
คิดว่าพวกเขาสองพ่อลูกทางานให้จวนโหวมานาน
หลายปี หากส่งเขาไปให้กับทางการ เขาคงต้องอยู่
ในคุกตลอดชีวิต” กู้ชิงฮั่นมองมาที่หยางหนิงแล้วพูด
ว่า “ตอนแรกคิดว่าจะรอเจ้ากลับมาก่อนแล้วว่ากัน
แต่ว่าข้าก็รู้นิสัยของเจ้าดี หากรอเจ้ากลับมา เจ้า
ต้องส่งตัวเขาไปให้ทางการแน่ๆ ดังนั้น...ดังนั้นข้าจึง
ตัดสินใจ ไล่เขาออกจากจวนไป แต่ว่า...แต่ว่าเงินที่
เขายักยอกไปซื้อบ้านเอาไว้นั้น เขายกให้พวกเรา
ทั้งหมด เพื่อแลกกับชีวิตเขา หนิงเอ๋อ เจ้า...เจ้าไม่
โกรธข้าใช่หรือไม่?”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ซานเหนียงท่านใจ
ดีเช่นนี้ ข้าจะโทษท่านได้อย่างไร ในเมื่อไล่ออกไป
แล้ว ข้าก็จะปล่อยเขาไปสักครั้ง ต่อไปถ้าเขาไม่มา
หาเรื่องพวกเราอีก ข้าก็จะถือว่าไม่มีคนผู้นี้อีก”
กู้ชิงฮั่นถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้
ว่าเจ้าจะต้องไม่โกรธ” นางยิ้มออกมาราวกับดอกไม้
ที่กาลังเบ่งบาน มันช่างงดงามไม่น้อย
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอกว่า “
ฮูหยินสาม แม่นางถังมาแล้ว”
กู้ชิงฮั่นตอบรับแล้วหยางหนิงก็รีบลุกขึ้นยืน ประตู
ห้องถูกเปิดออก เห็นคนผู้หนึ่งด้านบนสวมชุดปัก
ลายดอกกุหลาบเลี่ยมด้ายทอง ชายเสื้อปักรูป
ดอกบัว ชายกระโปรงด้านล่างเป็นกุหลาบสีม่วง
กระโปรงซับด้านในเป็นผ้าซาตินลายดอกไม้นกยูงสี
น้าเงิน นางกาลังเดินเข้ามาในห้อง
หยางหนิงตะลึงไป แล้วมองอย่างละเอียด เขาถึงจา
ได้ว่านางคือถังนั่ว เพียงแต่ว่านางแต่งตัวไม่
เหมือนกับที่เจอกันครั้งก่อน เกือบจะจาไม่ได้เลย
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 ตอนที่ 144 วิทยาลัยฉงหลิน
กู้ชิงฮั่นเห็นถังนั่วเดินเข้าห้องมา จึงรีบลุกขึ้น แล้ว
หันไปดึงมือของถังนั่ว แล้วพูดว่า “ข้าบอกเจ้าแล้ว
หนิงเอ๋อจะกลับมาในวันสองวันนี่แหละ นี่ก็เพิ่ง
กลับมา หนิงเอ๋อรู้ว่าเจ้าจะมา จึงสั่งให้ห้องครัว
ทาอาหารไว้ต้อนรับเจ้า”
หยางหนิงแอบคิดในใจว่ากู้ชิงฮั่นเป็นคนฉลาดมาก
คาพูดแบบนี้ฟังไม่ออกเลยว่ามีช่องโหว่ตรงไหน แต่
ว่าฟังอย่างไรก็เหมือนกาลังจะจับคู่พวกเขาสองคน
ถังนั่วยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก นางถูกกู้ชิงฮั่นจูง
ไปที่ริมโต๊ะ
“หนิงเอ๋อ เสื้อผ้าของแม่นางถังเป็นอย่างไรบ้าง?” กู้
ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียงเป็นคนเลือกให้แม่
นางถังเองเลยนะ เหมาะกับนางมากเลย”
“ซานเหนียงเลือกเองกับมือ มันต้องดีอยู่แล้ว”
หยางหนิงยกมือแล้วพูดว่า “แม่นางถัง เชิญนั่ง”
ถังนั่วก็ไม่ได้เกรงใจ กาลังจะนั่งลง กู้ชิงฮั่นก็ดึงนาง
มานั่งข้างๆ หยางหนิง แล้วพูดว่า “แม่นางถัง พวก
เจ้าไม่ได้เจอกันมานาน นั่งใกล้ๆ กันคุยไปกินไป
น่าจะดีกว่า” จากนั้นก็ดึงถังนั่วนั่งลงข้างๆ หยาง
หนิง
ถังนั่วเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสม นางนั่งข้างหยาง
หนิง แล้วมองไปที่หยางหนิงแล้วพูดว่า “เจ้ายื่นมือ
ออกมาให้ข้าที ข้าจะตรวจชีพจรให้เจ้า”
ก่อนหน้านี้ต้วนฉางไห่ได้ตรวจให้หยางหนิงไปแล้ว
ครั้งหนึ่ง แต่ว่าความรู้ด้านการแพทย์ของถังนั่วนั้น
เหนือกว่าต้วนฉางไห่มาก หากได้นางยืนยันอีกเสียง
ก็จะสบายใจมากขึ้น
เขายื่นมือออกไปให้ ถังนั่วใช้สองนิ้วแตะไปที่ข้อมือ
ของหยางหนิง กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วมองไป ไม่นานนัก
ถังนั่วก็เก็บมือกลับมาแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรน่าเป็น
ห่วงแล้ว แต่ว่าจุดตันเถียนถูกกระตุ้น ทาให้มีอาการ
บาดเจ็บภายใน...” พอนางพูดจบ กู้ชิงฮั่นเกิดอาการ
กังวลขึ้นมา แล้วรีบถามกลับไปว่า “แม่นางถัง เจ้า
บอกว่าอาการของหนิงเอ๋อยังไม่หายดีหรือ?”
“ฮูหยินไม่ต้องกังวลไป” ถังนั่วพูดอย่างเรียบง่ายว่า
“จุดตันเถียนบาดเจ็บนิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้า
จะจัดยาให้สองชุด ภายในสิบวันก็จะหายเป็นปกติ”
กู้ชิงฮั่นถึงได้วางใจ แล้วพูดว่า “ดีแล้ว ดีแล้ว”
จากนั้นก็พูดอีกว่า “มา กับข้าวเย็นหมดแล้ว
หนิงเอ๋อ รีบคีบอาหารให้แม่นางถังสิ”
ถังนั่วพูดว่า “ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจ” แล้วมองไปที่
หยางหนิงแล้วพูดว่า “ข้ารับปากเจ้าว่าข้าจะมาเมือง
หลวง ก็เพื่อรักษาอาการให้เจ้า แต่ตอนนี้ ข้าคงไม่
จาเป็นสาหรับเจ้าแล้ว”
“แม่นางถัง เจ้าอย่าพูดแบบนี้” หยางหนิงรีบพูดว่า
“เจ้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง?”
ถังนั่วพูดว่า “คนเยอะ ครึกครื้น ข้าไม่ค่อยชิน
เท่าไหร่”
“ถูกแล้ว” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ก็เพราะว่าคน
เยอะ คนป่วยก็เลยเยอะไปด้วย โรคแปลกๆ ก็มีให้
เห็นมาก แม่นางถัง ขอข้าพูดอะไรสักอย่างนะ ที่นี่
อาจจะมีโรคที่เจ้าไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินมาก่อน เจ้า
อาจจะได้ลองรักษามัน”
ถังนั่วเหมือนกาลังใช้ความคิดแล้วพูดว่า “หากเป็น
อย่างนั้นจริง ก็สมใจข้าแล้ว”
หยางหนิงหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วพูดว่า “มา กินกัน
เถอะ กินไปคุยไป” จากนั้นเขาก็พูดกับกู้ชิงฮั่นว่า
“ซานเหนียง วิชาแพทย์ของแม่นางถังเก่งกาจมาก
ท่านอาจจะไม่รู้ ว่านางเก่งจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
เลยล่ะ ที่แม่นางถังมาเมืองหลวงในครั้งนี้ เพราะว่า
ข้ารับปากนางไว้ว่าจะช่วยนางเปิดโรงหมอรักษาโรค
ให้กับผู้คน แม่นางถัง เรื่องราวเป็นอย่างนี้ใช่
หรือไม่?”
ถังนั่วตอบอย่างชัดถ้อยชัดคาแล้วพูดว่า “ถูกต้อง
ข้าสามารถอยู่ที่เมืองหลวงได้สักครึ่งปี ดูว่ามีโรค
แปลกๆ ให้ได้เจอจริงหรือไม่” จากนั้นก็หยุดไปครู่
หนึ่ง แล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าการเปิดโรงหมอในเมือง
หลวงต้องใช้เงินมาก ในมือข้ามีเงินไม่ได้มากขนาด
นั้น แต่ว่าขอเวลาข้าสักหน่อย ข้าน่าจะพอหาเงินได้
ถึงเวลานั้นข้าจะคืนเงินให้พวกท่าน”
ตอนที่ถังนั่วมาที่นี่แรกๆ ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้กู้ชิงฮั่นได้
รู้ มันทาให้กู้ชิงฮั่นรู้สึกตกใจไม่น้อย แล้วถามว่า
“แม่นางถัง เจ้า...เจ้าคิดจะเปิดโรงหมอหรือ?” นาง
อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ถังนั่ว หญิงคนนี้อายุเพิ่งจะสิบ
เจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่านางจะมี
ความคิดเช่นนี้
กู้ชิงฮั่นดูแลจวนโหวมานานหลายปี จวนโหวเองก็มี
ร้ายขายยาร้านหนึ่งในเมืองหลวง ถึงแม้ร้ายขายยา
เองจะไม่ได้ตรวจโรครักษา แต่ก็มีหมอมาประจาอยู่
ที่ร้าน
นางรู้ว่าการรักษาโรคมันเป็นเรื่องใหญ่คือความเป็น
ความตาย จะทาลวกๆ ไม่ได้ โรงหมอในเมืองหลวงก็
มีไม่น้อย เจี้ยนเยี่ยเป็นเมืองหลวงของแคว้นฉู่ มีคน
อยู่ประมาณหกเจ็ดแสนคน โรงหมอเองก็มีนับร้อย
โรงหมอมีทั้งเล็กและใหญ่ แต่ว่าจะเปิดโรงหมอได้
สิ่งที่ต้องมีก็คือจะต้องเป็นหมอที่มีคนเชื่อถือ และ
ต้องเป็นหมอที่มีฝีมือยอดเยี่ยม คนมาหาหมอมี
มากมาย ค่ารักษาก็สูงตามไปด้วย เงินก็จะได้มาก
ตามไปด้วย ต่อให้ไม่อยากรวยก็คงเป็นไม่ได้
แต่ว่าจะอาศัยฝีมืออย่างเดียว แล้วเปิดโรงหมอใน
เมืองหลวงมันเป็นเรื่องที่ยากไม่น้อย
กู้ชิงฮั่นรู้ว่าการเปิดโรงหมอเป็นวิธีที่ไม่เลวเลย แต่ว่า
ในเมืองหลวงโรงหมอที่ปิดตัวไปเพราะสู้ไม่ไหวในแต่
ละปีก็มีมากอยู่
อย่าว่าแต่คนธรรมดาทั่วไปเลย แม้แต่ในใจของกู้ชิง
ฮั่นเอง หมอเก่งๆ ก็ต้องเป็นคนแก่ที่มีผมขาวอะไร
ประมาณนั้น ถึงจะทาให้คนวางใจได้
แต่ว่าถังนั่วอายุยังไม่ถึงยี่สิบ ดูๆ ไปแล้วก็เป็นแค่
ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง นางจะเปิดโรงหมอในเมือง
หลวง กู้ชิงฮั่นกังวลว่าจะต้องปิดลงในไม่กี่เดือน
แต่ว่าจะพูดออกไปแบบนี้ตรงๆ ก็คงจะไม่เหมาะ
นางยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางถัง เปิดโรงหมอไม่ใช่เรื่อง
ง่ายเลยนะ มันไม่ใช่แค่ใช้เงินไม่กี่ร้อยตาลึง เจ้าคิดดี
แล้วใช่หรือไม่ ว่าจะเปิดโรงหมอจริงๆ?”
“ที่ข้ามาเมืองหลวง ก็เพราะต้องการเจอและเรียนรู้
โรคที่มากขึ้น จะได้พัฒนาวิชาแพทย์ของข้าได้”
ถังนั่วตอบอย่างตรงไปตรงมา “การเปิดโรงหมอเป็น
ทางเดียวที่จะทาให้ข้าได้สัมผัสกับโรคต่างๆ ได้ดี
ที่สุด”
“ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่” กู้ชิงฮั่นคิด แล้ว
พูดด้วยความอ่อนโยนว่า “จวนโหวของพวกเรามี
ร้ายขายยาที่ชื่อว่าหย่งอันถางอยู่ในเมืองหลวง เปิด
กิจการมาแล้วหลายปี ถือว่ามีชื่อเสียงประมาณหนึ่ง
ถึงแม้จะไม่ใช่ร้านขายยาที่ดีที่สุดในเมืองหลวง แต่
ว่าหลายปีที่ผ่านมา ก็มีชื่อเสียงและคนรู้จักไม่น้อย
ปกติการค้าก็ดี หากแม่นางถังยินดีล่ะก็ ลองไปนั่ง
ตรวจที่ร้านขายยาของพวกเราก่อนดีหรือไม่ ร้าย
ขายยาของพวกเราก็ไม่เล็ก มีที่ไว้สาหรับตรวจโรค
โดยเฉพาะด้วย เจ้าลองไปตรวจโรคที่นั่นดูก่อน เจ้า
คิดว่าอย่างไร?”
หยางหนิงไม่ใช่คนโง่ กู้ชิงฮั่นพูดแบบนี้ เขาเข้าใจว่า
กู้ชิงฮั่นคิดอะไร กู้ชิงฮั่นกังวลว่าหากถังนั่วเปิดโรง
หมอแล้วไม่มีคนมารักษา อาจจะทาให้นางเสียใจ
ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างนางมาเมืองหลวงครั้งแรก ก็จะ
เปิดโรงหมอเลย ต่อให้มีฝีมือยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ว่า
หากไม่มีคนป่วยมารักษา หรือต่อให้ไม่คิดเงิน คนอื่น
ก็ไม่กล้าจะลอง
ข้อเสนอของกู้ชิงฮั่น คือให้ถังนั่วอาศัยชื่อเสียงของ
หย่งอันถางสะสมประสบการณ์และชื่อเสียงในการ
รักษา ถือว่าเป็นวิธีที่ดีมาก
ถังนั่วพยักหน้าแล้วพูดว่า “ขอแค่ได้ตรวจรักษาโรค
ไม่ว่าที่ไหน ข้าก็ไปได้หมด ขอบคุณฮูหยินที่ช่วย
จัดการให้”
ที่หย่งอันถางมีหมอประจาอยู่ ให้ถังนั่วไป จะไปไล่
คนเก่าออกแล้วให้ถังนั่วไปแทนที่ไม่ได้ ทาได้แค่ให้
ถังนั่วไปเป็นลูกมือของเขาก่อน
ข้อเสนอของกู้ชิงฮั่นถึงแม้จะหนักแน่น ทาให้ถังนั่ว
เข้าถึง แต่เดิมทีหยางหนิงคิดว่าถังนั่วไม่น่าจะ
รับปาก เพราะเขาเคยเห็นความสามารถของถังนั่ว
ฝีมือขนาดนั้น จะยอมลดตัวได้อย่างไร? แต่คิดไม่ถึง
เลยว่าถังนั่วจะรับปากเร็วขนาดนี้ จึงรู้สึกประหลาด
ใจ
ก่อนหน้านี้ถังนั่วอยู่ในหุบเขามาตลอด ไม่เจอใคร
เลยสักคน คาพูดของเขา ทาให้ถังนั่วต้องเปลี่ยนวิถี
การใช้ชีวิตไป นางลงจากเขาเข้ามาเมืองหลวง แค่นี้
ก็ทาให้หยางหนิงประหลาดใจมากแล้ว
วันนี้เห็นนางไม่มีท่าทีลังเลเลย ในใจก็คิดว่านางคง
ชื่นชอบการแพทย์จริงๆ เพื่อให้ได้เจอคนป่วยมาก
ขึ้น นางยินดีที่จะอยู่ใต้คาสั่งของคนอื่น เพื่อคงไว้ซึ่ง
อุดมการณ์ของนางเอง หยางหนิงไม่อยากจะคิดเลย
ว่า อีกสักสิบยี่สิบปี วิชาแพทย์ของนางจะเก่งกาจได้
ถึงเพียงใด
กู้ชิงฮั่นเห็นถังนั่วรับปาก ก็ดีใจมาก แล้วพูดว่า
“อย่าพูดกันอีกเลย กับข้าวเย็นหมดแล้ว ข้าจะให้
คนเอาไปอุ่นให้ใหม่...” นางกาลังจะเรียกบ่าวไพร่มา
หยางหนิงก็พูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าเห็นว่ามันก็ยังอุ่นๆ
อยู่ ในห้องมีถ่านไฟอยู่ กับข้าวยังไม่เย็นหรอก ข้าหิว
จะตายอยู่แล้ว”
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่หยางหนิง แต่ว่าหยางหนิงทาเป็นไม่
เห็น เขารีบหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วกินเหมือนเสือล่า
เหยื่อ
เขายังกินไม่อิ่ม ก็ได้ยินเสียงของต้วนฉางไห่ดังขึ้นมา
ว่า “ฮูหยินสาม ท่านจัวมา รอท่านอยู่ที่ห้องโถงใหญ่
ท่านจะ...”
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” กู้ชิงฮั่นรีบลุกขึ้น แล้วพูดว่า “
หนิงเอ๋อ เจ้ากินเป็นเพื่อนแม่นางถังไปก่อนนะ
ท่านจัวมาข้าจะช้าไม่ได้ ข้าจะไปพบเขาสักหน่อย”
“ท่านจัว?” หยางหนิงถามด้วยความประหลาดใจว่า
“ผู้ใดคือท่านจัว?”
“ท่านจัวจากวิทยาลัยฉงหลิน” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “มา
เอาเงินแน่ๆ ช่วงนี้เรื่องเยอะ ลืมเรื่องนี้ไปเลย
ท่านจัวถึงกับมาที่นี่ด้วยตัวเอง แสดงว่าต้องโกรธ
แล้วแน่ๆ ข้าจะไปดูสักหน่อย” นางหันไปยิ้มให้
ถังนั่วแล้วพูดว่า “แม่นางถัง คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้าน
ของเจ้านะ ไม่ต้องเกรงใจ” จากนั้นนางก็เดินออกไป
หยางหนิงคิด เขาจาได้ว่าก่อนหน้านี้ชิวอี๋เหมือนจะ
เคยพูดถึงท่านจัวท่านนี้ เหมือนทางจวนโหวจะส่ง
เงินไปให้ทางวิทยาลัย สงสัยจะยังไม่ได้ส่งเงินไป ทา
ให้ท่านจัวของวิทยาลัยฉงหลินต้องมาที่นี่ด้วยตัวเอง
เขาเองก็ไม่ได้รู้เรื่องของจนโหวอะไรมากนัก ไม่รู้ว่า
เหตุใดจวนโหวต้องส่งเงินไปให้ทางวิทยาลัยฉงหลิน
ด้วย
“พวกเจ้ามีความสัมพันธ์กับวิทยาลัยฉงหลินด้วย”
ถังนั่วอยู่ๆ ก็พูดขึ้นมา “ท่านจัวผู้นั้น ใช่จัวชิงหยาง
หรือไม่?”
หยางหนิงอึ้งไป แล้วพูดว่า “เจ้ารู้จักวิทยาลัยฉง
หลินด้วยหรือ?”
ถังนั่วย้อนถามกลับไปว่า “เจ้าไม่รู้จักหรือ?”
หยางหนิงตะลึงงันไป เขาคิดไม่ถึงเลยว่าถังนั่วจะ
รู้จักวิทยาลัยฉงหลินด้วย เขาพูดว่า “ข้าไม่ค่อยชอบ
เรียนหนังสือมากนัก แล้วก็ไม่เคยไปที่วิทยาลัยฉง
หลินด้วย”
ถังนั่วชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นผู้ชาย จะ
เข้าวิทยาลัยฉงหลินก็ต้องยากอยู่แล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร?” หยางหนิงถามด้วยความ
แปลกใจ
ถังนั่วพูดว่า “ดูท่า เจ้าจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ
วิทยาลัยฉงหลินเลยนะ” นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“วิทยาลัยฉงหลินคือวิทยาลัยหญิงอันดับหนึ่งในใต้
หล้า อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้?”
“วิทยาลัยหญิงอันดับหนึ่งในใต้หล้า” หยางหนิงอึ้ง
ไปจริงๆ เท่าที่เขาจาได้ ในสมัยโบราณผู้หญิงให้
ความสาคัญต่อศีลธรรมจรรยา ไม่ค่อยได้ยินว่ามีการ
เปิดวิทยาลัยเฉพาะผู้หญิงด้วย แต่วิทยาลัยฉงหลิน
กลับเป็นวิทยาลัยหญิงอันดับหนึ่งในใต้หล้า มันช่าง
น่าตกใจจริงๆ
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 บทที่ 145 ศิลปินสี่แขนง
ถังนั่วรู้สึกแปลกใจมากว่าเหตุใดจิ่นอีซื่อจื่อถึงไม่รู้เรื่อง
ของวิทยาลัยฉงหลินเลย แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
หยางหนิงกลับรู้สึกอึดอัด แล้วถามว่า “แม่นางถัง เจ้า
เหมือนจะรู้จักวิทยาลัยฉงหลินดีนะ ท่านจัวคนนั้น
ชื่อจัวชิงหยางหรือ?”
ถังนั่วพยักหน้าแล้วพูดว่า “เขาเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง
เท่าที่ข้ารู้ วิทยาลัยฉงหลินเขาเป็นคนก่อตั้ง เขาเป็น
อาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยแห่งนั้น” นางเหมือนคิดๆ
แล้วพูดเบาๆ ว่า “เขาเคยออกไปท่องเที่ยวทั่วหล้า
เขามีลูกศิษย์อยู่ทั่วทุกที่ ไม่ได้มีเพียงแค่ในวิทยาลัย
ฉงหลิน”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง ดูท่าท่านจัวคนนี้น่าจะเก่งมากเลย
นะ” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้เขาน่าจะอายุ
ไม่น้อยเลยใช่หรือไม่?”
“หากข้าจาไม่ผิด ก็น่าจะเกือบเจ็ดสิบแล้ว” ถังนั่วพูด
ว่า “ดูท่าร่างกายของท่านจัวยังคงแข็งแรงอยู่ ตอนนี้
ถึงยังได้มาทางานอยู่ในวิทยาลัยฉงหลิน”
“เจ้าเคยพบเขาหรือ?” เห็นถังนั่วเหมือนจะรู้จักจัว
ชิงหยางเป็นอย่างดี หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
ถังนั่วพูดว่า “ข้าไม่เคยเจอหรอก” จากนั้นก็หยุดไป
แล้วพูดว่า “แต่แม่ของข้าเคยเจอเขา แล้วก็เคยได้
เรียนกับท่านจัวด้วย”
“อ๋อ?” หยางหนิงพูดอย่างประหลาดใจว่า “ที่แท้บ้าน
ของพวกเจ้าก็มีที่มาที่ไปกับจัวชิงหยางนี่เอง”
“ตอนนั้นท่านจัวเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วหล้า ท่าน
เคยสอนตาราอ่านเขียนให้แม่ของข้า” ถังนั่วพูดว่า
“ดีดพิณ หมากรุก ตาราเขียนอ่าน และวาดภาพ
ศิลปะทั้งสี่แขนง ท่านจัวชานาญเรื่องการตาราอ่าน
เขียนมาก ซึ่งเมื่อรวมกับอีกสามคนที่ชานาญอีกสี่วิชา
พวกเขามีฉายาว่าศิลปินสี่แขนง”
“ศิลปินสี่แขนง?” หยางหนิงตะลึงไป คิดไม่ถึงว่า
ถังนั่วไม่เพียงมีวิชาความรู้ แต่ยังรู้เรื่องราวหลายๆ
อย่างมากอีกด้วย ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าถังนั่วมีอายุแค่นี้
กลับมีความรู้ความสามารถมากมาย เขาเลยขอคา
ชี้แนะว่า “แม่นางถัง ศิลปินสี่แขนงพวกนี้เขาเป็นใคร
กันหรือ?”
ถังนั่วคิดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านจัวได้รับสมญา
นามว่าเทพแห่งตารา การเขียนอ่านของเขาถือว่า
เหนือกว่าใคร ยังมีเรื่องภาพวาด ก็เป็นที่หนึ่งในแคว้น
หนานฉู่ เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้จักซีเหมินเสินโหว
ด้วยนะ”
หยางหนิงยกน้าชาขึ้นดื่ม แล้วพูดอย่างกระอัก
กระอ่วนว่า “แม่นางถัง หากข้าบอกว่าข้าไม่รู้จัก
ซีเหมินเสินโหว ไม่เคยได้ยินชื่อนี้ด้วย เจ้า...เจ้าจะเชื่อ
หรือไม่?”
ถังนั่วตอบว่า “ไม่เชื่อ”
เขากระอักกระอ่วนมากเลยในตอนนี้
“แต่ว่า...แต่ว่าข้าไม่รู้จักจริงๆ นะ” หยางหนิงรู้สึกว่า
หน้าของเขาเหมือนถูกไฟเผา “แม่นางถัง ซีเหมินเสิน
โหวเขาเป็นใครกันหรือ?”
ถังนั่วมองไปที่หยางหนิงอย่างประหลาดใจ แล้วถาม
ว่า “เจ้าคือจิ่นอีโหวซื่อจื่อจริงๆ หรือ?”
หยางหนิงคิดในใจว่าเด็กคนนี้มองอะไรออกหรือไง ใน
ใจก็นึกตกใจ แต่ว่ายังคงนิ่งอยู่แล้วพูดว่า “ถ้าข้าไม่ใช่
จิ่นอีซื่อจื่อ ข้าจะมานั่งกินข้าวตรงนี้ได้อย่างไรเล่า?”
“หากข้าไม่ได้เห็นว่าเจ้านั่งกินข้าวอยู่ตรงนี้ ข้าไม่มี
ทางเชื่อว่าเจ้าคือจิ่นอีซื่อจื่อแน่” ถังนั่วพูดตรงๆ ว่า
“เจ้าอยู่ในเมืองหลวงอีกทั้งยังเป็นจิ่นอีซื่อจื่อของ
แคว้นฉู่ เหตุใดถึงไม่รู้จักซีเหมินเสินโหว ซีเหมินเสิน
โหวก็คือซีเหมินอู๋เหิง ซีเหมินอู๋เหิงก็คือคนที่เจ้าของ
จวนเสินโหว”
“จวนเสินโหว?” หยางหนิงเหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้
มาก่อน แต่ว่าจาไม่ได้ว่ามันคือที่ไหน
“นอกจากเทพตาราจัวชิงหยางกับเทพแห่งภาพซีเห
มินอู๋เหิงแล้ว เป่ยถังชิ่งแห่งเป่ยฮั่นฉางหลิงโหวก็อยู่ใน
ศิลปินสี่แขนงด้วย การดีดพิณของเขาเป็นเลิศมาก
การดีดพิณของเขาไม่มีใครเทียบได้มาหลายปีแล้ว”
ถังนั่วพูดต่อว่า “หลายปีมานี้ การดีดพิณของเขา
ก้าวหน้าไปมาก แต่ว่าเขาได้หายตัวไปไม่มีใครได้ข่าว
คราวมานานหลายปีแล้วเช่นกัน”
หยางหนิงนั่งยืดตัวตรง แล้วขมวดคิ้ว จากนั้นก็ยิ้ม
แล้วพูดว่า “เป่ยถังชิ่งข้ารู้จัก เขาเป็นฉางหลิงโหวของ
เป่ยฮั่น ได้ยินว่าเขาทาศึกเก่งกาจมาก มีกองทัพของ
ตัวเองที่ชื่อ...อืม...เสวีย...เสวียอะไรนะ ที่ร้ายกาจไม่
น้อย เคยปะทะกับค่ายกิเลนดาของแคว้นฉู่ของพวก
เรา” เขาคุ้นเคยกับชื่อของเป่ยถังชิ่งไม่น้อย
เพราะว่าต้วนฉางไห่เคยเล่าเรื่องเป่ยถังชิ่งให้เขาฟัง
“ทัพเสวียหลันจวิน” ถังนั่วพูดว่า “ค่ายกิเลนดาน่าจะ
เป็นทัพที่จิ่นอีโหวของพวกเจ้าตั้งขึ้นมา แต่ว่าทั้งหมด
ก็ล่มสลายไปแล้ว ด้วยน้ามือของทัพเสวียหลันจวิน”
หยางหนิงยกมือแล้วพูดว่า “จะบอกว่าแพ้ให้กับพวก
เขามันก็ไม่เชิงเสียทีเดียว ค่ายกิเลนดาถูกเสวียหลันจ
วินลอบโจมตี ทั้งสองฝ่ายก็เจ็บหนักด้วยกันทั้งคู่”
“แต่เท่าที่ข้ารู้ ค่ายกิเลนดามันไม่มีอยู่แล้วนี่นา แต่ทัพ
เสวียหลันจวินยังมีอยู่” ถังนั่วพูดว่า “ดาบออกจาก
ฝักต้องได้เห็นเลือด เก็บดาบเข้าฝักต้องได้เห็นพิณ
มันก็หมายถึงเป่ยถังชิ่ง”
“แล้วอีกคนเล่า?” หยางหนิงถามว่า “ศิลปินสี่แขนง
คนสุดท้ายเชี่ยวชาญการเล่นหมากรุก เขาเป็นใคร
กัน?”
“เป่ยถังฮ่วนเย่”
“เป่ยถังฮ่วนเย่?” หยางหนิงอึ้งไป ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ชื่อของเขาเหมือนจะเป็นชาวเป่ยฮั่น”
“เขาเป็นมู่อวินโหวแห่งเป่ยฮั่น”
“อ๋อ ถ้าเป็นอย่างนี้ เขาก็เป็นพี่น้องกับเป่ยถังชิ่งอย่าง
นั้นสินะ?”
ถังนั่วพูดว่า “ไม่ใช่ มู่หวินโหวกับฉางหลิงโหวเป็นเชื้อ
พระวงศ์ของเป่ยฮั่นทั้งคู่ แต่ว่าทั้งสองคนเป็นอาหลาน
กัน”
“อาหลานอย่างนั้นหรือ?”
“ฉางหลิงโหวกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นพี่น้องกันแท้ๆ
มู่หวินโหวเป็นอาแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”
ถังนั่วรู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี “ใครๆ ก็รู้จักฉางหลิง
โหว แต่ว่าคนที่รู้จักมู่อวินโหวไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่นัก
มู่อวินโหวเป็นคนสมถะ ได้ยินมาว่าแม้แต่ขุนนางใน
เป่ยฮั่นเองจะเจอหน้ามู่อวินโหวยังไม่ได้เจอเลย ถึงกับ
มีข่าวลือว่ามู่อวินโหวตายแล้ว แต่ว่าทางราช
สานักเป่ยฮั่นไม่ได้บอกให้คนนอกรู้”
“ทาไมเล่า?”
ถังนั่วเหลือบไปมองหยางหนิง แล้วถามว่า “เจ้ารู้จัก
หอเก้านภาหรือไม่?”
“รู้สิ” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หอเก้านภาเป็น
สถานที่รวบรวมยอดฝีมือของเป่ยฮั่น เป้าหมายก็เพื่อ
ช่วยหาข่าวส่งให้เป่ยฮั่น ในแคว้นฉู่ของพวกเราก็มี
สายสืบของหอเก้านภาไม่น้อยเลย”
เขาคุ้นเคยกับหอเก้านภาเป็นอย่างดี มู่เสินจวินของ
หอเก้านภาเคยใกล้ชิดกัน อยากจะลืมก็ลืมไม่ได้
ถังนั่วถามว่า “ประมุขของหอเก้านภา ก็คือมู่อวินโหว
ทั่วใต้หล้ารู้จักเขา แต่ไม่เคยเห็นเขา”
“ดูไปแล้วราชวงศ์เป่ยฮั่นก็มีคนเก่งเยอะเหมือนกัน
เป่ยถังชิ่งเก่งเรื่องพิณ มู่อวินโหวเก่งหมากรุก” หยาง
หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เชื้อพระวงศ์เป่ยฮั่นก็มี
อารมณ์ศิลปินจริงๆ มากมายเลยทีเดียว เจ้าคิด
เหมือนข้าหรือไม่?”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงประตู กู้ชิงฮั่นเดินเปิดประตู
เข้ามา เห็นทั้งสองคุยกันอย่างมีความสุข นางก็ยิ้ม
จากนั้นก็พูดว่า “เหตุใดถึงเอาแต่คุยกัน ไม่กินอะไร
กันเลย” แล้วหันไปพูดกับถังนั่วว่า “แม่นางถัง ข้าส่ง
คนไปแจ้งที่หย่งอันถางแล้วนะ เจ้าจะเข้าไปเมื่อใดก็
ได้”
ถังนั่วพูดว่า “ขอบคุณฮูหยินที่ช่วยจัดการให้ หาก
เป็นไปได้ ข้าอยากไปพรุ่งนี้เลย”
“พรุ่งนี้?” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าพักอีก
สักวันสองวัน หนิงเอ๋อร์ก็กลับมาแล้ว ไว้ให้เขาพาเจ้า
เที่ยวเมืองหลวงให้ทั่วก่อน”
ถังนั่วส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้ามาเมืองหลวง เพื่อมา
เจอกับโรคประหลาด ไม่ได้มาเพื่อท่องเที่ยว”
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ให้หนิงเอ๋อร์ส่งเจ้าไปก็แล้ว
กัน” กู้ชิงฮั่นยังคงยิ้ม แล้วมองไปที่หยางหนิงแล้วพูด
ว่า “หนิงเอ๋อร์ พรุ่งนี้เจ้าไปเป็นเพื่อนแม่นางถังนะ”
ถังนั่วลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ฮูหยิน ข้าอิ่มแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะ
ไปที่หย่งอันถางแล้ว ข้าขอตัวไปเตรียมตัวก่อน”
“เจ้ากินไปไม่กี่คาเองนะ” หยางหนิงพูดว่า “กินอีก
หน่อยเถอะ”
ถังนั่วส่ายหัว ไม่พูดอะไรมาก แล้วก็จากไป
พอถังนั่วจากไป กู้ชิงฮั่นพูดเบาๆ แล้วพูดว่า
“หนิงเอ๋อร์ ข้าเห็นพวกเจ้าคุยกันสนุกดีจังนะ ข้าไม่
ควรเข้ามาหรือไม่?”
“ซานเหนียง ท่านจัวมาเพราะเหตุใดหรือ?”
หยางหนิงเปลี่ยนประเด็นพูดเลยว่า “เขามาเอาเงิน
หรือ?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ท่านจัวกับจวนโหวของพวกเรามี
ความสัมพันธ์อันดีต่อกันไม่น้อย ตอนเด็กๆ ท่านเหล่า
โหวเชิญท่านจัวมาสอนหนังสือพ่อของเจ้ากับอาสาม
ของเจ้า พวกเขาเรียนหนังสือกับท่านจัวสามปี ต่อมา
ท่านจัวอยากจะเปิดวิทยาลัยฉงหลิน ท่านเหล่าโหวก็
สนับสนุนเขาเต็มที่”
“ที่แท้เขาก็เคยเป็นอาจารย์สอนท่านพ่อกับท่านอา
สาม” หยางหนิงพูดอย่างประหลาดใจแล้วพูดว่า
“ข้าได้ยินว่าวิทยาลัยฉงหลินเป็นสถานที่ที่ให้ผู้หญิงไป
เรียน เหตุใดท่านจัวถึงได้คิดอยากจะเปิดวิทยาลัย
สาหรับผู้หญิงเล่า?”
“อย่าว่าแต่เจ้าเลย ตอนแรกที่เปิดวิทยาลัย ใครๆ ก็
ตกใจ ข่าวลืออะไรต่อมิอะไรก็มี” กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูด
ว่า “เริ่มแรก ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าเข้าไปเรียนเลย
เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนแรกที่ไปเข้าเรียนที่
วิทยาลัย?”
“ผู้ใดกัน?”
“แม่ของเจ้า” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “แม่ของเจ้าเป็นผู้หญิง
คนแรกที่เข้าไปเรียนที่วิทยาลัย ต่อมา...”
หลังจากที่หยางหนิงเข้ามาในจวนโหวแล้ว เหมือนจะ
ไม่มีใครพูดถึงแม่ของจิ่นอีโหวซื่อจื่อเลย เหมือนจะถูก
สั่งห้ามไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้เด็ดขาด ตอนนี้กู้ชิงฮั่นเองก็
ไม่ได้พูดถึง ตอนนี้เมื่อได้ยินกู้ชิงฮั่นพูดขึ้นมา ก็คิด
อยากจะรู้เรื่องนี้มากขึ้น แต่ว่ากู้ชิงฮั่นกับพูดคาเดียว
ก็เหมือนจะนึกขึ้นมาได้ว่าไม่ควรพูด นางยิ้มแล้วพูด
ว่า “ต่อมาทางบ้านตระกูลใหญ่กับเชื้อพระวงศ์ก็เริ่ม
ส่งลูกสาวของตัวเองไปเรียน จานวนคนก็เพิ่มมากขึ้น
เรื่อยๆ สูงสุดก็มีร้อยกว่าคน”
“ท่านแม่...แม่ของข้าเรียนที่วิทยาลัยฉงหลินรึ? ถ้า
อย่างนั้น ท่านจัวก็เป็นอาจารย์ของท่านแม่อย่างนั้น
สิ?” หยางหนิงถาม
กู้ชิงฮั่นนิ่งไปแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่านางเรียนอยู่ที่
นั่นหลายปี เป็นหญิงสาวที่มีความสามารถมาก...ช่าง
เถอะ ไม่พูดแล้วดีกว่า” นางหยุดแล้วพูดว่า “เข้าไป
เรียนหนังสือที่วิทยาลัย ไม่ต้องเสียเงิน ขอแค่ท่านจัว
เห็นว่ามีพรสวรรค์ ก็เข้าเรียนได้เลย ในวิทยาลัย
นอกจากท่านจัวแล้ว ยังมีอาจารย์อีกหลายท่าน ทาง
ราชสานักเองก็ได้มีคาสั่งให้ ทางวิทยาลัยฉงหลินเป็น
วิทยาลัยของตัวเอง หากไม่ได้รับการยินยอมจาก
ท่านจัว ไม่ว่าใครก็ตาม ถึงแม้จะเป็นรัชทายาทเองก็
ห้ามบุกเข้าไปวิยาลัยเป็นอันขาด ในแต่ละปีทาง
วิทยาลัยมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย อาศัยเงินทุนช่วยเหลือ
ของหลายๆ จวน ตอนที่ท่านเหล่าโหวยังมีชีวิตอยู่ ก็
ได้ออกคาสั่งว่า ทุกปีทางจวนจิ่นอีโหวจะต้องช่วย
สมทบทุนจานวนห้าร้อยตาลึง นอกจากนี้ทางจวนจงอี้
โหวเองก็สมทบทุนจานวนห้าร้อยตาลึงเช่นกัน แล้วก็
มีอีกหลายจวน มันเลยกลายมาเป็นทาเนียมปฏิบัติต่อ
กันมา ดังนั้นในทุกปีวิทยาลัยฉงหลินก็จะมีเงินราว
จานวนหนึ่งพันตาลึง”
หยางหนิงคิดว่าเงินหนึ่งพันตาลึงมันไม่มากเท่าไหร่
วิทยาลัยหนึ่งที่ใช้เงินหนึ่งพันตาลึงในแต่ละปี กินใช้
จ่ายเงินเดือน มันก็เหลือ
“อย่าคิดนะว่ามันไม่เท่าไหร่” กู้ชิงฮั่นเหมือนจะรู้ว่าห
ยางหนิงคิดอะไรอยู่ “วิทยาลัยฉงหลินมีการจัด
กิจกรรมทุกปี มีค่าใช้จ่ายไม่น้อย นอกจากนี้ยังมีการ
จัดอันดับกลอนที่เป็นอันดับหนึ่งในวิทยาลัยออกมา
มันก็ใช้เงินไม่น้อย จริงๆ พวกเราควรจะส่งเงินไปให้
ทางวิทยาลัยนานแล้ว แต่เพราะท่านแม่ทัพเพิ่งจะสิ้น
ไป ทาให้ล่าช้าไปมาก ข้าเองก็เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย”
“เอาเงินให้เขาไปแล้วหรือ?” หยางหนิงถาม
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านจัวมาหาถึงจวน
บอกว่าจะมาเยี่ยมไท่ฮูหยิน ถึงแม้จะไม่ได้พูดตรงๆ ก็
เถอะ ถ้าข้าเอาเงินให้เขาเลยตอนนี้ มันจะกลายเป็น
ว่าท่านจัวมาเอาเงินตรงๆ เลยน่ะสิ ท่านจัวเป็นคนใส
ซื่อมือสะอาด หากทาแบบนั้นมันจะทาให้เสียหน้าผิด
ใจกับเขาไปเปล่าๆ ต้องรออีกสักสองสามวันแล้วค่อย
ส่งเงินไปให้เขา”
หยางหนิงแอบคิดในใจว่ากู้ชิงฮั่นทาอะไรรอบคอบ
เสมอเลย เขายิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นอีกสักสองวัน
ข้าเอาไปให้เองก็ได้ ก็ถือเสียว่าข้าไปขอโทษเขาด้วย”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 บทที่ 146 ผีดูดเลือด
เช้าวันต่อมา หยางหนิงกับถังนั่วเดินทางไปยังร้าน
หย่งอัน เขาไม่รู้ว่าร้านหย่งอันอยู่ตรงไหน ก็เลยให้ต้
วนฉางไห่ไปเป็นเพื่อนด้วย
ร้านหย่งอันตั้งอยู่ที่ใกล้กับวัดฟูจื่อข้างสะพานเหวิ
นเต๋อ ถนนสายนี้ไม่นับว่าไม่ยาวเท่าไหร่ แต่มีร้านขาย
ยาอยู่ถึงสามร้าน ดูจากป้ายหน้าร้านก็น่าจะเปิดมา
หลายปีแล้ว
หยางหนิงมาถึงหน้าร้านหย่งอัน ถึงได้รู้ว่าร้านนี้ไม่ใช่
เล็กๆ เลย ในบรรดาร้านขายยาสามร้านนี้ ร้านหย่ง
อันถือว่ามีพื้นที่มากที่สุด ภายในร้านใหญ่โตโอ่อ่า
จากซ้ายไปขวามีทั้งหมดสี่ห้อง ห้องทางด้านซ้ายสาม
ห้องเปิดเชื่อมต่อกัน เปิดเป็นร้านขายยา ส่วน
ทางด้านขวามือก็คือห้องตรวจโรคที่กู้ชิงฮั่นบอก ด้าน
ในตกแต่งเรียบง่าย
ยังไม่ทันจะเข้าไปในร้านยา ก็ได้กลิ่นสมุนไพรตลบ
อบอวลไปทั่ว หยางหนิงเหลือบมองไปดู เห็นที่หน้า
โต๊ะมีคนจัดยาอยู่สองสามคน
เขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะเข้าไปในร้านยา แต่กลับเดิน
ไปที่ห้องสุดท้ายเลย และมองไปข้างใน ถึงแม้จะเป็น
ห้องห้องหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ทาใหอึดอัดแต่อย่างใด
เขาเห็นคนสามสี่คนกาลังยืนซุบซิบพูดอะไรกันอยู่
หยางหนิงก็เดินเข้าไป ต้วนฉางไห่ก็เดินตามหลังไป
หลังจากที่ถังนั่วเดินเข้ามาแล้ว นางก็มองไปรอบๆ
สามสี่คนที่กาลังคุยกันอย่างสนุกสนานนั้นกลับไม่รู้
เลยว่ามีคนเข้ามา
ต้วนฉางไห่ตั้งใจกระแอมเสียง เขาออกแรงไปไม่น้อย
ก็เห็นมีสองคนที่เงยหน้าขึ้นมา หนึ่งในสองคนนั้นอายุ
ราวหกสิบปีมองเห็นต้วนฉางไห่ ก็รีบลุกขึ้นมา ยิ้ม
แล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ได้เล่า?” จากนั้นเขาก็
เหลือบไปเห็นหยางหนิง จึงรีบหุบยิ้ม แล้วเดินเข้ามา
คานับ “ท่านซื่อจื่อ”
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านหมอซ่ง ซื่อจื่อพาแม่
นางถังมาดูร้าน ท่านรู้ใช่หรือไม่?”
“ทราบแล้ว ทราบแล้ว” หมอซ่งยิ้มแล้วมองไปที่
ถังนั่ว พูดขึ้นว่า “ท่านนี้คงเป็นแม่นางถังใช่หรอไม่?”
เขามองดู ถึงแม้จะยิ้มอยู่ แต่สายตาของเขาก็ปกปิด
ความคิดของเขาไม่มิด
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกท่านกาลังคุยกันรึ? คง
ไม่รบกวนใช่หรือไม่?”
คนอื่นๆ ต่างลุกขึ้นมา เมื่อรู้ว่าหยางหนิงเป็นใครก็ยก
มือขึ้นคานับแล้วพูดว่า “คารวะซื่อจื่อ”
ท่านหมอซ่งพูดว่า “ซื่อจื่อ พวกเขาเป็นคนที่อยู่สาย
อาชีพเดียวกันแถวนี้ ปกติพวกเราก็ชอบมาคุยเรื่อง
การแพทย์กัน”
หยางหนิงนึกในใจว่าคุยเล่นกันอยู่ก็บอกว่าคุยเล่นสิ
จะมาบอกว่าคุยเรื่องการแพทย์อยู่ทาไมกัน พวกเจ้า
ทางานสายเดียวกัน พูดแบบไม่น่าฟัง ก็คือคู่แข่ง ไม่มี
ใครบอกหรอกว่าตัวเองเก่งอะไรแค่ไหน ยิ้มแล้วพูดว่า
“คุยเรื่องการแพทย์ ถือว่าแบ่งปันความรู้กันได้ดี เรื่อง
นี้ถือเป็นเรือ่ งดี มิน่าเล่าคุยกันเหมือนราวกับว่าตกลง
ไปอยู่ในภวังค์เลย”
หมอซ่งกับคนอื่นมองหน้ากัน แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า
“ซื่อจื่อ พวกเรากาลังคุยกันถึงเรื่องประหลาดเรื่อง
หนึ่งอยู่”
“เรื่องประหลาดอย่างนั้นหรือ? เรื่องอะไรกัน?”
หมอซ่งลังเล แล้วพูดว่า “ท่านซื่อจื่อท่านไม่รู้อะไร
ตอนนี้ในเมืองหลวงมีเรื่องแปลกเกิดขึ้น เหมือนว่า...
เหมือนว่าจะมีผีออกมาอาละวาด”
หยางหนิงอึ้งไป ในใจก็คิดว่าอย่างไรพวกเจ้าก็เป็น
หมอ เหตุใดถึงได้พูดถึงผีสางนางไม้แบบนี้ ต้วนฉางไห่
ถามขึ้นมาว่า “ผีอะไรกัน?”
“ผีดูดเลือด” คนที่อยู่ข้างๆ ค่อยๆ พูดว่า “มีคนตาย
อยู่ในตรอก เลือดทั้งตัวเหมือนว่าจะถูกดูดออกไปจน
หมด เหลือแต่กระดูกกับหนังเท่านั้น มันน่ากลัวมาก
เลยนะ” กลางวันแสกๆ พูดแบบนี้ออกมา คนที่อยู่
ข้างๆ ก็เหมือนจะขนลุกขึ้นมา จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะ
มองไปรอบๆ เหมือนกลัวว่าจะมีผีอยู่รอบๆ
ตอนแรกถังนั่วยังมองรอบๆ อยู่ เมื่อได้ยินอย่างนั้น ก็
อดไม่ได้ที่จะมองมา
ต้วนฉางไห่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ผีดูดเลือด? พวกเจ้า
เคยเห็นหรือ? เหตุใดถึงได้มีเรื่องแปลกประหลาดแบบ
นี้เกิดขึ้นด้วย”
“พวกเราไม่เคยเห็นหรอก แต่ว่าท่านหลันจวนผู้ว่า
เคยเห็น” คนข้างๆ พูดขึ้นมาว่า “ท่านหลันกับพวก
เราเป็นศิษย์สานักเดียวกัน เป็นเหมือนพี่น้องกัน ปกติ
พวกเราก็จะนัดกันดื่มเหล้าเป็นประจา หลายวันก่อน
พวกเราก็ไปชวนมาสังสรรค์กันตามปกติ แต่เขากลับ
ปฏิเสธพวกเรา เมื่อคืนมีโอกาสได้เจอกัน เขาจึงเล่า
เรื่องนี้ให้กับพวกเราฟัง”
หยางหนิงพูดว่า “เขาเจอผีหรือ?”
“ก็ไม่เชิง” คนๆ นั้นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “แต่ว่าศพที่
ถูกดูดเลือดออกไป ศิษย์พี่หลันเป็นคนชันสูตรศพเอง
เขาบอกเห็นศพนั้นแล้ว อาจจะฝันร้ายไปทั้งชาติเลย
พวกเราเป็นหมอ เหตุใดจะไม่เคยเห็นคนตาย เห็นมา
ก็ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว มันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร ศิษย์พี่หลัน
ทางานอยู่ในจวนผู้ว่าการ เห็นอะไรมากกว่าพวกเรา
เยอะ เขาพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว แสดงว่าจะต้องน่ากลัวไม่
น้อย”
“ตอนนี้ศพอยู่ที่จวนผู้ว่าหรือ?” ต้วนฉางไห่ขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “ท่านหมอหวง เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่?”
แล้วถามต่ออีกว่า “ในเมืองหลวงเกิดเรื่องประหลาด
ขนาดนี้แล้ว เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลยเล่า?”
ต้วนฉางไห่เป็นคนจริงใจ เขาเป็นคนดูแลองครักษ์ใน
จวนโหว ถึงแม้อานาจของทางจิ่นอีโหวจะไม่เหมือน
เมื่อก่อนแล้ว แต่ว่าหลายปีมานี้ จวนจิ่นอีโหวก็ยังมี
บารมีอยู่ เขามีเส้นสายอยู่มากมายในจวนผู้ว่าการ ไม่
ว่าจะเส้นสายทางไหนเขาก็มีหมด
หากพูดกันตรงๆ ต้วนฉางไห่มีเส้นสายในเมืองหลวง
มากมาย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ต้วนฉางไห่ก็
จะต้องรู้ข่าวอย่างรวดเร็ว หากเกิดเรื่องประหลาด
แบบนี้ขึ้นมา ต้วนฉางไห่กลับไม่รู้อะไรเลย ทาให้ต้วน
ฉางไห่รู้สึกรับไม่ได้
ท่านหมอหวงอธิบายต่อว่า “จริงๆ แล้วเรื่องนีก้ ็มีคนรู้
ไม่มาก เพราะทางจวนผู้ว่าปิดข่าวเอาไว้อย่างมิดชิด
ไม่ให้คนนอกรู้เลย หากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่ดื่มหนักจน
หลุดออกมา เกรงว่าพวกเราเองก็คงไม่รู้”
หยางหนิงพยักหน้า หากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง จวนผู้ว่า
การปิดเรื่องนี้เอาไว้อย่างมิดชิดเช่นนี้ เพราะตอนนี้
ไม่ใช่ช่วงเวลาปกติ ฮ่องเต้สวรรคต และรัชทายาท
กาลังจะขึ้นครองราชย์ ในเมืองหลวงมีข่าวลืออะไร
มากมายเต็มไปหมดอยู่แล้ว ตอนนี้ถือว่าไม่ควรจะมี
เรื่องอื่นๆ ที่ทาให้คนไม่สงบอีก
“ถ้าอย่างนั้น เรื่องนี้ก็เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันมานี้ล่ะสิ?” ต้
วนฉางไห่ถาม
ท่านหมอหวงพูดเสียงเบาๆ ว่า “จริงๆ เรื่องนี้เกิดขึ้น
มาสองเดือนแล้ว แต่ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นคือเมื่อสามวัน
ก่อน” เขายื่นมือออกมาสามนิ้ว “จนถึงตอนนี้ ตายไป
แล้วสามคน ทั้งสามคนถูกดูดเลือดออกไปจนหมดตัว
เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เป็นศพแห้งๆ หนึ่งในสองคน
เป็นคนของจวนผู้ว่า ยังมีอีกคนยังไม่รู้ว่าเป็นใคร”
สายตาของเขาดูหวาดกลัวไม่น้อย “ได้ยินมาว่าศพนั้น
ดูไม่รู้เลยว่าเป็นใคร ยังต้องใช้เบาะแสจากเสื้อผ้าเพื่อ
หาว่าเป็นใครต่อไป อีกสองคนสวมชุดเจ้าหน้าที่
ทางการก็เลยจาแนกได้ง่าย เหลืออีกคนที่ยังไม่รู้”
ท่านหมอซ่งพูดว่า “ช่วงนี้ทางเมืองหลวงใช้กฎอัยการ
ศึก ตอนกลางคืนไม่เห็นชาวบ้านออกจากบ้าน ไม่ว่า
ร้านค้าหรือบ้านเรือนทั่วไปจะต้องปิดประตูหลังยาม
โย่ว (17.00 - 18.59 น.) นอกจากเจ้าหน้าที่
ลาดตระเวนแล้ว ก็ไม่มีใครมาเดินเล่นอีก”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หากมีผีดูดเลือดจริง
เหตุใดถึงมาหาเป้าหมายตามถนนเล่า เหตุใดถึงไม่เข้า
ไปในบ้านเลย?”
“ก็อาจจะเป็นพวกผีเร่ร่อนเดินตามถนนก็ได้” หมอ
หวงทาท่าทางหวาดกลัว “ก็เพราะว่าเมืองหลวงใช้กฎ
อัยการศึกนี่แหละ ดังนั้นศพนั่นจึงมีแต่เจ้าหน้าที่ของ
จวนผู้ว่าการมาพบเข้า ถึงได้ปิดเอาไว้ได้ ข้าได้ยิน
ศิษย์พี่บอกว่า ใต้เท้าโม่หน้าเหล็กคนนั้นปวดหัวกับ
เรื่องนี้มาก เขาเป็นผู้ว่าการ ในเมืองหลวงมีคนถูกฆ่า
สองสามคนติดกัน หากเขาหาฆาตกรไม่ได้ ราชสานัก
จะเอาผิดเขาแน่ๆ แต่ว่าครั้งนี้มันไม่ใช่คน แต่เป็นผี
ต่อให้ท่านผู้ว่าการโม่จะเก่งแค่ไหน แล้วจะเอาอะไร
ไปสู้กับผีเล่า?”
ต้วนฉางไห่พูดเสียงเข้มๆ ว่า “ในเมื่อใต้เท้าหม้อปิด
ข่าวไปแล้ว ก็ไม่ควรพูดกันออกไป” จากนั้นก็มองไปที่
ท่านหมอหวง แล้วพูดว่า “ท่านหมอหวง ขอพูดอะไร
ไม่ค่อยน่าฟังหน่อยนะ เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่
ในเมื่อท่านเองก็ไม่ได้เห็นมากับตา เพียงแต่ได้ยิน
ต่อมาเท่านั้น ต่อไปก็ไม่ควรไปพูดต่ออีก ท่านเองก็พูด
เองอยู่ว่า ท่านหมอหลันดื่มเหล้าแล้วหลุดพูดออกมา
เขาได้ทาผิดคาสั่งของท่านผู้ว่าการโม่ไปแล้ว ตอนนี้
ท่านเอาออกมาพูดแบบนี้ เมื่อเรื่องแพร่ออกไป ทาง
จวนผู้ว่าตรวจสอบเรื่องนี้ขึ้นมา ท่านเองก็ไม่น่าจะ
รอดนะ”
ท่านหมอหวงตะลึงไป แล้วพูดว่า “ข้า...ข้าเองก็แค่คุย
กันเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ไม่ได้...ไม่ได้ต้องการจะกระจาย
เรื่องนี้ออกไป”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “เรื่องนี้ให้จบแค่นี้” แล้วพูดกับคน
อื่นอีกว่า “พวกเจ้าเองก็อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก ต่อให้กับ
คนที่บ้านของพวกเจ้าเอง ก็ห้ามพูดเด็ดขาด” จากนั้น
ก็ยกมือทาท่าปาดคอ แล้วพูดว่า “ตอนนี้มันเวลา
อะไร พวกเจ้าน่าจะรู้ดี หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ไม่มี
ใครรอดแน่นอน”
หลายคนตรงนั้นหน้าถอดสีไป แล้วพูดว่า “ไม่กล้าพูด
แน่นอน ไม่กล้าพูดแน่นอน”
หยางหนิงเห็นต้วนฉางไห่พูดจาสองสามคาก็ทาให้
พวกของหมอซ่งตกใจจนขวัญกระเจิง เขาก็ยิ้มแล้วพูด
ว่า “พวกเจ้าก็อย่ากลัวไป ขอแค่ไม่พูดอะไร ก็ไม่มี
อะไรเกิดขึ้นหรอก” จากนั้นก็หันไปหาถังนั่ว แล้วถาม
ว่า “แม่นางถัง เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?” แล้ว
หันไปพูดกับหมอซ่งว่า “ท่านหมอซ่ง แม่นางท่านนี้
เป็นสหายของข้า วิชาแพทย์ของนางเก่งกาจมาก เลย
อยากให้มาอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง หวังว่าท่านพอจะ
แนะนาแล้วก็ฝากดูแลนางด้วย”
ท่านหมอซ่งยิ้มแล้วพูดว่า “มิกล้า มิกล้า” คนอื่น
เตรียมที่จะแยกย้ายกันไป เมื่อได้ยินที่หยางหนิงพูด
ดังนั้นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะมองมาที่ตัวของถังนั่ว เห็น
ถังนั่วเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็ส่งสายตาดูถูก นางเพิ่งจะ
อายุยี่สิบต้นๆ ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ ได้ยิน
หยางหนิงชื่นชมนาง ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้พูดอะไร
แต่ก็แอบขาอยู่ในใจ
“แม่นางถัง ที่นี่คือห้องโถงหน้า ปกติจะมีคนป่วยมา
ที่นี่เพื่อให้ตรวจโรคให้” ท่านหมอซ่งถือว่าไว้หน้าห
ยางหนิงมาก แต่ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก แต่
ว่าหน้าตายังคงกระตือรือร้นมาก จากนั้นก็ชี้ไปตรง
ฉากบังลม ด้านในมีห้องแยกย่อยอีกสองห้อง
“ด้านหลังนั้นคือห้องโถงใน หากมีคนไข้ที่มีอาการที่
ไม่ค่อยสะดวกจะให้ใครเห็น หรือว่าเป็นหญิงม่าย
หญิงท้อง ก็จะใช้ห้องด้านในนั้นเป็นที่ตรวจอาการ
ถนนเส้นนี้ใกล้กับวัดฟูจื่อมาก คนผ่านไปผ่านมาไม่
น้อย ร้านหย่งอันของพวกเราเป็นร้านที่มีชื่อเสียงเปิด
มานานแล้ว คนที่มาตรวจรักษาที่นี่ก็มีไม่น้อย ข้าอายุ
มากแล้ว ถึงจะเป็นหมอประจาของที่นี่ แต่พอนั่ง
นานๆ เข้าก็รู้สึกทนไม่ไหวเหมือนกัน ดีที่ฮูหยินสาม
ส่งคนมา บอกว่าแม่นางถังจะมาช่วย ดีจริงๆ เลย”
ถึงแม้ปากเขาจะบอกว่าดี ใบหน้าจะเปี่ยมไปด้วย
รอยยิ้ม แต่ใครก็ดูออกว่าเขาไม่ค่อยพอใจ
หยางหนิงกวาดสายตามองไป ไม่เพียงแค่หมอซ่ง แต่
ว่าหมอตรงนั้นหลายคนก็มองไปที่ถังนั่ว สายตาของ
พวกเขามีแต่สายตาที่ดูถูก หยางหนิงรู้ดีว่า จะต้องมี
อะไรแน่ๆ ตาเฒ่าพวกนี้เป็นพวกมีฝีมือ จะต้องดูถูก
ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างนี้แน่นอน
นี่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ
หยางหนิงแอบคิดในใจว่ากู้ชิงฮั่นคิดรอบคอบมาก
ไม่อย่างนั้นหากเปิดโรงหมอให้ถังนั่วเลย จะต้องไม่มี
ใครเข้าร้านอย่างแน่นอน
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 บทที่ 147 ยาครอบจักรวาล
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดูรีบร้อนกาลังเดินมา
ทางนี้ มาพร้อมเสียงสะอื้นร้องไห้ “ท่านหมอ ท่าน
หมอซ่ง ช่วยลูกข้าด้วย...”
ทุกคนหันไปมองตามเสียง เห็นมีคนหลายคนวิ่งมาถึง
หน้าประตูแล้ว คนที่มาคนแรกคือชายวัยสามสิบ
ด้านหลังมีคนตามหลังมาอีกสามสี่คน ซึ่งหนึ่งในนั้น
คือหญิงคนหนึ่งที่น้าตาไหลพรากเต็มใบหน้า ท่าทางดู
โศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก
หยางหนิงเห็นชายผู้นั้นอุ้มเด็กคนหนึ่งไว้ บนตัวของ
เขามีผ้าห่มห่อหุ้มตัวเอาไว้อยู่ ทาให้มองไม่ออกว่าเด็ก
อายุเท่าไหร่หรือตัวใหญ่แค่ไหน เมื่อเข้ามาในห้องโถง
ก็รีบถามว่า “ท่านใดคือท่านหมอซ่ง?”
ท่านหมอซ่งรีบเดินเข้ามา แล้วถามว่า “ข้าเอง เกิด
อะไรขึ้น?”
ชายคนนั้นพูดขึ้นมาว่า “ท่านหมอซ่ง ขอร้องท่านล่ะ
ช่วยลูกของข้าด้วย เขา...”
ท่านหมอซ่งยื่นมือไปเปิดผ้าห่ม แล้วมองดู จากนั้นก็
ร้องว่า “อ๊า” หยางหนิงเห็นแล้ว เด็กที่ชายคนนั้นอุ้ม
มาน่าจะอายุราวๆ ห้าหกขวบ ตอนนี้ใบหน้าของเด็ก
คนนั้นบวมแดง ตอนนี้เด็กน้อยนอนชักอยู่ในอ้อมกอด
ของชายคนนั้น
“ถูกน้ามันลวกมาใช่หรือไม่?” ท่านหมอหวงรีบเดิน
เข้ามาดู แล้วขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทั้งแต่หัวจนถึงไหล่
เป็นหนองพุพองไปแล้ว ผิวหนังถูกลวกเสียหายไป
แล้ว”
ชายคนนั้นกล่าวว่า “เราผิดเองที่ไม่ระวังให้ดี เขา
คลานไปพลิกกระทะน้ามันร้อนๆ คว่า น้ามันก็เลย
ราดลงมาตั้งแต่หัวลงมา ท่านหมอ ขอร้องล่ะช่วยเขา
ที...” ด้านหลังของเขาเป็นญาติ ที่กาลังร้องไห้แล้วพูด
ว่า “ท่านหมอซ่ง ท่านเก่งวิชาการแพทย์ ช่วยรักษา
เขาที”
ท่านหมอซ่งมีสีหน้าที่จริงจังมากขึ้น แล้วพูดว่า “รีบ
เอาตัวเขาไปไว้ในห้องเร็ว” จากนั้นก็หันไปทางด้าน
หลัง ชายคนนั้นรีบอุ้มเด็กเข้าไป พวกของท่านหมอ
หวงไม่ได้ตามเขาเข้าไป ในสายอาชีพนี้ การรักษาของ
หมอ เป็นเรื่องเฉพาะทางของแต่ละร้าน หากไม่ได้รับ
อนุญาต ก็ไม่สมควรที่จะอยู่ดู
ญาติๆ ของเด็กน้อยผู้นั้นก็คิดจะตามเข้าไป แต่ถูกต้ว
นฉางไห่ขวางไว้แล้วพูดว่า “พวกท่านไม่ต้องร้อนใจไป
ท่านซ่งกาลังช่วยตรวจรักษาให้ พวกท่านรอที่นี่ก่อน
นะ อย่าเข้าไปรบกวนเลย”
หยางหนิงเดินเข้าไปด้านหลังฉากบังลม ก็เห็นด้านใน
มีเตียงอยู่หนึ่งเตียง เด็กน้อยผู้นั้นถูกอุ้มมาวางไว้บน
เตียงแล้ว ท่านหมอซ่งกาลังจับชีพจรของเด็กน้อย
ขึ้นมาตรวจ ชายผู้นั้นก็ดูร้อนใจไม่น้อย
ถังนั่วเดินตามหยางหนิงเข้ามา เหมือนอยากจะเข้ามา
ดูสถานการณ์ เห็นเด็กน้อยมีอาการชักกระตุก ท่าน
หมอซ่งกาลังตรวจชีพจร นางก็ขมวดคิ้วแล้วส่ายหัว
แล้วพูดว่า “ทาแบบนี้ไม่ได้”
ในห้องเงียบลง ถังนั่วพูดจาตรงไปตรงมา ท่านหมอซ่ง
ได้ยินชัดเจน เขาก็หันหน้าไปมองทันที ขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “แม่นางถังพูดว่าอะไรนะ?”
ถังนั่วไม่ได้สนใจสีหน้าของหมอซ่งเลย จากนั้นก็พูดว่า
“เด็กถูกน้ามันลวกมา ตอนนี้ไม่เพียงต้องรักษาแผล
น้ามันลวก ยังต้องป้องกันอาการติดเชื้อด้วย หากยิ่ง
เสียเวลา ก็จะทาให้อันตรายเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้ไม่ควร
มาตรวจชีพจร”
ท่านหมอซ่งอึ้งไป จากนั้นสายตาของเขาก็พลันเดือด
พล่าน เขายิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นแม่นางถัง
คิดว่าข้าควรจะทาอย่างไร?”
อย่างไรเสียเขาก็เป็นหมอประจาของร้านหย่งอัน จวน
จิ่นอีโหวเชิญเขาเข้ามาทางานที่นี่ แสดงว่าฝีมือของ
เขาก็ไม่ธรรมดา
เดิมทีเขาก็ดูแคลนถังนั่วอยู่แล้ว หากเขาไม่ได้ไว้หน้า
จิ่นอีโหวซื่อจื่อ ก็ไม่มีทางเกรงใจถังนั่วแบบนี้ แต่
ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้กลับกล้าหาว่าเขาทาเสียเวลาการ
รักษาต่อหน้าคนอื่น ทาให้หมอซ่งรู้สึกโกรธมาก หาก
ไม่ใช่เพราะหยางหนิงอยู่ด้วย คงออกอาการมากกว่า
นี้
ถังนั่วเหมือนจะไม่ได้สนใจว่าหมอซ่งจะรู้สึอย่างไร
นางพูดว่า “ที่ร้านน่าจะมีหญ้าซานจี้ ใช้หญ้าซานจี้
ผสมน้าแล้วล้างทาความสะอาดแผลก่อน จากนั้นก็
เอาตัวหญ้ามาพอกแผล เขาเพิ่งจะถูกลวกมาได้ไม่
นาน หากรีบรักษาเสียแต่ตอนนี้ ก็จะไม่มีรอย
แผลเป็นหลงเหลืออยู่ แต่ว่าหากรักษาได้ไม่ดี ก็จะมี
รอยแผลเป็น”
หมอซ่งขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “เด็กคนนี้ถูกน้ามันลวก
มา อาการน่าเป็นห่วง เหตุใดถึงตรวจชีพจรก่อน
ไม่ได้? ร้านยาก็อยู่ข้างๆ หญ้าซานจี้จะไปเอามา
เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าหากไม่ตรวจชีพจร แล้วใช้ยาทันที
เลย ผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงกว่าที่คิดเอาไว้ พวก
เรารักษาโรคช่วยคน ทุกครั้งที่ลงมือมันคือความเป็น
ความตาย จะมาทาลวกๆ ไม่ได้ ยังมีอีก หญ้าซานจี้ที่
เจ้าว่า มันก็ไม่ใช่สมุนไพรที่รักษาแผลลวกด้วย”
“หญ้าซานจี้ไม่ใช่สมุนไพรในการรักษาแผลลวก แต่
มันมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ” ถังนั่วพูดว่า “คนที่อาศัยใน
ป่าลึก มักจะเก็บสมุนไพรชนิดนี้เอาไว้ในบ้าน เพื่อ
กาจัดพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ข้าบอกไปแล้ว มันไม่
เพียงรักษารอยแผลลวกได้ แต่มันยังสามารถป้องกัน
การติดเชื้อได้อีก ใช้หญ้าซานจี้ผสมน้าแล้วเอามาล้าง
แผล ไม่เพียงจะลดอาการเจ็บปวดได้ แต่ยังป้องกัน
การติดเชื้อด้วย”
“หมอเร่ร่อนที่ไหนบอกเจ้ากัน?” หมอซ่งสีหน้าไม่ดี
แล้วพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ข้ารักษาโรคมานาน
หลายปี รู้จักสมุนไพรมาก็มาก หญ้าซานจี้พบได้มาก
ที่สุด ตามป่าตามเขาเดินตรงไหนก็เจอ ราคาก็ถูกที่สุด
ด้วย เวลาทายา เอามันมาใช้ก็น้อยที่สุด แต่ว่าไม่เคย
ได้ยินว่ากาจัดพิษได้”
ถังนั่วไม่ต่อปากต่อคาอะไรกับเขา นางมาที่ร้านหย่ง
อัน ก็นากล่องยาเล็กๆ ของนางมาด้วย ตอนนี้นางหัน
ไปหยิบกล่องยาของนางที่อยู่บนโต๊ะของนางมา แล้ว
เปิดกล่องยาออก จากนั้นก็หยิบเข็มเงินออกมาสอง
เล่ม จากนั้นก็เดินตรงไปฝังเข็มที่ไหล่กับระหว่างคิ้วให้
เด็กน้อยต่อหน้าผู้คนมากมาย
หมอซ่งเห็นนางลงเข็มได้อย่างแม่นยาและชานาญ
แม้แต่คนที่เป็นหมอมานานอย่างเขา ยังลงเข็มไม่ได้
แม่นยาขนาดนี้มาก่อน ตอนแรกยังคงมีความโกรธแต่
ตอนนี้ก็พออ่อนลงมาบ้าง เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“แม่นางถัง เจ้ากาลังจะ...?”
“มันลดความเจ็บปวดให้กับเด็กได้ แล้วก็ช่วยเรื่อง
ความดันเลือด ทาให้ไม่เกิดอาการแทรกซ้อน” ถังนั่ว
พูดอย่างเรียบง่าย
หลังจากที่หมอซ่งเห็นถังนั่วฝังเข็ม เขาก็ถอยหลังไป
หนึ่งก้าว แล้วไม่พูดอะไรอีก จากนั้นเขาก็ลังเลอยู่พัก
หนึ่งจึงเก็บมือที่กาลังจะตรวจชีพจรกลับมา แล้วหัน
ไปถามถังนั่วว่า “แม่นางถัง เจ้าคิดว่าควรใช้หญ้าซาน
จี้ผสมน้าแล้วล้างแผลให้เด็กก่อนอย่างนั้นหรือ?”
ถังนั่วพยักหน้า แล้วไม่พูดอะไรอีก
หมอซ่งคิดแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ลองทา
ตามวิธีของแม่นางถังก็แล้วกัน” แล้วพูดกับชายคนนั้น
ว่า “เจ้าไปที่ร้านยาข้างๆ บอกพวกเขาว่าให้เอาหญ้า
ซานจี้ผสมน้ามากะละมังหนึ่ง ยิ่งเร็วยิ่งดี”
ชายคนนั้นรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
หยางหนิงคิดในใจว่าสองคนนี้วันแรกก็ดูไม่กินเส้นกัน
เสียแล้ว แล้วต่อไปจะทาอย่างไร?
หมอซ่งถือเป็นหมอประจาของร้านหย่งอัน หาก
เปลี่ยนเป็นคนอื่น ถูกใครว่าแบบนี้ เป็นใครใครก็โกรธ
ส่วนถังนั่วเองตอนอยู่ในการรักษา ก็ไม่ได้ไว้หน้าผู้ใด
เลย สิ่งแรกที่นางคิดก็คือจะรักษาอย่างไรให้คนไข้
หายดี
จริงๆ เขาเองก็รู้ดีว่าหมอซ่งรักษาผู้คนมานานหลายปี
ประสบการณ์มีมากกว่าถังนั่วอยู่แล้ว แต่ว่าบางเรื่องก็
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องของเวลาเสมอไป
เขารู้ว่าวิชาแพทย์ของถังนั่วนั้นเก่งกาจเพียงใด
หมอซ่งเองอาจจะเทียบนางไม่ได้เลยด้วยซ้า
หมอที่ร้ายกาจจริงๆ มักจะถูกเรียกตัวไปรักษาให้กับ
ขุนนางใหญ่ ราคาค่ารักษาให้กับพวกนี้นั้นแพงลิบลิ่ว
แทบจะควักเงินจ่ายกันไม่ไหว หากมีชื่อเสียงมาก ก็ไม่
ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครมาเชิญไปตรวจรักษา ดังนั้น
หมอทั่วไปก็จะเลือกไปทางานที่ร้านประจามากกว่า
หากสามารถถูกร้านที่มีชื่อเสียงเชิญไปนั่งตรวจประจา
ที่ร้าน ก็ไม่ต้องมานั่งรอคนมาตรวจโรค
บางครั้งหมอพวกนี้ยังสู้คนจัดสมุนไพรไม่ได้เลย
หมอประจาร้าน ส่วนมากก็จะตรวจรักษาโรคที่มักเจอ
ได้บ่อยๆ หากเจออาการแปลกๆ ก็จะหาวิธีรักษา
ไม่ได้
หยางหนิงรู้ว่าที่หมอซ่งยอมใช้วิธีของถังนั่ว จะต้อง
เป็นเพราะถังนั่วสามารถฝังเข็มได้ แต่ว่าตาเฒ่านี่คง
ไม่มีทางยอมแพ้เพียงเพราะนางฝังเข็มได้หรอก หาก
ต้องการให้เขายอมรับนาง นางจะต้องแสดงฝีมือให้
เห็นกับตาเสียก่อน
ชายคนนั้นไปที่ร้านยาที่อยู่ข้างๆ กลับมาแล้วก็ยก
กะละมังเข้ามาในห้อง ในนั้นมีสมุนไพรลอยอยู่สิบกว่า
ต้น หยางหนิงไม่เคยเห็นมาก่อน ในใจก็คิดว่าน่าจะ
เป็นหญ้าซานจี้ที่ถังนั่วพูดถึง
หมอซ่งเห็นชายคนนั้นยกกะละมังมาแล้ว ก็ไม่ได้รีบ
ร้อน ยกมือแล้วพูดกับถังนั่วว่า “แม่นางถัง ถ้าอย่าง
นั้นเจ้าลองรักษาดูดีหรือไม่ วิธีที่เจ้าบอกมาข้าไม่รู้
จริงๆ ว่าต้องทาอย่างไร”
หยางหนิงขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าหมอซ่งกาลังโกรธ จง
ใจที่จะแกล้งถังนั่ว
คนไข้อยู่ตรงนี้ หมอซ่งยังกล้าทาแบบนี้อีก ทาให้ห
ยางหนิงรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก แต่ว่าถังนั่วไม่ได้
ลังเลเลยแม้แต่น้อย นางเดินเข้าไป แล้วใช้น้านั้นล้าง
แผลให้กับเด็กน้อยท่ามกลางสายตาของทุกคนที่อยู่
ตรงนั้น จากนั้นก็หยิบขวดยาเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมา
จากกล่องยาของนาง และเทผงสีเหลืองออกมา ทาไป
ที่ตัวของเด็ก และขั้นตอนสุดท้ายคือตรวจชีพจรของ
เด็ก
หมอซ่งขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะถามว่า “แม่นางถัง
ขวดยาขวดนั้นคืออะไร? แน่ใจหรือว่าใช้ได้?”
ถังนั่วไม่ได้มองหน้าของหมอซ่งเลย ยื่นมือไปตรวจชีพ
จรของเด็กน้อยแล้วพูดว่า “ยานี่ข้าปรุงขึ้นมาเอง หาก
ไม่มีอะไรผิดพลาด พรุ่งนี้ในเวลานี้ หรือไม่ก็ภายในสิบ
สองชั่วยาม แผลน้ามันลวกของเด็กคนนี้ก็จะหายเป็น
ปกติ ไม่มีรอยแผลของน้ามันลวกเหลืออีก”
“มันจะเป็นไปได้อย่างไร?” หมอซ่งหัวเราะแล้วพูดว่า
“แม่นางถัง หรือว่ายาของเจ้าตัวนี้เป็นยา
ครอบจักรวาล มันถึงใช้ได้ขนาดนี้? อย่าว่าแค่น้ามัน
ลวกเลย แม้แต่น้าร้อนลวก ยาที่ดีที่สุดก็ไม่มีทางหาย
ได้ภายในวันเดียว” ยกมือขึ้นมา “สายอาชีพอย่าง
พวกเรา อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่าพูดอะไรที่มั่นใจ
จนเกินไปเลย”
ถังนั่วไม่โกรธและก็ไม่ร้อนใจอะไร นางพูดว่า “นี่เป็น
สมุนไพรรักษาอาการบาดเจ็บทั่วไป ข้าใช้มาหลาย
ครั้งแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร” เห็นชายคนนั้นกาลังมอง
มาที่ตัวนาง นางจึงพูดกับเขาไปว่า “ให้เขานอนสัก
ครึ่งชั่วยามก่อน หลังจากครึ่งชั่วยามแล้ว ยาจะเริ่มซึม
เข้าสู่ผิวหนัง ภายในสิบสองชั่วยาม อย่าให้เขาถูกน้า
โดยเด็ดขาด หลังจากสิบสองชั่วยาม ก็จะหายเป็น
ปกติแล้ว”
น้าเสียงของนางสุขุมยิ่ง ทาให้ผู้คนที่ได้ยินอดไม่ได้ที่
จะไม่เชื่อ
ชายคนนั้นพูดด้วยรู้สึกซาบซึ้งมากว่า “ขอบคุณแม่
นางมาก ขอบคุณแม่นางมาก พรุ่งนี้หากหายดี พวก
เราจะมาขอบคุณท่านอีกครั้งด้วยตัวเอง”
หยางหนิงมองไปที่ขวดยาในมือของถังนั่ว กลืน
น้าลายลงคอดังเอื้อกแล้วถามว่า “แม่นางถัง เอ่อ...ยา
นี้มีชื่อว่าอะไรหรือ?”
“ยาทั่วไป” ถังนั่วพูดว่า “จะปรุงออกมาก็ไม่ได้ยุ่งยาก
อะไร ทาไมรึ เจ้าชอบหรือ?”
“หากว่าสรรพคุณมันดีขนาดนี้ ไม่ใช่แค่ข้าหรอกที่
ชอบ” หยางหนิงสายตาเป็นประกาย “ข้าว่า ใครๆ ก็
ต้องชอบแน่นอน มันเป็นของล้าค่าที่เหมาะกับการพก
ติดตัวในยามที่ต้องออกเดินทาง”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 บทที่ 148 ชิงลงมือก่อน
ถังนั่วตอบกลับมาแค่ว่า “อ่อ” แล้วไม่พูดอะไรอีก
นางแค่เก็บกล่องยา แล้วพูดว่า “ข้าอยากไปดูที่ร้าน
ขายยาสักหน่อย อยากรู้ว่ามีสมุนไพรหรือยาอะไรบ้าง
ต่อไปจะได้จ่ายยาถูก”
หยางหนิงรีบผายมือไปด้านข้างแล้วพูดว่า “แม่นางถัง
เชิญ”
เมื่อทั้งสองออกจากห้องไป หมอซ่งก็ดึงต้วนฉางไห่
เอาไว้ ถามขึ้นว่า “ที่นี่ต่อไปใครเป็นคนสั่งการ? ให้
เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้้านม มาใช้ยามั่วๆ แบบนี้ จะเกิดเรื่อง
ได้นะ หากเกิดอะไรขึ้นมา ข้าเตืนล่วงหน้าแล้วนะ
อย่ามาโทษข้าล่ะ”
“ท่านหมอซ่ง ที่นี่ท่านยังเป็นคนสั่งการเหมือนเดิม”
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางถังมาที่นี่ ก็มาช่วย
ท่านแค่ชั่วคราว”
หมอซ่งขมวดคิ้วพูดว่า “แต่ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าก็เห็นแล้ว
เด็กคนนั้นฟังข้าที่ไหนกัน เจ้าต้องเข้าใจนะว่าการ
ตรวจรักษาคน ไม่ใช่เรื่องสนุก ต่อไปหากนางท้าอะไร
เหลวไหล แล้วมีท่านซื่อจื่อยังให้ท้ายแบบนี้ ข้าจะกล้า
พูดมากหรือ? อีกอย่าง เมื่อวานนี้ฮูหยินสามส่งคนมา
บอกว่าเด็กคนนั้นจะมาช่วยข้า หากท้าตามกฎของ
ร้านมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก แต่ว่าหากเป็นอย่าง
นี้ต่อไป ข้าเกรงว่า...”
“หมอซ่ง ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป” ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ซื่อจื่อให้ความส้าคัญกับแม่นางถังมาก ข้าว่า
แม่นางถังเองก็ฝีมือไม่เลวเลยนะ ใช้เข็มก็ช้านาญและ
แม่นย้า ต่อไปก็น่าจะเป็นผู้ช่วยทีด่ ีได้” จากนั้นก็ชี้ไป
ที่หลังฉากบังลมแล้วพูดเสียงเบาว่า “แม่นางถังก็บอก
แล้วว่า ภายในสิบสองชั่วยาม แผลของเด็กคนนั้นก็จะ
หายโดยไร้ร่องรอยใด หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ แสดง
ว่าฝีมือของแม่นางถังนั้นไม่ธรรมดา ต่อไปท่านเองก็
จะได้เบามือลง แต่ว่าหากไม่ได้เป็นอย่างนั้น ต่อไปแม่
นางถังเองก็คงไม่คิดจะมาที่นี่อีกแล้ว”
หมอซ่งหยุดคิดไปชั่วขณะ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ที่พูด
มาก็ไม่ผิด รอดูพรุ่งนี้ก่อนก็แล้วกัน ข้ารักษาคนมา
นานหลายปี ยังไม่เคยเห็นยาครอบจักรวาลไหนที่
รักษาแล้วเหมือนไม่เคยมีแผลมาก่อนเลยนะ ครั้งนี้จะ
ได้เปิดหูเปิดตากับนางแล้ว ดอยากจะรู้นักว่าจริงหรือ
หลอก”
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “โลกกว้างใหญ่ไพศาลขนาด
นี้ มีเรื่องแปลกมากมาย ไม่แน่อาจจะมียา
ครอบจักรวาลที่พวกเราไม่รู้จักก็ได้ หากเป็นอย่างนั้น
จริง เหอะๆ...” เขามองออกไปข้างนอก แล้วพูดเสียง
เบาว่า “ต่อไปเงินทองคงไหลเข้าร้านหย่งอันของ
พวกเราแล้ว”
ตอนนี้หยางหนิงก้าลังเดินไปที่ร้านยาเป็นเพื่อนถังนั่ว
เขารู้อยู่แล้วว่าคนในร้านเตรียมตัวต้อนรับพวกเขาอยู่
แล้ว
“แม่นางถัง ยาของเจ้ามีชื่อหรือไม่?” หยางหนิงที่อยู่
ข้างๆ ถังนั่ว ยิ้มแย้มราวกับลมในฤดูใบไม้ผิด “ยาดีๆ
แบบนี้ ชื่อเสียงจะต้องดังกังวาน”
ถังนั่วส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ในต้าราบอกเอาไว้แค่สูตร
ยา แต่ไม่มีชื่อ”
“ในต้ารารึ?” หยางหนิงรีบถามว่า “ต้าราเล่มไหน
กัน?”
ในชาติก่อนเขาเป็นนักธุรกิจ เปิดร้านมาก็นานหลายปี
เขารู้วิธีการท้าธุรกิจดี ตอนที่เขาเจอถังนั่วในหุบเขา
แล้วรู้ว่านางวิชาแพทย์ร้ายกาจเพียงใด เขาก็รู้ทันทีว่า
เขาได้เจอสมบัติอันล้้าค่า
วันนี้เห็นยารักษาแผลในมือของถังนั่ว จึงคิดจะชิงลง
มือ
ถึงแม้หมอซ่งจะสงสัยในยารักษาแผลของถังนั่ว แต่
ว่าหยางหนิงนั้นเชื่อถังนั่วจนสนิทใจ เขารู้ดีว่า ขวดยา
ที่ถังนั่วหยิบออกมานั้น มันเป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้
ที่ส้าคัญที่สุดคือ ถังนั่วไม่ได้รู้สึกว่ามันล้้าค่าขนาดนั้น
ตอนนี้ถังนั่วเดินไปถึงตู้ยาตู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ทางขวามือ
ตรงก้าแพงเต็มไปด้วยตู้ยา แบ่งเป็นประเภทต่างๆ ชั้น
ที่สูงที่สุดยังต้องใช้บันไดในการขึ้นไปหยิบ คิดว่าน่าจะ
มีกว่าร้อยประเภท
ถังนั่วค่อยๆ เดินเข้าไปแล้วหยุดชะงักฝีเท้าลง นางดึง
ลิ้นชักออกมา แล้วใช้คีมคีบสมุนไพรขึ้นมาดู เห็นห
ยางหนิงถามจึงหันไปตอบว่า “ต้าราสมุนไพรร้อย
ต้ารับ”
หยางหนิงนึกขึ้นมาได้ทันทีว่าก่อนหน้านี้ปีศาจน้อย
อาเหน่าใช้วิธีการมากมายเพื่อให้ได้ต้าราสมุนไพรร้อย
ต้ารับนี้มา
“ต้าราสมุนไพรร้อยต้ารับอยู่ในมือของเจ้าหรือ?”
ถังนั่วส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่เคยเห็นหรอก
อาจารย์ข้าเคยสอนข้าปรุงยา ยาต้ารับนี้วิธีการปรุง
ง่ายที่สุด คงไม่ถือว่าเป็นยาครอบจักรวาลอะไร”
หยางหนิงคิดในใจว่า หากยาตัวนี้ไม่ถือว่าเป็นยา
ครอบจักรวาลแล้ว ถ้าอย่างนั้นบันทึกต้าราสมุนไพร
ร้อยต้ารับเล่มนั้นก็ไม่ใช่ของเล่นๆ มิน่าอาเหน่าถึงได้
ท้าทุกทางเพื่อให้ได้มันมา
“แม่นางถัง ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาตั้งชื่อให้ยาตัวนี้ดี
หรือไม่?” หยางหนิงยิ้ม “ยาที่มีล้าค่าแบบนี้ หากไม่มี
ชื่อ มันก็น่าเสียดายนะ”
“แล้วเจ้าอยากตั้งชื่อมันว่าอะไรเล่า?”
หยางหนิงคิด แล้วพูดว่า “ใช้ชื่อว่าหย่งอันชุนดีไหม
มาจากยาของหมออันดับหนึ่งของร้านหย่งอัน เจ้าคิด
ว่าอย่างไร?”
ถังนั่วตอบเรียบๆ แล้วใช้คีมคีบสมุนไพรขึ้นมา แล้ว
พูดว่า “เจ้าอยากจะเอายาตัวนี้มาเป็นยาของร้านหย่ง
อันหรือ?”
หยางหนิงรู้สึกกระอักกระอ่วนแต่ว่าเขาก็ยังคงหน้า
ด้านพูดต่อว่า “จริงๆ ก็ไม่ใช่แค่ร้านหย่งอัน ก็แค่คิด
ว่าอยากจะช่วยคน แม่นางถัง เจ้าลองคิดดูนะ ยาของ
เจ้าสามารถรักษาแผลให้หายโดยไร้แผลเป็นได้ คน
ทั่วไปที่มีอาการบาดเจ็บเป็นแผล ก็จะได้รับการรักษา
หากยาตัวนี้แพร่ออกไป ก็จะได้บุญกุศลไม่น้อยเลย”
ถังนั่วไม่ได้ตอบอะไร แล้วหันไปถามคนที่อยู่ข้างๆ ว่า
“ยาอะไรในร้านหย่งอันที่ขายดีที่สุด?”
คนผู้นั้นมองไปที่หยางหนิง หยางหนิงท้าหน้านิ่งแล้ว
พูดว่า “มองข้าท้าไม? แม่นางถังถามเจ้า เจ้าไม่ได้ยิน
หรืออย่างไร? มีอะไรก็ตอบไปสิ แม่นางถังเป็นคน
กันเอง ห้ามปกปิดอะไรเด็ดขาด”
คนผู้นั้นถึงได้พูดว่า “ยาที่ขายดีที่สุดในร้านของพวก
เราก็คือยาชิงหลู่กับยาฮว๋าทง ยาชิงหลู่สามารถรักษา
อาการไข้ ส่วนยาฮว๋าทงเป็นยาแก้ปวด”
“ข้าขอดูหน่อยได้หรือไม่?”
คนผู้นั้นรีบบอกว่า “ข้าจะไปเอามาให้เดี๋ยวนี้” เขา
หยิบยาออกมาสองชนิด แล้วพูดว่า “ยาสองชนิดนี้
เป็นยาที่ทางร้านหย่งอันคิดค้นขึ้นมาเอง มีที่ร้านของ
พวกเราเพียงร้านเดียว ไม่มีขายที่อื่นและขายดีที่สุด”
เห็นถังนั่วอายุยังน้อย น่าจะไม่เคยอยู่ในร้านยามา
ก่อน จึงพูดว่า “ร้านขายยาหากอยากอยู่ได้นานๆ ก็
จะต้องมีของดีของตัวเอง ไม่อย่างนั้นอยู่ได้ไม่นาน
แน่นอน”
ถังนั่วพยักหน้าเบาๆ แล้วหยิบยาชิงหลู่ออกมาดูอย่าง
ละเอียด นางเอามาดม จากนั้นก็วางไว้กับพื้นทุบจน
แตก แล้วดูอีกรอบ จึงพูดขึ้นว่า “ยาชิงหลู่นี่เอาไว้ใช้
รักษาอาการไข้จับหรือ?”
“ปวดหัวตัวร้อน จับไข้ กินยานี้สองวัน ก็เห็นผลแล้ว”
คนผู้นั้นพูดอีกว่า “ยาของร้านหย่งอันใครก็เทียบ
ไม่ได้”
ถังนั่วส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ยาชิงหลู่ท้าจากสมุนไพร
เจ็ดชนิด หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า มันสามารถรักษา
อาการปวดหัวตัวร้อนได้ชั่วคราว แล้วก็รักษาอาการ
ไข้ได้ แต่ว่าหลังจากที่กินเข้าไปแล้ว มันมีผลข้างเคียง
กับกระเพาะอาหาร หลังจากกินไปแล้ว ครั้งต่อไปพอ
คนไข้มีอาการ ก็จะต้องใช้ยาจ้านวนมากขึ้นไปอีก พอ
เวลานานไป กระเพาะอาหารก็จะเสียหาย และ
อาจจะท้าให้เกิดโรคอื่นตามมา”
คนผู้นั้นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แม่นางพูดเกินไป
หรือไม่? ร้านหย่งอันถางของพวกเราเปิดมากว่าสิบปี
แล้ว ยาชิงหลู่นี่ก็ขายมาเป็นสิบปี ไม่เคยมีใครกินยา
ของพวกเราแล้วเกิดปัญหาเลยนะ”
ถังนั่วพูดอย่างจริงจังว่า “ตัวยาชิงหลู่ มีสมุนไพรเกิน
มาสองตัว ขาดไปหนึ่งตัว” จากนั้นนางก็มองไปที่ห
ยางหนิงแล้วพูดว่า “ยาเป็นของที่คนกินเข้าไปใน
ร่างกาย เพื่อรักษาคน อย่าว่าแต่ยาผิดไปหลายตัวเลย
ผิดตัวเดียว ผลของมันก็ต่างกันแล้ว”
“แม่นางถังพูดถูกแล้ว” หยางหนิงพูดด้วยสีหน้า
จริงจังว่า “แม่นางถัง ถ้าอย่างนั้นเจ้ามีวิธีแก้หรือไม่?”
ถังนั่วคิด แล้วพูดว่า “ไว้ข้าจะเขียนสูตรยาให้เจ้าใหม่
เจ้าให้พวกเขาปรุงยาขึ้นมาใหม่ น่าจะไม่มีอะไร
ผิดพลาดแล้ว”
นางพูดอย่างเรียบง่าย เหมือนนางคิดว่าการเปลี่ยน
สูตรยาที่ร้านหย่งอันใช้มาสิบกว่าปีมันคือเรื่องที่ต้อง
ท้า คนผู้นั้นที่อยู่ข้างๆ สีหน้าเริ่มแย่ ในใจคิดว่าถังนั่ว
บ้าหรือไม่ อายุก็น้อย เพิ่งจะมาที่ร้าน ก้นยังไม่ทันได้
ร้อนเลย ก็เริ่มต้าหนินั่นต้าหนินี่ในร้าน หากไม่รู้จักก็
คงคิดว่านางเป็นหมอเทวดาแล้ว
แต่ว่าหยางหนิงกลับเชื่อมั่นในสิ่งที่ถังนั่วพูดมาเป็น
อย่างมาก
“เจ้าบอกว่าเจ้าจะตั้งชื่อยาผงนั่นว่าหย่งอันชุนใช่
หรือไม่?” ถังนั่วมองไปที่หยางหนิง “ชื่อนี้ไม่ดีเลย
เจ้าไปลองคิดมาใหม่ หากคิดชื่อได้ดีกว่านี้ข้าก็ตกลง”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางถังใจดีเหมือนแม่
พระ ข้าขอบคุณท่านแทนชาวบ้านด้วย”
ถังนั่วส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ต้องขอบคุณหรอก
อาจารย์เคยบอกข้าว่า หากมีโอกาส ยาแบบนี้
สามารถให้คนทั่วไปได้ใช้ ก็จะช่วยคนได้มาก”
ถังนั่วต้องการอยู่ดูสมุนไพรในร้านต่อ หยางหนิงไม่ได้
มีความอดทนขนาดนั้น ในเมื่อถังนั่วรับปากจะให้สูตร
ยา แค่นี้เขาก็ดีใจมากแล้ว
เด็กในร้านยาทั้งหมดนอนอยู่ที่ร้าน แต่ว่าถังนั่วเป็น
ผู้หญิง คงไม่สะดวกที่จะไปค้างที่ร้าน ยังดีที่กู้ชิงฮั่น
รอบคอบ จัดที่พักไว้ให้นางในจวนแล้ว จวนจิ่นอีโหวมี
เรือนนอนมากมาย จะจัดให้คนมาอยู่เพิ่มสักคนไม่ใช่
เรื่องยากอะไร
กู้ชิงฮั่นมีใจอยากจะช่วยหยางหนิงกับถังนั่ว ดังนั้น
นางจึงดูแลถังนั่วเป็นพิเศษ ตกเย็น ก็จะส่งคนไปรับ
นางที่ร้าน
หยางหนิงคิดว่าเช้าอีกวันจะตามถังนั่วไปที่ร้านยา
เพื่อดูว่าเด็กคนนั้นหายดีเป็นปกติหรือเปล่า ถึงแม้เขา
จะเชื่อมั่นในตัวของถังนั่วมาก แต่หากได้เห็นด้วยตา
ของตัวเองจะดีกว่า เพราะเขาคิดจะท้ายาตัวนี้ขาย ก็
ควรจะเห็นด้วยตาตัวเองเป็นดีที่สุด
ใครจะคิดพอตกดึก ในเมืองหลวงตามตรอกซอกซอย
ก็มีเสียงฝีเท้าม้าวิ่ง คนในเมืองหลวงปิดประตูบ้านกัน
สนิท ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงดังอย่างนี้ทั้งคืน ฟ้ายัง
ไม่สาง หยางหนิงได้ข่าวจากทางต้วนฉางไห่ว่า ถนน
ทุกเส้นในเมืองหลวงถูกปิดหมดแล้ว คนของค่ายหู่
เสินกับคนของทางจวนผู้ว่าการพากันเคลื่อนไหว
หลังจากสว่างแล้ว หยางหนิงได้รู้ข่าวจากทางต้วนฉาง
ไห่ว่า รัชทายาทแคว้นฉู่ ได้เดินทางไปยังวัดต้ากวง
หมิงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง โดยการอารักษ์ขาของทหาร
ค่ายดาบด้า เพื่อเตรียมการครองราชย์ ขุนนางตั้งแต่
ขั้นหกขึ้นไป ถูกคนของค่ายดาบด้าไปยังประตูวัง
หลังจากรัชทายาทออกจากวัง ขุนนางทั้งหลายยังไม่
ทันตั้งตัวก็ต้องตามเขาไปที่วัดต้ากวงหมิงทันที
การขึ้นครองราชย์ของรัชทายาท เรื่องนี้มีคนพูดถึงไม่
น้อย หยางหนิงรู้เรื่องนี้แล้วจากซูลั่วเจ้าหน้าที่กรมพิธี
การที่วัดต้ากวงหมิง แต่ว่าไม่รู้ว่ารัชทายาทจะออก
จากเมืองไปกลางดึกแบบนี้ อีกทั้งยังใช้คนของค่าย
ดาบด้าไปเชิญขุนนางขั้นหกมาด้วย
เมืองหลวงถูกปิดตาย หลังจากรัชทายาทออกจาก
เมืองไป คนของค่ายหู๋เสินก็รีบปิดประตูเมือง รอรัช
ทายาทกลับเมืองเมื่อใดค่อยเปิด ในตอนนี้ระหว่าง
เส้นทางต่างๆ ก็มีทหารเฝ้าอยู่เต็มไปหมด หยางหนิง
คิดอยากจะไปที่ร้านยาก็ท้าไม่ได้
เมืองหลวงเจี้ยนเยี่ยตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่ง
การสังหาร
ถึงแม้เมืองหลวงถูกปิด แต่ข่าวคร่าวทางจวนจิ่นอีโหว
ก็ไม่ได้ขาด เรื่องส้าคัญ ทางจวนโหวต้องเกาะติดตาม
ความเคลื่อนไหวในเมืองหลวงตลอด ต้วนฉางไห่กลัว
ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เลยรวบรวมทหารในจวน
ทั้งหมด เฝ้าอย่างเข้มงวด ส่วนฉีเฟิงก็ออกไปสืบข่าว
ด้วยตัวเอง จ้าวอู๋ซังรับหน้าที่ดูแลองครักษ์จวนโหว
เพื่อป้องกันการเกิดเหตุใดๆ
เมื่อถึงกลางวัน ต้วนฉางไห่ก็กลับมาพร้อมกับข่าว ท้า
ให้ทุกคนสบายใจขึ้น
ตอนนี้คนที่ติดตามรัชทายาทไปวัดต้ากวงหมิงไม่ได้มี
แค่ขุนนางของทั้งหกกรม คนของค่ายดาบด้าไม่ได้
เชิญพ่อลูกไหวหนานอ๋องติดตามรัชทายาทไปด้วย
หยางหนิงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ดูท่ารัชทายาทองค์นี้ก็มี
ความปรีชาไม่น้อย ชิงออกนอกเมืองไปก่อน และ
อาศัยก้าลังจากค่ายดาบด้า ควบคุมขุนนางหกกรม
เอาไว้ก่อน แล้วเชิญพ่อลูกไหวหนานอ๋องที่อาจจะก่อ
ความวุ่นวายง่ายที่สุดออกไปก่อน แล้วบอกว่าตอนนี้
พ่อลูกไหวหนานอ๋องอยู่ในการควบคุมของรัชทายาท
แล้ว
ถึงแม้คนที่ไปจะเป็นแค่ขุนนางราชส้านัก ในเมือง
หลวงยังมีขุนนางอีกมากมายเฝ้าอยู่ แต่ในสถานการณ์
แบบนี้ ทุกคนก็ต้องเห็นส่วนรวมมาก่อน
พ่อลูกไหวหนานอ๋องอยู่ในการควบคุมของรัชทายาท
ต่อให้คิดอยากจะก่อกบฏก็ท้าไม่ได้ ส่วนพวกที่สนิท
กับพวกไหวหนานอ๋อง ก็ต้องยอมแพ้ ไม่กล้าท้าอะไร
บุ่มบ่าม
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ว่าหยางหนิงรู้ดีว่า เรื่อง
แบบนี้การชิงลงมือก่อนถือว่าได้เปรียบ อาจจะ
เตรียมการมาแล้วระยะหนึ่ง
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 บทที่ 149 ประทานยศ
วันนี้บรรยากาศในเมืองหลวงตึงเครียดไม่น้อย
นอกจากต้วนฉางไห่กับฉีเฟิงที่ออกไปหาข่าวแล้ว ใน
จวนโหวก็ไม่มีใครออกไปข้างนอกเลยแม้แต่คนเดียว
ในเมื่อหยางหนิงออกจากจวนไม่ได้ เขาจึงมานั่งเดิน
ลมปราณชิงจิงอยู่ในจวนแทน ตอนนี้เขาพอได้สัมผัส
กับการฝึกยุทธ์มาบ้างแล้ว รู้ว่าถึงแม้เขาจะเป็นจิ่นอี
ซื่อจื่อมีกินมีใช้ แต่เพราะว่าเป็นอย่างนี้ มันทาให้ใคร
หลายคนอิจฉาตาร้อน ถึงแม้ในจวนโหวจะมีองครักษ์
ที่มีวรยุทธ์ร้ายกาจมากมายคุ้มครองอยู่ แต่พวกเขาก็
ไม่สามารถที่จะตัวติดกับเขาเป็นเวลาสิบสองชั่วยาม
ได้ หากเจอกับศัตรูทั่วไปก็พอจะจัดการได้ แต่ถ้า
เมื่อไหร่เจอกับยอดฝีมือจริงๆ แล้ว อย่างไรก็จะต้อง
เอาตัวรอดด้วยฝีมือของตนให้ได้
ในเมื่อในใจของเขาคิดเช่นนี้ เขาจึงใช้ใจฝึกลมปราณ
ชิงจิง หลวงจีนน้อยเจินหมิงอายุยังน้อย แต่วรยุทธ์
ไม่ได้อ่อนด้อยเลย ถึงแม้จะไม่ใช่เพราะการฝึกชิงจิง
ทั้งหมด แต่ชิงจิงก็เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกวรยุทธ์
แน่นอน ในเมื่อหยางหนิงรู้ว่าท่านใหญ่สี่ก็คือจิ้งฉุน
เขาถ่ายทอดวิชาชิงจิงให้ ไม่มีทางไม่มีต้นสายปลาย
เหตุ ดังนั้นเมื่อมีเวลา เขาจะหาเวลาฝึกฝนมันตลอด
ชิงจิงเป็นวิชาแขนงหนึ่งในหลักศาสนา จะรีบร้อน
ไม่ได้ ดังนั้นถึงแม้จะฝึกลมปราณอย่างต่อเนื่อง
ลมปราณยังคงไม่มีวิธีไหลเวียนไปได้ ก็จะรีบร้อนไม่ได้
เช่นกัน
สองวันต่อมา ถนนหนทางในเมืองก็ยังไม่สามารถ
เดินทางไปไหนมาไหนได้ จากข่าวคราวที่ต้วนฉางไห่
แจ้งมา รัชทายาทได้ทาพิธีบูชาที่วัดต้ากวงหมิงแล้ว
อีกทั้งยังได้ครองราชย์อย่างเป็นทางการแล้วด้วย
หลังจากกลับเข้าเมืองหลวง ก็จะประกาศข่าวนี้อย่าง
เป็นทางการอีกครั้ง
หยางหนิงคิดในใจว่าถึงแม้รัชทายาทจะขึ้นครองราชย์
แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถควบคุม
สถานการณ์เอาไว้ได้
วันนี้ในตอนกลางวัน จ้าวอู๋ซังวิ่งหน้าตื่นเข้ามา แล้ว
พูดว่า “ซื่อจื่อ มีคนจากวังหลวงมา รัชทายาท...ไม่สิ
ฝ่าบาททรงมีราชโองการมา ท่านขันทีฟ่านกงกง
ตอนนี้อยู่ที่หน้าจวนแล้ว ซื่อจื่อท่านรีบออกไปรับราช
โอการเถอะ”
หยางหนิงถามว่า “รัชทายาท...อ๋อ ฮ่องแต้องค์ใหม่
กลับมาเมืองหลวงแล้วหรือ?”
“ยังไม่ได้ข่าวว่าฮ่องเต้กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว”
จ้าวอู๋ซังพูด
หยางหนิงรีบออกไปที่ห้องโถงหน้า คนในจวนโหว
ทั้งหมดก็ออกมารวมตัวเช่นกัน ตอนนี้ทุกคนคุกเข่า
อยู่ที่ด้านหน้าของห้องโถงอย่างเพียบพร้อม
หยางหนิงเดินออกไปด้านหน้า เห็นกู้ชิงฮั่นกับ
ต้วนฉางไห่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่กลับไม่เห็นฉีเฟิง คิดว่า
ฉีเฟิงน่าจะยังหาข่าวอยู่ข้างนอก ตอนนี้ถังนั่วเองก็
ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ส่วนชายอัปลักษณ์เองก็อยู่ด้านหลังสุด
คนอื่นคุกเข่ากันหมด มีเพียงชายอัปลักษณ์คนเดียวที่
นั่งยิ้มโง่ๆ อยู่ที่พื้น
คนๆ ข้างๆ ส่งสายตาให้เขา แต่ชายอัปลักษณ์กลับไม่
สนใจเลยแม้แต่น้อย เหมือนจะไม่เข้าใจความหมาย
หยางหนิงเห็นขันทีที่มาประกาศราชโองการนั้นคือ
ฟ่านกงกงที่มาในตอนที่ขบวนศพฉีจิ่งออกนอกเมือง
ไป ด้านหลังยังมีขันทีอีกหลายคน มีสองคนถือกล่อง
ผ้าแพรที่จัดทาอย่างประณีต
เมื่อเห็นหยางหนิงมาแล้ว ฟ่านกงกงคลี่ยิ้มอย่างดีใจ
แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ฝ่าบาทมีราชโองการ รับราช
โองการก่อนเถอะ”
หยางหนิงยกมือคานับแล้วคุกเข่าลง ฟ่านกงกงเปิด
ราชโองการออกมาแล้วอ่านด้วยเสียงอันดัง “ด้วย
ราชโองการแห่งเบื้องบน ฝ่าบาทมีราชโองการว่า
ครอบครัวผู้ภักดี อบรมสั่งสอนความกตัญญูรุ่นสู่รุ่น
สืบสานวิถีการต่อสู้ ศักดิศรี เกียรติยศ จากรุ่นสู่รุ่น
โดยไม่มีข้อบกพร่องอันใด เป็นเสาหลักของบ้านเมือง
มาโดยตลอด ฉีหนิง ในฐานะหลานชายคนโตของท่าน
อี้กงเหล่าโหว เป็นบุตรชายของภรรยาเอกของท่าน
โหวคนก่อนฉีจิ่ง มีความปราดเปรื่องและสุขุม ดวงตา
เฉียบแหลม มีความมุ่งมั่น มีความภักดี เหมาะสมที่จะ
เป็นผู้สืบสกุลฉี เพื่อสืบทอดความภักดีและเป็นเสา
หลักของบ้านเมืองสืบไป ทรงมีราชโองการแต่งตั้งและ
พระราชทานยศให้สืบทอดตาแหน่งจิ่นอีโหว เพื่อสืบ
ต่อเกียรติยศและความรุ่งเรืองของตระกูล รับใช้
ราชสานักสืบไป จบราชโองการ”
เสียงของฟ่านกงกงสุขุมเยือกดย็น เมื่ออ่านประกาศ
จบ หยางหนิงฟังแล้วเหมือนจะเป็นลม เขาฟังไม่
เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง แต่ว่าคาว่าพระราชทานยศ
จิ่นอีโหวเขาได้ยินอย่างชัดเจน ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเรื่องนี้
จะมาถึงไม่ช้าก็เร็ว แต่อยู่ๆ ก็ได้รับตาแหน่งแบบ
กะทันหันเช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“ท่านโหวน้อย รับราชโองการเถอะ” ฟ่านกงกงยิ้ม
แล้วพูดว่า “ข้าน้อยยินดีกับท่านโหวน้อยด้วย” เขา
ปิดม้วนราชโองการ เดินเข้าไปสองก้าวแล้วยื่น
ราชโองการให้
หยางหนิงเห็นราชโองการถูกยื่นมา ถึงได้สติกลับมา
แล้วรีบพูดว่า “เป็นพระมหากรุณาธิคุณ” จากนั้นก็
รับราชโองการด้วยสองมือ ฟ่านกงกงรีบพยุง
หยางหนิงลุกขึ้นด้วยตัวเอง แล้วพูดด้วยน้าเสียง
อ่อนโยนว่า “ท่านโหวน้อย ฝ่าบาทให้ความสาคัญกับ
ท่านโหวน้อยมากเลยนะ ทรงคิดถึงท่านโหวน้อยอยู่
เสมอ”
“กงกง ฝ่าบาท...ฝ่าบาททรงกลับมาเมืองหลวงแล้ว
หรือ?” หยางหนิงถาม
ฟ่านกงกงยิ้ม กู้ชิงฮั่นลุกขึ้นมาแล้วเดินมาพูดว่า
“หนิงเอ๋อร์ รีบเชิญกงกงเข้าไปดื่มชาก่อน”
หยางหนิงถึงได้นึกขึ้นมาได้ ขุนนางราชสานักไม่
เหมือนชาวยุทธ์ จะมาสบายๆ ไม่ได้ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เชิญกงกงเข้าไปดื่มชาก่อนขอรับ”
ฟ่านกงกงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร
ราชโองการก็ประกาศเรียบร้อยแล้ว คงไม่...”
“กงกงลาบากมาประกาศราชโองการด้วยตัวเอง
แม้แต่ชาแก้วเดียวก็จะไม่ดื่มเลยหรือ?” หยางหนิงจูง
มือของฟ่านกงกง “ไป ไป ไป เข้าไปดื่มชาก่อน” เขา
กวาดสายตาไปมอง เห็นคนในจวนโหวเปี่ยมไปด้วย
สีหน้าที่ดีอกดีใจ แม้แต่ต้วนฉางไห่เองก็ปกปิดความ
ตื่นเต้นนี้ไว้ไม่อยู่ เขาเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาดี
เขาทาได้แค่ยิ้ม
ฟ่านกงกงยิ้มกว้าง แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นคงต้องขอ
รบกวนแล้ว”
เมื่อเข้ามาถึงด้านในห้องโถงหลัก หยางหนิงให้
ฟ่านกงกงนั่งตรงเก้าอี้หลัก ถึงแม้หัวหน้าขันทีจะ
ตาแหน่งเทียบไม่ได้กับบรรดาศักดิ์โหว แต่ว่าเขาก็
เป็นคนที่ทางานอยู่ในวังหลวง เป็นคนที่อยู่ข้างตัวของ
ฮ่องเต้ จะไม่ต้อนรับไม่ได้
เมื่อนั่งลงแล้วก็มีคนยกน้าชาขึ้นมาให้ทันที แม้แต่
ขันทีสองคนที่ติดตามมาเองก็ไม่ได้เชื่องช้า
“กงกงท่านลองชิมดูก่อน ว่าชานี้รสชาติเป็น
อย่างไร?” หยางหนิงรู้ว่ากู้ชิงฮั่นเป็นคนรอบคอบ นาง
สั่งให้คนเตรียมชาเอาไว้รับรองคนในวังหลวงอยู่แล้ว
ไม่มีทางเป็นชารสชาติแย่อย่างแน่นอน
ฟ่านกงกงยกน้าชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็วางถ้วยชาลง
แล้วยกนิ้วโป้งให้พร้อมกับพูดว่า “ชาดี” แล้วพูดว่า
“จริงสิ ฝ่าบาททรงมีพระราชทานของสองสิ่งนี้มาให้
ท่านโหวน้อยด้วย” จากนั้นเขาก็ส่งสายตามองไปที่
ขันทีสองคนที่ถือกล่อง พวกเขาสองคนเดินเอากล่อง
มาวางไว้ตรงหน้าของหยางหนิง
หยางหนิงไม่สะดวกที่จะเปิดของดูตอนนั้น เขาไม่รู้ว่า
ฮ่องเต้มอบอะไรให้เขา แต่ได้ยินฟ่านกงกงยิ้มแล้วพูด
ว่า “ท่านโหวน้อย ตอนนี้ฝ่าบาทยังอยู่ที่
วัดต้ากวงหมิง อดีตฮ่องเต้ท่านได้ไปนอนพักที่สุสาน
หลวงแล้ว หลังจากที่ฝ่าบาททาพิธีบูชาฟ้าแล้ว ทาง
วัดต้ากวงหมิงก็จะทาการสวดถวายพระราชกุศลให้
อดีตฮ่องเต้ จากนั้นก็จะไปที่สุสานหลวงด้วยพระองค์
เอง จากนั้นถึงจะกลับเข้าเมืองหลวง”
หยางหนิงตะลึงไป แอบคิดในใจว่าคนในวังหลวงทา
เรื่องอะไรมักจะทาให้คนรู้สึกตะลึงตลอด รัชทายาท
ออกนอกเมืองไปกลางดึก ศพของอดีตฮ่องเต้เองก็ถูก
เคลื่อนที่ไปด้วย ข่าวของต้วนฉางไห่แม่นยาไม่น้อย
ในตอนนี้เอง เห็นต้วนฉางไห่เดินมาจากประตูด้านข้าง
แล้วถือห่อเงินมา หยางหนิงมองไป เห็นในห่อเงินมี
ทองคาอยู่สี่แท่ง ทองแท่งหนึ่งหนักประมาณสิบตาลึง
ทอง เมื่อฟ่านกงกงเห็นทองแท่ง เขามองผ่านๆ แล้ว
ยกน้าชาขึ้นมาด้วยท่าทางสุขุม
ต้วนฉางไห่กระซิบบอกหยางหนิง หยางหนิงพยักหน้า
เขายิ้มแล้วพูดกับฟ่านกงกงว่า “ได้ยินมาว่าปกติกงกง
อยู่ในวังหลวงก็ไม่ได้มีความชอบอะไรเป็นพิเศษ
นอกจากชา ข้าได้เตรียมค่าน้าชาไว้ให้ท่านเล็กน้อย
หวังว่ากงกงจะไม่รังเกียจ”
ต้วนฉางไห่รีบยื่นห่อเงินไปให้ ฟ่านกงกงรีบพูดว่า
“ท่านโหวน้อย ไม่ได้เด็ดขาด จะให้ท่านต้องมาเสีย
เงินเสียทองแบบนี้ได้อย่างไร” จากนั้นเขาก็รีบโบกมือ
“ไม่ได้ ไม่ได้”
หยางหนิงพูดว่า “กงกงท่านเองก็น่าจะรู่ วันนี้สาหรับ
จวนโหวแล้ว มันเป็นวันมงคล เชิญท่านกงกงดื่มชา
กงกงท่านจะไม่ให้เกียรติข้าสักนิดเลยหรือ?”
“เอ่อ...” ฟ่านกงกงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านโหว
น้อยพูดอย่างนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอน้อมรับ”
จากนั้นก็เห็นขันทีคนหนึ่ง เดินมารับห่อเงินไป ฟ่านก
งกงส่งสัญญาณให้ขันทีสองคนนั้นออกไป และต้วน
ฉางไห่ก็เดินตามขันทีสองคนออกไปด้วย อีกทั้งยังให้
เงินขันทีสองคนนั้นอีกจานวนหนึ่ง
ฟ่านกงกงเห็นดังนั้น เขาก็ยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า “ท่าน
โหวน้อยเกรงใจเกินไปแล้ว ต่อไปยังมีเวลาเจอหน้ากัน
อีกนาน คงต้องฝากตัวกับท่านโหวน้อยด้วย”
“ข้าต่างหากที่ต้องฝากตัวกับท่านกงกง” หยางหนิง
เห็นฟ่านกงกงให้ขันทีน้อยออกไป ก็รู้ทันทีว่าเขา
น่าจะมีเรื่องสาคัญจะพูด เขาไม่แสดงท่าทีอะไรมาก
ยกมือแล้วพูดว่า “กงกง ดื่มชาก่อน”
ฟ่านกงกงยิ้มแล้วพยักหน้า แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า
“ท่านโหวน้อย ท่านจริงใจกับข้า ข้าก็จะไม่ปิดบังท่าน
ที่ท่านได้รับยศโหวในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ
เบื้องหลังมีคนมากมายที่ไม่เห็นด้วย”
“หา?” หยางหนิงทาท่าทางฟังอย่างตั้งใจ “กงกง
ท่านหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าข้าไปทาให้ใคร
ต้องขุ่นเคืองใจอย่างนั้นหรือ?”
“มีคนถวายฎีกา พูดถึงท่านโหวน้อยในทางที่ไม่ดีไม่
ค่อยน่าฟังเท่าไหร่ บอกว่าท่านโหวน้อยไม่มีบารมี
เท่ากับท่านโหวคนก่อนเลย อีกทั้งยังบอกว่าคุณชาย
น้อยของจวนโหวนั้นมีนิสัยใจคอเหมือนท่านโหวคน
ก่อนมากกว่า” ฟ่านกงกงพูดเสียงเบาๆ ว่า “ในฎีกา
ยังเสนอว่าให้แต่งตั้งคุณชายน้อยขึ้นรับตาแหน่งโหว
แทนท่านด้วย รวมไปถึง...” จากนั้นเขาก็มองซ้ายมอง
ขวา แล้วพูดเสียงเบาๆ อีกว่า “รวมไปถึงคนใน
ตระกูลฉีของท่านเองก็พูดถึงท่านไม่ดีเช่นกัน”
หยางหนิงรู้อยู่แล้ว เขายิ้มแล้วพูดว่า “กงกง ข้าขอพูด
ความในใจกับท่านบ้างนะ ท่านพ่อจากไปกะทันหัน มี
คนคิดร้ายกับข้า มันเป็นเรื่องที่ข้าคิดเอาไว้แล้ว”
ฟ่านกงกงพูดว่า “สถานการณ์ของฝ่าบาทเอง จริงๆ
แล้วก็ไม่ต่างกับท่านโหวน้อยเลย...” เขาหยุดไป ยิ้ม
แล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงเห็นความสาคัญของท่านโหว
น้อยมาก หลังจากทาพิธีบูชาฟ้า ก็รีบออกราชโองการ
แต่งตั้งให้ท่านรับตาแหน่งโหวคนต่อไป ทรงระลึกถึง
ความจงรักภักดีของจิ่นอีโหวทุกรุ่นมาโดยตลอด”
หยางหนิงหันไปยกมือคานับ ถอนหายใจแล้วพูดว่า
“พระเมตตาของฝ่าบาท จวนจิ่นอีโหวจะใช้ทั้งชีวิต
เพื่อตอบแทน จะไม่ให้ทรงต้องผิดหวังเป็นอันขาด”
ฟ่านกงกงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงกล่าวว่าหลังจาก
กลับเมืองหลวงแล้ว จะเรียกท่านเข้าเฝ้าเพื่อพูดคุยกัน
ท่านโหวน้อยเตรียมตัวให้พร้อมไว้ ถึงเวลาจะได้เข้า
เฝ้าฝ่าบาทได้ทันที”
หยางหนิงคิดในใจว่าไม่รู้เป็นเพราะขันทีเฒ่าคนนี้
พูดจาเกรงใจ หรือว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ให้ความสาคัญกับ
เขาจริงๆ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านกงกงที่
เตือน ข้าจะเตรียมตัวให้พร้อม”
ฟ่านกงกงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ข้าต้องขอ
ตัวกลับก่อน คงจะอยู่ต่อไม่ได้อีก”
“กงกงท่านจะกลับไปวัดต้ากวงหมิงหรือ?”
ฟ่านกงกงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ข้ารับพระ
บัญชาให้กลับเมืองหลวงมาประกาศราชโองการ
ตอนนี้ก็คงต้องกลับไปรับใช้ฝ่าบาทต่อ”
หยางหนิงรู้สึกตกใจไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าขันทีเฒ่าผู้นี้จะ
กลับมาเมืองหลวงเพื่อประกาศราชโองการโดยเฉพาะ
แสดงว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ให้ความสาคัญกับเรื่องนี้เป็น
อันมาก
หลังจากที่ส่งพวกของฟ่านกงกงกลับไปแล้ว คนใน
จวนโหวทั้งหมดก็รวมตัวกันอยู่ในเรือน ทุกคนต่าง
เฉลิมฉลองกัน เรื่องหนักใจของกู้ชิงฮั่นก็ได้คลี่คลาย
ไปแล้วเรื่องหนึ่ง นางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “หนิงเอ๋อร์
ฝ่าบาททรงมีราชโองการมาแล้ว ต่อไปเจ้าก็เป็นจิ่นอี
โหวแล้วนะ หากท่านเหล่าโหวกับท่านแม่ทัพได้รับรู้
พวกท่านจะต้องดีใจมากแน่ๆ” พูดจบ น้าตาของนาง
ก็ไหลพลากลงมา
แต่หยางหนิงกลับรู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเลย
สองเดือนก่อน ตัวเขายังเป็นขอทานอยู่ที่เมืองเมือง
หุ่ยเจ๋ออยู่เลย แต่เกิดเหตุมากมาย ทาให้เขากลายมา
เป็นจิ่นอีโหว ชีวิตคนเรานี่มันมีเรื่องแปลกๆ เกิดได้
ทุกวันจริงๆ
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 5 บทที่ 150 พิษงู
ฮ่องเต้ทรงประทานยศให้ ในจวนโหวต่างดีอกดีใจกัน
ยกใหญ่ กู้ชิงฮั่นเตรียมการไว้นานแล้ว ให้ห้องบัญชี
เตรียมเงินพิเศษให้คนในจวนคนละถุง
เมื่อกลับมาถึงห้องโถงใหญ่ หยางหนิงเห็นกล่องสอง
กล่องที่ฮ่องเต้ประทานให้วางอยู่บนโต๊ะ เขามองไปที่
กู้ชิงฮั่นแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ท่านคิดว่าในนี้คือสิ่ง
ใด? ท่านขันทีบอกว่าเป็นของมีค่า น่าจะมีราคาไม่
น้อยเลย หากพวกเราไม่มีเงิน พวกเราก็เอามันไปขาย
น่าจะได้เงินมาไม่น้อย”
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่หน้าของหยางหนิง แล้วพูดว่า “นี่เป็น
ของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ เจ้ายังคิดจะเอามันไป
ขายอีกรึ? อย่าว่าแต่จวนโหวจะไปถึงจุดนั้นเลย ต่อให้
ไปถึงจุดนั้นจริง ของที่ฝ่าบาทพระราชทานก็เอาไป
ขายไม่ได้ มีคนกาลังจ้องจะจับผิดเจ้าอยู่ เจ้าเอาของ
พระราชทานไปขาย ก็เท่ากับหาทางให้พวกเขาหา
ช่องโหว่ของเจ้าได้น่ะสิ?”
หยางหนิงหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่ล้อเล่นเอง”
แล้วพูดว่า “ฝ่าบาทนี่ก็จริงๆ เลย ประทานอะไรมา ก็
เปลี่ยนเป็นเงินไม่ได้ เหตุใดถึงไม่ประทานเงินทองมา
ให้แทนนะ”
กู้ชิงฮั่นตีไปที่มือหยางหนิงเบาๆ แล้วตาหนิเขาว่า
“หนิงเอ๋อ ตอนนี้เจ้าเป็นท่านโหวแล้วนะ ต่อไปพูดจา
อะไรก็ต้องระวังหน่อย อย่าพูดอะไรที่ไม่ควรแบบนี้
อีก ใครได้ยินเข้าจะเกิดเรื่อง”
หยางหนิงเห็นกล่องสองกล่องนั่นมีกล่องใหญ่และเล็ก
อย่างละกล่อง แต่ละกล่องทาอย่างประณีต เขาเปิด
กล่องใหญ่ดูก่อน ด้านในเป็นแสงระยิบระยับ กู้ชิงฮั่น
มองไป เห็นในกล่องไม้นั่นเป็นกระบี่เล่มหนึ่งที่ทาจาก
หยก
หยางหนิงหยิบมันออกมาอย่างระมัดระวัง เป็นการ
เอาหยกขาวอย่างดี มาตีเป็นกระบี่
“หมายความว่าอย่างไร?” หยางหนิงพูดด้วยความ
สงสัย “กระบี่หยก? หายากนะเนี่ย”
กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “ความหมายของฝ่าบาท น่าจะ
หมายถึงจวนจิ่นอีโหวมีทั้งเกียรติมีทั้งศักดิ์ศรี กระบี่
หยกเล่มนี้ เป็นเครื่องเตือนใจว่าจวนของพวกเราก็
เหมือนกระบี่หยกของแคว้นฉู่ หรือก็คือหวังว่าพวก
เราจะเป็นกระบี่หยกที่ปกป้องคุ้มครองต้าฉู่”
“ซานเหนียงพูดมาก็มีเหตุผล” หยางหนิงพยักหน้า
เบาๆ เขาคิดว่ามันจะเป็นของหายากอะไร ที่แท้ก็
เครื่องหยกชิ้นหนึ่งเท่านั้น
หยกชิ้นนี้ถึงจะไม่แย่ แต่หากเอาไปขายก็ได้ไม่เยอะ
เท่าไหร่
เขาเอากระบี่หยกเก็บกลับไปในกล่อง เมื่อเปิดกล่อง
เล็กออก ตอนแรกคิดว่าฮ่องเต้จะประทานของอะไร
ให้อีก คงไม่ขี้เหนียวมากไป กระบี่หยกถึงจะไม่ได้มี
มูลค่ามาก แต่มันก็มีเกียรติไม่น้อย มันก็น่าจะแสดง
ความจริงใจได้ ของจริงๆ มันน่าจะอยู่ที่กล่องเล็ก ใคร
จะคิดหลังจากเปิดออกดูแล้ว พบว่าด้านในนั้นว่าง
เปล่า เขาตะลึงไป กู้ชิงฮั่นเองก็สงสัย
“นี่มันอะไรกัน?” หยางหนิงรู้สึกโกรธมาก “ประทาน
กล่องเปล่ารึ?”
“หนิงเอ๋อ ในนี้...ในนี้มีกระดาษแผ่นหนึ่ง” กู้ชิงฮั่นยื่น
มือไปหยิบมา ตอนแรกคิดว่าจะมีอะไรเขียนไว้ แต่
เมื่อดูอย่างละเอียดทั้งสองด้านแล้ว กลับเป็นแค่
กระดาษเปล่า นางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ตอนแรกหยางหนิงคาดหวังกับของในกล่องเล็กนี้มาก
ใครจะรู้ว่าในนี้ไม่เพียงไม่มีของ แม้แต่เครื่องหยกก็ไม่
มีเหมือนกัน ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ อดไม่ได้ที่จะพูด
ว่า “ซานเหนียง ฮ่องเต้องค์ใหม่ของเราช่างขี้เหนียว
ใช่ย่อยเลย”
“อย่าพูดอะไรเหลวไหล” กู้ชิงฮั่นมองดูอย่างละเอียด
อีกครั้ง ในกระดาษไม่มีอะไรซ่อนอยู่ พูดด้วยความ
สงสัยว่า “ฝ่าบาทประทานของสิ่งนี้ให้ ไม่มีทางไม่มี
ต้นสายปลายเหตุ แต่ว่า...แต่ว่ามีแค่กระดาษแผ่น
เดียว ไม่มีอักษรอะไรเลย มันหมายความว่าอย่างไร
กันแน่?”
“ซานเหนียง ท่านอย่าบอกข้าอีกนะว่าฝ่าบาท
ต้องการให้ข้าเหมือนกระดาษแผ่นนี้ที่ใสสะอาด”
หยางหนิงนั่งลงบนเก้าอี้ “ข้ายังคิดอยู่เลยว่าวันนี้พวก
เราน่าจะได้เงินมาสักก้อนหนึ่ง ตอนนี้จะทาอย่างไร
ต่อเล่า เสียเงินให้ขันทีไปไม่น้อย กระบี่หยกได้มาก็
ขายไม่ได้ ต่อให้ได้ราคาก็เทียบไม่ได้กับที่เสียไป ครั้งนี้
พวกเราเสียเปรียบจริงๆ เลย”
กู้ชิงฮั่นนั่งลงข้างๆ เขา แล้วมองไปที่กระดาษแล้ว
ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“จริงสิ” หยางหนิงยิ้ม เหมือนคิดอะไรได้ แล้วตะโกน
ออกไปนอกห้องว่า “ท่านอาต้วน ต้วนฉางไห่ เจ้าเข้า
มาที่นี่หน่อย”
ต้วนฉางไห่ที่อยู่ข้างนอกพอดี เมื่อได้ยินเสียงเรียก ก็
รีบวิ่งเข้ามา ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเหล่าโหวจะตบ
รางวัลอะไรให้ข้าอีกหรือ? ไม่ต้องแล้ว ฮูหยินสามให้
เงินข้ามาแล้ว แต่ว่า...”
เขากาลังยิ้ม หยางหนิงจ้องไปที่เขา แล้วชี้ไปที่
กระดาษขาวในมือของกู้ชิงฮั่น แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท
พระราชทานของมาให้ เจ้าดูทีสิว่ามันล้าค่า
ตรงไหน?”
กู้ชิงฮั่นยื่นกระดาษออกไปให้ ต้วนฉางไห่รับมา แล้ว
มองอย่างละเอียด ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านโหวเยวี่ย
ฝ่าบาทประทานของสิ่งนี้ให้จริงๆ หรือ?”
หยางหนิงพูดว่า “เจ้าก็ดูไม่ออกใช่หรือไม่ว่ามันพิเศษ
อย่างไร? ที่ข้าเรียกเจ้ามา เพราะเห็นว่าเจ้ารอบรู้”
“มิกล้า มิกล้า” ต้วนฉางไห่ตอบอย่างถ่อมตัว หัวเราะ
แล้วพูดว่า “ท่านโหวท่านมีอะไรจะถามข้าใช่
หรือไม่?”
“รู้ก็ดีแล้ว” หยางหนิงนั่งพิงเก้าอี้แล้วพูดอย่างขี้เกียจ
ว่า “ข้าเคยได้ยินมาว่ากระดาษบางชนิด ที่ดูอย่างไรก็
ดูไม่ออกว่ามีอะไร แต่ว่าเมื่อแช่น้าหรือว่าโดนไฟ มัน
จะมีตัวอักษรออกมา เจ้าว่ากระดาษนี้จะใช่อย่างนั้น
หรือไม่?”
ต้วนฉางไห่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ วิธีที่ท่านโหว
เยวี่ยว่ามา มีคนใช้วิธีนั้นจริง แต่ว่ากระดาษแบบนั้น
มันจะมีความพิเศษอยู่ ต้องทาให้กระดาษมันเก่า ถึง
จะทาอะไรได้ แต่กระดาษแผ่นนี้เป็นกระดาษใหม่ ข้า
ดูแล้วมันไม่มีการทาอะไรกับมันมาก่อนเลย หากท่าน
โหวเยวี่ยไม่เชื่อ พวกเราจะลองดูก็ได้”
หยางหนิงเชื่อต้วนฉางไห่อยู่แล้ว ในเมื่อเขาพูดมา
แบบนี้แล้ว กระดาษแผ่นนี้ก็คงไม่มีอะไร
“ช่างเถอะ เก็บไว้ก่อนดีกว่า ฮ่องเต้ให้พวกเราทาย
ปริศนา พวกเราทายไม่ได้ วันหนึ่งฮ่องเต้ก็มาบอก
พวกเราเองแหละ” ถึงแม้หยางหนิงจะได้รับตาแหน่ง
แต่ว่าเขาปวดใจกับของที่ฮ่องเต้ประทานให้มาก
ความคิดก่อนหน้านี้ของเขาทั้งหมดมันก็สลายหายไป
หมด
แต่ว่าสาหรับจวนโหวแล้ว มันเป็นเรื่องใหญ่ และเป็น
เรื่องที่ต้องฉลอง
เมืองหลวงตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติ จะให้จัด
งานเลี้ยงใหญ่โตป่าวประกาศไปทั่วคงทาไม่ได้ แต่ว่า
กู้ชิงฮั่นเองก็ได้เตรียมการเอาไว้ จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ใน
จวนเท่านั้น
ในงานเลี้ยง ตอนแรกหยางหนิงดื่มแค่เล็กน้อย แต่ว่า
เขาก็ไม่ได้มีระยะห่างอะไรกับผู้คน คนในจวนก็เข้ามา
ชนแก้วกับเขาคนแล้วคนเล่า หยางหนิงถึงแม้จะรู้ว่า
ตัวเองดื่มได้แค่ไหน แต่ว่าดื่มไปครึ่งค่อนคืน ก็เมาอยู่
ดี เขารู้สึกมึนหัว จึงถูกต้วนฉางไห่พยุงกลับไปพักที่
ห้อง
ต้วนฉางไห่เองก็ดื่มไม่น้อย สั่งให้คนเฝ้าหน้าห้องเพื่อ
รับใช้หยางหนิงส่วนเขาก็กลับไปนอน
หยางหนิงก็ไม่รู้ว่านอนไปนานแค่ไหน มึนๆ งงๆ เขาก็
รู้สึกว่ามันแปลกๆ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา แล้วลุกขึ้นนั่ง
ก็รู้สึกว่าขาของเขานั้นเจ็บปวดขึ้นมา เหมือนมีอะไร
ลื่นๆ เหนียวๆ รัดอยู่ เขาตกใจมาก ตอนนี้ฟ้ายังไม่
สว่าง ในห้องก็ดับไฟไปแล้ว มองไม่ชัดว่าเป็นอะไร
หยางหนิงยื่นมือไปจับ มันเหมือนมีอะไรเย็นๆลื่นๆ
กาลังเลื่อยมาที่มือของเขา ทันใดนั้นเองเขาก็รู้ทันทีว่า
มันคืองู
หยางหนิงเหงื่อไหลพราก ใช้มือสองข้างจับคองูเอาไว้
เขารู้สึกว่าหลังมือของเขารู้สึกปวดไม่น้อย เขาถูกมัน
กัดเข้าให้แล้ว
“แย่แล้ว แย่แน่ๆ” หยางหนิงตาสว่างส่างเมาทันที
หลังจากถูกกัด เขาก็รู้สึกเบลอๆ ไม่รู้แล้วว่าหัวงูอยู่
ตรงไหน เขาถูกกัดเขาไปสองที่ เขาก็ไม่รอช้า ยื่นมือ
ไปจับช่วงคอของมัน
งูตัวนี้ไม่ใหญ่มาก หยางหนิงมีแรงไม่น้อย เขาบีบเข้า
ไปที่ตัวมัน รู้สึกว่ามันรัดแขนของเขาแรงขึ้น เขาออก
แรงดึงมันออกจากมือ แล้วสะบัดมันทิ้งไปกับพื้นอย่าง
แรง
เขาร้องเสียงดังออกมา คนด้านนอกเหมือนจะได้ยิน
ความเคลื่อนไหว ก็รีบเดินมาที่หน้าประตู “ท่านโหว
เยวี่ย ท่านโหวเยวี่ย ท่านเป็นอะไรไป?”
“งู” หยางหนิงรู้สึกว่าเขาตาลายและชาไปทั้งตัวแล้ว
เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายของเขาออกไป เขารู้ว่ามันไม่
เกิดมาจากที่เขาดื่มเหล้าแน่นอน แต่ว่ามันคือพิษงู
หากไม่ส่งเสียงออกไป คิดว่าคงตายไปแบบไม่มีใครรู้
แน่นอน เขาร้องตะโกนออกไปว่า “เร็วเข้า ไปตามคน
มาเร็ว....”
คนที่อยู่ด้านนอกรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดี ก็ไม่คิดอะไร
มาก เปิดประตูเข้าไป เห็นหยางหนิงกลิ้งลงมาจาก
เตียง ดิ้นอยู่ที่พื้น เขารีบเข้าไปพยุงหยางหนิงเอาไว้
แล้วรีบพูดว่า “ท่านโหวเยวี่ย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไป...ไปตามแม่นางถังมาเร็ว...” หยางหนิงรู้สึกว่าเขา
มองอะไรไม่เห็นแล้ว เขาแน่นหน้าอก เหมือนหายใจ
ไม่ออก “ข้า...ข้าถูกพิษ...”
คนๆ นั้นไม่ชักช้า เขาวิ่งออกไปด้านนอก แล้วร้อง
ตะโกนว่า “ใครก็ได้มาที่นี่ แย่แล้ว ใครก็ได้...”
ไม่นานก็มีคนวิ่งเข้ามาในเรือนนอนของหยางหนิง
ถึงแม้คืนนี้ในจวนโหวจะมีงานเลี้ยง แต่ว่าก็ไม่ได้ผ่อน
ปรนการเฝ้าเวรยาม เมื่อมีความเคลื่อนไหว จะมี
องครักษ์ในจวนเข้ามาทันที
“รีบไปตามแม่นางถังมาเร็ว ท่านโหวเยวี่ยถูกพิษงู...”
“อะไรนะ? เร็ว ไปตามแม่นางถังมาเร็ว”
“ไปรายงานฮูหยินสามเร็ว รีบไปบอกพี่ต้วนด้วย คน
อื่นๆ ไปค้นรอบจวนให้ทั่ว มีคนร้ายบุกเข้ามาในจวน”
หยางหนิงนอนดิ้นทุรนทุลายอยู่ที่พื้น รู้สึกว่าตัวเอง
เริ่มจะไม่มีความรู้สึกใดๆ อีกแล้ว ตอนนี้มีเพียงสมอง
เท่านั้นที่ยังมีสติอยู่
เขารู้ว่า พิษงูทั่วไป ต่อให้ร้ายแรงพียงใด ก็ไม่มี
ทางออกฤทธิ์เร็วแบบนี้ คิดว่าพิษนี้คงไม่ใช่พิษ
ธรรมดาแล้ว
ภายในจวนโหวปกติสะอาดมาก เรือนนอนที่เขาอยู่ยิ่ง
สะอาดกว่าที่ไหน ไม่มีทางที่จะมีงูพิษเข้ามาแน่นอน
ดึกๆ ดื่นๆ มีงูพิษโผล่ขึ้นมาบนเตียงนอนของเขา อีก
อย่างพิษของมันร้ายแรงไม่น้อย มันไม่น่าจะใช่เรื่อง
บังเอิญ
มีคนคิดจะเอาชีวิตเขารึ?
ปกติหยางหนิงไม่ค่อยสนใจเรื่องอะไร แต่ว่าพอเจอ
เรื่องใหญ่ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่อันตราย เขาจะมีสติมาก
ตอนนี้เขาคิดได้ว่าจะต้องมีคนปล่อยงูเข้ามาเพื่อเอา
ชีวิตเขาแน่ แต่ว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันนะ? ในจวนโหว
เวรยามรักษาการณ์อย่างแน่นหนา ยิ่งเป็นวันพิเศษ
เช่นนี้ ยิ่งเฝ้าเวรกันอย่างเข้มงวด ใครจะสามารถเข้า
มาลงมือกับเขาในจวนได้? หากไม่มีใครเข้ามาได้
หรือป็นคนในจวนนี้เองที่ลงมือกับเขา?
