You are on page 1of 1443

บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร

เล่มที่ 7 บทที่ 201 หนี้ยุ่งเหยิง


ฉีหนิงรู้สึกตกใจอยู่บ้างนิดหน่อย แต่ว่าในใจก็แอบดี
ใจอยู่ไม่น้อย เขาเห็นตราข้อความที่ประทับลงที่
กระดาษเป็นคำว่า “รับโองการฟ้า ราชาเจริญนิ
รันดร์” แปดตัวอักษร มันคือตราลัญจกรของฮ่องเต้
นั่นเอง
กระดาษที่มีตราลัญจกรประทับมันก็เหมือนยันต์ละ
เว้นโทษ มันมีค่ามหาศาล เขาลุกขึ้น แล้วพูดว่า “เป็น
พระมหากรุณาธิคุณ กระ...”
หลงไท่พูดแทรกขึ้นมาว่า “ไม่จำเป็นๆ”
หยางหนิงยิ้มแล้วเก็บแผ่นกระดาษนั้นไปอย่างรวดเร็ว
หลงไท่พูดขึ้นมาว่า “เจ้าบอกว่ามันเป็นโอกาสที่ดีของ
ข้า มันหมายความว่าอะไร?”
“ฝ่าบาท หากจงอี้โหวรับบรรดาศักดิ์กง ไหวหนาน
อ๋องจะต้องโกรธแค้นแน่นอน ส่วนจงอี้โหวก็จะต้อง
หาเรื่องไหวหนานอ๋องแน่” เขายิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อ
พวกเขาสู้จนไม่มีใครยอมใคร ฝ่าบาทสามารถใช้
โอกาสนี้ดันคนของท่านขึ้นมาได้”
“อ๋อ?”
“ฝ่าบาท ก็เหมือนครั้งนี้ ข้าได้ยินไทเฮาพูดว่า ปูน
บำเหน็จคราวนี้ไม่ได้มีแค่จงอี้โหว แต่ยังมีขุนนางคน
อื่นอีก?” ฉีหนิงถาม “ฝ่าบาททรงรู้หรือไม่ว่ามีขุนนาง
คนใดบ้าง?”
หลงไท่ยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ข้ารู้ ก็ไม่พ้นคนใน
หน่วยงานของซือหม่าหลันพวกนั้น ในบรรดาคนพวก
นั้น มีคนของซือหม่าหลันโดยตรงไม่น้อย”
“หากว่าซือหม่าหลันสู้กับตาเฒ่าไหวหนานอ๋อง ใน
เรื่องการปูนบำเหน็จลิ่วล้อของเขา มันก็อาจจะเป็นไป
ได้” ฉีหนิงพูด
“ลิ้วล้อ?” หลงไท่ถามอย่างแปลกใจ “ลิ้วล่อ
หมายความว่าอย่างไร?”
ฉีหนิงอึ้งไป รีบอธิบายว่า “ก็คือผู้ติดตาม”
“ลิ้วล้อ? ผู้ติดตาม?” หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “เรียก
แบบนี้น่าสนใจดี”
“ฝ่าบาท หากซือหม่าหลันรับปูนบำเหน็จจริง อีกทั้ง
ยังจะให้คนของเขาได้รับปูนบำเหน็จรางวัลด้วย ฝ่า
บาทก็ไม่ต้องทรงปฏิเสธ แต่อย่ารับปากทั้งหมด” ฉี
หนิงกระพริบตา แล้วถามว่า “ฝ่าบาทเข้าใจ
ความหมายของข้าหรือไม่?”
หลงไท่เป็นคนฉลาดมาก เขาเข้าใจในทันที ยิ้มแล้ว
พูดว่า “เจ้าหมายความว่า ข้า...ข้าสามารถ
แลกเปลี่ยนกับซือหม่าหลันได้?”
“ซือหม่าหลันตอนนี้ช่วยฝ่าบาทบริหารราชการ
แผ่นดิน หากข้าเดาไม่ผิด ฝ่าบาทอยากจะดันใคร
ขึ้นมา ซือหม่าหลันจะต้องหาเหตุผลทุกอย่างคัดค้าน
ท่านอย่างแน่นอน” ฉีหนิงพูด
หลงไท่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ในวังหลวงแห่งนี้มีคน
สนิทของข้าอยู่หลายคน พวกเขาดูแลข้ามาตั้งแต่เล็ก
หลังจากข้าครองราชย์แล้ว ก็คิดว่าจะดันพวกเขามา
ทำงานในฐานะหัวหน้าขันที แต่ว่า...” เขาพูดว่า
“ไทเฮากลับใช้เหตุต่างๆ นาๆ โยกย้ายคนของข้าไป
จนหมด บอกว่าข้าไม่อาจให้กับความสำคัญพวกเขา
มากนัก มันจะไม่เป็นผลดี”
ฉีหนิงพยักหน้า “ดังนั้นครั้งนี้หากซือหม่าหลันจะให้
ฝ่าบาทปูนบำเหน็จให้คนของเขา ฝ่าบาทสามารถ
เสนอคนของพระองค์ไปด้วยได้ ซือหม่าหลันไม่มีทาง
คัดค้านแน่นอน”
ฉีหนิงมองออกอยู่จุดหนึ่ง บางครั้งสงครามการเมือง
มันก็หมือนศิลปะแขนงหนึ่ง ในระหว่างที่ทั้งสองฝ่าย
ต้องการถ่วงดุลอำนาจกัน ต่างก็ต้องการผลประโยชน์
เพื่อไปถึงเป้าหมายที่ตัวเองต้องการ
หลงไท่คิด ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าก็รู้สึกว่า หากเขา
อยากให้ปูนบำเหน็จให้คนอื่น ข้าเองก็จะดันคนของ
ข้าไปบ้าง เขาก็น่าจะไม่คดค้าน แต่ว่า.......ข้ารู้จักคน
ไม่มาก ต่อให้อยากเสนอใคร ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้อง
ใช้ใครบ้าง?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องทรงรีบร้อนไป
ท่านก็บอกไปว่ามีคนเสนอคนเหล่านี้มา ฝ่าบาทกำลัง
พิจารณาอยู่ ยังไม่จำเป็นต้องรีบใช้ใครในตอนนี้”
หลงไท่พยักหน้า แล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูก แต่ว่าเหล่า
ขุนนาง ส่วนมากถ้าไม่ใช่คนของไหวหนานอ๋อง ก็เป็น
คนของจงอี้โหว คนของพวกเขา ข้าไม่มีทางเชื่อใจได้
เด็ดขาด”
“ฝ่าบาทในบรรดาคนเหล่านี้จะต้องมีขุนนางนอก
สายตาแน่” ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาททรงปรีชา แค่ลอง
สังเกตดู จะต้องเห็นอะไรมาแน่ ฝ่าบาทจะใช้คน
อย่างแรกก็จะต้องหาขุนนางนอกสายตาพวกนี้ให้ได้
ก่อน อีกทั้งจะต้องหาคนที่ถูกกดขี่มากๆ เพราะคน
พวกนี้หากได้รับการผลักดันจากพระองค์ พวกเขา
จะต้องซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณแน่นอน”
หลงไท่หัวเราะร่ายิ้มแล้วพูดว่า “ฉีหนิง วันนี้ข้าได้คุย
กับเจ้า ได้อะไรเยอะเลย” เขามองไปที่ฉีหนิง แล้ว
ถามว่า “ตอนนี้ข้าเริ่มสงสัยแล้วว่า เจ้าไปเอาแผนร้าย
พวกนี้มาจากไหนกัน?”
“ฝ่าบาท ข้าจริงใจกับท่านนะ” ฉีหนิงพูดว่า “หากฝ่า
บาทคิดว่าที่ข้าพูดมันไม่ถูก ต่อไปข้าไม่พูดก็ได้”
“ไร้สาระน่า” หลงไท่พูดว่า “ข้าพูดแล้วหรือว่าเจ้าพูด
ไม่ถูก?” เขาพูดต่อว่า “วันนี้ที่ข้าเรียกเจ้าเข้าวังมา
เดิมทีก็ไม่ได้คิดจะคุยเรื่องพวกนี้กับเจ้าเลย ตอนนี้ดู
ไปแล้ว ที่เรียกเจ้าเข้าวังมาวันนี้ ข้าไม่ได้คิดผิดจริงๆ”
เขาชี้ไปที่อาหารที่โต๊ะแล้วพูดว่า “กินอะไรก่อน
เถอะ”
ทั้งสองทานอาหารค่ำร่วมกันเสร็จแล้ว ฟ่านเต๋อไห่ก็
พาคนเข้ามาเก็บกวาด ฟ้ามืดแล้ว หลงไท่พูดขึ้นมาว่า
“เจ้าเป็นขุนนางนอก จะค้างในวังหลวงไม่ได้ ข้าจะให้
คนส่งเจ้ากลับไป แล้วไว้ข้าจะเรียกตัวเจ้ามาคุยด้วย
ใหม่” เขาคิดแล้วก็พูดว่า “เจ้าเองก็ลองช่วยข้าดูอีกที
ว่ามีใครที่ข้าสามารถใช้งานได้บ้าง”
“รับบัญชา” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากฝ่าบาทรู้สึก
เบื่อ สามารถเรียกข้าเข้าวังมาคุยเป็นเพื่อนได้
ตลอดเวลา” เขาหยุดไป แล้วเหมือนจะพูดเตือน
ขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่?”
“ไม่มี ไว้ข้าค่อยคุยกับเจ้าใหม่”
ฉีหนิงรู้สึกเขินแล้วพูดว่า “เอ่อ...เอ่อคือว่าฝ่าบาททรง
ยังจำได้หรือไม่...เฮ้อ คิดว่าฝ่าบาทน่าจะลืมไปแล้ว?”
หลงไท่อึ้งไป ยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้าว่าข้าลืมอะไร
ไป?”
“ไม่มีอะไร” ฉีหนิงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ฝ่าบาทมี
ราชกิจมากมาย เรื่องเล็กน้อยคงจำไม่ได้”
หลงไท่ยกเท้าขึ้นมาเตะก้นฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าคิด
ว่าข้าไม่รู้ความหมายของเจ้าหรืออย่างไร? เจ้ากำลัง
คิดเรื่องที่ข้าค้างเงินเจ้าห้าร้อยตำลึงทองใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงยิ้มเขินๆ แล้วพูดว่า “เอ่อ...เอ่อนั่นเซียวกวง
รับปาก ไม่ใช่ฝ่าบาท ดังนั้น...”
“ข้าชื่อเซียวจ้าวอวิ๋น เซียวกวงเป็นชื่อเล่นของข้า แต่
ก็คือข้า” หลงไท่พูดว่า “เรื่องที่ข้ารับปาก ไม่มีคืนคำ
เคยบอกว่าค้างเงินห้าร้อยตำลึงทอง ก็ไม่มีทางกลับ
คำ”
ฉีหนิงเดิมคิดว่าเซียวกวงกลายมาเป็นฮ่องเต้แล้ว เงิน
ห้าร้อยตำลึงทองก็จะหายลับไปกับตา เมื่อได้ยินหลง
ไท่รักษาคำพูดแบบนี้ เขาก็ดีใจ
ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่า ฮ่องเต้น้อยนี่ชื่อว่าเซียวจ้าวอวิ๋น
เขานึกขึ้นมาได้ว่าไหวหนานอ๋องซื่อจื่อชื่อว่าเซียวจ้าว
จง แอบคิดในใจว่าพวกเขาสองคนน่าจะรุ่นเดียวกัน
เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
ฉีหนิงเดิมทีคิดว่าหลงไท่น่าจะให้เงินเขาห้าร้อยตำลึง
ทองแล้วออกจากวังไป แต่ว่าหลงไท่เหมือนไม่ได้จะให้
เงินสดกับเขาตอนนี้ แต่กลับถามว่า “ก่อนหน้านี้ข้าให้
ของเจ้าไป เจ้าได้รับหรือไม่?”
ฉีหนิงอึ้งไป แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตอนที่ฟ่านเต๋อไห่ไป
อ่านราชโองการ แต่งตั้งให้เขาสืบทอดตำแหน่งจิ่นอี
โหวนั้น เขายังได้รับของมาอีกสองชิ้น เป็นกระบี่หยก
หนึ่งชิ้น กับกระดาษเปล่าหนึ่งแผ่น กระบี่หยกนั้นเขา
พอจะเข้าใจความหมายของฮ่องเต้อยู่ แต่ว่ากระดาษ
เปล่า ฉีหนิงคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
วันนี้มารู้ว่าฮ่องเต้น้อยก็คือเซียวกวง เขาก็เข้าใจ
ขึ้นมา
“ข้าให้กระบี่ที่ทำจากหยกขาวให้เจ้าหนึ่งเล่ม เจ้า
น่าจะเข้าใจความหมาย” หลงไท่พูดว่า “หยกมีความ
หมายถึงความบริสุทธิ์ กระบี่หยกเป็นกระบี่ที่สามารถ
ขจัดสิ่งชั่วร้ายออกไปได้ จิ่นอีโหวจงรักภักดีต่อราช
สำนัก อีกทั้งตั้งแต่ฮ่องเต้ไท่จงเป็นต้นมา ก็มีความดี
ความชอบมาตลอด กำราบกบฏความวุ่นวายต่างๆ ไป
ทั่วทุกสารทิศ ข้าหวังว่าเจ้าจะเหมือนกับจิ่นอีโหวทั้ง
สองรุ่น ไม่เพียงไม่มีความคิดไม่ซื่อ มีแต่ความ
จงรักภักดี ฝึกฝนประสบการณ์จนกลายเป็นเหมือน
กระบี่หยกที่ล้ำค่าของราชสำนัก”
ฉีหนิงคิดว่าเขารู้ความหมายนี้แล้ว
“ที่ข้าให้กระดาษขาวกับเจ้า เจ้าก็น่าจะเห็นแล้ว”
หลงไท่หัวเราะ แล้วพูดว่า “ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า ข้า
เป็นคนรักษาคำพูด ในเมื่อรับปากเจ้าว่าจะให้เงินห้า
ร้อยตำลึงทองกับเจ้า พูดแล้วก็ทำได้ กระดาษขาวใบ
นั้น คือใบค้างหนี้ที่เซียวกวงเขียนให้เจ้า แต่ว่าข้าเป็น
โอรสสวรรค์ ของในแผ่นดินนี้เป็นของข้าทั้งหมด ข้า
ไม่มีทางติดค้างใครทั้งนั้น แล้วก็ไม่มีทางเขียนใบค้าง
หนี้ให้ใครด้วย” เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเข้าใจ
ความหมายของข้าหรือไม่?”
ฉีหนิงเดิมเข้าใจดี เซียวกวงก็คือฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็คือ
เซียวกวง เซียวกวงค้างเงินเขาห้าร้อยตำลึงทอง หรือ
ก็คือฮ่องเต้ติดหนี้เขา ฮ่องเต้เองก็ยอมรับในจุดนี้แล้ว
แต่ว่าพอฮ่องเต้น้อยอธิบายมาแบบนี้ ทำให้เขามึนงง
ไป เขาขอคำชี้แนะแบบระวังตัว “ฝ่าบาท กระหม่อม
โง่เขลา ฝ่าบาททรงชี้แนะด้วย เงินห้าร้อยตำลึงทอง
ให้ข้าไปทวงกับใคร? ให้ทวงกับ...ทวงกับฝ่าบาท หรือ
ว่าทวงกับเซียวกวง?”
“ก็ต้องเป็นเซียวกวงสิ” หลงไท่พูดว่า “เซียวกวงก็คือ
ข้า ข้าพูดคำไหนคำนั้น ดังนั้นเซียวกวงเองก็ไม่มีทาง
กลับคำ เจ้าก็ไปทวงเอากับเซียวกวง มันเป็นเรื่องที่
สมเหตุสมผลอยู่แล้ว แต่วว่าเจ้าต้องจำไว้ว่า ข้าคือ
ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่ติดหนี้ใคร”
ฉีหนิงแอบด่าในใจ เจ้าพูดไปพูดมาตั้งนาน ตกลงให้
ข้าไปทวงกับใครเล่า? เซียวกวงติดเงินข้าห้าร้อยตำลึง
ทอง เจ้าก็คือเซียวกวง แต่ว่าเจ้าก็บอกว่าฮ่องเต้ไม่ติด
หนี้ใครอีก เหตุผลแบบนี้แล้วจะให้ข้าเถียงกับเจ้า
อย่างไร?
เขารู้สึกว่าเงินก้อนนี้เขาน่าจะพลาดแน่แล้ว
หลงไท่ให้ฟ่านเต๋อไห่ส่งฉีหนิงออกจากวังหลวงไป
ระหว่างทางฟ่านเต๋อไห่เองก็ดูเป็นมิตรมาก “โหว
เยวี่ย ดูท่าทางฝ่าบาททรงเห็นท่านเป็นเหมือนคนที่
รู้จักกันมานาน ฝ่าบาททรงชื่นชมโหวเยวี่ยมากเลยนะ
ต่อไปคงต้องฝากเนื้อฝากตัวกับโหวเยวี่ยแล้วกระมัง”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฟ่านกงกงเกรงใจเกินไปแล้ว ข้า
เป็นคนรุ่นหลังยังเป็นผู้น้อยอยู่ ต่อไปต้องฝากเนื้อฝาก
ตัวกับฟ่านกงกงถึงจะถูก หากฟ่านกงกงมีเวลาว่าง ก็
ไปที่จวนของข้าบ้าง พวกเราจะได้นั่งดื่มชากัน”
ฟ่านเต๋อไห่ยิ้มหน้าบาน เขารู้สึกว่าจิ่นอีโหวอายุไม่
มาก แต่ว่าวิธีปฏิบัติต่อคนอื่นนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง ไม่
มีการวางมาด เข้าหาได้ง่าย
ฉีหนิงกำลังคิดอยู่ว่า ตอนที่ฮ่องเต้น้อยประทานของ
สองชิ้นให้เขา ตอนนั้นก็น่าจะรู้แล้วว่าเขาเป็นจิ่นอี
โหวตัวปลอม ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ส่งกระดาษเปล่าไป
ให้
เซี่ยงเทียนเป่ยเดินทางไปกับฟ่านเต๋อไห่ตอนที่ฉีหนิง
แห่ขบวนศพไป น่าจะได้รับคำสั่งของหลงไท่ให้เป็นดู
สถานการณ์ วันนั้นเซี่ยงเทียนเป่ยเห็นเขา สายตาของ
เซี่ยงเทียนเป่ยวันนั้นเหีย้ มโหดมาก ตอนนั้นเขาน่าจะ
รู้แล้วว่าจิ่นอีโหวซื่อจื่อมีปัญหา แล้วก็กลับมารายงาน
ให้หลงไท่รู้
หลงไท่กับเซี่ยงเทียนเป่ยไม่มีทางมั่นใจแน่นอน ดังนั้น
วันนั้นที่ตลาดดอกไม้ เซี่ยงเทียนเป่ยน่าจะแอบตาม
ตัวเขาแน่ เพื่อทำให้แน่ใจว่าตัวเขาเป็นใคร จนแน่ใจ
แล้ว หลงไท่ถึงได้เรียกตัวเขาเข้าเฝ้า
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 202 หายไปได้คืน
ฉีหนิงออกจากวังหลวง ต้วนฉางไห่รออยู่นอกวังมา
ครึ่งวันแล้ว ในใจของเขาร้อนรนมาก เมื่อเห็นฉีหนิง
ออกมาอย่างปลอดภัย เขาก็รีบเดินขึ้นไปถามไถ่
ฉีหนิงบอกแค่ว่าหลงไท่ให้เขาอยู่เสวยอาหารเย็นด้วย
ต้วนฉางไห่พูดด้วยความตกใจว่า “โหวเยวี่ย เหตุใดฝ่า
บาทถึงทรงให้ท่านอยู่เสวยอาหารกับพระองค์ด้วย
เล่า?”
“ฝ่าบาทให้ข้าอยู่เสวยอาหารกับพระองค์ มันจะต้อง
มีอะไรพิเศษด้วยอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ก็แค่รู้สึกว่าเหมือนรู้จักกันมานาน คุยกันถูกคอก็
เท่านั้น”
ต้วนฉางไห่รู้ดีว่าเวลาฮ่องเต้เรียกขุนนางเข้าเฝ้า
โดยเฉพาะครั้งแรก ไม่นานก็ให้กลับได้ แต่นี่เขาไม่
เห็นหน้าฉีหนิงเลยตั้งแต่บ่าย เดิมเขาคิดว่าอาจจะมี
อะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ในใจก็ร้อนรน แต่พอได้ยินฉีหนิง
บอกว่ากิข้าวเย็นแล้วถึงได้ออกมา เขาก็แปลกใจมาก
เพราะนี่คือการเข้าเฝ้าครั้งแรก ก็ให้อยู่เสวยอาหารกับ
พระองค์แล้ว มันถือว่าหาได้ยาก
แต่ว่าฮ่องเต้ทรงให้อยู่เสวยอาหารกับพระองค์ด้วย
มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ต้วนฉางไห่นึกแล้วก็รู้สึก
เบาใจ
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ยังดีที่ช่วงเย็นต้วนฉางไห่ คิดว่าฉี
หนิงน่าจะออกมาจากวังดึกแน่นอน ก็เลยให้คน
เตรียมโคมไฟไว้ แล้วนำมาติดที่รถม้า จากนั้นก็รีบ
เดินทางกลับจวน
รถม้าวิ่งไปตามทาง ฉีหนิงนั่งคิดอยู่ในรถม้า ก็ไม่รู้ว่า
นานเท่าไหร่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง เขารู้สึก
ตกใจเล็กน้อย เขาเปิดผ้าม่านออก แล้วมองไป เขา
เห็นตอนที่กำลังเดินทางอยู่บนถนนเส้นหนึ่งที่อยู่ใน
ตรอกเล็กๆ มีคนๆ หนึ่งกำลังพุ่งออกมาจากในตรอก
นั้น
ต้วนฉางไห่รีบตะโกนว่า “คุ้มครองโหวเยวี่ย”
องครักษ์ทั้งหมดชักดาบออกมา แล้วก็ล้อมรถม้า
เอาไว้ ตั้งสติพร้อมรับมือ ฉีหนิงเห็นคนที่วิ่งออกมา
จากในตรอกนั้นเหมือนคนบ้า มือไม้ไม่อยู่นิ่ง ในปากก็
เอาแต่กรีดร้อง เหมือนเขากำลังเจ็บปวด
จากนั้นก็เห็นอีกหลายคนพุ่งออกมาจากในตรอก ใน
มือถือไม้ตะบอง เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ผมเผ้ารุงรัง
ต้วนฉางไห่พูดเสียงเข้มว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน?”
อีกฝ่ายเห็นมีรถม้า ก็เดินมา แล้วยกมือคำนับแล้ว
บอกว่า “ท่องเที่ยวทั่วหล้า หยินหยางแปดทิศ”
ต้วนฉางไห่ได้ยินดังนั้นเสียงก็อ่อนลง “ที่แท้ก็พี่น้อง
พรรคกระยาจกนี่เอง”
“ต่างคนต่างไป เชิญ” คนนั้นก็ถือว่าน้ำเสียงมี
มารยาทอยู่
ตอนนี้คนที่เหลือกำลังล้อมคนที่เป็นบ้าอยู่ มีคนยื่นมือ
จับ คนบ้านั่นเห็นว่าถูกล้อม มองซ้ายมองขวาหาทาง
ฝ่าออกไป แต่หนีไม่รอด ทำให้เขาเหมือนจะรู้สึก
หวาดกลัว คนที่ล้อมเขาไว้ เหมือนกำลังจะหาโอกาส
จับเขา
ต้วนฉางไห่ยกมือคำนับคนที่คุยด้วย แล้วก็ไม่พูดอะไร
มาก แล้วควบม้าไปที่หน้าต่าง แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย
ไม่มีอะไร เป็นคนของพรรคกระยาจก”
“พรรคกระยาจก?” ฉีหนิงรู้สึกคุ้นเคยกับคำนี้ดี แล้ว
ถามว่า “คนพวกนี้เป็นคนของพรรคกระยาจก? คน
บ้านั่นใคร เหตุใดต้องจับพวกเขาด้วย?”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “โหวเยวี่ย เรื่องของพรรคกระยาจก
พวกเรายื่นมือเข้าไปแทรกไม่ได้ พรรคกระยาจกกับ
จวนจิ่นอีโหวไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ไม่ควรหา
เรื่องใส่ตัว”
ตอนนี้เห็นคนหนึ่งได้โอกาส เขาพุ่งเข้าใส่ด้านหลังของ
คนบ้านั่น คนบ้านั่นร้องคำรามออกมา พยายามสะบัด
ตัว แรงของเขามีมากนัก ยังดีที่คนอื่นเองก็พุ่งเข้าใส่
ตัวเขาเหมือนกัน มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “มัดเขาเอาไว้
ก่อนค่อยว่ากัน”
ศิษย์พรรคกระยาจกพวกนั้นก็ทำอะไรว่องไว พวกเขา
จับคนบ้านั่นมัดเอาไว้ คนบ้านั่นร้องตะโกนไม่หยุด
แต่ว่าพวกเขาก็ยังจับเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา ทำให้
เขาไม่สามารถหลุดออกมาได้
ศิษย์ของพรรคกระยาจกก็ไม่ได้สนใจต้วนฉางไห่ พวก
เขายุ่งอยู่กับการจับคนบ้านั่น จากนั้นก็ออกจากตรอก
ไป พริบตาเดียวก็หายไป
“ต้วนฉางไห่ ไม่มีใครยุ่งเลยหรือ?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
ถึงแม้จะดึกแล้ว แต่บนถนนก็ยังมีคนเดินไปเดินมาอยู่
บ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันไม่นานเลย คนที่เดินผ่าน
ไปผ่านมาก็ได้แค่หลบ ไม่กล้าเข้าใกล้
ต้วนฉางไห่อธิบายว่า “โหวเยวี่ย นี่เป็นเรื่องภายใน
ของพรรคกระยาจก คนนอกไม่มีใครยุ่ง ต่อให้เป็น
จวนเสินโหว ถ้าพรรคกระยาจกไม่ทำอะไรวุ่นวายจน
กลายเป็นเรื่องใหญ่ ก็ไม่ยุ่งเหมือนกัน พวกเขาเป็นคน
พรรคกระยาจกสาขากุ่ยจินหยาง หลายปีมานี้ไม่เคย
เข้าเมืองหลวงก่อเรื่องเลย คนของพรรคกระยาจกกับ
ทางการถือว่าให้ความร่วมมือกันดีอยู่”
“สาขากุ่ยจินหยาง?” ตอนที่ฉีหนิงอยู่เมืองหุ่ยเจ๋อเขา
รู้ว่ามาพรรคกระยาจกมีทั้งหมดยี่สิบแปดสาขา ทั้ง
ยี่สิบแปดสาขาเป็นสาขาที่รับคำสั่ง บอกได้ว่าเป็น
พรรคที่มีคนมากที่สุดในใต้หล้าในตอนนี้แล้ว
ต้วนฉางไห่คิดว่าฉีหนิงไม่เข้าใจเรื่องของพรรค
กระยาจก รถม้าวิ่งต่อไป เขาควบม้าข้างๆ หน้าต่าง
รถม้าแล้วอธิบายว่า “พรรคกระยาจกมีทั้งหมดยี่สิบ
แปดสาขา ทั้งยี่สิบแปดสาขาเป็นสาขาที่รับคำสั่ง
ศิษย์ในพรรคของพวกเขามีอยู่ทั่วสารทิศ กุ่ยหยางจิน
เป็นเพียงหนึ่งในเจ็ดสาขาย่อยที่ทางใต้”
“หนานฉีสั่ว?”
“มังกรเขียวตะวันออก เต่าดำทางเหนือ นกยูงแดง
ทางใต้ พยัคฆ์ขาวตะวันตก” ต้วนฉางไห่รู้เรื่องยุทธ
ภพมาก “นกยูงแดงทางใต้เป็นคนดูแลทั้งเจ็ดสาขา
ย่อยที่ทางใต้ กุ่ยจินหยางเป็นหนึ่งในนั้น เท่าที่ข้ารู้ ทั้ง
เจ็ดสาขาย่อย ต่างมีหัวหน้าสาขาอยู่ ส่วนประมุขของ
ทั้งเจ็ดสาขาเป็นผู้อาวุโสจูเซวี่ยเป็นคนดูแล ส่วนผู้
อาวุโสจูเซวี่ยตอนนี้อยู่ที่เมืองหลวง”
“อ๋อ?” ฉีหนิงถามอย่างประหลาดใจมาก “แล้ว
หัวหน้าพรรคกระยาจกเป็นใคร? เจ้าเคยเจอ
หรือไม่?”
ต้วนฉางไห่ส่ายหน้า “หัวหน้าพรรคกระยาจกไม่เคย
ออกหน้าเลย แม้แต่ศิษย์ในพรรคกระยาจกเอง ก็เคย
เจออยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น ข้าได้ยินมาว่าท่านหัวหน้า
พรรคเป็นคนที่มีวรยุทธ์ร้ายกาจมาก เป็นคนที่มีวร
ยุทธ์ร้ายกาจมากคนหนึ่งของพรรคกระยาจกเลย จริง
เท็จแค่ไหน ก็ไม่มีใครรู้” เขาพูดต่อว่า “คนบ้าเมื่อครู่
หากไม่ได้มีความแค้นกับพรรคกระยาจก ก็น่าจะเป็น
คนของพรรคกระยาจกเอง”
“คนของพวกเขาเอง?”
“ใช่ ข้าน้อยเคยได้ยินมาว่ากฎของพรรคกระยาจก
เข้มงวดมาก มีทั้งหมดสิบสองหมวดใหญ่ อย่างเบาก็
ไล่ออกจากพรรค อย่างหนักก็ตาย” ต้วนฉางไห่พูดว่า
“แต่อย่างไรก็เป็นกลุ่มขอทาน พวกเราอย่าไปยุ่งด้วย
จะดีกว่า ถึงแม้ว่าพวกเราไม่มีอะไรต้องกลัวพวกเขา
แต่ก็อย่ามีปัญหาด้วยจะดีกว่า”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “กฎพรรคเข้มงวด?” เขานึก
ถึงพวกขอทานที่เมืองหุ่ยเจ๋อ ทั้งหลอกเอาเงินทั้ง
วิ่งราว รังแกผู้หญิง ไม่รู้ว่าหากทำตามกฎของพรรค
แล้ว คนพวกนั้นจะเป็นยังไงบ้าง?
แต่พอคิดๆ ดูแล้ว เมืองหุ่ยเจ๋อเป็นอำเภอเล็กๆ ของ
แคว้นฉู่เท่านั้น อีกทั้งศิษย์พรรคกระยาจกที่นั่นยังเป็น
แค่หนึ่งในสาขาย่อยเล็กๆ ของสาขาอวี้หั่วเสอเท่านั้น
จะไม่มีใครมาสนใจบ้างก็เป็นเรื่องปกติ เมืองเจี้ยนเยี่ย
เป็นเมืองหลวงศูนย์กลางของต้าฉู่ ก็คงไม่ได้สบาย
อย่างที่อื่น ไม่ต้องให้พรรคกระยาจกเข้มงวด จวนเสิน
โหวเองก็น่าจะจัดการได้
อีกทั้งตอนนี้ผู้อาวุโสจูเซวี่ยก็อยู่เมืองหลวง คนของ
สาขากุ่ยจินหยาง ก็ต้องไม่ทำอะไร
ตลอดทางจนถึงจวนโหวไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
คนในจวนโหวต่างร้อนใจ ไม่เพียงแค่กู้ชิงฮั่น แม้แต่
สาวใช้บ่าวไพร่เอง ก็พลอยร้อนใจกันไปหมด
ใครๆ ก็รู้ว่าวันนี้ถูกเรียกเขาเข้าวังเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ใน
สายตาของคนในจวนโหว มันเหมือนเป็นบททดสอบ
ของจิ่นอีโหวที่เพิ่งได้รับสืบทอดตำแหน่ง มันเป็น
เกียรติสูงสุดของจิ่นอีโหว มันเกี่ยวข้องกับคนในจวน
จิ่นอีโหวทุกคน ตลอดช่วงบ่าย โหวเยวี่ยไม่กลับมา
เลย ตอนนี้ฟ้าก็มืดมานานแล้ว ฉีหนิงก็ยังไม่กลับมา
นอกจากกู้ชิงฮั่นแล้ว ทุกคนก็พลอยเครียดร้อนใจกัน
ไปหมด
อยู่ในจวนโหว ไม่เหมือนบ้านของคนธรรมดาทั่วไป
พอจะรู้เรื่องสถานการณ์ของราชสำนักบ้าง
ทุกคนก็รู้ ช่วงนี้ในเมืองหลวงเกิดการเปลี่ยนแปลง
มากมาย อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้น
ครองราชย์ สถานการณ์ในราชสำนักตอนนี้ ยังไม่
มั่นคง
ทิศทางของราชสำนัก แปรเปลี่ยนไปในพริบตาเดียว
ขุนนางแต่ละยุคเปลี่ยนหน้าค่าตาไปตามยุคสมัย ถึง
แม้จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นจะได้รับกรุณาและชื่อเสียง
มากมายและสูงสุดของต้าฉู่ แต่ใครจะรู้ว่าฮ่องเต้ใหม่
จะปฏิบัติต่อฉีหนิงเหมือนเดิมหรือไม่ ทุกคนรู้ดีอยู่แก่
ใจว่า นายน้อยของพวกเขาถึงแม้จะได้รับสืบทอด
ตำแหน่ง แต่ว่าเขาไม่เคยได้สร้างผลงาน ไม่มีชื่อเสียง
ไม่มีเกียรติยศ สู้จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นไม่ได้เลย
ท่านเหล่าโหวติดตมฮ่องเต้ไท่จงออกรบตั้งแต่ยังหนุ่ม
ส่วนจิ่นอีโหวรุ่นสองอย่างฉีจิ่งตอนเป็นจิ่นอีซื่อจื่อ ก็
ติดตามท่านเหล่าโหวไปออกรบตลอด มีทั้งผลงาน
และชื่อเสียง แต่จิ่นอีโหวตอนนี้ตอนยังเป็นซื่อจื่อ เป็น
แค่เด็กหนุ่มที่สติไม่ดี
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว กลับยังไม่เห็นโหวเยวี่ยแม้แต่เงา ทำ
ให้แต่ละคนรู้สึกไม่สบายใจ
ถึงแม้กู้ชิงฮั่นจะร้อนใจแล้วก็ร้อนรนมาก แต่ว่าตอนนี้
นางเหมือนเสาหลักของจวนโหว ไม่ว่าจะได้ข่าวอะไร
มา นางจะแสดงท่าทีร้อนรนมากไม่ได้ ไม่อย่างนั้นทั้ง
จวนก็จะแตกตื่นไปหมด
ทุกวินาทีที่ผ่านไป สำหรับกู้ชิงฮั่นมันเหมือนนาน
ทรมานเป็นปี
จวนโหวเงียบสนิท ภายในเรือนมีคนยืนอยู่ประมาณ
สองร้อยคน กู้ชิงฮั่นนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ถึงแม้จะ
รู้สึกเหนื่อย แต่ก็ยังคงนั่งรอเงียบๆ
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ก็ทำลายความเงียบลง
ทันที ทุกคนหันไปมอง จ้องไปที่ประตูอย่างใจจดใจ
จ่อ กู้ชิงฮั่นลุกขึ้น แล้วถามว่า “โหวเยวี่ยกลับมาแล้ว
หรือ?”
คนๆ นั้นวิ่งเข้ามา หายใจกระหืดกระหอบ เขาชี้ไปที่
ประตู “ฮูหยินสาม โหวเยวี่ย...โหวเยวี่ย ท่าน...”
ทุกคนจ้องไปที่เขา ร้อนใจจะตายอยู่แล้ว กู้ชิงฮั่นทน
ไม่ไหวแล้ว ถามด้วยความร้อนใจว่า “โหวเยวี่ยเป็น
อะไร?”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะ “เหตุใดทุกคนมาอยู่ที่นี่
กันหมด? ประชุมกันหรือ?”
เห็นฉีหนิงเดินเข้ามา ต้วนฉางไห่เดินอยู่ข้างๆ
ฉีเฟิงกับจ้าวอู๋ซังก็อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน เมื่อเห็นฉีหนิง
เดินมา เขามองหน้ากัน แล้วก็ถอนหายใจ ในใจ
เหมือนโล่งไปเยอะเลย
“หนิงเอ๋อร์...” กู้ชิงฮั่นเห็นฉีหนิงกลับมาอย่าง
ปลอดภัย นางพูดอย่างดีใจว่า “เจ้าไม่ได้เป็นอะไรใช่
หรือไม่?”
ฉีหนิงเดินเดินขึ้นไป เห็นกู้ชิงฮั่นมีสีหน้าเป็นห่วงกังวล
เขาก็รู้สึกอบอุ่นใจ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ข้า
เป็นอะไร ฝ่าบาททรงเรียกข้าเข้าเฝ้า เพราะอยากคุย
เล่นกับข้า พอฟ้ามืดแล้ว กลัวข้ากลับมากินข้าวเย็นไม่
ทัน ก็เลยให้ข้าอยู่เสวยอาหารเป็นเพื่อนพระองค์”
เมื่อพูดจบ ทุกคนก็ตกใจ จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็น
ความยินดี
ฮ่องเต้ให้โหวเยวี่ยอยู่รับอาหารด้วย มันถือเป็นเรื่องที่
ดีมาก ในใจของทุกคนดีใจอย่างบอกไม่ถูก
กู้ชิงฮั่นถอนหายใจ แล้วก็ยิ้ม จากนั้นนางก็โบกมือ
“ทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว โหวเยวี่ยกลับมาแล้ว ไม่
ต้องเป็นห่วงแล้ว”
ทุกคนต่างจากไปอย่างดีใจ โหวเยวี่ยได้รับรางวัลจาก
ฮ่องเต้ ต่อไปจวนโหวก็จะราบรื่น เจริญรุ่งเรืองต่อไป
เขาเดินเข้าไปด้านในห้องโถงใหญ่ กู้ชิงฮั่นถามไถ่ ฉี
หนิงก็เล่าไปคร่าวๆ อะไรที่ไม่ควรพูดเขาก็ไม่พูด กู้ชิง
ฮั่นได้รับข้อมูลมาจากฉีหนิง นางรู้ว่าฮ่องเต้รู้สึกเคารพ
จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นมาก และหวังว่าฉีหนิงจะ
เหมือนกับจิ่นอีโหวทั้งสองรุ่น รับใช้ราชสำนักอย่าง
ภักดี
จนถึงตอนนี้กู้ชิงฮั่นรู้สึกวางใจแล้ว ฉีหนิงเห็นกู้ชิงฮั่น
รู้สึกเหนื่อยมาก ก็เลยกล่อมให้นางกลับไปพักก่อน
กลางดึกบรรยากาศเงียบสงบ ฉีหนิงนอนอยู่บนเตียง
คิดถึงสิ่งที่หลงไท่พูดกับเขา เขารู้ว่าฮ่องเต้น้อยองค์นี้
เป็นคนมีความคิด วันนี้เขาเสนอแผนการให้เขา
ฮ่องเต้น้อยรับฟังความเห็นของเขา บางเรื่องมัน
เหมือนจะง่าย แต่หากจะทำขึ้นมาจริงๆ แล้วมันไม่
ง่ายเลย
อีกทั้งไม่ว่าจะไหวหนานอ๋องหรือว่าจงอี้โหว ต่างไม่ใช่
คนธรรมดา จะถ่วงดุลอำนาจของทั้งสองคน อีกทั้งยัง
จะต้องสร้างฐานอำนาจของตัวเองให้ยิ่งใหญ่ขึ้นมา
มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จได้ง่ายๆ เลย เขาไม่รู้ว่า
ด้วยความสามารถที่หลงไท่มีนั้น จะสามารถทำมันได้
หรือไม่
แต่ว่าเขารู้ว่าหลงไท่เป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก
หลังจากที่เซี่ยงเทียนเปยเจอเขาในวันที่แห่ขบวนศพ
หลงไท่ไม่ได้โวยวาย แต่แอบส่งเซี่ยงเทียนเปยมาสืบ
ให้แน่ใจ ในระยะเวลานั้น ฉีหนิงมั่นใจว่าเซี่ยงเทียน
เปยคงไม่ได้เจอเขาแค่ที่ตลาดดอกไม้แน่ แต่แค่บางที
เขาไม่ได้รู้สึกแค่นั้น
หลงไท่มีความอดทนมาก เมื่อยืนยันแน่ใจแล้วว่าใช่
เขาถึงเรียกตัวเขาเข้าวัง
คนที่มีความอดทน มันเป็นพื้นฐานของคนที่ทำการ
ใหญ่
เขาปิดตานอนคิดอยู่บนเตียง ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียง
หน้าต่างมีความเคลื่อนไหว ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ถูกปีศาจ
น้อยวางยาพิษ ฉีหนิงระวังตัวมากขึ้นไม่น้อย องครักษ์
ในจวนจิ่นอีโหวเองก็เข้มงวดขึ้นไม่น้อย เขารีบลุก
ขึ้นมา แล้วถามว่า “ใคร?”
ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา ฉีหนิงถือมีดสั้นออกมา
แล้วค่อยๆ เดินไปที่หน้าต่าง เขาพบว่าหน้าต่างที่เคย
ปิดสนิท กลับมีรอยแง้มเล็กๆ
เขาขมวดคิ้ว กำมีดสั้นไว้แน่น ทันใดนั้นเองเขาก็
เหลือบไปเห็น โต๊ะข้างริมหน้าต่าง เหมือนมีของ
บางอย่างโผล่ออกมา
เขาเข้าไปใกล้ เห็นกองภาพ เขายื่นมือไปหยิบมา สิ่งที่
เขาเห็นทำให้เขาตกใจ
ของที่อยู่บนโต๊ะนั้นมันคือ ภาพเคล็ดวิชากระบี่ที่เขา
หามันมานานก็หาไม่เจอ
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 203
มีลำดับไร้กระบวน มีกระบวนไร้ประโยชน์
ฉีหนิงมองไปที่ภาพเคล็ดวิชากระบี่ที่หายไป เขารู้สึก
ตกใจมาก รีบหยิบภาพพวกนั้นเก็บเข้าไปในเสือ้
ตรงหน้าอก จากนั้นก็กระโดดออกจากหน้าต่างเดินไป
ที่หลังห้อง
เมื่อกระโดดออกมาม ก็ได้ยินเสียงตะโกนว่า “ใคร?”
เห็นเงาของคนสองคนวิ่งมา ฉีหนิงรู้ว่าเป็นองครักษ์ใน
จวน ก็พูดว่า “ข้าเอง”
ทั้งสองคนรีบวิ่งมา หนึ่งในสองคนนั้นก็คือฉีเฟิง เขา
เห็นฉีหนิง ก็ถามว่า “โหวเยวี่ย ท่าน...?”
“พวกเจ้าเจอใครบ้างหรือไม่?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
ฉีเฟิงกับอีกคนหนึ่งมองหน้ากัน แล้วส่ายหน้า ฉีเฟิง
ขมวดคิ้ว “โหวเยวี่ย ท่านพบอะไรหรือ? พวกเราเฝ้า
เวรอยู่ด้านหลังนี่ รอบๆ เรือนมีคนของพวกเราเฝ้าไว้
ทั้งหมด...”
ฉีหนิงรู้ดีว่าต้วนฉางไห่ได้เพิ่มการอารักขาที่นี่ เขารู้ว่า
ถึงแม้ฉีเฟิงจะไม่ได้มีวรยุทธ์ที่สูงมาก แต่ว่าเขาดูแล
ความปลอดภัยของจวนโหวมานานหลายปี การระวัง
ตัวไม่ได้แย่ หากมีคนมาจริง เขาไม่มีทางไม่รู้แน่นอน
แต่ว่าจู่ๆ ภาพเคล็ดวิชากระบี่ที่หายไปกลับมาวางอยู่
บนโต๊ะ อีกทั้งหน้าต่างที่เดิมทีก็ปิดอยู่ แต่ตอนนี้กลับ
เปิดออก แสดงว่ามีคนมา
ฉีหนิงรู้ว่า พวกเขาไม่รู้ตัว ตัวเขาก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน
ว่าคนๆ นั้นเปิดหน้าต่างเมื่อไหร่ ที่เขารู้ตัวในวินาที
สุดท้ายนั้น ไม่ใช่เพราะเขาหูดี แต่เป็นเพราะคนๆ นั้น
ตั้งใจให้เขาได้ยิน อีกฝ่ายไปมาไร้ร่องรอย แสดงว่าวร
ยุทธ์สูงมาก
“โหวเยวี่ย โหวเยวี่ย?” เห็นฉีหนิงนิ่งไป เหมือนคิด
อะไรอยู่ ฉีเฟิงอดไม่ได้ที่จะเรียก
ฉีหนิงได้สติ ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าคงฟังผิดไป”
เขาไม่พูดอะไรมาก แล้วเดินกลับไปที่ห้องนอน ปิด
หน้าต่าง แล้วจุดเทียน
อากาศหนาวเย็น ฉีหนิงสวมเสื้อบางๆ แค่ชิ้นเดียว
เขาเดินมานั่งที่โต๊ะ หยิบภาพเคล็ดวิชากระบี่ออกมา
แล้วก็ดูมันอย่างละเอียด
ภาพเพลงกระบี่นี้เป็นภาพเคล็ดวิชากระบี่แน่แล้ว
อย่างไม่ต้องสงสัย กระดาษพวกนี้ยังคงเก่าเหมือนเดิม
ฉีหนิงเปิดผ่าน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
ตอนที่เอามันมาจากเรือนผีสิง ถึงแม้ส่วนมากจะเก็บ
รักษาอย่างดี แต่ว่ามันมีหลายหน้าที่เก่าขาดแล้ว แต่ก็
ยังสามารถมองออกแบบเรือนรางได้อยู่ ถึงแม้จะไม่
ชัดก็ตาม
แต่ว่าฉีหนิงเปิดดูตั้งแต่แผ่นแรกถึงแผ่นสุดท้าย พบว่า
ภาพเพลงกระบี่เก่าพวกนั้นมันหายไปหมดแล้ว ด้าน
ในกลับมีภาพใหม่มาแทน แสดงว่ามันมีคนวาดแผ่น
ใหม่มาทดแทน อีกทั้งภาพอีกหลายภาพที่ไม่ชัด ก็มี
คนเพิ่มจนมันชัดเจนทั้งหมด
สิ่งที่ทำให้หยางหนิงตะลึงมากไปอีกก็คือ ในบรรดา
ภาพเหล่านี้ นอกจากจะทำให้ภาพเดิมสมบูรณ์แล้ว
ยังมีเพลงกระบี่ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก
หลังจากที่ฉีหนิงได้ภาพเคล็ดวิชาพวกนี้มาแล้ว เขา
เคยศึกษารายละเอียดบนภาพอย่างละเอียดแล้วหนึ่ง
ครั้ง ความจำของเขาดีมาก ถึงแม้กระบวนท่าบนภาพ
มันจะประหลาดไปบ้าง แต่ว่าถ้าจะจำมันก็ไม่ได้ยาก
อะไร
แต่ว่าภาพเคล็ดวิชากระบี่ที่เพิ่มขึ้นมาใหม่นั้น ฉีหนิง
ไม่เคยเห็นมันมาก่อน
คนที่มารู้ว่าฉีหนิงสนใจเพลงกระบีม่ าก ดังนั้นก็เลยทำ
ส่วนที่ขาดหายไปให้เขา ฉีหนิงนับดูแล้ว ทั้งหมดมี
ภาพเพลงกระบี่ทั้งหมดหกสิบสี่แผ่น หากไม่ผิดจากที่
คิด น่าจะเป็นเพลงกระบี่หนึ่งชุด
ฉีหนิงมองไปที่กองกระดาษในมือ จากนั้นก็พูดว่า “เป่
ยกงเหลียนเฉิง”
ฉีหนิงสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดที่เรือนผีสิงนั่นถึงได้มี
ภาพเพลงกระบี่พวกนีอ้ ยู่ ก่อนหน้าจะรู้จักเรื่องของเป่
ยกงเหลียนเฉิง เขามีความสงสัยในเรื่องนี้มาโดย
ตลอด
โดยเฉพาะตอนที่เขาเอาชนะไป๋อวี่เฮ่อที่วัดต้ากวงหมิง
ได้ เขาถึงได้รู้ว่า ภาพเพลงกระบี่ที่อยู่ในเรือนผีสิงจวน
เก่า มันเป็นสุดยอดวิชากระบี่ที่ล้ำค่า
ไป๋อวี่เฮ่อเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักเกาะไป๋อวิ๋นโม่หลัน
ชัง คนๆ นี้หลงใหลในกระบี่มาก แต่ว่าด้วย
สถานการณ์ที่คับขัน เขาได้ออกกระบวนท่าที่เขาจำได้
แม่นยำที่สุดไป เอาชนะไป๋อวี่เฮ่อได้ ทำให้เขา
บาดเจ็บที่แขนด้วย อนุภาพของกระบี่มันร้ายกาจมาก
ฉีหนิงเคยคิดว่า หากตัวเองสามารถฝึกฝนเพลงกระบี่
นี้จนชำนาญ แล้วแข่งกับไป๋อวี่เฮ่ออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้น
ไป๋อวี่เฮ่ออาจจะตายไปแล้วก็ได้?
ไป๋อวี่เฮ่อฝึกฝนกระบี่มานานกว่าสิบปี แต่กลับพ่าย
แพ้ให้เขาที่ฝึกไม่กี่ครั้ง เพลงกระบีแ่ บบนี้ ฉีหนิงคาด
ไม่ถึงเลยทีเดียว
แต่จากคำบอกเล่าของต้วนฉางไห่เขารู้มาว่าเป่ยกง
เหลียนเฉิงคือปู่รองของตระกูลฉี ส่วนเป่ยกงเหลียน
เฉิงถือเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ทำให้เขารู้สึกว่า
ภาพเคล็ดวิชากระบี่นี่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเป่ยกง
เหลียนเฉิง
มีเพียงเป่ยกงเหลียนเฉิงเท่านั้นที่จะมีเพลงกระบี่ที่
ร้ายกาจขนาดนี้ ส่วนเป่ยกงเหลียนเฉิงเองก็มคี วาม
เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับตระกูลฉี จะอยู่ที่จวนเก่า
มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
หรือว่าคนที่มาในคืนนี้จะเป็นเป่ยกงเหลียนเฉิง?
สามารถเข้ามาอย่างไร้ร่องรอยโดยที่มีคนอารักขามาก
ขนาดนี้ได้ จะต้องไม่ใช่ยอดฝีมือธรรมดาที่จะทำได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หากเพลงกระบี่นี่เป็นของเป่ยกง
เหลียนเฉิงจริง ถ้าอย่างนั้นภาพที่หายไป ก็มีเพียงเป่
ยกงเหลียนเฉิงเท่านั้นที่จะทำให้สมบูรณ์ได้ เกรงว่าใน
ใต้หล้านี้คงไม่มีใครสามารถเพิ่มเติมหรือทำให้มัน
สมบูรณ์นอกจากเขาได้แล้ว
แต่ว่าหากเป่ยกงเหลียนเฉิงยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดต้อง
หลบหน้าหลบตาด้วย?
ตามที่ต้วนฉางไห่พูดมา ถึงแม้เป่ยกงเหลียนเฉิงจะใช้
นามสกุลเป่ยกง แต่ว่าเขาก็เป็นคนของตระกูลฉี ท่าน
เหล่าโหวเองก็ดีกับเขาไม่น้อย แต่ว่าหลังจากที่ท่าน
เหล่าโหวสิ้นไป เป่ยกงเหลียนเฉิงกลับไม่มางานศพ
พี่ชายคนโตก็เปรียบเสมือนพ่อ เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่ได้
กลับมาคารวะศพ แสดงว่าไม่กตัญญู
เป่ยกงเหลียนเฉิงจะเป็นจะตาย มันเหมือนปริศนา
แม้แต่สายเลือดโดยตรงอย่างตระกูลฉีก็ไม่สามารถ
ตอบได้
แต่พอคืนนี้เห็นเคล็ดวิชากระบี่ครบชุด ฉีหนิงก็เชื่อ
อย่างเต็มอกว่า เป่ยกงเหลียนเฉิงยังมีชีวิตอยู่ แล้วคน
ที่มาในคืนนี้ก็น่าจะเป็นเป่ยกงเหลียนเฉิง
ฉีหนิงเปิดดูภาพเคล็ดวิชากระบี่อย่างละเอียด เวลา
ผ่านไปเรื่อยๆ ฉีหนิงเหมือนหลงอยู่ในภวังค์
ก็ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ เหมือนดูจบแล้ว ฉีหนิงก็ถอน
หายใจ
ภาพเคล็ดวิชากระบี่นี่สมบูรณ์มาก แต่ว่าฉีหนิงรู้สึกงง
มาก ภาพเคล็ดวิชาหกสิบสี่แผ่น เหมือนจะไม่มีลำดับ
เดิมทีฉีหนิงเคยจัดระเบียบมันมาแล้ว แต่คราวนี้เมื่อ
ได้มันกลับมา ได้เพลงกระบี่บางส่วนที่ขาดไปคืนมา
แต่ว่ามันกลับไม่มีลำดับ ไม่มีหัวไม่มีท้าย
เขารู้สึกงงมาก ในใจคิดว่าท่านปู่รองเทพกระบี่อุตส่าห์
ให้เคล็ดวิชาที่สมบูรณ์มาแล้ว เหตุใดไม่จัดเรียงมาให้
เขาด้วย แล้วจะให้เขาเริ่มศึกจากอะไร
ขณะที่กำลังงงอยู่ ก็เห็นภาพเคล็ดวิชากระบี่หน้า
สุดท้ายเหมือนมีรอยหมึก เหมือนมีอะไรอยู่ เขาเปิด
ไปหน้าสุดท้าย มันมีตัวอักษรอยู่สองแถว
ตัวอักษรสองบรรทัดนี้ไม่ได้สวยงามเป็นระเบียบ
เขียนได้ชุ่ยมาก ดูจากลายมือ เป่ยกงเหลียนเฉิงน่าจะ
เป็นคนไม่มีกฎระเบียบ
อักษรสองบรรทัดเขียนว่า
มีลำดับไร้กระบวน มีกระบวนไร้ประโยชน์!
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดอยู่นาน เขาเริ่มเข้าใจใน
ความหมายของประโยคนี้ เหมือนจะบอกว่าหากมี
ลำดับระเบียบแบบแผนมากเกินไป ก็จะออกกระบวน
ท่าไม่ได้ หากมุ่งเน้นในกระบวนท่ามากเกินไป ก็จะไม่
มีจิตวิญญาณของกระบี่
ไม่แปลกใจเลยที่ท่านปู่รองเทพกระบี่ได้ส่งภาพเคล็ด
วิชากระบี่ที่ยุ่งเหยิงแบบนี้มาให้ ดูท่ายอดฝีมือท่านนี้
ไม่ได้คิดจะให้ฉีหนิงฝึกเพลงกระบี่นี้แบบมีลำดับ
ฉีหนิงเป็นคนฉลาด เป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ ยิ่งกับ
เพลงกระบี่ด้วยแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถออก
กระบวนท่านั้นที่วัดต้ากวงหมิงได้หรอก
ถึงแม้เป่ยกงเหลียนเฉิงจะทิ้งข้อความไว้แค่นี้ แต่ฉี
หนิงก็เหมือนจะเข้าใจความหมายที่เป่ยกงเหลียนเฉิง
ต้องการจะสื่อ
สำหรับฉีหนิงแล้ว มีกระบวนไม่มีประโยชน์มันดูห่าง
ชั้นมาก ตัวเขายังไม่เคยฝึกเพลงกระบี่นี้เลย พูดได้ว่า
ไม่มีพื้นฐานเลย ในสถานการณ์แบบนี้ เขาแทบจะห่าง
ชั้นกับจิตวิญญาณกระบี่มาก มันยากเกินไป ฉีหนิงคิด
ว่าตัวเขาไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น
แต่ว่าเขาก็ยังคงฝึกตามภาพเคล็ดวิชากระบี่นั้น ใน
เมื่อเป่ยกงเหลียนเฉิงไม่ให้เขาฝึกตามลำดับ เขาก็ฝึก
ไปเรื่อยๆ ก็พอ
แต่ว่าเขาดูภาพเคล็ดวิชานั้นแล้ว เขารู้ว่า กระบวนท่า
เหล่านี้แปลกประหลาด ยังมีอีกหลายท่าที่มันสวนทาง
กับปกติ ต่อให้มีภาพพวกนี้ในมือ ก็ไม่แน่ว่าจะทำ
ออกมาได้ อีกทั้งหลายต่อหลายท่าก็ยังต้องใช้ความ
อ่อนช้อยของร่างกายควบคู่ไปด้วย ซึ่งมันต้องใช้
ลักษณ์ของกระดูกของมนุษย์เป็นพิเศษ หกสิบสี่
กระบวนท่า ท่าทางที่เขาสามารถฝึกได้จริงนั้นมีไม่ถึง
สิบสามสิบสี่ท่าเท่านั้น
ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ว่ามีประสบการณ์จากไป๋อวี่
เฮ่อมาแล้ว ฉีหนิงมีความมั่นใจในภาพเคล็ดวิชากระบี่
นี้มาก เขาคิดในใจว่าหากสามารถฝึกได้สักสิบ
กระบวนท่าให้คุ้นเคยก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ฝึกท่าอื่น
ไปทีละท่าตามที่ลักษณะของร่างกายจะทำได้ แต่ว่า
หากฝึกสิบกระบวนท่าจนชำนาญแล้ว ต่อให้ไม่
สามารถเป็นมือกระบี่ชั้นยอดได้ แต่ก็สามารถ
คุ้มครองตัวเองได้ มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว
เขาได้ภาพเคล็ดวิชากระบี่มา ในใจตื่นเต้นมาก
ในตอนนี้เขานอนไม่หลับ เขาหยิบกระบี่ผีหลูที่เก็บ
เอาไว้ออกมา แล้วเลือกภาพเคล็ดวิชากระบี่ แล้วฝึก
มันอยู่ในห้อง
แต่ว่าไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก
“โหวเยวี่ย ท่านมีอะไรจะสั่งหรือไม่?”
ฉีหนิงรู้ว่าเขาเปิดไฟในห้อง ตัวเองกำลังฝึกกระบี่
องครักษ์ด้านนอกคงเห็นเงาของเขา เขาตอบกลับไป
ว่า “ข้าแค่ออกกำลังกาย ให้ร่างกายแข็งแรง พวกเจ้า
ไม่ต้องสนใจ”
คนด้านนอกตอบรับ แล้วก็ไม่ได้มีเสียงอะไรอีก
ถึงแม้สิบกระบวนท่าดูเหมือนจะง่ายแต่ในความเป็น
จริง มันมีท่าทางที่แปลกประหลาดกว่าเพลงกระบี่อื่น
อย่าว่าแต่ฝึกให้คล่องเลย ทำให้เหมือนตามภาพก็
ไม่ใช่เรื่องง่าย
ฉีหนิงรู้ดีว่ายุทธภพมีแต่อันตราย ตอนนี้เขาเป็นจิ่นอี
โหว ต่อไปอันตรายพวกนี้ตัวเองก็ต้องเผชิญ เขาไม่
สามารถให้ต้วนฉางไห่ตัวติดกับเขาตลอดเวลาหรอก
หากเจอนักฆ่าที่ร้ายกาจขึ้นมาจริงๆ ต้วนฉางไห่ก็
อาจจะไม่สามารถคุ้มครองให้เขาปลอดภัยได้ทั้งหมด
พึ่งตัวเองดีที่สุด เขาฝึกเพลงกระบี่พวกนี้เพื่อป้องกัน
ตัวดีที่สุด
หากแม้แต่ชีวิตก็ปกป้องไม่ได้ ทุกอย่างก็จะหลุดลอย
ไป
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 204 เสี๋ยนเล่อจวี
วันต่อมาฉีหนิงนอนตื่นสาย แต่ก็ไม่มีใครมาเรียก พอ
ถึงเที่ยง กลับมีคนมาเคาะประตูห้อง ทำให้เขาตกใจ
ตื่นขึ้นมา “ใครมากวนข้านอน?”
เสียงของพ่อบ้านใหญ่หานโซ่วดังมาจากด้านนอก
“โหวเยวี่ย ทางจวนเสินโหวส่งคนมาเชิญท่านไปทาน
ข้าว เขารออยู่ด้านนอกนานแล้ว โหวเยวี่ยท่านจะไป
พบเขาหรือไม่?”
ฉีหนิงตกใจ คิดในใจว่าคนของจวนเสินโหวมาเชิญเขา
ไปกินข้าว นี่มันเรื่องอะไรกัน? หรือว่าอยากจะขอขมา
เรื่องที่เข้าใจผิดในคืนนั้น?
เขาลุกขึ้น แล้วเดินมาเปิดประตู มีคนเอาน้ำร้อนมาให้
เขาล้างหน้าล้างตา เมื่อทำอะไรเรียบร้อยแล้ว ฉีหนิงก็
เดินออกจากห้อง หานโซ่วยืนรออยู่ที่นอกประตู เมื่อ
เห็นฉีหนิง ก็รีบพูดว่า “โหวเยวี่ย คนที่มาเขาบอกว่า
เขาคือชวีเสี้ยวเว่ย เขาบอกว่าท่านซีเหมินเสินโหวสั่ง
ให้เขามาเชิญโหวเยวี่ยไปกินข้าว”
“ซีเหมินเสินโหวสั่งให้คนมาเชิญ?” ฉีหนิงตกใจเข้าไป
ใหญ่ ในใจก็คิดว่าชื่อของซีเหมินอู๋เหิงเขาได้ยินมา
หลายครัง้ แล้ว แต่ไม่เคยเจอสักครั้ง สองวันก่อนเกิด
เรื่อง ฉีหนิงก็ลืมไปแล้ว เขาไม่ได้ใส่ใจ แต่ไม่คิดว่าซีเห
มินเสินโหวจะส่งคนมา
เมื่อเจอหน้าทันหลางเสี้ยวเว่ยชวีเสี่ยวชาง ชวีเสี่ยว
ชางก็ยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ข้าน้อยได้รับ
คำสั่งจากท่านเสินโหว ให้มาเชิญท่านไปทานข้าว”
“ท่านเสินโหวเกรงใจเกินไปแล้ว” เรื่องในวันนั้นเป็น
เรื่องเข้าใจผิด แต่ฉีหนิงก็ได้ระบายอารมณ์ออกไป
แล้ว เขาไม่คิดที่จะผิดใจกับจวนเสินโหวเลย
วันนี้ซีเหมินเสินโหวส่งชวีเสี่ยวชาง มาเชิญเขาไป ก็ถือ
ว่าให้เกียรติเขามากแล้ว
ถึงแม้ชวีเสี่ยวชาง จะเป็นแค่เสี้ยวเว่ย แต่ว่าตำแหน่ง
เสี้ยวเว่ยนี้ไม่เหมือนกับเสี้ยวเว่ยทั่วไป
เขาเป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถของจวนเสินโหว อยู่ใน
อันดับสอง ตามที่ฉีหนิงเข้าใจ นอกจากซีเหมินเสิน
โหวแล้ว ในจวนเสินโหวชวีเสี่ยวชาง ถือว่าใหญ่เป็น
อันดับสอง
คนแบบนี้ ฉีหนิงควรจะไว้หน้าเขาบ้าง
“ท่านเสินโหวได้เตรียมอาหารไว้รอแล้ว” ชวีเสี่ยวชาง
ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเสินโหวบอกว่า หากเชิญท่านไป
พบไม่ได้ ก็ให้ข้าน้อยรออยู่ที่หน้าจวน จนกว่าท่าน
โหวเยวี่ยจะยอมไปด้วย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากข้าไม่ไปตลอดสามวันนี้ ฉวี
เสี้ยวเว่ยคิดจะรออยู่ที่นี่สามวันสามคืนเลยหรือ?”
“หากท่านโหวเยวี่ยต้องการแบบนัน้ ข้าน้อยก็จะรอ”
ชวีเสี่ยวชาง ยิ้ม เขามีมารยาทมาก ถึงแม้เขาจะอ้วน
แต่ว่าไม่ได้ทำให้คนรู้สึกรังเกียจเลย รอยยิ้มของเขา
มันให้ความรู้สึกสนิทสนม
ฉีหนิงรู้ว่าจวนเสินโหวมีซีเหมินอู๋เหิงเป็นบุคคลที่
เคารพสูงสุด พวกเขาจัดการทุกอย่างด้วยกฎของยุทธ
ภพ ในเมื่อชวีเสี่ยวชาง พูดมาแบบนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้น
เขาก็ทำอย่างที่พูดได้
ฉีหนิงรู้ว่าชวีเสี่ยวชาง เป็นคนฉลาดมาก ก็ไม่ได้คิดจะ
ทำให้เขาต้องลำบากใจ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อฉวี
เสี้ยวเว่ยมาเชิญด้วยตัวเองแบบนี้ ข้าจะให้ฉวีเสี้ยว
เว่ยรอได้อย่างไรกัน” เขาถามว่า “ตอนนี้ก็เลยเวลา
อาหารมานานแล้ว พวกเราไปตอนนี้ จะไม่สายไป
หรือ?”
จวนเสินโหวห่างจากจิ่นอีโหวก็มีระยะทางหนึ่ง นั่งรถ
ไปก็ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม
ชวีเสี่ยวชาง ยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านโหวเยวี่ยที่
ให้เกียรติ โหวเยวี่ยวางใจ ท่านเสินโหวบอกว่า ไม่ว่า
จะสายแค่ไหน ก็จะรอ อีกทั้งพวกเราไม่ได้ไปที่จวน
เสินโหว ที่พวกเราจะไปมันก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่มาก”
“หือ?”
“จวนเสินโหวเป็นสถานที่ทำงาน ท่านเสินโหวอาศัย
อยู่ที่จวนนั่นเมื่อหลายปีก่อน แต่ว่าตั้งแต่...เฮ้อ ตั้งแต่
อาจารย์หญิงสิ้นไป ท่านเสินโหวก็ย้ายออกจากจวน
เสินโหว แล้วไปซื้อจวนเล็กๆ หลังหนึ่งไม่ไกลจากที่นี่”
ชวีเสี่ยวชาง อธิบายต่อว่า “ท่านเสินโหวเป็นคนให้
ความสำคัญต่อความรู้สึกมิตรภาพมาก ท่านกับ
อาจารย์หญิงใช้ชีวิตด้วยกันที่จวนเสินโหวมานาน
หลายปี หลังจากที่อาจารย์หญิงสิ้นไป ท่านเสินโหว
เห็นอะไรก็คิดถึงนางไปหมด เลยย้ายออก”
ฉีหนิงพยักหน้า
ที่อยู่ของซีเหมินเสินโหวไม่ไกลเลย ห่างจิ่นอีโหวแค่
สามซอยเท่านั้นเดินทะลุผ่านไปก็ถึงจวนที่อยู่ของเสิน
โหวแล้ว ที่ด้านหน้าประตูนั้นมีเขียนอยู่สามคำว่า
“เสี๋ยนเล่อจวี”
จวนนี้ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ว่าภายในจวนมีดอกไม้ใบ
หญ้าเต็มไปหมด เหมือนอาศัยอยู่ในฤดูหนาว
ตลอดเวลา อีกทั้งตามมุมก็มีก่อไผ่อยู่มากมาย
ต้วนฉางไห่ตามมาอารักขาด้วย แต่ว่าเขารออยู่ด้าน
นอก ชวีเสี่ยวชาง เชิญฉีหนิงเข้าไป แต่ตัวเขาก็
เหมือนกับต้วนฉางไห่รออยู่ด้านนอก
ฉีหนิงรู้ว่า ซีเหมินอู๋เหิงไม่เพียงแค่ใหญ่ที่สุดในจวน
เสินโหว อีกทั้งเขายังมีฐานะในยุทธภพที่ไม่ธรรมดา
แถมยังเป็นศิลปินวาดภาพที่มีชื่อเสียงด้วย
ภายในจวนเงียบสงบมาก มีห้องอยู่สามห้องง่ายๆ
หากไม่ใช่ชวีเสี่ยวชาง พามา ฉีหนิงยังคิดว่ามาผิดที่
แน่นอน
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงมาจากห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง
เมื่อมองไปภายในห้องมีควันโขมงออกมา เหมือนตรง
นั้นจะเป็นห้องครัว
เขารู้สึกแปลกใจมาก เขาเดินเข้าไปแล้วมองไปข้างใน
เป็นห้องครัวจริงๆ มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังผัด
กับข้าวอยู่ กลิ่นอาหารโชยมา ท่าทางการผัดอาหาร
ของเขาดูชำนาญมาก น่าจะเป็นพ่อครัว
“ขออภัยข้าขอรบกวนสักครู่ ท่านเสินโหวอยู่
หรือไม่?” ฉีหนิงเดินเข้าไปถามเขา
คนๆ นั้นเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองมาที่ฉีหนิง เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “เดี๋ยวก่อนนะ” จากนั้นเขาก็เทอาหารที่
ผัดเสร็จแล้วเทลงบนจาน จากนั้นเขาก็เอาผ้ามาเช็ด
เหงื่อ ยกอาหารออกมา ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ไป
พักที่ห้องโถงก่อนเถอะ”
ฉีหนิงเห็นหน่อไม้ผัดเนื้อในจาน หน้าตาไม่ค่อยน่ากิน
เท่าไหร่ แต่ว่ากลิ่นของมันกลับยั่วยวนมาก เขาเดิน
ตามคนๆ นั้นไปที่ห้องโถงตรงกลาง เห็นด้านในมีโต๊ะ
กลมอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีอาหารวางอยู่แล้วสามสี่อย่าง
ต่างเป็นอาหารบ้านๆ ธรรมดาๆ
ฉีหนิงมองไปรอบๆ ภายในห้องตกแต่งธรรมดา แต่
กลับไม่พบซีเหมินเสินโหวเลย ขณะที่เขากำลังแปลก
ใจ พ่อครัวคนนั้นก็ถอดผ้ากันเปื้อนออก เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “โหวเยวี่ยเชิญนั่ง ท่านมาได้จังหวะพอดี หาก
มาเร็วกว่านี้ อาหารยังทำไม่เสร็จแน่ หากมาช้ากว่านี้
อาหารก็น่าจะเย็นแล้ว มามา จริงสิ ท่านดื่มเหล้า
หรือไม่?” เขานั่งลงที่โต๊ะ แล้วหยิบแก้วเหล้ามา แล้ว
พูดว่า “เหล้าไหนี้กลิ่นหอมรสชาติดี ไม่ได้แรงมาก
คนทางใต้ชอบดื่มกัน ข้าแอบเก็บมาตั้งหลายปี เป็น
เพื่อนของข้าที่เป็นคนทางเหนือให้มา พวกเขาเรียกว่า
เป่ยเฟิงเลี่ย ฮ่าฮ่า ชื่อนี้น่าสนใจดีเลยนะ”
ฉีหนิตะลึงไป เขาเข้าใจทันที รีบถามว่า “ท่าน...ท่าน
คือท่านซีเหมินเสินโหว?”
พ่อครัวคนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยรู้สึกว่าเสินโหว
จะต้องรอคนอื่นมารับใช้หรือ? ฮ่าฮ่า ข้ากลับรู้สึกว่า
แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าชีวิต” เขายกมือขึ้นแล้วพูดว่า
“รีบนั่งลงกินกับข้าวเร็ว ถ้าไม่กินอีกอาหารจะเย็น
หมดแล้วนะ ข้าอยู่นี่ เจ้าเองก็ไม่ต้องพิธีรีตรองอะไร
มาก ตอนที่พ่อของเจ้ายังอยู่ ก็มาที่นี่บ่อยๆ ทุกครั้งข้า
เองก็เป็นคนลงมือทำอาหารเอง แล้วก็กินหมดทุก
ครั้ง”
ฉีหนิงถึงได้รู้ว่า คนที่อยู่ตรงหน้านี้ ก็คือซีเหมินเสิน
โหวนั่นเอง
เขาได้ยินชื่อเสียงของเขามานาน แต่ว่านี่เป็นครั้งแรก
ที่ได้พบหน้ากับซีเหมินอู๋เหิง
ซีเหมินอู๋เหิงมองดูแล้วก็เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไป
อายุราวห้าสิบปี แต่งตัวธรรมดา หน้าตาดูสุขุมเหมือน
บัณฑิต คิดว่าตอนเขาเป็นหนุ่มจะต้องเป็นชายหน้าตา
หล่อเหลาพอสมควร
เขารู้ว่าในยุคนี้ ต่อให้เป็นชาวบ้านธรรมดา ผู้ชายน้อย
คนที่จะเข้าครัวทำอาหาร เขาเป็นถึงผู้นำสูงสุดของ
จวนเสินโหว แต่กลับใส่ผ้ากันเปื้อนเขาครัวผัดกับข้าว
เอง ฉีหนิงคาดไม่ถึงเลย
หลังจากนั่งลง ซีเหมินอู๋เหิงก็รินเหล้าให้กับฉีหนิง เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “ดื่มอะไรที่อ่อนหน่อยดีกว่า เจ้าอายุยัง
น้อย ไม่เคยไปทางเหนือ คงดื่มเหล้าแรงไม่ไหว
หรอก” จากนั้นเขาก็พูดอีกว่า “เรื่องนั้น ข้ารับรู้แล้ว
นะ ข้าได้สั่งให้ลงโทษคนของจวนเสินโหวอย่างหนัก
ไปแล้ว โหวเยวี่ยก็อย่าเก็บไปคิดมากล่ะ”
ฉีหนิงได้สติกลับมา แล้วพูดว่า “เสินโหวท่านไม่ต้อง
ทำแบบนี้ก็ได้ จริงๆ มันก็แค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น”
“มันไม่ใช่แค่เรื่องเข้าใจผิดหรอก” ซีเหมินอู๋เหิงส่าย
หน้า “หลายปีมานี้ หลายเรื่องในจวนเสินโหว ข้า
ไม่ได้เข้าไปจัดการด้วยตัวเองแล้วก็ไม่ได้ถามไถ่ด้วย
จวนเสินโหวข้าสั่งให้ศิษย์คนโตของข้าเซวียนหยวนผ่อ
ไปดูแล ทุกอย่างก็ไม่ได้มีปัญหาเลย แต่คราวนี้มาเกิด
เรื่องแบบนี้ขึ้นมา แสดงว่าในจวนเสินโหวมี
ข้อบกพร่องไม่เข้มงวดพอ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องมีมากมาย ก็ต้องมีสะเพร่า
กันบ้าง ท่านเสินโหวไม่ต้องคิดมาก”
“จวนเสินโหวเป็นสถานที่จัดการเรื่องคดีความต่างๆ
อีกทั้งทุกคดีเกี่ยวข้องกับยุทธภพทั้งนั้น” ซีเหมินเสิน
โหวพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ถึงแม้จะเป็นคดีเล็ก แต่
หากมีข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย มันก็จะกลายเป็น
ภัยใหญ่หลวงได้ ดังนั้นจะให้เกิดข้อผิดพลาดอะไร
ไม่ได้เลย”
ฉีหนิงสีหน้าจริงจัง แล้วพูดว่า “ท่านเสินโหวพูด
ถูกต้องแล้ว ข้าเองที่พูดผิดไป”
“กินข้าวกันก่อน” ซีเหมินอู๋เหิงยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ที่
เชิญเจ้ามา อย่างแรกก็อยากจะขอโทษ อีกทั้งยังอยาก
ให้โหวเยวี่ยออกความคิดเห็นให้กับจวนเสินโหวของ
พวกเราหน่อย มีอะไรอยากจะพูดก็สามารถพูด
ออกมาได้เลย สุดท้ายก็อยากจะให้โหวเยวี่ยมารู้จัก
กันไว้ ต่อไปหากกินอาหารทะเลเบื่อแล้ว อยากจะ
ลองมาเปลี่ยนรสชาติอาหาร ก็มาหาข้าได้”
ซีเหมินเสินโหวดูเป็นมิตรเข้าหาง่าย ไม่เหมือนกับ
ตำแหน่งที่เขามีเลย ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก เขาหยิบ
ตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารแล้วลองดู รสชาติอาหารดี
มาก “ท่านเสินโหว ท่านไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่?
หากข้าอยากกินอาหารธรรมดา ข้ามาหากินที่นี่ได้ใช่
หรือไม่?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...” ซีเหมินอู๋เหิงหัวเราะร่า “ยินดีต้อนรับ
เสมอ บอกไว้ก่อนนะ มากินข้าวที่นี่ มีกฎ หากหยิบ
ตะเกียบแล้ว ไม่กินอาหารบนโต๊ะให้หมด จะกลับ
ไม่ได้เด็ดขาด ตอนที่ปู่กับพ่อของเจ้าอยู่ ไม่เคยทำผิด
กฎเลยนะ”
ฉีหนิงมองไปที่อาหารบนโต๊ะ ถึงแม้จะมีอาหารห้า
อย่าง แต่ว่าปริมาณไม่ได้เยอะมาก พอสำหรับสองคน
สามารถกินมันหมดได้
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา แล้วก็ได้ยิน
เสียงพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านคงไม่ได้แอบกินเหล้าอยู่ใช่
หรือไม่?” เงาของคนหนึ่งลอยเข้าตาของฉีหนิง ฉีหนิง
เงยหน้าขึ้นมามอง ใช่แล้วซีเหมินจั้นอิงนั่นเอง
ซีเหมินจั้นอิงเหลือบไปมอง เห็นเป็นฉีหนิง ก็ขมวดคิ้ว
ซีเหมินอู๋เหิงมองไปที่ซีเหมินจั้นอิง แล้วพูดว่า “อิง
เอ๋อร์ เจ้ามาพอดีเลย โหวเยวี่ยอยู่นี่ด้วย เจ้ามาริน
เหล้าให้ท่านเร็ว”
ซีเหมินจั้นอิงไม่ได้มีความประทับใจอะไรในตัวของฉี
หนิงเลย นางหันหลังตั้งใจจะเดินไป ซีเหมินอู๋เหิ๋ง
ขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “หยุดนะ”
ซีเหมินจั้นอิงหยุดเดิน ซีเหมินอู๋เหิงพูดเสียงดุว่า “ที่
ข้าพูดเจ้าไม่ได้ยินหรือ? โหวเยวี่ยอยู่ตรงนี้ เหตุใดเจ้า
ถึงไม่มีมารยาทอย่างนี้? เรื่องเมื่อวันก่อน โหวเยวี่ยไม่
เอาเรื่องเจ้า หากเปลี่ยนเป็นท่านโหวคนอื่น เจ้าจะ
สบายขนาดนี้ได้หรือ? ยังไม่รีบมาอีก”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 205 สันนิษฐาน
ซีเหมินจั้นอิงยังคงเกรงกลัวซีเหมินเสินโหวมาก ถึงแม้
นางจะไม่เต็มใจ แต่ก็ยังเดินกลับมา ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด
ว่า “แม่นางอิง ลำบากเจ้าแล้ว”
ซีเหมินจั้นอิงทนไม่ได้จึงพูดว่า “ห้ามเรียกข้าเช่นนั้น”
ซีเหมินเสินโหวกระแอมคราหนึ่ง ซีเหมินจั้นอิงทำได้
แค่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าของนางไม่พอใจอย่างมาก
“แม่นางอิง หากเจ้าไม่เต็มใจ ก็ไม่ต้อง...ไม่ต้องฝืนก็
ได้” ฉีหนิงถอนหายใจ “ข้ากับท่านเสินโหวดื่มเหล้า
กัน เจ้าทำหน้าแบบนี้ มัน...” เขาส่ายหน้า
ซีเหมินจั้นอิงรู้ว่าฉีหนิงตั้งใจเติมน้ำมันในกองไฟ นาง
อยากจะเอาดาบมาฟันใส่เขาให้ขาดเป็นสองท่อนเสีย
จริง แต่ว่าซีเหมินเสินโหวจ้องนางอยู่ เลยพูดได้แค่ว่า
“โหวเยวี่ยแค่ดื่มอย่างเดียวพอ ข้าจะอยู่รับใช้ท่าน
ข้างๆ ไม่รบกวนพวกท่านแน่นอน” จากนั้นนางก็
เหลือบไปมองซีเหมินเสินโหว ราวกับว่านางก็แขวะ
เขาเหมือนกัน
ฉีหนิงยกแก้วขึ้นมาแล้วพูดว่า “ท่านเสินโหว วันนี้
ได้รับเกียรติจากท่าน ข้าขอคารวะท่านหนึ่งจอก”
จากนั้นเขาก็ดื่มจนหมดแก้ว
ซีเหมินเสินโหวยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยช่าง
เหมือนกับพ่อของท่านจริงๆ ดื่มเหล้าก็ดื่มได้ไม่ลังเล”
เขาดื่มจนหมด แล้วมองไปที่ซีเหมินจั้นอิง ให้นางมา
เติมเหล้าให้
ซีเหมินจั้นอิงจ้องไปที่ฉีหนิง แต่ว่าอยู่ต่อหน้าซีเหมิน
เสินโหว นางก็ไม่กล้าพูดอะไร
“ได้ยินมาว่าคืนนั้นโหวเยวี่ยเห็นคนร้าย” ซีเหมินเสิน
โหวคีบอาหารแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยยังจำลักษณะของ
เขาได้หรือไม่?”
ฉีหนิงรู้ว่าที่เสินโหวพูดถึงหมายถึงคนร้ายที่เป็นผีดูด
เลือด เขาส่ายหน้า “เสินโหวเข้าใจผิดแล้ว ข้าเห็น
คนร้ายจริง แต่ว่าหน้าตาของเขา ข้าเห็นไม่ชัด เขา
สวมเสื้อคลุมสีดำ ปกปิดร่างกาย และยังสวมหน้ากาก
ดูแล้วน่ากลัวมาก เขาตั้งใจปกปิดใบหน้าที่แท้จริงของ
เขา”
“ทำเรื่องร้ายกาจขนาดนี้ ไม่มีทางเปิดเผยหน้าตาที่
แท้จริงแน่นอน” เสินโหวพยักหน้า “แล้วโหวเยวี่ยได้
ยินเขาพูดหรือไม่? จำน้ำเสียงของเขาได้หรือไม่?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาไม่พูด
อะไรเลย แค่...อืม ข้าจำได้ว่าเขาคำรามออกมาสอง
ครั้ง น้ำเสียงแปลกมาก เหมือนสัตว์กำลังร้องคำราม
อยู่”
“ท่านโหวน้อยเห็นแค่คนร้ายที่สวมหน้ากากสวมเสื้อ
คลุมสีดำเท่านั้นหรือ” เสินโหวพูด “ท่านโหวน้อย
ท่านมองออกหรือไม่ว่าเขาเป็นชายหรือหญิง?”
“อ๊า?” ฉีหนิงอึ้งไป แล้วถามด้วยความแปลกใจว่า
“เสินโหวคิดว่าเป็นผู้หญิงหรือ?”
เสินโหวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “หากไม่มีหลักฐาน
ที่ชัดเจน ข้อสันนิษฐานที่คิดได้ก็จะไม่มีทางตัดทิ้งไป
หากคนร้ายเป็นหญิงที่พวกเราคาดไม่ถึง แต่พวกเรา
ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นผู้ชาย เวลาพวกเราหาเบาะแส
ก็จะไม่ตรงแล้วก็ห่างจากความจริงออกไป”
ฉีหนิงคิดในใจว่าขิงแก่ดีๆ นี่เอง ฉีหนิงพยักหน้าแล้ว
พูดว่า “ท่านเสินโหวพูดถูกต้องแล้ว แต่ว่าจาก
น้ำเสียงที่เขาร้องออกมาในคืนนั้น น่าจะไม่ใช่ผู้หญิง”
ซีเหมินจั้นอิงยิ้มเจื่อน ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางอิง
มีความเห็นอะไรบ้าง?”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “ท่านจิ่นอีโหว ข้าขอพูดตรงๆ นะ
เจ้าไม่เคยตามสืบคดี หรืออาจจะเจอมาน้อย บางที
น้ำเสียงของผู้ชายเวลาพูด ก็อาจจะไม่ใช่ผู้ชายก็ได้
ขันทีในวังหลวง น้ำเสียงแหลมเหมือนผู้หญิง จะบอก
ว่าพวกขันทีเป็นผู้หญิงหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางอิง ตามที่เจ้าว่า ข้าขอคำ
ชี้แนะหน่อยได้หรือไม่ พวกขันที เป็นผู้ชายหรือ
ผู้หญิง?”
ซีเหมินจั้นอิงอึ้งไป หลังจากนั้นหน้าของนางแดง
ขึ้นมา จากนั้นก็เบือนหน้าหนีไป ไม่สนใจเขา
“ท่านโหวน้อยอย่าไปสนใจนางเลย” เสินโหวยิ้มแล้ว
พูดว่า “แม่ของเด็กคนนี้ตายไปนานแล้ว ข้าเลย
ค่อนข้างตามใจ เลยเอาแต่ใจแบบนี้ ท่านอย่าได้ใส่ใจ
เลยนะ”
ฉีหนิงยกมือขึ้น “แม่นางอิงอายุยังน้อย ข้าไม่คิดเล็ก
คิดน้อยหรอก เสินโหวไม่ต้องกังวล”
“เจ้า...” ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้ว นางโกรธมาก
“เสินโหว ท่านว่าเหตุใดคนร้ายต้องดูดเลือดด้วย?” ฉี
หนิงไม่รอซีเหมินจั้นอิงโกรธ เขามองไปที่ซีเหมินอู๋เหิง
“ข้าเห็นศพนั่น เหมือนโดนดูดเลือดออกไปเกือบครึ่ง
ร่างกายของคนเรา จะรองรับเลือดมากมายขนาดนั้น
ได้อย่างไรกัน?”
เสินโหวพูดว่า “เรื่องแบบนี้ จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
มาก”
“ไม่ใช่เรื่องแปลก?” ฉีหนิงตกใจ “ท่านเสินโหวเคย
เห็นคนดูดเลือดหรือ?”
เสินโหวบอกว่า “บอกตามตรง ข้าก็ไม่เคยเห็นกับตา
หรอก แต่ว่า...ในยุทธภพมีข่าวลือแบบนี้อยู่”
“ท่านพ่อ ข่าวลืออะไรหรือ? เหตุใดท่านไม่เคยบอกข้า
เลย?” ซีเหมินจั้นอิงรีบถาม
“มันไม่ใช่เรื่องดี เหตุใดต้องบอกเจ้าด้วย?” เสินโหว
มองไปที่ซีเหมินจั้นอิง แล้วพูดว่า “หลายปีก่อน ข้า
เคยได้ยินชาวยุทธ์บางกลุ่มพูดกันว่า พวกเขาฝึกวิชา
ประหลาด มันเป็นวิชามาร ไม่สามารถให้ใครรู้ได้ พูด
กับใครก็ไม่ได้ด้วย วิชามารพวกนั้น หากฝึกจนสำเร็จ
จะมีอานุภาพมาก และร้ายกาจมาก”
“เสินโหวท่านหมายความว่า คนร้ายดูดเลือดเพื่อ
ฝึกวรยุทธ์หรือ?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
เสินโหวอธิบายว่า “ฝึกวิชามาร อาศัยวิธีการต่างๆ ที่
ได้ยินมาเพื่อให้วรยุทธ์ของตัวเองนั้นก้าวกระโดดไป
เช่น การใช้ธาตุหยินเสริมธาตุหยาง หรืออาจจะใช้ยา
พิษ ดูดเลือด เป็นต้น ถึงแม้จะพบเจอไม่มาก แต่ก็ใช่
ว่าไม่มี” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เท่าที่ข้ารู้มา
เมื่อเจ็ดสิบกว่าปีก่อน มีปีศาจโลหิตคนหนึ่ง อยู่ใน
ยุทธภพก่อกรรมฆ่าคนมากมาย วิธีที่เขาใช้ฝึกยุทธก็
คือการดื่มเลือดสดของมนุษย์”
ซีเหมินจั้นอิงหน้าถอดสี แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ คนร้าย
ในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับปีศาจโลหิตหรือไม่?”
“แม่นางอิง ปีศาจโลหิตเขาเป็นคนเมื่อเจ็ดสิบปีก่อน
ตอนนี้จะยังอยู่ได้อย่างไร?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“นอกจากว่าเขาจะอยู่ยงคงกระพัน”
“แล้วเหตุใดจะเป็นไปไม่ได้เล่า?” ซีเหมินจั้นอิงพูด
“ต่อให้เขาอายุยืนเป็นร้อยปีจริง เขาก็ไม่น่าจะอยู่
จนถึงตอนนี้” ฉีหนิงพูดว่า “ปีศาจแบบนี้ เจ้าคิดว่า
ชาวยุทธจะปล่อยเขาไว้หรือ? ท่านเสินโหว หากข้า
เดาไม่ผิด ปีศาจโลหิตคนนี้น่าจะตายไปนานแล้ว
ไม่อย่างนั้นหากเขายังไม่ตาย ผ่านมาเจ็ดสิบปี วรยุทธ
น่าจะไม่มีใครเทียบได้ แล้วจะมีใครฆ่าเขาได้อีกล่ะ
จริงหรือไม่?”
เสินโหวยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยพูดถูกแล้ว
ปีศาจโลหิตท่องยุทธภพได้ไม่กี่ปี ก็ถูกคนลอบสังหาร
ตายไปนานแล้ว”
“แล้วเขาไม่มีศิษย์เลยหรือ?” ซีเหมินจั้นอิงยังไม่ยอม
“ท่านพ่อ ไม่แน่นะคนที่ทำเรื่องพวกนี้ในเมืองหลวง
ตอนนี้ ก็อาจจะเป็นลูกเป็นหลานของเขาก็ได้”
เสินโหวส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่หรอก ไม่เคยได้ยินว่า
เขามีศิษย์ หากมีจริง ก็ไม่น่าจะซ่อนตัวอยู่ในยุทธภพ
นานกว่าเจ็ดสิบปีหรอก” เขาขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า
“หากครั้งนี้คนร้ายดูดเลือดเพื่อฝึกวรยุทธ์จริง ก็
จะต้องรีบจับเขาให้ได้ ไม่อย่างนั้นปล่อยนานไป จะยิ่ง
เกิดเรื่องใหญ่”
ฉีหนิงลังเล แล้วพูดว่า “เสินโหว ข้ารู้สึกว่าฐานะของ
คนร้ายอาจจะไม่ธรรมดา”
“อ๋อ” เสินโหวพูดว่า “ท่านโหวน้อยเหตุใดถึงพูด
อย่างนี้?”
“ข้าเห็นเงาของเขา มันไม่เหมือนคนธรรมดา เขาดูน่า
เกรงขามมาก” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตอนนั้น
เขายืนอยู่บนหลังคา ลมพัดเสื้อคลุม เขามองข้าลงมา
จากบนนั้น ราศีแบบนั้น...พูดแบบนี้ดีกว่า ตอนที่ข้า
เห็นเขา เขาเหมือนกับแม่ทัพใหญ่ที่เคยนำทหารออก
ศึก ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้มีความรู้สึกแบบนี้ แต่
ว่า...ความรู้สึกนี้มันรุนแรงมาก ดังนั้นข้าเลยรู้สึกว่า
ฆาตกรน่าจะไม่ใช่คนธรรมดา”
เสินโหวพยักหน้า “เสี่ยวฉางก็บอกกับข้า บอกว่าโหว
น้อยคืนนั้นให้แบะแสคนๆ นั้นกับพวกเรา” เขาพูดว่า
“ราศีแบบนั้น ไม่ใช่จะได้มาในวันสองวัน แต่มัน
จะต้องสะสมมานาน จะปกปิดก็คงยาก”
“ยังมีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง” ฉีหนิงพูดว่า “เสินโหว
ท่านบอกว่าคนร้ายคิดอยากจะฝึกวิชามาร แต่เหตุใด
ถึงมาทำในเมืองหลวงเล่า? ใครๆ ก็รู้ เมืองหลวงเป็น
ศูนย์กลางของต้าฉู่ ยอดฝีมืออยู่ทั่วไปหมด การ
รักษาการณ์เข้มงวด จวนเสินโหวก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาฆ่า
คนดูดเลือด ไม่มีทางไม่รู้ข้อนี้ เขาทำแบบนี้ มันไม่หา
เรื่องให้ตัวเองไปหน่อยหรือ? แผ่นดินกว้างใหญ่ หาก
ต้องการดูดเลือดฝึกวิชามารจริง ไปทำที่ลับตาคน มัน
ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เหตุใดต้องมาทำที่เมืองหลวงด้วย
เล่า มันน่าแปลกไปกระมัง”
ซีเหมินจั้นอิงเดิมไม่ได้ชอบอะไรฉีหนิงหนัก แต่ว่าพอ
ได้ยินแบบนี้ กลับขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ ที่...
ที่เขาพูดใช่ว่าไม่มีเหตุผล คนร้ายไม่มีทางไม่รู้ว่าหาก
ทำแบบนี้แล้ว จะถูกราชสำนักจับตามอง แต่ว่าเหตุใด
เขาถึงยังทำอีกเล่า?”
เสินโหวมองไปที่ฉีหนิง แล้วถามว่า “ท่านโหวน้อยคิด
อย่างไร?”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าเคยคิดดูแล้ว ความเป็นไปได้ที่มาก
ที่สุดคือ คนๆ นั้น...น่าจะไปจากเมืองหลวงไม่ได้ หรือ
อาจจะ ฐานะของเขาทำให้เขาจากเมืองหลวงไปไหน
นานไม่ได้”
“อ๋อ?” เสินโหวเหมือนจะสนใจ “ท่านโหวน้อย ท่าน
สันนิษฐานได้มีเหตุผลมากเลย”
“เหตุใดเขาถึงไม่สามารถห่างเมืองหลวงไปได้นาน
เล่า?” ซีเหมินจั้นอิงมองไปที่ฉีหนิงแล้วถาม
ฉีหนิงยกแก้วเหล้าขึ้นมา ดื่มจนหมด แล้วมองไปที่ไห
เหล้า ซีเหมินจั้นอิงเต็มไปด้วยความอยากรู้ ถูกฉีหนิง
ทำแบบนี้ใส่ นางจึงรู้สึกโกรธ แต่ก็ยังรินเหล้าให้เขา
ฉีหนิงพูดว่า “แม่นางอิง เจ้าลองคิดดูนะ คนแบบไหน
บ้างที่ไปจากเมืองหลวงไม่ได้? เมื่อไปจากเมืองหลวง
นานๆ แล้วจะถูกคนสงสัย?”
ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้ตอบอะไร
“ตามความเห็นของข้า คนๆ นั้นก็น่าจะเป็นคนที่ถูก
จับตามอง คนส่วนมากน่าจะรู้จักเขาดี” ฉีหนิงพูดว่า
“เขาไม่เหมือนพ่อค้าทั่วไปที่จะไปไหนก็ได้ เดินไปที่
ไหนก็ไม่มีคนสนใจมากนัก คนแบบนี้ เขาไม่สามารถ
ไปจากเมืองหลวงได้ แสดงว่าเขามีตำแหน่งหน้าที่ใน
เมืองหลวง เมื่อไปจากเมืองหลวง ต่อให้ไม่มีใครรู้ คน
รอบตัวเขาก็จะสังเกตเห็นได้ แล้วก็เกิดความสงสัย”
เสินโหวมองไปที่ฉีหนิง สีหน้าจริงจัง สายตาของเขา
เปลี่ยนไปเป็นประกาย
“ดังนั้นพอข้าคิดไปคิดมา บวกกับเบาะแสที่รู้ ฆาตกร
น่าจะเป็นขุนนางราชสำนัก” ฉีหนิงพูดด้วยน้ำเสียง
จริงจัง “อีกทั้งคนๆ นี้ก็น่าจะเป็นแม่ทัพคนหนึ่ง” เขา
หยุดไป แล้วพูดว่า “ยังมีเบาะแสอีกอย่างหนึ่งที่
สำคัญด้วย”
“เบาะแสอะไร?” ซีเหมินจั้นอิงอดไม่ได้ที่จะถาม
“เมื่อครู่ข้าบอกไปแล้ว คนๆ นั้นไม่สามารถไปจาก
เมืองหลวงได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะไปไม่ได้เลย” ฉีหนิงพูดว่า
“ขุนนางหลายคนออกนอกเมืองหลวงไปได้สองสาม
วัน ก็ไม่มีใครสนใจ แต่หากไปนานแล้ว ก็จะทำให้คน
สงสัยได้ หากฆาตกรดูดเลือดเพื่อฝึกวิชา ถ้าออกจาก
เมืองหลวงไปสักสองสามวัน ก็ไม่น่าจะมีใครสนใจ แต่
ว่าเหตุใดเขาถึงได้ยอมเสี่ยงที่จะถูกราชสำนักตามจับ
เพราะก่อคดีในเมืองหลวงด้วยเล่า?”
ซีเหมินจั้นอิงสนใจในการวิเคราะห์ของฉีหนิงมาก
นางถามว่า “เหตุใด?”
“เพราะตัวฆาตกรไม่สามารถควบคุมเวลาของตัวเอง
ได้” ฉีหนิงพูด “เขาฆ่าคนดูดเลือด เขาไม่สามารถ
ควบคุมวางแผนให้ตัวเองได้ แต่เป็นเพราะต้องการ
เดี๋ยวนั้น เขาไม่สามารถคุมมันได้”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 206 ค่าตอบแทน
ซีเหมินเสินโหวอึ้งไป ซีเหมินจั้นอิงเองก็สีหน้าเริ่ม
เปลี่ยน
หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ ทันใดนั้นก็เห็นเสินโหวยกมือ
ขึ้นแล้วชมว่า “ท่านโหวน้อย อนาคตไกลเลยทีเดียว
เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินว่า ซื่อจื่อของจิ่นอีโหวสติไม่
สมประกอบ วันนี้ถึงได้รู้ว่า เรื่องที่เคยได้ยินมานั้น
เชื่อถือไม่ได้เลย ท่านโหวน้อยความคิดลึกซึ้ง ต่อให้
เป็นข้า ก็คิดไม่ได้เท่านี้”
“ท่านเสินโหวชมเกินไปแล้ว” ถูกนักสืบขิงแก่ชมแบบ
นี้ ฉีหนิงรู้สึกเขิน “ขายหน้าท่านเสินโหวแล้ว”
เสินโหวส่ายหัวแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยไม่ต้องถ่อม
ตัวไป” แล้วเขาก็มองไปที่ซีเหมินจั้นอิงแล้วพูดว่า
“เจ้ารู้หรือเปล่า อะไรคือฟังคำพูดมากกว่าอ่าน
หนังสือสิบปี? ที่ท่านโหวน้อยวิเคราะห์มาเป็นเหตุเป็น
ผลทุกอย่าง เจ้าคิดถึงมันสักจุดหรือไม่?”
ถึงแม้ซีเหมินจั้นอิงจะรู้สึกว่าสิ่งที่ฉีหนิงพูดนั้นมี
เหตุผล แต่ยังไม่ยอมแพ้ “ท่านพ่อ ท่านรู้ได้อย่างไรว่า
เขาวิเคราะห์ได้เอง หากว่าเขากลับไปเล่าให้คนของ
เขาฟัง อาจจะเป็นของเขาคิดออกมาก็ได้”
“ยังไม่รู้สำนึกอีก” เสินโหวเอือมละอา “ข้าบอกเจ้ากี่
ครั้งแล้ว คนเราไม่ว่าใครก็สามารถเรียนรู้ได้จากกัน
และกัน เพราะอีกคนต้องรู้ในบางอย่างที่เราไม่รู้ เหตุ
ใดถึงไม่เข้าใจสักที” เขาไม่มองซีเหมินจั้นอิง แล้วพูด
กับฉีหนิงต่อว่า “ท่านโหวน้อย หากท่านไม่ใช่จิ่นอีโหว
ข้าจะให้ท่านมาทำงานในจวนเสินโหวแน่นอน”
ฉีหนิงหัวเราะร่า นิสัยใจคอของเสินโหวทำให้ฉีหนิง
คิดไม่ถึง เขาไม่มีมาด แถมยังความน่ายำเกรงทั้งที่
ไม่ได้โกรธ แต่ให้ความรู้สึกเหมือนคนธรรมดา
ทั้งคู่กินไปเรื่อยเปื่อย อาหารบ้านๆ กับเหล้า ฉีหนิง
เมื่อคืนฝึกกระบี่จนดึก นอนจนถึงเที่ยง แล้วก็ออกมา
เลย ระหว่างทางเขาหิวมาก อีกทั้งอาหารที่เสินโหว
ทำนั้นก็ถูกปากเขามาก ทั้งสองก็ไม่ได้เกรงใจอะไร
มากมาย กินไปดื่มไป ไม่นาน อาหารก็เกลี้ยงหมด
เสินโหวเห็นฉีหนิงไม่ได้พิธีรีตองมาก เขาก็ชอบมาก
มีเพียงซีเหมือนจั้นอิงเท่านั้นที่สีหน้าไม่ค่อยพอใจ ทั้ง
สองดื่มเหล้า นางก็ยกเหล้าขึ้นมารินให้ เห็นฉีหนิงกิน
ข้าวอย่างหิวโหย ก็หันหน้าหนีไปไม่พอใจ
“ตอนนี้ดูไปแล้ว ฆาตกรน่าจะเป็นขุนนางราชสำนัก”
เสินโหวดื่มเหล้า แล้วคิด “คำพูดของท่านโหวน้อย
ทำให้จวนเสินโหวมีเป้าหมายมากขึ้น”
ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้ว “ท่านพ่อ หรือว่าท่านคิดจะส่ง
คนตรวจสอบขุนนางบู๊ของราชสำนัก? ขุนนางบู๊ใน
ราชสำนักอย่างน้อยก็มีสามร้อยอย่างมากก็มีห้าร้อย
จะส่งคนไปเฝ้าทุกคนเลยหรือ? อีกอย่าง...อีกอย่าง
หากมันเกี่ยวข้องกับราชสำนัก จวนเสินโหวจะเข้า
แทรกแซงได้หรือ?”
“แม่นางอิง ถึงแม้ขุนนางบู๊จะมีมาก แต่คนที่รู้จักวิชา
ตัวเบามันจะมีกี่คนเชียว?” ฉีหนิงคิดในใจว่าแม่นาง
คนนี้อ่อนต่อโลกมาก ยังอยากจะคิดทำงานที่จวนเสิน
โหวอีก ความรู้ที่มีตอนนี้ ต่อให้ฝึกอีกสักสิบปีก็อาจจะ
ไม่พอ “ศพก็มีแล้ว วรยุทธ์ของฆาตกรเป็นแบบแข็ง
เมื่อทั้งสองอย่างนี้รวมกัน ก็สามารถสืบหาขุนนางที่มี
วิชาตัวเบาที่ร้ายกาจได้แล้ว”
เสินโหวพยักหน้า “ถูกต้อง”
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกทำตัวไม่ถูก เลยไม่พูดอะไรต่อ
“ท่านเสินโหว ข้าก็พูดไปเพราะความเมา เรื่องจริง
เป็นอย่างไร ข้าเองก็ไม่แน่ใจ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“อย่าให้คำพูดของข้า ทำให้จวนเสินโหวต้องวุ่นวาย
เลย”
“ไม่หรอก” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “คำพูดของเจ้ามัน
เป็นเบาะแสส่วนหนึ่ง จวนเสินโหวไม่มีทางใช้คำพูด
ของเจ้าแค่ไม่กี่คำ ทำให้พวกเราต้องวุ่นวายหรอก
ท่านจิ่นอีโหวกล่าวเกินไปแล้ว”
ฉีหนิงคิดในใจว่าแม่นางคนนี้คิดจะเป็นศัตรูกับเขา
จริงๆใช่หรือไม่ เหตุใดถึงได้ชอบหาเรื่องจิกกัดเขา
ตลอดเวลา หากมีโอกาส เขาจะต้องหาทางสั่งสอนสัก
ที
ซีเหมินจั้นอิงรูปร่างดีมาก ขาวยาวสะโพกสวย
หน้าอกก็เต่งตึง หน้าตาก็ไม่เลว มีสง่าราศี แต่ว่าเย็น
ชาไปหน่อย ทำอย่างกับคนอื่นติดหนี้นางอย่างไร
อย่างนั้น
“ในเมื่อแม่นางอิงพูดแบบนี้แล้วข้าก็เบาใจ” ซีเหมิน
เสินโหวอยู่ข้างๆ มองไปแล้วเหมือนไม่มีอะไร “จริงๆ
แล้วอาจจะไม่ใช่ขุนนางก็ได้ อาจจะมีคนแบบอื่นอีกก็
ได้ อีกทั้ง...เสินโหว แม่นางอิงพูดถูก หากเรื่อง
เกี่ยวข้องกับขุนนางราชสำนักจริง จวนเสินโหวจะยุ่ง
เกี่ยวได้หรือ?”
ซีเหมินเสินโหวยิ้ม ยกแก้วเหล้าขึน้ มา “หากเป็นขุน
นางราชสำนักจริง ก็ต้องทำหน้าที่ในตำแหน่งของ
ตัวเอง แต่ว่าหากเป็นขุนนางราชสำนัก แต่กลับแอบ
ฝึกวิชามารสังหารคนบริสุทธิ์ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็น
เรื่องของยุทธภพ” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย
วันนี้ท่านได้ช่วยเหลือจวนเสินโหวมากจริงๆ ข้าติด
ค้างน้ำใจท่าน ท่านอยากได้อะไรตอบแทนท่านว่ามา
ได้เลย ขอแค่ข้าทำได้ข้าจะทำให้”
ฉีหนิงอึ้งไป แล้วก็หัวเราะร่าออกมา “ท่านเสินโหว
เกรงใจไปแล้ว ข้าก็พูดไปเรื่อย ไหนเลยจะกล้าขอของ
ตอบแทนกับท่าน”
“ท่านโหวน้อยกล่าวผิดแล้ว นี่มันคือการไขคดี มัน
เป็นงานของราชสำนัก โหวเยวี่ยสามารถให้เบาะแส
กับพวกเราได้ แสดงว่าท่านได้ช่วยเหลือจวนเสินโหว
ทางจวนเสินโหวจะไม่แสดงท่าทีไม่ได้” เสินโหวยิ้ม
ฉีหนิงมองไปที่ซีเหมินจั้นอิง ซีเหมินจั้นอิงตกใจ แล้ว
ถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้ามอง
อะไร?”
ฉีหนิงแอบขำในใจ ในใจคิดว่านางคงไม่คิดว่าเขาจะ
ขอนางกับเสินโหวหรอกกระมัง? ทำหน้านิ่งแบบนั้น
ทุกวัน ไม่มีความอ่อนโยนเป็นผู้หญิงเลย ทำให้คนที่
อยู่ด้วยไม่ได้อบอุ่น แถมยังทำให้อึดอัดด้วย อย่าว่าแต่
เสินโหวจะไม่ยกให้แล้ว ต่อให้มีความเป็นไปได้ เขาก็
ไม่เอา
เขาคิดยิ้มแล้วพูดว่า “เสินโหว ในเมื่อท่านเอ่ยปากมา
แบบนี้แล้ว ข้าก็จะไม่ปฏิเสธ แต่จริงๆ ก็เหมือนไม่
ค่อยมีมารยาทไหร่ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ หากท่านยินดี
ท่านมอบภาพวาดให้ข้าสักภาพได้หรือไม่?”
“ภาพวาด?” เสินโหวตะลึง
“ใช่แล้ว” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่าน
เป็นหนึ่งในสี่ศิลปินสี่แขนง ภาพวาดของท่านไม่มีใคร
เทียบได้ ข้าคิดอยากจะเห็นภาพของท่านเสินโหวมา
ตลอด หวังว่าจะมีภาพของท่านแขวนไว้ที่หัวนอนสัก
ภาพ หากท่านเสินโหวจะสามารถมอบภาพวาดให้ข้า
สักภาพ ข้าจะซาบซึ้งใจมาก”
ซีเหมินจั้นอิงรีบพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านเคยบอกเอง
ไม่ใช่หรือว่า จะไม่มอบภาพวาดให้ใคร”
ฉีหนิงอึ้งไป ถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากเป็นอย่างนั้น
ข้าก็จะไม่ให้ท่านเสินโหวต้องลำบากใจ”
เสินโหวลังเล แล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ข้าก็ไม่ปิด
ท่านนะ หากพูดถึงภาพแล้ว ข้าก็ไม่ได้มีความสามารถ
สมชื่อหรอก มันแค่เข้าตาคนอื่นเท่านั้น ที่เข้าในศิลปะ
สี่แขนง ก็เพราะเมื่อก่อนข้าชอบคบหาเพื่อนใหม่ ใน
เมื่อต้องจัดการเรื่องในยุทธภพ ก็ต้องมีเพื่อนในยุทธ
ภพมากหน่อย ดังนั้นก็เลยเคยมอบภาพวาดออกไป
บ้าง แต่ว่า...” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพียงแต่คิด
ไม่ถึงว่าภาพวาดที่เคยให้ไป จะถูกนำไปขาย อีกทั้ง...
อีกทั้งยังราคาสูงมากด้วย เลยเป็นประเด็นให้พูดกัน
ไป มีคนบอกว่าข้าเป็นคนโลภ จริงๆ แล้วคนอื่นจะคิด
อย่างไรข้าไม่ได้สนใจ เพียงแต่ภาพวาดของข้าไป
พัวพัน ก็เลยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ”
ฉีหนิงหยุดอึ้งไป
เขารู้ว่าเสินโหวมีฉายาว่า “เทพแห่งศิลปะ” ภาพที่
เขาวาดนั้นราคาต้องไม่ธรรมดา หากได้ภาพของเขา
มาจริงๆ ถึงเวลานั้นให้หยวนหรงเอาไปขาย เพื่อน
ของหยวนหรงมีมากมาย หากเอาออกไปขายจริง คง
ได้ราคาดีมากแน่นอน
ตอนนี้เสินโหวพูดมาตรงๆ แบบนี้ มันทำให้เขาทำ
อะไรไม่ถูก ต่อให้ได้ภาพมาจริง ก็ไม่ควรเอาไปขาย
เขาทำให้พูดว่า “น่าโมโหจริงๆ ดนตรีหมากรุกตำรา
ภาพวาดล้วนแต่เป็นศิลปะ จะเอาไปขายได้อย่างไร?
ท่านเสินโหว คนพวกนี้ไม่น่าคบหาเลย”
เสินโหวหัวเราะร่าออกมา “ท่านโหวน้อยพูดถึงขนาด
นี้แล้ว ข้าจะไม่ให้ได้อย่างไร?” เขาลุกขึ้นแล้วพูดว่า
“ท่านโหวน้อย เชิญตามข้าไปเลือกที่ห้องภาพ”
ตอนนี้ฉีหนิงก็กินอิ่มแล้ว คิดในใจว่าต่อให้ขายไม่ได้
จริงๆ ถึงเวลานั้นในจวนมีภาพของ “เทพแห่งศิลปะ”
มันก็ถือว่าหาได้ยาก น่าจะมีหน้าไม่น้อย
ซีเหมินจั้นอิงยืนดูแลพวกเขาอยู่นาน เริ่มทนไม่ไหว
แล้ว เห็นดังนั้นก็รีบพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าจะไปเก็บของ
แล้วจะไปจวนเสินโหว”
“ไม่ต้องรีบ” เสินโหวส่ายหน้า เหมือนรู้ว่าซีเหมินจั้น
อิงคิดอะไร แล้วพูดว่า “ไปชงชามาก่อน” แล้วก็ไม่ได้
พูดอะไรอีก พาฉีหนิงไปยังห้องภาพ
ฉีหนิงเดินไปไม่กี่ก้าว หันไปเห็นซีเหมินจั้นอิงจ้องมาที่
ตัวเขาอย่างดุ เขากระพริบตากลับไปให้ซีเหมินจั้นอิง
แล้วก็เดินตามเสินโหวไป
ซีเหมินจั้นอิงกำหมัดแน่น โกรธจนไม่รู้ต้องทำอย่างไร
เดินไปไม่กี่ก้าว ก็เห็นชวีเสี่ยวชาง เดินหน้าตาตื่นเข้า
มา เห็นเสินโหว เขาก็เปลี่ยนท่าทางนอบน้อมขึ้นทันที
เขารีบเดินเข้ามา แล้วยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ท่าน
เสินโหว”
“เกิดอะไรขึ้น?” เสินโหวขมวดคิ้ว
นี่เป็นจวนส่วนตัวของเขา หากไม่ได้มีกรณีพิเศษอะไร
นอกจากลูกสาวของเขาแล้ว คนอื่นห้ามเข้าเด็ดขาด
ชวีเสี่ยวชาง มองไปที่หยางหนิง เสินโหวพูดว่า “เจ้า
ว่ามาไม่เป็นไร”
“ท่านเสินโหว พรรคกระยาจกเหมือนจะเกิดเรื่อง”
ชวีเสี่ยวชาง พูดว่า “ทางหน่วยสืบสวนตรวจพบว่าใน
ระยะนี้ทางพรรคกระยาจกเหมือนไม่ค่อยปกติ เลยส่ง
คนเฝ้าจับตาดู เมื่อครู่ส่งคนมารายงานว่า ในสองวันนี้
ในพรรคกระยาจกมีคนตายไม่น้อย”
เสินโหวยังคงดูนิ่ง “พรรคกระยาจกมีคนตาย? มันเกิด
อะไรขึ้น?”
ฉีหนิงได้ยินว่าเป็นเรื่องของพรรคกระยาจก ก็เลย
ตั้งใจฟัง แต่ว่าเขาไม่หันหน้าไป เหมือนเรื่องของจวน
เซิ่นโหวเขาไม่ได้สนใจ
“รายละเอียดกำลังตรวจสอบ” ชวีเสี่ยวชาง พูดว่า
“วันนี้พวกเราส่งคนเฝ้าดูพวกเขา ศิษย์ของพรรค
กระยาจกออกนอกเมืองไป พบว่าพวกเขานำศพจาก
ในเมืองหลวงออกไปฝังไว้ที่นอกเมือง”
“พวกเขามีปัญหากับพรรคอื่น หรือว่าเป็นปัญหา
ภายในของพวกเขาเอง?” เสินโหวถาม “แล้วเหตุใด
ก่อนหน้านี้ถึงไม่รู้เรื่อง?”
ชวีเสี่ยวชาง เหงื่อไหลแล้วพูดว่า “เรียนเสินโหว พวก
เราจับตาดูอยู่ตลอด แต่เรื่องในคราวนี้เกิดขึ้น
กะทันหัน ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีสัญญาณผิดปกติอะไร
แล้วก็ไม่พบว่าพรรคกระยาจกมีปัญหากับพรรคอื่น
ตามที่ได้รับรายงานมา ในสองวันมานี้ศพที่ถูกส่งออก
นอกเมืองหลวงไปมีทั้งหมดสิบสามคน เนื่องจากว่า
เกี่ยวข้องกับพรรคกระยาจก ทางค่ายหู่เซิ๋นก็เลยป
ล่อบพวกเขาออกจากเมืองไป แล้วก็ส่งคนมาแจ้งกับ
ทางจวนเสินโหวของเรา”
เสินโหวนิ่งไป แล้วพูดว่า “สั่งให้เหวินฉวีหานเทียนซู่
ไปตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หากพรรคกระยาจก
เกิดเรื่องจริง ก็ให้เซวียนหยวนผ่อกับหานเทียนซู่ไป
พบผู้อาวุโสจูเซวี่ยด้วยตัวเอง ให้พวกเขาบอกพวกเรา
ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในเมืองหลวงจะให้เกิดความ
วุ่นวายไม่ได้ หากพรรคกระยาจกไม่สามารถจัดการได้
ก็ให้ทางจวนเสินโหวช่วยเหลือ”
ชวีเสี่ยวชาง รับคำสั่ง “ศิษย์ทราบแล้ว” เขาโค้งตัว
แล้วถอยออกไป
ฉีหนิงรู้ว่า เจ็ดดาวไถนั้นมีจวีเหมิน ทันหลาง เหวินฉวี
ลู่ฉุน เหลียนเจิน อู่ฉวี พั่วจวิน หานเทียนซู่น่าจะเป็น
เหวินฉวีเสี้ยวเว่ย หนึ่งในเจ็ดดาวไถของจวนเสินโหว
หลังจากที่ชวีเสี่ยวชาง ออกไปแล้ว เสินโหวก็หัน
กลับมายิ้มแล้วพูดว่า “โหวน้อย พวกเราไปห้องภาพ
กัน”
ห้องภาพคือห้องที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเข้าไปด้านใน
บรรยากาศก็แตกต่าง ฉีหนิงเห็นว่าในห้องไม่มีโต๊ะ
หรือเก้าอี้เลย มีแต่แผ่นไม้ขนาดใหญ่เต็มไปหมด
รอบๆ มีกลิ่นของไม้โบราณ บนแผ่นไม้มีของมีค่า
มากมายวางอยู่ อีกทั้งมีภาพวาดแขวนอยู่มากมาย
มันดูเรียบง่ายสบายตา
ทางด้านซ้ายสุด เมื่อดึงตาข่าย ก็มีภาพวาดแขนอยู่
เป็นแนว
“ภาพพวกนี้เป็นภาพที่ข้าค่อนข้างชอบ” เสินโหวยืน
ไขว้หลัง แล้วเดินไปที่หน้าของภาพ ยิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านโหวน้อยลองดูว่าท่านชอบภาพไหน เลือกดูได้
เลย”
ฉีหนิงชอบดูภาพสวยงาม แต่ว่ารู้ไม่ลึกมาก เขาดูไม่
ออกเลยว่าภาพไหนดีภาพไหนไม่ดี
ภาพที่แขวนอยู่ทั้งสี่ภาพ สองภาพแรกเป็นภาพวิว
ทิวทัศน์ สองภาพหลัง ภาพหนึ่งคือภาพม้ากำลังวิ่ง
ทะยานไป อีกภาพหนึ่งเป็นภาพนกอินทรีกางปีกบิน
ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยรู้ลึกเรื่องภาพวาดเท่าไหร่ แต่
ฉีหนิงรู้สึกถึงพลังจากภาพวาดพวกนี้ พลังอำนาจพวก
นั้นมันเหมือนจะทะลุออกมาจากภาพ
เขารู้ว่า จิตกรที่เก่ง ให้ความสำคัญกับความหมาย
มากกว่ารูปลักษณ์ ภาพพวกนี้ดูผิวเผินสบายตาไม่มี
อะไร แต่ในลายเส้นที่วาดมันกลับมีอะไรบางอย่าง
ปรากฏอยู่ในนั้น แค่จุดนี้จุดเดียว ภาพทั้งสี่ภาพนี้ก็
เป็นภาพที่ไม่มีใครเทียบได้แล้ว
สี่ภาพที่อยู่ตรงหน้าเขา มันเลือกได้ยากมาก
ฉีหนิงก้มหน้า กำลังคิดว่าควรเลือกภาพไหนดี ทันใด
นั้นก็เห็นภาพสองสามภาพที่อยู่ไม่ไกลวางอยู่ที่พื้น มี
อยู่ภาพหนึ่งไม่มีรูปร่าง มีแค่ลายเส้นไม่กี่เส้น เหมือน
จะเป็นเมฆ แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ เขาเดินไปหยิบ แล้ว
ถามว่า “ท่านเสินโหว เหตุใดท่านถึงไม่แขวนภาพนี้
เอาไว้เล่า?”
“หือ?” เสินโหวเดินเข้ามา แล้วมองไปพูดว่า “ภาพนี้
ข้าวาดตามใจข้า ตวัดพู่กันไปมั่วๆ โหวน้อยคงไม่
สนใจหรอก”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ฉีหนิงจ้องไปที่ภาพแล้วพูดว่า “ท่าน
เสินโหว ข้ามองมันแล้วเหมือนมันจะมีความหมายสื่อ
ถึงมโนศิลป์”
เสินโหวอึ้งไป ถามด้วยความสงสัยว่า “มโนศิลป์? โหว
น้อย มันหมายความว่าอย่างไร?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 207 ภาพมโนศิลป์
ฉีหนิงได้สติกลับมา ในยุคสมัยนี้ ยังไม่มีมโนศิลป์เลย
เขาแค่เห็นว่าภาพของเสินโหวนั้นเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่
ชัด แต่ลายเส้นชัด เหมือนมีความหมายแฝงอยู่ภายใน
เขาเลยอดไม่ได้ที่จะนึกถึงมโนศิลป์แต่ในความเป็น
จริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้รู้เรื่องมโนศิลป์ลึกเท่าไหร่
“อ๋อ?” ฉีหนิงเห็นเสินโหวมองมาที่เขา ก็เลยพูดว่า
“มันเป็นภาพวาดแขนงหนึ่ง ท่านเสินโหวไม่เคยได้ยิน
หรือ?” เขารู้อยู่แก่ใจว่าเสินโหวต้องไม่เคยได้ยินมโน
ศิลป์อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ก็ทำได้แค่นี้
เสินโหวเหมือนสนใจมาก แล้วพูดว่า “ศิลปะภาพวาด
แขนงต่างๆ ข้ารู้หมด เท่าที่ข้ารู้ แบ่งเป็นภาพของทาง
เหนือ เน้นภาพวิวทิวทัศน์ ส่วนภาพทางใต้นั้นเน้น
ภาพสัตว์ เช่น นกหรือสัตว์ร้าย ไม่ว่าจะเหนือหรือใต้
ก็มีแบ่งเป็นศิลปะแขนงอื่นๆ อีกกว่าสิบภาพ
ยกตัวอย่างเช่นภาพทางเหนือก็มีชิวไพ่กับกวนไพ่”
เมื่อพูดถึงภาพวาด เสินโหวก็พูดคุยได้อย่างออกรส
“สภาพอากาศที่สบาย ควันไม้ลอยล่อง สะบัดน้ำหมึก
ลงบนพื้นที่ของค่ายชิว ตัวเรือนทำจากหินเนื้อแน่น
เนื้อไม้มีแต่ความแปลกตา ผู้คนปล่อยตัวปล่อยใจ ทำ
ตัวตามสบายอยู่ท่ามกลางสายลม”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเขาต้องรีบเปลี่ยนประเด็นนี้ไปให้เร็ว
ที่สุด เสินโหวมีฉายาว่า “เทพแห่งศิลปะ” เขาพูด
เรื่องนี้ต่อหน้าเขา มันเหมือนเอาขวานมาฟันหน้า
ในตอนนี้เอง ก็เห็นซีเหมินจั้นอิงเดินเข้ามา ภายใน
ห้องไม่มีที่วางชา เสินโหวเองก็ไม่ได้ใส่ใจ แล้วพูดกับฉี
หนิงว่า “ท่านโหวน้อย มโนศิลป์ที่ท่านพูดถึง ข้าไม่
เคยได้ยินมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าข้าอยู่ทางฝ่ายภาพทาง
เหนือหรือทางใต้?”
“มโนศิลป์?” ซีเหมินจั้นอิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า
“ท่านพ่อ แม้แต่ท่านก็ไม่เคยได้ยินมโนศิลป์มาก่อน
ไม่มีชื่อเสียง แสดงว่ามีคนพูดจาเหลวไหล มันไม่มีอยู่
จริง”
เดิมฉีหนิงไม่ได้อยากจะพูดเรื่องนี้อีก แต่พอได้ยินซีเห
มินจั้นอิงท้าทายแบบนี้ เลยไม่พอใจ แล้วพูดว่า “แม่
นางอิงหมายความว่า มันอาจจะไม่มีชื่อเสียง ดังนั้น
แม่นางอิงก็เลยไม่เคยได้ยิน” แล้วถามว่า “แม่นางอิง
ขอคำชี้แนะหน่อย เจ้ารู้เรื่องภาพหรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงอึ้งไป แล้วหันหน้าไป ไม่พูดไม่จา
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาทันที ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางอิง เจ้า
อายุยังน้อย หากไม่ได้รู้ลึกเรื่องนี้ ก็อย่าตัดสินว่าคน
อื่นพูดจาเหลวไหล? มโนศิลป์มันมีอยู่จริงๆ”
เสินโหวถามว่า “ท่านโหวน้อย มโนศิลป์มัน
หมายความว่าอย่างไร?”
ฉีหนิงรู้ว่าหากต้องการทำความเข้าใจนั้นมันซับซ้อน
มาก อีกทั้งเขาเองก็รู้เรื่องของมโนศิลป์ไม่ลึกมาก
เท่าไหร่ เขาลังเลแล้วชี้ไปที่ภาพของเสินโหว “เสิน
โหวท่านเชิญดูนี่ ภาพนี้ของท่าน มันเป็นภาพชั้นยอด
ดูครู่เดียวก็เห็นลักษณะแล้ว แล้วก็สามารถสัมผัสถึง
ความหมายที่ซ่อนอยู่”
เสินโหวพยักหน้า
“ภาพเหล่านี้ วาดมาตามใจ ขอพูดตรงๆ ภาพของ
ท่านซิ๋นโหวเป็นภาพน้ำหมึก มันก็เหมือนการคัด
สำเนาบนกระดาษเท่านั้น” ฉีหนิงพูดจริงจัง “ภาพ
ทิวทัศน์กับภาพสัตว์ล้วนแต่เป็นภาพธรรมชาติ ดังนั้น
ที่ข้าบอกว่าวาดมาออกมาตามใจนั้น ก็หมายถึงว่า
ภาพนั้นเหมือนธรรมชาติ ภาพที่ท่านเสินโหววาด เป็น
ภาพที่เยี่ยมยอดมาก”
ซีเหมินจั้นอิงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้ารู้เรื่องภาพวาด
ด้วยหรือ? ไม่เป็นธรรมชาติ แล้วจะวาดภาพได้
อย่างไร?”
“อย่าพูดแทรก” เสินโหวขมวดคิ้ว แล้วจ้องไปที่ซีเห
มินจั้นอิง แล้วถามว่า “ท่านโหวน้อย มโนศิลป์มัน
หมายความว่าอย่างไร?”
“ท่านเสินโหวลองมองไปที่ของที่อยู่รอบๆ สิ ไม่ว่าจะ
เป็นสิ่งของหรือกระดาษหรือแม้แต่พู่กัน ต่างมีรูปร่าง
รูปทรงที่ชัดเจน” ฉีหนิงพูดถึงตรงนี้ เห็นเสินโหวดูจะ
สนใจมาก ก็ทำได้แค่อธิบายต่อว่า “มโนศิลป์นั้นก็คือ
แบบอย่างของทัศนศิลป์ที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ แสดง
ความรู้สึกของมนุษย์ต่อธรรมชาติแวดล้อม ถ่ายทอด
เป็นรูปภาพ”
เสินโหวอึ้งไป เขาฟังความหมายแล้วรู้สึกตะลึงไป
แล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย มโนศิลป์ที่เจ้าหมายถึง
ภาพที่ไม่มีรูปร่างรูปลักษณ์ที่ชัดเจนใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าไม่เสียแรงที่เป็นขิงแก่ เสินโหว
เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาพยักหน้าแล้วพูด
ต่อว่า “จะอธิบายอย่างนั้นก็ได้ มโนศิลป์ ก็คือการ
วาดภาพที่ไม่ได้เน้นที่รูปลักษณ์ มันถูกวาดขึ้นตาม
ความรู้สึก ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีอักษร มันแค่สื่อถึง
ลายเส้นที่มีออกมา แค่ใช้สีเล็กน้อย ขีดเขียนจนเป็น
ภาพ หากเทียบกับศิลปะลัทธิประทับใจ มโนศิลป์เน้น
การใช้สีสันรวมกันมากกว่า”
“ศิลปะลัทธิประทับใจ?” เสินโหวตะลึงไปแล้วพูดว่า
“มันหมายความว่าอย่างไร?”
ฉีหนิงตะลึงไป ตอนเขาพูดไม่ระวังหลุดออกมา แล้ว
รีบพูดว่า “เอ่อ...เอ่อมันก็เป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่ง”
เขาไม่อยากพูดมากเกินไป แล้วชี้ไปที่ภาพๆ นั้นแล้ว
พูดว่า “เสินโหว เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้วว่า ภาพๆ นี้มัน
เหมือนมีความเป็นมโนศิลป์แฝงอยู่ ภาพนี้มันไม่มี
รูปลักษณ์ แต่ว่ามันยังคงสามารถสัมผัสถึงความหมาย
บางอย่างที่ซ่อนอยู่”
เสินโหวอ้าปากค้าง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา แล้วพยัก
หน้า เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
จริงๆ แล้วฉีหนิงก็ไม่ได้รู้เรื่องของมโนศิลป์มาก
เท่าไหร่ เขาแค่รู้ว่ามันคือศิลปะแขนงหนึ่ง ซึ่งมัน
ประกอบไปด้วยความคิดและจิตวิญญาณ แต่ให้เขา
อธิบายอย่างละเอียดเขาก็ทำไม่ได้
แต่ก่อนหน้านี้ เสินโหวไม่เคยได้รู้ซึ้งถึงวิธีคิดแบบนี้มา
ก่อน
แสดงว่าเขาคิดในแบบที่เขาเคยชิน และเขาก็สามารถ
ทำได้ถึงจุดนี้แล้ว แต่กลับไม่เดินออกมาจากกรอบที่
เป็นเลย
มโนศิลป์อาจจะสู้ภาพอื่นๆ ที่มีรูปลักษณ์ไม่ได้ แต่
ฉีหนิงรู้สึกว่าหากเสินโหวเดินออกนอกกรอบบ้าง
เสินโหวเองอาจจะทำอะไรที่ฉีหนิงคาดไม่ถึงอีกก็ได้
ซีเหมินจั้นอิงก็เหมือนได้ฟังเรื่องราวลึกลับจากฉีหนิง
หลังจากนั้น เสินโหวก็ยื่นมือไปหยิบภาพนั้นมา แล้ว
พูดว่า “ภาพนี้ข้าวาดโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นข้าไม่ได้
คิดอะไรเลย คิดแค่อยากจะระบายอารมณ์เท่านั้น
ตอนนั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าข้ากำลังวาดอะไรอยู่ พอวาด
เสร็จก็เป็นแบบนี้แล้ว”
“มันคือท่วงทำนองของศิลปะ” ฉีหนิงรีบพูดว่า
“เสินโหวไม่ได้สนใจในรูปลักษณ์ ทำไปตามอารมณ์
ความรู้สึก ข้าไม่กล้าพูดว่ามันคือมโนศิลป์ แต่มันก็
สามารถสื่อถึงความหมายนั้นได้”
เสินโหวพยักหน้า เหมือนเข้าใจอะไรบ้างอย่าง แล้ว
พูดว่า “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง” เขาถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “มันก็เหมือนตอนที่ฝึกวรยุทธ์ เมื่อไม่ถึง
จุดสูงสุด ก็ยังคงฝึกไปเรื่อยๆ แต่ว่าหากเกินจุดนั้นไป
แล้ว มันก็จะเป็นอีกท่วงทำนองหนึ่ง” เขานั่งยองลง
แล้วค่อยวางภาพลงบนแผ่นไม้ เมื่อมองดูอย่าง
ละเอียด เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย
ไม่รู้ว่าท่านไปรู้จักศิลปะแขนงนี้มาจากไหน? ข้าเริ่ม
ศึกษาเรื่องวาดภาพมาตั้งแต่เก้าขวบ จนตอนนี้ก็นาน
กว่าสี่สิบปีแล้ว รู้สึกศิลปะมาก็หลายแขนง แต่ไม่เคย
คิดถึงวิธีวาดภาพแบบที่ท่านโหวน้อยพูดเลย”
ฉีหนิงคิดไว้แล้วว่าจะตอบว่าอะไร เขาพูดว่า “อ่าน
เจอมาเมื่อหลายปีก่อน ในนั้นมีเขียนเอาไว้ ข้าเองก็มี
ความรู้น้อย อีกทั้งไม่มีพรสวรรค์เรื่องศิลปะ ก็เลยไม่
ค่อยได้ใส่ใจมากนัก”
“โหวเยวี่ยจำได้หรือไม่ว่ามันเป็นหนังสืออะไร?” เสิน
โหวตาโต แล้วรีบพูด่า “เป็นหนังสือโบราณใช่หรือไม่?
บรรพบุรุษมีของทิ้งเอาไว้มากมาย แต่ว่าคนรุ่นหลัง
กลับไม่รู้เลย”
ฉีหนิงแกล้งทำเป็นคิด แล้วพูดว่า “เหมือนจะเป็น
ตำราเก่า ตอนที่นั่งเบื่อๆ เลยเปิดดู จากนั้นก็โยนทิ้ง
ไป จากนั้นก็หาไม่เจออีก ชื่อตำราข้าก็จำไม่ได้แล้ว”
เสินโหวสีหน้าเศร้าไป แล้วถอนหายใจว่า “น่า
เสียดาย คิดว่าน่าจะมีมูลค่ามาก”
“เสินโหว หากท่านอยากได้ ข้าจะกลับไปค้นที่ห้อง
หนังสือให้ อาจจะเจอก็ได้” ฉีหนิงมองเสินโหวดู
เสียใจ ก็เลยปลอบดู ในใจก็แอบคิดว่า หากข้า
สามารถย้อนเวลากลับไปได้จะแนะนำหนังสือตำราให้
ไม่อย่างนั้นตำราแบบนี้จะมีอยู่ได้อย่างไร
เสินโหวรีบเดินขึ้นมา จับมือฉีหนิงเอาไว้อย่างตื่นเต้น
แล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ต้องหาให้ได้นะ หากเจอ
จริง ไม่ว่าราคาเท่าไหร่ ข้าก็ไม่เกี่ยง”
ฉีหนิงอดที่จะมองไปที่ซีเหมินจั้นอิงไม่ได้ ซีเหมินจั้น
อิงตกใจ จากนั้นก็รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“เสินโหวท่านอย่าร้อนใจ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
ฉีหนิงทำได้แค่พูดแบบนี้ เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่หลงใหล
ในการวาดภาพของเขาแล้ว ไม่เสียแรงที่ได้ฉายา
“เทพแห่งศิลปะ”
เดิมทีเขาไม่คิดว่าคนที่เป็นยอดฝีมือด้านภาพแบบนี้
จะเปลี่ยนแปลงเพราะคำพูดไม่กี่คำของเขา แต่ตอนนี้
ดูๆ ไปแล้ว เขาเหมือนจะประเมินมโนศิลป์มากเกินไป
จริงๆ เขาไม่เข้าใจถึงคนที่รู้ซึ้งด้านใดด้านหนึ่งแล้ว
สามารถรู้ซึ้งเกินจุดนั้นไปได้อีก จากนั้นพอได้ยินวิธีคิด
แบบอื่น ในใจก็ตื่นเต้นจนไม่อาจสามารถบรรยาย
ออกมาได้
“จริงสิ โหวน้อย เมื่อครู่ท่านพูดว่าศิลปะลัทธิ
ประทับใจ มันหมายความว่าอย่างไร?” เสินโหว
ท่าทางอยากจะได้รับคำชี้แนะ ซีเหมินจั้นอิงเห็นอยู่ตำ
ตา นางก็รู้สึกตกใจมาก
ซีเหมินอู๋เหิงเป็นคนมีตำแหน่งฐานะ ไม่ว่าจะในยุทธ
ภพหรือว่าราชสำนัก พูดได้ว่ามีศักดิ์สูงมาก ไม่ว่าใคร
ก็ตาม เมื่อเห็นเขา ก็จะต้องยำเกรง
ภายในจวนเสินโหว มียอดฝีมือมากมาย แต่ละคนเห็น
เสินโหวเป็นดังเทพ แม้แต่ซีเหมินจั้นอิงที่เป็นลูกสาว
แท้ๆ ก็มีความกลัวเสินโหวไม่น้อย
ปกติเสินโหวจะดูไม่ค่อยเข้าหาง่าย แต่ว่าสามารถทำ
ให้คนยำเกรงโดยไม่โกรธได้ สีหน้าอารมณ์หน้าเดียว
ตลอด สามารถนั่งตำแหน่งสูงสุดในจวนเสินโหว
สามารถจัดการเรื่องต่างๆ ทั้งในราชสำนักแล้วก็ยุทธ
ภพ มันเป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่ได้ทำได้ง่ายๆ
แต่ว่าฉีหนิงพูดแค่ไม่กี่คำก็สามารถทำให้เขาหวั่นไหว
ได้ มันทำให้ซีเหมินจั้นอิงไม่ค่อยเข้าใจ อะไรที่ทำให้
เสินโหวถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้ มันเป็นสิ่งที่ซีเหมินจั้นอิง
คาดไม่ถึง
ถึงแม้เรื่องเข้าใจผิดในคืนนั้นจะเข้าใจกันแล้ว แต่ซีเห
มินจั้นอิงไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับคนเสเพลแบบนี้ ในใจ
ของนาง คนพวกนี้มีดีแค่เที่ยวเล่นไปวันๆ เป็นกลุ่ม
คนที่ไม่เอาไหน
ถึงแม้คืนนั้นจะยืนยันแล้วว่าฉีหนิงไม่ใช่ฆาตกรดูด
เลือด อีกทั้งเป็นแค่คนผ่านทางมาเท่านั้น แต่ว่าซีเห
มินจั้นอิงก็รู้ว่า คืนนั้นมีงานคัดเลือกราชินีดอกไม้ที่
แม่น้ำฉินไหว ชายหนุ่มผู้ดีมีตระกูล กลางดึกกลางดื่น
ยังอยู่กลางถนน ไม่ต้องใช้สมองก็พอจะคิดได้ว่าคงไป
ทำอะไรมา
นางคิดไปแล้วว่าฉีหนิงจะต้องเป็นพวกคุณชายเสเพล
ดังนั้นนางก็เลยดูถูกฉีหนิงมาก วันนี้ฉีหนิงมาดื่มเหล้า
กับเสินโหว ตัวนางถูกบังคับให้อยู่รับใช้คุณชายเสเพล
นี่ ทำให้ซีเหมินจั้นอิงไม่พอใจมาก จนแทบจะเก็บ
เอาไว้ไม่ไหว
อีกทั้งฉีหนิงก็ท้าทายนางหลายครั้ง ยิ่งทำให้ซีเห
มินจั้นอิงมีใจอคติมากขึ้น
แต่เมื่อครู่ตอนที่เขาวิเคราะห์ข้อสันนิษฐาน มันทำให้
ซีเหมินจั้นอิงเริ่มมองเขาใหม่บ้าง แต่ว่าในใจของนาง
ก็ยังคิดว่าข้อสันนิษฐานพวกนั้นมาจากคนของเขา
ดังนั้นนางก็ยังไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับฉีหนิงมากมาย
ตอนนี้เห็นคำพูดของฉีหนิงสามารถทำให้เสินโหวมี
ท่าทีที่ตื่นเต้นได้ขนาดนี้ นางรู้จักพ่อของตัวเองดี หาก
ไม่ใช่คำพูดที่น่าตกใจจริงๆ ไม่มีทางทำให้เขาเป็นแบบ
นี้ได้ นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองฉีหนิง ในใจก็แอบ
คิดว่าหรือว่าจิ่นอีโหวน้อยคนนี้จะพอมีความสามารถ
อยู่บ้าง?
ตอนนี้ฉีหนิงปวดหัวมาก กว่าจะหลุดจากประเด็นมโน
ศิลป์มาได้เลือดตาแทบกระเด็น ตาเฒ่านี่กลับสงสัยไม่
เลิก ยังมาถามเรื่องศิลปะลัทธิประทับใจ หากต้อง
อธิบายจริงๆ มันก็จะยิ่งซับซ้อนไปอีก ก็เลยพูดว่า
“เสินโหว เอาจริงๆ ข้าเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ รอข้าเจอ
ตำราเล่มนั้น มีโอกาสค่อยอธิบายให้ท่านฟัง ท่านคิด
ว่าอย่างไร?”
“มีโอกาสแน่นอน” เสินโหวยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหว
น้อย ข้ากับท่านเหมือนรู้จักกันมานาน คุยกันถูกคอ
มาก ต่อไปท่านต้องมาหาข้าบ่อยๆ นะ เอ่อ ข้าเองก็รู้
ว่าท่านโหวน้อยมีเรื่องต้องทำมากมาย ข้าก็จะไม่
รบกวนท่านแล้ว ท่านกลับไปมีเวลาว่างค่อยหา ข้าจะ
รอข่าวจากท่าน”
ฉีหนิงอึ้งไป ในใจก็คิดว่าตาเฒ่านี่ใจร้อนจริงๆ บอกว่า
ไม่อยากรบกวนเวลา นี่มันไล่ให้กลับไปหาหนังสือ
ชัดๆ
แต่เขาเองก็กังวลว่าถ้าเขาอยู่ต่อเสินโหวจะลากเขาคุย
เรื่องภาพอีก ท่านเสินโหวเป็นคนของจวนเสินโหว
เกิดไม่ระวัง หลุดพูดอะไรให้เขาจับได้อีกมันจะแย่เอา
ได้ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ขอตัวกลับก่อน
ไว้ค่อยมาเยี่ยมท่านใหม่”
“ได้ ได้” เสินโหวมองไปที่ซีเหมินจั้นอิง แล้วพูดว่า
“อิงเอ๋อร์ เจ้าไปส่งท่านโหวน้อยกลับจวน จะต้องส่ง
ให้ถึงที่ ถือว่าชดเชยที่เจ้าเข้าใจท่านโหวน้อยผิดครั้งที่
แล้ว”
ซีเหมินจั้นอิงรีบพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านจะให้ข้า...”
“ไม่ใช่พ่อ แต่เป็นคำสั่งของเสินโหวแห่งจวนเสินโหว”
ซีเหมินเสินโหวน้ำเสียงนิ่ง
ซีเหมินจั้นอิงจนปัญญา ทำได้แค่ยกมือคำนับแล้วพูด
ว่า “ทราบแล้ว”
ฉีหนิงเดินมา ยิ้มให้ซีเหมินจั้นอิง แล้วพูดว่า “แม่นาง
อิง เสินโหวท่านมีน้ำใจมากขนาดนี้ ข้าก็จะรับไว้ ต้อง
ลำบากรบกวนแม่นางอิงไปส่งที่จวนแล้ว ได้แม่นางอิง
ไปส่ง คงไม่ถูกใครจับตัวไปอีกแน่นอน”
“เจ้า...” ซีเหมินจั้นอิงกัดฟัน จ้องฉีหนิง ในใจก็แอบ
คิดว่า “เจ้าคนแซ่ฉี เจ้าอย่าได้ใจไปนัก วันใดที่เจ้าอยู่
ในกำมือข้า ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสความทรมาน”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 208 ยั่วยุ
เมื่อออกจากเสี้ยนเล่อจวี ชวีเสี่ยวชาง ก็หายไปแล้ว
เหลือแค่ต้วนฉางไห่ที่ยืนรออยู่ข้างนอก ซีเหมินจั้นอิง
พกกระบี่เอาไว้กับตัว แล้วมองไปที่ต้วนฉางไห่ แล้ว
พูดว่า “เจ้าก็มีองครักษ์คุ้มครองอยู่แล้ว คงไม่ต้องให้
ข้าไปส่งหรอกกระมัง”
“จั้นอิง เสินโหวท่านมีน้ำใจ หากข้าปฏิเสธ ก็
หมายความว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าของท่านเสินโหว ท่าน
เสินโหวจะไม่พอใจได้นะ” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “จริงๆ แล้วข้าก็ไม่ได้อยากให้เจ้าไปส่ง เอาอย่างนี้
ดีหรือไม่เดี๋ยวข้ากลับไปมองท่านเสินโหวว่า เจ้ามีงาน
ต้องไปทำ ไม่อยากไปส่งข้า?”
ซีเหมินจั้นอิงโมโหแล้วพูดว่า “ห้ามเรียกข้าแบบนี้”
“แล้วจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“หรือว่าให้ข้าเรียกเจ้าว่าอิงเอ๋อร์? ท่านเสินโหวเป็น
เพื่อนข้า เจ้าอายุยังน้อย ข้าเรียกเจ้าตามท่านเสินโหว
ก็น่าจะได้”
ซีเหมินจั้นอิงยิ่งโมโหมาก นางเดินไป แล้วหันกลับมา
พูดด้วยความโกรธว่า “ยังไม่ไปอีกหรือ?”
ฉีหนิงหัวเราะร่า แล้วเดินตามไป พวกของต้วนฉางไห่
ก็เป็นคนรู้อะไรอยู่ เห็นแบบนี้แล้ว ก็แอบหัวเราะ
แล้วเดินตามหลังอยู่ห่างๆ เพื่อไม่ให้เป็นก้างขวางคอ
พวกเขา
เมื่อออกจากถนนไป ฉีหนิงก็ค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ช่วง
บ่ายแบบนี้ คนที่เดินไปเดินมาก็มีเยอะมาก
ซีเหมินจั้นอิงเห็นเขาเดินเฉื่อยมาก ก็ร้อนใจ พูดเร่งไป
ว่า “เจ้าเดินให้มันเร็วๆ หน่อยได้หรือไม่?”
“จั้นอิง เจ้าก็อย่ารีบร้อนนักสิ” ฉีหนิงเห็นนางร้อนใจ
ก็ยิ่งชอบใจ เดินช้าๆ แล้วพูดว่า “เพิ่งจะกินข้าวเสร็จ
อย่าเดินเร็วนักสิ มันไม่ดีต่อสุขภาพ ค่อยๆ เดิน ย่อย
อาหารดี ข้าเคยชินแบบนี้”
“เจ้า...” ซีเหมินจั้นอิงทั้งโกรธทั้งร้อนใจ หากไม่ได้นึก
ถึงเสินโหวแล้ว คงทิ้งฉีหนิงไปแล้ว
ฉีหนิงเดินอยู่ด้านหลัง เห็นนางรูปร่างเรียวบาง วันนี้
ไม่ได้คลุมเสื้อ ก็เลยเห็นทรวดทรงองเอวของนาง
ทั้งหมด
หรืออาจจะเป็นเพราะนางฝึกยุทธ์ นางถึงได้สะโพกที่
เต่งตึง แล้วก็ดูใหญ่เป็นพิเศษ แต่เอวของนางยังเล็ก
อยู่ เวลาเดินก้นบิดไปมา มันน่าหลงใหลมาก แต่ก็
ยังคงความแข็งแกร่งองอาจอยู่
ฉีหนิงคิดในใจว่าหากไม่นับหน้าตาที่ดูเย็นชา รูปร่าง
แบบนี้ก็เป็นที่ชื่นชอบของแม่ผัวหลายคนเลยทีเดียว
เมื่อไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวจากด้านหลัง ซีเหมินจั้น
อิงก็หันหน้ากลับไป เห็นฉีหนิงเบือนสายตาหนีไป
นางขมวดคิ้ว แล้วก้มหน้าลง จากนั้นก็เหมือนคิดอะไร
ได้ สีหน้าของนางก็เริ่มแดงก่ำ แล้วพูดว่าด้วยความ
อายและโกรธว่า “เจ้า...เจ้ามองอะไร?”
“ไม่ได้มองอะไร” ฉีหนิงทำหน้าเหมือนคนถูกใส่ร้าย
“จั้นอิง เจ้าคิดว่าข้าดูอะไรหรือ?”
ซีเหมินจั้นอิงกำหมัดแน่น แล้วพูดว่า “หากเจ้า...เจ้า
ยังมองมั่วซั่วอีก ข้าจะควักตาเจ้าออกมาเลยคอยดู”
น้ำเสียงของเขาดุมาก แต่ว่าสีหน้ากลับแดงก่ำ ถึงแม้
จะเย็นชา แต่ก็ยังมีความเป็นผู้หญิงซ่อนอยู่
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าอย่าเอะอะก็จะฆ่าจะแกงกันได้
หรือไม่ ข้าเป็นถึงจิ่นอีโหวเชียวนะ เจ้าจะตบจะตีข้า
ได้หรือ? หากท่านเสินโหวรู้เข้า จะเป็นเรื่องใหญ่นะ”
“คนอย่างเจ้า น่าจะ...น่าจะถูกจับ” ซีเหมินจั้นอิงพูด
ด้วยความเกลียดชัง
ฉีหนิงเดินเข้าไปใกล้ ยิ้มแล้วพูดว่า “จั้นอิง เจ้ากำลัง
เข้าใจอะไรข้าผิดหรือไม่?”
“เข้าใจผิด?”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกคุณชายเสเพลเอาแต่เที่ยวเล่น
ไม่เอาไหนใช่หรือไม่?” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูด
ซีเหมินจั้นอิงยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “เจ้าก็ยังกล้าพูดใน
สิ่งที่รู้อยู่แล้ว”
“จริงๆ ก็โทษเจ้าไม่ได้หรอก” ฉีหนิงพูดว่า “ปกติแล้ว
คนที่เกิดในตระกูลใหญ่ ก็มักจะหน้าตาดี มีสง่าราศี
พูดจาดี ก็มักจะถูกมองว่าเป็นคุณชายเสเพลทั้งนั้น”
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกว่ามันน่าขำมาก นางพูดว่า “เจ้าดู
องอาจหน้าตาดีหรือ? ข้าไม่เห็นจะรู้สึกอย่างนั้นเลย”
“ก็แปลว่าตาเจ้าไม่มีแวว” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าไม่เพียง
ไม่เห็นว่าข้าหน้าตาหล่อเหลา แม้แต่ตัวตนจริงๆ ของ
ข้าข้างในเจ้าก็มองไม่ออก ตัวข้ามีข้อดีตั้งมากมาย แค่
เจ้าใช้ใจไปสัมผัส เจ้าก็จะเห็น ไม่แน่ต่อไปข้อดีพวกนี้
อาจจะดึงดูดใจเจ้าก็ได้”
“ข้าไม่สนใจข้อดีอะไรของเจ้าทั้งนั้น” ซีเหมินจั้นอิง
พูด น้ำเสียงเย็นชา “ข้าได้ยินมาว่าจิ่นอีโหวทั้งสองรุ่ง
เป็นวีรบุรุษองอาจกล้าหาญ แต่ว่าเจ้า...” แล้วก็ยิ้ม
แบบไม่พอใจว่า “บนตัวเจ้าไม่มีความเป็นวีรบุรุษที่
องอาจกล้าหาญเลยแม้แต่น้อย”
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้น ท่านเหล่าโหวกับท่านแม่ทัพใหญ่ก็
เป็นชายในฝันของเจ้าล่ะสิ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงได้อคติต่อข้านัก”
“เจ้ารู้หรือ?”
“แน่นอน” ฉีหนิงพูด “เจ้าน่าจะคิดว่าข้าก็น่าจะ
เหมือนกับจิ่นอีโหวคนก่อนๆ ที่มีความองอาจกล้า
หาญอย่างนักรบ ไม่แน่ก่อนที่เจ้าจะเจอกับข้า อาจจะ
วาดฝันเอาไว้ว่าข้าเป็นคนแบบไหนกัน แต่ว่าหลังจาก
ที่เจ้าเจอข้าแล้ว มันไม่เหมือนกับที่เจ้าคิดเอาไว้ เลย
ทำให้เจ้าผิดหวัง ความฝันของเจ้าเลยพังทลายลง
ดังนั้นเจ้าเลยชักสีหน้าใส่ข้าตลอดเวลา จั้นอิง ข้าพูด
ถูกหรือไม่?”
“คนเลว” ซีเหมินจั้นอิงทั้งอายทั้งโกรธ “ใครวาดฝัน
ตัวเจ้ากัน? ข้า...เหตุใดข้าต้องฝันถึงเจ้าด้วย?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถูกข้าพูดแทงใจดำเข้าแล้ว ก็เลยโกรธอย่าง
นั้นสิ?” ฉีหนิงคิดไว้แล้วว่าซีเหมินจั้นอิงไม่กล้าทำ
อะไรเขาหรอก เขายิ้มแล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วข้าเองก็
เข้าใจได้ เจ้าอายุยังน้อย บางครั้งแอบวาดฝันใครไว้
บ้างก็เป็นเรือ่ งปกติ ข้าไม่โทษเจ้าหรอก เพียงแต่ว่า
...”
“เจ้าคนแซ่ฉี เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้” ซีเหมินจั้นอิงกำ
กระบี่ในมือแน่น แล้วตะคอกว่า “หากเจ้าพูดจา
เหลวไหลอีก ข้าจะฟันเจ้าให้ตายตรงนี้เลย”
เสียงของนางดังมาก คนรอบๆ หันมามอง ซีเหมินจั้น
อิงรู้สึกว่ามีดวงตาหลายคู่จับจ้องมาที่ตัวนาง ก็หันไป
พูดว่า “มองอะไรกัน?”
ใครก็รู้ว่าแคว้นของตนนั้นมีคำสั่งปลดอาวุธอยู่ คน
ธรรมดาทั่วไปจะพกมีดพกดาบไม่ได้ แม่นางคนนี้พก
กระบี่ไว้กับตัว แสดงว่าไม่ใช่คนธรรมดา ต่างก็รีบเดิน
ไป
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าดูเจ้าสิ
กลางวันแสกๆ แต่ละคนมองเจ้าอย่างกับเจอผี เจ้า
เหตุใดไม่ลองมองตัวเองดูบ้าง? เจ้าเองก็ยังเป็นผู้หญิง
อยู่ อารมณ์รุนแรงแบบนี้ ต่อไปใครกล้าแต่งงานกับ
เจ้า?”
“ใครจะแต่งไม่แต่งกับข้า มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า” ซีเห
มินจั้นอิงพยายามข่มอารมณ์ไม่ชักกระบี่ขึ้นมาฟันฉี
หนิง “สรุปเจ้าจะเดินต่อหรือไม่?”
ต้วนฉางไห่อยู่ห่างไม่เกินสิบก้าว เห็นซีเหมินจั้นอิงกำ
กระบี่ไว้แน่น ก็เดินหน้าขึ้นมาสองก้าว แต่ก็หยุด ใน
ใจก็คิดว่าซีเหมินจั้นอิงไม่กล้าลงมือกับฉีหนิงหรอก
ฉีหนิงยิ้มเจื่อนแล้วส่ายหน้า ยังคงเดินช้าๆ เหมือนใน
ตอนแรก
ซีเหมินจั้นอิงทนไม่ไหวอีกแล้ว นางพูดว่า “เจ้าพาตัว
ของเจ้ากลับไปเองเลย ข้าไม่สนแล้ว” จากนั้นก็หัน
หน้าเตรียมทิ้งฉีหนิงไว้กลางทาง ฉีหนิงหันหน้าไปแล้ว
พูดว่า “ต้วนฉางไห่ เจ้าไปบอกท่านเสินโหวหน่อย
ว่าจั้นอิงนางมีงานต้องทำ เลยทิ้งข้าเอาไว้กลางทาง
ข้าไม่โทษนาง”
ซีเหมินจั้นอิงหยุดเดิน ปิดตา สูดหายใจเข้า เพื่อให้
ตัวเองข่มใจลง
ถึงแม้นางจะไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวอย่าง
เป็นทางการ แต่ว่านางก็มีใจอยากจะเข้าไปทำงานใน
คดีของจวนเสินโหว
เมื่อครู่หากซีเหมินอู๋เหิ๋งใช้ฐานะความเป็นพ่อสั่งให้
นางมาส่ง คงไม่สนใจตั้งแต่ออกนอกประตู แต่ว่าซีเห
มินอู๋เหิงใช้ฐานะเสินโหวสั่งนาง นางจะไม่ไตร่ตรอง
ไม่ได้เลย
นางเข้าใจ ซีเหมินเสินโหวใช้ฐานะเสินโหวสั่งนาง นั่น
หมายความว่า ยอมรับให้นางเข้าไปทำงานในจวนเสิน
โหวแล้ว มันเป็นความฝันของนาง ดังนั้นการส่งฉีหนิง
กลับจวนก็ถือว่าเป็นบททดสอบแรกของการเข้า
ทำงานในจวนเสินโหว
จวนเสินโหวคัดเลือกคนเข้มงวดมาก หากไม่ผ่านการ
ทดสอบของซีเหมินอู๋เหิง แทบจะไม่มีโอกาสได้เข้า
ตอนนี้มีโอกาสนั้นแล้ว ซีเหมินจั้นอิงจะทิ้งมันไปได้
อย่างไร?
ก็ถือเสียว่าเป็นแบบทดสอบความอดทนก็แล้วกัน
เห็นซีเหมินจั้นอิงหยุดเดิน ฉีหนิงก็ยิ้มแล้วเดินมา
ใกล้ๆ เขามองไปที่ซีเหมินจั้นอิง เห็นหน้าไม่มีสีหน้า
อะไร ก็พูดว่า “จั้นอิง ถึงแม้ในชื่อของเจ้าจะมีคำว่า
‘จั้น’ ที่แปลว่าสงคราม แต่ว่าตอนนี้พวกเราก็ไม่ได้ทำ
สงครามอะไร ผ่อนคลายลงบ้าง จนตอนนี้ข้ายังไม่
เห็นเจ้ายิ้มเลย เจ้าลองยิ้มให้ข้าดูสักทีได้หรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงหันหน้ากลับไป มองไปที่ฉีหนิง แล้วพูด
อย่างจริงจังว่า “ข้ายิ้มไม่เป็น แล้วก็ไม่อยากยิ้มด้วย
ยิ่งไม่อยากยิ้มให้เจ้าเห็นด้วย เจ้าวางใจได้ ข้าจะไม่มี
วันยิ้มต่อหน้าเจ้าแน่นอน ข้าพูดชัดแล้วนะ”
“ชัดเจน ชัดเจนมาก” ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ว่า
แต่ถ้าเกิดวันหนึ่งเจ้าเกิดยิ้มต่อหน้าข้าขึ้นมา แล้วจะ
ทำอย่างไร?”
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย หากเป็น
คนอื่น เจอท้าทายแบบนี้ นางคงไม่ลังเลที่จะลงมือ
แต่ว่าผู้ชายคนนี้นางกลับทำอะไรไม่ได้เลย นางรู้สึก
แปลกใจมาก ซีเหมินอู๋เหิงปกติสายตาเฉียบคมมาก
คนที่เขาถูกใจมีไม่กี่คน แต่เหตุใดถึงได้ถูกใจผู้ชาย
แบบนี้ได้? หรือเพราะเขาเป็นจิ่นอีโหว? ที่น่าโมโห
ที่สุดคือยังให้นางมาส่งเขาอีก แค่ถนนไม่กี่สาย เขาก็มี
องครักษ์ตามมาด้วย แล้วจะให้นางมาส่งทำไม?
นางคิดในใจว่า อยากจะให้มีนักฆ่าโผล่ออกมาสักคน
แล้วฆ่าเขาให้ตายซะตอนนี้เลย
“ได้ หากวันใดที่ข้ายิ้มต่อหน้าเจ้า เจ้าจะสั่งให้ข้าทำ
อะไรก็ได้” ซีเหมินจั้นอิงพูด “ต่อให้เจ้าจะฆ่าข้า ข้าก็
ยอม”
“เจ้าดูเจ้าสิ พูดไม่เกินสามคำก็จะฆ่าจะแกงอีกล่ะ”
ฉีหนิงยิ้ม “เจ้าหน้าตาสวยขนาดนี้ จะให้ฆ่าเจ้าข้าทำ
ไม่ลงหรอก”
ซีเหมินจั้นอิงปิดปากสนิท แล้วไม่พูดอะไรอีก นางคิด
ไว้แล้ว ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา นางก็จะไม่พูดอะไรกับเขา
อีก
ฉีหนิงเห็นนางไม่พูดอะไร ก็เริ่มรู้สึกไม่สนุก เมื่อเดิน
ลอดถนนไป กำลังจะเลี้ยวเข้าอีกถนนเส้นหนึ่ง ก็เห็น
คนรีบร้อนวิ่งไป กำลังสงสัยอยู่ ก็เห็นคนวิ่งตื่นเต้นมา
ทางเขา เขายื่นมือไปจับคนๆ หนึ่งไว้ คนๆ นั้นตกใจ
แล้วหันไปมอง กำลังจะเอ่ยปาก แต่ว่าเห็นฉีหนิงแต่ง
กายด้วยเสื้อผ้าผู้ดี ด้านหลังยังมีผู้หญิงพกกระบี่ ก็เลย
เก็บคำด่ากลับไป เขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชาย...
คุณชายท่านนี้ ข้า...ข้าทำอะไรผิดกระนั้นหรือ?”
“เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด แค่วิ่งมาผิดทาง” ฉีหนิงพูดว่า
“เจ้าแค่วิ่งมาทางข้า ข้ากำลังจะหาคนถาม ดังนั้นก็
เลยเรียกเจ้าเท่านั้น” ขณะที่พูด ก็มีอีกสองสามคนวิ่ง
มุ่งหน้าไปอีก เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตรงนั้นเกิด
อะไรขึ้นหรือ เหตุใดพวกเจ้าถึงได้วิ่งไปทางนั้นกัน
หมด?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 209 เวทีประลอง
เขาถูกฉีหนิงจับตัวเอาไว้ เดิมคิดว่าทำอะไรผิด ได้ยิน
ฉีหนิงพูดแบบนี้แล้ว เขาก็เบาใจ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“คุณชาย ตรงนั้นมีเรื่องน่าสนุก ท่านเองก็ลองไปดูสิ
มีเวทีประลองยุทธ์ จัดมาสามวันแล้ว วันนี้วันสุดท้าย
อีกเดี๋ยวก็จะตัดสินแพ้ชนะแล้ว”
ฉีหนิงพูดว่า “เวทีประลองยุทธ์”
“เวทีประลองยุทธ์ของตระกูลเถียน” คนนั้นอธิบายว่า
“หากสามารถเอาชนะได้ ก็จะได้เงินรางวัลหนึ่งร้อย
ตำลึง อีกทั้งยังมีของขวัญพิเศษด้วย”
“หนึ่งร้อยตำลึง?” ฉีหนิงหลุดหัวเราะ หากเป็น
เมื่อก่อน เงินหนึ่งร้อยตำลึงเขาอาจจะไปร่วมก็ได้ แต่
ว่าของที่ได้เจอมาในช่วงนี้แล้ว มีแต่ของที่เกินหนึ่งพัน
ตำลึงทั้งนั้น เงินหนึ่งร้อยตำลึงมันน้อยจนน่าสงสาร
เงินแค่หนึ่งร้อยตำลึง จะหายอดฝีมือ คงไม่มีทางมีใคร
ขึ้นไปประลองได้ “แล้วรางวัลพิเศษนั่นมันอะไรกัน?”
คนนั้นหัวเราะ แล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าเป็นของที่ดี
มากเลย บางคนยังพูดว่าตระกูลเถียนต้องการหานาย
ผู้ชายคนใหม่ แต่ว่าสุดท้ายแล้วคืออะไร พวกเราก็แค่
คาดเดา ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”
“อ๋อ?” ฉีหนิงเคยได้ยินมาจากภพก่อนว่า “การ
ประลองเลือกคู่” แต่ว่าไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองมา
ก่อน ตอนนี้เขาก็เลยรู้สึกสนใจขึ้นมา “เจ้า
หมายความว่าตระกูลเถียนจัดเวทีประลองเลือกคู่
อย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเองก็แอบได้ยินคนเขาพูดมา ฮูหยินเถียนก็ไม่ได้
พูดชัดเจน ว่ามันคืออะไร พวกเราเองก็ไม่รู้” คนๆ
นั้นดูรีบๆ “คุณชาย ข้าขอตัวไปดูก่อนนะ หากช้า
เดี๋ยวจะไม่ทัน”
ฉีหนิงปล่อยมือ คนๆ นั้นก็วิ่งไป
ฉีหนิงหันไปดูซีเหมินจั้นอิง ยิ้มแล้วถามว่า “จั้นอิง
พวกเราไปดูกันดีหรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงไม่ได้สนใจเขาเลย ในใจแอบคิดว่า
อย่างไรก็เสียเวลาไปแล้วถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเขาก็แล้ว
กัน พอฟ้ามืด เขาคงต้องกลับจวน เขาอยากจะทำ
อะไร ก็ตามเขาไปจนถึงค่ำก็แล้วกัน
เจ้าหน้าที่ในจวนเสินโหวเอง ก็ผ่านการทดสอบมา
อยากหนักทั้งนั้น หลายคนใช้เวลาตั้งหลายชั่วยามถึง
จะผ่าน เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว แค่เวลาตลอดทั้ง
บ่ายถือว่าเบามาก
ต้วนฉางไห่ตอนนี้เดินเข้ามาแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย
เวทีประลองยุทธของตระกูลเถียนจัดมาหลายวันแล้ว
แต่ว่ามีแต่พวกวรยุทธทั่วไป ไม่มียอดฝีมือมาเลย”
“เงินหนึ่งร้อยตำลึง จะไปหวังให้ยอดฝีมือมาแสดง
ฝีมือต่อหน้าคนอื่นอีกหรอ?” ฉีหนิงพูด “ในเมื่อ
ตระกูลเถียนจัดงานเวทีประลองยุทธ ก็น่าจะใจกว้าง
มากกว่านี้ น่าจะออกสักเงินสองร้อยตำลึงทอง ไม่แน่
อาจจะดึงดูดยอดฝีมือได้จริงๆ”
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้นผู้หญิงทำอะไร ก็คิด
เล็กคิดน้อย ออกหน้าทำอะไรไม่ได้หรอก” ทันใด
นั้นเอง ก็หันไปเห็นซีเหมินจั้นอิงกำลังจ้องมาที่ตัวเขา
สายตาของนางเหมือนคมหอกคมดาบ ต้วนฉางไห่รู้
ทันทีว่าตัวเองพลาด รีบยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางซีเหมิน
ข้า...ข้าไม่ได้หมายถึงท่านนะ”
ซีเหมินจั้นอิงยิ้มเจื่อน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
แต่ฉีหนิงอดไม่ได้ที่จะถาม “เจ้าพูดแบบนี้หมายความ
ว่าอย่างไร?”
“โหวเยวี่ย ตระกูลเถียนจัดงานเวทีประลองยุทธ ข้ารู้
ตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่ว่าในเมืองหลวงมีเรื่องแปลกทุก
วันวันละเป็นร้อยเรื่อง คิดว่าโหวเยวี่ยไม่น่าจะสนใจ
เรื่องเล็กๆแบบนี้ ดังนั้นก็เลยไม่ได้รายงาน” ต้วนฉาง
ไห่อธิบายว่า “ตระกูลเถียนทำธุรกิจค้ายา...”
“อ๋อ?” ฉีหนิงพูดว่า “เปิดร้านยาเหมือนกันหรือ?”
ในใจก็คิดว่าช่วงนี้เหตุใดเจอแต่เรื่องของร้านยา
ต้วนฉางไห่รีบพูดว่า “ไม่ใช่ โหวเยวี่ย ตระกูลเถียนทำ
ธุรกิจค้าตัวสมุนไพรทำยา ไม่เหมือนกับร้านยาทั่วไป
หย่งอันถังของพวกเรา ขายยาสำเร็จรูป ตระกูลเถีย
นกับพวกเราไม่เหมือนกัน พวกเขาทำการค้าสมุนไพร
สด”
“สมุนไพรสด?” ฉีหนิงสงสัย “มันต่างกันตรงไหน?”
ซีเหมินจั้นอิงยืนฟังอยู่ข้างๆ เหมือนเจอจุดที่ตัวเองจะ
ระเบิดได้แล้ว สีหน้าของนางไม่ดีมาก ฉีหนิงเหลือบไป
มองซีเหมินจั้นอิง แล้วพูดว่า “ทำไม เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้
ในใจของเจ้าคงสะใจใช่หรือไม่? หรือว่าเจ้ารู้? ข้าไม่ใช่
หมอสักหน่อย ไม่รู้ก็ไม่แปลก”
ซีเหมินอยากจะเถียงมาก แต่ว่าคิดว่าหากพูดกับเขา
เขาก็จะกัดไม่ปล่อย เลยไม่พูดดีกว่า
“โหวเยวี่ย สมุนไพรสดก็คือสมุนไพรที่ยังไม่ได้สกัดมา
เป็นยาสำเร็จรูป” ต้วนฉางไห่เขินๆ “ยาในร้านยาของ
พวกเรา เป็นยาที่ผ่านการสกัดมาแล้ว ซื้อก็ใช้ได้เลย
ส่วนสมุนไพรสด ยังต้องนำไปตาก ร้านขายยาทำ
การค้ากับคนป่วย ส่วนตระกูลเถียนก็ทำการค้ากับ
ร้านขายยาอีกที”
“อ๋อ?” ฉีหนิงเข้าใจแล้ว “หย่งอันถังเคยทำการค้ากับ
ตระกูลเถียนหรือไม่?”
“เคย” ต้วนฉางไห่พูดว่า “ร้านขายยาแบบตระกูล
เถียนในเมืองหลวง มีประมาณสิบกว่าร้าน รอบๆ
เมืองหลวงเอง ก็เคยทำการค้าด้วยเหมือนกัน แต่ว่า
ร้านยาของตระกูลเถียนนำยาเข้ามาจากปาสู่ มีที่มาที่
ไปชัดเจน ถือว่ามีชื่อเสียงประมาณหนึ่งในเมืองหลวง
สมุนไพรหลายตัวของหย่งอันถัง ก็นำเข้ามาจาก
ตระกูลเถียน”
“เมื่อกี้ครู่เจ้าพูดว่าผู้หญิงทำอะไรก็คิดเล็กคิดน้อย มัน
หมายความว่าอย่างไร?” ฉีหนิงสงสัย “อย่าบอกนะว่า
ร้านยาตระกูลเถียนมีผู้หญิงเป็นใหญ่?”
“ใช่แล้วเป็นอย่างนั้นแหละ” ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า
“โหวเยวี่ยท่านไม่รู้อะไร ร้านยาตระกูลเถียนเปิดทำ
การค้ามาแล้วสามรุ่น เปิดกิจการมาตั้งแต่ก่อตั้งต้าฉู่
ตระกูลเถียนเป็นร้านยาร้านแรกที่เข้ามาเปิดกิจการ
เดิมตระกูลเถียนอาศัยอยู่ที่ปาสู่ ตอนนั้นได้ข่าวการ
ศึก คนบาดเจ็บล้มป่วยมากมาย อีกทั้งเกิดโรคระบาย
ขึ้นช่วงหนึ่ง พวกเขามองการไกลมาก เดิมพวกเขา
เป็นแค่ร้านยาเล็กๆ ที่ปาสู่ แต่พวกเขาก็หาโอกาสขาย
ยาส่งเข้าเมืองหลวงมา จากนั้นไม่นานก็ประสบ
ความสำเร็จ ทำจนกิจการใหญ่โต มีรากฐานมั่นคงใน
เมืองหลวง น่าเสียดาย...น่าเสียดายเมื่อสามปีก่อน
เถียนตงเซิ่งทำการขนส่งสมุนไพรมาเมืองหลวงด้วย
ตัวเอง ระหว่างทางถูกปล้น ไม่เพียงแค่สมุนไพรถูก
ปล้นไปจนหมด แม้แต่คนก็ถูกสังหารไปด้วย”
ฉีหนิงตะลึงไป ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น
ตระกูลเถียนก็แย่เลยน่ะสิ?”
“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นใครก็คิดว่าตระกูลเถียนก็
น่าจะไม่รอด” ต้วนฉางไห่พูดว่า “ตระกูลเถียนถึงแม้
จะมีธุรกิจอยู่มากพอตัว แต่ว่าสมุนไพรสิบกว่าคันนั่น
ก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย ถูกปล้นไปจนหมดบนนั้น
แทบจะทำให้คลังของตระกูลเถียนว่าง ตอนนั้น
ตระกูลเถียนเป็นหนี้มากมาย ในเมืองหลวงมีแต่คนคิด
ว่าตระกูลเถียนจะล้มสลายแน่นอน แต่ใครจะคิดว่า
ถึงแม้เถียนจงเซิ่งจะตายไปแล้ว แต่ว่าฮูหยินของเขา
นั้นเก่งมาก สามารถทำจนผ่านวิกฤตมาได้ นางใช้
เวลาไม่ถึงสองปี ไม่เพียงชำระหนี้จนหมด ตอนนี้ร้าน
ยาตระกูลเถียนยังคงเป็นร้านใหญ่ในเมืองหลวง
เหมือนเดิมอีกด้วย” เขายกนิ้วขึ้นมาแล้วพูดว่า “ฮู
หยินเถียน เก่งมากจริงๆ”
ฉีหนิงถามว่า “แล้วจับคนร้ายได้หรือไม่?”
“เรื่องเกิดขึ้นที่ปาสู่ เท่าที่รู้มาเจ้าหน้าที่ท้องที่ได้ทำ
การตรวจสอบแล้ว แต่ว่าสุดท้ายก็จบไป จนถึงตอนนี้
ก็ไม่มีคำตอบอะไรให้” ต้วนฉางไห่พูดว่า “ปาสู่มี
แผนภูมิเป็นภูเขา ปล้นชิงวิ่งราวแล้ว ต่างก็หลบเข้าไป
ในป่าของภูเขาไป ใครจะไปหาเจอ? แต่ว่าแค่ร้านยา
เล็กๆ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้สนใจจะไปจับคนร้ายให้
หรอก”
ฉีหนิงพยักหน้า เขาถามด้วยความแปลกใจว่า
“ตระกูลเถียนทำการค้าสมุนไพร แล้วมาจัดเวที
ประลองเพราะเหตุใดกัน?”
“เพราะอะไร ข้าน้อยเองก็ไม่รู้” ต้วนฉางไห่พูดว่า
“แต่ว่าหลังจากจัดเวทีประลองแล้ว ก็คึกคักดี ถึงแม้
จะไม่ได้มียอดฝีมือมา แต่ว่าเริ่มแรกก็มีพวกที่อยากจะ
ได้เงินหนึ่งร้อยตำลึง วิ่งขึ้นเวทีเพิ่มเสี่ยงดวง สู้กันไป
มา ก็ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่เจ้านั่นบอกว่ามีรางวัล
พิเศษ ยังบอกว่าจะหานายท่านคนใหม่ หรือว่าเถียนฮู
หยินเป็นม่ายสามปี ตอนนี้อยากหาสามีมาเป็น
เพื่อน?” เขาไม่ได้สนใจว่าซีเหมินจั้นอิงจะอยู่ข้างๆ
ด้วยหรือไม่ เขาถามว่า “ต้วนฉางไห่ เจ้าว่าเถียนฮูหยิ
นนางหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ได้ยินมาว่าหน้าตาไม่เลวเลย” ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูด
ว่า “โหวเยวี่ย ท่านอยากจะไปดูหรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงได้ยินพวกเขาพูดคุยกัน ก็ขมวดคิ้ว แล้ว
หัวเราะเจื่อนๆ ออกมา
ฉีหนิงถือว่าเขาไม่ได้ยินอะไร แล้วพูดว่า “ต้วนฉางไห่
เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว คนที่อายุรุ่นเดียวกันกับเจ้า
ลูกพวกเขาก็คงแต่งงานกันไปหมดแล้ว พวกเราลอง
ไปดูกันหรือไม่ หากเถียนฮูหยินเถียนจะหาสามีจริง
เจ้าก็ลองขึ้นไปประลองดู หากเจ้าชนะได้ เจ้าก็
แต่งงานกับนางไปเลย”
ต้วนฉางไห่พูดอย่างเขินๆ “โหวเยวี่ย ท่าน...ท่านล้อ
ข้าเล่นใช่หรือไม่?”
“ไม่ได้ล้อเล่น” ฉีหนิงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้า
ทำงานรับใช้จวนโหวมาหลายปี เจ้าไม่คิด ข้าก็ต้องคิด
เรื่องครอบครัวแทนเจ้าสิ”
ซีเหมินจั้นอิงทนไม่ไหว พูดว่า “หน้าไม่อาย”
“จั้นอิง เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?” กว่า
นางจะยอมพูดมาสักคำ ฉีหนิงเลยรีบพูดไปว่า “เจ้า
ด่าใครหน้าไม่อาย? แล้วมันหน้าไม่อายตรงไหน?”
ซีเหมินจั้นอิงปิดปาก ไม่เถียงอะไร
ฉีหนิงเดินไขว้มือไป ต้วนฉางไห่ลังเล แล้วเดินตามไป
ซีเหมินจั้นอิงจ้องไปที่ด้านหลังของฉีหนิง พอเขาเดิน
ห่างออกไปประมาณสิบก้าว สุดท้ายนางก็เดินตามไป
จริงๆ แล้วจะตามหาเวทีประลองก็ง่ายมาก เดินตาม
ทางมาถึงปากทางก็เห็นคนมุงดูอยู่เต็มไปหมด ตรง
กลางมีเวทีประลองอยู่ มีธงปักอยู่สองอัน เขียนว่า
“เรียนเชิญผู้กล้ามีฝีมือ” อีกอันเขียนว่า “มีรางวัล
พิเศษ”
ตอนนั้นบนเวทีมีคนสองคนกำลังสู้กันอยู่
ต้วนฉางไห่มีแรงมาก ในเมื่อโหวเยวี่ยอยากดู เขาก็จะ
เดินแหวกทางให้ ฉีหนิงเดินเข้าไปด้านหน้าเวทีอย่าง
ง่ายดาย
บนเวที มีชายอายุสี่สิบคนหนึ่ง ร่างกายกำยำ ผิวคล้ำ
กำลังสู้อยู่กับชายอายุสามสิบปี หน้าตาดูสุขุม
ต้าฉู่มีกฎหมายปลดอาวุธ ดังนั้นการสู้กันบนเวทีก็จะ
ใช้เพียงหมัดมวยเท่านั้น
ฉีหนิงมองไป เห็นหลังเวททีไม่ไกลมีกางโต๊ะอยู่สามตัว
มีชายชราสามคนนั่งเรียงกันอยู่ หน้าตาจริงจังมาก
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าสามคนนั้นเป็นยอดฝีมือ หรือว่า
มานั่งคุมการแข่งขันกัน? แต่ดูจากชุดที่พวกเขาใส่แล้ว
น่าจะเป็นบ่าวไพร่ จากนั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่า สามคนนั้น
น่าจะเป็นคนของตระกูลเถียน
เห็นชายชราคนหนึ่งหลับตาอยู่ ยังคิดว่าเขานั่งสมาธิ
แต่ว่าเขาพงกหัว ฉีหนิงเลยรู้ว่าเขาหลับ
บนเวทีสู้กันแทบเป็นแทบตาย แต่ชายชรานั่นกลับมา
นอนหลับอย่างนี้ คิดว่าหลายวันมานี้ ก็น่าจะเจออะไร
มาเยอะเลยไม่มีอะไรแปลกตาแล้วกระมัง
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 7 บทที่ 210 เหตุสุดวิสัย
ฉีหนิงเห็นคนสองคนบนเวที สู้กันก็พอมีท่าทางที่ดีอยู่
เวลาออกหมัดอะไรก็น่าจะฝึกมานานหลายปี ชายผิว
คล้ำนั่นออกหมัดหนัก แต่ว่ายังไม่ว่องไวพอ
ชายผิวคล้ำนั่นเหมือนจะได้เปรียบ อีกฝ่ายอาศัยความ
ว่องไวหลบ คนข้างล่างลุ้นกันอย่างหนัก ส่วนมาก
สนับสนุนชายผิวคล้ำ แต่ก็มีคนสนับสนุนคนที่ดูสุขุม
นั่นเหมือนกัน
“จั้นอิง เจ้าว่าสองคนนี้ใครจะชนะ?” ฉีหนิงเห็นซีเห
มินจั้นอิงยืนอยู่ข้างๆ เขาก็ยิ้มแล้วถาม ซีเหมินจั้นอิง
เบือนหน้าหนี ฉีหนิงพูดว่า “ยังคิดอยู่เลยว่าวรยุทธ์
ของเจ้าร้ายกาจ คงมองออกว่าใครจะชนะได้ ผิดหวัง
จริงๆ เลย”
ซีเหมินจั้นอิงกำหมัดแน่น
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “ชายผิวคล้ำนั่นพื้นฐานดี
มาก อีกคนไม่ใช่คู่ปรับของเขา ไม่เกินสิบกระบวน
ชายผิวคล้ำนั่นก็น่าจะชนะ”
ฉีหนิงรู้ว่าต้วนฉางไห่เคยเป็นทหารค่ายกิเลนดำมา
ก่อน ประสบการณ์ของเขาสูงมาก แต่ละดาบของเขา
ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน ถึงอีกคนบนเวทีนนั่ จะพอ
ไวอยู่บ้าง ถ้าต้วนฉางไห่บอกว่าชายผิวคล้ำชนะ ถ้า
อย่างนั้นก็ไม่มีทางผิดไปจากนี้
ไม่ผิดไปจากที่คิด ชายผิวคล้ำออกหมัดต่อเนื่อง อีก
ฝ่ายหลบเลี่ยงตลอดแต่ก็เหงื่อออก ใครๆ ก็มองเห็น
ชายผิวคล้ำออกหมัดเด็ดออกมา เหมือนร้อนใจแล้ว
อีกฝ่ายถูกซัดเข้าอย่างจัง คิดว่าต้องบาดเจ็บหนัก
แน่นอน
“วรยุทธ์ของชายผิวคล้ำนี่ไม่เลวเลย” คนที่ยืนข้างๆ
ได้ยินที่ต้วนฉางไห่คาดการณ์ แล้วพูดว่า “สู้กันมา
สามวัน วันแรกยังมีอะไรให้ดูอยู่บ้าง เมื่อวานก็พอมี สู้
กันเลือดตาแทบกระเด็น มีคนหนึ่งล้มได้ตั้งสี่คน เดิม
คิดว่าชนะแน่แล้ว แต่ว่าพอชายผิวคล้ำนี่โผล่มาตั้งแต่
เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ชนะไปแล้วแปดคน”
“ใช่ ชายผิวคล้ำนี่ร้ายกาจจริงๆ ก่อนหน้านี้เจ็ดคนแพ้
ราบคาบเลย มีสองคนลุกไม่ไหวเลยนะ ต้องหามลง
จากเวที” อีกคนพูดแทรกขึ้นมา เหมือนรู้เรื่องตรงนี้ดี
“มีคนหนึ่งยังคลานลงมาด้วย คิดว่าคงไม่มีใครกล้าขึ้น
ไปอีก”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงร้อง ฉีหนิงมองไป เห็นชาย
ผิวคล้ำฉวยโอกาสจับไปที่เอวของอีกฝ่าย แล้วออก
แรงใช้มือยกขึ้นมาชูขึ้นเหนือหัว คนรอบๆ ต่างตกใจ
เห็นชายคนนั้นคำรามอีก แล้วก็ทุ่มเขาลงกับพื้น ฉี
หนิงยืนอยู่ตรงนั้น ได้ยินเสียงกระดูกแตกชัดเจนมาก
คนที่ถูกทุ่มนั้น ดิ้นอยู่ที่พื้น กระอักเลือดออกมา ร้อง
เจ็บปวดอยู่บนเวที หลังจากนั้นก็เห็นชายแก่สามคนที่
นั่งคุมการแข่งขัน หนึ่งในนั้นยืนขึ้นมา แล้วกวักมือ
จากนั้นก็มีชายสวมหมวกเขียววิ่งมาสองสามคน แล้ว
หามคนที่อยู่บนเวทีลงไป
ชายผิวคล้ำนั้นเดิมก็สวมเสื้อบางๆ เพื่อต่อสู้ ตอนนี้
เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ เขาดีใจมาก คำรามฉีกเสื้อตัวเอง
ออก ตบหน้าอกของตัวเอง แล้วพูดว่า “ยังมีใครอีก
หรือไม่?”
รอบๆ เงียบไปหมด
ถึงแม้จะเป็นเพียงเงินหนึ่งร้อยตำลึงแต่มันดึงดูดใจ
มาก แต่ว่าค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายนั้นก็ไม่น้อยเลย กฎ
ของเวทีประลอง บนเวทีขอแค่ไม่มีใครตาย จะเจ็บแค่
ไหนก็ต้องจ่ายเอง
วันแรกก็แค่สู้กันผิวถลอกบ้าง แต่ก็ไม่ได้เจ็บหนัก แต่
ว่าตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่ายมีสี่ห้าคนถูกหามลงมาจาก
เวที กระดูกแตกหัก อีกทั้งยังช้ำใน เมื่อบาดเจ็บขนาด
นี้ จะให้ฟื้นฟู ยังต้องใช้เวลาสามถึงห้าเดือนเป็นอย่าง
ต่ำ
ร่างกายของชายผิวคล้ำเหมือนกำแพงขนาดใหญ่
ร่างกายกำยำมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ และโหดเหี้ยม ทำ
ให้คนรู้สึกเสียวสันหลัง
“ยังมีใครอีกหรือไม่?” ชายผิวคล้ำตะโกน “มีปัญญาก็
ออกมา”
นานพอควร แต่ก็ไม่มีใครตอบรับเลย ฉีหนิงรู้สึกว่า
ชายผิวคล้ำนี่โอหังมาก แต่ว่าเขาไม่มีทางขึ้นเวทีไป
แน่นอน
ไม่นานนักชายแก่ชุดเขียวสวมหมวกที่นั่งอยู่ก็ลุก
ขึ้นมา กระแอมสองที แล้วเดินขึ้นเวที แล้วยกมือ
คำนับ แล้วพูดว่า “ทุกท่าน ผู้กล้าท่านนี้ชนะมาแล้ว
แปดรอบ เป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ไม่ทราบว่ายังมีผู้
กล้าท่านใดจะประลองฝีมืออีกหรือไม่?”
จากนั้นก็ได้ยินคนพูดขึ้นมาว่า “พ่อบ้านเถียน เวลานี้
แล้ว ไม่มีใครคิดจะสู้แล้วล่ะ ผู้กล้าท่านนี้เป็นผู้กล้าไม่
มีใครเทียบได้ ก็น่าจะเป็นผู้ชนะในเวทีนี้แล้ว”
จากนั้นก็มีคนไม่น้อยตะโกนตาม
ฉีหนิงคิดในใจว่าหน้าด้านจริงๆ เขากลายเป็นผู้กล้าไม่
มีใครเทียบได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เมืองหลวงเสือซ่อนเล็บ
เยอะจะตายไป ยอดฝีมือมีเป็นร้อย ผู้กล้าจริงๆ คงไม่
มีทางขึ้นเวทีเพื่อเงินแค่หนึ่งร้อยตำลึงหรอก
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แค่ต้วนฉางไห่ที่อยู่ข้างเขา หาก
ขึ้นเวททีจริง ไม่เกินสิบกระบวนท่า ก็น่าจะทำให้ชาย
ผิวคล้ำนั่นไม่เหลือฟันไว้กินข้าวแล้ว
พ่อบ้านเถียนกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ยังมี
เวลากว่าจะถึงยามเซิน (15.00 - 16.59 น.) ตามกฎ
ของพวกเรา เมื่อเลยเวลาเซิน ใครก็ตามที่ยังอยู่บน
เวทีนี้ ก็จะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย เงินหนึ่งร้อยตำลึงก็
จะเป็นของคนนั้น อีกทั้งยังสามารถพบกับฮูหยิน แล้ว
ได้รับรางวัลพิเศษจากฮูหยินด้วย”
“พ่อบ้านเถียน เจ้าก็อย่าพูดมากอีกเลย ของรางวัล
พิเศษอะไรกัน มันสามวันเข้าไปแล้วนะ” คนที่อยู่
ด้านล่างเวทีพูดว่า “มีคนบอกว่าของขวัญพิเศษก็คือ
จะได้เป็นเขย จริงหรือไม่?”
“พ่อบ้านเถียน ใครจะแต่งเขยกัน?” มีคนพูดมาอีกว่า
“ใช่ฮูหยินเถียนหรือไม่? หากใช่ฮูหยินเถียนจริง ข้าจะ
ยอมขึ้นเวทีไปเสี่ยงดูสักครั้ง หากแพ้ก็สมน้ำหน้าไปก็
แล้วกัน หากชนะก็อาจจะได้แต่งงานกับฮูหยินเถียน”
คนที่อยู่ด้านล่างเวทีต่างก็หัวเราะ
พ่อบ้านเถียนหน้านิ่งแล้วพูดว่า “อย่าพูดเหลวไหล”
เขากวาดสายตาไปรอบ หลังจากนั้นก็หันไปมองชาย
ผิวคล้ำนั่น แล้วขมวดคิ้ว
ชายผิวคล้ำนั่นหัวเราะร่าออกมาแล้วพูดว่า “ข้าชนะ
แล้ว เจ้าพาข้าไปหาฮูหยินของเจ้าตอนนี้เลย หากฮู
หยินของเจ้าอยากจะให้ข้าเป็นผู้ชายของนาง เงินหนึ่ง
ร้อยตำลึงข้าไม่เอาแล้วก็ได้”
“ท่านผู้กล้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป” พ่อบ้านเถียนฝืนยิ้ม
แล้วพูดว่า “รางวัลพิเศษ เจอฮูหยินแล้วถึงจะรู้ ท่าน
อย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลพวกนี้” เขามองลงไปที่
ด้านล่างเวทีแล้วพูดว่า “ไม่มีผู้กล้าคนนั้นขึ้นมาอีก
แล้วหรือ?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าก็น่าจะจบแบบนี้แล้ว คนที่คิด
อยากจะขึ้นเวทีก็อยู่ด้านล่างทั้งหมด คนที่ไม่อยากขึ้น
ไปก็ไม่มีอยู่ตรงนี้ คงไม่มีอะไรน่าดูแล้ว กำลังคิดจะ
หันหลังกลับ ทันใดนั้นเหมือนเอวจะตึงๆ หันหน้า
กลับไป เห็นซีเหมินจั้นอิงกำลังใช้สายตาแปลก
ประหลาดมองเขาอยู่ เขารู้สึกถึงลางไม่ดีแล้วพูดว่า
“เจ้าจำทำอะไร...?”
พูดยังไม่ทันจบ ก็รู้สึกว่าเอวตึง จากนั้นตัวเขาก็ลอย
ขึ้นไป คิดว่านางคงอั้นมานาน สุดท้ายทนไม่ได้เลยลง
มือกับเขา ตอนนี้เขาลอยอยู่กลางอากาศ เขารีบดึงสติ
กลับมา แล้วหันตัวลงพื้นอย่างสง่างาม
ในเวลานี้เอง คนรอบๆ ก็มีคนไม่น้อยตะโกนขึ้นมาว่า
“เยี่ยมมาก มีผู้กล้าขึ้นมาแล้ว”
ฉีหนิงตะลึง ก้มหน้าลง ถึงได้รู้ว่าตัวเองยืนอยู่บนเวที
แล้ว
เขาหันไปมอง เห็นซีเหมินจั้นอิงแสยะยิ้ม แล้วจ้องมา
ที่เขา
ทันใดนั้นเอง เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที กำลังคิดจะเดิน
กลับไปคิดบัญชี ก็ได้ยินชายผิวคล้ำนั้นตะโกนว่า “ดี
ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่ายังสู้ไม่สะใจเลย ไม่กลัวตายอีก
คนแล้ว โอ้โฮ นุ่มนิ่มเหมือนไก่เลย มามามา ให้ข้าดูสิ
ว่าเจ้าจะกล้าแค่ไหนกัน”
ทุกคนรอบๆ มีแต่คนเห็นฉีหนิงลอยตัวลงมาอย่างสง่า
งาม นอกจากต้วนฉางไห่แล้วที่เห็นว่าผิดปกติ ก็ไม่มี
ใครรู้ว่าซีเหมินจั้นอิงเป็นคนโยนฉีหนิงขึ้นไป
ทุกคนเห็นฉีหนิงสวมชุดหรูหราสวยงาม หน้าตาก็หล่อ
เหลา อายุก็น้อย เมื่อเทียบรูปร่างกับชายผิวคล้ำแล้ว
ก็สูงแค่อกของชายผิวคล้ำเท่านั้น บางคนคิดว่าฉีหนิง
รนหาที่ตาย บางคนคิดว่าท่าทางของฉีหนิงอาจจะมี
โอกาสชนะก็ได้
ซีเหมินจั้นอิงอดกลั้นความโกรธไว้นาน ตอนนี้ได้
โอกาสระบายแล้ว นางฉวยโอกาสที่เขาไม่ทันระวังตัว
จับเขาโยนขึ้นเวทีไป นางแอบคิดในใจว่าเจ้ามันโอหัง
นัก ตอนนี้ให้เจ้าขึ้นเวที ดูสิว่าเจ้ายังจะกล้าอีก
หรือไม่?
ก่อนหน้านี้จวนจิ่นอีโหวกับทางจวนเสินโหว
ความสัมพันธ์ถือว่าดีมาก ฉีจิ่งกับซีเหมินอู๋เหิงเองก็
สนิมสนมกันดี ดังนั้นซีเหมินจั้นอิงก็พอจะรู้เรื่องของ
จวนจิ่นอีโหวอยู่บ้าง
ถึงแม้ก่อนเกิดเรื่องเข้าใจผิดในคืนนั้น นางไม่เคยเจอ
จิ่นอีซื่อจื่อมาก่อน แต่ว่าเคยได้ยินคนพูดกันว่า จิ่นอี
ซื่อจื่อสมองไม่ปกติ ดังนั้นคนสติไม่ดีแบบนั้นต่อให้
เกิดในตระกูลนักรบ ก็ไม่น่าจะได้เรียนวรยุทธ์อะไรได้
ถึงแม้หลังจากที่เจอฉีหนิงแล้ว จะไม่เหมือนข่าวลือที่
นางได้ยินมา แต่ว่าซีเหมินจั้นอิงก็ยังไม่เคยเห็นฝีมือ
ของฉีหนิงเลยสักครั้ง ดังนั้นเห็นฉีหนิงเหมือนพวก
เสเพล ก็เลยส่งเขาขึ้นเวทีไป วันนี้จะต้องให้เขาขาย
หน้าให้ได้
นางไม่เป็นห่วงว่าฉีหนิงจะถูกชายผิวคล้ำทำร้าย
บาดเจ็บ ฝีมือของต้วนฉางไห่นางพอจะมองออก ฝีมือ
เหนือกว่าชายผิวคล้ำนั้นแน่นอน หากฉีหนิงจะมี
อันตรายจริง ต้วนฉางไห่ไม่มีทางยืนดูเฉยๆ แน่นอน
เป็นถึงจิ่นอีโหว ขึ้นเวทีท่ามกลางผู้คน แต่ไม่กล้าจะสู้
แล้วให้องครักษ์ของตัวเองขึ้นไปช่วย อย่างไรก็น่าขาย
หน้าอยู่ดี ซีเหมินจั้นอิงเมื่อคิดว่าอีกเดี๋ยวเขาก็จะต้อง
อับอาย ก็รู้สึกสะใจ สีหน้าของนางก็ไม่ได้เย็นชา
เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ฉีหนิงจ้องไปที่ซีเหมินจั้นอิง ความคิดของแม่นางก้น
ใหญ่นี่เขารู้ดี จากนั้นก็หันไปหาชายผิวคล้ำแล้วพูดว่า
“ข้าไม่ได้อยากจะสู้กับเจ้า”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...” ชายผิวคล้ำหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้า
ไม่อยากสู้กับข้า แล้ววิ่งขึ้นมาทำไมกัน? อยากจะอวด
ความเป็นผู้กล้าหรืออย่างไร?”
ในสายตาของชายผิวคล้ำ ชายหนุ่มนี่รนหาที่ตายชัดๆ
ตัวเขาสามารถเอาชนะได้แค่กระบวนท่าเดียว
ต้วนฉางไห่เตรียมตัวพร้อมอยู่แล้ว หากฉีหนิงมี
อันตราย เขาก็ออกหน้าทันที
ฉีหนิงไม่ได้สนใจเขา กำลังจะลงจากเวทีไป แล้วหาที่
ที่ไม่มีใครเห็น จัดการสั่งสอนแม่นางก้นใหญ่คนนี้ พอ
เขาเดินออกไปได้แค่สองก้าว ยังไม่ทันถึงริมเวที
รอบๆ ก็มีการส่งเสียงออกมา ชายผิวคล้ำเดินขึ้นหน้า
มา ยื่นมือมาจับไหล่ของฉีหนิง แล้วพูดว่า “คิดจะไป
หรือ? ในเมื่อขึ้นเวทีมาแล้ว ก็ต้องประลอง หรือว่าเจ้า
ไม่รู้กฎ? หากเจ้าจะลงไปก็ได้ แต่เจ้าจะต้องเอาชนะ
ข้าให้ได้ก่อน ไม่ก็ให้ข้าอัดเจ้า แล้วให้คนหามเจ้าลง
ไป”
ฉีหนิงเหลือบมองไปที่มือของชายผิวคล้ำที่อยู่บนไหล่
ของเขา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เอามือออกไป”
เห็นพ่อบ้านเถียนเดินยิ้มหน้าบานมา แล้วพูดว่า
“คุณชายท่านนี้ ท่านต้องการจะประลองใช่หรือไม่?
ยังไม่เลยยามเซิน ท่านมาได้เวลาพอดี”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าไม่ได้คิดจะมาประลอง”
รอยยิ้มบนหน้าพ่อบ้านเถียนหายไป แล้วขมวดคิ้วพูด
ว่า “แต่ว่า...แต่ว่ากฎก็ต้องเป็นกฎ ท่านขึ้นมาบนเวที
แล้ว หากลงไปแบบนี้ มันคงไม่เหมาะ”
“ที่แท้ก็พวกกลัวตาย” คนด้านล่างหัวเราะเยาะ
บางคนก็พูดขึ้นมาว่า “หากว่าขึ้นเวทีไปแล้ว ไม่ต้องสู้
ข้าขึ้นไปนานแล้ว” คนรอบๆเริ่มหัวเราะเยาะ
ต้วนฉางไห่ขมวดคิ้ว เดินขึ้นหน้าไป กำลังคิดจะพูด
เห็นฉีหนิงส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าไม่สู้กับ
เจ้า ก็ไม่มีใครสู้กับเจ้าอีก เจ้าก็จะชนะเป็นคนสุดท้าย
เงินร้อยตำลึงก็เป็นของเจ้า รางวัลพิเศษก็จะได้มา ไม่
ดีหรือ?”
ชายผิวคล้ำหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าอยากสู้สักสิบคน
เอาชนะให้ได้สิบคนก่อนค่อยเอารางวัล แต่ว่าตั้งแต่
เมื่อวานจนถึงตอนนี้ คนที่สู้กับข้าแปดคนนั่น มันยัง
ไม่สะใจข้า บวกเจ้าเข้าไป ถึงแม้จะไม่ครบสิบคน แต่
เก้าคนก็ดีกว่าแปดคน”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าคิดว่าเจ้าเอาชนะได้แน่นอนแล้วสิ?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หาเหาใส่หัว เจ้ารู้
ความหมายของมันหรือไม่?”
ชายผิวคล้ำพูดเน้นหนักว่า “เด็กน้อย วันนี้ข้าจะดูสิว่า
ใครกันที่หาเหาใส่หัว” เขาพูดจบ ทุกคนก็เห็นฉีหนิง
ย่อตัวลง หลายคนยังไม่ทันได้ดู ก็เห็นฉีหนิงจับไปที่
ข้อมือของชายผิวคล้ำนั่น หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง
“แกร็ก” จากนั้นฉีหนิงก็ถอยหลัง
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น หลายคน
ยังไม่เห็นเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ชายผิวคล้ำสีหน้าอึ้งไป เขาก้มหน้าลง เขาเห็นแค่ว่า
มือซ้ายของเขามันอ่อนลง แล้วแกว่งไปแกว่งมา
จากนั้นก็รู้สึกเจ็บที่ไหล่ซ้าย ชายผิวคล้ำร้องออกมา
ด้วยความเจ็บปวด ที่แท้ฉีหนิงก็หักแขนของเขา
ถึงแม้ฉีหนิงยังไม่สามารถเดินลมปราณกำลังภายใน
ของตัวเองได้ แต่ว่าการต่อสู้ของเขาก็ไม่ได้แย่ลง เขา
ยังชำนาญการต่อสู้อยู่
ในวิชาการต่อสู้ จังหวะการโจมตีเป็นหนึ่งในสิ่งที่
สำคัญมาก ชายผิวคล้ำใช้มือจับมาที่ด้านหลังไหล่ของ
ฉีหนิง ท่าแบบนี้สำหรับยอดฝีมือในการต่อสู้แล้ว มัน
เป็นกระบวนท่าทีเอาถึงชีวิตเลย ฉีหนิงแทบไม่ต้องคิด
อะไรมาก เขาแค่ลงมือตามสัญชาตญาณ แล้วหักแขน
ของชายผิวคล้ำได้ง่าย
เขาลงมือว่องไวมาก หลังจากหักแขนของชายผิวคล้ำ
แล้ว ชายผิวคล้ำเหมือนยังไม่ทันรู้ตัว จนแขนของลง
อ่อนลง ชายผิวคล้ำก็ยังไม่รู้สึกเจ็บ
คนรอบๆ เงียบ ชายผิวคล้ำร้องออกมาด้วยความ
เจ็บปวด เดิมคนรอบๆ ยังร้องตะโกนอยู่ตอนนี้ก็เงียบ
สนิท สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีใครคาดถึงว่าจะเป็นแบบนี้
ซีเหมินจั้นอิงตาโต สายตาของนางมีแต่ความคิดไม่ถึง
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 211 รางวัลพิเศษ
ชายผิวดำเหงื่อไหลพรากจนท่วมร่าง เขาอดกลั้น
ความเจ็บปวดเอาไว้แล้วมองไปที่ฉีหนิง จากนั้นเขาก็
ร้องคำรามราวกับสัตว์ป่าที่บ้าคลั่ง และพุ่งเข้าใส่ฉี
หนิงโดยพลัน
ในขระที่เขากำลังจะพุ่งไปถึงฉีหนิงนั้น เขาราวกับเสือ
ตัวหนึ่งที่กำลังจะพุ่งเข้าไปขย่ำเหยื่อ ฉีหนิงรู้ว่าเขามี
พละกำลังเยอะมาก แต่จะสู้ด้วยกำลังเหมือนกันไม่ได้
เขาก้าวเท้าซ้ายแล้วเดินออกไป เขาหลบด้วยความเร็ว
ที่ราวกับเป็นปีศาจ
ถึงแม้ชายคนนั้นจะฝึกฝนมานานหลายปี เพราะมี
พื้นฐานอยู่บ้าง แต่ว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่าเท้า
ท่องคลื่น เขาก็แทบไม่มีโอกาสจู่โจมเลย เขาหลบมา
อยู่ด้านหลังของชายผิวคล้ำแล้ว เผชิญหน้ากับชายผิว
คล้ำ เขาไม่จำเป็นต้องเดินตามท่าเท้าท่องคลื่นตั้งแต่
ต้นจนจบ เขาหันหลังกลับมา แล้วยกเท้าถีบก้นเขาไป
ชายผิวคล้ำกระเด็นออกไปด้านหน้า เขาหยุดไม่ทัน
ทำให้เขาพุ่งตัวเกือบจะลงจากเวทีไป คนที่อยู่ล่างเวที
เห็นดังนั้น ก็ตกใจกันใหญ่ ร้องตะโกนกันหมด ยังดีที่
ชายผิวคล้ำหยุดไว้ได้ทัน
คนดูต่างสบายใจ ชายผิวคล้ำหันตัวกลับมา เขาเห็นฉี
หนิงเดินเข้ามาใกล้ ก็ตกใจ เขายังไม่ทันจะตั้งตัว ฉี
หนิงก็แสยะปากหัวเราะ ยกเท้าขึ้นแล้วถีบไปที่ช่อง
ท้องของเขาอย่างจัง ชายผิวคล้ำยืนไม่อยู่อีกแล้ว เขา
เอนตัวล้มลงไปยังด้านล่างของเวที
เดิมคนดูเห็นชายผิวคล้ำหยุดเท้าได้ทัน คิดว่าโชคดี
แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าไม่นานนัก ชายผิวคล้ำก็ร่วงลงมา
ทับกับผู้คนที่อยู่ด้านล่าง
ฉีหนิงเดินไปที่ริมเวที แล้วตะโกนใส่ชายผิวคล้ำว่า
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่สู้ เจ้าก็จะให้ข้าสู้อยู่นั่น โทษข้า
ไม่ได้นะ?”
ซีเหมินจั้นอิงพูดอะไรไม่ออกเลย
ฉีหนิงสามารถเอาชนะชายผิวคล้ำได้ภายในสาม
กระบวนท่า นางคาดไม่ถึงว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้
ตั้งแต่ต้นจนจบ นางเห็นชัดเจนมาก ชายผิวคล้ำ
ประมาท ฉีหนิงลงมือหักแขนของชายผิวคล้ำ ชายผิว
คล้ำถูกยั่วจนโมโห ฉีหนิงจึงใช้วิชาการเคลื่อนไหวที่
ประหลาดหลบไปหลบมา จากนั้นก็ฉวยโอกาสโจมตี
โดยการถีบชายผิวคล้ำลงเวทีไป
ดูไปแล้วเหมือนจะชนะง่ายๆ
แต่ว่าซีเหมินจั้นอิงดูออก หากไม่ใช่ชายผิวคล้ำผู้นั้น
ประมาท หากไม่ใช่ฉีหนิงลงมือกะทันหัน หากไม่ใช่ฉี
หนิงใช้วิชาเคลื่อนที่ที่ประหลาดนั่น ฉีหนิงก็อาจจะไม่
สามารถชนะชายผิวคล้ำได้ แต่นางก็ยอมรับว่า ฉีหนิง
ลงมือหักแขนได้เด็ดขาดมาก ส่วนวิชาเคลื่อนที่
ประหลาดนั่น ก็สุดยอดมากจริงๆ
เดิมนางคิดว่าฉีหนิงจะต้องอับอาย แต่คิดไม่ถึงว่าฉี
หนิงจะน่าเกรงขามขนาดนี้ ตอนนี้นางถึงได้รู้ว่า จิ่นอี
โหวหนุ่มคนนี้ ไม่ได้ไม่เอาไหนอย่างที่นางคิด อย่าง
น้อยวรยุทธ์ก็ถือว่าใช้ได้เลย
ต้วนฉางไห่เหลือบไปมองซีเหมินจั้นอิง เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “ท่านโหวน้อยของพวกเราฝึกวิชามาตั้งแต่เล็ก แต่
ว่าไม่เคยอวดอ้างให้ผู้ใดเห็น แม่นางซีเหมิน หากไม่ได้
ถูกสถานการณ์บังคับ ท่านคงไม่ได้เห็นวิชาของโหว
เยว่ี่ย”
ซีเหมินจั้นอิงทำตัวไม่ถูกแล้ว แต่ว่าก็ยังนิ่งอยู่ ตอนนี้
นางรู้สึกว่าฉีหนิงคือเสือซ่อนเล็บผู้หนึ่ง ไม่ได้ธรรมดา
อย่างที่เห็น
ฉีหนิงจัดเสื้อผ้าให้เรียบแล้ว และกำลังจะลงจากเวที
ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมา เมื่อหันหลังกลับไป ก็เห็น
ชายแก่สามคนที่ดูแลการต่อสู้ยืนอยู่ด้านหลังของ
ตัวเอง ทั้งสามคนมองไปที่ฉีหนิง มองอยู่อย่างนั้น ไม่
พูดอะไรเลยสักคำ
หมายความว่าอย่างไร?
หรือว่าในตัวเขามีอะไรดึงดูดตาแก่พวกนี้หรือ?
ถึงแม้ฉีหนิงจะยอมรับว่าตัวเขามีความน่าดึงดูดอยู่
บ้าง แต่ว่าเขาก็ไม่ได้อยากดึงดูดชายแก่เช่นนี้ เขา
กระแอมพูดว่า “พวกเจ้า...พวกเจ้ามองอะไรกัน?”
ชายแก่สามคนมองหน้ากัน แล้วก็มองไปที่ฉีหนิงอีก
ครั้ง จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา แต่สายตาเหมือนกับกำลังดูลิง
ที่อยู่ในสวนสัตว์ ทำให้ฉีหนิงไม่สบายใจ เขาขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “ทุกท่าน หากพวกท่านไม่พูดอะไรอีก ข้า
จะไปแล้วนะ ลาก่อน”
พอเขาพูดจบ ชายแก่สองคนก็จับแขนของเขาเอาไว้
ข้างละคน ถึงแม้พวกเขาจะเป็นชายวัยหกสิบปีแล้ว
ทว่ายังทำอะไรรวดเร็ว จนฉีหนิงรู้สึกตกใจ คิดจะ
สะบัดมือออก แต่ก็กังวลว่าหากออกแรงมากเกินไป
ชายแก่สองคนจะลงไปกองที่พื้น เขาพูดว่า “พวกเจ้า
คิดจะทำอะไร? รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ? ข้าเคารพพวก
เจ้าเพราะเห็นว่าเป็นคนแก่ แต่อย่ามาทำตัวเป็นคน
แก่ที่ไม่น่าเคารพเช่นนี้”
“คุณชายชื่ออะไร?” ชายแก่คนหนึ่งยิ้มแล้วมองฉีหนิง
“ท่านไม่ต้องกลัวนะ พวกข้าไม่ทำอะไรท่านหรอก
เมื่อครู่นี้เลยยามเซินแล้ว ท่านคือคนสุดท้ายที่อยู่บน
เวที ท่านคือผู้ชนะของเวทีนี้”
“หา?” ฉีหนิงเพิ่งจะได้สติคืนมา เมื่อครู่เขาแค่
อยากจะสั่งสอนชายผิวคล้ำผู้นั้น ใครจะคิดว่าจะชนะ
ได้อย่างงุนงงเช่นนี้
แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ชนะแล้วก็จะได้เงินหนึ่ง
ร้อยตำลึงนี่ใช่หรือไม่? ถึงแม้จะไม่ได้มากมายอะไร
แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาเลย
“คุณชายท่านนี้หน้าตาหล่อเหลา วรยุทธ์ล้ำเลิศ มี
ความกล้าหาญ องอาจน่าเกรงขาม ฉลาดหลักแหลม
ชนะการประลองบนเวทีนี้ ถือว่าเหมาะสมยิ่ง” ชาย
แก่วาทศิลป์ดีเยี่ยม เหมือนน่าจะเรียนหนังสือมาก่อน
อายุก็ไม่น้อย แต่ว่าพูดจาดี “ข้าน้อยแซ่เถียน เป็น
พ่อบ้านของร้านยาตระกูลเถียน คุณชายเรียกข้าว่า
พ่อบ้านเถียนก็ได้ขอรับ”
“อ๋อ พ่อบ้านเถียน ขอบคุณที่ชมนะขอรับ” ถึงแม้จะ
รู้สึกว่าพ่อบ้านเถียนจะพูดเกินไป แต่ว่าคำพูดดีๆ ก็ไม่
มีผู้ใดมีอคติ ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าให้สองคนนี้...
ปล่อยมือก่อนได้หรือไม่ ข้าไม่หนีไปไหนหรอก”
“คุณชาย ฮูหยินจัดเวทีนี้ขึ้นมา เพื่อค้นหาชายหนุ่ม
เช่นท่าน” พ่อบ้านเถียนยิ้มแล้วพูดว่า “พวกข้ามาทำ
หน้าที่ ก็ไม่กลัวที่จะพูดว่พวกข้าเองก็กลัวว่าท่านหนี
ไปจริงๆ”
“แล้วพวกเจ้าจะเอาเช่นไร?”
“เด็กๆ” พ่อบ้านหันหน้ากลับไป แล้วส่งสัญญาณ
ชายชุดเขียวสวมหมวกยกถาดเงินหนึ่งร้อยตำลึงมา
พ่อบ้านเถียนก็ไม่ได้รีบร้อนเอาเงินให้ฉีหนิง เขายกมือ
คำนับแล้วพูดว่า “พ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ทุกคนก็เห็น
แล้ว คุณชายท่านนี้...เอ่อ คุณชายแซ่อะไรรึ?”
“แซ่ฉี”
“ทุกท่านก็ได้เห็นแล้ว คุณชายฉีวรยุทธ์สูงส่ง สามารถ
เอาชนะการประลองได้ มีใครมีปัญหาอะไรหรือไม่?”
พ่อบ้านเถียนตะโกน
ฉีหนิงเอาชนะชายผิวคล้ำได้ด้วยสามกระบวนท่า ทุก
คนเห็นกันหมด รู้ว่าวรยุทธ์ของฉีหนิงน่าจะเหนือกว่า
ชายผิวคล้ำมาก “พ่อบ้านเถียน รีบพาคุณชายท่านนี้
ไปพบฮูหยินเถียนของพวกเจ้าเถอะ”
จิ่นอีโหวซื่อจื่อสมองไม่ปกติ มีกู้ชิงฮั่นดูแลอยู่
ตลอดเวลา ดังนั้นจิ่นอีโหวซื่อจื่อเลยไม่ค่อยได้ออกไป
ไหน ถึงแม้จะออกจากบ้าน ก็จะนั่งรถม้า ไม่ค่อยมีคน
เห็นหน้า ดังนั้นถนนเส้นนี้จะอยู่ไม่ไกลจากจวนจิ่นอี
โหวนัก แต่ว่าไม่มีใครคิดว่า “คุณชายฉี” ที่อยู่บนเวที
จะเป็นจิ่นอีโหว
ในใต้หล้าคนแซ่ฉีก็มีไม่น้อย ทุกคนต่างตื่นเต้น ไม่มี
ใครคิดถึงจิ่นอีโหว
พ่อบ้านเถียนยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว
คงไม่มีปัญหาอะไรอีก” เขาส่งสัญญาณไปที่ลูกน้อง
เขาเดินไปข้างหน้าเพื่อนำเงินไปให้ฉีหนิง ฉีหนิงเองก็
ไม่ได้เกรงใจ หยิบเงินแล้วโยนลงไปให้ต้วนฉางไห่
แล้วพูดว่า “เก็บไว้ก่อน”
ถึงแม้ต้วนฉางไห่จะรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมาะสม
เท่าไหร่ แต่ว่าไม่มีใครในโลกนี้จะไม่ชอบเงิน อีกทั้ง
เงินนี่ก็ไม่ได้ฉกชิงวิงราวมา ก็เลยเก็บเอาไว้
ถึงแม้ซีเหมินจั้นอิงจะมองฉีหนิงใหม่แล้ว แต่ก็ไม่ได้
มองใหม่ทั้งหมด เห็นฉีหนิงทำแบบนี้ ก็พูดว่า “โลภ
มากบ้ากาม....” เสียงเบามาก ไม่มีผู้ใดได้ยิน
“คุณชายฉี ข้าน้อยส่งคนไปแจ้งให้ฮูหยินทราบแล้ว
พวกเราจะไปพบฮูหยินกัน” พ่อบ้านเถียนยิ้มแล้วพูด
“ไม่ทราบว่าท่านยังมีข้อเรียกร้องอื่นหรือไม่?”
“ไปพบฮูหยิน?” ฉีหนิงเงยหน้ามองฟ้า หากไม่กลับ
จวนก่อนฟ้ามืดกู้ชิงฮั่นก็จะเป็นห่วง เขาพูดว่า “พ่อ
บ้านเถียน ไปพบฮูหยินของพวกเจ้า เพื่อรับรางวัล
พิเศษหรือ?”
“ใช่แล้ว คุณชายฉีเป็นคนฉลาด” พ่อบ้านเถียนพูดว่า
“พวกเราไปกันตอนนี้เลย” จากนั้นเขาก็สั่งว่า “เด็กๆ
ถอนเวทีออก”
“ช้าก่อน” ฉีหนิงพูดว่า “พ่อบ้านเถียน ข้าขอถาม
หน่อย รางวัลพิเศษนั่นคือสิ่งหรือ? หากเป็นของทั่วไป
ข้าคิดว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องไป ข้ายังมีธุระ ต้องรีบ
กลับไป”
ด้านล่างเวทีหลายคนยังไม่กลับไป มีคนได้ยินฉีหนิง
ถามแบบนี้ ก็ตะโกนว่า “จริงด้วย คุณชายฉีก็ชนะ
แล้ว การประลองก็สิ้นสุดแล้ว พ่อบ้านเถียน รางวัล
พิเศษของฮูหยินเถียนมันคือสิ่งใดหรือ บอกให้พวกเรา
ได้รู้ด้วยได้หรือไม่?”
“จริงด้วย พวกเรารอมาสามวันแล้ว ก็แค่อยากรู้ว่า
รางวัลพิเศษนี่มันคืออะไร ถึงตอนนี้แล้ว คงไม่ต้องทำ
อะไรลับๆ ล่อๆ แล้วกระมัง”
พ่อบ้านเถียนยกมือขึ้นคำนับ “ทุกท่านไม่ต้องร้อนใจ
ไป การตั้งเวทีประลอง มีพูดไว้ก่อนแล้ว ผู้ชนะคน
สุดท้าย จะได้รับเงินหนึ่งร้อยตำลึง อีกทั้งจะได้รับ
รางวัลพิเศษจากฮูหยิน ในเมื่อเป็นรางวัลพิเศษ ก็จะ
ไม่บอกให้ทุกคนทราบ บอกตามตรงของรางวัลพิเศษ
นี้คือสิ่งใด พวกเราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ของอยู่ในมือ
ของฮูหยิน มีเพียงผู้ที่ได้พบฮูหยินเท่านั้น ถึงจะรู้ว่า
มันคือะไร ต้องขออภัยด้วยจริงๆ”
ด้านล่างเวทีต่างมีเสียงบ่นดังเซ็งแซ่
“คุณชายฉี จวนตระกูลเถียนอยู่ด้านหลังนี่เอง เลี้ยว
เข้าไปก็ถึงแล้ว” พ่อบ้านเถียนเห็นฉีหนิงลังเล ก็รีบ
พูดว่า “ฮูหยินสั่งเอาไว้ว่า หลังจบการประลอง
จะต้องเชิญผู้ชนะไปให้ได้ ฮูหยินบอกว่า ของรางวัล
พิเศษนี้ล้ำค่ายิ่งนัก ถึงได้ตั้งเวทีประลองแบบนี้ขึ้นมา
ไม่มีทางให้ใครต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
เดิมทีการตั้งเวทีประลองเพื่อแลกกับเงินหนึ่งร้อย
ตำลึงมันก็ถือว่าน้อยมากแล้ว ฉีหนิงรู้สึกว่าฮูหยิน
เถียนขี้เหนียวมากเกินไป ต่อให้มีของรางวัลพิเศษ ก็
คิดว่าไม่น่าจะมากเท่าไหร่
แต่ว่าพอพ่อบ้านเถียนพูดมาแบบนี้แล้ว ฉีหนิงคิดใน
ใจว่าของรางวัลพิเศษนี่มันเป็นของดีแค่ไหนกันเชียว?
เขามองขึ้นไปยังท้องฟ้าพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน อีกทั้ง
จวนตระกูลเถียนก็อยู่ไม่ไกลจากจวนจิ่นอีโหว เขา
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าไปสักหน่อยคงไม่เสียหายอะไร
เขาเหลือบไปมองซีเหมินจั้นอิงที่กำลังมองมาที่เขา ใน
ใจก็คิดว่านางคงคิดว่าเขาจะเที่ยวเล่นไม่ยอมกลับ
จวน เขายิ้มให้ซีเหมินจั้นอิง แล้วพยักหน้าพูดว่า
“ช่างเถอะ ข้าไปกับพวกเจ้าก็ได้ อย่าทำให้ต้อง
ผิดหวังก็แล้วกัน”
ซีเหมินกลัวที่สุดคือฉีหนิงเสียเวลาอยู่ข้างนอก เมื่อ
เห็นเขารับปากไปที่ตระกูลเถียน ก็ถลึงตาใส่ฉีหนิง
เวทีประลองนี่มีคนเก็บแน่นอน ชายแก่สองคนมี
หน้าที่สั่งการ พ่อบ้านกับลูกน้องอีกสองคน ก็พาฉีห
นิงไปที่จวนตระกูลเถียน ต้วนฉางไห่ก็ต้องตามไปด้วย
ซีเหมินจั้นอิงถึงแม้จะโกรธมาก แต่ว่าหากยังส่งฉีหนิง
ไม่ถึงจวน นางก็ไม่กล้าไปไหน
ทุกคนต่างแยกย้ายกันไป เหลือไม่กี่สิบคนที่ยังอยู่ดู
เดินตามพวกเขาไปยังตระกูลเถียน
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 212 เถียนฮูหยิน
ที่ตั้งของจวนตระกูลเถียนนั้นไม่ไกลอย่างที่พ่อบ้าน
เถียนพูดมาจริงๆ
เมื่อเดินถึงสุดทาง เลี้ยวไปทางทิศใต้ แล้วก็เลี้ยงไปที่
ถนนอีกเส้น ไม่นานก็เห็นจวนหลังใหญ่หลังหนึ่ง
ตระกูลเถียนเป็นตระกูลค้าขายใหญ่อันดับต้นๆ ของ
เมืองหลวง แต่เพราะไม่ใช่ตระกูลขุนนาง ก็เลยไม่ได้
ทาประตูบ้านด้วยสีแดง
คนหลายสิบคนเดินตามมาถึงหน้าปากประตูจวนของ
ตระกูลเถียน หน้าประตูมีคนมารออยู่แล้วสามสี่คน
เหมือนจะได้รับข่าวแล้ว เมื่อเห็นพ่อบ้านเถียนนำทาง
ฉีหนิงมา ก็รีบมาต้อนรับฉีหนิงเข้าจวน พ่อบ้านเถีย
นดูออกว่าต้วนฉางไห่กับซีเหมือนจั้นอิงนั้นมาพร้อม
กับฉีหนิง ก็เลยเชิญเขาเข้าไปด้วย
คนที่เดินตามมาดู เข้าจวนไปไม่ได้แน่นอน ทำให้พวก
เขาไม่พอใจมาก
ตระกูลเถียนไม่ถือว่าเป็นตระกูลเล็ก แต่ถ้าหากเทียบ
กับจวนจิ่นอีโหวแล้ว ไม่ว่าจะรูปแบบของจวนหรือ
บรรยากาศ ก็เทียบไม่ติดเลย
ภายในเรือนตกแต่งอย่างร่มรื่น ต้นไม้ส่วนใหญ่ต้องใช้
คนถึงสามสี่คนโอบถึงจะโอบได้หมด คนในจวนก็ไม่ได้
มากเท่ากับจวนจิ่นอีโหว เมื่อเดินตามทางเดินไปก็จะ
ถึงห้องรับแขก มีบ่าวไพร่กับสาวใช้สามสี่คนรออยู่
เมื่อเห็นฉีหนิงเดินมา ก็ซุบซิบกันใหญ่
เมื่อถึงห้องรับแขก พ่อบ้านเถียนก็เชิญพวกฉีหนิงนั่ง
ลง แล้วรีบเอาน้ำชามารับแขก พ่อบ้านเถียนพูดว่า
“คุณชายฉีเชิญนั่งก่อน เดี๋ยวข้าจะไปรายงานฮูหยิน”
พูดจบแล้วเขาก็ออกไป
ต้วนฉางไห่ยกน้ำชาขึ้นดื่ม แล้วก็ขมวดคิ้ว มองซ้าย
มองขวา แล้วพูดว่า “ตระกูลเถียนก็ไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ
แต่เหตุใดถึงได้ใช้ใบชาแบบนี้กัน?”
ซีเหมินจั้นอิงเหลือบไปมองต้วนฉางไห่ แต่ก็ไม่ได้พูด
อะไร
ฉีหนิงยกน้ำชาขึ้นมอง สีของน้ำชาเป็นทั่วไป ช่วงนี้
เขาดื่มแต่ชาดีมาก ก็พอจะมองออกบ้าง เขารู้ว่าที่ต้
วนฉางไห่พูดมานั้นไม่ผิดเลย ชาของตระกูลเถียนนั้น
ธรรมดามาก
แต่ว่าเป้าหมายที่พวกเขามาที่นี่ไม่ได้มาเพื่อดื่มชา แค่
มาดูว่าของขวัญพิเศษนั่นคืออะไร แล้วก็มาเพื่อแกล้ง
ซีเหมินจั้นอิงด้วย
“จั้นอิง วันนี้ต้องขอบใจเจ้ามากจริงๆ” ฉีหนิงยิ้มแล้ว
พูดว่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้าทำให้ข้าได้ขึ้นไปบนเวที
ประลองนั่น เงินหนึ่งร้อยตำลึงข้าคงไม่ได้มา อีกเดี๋ยว
ยังมีของรางวัลพิเศษอีก หากข้าไม่ชอบใจ ข้าจะให้
เจ้านะ”
วันนี้ซีเหมินจั้งอิงผิดแผนไปหมด เมื่อได้ยินฉีหนิงท้า
ทายเช่นนั้น นางก็พลันหน้าแดงก่ำ แต่ก็ยังปากแข็ง
“ก็แค่บังเอิญ ไม่ได้ชนะอย่างมีเกียรติเลยแม้แต่น้อย”
“เจ้าพูดผิดแล้ว” ฉีหนิงวางแก้วชาลง “อะไรคือชนะ
อย่างไม่มีเกียรติ? ข้าเอาชนะชายผิวคล้ำนั่นต่อหน้า
ทุกคน ใช้วิธีที่ง่ายที่สุดเอาชนะมาได้ หรือว่าข้าทำ
อะไรผิด? จั้นอิง ข้าแปลกใจจริงๆ เจ้าไม่ได้ฝึกวรยุทธ์
อย่างจริงจังอย่างนั้นหรือ?” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้า
เข้าใจแล้ว ผู้หญิงน่ะ มักเน้นเรื่องกระบวนท่ามากกว่า
...”
“ใครบอก?” ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้ว “เจ้าก็แค่เอาชนะ
อันธพาลคนหนึ่งได้เท่านั้นไม่ใช่หรือ? มันน่าดีใจ
ตรงไหน”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าเองก็เอาชนะเขาได้ในสามกระบวน
ท่าเหมือนกันสินะ?” ฉีหนิงแกล้งทำตาโต “ข้ามองไม่
ออกจริงๆ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ หากคืนนี้เจ้าว่าง พวก
เราหาที่ที่ไม่มีคน แล้วมาลองดูกัน หากเจ้ามีปัญญา
พวกเราก็มาลองสู้กันสักสามร้อยกระบวน หากเจ้าทน
ไม่ไหว เจ้าก็อ้อนวอนข้า ข้าอึดนะจะบอกให้”
ต้วนฉางไห่รู้สึกว่าคำพูดของโหวเยวี่ยมันแปลกๆ แค่
คิดก็จะสามารถนึกถึงเรื่องอย่างว่า ทำให้อดหัวเราะ
ออกมาไม่ได้
ตอนแรกซีเหมินจั้นอิงก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ว่าพอเห็นต้
วนฉางไห่หัวเราะ นางก็พอจะนึกออกว่ามัน
หมายความว่าอย่างไร นางรีบลุกขึ้นแล้วชักกระบี่
ออกมา แล้วพูดว่า “เจ้าคนแซ่ฉี ข้าอดทนมาตลอด
แต่ว่าเจ้าได้คืบจะเอาศอก เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฆ่า
เจ้าให้ตายเดี๋ยวนี้เลย?”
ต้วนฉางไห่ก็รู้สึกว่าครั้งนี้โหวเยวี่ยของเขานั้นก็เกินไป
จริงๆ ถึงแม้แม่นางคนนี้จะอารมณ์ไม่ได้ดีมาก แต่จะ
อย่างไรก็ตามนางก็เป็นลูกสาวของเสินโหวซีเหมินอู๋
เหิง แหย่คำสองคำก็ไม่เป็นอะไร แต่ว่าหากจะแกล้ง
ขนาดนี้ ก็ไม่ค่อยเหมาะ เขาลุกขึ้นมายิ้มแล้วพูดว่า
“แม่นางซีเหมิน ท่านอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ความหมาย
ของโหวเยวี่ยคือ ต้องการจะประลองกระบี่กับท่าน
ฝีมือของโหวเยวี่ยไม่เลว ท่านเองก็ไม่ต่างกัน ยอด
ฝีมือเจอกับยอดฝีมือ มีใจอยากจะลองวิชา ก็เป็นเรื่อง
ปกติ ท่านอย่าโกรธไปเลย”
ฉีหนิงยักไหล่ เห็นซีเหมินจั้นอิงโมโห ก็แกล้งพูดว่า
“จั้นอิง ข้าพูดอะไรผิดอีกแล้วหรือ ถึงทำให้เจ้าโกรธ
ได้ถึงเพียงนี้? เจ้าเข้าใจความหมายเจ้าผิดหรือไม่ ถึง
ได้เข้าใจข้าผิดแบบนี้?” แล้วก็แกล้งนึก “ข้าก็ไม่ได้พูด
อะไรสักหน่อย ก็แค่หาที่ประลองวิชาเท่านั้นเอง?”
สายตาของเขาเหมือนกำลังนึกอะไร จากนั้นก็ยิ้มแล้ว
พูดว่า “อ๋อ เข้าใจแล้ว หรือว่าเจ้า...ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่นะ
เหตุใดถึงได้คิดไปถึงเรื่องนั้นได้? หรือว่าเจ้าคิดว่าข้า
จะ ฮ่าฮ่าฮ่า...ข้าไม่ได้เป็นคนเรื่อยเปื่อยแบบนั้น เจ้านี่
จริงๆ เลย...เฮ้อ ข้าก็อายนะ”
ซีเหมินจั้นอิงอดทนมานาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว หัน
หลังไปแล้วเอากระบี่จงใจที่จะฟันลงไปที่คอของฉี
หนิง
ต้วนฉางไห่หน้าเสีย รีบเดินออกมา ยกมือขึ้นมาจับ
ข้อมือของซีเหมินจั้นอิงเอาไว้ ฉีหนิงเตรียมใจเอาไว้
แล้ว ตอนที่ซีเหมินจั้นอิงฟันกระบี่มา เขาก็เอี้ยวตัว
หลบกระโดดออกจากเก้าอี้แล้ว เมือ่ เห็นสีหน้าของซี
เหมินจั้นอิงซีดเซียว ใบหน้าของนางแดงก่ำ แล้ว
ตะโกนว่า “ซีเหมินจั้นอิง ท่านจะทำแบบนี้จริงหรือ?”
“วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าคนหื่นกามอย่างเจ้าให้ได้”
ซีเหมินจั้นอิงเดินขึ้นเข้าไป ต้วนฉางไห่จับแขนของ
นางเอาไว้ แล้วพูดว่า “ซีเหมินจั้นอิง หากท่านเสิน
โหวรู้ว่าเจ้าทำแบบนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลที่ตามมาคือ
อะไร?”
ซีเหมินจั้นอิงอึ้งไป ในตอนนี้เอง พ่อบ้านเถียนยิ้มแล้ว
เดินเข้ามา เมื่อเห็นซีเหมินจั้นอิงถือกระบี่ในมือ ก็
ตกใจ แล้วพูดว่า “แม่นาง...ท่านกำลังจะทำอะไร?”
“ไม่มีอะไร” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อบ้านเถียน ท่าน
จะพาข้าไปดูรางวัลพิเศษใช่หรือไม่?”
ต้วนฉางไห่มองไปที่ฉีหนิง ฉีหนิงก็พูดกับเขาว่า “ต้วน
ฉางไห่ สั่งสอนนางให้ดี ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ไม่มี
มารยาทจริงๆ” จากนั้นเขาก็เดินตามพ่อบ้านเถียนมา
ที่ห้องด้านข้างของห้องรับแขก พ่อบ้านเถียนเชิญฉี
หนิงนั่งลง จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “อีกเดี๋ยวฮูหยิน
ก็จะมาแล้ว”
จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา แล้วก็เห็น
หญิงงามคนหนึ่งเดินเข้ามา ฉีหนิงมองไป นางยิ้มแย้ม
ท่าทางดูเป็นมิตร เขาเดาว่านางน่าจะคือเถียนฮูหยิน
แน่นอน
ก่อนหน้านี้ฉีหนิงได้ยินต้วนฉางไห่บอกว่า เถียนฮู
หยินหน้าตาไม่เลวเลย ตอนนี้ดูๆ ไปแล้ว เรื่องนี้น่าจะ
เป็นเรื่องจริง นางหน้าตาดีมากจริงๆ
เถียนฮูหยินสวยมากจริงๆ คิ้วโก่ง ปากเล็ก หน้าเรียว
รูปร่างดี อายุก็น่าจะอยู่ราวสามสิบต้นๆ สวดทรงอง
เอวเป็นสัดเป็นส่วน เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์เต็มตัว
พ่อบ้านเถียนถอยไปด้านข้าง แล้วพูดว่า “ฮูหยิน นี่
คือคุณชายฉีผู้ที่ได้รับชัยชนะที่ลานประลอง”
ฉีหนิงคิดในใจว่าผู้หญิงที่สวยขนาดนี้กลับเป็นแม่ม่าย
น่าเสียดายจริงๆ แต่ว่าหลังจากสามีของนางตายไป
นางก็รับภาระของร้านยาตระกูลเถียนคนเดียว ซึ่งมัน
ไม่ง่ายเลย ในใจของเขาก็แอบนับถือ เขาลุกขึ้นยืน
แล้วพูดว่า “คารวะฮูหยิน”
เถียนฮูหยินยิ้มทีรวฃาวกับดอกไม้เบ่งบาน นางเดินก้น
บิดเข้ามา แล้วเดินมองรอบตัวฉีหนิง เหมือนนาง
กำลังดูสินค้าชิ้นหนึ่งอยู่
เมื่อถูกสาวสวยมองแบบนี้ ฉีหนิงไม่ค่อยชินเท่าไหร่
เขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยิน...ฮูหยินมีอะไรชี้แนะ
หรือ?”
“เจ้าแซ่ฉีหรือ?” เถียนฮูหยินพูด น้ำเสียงนุ่มนวล
เหมือนสายน้ำไหล ด้วยหน้าตาที่สวยงามบวกกับ
น้ำเสียง ทำให้คนรู้สึกสบายตัวยิ่ง
“ใช่แล้ว” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าฮูหยินได้
เตรียมของขวัญพิเศษเอาไว้ ข้าเองก็เลยอยากจะรู้
เลยมาขอดู”
เถียนฮูหยินเดินรอบตัวเขา แล้วหยุดตรงหน้าของฉี
หนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง มีของขวัญพิเศษจริง ไม่
ต้องมากพิธีหรอกนะ นั่งลงก่อน” จากนั้นก็มองไปที่
พ่อบ้านเถียนแล้วพูดว่า “เจ้าไปชงชามาซิ”
พ่อบ้านเถียนรับคำ แล้วออกไป
เถียนฮูหยินนั่งลงข้างๆ เก้าอี้ของฉีหนิง ยิ้มแล้วถามว่า
“คุณชายฉี ข้ายังไม่รู้ชื่อของเจ้าเลย? เจ้าเป็นคนเมือง
หลวงหรือ?”
เสียงของนางนุ่มนวลน่าฟังมาก รอยยิ้มของนางก็ดู
เป็นมิตร ตอนนี้อยู่ใกล้ๆ ฉีหนิงก็ได้กลิ่นหอมจากตัว
นาง เขามองไปที่เถียนฮูหยิน ถึงได้รู้ว่า ผิวของนางนั้น
ขาวเนียนมาก อายุประมาณสามสิบแต่ว่าไม่มีริ้วรอย
เลย แสดงว่าดูแลตัวเองได้ดีมาก ปลายคิ้วของนางมี
ไฝเสน่ห์เม็ดหนึ่งด้วย ถึงแม้จะไม่ได้เม็ดใหญ่มาก แต่
มันทำให้ใบหน้าของนางนั้นน่าหลงใหล
“ใช่ ข้าเป็นคนเมืองหลวง” ฉีหนิงพยักหน้า “ข้าชื่อฉี
หนิง”
“ฉีหนิง?” เถียนฮูหยินพูดว่า “หนิงหมายถึงความนิ่ง
สุขุมเยือกเย็นและสงบ เป็นชื่อที่ดี”
ไม่รู้ว่านางไม่รู้จักชื่อของจิ่นอีโหว หรือว่าคิดไม่ถึงว่า
คนๆ นี้จะเป็นจิ่นอีโหว สีหน้าอารมณ์ของนางไม่ได้มี
ความตื่นตระหนกอะไร แล้วมองไปที่ฉีหนิงอีกรอบ
สายตาของนางเต็มไปด้วยความพอใจ
ฉีหนิงเคยใช้ชีวิตเสเพลมากก่อน ความคิดของผู้หญิง
เขาเองก็พอจะเดาได้บ้าง เถียนฮูหยินเริ่มจ้องเขา แต่
นางยิ้มอยู่ตลอดเวลา หากเป็นคนทั่วไป คงหวั่นไหว
ไปนานแล้ว คงคิดว่าม่ายสาวคนนี้นั้นคิดอะไรกับ
ตัวเองแน่นอน แต่ว่าฉีหนิงกลับรู้สึกว่า เถียนฮูหยิ
นพอใจในตัวเขาจริง แต่ไม่ใช่แบบความสัมพันธ์ชาย
หญิงแบบนั้น
“ฮูหยิน ไม่ทราบว่าของขวัญพิเศษนั้นคืออะไรหรือ?”
ถึงแม้นั่งอยู่กับสาวสวยจะรู้สึกดี แต่ว่านางมองเขา
เหมือนเป็นสิ่งของแบบนี้ มันทำให้ฉีหนิงทำตัวไม่ถูก
เถียนฮูหยินคิดครู่หนึ่ง เหมือนกำลังพิจารณาอะไรอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง แล้วก็ถามว่า “คุณชายฉี เจ้ามีภรรยา
หรือลูกที่บ้านหรือไม่? แต่งงานหรือยัง?”
ฉีหนิงอึ้งไป แล้วส่ายหน้า “ไม่มี ข้า...ข้ายังไม่ได้
แต่งงาน”
น้ำเสียงของเถียนฮูหยินดีใจมาก “เจ้ายังไม่ได้แต่งงาน
หรือ? ดี...ดีมากเลย ข้าต้องการชายหนุ่มเช่นเจ้า”
สายตาของนางเต็มไปด้วยความพอใจและดีใจเป็น
อย่างมาก
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสือ้ แพร
เล่มที่ 8 บทที่ 213 ชักสีหน้า
ฉีหนิงตกใจ คิดในใจว่าของขวัญพิเศษน่าจะเป็นการ
หาลูกเขยให้ตระกูลเถียนแล้ว หรือว่าเรื่องนี้จะเป็น
เรื่องจริง? ม่ายสาวคนนี้อยู่คนเดียวมากว่าสามปี
อาจจะทนเหงาต่อไปไม่ไหว ก็เลยคิดจะหาผู้ชายคน
ใหม่?
เถียนฮูหยินเห็นฉีหนิงตกใจ ก็เข้าใจทันที ใบหน้าของ
นางเริ่มแดง รีบอธิบายว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าอย่าเพิ่ง
เข้าใจผิด ความหมายของข้าคือ...เฮ้อ ในเมื่อเจ้าขึ้นไป
ประลอง ก็น่าจะได้ยินข่าวลือ”
“ฮูหยินหมายความว่าอย่างไร?”
“รางวัลพิเศษ มีคนบอกว่าตระกูลเถียนจะหาเขย เจ้า
เคยได้ยินหรือไม่?” เถียนฮูหยินมองไปที่ฉีหนิง
ฉีหนิงพูดว่า “ในเมื่อมันคือข่าวลือ ก็ไม่น่าจะใช่เรื่อง
จริง”
เถียนฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “มันคือเรื่องจริง”
“อะไรนะ?” ฉีหนิงอึ้งไป แล้วพูดว่า “ฮูหยิน หรือว่า...
หรือว่ารางวัลพิเศษที่ว่าก็คือ...ก็คือเขยตระกูลเถียน?”
“ถูกต้อง” เถียนฮูหยินตอบอย่างหนักแน่น “ในเมื่อ
คุณชายฉีขึ้นไปประลอง ก็น่าจะพอรู้สถานการณ์ของ
ตระกูลเถียนดี ตระกูลเถียนของพวกเราผู้ชายน้อย
มาก เราต้องการผู้ชายมาเป็นเสาหลักของตระกูล”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ความหมายของฮูหยินคือ...คือ
ต้องการแต่งงานกับข้า?”
เถียนฮูหยินอึ้งไป ดวงตาก็พลันแดงก่ำขึ้นมา แล้วพูด
ว่า “โอ้ย เจ้า...เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน? ใคร...ใคร
จะแต่งงานกับเจ้ากัน” ปกตินางไม่เป็นแบบนี้ แต่ว่า
ในตอนนี้กลับกระวนกระวายนัก
ฉีหนิงรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย แล้วพูดด้วยความ
แปลกใจ “ฮูหยินไม่ได้บอกว่าอยากจะหาผู้ชายมารับ
ช่วงต่อหรอกหรือหรือ? แล้ว...”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” เถียนฮูหยินรีบอธิบายว่า
“ตระกูลเถียนหาเขย ไม่ใช่...ไม่ใช่กับข้า แต่กับลูกสาว
ของข้า เจ้าต้องมาเป็นลูกเขยข้า”
“หา?” ฉีหนิงอึ้งไป แล้วเข้าใจขึ้นมาทันที ทันใดนั้นก็
รู้สึกเขิน รีบพูดว่า “ฮูหยิน เรื่องนั้น...ต้องขออภัย
จริงๆ ข้าเข้าใจผิดไปเอง เอ่อ...”
เถียนฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่ได้
พูดให้ชัดเอง จะโทษเจ้าก็ไม่ได้ อีกอย่าง ข้าเองก็แก่
แล้ว พ่อของฟูเอ๋อร์ก็จากไปแล้ว ข้าเองก็คิดแต่จะ
ทำงาน ไม่เคยคิดอะไรอย่างอื่น” นางก็พลันหัวเราะ
ขึ้นมา
นางเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมาก หากเรื่องเข้าใจผิดไม่
อธิบายให้ชัด มันก็จะยิ่งทำตัวไม่ถูกไปกันใหญ่ ไม่สู้
พูดกันตรงๆ จะดีกว่า
ฉีหนิงเห็นนางเป็นม่ายสาวพราวเสน่ห์ ในใจก็คิดว่า
หากไม่ได้แก่ ต่อให้ไม่มีราศีอะไรมาก แต่ก็นางเป็น
สาวอวบอิ่มมีน้ำมีนวล
ตอนนี้ก็ถือว่าเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้ว รางวัลพิเศษก็
คือการได้เป็นเขย แต่ว่าคนที่ต้องแต่งงานด้วยไม่ใช่
เถียนฮูหยินคนสวยคนนี้แต่เป็นลูกสาวของนาง
มิน่าเมื่อครู่เถียนฮูหยินเข้ามาแล้วจ้องเขาอยู่นาน ที่
แท้ก็จะหาสามีให้ลูกสาว
เถียนฮูหยินถึงแม้ว่าจะเป็นหญิงม่าย แต่ว่าฉีหนิงก็
มองนางใหม่แล้ว เขาไม่สงสัยเลยเพราะม่ายสาวสวย
คนนี้เป็นคนที่ฉลาดมาก
ของรางวัลพิเศษ สิทธิในการอธิบายทุกอย่างอยู่ในกำ
มือของเถียนฮูหยิน เป้าหมายของนางคือการหา
ลูกเขย แต่ว่านางกลับเลือกเก็บไว้เป็นไม้ตาย
ฉีหนิงสงสัย หากชายผิวคล้ำนั่นได้รับชัยชนะ รางวัล
พิเศษอาจจะไม่ใช่การหาเขยก็ได้ เขามีเหตุผลให้เชื่อ
แบบนั้น อายุและหน้าตาของเขา น่าจะเป็นที่ถูกใจ
เถียนฮูหยิน ดังนั้นเถียนฮูหยินจึงบอกว่าของรางวัล
พิเศษคือการหาลูกเขย
จัดเวทีประลอง แต่ยังคงเหลือทางเลือกสุดท้ายเอาไว้
เถียนฮูหยินฉลาดไม่เบาเลย
ในตอนนี้เอง พ่อบ้านเถียนได้ยกถาดมาด้วยตัวเอง
แล้วยกน้ำชาให้กับฉีหนิงก่อน แล้วค่อยยกน้ำชาให้
เถียนฮูหยิน
เถียนฮูหยินวางแก้วชาลง ฉีหนิงได้ยินเสียงอะไร
บางอย่าง ถึงมันจะไม่ได้ดังมาก แต่ว่าหูของฉีหนิงนั้น
ก็ถือว่าดีมากเลยทีเดียว เขารู้สึกแปลกๆ รู้สึกว่าเถียน
ฮูหยินวางแก้วลงเหมือนวางแก้วเปล่า
“ฮูหยิน เถ้าแก่หลิวของร้านปาเป่าถังเมื่อครู่ส่งคนมา
ให้พวกเราส่งกู่มู่กับจู๋หยูไปให้อย่างละหนึ่งร้อยชั่ง”
พ่อบ้านเข้ามาใกล้เถียนฮูหยิน แล้วพูดเสียงเบาว่า
“เถ้าแก่หลิวฝากมาถามว่า ราคาให้ถูกกว่านี้ได้
หรือไม่? หากราคาถูกกว่านี้ไม่ได้ แถมให้เขาอีกสัก
หน่อยได้หรือไม่”
เถียนฮูหยินรีบพูดว่า “ทำการค้ามาก็หลายปี ราคา
กับคุณภาพสินค้าของร้านยาตระกูลเถียน ถือว่า
ยุติธรรมที่สุดแล้ว จะให้ถูกกว่านี้ไม่ได้ เขาอยากให้
พวกเราแถมของให้เขาหรือ? บอกเขาว่า ไม่มีเกิน ชั่ง
เดียวก็ไม่ได้”
“ข้าน้อยทราบแล้ว” พ่อบ้านเถียนรับคำแล้วรีบ
ออกไป ขณะกำลังออกไป เถียนฮูหยินถามว่า “เจ้าไป
ตามฟูเอ๋อร์มานี่หน่อย ให้นางมาพบกับคุณชายฉี”
หลังจากพ่อบ้านเถียนออกไปแล้ว เถียนฮูหยินก็ยิ้ม
แล้วพูดว่า “คุณชายฉี ข้าจัดเวทีประลองขึ้น ก็เพราะ
ไม่มีทางเลือก หากต้องการหาคนที่มารับภาระพวกนี้
ได้ จะไปหาคนทั่วไปไม่ได้ จะต้องเป็นชายชาตรีที่
องอาจ มีวรยุทธ์ด้วยเป็นดีที่สุด จริงสิ เจ้าเป็นคน
เมืองหลวง แล้วพักอยู่ที่ใด? หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว
ให้ที่บ้านของเจ้ามาที่นี่สักครั้ง จะได้คุยเรื่องแต่งงาน
กัน”
นางก็ถือว่าเด็ดขาดตรงไปตรงมาดี
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจว่า ที่เถียนฮูหยินลงทุนจัดเวที
ประลองขึ้น เพราะอยากหาลูกเขยที่มีวรยุทธ์ติดตัว
เขาพอจะเข้าใจเรื่องตระกูลเถียนเพิ่มมากขึ้น สามี
ของเถียนฮูหยินถูกปล้นและถูกสังหารเมื่อสามปีก่อน
จนตอนนี้คดียังไม่คืบหน้า ส่วนเถียนฮูหยินก็แบก
ภาระมาหลายปี รู้สึกว่าเหนื่อยและลำบากมากเกินไป
ดังนั้นเลยอยากจะหาผู้ชายมาแบ่งเบาภาระตรงนี้
หากกลายมาเป็นลูกเขยของตระกูลเถียนจริง ก็
จะต้องรับผิดชอบการค้าสมุนไพรของตระกูลเถีย
นด้วย ซึ่งการออกไปรับส่งสมุนไพรเป็นเรื่องที่เลี่ยง
ไม่ได้
เพราะมีประสบการณ์มาก่อน เถียนฮูหยินก็เลยรู้สึก
ว่าลูกเขยของนางควรจะมีวรยุทธ์จะได้ปลอดภัย
ฉีหนิงแค่สงสัยว่ารางวัลพิเศษนั้นคืออะไร แต่ไม่มีทาง
กลายมาเป็นเขยของตระกูลเถียน เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ฮูหยินคงจะเข้าใจผิดแล้ว ที่ข้าขึ้นไปประลองบนเวที
มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดจะไปสู้กับใคร”
เถียนฮูหยินอึ้งไป เหมือนจะไม่เข้าใจที่เขาพูด “คุณ
ชายฉี เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ข้า...ข้าฟังไม่
เข้าใจ”
“ฮูหยินอยากหาลูกเขย เกรงว่าข้าคงไม่เหมาะ” ฉี
หนิงยกน้ำชาขึ้นดื่ม เขายิ้มแล้วพูดว่า “อีกทั้งข้าเองก็
ยังไม่ได้คิดจะแต่งงานตอนนี้ด้วย”
เมื่อเปิดฝาถ้วยชาออก น้ำชาในถ้วยนี้ดีกว่าเมื่อครู่
เยอะมาก แต่ว่ามีใบชาแค่ไม่กี่ใบเท่านั้น สีของน้ำก็
อ่อนมาก ฉีหนิงอึ้งไป แอบคิดในใจว่าตระกูลเถียน
รับแขกแบบนี้หรือ ชาหยาบก่อนหน้านี้ไม่ว่า แต่ว่า
ตอนนี้อุตส่าห์ใช้ชาที่ค่อนข้างดีแล้ว แต่มีใบชาอยู่แค่
ไม่กี่ใบเท่านั้น
ใบหน้าของเถียนฮูหยินที่มีแต่รอยยิ้มตลอด ตอนนี้ไม่
มีแล้ว นางขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “เจ้าคงไม่ได้
หมายความว่า เจ้าไม่รับปากที่จะเป็นลูกเขยข้าหรอก
ใช่หรือไม่?”
“ฮูหยิน ถึงแม้จะเสียใจ แต่ว่าฮูหยินไม่ได้ฟังผิด” ฉี
หนิงพูดว่า “ข้ากับลูกสาวท่านไม่เคยพบกันมาก่อน
พูดก็ไม่เคยพูดด้วยสักคำ กลับต้องมาถูกกำหนดให้
แต่งงานกัน มันดูง่ายไปหน่อยกระมัง อีกทั้งข้าเองก็
บอกไปแล้วว่า ตอนนี้ข้าไม่ได้คิดจะแต่งงาน ดังนั้น...”
“เจ้าเห็นเวทีประลองของข้าเป็นของเล่นหรือ?”
เถียนฮูหยินหน้านิ่งไป นางพูดด้วยความไม่พอใจว่า
“คุณชายฉี ถึงแม้พ่อของฟูเอ๋อร์จะไม่อยู่แล้ว แต่ว่า
ตระกูลเถียนของข้าไม่เคยผิดคำพูดมาก่อน ต่อให้ข้า
จะเป็นแค่แม่ม่ายลูกติด เรื่องที่ข้าพูดไปแล้ว ก็จะต้อง
ทำให้ได้ ในเมื่อข้าพูดไปแล้ว ว่าจะให้แต่งงานไม่ว่า
อย่างไรงานนี้ก็ต้องเกิดขึ้น อีกอย่าง เรื่องการแต่งงาน
เป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำตามคำสั่งของพ่อแม่ ไม่สำคัญ
ว่าเจ้ากับฟูเอ๋อร์จะเคยเจอหน้ากันหรือไม่ หรือเคยคุย
กันหรือไม่”
ก่อนหน้านี้เถียนฮูหยินยังยิ้มหน้าบานอยู่เลย ตอนนี้
กลับชักสีหน้าแล้ว ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่เวลานาง
โกรธ ก็ดูน่ารักดี
ฉีหนิงรู้สึกว่าเรื่องนี้ยุ่งยากแล้ว ก็เลยพูดว่า
“เถียนฮูหยิน ครั้งนี้ถือว่าเป็นความผิดของข้า ข้าต้อง
ขออภัยด้วยจริงๆ แต่ว่าเรื่องการแต่งงาน...”
“ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” เถียนฮูหยินพูดอย่าง
เด็ดขาดชัดเจน “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่เคยเจอฟูเอ๋อร์ใช่
หรือไม่? ข้าให้คนไปตามนางมาแล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะ
ได้เจอ”
ฉีหนิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที หากรู้ว่าต้องเป็นแบบนี้
ไม่มาดูรางวัลพิเศษเสียยังจะดีกว่า
กำลังจะพูด ก็เห็นพ่อบ้านเถียนวิ่งหน้าตื่นเข้ามา แล้ว
พูดว่า “ฮูหยิน คุณหนู...คุณหนูนางปิดประตูห้องอีก
แล้ว ข้าเรียกเท่าไหร่ก็ไม่เปิด”
เถียนฮูหยินขมวดคิ้ว คิดแล้วพูดว่า “ข้าไปเอง” แล้ว
ก็เดินออกไป จากนั้นก็หันมามองฉีหนิง จากนั้นก็กวัก
มือเรียกพ่อบ้านมา แล้วพูดอะไรกับเขาบางอย่าง
พ่อบ้านเถียนมองไปที่ฉีหนิง แล้วพยักหน้า
ฉีหนิงเห็นพวกเขาออกไปแล้ว ก็คิดว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไป
ไม่ได้แล้ว เขาลุกขึ้นเตรียมออกไป ทันใดนั้นเองเขาก็
เหลือบมองไปที่ถ้วยชาของเถียนฮูหยิน นึกถึงเสียง
แปลกๆ ที่ได้ยินเมื่อครู่ แล้วมองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่า
ไม่มีใคร เขาก็ยื่นมือไปเปิด แล้วก็หลุดหัวเราะออกมา
ภายในถ้วยชาไม่มีน้ำชาแม้แต่หยดเดียว
ถึงแม้เมื่อครู่เขาจะสงสัย แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เถียนฮูหยินรับแขกก็ต้องอยู่เป็น
เพื่อนแขก ไม่เพียงต้องยกน้ำชามาให้ ตัวเองก็ต้องดื่ม
ด้วย ฉีหนิงรู้ว่ามันเป็นมารยาท
แต่ว่าเอาถ้วยเปล่ามาแบบนี้ มันหมายความว่า
อย่างไร?
เถียนฮูหยินไม่ชอบดื่มชาหรือ? หรือว่า...เถียนฮูหยิน
ไม่ยินดีที่จะร่วมดื่มชากับเขา?
ตระกูลเถียนจะอย่างไรก็เป็นตระกูลใหญ่ ชาแก้วเดียว
ก็ไม่อยากเสีย?
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกถึงเงินหนึ่งร้อยตำลึงบนเวที
ประลองขึ้นมา เมื่อครู่ก็ใช้ชาหยาบรับแขก กว่าจะได้
ชาดีก็ไม่ง่ายเลย ฉีหนิงคิดในใจว่าเถียนฮูหยินม่ายสาว
คนสวยนี้ ดูไปแล้วเป็นหญิงที่เก่งและฉลาด แต่ว่า
น่าจะเป็นคนขี้เหนียวเอามากๆ
เขารู้ว่าหากเถียนฮูหยินกลับมา คงต้องมีปัญหามาก
ไม่น้อย ฉวยโอกาสไปตอนที่นางไม่อยู่ดีที่สุด เขาไม่
ลังเลแล้วเดินออกจากห้องไป พอเดินมาถึงประตูใหญ่
บ่าวไพร่สองสามคนก็วิ่งมาขวาง มีคนหนึ่งพูดว่า
“คุณชายฉี ฮูหยินสั่งเอาไว้ อีกเดี๋ยวนางก็กลับมา
ท่านดื่มชาสักประเดี๋ยว”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้ายังมีธุระอีก ต้องรีบกลับไป พวกเจ้า
บอกกับเถียนฮูหยินว่า ไว้ข้าจะมาเยี่ยมใหม่วันหลัง”
ตอนที่จะจากไป บ่าวคนนั้นพูดว่า “ห้ามไป” บ่าวไพร่
สามคนเดินขึ้นเข้ามาขวางฉีหนิงเอาไว้
ฉีหนิงรู้ว่านี่น่าจะเป็นคำสั่งของเถียนฮูหยิน ในใจคิด
ว่าข้าไม่อยากแต่งงาน หรือว่าตระกูลเถียนของพวก
เจ้าจะบังคับให้ข้าแต่งงานหรือ? เขาขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “รีบหลบไป อย่าให้ข้าต้องลงมือ”
บ่าวไพร่พูดว่า “พวกเรา อย่าให้เขาหนีไป”
พริบตาเดียว ก็มีบ่าวไพร่อีกสามสี่นายวิ่งมา ในมือถือ
ไม้ตระบอง บ่าวไพร่พวกนี้ร่างกายกำยำทั้งนั้น พวก
เขามาขวางทางฉีหนิงเอาไว้ มีคนหนึ่งพูดว่า “ก่อนที่ฮู
หยินจะกลับมา ห้ามไปไหนทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นอย่าหา
ว่าพวกข้าไม่เกรงใจนะ”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสือ้ แพร
เล่มที่ 8 บทที่ 214 ม่ายสาวผู้สูงส่ง
บ่าวไพร่พวกนี้ดุดันยิ่งนัก ฉีหนิงรู้สึกน่าขำอยู่ในใจ
แล้วฝืนพูดว่า “พวกเจ้าน่าจะรู้ ข้าเอาชนะชายผิวคล้ำ
บนเวทีประลองมาแล้ว หรือว่าพวกเจ้าอยากจะลอง
ดู?”
บ่าวไพร่ได้ยินดังนั้น ก็นึกขึ้นมาได้ ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่
คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ ก็รู้สึกกลัวกันขึ้นมา
ชายคนหนึ่งฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายฉี ฮูหยินมีเรื่อง
จะคุยกับท่าน นี่ก็ยังไม่ดึกมาก ก็อย่าเพิ่งรีบไปเลย
หากท่านจะไปจริงๆ พวกเราก็จะไม่ได้กินข้าว พวก
เราน่าจะช่วยเหลือกันนะ ท่านรอสักครู่เถอะนะ พวก
เราก็จะได้ไม่ต้องลำบากใจ”
“ห้ามไปเลยนะ” บ่าวไพร่เริ่มร้อนใจ ชายพวกนั้น
หยิบไม้ตะบองขึ้น แล้วชี้ไปที่หน้าอกของฉีหนิง
ฉีหนิงคิดในใจว่าหากไม่ให้พวกเขารู้ตัวเสียบ้าง พวกนี้
ก็ไม่รู้เรื่องสักที เขาไม่ได้อยากจะลงมือกับพวกเขาเลย
เมื่อเห็นชายพวกนั้นยื่นไม้ตะบองขึ้นมา เขาก็ยื่นมือ
ไปจับ เหมือนคิดจะแย่งไม้มา
ถึงแม้บ่าวไพร่จะได้รับคำสั่งมา แต่ว่าพวกเขาก็ไม่กล้า
ทำร้ายฉีหนิงจริงๆ ฉีหนิงจับไม้ตะบองเอาไว้ ไม้เกือบ
ถูกฉีหนิงดึงไปจริงๆ แล้วแต่ปฏิกิริยาของพวกเขาก็
ไม่ได้แย่ เขารีบดึงกลับ แล้วพูดว่า “ท่านจะลงมือกับ
พวกข้าจริงหรือ?”
ฉีหนิงยิ้ม แล้วก็ออกแรงมากขึ้น บ่าวไพร่คนนั้นรู้สึก
ว่าไม้ถูกกระชากไปอีกครั้ง ในใจก็เริ่มร้อนรน จึงเกิด
ความไม่ยินยอม แอบคิดในใจว่าจะยอมให้เด็กหนุ่มมา
แย่งไม้ไปไม่ได้ เขาใช้สองมือกระชากไม้กลับมา ฉีหนิง
เห็นดังนั้นก็ใช้แรงทั้งหมดที่เขามีดึง จากนั้นก็ปล่อย
มือ บ่าวไพร่ไม่ทันได้ระวัง จึงหงายหลังลงไปกองบน
พื้น
บ่าวไพร่คนอื่นแทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
บ่าวคนนั้นโกรธมาก แล้วตะคอกว่า “เจ้าคนแซ่ฉี เจ้า
...เจ้ารังแกกันเกินไปแล้วนะ วันนี้ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร
ก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” เขาลุกขึ้นมาแล้วตะคอกเสียง
ดัง
“หยุดนะ” ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงที่ดุดันดังขึ้นมา
ทุกคนก็มองไป เห็นชายรูปร่างกำยำเดินเข้ามา เขา
คือต้วนฉางไห่
ต้วนฉางไห่เดินเข้ามา แล้วยืนหน้านิ่งอยู่ด้านข้าง ซีเห
มินจั้นอิงยืนอยู่ด้านนอก มองแล้วก็แสยะยิ้มออกมา
แต่ไม่เดินเข้าไป
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” ต้วนฉางไห่เดินเหมือนเสือ
เข้ามาในเรือน เห็นบ่าวไพร่หกเจ็ดคนกำลังล้อมฉีหนิง
อยู่ แต่ละคนถือไม้ตะบองเต็มไม้เต็มมือ สีหน้าของ
เขาแย่มาก “บังอาจเกินไปแล้วนะ พวกเจ้ารู้หรือไม่
ว่าเขาเป็นใคร?”
“ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ตอนนี้เขาจะไปไหนไม่ได้
ทั้งนั้น” บ่าวไพร่พูดอย่างโมโห
ในตอนนี้เองเถียนฮูหยินก็เดินมา ใบหน้ารูปไข่
หน้าตาสวยงาม สวมต่างหูรูปผีเสื้อ ปักปิ่นเงิน ผมดำ
สวยงาม ดูงดงามไม่มีใครเทียบได้
ฉีหนิงก็เคยพบผู้หญิงผมดำมามาก เขารู้ว่าผมแบบนี้
มันส่งผลต่อความสง่าของผู้หญิงมาก หากไม่ได้มี
ความสง่าที่เหมาะสม จากเสือก็อาจจะกลายเป็นหมา
ไปได้ แต่ฉีหนิงมั่นใจว่า ในโลกนี้คนที่เหมาะกับทรง
ผมแบบนี้ นั่นคือเถียนฮูหยิน
เถียนฮูหยินเหมือนรู้จุดเด่นของตัวเองดี ทรงผมของ
นางกับใบหน้าของนางมันเหมาะกันมาก ทำให้นางดู
สวยดูเป็นผู้ใหญ่ดูหนักแน่นขึ้น แต่ว่าใบหน้ากับ
ดวงตาของนาง มันมีทั้งเสน่ห์แล้วก็ความเจ้าเล่ห์
เวลาที่ม่ายสาวคนนี้เดินทรวดทรงองเอวสะบัดไปมา
เย้ายวนใจยิ่ง
“ฮูหยิน...” เมื่อเห็นเถียนฮูหยินเดินมา บ่าวไพร่ก็เบา
ใจ
เถียนฮูหยินเดินเข้ามา เอามือทั้งสองข้างประสานกัน
ไว้ด้านหน้า แล้วมองไปที่ฉีหนิง นางพูดว่า “อะไรกัน
เจ้าจะไปแล้วหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินคงไม่ได้จะคิดชวนข้ากิน
ข้าวเย็นหรอกกระมัง?”
“พวกเรายังคุยกันไม่จบ เจ้าจะไปได้อย่างไร?”
รอยยิ้มของเถียนฮูหยินไม่ได้เป็นมิตรเหมือนเดิมแล้ว
“เจ้าชนะการประลอง ตอนนี้ก็ยังคุยกันไม่ชัดเจน จะ
ไปได้อย่างไร ตระกูลเถียนของข้าก็ต้องมาเสียแรง
เปล่าๆ ปลี้ๆ อย่างนี้หละหรือ?”
“เสียงแรงเปล่าๆ ปลี้ๆ?”
เถียนฮูหยินพูดว่า “ตระกูลเถียนของพวกข้าเตรียม
เวทีประลองกว่าสองเดือน เจ้าต้องรู้นะว่า การจัดเวที
ประลองกลางแจ้งแบบนั้น จะต้องจ่ายค่าที่ด้วย”
“ความหมายของฮูหยินคือ?” ฉีหนิงเห็นเถียนฮูหยิน
จริงจัง ในใจก็แอบขำ ม่ายสาวคนสวยคิดจะคิดบัญชี
กับเขาแล้ว
“ยังมีอีก สามวันมานี้ตระกูลเถียนต้องส่งคนไปเฝ้าที่
ลานประลอง อาหารการกินค่าแรงของพวกเขา
ตระกูลเถียนของพวกเราก็ต้องจ่าย” น้ำเสียงของ
เถียนฮูหยินนุ่มนวล แต่ว่าพูดเร็วมาก “อาหารการกิน
ค่าแรงพวกนี้ จริงๆ แล้วพวกเขาควรจะทำงานในจวน
ตระกูลเถียน แต่ว่าสามวันนมานี้พวกเขากับต้อง
เสียเวลาไปที่ลานประลอง เจ้าคิดว่าเงินพวกนี้ใครควร
ต้องรับผิดชอบ?”
ฉีหนิงยกมือขึ้นลูบจมูก แล้วพูดว่า “ฮูหยินจะคิดบัญชี
กับข้า?”
“ต้องคิดบัญชีสิ” เถียนฮูหยินพูดอย่างเด็ดขาด
“ตระกูลเถียนของพวกเราเป็นตระกูลการค้า ทำ
การค้าเน้นไปที่คำพูดกับความเชื่อมั่น หากผิดคำพูด
จะต้องชดใช้เป็นสองเท่า”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินหมายความว่า หากข้าไม่
รับปากเป็นเขยของตระกูลเถียน ก็จะต้องชดใช้
ค่าเสียหายให้กับตระกูลเถียนอย่างนั้นใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง หมายความว่าอย่างนั้นแหละ” เถียนฮูหยิ
นเอียงคอเล็กน้อย ผิวของนางขาวราวกับหิมะ ลำคอ
ของนางขาวมาก
ต้วนฉางไห่ตะลึงไป เขามองไปที่ฉีหนิง แล้วมองไปที่
เถียนฮูหยิน ในใจคิดว่าหรือว่าโหวเยวี่ยอาจจะเดาถูก
เอาชนะการประลองได้ก็จะได้แต่งงานกับเถียนฮู
หยิน? ถึงแม้เถียนฮูหยินจะอายุสามสิบปีต้นๆ แต่ว่า
นางก็ยังดูสวย หากได้แต่งกับนาง ไม่ว่าผู้ชายคนไหน
ก็อยากทั้งนั้น
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นต้องชดใช้
เท่าไหร่กัน?”
“ในเมื่อเจ้าไม่ตกลงที่จะแต่งงาน ก็ถือผิดเงื่อนไขของ
การประลอง เงินหนึ่งร้อยตำลึงก่อนหน้านี้ ก็จะต้อง
คืนมา” เถียนฮูหยินเริ่มคำนวณค่าใช้จ่าย “พวกเรา
เสียเวลาเตรียมงานสองเดือน ก็ต้องชดใช้เงินบางส่วน
มา ค่าจัดเวทีการประลอง บวกกับเงินค่าแรงของ
คนงาน เดี๋ยว ขอข้าคิดก่อน อืม...ยังมี เมื่อครู่พวกเจ้า
ดื่มชากันไป ยังมี เดิมทีข้าอารมณ์ดี แต่ว่าเพราะเจ้า
ผิดคำพูด ต่อจากนี้อีกหลายวันข้าจะต้องกินไม่ได้นอน
ไม่หลับ ทำให้เสียสุขภาพ ดังนั้น...ดังนั้นเจ้าก็จะต้อง
ชดใช้”
ฉีหนิงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกเลย
“หากว่าไม่สามารถจ่ายเงินมาหนึ่งพันตำลึง เรื่องนี้ก็
จะไม่จบแค่นี้” เถียนฮูหยินจ้องไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า
“เจ้าจะจ่ายค่าเสียหายหนึ่งพันตำลึงให้กับตระกูลเถีย
นของพวกเรา จำไว้ ต้องเงินสดเท่านั้น แล้วก็ต้องจ่าย
มาเดี๋ยวนี้ หรือไม่...หรือไม่ก็รับปากเรื่องการแต่งงาน
ข้าจะไม่บังคับเจ้า เจ้าเลือกเอาเอง”
ฉีหนิงรู้สึกเหมือนถูกกลุ่มนักต้มตุ๋นหลอก อย่าว่าแต่
หนึ่งพันตำลึงเลย ในตัวเขาตอนนี้มีเงินไม่ถึงห้าร้อย
ตำลึง ในตัวเขามีแค่สิบตำลึง ซึ่งห่างจากจำนวนที่
เถียนฮูหยินเรียกมามาก อีกทั้งเขาเองก็ไม่มีปัญญาหา
เงินหนึ่งพันตำลึงมาได้ เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฮู
หยิน เงินหนึ่งพันตำลึง ข้า...ไม่มีหรอก”
เถียนฮูหยินยิ้ม แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะโทษข้า
ไม่ได้นะ”
ต้วนฉางไห่ทนไม่ได้เลยถามว่า “เถียนฮูหยิน หากว่า
เป็นเขยให้กับตระกูลท่าน แค่นี้เรื่องก็จบแล้วใช่
หรือไม่?”
“เจ้าเป็นใคร?” เถียนฮูหยินมองไปที่ต้วนฉางไห่ แล้ว
ถามด้วยความสงสัย
“ข้าต้วนฉางไห่” ต้วนฉางไห่จัดเสื้อผ้าตัวเอง “ท่านนี้
เป็นคุณชาย...ของข้า”
เถียนฮูหยิน “อ่อ” แล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่ใช่คนโลภ
ไม่ได้คิดอยากจะได้เงินของพวกเจ้าจริงๆ หรอก ขอ
แค่ยอมรับปากเรื่องแต่งงาน ก็เป็นครอบครัวเดียวกัน
เงินก็ไม่ต้องชดใช้อีก”
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยิน จริงๆ เรื่องนี้ก็ไม่
ยาก ก็แค่เป็นเขยเองจริงหรือไม่เล่า? คุณชายของข้า
...อายุยังน้อย ไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ไม่ทราบว่าฮูหยิน
จะลองพิจารณา หาคนแต่งงานแทนคุณชายได้
หรือไม่” เขาเดินเข้ามาใกล้ฉีหนิง แล้วพูดเบาๆ ว่า
“ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“ตัวแทน?” เถียนฮูหยินขมวดคิ้ว “หมายความว่า
อย่างไร?”
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “เถียนฮูหยิน ปีนี้ข้าอายุสี่
สิบต้นๆ ยังไม่ได้แต่งงาน ข้าเป็นคนตรงๆ มีความ
รับผิดชอบ ไม่ทราบว่าฮูหยินคิดว่าข้าเป็นอย่างไร
บ้าง?” เขามองไปที่เถียนฮูหยิน แล้วพูดอย่างสุภาพ
ว่า “จริงๆ แล้วฮูหยินกับคุณชายของข้าอายุห่างกัน
เกินไป ไม่เหมาะสมกันหรอก”
ฉีหนิงหันหน้าไปมอง แล้วกลั้นขำเอาไว้ ดูท่าต้วนฉาง
ไห่จะถูกใจเถียนฮูหยินเข้าให้แล้ว แต่ว่าก็ไม่แปลก คน
สวยแบบนีห้ าได้ยาก เป็นผู้ชายคนไหนก็หวั่นไหวกัน
ทั้งนั้น
เถียนฮูหยินตะลึงไป นางเข้าใจในทันที ใบหน้าของ
นางก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที “คนบ้ามาจากไหนกัน
พูดจาเหลวไหล พวกเจ้า...เด็กๆ ไล่เขาออกไป”
“ฮูหยิน นี่มันอะไรกัน?” เห็นบ่าวไพร่ถือไม้ตะบองมา
ต้วนฉางไห่รีบพูดว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? ฮูหยิน
มีอะไรค่อยๆพูดค่อยๆ จากันก็ได้ พวกเราอย่าทำลาย
บรรยากาศเลย หรือว่าท่านมีเงื่อนไขอื่นอีกหรือ?”
ในตอนนี้เองพ่อบ้านเถียนก็เดินมาข้างๆ เถียนฮูหยิน
แล้วพูดว่า “ฮูหยินของพวกเราต้องการเขย ไม่ใช่...
เอ่อ นางต้องการหาเขยให้คุณหนูของพวกเรา”
ต้วนฉางไห่อึ้งไป ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เขารู้สึกเขิน
อายยิ่งนัก เขาพูดว่า “ที่แท้...ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง ฮู
หยิน มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร พวกเรา...พวกเรา
มาคุยกันดีๆ ก็ได้ เหตุใดต้องลงไม้ลงมือกันด้วย”
“ไล่เขาออกไป ไล่เขาออกไป” เถียนฮูหยินถูกทั้งฉี
หนิงกับต้วนฉางไห่เข้าใจผิด ตอนนี้นางอายจนไม่รู้จะ
เอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว
คำสั่งของเถียนฮูหยินก็เหมือนราชโองการ บ่าวไพร่
ทั้งหลายต่างเดินกรูกันเข้ามา ซีเหมินจั้นอิงรออยู่ด้าน
นอกไม่เข้ามาช่วย
ต้วนฉางไห่คุ้มกันอยู่ด้านหน้าของฉีหนิง เห็นบ่าวไพร่
พุ่งเข้ามา ในใจก็คิดว่าต้องลงมือแน่นอน กลัวว่าจะไม่
เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย เขาเลยตะโกนว่า “ใครกล้าลง
มือ? พวกเจ้า...พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร?”
เถียนฮูหยินพูดว่า “พูดจาไม่ดี ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็น
ใคร เจ้าออกไปเดี๋ยวนี”้
“ฮูหยิน ดูท่าท่านจะไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเราเป็นใคร” ต้
วนฉางไห่รู้ว่าหากไม่บอกความจริงไป ก็จะยิ่งเข้าใจ
ผิดไปกันใหญ่ เขาชี้ไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ท่านนี้คือ
ท่านจิ่นอีโหว พวกเจ้ากล้าเสียมารยาทกับโหวเยวี่ย
หรือ?”
สี่บรรดาศักดิ์โหวสูงสุด จิ่นอีโหวถือว่ามีชื่อเสียงใน
กลุ่มชาวบ้านมากที่สุด ไม่ว่าจะลูกเด็กเล็กแดงต่าง
รู้จักชื่อของแม่ทัพจิ่นอีโหวดี เมื่อต้วนฉางไห่พูดชื่อนี้
ออกมา บ่าวไพร่ต่างตะลึงไป เถียนฮูหยินเองก็ยืนอึ้ง
ไป
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 215 คืนสุดท้าย
ต้วนฉางไห่เห็นว่าวิธีนี้ได้ผล ก็พูดว่า “ร่างกายโหว
เยวี่ยมีค่าดั่งทอง หากถูกทำร้ายแม้แต่ขนเส้นเดียว
พวกเจ้าคิดถึงผลที่ตามมาบ้างหรือไม่” จากนั้นเขาก็
มองไปที่เถียนฮูหยิน น้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนขึ้น
ยิ้มแล้วพูดว่า “เถียนฮูหยิน วันนี้โหวเยวี่ยเดินผ่าน
เวทีประลอง เลยขึ้นไปยืดเส้นยืดสายเท่านั้น ท่านคง
จะไม่กักตัวโหวเยวี่ยไว้แบบนี้หรอกกระมัง?”
เถียนฮูหยินกัดฟัน ถามด้วยความไม่มั่นใจว่า “เขา...
เขาคือจิ่นอีโหวจริงๆ หรือ?”
“ฮูหยิน ใครจะกล้าปลอมตัวเป็นจิ่นอีโหวได้เล่า?” ต้
วนฉางไห่เงยหน้าขึ้นมา “ปลอมเป็นจิ่นอีโหว จะต้อง
ได้รับโทษถึงขั้นประหารชีวิตโดยการตัดมือและเท้า
แล้วจากนั้นก็จะเชือดคอ”
ฉีหนิงตกใจ แอบคิดในใจว่าข้าเป็นตัวปลอมนะ ที่แท้
สวมรอยแล้วจะต้องได้รับโทษถึงขั้นประหารชีวิตด้วย
การตัดมือและเท้าจากนั้นก็ค่อยเชือดคอ
เขารู้ว่าการตัดมือและเท้าแล้วจึงเชือดคอมัน
หมายความว่าอย่างไร คิดดูแล้วก็ขนลุกซู่ขึ้นมา
เถียนฮูหยินขมวดคิ้ว เงียบไปครู่ใหญ่ แล้วพูดว่า “ใน
เมื่อ...ในเมื่อเป็นถึงจิ่นอีโหว ก็ต้องมีเหตุผลสิ หรือว่า
...หรือว่าเป็นโหวเยวี่ยแล้วจะพูดแล้วไม่ทำก็ได้?”
ฉีหนิงก้าวเข้ามา ทุกคนต่างมองหน้ากัน แอบคิดในใจ
ว่าจิ่นอีโหวคือสี่บรรดาศักดิ์ใหญ่ของแคว้น ฐานะ
สูงส่ง ไม่ใช่ใครที่ไหนก็สามารถล่วงเกินได้ง่ายๆ
“ฮูหยิน ครั้งนี้เป็นข้าเองที่บุ่มบ่ามมากเกินไป” ฉีหนิง
จ้องไปที่ต้วนฉางไห่ “เงินหนึ่งร้อยตำลึงนี่ ข้าจะคืนให้
ท่าน แต่ว่าเรื่องแต่งงาน...” ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นมา
ได้ว่า เมื่อครู่เถียนฮูหยินไปตามลูกสาว แต่ว่ากลับไม่
เห็นคุณหนูเถียน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?
แต่ว่าเถียนฮูหยินงดงามขนาดนี้ คุณหนูเถียนก็น่าจะ
งดงามไม่ใช่น้อย
ต้วนฉางไห่หยิบเงินหนึ่งร้อยตำลึงยื่นให้ ฉีหนิงคิดว่า
เถียนฮูหยินจะต้องให้คนมารับไปแน่นอน แต่ว่าเถียน
ฮูหยินกลับพูดว่า “ท่านเป็นโหวเยวี่ย ข้าเป็นแค่หญิง
ม่ายคงไม่อาจมีเรื่องกับท่านได้ อย่างไร....อย่างไรพวก
เราก็ต้องได้คุยถึงหลักเหตุผลกันสักวันหนึ่ง” จากนั้น
ก็หันไปพูดกับพ่อบ้านเถียนว่า “ส่งโหวเยวี่ย” แล้วไม่
พูดอะไรอีก
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ ในใจแอบคิดว่าหรือว่าบอกฐานะ
ที่แท้จริงไป แล้วทำให้เถียนฮูหยินตกใจมาก?
เถียนฮูหยินเดินจากไปสะโพกบิดไปบิดมา น่าหลงใหล
จริงๆ
พ่อบ้านเถียนสะบัดมือสั่งให้บ่าวไพร่สลายตัว แล้วยก
มือขึ้นคำนับยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ข้าน้อยดูแลไม่
ทั่วถึง เชิญ”
ฉีหนิงกลัวว่าหากอยู่ต่อ เถียนฮูหยินจะเปลี่ยนใจ
ถึงแม้เขาเป็นโหวเยวี่ย แต่คงไม่เหมาะที่จะมีเรื่อง
โต้เถียงกับหญิงม่ายที่นี่อย่างนี้ เขาเลยไม่อยู่ให้
เสียเวลา พ่อบ้านเถียนส่งพวกเขาออกนอกจวน
ตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ฉีหนิงถอนหายใจ
เหลือบไปมองซีเหมินจั้นอิง เห็นนางทำเป็นเบือนหน้า
หนีไม่มองตัวเอง เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ต้วนฉางไห่
พวกเราไปหาที่ผ่อนคลายกันดีกว่า ไปที่แม่น้ำฉินไหว
ดีหรือไม่?”
ต้วนฉางไห่เห็นฉีหนิงส่งสัญญาณ เขาก็เข้าใจทันที
แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยไปที่ใด ข้าน้อยก็จะตามไปทุก
ที่”
“เจ้านี่มันอย่างไรกัน” ซีเหมินจั้นอิงพูดด้วยความ
โกรธว่า “ฉีหนิง เจ้าอย่าให้มันมากเกินไป”
ฉีหนิงหัวเราะร่า “จั้นอิง เจ้าคิดจะเอาดาบฟันข้าให้
ตายอีกแล้วใช่หรือไม่? ทำไม ข้าจะไปไหน เจ้าคิดจะ
มายุ่งกับชีวิตข้ารึ? เจ้าเป็นอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ข้า...” ซีเหมินจั้นอิงกัดฟันแล้วพูดว่า “ได้ เจ้าคนแซ่
ฉี เจ้าจะไปแม่น้ำฉินไหวใช่หรือไม่? ไป ไปตอนนี้เลย
ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าทุกที่เลย”
นางกัดฟันกรอดๆ สายตาของนางแดงก่ำ ฉีหนิงรู้ว่าซี
เหมินจั้นอิงทนจนเกินขีดจำกัดแล้ว คิดๆ ดูแล้วตลอด
ทั้งบ่ายมานี้ก็แกล้งนางมากแล้ว เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้าอยากไปแม่น้ำฉินไหวรึ? เหอะเหอะ ข้าเปลี่ยนใจ
แล้ว ต้วนฉางไห่ พวกเรากลับบ้านกันดีกว่า ข้าหิว
แล้ว”
ซีเหมินจั้นอิงอึ้งไป สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไป
ตระกูลเถียนกับจวนจิ่นอีโหวห่างกันแค่สองช่วงถนน
เมื่อถึงหน้าปากประตูจวนโหว ซีเหมินจั้นอิงจึงถอน
หายใจ หันหลังคิดจะกลับไป ฉีหนิงก็พลันกระแอม
ขึ้นมา แล้วพูดว่า “เดี๋ยวก่อน”
ซีเหมินจั้นอิงหยุดเดิน ไม่หันกลับมา แล้วพูดว่า “มี
เรื่องอะไรอีก?”
“จั้นอิง ข้ายังต้องเดินเข้าจวนอีกนะ เจ้าจะรีบไปแบบ
นี้เลยหรือ?” ฉีหนิงตอนนี้อยู่หน้าประตูจวน เหลือ
ก้าวเดียวก็จะเข้าจวนโหวแล้ว แต่ว่าเขากลับไม่ยอม
ข้ามเข้าไปสักที ซีเหมินจั้นอิงอดไม่ได้ที่จะหันหน้า
กลับมา แล้วพูดว่า “เจ้าเข้าไปสักทีสิ ข้าจะรอ”
“พวกเราก็อยู่ด้วยกันมาตลอดบ่ายแล้ว เหตุใดเจ้าถึง
ได้เย็นชากับข้านัก” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เข้ามานั่ง
ก่อนดีหรือไม่ ข้ายังมีเรื่องจะคุยกับเจ้าอีกเยอะแยะ
เลย”
“ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า” ซีเหมินจั้นอิงแสยะยิ้ม
แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นจิ่นอีโหว จวนจิ่นอีโหวข้าจะไม่
เหยียบเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว”
ฉีหนิงหัวเราะร่า “คำพูดแบบนี้จะมาพูดเด็ดขาดแบบ
นี้ไม่ได้นะ ไม่แน่วันหนึ่งเจ้าอาจจะเดินเข้ามาในจวน
โหวก็ได้ โดยที่แม้แต่เจ้าเองอาจจะไม่ได้ตัดสินใจ”
“ข้าไม่เข้า ฆ่าข้าให้ตายข้าก็ไม่มีวันเข้าไป”
“มันก็ไม่แน่หรอก” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าวันหนึ่งมี
เกี้ยวแปดคนหามเจ้าเข้าจวน เจ้าคิดว่าเจ้าจะเข้า
หรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงอึ้งไป นางจึงเข้าใจขึ้นมาทันที นางทั้ง
โกรธทั้งอาย แล้วพูดว่า “เจ้ามันคนเลว ข้า...ข้าไม่มี
วันแต่งงานกับเจ้า”
“เจ้าอย่าเข้าใจผิดสิ?” ฉีหนิงหัวเราะร่า “ข้าไม่ได้
บอกว่าเข้าจวนโหวมาจะหมายถึงต้องแต่งงานกับข้า
ผู้ชายในจวนโหวมีเป็นร้อยคน ไม่แน่...”