หากฉีอวี้แม่ลูกกับชิวอี๋ยังอยู่ หยางหนิงจะต้องคิดว่า
เป็นพวกเขาแน่นอน แต่พวกเขาก็ถูกไล่ออกไปแล้ว
ไม่มีทางเป็นพวกเขาแน่นอน อีกทั้งพวกเขาก็ไม่มี
ความสามารถแบบนั้นแน่
ได้ยินภายในห้องมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมากมาย อีกทั้งมี
คนร้องตะโกนไปมา ถึงแม้เขาจะได้ยินเสียงการ
เคลื่อนไหวอย่างชัดเจน แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไร
ขึ้นอีกแล้ว ร่างกายของเขาเหมือนท่อนไม้ ไม่มี
ความรู้สึกอะไรเลย
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 151 ล้างเลือด
ไม่นานเท่าไหร่นัก เสียงในห้องก็เงียบไป เขารู้สึก
เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างถูกยัดเข้าปากไป ในตอนนี้
แม้แต่การรับรสของเขาก็มีปัญญา ไม่รู้เลยว่ามัน
เปรี้ยวหวานขมหรือเผ็ด
รู้สึกแค่ว่าเริ่มปวดหัวมึนงง รู้สึกง่วงเพลีย จากนั้นเขา
ก็สลบไป
หลังจากที่เขาฟื้นมา เขาก็รู้สึกว่าปวดเมื่อยไปทั้งตัว
แต่ว่าอาการชามันหายไปแล้ว เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา
เขาเห็นกู้ชิงฮั่นนั่งน้้าตาไหลอยู่ข้างๆ ตัวเขา เมื่อเห็น
เขาลืมตาขึ้นมา กู้ชิงฮั่นก็ยิ้มทั้งน้้าตาแล้วพูดว่า “หนิง
เอ๋อร์ เจ้า...เจ้าฟื้นแล้วหรือ?”
หยางหนิงคิดจะลุกขึ้นมา แต่กู้ชิงฮั่นก็ดันหน้าอกของ
เขาลงไป แล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งขยับ” จากนั้นนางก็หัน
ไปพูดว่า “แม่นางถัง เจ้ารีบมามาดูหน่อย”
ถังนั่วเดินมา ยื่นมือไปตรวจชีพจรของหยางหนิง
จากนั้นก็เก็บมือกลับมา แล้วพูดว่า “ไม่เป็นอะไร
แล้ว”
“ซานเหนียง ข้าหลับไปนานเพียงใดหรือ?” หยาง
หนิงรู้สึกว่าหัวของเขาหนักอึ้ง จากนั้นก็นึกถึงงูตัวนั้น
ขึ้นมา “จริงสิ พวกท่านจับงูตัวนั้นได้หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เจ้าสลบไปหนึ่งวันเต็มๆ หากไม่ใช่
เพราะแม่นางถัง ไม่รู้...ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร” สายตา
ของนางเกิดอาการหวาดกลัว
“แม่นางถัง ขอบ...ขอบใจเจ้ามากนะ” หยางหนิง
คิดถึงตอนที่ตัวเองถูกพิษงู พิษงูนั้นร้ายกาจมาก หาก
ไม่ได้ถังนั่ว เขาอาจจะตายไปแล้วแน่ๆ
ถังนั่วส่ายหน้า ลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “จริงๆ
แล้ว...ข้าต้องขอโทษเจ้ามากกว่า”
“ขอโทษข้าหรือ?” หยางหนิงถามด้วยความแปลกใจ
“แม่นางถังเจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ถังนั่วขมวดคิ้ว สีหน้าดูเคร่งเครียด “อาเหน่า”
“อาเหน่ารึ?” หยางหนิงอึ้งไป จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “ปีศาจน้อยคนนั้นหรือ? เจ้าบอกว่า นาง...
นางมาเมืองหลวงหรือ?”
กู้ชิงฮั่นไม่รู้ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน แล้วก็ไม่รู้ด้วย
ว่าปีศาจน้อยคือใคร ในเวลานี้นางจึงรู้สึกสงสัยไม่น้อย
“หากไม่มีอะไรผิดพลาด ต้องเป็นนางแน่ๆ” ถังนั่วพูด
ว่า “พิษที่เจ้าได้รับคือพิษชีซินหรุ่ย ไม่ใช่พิษงู แต่ว่า
สามารถฉีดพิษนี้เข้าไปในตัวของงูได้ แต่มันไม่ใช่พิษงู
มันคือพิษผึ้งและแมลงป่อง ผสมกัน เมื่อเวลาผ่านไป
มันจะหลอมรวมเข้ากับพิษงู จนกลายเป็นพิษ
ชีซินหรุ่ย”
หยางหนิงก้าหมัดแน่น แล้วถามว่า “นางคิดจะฆ่าข้า
ให้ตายจริงๆ หรือ?”
“นางคงไม่ได้อยากจะเอาชีวิตเจ้าหรอก” ถังนั่วพูดว่า
“พิษชีซินหรุ่ยไม่ได้ท้าให้คนถึงตาย อาเหน่าเป็นศิษย์
ของราชาพิษจิ่วซี ช้านาญการเรื่องพิษดี หากนาง
ต้องการเอาชีวิตเจ้าจริง ในมือของนางมีพิษมากมายที่
ท้าให้เจ้าตายได้ทันที แต่พิษชีซินหรุ่ยมันไม่ได้ท้าให้
ตาย หากข้าเดาไม่ผิด นางตั้งใจเหลือเวลาเอาไว้ ให้
ข้ามาช่วยเจ้าถอนพิษ”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หมายความอย่างไร?
นางก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าถอนพิษได้ แล้วนางจะวางยาพิษ
ไปเพื่ออะไรอีก?”
ถังนั่วพูดว่า “พิษชีซินหลุ่ยเป็นเพียงชื่อยาพิษประเภท
หนึ่ง เป็นยาพิษที่ใช้สมุนไพรเจ็ดชนิดปรุงขึ้น แต่ว่า
สมุนไพรทั้งเจ็ดชนิดนี้มีสรรพคุณที่ไม่เหมือนกันเลย
จนถึงตอนนี้ มีวิธีปรุงยาพิษชนิดนี้ได้ถึงยี่สิบสามสูตร
แต่ละสูตรก็จะใช้สมุนไพรหลักที่แตกต่างกันออกไป
ดังนั้นการถอนพิษก็จะใช้วิธีถอนที่แตกต่างกันออกไป
อีกทั้งขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนที่ถูกพิษด้วย
หากวินิจฉัยผิดพลาด ใช้วิธีการถอนพิษผิด ไม่เพียงจะ
ถอนพิษไม่ได้ มันจะท้าให้เสียเวลาแล้วก็อันตรายถึง
ชีวิตด้วย”
หลังจากที่หยางหนิงฟังจบเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
แล้วถามว่า “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ครั้งนี้โชคดี
ที่เจ้าวินิจฉัยถูก ไม่อย่างนั้น...ไม่อย่างนั้นข้าคงตายไป
แล้วใช่หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาว่า “หนิงเอ๋อร์
ปีศาจน้อยที่พวกเจ้าพูดถึงกันเป็นใครหรือ?”
“นางเป็นปีศาจสาวที่ใจคอเหี้ยมโหดมาก” หยางหนิง
พูดด้วยความแค้น “ถ้าข้าเจอนางอีก ข้าจะจับนางมา
ฉีกเป็นชิ้นๆ”
ถังนั่วนิ่งไปแล้วพูดว่า “นิสัยของนางข้ารู้ดี ครั้งนี้มัน
ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่มันเป็นเพียงการเริ่มต้น”
“เริ่มต้นหรือ?” หยางหนิงอึ้งไป “เจ้าหมายความว่า
นาง...นางยังจะลงมือกับข้าอีกหรือ?”
สีหน้าของถังนั่วจริงจังมาก “นางก้าลังอาศัยร่างกาย
ของเจ้าเป็นเครื่องมือในการประลองวิชาพิษ ครั้งนี้
ถอนพิษได้แล้ว นางไม่มีทางยอมแน่นอน”
หยางหนิงรู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมาอีกครั้ง
ปีศาจน้อยใจคอโหดเหี้ยม เห็นชีวิตคนเป็นผักเป็น
ปลา หยางหนิงเกลียดนางจนเข้ากระดูกแล้ว หวังใน
ใจว่าจะไม่ต้องพบเจอนางอีกตลอดชีวิต
แต่ว่านางเหมือนวิญญาณชั่วร้าย ที่ตามมาหลอก
หลอนจนถึงเมืองหลวง
นางลงมือแล้วในคืนนี้ ก็แสดงว่านางรู้ความ
เคลื่อนไหวของเขาเป็นอย่างดี ขนาดการอารักขาใน
จวนโหวแน่นหนาขนาดนี้ นางยังสามารถเข้ามาใน
จวนได้โดยไม่มีใครรู้ นางช่างน่ากลัวเหนือมนุษย์จริงๆ
หยางหนิงในตอนที่อยู่วัดต้ากวงหมิงไม่เกรงกลัวกระบี่
ที่พุ่งเข้ามาหาตน แต่ขากลัวคนที่แอบลอบท้าร้ายเขา
ในที่ลับแบบนี้มากกว่า เพราะมันไม่สามารถป้องกัน
อะไรไม่ได้เลย
กู้ชิงฮั่นเริ่มร้อนใจขึ้นมา แล้วพูดว่า “แม่นางถัง ถ้า
อย่างนั้นพวกเราควรจะท้าอย่างไรดี?”
“หากไม่ได้จริงๆ คงต้องวางกับดักในจวนโหว ล่อให้
นางออกมา แล้วจับตัวนางไว้” หยางหนิงพูดด้วย
ความเกลียดชัง “ถ้าจับนางได้แล้ว ข้าจะถลกหนังนาง
ออกมา”
ถังนั่วพูดว่า “เจ้าอย่าดูถูกนางเชียว ข้ากลัวว่าเจ้ายัง
ไม่ทันจับตัวนางได้ เจ้าอาจจะตายเพราะนางก่อนก็ได้
ตอนนี้นางอาศัยร่างกายของเจ้าเป็นเครื่องมือ
ประลองพิษกับข้า แต่หากว่าเจ้าท้าให้นางโกรธขึ้นมา
จริงๆ ข้ากลัวว่านางจะฆ่าเจ้าจริงๆ น่ะสิ ถึงเวลานั้น
ถ้าข้ามาช่วยเจ้าไม่ทันจริงๆ เจ้าอาจจะเป็นอันตราย
ได้”
“แม่นางถัง ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้จักนางดี” กู้ชิงฮั่นเป็น
รู้สึกกังวลใจไม่น้อย “เจ้าหาตัวนางได้หรือไม่ แล้ว
ลองคุยกับนางดู ครั้งนี้พวกเราจะถือว่าไม่มีอะไร
เกิดขึ้น ครั้งต่อไปก็อย่าให้นางมาท้าร้ายหนิงเอ๋อร์
อีก”
ถังนั่วส่ายหัวแล้วพูดว่า “นางไม่ฟังที่ข้าพูดหรอก
หากมีโอกาส แม้แต่ชีวิตข้านางก็อยากจะเอาไปด้วย”
กู้ชิงฮั่นทั้งโกรธและเป็นห่วง “แล้วจะท้าอย่างไรกันดี
เล่า? หรือว่าพวกเราจะต้องรอให้นางมาท้าร้ายพวก
เราอีกหรือ?”
ถังนั่วนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “จริงๆ ใช่ว่าจะไม่มีวิธี
แต่ว่า...แต่ว่าข้ากังวลว่าฉีหนิงจะทนไม่ไหว”
“วิธีอะไรหรือ?” สายตาของกู้ชิงฮั่นเป็นประกาย
ขึ้นมา
ถังนั่วพูดอย่างชัดถ้อยชัดค้าว่า “ล้างเลือด”
“ล้างเลือด?” หยางหนิงพูดด้วยความประหลาดใจว่า
“มันเป็นอย่างไรหรือ?”
ถังนั่วพูดว่า “มันก็คือการใช้สมุนไพรชนิดหนึ่งล้าง
เลือดที่อยู่ในร่างกายทั้งหมด เมื่อล้างเสร็จแล้ว หาก
ไม่มีอะไรผิดพลาด ก็จะไม่มีพิษอะไรที่ท้าอันตรายเจ้า
ได้อีก”
หยางหนิงอึ้งตลึงไป พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่าวิธีนี้มันไม่น่าจะเป็นไปได้ นางขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “แม่นางถัง เจ้า...เจ้าบอกว่าใช้สมุนไพร
เข้าไปชะล้างเลือดในร่างกายให้หนิงเอ๋อร์หรือ? มัน...
มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”
ถังนั่วพูดว่า “เอาจริงๆ ข้าเองก็ไม่ได้มั่นใจหรอก อีก
ทั้งก่อนที่จะล้างเลือด จะต้องทนรับความเจ็บปวด
มากด้วย มันไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปนั้นจะทนทานรับได้”
นางหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอีกว่า “แต่ว่าหากล้าง
เลือดส้าเร็จ วิธีการที่อาเหน่าใช้ ก็จะท้าอันตรายอะไร
ฉีหนิงไม่ได้อีก”
หยางหนิงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาถามว่า “ข้าจ้าได้ว่า
ครั้งที่แล้วในหุบเขานั่น เหมือนเจ้าเองก็ถูกพิษของ
นางเหมือนกัน เจ้าเคยล้างเลือดหรือไม่?”
ถังนั่วส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ใครก็สามารถท้าการ
ล้างเลือดได้ ต้องดูสภาพพื้นฐานของร่ายกายด้วย
ตอนนี้ร่ายกายธาตุหยินยังไม่สามารถท้าการล้างเลือด
ได้ แต่เจ้าเป็นผู้ชาย มีร่างกายธาตุหยาง อีกทั้ง...
ชีพจรของเจ้าแข็งแรงและหนากว่าคนทั่วไป พื้นฐาน
ร่างกายแบบนี้สามารถท้าการล้างเลือดได้ หากเป็น
คนอื่นคงท้าไม่ได้”
“ชีพจรของข้าหนากว่าคนอื่นหรือ?” หยางหนิงอด
ไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาดู แล้วถามว่า “เหตุใดข้าถึงดูไม่
ออกเลย?”
ถังนั่วพูดว่า “นี่เป็นวิธีเดียวที่ข้าคิดได้ตอนนี้ แต่ว่าจะ
ล้างหรือไม่ เจ้าก็ลองคิดดูแล้วกันนะ”
“แม่นางถัง ก่อนหน้านี้ เคยมีคนล้างเลือดบ้าง
หรือไม่?” หยางหนิงถามอีกว่า “เจ้าเคยล้างเลือดให้
ใครมาก่อนหรือไม่?”
ถังนั่วพูดว่า “อาจารย์ข้าเคยล้างมาก่อน ตอนนี้ไม่ว่า
จะพิษอะไรก็ท้าอะไรเขาไม่ได้ ตอนนั้นอาจารย์เคยคิด
จะล้างเลือดให้กับข้า แต่ว่าร่างกายของข้าเป็นธาตุห
ยิน ดังนั้นอาจารย์ข้าจึงก้าลังคิดหาวิธีที่จะล้างเลือด
ให้กับคนที่ร่างกายธาตุหยินมาตลอด” จากนั้นก็หยุด
ไป แล้วพูดว่า “ข้าเองก็ยังไม่เคยล้างเลือดให้ใครมา
ก่อน ตอนที่อาจารย์ข้าสอนวิธารล้างเลือดให้กับข้า
ใช้ลิงภูเขามาเป็นตัวทดลอง หลังจากล้างเลือดให้ลิง
ภูเขาไปแล้ว พิษก็ท้าอะไรลิงตัวนั้นไม่ได้”
หยางหนิงแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันดูยากจะเชื่อไปหน่อย
หากร่างกายสามารถต้านพิษได้ทุกชนิดจริงก็เป็นเรื่อง
ที่ดี แต่ว่าเลือดเป็นส่วนหนึ่งและเป็นรากฐานของ
ร่างกาย การใช้สมุนไพรเข้าไปล้างเลือด อย่าว่าแต่ใน
ยุคโบราณเลย ต่อให้เป็นในยุคสมัยใหม่มันก็ยากเกิน
จะเชื่อได้ ถึงแม้เขาจะชื่นชมและนับถือถังนั่วมาก แต่
ว่าเรื่องการล้างเลือดนี่ หยางหนิงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ประเด็นที่ส้าคัญที่สุดคือ ถึงแม้ถังนั่วจะรู้วิธีการล้าง
เลือด แต่ว่าก็ยังไม่เคยลองกับมนุษย์จริงๆ ทดลองแต่
กับลิงภูเขา ใครจะบอกได้ว่าประสบความส้าเร็จกับลิง
แล้ว จะประสบความส้าเร็จกับคนได้เช่นเดียวกันเล่า?
เกิดพลาดขึ้นมา แล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาอาจ
กลายเป็นสัตว์ประหลาดก็ได้
กู้ชิงฮั่นเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน นางลังเล แล้วพูดว่า
“หนิงเอ๋อร์ หากไม่ได้จริงๆ ส่งคนไปที่จวนเสินโหว
คนที่ชื่ออาเหน่าคิดจะท้าร้ายเจ้า ก็เทียบเท่ากับ
กลายเป็นกบฏ พวกเราให้ทางจวนเสินโหวออกหน้า
ได้ พวกเขาอาจจะจับนางได้นะ”
ถังนั่วเก็บของเข้ากล่องยา แล้วพูดกับหยางหนิงว่า
“เจ้าลองเอากลับไปคิดดูนะ หากตกลงที่จะท้า ข้าจะ
เตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ อาจจะต้องใช้เวลาในการล้าง
สักสามวัน” จากนั้นก็หยุดไป แล้วพูดเสริมขึ้นมาอีก
ว่า “เจ้าจ้ายาโลหิตที่ข้าให้เจ้าได้หรือไม่ ต่อไปถ้าถูก
พิษอีก ให้รีบกินยาโลหิตนั่นเข้าไป มันจะยื้อเวลาให้
เจ้าได้”
หยางหนิงพยักหน้า ถังนั่วเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หัน
หลังแล้วก็เดินจากไป
“หนิงเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือไม่?” กู้ชิงฮั่น
เป็นห่วงเขามาก “ครั้งนี้โชคดีที่ได้แม่นางถังช่วยไว้
เจ้า...เจ้าจะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด” เมื่อพูดถึงตรง
นี้ นางก็จับมือของหยางหนิงเอาไว้
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ท่านไม่ต้องเป็น
ห่วง แม่ถังก็ยังอยู่ตรงนี้ทั้งคนไม่ใช่หรือ? ขอแค่แม่
นางถังอยู่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน”
“แต่ว่าแม่นางถังเองก็ไม่สามารถอยู่กับเจ้าได้
ตลอดเวลา” กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “แล้วเหตุ
ใดปีศาจน้อยอะไรนั่นต้องมาหาเจ้าด้วย?”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูมาจากด้านนอก
จากนั้นก็ได้ยินเสียงของต้วนฉางไห่ “โหวเยวี่ย ข้า
เอง”
หยางหนิงให้ต้วนฉางไห่เข้ามาในห้อง หลังจากต้วน
ฉางไฮ่เข้ามาแล้ว เห็นสีหน้าของหยางหนิงดีขึ้น ก็พูด
ว่า “โหวเยวี่ย พวกเราหาจนทั่วจวนแล้ว ไม่พบ
คนร้ายเลย”
หยางหนิงสั่งให้ต้วนฉางไห่นั่งลงข้างๆ แล้วถามว่า
“ท่านอาต้วน เจ้าเคยได้ยินชื่อราชาพิษจิ่วซีหรือไม่?”
“ราชาพิษจิ่วซีชิวเฉียนอี๋รึ?” ต้วนฉางไห่สีหน้า
เปลี่ยนไป “โหวเยวี่ย ท่าน...ท่านพูดถึงตาเฒ่าพิษผู้
นั้นท้าไมกัน? หรือว่า...” สายตาของเขาเหมือนจะมี
ความหวาดกลัว
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 152 เหนือคนยังมีคน
หยางหนิงเห็นสีหน้าของต้วนฉางไห่ ก็รู้ว่าชิวเฉียนอี๋
จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ
“ดูท่าเจ้าจะรู้เรื่องของชิวเฉียนอี๋จริงๆ” หยางหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ครั้งนี้คนที่วางยาข้า น่าจะ
เป็นศิษย์ของชิวเฉียนอี๋”
ต้วนฉางไห่อึ้งไปแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ท่านแน่ใจนะ
ว่าเป็นคนของราชาพิษจิ่วซี?” เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฉางไห่ ราชาพิษจิ่วซีเป็น
ใครกัน?”
“ราชาพิษจิ่วซีเป็นชาวไป๋เหมียวแคว้นปาสู่” ต้วนฉาง
ไห่อธิบายแล้วพูดว่า “ฮูหยินสามท่านเองก็รู้ ดินแดน
ปาสู่ คนป่าเถื่อนมีมากมาย ในบรรดาตระกูลพวกนั้น
ชาวเหมียวนั้นมีอานาจมากที่สุด ชาวเหมียวมีด้วยกัน
ทั้งหมดเจ็ดสิบสองถ้า ทั้งหมออาศัยอยู่ที่ปาสู่ สู่อ๋อง
หลีหงซิ่นมีอานาจมากที่สุดในซีชวน แต่ว่าเขาเองก็ยัง
ยาเกรงประมุขของชาวเหมียว ไม่กล้าผิดใจกับเขา”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าชาวเหมียวในซี
ชวนมีเยอะมาก ได้ยินมาว่าระหว่างพวกเขาก็ยังมีการ
ต่อสู้กันเอง”
“ถูกต้อง” ต้วนฉางไห่พูดว่า “ชาวเหมียวเจ็ดสิบสอง
ถ้า แบ่งเป็นเซิงเหมียวกับสูเหมียว เซิงเหมียวคือพวก
ที่อยู่ตามหุบเขา ไม่ยุ่งกับโลกภายนอก ชิงเหมียวกับ
หงเหมียวทั้งหมดนั้นล้วนเป็นคนเซิงเหมียว ยังมีอีก
ประเภทหนึ่งคือสูเหมียว พวกนี้พูดภาษาชาวฮั่น ทา
การค้ากับชาวฮั่นได้ ส่วยเหยเหมียว ไป๋เหมียว
กับฮว๋าเหมียวถือเป็นสูเหมียวทั้งหมด ราชาพิษ
จิ่วซีเป็นชาวไป๋เหมียว พลังอานาจของชาวไป๋เหมียว
เป็นรองแค่ชาวเหยเหมียว เฮยเหมียวชานาญเรื่อง
เวทย์มนต์คาถา ส่วนชาวไป๋เหมียวชานาญเรื่องพิษ
ราชาพิษจิ่วซีเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งด้านพิษของชาว
ไป๋เหมียว หรือก็คือเป็นหนึ่งในด้านพิษของซีชวน”
“ในเมื่อเป็นชาวเหมียว เหตุใดถึงมาที่เมืองหลวงเล่า
แล้วมีความแค้นอะไรกับพวกเรา?” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “ชิวเฉียนอี๋ ชื่อนี้ฟังแล้วดูเหมือนเป็นชาว
ฮั่นนะ”
“นั่นเป็นชื่อของราชาพิษจิ่วซี” ต้วนฉางไห่พูดว่า “ใน
บรรดาชาวสูเหมียว หลายคนมีชื่อแบบชาวฮั่น ตอนที่
ชิวเฉียนอี๋ยังไม่ได้มีชื่อเสียง ยอดฝีมือด้านพิษอันดับ
หนึ่งของซีชวนนั้นเป็นของตระกูลถัง ตระกูลถังเป็น
ชาวฮั่น ชิวเฉียนอี๋ไปหาประมุขของตระกูลถัง เพื่อ
ประลองพิษ ตอนนั้นตระกูลถังไม่ได้เห็นชาวเหมียว
คนหนึ่งอยู่ในสายตาเลย ดังนั้นก็เลยไม่ยอมประลอง
กับชิวเฉียนอี๋ เท่าที่ข้ารู้ เขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน คน
ในตระกูลถูกพิษตายทั้งหมด ภายในครึ่งเดือนคนใน
ตระกูลถังก็ตายไปมากกว่าสามร้อยคน ในที่สุดก็เหลือ
เพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
กู้ชิงฮั่นหน้าถอดสี หยางหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
เขาฟังออก คนที่ลงมือก็น่าจะเป็นชิวเฉียนอี๋ คนผู้นี้
เหี้ยมโหดเกินไป ไม่แปลกที่จะมีลูกศิษย์อย่างอาเหน่า
“ตระกูลถังในฐานะตระกูลอันดับหนึ่งในการใช้พิษ
ของซีชวน ทาได้แค่เห็นคนในตระกูลถูกพิษตายไปที
ละคนทีละคนเท่านั้น” ต้วนฉางไห่สีหน้าจริงจัง
“ตระกูลถังเป็นตระกูลที่ใช้พิษได้ชานาญ ในยุทธภพ
ไม่มีใครกล้ามีปัญหากับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาเองก็
ไม่ค่อยมีเพื่อนในชาวยุทธเช่นกัน ในตอนที่พวกเขา
ประสบปัญหา จึงไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยเหลือ”
“แล้วตอนนี้ตระกูลถังเป็นอย่างไรบ้าง?” หยางหนิง
ถามว่า
ต้วนฉางไห่ยิ้มหน้าเจื่อนแล้วพูดว่า “ตระกูลถังสิ้น
ตระกูลไปเมื่อสิบปีที่ผ่านมา ประมุขของตระกูลถัง
ตอนที่ถูกพบ ร่างกายของเขาผอมแห้งเหลือแต่
กระดูก ที่หน้าประตูใหญ่ของตระกูลถัง มีธงที่เขียนคา
ว่าจิ่วซีชิวเฉียนอี๋แขวนเอาไว้ หลังจากนั้น ชื่อของชิ
วเฉียนอี๋ก็ดังไปทั่วหล้า คนในยุทธภพพอพูดถึงเขา ก็
จะหน้าถอดสีกันหมด”
สีหน้าของกู้ชิงฮั่นเริ่มซีดเผือด
“ส่วนมากชิวเฉียนอี๋จะทาอะไรก็ทาอยู่ที่ซีชวนเพียงที่
เดียว ออกจากซีชวนนับครั้งได้” ต้วนฉางไห่สีหน้า
จริงจัง “โหวเยวี่ย ท่านบอกว่าคนที่ลงมือเป็นลูกศิษย์
ของชิวเฉียนอี๋ หรือว่าท่านเคยมีปัญหากับราชาพิษ
จิ่วซีรึ?”
หยางหนิงรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ก็เลยลังเลอยู่ครู่
หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟัง
คร่าวๆ ต้วนฉางไห่อึ้งไปแล้วพูดว่า “ที่แท้เป็นอย่างนี้
นี่เอง หากเป็นอย่างนั้นจริง คนที่ลงมือในครั้งนี้ก็
น่าจะเป็นปีศาจน้อยที่ชื่ออาเหน่า”
“แม่นางถังบอกว่า ปีศาจน้อยนั่นไม่มีทางรามือง่ายๆ
นางต้องมาอีกแน่นอน” กู้ชิงฮั่นเป็นกังวลมาก “ฉาง
ไห่ พวกเจ้าจะต้องดูแลหนิงเอ๋อร์ให้ดีอย่าให้คลาด
สายตาเลย เจ้าว่าพวกเราควรจะทาอย่างไรต่อไป?”
ต้วนฉางไห่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ข้าน้อยเห็น
ว่า คนที่ลงมือครั้งนี้คือปีศาจน้อย อาจจะไม่ใช่เจตนา
ของราชาพิษจิ่วซีก็ได้ ถึงแม้พิษของราชาพิษจิ่วซีจะ
ร้ายกาจ แต่เขายังคงเห็นแก่ชาวไป๋เหมียว หากศิษย์
ของเขาฆ่าโหวเยวี่ยตายจริงๆ ก็แสดงว่าเขาตั้งใจจะ
ก่อกบฏ ราชสานักไม่มีทางนิ่งนอนใจอย่างแน่นอน
ชาวไป๋เหมียวเองก็จะต้องเดือดร้อน”
“เจ้าหมายความว่าปีศาจน้อยนั่นทาเองหรือ?”
กู้ชิงฮั่นถาม
ต้วนฉางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ราชาพิษจิ่วซีไม่ได้มี
ความแค้นอะไรกับพวกเรา เขาไม่มีทางผิดใจกับทาง
ราชสานักแน่นอน ปีศาจน้อยจะต้องทาการเองโดย
พลการ หากเป็นอย่างนั้น พวกเราเองก็ไม่ต้องกังวล
มากเกินไป เพราะถ้าราชาพิษจิ่วซีลงมือเอง พวกเราก็
คงจะต้องให้ทางวัดต้ากวงหมิงช่วย ราชาพิษจิ่วซีไม่มี
ทางไม่ไว้หน้าวัดต้ากวงหมิงแน่นอน ตอนนี้ราชาพิษ
จิ่วซีมีศิษย์เพียงแค่คนเดียว พวกเรายังมีแม่นางถัง
คอยช่วย ยังพอรับมือกับปีศาจน้อยได้” เขากดเสียง
ให้เบาลง “พวกเราสามารถวางกับดักในจวนโหวได้
หากนางยังไม่ตายใจ พวกเราก็ล่อนางออกมา”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตอนแรกหนิงเอ๋อร์ก็คิด
แบบนี้เหมือนกัน แต่แม่นางถังบอกว่า ปีศาจน้อยคน
นั้นเจ้าเล่ห์ไม่น้อย หากรู้ว่ามีคนวางกับดัก เกรงว่า
อาจจะลงมือฆ่าหยางหนิงแทน นางอยู่ในที่มืด พวก
เราอยู่ในที่สว่าง จึงต้องป้องกันให้ดีที่สุด”
ต้วนฉางไห่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คนแบบนี้ทาอะไร
ลึกลับ ไม่รู้เลยว่านางจะมาตอนไหน อีกทั้งไม่รู้ด้วยซ้า
ว่านางจะลงมือวางยาตอนไหน จะป้องกันอย่างไรก็ยัง
ยาก”
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องการล้างเลือดหรือไม่?” หยางหนิง
นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ใช้สมุนไพรมาล้างเลือด
แล้วก็จะไม่มีพิษอะไรทาร้ายได้อีก”
ต้วนฉางไห่ตะลึงไปแล้วพูดว่า “ยังมีวิธีแบบนีด้ ้วย
หรือ? ข้าน้อยไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
หยางหนิงเล่าข้อเสนอของถังนั่วให้เขาฟัง เขาพูด
อย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “การแพทย์ของแม่นางถังข้า
คงไม่ต้องอธิบาย แต่วา่ ข้าไม่เคยได้ยินการล้างเลือด
แบบนี้มาก่อน”
“หนิงเอ๋อร์ ข้าว่าระวังไว้ก่อนจะดีกว่า” กู้ชิงฮั่นพูด
เสียงเบาๆ “ข้าไม่ได้สงสัยในตัวแม่นางถังนะ แต่ว่า
ตามที่เจ้าว่ามา พวกเราก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของแม่นางถัง
เลย อีกทั้งนางเองก็มีความสัมพันธ์บางอย่างกับปีศาจ
น้อยนั่นด้วย...” นางหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “การ
ระวังตัวจะต้องมีไว้ก่อนเป็นดีที่สุด”
ต้วนฉางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ที่ฮูหยิ
นสามพูดมาก็มีเหตุผล” เขาคิด แล้วพูดว่า “แต่ว่า
ดินแดนซีชวน มีคนแปลกประหลาดอยู่มากมาย มีชิ
วเฉียนอี๋ที่เป็นยอดฝีมือด้านพิษ คิดว่าก็น่าจะมีคน
แปลกๆ อีกไม่น้อยเลย แม่นางถังบอกว่าสามารถล้าง
เลือดได้ ถึงแม้ฟังดูแล้วยากที่เชื่อได้ แต่อาจจะไม่ใช่
เรื่องจริงก็ได้ แต่เพราะพวกเราไม่เคยเห็นด้วยตาของ
ตัวเอง ก็เลยไม่มั่นใจ แต่จะบอกว่าไม่มีก็ไม่ได้”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาต้วนหมายความว่า
พวกเราลองล้างเลือดดูได้อย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น” ต้วนฉางไห่รีบโบกปฏิเสธ “โหวเยวี่ย
ท่านอย่าเข้าใจผิด ข้าน้อยก็แค่บอกว่าที่ท่านโหวเยวี่ย
พูดมานั้นมันก็น่าจะเป็นความจริง หากสามารถต้าน
พิษได้ทุกชนิดได้จริง ก็เป็นเรื่องที่ดีมาก เพียงแต่...
เพียงแต่ไม่รู้ว่าแม่นางถังนางจะมีเป้าหมายอื่น
หรือไม่” เขาพูดเสียงเบาว่า “แม่นางถังดูแล้วก็ไม่ใช่
คนเลว ไม่เหมือนคนที่คิดจะทาร้ายโหวเยวี่ยเลย
ไม่อย่างนั้นโหวเยวี่ยถูกพิษครั้งนี้ นางก็คงไม่รักษาให้
โหวเยวี่ย......โหวเยวี่ยก็คงกลับบ้านเก่าไปแล้ว”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ พวกเรายังไม่ต้อง
รีบให้นางล้างเลือดให้ตอนนี้ รอดูกันไปก่อนดีกว่า”
หลายวันต่อมา ทางจวนโหวรักษาการณ์อย่างเข้มงวด
มากขึ้น ต้วนฉางไห่อยู่ไม่ห่างจากตัวหยางหนิงเลย
เพื่อป้องกันปีศาจน้อยย้อนกลับมาอีก หยางหนิงเองก็
แอบเปลี่ยนเรือนนอน
ยังดีที่จวนโหวเพิ่มการรักษาการณ์มากขึ้น ทาให้อาเห
น่าไม่มีโอกาสเข้ามา อีกทั้งหยางหนิงเองก็คอยระวัง
ตัวมากขึ้น ทาให้นางลงมือได้ยาก จึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไปได้หลายวัน
ถังนั่วเองก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องล้างเลือดอีก
ผ่านไปสองวัน ถนนหนทางในเมืองหลวงกลับสู่สภาพ
ปกติ หยางหนิงเองก็รู้เรื่องนี้แล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่กับ
เหล่าขุนนางเดินทางกลับมายังเมืองหลวงแล้ว ศพ
ของอดีตฮ่องเต้เองก็ฝังที่สุสานหลวงแล้ว
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ จะมีหลายคนคิดว่าการขึ้น
ครองราชย์ครั้งนี้คงไม่ง่าย จะต้องมีการนองเลือด
อย่างแน่นอน แต่ว่าท้ายที่สุดก็ผ่านพ้นอันตรายไปได้
หลังจากนั้นก็มีประกาศไปทั่วแคว้น เรื่องฮ่องเต้องค์
ใหม่ขึ้นครองราชย์ เปลี่ยนรัชสมัยใหม่เป็นหลงไท่
ประกาศพระราชโองการอภัยโทษทั่วแผ่นดิน
ช่วงนี้บรรยากาศในเมืองหลวงตึงเครียดไม่น้อย คนที่
อยู่ในเมืองหลวงเท่านั้นที่จะรู้สึกได้ ตอนนี้
สถานการณ์สงบลงแล้ว ทุกคนต่างหายใจหายคอ
คล่องขึ้น
ถึงแม้มีหลายคนรู้สึกอึดอัดกับช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่
สุดท้ายก็ผ่านกันมาได้
ในราชสานักมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ชาวบ้านทั่วไป
ไม่มีทางเข้าใจแน่นอน ค่ายดาบดาถูกสั่งย้ายออกนอก
เมืองไป แต่ว่ายังคงประจาการณ์อยู่ไม่ไกลจากนอก
เมืองหลวงมากนัก ค่ายหู๋เสินกลับมาประจาการใน
เมืองหลวง กรมทหารหลวงที่ถูกย้ายออกไปก็กลับมา
ประจาการณ์ในวังหลวงเหมือนเดิม
มีคนแอบพูดกันว่า หลังจากค่ายทหารหลวงถูกย้าย
ออกจากวังหลวงไป ผ่านการโยกย้าย มีแม่ทัพหลาย
คนถูกโยกย้ายออกไปมากมาย ถึงแม้จะมีหลายคน
ได้รับบรรดาศักดิ์ ได้รับเบี้ยหวัดเพิ่มขึ้น แต่ว่ากลับถูก
ลดอานาจลง
จะจริงจะเท็จ ชาวบ้านทั่วไปไม่มีทางรู้ได้ ส่วนหยางห
นิงเองก็ไม่ได้มีเวลามากพอที่จะไปสนใจ
ถึงแม้อาเหน่าจะทาให้เขาหลอนไม่หาย แต่ตอนนี้สิ่งที่
เขากังวลก็คือยาครอบจักรวาลของถังนั่วมากกว่า
ถึงแม้ฮ่องเต้จะมีราชโองการแต่งตั้งหยางหนิงเป็นโหว
แล้ว แต่ว่าไม่ได้ประทานเงินทองให้เขา ตอนนี้การเงิน
ในจวนค่อนข้างขัดสนไม่น้อย ตามที่กู้ชิงฮั่นคานวณ
เอาไว้ น่าจะอยู่ได้ไม่เกินสองเดือน
จวนจิ่นอีโหวไม่เหมือนตระกูลใหญ่ของตระกูลอื่น
นอกจากภาษีที่ดินศักดินากับร้านค้าอีกสองร้านแล้ว
ก็ไม่มีรายรับอย่างอื่นอีก ตอนนี้โรงรับจานาก็มาถูก
เผาไปอีก เหลือเพียงร้านขายยาร้านเดียวเท่านั้น
สถานการณ์ในตอนนี้ ก็ถือเข้าขั้นวิกฤติ จาเป็นจะต้อง
หาทางอื่นเพิ่ม
ยาของถังนั่ว มันสามารถเพิ่มกาไรได้ หากยามันวิเศษ
จริง สามารถขยายรายรับให้เพิ่มขึ้นได้ ถึงเวลานั้น
การค้าก็จะดีมากขึ้น
ทั้งสองคนมาที่ร้านหย่งอันแต่เช้า ทางร้านยาก็เพิ่งจะ
เปิดร้าน หมอซ่งเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาที่ร้าน ก็รีบ
เข้ามาต้อนรับ เขายกมือคานับแล้วพูดว่า “ข้าน้อย
คานับโหวเยวี่ย” จากนั้นเขาก็คุกเข่าลง
จิ่นอีโหวกับจิ่นอีโหวซื่อจื่อมันก็คนละเรื่องเลย
จิ่นอีโหวซื่อจื่อเป็นแค่คนที่จะมาสืบทอดตาแหน่งของ
จิ่นอีโหว แต่ไม่ได้มีบรรดาศักดิ์ใดๆ แต่จิ่นอีโหวเป็น
บรรดาศักดิ์สูงส่ง หมอซ่งไม่มีทางทาอะไรอืดอาด
แน่นอน
หยางหนิงรู้ว่าข่าวการรับตาแหน่งโหวของเขาคง
กระจายออกไปแล้ว เขาจึงพยุงหมอซ่งขึ้นมา ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ไม่ต้องทาแบบนี้ แต่ก่อนทาอย่างไร ตอนนี้ก็
ทาเหมือนเดิม ท่านหมอซ่ง ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าข้ามา
ที่นี่เพราะอะไร เด็กคนนั้นกลับมาหรือไม่?”
ท่านหมอซ่งหันไปมองถังนั่วที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาจัด
เสื้อผ้าของตัวเอง แล้วก็โค้งคานับแล้วพูดว่า “แม่นาง
ถัง ขออภัยที่ข้ามีตาแต่ไร้แวว ไม่รู้ว่าตนได้เจอกับ
หมอเทวดา หากทาอะไรให้แม่นางต้องขุ่นข้องหมอง
ใจ ขอแม่นางอภัยให้ข้าด้วย ครั้งนี้แม่นางทาให้ข้าได้
เปิดโลกใหม่ รู้ว่าอะไรคือเหนือคนยังมีคน”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 153 โรคติดต่อ
วันนี้ท่าทีของหมอซ่งต่างกับเมื่อหลายวันก่อนมาก
หยางหนิงแทบจะไม่ต้องถามอะไรมาก ก็รู้ว่าผงยา
ครั้งที่แล้วของถังนั่วจะต้องใช้ได้ผล
“ท่านหมอซ่งไม่ต้องทำถึงขนาดนี้” ถังนั่วยังคงพูด
เหมือนปกติ “เด็กคนนั้นไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือไม่?”
“ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว ฟื้นตัวเหมือนไม่ได้รับ
บาดเจ็บใดๆ เลย” ท่านหมอซ่งยกนิ้วโป้งให้ แล้วชื่น
ชมว่า “แม่นางถัง ครั้งนี้ทำให้ตาแก่อย่างข้าได้เปิด
โลกใหม่เลย”
“ท่านหมอซ่ง ตอนนี้รู้แล้วใช่หรือไม่ว่ายอดฝีมือเป็น
อย่างไร?” หยางหนิงหัวเราะร่า “ข้าหาผู้ช่วยแบบนี้
ให้ท่าน ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?”
“มิกล้า มิกล้า” ท่านหมอซ่งรีบพูดว่า “โหวเยวี่ย แม่
นางถังฝีมือดีขนาดนี้ ข้าเทียบนางไม่ได้เลย” จากนั้น
เขาก็ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ข้าก็อายุมากแล้ว จริงๆ
...จริงๆ แล้วบางครั้งข้าเองก็ทะนงตัวมากเกินไป
ขอให้โหวเยวี่ยถอดข้าออกจากตำแหน่งนี้ด้วย ที่นี่ก็
....”
“ท่านหมอซ่ง ท่านอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ” หยางหนิง
รีบพูดว่า “ท่านคิดว่าที่ข้าให้แม่นางถังมาที่นี่เพื่อแทน
ท่านหรือ? บอกตามตรง แม่นางถังจะไปเมื่อไหร่ข้าก็
ยังไม่รู้ นางมาที่นี่แค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่แน่วันไหนนาง
อาจจะออกไปเปิดโรงหมอของนางเองก็ได้”
“อ๋อ?” หมอซ่งอึ้งไป แล้วพูดว่า “วิชาแพทย์ของแม่
นางถังล้ำเลิศ โหวเยวี่ย ขอข้าพูดอะไรตรงๆ นะ คน
ในร้านของพวกเรา ยังไม่สามารถแสดงศักยภาพ
เทียบเท่าแม่นางถังได้เลย”
ถังนั่วส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คนในเมืองหลวงมีมากมาย
ข้าแค่อยากจะเจออะไรมากขึ้นเท่านั้น วิชาแพทย์ของ
ข้าจะได้ก้าวหน้าขึ้น”
หมอซ่งกล่าวว่า “แม่นางถัง ฝีมือการแพทย์ของเจ้า
ล้ำเลิศยิ่งกว่าผู้ใด เจ้าก็น่าจะรู้ สายอาชีพด้าน
การแพทย์ มันก็มีแบ่งตามความถนัด” เขาหยุดไป
แล้วถามว่า “แม่นางถังเคยเข้าร่วมงานชุมนุมซิ่งหลิน
บ้างหรือไม่?”
“งานชุมนุมซิ่งหลินหรือ?”
หมอซ่งเห็นท่าทางของถังนั่ว ก็รู้ว่านางจะต้องไม่
เข้าใจ เขายิ้มแล้วอธิบายว่า “งานชุมนุมซิ่งหลินเป็น
งานชุมนุมเรื่องการแพทย์ที่จะจัดขึ้นทุกๆ สามปี โดย
จะจัดขึ้นที่เมืองหลวง ทางสำนักหมอหลวงจะเป็นคน
รับผิดชอบจัดงานนี้ขึ้น มีหัวหน้าสำนักหมอหลวงเป็น
ประธาน ยอดฝีมือด้านการแพทย์จากทั่วหล้าจะมา
รวมตัวกันที่นี่ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กัน...จริงๆ แล้ว
ให้พูดตามตรง ก็คือการอวดความรู้ความสามารถ
ทางด้านการแพทย์นั่นแหละ จากนั้นก็จะคัดเลือกคน
ทีม่ ีวิชาการแพทย์ที่เก่งที่สุดสามคนเข้าไปทำงานใน
สำนักหมอหลวง” จากนั้นก็ถอนหายใจ “หากได้เข้า
ไปทำงานในสำนักหมอหลวง ก็จะเป็นเกียรติแก่วงศ์
ตระกูลอย่างมาก”
ถังนั่วพูดว่า “เรียนวิชาการแพทย์ ก็เพื่อช่วยคน มัน
เกี่ยวอะไรกับเกียรติของวงศ์ตระกูลด้วยรึ?”
หมอซ่งอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าถังนั่วจะพูดตรงขนาดนี้ เขา
รู้สึกกระอักกระอ่วนแล้ว ทำได้แค่ยิ้มแล้วพูดว่า
“ชื่อเสียงและผลประโยชน์สำหรับแม่นางถังแล้ว แม่
นางคงไม่สนใจอะไรพวกนี้ ความหมายของข้าคือ
หากแม่นางถังอยากจะได้ความรู้เพิ่มเติมจากเรื่อง
การแพทย์ งานชุมนุมซิ่งหลินถือโอกาสที่ดีมากในการ
หาความรู้เพิ่มเติม”
“ผู้ใดก็สามารถเข้าร่วมงานชุมนุนซิ่งหลินได้อย่างนั้น
หรือ?” หยางหนิงถาม
หมอซ่งกล่าวว่า “ขอแค่เป็นคนในซิ่งหลิน ก็ไม่มีการ
แบ่งแยกชายหญิง เข้าร่วมได้ทั้งหมด จริงสิ ปีหน้า
เดือนสอง ก็จะถึงงานชุมนุมซิ่งหลินแล้ว อีกไม่นาน
เท่าไหร่”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางถัง ถือเป็นโอกาสที่ดี
มากเลยนะ”
ถังนั่วไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ถามกลับไปว่า “เจ้าคิดชื่อ
ใหม่ออกหรือยัง?”
หยางหนิงเข้าใจ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าคิดๆ ดูแล้ว ใช้
ชื่อว่าหุยชุนซ่านได้หรือไม่?”
“หุยชุนซ่าน?” ถังนั่วคิด แล้วพูดว่า “ชื่อนี้ดีกว่าชื่อที่
แล้วเยอะเลย” จากนั้นนางก็หยิบกระดาษพับ
ครึ่งหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้เขาไป “นี่เป็นสูตรการปรุง
ยา จะเอาไปใช้อย่างไร เจ้าไปคิดเอาเองก็แล้วกัน”
หยางหนิงไม่คิดว่าถังนั่วจะให้ง่ายขนาดนี้ เขารีบรับ
กระดาษมา แล้วเปิดออกดู แต่เขาก็ดูไม่รู้เรื่องอยู่ดี จึง
ก็เก็บกลับไป แล้วหันไปพูดกับหมอซ่งว่า “ท่านหมอ
ซ่ง ท่านว่าหุยชุนซ่านจะขายดีหรือไม่?”
หมอซ่งรีบตอบว่า “โหวเยวี่ย ไม่ว่าข้าอยากจะประจบ
ท่านนะ เพียงแค่เอามาวางขายในร้าน ข้าว่าน่าจะ
ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลย”
หยางหนิงหัวเราะร่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ยาหุยชุนซ่านนี่
พวกเราต้องศึกษากันให้ดีๆ เลย”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากด้าน
นอก หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะเดินออกไปดู เห็น
ทางด้านทิศตะวันออกไม่ไกลนักมีคนกลุ่มหนึ่งกำลัง
ยืนอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังเถียงเรื่องอะไรกัน
หยางหนิงอยากรู้อยากเห็น จึงเดินไปดู เห็นตรงนั้น
เป็นร้านยาร้านหนึ่งที่มีชื่อว่าฉีซื่อถัง ที่หน้าประตูมีคน
ยืนอยู่กลุ่มหนึ่ง
ด้านข้างก็เป็นชาวบ้านที่มามุงดู มีชายสามสี่คนกำลัง
พยามยามดันตัวขอทานคนหนึ่งที่เสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ย
ขอทานคนนั้นไม่รู้ว่ากำลังร้องตะโกนว่าอะไร
หยางหนิงเบียดเข้าไป ที่หน้าประตูร้านมีขอทานอีก
คนที่นอนแน่นิ่งไม่ขยับตัวอยู่ที่พื้น ในตอนนี้เองก็เห็น
ชายคนหนึ่งกำลังชี้หน้าด่าขอทานคนนั้นว่า “หากเจ้า
ยังจะมาก่อกวนที่นี่อีก จะว่าข้าใจร้ายไม่ได้นะ รีบไส
หัวออกไป”
ขอทานคนนั้นขอร้อง “เขาใกล้จะตายแล้ว พวกเจ้า
เป็นร้านยา ก็ต้องมีหมอ ขอร้องล่ะ ช่วยเขาหน่อยได้
หรือไม่ ข้าจะต้องหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพวกเจ้าได้
แน่นอน”
“ไม่ต้องพูดมาก” ชายคนนั้นด่าว่า “วิธีการของพวก
เจ้าข้าเห็นมาเยอะแล้ว จะเป็นจะตาย มันก็ไม่เกี่ยว
อะไรกับพวกข้า?” จากนั้นเขาก็หันไปมองหาไม้ และ
หยิบมันขึ้นมาไว้ในมือแล้วด่าว่า “เจ้าจะไปหรือไม่?
ถ้ายังไสหัวไปอีก ข้าจะตีเจ้าจริงๆ แล้วนะ?”
ขอทานคนนั้นยังคงพูดว่า “พวกเจ้าเชื่อข้าเถอะ ข้า
จะต้องหาเงินมาจ่ายค่ารักษาได้แน่ๆ หากพวกเจ้าไม่
ช่วยเข้า เขาจะต้องตายจริงๆ”
“หาเงินมาหรือ?” ชายคนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ไปขโมย
หรือว่าวิ่งราวมาเล่า?” จากนั้นเขาก็เอาไม้ตีไปที่
ขอทานคนนั้น
ขอทานคนนั้นใช้มือไปที่หัว ไม้ของชายคนนั้นยังไม่ทัน
จะได้ตีถูกตัวเขา หยางหนิงก็ตะโกนขึ้นมาว่า “หยุด
เดี๋ยวนี้นะ”
เสียงของเขาดูหนักแน่นไม่น้อย ทุกคนหันไปตามเสียง
ของเขา ชายสามสี่คนนั้นก็มองมาด้วยเช่นกัน และ
ชายที่ถือไม้อยู่ก็เห็นหยางหนิงสวมเสื้อผ้าที่พิถีพิถัน ดู
แล้วไม่น่าจะใช่คนธรรมดา จึงไม่กล้ามีเรื่องด้วย ทำได้
เพียงถามว่า “นายท่าน...นายท่านคิดจะทำอะไร
หรือ?”
หยางหนิงเดินเข้าไป ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “มีอะไรก็
ค่อยพูดค่อยจากันดีๆ ก็ได้ เหตุใดต้องลงไม้ลงมือกัน
ด้วยเล่า? พวกเจ้ามีคนตั้งมากมาย เหตุใดถึงได้รังแก
คนเพียงคนเดียวเล่า?”
“นายท่านไม่รู้อะไร พวกเราเพิ่งจะเปิดร้านมา ก็มี
พวกสวะนี่มาอยู่หน้าร้าน จะให้พวกเราตรวจรักษา
เขาให้ได้” ชายคนนั้นอธิบายต่อว่า “พวกเราไม่ตรวจ
ให้ เขาก็จะบุกเข้าไปด้านใน คนแบบนี้พวกเราจะ
เกรงใจไม่ได้”
“ในเมื่อเป็นคนป่วย เหตุใดถึงไม่ยอมรักษาให้เขาเล่า”
หยางหนิงเพิ่งเห็นว่า ขอทานที่นอนอยู่นั้นอายุราวสี่
สิบ อีกทั้งร่างกายยังผอมโซ และตอนนี้เขาก็นอน
แน่นิ่งไม่ขยับเลย สีหน้าของเขาสกปรกโสมม ตัวเขาก็
เต็มไปด้วยผื่นแดง ขนาดเท่ากับเหรียญเงิน แดงไปทั่ว
ทั้งตัว ผื่นแดงบางจุดบวมขึ้นมาเป็นหนอง น่ากลัวไม่
น้อย
ชายคนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเขาไม่มีเงิน แล้วจะให้
ตรวจโรคให้เขาอย่างไร?”
“ร้านพวกเจ้าชื่อฉีซื่อถังใช่ไหม เหตุใดถึงได้ไม่มีความ
เมตตาเลยสักนิด?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“แม้แต่เห็นคนจะตายอยู่แล้วก็ไม่คิดจะช่วย?”
“นายท่านพูดถูกแล้ว” ชายคนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า
“พวกเราก็คิดจะช่วยเหลือคนอื่น แต่ว่าพวกเราเป็น
ร้านขายยา ไม่ใช่โรงทาน ถ้าใครที่มาแล้วพวกเรา
รักษาโดยไม่คิดเงินเลย ร้านยาของพวกเราคงไม่ต้อง
เปิดทำการค้าแล้ว”
“เขาก็บอกแล้ว ว่าจะหาเงินมาจ่ายให้” หยางหนิง
เห็นชายคนนั้นสีหน้าเย็นชา ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ
“พวกเจ้าก็น่าจะผ่อนปรนบ้าง ให้เวลาเขาไปหาเงิน
มา ส่วนพวกเจ้าก็ช่วยคนไปก่อน”
“ถนนเส้นนี้มีร้านยามากมาย” ชายคนนั้นกล่าวว่า
“ก็ไม่เคยได้ยินร้านไหนที่รักษาโดยไม่คิดเงิน หากคน
อื่นทำได้ ก็ให้พวกเขาไปที่นั่นซะ แต่ร้านฉีซื่อถังของ
พวกเราทำให้ไม่ได้” จากนั้นก็ชี้ไปที่ขอทานที่นอนอยู่
“พวกเจ้าลองดู อาการของเขาสิ ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา ดี
ไม่ดีอาจจะเป็นโรคติดต่อก็ได้ พวกเจ้าก็ต้องระวังให้
ดี”
คนที่ยืนมุงอยู่ได้ยินดังนั้น ก็ถอยหลังเว้นระยะห่าง
ออกไป
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงไอมาจากด้านหลัง
หยางหนิงมองไป เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลัง
เดินออกมา เขามองเห็นหยางหนิง ก็ยิ้มแล้วรีบเดินมา
ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “นี่ใช่...นี่ใช่ท่านจิ่นอีโหวใช่
หรือไม่? เชิญ เชิญเข้าไปนั่งด้านในก่อน”
หยางหนิงจำเขาได้ เขาคือหมอหวงที่เคยเจอที่ร้าน
เมื่อหลายวันก่อน ศิษย์พี่ของเขาทำงานอยู่ที่จวนผู้ว่า
การ
“อ๋อ ที่แท้ท่านหมอหวงก็ประจำอยู่ร้านนี้เองหรือ”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านหมอหวง ท่านมาดูนี่ทีซิ
คนป่วยมานอนอยู่ที่หน้าร้านของท่าน แต่พวกท่าน
กลับไม่หามเขาเข้าไปด้านใน เพียงเพราะพวกเขาไม่มี
เงิน นี่เป็นจรรยาบรรณการแพทย์ของร้านฉีซื่อถัง
อย่างนั้นหรือ?”
ท่านหมอหวงหน้านิ่งไป แล้วตะคอกไปว่า “ยังไม่หาม
คนป่วยเข้าไปอีก ช่วยคนสำคัญกว่าสิ่งใด จะมาพูด
เรื่องเงินอะไรตอนนี้?”
ชายหลายคนนั้นอึ้งไป ขอทานนั่นพูดด้วยความ
ซาบซึ้งใจยิ่ง “ขอบคุณท่านหมอ ขอบคุณท่านหมอ”
เห็นชายหลายคนนั้นไม่ยอมมาอุ้มไปสักที เขาจึง
ตัดสินใจไปอุ้มขอทานที่นอนสลบด้วยตัวของเขาเอง
หยางหนิงเห็นขอทานวัยกลางผู้นั่นถูกอุ้มขึ้นมา เสียง
โอดโอยทรมานของเขามันดังออกมาจากในลำคอ
หยางหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่านหมอหวงก็เหมือนกับ
ไม่ได้รีบร้อนจะช่วยคนเลย เขายิ้มแล้วพูดกับหยางห
นิงว่า “ได้ยินมาว่าโหวเยวี่ยเพิ่งจะได้รับตำแหน่ง
ยินดีด้วยจริงๆ โหวเยวี่ย ปกติจะเชิญท่านแทบจะเชิญ
ไม่ได้ วันนี้วันดี เชิญโหวเยวี่ยเข้าไปดื่มชาด้านในก่อน
ไม่ทราบว่าท่านโหวเยวี่ยจะให้เกียรติหรือไม่?”
หยางหนิงรู้ว่าหมอหวงยอมให้ขอทานเข้าไปด้านในได้
ก็เพราะเขา ปกติเขาก็เป็นคนง่ายๆ ไม่ได้สนใจฐานะ
อะไรมากมาย ในเมื่ออีกฝ่ายให้เกียรติเขา เขาเองก็ไม่
ทำให้เสียหน้า เขายิ้ม แล้วเดินเข้าไปในร้าน ชาย
หลายคนเมื่อครู่พอรู้ว่าหยางหนิงคือจิ่นอีโหว ก็ไม่
ชักช้าอืดอาด รีบไปเอาน้ำชามาให้
ร้านฉีซื่อถังเล็กกว่าร้านหย่งอันถังมาก ไม่มีห้องแยก
เพื่อตรวจโรค ที่ตรวจอาการของพวกเขาอยู่ในมุม
เล็กๆ มุมหนึ่งของร้าน ขอทานวัยกลางคนถูกอุ้มไปที่
เตียงไม้ หมอหวงค่อยๆ เดินเข้าไป หยางหนิงว่างและ
ไม่มีอะไรทำ จึงเดินเข้าไปดูด้วย ถึงแม้หมอส่วนมาก
จะไม่อนุญาตให้คนสายอาชีพเดียวกันมาดูการรักษา
แต่หยางหนิงไม่ใช่คนในสายอาชีพโดยตรง หมอหวง
จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก
หมอหวงถกแขนเสื้อของขอทานขึ้น คิดจะไปตรวจชีพ
จร ใครจะคิดว่าหลังจากถกเสื้อขึ้นมาแล้ว แขนของ
ขอทานคนนั้นเต็มไปด้วยผื่นแดงที่เป็นหนองแล้ว
แถมหนองบางที่ยังแตกแล้วด้วย มีเลือดไหลออกมา
ไม่หยุด น่าขยะแขยงไม่น้อย
หมอหวงขมวดคิ้ว แล้วหยิบผ้าสีดำผื่นหนึ่งมาพาดที่
แขนของของทาน จากนั้นก็ตรวจชีพจร หลังจากนั้น
ไม่นานสีหน้าของเขาก็ดูเคร่งเครียด แล้วพูดว่า “ชีพ
จรไม่นิ่ง ภายในเสียหายหนักมาก” จากนั้นเขาก็หัน
ไปพูดกับขอทานที่ยืนอยู่ว่า “เขาเป็นผื่นแดงตั้งแต่
เมื่อไหร่?”
ขอทานคนนั้นพูดว่า “สิบกว่าวันแล้ว ตอนแรกเป็น
แค่ผื่นแดงจุดเล็กๆ แต่หลังจากนั้นห้าหกวันมันก็เริ่ม
แดงมากขึ้นและก็ใหญ่มากขึ้น วันก่อน ก็เริ่มมีตุ่ม
หนอง ตอนแรกพวกเราคิดว่ามันน่าจะหายเองได้ แต่
ว่าเมื่อวาน เขาก็ลุกไม่ขึ้นอีก แล้วก็มีไข้สูงด้วย พอตก
ดึก เขาก็พูดไม่ได้อีกเลย”
หมอหวงเหมือนกำลังใช้ความคิด แล้วหันไปพูดกับ
ขอทานว่า “ดึงแขนเสื้อขึ้นมา”
ขอทานคนนั้นกำลังจะไปดึงแขนเสื้อของขอทานวัย
กลางคนขึ้น หมอหวงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ดึงแขน
เสื้อของตัวเจ้าขึ้น”
ขอทานคนนั้นอึ้งไป จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อของตัวเอง
ขึ้น หมอหวงมองดู ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าเองก็
ติดโรคเข้าแล้ว เจ้ารู้หรือไม่?”
หยางหนิงเห็นได้ชัดเจน แขนของขอทานผู้นั้น ก็มี
รอยผื่นแดงเช่นกัน แต่ว่าผื่นพวกนั้นยังเล็กมาก ไม่ได้
หนักเท่ากับคนที่นอนอยู่
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 154 ค่ำคืนแห่งดอกไม้ไฟ
ขอทานคนนั้นถามว่า “ท่านหมอ แล้ว...แล้วมันรักษา
ได้หรือไม่?”
“เรื่องนี้...” หมอหวงลังเล แล้วพูดว่า “ข้าจะจ่ายยา
ให้เจ้า หลังจากเจ้าเอายาไปแล้ว ลองกลับไปกิน
ดูก่อน หากในสามวันยังไม่ดีขึ้น ค่อยไปหาหมอคนอื่น
ให้เขาช่วยตรวจให้อีกที” จากนั้นเขาก็หันไปเขียน
เทียบยา แล้วยื่นให้กับขอทาน แล้วพูดว่า “ไปเอายา
เถอะ”
ขอทานรับเทียบยาไปแล้ว ก็รู้สึกตลึงไม่น้อย แล้วพูด
อย่างน่าสงสารว่า “ท่านหมอ...ยาพวกนี้ราคาเท่าไหร่
หรือ?”
“มียาทาภายนอก ยารักษาอาการบาดเจ็บภายใน
แล้วก็ยากิน ก็น่าจะประมาณสองตำลึงได้” ท่านหมอ
หวงพูดว่า “ข้าตรวจอาการให้เจ้าข้าไม่คิดเงิน เพราะ
ดูแล้วเจ้าเองก็น่าจะไม่มีให้ข้า แต่ว่าทางร้านยาข้า
บอกเจ้าไม่ได้หรอกนะว่าพวกเขาจะยอมจ่ายยาให้เจ้า
หรือไม่”
ขอทานพูดอย่างจนใจว่า “ท่านหมอ....ท่านช่วยเบิก
ยามาให้พวกเราก่อนได้ไม่ รอให้ข้า...”
หมอหวงยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องพูดอีกแล้ว
ข้าพูดชัดเจนแล้ว เรื่องการจ่ายยาข้าไม่ได้ดูแล เจ้าไป
พูดกับคนที่ดูแลตรงนั้นก็แล้วกัน” จากนั้นเขาก็พูดอีก
ว่า “เงินเดือนของพวกเขาเองก็ไม่ได้มากถึงสองตำลึง
หากจ่ายยาให้เจ้าไปแล้ว พวกเขาเองก็ต้องโดนด่า
แทนเจ้า”
สีหน้าของขอทานช่างดูอับจนหนทาง ทันใดนั้นเองก็
ได้ยินเสียงหยางหนิงพูดขึ้นมาว่า “เจ้าไปรับยาเถอะ
ช่วยคนสำคัญกว่าสิ่งใด” จากนั้นก็หยิบเงินออกมา
สองตำลึงแล้วโยนให้
ขอทานคนนั้นรีบรับเงินไป เขาซาบซึ้งจนน้ำตาไหล
“ขอบคุณนายท่าน ข้าน้อย...ข้าน้อยจะต้องหามาคืน
ท่านแน่นอน”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องพูดหรอก ช่วยคน
สำคัญที่สุด ลองกินดูว่าได้ผลหรือไม่”
หมอหวงพูดขึ้นมาว่า “นี่คือท่านจิ่นอีโหว วันนี้ถือว่า
เจ้าโชคดี เจอคนที่มีเมตตาอย่างท่านโหวเยวี่ย”
“ขอบคุณโหวเยวี่ย ขอบคุณโหวเยวี่ย” ขอทาน
ซาบซึ้งใจอย่างที่สุด จากนั้นก็ไปรับยา หลังจาก
กลับมา ก็ขอบคุณอีกชุดใหญ่ แล้วพาขอทานอีกคน
จากไป
“ท่านหมอหวง โรคเมื่อครู่เป็นโรคติดต่อหรือ
อันตรายมากหรือไม่?” หยางหนิงถาม
หมอหวงมองซ้ายมองขวา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าไม่
กล้าปิดบังท่านโหวเยวี่ย ข้าเป็นหมอมานานหลายปี
ตรวจโรคมานับไม่ถ้วน แต่โรคที่เจอในวันนี้แปลกมาก
ข้าเองก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่มันเป็นโรคติดต่อ
แน่นอน คนที่อายุน้อยกว่าคนเมื่อครู่ แขนของเขามี
ผื่นแดงขึ้นแล้ว คิดว่ากินยาแล้วน่าจะดีขึ้น”
หยางหนิงพยักหน้า แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ต่อ รีบเดินออก
จากร้านมา
เมื่อกลับถึงจวนโหว ฉีเฟิงก็รีบเดินเข้ามาหา แล้วพูด
ว่า “โหวเยวี่ย คุณชายหยวนส่งคนมา บอกว่าท่าน
ได้รับตำแหน่งโหว เป็นเรื่องที่น่ายินดี ก็เลยจะจัดงาน
เลี้ยงฉลองให้ท่าน”
“คุณชายหยวน?”
“คุณชายหยวนหรง” ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “อย่าบอก
นะว่าโหวเยวี่ยลืมเขาไปแล้ว?”
หยางหนิงนึกขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้เคยพาหยวนหรงไป
ที่จวนอู่เซียงโหว ให้เจ้าบ้านั่นช่วยเป็นพยานให้ แต่
หลังจากนั้นก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
เขานึกขึ้นมาได้ว่าหยวนหรงยังติดเงินเขาอยู่หนึ่งพัน
ตำลึง เรื่องลอบสังหาร ตอนนี้ก็รู้ตัวคนที่อยู่เบื้องหลัง
แล้วว่าคือท่านใหญ่สามกับชิวอี๋ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไร
กับผู้ดูแลเรือนรับรองจงหลิง ผู้ดูแลอู๋กับองครักษ์ของ
ที่นั่นเพื่อรักษาอนาคตของตัวเองไว้ แอบไปหาหยวน
หรงให้มาพูดกับหยางหนิง ยอมที่จะควักเงินให้หนึ่ง
พันตำลึงเพื่อจบเรื่องนี้
เงินยังไม่ได้มา วันนี้ถือว่าเป็นวันดีที่จะไปทวงเงินก้อน
นั้นมา ตอนนี้จวนโหวขาดแคลนเงินมากที่สุด หากได้
เงินหนึ่งพันตำลึงก้อนนี้มา ก็สามารถคลี่คลายเรื่องที่
ค้างคาอยู่ในตอนนี้ได้
ส่วนหยางหนิงเองก็ต้องเตรียมการผลิตยาหุยชุนซ่าน
การลงทุนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ตกเย็น หยวนหรงส่งรถม้ามารับหยางหนิง หยางหนิง
ไม่รู้ว่าหยวนหรงจัดงานเลี้ยงที่ไหน ต้วนฉางไห่พาคน
ติดตามหยางหนิงไปด้วยตัวเอง เพราะครั้งก่อนหยาง
หนิงถูกวางยา ในครั้งนี้เขาจึงไม่วางใจ
รถม้ามาถึงที่ริมแม่น้ำฉินไหว
โคมไฟมากมายแขวนอยู่เหนือน้ำ ใกล้ๆ มีร้านอาหาร
เต็มไปหมด
ยาวค่ำคืน ณ แม่น้ำฉินไหว ต่อให้ไม่ใกล้ร้านอาหาร
เลย แต่ก็มีกลิ่นหอมโชยมาภายในสิบลี้ เสียงของผู้คน
ช่างดูครึกครื้นยิ่ง
หยางหนิงถึงได้รู้ว่า หยวนหรงมาจัดงานเลี้ยงบน
แม่น้ำฉินไหว แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะหยวนหรงเป็นคุณชายเจ้าสำราญ มาที่แบบนี้ก็
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้นมีเรือเล็กลำหนึ่ง ต้วนฉางไห่ตาม
หยางหนิงขึ้นเรือไป และล่องไปกลางแม่น้ำ
หยางหนิงมองไปยังเรือลำอื่นๆ ที่มีสีสันมากมาย
ตกแต่งอย่างสวยงามและประณีต แสงสีโคมไฟ และ
เสียงดนตรีบรรเลง ทุกอย่างนี้มันแยงตาไปหมด
เขาคิดว่าอดีตฮ่องเต้เพิ่งจะสวรรคตไปได้ไม่นาน ใน
เมืองหลวงคงจะไม่มีงานรื่นเริงไปอีกระยะหนึ่ง แต่คิด
ไม่ถึงเลยว่าในช่วงเวลาสั้นๆ ที่แม่น้ำฉินไหว จะ
กลับมาร้องรำทำเพลงเหมือนเดิมได้เร็วปานนี้
หรือว่าในสายตาของพวกเขา ใครจะนั่งบัลลังก์นั้นไม่
สำคัญเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเจริญรุ่งเรืองใน
เมืองหลวงที่จะต้องคงอยู่ต่อไป
ไม่นานนัก เรือเล็กก็ล่องเข้าใกล้เรือสำราญลำหนึ่ง
เรือสำราญลำนี้ใหญ่โตโอ่อ่า ด้านบนมีการตกแต่งด้วย
โคมไฟ ดูหรูหราไม่น้อย บนเรือไม่ได้ครึกครื้นเท่าไหร่
แต่ได้ยินเสียงบรรเลงเพลงบ้างเป็นระยะ
เมื่อเรือลำเล็กเข้าไปใกล้ ก็มีคนบนเรือสำราญลำนั้น
มารอรับ พวกเขาปล่อยบันไดเชือกลงมา หยางหนิง
จึงปีนบันไดขึ้นไป ต้วนฉางไห่เองก็ไม่รอช้า ตามขึ้นไป
บนเรือด้วย
สาวใช้คนหนึ่งแต่งตัวสวยงามมารอรับอยู่ตรงทางเข้า
นางหน้าตาดี แต่งตัวสวย นางรีบเดินมาต้อนรับแล้ว
พูดว่า “โหวเยวี่ย คุณชายหยวนกำลังรอท่านอยู่เจ้า
ค่ะ”
หยางหนิงพยักหน้า สาวใช้คนนั้นจึงนำทางไป
หลังจากเดินไปที่หัวเรือ ก็ขึ้นบันไดไปอีก สาวใช้พูดว่า
“โหวเยวี่ย คุณชายหยวนอยู่ชั้นบนเจ้าค่ะ”
หยางหนิงขึ้นบันไดไป ต้วนฉางไห่คิดจะตามขึ้นไป
ด้วย แต่สาวใช้ก็ขวางเอาไว้แล้วพูดว่า “นายท่าน แม่
นางกำลังบรรเลงพิณ ท่านจะพกดาบขึ้นไปด้วย
หรือ?”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “ดาบนี่ข้าต้องติดตัวไว้ไม่ให้ห่าง
กาย หากเจ้าจะให้ข้าทิ้งดาบเอาไว้ นอกจากว่าเจ้า
จะต้องทำให้ข้าอยู่ที่นี่ให้ได้ก่อน”
สาวใช้ยิ้มแล้วพูดว่า “นายท่านคิดจะอยู่ดื่มเหล้าที่นี่
ล่ะก็ ข้าก็จะอยู่เป็นเพื่อน” นางมองต้วนฉางไห่ เล่นหู
เล่นตา หยางหนิงมองดูอยู่ แอบคิดในใจว่าสมกับเป็น
สถานเริงรมย์ แม่นางคนนี้อายุน่าจะแค่สิบห้าสิบหก
แต่ว่าดูเชี่ยวชาญในการยั่วยวนผู้ชายไม่น้อย
ต้วนฉางไห่ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้มีอาการเห็นอกเห็นใจ เดิน
ตามหยางหนิงขึ้นไป
เมื่อขึ้นไปถึงด้านบน ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเล่น
พิณอยู่ ด้านข้างมีโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งตั้งอยู่ บนโต๊ะมี
อาหารมากมาย หยวนหรงกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ตรงนั้น
ในมือถือป้ายหยกและลูบไปลูบมาอยู่ เขาหลับตาลง
และเคลิบเคลิ้มไปตามเสียงเพลงบรรเลง
หยางหนิงเห็นสภาพเขาแบบนั้น ก็รู้ว่าเขาเป็นพวก
ชำนาญการในเรื่องแบบนี้แน่นอน เขาเดินเข้าไปใกล้
แต่ต้วนฉางไห่ไม่ได้เดินตามไป เขายืนอยู่ที่หน้าปาก
บันได สายตามองไปรอบๆ อย่างระวังตัวอยู่
ตลอดเวลา
“นี่คืองานเลี้ยงที่เจ้าจัดให้ข้าหรือ?” หยางหนิงนั่งลง
ตรงเก้าอี้ ไม่มองหยวนหรงแต่เหลือบไปมองที่ผู้หญิง
ก่อน เห็นผู้หญิงคนนั้นนั่งเฉยๆ สีหน้าของนางก็ดูเฉย
ชา แต่ว่านางนั่งอยู่ตรงนั้นทั่วทั้งตัวของนางกลับเปี่ยม
ไปด้วยความรู้สึกมากมาย
นางหน้าตาสวยมีเสน่ห์ไม่น้อย หากเป็นคนอื่นที่มอง
นางครั้งแรก อาจจะไม่ได้รู้สึกว่าหน้าตาของนางสวย
เท่าไหร่ แต่เป็นดวงตาของนาง
สายตาของนางเหมือนเปิดครึ่งหลับครึ่ง เหมือนกำลัง
ตกอยู่ในภวังค์กับเสียงพิณของตัวเอง สายตาของนาง
ไม่ได้ดูซับซ้อนเหมือนแสงไฟของฉินไหวแต่มันมีความ
นิ่งสงบอยู่ในแววตาคู่นั้น
ตอนนี้นางกำลังมองมาที่หยางหนิง
หยางหนิงยิ้ม ถือเป็นการทักทาย แล้วเขาถึงได้หันไป
มองหยวนหรง เห็นหยวนหรงยกนิ้วขึ้นมา วางไว้ที่
ปาก เหมือนกำลังจะบอกไม่ให้หยางหนิงเอ่ยปาก
บรรเลงเพลงจบแล้ว ผู้หญิงคนนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดิน
เข้ามา และนั่งลงตรงริมโต๊ะ หยิบกาเหล้าขึ้นมาแล้ว
รินไปสองแก้ว
หยวนหรงนั่งตัวตรงขึ้นมา แล้วยกเหล้าขึ้น ยิ้มแล้ว
พูดว่า “โหวเยวี่ย เหล้าจอกนี้ข้าขอคารวะท่านที่ได้
ตำแหน่งโหว จิ่นอีไม่มีวันทลาย!”
คำพูดนี้ฟังดูแปลกๆ แต่หยางหนิงก็ยกแก้วเหล้ามา
ดื่ม ทั้งสองดื่มจนหมด ผู้หญิงคนนั้นจึงรินเหล้าให้อีก
“ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน” หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่
แค่อาหารรองท้อง คืนนี้มีงานเลี้ยงใหญ่รอท่านอยู่”
“ข้าไม่สนใจเรื่องอื่น เจ้าเอาเงินมาด้วยหรือไม่?”
หยางหนิงยื่นมืออกไป “หนึ่งพันตำลึง รีบเอา
ออกมา”
หยวนหรงตะลึงไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย
บรรยากาศดีๆ แบบนี้ ท่านกลับมาพูดเรื่องเงินตอนนี้
ไม่ทำลายบรรยากาศไปหน่อยหรือ?”
“ในสายตาของข้า ไม่มีอะไรดีไปกว่าเงินอีกแล้ว”
หยางหนิงพูดว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ได้เอามา”
“ท่านวางใจได้ ข้าหยวนหรงพูดอะไรแล้วจไม่รักษา
คำพูดเหรอ?” หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “มา ข้าจะ
แนะนำสาวงามให้ท่านรู้จักก่อน เจินจูท่านนี้คือจิ่นอี
โหว เจ้าจะต้องดูแลให้ดีล่ะ”
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “เจินจูคำนับโหวเยวี่ย”
หยางหนิงพยักหน้าหยวนหรงพูดว่า “บนแม่น้ำ
ฉินไหว มีไข่มุกเจินจูนี้แค่เม็ดเดียว หญิงอื่นล้วนไม่เข้า
ตาเลยแม้แต่น้อย”
หยางหนิงมองไปที่เจินจูแล้วยิ้ม เขานึกถึงเสี่ยวเตี๋ย
ขึ้นมา
ตอนแรกที่เขามาเมืองหลวง ก็เพื่อตามหาเสี่ยวเตี๋ย
แต่ว่าสำนักคุ้มภัยหายไป ถูกปล้นกลางทาง ข่าวคราว
ของเสี่ยวเตี๋ยก็หายไปด้วย
เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้เสี่ยวเตี๋ยอยู่ที่ไหน ถูกคนช่วยไป
แล้วได้รับอิสระไปแล้ว หรือว่าหนีเสือปะจระเข้ไป
แล้ว หรือว่าตอนนี้จะอยู่ในเมืองหลวง?
เดิมเขาคิดจะอาศัยบารมีของจวนจิ่นอีโหว ค้นหาข่าว
ของเสี่ยวเตี๋ย แต่ว่าในช่วงนี้ จวนจิ่นอีโหวก็มีแต่เรื่อง
วุ่นวาย ทำให้เขาแทบไม่มีเวลาจะมาคิดเรื่องตามหา
เสี่ยวเตี๋ยเลย
หากตอนนี้เสี่ยวเตี๋ยอยู่ในเมืองหลวง ก็อาจจะตกอยู่
ในสถานเริงรมย์แบบนี้ก็ได้ ยิ่งคิดหยางหนิงก็ยิ่งปวด
ใจ
“แม่นางเจินจูอยู่เมืองหลวงมานานแล้วหรือ?”
หยางหนิงเหมือนจะถามไปเรื่อย
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า หากเสี่ยวเตี๋ยตกอยู่
ในสภาพนี้จริง ก็ต้องตามหาจากในนี้ได้ แม่นางเจินจู
อาจจะช่วยเขาตามหาเสี่ยวเตี๋ยก็ได้
เจินจูยิ้มอย่างอ่อนโยน ถึงนางจะอยู่ในสถานเริงรมย์
แบบนี้ แต่ว่าก็ไม่ได้ไม่มีกาลเทศะ นางพูดด้วยความ
อ่อนโยนว่า “ข้ามาเมืองหลวงตั้งแต่สิบเอ็ดขวบ
ตอนนี้ก็น่าจะสิบปีแล้ว”
“อ๋อ” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นแม่นาง
เจินจูก็คุ้นเคยกับเมืองหลวงดีล่ะสิ?”
“โหวเยวี่ยอยากจะถามข้าว่าข้าคุ้นเคยกับสายอาชีพนี้
ดีหรือเปล่าใช่หรือไม่?” เจินจูยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าอาศัย
อาชีพนี้ใช้ชีวิตตั้งแต่สิบเอ็ดขวบ สิบปีมานี้ ก็ถือว่า
คุ้นเคยเป็นอย่างดี” นางพูดอย่างเรียบง่าย แต่ว่า
หยางหนิงสัมผัสได้ถึงความหดหู่ใจของนางได้
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงเคาะระฆังดังขึ้นมา จากนั้น
ก็เป็นเสียงตีกลองร้องป่าว หยางหนิงรู้สึกแปลกใจ
มาก จากนั้นก็ได้ยินเสียงดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นไปทั่วท้องฟ้า
ดอกไม้ไฟพวกนั้นสวยงามราวกับดอกไม้ สีสัน
สวยงาม บนแม่น้ำฉินไหว ราวกับดินแดนสวรรค์
ในตอนนี้
หยางหนิงรู้สึกตะลึงไปชั่วขณะ แอบคิดในใจว่าในยุค
นี้ก็มีดอกไม้ไฟแล้วหรือ
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 155 เจินจู
โคมไฟบนน่านน้ำฉินไหวต่างก็ประดับประดาแสงไฟ
สวยงามที่ดูราวกับดวงดาวที่ประดับอยู่บนฟากฟ้าใน
ยามกลางคืน ทั่วทั้งผืนน้ำกลายเป็นสีแดง ราวกับว่า
ที่นี่ไม่เคยมีความเงียบเหงามาก่อน
หยวนหรงลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ขอบเรือ หยางหนิงเองก็
เดินตามไปเช่นกัน เห็นหยวนหรงมองไปทางทิศ
ตะวันออก เขาเองก็มองตามไปเช่นกัน ทางนั้นมีเรือ
สำราญลำใหญ่ที่ประดับประดาหรูหรา มีประมาณห้า
ชั้นได้
“นั่นคือเรือสำราญหลวง” หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า
“นั่นถึงจะเป็นอาหารหลักของท่านในวันนี้”
“เรือสำราญหลวง?”
ตอนนี้เจินจูเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วอธิบายว่า “ก่อนถึง
เทศกาลตรุษจีนของทุกปี พวกเราจะมีการจัดงานการ
คัดเลือกราชินีดอกไม้ขึ้น ถือเป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุด
ของแม่น้ำฉินไหว”
“คัดเลือกราชินีดอกไม้รึ?”
“ถูกต้อง จะคัดเลือกผู้หญิงออกมาทั้งหมดแปดคน
ทั้งหมดจะอยู่ที่เรือสำราญหลวงลำนั้นทั้งหมด สุดท้าย
จะคัดเลือกราชินีเพียงหนึ่งคนกับนางพญาอีกสองคน
หากได้รับเลือก ราคาค่าตัวก็จะเพิ่มมากขึ้นเป็นร้อย
เท่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของเงินทองเลย ยังมีโอกาสได้
ถูกตาต้องใจเหล่าเศรษฐีหรือคนใหญ่คนโตมากมาย
อีกด้วย อาจถึงขั้นได้เป็นอนุภรรยาให้พวกเขาอีก
ด้วย” เจินจูอธิบายต่อว่า “ดังนั้นวันนี้ในทุกปี ก็จะ
เป็นวันที่ครึกครื้นที่สุดของแม่น้ำฉินไหว”
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “งานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่แบบนี้
หากเจ้าเอาแต่อยู่ในบ้านก็คงน่าเสียดาแล้ว อีกทั้งปีนี้
การคัดเลือกราชินีดอกไม้ ก็ไม่เหมือนกับปีก่อนๆ”
“อ๋อ?” หยางหนิงพูดอย่างแปลกใจ “ไม่เหมือน
อย่างไร”
หยวนหรงพูดว่า “ปีนี้คนที่เข้าคัดเลือก รูปร่างหน้าตา
นั้นถือได้ว่างามที่สุดกว่าที่เคยผ่านมาเลย” เขาเหลือบ
ไปมองเจินจู ยิ้มแล้วพูดว่า “อาจจะบอกได้ว่าเทียบได้
กับเมื่อสี่ปีที่แล้วเลยล่ะ”
เจินจูยิ้ม แล้วพูดว่า “คุณชายกลัวเจินจูจะหึงหรือ?”
หยวนหรงหัวเราะร่า เขามองไปที่หยางหนิงแล้วพูดว่า
“เจินจูเป็นราชินีดอกไม้ของเมื่อสี่ปีก่อน ปีนั้นถือเป็น
ปีที่เยี่ยมยอดมากปีหนึ่งเลย”
“ที่แท้แม่นางเจินจูก็เป็นราชินีดอกไม้นี่เอง”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ดูแล้วก็ถือว่าเหมาะสมกับ
ตำแหน่งจริงๆ”
เจินจูยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่ออายุเริ่มมาก ข้าก็ไม่ได้สวย
เหมือนตอนนั้นแล้ว”
“ยังสวยเหมือนเดิม” หยางหนิงพูดด้วยรอยยิ้ม จริงๆ
เขารู้ดีว่า บริเวณไม่เกินสิบลี้ สาวงามหน้าตาดีอายุ
น้อยนั้นมีมากมาย เจินจูอายุเกินยี่สิบแล้ว สำหรับที่นี่
ก็ถือว่าเป็นคนแก่ไปแล้ว
เจินจูยิ้ม แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยกับคุณชายเชิญดื่ม
เหล้าที่นี่ก่อน เจินจูขอตัวไปดูขนมว่าเตรียมไว้พร้อม
หรือยัง” จากนั้นนางก็ขอตัวออกไปก่อน
“โหวเยวี่ยกำลังสงสัยใช่หรือไม่ว่าในเมื่อนางเป็นถึง
ราชินีดอกไม้ เหตุใดยังมาอยู่ที่แม่น้ำฉินไหวนี่?”
หยวนหรงถอนหายใจ
หยางหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “สงสัยจริงๆ แต่ว่า
นางมีเรือของตัวเอง ก็น่าจะอยู่สบายพอตัว”
“เรือลำนี้ไม่ใช่ของนาง” หยวนหรงพูด “เมื่อสี่ปีก่อน
เจินจูได้รับการสนับสนุนจากคุณชายเสวียของหอไป๋
เป่า จนได้เป็นราชินีดอกไม้ คุณชายเสวียเองก็มีใจ
ให้กับเจินจูไม่น้อย เขาใช้เงินมากมายเพื่อรับนางไป
อยู่ด้วย สำหรับคุณชายเสวียแล้ว ถือได้ว่าเป็นรักแรก
พบ เขาเองเป็นคนหนักแน่นมีน้ำใจ ตอนนี้ก็เป็นเพื่อน
ที่ไปมาหาสู่กับข้าอย่างสนิทสนมแล้ว”
หยางหนิงขมวดคิ้ว “หอไป๋เป่า?”
“หอไป๋เป่าเป็นร้านที่ขายเครื่องหยกของเก่าสะสม
ต่างๆ เป็นร้านที่ถือได้ว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของเมือง
หลวง” หยวนหรงพูดด้วยความเศร้าว่า “คุณชายเส
วียดีกับเจินจูมาก เขาถึงกับใช้เกี้ยวหกคนหามรับ
ตัวเจินจูแต่งเข้าจวนไป”
“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เหตุใดเจินจูถึงยังอยู่ที่นี่อีก
เล่า?”
หยวนหรงพูดอย่างเรียบๆ “หอไป๋เป่าไม่มีอีกแล้ว
ตระกูลของคุณชายเสวียล้มละลาย แล้วเจินจูจะเป็น
อะไรไปได้อีกเล่า?”
หยางหนิงตะลึงไป
“ก่อนที่เจินจูจะได้รับเลือกเป็นราชินีดอกไม้ ก็มี
ชื่อเสียงอยู่ก่อนแล้ว” หยวนหรงอธิบายต่อว่า “ไม่
เพียงแต่คุณชายเสวีย แต่มีอีกคนที่อยากได้ตัวเจินจูไป
ชายผู้นั้นกับคุณชายเสวียพยายามผลักดันเจินจูเพื่อให้
นางได้ตำแหน่งราชินีดอกไม้ คุณชายเสวียกับชายผู้
นั้นทุ่มเงินมากมาย สุดท้ายคุณชายเสวียก็ได้ตัวเจินจู
มา”
“หลังจากนั้นเล่า?”
“จริงๆ คุณชายเสวียเขาเองก็รู้ดี ว่าเขาไม่ควรไปมี
ปัญหากับชายผู้นั้น แต่เพื่อเจินจูแล้ว เขาจึงไม่ได้
สนใจเรื่องอื่นเลย” หยวนหรงถอนหายใจ “เขาคิดไว้
อยู่แล้วว่าชายผู้นั้นจะต้องเห็นเขาเป็นศัตรูแน่นอน
แต่ว่าเขาคิดไม่ถึงว่าชายผู้นั้นจะลงมือเหี้ยมโหดเช่นนี้
ภายในเวลาหนึ่งปี เขาก็ทำให้หอไป๋เป่าล้มละลายได้
ไม่เป็นท่า ทำให้ทั้งคุณชายเสวียและคนในบ้านตายไป
ในที่สุด เจินจูใช้ชิวิตสุขสบายได้ไม่ถึงครึ่งปี ก็ถูกชิงตัว
ไป หนึ่งปีให้หลัง ก็ถูกส่งมาที่แม่น้ำฉินไหวแห่งนี้”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าเจินจูจะประสบเรื่องราวที่
เลวร้ายขนาดนี้ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ชายผู้นั้น
เป็นใครกัน?”
“จริงๆ แล้วเจ้าก็น่าจะรู้จักนะ” หยวนหรงพูดว่า
“ลูกชายของราชเลขากรมพระคลังคุณชายใหญ่โต้ว
เหลียนจง”
“เขาเองหรือ” หยางหนิงตะลึงไป
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “ชายคนนี้เพื่อความร่ำรวย
แล้วเขาทำเรื่องเลวๆเอาไว้มากมาย ทำให้คนตายไปก็
ไม่น้อย คุณชายเสวียเป็นหนึ่งในหนี้แค้นเท่านั้น”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่นางรำบนเวที “บนน่านน้ำฉินไหว
แห่งนี้ เรือสำราญมีมากมาย มีหลายลำเป็นของโต้ว
เหลียนจง ในแต่ละปี เขาอาศัยเรือพวกนี้ เพื่อให้ได้
เงินมา”
“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้แม่นางเจินจูก็อยู่ในการควบคุม
ของเขาใช่หรือไม่?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วถามว่า
หยวนหรงทำได้แค่ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร
ในตอนนี้เอง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนเอะอะ
โวยวายขึ้น “แม่นางเจินจู นายของข้าขอเชิญเจ้าไป
พบ เจ้ารีบเตรียมตัวเถอะ”
หยางหนิงมองไปตามเสียง เห็นที่ข้างเรือ มีเรือลำเล็ก
มาจอดเทียบ มีคนๆหนึ่งตะโกนขึ้นมา
จากนั้นก็เห็นสาวใช้คนหนึ่งตะโกนกลับไปว่า “วันนี้
แม่นางไม่รับแขก”
“ไม่รับแขกรึ?” ชายผู้นั้นยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “บอก
แม่นางเจินจูของพวกเจ้าไปว่าอย่าให้พวกเราต้องใช้
ไม้แข็งเลย เชิญนางไป ก็ถือว่าให้เกียรตินางมากแล้ว
อย่ามากเรื่อง”
“แม่นางของพวกเราไม่รับแขก” สาวใช้พูดว่า “จะไม้
ไหน พวกเราก็ไม่ไป”
คนบนเรือเล็กยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ได้ อย่ามาเสียใจที
หลังก็แล้วกัน” จากนั้นเขาก็พายเรือจากไป
หยวนหรงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ดูท่าจะมีเรื่องแล้ว
ล่ะ”
“มีเรื่องอะไร?” หยางหนิงพูด “ในเมื่อไม่รับแขก ก็
แค่ไม่ต้องไปเจอก็ หรือว่ามีคนบังคับฝืนใจด้วยหรือ?”
“บนแม่น้ำแห่งนี้ คนประเภทไหนไม่มีบ้างเล่า?”
หยวนหรงตอบว่า “ชาวยุทธ เชื้อพระวงศ์ คนตระกูล
ใหญ่ เศรษฐี บัณฑิต มีใครบ้างที่ไม่เคยมาที่นี่”
หยางหนิงเหลือบไปมองหยวนหรง แล้วพูดว่า “เจ้า
กับคุณชายเสวียเป็นเพื่อนรักกันไม่ใช่หรือ ข้าอยากรู้
มากเลยว่า ตอนที่คุณชายเสวียเดือดร้อน เหตุใดเจ้า
ถึงไม่ช่วย? บ้านเขาล้มละลายตายกันหมด แม่นาง
เจินจูตกที่นั่งลำบาก เหตุใดเจ้าถึงไม่ช่วยดูแลนาง?”
เขาเอามือไขว้หลัง “ตอนนี้มาอยู่ที่นี่ เพราะรู้สึกผิด
ต่อคุณชายเสวีย ก็เลยแวะมาดูแลนางว่างั้น?”
หยวนหรงหันกลับมามองหยางหนิง เห็นหยางหนิงนิ่ง
เขาก็ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย จริงๆ แล้วข้า
อดสงสัยไม่ได้เลยว่าก่อนหน้านี้ ท่านแกล้งบ้า
หรือไม่?”
ในตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา เจินจูเดินมา
จากด้านหลัง ในมือถือขนมที่ทำมาอย่างประณีต นาง
ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย คุณชาย เจินจูรู้ว่าวันนี้
คุณชายจะมา ก็เลยทำขนมเตรียมเอาไว้แต่เช้า พวก
ท่านลองชิมดูนะ”
หยางหนิงกับหยวนหรงเดินกลับมาที่โต๊ะบนโต๊ะ
จัดเรียงอาหารเอาไว้อย่างดี ทุกอย่างอุ่นมาแล้ว
“แม่นางเจินจูฝีมือเจ้าช่างล้ำเลิศนัก” หยางหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “ของพวกนี้ ต้องใช้เวลาทำถึงสองสามวัน
เลยนะ”
เจินจูยิ้ม แล้วพูดว่า “หลายปีก่อนมีคนชอบอาหารที่
ข้าทำ ดังนั้นข้าก็เลยไปฝึกทำ พอข้าทำเป็นแล้ว เขา
กลับ...” นางถอนหายใจ สีหน้าเศร้า
หยางหนิงรู้ว่าคนที่นางหมายถึงน่าจะเป็นคุณชายเส
วีย
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะโกนเอะอะดังขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องตะโกนว่า “พวกเจ้าคิด
จะทำอะไร?” หลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียงคนวิ่งขึ้นบันได
มา กำลังมีคนขึ้นมาบนนี้
หยวนหรงขมวดคิ้ว เจินจูเองก็หน้าถอดสี หยางหนิง
ยังนิ่งอยู่ เขาคีบขนมเข้าปากไป มันทั้งนุ่มทั้งกรอบ
เขาชมออกมาว่า “อร่อยมาก”
เมื่อพูดจบ ก็ได้ยินมีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นมาว่า
“ไหนว่าไม่รับแขกอย่างไรเล่า? แล้วนี่ใคร? ผู้หญิง
อย่างว่าก็คือผู้หญิงอย่างว่า ทำอะไรก็ต้องลับๆล่อๆ”
หยวนหรงลุกขึ้น แล้วตะคอกกลับไปว่า “ใครให้พวก
เจ้าบุกเข้ามาในนี้? ยังไม่กลับออกไปอีก”
“นี่มันคุณชายหยวนหรงไม่ใช่หรือ?” ชายผู้นั้นยิ้มแล้ว
พูดว่า “คุณชายหยวนหรง เจ้าเกิดในตระกูลบัณฑิต
จะหาผู้หญิงทั้งทีก็น่าจะหาที่มันแปลกใหม่บ้าง ผู้หญิง
แก่แล้วอย่างนี้เจ้าชอบหรือ?”
เขาเหมือนจะรู้จักหยวนหรง แต่ว่าไม่ได้มีท่าที
หวาดกลัวหยวนหรงเลย ไม่มีแม้แต่ความเคารพ
พูดจาหยาบคลาย เต็มไปด้วยการประชดประชัน
หยางหนิงหันไปมอง เห็นชายฉกรรจ์สามสี่คนบุกเข้า
มา เป็นชายฉกรรจ์ตัวใหญ่ กล้ามโต มีหนวดเคราอีก
ทั้งยังกำหมัดแน่น
หยวนหรงตะคอกกลับไปว่า “เจ้าพูดจาให้เกียรติกัน
หน่อย”
“พวกเราไม่ได้เกิดในตระกูลผู้ดีอย่างคุณชายหยวน
พวกเรามันพวกหยาบคลาย ไม่รู้จักทำกิริยาดีๆ กับ
เขาหรอก” ชายคนนั้นยิ้มแล้วหันไปมองเจินจู แล้ว
พูดว่า “บอกให้เจ้าไป เจ้าฟังไม่เข้าใจหรือ? เจ้าอยาก
ตายใช่หรือไม่?”
“ใครกล้าแตะต้องนาง?” หยวนหรงถึงแม้จะดู
คุณชายมาก แต่ตอนนี้เขาก็กำหมัดไว้แน่น “ยังไม่รีบ
กลับออกไปอีก”
ชายคนนั้นหัวเราะร่าออกมาแล้วพูดว่า “ใครกล้าแตะ
ต้องนางหรือ? คุณชายหยวน ผู้ชายบนแม่น้ำฉินไหว
มีใครบ้างที่ไม่เคยแตะต้องนาง เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่า
แกล้งไม่รู้ ผู้หญิงโคมเขียวก็คือผู้หญิงโคมเขียว อย่าว่า
แต่แตะตัวเลย ขนบนตัวนาง พี่น้องของพวกเราทุกคน
ก็รู้ดีหมด ต้องให้พวกเราบอกเจ้าหรือไม่?”
คำพูดของเขาหยาบคายไม่น้อย คนด้านหลังเขาต่าง
หัวเราะออกมา
หยางหนิงคิดว่าถึงแม้หยวนหรงจะดูสุภาพไปบ้าง แต่
ก็เพราะเขาเป็นหลานชายของราชเลขากรมพิธีการ
ปกติแล้วไม่มีใครกล้าผิดใจกับคุณชายอย่างเขา แต่คิด
ไม่ถึงเลยว่าคนพวกนี้ไม่เห็นหยวนหรงอยู่ในสายตา
เลย
หยวนหรงกัดฟัน เขาโกรธจนหน้าแดง แต่ว่าเพราะ
เขาเป็นปัญญาชนไม่ใช่พวกฝึกยุทธ์คิดจะลงมือก็ทำ
ไม่ได้
“ยังยืนรออะไรอีก?” ชายคนนั้นตะคอกใส่เจินจู
“นายท่านกับแขกรอเจ้าอยู่ เจ้าอย่าทำให้พวกเขา
ต้องหมดอารมณ์เล่า ไม่อย่างนั้นเจ้าตายแน่ ยังไม่ไป
กับพวกเราอีก”
เจินจูสีหน้าซีดไป นางยิ้มแล้วพูดกับหยวนหรงว่า
“คุณชาย พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน เจินจูไปครู่เดียว
แล้วจะรีบกลับมา”
“ข้าว่าไม่ต้องรอหรอก” ชายคนนั้นพูด “คืนนี้คนที่
เจ้าต้องรับใช้มีมาก คิดว่าคงไม่ได้กลับมาเร็วๆ นี้
หรอก”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 156 ซวี่รื่อ
สายตาของเจินจูดูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็ค่อยๆ เดิน
ไป แต่เดินไปได้เพียงสองก้าว ก็รู้สึกว่ามีคนดึงข้อมือ
ของนางเอาไว้ นางตกใจทันที ก้มลงดู เห็นหยางหนิง
จับข้อมือของนางเอาไว้อยู่
เจินจูกำลังจะพูด หยางหนิงยิ้มแล้วถามว่า “แม่นาง
เจินจู ข้าอยากขอคำชี้แนะหน่อย ขนมของว่างนี่ทำ
อย่างไรหรือ? รสชาติอร่อยมาก รูปทรงของมันก็ดี ถ้า
เป็นไปได้ เจ้าเขียนสูตรให้ข้าทีจะได้หรือไม่ ข้าจะลอง
เอากลับไปทำบ้าง”
เจินจูอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าในเวลาแบบนี้ หยางหนิงยังจะ
ห่วงกินอีก นางไม่รู้เลยว่าจะต้องตอบว่าอะไร
ชายคนนั้นขมวดคิ้ว แล้วมองหยางหนิง เขาหัวเราะ
แล้วพูดว่า “โอ้โฮ เป็นแค่นางโคมเขียวยังคิดเลี้ยงเด็ก
ด้วยรึ? มิน่าเล่าไม่ยอมไปสักที”
หยางหนิงหันหน้าไปมอง แล้วกวักมือไปที่ชายผู้นั้น
จากนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ามานี่ทีซิ ข้ามีเรื่องอยาก
ถามเจ้าหน่อย”
ชายผู้นั้นพูดด้วยความไม่พอใจว่า “เจ้าเป็นใคร เหตุ
ใดข้าต้องทำตามสั่งเจ้าด้วย? อย่าพูดมาก เจินจู ตาม
พวกข้าไปเร็วๆ”
เมื่อพูดจบ กลับเห็นหยางหนิงก็พุ่งตัวออกไปอย่าง
รวดเร็วราวกับเสือดาว ชายผู้นั้นตะลึงไป เขาเห็นห
ยางหนิงอายุน้อย อีกทั้งยังอยู่กับหยวนหรงด้วย คิด
ว่าก็น่าจะเป็นคุณชายคล้ายๆ กัน คนพวกนี้พูดจาให้
คมคายได้ แต่หากให้ลงมือคงไม่เท่าไหร่ แต่คิดไม่ถึง
ว่าเขาจะมีฝีมือขนาดนี้
เพียงแต่ตกใจเล็กน้อย หยางหนิงมาถึงตรงหน้าของ
เขาแล้ว ชายคนนั้นก็คิดจะตอบโต้กลับไป เขากำหมัด
แน่นแล้วซัดหมัดนั้นออกไป แต่คิดไม่ถึงเลยว่า
ตรงหน้าท้องของเขาจะรู้สึกปวด ยังไม่ทันจะได้ตอบ
โต้อะไร ก็เหมือนมีอะไรแข็งๆ ราวกับก้อนหินทุบมาที่
ท้อง ร่างกายของเขาซวนเซ เขาถูกหยางหนิงต่อยจน
กองลงไปกับพื้นแล้ว
ชายด้านหลังเขาอีกสามคนเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบ
รุดหน้าเข้ามา กำหมัดแน่นเตรียมจะชก แต่อยู่ๆ ก็
รู้สึกตาลาย มีคนหนึ่งรู้สึกว่าตัวของเขากำลังลอยอยู่
กลางอากาศ เหมือนกับลูกบอลที่ถูกเตะออกจากกาบ
เรือ เสียงดัง “ตู้ม” ล่วงตกลงไปในน้ำ ทำให้คนที่อยู่
เรืออื่นหันมามองไม่น้อย
เหลืออีกสองคนที่ยืนตะลึงอยู่ หยางหนิงไม่ได้ลังเล
เลยแม้แต่น้อย ยกขาขึ้นมาข้างหนึ่ง อาศัยจังหวะที่
สองคนนั้นกำลังตะลึงอยู่ รีบใช้เท้าถีบไปที่หน้าท้อง
ของหนึ่งคนในนั้น คนผู้นั้นร้องโอดโอยขึ้นมาด้วย
ความเจ็บปวด ตัวของเขาก็ปลิวออกไป และล่วงลง
กระแทกกับพื้นอย่างหนัก นอนดิ้นทุรนทุลายอยู่สอง
สามที ในชั่วขณะนั้นเขาเองก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
เลย
เหลืออีกคนที่ตอนนี้กำลังยืนตัวสั่นอยู่ เห็นหยางหนิง
เดินไขว้หลังตรงมาที่เขาที่ยืนอยู่ เขาถอยหลังไปโดย
ไม่รู้ตัว ในเวลานี้เขาถึงได้รู้ว่า คนที่ดูอายุน้อย กลับไม่
ควรมีเรื่องด้วยที่สุด
“กลับไปบอกนายของพวกเจ้า หากเขาอยากจะเจอ
แม่นางเจินจูจริงๆ ให้เขามาด้วยตัวเอง” หยางหนิง
แค่นเสียงเย็นชาว่า “ข้าจะรอเขาอยู่ที่นี่”
ชายผู้นั้นเห็นหยางหนิงจัดการสามคนจนล้มไปแล้ว
เขาคิดว่าไม่ควรลงมือกับหยางหนิงอีก หันหลังกำลัง
จะจากไป หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ช้าก่อน”
คนผู้นั้นหยุดเดิน แล้วหันไปพูดด้วยความหวาดกลัว
ว่า “เจ้า...เจ้ามีอะไรจะสั่งอีก?”
“ข้าบอกให้เจ้ากลับไปรายงาน แต่ไม่ได้บอกให้เจ้า
กลับออกไปแบบนี้” หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“หากคนที่บุกเข้ามาหาคนอื่นแบบนี้ สามารถกลับ
ออกไปโดยไม่เป็นอะไรเลย ต่อไปคงไม่มีใครกลัวอีก
แล้วกระมัง” จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ริมเรือ “กระโดดลง
ไป!”
คนผู้นั้นอึ้งไป หยางหนิงขมวดคิ้ว “หรือจะให้ข้า
ช่วย?”
คนผู้นั้นเห็นสายตาของหยางหนิงเต็มไปด้วยความ
เย็นชา เขาเองก็จนปัญญา ทำได้แค่เดินไปที่กราบเรือ
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจปีนขึ้นไปแล้วกระโดดลง
แม่น้ำ ได้ยินเสียงดัง “ตู้ม” ผู้คนจำนวนไม่น้อยหันมา
มอง
หยางหนิงก้มหน้าไปมองผู้ชายคนแรกที่ถูกเขาถีบจน
นอนกองกับพื้น เขาใช้เท้าเหยียบลงไปที่ตัวของชายผู้
นั้นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้านอนอยู่ที่นี่ก่อนนะ ถ้ามีคนมา
รับตัวเจ้ากลับไป เจ้าก็จะมีโอกาสได้กลับไป ถ้าไม่มี
แล้วล่ะก็ เจ้าก็จะไม่มีทางมีชีวิตกลับออกไปจากเรือ
ลำนี้แน่นอน”
“เจ้า...เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ?” ชายคนนั้นพูดด้วยความ
ไม่พอใจ
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าจะลองดูก็ได้
นะ” จากนั้นเขาก็หันกลับไป เห็นหยวนหรงกับเจินจู
ยืนมองเขาอย่างเซ่อซ่า เขายิ้มแล้วพูดว่า “เป็นอะไร
ไปเล่า?”
หยวนหรงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฉีหนิง เลือดใน
ตระกูลฉีของเจ้า มันช่างไม่แตกต่างเลยจริงๆ”
แต่เจินจูกลับยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย
จริงๆ แล้ว...จริงๆ แล้วท่านไม่จำเป็นต้องมีเรื่องกับ
พวกเขาเพราะข้าเลย ข้าจะทำให้ท่านเดือดร้อน
เปล่าๆ”
“แม่นางเจินจูไม่ต้องกังวล ข้าก็ไม่ได้ทำเพื่อเจ้าเสีย
ทีเดียว จริงๆ ข้าก็ทำเพื่อตัวข้าเองด้วย” หยางหนิง
พูดว่า “คนพวกนี้เสียมารยาทกับข้า ข้าต้องสั่งสอน
พวกเขาหน่อย” เห็นสายตาของเจินจูยังมีอาการ
หวาดกลัวอีก จึงปลอบว่า “แม่นางเจินจูกังวลว่าข้า
จัดการพวกเขา ถึงเวลานั้นเรื่องจะเลวร้าย จนทำให้
เจ้าต้องเดือดร้อนหรือ?”
เจินจูส่ายหัวแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยคิดมากเกินไปแล้ว
ชีวิตข้าไม่ได้มีค่าขนาดนั้น ข้ากังวลว่าท่านจะ
เดือดร้อนมากกว่า”
หยางหนิงนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพูดว่า “ข้ากินขนมของ
เจ้าแล้ว อย่างไรข้าก็ต้องตอบแทนเจ้าบ้าง เจ้าวางใจ
เถอะนะ ข้าไม่ใช่คนที่ก่อเรื่องแล้วไม่รับผิดชอบ เรื่อง
ในวันนี้บังเอิญมาเกิดตอนที่ข้าอยู่ ก็ต้องมีผลตามมา
อย่างแน่นอน” ในใจก็แอบคิดว่า ข้าไม่ชอบเห็นคน
อ่อนแอถูกรังแกอยู่แล้ว อีกทั้งตอนนี้ข้าก็มี
บรรดาศักดิ์เป็นถึงโหวเยวี่ย แม่น้ำฉินไหวเล็กๆ แห่งนี้
มันจะเท่าไหร่กันเชียว
หยวนหรงเองก็นั่งลงเช่นกัน หยางหนิงจึงถามขึ้นว่า
“เจ้ารู้จักคนพวกนั้นด้วยหรือ?”
“ข้าไม่รู้จักพวกเขาหรอก แต่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพวก
เขา ข้ารู้จัก” หยวนหรงยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม พอวาง
แก้วลงแล้วเจินจูก็รินเหล้าเพิ่มให้
“ขุนนางคนไหนโอหังได้ถึงเพียงนี้?”
หนวนหรงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ขุนนางราชสำนัก
หรอก แต่เป็นคนของสำนักคุ้มภัยซวี่รื่อ”
“สำนักคุ้มภัยซวี่รื่อ” หยางหนิงขมวดคิ้ว
เขาค่อนข้างอ่อนไหวกับสำนักคุ้มภัยมาก เขาเคยได้
ยินเรื่องสำนักคุ้มภัยมาจากปากของต้วนฉางไห่ ใน
เมืองหลวงมีสำนักคุ้มภัยใหญ่ทั้งหมดสามแห่ง ก็
คือซวี่รื่อ ซื่อไห่ กับฉางผิง
เจ้าเซียวอี้ชุ่ยแอบติดต่อทำการค้าขายมนุษย์ที่เมืองหุ่
ยเจ๋อ เขาอาศัยเส้นทางของสำนักคุ้มภัยในการ
เดินทาง ส่วนเสี่ยวเตี๋ยเองก็ถูกจับตัวไปที่เมืองหุ่ยเจ๋อ
โดยคนของสำนักคุ้มภัย
จนถึงตอนนี้หยางหนิงไม่สามารถแน่ใจได้ว่าสำนักคุ้ม
ภัยที่เซียวอี้ชุ่ยติดต่อไว้นั้นคือสำนักคุ้มภัยซื่อไห่หรือ
ว่าซวี่รื่อ เพราะก่อนหน้านี้สำนักคุ้มภัยทั้งสองแห่งนี้
ต่างก็เกิดเรื่องเหมือนกัน ต่างก็ถูกพวกที่มาหลบภัย
ปล้นทั้งสองแห่งเช่นเดียวกัน
เขาเองก็รู้ว่าสำนักคุ้มภัยซื่อไห่ก่อตั้งมาโดยชาวยุทธ
ส่วนสำนักคุ้มภัยซวี่รื่อก่อตั้งมาจากคนกันเอง
ส่วนมากก็มาจากพวกทหาร ไม่ว่ามองจากมุมไหน
สำนักคุ้มภัยซื่อไห่ก็มีความใกล้ชิดกับยุทธภพมากกว่า
ส่วนสำนักคุ้มภัยซวี่รื่อนั้นมีความใกล้ชิดกับฝ่ายทหาร
ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามสำนักคุ้มภัยของต้าฉู่ได้ แสดง
ว่าพวกเขาจะต้องแตกต่างจากสำนักคุ้มภัยทั่วไป
แน่นอน อำนาจก็คงไม่ธรรมดา เส้นสายเองก็ต้องมี
มากมาย รับมือได้ไม่ง่าย หยางหนิงเคยคิดจะสืบต้น
สายปลายเหตุจนถึงที่สุด สืบเรื่องการค้ามนุษย์ให้
ชัดเจน แต่ว่าก่อนหน้านี้เขาอยู่ตัวคนเดียว คิดจะเปิด
โปงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ว่าเมื่อเข้ามาในจวนจิ่นอีโหวแล้ว เขาก็คิดจะอาศัย
อำนาจบารมี ในการสืบหาคนที่อยู่เบื้องหลัง
แต่ว่าคิดไม่ถึงเลยว่า เขายังไม่ทันได้ลงมือเรื่องนี้ วันนี้
ก็ได้เจอคนของสำนักคุ้มภัยซวี่รื่อเสียแล้ว
ในบรรดาสามสำนักคุ้มภัย ที่น่าสงสัยที่สุดว่าค้ามนุษย์
ก็คือสำนักคุ้มภัยซวี่รื่อ
“ได้ยินมาว่าสำนักคุ้มภัยซวี่รื่อมีความสัมพันธภาพที่ดี
กับทางฝ่ายทหาร” หยางหนิงพูดเสียงเบาๆ ว่า “เป็น
เรื่องจริงหรือไม่?”
“จริงๆ เรื่องนี้หลายคนก็รู้ดีอยู่แก่ใจ” หยวนหรงพูด
ว่า “หัวหน้าสำนักคุ้มภัยซวี่รื่อติงอี้ถูหลายปีก่อนเขา
เคยเป็นรองแม่ทัพของหน่วยกองทัพฉินไหวมาก่อน”
“หน่วยกองทัพฉินไหว?”
หยวนหรงพยักหน้าแล้วพูดว่า “แรกเริ่มเดิมทีหน่วย
กองทัพฉินไหวมีตระกูลฉีของเจ้าเป็นผู้บัญชาการ
ท่านเหล่าโหวกับพ่อของเจ้า เป็นผู้บัญชาการหน่วย
กองทัพฉินไหว ก่อนหน้านั้นติงอี้ถูก็เป็นลูกน้องใต้
บัญชาการของพ่อเจ้า”
“เขาเป็นรองแม่ทัพของหน่วยกองทัพฉินไหว แล้วเหตุ
ใดถึงได้มาเป็นหัวหน้าสำนักคุ้มภัยได้เล่า?” หยาง
หนิงขมวดคิ้ว
หยวนหรงหันไปมองรอบๆ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า
“ตอนนั้นติงอี้ถูทำผิดกฎของกองทัพ เกือบถูก
ประหารชีวิต แต่มีคนช่วยพูดแทนเขา อีกทั้งตัวเขา
เองก็มีผลงานมากมาย ในราชสำนักเองก็มีคนออก
หน้าช่วยพูดแทนเขาหลายคน ก็เลยรอดมาได้ แต่ว่า
แลกกับการต้องถูกขับออกจากกองทัพ”
“เจ้าหมายความว่าหลังจากที่เขาถูกไล่ออก ก็มาเปิด
สำนักคุ้มภัยรึ?” หยางหนิงขมวดคิ้ว “ฐานะทางบ้าน
ของเขาดีขนาดนั้นเลย?”
หยวนหรงพูดว่า “ฐานะทางบ้านเป็นอย่างไรข้าไม่รู้
ข้ารู้แต่ว่าตอนนั้นที่เข้ากองทัพมา ไม่ได้มีเบื้องหลัง
อะไร ตัวเขาเองก็ไม่ใช่ความหวังอะไรของตระกูล
ถึงแม้อยู่ในกองทัพจะทีกินมีใช้ แต่เขาเป็นคนติดการ
พนัน ไม่มีเงินเก็บเหลือเลยแม้แต่บาทเดียว” เขาหยุด
ไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “อย่างน้อยไม่มีเงินมาเปิดสำนัก
คุ้มภัยแน่ๆ”
“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เหตุใดเขาถึงมีเงินมาเปิดสำนัก
คุ้มภัยได้เล่า อีกอย่างเป็นหนึ่งในสามสำนักคุ้มภัย
ใหญ่ด้วย?”
หยวนหรงพูดว่า “หากมีคนให้เงินสนับสนุนเขาอยู่
เบื้องหลัง จะเปิดสำนักคุ้มภัยก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
อีกทั้งกฎทหารของท่านแม่ทัพในตอนนั้นก็เข้มงวด
มาก คนที่ถูกตัดหัวเพราะผิดกฎทหารมีไม่มาก แต่คน
ที่ถูกขับออกจากกองทัพนั้นมีอยู่มาก” เขายกแก้ว
เหล้าขึ้น แต่ยังไม่ได้ดื่มเข้าไป เขาพูดว่า “คนที่ถูกขับ
ออกจากกองทัพ เป็นคนมีวรยุทธ์วิชาทั้งนั้น เป็นคนที่
สำนักคุ้มภัยซวี่ยื่อต้องการมากที่สุด”
หยางหนิงใช้ความคิด ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า สำนักคุ้ม
ภัยซวี่รื่อเหมือนจะแข็งแกร่งมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ไม่ใช่สำนักคุ้มภัยธรรมดาทั่วไป
“ภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบปี สำนักคุ้มภัยซวี่รื่อจาก
เดิมทีไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร ก็กลายมาเป็นหนึ่งสำนัก
คุ้มภัยที่แข็งแกร่งที่สุดเจ้าหนึ่ง แสดงว่าไม่ธรรมดา
เลย” หยวนหรงพูดว่า “แต่ว่าเบื้องหลังของเขามีใคร
อีกบ้าง ข้าไม่รู้” เขายิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าสำนักคุ้ม
ภัยซวี่ยื่อกับกรมพระคลังไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เรื่องนี้
คนในราชสำนักเองก็รู้ดี”
“เจ้าหมายถึงโต้วขุย?”
หยวนหรงพูดว่า “กรมคลังดูแลเงินพระคลังแล้วก็
การเงินของทั่วทั้งแคว้น มีการขนส่งสินค้าในแต่ละปี
มากมาย แต่ว่าเวลาที่คนในกรมไม่พอ กรมทหารเองก็
ไม่มีทางส่งคนมาช่วยได้ ก็ต้องพึ่งพาสำนักคุ้มภัย
สำนักคุ้มภัยซวี่รื่อถือว่าเป็นผู้ได้เปรียบในการขนส่ง
สิ่งของให้กรมพระคลัง อำนาจของสำนักคุ้มภัยซวี่รื่อ
ขยายกว้างไปอย่างรวดเร็ว กรมพระคลังเองก็ถือว่ามี
ส่วนช่วยไม่น้อย” เขายิ้มแล้วพูดว่า “น่าจะบอกว่า
ตระกูลโต้วช่วยพวกเขามากกว่า”
“ติงอี้ถู” หยางหนิงทวนชื่อนี้ซ้ำ
เขานึกขึ้นมาได้ว่า จิ่นอีโหวเคยรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่ว่า
เพราะมีศัตรูอยู่หลายคน ก่อนหน้านี้เขารู้ว่าโต้วขุยไม่
ถูกกับฉีจิ่ง ตอนนี้ก็มารู้อีกว่าติงอี้ถูของสำนักคุ้ม
ภัยซวี่รื่อเคยถูกฉีจิ่งไล่ออกจากกองทัพ แล้วสองคนนี้
ก็ดันมาอยู่ด้วยกัน อำนาจแบบนี้ มันเป็นภัยต่อจวน
จิ่นอีโหวไม่น้อย
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนดังมาจากบันได ครั้ง
นี้เหมือนจะไม่ได้รีบร้อนอะไร แต่ว่าแต่ละก้าวที่เดิน
นั้นหนักแน่นมาก
หยางหนิงเห็นว่าสายตาของเจินจูเริ่มหวาดกลัว
ใบหน้าที่งดงามของนางเริ่มซีดเซียว
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 157 หัวหน้าสำนักคุ้มภัย
คนนั้นเดินอออกมาจากทางขึ้นบันได รูปร่างไม่ได้ดู
กำยำล่ำสัน แต่ออกจะผอมแห้งไปหน่อย แต่ว่าเขา
เขาเดินแต่ละก้าวดูสุขุมและหนักแน่น หยางหนิง
มองดูปราดเดียวก็รู้ว่าวรยุทธ์ของเขาต้องไม่ธรรมดา
เลย
เขามีอายุประมาณสี่สิบห้าสี่สิบหกปี สวมชุดผ้าแพรสี
ดำ สวมหมวกหนังสุนัขจิ้งจอก ยืนอยู่ที่บันได เขา
กวาดสายตามองออกไป คนที่อยู่ที่พื้นโดยไม่ขยับก่อน
หน้านี้เมื่อเห็นว่ามีคนมา จึงลุกขึ้นมาแล้ว เขารีบเดิน
ไปรับ แล้วพูดว่า “ท่านหัวหน้า เจ้าเด็กแสบนี่ทำร้าย
พวกเรา...”
“เพี๊ยะ”
เสียงของชายคนนั้นยังไม่ทันจบ หน้าของเขาก็ถูก
ฝ่ามือหนึ่งตบเข้าไปอย่าแรง พลังของฝ่ามือนี้แรงมาก
ในชั่วพริบตาเดียว ใบหน้าครึ่งซีกของเขาก็บวมเปล่ง
ขึ้นมา
“ท่านหัวหน้า....” ชายคนนั้นเกิดความตะลึงขึ้นมา
เหมือนจะไม่เข้าใจว่าเขาถูกตบด้วยสาเหตุใด
ชายวัยกลางคนพูดว่า “ข้าให้เจ้ามาเชิญแม่นางเจินจู
พวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่? ในเมื่อตรงนี้มีแขก ก็ต้องขอ
เจรจากันดีๆ เหตุใดถึงไม่มีมารยาทเช่นนี้?”
“ท่านหัวหน้า......”
“หุบปาก” ชายวัยกลางคนตะคอก “การกระทำของ
พวกเจ้า มีหรือว่าข้าจะไม่เข้าใจ? พวกเจ้าจะต้องเสีย
มารยาทที่นี่แน่ๆ ถึงได้ถูกสั่งสอนมาแบบนี้ คุณชาย
หยวนอยู่ที่ไหน เขาเป็นคนมีเหตุผล เพื่อนของเขาก็
ต้องเป็นคนมีเหตุผลเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะเจ้า
ล่วงเกินพวกเขาก่อน พวกเขาจะลงมือได้อย่างไร?”
ชายคนนั้นก้มหน้าลง และไม่พูดอะไรอีก
ชายวัยกลางคนเดินเข้ามา คำนับแล้วพูดว่า “คุณชาย
หยวนเจ้าพวกนี้ทำให้ท่านต้องเสียอารมณ์ ข้าต้องขอ
อภัยแทนพวกเขาด้วย” จากนั้นก็โยนถุงเงินถุงหนึ่งไป
ที่หน้าของหยวนหรง “นี่น้ำใจเล็กน้อย ผู้หญิงบน
แม่น้ำฉินไหวมีนับไม่ถ้วน เงินจำนวนนี้มันมากพอที่จะ
คุณชายเหยวนใช้จ่ายได้สบายในคืนนี้”
หยวนหรงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หัวหน้าติง ท่านทำ
แบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ชายวัยกลางคนคนนี้ก็คือติงอี้ถู เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เพราะเจ้าพวกนี้มันไม่เอาไหน มันทำให้ท่านทั้งสอง
ต้องเดือดร้อน ข้าจึงเอาเงินจำนวนนี้มาขอโทษ วันนี้
ข้ามีเพื่อนมาจากแดนไกล เขาไม่ค่อยได้มาเมืองหลวง
เท่าไหร่นัก มาครั้งนี้บังเอิญมาในช่วงที่เลือกราชินี
ดอกไม้พอดี เพื่อนของข้าคนนี้ชอบฟังการบรรเลงพิณ
มาก แม่นางเจินจูบรรเลงพิณได้ดี ข้าจึงอยากจะเชิญ
แม่นางเจินจูไปบรรเลงให้เขาฟังสักครั้ง”
หยางหนิงเหลือบไปมองเจินจู เห็นนางก้มหน้าตัวสั่น
เทาอยู่กับที่ ไม่กล้ามองหน้าติงอี้ถูเลยไม่แต่น้อย
เหมือนจะหวาดกลัวติงอี้ถูมาก
หยวนหรงขมวดคิ้ว “แต่ว่าวันนี้ที่ข้ามา ก็เพื่อมาฟัง
แม่นางเจินจูเล่นพิณ”
ติงอี้ถูยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายหยวนเกิดในตระกูล
บัณฑิต ดีดพิณเล่นหมากรุกอ่านหนังสือวาดภาพท่าน
ก็ชำนาญหมด ชื่นชมการเล่นพิณของแม่นางเจินจู ก็
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร คุณชายหยวนมาที่นี่ก่อนข้า ข้า
เองก็ไม่กล้าจะมาแย่งแม่นางกับท่าน แต่ว่าเพื่อนของ
ข้าคนนี้มาอยู่เมืองหลวงแค่ไม่กี่วัน คืนนี้ก็ว่างแค่คืน
เดียว พรุ่งนี้เขาก็จะไปแล้ว ดังนั้น....” เขาเดินเข้าไป
หนึ่งก้าว สีหน้าดูบีบบังคับที่สุด “ขอให้คุณชายหยวน
เห็นแก่ข้าสักครั้ง ให้แม่นางเจินจูไปกับพวกเราด้วย
ค่าใช้จ่ายของคุณชายหยวนกับเพือ่ นของท่านในคืนนี้
ข้าจะเป็นคนจ่ายให้เอง หากคุณชายหยวนเห็นแก่
หน้าข้าในวันนี้ ต่อไปข้าจะตอบแทนท่านให้หนัก”
หยวนหรงลังเล แล้วมองไปที่หยางหนิง เห็นหยางห
นิงยกแก้วเหล้าดื่ม สีหน้าสุขุมเยือกเย็น ราวกับว่าติง
อี้ถูไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้เลย จากนั้นเขาก็หันกลับมามอง
ติงอี้ถูอีกครั้ง
“แม่นางเจินจู เจ้าจะให้เกียรติข้าได้หรือไม่?” ติงอี้ถู
มองไปที่เจินจูที่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา “หากไปได้ ข้าจะ
ขอบคุณเป็นอย่างมาก”
เจินจูเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองหยวนหรง ยิ้มหน้าเจื่อน
แล้วพูดว่า “คุณชายหยวน เจินจูขอเสียมารยาท คืนนี้
ข้าคงไม่อาจอยู่ปรนนิบัติพวกท่านทั้งสองแล้ว...”
ติงอี้ถูยิ้ม
“แม่นางเจินจู เจ้าไปเตรียมตัว แต่งตัวให้สวยเถอะ”
ติงอี้ถูราวกับมั่นใจว่าเจินจูไปกับเขาแน่นอน จึงย้ำว่า
“เพื่อนของข้าคนนั้นเป็นคนสูงศักดิ์ จะรอช้าไม่ได้ ข้า
จะให้คนรอเจ้าข้างล่าง” พูดจบ ก็ยกมือคำนับ แล้ว
พูดว่า “คุณชายหยวนไว้จะมาขอบคุณท่านทีหลัง”
พูดเสร็จก็หันหลังแล้วเดินไป
แต่ว่าเมื่อเดินไปได้แค่สองก้าว ก็ได้ยินเสียงที่สุขุม
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาว่า “ท่านนี้คงเป็นหัวหน้าสำนักคุ้ม
ภัยซวี่รื่อท่านหัวหน้าติงสินะ?”
ติงอี้ถูหยุดเดิน แล้วหันกลับไป มองไปที่หยางหนิง
เห็นหยางหนิงยกเหล้ากินอย่างสบายใจ เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ถูกต้อง ข้าคือติงอี้ถูของสำนักคุ้มภัยซวี่รื่อ ไม่
ทราบว่าท่านคือ?”
ท่าทีของเขาคือไม่รู้จักหยางหนิง แต่ในเมื่ออยู่กับ
หยวนหรง แสดงว่าจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ” หยางหนิงพูดว่า “ข้าให้คนไป
ตามเจ้ามา ไม่ใช่จะให้เจ้ามาพาตัวแม่นางเจินจูไป แต่
ให้เจ้ามาขอโทษต่างหาก ท่าทีของเจ้าไม่เลว ยอมรับ
ผิดด้วยตัวเอง ดังนั้นข้าก็จะไม่เอาเรื่อง เจ้าพาคนของ
เจ้าไปได้แล้ว จำไว้พากลับไปต้องอบรมให้มากๆ จะ
ได้ไม่ต้องลำบากให้คนอื่นมาสั่งสอนอีก”
ติงอี้ถูขมวดคิ้ว แต่น้ำเสียงยังคงดีอยู่ “คุณชายท่านนี้
พูดถูกแล้ว” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “แต่ว่าท่าทีของ
แม่นางเจินจูท่านก็เห็นแล้ว นางยินยอมที่จะไปกับ
ข้า”
“ขออภัยด้วย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าแม่นางเจินจูยินดีไป
กับเจ้าหรือไม่ ต่อให้นางเต็มใจ เกรงว่าเจ้าก็พานางไป
ไม่ได้” หยางหนิงหยิบขนมขึ้นมากิน แล้วพูดว่า “ข้า
เองก็อยากฟังแม่นางเจินจูดีดพิณ ดังนั้นเจ้าไปได้
แล้ว”
ติงอี้ถูตะลึงไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายกำลัง
ล้อเล่นอะไรอยู่รึ?”
“ท่านคิดว่าข้ากำลังล้อท่านเล่นหรือ?” หยางหนิงหัน
หน้าไปมองติงอี้ถู ด้วยสายตาที่แหลมคม “ข้าไม่ได้มี
เวลาว่างมากพอที่จะมาคุยกับเจ้า” จากนั้นเขาก็มอง
ไปที่เจินจู ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางเจินจู เจ้าเริ่มได้
แล้ว”
เจินจูขมวดคิ้ว ยืนอยู่ที่เดิม นางไม่รู้ว่าตอนนี้นางควร
จะทำอย่างไร
ติงอี้ถูสีหน้าเริ่มเปลี่ยนไป เขาพูดว่า “ข้าบอกไปแล้ว
ว่าจะมาขอบคุณวันหลัง ค่าใช้จ่ายของพวกท่านคืนนี้
ข้าจะจ่ายให้ ผู้หญิงที่ฉินไหวมีมากมาย พวกท่านก็
เลือกได้ตามสบาย”
“แต่ที่แม่น้ำฉินไหวนี่มีไข่มุกเจินจูเพียงแค่คนเดียว”
หยางหนิงพูดว่า “ในเมื่อผู้หญิงที่แม่น้ำฉินไหวมี
มากมาย ท่านก็เลือกได้ตามสบายเช่นกัน เหตุใดต้อง
มาทำลายอารมณ์ของข้าด้วย”
ติงอี้ถูอยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา แล้วถามว่า “หากข้าจะพา
นางไปให้ได้เล่า?”
หยางหนิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ลูกน้องของท่านเอง
ก็พูดแบบนี้ แต่ว่าท่านก็เห็นผลที่ตามมาของพวกเขา
แล้วนี่นา”
“เจ้ากล้าขู่ข้าหรือ?” ติงอี้ถูยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ารู้
หรือไม่คนที่ขู่ข้าจะเป็นอย่างไร? ความกล้าของท่าน
ข้านับถือ แต่ว่าเด็กน้อยอย่างท่านช่างโอหังเกินไป
มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”
“เด็กที่โอหังเกินไปอย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงหัวเราะ
แล้วพูดว่า “ท่านบอกว่าท่านมีแขก แล้วมันเกี่ยวอะไร
กับพวกข้าด้วย? ท่านบอกให้ข้าเห็นแก่หน้าท่าน แล้ว
หน้าท่านมันใหญ่แค่ไหนกันเชียว หากข้าไม่ยอม ท่าน
จะทำอะไรข้า?”
ติงอี้ถูขมวดคิ้ว แล้วหันไปมองหยวนหรง แล้วพูดว่า
“คุณชายหยวน ข้าให้เกียรติท่านขนาดนี้แล้ว เหตุใด
ท่านยังจะทำแบบนี้อีก?”
หยวนหรงนั่งลง ยกแก้วเหล้าขึ้นมา แล้วพูดว่า “ท่าน
หัวหน้าติง คนอื่นข้าอาจจะพอจะช่วยพูดให้ท่านได้
แต่ว่านิสัยของเขาคนนี้แปลกจากคนอื่นนัก หากเขา
อยากทำอะไรเขาก็ต้องทำอย่างนั้น ข้าช่วยพูดให้ท่าน
ไม่ได้จริงๆ”
ติงอี้ถูมองหยางหนิง ขมวดคิ้วขึ้นมา หยวนหรงคิดว่า
เขาน่าจะโกรธ แต่กลับเห็นติงอี้ถูยกมือขึ้นคำนับและ
ไม่พูดอะไรเลย หันหลังแล้วเดินจากไป ลูกน้องของ
เขาสองคนก็ตามเขากลับไปด้วย
หยวนหรงกลับรู้สึกแปลกใจ แล้วพูดเสียงเบาว่า “มัน
ไม่ใช่นิสัยของติงอี้ถูเลย”
หยางหนิงก็เหมือนจะแปลกใจเหมือนกัน เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “เขาฉลาดกว่าที่เจ้ามาก เขาข่มอารมณ์ของ
เขาได้....” ในใจก็รู้ว่าติงอี้ถูเป็นพวกอารมณ์ร้อน แต่
การที่เขาทำแบบนี้น่าจะมีแผนการอะไรบางอย่าง มัน
จะไม่จบลงง่ายๆ อย่างที่คิดเอาไว้แน่นอน
เจินจูถอนหายใจแล้วก็นั่งลงข้างๆ
“เจ้าดูเหมือนหวาดกลัวเขาไม่น้อย” หยางหนิงถาม
“เหตุใดเจ้าต้องกลัวเขามากขนาดนี้? เขาเคยทำร้าย
เจ้าหรือ?”
เจินจูลังเลไปครู่หนึ่ง นางฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยวี่
ยดื่มเหล้าเถอะ มาที่แม่น้ำฉินไหว พวกท่านควรจะมี
ความสุขมากกว่า เรื่องอื่นอย่าได้สนใจเลย”
หยวนหลงเองก็มองไปที่เจินจู ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“เจินจู เจ้ามีอะไรปิดข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
“ไม่...ไม่มี” เจินจูหลบสายตานั่งก้มหน้าแล้วพูดว่า
“คุณชาย ท่านอย่าถามอะไรอีกเลย”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนที่เจ้าไม่เห็น
เขา เจ้าก็หวาดกลัวแล้ว พอเห็นติงอี้ถู เจ้าแทบจะไม่
กล้ามองหน้าเขาเลย มันต้องไม่ใช่แค่เขาเป็นหัวหน้า
สำนักคุ้มภัยซวี่รื่อหรอก แสดงว่ามีเรื่องอื่นๆ อีก เจ้า
ไม่ยอมพูด ข้าเองก็ไม่บังคับ”
“เจินจู ตอนนั้นคุณชายเสวียสั่งให้ข้าดูแลเจ้าให้ดี แต่
ว่าในสองปีมานี้ข้า...” หยวนหรงเศร้าสร้อย “ถึงแม้
ข้าจะเคยรับปาก แต่ว่าข้ากลับทำไม่ได้ ข้าอยากจะ
ช่วยเจ้า แต่...” เขายิ้มขมขื่นแล้วส่ายหน้า สีหน้าของ
เขาดูจนปัญญาไม่น้อย
สายตาของเจินจูเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วพูด
ว่า “คุณชาย ท่านดูแลข้าดีอยู่แล้ว เจินจูซาบซึ้งใจ
มากจริงๆ”
“ข้ารู้ว่าสองปีมานี้เจ้าจะต้องทรมานมากแน่ๆ แต่เจ้า
ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากข้าเลย” หยวนหรงถอน
หายใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร รู้ว่าเจ้าไม่อยากให้ข้าต้อง
เดือดร้อน แต่ว่าหากเจ้ามีเรื่องอะไรที่ลำบากใจ
ต้องการให้ข้าช่วย ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ต้องบอกข้านะ”
เขาพูดอีกว่า “เจ้าบอกข้ามาเถอะ ว่ามันเกิดอะไร
ขึ้น?”
เจินจูตัวสั่น ดวงตาแดงก่ำ นางลังเลไปครู่หนึ่ง
สุดท้ายก็ถกแขนเสื้อขึ้นมา ผิวของนางขาวราวกับ
หยก มือของนางเรียบเนียนราวกับเนื้อหยก แต่ว่าเมื่อ
ถกแขนเสื้อขึ้น แขนของนางกลับมีแต่รอยแผลฉกรรจ์
เต็มไปหมด
สีหน้าของหยวนหรงเปลี่ยนไป หยางหนิงเองก็ขมวด
คิ้ว
“นี่...นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หยวนหรงลุกขึ้นมา “แผล
บนแขนของเจ้าได้มาอย่างไร?”
เจินจูยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ไม่ได้มีแค่แขนเท่านั้น บน
ตัวข้ายังมีแผลอีกนับไม่ถ้วน ภายนอกของข้าที่คนอื่น
มองดูเหมือนข้าไม่มีแปลอะไร แต่ส่วนที่คนอื่นไม่เห็น
นั้นล้วนมีแผลนับไม่ถ้วน”
หยางหนิงถามว่า “แผลของเจ้า ติงอี้ถูทำหรือ? นี่คือ
เหตุผลที่เจ้ากลัวใช่ไหม?”
“มันเกิดอะไรขึ้น เจ้าบอกข้ามา” หยวนหรงปกติแล้ว
เป็นคนสุขุม แต่ตอนนี้เขาโกรธมาก สีหน้าของเขา
เปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมา
เจินจูพูดเสียงเบาๆ ว่า “ติงอี้ถูมันเป็นสัตว์เดรัจฉาน
เขา...เขาชอบเห็นคนทรมาน ทุกเดือนเขาจะส่งคนมา
เพื่อพาตัวข้าไป จากนั้น...” นางไม่ได้พูดอะไรต่อ
ความเสียใจของนางมันไม่สามารถบรรยายให้ใครฟัง
ได้ แต่ทุกอย่างมันออกมาจากทางสายตาของนาง
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 158 แปดสาวงามแห่งแม่น้ำฉินไหว
หยวนหรงกำหมัดแน่น แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ไอ้
สัตว์เดรัจฉาน ข้า...ข้าจะไปหามัน” จากนั้นเขาก็ลุก
ขึ้นมา ยังเดินไปไม่ถึงสองก้าว หยางหนิงก็พูดขึ้นมาว่า
“เจ้าจะไปหาใคร? ติงอี้ถู? คิดจะสู้กับเขาหรือจะไป
พูดกับเขาด้วยเหตุผลเล่า?”
“ข้า...”
หยางหนิงยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นถึงหลานชาย
ของท่านราชเลขากรมพิธีการเชียวนะ อยู่ๆ จะไปสู้
กับหัวหน้าสำนักคุ้มภัยซวี่รื่อยังไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าสู้
เขาได้หรือไม่ ต่อให้เจ้าชนะแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า?”
หยวนหรงตะลึงไป
“ความสามารถของติงอี้ถู เจ้ารู้ดีกว่าข้า” หยางหนิง
ค่อยๆ พูด “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่มาเอาชนะด้วยการ
ต่อสู้” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดต่อไป “หยวนหรง ข้าขอ
พูดอะไรที่เจ้าอาจจะไม่ชอบใจเท่าไหร่นักนะ ถ้าเจ้า
จะสู้ด้วยความสามารถ คุณชายจวนท่านราชเลขา
อย่างเจ้าเอาชนะหัวหน้าสำนักคุ้มภัยซวี่รื่อไม่ได้
หรอก”
ถึงแม้สายตาของหยวนหรงจะเต็มไปด้วยความโกรธ
แต่สีหน้าของเขาก็ยังข่มเอาไว้ได้
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “น้องหยวน นั่น
น้องหยวนใช่หรือไม่?”
หยวนหรงตกใจ จึงหันไปมองตามเสียงที่ลอยมา เห็น
ว่ามีเรือลำหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้เรือเขา เรือลำนั้นมี
การตกแต่งโคมไฟอย่างสวยงาม และมีคนหลายคน
กำลังโบกไม้โบกมือให้
หยวนหรงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วมองออกไป จากนั้น
ก็ยกมือขึ้นมาคำนับแล้วพูดว่า “พี่จูหรือ?”
“ใช่แล้วข้าจูอวี่เฉิน” คนที่อยู่ทางนั้นยิ้มขึ้นมาแล้วพูด
ว่า “น้องหยวน พวกเรากำลังพูดถึงเจ้าอยู่พอดี วันดีๆ
แบบนี้ คุณชายหยวนไม่มีทางไม่ออกจากบ้านแน่นอน
ตรงนี้มีเหล้ามีอาหาร มาดื่มด้วยกันดีหรือไม่?”
หยวนหรงอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังคงมีมารยาทตอบ
กลับไป “พวกท่านตามสบายเถอะ ข้ากินเหล้าไม่ไหว
แล้วล่ะ”
“ระดับการกินเหล้าของคุณชายหยวน คนอื่นอาจจะ
ไม่รู้ แต่ข้าจูอวี่เฉินจะไม่รู้เลยหรือ?” ชายคนนั้นยิ้ม
แล้วพูดว่า “เจ้ารอข้าอยู่ตรงนั้นนะ ข้าจะแนะนำ
เพื่อนให้เจ้ารู้จัก”
หยวนหรงไม่มีทางเลือก จึงเดินกลับมาที่โต๊ะ หยาง
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าเจ้าจะมีเพื่อนไปทั่วใต้หล้านี้
เลยนะ”
“จูอวี่เฉินเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลขายผ้าที่เมือง
หางโจว เมืองหางโจวมีเศรษฐีมากมาย หนึ่งในนั้นก็
คือร้านผ้าของตระกูลจู” หยวนหรงอธิบายต่อว่า
“ตระกูลจูเป็นเศรษฐีใหญ่อันดับต้นๆ ของเมืองหาง
โจว เขามีอาคนหนึ่งทำงานอยู่ในกรมพิธีการ ในทุกๆ
ปีจะต้องมาอยู่เมืองหลวงระยะหนึ่ง ก่อนหน้านี้เคยไป
มาหาสู่กันบ้าง”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นบันไดมา
คนที่อยู่หน้าสุดสวมชุดผ้าแพรและพกหยกติดตัว
หยกนั้นดูมีราคาไม่น้อย อายุของเขาก็ดูราวๆ ยี่สิบ
เจ็ดยี่สิบแปดปี สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็
ยกมือคำนับ “น้องหยวน พวกเราไม่ได้เจอกันนาน
เลยนะ สบายดีหรือไม่”
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายจูไปท่องเที่ยวมาทั่ว
หล้า มีเวลาที่ไหนมาเยี่ยมข้าเล่า ไม่ได้เจอกันนานเลย
นะ”
จูอวี่เฉินหัวเราะขึ้นมาจากนั้นจึงแนะนำคนที่ตามมา
ด้วยให้รู้จัก “คนนี้คือชิวฝ่าง คนนี้คือเจียงเฉิง อีกคน
คือเฉินมู่ควนแห่งเว่ยถัง”
“เฉินมู่ควนแห่งเว่ยถัง” หยวนหรงยกมือคำนับ แล้ว
ถามว่า “ใช่เว่ยถังตระกูลเฉินหรือไม่?”
จูอวี่เฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้องตระกูลเฉินที่ทำร้าน
เครื่องลายครามเว่ยถัง เฉินมู่ควนเป็นคุณชายใหญ่
ของตระกูลเฉิน”
“ที่แท้ก็คนของตระกูลฉีนั่นเอง” หยวนหรงยิ้มแล้ว
พูดว่า “หากข้าเดาไม่ผิด พี่เจียงเฉิงน่าจะเป็นคุณชาย
ตระกูลเจียงของร้านชาซ่งเจียงแน่ๆ”
จูอวี่เฉินยกนิ้วโป้งให้เขา “น้องหยวนช่างตาดีจริงๆ”
จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับคนที่มาด้วยว่า “นี่ก็คือ
คุณชายหยวนที่ข้าพูดถึงบ่อยๆ ปูข่ องคุณชายหยวน
เคยเป็นอาจารย์ของอดีตฮ่องเต้มาก่อน”
ทุกคนยกมือขึ้นคำนับ
จูอวี่เฉิงเห็นหยางหนิงนั่งอยู่ จึงถามขึ้นว่า “น้อง
หยวน ท่านนี้คือ?”
หยวนหรงกำลังจะอธิบาย เขาก็ได้ยินหยางหนิง
กระแอมขึ้นมา หยวนหรงก็รู้ทันทีว่าเขาต้องการอะไร
เขายิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นเพื่อนของข้า พวกเจ้าเรียก
เขาว่า...คุณชายหนิงก็ได้”
หยางหนิงลุกขึ้นมา คำนับแล้วพูดว่า “ทุกท่าน
เดินทางมาไกล ให้พี่หยวนอยู่ต้อนรับท่านแล้วกัน นี่ก็
ดึกมากแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน”
จูอวี่เฉิงพูดด้วยความประหลาดใจ “น้องหนิงจะกลับ
แล้วหรือ? น่าแปลกจัง การเลือกราชินีดอกไม้กำลังจะ
เริ่มขึ้นแล้ว ไปตอนนี้จะไม่เสียดายแย่หรือ?”
พวกเขารู้ดีว่า หากมานั่งกินเหล้ากับหยวนหรงได้
แสดงว่าเขาต้องมีฐานะไม่ธรรมดา พวกเขาเกิดใน
ตระกูลพ่อค้า รู้วิธีการคบหาเพื่อนฝูง อีกทั้งที่นี่ก็อยู่
ในเมืองหลวง หากได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ก็ถือเป็นเรื่องที่
ดีมาก พวกเขาคิดอยากจะเป็นเพื่อนกับหยางหนิง จึง
พยายามกล่อมให้หยางหนิงอยู่ต่อ
เจียงเฉิงของร้านชาซ่งเจียงดูจากภายนอกไม่เหมือน
พ่อค้า อายุของเขาน่าจะประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปี สี
หน้าของเขาเหมือนบัณฑิต เขามองไปที่หยางหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “น้องหนิงเป็นเพื่อนกับคุณชายหยวน ก็ถือ
เป็นเพื่อนกับพวกเราด้วย เจอกันในครั้งแรก หวังว่า
พวกเราจะได้ดื่มเหล้าด้วยกัน ไม่ทราบว่าพวกท่านคิด
ว่าอย่างไร?”
ไม่รอหยางหนิงพูดอะไร คุณชายเฉินจากร้านเว่ยถังก็
พูดขึ้นมาว่า “น้องหนิง พวกเรากำลังจะได้ดูอะไรที่
เยี่ยมยอดที่สุดในคืนนี้เชียวนะ พวกเราทุกคนตรงนี้
กว่าจะได้มารวมตัวกันไม่ง่ายเลยนะ คืนนี้ใครจะได้
เป็นราชินีดอกไม้ พวกเราพี่น้องตรงนี้จะเป็นคน
กำหนดเอง ข้าได้ยินมาว่าสาวงามทั้งแปดคน อีกเดี๋ยว
ก็จะออกมาให้ได้ยลโฉมกันแล้ว...หากเจ้าตกลง อีก
เดี๋ยวเจ้าถูกใจใคร พวกเราจะทำให้นางเป็นราชินี
ดอกไม้เอง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เขาพูดจาค่อนข้างหยาบคาย รูปร่างท้วมๆ แต่ว่าผิว
เนียนละเอียด ดูก็รู้ว่าเลี้ยงแบบไข่ในหินแน่ๆ เขาดูขี้
อวดกว่าคนอื่นๆ
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่เฉินใจกว้างเสียจริง” เขา
เหลือบไปเห็นคนที่ชื่อชิวฝ่าง หยวนหรงรู้ที่มาที่ไป
ของคนพวกนี้ดี แต่กลับไม่พูดถึงที่มาของชิวฝ่างเลย ชิ
วฝ่างอายุประมาณสามสิบต้นๆ เขาแก่กว่าพวกนั้น ดู
ไปแล้วก็เป็นผู้ใหญ่ไม่น้อย เขาเอามือไขว้หลังเอาไว้ สี
หน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม หน้าตาดี เขาพูดจาอย่าง
ระมัดระวัง
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายเฉิน พวกเจ้าแต่ละ
คนก็เป็นเศรษฐี เงินทองมีมากเพียงใดย่อมไม่พูดก็รู้
กันดี หากพวกเจ้าร่วมมือกัน คืนนี้คงไม่มีใครเทียบได้
แน่นอน” เขามองไปที่ชิวฝ่าง “พี่ชิวเป็นคนหาง
โจวหรือ?”
จูอวี่เฉินส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พี่ชิวเป็นชาวเหลียวตง”
“เหลียวตง?” หยวนหรงขมวดคิ้ว “ที่นั่นเหมือนจะ
เป็นดินแดนของชาวเป่ยฮั่นนะ”
ชิวฝ่างยิ้มแล้วอธิบายว่า “ข้าน้อยเป็นชาวเป่ยฮั่นจริง
แต่ว่าคุณชายหยวนอย่ามองข้าเป็นศัตรูของท่านเลย
นะ จริงอยู่ที่ข้าเป็นชาวเป่ยฮั่น แต่ว่าข้าไม่ได้คิดร้าย
อะไรกับแคว้นของท่านเลยนะ หลายปีก่อน ตระกูล
ชิวของพวกเราเป็นเพื่อนไปมาหาสู่กับน้องจู พวกเรา
เป็นคนทำการค้า คิดแค่อยากจะทำการค้าไปเรื่อยๆ
เท่านั้น สิ่งที่อยากเห็นมากที่สุดก็คือสงครามระหว่าง
สองประเทศนี้จบลงเสียที”
จูอวี่เฉินพูดว่า “พี่ชิวเป็นคนของร้านเซินหวังของ
ตระกูลชิวที่เหลียวตง น้องหยวนเคยได้ยินบ้าง
หรือไม่?”
“ร้านเซินหวังแห่งเมืองเหลียวตงข้าเคยได้ยิน” หยวน
หรงพูดว่า “ร้านขายโสมที่ใหญ่ที่สุดในเหลียวตง ขาย
แต่โสมชั้นดีที่หายาก ของทุกชิ้นต้องขึ้นเขาไป
ขวนขวายหามา คนที่ไม่รู้ ก็จะเข้าใจว่าโสมนั้นหาง่าย
แต่ว่าคนที่อยู่ในสายนี้เท่านั้น ถึงจะรู้ว่ามันไม่ง่าย
เลย”
ชิวฝ่างยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายหยวนรู้วิธีการขุดโสม
ด้วยหรือ?”
“จะขุดโสมก็ต้องหาโสมให้เจอก่อน” หยวนหรงพูดว่า
“โสมทั่วไป คนมีประสบการณ์ก็จะหาเจอ แต่หาก
เป็นโสมแก่หายาก มันไม่ใช่แค่เรื่องของประสบการณ์
แต่มันจะต้องอาศัยดวงด้วย ข้าเคยได้ยินมาว่าชาวเห
ลียงตงมีคนที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง เขาเป็นชายอายุ
น้อยแต่ทุกครั้งที่เขาขึ้นเขาไป เขามักจะเจอแต่โสมหา
ยาก ทำให้ใครหลายคนต่างก็อิจฉาเขา ต่อมาเขาก็
ได้รับสมญานามว่าราชาแห่งโสม”
“คนผู้นั้นเขาคือท่านปู่ของข้าเอง” ชิวฝ่างยิ้มแล้วพูด
ว่า “ท่านเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน แต่ว่าได้
ถ่ายทอดวิชาการขุดหาโสมเอาไว้ ตอนนี้พวกเราก็
อาศัยวิชานี้ในการเลี้ยงชีพ”
หยวนหรงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ที่แท้พี่ชิวก็เป็นมหา
เศรษฐีดีๆ นี่เอง ราชาโสมแห่งเหลียวตงมีชื่อเสียงมาก
ในการขุดหาโสม โสมหายากในแผ่นดินนี้ล้วนรวมตัว
กันอยู่ที่บ้านตระกูลชิวของท่าน แต่เท่าที่ข้ารู้มา
ตระกูลชิวของพวกท่านตอนนี้ค้าขายสมุนไพรเป็น
หลักนี่นา มีสมุนไพรหายากมากมาย ไม่ว่าอยากได้
สมุนไพรอะไร เมื่อไปหาพวกท่าน ก็จะได้มันกลับมา
อย่างแน่นอน”
จูอวี่เฉินหัวเราะแล้วพูดว่า “ก็มีแต่พวกเศรษฐีคนใหญ่
คนโตเท่านั้นแหละ ที่ต้องการสมุนไพรหายากพวกนั้น
แต่ว่าสมุนไพรพวกนั้นสำหรับพี่ชิวแล้ว ก็แค่สมุนไพร
กองโตที่กองจนแห้งเหี่ยวเท่านั้นแหละ”
ชิวฝ่างรีบยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “น้องจูก็พูดเกินไป ก็
แค่อาศัยของบนเขาใช้ชวี ิตแค่นั้นแหละ ตอนนั้นท่าน
ปู่อาศัยการขายโสมในการเลี้ยงชีพ ต่อมาพวกเราก็
เอาแต่ขุดหาโสมมาขาย ทำให้โสมมันเริ้มหายากขึ้น
เรื่อยๆ ไม่ว่าจะทำอะไรพวกเราก็ควรจะมีช่องทาง
เหลือเอาไว้บ้าง ดังนั้นต่อมาท่านปู่จึงเรียกประชุม
ผู้ค้าโสมในเหลียวตงขึ้นมา แล้วตั้งกฎกำหนดการขุด
หาโสมในแต่ละปีขึ้นมา ห้ามขุดเกินกว่าที่กำหนด ถือ
ว่าเหลือไว้ให้คนรุ่นหลังด้วย ทุกคนจะได้มีกินมีใช้
โสมขุดมากไม่ได้ พวกเราก็เลยมาขายสมุนไพรแทน”
“ไม่ตัดรากฐานโคน” หยางหนิงชื่นชม “ฉลาดมาก”
ชิวฝ่างยิ้มแล้วพูดว่า “ชมเกินไปแล้ว”
จูอวี่เฉินถามว่า “เจ้าสองคนมีคนในใจแล้วหรือยัง?
คนที่เข้าคัดเลือกราชินีดอกไม้มีทั้งหมดแปดคน ถูก
ขนานนามว่าเป็นแปดสาวงามแห่งแม่น้ำฉินไหว
หน้าตาของพวกนางถือได้ว่าไม่มีหญิงใดเทียบได้”
ตอนนี้เรือสำราญหลวงลำใหญ่ได้จอดนิ่งอยู่ที่กลาง
น่านน้ำฉินไหวแล้ว รวมเรือของเจินจูแล้วก็มีเรือที่
ล่องวนรอบเรือสำราญหลวงนี้อยู่ประมาณยี่สิบ
สามสิบลำ ทุกคนราวกับว่าจะได้ชมดวงดาว หญิงงาม
เหล่านั้นเปรียบเสมือนกับไข่มุกแห่งน่านน้ำฉินไหวที่
แท้จริง
หยวนหรงไม่ทันจะพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้น
รอบเรือสำราญหลวงเริ่มคึกคักขึ้นมา เมื่อเสียงนี้ดัง
ขึ้น รอบๆ ก็รีบเงียบลงทันที หลังจากนั้นมีเสียงของ
ผู้หญิงคนหนึ่งร้องเพลงขึ้นมา เสียงของนางช่างใส
และไพเราะมาก
“นี่น่าจะเป็นแม่นางอู๋อิ๋นเอ๋อร์ใช่หรือไม่?” จูอวี่เฉิน
พูดเบาๆ
เจียงเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้แปดสาวงามแห่งแม่น้ำ
ฉินไหว พูดถึงหน้าตาก็ไม่มีใครเทียบได้ น่าจะน่ารัก
น่าเอ็นดู แต่ว่าเสียงเพลงคงสู้แม่นางอู๋อิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้
ถึงแม้เสียงของอู๋อิ๋นเอ๋อร์จะไพเราะ แต่ว่าเรื่องหน้าตา
สู้พวกนางไม่ได้จริงๆ” เขาถอนหายใจ แล้วพูดว่า
“แต่ว่าเรื่องการดีดพิณอย่างไรก็สู้แม่นางจั่วเซียน
เอ๋อร์ไม่ได้เลย...”
ทุกคนมองไปที่เจียงเฉิง หยางหนิงคิดในใจว่าเขารู้
เรื่องของแปดสาวงามแห่งแม่น้ำฉินไหวดีจริงๆ แม้แต่
ชื่อของพวกนางก็รู้ จุดเด่นจุดด้อยรู้หมดทุกอย่าง คิด
ว่าเขาน่าจะเตรียมตัวมาเพื่อการนี้เป็นอย่างดี
เหวียนหยงยิ้มแล้วถามว่า “พี่เจียงในบรรดาแปดสาว
งามแห่งแม่น้ำฉินไหว ใครน่าจะได้ตำแหน่งราชินี
ดอกไม้มากที่สุดหรือ?”
เจียงเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่ข้ามาวันนี้ ก็เพราะพี่จูเชิญ
มา วันนี้พวกเจ้าคิดว่าใครควรได้ตำแหน่งราชินี
ดอกไม้ไป ข้าก็เอาตามพวกเจ้า แต่ว่าหากจะถาม
ความเห็นส่วนตัวข้า ข้าว่าคนที่ชื่อเฉินเจียวหนูไม่เลว
เลย”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 159 เดิมพันกว่าพันตำลึงทอง
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้พวกเจ้าก็คิดที่จะช่วย
ให้เสินเจียวหนูเป็นราชินีดอกไม้นี่เอง พวกเจ้าเป็น
เศรษฐี อย่าว่าแต่สี่คนร่วมมือกันเลย แค่คนเดียวก็
สามารถทำให้ใครเป็นราชินีดอกไม้ได้แล้ว น่าจะไม่ใช่
เรื่องยากเย็นอะไร”
เฉินมู่ควนหัวเราะขึ้นมากล่าวว่า “จริงๆ แล้วอยากจะ
ให้มีคนมาชิงกับพวกเรานะ ชนะง่ายเกินไป มันจะไม่
สนุกเอาได้”
หยวนหรงมองไปรอบๆ ตอนนี้รอบๆ เรือสำราญ
หลวง มีเรืออยู่เป็นจำนวนมาก แขกที่อยู่บนเรือก็เป็น
เศรษฐีผู้ดีทั้งนั้น น่านน้ำนี้กว้างมากใหญ่ไพศาล แต่
ตอนนี้เรือทั้งหลายมาจอดอยู่รอบๆ เต็มไปหมด จะ
ล่องไปทางไหนก็ไม่ค่อยสะดวกนัก
ที่ริมแม่น้ำฉินไหว ก็มีผู้คนมากมายมายืนอยู่รอบๆ
โคมไฟรอบๆ ก็สว่างไสว
การคัดเลือกราชินีดอกไม้เป็นการใหญ่ของแม่น้ำฉิน
ไหวแห่งนี้ แต่ว่าคนที่เข้าร่วมจริงๆ นั้นมีน้อยมาก มี
คนเคยบอกว่า การคัดเลือกราชินีดอกไม้จริงๆแล้ว
ไม่ใช่แข่งกันที่หน้าตาหรือความสามารถ แต่แข่งกัน
ที่ว่าใครร่ำรวยกว่ากัน
การเดิมพันเงินกว่าพันตำลึงทอง ถือเป็นโอกาสดีของ
เหล่าเศรษฐีที่จะอวดอ้างความร่ำรวยที่แม่น้ำฉินไหว
สำหรับคนส่วนมากแล้ว ใครจะได้นั่งบัลลังก์นั้นไม่
สำคัญเลย สิ่งที่สำคัญกว่าคือการใช้ชีวิตของพวกเขา
เอง ถึงแม้ฮ่องเต้ต้าฉู่จะทรงมีผลงานที่ยอดเยี่ยม
มากมาย แต่หลังจากพระองค์สวรรคตไปแล้ว ในช่วง
เวลาสั้นๆ เหมือนพวกเขาต่างลืมไปกันจนหมด ไม่มี
สักคนที่จะเสียใจกับการตายของเขาอีก
ในตอนนี้เอง เสียงกลองและเสียงปรบมือก็ดังสนั่น
และเสียงชื่นชมไม่ขาดสายทั่วแม่น้ำฉินไหว ที่แท้ก็
เป็นเพราะเพลงที่แม่นางอู๋อิ๋นเอ๋อร์ร้องนั้นจบแล้ว
ผู้ชมต่างชื่นชมแม่นางไม่หยุด ตอนนี้มีเรือลำเล็กล่อง
ไปยังเรือสำราญหลวง
เรือที่อยู่รอบๆ จอดเว้นระยะจากเรือสำราญหลวง
เรือทุกลำต่างมีเรือลำเล็กประจำเรือ ตามกฎแล้ว เมื่อ
การแสดงของแปดสาวงามแห่งฉินไหวจบลง บรรดา
ผู้ดีเศรษฐีก็จะเริ่มลงขัน แล้วใช้เรือเล็กประจำเรือ
สำราญของตัวเองส่งไปที่เรือสำราญหลวง ใครที่ได้
คะแนนมากที่สุด ก็จะได้เป็นราชินีดอกไม้ แล้วยังจะ
คัดเลือกสาวงามอีกสองคนตามคะแนนรองลงมาเพื่อ
รับตำแหน่งนางพญาดอกไม้ด้วย
ผู้ที่เป็นหนึ่งในแปดสาวงามแห่งแม่น้ำฉินไหว ถึงแม้
จะมีหน้าตาที่สะสวยและมีฝีมือที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ต้อง
รักษารูปร่างให้สวยงามอยู่เสมอ และเป็นหญิงที่ขาย
ฝีมือไม่ใช่หญิงที่ขายตัวด้วย
ผู้ที่ได้รับตำแหน่งราชินีดอกไม้ หากมีคนมีคน
สนับสนุนหลายคน คนที่ออกเงินมากที่สุดก็จะได้เป็น
แขกพิเศษ จะมีสิทธิได้รับการดูแลจากราชินีดอกไม้
สามวันเต็ม หลังจากนั้นจะถูกพาตัวออกไปหรือจะอยู่
ที่แม่น้ำฉินไหวต่อไป ก็มีสิทธิที่จะเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
เสียงเพลงขออู๋อิ๋นเอ๋อร์จบลง แขกบนเรือสำราญต่าง
ส่งเงินไป เรือเล็กของเรือสำราญต่างล่องตรงออกไป
“ถึงตาจั่วเซียนเอ๋อร์แล้วสินะ?” จูอวี่เฉินพูดขึ้นเสียง
เบาๆ เสียงเดิมที่คุ้ยเคยก็ดังขึ้นไปทั่วแม่น้ำฉินไหวดัง
ขึ้นอีกครั้ง
บนเรือสำราญหลวง สาวงามนางหนึ่งนั่งตัวตรงสง่าผ่า
เผยอยู่ตรงหน้าพิณ ห่างจากพิณตัวนั้นค่อยข้างไกล
อยู่ หยางหนิงมองหน้าตาของนางไม่ชัด แต่ว่ารูปร่าง
ของนางถือได้ว่าสวยงามสมบรูณ์แบบมาก ถือได้อีก
ว่าเป็นหญิงที่สวยงามไม่มีที่ตินางหนึ่งเลยก็ว่าได้
ข้อมือของจั่วเซียนเอ๋อร์ราวกับหยกพลิ้วไหวไปบนพิณ
นั้น เธอบรรเลงเสียงพิณท่ามกลางโคมไฟที่สว่างไสว
เหมือนกัยดวงดาวที่อยู่บนแม่น้ำฉินไหวแห่งนี้
บรรยากาศเย็นสบาย ถูกขับกล่อมด้วยเสียงพิณอัน
ไพเราะ
คนที่ได้ฟังเสียงเพลงบรรเลง ต่างตกอยู่ในภวังค์
เคลิบเคลิ้มตามไป ไม่ว่าจะเป็นเฉินมู่ควนที่ดูเป็นคน
แข็งกระด้าง ตอนนี้สีหน้าของเขาก็เหมือนล่องลอยอยู่
ในความฝันเช่นกัน
หลังจากความคึกคัก ก็มักจะจบลงด้วยความเงียบ
ท่ามกลางแสงสีเสียง การดื่มเหล้าจนเมามายมันก็คือ
ความเงียบอีกประเภทหนึ่งไม่ใช่หรือ?
อาการเมามายในค่ำคืนแบบนี้ มันคือความเหงาใน
ค่ำคืนที่ยาวนาน...
ถึงแม้จะเป็นพันปีนานาวารีชน ถึงแม้จะเดินบนถนน
จางถาย แต่มันก็เป็นเพียงความฝันที่ว่างเปล่า เมื่อฟื้น
จากความเมามาย ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้หรือพระจันทร์ ก็
จะเหลือไว้แค่เพียงร่องรอยเท่านั้น
เมื่อเสียงพิณจบลง ในสายตาของหยางหนิง มีความ
พึงพอใจแล้วก็สบายใจมากอยู่เหมือนกัน
ท่ามกลางความเงียบเหงา เปลี่ยนจากเสียงเพลง กลับ
เป็นเสียงแห่งความตื่นเต้นและชื่นชม
ทวนที่เปล่งประกายสีทองและม้าที่หุ้มด้วยเกราะ
เหล็ก สายฝนพัดผ่านราวกับทหารนับพัน!
บนน่านน้ำของฉินไหว กลับถูกเสียงเพลงครอบงำ
เดิมริมแม่น้ำไหวต่างมีการร้องเล่นเต้นรำอยู่แล้ว
ผู้ชายทั้งหลายต่างก็พากันตื่นเต้นมากอยู่แล้ว แต่เมื่อ
เพลงนี้บรรเลงขึ้นมา มันเหมือนทำให้พวกเขาตกอยู่
ในภวังค์
เสียงพิณทำให้ใครหลายคนอ่อนระทวย มันเหมือนลม
หนาวที่แทงทะลุเกราะเหล็กเข้าสู่ร่างกายของชาย
ชาตรีหลายคน ความรู้สึกมากมายหล่อหลอมเวียนวน
ไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเสียงเพลงจบลง ที่แม่น้ำฉินไหวไม่ได้มีคนส่งเงิน
ส่งคะแนนไปในทันที มีแต่เสียงชื่นชมตบมือไปทั่ว
น่านน้ำ ราวกับว่าพวกเขายังไม่ตื่นจากฝัน หลังจาก
นั้นไม่นาน ถึงมีคนเริ่มส่งเงินส่งคะแนนเข้าไป เห็นได้
ชัดว่าคนที่ส่งเรือไปนั้นมีมากกว่าแม่นางอู๋อิ๋นเอ๋อร์ห
ลายเท่า
เจียงเฉิงคุณชายร้านขายชาซ่งเจียงปรบมือแล้วก็พูด
ว่า “เสียงพิณของจั่วเซียนเอ๋อร์สุดยอดมากจริงๆ คืน
นี้ต่อให้ไม่ได้เป็นราชินีดอกไม้ แต่ว่านางพญาอย่างไร
ก็ต้องได้เป็นแน่นอน”
เฉินมู่ควนหัวเราะแล้วพูดว่า “พี่เจียง ดูท่าท่านจะ
พอใจแม่นางจั่วเซียนเอ๋อร์มากเลยนะ ราชินีดอกไม้
พวกเราทุ่มสุดตัวแน่นอน แต่ว่าพวกเราก็ไม่ได้บอกว่า
จะไม่ทุ่มให้กับนางพญานะ พี่เจียงเหตุใดท่านไม่ทุ่มดู
เล่า ไม่แน่อาจจะได้เป็นแขกพิเศษของแม่นางจั่วเซียน
เอ๋อร์ก็ได้”
เจียงเฉิงยิ้ม จากนั้นก็วิ่งลงไปที่เรือลำเล็กด้านล่าง
“เอาชุดหนีอวิ๋นชุดนี้มอบให้แม่นางจั่วเซียนเอ๋อร์”
เรือเล็กรีบพายออกไป จูอวี่เฉินปรบมือหัวเราะแล้ว
พูดว่า “พี่เจียงนี่แค่ไม่ออกหน้าเท่านั้นนี่นา ออกหน้า
เมื่อไหร่ก้อนใหญ่ทั้งนั้น ได้ยินมาว่าชุดหนีอวิ๋นมีค
นขอซื้อในราคาห้าร้อยตำลึงทอง พี่เจียงยังไม่สนใจจะ
ขายเลย”
หยางหนิงตะลึงไป แอบคิดในใจว่าคนพวกนี้ใจใหญ่
เหลือเกิน ตอนแรกคิดว่าแค่ชุดธรรมดาทั่วไป จะมี
ราคาอะไรมากมาย คิดไม่ถึงเลยว่ามันมีมูลค่าถึงห้า
ร้อยตำลึงทอง
เขาเป็นถึงจิ่นอีโหว แต่ยังต้องเครียดกับเรื่องเงินไม่กี่
พันตำลึง แต่ว่าเจียงเฉิงออกหน้าทีเดียวก็ควักเงินห้า
ร้อยตำลึงทองออกไปแล้ว พ่อค้าในต้าฉู่นี่เดิมพันกัน
เป็นเงินกว่าหนึ่งพันตำลึงทองเลยจริงๆ
ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงดังมากจากเรือสำราญหลวงว่า
“คุณชายเจียงจากร้านชาซ่งเจียงมอบชุดหนีอวิ๋นหนึ่ง
ชุด ในราคาห้าร้อยตำลึงทอง”
หลายคนหันมามอง เจียงเฉิงออกหน้าคราวนี้ทำให้
หลายคนตะลึงไม่น้อย
ถึงแม้คนที่อยู่ตรงนี้หลายคนจะเป็นเศรษฐีมีเงิน แต่ว่า
เงินห้าร้อยตำลึงทองก็ไม่ใช่เงินน้อยๆ เห็นแม่นาง
จั่วเซียนเอ๋อร์เดินมาริมเรือ เหมือนคำนับขอบคุณ
เจียงเฉิงโบกมือให้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
หยางหนิงเหลือบมองไป เห็นต้วนฉางไห่ยืนอยู่ในมุม
หนึ่งของเรือ ตั้งแต่เขาตามหยางหนิงขึ้นมาบนเรือ ก็
ยืนอยู่ตรงนั้นไม่พูดอะไร หากไม่มองไป แทบจะไม่
เห็นเขาเลย
หยางหนิงรู้ดีว่า ปกติเขาเป็นคนง่ายๆ เข้ากับคนอื่น
ง่าย สนิทสนมกับพวกต้วนฉางไห่อย่างดี มีหยอกล้อ
กันบ้าง แต่ตอนนี้เขาได้รับสืบทอดตำแหน่งจิ่นอีโหว
แล้ว ออกมาข้างนอก ต้วนฉางไห่ก็เป็นแค่องครักษ์
ติดตามคนหนึ่งเท่านั้น หากไม่เกิดอันตรายอะไร เขา
จะไม่เข้ามายุ่งเรื่องของเขาเด็ดขาด
ก่อนหน้านี้ที่มีปากเสียงกับคนของสำนักคุ้มภัยซวี่รื่อ
หยางหนิงลงมือก่อน ไม่อย่างนั้นต้วนฉางไห่จะต้อง
ออกหน้ามาแน่นอน ต้วนฉางไห่เป็นทหาร มีความ
อดทนและการควบคุมตัวเองได้อย่างดี
หยางหนิงเหลือบไปมองเจินจูนางไม่ได้ยืนอยู่ริมเรือ
แต่นั่งอยู่ข้างโต๊ะเหล้า นางเงยหน้ามองท้องฟ้า
เหมือนจะไม่ได้สนใจการคัดเลือกราชินีดอกไม้เลย
คนใหม่มา คนเก่าก็ได้แต่ร้องไห้
ตอนนั้นจากการทุ่มของคุณชายเสวีย เจินจูได้เป็น
ราชินีดอกไม้ แต่มันก็แค่ช่วงเวลาหนึ่ง ภายในเวลา
สั้นๆ ก็ไม่มีใครสนใจราชินีดอกไม้คนนี้อีก
คืนนี้แปดสาวงามแห่งแม่น้ำฉินไหว อย่างไรก็ต้องมี
คนหนึ่งได้ตำแหน่งราชินีดอกไม้ไป แต่ไม่รู้ผ่านไปอีก
สองปี ราชินีดอกไม้ในคืนนี้จะเจออะไรบ้าง หรือ
อาจจะอยู่ในสภาพเดียวกับเจินจูในตอนนี้ เรื่องราว
มันจะวนกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่
หยางหนิงกลับรู้สึกสงสารเหล่าหญิงงามที่อยู่ที่นี่ พวก
นางอาจจะไม่เคยได้ทำอะไรที่พวกนางอยากทำเลย
จนถึงสุดท้ายของชีวิต พวกนางก็เป็นได้แค่ของเล่น
ของพวกเศรษฐีขุนนางมีเงินเท่านั้น
แปดสาวงามแห่งแม่น้ำฉินไหวสลับกันร้องรำทำเพลง
บนแม่น้ำฉินไหวสนุกสนานครึกครื้น
ขณะที่หยางหนิงกำลังใช้ความคิด ก็ได้ยินจูอวี่เฉินพูด
ออกมาเสียงดังว่า “เสินเจียวหนูออกมาแล้ว”
หยางหนิงได้ยินพวกเขาบอกว่าต้องการจะทุ่มเงิน
ให้กับเสินเจียวหนู เขามองไป เห็นที่ยอดเรือสำราญ
หลวง มีผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยงามราวกับนางฟ้ายืนอยู่
ถึงแม้จะอยู่ห่างกันพอสมควร แต่ด้วยแสงไฟ ทำให้
มองเห็นท่าทางของนางได้อย่างชัดเจน
รอบๆ เรือสำราญต่างเงียบลงไปทันที
เมื่อได้ยินเสียงร้องของนางดังขึ้น ช่างไพเราะและ
อ่อนหวาน
"แสงจันทร์ในคืนฟ้าสีคราม
เสียงขลุ่ยดึงเอาใจออกจากร่าง
เงาของหญิงสาวปรากฏอยู่บนผิวน้ำ
เมฆดินแดนสวรรค์อยู่บนยอด
วิญญาณท้องทุ่งน่าสงสาร
วิญญาณกระบี่รอมานานนับพันปี
ใบไม้สีแดงที่ไร้คนสนใจมานานแรมปี
ปลิวไสวล่องลอยไปตามสายลม
ลอยไกลออกไปไม่มีทิศทาง
หยกหลิวหลีแตกเป็นเสี่ยงสายพิณขาดไม่เหลือชิ้นดี
คิ้วและดวงตาสีแดงก่ำ
เสียงถอนหายใจไม่อาจขจัดความลำบากใจให้ลอย
หายไปได้"
เสียงเพลงของนางดังก้องไปทั่วแม่น้ำฉินไหว เหมือน
ผู้หญิงคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความระทมทุกข์ ทำให้คน
รู้สึกสงสารและเห็นใจไม่น้อย
คนที่ได้ยินเพลงนี้ มันทำให้เคลิบเคลิ้มและหลงใหล
ใครไม่รู้จะคิดว่าเสินหนูเจียวกำลังร้องเพลงนี้ให้กับ
ตัวเอง
เมื่อเสียงเพลงจบลง ใครหลายคนเอ่ยปากชื่นชม
จากนั้นก็ตามมาอีกหลายเสียง เหมือนจะมากกว่า
เสียงตะโกนของจั่วเซียนเอ๋อร์อีกหลายเท่าตัว
หยวนหรงพูดว่า “พี่เจียง ดูท่าจะมีคนสนใจเสินเจียว
หนูไม่น้อยเลยนะ”
จูอวี่เฉินขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ดูท่าทางแล้วเสินเจียว
หนูจะไม่ธรรมดาเลย ฟังจากเสียงตะโกนแล้ว คงมีคน
ไม่น้อยอยากจะได้ตัวนาง คืนนี้พวกเราน่าจะรับมือได้
ยาก”
เฉินมู่ควนรีบพูดขึ้นมาว่า “พวกเรายังไม่ทันจะได้ลง
มือเลย รู้ได้อย่างไรว่าจะรับมือไม่ได้? น้องจู ท่านอย่า
เพิ่งถอดใจสิ”
จูอวี่เฉินหัวเราะแล้วพูดว่า “พี่เฉินคิดมากไปแล้ว ใน
เมื่อพวกเราพี่น้องมาหาความสุขกัน พวกเราก็ต้องทำ
ให้เต็มที่” จากนั้นก็ตะโกนลงไปว่า “ส่งไปก่อนสาม
ร้อยตำลึงทอง”
เฉินมู่ควนยิ้มแล้วพูดว่า “แบบนี้สิถึงจะสมเป็น
คุณชายจูแห่งร้านผ้า” จากนั้นเขาก็ตะโกนไปอีกว่า
“ส่งให้ข้าด้วยสามร้อยตำลึงทอง” หลังจากนั้นเขาก็
หันไปมองชิวฝ่าง แล้วถามว่า “พี่ชิวท่านคิดจะลง
เท่าไหร่?”
ชิวฝ่างยืนไขว้หลัง ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อมาร่วมสนุก
กัน ข้าก็ลงสามร้อยตำลึงทองเหมือนกัน”
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน พวกเขาลงขันกันรวมแล้ว
หนึ่งพันสองร้อยตำลึงทองแล้ว ถึงแม้หยวนหรงจะ
เป็นลูกผู้ดีมีตระกูลเหมือนกัน แต่เขาเองก็ตกใจ
หยางหนิงถึงได้รู้ว่า เศรษฐีพวกนี้ร่วมมือกันก็จริงอยู่
แต่ในความเป็นจริงแล้วเงินจำนวนนี้น่าจะไม่ได้ทำให้
พวกเขาขนหน้าแข้งร่วงหรอก พวกเขานี่มหาเศรษฐี
ท้องถิ่นจริงๆ
ตอนนี้เรือลำเล็กที่ตรงไปยังเรือสำราญหลวงนั้นเยอะ
ราวกับฝูงปลาที่อยู่ในน้ำ แค่ดูก็รู้ว่ามีหลายคน
อยากจะได้ตัวเสินเจียวหนู สุดท้ายแล้วราชินีดอกไม้
จะตกไปอยู่ในมือของใคร เหมือนจะรู้ผลแล้ว
“เท่าที่ข้ารู้มาตาม ยอดเงินที่มากที่สุดของราชินี
ดอกไม้แม่นางเหยาเยวี่ยเมื่อเจ็ดปีก่อน ตอนนี้ยอด
สูงสุดคือสี่พันตำลึงทอง” หยวนหรงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “คนที่ลงเงินมากที่สุดคือ สองพันตำลึงทอง ดู
สถานการณ์ในวันนี้แล้ว เสินเจียวหนูเหมือนจะ
ทำลายสถิติของแม่นางเหยาเยวี่ยแน่ๆ”
เสียงตะโกนดังมาจากเรือสำราญหลวงไม่หยุด
“คุณชายเฉินจากร้านขายผ้ามอบเงินสามร้อยตำลึง
ทอง”
“คุณชายเฉินจากร้านเครื่องลายครามเว่ยถังมอบเงิน
สามร้อยตำลึงทอง”
...........
“คุณชายไป๋จากร้านขายยามอบเงินสามร้อยตำลึง
ทอง”
“คุณชายกู้จากสนามม้าเทียนเห๋อมอบเงินสามร้อยห้า
สิบตำลึงทอง”
...........
“คุณชายเจียงจากตงไห่มอบไข่มุกหนึ่งเม็ด มอบไข่มุก
ราตรีหนึ่งเม็ด ใบไม้ทองแปดแผ่น รวมหนึ่งพันห้าร้อย
ตำลึงทอง”
รอบๆ ต่างเงียบไป
หยางหนิงเห็นสีหน้าของพวกจูอวี่เฉินถอดสี
ถึงแม้คนที่มอบเงินไปนั้นมีมากมาย แต่ว่าเงินที่
คุณชายเจียงจากตงไห่ทุ่มไปนั้น กลายเป็นยอดที่สูง
ที่สุดแล้ว
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 160 แข่งความรวย
ค่ำคืนที่เงียบสงัด แสงไฟอันอ่อนโยน แต่ว่าภายในใจ
ของหลายคนกับเต้นแรง
เฉินมู่ควนพูดว่า “ที่แท้เขาก็มาด้วย พวกเจ้าว่าพวก
เราจะยอมแพ้ หรือจะสู้กับเขาดี”
เจียงเฉิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจียงซุยอวิ๋นจะเอาให้ได้
แน่ๆ”
“เจียงซุยหวิน?” หยางหนิงหันไปมองหยวนหรง แล้ว
ถามว่า “เขาเป็นใครกัน?”
หลายคนนั้นเห็นหยางหนิงถาม ก็อดไม่ได้ที่จะหันมา
มอง สีหน้ารู้สึกตกใจมาก เหมือนการรู้จักเจียง
ซุยอวิ๋นเป็นเรื่องที่ควรรู้ หยางหนิงถามมาแบบนี้มัน
แปลกมาก
หยวนหรงอธิบายว่า “เจียงซุยอวิ๋นคุณชายเจียงจาก
ตงไห่ เขาเป็นตระกูลเจียงที่ตงไห่ ตระกูลเจียงจากตง
ไห่ทำการค้าทางทะเล ตระกูลเจียงมีขบวนขนส่ง
สินค้าทางทะเลมากกว่าสิบลำ หากจะบอกว่าศัตรูของ
เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดของต้าฉู่เป็นใคร บอกได้เลยว่า
ตระกูลเจียงนี่แหละ”
“ศัตรูเศรษฐีระดับแคว้น...” เฉินมู่ควนยิ้มเจื่อนแล้ว
พูดว่า “พวกเราหากสู้ตัวต่อตัว แน่นอนว่าไม่ใช่คู่ปรับ
ของเขาแน่ แต่ว่า...ถ้าพวกเราร่วมมือกัน เจ้าเจียง
ซุยอวิ๋นอะไรนั่นมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก” เขามองไปที่
จูอวี่เฉิน แล้วพูดว่า “พี่จู ในเมื่อเขาอยากเล่นด้วย
พวกเราก็เล่นกับเขาเถอะ พวกเรามาใช้ชื่อของท่านสู้
กับเขาสักตั้ง ท่านว่าอย่างไร?” จากนั้นก็มองไปที่
ชิวฝ่างกับเจียงเฉิง แล้วถามว่า “พวกเจ้าคงไม่คิดจะ
ถอยใช่หรือไม่?”
เจียงเฉิงลังเล ชิวฟ่างคลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่เฉินหาก
อยากสนุก ข้าก็ไม่ปฏิเสธ” จากนั้นก็ตะโกนลงไปว่า
“ใช้ชื่อของคุณชายจู ส่งโสมแก่ไปสองต้น”
เฉินมู่ควนรีบตะโกนลงไปอย่างตื่นเต้นว่า “ใช้ชื่อของ
คุณชายจู ส่งชุดชาชุดนั้นไป”
เจียงเฉิงลังเล แต่สุดท้ายก็ตะโกนไปว่า “ใช้ชื่อของ
คุณชายจู ส่งเงินไปอีกห้าร้อยตำลึงทอง”
จูอวี่เฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อพี่น้องทุกท่านลงขันกัน
ขนาดนี้แล้ว ข้าเองก็ไม่ขัด” เขาตะโกนลงไปอีกว่า
“ส่งเงินไปอีกแปดร้อยตำลึงทอง”
เรือเล็กรีบพายออกไปอย่างรวดเร็ว
หยางหนิงคิดในใจว่าชีวิตเศรษฐีแบบนี้เขาไม่เห็นจะ
เข้าใจเลย เพื่อสู้กับเจียงซุยอวิ๋น พริบตาเดียวถึงกับ
ทุ่มทุนมากจนน่าตกใจ
จากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงดังมาจากเรือสำราญหลวง
ว่า “คุณชายจากร้านผ้า มอบเงินหนึ่งพันสามร้อย
ตำลึงทอง โสมแก่หายากสองต้น เป็นเงินแปดร้อย
ตำลึง ชุดถ้วยชาโบราณ หกร้อยกิโล เป็นเงินสองพัน
เจ็ดร้อยตำลึง ตอนนี้คุณชายจูมอบเงินรวมทั้งสิ้นสาม
พันตำลึงทอง เป็นอันดับหนึ่งในตอนนี้”
รอบๆ ต่างซุบซิบกัน
ถึงแม้หยวนหรงจะรู้จักพวกเขามาก่อน แต่พอเห็น
พวกเขาลงขันกันแบบนี้แล้ว ก็ยังตกใจอยู่ ตอนนี้พวก
เขาเสียเงินไปแล้วสี่พันตำลึงทอง มันมากพอที่จะให้
ชาวบ้านธรรมดาห้าร้อยหลังอยู่สบายๆ ไปทั้งปี เพียง
เพราะไม่อยากเสียหน้า ชิงผู้หญิงคนเดียว นึกแล้วเขา
ก็ส่ายหัวอยู่ในใจ แอบด่าพวกเขาว่าไม่ฉลาดใช้เงินเอา
เสียเลย
รอบนี้ คนรอบๆ ไม่มีใครส่งไปสู้ด้วย
ตระกูลเศรษฐีใหญ่น้อยต่างรู้ดีว่า ตอนนี้ตระกูลเจียง
จากตงไห่กับตระกูลจูจางหางโจวกำลังสู้กัน ทั้งสอง
ตระกูลนี้เป็นเศรษฐีอันดับต้นๆ ของต้าฉู่ ก่อนหน้านี้
คนที่ส่งเงินไป พวกเขาแค่อยากร่วมสนุกกับเสี่ยงดวง
ด้วยเท่านั้น อยากจะลองดูว่าจะมีโอกาสได้เสินเจียว
หนูมาอยู่ในอ้อมกอดหรือไม่
แต่ในตอนนี้คุณชายสองท่านนี้ออกหน้า พวกเขาก็ไม่
จำเป็นต้องไปร่วมด้วย ต่อให้ใจใหญ่เพียงใด ก็ไม่ควร
เข้าไปยุ่ง แขกพิเศษของเสินเจียวหนู จะต้องเป็นหนึ่ง
ในสองคนนี้แน่นอน
เรือสำราญหลวงประกาศเรื่องนี้ถึงสามครั้ง แต่ก็ไม่มี
คนส่งเงินไปเพิ่ม เจียงซุยอวิ๋นเหมือนจะไม่ร่วมวงด้วย
แล้ว
เฉินมู่ควนเห็นดังนั้น เขาก็รู้สึกดีใจมาก เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “ดูท่าเจ้าเจียงซุยอวิ๋นก็ไม่เท่าไหร่ พี่จู เจ้าเด็กนั่น
รู้จักถอยฉลาดไม่เบา”
ตามหลักแล้ว หากประกาศไปแล้วสามครั้ง ไม่มีคนส่ง
เงินมาเพิ่ม ก็สามารถประกาศผลได้แล้ว เพราะเสิน
เจียวหนูเป็นคนสุดท้ายที่ออกมา ผลทั้งหมดของแปด
สาวงามของฉินไหวเองก็นับหมดแล้ว สามารถ
ประกาศรายชื่อของผู้ที่ได้ตำแหน่งราชินีดอกไม้กับ
นางพญาดอกไม้ได้แล้ว จากนั้นก็จะประกาศรายชื่อ
แขกพิเศษ
แต่ว่าจนถึงตอนนี้ ทางเรือสำราญกลับยังเงียบอยู่
ถึงแม้หยางหนิงจะไม่ได้ร่วมด้วย แต่ก็รู้สึกได้ว่ามัน
แปลก
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคน จากนั้นก็ได้ยิน
เสียงร้องตะโกนด้วยความตกใจ “พวกเจ้าคิดจะทำ
อะไร ห้ามบุกเข้ามานะ”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงพูดว่า “หลบไป ใครขวาง ฆ่าให้
หมด”
เมื่อได้ยินเสียง พวกของจูอวี่เฉินก็สีหน้าเปลี่ยน
ไม่นานนักก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นมาจากบันได
คนที่อยู่หน้าสุดสวมชุดสีดำ ด้านหลังตามมาด้วยชาย
อีกห้าหกคน สวมชุดสีเขียว ทุกคนคาดผ้าสีเขียวหมด
หลังจากชายชุดดำเดินขึ้นมา เขาก็ยืนนิ่งๆ แล้วกวาด
สายตาไป สายตาของเขาเย็นเฉียบ ดวงตาของเขา
เป็นสีเทา
พวกของจูอวี่เฉินเป็นเศรษฐี ไม่รู้ว่าชายชุดดำนั้นจะ
รู้จักหรือไม่ แต่สายตาของเขามันเอาเรื่องน่าดู
เขาค่อยๆ เดินเข้ามา หยางหนิงสัมผัสได้ว่ามีคนกำลัง
เดินใกล้เข้ามา เขาหันหน้าไปมอง เห็นต้วนฉางไห้ไม่รู้
ว่าโผล่มาข้างๆ เขาตั้งแต่เมื่อไหร่ มือหนึ่งจับดาบข้าง
ตัวไว้แน่น
“ใครคือจูอวี่เฉินรึ?” ชายชุดดำสายตาแหลมคมกวาด
สายตา พูดเสียงทิ่มแทงไปถึงกระดูก
จูอวี่เฉินขมวดคิ้ว ลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ก้าวเท้า
ออกมา ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “ข้าคือจูอวี่เฉิน ไม่
ทราบท่านมีธุระอะไรกับข้าหรือ?”
เขารู้ว่าพวกเขาไม่มีทางมาดีแน่นอน ดังนั้นเขาก็เลย
พูดจาค่อนข้างระวัง
“พวกเจ้า น่าจะเป็นเจียงเฉิงของร้านชาซ่งเจียง เฉินมู่
ควนจากร้านเครื่องลายครามเวยถัง...” ชายชุดดำ
กวาดสายตามองไป “นายของข้าขอเชิญพวกเจ้าไป
พบหน่อย”
น้ำเสียงของเขาไม่มีความเกรงใจเลย
เฉินมู่ควนอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าเป็นใคร แล้วนาย
ของเจ้าเป็นใคร? เจ้าบอกให้พวกเราไป พวกเราก็ต้อง
ไปหรือ ทำไม? นายของพวกเจ้าต้องการพบพวกเรา
ก็ให้เขามาหาเองสิ พวกเราไม่ได้มีเวลาว่างมากที่จะ
ไป”
ชายชุดดำพูดว่า “หากไม่ไปตอนนี้ พวกเจ้าก็จะไม่มี
โอกาสได้ไปอีก”
“เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ?” จูอวี่เฉินพูด
ชายชุดดำพูดว่า “ก็แค่ตัวตลก ข้าไม่จำเป็นต้องขู่
หรอก” จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นมา “เรือมารอพวกเจ้า
อยู่แล้ว ไปตอนนี้เลย...” จากนั้นก็พูดเสริมว่า “คนที่
อยู่ที่นี่ ต้องไปทั้งหมด”
ต้วนฉางไห่เดินเข้าไปหนึ่งก้าว หยางหนิงยกมือขึ้นมา
ขวางเขาเอาไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อมีคนมาชวน
พวกเราไปดื่มเหล้า ไม่ไปก็เสียดายแย่ ทุกคนลองไปดู
ก็ไม่เสียหาย จะได้รู้ว่าใครกันที่ทำท่าทางใหญ่โตแบบ
นี้”
ชายชุดดำจ้องมาที่หยางหนิง แล้วเหลือบไปมองต้วน
ฉางไห่ แล้วหยุดไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
มากมาย เขาเดินไปที่ริมเรือ จากนั้นก็กระโดดลงเรือ
ไป เรือเล็กไม่ได้มีอาการสั่นไหวเลย
คนที่ติดตามชายชุดดำแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ยืนคน
ละข้างตรงบันได “เชิญ”
จูอวี่เฉินลังเล แต่สุดท้ายก็เดินไป คนอื่นๆ เองก็เดิน
ตามไป หยวนหรงมองหยางหนิง กำลังจะพูด หยาง
หนิงยิ้มแล้วส่ายหน้า เหมือนบอกเป็นนัยให้หยวนหรง
ไม่ต้องพูดอะไรมาก แล้วเดินตามไป
ด้านล่างเรือสำราญมีเรือเล็กรออยู่แล้วหลายลำ พวก
เขาขึ้นเรือไป จากนั้นก็พายไปถึงเรือสำราญลำหนึ่งที่
ดูหรูมาก มันดูมีมูลค่ามากกว่าเรือของเจินจูมากนัก
ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่เท่ากับเรือสำราญหลวงก็ตาม แต่
ความหรูหราก็เทียบเท่าได้เลย
เมื่อขึ้นไปบนเรือ ก็เห็นมีชายสวมชุดเขียวพกดาบยืน
อยู่รอบเรือ ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเท่าไหร่
ชายชุดเขียวพวกนี้ต่างพกดาบติดตัว สีหน้าจริงจัง ทุก
คนยืนนิ่งเหมือนก้อนหิน ไม่ขยับตัวเลย
เรือลำนี้ เหมือนเป็นเรือของทหาร อายสังหารแผ่ซ่าน
ออกมาอย่างรุนแรง
เมื่อพวกของจูอวี่เฉินขึ้นเรือไป เห็นสถานการณ์แบบนี้
แล้ว ก็รู้ว่านายของชายชุดดำนั้นจะต้องไม่ธรรมดา
พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา จากนั้นก็เห็นหยวนหรง
ขมวดคิ้ว มีเพียงหยางหนิงคนเดียวที่ดูสบายๆ เดิน
ไขว้มือ มองไปรอบๆ เหมือนกำลังเดินชมเรือสำราญ
เล่น ต้วนฉางไห่พกดาบติดตัวเดินตามหยางหนิง สี
หน้าท่าทางดูจริงจัง
“เอาอาวุธมาให้ข้า” ชายชุดเขียวที่นำทางมาจนถึง
ปากบันได คนอื่นเดินตามไปแล้ว แต่พอต้วนฉางไห่
จะขึ้นบันไดไป ก็ถูกขวางไว้
ต้วนฉางไห่พูดว่า “เจ้ามาเอาเองสิ”
สีหน้าของชายชุดเขียวอึ้งไป ยื่นมือจะไปหยิบดาบที่
เอวของต้วนฉางไห่ เมื่อนิ้วของเขาจับไปโดนฝัก ก็
รู้สึกได้ว่าเหมือนมีอะไรพุ่งมาจากด้านหลัง มันรวดเร็ว
มาก เขารีบถอยหลังออกไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็ถูก
หมัดทุบเข้าที่ท้ายทอย ถ้าอีกฝ่ายซัดหมัดมา ก็จะถูก
หน้าเขาเต็มๆ
“ฉึบ”
เสียงชักดาบดังขึ้น ชายชุดเขียวข้างๆ เดินเข้ามาอย่าง
รวดเร็ว ตอนนี้ล้อมตัวของต้วนฉางไห่เอาไว้หมดแล้ว
พวกเขาชี้ดาบของพวกเขามาที่ต้วนฉางไห่
หยางหนิงหันไปมอง ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเขาคิดจะชิง
ดาบของเจ้า นอกจากเจ้าจะตาย ไม่ว่าเจ้าจะฆ่าได้กี่
คน คนที่ตายข้ารับผิดชอบเอง”
พวกของจูอวี่เฉินได้ยินมีเสียงมาจากด้านหลัง จึงหยุด
เดิน แล้วมองมาที่ต้วนฉางไห่ที่กำลังถูกล้อม พวกเขา
ต่างก็ตกใจ แต่ว่าพอได้ยินหยางหนิงพูด ก็ลิ้นแข็งพูด
อะไรไม่ออกเลย สถานการณ์ตอนนี้ อีกฝ่ายมีกำลัง
มาก ดูอย่างไรก็เหนือกว่า คิดไม่ถึงเลยว่า ใน
สถานการณ์แบบนี้ หยางหนิงยังกล้าที่จะพูดแบบนี้
ออกมาอีก
พวกเขารู้ว่าหยางหนิงเป็นเพื่อนกับหยวนหรง ฐานะ
ของเขาไม่ธรรมดาแน่ๆ แต่ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าหยางห
นิงเป็นใครกันแน่
ต้วนฉางไห่ได้รับคำสั่งของหยางหนิงแล้ว ตอนแรกสี
หน้าของเขาดูเครียดแต่พอได้ฟังแบบนี้แล้ว เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ก็แค่พวกกระต่ายน้อย รับมือไม่ยาก
หรอก”
ชายชุดเขียวพวกนั้นสีหน้าดุดันขึ้นมา แล้วก็ตะโกนว่า
“จับเขาเร็วเข้า”
จากนั้นก็มีคนเริ่มลงมือ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงนิ่งๆ ว่า
“หยุดนะ ให้เขาขึ้นมา”
หยางหนิงเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นชายชุดดำคนก่อน
หน้านี้ยืนอยู่ที่บันได ชายชุดเขียวพวกนี้กลัวเขามาก
หลังได้ยินเสียง พวกเขาก็ถอยกันออกไป
หยางหนิงค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไป ในใจก็คิดว่า บน
แม่น้ำฉินไหว เหตุใดถึงมีเรือแบบนี้ได้นะ? เดิมทีเขา
คิดว่าคนที่เรียกพวกจูอวี่เฉินคือเจียงซุยอวิ๋น แต่ว่า
เจียงซุยอวิ๋นก็แค่เศรษฐีคนหนึ่ง คิดว่าคงไม่มีทางกล้า
ทำแบบนี้ในเมืองหลวง อวดความรวยได้ แต่มีทหาร
องครักษ์มากขนาดนี้ รนหาที่ตายชัดๆ
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 161 ใส่ร้ายป้ายสี
บนเรือ มีโต๊ะกลมขนาดใหญ่ที่สร้างมาอย่างประณีต
รอบๆ โต๊ะมีหญิงงามรายล้อมมากมาย ตอนนี้มีคนนั่ง
อยู่ที่โต๊ะสามคน เมื่อพวกของจูอวี่เฉินมาถึง ทั้งสาม
คนถึงได้มองไป
หยางหนิงก็มองไปที่สามคนนั้น
เขาเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นเป็นคนที่คุ้นหน้ากันดี
เขาคือลูกชายของราชเลชากรมพระคลัง โต้วเหลียน
จง คนทางซ้ายมือของเขาก็เคยเจอมาก่อน เขาคือ
หัวหน้าสำนักคุ้มภัยซวี่รื่อ ส่วนคนขวามือนั้นสวมชุด
ผ้าแพรสีม่วง สวมหมวกขนจิ้งจอกขาว อายุราวๆ
สามสิบปี ท่าทางของเขามีสง่าราศีไม่น้อย
โต้วเหลียนจงยิ้มพลางมองไปที่พวกของจูอวี่เฉิน เมื่อ
เขามองเห็นหยางหนิง ก็พลันตกใจ สีหน้าจึงเริ่ม
เปลี่ยนไปจากเดิม
สายตาของหยางหนิงในตอนนี้ไม่ได้มองไปที่คนบน
โต๊ะสามคนนั้น แต่เขามองเลยไปที่พวกเขาสามคนไป
ทางด้านหลัง มีคนๆ หนึ่งที่อยู่ตรงริมเรือ เขาหันหลัง
ให้ผู้ชม ผมสีดำ ไม่สวมหมวก เห็นใบหน้าไม่ชัดเจน
แต่ว่ารูปร่างของคนนั้นไม่ได้สูงใหญ่มาก เรือลำนี้น่า
สูงพอๆ กับหน้าอกของเขา เหมือนเด็กอายุสิบสองสิบ
สามปี
พวกจูอวี่เฉินมองหน้ากัน จากนั้นก็เดินหน้าขึ้นไป ยก
มือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าท่านใดที่ต้องการ
จะพบเราหรือ?”
โต้วเหลียนจงแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าคือจูอวี่เฉิน
หรือ?”
“ข้าน้อยเองจูอวี่เฉิน” จูอวี่เฉินเหลือบไปมองชายที่
สวมชุดผ้าแพรสีม่วง ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่มันคุณชาย
เจียงนี่นา? ไม่เจอกันนาน สบายดีหรือไม่?”
หยางหนิงคิดในใจว่าผู้ชายคนนี้ก็คือเจียงซุยอวิ๋นจาก
ตงไห่
จูอวี่เฉินกับเจียงซุยอวิ๋นเป็นเศรษฐีใหญ่ของต้าฉู่ ทั้ง
สองคนรู้จักกัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เจียงซุยอวิ๋นยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร เหมือนไม่ได้เห็นจูอวี่
เฉินอยู่ในสายตาเลย
เฉินมู่ควนทนไม่ไหว พูดขึ้นมาว่า “เจ้าคนซีเจียง เจ้า
วางมาดใหญ่โตเกินไปแล้วนะ พาพวกเรามาที่นี่
ต้องการอะไร?”
เจียงซุยอวิ๋นพูดว่า “เฉินมู่ควน ไม่เจอกันนานหลายปี
นิสัยเจ้าก็ยังไม่เปลี่ยนเลยนะ ยังคงมุทะลุเหมือนเดิม
ใครบอกเจ้าว่าข้าเป็นคนเอาตัวพวกเจ้ามา?”
“ถ้าไม่ใช่ความคิดของเจ้า แล้วใครกัน?” เฉินมู่ควน
พูดจาเสียงดัง “มีเรื่องอะไรก็ว่ามา พี่จูทุ่มเงินเพื่อ
ราชินีดอกไม้ ตอนนี้ยอดของเขามากที่สุด พวกเราไม่
รีบ แต่พี่จูจะรีบไปเป็นแขกคนพิเศษของเสินเจียวหนู
ฮ่า ฮ่า ฮ่า...”
“ข้าเกรงว่าเจ้าอาจจะไม่ได้ไป หรืออาจจะกลายเป็น
ศพอยู่ที่นี่” โต้วเหลียนจงพูดเสียงเข้ม “พวกเจ้า
บังอาจมากนะ กล้ามาวางอำนาจในเมืองหลวง อาศัย
บารมีใครกัน?”
จูอวี่เฉินขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คำพูดของคุณชายท่าน
นี้ พวกเราไม่เข้าใจ การคัดเลือกราชินีดอกไม้ เป็น
เรื่องของความสมัครใจ แล้วจะไปอาศัยบารมีของใคร
กัน?”
สายตาของโต้วเหลียนจงคมเหมือนดาบ แล้วพูดว่า
“ไม่เสียแรงที่เป็นตระกูลจูตระกูลใหญ่ในเมืองหางโจว
ถึงได้กล้าพูดกับข้าแบบนี้”
เจียงซุยอวิ๋นยกแก้วเหล้าขึ้นมา แล้วพูดว่า “พวกเจ้า
คงยังไม่รู้จักกันสินะ ท่านนี้คือคุณชายโต้ว พ่อของ
คุณชายโต้ว คือท่านราชเลขากรมพระคลัง”
เมื่อพูดออกมาแบบนี้ พวกของจูอวี่เฉินก็เหมือนถูก
ฟ้าผ่าลงกลางหัว สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที
กรมพระคลังดูแลเรื่องการเงินทั่วทั้งแผ่นดิน พวกของ
จูอวี่เฉินทำการค้า ถึงแม้จะเป็นเศรษฐี แต่ว่าเมื่ออยู่
ต่อหน้ากรมพระคลัง ก็เหมือนเป็นลูกไก่ตัวเล็กๆ
เท่านั้น
สำหรับตระกูลการค้าแล้ว พวกเขาต้องเข้าเมืองหลวง
ทุกปี หลักๆ ก็เพื่อเข้ามาหาขุนนางกรมพระคลัง ขุน
นางที่เขาไปหา ส่วนมากก็เป็นขุนนางเล็กๆทั้งนั้น ไม่
ค่อยได้เจอขุนนางใหญ่ ขุนนางภายในกรมจริงๆ แทบ
จะเข้าไม่ถึง
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า คนที่อยู่ตรงหน้าของเขาจะ
เป็นลูกชายของราชเลขากรมพระคลัง
เฉินมู่ควนก่อนหน้านี้ยังแข็งกระด้างอยู่ สีหน้า
จองหองเขาในตอนนี้เปลี่ยนเป็นซีดเผือด เหงื่อออก
เต็มหัวโยไม่รู้ตัว
จูอวี่เฉินยิ้มขื่นแล้วพูดว่า “ที่แท้...ที่แท้ก็คุณชายโต้ว
ข้าน้อย...ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว” ในใจก็เหมือนจะ
รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรพลาดไป แอบคิดในใจว่า หากรู้
เร็วกว่านี้ว่าเจียงซุยอวิ๋นอยู่กับโต้วเหลียนจง เขาไม่มี
ทางมาที่นี่แน่นอน หากวางตัวไม่ดีตัวเขาจะแย่เอาได้
โต้วเหลียนจงเห็นจูอวี่เฉินมีท่าทีอ่อนลง เขาเหลือบไป
มองหยางหนิง ด้วยสายตาสะใจ แล้วค่อยๆ เดินเข้า
ไป เอามือไขว้หลัง แล้วพูดว่า “เงินที่พวกเจ้าทุ่มไป
เมื่อครู่ มันหมายความว่าอย่างไร? จะบอกว่าพวกเจ้า
ร่ำรวยอย่างนั้นหรือ? ต้าฉู่ของพวกเราสู้ศึกภายยอก
ใช้เสบียงอาหารทหารและม้าไปก็ไม่น้อย กลับไม่เห็น
พวกเจ้าจะช่วยกันออกเงินช่วยชาติบ้าง หรือว่าในใจ
พวกเจ้าไม่มีต้าฉู่เลยรึ?”
พวกจูอวี่เฉินอดคิดไม่ได้ว่า เจียงซุยอวิ๋นเองก็ทุ่มเงิน
ไปไม่น้อยเช่นกัน อีกอย่างเจียงซุยอวิ๋นเองก็เป็นคน
เริ่มท้าก่อน ตอนที่บ้านเมืองเดือดร้อน ก็ไม่เห็น
ตระกูลเจียงจะออกอะไร แล้วเหตุใดถึงไม่ว่าเขาเลย
เล่า? แต่ในเวลาแบบนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเถียงกับ
ลูกชายของราชเลขากรมพระคลังคนนี้ ทำได้แค่ก้ม
หน้า ไม่กล้าพูดอะไร
“โอะ น้องหยวนก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?” โต้วเหลียนจง
เดินมาตรงหน้าของหยวนหรง เขาแสร้งทำเป็น
เหมือนเพิ่งจะสังเกตเห็นเขา “เหตุใดเจ้าถึงได้อยู่กับ
เจ้าพวกนี้ด้วยเล่า?”
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเขาเดินทางมาไกล
รู้จักกับข้า ก็เลยอยู่ดื่มกับพวกเขา คุณชายโต้ว เขาว่า
กันว่าคนไม่รู้ย่อมไม่ผิด ข้าว่าปล่อยพวกเขาไปดีกว่า
อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย”
“น้องหยวนพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก” โต้วเหลียนจงยิ้มเจื่อน
แล้วพูดว่า “พวกเขารวมตัวอยู่ด้วยกัน อวดร่ำอวด
รวยอยู่ที่แม่น้ำฉินไหวแห่งนี้ มันไม่เหมาะสม ข้า
จำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ชัด ว่าเบื้องหลังพวกเขามี
แผนอะไรกันแน่” สายตาของเขาก็มองไปที่ชิวฝ่าง
แล้วถามว่า “แล้วเจ้าเป็นใครกัน?”
ชิวฝ่างยังคงนิ่งอยู่ ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยชิ
วฝ่าง”
“ชิวฝ่าง?” โต้วเหลียนจงพูดว่า “ชื่อนี้ไม่เคยได้ยินมา
ก่อน ฟังจากสำเนียงการพูดของเจ้าแล้ว เหมือนไม่ใช่
คนหางโจว”
จากนั้นก็เห็นเจียงซุยอวิ๋นพูดว่า “คุณชายโต้ว
สำเนียงของเขา น่าจะเป็นคนเหลียวตง ชิวฝ่าง...หาก
ข้าจำไม่ผิด เขาน่าจะมาจากร้านขายโสมของ
เหลียวตง ชิวฝ่านน่าจะมีความสัมพันธ์กับราชาโสม
แน่นอน”
โต้วเหลียนจงเหมือนพบกับจุดอ่อน เขาดูตื่นเต้น
ขึ้นมา แล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้าเป็นคนเหลียวตงหรือ?
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็น...เป็นชาวเป่ยฮั่น”
ชิวฝ่านเองรู้ว่าปิดไม่มิดแล้ว ก็พยักหน้าแล้วพูดว่า
“ราชาโสมแห่งเหลียวตงเป็นท่านปู่ของข้าน้อยเอง”
“จริงสินะ เมื่อครู่ที่จูอวี่เฉินทุ่มเงินไป ในนั้นเหมือนจะ
มีโสมแก่หายากอยู่สองต้นด้วย แสดงว่าเจ้าใช้ชื่อของ
จูอวี่เฉินส่งไป” โต้วเหลียนจงเหมือนจับหางของหนูได้
เขาเหลือบไปมองหยางหนิง แล้วพูดต่อว่า “จูอวี่เฉิน
ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าจะต้องมีอะไรผิดปกติ ที่แท้
พวกเจ้าก็รวมหัวกับชาวเป่ยฮั่นคิดก่อกบฏอย่างนั้น
หรือ”
หมวกใบใหญ่ใบนี้หนักมากกว่าพันจินจริงๆ
พวกจูวี่เจิ่นสีหน้าซีดเซียว จากนั้นก็แก้ต่างไปว่า
“คุณชายโต้ว ไม่ใช่อย่างนั้น ถึงแม้พี่ชิวจะเป็นชาว
เป่ยฮั่น แต่ว่าเขาเป็นแค่พ่อค้าคนหนึ่งเท่านั้น พวกเรา
ทั้งสองแคว้นก็ไม่ได้ห้ามทำการค้ากันเสียหน่อย พวก
เราเป็นเพื่อนร่วมทำการค้ากัน ไม่ได้มีใจจะคิดกบฏ
เลยนะ”
“ไม่ได้คิดกบฏหรือ?” โต้วเหลียนจงแสยะยิ้มแล้วพูด
ว่า “ไม่ได้คิดกบฏแล้วเหตุใดต้องอยู่กับชาวเป่ยฮั่น
ด้วย? เหอะ เหอะ เจ้าคนแซ่ชิวนี่จะต้องเป็นสายลับ
ของเป่ยฮั่นแน่ๆ แกล้งปลอมตัวเป็นพ่อค้า พวกเจ้าก็
เป็นพวกเดียวกับเขา” จากนั้นเขาก็ตะโกนขึ้นมาว่า
“ใครก็ได้ จับพวกมันเอาไว้เดี๋ยวนี้”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวดังขึ้น
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงพูดว่า “โต้วเหลียนจง เจ้า
เหนื่อยบ้างหรือไม่? กระโดดโลดเต้นอย่างนั้น คิดจะ
ทำอะไร?”
ระหว่างที่พูด หยางหนิงก็เดินออกมา
โต้วเหลียนจงสีหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นก็ชี้นิ้วมาที่ห
ยางหนิงแล้วพูดว่า “ฉีหนิง เจ้าอย่ามาอวดดี เจ้าก็
เป็นพวกเดียวกับพวกเขา”
“เจ้าเป็นใคร?” หยางหนิงจ้องไปที่โต้วเหลียนจงแล้ว
ถาม
โต้วเหลียนจงตกใจ ตอนนี้เองเจียงซุยอวิ๋นเดินเอามือ
ไขว้หลังเดินมา เขาไม่รู้จักหยางหนิงแต่อย่างใด เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “หรือว่าเจ้าไม่ได้ยิน ท่านนี้คือลูกชาย
ของท่านราชเลขากรมพระคลัง”
“ที่แท้ก็ลูกชายของท่านราชเลขากรมพระคลังนี่เอง”
หยางหนิงมองไปที่เจียงซุยอวิ๋น “แล้วเจ้าล่ะเป็น
ใคร?”
เจียงซุยอวิ๋นขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร
โต้วเหลียนจงไม่รู้ว่าหยางหนิงจะมาไม้ไหน เขาขมวด
คิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะมาลูกไม้อะไรอีก?”
“ไม่ได้จะมาลูกไม้อะไร” หยางหนิงพูดว่า “เจ้า
ตะโกนเอะอะโวยวาย หากใครไม่รู้จักเจ้าคงคิดว่าเจ้า
เป็นเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ คุณชายโต้ว ข้ารู้อยู่แล้ว
ว่าเจ้าเป็นลูกชายของท่านราชเลขากรมพระคลัง ข้าก็
แค่อยากจะถามว่า นอกจากฐานะนี้แล้ว เจ้ามี
ตำแหน่งหรือฐานะอื่นอีกหรือไม่? ราชเลขากรม
ราชทัณฑ์รึ? เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์รึ? เจ้าหน้าที่
จวนผู้ว่าการรึ? อ๋อ จริงสิ หรือว่าเจ้าเป็นคนของจวน
เสินโหว? หรือไม่ใช่ทั้งหมด? แล้วเจ้ามีตำแหน่งขุน
นางอะไรบ้าง?”
โต้วเหลียนจงอ้าปากค้าง แต่ไม่ได้พูดอะไร
“เจ้าอีกคน เจียงซุยอวิ๋น เจ้าคือคุณชายของตระกูล
เจียง นอกจากนี้แล้ว ยังมีฐานะอะไรอีก?” หยางหนิง
จ้องไปที่เจียงซุยอวิ๋น สายตาของเขาคมราวกับหอก
ดาบ “เจ้าเป็นขุนนางขั้นไหนกัน?”
เจียงซุยอวิ๋นขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ข้าไม่มีตำแหน่งขุน
นางอะไร”
“ที่แท้เจ้าเองก็เป็นคุณชายตระกูลเศรษฐีผู้ดีทั่วไป”
หยางหนิงหัวเราะร่าออกมา “โต้วเหลียนจง เจ้าไม่ได้
เป็นขุนนาง มีสิทธิอะไรมาเอะอะโวยวายที่นี่? อาศัย
ฐานะของพ่อเจ้า อวดอ้างบารมีหรือ? ดี ถ้าอย่างนั้น
พวกเราไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วยกัน ไปถามให้ชัดเลยว่า
ลูกชายของท่านราชเลขากรมพระคลังที่ไม่มีตำแหน่ง
หรือยศขุนนาง มีสิทธิอะไรจับคนมาสอบสวนแบบนี้”
โต้วเหลียนจงถูกหยางหนิงพูดใส่เช่นนี้ ในใจก็เริ่มขี้
ขลาดขึ้นมาเสีย เขาแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเป็น
พลเมืองแคว้นฉู่ เจอสายลับ ก็ต้อง...ก็ต้องมีสิทธิ
สอบถาม ไม่เพียงแค่ข้า ไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองคนไหน
ก็มีสิทธิปกป้องประเทศทั้งนั้น”
“เจ้าบอกว่าพวกเขาเป็นกบฏ เป็นสายลับ ได้ ไหนล่ะ
หลักฐาน?” หยางหนิงยื่นมือออกไป “เอาหลักฐานมา
ให้ข้าดู หากเป็นจริงอย่างที่เจ้าว่า ข้าจะเป็นคนแรกที่
จับพวกเขา”
โต้วเหลียนจงถูกหยางหนิงจ้องเหมือนกับจะเอาดาบ
มาทิ่มแทง เขารู้สึกทำตัวไม่ถูก แต่ยังพูดต่อว่า “เขา...
เขาเป็นชาวเป่ยฮั่น ก็ต้องเป็น...”
“เหลวไหล” หยางหนิงรีบพูดแทรกขึ้นมา “เพียง
เพราะเขาเป็นชาวเป่ยฮั่น เขาก็เลยเป็นสายลับหรือ?
เจ้าเป็นคนพูดเอง หรือว่าใครสั่งให้เจ้าพูดแบบนี้? ข้า
ไม่เคยได้ยินว่าทั้งสองแคว้นหยุดทำการค้ากัน ชิวฝ่าน
เป็นชาวเป่ยฮั่นก็จริง แต่หากพ่อค้าเป่ยฮั่นทำการค้า
กับพวกเราทุกคนต้องเป็นสายลับหมดรึ เจ้าอยากจะ
ให้ทั้งสองแคว้นตัดขาดการค้ากันหรืออย่างไร? แม้แต่
ราชสำนักยังไม่คิดจะห้ามเลย แต่เจ้ากับทำให้
นโยบายของทั้งสองแคว้นต้องวุ่นวาย เจ้าคนแซ่โต้ว
เจ้ารู้ความผิดของเจ้าหรือไม่?”
หยางหนิงน้ำเสียงดุดันกว่าปกติ โต้วเหลียนจงถูกจี้
ถามหลายต่อหลายครั้ง ทำให้เขาต้องถอยหลังไป
ทั้งตัวเหลื่อไหลพรากลงมาเพราะความกลัว
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 162 จ้าวจง
เจียงซุยอวิ๋นเห็นโต้วจงเหลียนถูกกระทำ เขาแสยะยิ้ม
แล้วพูดว่า “ปากคอเลาะร้าย เจ้าคิดจะปกป้องพวก
เขาหรอ?”
“หุบปาก” หยางหนิงหันไปมองเจียงซุยอวิ๋น แสยะ
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็อีกคน เจียงซุยอวิ๋น เจ้าบังอาจ
เกินไปแล้วนะ เจอข้าแล้วเหตุใดถึงไม่คุกเข่า หรือว่า
เจ้าคิดก่อกบฏรึ?”
“ข้า...” เจียงซุยอวิ๋นตกใจ “เหตุใดข้าต้องคุกเข่าให้
เจ้าด้วย?”
ต้วนฉางไห่ที่ไม่มีท่าทีอะไรมาโดยตลอด ในตอนนี้เขา
เดินเข้าไปสองก้าว แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคนธรรมดา
ทั่วไป เจอจิ่นอีโหวแล้ว เหตุใดถึงไม่คุกเข่า?”
เจียงซุยอวิ๋นตะลึงงัน หัวหน้าสำนักคุ้มภัยซวี่รื่อที่นั่ง
ดื่มเหล้าอยู่ข้างๆ ไม่ได้หันหน้ามาดูเหตุการณ์ในตอน
แรก เมื่อได้ยินสิ่งที่ต้วนฉางไห่พูด มือทั้งสองข้างของ
เขาพลันสั่นเทา เงยหน้าขึ้นมาดูด้วยแววตาที่ไม่ปกติ
หลังจากที่จูอวี่เฉินและคนอื่นๆ รู้ฐานะของโต้วเหลียน
จง แต่ละคนต่างก็ตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน เห็นห
ยางหนิงเดินเข้าไปต่อว่าโต้วเหลียนจง ใจพวกพวกเขา
ล้วนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แอบคิดว่าคนผู้นี้ช่างบังอาจ
เกินไปแล้ว
แต่พอได้ยินต้วนฉางไห่พูดคำว่า “จิ่นอีโหว” ออกมา
พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหันมองไปหน้าของหยางหนิง มี
สีหน้าที่ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดเจน
ชื่อเสียงของจิ่นอีโหว แผ่นดินใต้หล้านี้ผู้ใดก็รู้จัก จิ่นอี
โหวทั้งสองยุคเป็นเสาหลักของบ้านเมืองมาโดยตลอด
เป็นแม่ทัพคนสำคัญที่จงรักภักดี พวกเขานึกไม่ถึงว่า
ภายนอกที่ดูอายุยังน้อยแบบนี้จะเป็นจิ่นอีโหวได้
เจียงซุยอวิ๋นปากสั่นไม่หยุด ต้วนฉางไห่ตวาดออกไป
ว่า “เจ้าคิดจะกบฏหรือ?”
ตระกูลของเจียงซุยอวิ๋นถึงแม้จะร่ำรวยมหาศาลใน
แผ่นดินนี้ แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็นคนธรรมดาไม่มียศ
ศักดิ์อะไร ถูกต้วนฉางไห่ตะคอกใส่เช่นนี้ เขาขมวดคิ้ว
เบาๆ แต่ก็ไม่ได้คุกเข่าลง เพียงแค่พูดออกมาอย่าง
สงบเยือกเย็นว่า “ถึงแม้ข้าน้อยจะเป็นคนธรรมดา
แต่ว่าก็เคยได้รับการยกย่องคุณงามความดีมาแล้ว
ดังนั้นยังไม่จำเป็นจะต้องคุกเข่าให้ท่านโหวเยวี่ย”
หยางหนิงตะลึงงัน เขาไม่เข้าใจคำว่าได้รับการยกย่อง
คุณงามความดี เวลาอนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะถามอะไรมาก
เขามองไปที่โต้วเหลียนจง แล้วพูดว่า “คุณชายโต้ว
เจ้าเองก็ได้รับการยกย่องคุณงามความดีด้วย
เหมือนกันหรือ?”
โต้วเหลียนจงรู้สึกว่าเขากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากเสีย
แล้ว
ในสายตาของคนอื่น ลูกชายราชเลขากรมพระคลัง
องอาจน่าเกรงขามเพียงใด เดินไปไหน ไม่มีผู้ใดกล้า
เสียมารยาทด้วย แต่หากพูดกันตามความจริงแล้ว ลูก
ชายราชเลขากรมพระคลัง ไม่มีตำแหน่งขุนนาง ไม่ได้
รับการยกย่องคุณงามความดีอะไร ก่อนหน้านี้ หยาง
หนิงเป็นแค่จิ่นอีซื่อจื่อ นั่นก็ไม่นับว่าสำคัญอะไร แต่ห
ยางหนิงในวันนี้ เขาเป็นถึงจิ่นอีโหว ฐานะของเขาทั้ง
คู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
ตอนนี้หยางหนิงสั่งให้เขาคุกเข่าลง ตามหลักประเพณี
ของแคว้นฉู่ โต้วเหลียนจงจะปฏิเสธไม่ได้เลย
แต่ตอนนี้สายตาของทุกคนกำลังจับจ้องมาที่เขาอยู่
จะให้เขาคุกเข่าให้หยางหนิง โต้วเหลียนจงจะยอมได้
อย่างไร
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่เบิกบานใจดัง
ขึ้นมา เสียงที่อบอุ่นดังขึ้นว่า “ฉีหนิง คนกันเองทั้งนั้น
แค่ล้อเล่นกัน เจ้าอย่าโกรธไปเลยนะ”
ทุกคนหันไปตามเสียง เห็นชายผู้นั้นหนึ่งกำลังไขว้หลัง
เดินเข้ามา เขาคือเด็กคนที่ยืนอยู่ริมเรือก่อนหน้านี้
หยางหนิงได้ยินเสียงของเขา ก็รู้ทันทีว่าเขาคิดผิดม
หันแล้ว
เมื่อครู่เห็นเพียงด้านหลังของเขาเท่านั้น จึงคิดว่าเขา
เป็นเพียงเด็กอายุสิบสองสิบสามปีเท่านั้น แต่ฟังดูจาก
น้ำเสียงของเขาแล้ว คงไม่ใช่เด็กอายุสิบกว่าแน่ๆ
รูปร่างของชายผู้นี้ไม่ได้สูงมาก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเตี้ย
เมื่อเดินเข้ามา หลับมีสง่าราศีไม่น้อย
เมื่อได้ยินเสียงของเขา โต้วเหลียนจงเหมือนจะถอน
หายใจด้วยความสบายใจ จากนั้นก็หันไปคำนับแล้ว
พูดว่า “ซื่อจื่อ”
เมื่อเขาเดินมาถึงข้างๆ โต๊ะ ติงอี้ถูที่นั่งอยู่จึงลุกขึ้นมา
แสดงให้เห็นถึงความเคารพเป็นอันมาก ชายผู้นั้นจึง
นั่งลงบนเก้าอี้ ยิ้มแลเวกวักมือเรียกหยางหนิงให้เข้า
มา “ฉีหนิง เจ้ามานั่งตรงนี้” จากนั้นก็พูดว่า “เจ้าคง
ไม่รู้จักข้าใช่หรือไม่ ข้าชื่อเซียวจ้าวจง”
ต้วนฉางไห่กับหยวนหรงยกมือขึ้นคำนับเขาพร้อมกัน
“คารวะท่านซื่อจื่อ” ต้วนฉางไห่หันไปพูดกับหยางห
นิงว่า “โหวเยวี่ย ท่านนี้คือไหวหนานอ๋องซื่อจื่อ!”
ครั้งนี้ทำให้หยางหนิงประหลาดใจไม่น้อย
ตอนที่เขาอยู่วัดต้ากวงหมิง ได้ยินเรื่องของไหวหนาน
อ๋องซื่อจื่อจากปากของเจินปี้มาบ้าง ตามที่เจินปี้บอก
ไหวหนานอ๋องซื่อจื่อไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ว่าบนตัวเขา
กลับมีเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง คือมีผีตามสิงเขาอยู่ มี
อาการกำเริบอยู่บ่อยครั้ง เมื่อไหร่ก็ตามที่มีอาการ ก็
จะจำใครไม่ได้เลย
แต่ไหวหนานอ๋องซื่อจื่อในตอนนี้ ดูสุขุมเยือกเย็นไม่
น้อย
หยางหนิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เดินเข้าไป ยก
มือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “คารวะท่านซื่อจื่อ”
ถึงแม้เขาจะเป็นจิ่นอีโหว ตามบรรดาศักดิ์แล้วจะสูง
กว่าเซียวจ้าวจง แต่เซียวจ้าวจงเป็นถึงเชื้อพระวงศ์
ชั้นสูง มีสายเลือดของราชวงศ์ สายเลือดตรงแบบนี้
บรรดาศักดิ์อะไรก็เทียบไม่ได้เลย
ท่านั่งของเซียวจ้าวจงนั้นแปลกมา เขากวักมือแล้วพูด
ว่า “มานั่งคุยกันตรงนี้เถอะ”
หยางหนิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แต่ก็นั่งลงตรงหน้าของเซียว
จ้าวจง
พวกจูอวี่เฉินจนถึงตอนนี้ก็เพิ่งจะได้สติคืนมา ในใจ
เขายังตกใจไม่หาย พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าจิ่นอีโหวจะ
อยู่ข้างๆ ตัวพวกเขามาโดยตลอด อีกอย่างพวกเขาก็
คิดไม่ถึงอีกว่าไหวหนานอ๋องซื่อจื่อก็อยู่บนเรือลำนี้
ด้วย
“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรง” เซียวจ้าวจงยื่นมือ
ไปแกะถั่ว แล้วพูดว่า “ท่านพ่อไม่ค่อยให้ข้าได้ออกไป
ไหน ข้าเองก็ไม่ชอบออกจากจวนด้วย ปกติข้าก็จะอยู่
แต่ในจวน ไม่ค่อยได้ไปไหน” จากนั้นก็หันไปมองโต้ว
เหลียนจง ยิ้มพรางพูดไปด้วย “เหลียนจงเขาก็หวังดี
พาข้าออกมาเดินเล่น บังเอิญซุยอวิ๋นเองก็มาจากตง
ไห่ด้วย ตอนข้ายังเล็กๆ ข้าเคยตามท่านพ่อไปที่ตงไห่
ก็เลยได้รู้จักกับซุยอวิ๋น ครั้งที่ซุยหวินมาที่นี่ ก็ถือว่าได้
พบเพื่อนเก่า”
หยางหนิงยิ้ม เขาพบว่า คำพูดของเซียวจ้าวจง
จังหวะการพูดไม่ช้าไม่เร็วเกินไป เขาควบคุมจังหวะได้
ดีมาก น้ำเสียงของเขาก็ดูอ่อนโยน ทำให้คนที่ฟังนั้น
รู้สึกสบายใจ ตอนที่เขาพูดเอง สีหน้าก็เปี่ยมไปด้วย
รอยยิ้ม ทำให้คนรู้สึกถึงความเป็นมิตร
“เรื่องหึงหวง เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นบนแม่น้ำฉิน
ไหว” เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “เหลียนจงไปพาตัว
จูอวี่เฉินกับพวกมาที่นี่ จริงๆ ก็เพราะเรื่องหึงหวง
คนเราก็มักมีท่าทีอวดดีด้วยกันทั้งนั้น เพราะกังวลว่า
จะถูกคนอื่นแย่งตัดหน้าไป เรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่ได้มี
อารมณ์จะไปสนใจ”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านพูดถูกแล้ว เรื่อง
ความหึงหวง มันไม่ได้ทำร้ายใคร แต่การอาศัยอำนาจ
บารมีรังแกคนอื่น ดูเหมือนมันจะมากเกินไปหน่อย
บนน่านน้ำฉินไหว การคัดเลือกราชินีดอกไม้ เดิมทีก็
อาศัยอิทธิพลการเงิน หากพาคนไปข่มขู่แก้แค้นแบบ
นี้ การคัดเลือกราชินีดอกไม้ก็ไม่จำเป็นต้องจัดขึ้นมา
อีก ใครมีกำลังมากกว่า ใครมีฐานะสูงกว่า ก็ยกให้เขา
ไปเลยจะไม่ดีกว่าหรือ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...” เซียวจ้าวจงหัวเราะได้ใจ แล้วพูดว่า
“คนของจิ่นอีโหวตระกูลฉี ตรงไปตรงมาจริงๆ เป็น
เอกลักษณ์เฉพาะตัวของคนตระกูลฉีจริงๆ” จากนั้น
เขาก็หันไปมองโต้วเหลียนจง แล้วพูดว่า “เหลียนจง
เจ้าได้ยินหรือไม่?”
โต้วเหลียนจงดูยำเกรงเซียวจ้าวจงไม่น้อย เขายกมือ
คำนับแล้วพูดว่า “เหลียนจงทราบแล้ว”
“จิ่นอีโหวพูดถูกแล้ว เรื่องอะไรก็ตามก็ต้องมีกฎมี
เกณฑ์ วันนี้ไม่ได้ประลองกำลังไม่ได้ประลองความรู้
แต่ประลองกันด้วยจำนวนเงิน” เซียวจ้าวจงยิ้มแล้ว
พูดว่า “เรื่องนี้ขอให้พอแค่นี้ อย่าให้เรื่องนี้ทำให้ทุก
คนไม่สบายใจเลยนะ” จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น “ริน
เหล้าให้พวกจูอวี่เฉินเดี๋ยวนี้”
ไม่นานนัก ก็มีสาวใช้เดินเข้ามา แล้วรินเหล้าให้กับ
พวกของจูวอวี่เฉิน รวมถึงหยวนหรงกับต้วนฉางไห่
ด้วย
ตัวของเซียวจ้าวจงเองก็ยกเหยือกเหล้าขึ้นมารินใส่
แก้วใบใหม่ให้กับหยางหนิงด้วยตนเอง จากนั้นก็ยก
แก้วเหล้าขึ้นพูดกับพวกจูอวี่เฉินว่า “การมาที่ฉินไหว
แห่งนี้ จริงๆ ก็มาเพื่อหาความสุขกัน เหลียนจงทำไม่
ถูก ถึงแม้จะไม่ใช่คำสั่งของข้า แต่ข้าเองก็ไม่ได้ห้าม
เขา ก็ถือว่าข้าเป็นคนผิดด้วย มา ดื่มเหล้าแก้วนี้ให้
หมดจอก และถือว่าเรื่องนี้เลิกแล้วต่อกันไป”
พวกของจูอวี่เฉินไม่ใช่คนโง่ เซียวจ้าวจงเสนอให้ดื่ม
เหล้าด้วยตัวเอง มันเป็นเรื่องที่ฝันก็ไม่กล้าที่ฝันเลย
แต่ว่าราศีของเซียวจ้าวจงเองก็ไม่ใช่ย่อย พวกเขารู้ดี
ว่าหากไม่ใช่ว่าเซียวจ้าวจงเห็นแก่หน้าของหยางหนิง
ไหวหนานอ๋องซื่อจื่อ จะมารินเหล้าดื่มกับพวกเขาได้
หรือ?
พวกเขาเห็นท่าทีของเซียวจ้าวจงแล้ว ก็รู้สึกซาบซึ้งใจ
ต่อหยางหนิงมากที่ปกป้องพวกเขา เขายกเหล้าขึ้นมา
แล้วดื่มจนหมด
หยางหนิงเห็นเซียวจ้าวจงยกเหล้าขึ้นดื่มจนหมด เขา
เองก็ยกเหล้าขึ้นมาดื่มเหมือนกัน
โต้วเหลียนจงดูเหมือนไม่ค่อยพอใจ แต่เซียวจ้างจงพูด
ขนาดนี้แล้ว เขาเองก็ไม่กล้าพูดอะไร
หยางหนิงวางแก้วเหล้าลง แล้วหันไปมองติงอี้ถูที่อยู่
ข้างๆ เห็นติงอี้ถูยืนมือไขว้หลังเอาไว้ สายตาจ้องมาที่
ตัวเขา เขาจึงยิ้มแล้วถามว่า “ท่านหัวหน้าติงมอง
อะไรหรือ?”
“ข้ากำลังมองหน้าตาของโหวเยวี่ยอยู่” ติงอี้ถูยิ้ม
“อ๋อ?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วหน้าตาของข้า
มันเป็นอย่างไรเล่า?”
ติงอี้ถูยิ้มแล้วพูดว่า “จริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไร โหวเยวี่ย
ท่านอาจจะไม่รู้อะไร ข้าน้อยเคยเป็นลูกน้องใต้
บัญชาการของท่านแม่ทัพใหญ่ ทำงานให้กับราช
สำนัก มีความเคารพต่อท่านแม่ทัพใหญ่มาก ถึงแม้
ท่านแม่ทัพใหญ่จะสิ้นไปแล้ว แต่ว่าน้ำเสียงหน้าตา
รอยยิ้มของท่าน ข้าน้อยจดจำเอาไว้ในใจเสมอ”
“เจ้าคิดจะหาเงาของท่านพ่อในตัวข้าหรือ?”
ติงอี้ถูถอนหายใจแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ข้าไม่กล้าพูด
ตรงๆ”
“อ๋อ?” หยางหนิงยิ้ม “ยังมีอะไรที่ท่านหัวหน้าติงไม่
กล้าพูดอีกหรือ?”
ติงอี้ถูพูดว่า “โหวเยวี่ยล้อข้าเล่นแล้ว ข้าน้อยก็แค่คน
ที่ทำงานด้านการคุ้มภัยสินค้า ไม่กล้าพูดอะไรให้มาก
ความหรอก”
เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “ติงอี้ถู เจ้าก็เลิกเล่นลิ้นได้
แล้ว มีอะไรก็พูดมา ต่อให้พูดอะไรผิด เจ้าคิดว่า
จิ่นอีโหวจะเอาเรื่องเจ้าหรืออย่างไร?”
ติงอี้ถูพูดว่า “โหวเยวี่ย ขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ ข้าไม่
เห็นเงาของท่านแม่ทัพใหญ่ในตัวของท่านเลย”
หยางหนิงรู้สึกใจกระตุกวาบ แต่วา่ สีหน้าของเขายัง
นิ่งอยู่ เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร
รึ?”
ติงอี้ถูพูดว่า “หน้าตาของท่านโหวเยวี่ย น่าจะเหมือน
ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่มากกว่า”
“ท่านหัวหน้าติงพูดแบบนี้ เหมือนจะรู้เรื่องในจวน
จิ่นอีโหวของพวกเราดีเลยทีเดียวนะ?” หยางหนิงพูด
ว่า “หัวหน้าติง จริงๆ ข้าเองก็มีเรื่องอยากจะขอคำ
ชี้แนะกับท่านหน่อย”
“ข้าจะกล้าชี้แนะท่านได้อย่างไร” ติงอี้ถูพูดว่า “หาก
โหวเยวี่ยมีสิ่งใดจะสั่ง ข้าน้อยจะทำให้อย่างเต็มที่”
หยางหนิงจ้องไปที่ตาของติงอี้ถูแล้วถามว่า “ที่เมือง
หุ่ยเจ๋อมีมือปราบคนหนึ่งชื่อว่าเซียวอี้ชุ่ย เขาบอกว่า
เขารู้จักกับหัวหน้าติงเป็นอย่างดี ไม่ทราบว่าเรื่องนี้
จริงหรือไม่?”
ตอนที่เขากำลังถามเขาไม่ได้กระพริบตาแม้แต่ครั้ง
เดียว เห็นสายตาของติงอี้ถูเหมือนจะมีความตกใจอยู่
ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หายไป แต่มันก็ไม่อาจรอดพ้น
สายตาของหยางหนิงไปได้
ตอนนี้หยางหนิงแน่ใจแล้วว่า การค้ามนุษย์ที่เมือง
หุ่ยเจ๋อ คนร้ายตัวจริงก็คือสำนักคุ้มภัยซวี่ยื่อแน่นอน
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 163 เป็นหนี้ต้องชดใช้
ติงอี้ถูไม่ได้พูดอะไร แต่โต้วเหลียนจงกลับเดินออก
มาแล้วพูดว่า “ท่านหัวหน้าติงเดินทางไปทั่วแผ่นดิน
อาศัยเส้นสายในการทำการค้า รู้จักคนนับไม่ถ้วน ข้า
ว่า คนที่ท่านหัวหน้าติงรู้จักน่าจะมีมากอยู่ คิดว่าท่าน
หัวหน้าติงอาจจะไม่รู้จักทุกคนหรอกกระมัง”
หยางหนิงก็ไม่ได้เถียงอะไรกลับ เขาแค่ยิ้มแล้วพูดว่า
“คุณชายโต้ว ได้ยินมาว่าบนแม่น้ำฉินไหวแห่งนี้ มีเรือ
สำราญของเจ้าอยู่หลายลำ ไม่รู้ว่าเป็นความจริง
หรือไม่?”
“หากว่าเป็นอย่างนั้นแล้วท่านจะทำไมรึ?” โต้ว
เหลียนจงย้อนถามกลับไป
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ไม่ได้อะไร” จากนั้นก็หัน
ไปหาหยวนหรงแล้วถามว่า “หยวนหรง เรือสำราญ
ของแม่นางเจินจู เป็นของคุณชายโต้วหรือไม่?”
หยวนหรงยังไม่ทันจะอ้าปากตอบ โต้วเหลียนจงก็พูด
ว่า “ถูกต้อง เรือสำราญลำนั้นของข้าเอง หลายปีก่อน
หอไป๋เป่าของคนแซ่เสวียกิจการไม่ดีค้างหนี้ข้าก้อน
หนึ่ง เจ้าบ้านั่นคิดจะตายเพื่อหนีหนี้ ติดหนี้ก็ต้อง
ชดใช้ เจินจูเป็นอนุภรรยาของเขา ก็สามารถนำมา
ชดใช้แทนหนี้ได้”
“ที่แท้เจินจูก็ถูกเจ้าเอามาใช้หนี้” หยางหนิงพูดว่า
“ถ้าอย่างนั้น สัญญาขายตัวของเจินจูก็อยู่ในมือเจ้า
ถูกหรือไม่?”
โต้วเหลียนจงเหมือนกับว่าตั้งใจจะประชดหยางหนิง
กับหยวนหรง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ผิด สัญญาขายตัว
ของนางอยู่ที่ข้า ตามกฎหมายของต้าฉู่ เจินจูเป็นของ
ข้า ก็เหมือนวัวเหมือนม้านั่นแหละ เมื่อครู่นางไม่เชื่อ
ฟังคำสั่งข้า เดี๋ยวข้าต้องสั่งสอนนางสักหน่อยแล้ว”
จากนั้นก็เหลือบไปที่หยวนหรง แล้วพูดว่า “คุณชาย
หยวน ได้ยินมาว่าตอนนั้นเจ้ากับคนแซ่เสวียไปมาหา
สู่กันดีนิ ได้ยินมาว่าเจ้ายังรับปากเขาจะช่วยดูแลเจินจู
ด้วย อยากจะไถ่ตัวเจินจูออกไปหรือไม่?”
ใบหน้าที่ขาวนวลของหยวนหรงเริ่มแดงก่ำขึ้นมา
เล็กน้อย แล้วแค่นเสียงเย็นชา “คุณชายโต้ว จะทำ
อะไรก็อย่าให้มันมากเกินไปนัก”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า หยวนหรง เจ้าเกิดในตระกูลบัณฑิต จะ
ทะนุถนอมอ่อนโยนกับใครมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
โต้วเหลียนจงพูดอย่างสะใจว่า “แต่ว่าข้าแค่กังวลว่า
หากเจ้าจะไถ่ตัวเพื่อหญิงนางโลมคนหนึ่งแล้ว จวน
ของพวกเจ้าจะมีเงินมากพอที่จะไถ่ตัวนางหรือไม่?
ต่อให้มีเงินมาไถ่ตัวนางไปได้จริง ผู้หญิงที่ผ่านผู้ชาย
มานับหมื่นคนอย่างนางจะเข้าจวนเจ้าได้หรือ? ข้า
เกรงว่าท่านราชเลขาหยวนจะตีขาเจ้าจนหัก
มากกว่า”
หยวนหรงพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้า...” เขาโกรธจน
พูดไม่ออก
จูอวี่เฉินเห็นดังนั้น จึงลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วถามอย่าง
ระวังว่า “คุณชายโต้ว ไม่ทราบว่า...ไม่ทราบว่าหากจะ
ไถ่ตัวแม่นางเจินจู ต้องใช้เงินมากมายเพียงใดหรือ?”
วันนี้หยางหนิงช่วยพวกเขา จูอวี่เฉินรู้สึกซาบซึ้งใจไม่
น้อย เห็นหยางหนิงกัหยวนหรงปรารถนาที่จะไถ่ตัว
แม่นางเจินจู จึงคิดยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เพื่อตอบแทน
น้ำใจของพวกเขา
เขารู้ดีว่า การคัดเลือกราชินีดอกไม้ที่แม่น้ำฉินไหว
แห่งนี้ต้องใช้เงินหลายตำลึงทอง แต่ว่าหากจะไถ่ตัว
ผู้หญิงที่แม่น้ำฉินไหว มันไม่ได้ใช้เงินมากขนาดนั้น ต่อ
ให้เป็นผู้หญิงที่มีชื่อเสียงมากเพียงใดก็ตาม ด้วยฐานะ
การเงินของตระกูลจูในตอนนี้ ก็ถือว่าเป็นเพียงเรื่อง
เล็กน้อยเท่านั้น
ตอนนี้ผู้หญิงที่ค่าตัวสูงที่สุดในแม่น้ำฉินไหว ก็คือ
ผู้หญิงแปดคนบนเรือสำราญหลวง เจินจูไม่ได้เป็น
หนึ่งในแปดคนนั้น หากราคาแพงกว่านี้ก็คงใช้เงินไม่
เท่าไหร่
“เหตุใดเศรษฐีใหญ่อย่างคุณชายจูอยากจะไถ่ตัวเจินจู
เล่า?” โต้วเหลียนจงหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าเป็นคนมี
เหตุผล ขอแค่มีเงินจ่ายค่าตัวก็สามารถไถ่ตัวออกไปได้
ข้าก็ไม่ได้สนใจหญิงนางโลมคนหนึ่งว่าจะอยู่หรือไม่
หรอกนะ แต่ว่าเจินจูเป็นหญิงที่มาทำงานเพื่อชดใช้
หนี้ เจ้าจะไถ่ตัวนาง ก็ต้องชำระหนี้ที่หอไป๋เป่าค้างข้า
เอาไว้ทั้งหมดมา” จากนั้นก็ยกมือขึ้น แล้วลูบไปที่คาง
“การค้าทั้งหมดของตระกูลจู ก็น่าจะพออยู่”
จูอวี่เฉินหน้าถอดสีไป ในใจก็คิดว่าโต้วเหลียนจงโก่ง
ราคามากขนาดนี้ คิดจะไถ่ตัวเจินจูนั้นคงยาก
เซียวจ้าวจงก็ไม่ได้พูดอะไร นั่งแกะถั่วลิสงไปเรื่อยๆ
เขาเหมือนจะชอบกินถั่วลิสงไม่น้อย และก็ชอบความ
สนุกเพลิดเพลินในการแกะถั่วด้วยเช่นกัน
หยางหนิงมองอยู่ เขายิ้มแล้วพูดกับเซียวจ้าวจงว่า
“ซื่อจื่อ จริงๆ วันนี้ข้าไม่ได้คิดจะมาทวงหนี้เก่าอะไร
เลย แต่ในเมื่อคุณชายโต้วพูดถึงหนี้เก่าขึ้นมาก่อน
วันนี้ข้าก็ถือโอกาสทวงหนี้ตรงนี้เลยล่ะกัน”
เซียวจ้าวจงนิ่งเขายิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหวจะทวงหนี้
กับใครเล่า?”
หยางหนิงกวักมือเรียกโต้วเหลียนจงมา แล้วพูดว่า
“เจ้ามานี่”
ท่าทางของเขาไม่ได้มีความเกรงใจเลย โต้วเหลียนจง
รู้สึกโกรธไม่น้อย “เจ้าบอกให้ข้าไปข้าก็ต้องไปรึ?”
“ข้าจะทวงหนี้กับเจ้า เจ้าก็ต้องมาหาข้าสิ” หยางหนิง
หยิบของชิ้นหนึ่งออกมา ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเป็นคน
กลัวไม่มีเงินใช้มากที่สุดเลย ดังนั้นข้าก็เลยพกของล้ำ
ค่าชิ้นนี้ไว้กับตัวไม่ห่างเลย” เขาสะบัดมันออกมา มัน
เป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง เซียวจ้าวจงมองไปที่กระดาษ
แผ่นนั้นด้วยความสงสัย โต้วเหลียนจงมองไปยัง
กระดาษแผ่นนั้น สีหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนสีไปทัน
ควัน
“ท่านซื่อจื่อ นี่เป็นใบค้างหนี้ที่ใต้เท้าโม่แห่งจวนผู้ว่า
การเมืองหลวงให้คุณชายโต้วลงนามประทับ
ลายนิ้วมือหลังจากที่ได้ไต่สวนแล้ว” หยางหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “คุณชายโต้วเมื่อครู่เขาก็พูดเองว่า เป็นหนี้
ก็ต้องใช้หนี้ ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้คิดบัญชีกัน”
โต้วเหลียนจงอดไม่ได้จึงพูดขึ้นมาว่า “ฉีหนิง นั่นมัน
เป็นเพราะเจ้าโกง ข้า...”
“ข้าอะไร?” หยางหนิงทำหน้าสุขุมเยือกเย็น “เจ้าจะ
ไม่รับผิดชอบหรือ?” เขาแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
ซื่อจื่ออยู่ที่นี่ด้วย จวนผู้ว่าการเมืองหลวงเป็นตัวแทน
กฎหมายของต้าฉู่ เจ้าไม่ยอมรับผิดชอบ แสดงว่าเจ้า
ไม่ได้เห็นกฎหมายของต้าฉู่อยู่ในสายตาของเจ้าเลย
แม้แต่น้อย แม้แต่กฎหมายเจ้ายังไม่ยอมรับ ซื่อจื่อ
แบบนี้ถือว่าเป็นกบฏหรือไม่?”
เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ว่าใครก็ตาม ก็ต้อง
เคารพกฎหมายของบ้านเมือง”
“ซื่อจื่อท่านพูดได้ดี” หยางหนิงหัวเราะร่าออกมา
“โต้วเหลียนจงทำสมบัติสืบทอดจวนจิ่นอีโหวเสียหาย
เดิมทีเห็นแก่หน้าคุณชายโต้ว ข้าไม่คิดจะไปทวงหนี้ที่
จวนของท่าน เพราะเห็นว่าตระกูลโต้วก็เป็นตระกูล
ใหญ่ ไม่มีทางติดหนี้แล้วไม่ชดใช้แน่นอน แต่ว่าข้ารอ
แล้วรอเล่า ก็ไม่เห็นคุณชายโต้วจะมาชดใช้หนี้ที่จวน
ของข้าเลย วันนี้ซื่อจื่อท่านอยู่ที่นี่ด้วยก็ดีแล้ว หนี้ก้อน
นี้พวกเราก็มาตกลงกันเสียที่นี่แหละ”
โต้วเหลียนจงพูดด้วยความโมโห “สมบัติสืบทอดอะไร
กัน มันก็แค่แผนลวงที่เจ้าวางไว้ มันก็แค่ม้าหยกหลิว
หลีธรรมดาไม่มีราคาค่างวดอะไรเจ้าก็บอกว่ามันเป็น
สมบัติสืบทอดตระกูลได้หรือ...”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายโต้ว เจ้าพูดแบบนี้
คิดจะไม่ทำตามสัญญารึ? หากเจ้าจะเอาแบบนี้ ก็ได้
ข้าจะได้ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท แล้วให้ทางจวนผู้ว่านำ
บันทึกคำให้การขึ้นศาลสอบสวนใหม่ เจ้าจะเอาอย่าง
นั้นหรือไม่?”
โต้วเหลียนจงสีหน้าเปลี่ยนไป
จริงๆ สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือการเอาบันทึก
คำให้การในวันนั้นมาเปิดเผย ที่ศาลวันนั้น โต้ว
เหลียนจงพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปไม่น้อย หลายคำ
เป็นคำที่หมิ่นเบื้องสูง ถึงแม้จะทำไปเพราะ
สถานการณ์บีบบังคับ แต่ว่าจะว่าพูดเบาก็มี พูดหนัก
เลยก็มาก หากมีปัญหาขึ้นมาจริงๆ ตระกูลโต้วเองก็
รับมือไม่ไหวแน่นอน
หยางหนิงรู้อยู่แล้วว่าโต้วเหลียนจงคิดอะไรอยู่ เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “คุณชายโต้ว จะเอาอย่างไรก็ว่ามา จะ
ยอมชดใช้หรือไม่?”
เจียงซุยอวิ๋นเห็นสีหน้าของโต้วเหลียนจงค่อนข้าง
กระอักกระอ่วน เขายิ้มพรางพูดไปด้วย “โหวเยวี่ย
ม้าหลิวหลีหนึ่งตัว มันก็ไม่น่าจะเกินสองร้อยตำลึง ถ้า
อย่างนั้น หนี้ของคุณชายโต้ว ข้าจะชดใช้แทนให้ ไม่
ทราบว่าเงินหนึ่งพันตำลึงเพียงพอหรือไม่?”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คุณชายเจียง ข้ารู้ว่า
ตระกูลของเจ้าเป็นมหาเศรษฐีที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่
ว่าเจ้าจะชดใช้หนี้แทนคุณชายโต้ว มันหมายความว่า
อย่างไรกัน? คุณชายโต้วไม่ได้เป็นขุนนาง แต่ว่า
อย่างไรก็เป็นคุณชายของจวนท่านราชเลขากรมพระ
คลัง พ่อค้าคนหนึ่งช่วยใช้หนี้แทนลูกชายของท่านราช
เลขากรมพระคลัง เรื่องนี้มัน...”
เจียงซุยอวิ๋นหน้าถอดสีไป
เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว ซุยอวิ๋นกับจง
เหลียนรู้จักกันมานานหลายปี รักกันเหมือนพี่เหมือน
น้อง ไม่ได้คบหากันที่ฐานะ ซุยอวิ๋นเองก็ร้อนใจแทน
เหลียนจงก็เท่านั้น จึงพูดจาผิดพลาดไปบ้าง” จากนั้น
ก็หันไปพูดกับโต้วเหลียนจงว่า “เหลียนจง นี่เป็นหนี้
ระหว่างเจ้ากับท่านโหวเยวี่ย พวกเจ้าตกลงกันเอง คน
อื่นห้ามยุ่งเด็ดขาด”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อทรงฉลาดไม่น้อย”
เขาวางใบค้างหนี้บนโต๊ะ แล้วพูดว่า “คุณชายโต้ว ว่า
มาสิ เจ้าคิดจะใช้หนี้ก้อนนี้อย่างไร”
“เอ่อ...” โต้วเหลียนจงถูกหยางหนิงจี้จุดอ่อน เขาไม่มี
ทางเลือก จึงพูดด้วยความคับแค้นว่า “ท่านว่ามา
ต้องการเงินเท่าใด จะได้จบครั้งเดียวไปเลย”
“เจ้าต้องเข้าใจนะว่า สมบัติสืบทอดของจวนจิ่นอีโหว
เป็นของพระราชทาน ประเมินค่าไม่ได้” หยางหนิง
พูดว่า “เอาอย่างนี้ สัญญาขายตัวของเจินจู เอามาให้
ข้า จริงสิ เรือสำราญของเจินจูนางก็อยู่มาแล้วสองปี
ก็ถือว่ายกให้แม่นางเจินจูไปด้วยก็แล้วกัน”
โต้วเหลียนจงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แค่นี้ก็จบแล้ว
หรือ?”
“เจ้าอย่าได้ฝันว่ามันจะจบเท่านี้” หยางหนิงพูดอย่าง
ไม่เกรงใจว่า “นี่ถือเป็นเงินก้อนแรกที่เจ้าชดใช้ให้ข้า
หนี้ที่เหลือ ค่อยมาว่ากันทีหลัง”
โต้วเหลียนจงยิ้มหน้าเจื่อแล้วพูดว่า “เจ้ามันขี้โกง เจ้า
คิดจะใช้ใบค้างหนี้ใบเดียว มาโขกสับข้าเมื่อใดก็ได้
อย่างนั้นรึ?”
“ข้าไม่อยากพูดจาไร้สาระกับเจ้าหรอกนะ”
หยางหนิงพูดว่า “หากเจ้าไม่ตกลง ข้าก็จะไปเอา
บันทึกคำให้การที่จวนผู้ว่าเดี๋ยวนี้เลย จากนั้นก็ไปเข้า
เฝ้าฝ่าบาท” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “สมบัติ
พระราชทาน ถูกเจ้าทำลายไป เจ้ายังมานั่งต่อรองกับ
ข้าอีก เจ้าดูหมิ่นของพระราชทานถึงเพียงนี้ เรื่องนี้
พวกเราต้องพูดกันให้รู้เรื่อง”
โต้วเหลียนจงกลัวอย่างหนิงพูดถึงบันทึกคำให้การ
ที่สุด เขาฝืนพูดว่า “เจ้า...เจ้าอย่ามาฉวยโอกาส
ซ้ำเติมกันแบบนี้นะ”
“ฉวยโอกาสซ้ำเติมหรือ?” หยางหนิงหัวเราะแล้วพูด
ว่า “คุณชายโต้ว เจ้าเคยเรียนหนังสือหรือไม่? เจ้า
เป็นเพื่อนกับตระกูลเจียงตระกูลมหาเศรษฐีอันดับ
ต้นๆ ยังได้รับการคุ้มครองจากหัวหน้าสำนักคุ้ม
ภัยซวี่รื่ออีก จะมีใครกล้าซ้ำเติมเจ้าได้อีกเล่า?” เขา
ลุกขึ้นยืน แล้วยกมือคำนับเซียวจ้าวจงแล้วพูดว่า
“ท่านซื่อจื่อ โต้วเหลียนจงพูดจาบ่ายเบี่ยง ข้าคิดว่า
เขาจะไม่ทำตามสัญญาแน่นอน เขาไม่เห็นของ
พระราชทานอยู่ในสายตา แต่ทางจวนจิ่นอีโหวเห็น
มันเป็นสมบัติอันล้ำค่า ข้าคงทำได้แค่เข้าเฝ้าทูลกับฝ่า
บาทแล้ว” จากนั้นก็เดินไป แล้วพูดว่า “ต้วนฉางไห่
พวกเราไปที่จวนผู้ว่าการเดี๋ยวนี้เลย ไปหาใต้เท้าโม่
ให้ใต้เท้าโม่เอาบันทึกคำให้การมา พวกเราจะเข้าวัง
กันในคืนนี้เลย”
ต้วนฉางไห่รีบตอบรับ “ข้าน้อยรับบัญชา”
โต้วเหลียนจงเห็นหยางหนิงท่าทางเอาจริงเอาจัง ก็รีบ
พูดว่า “เจ้า...เจ้ารอเดี๋ยว ข้า...ข้ารับปากเจ้าก็ได้”
“อ๋อ?” หยางหนิงหันหลังกลับมา แล้วจ้องไปที่โต้ว
เหลียนจง “คุณชายโต้ว ท่านซื่อจื่ออยู่ที่นี่ด้วย มีท่าน
เป็นพยานให้ เจ้าจะมารับปากส่งเดชไม่ได้นะ เจ้าจะ
รับปากข้าเรื่องอะไร?”
โต้วเหลียนจงเหลือบไปมองเซียวจ้าวจง เห็นเซียวจ้าว
จงกำลังนั่งแกะถั่งลิสงอยู่อย่างสบายใจ ไม่แม้แต่จะ
มองเขาเลย เขาก็จนปัญญา แล้วพูดว่า “ข้า...ข้าจะ
เอาสัญญาขายตัวของเจินจูให้เจ้า ตั้งแต่นี้ต่อไป เจินจู
เป็นคนของเจ้า เรือสำราญลำนั้น...เรือสำราญลำนั้นก็
เป็นของเจ้าด้วย”
“ทุกคนได้ยินแล้วใช่หรือไม่” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“คุณชายโต้ว สัญญาขายตัวตอนนี้อยู่ที่ใด? เอามาให้
ข้าตอนนี้เลยได้หรือไม่?”
โต่วเหลียนจงพูดว่า “คนในจวนของข้ามีมากขนาด
นั้น ข้าคงไม่พกสัญญาขายตัวทั้งหมดไว้กับตัวหรอก
นะ เดี๋ยวข้าจะให้คนไปเอามาให้”
“เรื่องดีขนาดนี้ไม่ควรข้ามคืน” หยางหนิงเงยหน้า
มองฟ้า “อย่างน้อยต้องไม่ถึงยามจื่อ (23.00 -
24.59) เจ้าให้คนขี่ม้าเร็วไปเอามา จากตรงนี้ไปกลับ
คงใช้เวลาไม่นานมาก ก่อนยามจื่อ สัญญาขายตัวกับ
เรือสำราญนั่นจะต้องอยู่ในมือของข้า”
โต้วเหลียนจงโมโหไม่น้อย เขาเดินไปสั่งให้คนไปเอา
มา คนติดตามของเขารับคำสั่งแล้วก็จากไป จากนั้น
โต้วเหลียนจงก็เดินกลับมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงโมโห
ว่า “ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ”
“คุณชายโต้ว เจ้าอย่าโทษข้าเลยนะ คนอย่างเจ้า ข้า
ไม่ค่อยเชื่อใจเท่าไหร่” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ตอนนี้เจ้าเขียนอะไรให้ข้าสักอย่าง เพื่อแสดง
เจตจำนงว่าเจ้ายกแม่นางเจินจูกับเรือสำราญให้ข้า
แล้ว ต้องเขียนให้ชัดเจนด้วย...” จากนั้นเขาก็คิด แล้ว
พูดว่า “ข้าเขียนเองดีกว่า ใครก็ได้ เอาหมึกกับพู่กัน
มาให้ข้าที”
คนรอบๆ ไม่มีใครขยับเลย หยางหนิงขมวดคิ้ว “อะไร
กัน เหตุใดถึงไม่มีใครสนใจเลย?”
โต้วเหลียนจงพูดด้วยความโกรธว่า “เอาหมึกกับ
กระดาษมาให้เขา”
คนพวกนั้นถึงได้ไปเอาหมึกกับกระดาษมาให้ หยาง
หนิงเขียนรายละเอียดลงไปอย่างชัดเจน แล้วให้โต้ว
เหลียนจงลงชื่อแล้วประทับลายนิ้วมือด้วย โต้วเหลียน
จงอยากจะฉีกหยางหนิงออกเป็นชิ้นๆ คืนนี้ที่เขาไป
เอาตัวพวกจูอวี่เฉินมา เดิมทีคิดจะสั่งสอนพวกเขาสัก
หน่อย ใครจะคิดว่าจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองแท้ๆ
คิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่าพลาดท่าเข้าให้แล้ว
ตอนนี้เขาเพิ่มการระวังหยางหนิงเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เจ้าเด็กคนนี้เจ้าเล่ห์เพทุบายมากมายเกินไป เขากลัว
ว่าจะตกหลุมพรางหยางหนิงอีก เขาอ่านรายละเอียด
บนกระดาษไปหลายรอบ จากนั้นก็ให้เจียงซุยอวิ๋น
ช่วยดูอีกที ถึงยอมลงชื่อแล้วประทับตรา แล้วเอา
กระดาษให้หยางหนิงไป หยางหนิงรับกระดาษมาแล้ว
ก็พับเก็บเข้าเสื้อไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ
ข้าไม่รบกวนทุกท่านแล้ว ข้าจะกลับไปรอสัญญาขาย
ตัวที่เรือนั่น” เขาหันไปยกมือคำนับเซียวจ้าวจงแล้ว
พูดว่า “ท่านซื่อจื่อ ข้าน้อยขอตัวก่อน”
เซียวจ้าวจงหันหน้ามายิ้มแล้วพูดว่า “ในน่านน้ำฉิน
ไหว ทัศนียภาพสวยงามไม่มีที่ใดเทียบได้ จิ่นอีโหว
ท่านจะต้องมีความสุขเพลิดเพลินในคืนนี้ให้มากๆ
นะ!”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 164 บุญคุณ
หยางหนิงกับคนอื่นๆ กลับมาที่เรือสำราญของเจินจู
โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ พวกของจูอวี่เฉินเหมือนกับ
เพิ่งตื่นมาจากความฝัน เมื่อได้สติคืนมา ก็กำลังจะ
คุกเข่าคำนับ แต่หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากข้า
อยากจะให้พวกเจ้าคุกเข่าลง ก่อนหน้านี้ข้าคงบอก
ฐานะที่แท้จริงของข้าไปแล้ว? วันนี้เป็นงานเทศกาล
คัดเลือกราชินีดอกไม้ ก็เพื่อมาหาความสุขไม่ใช่หรือ
ในเมื่อได้มาเจอกันที่นี่ ก็ถือว่าเป็นวาสนา ไม่ต้องมาก
พิธี”
จูอวี่เฉินพูดด้วยความซาบซึ้งใจว่า “โหวเยวี่ยยึดมั่นใน
ความยุติธรรมออกหน้าช่วยเหลือพวกเรา หากไม่ได้
โหวเยวี่ย พวกเราคง...”
“พวกเจ้าไม่ต้องมาขอบใจข้าหรอก” หยางหนิงพูดว่า
“เป็นเพราะพวกเขาจับข้าไปด้วย ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่
มีโอกาสไปยุ่งเรื่องนี้หรอก”
จริงๆ แล้วพวกเขารู้ ไหวหนานอ๋องซื่อจื่อถึงแม้จะมี
ฐานะสูงส่ง แต่ว่าจิ่นอีโหวเองฐานะก็ไม่ธรรมดา อย่าง
น้อยไหวหนานอ๋องซื่อจื่ออย่างไรก็ไม่กล้าทำอะไรจิ่นอี
โหวแน่นอน
ก่อนหน้านี้หยางหนิงตั้งใจปกปิดฐานะของตัวเอง อีก
ทั้งยังเป็นคนเสนอให้ไปเรือสำราญลำนั้นด้วย ถึงแม้
พวกของจูอวี่เฉินจะไม่ได้ฉลาดอะไรมากมาย แต่พวก
เขาก็ไม่ได้โง่ ในใจรู้ว่าหยางหนิงต้องรู้ว่าเบื้องหลังของ
คนพวกนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน ดังนั้นก็เลยออกหน้า
เอง เพื่อปกป้องพวกเขา
ตอนนี้หยางหนิงทำตัวสบายๆ ไม่ได้หยิ่งยโสอะไร ยิ่ง
ทำให้พวกเขานับถือและซาบซึ้งมากขึ้นไปอีก
หยางหนิงหันไปมองหยวนหรง แล้วยื่นใบที่
โต้วเหลียนจงลงชื่อเอาไว้ให้เขาไป แล้วพูดว่า “อีก
เดี๋ยวโต้วเหลียนจงก็น่าจะให้คนเอาสัญญาขายตัวมา
ให้ หลังจากได้มาแล้วเจ้าก็เอาสัญญาขายตัวนั่นให้
แม่นางเจินจู คืนอิสรภาพให้กับนางเสีย”
เจินจูที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินดังนั้น ก็ตกใจ
หยวนหรงในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
เช่นกัน แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ข้า...” จากนั้นก็หันไป
หาเจินจูแล้วพูดว่า “เจินจู เจ้ามานี่เร็ว โหวเยวีย่ ช่วย
เอาสัญญาขายตัวของเจ้ามาจากโต้วเหลียนจงแล้ว
ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าเป็นอิสระแล้ว ไม่ต้องฟังคำสั่งของ
ใครอีก ยังไม่รีบมาขอบคุณโหวเยวี่ยอีก”
เจินจูตาแดงก่ำ สั่นไปทั้งตัว จากนั้นนางก็เดินเข้าไป
แล้วคุกเข่าลง หยางหนิงยกมือห้ามเอาไว้ “อย่าทำ
แบบนี้เลย ข้ารับไม่ไหว” เขาหันไปหาหยวนหรง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หยวนหรง ข้ามีคำพูดบางอย่าง
ทีไ่ ม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่จะพูดกับเจ้า ถ้าข้าไม่พูดมัน
ออกมา เกรงว่าจะต้องอึดอัดไปอีกหลายวัน”
“เจ้าอยากจะพูดอะไรหรือ?”
“คุณชายเสวียเป็นคนอย่างไร ข้าไม่รู้ แต่ว่าตอนนั้น
เจ้ารับปากคุณชายเสวียว่า จะดูแลแม่นางเจินจูเป็น
อย่างดี แต่เจ้ากลับไม่ได้ทำอะไรเลย” หยางหนิงพูด
ว่า “คำสัญญาลูกผู้ชายหนักเท่าทองพันชั่ง ในเมื่อเจ้า
รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้เจ้าต้องแหลกเป็นกระดูก
ก็ต้องทำมันอย่างเต็มที่”
เจินจูรีบพูดว่า “โหวเยวี่ย จริงๆ จะโทษคุณชาย
หยวนสักทีเดียวก็ไม่ได้ เขาดูแลข้าอย่างดีมาตลอด ข้า
...”
“เจินจู เจ้าอย่าเพิ่งพูด” หยางหนิงพูดว่า “หยวนหรง
ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวอำนาจของตระกูลโต้ว เจ้าเกิดใน
ตระกูลบัณฑิต ทำอะไรระวังตัวไม่ใช้กำลัง ห่วงหน้า
พะวงหลัง นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่ชอบเจ้า ข้ายอมเป็น
เพื่อนกับเจ้า ก็เป็นเพราะเจ้ายังเป็นคนที่จริงใจอยู่
บ้าง สิ่งที่แม่นางเจินจูต้องเจอมาตลอดสองปี เจ้าไม่รู้
อะไรเลย นั่นหมายความว่าเจ้าไม่ได้มาดูแลนางอย่าง
เต็มที่”
หยวนหรงยิ้มขื่นแล้วูดว่า “โหวเยวี่ยสั่งสอนถูกแล้ว
ข้าเป็นคนชอบเที่ยว แต่ว่าพอเจอเรื่องจริงๆ ขึ้นมา
กลับห่วงหน้าพะวงหลัง กลัวว่าต้องผิดใจกับคนนั้นคน
นี้...” เขาส่ายหัวแล้วถอนหายใจ
หยางหนิงพูดว่า “ทำอะไรระวังตัวไม่ใช่เรื่องผิด แต่ว่า
ยอมถอยอยู่ตลอดเวลา มันทำให้เรื่องแย่ลงไป เจ้า
อ่านหนังสือมากกว่าข้า ก็น่าจะรู้ดี บางครั้งยอมถอย
ไม่เพียงจะถูกคนอื่นดูถูก แต่ยังทำให้คนอื่นได้ใจอีก
ด้วย ลูกผู้ชาย บางครั้งเจอเรื่องใหญ่ก็ควรจะปิดตา
ข้างหนึ่งได้ ยิ้มให้มันผ่านไป แต่ว่าบางเรื่อง จะยอม
ให้ไม่ได้”
เฉินมู่ควนอดไม่ได้ที่จะปรบมือแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย
พูดได้ดี” พอพูดออกมาแล้ว คนอื่นๆ ก็มองมาที่เขา
เฉินมู่ควนรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย
หยวนหรงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจินจู ข้าผิดต่อเจ้า
แล้วก็ผิดต่อคุณชายเสวียมากด้วย”
“คุณชาย ท่าน...” เจินจูน้ำตาไหล
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ได้พูดออกมาแล้ว ก็
ไม่ต้องเก็บไว้ในใจให้อึดอัดละ หยวนหรง คำพูดของ
ข้า หากเจ้าฟังแล้วไม่สบายใจ คิดเสียว่าข้าพูดจาไม่รู้
เรื่องก็ได้นะ”
“โหวเยวี่ย หากท่านไม่เห็นข้าเป็นเพื่อน ก็คงไม่พูด
ตรงๆ แบบนี้” หยวนหรงพูดว่า “หากเรื่องแค่นี้ข้ายัง
ไม่เข้าใจ ข้าคงไม่กล้าบอกใครว่าข้าเกิดในตระกูล
บัณฑิต”
หยางหนิงหันไปหาพวกจูอวี่เฉิน แล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่า
ในใจของพวกเจ้าคงกังวลมาก วันนี้ผิดใจกับลูกชาย
ราชเลขากรมพระคลังโดยไม่ได้ตั้งใจ พวกเจ้ากังวลว่า
ตระกูลโต้วจะหาเรื่องพวกเจ้าภายหลังใช่หรือไม่?”
นอกจากชิวฝ่างที่เป็นคนเหลียวตง ไม่ได้สนใจราช
เลขากรมพระคลังอะไรอีก จูอวี่เฉินรู้สึกกังวลเรื่องนี้
จริงๆ ตอนนี้ถูกหยางหนิงพูดจี้ใจดำ สีหน้าของพวก
เขาก็เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“จริงๆ พวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวลนะ” หยางหนิงยิ้มแล้ว
พูดว่า “พวกเจ้าแค่ทำตามกฎหมาย ทำการค้า
ตรงไปตรงมา ข้าคิดว่าตระกูลโต้วเองก็คงไม่ทำอะไร
เกินไป” เขายิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าอย่าลืมสิ ในมือ
ของข้ายังมีใบค้างหนี้ของตระกูลโต้วอยู่ หากว่าพวก
เขาทำอะไรที่เกินไป ข้าจะไปทวงหนี้กับพวกเขา
ทันที”
หยางหนิงเองก็ไม่ใช่คนที่มีคุณธรรมอะไรขนาดนั้น
เขากับพวกของจูอวี่เฉินเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก อยู่
ด้วยกันไม่กี่ชั่วยาม ยังไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกันมากนัก
เขาไม่ได้คิดจะเป็นหลักให้กับพวกเขาขนาดนั้น
แต่ว่าเขารู้สึกว่า เศรษฐีจากหางโจวพวกนี้ หากสาน
สัมพันธ์เอาไว้ให้ดี ต่อไปอาจจะได้รับการช่วยเหลือ
จากพวกเขาก็ได้
ชื่อเสียงจิ่นอีโหวสะเทือนทั่วแผ่นดิน จิ่นอีโหวสองยุค
ก่อนหน้านี้เป็นแม่ทัพที่เกรียงไกรไม่มีใครเทียบได้
ชื่อเสียงและบารมีไม่มีทางสลายไปชั่วเวลาสั้นๆ นี้
แน่นอน หยางหนิงเป็นจิ่นอีโหวรุ่นที่สาม ถึงแม้อายุ
ยังน้อย แต่ว่ามีรากฐานของจิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นอยู่ แต่
พวกเขาก็ยังยำเกรงหยางหนิงอยู่ไม่น้อย
วันนี้ต่อหน้าไหวหนานอ๋องซื่อจื่อหยางหนิงก็ไม่ได้มี
ท่าทีเกรงใจเจียงซุยอวิ๋นกับโต้วเหลียนจงเลยแม้แต่
น้อย พวกเขาเองก็รู้สึกนับถือหยางหนิงมากแล้ว
“มีคำพูดของโหวเยวี่ยแบบนี้แล้ว พวกเราค่อยสบาย
ใจขึ้นมาหน่อย” จูอวี่ฉฺนยกมือคำนับแล้วพูดว่า
“ต่อไปก็ฝากเนื้อฝากตัวกับโหวเยวีย่ ด้วย”
หยางหนิงยิ้มแล้วหันหน้าไปมองหยวนหรง “พอ
สัญญาขายตัวส่งมาถึง เรือลำนี้ก็ถือเป็นของแม่นาง
เจินจูด้วย เรือสำราญลำหนึ่งก็น่าจะได้ราคามากอยู่
จะจัดการอย่างไร แม่นางเจินจูก็เป็นคนตัดสินใจก็
แล้วกัน ต่อไปนางจะไปไหน เจ้ากับแม่นางเจินจูก็ตก
ลงกันให้ดี ข้าจะไม่ยุ่ง แต่ว่าต่อไปความปลอดภัยของ
แม่นางเจินจู ถือเป็นความรับผิดชอบของเจ้าแล้วนะ
หยวนหรง”
สายตาของหยวนหรงหนักแน่นแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย
วางใจได้ ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร”
หยางหนิงหันไปพูดกับเจินจูว่า “แม่นางเจินจู ข้ามี
เรื่องจะพูดกับเจ้าสักหน่อย เชิญทางนี้หน่อยได้
หรือไม่?”
เจินจูรีบพูดว่า “โหวเยวี่ยมีเรื่องอะไร ก็พูดมาได้เลย”
หยางหนิงเดินไขว้หลังไปทางหัวเรือ คนอื่นก็ถอยห่าง
ออกไป ไม่เข้าไปใกล้
แสงไฟในน่านน้ำฉินไหวสว่างไสว หยางหนิงพบว่า
เรือสำราญของไหวหนานอ๋องซื่อจื่อ ล่องหายไปแล้ว
“แม่นางเจินจู ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้าอาจจะรู้
หรือไม่รู้ก็ได้ หากเจ้ารู้ แล้วยินดีที่จะบอกข้า ก็บอก
ข้า แต่หากไม่สะดวกใจที่จะพูด ข้าก็ไม่บังคับ” หยาง
หนิงค่อยๆ พูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องทนทรมานมาตลอด
สองปี ข้าอยากถามเจ้าว่า เจ้ารู้จักติงอี้ถูมาก
เพียงใด?”
เจินจูตกใจ ก้มหน้าลงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“โหวเยวี่ย ภายนอกของติงอี้ถู เขาเหมือนคนที่ใจ
กว้าง องอาจ แต่ว่า...แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว เขา
เป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมคับแคบ”
“เขาสนิทกับโต้วเหลียนจงมากเลยหรือ?”
“ใช่” เจินจูพูดว่า “ตระกูลโต้วมีการค้ามากมายใน
เมืองหลวง บนแม่น้ำฉินไหวเองก็มีเรือสำราญของเขา
อยู่หลายลำ นอกจากนี้ตระกูลโต้วยังมีร้านค้าอีก
หลายร้าน สถานบันเทิงอีกหลายแห่ง โต้วเหลียนจง
บางครั้งก็จะส่งคนไปเรียกตัวติงอี้ถูมาตอนดึกๆ ดื่นๆ
บางครั้งเขาก็จะมาหาโต้วเหลียนจงด้วยตัวเอง เวลาที่
ทั้งสองคนคุยกัน ก็จะไม่ให้คนนอกอยู่ด้วยเลย”
หยางหนิงพยักหน้าเบาๆ ลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“ในมือของโต้วเหลียนจงมีสถานบันเทิงมาก มีผู้หญิง
หลายคนในแม่น้ำฉินไหวอยู่ในการควบคุมของเขา
เจ้ารู้หรือไม่ว่า ผู้หญิงพวกนั้น ส่วนใหญ่มาได้
อย่างไร?”
เจินจูตะลึงงัน ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา
“หากไม่สะดวก ข้าก็ไม่บังคับ” หยางหนิงพูดอย่าง
อ่อนโยน
เจินจูมองไปรอบๆ เดินเข้าใกล้หยางหนิง แล้วพูด
เสียงเบาๆ ว่า “โหวเยวี่ยเจินจูเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ
เรื่องบางเรื่อง...เรื่องบางเรื่องจริงๆ ก็ไม่ควรพูด แต่ว่า
...แต่ว่าโหวเยวี่ยมีบุญคุณต่อเจินจู เจินจูไม่กล้าปิดบัง
ท่าน โหวเยวี่ย ที่ท่านถามเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะ
ต้องการจะจัดการกับพวกสัตว์เดรัจฉานพวกนั้นใช่
หรือไม่?”
“อ๋อ?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะเป็น
ศัตรูกับพวกเขาหรือ?”
เจินจูยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย เจินจูเพิ่งได้พบท่าน
ครั้งแรกในวันนี้ แต่ว่าโหวเยวี่ยกลับเป็นคนมีคุณธรรม
เจินจูเห็นอยู่ เจ้าสัตว์เดรัจฉานพวกนั้นมันไม่ใช่คน ทำ
เรื่องระยำต่ำช้ามากมาย หากโหวเยวี่ยจะต้องจัดการ
กับพวกมัน โหวเยวี่ย ขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ คนพวก
นั้นมีอำนาจมากมาย โหวเยวี่ยอย่า...”
“เจ้ากังวลว่าข้าจะสู้พวกเขาไม่ได้ใช่หรือไม่?”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าแค่
ต้องการรู้เรื่องราวให้มากกว่านี้เท่านั้น”
เจินจูลังเล แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ตอนเจินจูอายุสิบ
สอง พ่อของเจินจูป่วยหนัก ไม่มีเงินไปรักษา ข้าต้อง
ขายตัวเพื่อเอาเงินไปรักษาท่านพ่อ หลังจากถูกคนซื้อ
ตัวไป ก็ถูกส่งมาเมืองหลวง จากนั้นก็ถูกขังเอาไว้ใน
ห้อง ฝึกการอ่านการดีดพิณเดินหมากรุกวาดภาพให้
ชำนาญ จนกระทั่งเมื่อสี่ปีก่อนได้รับเลือกเป็นราชินี
ดอกไม้ นั่นคือครั้งแรกที่มาที่แม่น้ำฉินไหว”
“ถ้าอย่างนั้น ผู้หญิงในมือของเขา ก็เป็นแบบนี้หมด
ล่ะสิ?”
เจินจูพูดเสียงเบาๆ ว่า “ถึงแม้ภายนอกติงอี้ถูจะเป็น
คนของสำนักคุ้มภัย เขาอาศัยสำนักคุ้มภัย ทำเรื่อง
เลวๆ มาตลอด ครึ่งปีก่อนติงอี้ถูเอาตัวข้ามา วันนั้น
เขาเมามาก ทรมานข้าสารพัด เขาบอกว่า...เขาบอก
ว่าเขาชอบเห็นตัวข้าเป็นรอยเหมือนเกล็ดปลา คนอื่น
อยากจะให้เขาทำแบบนี้เขาไม่สนใจ เขายังบอกว่าเขา
นำตัวผู้หญิงจากที่อื่นมาเมืองหลวงก็ไม่น้อย ผู้หญิง
เกินกว่าครึ่งบนแม่น้ำฉินไหวแห่งนนี้เขาเป็นคนเอาตัว
มาทั้งนัน้ ”
สายตาของหยางหนิงเย็นเยือก เขายิ้มหน้าเจื่อน
“เวลาเขาดื่มจนเมา กับตอนปกติต่างกันมาก ในตอน
ที่เขาเมาเขาจะเหมือนหมาบ้าตัวหนึ่ง” เจินจูพูดด้วย
ความแค้นว่า “เขาบอกว่าผู้หญิงในสายตาของเขาไม่
ต่างอะไรกับหมูกับหมาเลย อยากให้ใครอยู่ก็ต้องอยู่
อยากให้ใครตายก็ต้องตาย เพราะอย่างไรก็มีคนใหม่
มาทุกปี จะตายไปสักคนสองคนก็ไม่เป็นอะไร ไม่มี
ใครมานั่งห่วงแน่นอน”
หยางหนิงพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “หมายความว่า
ผู้หญิงในสถานบันเทิงกับเรือสำราญของโต้วเหลียนจง
สำนักคุ้มภัยซวี่รื่อเป็นคนหามาให้หรือ” เขาหยุดไป
แล้วถามว่า “เจินจู เจ้าเคยได้ยินว่ามีผู้หญิงกลุ่มใหม่
ส่งมาบ้างหรือไม่? มาจากเมืองหุ่ยเจ๋อชายแดนทาง
เหนือน่ะ?”