เขายังพูดไม่ทันจบ ซีเหมินจั้นอิงตะคอกใส่ว่า “เจ้า
คนแซ่ฉี ข้าจะฆ่าเจ้า” จากนั้นนางก็ชักกระบี่ออกมา
แล้วพุ่งเข้าใส่
ฉีหนิงว่องไว เขากระโดดเข้าจวนไป แล้วพูดว่า “ต้วน
ฉางไห่ ไม่ต้องห้ามนาง ให้นางเข้ามา ทุกคนเตรียมตัว
ให้พร้อม หากนางเข้ามา ปิดประตูแล้วปล่อยหมา
ออกมาเลย”
เขายืนไขว้หลังรอ แต่ซีเหมินจั้นอิงก็ไม่ได้เข้ามา เขา
ยื่นหัวออกไปดู เห็นซีเหมินจั้นอิงเดินจากไปยัง
รวดเร็ว
“โหวเยวี่ย วันนี้แม่นางซีเหมินถูกท่านยั่วโมโหจนจะ
เป็นบ้าอยู่แล้ว” ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “หากเสิน
โหวรู้ จะว่าอะไรท่านหรือไม่?”
“เจ้าจะไปรู้อะไร ผู้หญิงแบบนี้ ก็ตอ้ งแก้ด้วยวิธีนี้
แหละ” ฉีหนิงพูด “เจ้าดูนางสิ อารมณ์ร้อน เอาแต่ใจ
ยังดีที่ข้าเป็นโหวเยวี่ย หากเป็นคนธรรมดา คงถูกฉีก
อกไปแล้วกระมัง?”
ต้วนฉางไห่หัวเราะร่า กำลังจะพูด ทันใดนั้นเองหน้า
ของเขาก็นิ่งไป ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ เห็นเขามองไปที่
หน้าประตู ก็เลยหันมองตามไป เห็นชายคนหนึ่งอายุ
ราวสามสิบปียืนโค้งตัวยิ้มแล้วเดินมา ต้วนฉางไห่ถาม
ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ใคร?”
ชายคนนั้นตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“โหวเยวี่ย ท่านจำข้าน้อยได้หรือไม่?”
ฉีหนิงแค่รู้สึกว่าชายคนนี้หน้าตาคุ้นมาก แต่ว่าเป็น
ใคร เขานึกไม่ออก จึงถามไปว่า “จำไม่ค่อยได้? เจ้า
มาหาข้าหรือ?”
“เรียนโหวเยวี่ย ข้าน้อยมาตั้งแต่เที่ยงแล้ว แต่ว่าโหว
เยวี่ยไม่อยู่ที่จวน ข้าน้อยจึงรออยู่ที่นี่” ชายคนนั้นยิ้ม
แล้วพูดว่า “ข้าน้อยหวังเสียง แม่นางเซียนเอ๋อร์ส่ง
ข้าน้อยมา โหวเยวี่ยจำได้หรือไม่?”
ฉีหนิงจำได้แล้ว หวังเสียงเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง ได้รับ
คำสั่งของจั่วเซียนเอ๋อร์ให้มาเชิญเขาไป เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “เจ้าเองหรือ ข้านึกออกแล้ว”
“โหวเยวี่ย ครั้งที่แล้วที่มาเชิญโหวเยวี่ย โหวเยวี่ยมี
ราชกิจมากมาย แม่นางเซียนเอ๋อร์รออยู่นานท่านก็ไม่
ไปเสียที” หวังเสียงพูดอย่างระมัดระวังว่า “วันนี้แม่
นางเซียนเอ๋อร์ก็ให้ข้าน้อยมาเชิญโหวเยวี่ยอีกครั้ง แม่
นางบอกว่าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว หากโหวเยวี่ยไม่
ไปอีก ต่อไป...ต่อไปนางก็จะไม่ได้พบกับโหวเยวี่ยอีก”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หมายความว่าอย่างไร?”
หวังเสียงทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร
ต้วนฉางไห่เขยิบเขามากระซิบว่า “โหวเยวี่ย ตามกฎ
ของแม่น้ำฉินไหว หลังจากการคัดเลือกราชินีดอกไม้
แล้ว ไม่ว่าจะเป็นราชินีดอกไม้หรือนางพญาดอกไม้
จะต้องปรนนิบัติผู้มีคุณสามวันสามคืน หากนับดูแล้ว
วันนี้เป็นคืนสุดท้ายพอดี หลังจากวันนี้ไป จั่วเซียน
เอ๋อร์จะไม่สามารถปรนนิบัติแค่โหวเยวี่ยคนเดียวได้
แล้ว”
ฉีหนิงอึ้งไป หวังเสียงยิ้มอย่างลำบากใจแล้วพูดว่า
“โหวเยวี่ย ข้าน้อยขออภัยที่ต้องพูด หลังจากคืนวัน
นั้น แม่นางก็ส่งให้ข้าน้อยมาเชิญโหวเยวี่ย แต่ว่าโหว
เยวี่ยมีงานมากมายเลยไม่ได้สมอารมณ์หมาย แม่นาง
กินไม่ได้นอนไม่หลับเลย ได้ยินมาว่าสองวันนี้แม่นาง
แอบร้องไห้ทุกวัน วันนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว หากโหว
เยวี่ยไปไม่ได้อีก พรุ่งนี้ แม่นาง...แม่นางก็จะ...” เขา
ถอนหายใจ แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อไป
ฉีหนิงเข้าใจความหมายของเขา
หลังจากจั่วเซียนเอ๋อร์ได้ตำแหน่งนางพญาดอกไม้
แขกคนแรกของนางก็คือเขา จั่วเซียนเอ๋อร์พอใจที่เขา
จะกลายเป็นผู้ชายคนแรกของนางมาก แต่ว่าคืนนั้น
กลับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น สองวันมานี้ก็ไม่ได้พบหน้ากัน
เลย ตามกฎแล้ว หากพ้นคืนนี้ไป จั่วเซียนเอ๋อร์ก็จะ
กลายเป็นหญิงนางโลมคนหนึ่งของแม่น้ำฉินไหว เมื่อ
ถึงเวลานั้นคุณชายขุนนางผู้ดีต่างๆ ก็จะมากเหมือน
ฝูงลิง ก็ไม่รู้ว่าใครจะกลายเป็นคนแรกของนาง
พูดไปก็แปลก ถึงแม้จะมีวาสนาได้เจอกันแค่ครั้งเดียว
แต่ว่าเมื่อจินตนาการว่าจั่วเซียนเอ๋อร์ถูกชายคนอื่น
แตะต้อง ฉีหนิงก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ เหมือนจะมี
อาการหึงหวงบ้างเล็กน้อย เขาเลยพูดขึ้นมาว่า “ใน
เมื่อเป็นอย่างนี้ คืนนี้ข้าจะไปหาแม่นางเซียนเอ๋อร์ก็
แล้วกัน”
หวังเสียงยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยท่านพูดจริงหรือไม่?
ดีจังเลย ข้าน้อย...ข้าน้อยจะกลับไปบอกให้แม่นาง
เตรียมตัวเดี๋ยวนี้” เขาคำนับฉีหนิง แล้วก็จากไป
ต้วนฉางไห่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยท่าน
สงสารนางหรือ?”
“ไม่ได้สงสาร” ฉีหนิงพูดว่า “ในเมื่อคืนนั้นข้าขึ้นเรือ
ของนางไปแล้ว นางก็คือผู้หญิงของข้า เจ้าคิดว่า
ผู้หญิงของข้าฉีหนิง ยังต้องแปดเปื้อนอีกหรือ?”
ต้วนฉางไห่อึ้งไป แล้วถามว่า “โหวเยวี่ยจะไถ่ตัวนาง
หรือ?”
“เจ้าว่าหากข้าจะไถ่ตัวนางจริงๆ ต้องใช้เงินสัก
เท่าไหร่กัน?” ฉีหนิงถาม
ต้วนฉางไห่คิดแล้วพูดว่า “ก็ต้องดูว่าเบื้องหลังของ
นางเป็นใคร แต่ว่าในเมื่อนางได้ตำแหน่งนางพญา
ดอกไม้มา นางก็เป็นเหมือนต้นเงินต้นทองของ
เจ้าของนาง เงินหนึ่งพันตำลึงคงไม่มีทางไถ่ตัวนางได้
แน่นอน” เขาหยุดแล้วลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“อีกทั้งตอนนี้นางยังไม่เคยรับแขกเลย นางยังเป็นสาว
บริสุทธิ์ ราคาไม่ธรรมดาแน่นอน โหวเยวี่ย ตามราคา
เมื่อก่อน หากไม่มีขั้นต่ำสามพันตำลึง คุยยังไม่มีสิทธิ
คุยเลย”
ฉีหนิงตะลึงไป ในใจคิดว่าเหตุใดราคามันถึงได้สูงแบบ
นี้?
ในเมืองหลวง เงินสามถึงห้าร้อยตำลึงก็สามารถซื้อ
บ้านหลังเล็กๆ ได้แล้ว ถึงแม้สำหรับขุนนางพ่อค้า
ตระกูลใหญ่ เงินสามพันตำลึงจะไม่ใช่เงินมากมาย
อะไร แต่ว่าสำหรับคนทั่วไป มันเป็นยอดที่สูงมากเลย
ทีเดียว
“จริงๆ แล้วผู้หญิงบนแม่น้ำฉินไหว เงินหนึ่งพันตำลึง
ก็ไถ่ตัวได้แล้ว บางคนไม่กี่ร้อยตำลึงก็ไถ่ได้” ต้วนฉาง
ไห่เห็นฉีหนิงอึ้งไป เลยอธิบายว่า “แต่ว่าราชินีดอกไม้
กับนางพญาดอกไม้นั้นไม่เหมือนกัน พวกนางมี
ตำแหน่งรับรอง ในสายตาของพวกเศรษฐีมีเงิน พวก
นางก็เหมือนของเล่นที่เอาไว้อวดร่ำอวดรวย การไถ่
ตัวราชินีดอกไม้กับนางพญาดอกไม้ ไม่ใช่เพราะตัว
นาง แต่เป็นเพราะตำแหน่งที่มากับนาง สามารถไถ่ตัว
แม่นางพวกนี้จากแม่น้ำฉินไหวได้ ก็มีแต่พวกเศรษฐีมี
เงินเท่านั้นแหละ” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“จริงๆ แล้วอีกสักสามถึงห้าเดือน ราคาไถ่ตัวของจั่ว
เซียนเอ๋อร์ก็น่าจะตกลงครึ่งหนึ่ง รอถึงปีหน้า เงินหนึ่ง
พันตำลึงก็น่าจะพอที่จะไถ่ตัวนางได้แล้ว”
“ปีหน้า?” ฉีหนิงยิ้มหน้าเจื่อนแล้วพูดว่า “รอถึงปี
หน้า ดอกไม้ไม่โรยราแล้วหรือ?” จากนั้นเขาก็ถามว่า
“เบื้องหลังจั่วเซียนเอ๋อร์ ใช่ของโต้วเหลียนจง
หรือไม่?” ในใจเขาแอบคิดว่า หากเซียนเอ๋อร์
เหมือนกับเจินจู ที่โต้วเหลียนจงคุมอยู่ เขาก็อาจจะใช้
ใบค้างหนี้นั่นมาใช้อีก
ใบค้างหนี้ของตระกูลโต้วนั่น ใช้งานได้ดีมาก ไม่ว่าจะ
ออกไปข้างนอกหรือว่าอยู่ในบ้าน มันก็เหมือนอาวุธที่
ล้ำค่าอย่างหนึ่ง
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 216 เสน่ห์ราวฤดูใบไม้ผลิ
แม่น้ำฉินไหวยังคงครื้นเครงไปด้วยเสียงดนตรีและ
แสงสี ฉีหนิงมาถึงที่จอดรถม้าเหมือนครั้งที่แล้ว เขา
เห็นหวังเสียงมายืนรออยู่แล้ว เมื่อเห็นฉีหนิง หวัง
เสียงจึงรีบเดินเข้ามาต้อนรับ แล้วพาฉีหนิงขึ้นเรือลำ
เล็กไป ต้วนฉางไห่เองก็ตามไปที่เรือสำราญของจั่ว
เซียนเอ๋อร์ด้วย
ฉีหนิงคุ้นเคยเส้นทางบนเรือสำราญของจั่วเซียนเอ๋อร์
ดี เมื่อมาถึง ยังไม่ทันได้เข้าไปในท้องเรือ ก็ได้ยินเสียง
ของจั่วเซียนเอ๋อร์ลอยมาว่า “ผีเสื้อตัวน้อยบิน
ล่องลอยมากับสายลม คนรู้ใจนั้นหายไปกับดวงจันทร์
หรือที่ใด...” นางถอนหายใจ ฟังแล้วดูเศร้าหมอง
ฉีหนิงตะลึงไป จากนั้นเขาก็ยิ้ม จากนั้นก็เปิดม่านเดิน
เข้าไปในท้องเรือ เห็นจั่วเซียนเอ๋อร์กำลังนั่งอยู่ เมื่อได้
ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา จั่วเซียนเอ๋อร์ก็หันหน้า
กลับมา เมื่อเห็นฉีหนิง นางก็ตกใจมาก จากนั้นก็ยิ้ม
หวาน ลุกขึ้นมา ถอนสายบัว “เซียนเอ๋อร์คำนับโหว
เยวี่ย”
กลิ่นตัวของนางโชยมาก ผมดำสยายยาว ใบหน้าอม
ชมพู สายตาของนางเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม นางรู้ว่าฉี
หนิงจะมา แต่ก็ไม่ได้แต่งตัวแต่งหน้าอะไรมากมาย
การแต่งตัวของนางแบบนี้ ทำให้ดูสบายตา รอยยิ้ม
ของนางดูราวกับดอกบัว ทำให้นางดูสวยมาก
“เซียนเอ๋อร์ เจ้าท่องกลอนอยู่อย่างนั้นหรือ?” ครั้งนี้ฉี
หนิงไม่ได้เก้งๆ กังๆ เหมือนครั้งที่แล้วที่ได้พบกับจั่ว
เซียนเอ๋อร์ในครั้งแรก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ผีเสื้อตัว
น้อยบินล่องลอยมากับสายลม คนรู้ใจนั้นหายไปกับ
ดวงจันทร์หรือที่ใด? คนรู้ใจในที่นี้หมายถึงใครกัน?”
จั่วเซียนเอ๋อร์น่ารักมากนางเดินมาด้านหลังของฉีหนิง
แล้วช่วยฉีหนิงถอดเสื้อคลุมออก นางยิ้มแล้วพูดว่า
“โหวเยวี่ย ท่านลองทายดูว่าคนรู้ใจของเซียนเอ๋อร์นั้น
คือใคร หากทายถูกเซียนเอ๋อร์มีรางวัลให้”
“อ๋อ?” ฉีหนิงหัวเราะร่า แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้า
คงต้องถามก่อนว่ามันคือรางวัลอะไร?”
จั่วเซียนเอ๋อร์ย้อนถามกลับไปว่า “แล้วโหวเยวี่ยอยาก
ได้รางวัลอะไร?”
ฉีหนิงเห็นนางเดินมายืนตรงหน้าเขา รูปร่างของนางดู
อ้อนแอ้น กลิ่นหอมจากตัวนางโชยเข้าจมูก มันทำให้
เขาใจสั่น เขาพูดว่า “ข้าโง่เขลา เดาไม่ถูกหรอก”
จากนั้นเขาก็เดินไปที่พิณของนาง แล้วถามว่า “สอง
วันมานี้เจ้าได้เล่นมันบ้างหรือไม่?”
“เซียนเอ๋อร์ต้องอาศัยมันเพื่อเลี้ยงชีพ ห่างไม่เล่นมัน
แล้ว เกรงว่าคงไม่ได้ข้าวกิน” จั่วเซียนเอ๋อร์ได้เจอฉี
หนิงอีกครั้ง ถึงแม้จะดูนิ่ง แต่ว่าสายตาดีใจนั้นมัน
ปกปิดไม่อยู่ นางดูผ่อนคลายกว่าครั้งแรกมาก “โหว
เยวี่ย ท่านอยากฟังเซียนเอ๋อร์ดีดพิณหรือไม่?”
“ไม่ต้องรีบ” ฉีหนิงนั่งลงข้างพิณ ยิ้มแล้วพูดว่า
“จริงๆ แล้วด้วยหน้าตาของเซียนเอ๋อร์ ต่อให้ไม่ต้อง
ดีดพิณ ก็คงไม่ขาดข้าวกินหรอก?” จากนั้นเขาก็ยื่น
นิ้วไปดีดสายพิณเบาๆ ฉีหนิงรู้สึกว่าพิณโบราณตัวนี้
ราคาน่าจะไม่ธรรมดาเลย
เขาไม่เห็นจั่วเซียนเอ๋อร์พูดอะไร ฉีหนิงแปลกใจ เลย
หันหน้าไปมอง เห็นจั่วเซียนเอ๋อร์ยืนอยู่หลังเขา สี
หน้าของนางดูเศร้า แต่ไม่ได้พูดอะไร
“เป็นอะไรไป?” ฉีหนิงอึ้งไป “น้อยใจอะไรหรือ?”
“โหวเยวี่ย ท่าน...ท่านไม่ชอบเซียนเอ๋อร์ใช่ไหม?” จั่ว
เซียนเอ๋อร์ก้มหน้า “เซียนเอ๋อร์รู้ดีว่าตัวเองต่ำต้อย
แล้วก็ไม่เคยคิดจะฝันลมๆ แล้งๆ คืนนี้...คืนนี้ได้พบ
กับโหวเยวี่ย ต่อไปก็จะไม่ได้พบกันอีกแล้ว”
ฉีหนิงอึ้งไป ในใจคิดว่า จิตใจผู้หญิงยากแท้หยั่งถึง
เมื่อครู่นางยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดอยู่ๆ จะเศร้าหดหู่ก็
เป็นขึ้นมาเสียดื้อๆ เขาลองคิดดู ก็เข้าใจขึ้นมาทันที
เขาพูดมันออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่ามันทำร้ายจิตใจ
ของจั่วเซียนเอ๋อร์
เขาบอกว่าจั่วเซียนเอ๋อร์ไม่ต้องเล่นดนตรี ใช้แค่
หน้าตาก็หาข้าวกินได้แล้ว จริงๆ ใจเขาต้องการจะชม
จั่วเซียนเอ๋อร์ว่าสวย แต่ว่าสำหรับผู้หญิงที่อยู่ที่แม่น้ำ
ฉินไหวแห่งนี้ มันกลายเป็นความหมายอีกอย่างหนึ่ง
“เจ้ามานั่งตรงนี้มา” ฉีหนิงกวักมือให้จั่วเซียนเอ๋อร์มา
นั่งข้างๆ ตัวเขา จั่วเซียนเอ๋อร์ลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้น
ก็เดินไปนั่งข้างๆ ฉีหนิง นางก้มหน้าลง ฉีหนิงเห็นนาง
สวยงาม แล้วพูดกับนางด้วยความอ่อนโยนว่า “เจ้า
อย่าคิดมาก ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น หากข้าพูดอะไรผิด
ไป เจ้าก็อย่าใส่ใจเลยนะ”
จั่วเซียนเอ๋อร์เงยหน้ามองฉีหนิง นางยิ้มอย่างอ่อนโยน
แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ท่านคิดมากเกินไปแล้ว เป็น
เพราะ...เพราะเซียนเอ๋อร์ไม่ดีเอง”
“คืนนั้นข้ามีเรื่องที่ต้องไปทำ เห็นเจ้าหลับอยู่ ก็เลย
ไม่ได้อยู่รอเจ้าตื่นขึ้นมาก่อนก็จากไป” ฉีหนิงพูดว่า
“เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะมาหาเจ้าแล้ว แต่ว่ามีเรื่อง
มากมาย ทำให้เสียเวลาจนถึงตอนนี้”
จั่วเซียนเอ๋อร์ฝืนยิ้ม แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย เซียนเอ๋อร์
...เซียนเอ๋อร์ให้คนไปเชิญท่านมา ทำให้ท่านลำบาก
หรือไม่?”
“ไม่หรอก” ฉีหนิงแอบคิดว่าครั้งที่แล้วที่หวังเสียงไป
นั้นผิดจังหวะจริงๆ ทำให้กู้ชิงฮั่นโกรธหนักมาก แต่ว่า
จะพูดไปตรงๆ ไม่ได้ “จริงสิ เรือสำราญลำนี้เป็นของ
ใครกัน? เป็นของโต้วเหลียนจงหรือไม่?”
จั่วเซียนเอ๋อร์ส่ายหัว “ไม่ บนแม่น้ำฉินไหวมีเรือ
สำราญทั้งหมดสิบลำ มีสามลำที่เป็นของโต้วเหลียน
จง แต่ว่าเรือสำราญของเซียนเอ๋อร์เป็นของพ่อค้า
เกลือคนหนึ่ง”
“พ่อค้าเกลือ?”
“อืม ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก” จั่วเซียนเอ๋อร์พูด
ว่า “ข้ารู้แต่ว่าตระกูลเขาร่ำรวยมาก มีเรือสำราญบน
แม่น้ำฉินไหวนี่ถึงสี่ห้าลำ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าหากเรือลำนี้เป็นของโต้วเหลียนจง ก็
จัดการได้ง่าย แต่ว่าจู่ๆ ก็มีพ่อค้าเกลือโผล่มา เรื่องมัน
ก็จะยุ่งยากหน่อย
“โหวเยวี่ย ข้ารู้ว่าท่านคิดอะไร” จั่วเซียนเอ๋อร์ก้ม
หน้าลง “จริงๆ แล้ว...ท่านไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้
เซียนเอ๋อร์เกิดมาต่ำต้อย อยู่คนละโลกกับโหวเยวี่ย
คืนนี้...คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ข้าจะสามารถตัดสินใจ
เองได้ ข้ากลัวว่า...กลัวว่าหากพ้นคืนนี้ไป ต่อไป
อาจจะไม่ได้พบกับโหวเยวี่ยอีก” เมื่อพูดถึงตรงนี้
ดวงตาของนางก็แดงก่ำ
ฉีหนิงรู้ความหมายของจั่วเซียนเอ๋อร์ หากพ้นคืนนี้ไป
เมื่อถึงพรุ่งนี้ จั่วเซียนเอ๋อร์ก็จะต้องใช้ชีวิตในสาย
อาชีพนี้บนแม่น้ำฉินไหวอย่างเต็มตัว แล้วก็จะต้อง
ปรนนิบัติชายคนอื่นมากหน้าหลายตา ตอนนี้จั่วเซียน
เอ๋อร์ยังเป็นสาวบริสุทธิ์ นางรู้สึกว่าตัวนางยังคง
สะอาดสามารถปรนนิบัติฉีหนิงได้ แต่ว่าเมื่อไหร่ก็
ตามที่นางไม่บริสุทธิ์แล้ว จั่วเซียนเอ๋อร์ก็รู้สึกว่านางไม่
เหมาะที่จะใกล้ชิดกับฉีหนิงอีก
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าวางใจเถอะ อย่าว่าแต่พรุ่งนี้หรือว่า
ปีหน้าเลย เจ้าจะไม่ต้องดูแลใครทั้งนั้น”
“หา?” จั่วเซียนเอ๋อร์อึ้งไป นางยิ้มอย่างลำบากใจ
“โหวเยวี่ย เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่เซียนเอ๋อร์
สามารถควบคุมได้ พวกเขาใช้เงินไปกับเซียนเอ๋อร์
มาก เป้าหมายก็เพื่อให้เซียนเอ๋อร์หาเงินให้พวกเขา
มากกว่า...” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางเงยหน้าขึ้นมาแล้ว
ยิ้ม “โหวเยวี่ย ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว เซียนเอ๋อร์ดีดพิณให้
ท่านฟังดีกว่า”
ฉีหนิงคิดๆ แล้วก็พยักหน้า
จั่วเซียนเอ๋อร์เดินไปที่พิณ จากนั้นเสียงพิณก็เริ่มดังขึ้น
ฉีหนิงนั่งอยู่ข้างๆ เห็นรูปร่างของนางชัดเจน ไม่รู้ว่า
ทำไม เสียงพิณของนางนั้นดูเคลิบเคลิ้ม มันเป็น
ความรู้สึกที่อยากจะโอบกอดจั่วเซียนเอ๋อร์มาไว้ใน
อ้อมกอด
จริงๆ แล้วครั้งที่แล้วการคัดเลือกราชินีดอกไม้ครั้งที่
แล้ว ฉีหนิงก็สัมผัสได้ถึงมนต์เสน่ห์ของนางไม่ได้
สอดคล้องกับอายุของนางเลย ผู้หญิงอายุสิบเจ็ดสิบ
แปดปี ถึงแม้จะมีร่างกายที่สวยงาม แต่ว่าเสียงพิณ
ของนางมันได้ทุกๆ ความรู้สึก มันแสดงออกถึงความ
เข้าใจในการเล่นดนตรีของนางได้เป็นอย่างดี
เสียงพิณของนาง มันทำให้คนรู้สึกว่าเสียงดนตรีเศร้า
แสดงว่านางกำลังรู้สึกแบบนั้น
บางสิ่งบางอย่าง ไม่ใช่สิ่งที่ทักษะความสามารถจะสื่อ
ออกมาได้
ต่อให้ทักษะการเล่นพิณของจั่วเซียนเอ๋อร์จะสูงแค่
ไหนก็ตาม แต่หากว่านางไม่มีความเข้าใจ ก็ไม่มีทาง
เล่นดนตรีออกมาได้
ฉีหนิงกำลังตกอยู่ในภวังค์ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของ
เซียนเอ๋อร์ดังขึ้นมาว่า "โหวเยวี่ย โหวเยวี่ย ท่านเป็น
อะไรไป?
ฉีหนิงได้สติกลับมา พบว่านางเล่นจบไปแล้วหนึ่งเพลง
เซียนเอ๋อร์นั่งลงตรงหน้าของเขา สีหน้าดูเป็นห่วงมาก
ดวงตาของนางมีน้ำเป็นประกายอยู่ภายใน
เขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ในสถานการณ์แบบนี้ มันทำให้
เลือดในตัวของเขาพุ่งพล่าน ทำให้ควบคุมตัวเองไม่อยู่
เขายื่นมือออกไปจับไหล่ของเซียนเอ๋อร์เอาไว้
ไหล่ของเซียนเอ๋อร์นุ่มลื่นเรียบเนียนมาก มันมีเพียง
เสื้อบางๆ กั้นเอาไว้ตัวหนึ่งเท่านั้น ฉีหนิงสามารถ
สัมผัสถึงความนุ่มเต่งตึงของผิวนางได้
เซียนเอ๋อร์กำลังตอบสนองการกระทำของฉีหนิง
ใบหน้าของนางเริ่มแดงเรื่อ ราวกับดอกท้อ นางก้ม
หน้าลง จับมือของฉีหนิงเอาไว้ แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย
เซียนเอ๋อร์...เซียนเอ๋อร์เชิญท่านมา ก็เพราะ...ก็เพราะ
อยากจะมอบกาย...มอบกายให้กับท่าน เซียนเอ๋อร์...
เซียนเอ๋อร์ไม่อยากให้ครั้งแรกของเซียนเอ๋อร์ตกไป
เป็นของ...ของคนอื่น...”
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเขินอาย ท่ามกลาง
ความเขินอายนี้ มันกลับมีเสน่ห์บางอย่าง
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 217 มองแล้วน่าตกใจ
สาวงามราวกับหยก นุ่มนวลราวกับหยดน้ำ ฉีหนิงรู้ว่า
ในตอนนี้หากตัวเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง คนอื่น
อาจจะดูถูกตัวเองได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกดูถูก
ตนเองไปด้วยเช่นกัน
เขาพลันลุกขึ้นมา แล้วอุ้มเซียนเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์ร้อง
เบาๆ ฉีหนิงก้มหน้าไปมอง เห็นใบหน้าของเซียนเอ๋อร์
แดงระเรื่อ เขาจึงถามขึ้นมาเสียงเบาว่า “เจ้าคิดดีแล้ว
ใช่หรือไม่?”
เซียนเอ๋อร์มองไปที่ฉีหนิงด้วยสายตาเป็นประกาย
นางตอบมาเบาๆ ว่า “อืม” นางซบไปที่หน้าอกของฉี
หนิง เหมือนไม่กล้าสบตากับเขาตรงๆ
รูปร่างของเซียนเอ๋อร์นั้นบอบบางมาก ฉีหนิงอุ้มนาง
เอาไว้ นางตัวเบาเหมือนปุยนุ่น เขารู้สึกว่าร่างกาย
ของเซียนเอ๋อร์เริ่มร้อนผ่าวตัวสั่นเทาเล็กน้อย
หลังจากที่อุ้มเซียนเอ๋อร์ไปหลังฉากบังลม ภายในมี
เตียงที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เขาเดินไปถึงเตียงนอน ฉี
หนิงก็ค่อยๆ วางเซียนเอ๋อร์ลง
เซียนเอ๋อร์เอามือปิดไปที่หน้าอก แล้วก็มองไปที่ฉีหนิง
“ที่นี้...จะมีใครเข้ามาหรือไม่?” ฉีหนงกระซิบไปที่หู
ของนาง
เซียนเอ๋อร์พูดเบาๆ ว่า “ไม่...ไม่มี เซียนเอ๋อร์ได้กำชับ
เอาไว้แล้ว ไม่มีใคร...ไม่มีใครกล้าเข้ามา” ใบหน้าของ
นางแดงมาก
ฉีหนิงลูบไปที่ใบหน้าของเซียนเอ๋อร์ แล้วถามอย่าง
อ่อนโยนว่า “เจ้ากลัวหรือไม่?”
“ไม่...” เซียนเอ๋อร์ตัวสั่น “โหวเยวี่ย อีกเดี๋ยว...อีก
เดี๋ยวท่านทะนุถนอมข้าด้วย เซียนเอ๋อร์...เซียนเอ๋อร์
ยังไม่เคย...” เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รีบพูดว่า “เซียน
เอ๋อร์ช่วยถอดเสื้อผ้าให้ท่าน...” จากนั้นนางก็คุกเข่า
บนเตียง ก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาฉีหนิง แต่ยื่นมือช่วย
ฉีหนิงถอดเสื้อ
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินกรีดร้องมาจากข้างนอก
เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน เดิมทีฉีหนิง
กำลังจดจ้องอยู่กับร่างกายอันอ่อนนุ่ม เซียนเอ๋อร์ก็
กำลังเอียงอาย ทั้งคู่ต่างตกใจแล้วเงยหน้าขึ้นมา
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากพื้นเรือ ฉี
หนิงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?” ในใจเขา
รู้สึกไม่พอใจมาก ครั้งที่แล้วก็ถูกชือ่ ตันเหมย
ขัดจังหวะ มาวันนี้ก็ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นมาอีก
เพียงแต่ว่าเสียงกรีดร้องนั้นมันดังไม่หยุด มันเหมือน
สัตว์ป่าที่กำลังคำรามไม่หยุด ทันใดนั้นเองก็ได้ยินต้วน
ฉางไห่ตะโกนเข้ามาว่า “โหวเยวี่ย ท่านอยู่ด้านใน
หรือไม่?”
ฉีหนิงถึงแม้จะโกรธ แต่ก็ยังเดินไป แล้วถามว่า “เกิด
อะไรขึ้น?”
“มีคนเป็นบ้า” ต้วนฉางไห่พูดเสียงเข้ม “โหวเยวี่ย
ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
เสียงเอะอะโวยวายยังดังมาจากพื้นเรือไม่หยุด
จากนั้นก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องตกใจกลัว “อย่าเข้าใกล้
เขา จับเขาเอาไว้ก่อน”
เซียนเอ๋อร์รีบคลุมเสื้อคลุมสีขาว แล้วเดินมา ถามว่า
“โหวเยวี่ย เกิดอะไรขึ้นหรือไม่?”
“เซียนเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวลไป” เห็นเซียนเอ๋อร์รู้สึก
กลัว ฉีหนิงก็พูดด้วยความอ่อนโยนว่า “ด้านนอก
อากาศหนาว เจ้าไม่ต้องออกไปหรอก ข้าจะออกไปดู
ว่าเกิดอะไรขึ้นเอง”
“โหวเยวี่ย เซียนเอ๋อร์...เซียนเอ๋อร์จะรอท่านกลับมา”
เซียนเอ๋อร์ยื่นมือไปจับแขนของฉีหนิงเอาไว้ เหมือน
กังวลว่าฉีหนิงไปแล้วจะไม่กลับมาอีก ฉีหนิงตบเบาๆ
ไปที่หลังมือของนาง ยิ้มแล้วเดินออกจากท้องเรือไป
เมื่อออกมาแล้ว ก็เห็นต้วนฉางไห่ยืนเฝ้าอยู่ เขาถาม
ว่า “มีคนเป็นบ้า? เป็นบ้าอะไรกัน?”
ต้วนฉางไห่พาฉีหนิงออกไปที่หัวเรือ เรือสำราญนี้มี
สองชั้น จั่วเซียนเอ๋อร์อยู่ชั้นบน ส่วนชั้นล่างนั้นมีเพียง
สาวใช้และ กัปตันเรือกับบ่าวไพร่คุ้มกัน จะอยู่ชั้นใต้
ดิน
สำหรับผู้หญิงบนแม่น้ำฉินไหว ถ้ากำลังเป็นที่นิยม
บนเรือก็จะมีบ่าวไพร่สาวใช้ไม่ต่ำกว่าสิบคน คนพวกนี้
ก็จะอาศัยแม่นางบนเรือให้ข้าวให้น้ำกิน
ก็เหมือนอย่างจั่วเซียนเอ๋อร์ที่กำลังเป็นที่นิยม จะหา
เลี้ยงคนมากกว่าสิบคน ไม่ใช่เรื่องยาก ดังนั้นผู้หญิง
คนใดเป็นที่นิยมดูได้จากบ่าวไพร่กับสาวใช้บนเรือ
รอผ่านไปสักช่วงหนึ่ง แขกลดลง รายรับลดลง ภาระ
หนักขึ้น บ่าวไพร่กับสาวใช้ก็จะลดลงไปเอง ทั่วไปแล้ว
ผู้หญิงคนไหนเป็นที่นิยมมักจะอยู่นานประมาณสามปี
ถือว่าสูงสุดแล้ว
ฉีหนิงเดินไปที่หัวเรือ แล้วมองลงไป เห็นบนพื้นเรือ มี
เงาของคนประมาณหกเจ็ดคน มีเงาของคนๆ หนึ่ง
กำลังบ้าคลั่งอยู่ วิ่งไปวิ่งมาไม่มีทิศทาง เขาร้องคำราม
เหมือนสัตว์ป่า ส่วนคนอื่นก็ถือไม้ตะบอง คนอื่นไม่มี
ใครกล้าเดินเข้าไป
“จู่ๆ ก็เกิดบ้าขึ้นมา” ต้วนฉางไห่ขมวดคิ้ว “ไม่รู้
เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด แล้วก็ถามว่า “สถานการณ์
แบบนี้คุ้นๆ นะ เจ้าคิดถึงอะไรบ้าง?”
ต้วนฉางไห่อึ้งไป เขาขมวดคิ้ว เหมือนนึกอะไรขึ้นมา
ได้ แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยท่านหมายถึง...พรรค
กระยาจก?”
ฉีหนิงพยักหน้า “เมื่อคืน ตอนที่พวกเรากลับมาจาก
วังหลวง ที่พวกเราเห็นกันไม่ต่างจากนี้เลยนะใช่
หรือไม่?”
“ใช่แล้ว” ต้วนฉางไห่สีหน้าเคร่งเครียด แล้วจ้องไปที่
คนที่เป็นบ้า “โหวเยวี่ย หรือว่า...หรือว่าที่พวกเรา
เห็นศิษย์พรรคกระยาจกเมื่อคืน เป็นอาการเดียวกับ
คนนี้?”
“จะเหมือนกันหรือไม่ข้าไม่รู้” ฉีหนิงส่ายหน้า “แต่ว่า
สถานการณ์ในตอนนี้ มันเหมือนกับเมื่อคืนไม่มีผิด”
ทันใดนั้นเองก็มีคนพุ่งเข้าใส่ด้านหลังคนๆ นั้น แล้ว
ตะโกนว่า “ข้าจับได้แล้ว...” เมื่อพูดจบ เห็นคนๆ นั้น
ก็หันกลับมา แล้วสะบัดคนนั้นกระเด็นไป
ต้วนฉางไห่ตกใจ
คนๆ นั้นรูปร่างไม่ได้กำยำ อีกทั้งยังผอมด้วย คนที่พุ่ง
มาจากด้านหลังรูปร่างสูงใหญ่เหมือนเสือ ใครจะคิด
ว่าคนผอมแห้งจะสามารถสะบัดคนที่ตัวใหญ่แบบนั้น
ได้ ต้วนฉางไห่รู้สึกแปลกใจ
“ต้วนฉางไห่” ฉีหนิงพูด “เจ้าไปจับเขาเอาไว้”
เขารู้ว่า ด้วยฝีมือของต้วนฉางไห่ จะจับคนๆ นั้นไม่ใช่
เรื่องยาก
ต้วนฉางไห่รับคำ แล้วก็ไม่รอช้า รีบกระโดดลงมาจาก
หัวเรือ คนเหล่านั้นเห็นเขากระโดดลงมาก็ตกใจ
ต้วนฉางไห่ตะโกนว่า “หลีกไปให้หมด”
รูปร่างของเขากำยำสูงใหญ่ เมื่อลงมือก็ถือว่าองอาจ
มาก ทุกคนเห็นลักษณะของต้วนฉางไห่ ก็ไม่กล้าหือ
กล้าอือ ต่างวิ่งไปหลบหลังต้วนฉางไห่กันหมด
ต้วนฉางไห่พกดาบไปด้วย แต่ไม่ได้ชักดาบออกมา
เขาดึงไม้ตะบองของคนๆ หนึ่งมา ไม่รอให้ใครตั้งตัว
ต้วนฉางไห่ก็ใช้ไม้บุกเข้าไป
คนบ้านั่นร้องคำรามไม่หยุด เห็นต้วนฉางไห่พุ่งเข้ามา
ก็ไม่ได้หลบ แถมยังพุ่งใส่ต้วนฉางไห่ด้วย
ต้วนฉางไห่แสยะปากยิ้ม เขาฟาดไม้ลงไปที่เข่าของ
คนๆนั้น คนๆ นั้นถึงแม้จะดูดุร้าย แต่ไม่รู้จักการหลบ
เมื่อถูกต้วนฉางไห่ฟาดก็ล้มลงไปกองกับพื้น ขณะที่
เขาล้มลงเขาก็ยื่นมือออกมาด้วย ต้วนฉางไห่ฉวย
จังหวะนั้นจับแขนของเขาเอาไว้ แล้วอ้อมไปด้านหลัง
ของเขา แล้วบิดแขนเขามาด้านหลัง
ฉีหนิงเห็นทุกอย่าง เขาคิดในใจว่าถึงแม้วรยุทธ์ของต้
วนฉางไห่จะไม่ได้ร้ายกาจดุจเทพเซียน แต่ว่ากับเรื่อง
ง่ายๆ ก็ถือว่าได้ผลดี ไม่แปลกที่จะอยู่ในจวนจิ่นอีโหว
ได้นานขนาดนี้
ทุกคนเห็นต้วนฉางไห่จัดการคนบ้านั่นได้ภายในสาม
กระบวนท่า ต่างก็โห่ร้องชื่นชม เห็นต้วนฉางไห่จับตัว
ของคนนั้นเอาไว้ได้แล้ว คิดว่าน่าจะไม่มีอะไรแล้ว ก็
เลยเบาใจ แต่คนนั้นกลับบิดตัว โดนไม่สนใจว่าแขน
กำลังถูกบิดอยู่ เขาซัดหมัดใส่ต้วนฉางไห่อย่างเต็มแรง
ต้วนฉางไห่เองก็ไม่คิดว่าคนบ้านี้จะกล้ามากขนาดนี้
เสียงกระดูกแขนของเขาหักก๊อกก็ดังขึ้นมา
ฉีหนิงเห็นทุกอย่าง เขาตกใจมาก
หน้าของคนๆ นั้นอยู่ตรงหน้าของต้วนฉางไห่ หน้า
ของเขาเหมือนเด็ก อาศัยอยู่บนเรือสำราญ จะ
อย่างไรวรยุทธ์ก็ไม่น่าจะเหนือกว่าต้วนฉางไห่ แต่ว่า
คนบ้าคนนี้กลับเหมือนไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย เขาไม่
สนใจว่าแขนจะหักหรือไม่ซัดหมัดใส่ต้วนฉางไห่ ฉี
หนิงรู้สึกว่าคนๆ นี้น่าจะสติไม่ดีแน่นอน
ต้วนฉางไห่เองก็รู้สึกว่าคนบ้าคนนี้ไม่น่าจะปกติ เขา
ถีบเข่าของคนๆ นั้น ให้เขาคุกเข่าลงไปทั้งสองข้าง
แล้วใช้เท้าถีบกดเขาเอาไว้ ไม่รอให้คนๆ นั้นตอบโต้
ต้วนฉางไห่จึงชักดาบออกมา แล้วพาดไปที่บ่าของ
คนๆ นั้น
ทุกคนเห็นคนบ้าคนนั้นไม่ขยับแล้ว ก็มองหน้ากัน
บางคนคิดว่าต้วนฉางไห่ฆ่าคนบ้าคนนั้นไปแล้ว
หวังเสียงที่ไปเชิญฉีหนิงมาก็อยู่ในกลุ่มคนพวกนั้น คน
เดินเข้ามาใกล้อย่างระมัดระวัง เขารู้ว่าต้วนฉางไห่คือ
องครักษ์คนสนิทของฉีหนิง เขาก็รู้ชื่อของต้วนฉางไห่
ด้วย ก็ถามว่า “ท่านต้วน เขา...?”
“ไม่ต้องเป็นห่วง เขายังไม่ตาย แค่สลบไปเฉยๆ” ต้วน
ฉางไห่พูดเสียงเข้ม เขาเงยหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย
คนๆ นี้เขาเป็นบ้าจริงๆ”
หวังเสียงเห็นต้วนฉางไห่มองไปที่ด้านหลังของเขา ก็
รีบหันหลังกลับไป เขาเห็นฉีหนิงไม่รู้ว่ามาอยู่ด้านหลัง
เขาเมื่อไหร่ เขารีบยกมือขึ้นมาคำนับ
ฉีหนิงสั่งไปว่า “พวกเจ้ารีบจับเขามัดเอาไว้ก่อน คิด
ว่าฟื้นขึ้นมาน่าจะอาละวาดอีก”
หวังเสียงรีบพูดว่า “ไป ไปจับเขามัดเอาไว้เดี๋ยวนี้”
คนพวกนั้นรีบไปเอาเชือกมา มือเจ็ดแปดคู่จับคนๆ
นั้นมัดเอาไว้ กำลังจะหามเขาออกไป ฉีหนิงส่ายหน้า
แล้วพูดว่า “เดี๋ยวก่อน” เขาเดินเข้าไป แล้วนั่งยองๆ
ลงไป เห็นคนบ้าคนนั้นสลบสนิท แต่ลมหายใจดูหอบ
เขาขมวดคิ้ว แล้วให้คนไปเอาโคมไฟมา คนๆ นั้นหน้า
ซีด แต่ว่าบนหน้าของเขามีผื่นแดงเต็มไปหมด สีไม่ได้
เข้มมาก แต่ว่าอยู่ท่ามกลางแสงไฟ มันเห็นชัดมาก
“หน้าเขาเป็นแบบนี้อยู่แล้วหรือ?” ฉีหนิงชี้ไปที่หน้า
ของคนๆ นั้น
หวังเสียงรีบตอบว่า “เรียนโหวเยวีย่ ผื่นแดงบนหน้า
เขา เพิ่งจะเริ่มมีเมื่อไม่กี่วันมานี้ จริงด้วย เป็นวัน
ก่อนที่เริ่มมีผื่นแดงขึ้น แต่ว่าไม่ได้ใส่ใจมาก คืนก่อน
ผื่นนี้มันเริ่มใหญ่ขึ้น พอถึงเมื่อคืน มันก็กลายมาเป็น
แบบนี้แล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นสีของมันจะอ่อนกว่านี้
ไม่ได้แดงขนาดนี้”
ฉีหนิงเงยหน้า แล้วถามว่า “เจ้าหมายความว่า เพิ่ง
เป็นเมื่อสองสามวันนี้หรือ?”
“ใช่” หวังเสียงเห็นฉีหนิงเสียงดุ ไม่กล้าช้า เขาจึงรีบ
ตอบอย่างระวังว่า “ตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้า เขาก็เริ่ม
มึนๆ งงๆ พอลงไปนอนก็ลุกไม่ขึ้นอีก เดิมทีข้าคิดว่า
เขาคงเหนื่อยมาก ก็เลยให้เขาไปนอนพัก แต่ว่าเขา
นอนจนถึงบ่ายของเมื่อวาน เขาก็ลุกไม่ขึ้นเลย”
ฉีหนิงเหมือนกำลังคิดอะไร เขาพยักหน้า
หวังเสียงพูดต่อว่า “ตอนนั้นข้าจับหน้าผากของเขา
มันร้อนมาก ก็เลยให้คนไปต้มยามาให้เขากิน
หลังจากที่เขากินยาไป ก็ไม่ได้ดีขึ้น ผื่นแดงของเขาก็
ยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งไม่รู้สึกตัวอีก วันนี้ข้าน้อย
ไปเชิญท่านที่จวน ก็เลยไม่ได้ทันได้มาดูเขา ได้ยินว่า
เมื่อวานนี้เขานอนทั้งวัน ไม่ได้กินอะไรเลย น้ำก็ไม่ได้
กิน ข้าน้อยคิดว่ามันผิดปกติ กำลังคิดว่าจะตามหมอ
มาดูให้ แต่ว่า...แต่ว่าพอเข้าใกล้เขา เขาก็กระโดด
ขึ้นมาจากเตียง แล้วก็...แล้วก็อาละวาดแบบนี้แล้ว”
ฉีหนิงไม่ได้พูดอะไรมาก เขาดึงแขนเสื้อของเขาขึ้น
แล้วใช้ไฟส่อง เขาเห็นแขนของคนๆ นั้นมีแต่ผื่นเล็ก
ใหญ่เต็มไปหมด สีของมันเข้มกว่าบนใบหน้าของเขา
เสียอีก มองแล้วน่าตกใจ
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 218 เปลวไฟ
ต้วนฉางไห่เองก็จะนั่งยองลงข้างๆ ฉีหนิง เห็นฉีหนิง
ดึงแขนเสื้อของคนๆ นั้นขึ้น แล้วก็เห็นฉีหนิงสีหน้า
เปลี่ยนไป จึงรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่นอน เขาจึงถาม
ว่า “โหวเยวี่ย เป็นอะไรไป?”
ฉีหนิงไม่ได้ตอบ เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วถามหวังเสียง
ว่า “เขาชื่ออะไร? เขาทำงานอะไรบนเรือ?”
“เรียนโหวเยวี่ย เขาชื่อสวีกาน เขาเป็นคนจัดซื้อของ
บนเรือ” หวังเสียงรีบตอบ “ของใช้บนเรือทุกอย่าง
สวีกานจะเป็นคนออกไปซื้อมา”
“แล้วคนอื่นเล่า?” ฉีหนิงพูด “นอกจากสวีกานที่ลง
เรือเป็นประจำแล้ว คนอื่นลงเรือไปด้วยหรือไม่?”
หวังเสียงรีบตอบว่า “เรียนโหวเยวี่ย บนแม่น้ำฉินไหว
ของพวกเราจะเปิดทำการค้าในทุกๆ คืน ดังนั้น
นอกจากสวีกานที่ต้องออกไปซื้อของในตอนกลางวัน
แล้ว คนอื่นจะพักผ่อนในช่วงกลางวันหมด แล้ว
ทำงานในตอนกลางคืน ยกเว้นสองสามวันมานี้ที่
ข้าน้อยไปเรียนเชิญโหวเยวี่ยมา คนอื่นก็ไม่มีใครลง
จากเรือเลย ในแต่ละเดือนแม่นางจะให้วันหยุดพวก
เราหนึ่งวัน เมื่อถึงวันหยุด พวกเราสามารถลงจากเรือ
ได้ ไม่อย่างนั้นปกติแล้วพวกเราก็จะไม่ไปไหนกัน”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “สวีกานไปซื้อของ ไม่มี
ใครตามไปด้วยหรือ?”
“ซื้อของส่วนมากแล้วจะให้คนส่งมาให้ที่เรือ” หวัง
เสียงอธิบายต่อว่า “เป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น สวีกาน
แค่เอาใบรายการไปที่ร้านแค่นั้น”
“เท่ากับว่า หลายวันมานี้มีแค่เจ้ากับสวีกานที่ลงจาก
เรือถูกหรือไม่?” ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด
หวังเสียงเริ่มรู้สึกว่าไม่ปกติ ไม่กล้าพูดอะไรตกหล่น
เขาคิดแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ครั้งที่แล้วที่เหล่าบ่าว
ไพร่ลงจากเรือไป คือเมื่อสิบเจ็ดวันก่อน เพราะว่าต้อง
เตรียมของสำหรับงานคัดเลือกราชินีดอกไม้ แต่ว่า
หลังจากครั้งนั้นแล้ว นอกจากข้าน้อยกับสวีกานก็ไม่มี
ใครลงจากเรืออีกเลย”
ฉีหนิงลุกขึ้นมา แล้วมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “บน
เรือนอกจากเซียนเอ๋อร์แล้ว ยังมีอีกกี่คน?”
หวังเสียงพูดว่า “คนบังคับเรือมีสี่คน ผู้ช่วยอีกสามคน
มีองครักษ์สี่คน บวกกับคนจัดซื้อสวีกานแล้วก็ข้าน้อย
ผู้ชายมีทั้งหมดสิบสามคน สาวใช้ที่ดูแลคุณหนูมีสี่คน
นอกจากแม่นางแล้ว ทั้งหมดมีสิบเจ็บคน”
“ไปเรียกผู้ชายทั้งหมดมา” สีหน้าของเขาเคร่งเครียด
มาก
หวังเสียงไม่รอช้า รีบไปเรียกบ่าวไพร่ผู้ชายในเรือมา
ทั้งหมด ต้วนฉางไห่ถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “โหวเยวี่ย
เกิดอะไรขึ้นหรือไม่?”
ฉีหนิงยิ้มอย่างลำบากใจ “ถ้าให้ข้าคิดผิดด้วยเถอะ
ไม่อย่างนั้นต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่นอน”
“เรื่องใหญ่?”
ฉีหนิงพูดว่า “อย่าเพิ่งร้อนใจไป หากข้าเดาไม่ผิด มัน
เกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ เจ้าไม่อยากรู้ก็คงไม่ได้” ทันใด
นั้นเองเขาก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนจ้องเขาอยู่ เขาเงยหน้า
ขึ้นไปมอง เห็นจั่วเซียนเอ๋อร์มองเขาลงมาจากหัวเรือ
ชั้นสอง เขาคลุมเสื้อคลุมสีขาวมองเขาอยู่
ฉีหนิงยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับจั่วเซียนเอ๋อร์ แล้วพูดว่า
“ไม่มีอะไร ข้างนอกอากาศเย็น อย่ายืนตากลมอย่าง
นั้นเดี๋ยวจะไม่สบาย”
จั่วเซียนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นนางก็เดิน
กลับเข้าไปในท้องเรือ ต้วนฉางไห่เขยิบเข้าใกล้แล้ว
พูดว่า “โหวเยวี่ย แม่นางจั่วน่าจะมีใจให้ท่านแล้วล่ะ
นางยังไม่ทันได้มีอะไรกับท่าน กลับมีความรู้สึกให้
ท่านแล้ว คิดว่าความรู้สึกแบบนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่อง
โกหกนะขอรับ”
ฉีหนิงก็รู้สึกได้เหมือนกัน จั่วเซียนเอ๋อร์ไม่ได้เข้าหา
เขาเพราะเขาคือจิ่นอีโหว เขาเห็นอะไรมามาก
ความรู้สึกของผู้หญิงเสแสร้งหรือจริงจัง เขาก็มอง
ออกอยู่
“ท่านอาต้วน ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากให้ท่านช่วย” ฉีหนิง
ลังเล แล้วถามว่า “พรุ่งนี้ส่งคนมาเฝ้าที่นี่เอาไว้ หลาย
วันมานี้ข้าอาจจะยุ่งหน่อย แต่ว่าเรือของแม่นางเซียน
เอ๋อร์ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าไม่อยากเห็นใครขึ้น
เรือของนางอีก”
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย มันไม่ใช่เรื่อง
ใหญ่อะไร ท่านมอบให้ข้าจัดการก็พอ”
หวังเสียงไปตามบ่าวไพร่ผู้ชายออกมาจนครบทั้งหมด
จากนั้นก็ทำตามที่ฉีหนิงบอก ยืนเรียงแถวเป็นแนว
ยาว ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ดึงแขนเสื้อของพวกเจ้าขึ้นมาให้หมด” ฉีหนิงพูดว่า
“ต้วนฉางไห่ เจ้าถือโคมไฟทีซิ”
ต้วนฉางไห่เข้าใจทันทีว่าฉีหนิงจะทำอะไร เขาถือโคม
ไฟเข้าไปใกล้ คนบนเรือก็ไม่รอช้า ทำตามที่ฉีหนิงสั่ง
ทุกอย่าง ดึงแขนเสื้อขึ้นมาทั้งสองข้าง
ฉีหนิงเดินดูไปทีละคนทีละคน จนถึงคนที่สาม สีหน้า
ของเขาก็เปลี่ยนไป แล้วพูดว่า “เจ้าออกมา ไปยืน
ทางนั้น”
คนๆ นั้นไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าขัด เดินออกมาแล้วไป
ยืนข้างๆ
เมื่อฉีหนิงเดินไปจนคนสุดท้าย นอกจากสวีกานที่นอน
อยู่ ที่เหลืออีกสิบสองคนมีถึงแปดคนที่ถูกฉีหนิงเรียก
ออกมา โดยรวมถึงหวังเสียงด้วย
ทุกคนมองหน้ากัน ต้วนฉางไห่เหมือนจะมองออกแล้ว
ว่ามันคืออะไร แปดคนที่ถูกฉีหนิงเรียกออกมา บน
แขนต่างมีผื่นแดงขึ้น ถึงแม้จะไม่ชัดมาก แต่ว่าก็มีรอย
อยู่สองสามที่
หวังเสียงรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว อดไม่ได้ที่จะ
ถามขึ้นมาว่า “โหวเยวี่ย นี่...นี่มันอะไรกัน?”
“ตอนนี้ยังอธิบายไม่ได้ แต่ว่าพวกเจ้าจำไว้ ห้ามขึ้นไป
ข้างบนเด็ดขาด” ฉีหนิงสีหน้าจริงจังมาก แต่ก็ไม่ได้
อธิบายอะไรมาก เขาขึ้นไปชั้นสอง เมื่อเข้าไปในท้อง
เรือ จั่วเซียนเอ๋อร์ก็รีบเดินเข้ามาหา แล้วถามว่า “โหว
เยวี่ย เกิดอะไรขึ้น?”
“เซียนเอ๋อร์ เจ้ามีสาวใช้สี่คนใช่หรือไม่?” ฉีหนิงไม่ได้
อธิบาย แล้วสั่งให้พวกนางเข้ามา
จั่วเซียนเอ๋อร์เห็นสีหน้าของฉีหนิงจริงจังมาก ก็รีบ
เรียกพวกนางเข้ามา ฉีหนิงก็ไม่ได้สนใจอย่างอื่น ให้
พวกนางดึงแขนเสื้อขึ้น แล้วอาศัยไฟในห้องดู จากนั้น
ก็ถอนหายใจ
สาวใช้ที่อยู่ที่ชั้นสอง บนแขนไม่มีผื่นแดง
“พวกเจ้าออกไปได้ แต่ว่าห้ามลงไปข้างล่างชั่วคราว”
ฉีหนิงสั่ง “ห้ามเข้าใกล้ผู้ชายทั้งหมดที่อยู่บนเรือนี้
ด้วย”
“โหวเยวี่ย มันเกิดอะไรขึ้น?” เมื่อพวกสาวใช้ออกไป
แล้ว จั่วเซียนเอ๋อร์ถามอย่างร้อนใจ
ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “เซียนเอ๋อร์ บนเรือของเจ้า
เหมือนจะมีโรคระบาด เมื่อครู่เจ้าเห็นคนที่เป็นบ้าใช่
หรือไม่ จริงๆ เขาไม่ได้บ้า แต่น่าจะเป็นอาการของ
โรค”
“หะ?” จั่วเซียนเอ๋อร์ตกใจ “โรคระบาด?”
ฉีหนิงพูดว่า “ตอนนี้ข้าไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่ว่า
โรคระบาดนี้แพร่ไปเร็วมาก ยังดีที่พวกเจ้ายังไม่เป็น
อะไร แต่ว่าจำไว้ให้ดี อย่าเข้าใกล้หรือแตะต้องตัว
ผู้ชายที่อยู่ข้างล่างเด็ดขาด เพราะพวกเขา ส่วนใหญ่
ติดโรคกันหมดแล้ว”
สีหน้าของจั่วเซียนเอ๋อร์ซีดเซียว เหมือนจะตื่น
ตระหนก “แล้ว...แล้วต้องทำอย่างไร?”
“เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้าจะกลับไปคิดหาวิธี” ฉีหนิง
ถอนหายใจ ในใจคิดว่าคืนนี้น่าจะเป็นคืนที่สวยงาม
ใครจะคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
เขารู้ว่าเรื่องนี้ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด ก็ไม่รอช้า ยื่น
มือไปจับหน้าของจั่วเซียนเอ๋อร์ แล้วพูดอย่างอ่อนโยน
ว่า “ไม่ต้องกังวล เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน เชื่อข้า อย่าลงไป
ข้างล่างเด็ดขาด แล้วก็อย่าให้คนข้างล่างขึ้นมาข้างบน
ด้วย ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ขอบเขตการแพร่กระจายว่ามัน
แค่ไหนอย่างไร แต่ว่า...ขอแค่ไม่ใกล้ชิด น่าจะไม่มี
ปัญหา”
“เซียนเอ๋อร์...เซียนเอ๋อร์เชื่อท่าน” จั่วเซียนเอ๋อร์พูด
ว่า “แต่ว่า...แต่ว่าโหวเยวี่ยเมื่อครู่นี้ท่านใกล้ชิดพวก
เขา ท่านจะเป็นอะไรหรือไม่?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเขาก็กำลังกังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
แต่ว่ายังคงยิ้มอยู่ “ข้าอยู่ไม่นาน ไม่น่ามีปัญหา” เขา
หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เซียนเอ๋อร์ ข้าไปก่อนนะ
ข้าจะรีบกลับไปหาทางช่วยพวกเขา”
จั่วเซียนเอ๋อร์พยักหน้าแล้วพูดว่า “เซียนเอ๋อร์จะรอ
ท่านกลับมา”
จั่วเซียนเอ๋อร์ยืนอยู่ที่หัวเรือ แล้วมองดูฉีหนิงกับต้วน
ฉางไห่จากไป จนกระทั่งไม่เห็นเงาของพวกเขาแล้ว
ถึงได้กลับเข้าไปในห้อง
เมื่อกลับเข้าไปในห้อง ก็มีคนๆ หนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง
หันหลังให้กับจั่วเซียนเอ๋อร์ สวมชุดสีดำ สวมหมวกสี
ดำ ยืนเอามือไขว้หลัง หลังมือของเขาเหมือนจะมีรอย
สักเปลวเพลิงอยู่
จั่วเซียนเอ๋อร์เหมือนจะไม่ได้ตกใจอะไร นางเดินไปที่
เก้าอี้ แล้วนั่งลง ยกมือขึ้นมองไปที่สีเล็บของตัวเอง
แล้วพูดว่า “เหมือนเจ้าจะชอบมาแบบไม่บอกไม่กล่าว
นะ”
คนๆ นั้นไม่ได้หันหน้ากลับมา แล้วพูดว่า “เหมือนเจ้า
จะชอบพลอดรักกับผู้ชายคนนั้นนะ” น้ำเสียงของเขา
เหมือนประชดประชัน
“อ๋อ?” จั่วเซียนเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไม เจ้าทน
ไม่ได้หรือ? หรือว่าเจ้าแอบดูอยู่ข้างนอกตลอด?”
“หากไม่ได้เกิดเรื่องข้างนอกขึ้น เจ้าคิดจะนอนกับเขา
จริงๆ หรือ?” เขาพูดว่า “ข้าคิดว่าเจ้าไม่น่าโง่แบบนั้น
นะ”
จั่วเซียนเอ๋อร์มองมือของตัวเอง ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะ
อยู่กับใครทำอะไร เหมือนเจ้าจะไม่มีสิทธิยุ่งนะ”
“เจ้าจะทำอะไรข้าห้ามไม่ได้” คนๆ นั้นพูดว่า “แต่ว่า
เจ้าอย่าลืม หากเพราะเจ้าทำพลาด ทำให้แผนเสีย
คนที่ไม่พอใจไม่น่าจะมีแค่ข้า”
จั่วเซียนเอ๋อร์ขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องมา
เตือนข้า ข้ารู้ว่าข้าทำอะไรอยู่”
“แต่ว่าเจ้าคิดจะนอนกับเขาแล้ว” คนๆ นั้นพูดว่า
“เจ้าอย่าลืมนะ เขาเป็นคนตระกูลฉี เท่าที่ข้ารู้มา
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งลงจากวัดต้ากวงหมิง เจ้ารู้หรือไม่
ว่าเขาขึ้นเขาไปทำอะไร?”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ไป๋อวี่เฮ่อศิษย์คนรองของโม่หลันฉางแพ้ให้กบั เขา”
คนๆ นั้นยืนไขว้หลังไม่ขยับอะไรเลย เปลวไฟหลังมือ
ของเขาเหมือนจะลุกโชนขึ้นมา เขาพูดว่า “ได้ยินมา
ว่าเขาใช้กระบวนท่าเดียวก็เอาชนะไป๋อวี่เฮ่อได้แล้ว
เจ้าคิดว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปหรือ?”
จั่วเซียนเอ๋อร์อึ้งไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้วร
ยุทธ์ของเขาก็ร้ายกาจด้วย ข้าประเมินเขาต่ำไป
จริงๆ” จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมา บนหน้าเปี่ยมไป
ด้วยรอยยิ้ม “ดูเขาสุขุมเรียบร้อย ไม่คิดเลยว่าวรยุทธ์
จะดีด้วย”
คนๆ นั้นพูดด้วยความไม่พอใจว่า “เจ้าคงไม่ได้ชอบ
เขาขึ้นมาจริงๆ หรอกกระมัง?”
จั่วเซียนเอ๋อร์ไม่ตอบ แล้วย้อนถามกลับไปว่า “พวก
เราไม่มีแผนอะไรเลย แต่ว่ามารู้จักเขาโดยบังเอิญ
หรือว่าเจ้าไม่คิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีหรือ?”
“ข้ารู้” คนนั้นพูดว่า “ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะทำผิดพลาด
เจ้าต้องเข้าใจนะว่า จะทำการใหญ่ จะใช้ความรู้สึก
ไม่ได้ โดยเฉพาะครั้งนี้ หากเจ้าใช้ความรู้สึก มันจะ
กลายเป็นจุดอ่อนของเจ้า ข้าไม่อยากเห็นเหตุการณ์
แบบนี้เกิดขึ้นอีก” เขาพูดต่อว่า “หากเจ้าคิดจะใช้
วิชาใจสัมพันธ์ ให้เขาเข้าใจผิดว่ามีอะไรกับเจ้าแล้วล่ะ
ก็ ข้าเตือนเจ้าตรงนี้เลยว่าเลิกคิดซะ คนๆ นี้คิดอะไร
เจ้าไม่มีทางรู้ หากเขาจับได้ ทุกอย่างจะจบทันที”
จั่วเซียนเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไร
“เป่ยกงเหลียนเฉิงมีสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขา เขา
สามารถเอาชนะไป๋อวี่เฮ่อได้ในกระบวนท่าเดียว เขา
จะต้องมีการติดต่อกับเป่ยกงเหลียนเฉิงแน่นอน นั่นก็
หมายความว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงยังไม่ตาย” คนๆ นั้น
พูดว่า “เป้าหมายของพวกเราจะทำให้เป่ยกงเหลียน
เฉิงโกรธไม่ได้ ดังนั้นต้องระวังคนๆ นี้ให้มาก ไม่เพียง
ต้องให้เขามาเป็นพวกของเรา แล้วก็...ต้องอย่าให้เป่
ยกงเหลียนเฉิงรู้ว่ามีพวกเรา”
จั่วเซียนเอ๋อร์ยิ้ม แล้วพูดประชดว่า “เจ้าดูจะกลัว
เป่ยกงเหลียนเฉิงมากเลยนะ เขาน่ากลัวขนาดนั้นเลย
หรือ?”
“หากเจ้าได้เจอเขา เจ้าคงไม่หัวเราะหรือยิ้มแบบนี้
แน่นอน” เขาไม่หันหน้ามาเลย แล้วพูดว่า “หากเขารู้
ว่ายังมีพวกเราอยู่ นั่นอาจจะหมายถึงจุดจบของพวก
เราก็ได้”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 219 ภัยใหญ่กำลังจะมา
ตลอดทางกลับจวน ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียดมาก
หลังจากกลับไปถึงจวนแล้ว เขาก็ไปหากู้ชิงฮั่นก่อน
หลายวันมานี้กู้ชิงฮั่นเองก็ไม่ได้ว่าง เกิดเรื่องที่จวนเก่า
ครั้งที่แล้ว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย
พ่อบ้านเก่าฉีหงตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่จิงโจว แต่
เพราะว่าอายุมากแล้ว อีกทั้งเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ไม่ว่า
จะร่างกายหรือว่าจิตใจทำให้เขาไม่สามารถรับหน้าที่
พ่อบ้านใหญ่ต่อไปได้อีก
รากฐานของจวนจิ่นอีโหวอยู่ที่เจียงหลิง สายเลือดที่
สืบทอดกันมาก็มาจากที่ดินศักดินา
หลังจากที่กู้ชิงฮั่นเผชิญเรื่องราวมาแล้ว ก็ต้องทำการ
จัดการที่ดินศักดินาใหม่ทั้งหมด เริ่มจากการคัดเลือก
พ่อบ้านคนใหม่ของจวนเก่าเพื่อมาดูแลเรื่องของที่ดิน
ศักดินา
จริงๆ แล้วจวนจิ่นอีโหวเองไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ที่มี
ความสามารถ ตรงที่ดินศักดินาเองก็มีคนเก่งๆ
มากมาย ช่วงนี้กู้ชิงฮั่นเองก็ยุ่งอยู่กับการคัดเลือกคนที่
จะมารับหน้าที่พ่อบ้านใหญ่เพื่อดูแลที่ดินศักดินา อีก
ทั้งยังทำการคำนวณบัญชีใหม่ทั้งหมดด้วย
คนที่อ้างชื่อจ้าวยวนในสามปีมานี้ ควบคุมบัญชีทุก
อย่างของจวนเก่า ซึ่งทั้งหมดนั้นมันวุ่นวายยุ่งเหยิงไป
หมด ตอนนี้ต้องมาจัดการใหม่ทั้งหมดมันก็ไม่ใช่เรื่อง
ง่ายๆ
ตอนที่ฉีหนิงเจอกู้ชิงฮั่น นางยังอยู่ในห้องบัญชีอยู่เลย
เมื่อเห็นฉีหนิงเดินมา นางก็รู้สึกแปลกใจ นางถามว่า
“เหตุใดถึงกลับมาเร็วแบบนี้เล่า?”
ฉีหนิงไปที่แม่น้ำฉินไหว นางก็รู้ ครั้งที่แล้วฉีหนิงเล่า
เรื่องจั่วเซียนเอ๋อร์ให้ฟัง นางรู้สึกสงสาร นางจึง
อนุญาตให้ฉีหนิงไปเยี่ยมนางที่แม่น้ำฉินไหวบ้าง แต่
พอฉีหนิงไปจริงๆ นางก็ไม่ค่อยสบายใจ ตอนนี้เห็นฉี
หนิงกลับมา ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจของนางถึงได้ดีใจ
เป็นอย่างมาก
ตลอดทางกลับจวน ฉีหนิงเป็นห่วงมากว่าในจวนจิ่นอี
โหวจะมีคนติดโรคนี้ด้วย
เรื่องที่เกิดขึ้นที่เรือสำราญในคืนนี้ ทำให้ฉีหนิงตกใจ
มาก ระหว่างทางที่กลับมา ในหัวของเขาคิดทบทวน
ตลอดเวลา ก็พอจะนึกอะไรออกมาได้บ้าง
ครั้งแรกที่พบอาการแบบนี้น่าจะเป็นที่ร้านยาจี้ซื่อถัง
ตอนนั้นมีขอทานสองคนมาขอให้ตรวจอาการให้ แต่
เพราะไม่มีเงินเลยถูกปฏิเสธ ฉีหนิงเห็นก็เลยเข้าไป
ช่วย คนป่วยในตอนนั้น ที่แขนของเขาก็มีผื่นแดงเต็ม
ไปหมด อีกทั้งตุ่มแดงบางที่ก็เกิดเป็นหนองแล้ว
ในตอนนั้นถึงแม้ฉีหนิงจะรู้สึกว่าอาการของเขารุนแรง
มาก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่วันนี้ได้เห็นอาการของสวีกานกำเริบ กับเมือ่ วานที่
เห็นศิษย์ของพรรคกระยาจกเป็น หากเขาคิดไม่ผิด
อาการที่เห็นจากศิษย์พรรคกระยาจก ก็น่าจะเป็น
อาการเดียวกับที่เจอบนเรือวันนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในตอนนี้เมืองหลวงได้เกิดโรค
ประหลาดที่ไม่มีวี่แววมาก่อน อีกทั้งมันยัง
แพร่กระจายตัวได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้จากการแพร่
ระบาดบนเรือสำราญ
หากฉีหนิงไม่ได้บังเอิญไปพบเห็นบนเรือ เขาอาจจะไม่
รู้เรื่องโรคระบาดนี้เลยก็ได้
ฉีหนิงไม่รู้เลยว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค
ในตอนนี้มันเป็นอย่างไร อีกทั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนมาก
เพียงใดที่ติดโรคนี้ไปแล้ว
แต่ว่ามันก็สามารถตัดสินได้ว่า การแพร่ระบาดของ
โรคมันรุนแรงมาก ไม่เพียงทำให้เสียสติ อีกทั้งอาจจะ
ทำให้เกิดอาการบ้าได้
กู้ชิงฮั่นเห็นฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด ก็รู้สึกแปลกใจ
เห็นฉีหนิงเดินตรงเข้ามาข้างตัวนาง แล้วยื่นมือไปจับ
ข้อมือของนางเอาไว้
กู้ชิงฮั่นรู้สึกตกใจแล้วหลุดพูดออกไปว่า “เจ้า...เจ้าจะ
ทำอะไร?” นางคิดไม่ถึงเลยว่าฉีหนิงจะกล้ามากขนาด
นี้
ฉีหนิงพูดเสียงเข้มว่า “อย่าขยับ”
“เจ้า...กำเริบเกินไปแล้วนะ” กู้ชิงฮั่นเห็นเขาจับ
ข้อมือของตัวเอง อีกมือหนึ่งของเขากำลังจะดึงชาย
แขนเสื้อของนางขึ้น ก็ตกใจและโกรธมาก “เจ้าบ้าไป
แล้วหรือ? หยุดเดี๋ยวนี้นะ” นางพยายามขัดขืน นาง
โกรธมาก เดิมทีนางคิดว่าฉีหนิงอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์
เหล้า แต่ว่าเห็นท่าทางเขาก็ไม่เหมือนคนที่ดื่มเหล้ามา
ตัวเขาก็ไม่มีกลิ่นเหล้าด้วย ในใจก็ตกใจ แอบคิดในใจ
ว่าเจ้าเด็กนี่บ้าไปแล้วหรือ?
กู้ชิงฮั่นอาบน้ำร้อนมาก่อน อ่อนไหวกับเรื่องระหว่าง
ชายหญิงมาก นางรู้มาระยะหนึ่งแล้วว่าฉีหนิงรู้สึกกับ
นางไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์แบบน้า
สะใภ้กับหลานชายแล้ว ถึงแม้ฉีหนิงจะระวังตัวมาก
แต่ว่าก็จะมีหลุดสายตาแบบชายหญิงออกมาอยู่บ้าง
เดิมทีกู้ชิงฮั่นเองก็แค่เอ็นดูแล้วก็อยากจะปกป้องฉี
หนิงเท่านั้น แต่ว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ช่วงหลายวันมานี้
พอฉีหนิงเข้าใกล้นางในบางครั้ง กลับทำให้ในใจของ
นางรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ นางรู้ว่าความรู้สึกแบบนี้จะ
ให้เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้ ดังนั้นเวลาเข้าใกล้ฉีหนิงนางจะ
ระวังตัวมากกว่าแต่ก่อน
ถึงแม้นางจะรู้ว่าฉีหนิงคิดอะไรกับนาง แต่ปกติฉีหนิง
ไม่เคยล่วงเกินอะไรนางเลย อีกทั้งก็ไม่เคยทำอะไรที่
ไม่เหมาะไม่ควร นั่นจึงทำให้กู้ชิงฮั่นรู้สึกสบายใจมาก
คิดในใจว่าอยู่ในห้องเดียวกัน หากฉีหนิงคิดอะไรกับ
นาง มันก็อาจจะเป็นเพราะความเป็นหนุ่มของเขา
มันก็พอจะเข้าใจได้บ้าง
ขอแค่ฉีหนิงสามารถคุมตัวเองให้อยู่ในกรอบในเกณฑ์
ได้ ไม่ทำอะไรเกินเลย หลังจากเขาแต่งงาน มีภรรยา
ความรู้สึกแบบนี้ก็น่าจะลดลง
แต่ว่าตอนนี้ฉีหนิงเดินเข้ามาถึงก็มาจับมือของนาง อีก
ทั้งยังดึงแขนเสื้อของนางขึ้นมาด้วย กู้ชิงฮั่นรู้สึกตกใจ
มาก คิดในใจตอนนี้ว่าไม่ควรร้องตะโกน จะให้ใครมา
เห็นไม่ได้เด็ดขาด
นางรู้ว่าฉีหนิงคิดอะไรกับนาง แต่ว่าคนในจวน ไม่มี
ใครรู้ หากใครมาเห็นฉีหนิงในสภาพแบบนี้ ไม่อยาก
คิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ว่านางก็รู้ว่า จะให้ฉีหนิงสมหวังไม่ได้เด็ดขาด
ดังนั้นถึงแม้ฉีหนิงจะแค่ดึงชายเสื้อนางขึ้นมา นางเลย
ขัดขืนสะบัดมืออย่างเต็มแรง แล้วพูดด้วยความโกรธ
ว่า “เจ้าปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ หากไม่ปล่อย ข้า...ข้าจะ
โกรธจริงๆ แล้วนะ หากใครมาเห็นเข้าจะทำ
อย่างไร?”
ฉีหนิงอึ้งไป ทันใดนั้นเขาเหมือนรู้สึกตัวว่าตัวเองเป็น
ห่วงมากเกินไป ทำให้ทำอะไรเกินเลยไป ไม่แปลกที่กู้
ชิงฮั่นจะขัดขืนเขา เขารีบพูดว่า “ซานเหนียง ท่าน
อย่าเพิ่งขยับ ข้ากำลังตรวจโรคอยู่”
“ตรวจโรค?” กู้ชิงฮั่นตะลึงไป นางหยุดชะงัก ในเวลา
นี้เอง ฉีหนิงก็ดึงชายเสื้อของนางขึ้นมา
ใต้แขนเสื้อ ผิวของนางขาวราวกับหิมะ นุ่มราวกับปุย
นุ่น ฉีหนิงอาศัยแสงไฟสำรวจแขนขาวๆ นี้ เห็นว่าไม่
มีผื่นหรือรอยแดงอะไร เขาก็เบาใจ
ผิวของกู้ชิงฮั่นขาวมาก ขอเพียงแค่มีรอยอะไรนิด
หน่อยก็เห็นได้ชัดแล้ว
เขาเบาใจแล้วจึงปล่อยมือออก แล้วถอยหลังไปสอง
ก้าว จากนั้นก็หันไปนั่งลงที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ แล้วบ่นพ
รึมพำว่า “ยังดี”
กู้ชิงฮั่นอึ้งไป นางไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น นางก้ม
หน้ามองไปที่แขนของนาง แล้วรีบดึงเสื้อลงมาปิด
แล้วจ้องไปที่ฉีหนิง แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าคิด
จะทำอะไร? เจ้า...เจ้ากล้ามากไปแล้วนะ”
เมื่อเห็นแขนของกู้ชิงฮั่นไม่มีรอยอะไร ฉีหนิงก็เบาใจ
มาก เขาไม่ได้สนใจน้ำเสียงโกรธของกู้ชิงฮั่นเลย เขา
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ท่านหยุดทำบัญชี
ก่อนนะ พวกเรามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำเดี๋ยวนี้เลย”
กู้ชิงฮั่นเห็นฉีหนิงสีหน้าท่าทางนิ่งมาก ไม่เหมือนคิด
จะมาลวนลามอะไรนาง ก็รู้สึกว่านางอาจจะเข้าใจผิด
ไปก็ได้ เลยเขยิบเข้ามาหนึ่งก้าว แล้วถามว่า “หนิง
เอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงพยักหน้า เขาก็ไม่ได้ปกปิด เขาเล่าเรื่องที่
เกิดขึ้นบนเรือสำราญให้กู้ชิงฮั่นฟังทั้งหมด ยกเว้น
เรื่องที่เกือบจะมีอะไรกับจั่วเซียนเอ๋อร์เท่านั้น ที่เขา
ไม่ได้พูดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว
กู้ชิงฮั่นถึงได้เข้าใจว่าที่วันนี้ฉีหนิงสติหลุดไปมันเป็น
เพราะอะไร นางก็รู้สึกอุ่นใจ คิดในใจว่าเจ้าเด็กนี่เข้า
มาถึงก็มาถกแขนเสื้อของนาง ไม่ได้เพราะอยากจะ
ลวนลามนางเลย แต่เป็นเพราะอยากให้แน่ใจว่านาง
ไม่ได้ติดโรค แสดงว่าตัวนางมีความสำคัญในใจของ
เขาไม่น้อยเลย
ดูท่าเป็นตัวนางเองที่ใจแคบคิดเล็กคิดน้อยเกินไป พอ
นึกถึงตอนที่ตัวนางสงสัยว่าฉีหนิงจะทำมิดีมิร้ายกับ
นาง ในใจก็รู้สึกผิดขึ้นมา แล้วก็รู้สึกเขินมากด้วย นาง
คิดว่าหนิงเอ๋อร์ไม่ได้จะทำอะไรอย่างนั้นเสียหน่อย
แต่เหตุใดนางถึงได้คิดอย่างนั้นไม่หยุด นางถามอย่าง
อ่อนโยนว่า “หนิงเอ๋อร์ เจ้าบอกว่าเกิดโรคระบาด ใน
เมืองหลวงเกิดโรคห่าอย่างนั้นหรือ?”
“โรคห่า?” ฉีหนิงมองไปที่กู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ข้าเคยได้ยินมาว่า โรคห่า เป็นโรคที่
แพร่เชื้ออย่างร้ายแรง แค่คุยกับคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ ก็
มีโอกาสติดโรคนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสัมผัส” นาง
ขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “แต่ว่าในเมือง
หลวงแบบนี้ เหตุใดถึงเกิดโรคห่าขึ้นได้เล่า?”
“ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนมีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรก
ควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อให้ได้ เรื่องที่สองคือ
หาทางรักษาโรคนี้ให้ได้” ฉีหนิงพูดว่า “ซานเหนียง
ข้าเห็นคนที่อาการกำเริบมาแล้ว น่ากลัวมากเลย หาก
ติดเชื้อ จะมีอาการเร็วมาก และกำเริบได้ภายในไม่กี่
วัน”
“แต่ว่าโรคแบบนี้ จะควบคุมมันได้อย่างไร?” กู้ชิงฮั่น
ขมวดคิ้ว นางก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก “พวกเรา
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรคนี้เกิดมาจากใคร แพร่ระบาดได้
อย่างไร อีกทั้งไม่รู้ว่าตอนนี้มีคนกี่มากน้อยที่ติดโรค
อยากจะควบคุมให้ได้จริง ก็ไม่รู้จะไปเริ่มจากตรงไหน
ที่แม่น้ำฉินไหวเริ่มระบาดแล้ว คนไปๆ มาๆ มากมาย
ทุกวัน ข้ากลัวว่าตามตรอกตามซอยในเมืองหลวงก็
อาจจะมีคนติดโรคแล้ว”
ฉีหนิงพูดว่า “ถูกแล้ว ที่น่ากลัวที่สุดคือราชสำนัก
เหมือนจะยังไม่มีคนรู้เรื่องนี้เลย โรคแบบนี้ จะต้อง
ควบคุมให้เร็วที่สุดยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ข้าให้ต้วนฉางไห่
ไปแจ้งเรื่องนี้กับทางจวนเสินโหวแล้ว” เขาลุกขึ้นแล้ว
พูดว่า “ซานเหนียง รบกวนท่านรีบเรียกคนในจวนมา
รวมตัวกัน แล้วตรวจดูว่าพวกเขามีใครติดโรคบ้าง
โดยเฉพาะคนที่ออกไปนอกจวนโหวในช่วงนี้ ต้อง
ตรวจอย่างละเอียด หากมีคนติดโรค ต้องรีบแยกแล้ว
กันพวกเขาออกมา”
“ได้ ข้าจะไปทำเดี๋ยวนี้เลย” กู้ชิงฮั่นเองก็รู้ว่าเรื่องนี้
เร่งด่วน นางพูดว่า “หนิงเอ๋อร์ เจ้าเองก็อย่าออกไป
ไหนช่วงนี้เลยนะ”
ฉีหนิงยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า “ซานเหนียงไม่ต้อง
เป็นห่วงข้าหรอก ข้าไม่เป็นอะไร” เขาถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “หวังว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้โดยเร็ว”
จากนั้นเขาก็หันหลังแล้วเดินออกไป กู้ชิงฮั่นรีบถามว่า
“เจ้าจะไปไหน?”
“ข้าจะไปหาแม่นางถัง” ฉีหนิงหันหน้ามาพูดว่า “แม่
นางถังวิชาแพทย์ร้ายกาจ หมอธรรมดาเทียบนาง
ไม่ได้เลย เรื่องนี้ข้าต้องบอกให้นางรู้ เผื่อว่านางจะมี
วิธีรับมือ”
ในตอนนี้เองกู้ชิงฮั่นถึงนึกขึ้นมาได้ว่าจวนโหวมีถังนั่ว
อยู่
ถึงแม้ถังนั่วจะไปที่หยงอันถังทุกวัน แต่ว่าช่วงเย็นก็จะ
กลับมาที่จวนโหว ในจวนจิ่นอีโหวมีเรือนมากมาย จัด
เรือนให้ถังนั่วอยู่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย
“จริงสิ สองสามวันมานี้แม่นางถังกลับมาดึกมาก แต่
ว่าพอกลับเรือนแล้วก็ไม่ได้ออกมาอีก” กู้ชิงฮั่นพูดว่า
“ข้าให้คนไปเชิญนางมากินข้าว นางก็บอกแค่ว่าเอา
อาหารวางไว้หน้าห้องของนางก็พอ ข้าได้ยินมาว่าสอง
สามวันนี้นางเองก็นอนดึกมาก เที่ยงคืนยังเห็นไฟจุด
อยู่ในห้อง หนิงเอ๋อร์ เจ้าว่าแม่นางถังยังไม่ชินกับการ
ใช้ชีวิตในเมืองหลวงหรือไม่?”
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 220 พิษระบาด
ค่ำคืนดึกดื่น ถึงแม้จะเข้าหน้าหนาวแล้วแต่หิมะยังไม่
ตกลงมา แต่ว่าอากาศช่วงกลางคืนก็เริ่มหนาวเย็น
มากแล้ว ฉีหนิงสวมชุดที่ค่อนข้างหนา เดินเข้ามาใน
เรือน คลุมเสื้อคลุมขนสัตว์ มองเข้าไปในห้องภายใน
เรือน เป็นไปอย่างที่กู้ชิงฮั่นบอก ถังนั่วยังไม่นอน
จริงๆ ด้วย
เขาลังเล แต่สุดท้ายก็เดินเข้าไปเคาะประตูห้อง ไม่
นานนักประตูห้องก็เปิดออก ใบหน้าที่ดูสบายตาของ
ถังนั่วยืนอยู่ตรงหน้าเขา เมื่อเห็นฉีหนิง ถังนั่วตะลึงไป
ชั่วขณะ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจมาก นางพูดว่า “เข้ามา
ก่อนสิ”
ฟ้ามืดแล้ว แต่ถังนั่วก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องให้ผู้ชายเข้ามาใน
ห้องของนาง
ฉีหนิงเข้ามาในห้อง เดิมทีคิดจะปิดประตูห้องด้วย แต่
พอคิดดูแล้ว เขาแง้มประตูเอาไว้ดีกว่า แล้วจึงเดิน
ตามถังนั่วเข้าไป
รูปร่างของถังนั่วถือว่าดีมากเลยทีเดียว ปกตินางไม่
ค่อยพูด นิสัยนางก็นิ่งๆ แต่ว่าไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่า
นางเย็นชา แต่ทำให้มีความรู้สึกสบายๆ มากกว่า
ถังนั่วไม่ได้คิดมากเรื่องที่พาฉีหนิงเข้ามาในห้อง เมื่อ
เข้ามาในห้องแล้ว ฉีหนิงพบว่าบนโต๊ะ มีขวดยาเต็มไป
หมด แล้วยังมีกล่องยาติดตัวของนาง ในตอนนี้มันถูก
เปิดออก ฉีหนิงรู้ว่ากล่องยานี้นอกจากเวลาช่วยชีวิต
คนแล้ว ถังนั่วแทบจะไม่เปิดมันเลย แต่ว่าตอนนี้ดึกๆ
ดื่นๆ กลับเปิดกล่องออก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
“แม่นางถัง ที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ เพราะว่า...” ฉีหนิง
กำลังจะเล่าเรื่องโรคระบาดให้ถังนั่วฟัง ถังนั่วไม่รอให้
เขาพูดจนจบ “เจ้าอยากจะบอกข้าเรื่องโรคระบาดใช่
หรือไม่?”
ฉีหนิงอึ้งไป ในใจแอบคิดว่านางรู้แล้วหรือ?
“มันไม่ใช่โรคระบาด แต่เป็นยาพิษ” ถังนั่วนั่งลงบน
เก้าอี้ แล้วชีไ้ ปที่เก้าอี้ บอกให้ฉีหนิงนั่งลง “ในภาวะ
ปกติ หลังจากที่คนทั่วไปได้รับเชื้อ จะตายภายในเจ็ด
วัน”
ฉีหนิงตกใจมาก เขาหลุดออกมาว่า “ยา...ยาพิษ
หรือ?”
ถังนั่วพยักหน้า “สองวันก่อนมีคนป่วยไปที่หย่งอันถัง
ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่ต่ำกว่าสิบคน เป็นอาการเดียวกัน
หมด” ท่ามกลางแสงไฟ ถังนั่วสีหน้าจริงจังมาก “นี่
แค่ร้านหยงอันถังนะ ในถนนเส้นนั้นมีร้านหมดร้านยา
เต็มไปหมด หากนับรวมๆ แล้วก็น่าจะมีประมาณ
สามสิบสี่สิบคนที่มาตรวจรักษาโรค”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “แม่นางถัง แค่ถนนเส้น
เดียวมีคนติดเชื้อมากขนาดนี้เชียวหรือ แล้วถ้าทั้ง
เมืองหลวงไม่...”
ถังนั่วพยักหน้า “แต่มันก็พิสูจน์ได้ว่า พิษมัน
แพร่กระจายออกไปแล้ว อีกทั้งคนที่ถูกพิษก็มีจำนวน
ไม่น้อย”
“แม่นางถัง เจ้าบอกว่ามันคือยาพิษ รู้หรือไม่ว่ามันคือ
พิษอะไร?” ฉีหนิงรีบถาม “แล้วรู้หรือไม่ว่ามัน
แพร่กระจายด้วยวิธีใด?”
ถังนั่วขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าก็ยังไม่แน่ใจ แต่ว่า
น่าจะติดต่อผ่านการสัมผัสร่างกาย แล้วก็น่าจะที่
อาหารเครื่องดื่มด้วย”
ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด เขาถามว่า “เจ้าเองก็ไม่แน่ใจ
หรือว่าเป็นพิษอะไร?”
“ข้าถนัดเรื่องการรักษาคนด้วยยา ส่วนพิษที่ไว้ทำร้าย
คนข้าไม่ค่อยสนใจ” ถังนั่วพูดว่า “ตอนนี้ข้าจะลอง
ตรวจสอบดูก่อนว่ามันเป็นพิษที่ทำขึ้นมาจากอะไร
ก่อน แล้วค่อยหาวิธีแก้ แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ข้า
ได้เลือดของคนที่ถูกพิษมาแล้วบางส่วน สองวันนี้
กำลังตรวจสอบอยู่ แต่ว่า...”
“แต่ว่าอะไร?” ฉีหนิงรีบถาม “แม่นางถัง มีอะไรให้
ข้าช่วยหรือไม่?”
ถังนั่วพูดว่า “เดิมทีข้าคิดจะไปหาเจ้าพรุ่งนี้เช้า แต่ว่า
ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะให้เจ้าช่วย”
“เจ้าว่ามาเลย”
“พิษที่ข้าเจอครั้งนี้ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงแม้จะ
สามารถตรวจสอบจากเลือดได้ว่าทำพิษมาจากวิธี
อะไร แต่ว่ามันก็ยังไม่พอ” ถังนั่วขมวดคิ้ว “ตอนนี้ข้า
เห็นแค่เลือดที่มันไหลออกมาจากคนป่วยที่ถูกพิษ แต่
ไม่สามารถเห็นตอนที่มันเข้าสู่ร่างกายไปผสมกับเลือด
ดังนั้นก็เลยไม่สามารถตัดสินการเปลี่ยนแปลงของมัน
ได้”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าควรทำอะไร?”
“ศพ” ถังนั่วลังเล แล้วพูดว่า “ข้าต้องการศพ แล้ว
จะต้องเป็นศพที่ถูกพิษชนิดนี้ด้วย”
ฉีหนิงอึ้งไป
“หากข้าเดาไม่ผิด พรุ่งนี้...อย่างช้ามะรืนนี้ จะมีคน
อาการกำเริบอีก” ถังนั่วพูดว่า “พิษชนิดนี้จะทำให้
คนไม่รู้สึกตัว ไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู อีกทั้งยัง
สามารถจู่โจมคนอื่นตลอดเวลา หากถูกพวกเขาทำ
ร้าย คนพวกนั้นก็จะถูกพิษด้วย”
ฉีหนิงตกใจมาก เขามีความรู้สึกเหมือนผีดิบหลุด
ออกมาจากกรงอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าไม่รู้ว่ายังมีคนอื่นช่วยหายาถอนพิษหรือไม่”
ถังนั่วพูดว่า “แต่ว่าหากไม่รีบหาวิธี ข้าเกรงว่าจะมีคน
ตายมากขึ้นอีก” นางหยุดไป แล้วพูดว่า “ข้าเคยเห็น
ที่หมู่บ้านหนึ่ง มีอยู่ประมาณร้อยครอบครัว มีคนราว
ร้อยกว่าคน เป็นเพราะว่าติดโรคระบาด จึง
แพร่กระจายไปทั่ว ช่วยชีวิตไว้ไม่ทัน ทำให้ตายหมด
ทั้งหมู่บ้าน...” แล้วก็ไม่ได้พูดต่อ
ถังนั่วเชี่ยวชาญการแพทย์ ศพชิ้นเนื้อเน่าเปื่อยอะไรก็
เห็นมาหมดแล้ว ความเป็นความตายในสายตาของ
นางมันไม่ได้อ่อนไหวขนาดนั้น แต่ว่าพอพูดถึงตรงนี้
ใบหน้าของนางกลับดูเศร้ากว่าปกติ
จิตใจของคนที่เป็นหมอ สำหรับพวกเขาความเป็น
ความตายมันอาจไม่ได้อ่อนไหวขนาดนั้น แต่มันไม่ได้
หมายความว่าพวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่อง
ความเป็นความตาย แต่กลับกัน เพราะเห็นคนตายมา
มาก พวกเขาถึงได้เห็นค่าของชีวิตมากกว่าใคร
ฉีหนิงรู้สึกนับถือความจริงจังของถังนั่วมาก
ก่อนที่เขาจะรู้เรื่องโรคระบาดนี้ ถังนั่วก็เริ่มทำการ
ค้นหาวิธีแก้แล้ว จนถึงเริ่มเตรียมตัวหายาเพื่อมาถอน
พิษช่วยคน
ถึงแม้ถังนั่วไม่ได้พูดมาตรงๆ แต่ฉีหนิงก็เข้าใจว่า
ถังนั่วไม่ได้บอกส่วนสำคัญกับเขาทั้งหมด เพราะเรื่อง
นี้มันยังไม่แน่นอน ส่วนเรื่องพิษนั้น ก่อนที่อะไรจะ
ชัดเจนขึ้น บอกฉีหนิงไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ถังนั่วเป็นคนไม่ทำอะไรที่ไม่มีประโยชน์
“ความหมายของเจ้าคือ หากไม่รีบหาวิธีแก้ไข ทั่วทั้ง
เมืองหลวงแคว้นฉู่ก็จะ...” ฉีหนิงตกใจมาก
ถังนั่วส่ายหน้าแล้วพูดว่า “มันก็ไม่ขนาดนั้น เมื่อโรค
ระบาดแพร่กระจาย ราชสำนักจะต้องส่งคนมาคุม
ด้วยกำลังของราชสำนัก คิดจะหายาถอนพิษก็จะต้อง
ใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่หากหาไม่เจอ” นางหยุดไป
แล้วพูดว่า “ถึงเวลานั้นก็จะมีคนตายมากกว่าพันคน”
ฉีหนิงรู้สึกหดหู่ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็น
ยาพิษ ก็แสดงว่ามีคนตั้งใจวางยาพิษ แถมยังเป็นยา
พิษที่สามารถแพร่กระจายติดต่อได้ด้วย แสดงว่า
เป้าหมายของคนที่วางยาพิษต้องการให้พิษกระจาย
ทั่วเมืองหลวง” เขากำหมัด “ใครกันนะที่โหดเหี้ยมได้
ขนาดนี้?”