เจินจูส่ายหน้า แล้วพูดว่า “เขาจะรับข้าไปหาเขาทุก
เดือน มากหน่อยก็สองสามครั้ง น้อยหน่อยก็หนึ่งครั้ง
ทุกครั้งที่เขาเมาก็จะทรมานข้า แล้วก็พูดจาซ้ำๆ
เหมือนเดิม เรื่องที่ข้ารู้ก็มีไม่มาก” นางหยุดไป แล้ว
พูดว่า “แต่ว่าครั้งที่แล้วเขาเรียกตัวข้าไป เขาโมโห
มาก บอกว่าผู้หญิงกลุ่มที่มาจากทางเหนือถูกชิงตัวไป
ระหว่างทาง ทำให้การค้าเสียหาย...” นางมองหยางห
นิง แล้วพูดอย่างระวังว่า “ข้าไม่รู้ว่าผู้หญิงพวกนั้นมา
จากเมืองหุ่ยเจ๋อหรือไม่ ถึงแม้เวลาเขาเมาจะหลุดปาก
ออกมา แต่ว่า...แต่ว่าเขาไม่เคยพูดเลยว่าผู้หญิงพวก
นั้นมาจากไหนบ้าง”
“เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าปกติแล้วนานแค่ไหนพวกเขาถึง
จะส่งผู้หญิงมาครั้งหนึ่ง?” หยางหนิงมองไปที่เจินจู
เจินจูรีบพูดว่า “เรื่องนี้ข้ารู้ ปกติแล้วเขาจะอาศัย
คณะคุ้มภัยสินค้าแอบขนผู้หญิงมาสองสามเดือนครั้ง
จากนั้นก็จะเว้นไปอีกสองเดือน”
หยางหนิงยิ้ม เหมือนเขาได้รับข้อมูลสำคัญมาแล้ว ซึ่ง
ข้อมูลพวกนี้ทำให้เรื่องทุกอย่างยืนยันได้ ที่สำนักคุ้ม
ภัยถูกปล้นไปครั้งนั้น หากคำนวณเวลาแล้ว ก็น่าจะ
เป็นกลุ่มของเสี่ยวเตี๋ย หากสิ่งที่เจินจูบอกเป็นเรื่อง
จริง เสี่ยวเตี๋ยวถูกช่วยไประหว่างทาง ไม่ได้เข้ามาใน
เมืองหลวง ตอนนี้ก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 165 เซียนเอ๋อร์
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงตีฆ้องดังขึ้นมา จากนั้นก็ได้
ยินเสียงลอยมาจากเรือสำราญหลวง “ตอนนี้พวกเรา
ขอประกาศผลการคัดเลือกราชินีกับนางพญาของ
แม่น้ำฉินไหว....”
รอบๆ ต่างก็เงียบลง
เรื่องที่เกิดขึ้นที่เรือสำราญสองลำ ไม่มีใครรับรู้ แต่ว่า
ที่น่าแปลกคือผลการตัดสินกลับไม่ยอมออกสักที แต่
พอตอนนี้ผลออกมาแล้ว ทุกคนแทบจะหยุดหายใจฟัง
“นางพญาทั้งสี่ของวันนี้คือ จั่วเซียนเอ๋อร์ ลั่วหนิง ต่ง
เฉียวเฉี่ยว และอู๋อิ๋นเอ๋อร์” จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้น
รอบๆ จากนั้นก็ได้ยินว่า “ราชินีดอกไม้คือ...”
ไม่รอให้ประกาศออก รอบๆ ต่างตะโกนขึ้นมาว่า
“เสินเจียวหนู”
วันนี้คุณชายเศรษฐีหลายคนรวมไปถึงตงไห่เจียงซุยอวิ๋
นทุ่มทุนไปไม่น้อย ต่อให้เสินเจียวหนูไม่อยากเป็น
ราชินีดอกไม้ ก็คงไม่ได้
“หนึ่งราชินีสี่นางพญา ได้มาเพราะแขกผู้มีคุณทุก
ท่านที่ทุ่มทุนให้” หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดังต่อมาว่า
“ตอนนี้พวกเราขอประกาศรายชื่อผู้มีคุณของแม่นาง
แต่ละท่าน...”
พวกเขาประกาศรายชื่อแต่ละคนออกมา จูอวี่เฉิน
กลายเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดของเสินเจียวหนูโดยไม่มี
คู่แข่ง ตามกฎของแม่นำ้ ฉินไหว ต่อแต่นี้ในอีกสามวัน
เสินเจียวหนูจะต้องปรนนิบัติรับใช้จูอวี่เฉิน ส่วนจูอวี่
เฉินกลายเป็นแขกคนแรกของเสินเจียวหนู
ที่ทำให้คนแปลกใจมากที่สุดคือจั่วเซียนเอ๋อร์ ถึงแม้ว่า
นางจะได้ยอดคะแนนเงินไปสองพันตำลึงทอง แต่ว่า
ราคาที่ออกสูงสุดกลับกลายเป็นของเจียงเฉิง
เมื่อประกาศผลเสร็จสิ้น รอบๆ ก็มีทั้งคนด่าคนชม
แปดสาวงามแห่งแม่น้ำฉินไหวต่างมีแขกพิเศษคนแรก
ของตัวเอง คนอยู่ต่อก็อยู่ คนที่ไปก็ไป ก่อนเริ่มงาน
ทางแม่น้ำฉินไหวได้เตรียมเรือสำราญลำใหม่ไว้ให้หนึ่ง
ราชินีกับสี่นางพญา แต่ละคนจะได้รับเรือสำราญของ
ตัวเอง ทางเรือสำราญหลวงจะพาแม่นางทั้งห้าคนไป
บนเรือสำราญทั้งห้าที่เตรียมไว้ หลังจากนั้นก็ให้พวก
นางแต่งตัวเพื่อออกมารับแขกคนแรกของพวกนาง
ภายใต้แสงสว่างไสวของแสงไฟ เรือสำราญสองลำ
กำลังล่องเข้ามาใกล้ เรือทุกลำจะมีสาวใช้ประจำเรือ
เพื่อต้อนรับแขก
หยางหนิงเห็นว่าเริ่มมืดแล้ว กังวลว่าคนในจวนจะ
เป็นห่วง ก็ไม่คิดจะอยู่นาน ก็เลยจะขอตัวกลับจวน
ก่อน พวกของจูอวี่เฉินก็เดินเข้ามา แล้วยกมือขึ้น
คำนับแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ราชินีดอกไม้คือเสินเจียว
หนู หากโหวเยวี่ยไม่รังเกียจ ก็ขอเชิญโหวเยวีย่ ขึ้นเรือ
ไปชมการเริงระบำของแม่นางเสินด้วย”
หยางหนิงอึ้งไป ทันใดนั้นก็เข้าใจทันทีว่า ความหมาย
ของจูอวี่เฉินคือ ให้เขาไปเป็นแขกคนแรกของเสิน
เจียวหนู
ที่วันนี้เขามา เดิมทีก็เพื่อมาทวงเงินกับหยวนหรง ใคร
จะรู้ว่าคืนนี้จะเกิดเรื่องขึ้นมากมาย
ถึงแม้บรรยากาศที่แม่น้ำฉินไหวนั้นจะสวยงามแบบไม่
มีที่ติ มีสาวงามมากมาย แต่ว่าหยางหนิงก็ไม่ได้คิดจะ
ค้างที่นี่อยู่แล้ว
เจตนาของจูอวี่เฉิน หยางหนิงรู้ดี สำหรับเศรษฐี
เหล่านี้แล้ว เสินเจียวหนูเป็นผู้หญิงที่พวกเขาร่วมกัน
ทุ่มเงินเพื่อให้ได้มา ร่างกายอันบริสุทธิ์ ในสายตาของ
พวกเขา มันเป็นสิ่งล้ำค่ามากๆ คืนนี้หยางหนิงช่วย
พวกเขาเอาไว้ พวกเขาก็อยากจะตอบแทน
ตอนนี้เสินเจียวหนู ก็กลายมาเป็นแค่ของขวัญชิ้นหนึ่ง
เท่านั้น
หยางหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ราชินีดอกไม้แห่งแม่น้ำ
ฉินไหว ตอนนี้ชื่อเสียงกระฉ่อนไปไกลแล้ว ข้าไม่ได้
สนใจนาง ต่อให้ข้าสนใจ คืนนี้ก็คงขึ้นเรือของนาง
ไม่ได้”
พวกเขามองหน้ากัน ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของห
ยางหนิง
หยวนหรงเกิดในตระกูลบัณฑิต เขาเดินเข้าไปพูดว่า
“ท่านแม่ทัพเพิ่งจะเสียไปไม่นาน หากโหวเยวี่ยขึ้นเรือ
แม่นางเสินไป ต้นไม้ที่สูงนั้นย่อมต้องลม เรื่องนี้
จะต้องแพร่ไปทั่วเมืองหลวงแน่ มันจะกระทบต่อ
ชื่อเสียงของโหวเยวี่ยได้”
“ความผิดข้าเอง ความผิดข้าเอง” จูอวี่เฉินเพิ่งจะ
เข้าใจ แล้วโทษตัวเองว่า “โหวเยวี่ย พวกเราคิดน้อย
เกินไปเอง”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าก็หวังดี ข้าจะโทษ
พวกเจ้าได้อย่างไร พวกเจ้าไม่ค่อยได้มาเมืองหลวงนัก
คืนนี้ก็สนุกกันให้เต็มที่ ข้าขอตัวก่อน”
“โหวเยวี่ย ราชินีดอกไม้มันดึงดูดสายตาจริงๆ นะ”
เจียงเฉิงพูดว่า “แต่ว่านางพญานั้นไม่เหมือนกัน ตอน
ที่จั่วเซียนเอ๋อร์ดีดพิณอยู่ เหมือนโหวเยวี่ยจะตกอยู่ใน
ภวังค์เช่นกัน ท่านคงชื่นชอบเสียงพิณของนางมาก”
เขายกมือขึ้นแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย พวกเราไม่กล้า
ขอร้องเรื่องอื่นกับท่าน แต่ข้าขอแค่โหวเยวี่ยยอมขึ้น
เรือไปฟังแม่นางจั่วดีดพิณสักเพลง”
หยางหนิงขมวดคิ้ว หยวนหรงยืนกล่อมอยู่ข้างๆ
“โหวเยวี่ย ฟังแค่เพลงเดียว ไม่น่าจะเป็นอะไร หาก
ท่านยังปฏิเสธอีก ข้าเกรงว่าพวกเขาน่าจะไม่สบายไจ
ได้”
จูอวี่เฉินรีบพูดว่า “ใช่แล้ว โหวเยวี่ย ถึงแม้...ถึงแม้
พวกเราจะเป็นแค่พ่อค้า แต่ว่า...แต่ว่าพวกเราหวังว่า
โหวเยวี่ยจะให้เกียรตพวกเราสักครั้ง”
สายตาของพวกเขานั้นคาดหวังไม่น้อย
หยางหนิงรู้ว่าในสายตาของพวกเขานั้น การขึ้นเรือ
ของจั่วเซียนเอ๋อร์ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่มันเป็น
ของขวัญชิ้นใหญ่ ส่งของขวัญมาให้ถึงมือ หยางหนิง
กลับปฏิเสธไม่รับ พวกเขาก็ไม่สบายใจเป็นธรรมดา
อยู่แล้ว
“โหวเยวี่ย คุณหนูกำลังเตรียมตัวรอท่านอยู่แล้ว ขอ
เชิญโหวเยวีย่ ไปสักครั้งเถอะ” แม่นางที่มารอต้อนรับ
ยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ยิ่ง
แสงไฟในแม่น้ำฉินไหวส่องสว่างไหว ทุกอย่างมันชวน
ให้คนหลงเข้าไปในภวังค์
บรรยากาศแบบนี้ ไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าปฏิเสธคำเชื้อ
เชิญได้
หยางหนิงคิดจะเชื่อมสัมพันธ์กับคนกลุ่มนี้อยู่แล้ว
หากตอนนี้เขาปฏิเสธ มันจะทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง
ได้ อีกทั้งฟังแค่เพลงเดียว คงไม่เป็นอะไร เขาลังเลอยู่
ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็พยักหน้าตอบรับ
พวกเขาหลายคนต่างโล่งใจ
การคัดเลือกราชินีดอกไม้สิ้นสุดลงแล้ว คนบนฝั่งต่าง
ทยอยกันกลับ เริ่มดึกแล้ว เรือแต่ละลำก็เริ่มล่องห่าง
ออกไป ความหรูหราของแม่น้ำฉินไหวก็เหมือนกับ
ดวงดาวบนท้องฟ้า แต่ว่ามันเงียบลงไปเยอะมาก
หยางหนิงเดิมตามแม่นางที่มาต้อนรับขึ้นเรือไป ต้วน
ฉางไห่เดินตามไปไม่ห่าง พวกเขาขึ้นเรือลำเล็กล่องไป
ในแม่น้ำ ไม่นานนัก ก็ไปถึงเรือสำราญที่มีโคมไฟจุด
อยู่ แสงไฟส่องไปทั่วน่านน้ำ
เรือเล็กพายเข้าใกล้เรือสำราญ หยางหนิงมองเห็นได้
ชัดเจน เรือสำราญลำนี้ประตูหน้าต่างมีการแกะสลัก
มีโคมไฟแขวนสว่างไสว มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ริม
หน้าต่าง เมื่อเห็นหยางหนิงมองขึ้นไป นางก็รีบปิด
หน้าต่างทันที
เมื่อขึ้นเรือสำราญไปแล้ว แม่นางที่นำทางก็พาหยางห
นิงไปยังท้องเรือ จากนั้นก็พูดอย่างเกรงใจว่า “โหว
เยวี่ย คุณหนูเซียนเอ๋อร์กำลังรอท่านอยู่ในนี้”
แม่นางคนนี้ไม่รู้จักหยางหนิงมาก่อน แต่ว่านางได้ยิน
จูอวี่เฉินเรียกหยางหนิงว่าโหวเยวี่ย นางก็รู้ทันทีว่า
ฐานะของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา แต่ว่าแขกที่เป็น
เศรษฐีขุนนางใหญ่บนแม่น้ำฉินไหวก็มีมากมาย แม่
นางคนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร
หน้าประตูท้องเรือมีโคมไฟแขวนอยู่สองอัน ด้านบนมี
ภาพของคนสลักอยู่ แต่ว่าหยางหนิงแค่มองผ่านๆ
เท่านั้น จากนั้นก็เดินเข้าไปในท้องเรือ ต้วนฉางไห่เอง
ก็รออยู่ด้านนอก
รอบๆ เรือแกะสลักได้อย่างสวยงามประณีต เรือลำนี้
ราวกัลหลุดออกมาจากความฝัน แถมยังมีกลิ่นหอม
อ่อนๆ อีกด้วย
กลิ่นหอมมาจากกระถาง กลิ่นของมันทำให้ผ่อนคลาย
เหมือนกำลังดื่มเหล้าเมามายและเคลิบเคลิ้ม
ในท้องเรือมีเทียนสีแดงเล่มหนึ่งจุดไว้ มันหนา
ประมาณเด็กคนหนึ่งได้ เหมือนว่าคืนนี้มันคงไม่มีทาง
ดับลงได้
มีผ้าม่านอยู่ที่ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งมีกระถางเทียน
หอม ที่มีกลิ่นที่ทำให้ผ่อนคลาย ข้างๆ มีโต๊ะเล็กที่มี
พิณวางอยู่ตัวหนึ่ง พิณตัวนี้ดูโบราณมาก แต่ไม่รู้ว่า
มันเป็นพิณตัวเดียวกับที่เล่นไปก่อนหน้านี้รึไม่
หยางหนิงมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นจั่วเซียนเอ๋อร์เลย
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาจากฉากบัง
ลมด้านหลัง เงาของผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างบอบบาง
ท่วงท่าการเดินอ่อนช้อยยิ่ง
เงาของนางเป็นผู้หญิงที่สวมชุดสีม่วงสวยงาม นาง
เหมือนเพิ่งจะอาบน้ำมา ผมยาวสยายสวยงาม พวง
แก้มทั้งสองดูมีเลือดฝาด รอยยิ้มที่เปี่ยมเสน่ห์
ร่างกายทีม่ ีกลิ่นดอกมะลิอ่อนๆ แต่งกายเรียบง่าย
งดงามจนไม่อาจบรรยายได้
นางเงยหน้าขึ้นมา มองไปที่หยางหนิง ดวงตาใสเป็น
ระยิบระยับเหมือนมีน้ำอยุ่ในดวงตาคู่นั้น สายตาของ
นางราวลูกธนูที่ยิงพุ่งมาที่ตัวของหยางหนิง นางช่าง
งดงามจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
ความงามที่ทำให้หยางหนิงตะลึง
หยางหนิงเป็นคนสองภพ กินเหล้าเคล้านารีก็เป็น
เรื่องที่ทำอยู่บ่อยๆ เห็นผู้หญิงสวยๆ มาก็มาก คนที่
สวยมากกว่าผู้หญิงคนนี้ก็เคยเจอ แต่ว่าคนที่สวยทั้ง
หน้าตาและรูปร่างแบบนี้ หาได้ยากจริงๆ
ไม่พูดเรื่องภพก่อน แต่พูดถึงตอนนี้
จริงๆ แล้วหน้าตาของปีศาจน้อยอาเหน่าก็ถือว่าสวย
แต่ว่าหากเทียบกับผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้านี้ นางก็
เหมือนเด็กที่ยังไม่โต หน้าตาของกู้ชิงฮั่นเองก็ไม่ได้
เป็นรองใคร เมื่อได้พบก็เป็นหญิงงามคนหนึ่ง แต่ว่า
นางเป็นผู้ใหญ่มากเกินไป แต่มีเอกลักษณ์เป็นของ
ตัวเอง เปี่ยมเสน่ห์ที่ทำให้หวั่นไหว แต่ว่าผู้หญิงคนนี้
นั้นช่างแตกต่าง นางใช้แค่สายตาคู่นั้นของนางเท่านั้น
ก็ทำให้คนที่ได้สบตา ไม่มีวันลืมนางได้เลย
ผู้หญิงคนนั้นคลี่ยิ้มบางๆ ท่าทางของนางไม่เหมือน
การยั่วยวน หรือว่านี่อาจจะเป็นการเริ่มต้น เลยยังไม่
ทำอะไร จึงยิ้มไว้ก่อน
หยางหนิงเห็นอยู่ในสายตา เขาแอบหดหู่อยู่ในใจ
แอบคิดว่าผู้หญิงที่สวยมากขนาดนี้กลับต้องตกอยู่ใน
แวดล้อมแบบนี้ น่าเสียดายจริงๆ
แต่คิดๆ ดูแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แม่น้ำฉิน
ไหวเป็นสถานเริงรมย์ที่ล้ำค่าที่สุดในต้าฉู่ สามารถ
ได้มาเป็นหนึ่งในคนที่เข้าคัดเลือกราชินีดอกไม้ ก็ไม่
ธรรมดาแล้ว
“เซียนเอ๋อร์คำนับโหวเยวี่ย” ผู้หญิงคนนั้นถอน
สายบัวเคารพอย่างนอบน้อม นางยิ้มแล้วพูดว่า “ครั้ง
แรกของเซียนเอ๋อร์ก็มีโอกาสได้ปรนนิบัติรับใช้ท่าน
โหวเยวี่ย เป็นบุญของเซียนเอ๋อร์จริงๆ”
อากาศภายในท้องเรืออุ่นไม่น้อย จั่วเซียนเอ๋อร์ใส่
เสื้อผ้าบางๆ นางเดินเข้ามาแล้วก็ปิดประตู ผิวของ
นางขาวราวกับหยก ร่างกายอ้อนแอ่นอรชร
ถึงแม้หยางหนิงจะไม่ใช่ผู้ชายที่ช่ำชองในเรื่องนี้ แต่ก็
ไม่ใช่เด็กที่ไม่เป็นประสา แต่ในบรรยากาศโบราณ
แบบนี้ ต้องมาเผชิญหน้ากับหญิงงาม เขาไม่เคยได้
สัมผัสมากก่อน เขาเดินไปที่พิณ ยื่นมือไปดีดพิณสาย
หนึ่ง และเสียงพิณนั้นก็ดังขึ้น
“โหวเยวี่ยก็ชอบดีดพิณหรือ?” จั่วเซียนเอ๋อร์เดินมา
ด้านหลังของหยางหนิง แล้วพูดด้วยน้ำเสียง
อ่อนหวานว่า “โหวเยวี่ย ให้ข้าช่วยถอดเสื้อคลุมท่าน
ดีหรือไม่”
หยางหนิงลังเล จากนั้นก็พยักหน้า จั่วเซียนเอ๋อร์ช่วย
ถอดเสื้อนอกให้เขา จากนั้นก็พับเป็นอย่างดี แล้ววาง
ไว้ข้างๆ นางดูละเอียดมาก
“โหวเยวี่ยเคยได้ฟังเซียนเอ๋อร์ดีดพิณแล้วใช่หรือไม่?
ดีจังเลยจะได้ให้โหวเยวี่ยชี้แนะ” จั่วเซียนเอ๋อร์เดินไป
ที่พิณ แล้วนั่งลง
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางเซียนเอ๋อร์ไม่ต้อง
เกรงใจ ข้าไม่รู้เรื่องดนตรีหรอก จะให้ไปชี้แนะเจ้าได้
อย่างไร”
ใบหน้าของจั่วเซียนเอ๋อร์ที่มีผิวขาวเรียบเนียบแดงอม
ชมพู ภายใต้แสงไฟ ทำให้นางดูเปล่งประกายงดงาม
มากขึ้นไปอีก มือของนางวางอยู่บนสายพิณ นางกัด
ปากเบาๆ ก้มหน้าลง แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น...โหว
เยวี่ยอยากจะเข้านอนเลยอย่างนั้นหรือ?” เมื่อพูดถึง
ตรงนี้ เสียงลมหายใจของนางก็แรงขึ้น
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 166 หญิงงามราวกับหยก
เซียนเอ๋อร์ไม่เพียงงดงามเท่านั้น แต่เสียงของนางยัง
อ่อนหวานอีกด้วย
คำพูดของนางมันแฝงไปด้วยการเชื้อเชิญ แต่ว่าห
ยางหนิงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ยังเร็วเกินไป”
เซียนเอ๋อร์เดินไปที่ริมหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออกไป
แล้วมองออกไปยังนอกหน้าต่าง จากนั้นก็ปิดหน้าต่าง
ลง นางหันกลับมายิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเซียน
เอ๋อร์อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้โหวเยวี่ยดีหรือไม่”
ทุกท่วงท่าการกระทำของจั่วเซียนเอ๋อร์ มันไม่ใช่แค่
แสร้งทำ แต่มันมีอาการท่าทีที่ดึงดูดใจมาก
ท่วงท่ามารยาทต่างๆ น่าจะได้รับการฝึกอบรมมา
หลายปี ซึ่งก็น่าจะทำจนเคยชินไปแล้ว
นตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก มีสาวใช้สอง
คนยกถังน้ำขนาดใหญ่เข้ามา วางไว้ในห้อง ทั้งสอง
มองมาที่หยางหนิงแล้วเม้มปากยิ้ม จากนั้นพวกนางก็
ถอยออกไป
“นี่คือจะทำอะไรหรือ?” หยางหนิงอึ้งไป จากนั้นก็
เหมือนจะเข้าใจแล้ว
ไม่นานนัก สาวใช้สองคนก็กลับเข้ามาอีกครั้ง พวก
นางยกน้ำมาเทลงถังใหญ่ ทั้งสองคนเหมือนอยากจะดู
ว่าแขกคนแรกของคุณหนูของนางนั้นเป็นผู้ชายแบบ
ไหน ขณะที่พวกนางกำลังเทน้ำ ก็จะแอบมองอยู่
บ่อยๆ ถึงแม้หยางหนิงจะไม่ใช่คนหน้าบาง แต่อด
ไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายขึ้นมา เขาลูบคางตัวเอง แล้ว
พูดว่า “ข้ายังไม่อยากอาบน้ำ”
สาวใช้สองคนเทน้ำร้อนลงไปในถังน้ำเกินครึ่งถัง
จากนั้นก็ทดลองความอุ่นของน้ำดู จากนั้นก็เอา
อุปกรณ์อาบน้ำวางไว้ข้างๆ และถอยออกไป
"แม่นางจั่ว นี่คือ....
หยางหนิงยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งถือ
ตะกร้าดอกไม้เข้ามา ในตะกร้าเต็มไปด้วยดอกไม้สีสัน
สวยงามมากมาย เข้าหน้าหนาวแล้ว หยางหนิงแปลก
ใจมากว่าดอกไม้พวกนี้มากจากไหนกัน
เด็กน้อยยื่นมือโปรยดอกไม้ไปในถังน้ำ ดอกไม้
เหล่านั้นลอยอยู่ในถัง สีสันสวยงาม กลิ่นหอมฟุ้งตลบ
อบอวลไปทั่วห้อง
ควันจากน้ำร้อนในถังลอยขึ้นมา บรรยากาศภายใน
ห้องนอกจากกลิ่นหอมอ่อนๆ แล้วยังมีกลิ่นหอมของ
ดอกไม้โชยมา มันทำให้คนที่ได้กลิ่นนั้นราวกับอยู่ใน
ความภวังค์
เด็กน้อยโปรยดอกไม้เสร็จ ก็โค้งคำนับแล้วออกไป
จากนั้นก็ปิดประตู หยางหนิงรู้สึกว่าคุณภาพตาม
ราคาจริงๆ เจียงเฉิงจ่ายเงินสามร้อยตำลึงทองเพื่อให้
ได้ตัวจั่วเซียนเอ๋อร์มา ความงามของจั่วเซียนเอ๋อร์นั้น
ไม่อาจใช้เงินประเมินได้ การบริการต่างๆ ก็ถือได้ว่า
หาได้ยากมาก
เขามองเด็กสาวเดินออกไปแล้ว ก็หันกลับมา สีหน้า
ของเขาเปลี่ยนไป อีกนิดเดียวก็แทบจะกระโดดขึ้น
มาแล้ว
เขาไม่รู้ว่าจั่วเซียนเอ๋อร์ถอดเสื้อผ้าออกตั้งแต่เมื่อใด
ผิวของนางขาวเนียนราวกับหยก มันช่างน่ามองชวน
ให้คนหลงไหลไม่น้อย
“แม่นางเซียนเอ๋อร์ เจ้า...” หยางหนิงรู้สึกว่าปากคอ
นั้นแห้งไปหมด
เขาไม่ใช่พวกหื่นกาม แล้วก็เอาเกียรติเป็นประกันได้
ว่าเขาไม่ใช่พวกฉวยโอกาส แต่ว่าไอ้ที่เด้งๆ ดึ๋งๆ ตรง
นั้นมันก็ทำให้หวั่นไหวราวกับวิญญาณออกจากร่างได้
ความรักก็เป็นแบบนี้ ผู้หญิงเองก็เช่นกัน
จั่วเซียนเอ๋อร์ใส่แค่ชั้นในยืนอยู่ตรงนั้น มันสามารถทำ
ให้ชายทุกคนบ้าคลั่งได้ตลอดเวลา หยางหนิงรู้สึกว่า
เขาเองก็ไม่อาจละสายตาออกจากนางได้เลย
ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้นั้นสวยจนทำให้เขาทั้ง
หวั่นไหวและตะลึงไม่น้อย
ครั้งแรกที่เห็นหน้านาง ถึงแม้จะรู้สึกว่าจั่วเซียนเอ๋อร์
เป็นผู้หญิงที่งดงามมาก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร
มากมาย แต่ว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผู้หญิงคนนี้เหมือน
เหล้าที่ถูกซ่อนมานานหลายปี อยู่กับนางนานมาก
เท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่านางมีเสน่ห์มากขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนกับว่ามองนางเท่าไหร่เสน่ห์ของนางก็เพิ่มขึ้น
เรื่อยๆ
หยางหนิงไม่เคยเห็นเสินเจียวหนู แต่ว่าในตอนนี้รู้สึก
ว่าจั่วเซียนเอ๋อร์ไม่ได้เป็นราชินีดอกไม้ อาจเป็นเพราะ
ยังไม่มีใครเข้าใกล้นางและสัมผัสถึงเสน่ห์ของนาง
มากกว่า
นางไม่จำเป็นต้องพูดอะไร แต่ว่าทุกย่างก้าวของนาง
มันสามารถทำให้ผู้ชายทุกคนรู้สึกได้
สีหน้าท่าทางของจั่วเซียนเอ๋อร์ที่แสดงออกมาก็ไม่ได้
มากมายอะไร ออกจะแข็งทื่อไปหน่อย แต่ว่านางยืน
อยู่ตรงนี้ ไม่มีผู้ชายคนไหนจะไม่ยอมสยบให้กับนางได้
หยางหนิงเองก็เช่นกัน
“โหวเยวี่ยท่านไม่อยากฟังเซียนเอ๋อร์ดีดพิณ แล้วก็ไม่
อยากอาบน้ำ แสดงว่าท่านไม่อยากให้ค่ำคืนแรกของ
พวกเราต้องสูญเปล่าไปแม้แต่วินาทีเดียวใช่หรือไม่”
เซียนเอ๋อร์เดินไปที่ถังอาบน้ำทุกย่างก้าวของนางราว
กับก้อนเมฆที่ล่องลอยบนฟ้า เสียงของนางนั้นชวนให้
หลงใหลตลอดเวลา “แต่ว่าหากเซียนเอ๋อร์จะ
ปรนนิบัติโหวเยวี่ย ร่างกายของเซียนเอ๋อร์จะต้อง
สะอาดหมดจรด โหวเยวี่ยท่านรอสักครู่ได้หรือไม่?”
ผิวของนางขาวเนียนอมชมพู ร่างกายที่เนียนใสราว
กับหยกมันช่างทำให้หวั่นไหวเกินจะบรรยายได้
นางได้รับเลือกเป็นนางพญาดอกไม้ แต่ว่าตั้งแต่นาทีนี้
เป็นต้นไป นางจะต้องถูกคนซื้อตัวไป ตัวของนางไม่ได้
เป็นของนางอีกแล้ว
ถึงแม้นางจะสวยมีเสน่ห์ แต่ตอนนี้นางก็เป็นแค่หญิง
เต้นกินรำกินบนแม่น้ำฉินไหวแห่งนี้เท่านั้น การฝึกฝน
มานานหลายปีของนางทำให้นางรู้ว่า ต่อให้นางได้
เป็นนางพญาดอกไม้ แต่ในสายตาของคนทั่วไป นางก็
แค่ต้นเงินต้นทองของใครบ้างคน เป็นของเล่นของ
ผู้ชายก็เท่านั้นเอง
จั่วเซียนเอ๋อร์ค่อยๆ ลงไปในถังอาบน้ำ นางแช่ตัวลง
ไปในน้ำ เมื่อตัวของนางจมลงไปในน้ำแล้ว นางก็
หลับตาลง
หยางหนิงกลืนน้ำลายเอื้อก แล้วถอนหายใจ ทันใด
นั้นจั่วเซียนเอ๋อร์พลันมองมาที่หยางหนิง แล้วถามว่า
“โหวเยวี่ยท่านถอนหายใจทำไมกัน? เซียนเอ๋อร์ทำ
อะไรไม่ถูกใจท่านหรือไม่?”
“ไม่หรอก” หยางหนิงนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็มองไป
ที่จั่วเซียนเอ๋อร์ แล้วถามว่า “แม่นางเซียนเอ๋อร์ ข้า
ถามอะไรเจ้าหน่อยได้หรือไม่ เจ้าเป็นคนที่ไหนหรือ?”
จั่วเซียนเอ๋อร์เอามือกวนน้ำไปมา นางยิ้มแล้วพูดว่า
“โหวเยวี่ยท่านเหมือน...” จากนั้นนางก็หัวเราะขึ้นมา
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“เหมือนอะไรรึ?” หยางหนิงถามอย่างแปลกใจ
จั่วเซียนเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “เหมือนคุณผู้ชายดูสุภาพ
เรียบร้อย พวกนางเคยบอกว่า ข้ารับแขกครั้งแรก ใน
เวลาแบบนี้ ผู้ชายส่วนมากก็จะอดใจไม่ไหวจะพุ่งเข้า
มาทันที แต่ว่าโหวเยวี่ยกลับไม่ขยับตัวเลย”
หยางหนิงยิ้มแล้วถามว่า “เจ้าอยากให้ข้าพุ่งเข้าหา
เจ้าหรือ?”
จั่วเซียนเอ๋อร์หน้าแดง ก้มหน้า แล้วพูดว่า “ตั้งแต่
วันนี้เป็นต้นไป เซียนเอ๋อร์ก็จะต้องทำงานในสายนี้
แล้ว ก่อนหน้านี้เซียนเอ๋อร์ยังคิดอยู่ว่า ครั้งแรก...ครั้ง
แรกขอเซียนเอ๋อร์จะให้กับใคร ก่อนเจอกับโหวเยวี่ย
เซียนเอ๋อร์รู้สึกกลัวไม่น้อย แต่ว่าพอโหวเยวี่ยเดินเข้า
มา เซียนเอ๋อร์...เซียนเอ๋อร์ก็ไม่กลัวแล้ว”
หยางหนิงตะลึงไป หัวใจของเขาเต้นระรัวขึ้นมา
“โหวเยวี่ย ท่านรู้หรือไม่ว่า ถังอาบน้ำใบนี้ทำขึ้นมา
สำหรับสองคนนะ โหวเยวี่ยท่านไม่ชอบอาบน้ำกับ
ผู้หญิงหรือ?” จั่วเซียนเอ๋อร์กระพริบตา “หากโหว
เยวี่ย...หากโหวเยวี่ยชอบ ท่านก็เข้ามาอาบด้วยกันได้
นะ”
ความจริงแล้วหยางหนิงเองก็คิดอยากจะเข้าไป แต่ว่า
เขาข่มใจเอาไว้ คิดแล้วพูดว่า “วันนี้ได้ฟังแม่นาง
เซียนเอ๋อร์ดีดพิณ เสียงพิณของเจ้าไพเราะมาก”
“เอ๋?” สายตาของจั่วเซียนเอ๋อร์เป็นประกาย “โหว
เยวี่ยท่านชอบฟังเซียนเอ๋อร์ดีดพิณหรือ? แล้วท่านคิด
ว่าเซียนเอ๋อร์ดีดพิณเป็นอย่างไรบ้าง?”
“โดดเด่นเหนือใคร” หยางหนิงพูดว่า “น่าจะเป็น
เสียงพิณที่ไพเราะที่สุดเท่าที่ข้าเคยฟังมาในตอนนี้”
จั่วเซียนเอ๋อร์ยิ้ม นางลอยตัวมาเกาะอยู่ที่ขอบถัง
เหมือนนางจะรู้สึกตื่นเต้นกับคำพูดนี้ไม่น้อย หน้าอก
ของนางบีบตัวเข้าหากัน “ไหนโหวเยวี่ยท่านบอกว่า
ท่านไม่มีความรู้เรื่องดนตรีอย่างไรเล่า ที่แท้ท่านก็
โกหกเซียนเอ๋อร์นี่เอง”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “คนที่กินเนื้อหมูเป็น จำเป็น
จะต้องฆ่าหมูเป็นด้วยหรือ?” เมื่อพูดแบบนี้ออกไป
เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่
แต่ว่าจั่วเซียนเอ๋อร์กับตอบว่า “โหวเยวี่ยล้อเซียน
เอ๋อร์เล่นอีกแล้ว ท่านบอกว่าเซียนเอ๋อร์ฆ่าหมูได้
เซียนเอ๋อร์ไม่เคยจับมีดมาก่อนเลยนะ”
หยางหนิงรู้ว่าจั่วเซียนเอ๋อร์เป็นผู้หญิงที่ใสสะอาด
บริสุทธิ์ แต่ว่าเป็นเพราะนางได้รับการฝึกฝนมา
ยาวนาน นางรู้วิธีการเอาอกเอาใจ รู้จักวิธีพูดจา
อุบายเล็กๆ แบบนี้ในสายตาผู้หญิงแบบนางมันดูง่าย
มาก แต่ว่าเพราะอุบายพวกนี้นี่แหละ ที่ทำให้พวก
ผู้ชายไม่อาจต้านทานได้
“ถึงแม้การดีดพิณของแม่นางเซียนเอ๋อร์จะเยี่ยมยอด
มาก แต่ว่า...” หยางหนิงลังเล สุดท้ายก็พูดออกมาว่า
“เสียงพิณของแม่นางดูเศร้าและโดดเดี่ยว อีกทั้งยัง
แฝงไปด้วยความดุดันราวกับเครื่องมือสังหาร หาก
ไม่ได้เห็นว่าแม่นางเป็นคนที่ดีดพิณนี้เอง เกรงว่าข้าคง
ไม่เชื่อว่าแม่นางจะเป็นคนบรรเลงเพลงนั้นเอง”
“โหวเยวี่ยกำลังชมเซียนเอ๋อร์ใช่หรือไม่?” จั่วเซียน
เอ๋อร์ยิ้มแล้วถาม
ตอนแรกที่หยางหนิงเข้ามาที่ท้องเรือ จั่วเซียนเอ๋อร์ก็
รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย แต่ว่าในเวลานี้เป็นเพราะหยางห
นิงเป็นคนง่ายๆ สบายๆ นางเองก็ผ่อนคลายลงกว่า
ตอนแรก
หยางหนิงยิ้ม แล้วพูดว่า “ข้าแค่แปลกใจ หากไม่เคย
เจอเรื่องพวกนั้นมาก่อน เหตุใดถึงได้สื่อออกมาได้ถึง
อารมณ์ขนาดนั้น แม่นางเซียนเอ๋อร์อายุยังน้อย ข้าคิด
ไม่ออกจริงๆ ว่าแม่นางจะเจอเรื่องมากมายขนาดนั้น
ได้อย่างไร”
จั่วเซียนเอ๋อร์อึ้งไป สายตาของนางเหมือนรู้สึกแปลก
ใจ จากนั้นก็พูดว่า “เซียนเอ๋อร์ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่
ไม่มีทางเลือก อาจจะเป็นไปได้ว่า พอมีพรสวรรค์เรื่อง
ดนตรีบ้างก็ได้”
หยางหนิงพยักหน้า แต่ว่าในใจคิดว่าเรื่องนี้น่าจะไม่ได้
ง่ายขนาดนั้น
จริงๆ ก่อนหน้านี้เขาแอบสงสัยว่า เสียงดนตรีมันมัก
ออกมาจากจิตใจ การบรรเลงพิณได้ไพเราะขนาดนี้
หากไม่ได้ออกมาจากใจ ยากที่จะดึงดูดใครต่อใครได้
การแสดงพิณของจั่วเซียนเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ ภายใน
เสียงเพลงนั้นมันมีความโศกเศร้าปะปนอยู่ และระคน
ไปด้วยอารมณ์ของการสังหาร มันเหมือนทำให้คนตก
ไปอยู่ในสนามรบ หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง มันคง
ยากที่จะทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์
หยางหนิงไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกเหมือนเขาหรือไม่ แต่
ว่าเขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำแน่นอน
เหมือนจั่วเซียนเอ๋อร์จะไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้ จึง
ถามว่า “แม่นางเซียนเอ๋อร์คิดจะทำงานแบบนี้ต่อไป
หรือ?”
จั่วเซียนเอ๋อร์ตอบว่า “โหวเยวี่ย ท่านคิดว่าเซียนเอ๋อร์
ยังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”
หยางหนิงอึ้งไปชั่วขณะ
“จริงๆ แล้วผู้หญิงแบบเซียนเอ๋อร์ ชะตาก็ได้กำหนด
เอาไว้แล้ว” เซียนเอ๋อร์พูดต่อไปอีกว่า “พวกเขา
ลงทุนกับพวกเราไปมาก ก็ต้องอยากได้กำไรคืนมา
วันนี้ข้ายังเป็นผู้หญิงบริสุทธิ์ สามารถเข้าคัดเลือก
ราชินีดอกไม้ได้ และโชคดีได้รับเลือกเป็นนางพญา
ดอกไม้ ร่างกายของข้าจึงจะขายได้ราคาหน่อย แต่
หลังจากนี้ต่อไป ราคาก็จะตกลง” เซียนเอ๋อร์นั่งลงไป
ในถังอาบน้ำ แล้วพูดว่า “ไป ๆ มาๆ ราคาก็จะตกลง
เรื่อยๆ อีกไม่กี่ปี ข้าก็จะกลายเป็นคนแก่ของที่นี่ หาก
มีเศรษฐีหรือขุนนางใจดีรับข้าไปเป็นอนุ ก็อาจจะมี
ชีวิตที่ดีได้...” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางมองมาที่หยางหนิง
“แต่ว่าหากไม่เป็นอย่างนั้น ข้าอาจจะใช้ชีวิตอยู่ข้าง
ทางก็เป็นได้”
หยางหนิงรู้ว่าสิ่งที่นางพูดถึงแม้จะฟังดูโหดร้าย แต่
มันก็เป็นเรื่องจริง
จั่วเซียนเอ๋อร์เป็นคนมีสติ นางรู้เส้นทางชีวิตของนาง
เป็นอย่างดี พูดมันออกมาได้อย่างกับเป็นเรื่องปกติ
หรือว่าผู้หญิงพวกนี้ นอกจากจะได้รับการฝึกการร้อง
เล่นเต้นรำแล้ว พวกนางก็น่าจะวางแผนชีวิตของพวก
นางไว้แล้วก็ได้ แต่ว่าผู้หญิงบอบบางแบบนี้ อยู่ในยุค
สมัยแบบบี้ นอกจากคาดหวังจะมีชีวิตที่ดีแล้ว จะทำ
อะไรได้อีกเล่า?
หยางหนิงรู้สึกหดหู่ใจอยู่ไม่น้อย ในยุคสมัยนี้ ผู้หญิง
อย่างนี้ไม่มีใครมีจุดจบชีวิตที่ดี ต่อให้หน้าตาดีเพียงใด
ก็ตาม ก็หนีชะตากรรมของตัวเองไปไม่พ้นอยู่ดี
ในหัวของเขาคิดเรื่องไถ่ตัวขึ้นมา เพราะนางเองก็เป็น
คนงดงามคนหนึ่ง หากให้อยู่อย่างนี้ มันก็น่าเสียดาย
ยังไม่ต้องไปคิดว่าต้องใช้เงินมากเพียงใดในการไถ่ชีวิต
จั่วเซียนเอ๋อร์ ต่อให้เขามีเงินมากพอที่จะไถ่ตัวนาง
ผู้หญิงแบบนางบนแม่น้ำฉินไหวก็มีเป็นร้อย ชีวิตของ
พวกนางก็ไม่มีใครดีสักคน จะให้เขาช่วยทุกคนเลยก็
เป็นไปไม่ได้
เขาถอนหายใจ ทันใดนั้นเองก็เห็นจั่วเซียนเอ๋อร์ยืน
ขึ้นมา ยื่นมือขาวๆ เรียวยาวของนางออกมา แล้วพูด
ว่า “โหวเยวี่ย ท่านช่วยพยุงข้าออกไปที...”
หยางหนิงเห็นจั่วเซียนเอ๋อร์ยื่นมืออันสวยงามเย้ายวน
ออกมา หัวใจของเขาก็เต้นแรงเหมือนจะทะลุออกมา
เขาเดินเข้าไป ยังไม่ทันจะได้ยื่นมือออกไป ก็เห็นสี
หน้าของจั่วเซียนเอ๋อร์เปลี่ยนไปจากเดิม มีของ
บางอย่างลอยมาจากข้างหูเขา มันพุ่งตรงไปที่บริเวณ
หน้าอกของจั่วเซียนเอ๋อร์ จั่วเซียนเอ๋อร์ร้องเบาๆ
จากนั้นตัวของนางก็ค่อยล้มลง
หยางหนิงรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว เขากำหมัด
กำลังจะหันกลับไป ก็รู้สึกว่าตัวเบา เหมือนมีอะไรมา
สกัดจุดที่หลังคอของเขา ทำให้ตัวของเขาชาไปทั้งร่าง
ทันใดนั้นหยางหนิงก็หน้ามืด จากนั้นตัวก็อ่อนแล้วล้ม
ลงไปในที่สุด เขาแอบด่าในใจว่า “ต้วนฉางไห่ ชมวิว
ทิวทัศน์อยู่ข้างนอกหรืออย่างไร? เหตุใดถึงไม่รู้ว่ามี
คนบุกเข้ามา”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 167 เหลียนเฉิง
หยางหนิงอยู่ในอาการมึนงง รู้สึกว่าตัวเองร่างสลายมี
ปีกออกมาเหมือนเทวดา ล่องลอยอยู่กลางอากาศ
เขาฝืนลืมตาขึ้นมา เขามองเห็นพื้นไม้สีแดง
จากนั้นไม่นาน เขาก็ยังพบว่ามือทั้งสองของเขาถูกมัด
เอาไว้ ขาทั้งสองข้างของเขาก็ถูกมัดเอาไว้เช่นกัน อีก
ทั้งที่เอวก็ยังถูกมัดอีกด้วย เขาถูกคนจับมัดห้อยตัวอยู่
กลางอากาศ
นี่ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วยแล้ว
ในหัวของเขามึนงงเล็กน้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นมองรอบๆ
เขายังคงอยู่ที่เรือสำราญของจั่วเซียนเอ๋อร์ รอบๆ
เงียบสงัด แสงไฟยังสว่างไสวอยู่ มีเชือกเส้นหนึ่งผูก
อยู่กับยอดเรือ เขาพยายามดิ้นให้หลุด เชือกเส้นนั้น
จึงแกว่งไปแกว่งมา ตัวเขาห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศ
เขาตกใจมาก คนแรกที่เขานึกถึงก็คือพวกโต้วเหลียน
จงกลับมาแก้แค้น
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของผู้หญิงคนหนึ่ง
นางพูดขึ้นมาว่า “จิ่นอีโหว ข้ามาตามนัดแล้วนะ”
หยางหนิงตะลึง หันไปมองตามเสียง เห็นที่เตียงไม่
ไกลจากตัวเขา มีผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาดีเอนตัว
นอนอยู่อย่างสบายใจ นางสวมชุดสีแดงฉาน กำลัง
มองมาที่ตัวเขาอย่างสนอกสนใจ
ผู้หญิงคนนี้สวยเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์จนเข้าถึงกระดูก
เลย รูปร่างอวบอั๋นชวนให้หลงใหล หยางหนิงเห็น
ใบหน้าของนางก็จำได้ทันที นางคือชื่อตันเหมยที่เคย
พบกันที่วัดต้ากวงหมิง
“เจ้า...เจ้าเองหรือ?” หยางหนิงหน้าเปลี่ยนสี
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนที่ลอบทำร้ายเขาจะเป็นศิษย์
ของเจ้าสำนักเกาะไป๋อวิ๋นอย่างชื่อตันเหมย
ชื่อตันเหมยหัวเราะคิกคัก น้ำเสียงของนางมันชวนให้
ใจหวั่นไหว “นี่ ดูท่าทางโหวเยวี่ยจะไม่ค่อยพอใจข้า
เท่าไหร่? ท่านไม่อยากจะพบหน้าข้าหรือ?”
หยางหนิงไม่รู้จุดประสงค์ที่นางมาที่นี่เลย เขาคิดว่า
เขาไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับนางเลย แต่ในเมื่อถูกนาง
ควบคุมเอาไว้แล้ว ก็ต้องเลยตามเลยไปก่อน เขาตั้งใจ
ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “เจ้าพูดอะไรของเจ้า คน
สวยๆ อย่างเจ้า ผู้ชายที่ได้พบกับเจ้าเกรงว่าแม้แต่ใน
ความฝันก็คงมีแต่หน้าเจ้า จะมีใครไม่อยากเจอเจ้า
บ้างเล่า?”
“ท่านหมายความว่า ท่านเองก็อยากเจอข้าอย่างนั้น
หรือ?” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ายังคิดว่าท่าน
ลืมข้าไปแล้วเสียอีก”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม่นางชื่อ เจ้าจะ
มาหาข้าเมื่อใดก็ได้ แต่ว่า...แต่ว่าเจ้าจะใช้วิธีนี้มาเจอ
กัน มันไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่กระมัง?”
“ตอนที่อยู่ที่วัดต้ากวงหมิงพวกเราตกลงกันไว้แล้ว
ไม่ใช่หรือว่าถ้ามีโอกาส ข้าจะมาที่แม่น้ำฉินไหวแห้งนี้
จะมาเทียบกับผู้หญิงคนอื่นดู” ชื่อตันเหมยลุกขึ้นมา
จากเตียง สุดสีแดงท่ามกลางแสงไฟ ราวกับว่ามีไฟสี
เพลิงล้อมรอบตัวของชือ่ ตันเหมยตลอดเวลา ผิวขาว
สะดุดตา หน้าตาที่งดงามของนาง มันเปี่ยมเสน่ห์
มากมายจริงๆ “ข้าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น วันนี้ตั้งใจ
มาตามนัดของเจ้า”
“แม่นางชื่อรักษาสัจจะ ข้านับถือ” หยางหนิงพูดว่า
“แม่นาง คุยแบบนี้มันเหนื่อยนะ อย่างไรก็ปล่อยข้า
ลงไปก่อนดีหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่ดึกมาก ยังมีเวลาอีก
เยอะ ข้ายังมีเรื่องอีกมากจะพูดกับเจ้า” พูดจบ ก็มอง
ไปที่ชื่อตันเหมย
ชื่อตันเหมยหัวเราะคิกคัก แล้วพูดด้วยน้ำเสียง
อ่อนหวานว่า “ผู้ชายอย่างพวกท่าน เห็นใครสวยๆ ก็
ชอบชมว่าสวยทั้งนั้น ก่อนหน้านี้ยังแนบชิดกับแม่นาง
คนนั้นอยู่เลยไม่ใช่หรือ? อะไรกัน ตอนนี้จะมาเกี้ยวข้า
แล้วหรือ?”
หยางหนิงเห็นจั่วเซียนเอ๋อร์นั่งอยู่บนเก้าอี้ในมุมหนึ่ง
นางยังไม่รู้สึกตัว
หยางหนิงหัวเราะร่าออกมา แล้วพูดว่า “ข้ากับนาง
ไม่ได้มีอะไรกัน คนที่ข้าคิดถึงจริงๆ คือแม่นางชื่อ
ต่างหาก แม่นางชื่อ เจ้ายังไม่เข้าใจคนอย่างข้าดีพอ
ข้าเป็นคนซื่อ ไม่ใช่คนเจ้าชู้ ครั้งที่แล้วที่ได้เจอเจ้าที่
วัดต้ากวงหมิง ก็อยากจะพบกับเจ้าอีก พูดตามตรง
ตอนอยู่ที่วัดต้ากวงหมิง ผู้คนมีเยอะแยะมากมาย พูด
อะไรไม่สะดวก ข้าไม่มีโอกาสอยู่กับเจ้าสองต่อสอง
วันนี้ได้พบเจ้าอีก ข้าตื่นเต้นมากจริงๆ”
ชื่อตันเหมยเดินตรงมาหาหยางหนิง ตอนที่นางเดิน
มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ตามมาด้วย เมื่อมาถึงตรงหน้า
ของหยางหนิง นางก็ยื่นมือขวาออกไป แล้วใช้นิ้วมือ
ของนางยกคางของหยางหนิงขึ้น แล้วสบตากับห
ยางหนิง ท่าทางแบบนี้ ของนาง มันทำให้หยางหนิง
กระอักกระอ่วนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้อยู่ใกล้กัน
มาก รู้สึกได้เลยว่าผิวของนางขาวเนียนดังผิวหยก
เหมือนไข่ต้มที่ปลอกเปลือกออกแล้ว ราวกับว่าแค่
เป่าลมเข้าไปผิวของนางก็อาจจะแตกออกมาได้เลย
กระมัง
สายตาของชื่อตันเหมยเหมือนมีรอยยิ้มแฝงเอาไว่อยู่
จ้องไปที่สายตาของหยางหนิง หยางหนิงเองก็จ้องไป
ที่ดวงตาคู่นั้น ก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้กำลังยั่วยวนเขาอยู่
จึงรู้สึกว่าไม่ควรจ้องตานางอีก ทันนั้นเขาจึงรีบหลบ
สายตาของนางทันที ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “จะดูว่าใครโกหกหรือไม่ แค่จ้องตาก็จะรู้แล้ว
ท่านแทบจะไม่มองข้าเลย ข้าจะเชื่อท่านได้อย่างไร
เล่า?”
หยางหนิงคิดในใจว่าคำพูดไร้สาระของนางทำไมเยอะ
แบบนี้ ข้าถูกมัดจนแขนชาไปหมดแล้วเจ้าเห็นบ้าง
หรือไม่ แต่ว่าตอนนี้จะแสดงท่าทีมากไม่ได้ ก็เลยพูด
ไปว่า “แม่นางชื่อ เจ้ามาหาข้าวันนี้ อย่าบอกนะว่าแค่
จะมาเล่นจับมัดกับข้าแค่นี้? จริงแล้วข้าเองก็เคย
ศึกษามาบ้าง ถ้าอย่างไรเจ้าปล่อยข้าลงไปก่อนแล้ว
พวกเรามาลองศึกษากันดีหรือไม่?”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า จิ่นอีโหว นิสัยของเจ้าเนี้ยนะ ทำให้ข้า
หวั่นไหวกับเจ้าจริงๆเลย” ชื่อตันเหมยคลี่ยิ้ม ร่างกาย
ของนางสั่นเทิ้ม หน้าอกของนางก็สั่นตามไปด้วย
ใบหน้าของนางแดงระเรื่อเพราะเขินอายเล็กน้อย
สายตาของนางมีความยั่วยวนไม่น้อย
หยางหนิงใจสั่นมาก แต่ว่าเขาก็รู้ดีว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่มี
ทางชอบเขาง่ายๆแบบนี้หรอก เขากำลังสงสัยว่า
ผู้หญิงคนนี้มีคาถามหาเสน่ห์ในตำนานหรือเปล่า ตาม
หลักแล้วเขาเป็นคนหนักแน่น ไม่น่าจะหวั่นไหวอะไร
ง่ายๆ แบบนี้
“ในเมื่อหวั่นไหวแล้ว ก็ต้องเชื่อฟังข้าสิ” หยางหนิง
เห็นชื่อตันเหมยไม่ได้คิดจะแก้มัดให้ ก็เริ่มรู้สึกไม่
พอใจ
ชื่อตันเหมยยิ้ม แล้วพูดว่า “ข้าไม่ฟัง แล้วเจ้าจะทำ
อะไรข้า?”
หยางหนิงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่ทำอะไร แต่
ว่าแบบนี้ มันจะกระทบความสัมพันธ์ของพวกเราสอง
คนนะ?”
“ความสัมพันธ์?” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า
“โหวเยวี่ย ข้ากับท่านมีความสัมพันธ์อะไรกันหรือ?”
“ดึกๆ ดื่นๆ เพื่อมาหาข้าแล้ว เจ้าแอบขึ้นเรือสำราญ
มา เจ้าบอกคนอื่นว่าพวกเราไม่มีความสัมพันธ์อะไร
กันใครเขาจะเชื่อ” หยางหนิงพูดต่อว่า “แม่นางชื่อ
เจ้ากับข้าก็โตๆ กันแล้ว ข้าว่ามีอะไรพวกเรามาเปิดใจ
กันดีกว่า ข้ารู้ว่านอกจากเจ้าจะอยากเจอข้าแล้ว
น่าจะมีเรื่องอื่นๆ อีก เจ้าว่าเจ้าทำกับข้าแบบนี้แล้ว
เกิดข้าไม่พอใจขึ้นมา ต่อไปพวกเราจะคบหากันได้
อย่างไรเล่า?”
ชื่อตันเหมยหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านเองก็ไม่ได้
โง่นี่นา ก็ได้ ข้าแค่ต้องการถามคำถามไม่กี่ข้อกับท่าน
ขอแค่ท่านตอบคำถามข้า ข้าไม่เพียงแก้มัดให้ท่าน ยัง
...ยังจะให้บางอย่างกับท่านด้วย” เมื่อพูดจบ ก็ตั้งใจ
กัดริมฝีปากล่างเบาๆ
โอ้โฮ คิดว่าข้าไม่เคยเจอคนสวยหรืออย่างไร? อย่าคิด
ว่าแค่บีบหน้าอกใหญ่ๆ ของเจ้าออกมาโชว์ ข้าก็จะไม่
มีสติ แล้วก็จะถามอะไร ทำอะไรกับข้าก็ได้อย่างนั้น
หรือ?
หยางหนิงตั้งใจจ้องไปที่หน้าอกของชื่อตันเหมย แล้ว
พูดว่า “เจ้าอยากจะถามอะไรข้า?”
“ตอนนั้นโหวเยวี่ยเอาชนะศิษย์พี่ไป๋ที่วัดต้ากวงหมิง
องอาจมาก ข้านับถือ” ชื่อตันเหมยยืนอยู่ข้างๆ หยาง
หนิง บนตัวของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา “โหว
เยวี่ยท่านบอกข้าได้หรือไม่ วิชากระบี่ของท่าน ผู้ใด
เป็นคนถ่ายทอดให้?”
หยางหนิงมีการเตรียมตัวรับมือไว้พร้อมแล้ว เขาคิด
อยู่แล้วว่าชื่อตันเหมยจะมาหาเขา น่าจะเป็นเพราะ
เรื่องที่เกิดขึ้นที่วัดต้ากวงหมิงแน่นอน ก็ไม่ผิดจากที่
เขาคิดเอาไว้ เขาไม่มีทางบอกเรื่องภาพเคล็ดวิชา
กระบี่นั่นแน่นอน ก็เลยยิ้มแล้วย้อนถามไปว่า “อะไร
กัน แม่นางชื่อเองก็ชอบวิชากระบี่ด้วยหรือ? หรือท่าน
จอมยุทธ์ไป๋ให้เจ้ามาถามข้าหรือ?”
“ไม่ใช่สักหน่อย” ชื่อตันเหมยหัวเราะ “ข้าก็แค่อยาก
รู้ โหวเยวี่ย ท่านบอกข้าเถอะ ผู้ใดเป็นคนถ่ายทอด
วิชากระบี่ให้ท่าน?”
หยางหนิงจำได้ชัดเจน เหมือนไป๋อวี่เฮ่อจะรู้ว่าวิชา
กระบี่ของตัวเขามาจากที่ไหน พวกเขาสงสัยว่าน่าจะ
เป็นยอดฝีมือท่านหนึ่งเป็นคนถ่ายทอดให้ แล้วไป๋อวี่
เฮ่อเองก็ดูยำเกรงคนๆ นั้นมาก
“แม่นางชื่อจะถามอะไรที่รู้อยู่แล้วทำไม?” หยางหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่รู้ว่าผู้ใด
เป็นคนถ่ายทอดวิชากระบี่นี้ให้ข้า ท่านจอมยุทธ์ไป๋
รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
สายตาของชื่อตันเหมยเป็นประกายขึ้นมา แล้วพูดว่า
“ท่านหมายความว่า วิชากระบี่ของท่านเขาเป็นคน
ถ่ายทอดให้จริงๆ ใช่หรือไม่?”
หยางหนิงยิ้มแบบมีเลศนัย แต่ไม่พูดอะไร
“โอ้ย เจ้าทำข้าร้อนใจหมดแล้วนะ” ชื่อตันเหมยเดิน
เข้าไปใกล้เขา กลิ่นหอมบนตัวนางโชยเข้าจมูกของห
ยางหนิง นางพูดว่า “ท่านรีบพูดมาสิ”
หยางหนิงแสร้งทำเป็นได้ใจ แล้วพูดว่า “เจ้าจะให้ข้า
พูดอะไร?”
“ท่านก็บอกมาสิว่าวิชากระบี่ของท่านเขาเป็นคน
ถ่ายทอดให้ใช่หรือไม่?” ชื่อตันเหมยจ้องไปที่ตาของห
ยางหนิง “ข้าอยากให้ท่านพูดความจริงกับข้า”
หยางหนิงย้อนถามกลับไปว่า “คำถามของเจ้าข้าตอบ
ลำบากจริงๆ เจ้าบอกว่า ‘เขา’ มันหมายถึงใครกัน?”
ชื่อตันเหมยหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านนี่นิสัยไม่ดี
เลย ยังจะมาแสร้งทำเป็นไม่รู้อีก ท่านไม่รู้จริงๆ หรือ
ว่าข้าหมายถึงใคร?”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าพูดไม่ชัดเจน
ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน”
ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “นอกจากเป่ยกง
เหลียนเฉิงแล้ว ข้าจะหมายถึงใครได้อีก” ตอนที่นาง
พูดถึง “เป่ยกงเหลียนเฉิง” สายตาของนางเหมือนจะ
ผิดปกติไปจากเดิม มันดูสับสน และเหมือนจะ
หวาดกลัว เหมือนจะยำเกรง แล้วก็เหมือนจะโกรธ
แค้น มันผสมปนเปกันไปหมด
หยางหนิงได้ยินชื่อนี้ครั้งแรก เขาก็ไม่รู้จักเลย เขา
ขมวดคิ้ว แล้วย้อนถามว่า “เป่ยกงเหลียนเฉิงที่เจ้าว่า
เขาเป็นเทพเทวดามาจากไหนกัน?”
ชื่อตันเหมยตะลึงไป จากนั้นก็หัวเราะออกมา
เหมือนกับว่าสิ่งที่เขาถามมานั้นมันเป็นเรื่องที่น่าขำ
ที่สุดในโลก ผู้หญิงที่หน้าตาดีรูปร่างอวบอั๋นยั่วยวน
อย่างนางเหมือนจะหัวเราะน้ำตาเล็ดออกมาจนหมด
นางยิ้มแล้วชี้ไปที่หยางหนิงแล้วพูดว่า “ฉีหนิง เจ้าพูด
ถูกแล้ว เขาเป็นเทพ คนที่รู้จักเขา ทุกคนต่างก็รู้สึกว่า
เขาคือเทพ เทพกระบี่ นั่นก็หมายความว่าเขาคือ
เทพ”
“เป่ยกงเหลียนเฉิง? เทพกระบี่? เป่ยกงเหลียนเฉิงคือ
เทพกระบี่?” หยางหนิงรู้สึกตะลึงพรึงเพริด “เจ้าบอก
ว่าคนที่ถ่ายทอดวิชากระบี่ให้ข้า เขาคือ...คือเทพ
กระบี่เป่ยกงเหลียนเฉิง?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 168 สืบหาร่องรอย
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “นอกจากเป่ยกงเหลียนเฉิง
แล้ว จะหาใครในใต้หล้านี้ที่สามารถเอาชนะศิษย์พี่ไป๋
ได้ภายในสามกระบวนท่าอีก?”
หยางหนิงจ้องไปที่ชื่อตันเหมยตาไม่กระพริบ และพูด
ด้วยความจริงจังว่า “แม่นางชื่อ ก่อนที่ข้ากับเจ้าจะ
คุยกันต่อ ข้าขอถามอะไรเจ้าสักสองสามคำถามจะได้
หรือไม่?”
“เจ้าอยากจะถามอะไรล่ะ?”
“เจ้าตอบข้ามาตามตรง ข้าหน้าตาเป็นอย่างไร?”
หยางหนิงถามอย่างจริงจัง
ชื่อตันเหมยคิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ หยางหนิงจะถามคำถาม
แบบนี้ออกมา นางเป็นผู้หญิงฉลาด รู้ว่าหยางหนิง
ถามอย่างนี้แสดงว่าจะต้องมีต้นสายปลายเหตุแน่นอน
นางคลี่ยิ้มอย่างพราวเสน่ห์แล้วพูดว่า “หากข้าบอก
เจ้าว่าเจ้าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอ
เจ้าคงไม่เชื่อ เอาเป็นว่า อย่างน้อยหน้าตาของเจ้าก็
ไม่ได้น่ารังเกียจ”
หยางหนิงรู้ว่าชื่อตันเหมยพูดความจริง แต่ว่าในใจ
ของเขาตอนนี้ก็ยังโกรธอยู่ จากนั้นเขาก็ถามต่อว่า
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าฉลาดหรือไม่?”
“ก็ไม่ได้โง่ ไม่อย่างนั้นพอเจ้ารู้ว่าข้าจับเจ้ามัดห้อย
แบบนี้ เจ้าคงด่าข้าไปแล้ว” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้าอดทนแกล้งทำเป็นสนใจข้า ถือว่าฉลาดไม่น้อย
แต่ว่าคนที่ฉลาดกว่าเจ้านั้นก็มีเยอะแยะ”
คนที่พูดตรงเกินไปมักจะขายหน้า
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเหตุใด
เจ้าถึงคิดว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงต้องถ่ายทอดวิชากระบี่
ให้ข้าด้วยเล่า? เขาเป็นถึงเทพเซียนกระบี่ หากเป็น
อย่างที่เจ้าว่ามา ในเมื่อเขานั้นเป็นดั่งเทพ ก่อนหน้านี้
ข้าเองก็เป็นแค่จิ่นอีซื่อจื่อ พูดตามตรง สิ่งอื่นๆ ใน
เมืองหลวงแคว้นฉู่ไม่ได้มีมากมาย แต่ตำแหน่งซื่อจื่อมี
มากมายปานขนวัว เจ้าเดินไปตามถนน ไม่แน่ก็
อาจจะเจอสักสามสี่คนก็ได้ ดังนั้นตำแหน่งนี้มันมีคน
ที่เป็นอยู่มากมาย เจ้าเองก็พูดอยู่ว่า ข้าไม่ได้หน้าตาดี
ที่สุด แล้วก็ไม่ได้ฉลาดที่สุด แล้วคนอย่างเทพกระบี่
เหตุใดต้องมาเลือกข้าเล่า?”
เขารู้ดีว่า ชื่อตันเหมยคิดว่าในใต้หล้านี้คงมีเพียงศิษย์
ของเป่ยกงเหลียนเฉิงเท่านั้นที่สามารถเอาชนะไป๋อวี่
เฮ่อได้ภายในสามกระบวนท่า หากเรื่องนี้เป็นเรื่อง
จริง ก็หมายความว่าภาพเคล็ดวิชากระบี่ที่เขาเจออยู่
ในจวนเก่า เป็นของเป่ยกงเหลียนเฉิง?
คำพูดของชื่อตันเหมย ทำให้หยางหนิงรู้สึกถึงความ
แข็งแกร่งของเป่ยกงเหลียนเฉิง
คนที่ถูกขนานนามว่าเป็นเทพ ไม่ได้หมายความว่าเขา
เป็นเทพหรือเซียนจริงๆ แต่ว่าเขาจะต้องมีด้านใดด้าน
หนึ่งที่เหนือกว่าคนอื่น
ในเมื่อเป่ยกงเหลียนเฉิงได้รับสมญานามว่าเทพกระบี่
แสดงว่าเพลงกระบี่ของเขาจะต้องเหนือกว่าคนปกติ
ทั่วไป อาจจะถึงระดับเหนือมนุษย์คนหนึ่งที่ทำได้
คนแบบนี้ จะมาโผล่ที่จวนเก่าได้อย่างไร?
ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนแรกถึงแม้ว่า
ข้าจะคิดว่าเจ้ามันไม่ใช่คนซื่อสัตย์ แต่ข้าก็คิดไม่ถึงว่า
เจ้าจะพูดโกหกแบบไม่กระพริบตาแบบนี้ เจ้าพูด
โกหกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า หากข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้า
เป็นคนอย่างไร คงถูกเจ้าหลอกไปแล้ว”
ถึงแม้เสียงของนางจะพราวเสน่ห์ แต่ว่าน้ำเสียงของ
นางเห็นได้ชัดเลยว่าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่แล้ว
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าหลอกอะไรเจ้า? ข้า
ว่าเจ้าก็หน้าตาไม่เลว เหตุใดถึงได้ไร้หลักการไร้
ทิศทางเช่นนี้?”
“เจ้าบอกว่าข้าพูดจาไร้หลักการไร้ทิศทางอย่างนั้น
หรือ?” ชื่อตันเหมยเริ่มโมโหเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว ยื่น
มือไปดึงหูของหยางหนิง แล้วพูดว่า "เป่ยกงเหลียน
เฉิงเป็นคนของจวนจิ่นอีโหวตระกูลฉีของพวกเจ้า
เพลงกระบี่ของเจ้าเขาเป็นคนถ่ายทอดให้ ตอนนี้เจ้า
ยังมาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแบบนี้ ไม่ได้โกหกแล้วมัน
หมายความว่าอย่างไร?
ชื่อตันเหมยไม่ได้ออกแรงมาก แต่ว่าถูกผู้หญิงคนหนึ่ง
ดึงหูเช่นนี้ มันน่าขายหน้าจริงๆ หยางหนิงรู้สึกโกรธ
มาก ก็เลยพูดไปว่า “ก็ได้ ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้ว ข้าก็จะ
ไม่ปิดเจ้าอีก ถูกต้อง เพลงกระบี่ของข้าเขาเป็นคน
ถ่ายทอดให้ ที่เอาชนะไป๋อวี่เฮ่อในวันนั้นได้ เป็นเพียง
กระบวนท่าง่ายๆ เท่านั้น ชื่อตันเหมย ข้าไม่ได้กลัวที่
จะบอกเจ้า เพลงกระบีท่ ี่เทพกระบี่สอนข้ามีทั้งหมด
แปดสิบเอ็ดกระบวนท่า ทุกกระบวนท่าล้วนแต่เป็น
กระบวนท่าสังหาร หากวันนั้นข้าใช้กระบวนท่าที่ร้าย
กาจกว่านี้ ไป๋อวี่เฮ่อคงไม่แค่บาดเจ็บแน่ๆ”
ชื่อตันเหมยพูดด้วยความสงสัยว่า “เขาสอนเจ้าแปด
สิบเอ็ดกระบวนท่า?”
“ไม่เชื่อหรือ?” หยางหนิงแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “หาก
เจ้าไม่เชื่อ ก็ปล่อยข้าลงไปสิ ข้าทำให้เจ้าดูเอง” ในใจ
เขาคิดว่า ขอแค่ข้าลงไปได้ ข้าจะใช้ท่าเท้าท่องคลื่นวิ่ง
หนีไป หากออกไปจากท้องเรือนี่ได้ ทำให้คนอื่นตกใจ
ชื่อตันเหมยก็คงไม่กล้าลงมือทำอะไรจิ่นอีโหวต่อหน้า
คนอื่น
เขารู้ว่าถึงแม้ชื่อตันเหมยจะเป็นผู้หญิงที่รูปร่างอวบ
อั๋นและมีเสน่ห์ไม่น้อย ขอแค่เพียงเป็นผู้ชายเห็น
ผู้หญิงแบบนี้ก็หวั่นไหวทั้งนั้น แต่ว่าผู้หญิงคนนี้เป็น
ศิษย์ของเจ้าสำนักเกาะไป๋อวิ๋น หยางหนิงรู้มาจาก
หลวงจีนน้อยเจินหมิงว่าบนโลกใบนี้มีคนที่ไม่ควรอยู่
บนโลกใบนี้ ซึ่งคนเหล่านี้ถูกขนานนามว่าต้าจงซือ คน
พวกนี้เก่งเหนือมนุษย์ทั่วไป วรยุทธ์ของพวกเขาอยู่ใน
ขั้นเทพแล้ว เจ้าเกาะสำนักไป๋อวิ๋นคือหนึ่งในนั้น
ชื่อตันเหมยเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักเกาะไป๋อวิ๋น วร
ยุทธ์ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน วันนั้นที่วัดต้ากวงหมิง
นางเอาชนะพระอาจารย์จิ้งคงได้ ถึงแม้น่าสงสัยว่า
นางจะโกง แต่ว่าวรยุทธ์ของนางก็ไม่ธรรมดาจริงๆ วร
ยุทธ์ของเขากับนางก็ห่างชั้นกันมากจริงๆ หากสู้กัน
ตัวต่อตัว เขาคงต้องตายอย่างอนาถแน่นอน ท่าตาย
ของเขามีเพียงอย่างเดียว ก็คือท่าเท้าท่องคลื่น
ชื่อตันเหมยคลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ขอแค่เจ้าฝึกเพลง
กระบี่กับเขาจริงๆ เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญแล้ว เจ้าไม่ต้อง
ทำให้ข้าดูหรอก”
“เหอะๆ เจ้าก็แค่กลัวเพลงกระบี่ของข้า กลัวว่าจะ
ไม่ใช่คู่ปรับของข้าเท่านั้นแหละใช่หรือไม่?” หยาง
หนิงตั้งใจยั่วนาง
แต่ว่าชื่อตันเหมยไม่ได้แค่มีหน้าตาที่สวยอย่างเดียว
แต่นางเจ้าเล่ห์ไม่น้อย นางพูดว่า “โหวเยวี่ย ท่านอย่า
มาเล่นลูกไม้อะไรกับข้าเลย ท่าทางของท่านแบบนี้
หลอกผู้หญิงได้ทั้งโลก แต่ว่าหลอกข้าไม่ได้หรอกนะ”
หยางหนิงตวาดไปว่า “ชื่อตันเหมย ข้าบอกเจ้าไว้ก่อน
นะเจ้ารีบไปจากที่นี่ซะ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า เทพ
กระบี่น่ะผีเข้าผีออก ข้าไม่รู้ว่าเขาจะมาหาข้าตอน
ไหนบ้าง เขาสอนเพลงกระบี่ให้ข้าแล้ว เจ้าก็น่าจะรู้ว่า
ข้ากับเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน หากให้เขาเห็นว่า
เจ้าทำอะไรกับข้าเอาไว้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีจุดจบ
อย่างไร? เทพกระบี่ หากจะเอาชีวติ เจ้าได้ในกระบวน
ท่าเดียวก็ยังได้เลย เจ้าไม่กลัวหรืออย่างไร?”
ถึงแม้ชื่อตันเหมยรู้ว่าหยางหนิงแกล้งขู่นาง แต่ก็อด
ไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ หยางหนิงเห็นว่านางเหมือน
เริ่มจะระแวงแล้ว ก็รู้ว่านางมีท่าทีอย่างไรกับเทพ
กระบี่บ้าง
ทันใดนั้นเองนางก็หัวเราะขึ้นมา ชื่อตันเหมยกลับพูด
ว่า “ในเมื่อเป่ยกงหเหลียนเฉิงเขาไปถึงจุดที่เป็นเทพ
กระบี่แล้ว หากยังต้องดึงกระบี่ออกจากฝักเพื่อฆ่าคน
อีก เขาคงไม่คู่ควรกับสมญานามเทพกระบี่ ท่านโหว
น้อย ท่านบอกว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงมาหาท่านเมื่อใดก็
ได้ หรือว่าตอนนี้เขาอยู่ในเมืองหลวงรึ?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?” หยางหนิงแสร้งถาม
ชื่อตันเหมยยื่นมือไปจับหน้าของหยางหนิง แล้วถาม
ว่า “เจ้าบอกข้ามา ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่?”
หยางหนิงสัมผัสได้ว่ามือของนางเนียนนุ่มและมีกลิ่น
หอมอ่อนๆ โชยออกมา หยางหนิงมองกรอกตาไปที่
นางและไม่สนใจนางอีก
เขารู้สึกแปลใจมากว่า ต้วนฉางไห่ก็น่าจะอยู่ที่นอก
ท้องเรือ ด้วยประสาทสัมผัสของต้วนฉางไห่ ในท้อง
เรือเสียงดังขนาดนี้ ตัวเขาก็ตั้งใจตะโกนเสียงดัง แต่
ว่าต้วนฉางไห่กลับไม่รู้เลยว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ไม่เข้ามาข้างในสักทีไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือไม่
แต่ว่าเขาก็รู้ว่าถึงแม้วรยุทธ์ของต้วนฉางไห่จะไม่เลว
แต่ว่าหากเทียบกับชื่อตันเหมย ก็ยังห่างชั้นกันเยอะ
“เป็นอะไรไป?” เห็นหยางหนิงไม่พูดอะไร ชื่อตัน
เหมยจึงหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “เจ้าไม่อยากพูด
แล้วหรือ?”
หยางหนิงมองไปที่นาง แล้วพูดว่า “ข้าบอกเจ้าก่อน
ข้าเป็นคนนิสัยแปลกๆ หากอยากพูด ไม่ต้องให้ใครมา
ถาม ข้าก็พูด หากข้าไม่อยากพูด ต่อให้เจ้าทรมานข้า
ให้ตาย ข้าก็ไม่มีทางพูด ตอนแรกข้าคิดจะพูดดีๆ กับ
เจ้า คิดว่าพวกเราคงนั่งคุยกันได้ แต่เจ้ากลับเสีย
มารยาทกับข้าเช่นนี้ ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้าอีก
หากเจ้าจะลงมือกับข้า ก็ลงมือกับข้าเสียตั้งแต่ตอนนี้
จะเอาชีวิตข้า ก็เข้ามาเลย”
ชื่อตันเหมยยิ้ม แล้วพูดว่า “แบบนีส้ ิถึงค่อยเหมือน
ลูกผู้ชายหน่อย” นางอ้อมไปด้านหลัง หยางหนิงรู้สึก
ได้ว่าตัวเขาหล่นลงมากองที่พื้นแล้ว เชือกด้านบนที่ขึง
ไว้ถูกตัดขาด เขาตกลงมาที่พื้น แต่มือเท้าของเขา
ยังคงถูกมัดเอาไว้อยู่ ชื่อตันเหมยนั่งลงตรงข้างเขา
จากนั้นก็จับหยางหนิงโยนขึ้นไปที่เตียงนุ่มๆ
เรี่ยวแรงและฝีมือของชื่อตันเหมยนั้นมันเหมาะพอดี
ทีเดียว หลังจากที่หยางหนิงลอยไปแล้ว นางเองก็
ลอยตัวตามมาเหมือนเงาไปที่เตียงที่ หยางหนิงล่วงลง
ไปที่เตียง ชื่อตันเหมยเอนตัวลงที่เตียง นางแสยะยิ้ม
มองไปที่ใบหน้าของหยางหนิง
หยางหนิงนอนอยู่บนเตียงแล้ว ถึงได้โล่งใจ
“ท่านโหวน้อย ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าท่านสักหน่อย” ชื่อ
ตันเหมยยื่นมืออกไป ลูบไล้ไปที่เสื้อของหยางหนิง
จากนั้นก็กัดปากตัวเองเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านว่า
อย่างนี้ดีหรือไม่?”
หยางหนิงรู้สึกได้ว่ามือเรียวนุ่มของนางกำลังสัมผัสมา
ที่หน้าอกของเขา ผิวหนังเขากับนางกำลังสัมผัสกัน
มือของนางกำลังวาดวงกลมลงบนหน้าอกของเขา
ถึงแม้จะไม่ได้ออกท่าทางอะไรมาก แต่ว่ามันทำให้
ร่างกายของหยางหนิงนั้นมันก็มีปฏิกิริยาบางอย่าง
เขาหายใจแรงขึ้น แล้วหันไปมองชื่อตันเหมย เห็น
ท่าทางของชื่อตันเหมยที่กำลังยั่วยวนเข้ามาใกล้ ไม่ว่า
จะมุมไหนของนางก็งดงามมากจริงๆ
“เป่ยกงเหลียนเฉิงอยู่ที่ไหน?” ชื่อตันเหมยเป่าลมไป
ที่หูของหยางหนิง แล้วพูดเบาๆ ว่า “ท่านโหวน้อย
หากท่านบอกข้า ข้าจะยอมรับปากท่านเรื่องอื่นๆ”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าต้อง
อยากเจอเขาด้วย?”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า” ชื่อตันเหมยพูดว่า “เจ้าแค่
บอกข้ามาว่า ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ข้ารับรองว่าข้าจะไม่
ทำร้ายเจ้า แล้วก็จะ...ยังจะทำให้เจ้าสบายตัวด้วย”
นางกัดริมฝีปากอมชมพูของนาง ราวกับจะกัดจน
เลือดออกเลยทีเดียว
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะใช้กลยุทธ์หญิงงาม
กับข้าหรือ?”
ชื่อตันเหมยใช้นิ้วมือลูบไล้ไปที่หน้าอกของหยางหนิง
หยางหนิงตัวเริ่มสั่นเทิ้ม ชื่อตันเหมยพูดว่า “ข้าจะใช้
กลยุทธ์สาวงามกับเจ้า เจ้าไม่ชอบหรือ?”
“ชื่อตันเหมย เจ้าอยากเจอเป่ยกงเหลียนเฉิง มันคือ
เป้าหมายที่เจ้าไปที่วัดต้ากวงหมิงในครั้งนี้ใช่หรือไม่?”
หยางหนิงพูดอีกว่า “การไปที่วัดต้ากวงหมิง แล้ว
อยากจะได้ตำรากวนหมิงเจินจิงคงเป็นแค่หนึ่งใน
เป้าหมาย พวกเจ้าอยากจะรู้ที่อยู่ของเป่ยกงเหลียน
เฉิงนี่ต่างหากเป้าหมายหลักของพวกเจ้า เรื่องทั้งหมด
ที่เกิดขึ้น หากข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นงานที่ท่านเจ้า
สำนักเกาะไป๋อวิ๋นสั่งเอาไว้” เขาแสยะยิ้มแล้วพูดว่า
“ข้ายังแปลกใจอยู่ ถึงแม้เจ้าสำนักเกาะไป๋หวินจะเป็น
ราชครูของตงฉี แต่ว่าพวกเขาบอกว่าท่านเจ้าสำนัก
เกาะอาศัยอยู่ที่เกาะไป๋อวิ๋นมานานหลายปี ไม่ยุ่งเรื่อง
การเมือง แล้วจะส่งลูกศิษย์สองคนมาที่ต้าฉู่เพราะ
ฮ่องเต้ของพวกเราสวรรคตได้อย่างไร? เบื้องหลัง
จริงๆ ก็เพราะต้องการรู้ข่าวคราวของ
เป่ยกงเหลียนเฉิง”
ชื่อตันเหมยหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “โหวน้อยเจ้า
ฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้มาก แต่ว่าตอนนี้ข้าอยู่กับเจ้า เจ้า
กลับพูดอะไรพวกนี้ มันทำลายบรรยากาศหมด”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 169 มีดสองเล่ม
ภายใต้แสงเทียนและกลิ่นเทียนหอม มีสาวงามอยู่ข้าง
กายเพียงแค่คืบเดียว บรรยากาศที่งดงามแบบนี้ เป็น
เวลาที่เหมาะกับการยั่วยวนร่วมรักที่สุด แต่น่า
เสียดายที่หยางหนิงไม่มีอารมณ์เลยแม้แต่น้อย
ชื่อตันเหมยงามราวกับดอกไม้ ร่างกายที่มีส่วนเว้า
ส่วนโค้งและมีเนินอกที่ชูชันได้รูปถึงเพียงนี้
โดยเฉพาะตอนที่นอนตะแคงแบบนี้
รอยยิ้มของนาง กับเครื่องหน้าที่มีเสน่ห์ นิ้วมือยาว
เรียวงามแตะอยู่บนฝีปากที่อมชมพู มันยิ่งทำให้นางดู
น่าหลงใหลไปอีก
“เหตุใดถึงขมวดคิ้วเล่า?” ชื่อตันเหมยขยับเข้าไปใกล้
เขามากขึ้น หน้าอกของนางก็ยิ่งเบียดไปที่หัวไหล่
ของหยางหนิง หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ชื่อตันเหมย ดูท่าเจ้าจะอยากรู้มากเลยสินะว่าเป่ยกง
เหลียนเฉิงอยู่ที่ไหน ข้าขอบอกเจ้าตามตรง เจ้าจะตี
จะทรมานข้า ข้าก็ไม่กลัว แต่สิ่งที่ข้ากลัวก็คือกลยุทธ์
สาวงามมากที่สุด โดยเฉพาะกับผู้หญิงสวยๆ อย่างเจ้า
พอเจ้าใช้มันกับข้าแล้ว ข้าไม่มีแรงต้านทานเลยสัก
นิด”
ชื่อตันเหมยยิ้ม นางใช้นิ้วของนางวางไปที่ปากของห
ยางหนิง จากนั้นก็พูดว่า “ตอนนี้ข้าก็กำลังใช้กลยุทธ์
สาวงามอยู่ไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดเจ้ายังไม่พูดความ
จริงกับข้าอีก จริงๆ แล้วเป่ยกงเหลียนเฉิงอยู่ในเมือง
หลวงหรือไม่? เขาเริ่มถ่ายทอดวรยุทธ์ให้เจ้าตั้งแต่
เมื่อใด? ศิษย์พี่ไป๋บอกว่าเพลงกระบี่ของเจ้าร้ายกาจ
ไม่น้อย แต่ว่าเหมือนกับคนที่เพิ่งเริ่มฝึก เหมือนจะ
เพิ่งฝึกไม่นาน หรือว่าเขาเพิ่งจะถ่ายทอดให้เจ้าได้ไม่
นานรึ?” นางไม่รอให้หยางหนิงพูดอะไร ก็พูดต่อว่า
“ยังมีอีก วิถีการเคลื่อนที่ของเจ้าในวันนั้น มันวิชา
อะไรกันแน่? เป่ยกงเหลียนเฉิงก็เป็นคนถ่ายทอดให้
เจ้าด้วยหรือ?”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “คำถามของเจ้าเยอะแยะ
ขนาดนี้ แล้วจะให้ข้าตอบเจ้าอย่างไร? ยังมีอีก เจ้าจะ
ใช้กลยุทธ์สาวงาม แต่ไม่ได้ใช้กำลังบีบบังคับข้า แต่ข้า
ว่าเจ้าไม่ได้กำลังใช้กลยุทธ์สาวงามเลยสักนิดกระมัง?
เจ้าใช้นิ้วแค่นิ้วเดียวกวาดไปกวาดมาแค่นั้น ก็บอกว่า
ใช้กลยุทธ์สาวงามแล้วหรือ ข้าหมดคำพูดจริงๆ”
ชื่อตันเหมยยิ้ม เขายกมือตบไปที่หน้าอกของหยางห
นิงเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าตัวแสบ เจ้าจะเอาอย่างไร
อีก?” จากนั้นนางก็พูดอีกว่า “หรือว่า...หรือว่าเจ้าคิด
จะ...?” นางไม่ได้พูดต่อ แต่ว่านางรู้ บางครั้งคำพูดกับ
เสื้อผ้าของผู้หญิงก็ไม่ต่างกัน ใส่แค่ครึ่งๆ กลางๆ มัน
ทำให้หวั่นไหวได้มากกว่า
“ยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้าจะเป็นอย่างไร ในเมื่อเจ้าจะใช้
กลยุทธ์สาวงาม ก็ต้องให้ข้ารู้รสของความหอมหวาน
จนถึงขั้นหลงกลเจ้าก่อนจริงหรือไม่?” หยางหนิงถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ต่อให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ กอด
บ้างหอมแก้มบ้างมันก็ต้องมีบ้างใช่หรือไม่?
ไม่อย่างนั้นมันจะเรียกว่ากลยุทธ์สาวงามได้อย่างไร
กัน?”
“นี่ เจ้ายังอยากกอดอยากหอมข้าอีกหรือ?” สายตา
ของชื่อตันเหมยเหมือนน้ำจะไหลออกมา “เจ้าหน้าไม่
อายขนาดนี้เลยหรือ?”
“กลยุทธ์สาวงาม ท่ามัวแต่อายจะเรียกว่ากลยุทธ์สาว
งามได้อย่างไรเล่า?” หยางหนิงยิ้ม
ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าคิดแต่จะเอา
เปรียบข้าก่อน ถึงจะยอมพูดความจริงกับข้าใช่
หรือไม่? โหวน้อย ข้าแก่กว่าเจ้าตั้งเยอะนะ เจ้าไม่
รังเกียจข้าหรือ?”
“ผู้หญิงอย่างเจ้า อีกสิบยี่สิบปีผู้ชายก็ยังอยากจะเข้า
หาอยู่” หยางหนิงพูดว่า “อีกอย่างข้าไม่ชอบผู้หญิง
อายุน้อยกว่า ใสซื่อเกินไป ไม่มีรสชาติ แต่หากเป็น
ผู้หญิงอย่างเจ้า ข้ารู้ว่าควรจะเอ็นดูเจ้าอย่างไร รู้ว่า
ทำอย่างไร ควรจะร่วมรักด้วยอย่างไร...”
“บังอาจ” ชื่อตันเหมยแค่นเสียงเย็นชา “หากเจ้ายัง
พูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ”
หยางหนิงสีหน้าเปลี่ยนไป แล้วพูดออกมาว่า “นั่น...
นั่นใคร?”
ชื่อตันเหมยตกใจ ก็เลยหันหน้าไปมอง ในตอนนี้เอง
หยางหนิงก็พลิกตัวกลับมา เมื่อชื่อตันเหมยรู้ตัวอีกที
หยางหนิงก็พลิกตัวกลับมาทับตัวนางแล้ว และมีมีด
สั่นจี้อยู่ที่คอของชื่อตันเหมย
หยางหนิงถูกมัดมือทั้งสองข้าง แต่ตอนนี้เขาแก้มัดได้
ตัวเองแล้ว
ชื่อตันเหมยเพิ่งรู้ตัวว่าติดกับหยางหนิงแล้ว แต่ว่านาง
ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด และยังพูดอีกว่า “เจ้าตัว
แสบ ที่แท้เจ้าก็แก้มัดตัวเองได้แล้วหรือ?”
ถึงแม้มือของหยางหนิงจะแก้มัดได้แล้ว แต่ว่าขาทั้ง
สองข้างยังถูกมัดอยู่ ตอนนี้ตัวเขาทั้งตัวทับอยู่บน
เรือนร่างอันอวบอั๋นของชื่อตันเหมย
ก่อนหน้านี้เขาแค่รู้สึกว่าร่างกายของชื่อตันเหมย
ยั่วยวนไม่น้อย ตอนนี้ทับร่างของนางได้ ถึงได้รู้ว่า
ผู้หญิงคนนี้ร่างกายเนียนนุ่มมาก
“วิชาการมัดเชือกของเจ้ามันธรรมดาเกินไป” หยาง
หนิงกลับมาเป็นฝ่ายคุมสถานการณ์ได้แล้ว เขามองไป
ที่ใบหน้าของชื่อตันเหมยที่เขาทับอยู่ “เป็นอย่างไร
บ้างเล่า ยังกล้ากำเริบอีกหรือไม่?”
ในชาติก่อนหยางหนิงเคยฝึกอบรมการต่อสู้พิเศษ ไม่
เพียงเทคนิคการต่อสู้เท่านั้น แต่ว่าการมัดการผูกเองก็
ได้ฝึกจนชำนาญแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการมัด
รูปแบบใด หยางหนิงก็เจอมาหลายรูปแบบ ชื่อตัน
เหมยคิดว่านางจัดการกับหยางหนิงได้อย่างแน่นอน
ถึงได้มัดตัวเขาไม่แน่นมากพอ แต่หยางหนิงกลับแอบ
คลายเชือกได้ด้วยตัวเอง
ชื่อตันเหมยพูดอย่างน้อยใจว่า “ข้าไม่คิดจะทำอะไร
เจ้าสักหน่อย แต่เจ้ากลับเอามีดมาจี้คอข้าแบบนี้ได้
อย่างไรกัน? โหวน้อย เจ้ารู้จักทะนุถนอมคนอื่นบ้าง
หรือไม่?” นางหายใจแรงขึ้น หน้าอกของนาง
กระเพื่อมไหวน้อยๆ หยางหนิงไม่อยากมองก็ไม่ได้ ใน
ใจอยากจะจับสักครั้งมันก็น่าจะรู้สึกดี แต่ว่าในเวลา
แบบนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาฉวยโอกาสกับนาง เขา
แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ทะนุถนอมหรือ? หากข้าทำแบบ
นั้น วันนี้ไม่รู้ว่าข้าจะรอดออกไปได้หรือไม่”
“เจ้าคิดว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือ?” ชื่อตันเหมยพูดอย่าง
น้อยใจ “ข้าก็แค่ล้อเจ้าเล่นนิดเดียวเลย ถามคำถาม
เจ้าไม่กี่ข้อ ใครอยากจะฆ่าเจ้ากันเล่า? เจ้าเป็นถึง
จิ่นอีโหว หากว่าข้าฆ่าเจ้า มันก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่
ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอกนะ” นางพูดอีกว่า “เจ้าลง
ไปจากตัวข้าก่อนได้หรือไม่ เจ้าตัวหนักมาก ข้า...
ร่างกายข้าบอบบาง ข้ารับไม่ไหวหรอกนะ...”
“อย่าพูดมาก” หยางหนิงพูดว่า “ข้าขอถามเจ้าหน่อย
เหตุใดเจ้าสำนักเกาะไป๋อวิ๋นถึงต้องให้เจ้ามาตามหาเป่
ยกงเหลียนเฉิงด้วย? เจ้ากับไป๋อวี่เฮ่อมาที่แคว้นฉู่ มี
จุดประสงค์อันใดกัน?”
ชื่อตันเหมยพูดด้วยความน่าสงสารว่า “ท่านเจ้าสำนัก
เกาะชื่นชมในตัวของเป่ยกงเหลียนเฉิงมาก ไม่ได้ข่าว
ของเป่ยกงเหลียนเฉิงมานานหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าเขา
เป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็เลยให้พวกเรามาที่แคว้นฉู่
เพื่อลองสืบหาข่าวคราวว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงสบายดี
หรือไม่ หากมีโอกาส ก็อยากจะให้เขาไปที่เกาะ
ไป๋อวิ๋นสักครั้ง” นางพูดอีกว่า “โหวน้อย ข้าไม่ได้มี
เจตนาร้าย เจ้าอย่าเข้าใจข้าผิด”
หยางหนิงไม่เชื่อคำพูดของชื่อตันเหมย แต่เขามีแต่
ความสงสัย “จริงหรือ?”
“ก็ต้องจริงสิ” ชื่อตันเหมยค่อยๆ ขยับตัว “เทพกระบี่
ของบ้านเจ้าคนนั้น เป็นเพื่อนเก่ากับท่านเจ้าเกาะ
ตอนที่พวกท่านอายุยังน้อยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
เหมือนพี่เหมือนน้องกันก็ไม่ปาน หากเจ้าไม่เชื่อ ก็
ลองไปถามเป่ยกงเหลียนเฉิงดูสิ โอ้ย โหวน้อย เจ้าใช้
มีดเล่มเดียวก็พอแล้วไหม ทำไมต้องใช้ถึงสองเล่มด้วย
ล่ะ?”
“มีดสองเล่ม?” หยางหนิงขมวดคิ้ว “หมายความว่า
อย่างไร?”
“เจ้าใช้มีดจี้ที่คอของข้า ด้านล่างยังมีมีดอีกเล่ม...”
ชื่อตันเหมยหลับตาลง ใบหน้าขาวอมชมพูของนาง
เริ่มแดงระเรื่อ ราวกับกำลังเขินอาย “เจ้า...เจ้าทิ่ม
ตรงนั้น...ตรงนั้นของข้าอยู่...”
หยางหนิงอึ้งไป จากนั้นก็เริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน
ขึ้นมา
รูปร่างของชื่อตันเหมยอวบอั๋นยั่วยวนให้ชวนหลงใหล
ไม่ว่าชายใดที่ได้พบรูปร่างที่ส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนได้
รูปแบบนี้ ชายใดบ้างที่จะไม่หวั่นไหว
หยางหนิงทับอยู่บนตัวของนาง เรือนร่างของนางขยับ
ไปตามที่นางเคลื่อนไหว หยางหนิงเป็นชายชาตรีมี
หรือจะไม่รู้สึกอะไร
“ขอโทษด้วยนะ เจ้ามันเจ้าเล่ห์เกินไป ข้าต้องระวังตัว
ก็เลยต้องใช้มีดสองเล่มเพื่อรับมือกับเจ้า” ถึงแม้ห
ยางหนิงจะกระอักกระอ่วน แต่ก็ยงั ข่มใจพูดอย่าง
จริงจัง
ในใจเขารู้ดีว่า ชื่อตันเหมยตั้งใจพูดแบบนั้น หาก
ผู้หญิงไม่รู้ว่าถูกอะไรทิ่มอยู่ คงต้องเจอผีเข้าให้แล้ว
จริงๆ
“ข้ากลัวนี่นา...” ชื่อตันเหมยเสียงอ่อนหวาน หายใจ
อย่างรุนแรง
แต่ว่าทิ่มคนอื่นอยู่แบบนั้น มันก็ช่างน่าอายจริงๆ
หยางหนิงยกก้นขึ้น คิดจะเอาออกห่างหน่อย แต่ว่า
ขาสองข้างดันถูกมัดอยู่ ขยับไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่
เมื่อยกก้นขึ้น แรงมันก็ไม่ตามมาด้วย มันก็เลยทับลง
ไปอีก วินาทีนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงชื่อตันเหมยคราง
เบาๆ ร่างกายของนางสั่นเล็กน้อย
“เจ้า...เจ้าตัวแสบ...” ชื่อตันเหมยหน้าแดงเรื่อ แล้ว
พูดว่า “เจ้า...เจ้าเอามีดของเจ้าแทงข้าอีกแล้ว ข้ากลัว
...ข้ากลัว...”
หยางหนิงกระแอมแล้วพูดว่า “หากเจ้าคิดไม่ซื่อ วันนี้
ข้าก็จะใช้มันแทงเจ้าให้ตายเลย”
สีหน้าของชื่อตันเหมยเหมือนจะมีความน้อยอก
น้อยใจ แล้วพูดว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องไม่ใช่คน
ดี ก่อนหน้านี้...ก่อนหน้านี้ไม่ควรเกรงใจเจ้าเลยจริงๆ
...” นางพูดเบาๆ ว่า “เจ้ามีมีดของเจ้าข้างล่างแล้ว...
เจ้าก็...เจ้าก็เอาเล่มที่อยู่ตรงคอของข้าออกไปก่อนสิ
ข้าไม่สบายตัวเลย...” นางเหมือนจะขยับตัวเล็กน้อย
เหมือนอยากจะหลบให้พ้นคมมีดเล่มนี้ไป แต่ว่านาง
ไม่ขยับยังดี แต่พอขยับเอวกับก้น มันกลับถูไปที่ห
ยางหนิง หยางหนิงทนไม่ไหวต้องยกก้นขึ้นอีก แต่มัน
ก็ทับลงไปอีก เขาตลาดกลับไปว่า “อย่าขยับ”
ชื่อตันเหมยครางเสียงเบาๆ ออกมาอีกครั้ง แล้วพูดว่า
“เจ้าตัวแสบ เจ้ากล้ารังแกข้ารึ ไม่กลัวข้าฆ่าเจ้า
หรือ?”
“มีดอยู่ในมือข้า เจ้ายังกล้าขู่ข้าอีกหรือ?” หยางหนิง
ยิ้ม “เจ้าบอกว่าที่เจ้ามาตามหาเป่ยกงเหลียนเฉิง
เพราะต้องการเชิญเขาไปที่เกาะไป๋อวิ๋น ข้าไม่มีทาง
เชื่อเจ้าหรอก บอกมาตามตรง พวกเจ้ามีแผนอะไร?”
“ไม่มีแผน ก็ไม่มีแผนสิ” ชื่อตันเหมยพูดว่า “หากเจ้า
ไม่เชื่อ ตอนนี้เจ้าก็ฆ่าข้าเลยสิ...” นางเบือนหน้าหนี
แล้วพูดอีกว่า “เจ้าบอกมานะ ว่าเขาอยู่ที่ไหน? เจ้า
เอาเปรียบข้าเยอะขนาดนี้แล้ว ทับก็ทับแล้ว ยัง...ยัง
เอาไอ้นั่นของเจ้ามาทิ่มข้าอีก เจ้าก็ยังจะไม่บอกข้าอีก
ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าโกรธรึ? จะว่าไป ท่าทาง
โกรธของเจ้า มันสวยกว่าตอนเจ้ายิ้มอีกนะ”
ชื่อตันเหมยกระพริบตา จ้องไปที่ตาของหยางหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าไม่กลัวข้าโกรธจริงๆ
หรือ? หากข้าโกรธขึ้นมา ข้าดุมากเลยนะ ข้ากลัวว่า
เจ้าจะรับไม่ไหว”
“อย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงพูดว่า “คนอย่างข้าเป็น
พวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เอาเลยสิ โกรธให้ข้าดู
หน่อย ว่าโกรธแล้วเจ้าจะเป็นอย่างไร?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 170 เสียงที่เลื่อยลอย
ชื่อตันเหมยแสยะยิ้ม แล้วพูดว่า “เจ้าไม่กลัวจริงๆ
หรือ”
หยางหนิงตั้งใจกดเอวลง เรือนร่างของทั้งคู่แนบชิด
กัน จากนั้นเขาก็พูดจาท้าทายกลับไปว่า “ข้าทิ่มเจ้า
อีกแล้ว เจ้าจะทำอะไรข้า?” ในใจก็คิดว่าถ้าผู้หญิงคน
นี้คิดไม่ซื่อ หากได้ร่วมรักกับคนสวยๆ แบบนี้ที่นี่ก็คง
จะมีความสุขไม่น้อย
เขายังไม่ทันได้คิดไปไกล ก็รู้สึกว่าร่างกายของเขานั้น
แน่นขึ้นมา จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงพลังคลื่นลูกหนึ่งที่
ออกมาจากตัวของชื่อตันเหมย หยางหนิงคิดว่า
สถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว กำลังจะตอบโต้ แต่ว่าคลื่น
ลูกนั้นกลับพุ่งออกมา ร่างกายที่แนบชิดของทั้งสอง
แยกออกจากกัน หยางหนิงถูกซัดลอยออกมา และก็
เห็นชื่อตันเหมยลุกขึ้นมา
ช่วงที่นางยกขาขึ้นมา กระโปรงสีแดงของนางก็ถกขึ้น
มองเห็นขาขาวๆของนางโผล่ออกมา ผิวของนางขาว
ราวกับหิมะ ท่อนขาเรียวยาว ผิวดูเต่งตึง ไม่มีรอย
แผลอะไรเลย ผิวขาวของนางช่างมีเสน่ห์ยั่วยวนไม่
น้อย หยางหนิงยังไม่ทันจะเห็นขาขาวๆ คู่นั้นชัดๆ ก็
ถูกชื่อตันเหมยถีบเข้าไปที่เอว ตัวของเขาลอยออกไป
กระแทกลงตรงพื้นเรือ
ยังดีที่เป็นพื้นไม่ได้แข็งมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
หล่นลงมาแรงขนาดนี้ มันก็ทำให้หยางหนิงรู้สึกปวด
ไปถึงกระดูกเลยทีเดียว
เขาตกใจมาก รู้ว่าชื่อตันเหมยกเดินกำลังภายใน เขา
ทั้งโกรธทั้งตกใจ
ชื่อตันเหมยลอยตัวมาอยู่ข้างๆ หยางหนิง จากนั้นนาง
ก็นั่งลง มองแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ข้าบอกว่าแล้ว
ว่าอย่าทำให้ข้าโกรธ ตอนนี้กลัวแล้วหรือยัง?”
“ชื่อตันเหมย เจ้า...เจ้ามันเจ้าเล่ห์” หยางหนิงพูดด้วย
ความโกรธว่า “หากเจ้าไม่ใช้กำลังภายในเจ้าจะ
เอาชนะข้าได้หรือ?”
ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แปลก เจ้าไม่
เก่งเอง ไม่ยอมฝึกฝนวรยุทธ์ให้ดี จะมาโทษว่าข้าเก่ง
กว่าเจ้าได้อย่างไรกันเล่า? ข้าให้เจ้านอนลงก็ได้ แต่
เจ้าบอกเองว่าเจ้าจะคุยกับข้าดีๆ ข้าก็ยอมให้เจ้าเอา
เปรียบแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่ยอมพูดความจริงกับข้า ข้า
ไม่ได้มีความอดทนมากพอ ข้าโกรธขึ้นมาก็ไม่แปลก”
หยางหนิงดิ้นรนอยากจะลุกขึ้นมา ชื่อตันเหมยพูดว่า
“เจ้าอย่าขยับจะดีกว่า หากเจ้าขยับอีก ข้าจะโกรธ
จริงๆ แล้วนะ”
หยางหนิงพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าก็ฆ่าข้าเลยสิ”
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมานั่ง ชื่อตันเหมยขมวดคิ้วมุ่น ยื่น
มือของนางออกไป แล้วบีบคอหยางหนิง นิ้วมือของ
นางเรียวยาวสวยมาก แต่ว่าในตอนนี้มันกำลังจะเป็น
เครื่องมือสังหาร สีหน้าสวยๆ ของชื่อตันเหมย
ในตอนนี้ช่างดูโหดเหี้ยมไม่น้อย นางพูดว่า “ข้าไม่มี
อารมณ์จะเล่นกับเจ้าแล้วนะ สรุปเป่ยกงเหลียนเฉิง
ตอนนี้อยู่ที่ไหน? หากเจ้าไม่ยอมพูดอีก ข้าจะไม่
เกรงใจเจ้าอีกแล้วนะ” จากนั้นนางก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“หลงใหลในความงามของอิสตรี แม้แต่วีรบุรุษก็ยาก
ที่จะผ่านด่านหญิงงามไปได้”
หยางหนิงเห็นนางเปลี่ยนท่าทีมาใช้มารยาหญิง นาง
สวยมากจริงๆ เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหว
ขึ้นมา ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาในหู
“ปีศาจน้อยตงไห่ กล้าเข้ามาในดินแดนของข้า ไม่
อยากอยู่แล้วหรืออย่างไร?”
เสียงๆ นี้ผุดมาอย่างกะทันหัน หยางหนิงอึ้งไป สีหน้า
ของชื่อตันเหมยเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นางมองไป
รอบๆ
ภายในท้องเรือ นอกจากจั่วเซียนเอ๋อร์ที่ยังนั่งสลบอยู่
ที่เก้าอี้แล้ว ก็ไม่มีใครอีก แต่ว่าหยางหนิงได้ยินเสียง
ของคนๆ นั้นชัดเจนมาก
เสียงของคนๆ นั้นมันเหมือนอยู่ที่ข้างหูนี้เอง มันใกล้
มากเหมือนอยู่ข้างๆ ตัว แต่ก็เหมือนเลื่อนลอยออกไป
ไกล
ใบหน้าของชื่อตันเหมยไม่ได้มีความงามแบบมีเสน่ห์
อีกแล้ว นางขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ท่านหลบๆ ซ่อนๆ
แบบนี้ทำไม ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดถึงไม่ออกมาพบ
หน้ากันสักครั้งเล่า?”
“วรยุทธ์ของข้าเหนือกว่าเจ้ามาก หากข้าออกไปแล้ว
เจ้าไม่กลัวหรืออย่างไร?” เสียงของคนๆ นั้นดังเข้ามา
ในหูของหยางหนิงอย่างชัดเจน
หยางหนิงฟังจากน้ำเสียงแล้ว เหมือนเขาจะมีอายุ
มากแล้ว แต่ที่หน้าแปลกก็คือ เขาฟังไม่ออกเลยว่า
เสียงนี้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
เสียงของคนๆ นั้นมีเสียงที่แหลมเล็กๆ แต่น้ำเสียง
กลับสุขุมนุ่มลึก และมีความชราแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น
ชื่อตันเหมยเตรียมอาวุธพร้อมมือ แต่ว่ายังทำเป็นไม่
กลัวอยู่ “กลัวหรือไม่ ก็คงต้องประลองฝีมือกันสักครั้ง
ถึงจะรู้”
“ศิษย์ของโม่หลันชังไม่ได้เรียนรู้วิชาอะไรมาจากเขา
เลย นอกจากเรียนรู้การไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา”
จากนั้นก็หัวเราะด้วยเสียงแปลกเปล่งออกมา “เจ้า
อยากจะลองสัมผัสความสามารถของข้าหรือ แล้วเหตุ
ใดเจ้าไม่ลองมองไปที่มือของเจ้าดูเล่า?”
ชื่อตันเหมยตะลึงไป นางยกมือขึ้นมาดูโดยไม่รู้ตัว
หยางหนิงเองก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง มองเพียงแวบ
เดียวสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
นิ้วมือของชื่อตันเหมยมีเลือดซึมออกมา ผิวขาวของ
นาง นิ้วมือเรียวเล็กของนาง เมื่อมีเลือดสีแดงซึม
เปื้อนออกมาจากนิ้วขาวๆ ของนาง ก็ทำให้ตกใจไม่
น้อย
ชื่อตันเหมยหน้าถอดสี แล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้าเป็น
ใคร?” จากนั้นก็เห็นว่ามือของนางหนีบเข็มเงินอยู่
หยางหนิงเห็นเข็มเงินเล่มนั้นทั้งเล็กทั้งบาง หากว่าตา
ไม่ดี แทบจะมองไม่เห็นเลย
อีกฝ่ายซัดเข็มเงินมาใส่นางโดยไม่รู้ตัว ที่น่ากลัวที่สุด
คือ มือของชื่อตันเหมยถูกเข็มเงินปัดจนเลือดไหลแต่
กลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย
“ถึงแมโม่หลันชังจะไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย แต่ข้าจะ
ไว้หน้าเขาสักครั้ง หากเจ้ายังตอแยไม่เลิก ข้าก็จะทำ
ให้เขาเสียลูกศิษย์ไปหนึ่งคนเสียตอนนี้เลย เจ้าเชื่อ
หรือไม่เล่า?” เสียงของเขาทุ้มต่ำ แต่น้ำเสียงของเขาที่
พูดออกมา ยากที่ใครจะไม่เชื่อ
ชื่อตันเหมยกัดฟันแล้วมองไปรอบๆ ถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “วิชาเปล่งเสียงของท่านผู้อาวุโสร้ายกาจนัก
ข้าน้อยล่วงเกินท่านเกินไปแล้ว ขอผู้อาวุโสอภัยให้
ข้าน้อยด้วย” จากนั้นก็เหลือบไปมองหยางหนิง มอง
ด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม แล้วพูดเบาๆ ว่า “ฝากไว้ก่อน
เถอะ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแน่นอน” จากนั้นนางก็ลอย
ออกนอกหน้าต่างไป
หยางหนิงเห็นชื่อตันเหมยไปแล้ว ก็โล่งใจ เขาลุก
ขึ้นมานั่ง แล้วแก้มัดที่เท้าของเขาทันที จากนั้นก็ลุก
ขึ้นยืน แล้วยกมือขึ้นคำนับ “เป็นผู้อาวุโสท่านใดที่
ช่วยข้าน้อยเอาไว้ ข้าน้อยฉีหนิง ขอบพระคุณท่าน
มาก”
รอบๆ ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ
หยางหนิงขมวดคิ้ว เขาก็พูดเสียงดังขึ้นอีก “ท่านผู้
อาวุโสท่านอยู่ที่ใด? ท่านจะออกมาให้ข้าน้อยได้
ขอบคุณท่านสักครั้งจะได้หรือไม่?” เขาถามอีกว่า “ผู้
อาวุโสท่านคือผู้อาวุโสเป่ยกงเหลียนเฉิงใช่หรือไม่?”
ยอดฝีมือที่ทำให้ชื่อตันเหมยหนีไปอย่างตื่นกลัวได้ อีก
ฝ่ายจะต้องเป็นสุดยอดฝีมือแน่นอน อาจจะเป็นถึง
ปรมาจารย์เลยก็ได้ ไม่อย่างนั้นชื่อตันเหมยไม่มีทาง
กลัวขนาดนั้น
เขากับชื่อตันเหมยพูดถึงเป่ยกงเหลียนเฉิงตลอด หรือ
ว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงเขาจะมาจริงๆ?
แต่ว่ามันจะไม่บังเอิญเกินไปหรือ แผ่นดินกว้างใหญ่
ขนาดนี้ เป่ยกงเหลียนเฉินเหตุใดอยู่ๆ ถึงโผล่มาในคืน
นี้?
ชื่อตันเหมยบอกว่าอีกฝ่ายใช้วิชาเปล่งเสียง แสดงว่า
อีกฝ่ายอาจจะไม่ได้อยู่บนเรือ หากเป็นอย่างนั้นจริง
อีกฝ่ายรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในท้องเรือดิอย่างไรกัน แล้ว
เหตุใดถึงรู้เรื่องของชื่อตันเหมยเป็นอย่างดีอีกด้วย?
แต่หากว่าเขาไม่อยู่บนเรือจริงๆ เข็มเงินที่แทงเข้าไป
ในมือของชื่อตันเหมยนั้น อีกฝ่ายสามารถซัดมันมา
จากร้อยลี้ได้อย่างนั้นหรือ?
แต่ว่าอีกฝ่ายไม่เพียงโผล่ขึ้นมากะทันหัน แต่เหมือน
เขาจะมาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้กับเขา ดูแล้วคง
ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีกับตัวเขาแน่นอน
“ท่านผู้อาวุโสท่านจะออกมาพบหน้ากันสักครั้งจะได้
หรือไม่?” หยางหนิงถามซ้ำ
รอบๆ ยังเงียบสนิท เหมือนคนๆ นั้นจากไปนานแล้ว
หยางหนิงขมวดคิ้ว เขาคิดว่าหรือว่าจะออกไปทาง
หน้าต่างแล้ว เขามองซ้ายมองขวา อย่าว่าแต่ยอดฝีมือ
ท่านนั้นเลย แม้แต่เงาของชื่อตันเหมยก็ไม่เห็นแล้ว
บนแม่น้ำฉินไหว แสงไฟยังคงสว่างไสวเช่นเดิม มี
เสียงดนตรีดังเป็นระยะๆ มีเรือลอยล่องอยู่บนแม่น้ำ
เรื่อยๆ ไม่ขาดสาย
หยางหนิงรู้สึกสงสัย เขาเดินออกไปดูนอกท้องเรือ
เห็นสาวใช้สองคนนอนหลับอยู่ที่พื้น เขายื่นมือไปที่
จมูกของพวกนาง ยังคงหายใจอยู่ แสดงว่าแค่หลับลึก
เท่านั้น หยางหนิงรู้ทันทีว่าจะต้องเป็นฝีมือของชื่อตัน
เหมยแน่นอน จากนั้นก็รีบเดินไปที่หัวเรือ เห็นต้วน
ฉางไห่นั่งอยู่ที่ขอบเรือ มือข้างหนึ่งยกขึ้น ในมือกำ
ดาบไว้แน่น เหมือนรูปปั้น ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
หยางหนิงรีบเดินตรงเข้าไป แล้วนั่งยองๆ ลง เห็นต้
วนฉางไห่หลับตาอยู่ เขาถูกสกัดจุดเอาไว้แน่นอน
หยางหนิงชำนาญเรื่องจุดชีพจรดี เห็นต้วนฉางไห่ถูก
สกัดจุดจนหลับสนิท ก็ยื่นมือไปแก้จุดให้ ไม่นานนัก ต้
วนฉางไห่ก็ลืมตาขึ้นมา แต่ว่าตัวเขายังคงไม่ขยับ เมื่อ
ลืมตาขึ้นมาแล้ว เห็นหยางหนิงกำลังมองมาที่ตัวเขา
อยู่ ก็รีบพูดว่า “โหวเยวี่ย ท่าน...ท่านไม่เป็นอะไรใช่
หรือไม่?”
“ข้าไม่เป็นอะไร” หยางหนิงรู้ว่าต้วนฉางไห่เองก็ไม่ได้
เกียจคร้าน วรยุทธ์ของเขาเทียบชื่อตันเหมยไม่ได้
ส่วนชื่อตันเหมยเองก็ใช้วิธีลอบโจมตี ต้วนฉางไห่เองก็
คงไม่สามารถรับมือได้ทันทีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ยังโดนสกัดจุดตรงไหนอีก?”
ต้วนฉางไห่บอกจุดชีพจรมาอีกสองจุด หยางหนิงหา
จุดนั้นบนจัวของต้วนฉางไห่ทันที ยังดีที่ชื่อตันเหมย
ไม่ได้ใช้วิธีการสกัดจุดที่ประหลาด ก็เลยแก้ได้ง่าย
เมื่อต้วนฉางไห่คลายจุดได้แล้ว ก็รีบลุกขึ้นมา เขากำ
หมัดแน่นแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย คนร้ายเป็นผู้หญิง
น่าจะยังอยู่บนเรือ”
หยางหนิงคิดในใจว่านางคงขึ้นฝั่งไปแล้ว เขายิม้ แล้ว
พูดว่า “ไม่ต้องตามหาแล้ว นางไปแล้วล่ะ”
“ไปแล้ว?” ต้วนฉางไห่อึ้งไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “ปีศาจสาวนั่นฝีมือร้ายกาจมาก ลอบโจมตี
จากด้านหลัง ไม่สมกับเป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย” ต้
วนฉางไห่เดือดพล่าน
หยางหนิงคิดว่านางเป็นผู้หญิง นางคงไม่มาเป็น
สุภาพบุรุษอย่างเจ้าหรอก
เขาไม่สนใจต้วนฉางไห่ กลับเข้าไปที่ท้องเรือ เห็น
เซียนเอ๋อร์ยังคงหลับอยู่ จึงอุ้มนางขึ้นมาอย่าง
ระมัดระวัง แล้ววางนางลงบนเตียง เห็นนางนอนหลับ
ใบหน้าของนางแดงเล็กน้อย ริมฝีปากอมชมพู ท่า
นอนของนางช่างชวนหลงใหลไม่น้อย เขาคลี่ยิ้มขึ้นมา
อย่างเอ็นดู แล้วพูดเบาๆ ว่า “แม่นางเซียนเอ๋อร์ เรื่อง
ที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพราะข้าทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน
ต้องขออภัยจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าถูกสกัดจุดตรงไหนบ้าง
ไม่สะดวกที่จะแตะต้องตัวเจ้า เจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว
หลับสักตื่นเถอะนะ จุดที่ถูกสกัดไม่นานก็จะคลายเอง
พอเจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว จะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หาก
มีโอกาส ข้าจะมาหาเจ้าใหม่” จากนั้นเขาก็ดึงผ้าห่ม
ค่อยๆ ห่มให้จั่วเซียนเอ๋อร์
ขณะที่จั่วเซียนเอ๋อร์กำลังหลับฝันหวาน ก็ไม่รู้ว่านาง
ได้ยินสิ่งที่หยางหนิงพูดหรือไม่ ริมฝีปากของนางก็ยิ้ม
ออกมา
หยางหนิงออกมาจากท้องเรือ เงยหน้ามองท้องฟ้า
ตอนนี้ก็ถึงยามจื่อแล้ว ต้วนฉางไห่เองก็กำลังรออยู่
เขาเดินเข้ามาถามว่า “โหวเยวี่ย คืนนี้ท่านจะค้างที่นี่
หรือไม่? ไม่รู้ว่าฮูหยินสามจะเป็นห่วงหรือไม่”
หยางหนิงจ้องหน้าเขา แล้วพูดว่า “ข้าแค่มาฟังเพลง
ค้างคืนอะไรกัน? พวกเรากลับจวนเดี๋ยวนี้เลย”
ต้วนฉางไห่รีบพยักหน้า ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหว
เยวี่ย นักฆ่านั่นน่าจะพุ่งเป้ามาที่ท่าน นางคิดจะทำ
อะไร? ดูท่าวันหลังคงต้องเพิ่มการอารักขาท่านให้
มากขึ้นอีก”
หยางหนิงพูดว่า “ก็ไม่ได้มีอะไร นางเป็นยอดฝีมือ
เจ้าเองก็เห็น เพิ่มคนมากขึ้นก็ไม่มีประโยชน์” จากนั้น
เขาก็ถามว่า “จริงสิ เจ้ารู้จักเป่ยกงเหลียนเฉิง
หรือไม่?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 171 ค่ำคืนอันน่าสะพรึง
ต้วนฉางไห่ตะลึงงัน จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า
“โหวเยวี่ย เหตุใดอยู่ๆ ถึงได้ถาม...หรือว่านักฆ่าที่
ปรากฏตัวเมื่อครูนี้ เกี่ยวข้องกับท่านรองเป่ยกง?”
“ท่านรองเป่ยกง?” หยางหนิงอึ้งไป ต้วนฉางไห่
เรียกเป่ยกงเหลียนเฉิงว่า “ท่านรอง” มันดูไม่ค่อย
ปกตินะ เขารีบถามกลับไปว่า “เจ้ารู้จักเป่ยกงเหลียน
เฉิงจริงๆ ด้วย เขาเป็นใครกัน? ได้ยินมาว่าเขามี
ความสัมพันธ์บางอย่างกับจวนโหวด้วย มันเรื่องอะไร
กัน?”
ชื่อตันเหมยเคยบอกว่า เป่ยกงเหลียนเฉินเป็นคนของ
จวนโหวตระกูลฉี หยางหนิงไม่เข้าใจความหมายของ
ประโยคนี้เลย
ต้วนฉางไห่มองไปรอบๆ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า
“โหวเยวี่ย ท่านไม่ควรเรียกชื่อของท่านรองเป่ยกง
เฉยๆ นะ เขาเป็นปู่รองของท่าน”
“ปู่...ปู่รอง?” หยางหนิงอึ้งไป
ต้วนฉางไห่อธิบายว่า “ท่านเหล่าโหวมีพี่น้องทั้งหมดสี่
คน ท่านใหญ่สามท่านก็เคยเจอแล้ว ท่านใหญ่สี่ออก
บวชแทนท่านเหล่าโหวไป ตอนนี้อยู่ที่วัดต้ากวงหมิง
ส่วนท่านรองเป่ยกงเป็นคนที่สองในตระกูล”
เขาขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ไม่สิ พวกเราแซ่ฉีไม่ใช่หรือ
เป่ยกงเหลียนเฉิงนั้นแซ่คู่นะ เขาเป็นพี่น้องของ...ของ
ท่านปู่ แล้วเหตุใดถึงไม่ใช้แซ่เดียวกันเล่า?”
ต้วนฉางไห่ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “มันเป็นบุญคุณ
ความแค้นของคนรุ่นก่อน จริงๆ แล้ว...จริงๆ แล้ว
ข้าน้อยเองก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก ตอนท่านเหล่า
โหวยังมีชีวิตอยู่ ในจวนไม่มีผู้ใดกล้าพูดถึงท่านรอง
เป่ยกงเลย” จากนั้นเขาก็ถามว่า “โหวเยวี่ย ท่านพูด
ถึงท่านรองเป่ยกง หรือว่าเขายังมีชีวิตอยู่รึ?”
เขาจ้องหยางหนิงตาไม่กระพริบเลย สายตาของเขาดู
คาดหวังไม่น้อย
“มีชีวิตอยู่รึ?” หยางหนิงถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าคิด
ว่าเขาตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยท่านคงไม่รู้อะไร
ตอนที่ท่านเกิดมา ก็ไม่มีข่าวคราวของท่านรองเป่ยกง
แล้ว ท่านเหล่าโหวส่งคนออกไปตามหาจนทั่ว แต่ว่าก็
ไม่มีข่าวคราวของท่านรองเป่ยกงเลย ตามหลักแล้ว
ตอนที่ท่านเหล่าโหวสิ้นไป ท่านรองเป่ยกงจะต้องมา
ไว้ทุกข์ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้มา”
หยางหนิงขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าอย่างไรก็เป็นพี่น้องกัน
พี่ชายก็เหมือนพ่อ ท่านเหล่าโหวสิ้นไป หากเป่ยกง
เหลียนเฉิงรู้ข่าว ก็ไม่มีทางที่จะไม่ปรากฏตัวเลย ใน
ยุคนี้ ให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมเนียมไม่น้อย
หากเป่ยกงเหลียนเฉิงยังอยู่ ก็ไม่มีทางที่จะไม่มา
“ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ในจวนก็เลยคิดว่าท่านรอง
เป่ยกงน่าจะตายไปแล้วเช่นกัน” ต้วนฉางไห่ถอน
หายใจแล้วพูดว่า “หลายปีแล้ว ท่านรองเป่ยกงไม่
เพียงไม่ได้กลับมาที่จวน แม้แต่ในยุทธภพเองก็ไม่มี
ข่าวคราวของเขาเลย ตอนที่ท่านแม่ทัพยังมีชีวิตอยู่ ก็
เคยส่งคนออกไปตามหา แต่ก็ไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่
น้อย ตอนนี้ท่านแม่ทัพสิ้นไปแล้ว ท่านรองเป่ยกงก็ยัง
ไม่มา หากไม่เกิดอะไรผิดพลาด ท่านก็น่าจะขึ้น
สวรรค์ไปแล้ว”
หยางหนิงพยักหน้า ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว
“โหวเยวี่ย ข้าน้อยมีเรื่องจะพูด ไม่รู้ว่า...ไม่รู้ว่า
ข้าน้อยควรจะพูดหรือไม่” ต้วนฉางไห่ลังเล แต่ก็ยัง
ถามเขาว่า “โหวเยวี่ยวิชาดูดกำลังภายในของคนอื่น
ใช่...ใช่ท่านรองเป่ยกงเป็นคนถ่ายทอดให้ท่าน
หรือไม่?”
หยางหนิงคิดในใจว่าที่แท้พวกเจ้าสงสัยมาตลอดว่า
วิชาของเขาเป่ยกงเหลียนเฉิงเป็นคนถ่ายทอดให้
วิชาพลังเทพหกประสานเขาได้มาจากมู่เซิ๋นจวินแห่ง
หอเก้านภา เรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนั้นจะให้ต้วนฉาง
ไห่รู้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฐานะของเขาก็จะถูก
เปิดเผย
“คนที่ถ่ายทอดวิชาให้ข้าเป็นยอดฝีมือ” หยางหนิงคิด
คำอธิบายเอาไว้แล้ว เขาตอบกลับไปว่า “เขาสั่งเอาไว้
ว่าห้ามข้าบอกใครเด็ดขาด เป็นคนต้องรักษาสัจจะ
ข้าจะพูดไม่ได้เด็ดขาด”
ต้วนฉางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยพูดถูกต้อง
แล้ว”
หยางหนิงกำลังคิดอยู่ว่า หากเป็นไปตามที่ต้วนฉางไห่
พูด หรือว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงจะตายไปแล้วจริงๆ? ใน
เมื่อเป็นอย่างนั้น ชื่อตันเหมยมาที่แคว้นฉู่ เพื่อมาสืบ
หาข่าวการตายของเป่ยกงเหลียนเฉิงอย่างนั้นหรือ?
ชื่อตันเหมยเคยเห็นวิชากระบี่ของหยางหนิง นางคิด
ว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าเป่ยกงเหลียน
เฉิงจะเป็นหรือตาย แม้แต่หยางหนิงยังไม่รู้เลยแม้แต่
น้อย
ภาพเคล็ดวิชากระบี่ที่อยู่ในจวนเก่า หรือว่าจะเป็น
ของเป่ยกงเหลียนเฉิงที่ทิ้งเอาไว้?
หากเป่ยกงเหลียนเฉิงตายไปแล้วจริงๆ ถ้าอย่างนั้น
เสียงที่ได้ยินในคืนนี้เป็นของใครกัน? เสียงนั้นเป็นของ
ยอดฝีมือแน่นอน แล้วเหตุใดถึงออกมาช่วยเขาเล่า?
หยางหนิงสงสัยมาก ทั้งสองลงจากเรือสำราญของ
เซียนเอ๋อร์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้กลับไปยังเรือของเจินจู
เพราะว่าตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พวกเขาจึงตรงขึ้นฝั่งไป
เลย
เมื่อกลับมาถึงตรงบริเวณที่ขึ้นเรือ ผู้ติดตามสองคนก็
มารออยู่แล้ว ทั้งคู่นั่งรออยู่ที่ใต้ต้นไม้ เมื่อเห็นหยางห
นิงเดินขึ้นมา จึงรีบลุกขึ้นคำนับ และรถม้าจอดรออยู่
ข้างๆ ไว้นานแล้ว
หยางหนิงขึ้นรถม้าไป ถึงแม้จะยกเลิกกฎอัยการศึกไป
แล้ว แต่ในยามนี้ ตามถนนก็ยังเงียบสงบเช่นเดิม
เดินทางผ่านถนนสองเส้น หยางหนิงกำลังคิดว่าเหตุ
ใดเป่ยกงเหลียนเฉิงถึงไม่ใช้แซ่ฉี ทันใดนั้นก็ได้ยิน
เสียงแปลกๆ ดังขึ้น หยางหนิงเปิดผ้าม่านรถม้าออก
ต้วนฉางไห่ควบม้ามาที่ริมหน้าต่าง แล้วพูดด้วย
น้ำเสียงหนักแน่นว่า “โหวเยวี่ย ท่านได้ยินเสียง
หรือไม่?”
หยางหนิงพยักหน้า ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เสียงอะไร
รึ?”
“มันดังมาจากด้านหน้าตรงนั้น...” ต้วนฉางไห่ชี้ไป
ทางด้านหน้า ทันใดนั้นเองสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
แล้วพูดว่า “มีคน”
หยางหนิงคิดในใจว่ากลางถนนใหญ่แบบนี้ มีคนก็
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่กลับได้ยินเสียงต้วนฉางไห่
พูดขึ้นมาอีกว่า “คุ้มครองโหวเยวี่ย” จากนั้นเขาก็
กระตุกเชือก ควบม้าไป
หยางหนิงรู้สึกตกใจ ไม่รู้ว่าต้วนฉางไห่กำลังจะทำ
อะไร
เสียงฝีเท้าของม้าห่างออกไป ต้วนฉางไห่เหมือนจะไป
ได้ไกลแล้ว ไม่เห็นต้วนฉางไห่ย้อนกลับมา หยางหนิง
ขมวดคิ้วแล้วลงจากรถม้า รอบๆเงียบสงัด คนติดตาม
อีกสองคนถือดาบในมือไว้แน่น พวกเขาลงจากม้ามา
แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ท่านกลับขึ้นรถม้าไปก่อน”
หยางหนิงมองไปข้างหน้า แล้วถามว่า “ต้วนฉางไห่
เห็นอะไร? เหตุใดถึงต้องตามไป?”
“มี...มีคนลอยอยู่กลางอากาศเหมือนกับนก” คน
ติดตามคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว “มันเร็ว
มาก เหมือน...เหมือนมีปีก” จากนั้นเขาก็ยกมือชี้ไป
“ท่านพี่ต้วนตามเขาไปที่ตรอกนั่น”
“ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเสียจริง” หยางหนิงพูดด้วย
น้ำเสียงอารมณ์ไม่ดี “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นคน?
แน่ใจหรือว่าไม่ใช่นก?”
ผู้ติดตามรีบตอบว่า “โหวเยวี่ย ถึงแม้ผู้นั้นจะเหมือนมี
ปีก แต่ว่า...แต่ว่าขาทั้งสองข้างของเขามันกระโดดไป
มาเร็วมาก วิชาตัวเบาของเขาเยี่ยมยอดยิ่งนักราวกับ
บินได้”
“อย่างนี้นี่เอง” หยางหนิงพยักหน้า ทันใดนั้นก็
เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า
“เจ้าบอกว่าคนมีปีกหรือ? หรือว่าจะเป็น...เป็น
ค้างคาว?”
“ค้างคาว?” ผู้ติดตามทั้งสองมองหน้ากัน แล้วพยัก
หน้า “จริงด้วย โหวเยวี่ย ท่านเหมือนเห็นด้วยตาเลย
คนๆ นั้น...คนผู้นั้นเหมือนค้างคาวจริงๆ”
หยางหนิงนิ่งไป ในหัวของเขาตอนนี้ก็มีภาพเรื่องที่
เกิดขึ้นในร้านเหล้าโผล่ขึ้นมา
หลังจากที่เขาออกจากเมืองหุ่ยเจ๋อมาแล้ว ก็คิดจะ
ตามขบวนสินค้าของสำนักคุ้มภัยเพื่อตามหาเสี่ยวเตี๋ย
มาโดยตลอด แต่ว่าระหว่างทางกลับเจอเหตุการณ์ไม่
คาดฝัน เจอเซียวกวงสองศิษย์อาจารย์ที่ร้านเหล้า
พวกเขาถูกลอบทำร้าย หยางหนิงจำได้ว่า หัวหน้า
ของคนที่มาทำร้ายพวกเขา แต่งตัวเหมือนกับค้างคาว
คนผู้นั้นแต่งตัวแปลกมาก หยางหนิงจำได้อย่าง
แม่นยำ
ตอนนี้ได้ยินว่าต้วนฉางไห่ตามคนที่เหมือนค้างคาวไป
หยางหนิงก็คิดว่าก็น่าจะเป็นคนพวกนั้น ในใจแอบ
ตกใจนิดหน่อย หรือว่าพวกเขาตามมาถึงเมืองหลวง
เลย
ขณะที่กำลังคิด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้น
อีก แล้วก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของม้าดังขึ้น
“แย่แล้ว” หยางหนิงขมวดคิ้ว แล้วรีบวิ่งไปตามเสียง
ผู้ติดตามทั้งสองกำดาบในมือแน่น แล้ววิ่งตามเขาไป
ทัง้ สามวิ่งไปที่หน้าตรอกแห่งหนึ่ง แล้วมองเข้าไปใน
ตรอกแห่งนั้น ภายในตรอกมืดสนิท หยางหนิงหยิบ
มีดสั้นของเขาออกมากำไว้ในมือแน่น แล้วค่อยๆ เดิน
เข้าไป
ในใจเขาแอบไม่พอใจที่ต้วนฉางไห่ไม่รู้จักแยกแยะไป
ตามคนที่เหมือนนก แต่คิดอีกที ต้วนฉางไห่มี
ประสบการณ์สูง ถึงแม้ปกติจะไม่ค่อยเอาไหนก็ตาม
แต่เมื่อเกิดเรื่อง เขาเองก็เป็นคนที่รับมือได้ดี ด้วย
นิสัยของเขา ไม่มีทางตามไปโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ
แน่นอน มันจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพอกลแน่
ภายในตรอกนั่นแคบมาก แล้วก็มืดไปหมด คนที่
สายตาไม่ดีก็จะไม่เห็นอะไรเลย
หยางหนิงมีสายตาที่ดีไม่น้อย ก็ยังเห็นแค่ของที่อยู่
ตรงหน้าเท่านั้น หลังจากเสียงเมื่อครู่ ก็ไม่ได้มีเสียง
อะไรอีก ภายในตรอกเงียบสนิท
“โหวเยวี่ย ท่าน...ท่านดูตรงนั้นสิ...” ผู้ติดตามคนหนึ่ง
พูดด้วยความตกใจ แล้วชี้ไปข้างหน้า
ด้านหน้าเป็นทางออกจากตรอกนี้แล้ว หยางหนิงเห็น
ม้าตัวหนึ่งนอนอยู่ปากทาง กำลังดิ้นอยู่ กลิ่นคาว
เลือดลอยโชยมา
หยางหนิงตะลึงไป ทั้งสามคนเดินเข้าไปใกล้ พบว่า
เป็นม้าที่ต้วนฉางไห่ขี่เมื่อครู่ ตอนนี้มันนอนจมกอง
เลือดอยู่ ม้าตัวนี้มันเหมือนอยากจะลุกขึ้นมา แต่ว่า
มันไม่มีแรงแล้ว ไม่นานนัก มันก็สิ้นใจตาย ผู้ติดตาม
คนหนึ่งเรียกสติกลับมา คอยคุ้มกันหยางหนิงเอาไว้ไม่
ห่างตัว อีกคนเดินเข้าไป แล้วตรวจดูสภาพ “โหว
เยวี่ย ม้าตัวนี้ถูกปาดคอตายแล้วขอรับ”
“ถูกปาดคอ?” หยางหนิงเดินเข้าไปใกล้ แล้วอาศัย
แสงไฟที่มีอยู่รำไร มองไปยังคอที่อาบไปด้วยเลือด
ตอนนี้ยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เขาขมวดคิ้วแล้ว
ถามว่า “ดูออกหรือไม่ว่าใช้อาวุธอะไร?”
ผู้ติดตามลองมองดูอย่างละเอียด แล้วพูดว่า “โหว
เยวี่ย ดูเหมือนว่าจะเป็น...เหมือนจะเป็นกรงเล็บ แต่
ว่า...ที่น่าแปลกก็คือ ร่องรอยกรงเล็บนี่มันดูมีระเบียบ
แบบแผน รอยแผลถูกกรีดอย่างเป็นระเบียบ แต่ว่า
รอบแผล กลับเหมือนไม่ใช่กรงเล็บ เหมือนกับว่า...มี
คนฉีกคอมันขาด”
หยางหนิงอึ้งไป คนติดตามอีกคนหนึ่งหลุดพูดออกมา
ว่า “มัน...มันจะเป็นไปได้อย่างไร ใครจะฉีกคอม้าตัว
นี้จนเละได้เยี่ยงนี้ ใครกันจะมีแรงมากขนาดนั้น?”
หยางหนิงขมวดคิ้ว “อย่าเพิ่งสนใจเรื่องม้าตัวนี้เลย
ตามหาต้วนฉางไห่ก่อน ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
ผู้ติดตามทั้งสองเพิ่งเรีบกสติกลับมาได้ ต้วนฉางไห่ขี่
ม้าตัวนี้ตามออกมา ตอนนี้ม้าตายอยู่ตรงนี้ แต่กลับไม่
เห็นต้วนฉางไห่ มันต้องมีอะไรแน่ๆ
ทั้งสามคนเดินออกมาจากตรอก มองซ้ายมองขวา แต่
ก็ไม่เห็นอะไรเลย บ้านเรือนร้านค้าทั้งสองข้างทางปิด
สนิท ไม่เห็นแม้แต่ไฟสักดวง และไม่เห็นเงาของใคร
ด้วย
“ท่านพี่ต้วนหายไปไหน?” ผู้ติดตามคนหนึ่งมองซ้าย
มองขวา แล้วขมวดคิ้ว
หยางหนิงคิด แล้วหันไปพูดกับคนหนึ่งว่า “เจ้าไป
หาทางนั้น ข้ากับเขาจะไปทางนี้ จำเอาไว้ อีกฝ่ายไม่รู้
ที่มาที่ไป หากเกิดอะไรขึ้น อย่าเผชิญหน้าโดยตรงกับ
เขาเด็ดขาด จงเอาปลอดภัยไว้ก่อน”
องครักษ์ติดตามรับคำสั่งและจากไป
หยางหนิงกับองครักษ์ติดตามอีกคนเดินไปตามหาอีก
ด้าน ถนนเงียบมาก เดินไปได้ระยะหนึ่ง ก็ยังไม่เห็น
เงาของใครสักคน แต่ทันใดนั้นเองก็เห็นตรอกอีกเส้น
หนึ่ง หยางหนิงพลันหยุดเดิน แล้วมองเข้าไปข้างใน
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากด้านใน
เขาจึงพูดขึ้นว่า “ข้างในต้องมีอะไรแน่ๆ ระวังตัวไว้ให้
ดี” เขากำมีดสั้นในมือเอาไว้แน่น จากนั้นก็เดินคลำ
ตามกำแพงเข้าไป
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 172 แม่ทัพหน้ากากโลหะ
ตรอกแห่งนี้กว้างกว่าเมือ่ ครู่มาก เมื่อเดินเข้าไป
ประมาณสิบก้าว ก็ได้ยินเสียงที่ดังมากอย่างชัดเจน
จากนั้นพวกเขาก็เห็นเงาดำหรุบหรู่นอนคว่ำหน้าอยู่
กับพื้น แต่ในตอนนี้ก็เห็นไม่ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้น
องครักษ์ติดตามเห็นเงาดำหรุบหรู่อยู่ตรงนั้นก็รีบเดิน
มาคุ้มกันหยางหนิงที่เดินอยู่ด้านหน้า เขายกดาบขึ้นชี้
ไปข้างหน้า แล้วพูดว่า “นั่นใคร?”
ทันใดนั้นก็เห็นกลุ่มเงาดำเหล่านั้นขยับตัว หยางหนิง
เห็นคนผู้นั้นหันตัวกลับมาอย่างกะทันหัน ท่ามกลาง
ความมืด เห็นเพียงดวงตาของพวกเขาเท่านั้น ดวงตา
ของพวกเขาดูราวกับกับสัตว์ป่าที่ดุร้าย
แต่ว่ารูปร่างของกลุ่มเงาดำหรุบหรู่เหล่านั้น เห็นได้ชัด
ว่าเป็นคนๆ เดียวกัน
องครักษ์ที่ติดตามยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียง
ประหลาด กลุ่มเงาดำหรุบหรู่เหล่านั้นบินถลาเข้ามา
อย่างรวดเร็ว หยางหนิงตกใจแล้วพูดว่า “ระวัง” มือ
ของเขากำมีดสั้นเอาไว้แน่น
องครักษ์ของจวนจิ่นอีโหว เป็นคนที่ถูกคัดเลือก
มาแล้วทั้งนั้น กล้าหาญและจงรักภักดี เมื่อเห็นกลุ่ม
เงาดำพุ่งเข้ามา องครักษ์ก็ไม่ลังเลที่จะออกไปรับมือ
ก่อน “โหวเยวี่ยรีบถอยไป” จากนั้นเขาก็ตวัดกระบี่
ฟันไปที่เงาดำเหล่านั้น
หยางหนิงเห็นไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้ยินเสียง
“ตุบ” ตัวขององครักษ์ผู้นั้นลอยตัวออกมาทางที่ห
ยางหนิงยืนอยู่
หยางหนิงมีการตอบสนองที่รวดเร็วมาก เขาถอยหลัง
ออกไปอย่างรวดเร็ว และยังยื่นมือไปรับตัวองครักษ์
คนนั้นเอาไว้ได้
ถึงแม้จะพยายามรับตัวองครักษ์เอาไว้ แต่เนื่องจาก
การพุ่งเข้ามาอย่างแรง ถึงแม้หยางหนิงจะถอยหลัง
เพื่อลดแรงกระแทกไปแล้ว แต่ก็ยังทำให้เขาถอยกรูด
ไปอีกห้าหกเก้าถึงจะสามารถยืนให้มั่นคงได้
กลุ่มเงาดำเหล่านั้นลุกขึ้นมา แล้วกระโดดขึ้นไปบน
หลังคาบ้านในตรอก หยางหนิงเงยหน้าไปมอง เห็น
เป็นคนสวมชุดคลุมสีดำ คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ
รูปร่างสูงโปร่ง เมื่อเห็นใบหน้าของเขา หยางหนิงก็
ตกใจทันที ใบหน้าของเขาดูเลือดเย็นไร้ความรู้สึก
เมื่อมองชัดๆ แล้ว ที่แท้เขาก็สวมหน้ากากโลหะ
สายตาของหยางหนิงดีมาก เขาเห็นหน้ากากโลหะ
รูปร่างประหลาด ขอบหน้ากากทั้งสองข้างเป็นมุมยื่น
ออกมาเหมือนเขาวัว หากมองจากมุมสูง ถึงแม้จะดู
แปลกมาก แต่ท่าทางเข้มงวดที่ทรงพลัง และสวมชุด
คลุมสีดำชุดนั้น นึกว่าเป็นแม่ทัพที่แข็งแกร่งท่านหนึ่ง
กำลังชี้แนะการรบอยู่ในสนามรบ
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงคำรามเบาๆ แม่ทัพหน้ากาก
โลหะที่สวมชุดคลุมสีดำคนนั้นหมุนตัวจากไปทันที
พริบตาเดียวหยางหนิงก็มองไม่เห็นเขาแล้ว
เขาแปลกใจมาก จากนั้นก็ก้มหน้าไปดูองครักษ์ เห็น
มุมปากขององครักษ์ผู้นั้นเลือดออก และสลบไปนาน
แล้ว
หยางหนิงรู้ว่าองครักษ์ของจิ่นอีโหววรยุทธ์ไม่ธรรมดา
แม่ทัพหน้ากากโลหะทำให้องครักษ์สลบไปโดยใช้
เพียงกระบวนท่าเดียว นั่นหมายความว่าเขาคนนั้น
มีวรยุทธ์ที่สูงส่งกว่าเป็นหลายเท่า อีกทั้งเมื่อครู่เขา
กระโดดตัวขึ้นไปก็สามารถขึ้นไปบนหลังคาบ้านได้เลย
วิชาตัวเบาของเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน หาได้ยากจริงๆ
ตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่า คนที่ต้วนฉางไห่ตามไปนั้น
น่าจะเป็นแม่ทัพหน้ากากโลหะ
ก่อนหน้านี้คนที่แต่งตัวเหมือนค้างคาวเขาเหมือนจะ
เคยพบมาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อดูไปแล้ว ตัวเขาอาจจะ
เดาผิด ถึงแม้คนที่เขาเคยเจอจะมีวิชาตัวเบาเหมือน
ค้างคาว แต่เขาจำได้ว่าคนพวกนั้นรูปร่างเล็ก แล้วก็
เหี้ยมโหดยิ่งกว่า แต่แม่ทัพหน้ากากโลหะถึงแม้จะไม่
เห็นใบหน้าของเขาชัดนัก แต่ว่ารูปร่างของเขาสูงใหญ่
ซึ่งเทียบไม่ได้กับพวกมนุษย์ค้างคาวเลย
กำลังจะแบกองครักษ์กลับไป ทันใดนั้นเองจมูกของ
เขาก็พลันได้กลิ่นคาวเลือดลอยมา เขากระพริบตา
แล้วเดินไป เมื่อครู่ไม่ได้ดูให้ดี ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า
ข้างหน้านั้นเหมือนจะมีคนนอนอยู่
หยางหนิงตกใจ รีบวางองครักษ์คนนั้นพิงกำแพง
เอาไว้ จากนั้นก็กำมีดในมือเอาไว้แน่นแล้วเดินเข้าไป
ใกล้ เมื่อเห็นคนผู้นั้นไม่ขยับ ก็ไม่รู้ว่าตายหรือเป็น ใน
ใจก็กลัวว่าจะเป็นต้วนฉางไห่
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ กลิ่นคาวเลือดก็โชยเข้าจมูกหนัก
กว่าเดิม เขาเห็นคนผู้นั้นนอนอยู่ที่พื้น ทั่วทั้งตัวของ
เขาเต็มไปด้วยเลือด หยางหนิงปิดจมูกแล้วเดินเข้าไป
เห็นชายคนนั้นสวมชุดเจ้าหน้าที่จวนผู้ว่าการ เขาเคย
ไปที่จวนผู้ว่าการเคยเห็นชุดของเจ้าหน้าที่ที่นั่น มัน
เหมือนกับชุดของคนผู้นี้ไม่มีผิด
เมื่อกวาดสายตามองไป หยางหนิงก็หันสายตาหนี
ทันที เขารู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน เขาทนไม่ไหวจริงๆ จึง
หันหน้ามาอ้วกออกทันที
ที่คอของคนผู้นั้นเน่าเฟะ เมื่อเทียบกับคอของม้าตัว
เมื่อครู่นั้นมันเละยิ่งกว่า และน่ากลัวกว่าเยอะ
กะโหลกหน้าของเขามันโผล่ออกมา ร่างกายของเขา
ซูบผอมเหลือแต่กระดูก เบ้าตาเป็นหลุมลึกลงไป แต่
ดวงตาคู่นั้นกลับถลนออกมา ไม่มีแสงแวววาวเลย
แม้แต่น้อย ขมุกขมัวเหมือนกับดวงตาของปลาที่ตาย
แล้วก็ไม่ปาน
ถึงแม้หยางหนิงจะรู้สึกสะเทือนใจ แต่เห็นคนผู้นี้
ไม่ใช่ต้วนฉางไห่ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
มองเห็นหน้าอกของคนผู้นี้เป็นหลุมลึกลงไป
เหมือนกับว่าหน้าอกของเขาเป็นหลุมเป็นบ่อ หยาง
หนิงยื่นมือไปเปิดเสื้อของเขาออก ถึงได้รู้ว่ามันบุ๋มลง
ไป เห็นได้ชัดว่าเขาถูกชกอย่างแรง กระดูกหน้าอก
แตกละเอียด ตอนนี้ทั้งร่างของเขาเหมือนมีแต่หนังหุ้ม
กระดูก เห็นไหปลาร้าอย่างชัดเจน
หยางหนิงขมวดคิ้ว แต่ในเวลานี้เขาไม่รู้เลยว่า ชายผู้นี้
ตายเพราะหมัดนี้ หรือว่าเพราะว่าถูกกัดคอจนตายกัน
แน่
ทันใดนั้นเอง หยางหนิงก็ตัวสั่นขึ้นมา เขานึกถึงเรื่องที่
ได้ยินเมื่อตอนอยู่ที่หย่งอันถังขึ้นมา
ร้านข้างๆ หย่งอันถังคือร้านฉีซื่อถัง ท่านหมอหวงของ
ร้านฉีซื่อถังแอบมาเล่าเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในเมือง
หลวงมาเล่าให้ฟัง
ตามที่เขาเล่ามา ในเมืองหลวงเหมือนจะมีผีดูดเลือด
ปรากฏตัวขึ้น พวกมันดูดเลือดสดๆ คนที่ตายทั้งตัวจะ
แห้งเหี่ยวไม่มีเลือด จะไม่สามารถดูรูปร่างหน้าตาออก
เลย
คนที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ถึงแม้จะยังเห็นหน้าตาของ
เขาชัดเจน แต่ว่าตัวก็แห้งเหี่ยวไปแล้ว เพราะว่าเขา
มาเห็นก่อน หากมาช้ากว่านี้ คนๆ นี้อาจจะแห้งเหี่ยว
กว่านี้แน่ ถ้าปล่อยให้ถึงพรุ่งนี้ ก็ไม่สามารถมองออก
แล้วว่าเป็นใคร
ถ้าอย่างนั้น ที่ท่านหมอหวงพูดมา ก็น่าจะเป็นเรื่อง
จริง แม่ทัพหน้ากากโลหะเมื่อครู่ อาจจะเป็นผีดูด
เลือดที่ท่านหมอหวงพูดก็ได้?
ในตรอกลึกที่บรรยากาศแปลกๆ
หยางหนิงยิ่งคิดยิ่งขนลุก เลือดในร่างกายของคนเรามี
ไม่น้อย เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนเพียงคนเดียวจะ
สามารถดูดเลือดของคนอีกคนจนหมดตัวขนาดนี้ได้
ถึงแม้คนบนโลกนี้จะมีคนที่สามารถดูดเลือดได้จริง
แต่ว่าจะสามารถเข้าไปเก็บในร่างกายของคนเราได้
มากมายขนาดนั้นเลยหรือ?
แต่ตอนนี้เท่าที่เห็น ถึงแม้เลือดที่ไหลอยู่บนพื้นจะมี
มาก แต่ว่าอีกครึ่งหนึ่งน่าจะถูกแม่ทัพหน้ากากโลหะ
ดูดไปแล้ว เมื่อครู่เห็นแม่ทัพหน้ากากโลหะ ช่วงท้อง
ของเขาไม่ได้โผล่ออกมา เลือดมากขนาดนั้น เขาทำให้
มันหลอมรวมไปกับร่างกายได้อย่างไร?
หยางหนิงรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาทันที เขารู้ว่าที่นี่อยู่
นานไม่ได้ ในเมื่อชายผู้นี้ไม่ใช่ต้วนฉางไห่ ก็ไม่ได้เกี่ยว
อะไรกับตัวเขา กำลังจะลุกไป ทันใดนั้นลมระลอก
หนึ่งก็พัดเข้ามาถึงตัว
หยางหนิงคิดว่าแม่ทัพหน้ากากโลหะย้อนกลับมา เขา
ไม่ลังเลเลยที่จะกลิ้งตัวหลบไปข้างๆ แล้วลุกขึ้นมา
เขากำมีดชี้ไปข้างหน้า เมื่อเห็นชัดแล้วว่าเป็นเงาของ
คนอยู่กลางอากาศลอยไปลอยมา แล้วก็มายืนอยู่
ตรงหน้าของเขา
คนๆ นั้นสวมเสื้อคลุมหนา บนหัวเขาสวมหมวกฟาง
มือขวาถือแส้ หมวกที่เขาใส่อยู่นั้นห้อยลงมาปิดบัง
หน้าของเขาเอาไว้ ในตอนนี้ก็ไม่สามารถมองเห็น
ใบหน้าของเขาได้ชัดเจน
คนๆ นั้นเดินมาข้างศพ มอครู่หนึ่งจึงค่อยๆ เงยหน้า
ขึ้นมา หยางหนิงจึงเห็นคางแหลมๆ ของเขาแต่ไม่ชัด
เท่าใดนัก ถึงแม้ในตรอกจะมืดมาก แต่ว่าคางของเขา
คนนั้นมันขาวมาก จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า
“เจ้าหนีไม่รอดแล้ว ยังไม่ยอมให้จับอีกหรือ”
เป็นเสียงผู้หญิง เสียงใส น่าจะเป็นผู้หญิงที่อายุยัง
น้อยอยู่
“ยอมให้จับรึ?” หยางหนิงขมวดคิ้ว แล้วย้อนถาม
กลับไปว่า “เหตุใดข้าต้องยอมให้จับด้วย? แล้วเจ้า
เป็นใครกัน?”
“พวกเราตามจับเจ้ามานานแล้ว เจ้าไม่รู้หรือว่าข้า
เป็นใคร?” ผู้หญิงคนนั้นพูด “ดูดเลือดคนสดๆ จะให้
เดรัจฉานอย่างเจ้ารอดไปได้อย่างไร”
หยางหนิงอึ้งไป ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่า ผู้หญิงคนนี้
เข้าใจผิดว่าเขาสังหารเจ้าหน้าจวนผู้ว่าการ จึงรีบพูด
ว่า “แม่นาง ข้าว่าเจ้าเข้าใจผิดแล้ว คนๆ นี้...คนๆ นี้
ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลย ข้าดูดเลือดใคร
ไม่เป็นหรอกนะ”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว” ผู้หญิงคนนั้นตะคอก “จงมารับแส้
เถอะ” นางสะบัดแขนออกไป แส้ของนางก็ตวัดไปรัด
ตัวของหยางหนิงเอาไว้
หยางหนิงรู้สึกเหมือนพายุหมุนอยู่รอบตัว เขารู้ว่า
ผู้หญิงคนนั้นจะต้องรู้วิธีใช้แส้ได้ดีมากแน่นอน ถึงแม้
ท่าเท้าท่องคลื่นจะลึกลับและมหัศจรรย์ แต่กลัวว่า
เรื่องในตรอกแห่งนี้จะแก้ตัวได้ยาก ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ฟัง
อะไรเลย เหมือนจะมั่นใจแล้วว่าเขาคือคนที่ฆ่าคน
ด้วยการดูดเลือดไปแล้ว พูดไม่ถึงสามคำก็ลงมือซะ
แล้ว พูดกับคนอย่างนางก็ไม่เหมือนไม่ได้พูด เพราะ
นางตัดสินเขาไปแล้ว เขาก็เลยตัดสินใจหมุนตัวออก
แล้วหนีไป
ผู้หญิงคนนั้นตะคอกว่า “เจ้าสารเลวอย่าหนีนะ” แล้ว
วิ่งตามหลังไป
หยางหนิงก้าวเท้าได้เร็วมาก รอให้ออกจากตรอกนี้
ก่อน พวกเรามาดูกันว่าใครจะเก่งกว่ากัน เขาวิ่งอย่าง
สุดกำลัง แต่วิ่งไปไม่ถึงสิบก้าว ก็เห็นเงาของคนๆ
หนึ่งยืนอยู่ คนๆ นั้นถือดาบในมือขวางทางเอาไว้
หยางหนิงทำได้แค่หยุด คนๆ นั้นแต่งตัวเหมือนกับ
ผู้หญิงคนนั้นเลย เขาหันกลับไปมอง เห็นผู้หญิงคน
นั้นกำลังตามมา ทั้งสองคนยืนขวางเขาทั้งหน้าทั้งหลัง
หยางหนิงแอบคิดในใจว่าสองคนนี้กำลังตามล่าตัว
ของผีดูดเลือดอยู่ แสดงว่าน่าจะไม่ใช่คนเลว ก็เลยพูด
ไปว่า “ท่านทั้งสองอย่าเพิ่งด่วนลงมือ ฟังข้าอธิบาย
ก่อน”
“เจ้าจะอธิบายอะไร?” ผู้หญิงคนนั้นอยู่ห่างจากห
ยางหนิงไม่ไกล ตอนนี้นางเงยหน้าขึ้นมามองหยางห
นิง สายตาของนางแหลมคมจ้องมาที่ตัวของหยางห
นิง
หยางหนิงยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว
ข้าไม่ได้ฆ่าใคร คนที่ดูดเลือดก็ไม่ใช่ข้า พวกท่านดูให้ดี
สิ ข้าเหมือนคนที่ดูดเลือดคนได้อย่างนั้นหรือ?”
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ คนที่หน้าตาดีแต่ทำเรื่องชั่วช้าก็
มีถมไป” ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า “เจ้าอยากจะให้พวกข้า
ฆ่าเจ้าตรงนี้เลย หรือว่าจะกลับไปให้พวกข้าสอบสวน
แต่โดยดี?”
จากนั้นก็ได้ยินคนที่ขวางทางอีกด้านหนึ่งพูดขึ้นมาว่า
“ศิษย์น้องเล็ก อย่าไปเสียเวลาพูดกับเขาอีกเลย
เดรัจฉานตัวนี้มันร้ายกาจไม่น้อย พวกเราฆ่ามันตอนนี้
เลยดีกว่า”
หยางหนิงพูดด้วยความโกรธว่า “ในเมื่อพวกเจ้าไล่ล่า
ผีดูดเลือด ก็น่าจะไม่ใช่คนเลว แต่เหตุใดถึงไม่
ตรวจสอบสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนเล่าแล้วตอนนี้ก็
จะลงมือฆ่าคนเสียแล้วหรือ? พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?
อย่าเพิ่งตัดสินว่าข้าเป็นฆาตกรหรือไม่ ต่อให้ข้าเป็น
คนทำจริง พวกเจ้าไม่สืบสวนอะไรก่อนก็จะลงมือฆ่า
คนแล้ว มันไม่เลวร้ายไปหน่อยหรือ?”
“กับคนอย่างเจ้า ไม่ต้องเกรงใจหรอก” หญิงคนนั้น
พูดว่า “เจ้าอยากจะรู้ว่าพวกข้าเป็นใคร ง่ายมาก ให้
เจ้าได้รู้ว่าเจ้าตายด้วยน้ำมือของใครก็ได้ เราเป็นคน
ของจวนเสินโหว มีหน้าที่ตามล่าคนอย่างเจ้านี่แหละ
ทำไม ตอนนี้พอใจเจ้าแล้วหรือยัง?” พูดจบ เขาก็ยก
มือขึ้น แล้วพุ่งดาบเข้าใส่ทันที
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 173 จวนเสินโหว
หยางหนิงขมวดคิ้ว ชื่อของจวนเสินโหวเขาได้ยินมา
หลายครั้งแล้ว ตามข้อมูลที่เขาได้รับมา จวนเสินโหวก็
เหมือนกับหน่วยว่าการพิเศษ ทำหน้าที่ดูแลจัดการ
เรื่องราวต่างๆ ในยุทธภพแทนราชสำนัก ซึ่งมีหน้าที่
ต่างจากจวนผู้ว่าการทั่วไป เพราะเป็นหน่วยงานพิเศษ
และลึกลับ
เขาแค่คิดไม่ถึงว่าคืนนี้จะได้มาเจอกับคนของจวนเสิน
โหว
แต่คิดๆ ดูแล้ว ในเมืองหลวงเกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้น
อย่างนี้ ทางจวนผู้ว่าการก็น่าจะแจ้งเรื่องนี้ให้กับทาง
จวนเสินโหวทราบ ทางจวนเสินโหวส่งคนมาสืบเรื่องนี้
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ทั้งสองท่านเป็นคนของจวนเสินโหวหรอกหรือ ถ้า
อย่างนั้นก็ต้องมีความสามารถในการสืบสวนเป็น
อย่างมาก” หยางหนิงเก็บมืดกลับไป แล้วพูดว่า “ข้า
เคยได้ยินมาว่าทางจวนเสินโหวมียอดฝีมืออยู่มากมาย
วันนี้ได้พบ ทำข้าผิดหวังยิ่งนัก”
ชายคนนั้นแค่นเสียงหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องมา
ใช้ลูกไม้อะไรหรอก อย่างไรเสียคืนนี้เจ้าก็หนีไม่รอด
แล้ว”
“ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อย พวกเจ้าบอกว่าข้าฆ่าคน
เจ้าตัดสินจากตรงไหนมิทราบ?” หยางหนิงเหลือบไป
มองผู้หญิงคนนั้น “ถึงแม้จวนเสินโหวจะทำหน้าที่ใน
การดูแลจัดการเรื่องในยุทธภพ แต่อย่างไรก็ถือว่าเป็น
หน่วยงานหนึ่งของราชสำนัก ข้าคิดว่าก็น่าจะมี
กฎเกณฑ์หรือแบบแผนได้บ้าง ไม่มีหลักฐาน แล้วจะ
มาตัดสินโทษคนอื่นแบบนี้ได้อย่างไร?”
“หลักฐาน?” ผู้หญิงคนนั้นแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าบอก
ว่าเจ้าไม่ได้ฆ่าคน แล้วเจ้ามาอยู่ในที่เกิดเหตุได้
อย่างไรมิทราบ? บนตัวของเจ้ายังมีคราบเลือดอีก อีก
อย่างเมื่อครู่นี้พอเจ้าเจอข้าเจ้าก็เตรียมจะหนี ถ้าหาก
ไม่ได้อันใดผิด แล้วจะหนีทำไม?”
หยางหนิงขมวดคิ้วพูดว่า “แม่นาง เจ้าพูดแค่สามคำ
ก็บอกว่าข้าเป็นฆาตกร แล้วยังจะลงไม้ลงมือกับข้า
หากข้าไม่หนีแล้วจะให้ข้าอยู่เพื่อให้เจ้าฆ่าข้าหรือ
อย่างไร?” แค่นเสียงเย็นชาพูดอีกว่า “เพียงเพราะว่า
ข้าอยู่ในที่เกิดเหตุ ข้าก็กลายเป็นฆาตกรแล้วอย่างนั้น
หรือ เจ้าไม่รู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลเกินไปหน่อยกระมัง?
หากข้าบอกว่าข้าบังเอิญผ่านมาทางนี้ ได้ยินเสียง
แปลกๆ ก็เดินเข้าไปดู แล้วก็พบศพ แม้แต่คำแก้ต่าง
พวกนี้ข้าก็พูดไม่ได้เลยหรือ?”
ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าผ่านมาทางนี้อย่าง
นั้นหรือ? ดึกๆ ดื่นๆ เจ้าจะผ่านมาทางนี้เพราะเหตุอัน
ใดกัน?”
หยางหนิงยกมือแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ข้าไม่อยากพูด
กับพวกเจ้าแล้ว ในเมื่อพวกเจ้าไม่เชื่อ ก็พาข้าไปที่
จวนเสินโหวสิ แล้วหาคนที่มีประสบการณ์สักสองคน
มาสอบสวนข้า”
“เจ้ายอมถูกจับหรือ?”
“อย่าพูดอะไรที่มันไม่น่าฟังอย่างนั้นได้หรือไม่” หยาง
หนิงถอนหายใจ “แม่นางข้าว่านะ เจ้าเป็นมือใหม่ใช่
หรือไม่? เหตุใดข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่มีประสบการณ์ในการ
ทำคดีเอาเสียเลย?”
ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยความโมหาว่า “อย่าพูดมาก เอา
มีดออกมา แล้วกลับไปกับพวกข้า”
หยางหนิงเห็นพวกเขาสองคนสีหน้าเย็นชา ในใจก็ไม่รู้
จะต้องอธิบายให้พวกเขาฟังอย่างไร เดิมทีคิดจะ
เปิดเผยฐานะออกไป แต่ว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้
ต่อให้บอกฐานะจริงออกไป ทั้งสองคนนี้ก็คงไม่เชื่อ
เขา ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ตามไปที่จวนเสินโหวกับ
พวกเขาจะดีกว่า
ในเมื่อจวนเสินโหวทำหน้าที่ในการดูแลจัดการเรื่องใน
ยุทธภพแทนราชสำนัก ต้องเป็นหน่วยงานที่ไม่
ธรรมดาแน่นอน อย่างน้อยในจวนก็ต้องมีคนที่ฉลาด
อยู่บ้าง อย่างน้อยๆ หัวหน้าของจวนเสินโหวอย่าวซี
เหมินอู๋เหิ๋งก็น่าจะไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล เมื่ออธิบายให้
สองคนนี้ฟังไม่ได้ ไม่สู้ไปพูดกันให้ชัดเจนที่จวนเซิ๋น
โหวดีกว่า
เขาเอามีดสั้นของเขาโยนไปให้พวกเขา ผู้หญิงคนนั้นก็
รีบรับไป หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าระวังให้ดีนะ
มีดเล่มนั้นมูลค่าสูงเป็นพันตำลึงเชียว หากมันเสียหาย
เจ้าชดใช้ไม่ไหวแน่”
ผู้หญิงคนนั้นไม่พูดอะไร จากนั้นก็เก็บมีดกลับไป
หยางหนิงนึกถึงองครักษ์คนนั้นขึ้นมา แล้วพูดว่า
“จริงสิ ข้ายังมีเพื่อนมาด้วยคนหนึ่ง จะทิ้งเขาเอาไว้
ที่นี่ไม่ได้ ในเมื่อข้าจะต้องไปจวนเสินโหว เขาก็ต้องไป
ด้วย”
“ที่แท้ก็ยังมีพวกอีก” ชายคนนั้นตอบ “ศิษย์น้องเล็ก
พวกของเขาอยู่ที่ไหนกัน พวกเราจับกลับไปพร้อมกัน
เลย” ถึงแม้น้ำเสียงของเขายังคงสุขุมอยู่ แต่ว่าห
ยางหนิงกลับรู้สึกว่ามันมีความดีใจแฝงอยู่ข้างใน
น้ำเสียงนี้
หยางหนิงคิดในใจว่า แสดงว่าทางจวนเสินโหวจะต้อง
ตามล่าตัวแม่ทัพหน้ากากโลหะอยู่ตลอดเวลาแน่นอน
แต่ว่ายังจับไม่ได้ วันนี้สองคนนี้คิดว่าจับฆาตกรตัวจริง
ได้แล้ว หากเป็นไปตามนี้ พวกเขาก็จะมีผลงานใหญ่
แน่นอน ก็ไม่แปลกที่ชายคนนั้นจะดีใจเช่นนี้
เพราะอย่างนั้นก็เห็นได้ชัดว่า ทั้งสองคนนี้ต่างไม่ใช่คน
ที่มีประสบการณ์อะไรมากมาย
หยางหนิงเดินตามพวกเขาสองคนไป ชายคนนั้นเห็น
ศพ นั่งยองๆ ลงไปตรวจดูสภาพศพให้ละเอียด หยาง
หนิงเห็นตอนที่เขาตรวจสภาพศพก็ถือว่าคล่องอยู่ ใน
ใจก็คิดว่าเจ้านี่ก็น่าจะผ่านการฝึกมาแล้ว เมื่อเขาลุก
ขึ้นมา หยางหนิงก็จ้องไปที่เขาแล้วพูดว่า “เจ้าคือ
ฆาตกร!”
ชายคนนั้นอึ้งไป แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “เจ้าว่า
อะไรนะ?”
“ข้าบอกว่าเจ้าเป็นฆาตกร” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ตอนนี้เจ้าเองก็อยู่ในที่เกิดเหตุเหมือนกัน อีกทั้งใน
มือก็เปื้อนเลือดด้วย เพราะฉะนั้นเจ้าก็คือฆาตกร”
ชายคนนั้นกำหมัดไว้แน่น แล้วเดินเข้าไปสองก้าว
พลันตะคอกออกไปว่า “เจ้าพูดอีกทีสิ”
ในตอนนี้หยางหนิงถึงได้มองเห็นได้ชัดเจน ชายคนนี้
อายุไม่ถึงยี่สิบปี หน้าตาไม่เลว เป็นชายหนุ่มอารมณ์
ร้อนคนหนึ่ง
“ศิษย์พี่เจ็ด อย่าไปเสียเวลาพูดกับเขาเลย” ผู้หญิง
คนนั้นหันกลับมา แล้วมองไปที่หยางหนิง แล้วชี้ไปที่
องครักษ์ที่สลบอยู่ที่กำแพง “เจ้าไปแบกเขาม!า”
หยางหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่!”
ศิษย์พี่เจ็ดคนเมื่อครู่พูดด้วยความโมโหว่า “สั่งให้เจ้า
ทำอะไรก็ไปทำ จะพูดมากทำไม ยังไม่รีบไปอีก”
หยางหนิงพูดว่า “ข้ารับปากจะตามพวกเจ้าไป ก่อนที่
จะมีคำตัดสินออกมา ข้าไม่ใช่นักโทษ อย่างมากก็เป็น
ผู้แค่ต้องสงสัยเท่านั้น พวกเจ้าไม่ใช่นายของข้า ข้า
ไม่ใช่บ่าวไพร่ของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่มีสิทธิออกคำสั่ง
กับข้า”
ศิษย์พี่เจ็ดตะลึงไป แล้วหันไปมองผู้หญิงคนนั้น
ศิษย์น้องเล็กดูลังเล แล้วพูดว่า “เจ้าไม่ยอมไปแบก
เขา แล้วจะให้พวกเราไปแบกเขาหรืออย่างไร?”
“พวกเจ้าพูดเองนี่นาว่า เขาเป็นพวกเดียวกับข้า ใน
เมื่อข้าถูกพวกเจ้ามองว่าเป็นผู้ต้องสงสัย พวกของข้า
ก็คงหนีไม่รอดหรอก” หยางหนิงพูดว่า “พวกเจ้าทิ้ง
เขาเอาไว้ไม่สนใจ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าพวกเจ้า
กำลังปกป้องคนร้าย ในเมื่ออยากจะจับตัว พวกเจ้าก็
คิดหาวิธีเอาเอง มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้องไปช่วยพวก
เจ้าจับด้วย?”
ศิษย์พี่เจ็ดถูกหยางหนิงพูดจนทำอะไรไม่ถูก เขาพูดว่า
“ศิษย์น้องเล็ก ที่เขา...เขาพูดมาก็มีเหตุผลนะ”
ศิษย์น้องเล็กพูดว่า “ในเมื่อเขาพูดมีเหตุผล ศิษย์พี่ก็
ไปแบกเขาก็แล้วกัน”
“ข้าหรือ?” ศิษย์พี่เจ็ดอึ้งไป “แต่ว่า...”
ศิษย์น้องเล็กพูดว่า “ทำไม? ท่านไม่เต็มใจหรือ?”
ศิษย์พี่เจ็ดเหมือนจะหวาดกลัวศิษย์น้องเล็กไม่น้อย
ด้วยความจำใจ เขาเก็บดาบ แล้วเดินไปแบกองครักษ์
คนนั้น
ศิษย์พี่เจ็ดเดินนำหน้า ส่วนศิษย์น้องเล็กก็เดินตาม
หยางหนิงกับศิษย์พี่เจ็ดอยู่ด้านหลัง ตัวนางถือแส้เดิน
ตามหยางหนิง จ้องตาเขม่ง เพื่อป้องกันหยางหนิงเล่น
ลูกไม้อะไร
เดินไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็เดินมาถึงถนนเส้นทางที่
เงียบสงบ เดินเรียบกำแพงจวนสีขาวอมเทาไปยังหน้า
ประตูใหญ่ ที่หน้าประตูมีรูปปั้นสิงโตสองตัวตั้งอยู่
ประตูใหญ่ทาสีดำ ที่ด้านข้างประตูมีเจ้าหน้าที่ที่
แต่งตัวเหมือนกับศิษย์น้องเล็ก ด้านบนประตูมีป้ายคำ
ว่า “จวนเสินโหว” สีทองแขวนอยู่
หยางหนิงเห็นจวนเสินโหว ในใจก็นึกภาพไว้ว่าจวน
เสินโหวจะดูยิ่งใหญ่ไม่น้อย แต่ตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่า
ก็แค่จวนธรรมดา
เมื่อเข้ามาในจวน ศิษย์น้องเล็กก็พูดว่า “ศิษย์พี่เจ็ด
ท่านเอาเขาไปขังเอาไว้ก่อน ข้าจะไปสอบสวนคนนี้
เอง” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรมาก ผลักหยางหนิงให้เดิน
ไป กลางดึกในจวนเสินโหวไม่ได้จุดตะเกียงมากมาย
อะไร ดังนั้นในจวนจึงมืดสลัวๆ เมื่อมาถึงเรือน
ด้านข้างห้องหนึ่ง ภายในห้องสว่าง ศิษย์น้องเล็กให้ห
ยางหนิงเข้าไปในห้อง เมื่อเข้ามาถึง ก็ได้กลิ่นแปลกๆ
ลอยมา
หยางหนิงมองไปรอบๆ ภายในห้องกว้างมาก แต่ว่า
ภายในห้องนั้นมีอุปกรณ์ลงทัณฑ์ทรมานมากมาย
กลางห้อง มีโต๊ะไม้เก่าๆ ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีตะเกียง
ชายสองคนฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะ ศิษย์น้องเล็กกระแอม
หนึ่งครั้ง หนึ่งในสองคนนั้นจึงได้สติขึ้นมา เมื่อเงย
หน้าขึ้นมาเห็นศิษย์น้องเล็ก ก็รีบปลุกเพื่อนอีกคนให้
ตื่นขึ้น แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็กกลับมาแล้วหรือ?”
จากนั้นพวกเขาก็จ้องไปที่หยางหนิง เห็นหยางหนิง
สวมชุดผ้าแพรพกหยก แถมยังยืนเอามือไขว้หลัง แล้ว
มองไปรอบๆ ก็รู้สึกแปลกใจ ไม่รู้ว่าหยางหนิงเป็นใคร
มาจากไหน
ศิษย์น้องเล็กเดินเข้าไป ถอดเสื้อคลุมออก แล้วหันไป
พูดกับหยางหนิงว่า “เจ้ามานี่สิ”
หยางหนิงเดินไปด้วยรอยยิ้ม ท่ามกลางแสงสว่างเขา
เห็นได้ชัดว่า ศิษย์น้องเล็กคนนี้นั้นสวมชุดสีเขียวปัก
ลายก้อนเมฆ สวมรองเท้าสีดำ ผิวขาวเนียน หน้าตา
สวย ถึงแม้จะเป็นผู้หญิง แต่สายตาของนางไม่ได้
เหมือนผู้หญิงทั่วไป สายตาของนางเยือกเย็น ทั่ว
ทั้งตัวของนางทำให้รู้สึกสบายตา
ศิษย์น้องเล็กคนนี้ดูไปแล้วอายุน่าจะประมาณสิบหก
สิบเจ็ด แต่ว่าสายตาของนางดูเป็นผู้ใหญ่มาก
“นั่งลง” ศิษย์น้องเล็กชี้ไปที่ด้านหน้า บอกให้
หยางหนิงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างหน้า ส่วนตัวนางก็ไปนั่งที่
เก้าอี้ตัวใหญ่ หลังจากที่หยางหนิงนั่งลงแล้ว ศิษย์น้อง
เล็กก็เอ่ยปากถามว่า “ข้าถามเจ้าแค่คำถามเดียว เจ้า
ก็แค่ตอบมาตามตรง หากโกหกแล้วล่ะก็ อุปกรณ์ลง
ทัณฑ์ของที่นี่เจ้าก็เห็นแล้ว ในเมื่อเจ้ารู้ว่าที่นี่คือจวน
เสินโหว คนที่เล่นลูกไม้ที่นี่ ทางจวนเสินโหวไม่เคย
เกรงใจอยู่แล้ว”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ก่อนสอบสวน ข้าขอพูด
เงื่อนไขสักอย่างจะได้หรือไม่”
“เงื่อนไข?” ศิษย์น้องเล็กขมวดคิ้ว “ที่นี่คือจวนเสิน
โหว ตอนนี้เจ้ากำลังถูกสอบสวนอยู่ ไม่ใช่ที่ๆ ให้เจ้า
มาเสนอเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าจะสอบสวนข้า
อย่างไรข้าก็ต้องตอบคำถามเจ้าอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้
ข้าคอแห้งไปหมด แล้วเจ้าจะให้ข้าตอบเจ้าอย่างไร?”
ศิษย์น้องเล็กคิดๆ ดูแล้ว ก็พูดกับคนข้างๆ ว่า “ไปเอา
น้ำมาให้เขาที”
คนนั้นไปเอาน้ำมา เหลือชายอีกคนอยู่ข้างๆ ศิษย์น้อง
เล็ก เขาจ้องมาที่หยางหนิง แล้วถามด้วยความสงสัย
ว่า “ศิษย์น้องเล็ก มันคดีอะไรกันหรือ? เขาทำผิด
อะไร?”
“เขาคือผีดูดเลือดตัวนั้น” ศิษย์น้องเล็กพูดอย่างดุดัน
“มีหลายชีวิตต้องตายเพราะเขา ยังดีที่คืนนี้จับได้
ไม่อย่างนั้นหากเรื่องแพร่ออกไป จะทำให้คนในเมือง
หลวงต้องหวาดกลัวแน่นอน”
คนๆ นั้นอึ้งไป เขามองไปที่หยางหนิง แล้วพูดด้วย
ความสงสัยว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้า...เจ้าพูดเรื่องจริง
หรือ? ตา...ตานี่เป็นปีศาจดูดเลือดคนนั้นหรือ?” สี
หน้าท่าทางสงสัย เหมือนจะไม่เชื่อ
หยางหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “พี่ชายท่านนี้ ท่านว่าข้า
เหมือนคนที่ดูดเลือดใครได้หรือไม่เล่า?”
สีหน้าของนางโกรธมาก แต่ว่าในสายตาของหยางห
นิง เวลาผู้หญิงคนนี้โกรธขึ้นมา มันมีความรู้สึก
บางอย่างเกิดขึ้นโดยที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูด
ออกมาได้
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 174 สอบสวนกลางดึก
หยางหนิงจัดระเบียบเสื้อผ้าของตัวเอง ในตอนนี้คนท่ี่
ไปเอาน้ำก็กลับมา ในมือของเขาถือชามกระเบื้องมา
ในนั้นมีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่ง แล้ววางลงตรงหน้าของหยางห
นิงอย่างไม่เกรงใจ เขาพูดว่า “เมื่อมาที่นี่ ก็อย่าเล่น
ลูกไม้อะไรให้มาก ศิษย์น้องเล็กจะสอบสวนเจ้าด้วย
ตัวเอง หากเจ้าเล่นลูกไม้ ข้าจะจัดการเจ้าทันทีคอย
ดู”
หยางหนิงไม่ได้สนใจเขา ยกชามกระเบื้องขึ้นมา เห็น
ว่าขอบชามกระเบื้องนั้นเริ่มเหลืองแล้ว ก็ขมวดคิ้ว
วางถ้วยนั้นลงไปแล้วพูดว่า “เปลี่ยนถ้วยน้ำชามา
ใหม่!”
“โอ้โฮ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร?” คนๆ นั้นยกแขนเสื้อ
ขึ้นมา “ข้าเอาน้ำมาให้เจ้า ก็ถือว่าละเมิดกฎเกณฑ์
มากพอแล้ว เจ้ายังเรื่องมากอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าชก
เจ้าจนตายตอนนี้ยังได้เลย”
หยางหนิงเหลือบไปมองคนๆ นั้น แล้วพูดว่า
“เจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหว พูดจาแบบนี้ได้ด้วยหรือ?
พูดจายังไม่ทันไรก็จะลงมือทำร้ายคนแล้ว นี่เป็น
กฎเกณฑ์ของจวนเสินโหวอย่างนั้นหรือ?”
“เขา เจ้าเด็กผู้นี้ไปกินดีหมีที่ไหนมา” คนๆ นั้นพูด
ด้วยความโกรธว่า “หากไม่สั่งสอนเจ้า เจ้าคงไม่รู้สินะ
ว่าจวนเสินโหวคือสถานที่แบบไหน” เขายกมือกำลัง
จะตบ ผู้หญิงคนนั้นก็ตะคอกว่า “เฉินฉี หยุดนะ!”
ถึงแม้เฉินฉีจะอายุมากกว่าศิษย์น้องเล็กมาก แต่เขาก็
ดูหวาดกลัวศิษย์น้องเล็กมาก เขาเก็บหมัดเขากลับไป
แล้วพูดกับหยางหนิงว่า “ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน ที่นี่
ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาทำตัวโอหังได้นะ” จากนั้นเขาก็เดิน
ไปข้างๆ ศิษย์น้องเล็กของเขา แล้วถามว่า “ศิษย์น้อง
เล็ก เจ้านี่มันก่อคดีอะไรหรือ?”
ศิษย์น้องเล็กพูดว่า “เขาคือปีศาจดูดเลือด”
“หา?” เฉินฉีหน้าถอดสี เหมือนว่าจวนเสินโหวทุกคน
รู้ว่ามีปีศาจดูดเลือดอาละวาด เขาพูดอย่างตกใจว่า
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้า...เจ้านี่คือตัวประหลาดที่พวกเรา
กำลังตามล่าหรือ?” จากนั้นเขาก็จ้องไปที่หยางหนิง
“คนแบบนี้ ฆ่าให้ตายอีกสักร้อยครั้งก็ไม่พอ ศิษย์น้อง
เล็ก เจ้านี่เก่งจริงๆ เลยนะ ครั้งนี้เจ้าสร้างผลงานใหญ่
หลวงยิ่ง ท่านเสินโหวจะต้องดีใจมากแน่ๆ”
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา ศิษย์พี่
เจ็ดคนนั้นกำลังเดินเข้ามา ในมือถือบันทึกคำให้การ
เข้ามา แล้วนั่งลงข้างๆ ศิษย์น้องเล็กของเขา จากนั้น
เขาก็เปิดบันทึกคำให้การออกแล้วหยิบพู่กันออกมา
แล้วจ้องไปที่หยางหนิงและพูดว่า “ว่ามา เจ้าชื่อ
อะไร? เป็นคนที่ไหน?”
หยางหนิงนั่งที่เก้าอี้ อยากจะพิงหลังก็พิงไม่ได้ เขาจับ
ที่จมูกของตัวเอง แล้วพูดว่า “ข้าแซ่ฉีชื่อหนิง เป็นคน
เมืองหลวง”
“ฉีหนิง...เป็นคนเมืองหลวง...” ศิษย์พี่เจ็ดเงยหน้า
ขึ้นมามอง ทันใดนั้นเฉินฉีก็พูดด้วยความแปลกใจว่า
“ฉีหนิง? เจ้าชื่อฉีหนิง?”
หยางหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว มีปัญหา
อะไร?”
เฉินฉียิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “เจ้าจะชื่อฉีหนิงได้อย่างไร?
ฉีหนิงเป็นชื่อที่เจ้าเรียกได้อย่างนั้นหรือ?”
“น่าแปลก ข้าจะชื่อฉีหนิงไม่ได้หรืออย่างไร?” หยาง
หนิงพูดว่า “หรือว่าจะให้ใช้ชื่อหมาชื่อแมวถึงจะได้
หรือ?”
ตอนนี้เหมือนศิษย์พี่เจ็ดจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหัน
ไปมองศิษย์น้องเล็กของเขา แล้วพูดเสียงเบาว่า
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าเคยได้ยินชื่อฉีหนิงมาก่อนหรือไม่?
เหมือนว่า...เหมือนว่าจะชื่อเดียวกับจิ่นอีโหวเลยนะ”
“จิ่นอีโหว?” ศิษย์น้องเล็กขมวดคิ้ว
ศิษย์พี่เจ็ดพูดว่า “หลายวันก่อนราชสำนักเพิ่งจะมี
ราชโองการลงมา แต่งตั้งให้ซื่อจื่อของท่านแม่ทัพฉีสืบ
ทอดตำแหน่งจิ่นอีโหว เหมือนกับท่านโหวเยวี่ยจะชื่อ
ฉีหนิง”
“บนโลกใบนี้คนที่ชื่อแซ่เดียวกันมีตั้งเยอะแยะ” ศิษย์
น้องเล็กไม่ได้ยิ้ม “คนที่ชื่อฉีหนิงทุกคนจะต้อง
เกี่ยวข้องกับจิ่นอีโหวหมดเลยอย่างนั้นหรือ?”
เฉินฉียิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็กพูดถูกแล้ว ท่านจิ่น
อีโหวจะต้องเป็นคนที่องอาจ แต่เจ้าเด็กนี่กลับต่าง
กับจิ่นอีโหวราวฟ้ากับดิน” เขายิ้ม แล้วพูดว่า “หลาย
วันก่อน ได้ยินมาว่าจิ่นอีโหวกับโต้วเหลียนจงมีเรื่อง
กันที่ศาล เจ้าสวะโต้วเหลียนจงนั้นเจ้าเล่ห์นัก แต่ว่า
ท่านจิ่นอีโหวชาญฉลาด แต่ว่าเจ้าเด็กนี่มันดูหน้าตา
น่าเกลียด จะเทียบกับจิ่นอีโหวได้อย่างไรกัน”
หยางหนิงไม่ชอบเฉินฉีอยู่แล้ว แต่ว่าพอได้ยินเขาชื่น
ชมจิ่นอีโหว ในใจก็ลดความเกลียดลงมาบ้าง
“จริงสิ แม่นาง เจ้าชื่ออะไรหรือ?” หยางหนิงจ้องไปที่
ตาของศิษย์น้องเล็กคนสวย ยิ้มแล้วถามว่า “จนถึง
ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ชื่อของเจ้าเลย”
ศิษย์พี่เจ็ดพูดว่า “ชื่อของศิษย์น้องเล็กเจ้ามีสิทธิถาม
ด้วยหรือ? เจ้านี่บังอาจเกินไปแล้วนะ เจ้าอย่าลืมนะ
ว่า ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเป็นแค่ผู้ต้องสงสัย พวก
เจ้ายังตัดสินไม่ได้ว่าข้าเป็นนักโทษหรือไม่ พวกเจ้า
ต้องการสอบสวนข้า ข้าจำเป็นต้องรู้ชื่อของพวกเจ้าสิ
หากไม่อย่างนั้นเกิดข้าถูกใส่ร้ายขึ้นมา ข้าจะไปขอ
ความเป็นธรรมกับใครได้เล่า จะให้ข้าไม่รู้ว่าใครใส่
ความข้าเลยหรืออย่างไร” จากนั้นเขาก็ยิ้มให้กับศิษย์
น้องเล็กแล้วพูดว่า “แม่นาง เจ้าว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”
ศิษย์น้องเล็กเห็นหยางหนิงยังทำหน้าระรื่นอยู่ แค่น
เสียงเย็นชา “นิสัยโจรไม่เปลี่ยน คนฉลาดไม่พูดอะไร
ลับหลัง ข้าชื่อซีเหมือนจั้นอิง เจ้าจำเอาไว้!”
“อ๋อ ขอคำชี้แนะหน่อยได้หรือไม่ ชื่อของเจ้าใช้สอง
ตัวไหนกันหรือ?”
“จั้นที่แปลว่าสงคราม อิงที่แปลว่าพู่ พอใจหรือยัง?”
ศิษย์น้องเล็กซีเหมินจั้นอิงพูดอย่างเย็นชา
หยางหนิงพูดอย่างแปลกใจว่า “แม่นางชื่อของเจ้ามัน
ดูน่าเกรงขามนะ แต่ว่ามันมีกลิ่นอายของการเข่นฆ่า
เป็นสาวเป็นนาง เหตุใดชื่อถึงได้มีคำว่า ‘จั้น’ เล่า มัน
ไม่ค่อยดีเลยนะ?”
“ปึ้ง”
ศิษย์พี่เจ็ดตบโต๊ะ แล้วตะคอกว่า “หุบปากเดี๋ยวนี้
หากเจ้ายังพูดเหลวไหลอีก ข้าจะฆ่าเจ้าซะ” จากนั้นก็
ถามว่า “เจ้าตอบมาตามตรง เจ้าเป็นฆาตกรดูดเลือด
ใช่หรือไม่? เจ้าก่อคดีแรกเมื่อไหร่? นอกจากในเมือง
หลวงแล้ว เจ้ายังมีก่อคดีที่ไหนอีกบ้าง?”
หยางหนิงส่ายหัว “ข้าบอกไปแล้ว ข้าไม่ได้ฆ่าใคร อีก
ทั้งก็ไม่ได้ดูดเลือดใครด้วย พวกเจ้าใส่ร้ายข้า”
“เจ้าบอกว่าเจ้าบังเอิญผ่านไปที่ถนนนั่น จากนั้นก็เข้า
ไป ถ้าอย่างนั้นเจ้าอธิบายมา ดึกๆ ดื่นๆ เจ้าไปที่นั่น
ทำไม?” ซีเหมินจั้นอิงจ้องไปที่ตาของหยางหนิง “ใน
ตัวของเจ้ายังพกมีดด้วย...” แล้วเอามีดสั้นของหยางห
นิงออกมาแกว่ง “ถ้าเป็นคนดี เหตุใดต้องพกมีด
ออกมาตอนดึกๆ แบบนี้ด้วย?”
หยางหนิงพูดว่า “ก็ช่วงนี้เมืองหลวงมันไม่ค่อย
ปลอดภัย ข้าเป็นคนขี้กลัว ออกไปไหน พกมีดไว้
ป้องกันตัวไม่ได้หรือ?”
“ย่อมได้แน่นอน” ซีเหมินจั้นอิงยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า
“เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าต้าฉู่ของพวกเรามีกฎหมาย
ห้ามพกอาวุธ ชาวบ้านทั่วไป ห้ามมีอาวุธติดตัว
ไม่อย่างนั้นมีโทษประหาร ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าฆ่า
คนหรือไม่ แค่เจ้าพกมีด พวกเราก็เอาผิดเจ้าถึงตายได้
แล้ว”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่สิ ข้าเคยได้ยินมาว่าจวน
เสินโหวดูแลจัดการแค่ในเรื่องยุทธภพนี่นา ข้าไม่ใช่
ชาวยุทธ์ ต่อให้พกมีด ก็ต้องให้ทางศาลว่าการเป็นคน
จัดการสิ หรือว่าจวนเสินโหวของพวกเจ้าใช้อำนาจ
เกินขอบเขตได้ด้วยหรือ? อีกอย่าง เจ้าบอกว่ามีมีดก็
ถือเป็นกบฏ ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามหน่อย ชาวยุทธ์มี
ใครบ้างไม่พกอาวุธ? ตามที่เจ้าว่ามา พวกเขาก็ต้อง
เป็นกบฏด้วยอย่างนั้นสิ แล้วเหตุใดพวกเจ้าไม่ไปจับ
พวกเขาเล่า? จริงสิ เมืองหลวงมีสำนักคุ้มภัยตั้งมาก
พวกเขาก็พกอาวุธ พวกเจ้าไม่ไปจับเล่า?”
ศิษย์พี่เจ็ดพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้า...เจ้าแก้ตัวน้ำ
ขุ่นๆ พวกเขาต่างกับเจ้า”
ศิษย์พี่เจ็ดกำลังจะพูดต่อ ซีเหมินจั้นอิงก็พูดว่า “ศิษย์
พี่เจ็ด เขาตั้งใจปล่อยประเด็น อย่าไปเถียงกับเขา”
นางเองก็ตบโต๊ะเช่นกัน แล้วพูดว่า “ฉีหนิง ตอนนี้
พวกเรากำลังสอบสวนเจ้าอยู่ พวกเราถามอะไรก็ตอบ
มา”
“ใช่ ข้าใกล้จะบ้าตายเพราะเจ้าอยู่แล้ว” ศิษย์พี่เจ็ด
พูดด้วยความโมโหว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้ฆ่าคน มี
หลักฐานหรือไม่?”
“หลักฐานง่ายมาก รอพวกของข้าฟื้นขึ้นมา เจ้าก็ไป
ถามเขา แค่นี้ก็จบ?” หยางหนิงพูดอย่างสบายๆ
ซีเหมินจั้นอิงแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเขาเป็นพวก
เดียวกับเจ้า เจ้าคิดว่าคำพูดของเขาใช้อ้างอิงได้
หรือ?”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกท่านทั้งสอง
หากข้าเป็นฆาตกรดูดเลือดจริงๆ เจ้าคิดว่าอาศัยแค่
พวกเจ้าสองคนจะปราบข้าได้หรือ? หากข้าฆ่าคน
จริงๆ แล้วจะตามพวกเจ้ามาที่จวนเสินโหวนี่อีก
หรือ?”
“เจ้าคิดจะหนี แต่ว่าพวกเราจับเจ้าได้ก่อน” ศิษย์พี่
เจ็ดพูดว่า “ดึกมากแล้ว พวกเราไม่ได้มีความอดทน
จะมานั่งเล่นกับเจ้านะ ตอบมาตามตรง เจ้าก่อคดีครั้ง
แรกเมื่อไหร่?”
เจ้าหน้าที่อีกคนที่ไม่ได้พูดอะไรเลยมาโดยตลอดก็อด
ไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่เจ็ด พวก
เจ้าเห็นกับตาหรือว่าเขาฆ่าคน?”
หยางหนิงเห็นชายผู้นั้นน่าจะมีอายุประมาณสามสิบ
ศิษย์พี่เจ็ดอายุไม่น่าจะถึงยี่สิบ ทั้งสองคนอายุห่างกัน
น่าจะราวสิบปี แต่ว่าไม่รู้เพราะเหตุใดเจ้าหน้าที่คน
นั้นถึงได้เรียกเขาว่า “ศิษย์พี่” หรือว่าเขาเรียก
ตามลำดับการเข้ามาทำงานที่จวน?
หรือว่าคนพวกนี้จะเป็นลูกศิษย์ของซีเหมินอู๋เหิ๋ง?
หรือว่าเจ้าหน้าที่ภายในจวนเสินโหวเรียกกันแบบนี้
หรือ? เพราะอย่างไรจวนเซิ๋นโหวก็ดูแลจัดการเรื่อง
ของยุทธภพอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่พวกนี้จะเรียกกันว่า
ศิษย์พี่ศิษย์น้อง ก็ไม่แปลกอะไร
ศิษย์พี่เจ็ดพูดว่า “พวกเราเห็นเขาอยู่ข้างศพ ในมือ
ของเขาเปื้อนเลือด นอกจากเขาแล้ว ตอนนั้นก็ไม่มี
คนอื่นอยู่”
“แล้วพวกของเขาอีกคนเล่า?” เจ้าหน้าที่คนนั้นขมวด
คิ้วแล้วพูดว่า “เขาบอกว่ารอให้พวกของเขาฟื้นขึ้นมา
ก่อน มันหมายความว่าอย่างไร?”
“พวกของเขาสลบอยู่ในตรอกนั่น...” ศิษย์พี่เจ็ดพูดถึง
ตรงนี้ ก็เหมือนจะนึกถึงจุดสำคัญขึ้นมา แล้วอดไม่ได้
ที่จะถามว่า “จริงสิ พวกของเจ้าเหตุใดถึงสลบไป
เล่า?”
“เจ้าบอกว่าในตรอกนั่นไม่มีคนอื่น มีเพียงข้าคนเดียว
ก็คงเป็นข้กระมังที่ตีจนเขาสลบไป” หยางหนิงถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ข้าตีจนเขาสลบไป จากนั้นก็ฆ่าคน
แล้วดูดเลือด”
ศิษย์พี่เจ็ดรู้ว่าหยางหนิงประชด แต่ว่าเขาก็รู้ว่า ใน
เมื่อเป็นพวกเดียวกัน จะลงมือกับพวกเดียวกันมันก็
แปลกๆ อยู่
อย่างไรเขาก็เป็นคนของจวนเสินโหว ถึงแม้จะทำ
อะไรไม่ได้เรื่องบ้าง แต่ว่าเขาเองก็จับประเด็นปัญหา
ของคดีได้ดี
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “เขาบอกว่าคนๆ นั้นเป็นพวก
เดียวกับเขา แต่ว่าใครจะยืนยันให้เขาได้เล่า?”
ศิษย์พี่เจ็ดเองก็เป็นคนฉลาด ทันใดนั้นเองก็เข้าใจ
คำพูดของซีเหมินจั้นอิง เขาตบโต๊ะแล้วพูดว่า “ได้
เจ้าเด็กนี่กล้าโกหกอย่างนั้นหรือ คนๆ นั้นจริงๆ แล้ว
ไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเจ้า แต่เป็นผู้เสียหาย คืนนี้เจ้า
ตั้งใจจะฆ่าสองคน ข้าพูดถูกหรือไม่?”
หยางหนิงตบมือแล้วหัวเราะ “เยี่ยมจริงๆ ศิษย์พี่ท่าน
นี้เข้าใจอะไรได้เร็วดีนี่นา น่านับถือจริงๆ” สีหน้าของ
เขามันเหมือนแกล้ง น้ำเสียงคำพูดแฝงไปด้วยการ
ประชดประชัน
“บังอาจเกินไปแล้ว บังอาจเกินไปแล้ว” เฉินฉีพูดว่า
“ศิษย์พี่เจ็ด ศิษย์น้องเล็ก ไม่เคยมีนักโทษคนไหนกล้า
เหิมเกริมที่จวนเสินโหวแบบนี้ ข้าว่าลงทัณฑ์เขาจะ
ดีกว่า”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 175 เจ็ดดาวไถ
ศิษย์พี่เจ็ดแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง หากไม่เจ็บตัว
สักหน่อย เจ้าหมอนี่ก็ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำสักที”
เขากดเสียงต่ำแล้วพูดว่า “ฟาดเขาด้วยแส้สักสามสิบ
ทีก่อนค่อยว่ากัน”
สีหน้าของหยางหนิงยังนิ่งอยู่ สายตาของเขาเริ่ม
แหลมคม แค่นเสียงเย็นชา “ใครกล้าลงมือ?” เสียง
ของเขาเรียบเฉยเป็นอย่างมาก แต่สายตาของเขา
เฉียบคม และในเวลานี้ถึงเขาจะไม่ได้โกรธแต่ก็ยังดูน่า
เกรงขามเป็นอันมาก
เจ้าหน้าที่อีกคนเห็นได้ชัดว่าระวังตัวเป็นอย่างมาก
เขาหันไปถามหยางหนิงว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคน
เมืองหลวง แล้วบ้านเจ้าอยู่ที่ใด?”
“ถนนผีผา”
เจ้าหน้าที่คนนั้นสีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไป ซีเหมินจั้นอิง
ขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “เจ้าอยู่ที่ถนนผีผา?”
“บ้านตัวเอง จะจำผิดได้อย่างไร” หยางหนิงตอบ
“ข้าเขียนที่อยู่อย่างละเอียดให้พวกเจ้ายังได้เลย พวก
เจ้าจะไปตรวจค้นสักหน่อยหรือไม่เล่า? อาจจะเจอศพ
อีกสักหลายศพในบ้านของข้าก็ได้นะ”
เฉินฉีขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถนนผีผามีแต่จวนของพวก
ขุนนางไม่ใช่หรือ?”
“ที่แท้เจ้าก็รู้อยู่แล้ว” หยางหนิงพูด
ศิษยพี่เจ็ดสีหน้าเริ่มถอดสี แล้วพูดว่า “เป็นไปไม่ได้
เจ้า...เจ้าจะอยู่ที่ถนนผีผาได้อย่างไร?”
หยางหนิงไม่ได้สนใจ หันหน้าออกไปมองด้านนอก
แล้วพูดว่า “ฟ้าใกล้สว่างแล้ว คนที่บ้านข้าไม่นานคง
ออกมาตามหาแล้ว”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา ทุกคนเงย
หน้าไปมอง เห็นชายคนหนึ่งสวมชุดผ้าแพรลายเมฆ
กำลังเดินเข้ามา รูปร่างของเขาไม่ได้สูงมาก เตี้ยๆ
อ้วนๆ ตาตี่ แต่ว่าหน้าตาของเขาดูเป็นคนใจดีไม่น้อย
อีกทั้งใบหน้ายังมีรอยยิ้มอีกด้วย
เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา ศิษย์พี่เจ็ดก็รีบลุกขึ้น ซีเห
มินจั้นอิงลังเลไปครู่หนึ่ง แต่ก็ลุกขึ้นเช่นกัน เมือ่ ชาย
อ้วนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ ทุกคนก็ยกมือขึ้นมาแล้วพูด
ว่า “ศิษย์พี่รอง”
หยางหนิงคิดในใจว่าที่แท้ชายอ้วนนี่ก็เป็นศิษย์พี่รอง
นี่เอง ดูจากลำดับแล้ว ตำแหน่งในจวนเสินโหวของ
เขาน่าจะไม่ธรรมดา
ชายอ้วนเหลือบมองหยางหนิง จากนั้นก็กวาดสายตา
ไปที่คนที่เหลือ แล้วมองไปที่ศิษย์พี่เจ็ดและถามว่า
“เจ้าเจ็ด นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ศิษย์พี่เจ็ดมองไปที่หยางหนิง จากนั้นก็เดินเข้าไป
กระซิบที่ข้างหูของชายอ้วน ชายอ้วนขมวดคิ้ว แต่ไม่
นานสีหน้าของเขาก็มีรอยยิ้ม เขาเดินเข้ามา นั่งลง
ตรงหน้าหยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าคือหนึ่งในเจ็ด
ดาวไถของจวนเสินโหวทันหลางเซี่ยวเว่ยชวีเสี่ยวชาง
เจ้าชื่อฉีหนิงหรือ?”
หยางหนิงคิดในใจว่าเจ็ดดาวไถของจวนเสินโหวมันคือ
อะไร? แต่เขาก็พยักหน้า
“ช่วงนี้ในเมือหลวงมีฆาตกรดูดเลือดกลางดึก เรื่องนี้
เจ้าก็น่าจะรู้แล้ว” ชายอ้วนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ฉีหนิง เจ้าเอามือของเจ้าให้ข้าดูหน่อยจะได้
หรือไม่?”
หยางหนิงไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
แต่ก็ยกมือให้เขาดู เขากางมือออกให้ชวีเสี่ยวชางดู
ถึงแม้ชวีเสี่ยวชางจะตาเล็กไปหน่อย แต่ว่าสายตาของ
เขาก็เฉียบแหลมยิ่งนัก เขากวาดสายตาครู่เดียว
จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วคนส่วนมากไม่รู้
เลย จวนเสินโหวถึงแม้จะมีคนไม่มาก แต่ว่ามีเรื่องที่
ต้องจัดการทุกวัน คนที่ทำงานในจวนเสินโหวลำบาก
ไม่น้อย อย่างเรื่องคดีฆาตกรดูดเลือดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
พวกเราปิดข่าวไม่ให้ผู้ใดรู้มาโดยตลอด คนในเมือง
หลวงยังไม่มีใครรู้เลย เพื่อตามล่าหาตัวฆาตกรแล้ว
ทางจวนเสินโหวของพวกเราไม่มีผู้ใดได้หลับได้นอน
เลยแม้แต่คืนเดียว”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้พวกท่านเจอแล้วนี่
นา”
“ผู้ต้องสงสัยทุกคน พวกเราจะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด
มันเป็นกฎของจวนเสินโหว อีกทั้งก็เพื่อความ
ปลอดภัยของชาวบ้านด้วย” ชายอ้วนยิ้ม หยางหนิง
แทบจะมองไม่เห็นดวงตาของเขาเลย แต่ว่าน้ำเสียง
ของเขายังคงอ่อนโยน “แต่ว่าผู้ต้องสงสัยพวกเราไม่
ถือว่าพวกเขาเป็นนักโทษ ทางจวนเสินโหวไม่มีทาง
ปล่อยให้คนร้ายหลุดไปได้ แต่พวกเราก็ไม่ใส่ร้ายคนดี
หรอกนะ”
หยางหนิงยกนิ้วโป้งขึ้น แล้วพยักหน้าพูดว่า “นี่สิถึง
จะเป็นคนที่ทำงานจริงๆ”
ชวีเสี่ยวชางหยิบบันทึกคำให้การแล้วอ่านดู จากนั้นก็
ถามว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าโผล่ไปตรงที่เกิดเหตุเพราะ
บังเอิญผ่านไปพอดีอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่”
ชวีเสี่ยวชางพยักหน้า แล้วเขียนอะไรบางอย่างลงไป
ในบันทึกคำให้การ แล้วไม่ถามอะไรอีก จากนั้นก็ปิด
บันทึกคำให้การ และเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้หยางหนิง
แล้วพูดว่า “เอาล่ะ สอบสวนเสร็จแล้ว เจ้ากลับไปได้
แล้ว”
หยางหนิงกลับไม่ขยับตัวแต่ถามด้วยรอยยิ้มว่า
“สอบสวนเสร็จแล้วหรือ?”
ชวีเสี่ยวชางตอบว่า “เสร็จแล้ว”
ศิษย์พี่เจ็ดรู้สึกร้อนใจ แล้วพูดขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่รอง
เขา...”
ชวีเสี่ยวชางหันหน้าไป น้ำเสียงที่อ่อนโยนเปลีย่ นเป็น
การตะคอก “เหยียนหลิงเซี่ยน เจ้ารู้ความผิดของเจ้า
หรือไม่?”
ศิษย์พี่เจ็ดอึ้งไป ไม่เข้าใจจึงถามไปว่า “ศิษย์พี่รอง ข้า
...”
ชวีเสี่ยวชางยืนขึ้นมา เหลือบไปมองซีเหมินจั้นอิง
แล้วพูดว่า “ใครอนุญาตให้พวกเจ้ากระทำการโดย
พลการ?”
“ศิษย์พี่รอง ข้า...”
ชวีเสี่ยวชางไม่รอให้เขาพูดจบ ก็พูดแทรกขึ้นมาว่า
“หุบปาก ท่านเสินโหวมีคำสั่ง ให้ทางจวนเสินโหว
ไล่ล่าหาตัวฆาตกรดูดเลือดก็จริง แต่ว่าพวกเจ้าสอง
คนไม่ได้อยู่ในการทำคดีนี้ เหยียนหลิงเซี่ยน ครั้งที่
แล้วที่เจ้าทำผิด ท่านเสินโหวสั่งให้เจ้าไม่ให้ออกไป
นอกจวนเป็นเวลาสามเดือน แต่เจ้ากลับออกไปโดย
พลการแบบนี้หรือ? ยังมีเจ้าอีกคน จั้นอิง เจ้ากระทำ
การโดยพลการ ได้รับอนุญาตจากท่านเสินโหวหรือ
ยัง?”
ซีเหมินจั้นอิงกัดปาก เหมือนกำลังจะพูดอะไร ชวี
เสี่ยวชางก็พูดขึ้นมาว่า “เจ้าคิดจะพูดอะไรอีก? จนถึง
ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวอย่าง
เป็นทางการ เหตุใดถึงกล้าอ้างชื่อของจวนเสินโหว
กระทำการพลการแบบนี้?” จากนั้นก็ชี้ไปที่ศิษย์พี่เจ็ด
เหยียนหลิงเซี่ยน “เจ้าก็อีกคน รู้กฎแต่ทำผิดเสียเอง
ละเว้นโทษไม่ได้ ยังไม่ไปรับโทษอีก”
เหยียนหลิงเซี่ยนกับซีเหมินจั้นอิงมองหน้ากัน รู้สึกอึ้ง
ตะลึงกับเหตุการณ์ในเบื้องหน้านี้
“ยังไม่ไปอีก?” ชวีเสี่ยวชางตะคอก
เหยียนหลิงเซี่ยนจนปัญญา ยกมือคำนับชวีเสี่ยวชาง
จากนั้นก็หันตัวจากไป ทันใดนั้นเองก็ได้ยินหยางหนิง
พูดขึ้นมาว่า “อย่าเพิ่งรีบไป”
เหยียนหลิงเซี่ยนหยุดชะงักฝีเท้า หันกลับมาพูดด้วย
ความโกรธว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“ข้าบอกว่าเจ้าอย่าเพิ่งรีบไป” หยางหนิงลุกขึ้นมา
แล้วกวาดสายตาไป ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าชื่อเหยียน
หลิงเซี่ยนหรือ? พวกเขาเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่เจ็ด หรือว่า
เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถของจวนเสินโหว?”
“ถ้าใช่แล้วจะอย่างไร?” เหยียนหลิงเซี่ยนไม่ได้มีท่าที
เกรงใจ “ที่นี่เป็นที่ให้เจ้ามาพูดได้หรือ?”
“บังอาจ” ชวีเสี่ยวชางพูด “ยังไม่รีบไปอีก”
“ชวีเซี่ยวเว่ย อย่าเพิ่งรีบร้อนให้เขาไป” หยางหนิง
แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ยังมีเรื่องที่ยังไม่เข้าใจกัน ตอนนี้
ให้เขาไป เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่จริงหรือไม่?”
ชวีเสี่ยวชางหันหลังกลับมา ใบหน้าอ้วนท้วมของเขา
เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “เข้าใจผิด? ไม่มีอะไร
เข้าใจผิดนี่นา สอบสวนเสร็จไปแล้ว เจ้าเองก็กลับไป
ได้แล้ว เหยียนหลิงเซี่ยนทำผิดกฎของจวนเสินโหว
ทางจวนเสินโหวจะลงโทษเขาเอง”
“เจ้าหมายความว่า ทั้งสองนี้เอาตัวข้ามา ไม่ใช่เจตนา
ของท่านเสินโหวอย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงถาม
ชวีเสี่ยวชางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็กยัง
ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวอย่างเป็นทางการ
ดังนั้นยังไม่ถือว่าเป็นคนของจวนเสินโหว เหยียนหลิง
เซี่ยนเองอยู่ในช่วงถูกกักบริเวณ จวนเสินโหวไม่ได้สั่ง
ให้เขาออกไปทำงานอะไร การกระทำของเขา คือ
เจตนาส่วนตัวของเขาเอง” เขาหยุดไป ยิ้มแล้วพูดว่า
“ถึงแม้จะไม่ใช่จวนเสินโหวส่งออกไป แต่ว่าทั้งสอง
คนก็เป็นคนของจวนเสินโหวจริง ดังนั้นพวกเราจะ
ลงโทษพวกเขาแน่นอน”
เหยียนหลิงเซี่ยนคิดว่าปฏิกิริยาของชวีเสี่ยวชางนั้น
แปลกมาก
เจ็ดดาวไถของจวนเสินโหว หนึ่งในเจ็ดนี้เซี่ยวเว่ยหรือ
ทันหลางเซี่ยวเว่ยชวีเสี่ยวชางเป็นคนที่ใจดีที่สุด ปกติ
ไม่ว่าจะกับใครเขาก็ใจดีด้วยมากๆ ถึงได้เป็นที่รักของ
คนในจวนเสินโหว
ปกติเขาไม่ค่อยโกรธ แต่ว่าวันนี้กลับกัน มันทำให้เห
ยียนหลิงเซี่ยนตะลึง เหตุใดชวีเสี่ยวชางถึงได้ปฏิบัติ
ต่อหยางหนิงแบบนี้
ถึงแม้ชวีเสี่ยวชางจะเป็นคนใจดี แต่อย่างไรเขาก็ยัง
เป็นเซี่ยวเว่ยของจวนเสินโหว ปกติจะเข้มงวดกับการ
ปฏิบัติต่อนักโทษมาก แล้วก็ปกป้องพวกพ้องมาก
เด็ดขาดกับพวกคนที่ทำผิด ดังนั้นถึงได้เป็นที่ชื่นชอบ
และเกรงขามในจวนเสินโหว
แต่วันนี้ชวีเสี่ยวชางกับปฏิบัติตัวกับคนร้ายอย่าง
สุภาพ แถมยังต่อว่าพวกเขาต่อหน้าคนร้ายด้วย มัน
ทำให้เขาไม่เข้าใจ หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เหยียน
หลิงเซี่ยนแม้แต่ฝันก็ไม่มีทางเชื่อ
ถึงแม้เขาจะอายุยังน้อย ประสบการณ์ไม่มาก แต่ก็
ทำงานอยู่ในจวนเสินโหวตลอด ปฏิกิริยาที่แปลกไป
ของชวีเสี่ยวชาง ทำให้เขานึกอะไรขึ้นมาได้
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ทั้งสอง
คนทำผิดข้างนอก ใส่ร้ายคนอื่น ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับ
จวนเสินโหวอย่างนั้นหรือ?”
ชวีเสี่ยวชางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตามหลักแล้ว ก็เป็น
อย่างนั้น”
หยางหนิงเดินมา แล้วลากเก้าอี้มาตัวหนึ่ง แล้วนั่งลง
เขานั่งกอดอก แล้วพูดว่า “หากพวกเขาทำร้ายคนอื่น
คนอื่นมาแก้แค้นพวกเขา ไม่รู้ว่าทางจวนเสินโหวจะ
เข้ามายุ่งหรือไม่?”
“พวกเขาทำผิด ทางจวนเสินโหวจะลงโทษพวกเขาอยู่
แล้ว ดังนั้นหากมีคนมาแก้แค้นพวกเขา ทางจวนเสิน
โหวก็จะไม่นิ่งนอนใจแน่นอน” ชวีเสี่ยวชางยิ้มแล้วพูด
ว่า “คนในจวนเสินโหวของพวกเราผูกสัมพันธ์กันด้วย
เลือดเนื้อ ไม่มีทางปล่อยให้พวกพ้องเป็นอะไรไป
แน่นอน”
หยางหนิงตบมือแล้วพูดว่า “ดี ดี ดี นี่สิถึงจะเป็นจวน
เสินโหว”
เฉินฉีเห็นหยางหนิงนั่งกำเริบเสิบสานอยู่ที่เก้าอี้ ก็
ตะคอกว่า “บังอาจ อยู่ต่อหน้าศิษย์พี่รอง ยังกล้า
บังอาจขนาดนี้” ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกเหมือนว่ามี
สายตาคู่หนึ่งกำลังมองมาที่เขา ชวีเสี่ยวชางจ้องไปที่
เขา เขาไม่กล้าพูดอะไรมากอีก ได้แต่ก้มหน้าลงสงบ
ปากสงบคำ
ในตอนนี้เอง ด้านนอกก็มีคนวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น เขา
เดินตรงมาหาชวี่เสี่ยวชาง ยกมือคำนับแล้วพูดว่า
“ศิษย์พี่รอง มีคนมาขอพบ”
“หา?” ชวีเสี่ยวชางมองไปด้านนอก ฟ้ากำลังจะสาง
เขาถามว่า “นี่มันเวลาอะไร เหตุใดถึงมีคนมาหาข้า
อีก?”
คนนั้นพูดว่า “เขาบอกว่า...เขาเป็นคนของจวนจิ่นอี
โหว”
เมื่อเขาพูดออกมา ซีเหมินจั้นอิงกับเหยียนหลิงเซี่ยนสี
หน้าเริ่มเปลี่ยนไป ซีเหมินจั้นอิงตัวสั่นเล็กน้อย แล้ว
หันไปมองหยางหนิงที่กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้
ชวีเสี่ยวชางจัดระเบียบเสื้อของตัวเองแล้วพูดว่า
“จวนจิ่นอีโหวเป็นเพื่อนกับจวนเสินโหวของพวกเรา
ท่านเหล่าโหวกับท่านแม่ทัพก็เป็นคนที่ทางจวนเสิน
โหวของพวกเรานับถือ ในเมื่อคนของทางจวนจิ่นอี
โหวมา เหตุใดยังไม่รีบเชิญเขาเข้ามาอีก” สีหน้าของ
เขาดูจริงจัง ดูเหมือนจะเคารพนับถือจวนจิ่นอีโหว
เป็นอย่างมาก
หยางหนิงยิ้ม เขารู้ว่า ชวีเสี่ยวชางทำแบบนี้ก็เพื่อ
ตั้งใจทำให้เขาดู
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 176 คิดบัญชี
ชวีเสี่ยวชางหันไปมองหยางหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “บ้าน
ของเจ้าอยู่ที่ไหน? หากไม่สะดวก ข้าจะให้คนส่งเจ้า
กลับไป” จากนั้นก็หันไปพูดกับเฉินฉีว่า “ไปเตรียมรถ
ม้า แล้วไปตามที่คุณชายท่านนี้บอก”
“ไม่ต้องรีบร้อน” หยางหนิงพูด “ชวีเซี่ยวเว่ย ให้ข้าได้
อยู่เจอกับคนของจิ่นอีโหวหน่อยได้หรือไม่? ไม่แน่ข้า
อาจจะรู้จักกับเขาก็ได้”
คนอื่นไม่พูดอะไรเลย
คนของจวนเสินโหวก็ไม่ได้โง่ คนที่อยู่ตรงนั้นเหมือน
จะเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
ชวีเสี่ยวชางเองจนถึงตอนนี้ ก็ยังถือว่ายังรับมือได้ดี
เขาพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้ารู้จักคนของจวนจิ่นอีโหว
ด้วยหรือ? หรือว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับจวนจิ่นอี
โหว?”
“ก็พอมีบ้าง” หยางหนิงเล่นละครกับเขาต่อไป “ข้ามี
เพื่อนเก่าหลายคนอยู่ที่จวนจิ่นอีโหว พวกเขาน่าจะไม่
มีทางลืมข้าได้แน่นอน”
ชวีเสี่ยวชางหัวเราะแล้วพูดว่า “เมืองหลวงจะว่าเล็กก็
ไม่เล็ก จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ หากเจ้ารู้จักกับคนของ
จวนจิ่นอีโหวจริง ก็ควรจะได้พบกัน”
ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา มันเป็นเสียง
ฝีเท้าที่ดูรีบร้อน ยังไม่ทันเห็นหน้า เสียงก็ดังมาก่อน
แล้ว “เซี่ยวเว่ยท่านไหนที่อยู่เวรในจวนเสินโหว
ตอนนี้?”
ชวีเสี่ยวชางรีบเดินเข้าไปรับหน้า เห็นชายรูปร่างกำยำ
เดินเข้ามา ชวีเสี่ยวชางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านต้วนนี่นา?
ลมอะไรพัดท่านมาที่นี่ได้?”
คนที่มาคือต้วนฉางไห่
ต้วนฉางไห่จับแขนของชวีเสี่ยวชาง แล้วพูดอย่างร้อน
ใจว่า “ชวีเซี่ยวเว่ย รีบ....รีบส่งคนไปตามฆาตกรดูด
เลือดนั่นเร็ว เขาปรากฏตัวแล้ว อีกอย่าง ท่านโหว
น้อยของพวกเราเกรงว่าจะตกอยู่ในเงื้อมมือของมัน
ด้วย...”
“ใจเย็นๆ” ชวีเสี่ยวชางพูดว่า “ท่านพี่ต้วน เกิดอะไร
ขึ้น? ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน เกิดอะไรขึ้นกับท่านโหว
น้อย?”
ต้วนฉางไห่ลืมตาจ้องไปที่ด้านหลังของชวีเสี่ยวชาง
จากนั้นก็เดินอ้อมตัวของชวีเสี่ยวชางไป สีหน้าของเขา
ดีใจมาก “ท่านโหวน้อย ท่าน...ท่านอยู่ที่นี่หรอกหรือ?
ดีจริงๆ” สายตาของเขาดีใจมาก ถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “ท่านปลอดภัยดี ช่างโชคดีจริงๆ”
หยางหนิงเห็นสภาพต้วนฉางไห่เหมือนหมาจนตรอก
เลยถามว่า “เหตุใดสภาพเจ้าถึงได้เป็นอย่างนี้เล่า?”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” สีหน้าที่เคร่งเครียดของเขาเริ่ม
ผ่อนคลายลง แล้วมองไปรอบๆ เห็นสายตาของ
เจ้าหน้าที่ในจวนเสินโหวมองมาที่เขาอย่างแปลกใจ
เขาก็เลยรีบยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “แสดงว่าพี่
น้องที่จวนเสินโหวช่วยท่านโหวน้อยของพวกเราเอาไว้
ต้วนฉางไห่ขอบคุณพวกท่านจริงๆ”
สีหน้าของทุกคนถึงกลับกระอักกระอ่วน เอาแต่ก้ม
หน้า แม้แต่ซีเหมินจั้นอิงเองก็ไม่เงยหน้าขึ้นมา
ชวีเสี่ยวชางเดินเข้ามา เขาตั้งใจทำท่าทางตกใจแล้ว
พูดว่า “ท่านต้วน ท่าน...ท่านนี้คือท่านจิ่นอีโหว?”
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง นี่คือท่านโหวน้อย
ของพวกเรา ชวีเซี่ยวเว่ย จวนเสินโหวของพวกท่านนี่
หูตากว้างไกลจริงๆ ช่วยชีวิตท่านโหวน้อยของพวก
เราเอาไว้ได้ จริงสิ แล้วฆาตกรดูดเลือดนั้นจับได้
หรือไม่? ข้าเห็นสภาพศพที่อยู่ในตรอกแล้ว สยดสยอง
มาก ตรงนั้นมีรอยเท้าของโหวน้อย ข้าเลยคิดว่าท่าน
โหวน้อยถูก...” ยังพูดไม่ทันจบ
“ข้าน้อยทันหลางเซี่ยวเว่ยชวีเสี่ยวชาง คำนับท่านโหว
เยวี่ย” สีหน้าของชวีเสี่ยวชางจริงจังขึ้นมา แล้วโค้ง
คำนับหยางหนิงอย่างนอบน้อม
หยางหนิงรู้ว่าชวีเสี่ยวชางเดาฐานะของเขาออกก่อน
แล้ว เขาก็ไม่ได้เปิดเผยมัน เขายิ้มแล้วพูดว่า “ชวี
เซี่ยวเว่ยเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ต้องมากพิธีหรอกนะ”
ชวีเสี่ยวชางหันหน้าไป แล้วจ้องไปที่คนอื่นๆ แล้วพูด
ว่า “พวกเจ้ายังยืนอึ้งกันอยู่ทำไม จิ่นอีโหวอยู่ตรงนี้
ยังไม่เข้ามาคารวะท่านอีก”
จิ่นอีโหวเป็นหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์ใหญ่ของต้าฉู่ ซึ่งเป็น
บรรดาศักดิ์ที่น่ายกย่องมากกว่าบรรดาศักดิ์ทั่วไป
เพราะเป็นสี่บรรดาศักดิ์ใหญ่ที่ก่อตั้งต้าฉู่ขึ้นมา
บรรดาศักดิ์โหวถึงจะเป็นแค่ตำแหน่ง แต่ว่าในต้าฉู่ สี่
บรรดาศักดิ์ใหญ่ของต้าฉู่มันไม่ได้เป็นแค่ตำแหน่งหรือ
ยศศักดิ์เท่านั้น แต่มันคือเกียรติและอำนาจ
ซีเหมินเสินโหวถึงแม้จะมีบรรดาศักดิ์โหวเหมือนกัน
แต่ว่าบรรดาศักดิ์ของเขาไม่ได้สืบทอดกันแบบรุ่นสู่รุ่น
ในบรรดาศักดิ์โหวเองก็มีลำดับชั้นสูงต่ำด้วยเช่นกัน
เสินโหวถึงแม้จะเป็นตำแหน่งโหว แต่ว่ายังถือว่า
ลำดับขั้นต่ำกว่าสี่บรรดาศักดิ์ใหญ่
ถึงแม้ชวี่เสี่ยวชางจะเป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถของจวน
เสินโหว แต่ว่าเขาก็เป็นแค่เซี่ยวเว่ย ตำแหน่งห่างชั้น
กับทางหยางหนิงเป็นอันมาก ส่วนคนอื่นไม่ต้องเอา
มาเทียบกับหยางหนิงเลย
เจ้าหน้าที่ที่ทำอะไรระวังคนนั้นเป็นคนแรกที่เดินเข้า
มา เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้าหน้าที่
หน่วยอาชญากรรมของจวนเสินโหวโหวจวิน คำนับ
โหวเยวี่ย”
เฉินฉีเห็นดังนั้น ก็รีบเดินเข้ามา เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
แล้วพูดว่า “เจ้าหน้าที่หน่วยอาชญากรรมของจวน
เสินโหวเฉินฉี คำนับโหวเยวี่ย”
หยางหนิงไม่ได้พูดอะไร แล้วมองไปที่ซีเหมินจั้นอิง
เห็นซีเหมินจั้นอิงกัดปาก แต่ไม่มีท่าทางเดินเข้ามา เห
ยียนหลิงเซี่ยนลังเล แต่สุดท้ายก็เดินมา เขาคุกเข่าลง
ข้างหนึ่ง “พั่วจวินเซี่ยวเว่ยของจวนเสินโหวเหยียน
หลิงเซี่ยน คำนับโหวเยวี่ย”
“อ๋อ?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นหนึ่ง
ในเจ็ดดาวไถของจวนเสินโหวนี่เอง พั่วจวินเซี่ยวเว่ย
ชื่อนี้ฟังดูองอาจดีนี่นา”
เหยียนหลิงเซี่ยนรู้สึกว่าวันนี้เขาโชคร้ายมาก แต่เขา
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ตัวเขาจะจับตัวจิ่นอีโหวกลับมาได้
ก่อนหน้านี้ที่หยางหนิงบอกชื่อออกไป หลายคนก็รู้สึก
ว่าชื่อของเขาเหมือนกับจิ่นอีโหว แต่ใครจะไปคิดว่า
เขาจะเป็นจิ่นอีโหวจริงๆ
เหยียนหลิงเซี่ยนเห็นปฏิกิริยาของชวีเสี่ยวชางไม่
เหมือนเดิม เขาก็คิดอยู่แล้วว่ามันแปลก คิดว่าชื่อของ
อีกฝ่าย อาจจะทำให้เขาเกิดสงสัย ตอนนี้เขาเป็นจิ่นอี
โหวจริง เขารู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก นึกถึงไปตอนก่อน
หน้านี้ที่เขาเสียมารยาทกับหยางหนิง ไม่รู้ว่าต่อไปเขา
ต้องเจอกับอะไรบ้าง
หากเป็นบรรดาศักดิ์โหวทั่วไป เหยียนหลิงเซี่ยนคงไม่
เครียดขนาดนี้ แต่ว่านี่คือหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหวที่
ใหญ่ที่สุดในต้าฉู่ ไม่ใช่ขุนนางธรรมดา
หยางหนิงเห็นเหยียนหลิงเซี่ยนก้มหน้า ไม่กล้าพูด
อะไรสักคำ
ชวีเสี่ยวชางเห็นซีเหมินจั้นอิงไม่ขยับ ก็ขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก ยังไม่มาคารวะโหวเยวี่ยอีก”
ซีเหมินจั้นอิงไม่มีทางเลือก จำใจต้องเดินเข้าไป นาง
ไม่คุกเข่า แต่แค่คำนับ “ซีเหมินจั้นอิงคำนับโหว
เยวี่ย”
“จั้นอิง เจ้ายังไม่ได้บอกตำแหน่งของเจ้ามาเลยนะ
บอกข้ามาหน่อยสิ?” หยางหนิงนั่งลงใหม่ใช้น้ำเสียง
แบบผู้ใหญ่คุยกับเด็กพูดกับนาง เขาหัวเราะแล้วพูด
ว่า “เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยอาชญากรรมของจวน
เสินโหวใช่หรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงกัดฟัน แต่ไม่ได้พูดอะไร
ชวีเสี่ยวชางยิ้มแล้วพูดว่า “เรียนโหวเยวี่ย ศิษย์น้อง
เล็กเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านเสินโหว เติบโตที่จวน
เสินโหวนี่มาตั้งแต่เล็ก ตอนนี้อยู่ในช่วงฝึกฝน นาง
เป็นนักสืบของจวนเสินโหว”
“นักสืบ?”
ชวีเสี่ยวชางอธิบายอีกว่า “จวนเสินโหวของพวกเรา
แบ่งออกเป็นสี่หน่วยงานใหญ่ หน่วยสืบสวน หน่วย
อาชญากรรม หน่วยติดอาวุธกับหน่วยกำลังภายใน
ส่วนนักสืบถือว่าเป็นตำแหน่งหนึ่งในหน่วยสืบสวน”
หยางหนิงพยักหน้า แล้วถามว่า “แล้วนักสืบนี่มี
หน้าที่จับคนด้วยหรือไม่?”
ชวีเสี่ยวชางรู้ว่าหยางหนิงกำลังจะคิดบัญชี ทำได้แค่
พูดว่า “โดยปกติแล้ว นักสืบมีหน้าที่ในการรายงาน
ติดตามความคืบหน้าเบาะแสต่างๆ แต่ไม่มีหน้าที่ไป
จับคน แต่ว่าในกรณีพิเศษ เจ้าหน้าที่ทุกคนของจวน
เสินโหว ก็มีหน้าที่กำจัดคนชั่วทั้งหมด”
“ถ้าอย่างนั้น ก็แสดงว่าคืนนี้ที่จับข้ามา ถือว่าเป็น
กรณีพิเศษหรือ?” หยางหนิงลูบจมูกพูด
ต้วนฉางไห่เห็นหยางหนิงปลอดภัย สีหน้าก็เบาใจมาก
แต่พอได้ยินหยางหนิงพูดอย่างนี้ สีหน้าของเขาก็
เปลี่ยนไป เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “จับมา? โหวเยวี่ย
เกิดอะไรขึ้น?”
“เหยียนหลิงเซี่ยน เจ้าพูดสิ คืนวันนี้มันเกิดอะไรขึ้น”
หยางหนิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ “ข้าคอแห้งจังเลย เจ็บคอ
มาก พูดไม่ไหวล่ะ”
ชวีเสี่ยวชางรีบพูดขึ้นมาว่า “เฉินฉี ยังไม่ไปชงชามา
ให้โหวเยวี่ยอีก ใช้ใบชาที่ดีที่สุด รีบไป”
เฉินฉีรีบลุกขึ้นมา แล้วไปทันที
เหยียนหลิงเซี่ยนเหงื่อออกเต็มหน้าผาก จากนั้นก็เล่า
เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอีกครั้ง
ต้วนฉางไห่ฟังจบ ก็ถามว่า “ถ้าอย่างนั้น จวนเสินโหว
ของพวกเจ้าคิดว่าโหวเยวี่ยของพวกเราเป็นฆาตกรฆ่า
คนจึงจับโหวเยวี่ยมาอย่างนั้นหรือ?” เขากำหมัดแน่น
แล้วตะคอกว่า “พวกเจ้าบังอาจมาก”
ชวีเสี่ยวชางพูดอย่างจนใจว่า “ท่านต้วน อย่าเพิ่งรีบ
ร้อน เขาสองคนทำผิด ทางจวนเสินโหวต้องลงโทษ
พวกเขาอยู่แล้ว”
“ชวีเซี่ยวเว่ย ข้าต้วนฉางไห่เคารพนับถือจวนเสินโหว
ของพวกเจ้ามาตลอด เพราะท่านเสินโหวเป็นคน
ชัดเจน คนในจวนเสินโหวเองก็เก่งกาจ” ต้วนฉางไห่
พูดว่า “วันนี้ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า จวนเสินโหวจะทำ
เรื่องแบบนี้ได้ หรือว่าพวกเจ้าไม่สนใจชื่อเสียงของ
จวนเสินโหวแล้ว คิดอยากจะปิดคดี ถึงกลับใส่ร้าย
ผู้อื่น?”
ซีเหมินจั้นอิงก้มหน้าอยู่ตลอด จนกระทั่งได้ยินที่ต้วน
ฉางไห่พูด นางเงยหน้าขึ้นมา แล้วพูดว่า “ใช่ เขาเป็น
จิ่นอีโหว แต่ว่า...แต่ว่าเป็นจิ่นอีโหว จะถูกสงสัยไม่ได้
หรือว่าเขาเป็นฆาตกรฆ่าคน?”
เมื่อนางพูดแบบนี้ออกมา ภายในห้องก็เงียบลง
หลังจากนั้นไม่นาน ชวีเสี่ยวชางก็ตะคอกว่า “จั้นอิง
เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ใครบอกว่าโหวเยวี่ยเป็นฆาตกร
ฆ่าคน?”
“ศิษย์พี่รอง เมื่อครู่ท่านก็เดาออกแล้วใช่หรือไม่ว่าเขา
คือจิ่นอีโหว ก็เลยเกรงใจเขาเป็นพิเศษ?” ซีเหมินจั้น
อิงพูดด้วยความดื้อรั้น “ท่านถามเขาแค่คำถามเดียว
เอง จากนั้นก็บอกว่าสอบสวนเสร็จแล้ว อีกทั้งยังให้
เขากลับไปอีก แต่ก่อนท่านไม่เป็นแบบนี้ จวนเสินโหว
ใช่ว่าจะไม่เคยจับขุนนางราชสำนัก เหตุใดพอท่านรู้ว่า
เขาเป็นจิ่นอีโหว ท่านถึงไม่สอบสวนเขาอย่างละเอียด
เล่า? หรือว่า...หรือว่าท่านกลัวอำนาจของเขา?”
นางไม่พอใจ หยางหนิงเห็นดวงตาของแดงเริ่มแดงก่ำ
เรื่องในคืนนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ชวีเสี่ยวชางอยากให้
เรื่องจบง่ายๆ แต่ว่าสาวน้อยนางนี้ไม่เพียงไม่ช่วย ยัง
จะเติมน้ำมันให้ไฟอีก เขารู้สึกโกรธมาก แล้วพูดว่า
“เจ้าพูดพอหรือยัง? ตรงนี้ไม่มีเรื่องอะไรของเจ้าแล้ว
เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้”
“ข้าไม่ไป” ซีเหมินจั้นอิงยืนอยู่อย่างนั้น “พวกเราจะ
ไม่สอบสวนเขาเพราะเขาเป็นจิ่นอีโหวไม่ได้ เป็นจิ่นอี
โหวแล้วจะอย่างไร? หรือว่าจะไม่มีทางทำความผิด
เลย? เขาก็เป็นคนเหมือนกัน เมื่อสงสัย พวกเราก็ต้อง
ตรวจสอบสิ ท่านเคยพูดเองไม่ใช่หรือ ในสายตาของ
จวนเซิ๋นโหว ไม่มีขุนนาง ไม่มีชนชั้น มีเพียงคนชั่วกับ
คนดีเท่านั้น”
หยางหนิงรู้สึกสนใจในตัวนางขึ้นมา ผู้หญิงคนนี้นิสัย
ดื้อรั้นหัวแข็ง ถึงแม้จะแข็งกระด้างไปบ้าง การ
สืบสวนก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมาย แต่ว่ากลับไม่กลัว
อำนาจบารมี ถือว่าน่าชื่นชมยิ่งนัก
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 177 อวดดี
สีหน้าที่ใจดีของชวีเสี่ยวชางก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ก็เกิด
เดือดดาลขึ้นมาทันที หยางหนิงยกมือขึ้นมา ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ชวีเซี่ยวเว่ย อย่าเพิ่งรีบร้อนตำหนินางเลย”
จากนั้นก็มองไปที่ซีเหมินจั้นอิงแล้วพูดว่า “จิ้นอิง ข้ารู้
ว่าเหตุใดเจ้าถึงได้ไม่เชื่อฟังแบบนี้ พูดไปแล้ว เจ้าเอง
ก็เห็นแก่ตัว”
“เจ้า...” สายตาของซีเหมินจั้นอิงเต็มไปด้วยความ
โกรธ “เจ้าห้ามเรียกชื่อข้า”
“จั้นอิง เจ้าพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก” หยางหนิงตั้งใจจะแหย่
นาง “ไม่เรียกชื่อเจ้า แล้วจะให้ข้าเรียกเจ้าว่านักสืบซี
เหมินหรืออย่างไร เรียกแบบนี้มันไม่ดูตลกไปหน่อย
กระมัง?”
ซีเหมินจั้นอิงเห็นใบหน้าระรื่นของหยางหนิง ก็ยิ่งทำ
ให้นางเดือดพล่านยิ่งขึ้น หันหลังออกไป ไม่สนใจเขา
“ที่เจ้าพูดมาดูมีความเป็นธรรมมาก ข้าฟังแล้วยัง
ตื่นเต้นเลย” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่เจ้าลอง
ถามใจเจ้าดู ว่าจริงๆ แล้วคืนนี้ที่เจ้ากับเหยียนหลิน
เซี่ยนจับตัวข้ามามันเพราะอะไรกันแน่?”
ซีเหมินจั้นอิงเบือนหน้าหนีไม่แม้แต่จะชายตามองห
ยางหนิง แค่นสียงเย็นชา “ก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร ก็
แค่ไม่อยากปล่อยคนที่ทำเลวให้หนีไปก็เท่านั้น”
“นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง” หยางหนิงพูดว่า “แต่ว่า
เหตุผลจริงๆ ก็คือ เจ้าอยากจะพิสูจน์ตัวเอง”
ซีเหมินจั้นอิงตัวสั่นเทา หันหน้ากลับไปมองหยางหนิง
แล้วถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“พูดกับข้า เกรงใจหน่อยก็ดีนะ” หยางหนิงหน้านิ่ง
สนิทดุจผิวน้ำ “เจ้าอย่าลืมฐานะของเจ้า และอย่าลืม
ฐานะของข้า อยู่ต่อหน้าข้า เจ้าไม่มีสิทธิเอาแต่ใจแบบ
คุณหนูเช่นนี้”
ซีเหมินจั้นอิงกัดปาก แต่ไม่ได้พูดอะไร
เฉินฉียกถาดเข้ามา โค้งตัวคำนับ แล้วเดินมาข้างๆ
หยางหนิง จากนั้นก็ยกอาหารวางวางลงบนโต๊ะ และ
ยิ้มแย้มพูด “โหวเยวี่ย นี่ฟ้าก็ใกล้สางแล้ว ท่านคงจะ
หิวแย่ ข้าน้อยเตรียมอาหารว่างไว้ให้ ท่านทานรอง
ท้องก่อนนะขอรับ” จากนั้นก็ใช้สองมือยกน้ำชาให้
แก้วสวยงามสะอาดมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย
นี่เป็นใบชาที่ดีที่สุดของที่นี่ ท่านลองชิมดูว่าถูกปาก
ท่านหรือไม่”
หยางหนิงรับชามา สูดดมกลิ่นไอของน้ำชา แล้วจิบ
เบาๆ ชาดีจริงๆ เขายิ้มแล้วพูดว่า “เฉินฉี เจ้านี่ อยู่
เป็นจริงๆ นะ”
“จริงสิ ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่เจ้าบอกว่า คนของจวนเสิน
โหวไม่มีธรรมเนียมในการยกน้ำชาให้กับคนร้าย ข้า
เลือกมากไม่ได้นี่นา” หยางหนิงเป่าชาเบาๆ “ข้าจำได้
อีกว่าเจ้าบอกว่าอะไรนะ จริงด้วย ‘ย่าเจ้าสิ’ เหมือน
จะพูดแบบนี้นะ”
เฉินฉีหน้าซีดเผือด แทบจะทรุดตัวลงกับพื้น
“เจ้าต้องรู้นะว่า ท่านย่าของข้า คือไท่ฮูหยินของจวน
โหว” หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านเองก็
อายุเจ็ดแปดสิบแล้ว ไม่รู้ว่าท่านไปมีความแค้นอะไร
กับเจ้า ท่านเฉินของหน่วยอาชญากรรม ข้าขอร้องเจ้า
ได้หรือไม่ เจ้าไว้หน้าข้าสักครั้ง ต่อไปอย่าหาเรื่องท่าน
ย่าของข้าเลยนะ”
เฉินฉีเหงื่อไหลพราก ตัวสั่นไปหมด
ไท่ฮูหยินของจวนจิ่นอีโหวได้รับการแต่งตั้งจากราช
สำนักให้เป็นท่านผู้หญิง ฐานะสูงศักดิ์ ถึงแม้หยางห
นิงจะไม่ได้พูดเอาเรื่อง แต่หากจะเอาเรื่องจริงๆ มีกี่
หัวก็ไม่พอให้ตัด
ชวีเสี่ยวชางจ้องไปที่เฉินฉี แล้วพูดว่า “ไปคุกเข่าที่
หน้าเรือน แล้วตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้ โหวเยวี่ยบอกว่า
หยุดเมื่อใด เจ้าถึงจะหยุดได้”
เฉินฉีทำได้แค่ออกไป คุกเข่าแล้วตบปากตัวเอง
“จั้นอิง ข้ากับเจ้ายังคุยกันไม่จบ” หยางหนิงยกน้ำชา
ขึ้นมาจิบอย่างสบายใจ “เมื่อครู่ข้าพูดถึงไหนแล้วนะ?
อ๋อ ข้าบอกว่าเจ้าจับข้ามาก็เพื่ออยากจะพิสูจน์
ตัวเอง” จากนั้นเขาก็ไอ แล้วพูดว่า “เจ้ากับทันหลาง
เซี่ยวเว่ยก่อนหน้านี้น่าจะไม่ค่อยได้ออกไปทำงาน
ดังนั้นประสบการณ์จึงไม่ได้มีมากมายปานนั้น น่าจะ
ไม่ได้มีผลงานอะไร ยังสาวยังแส้ อยากจะเอาชนะมัน
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คิดว่าตัวเองเก่ง อยากจะให้ทุกคน
ยอมรับ”
ขณะที่หยางหนิงพูด ท่าทางก็ดูอวดดีไม่น้อย
ซีเหมินจั้นอิงกัดฟัน มือทั้งสองข้างก็กำหมัดแน่น
“เป็นสาวเป็นนางอย่าดุแบบนี้สิ ทำเหมือนอยากจะ
กินคนเข้าไปเลยนะ” หยางหนิงถอนหายใจ “ที่ข้าพูด
ก็เพราะหวังดีกับเจ้านะ ข้าอยากให้เจ้าได้จำไว้เป็น
บทเรียน เจ้ากับเหยียนหลินเซี่ยนอยากมีผลงานไม่ใช่
หรือ อยากให้เสินโหวเห็นหัวพวกเจ้าใช่หรือไม่? เจ้า
เป็นลูกสาวของท่านเสินโหว ส่วนเขาก็เป็นทันหลาง
เซี่ยวเว่ย หากข้าเดาไม่ผิด ทันหลางเซี่ยวเว่ยเจ้าอายุ
ยังน้อยแต่ได้เป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถของจวนเสินโหว
คิดว่าคนในจวนเสินโหวหลายคนคงไม่พอใจ ดังนั้นก็
เลยคิดอยากจะพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นยอมรับ พอดีใน
เมืองหลวงเกิดเรื่องฆาตกรดูดเลือดขึ้น พวกเจ้าก็เลย
อยากจะสร้างผลงาน”
ซีเหมินจั้นอิงกับเหยียนหลินเซี่ยนสีหน้าเริ่มเปลี่ยน
ชวีเสี่ยวชางเองสายตาก็เริ่มแปลกไป
“พวกเจ้าอยากจะสร้างผลงาน คืนนี้พวกเจ้าได้โอกาส
เป็นเพราะข้าดันไปโผล่อยู่ในที่เกิดเหตุ ข้าคิดว่าพวก
เจ้าคงตื่นเต้นมากไป” หยางหนิงยกน้ำชาขึ้นมา แล้ว
พูดต่อว่า “พวกเจ้าไม่สอบถามให้ละเอียด ประเด็น
สำคัญหลายอย่างก็ไม่ถามให้รู้เรื่องก่อน แต่หุนหัน
พลันแล่นจับข้ากลับมา จนแล้วจนรอด พวกเจ้าก็แค่
อยากสร้างผลงาน ละเลยประเด็นสำคัญไป จนถึง
ขนาดเจอข้าสงสัยแต่ก็ไม่ได้สนใจ...ไม่รู้ว่าที่ข้าพูดจะ
ถูกหรือไม่? พวกเจ้าก็ไม่มีทางยอมรับอยู่แล้ว”
เหยียนหลินเซี่ยนเหงื่อไหล ปากสั่น
ซีเหมินจั้นอิงจ้องไปที่หยางหนิง กัดปากจนเลือดจะ
ไหลอยู่แล้ว แต่ก็ยังจะดื้อดึงอยู่ “แล้วเจ้าจะพิสูจน์ว่า
เจ้าไม่ใช่ฆาตกรได้อย่างไร?”
“ข้าบอกเจ้าไปแล้ว พวกเจ้าประสบการณ์ยังน้อย ยัง
ต้องฝึกอีกเยอะ ไม่ถึงสามปีถึงห้าปี พวกเจ้าก็ยังทำ
อะไรไม่ได้หรอก” หยางหนิงมองไปที่ชวีเสี่ยวชาง ยิ้ม
แล้วพูดว่า “ชวีเซี่ยวเว่ยได้ให้หลักฐานกับพวกเจ้าไป
แล้วเมื่อครู่ แต่ว่าพวกเจ้าไม่รู้เอง น่าเสียใจนะ”
ชวีเสี่ยวชางยิ้ม แล้วถามว่า “โหวเยวี่ยหมายความว่า
อย่างไร?”
“ก็มือของข้าอย่างไรเล่า” หยางหนิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้
แล้วมองไปที่ซีเหมินจั้นอิง แล้วถามว่า “ข้าขอถามเจ้า
หน่อย คนที่ถูกดูดเลือด ตายอย่างไร?”
ซีเหมินจั้นอิงลังเล แล้วตอบว่า “หน้าอกถูกชกอย่าง
แรง ที่คอถูกฉีกจนเละ”
“ดี ถ้าอย่างนั้นขอถามอีก บาดแผลที่คอของศพพวก
นั้นเจ้าได้เห็นมันกับตาหรือไม่?” หยางหนิงจ้องไปที่ซี
เหมินจั้นอิงแล้วถามว่า “ถูกอาวุธชนิดใดทำร้าย?”
ซีเหมินจั้นอิงก้มหน้าลง น้ำเสียงไม่ได้แข็งกร้าว
เหมือนเดิมแล้ว “ข้า...ข้าไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง
พวกเขาไม่ให้ข้าไปดู แต่ว่า...แต่ว่าข้าได้ยินมาว่าถูก
คนใช้มือฉีกออก”
“ข้าคิดว่าเจ้าเห็นเองเสียอีก” หยางหนิงถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ คนที่ทำงานในหน่วยสืบสวน
จะต้องมีความสามารถอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นก็คือ
ต้องชันสูตรศพให้เป็น สำหรับคนที่ทำงานในหน่วยนี้
บางครั้งคำให้การของคนตายก็สำคัญมากกว่าคนเป็น
เสียอีก แม้แต่ศพเจ้าก็ยังไม่เคยเห็น แล้วจะมาตัดสิน
ได้อย่างไรว่าใครคือฆาตกรกัน? เจ้าไม่รู้แม้แต่วิธีฆ่า
แล้วมาตัดสินได้อย่างไรว่าใครเป็นคนร้าย?”
ตอนนี้ไม่เพียงแค่ชวีเสี่ยวชาง แม้แต่คนที่อยู่ข้างๆ
อย่างต้วนฉางไห่เองก็มีสีหน้าที่ไม่ปกติ
“ชวีเสี้ยวเว่ยให้ข้ายื่นมือออกมา ก็เพื่อที่จะดูว่ามือ
ของข้านั้นมีกำลังมากพอที่จะฉีกคอคนให้ขาดได้
หรือไม่” หยางหนิงวางถ้วยชาลง แล้วยกมือขึ้นแกว่ง
ไปแกว่งมา ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าอาจจะดูไม่ออก
แต่ว่าชวีเซี่ยวเว่ยนั้นดูออก มือของข้าไม่สามารถฉีก
คอของใครให้ขาดได้ ดังนั้นเขาก็รู้ทันทีว่าข้าไม่ใช่
คนร้าย นี่ก็คือข้อแตกต่างระหว่างพวกเจ้ากับเขา”
ชวีเสี่ยวชางถอนหายใจ แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยเป็นผู้
รอบรู้ ในใจของท่านเข้าใจชัดเจนทุกอย่างอยู่แล้ว
ข้าน้อยนับถือ ข้าน้อยขอพูดอะไรสักหน่อย โหวเยวี่ย
อายุยังน้อย แต่ว่าไม่ธรรมดาเลย ความคิดลึกซึ้ง หา
ได้ยากในคนอายุเท่าท่าน” จากนั้นเขาก็มองไปที่ต้วน
ฉางไห่ แล้วพูดว่า “ท่านต้วน ท่านโหวเยวี่ยฉลาด
เช่นนี้ นับเป็นบุญของแคว้นฉู่ของพวกเรานัก”
ซีเหมินจั้นอิงเหมือนจะยังสงสัยในตัวของหยางหนิง
อยู่ แต่ว่าหยางหนิงพูดมาแบบนี้ มันก็เหมือนมีลูกศร
ทิ่มมากลางใจของนาง นางพูดว่า “คนๆ นั้น...คนๆ
นั้นเจ้าไม่ได้ฆ่าจริงๆ หรือ?”
“ศิษย์น้องเล็ก ศพที่ถูกดูดเลือดพวกนั้น หากเป็น
อย่างที่เจ้าว่าจริงว่าใช้มือฉีกคอจนขาด ถ้าอย่างนั้น
เจ้าปีศาจนั่นก็ดูดเลือดจากคออย่างนั้นหรือ” ชวีเสี่ยว
ชางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คนที่สามารถใช้มือฉีก
คอจนขาดได้ วรยุทธ์ของเขาจะต้องไม่ธรรมดา
แน่นอน คืนนี้พวกเจ้าโชคดีที่คนที่พบคือโหวเยวี่ย
หากว่าพวกเจ้าเจอฆาตกรจริงๆ ข้าว่าพวกเจ้าอาจจะ
ไม่รอดกลับมาที่นี่แล้ว”
ซีเหมินจั้นอิงตะลึงไป จากนั้นนางก็มองไปที่หยางห
นิง เห็นเขากำลังยกชาขึ้นดื่ม นางก็ก้มหน้าลง ดวงตา
เริ่มแดงก่ำ
“ทันหลางเซี่ยวเว่ย ในเมื่อเจ้าเป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถ
ของจวนเสินโหว ก็น่าจะรู้ว่าตัวเจ้าจะต้องรับ
ภาระหน้าที่ที่หนักอึ้ง เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ พูดอย่าง
น่าฟังก็คือ ประสบการณ์น้อย หากพูดไม่น่าฟัง ก็คือ
โง่มาก” หยางหนิงพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ข้าเตือนเจ้า
เลยนะว่าก่อนที่เจ้าจะเรียนรู้จนชำนาญแล้ว อย่า
ออกไปทำอะไรข้างนอกอีก ไม่อย่างนั้นจะขายหน้า
จวนเสินโหวเอา” จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น แล้วพูดว่า “ลุก
ขึ้นมาก่อนเถอะ”
เหยียนหลินเซี่ยนกับโหวจวินคุกเข่าข้างเดียวอยู่นาน
เมื่อได้ยินหยางหนิงพูด ก็ลุกขึ้นมา เหยียนหลินเซี่ยน
ได้แต่ก้มหน้าลง เขาทั้งรู้สึกเสียหน้าและหงุดหงิดมาก
ไม่กล้าเงยหน้ามามองหยางหนิง
“ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากใจ” หยางหนิงพูดว่า
“คืนนี้พวกเจ้าทำผิด จวนเสินโหวจะลงโทษพวกเจ้า
อย่างไร ข้าจะไม่ยุ่ง แต่ว่าตอนนี้พวกเจ้าต้องขอโทษ
ข้า จากนั้นข้าจะถือว่าเรื่องนี้จบแค่นี้”
ชวีเซี่ยวเว่ยรีบพูดว่า “โหวเยวี่ยช่างใจกว้างยิ่งนัก”
แล้วพูดว่า “ยังไม่รีบมาขอขมาโหวเยวี่ยอีก”
เหยียนหลินเซี่ยนลังเลไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังพูดว่า
“โหวเยวี่ย ข้าน้อย...ข้าน้อยไร้ความสามารถ ทำผิด
เสียมารยาทกับท่าน หวังว่า...หวังว่าโหวเยวี่ยจะให้
อภัย”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งใจร้อนสร้างผลงาน
ในเมื่อเจ้าเป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถของจวนเสินโหว
แสดงว่าตัวเจ้าก็ต้องมีดีอยู่ในตัวอยู่พอสมควร เรียนรู้
กับศิษย์พี่ของเจ้าให้มากๆ สักวันหนึ่งเจ้าก็จะประสบ
ความสำเร็จ” จากนั้นเขาก็หันไปมองซีเหมินจั้นอิง
ซีเหมินจั้นอิงเห็นหยางหนิงมองมาที่ตัวเอง ก็หันหน้า
หนีทันที ลังเลแล้วพูดว่า “เป็นเพราะ...เพราะข้าไม่ดี
เอง....” แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
หยางหนิงรู้ดีว่า คนพวกนี้เกรงกลัวเขา เพราะเขาเป็น
จิ่นอีโหวเท่านั้น แต่ว่าจวนเสินโหวไม่ใช่สถานที่
ธรรมดาทั่วไป ตัวเขาก็ควรจบแค่นี้ อย่าให้มากเกินไป
หากมีปัญหากับจวนเสินโหวขึ้นมา มันอาจไม่ใช่เรื่อง
ที่ดี
ต้วนฉางไห่พูดขึ้นมาว่า “ชวีเซี่ยวเว่ย เจ้าควรไปแจ้ง
ให้ท่านเสินโหวทราบสักหน่อย จวนเสินโหว ควรจะ
ดูแลจัดการเสียใหม่ จะได้ไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
ชวีเสี่ยวชางพูดว่า “โหวเยวี่ยกับท่านต้วนวางใจได้
เรื่องนี้ข้าจะแจ้งให้ท่านเสินโหวทราบแน่นอน ไว้
หลังจากนี้พวกเราจะไปขอขมาท่านโหวเยวี่ยที่จวนอีก
ครั้ง”
หยางหนิงคิดแล้วพูดว่า “ฆาตกรที่ดูดเลือดข้าเห็นเขา
ข้าจึงรีบไปที่เกิดเหตุ ทำให้เขาตกใจ คนของข้าถูกเขา
ทำร้ายจนบาดเจ็บ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ตามมาราวีอะไร
พวกเรา อาจเป็นเพราะเห็นมีคนมา จึงรีบหนีไป”
“โหวเยวี่ยเห็นเขาหรือ?” ชวีเสี่ยวชางพูด “โหวเยวี่ย
ท่านจะแจ้งเบาะแสเพิ่มเติมให้พวกเราได้หรือไม่?”
“คนๆ นั้นมีวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศ เดินเหินบนอากาศ
เหมือนเดินดินธรรมดา วรยุทธ์ของเขาร้ายกาจยิ่งนัก”
หยางหนิงนึกถึงแม่ทัพหน้ากากโลหะสีหน้าก็
เคร่งเครียด “ตอนที่ข้าเจอเขา เขากำลังดูดเลือดอยู่
เขาสวมชุดสีดำ ใช่ ใส่หน้ากากด้วย เขาสวมหน้ากาก
โลหะ ตรงหน้ากากเหมือนมีเขาโผลิออกมา รูปร่างสูง
ดูไปแล้วเหมือน...เหมือนแม่ทัพที่เคยนำทหารออกรบ
มาก่อน”
“แม่ทัพ?” ชวีเสี่ยวชางหรี่ตาลง แทบจะไม่เห็นตาของ
เขาเลย “แม่ทัพที่สวมหน้ากากโลหะ?” เขาพยักหน้า
“โหวเยวี่ย เบาะแสเรื่องนี้สำคัญกับพวกเรามาก พวก
เราจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถในการจับ
ตัวฆาตกรมาให้ได้”
หยางหนิงไม่ได้อยู่ต่อนาน เขาหันกลับไปมอง
ซีเหมินจั้นอิงอีกครั้ง เห็นนางหันหลังให้เขา เห็นเรือน
ร่างที่อ้อนแอ้นอรชรของนางได้อย่างชัดเจน
เมื่อออกจากประตูไป เขาเห็นเฉินฉีคุกเข่าอยู่ ยังคง
ตบหน้าตัวเองอยู่ แก้มสองข้างเริ่มบวมแล้ว ริมฝีปาก
เลือดก็เริ่มออก เมื่อเห็นหยางหนิงเดินออกมา เฉินฉีก็
เหมือนจะตีเร็วขึ้น
หยางหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านเฉิน อยู่เป็นจริงๆ
เลยนะ ตีอีกสักห้าสิบทีก็แล้วกัน” จากนั้นก็เดินไป
พร้อมต้วนฉางไห่ โดยมีชวีเสี่ยวชางเดินออกมาส่ง
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 178 ถ่วงดุลอำนาจ
ชวีเสี่ยวชางจัดรถม้ามาให้ แล้วให้หามคนเจ็บมา แล้ว
ส่งขึ้นรถม้าไป
องครักษ์ยังคงสลบอยู่ แต่ว่าแม่ทัพหน้ากากโลหะนั้น
ร้ายกาจมาก ต้วนฉางไห่ตรวจสอบดูแล้ว ถึงแม้เขาจะ
บาดเจ็บ แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต อีกฝ่ายจู่โจมมาที่
หน้าอก แต่องครักษ์ปฏิกิริยาไว ใช้ดาบต้านแรงเอาไว้
ส่วนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นกระดูกหน้าอกของเขาก็คงแตก
ไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังบาดเจ็บหนักอยู่ดี
“โหวเยวี่ย ข้าน้อย...” ต้วนฉางไห่รู้สึกเสียใจจึงพูด
ออกไปว่า “ข้าน้อยคุ้มครองท่านไม่ดีเอง ทำให้โหว
เยวี่ยได้รับอันตราย โหวเยวี่ยโปรดลงโทษข้าน้อย
ด้วย”
ทั้งสองคนนั่งอยู่ในรถม้า รถม้าที่ทางจวนเสินโหว
จัดหามาให้นั้นกว้างและนั่งสบายมาก
หยางหนิงขมวดคิ้ว “ข้ารู้ว่าปกติเจ้าเป็นคนทำอะไร
ระมัดระวัง ในสถานการณ์แบบนี้ อยู่ๆ เจ้าก็หายไป
จะต้องมีเหตุผล สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”
ต้วนฉางไห่คิดแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยท่านอาจจะไม่รู้
เงาที่ข้าเห็นในคืนนี้ ข้าเข้าใจผิดนึกว่าเขาคือนักฆ่าคน
หนึ่ง ก็เลยตามเขาไป”
“นักฆ่า?”
ต้วนฉางไห่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “สามปีก่อน ศึกฉิน
ไหวยังไม่เริ่มต้นขึ้น ท่านแม่ทัพรักษาตัวอยู่ที่จวน ข้า
จำได้ว่าครั้งนั้นพวกเราไปงานเลี้ยงที่จวนจงอี้โหว
ระหว่างทางที่กลับมา พวกเราถูกลอบทำร้าย ตอนนั้น
มีนักฆ่าลอยตัวมา รูปร่างของพวกมันเหมือนกับ
ค้างคาว วิชาตัวเบาร้ายกาจมาก ตอนนั้นร่างกายของ
ท่านแม่ทัพยังไม่สู้ดีนัก พวกมันเห็นว่าท่านแม่ทัพ
ร่างกายอ่อนแอถึงได้คิดแผนนี้ขึ้นมา”
“ลอบสังหาร...ลอบสังหารท่านพ่อหรือ?”
ต้วนฉางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว มันลอยตัวลง
มาจากฟ้า ตั้งใจมาลอบสังหารบนรถม้า พวกเรา
ตามมาเป็นองครักษ์ของท่านแม่ทัพ ไม่ทันได้ตั้งตัว ยัง
ดีที่ถึงแม้ร่ายกายของท่านแม่ทัพจะไม่ดีนัก แต่ก็
สามารถหลบการโจมตีของพวกมันไว้ได้ ตอนนั้นมันจู่
โจมไม่สำเร็จ พวกมันก็ไม่ได้อยู่ต่อ หนีไปในทันที
พวกเราตามมันไป แต่ว่า...แต่ว่าพวกมันราวกับ
ค้างคาว พวกเราจึงตามมันไปไม่ทัน” พูดถึงตรงนี้ เขา
ก็ส่ายหน้า “ข้าน้อยผิดเองที่ไร้ความสามารถ”
“เจ้าหมายความว่า เงาที่เจ้าเห็นคืนนี้ เหมือนกับนัก
ฆ่าที่มาลอบสังหารท่านพ่อในคืนนั้นหรือ?” หยาง
หนิงขมวดคิ้ว
ต้วนฉางไห่สีหน้าเคร่งเครียด “ข้าน้อยเห็นมันลอยอยู่
กลางถนน วิชาตัวเบาร้ายกาจ แต่งตัวคล้ายกับนักฆ่า
ในคืนนั้น ก็เลย...ก็เลยรีบตามไปด้วยความร้อนใจ
การลอบสังหารท่านแม่ทัพในตอนนั้น ทางจวนเสิน
โหวเป็นคนส่งไปตามสืบหาร่องรอย แต่ก็ไม่มีความ
คืบหน้าเลย นักฆ่านั่นก็ไม่เคยโผล่มาอีกเลย”
“หรือว่าแม่ทัพหน้ากากโลหะที่ดูดเลือดนั่นจะเป็นคน
เดียวกับที่ลอบสังหารท่านพ่อในตอนนั้น?” หยางหนิง
ถามขึ้นว่า “เหตุใดผ่านมาหลายปีขนาดนี้ เขาถึงได้
โผล่มาอีก อีกทั้งยังก่อคดีไปทั่ว และยังใช้วิธีการ
แปลกๆ แบบนี้ด้วย?”
ต้วนฉางไห่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าน้อยคิดว่า
เงาที่เห็นในคืนนี้ เป็นนักฆ่าเมื่อหลายปีก่อน แต่เท่าที่
ฟังที่โหวเยวี่ยอธิบายลักษณะที่จวนเสินโหวแล้ว
เหมือนข้าจะเดาผิด”
“หา?”
ต้วนฉางไห่อธิบายว่า “คนที่โหวเยวี่ยเห็นในคืนนี้เขา
เหมือนแม่ทัพที่นำทัพออกรบที่สวมหน้ากากโลหะ แต่
ว่านักฆ่าที่มาลอบสังหารท่านแม่ทัพในคืนนั้น ข้าน้อย
ยังจำได้ดี เขามีรูปร่างเล็กและไม่สูงมาก ถึงจะไม่เห็น
หน้าตาของเขา แต่ว่ารูปร่างของเขาก็ดูเหมือนลิง
มากกว่า...” เขาคิดแล้วพูดว่า “คนที่ข้าน้อยเห็นใน
คืนนี้ น่าจะเป็นแม่ทัพหน้ากากโลหะที่โหวเยวี่ยเห็น
มากกว่า แค่เขาแต่งตัวคล้ายกับนักฆ่าคนนั้นเท่านั้น
แต่คิดว่าไม่น่าใช่คนเดียวกัน”
“รูปร่างไม่สูง เหมือนลิง?” หยางหนิงขมวดคิ้ว “อีก
ทั้งมีวิชาตัวเบาล้ำเลิศ?”
ต้วนฉางไห่พยักหน้า “ไม่ผิด วันใดที่ข้าน้อยจับเจ้านัก
ฆ่านั่นมาได้ ข้าน้อยจะฉีกมันออกเป็นหมื่นๆ ชิ้น” เขา
กำหมัดไว้แน่น
“ท่านพ่อถูกลอบสังหารบ่อยครั้งมากเลยหรือ?”
ต้วนฉางไห่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ใช่แค่ท่านแม่
ทัพคนเดียว ท่านเหล่าโหวเองก็เช่นกันถูกลอบสังหาร
ไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง แต่ว่าสวรรค์มีตา นักฆ่าพวกนั้นทำ
ไม่เคยสำเร็จ โหวเยวี่ย จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นเป็นเสา
หลักของแคว้น มีพวกเขาอยู่ ไม่มีแคว้นศัตรูที่ไหน
สามารถทำอันตรายแคว้นของพวกเราได้ ในสายตา
ของชาวเป่ยฮั่น เห็นจิ่นอีโหวเหมือนหนามทิ่มแทงใจ
มาโดยตลอด ตอนนั้นพวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อ
สังหารจิ่นอีโหว” เขายิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ไม่ใช่แค่
เป่ยฮั่น ยังมีตงฉีด้วย พวกเขาไม่เคยหวังดีต่อแคว้น
ของพวกเราเลย นอกจากนี้ ภายในแคว้นฉู่ของพวก
เราเอง จิ่นอีโหวไปขัดผลประโยชน์ของใครหลายคน
คนพวกนั้นก็ไม่พอใจ”
หยางหนิงพยักหน้า เขาเข้าใจเรื่องนี้ ตอนนี้เขารู้แล้ว
ว่า เหตุใดกู้ชิงฮั่นกับต้วนฉางไห่ถึงได้เป็นห่วงเรื่อง
ความปลอดภัยของตัวเขามาก เพราะว่าจิ่นอีโหวทั้ง
สองรุ่นต่างเจอการลอบสังหารมาก่อน จิ่นอีโหวรุ่นที่
สามต่อไปก็ต้องเจอเรื่องที่ไม่ต่างกัน
“ท่านอาต้วน เคยได้ยินเรื่องนินจาฮิดะหรือไม่?”
หยางหนิงคิด แล้วถามเบาๆ
ต้วนฉางไห่อึ้งไป ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นินจาฮิดะ?”
“ฮากะคูเระอยู่ใต้ดิน ฮิดะดังสนั่นท้องฟ้า โคกาคือ
มายาลวงตา อิกาคือสายธารแห่งเพลิง...” หยางหนิง
ท่องมันออกมา นี่มันคือคำพูดที่ตอนนั้นเขาได้ยินมา
จากชายที่อยู่กับเซียวกวงในตอนนั้น จนตอนนี้เขาก็
ยังไม่เข้าใจความหมายของมันเลย “ข้าได้ยินมาว่า
นิกายชิโนบุมีหลายสาย ฮากะคูเระ ฮิดะ โคกา อิกา สี่
นิกายใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุด แต่ว่ากลุ่มฮิดะได้ถูกกลุ่ม
อื่นกวาดล้างไปแล้ว ก็เลยไม่สามารถอยู่ในนิกาย
ชิโนบุต่อไปได้”
ต้วนฉางไห่ถึงแม้จะมีเส้นสายมากมาย รู้เรื่องในยุทธ
ภพเป็นอย่างดี แต่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นทหาร ไม่ได้เป็น
ชาวยุทธทั่วไป หยางหนิงเห็นท่าทางเขาดูงุนงง ก็รู้ว่า
เขาน่าจะไม่รู้เรื่องของนินจาฮิดะ จากนั้นเขาก็พูดว่า
“ได้ยินว่าพวกนินจาฮิดะที่แตกกระจายออกไป
หลังจากหนีจากชิโนบุไปแล้ว ก็ไปอยู่ตามเกาะต่างๆ
พวกเขาไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรเลย นอกจากเชี่ยวชาญ
เรื่องการสังหาร”
ต้วนฉางไห่พูดอย่างตกใจว่า “โหวเยวี่ย เรื่องนี้...เรื่อง
นี้ท่านไปรู้มาจากไหน?”
หยางหนิงคิดคำตอบเรื่องนี้เอาไว้แล้ว “คุยเรื่อยเปื่อย
กับคนที่อยู่วัดต้ากวงหมิง ได้ยินพวกหลวงจีนคุยกันก็
เท่านั้นเอง”
วัดต้ากวงหมิงเป็นวัดของเชื้อพระวงศ์ แต่ว่าอยู่แทรก
ระหว่างราชสำนักกับยุทธภพ ในฐานะวัดอันดับหนึ่ง
ในใต้หล้า พวกเขารู้เรื่องในยุทธภพเป็นอย่างดี
อีกทั้งหยางหนิงก็ไม่กังวลว่าต้วนฉางไห่จะไปพิสูจน์
อะไรเรื่องนี้ เพราะวัดต้ากวงหมิงไม่ใช่ว่าใครก็มีสิทธิ
ขึ้นเขาไปได้
ต้วนฉางไห่เชื่อคำพูดของเขามาก “เหตุใดอยู่ๆ โหว
เยวี่ยถึงได้พูดถึงนิน...นินจาฮิดะขึ้นมาเล่า?”
“เพราะพวกนินจาฮิดะ มีวิชาตัวเบาที่สูงมาก” หยาง
หนิงพูดว่า “อีกทั้งเจ้าเองก็บอกว่านักฆ่าในตอนนั้นมี
รูปร่างเล็กและไม่สูงมาก ลักษณะคล้ายลิง นินจาฮิดะ
มีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นรูปร่างเล็กไม่สูง
มาก อีกทั้งเหล่านินจาฮิดะเชี่ยวชาญด้านการสังหาร
ดังนั้น...ข้าเลยคิดว่าคนที่มาลอบสังหารท่านพ่อใน
ตอนนั้น จะเป็นไปได้ไหมว่ามีความเกี่ยวข้องกับ
นินจาฮิดะ?”
ต้วนฉางไห่อึ้งไป ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ท่าน
หมายความว่า นักฆ่าที่มาลอบสังหารท่านแม่ทัพใน
ตอนนั้น อาจจะเป็น...อาจจะเป็นคนที่เจ้าสำนักเกาะ
ไป๋อวิ๋นส่งมาหรือ?”
เหตุใดเจ้าถึงได้สงสัยเจ้าสำนักเกาะไป๋อวิ๋นเล่า?"
หยางหนิงถาม
ต้วนฉางไห่พูดว่า “ท่านบอกว่านินจาฮิดะอาศัยอยู่
ตามเกาะต่างๆ ไม่ใช่หรือ? เท่าที่ข้ารู้ เจ้าสำนักเกาะ
ไป๋อวิ๋นอาศัยอยู่ที่เกาะไป๋อวิ๋นมานาน อีกทั้งเกาะ
ไป๋อวิ๋นเองก็เป็นหนึ่งในเกาะของตงไห่ สถานที่ที่เจ้า
สำนักเกาะไป๋อวิ๋นอาศัยอยู่ เป็นขอบเขตอำนาจของ
เขาทั้งหมด นินจาฮิดะพวกนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่าอยู่
ในการควบคุมของเจ้าสำนักเกาะไป๋อวิ๋น?”
หยางหนิงได้ยินต้วนฉางไห่พูดมาแบบนี้ ก็รู้สึกว่ามันก็
มีความเป็นไปได้เหมือนกัน
“เจ้าคิดว่าเจ้าสำนักเกาะไป๋อวิ๋นทำเพื่อแคว้นตงฉี
เลยส่งนักฆ่ามาลอบสังหารท่านพ่อหรือ?” หยางหนิง
ถาม จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าความ
เป็นไปได้นั้นน้อยมาก”
“เหตุใดโหวเยวี่ยถึงพูดแบบนี้เล่า?”
หยางหนิงพูดว่า “ตอนนี้นโยบายของแคว้นตงฉี คือ
การสร้างความสมดุล ที่พวกเขายังอยู่รอดมาได้ ไม่ใช่
เพราะแค่พวกเขามีกองทัพทางทะเลที่แข็งแกร่งหรอก
นะ หากจะพูดกันตามตรง ไม่ว่าจะเป็นเป่ยฮั่นหรือว่า
แคว้นฉู่ของพวกเรา ไม่ว่าแคว้นใดจะยกทัพไปแคว้น
ตงฉีแล้วล่ะก็ พวกเขาก็รับมือไม่ได้หรอก”
ต้วนฉางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยพูดถูก
แคว้นตงฉีคนน้อย หากต้องทำศึกขึ้นมาจริงๆ ไม่เกิน
ครึ่งปี ต้าฉู่ของพวกเราก็จะสามารถยึดเอาตงฉีมาได้”
“ถูกแล้ว เหตุใดต้าฉู่ของพวกเรากับเป่ยฮั่นถึงไม่ยก
ทัพไปตีพวกเขา? เป็นเพราะเป่ยฮั่นกับพวกเรานั้น
เป็นศัตรูกัน แทบจะเป็นการใช้อำนาจในการสู้ ใน
สถานการณ์แบบนี้ ใครจะกล้ายกทัพไปตีแคว้นตงฉี
ง่ายๆ บ้างเล่า?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เว้นเสียแต่
ว่า ไม่เป่ยฮั่นหรือต้าฉู่ของพวกเราจะสามารถยึดครอง
อีกฝ่ายได้แล้วเท่านั้น ถึงเวลานั้นไม่จำเป็นต้องยกทัพ
ไป แคว้นตงฉีก็จะมาสวามิภักดิ์เอง แต่ว่าชาวตงฉีไม่มี
ทางยอมให้สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน ใน
สายตาของพวกเขา หากอำนาจของเป่ยฮั่นกับต้าฉู่ยัง
สูสีแบบนี้ พวกเขาถึงจะปลอดภัยได้”
ต้วนฉางไห่พยักหน้า แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยพูด
เหมือนกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย ตอนนั้นท่านแม่ทัพก็
เคยพูดแบบนี้ หากต้าฉู่ของพวกเรายิ่งใหญ่แข็งแกร่ง
ขึ้นมาเมื่อใด ไม่แน่ก็อาจจะสามารถยึดเอาเป่ยฮั่นได้
เพราะทางตงฉีอาจจะไปเข้ากับพวกเป่ยฮั่น กลับกัน
หากทางตงฉีเห็นว่าใครอ่อนแอ ก็อาจจะไปเข้ากับทาง
นั้นได้”
“ตอนที่ท่านพ่อสิ้นไป ต้าฉู่ของพวกเรากับทางเป่ยฮั่น
ก็หยุดทำสงครามเป็นมารยาท” หยางหนิงถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ศึกแห่งฉินไหว มันแสดงให้เห็น
แล้วว่าทั้งสองแคว้นต้องการถ่วงดุลอำนาจไว้ ชาวตงฉี
ทำได้แค่ยืนอยู่ตรงกลาง พวกเขารู้ว่าตอนที่ท่านพ่อมี
ชีวิตอยู่ มันมีความหมายอย่างไรกับทั้งสามแคว้น เมื่อ
ท่านพ่อสิ้นไป อำนาจของทั้งสองแคว้นก็จะถูกตีแตก
ไป เจ้าสำนักเกาะไป๋อวิ๋นไม่มีทางมองสถานการณ์
แบบนี้ไม่ออก เขาเป็นถึงราชครูของตงฉี อย่างไรก็
ต้องเห็นแก่ส่วนรวมมาก่อน การส่งนักฆ่ามาลอบ
สังหารท่านพ่อไม่มีประโยชน์อะไรกับทางแคว้นตงฉี
เลย เจ้าคิดว่าคนที่เป็นถึงปรมาจารย์ จะทำเรื่อง
ผิดพลาดได้หรือ?”
ท่าทางของต้วนฉางไห่เคร่งเครียดมาก แล้วพูดว่า
“โหวเยวี่ย ท่านพูดถูก เจ้าสำนักเกาะไป๋อวิ๋นต้องเห็น
แก่ส่วนรวมมากก่อน ไม่มีทางทำพลาดแน่”
“ดังนั้นหากตอนนั้นนักฆ่าที่มาลอบสังหารท่านพ่อ
เป็นพวกนินจาฮิดะจริง ถ้าอย่างนั้นคนที่อยู่เบื้องหลัง
พวกเขาจะต้องเป็นคนอื่นแน่นอน” หยางหนิงยิ้มแล้ว
พูดว่า “นินจาฮิดะไม่ได้มีความแค้นอะไรกับพวกเรา
แค่ถูกจ้างมา คนที่ต้องการจะเอาชีวิตท่านพ่อจริงๆ ก็
น่าจะเป็นคนที่จ้างพวกเขามา”
ต้วนฉางไห่ตบหัวตัวเอง แล้วพูดอย่างหัวเสียว่า “หาก
วันนี้โหวเยวี่ยไม่เตือนสติ ถึงตอนนี้ข้าน้อยก็ยังไม่มี
เบาะแสอะไร โหวเยวี่ยฉลาดเกินคน ที่สามารถนึกไป
ถึงพวกนินจาฮิดะได้ ถือว่าเป็นเบาะแสสำคัญมาก”
เขายิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าจะผ่านไปนานมาก
แล้ว ท่านแม่ทัพก็ไม่อยู่แล้ว แต่ว่าศัตรูทุกคนที่ทำร้าย
ท่านแม่ทัพ ข้าจะไม่มีทางปล่อยมันไปเด็ดขาด”
“เจ้ามีเส้นสายเยอะ เจ้าก็ลองส่งคนไปสืบข่าวเรื่อง
นินจาฮิดะดู” หยางหนิงเปิดม่านรถม้าออก พบว่า
ตอนนี้เช้าแล้ว เขาหาวพร้อมพูดว่า “สืบได้อะไรมา
จำไว้ต้องรีบมาบอกข้าทันที ข้าอยากรู้ว่าใครอยู่
เบื้องหลังพวกเขา”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 179 คำโกหก
รถม้าวิ่งไปตามทางเรื่อยๆ ด้านหน้าห่างไปอีกไม่ไกลก็
จะถึงจวนโหวแล้ว ต้วนฉางไห่เห็นองครักษ์อีกคนยัง
ไม่ฟื้น ก็พูดเบาๆ ว่า “โหวเยวี่ย พวกเราจะกลับไป
แบบนี้ไม่ได้ หากฮูหยินสามเห็นเข้า เกรงว่านาง
อาจจะตกใจเอาได้”
หยางหนิงถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า ช่วงนี้จิ่นอีโหวเจอเรื่อง
เลวร้ายอย่างต่อเนื่อง กู้ชิงฮั่นก็เหนือ่ ยมามากพอแล้ว
หลายวันมานี้ก็ตกใจมาหลายเรื่อง หากว่ากู้ชิงฮั่นรู้
เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ต่อให้หยางหนิงปลอดภัย
กลับมา กู้ชิงฮั่นก็จะต้องระแวงแน่นอน ในเมื่อเป็น
อย่างนี้ จะให้กู้ชิงฮั่นรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด
“เจ้าหาที่ให้เขารักษาตัวก่อน” หยางหนิงพูดว่า
“เรื่องในคืนนี้ จะให้ซานเหนียงรู้ไม่ได้เด็ดขาด” แล้ว
ถามว่า “จริงสิ อีกคนหนึ่งเล่า? ยังมีม้าตัวนั้นอีก เจ้าขี่
ม้าตัวที่ถูกฆ่า มันเกิดอะไรขึ้น?”
ต้วนฉางไห่กำหมัดแล้วพูดว่า “แม่ทัพหน้ากากโลหะที่
โหวเยวี่ยพูดถึง มันเจ้าเล่ห์มาก ข้าน้อยขี่ม้าตามมันไป
เขาก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคา วิชาตัวเบาของมันร้าย
กาจมาก ข้าน้อยจำใจต้องทิ้งม้าแล้วตามมันไป แต่ว่า
มันกลับหายตัวไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นข้าน้อยก็ได้ยิน
เสียงม้าร้อง รู้ตัวอีกที ม้าตัวนั้นก็ถูกฆ่าแล้ว เจ้านั่น...