“การหาตัวคนร้าย ไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้” ถังนั่ว
พูดว่า “หากตอนยามจื่อ เจ้าไม่อยากเห็นเมืองหลวง
วุ่นวายละก็ ตอนนี้เจ้าเองก็ต้องทำอะไรบ้างแล้ว”
“เจ้าหมายถึง...ให้รีบโยกย้ายกำลังทหารปิดถนน แล้ว
ปิดประตูเมืองห้ามคนเข้าออกหรือ?” ฉีหนิงเข้าใจ
ความหมายขึ้นมาทันที
หากทุกอย่างเป็นไปตามที่ถังนั่วพูดมา ถ้าอย่างนั้นพิษ
กำเริบรอบแรกก็น่าจะเป็นพรุ่งนี้
อาการที่พิษกำเริบ ฉีหนิงได้เห็นมากับตาแล้ว คนที่ถูก
พิษจะมีอาการบ้าคลั่งราวกับสัตว์ป่า หากในเมือง
หลวงมีคนจำนวนมากที่ถูกพิษ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ใน
เมืองหลวงก็จะมีคนบ้าตามท้องถนนเต็มไปหมด
ในเมื่อถังนั่วบอกว่าพรุง่ นี้กับมะรืนจะมีคนอาการ
กำเริบ แสดงว่านางมั่นใจผ่านการตรวจคนไข้มาแล้ว
แล้วนางก็พอจะคาดการณ์เวลากำเริบของอาการ
มาแล้วระดับหนึ่ง
ราชสำนักยังไม่มีใครรู้ภัยร้ายเรื่องนี้ อีกทั้งไม่มีทางรู้
ว่าหลังจากค่ำคืนอันเงียบสงบนี้ผ่านไป จะมี
สถานการณ์ที่บ้าคลั่งเกิดขึ้น ดังนั้นไม่มีทางเตรียม
รับมือไว้ก่อน
“โยกย้ายทหาร ปิดถนนทุกเส้น ไม่ให้คนที่ถูกพิษพวก
นั้นวิ่งพล่านไปทั่ว นี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องเตรียมการ
ในตอนนี้” ถังนั่วพูดว่า “นอกจากนี้ ยังต้องจัดหาที่
ทางเอาไว้ หากมีคนที่ติดเชื้อวิ่งไปตามถนน ให้จับ
พวกเขาเอาไว้ทันที แล้วจับพวกเขาแยกเอาไว้ เพื่อ
ไม่ให้พิษกระจาย”
ฉีหนิงพยักหน้า ในใจของเขาแอบชื่นชมมาก ใน
สถานการณ์แบบนี้ ถังนั่วไม่ตื่นตระหนกเลย แถมยังมี
สติสุขุมมาก
“แม่นางถัง ข้าจะส่งคนไปหาศพมาให้” ฉีหนิงรู้ว่า
หากไม่เตรียมการรับมืออาจจะเสียการควบคุมได้ ที่
สำคัญที่สุดต้องรีบหายาถอนพิษให้ได้ ในเมื่อถังนั่วพูด
เองว่าต้องการศพที่ถูกพิษ แสดงว่ามันต้องมี
ประโยชน์มากๆ เขาเองก็ไม่รอช้า
ถังนั่วคิดแล้วพูดว่า “หากหาศพมาได้ ให้ส่งไปที่หย่ง
อันถัง อย่าส่งมาที่จวนเลย ไม่อย่างนั้รพวกเขาจะ
ตกใจกลัว” นางหยุดไป แล้วพูดว่า “เท่าที่ข้าคิด พิษ
ระบาดพวกนี้น่าจะเพิ่งแพร่กระจายในไม่กี่วันนี้
ส่วนมากน่าจะอยู่ในช่วงกระจายเชื้อ อาจจะไม่ได้มี
คนตายเพราะพิษกำเริบมากนัก ดังนั้นจะหาศพที่พิษ
กำเริบ มันไม่ใช่เรื่องง่าย”
“อ๋อ?”
“แต่ว่าหากไปที่พรรคกระยาจกได้ อาจจะได้ศพมา”
ถังนั่วสีหน้าจริงจังตั้งแต่ต้น ภายใต้ความจริงจังนี้มันมี
แต่ความเยือกเย็น “หากข้าเดาไม่ผิด พิษเริ่ม
แพร่กระจายน่าจะมาจากศิษย์ของพรรคกระยาจก”
ฉีหนิงรู้ว่าเวลาเหลือน้อย ก็ไม่รอช้า เขาพูดว่า “แม่
นางถัง ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย” จากนั้นเขาก็ลุก
แล้วจะออกไป แต่เดินไปได้แค่ก้าวเขาก็หยุด แล้วหัน
หลังกลับมา ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “แม่นางถัง เจ้า...
เจ้าสัมผัสกับคนถูกพิษ เจ้าจะไม่เป็นอะไรหรือ?”
ถังนั่วตะลึงไป นางยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ไม่ ข้ามีวิธี
ของข้า”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี เจ้าเองก็ต้องระวังตัวด้วยนะ” ฉีหนิง
พูดว่า “เดี๋ยวข้าจะสั่งคนเอาไว้ เจ้ามีอะไรก็สั่งพวก
เขาได้เลย”
เขาเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ เห็นกู้ชิงฮั่นกำลังทำตามที่
เขาสั่ง เรียกคนในจวนมาตรวจดูแขนทั้งหมด ในจวน
โหวหลายคนหลับไปแล้ว แต่กลางดึกถูกปลุกขึ้นมา ก็
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างจะไปสนใจ เขาเรียกจ้าวอู๋
ซังกับฉีเฟิงมา แล้วพูดว่า “ในเมืองหลวงมีพิษระบาด
ตอนนี้ข้าต้องการส่งคนไปที่พรรคกระยาจก พวกเขา
มีคนที่ถูกพิษนี้จนตาย พวกเจ้าไปขอศพพวกเขามาได้
หรือไม่?”
จ้าวอู๋ซังกับฉีเฟิงมองหน้ากัน เหมือนไม่เข้าใจ ฉีเฟิง
ถามอย่างระวังว่า “โหวเยวี่ย ท่านหมายความว่า...ให้
ไปเอาศพจากพรรคกระยาจก เพราะมีคนของพวก
เขาถูกพิษจนตายอย่างนั้นหรือ?”
“คนของพรรคกระยาจกถูกพิษ พิษนั่นมัน
แพร่กระจายและติดต่อได้” ฉีหนิงอธิบายอย่างชัดเจน
“ศิษย์ของพรรคกระยาจกมีอยู่มาก มีหลายคนที่ติด
เชื้อไปแล้ว อาการกำลังจะกำเริบ แม่นางถังกำลังคิด
วิธีปรุงยาถอนพิษ แต่ว่านางต้องใช้ศพที่พิษกำเริบจน
ตาย ศพแบบนั้นตอนนี้หาได้จากพรรคกระยาจกที่
เดียว”
ทั้งสองคนเข้าใจขึ้นมาทันที สีหน้าของพวกเขาก็
เปลี่ยนไป
---------------------------------
(´▽`).。o♡เพลิน
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 221 เรื่องเร่งด่วน
ค่ำคืนอันเงียบสงบแต่ผู้คนกลับไม่สงบ ในจวนโหว
สว่างทุกวัน วุ่นวายกันไปหมด ฉีหนิงเรียกฉีเฟิงกับ
จ้าวอู๋ซังมาพบที่ห้องรับรองด้านข้าง
“โหวเยวี่ย จวนโหวของพวกเรากับพรรคกระยาจก
ไม่ได้ติดต่อสนิทสนมกันถึงขนาดนั้น” ฉีเฟิงลังเลไปครู่
หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “โหวเยวี่ยท่านอาจจะไม่รู้อะไร
พรรคกระยาจกถือเป็นพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า ใน
พรรคของเขาเองมีกฎของพวกเขา หากลูกศิษย์ใน
พรรคตาย ก็จะต้องทำตามกฎของพรรค หลังจาก
ศิษย์ในพรรคตายไป จะต้องฝังศพของพวกเขาตาม
ระเบียบของพรรค นอกจากจะถูกขับออกจากพรรค
เท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วหลังจากตายไปศพจะต้องได้รับ
การคุ้มครองจากศิษย์ของพรรคเท่านั้น จะให้คนอื่น
มาดูหมิ่นไม่ได้เด็ดขาด”
“ข้าไม่ได้จะดูหมิ่นศพของพวกเขาเสียหน่อย” ฉีหนิง
ขมวดคิ้ว “สถานการณ์เป็นตายเท่ากัน มันไม่เพียง
เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนในเมืองหลวง
เท่านั้น มันหมายถึงชีวิตของศิษย์พรรคกระยาจก
โดยตรงด้วย หรือว่าแค่ขอศพแค่นี้พวกเขาก็ไม่ยอม
ให้?”
จ้าวอู๋ซังพูดว่า “โหวเยวี่ย พรรคกระยาจกเป็นพรรค
ในยุทธภพ จวนโหวของพวกเราไม่แทรกแซงเรื่องใน
ยุทธภพ หรือเรื่องของพวกเราให้จวนเสินโหวไป
จัดการให้ดีหรือไม่ จวนเสินโหวมีหน้าที่รับผิดชอบ
เรื่องยุทธภพโดยตรง พรรคกระยาจกถือเป็นพรรค
อันดับหนึ่งในใต้หล้า จวนเสินโหวน่าจะมีการติดต่อ
กับพวกเขามาก ถ้าพวกเราให้ทางจวนเสินโหวออก
หน้าแทน เรื่องนี้ก็น่าจะง่ายขึ้น”
“เจ้าหมายความว่า จวนจิ่นอีโหวแค่จะขอศพมาสัก
ร่างหนึ่ง ยังต้องอาศัยจวนเสินโหวอย่างนั้นหรือ?” ฉี
หนิงพูดด้วยความความไม่พอใจ
จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่ไม่รู้ว่าหากให้จวนเสินโหวออก
หน้า เรื่องนี้ก็จะง่ายขึ้นเยอะมาก แต่ว่าเขาคิดว่า หาก
ให้ทางจนเสินโหวออกหน้าไปขอศพให้ ทางจวนเซิ๋น
โหวก็จะต้องถามว่าจะเอาศพไปทำอะไร ฉีหนิงรู้ว่า
หากจะต้องรับมือกับทางจวนเสินโหว มันไม่ใช่แค่พูด
กันสองสามคำแล้วเรื่องจะจบ แล้วก็จะสร้างเรื่องมา
หลอกได้
ถึงแม้เขากับซีเหมินอู๋เหิงจะคุยกันถูกคอก็จริง แต่ฉี
หนิงรู้สึกว่าการที่เขาสามารถขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งเสิน
โหวนั้นได้ อีกทั้งมาดูแลจัดการเรื่องของยุทธภพนั้น
สิ่งที่เขาเห็นน่าจะไม่ใช่ทั้งหมดของซีเหมินเสินโหว คน
ผู้นี้น่าจะเป็นคนที่ตัวเขานั้นมองไม่ออกคนหนึ่งเลย
ในเวลาว่าง ดื่มเหล้า คุยเรื่องศิลปะ ซีเหมินอู๋เหิง
อาจจะเข้ากับเขาได้เป็นอย่างดี แต่ว่าหากเป็นเรื่อง
การเรื่องงานแล้ว เขารู้ว่าเรื่องอาจจะไม่ง่ายอย่างนั้น
ไม่อย่างนั้นซีเหมินอู๋เหิงก็คงไม่ได้เป็นถึงเสินโหวหรอก
คนในยุทธภพเองก็คงไม่เกรงกลัวจวนเสินโหวถึงเพียง
นี้
หากจวนเสินโหวต้องการตรวจสอบเป้าหมายในการ
ขอศพ ก็จะต้องตรวจสอบจากตัวของถังนั่ว
ถึงแม้ฉีหนิงจะไม่ได้รู้เรื่องของถังนั่วมากมายนัก แต่ว่า
เขาเชื่อว่าถังนั่วไม่มีทางคิดร้ายกับตัวเขาแน่นอน เขา
ก็เชื่อว่าถังนั่วเองก็ไม่อยากให้ทางจวนเสินโหวมา
ตรวจสอบนาง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ไม่มีใคร
อยากจะถูกสืบเรื่องของตัวเองแน่นอน
จ้าวอู๋ซังเห็นฉีหนิงเริ่มโมโห ก็อึ้งไป แล้วพูดว่า “หาก
โหวเยวี่ยไม่อยากให้เรื่องนี้ผ่านทางจวนเซิ๋นโหว
ข้าน้อยลองไปที่พรรคกระยาจกดูก็ได้”
ปกติจ้าวอู๋ซังเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไรที่ไม่ใช่
สาระ แต่ว่าเวลาทำงานกลับทำงานได้นิ่งสุขุมเป็น
อย่างมาก
ตามหลักแล้ว ส่งเขาไปพรรคกระยาจกนั้นเหมาะสม
ที่สุด แต่ว่าเขากังวลการเจรจาของจ้าวอู๋ซังมาก ซึ่งไม่
น่าจะสามารถรับมือกับคนของพรรคกระยาจกได้
แต่ว่าฉีเฟิง คำพูดคำจาคมคายมากกว่า เรื่องเจรจา
ไว้ใจได้มากกว่าจ้าวอู๋ซัง
“ไปพรรคกระยาจกอย่างไร พวกเจ้ารู้หรือไม่?” ฉี
หนิงถาม
ฉีเฟิงพยักหน้า “สาขากุ่ยจินหยางของพรรค
กระยาจกอยู่ในเมืองหลวง พวกเราไปที่ตรอกหลัวกู่
ทางทิศตะวันตกของเมืองก็น่าจะพบพวกเขาได้”
“ดี ฉีเฟิง เจ้าพาอีกสองคนตามเจ้าไปด้วย อธิบายให้
พวกเขาเข้าใจ” ฉีหนิงพูดว่า “บอกพวกเขาว่า เกิด
โรคระบาด พวกเราต้องการศพจากพรรคกระยาจก ก็
เพื่อพรรคกระยาจกของพวกเขาเอง”
ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยวางใจได้ ข้าน้อยรู้ว่า
ควรทำอย่างไร”
“อย่าปะทะหรือลงมืออะไรกับพวกเขาเด็ดขาด” ฉี
หนิงรู้ว่าหากไม่ใช่ว่าต้องการแก้ไขสถานการณ์
ในตอนนี้ จวนจิ่นอีโหวคงไม่ต้องเผชิญหน้ากับทาง
พรรคกระยาจกให้เกิดการหมางใจกัน
ฉีเฟิงพยักหน้า ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยจะไป
จัดการเดี๋ยวนี้”
เมื่อฉีเฟิงออกไปแล้ว ฉีหนิงก็หันไปถามจ้าวอู๋ซังว่า
“เสวียหลิงเฟิงผู้บัญชาการค่ายหู่เสิน เจ้าน่าจะรู้จัก?”
จ้าวอู๋ซังพยักหน้า “รู้จัก โหวเยวี่ยจะไปหาเขาหรือ?”
“เจ้าไปตามเขามาที่จวนโหวหน่อย บอกว่ามีเรื่อง
อยากให้เขาไปทำ” ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องนี้รอช้าไม่ได้
เจ้าไปเชิญเขามาตอนนี้เลย”
“โหวเยวี่ย เสวียหลิงเฟิงผู้บัญชาการค่ายหู่เสิน
รับผิดชอบความปลอดภัยของเมืองหลวง” จ้าวอู๋ซัง
ถามอย่างระวัง “ข้าน้อยขอบังอาจถามสักนิด โหว
เยวี่ยเชิญเขามา คงไม่ได้จะให้เขาโยกย้ายทหารใช่
หรือไม่?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เดิมจะต้องเข้าวังหลวงไป
รายงานฝ่าบาทก่อน แต่ว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว ประตู
วังปิดแล้ว ข้าเองก็เข้าไปไม่ได้ แต่ว่าเรื่องเร่งด่วนมาก
จะเสียเวลาไม่ได้อีก ดังนั้น...”
“โหวเยวี่ย หากจะโยกย้ายทหาร จะไปเชิญเสวียหลิง
เฟิงไม่ได้เด็ดขาด” จ้าวอู๋ซังจริงจังมาก “มันจะ
กลายเป็นเรื่องใหญ่”
“เป็นเรื่องใหญ่?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “เสวียหลิงเฟิงไม่ได้
เป็นผู้บัญชาการของค่ายหู่เสินหรือ? เขาไม่ได้
รับผิดชอบค่ายหู่เสินหรืออย่างไร?”
“ตามหลักแล้ว ทหารของค่ายหู่เสินจะต้องฟังคำสั่ง
ของเสวียหลิงเฟิง”
“เสวียหลิงเฟิงมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับจวนจิ่นอีโหว
ของพวกเราไม่ใช่หรือ?” ฉีหนิงถาม “เสวียหลิงเฟิง
รับผิดชอบค่ายหู่เสิน ความปลอดภัยภายในเมือง
หลวงทั้งหมดอยู่ในมือของเขา เมื่อถึงพรุ่งนี้ หากโรค
ระบาดกำเริบขึ้นมา ถึงเวลานั้นจะมีคนที่ติดเชื้อ
มากมายเสียสติ แล้วจะทำร้ายทุกคนที่พวกเขาพบ
เห็น หรือว่าพวกเราไม่ควรเตรียมรับมือตั้งแต่คืนนี้
แล้วปล่อยให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นหรือ?”
จ้าวอู๋ซังส่ายหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ต่อให้เสวีย
หลิงเฟิงมีใจอยากจะช่วยพวกเรา เขาเองก็ไม่กล้าทำ
หรอก” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เสวียหลิงเฟิง
สามารถโยกย้ายทหารของค่ายหู่เสินจริง แต่ว่าต้องใช้
ตราทหาร ไม่อย่างนั้นหากเขาโยกย้ายทหารเกินห้า
พันคน เท่ากับว่าเขาก่อกบฏนะ”
“อะไรนะ?” ฉีหนิงตะลึงไป แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า เขา
ร้อนใจเกินไป ลืมกฎหมายของแคว้นฉู่ไปเลย
จ้าวอู๋ซังสีหน้าเคร่งเครียด “โหวเยวี่ย ข้าน้อยขอ
บังอาจพูดตามตรง ต่อให้ท่านแม่ทัพยังอยู่ ก็ไม่มีสิทธิ
ในการโยกย้ายทหารในเมืองหลวง ท่านแม่ทัพมีสิทธิ
ในการโยกย้ายกองทัพฉินไหวนับแสน แต่ไม่อาจ
โยกย้ายทหารหลวงของค่ายอวี่หลินกับค่ายหู่เสิน
แล้วก็ค่ายดาบดำได้”
“เจ้าหมายความว่า จะต้องเข้าวังไปหาฝ่าบาท แล้ว
ขออนุญาตโยกย้ายหรือ?”
จ้าวอู๋ซังพูดว่า “หากมีราชโองการ ก็สามารถโยกย้าย
ทหารได้ไม่ว่ากองไหนก็ตาม แต่ว่าโหวเยวี่ยก็พูดเอง
ตอนนี้ดึกแล้ว ประตูเมืองปิดแล้ว โหวเยวี่ยท่านก็เข้า
วังไปไม่ได้อยู่ดี”
“บัดซบ แล้วจะให้รออยู่อย่างนี้หรืออย่างไร ปล่อย
เวลาให้ผ่านไปแบบนี้น่ะหรือ?” ฉีหนิงอดไม่ได้จะสบถ
คำหยาบออกมา เขาร้อนใจมาก
ถังนั่วพูดอย่างชัดเจนแล้วว่า เวลาที่อาการของพิษจะ
กำเริบ ก็คือภายในสองวันนี้ ตอนนี้ยามจื่อเข้าไปแล้ว
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า อาการของโรคจะเริ่ม
กำเริบหลังจากที่ฟ้าสว่าง
หากเป็นอย่างนั้นจริง นั่นก็หมายความว่ายังมีเวลาอีก
ครึ่งคืนในการเตรียมรับมือ แต่ตอนนี้กลับจะต้อง
ปล่อยเวลาให้เสียไป เขารู้ว่ามันไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่อง
ของเวลาเท่านั้น หากพรุ่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ภายในเวลาไม่กี่ชั่วยามนี้ มันคือจุดเปลี่ยนแปลงที่
สำคัญมาก
จ้าวอู๋ซังรู้ว่าฉีหนิงร้อนใจมาก เขาคิดแล้วพูดว่า “โหว
เยวี่ย ถ้าไม่รอจนเช้าแล้วไปเข้าเฝ้า ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่
พอจะเตรียมพร้อมก่อนการโยกย้ายทหารได้”
“วิธีอะไร?” ฉีหนิงตาเป็นประกาย “รีบพูดมา”
จ้าวอู๋ซังพูดว่า “จงอี้โหว”
จ้าวอู๋ซังพูดว่า “โหวเยวี่ย อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ฝ่า
บาทขึ้นครองราชย์ ขั้นตอนระหว่างนั้นทั้งหมดจงอี้
โหวเป็นผู้จัดการ เขาเป็นขุนนางสามรัชกาล มีอำนาจ
บารมีในราชสำนักมาก หากไม่มีอะไรผิดพลาด ก่อนที่
อดีตฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์ จงอี้โหวน่าจะเป็นขุนนาง
ที่ได้รับการไหว้วาน” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“โหวเยวี่ยตอนนี้ไปหาเขา อาจจะมีทางออกก็ได้”
ฉีหนิงคิดไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ไม่ได้ลังเล แล้วพูดว่า
“พวกเราไปเดี๋ยวนี้เลย ไปพบจงอี้โหวกัน”
“ข้าน้อยจะไปเตรียมคนกับรถม้าให้พร้อม”
“เวลามีไม่มาก” ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องเร่งด่วนมาก ขี่ม้า
ไปดีกว่า”
จ้าวอู๋ซังก็ไม่ได้ลังเล เขาไปเรียกองครักษ์มาอีกสามสี่
นาย แล้วคุ้มกันฉีหนิงขี่ม้าไปยังจวนของจงอี้โหว
ฉีหนิงควบม้าไม่หยุด เสียกีบเท้าของม้าดังสนั่นไปทั่ว
ท้องถนน เมื่อมาถึงจวนจงอี้โหว เห็นบรรยากาศเงียบ
สงัด ประตูใหญ่ปิดสนิท ประตูซ้ายขวามีทหาร
องครักษ์พกดาบยืนอยู่ข้างละสองนาย
กำแพงประตูใหญ่ของจงอี้โหวมีตะขอเหล็กที่แขวน
ตะเกียงเอาไว้ ลมพายุพัดโชยไป ตะเกียงที่แขวนไว้ก็
สั่นไหวตาม
ฉีหนิงลงจากหลังม้า ทหารองครักษ์กำดาบไว้แน่น มี
คนตะคอกว่า “ที่นี่จวนจงอี้โหว คนไม่เกี่ยวข้องถอย
ออกไปซะ”
“ถอยบ้าอะไรกัน” ฉีหนิงก็ไม่ได้พูดดีด้วย เขาไม่ได้
สนใจ เดินตรงไปที่ประตูจวน แต่เดินไปได้แค่สามก้าว
ก็พลันเห็นแสงจากดาบสะท้อนเข้าตา ทหารองครักษ์
สองคนชักดาบออกมา แล้วขวางฉีหนิงเอาไว้ มีคน
ตะโกนออกมาว่า “บุกรุกจวนโหว ฆ่าไม่มีเว้น หาก
เจ้ายังเดินมาอีกแค่ก้าวเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าทันที”
ฉีหนิงร้อนใจมาก เมื่อเห็นดาบอยู่ตรงหน้า แถมคนที่
พูดก็ไม่ได้พูดดีด้วย ในใจก็โกรธมาก คิดว่าข้าเป็นจิ่นอี
โหวที่ไม่ได้เรื่องเลย คนพวกนี้กล้ามาบังอาจกับข้า
ขนาดนี้เลยหรือ ไม่เห็นว่าข้าคือจิ่นอีโหวเลยใช่
หรือไม่? เขาตะคอกว่า “หลีกไป”
“หยุดก่อน” จ้าวอู๋ซังพาองครักษ์มา เห็นองครักษ์
จวนจงอี้โหวชักดาบใส่ ก็ขมวดคิ้ว “ท่านนี้คือโหวเยวี่
ยของพวกเรา ท่านต้องการพบจงอี้โหว ยังไม่รีบไป
รายงานอีก”
ทหารองครักษ์สองนายมองหน้ากัน มีคนหนึ่งพูด
ขึ้นมาว่า “ดึกมากแล้ว ท่านโหวเยวี่ยได้พักผ่อนไป
แล้ว ไม่รับแขกอีก พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่เถอะ”
จ้าวอู๋ซังยกมือคำนับแล้วพูดว่า “พี่ชายทั้งสอง โหว
เยวี่ยของพวกเรามีเรื่องด่วนมาก ต้องการหารือกับจง
อี้โหวเป็นการด่วน จะรอช้าไม่ได้ อย่างไรก็ขอรบกวน
พวกท่านไปรายงานให้ทีเถอะ”
“ข้าก็บอกแล้ว ตอนนี้ท่านเหล่าโหวไม่รับแขกแล้ว”
อีกฝ่ายยังคงไม่ไว้หน้า “พวกเรามีหน้าที่ อย่าทำให้
พวกเราต้องลำบากใจเลย”
ทหารองครักษ์ทั้งสี่คนของจวนจงอี้โหวเย็นชามาก
พวกเขามีสิทธิที่จะเย็นชาแบบนี้
สี่บรรดาศักดิ์โหวของแคว้นฉู่เป็นทีร่ ู้กันไปทั่ว แต่ว่า
ไม่ได้มีแค่สี่บรรดาศักดิ์โหวนี้เท่านั้น
ตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นฉู่มา บรรดาขุนนางขุนพลที่มีคุณ
ความชอบก็มีไม่น้อย นอกจากสี่บรรดาศักดิ์โหวแล้ว
ยังมีโหวเยวี่ยอีกประมาณยี่สิบสามสิบคน เพียงแต่ว่า
พวกเขาตำแหน่งต่ำว่าสี่บรรดาศักดิ์โหวเท่านั้น
ช่วงนี้ จงอี้โหวมีอำนาจบารมีเกินกว่าใครจะเทียบได้
ใครก็รู้ อดีตฮ่องเต้สวรรคต จงอี้โหวมีความชอบใน
การอารักขา ทำให้รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์ ตอนนี้
จงอี้โหวกลายเป็นขุนนางที่มีคุณความดีมากที่สุดใน
ราชสำนักแคว้นฉู่
เขาเป็นขุนนางที่ได้รับการไหว้วาน อีกทั้งยังเป็นขุน
นางที่มีคุณความดีมากที่สุดของฮ่องเต้องค์ใหม่ หลัง
ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว คนในราชสำนัก
ต่างนับถือยำเกรงจงอี้โหวมาก งานของเขามีมากมาย
อำนาจบารมีก็มีเกินกว่าใครจะเทียบได้
ถึงแม้จะเป็นแค่องครักษ์หน้าประตูของจวนโหว แต่
ว่าช่วงนี้ แม้แต่องครักษ์ของพวกเขาก็รู้สึกว่าจงอี้โหว
ทำให้พวกเขามีเกียรติ ขุนนางที่มาพบก็มีไม่ขาด ราว
กับประตูจวนเป็นทางเข้าตลาด ไม่ว่าขุนนางคนไหน
ที่มาจะเล็กจะใหญ่ ก็จะยิ้มให้กับองครักษ์หน้าประตู
ไม่ต้องรอให้พวกเขาพูดอะไร เหล่าขุนนางก็จะยัดของ
ยัดอะไรให้กับพวกเขาตลอด
คืนนี้ไม่รู้ว่าใครจู่ๆ ก็โผล่มาบอกว่าตัวเองเป็นโหว
เยวี่ย ดึกๆ ดื่นๆ มาถึงที่นี่ ก็น่าจะมาเพื่อประจบจงอี้
โหว องครักษ์พวกนี้ก็เลยไม่ค่อยได้แยแสเท่าไหร่ แต่
ว่าคนๆ นี้กลับไม่มีท่าทีเกรงใจ ดูบ้ามากด้วย ทำให้
หน้าตาของเขาในหลายวันที่ผ่านมามันดูไร้ค่ามาก
“ข้าไม่ชอบให้มีดาบมาขวางหน้าข้า” ฉีหนิงสูดหายใจ
เข้า แล้วพูดว่า “ตอนนี้พวกเจ้าถอยออกไปยังทัน”
องครักษ์แสยะปากยิ้มแล้วพูดว่า “หากเจ้ายังกล้าบุก
เข้ามาอีก ดาบนี่ก็จะไม่ได้แค่ขวางเจ้าเท่านั้น”
“ได้ ที่แท้ทาสที่ดีของจวนจงอี้โหวก็เป็นแบบนี้นี่เอง”
สีหน้าของฉีหนิงนิ่งไป เขาย่อตัวลง องครักษ์ทั้งสอง
ยังไม่ทันได้ตั้งตัว มีคนหนึ่งก็รู้สึกว่าเจ็บที่บริเวณหน้า
ท้อง ราวกับว่าอวัยวะภายในจะแตกออกมา
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 222 สงสัย
ฉีหนิงลงมืออย่างเด็ดขาด หมัดเดียวซัดเข้าที่หน้าท้อง
ขององครักษ์อย่างแรง องครักษ์ข้างๆ เห็นดังนั้น ก็
ตกใจ แต่ปฏิกิริยาของเขาก็เร็ว จับดาบยกขึ้นฟัน
จ้าวอู๋ซังเดิมอยู่ห่างจากฉีหนิงแค่สองก้าว เมื่อเห็น
องครักษ์ยกมือขึ้นมา ก็รู้ว่าองครักษ์คนนั้นจะฟันดาบ
ลงมา เขาลงมือเร็วราวยิงธนู จ้าวอู๋ซังชักกระบี่ขึ้นมา
บังเอาไว้
องครักษ์จวนจงอี้โหวอีกสองคนเห็นดังนั้น ก็ชักดาบ
ขึ้นมา องครักษ์จิ่นอีโหวด้านหลังจ้างอู๋ซังก็ชักดาบ
ขึ้นมาเหมือนกัน
“ใครกล้าบังอาจ?” ฉีหนิงชกหมัดใส่องรักษ์คนนั้นจน
นั่งกองลงไปกับพื้น เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “เสีย
มารยาทล่วงเกิน ต่อให้พวกเจ้าเป็นคนของจงอี้โหว
ข้าก็จะไม่ละเว้น”
พลังอำนาจที่ปล่อยออกมา ทำให้องครักษ์เหล่านั้น
ตะลึงลาน
ในตอนนี้เอง ประตูจวนก็เปิดออก ศีรษะของคนผู้
หนึ่งยื่นออกมา แล้วถามว่า “เสียงเอะอะโวยวาย
อะไรกัน?”
จ้าวอู๋ซังตะโกนเสียงดังออกไปว่า “จิ่นอีโหวมีเรื่อง
อยากขอพบท่านจงอีเหล่าโหวเยวี่ย มีเรื่องสำคัญ
ต้องการจะปรึกษาด้วย”
องครักษ์เหล่านั้นได้ยินดังนั้น ก็อึ้งไป จากนั้นสีหน้า
ของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
เดิมทีพวกเขาคิดว่าฉีหนิงเป็นแค่โหวธรรมดาทั่วไป
มาที่นี่ดึกๆ ดื่นๆ ก็เพื่อมาประจบจงอี้โหว คิดไม่ถึง
เลยว่าคนที่มาจะเป็นจิ่นอีโหว
หลังจากที่อึ้งอยู่พักหนึ่ง องครักษ์ทั้งสี่รู้ว่าสถานการณ์
ไม่ดีแน่แล้ว ทันใดนั้นเองพวกเขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง
แล้วพูดพร้อมกันว่า “คารวะจิ่นอีโหว”
ท่านจิ่นอีโหวทั้งสองรุ่น ต่างเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้น
ฉู่ มีฐานด้านการทหารที่มั่นคงลึกซึ้งมาก อีกทั้งยังเป็น
ที่ยำเกรงของทหารแคว้นฉู่ทั้งหมด องครักษ์หลายคน
เองก็มาจากกองทัพทั้งนั้น ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในใต้
บังคับบัญชาของจิ่นอีโหว แต่ว่าลึกๆ แล้วต่างก็ยำ
เกรงและนับถือจิ่นอีโหวมาก
แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ชายคนที่อยู่ตรงหน้าของ
พวกเขาคนนี้ จะเป็นจิ่นอีโหว
ประตูใหญ่เปิดออก ชายวัยกลางคนก็เดินออกมา ยก
มือคำนับแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยเชิญเข้าด้านในก่อน
ข้าน้อยจะรีบไปรายงานท่านเหล่าโหวเดี๋ยวนี้เลย”
เขามาเชิญฉีหนิงเข้าไปด้านใน
ฉีหนิงไม่ได้มีเวลาให้มาคิดเล็กคิดน้อยกับองครักษ์
พวกนี้ เขาเดินเข้าไปในจวน แล้วถูกพาไปยังห้องโถง
ใหญ่ กลางดึกแบบนี้บรรยากาศเงียบสงบ ภายในจวน
ไม่มีเสียงอะไรเลย
จากนั้นก็มีคนเอาน้ำชามาให้ ฉีหนิงรออยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา เขาหันหน้าไป
มอง เห็นชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีดำ เรือนร่างผอม
เล็ก แต่ว่าศีรษะใหญ่ อายุราวหกสิบปี แลดูแข็งแรง
จมูกโด่งเรียว ไม่ว่าจะเป็นผมหรือหนวดเครา ล้วนแต่
เป็นสีดำขลับ
ฉีหนิงรีบลุกขึ้นมา ชายคนนั้นมองไปที่ฉีหนิง จากนั้น
ก็ยิ้มแย้มออกมา แล้วยกมือขึ้น “นั่งลงคุยกันก่อน”
จากนั้นเขาก็เดินไปนั่ง
ฉีหนิงรู้ว่าเขาก็น่าจะเป็นจงอี้โหวซือหม่าหลันแน่นอน
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ครั้งแรกที่ได้เจอหน้าซือหม่าหลัน
จะเป็นสถานการณ์แบบนี้
“ผู้น้อยคำนับจงอี้เหล่าโหว” ฉีหนิงสืบทอดตำแหน่ง
ของจิ่นอีโหว ถึงแม้จะมีตำแหน่งเทียบเท่ากับจงอี้โหว
เป็นหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหว แต่ว่าเขารู้ว่าไม่ว่าจะ
ด้านความรู้ความสามารถหรือว่าอำนาจ ในตอนนี้เขา
สู้ท่านผู้เฒ่าคนนี้ไม่ได้เลย
ซือหม่าหลันเป็นขุนนางสามรัชกาล เป็นจงอี้โหวรุ่น
แรก ในบรรดาสี่บรรดาศักดิ์โหว นอกจากเขากับจิน
เตาเหล่าโหวที่ยังอยู่แล้ว อู่เซียงโหวเองก็เป็นรุ่นที่สอง
แล้ว ส่วนฉีหนิงนั้นเป็นรุ่นที่สาม
บรรดาศักดิ์ยังคงเดิม แต่คนไม่ใช่แล้ว
ฉีหนิงรู้ว่า ต่อให้ฉีจิ่งยังอยู่ ก็ยังต้องนอบน้อมซื
อหม่าหลันเหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจิ่นอีโหวรุ่นที่
สาม
ซือหม่าหลันเป็นขุนนางที่ได้รับการฝากฝั่งไหว้วาน
ฮ่องเต้ใหม่ขึ้นครองราชย์เขาเองก็เป็นขุนนางที่มีคุณ
ความชอบ หากไม่ใช่เพราะเขาวางแผน ฉีหนิงคิดว่า
ฮ่องเต้น้อยอาจจะไม่ได้ครองราชย์ราบรื่นขนาดนี้
ขุนนางเก่าแก่ที่มีอำนาจบารมีขนาดนี้ ฉีหนิงยังคง
ต้องแสดงออกอย่างเคารพยำเกรง
ซือหม่าหลันดูสบายๆ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องมาก
พิธี เจ้ามาหาข้ากลางดึก คิดว่าต้องมีเหตุผล คิดว่า
น่าจะมีเรื่องด่วน พูดมาเถอะไม่ต้องเกรงใจ”
เขาพูดจาชัดเจนเด็ดขาด ไม่พูดอะไรให้เสียเวลา ใน
น้ำเสียงของเขา เขาเห็นฉีหนิงเป็นผู้น้อย
ตลอดทางที่มาที่นี่ ฉีหนิงได้คิดคำพูดเอาไว้หมดแล้ว
เขาอธิบายจุดสำคัญของเรื่องให้เขาฟัง ส่วนเรื่องที่
ถังนั่วต้องใช้ศพในการหายาถอนพิษ ฉีหนิงไม่ได้พูด
ออกไป
หลังจากที่ซือหม่าหลันฟังจบแล้ว เขาไม่ได้ตกใจ
เหมือนที่ฉีหนิงคิดเอาไว้ เขาแค่ขมวดคิ้ว แล้วถามว่า
“เจ้าหมายความว่า มีคนวางยาพิษศิษย์พรรค
กระยาจกในเมืองหลวง หลอกใช้ศิษย์พรรคกระยาจก
เป็นเครื่องมือ แพร่พิษออกไปทั่วเมืองหลวงอย่าง
นั้น?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้องแล้ว”
ซือหม่าหลันลูบเครา แล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจว่ามันคือ
พิษ อีกทั้งแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วด้วย? มันเป็น
แค่เรื่องบังเอิญหรือไม่ อาจจะเป็นแค่คนกลุ่มหนึ่งที่
ติดโรคหรือไม่?”
ฉีหนิงสีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “ท่านเหล่าโหว ข้า
แน่ใจ หากไม่มีอะไรผิดพลาด คนที่ถูกพิษน่าจะอยู่
ในช่วงพิษแทรกซึมและน่าจะมีมากกว่าร้อยคนแล้ว
ตอนนี้อาการยังไม่กำเริบ จากการคำนวณเวลา หลัง
ฟ้าสาง หรือไม่ก็คือวันนี้ จะมีคนที่ติดเชื้อนี้กลุ่มหนึ่งที่
มีอาการกำเริบขึ้นมา”
“เจ้าบอกว่าคนที่ถูกพิษไปแล้ว จะเสียสติ แล้วจะทำ
ร้ายทุกคนที่พบเห็นอย่างนั้นหรือ?” ซือหม่าหลันจ้อง
ไปที่ฉีหนิง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “คนที่ถูกทำร้าย ก็มี
โอกาสสูงมากที่จะติดเชื้อนี้?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าข้าอธิบายอย่างละเอียดไปแล้วนะ
เวลามีจำกัด ตาเฒ่าอย่างเจ้ายังจะพูดซ้ำพูดซากอีก
ไม่รีบทำอะไรสักที แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะพูดออกมา เขา
พูดว่า “ท่านเหล่าโหว ข้ารับประกันได้ ว่าที่ข้าพูดไป
นั้นเป็นจริงทุกคำ คืนนี้ที่มาพบท่านเหล่าโหว ก็หวังว่า
ท่านเหล่าโหวจะรีบใช้เวลาที่เหลือ เตรียมการรับมือ
ความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น”
ซือหม่าหลันเหมือนกำลังคิด แล้วพูดว่า “เจ้าอย่าเพิ่ง
ร้อนใจไป เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ รีบร้อนเกินไปก็ใช่ว่า
จะแก้ปัญหาได้” เขาส่งสัญญาณให้ฉีหนิงดื่มชา แล้ว
พูดว่า “ความหมายของเจ้าคือ ต้องการให้ข้าออก
คำสั่งปิดเมือง จากนั้นก็โยกย้ายทหาร คุมพื้นที่เอาไว้
ใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง” ฉีหนิงพูดว่า “นอกจากนั้นยังต้องจัดหา
พื้นที่กักกัน จะต้องเป็นพื้นที่ที่ไม่มีคน หากมีคนกลุ่ม
ใหญ่ออกมาก่อความวุ่นวายจริง ท่ามกลาง
สถานการณ์ที่พวกเขาไม่รู้สึกตัว จะต้องใช้กำลังให้
การควบคุมพวกเขาเอาไว้ ก่อนที่จะหายาถอนพิษ
ออกมาได้ พวกเขาจะต้องถูกกักบริเวณ เพื่อไม่ให้ไป
ทำร้ายใครอีก”
ในตอนนี้เองมีคนยกเตาถ่านทำความอุ่นเข้ามา แล้ว
วางไว้ข้างๆ ซือหม่าหลัน กลางคืนอากาศค่อนข้างเย็น
ในห้องโถงใหญ่นี่อากาศเย็นมาก ซือหม่าหลันยื่นมือ
ไปผิงเตา แล้วถามว่า “ข้าไม่ใช่ไม่เชื่อเจ้านะ แต่ว่า...
จากที่เจ้าว่ามา พิษชนิดนี้มีเวลาในการซึมซับกระจาย
ตัว ไม่ใช่พิษที่เกิดอาการในทันที ถ้าอย่างนั้นช่วง
หลายวันมานี้พิษได้แพร่กระจายออกไปในวงกว้าง
มากแล้ว แล้วเหตุใดจวนเสินโหวถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย
เล่า? ข้าไม่ได้รับรายงานจากทางจวนเสินโหวเลย?”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่าพูดแบบนี้กำลังสงสัย
ว่าข้าได้ข่าวเท็จมาอย่างนั้นสิ?
เขาแอบคิดว่าหากไม่ใช่ว่าประตูวังปิดลงแล้ว ข้าคงไป
หาฮ่องเต้น้อย ไม่มีทางมาหาเจ้าแน่นอน หากข้า
สามารถโยกย้ายทหารได้ ก็ไม่มีทางมานั่งพูดมากอยู่
ตรงนี้หรอก
แต่ว่าเขาก็รู้ดีว่า สถานการณ์ในตอนนี้ ทำได้แค่ให้ตา
เฒ่าคนนี้ช่วยเท่านั้น
คืนนี้ฉีหนิงร้อนใจมาก ไม่ใช่ว่าแค่ห่วงใครคนใดคน
หนึ่งเท่านั้น เขาไม่อยากเห็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ต้องมา
ตายเพราะพิษนี้ ขอแค่ให้มีคนตายน้อยลงเท่านั้น ฉี
หนิงก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง
“ท่านเหล่าโหว พิษชนิดนี้ไม่มีสีไม่มีกลิ่น อีกทั้งยังไม่
เคยมีใครเห็นมาก่อน” ฉีหนิงเริ่มนั่งไม่ติด “ทางจวน
เสินโหวเองก็คงมีเรื่องที่ต้องทำมากมายก่อนที่พิษจะ
กำเริบจนทั่ว คงไม่มีใครคิดว่ามันจะน่ากลัว” สุดท้าย
เขาก็ลุกขึ้น ยกมือแล้วพูดว่า “ท่านเหล่าโหว เวลาไม่
คอยท่า ขอให้ท่านเหล่าโหวรีบเตรียมรับมือเถอะ
ไม่อย่างนั้น...”
ซือหม่าหลันจ้องไปที่ตาของฉีหนิง แล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่า
เจ้าร้อนใจ แต่ว่าเจ้ารู้หรือไม่ จะโยกย้ายทหาร มัน
ไม่ใช่เรื่องที่พูดแค่คำสองคำจะทำได้ อดีตฮ่องเต้
สวรรคต ฮ่องเต้ใหม่ขึ้นครองราชย์ มันเป็นเวลาคับขัน
ของเมืองหลวง ทำให้ใครหลายคนต่างหวาดหวั่นกัน
มากแล้ว เจ้าเองก็รู้ ในเวลานี้ ชาวเมืองก็หวาดระแวง
กันมากพอแล้ว”
“ข้าทราบ”
“หลังจากที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ยกเลิกกฎ
อัยการศึกไป ชาวบ้านถึงได้มีอาการที่ดีขึ้น” ซือหม่าห
ลันค่อยๆ พูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในเวลาแบบนี้อะไร
เป็นสิ่งสำคัญที่สุด? แน่นอนมันคือความสงบ ทำให้
ชาวบ้านรู้สึกสงบ แคว้นฉู่ของพวกเราถึงจะมั่นคง
เมืองหลวงก็เสมือนหัวใจของแคว้นฉู่ หากเมืองหลวง
เจี้ยนเยี่ยสั่นคลอน ไม่เพียงกระทบต่อสถานการณ์
โดยรวมของทั่วทั้งแคว้นแล้ว มันยังกระทบต่อทั้งใต้
หล้าด้วย เจ้าเข้าใจเหตุผลนี้หรือไม่?”
ฉีหนิงฟังน้ำเสียงของเขา มันคือผู้อาวุโสพูดกับผู้น้อย
หากเป็นในเวลาทั่วไป เขาก็คงไม่คิดอะไรมาก แต่ว่า
ในเวลาเร่งด่วนแบบนี้ ตาเฒ่านี่ยังมาพูดอะไรที่ไม่มี
ประโยชน์แบบนี้อีก ในใจของเขารู้สึกโกรธ เขาอด
ไม่ได้พูดออกไปว่า “ความหมายของท่านเหล่าโหวคือ
เพื่อความสงบของเมืองหลวง จะโยกย้ายทหารไม่ได้
รอให้เรื่องเกิดขึ้นแล้วค่อยจัดการอย่างนั้นใช่หรือไม่?”
ซือหม่าหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนเขาจะฟังออก
ว่าฉีหนิงไม่ค่อยพอใจ เขาพูดว่า “คนหนุ่มเลือดร้อน
ก็พอเข้าใจได้ แต่เรื่องนี้ต้องคิดก่อนทำให้รอบคอบ
เจ้าเองก็พูดอยู่ พิษชนิดนี้ไม่เคยพบมาก่อน แล้วเหตุ
ใดจู่ๆ ถึงได้ปรากฏขึ้นมาเล่า? อีกทั้งจวนเสินโหวเองก็
ไม่รู้เรื่องเลย ตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นมา ข้ายังไม่เคยเห็นมี
โรคระบาดเกิดขึ้นมาก่อน หากจู่ๆ โยกย้ายทหาร
ขึ้นมา สั่งให้ใช้กฎอัยการศึก เมืองหลวงเพิ่งจะเริ่ม
สงบได้ไม่นาน ชาวบ้านจะต้องเริ่มหวาดระแวง
หวาดกลัวขึ้นมาอีกก็ได้ ข้าเกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้น จะ
มีคนฉวยโอกาสได้”
ฉีหนิงอึ้งไป ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจทันที ซือหม่าหลัน
พิจารณาจากสถานการณ์การเมืองมาก่อน เขากังวล
ว่าหากใช้กฎอัยการศึกควบคุมเมืองหลวงเอาไว้ จะมี
ช่องให้ศัตรูฉวยโอกาสโจมตี
เขาแอบขำในใจ แอบคิดในใจว่าเจ้ามันคิดถึงแต่
ตัวเอง กังวลว่าชาวบ้านจะหวาดกลัว แต่ว่าไม่คิดว่า
หากพิษกำเริบ ถึงเวลานั้นเมืองหลวงวุ่นวายแล้วค่อย
โยกทหารมาควบมันจะน่ากลัวกว่านี้อีกสิบเท่า
ฉีหนิงคิดในใจว่า ตาเฒ่านี่ต้องคิดว่าเขาสืบทอด
ตำแหน่งจิ่นอีโหวมา อยากจะสร้างผลงาน ก็เลย
กระตือรือร้นมากสินะ แสดงว่าเขาไม่เชื่อเรื่องพิษ
ระบาดนี้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 223 ไม่โหดเหี้ยมไม่นับเป็นชายชาตรี
ฉีหนิงนิ่งไป แล้วพูดว่า “ท่านเหล่าโหว หากเกิดความ
วุ่นวาย ตามที่ข้าพูดไปจริง ทางราชสำนักไม่มีการ
เตรียมรับมือเอาไว้ก่อน จะมีคนอีกมากมายที่จะต้อง
ติดเชื้อ พิษชนิดนี้หาพบได้ยาก มันน่ากลัวมาก ตอนนี้
ยังไม่มีใครสามารถถอนพิษนี้ได้ ท่านเหล่าโหว ข้าขอ
พูดอะไรที่ท่านอาจจะไม่ชอบใจนัก หากมีคนติดเชื้อ
หนึ่งคน นั่นมันอาจจะหมายถึงหนึ่งชีวิตเลยก็ได้”
มือทั้งสองของซือหม่าหลันผิงอยู่บนเตา เมื่อได้ยินฉี
หนิงพูดมาแบบนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วพูดว่า “ข้า
จะส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ หากเป็นจริงอย่างที่เจ้า
ว่า ข้าจะจัดการเอง แต่ว่าแคว้นฉู่ของพวกเราไม่อาจ
รับพายุลูกใหญ่แบบนี้ได้ โดยเฉพาะเมืองเจี้ยนเยี่ย”
“ได้ ในเมื่อท่านเหล่าโหวพูดมาแบบนี้แล้ว ข้าเองก็ไม่
มีอะไรจะพูดอีก” ฉีหนิงรู้ว่าอะไรที่ควรพูดเขาได้พูด
ไปหมดแล้ว หากซือหม่าหลันเห็นความสำคัญของ
เรื่องนี้จริง ไม่มีทางพูดจาเฉื่อยชาเชื่องช้ากับเขาเช่นนี้
เขายกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “ข้าขอตัวก่อน”
จากนั้นเขาก็เดินจากไปทันที
สายตาของซือหม่าหลันจ้องไปที่ด้านหลังของฉีหนิง
อย่างแหลมคม แต่ก็ไม่ได้คิดจะรั้งเขา
ฉีหนิงเพิ่งจะออกไป ก็มีคนเดินสวนเข้ามา อายุ
ประมาณสี่สิบปี ร่างกายกำยำ คิ้วหนา ดูไปแล้ว
องอาจน่าดู
“ท่านพ่อ ที่เขาพูดมาจริงหรือไม่?” ชายคนนั้นนั่งลง
ตรงเก้าอี้ “พิษระบาด? เหอะเหอะ ข้าไม่เคยได้ยิน
เรื่องนี้มาก่อน”
“แล้วเจ้าคิดว่าจริงหรือไม่?” ซือหม่าหลันนั่งพิงเก้าอี้
สายตาของเขาเหมือนกำลังครุ่นคิด
ชายคนนั้นพูดว่า “พูดให้คนตกใจ” เขาพูดต่อว่า “ข้า
ว่า เจ้าเด็กนั่นเพิ่งจะได้รับบรรดาศักดิ์ อยากจะสร้าง
ผลงาน หลังจากฉีจิ่งตายไป จิ่นอีโหวไม่ได้มีอำนาจ
เหมือนเดิมแล้ว เจ้าเด็กนั่นคงอยากจะทำให้มันคืนมา
ก็เลยไปหาข่าวโคมลอยมาจากไหนไม่รู้มาบอกท่าน
พ่อมากกว่า”
“หือ?” ซือหม่าหลัน ไม่ได้ตกใจมาก
“เขาอยากหลอกให้ท่านพ่อโยกย้ายทหาร อ่อนหัด
จริงๆ” ชายคนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าหลังจาก
ที่เจ้าเด็กนั่นถูกจับตัวไป ตกใจจนเกินไป ทำให้สมอง
ได้รับการกระทบกระเทือนกลับมาปกติ ถือว่า
ตระกูลฉีมีบุญเยอะ เหอะเหอะ แต่ว่ายังไม่ได้ฉลาด
พอ ท่านพ่อจะโยกย้ายทหารง่ายๆ ได้อย่างไรกัน”
ซือหม่าหลันจ้องไปที่ชายคนนั้น แล้วพูดว่า “แต่ว่าข้า
คิดว่า เขาไม่ได้พูดจาเหลวไหล เรื่องนี้มันน่าจะเกิดขึ้น
จริง”
ชายคนนั้นอึ้งไป คิดอยากจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“อะไรที่ไม่เคยได้ยิน ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่
จริง” ซือหม่าหลันพูดว่า “ฟังคนอื่นพูด ไม่ได้ดูที่ปาก
ของเขา แต่ต้องดูที่ตาของเขา เรื่องจริงหรือเท็จ
สายตามันจะมีคำตอบให้เอง”
ชายคนนั้นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านพ่อ ท่าน
หมายความว่าเมืองหลวงจะเกิดพิษระบาดจริงหรือ?
ถ้าอย่างนั้น เหตุใดท่านถึง...?”
“เจ้าอยากจะถามว่าเหตุใดข้าถึงไม่ได้รีบเตรียมรับมือ
ใช่หรือไม่?” ซือหม่าหลันเหลือบมองชายคนนั้น แล้ว
พูดว่า “ฉางเซิ่น พ่อตั้งชื่อนี้ให้เจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่า
เพราะอะไร?”
ชายคนนั้นพูดว่า “ท่านพ่อถามแบบนี้มาหลายครั้ง
แล้ว ลูกรู้ดี ฉางเซิ่น ท่านอยากให้ข้าทำอะไร
ระมัดระวังรอบคอบตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไรก็
ตาม”
“ที่ข้าถามเจ้าหลายครั้ง เพราะข้าอยากให้เจ้าจำให้
ขึ้นใจ” ซือหม่าหลันยิ้มหน้าเจื่อนแล้วพูดว่า “ข้าอายุ
มากแล้ว อายุเจ็ดสิบเข้าไปแล้ว อีกไม่กี่ปี ไม่รู้ว่าจะ
อยู่ได้ถึงเมื่อไหร่ อยู่ที่ชะตาฟ้าแล้ว”
ชายคนนั้นคือจงอี้โหวซือจื่อ เขารีบพูดว่า “ท่านพ่อ
ท่าน...ท่านพูดแบบนี้ทำไมกัน”
“ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ หลังจากที่ข้าตายไป ตระกูลซื
อหม่าของพวกเราเจ้าต้องเป็นคนรับผิดชอบ” ซื
อหม่าหลันพูดว่า “ข้าต้องการผู้สืบสกุลที่องอาจมาก
พอที่จะทำให้ตระกูลซือหม่าเจริญรุ่งเรืองสืบไป”
ซือหม่าฉางเซินอ้าปาก แต่ไม่กล้าพูดอะไร
“ที่ฉีหนิงพูดมาไม่น่าจะใช่เรื่องโกหก” ซือหม่าหลัน
พูด “เขาบอกว่าพิษนี่ใกล้จะถึงเวลากำเริบ ข้าเชื่อว่า
มันน่าจะเป็นเร็วๆ นี้แน่”
“ถ้าอย่างนั้น เหตุใดท่านถึงไม่รีบเตรียมรับมือ?” ซื
อหม่าฉางเซิ่นพูดว่า “หากเป็นอย่างที่ฉีหนิงพูดมาจริง
เกรงว่า...”
“รีบเตรียมรับมือหรือ?” ซือหม่าหลันหัวเราะหน้า
เจื่อนแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าควรจะรีบโยกย้ายทหาร
ในคืนนี้ ปิดซอยเล็กทั้งหมดในเมือง แล้วรอพิษกำเริบ
อย่างนั้นหรือ?”
“ฉีหนิงพูดถูกอยู่ข้อหนึ่ง” ซือหม่าฉางเซิ่นพูดว่า
“ก่อนที่จะหายาถอนพิษได้ ผู้ที่ถูกพิษ ก็เหมือนคนที่
กำลังจะตาย หากไม่เตรียมรับมือ ถึงเวลานั้นผู้ที่ถูก
พิษก็จะเกลื่อนไปทั่วท้องถนน เหมือนสัตว์ป่าที่พุ่งจู่
โจมคนอื่นไปทั่ว ถึงตอนนั้นคนที่จะตายก็มีมากขึ้น
พวกเราควรเตรียมรับมือเอาไว้ เพื่อลดจำนวนผู้ที่จะ
ถูกทำร้าย”
“ข้าถามเจ้าหน่อย ในเมื่อเป็นยาพิษ เบื้องหลังก็
จะต้องมีคนวางยาพิษ หากพิษนี้ร้ายแรงมาก ยาถอน
พิษไม่ใช่จะปรุงขึ้นมาได้ง่ายๆ” ซือหม่าหลันพูดว่า
“เจ้ารู้หรือว่าใครอยู่เบื้องหลังการวางยาในครั้งนี้?”
ซือหม่าฉางเซิ่นตะลึงไป เขาไม่มีทางรู้อยู่แล้ว
“เป้าหมายของอีกฝ่าย ก็คือการแพร่กระจายพิษไป
ทั่วเมืองหลวง หรือว่าเจ้าคิดว่าอีกฝ่ายวางยา แค่
เพื่อให้ชาวบ้านถูกพิษจนตาย?” ซือหม่าหลันนั่งพิง
เก้าอี้ เขาส่ายหน้า “มันไม่ใช่แค่นั้นแน่นอน เขา
จะต้องมีเป้าหมายที่เลวร้ายกว่านั้นแน่นอน...”
“ท่านพ่อ ท่านคิดว่า...อีกฝ่ายมีเป้าหมายอะไร?”
“ตอนนี้ข้ายังมองไม่ออก” ซือหม่าหลันถึงแม้จะหก
สิบกว่าแล้ว แต่ว่าสายตาของเขายังเฉียบคมอยู่ “แต่
ว่าในเวลาแบบนี้ พวกเราจะทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้
ต้องระวังให้มาก” เขาพูดว่า “ใครจะรับประกันได้ว่า
ฉีหนิงมาในคืนนี้ ไม่ได้มาแสดงละครต่อหน้าข้า?”
“เล่นละคร?” ซือหม่าฉางเซิ่นอึ้งไป “ท่านพ่อ ท่าน
หมายความว่า...?”
“ข้าไม่เคยดูถูกจิ่นอีโหวตระกูลฉีเลย” ซือหม่าหลัน
พูดว่า “ต่อให้เป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น แต่เขาก็เป็น
จิ่นอีโหว ข้าจำเป็นต้องระวังตัว” เขาเหลือบไปมองซื
อหม่าฉางเซิ่นแล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูกอยู่ข้อหนึ่ง หลังฉี
จิ่งตายไป จิ่นอีโหวไม่ได้รุ่งเรืององอาจเหมือนเดิมแล้ว
ฉีหนิงสืบทอดตำแหน่งจิ่นอีโหว เขาต้องไม่อยากเห็น
ตระกูลของตัวเองตกต่ำแน่นอน ไม่เพียงแค่ตัวเขา คน
ที่มีความเกี่ยวข้องกับจวนจิ่นอีโหวทั้งหมดก็ไม่อยาก
เห็นจิ่นอีโหวตกต่ำ”
ซือหม่าฉางเซิ่นถึงแม้จะฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ในสายตา
ก็เป็นประกายอยู่
“ฉีหนิงมาให้ข้าโยกย้ายทหาร เหตุใดเขาถึงได้มาใน
เวลานี้เล่า?” ซือหม่าหลันพูดว่า “ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้
หลังประตูวังปิดแล้ว หากเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นมา
ต้องโยกย้ายทหาร เขามาหาข้า มันก็สมเหตุสมผล แต่
ก็เพราะมันสมเหตุผล มันถึงได้ทำให้น่าสงสัย”
ซือหม่าฉางเซิ่นเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา เขาพูดว่า
“ท่านพ่อหมายความว่า เขาตั้งใจมาหาท่านในเวลานี้
หรือ? จริงด้วย ในเมื่อเขารู้ข่าวนี้ เหตุใดเมื่อวานเขา
ถึงไม่ไปทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ? แต่กลับมาหาท่าน
พ่อในเวลาแบบนี้?”
“ข้าเป็นขุนนางที่ได้รับการไหว้วาน เป็นขุนนางช่วย
บริหารราชการแผ่นดิน ในสถานการณ์คับขัน
สามารถโยกย้ายทหารได้จริง แม้กระทั่งสามารถสั่ง
โยกย้ายทหารค่ายดาบดำเข้าเมืองหลวงด้วย” ซื
อหม่าหลันลูบเคราแล้วพูดว่า “แต่ว่าอำนาจนี้ มันก็
เหมือนดาบสองคม หากไม่ระวังให้ดี มันก็จะกลับมา
ทำร้ายตัวเองได้”
ซือหม่าหลันซื่อจื่อติดตามจงอี้โหวตลอดเวลา ถึงแม้
จะไม่ได้มีความคิดลึกซึ้งเหมือนกับจงอี้โหว แต่ก็ไม่ใช่
คนโง่ เขาเข้าใจในทันที แล้วถามเสียงเบาๆ ว่า “ท่าน
พ่อ หรือว่าเบื้องหลังเรื่องนี้จะเป็นตาเฒ่าไหวหนาน
อ๋อง?”
“ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้น แต่ว่าข้าจะไม่ระวังไม่ได้” ซื
อหม่าหลันพูดว่า “เจ้าอย่าลืมนะว่า ตอนที่เคลื่อน
ขบวนศพฉีจิ่ง เซียวจางแสดงละครร้องไห้ฉากใหญ่
เลยนะ”
ซือหม่าฉางเซิ่นพูดว่า “ท่านพ่อ หรือว่าฉีหนิงจะ
ร่วมมือกับตาเฒ่านั่นแล้ว?”
“ข้าพูดไปแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องระวังไว้ก่อน” ซื
อหม่าหลันพูดว่า “กับตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เซียวจาง ยิ่งต้อง
ระวังไว้ให้มาก หากฉีหนิงมาในคืนนี้ เบื้องหลังคือ
เซียวจางจริง ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ” เขา
พูดว่า “ก่อนหน้านี้ที่โยกย้ายทหาร ก็เพื่อให้ฝ่าบาทได้
ขึ้นครองราชย์ แต่ว่าหากก่อนพิษจะกำเริบ ข้า
โยกย้ายทหารอีก เจ้าคิดว่าเซียวจางจะไม่ฉวยโอกาส
หรือ?”
สีหน้าของซือหม่าฉางเซิ่นเคร่งเครียด “ตาเฒ่านั่น
จะต้องรีบร้องเรียนท่านพ่อ หาว่าท่านพ่อโยกย้าย
ทหารโดยพลการ อีกทั้งยังมีคนใส่ร้ายว่าท่านคิด
กบฏ”
ซือหม่าหลันพูดว่า “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว” เขากอดอก “ข้า
ไม่ได้กลัวพวกเขาร้องเรียนข้าหรอกนะ แต่ว่าข้าไม่
อยากวุ่นวาย ราชสำนักต่างรู้ดี ฮ่องเต้ครองราชย์
ตระกูลซือหม่ามีผลงานมากที่สุด ตอนนี้เหมือนเป็น
จุดที่รุ่งเรืองมากที่สุดของตระกูลซือหม่าของพวกเรา
ก็เพราะในเวลาแบบนี้ ตระกูลซือหม่าของพวกเราก็
ต้องระมัดระวังมากขึ้น จะให้ใครมาหาเรื่องพวกเรา
ไม่ได้เด็ดขาด”
“อย่างนี้นี่เอง” ซือหม่าฉางเซิ่นเข้าใจในทันที “ท่าน
พ่อกังวลว่าหากโยกย้ายทหารในเวลาแบบนี้ จะทำให้
คนอื่นเข้าใจว่าตระกูลของพวกเราไม่เห็นใครอยู่ใน
สายตา โยกย้ายทหารโดยพลกาล ไม่มีความ
หวาดกลัวใดๆ ใช่หรือไม่?”
ซือหม่าหลันยิ้ม “ตอนนี้ขนาดข้าจะเดินยังต้องทำให้
เสียงเบาที่สุดเลย แล้วจะให้โยกย้ายทหารได้อย่างไร?
ไม่ว่าฉีหนิงจะแสดงละครต่อหน้าข้าหรือไม่ ข้าจะไม่
ทำให้ตระกูลซือหม่าต้องเดือดร้อน เพราะคำพูดไม่กี่
คำหรอก”
“แต่ว่า...แต่สิ่งที่ฉีหนิงพูดเป็นความจริง แล้วพวกเรา
ไม่ได้เตรียมทหารไว้รับมือ เมื่อพิษกำเริบ คนไม่ตาย
กันมากขึ้นหรือ?” ซือหม่าฉางเซิ่นพูดว่า “ท่านพ่อ
ท่านมีสิทธิเข้าออกวังหลวงได้ตลอดเวลา ท่านเข้าวัง
ไปรายงานให้ฝ่าบาททรงทราบดีหรือไม่ ให้ฝ่าบาท
ออกราชโองการ เตรียมโยกย้ายกำลังพล ก็จะได้ไม่มี
ใครว่าท่านได้”
ซือหม่าหลันขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เพิ่งจะชมเจ้าไป
เหตุใดถึงได้เลอะเลือนอีกแล้ว? ไปเข้าเฝ้าเพื่อขอ
โยกย้ายกำลังพลมันไม่ใช่อำนาจที่ขุนนางทั่วไปทำกัน
ในเมื่อข้าไม่ไปโยกย้ายทหาร ยิ่งไม่มีทางเข้าวังไป
กลางดึกด้วย อำนาจพวกนี้มันเหมือนคมดาบที่พาด
บ่าข้าเอาไว้ หากไม่ใช่เรื่องจำเป็นไม่มีทางเลือก ข้าจะ
ไม่ใช้มันเด็ดขาด” เขาเอนตัวมาผิงไฟ แล้วพูดว่า
“เมื่อพิษกำเริบ คนก็จะตายจำนวนหนึ่ง ในเมือง
หลวงมีคนมากกว่าแสนคน ตายไปสักพันคน มันก็
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่มีอะไรต้องกังวล รอพิษกำเริบ
แล้ว ข้าค่อยทูลขอราชโองการโยกย้ายทหาร ก็น่าจะ
ยังทัน”
ซือหม่าฉางเซิ่นลังเล แล้วพูดว่า “ท่านพ่อพูดถูก พวก
เรารอไปก่อนดีกว่า”
“จำไว้ให้ดี ขี้ขลาดไม่นับเป็นลูกผู้ชาย ไม่โหดเหี้ยมไม่
นับเป็นชายชาตรี” ซือหม่าหลันจ้องไปที่ดวงตาของซื
อหม่าฉางเซิ่น แล้วพูดว่า “อย่าให้เรื่องอะไรมาทำให้
หวั่นไหว คนที่ทำการใหญ่ จะมีจิตใจแบบผู้หญิงไม่ได้
เด็ดขาด”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 224 ทางเลือก
จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ ต้องทำเพื่อชาวประชา
ฉีหนิงไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำเพื่อ
ชาวประชา แต่ว่าจะให้เขาเห็นผู้คนมากมายต้องจบ
ชีวิตลงไป เขาก็ทำไม่ได้
เป็นถึงจิ่นอีโหว เป็นขุนนางที่มีอำนาจสูงส่งคนหนึ่ง
แต่ในเวลาแห่งความเป็นความตาย กลับทำอะไรไม่ได้
เลย มันทำให้เขารู้สึกหดหู่
เขารู้ว่าหากเปลี่ยนเป็นจิ่นอีหล่าโหวหรือว่าฉีจิ่งแล้ว
ล่ะก็ คำตอบของซือหม่าหลันอาจจะไม่ใช่แบบนี้ก็ได้
เขารู้ว่าตัวเขาเพิ่งจะได้สืบทอดตำแหน่งมา ถึงแม้จะ
ยังมีความเป็นจิ่นอีโหวอยู่ แต่ว่าบรรดาศักดิ์นี้ไม่ใช่คน
เดิมแล้ว ในสายตาของใครหลายคน จิ่นอีโหวไม่ได้
รุ่งเรืองเหมือนเก่าแล้ว
ในสายตาของซือหม่าหลัน จิ่นอีโหวอย่างเขาก็เหมือน
เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นหนึ่งในสี่
บรรดาศักดิ์โหว แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วทั้งสอง
ฝ่ายมีอำนาจไม่เท่ากัน
ชายหนุ่มที่ได้ตำแหน่งแต่มีอำนาจไม่มาก จะไปเทียบ
กับขุนนางที่มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักตอนนี้ได้
อย่างไร
เขาไม่ใช่ไม่ได้คิดถึงสภาพที่เขาได้พบกับซือหม่าหลัน
ครั้งแรก แค่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อได้เจอจริงๆ แล้วจะไม่
ค่อยพอใจแบบนี้
แต่ว่าตอนนี้เขาไม่ได้มีเวลามากพอจะไปคิดเรื่องซื
อหม่าหลัน
เมื่อออกจากจวนโหว องครักษ์หน้าประตูทั้งสี่นายครั้ง
นี้ไม่กล้ารอช้า พวกเขาโค้งคำนับ จ้าวอู๋ซังเดินก้าวเข้า
มาหา ไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าเขาเห็นท่าทางของฉีหนิง
เขาก็พอจะรู้คำตอบ
จ้าวอู๋ซังพูดว่า “โหวเยวี่ย ยังเหลืออีกสองชั่วยามก็จะ
เช้าแล้ว ตอนนี้ พวกเราทำได้แค่ไปรอที่หน้าประตูวัง
รอจนประตูวังเปิด แล้วเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
“กว่าประตูวังจะเปิด ก็ตั้งอีกสามชั่วยาม ต่อให้ได้เฝ้า
ฝ่าบาทจริง ฝ่าบาทก็ไม่สามารถสั่งเคลื่อนย้ายทหาร
ในทันทีได้” ฉีหนิงเข้าใจสถานการณ์ของฮ่องเต้น้อย
หลงไท่ดี เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไม่แน่ยังต้องเรียก
จงอี้โหวเข้าวังมาหารืออีก ต่อให้มีราชโองการจากฝ่า
บาทจริง กว่าจะได้เคลื่อนกำลังพลก็ต้องหลังจากนั้น
อีกห้าหกชั่วยาม” เขาหยุดชะงักไป แล้วพูดว่า “หาก
พิษเริ่มกำเริบพรุ่งนี้ วันนี้เสียเวลาไปสักห้าหกชั่วยาม
ก็คงไม่เป็นไร แต่ว่าหากว่าพิษกำเริบในวันนี้ เวลาห้า
หกชั่วยามก็ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญมาก”
จ้าวอู๋ซังสีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดว่า “แต่ว่าจงอี้โหว
ไม่ยอมเคลื่อนย้ายกำลังพล ก็ต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท
ทางเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ ก็ไม่มีความสามารถ
เคลื่อนย้ายทหารได้แล้ว”
“ยังมีอีกทางหนึ่ง” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเสวีย
หลิงเฟิงพักอยู่ที่ไหน?”
“เสวียหลิงเฟิง?” จ้าวอู๋ซังพูดว่า “โหวเยวี่ย ท่านคิด
จะให้เสวียหลิงเฟิงเคลื่อนย้ายทหารหรือ? เป็นไป
ไม่ได้หรอก ไม่มีราชโองการจากฝ่าบาท แม้แต่จงอี้
โหวก็ไม่ได้ออกหน้า เสวียหลิงเฟิงไม่กล้าหรอก”
ฉีหนิงถามว่า “เจ้าเคยบอกว่า เสวียหลิงเฟิงเคยเป็น...
เคยเป็นทหารในบัญชาของท่านพ่อใช่หรือไม่?”
“เสวียหลิงเฟิงเกิดมาต่ำต้อย ถึงแม้จะมีพรสวรรค์ใน
การทำศึก แต่ว่าหากไม่ได้แม่ทัพใหญ่ผลักดัน เขาก็ไม่
มีวันนี้” จ้าวอู๋ซังพูดว่า “แต่ว่าตอนนี้เขาเป็นผู้
บัญชาการของค่ายหูเสิน จะเคลื่อนย้ายทหารง่ายๆ
ไม่ได้”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่มีทางเลือกแล้ว ข้าเข้าเฝ้า
ฝ่าบาทตอนนี้ไม่ได้ จงอี้โหวไม่ยอมเคลื่อนย้ายทหาร
ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ข้าก็ต้องลองดู”
จ้าวอู๋ซังเห็นฉีหนิงตัดสินใจแน่นอนแล้ว ก็ไม่ลังเลอีก
เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย พวกเราไปกัน
ตอนนี้เลย”
เสวียหลิงเฟิงเป็นผู้บัญชาการค่ายหูเสิน ถึงแม้จะไม่ได้
มีบรรดาศักดิ์อะไร แต่ว่าใครๆ ก็รู้ว่าตำแหน่งของเขา
นั้นเป็นตำแหน่งสำคัญ
เขาเป็นคนควบคุมดูแลประตูเมืองเจี้ยนเยี่ย แต่ว่าคน
ที่เฝ้าประตูเมืองคนนี้นั้น เป็นคนที่สำคัญที่สุดใน
แผ่นดิน
บ้านของเสวียหลิงเฟิงไม่ได้ใหญ่มาก เทียบไม่ได้กับ
จวนโหวเลย ก็ดูแล้วเหมือนกับจวนผู้ดีทั่วไป หน้า
ประตูก็ไม่ได้มีสิงโตหินตั้งอยู่เหมือนจวนโหว
ฉีหนิงมาหากลางดึก ทำให้คนในจวนเสวียทั้งหมด
ตกใจ เมื่อเทียบกับการนั่งรอที่จวนจงอี้โหว เสวียหลิง
เฟิงไม่ได้ให้ฉีหนิงรอนานขนาดนั้น ฉีหนิงนั่งก้นยังไม่
ทันร้อน น้ำชาเพิ่งยกมา เสวียหลิงเฟิงก็เดินเข้า
มาแล้ว
เสวียหลิงเฟิงเดินมาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะเพิ่งออกมา
จากผ้าห่มอุ่นๆ ก็ตาม แต่ว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ
เขากลับดูมีสติสมบูรณ์ เมื่อเห็นฉีหนิง เขาก็ยกมือ
คำนับ “ข้าน้อยเสวียหลิงเฟิง คำนับโหวเยวี่ย” เขา
คิดจะคุกเข่าลง ฉีหนิงรีบพยุงเขาเอาไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านอาเสวีย มารบกวนท่านดึกๆ ดื่นๆ ท่านอย่าว่า
ข้าเลยนะ”
เสวียหลิงเฟิงเองก็ไม่เสียแรงที่เป็นทหาร พูดจาอะไร
เด็ดขาดไม่อ้อมค้อม เขาพูดตรงๆ ว่า “โหวเยวี่ยมาหา
ข้าน้อยกลางดึก แสดงว่ามีเรื่องเร่งด่วนต้องการจะสั่ง
โหวเยวี่ยมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้ พูดมาได้เลย ขอแค่
ข้าทำได้ เสวียหลิงเฟิงจะไม่ปฏิเสธโดยเด็ดขาด”
ฉีหนิงเองก็ไม่เสียเวลา ใช้วิธีง่ายที่สุดเล่าเรื่องทั้งหมด
ให้เสวียหลิงเฟิงฟัง
เสวียหลิงเฟิงขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ถ้าอย่างนั้น โหว
เยวี่ยก็เพิ่งมาจากจวนจงอี้โหว?”
ฉีหนิงรู้ดีว่าคนแบบนี้ ไม่ควรปิดบังอะไรเขา ก็เลยพูด
ว่า “ใช่ แต่ว่าจงอี้โหวไม่ยอมเคลื่อนย้ายทหาร ดังนั้น
ข้าเลยมาหาท่านที่นี่”
“ความหมายของโหวเยวี่ยคือ จะให้ข้าน้อยเคลื่อน
กำลังพลของค่ายหูเสิน?” เสวียหลิงเฟิงจ้องไปที่ตา
ของฉีหนิงแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยรู้หรือไม่ หาก
เคลื่อนย้ายกำลังพล โดยไม่มีคำสั่ง มันคือการก่อกบฏ
นะ?”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้ารู้”
“โหวเยวี่ยท่านรู้หรือไม่ หากข้าไปเคลื่อนกำลังพล
ตอนนี้ ไม่เพียงแค่ข้าน้อยจะมีโทษประหาร โหวเยวี่
ยเองก็จะถูกหางเลขไปด้วย” เสวียหลิงเฟิงพูดว่า
“โหวเยวี่ยไปหาจงอี้โหวมาก่อน จงอี้โหวรู้แล้วว่าโหว
เยวี่ยคิดจะทำอะไร หลังจากที่ถูกปฏิเสธไปแล้ว ท่าน
ก็มาหาข้าน้อยที่นี่ เรื่องนี้ปิดไม่อยู่แน่นอน แค่ข้าน้อย
เคลื่อนกำลังพล ใครก็จะรู้ทันทีว่าเกี่ยวข้องกับโหว
เยวี่ย ข้าน้อยอยากจะปิดเรื่องนี้ไว้ก็ไม่ได้”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้ารู้ ตอนที่ข้ามาที่นี่ข้าก็ทบทวนดูแล้ว
หากข้ามาให้ท่านช่วยเคลื่อนย้ายทหาร พวกเราสอง
คนอาจจะมีโทษ จวนจิ่นอีโหวทั้งหมดก็ต้องเดือดร้อน
ไปด้วย”
“ไม่ใช่อาจจะมี แต่มีโทษแน่นอน” เสวียหลิงเฟิงพูด
อย่างเด็ดขาด “ต่อให้ตรวจสอบแล้วโหวเยวี่ยไม่ได้คิด
กบฏ แต่ว่าการเคลื่อนย้ายทหารโดยพลกาลก็มีโทษ
อยู่ดี” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “ข้าน้อยเชื่อว่า เมื่อถึง
เวลานั้นมีคนไม่น้อยที่อยากจะเห็นจิ่นอีโหวพังพินาศ
ลง พวกเขาจะต้องฉวยโอกาสทำให้ท่านไปสู่ความ
ตาย”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว
“ดังนั้นโหวเยวี่ยควรจะคิดทบทวนให้ดีก่อน” เสวีย
หลิงเฟิงพูดว่า “โหวเยวี่ยต้องถามตัวเองให้แน่ใจ ว่า
ทำแบบนี้มันคุ้มเสียหรือไม่? ท่านอยากจะเห็น
สายเลือดของจิ่นอีโหวจบสิ้นแค่นี้หรือ?”
สีหน้าท่าทางของเขาจริงจังมาก
เสวียหลิงเฟิงพูดจาแบบไม่ร้อนรน น้ำเสียงของเขา
ทำให้เดาไม่ออกว่าเขาคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เขาพูดจา
เด็ดขาด ไม่มีอ้อมค้อม แต่ทุกคำของเขามันคือความ
จริง
ฉีหนิงนิ่งไป แล้วพูดว่า “ท่านอาเสวีย จริงๆ แล้ว
ตอนนี้มีคนติดเชื้อจำนวนเท่าไหร่ ข้าไม่แน่ใจ อาจจะ
มีแค่สิบกว่าคนหรืออาจจะมีเป็นร้อยคน หรืออาจจะมี
มากถึงพันคน หลังจากพิษกำเริบไปทั่วแล้ว ข้าก็ไม่รู้
ว่ามันจะเป็นอย่างไร” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า
“อาจจะมีคนสักสิบคนหรือมากกว่านั้นที่วิ่งออกมา
อาละวาดบนท้องถนน อาจจะควบคุมได้ง่าย หรือ
อาจจะมีคนสักร้อยคนหรือมากกว่านั้นที่วิ่งออกมา
อาละวาดบนท้องถนน”
เสวียหลิงเฟิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “เมื่อครู่โหวเยวี่ยก็
พูดเองว่า พิษอาจจะกำเริบภายในวันนี้ หรือไม่ก็
พรุ่งนี้”
“ใช่” ฉีหนิงพูดว่า “ภายในสองวันนี้แน่นอน”
ฉีหนิงเชื่อในตัวของถังนั่ว เขากับถังนั่วไม่ได้สนิทสนม
กันมากเท่าไหร่ สองคนคุยกันไม่เกินหนึ่งร้อยคำ แต่
ว่าฉีหนิงก็ยังคงเชื่อในสิ่งที่ถังนั่วพูดว่ามันคือเรื่องจริง
เขาเชื่อในความสามารถของถังนั่ว
ในเมื่อถังนั่วบอกว่าพิษจะกำเริบภายในสองวันนี้ ฉี
หนิงก็เชื่ออย่างมั่นใจ
เสวียหลิงเฟิงสายตาเคร่งเครียด แล้วพูดว่า “โหว
เยวี่ยเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า หากวันนี้พิษไม่กำเริบ แล้ว
พวกเราเคลื่อนกำลังพลปิดถนนทุกสายในเมืองหลวง
มันจะส่งผลอย่างไรบ้าง?” เขาสีหน้าจริงจัง “ข้าน้อย
บอกท่านตรงนี้เลย ต่อให้พิษกำเริบพรุ่งนี้ วันนี้พวก
เราก็จะมีโทษฐานกบฏอยู่ดี หากมีคนอยากให้พวกเรา
ตาย ไม่แน่พวกเราอาจจะตายทันทีในสถานที่เกิดเหตุ
เลยก็ได้”
ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ
เสวียหลิงเฟิงพูดต่อว่า “โหวเยวี่ยไม่สามารถระบุวัน
เวลาที่พิษจะกำเริบได้ ไม่สามารถระบุจำนวนคนที่ถูก
พิษนี้ได้ ยิ่งไม่สามารถบอกได้ว่าหลังจากโรคกำเริบ
มาแล้วพวกเราสามารถควบคุมมันได้จริงหรือไม่ ใน
สถานการณ์ตอนนี้ โหวเยวี่ยกำลังเดิมพันด้วยอนาคต
ของจิ่นอีโหวทั้งหมด ขออภัยที่ต้องพูดตามตรง โหว
เยวี่ยไม่รู้สึกว่ามันเสี่ยงเกินไปหรือ?”
จ้าวอู๋ซังยืนอยู่ข้างๆ ตลอด เขาพูดขึ้นมาว่า “ท่านผู้
บัญชาการเสวีย ตอนนี้พวกเราแน่ใจอยู่เรื่องหนึ่ง นั่น
ก็คือพิษนี่มีที่มาจากพรรคกระยาจก คนในพรรค
กระยาจกมีคนถูกพิษนี้มากที่สุด ที่แม่น้ำฉินไหวเองก็
พบคนติดเชื้อแล้ว ค้นเรือสำราญลำหนึ่ง พบคนกว่า
ครึ่งลำติดเชื้อแทบทั้งหมด ขอถามสักคำสถานการณ์
แบบนี้รุนแรงหรือไม่?”
เสวียหลิงเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “พรรคกระยาจก
กับแม่น้ำฉินไหว เป็นที่คนไปมามากที่สุดในเมือง
หลวง”
“ถึงแม้โหวเยวี่ยจะไม่สามารถระบุได้ว่ามีคนติดเชื้อ
มากแค่ไหน แต่ข้าขอพูดอะไรสักหน่อย คนติดเชื้อนี่มี
ไม่น้อยแน่นอน” จ้าวอู๋ซังพูดว่า “เมื่อไหร่ก็ตามที่พิษ
กำเริบ หากพวกเราไม่ได้มีการ เตรียมการรับมือ
จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน”
เสวียหลิงเฟิงสีหน้าจริงจัง ไม่ได้พูดอะไร เขามองไปที่
ฉีหนิง
ฉีหนิงนิ่งไป แล้วเงยหน้าขึ้นมามองเสวียหลิงเฟิง แล้ว
พูดว่า “ตอนนี้คนในจวนจิ่นอีโหวยังไม่มีคนติดเชื้อ
หากข้ากลับไปนอนที่จวนโหว ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ก็
ไม่มีใครว่าข้า”
“ใช่” เสวียหลิงเฟิงพยักหน้า
“ต่อให้ในเมืองหลวงเกิดพิษกำเริบ ไม่ว่าจะน้อยหรือ
มาก ขอแค่จวนจิ่นอีโหวปิดประตูสนิท บวกกับ
องครักษ์ของจวน เชื่อว่าไม่มีผู้ติดเชื้อคนไหนสามารถ
บุกเข้าไปได้” ฉีหนิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าให้คน
ไปแจ้งกับทางจวนเสินโหวแล้ว ตัวข้าก็ไปหาจงอี้โหว
มาแล้ว ตามหลัก ข้าทำทุกวิถีทางแล้วเท่าที่ข้าจะทำ
ได้ ราชสำนักสามารถรับมือได้ทันเวลาหรือไม่ จริงๆ
มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับข้า ข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ”
เสวียหลิงเฟิงพยักหน้า
“หากข้ายังดื้อรั้นต่อไป จวนจิ่นอีโหวก็จะต้องเผชิญ
กับความเดือดร้อนอย่างหนัก” ฉีหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “ก็เหมือนที่ท่านพูด มีคนอยากเห็นจิ่นอีโหว
ตาย พวกเขาไม่ปล่อยโอกาสไปแน่นอน”
เสวียหลิงเฟิงพูดว่า “ดังนั้นโหวเยวี่ยก็ควรจะกลับ
จวนโหวตอนนี้ อาบน้ำ กินอะไรสักหน่อย แล้วก็เข้า
นอน หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โหวเยวี่ยกับจวน
จิ่นอีโหวจะต้องปลอดภัย”
ฉีหนิงพูดว่า “จริงๆ แล้วทางเลือกนี้ไม่เลวเลย มัน
แทบจะไม่ต้องคิดเลย อาจจะมีคนไม่น้อยที่ไม่ต้อง
เลือก” เขาเอนตัวมาข้างหน้า แล้วมองไปที่เสวียหลิง
เฟิง แล้วพูดว่า “แต่ว่าหากข้าทำอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่
ข้า บนหัวของข้าก็ไม่คู่ควรจะสวมหมวกของจิ่นอีโหว
อีกต่อไป”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 225 ตรอกหลัวกู่
เสวียหลิงเฟิงจ้องไปที่ดวงตาของฉีหนิง ราวกับจะมอง
ทะลุเข้าไปในใจของฉีหนิง จากนั้นเขาก็พูดว่า “โหว
เยวี่ยตัดสินใจแน่แล้วสินะ”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นข้าเอง
ก็จะไม่บังคับท่าน”
ฉีหนิงรู้ดีว่า การเคลื่อนย้ายทหารโดยพลกาลนั้น มัน
เป็นโทษหนัก หากไม่ได้มีเรื่องฉุกเฉินเร่งด่วนมาก
จริงๆ การเคลื่อนกำลังพลมันจะสะเทือนหลายฝ่าย
เพราะที่นี่คือเมืองหลวงศูนย์กลางของแคว้นฉู่
เสวียหลิงเฟิงเป็นผู้บัญชาการทหารค่ายหูเสิน หากทำ
การเคลื่อนกำลังพลก็สามารถทำได้ส่วนหนึ่ง แต่ว่า
หากทำจริงก็จะทำให้เกิดภัยตามมาแน่นอน
ถึงแม้เขาก็อยากให้คนในเมืองหลวงพ้นจากภัย
อันตรายที่จะเกิดขึ้น แต่ว่าเขาก็รู้ดีว่า ไม่มีเหตุผลมาก
พอที่จะให้เสวียหลิงเฟิงสละชีวิตตัวเองเพื่อมาร่วมมือ
กับตัวเองแน่นอน
เห็นเสวียหลิงเฟิงสีหน้าเคร่งเครียด ฉีหนิงก็ลุกขึ้น
มาแล้วพูดว่า “ท่านอาเสวีย ข้าขอตัวกลับก่อน ข้ารู้
ว่าเรื่องนี้ทำให้ท่านต้องลำบากใจ ข้าเองก็ไม่อาจ
บังคับท่านได้” เขาฝืนยิ้ม แล้วหันหลังกลับไป
“ช้าก่อน” เสวียหลิงเฟิงยกมือห้าม
ฉีหนิงหยุดเดิน แล้วถามด้วยความตกใจว่า “ท่านอา
เสวีย...?”
“โหวเยวี่ยเองก็น่าจะรู้ดี ข้าน้อยมีวันนี้ได้ ก็เพราะ
ท่านแม่ทัพใหญ่” เสวียหลิงเฟิงพูดว่า “หากไม่ได้ท่าน
แม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยอาจจะไม่ได้มีชีวิตมาจนถึงวันนี้
ต่อให้รอดมาได้ ก็ไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งนี้ได้”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “จริงๆ สิ่งที่ท่านได้มาทุก
อย่างมันเป็นเพราะตัวท่านเองทั้งนั้น”
“ไม่ว่าโหวเยวี่ยจะพูดอย่างไร สายเลือดของจิ่นอีโหว
จะสูญสิ้นไปไม่ได้เด็ดขาด” เสวียหลิงเฟิงพูดว่า
“ดังนั้นเมื่อท่านมาหาข้าน้อยถึงที่นี่แล้ว ไม่ว่าต่อไป
จะเกิดอะไรขึ้น ท่านแค่ยืนยันคำเดียวว่าที่ท่านมาที่นี่
เพราะมาเยี่ยมแม่ของข้าเท่านั้น สุขภาพของท่านแม่
ไม่ดีท่านจึงมาเยี่ยม”
ฉีหนิงอึ้งไป
เสวียหลิงเฟิงพูดอย่างจริงจังว่า “โหวเยวี่ยจะให้
ข้าน้อยเคลื่อนย้ายทหาร ตอนนี้ข้าน้อยยังลังเลอยู่
ท่านแม่ทัพมีบุญคุณกับข้า ข้าน้อยจะไม่ทดแทน
บุญคุณไม่ได้ แต่ก็จะบุ่มบ่ามไม่ได้เช่นกัน” เขาจ้องไป
ที่ตาของฉีหนิง “ท่านแม่ทัพสนับสนุนข้าน้อยจนได้
ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารค่ายหูเสิน ไม่ได้เพื่อให้
ข้าน้อยเอาชีวิตมาทิ้งให้กับภัยร้ายในเมืองหลวงแค่นี้
เท่านั้น”
ฉีหนิงไม่เข้าใจที่เสวียหลิงเฟิงพูด เขาขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “ความหมายของท่านอาเสวีย ข้า...ข้าไม่ค่อย
เข้าใจ”
“หากต้องเคลื่อนย้ายกำลังพลจริง ก็จะต้องมีเหตุผล
กับหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้” เสวียหลิงเฟิงพูดว่า “ต่อ
ให้เป็นไปตามที่โหวเยวี่ยคาดเดาจริง แต่ก่อนที่เรื่อง
จะเกิดขึ้น มันก็แค่ข่าวลือเท่านั้น นอกจากจะมีราช
โองการลงมา ไม่อย่างนั้นไม่ว่าใครที่เคลื่อนย้ายทหาร
ก็เป็นภัยเท่านั้น โหวเยวี่ย ท่านยังหนุ่ม ท่านต้องจำไว้
ให้ดี การตัดสินใจทุกอย่างในเมืองหลวง ต้องทำอย่าง
รอบคอบ ต่อให้สิ่งที่ท่านทำจะเป็นเรื่องดี หรือทำเพื่อ
ราชสำนักก็ตาม แต่ว่าหากทำผิดที่ผิดเวลา ท่านก็จะมี
ภัยถึงชีวิต” เขาขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ชาวบ้านใน
เมืองหลวง ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเพื่อนกับพวกเรา แต่
อาจจะมีบางคนที่เป็นศัตรูกับพวกเราด้วย”
เสวียหลิงเฟิงนั่งยืดตัวตรงบนเก้าอี้ “ข้าน้อยรู้ว่าโหว
เยวี่ยมีเมตตา อยากจะช่วยคน ความมีเมตตานี้ มัน
คือสิ่งที่จิ่นอีโหวพึงมี แต่ว่าโหวเยวี่ยอาจจะไม่ได้คิดว่า
หากเกิดเรื่องตามที่ท่านว่ามาจริง คนที่โดนไปด้วย
อาจจะไม่ได้มีแค่จวนจิ่นอีโหว โหวเยวี่ยเคยคิดบ้าง
หรือไม่ จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นเป็นเสาหลักของแคว้นมา
ตลอด พวกเขามีคนในสังกัดกันเท่าไหร่? หากโหว
เยวี่ยเดือดร้อน ถ้าอย่างนั้นคนที่ใกล้ชิดกับจิ่นอีโหว
ทั้งหมดจะเป็นอย่างไร?”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว
หลังจากที่เขามาเมืองหลวงแล้ว จวนจิ่นอีโหวก็
เหมือนโดดเดี่ยว ถึงแม้เขาจะรู้ว่าจิ่นอีโหวทั้งสองรุ่น
นั้นมีรากฐานที่มั่นคงมาก ตระกูลฉีมีอำนาจไม่น้อย
แต่ว่าในช่วงนี้ไม่มีใครกล้าไปมาหาสู่กับจวนจิ่นอีโหว
เลย
แต่ว่าคำพูดของเสวียหลิงเฟิง มันเตือนสติฉีหนิง
อำนาจของจวนจิ่นอีโหวจริงๆแล้วมันยังคงมีอยู่ ยังคง
หมุนเวียนอยู่รอบตัว
“โหวเยวี่ย หลายคนรู้ว่าข้ากับตระกูลฉีมี
ความสัมพันธ์ที่ดี ดังนั้นต่อให้ข้าน้อยไม่ได้นึกถึง
ตัวเอง ก็ต้องนึกถึงจวนโหวมาก่อน ข้าน้อยเองก็ต้อง
คิดถึงท่านก่อน” เสวียหลิงเฟิงพูดอย่างจริงจังว่า
“ดังนั้นหากไม่ถึงเวลาคับขันจริงๆ ข้าน้อยจะไม่
เคลื่อนทหารโดยเด็ดขาด แต่ว่าโหวเยวี่ยเองก็พูดถูก
ที่ท่านเหล่าโหวติดตามไท่จู่ฮ่องเต้ไปออกรบ ท่านแม่
ทัพรักษาชายแดน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อชาวบ้าน หากเกิด
ภัยในเมืองหลวงจริง โหวเยวี่ยออกหน้าเรื่องนี้
ข้าน้อยเองก็นับถือท่านมากแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะมี
ความกล้าแบบที่ท่านโหวเยวี่ยมี”
ฉีหนิงรู้สึกว่าเสวียหลิงเฟิงพูดเย็นชามาก แต่จริงๆ
แล้วเขาจับใจความอะไรบางอย่างได้ เขาคิดๆ ดูแล้ว
แล้วพูดว่า “ท่านอาเสวีย ท่านเป็นผู้บัญชาการทหาร
ค่ายหูเสิน หากเมืองหลวงเกิดความวุ่นวาย
สถานการณ์คับขัน ท่านจะเคลื่อนทหารหรือไม่?”
สายตาของเสวียหลิงเฟิงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แล้วพูด
ว่า “ความปลอดภัยในเมืองหลวง เป็นหน้าที่ของ
ข้าน้อยอยู่แล้ว ข้าน้อยไม่อาจเคลื่อนย้ายทหารโดย
พลกาล แต่ว่าหากในเมืองหลวงเกิดความวุ่นวาย
ข้าน้อยสามารถสั่งให้ทหารควบคุมสถานการณ์ทันที”
เขาหยุด แล้วพูดว่า “ยกตัวอย่างหากพิษกำเริบในคืน
นี้จริง ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถเข้าเฝ้าฝ่าบาทใน
คืนนี้ ข้าสามารถสั่งให้ทหารบางส่วนไปคุม
สถานการณ์ไว้ก่อน”
ฉีหนิงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านอาเสวีย ข้าเข้าใจแล้ว”
จากนั้นก็เดินออกไป
จ้าวอู๋ซังยังไม่เข้าใจ เขาเดินตามแล้วถามว่า “โหว
เยวี่ย ท่าน...?”