เจ้านั่นมีวรยุทธ์ไม่ธรรมดาเลย”
“ท่านอาต้วน เจ้าความรู้กว้างขวาง พอจะเดาได้
หรือไม่ว่าแม่ทัพหน้ากากโลหะนั้นใช้วิชาอะไรของ
สำนักใดกันแน่?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วถาม “คนๆ
นี้แปลก ลงมือได้เหี้ยมโหด หากไม่รีบกำจัด เกรงว่า
จะมีคนอีกมากมายที่ต้องตาย”
“บาดแผลของม้าตัวนั้นข้าน้อยเห็นแล้ว ศพที่
โหวเยวี่ยเห็นข้าน้อยก็ได้ตรวจสอบแล้ว” ต้วนฉางไห่
พูดว่า “หากข้าน้อยดูไม่ผิด แรงหมัดของคนผู้นั้นหนัก
มาก ข้อมือมีพละกำลังมาก ข้าน้อยคิดว่าเขาน่าจะฝึก
วิชากำลังภายในแบบแข็งแต่ว่าดูดีดีแล้ว ก็พบว่าเจ้า
ตัวดูดเลือดนั่นมันฝึกวิชากำลังภายในแบบอ่อน”
“กำลังภายในอ่อน?”
“ถูกต้อง” ต้วนฉางไห่อธิบายว่า “การฝึกกำลังภายใน
มันมีวิธีต่างกันออกไป ดังนั้นการฝึกกำลังภายในที่
ได้มา ก็จะไม่เหมือนกัน กำลังภายในของบางคนจะ
แข็งมาก ส่วนบางคนจะอ่อนมาก เมื่อแข็งกับอ่อนมา
เจอกัน ก็จะทำให้มันแข็งแกร่งเหนือใคร กำลังภายใน
แบบนี้มันร้ายกาจที่สุด แต่ว่าการที่จะให้มันมีทั้งอ่อน
และแข็ง ก็จะต้องใช้วิธีฝึกแบบเฉพาะ แต่ว่าในโลกใบ
นี้ คนที่สามารถฝึกกำลังภายในแบบนี้ออกมาได้นั้นมี
ไม่กี่คน กำลังภายในของวัดต้ากวงหมิงเป็นกำลัง
ภายในที่เป็นแบบนี้”
หยางหนิงหยุดคิดไป ไม่รู้ว่าการที่ท่านใหญ่สี่ถ่ายทอด
ชิงจิงให้กับเขา เพราะต้องการให้ฝึกกำลังภายในแบบ
นี้หรือไม่
“หมัดของเขาที่ซัดออกไปนั้น ดูผิวเผินเหมือนจะ
แข็งแรง แต่ในความเป็นจริงแล้วภายในร่างกายของ
ศพนั้นเส้นเอ็นขาดกระดูกแหลก โหดเหี้ยมยิ่งนัก” ต้
วนฉางไห่สีหน้าเคร่งเครียดแล้วพูดว่า “อีกทั้งวิธีการ
ฉีกคอของเขา แสดงให้เห็นว่าเขาจะต้องฝึกวิชากรง
เล็บมา วิชาทั่วไป ไม่มีทางฉีกคอคนให้ขาดแบบนี้ได้”
เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย เจ้าผีดูดเลือดนี่วร
ยุทธ์มันร้ายกาจมาก ชวีเสี่ยวชางพูดถูก ยังดีที่เด็ก
สองคนนั้นของจวนเสินโหวโชคดีไม่ได้เจอกับผีดูด
เลือดตนนั้น หากเจอเข้าจริงๆ แล้วปะทะกัน สองคน
นั้นไม่มีทางสู้มันได้”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าดูไม่ออกเลยหรือ
ว่าวรยุทธ์ของมันมาจากสำนักใด?”
“ไม่รู้เลย” ต้วนฉางไห่ส่ายหน้า แล้วถอนหายใจ
“โหวเยวี่ย จริงๆ เรื่องในยุทธภพข้าน้อยเองก็รู้ไม่มาก
นินจาฮิดะที่ท่านพูดถึงเมื่อครู่ ข้าน้อยก็ไม่เคยได้ยิน
มาก่อน แต่ว่าทางจวนเสินโหวดูแลเรื่องในยุทธภพ
วิชาสำนักต่างๆ คนในจวนเสินโหวรู้ดีทั้งหมด ซีเหมิน
เสินโหวถูกขนานนามว่าผู้รอบรู้ร้อยปัญญา เรื่องราว
ในยุทธภพสำหรับเขามันเหมือนสมบัติประจำตระกูล
เจ้าตัวดูดเลือดนั่นฆ่าคนอย่างต่อเนื่อง บาดแผลบน
ศพชัดเจนอย่างนั้น ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะยังจับตัว
ฆาตกรมาไม่ได้ แสดงว่าพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าวิชาที่มัน
ใช้นั้นเป็นของสำนักใด ไม่อย่างนั้น พวกเขาคงรู้ตัว
ฆาตกรไปนานแล้ว”
“ตัวประหลาดดูดเลือดที่ไม่รู้ที่มาที่ไปหรือ”
หยางหนิงคิด “ท่านอาต้วน ท่านบอกว่ามันฆ่าคน
บริสุทธิ์ มันก็บ้ามากแล้ว แล้วเหตุใดยังต้องดูด
เลือดออกไปอีก?”
“ข้าน้อยเองก็ไม่รู้” ต้วนฉางไห่ส่ายหน้า คิดแล้วพูด
ว่า “คดีประหลาดแบบนี้ อีกทั้งมาเกิดอยู่ใต้จมูกของ
จวนเสินโหวแบบนี้ พวกเขายังตรวจสอบอะไรไม่ได้
เลย สงสัยเสินโหวเองอาจจะต้องลงมือตรวจสอบเรื่อง
นี้เอง โหวเยวี่ย ท่านให้เบาะแสกับพวกเขาไป มันมี
ประโยชน์กับพวกเขามาก จริงสิ ข้าน้อยพบรอยเท้า
ของท่านอยู่ข้างๆ ศพ ยังคิดว่าท่านถูกมันจับตัวไป
บังเอิญไปเจอกับองครักษ์ของพวกเราคนหนึ่ง ข้าน้อย
เกรงว่าฮูหยินสามจะเป็นกังวล ก็เลยให้เขากลับไป
รายงานตัวก่อน บอกว่าโหวเยวี่ยกับคุณชายหยวนดื่ม
เหล้ากัน คืนนี้อาจจะไม่กลับ”
ตอนนี้รถม้าได้เลี้ยวเข้าสู่ถนนผีผาแล้ว ต้วนฉางไห่อุ้ม
องครักษ์ที่สลบอยู่ลงจากรถม้า แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย
ข้าน้อยพาเขาไปรักษาตัวก่อน แล้วจะรีบกลับไป”
“อืม” หยางหนิงพยักหน้า รถม้าก็วิ่งตรงต่อไปที่หน้า
ประตูจวนโหว หยางหนิงลงจากรถม้า และเดินตรง
เข้าจวนไป ไม่ได้นอนทั้งคืน เขาจึงรู้สึกง่วงมาก ฟ้า
เริ่มสางแล้ว เริ่มมีแสงส่องสว่าง หยางหนิงบิดขี้เกียจ
เห็นบ่าวไพร่ในจวนกำลังกวาดลานบ้านอยู่ ก็ยิ้มให้
แล้วคิดจะเดินกลับไปห้องนอนเพื่อพักผ่อน ยังเดินไป
ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงกู้ชิงฮั่นดังมาจากด้านหลัง “เจ้า
หยุดอยู่ตรงนั้นก่อน”
หยางหนิงสะดุ้ง ชะงักฝีกเท้าทันที แล้วหันกลับมา
เห็นกู้ชิงฮั่นกำลังเดินเข้ามาหา
กู้ชิงฮั่นสวมชุดผ้าแพรสีม่วงอ่อนปักลายเมฆ รวบผม
ราวกับดอกบัว มองรวมๆ แล้วดูสบายตายิ่งนัก อีกทั้ง
ท่าทางการเดินเข้ามาหาของนางก็ช่างน่าหลงใหล
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียง เหตุใดท่านถึง
ได้ตื่นเช้าแบบนี้เล่า?”
“เช้ามากจริงๆ” กู้ชิงฮั่นมองไปที่หยางหนิง แล้วเดิน
วนรอบตัวของหยางหนิง แล้วมองเขาอย่างละเอียด
จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้แล้วดมตัวของหยางหนิง
จากนั้นก็ถามว่า “กลิ่นอะไรบนตัวเจ้า?”
“กลิ่น?” หยางหนิงยกแขนเสื้อขึ้นมาดม “ไม่เห็นมี
กลิ่นอะไรเลย? ซานเหนียง ท่านได้กลิ่นอะไรอย่างนั้น
หรอ?”
เมื่อคืนเขาไปจับศพมาก บนมือเปื้อนเลือดก็จริง แต่
ว่าเขาล้างทำความสะอาดบนรถม้าแล้ว เขากลัวว่ากู้
ชิงฮั่นจะเห็นร่องรอย
“เมื่อคืนนี้เจ้าไปไหนมา?” กู้ชิงฮั่นถาม
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ต้วนฉางไห่ส่งให้คนมาบอก
ท่านแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อคืนหยวนหรงเชิญข้าไปกิน
เลี้ยง เจ้าบ้านั่นตั้งใจมอมข้าจนเมา บอกว่าฉลองที่ข้า
...” เขาพบว่ากู้ชิงฮั่นหันหน้ากลับมาจ้องเขา นางใช้
สายตาแปลกๆ มองมาที่เขา ไม่รู้เพราะเหตุใด ถึงแม้ห
ยางหนิงไม่ใช่คนที่ชอบพูดโกหก แต่ว่าเมื่อใดก็ตามที่
พูดโกหก สีหน้าของเขาก็จะนิ่งสนิท แต่ว่าในเวลานี้กู้
ชิงฮั่นจ้องมาที่เขา เขากลับรู้สึกกลัวขึ้นมา เขายิ้มและ
ยกมือจับศีรษะแล้วพูดว่า “ต่อไปข้าจะไม่ดื่มเหล้าข้าง
นอกอีก”
กู้ชิงฮั่นถามเขาว่า “เมื่อคืนเจ้าออกไป ข้ารู้ว่าเจ้าไป
ดื่มเหล้ากับหยวนหรง ผู้ชายกินเหล้า มันเป็นเรื่อง
ปกติ ท่านเหล่าโหวกับท่านแม่ทัพตอนมีชีวิตอยู่ ก็กิน
เหล้าเหมือนกัน ข้าแค่อยากรู้ว่า พวกเจ้าไปกินเหล้า
กันที่ไหน?”
“เอ่อ...” หยางหนิงจับไปที่หัว แล้วพูดว่า “ที่
ร้านอาหารร้านหนึ่ง ข้าก็จำไม่ได้แล้วว่าที่ไหน”
จากนั้นเขาก็ตั้งใจหาวใส่ “ซานเหนียง ข้าขอไปพัก
ก่อนนะ”
“อย่าเพิ่งรีบไป” กู้ชิงฮั่นยังหน้านิ่ง “พวกเจ้ากินเหล้า
กันตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เลยหรือ?”
“เอ่อ...ก็กินไปได้ครึ่งคืน รู้สึกว่าเมาแล้ว ก็เลยนอน
พักอยู่ที่ร้าน” ถูกกู้ชิงฮั่นจ้องแบบนี้ หยางหนิงรู้สึก
กลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
กู้ชิงฮั่นพยักหน้า “ต้วนฉางไห่ไปกับเจ้าด้วยไม่ใช่
หรือ? เหตุใดไม่เห็นเขากลับมากับเจ้า?”
“เขาดื่มมากไปหน่อย ตอนสายๆ คงกลับมาถึง ซาน
เหนียง ข้าง่วงมากแล้ว ท่าน...”
“เขาตามเจ้าไป ในฐานะองครักษ์ของเจ้า คนพวกนั้น
มีสิทธิอะไรให้องครักษ์คนหนึ่งกินเหล้า?” กู้ชิงฮั่นพูด
ว่า “ต่อให้คนอื่นจะให้เกียรติเขาเพียงใด ให้เขากิน
หรือว่าตัวเขาไม่รู้ตัวหรือว่าตัวเขามีหน้าที่อะไร เหตุ
ใดถึงยังกล้าดื่มอีก? หนิงเอ๋อร์ องครักษ์แบบนี้ เจ้าคิด
ว่าควรจะให้เขาอยู่ในจวนโหวได้อีกหรือ?”
ก่อนหน้านี้นางก็มีหน้าที่ในการดูแลจัดการเรื่อง
ภายในจวนอยู่แล้ว นางรักและเอ็นดูหยางหนิงมาก
แต่ว่าเมื่อใดก็ตามที่นางนิ่งขึ้นมา ก็จะมีความรู้สึกน่า
กลัวแบบที่นางไม่ต้องแสดงความโกรธออกมา
หยางหนิงรู้ว่านางเป็นคนฉลาดมาก ไม่ว่าจะอะไรก็
ตามนางก็มองออก คำโกหกของเขานางน่าจะจับได้
แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างไรก็จะให้นางรู้ไม่ได้
ไม่อย่างนั้นนางก็จะต้องเป็นห่วงแน่ๆ เขาตอบกลับไป
ว่า “ซานเหนียง ข้าให้เขากินเอง ท่านก็อย่าไปตำหนิ
เขาเลยนะ”
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่หยางหนิง กัดปากแล้วพูดว่า “เจ้า...
เดี๋ยวนี้กล้าโกหกข้าหรือ” จากนั้นก็หันหลังแล้วเดิน
ไป
หยางหนิงเห็นกู้ชิงฮั่นหันหลังเดินไป ก็รู้สึกตกใจ รีบ
เดินตามนางไป แล้วพูดว่า “ซานเหนียง ท่านเป็น
อะไรไป? เหตุใดอยู่ๆ ถึงได้โกรธข้าเล่า?”
กู้ชิงฮั่นเดินเร็วขึ้น ไม่แม้แต่จะมองเขาเลย นางเดิน
เข้าไปยังห้องโถง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความโมโห
หยางหนิงเดินเข้าไปใกล้ กู้ชิงฮั่นก็เบือนหน้าหนี
“ซานเหนียง ท่านโกรธข้าจริงๆ หรือ?” หยางหนิงยื่น
มือออกไป ดึงชายเสื้อของกู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นพูดด้วย
ความโกรธว่า “ไม่ต้องมาแตะต้องตัวข้า” จากนั้นก็
สะบัดมือของหยางหนิงออก
หยางหนิงยิ้มแล้วส่ายหัวแล้วพูดว่า “ซานเหนียง เช้า
แบบนี้ อย่าโมโหเลยนะ หากข้าทำอะไรไม่ดี ท่านด่า
ข้าก็ได้ คนข้างนอกนั่นมองกันใหญ่แล้ว ต่อไปข้าไป
ไหน ข้าจะกลับให้เร็วขึ้นนะ”
กู้ชิงฮั่นหันหน้ากลับมา แล้วพูดด้วยความโมโหว่า
“ข้าโกรธเพราะเจ้าไปกินเหล้าหรือ? ข้าโกรธเพราะ
เจ้าไม่ได้กลับมาเมื่อคืนหรือ? เจ้า...เจ้ามันน่าโมโห
จริงๆ เจ้าตัวแสบ รับตำแหน่งโหวได้ไม่กี่วัน ตอนนี้
กล้าโกหกข้าแล้ว แต่ก่อนเจ้าไม่เป็นแบบนี้”
“ซานเหนียง ข้า...”
“ตอบมาตามตรง เจ้าไปอยู่กับผู้หญิงพวกนั้นมาใช่
หรือไม่?” กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความโมโหว่า “บนตัวของ
เจ้ายังมีกลิ่นตัวของพวกนางอยู่”
หยางหนิงถึงได้เข้าว่า ที่แท้กู้ชิงฮั่นได้กลิ่นหอมจากตัว
เขา ถึงได้โกรธมากขนาดนี้
เมื่อคืนเขากับชื่อตันเหมยแนบชิดกายกัน ถึงแม้จะ
ไม่กี่ชั่วยาม แต่ว่ากลิ่นตัวของนางก็ยังไม่จางหายไป
ใครจะคิดว่ากู้ชิงฮั่นจะได้กลิ่นแบบนี้
“ซานเหนียง ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว” หยางหนิงยกมือ
ขึ้นมาข้างหนึ่ง “ข้าสาบานต่อฟ้าดินเลย เมื่อคืนนี้ข้า
ไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงพวกนั้นเลยแม้แต่คนเดียว หาก
ข้าโกหก ขอให้ข้า...”
“ห้ามสาบานพล่อยๆ นะ” หยางหนิงยังพูดไม่ทันจบ
กู้ชิงฮั่นก็ต่อว่าเขา “ใครสั่งให้เจ้าสาบาน?” แล้วพูดว่า
“ตอนนี้เจ้าเป็นจิ่นอีโหวแล้ว เจ้าจะไปมีอะไรกับใคร
มันก็ไม่เกี่ยวกับข้า เจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำ ข้าแค่
เกลียดคนที่โกหกข้าที่สุด”
หยางหนิงนั่งลงข้างๆ แล้วพูดว่า “ซานเหนียง ตอนที่
กินเหล้ากันเมื่อคืน ได้ฟังแม่นางคนหนึ่งบรรเลงพิณ
สงสัยคงติดมาตอนนั้น แต่ว่าข้าไม่ได้แตะต้องนาง
แม้แต่ปลายเล็บเลยนะ” ในใจก็คิดว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้
โกหกนะ เมื่อคืนเขาไม่ได้แตะต้องตัวของจั่วเซียน
เอ๋อร์จริงๆ
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่หยางหนิง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ในตอนนี้เอง ก็เห็นคนเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน แล้วพูด
ว่า “โหวเยวี่ย มีคนมาขอพบ”
“หา?” หยางหนิงลุกขึ้นมา “เช้าขนาดนี้ ใครอยากจะ
พบข้า?”
“เขาบอกว่าป็นแม่นางเซียนเอ๋อร์ส่งเขามา หากบอก
ชื่อแม่นางเซียนเอ๋อร์ไป โหวเยวี่ยต้องรู้แน่นอน” บ่าว
ไพร่คนนั้นตอบอย่างตรงไปตรงมา “เขายังบอกอีกว่า
แม่นางเซียนเอ๋อร์ให้เขามาขอขมาโหวเยวี่ย เมื่อคืน
ไม่ได้ปรนนิบัติโหวเยวีย่ เป็นอย่างดี แม่นางเซียนเอ๋อร์
รู้สึกเสียใจ รู้สึกผิดต่อโหวเยวี่ยมาก...”
คำพูดต่อจากนั้น หยางหนิงฟังไม่เข้าหูอีกแล้ว เขา
รู้สึกว่าสายตาของกู้ชิงฮั่นที่กำลังจ้องมองเขานั้นมัน
เหมือนลูกธนูที่พร้อมจะพุ่งหาเขาตลอดเวลา มันทำ
ให้เขารู้สึกเย็นหลังวาบ ทำให้เขาไม่กล้าสบตากู้ชิงฮั่น
เลย
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 6 บทที่ 180 รู้บุญคุณและตอบแทนบุญคุณ
ในห้องโถงเงียบจนน่ากลัว ปกติหยางหนิงเป็นคนไม่
กลัวอะไร กล้าได้กล้าเสีย แต่ว่าตอนนี้ไม่รู้ทำไม
ด้านหลังของเขาถึงได้เย็นขนาดนี้
บ่าวไพร่คนนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นหยางหนิงไม่
พูดอะไร ก็ถามอย่างระมัดระวังว่า “โหวเยวี่ย ท่านจะ
ให้เขามาพบหรือไม่?”
หยางหนิงกำลังจะพูด แต่ว่ากู้ชิงฮั่นชิงพูดขึ้นมาก่อน
ว่า “มีแขกมาถึงหน้าประตู ตั้งใจมาหาโหวเยวี่ย
โดยเฉพาะ แล้วจะไม่ให้เขาเข้ามาได้อย่างไร? ยังไม่
รีบไปเชิญเขาเข้ามาอีก”
บ่าวไพร่คนนั้นรับคำสั่งแล้วก็ออกไป
หยางหนิงหันหน้ากลับไป เห็นกู้ชิงฮั่นนหยิบถ้วยชา
ขึ้นมา ไม่แม้แต่จะมองหยางหนิงเลย นางหยิบถ้วยชา
ขึ้นมาหมุนเล่น แล้วมองไปที่ลายของถ้วยชานั้น
หยางหนิงรู้สึกทำตัวไม่ถูก นางพูดว่า “โหวเยวี่ยไม่
ต้องร้อนใจไป มีแขกมาเยือน ท่านก็รับแขกก่อน
ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะว่าได้ว่าท่านไม่เป็นมิตร”
บ่าวไพร่คนเมื่อครู่นำทางชายคนหนึ่งอายุราวสามสิบ
เข้ามา เขาเข้ามาถึงก็คุกเข่าลง แล้วพูดว่า “ข้าน้อย
หวังเสียง นำคับโหวเยวี่ย”
หยางหนิงพูดว่า “ลุกขึ้นมาพูดเถอะ” หลังจากที่คน
นั้นลุกขึ้นมาแล้ว เขาก็ถามว่า “เจ้ามาหาข้าด้วยเหตุ
อันใด?”
ชายคนนั้นโค้งตัว แล้วหยิบบัตรเชิญออกมาจาก
หน้าอกแล้วยื่นให้หยางหนิง แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย นี่
เป็นบัตรเชิญจากแม่นางเซียนเอ๋อร์ แม่นางเซียนเอ๋
อร์บอกว่า เมื่อคืนไม่ได้ปรนนิบัติโหวเยวี่ยให้มี
ความสุข เป็นความผิดของนาง ดังนั้นก็เลยจัดอาหาร
เครื่องดื่มเอาไว้เพื่อขออภัยต่อโหวเยวี่ย อย่างไรก็
ขอให้โหวเยวี่ยต้องไปให้ได้ในสองวันนี้”
หยางหนิงเปิดบัตรเชิญออกอ่าน ด้านในมีกลิ่นหอม
โชยมา ใบหน้าของจั่วเซียนเอ๋อร์นั้นมันลอยขึ้นมาใน
หัวหยางหนิงทันที ในบัตรเชิญทำอย่างประณีต
ด้านบนเป็นนกกระยางคู่หนึ่ง มีตัวหนังสือเขียนว่า
“เมื่อคืนเสียมารยาท ไม่ได้ปรนนิบัติโหวเยวี่ยให้ดี
ยินดีชดเชยให้ ระลึกถึง”
ด้านล่างบัตรเชิญ มีลงชื่อจั่วเซียนเอ๋อร์ไว้
ตัวอักษรอ่านง่ายชัดเจน มองดูก็รู้ว่าเป็นตัวอักษรของ
ผู้หญิง คิดว่านี่น่าจะเป็นอักษรของนางแน่นอน
หยางหนิงกระแอม แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ข้ากับแม่
นางเซียนเอ๋อร์รู้จักกันผิวเผินเท่านั้น....เรื่องนั้น เจ้า
กลับไปก่อนเถอะนะ”
ชายคนนั้นอึ้งไป ก็ไม่แน่ใจว่าหยางหนิงตกลงหรือไม่
ตกลง เขาเลยถามกลับไปอีกว่า “ไม่ทราบว่าโหวเยวี่ย
จะว่างเมื่อใด ทางแม่นางเซียนเอ๋อร์จะได้เตรียมตัวไว้
ล่วงหน้า”
หยางหนิงแทบอยากจะตบหน้าชายคนนั้นสักสองสาม
ที กู้ชิงฮั่นอยู่ด้านหลังเขา ชายคนนี้ไม่เห็นหรือ
อย่างไร ยังจะทำให้บรรยากาศแย่ลงไปอีก
“ค่อยว่ากัน” หยางหนิงยกมือหนึ่งมาวางบนอก เพื่อ
หลบสายตาของกู้ชิงฮั่น เขากระพริบตา ส่งสัญญาณ
ให้ชายคนนั้นออกไป
ชายคนนั้นก็ยังฉลาดอยู่ มองออกว่าในห้องโถงตอนนี้
กู้ชิงฮั่นกำลังมองมาที่หยางหนิงอยู่ รู้ว่าสถานการณ์ไม่
ดี ก็เลยรีบยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยขอตัว
ก่อน” เขาโค้งคำนับ ไม่รอหยางหนิงพูดอะไร ก็รีบ
เดินออกไปทันที
หยางหนิงพูดตามหลังหวังเสียงไปว่า “ไม่ได้สนิทกัน
สักหน่อย จะส่งบัตรเชิญมาทำไม ทำอย่างกับคนสนิท
กันอย่างนั้นแหละ แค่ไปฟังนางดีดพิณเท่านั้นเอง
ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย พูดอะไรเหลวไหลสิ้นดี” เขา
ตั้งใจพูดให้กู้ชิงฮั่นที่อยู่ด้านหลังของเขาได้ยิน เขา
ปรับสีหน้าของตัวเอง แล้วหันหลังกลับไป เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ซานเหนียง คนพวกนั้นไม่มีสมองเลย มันน่า
...”
แต่กู้ชิงฮั่นกลับวางถ้วยชาลง ไม่รอหยางหนิงพูดจบ
แล้วก็ตะโกนออกไปนอกประตูว่า “หานโซ่ว”
ไม่นานก็ได้ยินเสียงตอบรับกลับมา ชายคนหนึ่งอายุ
ราวห้าสิบเดินเข้ามา แล้วคำนับหยางหนิง จากนั้นก็
เดินเข้าไปหยุดตรงหน้าของกู้ชิงฮั่น แล้วพูดอย่าง
เคารพว่า “ฮูหยินสามท่านมีอะไรจะสั่งหรือ?”
“หลังจากที่ชิวอี้ไป ช่วงนี้ในจวนก็ไม่มีพ่อบ้านใหญ่
ดูแลเลย” น้ำเสียงของกู้ชิงฮั่นนิ่งมาก “เจ้าเป็นคนเก่า
คนแก่ของจวนโหว ทำงานขยันแล้วก็คล่อง หลายปี
มานี้ก็ภักดีกับจวนโหวมาก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้า
ต้องมั่นใจมากกว่านี้ ช่วยดูแลเรื่องยุบยิบภายในจวน
ให้โหวเยวี่ย”
หานโซ่วตะลึงไป กำลังจะตอบกลับด้วยความซาบซึ้ง
“ฮูหยินสาม ข้า...” กำลังจะคำนับขอบคุณ กู้ชิงฮั่นก็
ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน ต้องถามโหว
เยวี่ยก่อน ว่าเขาตกลงที่จะให้เจ้าเป็นพ่อบ้านใหญ่
หรือไม่ ไท่ฮูหยินยกจวนนี้ให้เขาไปแล้ว เรื่องใหญ่
น้อยในจวน ก็ต้องให้เขาเป็นคนตัดสินใจ”
น้ำเสียงของนางนิ่งมาก แต่ว่ายิ่งเป็นแบบนี้ หยาง
หนิงยิ่งรู้ว่าแม่ม่ายสาวคนสวยนี้โกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว
“ในเมื่อฮูหยินสามบอกว่าเจ้าทำได้ เจ้าก็ต้องทำได้
แน่นอน” หยางหนิงพูดว่า “ตั้งแต่วันนี้ต่อไป เจ้าก็คือ
พ่อบ้านใหญ่ของจวนโหว” เขาส่งสัญญาณให้หานโซ่ว
รีบออกไป หานโซ่วก็ช่างสังเกต ขอบคุณเสร็จ เขาก็
รีบออกไปเลย
“เงินของวิทยาลัย พรุ่งนี้เจ้าเอาไปได้” กู้ชิงฮั่นพูดว่า
“ห้องบัญชีแจ้งไปแล้ว เอาเงินไปได้เลย”
พูดจบ กู้ชิงฮั่นก็เดินออกไปนอกประตู หยางหนิงรีบ
ขวางเอาไว้ แล้วพูดว่า “ซานเหนียง ท่านฟังข้า
อธิบายก่อน”
“หลีกไป” กู้ชิงฮั่นพูด
หยางหนิงกำลังจะพูดอีก กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความโมโหว่า
“หากเจ้าไม่หลีกไป ข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ” นางยก
มือขึ้นมา แล้วผลักไปที่หน้าอกของหยางหนิง นาง
ไม่ได้ใช้แรงมาก แต่ว่าหยางหนิงรู้ว่านางโกรธจริงๆ
แล้ว ตอนนี้ก็ทำได้แค่เลิกตอแยกับนาง ทำได้แค่หลบ
ไปข้างๆ กู้ชิงฮั่นไม่แม้แต่จะมองเขาเลย แล้วก็ออกไป
หยางหนิงเห็นกู้ชิงฮั่นเดินหายไปแล้ว ก็ถอนหายใจ
เขาไม่ได้เล่าเรื่องเมื่อคืนให้กู้ชิงฮั่นฟัง เดิมทีก็กลัวว่ากู้
ชิงฮั่นจะเป็นห่วง ใครจะคิดว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบ
นี้ เขารู้สึกว่าผู้หญิงเป็นอะไรที่รับมือได้ยากที่สุด
เขารู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่กู้ชิงฮั่นกำลังอยู่ในอารมณ์
โกรธ หากไปง้อนางตอนนี้ คงไม่ได้อะไร ตอนนี้ทำได้
แค่รอให้กู้ชิงฮั่นหายโกรธเสียก่อน แล้วค่อยไปง้อ
ตอนนี้เขาง่วงมาก เขากลับไปถึงห้องก็หลับไป พอตื่น
ขึ้นมาอีกทีก็เย็นแล้ว หลังจากล้างหน้าล้างตาไปแล้ว
เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วก็ออกจากเรือนไป เขา
คิดว่าผ่านไปเป็นวันแล้ว กู้ชิงฮั่นก็น่าจะหายโกรธบ้าง
แล้ว อีกเดี๋ยวไปง้อกู้ชิงฮั่นเสียหน่อย
หลังจากเดินไปตามทาง พอถึงหน้าประตูหิน ก็เห็น
คนๆ หนึ่งนั่งพิงอยู่ตรงกำแพง แสงส่องมา ตัวเขาเป็น
ก้อนกลมๆ สีดำ
“โฉวฮั่น เจ้ามาทำอะไรตรงนี้?” หยางหนิงเห็นคนๆ
นั้นก็ยิ้มให้ แล้วนั่งลงพร้อมพูดว่า “เป็นอย่างไรบ้าง
ช่วงนี้กินอิ่มหรือไม่?”
คนๆ นี้คือโฉวฮั่นชายอัปลักษณ์ที่หยางหนิงพากลับมา
จากเจียงหลิง
ตอนที่มีภัยโฉวฮั่นได้ช่วยชีวิตกู้ชิงฮั่นเอาไว้ ก็ถือได้ว่า
เป็นผู้มีพระคุณของกู้ชิงฮั่น ตอนที่กลับมาจากเจียงห
ลิง หยางหนิงได้พาเขากลับมาด้วย ตอนนั้นได้ฝากให้
ท่านลุงกู้เหวินจางสืบที่มาที่ไปของโฉวฮั่นด้วย หากมี
ข่าวอะไร ให้เขาแจ้งกลับมาทันที
ในจวนมีคนมากกว่าร้อยคน เพิ่มโฉวฮั่นมาแค่คนเดียว
ไม่ใช่เรื่องใหญ่
พอโฉวฮั่นมาถึงที่จวน ก็แค่ดูแลเรือ่ งการกินสามมื้อ
ของเขา หากในจวนมีงานอะไรที่ใช้แรงแล้วขาดคน ก็
ให้โฉวฮั่นไปช่วยได้ กู้ชิงฮั่นได้สั่งกำชับไว้แล้วว่า ใน
จวนห้ามรังแกเขาเพียงเพราะเขาไม่ปกติเด็ดขาด
เจ้านี่ก็วางไม่มีอะไรทำ ก็เดินไปนอนตากแดด จวน
ใหญ่ขนาดนี้ ทำให้เขาหลับได้สบายๆ จวนโหวเองก็
เตรียมห้องไว้ให้เขา แต่ว่าเขาไม่ชอบนอนในห้อง
ตอนดึกๆ ก็เหมือนแมวที่ชอบไปอยู่ในที่แปลกๆ
แรกเริ่ม ก็ทำให้คนตกใจอยู่บ่อยๆ นึกว่าเจอผี แต่พอ
เวลาผ่านไป คนในจวนก็เริ่มชินแล้ว
จวนโหวเองก็ได้มีการจัดหาเสื้อผ้ามาใหม่ให้เขา พอ
เข้าหน้าหนาว ก็หาชุดผ้านวมให้เขาด้วยเช่นกัน แต่ว่า
ไม่ว่าเขาจะใส่ชุดอะไร ก็จะต้องคลุมเสื้อคลุมสีดำของ
เขาตลอดเวลา
หยางหนิงเห็นเขาสวมชุดผ้านวมที่แจกให้ใหม่ แต่ว่า
พอเขาใส่ได้ไม่กี่วัน ก็เปื้อนดินเปื้อนโคลนไปหมด
โฉวฮั่นเดิมทีนอนตากแดดที่กำแพง เมื่อได้ยินเสียง
ของหยางหนิง ก็ลืมตาขึ้นมา เขาเห็นหยางหนิงก็รีบ
ลุกขึ้นมานั่ง แล้วก็ยิ้มให้หยางหนิงทันที
ใบหน้าของเขามีตุ่มเต็มไปหมด ช่างน่าเกลียดยิ่งนัก
เมื่อยิ้มออกมามันดูน่ากลัวเอามากๆ แต่ว่าหยางหนิง
มองออกว่า เวลาโฉวฮั่นยิ้มก็ดูใสซื่อไม่น้อย
ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นโฉวฮั่นเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้
เขายื่นมือเข้าไปในเสื้อของเขา แล้วก็เอาหมั่นโถวออก
มา จากนั้นก็ยื่นออกไปให้หยางหนิง เหมือนจะให้ห
ยางหนิงรับมันไป
หยางหนิงยิ้มแล้วส่ายห้นา โฉวฮั่นเก็บหมั่นโถวกลับ
ไป แล้วหาอะไรบางอย่างอยู่ที่หนึ่ง แล้วก็เอาน่องไก่
ออกมา มันเย็นมากแล้ว น่องไก่ค่อนข้างมัน หยาง
หนิงรู้สึกตกใจเมื่อเห็นมัน แต่เห็นโฉวฮั่นยื่นน่องไก่มา
ให้หยางหนิง แล้วพูดว่า “กิน กิน”
หยางหนิงคิดในใจว่าเจ้านี่ไม่ยอมทิ้งเสื้อคลุมสีดำ
หรือว่าตั้งใจเอาไว้เก็บอาหาร? เสื้อคลุมสีดำนี่มัน
เหมือนเป็นคลังอาหารของเขาเลย
กู้ชิงฮั่นรู้ว่าโฉวฮั่นมีความต้องการกินอาหารเพียง
อย่างเดียว ดังนั้นก็เลยสั่งให้คนในจวนให้อาหาร
ตามที่เขาต้องการ เวลาโฉวฮั่นกินข้าวมักจะเอา
อาหารซ่อนไว้ในเสื้อ เรือ่ งนี้ทุกคนรู้ดี แต่ก็ไม่มีใครว่า
อะไรเขา
หยางหนิงรู้ว่าคนเราจะมีความต้องการกินอาหารมาก
ขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเกิดมาตะกละตะกลาม แต่
เพราะว่าเขาไม่เคยมีอาหารแบบนี้กินมาก่อน ความ
ทรมานจากความหิว ทำให้เขามีความต้องการอาหาร
มากกว่าคนทั่วไป
สำหรับโฉวฮั่นแล้ว เงินทอง สาวงาม เทียบไม่ได้เลย
กับหมั่นโถว อาหารในสายตาของเขามันคือสมบัติอัน
ล้ำค่า
เขาสามารถหยิบอาหารของตัวเองมาให้เขา ก็
หมายความว่าเขากำลังเอาสมบัติของเขาออกมาแบ่ง
ให้
“ข้าเข้าใจความหวังดีของเจ้า” หยางหนิงดันมือ แล้ว
พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ตอนนี้ข้ายังไม่หิว เจ้าเก็บไว้กิน
เถอะ หากมันเย็นเกินไป ก็ให้คนไปอุ่นให้เจ้าใหม่ เจ้า
ไม่ต้องเอาอาหารมาซ่อนบนตัวแล้วนะ มีข้าอยู่ ต่อไป
เจ้าก็ไม่ต้องอดแล้ว” เขาลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ตบไปที่
บ่าของโฉวฮั่น “เจ้ารู้บุญคุณและตอบแทนบุญคุณ
ดีกว่าหลายๆ คนด้วยซ้ำไป ใครหลายคนยังเทียบเจ้า
ไม่ได้เลย” เขาถอนหายใจ เงยหน้ามองฟ้า แล้วพูดว่า
“แต่ว่าเจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้ามาจากที่ใดกัน?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 181 ของขวัญมูลค่าสูง
หลังจากที่หยางหนิงได้รับบรรดาศักดิ์โหว กู้ชิงฮั่นก็ให้
คนไปทำความสะอาดเรือนด้านตะวันออก ดังนั้น
ตอนนี้ห้องนอนของหยางหนิงจึงย้ายไปอยู่ในเรือน
ทางด้านตะวันออกของจวน ส่วนกู้ชิงฮั่นอาศัยอยู่ที่
เรือนด้านตะวันตกของจวน
อากาศเริ่มหนาวมากขึ้นทุกวัน หากจะไปที่เรือนด้าน
ตะวันตก จะต้องเดินทะลุผ่านลานส่วนกลาง ขณะที่
เขากำลังเดินตามทางหินอ่อนของลานส่วนกลาง ก็มี
คนตะโกนว่า “โหวเยวี่ย”
หยางหนิงหันหน้าไปมอง เขาเห็นหานโซ่วที่เพิ่งจะได้
เลื่อนตำแหน่งเป็นพ่อบ้านใหญ่เมื่อครู่กำลังวิ่งมาหา
เขาอายุประมาณห้าสิบ แต่ร่างกายยังดูแข็งแรงดีอยู่
“อ๋อ พ่อบ้านหาน ฮูหยินสามตอนนี้เป็นอย่างไร
บ้าง?” หยางหนิงหันซ้ายหันขวาดู เห็นว่าไม่มีคน ก็
เลยหยั่งเชิงถามกับหานโซ่ว
หานโซ่วพูดว่า “โหวเยวี่ย ฮูหยินสามหลังจากที่
กลับไปที่เรือนในตอนเช้า ก็ไม่ได้ออกมาจากเรือนอีก
เลย วันนี้มีสองสามเรื่องที่ต้องปรึกษากับทางฮูหยิ
นสาม ทางฮูหยินสามก็บอกแค่ว่าให้มาหาท่าน บอก
ว่าโหวเยวี่ยเป็นนายใหญ่ของจวน ต่อไปมีอะไรก็ให้มา
หาท่านไม่ต้องไปหานางอีก” เขาถอนหายใจแล้วพูด
อีกว่า “โหวเยวี่ย ฮูหยินสามไม่ได้กินอะไรเลยตลอด
ทั้งวัน นางทำงานเหนื่อยทุกวันเป็นแบบนี้ไม่ได้นะ
ขอรับ ร่างกายของนางจะรับไม่ไหวเอาได้”
หยางหนิงขมวดคิ้ว คิดแล้วพูดว่า “เจ้าไปจัดหาของ
กินมา ข้าจะเอาไปให้ฮูหยินสามเอง” เขาหยุดไปครู่
หนึ่งแล้วถามอีกว่า “จริงสิ ต้วนฉางไห่กลับมาหรือ
ยัง?”
หานโซ่วพยักหน้าแล้วพูดว่า “กลับมาตั้งแต่เช้าแล้ว
แต่ว่าหลังจากที่กลับมา เห็นว่าโหวเยวี่ยพักผ่อนอยู่
เขาก็เลยไม่ได้มารบกวน เขาบอกแค่ว่าได้เรื่องมานิด
หน่อย จริงด้วย เขาบอกว่าโหวเยวี่ยทราบว่าเขาจะ
ทำอะไร” จากนั้นเขาก็ถามอย่างระมัดระวัง “โหว
เยวี่ย ท่านมีอะไรจะสั่งเขาหรือไม่? ฉีเฟิงกับจ้าวอู๋ซัง
ยังอยู่ที่จวน หรือว่าจะให้เรียกพวกเขามารับใช้ก่อน?”
“ไม่ต้อง” หยางหนิงส่ายหน้า ในใจคิดว่าต้วนฉางไห่
น่าจะสืบได้เรื่องของนินจาฮิดะมาได้
หานโซ่วพูดว่า “โหวเยวี่ย คือว่าเรื่องเป็นอย่างนี้ วันนี้
ตอนที่ท่านกำลังพักผ่อนอยู่ คุณชายหยวนมาหาท่าน
ที่จวน ตอนแรกข้าน้อยคิดว่าจะไปเรียนให้ท่านทราบ
แต่ว่าคุณชายหยวนบอกว่าหากท่านโหวเยวี่ยพักอยู่ ก็
อย่าไปรบกวนท่าน”
“เขามาด้วยเหตุอันใด?”
หานโซ่วยิ้มแล้วพูดว่า “เขาให้ข้าน้อยมาเรียนว่า โต้ว
เหลียนจงส่งของมาให้ ขอให้ท่านไม่ต้องเป็นห่วง อีก
ทั้งเขายังส่งของขวัญมาให้ด้วย”
หยางหนิงรู้ว่าของที่หยวนหรงพูดออกมานั้นน่าจะ
หมายถึงสัญญาขายตัว ดูท่าทางแล้วโต้วเหลียนจงจะ
กลัวเขาไม่น้อย ไม่กล้าเล่นลูกไม้อะไร
“ส่งของมาหรือ?” หยางหนิงถามว่า “ของอะไร?”
หานโซ่วพูดว่า “โหวเยวี่ยท่านลองไปดูด้วยตัวเอง
ดีกว่า มีอยู่หลายกล่องเลย”
หยางหนิงไม่รู้ว่าหยวนหรงส่งอะไรมา ก็เลยตามหาน
โซ่วไปยังห้องโถงข้าง บนโต๊ะไม้มีกล่องของขวัญอีก
หลายกล่อง เขาเดินเข้าไป จากนั้นก็เปิดกล่องออกดู
เห็นภายในเป็นชุดถ้วยชาสีเขียวอ่อน เหมือนกับว่าทำ
จากหยกเนื้อดี แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือด้านข้างของถ้วย
ชานั้นเหมือนมีรอยแตกอยู่ด้านใน
“ของขวัญพวกนี้เป็นหยวนหรงส่งมาหรือ?” หยาง
หนิงหยิบถ้วยชาขึ้นมาดู ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้านี่
เหตุใดถึงได้ส่งของอะไรพวกนี้มานะ?”
หานโซ่วตาโต จ้องไปที่ถ้วยชาเก่าอย่างไม่กระพริบตา
หยางหนิงเห็นดังนั้น ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นอะไรไป
พ่อบ้านหานชอบถ้วยชาชุดนี้หรือ?” เขายื่นมันไป
“เจ้าเอามันไปดื่มชาดีหรือไม่?”
หานโซ่วได้สติ ก็รีบยกมือปฏิเสธ “โหวเยวี่ย ข้าน้อยมี
ฐานะอะไรกัน จะกล้าใช้ของดีแบบนี้ได้อย่างไร ต่อให้
เกิดใหม่อีกสักกี่ชาติก็ไม่มีสิทธิเลย”
“หือ?” หยางหนิงรู้สึกแปลกใจ แอบคิดว่าถ้วยชาใบ
เดียว เหตุใดหานโซ่วถึงได้มีท่าทางตกใจแบบนี้
“โหวเยวี่ย ข้าน้อย...ข้าน้อยขอจับมันสักนิดจะได้
หรือไม่ขอรับ?” หานโซ่วถามอย่างระมัดระวัง
หยางหนิงยื่นมือออกไป หานโซ่วใช้ชายเสื้อเช็ดมือ
แล้วรับมาอย่างระมัดระวังตัว แล้วมองอย่างละเอียด
สายตาของเขาเป็นประกาย “ไม่ผิด ไม่ผิด เป็นมัน
แน่นอน”
“อะไร? มันคืออะไร?” หยางหนิงพูดด้วยความแปลก
ใจ “พ่อบ้านหาน เจ้าเห็นความพิเศษของมัน
ตรงไหน?”
หานโซ่วยื่นกลับคืนให้เขาสองมือ หยางหนิงจึงรับคืน
มา หานโซ่วพูดว่า “โหวเยวี่ย ตอนที่ท่านถือมันเอาไว้
ในมือ ท่านรู้สึกอะไรบ้างหรือไม่ขอรับ?”
หยางหนิงเห็นปฏิกิริยาของหานโซ่ว ก็รู้สึกว่าของที่ดู
ธรรมดาไม่เข้าตาเขาชิ้นนี้จะต้องมีอะไรพิเศษแน่นอน
ตอนนี้เขาถือมันไว้ในมือก็เหมือนจะรู้สึกอะไร
บางอย่าง จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เอ๋ ถ้วยชานี่
...ตอนนี้มันหน้าหนาวนี่นา ปกติเครื่องหยกมันมักจะ
เย็น แต่ว่าตอนที่ถ้วยชานี่อยู่ในมือ มันเหมือนกับจะ
ร้อน”
หานโซ่วยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ปกติข้าน้อยชอบดื่ม
ชามาก ก็เลยพอมีความรู้เรื่องชาอยู่บ้าง หากข้าน้อย
เดาไม่ผิด ถ้วยชาใบนี้น่าจะเป็นถ้วยชาในตำนานอย่าง
หม่าหวงปาน”
“หม่าหวงปาน?” หยางหนิงพูดอย่างไม่เข้าใจ “มัน
หมายความว่าอย่างไร?”
“โหวเยวี่ย ถ้าเป็นคนที่อยู่ในศาสตร์ชาแล้วล่ะก็ ไม่มี
ใครไม่รู้จักหม่าหวงปาน” หานโซ่วพูดอีกว่า “โหว
เยวี่ยเคยได้ยินชื่อของเทพแห่งชาหลู่เฮ่อหรือไม่ เขา
เป็นปรมาจารย์ในด้านสายชา ก่อนหน้าเขานั้น คน
ส่วนใหญ่ชิมชาดื่มชาแบบตามสบาย แต่ว่าเขาเป็นคน
ที่บุกเบิกสายชาขึ้นมา และเขียนตำรา ‘ตำรับชา’
ขึ้นมา ตอนนี้ยังมีขายอยู่ ได้ยินมาว่าหลู่เฮ่อค้นหา
อุปกรณ์ชงชาไปทั่วหล้า สุดท้ายเก็บสะสมถ้วยชาที่มี
ชื่อเสียงที่สุดมาสี่ชุด หนึ่งในนั้นก็คือหม่าหวงป่าน”
หยางหนิงไม่รู้เรื่องของศาสตร์ชาเลย รู้เพียงแต่เรื่อง
ศาสตร์การต่อสู้ เขาดูไม่ออกว่าถ้วยชานี้มันมีดี
ตรงไหน แต่ว่าคนที่อยู่ในศาสตร์ชานี้จริงๆ ก็จะมอง
ออก
“ถ้าอย่างนั้น หม่าหวงปานนี่ก็มีราคามากสินะ?”
หยางหนิงยิ้มแล้วถาม
หานโซ่วอึ้งไป ศาสตร์ชาก็เหมือนศาสตร์ดนตรีหมาก
รุกตำราวาดภาพ มันเป็นศาสตร์แห่งศิลป์ แต่ว่าโหว
น้อย กลับถามถึงราคาของมันเสียแล้ว
“เอ่อ...” หานโซ่วลังเล แล้วพูดว่า “คนที่ไม่ได้อยู่ใน
ศาสตร์ชา อาจจะคิดว่ามันไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร
แต่หากว่าอยู่ในศาสตร์ชา มันถือเป็นของที่ประเมิน
ราคาไม่ได้เลย แต่ว่าหากจะตั้งราคากับมันจริงๆ พัน
ตำลึงทองขึ้นไปก็ไม่มากเกินไป”
“หนึ่งพันตำลึงทอง?” หยางหนิงตกใจ หยิบถ้วย
ขึ้นมาดูอีกครั้ง เหมือนกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง “ถ้วย
ชาชิ้นเดียว มีราคาถึงหนึ่งพันตำลึงเชียวหรือ?”
“โหวเยวี่ยหากท่านนำออกไปขาย ตั้งราคาหนึ่งพัน
ตำลึงทอง คิดว่ามีคนไม่น้อยอยากจะแย่งกันซื้อไป”
หานโซ่วพูดว่า “แต่ว่าของมีค่าแบบนี้ มันสามารถเอา
มาเป็นสมบัติประจำตระกูลได้เลย โหวเยวี่ย...โหว
เยวี่ยเก็บเอาไว้จะดีกว่า”
มีมูลค่าหนึ่งพันตำลึงทอง ตามอัตราแลกเปลี่ยน
ของต้าฉู่กับยุคปัจจุบัน ก็น่าจะเทียบได้กับเงินหนึ่ง
หมื่นตำลึง สำหรับเศรษฐีผู้ดีมีเงิน เงินหนึ่งหมื่นตำลึง
อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ว่าในสายตาของห
ยางหนิงกับจวนจิ่นอีโหว เงินหนึ่งหมื่นตำลึงมันไม่ใช่
น้อยๆ เลย
เมื่อรู้ราคาของหม่าหวงปานแล้ว หยางหนิงก็มองไปที่
ของอย่างอื่น มีกล่องหนึ่งด้านในเป็นโสมแก่สองต้น
หานโซ่วอยู่ในจวนโหวมานานหลายปี เขาก็เห็นของ
มามากมาย เขาบอกว่าโสมสองต้นนี้เป็นโสมแก่
คุณภาพดีที่หายากมาก โสมสองต้นนี้รวมกันแล้วมี
ราคาหนึ่งพันตำลึงทอง นอกเหนือจากนี้ยังมีใบชา
สองกล่อง ไม่ต้องให้หานโซ่วบอก หยางหนิงก็รู้ว่าใบ
ชาสองกล่องนี้ราคาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
หยางหนิงเหมือนจะเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว ของ
พวกนี้ ไม่น่าจะใช่ของที่หยวนหรงเอามาให้แน่ๆ
ถึงแม้หยวนหรงจะเป็นคนของจวนท่านราชเลขากรม
พิธีการ แต่ว่าในจวนท่านราชเลขากรมพิธีการก็ไม่ได้
ถือว่าเป็นเศรษฐีมีเงินอะไร หยวนหรงไม่มีทางมีเงิน
มากมายขนาดนี้แน่นอน ไม่อย่างนั้นก็คงไถ่ตัวเจินจูไป
นานแล้ว ไม่ต้องให้เขาออกหน้าไปไถ่ตัวกับโต้ว
เหลียนจงแน่
ดูจากของพวกนี้แล้ว โสมก็น่าจะเป็นของที่ชิวฟางจาก
ร้านเหลียวตงนั่นให้มา ใบชาก็น่าจะเป็นเจียงเฉิง ส่วน
ถ้วยชา ตอนแรกหยางหนิงคิดว่าน่าจะเป็นเจียงเฉิง
แต่ว่ามีใบชาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นของที่เฉินมู่
ควนจากร้านเว่ยถังให้มา เพราะเฉินมู่ควนนิสัย
ตรงไปตรงมา หน้าใหญ่ใจใหญ่
เมื่อเปิดกล่องสุดท้ายออกดู ด้านในเป็นกำไลหนึ่งชิ้น
กำไลชิ้นนี้ทำได้อย่างประณีตมาก มันมีสีเขียวเข้ม
ด้านในใส่โปร่ง ด้านล่างของกำไลนั้นมีจดหมายอยู่
หานโซ่วเห็นหยางหนิงหยิบจดหมายขึ้นมาแล้ว ก็รีบ
พูดว่า “โหวเยวี่ย นี่เป็นจดหมายที่คุณชายหยวนให้
ข้าน้อยไปเอาหมึกกับกระดาษมาเขียนตอนที่ท่านพัก
อยู่”
หยางหนิงเปิดจดหมายออกอ่าน ด้านในมีตั๋วเงินอยู่ใบ
หนึ่ง เมื่อเขาดู มันเป็นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งพันห้าร้อย
ตำลึง เขายิ้มขึ้นมา แล้วเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา
ตั๋วเงินใบนี้เป็นของหยวนหรง เงินหนึ่งพันตำลึงก็
น่าจะเป็นเงินจากเรื่องเรือนรับรองจงหลิง อีกห้าร้อย
ตำลึง หากเดาไม่ผิด ก็น่าจะเป็นเงินที่หยวนหรงควัก
กระเป๋าตัวเองออกมา
เพราะเมื่อคืนช่วยเอาสัญญาขายตัวของเจินจูกลับมา
ให้ อีกทั้งยังยกเรือสำราญให้เจินจูอีก เรือสำราญนั่นก็
น่าจะมีมูลค่าไม่น้อย ในสายตาของหยวนหรง เขา
ช่วยเจินจู ก็เหมือนช่วยตัวหยวนหรงด้วย ควักเงินให้
ห้าร้อยตำลึงออกมาคราวนี้ ก็เหมือนเป็นการขอบคุณ
หยวนหรงเทียบไม่ได้กับเหล่าเศรษฐีมีเงินพวกนั้น
ควักออกมาได้ห้าร้อยตำลึง ก็คิดว่าน่าจะแทบงัด
กระดูกออกมาแล้ว แต่มันก็แสดงถึงน้ำใจของเขา
บนจดหมายเขียนไว้ง่ายๆ ว่า “อิจฉาคู่นกกระยางแต่
ไม่อิจฉาเซียน เหล่าพี่น้องเพื่อนฝูงส่งของขวัญมาให้
ร่วมฉลองที่โหวเยวี่ยกับแม่นางเซียนเอ๋อร์มีวาสนาต่อ
กัน”
เนื้อจดหมายมีข้อความหยอกล้อเขาด้วย แต่ก็เขียน
เอาไว้ชัดเจน ของขวัญพวกนี้มาจากคนพวกนั้นจริงๆ
ไม่มีผลงานไม่รับเบี้ยหวัด ถึงแม้หยางหนิงจะช่วยพวก
เขาจากสถานการณ์เหล่านั้นจริง แต่ของพวกนี้มันก็มี
มูลค่าสูงเกินไป ทั้งหมดรวมๆ แล้ว อย่างน้อยก็ต้องมี
สองสามหมื่นตำลึง มันไม่ใช่น้อยๆ เลย
ถึงแม้พวกเขาจะไม่เห็นว่ามันมากมายอะไร แต่ว่าห
ยางหนิงรู้ว่า เบื้องหลังของขวัญพวกนี้มันคืออะไร
การทะเลาะกันเมื่อคืนนี้ ทำให้พวกของจูอวี่เฉินผิดใจ
กับพวกของโต้วเหลียนจง เมื่อผิดใจกับโต้วเหลียนจง
ก็เหมือนกับมีปัญหากับราชเลขากรมพระคลัง
กรมพระคลังก็เหมือนยมบาลของเหล่าตระกูลการค้า
ขาย พวกเขาดูแลจัดการการเงินภาษีของแคว้น หาก
จะหาเรื่องพ่อค้า หรือตระกูลค้าขายใด ก็ต้องรับกรรม
กันไปให้จวนจิ่นอีโหวเป็นที่พึ่งใหญ่ของพวกเขา
ถึงแม้ฉีจิ่งจะเสียไปแล้ว จวนจิ่นอีโหวจะอ่อนอำนาจ
ลง แต่ว่าทุกคนในต้าฉู่ก็รู้ดีว่าจิ่นอีโหวยังคงเป็นเสา
หลักของแคว้นฉู่อยู่ อำนาจด้านการทหารยังคงอยู่
ต้นไม้ใหญ่แบบนี้ ราชเลขากรมพระคลังจะเทียบได้
อย่างไร
ในเมื่อผิดใจกับทางราชเลขากรมพระคลังไปแล้ว
แทนที่จะเอาเงินไปประจบตระกูลโต้ว ไม่สู้ให้จิ่นอีโหว
เป็นที่พึ่งให้พวกเขาดีกว่า อย่างน้อยในสายตาของ
พวกจูอวี่เฉิน มีจิ่นอีโหวคุ้มครอง ตระกูลโต้วก็คงไม่
กล้าจะทำอะไร พวกเขาเห็นมากับตา แม้แต่ไหว
หนานอ๋องซื่อจื่อยังเกรงใจจิ่นอีโหวอยู่พอประมาณ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชเลขากรมพระคลัง
อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นเศรษฐี เรื่องที่เกิดขึ้นใน
เมืองหลวง พวกเขาไม่อาจจะไปเสี่ยงกับมันได้
“กำไลชิ้นนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” หยางหนิงเก็บตั๋วเงิน
เข้าไป แล้วยื่นกำไลให้หานโซ่วดู “เจ้าว่ามันมีราคา
เท่าใด?”
หานโซ่วรู้สึกหมดคำพูด แอบคิดในใจว่าโหวน้อยไม่
เคยสนใจเรื่องเงินทองเลย แต่วันนี้กลับสนใจและใส่
ใจเรื่องนี้มาก? เขารับกำไลมา แล้วมองอย่างละเอียด
จากนั้นก็พูดว่า “โหวเยวี่ย ของขวัญที่คุณชายหยวน
ให้มาทั้งหมดเป็นของหายากมีมูลค่าสูงทั้งนั้น ไม่ต้อง
ไปพูดถึงหม่าหวงปานเมื่อครู่ กำไลชิ้นนี้ ทำมาจาก
หยกซิ่วอวี้อย่างดี โหวเยวี่ยท่านดูสีของมันสิ ยิ่งเป็น
หยกซิ่วอวี้ที่เนื้อดีมากๆ แล้ว สีของมันก็จะยิ่งเข้ม
กำไลหยกซิ่วอวี้ชิ้นนี้สีเข้มมากๆ อีกทั้งยังใสสามารถ
มองทะลุปรุโปร่งได้ ถือว่าหาได้ยาก ด้านในยังมีการ
แกะสลักลายดอกไม้ด้วย...” เขามองอยู่พักหนึ่ง แล้ว
ก็ชมว่า “เป็นการทำที่ประณีตมาก หากเป็นกำไล
หยกซิ่วอวี้ธรรมดา มันก็มีมูลค่าประมาณหนึ่งพัน
ตำลึงเลย แต่หากว่ามันมีสลักลายดอกไม้แบบนี้ หาก
ไม่จ่ายสองพันตำลึงขึ้นไปคงยากที่จะได้มา” เขาอด
ไม่ได้ที่จะถามว่า “โหวเยวี่ย อย่าบอกนะว่าท่านคิดจะ
ขายมันทิ้ง?”
“ขายทิ้ง?” หยางหนิงเก็บกำไลหยกเข้ากล่องไปอย่าง
ระมัดระวัง ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่ถามว่ามันมีราคา
หรือไม่ ถ้าไม่มีข้าคงเอาไปให้ซานเหนียงไม่ได้
พ่อบ้านหาน ของพวกนี้เจ้าเอาไปไว้ในห้องของข้า
ก่อน ระวังให้ดี ของดีดีทั้งนั้น ห้ามทำแตกล่ะ”
วันนี้ได้รับของขวัญแบบนี้ หยางหนิงรู้สึกมีความสุข
มาก
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าจวนจิ่นอีโหวไม่รับเงินสินบนของ
ขุนนาง แต่พวกของจูอวี่เฉินไม่ใช่ขุนนาง แถมของ
พวกนี้จะบอกว่าเป็นสินบนก็ได้ แต่ว่าเมื่อคืนเขาช่วย
ให้พวกนั้นพ้นภัย ก็ออกแรงไปไม่น้อย ได้ของขวัญ
กลับมาบ้าง อย่างน้อยในใจของหยางหนิงก็ไม่ได้รู้สึก
ไม่สบายใจอะไร
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 182 ไม่สนใจ
หยางหนิงให้หานโซ่วไปเตรียมอาหาร ส่วนตัวเขาก็ยก
อาหารเหล่านั้นเดินไปนอกเรือนที่อยู่ของกู้ชิงฮั่น
ประตูเรือนของนางปิดอยู่ หยางหนิงยื่นมือไปเปิด แต่
ว่าเปิดไม่ออก มันถูกล็อกจากข้างใน เขารู้ว่าครั้งนี้กู้
ชิงฮั่นโกรธจริงๆ เขาจะต้องหาวิธีง้อให้ดี
เขาเคาะประตู ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงดังออกมาจาก
ในเรือน “ใคร? ฮูหยินสามบอกว่า ไม่พบใครทั้งนั้น”
เสียงนี้เป็นสาวใช้คนสนิทของกู้ชิงฮั่นแน่นอน
หยางหนิงกระแอม แล้วพูดว่า “ข้าเอง โหวเยวี่ยของ
เจ้า”
“โหวเยวี่ย?” สาวใช้คนนั้นตกใจ “โหวเยวี่ย ฮูหยิน
สามบอกว่าไม่ว่าใครก็ไม่พบ โหวเยวี่ยท่านกลับไป
เถอะ”
“ข้าจะกลับไปได้อย่างไร?” หยางหนิงพูดว่า “ฮูหยิน
สามไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้ว ข้าเอาอาหารมาให้
รีบเปิดประตูเร็ว ไม่อย่างนั้นข้าจะลงโทษเจ้าแล้ว
นะ?”
สาวใช้คนนั้นลังเล แล้วพูดว่า “ข้าน้อยไม่กล้าเปิด”
หยางหนิงทุบประตูอีก จากนั้นนั้นก็เรียกสาวใช้อีก
แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากสาวใช้เลย
หยางหนิงเริ่มโกรธ จึงคิดว่าเหตุใดสาวใช้คนนี้ถึงได้ไม่
มีมารยาทขนาดนี้ ข้าเป็นถึงโหวเยวี่ยของจวนมาด้วย
ตัวเอง แต่กลับไม่เปิดประตู ถึงแม้กู้ชิงฮั่นจะเป็นคน
สั่งก็เถอะ ไว้ค่อยหาทางจัดการทีหลัง
ประตูใหญ่ปิดเอาไว้สนิท ไม่สามารถเข้าไปได้
หยางหนิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เขาเดินถอยหลัง
ประมาณสองก้าว เงยหน้าขึ้นมา เห็นว่ากำแพงเรือน
ก็ไม่ได้สูงมาก เขาจึงเดินเข้าไป ยกมือขึ้นไป มัน
สามารถเอาถาดอาหารวางบนนั้นได้พอดี จากนั้นเขา
ก็เลยปีนกำแพงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
การปีนข้ามสิ่งกีดขวางเป็นหนึ่งในวิชาที่เขาเคยอบรม
มาก่อน ถึงแม้ร่างกายของเขาตอนนี้จะไม่ได้แข็งแรง
กำยำเหมือนเมื่อก่อน แต่ว่าแค่ปีนกำแพงก็ไม่ได้
ลำบากอะไร เมื่อเข้ามาในเรือนได้ ก็เห็นสาวใช้คนนั้น
กำลังเอาหูแนบกับประตูอยู่ เหมือนกำลังฟังความ
เคลื่อนไหวด้านนอกประตู
สาวใช้คนนี้อายุราวยี่สิบปี หน้าตาน่ารักน่าชัง
หยางหนิงยิ้ม จากนั้นก็เดินไปอยู่ด้านหลังของสาวใช้
สาวใช้เหมือนได้ยินมีความเคลื่อนไหวด้านหลัง นาง
จึงตกใจ หันหลังกลับมาทันที เห็นหยางหนิงยืนอยู่
ด้านหลัง ก็ตกใจเป็นอันมาก หยางหนิงจึงทำหน้าดุใส่
แล้วพูดเสียงเบาๆว่า “เจ้าห้ามพูดอะไรทั้งนั้น ยืนอยู่
ตรงนี้หา้ มไปไหน ไม่อย่างนั้นข้าจะไล่เจ้าออกจาก
จวนไปทันที”
สาวใช้อ้าปากค้าง ไม่กล้าพูดอะไร
หยางหนิงยิ้ม แล้วพูดว่า “เชื่อฟังอย่างนี้สิดี เจ้าอย่า
ลืมนะ ข้าคือจิ่นอีโหว เรื่องในจวนนี้ข้าเป็นคน
ตัดสินใจ” จากนั้นมองไปรอบๆ เห็นภายในตกแต่ง
อย่างประณีต ไม่เพียงมีต้นไม้ ยังมีสวนหย่อมอีกด้วย
“ซานเหนียงอยู่ในห้องหรือ?” หยางหนิงยกถาด
อาหารลงมาจากำแพง แล้วถามเสียงเบาๆ
สาวใช้พยักหน้า กำลังจะอ้าปาก หยางหนิงชี้ไปที่นาง
แล้วพูดว่า “ก่อนข้าจะออกจากเรือนนี้ไป เจ้ายืนอยู่
ตรงนี้ห้ามไปไหนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าจะจัดการเจ้า
ทันที ยังมีอีก หลังจากข้าเข้าไปในห้องแล้ว หากว่า
ฮูหยินสามเรียกเจ้า เจ้าก็ยืนอยู่ตรงนี้ห้ามเข้าไป
เด็ดขาด” เขาหยุดไป แล้วขู่อีกว่า “พ่อบ้านชิวเจ้า
รู้จักใช่หรือไม่? ฉีวี่เจ้าก็รู้จักใช่หรือไม่? ข้าไล่พวกเขา
ออกจากจวนไปหมดเลยนะ”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนในจวนรู้กันทั่ว สาวใช้ก้มหน้า
ไม่กล้าพูดอะไรอีก
หยางหนิงยกถาดอาหาร แล้วเดินเข้าไปในห้อง ใน
ห้องเงียบมาก หยางหนิงมาที่นี่ครั้งแรก เห็นว่าซ้าย
ขวาต่างมีห้อง เขาคิดว่าด้วยฐานะของกู้ชิงฮั่น นาง
น่าจะอยู่ที่ห้องด้านซ้าย ก็เลยเดินไปทางนั้น เมื่อเข้า
ใกล้ประตูห้อง ก็ได้กลิ่นหอมลอยมา
ประตูแง้มไว้ ไม่ได้ปิด หยางหนิงผลักประตูเข้าไป
แล้วค่อยๆ เดินเข้าห้องไป ตอนนี้เป็นตอนเย็นแล้ว
แสงแดดสาดส่องเข้ามาที่หน้าต่าง ในห้องดูสว่าง
ในห้องนอนของกู้ชิงฮั่นไม่ได้ตกแต่งหรูหรา แต่ดู
สบาย ของภายในห้องก็ไม่ได้มีเยอะ แต่เป็นระเบียบ
ตรงกลางมีเตียงและมีผ้าม่านสีชมพู ยังไม่ดึก ผ้าม่าน
จึงไม่ได้ปิดลง ตอนนี้กู้ชิงฮั่นหันหลังให้กับประตู นาง
กำลังนอนตะแคงอยู่บนเตียง
รูปร่างของนางดูอวบอิ่ม แต่ว่าทรวดทรงดี ตอนนี้เมื่อ
มองไปที่นาง เห็นเอวของนางชัดเจน ส่วนเว้าส่วนโค้ง
เห็นชัดทั้งหมด สะโพกของนางทับกระโปรงอยู่ ทำให้
รู้สึกว่าก้นของนางนั้นอวบอิ่มมากๆ
ขาเรียวยาว ท่าทางแบบนี้ มันดูน่าหลงใหลไม่น้อย
หยางหนิงตะลึงไป จากนั้นเขาก็รีบหันหน้าหนีไปจาก
ก้นของนาง แล้ววางอาหารไว้บนโต๊ะกลม
กู้ชิงฮั่นไม่ได้หลับ เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว นางไม่ได้
หันกลับมา แต่เอ่ยปากถามว่า “เจ้าตัวแสบกลับไป
แล้วหรือ?”
นางคิดว่าเป็นสาวใช้ของนางเดินเข้ามา
หยางหนิงเดินเข้าไปให้ใกล้ขึ้น ใบหน้าของเขายิ้ม
อย่างอ่อนโยน แล้วพูดเบาๆว่า “ยังโกรธข้าอีกหรือ?”
กู้ชิงฮั่นลุกขึ้นมา จากนั้นก็หันหน้ากลับมา เห็น
หยางหนิงกำลังยิ้มให้อยู่ริมที่เตียง นางก็ตกใจ รีบลุก
ขึ้นมาจากเตียง แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้า...เจ้า
เข้ามาได้อย่างไร?”
หยางหนิงชี้ไปที่ประตู แล้วพูดว่า “เดินเข้ามาจาก
ข้างนอกนั้นอย่างไร?”
“เจ้า...” กู้ชิงฮั่นทั้งโกรธทั้งร้อนใจ “เจ้าออกไป
เดี๋ยวนี้นะ ใครให้เจ้าเข้ามาในห้องนอนของข้า?”
หยางหนิงพูดว่า “ซานเหนียง ท่านอย่าโกรธเลยนะ
ฟังข้าอธิบายก่อนได้หรือไม่?”
“อธิบายอะไร?” กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่หยางหนิง แล้วพูด
ด้วยความโมโหว่า “แม่นางเซียนเอ๋อร์คนนั้นตั้งใจจะ
มาขอขมาเจ้าไม่ใช่หรือ? ใกล้มืดแล้ว เจ้ายังไม่รีบไป
อีก นางคงจะรอจนร้อนใจแล้ว”
หยางหนิงรู้สึกว่าคำพูดคำจาของกู้ชิงฮั่นแปลกๆ ไป
ก็เลยพูดไปว่า “ซานเหนียง ท่าน...ท่านคงไม่ได้หึงข้า
ใช่หรือไม่?”
“อะไรนะ?” กู้ชิงฮั่นอึ้งไป หน้าของนางก็เริ่มแดง
ขึ้นมา สายตาของนางเต็มไปด้วยความโมโห แล้ว
ตะคอกกลับไปว่า “เจ้า...เจ้าว่าข้าเหตุใดนะ? ฉีหนิง
ตอนนี้เจ้า...ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน อะไรก็กล้าพูดออกมา
ได้ เหตุใดข้าจะต้องหึงหวงนางโลมพวกนั้นด้วย?
นางคู่ควรหรือ?” แต่พอนางพูดแบบนี้ออกมาก็รู้สึกว่า
สิ่งที่นางพูดนั้นมันเหมือนจะมีปัญหา ก็เลยรีบพูดว่า
“ข้าไปหึงเจ้าตอนไหน ข้า...” ปกตินางเป็นคนสุขุม
แต่ว่าไม่รู้เหตุใด คำพูดสั้นๆ ของหยางหนิงกลับทำให้
นางดูลุกลี้ลุกลนมากขนาดนี้ แถมยังไม่รู้ว่าต้องตอบ
เขาอย่างไรด้วย นางหันไปหยิบหมอน แล้วก็ขว้างเข้า
ใส่หยางหนิง
หยางหนิงต้องรับมันได้อยู่แล้ว เขารู้สึกว่าหมอนนั้นมี
กลิ่นหอมจากตัวของนางด้วย
“เจ้าจะออกไปหรือไม่?” กู้ชิงฮั่นชี้ไปที่ประตู
“ออกไป ออกไปจากห้องนอนข้าเดี๋ยวนี้นะ” นางเห็น
ว่าหยางหนิงไม่ได้มีความคิดที่จะออกไป นางโกรธ
มาก ลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “ได้ ตอนนี้เจ้าเป็นจิ่นอีโหว
แล้วนี่ ข้าว่าอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าจะไปบอกไท่ฮูหยิน
ดูสิว่านางจะว่าอย่างไร” จากนั้นนางก็จ้องไปที่
หยางหนิง แล้วเดินผ่านหน้าเขาไป
หยางหนิงรีบยื่นมือออกไปจับกู้ชิงฮั่นเอาไว้ เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ซานเหนียง ท่านให้เวลาสักนิดเถอะ ให้
ข้าได้อธิบายให้ท่านฟัง พูดจบแล้วท่านจะเอาข้าไปฆ่า
ไปแกงอย่างไรก็แล้วแต่ท่านเลย”
กู้ชิงฮั่นสะบัดมือของหยางหนิงออก นางก็แค่อยากจะ
ขู่หยางหนิงเท่านั้น ไม่ได้คิดจะไปหาไท่ฮูหยินจริงๆ
นางหันหน้ากลับมา แล้วพูดว่า “เจ้าจะพูดอะไร?”
“ซานเหนียง ข้าขอสารภาพกับท่าน เมื่อคืนนี้
หยวนหรงมารับข้าไปที่แม่น้ำฉินไหวจริง...”
หยางหนิงเพิ่งพูด กู้ชิงฮั่นก็พูดแทรกขึ้นมาแล้วว่า
“เจ้าจะไปไหน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่า
เขาจะรับข้าไปที่นั่น ไปถึงแล้วถึงได้รู้ เมื่อคืนนี้ที่นั่นมี
การจัดงานคัดเลือกราชินีดอกไม้ ตอนนั้นข้าคิดจะ
กลับมาแล้ว แต่ว่านอกจากหยวนหรงแล้ว ยังมีเพื่อน
คนอื่นอยู่ที่นั่นด้วย ข้าก็แค่คิดจะอยู่เป็นเพื่อนพวกเขา
สักหน่อย.....”
“นั่งเป็นเพื่อนก็เลยนั่งกันถึงเช้าเลยหรือ?” กู้ชิงฮั่น
เบือนหน้าหนี ไม่มองหยางหนิง
“หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องที่ข้าคาดไม่ถึงเข้า” หยางหนิง
ยกเก้าอี้มาให้กู้ชิงฮั่น “ซานเหนียง ข้าขอนั่งก่อน
เดี๋ยวข้าจะอธิบายอย่างละเอียดเลย”
กู้ชิงฮั่นมองไปที่หยางหนิง แต่ก็นั่งลง
“จริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่เจ้าโต้วเหลียนจงกับ
สำนักคุ้มภัยเสวียนรื่อที่ชื่อติง...เอ่อ ติงอะไรถู”
หยางหนิงแกล้งทำเป็นลืม กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ติงอี้ถู เขา
เป็นหัวหน้าสำนักคุ้มภัยเสวียนรื่อ เคยเป็นลูกน้องของ
พ่อเจ้ามาก่อน ภายหลังทำผิดกฎทหาร ถูกขับออก
จากกองทัพของพ่อเขาไป เจ้าเจอเขาหรือ?”
“ใช่ๆ ซานเหนียงรอบรู้นัก ถูกแล้วชื่อติงอี้ถู”
หยางหนิงยิ้ม แล้วก็ลากเก้าอี้จะมานั่ง แต่ว่าก้นยังไม่
แตะโดนเก้าอี้ กู้ชิงฮั่นก็จ้องเขา แล้วพูดว่า “ที่นี่ห้อง
ของข้า ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นจิ่นอีโหวหรือไม่ ข้าไม่
อนุญาตให้เจ้านั่ง เจ้าก็ไม่มีสิทธินั่ง”
“ได้ๆ ข้าไม่นั่ง” หยางหนิงเห็นกู้ชิงฮั่นเหมือนยังโกรธ
อยู่ แต่ว่าท่าทางที่นางโกรธ กลับมีเสน่ห์ที่บรรยายไม่
ถูก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ที่งานคัดเลือกราชินีดอกไม้
ติงอี้ถูกับโต้วเหลียนจง แล้วก็เพื่อนที่หยวนหรงพามา
แย่งผู้หญิงคนหนึ่ง...”
“มีแต่พวกไม่เอาไหนทั้งนั้น” กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความ
รังเกียจ “งานการไม่ทำ วันๆ ก็รู้แต่จะ...ทำเรื่องเลวๆ
ไม่เอาไหนทั้งนั้น” จากนั้นก็มองไปที่หยางหนิง แล้ว
พูดว่า “เจ้าคบหาแต่กับคนพวกนี้ คงเรียนรู้แต่อะไร
ไม่ดี”
หยางหนิงแกล้งพูดอย่างน้อยใจแล้วพูดว่า
“ซานเหนียง ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าไม่ได้คิดจะทำ
ตามหรือว่าเรียนรู้อะไรจากพวกเขานะ เดิมทีข้าตั้งใจ
จะกลับมาแล้ว แต่ว่าสองฝั่งนั้นเปิดศึกขึ้นมา ข้าก็ไม่
สะดวกที่จะออกมาแบบนั้น ตอนหลังพวกของ
โต้วเหลียนจงก็พาคนเข้ามาหาเรื่องถึงที่ บอกว่า
อย่างไรก็จะเอาตัวแม่นางคนนั้นไปให้ได้ แล้วก็ลงมือ
จะแย่งไป แล้วยังบอกอีกว่าจะให้แม่นางคนนั้นตาย
ทั้งเป็นอีกด้วย”
เขารู้ว่าจะอธิบายให้กู้ชิงฮั่นฟัง จะเล่าความจริง
ทั้งหมดไม่ได้ แต่เพราะว่าพูดความจริงทั้งหมดไม่ได้ ก็
จะต้องหาทางรับมือให้ดี
สีหน้าของกู้ชิงฮั่นดูรังเกียจมาก เมื่อนางฟังถึงตรงนี้ ก็
เลยขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “แม่นางที่เจ้าพูดถึง คงไม่ใช่
แม่นางเซียนเอ๋อร์ที่ส่งคนมาวันนี้หรอกใช่หรือไม่?”
“แล้วใครว่าไม่ใช่เล่า” หยางหนิงพูดว่า “เดิมที
แม่นางคนนั้นก็ไม่ได้มีความผิดอะไร แต่ว่ากลับโดน
ลากเข้ามาเกี่ยวด้วย”
ถึงแม้กู้ชิงฮั่นจะเย็นชา แต่ว่าเมื่อได้ยินโต้วเหลียนจง
แย่งตัวแม่นางเซียนเอ๋อร์ต้องการทรมานนาง จึงร้สึก
เป็นห่วงขึ้นมา แล้วพูดว่า “แล้วอย่างไรต่อ? แม่นาง
เซียนเอ๋อร์ถูกพวกของโต้วเหลียนจงเอาตัวไป
หรือไม่?”
“ซานเหนียง หากว่าเป็นท่าน ท่านจะยอมให้พวกเขา
พาเซียนเอ๋อร์ไปหรือไม่?” หยางหนิงถาม
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ไม่เด็ดขาด หากให้นางตกไปอยู่ในมือ
ของพวกเขา แม่นาง...แม่นางเซียนเอ๋อร์จะไม่เป็นไร
ได้อย่างไร? หนิงเอ๋อร์ ต่อมาเป็นอย่างไร?” ไม่รู้เหตุ
ใด ความโกรธก่อนหน้านี้ของนางตอนนี้กลายมาเป็น
ความตระหนกไปได้ นางเริ่มเป็นห่วงจั่วเซียนเอ๋อร์
ขึ้นมา
หยางหนิงแอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนหน้านี้กู้ชิงฮั่นไม่
สนใจเขา แต่ว่าลึกๆ แล้วนางก็เป็นคนดี ก่อนหน้านี้
นางยังรู้สึกแย่กับจั่วเซียนเอ๋อร์อยู่เลย แต่ไม่นานก็
เปลี่ยนไป เพราะกลัวว่าจั่วเซียนเอ๋อร์จะเป็นอันตราย
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 183 หยกงามแต่หญิงงามกว่า
หยางหนิงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ ทำท่าทางเหนื่อย
ใจ แล้วก็นั่งลงเก้าอี้ กู้ชิงฮั่นเหลือบไปมอง แต่ก็ไม่ได้
พูดอะไร
“ซานเหนียงขนาดท่านไม่อยากให้จั่วเซียนเอ๋อร์ตกไป
อยู่ในมือของพวกเขา แล้วข้าจะทนได้อย่างไร ยังดีที่
เพื่อนของหยวนหรงก็ถือว่ายังเป็นคนดีมีคุณธรรมอยู่
บ้าง พวกเขาพยายามจนสุดความสามารถสุดท้ายก็
ชนะจนได้” หยางหนิงพูดอีกว่า “แต่ว่าซานเหนียงก็รู้
โต้วเหลียนจงมันเป็นแย่มากเพียงใด เดิมทีข้าจะกลับ
อยู่แล้ว แต่ว่าพวกเขาบอกว่าหากข้ากลับไปแบบนี้
กลัวว่าพวกของโต้วเหลียนจงจะไม่พอใจ แล้วจะ
ย้อนกลับมาอีก”
“ดังนั้น...ดังนั้นเจ้าก็เลยอยู่ที่นั่น?” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว
หยางหนิงยิ้มขมขื่นแล้วพูดว่า “เหตุใดข้าจะไม่รู้ว่า
ซานเหนียงรอข้าอยู่ที่บ้าน ข้าไม่กลับบ้าน ท่าน
จะต้องเป็นห่วงข้ามากแน่ๆ แต่ว่า...เฮ้อ แต่ว่าหากข้า
กลับมาแบบนั้น เกิดทางนั้นเกิดอะไรขึ้นมา ข้าเองก็มี
ส่วนผิด” เขาหยุดไปแล้วพูดว่า “หลังจากที่ข้า
ทบทวนดูแล้ว ก็เลยอยู่ที่นั่น โต้วเหลียนจงอย่างไรก็
ยังพอจะหวาดกลัวข้าอยู่บ้าง ข้าอยู่ที่นั่น โต้วเหลียน
จงไม่กล้าหาเรื่องอย่างแน่นอน”
กู้ชิงฮั่นจึงถามว่า “เรื่องมีแค่นี้?”
“ซานเหนียงไปถามต้วนฉางไห่ได้เลย” หยางหนิงพูด
ด้วยท่าทีที่จริงจัง “ซานเหนียง ข้าสาบานได้เลย เรื่อง
มีแค่นี้ แม้แต่มือของเซียนเอ๋อร์ข้าก็ไม่ได้จับ”
กู้ชิงฮั่นหน้าเริ่มแดงขึ้น แล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้อยากจะ
ยุ่งเรื่องพวกนี้ของเจ้าหรอก เจ้าอยากจะทำอะไรก็
เรื่องของเจ้า” จากนั้นก็ถามว่า “เจ้าไม่กลัวหลังจากที่
เจ้ากลับมาแล้ว โต้วเหลียนจงจะกลับมาอีกหรือ?”
“จะให้ข้าเฝ้านางตลอดชีวิตคงไม่ได้หรอก นอกจาก
ซานเหนียงที่ข้าอยากจะปกป้องไปตลอดชีวิตแล้ว คน
อื่นข้าคงทำเท่าที่ทำได้” หยางหนิงตั้งใจถอนหายใจ
ยาวๆ “แต่ว่าข้าอยู่ที่นั่นครึ่งคืน ไม่เห็นโต้วเหลียนจง
มาอีก คิดว่าเขาก็คงไม่ได้อยากจะมีปัญหากับข้า
เพราะในมือของข้ายังมีใบค้างหนี้ของเขาอยู่ หากเขา
มาหาเรื่องจริง ข้าไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่นอน”
กู้ชิงฮั่นสีหน้าเริ่มอ่อนลง ไม่ได้เย็นชาแข็งกระด้าง
เหมือนก่อนหน้านี้ นางมองไปที่หยางหนิง แล้วพูดว่า
“ใครจะให้เจ้ามาปกป้องตลอดชีวิตกันเล่า เจ้าดูแล
ตัวเองให้ดีๆ ก็พอ” แต่ว่าในสายตาของนาง มันเต็ม
ไปด้วยความสุข เพียงแต่ว่าไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าของ
นางเท่านั้น นางพูดว่า “เป็นคนดีก็ต้องดีให้ถึงที่สุด
ช่วยก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด หากเจ้ามีเวลาว่าง ก็ไปเยี่ยม
นางหน่อยก็แล้วกัน ข้าก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล ได้ยิน
มาว่าผู้หญิงที่แม่น้ำฉินไหวพวกนางก็ลำบาก ที่พวก
นางเป็นแบบนี้ ก็ไม่ได้เต็มใจกันทุกคน หากเจ้าไม่แวะ
ไปเลย เกรงว่าจะมีคนคิดไม่ดี”
นางเคยเจอโต้วเหลียนจง รู้ว่าเขาเป็นพวกเจ้าชู้หื่น
กาม กู้ชิงฮั่นเกลียดคนแบบเขาที่สุด
“ซานเหนียง จริงๆ แล้วเมื่อคืนข้าไม่ได้อยู่ที่แม่น้ำฉิน
ไหวทั้งคืน ตอนเที่ยงคืนข้าคิดจะกลับมาแล้ว แต่ว่า
...” ในเมื่อหยางหนิงง้อจนกู้ชิงฮั่นเริ่มใจอ่อนแล้ว ก็
เลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหลังจากนั้นให้นางฟัง
กระดาษห่อไฟไม่ได้ ใครจะรู้ว่าเรื่องที่เขาถูกคนของ
จวนเสินโหวจับตัวไปกู้ชิงฮั่นจะไม่รู้ หากถึงตอนนั้น
นางมารู้ทีหลัง อาจจะเกิดคลื่นลูกใหม่มาอีกก็ได้
เมื่อกู้ชิงฮั่นได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วก็รู้สึกตกใจมากจึง
รีบพูดขึ้นว่า “เกิดเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ หนิงเอ๋อร์ เจ้า
ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” จากนั้นก็ลุกขึ้นมาตรวจดู
ร่างกายหยางหนิงอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าห
ยางหนิงไม่เป็นอะไรจริงๆ นางถึงวางใจ จากนั้นก็พูด
ด้วยความโกรธว่า “ต้วนฉางไห่เป็นองครักษ์ของเจ้า
เหตุใดถึงกล้าทิ้งเจ้าไว้แบบนั้น ข้าต้องสั่งสอนเขาให้
หนัก”
“ซานเหนียง เมื่อครู่ข้าบอกไปแล้ว เขาเองก็จำคนผิด
อยากจะแก้แค้นให้ท่านพ่อ อย่าไปว่าเขาเลย” หยาง
หนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แต่ว่าเจ้าผีดูดเลือดนั่นยังไม่
ถูกจับ ตอนนี้ยังอยู่ในเมืองหลวง มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
เลยนะ”
กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “หนิงเอ๋อร์ วันหลัง
กลางคืนเจ้าก็อย่าออกไปไหนอีกเลย รอให้จับฆาตกร
ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถึงแม้จะมีเรื่องต้องออกไปจริง
ก็ต้องมีองรักษ์ตามเจ้าไปด้วย” นางขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “คนของจวนเสินโหวเหตุใดถึงไม่แยกแยะเลย
ใครๆ ก็บอกว่าซีเหมินเสินโหวดูแลเข้มงวดจริงจัง คิด
ไม่ถึงว่าลูกน้องของเขาจะทำเรื่องให้เข้าใจผิดมาก
ขนาดนี้”
หยางหนิงเห็นกู้ชิงฮั่นกลับมาเป็นห่วงเขาเหมือนเดิม
แล้ว ก็วางใจ ในใจก็คิดว่าเขาแต่งเรื่องมาง้อกู้ชิงฮั่น
กลับไปจะต้องไปบอกต้วนฉางไห่อีกที เขาลุกขึ้น ยิ้ม
แล้วพูดว่า “ซานเหนียง ท่านไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน
แล้ว มากินสักหน่อยเถอะนะ ข้าเองก็หิวแล้ว
เหมือนกัน ข้ากินเป็นเพื่อนท่านเอง”
“เจ้าอยากกิน เจ้าก็ไปให้คนอื่นทำให้เจ้ากินสิ ที่นี่เป็น
ห้องของข้า เจ้า...แอบเข้ามาแบบนี้ หากใครรู้เข้า มัน
จะดูไม่ดี” กู้ชิงฮั่นเหลือบไปมองหยางหนิง แล้วพูดว่า
“รีบออกไป อย่าอยู่ที่นี่นาน ยังมีอีกเรื่อง ต่อไปห้าม
เจ้ามาที่นี่อีก ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ”
จริงๆ หยางหนิงก็รู้ ว่าที่นี่เป็นห้องนอนส่วนตัวของ
นาง ตัวเขาอยู่ที่นี่มันก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่ว่าหาก
คนอื่นรู้เข้า มันก็ไม่ดี
เขายิ้ม แล้วพูดว่า “ซานเหนียง ข้ามีของจะให้ท่าน”
“มีของจะให้ข้าหรือ?” กู้ชิงฮั่นรู้สึกแปลกใจ “เหตุใด
อยู่ๆ ถึงอยากจะให้ของข้า?” ในที่สุดนางก็ยิ้มจนได้
“ข้าก็ไม่ได้ขาดอะไร ขอแค่เจ้าปลอดภัยก็พอแล้ว”
หยางหนิงเหมือนเล่นมายากล ในมือของเขาก็มีกำไล
วงหนึ่งโผล่ขึ้นมา มันคือกำไลซิ่วอวี้ แสงสีเขียวสว่าง
ไสว
กู้ชิงฮั่นเกิดในตระกูลผู้ดี นางมองครู่เดียวก็รู้ นางพูด
ด้วยความตกใจว่า “นี่มันกำไลหยกซิ่วอวี้ใช่หรือไม่?”
“ซานเหนียงความรู้กว้างขวางจริงๆ นับถือ นับถือ”
หยางหนิงหัวเราะร่า “หานโซ่วบอกว่ามันคือ
หยกซิ่วอวี้ที่มีราคามาก หาได้ยาก ยังบอกอีกว่างาน
แกะสลักด้านบนนั้นก็งานดีมากเช่นกัน”
กู้ชิงฮั่นรับกำไลหยกซิ่วอวี้มา แล้วดูมันอย่างละเอียด
จากนั้นพยักหน้าแล้วพูดว่า “นี่เป็นหยกซิ่วอวี้ชั้นดี
จริง หยกชั้นดีแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ อีกทั้งงานแกะสลัก
ก็ใช้ช่างแกะสลักที่ไม่ธรรมดาเลย” จากนั้นก็ยื่น
กลับไปให้เขา ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่เอา”
หยางหนิงอึ้งไป แล้วพูดว่า “เพราะเหตุใด?”
“ไม่เอาก็คือไม่เอา ไม่มีเหตุใด” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เจ้าไป
เอากำไลหยกซิ่วอวี้มาจากที่ใด?”
หยางหนิงก็ไม่ได้ปกปิดนาง เขาพูดความจริงกับนาง
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้ารับ
สินบนจากพวกเขาหรือ? เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่า ท่าน
เหล่าโหวกับพ่อของเจ้าตอนที่พวกเขามีชีวิตอยู่ ไม่
เคยรับเงินสินบนเลย พวกเขาเป็นขุนนางมือสะอาด
ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเขารับสินบนจริงพวกเรา
จวนจิ่นอีโหวจะขาดเงินแบบนี้หรือ” แล้วนางก็ยื่น
กำไลคืนให้เข้าไปใกล้อีก แล้วพูดว่า “ของแบบนี้ ข้า
ไม่เอา”
“สินบน?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ท่าน
บอกข้าหน่อยว่า อะไรคือสินบน?”
กู้ชิงฮั่นอึ้งไป หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใน
สายตาของข้า มีคนมาขอให้ท่านช่วยเหลือ แล้วเอา
เงินหรือแม้แต่ผู้หญิงที่งามราวกับภาพวาด เพื่อให้
ได้มาซึ่งเป้าหมายถึงได้เอาของมาให้ นั่นถึงจะเรียกว่า
สินบน แต่ว่าของพวกนี้ เป็นเพราะข้าช่วยพวกเขา
แก้ไขสถานการณ์เอาไว้ พวกเขามีน้ำใจเอาของพวกนี้
มาให้ ซานเหนียง ข้าพูดตรงๆ พวกเขาเป็นคนมี
คุณธรรม ข้ากับพวกเขาก็คุยกันถูกคอดี ถือว่าเป็น
เพื่อนกัน ระหว่างเพื่อนให้ของขวัญกันไปมา ท่านอย่า
บอกข้านะว่าไม่ได้? ออกนอกบ้านต้องพึ่งพาเพื่อนฝูง
หากข้าไม่คบเพื่อนบ้าง แล้วต่อไปจะทำอะไรได้อีก?”
ถึงแม้กู้ชิงฮั่นจะรู้สึกว่าหยางหนิงหาข้ออ้างมาเป็น
เหตุผล แต่ว่าที่หยางหนิงพูดมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
เลย นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อร์ เจ้าได้รับ
แต่งตั้งเป็นจิ่นอีโหวแล้ว ไม่ว่าจะเวลาใด ก็อย่าทำลาย
สิ่งที่จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นที่สร้างมาเด็ดขาด”
“ซานเหนียง ข้ารู้ว่าควรต้องทำอย่างไร” หยางหนิง
พูดอีกว่า “ท่านวางใจได้ เงินที่ไม่ควรรับ ข้าจะไม่รับ
มันแม้แต่อีแปะเดียว แต่ว่าอะไรที่เป็นของข้า ข้าเองก็
จะไม่ปล่อยมันไป ของข้ารับเอาไว้แล้ว กำไลหยกซิ่
วอวี้นี่ก็ถือว่าเป็นของข้า ซานเหนียง พูดตามตรง
กำไลหยกซิ่วอวี้สวยงามยิ่ง เหมือนกับท่าน นอกจาก
ท่านแล้ว คนอื่นไม่เหมาะกับมันเลย ตอนข้าเห็นมัน
ครั้งแรก ข้าก็รู้ทันทีว่ามันต้องเป็นของท่าน”
กู้ชิงฮั่นถามว่า “แล้วคนอย่างข้ามันเป็นอย่างไร?”
“เอ่อ...” หยางหนิงหยุดไป แล้วมองไปที่กู้ชิงฮั่นและ
พูดว่า “ซานเหนียงหน้าตางดงาม นิสัยก็ดี อ่อนโยน
เป็นกุลสตรี ก็เหมือนกำไลหยกซิ่วอวี้นี่ที่เป็น
เหมือนกับของล้ำค่า...”
“กะล่อนนักนะ” กู้ชิงฮั่นมองไปที่หยางหนิง ถึงแม้
ปากจะดูเหมือนตำหนิเขา แต่น้ำเสียงกลับไม่มีความ
ไม่พอใจแฝงอยู่เลย “กำไลหยกซิ่วอวี้นี่เป็นของล้ำค่า
จริง แต่ข้าไม่ใช่”
“ข้าว่าท่านใช่ก็คือใช่” พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ภายใน
ห้องก็เริ่มมืด แต่ว่าในบรรยากาศแบบนี้ ในสายตา
ของหยางหนิงมีแต่ใบหน้าของม่ายสาวแสนสวยที่อยู่
ตรงหน้าเขาเท่านั้น เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไป จับ
ข้อมือของกู้ชิงฮั่น “ซานเหนียง ข้าใส่ให้นะ”
“ว๊าย!” กู้ชิงฮั่นถูกจับมือ ตัวของนางก็เริ่มสั่น จากนั้น
ก็รีบมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เหมือนกลัวว่าใคร
จะมาเห็น นางรีบดึงมือกลับไป แล้วพูดอย่างเขินอาย
ว่า “ข้าใส่เอง เจ้าไม่ต้องหรอก” เขาลังเล เหมือน
กำลังคิดอะไรอยู่ นางใส่กำไลหยกซิ่วอวี้อย่าง
ระมัดระวัง เงยหน้าแล้วถามว่า “สวยหรือไม่?”
จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นมา เดิมทีนางก็เป็นม่ายสาวที่
สวยมากอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้นางเหมือนเด็กสาวที่ได้
เสื้อผ้าชุดใหม่ สายตาของนางเต็มไปด้วยความ
คาดหวัง เหมือนกับอยากได้คำชมจากใคร
หยางหนิงชมกลับไปว่า “เหมาะมาก ซานเหนียง ข้า
บอกแล้วว่ามันเหมาะกับท่าน สาวงามคู่หยกงาม
หยกงามแต่หญิงงามกว่า”
กู้ชิงฮั่นหน้าแดงเรื่อ แล้วรีบเก็บอาการ แล้วพูดว่า
“หนิงเอ๋อร์ ต่อไปอย่าพูดแบบนี้อีกนะ หากเจ้า...เจ้า
ยังพูดอีก ข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้ว”
“แต่ว่าข้าพูดความจริง หรือว่าข้าพูดไม่ได้หรือ?”
หยางหนิงจึงพูดต่อว่า “ซานเหนียงก็สวยกว่าหยกอยู่
แล้วนี่นา”
“บอกว่าห้ามพูดก็ห้ามพูดสิ” กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่หยางห
นิง จากนั้นก็โบกมือ “รีบออกไปได้แล้ว”
หยางหนิงรู้ว่าในจวนมีหูตามากมาย ตัวเขาก็อยู่ใน
ห้องนอนของกู้ชิงฮั่นนานมากแล้ว หากมีใครมาเห็น
เข้าจริงๆ ตัวเขาไม่เท่าไหร่ แต่ว่าคงไม่ดีต่อกู้ชิงฮั่น
แน่ๆ เขาลุกขึ้น แล้วพูดว่า “อย่าลืมกินอาหารด้วยนะ
อย่าปล่อยให้หิวล่ะ”
“ยังต้องให้เจ้าบอกอีกหรือ?” กู้ชิงฮั่นเองก็ลุกขึ้นมา
เหมือนกัน จากนั้นนางก็พูดเร่งเร้า “ไม่ต้องพูดมาก
แล้ว ออกไป” แต่เหมือนนางคิดอะไรได้ พูดเตือน
ขึ้นมาว่า “จริงสิ ทางวิทยาลัยฉงหลิน เจ้าบอกเองว่า
จะไปด้วยตัวเอง ถ้าอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน ครั้งนี้พวก
เราล่าช้าไปหลายวัน เจ้าไปพบท่านอาจารย์จั่ว ก็ไม่
ต้องพูดอะไรมาก ขอแค่เจ้าไปเองก็พอ ท่านอาจารย์
จั่วรู้ว่ามันคืออะไร”
หยางหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไปพรุ่งนี้เช้าเลย”
“ไปพบท่านอาจารย์จั่ว เจ้าจะต้องระวังตัวให้มาก
อย่าพูดจาเหลวไหล” กู้ชิงฮั่นเหมือนยังไม่ค่อยไว้ใจ
“ท่านอาจารย์จั่วมีศิษย์ทั่วหล้า เป็นผู้มีปัญญามาก
หากทำอะไรเสียมารยาทต่อหน้าเขามันไม่ดี”
“ข้ารู้แล้ว ข้ารับประกันว่าข้าจะเป็นเด็กดี ไม่พูดอะไร
เหลวไหลแน่นอน” หยางหนิงหัวเราะร่า แล้วก็เดิน
ออกจากห้องไป แต่อยู่ๆ เขาก็หยุด แล้วหันกลับมา
มองกู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นคิดว่าเขายังมีเรื่องอะไรอีก จึงถามว่า “มีอะไร
อีกหรือไม่?”
หยางหนิงมองไปที่กู้ชิงฮั่น แล้วพูดอย่างจริงจังว่า
“ซานเหนียง ที่เมื่อครู่ข้าพูดกับท่านไปข้าพูดจริงนะ
ท่านงามมากจริงๆ”
“เจ้า...” กู้ชิงฮั่นตะลึงไป จากนั้นก็ชี้มือออกไปแล้ว
พูดว่า “เจ้าออกไป ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ วินาทีนี้เลยนะ”
จากนั้นก็หันหลังกลับไปหาหมอนจะเอามาขว้างใส่
เขา แต่หยางหนิงวิ่งหนีออกไปแล้ว
กู้ชิงฮั่นเดินไปที่ริมหน้าต่าง มองเงาของหยางหนิง
แล้วพูดว่า “กะล่อนจริง เรียนรู้แต่เรื่องไม่ดี” ถึงจะ
พูดแบบนี้ แต่นางกลับรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อน
ผ่าว ใจเต้นแรง นางยกมือขึ้นมาจับหน้าของตัวเอง
โดยไม่รู้ตัว แล้วบ่นว่า “เจ้าตัวแสบไม่มีกฎไม่มีเกณฑ์
เลย ต่อไปจะให้เขาพูดจาแบบนี้ไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้น
ต่อไปก็คงได้คืบจะเอาศอก”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 184 หญิงสาวราวกับก้อนเมฆ
เช้าวันต่อมา หยางหนิงไปเอาตั๋วเงินจากห้องบัญชีมา
ห้าร้อยตำลึง แล้วให้ต้วนฉางไห่พาคนตามไปส่งด้วย
อีกสองคน ตรงไปที่วิทยาลัยฉงหลิน
ถึงแม้หิมะยังไม่ตก แต่ว่าอากาศก็เริ่มหนาวแล้ว
หยางหนิงสวมเสื้อผ้าแพรเสริมด้วยนุ่น คลุมเสื้อคลุม
ตัวใหญ่สีดำ ก็รู้สึกว่ามันอุ่นดี
จะไม่พูดก็ไม่ได้ ถึงแม้การเงินของจวนโหวจะไม่ค่อยดี
แต่ก็ยังถือว่ายังมั่นคงมากกว่าคนทั่วไปมาก อย่าง
น้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน
หยางหนิงอดคิดไม่ได้ว่า หากว่าเขาไม่ได้ถูกสลับตัวมา
อย่างไม่ได้ตั้งใจแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองตอนนี้จะเป็น
อย่างไรบ้าง ถึงแม้ตัวเขาจะพอมีความอดทนอยู่บ้าง
สามารถทนอดอยากได้ แต่มันก็ไม่มีทางดีไปกว่าการ
เป็นโหวเยวีย่ แบบนี้ได้
พวกเขาขี่ม้าไปกัน แต่ไม่นั่งรถม้าไป ตรงไปยังทางทิศ
ตะวันออกของเมือง หยางหนิงไม่รู้ว่าวิทยาลัยฉงหลิน
อยู่ที่ใด แต่ต้วนฉางไห่รู้เส้นทางเป็นอย่างดี พวกเขา
เดินทางประมาณครึ่งชั่วยาม เลี้ยวเข้าถนนเส้นใหญ่
ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูใหญ่ ด้านหน้าประตูมี
ตัวอักษรสีแดง
วิทยาลัยฉงหลิน
ประตูด้านซ้ายขวา มีแผ่นไม้สีขาว ด้านบนเป็นบท
กลอนคู่
ทางซ้ายเขียนคำว่า “ตำราชี้นำคุณธรรม” ด้าน
ขวามือเขียนคำว่า “ดินแดนแห่งสวนดอกท้อ”
หยางหนิงเห็นกลอนคู่นี้แล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยถนัด
เรื่องการเขียนอักษรเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกว่าตัวอักษรที่
เขียนแต่ละตัวมันแฝงไปด้วยอำนาจ แต่เขาก็อธิบาย
ไม่ถูกว่ามันคืออะไร แต่ว่ามันทำให้คนที่เห็นรู้สึกไม่
ธรรมดา ในใจก็คิดว่าอักษรคำว่าวิทยาลัยฉงหลิน
น่าจะเป็นคำที่หัวหน้าวิทยาลัยอย่างจั่วชิงหยางน่าจะ
เป็นคนเขียน
เขารู้มาจากถังนั่วว่า ศิลปินสี่แขนงของตอนนี้ จั่วชิงห
ยางเป็นหนึ่งในนั้น แล้วก็เป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านตำรา
อักษรมากที่สุด
ด้านข้างวิทยาลัย มีบ้านหลังหนึ่งเหมือนบ้านไม้ ด้าน
ในมีชายอายุราวห้าสิบปีนั่งอยู่ เมื่อเห็นมีคนมา ก็รีบ
โผล่หน้าออกมาดูแล้วพูดว่า “นั่นใคร?”
ต้วนฉางไห่ยกมือคำนับด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
ลุงเหรินใช่หรือไม่?พวกเราเป็นคนของจวนจิ่นอีโหว
วันนี้ท่านจิ่นอีโหวมาคารวะท่านจั่วด้วยตัวเอง”
จากนั้นเขาก็ขยับเขาไปกระซิบหยางหนิงว่า “โหว
เยวี่ย เขาเป็นคนเก่าคนแก่เฝ้าประตูที่นี่ ทำงานที่นี่มา
สิบปีแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าน้อยมาที่นี่กับฮูหยินสามบ่อย
คุ้นเคยกับเขาดี พวกเราเรียกเขาว่าท่านลุงเหริน”
เหมือนเขากังวลว่าหยางหนิงจะไม่รู้กฎของวิทยาลัย
ก็เลยพูดอีกว่า “เมื่อเข้าไปยังวิทยาลัยแล้ว ไม่มีชนชั้น
ทุกคนเท่าเทียมกันหมด”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้แล้ว” เขาคิดในใจว่าจั่ว
ชิงหยางเคยเป็นอาจารย์ของฉีจิ่ง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งใน
ศิลปินสี่แขนง คนแบบนี้ คงไม่มีใครกล้าเสียมารยาท
แน่
ชายแก่จำต้วนฉางไห่ได้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็คนของ
จวนจิ่นอีโหวหรอกหรือ กฎเกณฑ์พวกเจ้ารู้ดีนะ”
ต้วนฉางไห่ยกมือขึ้นยิ้ม แล้วหยิบถุงเหล้าออกมาแล้ว
ยื่นไปให้เขา ชายแก่เหมือนจะคุ้นเคยดี ยื่นมือไปรับ
หยางหนิงมองไปที่เขา ในใจคิดว่าเอาเรื่องเหมือนกัน
“โหวเยวี่ย พวกเราตามเข้าไปข้างในไม่ได้นะ”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “แต่ว่าในวิทยาลัยไม่มีอันตราย
อะไร ท่านเข้าไปก่อนเถอะ พวกเราจะรอท่านอยู่ตรง
นี้”
หน้าประตูวิทยาลัยฉงหลินเรียบง่าย ไม่สะดุดตา แต่
ว่าเมื่อเข้ามาด้านใน หยางหนิงถึงได้พบว่ามันเหมือน
ถ้ำสวรรค์ มีสวน มีสระน้ำ และต้นเหมย ทุกอย่าง
ตกแต่งได้อย่างสวยงาม ถึงแม้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว
แต่เมื่อมองไป มันเหมือนสวรรค์จริงๆ
เมื่อเดินตามทางหินอ่อนไปเรื่อยๆ นักเรียนที่นี่ก็เริ่ม
มากขึ้น วิทยาลัยฉงหลินเป็นวิทยาลัยสำหรับผู้หญิง
ไม่มีนักเรียนผู้ชาย ดังนั้นอยากมองก็มองได้เต็มที่ มี
แต่สาวสวยหน้าตาดีทั้งนั้น
นักเรียนผู้หญิงเหล่านี้ทุกคนกำลังท่องหนังสืออยู่ บาง
คนก็นั่งคิดอะไรอยู่ริมสระน้ำ บางคนก็ยืนรวมกลุ่มกัน
พูดคุยยิ้มแย้ม
ในยุคนี้ ชายเป็นใหญ่หญิงเป็นรอง ผู้หญิงไม่มีความรู้
ถึงเป็นหญิงที่ดี หากไม่ใช่เพราะจั่วชิงหยางเปิด
วิทยาลัยนี้ขึ้นมา เกรงว่าผู้หญิงในอีกหลายร้อยปี
ต่อไปคงไม่มีผู้หญิงคนไหนมาเรียนหนังสือ อีกทั้งจั่ว
ชิงหยางดูแค่พรสวรรค์ ไม่ดูชนชั้น ดูจากชุดที่ใส่ใน
วิทยาลัยแล้วก็ดูออก ส่วนมากแล้วเป็นคนธรรมมาก
ทั่วไปไม่มียศศักดิ์ใด
ก่อนหยางหนิงจะมาที่นี่ ยังไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ว่า
ตอนนี้ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เขาก็รู้สึกนับถือจั่วชิงห
ยางมาก
อยู่ๆ ในวิทยาลัยก็มีชายหนุ่มโผล่มา มันก็ต้องดึงดูด
สายตาของนักเรียนหญิงพวกนี้อยู่แล้ว สายตาของแม่
นางพวกนั้นมองมาที่หยางหนิงด้วยความแปลกใจ
ผู้หญิงบางคนก็ซุบซิบกัน แล้วก็มองหยางหนิงเป็น
ระยะ บางคนกล้าหน่อยก็จ้องมาที่หยางหนิงเลย
ถึงแม้หยางหนิงหน้าตาจะไม่ได้หล่อราวกับเทพบุตร
แต่ว่าหน้าตาของเขาก็ถือว่าหล่อเหลาเอาการอยู่ เดิม
ทีเขาผิวคล้ำ แต่ว่าหลายวันมานี้ผิวของเขาก็ขาวขึ้น
บ้างแล้ว อีกทั้งเขาสวมผ้าแพร คลุมเสื้อคลุมขนสัตว์
ท่าทางสง่างาม ไม่แปลกที่จะดึงดูดหญิงสาวไม่น้อย
หยางหนิงรู้สึกดีที่มีสาวสวยมากมายจ้องมองมาที่เขา
เดิมทีเขาเป็นคนกล้าอยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใด เขา
ก็ไม่ใช่คนหน้าบาง เมื่อเห็นผู้หญิงสวยๆ ก็ยิ้มให้แล้วก็
พยักหน้า
ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นผู้หญิงสามสี่คนยืนเกาะกลุ่มกัน
แล้วชี้มาที่เขา ทันใดนั้นเองก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่ง
ออกมา แต่ว่านางน่าจะมีอายุราวสิบห้าสิบหกปี
เท่านั้น หน้าตาก็ใช้ได้ หยางหนิงเห็นนางวิ่งมาทางเขา
ก็รู้สึกแปลกใจ ในใจก็คิดว่าผู้หญิงในวิทยาลัยฉงหลิน
นี่เปิดเผยขนาดนี้เลยหรือ คงไม่วิ่งมาบอกรักเขาหรอก
กระมัง?
ผู้หญิงคนนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าหยางหนิง ก็ไม่พูด
อะไรมาก ถามว่า “ท่าน...ท่านคือคุณชายเจียงที่มา
บรรยายความรู้ให้พวกเราวันนี้ใช่หรือไม่?”
“คุณชายเจียง?” หยางหนิงอึ้งไป ในใจคิดว่าแม่นาง
คนนี้คงจำคนผิดแล้ว เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ ข้า
ไม่ได้แซ่เจียง”
หญิงคนนั้นถามด้วยความงุนงง “ข้าจำผิดหรือ?”
เหมือนนางจะยังไม่ตายใจ แล้วถามว่า “ถ้าอย่างนั้น
ท่านมาจากตงไห่ใช่หรือไม่?”
“ตงไห่?” หยางหนิงพูดด้วยความแปลกใจ “อะไรกัน
พวกเจ้ากำลังรอคุณชายเจียงจากตงไห่หรือ?” ทันใด
นั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาขมวดคิ้ว เหมือนเขา
นึกถึงคนๆ หนึ่งขึ้นมาได้
ตงไห่? คุณชายเจียง?
เจียงซุยอวิ๋น?
ตอนนี้หยางหนิงคิดขึ้นมาได้ คืนก่อนเจียงซุยอวิ๋นอยู่
กับโต้วเหลียนจง เพิ่งมาจากตงไห่ ตระกูลเจียงเป็น
เศรษฐีใหญ่ของตงไห่ มีเรือเป็นของตัวเอง ทำการค้า
ทางทะเล ฐานะร่ำรวย ตอนนี้เจียงซุยอวิ๋นอยู่ที่เมือง
หลวง
อย่าบอกนะว่ามันจะบังเอิญขนาดนั้น วันนี้เจียง
ซุยอวิ๋นจะมาที่วิทยาลัยฉงหลิน?
“ใช่ คุณชายเจียงเป็นบัณฑิตที่มีความรู้มากในตงไห่
ท่านจั่วบอกว่าวันนี้เขาจะมาบรรยายความรู้ที่
วิทยาลัย” สาวน้อยสีหน้าคาดหวัง “อาจารย์บอกว่า
คุณชายเจียงเดินทางไปทั่ว เขาจะต้องรู้เรื่องเยอะแยะ
มากมาย พวกข้ารอเขาอยู่” จากนั้นนางก็มองหยางห
นิง แล้วพูดด้วยความลังเล “ท่านไม่ใช่คุณชายเจียงที่
พวกเรารออยู่หรือ?”
หยางหนิงกำลังจะตอบ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพูด
ขึ้นมาว่า “เขาไม่ใช่คุณชายเจียงหรอก คุณชายเจียง
จะหน้าตาแบบนี้ได้อย่างไร? พวกเจ้าอยากรู้หรือไม่ว่า
เขาเป็นใคร?”
หยางหนิงรู้สึกว่าเสียงของผู้หญิงคนนี้คุ้นมาก ก็เลย
หันกลับไป เห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมา ผู้หญิงห้า
หกคนเดินล้อมผู้หญิงคนหนึ่งอยู่
ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดผ้าแพรสีขาว กระโปรงลาย
ดอกไม้ ปักด้ายทอง ดูงดงามมาก บนศีรษะของนาง
ปักปิ่นหยกเงินรูปพระจันทร์ ผิวขาวเนียน หน้าตาก็ดี
แต่ว่าสีหน้าของนางทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่
หยางหนิงมองไปแล้วก็ขมดคิ้ว สายตาของเขารู้สึก
รังเกียจมาก
ก็ว่าทำไม่คุ้นเสียง เพราะเคยเจอกันมาก่อน ผู้หญิงคน
นี้คือซูจื่อเซวียนลูกสาวของอู่เซียงโหวซูเจิน
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอนางที่นี่
เดิมทีเขาอารมณ์ดีมาก ตอนนี้ก็เหมือนกินข้าวแล้วมี
แมลงวันมาตอม อารมณ์ก็เริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
ซูจื่อเซวียนหยุดเดินห่างจากหยางหนิงสองสามก้าว สี
หน้าของนางเหมือนดูถูกหยางหนิงมาก ผู้หญิงที่อยู่
รอบตัวนางหน้าตาไม่เลวทั้งนั้น ดูเป็นผู้ดีมีตระกูล มี
คนถามขึ้นมาว่า “จื่อเซวียน หรือว่าเจ้ารู้จักเขา? เขา
ไม่ใช่คุณชายเจียงหรือ?”
“ไม่ใช่หรอก” ซูจื่อเซวียนมองไปที่หยางหนิง แสยะ
ยิ้มใส่หยางหนิง พูดอย่างไม่เกรงกลัวว่า “พวกเจ้าเคย
ได้ยินชื่อของจิ่นอีโหวหรือไม่?”
เหล่าหญิงสาวกล่าวว่า “รู้สิ จิ่นอีโหวเป็นหนึ่งในสี่
บรรดาศักดิ์โหวนี่นา มีศักดิ์เทียบเท่าตระกูลเจ้านี่”
“อย่างนั้นพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า ท่านแม่ทัพฉีมีซื่อจื่ออยู่
คนหนึ่ง ที่ทั้งบ้าแล้วก็ปัญญาอ่อน?” ซูจื่อเซวียนเงย
หน้าขึ้นมาเล็กน้อย แล้วพูดว่า “หลายคนเรียกเขาว่า
เจ้าปัญญาอ่อนจิ่นอี”
“อ๋อ จื่อเซวียน คนที่เป็นคู่หมายของเจ้าฉีหนิงใช่
หรือไม่?” มีคนข้างๆ พูดขึ้นมา “เจ้าเคยบอกพวกเรา
ว่า เจ้าปัญญาอ่อนจิ่นอีคิดจะเด็ดดอกฟ้า ทำอย่างไร
เจ้าก็ไม่ยอม”
จื่อเซวียนพูดด้วยความสะใจว่า “ถูกต้อง เจ้าบ้านั่น
แหละ เขาคือคู่หมายตั้งแต่เด็กของข้า แต่ว่าก็แค่คน
เก่าคนแก่กำหนดมั่วๆ เท่านั้น ข้าเคยบอกพวกเจ้าไป
แล้ว ข้าบอกให้ท่านพ่อยกเลิกการแต่งงานไปแล้ว”
“จื่อเซวียน เจ้าสวยขนาดนี้ ท่านพ่อของเจ้าก็เป็นถึงอู่
เซียงโหว มีท่านอ๋องคุณชายมากมายหมายปองเจ้า
คนที่อยากแต่งงานกับเจ้าแถมยาวไปถึงแม่น้ำฉินไหว
แล้ว” แม่นางคนข้างๆ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คนบ้าแบบ
นั้น เจ้าไม่มีทางสนใจหรอก”
“ใช่ จื่อเซวียน เจ้ายกเลิกงานแต่งไปแล้วก็ดี
ไม่อย่างนั้นเจ้าแต่งกับเจ้าบ้านั่นไป ชาตินี้คงแย่แน่”
หญิงหลายคนพูดจาไปมา มีแต่ชมว่าจื่อเซวียน
สวยงามราวกับเทพธิดา จะแต่งกับเจ้าปัญญาอ่อนจิ่น
อีไม่ได้
สีหน้าของหยางหนิงไม่ได้เปลี่ยน เขาปรบมือดังมาก
ผู้หญิงเหล่านั้นก็เลยเงียบ ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ต่างก็หัน
กลับมามอง
หยางหนิงยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เลวเลย
คนบ้าปัญญาอ่อนที่คุณหนูซูพูดถึง อยู่ตรงหน้านี่เอง
ข้าคือเจ้าปัญญาอ่อนจิ่นอีที่นางพูดถึง” จากนั้นเขาก็
กางมือออกแล้วพูดว่า “คนที่นินทาข้าลับหลังมีอยู่ไม่
น้อย แต่ว่าคนที่กล้าด่าข้าว่าบ้าและปัญญาอ่อน วันนี้
เพิ่งได้เจอเป็นครั้งแรก”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 185 ทำให้ข้าไม่พอใจ
ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ จื่อเซวียนได้ยินหยางหนิงพูดอย่าง
นั้น สีหน้าของทุกคนก็เริ่มเปลี่ยนไป บางคนก็ก้มหน้า
ลง ไม่กล้ามองหยางหนิงอีก
ผู้หญิงพวกนี้เป็นอย่างที่หยางหนิงคิดไว้ เกิดใน
ตระกูลขุนนาง
ถึงแม้จะบอกว่าจั่วชิงหยางรับศิษย์ไม่มีชนชั้น มองแต่
พรสวรรค์ แต่ว่านักเรียนที่นี่ ถานะทางตระกูลก็ไม่ได้
แย่
ซูจื่อเซวียนเกิดในตระกูลขุนนาง หลังจากที่ได้เข้า
เรียนที่นี่แล้ว ก็มีกลุ่มของตัวเอง
ในบรรดาคุณหนูพวกนั้น ฐานะของซูจื่อเซวียนนั้นสูง
ที่สุด
ถึงแม้อู่เซียงโหวจะเป็นหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์ใหญ่ แต่ก็
ไม่ได้มีตำแหน่งอะไร แต่เพราะยังคงถือว่าเป็นหนึ่งใน
สี่บรรดาศักดิ์ใหญ่ เมื่อเทียบกับฐานะโหวคนอื่นก็ยัง
ถือว่าสูงกว่า หากสูงกว่านี้ก็ต้องเป็นเชื้อพระวงศ์แล้ว
เชื้อพระวงศ์มีวิธีการเรียนในแบบของเชื้อพระวงศ์ ใน
ฐานะคุณหนูของอู่เซียงโหว ซูจื่อเซวียนอยู่ในวิทยาลัย
แห่งนี้ก็ถือได้ว่ามีฐานะสูงที่สุดแล้ว
เมื่อเป็นแบบนี้ บรรดาคุณหนูของขุนนางเล็กๆ ต่างก็
คอยมาเอาอกเอาใจคุณหนูซูคนนี้
แต่ว่าตอนนี้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นฉี
หนิงคนที่ถูกเรียกว่าเจ้าปัญญาอ่อนจิ่นอี พวกนางต่าง
ก็ตกใจ พวกนางเกิดในตระกูลขุนนาง พวกนางรู้กฎ
ของขุนนางดี แล้วก็รู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ เจ้าปัญญา
อ่อนจิ่นอีได้รับสืบทอดตำแหน่งโหวเยวี่ยแล้ว
ชื่อเสียงของจิ่นอีโหวในต้าฉู่ มีมากกว่าอู่เซียงโหวมาก
นัก คุณหนูตระกูลขุนนางพวกนี้รู้ว่าคนตรงหน้าคือ
จิ่นอีโหว ใครจะกล้าพูดอีก ไม่อย่างนั้นเกิดทำให้
จิ่นอีโหวไม่พอใจขึ้นมา พวกนางก็ชดใช้ไม่ไหว
ซูจื่อเซวียนได้ยินคนข้างๆ ต่างหยุดพูด ในใจก็รู้ว่าคน
พวกนี้กลัวจิน่ อีโหว ก็เลยจ้องหยางหนิงแล้วพูดว่า
“หรือว่าข้าพูดอะไรผิดอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ผิด ไม่ผิดเลย” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “จริงๆ
แล้วที่เจ้าพูดถือว่าให้เกียรติข้ามากแล้ว ในจวน
จิ่นอีโหวไม่ได้มีแค่ข้าเท่านั้นที่บ้า คนที่เป็นบ้ามี
เยอะแยะเต็มไปหมด”
ซูจื่อเซวียนอึ้งไป ทุกคนต่างมองหน้ากัน
“หากว่าคนในจวนจิ่นอีโหวไม่บ้าและไม่โง่ ตอนนั้นก็
คงไม่คิดจะให้ข้าแต่งงานกับผู้หญิงอย่างเจ้าหรอกจริง
หรือไม่?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้า...” สีหน้าของซูจื่อเซวียนเปลี่ยนไป
“เจ้าอะไร?” หยางหนิงไม่รอให้นางพูดจบ ก็พูดแทรก
ขึ้นมาว่า “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าให้พ่อของเจ้ามา
ยกเลิกงานแต่งกับข้าใช่หรือไม่? ฮ่า ฮ่า ฮ่า...ซูจื่อเซ
วียน เจ้าก็ดูบอบบาง แต่เหตุใดหน้าถึงได้หนาขนาดนี้
เล่า? ถ้าข้าจำไม่ผิด ข้าไปถอนหมั้นกับเจ้าถึงจวนอู่
เซียงโหว จริงด้วย ตอนนั้นคุณชายหยวนหรง
หลานชายของท่านราชเลขากรมพิธีการก็ไปกับข้า
ด้วย เขาเห็นกับตา เหตุใดเจ้าถึงได้ลืมเร็วขนาดนี้เล่า?
จริงสิ หากพูดตามแบบชาวบ้านทั่วไป เจ้าน่าจะถูก
เรียกว่า...เรียกว่าอะไรนะ ใช่ ใช่ คิดออกแล้ว เรียกว่า
...หม้ายขันหมาก”
“เจ้าพูดเหลวไหล” ซูจื่อเซวียนทั้งอายทั้งโกรธ แล้ว
พูดด้วยความโกรธว่า “แต่ตระกูลข้าเป็นคนเสนอ
ออกมาก่อน”
“อย่าแก้ตัวอีกเลย” หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้านิสัยเอาแต่ใจ เอาความคิดตัวเอง
เป็นใหญ่ หน้าตาก็ธรรมดา แต่ยังคิดว่าตัวเองสวยราว
กับนางฟ้า แค่สวมเสื้อผ้าดีหน่อยก็จะสวยไม่มีใคร
เทียบได้แล้วหรือ?” เขาไม่ได้สนใจว่าซูจื่อเซวียนจะ
หน้าซีดหรือว่าโกรธเพียงใด เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า
“ซูจื่อเซวียน จะว่าไปเจ้าเองก็เกิดในตระกูลใหญ่ น่า
เสียดายนิสัยเสียไปหน่อย”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ซูจื่อเซวียนมองหยางหนิงทำ
ท่าทางสบายๆ หากในมือของนางตอนนี้มีมีด นางจะ
รีบกระโดดแทงเขาให้ตายไปเลย
“เจ้ารู้หรือไม่ เจ้าสวมชุดผ้าแพรสีขาวบริสุทธิ์ สีขาว
ไม่ใช่ว่าใครจะใส่ขึ้น” หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“นอกจากจะเกิดมามีผิวขาวแล้ว ถึงจะกลบได้ก็ตาม
แต่ว่าเจ้าดูเจ้าสิ เฮ้อ เจ้ามีสง่าราศีที่ไหนกันเล่า? ยังมี
อีก เจ้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ผิวพรรณดีกว่าชาวบ้าน
ทั่วไปมาก แต่ว่าก็ธรรมดา พอใส่กับชุดสีขาวแล้ว ผิว
ของเจ้าก็ไม่น่ามองเลย จริงด้วย กระโปรงตัวนี้ เจ้า
จับคู่มาได้อย่างไร? แย่มาก ไม่สู้ใส่กระโปรงสีขาว
ดีกว่า เจ้าดูสิ กระโปรงลายเมฆ ดูยุ่งเหยิงไปหมด...”
เขาส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าว่าเจ้าอยู่แต่ใน
จวนจะดีกว่าออกมาข้างนอกแบบนี้ เสียสายตาคนอื่น
เปล่าๆ”
หยางหนิงรู้ว่า อยากจะเอาชนะผู้หญิง วิธีที่ดีที่สุดคือ
ประชดนางด้วยรูปร่างหน้าตา ถือเป็นไม้เด็ด
ไม่ผิดจากที่คิด ซูจื่อเซวียนโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
นางคิดไม่ถึงว่าหยางหนิงไม่ไว้หน้านางเลย นางพูด
ด้วยความโมโหว่า “ข้าจะใส่อะไรมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า
ด้วย? เจ้าจะมารู้เรื่องความสง่าราศีได้อย่างไร?”
“ซูจื่อเซวียน ข้าขอพูดตรงๆ นะ วันนี้หากเจ้าไม่มายุ่ง
กับข้า ข้าก็จะถือว่าไม่เห็นเจ้า” หยางหนิงพูดว่า “แต่
ว่าเจ้ากลับหาเรื่องใส่ตัว เจ้าจะมาว่าข้าไม่ได้นะ”
จากนั้นก็มองไปรอบๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกท่าน พวก
เจ้าคงรู้สึกว่าข้าเป็นคนพูดจาร้ายใช่หรือไม่? เป็น
ถึงจิ่นอีโหว เหตุใดถึงได้ทำกับผู้หญิงแบบนี้ถูก
หรือไม่?”
จริงๆ ซูจื่อเซวียนอวดดีในวิทยาลัยมานาน เพราะ
ฐานะของนาง คนทั่วไปไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับนาง
ตอนนี้หยางหนิงประชดประชันนางขนาดนี้ มีคนไม่
น้อยที่รู้สึกสะใจ
หยางหนิงมองไปที่ซูจื่อเซวียนแล้วพูดว่า “เจ้ารู้
หรือไม่เหตุใดข้าถึงได้หาเรื่องเจ้าแบบนี้? ง่ายมาก ข้า
ไม่อยากให้เจ้ารู้สึกว่าเจ้าสูงส่ง วันนี้เจ้าหาเรื่องข้า
บอกกับคนอื่นว่าข้าเป็นคนบ้าเป็นคนปัญญาอ่อน เจ้า
ไม่เพียงต้องการแสดงความกล้าของเจ้า แต่เจ้าไม่เห็น
จิ่นอีโหวอยู่ในสายตาด้วย เป้าหมายของเจ้า ก็แค่
อยากให้คนอื่นเห็นว่าเจ้าเก่ง ให้คนที่อยู่รอบตัวเจ้า
เคารพนับถือเจ้า ข้าพูดถูกใช่หรือไม่?”
ซูจื่อเซวียนในตอนนี้เหมือนถูกหยางหนิงฉีกเสื้อผ้าบน
ตัวออก นางเหมือนแก้ผ้าอยู่ต่อหน้าหยางหนิง สีหน้า
ของนางเริ่มซีดเซียว
“เจ้ารักเกียรติรักศักดิ์ศรีไม่ชอบเสียหน้า หวังจะให้
ทุกคนยกเจ้าอยู่เหนือหัว” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้าก็เลยใส่ร้ายคนบริสุทธิ์อย่างข้า ใจของเจ้ามันร้าย
กาจยิ่งนัก ซูจื่อเซวียน เจ้าลองใช้สมองของเจ้าคิดดู
สักนิด หากเจ้าไม่ได้เกิดอยู่ในตระกูลอู่เซียงโหว พ่อ
ของเจ้าไม่ใช่ซูเจิน เจ้าคิดว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร?”
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้นะ” ซูจื่อเซวียนกำหมัดแน่น
น้ำเสียงของนางสั่น จากนั้นก็วิ่งออกไป
คนที่ตามซูจื่อเซวียนมาเหมือนรู้ตัว พวกนางก็วิ่งตาม
นางไปด้วย
หยางหนิงมองไปที่หญิงสาวที่ยังยืนงุนงงอยู่ ถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ท่านจั่วให้พวกเจ้าเข้ามาเรียนที่
วิทยาลัยนี่ ไม่ใช่แค่ให้พวกเจ้าได้ร่ำเรียนเขียนอ่าน
แต่หวังว่าหากมีโอกาส ก็จะได้เรียนรู้การเป็นคนมาก
ขึ้น” เขาส่ายหน้า แล้วก็เดินไป ในปากก็บ่นว่า “ไม่มี
อำนาจยังคิดอวดดีอีก ทำให้ข้าไม่พอใจมาก...”
หยางหนิงเดินจากไปท่ามกลางสายตาของหญิงสาว
พวกนั้น เดินไปครู่หนึ่ง เขาเห็นที่ปลายทางมีสระน้ำ
อยู่ ทางเดินด้านหน้าแยกเป็นซ้ายขวา เขาตะลึงไป
เขามาที่นี่ครั้งแรก ไม่คุ้นเคยเส้นทาง เมื่อครู่แสร้งทำ
เป็นคนมีภูมิ ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว ตัวเขาก็ลืมถามที่อยู่
ของจั่วชิงหยาง
ที่สระน้ำนั้นมีภูเขาจำลองอยู่ลูกหนึ่ง รอบๆ สระมี
ต้นเหมย แล้วก็มีหินอ่อนอยู่ริมสระ มันสามารถให้คน
นั่งได้
ตอนนี้ที่สระน้ำมีแม่นางคนหนึ่งนั่งหันหลังให้หยางห
นิงอยู่ ในมือถือตำราม้วนหนึ่ง กำลังอ่านอย่างตั้งใจ
หยางหนิงมองแม่นางคนนั้นจากด้านหลังนางรูปร่าง
บอบบาง ใส่เสื้อผ้าธรรมดา แต่ว่าดูแล้วสบายตา
เรียบง่าย หากเทียบกับชุดของซูจื่อเซวียนแล้วสบาย
ตากว่าเยอะมาก ไม่ว่าจะทรงผมหรือเสื้อผ้าก็เรียบ
ง่าย มันเป็นแบบที่ผู้หญิงที่ยังไม่ออกเรือนทำกัน นาง
ทำให้คนรู้สึกสบายตาสบายใจมาก
หยางหนิงมองซ้ายมองขวา ตอนนี้เห็นแค่ผู้หญิงคนนี้
ก็เลยเดินไปด้านหลังนาง เขากลัวว่านางจะตกใจ ก็
เลยตั้งใจกระแอม แล้วถามว่า “แม่นางท่านนี้ ข้าขอ
ถามอะไรท่านสักหน่อยได้หรือไม่? ไม่ทราบว่าท่าน
อาจารย์จั่วชิงหยางอยู่ที่ไหนหรือ? ข้ามาเพื่อคารวะ
ท่าน แต่ไม่รู้ทาง แม่นางโปรดชี้แนะด้วย”
ผู้หญิงคนนั้นสะดุ้งเล็กน้อย นางลุกขึ้นมา แล้วหันหลัง
กลับมา
หยางหนิงยิ้ม มองไปที่ผู้หญิงคนนั้น เมื่อเห็นใบหน้า
ของนาง หน้าของนางยังนิ่งสนิท แล้วเหมือนจะพูด
ขึ้นมาพร้อมกันกับผู้หญิงคนนั้น “เจ้าเองหรือ?”
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า หน้าตาดี สายตาเป็นประกาย
ใบหน้าของนางมีสีหน้าอาการตกใจไม่น้อย
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้า จะ
เป็นเสี่ยวเหยา
ครั้งนั้นเขากับหยวนหรงไปถอนหมั้นที่จวนอู่เซียงโหว
เดินไม่ดูทางจึงชนถูกนางเข้า จากนั้นก็เจอนางที่ร้าน
ดอกไม้ นางจะซื้อดอกไม้แต่รู้สึกว่ามันแพงเกินไป
หยางหนิงก็เลยซื้อไว้แล้วมอบให้นางเป็นของแทนคำ
ขอโทษ พวกเขายังอยู่ชมดอกไม้ในร้านด้วย
แต่ว่าต่อมาเพราะเขาพูดอะไรไม่ดีออกไป ทำให้นาง
จากไป หลังจากนั้นหยางหนิงก็ไม่ได้พบนางอีก เดิมที
คิดว่าคงไม่มีทางได้พบแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้พบแม่
นางเสี่ยวเหยาที่วิทยาลัยฉงหลินนี่แห่งนี้
เสี่ยวเหยาเหมือนจะจำหยางหนิงได้ดี เห็นแค่ครู่เดียว
ก็จำได้แล้ว
ทั้งสองมองตากัน หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นาง
เสี่ยวเหยา คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเรียนหนังสืออยู่ที่นี่ ดู
ท่าข้ากับเจ้ายังคงมีวาสนาต่อกันอยู่นะ”
เสี่ยวเหยาหน้าแดงเล็กน้อย นางก้มหน้าแล้วพูดว่า
“ท่าน...ท่านคือจิ่นอีซื่อจื่อ? ท่านยังจำชื่อของข้าได้
หรือ?”
“จำได้สิ” หยางหนิงกับเสี่ยวเหยาถือได้ว่าเจอกันแค่
ผิวเผิน ไม่ได้รู้จักกันมาก ยิ่งไม่สนิทสนมกันเลย แต่ว่า
ไม่รู้เหตุใด พอได้เจอเสี่ยวเหยา หยางหนิงถึงได้ดีใจ
มากขนาดนี้ “แม่นางเสี่ยวเหยา ข้าคิดว่าพวกเราจะ
ไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ข้าอยากจะขอโทษเจ้ามาตลอด
สวรรค์มีตา เมตตาให้ข้าได้มีโอกาสได้พูดคำว่าขอโทษ
กับแม่นางเสี่ยวเหยาด้วยตัวเองแบบนี้”
หยางหนิงจำได้ดีว่าตอนนั้นในร้านดอกไม้ ทุกอย่าง
เป็นไปได้ด้วยดี เสี่ยวเหยาทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ แต่ว่า
เพราะคำพูดไม่สุภาพที่พูดถึงหญิงในหอนางโลม ทำ
ให้เสี่ยวเหยาเปลี่ยนท่าทีไป แล้วก็จากไปอย่างไม่
พอใจ
ตอนนั้นหยางหนิงคิดว่าคำพูดของเขาน่าจะทำให้
เสี่ยวเหยาโกรธ เข้าใจผิดคิดว่าเสี่ยวเหยาเป็นผู้หญิง
แบบนั้น ยังดีที่หยวนหรงวิเคราะห์ว่า เสี่ยวเหยายัง
เป็นหญิงบริสุทธิ์ แต่ว่าหยางหนิงก็รู้สึกแปลกใจ
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดวันนั้นเสี่ยว
เหยาถึงได้โมโหขนาดนั้น
ถึงแม้เสี่ยวเหยาจะรู้สึกเขิน แต่ก็ตอบกลับมาว่า
“ซื่อจื่อไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ วันนั้น...วันนั้นข้าเองก็
คิดเล็กคิดน้อยเกินไป จริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไร” นางพูด
ว่า “ซื่อจื่อท่านต้องการหาอาจารย์จั่วหรือ?” นางยก
นิ้วขึ้นมาแล้วชี้ไป “เดินไปตามทางนี้ ท่านก็จะเห็น
เรือนไม้ไผ่ ท่านอาจารย์อยู่ที่นั่น ตอนนี้น่าจะยังอยู่”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณแม่นางเสี่ยวเหยา
มาก จริงสิ แม่นางเสี่ยวเหยา เจ้าเรียนหนังสือที่นี่
หรือ? ต่อไปข้ามาหาเจ้าที่นี่ได้ใช่หรือไม่?”
เสี่ยวเหยาก้มหน้า แล้วพูดเบาๆ ว่า “ข้า...ข้าเรียน
หนังสือที่นี่ ว่า...ว่าแต่ซื่อจื่อจะมาหาข้าเพราะเหตุใด
กัน?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 186 คุณชายเจ้าสำอาง
หยางหนิงอึ้งไป เสี่ยวเหยาอยู่ๆ ถามเขากลับแบบนี้
แต่เขาก็หัวไว ยิ้มแล้วพูดว่า “ช่วงนี้ข้าชอบชมดอกไม้
แต่ว่าก็ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ข้ารู้ว่าเจ้าพอมีความรู้อยู่
บ้าง ดังนั้นก็เลยคิดว่าถ้ามีเวลาว่างอยากจะมาขอคำ
ชี้แนะกับเจ้าเสียหน่อย”
เสี่ยวเหยายิ้มแล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วข้าเองก็ยังไม่
ค่อยรู้”
“จริงสิ แม่นางเสี่ยวเหยา หลังจากวันนั้นเจ้าได้ไปที่
ร้านดอกไม้อีกหรือไม่?” หยางหนิงถาม “ดอกไม้ต้น
นั้นข้ายังเก็บเอาไว้ให้เจ้าอยู่ ข้าสั่งเถ้าแก่เจ้าของร้าน
ไว้แล้วหากเจ้าไปอีกก็เอาให้เจ้าได้เลย เจ้า...”
เสี่ยวเหยาส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ได้ไปนานมากแล้ว”
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณซื่อจื่อที่ยังนึกถึง” นางชี้
ไปด้านหน้าแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ อาจารย์อยู่ทางนั้น
ท่านรีบไปเถอะ ข้าได้ยินมาว่าวันนี้คุณชายเจียงจาก
ตงไห่จะมาบรรยายความรู้ หากคุณชายเจียงมาถึง
แล้ว อาจารย์อาจจะไม่มีเวลาพบท่าน”
“ได้” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ
พวกเราค่อยคุยกันใหม่นะ” จากนั้นเขาก็เดินไปตาม
ทางที่เสี่ยวเหยาชี้ เมื่อเดินไปไม่กี่ก้าว เขาหันหลัง
กลับไปมองเห็นเสี่ยวเหยาถือม้วนตำรากำลังมองมาที่
นาง เห็นหยางหนิงหันกลับมามอง เสี่ยวเหยาก็ยิ้มให้
หยางหนิงรู้สึกว่ารอยยิ้มของเสี่ยวเหยาเหมือนกับดวง
อาทิตย์ ทำให้คนรู้สึกสบายใจ ก่อนหน้านี้เจอซูจื่อเซ
วียนทำจนอารมณ์เสีย ตอนนี้ถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย
เมื่อเดินตามทางมาได้ไม่นาน ก็เจอเรือนไม้ไผ่ เรือน
ทั้งเรือนทำจากไม้ไผ่ ดูเรียบง่าย
เมื่อเดินมาถึงหน้าเรือนไม้ไผ่ หยางหนิงจัดระเบียบ
เสื้อผ้าของตัวเอง แล้วพูดอย่างมีมารยาทว่า “ท่าน
อาจารย์จั่วอยู่หรือไม่?”
คนที่อยู่ด้านในตอบกลับมาว่า “ใครกัน?”
“ท่านอาจารย์จั่ว ฉีหนิงขอคารวะ” หยางหนิงกล่าว
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ชายคนหนึ่งสวมชุดสี
เทายืนอยู่ตรงหน้าเขา ดูไปแล้วอายุก็ไม่น้อย แต่ว่าดู
แข็งแรงอยู่ ผมและเคราก็ยังไม่ขาว หยางหนิงมองดูก็
รู้ทันทีว่าเขาก็คือจั่วชิงหยาง จึงรีบโค้งคำนับแล้วพูด
ว่า “ท่านอาจารย์จั่ว”
จั่วชิงหยางมองไปที่หยาหนิง หันหลังแล้วเดินเข้าไป
ในห้อง แล้วพูดว่า “เจ้าเข้ามาก่อนสิ”
หลังจากที่หยางหนิงเข้าไปในห้องเรือนไม้ไผ่แล้ว
ภายในตกแต่งเรียบง่าย ข้างกำแพงมีเตียงอยู่ กลาง
ห้องมีโต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีกระดาษกับหมึก ภายใน
สะอาดเรียบร้อย
“นั่งลงก่อนสิ” จั่วชิงหยางชี้ไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง เขาพูด
ด้วยใบหน้าที่นิ่งสนิทดุจผิวน้ำ “ฮูหยินสามจวนเจ้า
สั่งให้เจ้ามาหรือ?”
หยางหนิงตอนนี้เป็นจิ่นอีโหวแล้ว แต่ว่าน้ำเสียงของ
จั่วชิงหยางนั้น มันคือน้ำเสียงของผู้ใหญ่ที่พูดกับ
ผู้น้อย
หยางหนิงหยิบโถใบชาออกมาจากห่อผ้า แล้วยื่นให้
เขาด้วยสองมือแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์จั่ว นี่เป็น
น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของผู้น้อย”
จั่วชิงหยางเคยสอนหนังสือให้กับฉีจิ่ง ก็ถือเป็น
อาจารย์ของฉีจิ่ง ตอนนี้เขาอยู่ในฐานะลูกชายของฉี
จิ่ง ด้วยความห่างของอายุ ก็สมแล้วที่จะเป็นผู้น้อย
จั่วชิงหยางไม่เกรงกลัวใคร สร้างวิทยาลัยฉงหลิน
ขึ้นมา ทำให้หยางหนิงนับถือเขามาก ถึงแม้ตอนนี้จั่ว
ชิงหยางจะดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ แต่ว่ามัน
แสดงออกว่าจั่วชิงหยางไม่ได้สนใจเรื่องชาติตระกูล
จริงๆ
“อ๋อ?” จั่วชิงหยางนั่งลง เขารับโถใบชามา แล้วยกขึ้น
มาดูอย่างละเอียด โดยที่ยังไม่ได้เปิดดูใบชาด้านใน
ใบหน้าของเขาเหมือนจะมีรอยยิ้ม เขาพูดว่า “เจ้ารู้
เรื่องชาด้วยหรือ?”
หยางหนิงคิดว่าอยู่ต่อหน้าท่านผู้เฒ่าพูดจา
ตรงไปตรงมาน่าจะเหมาะกว่า ก็เลยตอบไปตรงๆ ว่า
“ผู้น้อยไม่รู้เรื่องชาเลยขอรับ แต่ว่าได้ยินมาว่าท่าน
อาจารย์ชอบดื่มชา ก็เลยหามามอบให้ ท่านอาจารย์
คงไม่รังเกียจนะขอรับ”
ใบชานี่เป็นของขวัญที่หยวนหรงมอบให้ มาจากร้าน
ชาของตระกูลเจียง มีด้วยกันสองชิ้น หยางหนิงวันนี้
มาคารวะเขา จริงๆ ก็ไม่ได้เตรียมอะไรไว้ แต่ว่าพอคิด
ว่าเขากับจวนจิ่นอีโหวก็มีความสัมพันธ์กันอยู่ เพราะ
เขาเองก็ไม่ได้รู้เรื่องชา ก็เลยเอามันมามอบให้เป็นการ
ซื้อใจ
จั่วชิงหยางเปิดออกดู แล้วหยิบใบชาออกมาแล้วพูด
ว่า “ชาดี” จากนั้นเขาก็มองหยางหนิง แล้วถามว่า
“นี่เป็นของในจวนเจ้าหรือ?”
หยางหนิงไม่กล้าบอกว่ามันเป็นของที่คนอื่นให้มา
แล้วเขาเอามาให้อีกที ก็เลยหน้าด้านพยักหน้ากลับไป
จั่วชิงหยางวางโถใบชาลง แล้วพูดว่า “ใบชานี้อาจจะ
เป็นของในจวนเจ้า แต่ว่าโถชานี่มาจากที่ใด?”
“โถชา?”
จั่วชิงหยางชี้ไปที่ภาพวาดบนโถชา แล้วถามว่า “เจ้ารู้
หรือไม่ว่าใครเป็นคนวาดภาพวาดบนโถชานี่?”
หยางหนิงรู้สึกอึ้งจนตอบอะไรไม่ถูก ในใจก็แอบคิดว่า
ภาพบนโถชามันน่าพูดถึงตรงไหน แต่ว่าเห็น
จั่วชิงหยางเอาแต่มองไปที่ภาพวาดบนนั้น เขาก็
เหมือนเข้าใจอะไรขึ้นมา เขาทำท่าทางไม่เข้าใจแล้ว
ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “ผู้น้อยด้อยความรู้ ขอ
ท่านอาจารย์ชี้แนะด้วย”
“หากข้าไม่ได้ดูผิด นี่เป็นของหายากของเฟิงจื่อเฮ่อ”
จั่วชิงหยางลูบเคราแล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า โถชา
ใบนี้ มันมีมูลค่าเพียงใด?”
หยางหนิงคิดในใจว่า หากเป็นอย่างนั้นจริง โถชาสอง
กระปุกที่เจียงเฉิงให้มา ตอนแรกที่เขาเห็น ก็รู้แล้วว่า
ต้องเป็นชาชั้นดี แต่ว่าไม่รู้ว่าใบชามันมีค่าเพียงใด
เดิมคิดว่าเหตุใดเจียงเฉิงถึงได้ให้ของมาแค่นี้ ตอนนี้ถึง
ได้เข้าใจแล้วว่า ของที่เจียงเฉิงให้มา มันไม่ได้แพงที่ใบ
ชา แต่เป็นโถชา
ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมาก คิดไม่ถึงว่าภาพบนโถจะเป็น
ภาพวาดของเฟิงจื่อเฮ่อ เฟิงจื่อเฮ่อเป็นใครเขาไม่รู้
แต่ว่าจากน้ำเสียงของจั่วชิงหยางเขารู้ว่า คนๆ นี้
น่าจะไม่ธรรมดา เขาเสียดายที่เอาของมีค่าแบบนี้มา
มอบให้เขา แต่ตอนนี้จะขอคืนมันก็ไม่ได้แล้ว ในใจคิด
ว่าเรื่องวัฒนธรรมมันน่ากลัวจริงๆ เขาไม่รู้จักชื่นชม
ของพวกนี้ พลาดของดีที่คนอื่นมอบให้
แต่ก็คิดว่าในจวนยังมีอยู่อีกชิ้น ก็สบายใจขึ้นมาบ้าง
ถึงเขาจะเสียใจ แต่บนหน้าของเขากลับยังมีรอยยิ้ม
อยู่ “ดาบล้ำค่าคู่ควรวีรบุรุษ ผู้น้อยไม่รู้เรื่องศาสตร์ชา
โถชาใบนี้มีมูลค่าเพียงใดผู้น้อยไม่ทราบ ขอแค่ท่าน
อาจารย์ชอบก็เพียงพอแล้ว”
จั่วชิงหยางหัวเราะออกมา แล้วถามว่า “เจ้ารู้สึกว่า
วิทยาลัยฉงหลินเป็นอย่างไรบ้าง?”
หยางหนิงคิดแล้วพูดว่า “สวยงามเรียบง่าย ราวกับ
แดนสวรรค์”
“คนส่วนใหญ่มักจะตอบแบบนี้” จั่วชิงหยางพูดว่า
“ที่ข้าอยากจะถามเจ้าคือ เจ้าคิดว่าที่ข้าเปิดวิทยาลัย
แบบนี้ เจ้าไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือ?”
“ไม่แปลกใจเลย” หยางหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า "ท่าน
อาจารย์อยากจะบอกว่า หลายคนรู้สึกว่าผู้หญิงไม่
ควรเล่าเรียนเขียนอ่าน การเปิดวิทยาลัยสำหรับ
ผู้หญิง มันจะเกิดการวิจารณ์?
“ต่อหน้าข้า ก็ไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้” จั่วชิงหยางลูบ
เคราแล้วพูดว่า “แต่ว่าลับหลังก็คงมีคนพูดไม่น้อย”
“เดินในเส้นทางของตัวเอง ให้คนพูดถึง” หยางหนิง
พูดว่า “ผู้หญิงก็เป็นคน อีกอย่างผู้หญิงหลายคนก็
เฉลียวฉลาดไม่ต่างหรืออาจจะเหนือกว่าผู้ชายด้วยซ้ำ
เหตุใดถึงจะเรียนหนังสือไม่ได้เล่า? ท่านอาจารย์กล้า
ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า คนอื่นคิดอย่างไรข้าไม่ทราบ
แต่ผู้น้อยนับถือท่านมากจริงๆ”
จั่วชิงหยางจ้องไปที่หยางหนิง เขาดูออกว่าหยางหนิง
ไม่ได้พูดเพื่อเอาใจเขา เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเองก็
พอใช้ได้นี่นา”
หยางหนิงนำเงินห้าร้อยตำลึงยื่นให้เขา แล้วพูดว่า
“ท่านอาจารย์ นี่เป็นเงินบริจาคของปีนี้”
จั่วชิงหยางพยักหน้า แล้วรับเงินมา เขาถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “ในโลกนี้ คงมีเพียงวิทยาลัยฉงหลินแห่งนี้
ที่ยอมให้ผู้หญิงได้เรียนหนังสือ ถึงแม้ข้าหวังว่าจะมี
วิทยาลัยแบบนี้มากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ว่าแค่ที่เดียวก็
สะเทือนไปทั่วแล้ว คิดจะขยายคงยาก หากไม่ใช่
เพราะเห็นแก่หน้าแก่ๆ อย่างข้า ที่นี่คงถูกปิดไปนาน
แล้ว”
หยางหนิงพยักหน้า เขารู้ว่าในยุคนี้ ผู้ชายเป็นใหญ่
ผู้หญิงเป็นรอง วิทยาลัยฉงหลินเล็กๆ ไม่มีทางแก้
ธรรมเนียมที่นิยมกันมานานได้ บนโลกใบนี้อาจจะมี
แค่จั่วชิงหยางคนเดียวที่เปิดวิทยาลัยแบบนี้ได้ หาก
เปลี่ยนเป็นคนอื่น วิทยาลัยนี่ก็อาจจะกลายเป็นที่ฝัง
สมบัติโบราณไปแล้วก็ได้
ตอนนี้จั่วชิงหยางยังมีชีวิตอยู่ วิทยาลัยฉงหลินยัง
พอที่จะเปิดต่อไปได้ แต่หากวันใดที่เขาไม่อยู่แล้ว
วิทยาลัยนี่ก็คงถึงวันสิ้นสุด
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น
“ศิษย์เจียงซุยอวิ๋นคำนับอาจารย์”
หยางหนิงขมวดคิ้ว เหลือบไปมองจั่วชิงหยาง แล้ว
เห็นเขาลุกขึ้น ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มแล้วพูดว่า
“ซุยอวิ๋นหรือ? เข้ามาสิ”
จากนั้นก็เห็นคนๆ หนึ่งเดินเข้ามาด้านใน เขาสวมชุด
สีขาว หน้าตาหล่อเหลา ท่าทางสง่างาม มีป้ายหยกที่
เอว ดูไปแล้วก็สบายตา ใช่แล้วเขาคือเจียงซุยอวิ๋น
แห่งตงไห่
เจียงซุยอวิ๋นยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “อาจารย์ ไม่
เจอหลายปี ศิษย์คิดถึงท่านทุกวัน ท่านสบายดี
หรือไม่?” เขาดูมีมารยาทมาก
“สบายดี” จั่วชิงหยางพูดว่า “พ่อเจ้าเป็นอย่างไร
บ้าง?”
“ท่านพ่อเองก็สบายดี ท่านพ่ออยากจะมาเยี่ยมท่านที่
เมืองหลวงหลายต่อหลายครั้ง แต่ว่าร่างกายของท่าน
ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ปวดเมื่อยอยู่บ่อยครั้ง
เดินทางไปไหนก็ไม่ค่อยสะดวก” เจียงซุยอวิ๋นพูดว่า
“ท่านพ่อให้ศิษย์มาถามไถ่ว่าท่านสบายดีหรือไม่ ยัง
บอกอีกว่าหากท่านมีเวลา ก็อยากให้ท่านไปพักที่ตง
ไห่สักระยะ”
จั่วชิงหยางยิ้ม เจียงซุยอวิ๋นหันหน้าไป เห็นหยางหนิง
เขาเห็นหยางหนิงกำลังมองมาที่เขา ทั้งสองคนมอง
หน้ากัน เจียงซุยอวิ๋นอึ้งไป แต่ก็ยังยิ้มแล้วก็พยักหน้า
ให้หยางหนิง
หยางหนิงรู้สึกสงสัย แล้วแอบคิดว่าเจียงซุยอวิ๋นอายุก็
ไม่น่าจะเกินยี่สิบห้ายี่สิบหก แล้วเขาเป็นลูกศิษย์ของ
จั่วชิงหยางได้อย่างไร? เห็นเขาพยักหน้าให้ หยางหนิง
ยิ้มแต่ก็ไม่ได้พยักหน้ากลับ
“เด็กๆ ในวิทยาลัยรู้กันหมดว่าเจ้าจะมาบรรยาย
ความรู้ ตั้งหน้าตั้งตารอกันใหญ่” จั่วชิงหยางพูดว่า
“อย่าให้พวกนางรอนาน พวกเราไปกันเถอะ เจ้าก็เล่า
เรื่องด้านนอกให้พวกนางฟัง ให้พวกนางรู้เยอะๆ
หน่อย”
“ศิษย์ทราบแล้ว” เจียงซุยอวิ๋นเชือ่ ฟังมาก เขาพูดว่า
“อาจารย์ ศิษย์มาเมืองหลวงได้สามวันแล้ว เดิมทีคิด
ว่ามาถึงก็จะมาหาท่านเลย แต่ว่า...มีเรื่องต้องจัดการ
ปลีกตัวไม่ได้ ขออาจารย์อภัยให้ข้าน้อยด้วย”
“เจ้าได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีคุณธรรมแล้ว เข้า
เมืองหลวงมา เรื่องที่ต้องทำคงมีมาก ข้าไม่โทษเจ้า
หรอก” จั่วชิงหยางหันมาพูดว่า “นี่เป็นศิษย์ของข้า
เอง ท่องเที่ยวไปทั่วหล้า วันนี้มาบรรยายความรู้ เจ้า
เองก็มาฟังด้วยกันสิ”
หยางหนิงคิดในใจว่าหากข้าฟังบรรยายแล้ว ข้าเองก็
จะกลายเป็นลูกศิษย์เขาอีกคน? แต่ว่าเขาก็อยากจะรู้
ว่าคุณชายเจียงคนนี้จะบรรยายอะไรออกมาได้บ้าง
ยกมือแล้วพูดว่า “ขอรับ”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 187 พระจันทร์นอกดินแดน
หอฉงหลินเป็นหอตำราของวิทยาลัยฉงหลิน นักเรียน
ในวิทยาลัยจะมาเรียนหนังสือกันที่นี่ ภายในวิทยาลัย
นอกจากจั่วชิงหยางแล้ว ยังมีอาจารย์อีกสามคน
หยางหนิงกับเจียงซุยอวิ๋นเดินตามหลังจั่วชิงหยาง
เมื่อมาถึงมุมหนึ่งของหอตำรา ยังไม่ทันเข้าไป ก็ได้ยิน
เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นมา
ที่นอกหอ อาจารย์คนอื่นๆ มายืนรออยู่แล้ว เมื่อเห็น
จั่วชิงหยางเดินมา ก็ต่างทำความเคารพ จั่วชิงหยาง
แนะนำว่า “นี่คือเจียงซุยอวิ๋น ซุยอวิ๋น คำนับอาจารย์
ทุกท่านเสีย”
เจียงซุยอวิ๋นโค้งคำนับ แล้วพูดว่า “ผู้น้อยคารวะท่าน
อาจารย์ทุกท่าน”
บรรดาอาจารย์มองไปที่เจียงซุยอวิ๋น พวกเขาก็คลี่ยิ้ม
ออกมา มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ที่แท้ก็เป็นลูกศิษย์
ของท่านอาจารย์ใหญ่ ซุยอวิ๋น ท่านอาจารย์ใหญ่
อบรมสั่งสอนเข้มงวด ไม่ชื่นชมใครง่ายๆ แต่ว่าพวก
เราได้ยินชื่อของเจ้าบ่อยมาก เจ้าเป็นคนมีพรสวรรค์
ขยันเล่าเรียน เขาชื่นชมเจ้าไม่ขาดปากเลยนะ”
เจียงซุยอวิ๋นพูดด้วยความนอบน้อมว่า “เป็นเพราะ
อาจารย์เอ็นดู ซุนหวินโง่เขลา หากไม่ได้อาจารย์เป็นผู้
อบรม คงไม่มีวันนี้”
จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า “ซุยอวิ๋น เจ้าก็อย่าถ่อมตัว
ไปเลย ทุกครั้งที่เจ้าส่งบทความมา ข้าก็เอาให้เหล่า
อาจารย์ที่นี่อ่านทั้งหมด พวกเขายังชื่นชมเจ้าเลย”
“อาจารย์ใหญ่ พวกเราไม่เพียงแค่ชื่นชมเขานะ แต่ว่า
ชื่นชมมากๆต่างหาก” อาจารย์ท่านหนึ่งพูดขึ้นมาว่า
“ซุยอวิ๋น ได้ยินมาว่าเจ้าล่องเรือออกไปแคว้นอื่นสาม
ปี พวกเราแก่แล้ว ตอนนี้ความรู้คงเทียบเจ้าไม่ได้”
“อาจารย์ทุกท่านชมเกินไปแล้ว ผู้น้อยมิกล้ารับ”
เจียงซุยอวิ๋นถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากไม่ใช่เพราะ
อาจารย์พาข้าไปที่ริมทะเล แล้วชี้ไปบอกข้าว่าเหนือ
ฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ทะเลกว้างใหญ่ขนาดนี้
ผู้น้อยก็คงไม่มีทางคิดที่จะออกเดินทางไป”
หยางหนิงเห็นพวกเขาพูดคุยหัวเราะกันอย่างมี
ความสุข ราวกับว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ในใจก็รู้สึกไม่
พอใจ เห็นท่าทางของเจียงซุยอวิ๋นแล้วเขาก็ขัดตายิ่ง
นัก แอบคิดในใจว่าเจ้าบ้านี่เสแสร้งชะมัด
ภายในหอตำราเสียงดังมาก หยางหนิงเห็นว่ามีแม่นาง
หลายคนแอบแง้มหน้าต่างมองรอดหน้าต่างออกมา
เขารู้ว่าพวกนางไม่มีทางเปิดมาดูเหล่าผู้เฒ่าแน่นอน
อีกทั้งคงไม่ใช่เขาด้วย แต่เป็นคุณชายเจียงจากตงไห่ผู้
นี้ต่างหาก
“ท่านข่ง พวกเราเริ่มกันเลยดีกว่า” จั่วชิงหยางพูดว่า
“ซุยอวิ๋นได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีคุณธรรมแล้ว
หลังจากนี้ฮ่องเต้อาจจะเรียกตัวเขาเมื่อใดก็ได้ ข้าแค่
ให้เขาหาเวลามาบรรยายสักครั้ง อย่าให้เสียเวลาเลย”
เจียงซุยอวิ๋นพูดอย่างจริงจังว่า “อาจารย์ ครั้งนี้เป็น
เพราะอาจารย์แนะนำข้า แล้วก็ได้รับความช่วยเหลือ
จากใต้เท้าหลายคนในราชสำนัก ถึงได้ถูกยกย่องให้
เป็นผู้มีคุณธรรม ศิษย์รู้สึกไม่สบายใจเลย แต่ว่า
อาจารย์แนะนำศิษย์ไป ศิษย์จะปฏิเสธก็ไม่ควร จริงๆ
แล้วศิษย์ความรู้ยังน้อย ต้องฝึกอีกมาก ไม่คู่ควรกับ
คำว่ามีคุณธรรมเลย”
“เจ้าก็อย่าพูดแบบนี้ นิสัยของเจ้า อาจารย์รู้ดี ความรู้
อะไรก็สู้คนอื่นได้” จั่วชิงหยางพูดด้วยหน้าตาจริงจัง
ว่า “เล่าเรียนเขียนอ่าน ก็เพื่อทำงานให้ราชสำนักแล้ว
ก็บ้านเมือง ตอนนี้ราชสำนักต้องการคนมากที่สุด
ถึงแม้ราชสำนักให้ข้าแนะนำคนไปหลายครั้ง แต่ข้า
เห็นว่าเจ้าอายุยังน้อย ยังต้องฝึกฝนอีกหลายปี วันนี้ก็
ถึงเวลาแล้ว ก็ควรจะออกไปทำเพื่อชาวบ้านบ้าง
แล้ว”
หยางหนิงอึ้งไป ที่แท้ที่เจียงซุยอวิ๋นมาเมืองหลวงครั้ง
นี้ เพราะจั่วชิงหยางแนะนำเขาให้กับทางราชสำนัก
อาจารย์ข่งที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้เดินมา แล้วสั่นระฆัง
หลังจากที่ระฆังดังขึ้น เสียงภายในหอฉงหลินก็เงียบ
ลง
จั่วชิงหยางเดินเข้าไปในหอ เหล่าอาจารย์ก็เดินตาม
เจียงซุยอวิ๋นเดินไปถึงแค่หน้าประตูเท่านั้น ไม่ได้รีบ
เดินเข้าไป แต่เขายกมือขึ้นมองไปที่หยางหนิงยิ้มแล้ว
พูดว่า “เชิญ”
เขาไม่แม้แต่จะพูดคำว่า “โหวเยวี่ย” เลย
หากไม่ใช่ว่าก่อนเข้ามาในนี้ ต้วนฉางไห่เตือนเอาไว้
แล้วว่าที่นี่ไม่แบ่งแยกชนชั้น หยางหนิงคงไม่ทน
ดูท่าแล้วคนพวกนี้ไม่เห็นโหวเยวี่ยอยู่ในสายตาจริงๆ
เขาเองก็ไม่พูดอะไรมาก เดินเข้าไปในหอตำรา
ภายในหอฉงหลินเงียบมาก หยางหนิงมองไป ภายใน
หอกว้างมาก มีนักเรียนอยู่ด้านในประมาณสี่สิบคน
นั่งอยู่บนเบาะ ด้านหน้าของทุกคนมีโต๊ะเล็กหนึ่งตัว
โดยสองคนใช้หนึ่งโต๊ะ
เมื่อหยางหนิงเดินเข้ามา สายตาของแม่นางพวกนั้นก็
มองมาที่เขา หยางหนิงสุขุมมาก เขาเห็นอาจารย์ทั้ง
สามนั่งลงบนเบาะด้านหน้าสุด เขามองไปรอบๆ เขา
เห็นซูจื่อเซวียนอยู่ด้านหลังอาจารย์สามคนนั้น ซูจื่อเซ
วียนจ้องมาที่ตัวเขาด้วยสายตาที่โกรธแค้นมาก
จากนั้นก็หันหน้าหนีไป
เห็นหยางหนิงมองไปมองมา จั่วชิงหยางก็กระแอม
แล้วพูดว่า “ฉีหนิง เจ้าหาที่นั่งเองนะ”
หยางหนิงคิดในใจว่าตาเฒ่านี่เรียกเขามา ไม่ได้
ต้อนรับเขาในฐานะแขกพิเศษก็ไม่ว่า แต่ว่าก็ควรจะ
จัดที่นั่งให้เขาหรือไม่ ตอนนี้กลับให้เขาหาที่นั่งเอง ตา
เฒ่าอีกสามคนก็เหมือนกัน นั่งเบาะด้านหน้าเต็มจน
หมด ไม่เหลือที่นั่งอะไรให้เขาเลย
เขามองไปรอบๆ สายตาของเขารู้สึกดีใจมาก เพราะ
เขามองเห็นที่ด้านหลังมีที่ว่าง มีแม่นางคนหนึ่งนั่งอยู่
คนเดียว คนๆ นั้นคือเสี่ยวเหยา
คนในหอตำราส่วนใหญ่นั่งกันสองคน มีแต่เสี่ยวเหยา
คนเดียวที่นั่งอยู่ตรงมุมนั้น เหมือนนางโดดเดี่ยวมาก
หยางหนิงไม่พูดอะไรมาก เดินผ่านคนไปที่มุมนั้น แล้ว
ยิ้มให้เสี่ยวเหยา ชี้ไปที่นั่งว่าง แล้วถามว่า “ตรงนี้นั่ง
ได้หรือไม่?”
เสี่ยวเหยาลังเล แล้วพยักหน้า
หยางหนิงนั่งลงข้างๆ เสี่ยวเหยา เห็นเสี่ยวเหยาขยับ
ตัวไปข้างๆ เหมือนไม่อยากเข้าใกล้เขามาก ในใจก็คิด
ว่าเสี่ยวเหยาน่าจะกลัวคนจับตามองมาที่นาง
จั่วชิงหยางกระแอมแล้วพูดว่า “เมื่อวานข้าบอกกับ
พวกเจ้าว่า ข้ามีศิษย์อยู่คนหนึ่ง พอมีความรู้อยู่บ้าง
อีกทั้งได้เดินทางออกไปท่องเที่ยวแดนไกลถึงสามปี
วันนี้ก็เลยให้เขามาเล่าประสบการณ์ของเขาให้พวก
เจ้าฟัง” จากนั้นก็พูดออกไปตรงประตู “ซุยอวิ๋น เจ้า
เข้ามาได้แล้ว”
เขาหน้าตาหล่อเหลา ฐานะดี สวมชุดผ้าแพรอย่างดี
ราศีคนรวยก็ถือว่าพอมี อีกทั้งมีความรู้ ทำให้เขาดูดี
มาก
แม่นางในหอตำราต่างจับจ้องมาที่เจียงซุยอวิ๋น หยาง
หนิงเหลือบไปมองเสี่ยวเหยาที่อยู่ข้างๆ เห็นเสี่ยว
เหยาเองก็มองไปเหมือนกัน เขาแอบคิดในใจว่า เจ้า
บ้าเจียงซุยอวิ๋นไม่ยอมเข้ามาข้างใน เพราะอยากจะ
ให้แม่นางพวกนี้จับจ้องเขาอย่างนั้นหรือ?
จั่วชิงหยางเดินเขยิบออกไปข้างๆ หลังจากเจียง
ซุยอวิ๋นเดินขึ้นแท่นบรรยายไปแล้ว ก็โค้งคำนับจั่ว
ชิงหยาง ดูแล้วเหมือนถ่อมตัวเอามากๆ
“ข้าน้อยเจียงซุยอวิ๋น เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์จั่ว
อาจารย์มีบุญคุณต่อข้าน้อยล้นฟ้า” น้ำเสียงของเจียง
ซุยอวิ๋นอ่อนโยน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “วันนี้มี
โอกาสได้มาเยี่ยมเยียนวิทยาลัยฉงหลิน ถือว่าเป็น
เกียรติของข้า”
เหล่าแม่นางต่างจับจ้องไปที่เจียงซุยอวิ๋น หลายคน
จ้องอย่างตาไม่กระพริบเลย เหมือนกับว่าหาก
กระพริบตาแล้วเจียงซุยอวิ๋นก็จะหายไป
“ข้าน้อยได้รับการไหว้วานจากอาจารย์ ให้มาเล่า
เรื่องราวประสบการณ์ที่ไปท่องเที่ยวมา จริงๆ แล้ว
ความรู้ของข้าน้อยนัก ไม่มีสิทธิขึ้นมายังแท่นบรรยาย
นี้ แต่ว่าเมื่ออาจารย์สั่ง ซุยอวิ๋นก็ต้องแบกหน้าขึ้นมา”
เจียงซุยอวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ ก็ถือ
ได้ว่าเป็นศิษย์น้องหญิงในสำนักเดียวกับซุยอวิ๋น วันนี้
ข้าขอแสดงฝีมืออันต่ำต้อยต่อหน้าศิษย์น้องแล้ว”
หยางหนิงมองอย่างไรก็ขัดหูขัดตาอยู่ดี เขาอดไม่ได้ที่
จะบ่น “มีแต่คำพูดที่หาประโยชน์ไม่ได้”
เสี่ยวเหยาได้ยินอย่างชัดเจน หันไปมองหยางหนิง
เห็นสีหน้าของหยางหนิงไม่พอใจมาก สายตาของนาง
เหมือนคิดอะไรออก แล้วก็ปิดปากแอบขำ
“อ่านหนังสือหมื่นเล่ม ไม่เม่ากับเดินทางเป็นหมื่นลี้”
สีหน้าท่าทางของเจียงซุยอวิ๋นอ่อนโยน เขาพูดว่า
“ตำราไม่อ่านไม่ได้ แต่ว่าจะไม่เดินทางก็ไม่ได้เช่นกัน
มีอะไรหลายอย่าง ท่พวกเราไม่อาจเห็นได้แค่ในตำรา
จากคำสอนของอาจารย์ ทำให้ข้าได้ออกเดินทาง
ท่องเที่ยวไปทั่ว ไม่เพียงแค่ต้าฉู่ เป่ยฮั่นเองข้าก็เคยไป
มาแล้ว ทิวทัศน์งดงามมาก”
“คุณชายเจียง ท่านออกเดินทางไปมาหลายที่ อย่าง
นั้นก็แสดงว่าท่านออกเดินทางไปไหนมาไหนตั้งแต่
เล็กใช่หรือไม่?” แม่นางเสียงหวานคนหนึ่งพูดขึ้นมา
หยางหนิงได้ยินก็รู้ทันที ว่าเป็นเสียงของซูจื่อเซวียน
เจียงซุยอวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องท่านนี้ถามได้ดี
ซุยอวิ๋นออกเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวไปทั่วตั้งแต่อายุ
สิบหก”
“คุณชายเจียงช่างกล้านัก” ซูจื่อเซวียนพูดด้วยเสียง
อ่อนหวาน “พวกเราอายุขนาดนี้แล้ว อย่าว่าแต่ออก
เดินทางเลย ออกจากบ้าน คนที่บ้านก็ยังห่วงเลย”
เจียงซุยอวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องไม่ใช่ว่าไม่มี
ความกล้า แต่แค่ยังไม่ได้ลองเท่านั้น หากเจ้าตัดสินใจ
แน่วแน่ ก็ออกเดินทางไปได้ เจ้าอาจจะกล้ามากกว่า
ข้าก็ได้ มีหลายเรื่อง เมื่อก้าวข้ามมันไปแล้ว ก็จะ
ประสบความสำเร็จ” จากนั้นเขาก็หันไปคำนับจั่วชิงห
ยางแล้วพูดว่า “ก็เหมือนกับวิทยาลัยฉงหลินนี่ ที่ก่อน
หน้านี้ไม่มีใครคิดว่าผู้หญิงจะเรียนหนังสือได้ แต่ว่า
อาจารย์ก็ทำมันจนสำเร็จได้ มีใครบนโลกที่เรียน
หนังสือแล้วไม่รู้จักวิทยาลัยฉงหลินบ้าง? วิทยาลัยฉง
หลินก็คือเมืองหลวง ไม่สิ มันคือไข่มุกเม็ดงามข
ของต้าฉู่ของพวกเรา”
หยางหนิงแอบคิดในใจว่า ถูกต้อง คำประจบนี่จั่วชิงห
ยางฟังแล้วจะต้องสบายใจแน่นอน เขาเหลือบไปมอง
จั่วชิงหยาง เห็นเขาสีหน้านิ่งไม่แสดงท่าทีอะไร
ซูจื่อเซวียนยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าชื่อซูจื่อเซวียน ศิษย์...
ศิษย์พี่เจียงเรียกข้าว่าศิษย์น้องซูก็ได้”
หยางหนิงแสยะยิ้ม ในใจก็แอบก่นด่าว่าซูจื่อเซวียน
ท่ามกลางสายตาคนหลายคน ผู้หญิงคนนี้ไม่คิดจะ
สำรวมเลยหรืออย่างไรกัน? ดีที่ถอนหมั้นไปแล้ว เขา
รับผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
เจียงซุยอวิ๋นพยักหน้าให้กับซูจื่อเซวียน จากนั้นเขาก็
บรรยายภาพของวิวทิวทัศน์สายน้ำอย่างง่ายๆ เขาก็
ถือได้ว่าเป็นคนที่เลือกใช้คำพูดได้ดี พูดไม่นาน เขาก็
เปลี่ยนประเด็น “แต่ว่าเรื่องที่ทำให้ข้าจำได้ดีที่สุดก็
คือ เรื่องที่ข้าออกทะเลไปเมื่อสามปีก่อน” เขายิ้มแล้ว
ถามว่า “เหล่าศิษย์น้อง พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพระจันทร์
นอกดินแดนของพวกเรานั้นมีลักษณะอย่างไร?”
พวกนางมองหน้ากัน ยังคงเป็นซูจื่อเซวียนพูดขึ้นมา
ว่า “ศิษย์พี่เจียง พระจันทร์นอกดินแดนของเราไม่
กลมหรือ? อ๋อ ข้ารู้แล้ว มันเป็นเสี้ยวใช่หรือไม่?”
เจียงซุยอวิ๋นยกมือ ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ๆ จริงๆ แล้ว
พระจันทร์ด้านนอกนั้นมันเป็นทรงสี่เหลี่ยม เหมือน
โต๊ะเลย”
หยางหนิงอึ้งไป แทบจะกระอักเลือดออกมา
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 188 ศิษย์เข้าใจผิด
เหลวไหล!
ตั้งแต่เจอเรื่องเหลวไหลมา ไม่เคยเจอเรื่องไหน
เหลวไหลเท่านี้มาก่อนเลย เดิมทีหยางหนิงคิดว่า
คุณชายเจียงออกเดินทางไปนอกดินแดนแล้ว อาจจะ
เจอของหายากหรือเรื่องราวแปลกๆ ในยุคนี้กลับมาก็
ได้ แต่ว่าพอได้ฟังแบบนี้แล้ว เขาก็รู้ว่าเจ้านี่มันก็แค่
แอบอ้างชื่อเท่านั้น
ภายในหอตำรา เริ่มมีเสียงขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของ
พวกนางมีความแปลกใจ สีหน้าทุกคนดูตะลึง บางคน
เริ่มรู้สึกสงสัย
“เหล่าศิษย์น้องก็น่าจะรู้ว่าพระจันทร์อยู่บนท้องฟ้า
ข้าเองก็คิดแบบนั้นมาตลอด” เจียงซุยอวิ๋นเห็นว่ามัน
ได้ผล ก็ยิ้มแล้วก็พูดว่า “แต่พอได้ออกเดินทางออกไป
ก็พบว่าเป็นอย่างที่อาจารย์ว่าจริงๆ โลกภายนอกมัน
ช่างแตกต่าง”
“ศิษย์พี่เจียง พระจันทร์ข้างนอกเป็นสี่เหลี่ยมจริงๆ
หรือ?” ซูจื่อเซวียนรีบถาม “หรือว่ามันไม่เหมือนกับ
พระจันทร์ของพวกเรา?”
“ใช่ ไม่เหมือน” เจียงซุยอวิ๋นพูดด้วยความจริงจังว่า
“อีกทั้งคนต่างชาติยังไม่ได้เรียกมันว่าพระจันทร์ แต่
เรียกว่า...ใช่ เรียกว่าโคมไฟ”
“โคมไฟ?” หยางหนิงเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
แอบคิดในใจว่าคุณชายเจียงคนนี้ก็มีความสามารถไม่
เบา จากสีหน้าท่าทางของเขาแล้ว คิดว่าคงไม่มีใคร
สงสัยว่าเขาจะพูดส่งเดช
จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่เจียงซุยอวิ๋นมาใน
วันนี้ หากเขาไม่พูดถึงเรื่องที่แปลกกว่าปกติ มันก็จะ
ทำให้เขาดูไม่มีความรู้ หากแค่เล่าถึงกลอนหรือว่า
ดนตรีมันก็ดูจะธรรมดาไป เหล่าท่านผู้เฒ่าที่นั่งอยู่
ล้วนเป็นบัณฑิตชั้นสูงที่จั่วชิงหยางเชิญมาด้วยตัวเอง
เขาดูก็รู้ว่าความสามารถของเขาอยู่ในระดับใด แต่
หากเป็นเรื่องที่แปลกหรือไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็จะทำ
ให้คนสนใจ
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ วันนี้ไม่มีใครเคยออกไปต่างแดน
เลย ไม่มีใครเคยเห็นดินแดนที่ไกลออกไปกว่าหมื่นลี้
เจียงซุยอวิ๋นบอกว่าตัวเองเดินทางไปเรียนรู้เรื่องราว
กว่าหมื่นลี้มา ใครจะเป็นคนพิสูจน์เรื่องนี้ได้เล่า?
นักเรียนที่อยู่ที่นี่ ถึงแม้จะเรียนอยู่ในวิทยาลัย แต่ว่า
ปกติก็เป็นผู้หญิงที่ไม่ออกจากบ้านเลย อย่าว่าแต่หมื่น
ลี้ เรื่องในเมืองหลวงบางเรื่องพวกนางก็ยังไม่รู้เลย
ตอนนี้พอได้ยินเจียงซุยอวิ๋นพูดแบบนี้ ก็รู้สึกตื่นเต้น
ขึ้นมา
“ศิษย์พี่เจียง คนต่างแดนนั่นหน้าตาเหมือนพวกเรา
หรือไม่?” ทันใดนั้นเองก็มีคนถามขึ้นมา
เจียงซุยอวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เหมือน คนต่างแดน
หน้าตาดีมาก ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ทุกคนมีมารยาท
ต้อนรับอบอุ่น พวกเขาร่ำรวยกันมาก เวลารับแขก
อาหารก็จะทำเอาไว้เต็มโต๊ะ รสชาติก็ดีมากด้วย”
“อย่างนั้น...อย่างนั้นพวกเขาอ่านตำราอะไร?”
“เรื่องนี้ข้าได้ตรวจสอบอย่างละเอียด พวกเขาเรียน
อ่านไม่เหมือนพวกเรา จริงๆ พวกเขาก็อ่านหนังสือ
น้อย พอพูดถึงเรื่องอ่านเขียนหนังสือ พวกเขาสู้พวก
เราไม่ได้เลย ข้าไปมาหลายแคว้น พอเขียนกลอน
ออกมาได้หนึ่งบท พวกเขาก็ตะลึงมาก แทบจะยกมัน
เป็นสมบัติอันล้ำค่า” เจียงซุยอวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “ข้า
ความรู้น้อย แต่พอไปถึงที่นั่น ข้าเหมือนกับเทพเจ้า”
“ที่แท้พวกเขาก็ไม่มีความรู้เท่าไหร่” ซูจื่อเซวียนยิ้ม
แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่เจียง อย่าว่าต่างแดนเลย ในแคว้น
ของพวกเราท่านก็มีความรู้มากแล้ว”
“ศิษย์น้องซูชมเกินไปแล้ว” เจียงซุยอวิ๋นถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “มีครั้งหนึ่งฮ่องเต้สองแคว้นเชิญข้าไป
ร่วมงานเลี้ยง ในงานเลี้ยง พวกเขาขอให้ข้าอยู่ที่แคว้น
ของเขาต่อ สอนพวกเขาเขียนบทความ จริงๆ ข้าก็
เคยคิด จะอยู่ที่นั่นสักปีสองปี แต่ว่าคนต่างชาติไม่
ค่อยรู้เรื่องการเขียนหมึกพู่กัน หากต้องสอนขึ้นมา
ต้องใช้เวลานานมาก เวลาสั้นๆ พวกเขาไม่มีทางเข้า
ใจได้”
ตอนนี้แม่นางหลายคนในหอตำราต่างมีสีหน้าชื่นชม
เขามาก
หยางหนิงมุมปากยกยิ้ม อยู่ๆ ก็ถามเขาขึ้นมาว่า
“คุณชายเจียง ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่ ช่วงกลาง
วันที่ต่างแดนมีดวงอาทิตย์หรือไม่?”
“มีสิ” เห็นหยางหนิงถาม เจียงซุยอวิ๋นก็ยังคงยิ้มอยู่
“แล้วแดดของพวกเขามีรูปลักษณ์อย่างไร?” หยาง
หนิงถามด้วยสีหน้าท่าทางชี้แนะ “เป็นสี่เหลี่ยมด้วย
หรือไม่?”
เจียงซุยอวิ๋นยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่ใช่”
“หากเป็นตามที่ท่านว่ามา ดวงอาทิตย์ที่ต่างแดนกับ
แดดของต้าฉู่ก็ไม่เหมือนกัน?” หยางหนิงค่อยๆ ลุก
ขึ้นมา เขายิ้มแล้วพูดว่า “อย่างนั้นก็แสดงว่า บนฟ้ามี
ดวงอาทิตย์สองดวง?”
เมื่อเขาพูดออกมาแบบนี้ เจียงซุยอวิ๋นก็หน้าเปลี่ยนสี
ไป
ตั้งแต่โบราณมา บนท้องฟ้าไม่มีดวงอาทิตย์สองดวง
บ่าวไม่มีนายสองคน หากเจียงซุยอวิ๋นบอกว่าดวง
อาทิตย์ต่างแดนไม่เหมือนกับของต้าฉู่ นั่นก็จะถือว่า
ผิดพลาดมากๆ
จั่วชิงหยางรู้ข้อนี้ดี เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ใน
วิทยาลัยนี้มีกฎของที่นี่ ภายในหอตำรา ทุกคนมีสิทธิ
พูดถึงความรู้ของตัวเอง พูดออกมาได้เลย ไม่ต้อง
กังวล”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์จั่ว ข้าแค่รู้สึก
แปลกใจ ใต้หล้านี้กว้างใหญ่นัก คุณชายเจียงไม่มี
ทางเดินทางไปได้ทั่วทุกดินแดน เขาออกเรือท่องเที่ยว
ไปทั่ว ไปยังดินแดนอันไกลแสนไกลก็จริง แต่ก็ไม่มี
ทางไปได้ทุกที่ หากเขาเห็นพระจันทร์ทรงเหลี่ยม นั่น
แสดงว่า เขาคงยังคงไม่เคยเห็นพระจันทร์ในอีกหลาย
ที่จริงหรือไม่? ไม่แน่อาจจะมีทรงสามเหลี่ยม หรือไม่ก็
ทรงยาวก็ได้?”
เจียงซุยอวิ๋นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่า
อย่างไร?”
“ข้าก็แค่ขอคำชี้แนะเท่านั้น” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“คุณชายเจียง ไม่ทราบว่าสถานที่ที่ท่านไป ใช่ยุโรป
หรือไม่ หรือว่าแอฟริกา หรือว่าอเมริกา?”
เจียงซุยอวิ๋นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อะไร...แอฟ...
อะไร?”
หยางหนิงหัวเราะร่า แล้วเดินขึ้นหน้าไป ข้างๆ เจียง
ซุยอวิ๋น ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าแค่อยากถามเจ้า
ว่า เจ้าเคยเจอคนต่างชาติหรือไม่ ผมของพวกเขามีสี
ทอง ดวงตาสีเขียว หรือว่าตัวดำบ้างหรือไม่?”
ซูจื่อเซวียนเห็นหยางหนิง เดิมทีใบหน้าของนางยังมี
รอยยิ้มก็หุบลง แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่เจียงบรรยายอยู่
เหตุใดเจ้าถึงพูดแทรกขึ้นมา? เจ้าไม่เคยออกไป เจ้า
จะไปรู้อะไร?”
หยางหนิงเหลือบไปมองซูจื่อเซวียน แล้วพูดว่า
“อาจารย์บรรยายอยู่ เจ้าเป็นนักเรียนพูดแทรกได้
หรือ? ไม่รู้สึกว่าปากไวไปหน่อยหรือ?”
ซูจื่อเซวียนอึ้งไป นางรู้สึกอายมาก
“ตัวดำทั้งตัวหมายความว่าอย่างไร?” เจียงซุยอวิ๋นสี
หน้าเริ่มไม่ดี
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าคน
ต่างชาติหน้าตาดี คิดว่าไม่น่าจะใช่คนดำ คนดำที่ข้า
หมายถึง ก็คือคนที่มีผิวสีดำทั้งตัว”
ทุกคนที่ได้ยินก็ตะลึงไปตามๆ กัน พวกเขาคิดไม่ถึงว่า
บนโลกจะมีคนแบบนี้อยู่
“อย่าบอกนะว่าเจ้าเคยเจอคนแบบนี้?” เจียงซุยอวิ๋น
ยังคงฝืนยิ้มอยู่
หยางหนิงไม่ได้ตอบ เขาถามต่อไปอีกว่า “ข้ายัง
อยากจะถามอีกว่า คุณชายเจียงออกเรือ ไม่ทราบ
เดินทางนานเพียงใด? ข้าได้ยินมาว่าดินแดนทางใต้
ของแคว้นมีเกาะเยอะมาก แคว้นที่คุณชายเจียงเคย
ไปที่คงไม่ใช่แคว้นเหล่านั้นหรอกกระมัง?”
“ไม่ใช่” เจียงซุยอวิ๋นไขว้มือไปข้างหลัง “ออกเรือหนึ่ง
ครั้งก็ใช้เวลาหนึ่งปีกว่า ล่องเรือไปก็ต้องเคยไปมา
หลายที่ แค้วนที่ไกลที่สุด ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งปีกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าไกลมาก แต่ไม่มีทางไปถึงดินแดน
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ตามที่คุณชายเจียงพูดมา น่าจะเป็นยุโรป”
เขาพูดออกมาแบบนี้ ในใจก็แอบขำอยู่ไม่น้อย เขารู้
ว่าถึงแม้เขาจะข้ามเวลามาในยุคนี้ประวัติศาสตร์หรือ
แคว้นอะไรมันก็ต่างไปหมด แต่ว่าตำแหน่งที่ตั้งไม่มี
อะไรต่างกัน เพียงแค่ตอนนี้เส้นทางสายเรือยังไม่
เชื่อมผ่าน หากขึ้นจากทะเลและเดินทางไปด้วยเท้า
เส้นทางของประเทศอียิปต์ยังไม่เปิด ก็ต้องอ้อมไป
ทางแอฟริกาถึงจะไปถึงยุโรปได้ หากใช้เส้นทางนี้
คุณชายเจียงคนนี้ ก็ไม่มีทางที่จะไม่เจอคนผิวสี
แน่นอน
เพียงแค่จุดนี้ ก็รู้ว่าตานี่กำลังคุยโวอยู่ หางโผล่เสีย
แล้ว
“ยุโรปที่เจ้าว่ามันคืออะไร?” เจียงซุยอวิ๋นพูด “ข้า
ออกเดินทางไปต่างแดน ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ยุโรปไม่เคยได้ยินไม่เป็นไร
ขอถามคุณชายเจียงเจ้าเคยได้ยินเฮอรอโดทัสหรือไม่?
ทิวซิดิดีส? โสกราตีส? เอสคิลัสล่ะเคยได้ยินหรือไม่?
อริสโตเติล เพลโต โสกราตีสล่ะเจ้าเคยได้ยินหรือไม่?”
ชื่อที่เขาพูดขึ้นมานั้นแปลกมาก คนที่อยู่ตรงนั้นต่างมี
สีหน้าที่สงสัย
เจียงซุยอวิ๋นตอนนี้ขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “พวกนี้มัน
อะไรกัน?”
“คุณชายเจียงเมื่อครู่เจ้าบอกว่าคำกลอนดนตรีของ
ท่านคนต่างแดนเห็นมันเป็นสมบัติล้ำค่าใช่หรือไม่?”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าพวกเขา
ไม่เรียนไม่อ่านหนังสือ เห็นเจ้าเหมือนเทพเจ้า แต่
เท่าที่ข้ารู้มา พวกเขาร่ำเรียนเขียนอ่านไม่น้อย มี
วัฒนธรรมเป็นของตัวเอง ก็เหมือนพวกเราที่มี
วัฒนธรรมของตัวเอง”
เจียงซุยอวิ๋นน้ำเสียงยังนิ่งอยู่ “แล้วเจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้
อย่างไร? หรือว่าเจ้าเคยออกไปต่างแดน?”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะรู้มาจากไหน ข้าไม่
จำเป็นต้องบอกเจ้า ในเมื่อเจ้าไม่รู้เรื่องของคนพวกนี้
ก็น่าจะไม่รู้จัก ปรัชญา คณิตศาสตร์ เทววิทยา
เศรษฐศาสตร์ สุนทรียศาสตร์สินะ” เขามองไปที่แท่น
บรรยาย ด้านบนมือกระดาษกับหมึก น่าจะเอามา
เพื่อการเรียนการสอน เขาเดินไป แล้วหยิบพู่กนั
ขึ้นมา แล้วก็วาดวงกลมสามวง เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน
คนที่อยู่ด้านล่างเริ่มพูดคุยกัน สิ่งที่หยางหนิงพูด มัน
เหมือนกับพวกเขากำลังฟังเรื่องราวของเทพนิยาย แต่
จั่วชิงหยางกลับไม่ได้ห้ามเขา
“นี่มันอะไร?” เจียงซุยอวิ๋นขมวดคิ้ว
“เจ้าบอกว่าพระจันทร์เป็นทรงเหลี่ยม ถ้าอย่างไร
วันนี้ข้าสอนเจ้าดีหรือไม่ ว่าพระจันทร์มันเป็นอย่างไร
เจ้าจะได้ไม่ต้องเข้าใจผิดอีก” เขาวางพู่กันลง หยิบ
ขึ้นมา แล้วชี้ไปที่วงกลมที่เขาวาดแล้วพูดว่า “ทุกคนดู
ให้ดี วงกลมวงใหญ่สุดนี้ ก็คือดวงอาทิตย์ที่พอถึง
กลางวันแล้วจะได้เห็นกัน ส่วนตรงกลางนี้ เป็นโลกที่
พวกเราอยู่กัน...”
“โลก?” ไม่รอให้หยางหนิงพูดจบ เจียงซุยอวิ๋นยิ้ม
แล้วพูดว่า “เจ้าเล่นอะไรอยู่? ฟ้าทรงกลมแผ่นดินทรง
เหลี่ยม ที่ที่พวกเราอยู่ เหตุใดอยู่ๆ ถึงได้กลายมาเป็น
วงกลมได้เล่า?”
“ถ้าเขาไม่ได้มีเวทมนตร์ ก็แค่เรื่องที่แต่งขึ้นมา”
ซูจื่อเซวียนพูดด้วยความเกลียดชัง
หยางหนิงไม่ได้สนใจ แล้วพูดต่อว่า “ยังมีวงที่เล็ก
ที่สุดนี่ ก็คือพระจันทร์ที่คุณชายเจียงพูดถึง จริงๆ
แล้ววงกลมสามดวงนี้มันหมุนรอบตัวตลอดเวลา ทั้ง
หมุนรอบตัวเองและหมุนรอบซึ่งกันและกัน...”
ผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังจะพูด จั่วชิงหยางกระแอม แล้ว
ส่ายหัว เพื่อส่งสัญญาณไม่ให้เขาขัด จากนั้นเขาก็มอง
ไปที่กระดาษ สายตาของเขาเหมือนสนใจยิ่งนัก
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 189 พนัน
“ในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งสามดวงนี้ ดวงอาทิตย์คือ
จุดศูนย์กลาง ซึ่งมันหมุนรอบตัวเอง ไม่หมุนรอบใคร
ดังนั้นโลกที่พวกเราอยู่ ก็เลยหมุนรอบตัวของดวง
อาทิตย์ ดังนั้นเมื่อสถานที่ที่พวกเราอยู่ตรงกับดวง
อาทิตย์ แสงแดดก็จะส่องมาที่โลกของพวกเรา นั่นก็
คือช่วงกลางวัน พอโลกหมุนไปอีกด้านหนึ่ง ที่
แสงแดดส่องไม่ถึง มันก็จะกลายเป็นกลางคืน”
หยางหนิงไม่สนใจเจียงซุยอวิ๋นที่กำลังยืนอึ้งอยู่ข้างๆ
แต่ว่าเขามองไปที่เสี่ยวเหยาที่นั่งอยู่ตรงมุม เห็นเสี่ยว
เหยากำลังมองมาที่เขาอยู่ ท่าทางตั้งใจมาก เขายิ้ม
แล้วพูดต่อว่า “ดวงอาทิตย์อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งส่อง
แสงสว่างอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน เพียงแค่ในทุกๆ
วันพวกเรามีโอกาสเจอมันแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น”
“ซึ่งแน่นอนว่าพระจันทร์เองก็หมุนรอบโลกเช่นกัน
ดังนั้นในทุกๆ วันพวกเราก็มีโอกาสเจอมันแค่ครึ่ง
เดียวเท่านั้น” หยางหนิงพูดเสียงดังว่า “ดังนั้นในใต้
หล้านี้ มีพระจันทร์แค่ดวงเดียวเท่านั้น อีกทั้งมันยัง
เป็นทรงกลมอีกด้วย ส่วนพระจันทร์ทรงเหลี่ยมที่
คุณชายเจียงพูดถึง ข้าไม่สงสัยว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่
หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเรือของคุณชายเจียงนั้น
ร้ายกาจมาก สามารถออกไปนอกโลกได้ สามารถเห็น
ดวงดาวอื่นๆ ได้”
ภายในหอตำราเงียบสนิท เจียงซุยอวิ๋นขมวดคิ้ว สี
หน้าแย่มาก แต่ว่าแม่นางพวกนั้นฟังแล้วยังงุนงง แต่สี
หน้าของพวกนางก็ดูตื่นเต้นมาก
ถึงแม้หยางหนิงจะอธิบายอย่างชัดเจน แต่ว่าพวกเขา
ไม่เคยสัมผัสเรื่องนอกโลก ก็ไม่เลยไม่เข้าใจ แต่กลับ
รู้สึกว่าสิ่งที่หยางหนิงพูดนั้นลึกซึ้งมาก
“ฉีหนิง เจ้าบอกว่ายังมีดวงดาวอื่นอีกอย่างนั้นหรือ?”
จั่วชิงหยางที่ไม่ได้พูดอะไรมานานอยู่ๆ ก็พูดขึ้นมา
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราทุกคนอาศัยอยู่บน
โลก ยังพูดกันว่าฟ้าทรงกลมแผ่นดินทรงเหลี่ยมได้เลย
คงไม่คิดหรอกใช่หรือไม่ว่ามีเพียงแค่โลกของพวกเรา
เท่านั้น?” จากนั้นเขาก็หันไปหาจั่วชิงหยาง หยางหนิง
พยายามพูดอย่างมีมารยาทที่สุด ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า
“ท่านอาจารย์น่าจะรู้ ดาวเคราะห์สามดวงที่ข้าพูดถึง
มันเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆ ของระบบสุริยะเท่านั้น
พวกเขาทั้งหมดอยู่ในทางช้างเผือก หากมองให้กว้าง
ดวงดาวก็มีมากเหมือนฝูงมด ที่นับไม่ถ้วน ดังนั้นโลก
ของพวกเรามันเล็กมาก อะไรที่อยู่รอบตัวพวกเรานั้น
ก็เล็กไปอีก”
สิ่งที่หยางหนิงพูด ทำให้คนที่อยู่ตรงนี้มึนหัวไปหมด
มันเป็นเรื่องราวที่ไม่มีใครรู้เลย
ผมสีทอง ผิวสีดำ บนโลกนี้มีคนแบบนี้ด้วยหรือ?
เอสคิลัส อริสโตเติล? เทววิทยา ปรัชญา? ระบบสุริยะ
ทางช้างเผือก...
ตอนนี้หลายคนรู้สึกมึนมาก ไม่รู้ว่าจะรับความรู้ใหม่นี้
อย่างไร
“ฉีหนิง แต่โบราณมา ฟ้าทรงกลมแผ่นดินทรงเหลี่ยม
แล้วมันเปลี่ยนไปเป็นวงกลมตั้งแต่เมื่อใดกัน?” เจียง
ซุยอวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วเอสคิลัส กับเทววิทยา
อะไรนั่นอีก ยังมีทางช้างเผือก ข้าอยากจะขอคำ
ชี้แนะมาก เจ้าจะพิสูจน์สิ่งที่เจ้าพูดมาได้อย่างไร? เจ้า
บอกว่าใต้หล้านี้มีพระจันทร์ดวงเดียว เจ้าจะพิสูจน์ได้
อย่างไร?”
หยางหนิงวางไม้ลง แล้วพูดว่า “ที่ข้าขึ้นมาพูดในวันนี้
ไม่ใช่จะมาแก้ต่างอะไรให้เจ้า แล้วก็ไม่ได้จะมา
เปลี่ยนแปลงอะไร ข้าขอพูดตามตรง คุณชายเจียงพูด
อะไรเกินจริงไปมาก ข้ากังวลว่าพวกนางจะเชื่อว่า
พระจันทร์เป็นสี่เหลี่ยมจริงๆ แล้วเผยแพร่ออกไป มัน
จะไม่กลายเป็นเรื่องตลกหรอกหรือ” จากนั้นเขาก็หัน
ไปมองนักเรียนหญิงที่นั่งอยู่ “สิ่งที่ข้าพูดในวันนี้ ข้า
เชื่อว่าไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน แล้วก็คงมีคนคิดว่าข้า
กำลังพูดเรื่องเหลวไหล จริงๆ พวกเจ้าจะคิดอย่างไร
ข้าไม่ได้สนใจ” เขากวาดสายตาไป แล้วพูดว่า “พวก
เจ้าเข้ามาเรียนที่วิทยาลัยนี้ได้ ไม่ง่ายเลย อย่างน้อยก็
ต้องได้เรียนรู้อะไรไปบ้าง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเรียนรู้
ที่จะแยกแยะเรื่องราวให้ได้ มีคำพูดหนึ่งพูดได้ดี สิ่งที่
เห็นด้วยตานั้นคือความจริง สิ่งที่ได้ยินกับหูอาจเป็น
เรื่องลวง แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เห็นด้วยตา
อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ อะไรก็ตามที่ไม่สามารถ
ตัดสินได้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่หรือมีข้อสงสัย ก็ต้องไป
ตามหาความจริงออกมา ข้าคิดว่าพวกเจ้าถึงจะเรียนรู้
อะไรกลับไปได้จริงๆ”
จริงๆ แล้วที่หยางหนิงลุกขึ้นมา เพียงเพราะว่าสิ่งที่
เจียงซุยอวิ๋นพูดทำให้เขาโมโห
เขารู้ว่า แม่นางพวกนี้เข้ามาเรียนที่นี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
เลย แต่เจียงซุยอวิ๋นตั้งใจจะแสดงความรู้ของตัวเอง
กลับเลือกทีจ่ ะพูดอะไรเกินจริง ทำให้หยางหนิงทนไม่
ไหว
เขาไม่อยากให้แม่นางพวกนี้ฟังเรื่องเหลวไหลแบบนี้
แล้วเผยแพร่เรื่องพวกนี้ออกไป
พูดมากขนาดนี้ จริงๆ แล้วเขาเองก็ไม่อาจแน่ใจ
เรื่องราวบนโลกใบนี้ ว่ามันมีเรื่องแปลกอีกมากน้อย
เพียงใด คนที่เขาไม่สามารถแน่ใจได้ว่าจะปรากฎตัว
อยู่ในมิติเดียวกับเขาหรือไม่
แต่เขาเชื่อมั่นอย่างหนึ่ง มนุษย์มีความสามารถสร้าง
สิ่งแปลกใหม่ขึ้นมา ต่อให้ไม่มีเอสคิลัส ไม่มีทิวซิดิดีส
แต่เขาเชื่อว่าไม่ว่าจะดินแดนที่ไกลแค่ไหน จะต้องมี
วัฒนธรรมของตัวเอง วัฒนธรรมบนโลกใบนี้กำลัง
พัฒนาไปข้างหน้า ก็เหมือนกับที่นี่เช่นกัน
เขารู้ว่าตัวเขาพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไป แต่ก็เป็น
เพราะเขาเสียการควบคุมตัวเองไป แม่นางที่นั่งฟังเขา
คงจะสงสัยในคำพูดของเขาไม่น้อย
แต่ก็เหมือนที่เขาพูดไป เขาไม่สนใจ
ในหอตำราเงียบลง เจียงซุยอวิ๋นพูดว่า “ข้าไม่รู้เรื่อง
เหลวไหลพวกนี้มาจากไหน หากมันมีจริงๆ เจ้าเองก็
น่าจะออกไปสักครั้ง ออกไปดูโลกใบนี้”
“เจ้าวางใจ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะต้องไปได้ไกลกว่า
เจ้าแน่นอน” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่า ข้าไม่
เหมือนเจ้าที่นั่งเรือล่องไปแน่ อาจจะมีสักวันหนึ่ง ที่
ข้านั้นลอยอยู่บนท้องฟ้า”
เจียงซุยอวิ๋นอึ้งไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าจะบิน
บนท้องฟ้าหรือ?” จากนั้นก็พูดว่า “หากเจ้ามีปีก
จริงๆ อาจจะทำฝันนี้ให้เป็นจริงได้”
หากไม่ได้อยู่ในหอตำรา หยางหนิงเชื่อว่าเขาต้องอด
ไม่ได้ที่จะฉีกหน้าของเจียงซุยอวิ๋นออกเป็นชิ้นๆ แน่
แต่ว่าในเมื่ออยู่ในหอตำรา อย่างไรก็ต้องไว้หน้าจั่ว
ชิงหยาง เขายิ้มว่า “ไม่มีปีก ก็บินบนฟ้าไม่ได้หรือ?”
เจียงซุยอวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าโง่เขลา ไม่รู้ว่ามีวิธีที่
สามารถทำให้บินบนฟ้าได้ ไม่รู้ว่าเจ้าจะชี้แนะข้าได้
หรือไม่?”
“ต้องขอโทษด้วย ข้ามีวิธี แต่มันเป็นความลับ บอก
ใครไม่ได้” หยางหนิงยิ้ม “คุณชายเจียงบรรยายต่อได้
ทุกคนยังรอฟังประสบการณ์การท่องเที่ยวของเจ้าอยู่
นะ”
ซูจื่อเซวียนคุมปากตัวเองไม่ได้ นางพูดว่า “แกล้งทำ
เป็นลึกลับไปอย่างนั้นแหละกระมัง ไม่มีปีก จะอยู่บน
ฟ้าได้อย่างไร?”
“อ๋อ?” หยางหนิงหัวเราะออกมา “ดูท่าคุณหนูซูจะไม่
ค่อยพอใจ ถ้าอย่างนั้น พวกเรามาพนันกันหรือไม่?”
“พนันอะไร?”
“หากวันหนึ่งข้าบินอยู่บนฟ้าได้ เจ้าจะต้องมาเช็ด
รองเท้าให้ข้าดีหรือไม่?” หยางหนิงเหลือบไปมอง
เจียงซุยอวิ๋น “ในเมื่อคุณชายเจียงเป็นคนตั้งข้อสงสัย
ถ้าอย่างไรถึงเวลาให้คุณชายเจียงช่วยเช็ดรองเท้าให้
แทนดีหรือไม่?”
เจียงซุยอวิ๋นตอบอย่างไม่คิดว่า “ข้าอยากจะเห็น
จริงๆ หากมันมีเรื่องแบบนั้นจริง เช็ดรองเท้าให้จะ
เป็นไรไป?”
ซูจื่อเซวียนรีบพูดว่า “ได้ ในเมื่อศิษย์พี่เจียงตกลง ข้า
ก็ตกลง หากเจ้าบินได้จริง ข้ากับศิษย์พี่เจียงจะเช็ด
รองเท้าให้เจ้า”
“แต่ว่าในเมื่อจะพนัน ก็ไม่ควรมีกำหนดเวลาจริง
หรือไม่” เจียงซุยอวิ๋นพูดว่า “หากชาตินี้เจ้าบินไม่ได้
เลย พวกเราจะพนันไปเพื่ออะไร? อีกทั้งในเมื่อเป็น
การพนัน ก็ต้องพนันทั้งสองฝ่าย ถึงจะยุติธรรม เจ้าว่า
จริงหรือไม่?”
ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ เขาก็คงไม่เรียกหยางหนิงว่า
“โหวเยวี่ย” เลย อีกทั้งยังไม่มีความเคารพในคำพูด
ของเขาด้วย หยางหนิงรู้ดีว่า เขาไม่ได้กล้าเพราะ
ฐานะเศรษฐีใหญ่ของตระกูลเจียง แต่ว่าเขามีสัมพันธ์
อันดีกับไหวหนานอ๋องซื่อจื่อ มีไหวหนานอ๋องซื่อจื่อห
นุนหลัง เขาถึงได้กล้าเสียมารยาทกับเขาขนาดนี้
“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล” หยางหนิงถามว่า “ไม่รู้ว่าเจ้า
คิดจะให้ข้าเอาอะไรมาพนันเล่า?”
แม่นางที่อยู่ในหอตำราตอนนี้รู้สึกตื่นเต้นมาก เดิมที
ได้ยินว่าเจียงซุยอวิ๋นจะมาบรรยายความรู้ มีคนไม่
น้อยตื่นเต้นดีใจมาก แต่พอหยางหนิงออกมาพูด เรื่อง
ที่ทำให้พวกนางเปิดโลกใหม่ ถึงจะมีคนไม่น้อยเชื่อ
ครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ทุกคนก็รู้สึกว่ามันสนุกมาก
ตอนนี้ทั้งคู่กำลังจะพนันกัน พวกนางยิ่งตื่นเต้นเข้าไป
อีก
อาจารย์อีกสามคน มีสองคนเริ่มขมวดคิ้วแล้ว แต่ว่า
จั่วชิงหยางกลับยังนิ่งอยู่
ในเมื่อจั่วชิงหยางไม่พูดอะไร พวกเขาก็ไม่กล้าพูด
อะไรมาก
“ได้มาไม่คืนถือว่าเสียมารยาท” เจียงซุยอวิ๋นกล่าว
“ในเมื่อเจ้าบอกให้ข้าเช็ดรองเท้าให้เจ้า ข้าเองก็ไม่
กล้าเรียกร้องอย่างอื่น เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พวกเรา
พนันให้สูงขึ้นอีกหน่อย หากข้าแพ้ นอกจากจะเช็ด
รองเท้าให้เจ้าแล้ว ข้าจะให้เจ้าอีกหนึ่งหมื่นตำลึง แต่
ว่าหากเจ้าแพ้ ไม่เพียงเจ้าจะต้องเช็ดรองเท้าให้ข้า
เจ้าจะต้องเอาใบค้างหนี้แผ่นนั้นให้ข้า เจ้าว่า
อย่างไร?”
แม่นางพวกนั้นมองหน้ากัน พวกนางไม่รู้ว่าใบค้างหนี้
ที่เจียงซุยอวิ๋นพูดถึงมันคืออะไร
หยางหนิงเข้าใจทันที ใบค้างหนี้ที่เจียงซุยอวิ๋นพูดถึง
ก็คือใบค้างหนี้ที่โต้วเหลียนจงเขียนเอาไว้ หากใบค้าง
หนี้ยังอยู่ในมือของเขา เขาจะไปทวงหนี้โต้วเหลียนจง
เมื่อใดก็ได้ มันเป็นหมัดเด็ดของเขา หยางหนิงเชื่อ
ว่าโต้วเหลียนจงคงนอนไม่หลับเพราะใบค้างหนี้ใบนี้
แน่นอน
คืนนั้นบนแม่น้ำฉินไหว เจียงซุยอวิ๋นเห็นด้วยตาตัวเอง
รู้ว่ามีใบค้างหนี้ใบนี้อยู่ แล้วก็รู้ว่าใบค้างหนี้ใบนี้สำคัญ
กับโต้วเหลียนจงเพียงใด
ตอนนี้เขาพูดถึงใบค้างหนี้มา ก็แสดงว่าเขาจะถือ
โอกาสนี้เอาใบค้างหนี้คืนไป ใบค้างหนี้ใบนี้ไม่ได้
เกี่ยวข้องอะไรกับเจียงซุยอวิ๋นเลย เขาทำแบบนี้ ก็
น่าจะทำเพื่อเอาใจโต้วเหลียนจง
“จริงๆ แล้วใบค้างหนี้ใบนั้นมันไม่ได้มีค่าแค่หนึ่งหมื่น
ตำลึงหรอกนะ” หยางหนิงพูดว่า “แต่ว่าปกติข้าไม่
เคยขัดความสุขของใคร ในเมื่อจะพนัน ข้าก็เล่นด้วย
ได้ ให้ทุกคนที่นี่เป็นพยาน ข้าจะพนันกับเจ้า ไม่รู้ว่า
คุณชายเจียงจะให้เวลาข้านานเพียงใดหรือ?”
เจียงซุยอวิ๋นหันไปมองจั่วชิงหยาง แล้วถามว่า
“อาจารย์ เหลือเวลาอีกสองเดือนก็จะถึงเวลาแข่งขัน
ของหอตำรา ไม่ทราบว่าศิษย์จำได้ถูกต้องหรือไม่?”
จั่วชิงหยางพยักหน้าเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
“หลังจากนี้อีกสองเดือน จะมีการจัดการแข่งขันใหญ่
ที่หอตำรานี่ ถ้าอย่างไรพวกเราก็กำหนดไว้อีกสอง
เดือนข้างหน้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?” เจียงซุยอวิ๋นยิ้ม
หลายต่อหลายคนคิดว่าเงื่อนไขของเจียงซุยอวิ๋นนั้น
ช่างโหดมาก
ขึ้นฟ้ามันไม่เหมือนลงทะเล คนที่ไม่มีปีก จะลอยอยู่
บนฟ้าได้อย่างไร ต่อให้มีวิธีจริง ภายในสองเดือนก็ไม่
น่าจะทำออกมาได้
แต่คิดไม่ถึงว่าหยางหนิงจะพยักหน้าแล้วพูดว่า “เวลา
สองเดือน ก็เพียงพอแล้ว ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยมาดู
กัน”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 190 ว่าจ้าง
เจียงซุยอวิ๋นเห็นหยางหนิงดูมั่นใจ เขาเองก็รู้สึกกลัวๆ
นิดหน่อย แต่ว่าพอนึกๆ ดูแล้ว ไม่มีปีกจะบินอยู่บน
ฟ้า มันดูเกินจริงไปหน่อย
เขารู้ว่าคนที่ฝึกยุทธสามารถเหอะเหินไต่กำแพงได้ แต่
ว่าจะให้อยู่บนท้องฟ้ามันไม่เหมือนกัน
ที่หยางหนิงตามมาที่หอตำรานี่ก็เพื่อฟังบรรยาย
จริงๆ เขาก็มีใจอยากจะเรียนรู้อยู่
จั่วชิงหยางเป็นบัณฑิตใหญ่แห่งยุค แล้วหยางหนิงก็
มองออก เขาชื่นชมในตัวของเจียงซุยอวิ๋นมาก
ถึงแม้หยางหนิงจะไม่ชอบเจียงซุยอวิ๋น แต่ว่าเขาก็ยัง
คิดว่าศิษย์กับอาจารย์คงไม่ต่างกันมาก เจียงซุยอวิ๋นก็
น่าจะมีความรู้ความสามารถอยู่ไม่น้อย
ตั้งแต่เขามาในมิตินี้ ถึงแม้จะค่อยๆ คุ้นเคยแล้ว แต่ว่า
ในตัวก็ยังไม่ได้รวมเป็นหนึ่ง ในเมื่อมีโอกาสมาที่หอ
ตำรานี้ ก็อยากจะมาฟังอะไรที่มีความรู้บ้าง จะได้ซึม
ซับวัฒนธรรมบ้าง
แต่ว่าผลที่ได้กลับทำให้เขาผิดหวังมาก
เจียงซุยอวิ๋นมีความรู้เพียงใดหยางหนิงไม่รู้ แต่วันนี้ที่
เขาบรรยาย มันคือการพูดเกินจริง เพื่อให้ได้หน้า การ
บรรยายแบบนี้ เขาทนฟังไม่ได้จริงๆ
หยางหนิงไม่ได้เกรงใจมาก เมื่อวางเดิมพันแล้ว ยกมือ
คำนับจั่วชิงหยาง แล้วเดินออกจากหอตำราไป
ท่ามกลางสายตาของทุกคน
จริงๆ วันนี้ได้พบเสี่ยวเหยา เดิมทีหยางหนิงก็อารมณ์
ดีพอสมควร แต่ว่าพอฟังบรรยายไปได้ครู่หนึ่ง หยาง
หนิงรู้สึกว่าเจียงซุยอวิ๋นกับซูจื่อเซวียนสองคนนี้
เหมือนแมลงวัน ทำให้เขาอารมณ์เสียมาก เขาแทบ
จะไม่อยากอยู่ในหอตำรานี้อีก
เมื่อเดินไป เขาก็คิดจะไปลาเสี่ยวเหยา แต่ว่าถ้าตอนนี้
ไปทักเสี่ยวเหยา มันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ คิดว่าใน
เมื่อเสี่ยวเหยาก็เรียนที่นี่ ต่อไปยังมีโอกาสได้เจออีก
แล้วค่อยไปให้ต้วนฉางไห่ไปสืบเรื่องของนางก็ได้
สำหรับต้วนฉางไห่แล้ว น่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินจั่วชิงหยางพูดขึ้นมา
ว่า “ช้าก่อน”
หยางหนิงหยุดเดิน และหันหลังกลับมา เห็นจั่วชิงห
ยางกำลังเดินมาหาเขา หยางหนิงคิดว่าตัวเองขัดการ
บรรยายของเจียงซุยอวิ๋น ศิษย์รักของตาเฒ่านี่ เมื่อครู่
คงไม่สะดวกจะพูดอะไร ตอนนี้เขาคิดจะมาหาเรื่อง
เขาแล้วหรือ?
แต่ว่าเขาก็ยังคงนอบน้อมอยู่ “ท่านอาจารย์จั่ว”
จั่วชิงหยางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหยางหนิง ยกมือ
ขึ้นลูบเครา แล้วมองหยางหนิงอย่างละเอียด สีหน้า
ของเขาเหมือนกำลังเพลิดเพลินกับการดูของอะไรสัก
อย่าง เขามองจนหยางหนิงดูไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง
เท่าไหร่ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์...ท่าน
อาจารย์มีอะไรจะชี้แนะหรือไม่?”
จั่วชิงหยางชี้ไปที่ศาลาที่อยู่ไม่ไกล แล้วพูดว่า “ไปนั่ง
ตรงนั้นกัน” เขาไม่พูดอะไรมาก แล้วเดินตรงไป
หยางหนิงก็ไม่สะดวกที่จะปฏิเสธ เดินตามเขาไปที่
ศาลา ภายในศาลามีโต๊ะกลมตัวหนึ่ง แล้วก็มีเก้าอี้หิน
อ่อนอีกสี่ตัว จั่วชิงหยางนั่งลง แล้วชี้ไปที่นั่งตรงข้าม
“เจ้าก็นั่งลงด้วยสิ”
หยางหนิงลังเล แต่สุดท้ายก็นั่งลง
“อะไรก็ตามที่ไม่สามารถตัดสินได้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่
หรือมีข้อสงสัยอะไรอื่น ก็ต้องไปตามหาความจริง
ออกมา...” จั่วชิงหยางถอนหายใจ “ฉีหนิง ข้า
ประเมินเจ้าต่ำเกินไป”
หยางหนิงรู้ว่าต่อหน้าบัณฑิตใหญ่อย่างเขาจะอวดดี
ไม่ได้ ก็รีบพูดว่า “ผู้น้อยพูดจาเหลวไหล ท่านอาจารย์
....”
“หากว่าพูดเหลวไหลก็พูดเหตุผลหลักการออกมาได้
เจ้ามิกลายเป็นเทพไปแล้วหรือ?” จั่วชิงหยางยากที่จะ
ยิ้มให้หยางหนิงจากใจจริง แต่ไม่นานสีหน้าของเขาก็
จริงจังขึ้นมา แล้วถามว่า “คนที่เจ้าพูดถึงเมื่อครู่...ข้า
อยากถามเจ้าว่า พวกเขาเป็นใครกัน?”
หยางหนิงคิดในใจว่าตาเฒ่านี่กำลังจะมาถามลึกขุด
กระดูกเสียแล้ว ก่อนหน้านี้ควบคุมตัวเองไม่ได้ คิด
อะไรได้ก็พูดออกไป แต่พออยู่ต่อหน้าจั่วชิงหยาง เขา
ต้องระวังตัวให้มาก คิดแล้วพูดว่า “พวกเขาก็เหมือน
ท่าน เป็นบัณฑิต”
เขาคิดในใจว่า ถึงแม้จั่วชิงหยางจะเป็นบัณฑิตใหญ่
แต่ว่าหากเทียบกับรายชื่อที่เขาพูดถึงเมื่อครู่ มันก็
เทียบไม่ได้
“บัณฑิตต่างแดนหรือ?”
หยางหนิงพยักหน้า
“เจ้าเคยพบพวกเขา?” จั่วชิงหยางถาม
หยางหนิงส่ายหน้า
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้รู้จักชื่อของพวกเขา?” จั่วชิงห
ยางรู้สึกสงสัย
หยางหนิงแค่ยิ้ม แต่ไม่ได้อธิบาย
จั่วชิงหยางคิดว่าหยางหนิงแค่ไม่อยากบอก เขาก็แค่
พยักหน้า เหมือนคิดอะไรแล้วก็พูดว่า “วิชาที่เจ้าพูด
ถึงเมื่อครู่ ปรัชญามันคืออะไร?”
หยางหนิงรู้สึกปวดหัว แต่จะไม่ตอบก็ไม่ได้ ก็เลยพูด
ไปว่า “ปรัชญาเป็นวิชาหนึ่งของต่างแดน หากจะให้
อธิบายออกมาก็ค่อนข้างซับซ้อน พูดง่ายๆ ก็คือ
ปรัชญาจะถามคำถามง่ายๆ ไม่กี่คำถามเท่านั้น ข้า
เป็นใคร ข้ามาจากไหน แล้วจะไปใด? ปรัชญาจะต้อง
ตอบคำถามพวกนี้”
จั่วชิงหยางอึ้งไป แล้วพูดว่า “ข้าเป็นใคร? ข้ามาจาก
ไหน? แล้วจะไปที่ใด?” จากนั้นเขาก็เข้าสู่ห้วง
ความคิด
หยางหนิงคิดในใจว่าอย่าบอกนะว่าตาเฒ่านี่กำลังคิด
คำถามพวกนี้จริงๆ?
ไม่นานนัก จั่วชิงหยางก็เงยหน้าขึ้นมาถามว่า “ข้ามี
เรื่องอยากจะปรึกษาเจ้า”
“ท่านอาจารย์จั่วเกรงใจไปแล้ว ท่านอาจารย์มีอะไร
จะสั่ง พูดมาได้เลย” หยางหนิงพูดว่า “หากผู้น้อย
ช่วยได้ จะพยายามอย่างเต็มที่”
จั่วชิงหยางพยักหน้า ลูบเครายิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อเจ้าก็
พูดเองว่า แม่นางพวกนั้นเข้ามาเรียนที่นี่ ไม่ใช่เรื่อง
ง่าย ตอนนี้ในวิทยาลัยนี้ รวมข้าด้วย ก็มีอาจารย์ที่
สอนอยู่แค่สี่คน” เขาหยุดไป ถอนหายใจแล้วพูดว่า
“เจ้าก็เห็นแล้ว พวกเราอายุก็ไม่น้อยกันแล้ว หกสิบ
กว่ากันทั้งนั้น อาจารย์อีกสามคนสุขภาพก็ไม่ค่อยจะดี
แล้ว มีคนหนึ่งยังต้องมาสอนทั้งๆ ที่ป่วยอยู่...”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “มาสอนทั้งๆ ที่ป่วย
อยู่? ท่านอาจารย์ ผู้น้อยขอพูดตามตรง ด้วยความรู้
ความสามารถและประสบการณ์ของท่าน จะหา
อาจารย์มาสอน คงไม่ยาก เหตุใด...?”
“ตรงกันข้ามต่างหาก” จั่วชิงหยางส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“อาจารย์ในวิทยาลัยนี้ ล้วนแต่เป็นเพื่อนข้าตั้งแต่เล็ก
พวกเขามาสอนที่นี่ เพราะให้เกียรติข้าเท่านั้น ข้าไม่
กลัวที่จะบอกเจ้าตามตรง พวกเขาก็รับเงินจาก
วิทยาลัยนี้ไม่มาก อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อหา
เงิน แต่เป็นเพราะข้า ถึงได้ลงเรือลำเดียวกันแบบนี้
ชื่อเสียงของวิทยาลัยฉงหลินในสายตาคนภายนอก มี
แต่คำด่ามากกว่าคำชม ตั้งแต่เปิดวิทยาลัยนี้ขึ้นมา ไม่
รู้ว่ามีกี่คนที่ด่าพวกเราลับหลัง จนถึงด่าทอแบบไม่
เคารพข้าก็มี ในเมื่อข้าทำเรื่องแบบนี้ขึ้นมาแล้ว ข้าก็
ไม่เคยสนใจว่าใครจะคิดอย่างไร”
หยางหนิงพูดอย่างจริงจังขึ้นมา “คนๆ หนึ่งจะทำ
เรื่องที่ไม่มีใครทำ ก็มักจะมีคนพูดถึง หากเก็บมาคิด
ทุกอย่าง ถ้าอย่างนั้นคงทำอะไรไม่สำเร็จ”
หยางหนิงรู้สึกว่าคำพูดของหยางหนิงลึกซึ้ง เขา
ปรบมือยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ถูกต้อง จะไปสนใจ
คำพูดพวกนั้นทำไมกัน ทำเรื่องของตัวเองให้ดีก็พอ”
จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่สนใจ
คำพูดพวกนั้น เพื่อนของข้าพวกนั้นก็พลอยต้องมา
รับคำสบประมาทไปกับข้าด้วย แต่ว่าไม่ใช่ว่าใครจะมี
ความกล้าแบบนี้ จริงๆ แล้วในหลายปีมานี้ ข้าก็เคย
เขียนจดหมายเชิญบัณฑิตมากมายมาสอนที่นี่ ถึงแม้
จดหมายตอบกลับจะแตกต่างกันออกไป แต่ว่าก็ไม่มี
ใครยอมมาที่นี่สักคน”
เดิมทีหยางหนิงคิดว่าที่นี่สวยงาม มีแต่ผู้หญิง น่าจะมี
คนไม่น้อยอยากจะเข้ามาที่นี่ แต่ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า
เรื่องราวไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย วิทยาลัยฉงหลินไม่
เหมือนที่อื่น ก็เพราะความแตกต่าง ทำให้อยู่ยาก
“ข้ารู้ว่าพวกเขาคิดอะไร” จั่วชิงหยางถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “ในสายตาของใครหลายคน เมื่อเข้ามาสอนที่
วิทยาลัยฉงหลิน ก็คือการไม่ให้เกียรติ คิดไม่ซื่อ
บัณฑิตนักปราชญ์หลายคนห่วงชื่อเสียงของตัวเอง ต่อ
ให้ข้าออกหน้าไปเชิญมาเอง ก็ไม่มีผล ต่อมาข้าเลย
เก็บเรื่องนี้ไป คิดว่าภายในสองปีข้าจะสอนศิษย์ผู้หญิง
ที่โดดเด่นออกมาสักคน แล้วให้พวกนางสืบทอด
วิทยาลัยฉงหลินนี้ต่อไป”
“ความคิดของท่านอาจารย์ล้ำลึกนัก” หยางหนิงพูด
ว่า “อาจารย์ผู้หญิงสอนศิษย์ผู้หญิง ก็ไม่มีใครพูด
อะไรแล้ว”
“แต่ว่าการจะฝึกอบรมบัณฑิตชั้นสูงออกมา มันไม่ใช่
เรื่องง่ายเลย ตัวข้าเองก็แก่แล้ว ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้คิด
มากขนาดนี้ แต่ตอนนี้มันไม่ได้แล้ว” จั่วชิงหยางเงียบ
ไป แล้วพูดว่า “ฉีหนิง ข้าอยากจะให้เจ้ามาสอน
หนังสือที่นี่ เจ้าจะยินดีหรือไม่?”
หยางหนิงยังไม่ทันได้ตั้งสติดี เขาร้องออกมาว่า
“หา!” แล้วถามว่า “ท่านอาจารย์ท่านว่าอย่างไร
นะ?”
“ข้าอยากให้เจ้าช่วยวิทยาลัยฉงหลินหน่อย ไม่รู้ว่าเจ้า
คิดอย่างไร?” จั่วชิงหยางจ้องมาที่สายตาของหยางห
นิง “แน่นอนว่า ข้าไม่ได้จะให้เจ้ามาอยู่ที่วิทยาลัยนี่
ตลอดเวลา ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะสละเวลาเดือนละสอง
สามวัน มาสอนหนังสือให้พวกนาง หากเป็นไปได้ ข้า
จะซาบซึ้งใจมาก”
หยางหนิงอ้าปากค้าง สติหลุดไปชั่วคราว
เขาไม่มีทางคิดถึงว่า จั่วชิงหยางจะเสนอเงื่อนไขแบบ
นี้กับเขา
“เจ้า...เจ้าไม่ยินดีหรือ?” จั่วชิงหนางเห็นหยางหนิงไม่
พูดอะไร สายตาของเขารู้สึกผิดหวัง
หยางหนิงได้สติ ก็พูดอย่างจริงจังว่า “ท่านอาจารย์
เอ็นดูผู้น้อยนัก ผู้น้อยแค่คิดไม่ถึง ท่านอาจารย์ หาก
สามารถช่วยขจัดความกังวลของท่านไปได้ ผู้น้อยก็ไม่
ปฏิเสธ แต่ว่า...ความรู้ของผู้น้ายนั้นช่างมีน้อยนัก ไม่รู้
ว่าจะสอนหนังสือได้หรือไม่ เอ่อ...ท่านอาจารย์อย่า
เข้าใจผิดนะ ผู้น้อยไม่เคยกลัวอะไร กลัวแค่จะมีใคร
พูดถึงข้าลับหลัง ฮ่า ฮ่า ฮ่า เพราะชื่อเสียงของข้ามันก็
ไม่ได้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า...”
จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป สิ่งที่
เจ้าพูดในหอตำราวันนี้ มันดีมากแล้ว สอนในสิ่งที่เจ้า
คิด ไม่ต้องมีกรอบ ส่วนที่บอกว่าความรู้น้อยนั้น เจ้า
เองก็อย่าถ่อมตัวไป ข้าว่า เจ้ามันเสือซ่อนเล็บ
มากกว่า...”
หยางหนิงคิดในใจว่าข้าไม่ได้เป็นเสือซ่อนเล็บอะไร
หรอก แค่เพราะว่ามีความรู้เกินมาร้อยกว่าปีแค่นั้น
“ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วข้ามีคำถามอยากจะถาม
ท่านสักข้อ” หยางหนิงคิดแล้วถามว่า “ที่ข้าพูดไปเมื่อ
ครู่ ท่านไม่คิดว่ามันเหลวไหลหรือไม่?”
“เหลวไหล? เหตุใดถึงเหลวไหล?” จั่วชิงหยางส่าย
หน้าแล้วพูดว่า “เจ้าก็พูดเองไม่ใช่หรือ สิ่งที่เห็นก็
อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด ต้องพยายามหาความ
จริงให้ได้ ข้าไม่เคยพูดว่าพระจันทร์สี่เหลี่ยมของเจียง
ซุยอวิ๋นเป็นเรื่องเท็จ แล้วก็ไม่ได้บอกว่าเรื่องทาง
ช้างเผือกของเจ้าเป็นเรื่องจริง พวกเจ้าต่างมีสิทธิที่จะ
พูด ใครพูดจริงพูดเท็จ ข้าหวังว่าให้พวกนางเอา
กลับไปคิดเอง”
หยางหนิงคิดในใจว่าบัณฑิตนักปราชญ์ก็ยังคงเป็น
บัณฑิตนักปราชญ์ ความคิดความอ่านไม่เหมือนคน
ทั่วไปจริงๆ เขาคิดแล้วถามว่า “ในเมื่อท่านอาจารย์
เอ่ยปากขนาดนี้แล้ว หากข้ายังพูดมากอีก จะดูเป็น
ผู้หญิงเกินไป แต่ว่าผู้น้อยอยากจะบอกท่านก่อนว่า
บางครั้งคำพูดคำจาของผู้น้อย อาจจะดูไม่ค่อย
น่าเชื่อถือนัก อาจจะมีเรื่องแปลกๆ มากมาย ถึงเวลา
นั้นท่านอาจารย์อย่าโทษว่าข้าพูดจาเหลวไหลก็พอ”
จั่วชิงหยางปรบมือ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็ขอพูดไว้ก่อน
เลย เรื่องแปลกๆ ของเจ้า ข้าชอบฟังมาก มาลองดูกัน
ว่าเจ้าจะมีเรื่องอีกมากเพียงใดกัน” เขาลุกขึ้นแล้วพูด
ว่า “พวกเราตกลงกันแล้วนะ เจ้าหาเวลามาที่นี่เดือน
ละสามครั้ง ตกลงตามนี้”
หยางหนิงเองก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “พูดแล้วไม่คืนคำ”
ในใจก็แอบคิดว่าคิดไม่ถึงเลยว่า ตัวเองมาที่นี่ครั้งแรก
ก็ถูกจ้างให้เป็นอาจารย์ที่นี่เสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่อง
ดีหรือร้าย
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงเอะอะ เห็นเจียงซุยอวิ๋
นเดินออกมาจากหอตำรา ด้านหลังมีผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง
เดินตามมา ซูจื่อเซวียนเดินอยู่ข้างๆ เจียงซุยอวิ๋น
ใบหน้ายิ้มหวาน เหมือนยังอยากให้เจียงซุยอวิ๋นชี้แนะ
อะไรอีก เจียงซุยอวิ๋นเองก็อธิบายอย่างอดทน
หยางหนิงมองไปที่จั่วชิงหยาง เห็นจั่วชิงหยางยืนเอา
มือไขว้หลัง แล้วมองไปที่เจียงซุยอวิ๋น สีหน้าของเขา
นิ่งสนิทดุจผิวน้ำ สายตาของเขาดูเย็นชาราวกับ
น้ำแข็ง
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสิ้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 191 เสื้อผ้าชนชั้นสูง
เจียงซุยอวิ๋นอยู่ท่ามกลางวงล้อมของผู้หญิงราวเจ็ด
แปดคน พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อเขา
เหลือบไปเห็นจั่วชิงหยางยืนอยู่ที่ศาลา เขาก็หันไปพูด
อะไรบางอย่างกับซูจื่อเสวียน จากนั้นก็รีบเดินไป
เขาเดินไปที่ศาลา เจียงซุยอวิ๋นยิ้มแล้วพยักหน้าให้ห
ยางหนิง สายตาของเขาดูเจ้าเล่ห์ไม่น้อย เหมือนกับ
สงสัยว่าพวกเขาสองคนกำลังคุยอะไรกันอยู่
“อาจารย์ วันนี้ศิษย์ทำให้ท่านต้องขายหน้า” เจียง
ซุยอวิ๋นขอขมาจั่วชิงหยาง
จั่วชิงหยางนั่งลงอีกครั้ง น้ำเสียงของเขานิ่งมาก แล้ว
พูดว่า “ก็ไม่มีอะไร ข้าเคยบอกไปแล้ว ในวิทยาลัยฉง
หลิน ใครมีความรู้ก็มีสิทธิออกมาพูดได้ทั้งนั้น กล้าพูด
ทุกอย่างถึงจะดี”
“ศิษย์ทราบแล้ว”
“ซุยอวิ๋น เจ้าได้รับการยกให้เป็นผู้มีคุณแล้ว อีกไม่กี่
วันฝ่าบาทก็คงเรียกเจ้าเข้าไปพบ เจ้าก็ไปรอที่เรือน
รับรองอย่าออกไปข้างนอก รอเรียกตัวก็พอ”
จั่วชิงหยางพูด “ข้าเสนอเจ้า ผิดถูก ข้าเองก็ไม่รู้ ไม่ว่า
ราชสำนักจะให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็ต้องทำงานอย่าง
เต็มที่เพื่อบ้านเมือง”
เจียงซุยอวิ๋นตอบว่า “ศิษย์ทราบแล้ว ศิษย์จะไม่ทำให้
ท่านต้องผิดหวัง” จากนั้นก็หันไปมองหยางหนิง ยิ้ม
แล้วถามว่า “ท่านจะกลับจวนหรือไม่ ข้านั่งรถม้ามา
จะไปด้วยกันหรือไม่?”
จั่วชิงหยางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หากเจ้ามีธุระ ก็
กลับไปก่อนเถอะ ข้าได้จ้างให้จิ่นอีโหวเป็นอาจารย์
สอนวิชาที่นี่แล้ว จิ่นอีโหวไม่ได้สนใจฐานะของตัวเอง
ตกลงที่จะอยู่สอนหนังสือที่นี่ ข้ายังมีเรื่องต้องพูดกับ
เขาอีก”
เจียงซุยอวิ๋นอึ้งไป เขาดูตกใจมาก เขาคิดไม่ถึงว่าจั่ว
ชิงหยางจะตัดสินใจทำแบบนี้
หยางหนิงยืนไขว้มือเหลือบมองเจียงซุยอวิ๋นยิ้มแล้ว
พูดว่า “คุณชายเจียง เจ้าเองก็เป็นคนมีความรู้ เป็น
ศิษย์ใต้อานัดของท่านอาจารย์จั่ว เจ้าคิดจะตอบแทน
บุญคุณท่านบ้างหรือไม่?”
“บุญคุณของอาจารย์ ข้าไม่มีวันลืม ต้องตอบแทน
แน่นอน” เจียงซุยอวิ๋นปะทะคารมกับหยางหนิงถึง
สองครา คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ว่าเขารู้แล้วว่าจิ่นอีโหว
ที่ดูเปลือกนอกไม่ได้มีอะไร แต่เขาเป็นคนที่ร้ายกาจ
มาก จะทำอะไรจะต้องระวังต้องรับมือให้ดี
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อ
เจ้าเองก็มีความรู้มากมาย ถ้าอย่างนั้นก็มาสอน
หนังสือที่นี่ดีหรือไม่ เจ้าคิดว่าอย่างไร? ข้าเชื่อว่าเจ้า
คงไม่ปฏิเสธ”
เจียงซุยอวิ๋นอึ้งไป จากนั้นก็มองไปที่จั่วชิงหยาง เห็น
จั่งชิงหยางไม่มีท่าทีอะไร จั่วชิงหยางลูบเขาแล้วมอง
มาที่ตัวเขาโดยที่ไม่พูดอะไร
ปฏิกิริยาของเจียงซุยอวิ๋นก็ไว เขายิ้มแล้วพูดว่า “หาก
อาจารย์อนุญาต ข้าก็จะทำตามที่อาจารย์ต้องการ”
“คุณชายเจียง เจ้าพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ” หยางหนิงรีบ
พูดว่า “ท่านอาจารย์จั่วไม่ใช่คนในราชสำนัก เจ้า
สามารถรับใช้ราชสำนักด้วยชีวิตได้ แต่ว่าอาจารย์จั่ว
ไม่ได้จะให้เจ้าต้องเอาชีวิตมาให้ คนเรียนหนังสือ ไม่
จำเป็นต้องรับใช้ด้วยชีวิต แต่ว่าต้องมีใจใฝ่เรียน หาก
เจ้าตั้งใจจะสอนความรู้ให้กับเหล่านักเรียนแล้ว ท่าน
อาจารย์คงดีใจไม่น้อย แต่ว่าหากเจ้าคิดแค่จะทำ
ตามที่ท่านอาจารย์สั่ง ข้าคิดว่าท่านอาจารย์เองก็คงไม่
ยินดี”
เจียงซุยอวิ๋นรู้สึกโกรธมาก ไม่คิดว่าคำพูดของเขาแค่
คำเดียว จะทำให้หยางหนิงแว้งกัดเขาได้ ถึงอย่างไร
เขาก็ยังยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกแล้ว ข้าพูดผิดไปเอง”
จั่วชิงหยางพูดว่า “หากเจ้าว่าง ก็มาบรรยายความรู้
บ้างก็ได้ ขอแค่ไม่กระทบการงานของเจ้าก็พอ”
“ศิษย์ทราบแล้ว” เจียงซุยอวิ๋นพูดว่า “อาจารย์วางใจ
ศิษย์จะหาเวลามาทุกเดือน จะไม่ให้ท่านอาจารย์
ผิดหวัง”
จั่วชิงหยางพยักหน้า ยกมือขึ้น “เจ้ากลับไปก่อน
เถอะ”
เจียงซุยอวิ๋นลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็คำนับ แล้วออก
จากศาลาไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เหมือนจะลังเล
หันหลังกลับไปดู เห็นหยางหนิงยืนไขว้หลังแล้วมอง
มาที่ตัวเขา เขาก็ขมวดคิ้ว แล้วรีบหันหลังเดินจากไป
เมื่อเจียงซุยอวิ๋นออกไปแล้ว จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า
“ฉีหนิง เจ้ารู้หรือไม่ นิสัยของเจ้าไม่เหมือนพ่อเจ้าเลย
แต่เหมือนแม่ของเจ้ามาก”
หยางหนิงตะลึงไป แล้วรีบหันไปมอง เขาจ้องไปที่จั่ว
ชิงหยางแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์รู้จักท่านแม่ของข้า
ด้วยหรือ?” ทันใดนั้นเองเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า กู้ชิงฮั่น
เคยบอกเขาว่า หลังจากที่ก่อตั้งวิทยาลัยฉงหลินนี้
ขึ้นมา เริ่มแรกไม่มีใครมาเรียนเลย แต่แม่ของหยางห
นิงเป็นคนแรกที่เข้ามาเรียนที่นี่
เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น หยางหนิงไม่รู้เรื่องอะไรเลย
นางเป็นฮูหยินที่แต่งงานถูกต้องตามประเพณีของจิ่น
อีโหวฉีจิ่ง ฐานะของนางในจวนไม่ได้เล็กเลย แต่ว่าคน
ในจวนกลับไม่มีใครพูดถึงฮูหยินคนนี้เลย เหมือนไม่
เคยมีคนๆ นี้มาก่อน กู้ชิงฮั่นเองก็หลุดพูดออกมา แต่
ว่าก็หยุดไป ไม่ได้พูดอะไรมาก
ฮูหยินคนนี้ เหมือนจะเป็นบุคคลต้องห้ามของ
จิ่นอีโหว
ถึงแม้ว่าหยางหนิงกับฮูหยินท่านนั้นจะไม่ได้มีสัมพันธ์
โดยตรง แต่ว่าเขาก็อยากรู้เรื่องนี้ไม่น้อย เขาอยากจะ
รู้ว่า เหตุใดฮูหยินของจิ่นอีโหว ถึงได้เป็นบุคคลที่ใน
จวนที่ห้ามเอ่ยถึง? เบื้องหลังเรื่องนี้มีอะไรกันแน่?
ตอนนี้จู่ๆ จั่วชิงหยางก็พูดถึงฮูหยินท่านนี้ออกมา ทำ
ให้หยางหนิงตะลึงมาก เขาหันกลับมานั่งลงตรงข้าง
จั่วชิงหยาง
สีหน้าของจั่วชิงหยางเปลี่ยนไป เหมือนกำลังคิดอะไร
มากมาย เขามองไปที่สวนไม้ไผ่ แล้วถามขึ้นมาว่า
“เจ้าน่าจะอีกสองเดือน...เอ่อ น่าจะสามเดือน ก็น่าจะ
อายุสิบเจ็ดแล้วใช่หรือไม่? สิบเจ็ด...” จากนั้นก็ถอน
หายใจ
“ท่านอาจารย์ ท่าน...ท่านแม่ของข้าท่านเป็นคน
อย่างไรหรือ?” หยางหนิงมองไปที่จั่วชิงหยาง “ข้า...
ข้าไม่เคยพบนางมาก่อน”
จั่วชิงหยางถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ อีก
ไม่กี่วัน วิทยาลัยฉงหลินก็จะครบรอบการก่อตั้งสิบ
เจ็ดปี เมื่อสิบเก้าปีที่แล้ว แม่ของเจ้าเป็นเด็กคนแรกที่
เข้ามาเรียนที่วิทยาลัยแห่งนี้”
หยางหนิงคิดในใจว่าที่กู้ชิงฮั่นพูดมานั้นไม่ผิดเลย
“สิบเก้าปีแล้ว...” จั่วชิงหยางยิ้มขื่นขม “สิ่งที่พวก
นางทำสิ่งที่นางพูดในวันนั้น มันเหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้น
เมื่อวานนี้เอง”
“ท่านอาจารย์ ท่านหมายถึงผู้ใด?”
จั่วชิงหยางส่ายหน้า นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมาว่า
“พ่อของเจ้าได้มาเจอแม่ของเจ้าที่นี่นั่นแหละ จากนั้น
ถึงได้...” เขาไอติดต่อกัน แล้วรีบเอาผ้าเช็ดหน้ามาปิด
ปากเอาไว้ หยางหนิงรีบเข้ามาพยุงจั่วชิงหยาง แล้ว
ตบหลังให้เขาเบาๆ แล้วถามอย่างเป็นห่วงว่า “ท่าน
อาจารย์ ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
จั่วชิงหยางไออยู่พักหนึ่ง แล้วก็เช็ดปาก จากนั้นก็เก็บ
ผ้าไป ผ้าเช็ดหน้าสีออกเหลือง วินาทีนั้น หยางหนิง
เห็นบนผ้าเหมือนจะเป็นคราบเลือด ทันใดนั้นเขาก็
เข้าใจทันทีว่า ท่านอาจารย์ไอเป็นเลือดออกมา
เขาตกใจมาก จั่วชิงหยางเหมือนจะโบกมือบอกว่าเขา
ไม่เป็นไร เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร โรคเก่าเท่านั้น
ไม่ต้องเป็นห่วง” เขายิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้เจ้ามาที่นี่
ข้าไม่ได้ทำอะไรเกรงใจเจ้าเลย ไม่ได้สนใจเจ้ามาก
ด้วย เจ้าโกรธข้าหรือไม่?”
“ไม่แน่นอน” หยางหนิงพูดว่า “ท่านอาจารย์ไม่เพียง
เป็นอาจารย์ของท่านพ่อ ยังเป็นอาจารย์ของท่านแม่
ของข้าด้วย ท่านพ่อกับท่านแม่ต่างเป็นลูกศิษย์ท่าน ที่
ผู้น้อยเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ ก็ถือว่าไม่ถูก ข้าควรจะ
เรียกท่านว่าอาจารย์ปู่ถึงจะถูก ที่ท่านไม่ได้เกรงใจข้า
เพราะท่านเห็นข้าเหมือนลูกเหมือนหลานท่านเอง”
จั่วชิงหยางหันหน้าไปมองหยางหนิง สายตามีแต่
ความชื่นชม เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “เป็นเด็กหนุ่มที่
กล้าหาญ อายุเจ้าก็ยังไม่มากเท่าไหร่ แต่ว่าความรู้มี
ไม่น้อยเลย มองความจริงอะไรหลายอย่างได้อย่าง
ชัดเจน ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่ได้ฉลาดเท่าเจ้า ความฉลาด
ของเจ้าคงได้จากแม่ของเจ้ามาแน่ๆ” เขาหยุดไปครู่
หนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้ารู้ชื่อของแม่เจ้าหรือไม่?”
หยางหนิงส่ายหน้า ยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ในจวนไม่มี
ผู้ใดพูดถึงท่านแม่เลย”
จั่วชิงหยางส่ายหน้า แล้วพูด่า “เจ้าเคยเรียน [บท
กลอน] มาก่อนหรือไม่?”
หยางหนิงคิดในใจว่าหากบอกว่าไม่เคยเรียน
ท่านอาจาร์เฒ่าคนนี้จะต้องไล่เขาออกไปแน่นอน เมื่อ
ครู่ที่บอกจ้างไปก็ต้องคืนคำแน่ แต่หากว่าเขาคุยเรื่อง
บทกลอนกับเขาขึ้นมาจริงๆ น่าจะลำบากแล้ว
ยังดีที่จั่วชิงหยางค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “บทกลอน
[ถังเฟิง หยางจือซุ่ย] มีภูเขาท้องฟ้า เสื้อผ้าชนชั้นสูง
ได้พบบุรุษรูปงาม แล้วมีอะไรที่จะไม่เพลิดเพลินใจ
อีก? ภูเขาท้องฟ้า เสื้อผ้าชนชั้นสูง ได้พบบุรุษรูปงาม
แล้วมีอะไรที่จะต้องกังวลใจอีก?” จากนั้นเขาก็
เหลือบไปมองหยางหนิง แล้วพูดว่า “แม่ของเจ้าชื่อ
หลิวซู่อี”
“หลิวซู่อี?” หยางหนิงท่องซ้ำ
“ซู่อีเป็นเด็กฉลาด ขี้เล่นแต่ไม่หยาบคาย นางเหมือน
นางฟ้าตัวน้อย” จั่วชิงหยายิ้ม “ครั้งแรกที่ข้าได้เจอ
นางก็ตัดสินใจรับนางเป็นศิษย์เลย ส่วนนางก็ไม่ได้ทำ
ให้ข้าผิดหวังเลย ตลอดชีวิตของข้า มีศิษย์มากมาย
แต่คนที่ใช้ได้จริงๆ นั้นมีไม่มาก ศิษย์ผู้หญิงที่ทำให้ข้า
ชอบมากที่สุด ก็มีแค่สองคนเท่านั้น”
“ท่านแม่คือหนึ่งในสองคนนั้น” หยางหนิงยิ้มแล้วพูด
ว่า “ดูจากสีหน้าของท่านอาจารย์ก็เดาได้”
จั่วชิงหยางพยักหน้าแล้วพูดว่า “คนที่ได้เจอนาง ไม่มี
คนไหนไม่ชอบนาง ข้าชอบความฉลาดแล้วก็ความ
จริงใจของนาง ศิษย์ที่ข้าชอบมากสองคนนี้ นิสัยไม่
เหมือนกันเลย แม่ของเจ้าแข็งนอกอ่อนใน อีกคนอ่อน
นอกแข็งใน ข้าคิดมาตลอด หากทั้งสองคนนี้มาอยู่
ด้วยกัน มันจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าใครจะเป็นที่สุด”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มอีก
หยางหนิงเห็นว่า วันนี้จั่วชิงหยางยิ้มไม่มาก แต่ว่า
ขณะที่พูดถึงหลิวซู่อี เขากลับยิ้มอย่างมีความสุข
“อีกคนที่ท่านอาจารย์หมายถึงคือ?” หยางหนิงถาม
ขึ้น
จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่รู้จักหรอก แล้วก็ไม่มี
ทางได้รู้จัก ข้าชอบท่องเที่ยวไปเรื่อย ก่อนหน้านี้มัก
ออกเดินทางบ่อยๆ แม้แต่เปิดวิทยาลัยฉงหลินมาแล้ว
ก็ตาม ในแต่ละปีจะต้องหาเวลาออกไปเดินทางสัก
ระยะ แต่ตอนนี้แก่แล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน เลยไม่
ค่อยได้ออกไปไหนแล้ว” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ศิษย์อีกคนหนึ่ง ข้าได้พบตอนที่อยู่
ปาสู่ นางเหมือนแม่ของเจ้ามาก ไม่เพียงหน้าตา
งดงาม แต่ฉลาดมาก” จากนั้นก็พูดว่า “ช่างเถอะ ไม่
พูดแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะถามอะไร แต่ว่าเรื่องบาง
เรื่อง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะบอกเจ้าตรงนี้ได้ มันเป็นเรื่อง
ในตระกูลของเจ้า ในเมื่อคนในจวนไม่มีใครบอกเจ้า
แสดงว่าต้องมีเหตุผล ไม่แน่เมื่อถึงเวลาเจ้าก็น่าจะรู้
เอง ถึงตอนนั้นเจ้าไม่อยากรู้ก็คงไม่ได้อยู่ดี”
หยางหนิงรู้ว่าจั่วชิงหยางไม่คิดจะบอกเขา เขาถามไป
ก็คงไม่ได้อะไรกลับมา ในใจก็สงสัยว่าเหตุใดใครๆ พอ
พูดถึงเรื่องของหลิวซู่อี ท่าทางถึงได้แปลกๆ กันทั้งนั้น
แสดงว่าจะต้องทีปิดบังอยู่แน่ๆ?
เมื่อบอกลาจั่วชิงหยางมาแล้ว หยางหนิงก็เตรียมเดิน
ออกจากวิทยาลัยตามทางเดิม เมื่อเดินมาถึงสระน้ำที่
เคยได้พบกับเสี่ยวเหยา ก็อดไม่ได้ที่จะมองไป เขาเห็น
ผู้หญิงสองสามคนกำลังพูดคุยกันอยู่ แต่ไม่เห็นเสี่ยว
เหยาเลย ก็รู้สึกผิดหวัง เขาถอนหายใจ จากนั้นก็ได้
ยินเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังว่า “ซื่อจื่อถอนหายใจ
ทำไม?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสิ้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 192 โกรธดังฟ้าผ่า
หยางหนิงหันหน้ากลับมา เห็นเสี่ยวเหยายืนอยู่ข้าง
หลังเขา ก็พูดด้วยความดีใจว่า “เสี่ยวเหยา เจ้าอยู่
นี่เองหรือ? ข้ากำลังหาเจ้าอยู่เลย”
เสี่ยวเหยาหน้าแดง แล้วถามว่า “ซือจื่อตามหาเสี่ยว
เหยามีเรื่องอะไรหรือไม่?” นางไม่รู้ว่าหยางหนิงได้รับ
ตำแหน่งจิ่นอีโหวแล้วจริงๆ แต่ว่านางเรียกแบบนี้ ทำ
ให้หยางหนิงรู้สึกสนิทสนม
“เอ่อ...” หยางหนิงนิ่งไป พูดแล้วก็แปลก เขาไม่เห็น
เสี่ยวเหยาอยู่ที่สระน้ำ เขารู้สึกผิดหวังมาก แต่ว่าพอ
เห็นหน้าเสี่ยวเหยาเขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมา แต่เขากลับไม่
รู้ว่าต้องพูดอะไรต่อ ยังดีที่เขาหัวไว เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ข้าแค่อยากจะถามเจ้าว่าเมื่อไหร่เจ้าพอจะมีเวลาว่าง
บ้าง พวกเราไปที่ตลาดดอกไม้กันอีกได้หรือไม่ เจ้ารู้
เรื่องดอกไม้ เจ้าจะได้ช่วยข้าเลือก”
เสี่ยวเหยายิ้มแล้วพยักหน้า “ได้สิ” จากนั้นก็หยุดไป
แล้วถามว่า “ซื่อจื่อ ท่าน...ก่อนหน้านี้ที่ท่านพูด ท่าน
อ่านมา...อ่านมาจากหนังสือหรือ?”
หยางหนิงพูดว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอ่านมาจากใน
หนังสือ?”
“ซื่อจื่อท่านอย่าเข้าใจผิด” เสี่ยวเหยาร้อนใจ “เสี่ยว
เหยาไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแต่...เพียงแต่ซื่อจื่อพูดถึง
ดาวสามเดือน พวกเราจะไปเห็นมันได้อย่างไร? ดังนั้น
...”
“ดังนั้นเจ้าเลยคิดว่าข้าอ่านมาจากในหนังสือ?”
เสี่ยวเหยาพยักหน้า
หยางหนิงพูดว่า “จริงๆ แล้วเจ้าเองก็ไม่ได้เดาผิด
หรอก ข้าเองก็ไม่ได้อ่านมาจากในหนังสือ แต่มีท่าน
ผู้รู้คนหนึ่งบอกข้า เขารู้เรื่องอะไรมากมาย เล่าให้ข้า
ฟังไม่น้อย”
“ที่แท้ยังมีผู้รู้แบบนี้อยู่ด้วย” เสี่ยวเหยาสายตาเป็น
ประกาย “ซื่อจื่อ ท่าน...ท่านเชื่อที่เขาพูดหรือ? เรื่อง
จักรวาล...ยังมีดวงดาวที่เหมือนมดเยอะแยะมากมาย
จริงหรือ?”
“ข้าเชื่อ เชื่ออย่างสนิทใจด้วย” หยางหนิงเงยหน้า
แล้วพูดว่า “เสี่ยวเหยา เจ้าเคยดูดาวหรือไม่?”
เสี่ยวเหยายิ้มแล้วพูดว่า “ตั้งแต่เล็ก ท่านแม่ชอบพา
ข้าไปนั่งนับดาว ท่านแม่บอกว่าดาวแต่ละดวงเป็น
ตัวแทนของคนหนึ่งคน แต่ละคนมีดาวคุ้มครองตัวเอง
อยู่ ท่านแม่ยังหาดวงที่คุ้มครองตัวข้าดูเลย ซื่อจื่อ
ท่าน...ท่านแม่ของท่านไม่เคยช่วยท่านหาดาว
ประจำตัวหรือ?”
หยางหนิงอึ้งไป เดิมทีเขายังอยากจะอธิบายต่อ แต่ว่า
พอเสี่ยวเหยาพูดมาแบบนี้ หากพูดเรื่องจักรวาลอีก
อาจจะทำลายความฝันของเสี่ยวเหยาได้ เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ท่านแม่ของเจ้าดีกับเจ้าจังเลยนะ บนท้องฟ้า
มีดวงดาวมากมาย นางช่วยเจ้าหาดาวประจำตัวจน
เจอ ต้องใช้ความพยายามมากเลยนะ”
เสี่ยวเหยาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านแม่เป็นคนที่ดีกับ
ข้ามากที่สุด เพื่อข้าแล้ว นางยอมลำบากทุกอย่าง”
พูดถึงตรงนี้ เหมือนรู้สึกว่าตัวเองพูดแบบนี้ไม่เหมาะ
นางก้มหน้า แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ข้าไม่ควรพูดอะไร
แบบนี้”
“ข้าชอบฟัง” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เสี่ยวเหยา
เจ้าชอบเรียนหนังสือมากเลยหรือ?”
เสี่ยวเหยากระพริบตา แล้วพูดว่า “ใช่ ในหนังสือมี
อะไรมากมายที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน มันทำให้ข้าได้
เรียนรู้อะไรมากมาย ทำให้ข้ารู้ว่าโลกนี้ยังมีเรื่องดีๆ
อีกมากมาย”
หยางหนิงหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “แสดงว่าเจ้าไม่ได้
อ่านหนังสือประวัติศาสตร์แน่นอน”
เสี่ยวเหยาถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านพูดถึงอริสโตเติล โสก
ราตีส เพลโต เอสคิลัส คนพวกนี้เขาเขียนหนังสือ
อะไรหรือ? พวกเขาเป็นคนต่างแดน พวกเราจะได้
อ่านหนังสือของพวกเขาหรือไม่? ตอนที่ซื่อจื่อพูดถึง
พวกเขา เหมือนจะนับถือพวกเขามาก พวกเขา
จะต้องเป็นคนที่ความรู้สูงมากแน่นอน”
“ใช่ พวกเขาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่มาก” หยางหนิงตะลึง
กับความจำของเสี่ยวเหยามาก ชื่อประหลาดแบบนี้
นางกลับจำได้หมด เขาพยักหน้า “เสี่ยวเหยา พวก
เราอ่านหนังสือ ไม่เพียงแค่ต้องการรู้เรื่องที่อยู่ในนั้น
แต่ว่าต้องศึกษาให้รู้ว่ามีอะไรแฝงอยู่ด้านใน
ยกตัวอย่างเช่น...” ยังพูดไม่ทันจบ เห็นเสี่ยวเหยา
ขมวดคิ้ว เดิมเขาคิดว่าเขาพูดอะไรผิด จากนั้นเขาก็ได้
ยินเสียงคนเดินมา
เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง แค่มองไป สีหน้าก็เปลี่ยน
เสียบรรยากาศหมด
ซูจื่อเสวียนมาพร้อมกับคนอีกสองสามคนกำลังเดินมา
ทางนี้ หน้าตาที่สวยงาม ตอนนี้เย็นชาราวกับน้ำแข็ง
เลย
หยางหนิงรู้สึกโกรธมาก แอบคิดว่าผู้หญิงคนนี้นี่มัน
อะไรกัน เห็นนางเดินมาทางเขา เห็นได้ชัดว่าต้องการ
มาหาเรื่อง
ถึงแม้ก่อนหน้านี้หยางหนิงจะแขวะนางหลายครั้ง แต่
ก็ยังถือว่าให้เกียรติ แต่หากว่านางยังคงไม่เจียมตัวเลย
เขาก็จะไม่เกรงใจอีก
ซูจื่อเสวียนเดินเข้ามาใกล้ หยางหนิงยิ้มเจื่อนแล้วพูด
ว่า “เจ้าเป็นบ้าอะไรอีก?”
ซูจื่อเสวียนเหลือบไปมองหยางหนิง ไม่ได้สนใจเขา
แล้วเดินไปตรงหน้าของเสี่ยวเหยา ชี้ไปที่หน้าของนาง
แล้วถามว่า “เจ้าคุยอะไรกับเขา?”
เสี่ยวเหยาไม่ยิ้มอีกแล้ว นางพูดว่า “ไม่ได้คุยอะไร
กัน”
“ไม่ได้คุยอะไรกัน?” ซูจื่อเสวียนแสยะยิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้าคุยไปยิ้มไปกับเขาอยู่ตรงนี้ เจ้าคิดว่าข้าตาบอด
หรืออย่างไรกัน? มีแม่อย่างไรก็มีลูกอย่างนั้น แม่เจ้า
เป็นแค่นางโลม เจ้าเองก็ไม่ต่างกับนาง มีดีแค่ยั่วยวน
ผู้ชาย...”
“เจ้าห้ามว่าแม่ข้านะ” เสี่ยวเหยาดวงตาแดงก่ำ ตัว
ของนางก็เริ่มสั่นเทา
“ทำไม ไม่ให้ข้าพูดหรือ?” ซูจื่อเสวียนยิ้มกว้าง “ข้า
พูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ? มันก็เรื่องจริงทั้งนั้น ใน
เมื่อเจ้าชอบยั่วยวนผู้ชายนัก เหตุใดยังมาเรียนหนังสือ
อีกเล่า ที่แม่น้ำฉินไหวมีผู้ชายตั้งมากมาย เจ้าก็เอา
อย่างแม่เจ้าเหมือนเมื่อก่อนสิ ผู้ชายแบบไหนก็มีให้
เจ้าเลือก?”
“เจ้า...เจ้าหุบปากนะ” เสี่ยวเหยาหน้าซีด นางโกรธ
จนตัวสั่น
หยางหนิงแอบตกใจ เมื่อได้ยินแบบนั้น เขาเข้าใจ
ขึ้นมาทันที ว่าเหตุใดที่ตลาดดอกไม้ตอนนั้น ที่เขาพูด
ถึงคนที่ไม่ค่อยสะอาดนักที่แม่น้ำฉินไหว เหตุใดเสี่ยว
เหยาถึงได้มีปฏิกิริยาเช่นนั้น ที่แท้ที่เขาพูดโดยไม่
ตั้งใจนั้น มันกระทบจิตใจนางนี่เอง
คำพูดของซูจื่อเสวียน มันบ่งบอกว่าแม่ของเสี่ยวเหยา
น่าจะเป็นผู้หญิงที่แม่น้ำฉินไหวมาก่อน
“เจ้ากล้าสั่งให้ข้าหุบปากหรือ?” ซูจื่อเสวียนตวาด
“นางแพศยาเดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็ง คิดว่ามีผู้ชาย
หยาบช้าหนุนหลังเจ้าแล้วก็จะไม่กลัวอะไรแล้วใช่
หรือไม่?” นางยกมือขึ้นมา แล้วตบลงไปที่หน้าของ
เสี่ยวเหยาอย่างแรง
“เพลี๊ยะ”
ซูจื่อเสวียนลงมือหนักมาก หยางหนิงคิดไม่ถึงจริงๆ
ว่าซูจื่อเสวียนจะกล้าลงมือในวิทยาลัย คิดอยากจะ
ห้าม แต่ก็ไม่ทันแล้ว
“ข้าจะไม่แค่ด่าเจ้า แต่จะตบเจ้าด้วย เจ้ามันก็แค่หญิง
ชั้นต่ำหน้าไม่อาย” คำพูดของซูจื่อเสวียนหยาบคาย
มาก ไม่ได้มีความเป็นลูกคุณหนูผู้ดีเลย
หยางหนิงไม่พูดอะไรมาก ดึงแขนซูจื่อเสวียนมา ไม่
รอซูจื่อเสวียนได้ทำอะไร ยกมือขึ้นมาแล้วเขาก็ตบไป
ที่หน้าของซูจื่อเสวียนทันที
ซูจื่อเสวียนตบหน้าเสี่ยวเหยาไม่เบาเลย แต่หยางหนิง
ลงมือหนักกว่า เสียงดังฟังชัด เดิมผู้หญิงที่อยู่ด้านหลัง
ของซูจื่อเสวียนยังหัวเราะชี้หน้าเสี่ยวเหยาอยู่ แต่
พริบตาเดียวพวกนางก็แน่นิ่งไป
ซูจื่อเสวียนจับไปที่หน้าของตัวเองที่ถูกตบ มันร้อน
เหมือนไฟเผา
ความเจ็บปวดทำให้นางแทบทนไม่ไหว แต่ว่านางถูกห
ยางหนิงตบท่ามกลางสายตาของคนมากมาย ทำให้
นางเสียหน้ามาก เลยลืมความเจ็บปวดบนหน้านี้ไป
แล้วจ้องไปที่หยางหนิง
พอความร้อนบนหน้าลดลงบ้างแล้ว ซูจื่อเสวียนก็
ตะคอกออกมาว่า “เจ้า...เจ้ากล้าตบข้าหรือ?”
หยางหนิงยิ้มเจื่อน ไม่รอให้นางพูดอะไร ยกมือขึ้นมา
แล้วก็ตบไปที่หน้าอีกข้างของซูจื่อเสวียน แรงพอๆ
กับครั้งแรก
ผู้หญิงพวกนั้นอึ้งไป แต่ละคนแทบจะถอยหลังไปกัน
หมด
“ปกติแล้วข้าไม่ทำร้ายผู้หญิง แต่ว่าเจ้าไม่เหมือน
ผู้หญิงเลยสักนิด” หยางหนิงแสยะยิ้มแล้วพูดว่า
“เป็นถึงคุณหนูใหญ่ของอู่เซียงโหว แต่ทำตัวเหมือน
หมาขี้เรื้อนข้างถนน ไล่กัดคนอื่นเขาไปทั่ว เจ้าจะอวด
ให้ใครดู? เจ้ารู้หรือไม่เจ้าทำแบบนี้มันเหมือนคนบ้า
เลย ขายหน้าก็ไม่ได้ขายหน้าแค่เจ้าคนเดียว ขายหน้า
ตำแหน่งโหวของพ่อเจ้าด้วย ซูจื่อเสวียน ข้าบอกเจ้า
ตรงนี้เลยนะ ต่อไปหากเจ้ากล้ามากำแหงต่อหน้าข้า
อีก เจอครั้งหนึ่งตบครั้งหนึ่ง ข้าจะตบจนเจ้าไม่กล้า
อีก”
ซูจื่อเสวียนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ตะคอกว่า “เจ้า...เจ้า
ได้ เจ้า...”
“ข้าจะเป็นอย่างไรไม่ต้องให้เจ้ามาบอก เจ้าก็ไม่ต้อง
ร้องไห้ทำตัวน่าสงสาร มันใช้กับข้าไม่ได้ผล” หยาง
หนิงมองไปที่เสี่ยวเหยา เห็นเสี่ยวเหยายืนมอง
ซูจื่อเสวียนถูกตบจนอึ้งไป เขาตะคอกต่อว่า “ไม่เพียง
แค่ห้ามเจ้ากำแหงต่อหน้าข้า หากข้าเห็นเจ้ารังแกใคร
อีก ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
“เจ้ามีสิทธิอะไรมาตบข้า” ซูจื่อเสวียนตะคอก “ข้าสั่ง
สอนนางแพศยานั่น เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
“หากเจ้าพูดคำว่าแพศยามาอีกแค่คำเดี๋ยวนะ” หยาง
หนิงจ้องไป
ซูจื่อเสวียนอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไป ยกมือขึ้นชี้ไปที่
เสี่ยวเหยาแล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้า เจ้ากล้ารวมหัวกับ
คนนอก ให้เขามาตบข้า ข้า...ข้าจะไปบอกท่านพ่อ
พวก...พวกเจ้าสองแม่ลูกจะต้องไม่มีความสุขอีก”
เสี่ยวเหยายืนไม่นิ่ง เหมือนจะล้มลงไป หยางหนิงเห็น
นางเหมือนจะล้ม ก็เดินเข้าไปพยุง แล้วพูดว่า “เสี่ยว
เหยา เจ้า...เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เสี่ยวเหยาพยายามฝืนเอาไว้ นางยิ้มแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อ ท่าน...” แต่ว่าไม่พูดต่อไปอีก น้ำตาของนาง
ไหลพรากลงมา
หยางหนิงเห็นซูจื่อเสวียนหันหลังแล้วจะวิ่งไป ก็
ตะคอกว่า “หยุดนะ”
เสียงของเขาหนักแน่นมาก ซูจื่อเสวียนตกใจ ยืนนิ่งไป
แต่ไม่ได้หันหน้ากลับมา หยางหนิงพูดว่า “เจ้ารีบมา
หาข้าเดี๋ยวนี้ แล้วขอโทษเสี่ยวเหยาซะ”
ซูจื่อเสวียนหันหน้ามา เดิมทีหน้าของนางขาวราวกับ
หิมะ ตอนนี้กลับบวมแดง น้ำตานองหน้า นางทั้งโกรธ
ทั้งกลัว แล้วพูดว่า “ฉีหนิง ฝากไว้ก่อนเถอะ เรื่องนี้ไม่
จบแค่นี้แน่ เจ้ากล้าตบข้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
“ข้าสั่งให้เจ้ามาขอโทษ เจ้าหูหนวกหรือ?” หยางหนิง
ไม่เคยทำร้ายผู้หญิงมาก่อน ไม่ว่าจะชาติไหนก็ตาม
เขารู้สึกว่าผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิงไม่ใช่คนดี แต่วันนี้เขา
ถึงได้รู้ว่า เป็นเพราะเขาไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้มา
ก่อน
ผู้หญิงบางคนไม่ตีไม่ตบ คงผิดต่อคำว่าผู้ชายมาก
เสี่ยวเหยาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ท่าน...ท่านอย่า
หาเรื่องนางอีกเลย ข้า...ข้าไม่โทษนาง”
“เสี่ยวเหยา เจ้าไม่ต้องกลัวว่านางจะกลับมาแก้แค้น
ไม่ต้องกลัวนางด้วย” หยางหนิงแสยะยิ้มแล้วพูดว่า
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่า ลูกสาวของโหวเยวี่ย จะโอหังได้
ถึงขนาดนี้ พ่อของนางไม่สนใจบ้างเลยหรือ อู่เซียง
โหวเป็นอะไรไป เขาเป็นคนไม่มีเหตุผลได้ขนาดนี้เลย
หรือ แม้แต่ข้าก็จะตีด้วย”
“ไม่ได้นะ” เสี่ยวเหยารีบพูดว่า “ซื่อจื่อ ท่าน...ท่าน
จะตีท่านพ่อไม่ได้นะ”
“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้า...” หยางหนิงพูดไม่กี่คำ ก็หยุด
แล้วหลุดพูดออกมาว่า “อะไรนะ? เสี่ยวเหยา เมื่อครู่
เจ้า...เจ้าบอกว่าอู่เซียงโหวซูเจิน เขา...เขาเป็นพ่อของ
เจ้าหรือ?” เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ยากที่จะเชื่อได้ อดที่จะ
ตะลึงไม่ได้เลย
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 193 ประวัติฐานะ
อากาศหนาวเย็น แดดในหน้าหนาวมันไม่ได้ทำให้คน
รู้สึกถึงความอบอุ่นเลย
หยางหนิงกว่าจะได้สติก็ใช้เวลานานมาก เมื่อหันไป
มองซูจื่อเสวียน นางก็หายตัวไปแล้ว มีเพียงเสี่ยว
เหยาที่นั่งกอดเข่าอยู่บนโขดหิน ก้มหน้าก้มตา ไม่พูด
อะไร
ลมพัดมา หยางหนิงรู้สึกว่าขนาดสวมเสื้อคลุม ยังรู้สึก
ว่าหนาวเลย
หยางหนิงไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ผู้หญิงที่นิสัยต่างกัน
ราวฟ้ากับเหว จะเป็นพี่น้องกัน เขายิ่งคิดไม่ถึงเลยว่า
เสี่ยวเหยาคนธรรมดา ร่างกายบอบบาง ที่ดูอย่างไรก็
เป็นสาวชาวบ้าน นางจะเป็นถึงลูกสาวของอู่เซียง
โหว?
อู่เซียวโหวเป็นใครกัน?
หนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหวของต้าฉู่ จวนอู่เซียวโหว
หยางหนิงเองก็เคยเห็น หรูหราโอ่อ่า กว้างใหญ่
ตกแต่งสวยงาม บ้านตระกูลชนชั้นสูงอย่างแท้จริง
จวนที่ร่ำรวยขนาดนั้น เหตุใดถึงมีคุณหนูที่ดูธรรมดา
แบบนี้ได้เล่า?
หากไม่ใช่เสี่ยวเหยาพูดเอง หยางหนิงไม่มีทางเชื่อ
เรื่องนี้แน่นอน
“เสี่ยวเหยา เจ้า...” หยางหนิงเงียบไปพักหนึ่ง
สุดท้ายก็นั่งยองๆ ลงไปพูดกับเสี่ยวเหยา แล้วพูด
อย่างอ่อนโยนว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นลูกสาวของอู่เซียง
โหว”
เสี่ยวเหยาเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำ นางฝืนยิ้ม
แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ขอบคุณท่านมาที่ช่วยข้าเมื่อครู่...
ท่านเป็นคนดี แต่ว่า...แต่ว่าเสี่ยวเหยาไม่ได้คู่ควรจะ
ให้ท่านมาทำแบบนี้” ดวงตาของนางมีรอยน้ำตา นาง
แกล้งยิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรแล้ว ซื่อจื่อ ท่าน
กลับไปเถอะ ข้า...ข้าจะกลับไปอ่านหนังสือ” ไม่รอห
ยางหนิงพูดอะไร นางถือม้วนหนังสือ แล้วยิ้มให้ห
ยางหนิง แล้วก็เดินไป
หยางหนิงอยากจะรั้งนางเอาไว้ แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องพูด
อย่างไร
เมื่อเสี่ยวเหยาไปแล้ว หยางหนิงก็ส่ายหน้า แล้วเดิน
ออกจากวิทยาลัยฉงหลิน
ในเมื่อเสี่ยวเหยาเรียนหนังสืออยู่ที่นี่ เขาเองก็รับปาก
จั่วชิงหยางแล้วจะมาบรรยายความรู้ที่นี่ อย่างไรก็ได้
เจอกัน
เมื่อออกจากวิทยาลัย เห็นองครักษ์สองคนเฝ้าม้าอยู่
ต้วนฉางไห่นั่งคุยกับคุณลุงเหรินอยู่ในบ้านไม้ เมื่อ
เห็นหยางหนิงเดินมา ต้วนฉางไห่ก็รีบวิ่งมา แล้วพูดว่า
“โหวเยวี่ย ท่านมาแล้วหรือ?” หยางหนิงเข้าไปตั้ง
นาน ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว รอจนเขาก็ร้อนใจ
หยางหนิงเดินตรงไปขึ้นม้า ต้วนฉางไห่รีบส่งสัญญาณ
ให้องครักษ์ทั้งสองรีบตามไป เห็นหยางหนิงเหมือนจะ
มีความในใจ ต้วนฉางไห่ก็รีบควบม้าเข้ามา “โหวเยวี่ย
เจ้าคนแซ่เจียงนั่นทำท่านโกรธหรือ?”
“เจ้าเห็นเขาด้วยหรือ?” หยางหนิงถาม
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าน้อยรออยู่ข้างนอก
วิทยาลัย โหวเยวี่ยเข้าไปไม่นาน เจ้านั่นก็นั่งรถม้าคัน
ใหญ่มา เหอะเหอะ ดูมีราศีมาก รถม้านั่นหรูหรากว่า
รถของเหล่าท่านอ๋องเหล่าขุนนางเสียอีก”
ตอนนี้หยางหนิงไม่ได้สนใจเจียงซุยอวิ๋นเลย เขาถาม
ว่า “ท่านอาต้วน ท่านพอจะรู้เรื่องครอบครัวของอู่
เซียงโหวหรือไม่?”
“อู่เซียงโหว? ซูเจิน?” ต้วนฉางไห่ได้ยินชื่อนี้สีหน้าก็
เปลี่ยนไป แล้วพูดว่า “ตอนนั้นท่านเหล่าโหวกับท่าน
อู่เซียงเหล่าโหวนั้นเหมือนเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ทั้งสอง
ตระกูลสนิทสนมกันอย่างดี ขนาดท่านเหล่าโหวสิ้นไป
แล้ว ตอนที่ท่านแม่ทัพยังอยู่ ซูเจินก็มาที่จวนจิ่นอีโหว
หลายครั้ง ไม่อย่างนั้นพวกเราสองตระกูลคงไม่ได้มี
สัญญาหมั้นหมายกันหรอกจริงหรือไม่?” จากนั้นเขาก็
ลูบเครา แล้วพูดว่า “เรื่องครอบครัวของพวกเขา
ข้าน้อยก็พอจะรู้อยู่บ้าง โหวเยวี่ยอยากรู้เรื่องอะไร?”
หยางหนิงนั่งอยู่บนหลังม้า ปล่อยให้ม้าเดินไปเรื่อยๆ
เขามองไปต้วนฉางไห่แล้วถามว่า “ซูเจินมีเมียกี่คน
หรือ?”
“สามคนตามลำดับ” ต้วนฉางไห่ตอบอย่างไม่ลังเลว่า
“ฮูหยินใหญ่ของซูเจิน เป็นลูกคนที่สามของอดีต
เสนาบดีกรมโยธา ฐานะก็ไม่ได้แย่ แต่ว่าหลังจากซู
เจินแต่งงานกับนางไปแล้วสองปีนางไม่มีลูกเลย เหอะ
เหอะ ตอนนั้นท่านอู่เซียงเหล่าโหวยังอยู่ ท่านอู่เซียง
เหล่าโหวดีทุกอย่าง แต่ท่านให้ความสำคัญเรื่องการ
สืบทอดของตระกูลมาก ฮูหยินใหญ่ไม่มีลูกสักที ท่าน
ก็เลยตัดสินใจแต่งอนุเข้ามาให้เขา”
หยางหนิงไม่ค่อยอยากจะฟังประวัติของซูเจินตั้งแต่
ต้นจนจบ แล้วถามว่า “เขาเคยแต่งงานกับผู้หญิงที่
แม่น้ำฉินไหวหรือไม่?”
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนซูเจินอายุน้อยถือว่า
เป็นคุณชายเจ้าสำราญคนหนึ่งของเมืองหลวง ตอน
นั้นท่านอู่เซียงเหล่าโหวไม่ค่อยอยู่เมืองหลวง ดังนั้นซู
เจินจะทำอะไรก็ไม่มีใครสนใจ ตอนที่ท่านอู่เซียงเหล่า
โหวยังหนุ่ม หากท่านเหล่าโหวไม่อนุญาต อย่าว่าแต่
ผู้หญิงที่แม่น้ำฉินไหวเลย ต่อให้รับอนุก็ไม่ได้” เขา
หยุดไป แล้วพูดว่า “แต่ว่าข้าเคยได้ยินมาว่า ซูเจิน
เคยไปร่วมงานคัดเลือกราชินีดอกไม้มาครั้งหนึ่ง เขา
สนับสนุนแม่นางคนหนึ่งจนได้เป็นราชินีดอกไม้
ศิลปะวิชาของแม่นางคนนั้นเยี่ยมยอดมาก ซูเจินหลง
นางมากเลยทีเดียว แต่ว่าท่านอู่เซียงเหล่าโหวยังอยู่
เขาไม่กล้ารับเข้าจวน แต่ข้าได้ยินเขาพูดกันว่า ซูเจิน
เอาเงินก้อนหนึ่งไถ่ตัวนางออกมา แล้วเลี้ยงดูนางอยู่
นอกจวน”
“แล้วต่อมาได้รับเข้าจวนหรือไม่?”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “พอรู้จักแม่นางคนนั้นได้ไม่ถึงครึ่งปี
ซูฮูหยินก็คลอดลูกสาว ท่านอู่เซียงเหล่าโหวผิดหวัง
มาก ผ่านไปไม่ถึงสามสี่เดือน ท่านอู่เซียงเหล่าโหวก็
สิ้นไป หลังจากที่ท่านเหล่าโหวสิ้นไปไม่ถึงสองเดือน ซู
เจินก็รับแม่นางคนนั้นเข้าไปอยู่ที่จวน”
“อ๋อ?” หยางหนิงขมวดคิ้ว “ท่านอู่เซียงเหล่าโหวเพิ่ง
จะสิ้นไป เหตุใดเขาถึงกล้าทำแบบนั้น?”
“จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้แต่งเข้าหรอก” ต้วนฉางไห่พูด
“แค่พาเข้าจวน ไม่ได้ให้ฐานะอะไร ต่อมาหลายคนก็
พูดกันว่า ผู้หญิงคนนั้นตั้งครรภ์ ไม่นานก็จะคลอดลูก
แล้ว ซูเจินอยากได้ลูกชายไว้สืบสกุลมาก ฮูหยินใหญ่
ไม่สามารถมีลูกชายให้เขาได้ เขาเลยต้องหวังพึ่งกับ
คนอื่น ดังนั้นก็เลยพาผู้หญิงคนนั้นกลับจวน เพื่อดูแล
ให้นางคลอดลูก”
“เขามีลูกชายคนหนึ่งไม่ใช่หรือ?”
ต้วนฉางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยหมายถึง อู่
เซียงโหวซื่อจื่อซูจื่อเฉิง? จริงๆ เรื่องนี้มันก็เหมา
รวมอยู่กับเรื่องเมื่อคราวนั้นด้วย ฮูหยินใหญ่คลอดลูก
สาว สุขภาพของท่านอู่เซียงเหล่าโหวก็ไม่ค่อยแข็งแรง
แล้ว ผ่านไปสามสี่เดือนก็สิ้นไป แต่ว่าตอนนั้นฮูหยินร
องของซูเจินดันตั้งครรภ์ในตอนนั้น พอซูเจินรับผู้หญิง
เข้ามาในจน ก็กลายเป็นว่ามีผู้หญิงตั้งครรภ์ถึงสองคน
ข้าได้ยินมาว่าทั้งสองคนคลอดลูกห่างกันแค่วันเดียว
ฮูหยินรองคลอดได้ลูกชาย ส่วนผู้หญิงคนนั้นอีกวัน
คลอดได้ลูกสาว...ท่านลองคิดดู มันจะดีได้อย่างไร
เล่า?”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่า
เพราะผู้หญิงคนนั้นคลอดได้ลูกสาว ดังนั้นซูเจินเลยไม่
สนใจนางอีก?”