“ท่านอาเสวียต้องพักแล้ว พวกเราไม่ควรรบกวนท่าน
อีก” ฉีหนิงเดินอย่างรีบร้อน พวกเรามีเรื่องสำคัญที่
ต้องไปทำก่อน"
เสวียหลิงเฟิงลุกขึ้นยืน แล้วมองด้านหลังของฉีหนิง
เขาไม่ได้รั้งเอาไว้ แต่สายตาของเขาก็เหมือนกำลังคิด
อะไรอยู่
ฉีหนิงออกมาจากจวนตระกูลเสวีย เขาขึ้นม้า แล้ว
ถามว่า “จ้าวอู๋ซัง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตรอกหลัวกู่อยู่ที่
ใด?”
จ้าวอู๋ซังอึ้งไป แล้วพยักหน้า “โหวเยวี่ยท่านจะไปที่
ตรอกหลัวกู่หรือขอรับ?”
“เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ อย่าให้เสียเวลา” ฉีหนิงควบม้า
ไป “พวกเราไปที่พรรคกระยาจกสาขากุ่ยจินหยาง
กัน”
จ้าวอู๋ซังกับองครักษ์อีกสองคนควบม้าแล้วตามไป
จ้าวอู๋ซังคิดว่าโหวเยวี่ยไปจวนจงอี้โหวมาแล้ว ไปจวน
ตระกูลเสวียก็แล้ว ตอนนี้ยังต้องไปที่พรรคกระยาจก
ในตรอกหลัวกู่อีก ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร? เขาขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นเองก็เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา สายตาของ
เขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง”
ฉีหนิงควบม้าไปไม่หยุด แต่ดูเหมือนไม่มีความรู้สึก
เหนื่อยล้าแต่อย่างใด
เขาไม่รู้เลยว่าการที่เขาวิ่งวุ่นไปทั้งคืนแบบนี้จะได้ผล
อะไรหรือไม่ แต่ว่าเขารู้ว่า หากเขานั่งอยู่ในจวนไม่ทำ
อะไรเลย เรื่องอาจจะแย่กว่านี้ก็ได้
สิ่งที่เขาทำมันอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แต่หากไม่ทำอะไรเลย ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ตรอกหลัวกู่เป็นตรอกเล็กๆ สภาพแวดล้อมแย่มาก
เมื่อเดินไปถึงกลางตรอก บ้านช่องสองข้างทางมีแต่
บ้านพุพัง เมื่อขี่ม้าเข้ามา ฉีหนิงรู้สึกเหมือนมีสายตา
หลายคู่กำลังจับจ้องมาที่ตัวเขา จ้าวอู๋ซังกับองครักษ์
อีกสองคนกำดาบไว้ในมือแน่น เตรียมรับมือพร้อม
ฉีหนิงรู้ว่า ตรอกหลัวกู่นี่เป็นพื้นที่ของพรรคกระยาจก
บ้านพุพังทั้งสองข้างทาง จะต้องมีศิษย์พรรค
กระยาจกสาขากุ่ยจินหยางอยู่
เมื่อเข้าไปถึงสุดซอย ก็เจอประตูใหญ่สีดำ มีไฟจุด
สว่างอยู่หน้าประตู บรรยากาศดูวังเวงอย่างยิ่ง
ด้านหน้าประตูใหญ่ มีขอทานนั่งพิงอยู่สามสี่คน ฉี
หนิงยังไม่ได้เข้าไปใกล้ ขอทานพวกนั้นก็ลุกขึ้น แล้ว
กำไม้ในมือแน่น
ฉีหนิงหยุดม้าลง จ้าวอู๋ซังควบม้าขึ้นไปด้านหน้า แล้ว
พูดว่า “โหวเยวี่ย ที่นี่เป็นที่ตั้งของสาขากุ่ยจินหยาง มี
ท่านอาวุโสจูเชวียหนึ่งในสี่ผู้อาวุโสพรรคกระยาจก
เป็นคนดูแล คิดว่าตอนนี้เขาก็น่าจะอยู่ที่นี่ พวกเขา
เป็นพรรคอันดับหนึ่งในยุทธภพ หากพวกเราจะเข้าไป
หาพวกเขา ต้องทำตามกฎของยุทธภพ”
ฉีหนิงรู้ว่าจ้าวอู๋ซังกำลังเตือนเขาอยู่ว่าอย่าใช้ฐานะ
โหวเข้าไปหา เขาจึงตอบแค่ “อืม”
ตอนนี้เหล่าขอทานขวางอยู่ตรงหน้าเขา คนที่ขวางห
ยางหนิงเอาไว้เดินขึ้นมาข้างหน้าแล้วพูดว่า “ท่องไป
ทั่วหล้า รักษาสมดุลแห่งหยินหยาง”
จ้าวอู๋ซังยกมือขึ้นคำนับ “เป็นพี่น้องกันทั่วหล้า พัด
พาให้มาได้พบ”
ฉีหนิงมองไปที่จ้าวอู๋ซัง คิดในใจว่าเจ้าคนพวกนี้ก็ไม่ได้
กินข้าวของจวนโหวเปล่าๆ ถือว่ารู้เรื่องอะไรเยอะ
เหมือนกัน
ขอทานคนหนึ่งพูดว่า “พวกเจ้าเป็นคนของจวนจิ่นอี
โหวหรือ?”
ฉีหนิงอึ้งไป จ้าวอู๋ซังเองก็แปลกใจ ทั้งสองคนคิดว่า
เหตุใดขอทานสองคนนี้ถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้?
ฉีหนิงยกมือคำนับยิ้มแล้วพูดว่า “มาขอพบพี่น้อง
พรรคกระยาจกทุกท่าน ขอฝากตัวด้วย”
“คนของจวนจิ่นอีโหวมาที่นี่แล้ว ไม่รู้กฎเกณฑ์”
ขอทานคนนั้นพูดว่า “ให้เจ้านายพวกเจ้ามา พวกเรา
อาจจะยอมปล่อยคนไป ไม่อย่างนั้นคนของเจ้าจะต้อง
อยู่เรียนรู้กฎของที่นี่สักระยะ”
ฉีหนิงเริ่มเข้าใจความหมายของเขา รู้ทันทีว่าเหตุใดถึง
ได้รู้ว่าพวกเขาเป็นคนของจวนจิ่นอีโหว
ก่อนที่เขาจะไปจวนจงอี้โหว เขาสั่งให้ฉีเฟิงพาคนมา
ขอศพที่พรรคกระยาจกที่ตรอกหลัวกู่ เดิมคิดว่าฉีเฟิง
เจรจาได้แล้ว อีกอย่างคนจวนจิ่นอีโหวออกหน้าเอง
คิดว่าพรรคกระยาจกก็น่าจะไว้หน้าบ้าง แต่ว่าจาก
คำพูดของขอทานคนนั้นแล้ว ฉีเหิงไม่ได้ศพมา อีกทั้ง
ยังถูกพรรคกระยาจกจับตัวเอาไว้ ถือว่าผิดคาดไป
มาก
คนของพรรคกระยาจกคิดว่าพวกเขามาเพื่อช่วยฉีเฟิง
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่า ฉีเฟิงตาบ้านี่ทำอะไรไม่สำเร็จ
สั่งแล้วว่าอย่าให้มีเรื่อง ตอนนี้ถูกจับไม่พอ ไม่รู้จะ
เจรจาต่อได้หรือไม่
จ้าวอู๋ซังขมวดคิ้ว
ฉีหนิงรู้ว่าในเวลานี้ต้องรับมืออย่างใจเย็นเท่านั้น เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าฉีหนิงเป็นนายของจวนจิ่นอีโหว
ตั้งใจมาคารวะท่านหัวหน้าสาขา ไม่ทราบจะไป
รายงานให้ข้าทีได้หรือไม่?” เขาคิดในใจว่าเหมือนอยู่
กันคนละโลก มิน่าราชสำนักถึงได้ตั้งจวนเสินโหว
ขึ้นมา ยุทธภพกับราชสำนักถึงแม้จะอยู่ในแผ่นดิน
เดียวกัน แต่ว่ามันเป็นโลกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ไม่อย่างนั้นด้วยฐานะของเขา ศิษย์พรรคกระยาจก
ต้องเกรงใจมากกว่านี้
ศิษย์พรรคกระยาจกพูดว่า “รอก่อน” จากนั้นก็เดิน
ไปที่ประตู ยกมือขึ้นแล้วเคาะแรงๆ ไปสองที จากนั้น
ก็เคาะเบาๆ อีกสองที จากนั้น แบมือตีไปอีกสามที
ฉีหนิงรู้ว่าน่าจะเป็นรหัสลับของพรรคกระยาจก คน
นอกไม่มีทางเข้าใจความหมาย แต่ว่าคนภายในประตู
นั่นจะเข้าใจเอง
ที่นี่เป็นที่ตั้งหลักของสาขากุ่ยจินหยาง ต้องมีความ
ระมัดระวังเป็นอย่างมาก ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ผ่านไประยะหนึ่ง ประตูก็เปิดออก ชายอายุราวสี่สิบปี
เดินออกมา รูปร่างของเขาสูง กำยำ แข็งแรง สวมชุด
ไว้ทุกข์ เขามองมาที่ฉีหนิง ยกมือแล้วพูดว่า “ท่านจิ่น
อีโหวมาเยือน ไม่ทันได้ต้อนรับ” ยกมือขึ้นสูงแล้วพูด
ว่า “เชิญ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 226 กุ่ยจินหยาง
ฉีหนิงเห็นเขาสีหน้าเคร่งเครียด น้ำเสียงเข้มขรึม ยัง
ไม่ทันจะเห็นหน้าของเขาชัดเจน ชายคนนั้นก็เดินเข้า
จวนไปแล้ว
ฉีหนิงมองไปที่จ้าวอู๋ซัง เห็นจ้าวอู๋ซังพยักหน้า แต่ก็ไม่
ลังเล เดินตามเข้าไป
เมื่อเข้าไปในเรือน ภายในจวนกว้างขวางมาก มี
ขอทานเสื้อผ้าขาดรุ่ยอยู่ราวยี่สิบสามสิบคน บนศีรษะ
คาดผ้าสีขาว
เมื่อฉีหนิงเดินเข้าเรือนมา เหล่าขอทานก็จ้องมาที่ฉี
หนิง
สายตาของเหล่าขอทานดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก ฉี
หนิงขมวดคิ้ว ชายคนนั้นเดินเข้าไปในห้องโถง เมื่อ
เขาเดินเข้าไป ก็เห็นมีขอทานอยู่ด้านในอีกกว่าสิบคน
ทุกคนล้วนแต่สวมชุดไว้ทุกข์ ภายในห้องโถงมีการตั้ง
ป้ายวิญญาณเต็มไปหมดจนน่าตกใจ
เหล่าขอทานที่อยู่ภายในมีทั้งนั่งและยืน ขณะที่ฉีหนิง
เดินเข้าไปภายใน เหล่าขอทานก็ลุกขึ้นกันหมด แต่ละ
คนล้วนแต่จ้องมาที่ฉีหนิง
ชายคนนั้นหันหน้ากลับมาแล้วพูดว่า “จวนจิ่นอีโหว
และพรรคกระยาจกของพวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง
กัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ต่างคนต่างอยู่”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วถามว่า “หรือว่าท่านคือหัวหน้า
ของสาขากุ่ยจินหยาง?”
“ข้าไป๋เซิงเฮ่าแห่งสาขากุ่ยจินหยาง” เขายกมือขึ้น
คำนับ “ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ไปมาหาสู่กับทางจวนของ
ท่าน แต่ว่าข้าเองก็นับถือทางจวนจิ่นอีโหวมาตลอด”
“ขอบคุณมาก” ฉีหนิงยังคงนิ่งอยู่
ท่ามกลางสถานการณ์ในยุทธภพแบบนี้ ฉีหนิงก็เพิ่ง
พบเป็นครั้งแรก ถึงแม้ตอนที่อยู่เมืองหุ่ยเจ๋อเขาก็ถือ
ว่าเป็นคนของพรรคกระยาจก แต่ว่าเมืองหุ่ยเจ๋อไม่
ค่อยดีนัก ส่วนใหญ่เป็นเหมือนคนเร่ร่อนมากกว่า
เดิมทีฉีหนิงไม่ได้มีความประทับใจที่ดีกับพรรค
กระยาจกมากนัก แต่ว่าเห็นศิษย์พรรคกระยาจกของ
สาขากุ่ยจินหยางนั้นมีระบบระเบียบดี ในใจก็คิดว่านี่
สิถึงจะเรียกว่าพรรคกระยาจกจริงๆ
“จวนของท่านส่งคนมา เดิมทีควรจะมีมารยาท แต่ว่า
...” น้ำเสียงของไป๋เซิงเฮ่าก็ดุดันขึ้นมา “แต่ว่าคนของ
จวนท่านกลับไม่รู้จักกฎระเบียบ กล้าดูหมิ่นพรรค
กระยาจกของพวกเรา ข้าจำเป็นต้องให้เขาอยู่ที่นี่ก่อน
รอให้โหวเยวี่ยมาที่นี่ จะได้คุยกันให้รู้เรื่อง”
ฉีหนิงคิดในใจว่าไม่เสียชื่อที่เป็นพรรคกระยาจก แค่
หัวหน้าสาขา ก็คุยกับโหวเยวี่ยด้วยน้ำเสียงแบบนี้ได้
ไม่รู้ว่าหากหัวหน้าพรรคกระยาจกอยู่ที่นี่ด้วย ตัวเขา
จะต้องเคารพนอบน้อมด้วยหรือไม่
เขารู้สึกว่าพรรคในยุทธภพมีอำนาจแข็งแกร่งแบบนี้
มันไม่ได้ดีต่อราชสำนักเลย
“ที่ข้ามาที่นี่ ก็เพราะมีเรื่องที่จะหารือกับท่านหัวหน้า
ไป๋” ฉีหนิงพูดว่า “ในเมื่อท่านหัวหน้าไป๋อยากให้ข้า
มาชี้แจงให้ชัดเจน ถ้าอย่างนั้นขอให้ท่านแจงให้ข้า
ทราบก่อนได้หรือไม่” เขาหยุดไป แล้วถามว่า “ข้า
อยากรู้ว่า คนของข้าดูหมิ่นพวกท่านอย่างไร?”
ไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า “คนที่โหวเยวี่ยส่งมา ชื่อฉีเฟิงใช่
หรือไม่?”
“ถูกต้อง” ฉีหนิงมองซ้ายมองขวา แล้วถามว่า “เขา
อยู่ที่ไหน?”
ไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า “โหวเยวี่ยไม่ต้องกังวลไป เขายังอยู่ดี
พวกเราพรรคกระยาจกไม่อยากจะผิดใจกับพวกท่าน
ถึงได้ให้โหวเยวี่ยมาชี้แจงให้ชัดเจน” เขาจ้องไปที่ฉี
หนิง แล้วถามว่า “ฉีเฟิงมาที่นี่เพื่อขอศพจากพวกเรา
ไม่ทราบเป็นความต้องการของท่านหรือไม่ หรือเป็น
เพราะอะไร?”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าเป็นคนสั่งเอง”
เมื่อพูดจบ ขอทานที่อยู่ตรงนั้นกว่าสิบคนสีหน้าดุดัน
ขึ้นมา แต่ว่าหัวหน้าอยู่ตรงนี้ พวกเขาเลยไม่กล้าพูด
อะไร
ฉีหนิงรู้ว่าคนที่อยู่ตรงนี้ น่าจะเป็นคนสำคัญของ
สาขากุ่ยจินหยาง แต่ตอนนี้ไม่เห็นท่านผู้อาวุโสจูเชี่ย
คิดว่าไม่น่าจะอยู่ที่นี่
ไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า “ไม่ทราบว่าเหตุใดโหวเยวี่ยถึงได้ส่ง
คนมายังตรอกหลัวกู่? หรือว่าโหวเยวี่ยรับรู้ได้ล่วงหน้า
ว่าทางพรรคกระยาจกมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?”
ฉีหนิงรู้ว่าศิษย์พรรคกระยาจกต่างไปหาหมอตามร้าน
ถึงแม้คนที่รู้เรื่องนี้จะมีไม่มาก แต่ว่าข้ารู้ แค่ไม่ได้พูด
ออกมาเท่านั้น เขาพูดว่า “ท่านหัวหน้าไป๋ พรรคของ
ท่านมีคนตายไปแล้วกีค่ น?”
เหล่าขอทานสีหน้าจริงจัง ไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า “จิ่นอีโหว
เท่าที่ข้ารู้ จวนของท่านไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพ
นะ แล้วเหตุใดคราวนี้ถึงได้ยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องของ
พรรคกระยาจกของพวกเราด้วยเล่า?” เขาพูดว่า “ขอ
พูดอะไรที่ไม่น่าฟังสักหน่อย เรื่องภายในของพรรค
กระยาจก อย่าว่าแต่จวนจิ่นอีโหวเลย แม้แต่จวนเสิน
โหว ก็เหมือนจะยุ่งไม่ได้”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ในใจก็คิดว่าตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นฉูม่ า ก็
อยู่ในสถานะศัตรูกับเป่ยฮั่นมาตลอด พูดได้ว่าเรื่อง
ของทั้งสองแคว้นเป็นเรื่องใหญ่สำหรับอีกฝ่าย กอง
กำลังในยุทธภพแบบนี้ ราชสำนักเองก็ไม่ได้มีกำลังพล
มากพอที่จะแบ่งออกมาจัดการเรื่องนี้ พรรค
กระยาจกเป็นพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า ก็ดู
เหมือนว่าตัวเองมีความชอบธรรม
“ข้าไม่ได้จะมาแทรกแซงเรื่องภายในของพรรค
กระยาจกของพวกท่าน” ฉีหนิงพูดว่า “ฉีเฟิงนอกจาก
มาขอศพจากพวกท่านแล้ว เขายังทำอะไรล่วงเกิน
หรือไม่?”
ขอทานข้างๆ คนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “การมาขอ
ศพ ก็เหมือนเป็นการดูหมิ่นอย่างมากแล้ว ต้องทำ
อะไรอีกอย่างนั้นหรือ? ศิษย์พรรคกระยาจกของพวก
เราจะเป็นจะตาย พวกเราก็จัดการกันเอง ต้องให้ทาง
จวนจิ่นอีโหวมาถามตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ศิษย์พรรค
กระยาจกของพวกเราไม่ว่าจะทำอะไรผิดมา ก่อนตาย
พวกเราพรรคกระยาจกจะจัดการกันเอง ศิษย์ของ
พวกเราทุกคนจะต้องจากไปแบบสะอาดทุกคน” เขา
พูดว่า “หลังจากที่ตายไป อย่าว่าแต่ศพเลย ผมเส้น
เดียว พวกเราพรรคกระยาจกก็จะปกป้องเอาไว้อย่าง
ดี ไม่ใช่ของที่ใครจะมาขอยืมไปมาได้”
ไป๋เซิงเฮ่าไม่ได้ต่อว่าขอทานที่พูดแทรกขึ้นมา เพราะ
ต้องการให้ขอทานบอกสาเหตุออกมา
“ถ้าอย่างนั้น ก็หมายความว่าฉีเฟิงแค่มาขอศพจาก
พวกท่าน พวกท่านยังไม่ทันถามที่มาที่ไป ก็จับตัวเขา
ไว้แล้วอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงอดไม่ได้แล้วพูดว่า
“แล้วก็เพราะเรื่องนี้ คิดจะให้ข้ามาอธิบายให้พวกเจ้า
ฟัง?”
จ้าวอู๋ซังถึงแม้จะเตือนฉีหนิงไปแล้ว ว่าจะเจรจากับ
พรรคกระยาจก พยายามทำตามกฎของยุทธภพ อย่า
เอาฐานะจิ่นอีโหวมาคุยกับพวกเขา
แต่ฉีหนิงคิดว่าพรรคกระยาจกวางตัวเป็นใหญ่ ไม่เห็น
ใครอยู่ในสายตา ในใจก็คิดว่าคนพวกนี้บังอาจเกินไป
แล้ว
ไป๋เซิงเฮ่าฟังออกว่าฉีหนิงไม่พอใจแล้ว เขาจ้องไปที่ฉี
หนิง แล้วถามว่า “สาเหตุ? จิ่นอีโหว ลูกน้องของท่าน
บอกว่าหากพวกเราไม่ให้ยืมศพ สาขากุ่ยจินหยางของ
พวกเราก็จะมีภัยใหญ่มาเยือน ไม่ทราบว่าโหวเยวี่ย
คิดจะใช้กำลังกับทางพรรคกระยาจกหรืออย่างไร?”
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ถึงแม้ศิษย์พรรคกระยาจกของ
พวกเราในสายตาของพวกท่าน ก็ไม่ต่างกับคนชั้นต่ำ
แต่ว่าเราไม่ได้ทำผิดกฎหมาย หากคิดจะทำอะไรพวก
เรา คิดว่าไม่ง่ายขนาดนั้น”
ฉีหนิงตะลึงไป เหมือนเข้าใจอะไรขึ้นมา เขาขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าคำพูดของฉีเฟิงกำลังข่มขู่พวก
เจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“หรือว่าโหวเยวี่ยคิดว่าไม่ใช่หรือ?” ไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า
“โหวเยวี่ย พรรคกระยาจกไม่เคยเห็นจวนจิ่นอีโหว
เป็นศัตรูมาก่อน แต่ว่าข้าหวังว่าโหวเยวี่ยจะไม่
แทรกแซงเรื่องภายในของพรรคกระยาจก? คนของ
พวกท่านให้ท่านพากลับไปได้ แต่ว่าต่อไป พวกเรา
หวังว่าพรรคกระยาจกกับทางจวนจิ่นอีโหวจะเหมือน
ที่ผ่านมา ต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งเกี่ยวต่อกัน”
ฉีหนิงหันไปมองนอกหน้าต่าง เขารู้ว่าเวลากำลังเลย
ผ่านไป จะเสียเวลาอีกไม่ได้ เขาก็ไม่อ้อมค้อมอีก “ที่ฉี
เฟิงพูดมานั้นไม่ผิด พรรคกระยาจกเจอภัยใหญ่หลวง
แล้ว” เขาชี้ไปที่ป้ายวิญญาณบนโต๊ะ “นี่คือป้าย
วิญญาณของศิษย์พรรคกระยาจกทั้งหมด ดูไปแล้ว...
น่าจะตายไปสิบกว่าคนแล้ว”
เหล่าขอทานโกรธมาก มีคนกำหมัดแน่น บางคนเดิน
ออกมาข้างนอก จ้องไปที่เขาตาเป็นมัน
จ้าวอู๋ซังกับองครักษ์สองนายกำดาบแน่น
ไป๋เซิงเฮ่าจ้องไปที่ฉีหนิงราวกับคมดาบ แล้วพูดว่า “ดู
ท่าโหวเยวี่ยคิดจะใช้กำลังกับพรรคกระยาจกของพวก
เราจริง? ไม่ทราบว่าทางพรรคบัวดำให้ผลประโยชน์
กับโหวเยวีย่ ได้เท่าไหร่ ถึงได้ดึงโหวเยวี่ยเข้ามายุ่งเรื่อง
นี้?”
“พรรคบัวดำ” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “พรรคบัวดำอะไร
กัน?”
ดวงตาของไป๋เซิงเฮ่าราวกับเพลิง แล้วพูดว่า “จิ่นอี
โหว ข้าเคารพคนของตระกูลฉี แล้วก็ให้เกียรติท่าน
มากแล้ว แต่ว่าท่านกับตั้งใจท้าทายพวกเรา เยาะเย้ย
พรรคกระยาจกของพวกเรา ข้าไม่ยอมเด็ดขาด”
เขาโกรธมาก ฉีหนิงตะลึงไป รู้สึกว่าจะต้องมีอะไร
เข้าใจผิดแน่ เขาพูดว่า “หัวหน้าไป๋ คืนนี้ที่ข้ามาหา
ท่านที่นี่ มันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด ที่จะเอาตัว
ฉีเฟิงกลับไป พูดตามตรง ก่อนที่ข้าจะมาที่ตรอกหลัว
กู่นี่ ยังคิดอยู่เลยว่าฉีเฟิงน่าจะนำศพจากพวกท่าน
กลับไปแล้ว พวกท่านจับตัวฉีเฟิงเอาไว้ น่าจะมีอะไร
เข้าใจผิดกัน แล้วข้าก็เชื่อว่าพวกท่านเองก็ไม่ได้ให้
โอกาสฉีเฟิงได้อธิบายด้วย”
ไป๋เซิงเฮ่าขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร
“ท่านพูดถึงพรรคบัวดำอะไรนั่น ข้าเองก็ไม่รู้จัก ข้า
ขอถามท่านหน่อย ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดศิษย์ของ
พรรคกกระยาจกถึงได้ตายไปมากมายขนาดนี้?” ฉี
หนิงสีหน้าจริงจัง
ไป๋เซิงเฮ่านั่งลงบนเก้าอี้ แล้วเหลือบมองฉีหนิง ย้อน
ถามกลับไปว่า “โหวเยวี่ยท่านรู้หรือ?”
“ไม่ใช่โรคระบาด แต่ถูกพิษ” ฉีหนิงพูดว่า “อีกทั้งยัง
เป็นพิษที่ร้ายแรงมากด้วย ไม่เพียงจะทำให้คนที่ถูก
พิษตายภายในเจ็ดวัน อีกทั้งยังสามารถติดต่อได้อีก
ด้วย”
เหล่าขอทานที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็หน้าถอดสี จ้องฉีหนิง
ด้วยสีหน้าที่เหี้ยมโหด ไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า “ดีนิ จิ่นอีโหว
ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าเจ้าฐานะสูงส่ง ไม่มีเรื่องอะไรไม่มีทาง
มาที่นี่ได้ ลูกน้องเล็กๆ แค่คนเดียว ต่อให้ถูกพวกเรา
จับไว้ เจ้าจะมาช่วยเขาด้วยตัวเองแบบนี้น่ะหรือ?” สี
หน้าของเขานิ่งไป “ที่แท้เจ้าก็รู้ว่าพวกเขาถูกพิษ รู้
สรรพคุณของพิษชัดเจน...จิ่นอีโหว เจ้าคิดจะเอายา
ถอนพิษมาคุยเงื่อนไขกับพวกเราใช่หรือไม่”
ฉีหนิงอึ้งไป ในใจก็คิดว่าทำไมยิ่งอธิบายก็ยิ่งเข้าใจผิด
ไปกันใหญ่ ไป๋เซิงเฮ่าเป็นถึงหัวหน้าสาขา แต่ทำไมถึง
ไม่ใจเย็นเอาเสียเลย?
เขาคิดว่าที่เขามาในคืนนี้นั้นคิดไม่ซื่อ
“ยาถอนพิษ?” ฉีหนิงพูดว่า “น่าเสียดาย คนที่วางยา
มียาถอนพิษหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ว่าในมือของข้าไม่มียา
ถอนพิษที่พวกเจ้าอยากจะได้ ฉีเฟิงมาที่นี่ ก็เพื่อจะ
ช่วยพวกเจ้า แต่ว่าพวกเจ้ากลับจับเขาขังเอาไว้
เสียเวลาปรุงยาถอนพิษไปอีก ท่านหัวหน้าไป๋ ตอนนี้
ข้าถึงได้รู้ว่า สาขากุ่ยจินหยางของพวกเจ้า ไม่มีใครที่
เป็นคนรู้ความเลย”
เหล่าขอทานรู้สึกโกรธมาก แต่ละคนก้าวขึ้นมาคนละ
สองก้าว บีบเข้าหาฉีหนิงทันที
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 227 จูเชี่ย
ขณะที่เหล่าขอทานบีบเข้าหาฉีหนิง จ้าวอู๋ซังก็ชักดาบ
ออกมา แล้วตะคอกว่า “พวกเจ้าคิดจะกบฏหรือ?”
เหล่าขอทานหยุดชะงัก ถึงแม้จะจ้องไปที่ฉีหนิงด้วย
ความโกรธ แต่ว่าสายตาก็ยังมีความหวาดกลัวอยู่
พวกเขาไม่ได้ลืมว่า ฉีหนิงนั้นเป็นจิ่นอีโหว
ถึงแม้พรรคกระยาจกจะมีคนมาก เป็นพรรคอันดับ
หนึ่ง แต่ก็ยังไม่กล้าเป็นศัตรูกับราชสำนัก
สาขากุ่ยจินหยางอยู่ในบรรดาสาขาพรรค อำนาจและ
ขอบเขตพื้นที่นั้นอยู่หนึ่งในสาม ถึงแม้ทั้งยี่สิบแปด
สาขาจะมีฐานะเท่าเทียมกันหมด แต่ว่าในการชุมนุม
ใหญ่ของพรรค คำพูดของไป๋เซิงเฮ่านั้นถือว่ามีน้ำหนัก
มากกว่าหัวหน้าสาขาอื่น
คนในสังกัดของเขามีมากกว่าหนึ่งหมื่นคน ศิษย์นับ
หมื่นคนนี้ ยอมทำตามที่เขาสั่งทั้งหมด
แต่ว่าคนที่ทำงานจนมีชื่อเสียงในสาขากุ่ยจินหยางนั้น
นับคนได้ ศิษย์พรรคกระยาจกนั้นไม่ได้เรียบร้อยทุก
คน จะบอกว่ามีมากมายหลายประเภทก็ไม่เกินไป ต่อ
ให้จะอยู่ในสามอันดับแรกของยี่สิบแปดสาขา แต่ว่า
คนที่มีชื่อเสียงในยุทธภพจริงๆ นั้นก็มีแค่ไม่กี่สิบคน
หากเกิดปะทะกับราชสำนักขึ้นมาจริง ใต้แผ่นดินของ
โอรสสวรรค์ สาขากุ่ยจินหยางล้มสลายแน่นอน
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงกระแอมดังขึ้นมา ฉีหนิงหัน
ไปมอง เห็นในมุมมืด มีเงาของคนๆ หนึ่งเดินออกมา
ชายคนนั้นอายุราวห้าสิบปี ไม่ได้สวมชุดไว้ทุกข์ แต่ว่า
คาดผ้าโพกหัวสีขาว ในมือถือไม้เท้าหัวอีกาสีดำ สีมัน
แวววาวเหมือนสั่งทำมาเป็นพิเศษ
คนๆ นี้รูปร่างอ้วนท้วม สายตาเป็นประกาย มีหนวด
เครา ฉีหนิงเห็นเขา ก็รู้สึกตกตะลึงไป
“มีอะไรคุยกันได้ ไม่จำเป็นต้องชักดาบออกมาหรอก
นะ” คนๆ นั้นพูดเสียงต่ำ “พรรคกระยาจกของพวก
เราไม่ได้มีความแค้นอะไรกับจวนจิ่นอีโหว ก่อนที่เรื่อง
จะชัดเจน อย่ามีใช้อารมณ์กันเลย”
ฉีหนิงเหลือบไปมองไป๋เซิงเฮ่า เห็นไป๋เซิงเฮ่าโค้งตัวลง
สีหน้าดูเคารพนบน้อมมาก เขาเข้าใจขึ้นมาทันที แล้ว
ยกมือคำนับชายแก่คนนั้น “ผู้อาวุโสคือผู้อาวุโสจูเชี่ย
แห่งพรรคกระยาจกสินะ?”
ชายแก่คนนั้นมองฉีหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว
สายตาเฉียบคมยิ่งนัก”
ฉีหนิงคิดในใจว่าแม้แต่ไป๋เซิงเฮ่ายังนอบน้อมขนาดนี้
จะเดาฐานะ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
“จิ่นอีโหวเรียกข้าว่าผู้อาวุโส แสดงว่าโหวเยวี่ยก็เป็น
คนมีมารยาทมาก” ชายคนนั้นยกมือขึ้นแล้วพูดว่า
“โหวเยวี่ยเชิญนั่งก่อน”
ไม่นานนักก็มีคนยกเก้าอี้ที่ค่อนข้างเก่ามาให้ ฉีหนิง
เองก็ไม่ได้เกรงใจ เขานั่งลงทันที
“โหวเยวี่ยเมื่อครู่ท่านบอกว่ากำลังปรุงยาถอนพิษ
อยู่?” ผู้อาวุโสจูเชี่ยนั่งตรงข้ามฉีหนิง ในมือถือไม้คฑา
เหล็ก “ข้าขอถามท่านสักคำ โหวเยวี่ยรู้เรื่อง
การแพทย์ด้วยหรือ?”
ฉีหนิงมองไปที่ไม้คฑาสีดำ เขาเห็นชัด รูปร่างของมัน
โค้งงอไม่ตรง เหมือนกับมีงูตัวหนึ่งเลื้อยพันอยู่บนไม้
ราวกับมันมีชีวิตอยู่จริงๆ บนยอดไม้มีหัวอีกาอยู่ ปาก
ของมันแหลมยาว คิดในใจว่าคนๆ นี้คือผู้อาวุโสจูเชี่ย
บนยอดไม้นั่นหรือจะเป็นหงส์แดงตามความหมาย
ของชื่อ?
หากไม่ผิดที่คิดเอาไว้ ไม้คฑาอันนี้น่าจะเป็นเครื่อง
ยืนยันฐานะของอาวุโสจูเชี่ย
“ข้าไม่รู้หรอก แต่ว่ามีคนรู้” ฉีหนิงพูดว่า “อาวุโสจู
เชี่ย ท่านเองก็น่าจะรู้ หากพิษนี้ไม่ได้ถูกถอน ไม่เพียง
แค่พรรคกระยกของท่านเท่านั้นที่จะเกิดภัย ทั่วทั้ง
เมืองหลวงก็จะมีภัยไปด้วย”
อาวุโสจูเชี่ยพยักหน้าแล้วถามว่า “ถ้าอย่างนั้นโหว
เยวี่ยรู้หรือไม่ว่ามันคือพิษอะไร?”
“ข้าไม่รู้” ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่า
ในตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือพวกเราต้องรู้ให้ได้ว่ามัน
คือพิษอะไร”
“อ๋อ?”
“ท่านผู้อาวุโสจูเชี่ยน่าจะรู้ดีกว่าข้า ศิษย์ในพรรคของ
ท่านตายไปไม่น้อย แต่ว่ามันแค่เริ่มต้น หากข้าเดาไม่
ผิด พรรคของท่านมีคนติดเชื้อไปกลุ่มใหญ่แล้ว” ฉี
หนิงจ้องไปที่ตาของผู้อาวุโสจูเชี่ยแล้วพูดว่า
“หลังจากที่พิษกำเริบ สถานการณ์เป็นอย่างไร ผู้
อาวุโสท่านเคยเห็นหรือไม่?”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยสีหน้าเคร่งเครียดแล้วพูดว่า “น่ากลัว
มาก”
“ท่านผู้อาวุโสรู้หรือไม่ ตอนผู้ที่ถูกพิษไม่ได้มีแค่พรรค
กระยาจกของพวกท่านเท่านั้น ที่อื่นข้าเองพูดได้ไม่
เต็มปาก แต่ว่าที่แม่น้ำฉินไหวเริ่มมีการแพร่กระจาย
พิษแล้ว อีกทั้งมีคนอาการกำเริบแล้วด้วย” ฉีหนิงสี
หน้าจริงจัง “หรือก็คือ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน พิษเริ่ม
แพร่กระจายตัวในเมืองหลวงแล้ว ตอนนี้มีคนไม่น้อย
ที่ได้รับพิษ ข้าไม่มั่นใจว่ามีจำนวนเท่าไหร่ แต่ว่าน่าจะ
มีไม่น้อยเลย”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ที่โหวเยวี่ยมาในคืน
นี้ ท่านแน่ใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด?”
“ท่านหมายถึงพรรคบัวดำหรือ?” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าไม่
รู้ว่าพรรคบัวดำคืออะไร ข้ารู้แค่ว่าหากพวกเรายัง
เสียเวลาอย่างนี้อยู่จะมีคนตายเพิ่มมากขึ้นไปอีก”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยถามอย่างแปลกใจว่า “โหวเยวี่ย
หมายความว่าอย่างไร?”
“พรรคกระยาจกของพวกท่านส่วนมากพักอาศัยอยู่
ด้วยกัน เวลาอาการกำเริบ พวกท่านสามารถควบคุม
มันไว้ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้พวกเขาวิ่งออกไป
อาละวาดข้างนอก” ฉีหนิงพูดว่า “ฟังจากน้ำเสียง
ของท่าน พวกท่านเองก็น่าจะรู้ถึงความรุนแรงของ
ปัญหานี้ แค่พวกท่านมองเพียงปัญหาภายในของ
พรรคเท่านั้น หลายวันมานี้ พวกท่านคิดหาวิธี
แก้ปัญหาศิษย์ในพรรคถูกพิษนี้มาโดยตลอด”
ขอทานสิบกว่าคนที่อยู่ตรงนั้นมองหน้ากัน เหมือนสื่อ
ว่าฉีหนิงพูดถูก
“เจ้าส่งคนมาจับตาดูพรรคกระยาจกของพวกเรา
หรือ?” มีคนข้างๆ พูดออกมา
ผู้อาวุโสจูเชี่ยจ้องไปที่คนๆ นั้น สายตาของเขาแหลม
คม คนๆ นั้นก้มหน้าลง แล้วถอยหลังไป
“จับตาดู?” ฉีหนิงเหลือบมองไป ยิ้มแล้วพูดว่า “พวก
เราไม่ใช่คนในโลกเดียวกันด้วยซ้ำ ข้าไม่ได้มีเวลามาก
พอที่จะต้องมาจับตาดูพวกท่าน แต่ข้ารู้ว่า พิษนี่เริ่ม
มาจากพรรคกระยาจก พวกท่านสามารถควบคุมให้
ศิษย์ในพรรคไม่ออกไปอาละวาดได้ แต่ว่าชาวบ้าน
พวกนั้นไม่มีอะไรป้องกันได้ มีใครบ้างสามารถควบคุม
ให้พวกเขาไม่ออกจากบ้านไปยังกลางถนนได้บ้าง?”
ไป๋เซิงเฮ่าขยับปาก แต่เพราะผู้อาวุโสจูเชี่ยอยู่ข้างๆ ก็
เลยไม่กล้าพูดอะไร
ผู้อาวุโสจูเชี่ยคิดแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้อาจเพราะ
เข้าใจผิดกัน โหวเยวี่ย พรรคกระยาจกของพวกเรา
กับทางจวนจิ่นอีโหวไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกันมา
ก่อน แต่ว่าคืนนี้จู่ๆ คนของท่านก็มาหาพวกเราถึงที่
แถมยังมาขอยืมศพจากพวกเรา บอกว่าหากเสียเวลา
พรรคกระยาจกอาจจะต้องล่มสลาย หลายวันมานี้
ศิษย์ในพรรคตายไปมากมาย ศิษย์คนอื่นก็ระวังตัวกัน
มาก ทำอะไรบุ่มบ่ามไปบ้าง” เขาสั่งเสียงเข้ม “ปล่อย
เขา”
ไป๋เซิงเฮ่าลังเล แต่ก็ส่งสายตาให้อีกคน ให้ไปปล่อย
คนมา
“ฉีเฟิงมาที่นี่ ก็แค่อยากจะยืมศพกลับไป พวกเราจะ
ได้ปรุงยาได้อย่างถูกต้อง พวกเราต้องรู้ให้แน่ชัดก่อน
ว่าพิษมีปฏิกิริยาอย่างไรกับร่างกาย จะได้ปรุงยาถอน
พิษออกมาได้เร็วขึ้น” ฉีหนิงพูดว่า “หากปรุงยาถอน
พิษออกมาไม่ได้ พรรคกระยาจกของท่านต้องล่ม
สลายแน่นอน”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยพยักหน้า แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยพูดได้
ถูกต้อง ถ้าอย่างนั้น โหวเยวี่ยมีคนที่สามารถปรุงยา
ถอนพิษได้แล้วหรือ?”
“ไม่สามารถพูดได้เต็มปาก แต่พวกเราจะพยายาม
อย่างเต็มที่” ฉีหนิงพูดว่า “นี่ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคน
หนึ่ง แล้วก็ไม่ได้เพื่อพรรคกระยาจกของพวกท่าน
อย่างเดียว แต่เพราะคนที่ถูกพิษครั้งนี้มีมากนัก พวก
เราต้องเดินหน้าให้เต็มกำลัง”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยเห็นสีหน้าของฉีหนิงจริงจังมาก เขาคิด
แล้วพูดว่า “ขอพูดกับโหวเยวี่ยตามตรง สาขากุ่ยจินห
ยางของพวกเราเองก็มีคนที่รู้เรื่องยาพิษอยู่ ตอนที่พิษ
กำเริบ พวกเราเองก็ยังไม่รู้ตัว คิดว่ามันเป็นโรค
ระบาด แต่ว่าคนแล้วคนเล่า พวกเราถึงได้รู้ว่ามัน
รุนแรง ไม่เพียงแค่หมอที่รู้เรื่องพิษ พวกเรายังเชิญ
ยอดฝีมือในยุทธภพมาด้วย สุดท้ายถึงได้รู้ว่า พรรค
กระยาจกนั้นเกิดพิษระบาดที่รุนแรงมาก เป็นไป
ตามที่โหวเยวี่ยพูดทุกอย่าง พิษนี้ไม่เพียงร้ายแรง แต่
ยังแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่วัน ศิษย์
ในพรรคก็ตายไปแล้วกว่าสี่สิบคน แล้วก็ยังมีคนติด
เชื้ออีกกว่าสามร้อยคน”
ฉีหนิงพูดด้วยความตกใจว่า “พรรคกระยาจกของ
พวกท่านมีคนถูกพิษแล้วสามร้อยกว่าคนหรือ?”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยยิ้มอย่างเศร้าใจแล้วพูดว่า “ศิษย์พรรค
กระยาจกอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน ไปมาหาสู่กันตลอด
ศิษย์ในสาขากุ่ยจินหยางของพวกเรารักใคร่ปรองดอง
กันมาก กินดื่มอยู่ด้วยกันตลอด...”
“แล้วคนถูกพิษพวกนั้นตอนนี้อยู่ที่ไหน?” ฉีหนิงก็ไม่
เสียเวลา ถามไปตรงๆ
ผู้อาวุโสจูเชี่ยพูดว่า “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้มันร้ายแรงเพียงใด
หลังจากเกิดการระบาด ก็รีบสั่ง ให้แยกศิษย์ที่ติดเชื้อ
ออกไว้ที่หนึ่ง ส่งคนเฝ้าเอาไว้ ไม่ให้พวกเขาออกไป
พบเจอใคร” เขาลุกขึ้นแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยสะดวก
ตามข้ามาหรือไม่?”
ฉีหนิงพยักหน้า ผู้อาวุโสจูเชี่ยถือไม้คฑา แล้วเดินนำ
ทางไป ฉีหนิงเดินตามหลัง จ้าวอู๋ซังกับพวกตัง้ ใจจะ
ตามไปเช่นกัน ผู้อาวุโสจูเชี่ยหันกลับมาพูดว่า “พวก
เจ้าวางใจได้ พรรคกระยาจกของพวกเราไม่หาเรื่องใส่
ตัวหรอก พวกเราไม่ทำร้ายโหวเยวี่ยเด็ดขาด แต่หาก
พวกเจ้าไม่ไว้ใจ จะตามมาก็ได้”
จ้าวอู๋ซังกับพวกมีหน้าที่คุ้มกันฉีหนิง พวกเขายังคง
เลือกที่จะตามไป
เมื่อเดินออกจากห้องโถงด้านหลังเป็นเรือนขนาดใหญ่
ตรงนั้นมีเรือนไม้อยู่หลังหนึ่ง เหมือนทิ้งร้างมานาน
ทั้งเก่าทั้งพุพัง แต่ว่าภายในจุดตะเกียงสว่างไสว
ผู้อาวุโสจูเชี่ยเดินไปที่ริมหน้าต่าง แล้วผลักหน้าต่าง
ออกไป ฉีหนิงเดินเข้าไปมอง ในห้องไม่ได้กว้างมากมี
ขอทานอยู่ในนั้นราวยี่สิบคน มีบางคนนอนอยู่บนกอง
ฟาง บางคนนั่งพิงกำแพง ใบหน้าของพวกเขาเหมือน
คนสิ้นหวัง หลายคนมีตุ่มหนองบนใบหน้า บางคน
หนองแตกเลือดไหลออกมา น่าขยะแขยงมาก
“เอ๋ นั่นมัน...เขานี่นา?” ฉีหนิงมองไปเห็นคนๆ หนึ่ง
เขาตกใจ หลุดพูดออกมา ขอทานที่อยู่ด้านในเงยหน้า
ออกมา ฉีหนิงมองไปที่ขอทานคนนั้นเขาเองก็เงยหน้า
มามองเช่นกัน เมื่อมองมาที่หน้าต่างแล้วเห็นหน้าของ
ฉีหนิง เขาก็ตกใจ รีบลุกขึ้นมา แล้วเดินอย่างไร้
เรี่ยวแรงมาหาฉีหนิง
จ้าวอู๋ซังเดินตามหลังฉีหนิงมา เมื่อเห็นขอทานคนนั้น
เดินมาที่หน้าต่าง เขาก็รีบเดินมาขวางหน้าฉีหนิง
เอาไว้ ฉีหนิงยกมือห้าม ขอทานคนนั้นเดินมาเกาะอยู่
ที่ริมหน้าต่าง
ผู้อาวุโสจูเชี่ยขมวดคิ้ว ขอทานคนนั้นมองฉีหนิง
สายตาของเขาดูซาบซึ้งใจมาก เขาพูดด้วยเสียงอิดโรย
ว่า “โหว...โหวเยวี่ย บุญคุณของท่านใหญ่หลวงนัก
ข้าน้อย...ไม่มีวันลืม เพียงแต่...เพียงแต่คงต้องชดใช้ใน
ชาติหน้าแล้ว...” ทันใดนั้นเองเขาก็หันหลังไป ปิด
ปาก แล้วไออย่างรุนแรง เหมือนกับว่ากลัวว่าฉีหนิง
จะติดเชื้อ ทันใดนั้นเอง ก็หันกลับไปยิ้มแล้วพูดว่า
“ข้า...ข้าน้อยจะตายแล้ว...”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้ารู้จักโหว
เยวี่ยด้วยหรือ?”
ขอทานคนนั้นตอบว่า “เรียน...เรียนท่านผู้อาวุโส
ตอนนั้น...ตอนนั้นข้าน้อยถูกไล่ออกจากร้านยา โหว
เยวี่ยเป็นคนช่วยพูดให้ แล้วยังช่วยจ่ายค่ายาให้พวก
เราด้วย...”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยอึ้งไป ฉีหนิงถอนหายใจแล้วถามว่า
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
ขอทานคนนี้คือคนที่พาเพื่อนไปขอให้ทางร้านยา
ฉีซื่อถังรักษา แต่กลับถูกปฏิเสธ ต่อมาฉีหนิงจึงออก
หน้าช่วย นั่นคือครั้งแรกที่ฉีหนิงเห็นพิษระบาด
“เขา...” ขอทานคนนั้นรู้ว่าฉีหนิงถามถึงใคร เขายิ้ม
อย่างหดหู่ใจ “เขาตายแล้ว...”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 228 ร่วมมือกัน
ผู้อาวุโสจูเชี่ย ส่งสัญญาณให้ ขอทานนั่นก็ไม่พูดอะไร
มาก แค่พยักหน้าให้ฉีหนิงเท่านั้น เพื่อแสดงความ
ขอบคุณ จากนั้นก็เดินกลับไปนั่งพิงกำแพงเหมือนเดิม
“ที่แท้โหวเยวี่ยก็มีบุญคุณกับพรรคกระยาจกของพวก
เรา” ผู้อาวุโสจูเชี่ย ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พี่น้อง
ของพวกเราเมื่อครู่เสียมารยาทไป โหวเยวี่ยอย่าได้ใส่
ใจเลยนะ”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่มีเวลามาคิดเรื่อง
พวกนั้นหรอก ผู้อาวุโสจูเชี่ย ที่ข้ามาในคืนนี้ ข้ามีเรื่อง
จะให้ท่านช่วย”
“อ๋อ?” ผู้อาวุโสจูเชี่ย ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยอ
ยากให้พวกเราทำอะไร?”
ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสจูเชี่ย เมื่อครู่ข้าได้บอก
ไปแล้ว ศิษย์ในพรรคของพวกท่านเมื่อพิษกำเริบ ยัง
พอจะสามารถควบคุมไม่ให้ออกไปอาละวาดข้างนอก
ได้ แต่ว่าในเมืองหลวงตอนนี้มีคนติดเชื้อแล้วไม่น้อย
เท่าที่ข้าคาดการณ์ ภายในวันนี้น่าจะมีเหตุการณ์พิษ
กำเริบเกิดขึ้น”
ผู้อาวุโสจูเชี่ย สีหน้าเปลี่ยนไปแล้วพูดว่า “วันนี้จะเกิด
เหตุพิษกำเริบ?”
ฉีหนิงเห็นสีหน้าของเขา ก็รู้ทันทีว่าทางพรรค
กระยาจกน่าจะไม่สันนิษฐานเวลาที่พิษจะกำเริบ
ถังนั่วนั้นได้คาดเดาไว้ก่อนแล้ว เขาพูดว่า “ถูกต้อง
ดังนั้นข้าอยากขอให้ทางพรรคกระยาจกช่วยเหลือ”
“โหวเยวี่ย สถานการณ์ท่านเองก็เห็นแล้ว พรรค
กระยาจกเองตอนนี้ยังเอาตัวไม่รอด อีกทั้งถึงแม้พวก
เราจะรู้ว่าพวกเราถูกพิษไม่ใช่โรคระบาด แต่พวกเราก็
หาวิธีถอนพิษไม่ได้” ผู้อาวุโสจูเชี่ย สีหน้าเคร่งเครียด
“ไม่ทราบว่าพรรคกระยาจกของพวกเราจะช่วยโหว
เยวี่ยได้อย่างไร?”
“ให้ศิษย์ในพรรคของท่านออกไปอาละวาดตามท้อง
ถนน” ฉีหนิงพูดว่า “ให้พวกเขาอาการกำเริบ
ล่วงหน้า”
ผู้อาวุโสจูเชี่ย ตะลึงไป เหมือนจะไม่เข้าใจ เขาถาม
ด้วยความสงสัยว่า “ให้พิษกำเริบล่วงหน้า? โหวเยวี่ย
ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“ผู้อาวุโสจูเชี่ย ข้าขอถามท่านหน่อย หลังจากที่ศิษย์
ของท่านอาการกำเริบ มีสภาพอย่างไรบ้าง?” ฉีหนิง
พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ผู้อาวุโสจูเชี่ย ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เริ่มแรกก็มีผื่น
แดงขึ้น แต่เห็นไม่ชัด แต่ว่าผื่นแดงนั่นจะใหญ่ขึ้นทุก
วัน สีก็จะเข้มขึ้นทุกวัน” เขาหยุดไป ยกมือแล้วชี้บอก
ให้ฉีหนิงเดินไปคุยไป ทั้งสองค่อยๆ เดินไปยังห้องโถง
“เมื่อผื่นตุ่มแดงเหล่านั้นแตก ก็จะมีเลือดไหลออกมา
จากนั้นก็จะเสียสติไป สถานการณ์แบบนี้มีด้วยกัน
สองอย่าง สลบไปไม่รู้สึกตัว กับกลายเป็นสัตว์ป่า พุ่ง
เข้าใส่คนอื่นอย่างบ้าคลั่ง”
ฉีหนิงพยักหน้า
ผู้อาวุโสจูเชี่ย พูดต่อไปว่า “คนที่สลบไม่รู้สึกตัว หาก
ไม่ไปรบกวน เขาก็หลับไม่ตื่น ไม่กินไม่ดื่ม แต่ว่าหาก
ถูกรบกวน เขาก็จะอาละวาดอย่างหนัก กลายเป็น
สัตว์ป่า” เขายิ้มแห้งแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยเมื่อครู่ก็
เห็นคนพวกนั้นแล้ว พิษของพวกเขาใกล้กำเริบแล้ว
พวกเราจับพวกเขามัดเอาไว้ ก่อนที่พิษของพวกเขา
จะกำเริบ”
ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าชาวบ้านทั่วไปไม่รู้ว่าจะมีผลแบบ
นี้ เมื่อพิษกำเริบ คนที่เดือดร้อนก่อนคือคนในบ้าน
จากนั้นก็ออกมานอกบ้าน อาละวาดไปตามถนนน้อย
ใหญ่” เขาสีหน้าเคร่งเครียด “ผู้อาวุโสจูเชี่ย เรื่องใหญ่
ขนาดนี้ เหตุใดท่านถึงปิดบังไม่รายงาน? หากทางจวน
เสินโหวรู้เรื่องเร็วกว่านี้ เรื่องนี้อาจจะจัดการได้ง่าย
กว่านี้ก็ได้”
ผู้อาวุโสจูเชี่ย อยู่ในยุทธภพมานานหลายปี
ประสบการณ์สูงมาก การสังเกตสีหน้าท่าทางนั้นก็
ร้ายกาจ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าที่ฉีหนิงมาที่นี่ จริงใจ
ที่จะหารือเรื่องพิษจริงๆ สถานการณ์คับขัน เขารู้ว่า
ควรเปิดใจพูดความจริงออกไป “พูดตามตรง พรรค
กระยาจกของพวกเราคิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่อง
ความแค้นในยุทธภพ เป็นความแค้นของพวกเรา
พรรคกระยาจกกับทางพรรคบัวดำ พรรคในยุทธภพมี
วิธีจัดการแบบยุทธภพ ไม่เคยให้ใครมาแทรกแซง”
“ท่านพูดถึงพรรคบัวดำหลายครั้ง มันเป็นพรรคอะไร
กัน?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “ท่านหมายความว่า พิษในครั้ง
นี้ พรรคบัวดำเป็นคนวางยาอย่างนั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสจูเชี่ย พูดว่า “ถึงแม้พวกเราจะไม่มีวิธีถอนพิษ
แต่ว่าพวกเราพบว่า พิษในครั้งนี้ หากไม่มีอะไรพิษ
พลาด น่าจะมาจากพื้นที่ปาสู่ แล้วก็มีเพียงพรรคบัว
ดำเท่านั้นที่มีปัญญาปรุงพิษที่ร้ายกาจแบบนี้ขึ้นมา
ได้”
“ปาสู่?” ฉีหนิงตะลึงไป “พรรคบัวดำมีอำนาจที่ปา
สู่?”
ผู้อาวุโสจูเชี่ย พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง” กำลังจะ
อธิบาย ฉีหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “เรื่องนี้พวกเราค่อย
ตรวจสอบกันภายหลัง ครั้งนี้มีคนตั้งใจวางยา ถือว่า
โหดเหี้ยมมาก ไม่สนใจว่าชาวบ้านจะเป็นหรือตาย
ราชสำนักไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่นอน” เขาพูดอีกว่า
“ตอนนี้เรื่องที่เร่งด่วนที่สุดคือ หยุดยั้งการ
แพร่กระจายของพิษ ที่จะทำให้ใครหลายคน
เดือดร้อน แล้วก็ปรุงยาถอนพิษออกมาให้ได้”
ผู้อาวุโสจูเชี่ย พยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยพูด
ถูกต้องแล้ว ต่อไปพวกเราควรจะทำอย่างไรดี?”
“ข้าบอกไปแล้ว ให้ศิษย์พรรคกระยาจกพิษกำเริบ
ล่วงหน้า” ฉีหนิงพูดว่า “พวกท่านมีศิษย์อีกกี่คนที่อยู่
ในช่วงพิษแพร่กระจายตัว?”
ผู้อาวุโสจูเชี่ย คิดแล้วพูดว่า “น่าจะประมาณสองร้อย
คน”
“ดี ตอนนี้พวกเราให้พวกเขาออกไปบนท้องถนน” ฉี
หนิงพูดว่า “บอกพวกเขาว่า หลังจากไปบนถนนแล้ว
อย่าทำร้ายใคร แต่ว่าให้แสดงเหมือนว่าพิษกำเริบ
แล้ว”
ผู้อาวุโสจูเชี่ย ถามด้วยความสงสัยว่า “เหตุใด
โหวเยวี่ยต้องทำเช่นนี้?”
“พวกเราต้องปิดเมืองหลวง แต่ว่าประตูวังหลวงปิด
แล้ว ข้าเข้าวังไปไม่ได้” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าไม่มีอำนาจ
สั่งเคลื่อนย้ายทหาร มีเพียงให้ศิษย์พรรคกระยาจก
แสดงอาการพิษกำเริบล่วงหน้าเท่านั้น ราชสำนักถึง
จะเคลื่อนกำลังพลปิดล้อมเมืองหลวงได้ แบบนี้แล้ว
เมื่อพิษกำเริบขึ้นจริง ทางราชสำนักเองก็จะเตรียม
รับมือไว้พร้อมและควบคุมสถานการณ์ได้”
ผู้อาวุโสจูเชี่ย ได้ยินดังนั้น ก็อึ้งไป จากนั้นก็มองไปที่ฉี
หนิง เขาหยุดเดิน แล้วครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง
ฉีหนิงมองเขาที่กำลังลังเลอยู่ ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ผู้อาวุโสจูเชี่ย ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ท่าน
กังวลว่าพรรคกระยาจกของท่านจะตกหลุมพรางใช่
หรือไม่ ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาจะมานั่งอธิบายให้ท่าน
เข้าใจ แต่ว่าท่านต้องเข้าใจนะว่า พิษในครั้งนี้เกิดมา
จากความแค้นของพรรคกระยาจกกับพรรคบัวดำ
พรรคบัวดำจะต้องถูกราชสำนักกวาดล้างแน่นอน
พรรคกระยาจกเองก็หนีความรับผิดชอบไปไม่พ้น”
ผู้อาวุโสจูเชี่ย สีหน้าเปลี่ยน แต่ไม่พูดอะไร
“ท่านลังเลไปมากเท่าไหร่ ชีวิตชาวบ้านก็อาจจะ
อันตรายมากขึ้นเท่านั้น” ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องนี้เร่งด่วน
มาก ไม่มีเวลาให้ท่านได้ทบทวนมากเท่าไหร่หรอกนะ
ข้าวิ่งวุ่นมาทั้งคืนแล้ว ท่านต้องส่งคนออกไปตอนนี้
หากในเมืองหลวงจะมีคนตายเป็นจำนวนมาก...”
สายตาของเขาดุดันมาก “ข้าจะไม่ปล่อยท่านไป
แน่นอน”
ผู้อาวุโสจูเชี่ย ลังเล แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยท่าน
รับประกันได้หรือไม่ว่า หากข้าส่งคนออกไปแล้ว
ต่อไปหากมีคนใส่ร้ายว่าพวกเราคิดกบฏ หรือเอาผิด
กับพวกเรา โหวเยวี่ยจะเป็นพยานให้กับพวกเรา?”
“ไม่ต้องเป็นพยาน หากเกิดเรื่องจริง ข้าจะออกหน้า
รับแทนเอง” ฉีหนิงเห็นผู้อาวุโสจูเชี่ย น้ำเสียงอ่อนลง
ไป รู้ว่าตาเฒ่านี่เข้าใจสถานการณ์ดี “ท่านวางใจได้
เมื่อศิษย์พรรคกระยาจกออกไป หากพวกทหารพบ
เข้า พวกเขาก็ไม่มีทางทำร้ายศิษย์ของท่านแน่นอน”
ผู้อาวุโสจูเชี่ย ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงพยักหน้า “ได้ ใน
เมื่อโหวเยวี่ยมั่นใจ พรรคกระยาจกของพวกเราก็จะ
พยายามร่วมมืออย่างเต็มที่” จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลอีก
เดินไปที่ห้องโถง เห็นฉีเฟิงกับอีกสองคนยืนหน้าตา
โกรธเกรี้ยวอยู่ในห้องโถง ถูกล้อมโดยกลุ่มขอทาน
บรรยากาศดูไม่ดีเลย
“ฉีเฟิง” ฉีหนิงเรียก เมื่อเห็นฉีเฟิงโกรธ เหมือนจะใช้
กำลังกับพรรคกระยาจก เขาตะคอกออกไปว่า “ห้าม
เสียมารยาท”
ฉีเฟิงหันมามอง เมื่อเห็นฉีหนิง ก็ตกใจ เมื่อฉีหนิงเดิน
เข้ามา เขาก็พูดว่า “โหวเยวี่ย ขอทานพวกนี้บังอาจ
มาก ข้าน้อยพูดไม่กี่คำ พวกเขาก็...”
“ข้ารู้แล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากัน”
ผู้อาวุโสจูเชี่ย กวักมือเรียกไป๋เซิงเฮ่าหัวหน้าสาขามา
ไป๋เซิงเฮ่ารีบเดินมา ทั้งสองเดินไปที่มุมห้อง ผู้อาวุโสจู
เชี่ย กระซิบพูดกับเขา ฉีหนิงมองไป เห็นไป๋เซิงเฮ่า
มองมาทางเขาเป็นระยะ สีหน้าเคร่งเครียด ในใจคิด
ว่าเขาต้องลังเลแน่นอน
แต่ว่าคำสั่งของผู้อาวุโสจูเชี่ย ผู้ดูแลเจ็ดสาขาทางใต้
ทั้งหมด ไป๋เซิงเฮ่าไม่มีทางไม่ทำ
ไม่ผิดจากที่คิด ไม่นานนัก ไป๋เซิงเฮ่าก็ยกมือคำนับผู้
อาวุโสจูเชี่ย จากนั้นก็ออกไป แล้วพูดกับเหล่าขอทาน
ว่า “พวกเจ้าตามข้ามา” จากนั้นก็ออกไปจากห้องโถง
เหล่าขอทานมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่
กล้าขัดคำสั่ง
ผู้อาวุโสจูเชี่ย ค่อยๆ เดินเข้ามา แล้วมองฉีหนิง แล้ว
พูดว่า “โหวเยวี่ย ข้าจะให้ความร่วมมือกับท่านอย่าง
เต็มที่ แต่ว่าข้าหวังว่าท่านจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง”
ฉีหนิงรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ วิ่งวุ่นมาทั้งคืน ถึงตอนนี้ก็
เหนื่อยมากแล้ว สุดท้ายก็มีความคืบหน้าอะไรบ้าง
เขาหวังว่าเสวียหลิงเฟิงจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“ผู้อาวุโสจูเชี่ย ตอนนี้ข้าอยากจะเอาศพกลับไปด้วย
จะได้รีบปรุงยาถอนพิษ” ฉีหนิงพูดว่า “สำเร็จหรือไม่
ข้าไม่กล้ารับประกัน แต่พวกเราจะทำอย่างเต็มที่
ส่วนทางพรรคกระยาจก จะต้องควบคุมให้ดี ห้ามให้
เกิดอะไรผิดพลาดเด็ดขาด”
ผู้อาวุโสจูเชี่ย พยักหน้า “โหวเยวี่ยโปรดวางใจ พวก
เรารู้ว่าควรทำอย่างไร”
ฉีหนิงออกจากตรอกหลัวกู่พร้อมกับศพที่เพิ่งตาย
เพราะพิษกำเริบ ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดกฎของพรรค
กระยาจก
แต่ว่าผู้อาวุโสจูเชี่ย รู้ดีว่า นี่ไม่ใช่เวลาปกติ พรรค
กระยาจกกำลังเผชิญหน้ากับภัยใหญ่ ตอนนี้ในพรรค
มีคนถูกพิษแล้วกว่าสองร้อยคน ซึ่งก็อาจจะมีบางส่วน
ที่ยังไม่เห็นอาการ หากละเมิดกฎแล้วสามารถช่วยให้
ปรุงยาถอนพิษได้ เรื่องนี้สำคัญแค่ไหน ผู้อาวุโสจูเชี่ย
ไม่มีทางไม่เข้าใจ
เพราะว่าศพนั้นถูกพิษมา เพื่อความปลอดภัย จึงห่อ
ศพด้วยผ้าหนาหลายชั้น
ฉีหนิงแยกคนออกเป็นสองทาง ตัวเขากับจ้าวอู๋ซังและ
ทหารอีกสองคนนำศพไปที่หย่งอันถัง ส่วนฉีเฟิงกลับ
ไปที่จวนจิ่นอีโหวเพื่อรับถังนั่วมายังหย่งอันถัง
เมื่อถึงหย่งอันถัง ภายในร้านมีคนเฝ้าเวรอยู่ เขาสั่งจัด
ห้องมาห้องหนึ่ง แล้วเอาศพไปวางไว้ในนั้น แล้วสั่ง
ห้ามคนเคลื่อนย้ายเด็ดขาด ต้องรอถังนั่วมาก่อน
เท่านั้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 229 ชุดเฟิ่งหวง
ฉีหนิงวิ่งวุ่นมาทั้งคืน เมื่อถังนั่วมาถึงร้านหย่งอันถัง ก็
เป็นเวลายามหยิ่น ยังดีที่ว่าฟ้ามืดตลอดเวลาเพราะ
เป็นหน้าหนาว กลางวันจึงสั้นกลางคืนจึงยาว
ไม่เพียงแค่ถังนั่วเท่านั้นที่มาที่ร้านยา ต้วนฉางไห่เองก็
ตามมาด้วยเช่นกัน
ฉีหนิงสั่งให้ต้วนฉางไห่ไปแจ้งข่าวที่จวนเสินโหว ตอน
ที่กลับมาที่จวนโหว ฉีหนิงพาคนออกจากจวนไปแล้ว
ฉีเฟิงพาคนกลับไปรับถังนั่ว ต้วนฉางไห่ก็เลยตามมา
ด้วย
หลังจากที่ถังนั่วเข้าไปในร้านแล้ว ก็ไม่พูดอะไรมาก
นางวางกล่องยาของนางลง แล้วหยิบห่อผ้าเดินเข้าไป
ในห้อง เมื่อนางออกมา ฉีหนิงเห็นว่านางสวมเสื้อผ้าที่
ประหลาดมาตัวหนึ่ง เสื้อตัวนี้มันปิดตั้งแต่คอจนถึง
เท้า มันเป็นเสื้อตัวยาว อีกทั้งเสื้อยังแนบเนื้ออีกด้วย
ทำให้สัดส่วนรูปร่างของนางนั้นเด่นชัดออกมา
ไม่เพียงแค่ฉีหนิง พวกของต้วนฉางไห่เองก็ตาโต
เช่นกัน
ถังนั่วรูปร่างดีมาก แต่ว่าส่วนไหนควรมีน้ำมีนวลก็มี
ส่วนไหนควรผอมก็สมส่วน หน้าอก เอว สะโพกสม
ส่วนไปหมด ยิ่งสวมชุดแนบเนื้อแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งทำ
ให้เห็นรูปร่างเด่นชัดมาก เป็นสัดส่วนของลูกผู้ดี
ตระกูลใหญ่มีกัน
ถังนั่งเดินมา แล้วเปิดกล่องยา หยิบผ้าปิดปากวางไว้
บนโต๊ะ แล้วหยิบถุงมือมาใส่ ไม่ว่าจะเป็นผ้าปิดปาก
หรือว่าถุงมือ ล้วนแต่เป็นสีเดียวกับชุด
นางสวมถุงมือไปพรางหันหน้ามาพูดว่า “หลังจากที่
ข้าเข้าห้องไปแล้ว หากไม่มีคำสั่งข้า ห้ามเข้าไปข้างใน
รบกวนข้าเด็ดขาด...” เมื่อเห็นฉีหนิงจ้องตัวเองตา
เป็นมัน นางก็ขมวดคิ้ว
ฉีหนิงได้สติ กระแอมหนึ่งที เขารู้สึกกระอักกระอ่วน
เมื่อหันไปกลับไปมองคนของตัวเอง อย่าว่าแต่ต้วน
ฉางไห่กับฉีเฟิงชายที่มีฮอร์โมนพุ่งพล่านเลย แม้แต่
จ้าวอู๋ซังที่ปกตินิ่งๆ เงียบๆ ตอนนี้ก็จ้องรูปร่างของ
ถังนั่วอย่างไม่กระพริบตาเช่นกัน
“ทำอะไรกัน?” ฉีหนิงตะโกน “ออกไปให้หมด”
เสียงของเขาดังมาก ทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ต่างตื่น
จากภวังค์ พวกเขาเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนทำอะไร
ไม่ถูก แล้วรีบหันหลังออกไป
ถังนั่วพูดว่า “นี่เป็นชุดป้องกันพิษที่อาจารย์ทำขึ้นเมื่อ
หลายปีก่อน ใช้จื่อเฟิ่งหวงทำขึ้น...”
ฉีหนิงคิดว่าอาจารย์ของถังนั่วนั้นร้ายกาจมาก ที่
สามารถคิดค้นชุดป้องกันพิษแบบนี้ได้ “จื่อเฟิ่งหวง?
แม่นางถังมันคืออะไร?”
“มันคือหวายสมุนไพรชนิดหนึ่ง” ถังนั่วอธิบายว่า
“มันหาได้ยากมาก มีสรรพคุณในการต้านพิษ
อาจารย์ค้นหาจนได้จื่อเฟิ่งหวงมา แล้วใช้เวลาอีก
หลายปีในการทำชุดป้องกันพิษนี้ขึ้นด้วยกันสองชุด
จากนั้นก็เอามันไปแช่ในสมุนไพรอีกสิบกว่าชนิด แช่
อยู่ประมาณครึ่งปี ถึงทำชุดนี้สำเร็จ”
ฉีหนิงตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดตอนนั้นถังนั่วถึงได้
มั่นใจว่าตัวเองมีวิธีป้องกัน ที่แท้นางก็มีของดีแบบนี้
นี่เอง เดิมเขายังกังวลว่าถังนั่วเข้าใกล้ศพแล้วจะติด
เชื้อไปด้วย แต่เห็นของดีแบบนี้แล้ว ฉีหนิงก็เบาใจ
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ยังดีที่แม่นางถังไม่ได้อ้วนขึ้น
ไม่อย่างนั้นคงสวมชุดนี้ไม่ได้จริงหรือไม่?”
ถังนั่วขมวดคิ้ว “เจ้าว่าอะไรนะ?” ปกตินางเป็นคน
เรียบง่ายอ่อนโยนและอบอุ่น ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็
ตาม นางก็ดูสบายๆ แต่ตอนนี้สายตาของนางเหมือน
จะโกรธขึ้นมา
ฉีหนิงรีบพูดว่า “ไม่...ไม่มีอะไร แม่นางถัง ถุงมือกับ
ผ้าปิดปากนั่นก็ทำจากจื่อเฟิ่งหวงด้วยหรือ?”
ถังนั่วพยักหน้า แล้วพูดว่า “พิษชนิดนี้ ไม่น่าจะติดต่อ
ด้วยระยะ แต่ว่าหากสัมผัสถูกเนื้อหรือว่าเลือด ก็จะมี
โอกาสติดเชื้อได้ง่าย” ตอนนี้นางสวมถุงมือเสร็จแล้ว
หลังจากนั้นนางก็หยิบผ้าปิดปากขึ้นมา แล้วกำชับว่า
“ข้าจะใช้เวลาอยู่ในนั้นนานหน่อย เจ้าให้คนเฝ้าข้าง
นอกไว้ก็พอ ข้าหวังว่าจะไม่มีใครเข้าไปรบกวนข้า”
ฉีหนิงตบไปที่หน้าอกแล้วพูดว่า “วางใจได้ ก่อนที่เจ้า
จะออกมา จะไม่มีใครเข้าไปเด็ดขาด”
ถังนั่วพยักหน้า ใส่ผ้าปิดปาก แล้วหยิบกล่องยาของ
นางเดินเข้าไปในห้องที่มีศพ ฉีหนิงมองไปที่หลังของ
นาง ถึงแม้จะรู้ว่าในเวลาแบบนี้จะมาคิดอะไร
เหลวไหลไม่ได้ แต่ว่ารูปร่างสัดส่วนของถังนั่วมันน่า
ตะลึงจริงๆ
กู้ชิงฮั่นรูปร่างเย้ายวน ถังนั่วเองก็สัดส่วนดี คนหนึ่ง
รูปร่างเร่าร้อนยั่วยวน คนหนึ่งผอมเพรียวเรียวบาง
ทำให้คนรู้สึกชุ่มช่ำหัวใจขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อน” เห็นถังนั่วเดินไปได้สองสามก้าว ฉีหนิง
เหมือนคิดอะไรออก จึงได้เรียกนางเอาไว้ แล้วเดินเข้า
ไปหา
ถังนั่วหยุดเดิน แล้วหันหลังกลับมา สีหน้าแววตาเต็ม
ไปด้วยความสงสัย เห็นฉีหนิงถอดเสื้อคลุมขนสัตว์
ของตัวเองออกมา แล้วเดินไปคลุมให้ถังนั่ว แล้วพูด
อย่างอ่อนโยนว่า “แม่นางถัง อากาศหนาวเย็น ชุด
ป้องกันพิษนี่มันบางมาก สวมใส่นานๆ ก็จะหนาวได้
นะ คลุมเสื้อนี่ไว้ มันช่วยกันหนาวได้”
ถังนั่งอึ้งไป เหมือนรู้สึกแปลกใจ จากนั้นนางก็ยิ้มแย้ม
ขึ้นมา ฉีหนิงไม่เคยเห็นถังนั่วยิ้มมาก่อน ตอนนี้เขา
พบว่า เวลาถังนั่วยิ้มนั้นมีลักยิ้มด้วย มันดูสวยงาม
มาก ถังนั่วพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ขอบคุณนะ” แล้วก็ไม่
เสียเวลาอีก นางคลุมเสื้อของฉีหนิงแล้วเดินเข้าห้อง
ไป
ก่อนที่ถังนั่วจะมาถึง ฉีหนิงสั่งให้คนไปจุดตะเกียงใน
ห้องไว้หลายดวง เขารู้ว่าถังนั่วจะตรวจพิสูจน์ศพ อีก
ทั้งสั่งให้คนเตรียมถังน้ำ ผ้า และอุปกรณ์ที่จำเป็นต้อง
ใช้เอาไว้
หลังจากที่ถังนั่วเข้าไปแล้ว ฉีหนิงก็กลับมาที่ห้องโถง
เห็นพวกต้วนฉางไห่กำลังซุบซิบคุยอะไรกันอยู่ เมื่อ
เห็นฉีหนิงเดินมา ต้วนฉางไห่ก็รีบเดินเข้ามาหา แล้ว
ถามเบาๆ ว่า “โหวเยวี่ย ท่านไปหาจงอี้โหวมาหรือ?”
ฉีหนิงยังไม่ตอบคำถามของเขา แต่ย้อนถามกลับไปว่า
“ทางจวนเสินโหวสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
ต้วนฉางไห่สีหน้าจริงจังขึ้นมา แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย
ยังดีที่พวกเราไปแจ้งให้พวกเขารู้ ฟังจากที่พวกเขาพูด
ถึงแม้จะรู้ว่าทางพรรคกระยาจกเกิดความผิดปกติ แต่
ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าในเมืองหลวงเกิดพิษระบาดแล้ว”
ฉีหนิงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“เจ้าเจอท่านเสินโหวหรือไม่?”
“ท่านเสินโหวไม่อยู่ที่จวนเสินโหว แต่จวีเหมิน เหวิน
ฉวีและทันหลางเสี้ยวเว่ยอยู่ครบ” ต้วนฉางไห่เขยิบ
เข้าใกล้ฉีหนิงแล้วพูดว่า “พวกเขาเหมือนกับรู้แล้วว่า
เกิดเรื่องผิดปกติ แต่ว่าพอข้าน้อยนำข่าวไปแจ้งให้
พวกเขา พวกเขาดูจะตกใจกันมาก”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “จวนเสินโหวดูแลเรื่องใน
ยุทธภพไม่ใช่หรือ? ท่านอาต้วน จวนเสินโหวร้ายกาจ
อย่างที่ท่านว่ามาจริงหรือไม่? เหตุใดข้ารู้สึกว่าก็ไม่
เท่าไหร่”
“โหวเยวี่ย จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก” ต้วนฉางไห่รีบพูด
ว่า “ซีเหมินเสินโหวมีตำแหน่งที่มั่นคงในราชสำนัก
ในยุทธภพเองเขาก็มีชื่อเสียงในระดับสูง วรยุทธ์ของซี
เหมินเสินโหวร้ายกาจดุจเทพ ได้ยินมาว่าเมื่อยี่สิบปี
ก่อน บรรดาพรรคใหญ่น้อยในยุทธภพจัดการชุมนุม
ชาวยุทธขึ้น เพื่อคัดเลือกคนที่จะมาเป็นจ้าวยุทธภพ
ชื่อเสียงอิทธิพลของเขาก็มีไม่น้อยเลย โหวเยวี่ยรู้สึก
ว่าราชสำนักจะยอมให้พวกเขาทำเรื่องแบบนั้นได้
หรือ?”
ฉีหนิงพยักหน้า “บรรดาพรรคต้องการถ่วงดุลอำนาจ
กัน ราชสำนักอาจจะไม่ได้สนใจเรื่องของพวกเขามาก
นัก แต่ว่าหากคนพวกนั้นต้องการคัดเลือกจ้าวยุทธภพ
มันไม่เป็นผลดีต่อราชสำนัก”
“ดังนั้นราชสำนักไม่มีทางให้พวกเขาจัดงานได้สำเร็จ”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “จวนเสินโหวปล่อยข่าวให้กับเหล่า
ผู้นำที่ต้องการจัดงานชุมนุมยุทธภพขึ้น เตือนให้
พวกเขาสำรวมหน่อย”
“แล้วต่อมาเล่า?”
“เหล่าบรรดาชาวยุทธ์ทั่วไป พอจะเชื่อฟังอยู่บ้าง แต่
พรรคใหญ่ที่เป็นคนเสนอให้จัดงานชุมนุมชาวยุทธ์ขึ้น
พวกเขาบอกว่าเรื่องในยุทธภพ ราชสำนักไม่มีสิทธิเข้า
แทรกแซง” ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนั้นราช
สำนักกำลังยุ่งอยู่กับการปราบกบฏ ดังนั้นไม่มีกำลัง
มากพอที่จะไปปราบพวกนั้น”
ในตอนนี้เองฉีเฟิงกับจ้าวอู๋ซังก็เขยิบเข้ามา ล้อมฉีหนิง
ฉีเฟิงอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมาว่า “คนพวกนั้นเอง
ก็ไม่เจียมตัว จวนเสินโหวอุตส่าห์ปล่อยข่าวแจ้งเตือน
ไปแล้ว คนพวกนั้นยังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จะไปได้ผลดี
ได้อย่างไร?”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “ก่อนหน้าครึ่งเดือนก่อนที่จะถึงวัน
งานชุมนุมชาวยุทธ์ ผู้นำชาวยุทธ์ห้าคนที่เสนอให้จัด
งาน ถูกตัดหัวจนหมด แล้วแขวนไว้ที่ธง”
ฉีหนิงสีหน้าเปลี่ยนไป แล้วถามว่า “จวนเสินโหวทำ
รึ?”
“ใช่แล้ว จวนเสินโหวเป็นคนทำ” ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้ว
พูดว่า “แต่ว่าในตอนนั้นซีเหมินเสินโหวยังเป็นแค่จวี
เหมินเสี้ยวเว่ยเท่านั้น ผู้นำชาวยุทธ์ห้าคนนั้นเป็นคนที่
มีชื่อเสียงโด่งดังมากในยุทธภพ ไม่ว่าจะวรยุทธ์หรือ
อิทธิพล ก็อยู่ในระดับสูงทั้งนั้น แต่ว่าภายในเวลาไม่กี่
วันถูกจวนเสินโหวบุกเข้าไปตัดหัวถึงที่ หลังจากนั้น
เป็นต้นมา ซีเหมินเสินโหวก็มีชื่อเสียงสะเทือนยุทธภพ
หลังจากนั้นก็ได้รับหน้าที่ดูแลจวนเสินโหวทั้งหมด
และก็เพราะซีเหมินเสินโหวเป็นผู้นำจวนเสินโหวมา
ยี่สิบกว่าปี ทำให้จวนเสินโหวกลับเป็นหน่วยงานที่น่า
เกรงขามมากที่สุดในยุทธภพ”
ฉีหนิงพยักหน้า ในใจก็คิดว่าซีเหมินเสินโหวดูไป
เหมือนคนสบายๆ แต่ไม่คิดว่าฝีมือจะร้ายกาจขนาดนี้
คิดๆ ดูแล้วก็สมเหตุสมผลอยู่ ไม่อย่างนั้นจะดูแลจวน
เสินโหวได้อย่างไร
“ถ้าอย่างนั้น เหตุใดคราวนี้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ จวน
เสินโหวถึงไม่รู้เรื่องเลยเล่า?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “พิษ
ระบาดเริ่มจากพรรคกระยาจก พรรคกระยาจกเป็น
พรรคใหญ่ น่าจะเป็นพรรคที่จวนเสินโหวต้องจับตา
มองเป็นพิเศษ แต่ว่าศิษย์พรรคกระยาจกถูกพิษ
ระบาด จวนเสินโหวไปทำอะไรกันหมด?”
ต้วนฉางไห่สีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย จะว่า
ไปแล้วก็แปลกอยู่นะ สองปีมานี้ทางจวนเสินโหวดูไม่
เหมือนเมื่อก่อน”
“อ๋อ?” ฉีหนิงเงยหน้ามองต้วนฉางไห่ “ไม่เหมือน
อย่างไรรึ?”
“เท่าที่ข้าน้อยรู้มา ในสองปีมานี้ซีเหมินเสินโหว
ไม่ค่อยเข้าไปจัดการอะไรในจวนเสินโหวมากนักแล้ว
เหมือนกำลังจะฝึกคนสืบทอดจวนเสินโหว” ต้วนฉาง
ไห่พูดว่า “จวีเหมินเสี้ยวเว่ยเสวียนหยวนปอเป็นศิษย์
คนแรกของเสินโหว คนๆ นี้เป็นคนที่ร้ายกาจมาก
หากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาน่าจะเป็นคนสืบทอดของ
ซีเหมินเสินโหวคนต่อไป”
“เจ้าหมายความว่าตอนนี้เสวียนหยวนปอเป็นคนดูแล
จวนเสินโหวทั้งหมดในตอนนี้หรือ?” ฉีหนิงถาม
ต้วนฉางไห่คิด แล้วพูดว่า “จะพูดแบบนั้นก็ได้
นอกจากจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากหรือสำคัญมากท่านเสิน
โหวถึงจะออกหน้าเอง ซีเหมินเสินโหวไปที่จวนเสิน
โหวน้อยลง ส่วนมากจะอยู่ที่จวนเสี้ยนเล่อจวี
มากกว่า”
“ถ้าอย่างนั้น ความผิดพลาดในครั้งนี้ เป็นเพราะ
เสวียนหยวนปออย่างนั้นหรือ?”
ต้วนฉางไห่กดเสียงให้เบาลงแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย
ข้าน้อยไปที่จวนเสินโหว พบเสี้ยวเว่ยทั้งสาม พัวจวิน
เสี้ยวเว่ยเหยียนลิ่งเสี้ยนเหมือนจะถูกกักบริเวณ
นอกจากนั้น เสี้ยวเว่ยอีกสามคนไม่อยู่”
ฉีหนิงพูดว่า “หมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าน้อยรู้สึกว่า เรื่องที่เกิดในพรรคกระยาจก ที่จวน
เสินโหวไม่รู้ อาจเป็นเพราะพรรคกระยาจกปิดข่าว
อย่างดี ไม่ปล่อยให้มีข่าวหลุดออกมา อีกทั้งก่อนหน้า
นี้ในเมืองหลวงเองก็ไม่เคยเกิดโรคระบาดมาก่อน
จวนเสินโหวคงคาดไม่ถึง เลยเกิดข้อผิดพลาดขึ้น แต่
ว่าความเป็นไปได้มากกว่านั้นคือ...” ต้วนฉางไห่ลังเล
แล้วพูดว่า “จวนเสินโหวอาจจะติดพันเรื่องอื่นที่
สำคัญมากกว่า เลยทำให้ละเลยเรื่องของพรรค
กระยาจกไป”
“เรื่องอื่น?” ฉีหนิงตะลึงไป “เจ้าหมายถึงทาง
จวนเสินโหวพุ่งเป้าไปที่เรื่องที่ยากกว่า?” เหมือนเขา
คิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วถามว่า “แม่ทัพหน้ากากโลหะ
ดูดเลือดนั่นหรือไม่?”
ต้วนฉางไห่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบ
ได้ แต่ว่าแม่ทัพหน้ากากโลหะคนเดียว คงไม่ทำให้
จวนเสินโหวส่งกำลังทั้งหมดไปหรอก ถึงแม้ท่านเสิน
โหวจะไม่ค่อยได้ไปดูแลการงานเอง หลายเรื่องไม่ได้
เด็ดขาดเหมือนเมื่อก่อน แต่ว่าพวกเขาก็ไม่มีทางไม่รู้
เรื่องที่เกิดขึ้นใต้จมูกเขาหรอกนะ ข้าน้อยคิดว่า น่าจะ
เป็นเพราะเรื่องอื่นมากกว่า”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 230 ต้าจงซือ
ถนนหน้าร้านยา มีเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมา จ้าวอู๋ซังมี
ปฏิกิริยาตอบสนองเร็ว เขารีบเดินไปแงมประตูดู
ฉีหนิงได้ยินเสียงม้า คิดว่าน่าจะมีสักสองตัว ได้ยิน
ด้านนอกตะโกนมาว่า “ปิดล้อมเมืองหลวง ทุกคนปิด
ประตู ห้ามออกไปไหนโดยพลกาล”
คนนั้นตะโกนเสร็จ คนด้านหลังก็มีเสียงตะโกนซ้ำอีก
รอบ
ม้าวิ่งผ่านหน้าประตูไป เสียงของทั้งสองสลับตะโกน
ค่อยๆ ไกลออกไป
ใบหน้าของฉีหนิงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม จ้าวอู๋ซังหัน
กลับมา เขาก็มีสีหน้าดีใจ เขาปิดประตู แล้วเดินเข้า
มา แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย ผู้บัญชาการเสวียไม่ทำให้
พวกเราผิดหวังจริงๆ”
ต้วนฉางไห่กับฉีเฟิงยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกเขา
ทำสีหน้างุนงง ฉีหนิงส่งสายตา ให้จ้าวอู๋ซังเป็นคน
อธิบาย จ้าวอู๋ซังอธิบายคร่าวๆ ต้วนฉางไห่ก็ปรบมือ
ขึ้น ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยฉลาดหลักแหลมมาก เส
วียหลิงเฟิงก็เป็นลูกผู้ชายดี ไม่เสียแรงที่แม่ทัพใหญ่
ส่งเสริมเขา”
“ดูท่าหลังจากที่พวกเรากลับมา เสวียหลิงเฟิงก็
เตรียมการไว้พร้อม” ฉีหนิงพูดอย่างชื่นชมว่า “เขา
น่าจะส่งคนไปจับตาดูพรรคกระยาจกเอาไว้ เมื่อศิษย์
พรรคกระยาจกออกมา ก็รีบเคลื่อนกำลังพลทันที”
เขาเอนหลังลงไป ทันใดนั้นเองก็รู้สึกสบายใจจึงถอน
หายใจด้วยความโล่งอก “คนของพรรคกระยาจกทำ
อะไรเด็ดขาดใช้ได้จริงๆ”
ฉีเฟิงพูดว่า “พรรคกระยาจกก็ช่วยตัวพวกเขาเอง
ชีวิตของคนนับร้อยกำลังอยู่ในอันตราย หากถอนพิษ
ไม่ได้ พรรคกระยาจกสาขากุ่ยจินหยางก็ต้องล่มสลาย
แน่นอน”
ฉีหนิงรู้ว่าพรรคกระยาจกร่วมมือกับทหารค่ายหูเสิน
ก็เพื่อป้องกันคนติดเชื้อเพิ่ม ส่วนของถังนั่วต่างหากที่
สำคัญที่สุด
ฉีหนิงเชื่อในความสามารถของถังนั่ว พวกหมอหลวง
อาจจะสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ หากแม้แต่ถังนั่วก็ไม่อาจถอน
พิษได้ ถ้าอย่างนั้นพิษระบาดในครั้งนี้มันก็จะน่ากลัว
มาก เมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาก็มองไปที่ห้อง มีเสียง
เคลื่อนไหวเบาๆ ตลอดเวลา แสดงว่าถังนั่วเริ่มงาน
ของนางแล้ว
“จริงสิ แล้วทางจวนเสินโหวเตรียมรับมืออย่างไร?” ฉี
หนิงพูดเรื่องก่อนหน้านี้ต่อ
ต้วนฉางไห่พูดว่า “พวกเขาก็ขอบคุณโหวเยวีย่ ที่ไป
แจ้งข่าวกับพวกเขา ส่วนที่ว่าจะทำอย่างไรต่อไป พวก
เขาไม่ได้บอกกับข้าน้อย แต่ว่าหากข้าน้อยเดาไม่ผิด
พวกเขาไม่น่าจะส่งคนไปช่วยทหารค่ายหูเสิน พวก
เขาไม่ได้มีหน้าที่นั้น ปิดล้อมถนนต่างๆในเมืองหลวง
พวกเขาเองก็ไม่ได้มีสิทธิทำแบบนั้น” เขาหยุดไป แล้ว
พูดว่า “พวกเขาน่าจะเร่งหาศพมา แล้วส่งคนของ
หน่วยตันชี่ไปหาวิธีถอนพิษ นอกจากนี้ก็น่าจะหา
คนร้ายที่วางยาพิษในครั้งนี้”
ฉีหนิงได้ยินคำว่า “คนร้าย” ก็รีบถามว่า “จริงสิ พวก
เจ้าเคยได้ยินชื่อของพรรคบัวดำบ้างหรือไม่?”
“พรรคบัวดำ?” ต้วนฉางไห่ขมวดคิ้ว แล้วถามว่า
“โหวเยวี่ย ท่านคิดว่าคนของพรรคบัวดำเป็นคน
วางยาอย่างนั้น?”
“ตอนที่โหวเยวี่ยไปที่พรรคกระยาจก คนของพรรค
กระยาจกพูดถึงพรรคบัวดำ” จ้าวอู๋ซังไปตรอกหลัวกู่
เขารู้เรื่องดี เขาอธิบายว่า “คนของพรรคกระยาจก
เหมือนจะแน่ใจว่าเป็นฝีมือของพรรคบัวดำ”
ต้วนฉางไห่พยักหน้า สีหน้าเคร่งเครียด ขมวดคิ้ว
กล่าว “คนของพรรคบัวดำมายังเมืองหลวงอย่างนั้น
หรือ? พวกเขากับพรรคกระยาจกมีความแค้นอะไรกัน
เหตุใดต้องลงมือกับพรรคกระยาจกแบบนี้ด้วย?”
“เจ้ารู้จักพรรคบัวดำ?” ฉีหนิงมองไปที่ต้วนฉางไห่
ต้วนฉางไห่ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยท่านยังจำ
ราชาพิษจิ่วซีได้หรือไม่?”
ฉีหนิงพยักหน้า เขาตกใจ แล้วพูดว่า “หรือว่า...หรือ
ว่าเป็นนาง?” ในหัวของเขามีหน้าของปีศาจน้อยอาเห
น่าลอยมา
ปีศาจน้อยเชี่ยวชาญด้านพิษ อีกทั้งนางก็มาจากปาสู่
หรือว่านางจะมีความเกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำ?
ก่อนหน้านี้ปีศาจน้อยปล่อยงูพิษเข้าไปในห้องนอน
ของเขา หากไม่ใช่เพราะถังนั่ว ฉีหนิงเกือบตายด้วย
น้ำมือของปีศาจน้อยแล้ว ตอนนี้นึกย้อนกลับไปก็ยัง
กลัวอยู่
ปีศาจน้อยไปมาไร้ร่องรอย แต่ว่าตอนนี้ต้องอยู่ใน
เมืองหลวงแน่นอน
ถึงแม้นางอายุจะน้อย แต่ว่าโหดเหี้ยมนัก เห็นชีวิตคน
อื่นเป็นผักเป็นปลา หากพิษนี้จะมาจากนาง ฉีหนิงก็
ไม่สงสัย
ต้วนฉางไห่เข้าใจความหมายของฉีหนิง เขาถามว่า
“โหวเยวี่ยหมายถึงคนร้ายที่ปล่อยงูในห้องของท่านใน
คืนนั้นหรือ?”
ฉีหนิงสงสัย แต่ไม่กล้าตัดสินใจ เขาไม่ตอบ แต่ถามว่า
“เจ้าพูดถึงราชาพิษจิ่วซีทำไม? ราชาพิษจิ่วซีกับพรรค
บัวดำมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน?”
ต้วนฉางไห่ลังเล แล้วพูดว่า “โหวเยวี่ย เรื่องของ
พรรคบัวดำ ข้าน้อยก็ฟังเขามาอีกที ไม่รู้ว่าเป็นเรื่อง
จริงหรือไม่ แต่ว่า...พรรคบัวดำทำอะไรลึกลับมา
ตลอด คนในยุทธภพเองก็รู้เรื่องของพวกเขาน้อยมาก
มีเพียงชาวยุทธที่เป็นคนปาสู่เท่านั้นที่พอจะรู้
อะไรบ้าง”
“อ๋อ?”
“โหวเยวี่ยน่าจะจำได้ที่ข้าน้อยเคยบอกว่า ราชาพิษ
จิ่วซีเป็นยอดฝีมือด้านพิษอันดับหนึ่งของซีชวนปาสู่
เขาเป็นชาวไป๋เหมียว” ต้วนฉางไห่พูดว่า “ข้าน้อย
เคยได้ยินว่า พรรคบัวดำเป็นพรรคที่ชาวเฮยเหมียว
เป็นคนก่อตั้ง เห็นว่ามีฐานที่มั่นคงอยู่ที่เขาเฉียนหลิง
แต่เขาเฉียนหลิงเป็นสถานที่แบบใด ข้าน้อยเองก็ไม่รู้
เหมือนกัน”
ฉีเฟิงพูดว่า “ที่ปาสู่ส่วนมากเป็นพื้นที่หุบเขา คนปาสู่
เองก็ไม่แน่ใจว่ารู้จักเขาลูกนี้ด้วยหรือไม่ ยิ่งเป็นในเขต
ของชาวเหมียวด้วยแล้ว ชื่อเขาแปลกๆ พวกเรายิ่งไม่
เคยได้ยินมาก่อน”
ต้วนฉางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉีเฟิงพูดมามีเหตุผล
โหวเยวี่ย พรรคบัวดำก่อตั้งโดยชาวเฮยเหมียว ดังนั้น
ถือว่าอยู่ในเขตพื้นที่ของซีชวนปาสู่ พวกเราแทบไม่
เคยได้ยินว่าคนของพรรคบัวดำออกมาเคลื่อนไหว
อะไรเลย พวกเขาทำอะไรไม่เผยตัว ไม่ค่อยยุ่ง
เกี่ยวกับยุทธภพ...” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดไป
ฉีหนิงถามด้วยความแปลกใจว่า “เป็นอะไรไป?”