“เรื่องนี้มีคนไม่น้อยที่รู้” ต้วนฉางไห่ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า
“ซูเจินเป็นคนเย็นชาไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์อยู่แล้ว
ตอนนั้นสนับสนุนผู้หญิงคนนี้ ทำเหมือนนางเป็น
สมบัติล้ำค่า แต่พอเบื่อแล้ว อีกทั้งคลอดลูกสาว ท่าที
ของซูเจินก็เปลี่ยนไป ฮูหยินใหญ่ไม่ต้องพูดถึง แต่ฮู
หยินรองเพราะคลอดลูกชาย ทำให้ฐานะของนางใน
จวนอู่เซียงโหวนั้นสูงขึ้น ซูเจินรักนางมาก หลังจาก
นั้นเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง ข้าน้อยก็ไม่ค่อยรู้แล้ว รู้แต่ว่า
ผู้หญิงคนนั้นถูกให้ออกจากจวนไป แล้วหาที่ให้นาง
อยู่ใหม่ สองแม่ลูกนั่นก็เหมือนถูกไล่ออกจากจวน”
เขาส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนั้นมีหลาย
ต่อหลายคนพูดกันว่าซูเจินทำไม่ถูก แต่ว่าเพราะเป็น
เรื่องภายในของเขาเอง ไม่มีใครอยากผิดใจกับคำพูด
เพราะผู้หญิงแม่น้ำฉินไหวเพียงคนเดียว เท่าที่ข้ารู้
จนถึงตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นแม้แต่ฐานะอนุก็ไม่มี เฮ้อ
จะว่าไปแล้วนางก็น่าสงสารมาก”
หยางหนิงฟังแล้วรู้สึกหดหู่
ต้วนฉางไห่ไม่รู้อยู่แล้วว่า สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมด มัน
ทำให้หยางหนิงเข้าใจอะไรมากขึ้น ตอนนี้หยางหนิง
เข้าใจในตัวของเสี่ยวเหยามากขึ้นแล้ว
แม่ของเสี่ยวเหยาก็น่าจะเป็นราชินีดอกไม้ที่ซูเจิน
สนับสนุนให้เป็นในตอนนั้น หลังจากที่นางคลอดเสี่ยว
เหยาให้ซูเจินแล้ว กลับไม่ได้รับความรักจากซูเจินอีก
ถึงแม้ซูเจินจะหาที่อยู่ให้นางใหม่ แต่ว่าไปแล้ว ก็
เหมือนไล่พวกนางสองแม่ลูกออกไปอยู่ดี สำหรับคนที่
เคยอยู่ที่แม่น้ำฉินไหวมาก่อน ถึงแม้จะถูกไถ่ตัว
มาแล้ว จะเลี้ยงลูกจนโตมาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจแล้วว่า เหตุใดซูจื่อเสวียนถึงทำ
กับเสี่ยวเหยาขนาดนั้น เพราะในสายตาของซูจื่อเส
วียน เสี่ยวเหยาเป็นแค่ลูกเมียเก็บ ในฐานะลูกของฮู
หยินใหญ่ นางมีความรู้สึกสูงส่งมาก
ในยุคนี้ อย่าว่าแต่ลูกเมียเก็บเลย แม้แต่ลูกอนุก็สู้ลูก
เมียหลวงไม่ได้ ฉีหนิงกับฉีอวี้เองถือเป็นตัวอย่างที่ดี
“ไปตามหาที่อยู่ของราชินีดอกไม้คนนั้นมา ได้เรื่อง
แล้ว รีบมาบอกข้าทันที” หยางหนิงพูดจบ ก็ขี่ม้าไป
ต้วนฉางไห่ก็ควบม้าตามเขาไป
เมื่อกลับมาถึงถนนผีผา เมื่อเห็นหยางหนิงมาถึง ก็มี
สองคนรีบมาดึงม้าเอาไว้ ต้วนฉางไห่จำได้ว่าเป็น
องครักษ์ของจวนจิ่นอีโหว เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ลนลานอะไรขนาดนั้น?”
คนหนึ่งรีบตอบว่า “พี่ต้วน มีเรื่องด่วน” แล้วคำนับห
ยางหนิงพูดว่า “โหวเยวี่ย รีบกลับจวนเถอะ มีคนมา
จากในวังหลวง เหมือนว่ามีรับสั่งให้ท่านเข้าวัง”
หยางหนิงอึ้งไป เขารู้สึกแปลกใจมาก
จริงๆ หลังจากเขาได้รับตำแหน่งโหวแล้ว ก็คิดว่า
อย่างไรก็ต้องได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้อยู่แล้ว แต่ว่าหลังจาก
นั้นก็ไม่ได้มีราชโองการลงมา หยางหนิงได้รับ
คำแนะนำจากกู้ชิงฮั่น ว่าให้เขียนฎีกาขอบพระทัยที่
ทรงเมตตาไป แต่ว่าหลังจากส่งฎีกาไปแล้ว ก็ไม่เห็นมี
วี่แววอะไร
หยางหนิงเดิมทีคิดว่าฮ่องเต้เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ คงมี
เรื่องไม่น้อยที่ต้องจัดการ ในเวลาสั้นๆ คงไม่มีเวลามา
คิดถึงเขาหรอก แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฮ่องเต้องค์ใหม่จะ
เรียกตัวเขาไปพบเร็วขนาดนี้
ถึงแม้เขาจะเป็นคนของสองภพ เจอเรื่องราวมาไม่
น้อย ตอนนี้ยังเป็นถึงจิ่นอีโหว อาศัยในจวนจิ่นอีโหว
แต่ว่าเขาก็ยังไม่เคยได้เข้าวังมาก่อน คิดว่าตัวเขามี
โอกาสเข้าวังเป็นเรื่องที่น่าแปลก ขณะที่แปลกใจ เขา
ก็รู้สึกตื่นเต้นด้วย
เมื่อกลับไปถึงจวนโหว ก็เห็นหัวหน้าขันทีฟ่านกงกง
ที่มาถ่ายทอดรับสั่งรออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ ทุกคนคุ้นเคย
กันดี ไม่ได้พูดอะไรกันมากมาย ตามที่ฟ่านกงกงบอก
ฮ่องเต้กำลังรอเขาไปเข้าเฝ้าอยู่ ขอให้หยางหนิงรีบ
เข้าวังไปเดี๋ยวนี้เลย ยังดีที่ฟ่านกงกงมารอแค่ครู่เดียว
กู้ชิงฮั่นก็เตรียมการไว้ให้เรียบร้อย นางให้คนไป
เตรียมชุดโหวเยวี่ยไว้ให้แล้ว
จิ่นอีโหวเข้าวังทั้งที จะแต่งชุดธรรมดาทั่วไปไม่ได้ แต่
มีชุดตำแหน่งเฉพาะ ตั้งแต่หยางหนิงได้รับตำแหน่ง
โหวในวันนั้น กู้ชิงฮั่นก็สั่งให้คนไปตัดชุดประจำ
ตำแหน่งตามสัดส่วนร่างกายของหยางหนิงเอาไว้
เตรียมเพื่อถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงไป
หยางหนิงรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว กู้ชิง
ฮั่นกำชับเขาสองสามเรื่อง จากนั้นหยางหนิงก็นั่งรถ
ม้าตามฟ่านกงกงเข้าวังหลวงไป
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 194 ขันทีน้อย
หยางหนิงไม่เคยเข้าวังมาก่อน แต่ว่าเคยเห็นผ่านสื่อ
ต่างๆ มาบ้าง
แต่ว่าหลังจากตามฟ่านกงกงเข้าวังมาแล้ว ถึงได้รู้ว่า
อะไรหลายอย่างยังต้องเห็นด้วยตาตัวเองเท่านั้น ถึง
จะรู้สึกได้ สถานที่แห่งนี้ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในต้าฉู่
จริงๆ
เมื่อมองไปไกลๆ มีตำหนักเล็กใหญ่มากมาย สีเหลือง
ทองอร่ามแยงตา ทุกอย่างทำจากสีเหลืองทอง
แกะสลัก มีทั้งตำหนัก หอคอย สูงต่ำทับซ้อนกันนับ
ไม่ถ้วน
ถนนหนทางในวังหลวงก็เรียบและกว้าง จากที่หยางห
นิงประเมินน่าจะกว้างประมาณสิบเมตรได้ เล็กสุดก็
น่าจะไม่กี่เมตร ถนนในวังหลวงก็เป็นระบบระเบียบ
ซึ่งมันดูยิ่งใหญ่มีอำนาจมาก
วังหลวงของต้าฉู่ ตามหลักการก่อสร้าง แบ่งเป็น
ตำหนักใหญ่ ตำหนักตงกง ตำหนักซีกง สามตำหนัก
ใหญ่เป็นหลัก
ตำหนักใหญ่ประกอบไปด้วยเขตพระราชฐานชั้นนอก
เขตพระราชฐานชั้นใน วังหลัง การก่อสร้างทั้งสาม
เป็นแนวตรง ตั้งอยู่ตรงกลางของวังหลวง
เขตพระราชฐานชั้นนอกเป็นที่ตั้งของตำหนักเฟิ่ง
เทียน เป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้จะทำการเรียกรวมพล
เหล่าขุนนาง ทางด้านซ้ายด้านขวาก็มีตำหนักใหญ่อีก
ด้านละตำหนัก ซึ่งก็คือตำหนักไท่เหอกับตำหนักโหว
เต๋อ ทั้งสองตำหนักมีตำหนักเล็กอีกสองตำหนัก
ทหารที่เฝ้าอยู่ที่ทางตำหนักไท่เหอกับตำหนักโหว
เต๋อมากเท่ากับตำหนักเฟิ่งเทียน ทั้งสามตำหนัก
ยิ่งใหญ่หรูหราจนน่าตะลึง
เมื่อเดินผ่านเขตพระราชฐานชั้นนอกไป ก็จะเป็นเขต
พระราชฐานชั้นใน มีตำหนักชิงเหออยู่ตรงกลาง และ
มีตำหนักอู่เต๋อกับเหวินเต๋อขนาบข้าง ตำหนักชิงเห๋อ
เป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้ใช้จัดการเลี้ยง ส่วนตำหนักอู่เต๋อ
เป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้กลับจากประชุมเช้ามานั่งทำงาน
หรือไม่ก็คือเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้ใช้เรียกพบขุนนางว่า
ราชการสำคัญ หรือที่ฮ่องเต้เรียกว่าห้องทรงอักษร
ส่วนวังหลังมีตำหนักเฟิ่งอี๋เป็นตำหนักหลัก เป็นที่อยู่
ของฮองเฮา ส่วนตำหนักอื่นในวังหลังจะเรียงราย
ล้อมรอบตำหนักเฟิ่งอี๋ ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า มัน
เป็นสัญลักษณ์ของการเคารพและให้เกียรติต่อฮองเฮา
ทางด้านทิศตะวันออกและตะวันตกมีตำหนักเล็ก
ตำหนักน้อยอีกนับร้อย แต่ละตำหนักเล็กใหญ่ไม่
เท่ากัน และในตำหนักก็มีห้องไม่น้อยกว่าสิบห้อง แต่
ละตำหนักมีสวนดอกไม้เล็กๆ ทุกแห่ง
แต่ว่าใกล้ๆ กับทางตำหนักตงกง มีอุทยานหลวงที่
ใหญ่มาก มีดอกไม้ต้นไม้สมุนไพรหายากอยู่มากมาย
ภายในมีศาลาที่ชื่อว่าไถโหลวเก๋ออยู่ และมีภูเขา
จำลองนับไม่ถ้วน
ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งอะไรในเมืองหลวงต่างจัดวาง
ได้อย่างเหมาะสม มีระบบระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นงาน
ไม้ งานดิน งานหิน งานทาสี งานทราย งานแกะสลัก
งานภูเขา งานตกแต่ง ต่างต้องใช้ความตั้งใจมาก ทุก
คนล้วนแต่มีความสามารถมากไม่ว่าจะทางด้าน
วัฒนธรรมหรือความสวยงามด้านศิลปะ
ตำหนักทุกตำหนักทำจากไม้เป็นหลัก หลังคา
กระเบื้องเคลือบสีเหลือง ฐานหินสีน้ำเงินและสีขาว
ตกแต่งด้วยภาพวาดที่งดงามและประติมากรรมที่
งดงาม มีความหรูหราและสง่างามมาก
หยางหนิงรู้ดีว่าทหารพวกนี้มาจากหน่วยอวี่หลินอิ๋ง
ของราชวัง มีหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยของวัง
หลวงทั้งหมด
แรกเริ่ม หยางหนิงก็รู้สึกตื่นเต้น แต่เดินมานาน รู้สึก
ว่ามันหาปลายทางไม่เจอ ทำให้หยางหนิงเริ่มเบื่อ ใน
ใจก็คิดว่าต้องนั่งรถมาลงนอกประตูวัง หลังจากเข้าวัง
มาแล้ว ต้องเดินนานขนาดนี้ ถ้าฮ่องเต้เรียกเฝ้าบ่อยๆ
ไม่ลำบากแย่เลยหรือ?
เรื่องที่แย่ที่สุดคือ เพราะว่าต้องรีบเข้าวัง หยางหนิงยัง
ไม่ได้กินข้าวเลยก็ออกจากบ้านแล้ว ถึงแม้จะต้องอด
บ้างหยางหนิงก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าเดินไม่ถึงสักที ยัง
ทำให้ความตื่นเต้นของหยางหนิงลดลงไป
“โหวเยวี่ย ท่านเข้าวังมาครั้งแรก ทางเส้นนี้ จิ่นอีโหว
ทั้งสองรุ่นเดินมานับครั้งไม่ถ้วนเลยนะ” ฟ่านกงกง
เห็นว่าหยางหนิงเหมือนจะร้อนใจ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“ข้าน้อยเดินนำทางให้ท่านแม่ทัพฉีมานับไม่ถ้วน
ต่อไป โหวเยวี่ยเองก็คงได้เดินทางนี้นับครั้งไม่ถ้วน
เช่นกัน”
หยางหนิงยิ้ม แล้วเดินไปอีกระยะหนึ่ง เมื่อเดินผ่าน
ประตูทรงพระจันทร์ ก็เห็นห้องที่ทาสีแดง ฟ่านกงกง
พาหยางหนิงมาถึงหน้าประตู แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย
ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อน ข้าน้อยจะไปทูลฝ่าบาท หากฝ่า
บาทมิได้ทรงงานอยู่ ก็จะมาเรียกท่าน”
หยางหนิงคิดในใจว่าหรือว่าฮ่องเต้ยังไม่สะดวก? ไม่
สะดวก แล้วเรียกมาเฝ้าทำไม?
แต่ว่าเขายังยิ้มแล้วพูดว่า “รบกวนฟ่านกงกงด้วย”
เมื่อฟ่านกงกงออกไปแล้ว หยางหนิงก็มองไปรอบๆ
เห็นตรงหน้าประตูมีขันทีน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ หยาง
หนิงเดินไปที่หน้าประตู ขันทีน้อยก็พูดขึ้นมาว่า “โหว
เยวี่ยโปรดรอสักครู่”
หยางหนิงก็พูดว่า “อืม” เมื่อเข้ามาภายในห้อง พบว่า
ด้านในหรูหรามาก มองไปรอบๆ ก็พบว่ามันเหมือน
ห้องหนังสือ ทั้งสองด้านเต็มไปด้วยชั้น บนชั้นมี
หนังสือและตำรามากมาย ชั้นวางทำจากไม้สีแดง
หรูหราไม่เบา ด้านข้างมีโต๊ะหนังสือสีทอง ด้านบนปู
ด้วยผ้าสีเหลือง บนโต๊ะมีแท่นหมึกกระดาษพู่กัน
เครื่องเขียนต่างๆ
ด้านหน้าโต๊ะทางซ้ายทางขวามีเก้าอี้ไม้หนานมู่สีทอง
ภายในห้องเงียบมาก หยางหนิงเดินดูไปทั่ว คิด
อยากจะเอาหนังสือมานั่งอ่านฆ่าเวลา แต่ว่ากู้ชิงฮั่น
เตือนเอาไว้แล้วว่า ภายในวังหลวง ไม่เหมือนที่อื่น
แม้แต่จะจามจะไอก็ต้องระวัง เขาลังเล สุดท้ายเขาก็
ไม่ได้ไปหยิบ เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
ไม่นานนัก ก็มีขันทีน้อยเดินเข้ามา แล้วยกน้ำชามาให้
หยางหนิงรับชามา แล้วถามว่า “อีกนานแค่ไหน
ฝ่าบาทถึงจะเรียกข้าไปเฝ้า?”
ขันทีน้อยโค้งตัวเล็กน้อย แล้วพูดอย่างมีมารยาทว่า
“เรียนโหวเยวี่ย ข้าน้อยไม่ทราบ”
หยางหนิงขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทยังทรงงานอยู่หรือ?”
“ข้าน้อยมิทราบ”
หยางหนิงจนปัญญา ยกมือ บอกให้ขันทีน้อยออกไป
หยางหนิงดื่มชาหมดไปแก้วหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่มีใครมา
เรียก เขาเริ่มหงุดหงิด ลุกขึ้นมาแล้วเดินไปที่ริมโต๊ะ
แล้วเหลือบไปเห็นจานของว่างวางอยู่ มันดูสวยงาม
มาก ตอนที่อยู่ในจวนโหวก็เจอขนมที่ทำสวยๆ มา
มาก แต่ว่าอย่างในจานนี้นั้นเขาไม่เคยเห็นเลย
หยางหนิงกลางวันยังไม่ได้กินข้าว เดิมทีก็หิวมากอยู่
แล้ว ตอนนี้เห็นของว่างที่สวยแบบนี้ กลิ่นของมันทำ
ให้เขาอยากจะยื่นมือไปหยิบมากิน แต่คิดๆ ดูแล้ว
เขาก็อดทนไว้ดีกว่า
เวลาผ่านไป รอมาเกือบหนึ่งชั่วยาม
เดิมทีหยางหนิงเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก แต่ว่า
วันนี้ฮ่องเต้ให้หัวหน้าขันทีฟ่านกงกงไปเชิญเขาเข้าวัง
มา ตามหลักแล้วเมื่อเข้าวังมาแล้ว ก็ไม่น่าจะรอนาน
กว่าหนึ่งชั่วยามแบบนี้
เขาเริ่มหงุดหงิดมากขึ้น หากเป็นที่อื่น เขาคงกลับไป
แล้ว
เขานั่งพักสายตา ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม หยางหนิงทน
ไม่ไหวแล้ว เขาพูดขึ้นมาว่า “มีใครอยู่บ้าง”
ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา หยางหนิง
ไม่ได้หันหน้าไป ถามว่า “ฝ่าบาททรงทำอะไรอยู่?
ช่วยไปดูให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
ด้านหลังเหมือนมีคนยืนอยู่ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
หยางหนิงหันไปดู เห็นเพียงขันทีน้อยคนหนึ่งยืนก้ม
หน้าอยู่ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ที่ข้าพูดไม่ได้ยิน
หรือ? ช่างเถอะ คิดว่าตำแหน่งในวังของเจ้าคงต่ำมาก
คงไม่เจอฝ่าบาทหรอก เอาอย่างนี้ มีอะไรให้ข้ากิน
หรือไม่ ไปทำอะไรให้ข้ากินหน่อย ข้าหิว”
“ระหว่างรอฝ่าบาท กินอะไรไม่ได้” ขันทีน้อยพูด
เสียงเบามาก
หยางหนิงโกรธมาก ทนไม่ได้พูดว่า “มีคนหิวจนจะ
ตายพวกเจ้าก็ไม่สนใจหรือ?”
“สามวันไม่ได้กินข้าว ก็ไม่ถึงตาย” ขันทีน้อยพูด
“โหวเยวี่ยท่านอดทนหน่อยเถอะ”
หยางหนิงโกรธจนลุกขึ้นมา แล้วมองไปที่ขันทีน้อย
“เจ้าว่าอะไรนะ? หรือว่าพวกเจ้าอยากให้ข้าหิวสาม
วันเลยหรือ?”
“ก็ไม่แน่” ขันทีน้อยยังคงก้มหน้า “ฝ่าบาทไม่มีรับสั่ง
โหวเยวี่ยก็ต้องรออยู่ที่นี่ จนกว่าฝ่าบาทจะทรงเรียก
ท่านเข้าเฝ้า ฝ่าบาทไม่ทรงเรียก พวกเราก็ไม่กล้าไป
ถาม แล้วก็ไม่กล้าให้โหวเยวี่ยกลับไปก่อนด้วย หาก
ฝ่าบาททรงลืมไปสามวัน โหวเยวี่ยเองก็ต้องอยู่รอที่นี่
สามวัน”
หยางหนิงโกรธมาก “ถ้าอย่างนั้น หากฝ่าบาทลืมข้า
ไปหนึ่งปี ข้าไม่เน่าเปื่อยอยู่ที่นี่หรือ?”
“คงไม่” ขันทีน้อยตอบว่า “โหวเยวี่ยทนไม่ถึงหนึ่งปี
หรอก แค่สามถึงห้าวันก็น่าจะหิวตายแล้ว หากตาย
จริง ก็จะมีคนมาหามออกไปจากวัง ไม่มีทางเปื่อย
ตายที่นี่แน่นอน”
หยางหนิงโกรธมากอยู่แล้ว แต่ทันใดนั้นก็ใจเย็นลง
ทันใดนั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า เป็นแค่ขันทีเล็กๆ เหตุ
ใดถึงได้กล้าพูดจากับเขาขนาดนี้ อย่างไรเขาก็เป็นถึง
โหวเยวี่ย อาจเทียบกับฮ่องเต้ไม่ได้ แต่ว่าตำแหน่งก็สูง
กว่าขันที
เขาพบว่าขันทีคนนี้ เหมือนจะไม่ใช่ขันทีคนเมื่อครู่
เขาดูรูปร่างกำยำกว่า ขันทีคนเมื่อครู่ถามอะไรไปไม่รู้
สักอย่าง แต่ขันทีคนนี้กลับถามอะไรก็พูดหมด เขา
ขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “เจ้าเงยหน้าขึ้นมาสิ”
ขันทีน้อยพูดว่า “มิกล้า”
“ข้าบอกให้เจ้าเงยหน้าขึ้นมา อย่าพูดมาก” หยาง
หนิงพูด “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะไปเรียกฟ่านกงกงมา
แล้วไล่เจ้าออกจากวังซะ? ข้ากับฟ่านกงกงสนิทกัน
เจ้าเป็นคนของฟ่านกงกงใช่หรือไม่?”
ขันทีน้อยเหมือนจะลังเล ทันใดนั้นก็ถามว่า “ท่าน
แน่ใจหรือว่าจะให้ข้าน้อยเงยหน้าจริงๆ?”
“อย่าพูดมาก”
“แต่ว่าท่านอาจจะไม่กล้ามองข้าน้อยก็ได้” ขันทีน้อย
ถอนหายใจ สุดท้ายเขาก็เงยหน้าขึ้นมา หยางหนิง
มองไป เขาพบว่าใบหน้าของเขานั้นคุ้นเคยมาก
ใบหน้าของเขาใส สายตาเป็นประกาย เขาคิดอยู่ครู่
หนึ่ง จากนั้นก็ตกใจ แล้วหลุดพูดออกมาว่า “เจ้า...
เจ้าเองหรือ?”
ขันทีน้อยคนนี้ เขาคือเซียวกวง
หลังจากที่หยางหนิงแยกจากกับเซียวกวงที่วัดร้าง ก็
ไม่ได้เจอกันอีกเลย แม้แต่ข่าวคราวก็ไม่มี เวลาเขาไม่
มีเงินใช้ เขาก็จะนึกถึงเงินห้าร้อยตำลึงทองที่เซียวกวง
ติดเขาไว้ก็เท่านั้น
แต่ว่าเขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเซียวกวงอยู่ที่ไหน เงินห้า
ร้อยตำลึงทองก็ต้องปล่อยให้หายไปกับสายน้ำ
เหมือนกับความฝันที่ตื่นขึ้นมาก็หายไป
แต่ว่าเขาคิดไม่ถึงเลยว่า วันนี้เข้าวังมา จะได้พบกับ
เซียวกวง อีกทั้งเขายังเป็นขันทีด้วย
แต่ว่าพอเขาหลุดพูดออกมา ก็รู้สึกถึงลางไม่ดี
ตอนนี้เขาเป็นจิ่นอีโหว หากบอกว่าตัวเองรู้จัก
เซียวกวง นั่นก็จะหมายความว่าเขายอมรับว่าเขาคือ
ขอทานที่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาด้วยกัน?
เซียวกวงเป็นขันทีในวังหลวง เมื่อฐานะของเขาถูก
เปิดเผย เขามีกี่หัวก็ไม่พอให้ตัด
สายตาของเซียวกวงเหมือนจะมีรอยยิ้มซ่อนอยู่ เขา
ถามว่า “โหวเยวี่ย ท่านรู้จักข้าน้อยด้วยหรือ?”
หยางหนิงเหมือนถูกฟ้าผ่า เขาไอ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ไม่รู้จัก”
“ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่า ‘ท่าน’ เป็นใครกัน?” เซียวก
วงยิ้มแล้วถาม
หยางหนิงพยายามคุมอารมณ์ของตัวเองให้นิ่ง
จากนั้นก็นั่งลงที่เก้าอี้ ไม่แม้แต่มองเซียวกวง แกล้งทำ
เป็นนิ่งแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้ เคยเจอคนคล้ายเจ้า
ข้าจำผิดเอง”
เซียวกวงไม่เลิกรา หันไปมองหน้าหยางหนิง ยิ้มแล้ว
พูดว่า “โหวเยวี่ยดูให้ดีสิ อย่าตาลาย ข้าน้อยอาจจะ
เป็นคนที่ท่านรู้จักก็ได้”
หยางหนิงหน้านิ่งไป แล้วพูดว่า “บอกว่าไม่รู้จักก็ไม่
รู้จกั สิ นี่ เจ้าออกไปก่อน ข้าจะรอฝ่าบาทเรียกเฝ้า”
เซียวกวงถอนหายใจแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยรอฝ่าบาท
เรียกเฝ้า แต่หากว่าฝ่าบาททรงทราบว่าเจ้าเป็นตัว
ปลอม ไม่รู้ว่าจะยังเรียกเฝ้าอีกหรือไม่?” เขาหัวเราะ
แล้วพูดว่า “เกรงว่าอาจจะเรียกพบ แล้วถามเจ้าว่า
เป็นตัวปลอมที่มาสวมรอยเป็นจิ่นอีโหวซื่อจื่อรับ
ตำแหน่งจิ่นอีโหว จากนั้นก็...” ยกมือขึ้นมา “ฉึ่บ”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 195 ฐานะที่แตกต่าง
หยางหนิงสีหน้าเปลี่ยนไป เขาลุกขึ้นยืน มองซ้ายมอง
ขวา แล้วก็วงิ่ ออกไปที่หน้าประตู แล้วมองซ้ายมอง
ขวาอีกครั้ง รอบๆ ไม่มีใครเลยเงียบสนิท แม้แต่ขันที
ที่ยกน้ำชามาให้ก็ไม่อยู่แล้ว เขาหันมาปิดประตู แล้วก็
หันหน้ากลับมา แล้วพูดว่า “เจ้าบังอาจมาก กล้าใส่
ความ...ข้า เจ้ารู้หรือไม่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้า
กำลังใส่ความข้าอยู่นะ”
เซียวกวงหน้านิ่งมาก เขายืนตัวตรง
หยางหนิงเจอเซียวกวงครั้งที่แล้ว ตอนนั้นขันทีน้อย
คนนี้กำลังลำบาก สีหน้าของเขาแย่มากในตอนนั้น
ตอนนี้กลับหน้าตามีน้ำมีนวลถือว่าหน้าตาดีมาก เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่รู้จักข้าจริงๆ หรือ? เจ้าอย่าบอก
นะ ว่าข้ายังติดเงินเจ้าอยู่ห้าร้อยตำลึงทอง เจ้าไม่เอา
แล้ว?”
หยางหนิงคิดในใจว่าอย่าว่าแต่ห้าร้อยตำลึงทองเลย
ต่อให้แค่ห้าสิบตำลึงข้าก็เอา แต่ว่าหากข้าเอาทอง
ของเจ้าตอนนี้ ก็ถือว่ายอมรับล่ะสิว่าข้าเป็นจิ่นอีโหว
ตัวปลอม? อีกทั้งขันทีน้อยนี่ก็ไม่ได้เหมือนจะมีเงินห้า
ร้อยตำลึงทอง เขาหน้านิ่งแล้วพูดว่า “ทองคำอะไร
กัน อย่าพูดอะไรเหลวไหล ข้าไม่รู้เรื่อง ข้าเตือนเจ้า
ก่อนนะ ข้าเป็นถึงจิ่นอีโหวนะ หากเจ้าใส่ร้ายข้าเจ้า
เองนั่นแหละที่จะเดือดร้อน” จากนั้นก็จ้องไปที่เซียวก
วง
เซียวกวงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นคน
เห็นแก่ประโยชน์มากกว่าความสัมพันธ์นี่เอง ถือว่าข้า
มองคนผิดไป เจ้าหลอกฝ่าบาท ข้าจะต้องเปิดโปง
เจ้า” พูดจบเขาก็เดินออกไป หยางหนิงรีบจับมือของ
เขาเอาไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “รีบร้อนไปทำไม มามามา
นั่งคุยกันก่อน”
เซียวกวงมองไปที่หยางหนิง แล้วถามว่า “เจ้ายอมรับ
แล้วหรือ?”
“ยอมรับเรื่องอะไร?”
“ก็ยอมรับว่าเจ้าเป็นจิ่นอีโหวตัวปลอม?” เซียวกวง
พูด
หยางหนิงพูดเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าเบาหน่อยได้หรือไม่
เดี๋ยวใครก็มาได้ยินเข้าสิ เจ้าอยากให้ข้าถูกประหาร
หรืออย่างไร? เซียวกวง ที่แท้เจ้าก็เป็นขันทีนี่เอง”
เซียวกวงเห็นหยางหนิงยอมรับแล้ว ก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“ข้าเห็นเจ้าก็จำได้ทันทีเลย เจ้าคิดว่าจะมาเสแสร้งต่อ
หน้าข้าได้หรือ”
หยางหนิงรู้ดีว่า หากเซียวกวงเปิดเผยความจริงเรื่องที่
เขาสวมรอยเป็นจิ่นอีโหว ไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่ก็
ตาม มันก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ หากถูกตรวจสอบ
ขึ้นมา หากไม่มีใครสงสัยอะไร หลายต่อหลายเรื่องก็
จะถูกปิดไป แต่ว่าหากสงสัยว่าตัวเขาเป็นจิ่นอีโหวตัว
ปลอม หลายต่อหลายเรื่องก็จะมีปัญหา
ตอนนี้ฐานะตัวปลอมของเขา มีเพียงขันทีเซียวกวง
เท่านั้นที่รู้ ดังนั้นก็ต้องจัดการกับเขาเสียก่อน เรื่องจะ
ได้ง่ายขึ้นเยอะ
อย่างไรก็ต้องกล่อมเซียวกวงให้ได้ก่อน ให้เขายอมไม่
เปิดเผยความจริง ตัวเองจะได้มีเวลาหนี
หยางหนิงยื่นมือไป แล้วพูดว่า “เงินห้าร้อยตำลึงทอง
เอามาเลย พวกเราตกลงกันไว้แล้ว เมื่อข้ามาถึงเมือง
หลวง เจ้าจะให้เงินข้าทันที ลูกผู้ชาย คำไหนคำนั้น
นะ”
“ข้าพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว” เซียวกวงยิ้มแล้วพูดว่า
“แต่ว่าเจ้าต้องบอกข้ามาก่อน ว่าอยู่ดีๆ เจ้ากลายมา
เป็นจิ่นอีโหวได้อย่างไร? ไม่สิ น่าจะกลายมาเป็น
จิ่นอีซื่อจื่อได้อย่างไรมากกว่า?”
หยาหนิงรู้ว่าปิดเขาไม่ได้แล้ว เขาคิด แล้วก็เล่าเรื่อง
ทั้งหมดให้เซียวกวงฟัง
เซียวกวงฟังจบ ก็ตกใจ แล้วพูดว่า “เจ้าหมายความ
ว่า ฉีหนิง...ฉีหนิงตัวจริง หน้าตาเหมือนเจ้าอย่างนั้น
หรือ? โลกนี้มีเรื่องประหลาดขนาดนี้เลยหรือ?”
“โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ มีอะไรบ้างที่ไม่มี” หยางหนิง
ยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ข้าเองก็บังเอิญ ถึงได้ไปเจอกับ
คนของจิ่นอีโหว เจ้าว่าหากข้าบอกพวกเขาว่าข้าไม่ใช่
จิ่นอีโหว แต่ใส่ชุดของเขาอยู่ ข้าจะต้องอธิบาย
อย่างไร? ไม่แน่พวกเขาอาจจะคิดว่าข้าฆ่าจิ่นอีซื่อจื่อ
ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเขาไม่จับข้าหั่นเป็นชิ้นๆเลย
หรือ?”
เซียวกวงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ถูก
ลากมาติดแหด้วยน่ะสิ แล้วก็ถูกบีบจนเป็นจิ่นอีซื่อจื่
อสินะ” จากนั้นเขาก็หัวเราะร่าแล้วพูดว่า “เจ้าเนี่ย
นะ ดวงดีชะมัดเลย จากคนเร่ร่อน พริบตาเดียวกลาย
มาเป็นจิ่นอีซื่อจื่อ ไม่ธรรมดาเลยนะ” จากนั้นเขาก็นั่ง
ลง แล้วถามว่า “จริงสิ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าสวมรอย
เป็นจิ่นอีซื่อจื่อ คนในจวนจิ่นอีโหวไม่มีใครสงสัยเลย
หรือ? ต่อให้หน้าตาคล้ายกัน การกระทำอะไรปกติ ก็
น่าจะไม่เหมือนกันหรอกกระมัง? คนในจวนจิ่นอีโหว
ไม่ใช่คนโง่ เจ้าหลอกพวกเขาได้หรือ?”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอยู่ในวังหลวง คงไม่รู้
จิ่นอีซื่อจื่อเดิม สติ...” เขาชี้ไปที่จุดไท่หยางเสวียน
“ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ทำอะไรก็โง่ๆ เซ่อๆ คนในจวน
ก็กำลังกังวลเรื่องนี้อยู่”
เซียวกวงปรบมือยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว
หลังจากที่เจ้าเข้าจวนไปแล้ว จู่ๆ ฉลาดขึ้นมา พวก
เขาก็เลยคิดว่าจิ่นอีซื่อจื่อได้รับการกระทบกระเทือน
อย่างรุนแรง จากนั้นเลยกลับมาเป็นปกติ ฉลาดขึ้นมา
การกระทำจะไม่เหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อะไร” เขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยน่าเชื่อ อดไม่ได้ที่จะ
หัวเราะออกมา
หยางหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “เลิก
หัวเราะได้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก”
พริบตาเดียว เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เซียวกวง ข้าถาม
อะไรเจ้าหน่อยได้หรือไม่?”
เซียวกวงพูดว่า “อะไร?”
“เรื่องนั้น...” หยางหนิงมองไปที่กางเกงของเซียวกวง
กำลังจะถาม เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็พูดว่า “ก็ไม่มี
อะไรมาก จริงสิ เจ้าเข้าวังมาตั้งแต่เมื่อไหร่? เอ๋ จริง
ด้วย ตาเฒ่าที่ข้าเจอครั้งที่แล้ว เขาเป็นอาจารย์ของ
เจ้าหรือ?”
“ใช่แล้ว ทำไม เจ้าเจออาจารย์ข้าหรือ?” เซียวกวง
ถาม
หยางหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ครั้งที่แล้วที่แห่ขบวน
ศพ ในวังส่งฟ่านกงกงไป ตอนนั้นอาจารย์เจ้าก็ไปด้วย
ข้ายังคิดว่าข้าจำผิดคน” ตอนนี้เขาเข้าใจขึ้นมาแล้วว่า
อาจารย์ของขันทีน้อยก็จะต้องเป็นขันทีเฒ่า เซียวกวง
เป็นขันทีในวัง ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ของเขาก็ต้องเป็น
ขันทีเหมือนกัน
แต่ว่าตอนนั้นเห็นขันทีเฒ่าลงมือ เขาร้ายกาจมาก
จริงๆ แอบคิดในใจว่าภายในวังหลวง ข้างตัวของ
ฮ่องเต้ก็น่าจะมียอดฝีมือไม่น้อย ขันทีเฒ่านั่นฝีมือร้าย
กาจ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไร แต่ไม่รู้ว่าขันทีเฒ่า
นั่นมีตำแหน่งอะไรในวัง
เขารู้ว่าฟ่านกงกงเป็นหัวหน้าขันทีของวังหลวง ถึงแม้
จะเป็นขันที แต่ว่าเหล่าขันทีนางกำนัลในวังหลวง เขา
ถือว่ามีตำแหน่งสูงสุด
หากไม่ใช่จวนจิ่นอีโหว เกรงว่าคนที่ไปอ่านราช
โองการคงไม่ใช่ฟ่านกงกง
เซียวกวงยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์ข้าถูกเหล่านักฆ่า
ล้อม ยังดีที่อาจารย์ฝีมือเก่งกาจ ข้าไม่อยู่ เขาก็ไม่ต้อง
กังวลอะไร เขาเลยสามารถฝ่าวงล้อมออกมาได้”
หยางหนิงรีบถามว่า “จริงสิ นักฆ่าพวกนั้นเหตุใดต้อง
ฆ่าพวกเจ้าด้วย? หรือว่าในตัวของพวกเจ้ามีของที่
พวกมันอยากได้?”
เซียวกวงแค่ยิ้มแล้วพูดว่า “สุดท้ายพวกเขาก็ไม่รอด
สักคน”
“เซียวกวง จะว่าไป เจ้าเป็นแค่ขันทีเล็กๆ เหตุใดถึงได้
ออกจากวังหลวง ไปไกลขนาดนั้นด้วย?” หยางหนิง
สงสัย “แล้วเหตุใดค่ายดาบดำถึงได้ออกหน้าช่วยเจ้า
ด้วย เจ้าหน้าใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ?”
“เจ้าก็คิดเสียว่าในตัวข้ามีความลับที่สำคัญมากก็แล้ว
กัน” เซียวกวงยิ้ม แล้วเดินไปที่โต๊ะหนังสือ หยิบขนม
ในจานมากิน “แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป? สวม
รอยอย่างนี้ต่อไปหรือ? หรือว่าหาโอกาสหนี?”
หยางหนิงเห็นเขาเอาของว่างมากิน ก็ตกใจ คิดว่าเจ้า
นี่มันกล้ามาก แต่ก็คิดว่า เจ้านี่เข้าเวรอยู่ ของว่างนี่
อาจจะเป็นเขาที่เอามาก็ได้ อีกเดี๋ยวก็คงเอามาชดเชย
ให้คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร เดิมเขาก็หิวมากอยู่แล้ว เมื่อ
ครู่เพรากลัว ถึงไม่กล้าหยิบ ตอนนี้แม้แต่ขันทีน้อย
เซียวกวงยังกล้าหยิบ เขาเองก็ไม่เกรงใจ เดินไปหยิบ
ของว่างมากิน เซียวกวงเห็นดังนั้น ก็อึ้งไป จากนั้นก็
ยิ้ม
หยางหนิงหยิบของว่างขึ้นมา แล้วนั่งลง เขากินมัน
อย่างอร่อย ของในวังหลวงรสชาติหน้าตาดีมาก หยาง
หนิงกินมันเหมือนหมาป่าที่หิวโหย พริบตาเดียวก็กิน
มันจนหมดไปครึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “เจ้าไม่รู้
อะไร ข้าอยากจะหนี จะไปก็ไปได้นานแล้ว แต่ว่าใน
จวนจิ่นอีโหวมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเฮ้อ บอกเจ้าแบบ
นี้ดีกว่า หากข้าไปตอนนี้ จวนจิ่นอีโหวก็คงจบสิ้น”
เซียวกวงนั่งตรงข้ามกับหยางหนิง แล้วพูดอย่าง
ประหลาดใจว่า “ร้ายแรงขนาดนั้นเลย? หรือว่าเจ้า
กำลังโกหก?”
“ข้าคงไม่อธิบายอะไรให้เจ้าฟังมากล่ะ” หยางหนิงพูด
ไปกินไป “เซียวกวงข้ากับเจ้าก็ร่วมทุกข์กันมา ข้าเอง
ก็ช่วยชีวิตเจ้าไว้ เจ้าคงไม่เปิดโปงข้าจริงๆ ใช่
หรือไม่?”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูว่าเจ้าปฏิบัติต่อข้าอย่างไร”
เซียวกวงเหมือนหยางหนิงจะสนใจของว่างมาก เขา
ลุกขึ้นแล้วเอาขนมไปวางไว้ให้หยางหนิง แล้วกลับไป
นั่งที่เดิมแล้วพูดว่า “หากเจ้าดีกับข้า เรื่องนี้ข้าก็จะไม่
พูดถึงมันอีก หากเจ้าไม่ดีต่อข้า ข้าก็จะเปิดโปงเจ้า”
หยางหนิงพูดว่า “เจ้ารู้นิสัยข้าดี ขู่ข้าหรือ ข้าไม่ชอบ
ไม้นี้” เขากินของว่างจนหมด แล้วพูดว่า “แต่ว่า
ตอนนี้ข้าเป็นจิ่นอีโหว ฐานะก็ร่ำรวย ข้าไม่มีทางลืม
เจ้าแน่นอน”
“อ๋อ?” เซียวกวงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็เป็นคนมี
คุณธรรมเป็นมิตรดีนี่นา เจ้าคิดจะช่วยข้าอย่างไร?”
“ข้าเห็นว่าเจ้าอยู่ในวังนี่ตำแหน่งก็ต่ำ” หยางหนิงพูด
ว่า “อย่างไรตอนนี้ข้าก็เป็นจิ่นอีโหว คิดว่าฮ่องเต้เองก็
น่าจะไว้หน้าข้าบ้าง ถึงเวลานั้นข้าจะออกหน้าช่วยพูด
ให้เจ้า บอกว่าเจ้าเป็นขันทีทีขยันขันแข็งเป็นคนฉลาด
แล้วก็ขอให้เลื่อนขั้นให้เจ้า จริงสิ ฟ่านกงกงกับข้าเอง
ก็มีความสัมพันธ์ดีกันดีอยู่ เขาก็ไม่ใช่คนพูดยาก ข้า
แค่ไปบอกเขา ชีวิตของเจ้าก็ดีขึ้นอีกเยอะมากๆ เลย
จริงหรือไม่?”
เซียวกวงพูดว่า “เจ้าช่วยข้าแบบนี้ เพราะกลัวว่าข้า
เปิดโปงเจ้าหรือ?”
หยางหนิงนั่งพิงเก้าอี้ แล้วพูดว่า “ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
หรอก บอกตามตรง เจ้าเองก็ไม่ใช่คนน่ารังเกียจ จะ
ว่าไปพวกเราเองก็ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ข้าเองก็
ไม่ใช่คนลืมความสัมพันธ์ครั้งก่อน ในเมื่อพวกเรามี
วาสนาได้เจอกัน ข้าจะไม่สนใจเจ้าเลยได้อย่างไร”
ของว่างในจานก็ไม่ได้เยอะมาก หยางหนิงกินมันจน
หมด แล้วก็วางจานลงแล้วพูดต่อว่า “เจ้าวางใจได้ ขอ
แค่ข้ายังอยู่ ข้าก็จะดูแลเจ้าไปด้วย ถึงแม้จะทำให้เจ้า
บินสูงมากไม่ได้ แต่ว่าก็จะทำให้เจ้าดีขึ้นกว่านี้ ใคร
บอกให้เจ้าเป็นเพื่อนข้าเล่า”
เซียวกวงมองไปที่หยางหนิง แล้วถามว่า “ตอนนี้เจ้า
เป็นจิ่นอีโหว ข้าเป็นแค่ขันที ฐานะแตกต่างกันมาก
นะ เจ้ายังคิดว่าข้าเป็นเพื่อนเจ้าอีกหรือ?”
“เหตุใดจะเป็นไม่ได้เล่า?” หยางหนิงอึ้งไป แล้วย้อน
ถามว่า “เพื่อนก็คือเพื่อน คุยกันถูกคอก็พอ จะไป
สนใจฐานะทำไมกัน?” เขายิ้มแล้วพูดว่า “เซียวกวง
หรือว่าเจ้าคิดว่าไล่ตามข้าไม่ทัน? ไม่ต้องคิดมาก ข้า
เองก็ไม่ใช่ตัวจริงนี่นา?” เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ว่า
แต่ฮ่องเต้ทำอะไรชักช้าจริง ข้ารอมาตั้งแต่บ่าย เจ้าดู
ฟ้าใกล้มืดแล้ว เหตุใดถึงไม่เรียกให้เฝ้าสักที? เขาคง
ไม่ได้จะแกล้งข้าหรอกกระมัง?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 196 หลงไท่
เซียวกวงพูดว่า “เจ้าอยากเจอฝ่าบาทมากเลยหรือ?”
“ไม่ใช่ข้าที่อยากเจอเขา เขาต่างหากที่อยากเจอข้า”
หยางหนิงพูดว่า “ข้าวกลางวันข้ายังไม่ได้กินเลย ก็รีบ
เข้าวังมาแล้ว คิดว่าจะได้ของพระราชทานอะไรบ้าง
แต่ตอนนี้แม้แต่ข้าวเย็นคงไม่ได้กินแล้วกระมัง”
“เจ้าอยากให้ฝ่าบาทประทานของอะไรให้เจ้า?”
เซียวกวงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ไม่ประทานของสุ่มสี่
สุ่มห้าหรอกนะ นอกจากเจ้าจะทำคุณให้บ้านเมือง
หากแยกแยะไม่ได้ มันจะยุ่งเหยิง”
หยางหนิงโบกมือ “เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
เซียวกวงพูดว่า “ฝ่าบาทเพิ่งจะได้ครองราชย์ มีเรื่อง
มากมายหลายอย่างต้องจัดการ เหนื่อยมาก ในเมื่อ
เจ้าเข้าวังมาแล้ว ก็อย่าเพิ่งรีบร้อน รอสักหน่อย หรือ
ว่าแค่ฮ่องเต้เจ้าก็รอไม่ไหว?”
“ก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” หยางหนิงพูดว่า “แต่ว่า
ฮ่องเต้เพิ่งจะครองราชย์ มีหลายเรื่องคงต้องค่อยเป็น
ค่อยไป หากจัดการเรื่องต่างๆ ทั้งหมดรีบร้อนเกินไป
เกรงว่าจะได้ผลตรงกันข้าม”
เซียวกวงขมวดคิ้ว กำลังจะพูดอะไร ทันใดนั้นก็ได้ยิน
เสียงดังขึ้นมาว่า “ไทเฮาเสด็จ”
เซียวกวงกับหยางหนิงสีหน้าเปลี่ยนไป หยางหนิงคิด
ในใจว่าเหตุใดจู่ๆไทเฮาถึงได้โผล่มาได้? ไทเฮาเป็นแม่
ของฮ่องเต้ใหม่หรือ แล้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
เห็นเซียวกวงเดินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วจับมือห
ยางหนิงเอาไว้ แล้วพูดอย่างร้อนรนว่า “แย่แล้ว ไท...
ไทเฮามา”
หยางหนิงคิดในใจว่าไทเฮามาถึงแม้มันจะแปลก แต่ก็
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ว่าเซียวกวงกลับขมวดคิ้ว
ขนาดนี้ เขาถามว่า “ทำไม เจ้ากลัวไทเฮาหรือ? ไม่ใช่
เพราะกินของว่างหรอกกระมัง?”
เซียวกวงมองไปรอบๆ แล้วก็มองไปที่ชั้นวางหนังสือ
แล้วชี้ไปทางนั้นพูดว่า “เจ้าไปหลบที่หลังชั้นหนังสือ
นั่นก่อน ไทเฮามา ให้นางเจอมันไม่ดี”
หยางหนิงพูดว่า “เจ้ากลัวจนสติหลุดไปแล้วหรือ? ข้า
เป็นจิ่นอีโหวนะ ไทเฮามา ข้าเจอนางก็ได้แล้ว เหตุใด
ต้องหลบด้วย?”
“ให้เจ้าไปหลบก็ไปหลบเถอะน่า” เซียวกวงดันห
ยางหนิงไปที่หลังชั้นหนังสือ แล้วพูดว่า “ที่นี่เป็น...ที่ที่
ฮ่องเต้ทรงอ่านหนังสือ ปกติไม่ให้ขุนนางเข้ามา วันนี้
เจ้ามาอยู่นี่ หากไทเฮาเห็นเข้า จะต้องโกรธมากแน่ๆ”
“ไม่ให้ขุนนางเข้ามา?” หยางหนิงเริ่มมึน ในใจก็คิดว่า
ไม่ให้ขุนนางเข้ามา แล้วฟ่านกงกงพาเขามาที่นี่ทำไม?
แล้วให้เขามานั่งอยู่ที่นี่เป็นครึ่งวัน ไม่มีใครบอกให้เขา
กลับไป
แต่ว่าเห็นท่าทางของเซียวกวงจริงจังมาก ไม่รู้ว่าเขา
โกหกหรือเปล่า ก็ทำได้แค่ไปหลบอยู่หลังชั้นวาง
หนังสือ ในใจก็คิดว่าเข้าวังมาครั้งนี้ดวงไม่ดีเลย รอมา
ครึ่งวัน ตอนนี้ยังต้องมาหลบอีก ดีไม่ดีจะมีอะไร
แปลกๆ เกิดขึ้นอีก ดูท่ารีบออกจากวังหลวงเป็นดี
ที่สุด
ชั้นวางหนังสือสีแดง บดบังการมองเห็นทั้งหมด ไม่
เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องบ้าง
ได้ยินเสียงฝีเท้าเดิน จากนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดประตู
หยางหนิงได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในห้อง กำลังคิดว่า
ใช่ไทเฮาหรือไม่ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “ถวายพระ
พรเสด็จแม่”
หยางหนิงฟังแล้วก็ตกใจ
เขาได้ยินมันอย่างชัดเจน คนที่พูดคือเซียวกวง แต่ว่า
เซียวกวงเรียกไทเฮาว่า “เสด็จแม่” หยางหนิงตะลึง
มาก
“ฝ่าบาท ท่านกำลังทำอะไรอยู่?” หยางหนิงได้ยิน
เสียงที่ค่อนข้างดุ “เหตุใดถึงได้ทรงแต่งกายเช่นนี้?”
เขาเป็นฮ่องเต้?
เซียวกวงคือฮ่องเต้?
หยางหนิงอึ้งมาก ในสมองตอนนี้ล่องลอยเป็นอย่าง
มาก จากนั้นเขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที เขาอยากจะตบ
ปากตัวเองมาก
เดิมทีเขาคิดว่าเซียวกวงแค่กล้าพูดกล้าทำ เพราะจับ
ได้ว่าเขาเป็นจิ่นอีโหวตัวปลอม ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่า
ที่นี่เป็นที่ของเขา เขาถึงได้กล้าพูดกล้าทำทุกอย่าง
หากเขาไม่ใช่ฮ่องเต้ จะกล้ากินของว่างได้อย่างไร?
หยางหนิงโทษว่าตัวเองนั่นโง่เง่านัก ถึงได้ไม่ฉุกคิด แต่
ว่าเซียวกวงกลับเป็นถึงฮ่องเต้ใหม่ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์
ของต้าฉู่ มันทำให้หยางหนิงตกใจมากจริงๆ
ในหัวของเขาตอนนี้ประติดประต่อภาพมากมาย
จากนั้นก็ลำดับเรื่องราวใหม่ทั้งหมด
ก่อนหน้านี้มีคนบอกเขาว่า แคว้นตงฉีจัดงานราชพิธี
แต่งตั้งรัชทายาท รัชทายาทของต้าฉู่นำคณะทูต
เดินทางไปเข้าร่วมพระราชพิธีนี้ด้วย ตอนที่เมือง
หลวงเข้าสู่สถานการณ์ฉุกเฉิน ตอนนั้นหลายๆ คนยัง
คิดอยู่เลยว่ารัชทายาทยังอยู่ที่ตงฉี
ตอนนี้ดูท่า ตอนที่รัชทายาทอยู่ที่ตงฉี ก็น่าจะได้ข่าว
อดีตฮ่องเต้ล้มป่วย คิดว่าน่าจะฉวยโอกาสแอบ
กลับมาจากตงฉี เดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อกลับมายัง
เมืองเจี้ยนเยี่ย
แต่ว่าแผนการเดินทางของรัชทายาท แสดงว่าน่าจะ
ถูกติดตาม คนทั่วไปไม่ได้สนใจในอำนาจของแคว้นฉู่
แต่ว่ากลับมีคนไม่อยากให้รัชทายาทกลับเมืองหลวง
คิดว่าคนพวกนี้ก็น่าจะมีไม่น้อย พวกเขาก็น่าจะส่งคน
มาลอบสังหาร
วันที่เขาได้พบกับเซียวกวง เขาก็นา่ จะเจออันตรายมา
นับไม่ถ้วนแล้ว เป้าหมายของเขาจริงๆ ก็เพื่อเร่ง
กลับมาให้ทันอดีตฮ่องเต้สวรรคต เลยเร่งกลับเมือง
หลวง
ทางอดีตฮ่องเต้ก็น่าจะมีการเตรียมการไว้แล้ว ท่านคง
คาดการณ์ไว้แล้วว่ารัชทายาทอาจถูกลอบทำร้าย
ดังนั้นเลยส่งคนของค่ายดาบดำมา
ไม่อย่างนั้นหากเป็นแค่ขันทีเล็กๆ จะทำให้ค่ายดาบ
ดำออกหน้าได้อย่างไร?
หยางหนิงยังจำได้ดี ต้วนฉางไห่เจอร่องรอยของคน
ค่ายดาบดำที่วัดร้าง ปฏิกิริยาของพวกเขาดูตกใจมาก
จากที่พวกเขาดูแล้ว คนของค่ายดาบดำไม่มีทางออก
หน้าเพื่อจิ่นอีซื่อจื่อแน่ เมื่อออกหน้า แสดงว่าต้องมี
เรื่องใหญ่ เมื่อคิดถึงจุดนี้ เซียวกวงก็น่าจะเป็นรัช
ทายาท รัชทายาทมีภัย ค่ายดาบดำก็ต้องออกหน้ามา
ช่วยแน่
ในหัวของหยางหนิงพยายามเรียบเรียงเรื่องราว ในใจ
ก็คิดว่าตัวเองคงเดาไม่ผิด
จากนั้นก็ได้ยินเซียวกวงพูดขึ้นมาว่า “ลูกคิดอยากจะ
ลองเครื่องแบบในวังหลวงดูว่าใส่สบายหรือไม่ ดูว่ามี
ตรงไหนต้องแก้ไขบ้าง”
หยางหนิงคิดว่าเจ้านี่โกหกก็ไม่ลังเลเลย น้ำเสียงนิ่ง
เหมือนจริงมากๆ
“แก้ไขแบบชุด?” เสียงของไทเฮาดังขึ้น แล้วพูดว่า
“เรื่องพวกนี้ จะให้ฝ่าบาททรงต้องทำเองได้อย่างไร?
เครื่องแบบในวังหลวงใช่ว่าต้องเปลี่ยนทุกปี เป็นแบบ
นี้มาหลายปีแล้ว เหตุใดต้องแก้ไข?”
หยางหนิงได้ยินเสียงของไทเฮา ก็ไม่ได้แก่มาก น่าจะ
อายุราวสามสิบปี เซียวกวงอายุประมาณสิบหกสิบ
เจ็ดปี ในยุคนี้ผู้หญิงมีลูกเร็ว ตามหลักแล้ว ไทเฮาคน
นี้ก็น่าจะอายุไม่เกินสี่สิบปี
ฮ่องเต้น้อยหลงไท่พูดอย่างมีมารยาทมากว่า “ลูก
อาจจะคิดมากเกินไป เสด็จแม่ทรงลงโทษด้วย”
น้ำเสียงของไทเฮาดูดีขึ้น “ฝ่าบาทเพิ่งเสด็จขึ้น
ครองราชย์ อยากจะคิดอะไรใหม่ๆ มันก็เป็นเรื่องที่ดี
แต่ว่าไม่ใช่เรื่องอะไรก็ต้องเริ่มใหม่ ต้าฉู่ของพวกเรา มี
ฮ่องเต้มาแล้วถึงสามคน กว่าจะมาถึงมือท่าน พวกเขา
ทรงปรีชาสามารถ มีกฎเกณฑ์หลายอย่าง ที่พวกเขา
กำหนดเอาไว้ จะเปลี่ยนแปลงง่ายๆ ไม่ได้”
ฮ่องเต้น้อยหลงไท่พูดว่า “ลูกทราบแล้ว ทุกอย่างจะ
เป็นไปตามกฎ ลูกไม่กล้าเปลี่ยนแปลง”
หยางหนิงฟังจากน้ำเสียงขอหลงไท่ก็รู้ว่าเขาดูยำเกรง
มาก แต่ว่าที่แปลกก็คือ บทสนทนาของแม่ลูก มันดู
เหมือนคนแปลกหน้าจัง น้ำเสียงของหลงไท่ดูเหมือน
จะเคารพยำเกรงมากเกินปกติ แม่ลูกอยู่ด้วยกันสอง
คน ต่อให้อยู่วังหลวง ก็ไม่น่าจะเป็นแบบนี้
เคารพมากเกินไป ก็จะดูเหมือนคนนอก ไม่มี
ความรู้สึกถึงความสัมพันธ์ของแม่ลูกเลย
“ฝ่าบาทสามารถทรงรับรู้ได้ถึงความลำบากของอดีต
ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นได้ ข้าเองก็ดีใจ” ไทเฮาพูดว่า
“ฝ่าบาท จริงๆ ข้าอยากจะให้คนมาเชิญท่านไปพบ
แต่ว่าเห็นว่าช่วงนี้ท่านยุ่งมาก ดังนั้นข้าเลยมาที่นี่ด้วย
ตัวเอง ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษากับพระองค์”
หลงไท่พูดว่า “เสด็จแม่มีอะไรจะรับสั่ง?”
“ฝ่าบาท ท่านเองก็อายุเต็มสิบหกแล้ว ตามหลัก ท่าน
ต้องแต่งงานแล้ว” ไทเฮาถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่
ว่าก่อนหน้านี้หลายปีแคว้นของพวกเราเอาแต่ทำศึก
สงคราม อดีตฮ่องเต้มีงานมากมาย ไม่กินไม่นอน ไม่มี
เวลามาสนใจเรื่องการแต่งงานของท่าน ข้าเองก็ต้อง
ดูแลอดีตฮ่องเต้ เลยทำให้เรื่องล่าช้าไป” นางหยุดไป
แล้วพูดว่า “ตอนนี้ฝ่าบาทก็ได้ขึ้นครองราชย์แล้ว ก็
ควรรีบทรงแต่งงานได้แล้ว วังหลังไม่มีฮองเฮา มัน
ไม่ได้”
หลงไท่ยังคงนอบน้อมแล้วพูดว่า “เสด็จแม่ ลูกเพิ่งจะ
ขึ้นครองราชย์ มีเรื่องการเมืองที่ต้องเรียนรู้มากมาย
ลูกคิดว่า รอลูกว่าราชการด้วยตัวเองก่อน แล้วค่อย
แต่งงานก็ยังไม่สาย”
“ปลูกฝังคุณธรรมให้แก่ตนเอง ครอบครัวสมบูรณ์
ปกครองใต้หล้าสงบสุข” ไทเฮากล่าวว่า “โบราณ
กล่าวเอาไว้ว่า จะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ จะต้อง
ปลูกฝังคุณธรรมให้แก่ตนเองก่อน หากต้องการ
ปกครองแคว้น ก็ต้องมีครอบครัวที่สมบูรณ์ก่อน
ฝ่าบาทยังไม่ทรงแต่งงาน แล้วจะมีครอบครัวที่
สมบูรณ์ได้อย่างไร? ครอบครัวไม่สมบูรณ์ แล้วจะ
ปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร? ฝ่าบาท เป็นผู้ชายต้อง
เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว วิธีที่ดีที่สุดก็คือการแต่งงาน จะได้
เป็นผู้ใหญ่ไวๆ”
หยางหนิงหลบอยู่หลังชั้นวาหนังสือ ตอนนี้เขาได้ยิน
อย่างชัดเจน
ดูท่าวันนี้ที่ไทเฮามา ก็เพื่อการแต่งงานของฮ่องเต้น้อย
หลงไท่ ไทเฮาอยากให้ฮ่องเต้แต่งงานให้เร็วที่สุด แต่
ว่าจากคำพูดของหลงไท่ เหมือนจะยังไม่อยาก
แต่งงานตอนนี้
หลังจากที่เงียบไปพักหนึ่ง ก็ได้ยินหลงไท่พูดขึ้นมาว่า
“เสด็จแม่อยากจะให้ลูกแต่งงานกับซือหม่าหว่าน
ฉง?”
ไทเฮาน้ำเสียงเหมือนไม่พอใจมาก “หว่านฉงเป็น
ลูกพี่ลูกน้องกับฝ่าบาท ฉลาดหลักแหลม ตอนนี้
ผู้หญิงที่ฉลาดและเป็นกุลสตรีโตเต็มวัย ฝ่าบาทน่าจะ
รู้ หลังจากสิ้นศึกที่แม่น้ำฉินไหว อดีตฮ่องเต้ก็อยากให้
หว่านฉงมาเป็นชายารัชทายาทอยู่แล้ว แต่เสียเวลาไป
เพราะการศึก”
“แต่ว่าเสด็จพ่อไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ให้ลูกทราบเลย”
หลงไท่พูด
น้ำเสียงไทเฮาไม่พอใจมาก “ความหมายของฝ่าบาท
คือ ข้าโกหกท่านหรือ?”
“ลูกมิกล้า” หลงไท่รีบพูดว่า “ลูกรู้ว่า การแต่งตั้ง
ฮองเฮาเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่ลูกรักชอบใคร ก็สามารถ
รับคนนั้นมาเป็นฮองเฮาได้ หรือลูกจะไม่รักไม่ชอบ
ใคร จะปฏิเสธให้เข้าวังก็ไม่ได้เช่นกัน”
“ฝ่าบาทเห็นบ้านเมืองเป็นสำคัญ เป็นบุญของ
ราษฎรต้าฉู่” ไทเฮาพูดว่า “ว่าแต่ความหมายของฝ่า
บาท ท่านไม่ชอบหว่านฉง? ไม่ว่าหน้าตาหรือว่านิสัย
ของนางถือว่าดีมากทีเดียว หว่านฉงไม่มีที่ติเลย ในใต้
หล้านี้ ข้ายังคิดถึงคนอื่นไม่ออกเลยที่เหมาะสมจะมา
เป็นฮองเฮา”
“เสด็จแม่อย่าเพิ่งร้อนใจ” หลงไท่น้ำเสียงนิ่งมาก
“ลูกแค่รู้สึกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ควรจะเรียกขุน
นางมาหารือกันก่อนดีหรือไม่?”
“ข้าว่าไม่จำเป็น” น้ำเสียงของไทเฮาเย็นชามาก
“เรื่องนี้เป็นเรื่องภายใน ไม่จำเป็นต้องไปปรึกษากับ
เหล่าขุนนาง”
หยางหนิงฟังแล้ว ในใจก็คิดว่าแม่ลูกคู่นี้ทะเลาะกัน
เพราะเรื่องแต่งงาน ไทเฮายืนยันหนักแน่นว่าจะให้ซื
อหม่าหว่านฉงเป็นฮองเฮาให้ได้ แต่หลงไท่กลับ
เหมือนอยากจะคิดดูก่อน ซือหม่าหว่านฉงเป็น
ลูกพี่ลูกน้องกับฮ่องเต้น้อยหลงไท่ แต่ว่าไม่รู้ว่าเป็นลูก
สาวของตระกูลไหนกัน
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสือ้ แพร
เล่มที่ 7 บทที่ 197 บีบบังคับ
หลงไท่เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เสด็จแม่ เสด็จพ่อ
เพิ่งจะสวรรคตไป ตอนนี้ก็แต่งตั้งฮองเฮาเลย มันจะ
เร็วเกินไปหน่อยกระมัง?”
น้ำเสียงของเขายังคงนอบน้อมเหมือนเดิม แต่ว่าห
ยางหนิงกลับรู้สึกว่าคำพูดของฮ่องเต้น้อยองค์นี้นั้น
เหมือนผ่านการทบทวนมาแล้วอย่างดี
น้ำเสียงของเขาไม่ได้แข็ง แต่ว่าในคำพูดของเขามัน
แฝงไปด้วยความแข็งแกร่ง
ไทเฮาเหมือนจะถูกหลงไท่ถามถูกประเด็น หยางหนิง
คิดว่าก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าคนโบราณเห็น
ความสำคัญของความกตัญญูมาก แม่พ่อตายไป ต้อง
ไว้เฝ้าศพสามปี แต่ไม่รู้ว่าในยุคนี้เป็นแบบนีเ้ หมือนกัน
หรือไม่? หากเป็นแบบเดียวกัน ฮ่องเต้เองจะต้องไป
เฝ้าศพด้วยหรือไม่?
ไม่นานนัก ไทเฮาก็พูดว่า “อดีตฮ่องเต้สวรรคต
พระองค์สามารถควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองเอาไว้
ได้ถือว่าได้กตัญญูต่ออดีตฮ่องเต้แล้ว หากยังไม่ยอม
แต่งตั้งฮองเฮาอีก จะทำให้ราชสำนักไม่สงบนะ” แล้ว
หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ข้าดูแลวังหลัง ก็
ต้องคำนึงถึงทายาทผู้สืบสกุลของราชวงศ์ ครั้งนี้หวัง
ว่าพระองค์จะเข้าใจ หากไม่ใช่เพราะจงอี้โหวช่วย
ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ พระองค์จะได้นั่งบัลลังก์
อย่างราบรื่นหรือไม่ ยังไม่มีใครรู้เลย”
หยางหนิงอึ้งไป คิดในใจว่ามิน่าตอนที่ฉีจิ่งตายไปจงอี้
โหวไม่ได้ไปร่วมไว้อาลัยเลย ดูท่าจะเป็นช่วงเวลา
สำคัญ จงอี้โหวเอาสมาธิทั้งหมดของเขาไปกับฮ่องเต้
ใหม่นี่เอง
หลงไท่ไม่ได้พูดอะไร
“การมีทายาทสืบทอดสายเลือดราชวงศ์ เป็นหนึ่งใน
เรื่องการเมือง” ไทเฮาพูด “หากฝ่าบาทยังไม่อาจ
แต่งตั้งฮองเฮาในตอนนี้ได้ ก็ควรจะเรียกตัวหว่านฉง
เข้าวังมาก่อน”
หลงไท่พูดขึ้นมาว่า “สิ่งที่เสด็จแม่พูด ลูกจะจำไว้
แล้วจะเอาเรื่องนี้เก็บไปคิดทบทวนอีกครั้ง”
“เฮ้อ ไม่เคยเป็นพ่อแม่คน ไม่รู้ว่าพ่อแม่รู้สึกอย่างไร”
ไทเฮาถอนหายใจ หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ฝ่า
บาท ครั้งนี้เจ้าคิดจะปูนบำเหน็จให้จงอี้โหวอย่างไร?”
“เสด็จแม่คิดว่าควรจะปูนบำเหน็จอย่างไรดี?” หลง
ไท่ถาม
ไทเฮาพูดว่า “อดีตฮ่องเต้สั่งเสียเอาไว้ ให้จงอี้โหวช่วย
ฝ่าบาทบริหารบ้านเมือง ฝ่าบาทเองก็ได้เห็นได้ยิน
ด้วยพระองค์เอง อดีตพระราชาสวรรคต จงอี้โหวภักดี
ต่อพระองค์ ช่วยเหลือพระองค์ก้าวผ่านสถานการณ์ที่
อันตรายที่สุดไป ตามความเห็นของข้า จงอี้โหวกับขุน
นางภักดีคนหนึ่ง จะเป็นกำลังสำคัญของฝ่าบาทใน
อนาคตและเป็นเสาหลักของบ้านเมืองด้วย”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “เสด็จแม่ตรัสถูกต้องแล้ว จงอี้
โหวมีผลงาน ลูกจะจดจำเอาไว้แน่นอน”
“การแยกแยะการปูนบำเหน็จกับการลงอาญา เป็น
หลักของกษัตริย์ที่ดี” ไทเฮาลังเลแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท
คิดว่าควรจะเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้กับจงอี้โหวดี
หรือไม่?”
หลงไท่พูดว่า “จงอี้โหวเป็นหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหวที่
สูงที่สุด เป็นโหวเยวี่ยขั้นหนึ่ง มีทั้งศักดิ์และเกียรติอัน
สูงสุดแล้ว หากจะให้เลื่อนบรรดาศักดิ์อีก ก็จะเป็น
บรรดาศักดิ์กงแล้ว” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“ต้าฉู่ของพวกเราก่อตั้งมาจนถึงวันนี้ ยังไม่เคยมีอ๋อง
ต่างสกุล อีกทั้งยังไม่เคยมีกงต่างสกุลเช่นกัน”
“ฝ่าบาทไม่ได้อยากจะทำอะไรแปลกใหม่ไม่ใช่หรือ?”
ไทเฮาพูดอย่างเรียบเฉย “บางอย่างควรทำตามกฎ
แต่บางอย่างก็ไม่ได้ต้องทำตามกฎทุกอย่าง มัน
สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ฝ่าบาทก็ใช่ว่าจะ
เปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ ฝ่าบาทเพิ่งขึ้นครองราชย์ ต้อง
สร้างความเชื่อมั่นให้พระองค์เอง การทำอะไรใหม่ๆ
ใช่ว่าจะไม่ได้”
หยางหนิงฟังมาถึงตรงนี้ ถึงได้เข้าใจว่า ไทเฮาถึงกลับ
กล้าบอกให้ฝ่าบาทเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้จงอี้โหว
ความหมายของไทเฮา เหมือนจะไว้ใจจงอี้โหวมาก
หลงไท่เหมือนจะลังเล แล้วพูดว่า “เสด็จแม่ สี่
บรรดาศักดิ์โหว เป็นโหวขั้นหนึ่งของต้าฉู่ สี่
บรรดาศักดิ์โหวต่างเป็นตระกูลที่ทำคุณประโยชน์
ของต้าฉู่เรา หากเสด็จแม่ให้ลูกเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้
จงอี้โหว ลูกก็ควรจะทำตามที่เสด็จแม่รับสั่ง แต่ว่าลูก
กังวลอยู่เรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไร?”
“หากเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้จงอี้โหวเป็นกง สาม
บรรดาศักดิ์โหวที่เหลือจะคิดอย่างไร?” หลงไท่พูดว่า
“ลูกเกรงว่าพวกเขาจะไม่พอใจ ตอนนี้หากเลื่อน
บรรดาศักดิ์ให้จงอี้โหว แล้วตำแหน่งจงอี้โหวนี้จะ
ยกเลิกไปเลยหรือไม่? คนในแผ่นดินต่างรู้ว่าต้าฉู่ของ
พวกเรานั้นมีสี่บรรดาศักดิ์โหว หากไม่มีจงอี้โหวแล้ว
มันจะไม่เหมาะหรือไม่?”
ไทเฮารีบพูดว่า “ฝ่าบาททรงคิดมากไปแล้ว ฮ่องเต้ไท่
จู่แต่งตั้งสี่บรรดาศักดิ์โหว ตอนนั้นที่ออกราชโองการ
ไปทรงรับสั่งไปแล้วว่าห้ามยกเลิกบรรดาศักดิ์นี้
เด็ดขาด หากเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้จงอี้โหว ตำแหน่งนี้
ก็จะต้องสืบทอดต่อไป หากฝ่าบาททรงกังวลพระทัย
เรื่องสามบรรดาศักดิ์โหวที่เหลือจะไม่พอใจ ตาม
ความเห็นของข้า ฝ่าบาททรงไม่ต้องกังวลไป จงอี้โหว
อารักขาฝ่าบาทมีคุณความชอบ จิ่นอีโหวกับอูเซียง
โหวไม่ได้มีความชอบอะไร ส่วนจินเตาโหว ฝ่าบาท
ทรงอย่าลืม เขากับราชสำนักกับฝ่าบาทไม่ได้อยู่ใน
อุดมการณ์เดียวกัน”
หลงไท่รีบพูดว่า “เสด็จแม่ ทรงอภัยด้วยที่ลูกต้องทูล
ตามตรง เสด็จแม่บอกว่าจิ่นอีโหวกับอู่เซียงโหวไม่ได้มี
ความชอบอะไร เรื่องนี้อาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ จิ่น
อีโหวกับอู่เซียงโหวมีเส้นสายมากมายในด้าน
การทหาร แม่ทัพหลายต่อหลายคนติดตามโหวทั้งสอง
ออกรบทำศึกมากมาย เสด็จแม่ก็ทรงทราบ ท่านโหว
เยวี่ยทั้งสองภักดีกับอดีตฮ่องเต้เพียงใด ดังนั้นลูกน้อง
ของพวกเขาถึงได้ภักดีกับลูก หากไม่ใช่เพราะคนพวก
นี้ยังอยู่ ลูกก็อาจจะไม่ได้นั่งบัลลังก์นี้ได้อย่างราบรื่น”
“ฝ่าบาททรงตรัสถูกแล้ว แต่ว่าคนที่มีผลงานมากที่สุด
ในครั้งนี้ ก็ยังเป็นจงอี้โหว” ไทเฮาพยายามเถียง
“หากไม่ได้จงอี้โหว สถานการณ์อาจจะเลวร้าย
มากกว่านี้” เสียงของนางเย็นชา “หรือว่าฝ่าบาททรง
คิดว่าจงอี้โหวยังทำให้พระองค์ไม่มากพอ?”
หลงไท่พูดว่า “เสด็จแม่ทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว ลูก
ไม่ได้คิดแบบนั้น”
“จงอี้โหวกับเหล่าขุนนางที่ทำความชอบในครั้งนี้ หาก
ฝ่าบาทไม่ปูนบำเหน็จให้ ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจจะ
ผิดหวังกับพระองค์ได้” ไทเฮาถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท หากคิดจะปกครองบ้านเมือง จำเป็นต้องใช้
คน ก็ต้องได้ใจพวกเขามาก่อน ฝ่าบาททรงว่าจริง
หรือไม่?”
หยางหนิงหลบอยู่ด้านหลัง ได้ยินอย่างชัดเจน ในใจก็
คิดว่าไทเฮาทำเกินไปแล้ว
เขาเองก็รู้ วังหลังห้ามก้าวก่ายเรื่องการเมือง ถึงแม้
หลงไท่เพิ่งจะครองราชย์ ความสามารถด้านการเมือง
ยังไม่ได้ดีมาก ในฐานะไทเฮา ชี้แนะบ้างเป็นเรือ่ ง
ธรรมดา แต่ว่าก้าวก่ายเรื่องเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเรื่อง
ใหญ่ สุดท้ายหลงไท่ก็ต้องเป็นคนตัดสินใจเอง แต่ว่า
ไทเฮาเอาแต่พูดบีบบังคับ เหมือนกับว่าหากหลงไท่ไม่
ยอมเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้จงอี้โหว ไทเฮาก็จะไม่ยอม
เลิกราง่ายๆ
หลงไท่เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ในเมื่อเสด็จแม่
ทรงตรัสมาขนาดนี้แล้ว ลูกทำตามที่รับสั่งก็ได้ ลูกจะ
เรียกเสนาบดีกรมพิธีการมาเข้าเฝ้า แล้วคุยเรื่องนี้กัน
ส่วนขุนนางที่มีความชอบคนอื่น ทางจงอี้โหวน่าจะมี
บันทึกเอาไว้ ลูกให้จงอี้โหวถวายฎีกาขึ้นมา แล้วดู
รายชื่อพวกเขาอีกครั้ง แล้วทำตามที่เสด็จแม่รับสั่ง
ปูนบำเหน็จทั้งหมด”
น้ำเสียงของไทเฮารู้สึกพอใจมาก นางยิ้มแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ ข้าเองก็วางใจแล้ว ฝ่าบาท
ประทานบำเหน็จได้ ต่อไปขุนนางพวกนี้ ก็จะภักดีกับ
พระองค์”
หลงไท่พูดว่า “อีกสองสามวันลูกจะเรียกเหล่าขุนนาง
มาประชุม ถึงเวลานั้นค่อยประกาศราชโองการ
ออกไป” เขาหยุดไป แล้วถามว่า “เสด็จแม่ยังมีเรื่อง
อะไรอีกหรือไม่?”
ไทเฮาพูดว่า “ใกล้ค่ำแล้ว ถึงเวลาที่ฝ่าบาทควรจะ
เสวยอาหารแล้ว อย่าหักโหมมากเกินไป เรื่องของ
หว่านฉง ฝ่าบาทก็ทรงลองทบทวนดู ไว้ข้าจะมาคุย
กับฝ่าบาทใหม่” หลงไท่พูดว่า “ลูกน้อมส่งเสด็จแม่”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ด้านนอกกลับสู่ความเงียบแล้ว
หยางหนิงคิดว่าไทเฮาน่าจะไปแล้ว ก็ยื่นหัวออกมา
จากหลังชั้นวางหนังสือ เห็นหลงไท่กำลังนั่งอยู่บน
เก้าอี้ตัวหนึ่ง เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆ เขาก็เงย
หน้าขึ้นมา แล้วพูดว่า “ฉีหนิง เจ้าออกมาได้แล้ว
ไทเฮากลับไปแล้ว”
หยางหนิงโล่งใจ แล้วค่อยๆ เดินออกมา เมื่อมาถึง
ตรงหน้าของฮ่องเต้น้อยหลงไท่ เขาลังเลครู่หนึ่ง
สุดท้ายเขาก็คุกเข่าลงไปแล้วพูดว่า “ถวาย....ถวาย
บังคมฝ่าบาท” ในใจของเขาตื่นเต้นมาก แอบคิดว่าใน
เมื่อเซียวกวงคือฮ่องเต้น้อย ไม่รู้ว่าเขาจะลงโทษ
ตัวเองอย่างไรบ้าง อีกทั้งเขายังรู้ด้วยว่าเขาเป็นจิ่นอี
โหวตัวปลอม
หลงไท่หันหน้าไปมองหยางหนิง เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เดิมทีคิดว่าจะเล่นกับเจ้าอีกสักหน่อย คิดไม่ถึงเลย
ว่า ไทเฮาจะมาพอดี ความลับของข้าเจ้าเลยรู้หมด
เลย” เขายกมือขึ้น “เจ้าลุกขึ้นเถอะ ที่นี่มีแค่ข้ากับ
เจ้า ไม่ต้องมากพิธี”
หยางหนิงได้ยินหลงไท่พูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ก็ลุก
ขึ้น เหมือนเขาอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่รู้จะต้องเริ่ม
อย่างไรดี
หลงไท่ยิ้มแล้วถามว่า “อะไรกัน พอรู้ว่าข้าเป็นฮ่องเต้
ความกล้าของเจ้ามันหายไปไหนหมด? เจ้าเป็นคน
กล้าบ้าบิ่นไม่ใช่หรือไง? แม้แต่จิ่นอีโหวซื่อจื่อเจ้ายัง
กล้าสวมรอยเลย เหตุใดตอนนี้แม้แต่ความกล้าจะพูด
ก็ไม่มีแล้วหรือ?”
พอเขาพดมาแบบนี้ หยางหนิงไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้าน
อะไร ในใจเขาคิดว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ฮ่องเต้น้อยก็
น่าจะคิดไว้แล้วว่าจะลงโทษเขาอย่างไร เขาเลยปล่อย
วาง ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้า....ไม่ใช่สิ กระหม่อมไม่ทราบ
ว่าพระองค์คือฮ่องเต้ พูดจาล่วงเกินพระองค์ไป หาก
ฝ่าบาททรงต้องการลงอาญา กระหม่อมก็น้อมรับ”
“ข้าต้องลงโทษเจ้าอยู่แล้ว” หลงไท่ขมวดคิ้ว เขายื่น
มือจับเอวของเขาไว้ เดิมทีหยางหนิงคิดจะตอบโต้
แต่นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเป็นฮ่องเต้ ก็ลังเล แต่หลงไท่
กลับจับสายคาดเอวของเขาเอาไว้ แล้วกวาดเท้าของ
เขา ทำให้เขาล้มลง
หยางหนิงตอบโต้ เขาใช้เท้าถีบไปถีบมาสลับไปมากับ
หลงไท่ แล้วก็จับไปที่แขนของหลงไท่
ทั้งสองตอบโต้กันไปมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงหลงไท่
คำรามออกมา เขาใช้แรงแขนสะบัดหยางหนิง หยาง
หนิงเองก็ใช้แรงเหมือนกัน ทำให้ทั้งคู่สลับตำแหน่ง
การยืน หลงไท่ย่อตัว แล้วเอาหัวชนไปที่หน้าอกของห
ยางหนิง
ครั้งแรกที่หยางหนิงเจอกับเซียวกวง ตอนนั้นทั้งคู่เคย
ต่อสู้กันท่ามกลางสายฝน การต่อสู้ของหยางหนิงไม่ได้
แย่ เขาก็รู้ว่าฮ่องเต้น้อยนี่ฝีมือก็ไม่ได้แย่ ทั้งคู่ไม่มีใคร
ได้เปรียบใคร
ครั้งนี้พวกเขาทั้งคู่สู้กันมากกว่าสิบรอบแล้ว ไม่อาจ
ตัดสินแพ้ชนะได้ หยางหนิงคิดว่าท่าทางของหลงไท่
เหมือนมืออาชีพมาก อีกทั้งแรงของเขานั้นก็มีมาก
ด้วย ตอนนี้เขาไม่ได้กังวลว่าจะทำให้ฮ่องเต้น้อยนี่ล้ม
แต่กังวลว่าหากทำอะไรผิดพลาดขึ้นมาเดินพลังหก
เทพประสาน ดูดกำลังภายในของฮ่องเต้น้อยมาจะแย่
เอา
ตอนนี้หยางหนิงรู้แล้วว่าพลังหกเทพประสานของมู่
เซิ๋นจวินเป็นวิชาดูดกำลังภายใน เขารู้ว่าเมื่อไหร่ก็
ตามที่คู่ต่อสู้ของเขาสัมผัสจุดในร่างกายของเขาบาง
จุดแล้ว ร่างกายของเขาก็จะดูดพลังเข้ามา ตัวเขาไม่
อาจควบคุมมันได้
ในร่างกายของเขามีกำลังภายในสะสมอยู่มหาศาล
แต่ไม่รู้ว่าเขาต้องควบคุมมันอย่างไร
ฮ่องเต้น้อยมีแรงมาก หยางหนิงไม่รู้ว่าที่เขาใช้นั้นแค่
แรง หรือกำลังภายใน หากเป็นแรงก็ไม่เป็นไร แต่หาก
เป็นกำลังภายใน เขาก็ต้องระวังให้มาก จะดูดพลังเขา
จนกลายเป็นศพไม่ได้
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสือ้ แพร
เล่มที่ 7 บทที่ 198 ลั่วเย่
ร่างกายของหยางหนิงในตอนนี้สู้แรงหลงไท่ไม่ได้เลย
เขาไม่สามารถปรับไปใช้กำลังภายในได้ เจ้าของร่าง
คนเดิมเป็นขอทานเร่ร่อน ไม่ได้มีพื้นฐานของกังฟูมา
ก่อน ถึงแม้จะมีแรงอยู่บ้าง แต่ว่าก็ไม่เหมือนกับหลง
ไท่ที่ผ่านการฝึกฝนมากแล้วอย่างดี
วิญญาณของหยางหนิงถึงแม้จะสิงอยู่ในร่างนี้ แต่ว่า
มันก็ไม่ได้เอาแรงตามมาด้วย
ยังดีที่เขาคุ้นเคยกับการต่อสู้มาก่อน ดังนั้นสามารถ
ฝืนใช้เทคนิคในการยื้อกับหลงไท่ได้
ในความเป็นจริงทั้งคู่สู้กันไปยี่สิบรอบ หยางหนิงรู้ว่า
การต่อสู้ของหยางหนิงนั้นไม่ได้อันตราย จะล้มอีก
ฝ่ายก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าอีกฝ่ายเป็นฮ่องเต้ คำ
โบราณกล่าวไว้ได้ดี อยู่กับเจ้าเหมือนนั่งเฝ้าเสือ ใคร
จะรู้ว่าหากล้มฮ่องเต้ได้จริงๆ เขาจะไม่โกรธ?
เขาไม่มีทางล้มหลงไท่ พวกเขาเคยสู้กันมาแล้ว รู้ว่า
เขามีความอดทนแค่ไหน หากตอนนี้ปล่อยให้อีกฝ่าย
ล้มเขาได้ ก็จะดูเหมือนเป็นการเอาใจไป หยางหนิง
เองก็ไม่อยากให้ฮ่องเต้น้อยรู้สึกว่าตัวเองกำลังเอาใจ
หรือประจบเขา
สู้กันพักใหญ่ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทั้งสองยังคงไม่อาจตัดสิน
แพ้ชนะได้ หลงไท่เองเหงื่อก็ออกมามาก
ทันใดนั้นเองเสียงของฟ่านกงกงดังขึ้นมา “ฝ่าบาท
ฟ้ามืดแล้ว จะให้จุดไฟเลยหรือไม่?”
หลงไท่ถึงได้หยุด เขาปล่อยมือ แล้วชี้ไปที่หยางหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เลวเลย สามารถยื้อกับข้าตั้งนาน”
แล้วพูดกับคนข้างนอกว่า “เข้ามาได้”
ฟ่านกงกงเปิดประตูเข้าไป เขาเหมือนรู้ว่าหยางหนิงรู้
ฐานะของหลงไท่แล้ว เขาก็คำนับแล้วพาขันทีอีกสอง
คนเข้ามา จุดตะเกียงในห้อง เดิมห้องที่มืดก็สว่าง
ขึ้นมา ฟ่านกงกงถึงได้เดินมาพูดอย่างนอบน้อมว่า
“ฝ่าบาท ยามโย่วแล้ว ประตูวังจะปิดตอนยามซู่ จะ
ให้ส่งโหวเยว่ออกไปเลยไหม? ฝ่าบาทพระองค์ก็ควร
จะเสวยอาหารแล้ว”
หลงไท่รับผ้าจากขันทีน้อยมา เช็ดเหงื่อ ยิ้มแล้วพูดว่า
“ฟ่านเต๋อไห่ ข้ายังมีเรื่องคุยกับจิ่นอีโหวอีก เจ้าจัด
โต๊ะอาหารให้ข้าที่นี่ ข้าจะกินข้าวกับฉีหนิง”
ฟ่านกงกงพูดว่า “กระหม่อมทราบแล้ว” หลังจากนั้น
เขาก็พาขันทีออกไป
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “วรยุทธ์ของฝ่าบาทร้ายกาจ
มาก กระหม่อมไม่ใช่คู่ปรับของพระองค์” ในใจก็แอบ
คิดว่าวรยุทธ์ของเขาดีกว่าคนทั่วไป แต่ว่าหากเจอ
ยอดฝีมือ ก็ถือว่าธรรมดา
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ไม่จำเป็นต้องฝึกวรยุทธ์
ที่ข้าฝึกยุทธ์ เพราะต้องการให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น
ข้าได้ยินมาว่าคนที่มีวรยุทธ์สูงในราชสำนักมีมากมาย
จวนเสินโหวของซีเหมินอู๋เหิ๋ง แค่ฟังชื่อก็คือยอดฝีมือ
แล้ว แต่ว่าหากจะฝึกวรยุทธ์ให้ได้แบบนั้น ต้องใช้เวลา
เป็นสิบปี หากข้าต้องฝึกยุทธ์จริงๆ คงไม่ต้องเรียน
หนังสือ ไม่ต้องเรียนรู้การปกครองพอดี”
หยางหนิงคิดในใจว่ามันก็ไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป คน
มีวรยุทธ์สูงมีน้อยก็จริง แต่ว่าคนพวกนั้นก็ใช่วา่ ไม่
เรียนหนังสือ แต่ว่าเขาก็เชื่อว่า หากต้องการฝึกมัน
จริงๆ ก็อาจจะมีตกหล่นไปได้
ไม่ว่าเขาก็เข้าใจดีว่า หลงไท่ไม่ได้สนใจวรยุทธ์ของ
ตัวเองมันก็มีเหตุผลอยู่ เพราะเขาเป็นฮ่องเต้ ข้างกาย
ฮ่องเต้มียอดฝีมืออยู่ไม่น้อยอยู่แล้ว?
“ฝ่าบาท เมื่อครู่ไทเฮาทรงอยากให้ท่านแต่งงาน?”
หยางหนิงถาม
หลงไท่นั่งลงบนเก้าอี้ ยกมือแล้วชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม
บอกให้หยางหนิงนั่งลง หยางหนิงลังเล หลงไท่พูดว่า
“ตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่ ไม่ต้องมาแกล้งสำรวมหรอก
นิสัยของเจ้าข้ารู้ดี หากข้าให้เจ้ายืน คิดว่าเจ้าคงจะ
โกรธข้า ใช่หรือไม่?”
หยางหนิงยิ้มแล้วก็เดินไปนั่ง แล้วพูดว่า “เซียว...อ่อ
ไม่ใช่ ฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้าคิดแบบนั้น”
“ฉีหนิง ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้ามีผู้หญิงที่หมายปอง
บ้างหรือไม่?” หลงไท่มองไปที่หยางหนิงแล้วถาม
หยางหนิงอึ้งไป ภาพของกู้ชิงฮั่นผุดขึ้นมาในหัว
จากนั้นก็มีภาพของเสี่ยวเหยาโผล่ขึ้นมา
ตัวเขาเองยังตกใจ แอบคิดในใจว่าเหตุใดจู่ๆ หลงไท่
ถึงได้ถามว่าเขามีหญิงในใจหรือไม่ แล้วในหัวของเขา
ถึงได้มีภาพของสองคนนี้โผล่มา
ถึงวิญญาณของเขาจะข้ามภพมาสิงอยู่ในตัวของฉีหนิง
อายุแค่สิบหกสิบเจ็ด แต่ว่าอายุสมองนั่นโตกว่ากู้ชิง
ฮั่นมาก ดังนั้นความชอบของเขาก็ไม่ใช่เด็กอายุสิบหก
สิบเจ็ด
กู้ชิงฮั่นเป็นผู้ใหญ่ อ่อนโยน มีเหตุผล รูปร่างหน้าตาก็
ดี เป็นแบบที่หยางหนิงชอบ
แต่ว่าฐานะของเขาตอนนี้ กู้ชิงฮั่นเป็นอาสะใภ้ของเขา
ถึงแม้ในใจจะรู้สึกดีกับกู้ชิงฮั่นแค่ไหน แต่ว่าบางเรื่อง
จะทำโดยไม่คิดไม่ได้
ส่วนเสี่ยวเหยา แม้แต่หยางหนิงเองตกใจเหมือนกัน
เขาเจอเสี่ยวเหยาแค่สองครั้งเท่านั้น หน้าตาของเสี่ยว
เหยาก็เทียบไม่ได้กับจั่วเซียนเอ๋อ ชื่อตันเหมย แต่ว่า
เสี่ยวเหยาฉลาด ทำให้หยางหนิงจำได้ไม่ลืมเลย
“ดูท่าเจ้าจะมีคนในใจแล้ว” หลงไท่มองท่าทางของ
หยางหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “หากข้าเดาไม่ผิด คนในใจ
ของเจ้า น่าจะรู้จักหลังจากที่มาเมืองหลวงแล้ว”
หยางหนิงแค่ยิ้ม แล้วถามว่า “เหตุใดฝ่าบาทถึงได้ถาม
เรื่องนี้ขึ้นมาเล่า?”
“ฉีหนิง จริงๆ แล้วข้าอิจฉาเจ้านะ” หลงไท่พูดว่า
“ตอนนี้เจ้าเป็นจิ่นอีโหว หากมีผู้หญิงคนไหนที่ชอบ
ด้วยความสามารถของเจ้าก็สามารถแต่งหรือรับเข้า
จวนมาได้เลย แต่ว่าสำหรับข้าแล้ว มันเป็นแค่ความ
คาดหวังเท่านั้น”
“คาดหวัง?” หยางหนิงพูดแปลกๆ ว่า “ฝ่าบาทพื้นที่
ในแผ่นดินนี้ ล้วนแต่เป็นของท่าน หากท่านชอบ
ผู้หญิงนางใด อย่าบอกนะว่าจะมีคนห้ามท่านได้?”
หลงไท่ยิ้ม แล้วพูดว่า “วันนี้เจ้าเองก็ได้ยินแล้วนี่
ไทเฮาอยากให้ข้าแต่งงานกับซือหม่าหว่านฉง ไม่สนใจ
ว่าข้าจะชอบพอนางหรือไม่ เหมือนมันจะ
เปลี่ยนแปลงไม่ได้”
“ฝ่าบาท เมื่อครู่ข้าได้ยินว่า ซือหม่าฉงหว่านนั่น
เหมือนจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของท่าน?” พูดไปพูดมา
หยางหนิง ลืมแทนตัวเองว่า “กระหม่อม” ไปเลย
หลงไท่ก็ไม่รู้ว่าไม่ทันสังเกต หรือว่าไม่ได้สนใจ ใบหน้า
ของเขามีเพียงรอยยิ้มเรียบๆ เขาพูดว่า “นางถือเป็น
พี่สาวข้า แต่ว่ามีคนอยากให้นางมาเป็นฮองเฮา ข้า
เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน แต่ว่าตำแหน่งฮองเฮา
เหมือนจะมีคนกำหนดเอาไว้แล้ว”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “จริงๆ ไม่ใช่แค่ฝ่า
บาท เรื่องการแต่งงานของชาวบ้านทั่วไป ก็เป็นไป
ตามคำสั่งของพ่อแม่”
“คำสั่งของพ่อแม่?” หลงไท่สายตาดุดันขึ้น แล้วพูดว่า
“น่าเสียดายที่พ่อแม่ของข้าตายไปหมดแล้ว ตอนนี้ข้า
ตัวคนเดียว”
หยางหนิงอึ้งไป “แล้วไทเฮา...?”
“นางไม่ใช่เสด็จแม่แท้ๆ ของข้า” หลงไท่พูดว่า
“เสด็จแม่แท้ๆ ของข้าสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ข้าสิบเอ็ด
ขวบ ไทเฮาองค์นี้ ตอนนั้นเป็นแค่พระสนมเอกเท่านั้น
หลังจากเสด็จแม่สิ้นพระชนม์ไปได้สองปี เสด็จพ่อก็
แต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา”
หยางหนิงเข้าใจทันที ว่าก่อนหน้านี้เหตุใดบทสนทนา
ของแม่ลูก มันถึงไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลย เดิมเขา
คิดว่าเป็นเพราะเรื่องการแต่งงานทำให้มีปัญหากัน
ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า ที่แท้หลงไท่ไม่ใช่ลูกแท้ๆของไทเฮา
นี่เอง ฟังจากน้ำเสียงของหลงไท่ที่พูดถึงไทเฮา
แสดงออกชัดเจนมากว่าไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลย
“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง” หยางหนิงคิด
“ฉีหนิง วันนี้เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ไทเฮาจะให้ข้า
เลื่อนบรรดาศักดิ์ให้จงอี้โหว” หลงไท่เหลือบไปมองห
ยางหนิง ถึงแม้ฮ่องเต้องค์นี้อายุยังน้อย แต่ตอนนี้ดูไป
แล้ว เขานิ่งสุขุมมากกว่าอายุของเขามาก เขาพูดว่า
“เจ้าเป็นจิ่นอีโหว เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
หยางหนิงรีบพูดว่า “เรื่องการเมือง ข้าไม่กล้าพูด
มาก”
“ไร้สาระ” หลงไท่เริ่มโมโห “ในเมื่อข้าถามเจ้า เจ้าก็
อย่าอิดออด ควรพูดอะไรก็พูดมา ข้าไม่มีคนอื่นที่
ปรึกษาได้อีกแล้ว อาจารย์เซี่ยงถึงแม้จะจงรักภักดีกับ
ข้า แต่ว่าเขาไม่ค่อยคุยเรื่องการเมืองกับข้า ข้าไม่คุย
กับเจ้า แล้วข้าจะไปคุยกับใคร?”
“ฝ่าบาท ท่านพูดถึงอาจารย์เซี่ยงหรือว่า...?”
“ถูกต้อง คือคนที่ติดตามข้าไปที่ตงฉี คนที่คอย
คุ้มครองข้าตลอดเวลา เจ้าเคยเจอเขา” หลงไท่พูด
“ตอนอาจารย์เซี่ยงเด็กๆ ที่บ้านประสบเคราะห์ร้าย
เขาใช้เวลาเป็นสิบปีในการฝึกวรยุทธ์ เพื่อแก้แค้นให้
ครอบครัวของเขาโดยการสังหารศัตรูของเขา
ทั้งหมด”
“สังหารศัตรูทั้งหมด?”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคงไม่รู้ความสามารถของ
อาจารย์เซี่ยง พวกที่ทำร้ายครอบครัวของอาจารย์เซี่ย
งตอนนั้นเป็นพรรคหนึ่งในยุทธภพ ซึ่งถือว่าพอมีชื่อ
อยู่ในตอนนั้น คนทั่วไปแทบจะไม่มีใครกล้าไปมีเรื่อง
หลังจากอาจารย์เซี่ยงฝึกฝนจนสำเร็จแล้ว เขาเข้าไป
สังหารพวกเขาห้าสิบสี่คนทั้งหมดในคืนเดียว”
หยางหนิงรู้สึกขนลุก คิดในใจว่าเขาเหี้ยมโหดมาก
“จวนเสินโหวยื่นมือเข้าแทรกแซงเรื่องนี้ หลังจาก
อาจารย์เซี่ยงแก้แค้นเสร็จแล้ว เขาก็ไม่ได้หลบหนี”
หลงไท่พูดว่า “คนของจวนเสินโหวจับเขาได้โดยง่าย
อาจารย์เซี่ยงเองก็สารภาพทั้งหมด หลังจากจวนเสิน
โหวปิดคดีแล้ว คนแบบนี้ โดยส่วนใหญ่พวกเขาจะ
จัดการแบบลับๆ แต่ว่าก่อนที่เขาจะจัดการ ซีเหมินอู๋
เหิ๋งได้ส่งสำนวนให้เสด็จพ่อดู ท่านคิดว่าอาจารย์เซี่ยง
ไม่ควรมาตายแบบนี้ เสด็จพ่อก็เลยแอบพระราชทาน
อภัยโทษให้อาจารย์เซี่ยง”
หยางหนิงอึ้งไป หลงไท่พูดต่อว่า “หลังจากที่อาจารย์
เซี่ยงได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว ก็ได้ทำการตอน
ตัวเอง บอกว่าชีวิตอีกครึ่งที่เหลือหลังจากนี้เสด็จพ่อ
เป็นคนประทานให้ เขายินดีเข้าวังมารับใช้เสด็จพ่อ
เสด็จพ่อเห็นเขาเป็นคนดีมีคุณธรรม ก็เลยให้เขาเข้า
วังมา แล้วพระราชทานชื่อให้เขาใหม่ว่าเซี่ยงเทียน
เปย”
“เซี่ยงเทียนเปย?” หยางหนิงพูดอย่างประหลาดใจ
“ชื่อนี้แปลกจัง”
“เจอเรื่องเลวร้ายแต่เด็ก ครึ่งชีวิตเสียไปกับการแก้
แค้น หลังจากแก้แค้น ก็ต้องเข้าวังมาเป็นทาสรับใช้”
หลงไท่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่น่าสงสารหรือ?”
หยางหนิงพูดว่า “ดังนั้น อาจารย์...อาจารย์เซี่ยงก็อยู่
รับใช้อดีตฮ่องเต้มาตลอด หลังจากนั้นก็รับใช้ท่าน
ด้วย?”
“วรยุทธ์ของอาจารย์เซี่ยงถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของ
วังหลวงเลย” หลงไท่พูดว่า “ตอนที่ข้าเด็กๆ ก็เคยได้
ฝึกเพลงหมัดมวยกับอาจารย์เซี่ยงมาบ้าง ถึงแม้จะ
ไม่ได้ไหว้เขาเป็นอาจารย์ แต่ว่าเขาก็ถือว่าเป็น
อาจารย์ของข้า อาจารย์เซี่ยงอยากจะฝึกเพลงกระบี่
ให้ข้าด้วย แต่ว่าข้าไม่สนใจในเพลงกระบี่” เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “เจ้าคงไม่รู้ เพลงกระบี่ของอาจารย์เซี่ยง
ไม่ธรรมดาเลยนะ เสด็จพ่อเคยบอกข้าว่า เพลงกระบี่
ของอาจารย์เซี่ยง สามารถติดอยู่หนึ่งในสิบมือกระบี่
ในใต้หล้านี่เลยนะ ดังนั้นเสด็จพ่อก็เลยประทานกระบี่
ลั่วเย่สมบัติของราชวงศ์ให้เขา กระบี่ลั่วเย่นั่นได้ยินมา
ว่าเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดกระบี่เลย”
“หนึ่งในสิบสุดยอดกระบี่?” หยางหนิงตะลึงไป
การเรียกขานแบบนี้ เขาเหมือนจะคุ้นเคยดี ใน
วัดต้ากวงหมิง เขาเคยเห็นกระบี่อูเหยาของไป๋อวี่เฮ้อ
วัดต้ากวงหมิงเองก็เอากระบี่ผีหลูให้เขา กระบี่สอง
เล่มนี้เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดกระบี่ กระบี่อูเหยาอยู่ใน
อันดับสาม กระบี่พีหลูอยู่ในอันดับสี่ หลงไท่บอกว่า
กระบี่ลั่วเย่ของเซี่ยงเทียนเป่ยนั้นเป็นหนึ่งในสิบสุด
ยอดกระบี่ ไม่รู้ว่าอยู่ในอันดับไหน
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 199 พูดคุยกันอย่างลับๆ
หลงไท่พูดถึงกระบี่ขึ้นมา หยางหนิงก็รู้สึกได้ใจไม่น้อย
แอบคิดในใจว่าเพลงกระบี่ของไป๋อวี่เฮ้อร้ายกาจมาก
หากเทียบกับเซี่ยงเทียนเปย อาจจะไม่ต่างกันเท่าไหร่
เขาประลองกระบี่กับไป๋อวี่เฮ้อใช้แค่เพลงกระบี่เดียว
ก็สามารถล้มไป๋อวี่เฮ้อได้ แต่ไม่รู้ว่าเซี่ยงเทียนเปยจะ
เป็นคู่ปรับของเขาหรือไม่?
แต่ว่าเขาก็รู้ว่า การลงมือในครั้งนั้น เป็นเพราะเพลง
กระบี่ประหลาดนั่น แล้วก็เพราะไป๋อวี่เฮ้อประเมินเขา
ต่ำเกินไปด้วย หากอีกฝ่ายใช้กำลังทั้งหมดมาสู้ด้วย
หยางหนิงไม่รู้ว่าหากอาศัยความจำของเขาจะสู้ได้กี่
กระบวนท่า ไม่รู้ว่าตัวเองจะสู้ได้หรือไม่
เรื่องที่ทำให้หยางหนิงหงุดหงิดมากในตอนนี้คือภาพ
เคล็ดกระบี่มันหายไป
ก่อนที่จะประลองกระบี่กับไป๋อวีเ่ ฮ้อหยางหนิงถึงแม้
จะรู้สึกว่าภาพเคล็ดกระบี่พวกนั้นมันประหลาด แต่ว่า
หลังจากใช้มันไปแล้ว ถึงได้เห็นความสำคัญของมัน
จริงๆ
แต่ว่าภาพเคล็ดกระบี่มันหายไปแล้ว
เขาจำได้ว่า ตอนที่เขาสลบแล้วอยู่ที่วัดต้ากวงหมิง เขา
เก็บภาพเคล็ดกระบี่ไว้กับตัว คนในจวนเห็นเขาสลบ
ไป คนในจวนร้อนใจกันมาก น่าจะไม่มีกะจิตกะใจจะ
มาหาของในตัวเขา ต่อให้กู้ชิงฮั่นจะเก็บไว้ให้เขา ตอน
เขากลับไป นางก็น่าจะเอามาคืนให้
แต่ว่ากู้ชิงฮั่นก็ไม่ได้พูดถึง แสดงว่านางไม่เคยเห็นมัน
มาก่อน
หยางหนิงไม่แน่ใจว่ามันหายไปไหน ในใจก็คิดว่าน่าจะ
อยู่ในมือของหลวงจีนวัดต้ากวงหมิง
หลงไท่เห็นหยางหนิงเหมือนนกำลังคิดอะไรอยู่ ก็ถาม
ว่า “ฉีหนิง เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
หยางหนิงได้สติ ก็พูดว่า “ฝ่าบาท ท่านบอกว่าหนึ่งใน
สิบสุดยอดกระบี่ ก็น่าจะเป็นของล้ำค่าใช่หรือไม่?”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ไม่เชิงหรอก สำหรับข้า มันก็
แค่กระบี่เท่านั้นไม่ได้มีอะไร แต่ว่าสำหรับคนที่ใช้
กระบี่แล้ว มันคือของล้ำค่าที่ไม่มีทางเปลี่ยน” แล้วพูด
ว่า “อย่าเพิ่งพูดเรื่องอื่น ข้าถามเจ้า เจ้ายังไม่ตอบข้า
เลย หากข้าเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้จงอี้โหวเจ้าคิดว่า
อย่างไร?”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ท่านก็รู้ว่า
ข้า...ข้าเป็นจิ่นอีโหวตัวปลอม แล้วจะให้ข้าพูดะไร
ได้?”
หลงไท่หน้าตาดุดันขึ้นมันที แล้วจ้องไปที่หยางหนิง
ตะคอกใส่เขาว่า “ข้าขอถามเจ้า เจ้าอยากจะได้
เกียรติยศความร่ำรวย หรือว่าให้ข้าจับเจ้าไปประหาร
ทิ้งตอนนี้เลย”
“ฝ่าบาท ท่าน...” หยางหนิงใจสั่น เห็นหลงไท่สีหน้า
ดุดัน น้ำเสียงเด็ดขาด ก็รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น แอบคิด
ในใจว่าอยู่กับเจ้าเหมือนนั่งเฝ้าเสือ ฮ่องเต้น้อยนี่จะ
พลิกหน้าก็เหมือนพลิกหนังสือเลย แค่พูดไม่พอใจคำ
เดียว ก็ไม่พอใจแล้ว
หลงไท่พูดว่า “ข้าไม่รู้เรื่องจิ่นอีโหวตัวปลอม อยู่ต่อ
หน้าข้า เจ้าก็คือฉีหนิง จิ่นอีโหวผู้จงรักภักดี หากเจ้า
คือจิ่นอีโหว ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง แต่หากเจ้า
บอกว่าเจ้าเป็นจิ่นอีโหวตัวปลอม ข้าจะสั่งให้คนจับ
เจ้าไปประหาร ในข้อหาหลอกลวงเบื้องสูงทันที”
หยางหนิงตะลึงไป เขาเข้าใจความหมายของหลงไท่
ในใจก็นิ่งลง แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ข้า...ข้าคือฉีหนิง
เป็นจิ่นอีโหวของแคว้นฉู่”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย” หลงไท่
พูดว่า “ข้าจะให้เจ้าลืมอดีตของเจ้าไปซะ ตั้งแต่วันนี้
เป็นต้นไป ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เจ้าเองก็ห้ามคิด”
“แบบนี้ก็ดี” หยางหนิงถอนหายใจ เหมือนโล่งใจไป
“ฝ่าบาท ต่อไปจะมีเพียงจิ่นอีโหวฉีหนิงเท่านั้น ไม่มี...
เหอะเหอะ” ในใจก็คิดว่า ฮ่องเต้น้อยนี่ก็ใจเด็ด
เหมือนกัน มีโอรสสวรรค์ถือหางให้ เขาก็ไม่ต้องกังวล
อะไรอีก
ในเมื่อแม้แต่ฮ่องเต้ก็บอกว่าเขาคือจิ่นอีโหว ต่อไปเขา
ก็คือฉีหนิง
“ไทเฮาอยากให้ข้าเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้จงอี้โหว แล้ว
สืบทอดตำแหน่งจงอี้โหวให้ลูกชายของซือหม่าหลัน”
สายตาของหลงไท่แหลมคม “เกียรติยศของตระกูลซื
อหม่าก็จะไม่มีใครเทียบได้อีกแล้ว”
“ฝ่าบาท ซือหม่าหลันคือจงอี้โหว?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
แล้วถามว่า “ถ้าอย่างนั้น...ซือหม่าฉงหว่านก็คือ...?”
“ซือหม่าฉงหว่านเป็นหลานสาวของจงอี้โหว แล้วก็
เป็นหลานแท้ๆ ของไทเฮาด้วย” หลงไท่พูดว่า “ฉีหนิง
เจ้าเป็นถึงจิ่นอีโหว เหตุใดเรื่องพวกนี้ถึงไม่รู้? จน
ตอนนี้ยังไม่รู้เลยหรือว่าจงอี้โหวเป็นใคร?”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ “ฝ่าบาท ถ้าอย่างนั้น ไทเฮา...ไทเฮา
เป็นลูกสาวของจงอี้โหว จงอี้โหวเป็นกั๋วจั้งของต้าฉู่?”
หลงไท่พยักหน้า “ไม่อย่างนั้นไทเฮาจะมาขอให้เลื่อน
บรรดาศักดิ์ทำไมกัน?” เขาพูดว่า “หากทำตามที่
ไทเฮาว่ามา เมื่อซือหม่าหลันได้บรรดาศักดิ์กงไปแล้ว
ลูกชายของเขาได้บรรดาศักดิ์จงอี้โหวไป ซือหม่า
หว่านฉงเป็นฮองเฮา อีกทั้งนางก็ยังเป็นไทเฮาอีก ทั่ว
ทั้งราชสำนัก ไม่กลายเป็นแผ่นดินของตระกูลซือหม่า
หรอกหรือ?”
“ฝ่าบาท ไทเฮาขอให้ปูนบำเหน็จ ท่านคิดว่าเป็น
ประสงค์ของไทเฮา หรือว่าจงอี้โหว?” ฉีหนิงนิ่งไป
แล้วพูดขึ้นมา
หลงไท่พูดว่า “จงอี้โหวเป็นคนซื่อตรงหนักแน่น ต่อให้
เขามีใจคิดจริง ก็น่าจะไม่มีทางพูดกับไทเฮาตรงๆ แต่
ว่าช่วงนี้จงอี้โหวจะเข้าวังมาเป็นระยะ ก็มีไปพบไทเฮา
บ่อยๆ ไทเฮาเองก็น่าจะเดาใจเขาได้ ข้าไม่ปฏิเสธ ช่วง
ที่เสด็จพ่อป่วยหนัก สถานการณ์วิกฤต จงอี้โหวพาคน
มาควบคุมสถานการณ์ไว้ หากไม่ได้จงอี้โหว ข้าก็ไม่รู้
จะทำอย่างไร”
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า จงอี้โหวก็ทำความชอบจริง” ฉี
หนิงพูด
“ดังนั้นข้าเองก็รู้สึกซาบซึ้งแล้วก็ขอบคุณเขามาก
จริงๆ” หลงไท่พูดว่า “ข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า หลายวัน
มานี้ ข้าเห็นจงอี้โหวเป็นคนสำคัญ หลังจากขึ้น
ครองราชย์แล้ว ข้ายังคิดอยู่เลยว่า จะปูนบำเหน็จให้
พวกเขาอย่างงาม แต่ว่า...” เขาหยุดครู่หนึ่ง แล้วพูด
ว่า “แต่ข้ายังไม่ทันคิดว่าปูนบำเหน็จอย่างไรให้เขา
ไทเฮาก็มาพูดเรื่องนี้กับข้าหลายต่อหลายครั้ง เหมือน
กลัวว่าข้าจะลืมเรื่องนี้ไป”
“ไทเฮาเคยพูดถึงเรื่องเลื่อนบรรดาศักดิ์จงอี้โหวแล้ว
หรือ?”
หลงไท่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ถึงแม้จะไม่ได้พูดตรงๆ
แต่ความคิดของนางข้าเข้าใจดี ตอนนี้ดูท่านางจะทน
ไม่ไหวแล้วเลยมาพูดตรงๆ” เขามองไปที่หยางหนิง
แล้วพูดว่า “ฉีหนิง เจ้าว่าข้าควรจะทำอย่างไร?”
ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท จริงๆ แล้วความคิดของ
ไทเฮาเป็นอย่างไรไม่สำคัญเลย ที่สำคัญคือจงอี้โหวคิด
อย่างไรมากกว่า”
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูก ตอนที่เสด็จ
พ่อกำลังจะหมดลม ท่านสั่งให้จงอี้โหวช่วยเหลือข้า
เต็มที่ ตอนนั้นท่าทีของจงอี้โหวมันทำให้ข้ากับเสด็จ
พ่อพอใจมาก ข้าเองก็รู้ จงอี้โหวเองก็จงรักภักดีมา
ตลอด คุ้มครองอารักขาข้าอย่างดี” เขาหยุดไป
เหมือนคิดอะไร “ดังนั้นข้าถึงไม่เข้าใจว่า ที่ไทเฮาพูด
มานั้น มันเป็นความประสงค์ของนาง หรือว่าของจงอี้
โหวกันแน่”
“ฝ่าบาท ขออภัยที่ข้าขอพูดตามตรง เรื่องนี้หากจะ
จัดการจริงๆ มันก็ไม่ได้ยาก” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่า
บาทสามารถอาศัยโอกาสนี้มองเห็นความคิดความ
จริงใจของใครหลายคนได้”
หลงไท่พูดว่า “ฉีหนิง เจ้ารีบพูดมา ต้องจัดการ
อย่างไร?”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงฟ่านเต๋อไห่พูดขึ้นมาว่า “ฝ่า
บาท เครื่องเสวยพร้อมแล้ว จะทรงเสวยตอนนี้เลย
ไหมพะยะค่ะ?”
หลงไท่พูดว่า “เอาเข้ามา”
ฟ่านเต๋อไห่นำเหล่าขันทีให้ยกโต๊ะเข้ามา จากนั้นก็
จัดแจงนำอาหารมาวางบนโต๊ะ ฟ่านเต๋อไห่พูดว่า “ฝ่า
บาท ไทเฮาทรงกำชับกับกระหม่อมไว้ว่า ฝ่าบาท
สามารถเสวยได้ตามสบาย แต่ว่าอาหารอย่างต่ำต้องมี
ของคาวแปดอย่างของหวานแปดอย่าง ห้ามขาดสัก
อย่าง ไม่อย่างนั้นจะเสียเกียรติของราชวงศ์”
ฉีหนิงกวาดสายตาไป บนโต๊ะมีอาหารอยู่ทั้งหมดสิบ
แปดอย่าง
หลงไท่พูดว่า “เกียรติของราชวงศ์ มันไม่ได้อยู่ที่การ
กินอาหารมากเท่าไหร่สักหน่อย” เขาโบกมือแล้วพูด
ว่า “พวกเจ้าออกไปได้แล้ว จิ่นอีโหวจะอยู่กินข้าวเป็น
เพื่อนข้า พวกเจ้าไม่ต้องอยู่รับใช้ข้า”
ฟ่านเต๋อไห่รีบพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมอยู่รับใช้
พระองค์ที่นี่จะดีกว่า”
“ข้าบอกว่าไม่ต้องก็คือไม่ต้อง” หลงไท่พูดอย่าง
หงุดหงิด “ข้ามีเรื่องจะคุยกับจิ่นอีโหว ห้ามใคร
รบกวนเด็ดขาด”
ฟ่านเต๋อไห่รับคำ แล้วให้ขันทีเอาตะเกียงมา บนโต๊ะ
สว่างขึ้น เมื่อฟ่านเต๋อไห่กับขันทีออกไปจนหมดแล้ว
หลงไท่ก็นั่งลง แล้วมองไปที่ฉีหนิงให้เขานั่งลงด้วย ฉี
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท” เขาก็ไม่ได้
เกรงใจ นั่งลงข้างๆหลงไท่
หลงไท่เองก็ไม่ได้รีบร้อนจะกิน เขยิบเข้ามาใกล้ๆ แล้ว
ถามว่า “เจ้าว่า ควรทำอย่างไร?”
“ฝ่าบาท ขอถามสักคำ จงอี้โหวก็ถือได้ว่าเป็นขุนนาง
ที่ได้รับการฝากฝัง อีกทั้งยังสร้างความชอบด้วย หาก
เขาอยากจะเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นกงจริง ฝ่าบาทจะ
ขวางเขาได้หรือไม่?” ฉีหนิงเป็นคนฉลาด ในใจเขา
เข้าใจอะไรบางอย่างบ้างแล้ว เขามองไปที่หลงไท่แล้ว
ถามว่า “ตอนนี้จงอี้โหวยังช่วยพระองค์บริหารราชกิจ
อยู่หรือไม่?”
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูก เขาเป็นขุน
นางที่อดีตฮ่องเต้ทรงฝากฝัง ข้าบริหารราชกิจครั้งแรก
หลายเรื่องยังต้องพึ่งเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นในหลายเรื่อง
ข้าเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าฮ่องเต้เองก็ยอมรับว่าตัวเองยังขาด
ประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง แต่ว่าเขาก็
จริงใจที่จะพูดกับเขาตรงๆ “ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทก็ยัง
ต้องเรียนรู้การบริหารบ้านเมืองของจงอี้โหวอยู่ใช่
หรือไม่?”
“ตอนที่อดีตฮ่องเต้ยังอยู่ ทรงนับถือจงอี้โหวมาก
ตอนนี้เขาอายุมากแล้ว แต่ว่าเรื่องการทำงานถือว่ามี
ประสบการณ์มาก” หลงไท่พูดว่า “ข้าเองก็กำลัง
เรียนรู้กับเขา”
“ถ้าอย่างนั้น จงอี้โหวก็มีคุณสมบัติที่จะได้บรรดาศักดิ์
กง ฝ่าบาทก็ค้านไม่ได้” ฉีหนิงพูดว่า “ในเมื่อเป็นอย่าง
นั้นเหตุใดฝ่าบาทไม่ทรงพายเรือไปตามน้ำเลยล่ะ
ตอนที่เปิดประชุม ก็ทรงเลื่อนบรรดาศักดิ์กงให้จงอี้
โหวไป”
หลงไท่ขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะมีความคิด
อะไรดีๆ กว่านี้ ที่แท้ก็แค่นี้เอง”
“ฝ่าบาท ข้ารู้ว่าท่านกำลังกังวลอะไรอยู่” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “ท่านกำลังกังวลว่าจงอี้โหวกำลังมีใจเป็น
อื่น กังวลว่าอำนาจของเขาจะมีมากเกินไป เมื่อถึง
เวลาจะจัดการได้ยากใช่หรือไม่?”
หลงไท่หยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วคีบอาหารมา แล้วพูด
ว่า “แล้วอย่างไรเล่า?”
“ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้จงอี้โหว
จริงๆ ได้ประโยชน์ถึงสามอย่าง” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“บรรดาศักดิ์กง สำหรับคนอื่นมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
อะไร แต่ว่าสำหรับฝ่าบาทแล้ว มันเป็นโอกาสที่สวรรค์
ประทานให้เลยนะ”
หลงไท่วางตะเกียบลง แล้วถามว่า “ประโยชน์สาม
อย่างมันหมายความว่าอย่างไร?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 200 ประโยชน์สามประการ

ฉีหนิงพูดว่า “เมื่อครู่ฝ่าบาทบอกว่า ตั้งแต่ก่อตั้งต้าฉู่


มา ไม่มีบรรดาศักดิ์กงที่ต่างสกุล หากมีผลงาน ฝ่า
บาทสามารถประทานให้ได้ นั่นถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี
แต่หากว่าขุนนางมีใจคิดอยากจะได้ แสดงว่าเขาตั้งใจ
ละเมิดกฎมณเฑียรบาล จงอี้โหวไม่มีทางไม่รู้เหตุผล
ข้อนี้”
“เขาต้องรู้อยู่แล้ว” หลงไท่พูดว่า “จงอี้โหวเป็นขุน
นางก่อตั้งแคว้น ก่อนมาถึงข้า เขาเป็นขุนนางมาแล้ว
สามรัชกาล”
“ดังนั้นหากฝ่าบาทปูนบำเหน็จในท้องพระโรง หากจง
อี้โหวปฏิเสธการรับบรรดาศักดิ์ แสดงว่าไทเฮาคิด
เรื่องนี้คนเดียว จงอี้โหวไม่ได้มีความคิดนี้” ฉีหนิงพูด
ว่า “อย่างน้อยก็แสดงว่าจงอี้โหวไม่ได้คิดจะละเมิดกฎ
มณเฑียรบาล มันจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าจงอี้โหวยังคง
เป็นเสาหลักของต้าฉู่อยู่”
หลงไท่เหมือนกำลังคิด ก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “หาก
จงอี้โหวรับมันด้วยความยินดี ก็หมายความว่าเขา
ไม่ได้เห็นกฎมณเฑียรบาลอยู่ในสายตา”
“อย่างที่สอง ต่อให้จงอี้โหวรับบรรดาศักดิ์กงจริง ฝ่า
บาทก็ไม่ต้องกังวลไป” ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาท
หลังจากที่ข้ามาเมืองหลวง ได้ยินได้เห็นไม่มาก แต่ว่า
ก็รู้ว่าอำนาจของไหวหนานอ๋องนั้นไม่ธรรมดา ในราช
สำนักมีคนของเขาไปทั่ว”
หลงไท่สีหน้าจริงจัง พูดว่า “ไหวหนานอ๋องคิดว่า
ตัวเองเป็นทายาทผู้สืบทอดโดยตรง มีใจคิดกบฏ
ใครๆ ก็รู้ อดีตฮ่องเต้ปลอบประโลมเขามาก ถือได้ว่า
เป็นเกียรติสูงสุด แต่ว่าเขาไม่ได้นึกถึงพระกรุณาเลย
อีกทั้งยังได้คืบจะเอาศอก ตอนที่ข้าย้อนกลับมายัง
เมืองหลวง เจอลอบสังหารหลายครั้ง จนเกือบเอา
ชีวิตไม่รอด ใครอยู่เบื้องหลัง ข้ารู้ดี”
“ฝ่าบาท ขอถามสักคำ อำนาจในมือของฝ่าบาท
สามารถกำจัดคนของไหวหนานอ๋องได้หรือไม่?”
หยางหนิงรู้ว่าหลงไท่คุยกับเขาด้วยความจริงใจ ก็ไม่
ปิดอะไร มีอะไรก็พูดตรงๆ
หลงไท่พูดว่า “ฉีหนิง ข้าบอกเจ้าตรงๆ ตอนที่อดีต
ฮ่องเต้ยังอยู่ ท่านก็กังวลเรื่องไหวหนานอ๋องจะทำ
อะไรข้ามาตลอด ท่านสายตากว้างไกล ทุกอย่าง
เป็นไปตามที่ท่านคาดไว้ แต่ว่าไหวหนานอ๋องเป็นลูก
ชายของฮ่องเต้ไท่จู่ ฮ่องเต้ไท่จงกับอดีตฮ่องเต้ต่าง
รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้ไท่จู่มาก
จึงพยายามปลอบขวัญไหวหนานอ๋องอย่างเต็มที่ ต่อ
ให้ไหวหนานอ๋องจะทำอะไรไม่ดี ก็ไม่ลงโทษ” เขา
หยุดไปแล้วพูดว่า “ไหวหนานอ๋องเจ้าเล่ห์มาก มีคน
ในราชสำนักจะพูดแทนเขามากมาย แต่ว่าเขากลับไม่
เคยออกหน้าสักครั้ง เขาดูเหมือนท่านอ๋องที่ทำตัว
สบายๆ ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร อดีตฮ่องเต้เลยหา
เหตุผลกำจัดเขาไม่ได้”
“อดีตฮ่องเต้ยุ่งกับการบริหารราชกิจ อีกทั้งการศึกก็
รัดตัว คิดว่าไม่มีเวลามากพอที่จะรับมือกับเขา” ฉี
หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “อีกทั้งช่วงนี้ศึกกับเป่ยฮั่น
ก็รัดตัว อดีตฮ่องเต้ไม่อยากให้ไหวหนานอ๋องทำให้ต้า
ฉู่เกิดปัญหาภายใน”
หลงไท่รู้สึกตกใจแล้วพูดว่า “เจ้าเข้าใจเรื่องพวกนี้
ด้วยหรือ?” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าทางหลังจากเจ้า
มาเมืองหลวง ก็ไม่ได้เอาแต่กินเหล้าเที่ยวเล่น”
“ฝ่าบาท ท่านใส่ร้ายข้าอยู่นะ” ฉีหนิงรีบตอบว่า “ข้า
ไม่ได้กินเหล้าเที่ยวเล่นสักหน่อย ข้าอยู่ในจวนจิ่นอี
โหว หลายเรื่องไม่อยากรู้ก็ต้องรู้”
หลงไท่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ความหมาย
ของอดีตฮ่องเต้ หากไหวหนานอ๋องไม่ทำอะไร ราช
สำนักก็จะไม่บีบคั้นเขา อดีตฮ่องเต้ทรงไม่คิดว่าตัวเอง
จะป่วยหนักขึ้นมา ไม่อย่างนั้นสถานการณ์วันนี้คงเป็น
อีกอย่างหนึ่ง” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
“อดีตฮ่องเต้สวรรคต มีหลายคนคิดไม่ถึง” ฉีหนิงพูด
ว่า “อำนาจของไหวหนานอ๋องไม่ได้ถูกอดีตฮ่องเต้
กำจัดไป ดังนั้นเขายังคงมีรากฐานที่แน่นมาก อีกทั้ง
ตาเฒ่านั่นก็จ้องเอาบัลลังก์อยู่ พวกเราจะไม่ป้องกัน
ไม่ได้”
“ตาเฒ่า?” หลงไท่ตะลึงไป เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ถูกต้อง ตาเฒ่านั่นเป็นเสด็จอาของข้า แต่ว่าเขาเห็น
ข้าเป็นศัตรูของเขา”
“ไหวหนานอ๋องมีรากฐานแน่นหนา หากฝ่าบาทไม่
อาจใช้อำนาจตัวเองไปกำราบเขา พวกเราก็ต้องหา
คนไปทำแทน” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทไม่คิดว่า
จงอี้โหวเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจหรือ?”
หลงไท่พยักหน้า แล้วพูดว่า “จุดนี้ ข้าเข้าใจดี ข้าไม่
อาจเห็นไหวหนานอ๋องมีอำนาจฝ่ายเดียว อดีตฮ่องเต้
บอกกับข้าว่า ต้องใช้จงอี้โหวให้มาก เพื่อคุมไหว
หนานอ๋องเอาไว้ แค่ว่าข้ากังวล หากปล่อยจงอี้โหวไป
หากเขาคิดการใหญ่ ข้าก็จะเหมือนเลี้ยงเสือเป็นภัยไว้
ข้างตัว”
ฉีหนิงเป็นคนสองภพ มีประสบการณ์ชีวิตมากมาย
อีกทั้งยังอ่านหนังสือดูละครโบราณมามาก รู้ว่าเรื่อง
การถ่วงดุลอำนาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าฮ่องเต้น้อยอายุ
ยังไม่มากเท่าไหร่ แต่ว่าสุขุมมาก ไม่เพียงคิดถึงเรื่อง
การถ่วงดุลอำนาจในราชสำนัก เขานึกถึงเรื่องการ
เลี้ยงเสือแล้วเป็นภัยแล้ว ความคิดลึกซึ้งมาก
“ดังนั้นข้าถึงบอกว่าพวกเราได้ประโยชน์ถึงสามอย่าง
อย่างที่สองนี่ไม่เพียงทำให้อำนาจของจงอี้โหวมีเพิ่ม
มากขึ้น สามารถคุมอำนาจของไหวหนานอ๋องได้ ที่
สำคัญที่สุดคือ เมื่อจงอี้โหวได้รับบรรดาศักดิ์กง ก็จะ
ทำให้ใครหลายคนไม่พอใจได้” หยางหนิงยิ้ม “ขุน
นางที่เป็นปรปักษ์กับไหวหนานอ๋อง ในเวลาแบบนี้ก็
จะยอมทำงานให้จงอี้โหวรับใช้ฝ่าบาทอย่างเต็มที่
หากจงอี้โหวทำอะไรไม่ระวังตัว คนพวกนั้นก็จะ
เคารพจงอี้โหวมากขึ้น ฝ่าบาท ท่านทรงคิดว่าเรื่อง
พวกนี้มันเป็นเรื่องไม่ดีหรือ?”
อาหารบนโต๊ะทำมาอย่างดี ทั้งกลิ่นทั้งรส สำหรับฉี
หนิงแล้ว มันยั่วยวนมาก แต่ว่าฮ่องเต้น้อยไม่ได้สนใจ
อาหารเลย แม้แต่ตะเกียบก็วางเอาไว้ ฉีหนิงก็ทำได้
แค่มองเท่านั้น
หลงไท่ตาเป็นประกายขึ้นมา เหมือนเขาจะตื่นเต้น
มาก เขาจับแขนของหยางหนิงแล้วพูดว่า “เจ้า
หมายความว่า...หมายความว่าให้ขุนนางพวกนั้นมา
ติดตามจงอี้โหว แต่ก็ระแวงเขาอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ยิ่งจงอี้โหวมีอำนาจมากเท่าไหร่
ก็จะกำเริบมากขึ้น เหล่าขุนนางก็จะยิ่งระแวงเขามาก
ขึ้น ไม่มีทางมีใจไปในทางเดียวกับเขาแน่นอน แล้ววัน
หนึ่งฝ่าบาทก็จะใช้คนพวกนี้ได้”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉีหนิง เจ้ามันเจ้าเล่ห์นัก” เขา
ถามอีกว่า “เจ้าบอกประโยชน์สามอย่าง แล้วอีกอย่าง
เล่า?”
ฉีหนิงพูดว่า “นี่ก็คือโอกาสของฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาท
ข้าขอพูดตามตรง ท่านเองก็พูดอยู่ อดีตฮ่องเต้ป่วย
หนัก สวรรคตไปกะทันหัน ไม่ได้มีเวลาให้ท่านได้
ฝึกฝนเรียนรู้มากพอ ตอนนี้ท่านเองก็ขึ้นครองราชย์
แล้ว ดังนั้นคนสนิทรู้ใจในราชสำนักเองก็น่าจะมีไม่
มาก”
หลงไท่ได้ยินดังนั้น ก็พูดอย่างจนใจว่า “จริงๆ แล้ว
คนทั่งแผ่นดินคิดว่าข้าเป็นฮ่องเต้แล้ว ไม่มีอะไรที่ทำ
ไม่ได้ แต่มีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้ ว่าการนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัว
นี้ มันเป็นอย่างไร ไม่เพียงไม่สามารถทำอะไรตามใจ
ได้ แม้แต่จะกินจะนอนจะนั่งก็ยังต้องมีกฎเกณฑ์”
เขาชี้ไปที่อาหาร “ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าเป็นรัชทายาท
กินอาหารมื้อละสิบอย่าง ก็ไม่ได้มีอะไร แต่ว่าตอนที่
กลับมาจากตงฉี ข้าเห็นความลำบากของราษฎร
ชาวบ้านอย่าว่าแต่อาหารดีๆ เลย แม้แต่ข้าวธรรมดา
ยังหากินลำบาก” เขาพูดว่า “ก่อนที่ข้าจะไปตงฉี
ไม่ได้คิดว่าชาวบ้านจะลำบากกันมากขนาดนี้”
ฉีหนิงได้ยินมาหลงไท่พูดแบบนี้ เขาเข้าใจความ
ลำบากของราษฎรจริงๆ เขาแอบนับถืออยู่ในใจ แล้ว
ถามว่า “ฝ่าบาท ทรงเห็นความลำบากของชาวบ้าน
หรือ?”
หลงไท่พูดว่า “เพื่อหลบหนีอำพราง คณะทูตเลยแยก
ออกเป็นสามทาง ทั้งหมดแอบย้อนกลับไปที่เมือง
เจี้ยนเยื่ย เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ข้ากับอาจารย์
เซี่ยงกับองครักษ์อีกสี่คนกลับมาเมืองหลวง เจอการ
ลอบสังหารหลายครั้ง องครักษ์สี่คนเพื่อปกป้องข้า
แล้วก็ล้วนต้องตายในหน้าที่ ระหว่างทาง ข้าเห็นคน
เร่ร่อนตามริมแม่น้ำ...” เขาส่ายหัวยิ้มแล้วพูดว่า
“พวกเขาไม่มีเสื้อผ้าไม่มีอาหาร ตอนนั้นข้าก็คิดว่า
เหล่าขุนนางเอาแต่บอกว่าต้าฉู่สงบสุข อาหารอุดม
สมบูรณ์ แต่ว่าเหตุใดถึงได้มีคนที่แม้แต่โจ๊กชามเดียวก็
ไม่ได้กินเล่า? มีหลายคนก็ตายอยู่ข้างถนน เหมือน
หมาข้างถนน...”
สีหน้าของหยางหนิงจริงจังขึ้นมา ถึงแม้เขาจะไม่ค่อย
รู้เรื่องสงคราม แต่ว่าตอนอยู่ที่เมืองหุ่ยเจ๋อ ก็ได้รับรู้
ถึงความลำบากมาแล้วเต็มที่
“ตอนนั้นข้าก็ได้สาบานกับตัวเองไว้ว่า หากข้าได้
ครองราชย์เมื่อไหร่ เรื่องที่ข้าจะทำ ก็คือให้ราษฎร
ของข้าไม่ต้องทนทุกข์กับภัยของสงคราม อีกทั้งมี
อาหารกินอิ่มมีเสื้อผ้าใส่” น้ำเสียงของหลงไท่หนัก
แน่นมาก “ก่อนหน้านั้นข้าเคยคิดว่าเรื่องแค่นี้คงทำได้
ไม่ยาก มีกินมีใช้มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ตอนนี้ถึง
ได้เข้าใจแล้วว่า ความหวังมันง่าย แต่จะทำให้สำเร็จ
มันยาก ทั้งชีวิตของข้าอาจจะทำไม่สำเร็จ แต่ข้าก็จะ
พยายาม อะไรที่ข้าทำไม่ได้ ข้าจะให้ลูกข้าไปทำ หาก
เขาทำไม่ได้ ข้าจะให้หลานข้าไปทำ จนกว่าราษฎร
ของข้าจะมีกินอย่างอุดมสมบูรณ์”
หยางหนิงอึ้งไป
คำพูดแบบนี้ มีฮ่องเต้ไม่น้อยที่พูด แต่ว่านี่เป็นครั้ง
แรกที่ได้ยินฮ่องเต้พูดออกมาจากปากของเขา เขา
ไม่ได้ทำเพื่ออวดอ้างอำนาจ น้ำเสียงของเขาจริงใจ
มันเป็น
ความตั้งใจของเขาจริงๆ
ฉีหนิงไม่รู้ว่าเขาจะต้องเจออะไรอีกหลังจากนี้ อีกทั้ง
ไม่รู้เลยว่าหลงไท่จะเป็นฮ่องเต้แบบไหน แต่ว่าเขา
เป็นห่วงความลำบากของราษฎร ตั้งเป้าหมายแบบนี้
ออกมาด้วยความตั้งใจได้ มันทำให้หยางหนิง
ประทับใจมาก
เขารู้ อย่างน้อย ในตอนนี้ หลงไท่ก็เป็นฮ่องเต้ที่ดีคน
หนึ่ง
“ฝ่าบาท ข้าเชื่อว่าท่านทำได้” ฉีหนิงจ้องไปที่ตาของ
ฮ่องเต้น้อย “ดังนั้นฝ่าบาทต้องทรงฝึกกองทัพของ
ตัวเอง แล้วค่อยๆ ให้ตัวเองยิ่งใหญ่ขึ้นมา ถึงจะทำ
ความฝันของพระองค์ให้สำเร็จได้” เขาพูดว่า “ดังนั้น
ฝ่าบาทจะต้องมีคนที่ไว้ใจได้ คนพวกนี้จะต้องภักดีต่อ
พระองค์ด้วย ช่วยพระองค์อย่างจริงใจ”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าตอนนี้ข้าขาดคนรู้ใจ”
เขา
มองไปที่หยางหนิง แล้วพูดว่า “นอกจากอาจารย์
เซี่ยงแล้ว ตอนนี้ข้าก็มีแค่เจ้าที่พูดความในใจได้ ฉี
หนิง เจ้ารู้หรือไม่ บางครั้งข้ารู้สึกว่า...เหงามากจริงๆ
วังหลวงใหญ่โตหรูหรา แต่ว่าในวังหลวงแห่งนี้ เหมือน
มีข้าอยู่แค่คนเดียว พวกขันทีนางกำนัลพวกนั้นข้ารู้จัก
มาตั้งแต่เด็ก แต่ว่า...บางครั้งพวกเขาอยู่ข้างๆ ข้า ข้า
รู้สึกว่าพวกเขาเหมือนไม้ท่อนหนึ่ง ข้าพูดอะไรไปก็
เหมือนเขาจะกลัวทำผิดตลอดเวลา ต่อมาข้าเลยไม่คุย
ด้วยอีก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทอยากหาคนคุยด้วยง่าย
นิดเดียว ตอนนี้ข้าเป็นขุนนางของท่านแล้ว หากท่าน
เบื่อ ก็เรียกข้ามาคุยด้วยได้ แต่ว่าท่านต้องรับปากข้า
ก่อน ข้าเป็นคนที่พอคุยสนุกแล้วก็จะไม่ค่อยมี
มารยาทเท่าไหร่ ดีไม่ดีเกิดข้าพูดอะไรผิดขึ้นมา ท่าน
ไม่พอใจจะมาตัดหัวข้า แล้วข้าจะทำอย่างไรเล่า”
“เจ้ากลัวข้าตัดหัวเจ้าด้วยหรือ?” หลงไท่ตะลึงไป
แล้วก็หัวเราะออกมา “ไม่เป็นไร ข้ารับปากเจ้า ขอแค่
เจ้ามีใจเดียวกับข้า ต่อให้เจ้าพูดหรือทำผิดอะไร ข้า
จะไม่เอาผิดเจ้า”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ตอนนี้ข้าขอพูดอะไรที่
ไม่บังควรหน่อยได้หรือไม่ ท่านอย่าโทษข้าเลยนะ”
หลงไท่เหมือนรู้สึกสนใจมาก เขาพูดว่า “เจ้าว่ามา”
“อยู่กับเจ้าเหมือนนั่งอยู่กับเสือ” ฉีหนิงถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “ตอนนี้ฝ่าบาทอารมณ์ดี อะไรก็รับปากได้
หมด เกิดวันหนึ่งท่านอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ข้าดันทำผิด
ถึงเวลานั้นฝ่าบาทกลับคำตัดหัวข้าแล้วข้าจะทำ
อย่างไร?”
“เหลวไหล” หลงไท่รู้สึกโกรธ “ข้าพูดอะไรคำไหนคำ
นั้น จะกลับคำได้อย่างไร?” จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น หยาง
หนิงเดิมคิดว่าเขาไม่พอใจ แต่เห็นเขาเดินไปที่โต๊ะ
หนังสือ แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียน แล้วประทับตรา
จากนั้นก็หยิบกระดาษแล้วเดินกลับมา ยื่นให้กับห
ยางหนิง “เจ้าเก็บมันเอาไว้ให้ดี ข้าพูดคำไหนคำนั้น”
หยางหนิงรับมันมา แล้วมองไป ด้านบนเป็นคำมั่น
สัญญาในการละเว้นโทษ ขอแค่ยอมรับใช้ฮ่องเต้
ทำงานเพื่อราชสำนัก ต่อให้ทำผิดร้ายแรงแค่ไหน ก็
จะได้ละเว้นโทษ
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน

You might also like