“โหวเยวี่ย ข้าน้อยรู้เรื่องพรรคบัวดำไม่มาก แต่ว่าเคย
ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับพรรคบัวดำสองเรื่อง” ต้วนฉาง
ไห่ลังเล แล้วพูดว่า “ข้าน้อยจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน
แม่ทัพใหญ่กับซีเหมินเสินโหวเคยดื่มเหล้าด้วยกัน
ข้าน้อยอยู่รับใช้ข้างๆ พวกเขาคุยกันเรื่องในยุทธภพ
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของพรรคบัวดำ”
“อ๋อ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วพูดว่า “ท่าน...ท่านพ่อรู้เรื่อง
พรรคบัวดำด้วยหรือ?”
ต้วนฉางไห่พูด “ท่านซีเหมินเสินโหวพูดถึงเรื่องวร
ยุทธ์ แล้วก็พูดถึงต้าจงซือขึ้นมา...”
“ต้าจงซือ?”
ต้วนฉางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “วรยุทธ์ของต้าจงซือ
นั้นถึงขึ้นสูงสุดแล้ว ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปสามารถไป
ถึงจุดนั้นได้ ก็เหมือน...ท่านรองเป่ยกงของท่าน ท่าน
เสินโหวพูดถึงว่า หากท่านรองเป่ยกงยังมีชิวิตอยู่ ก็
จะต้องจัดอยู่ในหนึ่งของต้าจงซือ”
“แล้วพรรคบัวดำกับต้าจงซือเกี่ยวข้องอะไรกัน?” ฉี
หนิงถาม
ต้วนฉางไห่สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา “ซีเหมินเสินโหว
คุยเรื่องต้าจงซือกับท่านแม่ทัพใหญ่ พวกเขาคุยกันว่า
ตอนนี้ในใต้หล้านั้น มีห้าคนเท่านั้นที่อยู่ในระดับต้า
จงซือ”
จ้าวอู๋ซังกับฉีเฟิงมองไปที่ต้วนฉางไห่ เหมือนพวกเขา
รู้สึกว่าหัวข้อสนทนานี้น่าสนใจ
ฉีหนิงเองก็สนใจเช่นกัน แล้วถาม “นอกจากท่านปู่
รองแล้ว ยังมีต้าจงซือคนไหนอีกบ้าง?”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “จู๋ยื้อฟ่าอ๋องแห่งหุบเขาหิมะชิงจั่ง
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นตงไห่ ท่านรองเป่ยกงของพวกเรา
รวมแล้วก็สามคน” เขาหยุดไป แล้วพูดขึ้นมาว่า “อีก
สองคน คนหนึ่งคือมู่หวินโหวเป่ยถังห้วนเยี่ยแห่งเป่ย
ฮั่น”
“เป่ยถังห้วนเยี่ย?” ฉีหนิงนึกขึ้นมาได้ว่าถังนั่วเคยพูด
ถึงคนๆ นี้
ตามที่ถังนั่วพูดมา มู่หวินโหวเป่ยถังห้วนเยี่ยเป็นอา
ของฉางหลิงโหวเป่ยถังชิง เป่ยถังชิงเป็นแม่ทัพอันดับ
หนึ่งของเป่ยฮั่น คนหนึ่งเชี่ยวชาญการเดินหมากรุก
คนหนึ่งเชี่ยวชาญดนตรี เป็นหนึ่งในศิลปะสี่แขนง
ต้วนฉางไห่พูดว่า “โหวเยวี่ยต้องรู้จักเป่ยถังชิง ทัพเส
วียหลันของพวกเรากับทัพค่ายกิเลนดำของพวกเราสู้
กันเอาเป็นเอาตาย...” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็กำหมัด
แน่น สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความแค้น “เป่ยถัง
ห้วนเยี่ยเป็นอาของเป่ยถังชิง แล้วก็ยังเป็นประมุขของ
หอเก้านภาด้วย แต่คนๆ นี้ไม่ค่อยปรากฏตัว ว่ากันว่า
แม้แต่ขุนนางในเป่ยฮั่นเองก็มีไม่กี่คนที่เคยเห็นหน้า
เขา แต่ว่าคนในยุทธภพต่างรู้ดี วรยุทธ์ของเป่ยถัง
ห้วนเยี่ยราวกับเทพเจ้า ถือเป็นอันดับหนึ่งของเป่ย
ฮั่น”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วถามว่า “ซีเหมินเสินโหวเคยเจอ
กับเป่ยถังห้วนเยี่ยหรือ?”
“อันนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบเหมือนกัน” ต้วนฉางไห่ส่าย
หน้าแล้วพูดว่า “แต่ว่าตอนที่ซีเหมินเสินโหวพูด
ถึงเป่ยถังห้วนเยี่ย เหมือนจะนับถือเขามาก เสินโหว
ถือว่าเป็นยอดฝีมือชั้นสูงแล้ว คนที่ทำให้เขาเคารพนับ
ถือได้ แสดงว่าเป่ยถังห้วนเยี่ยจะต้องไม่ธรรมดา” เขา
หยุดไป แล้วพูดว่า “แต่ว่าในยุทธภพกลับมีขา่ วลือ
ออกมาว่า เป่ยถังห้วนเยี่ยหายตัวไปหลายปีแล้ว คิด
ว่าน่าจะตายไปแล้ว จริงหรือเท็จ ไม่มีใครรู้”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงเองก็หายตัวไป
หลายปี หลายคนก็คิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่ว่าภาพ
เคล็ดวิชากระบี่ที่หายไปได้กลับมา ฉีหนิงแน่ใจว่าเป่ย
กงเหลียนเฉิงยังมีชีวิตอยู่
เหล่าต้าจงซือชอบเล่นซ่อนหาหรืออย่างไรกัน
“แล้วอีกคนคือใคร?” ฉีหนิงถามว่า “เจ้าคงไม่ได้จะ
บอกว่าในพรรคบัวดำมีต้าจงซือหรอกกระมัง?”
ต้วนฉางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยวี่ยเดาถูกแล้ว
ประมุขพรรคบัวดำ คือต้าจงซือคนสุดท้าย”
ฉีหนิงอึ้งไป
“ท่านเจ้าอาวาสคงฉางวัดต้ากวงหมิง ประมุขพรรค
กระยาจกเซี่ยงไป๋อิ่ง รวมถึงท่านเสินโหว ถือเป็นยอด
ฝีมือชั้นสูง แต่ว่าเมื่อเทียบกับต้าจงซือทั้งห้าแล้ว
เทียบไม่ติดเลย” ต้วนฉางไห่พูดว่า “ส่วนราชาพิษจิ่ว
ซีชิวเฉียนอี๋ หากในยุทธภพลือกันไม่ผิดล่ะก็ เขาเป็น
คนของพรรคบัวดำ”
ฉีหนิงตกใจแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น พรรคบัวดำก็
แข็งแกร่งมากเลยสินะ?”
“พวกนี้ข้าน้อยก็ฟังเขามาอีกที เรื่องจริงเท็จแค่ไหน
ข้าน้อยเองก็ไม่รู้” ต้วนฉางไห่ขมวดคิ้ว “โหวเยวี่
ยบอกว่าพรรคกระยาจกกับพรรคบัวดำมีความแค้น
ต่อกัน แต่ว่าพรรคบัวดำไม่เคยออกจากซีชวนเลย ทั้ง
สองฝ่ายจะไปมีความแค้นต่อกันได้อย่างไร? ต่อให้
พวกเขามีปัญหากันจริง ก็น่าจะเกิดที่ซีชวน หาก
พรรคบัวดำจะแก้แค้นก็น่าจะทำกับพรรคกระยาจก
เจ็ดสาขาทางตะวันตก แต่ว่าสาขากุ่ยจินหยางถือเป็น
หนึ่งในเจ็ดสาขาทางใต้ อีกทั้งสาขานี้เคลื่อนไหวแค่ใน
เมืองหลวงเท่านั้น ห่างจากพรรคบัวดำมาก พวกเขา
จะไปมีความแค้นกับทางพรรคบัวดำได้อย่างไร?” เขา
ส่ายหน้า สีหน้าสงสัย “เรื่องนี้มันแปลกมาก น่าจะไม่
ง่ายอย่างที่คิด”
“เจ้าหมายความว่าพรรคกระยาจกอาจจะเข้าใจพรรค
บัวดำผิดอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงถาม
ต้วนฉางไห่พูดว่า “ข้าน้อยก็ไม่มั่นใจ แต่ตามหลักแล้ว
พรรคบัวดำน่าจะรู้ พรรคกระยาจกเป็นพรรคอันดับ
หนึ่งในใต้หล้า ต่อให้พวกเขาเป็นใหญ่ในพื้นที่ซีชวน
แต่ว่าหากมีความแค้นกับทางพรรคกระยาจก พวก
เขาก็ไม่น่าได้เปรียบ อีกอย่างหากพวกเขาส่งคนมา
วางยาพิษในเมืองหลวงจริง อีกทั้งใช้พิษที่ติดต่อได้
พวกเขาจะไม่กลัวถูกตรวจสอบพบ แล้วมีคนลงมือกับ
ทางพรรคบัวดำหรือ? หากราชสำนักเตรียมกวาดล้าง
พรรคบัวดำจริง ต่อให้พวกเขามีต้าจงซืออยู่ ก็หนีไม่
พ้นอยู่ดี”
ฉีเฟิงพูดขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “ในเมื่อพรรคบัวดำ
มีต้าจงซืออยู่ เหตุใดยังเลือกใช้วิธีนี้อีกเล่า? หากมี
ความแค้นกับพรรคกระยาจกจริง เขาไปหาประมุข
พรรคกระยาจกก็ได้ เหตุใดต้องวางยาพิษในเมือง
หลวงให้มันเดือดร้อนผู้บริสุทธิ์ด้วย?” เขามองไปที่ต้
วนฉางไห่ “พี่ต้วน ท่านพูดไม่ผิด เรื่องนี้มันแปลกมาก
น่าจะไม่ง่ายอย่างที่คิด”
ฉีหนิงเหมือนกำลังคิดอะไร แล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง
“พรรคบัวดำ...” ทันใดนั้นเอง เหมือนเขานึกอะไร
ขึ้นมาได้ เขาขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “กล่องนั่น...”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 231 ศัตรูคู่แค้น
ฉีหนิงหลุดพูดออกมา ต้วนฉางไห่กับคนอื่นต่างตะลึง
ไป พวกเขาไม่เข้าใจ จึงถามอย่างระวังว่า “โหวเยวี่ย
กล่องอะไรหรือ?”
ฉีหนิงนึกถึงตอนที่เขาเห็นกล่องที่อยู่ในถ้ำที่เขาหนิว
โถว
ตอนนั้นเขาต้องการหนีการไล่ล่าของมู่เสินจวิน
บังเอิญตกลงไปที่หน้าผา แต่ก็ถือว่าโชคดี ได้วิชาท่า
เท้าท่องคลื่นมาจากผนังถ้ำ อีกทั้งยังได้มีดสั้นที่ตัด
เหล็กได้อย่างดี
มีดสั้นที่เขาพกติดตัวมาตลอดมันวางอยู่ในกล่อง
ทองเหลืองใบนั้น
ฉีหนิงจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ บนฝากล่องทองเหลืองนั้น
เหมือนจะแกะสลักรูปดอกไม้อยู่หนึ่งดอก เขายังจำได้
อีกว่า กล่องทั้งใบเป็นสีเหลืองทั้งหมด ยกเว้นดอกบัว
ที่เป็นสีดำ
เดิมทีเขาลืมเรื่องกล่องไปแล้ว แต่ว่าคืนนี้พูดถึงพรรค
บัวดำอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขานึกถึงกล่องทองเหลือง
สลักรูปดอกบัวสีดำขึ้นมา
เขารู้สึกแปลกใจ แอบคิดในใจว่ากระดูกที่อยู่ในถ้ำนั้น
หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำด้วย?
ต้วนฉางไห่บอกว่าพรรคบัวดำก่อตั้งโดยชาวเฮย
เหมียว แล้วชาวเฮยเหมียวก็เคลื่อนไหวแค่ในซีชวนปา
สู่เท่านั้น
แต่ว่าถ้ำที่เขาหนิวโถวอยู่ในพื้นที่เจียงไหว ห่างจาก
บริเวณที่ชาวเฮยเหมียวเคลื่อนไหวกว่าพันลี้ หาก
กระดูกนั่นมีความเกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำจริง เหตุใด
จะต้องวิ่งจากปาสู่มายังจงหยวนด้วย แล้วทำไมยัง
ต้องหลบอยูถ้ำในหน้าผาด้วย?
ต้วนฉางไห่ถาม ฉีหนิงส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
ต้วนฉางไห่เห็นฉีหนิงเหนื่อยมาก เขาเลยพูดว่า “โหว
เยวี่ย เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำหรือไม่ พวก
เราแทรกแซงเรื่องนี้ไม่ได้หรอก ทางจวนเสินโหวจะ
เป็นคนไปสืบเอง ฟ้าใกล้สางแล้ว ท่านวิ่งวุ่นมาทั้งคืน
แล้ว ถ้าอย่างนั้น...กลับไปพักที่จวนก่อนดีหรือไม่?”
เขามองไปที่ห้อง แล้วพูดว่า “ข้าน้อยว่าแม่นางถังคง
ไม่ออกมาเร็วๆ นี้แน่นอน เดี๋ยวข้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่เอง”
ฉีหนิงรู้ว่าถึงแม้ถังนั่วจะมีวิชาการแพทย์ที่ร้ายกาจ
แต่นางก็ไม่ใช่เทพเจ้า คนพรรคกระยาจกหลายคน
ช่วยกันหาวิธีปรุงยาถอนพิษแต่ก็ไม่เป็นผล ถังนั่วไม่มี
ทางปรุงยาออกมาได้โดยทันทีแน่นอน
เขาเองก็รู้สึกเหนื่อยแล้วจริงๆ เขาคิดๆ ดูแล้ว ก็พยัก
หน้า “ข้ากลับไปที่จวนก่อนก็ดีเหมือนกัน วันนี้หาก
พิษกำเริบขึ้นมาจริงๆ น่าจะมีคนอีกมากไปหาข้าที่
จวน” เขาลุกขึ้น ยิ้มแล้วพูดว่า “หากวันนี้พิษไม่
กำเริบ ยิ่งมีคนอีกมากจะไปหาข้า”
หย่งอันถังห่างจากจวนโหวไม่กี่ช่วงถนน ไม่ได้ไกลมาก
นัก เมื่อออกมาจากร้าน ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมาแล้ว ฉีหนิง
ออกจากหย่งอันถัง เดินทางกลับจวนโดยมีจ้าวอู๋ซัง
กับองครักษ์คุ้มกัน
เมื่อเดินผ่านถนนเส้นหนึ่ง ก็เห็นสะพานแห่งหนึ่งที่
แม่น้ำฉินไหว มีทหารของค่ายหูเสินอยู่ประมาณห้า
หกคน ดูท่าจะปิดล้อมสะพานเอาไว้แล้ว
ฉีหนิงจำได้ว่าครั้งแรกที่มาที่ร้านหย่งอันถังพร้อมกับ
ถังนั่วนั้น ก็เคยผ่านตรงนี้มาแล้ว ตอนนั้นสะพานแห่ง
นี้มีคนไปมามากมาย แต่ว่าวันนี้กลับเงียบไม่มีคนเลย
ในใจก็คิดว่าก่อนหน้านี้ทหารของค่ายหูเสินได้ขี่ม้า
ออกคำสั่งให้ชาวบ้านอยู่แต่ในบ้านอย่าออกไปไหน
ชาวบ้านคงนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดังนั้นก็เลยไม่ออก
จากบ้าน
หากเทียบกับที่อื่นๆ ชาวบ้านในเมืองหลวงคุ้นเคยกับ
คำสั่งแบบนี้ดี
เมื่อเมืองหลวงเกิดเหตุขึ้น สิ่งแรกที่จะทำก็คือ
ประกาศกฎอัยการศึก ไม่ให้ชาวบ้านออกจากบ้าน
ชาวบ้านในเมืองหลวงนั้นเคยชินแล้ว อีกทั้งก่อนหน้า
นี้เพิ่งจะประกาศกฎอัยการศึกไป ตอนนี้ประกาศอีก
ชาวบ้านถึงแม้จะไม่แปลกใจ แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัว
ฉีหนิงกลับไปที่จวนโหว จริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องข้าม
สะพานแห่งนี้ แค่ผ่านสะพานไป ทหารค่ายเสินโหว
เห็นมีคนขี่ม้ามา ไม่รอให้พวกของฉีหนิงเข้ามาใกล้
เขาก็ตะโกนเสียงดังว่า “เมืองหลวงประกาศกฎ
อัยการศึก ปิดถนน พวกเจ้าไม่ได้ยินคำสั่งหรือ
อย่างไร? ยังไม่กลับไปอีก?”
ฉีเฟิงตะโกนกลับไปว่า “จิ่นอีโหวอยู่นี่ อย่าบังอาจ”
คนๆ นั้นตะลึงไป จากนั้นก็ก้าวขึ้นมา แล้วมอง
จากนั้นก็ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยมีตาหามี
แววไม่ โหวเยวี่ยโปรดอภัย”
ฉีหนิงไม่มีทางเอาโทษพวกเขา เขาถามว่า “ไม่ให้ใคร
ข้ามสะพานเลยหรือ?”
“เรียนโหวเยวี่ย ในเมืองหลวงมีคนบ้าออกมา
อาละวาด น่ากลัวมาก ท่านผู้บัญชาการเสวียต้องการ
ควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงเอาไว้ เลยสั่งเคลื่อน
กำลังพลปิดล้อมถนนกับสะพานสำคัญในเมืองหลวง
เอาไว้”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วถามว่า “เคลื่อนพลมาเท่าไหร่?”
คนๆ นั้นตะลึงไป ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เคลื่อนพล
เท่าไหร่ ข้าน้อยไม่ทราบ แต่ว่า...น่าจะมีประมาณหนึ่ง
ร้อยคน”
ฉีหนิงอึ้งไป ในใจคิดว่าเมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ คนแค่
ร้อยคนมันก็เหมือนโยนหินลงทะเล มันไม่มีประโยชน์
อะไร แต่ว่าเขาก็เข้าใจ
ถึงแม้ว่าในเวลาสั้นๆ แค่คืนเดียว แต่ว่าฉีหนิงก็เข้าใจ
อะไรได้หลายอย่าง
ขุนนางราชสำนักดื่มเหล้าเคล้านารีปกติไม่ใช่เรื่อง
แปลก แต่วา่ จะให้ทำงานขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าเรื่องอะไร
ก็คิดแล้วคิดอีก ไม่ใจร้อนบุ่มบ่าม
ฉีหนิงคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ในเมืองหลวง หากไป
หาจงอี้โหว ผู้ที่มีอำนาจสูงสุด เขาจะต้องไม่อยากเห็น
เมืองหลวงวุ่นวายแน่นอน แล้วก็จะต้องสั่งเคลื่อน
กำลังพลทันที
แต่ว่าตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจว่า เรื่องนี้มันไม่ง่ายอย่าง
นั้น
ขุนนางไม่ใช่จอมยุทธ์
ที่เดินสิบก้าวฆ่าหนึ่งคน เดินทางพันลี้ไม่หยุด ทำอะไร
เด็ดขาดไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง แบบนี้มันเหมาะ
สำหรับใช้ในยุทธภพเท่านั้น
ขุนนางทำอะไร ต้องคิดให้ลึกซึ้ง เดินหนึ่งก้าวคิดสาม
ก้าว เพราะหากพลาด ก็อาจจะตายทั้งบ้าน
เสวียหลิงเฟิงถึงแม้จะเป็นคนมีคุณธรรม แต่ก็เป็นแม่
ทัพของราชสำนัก ไม่ใช่คนใจร้อนบุ่มบ่าม
ฉีหนิงรู้ว่า หากเคลื่อนกำลังของค่ายหูเสินออกมา
ทั้งหมด จะทำให้เมืองหลวงเกิดความวุ่นวายทันที แต่
ว่าหากส่งกองกำลังแค่บางส่วนมา แค่รักษาความ
ปลอดภัยในบางพื้นที่ก่อน แล้วเมื่อเกิดการ
เปลี่ยนแปลงหนัก ค่อยส่งทหารมาเพิ่ม ดูมีระบบ
ระเบียบมากกว่า
ฉีหนิงเชื่อว่าเสวียหลิงเฟิงน่าจะเตรียมการมาแล้ว เขา
สามารถสั่งเคลื่อนกำลังได้ทันที
ตลอดทาง เขาเห็นทหารของค่ายหูเสินไม่น้อยที่มายืน
ปิดถนนเอาไว้ ยังดีที่ฉีหนิงมีตำแหน่ง ก็เลยกลับเข้า
ถนนผีพาอย่างราบรื่น
ในเมืองหลวงตอนนี้ บรรยากาศเย็นเฉียบ
ฉีหนิงขี่ม้ายังไม่ทันถึงจวนโหว ก็เห็นที่หน้าประตูจวน
มีคนๆ หนึ่งยืนอยู่ สวมหมวก สวมเสื้อคลุมขนสัตว์
เขามองแล้วก็จำได้ทันทีว่าเป็นคนของจวนเสินโหว
แต่ว่าเพราะว่าสวมหมวกมีผ้าปิด มีเสื้อคลุมขนสัตว์
บังตัว มองไม่ออกว่าใคร
ที่หน้าประตูจวนผูกม้าเอาไว้ มันดูเป็นม้าหนุ่มที่
แข็งแรงมาก
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เมื่อมาถึงหน้าประตูจวน เขาก็หยุดม้า
ลง คนๆ หนึ่งได้ยินเสียงฝีเท้าม้า ก็เงยหน้าขึ้นมา ฉี
หนิงมองไป จากนั้นเขาก็ยิ้ม แล้วพูดว่า “เอ๋ จั้นอิงนี่
นา? พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ เมื่อคืนหลับสบายดี
หรือไม่?”
คนๆ นั้นคือซีเหมินจั้นอิงนั้นเอง
ซีเหมินจั้นอิงช่างดูเย็นชายิ่ง ดวงตาที่สวยงามเปี่ยมไป
ด้วยความจนปัญญา นางพูดว่า “เจ้าไปไหนมา? ข้า
รอเจ้ามาครึ่งชั่วยามแล้วนะ”
“รอข้า?” ฉีหนิงไม่ได้ลงจากม้า เขาเอนตัวลงหลังม้า
แล้วมองไปที่ซีเหมินจั้นอิง ยิ้มแล้วพูดว่า “อะไรกัน
เพิ่งแยกกันเมื่อวาน คิดถึงข้าแล้วหรือ?”
ฉีหนิงกับพวกเห็นดังนั้น อยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า
ได้แต่กลั้นเอาไว้
ซีเหมินจั้นอิงรู้ว่าปากอย่างฉีหนิงคงไม่มีทางมีอะไรดีๆ
ออกมา เมื่อวานถูกเขายั่วโมโหมาตลอดทั้งบ่าย ก็เริ่ม
ชินแล้ว นางเดินมาดึงเชือกม้า แล้วพูดว่า “เจ้าไปกับ
ข้า อย่าเสียเวลา พวกเราต้องรีบไป”
“ไป?” ฉีหนิงพูดว่า “ไปไหน? จั้นอิง เจ้าพูดจาไม่
ชัดเจน หากคนที่ไม่รู้จักมาได้ยิน จะคิดว่าเจ้ากับข้า
จะไป...” เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าคงไม่ได้
คิดจะพาข้าหนีตามกันไปหรอกกระมัง?”
“คริคริ” ฉีเฟิงกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
ฉีหนิงหันไปมอง ฉีเฟิงก็รีบกลั้นเสียงเอาไว้
ซีเหมินจั้นอิงทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด “ใคร...ใครจะพาเจ้า
หนีตามกันไป? เจ้า...เสินโหวให้ข้ามาหาเจ้า ให้เจ้ารีบ
ไปพบ”
“ไม่สิ” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าพูดผิด”
ซีเหมินจั้นอิงอึ้งไป “ผิดอย่างไร?”
“เสินโหวไม่น่าจะให้เจ้ามาหาข้านะ หากข้าเดาไม่ผิด
เขาน่าจะให้เจ้ามาเชิญข้ามากกว่า” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด
ว่า “จั้นอิง ข้าพูดถูกใช่หรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงไม่พูดอะไร แล้วหันหลังขึ้นไปควบม้า
“ช้าก่อน” เห็นซีเหมินจั้นอิงกระตุกเชือกม้าหันหัวม้า
มา ฉีหนิงรีบเรียกนางไว้ “เจ้ามาถึงที่จวนโหวของข้า
อากาศหนาวขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าเจ้ายืนรออยู่ข้าง
นอกแบบนี?้ ข้าว่าน้ำเข้าสมองเจ้าหรือไม่ โง่หรือไม่
เนี่ย?” เขาส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “เด็กโง่
ต่อไปต้องเป็นคนโง่มากแน่ๆ”
ซีเหมินจั้นอิงได้ยินเขาเรียกตัวเองว่า “เด็กโง่” ไม่รู้
ทำไมเหมือนกัน ใบหน้าของนางก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา
แต่นางก็ยังเถียงกลับไปว่า “เจ้านั่นแหละที่น้ำเข้า
สมอง ข้าเคยบอกไปแล้วข้าจะไม่เหยียบเข้าจวนจิ่นอี
โหวแม้แต่ก้าวเดียว”
นางก็ไม่รู้หรอกว่า “น้ำเข้าสมอง” มันหมายความว่า
อะไร แต่ว่าในใจรู้ว่า อะไรที่ออกมาจากฉีหนิงไม่
น่าจะเป็นคำที่ดี
“ได้ ได้ ได้ เจ้าเก่ง” ฉีหนิงลงจากม้า “ถ้าเจ้าชอบรอ
ถ้าอย่างนั้นก็รออยู่ข้างนอกนี่แหละ”
ซีเหมินจั้นอิงอึ้งไป แล้วรีบพูดว่า “เจ้าจะไปไหนอีก?
ท่านพ่อ...ท่านเสินโหวรอเจ้าอยู่นะ เขามีเรื่องจะคุย
กับเจ้า”
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบ อย่าทำเหมือนห่างกันนาทีเหมือน
ห่างกันเป็นปี” ฉีหนิงเช็ดหน้า “ข้าไม่ได้นอนมาทั้งคืน
แล้ว ก็ควรจะให้ข้าล้างหน้าล้างตา เรียกสติก่อนสิ”
“เจ้า...” ซีเหมินจั้นอิงพูดอย่างจนใจว่า “ในเวลาแบบ
นี้ยังมีอารมณ์มาล้างหน้าอีก?”
“ผู้ชายหน้าตาดีอย่างข้าให้ความสำคัญกับหน้าตาอยู่
แล้ว” ฉีหนิงรู้สึกง่วงจริงๆ เขาจำเป็นต้องล้างหน้า
ด้วยน้ำร้อนก่อน “จริงสิ จั้นอิง จวนเสินโหวของพวก
เจ้าเตรียมอาหารเช้าไว้หรือไม่? ข้าชอบกินโจ๊กพุทรา
แล้วก็ซาลาเปาไส้กุ้ง ขนมเปี๊ยะไส้ไข่ ข้ากินไม่เยอะ
หรอก ง่ายๆ ก็พอ...เจ้าทำหน้าแบบนี้หมายความว่า
อย่างไร อย่าบอกนะว่าจวนเสินโหวมาเชิญข้าไปแต่
เช้า แต่ไม่ได้เตรียมอาหารเช้าไว้? ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้อง
กินอะไรก่อนแล้วค่อยไป” พูดจบ เขาก็เดินเข้าจวนไป
ซีเหมินจั้นอิงมองเขาเดินเข้าจวนไป นางไม่ได้สนใจว่า
ฉีเฟิงกับพวกจะอยู่ตรงนั้นหรือไม่ นางพูดว่า “กิน กิน
กิน กินให้ท้องแตกตายไปเลย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 232 ใจคนยากแท้หยั่งถึง
หนิงกลับเข้าไปในจวน เห็นกู้ชิงฮั่น เขารู้จากกู้ชิงฮั่น
ว่าคนในจวนไม่มีใครติดเชื้อ ตัวเขาก็เบาใจลง
กู้ชิงฮั่นรู้ว่าถังนั่วถูกรับตัวไปที่หย่งอันถัง แต่ไม่รู้
รายละเอียดอะไรมาก ฉีหนิงรู้ว่าหากบอกไปว่าถังนั่ว
กำลังชันสูตรศพอยู่ คิดว่าม่ายสาวคนสวยผู้นี้คงตกใจ
มากแน่นอน จึงบอกไปแค่ว่ากำลังค้นหายาอยู่ ไม่ได้
บอกความจริงไปทั้งหมด
เขาแค่กำชับกับกู้ชิงฮั่นว่า ในช่วงนี้หากไม่ได้มีเหตุ
ด่วนจำเป็นอย่าให้ผู้ใดในจวนนี้ออกไปไหน แต่ถ้า
จำเป็นต้องออกไปจริงก็ต้องระวังตัวให้มาก
“จริงสิ แม่นางซีเหมินคนนั้นเจ้าเจอแล้วใช่หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นจู่ๆ ก็ถามขึ้นมา “นางมาที่นี่ตั้งแต่เช้า รออยู่
ข้างนอกประมาณครึ่งชั่วยามแล้ว นางบอกแค่ว่ามี
ธุระกับเจ้า เชิญนางเข้ามา นางก็ไม่เข้า ยืนรอข้าง
นอกอย่างนั้น แปลกมาก” นางพูดว่า “นางเป็นคน
ของจวนเสินโหว ข้าว่านางมาหาเจ้าในเวลาแบบนี้ ข้า
เลยไม่กล้าบอกว่าเจ้าไปไหน ให้คนบอกแค่ว่า เจ้ามี
ธุระออกไปข้างนอก นางก็ไม่ถามว่าเจ้าไปไหน ยืนรอ
อยู่อย่างเดียว” นางขมวดคิ้ว “เป็นสาวเป็นนาง
อากาศข้างนอกก็หนาวแบบนี้ กลัวจะไม่สบายเอา”
ฉีหนิงรู้ดีว่าจวนเสินโหวมักทำคดีอาชญากรรม ถึงแม้
จะเป็นหน่วยงานของราชสำนัก แต่ว่าในสายตาของ
หลายคนนั้นลึกลับมา เมื่อได้ยินชื่อจวนเสินโหว ก็
จะต้องนึกถึงคดี
คนของจวนเสินโหวมายืนรออยู่ที่หน้าประตูแต่เช้า ไม่
แปลกที่กู้ชิงฮั่นจะระวัง ไม่มีหลักฐานแน่ชัด เขารู้ว่ากู้
ชิงฮั่นต้องการปกป้องเขา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ซาน
เหนียงท่านรู้หรือไม่ว่านางเป็นลูกสาวของท่านซีเหมิน
เสินโหว?”
“อ๋อ?” กู้ชิงฮานรู้สึกแปลกใจ “นางเป็นลูกสาวของ
ท่านเซิ๋นโหวหรอ? ข้าเคยได้ยิน แต่ไม่เคยเจอ” นาง
ถามว่า “จริงสิ เมื่อวานคนที่ส่งเจ้ากลับมา ใช่นาง
หรือม่า?”
เมื่อวานซีเหมินจั้นอิงส่งฉีหนิงมาจนถึงหน้าประตูจวน
สุดท้ายถูกฉีหนิงยั่วโมโห จนชักดาบออกมา เรื่องเกิด
ที่หน้าประตู กู้ชิงฮั่นไม่มีทางไม่รู้
เพียงแต่ว่าฉีหนิงรีบไปที่แม่น้ำฉินไหว แล้วก็วิ่งวุ่นทั้ง
คืน กู้ชิงฮั่นเองก็รีบตรวจสอบคนในจวนว่ามีใครติด
เชื้อหรือไม่ ทั้งสองเลยยังไม่มีเวลาได้คุยกัน
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เมื่อวานไปดื่มกับท่านเสิน
โหว ตอนจะกลับมา ท่านเสินโหวมีน้ำใจ ให้ลูกสาว
ของเขามาส่งข้า”
กู้ชิงฮั่นยิ้มเบาๆ เหมือนไม่ได้ยิ้ม “เมื่อวานนางส่งเจ้า
กลับมา วันนี้ ก็เป็นนางที่มาหาเจ้าแต่เช้า...”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “ซานเหนียง ท่านอย่าคิดมาก ข้ากับ
นาง...ไม่ได้มีอะไรกันนะ นางมาที่จวนโหว เป็นเจตนา
ของท่านเสินโหวทั้งนั้น”
ก่อนหน้านี้กู้ชิงฮั่นเข้าใจผิดเรื่องของเขากับถังนั่ว
วันนี้กู้ชิงฮั่นถามแบบนี้เป็รครั้งงแรก ฉีหนิงกังวลว่า
นางจะคิดมาก เลยรีบอธิบาย
เมื่อเขาพูด เขาก็รู้สึกแปลกๆ ในใจคิดว่าตัวเองจะ
อธิบายทำไม? หากเป็นเพราะกลัวกู้ชิงฮั่นจะเข้าใจผิด
เรื่องเขากับซีเหมินจั้นอิง แล้วเหตุใดถึงได้กลัวกู้ชิงฮั่น
เข้าใจผิดเล่า?
ในยุคนี้ ผู้ชายมีภรรยาเยอะเป็นเรือ่ งปกติ เขาเป็น
ถึงจิ่นอีโหว ต่อให้มีผู้หญิงมากมายจริง ก็เป็นเรื่องที่
ปกติ
แต่ว่าในใจลึกๆ ของเขา เหมือนจะกังวลว่ากู้ชิงฮั่นจะ
เข้าใจผิดว่าเขามีอะไรกับผู้หญิงคนอื่น ฉีหนิงรู้ว่า
ลึกๆ แล้วเขาห่วงความรู้สึกของกู้ชิงฮั่นมาก
กู้ชิงฮั่นเหลือบมองไปที่ฉีหนิง นางยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า
“เจ้าจะรีบอธิบายทำไม? ข้ายังไม่ได้พูดว่าพวกเจ้ามี
อะไรกันเลย ข้าแค่จะบอกว่า...” นางหยุดไปครู่หนึ่ง
มองซ้ายมองขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใคร ก็พูดว่า “ข้าจะ
บอกว่าทำไมซีเหมินเสินโหวต้องทำแบบนี้ด้วย? จวน
เสินโหวเองก็ใช่ว่าจะไม่มีคนอื่น เมื่อวานให้นางมาส่ง
เจ้า มันก็ไม่ปกติแล้ว วันนี้ยังให้ลูกสาวมาหาตั้งแต่เช้า
อีก หรือว่าคนของจวนเสินโหวไม่มีใครว่างแล้ว
จะต้องให้คุณหนูซีเหมินมาด้วยตัวเองแบบนี้?”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว รู้สึกว่าคำพูดของกู้ชิงฮั่นเหมือนมี
อะไรแฝงอยู่ เขาเขยิบเข้าไปใกล้กู้ชิงฮั่น เขาได้กลิ่น
หอมจากตัวของนาง “ซานเหนียง ท่านหมายความว่า
มันมีอะไรแอบแฝงอยู่อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อวานซีเหมินจั้นอิงมาส่งเขาที่จวน ฉีหนิงไม่ได้คิด
อะไรมาก คิดแค่ว่าซีเหมินเสินโหวอาจจะทำเพราะ
อยากจะได้หนังสือตำราเล่มนั้น ก็เลยอยากจะกระชับ
ความสัมพันธ์กับเขา
แต่ว่าวันนี้ซีเหมินจั้นอิงมาที่จวนแต่เช้า ฉีหนิงก็รู้สึก
ว่ามันผิดปกติ
กู้ชิงฮั่นแอบเขยิบออกห่าง เว้นระยะกับฉีหนิง นางนั่ง
ลงบนเก้าอี้ แล้วพูดว่า “จะมีอะไรแอบแฝงหรือไม่ข้า
ไม่รู้ แม่นางซีเหมินเป็นคนฝึกยุทธ์ ไม่เหมือนกับ
ผู้หญิงทั่วไป แต่ว่าต่อให้แตกต่างอย่างไร ก็ยังเป็น
ผู้หญิงอยู่ดี หากสนิทสนมกับเจ้ามากเกินไป พวกเรา
เองไม่มีอะไรเสียหาย แต่ว่าท่านซีเหมินเสินโหวไม่คิด
บ้างหรือ?”
ฉีหนิงเดินเข้าหากู้ชิงฮั่นอย่างไม่รู้ตัวอีก เขาพูดว่า
“ซานเหนียง ข้ารู้สึกว่าเหมือนท่านกำลังกังวลอะไร
อยู่ พูดมาเถอะ”
กู้ชิงฮั่นเหลือบไปมองฉีหนิง เห็นเขาเข้ามาใกล้ห่างกัน
แค่คืบเดียว นางได้กลิ่นผู้ชายของฉีหนิงอย่างชัดเจน
ใบหน้าของนางก็ร้อนผ่าว นางพูดว่า “อย่าเข้ามาใกล้
แบบนี้ ใครเห็นเข้าจะไม่ดี”
ฉีหนิงรู้สึกใจสั่นไหว คิดในใจว่าแค่กลัวคนอื่นเห็น แต่
ไม่ได้ห้ามให้เขาเข้าใกล้ เขาก็ดีใจมากแล้ว เลยนั่งลงที่
เก้าอี้ข้างๆ กู้ชิงฮั่นแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อร์ ขุนนางใน
ราชสำนัก ไม่มีใครที่มีความคิดความอ่านง่ายๆ หรอก
นะ ซีเหมินเสินโหวเป็นผู้นำของจวนเสินโหวมายี่สิบ
กว่าปี ถึงแม้จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางจวนจิ่นอีโหว
แต่ว่าก็ไม่ได้ถึงขั้นคุยกันทุกเรื่อง” นางหยุดไป แล้ว
พูดว่า “เรื่องพวกนี้ ข้าเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เอา
เป็นว่าเจ้าต้องระวังตัวให้ดี โบราณกล่าวไว้ไม่ผิด
คนเราต้องมีใจระวังตัว จิตใจคิดร้ายผู้อื่นมิพึงมี การ
ระวังผู้อื่นมิควรขาด ต่อไปจะไปมาหาสู่กับขุนนางราช
สำนัก ก็ต้องระวังตัวให้มาก”
ฉีหนิงคิดในใจว่าอย่าเห็นว่ากู้ชิงฮั่นเป็นแค่ม่ายสาว
พราวเสน่ห์เท่านั้น แต่ว่าความรู้ความอ่านของนางมี
ไม่น้อยเลย เขายิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียง มีท่านเป็น
ผู้ช่วยที่ดีขนาดนี้ ข้าไม่มีทางเสียเปรียบใครแน่นอน”
“พูดจาเหลวไหลอีกแล้วนะ” กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่เขา
“นางยังยืนรออยู่ข้างนอก อย่าเสียเวลาอีก รีบไปรีบ
กลับ” นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ยุ่งมาทั้งคืน ยังไม่ได้
กินอะไร จะกินอะไรก่อนแล้วค่อยไปดีหรือไม่?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากข้าเสียเวลามากกว่านี้ แม่
นางซีเหมินคงถือดาบบุกเข้ามาฟันข้าแน่”
หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้ว เขาก็เก็บของอะไรนิด
หน่อย จากนั้นก็เดินออกจากจวนไป ตามซีเหมินจั้น
อิงไปที่จวนเสินโหว จ้าวอู๋ซังพาองครักษ์สองคนตาม
ไปคุ้มกันด้วย
ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ฉีหนิงขี่ม้าออกไป เขารู้สึกว่าบนท้อง
ถนนนั้นเงียบมาก เจอทหารของค่ายหูเสินตามปาก
ทางเป็นระยะ อีกทั้งยังมีทหารของค่ายหูเสิน
ลาดตระเวนอยู่ตามถนนไม่น้อย ถึงแม้คนจะไม่มาก
แต่ว่าบรรยากาศเป็นไปอย่างตึงเครียด
ไม่ต้องให้ฉีหนิงบอกฐานะของเขา ซีเหมินจั้นอิงสวม
ชุดเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหว แค่แสดงป้ายของจวน
เสินโหวเท่านั้น ถึงแม้นางจะยังไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของ
จวนเสินโหวอย่างเป็นทางการ ไม่มีเงินเดือน แต่ปกติ
แล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเจ้าหน้าที่ของที่นี่ เพราะนาง
เป็นลูกสาวของซีเหมินเสินโหว ดังนั้นซีเหมินเสินโหว
เลยทำป้ายชื่อให้นางเป็นพิเศษ
ทุกครั้งที่ฉีหนิงเห็นซีเหมินจั้นอิงแสดงป้ายของตัวเอง
เขาจะรู้สึกว่านางมีสง่าราศีมาก ต่อหน้าเขาถึงแม้จะ
ถูกยั่วโมโหบ่อยๆ แต่ว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่น ซีเหมินจั้น
อิงนั้นจะนิ่งเหมือนสายน้ำ
เมื่อเห็นถนนหนทางเงียบเหงา ฉีหนิงก็รู้สึกหดหู่
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขายุ่งมาทั้งคืน
เพื่อให้ทหารเตรียมรับมือเหตุพิษกำเริบให้พร้อม แต่
ว่าหากวันนี้ไม่เกิดเหตุตามที่เขาคาดเอาไว้ แต่เสวีย
หลิงเฟิงส่งทหารออกมาแล้ว ผลที่ตามมาก็จะยุ่งยาก
เสวียหลิงเฟิงสามารถอ้างว่าศิษย์พรรคกระยาจก
ออกมาอาละวาดบนท้องถนน เพื่อความสงบของ
เมืองหลวง เลยต้องส่งทหารมาควบคุมเอาไว้ก่อน แต่
ว่าหากพิษระบาดไม่กำเริบ เสวียหลิงเฟิงเองก็ไม่
สามารถส่งทหารคุมสถานการณ์เอาไว้ได้อีก
ส่วนศิษย์พรรคกระยาจกที่ออกมาอาละวาด หากพิษ
ไม่กำเริบ ราชสำนักอาจจะมีบทลงโทษต่อพวกเขา ถึง
เวลานั้นคนของพรรคกระยาจกจะต้องแค้นเขา
แน่นอน
หากวันนี้พิษระบาดนั้นกำเริบ ไม่ว่าพรรคกระยาจก
หรือเสวียหลิงเฟิงจะทำอะไร อาจจะถูกมองข้ามไป
เพราะภัยใหญ่ที่มาถึง แต่ว่าหากไม่เกิดเหตุขึ้น การ
กระทำของพรรคกระยาจกหรือเสวียหลิงเฟิงก็จะแดง
ขึ้น
ระหว่างที่คิดอยู่ ก็ควบม้ามาจนถึงจวนเสินโหวแล้ว
ฉีหนิงมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง ค่อนข้างคุ้นเคยกับจวนเสิน
โหวดี ซีเหมินจั้นอิงนำทางฉีหนิงเข้าไปในจวนเสินโหว
เห็นในจวนมีเจ้าหน้าที่อยู่นายหนึ่ง นางเดินเข้าไปพูด
ด้วย จากนั้นก็หันกลับมาพูดว่า “เจ้าตามข้ามา”
ฉีหนิงคิดในใจว่าท่าทางแบบนี้ การกินอาหารเช้าใน
จวนเสินโหวน่าจะไม่มีหวังแล้ว เขาเดินตามซีเหมินจั้น
อิงไปที่เรือนแห่งหนึ่ง ด้านหน้ามีเจ้าหน้าที่ของจวน
เสินโหวเฝ้าอยู่ ซีเหมินจั้นอิงถามว่า “ท่านเสินโหวอยู่
ข้างในหรือไม่?”
มีคนหนึ่งพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก ท่านเสินโหวกับศิษย์พี่
ใหญ่พวกเขาอยู่ด้านใน ท่านเสินโหวสั่งเอาไว้ว่า ห้าม
ใครเข้าไปเด็ดขาด”
ซีเหมินจั้นอิงหันหน้าไปมองฉีหนิง ชี้แล้วพูดว่า “นี่คือ
...นี่คือจิ่นอีโหว เสินโหวให้เชิญเขามา รีบไปรายงาน
ที”
ฉีหนิงคิดในใจว่าจวนเสินโหวถือว่าเป็นระบบดี ซีเห
มินจั้นอิงถึงแม้จะเป็นลูกสาวแท้ๆ ของท่านเสินโหว
แต่ว่าภายในจวนเสินโหว ก็ยังคงต้องเคารพกฎเกณฑ์
เช่นกัน
เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนคำนับฉีหนิง จวนเสินโหวถึงแม้จะ
ดูแลจัดการเรื่องในราชสำนัก แต่เพราะยังถือเป็น
หน่วยงานในราชสำนักอยู่ เจ้าหน้าที่สองคนนี้ก็ถือ
เป็นเจ้าหน้าที่ของหลวง เมื่อพบคนที่มีบรรดาศักดิ์สูง
กว่า ก็ต้องทำความเคารพ
ซีเหมินจั้นอิงหันไปพูดกับฉีหนิงว่า “เจ้าตามข้ามา”
นางกำลังจะเข้าไป เจ้าหน้าที่ยกมือขวางนางเอาไว้
“ศิษย์น้อยเล็ก ท่านเสินโหวเชิญจิ่นอีโหวเข้าไป เจ้า
...” เขาก้มหน้า ไม่กล้ามองซีเหมินจั้นอิง
ซีเหมินจั้นอิงอึ้งไป จากนั้นใบหน้าของนางก็แดงก่ำ
เหมือนรู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมา แล้วพูดด้วย
ความโมโหว่า “เหตุใดถึงไม่ให้ข้าเข้าไป?” จากนั้นก็
หันมามองฉีหนิง เห็นฉีหนิงยิ้มให้ ก็โกรธหนักยิ่ง
กว่าเดิม แล้วพูดอย่างไม่พอใจมากว่า “มองอะไร ไม่
เคยเห็นหรือ? เจ้าเข้าไปเองเลย” จากนั้นนางก็หัน
หลังใส่ฉีหนิง แล้วเดินไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ชักดาบออก
มาแล้วฟันไปที่ต้นไม้ เหมือนโมโหมาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 233 เขตแดนหยินหยาง
ฉีหนิงเห็นซีเหมินจั้นอิงเอาดาบฟันต้นไม้ ในใจก็คิดว่า
นางต้องอารมณ์ไม่ดีมากแน่นอน
ฉีหนิงส่ายหน้า กำลังจะเข้าไป เขาก็เหลือบไปเห็นซี
เหมินจั้นอิงทิ้งดาบลงกับพื้น แล้วนั่งยองๆ ลงกอดเข่า
ร่างกายของนางสั่นเทาอยู่ตรงนั้น
ฉีหนิงตาโตเพราะความแปลกใจ
นางหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองมากขนาดนี้เชียวหรือ
เสินโหวเพียงไม่ได้ให้นางเข้าไปด้วย นางทำเหมือนกับ
ถูกรังแกมาอย่างไรอย่างนั้น ถึงกลับร้องไห้ต่อหน้าเขา
แบบนี้เลย
เจ้าหน้าที่เฝ้าหน้าประตูสองคนมองหน้ากัน ทำอะไร
กันไม่ถูก แต่ว่าในเวลาแบบนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าพูด
อะไร
ฉีหนิงส่ายหน้า คิดอยากจะเข้าไปปลอบ แต่ว่านิสัย
ของนางป็นเช่นนี้ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็
เลือกที่จะเดินเข้าไปในเรือน
ภายในเรือนเงียบสงบ
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเองก็เห็นชวีเสี่ยวชางเดินเข้า
มาต้อนรับ เขายกมือขึ้นคำนับ “โหวเยว่”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วตามชวีเสี่ยวชางไปที่ห้องโถง
ภายในห้องโถง นอกจากซีเหมินอู๋เหิงแล้ว ยังมีอีกสอง
คน คนหนึ่งสูงอีกคนหนึ่งเตี้ย คนที่รูปร่างสูงอายุราวสี่
สิบปี ร่างกายกำยำแข็งแรง คนที่รูปร่างเตี้ยอายุราว
สามสิบปี หน้าตาเหมือนลิง หลังค่อม
ซีเหมินอู๋เหิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าเคร่งเครียด ตอนที่ฉี
หนิงเดินเข้ามา ซีเหมินอู๋เหิงก็รีบลุกขึ้นมา ยิ้มทักทาย
แล้วพูดว่า “โหวเยว่”
ซีเหมินอู๋เหิงแต่งตัวสบายมาก แต่ว่าตอนนี้เขาอยู่ใน
จวนเสินโหว ซึ่งดูแตกต่างจากตาเฒ่าที่อยู่ในครัวเมื่อ
วานนี้เลย ดูไม่ได้สบายๆ เหมือนเมื่อวาน มีความเคร่ง
ขรึม สุขุม แล้วก็เข้มงวด
ชายรูปร่างสูงและชายรูปร่างเตี้ยมองหน้ากัน แล้วรีบ
ยกมือคำนับฉีหนิง
“ท่านเสินโหวเชิญข้ามา ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรชี้แนะ
หรือ?” ฉีหนิงถามด้วยรอยยิ้ม
ซีเหมินอู๋เหิงเองก็ไม่พูดอะไรมา มองไปที่ฉีหนิงแล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ตามข้ามาทางนี้”
ฉีหนิงตะลึงไป ซีเหมินอู๋เหิงหันหลังแล้วก็เดินไป ฉี
หนิงรู้สึกสงสัย จากนั้นเขาก็เดินตามไป เมื่อออกจาก
ประตู แล้วเดินไปตามทางไป ซีเหมินอู๋เหิงก็พลันหยุด
เดิน แล้วหันมามองฉีหนิง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่
กวักมือเท่านั้น
ฉีหนิงเดินไป เห็นซีเหมินอู๋เหิงยืนอยู่ตรงหน้าต่างบาน
หนึ่งเท่านั้น ซีเหมินอู๋เหิงรอจนฉีหนิงเข้ามาใกล้
จากนั้นจึงเปิดหน้าต่างออก
ฉีหนิงรู้ว่าซีเหมินอู๋เหิงต้องการให้เขามองเข้าไป เขา
ยืนอยู่ริมหน้าต่างนั้น ถึงแม้ฟ้าจะเริ่มสว่างแล้ว แต่ว่า
ก็ยังคงมีตะเกียงจุดอยู่ ฉีหนิงเห็นภายในห้องมีโต๊ะอยู่
สองตัว บนโต๊ะมีคนนอนอยู่ เขาขมวดคิ้ว แล้วมอง
อย่างละเอียด จึงพบว่ามันคือศพคนตาย กลิ่นคาว
เลือดโชยคละคลุ้งออกมาจากในห้อง
นอกจากศพสองศพที่อยู่ในห้องแล้ว ยังมีคนใช้ผ้าปิด
ปากสีดำอยู่ด้วยราวสามสี่คน พวกเขาสวมถุงมือ มี
บางคนกำลังถือมีดชำแหละเนื้อศพอยู่
“ท่านเสินโหว นี่มัน...?” ฉีหนิงรู้สึกตกใจ ซีเหมินอู๋
เหิงปิดประตู สีหน้าของเขาเคร่งเครียด เขายกมือขึ้น
“โหวเยว่เชิญ”
เมื่อทั้งสองคนกลับไปที่ห้องโถง ฉีหนิงถึงได้ถามว่า
“ท่านเสินโหว ศพทั้งสองเมื่อครู่นี้...หรือว่าเกี่ยวข้อง
กับพิษระบาดที่กำลังเกิดขึ้น?”
จวนเสินโหวแต่ละปีมีคดีมากมาย หากเป็นคดีอื่นคิด
ว่าไม่น่าจะเชิญฉีหนิงมา มีเพียงพิษระบาดในครั้งนี้
เท่านั้น ซีเหมินอู๋เหิงถึงได้เชิญฉีหนิงมา เพราะเมื่อคืน
ฉีหนิงเป็นคนสั่งให้ต้วนฉางไห่มาแจ้งข่าว ฉีหนิงเชื่อว่า
ทางจวนเสินโหวเองต้องการเบาะแสบางอย่างจาก
ปากของเขา
ซีเหมินอู๋เหิงพยักหน้า ในตอนนี้เองชวีเสี่ยวชางก็ยก
น้ำชามาให้ อีกทั้งยังมีของว่างอีกสองจาน เหมือนรู้ว่า
ฉีหนิงมาแต่เช้าเช่นนี้ น่าจะยังไม่ได้กินอะไรมา
แต่เพราะเมื่อครู่เห็นศพ ทำให้ฉีหนิงไม่มีอารมณ์จะ
กินอะไร
“เมื่อคืนหลังจากที่โหวเยว่ส่งคนมาแจ้งทางเรา ทาง
จวนเสินโหวก็ได้สั่งให้คนไปหาศพที่เพิ่งมีอาการ
กำเริบจนตายมา” ชายคนที่รูปร่างสูงยกมือขึ้นคำนับ
แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องห้าได้พายอดฝีมือด้านพิษมาที่
จวนเสินโหว เริ่มชันสูตรศพกันตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้
พอจะรู้ที่มาของพิษแล้ว”
ซีเหมินอู๋เหิงพูดว่า “โหวเยว่ เขาคือเซวียนหยวนผ่อ
เป็นศิษย์คนโตของข้า” สายตาของเขาจ้องไปที่คนตัว
เล็กกว่า “ส่วนนั่นเจ้าสามเหวินชวีเสี้ยวเว่ยหานเทียน
ซู่”
ฉีหนิงพอจะเดาออกว่าคนตัวสูงกว่านั้นน่าจะเป็นคนที่
ดูแลจวนเสินโหวในตอนนี้จวีเหมินเสี้ยวเว่ยเซวียน
หยวนผ่อ แต่ว่าคนที่ตัวเตี้ยนั้นเดาได้ยากยิ่ง แต่พอซี
เหมินอู๋เหิงแนะนำมาแบบนี้ ในใจก็แอบคิดว่าชื่อหาน
เทียนซู่ชื่อนี้ฟังดูไม่เลวเลย อีกทั้งยังมีตำแหน่งเหวินช
วีเสี้ยวเว่ยด้วย เพียงแค่หน้าตาอาจจะดูแย่กว่า
พอสมควรแค่นั้นเอง
แต่ว่าเขาก็รู้ว่าคนเราจะดูแค่หน้าตาไม่ได้ หานเทียนซู่
เป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถของจวนเสินโหวตำแหน่งของ
เขาคือที่สาม แสดงว่าฝีมือคงต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
เขาได้ยินเซวียนหยวนผ่อพูดว่ารู้ที่มาของพิษแล้ว เขา
ก็ตกใจ แอบคิดในใจว่าหากที่เซวียนหยวนผ่อพูดเป็น
เรื่องจริง เขาเองก็ประเมินจวนเสินโหวเกินไป
“ท่านเสินโหว พวกท่านเจอตัวคนที่วางยาแล้วหรือ?”
เสินโหวเหลือบไปมองเซวียนหยวนผ่อ แล้วพูดว่า
“เจ้าพูดสิ”
เซวียนหยวนผ่อมองไปที่ฉีหนิง แล้วรีบพูดว่า “เรียน
โหวเยว่ คนที่วางยาพวกเรายังหาตัวไม่พบ แต่ว่า
ตอนนี้พวกเราพอจะรู้แล้วว่า พิษมีที่มาจากปาสู่ของซี
ชวน หากพูดละเอียดอีกนิด ก็น่าจะเป็นที่เขาซีหลิง”
“ซีหลิงของปาสู่” เมื่อฉีหนิงได้ยินว่าพิษมาจากปาสู่
ในใจก็คิดว่าครั้งนี้พิษก็น่าจะเกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำ
เขาเองก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เขารู้จักพรรคบัวดำ เซวียน
หยวนผ่ออธิบายต่อว่า “ซีหลิงเป็นพื้นที่ของชาวไป๋
เหมียว ที่ซีหลิง มีที่ที่เรียกว่าเขตแดนหยินหยาง...”
“เขตแดนหยินหยาง?” ฉีหนิงรู้สึกว่าชื่อนี้มันฟังดู
แปลกมาก เลยถามไปว่า “มันอยู่ที่ไหน?”
เซวียนหยวนผ่ออธิบายว่า “ซีหลิงเป็นพื้นที่เทือกเขา
มีที่หนึ่งเรียกว่าไป๋ซากั่ง เขตแดนหยินหยางอยู่ที่ไป๋
ซากั่ง เขตแดนหยินหยางเป็นเขาลูกเล็ก แต่ที่ตรงนี้มี
อากาศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากอยู่ที่ไป๋ซากั่ง จะ
เห็นท้องฟ้าที่สดใส ฟ้าสีคราม แต่หากอยู่อีกที่จะเห็น
เมฆหมอกครึ้ม ทำให้คนรู้สึกลึกลับ เหมือนกับหยินห
ยาง ซึ่งหาได้ยาก”
เสินโหวพูดขึ้นมาว่า “ไป๋ซากั่งไม่สงบ หยินหยางแบ่ง
ชัดเจน เนินเขาทางใต้มีเป็นหมื่น เนินเขาทางเหนือ
เมฆหมอกหนา...” เขามองไปที่ฉีหนิงแล้วพูดว่า “เขต
แดนหยินหยางเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของชาวไป๋เหมียว
เพราะอากาศที่พิเศษของเขตแดนหยินหยาง ทำให้มี
สมุนไพรหนึ่งชนิด ที่มีเฉพาะที่นั่นเท่านั้น”
“อ๋อ?”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “ผนังเทือกเขาในเขตแดนห
ยินหยาง มีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เรียกว่าอวิ๋นเจิ้งหง
เป็นสมุนไพรที่มีพิษมาก”
“เจ้าหมายความว่า พิษที่ระบาดอยู่ในเมืองหลวง มี
ส่วนผสมของอวิ๋นเจิ้งหง?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้าพูดว่า “ถูกต้อง” เขาหยุด
ไป แล้วส่ายหน้าพูดว่า “แต่ว่ามันไม่ใช่พิษจากอวิ๋น
เจิ้งหง”
ฉีหนิงฟังแล้วเริ่มมึนงง
เสินโหวพูดขึ้นมาว่า “โหวเยว่ท่านเคยได้ยินชื่อของ
ราชาพิษจิ่วซีหรือไม่?” ไม่รอให้ฉีหนิงตอบ เขาพูดว่า
“ราชาพิษจิ่วซีเป็นชาวไป๋เหมียว ถือเป็นชาวเหมียว
เจ็ดสิบสองถ้ำ กำลังของชาวไป๋เหมียวเป็นรองชาวเฮย
เหมียว ราชาพิษจิ่วซีไม่ถือว่าเป็นหัวหน้าเผ่าใดๆ ของ
ชาวไป๋เหมียวเลย เขาเกิดในเผ่าไป๋เหมียว แต่ว่าใน
ความคิดของชาวไป๋เหมียว เขาเปรียบเสมือนเทพ
เจ้า”
ฉีหนิงไม่พูดอะไร แค่พยักหน้า ในใจมองว่า เรื่องนี้
น่าจะเกี่ยวข้องกับราชาพิษจิ่วซี กล่าวกันว่าราชาพิษ
จิ่วซีเป็นคนของพรรคบัวดำ เรื่องในครั้งนี้ก็น่าจะ
เกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำ
ตอนนี้ในใจก็นึกไปถึงปีศาจน้อยอาเหน่า คิดในใจว่า
พิษในเมืองหลวงอาจจะเกี่ยวข้องกับอาเหน่า
ตอนนี้เขาสงสัยมากว่า ไม่รู้ว่าที่อาเหน่ามาเมืองหลวง
เพื่อจะวางยาพรรคกระยาจกหรือไม่ เลยมาแก้แค้น
ตัวเขาไปด้วย หรือว่าตั้งใจมาแก้แค้นตนเอง แล้วก็ไป
วางยาพิษพรรคกระยาจก
ปีศาจน้อยทำอะไรประหลาด นิสัยเหี้ยมโหด เดาได้
ยากนัก
ซีเหมินอู๋เหิงมองไปที่ฉีหนิง เขาไม่รู้ว่าฉีหนิงกำลังนึก
ถึงปีศาจน้อยอาเหน่าอยู่ เขานึกว่ากำลังนึกถึงเรื่อง
ของชาวไป๋เหมียว ก็เลยพูดต่อไปว่า “เขตแดนหยินห
ยางที่ไป๋ซากั่ง เป็นที่อาศัยของราชาพิษจิ่วซี เขาเป็น
ยอดฝีมือด้านพิษอันดับหนึ่งของปาสู่ พูดได้ว่าเขาเป็น
ยอดฝีมือในการใช้พิษที่ดีที่สุดในตอนนี้ ไม่เพียงมี
วิธีการวางยาที่ยากจะคาดเดา ที่ร้ายกาจมากกว่านั้น
คือพรสวรรค์ในการปรุงยาพิษ เขาสามารถปรุงยาพิษ
ที่ไม่เคยมีมาก่อนได้มากมาย”
“ท่านเสินโหวหมายความว่า ราชาพิษจิ่วซีสามารถ
ใช้อวิ๋นเจิ้งหง ปรุงยาพิษร้ายแรงได้อย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงเข้าใจความหมายที่ซีเหมินอู๋เหิงต้องการจะสื่อ
“พิษระบาดในครั้งนี้ ก็คือสมุนไพรพิษชนิดหนึ่ง?”
“เป็นไปตามที่โหวเยว่คาดเดา” ซีเหมินเสินโหวสีหน้า
เคร่งเครียด “เท่าที่ข้าทราบ ราชาพิษจิ่วซีเชี่ยวชาญ
ในการเพาะเลี้ยงหนอนพิษมาก ที่ซีหลิงมีหนอนชนิด
หนึ่งมีชื่อว่าหนอนจินกู่ หาได้ยากมาก แล้วก็เลี้ยงยาก
มากด้วย แต่ราชาพิษจิ่วซีใช้มันเป็นของพิเศษในการ
ปรุงยาพิษ เขตแดนหยินหยางมีสภาพอากาศพิเศษ
การเพาะเลี้ยงหนอนจินกู่ในเขตแดนหยินหยาง ทำให้
พิษของมันร้ายแรงมากขึ้น อีกทั้งหนอนจินกู่ในเขต
แดนหยินหยางกินใบอวิ๋นเจิ้งหงเป็นอาหาร ดูดซึมพิษ
จากใบอวิ๋นเจิ้งหง ไข่ที่ฝักออกมาถือได้ว่าเป็นของมี
พิษ ศพที่ตายเพราะพิษระบาด มันมีไข่พิษอยู่”
ฉีหนิงหน้าถอดสี แต่ไม่ได้เป็นเพราะทางจวนเสินโหว
ตรวจพบไข่พิษจากศพ แต่เป็นเพราะเสินโหวบอกว่า
มันเป็นของมีพิษในตอนนี้ แสดงว่ามันต้องร้ายแรง
มาก เขากังวลว่าด้วยความสามารถของถังนั่ว ต่อให้
พบไข่พิษ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหายาถอนพิษได้
ในเมื่อจวนเสินโหวมีหน้าที่ดูแลกำลังต่างๆ ในเรื่อง
ของยุทธภพ พวกเขารู้ดี ไม่ว่าจะพรรคใดสำนักใดใช้
อาวุธอะไร หรือว่าชำนาญพิษแบบใด จวนเสินโหวมี
ข้อมูลทุกอย่าง
ราชาพิษจิ่วซีเป็นราชาพิษอันดับหนึ่ง ชื่อเสียงของเขา
จะต้องถูกทางจวนเสินโหวจับจ้องอยู่แล้ว ทางจวน
เสินโหวจะมีบันทึกเรื่องราวของคนๆ นี้ ก็ถือว่าไม่
แปลกอะไร
“ท่านเสินโหว ถ้าอย่างนั้น พิษในเมืองหลวง ราชาพิษ
จิ่วซีเป็นคนทำอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “ทางจวนเสินโหวตรวจเจอตัวพิษแล้ว มีวิธีถอน
พิษนั้นหรือไม่?”
ซีเหมินอู๋เหิงมองไปที่ฉีหนิง สีหน้าเคร่งเครียด แล้ว
ส่ายหน้า “จนถึงตอนนี้ พวกเรายังไม่มีวิธีรับมือกับ
พิษชนิดนี้เลย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 234 ปะทุ
ภายในห้องเงียบสนิท แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังได้ยิน
อย่างชัดเจน
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ในใจก็ตกใจ เดิมทีเขาคิดว่าพิษชนิดนี้
น่าจะรับมือได้ไม่ยาก แต่พอได้ยินซีเหมินอู๋เหิงพูดมา
เช่นนี้แล้ว เขาคิดว่าการค้นหายาถอนพิษนั้น ยากขึ้น
ไปอีกหลายเท่า
เดิมทีเข้ามั่นใจในตัวของถังนั่วมาก อาจจะเป็นเพราะ
ถังนั่วมีท่าทีที่นิ่งมากจึงทำให้ฉีหนิงมั่นใจในตัวนาง
แต่พอได้ยินซีเหมินอู๋เหิงพูดแบบนีแ้ ล้ว เขารู้ว่าต่อให้
เป็นถังนั่ว ก็ยากที่จะหายาถอนพิษออกมาได้
จวนเสินโหวตั้งแต่ก่อตั้งมาจนถึงวันนี้ ก็น่าจะ
ประมาณหลายสิบปีแล้ว คุ้นเคยกับคนในยุทธภพเป็น
อย่างดี อีกทั้งยังมีหน่วยชี่ตันด้วย
ถึงแม้ฉีหนิงจะไม่รู้ว่าหน่วยชี่ตันมีหน้าที่ทำอะไร แต่
คิดว่าน่าจะมีไว้เพื่อคิดค้นอาวุธหรือไม่ก็ยาต่างๆ
คนที่จวนเสินโหวรับเข้ามาทำงาน ต้องไม่ธรรมดา
แน่นอน หน่วยชี่ตันมียอดฝีมือด้านยาไม่น้อย แต่ว่า
กลับไม่มีวิธีรับมือกับพิษ แสดงว่าเป็นปัญหาใหญ่
เซวียนหยวนผ่อพูดทำลายบรรยากาศที่เงียบกริบครู่
ใหญ่นี้ว่า “โหวเยว่ หากมันเป็นแค่พิษของไข่พิษ พวก
เรายังพอหายาถอนพิษได้ แต่ว่าพิษในคราวนี้ พิษไข่
มันแค่ตัวเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีสมุนไพรอย่างอื่นอีกราว
สิบชนิด นอกจากพิษไข่แล้ว ยังมีพิษอีกสามชนิดผสม
อยู่ในนั้นด้วย” สีหน้าของเขาเคร่งเครียด “หาก
ต้องการเจาะลึกตัวพิษลงไปอีก อาจจะต้องรวบรวม
ยอดฝีมือด้านสมุนไพรมา เพื่อปรุงยาถอนพิษขึ้น
อย่างเร็วอาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือน”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หลายเดือน เกรงว่าถึง
เวลานั้นทั่วทั้งเมืองอาจจะเหลือแค่เถ้ากองกระดูก ไม่
มีคนรอดแล้ว” คำพูดของเขาดูเหมือนจะเกินจริง แต่
ไม่ถือว่าน่าเกลียดไป
ซีเหมินเสินโหวพูดว่า “แผนรับมือในตอนนี้ คงต้อง
ควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงไว้ก่อน ไม่ให้ขยาย
วงกว้างออกไป แล้วรวบรวมคนมาค้นหาปรุงยาถอน
พิษ อีกด้านหนึ่งก็ไปตามหาตัวราชาพิษจิ่วซี”
“ราชาพิษจิ่วซีอยู่ในเมืองหลวงหรือ?” ฉีหนิงถาม ใน
ใจคิดว่าอาเหน่าเป็นศิษย์ของราชาพิษจิ่วซี อาเหน่า
อยู่ในเมืองหลวงแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าราชาพิษจิ่วซีอยู่กับ
นางด้วยหรือไม่
ซีเหมินเสินโหวพูดว่า “ข้าได้ส่งคนออกไปค้นหาแล้ว
แต่ว่าต่อให้ราชาพิษจิ่วซีไม่ได้มาเอง แต่ว่าศิษย์ของ
เขาอยู่ในเมืองหลวงแน่นอน”
“ผู้บัญชาการเสวียสั่งทหารปิดล้อมถนนในเมืองหลวง
เอาไว้แล้ว” ฉีหนิงคิดในใจว่าฉวยโอกาสนี้ดึงซีเหมิน
เสินโหวมาเป็นพวก ถึงเวลามีปัญหาขึ้นมา ซีเหมินอู๋
เหิงจะได้ช่วยพูดได้ “ข้าว่าบัญชาการเสวียทำได้ดี”
ซีเหมินอู๋เหิงยิ้ม แล้วพูดว่า “เสวียหลิงเฟิงจะปิดล้อม
ถนนในเมืองหลวงหรือไม่ จวนเสินโหวของพวกเราไป
แทรกแซงไม่ได้ หน้าที่ของพวกเราทั้งสองฝ่ายนั้น
ต่างกัน หน้าที่ของเราคือการตามหาคนวางยาพิษ
แล้วพยายามหายาถอนพิษให้ได้ ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่
ของตัวเอง”
ฉีหนิงคิดในใจว่าตาเฒ่านี่เจ้าเล่ห์จริงๆ เขาอดไม่ได้ที่
จะพูดว่า “ท่านเสินโหว ขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ พิษใน
ครั้งนี้เริ่มมาจากพรรคกระยาจกนะ”
ซีเหมินเสินโหวพยักหน้า “ถูกต้อง ช่วงนี้พรรค
กระยาจกผิดปกติมาก ทางจวนเสินโหวของพวกเรา
เคยส่งคนไปสอบถามกับพวกเขามาแล้ว พวกเขาบอก
แค่ว่าเป็นเรือ่ งภายในของพรรคกระยาจก จะไม่
กระทบต่อเมืองหลวง จวนเสินโหวของพวกเราทำงาน
โดยยึดหลักอยู่ข้อเดียว นอกจากกำลังของพวกเขาจะ
เป็นภัยต่อราชสำนักแล้ว หากเป็นเรื่องภายในของ
พวกเขา ทางจวนเสินโหวจะไม่เข้าไปแทรกแซง
เด็ดขาด” เขาหยุดไป ยกน้ำชาขึ้นดื่ม แล้วพูดว่า
“ยุทธภพกว้างใหญ่ไพศาล จวนเสินโหวเล็กเกินไป
พวกเราไม่สามารถควบคุมดูแลได้หมด”
“ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าพรรคกระยาจกตั้งใจปกปิด
เรื่องนี้อย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงพูด
ซีเหมินเสินโหวพยักหน้าแล้วพูดว่า “ครั้งนี้พรรค
กระยาจกตัดสินใจไม่รอบคอบ ทางจวนเสินโหวของ
พวกเราไม่มีทางนิ่งเฉยกับเรื่องนี้เด็ดขาด” เขามองไป
ที่เหวินชวีเสี้ยวเว่ยแล้วพูดว่า “หานเทียนซู่ เจ้าเคย
พูดคุยกับทางพรรคกระยาจก แต่กลับไม่พบช่องโหว่
ข้าจะส่งรายงานให้ราชสำนัก ร้องเรียนเจ้าว่าบกพร่อง
ต่อหน้าที่”
เหวินชวีเสี้ยวเว่ยหานเทียนซู่โค้งคำนับแล้วพูดว่า
“ข้าน้อยบกพร่องต่อหน้าที่ ยินดีรับโทษ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าซีเหมินเสินโหวเองก็รู้ว่าครั้งนี้จวน
เสินโหวมีโทษที่ไม่ตรวจสอบ หานเทียนซู่ไม่ใช่แพะรับ
บาป อีกทั้งต่อให้ร้องเรียนหานเทียนซู่ไป หานเทียนซู่
ก็ไม่ถูกจับขังคุกแน่นอน อย่างมากก็ถูกหักเงินเดือน
ตอนนี้เขานึกถึงที่ต้วนฉางไห่คาดเดาเอาไว้ ในใจคิดว่า
จวนเสินโหวอาจจะมีเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่า ทำให้
ละเลยเรื่องของพรรคกระยาจกไป
แค่ไม่รู้ว่าทางจวนเสินโหวนั้นติดพันเรื่องอะไรอยู่
“หากราชาพิษจิ่วซีอยู่ในเมืองหลวงจริง เรื่องนี้ก็น่าจะ
เกี่ยวข้องกับเขาแน่” ฉีหนิงคิด แล้วถามว่า “ท่านเสิน
โหว คนที่วางยาพิษจะใช่ราชาพิษจิ่วซีหรือคนของเขา
หรือไม่?”
ซีเหมินเสินโหวสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ก่อนเรื่องนี้จะ
กระจ่าง พวกเราบอกได้แค่ว่าราชาพิษจิ่วซีเป็นผู้ต้อง
สงสัยอันดับหนึ่ง” เขาหยุดไป แล้วเขยิบเข้าใกล้ฉีหนิง
แล้วพูดว่า “แต่ว่าพิษไข่เป็นหลักฐานชั้นดี ในใต้หล้านี้
มีแค่ที่เขตแดนหยินหยางเท่านั้นที่มีเพียงราชาพิษจิ่วซี
เท่านั้นที่สามารถปรุงยาพิษที่ซับซ้อนแบบนี้ได้
นอกจากเขาแล้ว น่าจะไม่มีคนอื่นอีก”
ฉีหนิงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น คนที่วางยาก็น่าจะเป็น
ราชาพิษจิ่วซีไม่น่าจะเป็นอื่น” เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“แต่ว่าท่านเสินโหวน่าจะรู้ดีกว่าข้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็
ต้องมีสาเหตุ ก่อคดีก็ต้องมีเหตุจูงใจ ราชาพิษจิ่วซี
วางยาพิษในเมืองหลวง เป้าหมายคืออะไร? ราชาพิษ
จิ่วซีเป็นคนของพรรคบัวดำ หากราชาพิษจิ่วซีเป็นคน
วางยาจริง ราชาพิษจิ่วซีทำไปคนเดียว หรือว่าพรรค
บัวดำสั่งให้เขาทำกัน?”
“โหวเยว่ ตามความเห็นของท่าน ท่านคิดว่าแบบไหน
น่าจะเป็นไปได้มากกว่ากัน?” ซีเหมินเสินโหวมองไปที่
ฉีหนิง
ฉีหนิงคิดในใจว่าตกลงใครเป็นเสินโหวกันแน่เจ้าหรือ
ข้า เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ แค่สงสัยว่า
ตามหลักแล้ว พรรคบัวดำอยู่ไกลถึงปาสู่ จะลงมือก็ไม่
น่าจะยื่นมือมาไกลแบบนี้ วิ่งมาก่อเรื่องถึงเมืองหลวง
อยู่ปาสู่ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” เขายกน้ำชาขึ้นดื่ม
แล้วพูดต่อว่า “หรือว่าพวกเขาไม่รู้ ก่อเรื่องในเมือง
หลวงแบบนี้มันจะเป็นเรื่องใหญ่ ราชสำนักไม่มีทาง
ปล่อยพวกเขาไว้แน่? เขายิ้มแล้วพูดว่า” ข้าว่าราชา
พิษจิ่วซีน่าจะไม่ปกติ ไม่อย่างนั้นเพราะต้องการแก้
แค้นพรรคกระยาจก เหตุใดจะต้องปรุงพิษที่ติดต่อได้
แบบนี้ด้วย นี่มันตั้งใจฆ่าคนบริสุทธิ์ชัดๆ มันจะทำให้
พรรคบัวดำล่มสลายได้เลยนะ?"
เสี้ยวเว่ยของจวนเสินโหวที่อยู่ตรงนั้นต่างมองหน้ากัน
แต่ไม่พูดอะไร
ในตอนนี้เอง กลับได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมา เจ้าหน้าที่ที่
เฝ้าประตูด้านนอกคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วคุกเข่าข้าง
หนึ่ง แล้วรีบพูดว่า “เรียนท่านเสินโหว มีเรื่องด่วน
รายงาน”
เซวียนหยวนผ่อมองไปที่เสินโหว ซีเหมินเสินโหวไม่
พูดอะไร เขาถึงได้เดินไป เจ้าหน้าที่คนนั้นกระซิบ
บอกเซวียนหยวนผ่อ จากนั้นก็ถอยออกไป
เซวียนหยวนผ่อกลับเข้ามาในห้องโถง มองไปที่ซีเห
มินเสินโหวแล้วพูดว่า “เสินโหว ได้รับรายงานว่า ที่
ถนนฉางโซ่วมีคนบ้าออกอาละวาด บังเอิญมีคนเดิน
ผ่านไปพอดี ถูกทำร้ายสองคน”
ฉีหนิงนิ่งไป
เขาคิดในใจว่า หากเป็นการทะเลาะวิวาททั่วไป เรื่อง
เล็กแบบนี้ไม่น่าจะต้องมารายงานให้ซีเหมินอู๋เหิง
ทราบ
“พิษระบาด?” ซีเหมินอู๋เหิงถามขึ้นมา
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้า “ยืนยันแล้ว เป็นคนที่ถูก
พิษแน่นอนไม่มีผิด ทั่วทั้งตัวของเขามีแต่ผื่นแดง มีตุ่ม
หนอง ซึ่งเป็นอาการของคนที่ถูกพิษ”
“มีกี่คน?”
“ตอนที่เกิดเรื่อง มีเพียงแค่คนเดียว” เซวียนหยวนผ่อ
พูดว่า “แต่ว่าคนๆ นั้นตะโกนโวยวาย ต่อมาก็มีอีก
สองสามคน”
ซีเหมินเสินโหวสีหน้าเคร่งเครียดมาก เขาพูดว่า
“นอกจากคนของหน่วยชี่ตัน ส่งคนของจวนเสินโหว
ไปจับตาดูบ้านของขุนนางระดับสามขึ้นไป นอกจากนี้
ยังต้องจับตาดูพวกสำนักคุ้มภัย ใครมีอาการผิดปกติ
ให้มารายงานทันที” จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น แล้วพูดกับฉี
หนิงว่า “โหวเยว่ ประตูวังน่าจะเปิดแล้ว ข้าจะเข้าวัง
เดี๋ยวนี้ โหวเยว่จะไปเข้าเฝ้าพร้อมกันเลยหรือไม่?”
ฉีหนิงอยากไปพบฮ่องเต้น้อยจริง อยากรายงานให้เขา
รู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ แต่พอนึกถึงว่าจะต้องไป
พร้อมกับเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างซีเหมินเสินโหว จะพูดอะไร
กับฮ่องเต้น้อยคงไม่สะดวกนัก กังวลว่าเฒ่าเจ้าเล่ห์จะ
หลอกใช้เขา เขาเลยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านเสิน
โหวรีบไปเข้าเฝ้าเถอะ ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องสะสาง
จัดการเสร็จแล้วข้าค่อยไปเข้าเฝ้า”
ซีเหมินเสินโหวพยักหน้า “อย่างนั้นก็ได้” แล้วพูดอีก
ว่า “โหวเยว่ช่วงนี้อย่าให้คนที่จวนออกไปไหนนะ
ความวุ่นวายเริ่มต้นขึ้นแล้ว คงไม่อาจแก้ไขได้ภายใน
วันสองวันนี้แน่”
ฉีหนิงออกจากจวนเสินโหว ไม่ได้กลับไปที่จวนจิ่นอี
โหว แต่ไปที่ร้านหย่งอันถัง
ถังนั่วยังคงชันสูตรศพอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะตรวจพบเรื่อง
พิษไข่หรือยัง ทางจวนเสินโหวตรวจพบแล้ว เขาไป
เล่าให้ถังนั่วฟังจะได้ไม่เสียเวลา
เขาควบม้าไม่หยุดตรงไปที่ร้านหย่งอันถัง ฉีหนิงเห็น
ความวุ่นวายข้างหน้า ก็ดึงม้าให้หยุดลง เห็นทหาร
ของค่ายหู๋เสินถือโล่กำบัง กำลังล้อมชายคุ้มคลั่งอยู่
ชายสองคนนั้นผมกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าขาด
หลุดรุ่ย เหมือนสัตว์ป่ากำลังอาละวาดพุ่งเข้าใส่ทหาร
ของค่ายหู๋เสิน
ยังดีที่ปกติพวกเขาฝึกซ้อมมาอย่างดี ถึงชายสองคน
นั้นจะบ้าขาดสติ แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสถูกตัวของ
ทหารได้เลย อีกทั้งในมือของทหารก็มีโล่กำบัง
สามารถป้องกันได้
“โหวเยว่ น่าจะเป็นอาการของพิษกำลังกำเริบ”
จ้าวอู๋ซังขี่ม้ามาหยุดข้างๆ ฉีหนิง สีหน้าเคร่งเครียด
“โหวเยว่เดาไม่ผิดเลย พิษระบาดกำลังเริ่มปะทุแล้ว”
ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด เขารู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นมันแค่
เริ่มต้น มันแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น เมืองหลวงใหญ่ขนาด
นี้ ในตอนนี้คงมีอีกหลายที่ที่เกิดเหตุแบบนี้เช่นกัน
หากเมื่อคืนไม่ได้ไปหาเสวียหลิงเฟิง แล้วเสวียหลิงเฟิง
ไม่ได้ตัดสินใจในการส่งทหารแจ้งชาวบ้านห้ามออก
จากบ้าน อีกทั้งปิดล้อมถนน ฉีหนิงเชื่อว่าตอนนี้ใน
เมืองหลวงน่าจะวุ่นวายมากกว่านี้
“อย่าทำร้ายพวกเขา” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้นมา “อย่า
ถูกตัวของพวกเขาด้วย ตีพวกเขาให้สลบ แล้วจับพวก
เขาไปกักตัวไว้ที่ตรอกหนานเห๋อ”
ฉีหนิงเห็นดังนั้น คิดว่าเสวียหลิงเฟิงเตรียมพร้อม
รับมือไว้แล้ว ไม่เพียงไม่ให้คนของเขาทำร้ายผู้ติดเชื้อ
เขายังเตรียมที่จะกักกันเอาไว้แล้วด้วย ตรอกหนาน
เห๋อน่าเป็นที่ไว้กักตัวผู้ติดเชื้อ
ชายสองคนนั้นอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง ทหารหลายคน
ล้อมตัวเขาเอาไว้ ไม่ลงมือกับเขาง่ายๆ ทุกครั้งที่ผู้ติด
เชื้อพุ่งเข้ามา ทหารใช้โล่ดันตัวของพวกเขาออกไป
ทันใดนั้นเองก็มีทหารคนหนึ่งเห็นช่องโหว่ เขาพุ่งเข้า
มาจากด้านหลัง ใช้หมัดทุบเข้าที่หลังคอของชายคน
นั้น ชายคนนั้นเซไปเซมา เหมือนขาของเขาเริ่มอ่อน
ลง ทหารคนนั้นจึงรีบดึงขาของคนที่สลบไปแล้วลาก
ออกมา คนข้างๆ รีบช่วย จากนั้นก็หยิบเอาเชือกมา
มัดเอาไว้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 235 ห้องทรงอักษร
พวกของฉีหนิงก็ไม่เสียเวลา พวกเขาเดินทางตรงไปที่
ร้านหย่งอันถังในทันที
เพราะถังนั่วอยู่ที่นั่น ดังนั้นทางร้านหย่งอันถังจึงปิด
ร้าน แขวนป้ายแจ้งเอาไว้ว่าร้านปิด เด็กในร้านก็ถือ
โอกาสได้พักหนึ่งวัน แต่ก็ยังเหลือเด็กรับใช้ที่ร้าน
เอาไว้หนึ่งคน
ต้วนฉางไห่กับองครักษ์อีกคนมาเฝ้าอยู่ตรงนี้ด้วย
ตัวเอง
หลังจากที่จ้าวอู๋ซังกับฉีหนิงเคาะประตูแล้วก็เดินเข้า
มาด้านในแล้ว ต้วนฉางไห่รู้สึกแปลกใจ ฉีหนิงออกไป
ตอนเช้าตรู่ นี่ยังไม่เที่ยงเลย เหตุใดถึงกลับมาที่นี่แล้ว
“ทางแม่นางถังเป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อเข้ามาในร้าน
ฉีหนิงก็ถาม
ต้วนฉางไห่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หลังจากโหวเยว่ออก
ไปแล้ว แม่นางถังก็อยู่แต่ในห้อง ไม่ได้ออกมาเลย”
ฉีหนิงรู้ว่าถังนั่วไม่มีทางออกมาได้ในเวลาไม่นาน คิดๆ
แล้ว เขาก็เดินไปที่หน้าห้อง ลังเลครู่หนึ่งสุดท้ายก็
เคาะประตู
ไม่นานนัก ถังนั่วก็มาเปิดประตู ฉีหนิงเห็นนางสวม
หน้ากาก ถุงมือที่สวมอยู่ก็มีแต่รอยเลือด เห็นสายตา
ของถังนั่วมีแต่ความสงสัย เลยรีบพูดว่า “แม่นางถัง
เมื่อครู่ข้าไปที่จวนเสินโหวมา พวกเขาให้คนชันสูตร
ศพเหมือนกัน ข้ามีข่าวจะมาบอก ข้าคิดดูแล้ว คิดว่า
มาบอกเจ้าน่าจะดีกว่า เจ้าคุยได้หรือไม่?”
ถังนั่วพยักหน้า
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้” ฉีหนิงก็ไม่ทำให้ถังนั่วเสียเวลา
เขาเล่าให้นางฟังง่ายๆ “พวกเขาพบพิษไข่ที่เป็นที่มา
ของยาพิษในตัวของศพ ตามที่พวกเขาพูดมา พิษนี่มา
จากเขตแดนหยินหยางที่ปาสู่ซีหลิง แล้วพวกเขาก็
ค่อนข้างแน่ใจว่า พิษนี่น่าจะเป็นพิษที่ราชาพิษจิ่วซี
ปรุงขึ้น”
เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อเขานำข่าวนี้มาบอกกับถังนั่ว ถังนั่ว
จะต้องตกใจมาก
แต่ว่าถังนั่วกลับนิ่งมาก นางแค่พยักหน้าแล้วพูดว่า
“ข้ารู้แล้ว”
ปฏิกิริยาของถังนั่ว ทำให้ฉีหนิงแปลกใจ เขาเข้าใจ
แล้วถามว่า “แม่นางถัง หรือว่าเจ้า...เจ้ารู้อยู่แล้วว่า
มันมาจากพิษไข่”
ถังนั่วพยักหน้า แล้วพูดว่า “พิษไข่เป็นแค่หัวเชื้อ
นอกจากนี้ยังมีพิษชนิดอื่นด้วย ข้าต้องรู้ให้ได้ว่ามันมี
สมุนไพรตัวไหนอีกบ้าง ถึงจะหายาถอนพิษได้”
“แต่ว่า...” ฉีหนิงลังเล แล้วพูดว่า “จวนเสินโหวบอก
ว่า พิษไข่ของเขตแดนหยินหยาง เป็นพิษที่ไม่มียา
ถอน หากไม่สามารถถอนมันได้ ต่อให้รู้มีพิษอะไร คง
...”
ถังนั่วเข้าใจความหมายที่ฉีหนิงพูด นางส่ายหน้า “พิษ
ไข่ใช่ว่าจะถอนไม่ได้ หลายปีก่อน อาจารย์ได้หาวิธี
ถอนพิษชนิดนี้ได้แล้ว”
ฉีหนิงตะลึงไป เขาทั้งดีใจทั้งตกใจผสมปนเปกันไป
หมด แล้วพูดว่า “แม่นางถัง เจ้าหมายความว่า...เจ้า
สามารถหายาถอนพิษได้ใช่หรือไม่?”
“ข้าก็ไม่ได้พูดแบบนั้น” ถังนั่วพูดว่า “ข้าแค่บอกว่า
พิษไข่ถอนได้ แต่ตอนนี้พิษระบาดนี่ไม่ได้มีแค่พิษไข่”
“ใช่ใช่ใช่...” ระหว่างทางที่ฉีหนิงกลับมา เขารู้สึก
กังวลมาก แม้แต่จวนเสินโหวยังหาทางถอนพิษไข่
ไม่ได้ เขากังวลว่าถังนั่วจะถอนมันได้หรือไม่ ถ้าเกิดว่า
ไม่ได้ พิษระบาดครั้งนี้อาจจะแก้ไขได้ยาก ในตอนนี้ได้
ยินว่าถังนั่วไม่ได้สนใจว่าจวนเสินโหวหาทางถอนพิษ
ไม่ได้ ในใจก็รู้สึกสบายใจ “แม่นางถัง เจ้าเก่งเรื่อง
การแพทย์ ความปลอดภัยของชาวบ้านต้องพึ่งเจ้า
แล้ว”
เหมือนถังนั่วกำลังครุ่นคิด แล้วถามว่า “จวนเสินโหว
แน่ใจแล้วหรือว่าพิษในครั้งนี้ เกิดขึ้นเพราะราชาจิ่ว
ซี?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “พวกเขาบอกว่าราชาพิษ
จิ่วซีเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด ถึงแม้จะไม่ได้มั่นใจมาก
แต่พวกเขาส่งคนไปตามหาตัวราชาพิษจิ่วซีแล้ว”
ถังนั่วแค่ “อืม” จากนั้นก็ปิดประตูไปและไม่ได้พูด
อะไรอีก
ฉีหนิงถอนหายใจ เขาชอบท่าทางแบบสบายๆ ของ
ถังนั่วมาก ไม่พูดอะไรแต่มีความมั่นใจ
ฉีหนิงไม่ได้ออกจากหย่งอันถัง เขาหาที่สบายๆ แล้ว
พักผ่อน เขาหลับไปเพราะความเหนื่อย พวกของต้วน
ฉางไห่เองก็ไม่กล้ารบกวน
ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ทันใดนั้นเองเขาก็ถูกปลุกให้ตื่น
เขาลืมตาขึ้น เห็นต้วนฉางไห่อยู่ข้างๆ เขาลุกขึ้นนั่ง
แล้วถามว่า “มีอะไร?”
สีหน้าของต้วนฉางไห่ดูเคร่งเครียด “โหวเยว่ พิษ
ระบาดปะทุขึ้นแล้ว เมื่อครู่ข้าลองออกไปสำรวจมา
พบว่าตอนนี้ในเมืองหลวงมีแต่ทหารเต็มไปหมด
ทหารของค่ายหูเสินเคลื่อนไหวแล้ว นอกจากนี้ยังมี
ทหารของจวนผู้ว่าออกมาจับผู้ติดเชื้อตามท้องถนน
เต็มไปหมด”
ฉีหนิงเช็ดหน้าเช็ดตา แล้วหันหน้ามองไปที่นอก
หน้าต่าง แล้วถามว่า “ตอนนี้เวลาอะไรแล้ว?”
“ยามเซินแล้ว” ต้วนฉางไห่รีบพูดว่า “ข้าน้อยเห็น
โหวเยว่หลับสบายอยู่ ก็เลยไม่กล้ารบกวน แต่ว่า
ตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกร้ายแรงมาก ก็เลยมาปลุก
ท่าน”
ตอนนี้เด็กของร้านยาเอาน้ำร้อนมาให้ ฉีหนิงล้างหน้า
แล้วถามว่า “พอรู้หรือไม่ว่ามีคนติดเชื้อไปเท่าไหร่
แล้ว?”
“ข้าน้อยถามมาแล้ว จำนวนแน่นอนยังไม่รู้” ต้วนฉาง
ไห่สีหน้าจริงจัง “แต่ว่าทหารค่ายหูเสินสามพันนาย
รวมกับทหารของจวนผู้ว่าอีกสามร้อยนายได้ออก
ปฏิบัติการทั้งหมด ได้ยินว่าอาจจะต้องขอกำลังเสริม
จากทางค่ายเสวียนอู่มาด้วย ดูจากสถานการณ์แล้ว
คนที่ถูกพิษน่าจะมีไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช้กำลัง
ทหารมากมายขนาดนี้ ตอนนี้ถูกจับไปแล้วกว่าสามสี่
ร้อยคน แล้วก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ”
จ้าวอู๋ซังพูดว่า “โหวเยว่ ตอนนี้ในเมืองหลวงวุ่นวาย
มาก แต่ว่าภาพรวมแล้วยังอยู่ในการควบคุม หาก
ไม่ใช่เพราะโหวเยว่วิ่งวุ่นทั้งคืน ให้ทางเสวียหลิงเฟิง
เตรียมรับมือให้พร้อม ไม่อย่างนั้นตอนนี้สถานการณ์
แย่แน่นอน”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วถามว่า “ทหารของค่ายเสวียนอู่
คืออะไร?”
ต้วนฉางไห่รู้ว่าโหวเยว่ของเขาเพิ่งจะหายดีได้ไม่นาน
เพิ่งจะเข้ามาในแวดวงการเมืองได้ไม่นาน แต่ก่อนไม่
เคยถามเรื่องอะไรเลย เขาไม่รู้จักค่ายเสวียนอู่ก็ไม่ใช่
เรื่องแปลก เลยอธิบายว่า “โหวเยว่ ทหารค่ายเสวียน
อู่เป็นกองกำลังรักษาการณ์ของเมืองหลวง ฐานทัพ
ตั้งอยู่ทางเหนือใกล้กับแม่น้ำเสวียอู่ของเมืองหลวง
เป็นคู่ปรับกับทางค่ายดาบดำ แต่ว่ายุทโธปกรณ์และ
ความสามารถในการต่อสู้ของค่ายเสวียนอู่อ่อนกว่า
ค่ายดาบดำมาก แต่ว่ากองกำลังรักษาการณ์ของเมือง
หลวงอย่างค่ายเสวียนอู่ก็เป็นกองกำลังทหารที่
แข็งแกร่งมากที่สุดหน่วยหนึ่ง”
“อย่างนี้นี่เอง” ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ เขารู้ว่าในวังหลวงมี
ค่ายอวี่หลินเป็นหน่วยรักษาการณ์หลัก ส่วนในเมือง
หลวงมีทหารของค่ายหูเสิน นอกเมืองมีทหารค่าย
ดาบดำ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีกองกำลังของค่าย
เสวียนอู่ด้วย
“ค่ายเสวียนอู่มีทหารทั้งหมดแปดพันนาย มากกว่า
ค่ายดาบกำหลายเท่า” ต้วนฉางไห่อธิบายอย่าง
ละเอียด “ค่ายอวี่หลินมีกำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยนาย
ค่ายหูเสินมีกำลังพลสามพันนาย ถือเป็นสองกอง
กำลังสำคัญในเมืองหลวง ส่วนนอกเมืองหลวง ก็เป็น
ที่ตั้งของค่ายเสวียนอู่ที่มีกำลังพลแปดพันนายกับค่าย
ดาบดำที่มีกำลังพลหนึ่งพันนาย”
“ค่ายดาบดำมีกำลังพลแค่หนึ่งพันนายเองหรือ?” ฉี
หนิงรู้สึกแปลกใจ
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ท่านอาจจะไม่รู้
ค่ายดาบดำกับค่ายกิเลนดำเหมือนกัน ถึงแม้จะมี
กำลังพลไม่มาก แต่ว่าการคัดเลือกเข้มงวดมาก ทุก
คนชำนาญการต่อสู้และการขี่ม้า ต่อให้ไม่กล้าพูดว่า
หนึ่งสู้สิบได้เต็มปาก แต่ว่าหนึ่งต่อห้านั้นสบายๆ หาก
ทำสงครามขึ้นมาจริงๆ หนึ่งพันคนก็ทำให้ตกนรกได้”
ฉีหนิงนึกถึงตอนที่อยู่ที่วัดร้างเขาเห็นทหารของค่าย
ดาบดำ เงาของพวกเขาเขายังจำได้ไม่ลืม
ถึงแม้จะมีแค่ไม่กี่คน แต่ว่าลงมือเด็ดขาด สังหารนัก
ฆ่าที่ตามล่าฮ่องเต้น้อยได้อย่างเฉียบขาด ไม่เหลือรอด
แม้แต่คนเดียว
คิดว่านั่นน่าจะเป็นจุดเด่นของค่ายดาบดำ
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตู ประตูร้าน
ยาปิดตลอด ตอนนี้ก็เย็นแล้ว เหตุใดถึงมีคนมาเคาะ
ประตูอีก
“ใคร?” ต้วนฉางไห่เดินไปถามที่ริมประตู แต่ไม่ได้รีบ
เปิด
ฉีเฟิงพูดออกมาจากด้านนอกว่า “พี่ต้วน ข้าเอง”
ต้วนฉางไห่เปิดประตูออก ฉีเฟิงรีบเข้ามาด้านใน เงย
หน้ามองฉีหนิง แล้วรีบพูดว่า “โหวเยว่ คิดแล้วว่า
ท่านต้องอยู่ที่นี่”
“สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ค่อนข้างวุ่นวาย เจอทหารกำลังจับตัวคนที่มีอาการ
พิษกำเริบตลอดทาง” ฉีเฟิงพูดว่า “คิดว่าไม่น่าจะ
สงบได้เร็วๆ นี้ โหวเยว่ รีบเข้าวังเถอะ ฝ่าบาทส่งคน
มาตามให้ท่านเข้าวัง ข้าน้อยคิดว่าท่านน่าจะอยู่ที่นี่
จึงรีบมาตาม”
“ฝ่าบาททรงต้องการพบข้าหรือ?” ฉีหนิงอึ้งไป แต่ก็
นึกขึ้นมาได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพิษกำเริบใน
วันนี้ คิดในใจว่ามาตามเขาไปในเวลานี้ คงไม่ได้คิดว่า
เขาจะมีวิธีแก้ปัญหาหรอกกระมัง แต่ว่าฮ่องเต้เรียก
พบ จะเสียเวลาไม่ได้ ฉีหนิงสั่งให้ฉีเฟิงอยู่เฝ้าที่ร้านยา
แล้วให้ต้วนฉางไห่กับจ้าวอู๋ซังก็คุ้มกันเขาเข้าวัง
เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืน ต้วนฉางไห่กับจ้าวอู๋ซังยังมีสติ
ดี เพราะอย่างไรพวกเขาก็มาจากค่ายกิเลนดำ
ฉีหนิงเดินทางไปเข้าวัง ตลอดทางจะเห็นทหารวิ่ง
ปฏิบัติการกันให้วุ่น แล้วก็เห็นทหารล้อมจับผู้ติดเชื้อ
กันนับครั้งไม่ถ้วน เหมือนที่ฉีเฟิงพูด ในเมืองหลวง
หลายที่วุ่นวายมาก
เมื่อไปถึงวังหลวง ทหารรู้ฐานะของฉีหนิง ก็มีขันทีมา
นำทางฉีหนิงไปยังตำหนักเหวินเต๋อ ตำหนักเหวินเต๋อ
เป็นสถานที่จัดการราชกิจหลักและเอาไว้ประชุมเช้า
ด้วย ภายในมีห้องทรงอักษรขนาดใหญ่ ซึ่งต่างกับ
ห้องหนังสือที่ฉีหนิงเคยเห็น มันดูกว้างขวาง และดู
หรูหรากว่ามาก
ฉีหนิงมาถึงห้องทรงอักษร หลังจากขันทีเข้าไป
รายงานแล้ว ฮ่องเต้น้อยหลงไท่ก็สั่งให้ฉีหนิงเข้าเฝ้า
เมื่อเข้าไปถึงข้างใน ฉีหนิงก็เห็นเหล่าขุนนางสวมชุด
ขุนนางเต็มยศยืนอยู่เต็มห้อง เมื่อมองไปแล้ว น่าจะมี
คนราวห้าหกคน แต่กว่าครึ่งก็เป็นคนที่รู้จักกันดี
นอกจากจงอี้โหวกับซีเหมินเสินโหวแล้ว ยังมีไหว
หนานอ๋องด้วย
เห็นพวกเขาสวมชุดขุนนางทางการ ฉีหนิงถึงได้นึก
ขึ้นมาได้ว่า เขาไม่ทันได้เปลี่ยนชุดขุนนาง ก็รีบมาเข้า
เฝ้า ไม่รู้ว่าจะมีโทษหรือไม่
ฮ่องเต้น้อยหลงไท่นั่งอยู่หลังโต๊ะ สีหน้าเคร่งเครียด
เมื่อเห็นฉีหนิงเข้ามา สายตาของเขาก็เป็นประกาย ดู
ผ่อนคลายลง ฉีหนิงทำความเคารพ หลงไท่ยกมือแล้ว
พูดว่า “จิ่นอีโหว ลุกขึ้น ข้ามีเรื่องหารือกับพวกเจ้า”
ฉีหนิงขอบพระทัยแล้วลุกขึ้นถอยไปข้างๆ เขาเหลือบ
ไปมองจงอี้โหว จงอี้โหวกับไหวหนานอ๋องยืนอยู่ซ้าย
ขวาคนละข้างติดกับโต๊ะ ซีเหมินเสินโหวยืนอยู่หลังจง
อี้โหว เมื่อเห็นฉีหนิงถอยมา ซีเหมินเสินโหวจึงถอย
ห่างจากจงอี้โหว เว้นช่องว่างออกมาให้กับฉีหนิง
ถึงแม้ซีเหมินเสินโหวจะได้รับบรรดาศักดิ์โหว แต่ว่ายัง
เป็นรองสี่บรรดาศักดิ์โหว ถึงแม้ฉีหนิงจะอายุน้อย แต่
ว่าเพราะเป็นจิ่นอีโหว ตาเฒ่านี่ก็ถือว่ารู้ทำเนียมดี
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้เกรงใจ เพราะมันเป็นระเบียบของ
ราชสำนัก มีสูงมีต่ำ เขายกมือคำนับแล้วยิ้มให้ซีเหมิน
เสินโหว จากนั้นก็เข้าไปยืน แล้วมองไปรอบๆ มีอีก
สามคนที่เขาไม่รู้จัก มีเพียงอู่เซียงโหวที่ยังไม่มา ไม่รู้
ว่าคนแปลกหน้าอีกสามคนนี้มีคนที่เป็นจินเตาโหว
หรือไม่
สายตาของเขาจ้องไปที่ไหวหนานอ๋อง เห็นไหวหนาน
อ๋องกำลังมองมาที่เขา เห็นฉีหนิงมองมา ไหวหนาน
อ๋องก็ยิ้มแย้มขึ้น ทำให้รู้สึกสนิทสนม หากไม่ใช่เพราะ
คนอื่นบอกกับเขาว่าเขาอยากจะชิงบัลลังก์ ฉีหนิงรู้สึก
ว่าเมื่อมองไหวหนานอ๋องแล้วก็รู้สึกสบายใจมากกว่า
จงอี้โหวอีก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 236 หาเรื่อง
ภายในห้องทรงอักษรเงียบมาก หลงไท่ไม่ได้พูดอะไร
ขุนนางหลายคนก็ไม่กล้าพูด
“เมืองหลวงตอนนี้วุ่นวายมาก พวกท่านเป็นขุนนาง
ใหญ่ในราชสำนัก เป็นเสาหลักของบ้านเมือง เหตุใด
ถึงไม่พูดอะไรกันเลย?” ฮ่องเต้น้อยกวาดสายตามอง
ไป
ถึงแม้เขาจะเพิ่งครองราชย์ อายุก็น้อย แต่ว่าคำพูดคำ
จา หนักแน่นและนิ่งมาก
จงอี้โหวเป็นขุนนางช่วยบริหารราชกิจ เป็นขุนนาง
ใหญ่ในราชสำนัก หลงไท่พูดแบบนี้ จงอี้โหวก็เดิน
ออกมาข้างหน้าสองก้าว “ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ใช่
เรื่องใหญ่ ตอนนี้ได้ทำการเคลื่อนกำลังพลแล้ว ความ
วุ่นวายในเมืองหลวง ไม่นานก็จะสงบ ฝ่าบาทไม่ต้อง
ทรงกังวลพระทัยไป”
หลงไท่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมา
ก่อน จะไม่ให้ข้ากังวลใจได้อย่างไร?”
ซีเหมินเสินโหวเดินออกมา แล้วรายงานว่า “ทูลฝ่า
บาท พวกเราพบสาเหตุแล้ว ในเมื่อพบสาเหตุ พวก
เราก็จะมีวิธีรับมือ พวกกระหม่อมทำให้พระองค์ทรง
กังวลพระทัย กระหม่อมไร้ความสามารถ ขอทรงอภัย
ด้วย”
“เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมากล่าวโทษ” หลงไท่พูดว่า
“ซีเหมินเสินโหว ข้าขอถามท่านหน่อย ก่อนหน้าที่
ท่านบอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพรรคมารของชาวไป๋
เหมียวปาสู่ ท่านแน่ใจหรือไม่?”
“ทูลฝ่าบาท ทางจวนเสินโหวได้ทำการชันสูตรศพที่
ถูกพิษแล้วพบว่าพิษชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากเขต
แดนหยินหยางที่ตั้งอยู่ทางไป๋ซากั่งในปาสู่ ซึ่งที่นั่น
เป็นพื้นที่ของชาวไป๋เหมียว” ซีเหมินเสินโหวพูดว่า
“ในบรรดาชาวไป๋เหมียวมีคนๆ หนึ่งมีชื่อว่าชิวเฉียนอี๋
เขามีฉายาว่าราชาพิษจิ่วซี เป็นยอดฝีมือด้านพิษ
อันดับหนึ่งของปาสู่ พิษแบบนี้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่
สามารถปรุงพิษชนิดนี้ได้”
หลงไท่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ชิวเฉียนอี๋”
“ถูกแล้วพะยะค่ะ” ซีเหมินเสินโหวพูดว่า “เท่าที่
กระหม่อมทราบ ชิวเฉียนอี๋น่าจะเป็นคนของพรรคบัว
ดำ ส่วนพรรคบัวดำเป็นลัทธิมารที่ก่อตั้งขึ้นโดยชาว
เหมียว”
หลงไท่ถามว่า “ถ้าอย่างนั้น ที่เมืองหลวงเกิดความ
วุ่นวายในตอนนี้ ก็เป็นฝีมือของพรรคบัวดำอย่างนั้น
หรือ?”
ในตอนนี้ไหวหนานอ๋องก็พูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ชื่อ
ของพรรคบัวดำ กระหม่อมเคยได้ยินมาบ้าง”
หลงไท่มองไปที่ไหวหนานอ๋อง สีหน้าของเขามีความ
เคารพนบนอบมาก “เสด็จอารู้จักพรรคบัวดำด้วย
หรือ?”
ฉีหนิงแอบเหลือบตาไปมอง เห็นหลงไท่มีสีหน้าเคารพ
น้ำเสียงอ่อนโยน ในใจก็แอบขำ คิดว่าฮ่องเต้น้อย
แสดงละครเก่งเหมือนกัน
ไหวหนานอ๋องเหมือนจะพอใจกับท่าทีของหลงไท่มาก
เขาพยักหน้า “พอจะรู้บ้าง พรรคบัวดำตั้งอยู่ไกลนัก
ดังนั้นราชสำนักเลยไม่ค่อยจะได้สนใจมากเท่าไหร่”
จากนั้นเขาก็มองไปที่ซีเหมินอู๋เหิง ยิ้มแล้วพูดว่า
“จวนเสินโหวของท่านเสินโหวเอง คิดว่าก็คงไม่ได้รู้
เรื่องของพรรคบัวดำมากนัก”
ซีเหมินเสินโหวยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องพูด
ถูกต้องแล้ว พรรคบัวดำตั้งอยู่ไกลมาก ไม่ได้มา
เคลื่อนไหวอะไรในจงหยวนมากนัก ส่วนใหญ่จะอยู่ที่
ทางตะวันตกเฉียงใต้ของปาสู่เสียมากกว่า ทางจวน
เสินโหวเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของพวกเขามากนัก จวน
เสินโหวมีหน้าที่ในการตรวจตราจัดการเรื่องในยุทธ
ภพ หากล่วงเกินหรือก่อความวุ่นวายให้กับราชสำนัก
ทางจวนเสินโหวจะต้องหาวิธีรับมืออย่างเต็มที่ แต่
พรรคบัวดำซ่อนตัวไม่ออกหน้า จวนเสินโหวเองก็จะ
ไม่เสียเวลากับกำลังคนไปจับจ้องพวกเขา”
หลงไท่ถามว่า “เสด็จอา แล้วท่านรู้จักพรรคบัวดำ
มากน้อยเพียงใด?”
“ที่จริงก็ไม่มากนัก” ไหวหนานอ๋องพูดว่า “ฝ่าบาท
เท่าที่กระหม่อมทราบ พรรคบัวดำก่อตั้งมานานกว่า
ยี่สิบปีแล้ว ก่อตั้งโดยชาวเฮยเหมียว ส่วนชาวเฮย
เหมียว...” เขายิ้มเจื่อน “ถือเป็นลัทธิมารที่เหี้ยมโหด
ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำ ชาวเฮยเหมียวถือเป็นชน
เผ่าอันดับหนึ่งในบรรดาชนเผ่าเหมียว คนพวกนี้คิด
จะแยกตัวออกมาแล้วสถาปนาตัวเองเป็นแคว้น แต่
เพราะไม่มีกำลังมากพอที่จะต้านทานกำลังของแคว้น
ฉู่ของพวกเรา เลยไม่กล้าที่จะออกตัวว่าเป็นกบฏ”
“พวกเขาจะกบฏหรือ?” หลงไท่ขมวดคิ้ว
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ชาวป่าชาวดอย ไม่รู้ฟ้า
สูงแผ่นดินต่ำ มีใจคิดคดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” เขาหยุด
ไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “พรรคบัวดำ เท่าที่กระหม่อม
ทราบ เป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันวางแผนจะแยกตัว
ออกไป ปาสู่มีภูเขานับหมื่นลูก มีชาวเผ่าเหมียวเจ็ด
สิบสองถ้ำ เซิงเหมียวซูเหมียวมีกว่าสิบชนเผ่า มี
ปัญหากันเองตลอดเวลา เป้าหมายของพรรคบัวดำ ก็
คือให้เหล่าชาวชนเผ่าเหมียวอยู่ภายใต้การควบคุม
ของพวกเขา เมื่อไหร่ที่มีพลังอำนาจมากขึ้นและ
แข็งแกร่งมากพอ ก็จะยกทัพก่อกบฏ”
“พรรคบัวดำฝันเฝื่องจริงๆ” ขุนนางแก่คนที่ยืนอยู่
หลังไหวหนานอ๋องพูดขึ้นมาว่า “ต่อให้ชาวเผ่าเหมียว
รวมตัวกันทั้งหมด ก็มีกำลังพลเพียงหนึ่งแสนเท่านั้น
จะมีกำลังมาก่อกบฏได้อย่างไรกัน?”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้เท้าหลู จะพูดอย่าง
นั้นก็ไม่ถูก ชาวเผ่าเหมียวคุ้นเคยกับพื้นที่ปาสู่เป็น
อย่างดี หากพวกเขาคิดกบฏจริง ราชสำนักก็ไม่ได้
กลัว เป็นแค่เรื่องเล็กของพวกเราเท่านั้น” เขาหยุดไป
แล้วพูดว่า “ตอนนั้นท่านจิ่นอีเหล่าโหวยกทัพไป
ปราบปาสู่ หากไม่ได้ชาวเผ่าเหมียวช่วยเหลือ คงไม่
ราบรื่นแบบนี้” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มแล้วมองมาที่
ฉีหนิง
ฉีหนิงเองก็พอรู้เรื่องที่จิ่นอีเหล่าโหวไปปราบปาสู่ ดัง
นั้นจิ่นอีโหวตระกูลฉีถึงได้เป็นศัตรูกับสู๋อ๋องตระกูลหลี่
เขาไม่ทำอะไร แต่ในใจแอบคิดว่า พรรคบัวดำคราวนี้
คงโชคไม่ดีแน่แล้ว
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอกว่า “อู๋
เซียงโหวกับผู้บัญชาการค่ายหู๋เสินขอเข้าเฝ้า”
ซูเจินวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ด้านหลังตามมาด้วยผู้
บัญชาการค่ายหู๋เสินเสวียหลิงเฟิง
ทั้งคู่ถวายบังคมเสร็จ หลงไท่ก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า
“ลุกขึ้นเถอะ”
ซูเจินลุกขึ้น ยกมืออธิบายว่า “ทูลฝ่าบาท ในจวน...ใน
จวนมีปัญหาเล็กน้อย หลังกระหม่อมได้รับบัญชา ก็
รีบมาแต่ก็ยังสาย ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจว่า วันนี้เป็นการประชุมเล็ก เรียก
เขามาเฝ้า ซูเจินเองก็เป็นหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหว จะ
ทิ้งเขาไม่ได้
เสวียหลิงเฟิงยังคงเที่ยงตรงเหมือนเดิม ในห้องทรง
อักษรมีแต่ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ถึงแม้เขาจะเป็น
ถึงผู้บัญชาการค่ายหู๋เสิน แต่ถ้าเทียบกับคนที่อยู่ใน
ห้องนี้ก็เป็นเพียงขุนนางเล็กๆ เท่านั้น ทำได้แค่ยืนอยู่
ท้ายสุด
หน้าผากของซูเจินมีแต่เหงื่อไหลพราก เขาดูกระหืด
กระหอบมาก ดูท่าจะรีบมาจริงๆ เขามองซ้ายมอง
ขวา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เดินมายืนหลังฉีหนิง
ฉีหนิงรู้ว่าสี่บรรดาศักดิ์โหวถึงแม้จะตำแหน่งเท่าเทียม
กัน แต่ว่าก็มีสูงมีต่ำ จงอี้โหวถือว่าอยู่ในอันดับหนึ่งใน
บรรดาสี่บรรดาศักดิ์โหว จิ่นอีโหวคือรองลงมา แล้วอู่
เซียงโหวอยู่สุดท้าย
เขารู้ว่าที่ซูเจินยืนอยู่หลังเขา เพราะจินเตาโหวน่าจะ
ไม่มา ไม่อย่างนั้นคนที่ยืนอยู่ใกล้เขาน่าจะเป็นจินเตา
โหว
เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองซูเจิน ทันใดนั้นเขาก็
ขมวดคิ้ว หน้าถอดสี
ซูเจินเองก็มองมาที่เขา เห็นฉีหนิงขมวดคิ้ว ก็คิดแค่ว่า
ฉีหนิงมีใจอคติกับเขา เขาจึงเบือนหน้าหนีไป
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินขุนนางที่แซ่หลูถามขึ้นมาว่า
“เสวียหลิงเฟิง เมื่อคืนทหารของทหารค่ายหู๋เสินปิด
ล้อมถนนในเมืองหลวง เป็นคำสั่งของเจ้าหรือ?”
เสวียหลิงเฟิงยกมือคำนับแล้วพูดว่า “เรียนไต้เท้า
ข้าน้อยทราบว่ามีคนไปอาละวาดอยู่บนถนน เลยสั่ง
ให้คนออกไปควบคุมสถานการณ์เอาไว้”
ฉีหนิงคิดในว่าเจ้าคนแซ่หลูนี่ชักดาบมาแล้ว กำลังจะ
เอาเรื่องเสวียหลิงเฟิงแล้ว
เสวียหลิงเฟิงแทนตัวเองว่าข้าน้อยกับเขา ไม่รู้
เหมือนกันว่าคนแซ่หลูนี่เป็นใครมาจากไหน
“ข้ารู้ว่ามา เมื่อคืนมีแค่กลุ่มขอทานออกอาละวาด
เท่านั้น” ไต้เท้าหลูถึงแม้อายุมากแล้ว แต่ว่าเขาเป็น
คนแข็งแกร่งไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร สายตาของเขา
ยังคงแหลมคม “แค่กลุ่มขอทานเหตุใดต้องทำให้เป็น
เรื่องใหญ่ สั่งให้ทหารค่ายหู๋เสินมากกว่าร้อยคน
ออกมาคุมสถานการณ์ มันไม่เกินกว่าเหตุไปหน่อย
หรือ?”
เสวียหลิงเฟิงพูดด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “มันเป็น
หน้าที่ของข้าน้อย ไม่กล้าละเลย”
“ไม่มีบัญชาจากฝ่าบาท เจ้าเคลื่อนกำลังพลกว่าร้อย
นายโดยพลการ นี่มันในเมืองหลวงนะ เจ้าไม่รู้หรือว่า
มันจะทำให้เกิดความวุ่นวาย?” ไต้เท้าหลูพูด “เมื่อคืน
ได้ยินความเคลื่อนไหว ข้ายังคิดว่ามีใครคิดก่อกบฏ
เสียอีก”
เสวียหลิงเฟิงสะดุ้ง แล้วรีบพูดว่า “กระหม่อมสะเพร่า
ขอฝ่าบาททรงลงอาญาด้วย”
“ฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฐานะผู้บัญชาการทหาร
รักษาการณ์ค่ายหู๋เสิน ไม่มีบัญชาจากฝ่าบาท เคลื่อน
กำลังพลโดยพลการ ถือว่าทำผิดกฎหมาย หากไม่ลง
อาญาร้ายแรง เกรงว่าจะมีคนไม่พอใจ” ไต้เท้าหลูรีบ
พูดกับหลงไท่ว่า “ฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว สายตาของเขามีแต่ความเยือกเย็น
ในตอนนี้เขานับถือในตัวของเสวียหลิงเฟิงมาก เมื่อ
คืนเขาเคลื่อนกำลังพลแค่หนึ่งร้อยนาย วันนี้ก็มีคนหา
เรื่องเขาแล้ว หากเมื่อคืนเขาเคลื่อนกำลังพลทั้งหมด
ปิดล้อมเมืองหลวง วันนี้สถานการณ์คงแย่ไปกว่านี้
แล้ว
“เสวียหลิงเฟิง เคลื่อนกำลังพลปิดล้อมเมืองหลวง
เป็นความคิดของเจ้า หรือมีคนอื่นบงการ?” คนที่อยู่
หลังไต้เท้าหลูพูดขึ้นมา “เจ้าทำอะไรระวังรอบคอบ
มาตลอด ดูแลค่ายหู๋เสินมาก็หลายปี ไม่เคยทำ
ผิดพลาดมาก่อน เหตุใดครั้งนี้ถึงได้ทำอะไรพลการ
แบบนี้?”
ฉีหนิงรู้สึกขำ ในใจรู้ว่าคนพวกนี้ตั้งใจพุ่งเป้ามาที่เขา
เสวียหลิงเฟิงสีหน้าเคร่งเครียด แต่น้ำเสียงยังนิ่งอยู่
“ข้าน้อยไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ แต่เพียงทำไป
เพราะความปลอดภัยและความสงบของเมืองหลวง”
จากนั้นก็หันไปพูดกับหลงไท่ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อม
จงรักภักดีต่อแคว้น ไม่มีใจคิดคดทรยศ”
หลงไท่ยังไม่ได้พูดอะไร ฉีหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “ไต้เท้า
ทุกท่าน หากไม่ใช่เพราะผู้บัญชาการเสวียเตรียมการ
รับมือเอาไว้ล่วงหน้า เกรงว่าสถานการณ์ในเมือง
หลวงตอนนี้คงแย่กว่านีแ้ น่นอน ตอนนี้ชาวบ้านใน
เมืองหลวงกำลังเผชิญกับพิษที่ร้ายแรง พวกท่านไม่
คิดหาวิธีแก้ไขรับมือไม่พอ กลับยังจะหาเรื่อง
กล่าวโทษผู้บัญชาการเสวียอีก หรือว่าพวกท่าน
แยกแยะไม่ได้ว่าเรื่องไหนสำคัญ?”
ทุกคนหันไปมองเขา
สีหน้าของไต้เท้าหลูดูแย่มาก เขาพูดว่า “จิ่นอีโหว
สถานการณ์พิษเป็นเรื่องสำคัญ แล้วกฎของราชสำนัก
ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ? เสวียหลิงเฟิงเป็นถึงผู้
บัญชาการค่ายหู๋เสิน ตำแหน่งก็ไม่ใช่เล็กๆ ควรจะทำ
อะไรรอบคอบกว่านี้ ไม่มีพระบัญชา สั่งเคลื่อนกำลัง
พล หรือว่าไม่ใช่ความผิดร้ายแรงอย่างนั้นหรือ?” เขา
พูดว่า “หากเหล่าแม่ทัพสามารถเคลื่อนกำลังพลได้
โดยพลการแล้ว จิ่นอีโหวท่านนึกถึงผลที่ตามมาบ้าง
หรือไม่?”
“ข้ารู้ความหมายของไต้เท้าหลูดี” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ไต้เท้าหลูคิดอยากจะปกป้องกฎของราชสำนัก น่า
นับถือนัก” เขาเหลือบไปมอง แล้วพูดว่า “มีคนถาม
ว่าเสวียหลิงเฟิงเคลื่อนกำลังพลโดยพลการ เป็น
ความคิดของใคร ถ้าอย่างนั้นข้าก็พูดตรงๆ เลยก็แล้ว
กัน ที่เขาเคลื่อนกำลังพล เป็นเพราะข้าไปหาเขาด้วย
ความร้อนใจ แล้วอธิบายถึงความร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น
ท่านผู้บัญชาการเสวียต้องการรักษาความสงบของ
เมืองหลวงเอาไว้ เลยฝืนที่จะสั่งเคลื่อนทหาร” เขา
หยุดไป แล้วพูดว่า “ยังมีคำถามอะไรอีกหรือไม่ ข้าจะ
ได้ตอบทีเดียว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มท่ี 8 บทที่ 237 วาจาคมคาย
หลังจากที่ซูเจินเข้ามายังห้องทรงอักษรแล้ว ก็ไม่พูด
อะไรเลย ในตอนนี้เขาพูดขึ้นมาว่า “จิ่นอีโหว เจ้าไป
หาผู้บัญชาการเสวียที่จวน แล้วสั่งให้ผู้บัญชาการเสวีย
เคลื่อนกำลังพลอย่างนั้นหรือ?” เขาพูดว่า “พ่อของ
เจ้าเป็นขุนนางขั้นสอง ผู้บัญชาการใหญ่กองทัพฉิน
ไหวจวิน ส่วนเจ้าถึงจะมีจะบรรดาศักดิ์โหว แต่ไม่ได้มี
อำนาจทางการทหาร อย่าว่าแต่ค่ายหูเสินเลย แม้แต่
ทหารของผู้ว่าการเมืองหลวงเจ้าก็ไม่มีสิทธิสั่ง
เคลื่อนย้ายกำลังพล”
“อู่เซียงโหว ข้าว่าท่านฟังให้ชัดก่อนจะดีกว่านะ ข้า
บอกตอนไหนว่าข้าสั่งให้ผู้บัญชาการเสวียเคลื่อน
กำลังพล บอกเมื่อไหร่ว่าข้าสั่งให้ผู้บัญชาการเสวียไป
ทำงานให้?” ฉีหนิงรู้สึกว่าซูเจินไม่เพียงไม่มีราศีของ
ความเป็นโหว แต่เขาไม่มีสมองด้วย เขาพูดว่า “ข้า
เพียงแต่พบเจอเรื่องด่วน เลยไปหาผู้บัญชาการเสวีย
แล้วก็อธิบายถึงความร้ายแรงของปัญหา ผู้บัญชาการ
เสวียทำเพื่อความสงบเรียบร้อยในเมืองหลวง เลยสั่ง
ให้เคลื่อนย้ายทหาร ทำให้สามารถควบคุม
สถานการณ์ในวันนี้ได้”
ไต้เท้าหลูพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น การที่เสวียหลิงเฟิงสั่ง
เคลื่อนกำลังพล ก็เป็นเพราะท่านจิ่นอีโหวหรือ?”
หลงไท่ขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ไม่ต้องเถียงกัน เมื่อครู่
ข้าก็พูดไปแล้วว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถามหาเอาผิด
กับใคร อีกทั้งที่เสวียหลิงเฟิงเคลื่อนย้ายทหาร ก็ไม่ได้
ทำโดยพลการ แต่เป็นความประสงค์ของข้าเอง”
เมื่อเขาพูดออกมาแบบนี้ ไม่เพียงคนอื่น แม้แต่ฉีหนิง
กับเสวียหลิงเฟิงเองก็ตกใจ
ไหวหนานอ๋องเองก็ตะลึงไป แล้วพูดว่า “ที่แท้เมื่อคืน
ฝ่าบาทก็ทรงมีพระบัญชานี่เอง”
“เสด็จอาท่านคิดผิดแล้ว เมื่อคืนข้าไม่ได้มีคำสั่งลง
ไป” หลงไท่พูดว่า “เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ข้าได้เรียก
จิ่นอีโหวมาพบ ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้จิ่นอีโหวถูกโจร
จับตัวไป ข้าก็เลยมีราชโองการพิเศษให้เขา หากใน
สถานการณ์ที่คับขัน เขาสามารถสั่งเคลื่อนกำลังพล
ของค่ายหูเสินได้” จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉีหนิง “จิ่นอี
โหว หนังสือที่ข้าให้เจ้าไว้ เจ้าพกติดตัวเอาไว้
หรือไม่?”
ฉีหนิงรู้ว่าหลงไท่กำลังจะช่วยเขา แอบคิดในใจว่า
ฮ่องเต้น้อยนี่ก็เด็ดขาดเหมือนกัน รีบพูดว่า “ทูลฝ่า
บาท กระหม่อมพกติดตัวตลอดเวลา” จากนั้นเขาก็
ควักหนังสืออภัยโทษที่หลงไท่เขียนให้ครั้งที่แล้ว
ออกมา แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท นี่พะยะค่ะ”
มันคือหนังสืออภัยโทษ ไม่ใช่หนังสือคำสั่งเคลื่อนย้าย
กำลังพล ดังนั้นฉีหนิงก็ไม่มีทางให้ใครเห็นเนื้อหาข้าง
ในได้ชัดเจน
หลงไท่กับฉีหนิงแสดงละครร่วมกัน ไม่มีใครสงสัยได้
แต่หลงไท่ให้ราชโองการพิเศษกับฉีหนิง ให้เขามีสิทธิ
ในการเคลื่อนย้ายกำลังพลของค่ายหูเสินได้ ในใจของ
ขุนนางแต่ละคนก็คิดไม่เหมือนกัน
จงอี้โหวรู้สึกสงสัย หากหลงไท่ให้เขามีสิทธิในการ
เคลื่อนย้ายกำลังพลของค่ายหูเสินจริง แล้วเหตุใดเมื่อ
คืนถึงยังไปหาเขาที่จวนอีก? มันมีอะไรหรือไม่?
ซูเจินได้ยินว่าฮ่องเต้น้อยให้สิทธิฉีหนิงมีสิทธิในการ
เคลื่อนย้ายกำลังพลของค่ายหูเสิน สีหน้าก็เปลี่ยนไป
ในใจของเขาทั้งตกใจแล้วก็อิจฉา
อู่เซียงโหวกับจิ่นอีโหวเป็นขุนนางก่อตั้งแคว้นทั้งนั้น
ท่านเหล่าโหวทั้งสองรุ่นเป็นแม่ทัพสะท้านแผ่นดิน แต่
ว่าหลังจากที่ท่านเหล่าโหวทั้งสองสิ้นไป แต่
สถานการณ์ของทั้งสองตระกูลนั้นแตกต่างกัน
จิ่นอีโหวได้ฉีจิ่งรับสืบทอดตำแหน่ง ตอนที่ท่านเหล่า
โหวยังอยู่ ฉีจิ่งก็มีผลงานมากมาย ต่อมาฉีจิ่นเองก็สืบ
ทอดความสามารถของท่านเหล่าโหวมา เป็นผู้
บัญชาการกองทัพฉินไหวจวิน องอาจกล้าหาญมี
บารมี
เมื่อเทียบกับฉีจิ่ง ซูเจินก็แค่คนเสเพลคนหนึ่งเท่านั้น
ฉีจิ่งทำสงครามอยู่ชายแดน แต่ซูเจินกับเที่ยวเล่นอยู่ที่
หอนางโลม
ในความเป็นจริงแล้วหลังจากที่อู่เซียงเหล่าโหวสิ้นไป
ตระกูลซูก็ไม่ได้มีอำนาจทางทหารอีกแล้ว ซูเจินไม่ได้
มีความสามารถในทางการทหารเลย อดีตฮ่องเต้รู้
เรื่องนี้ดี เลยให้เขาไปทำงานง่ายๆ ซูเจินก็แค่ได้บุญ
กุศลมาจากท่านอู่เซียงเหล่าโหว ได้มีกินมีใช้ไปตลอด
ก็เท่านั้น
ตระกูลซูและตระกูลฉีได้ทำการหมั้นหมายกันไว้
สำหรับซูเจินแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่สับสน
อำนาจบารมีของตระกูลซูลดลงเรื่อยๆ เขารู้ดีว่า หาก
สามารถดองเป็นญาติกับทางจิ่นอีโหว มีแต่ประโยชน์
ไม่มีโทษ แถมยังได้ต้นไม้ใหญ่เป็นที่พึ่งพาได้ มี
ตระกูลฉีให้การสนับสนุน ตระกูลซูก็ยังสามารถมี
ความมั่นคงในราชสำนักได้
ซูเจินกับฉีจิ่งอายุห่างกันไม่กี่ปี ทั้งสองคนเป็น
ลูกหลานของตระกูลบรรดาศักดิ์โหว ฉีจิ่งมีผลงาน
มากมาย เก่งทั้งด้านวรยุทธ์และด้านศิลปะ ทุกอย่าง
เหนือกว่าซูเจินทั้งนั้น ลับหลังมีคนไม่น้อยที่แอบว่าซู
เจิน ซูเจินเองก็ไม่กล้าพูดอะไร แต่ว่าในใจก็แอบอิจฉา
และโกรธแค้นฉีจิ่งอยู่
เดิมคิดว่าหลังจากฉีจิ่งตายไป ตระกูลจิ่นอีโหวก็จะ
หมดอำนาจบารมีลง ซูเจินยังแอบคิดว่าถือเป็นโชคดี
เขาคิดเหมือนคนอื่น ไม่มีใครคาดคิดว่าฉีหนิงที่เป็น
จิ่นอีคนบ้าจะสามารถทำให้ตระกูลฉีเจริญรุ่งเรืองและ
มีบารมีได้
แต่ว่าวันนี้ได้ยินฮ่องเต้น้อยพูดแบบนี้แล้ว ซูเจินก็
ตกใจ แอบคิดในใจว่าเหตุใดหลงไท่ถึงได้โปรดปรานฉี
หนิงมากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เพิ่งครองราชย์ เหตุใดถึงได้
เชื่อใจฉีหนิงขนาดนี้? หรือว่าเพราะเขาคือลูกหลาน
ของจิ่นอีโหวหรือ?
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นพระประสงค์
ของฝ่าบาท ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ต้องหาความกัน
อีก” แล้วพูดว่า “ที่จิ่นอีโหวพูดเมื่อครู่นี้ไม่ผิด เรื่อง
สำคัญในตอนนี้ จะต้องแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าให้
ได้ก่อน ไม่ใช่มาถามหาความผิดจากใคร” เขามองไป
ที่เสวียหลิงเฟิง แล้วถามว่า “ท่านผู้บัญชาการเสวีย
สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เสวียหลิงเฟิงยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ทูลฝ่าบาทและ
ไต้เท้าทุกท่าน กระหม่อมได้ทำการเคลื่อนกำลังพล
ของค่ายหูเสิน ปิดล้อมถนนทุกสายในเมืองหลวง ส่วน
คนที่ถูกพิษวันนี้มีหลายคนที่อาการกำเริบ หลายคน
ออกมาอาละวาด วุ่นวายไปทั่วทั้งเมืองหลวง
กระหม่อมได้ทำการออกคำสั่งไปแล้วว่า หากพบผู้ถูก
พิษ ให้จับตัวทันที แล้วนำไปกักตัวไว้ที่ตรอกหนาน
เห๋อชั่วคราว กระหม่อมให้คนจัดสถานที่กักกันเอาไว้ที่
ตรอกหนานเห๋อ แต่ว่า...” เขาหยุดไป แล้วพูดต่อไป
ว่า “แต่ว่าจนถึงตอนนี้ที่ตรอกหนานเห๋อมีคนถูกพิษ
ถูกจับมาทั้งหมดสามร้อยคนแล้ว แต่ว่าบนถนนยังมี
ชาวบ้านอีกมากที่มีอาการกำเริบ ตามที่กระหม่อม
คาดการณ์เอาไว้ ตามความเร็วที่เห็นในตอนนี้ เกรงว่า
อาจจะจับผู้ถูกพิษได้อีกหกถึงเจ็ดร้อยคน”
หลงไท่สีหน้าเปลี่ยนไป เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “มีคน
ถูกพิษมากขนาดนี้เลยหรือ?”
“ฝ่าบาท นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น” เสวียหลิงเฟิงสีหน้า
เคร่งเครียด “ผู้ถูกพิษในวันนี้ เป็นแค่กลุ่มแรกเท่านั้น
พิษในเมืองหลวงแพร่ระบาดมาหลายวันแล้ว แต่ไม่มี
ใครรู้ สรุปแล้วมีคนมากเท่าไหร่ที่ถูกพิษไม่สามารถ
บอกได้ กระหม่อมเกรงว่าน่าจะมีเพิ่มมากขึ้นกว่านี้
แน่นอน”
ไหวหนานอ๋องขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พรรคบัวดำ
เหี้ยมโหดนัก กล้าสังหารคนมากขนาดนี้ ฝ่าบาท ครั้ง
นี้พวกเราไม่ควรใจอ่อนกับพรรคบัวดำอีก จะต้องให้
คนชาวเผ่าเหมียวรู้ พวกเขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่
บังอาจขนาดนี้”
“วางยาพิษในเมืองหลวง ก็ไม่ต่างกับการก่อกบฏ” ไต้
เท้าหลูรีบพูดว่า “ฝ่าบาท ราชสำนักจะต้องรีบกำจัด
พรรคบัวดำให้สิ้นซากพะยะค่ะ”
หลงไท่พยักหน้า แล้วพูดกับเสวียหลิงเฟิงว่า “เจ้า
ตัดสินใจเด็ดขาด ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ทำดี
มาก แต่ว่าสถานการณ์หลังจากนี้น่าจะรุนแรงมากขึ้น
ข้าขอสั่งให้เจ้าควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงอย่าง
เต็มที่ ห้ามเสียการควบคุมเด็ดขาด” จากนั้นเขาก็คิด
แล้วพูดอีกว่า “จำเอาไว้ ห้ามทำร้ายราษฎรเด็ดขาด
พวกเขาอาละวาดเพราะถูกพิษเท่านั้น”
เสวียหลิงเฟิงพูดว่า “กระหม่อมรับบัญชา” เขาคิด
แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ชาวบ้านที่ถูกพิษมีเยอะมาก ที่
กักกันที่ตรอกหนานเห๋ออีกไม่นานก็น่าจะเต็ม
กระหม่อมเกรงว่าหากยังมีผู้ถูกพิษเพิ่มไม่หยุด ดังนั้น
กระหม่อมอยากจะขอประทานอนุญาต หากจำเป็น
ให้สามารถใช้งานลานใหญ่ของเมืองหลวง เป็นที่
กักกันของผู้ถูกพิษด้วย”
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าอนุญาต”
จงอี้โหวแทบจะไม่พูดอะไรเลย ในตอนนี้เขาพูดว่า
“เสวียหลิงเฟิง จะใช้ลานเมืองหลวงใช่ว่าจะไม่ได้ แต่
ว่าห้ามส่งผลกระทบต่อชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เด็ดขาด
หากไม่ได้จำเป็นจริงๆ พยายามหาที่รกร้างที่อื่นก่อน”
“ข้าน้อยทราบแล้ว” เสวียหลิงเฟิงพูดว่า “ฝ่าบาท ยัง
มีอีกเรื่อง กระหม่อมไม่ทราบควรทูลหรือไม่”
“เรื่องอะไร?”
เสวียหลิงเฟิงลังเล แล้วพูดว่า “พิษระบาดครั้งนี้
สถานการณ์รุนแรงมาก หากไม่ถอนพิษให้ทันเวลา
กระหม่อมเกรงว่าน่าจะมีชาวบ้านตายเพราะพิษอย่าง
ต่อเนื่อง เมื่อถึงเวลานั้น ในเมืองหลวงก็จะมีศพกอง
พะเนินเป็นภูเขา...”
คนที่อยู่ในห้องขมวดคิ้ว ฉีหนิงเองก็สีหน้าเคร่งเครียด
เช่นกัน
“ฝ่าบาท หากพวกเขาพิษกำเริบจนตายจริง ควรต้อง
จัดการอย่างไรดีพะยะค่ะ?” เสวียหลิงเฟิงจริงจังมาก
ซูเจินอดไม่ได้จึงพูดว่า “ยากตรงไหน ก็ส่งไปไปหาที่
ร้างนอกเมืองสักที่ หากมีคนตายจริง ก็ให้ส่งไปฝังที่
นั่น เรื่องแค่นี้เหตุใดต้องมากวนพระทัยฝ่าบาทด้วย”
“อู่เซียงโหว เรื่องนี้คงไม่ง่ายอย่างนั้น” ฉีหนิงไม่
แม้แต่จะมองหน้าซูเจิน เขาพูดว่า “คนพวกนั้นถูกพิษ
จนตาย หากฝัง พิษก็ยังอยู่ ไม่แน่ต่อไปในอนาคต
อาจจะเป็นปัญหาก็ได้”
“อย่างนั้นหรือ?” ซูเจินถามว่า “แล้วจิ่นอีโหวมีวิธี
อะไรดีๆ เล่า?”
“มีวิธีหนึ่งคิดว่าพอทำได้” ฉีหนิงพูดว่า “หากพิษ
กำเริบจนตายจริง ต้องเผาเท่านั้น ถึงจะขจัดพิษ
ออกไปจากตัวศพได้”
“เผาศพ?” ไหวหนานอ๋องขมวดคิ้ว “จิ่นอีโหว ทำ
แบบนั้นคงไม่เหมาะ ร่างกายผิวหนัง เป็นของพ่อแม่
หลังจากที่ตาย ก็ต้องฝังให้กลับสู่พื้นธรณี หาก...หาก
เผา ถึงเวลานั้นญาติคนตายคงไม่พอใจราชสำนักแน่”
เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ต่อไปพวกเขาไม่มีแม้แต่
จะกราบไหว้”
ฉีหนิงพูดด้วยความจริงจังว่า “ท่านอ๋อง หากไม่เผา
ทำลายศพที่ตายเพราะพิษให้หมดไป แต่ฝังศพแทน
เกรงว่าพิษจะสะสมตัวอยู่ในดิน จะไม่สามารถถอน
รากถอนโคนได้ ไม่แน่อาจจะเกิดมาระบาดอีกเมื่อไหร่
ก็ได้”
“จิ่นอีโหวคิดมากเกินไปหรือไม่?” ซูเจินพูด “ฝังลงไป
ในดินแล้ว จะเกิดเป็นภัยอีกได้อย่างไร? ท่านอ๋องพูด
ถูก ร่างกายผิวหนัง เป็นของพ่อแม่ หากราชสำนักสั่ง
ให้เผาศพ ถึงเวลานั้นชาวบ้านต่อว่ามาไม่ได้ต่อว่าท่าน
จิ่นอีโหว แต่เป็นฝ่าบาท เจ้าอยากเห็นชาวบ้านต่อว่า
ฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงเหลือบไปมองซูเจิน แล้วพูดว่า “อู่เซียงโหว ข้า
จะคิดมากไปหรือไม่นั้นมันไม่สำคัญ แต่ว่าท่านน่าจะ
คิดถึงตัวเองสักหน่อยนะ”
ซูเจินอึ้งไป แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้า
หมายความว่าอย่างไร?”
ฉีหนิงจ้องไปที่ซูเจิน แล้วพูดอย่างชัดเจนว่า “อู่เซียง
โหวท่านไม่รู้ตัวหรือ ว่าตัวท่านก็ถูกพิษแล้ว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 238 เป็นระบบระเบียบ
เมื่อฉีหนิงพูดออกมา ซูเจินยังไม่ทันตั้งตัว แต่คนอื่นสี
หน้าเปลี่ยนไป เหมือนทุกคนต่างก็ถอยหลังไปคนละ
สองก้าวโดยไม่รู้ตัว สายตาต่างจ้องไปที่ซูเจิน
ซูเจินอึ้งไป จากนั้นก็จ้องไปที่ฉีหนิงแล้วพูดด้วยความ
โมโหว่า “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร”
ซีเหมินเสินโหวสีหน้าเคร่งเครียด แล้วเดินไปตรงหน้า
ของซูเจิน เขามองแล้วขมวดคิ้ว “อู่เซียงโหว จิ่นอีโหว
พูดไม่ผิด ท่านถูกพิษแล้ว”
คำพูดของฉีหนิงหลายคนยังคงไม่แน่ใจ แต่เมื่อซีเหมิน
เสินโหวพูด ไม่ผิดแน่นอนแล้ว
ซูเจินหน้าซีด อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
“ใครก็ได้มานี่ที” จงอี้โหวพูด “เชิญอู่เซียงโหวออกไป
พักก่อน”
จากนั้นก็มีขันทีเข้ามา แล้วพาตัวซูเจินออกไป
คนอื่นต่างรู้ดี การเชิญเขาออกไปพัก เพราะกังวลว่า
พิษบนตัวของซูเจินจะแพร่ระบาดให้กับคนอื่น
ตั้งแต่ซูเจินเดินเข้ามาฉีหนิงก็สังเกตเห็นรอยแดงบางๆ
บนหน้าของเขาแล้ว หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงไม่ใส่ใจ
แต่ตอนนี้สถานการณ์ร้ายแรง ฉีหนิงถึงได้ดูออกว่าซู
เจินน่าจะถูกพิษแน่นอน
เขารู้ว่าซูเจินเป็นชายหนุ่มชอบเที่ยว หลังจากสืบทอด
ตำแหน่งโหวแล้วอายุมากขึ้น ถึงแม้จะสำรวมไปเยอะ
แต่ว่านิสัยเดิมก็ยังคงมีอยู่ ยังคงไปสถานที่แบบนั้นอยู่
บ้าง ที่นั่นเป็นที่คนพลุกพล่าน พิษระบาดหนักที่สุดก็
คือที่นั่น
ซูเจินมองซ้ายมองขวา เห็นแต่ละคนขมวดคิ้ว ในใจก็
เหมือนสิ้นหวัง เขามองไปที่ฮ่องเต้น้อย ฮ่องเต้ก็ไม่ได้
จะสนใจมองเขาเท่าไหร่ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ด้วย
ความจนใจ กำลังจะก้าวเท้าออกไป แต่ขากลับอ่อน
ลง หลังรู้ว่าตัวเองถูกพิษ ก็ตกใจจนไร้เรี่ยวแรง
จงอี้โหวส่งสัญญาณให้กับขันที ขันทีคนนั้นเรียกขันที
เข้ามาอีกสองคน แล้วหามซูเจินออกจากห้องทรง
อักษรไป
“อู่เซียงโหวถูกพิษ จะเป็นอันตรายต่อ...ต่อพระ
วรกายฝ่าบาทหรือไม่?” ซูเจินเพิ่งจะถูกหามออกไป
ไต้เท้าหลูก็มองไปที่ซีเหมินเสินโหวแล้วถาม
ซีเหมินเสินโหวส่ายหน้า “ไต้เท้าหลูวางใจได้ อู่เซียง
โหวไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวของพวกเรา ไม่มีปัญหาอะไร”
“แม้แต่อู่เซียงโหวก็ถูกพิษด้วย สถานการณ์ร้ายแรง
มากแล้ว” หลงไท่มองไปที่เสินโหว “ซีเหมินเสินโหว
จวนเสินโหวของพวกเจ้ามีวิธีปรุงยาถอนพิษแล้วหรือ
ยัง?”
“ทูลฝ่าบาท หน่วยชี่ตันของจวนเสินโหวกำลัง
พยายามอย่างเต็มที่ อีกทั้งกระหม่อมได้ส่งคนไปเชิญ
ยอดฝีมือในยุทธภพมาช่วยหาทางปรุงยาถอนพิษอีก
ทางหนึ่งด้วย” ซีเหมินเสินโหวพูดว่า “แต่ว่าชาวชน
เผ่าเหมียวเชี่ยวชาญด้านพิษ ใครๆ ก็รู้ ราชาพิษจิ่วซี
เป็นยอดฝีมือด้านพิษ อยากจะถอนพิษของเขา มัน
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
หลงไท่ขมวดคิ้ว “ชาวบ้านที่ถูกพิษมีมาก แม้แต่อู่
เซียงโหวเองก็ถูกพิษด้วย หากไม่มีทางหายาถอนพิษ
มาได้ คนไม่ตายไปมากกว่านี้หรือ?”
ซีเหมินเสินโหวพูดว่า “ฝ่าบาททรงห่วงใย เป็นบุญ
ของราษฎรยิ่ง ทางจวนเสินโหวไม่เพียงจะต้องหายา
ถอนพิษให้ได้ ยังส่งคนออกตามหาร่องรอยของราชา
พิษจิ่วซีด้วย”
“เจ้าหมายความว่า ตอนนี้ราชาพิษจิ่วซีอยู่ในเมือง
หลวงหรือ?” หลงไท่ถาม
ซีเหมินเสินโหวพูดว่า “กระหม่อมไม่สามารถ
รับประกันได้ว่าราชาพิษจิ่วซีมายังเมืองหลวงหรือไม่
แต่ในเมื่อพิษมาจากราชาพิษ ถ้าอย่างนั้นรอบๆ เมือง
หลวง ต่อให้เขาไม่ได้มาเอง แต่ว่าลูกศิษย์ของเขาต้อง
อยู่แน่นอน ขอแค่หาร่องรอยของเขาพบ จับมา
สอบสวน ไม่แน่พวกเราอาจจะเจอยาถอนพิษได้”
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ซีเหมินเสินโหว ไม่ว่าจะ
ยากลำบากเพียงใด จะต้องหาวิธีเอายาถอนพิษมาให้
ได้ ราชาพิษจิ่วซีนั่น ไม่ว่าจะอยู่หรือไม่ ต่อให้เขาอยู่
ไกลถึงปาสู่ ก็ต้องจับกลับมาสอบสวนให้ได้”
“กระหม่อมรับบัญชา”
“ฝ่าบาท ราชาพิษจิ่วซีเป็นคนของพรรคบัวดำ หาก
เขาหลบซ่อนตัวอยู่ที่ปาสู่จริง อยากจะจับเขากลับมา
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ไหวหนานอ๋องสีหน้าจริงจัง
“เท่าที่กระหม่อมทราบ ชาวเฮยเหมียวเห็นพรรคบัว
ดำเสมือนเทพเจ้าของพวกเขา ราชาพิษจิ่วซีก็เสมือน
เทพเจ้าของชาวไป๋เหมียว ชนเผ่าเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำ
ชาวเฮยเหมียวกับไป๋เหมียวถือได้ว่ามีอิทธิพลมาก
ที่สุด หากทั้งสองชนเผ่าร่วมมือกัน รับมือไม่ง่ายเลย
หากพวกเขาปกป้องราชาพิษจิ่วซีแล้วล่ะก็ จวนเสิน
โหวอาจจะไม่สามารถจับตัวเขากลับมาได้”
หลงไท่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ซีเหมินเสินโหว พรรคบัว
ดำกำเริบเสิบสานขนาดนั้นเชียวหรือ?”
ซีเหมินเสินโหวคิดแล้วพูดว่า “ทูลฝ่าบาท อิทธิพลใน
ปาสู่ของพรรคบัวดำ ถือได้ว่าไม่มีใครเทียบได้ ราชา
พิษจิ่วซีได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมือด้านพิษอันดับหนึ่งของ
ปาสู่ แต่กลับยอมสวามิภักดิ์ต่อพรรคบัวดำ แต่ว่า
พรรคบัวดำทำอะไรเงียบเชียบ กระหม่อมเองก็ไม่ได้รู้
เรื่องของพวกเขามากนัก ไม่มั่นใจว่า ชาวเหมียวจะ
เห็นพรรคบัวดำเสมือนเทพเจ้าของพวกเขาหรือไม่”
จงอี้โหวพูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ทรงให้ทางจวนเสินโหว
ส่งคนไปปาสู่ เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ได้ อีกทั้งยัง
สามารถให้ทางสู่อ๋องหลี่หงซิ่นส่งคนไปเจรจากับพรรค
บัวดำได้”
หลงไท่พยักหน้า เขาเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วถามว่า
“จิ่นอีโหว เจ้าคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร?”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นด้วยกับจงอี้โหว” ฉีหนิง
พูดต่อว่า “ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ชัดก่อน
เป็นแผนการที่รอบคอบมาก ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นที่ปาสู่
ก็จะต้องให้สู่อ๋องหลี่หงซิ่นไปลองหยั่งเชิงกับทาง
พรรคบัวดำก่อน อีกทั้งยังสามารถให้หลี่หงซิ่นไปขอ
คนจากทางพรรคบัวดำได้พะยะค่ะ”
“อ๋อ?” หลงไท่พูดว่า “เจ้าหมายความว่าให้สู่อ๋องไป
พบกับทางพรรคบัวดำ ให้ทางพรรคบัวดำมอบตัว
ราชาพิษจิ่วซีมาอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “กระหม่อมหมายความ
เช่นนั้น การวางยาพิษในครั้งนี้ ถึงแม้พิษจะแน่ใจว่า
เกิดจากฝีมือของราชาพิษจิ่วซี แต่พวกเราไม่อาจ
แน่ใจได้ว่าเกี่ยวข้องกับทางพรรคบัวดำด้วย หากทาง
พรรคบัวดำยอมส่งตัวราชาพิษจิ่วซีมาให้กับทางราช
สำนัก นั่นแสดงว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับทางพรรคบัว
ดำ แต่หากทางพรรคบัวดำไม่มอบคนให้ อีกทั้งมีท่าที
ที่แข็งกร้าว แสดงว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับทางพรรค
บัวดำแน่นอน”
ซีเหมินเสินโหวพูดว่า “ฝ่าบาท จิ่นอีโหวพูดถูกต้อง
แล้ว พรรคบัวดำเชื่อมโยงกับหลายชนเผ่าเหมียว การ
จัดการควรจะทำอย่างสันติ กระหม่อมคิดว่า ต่อให้
ราชสำนักจะกวาดล้างพรรคบัวดำจริง ก็ต้องเริ่มจาก
การให้เกียรติก่อนการใช้กำลังทหาร ต้องแยกชนเผ่า
เหมียวกับทางพรรคบัวดำออกจากกันก่อน ชนเผ่า
เหมียวมีประชากรกว่าหนึ่งแสนคน จะให้พวกเขา
ทั้งหมดเข้าใจราชสำนักผิด คิดว่าพวกเราจะใช้กำลัง
กับพวกเขาไม่ได้เด็ดขาด”
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ซีเหมินเสินโหวพูดถูก
ทางพรรคบัวดำกับชาวเผ่าเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำ
อาจจะไม่ได้มีความคิดตรงกัน ต้องเริ่มจากการให้
เกียรติก่อนการให้กำลังทหาร ต้องให้ทางเผ่าเหมียวรู้
ว่าราชสำนักของพวกเราใช้เหตุผลมากกว่ากำลัง”
“ฝ่าบาท ชาวเผ่าเหมียวเป็นคนป่าเถื่อน อาจไม่เข้าใจ
เหตุผลก็ได้” ไต้เท้าหลูพูดว่า “กระหม่อมกังวลว่า
หากราชสำนักไม่รีบกวาดล้างพวกเขา จะทำให้
เสียเวลา และยังทำให้พวกเขามีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น
ไปอีก”
ฉีหนิงรู้สึกว่าไต้เท้าหลูคนนี้ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้คิด
จะใช้กำลังทหารกับพรรคบัวดำกับชาวเผ่าเหมียว
อย่างเดียวเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามีความแค้นกับ
ชาวเผ่าเหมียวอะไรนักหนา ในใจก็แอบคิดว่าความ
จริงของเรื่องนี้ยังไม่กระจ่างเลย หากราชสำนักใช้
กำลังทหารกับพวกเขาจริง ทั้งสองฝ่ายอาจจะเจ็บ
ด้วยกันทั้งคู่ เขาเลยพูดว่า “ไต้เท้าหลู ชาวเผ่าเหมียว
อาศัยอยู่ที่หุบเขาในปาสู่ไม่ใช่แค่ปีสองปีนะ พวกเขา
อยู่กันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คุ้นเคยสภาพอากาศ
แวดล้อมของที่นั่นเป็นอย่างดี ท่านบอกว่าให้ส่งคนไป
เจรจากับพวกเขาทำให้พวกเขามีเวลาเตรียมตัว ข้า
กลับคิดว่า หากพวกเขาจะทำอะไรจริงๆ คงไม่รอถึง
วันนี้ค่อยมาเตรียมตัวหรอกกระมัง”
ไต้เท้าหลูอ้าปากค้าง แต่พูดอะไรไม่ออกสักคำ
หลงไท่มองไปที่ฉีหนิง แล้วยิ้ม เขาพยักหน้า แล้วพูด
ว่า “จิ่นอีโหวพูดถูก ทหารของต้าฉู่กล้าหาญแข็งแกร่ง
องอาจ หากจะกำจัดกบฏ ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะ
เตรียมตัวแค่ไม่กี่วันแล้วจะรับมือได้” เขามองไปที่จง
อี้โหวแล้วพูดว่า “จงอี้โหว ท่านช่วยร่างราชโองการให้
ข้าที สั่งให้สู่อ๋องไปเจรจากับทางพรรคบัวดำ ได้ผล
อย่างไร ให้รีบมารายงานทันที”
จงอี้โหวยกมือคำนับแล้วพูดว่า “กระหม่อมรับ
บัญชา”
“ซีเหมินเสินโหว ท่านก็ส่งคนไปสืบข่าวของพรรคบัว
ดำมา ยิ่งละเอียดยิ่งดี หากคนพวกนั้นคิดกบฏจริง
ราชสำนักก็จะไม่ปล่อยพวกเขาเอาไว้ รู้เขารู้เรา รบ
ร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ก่อนที่จะไปกวาดล้างพรรคบัว
ดำ จะต้องรู้เรื่องของพวกเขาให้ชัดเจนก่อน” น้ำเสียง
ของหลงไท่เรียบง่ายมาก แต่เป็นระบบระเบียบ
“นอกจากนี้ ยังต้องรีบหายาถอนพิษให้ได้เร็วที่สุด
จวนเสินโหวของท่านจะต้องรีบหาวิธีหายาถอนพิษมา
ให้ได้ ข้าจะให้ทางสำนักหมอหลวงช่วยด้วยอีกทาง
หนึ่ง”
ซีเหมินเสินโหวคิดในใจว่าหมอในสำนักหมอหลวงให้
วินิจฉัยโรคยังพอได้ แต่ว่าจะให้มารับมือกับพิษหา
ยากในยุทธภพ เกรงว่าพวกเขาคงไม่มีปัญญา แต่ว่า
จะพูดออกมาไม่ได้ เขายกมือคำนับแล้วพูดว่า “ขอบ
พระทัยฝ่าบาท”
“จริงสิ เสวียหลิงเฟิง ทหารของเจ้าตอนนี้พอที่จะ
ควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงได้หรือไม่?” หลงไท่
เงยหน้าถามเสวียหลิงเฟิง “เจ้าจะต้องควบคุม
สถานการณ์ในเมืองหลวงเอาไว้ให้ดี ห้ามเสียการ
ควบคุมเด็ดขาด”
เสวียหลิงเฟิงพูดว่า “ทูลฝ่าบาท จากสถานการณ์
ตอนนี้ ในสองสามวันนี้น่าจะยังพอควบคุมได้ แต่
กระหม่อมไม่สามารถบอกได้ว่าหลังจากนี้จะมีผู้ถูกพิษ
อีกมากแค่ไหน ดังนั้นไม่อาจรับประกันได้ว่าทหาร
ของกระหม่อมจะเพียงพอที่จะควบคุมสถานการณ์ทั้ง
เมืองหลวงได้หรือไม่พะยะค่ะ”
“หากมีอะไรเปลี่ยนแปลง เจ้าไปหารือกับจงอี้โหวได้
ทันที” หลงไท่หันไปพูดกับจงอี้โหวว่า “หาก
สถานการณ์คับขันมาก ก็ไปโยกทหารจากค่ายเสวียน
อู่มาช่วย” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “ทุกท่าน ศพที่พิษ
กำเริบจนตาย พวกท่านคิดว่าควรจะจัดการอย่างไร
ดี?”
เมื่อครู่ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันก็เพราะเรื่องนี้ หลงไท่
เหมือนกำลังใช้ความคิด ไม่ได้ตัดสินใจเลยทันที
ไหวหนานอ๋องที่ไม่ได้พูดอะไรมานาน ก็พูดขึ้นมาว่า
“ฝ่าบาท เผาศพ จะทำให้ชาวบ้านโกรธแค้นได้
กระหม่อมเห็นว่า หากไม่มีทางเลือก ก็ให้เอาไปฝังยัง
ที่ไกลๆ และฝังให้ลึกหน่อย น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
“ท่านอ๋อง หากพิษจากตัวศพมันแพร่กระจายออกไป
ต่อให้ฝังลึกแค่ไหน มันก็ยังคงอยู่” ฉีหนิงพูดอีกว่า
“ฝังไกลอีกหน่อย มันก็แค่ระยะห่างจากเมืองหลวง
ออกไปเท่านั้น แต่มันไม่สามารถกำจัดพิษไปได้หมด”
เขาหันไปพูดกับหลงไท่ว่า “ฝ่าบาท เอาอย่างนี้ดี
หรือไม่พะยะค่ะ ผู้ถูกพิษทุกคน อย่างไรก็จะต้องถูก
บันทึกรายชื่ออยู่แล้ว หากว่ามีคนตายขึ้นมาจริงๆ
หลังจากที่เผาแล้ว ให้เก็บเถ้ากระดูกขึ้นมา แล้วเขียน
ชื่อเอาไว้ ส่งกลับไปที่บ้าน ทำแบบนี้ก็จะสามารถให้
คนที่บ้านนำไปฝังได้ อีกทั้งยังสามารถป้องกันไม่ให้
พิษแพร่กระจายต่อไปได้อีก”
ซีเหมินเสินโหวพูดว่า “ฝ่าบาท วิธีของจิ่นอีโหวใช้ได้
พะยะค่ะ น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว”
ไหวหนานอ๋องขยับปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ถ้าอย่างนั้น ก็ทำตามวิธีของจิ่นอีโหวก็แล้วกัน”
หลงไท่มองไปที่จงอี้โหว แล้วถามว่า “จงอี้โหว ท่าน
คิดว่าอย่างไร?”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมคิดว่าวิธีของจิ่นอี
โหวใช้ได้พะยะค่ะ” จงอี้โหวพยักหน้า “ฝ่าบาท แล้ว
อู่เซียงโหวจะให้จัดการอย่างไร? เขาถูกพิษแล้ว หาก
กลับจวน เกรงว่า...” เขาไม่ได้พูดต่อไป
ตอนนี้ทุกคนถึงได้นึกถึงอู่เซียงโหวที่เกือบจะตกใจ
ตายไปเมื่อครู่
หลงไท่คิดแล้วพูดว่า “ซีเหมินเสินโหว ถ้าอย่างไรให้อู่
เซียงโหวไปอยู่ที่จวนสินโหวก่อนก็แล้วกันนะ หากได้
ยาถอนพิษมาแล้ว ก็รีบเอาให้เขากินทันที”
ทุกคนรู้ดีว่า ในความเป็นจริงแล้วมันคือการกักบริเวณ
อู่เซียงโหวไว้ในจวนเสินโหวต่างหาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 239 แลกเปลี่ยน
เมื่อออกจากวัง เสวียหลิงเฟิงเดินได้ว่องไวมาก อีกทั้ง
มีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำด้วย ดังนั้นเขากับฉีหนิงเดิน
ออกมาประตูวังพร้อมๆ กัน
เมื่อถึงนอกประตูวัง เสวียหลิงเฟิงก็พูดว่า “โหวเยว่
วันนี้ท่านวู่วามเกินไป เมื่อคืนข้าน้อยก็บอกท่านแล้ว
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โหวเยว่ก็อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับ
เรื่องนี้เด็ดขาด”
ฉีหนิงรู้ว่าเสวียหลิงเฟิงหมายถึงเรื่องรับผิดในวันนี้
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาเสวียท่านไม่ได้ยินหรือ ต่อ
ให้ข้าไม่ออกหน้ารับ ก็มีคนตั้งใจจะลากข้าเข้าไปเอี่ยว
ด้วยอยู่แล้ว” ขมวดคิ้วถามว่า “จริงสิ ไต้เท้าหลูอะไร
นั่นเขาเป็นใครมาจากไหนกัน?”
“เขาคือจั่วซื่อหลางของกรมกลาโหมหลูเซียว ถึงแม้
เขาจะเป็นแค่จั่วซื่อหลาง แต่ว่ากรมกลาโหมตอนนี้
เขาเป็นคนดูแลทั้งหมด” เสวียหลิงเฟิงอธิบายว่า
“ถึงแม้ท่านจินเตาโหวจะมีตำแหน่งเป็นเสนาบดี
กลาโหม แต่ว่าอายุท่านก็มากแล้ว สองปีมานี้สุขภาพ
ก็ไม่ค่อยดี ออกจากจวนน้อยมาก ไม่มีเรี่ยวแรงอะไร
ในการดูแลจัดการกรมกลาโหวเลย หลูเซียวเคยออก
รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับจินเตาโหว เก่งทั้งบุ๋นและบู๊
ทำงานอยู่ในกรมกลาโหมมานาน เมื่อจินเตาโหวไม่
สามารถดูแลจัดการกรมกลาโหมได้แล้ว เขาในฐานะ
จั่วซื่อหลางของกรมกลาโหมก็เลยมีหน้าที่ดูแลจัดการ
แทน”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ ที่แท้หลูเซียวก็เป็นซื่อหลางของ
กรมกลาโหมนี่เอง แสดงว่ากรมกลาโหวน่าจะเป็น
กำลังหลักของทางจินเตาโหว
ช่วงที่อยู่ในเมืองหลวง ฉีหนิงรู้ถึงชื่อเสียงของสี่
บรรดาศักดิ์โหวเป็นอย่างดี รู้ว่าจงอี้โหวกับอู่เซียงโหว
เป็นอย่างไร ยกเว้นจินเตาโหวคนเดียวที่ยังไม่รู้จัก
“โหวเยว่ ฝ่าบาททรงตรัสว่าท่านมีราชโองการพิเศษ
สามารถสั่งเคลื่อนย้ายทหารได้ แล้วเหตุใดเมื่อคืน
ท่านถึงไม่เอามันออกมาเล่า?” เสวียหลิงเฟิงลังเล
แล้วถามอีกว่า “หากเมื่อคืนท่านนำมันออกมา มีราช
โองการพิเศษของฝ่าบาท พวกเราทำอะไรก็ปลอดภัย
ขึ้น”
ฉีหนิงตะลึงไป จากนั้นเขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาเส
วีย หากเป็นคนอื่นที่มาถามคำถามนี้กับข้า ข้าจะไม่
สนใจเลย แต่ว่าในเมื่อท่านถาม...” เขามองไปรอบๆ
แล้วเข้าไปกระซิบข้างหูเสวียหลิงเฟิง เสวียหลิงเฟิง
ตะลึง จากนั้นก็ยิ้ม “อย่างนี้นี่เอง”
“จิ่นอีโหวอายุน้อยเก่งกาจกล้าหาญ คนแก่ๆ อย่าง
พวกเราเทียบไม่ได้เลย” ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดัง
มาจากด้านหลัง ฉีหนิงหันไปมอง เห็นไหวหนานอ๋อง
กำลังเดินมา
ไหวหนานอ๋องถึงแม้อายุจะเกินสี่สิบไปแล้ว แต่ว่าเขา
ยังดูแลตัวเองดีมาก ดูแล้วอายุยังน้อยอยู่เลย
ฉีหนิงและเสวียหลิงเฟิงยกมือขึ้นคำนับ ไหวหนาน
อ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ชอบพิธีรีตอง หากอยู่กัน
ส่วนตัวก็ไม่ต้องมากพิธี” จากนั้นเขาก็พูดกับเสวีย
หลิงเฟิงว่า “ผู้บัญชาการเสวีย ท่านยังมีเรื่องที่ต้องทำ
อย่าเสียเวลาเลย งานราชการเร่งด่วน ข้ามีเรื่อง
อยากจะคุยกับจิ่นอีโหวสักหน่อย”
เสวียหลิงเฟิงมองไปที่ฉีหนิง ยกมือคำนับแล้วพูดว่า
“ข้าน้อยขอตัวขอ”
เมื่อเสวียหลิงเฟิงจากไป ไหวหนานอ๋องก็ยิ้มแล้วพูด
ว่า “จิ่นอีโหว เดินเล่นกับข้าสักหน่อยดีหรือไม่?”
เมื่อออกจากประตูวัง จะต้องเดินไปยังลานกว้างขนาด
ใหญ่ เมื่อเดินลงบันไดนั้นไป จะมีรถม้ามารอรับ
ฉีหนิงยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องเชิญ”
ไหวหนานอ๋องเดินไขว้มือเอาไว้ด้านหลัง ฉีหนิงเดินอยู่
หลังเขาเพียงเล็กน้อย ถึงแม้เขารู้ว่าไหวหนานอ๋องกับ
ฮ่องเต้น้อยจะมีเรื่องบาดหมางกันนิดหน่อย แต่ใน
ฐานะจิ่นอีโหว ไม่มีทางจะอยู่ฝั่งเดียวกับไหวหนาน
อ๋องแน่นอน แต่ในตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้มีการ
ปะทะกันเกิดขึ้น อีกทั้งเซียวจางเองก็เป็นถึงอ๋อง อยู่
ต่อหน้าเขาอย่างไรก็ต้องมีมารยาทเสียหน่อย
“อนาคตไกลนะ” ไหวหนานอ๋องค่อยๆ เดิน ถอน
หายใจแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว จริงๆ แล้ววันนี้ที่ห้อง
ทรงอักษร ข้ารู้สึกหดหู่นะ”
“ความหมายของท่านอ๋องคือ?”
“ข้าเห็นเจ้า เหมือนกับเห็นตัวเองตอนหนุ่มๆ” ไหว
หนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “คนหนุ่มเลือดพล่าน กล้า
พูดทุกอย่าง”
ฉีหนิงตะลึงไป ไม่รู้ว่าเหตุใดไหวหนานอ๋องต้องพูด
แบบนี้ แต่เขาก็พูดว่า “ท่านอ๋องฐานะสูงส่ง ข้าน้อย
เทียบไม่ได้เลย”
ไหวหนานอ๋องหัวเราะร่า เหมือนพูดถูกจุด “เจ้ารู้
หรือไม่ว่าข้าชอบเจ้าตรงไหน?”
“ขอท่านอ๋องชี้แนะด้วย”
“เจ้าทำอะไร คิดถึงแต่ส่วนรวม ไม่เพียงกล้าพูดตรงๆ
แต่ยังสามารถหาวิธีแก้ไขปัญหา นี่คือสิ่งที่ข้าชอบ”
ไหวหนานอ๋องพูดว่า “มีหลายคนที่พูดจาดี แต่ว่าพอ
ให้ทำงาน กลับทำไม่ได้ ทำให้เสียงานของต้าฉู่ของ
พวกเรา”
ฉีหนิงเข้าใจความหมายของไหวหนานอ๋องดี แต่ว่าคน
ที่เขาหมายถึงนั้นคือใครกัน?
“จงอี้โหว? ซีเหมินเสินโหว? หรือว่าฮ่องเต้?”
“จิ่นอีโหว เจ้าคิดว่าเรื่องของพรรคบัวดำ ควรจะ
จัดการอย่างไร?” ไม่รอให้ฉีหนิงคิด ไหวหนานอ๋องก็
ถามขึ้นมา
ฉีหนิงรู้ว่าคนอย่างเขา ลากเขามาคุยเรื่อยเปื่อย คง
ไม่ใช่อยากจะเสริมสร้างความสัมพันธ์หรอก
“ท่านอ๋อง ข้าอายุยังน้อย ประสบการณ์ก็มีไม่มาก
เรื่องใหญ่แบบนี้ ข้าน้อยไม่กล้าพูดเหลวไหล” ฉีหนิง
ตั้งใจทำหน้าจริงจัง
ไหวหนานอ๋องหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “เรื่องเมื่อคืน ข้ารู้
หมดแล้ว เจ้ารู้เรื่องพิษจะกำเริบ วิ่งวุ่นทั้งคืน มีใจ
ห่วงใยบ้านเมืองแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เจ้าไม่ต้อง
คิดมาก ข้าก็แค่อยากคุยกับเจ้าเท่านั้น ต่อให้เจ้าพูด
ผิด ก็ไม่เป็นไร อีกทั้งเจ้าเองก็รับตำแหน่งจิ่นอีโหว
แล้ว ต่อไปอย่างไรก็ต้องเข้าร่วมการเมืองอยู่แล้ว หาก
ไม่ฝึกให้มาก ไม่ได้หรอก”
ฉีหนิงคิดในใจว่าในเมืองหลวงไม่ธรรมดาเลย ความ
เคลื่อนไหวของเขา ตาเฒ่านี่เหมือนจะรู้ดีทุกอย่าง
แสดงว่าเขาน่าจะส่งคนแอบติดตามตัวเองแน่ๆ
“ท่านอ๋อง ที่จงอี้โหวพูดมานั้นถูกต้อง ยังบอกไม่ได้ว่า
พรรคบัวดำมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องพิษในครั้งนี้ ต่อให้
เกี่ยวข้องกับพวกเขาจริง จะรีบร้อนไม่ได้ ต้องแยก
พวกเขาออกจากชาวเผ่าเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำก่อน จะ
เอามารวมกันไม่ได้” ฉีหนิงพูดอย่างระวัง “มังกรไม่
อาจเอาชนะเจ้าถิ่นได้ ชาวเผ่าเหมียวถือว่าเป็นเจ้าถิ่น
ของปาสู่คุ้นเคยทั้งสภาพอากาศและภูมิประเทศ หาก
ราชสำนักรีบร้อนจนเกินไป จะเป็นการผลักดันให้
พวกเขาไปเข้ากับพรรคบัวดำแล้ว”
ไหวหนานอ๋องพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้า
สนับสนุนการใช้ทหารกับพรรคบัวดำอย่างนั้นหรือ?”
“หากเรื่องพิษเกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำจริง อีกทั้ง
พรรคบัวดำไม่สามารถชี้แจงกับพวกเราได้ พวกเราจะ
ใจอ่อนกับพวกเขาไม่ได้” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าเรื่องที่
สำคัญมากกว่าในตอนนี้ ก็คือจัดการเรื่องพิษในเมือง
หลวง ส่วนเรื่องของพรรคบัวดำ คงต้องรอให้เรื่องนี้
ผ่านไปก่อนค่อยหารือกันใหม่อีกครั้ง ฝ่าบาททรงพระ
ปรีชา อีกทั้งยังมีท่านอ๋องกับจงอี้โหวคอยช่วยเหลือ
ถึงเวลานั้นก็จะต้องมีวิธีการรับมือที่ดีได้แน่นอน”
ไหวหนานอ๋องจ้องไปที่ฉีหนิง สายตาของเขาเฉียบคม
เขายิ้มแล้วพูดว่า “พูดได้ดี ไม่เสียแรงที่เป็นคนของจิ่น
อีโหว” เขาเขยิบเข้าไปใกล้ แล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว
พวกเจ้าตระกูลฉีสร้างผลงานไว้มากมาย ท่านเหล่า
โหวกับพ่อของเจ้า เป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงมาก ข้าว่า
อีกไม่นานเจ้าเองก็น่าจะเป็นแม่ทัพคนหนึ่งของต้าฉู่
พวกเราเหมือนกัน”
“ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว” ฉีหนิงรีบพูดว่า “ข้าน้อยโง่
เขลา ไม่กล้าเทียบกับจิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นได้”
“เจ้าผิดแล้ว” ไหวหนานอ๋องยิ้ม “เจ้าเป็นของตระกูล
ฉี อย่างไรก็ต้องได้เป็นแม่ทัพใหญ่ ฮ่องเต้มีราช
โองการลับให้เจ้าสามารถเคลื่อนกำลังพลของทหาร
ค่ายหูเสินได้ แสดงว่าเจ้ามีสายเลือดของจิ่นอีโหว”
เขาหยุดไป แล้วขมวดคิ้ว “แต่ว่าหากต้องการเป็นแม่
ทัพของยุค เหมือนกับที่ปู่กับพ่อเจ้าเป็น ก็จะต้องมี
โอกาสด้วย”
“โอกาส?”
“ต่อให้คนๆ หนึ่งจะมีความสามารถมากแค่ไหนก็ตาม
หากไม่มีโอกาส เขาก็ไม่สามารถบินไปได้ไกล” ไหว
หนานอ๋องพูดเสียงเบาๆ ว่า “จิ่นอีโหว ข้าพูดอะไรไม่
น่าฟังสักหน่อยนะ ถึงแม้เจ้าจะเป็นสายเลือดของ
ตระกูลฉี แต่ว่าในราชสำนักคงมีคนไม่อยากเห็นเจ้า
ฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของตระกูลฉี”
ฉีหนิงคิดในใจว่า ไม่อยากเห็นตระกูลฉีกลับมายิ่งใหญ่
ท่านก็เป็นส่วนหนึ่งไม่ใช่หรือ? แต่ว่าเขายังนิ่ง แล้ว
ถามว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อยไม่ทราบว่าไปทำอะไรให้
ใครในราชสำนักไม่พอใจอย่างนั้นหรือ เหตุใด...?”
“เรื่องนี้มันไม่ใช่เพราะว่าเจ้าไปทำให้ใครไม่พอใจ
หรอก” ไหวหนานอ๋องพูด แล้วมองไปที่ฉีหนิง “จิ่นอี
โหว ข้ารู้ว่าเบื้องหลังมีคนกลับผิดเป็นถูก มีคนใส่ร้าย
ป้ายสีทำให้ข้ามีราคี แต่ว่าข้าไม่เคยใส่ใจ ข้าเป็นเชื้อ
พระวงศ์ เป็นสายเลือดของไท่จู่ฮ่องเต้ ต้าฉู่เป็นสิ่งที่
ไท่จู่ฮ่องเต้สละเลือดเนื้อก่อตั้งขึ้นมาได้ ข้ากับฮ่องเต้
หวังว่าต้าฉู่จะมีอายุยืนนานต่อไปอีกเป็นหมื่นปี”
ฉีหนิงคิดในใจว่าหากพูดถึงแคว้นฉู่ ไท่จู่ถึงจะมีผลงาน
ในการก่อสร้างรากฐาน แต่คนที่ยึดเอามันมาได้ น่าจะ
เป็นไท่จงฮ่องเต้มากกว่า
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยเองก็อยากที่จะให้ต้าฉู่มีอายุยืน
นานต่อไปอีกเป็นหมื่นปี” ฉีหนิงพูดว่า
ไหวหนานอ๋องพูดว่า “การบริหารบ้านเมือง
จำเป็นต้องใช้คน จิ่นอีโหวเจ้ายังอายุยังน้อย ต่อไป
จะต้องเป็นเสาหลักของบ้านเมือง แต่ว่า...” เขาถอน
หายใจแล้วพูดว่า “มีบางเรื่อง ข้าเองก็พูดได้ไม่ชัดเจน
นัก” เขาพูดว่า “แต่ว่าหากต้องกวาดล้างพรรคบัวดำ
จริง ข้าจะพยายามทูลเสนอเจ้า ตอนนั้นจิ่นอีเหล่า
โหวนำทัพไปปราบปาสู่ วันนี้ให้คนหนุ่มอย่างเจ้านำ
ทัพไปกวาดล้างพรรคบัวดำ จะต้องทำให้สำเร็จ เพื่อ
สร้างผลงานให้ตัวเจ้าเอง”
ฉีหนิงตะลึงไป ทันใดนั้นเอง เขาก็เข้าใจทันทีว่า ฮวาย
หนานอ๋องกำลังแลกเปลี่ยนกับเขา สนับสนุนเขาไป
กวาดล้างพรรคบัวดำ ถึงเวลานั้นเขาก็จะตอบแทน
สนับสนุนเขาให้เป็นแม่ทัพใหญ่
ตอนนี้เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่นอน
วันนี้ในห้องทรงอักษร ตั้งแต่เริ่ม ไหวหนานอ๋องก็มีใจ
อยากจะกำจัดพรรคบัวดำอยู่แล้ว เขารู้ว่าจวนเสินโหว
ไม่ได้รู้เรื่องของพรรคบัวดำเท่าไหร่นัก แต่ว่าเหมือน
ไหวหนานอ๋องจะรู้จักพรรคบัวดำมากกว่าจวนเสิน
โหวเสียอีก
พรรคบัวดำเป็นแค่พรรคที่อยู่ไกล ทำอะไรเงียบๆ
ตลอด ในยุทธภพก็รู้เรื่องของพวกเขาไม่มาก แต่ไม่รู้
เหตุใดไหวหนานอ๋องถึงได้สนใจพรรคบัวดำขนาดนี้?
แล้วเขายังเหมือนมีใจอยากจะกำจัดพรรคบัวดำมาก
เขาเป็นถึงท่านอ๋อง อีกฝ่ายเป็นพรรคของชาวเผ่า
เหมียว ฉีหนิงไม่รู้ว่าทั้งสองฝ่ายมีความเกี่ยวข้องอะไร
กัน เหตุใดไหวหนานอ๋องถึงได้ต้องการกำจัดพรรคบัว
ดำออกไป
วันนี้ฮ่องเต้ช่วยตัวเขาให้รอดพ้นอันตราย ในสายตา
ของไหวหนานอ๋อง การที่ฮ่องเต้น้อยมอบราชโองการ
ลับให้กับตนเองได้ เขาต้องกลับมามองเขาใหม่อยู่แล้ว
ไหวหนานอ๋องมองออกว่าจิ่นอีโหวนั้นมีอิทธิพลต่อ
ฮ่องเต้น้อยแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงเสนอเงื่อนไขการเป็น
ผู้บัญชาการกองทัพ แลกกับการที่ฉีหนิงยอมไปกวาด
ล้างพรรคบัวดำให้
ชายหนุ่มเลือดร้อน ในสายตาของไหวหนานอ๋อง จิ่นอี
โหวอายุยังน้อยคงต้องการสร้างผลงาน เพื่อให้จิ่นอี
โหวกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง
การเฉือนอำนาจการทหารออกไป สำหรับจิ่นอีโหว
หนุ่มที่กำลังหาโอกาสสร้างผลงาน ไหวหนานอ๋อง
มั่นใจว่ามันเป็นอะไรที่เย้ายวนใจแน่นอน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 8 บทที่ 240 ยาสมุนไพรหายาก
ไหวหนานอ๋องเห็นฉีหนิงคิดหนัก ยังคิดว่าฉีหนิง
หวั่นไหว กำลังจะพูดอีก แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดิน
มา เขาหันกลับไปมอง เห็นจงอี้โหวกับพวกกำลังเดิน
มา
จงอี้โหวอายุราวหกสิบปี เพราะร่างกายซูบผอม
ดังนั้นเมื่อสวมชุดขุนนางแล้วจึงดูหลวม
สาวงามกับวีรบุรุษต่างก็เป็นความองอาจในตอนหนุ่ม
สาว เมื่อแก่ตัวไปก็โรยราไปตามกาลเวลา
จงอี้โหวซือหม่าหลันจะเป็นวีรบุรุษหรือไม่ก็ตาม แต่
อายุก็มากแล้ว เวลาเดินก็จะค่อนข้างช้า ซีเหมินเสิน
โหวเดินอยู่ด้านหลังซือหม่าหลัน จะคอยพยุงเป็น
ระยะ
ส่วนหลูเซียวซื่อหลางกรมกลาโหมก็จะเดินห่าง
ออกไปหน่อย เดินคุยกับขุนนางอีกสองคนข้างๆ ส่วน
อู่เซียงโหวซูเจินอยู่ด้านหลังสุด มีขันทีสองคนเดินตาม
ประกบ เขาถูกพิษ ถึงแม้จะยังไม่กำเริบ แต่เขาก็
ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ไม่มีเรี่ยวแรง เวลาเดินก็เหมือน
จะล้มตลอดเวลา สีหน้าซีดเซียว
“ท่านอ๋อง” ซือหม่าหลันเดินเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นไหว
หนานอ๋อง ก็ยกมือคำนับ “ข้าน้อยอายุมากแล้ว
ร่างกายก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน เข้าวังครั้งหนึ่ง จึงรู้สึก
เหนื่อยมาก”
“จงอี้โหวต้องรักษาสุขภาพให้ดีนะ” ไหวหนานอ๋อง
ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเป็นขุนนางคนสำคัญ เป็นเสา
หลักของต้าฉู่ของพวกเรา ตอนนี้ยังต้องช่วยบริหาร
ราชกิจอีก ท่านยังต้องเข้าวังหลวงมาอีกหลายครั้ง”
ซือหม่าหลันหัวเราะแล้วพูดว่า “กระหม่อมได้รับการ
ไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ ต่อให้เหลือแค่กระดูก ก็จะ
พยายามอย่างเต็มที่ จนกว่าตัวจะตาย”
ไหวหนานอ๋องพูดว่า “ท่านเหล่าโหวดูเหมือนจะ
เหนื่อยมากจริงๆ ที่จวนของข้ามีโสมแก่อยู่สองต้น มา
จากร้านเหลียวตง เดี๋ยวกลับไปข้าจะให้คนส่งไปให้
ท่าน”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” ซือหม่าหลันยกมือคำนับยิ้ม
แล้วพูดว่า “ที่จวนของกระหม่อมมีชาที่ส่งมาจากหลิง
หนาน หากท่านอ๋องมีเวลาว่าง ก็ขอเชิญมานั่งชิมชาที่
จวนได้”
ไหวหนานอ๋องหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านเหล่าโหวยังจำ
ได้ว่าข้าชอบดื่มชา ได้ ถ้าอย่างนั้นเอาไว้วันไหนข้าว่าง
ข้าจะไปขอรบกวนท่านนะ”
สองคนนี้พูดจาสนิทสนมขนาดนี้ หากไม่รู้ว่าพวกเขา
เป็นศัตรูการเมืองกัน ฉีหนิงคิดว่าเป็นเพื่อนสองคน
กำลังหยอกล้อพูดคุยกันเสียอีก
ในเมื่อซือหม่าหลันเข้ามาแบบนี้ ไหวหนานอ๋องก็ไม่
กล้าพูดอะไรกับฉีหนิงอีก แต่เขากลับยังตั้งใจยิ้มให้
ฉีหนิงแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว เอาไว้ข้าจัดงานเลี้ยงที่
จวน เจ้าก็มาร่วมงานด้วยนะ เจ้าเพิ่งได้รับตำแหน่ง
ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับเจ้าเลย” เขาไม่รอให้
ใครพูดอะไร เดินเอามือไขว้หลังแล้วเดินจากไป
หลูเซียวซื่อหลางกรมกลาโหมกับขุนนางอีกสองคน
เดินมาข้างๆ จงอี้โหว ยกมือคำนับซือหม่าหลัน แล้วก็
จากไป
ฉีหนิงเห็นซูเจินสติหลุด ในใจก็คิดว่าอู่เซียงโหวตกใจ
จนขวัญกระเจิงไปแล้วแน่นอน
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว อากาศก็เริ่มหนาว ทุกคนก็ไม่
เสียเวลา ต่างคนต่างกลับ ฉีหนิงตรงไปยังหย่งอันถัง
เลย เขาพบว่าถังนั่วยังไม่ออกมาจากห้อง ในใจก็นึก
เป็นห่วง
นางไม่กินไม่ดื่มอะไรเลย ใครจะรู้ว่านางจะทนไหว
หรือไม่
ยังดีที่เสวียหลิงเฟิงจัดการได้อย่างมีระบบ ถึงแม้ใน
เมืองหลวงจะมีคนที่พิษกำเริบออกมาอาละวาดบน
ท้องถนนเป็นระยะ แต่ทหารค่ายหูเสินก็จะออกมา
ควบคุมตัวเอาไว้อย่างรวดเร็ว
เริ่มแรก ทหารของค่ายหูเสินเห็นคนที่มีอาการพิษ
กำเริบน่ากลัว ก็ยังทำอะไรไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ยังมีคน
ที่พลาด ทำร้ายคนถูกพิษไปบ้าง แต่ว่าทุกคนก็เริ่ม
คุ้นเคยแล้ว รู้ว่าถึงแม้พวกเขาจะใช้แรงพุ่งเข้ามา แต่
พวกเขาไม่มีสติแล้ว แค่หลอกล่อนิดหน่อยก็สามารถ
จับได้แล้ว
ผ่านไปหนึ่งวัน ที่ตรอกหนานเห๋อมีคนถูกจับแล้วกว่า
ร้อยคน เมื่อตกค่ำ ความวุ่นวายเริ่มสงบลงบ้างแล้ว
แต่ว่าทุกคนต่างรู้ดีว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่พิษอีกระรอก
หนึ่งกำเริบขึ้นมาอีก สถานการณ์ก็จะเริ่มน่ากลัวมาก
ขึ้น
แต่ว่าในช่วงเวลาสั่้นๆ นี้ เสวียหลิงเฟิงก็ได้ส่งทหารไป
แจ้งข่าวให้ชาวบ้านตามซอยเล็กซอยน้อยให้ทราบ
แล้วตรวจสอบว่ามีผู้ถูกพิษหรือไม่ เมื่อพบตัว ก็จะจับ
ตัวส่งทางการทันที
เมืองหลวงวุ่นวายมาทั้งวัน ทหารเองก็เหนื่อยล้ามาก
แล้ว คนในเมืองหลวงเองก็แตกตื่น ยังดีที่ส่วนหนึ่ง
พอจะรู้ว่าเกิดพิษระบาดแล้ว ดังนั้นก็เลยระวังตัวกัน
มากขึ้น เมื่อพบเห็นญาติพี่น้องหรือใครที่มีอาการ
เหมือนถูกพิษ พวกเขาจะส่งตัวให้ทางการทันที
ทหารค่ายหูเสินกับทหารของจวนผู้ว่าไม่กล้าละเลย
แม้แต่นาทีเดียว แม้แต่คนของจวนเสินโหวเองก็วิ่งวุ่น
ไปทั่วเมืองหลวงเช่นกัน เพื่อป้องกันคนฉวยโอกาส
สร้างความวุ่นวายเพิ่มอีก
เมื่อมองลงมาจากด้านบน จะสามารถเห็นแสงไฟ
สว่างตามถนนตรอกซอกซอยในเมืองหลวงเต็มไป
หมด ทหารค่ายหูเสินกับทหารของจวนผู้ว่าจุดคบ
เพลิงเดินสำรวจรอบเมืองหลวง ส่วนแสงไฟกับดนตรี
ของแม่น้ำฉินไหวเห๋อกลับเงียบลง
ต้วนฉางไห่ไม่ได้นอนมาสองวันสองคืนแล้ว ถึงแม้เขา
จะเป็นคนฝึกยุทธ์ แต่ว่าตอนนี้ก็ดูอ่อนเพลียมาก
ภายในหย่งอันถัง รวมฉีหนิง ทุกคนต่างมีสีหน้า
เคร่งเครียด
ไม่รวู้ ่านานแค่ไหน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนมา
จากทางถังนั่ว ฉีหนิงถึงแม้จะอยู่ในอาการสะลึมสะลือ
เมื่อได้ยินเสียงก็รีบลุกขึ้น แล้วเดินไป
เขาเห็นถังนั่วเปิดประตูแง้มมา ฉีหนิงเห็นสายตาของ
ถังนั่วแดง ร่างกายดูอ่อนเพลียมาก เขารู้ว่านาง
ทำงานของนางอย่างหนักไม่ได้หยุดพัก ทุ่มเทอย่าง
มาก
“กระดาษกับหมึก” ถังนั่วพูดชัดเจน “ข้าจะเขียน
สมุนไพรที่ต้องการ พวกเจ้ารีบเตรียมมาให้ข้า”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้น เขาพูดด้วยความดีใจว่า “แม่นาง
ถัง เจ้าหมายความว่า...”
“ยังเร็วเกินไป” ถังนั่วรู้ความหมายของฉีหนิง นาง
ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตอนนี้รู้แล้วว่ามีพิษอะไรบ้าง
แต่ว่าพิษพวกนี้ผสมรวมกัน ฤทธิ์ของมันมี
เปลี่ยนแปลงไป พวกเจ้ารีบไปเตรียมสมุนไพรพวกนั้น
มาให้ข้า ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”
ต้วนฉางไห่รีบไปหยิบกระดาษกับหมึกมา ถังนั่วรับมา
แล้วกลับเข้าไปในห้อง ไม่นานนัก ก็เห็นถังนั่วยื่น
กระดาษออกมา แล้วพูดว่า “บนนี้เป็นตัวสมุนไพร
ทั้งหมด เอามาอย่างละหนึ่งขีด” นางหยุดไป แล้ว
ถามว่า “ท่านหมอซ่งมาด้วยหรือไม่?”
ฉีหนิงรู้ว่าถังนั่วหมายถึงหมอซ่งที่เป็นหมอประจำร้าน
หย่งอันถัง เขาไม่ได้รีบร้อนตอบ แต่ยื่นกระดาษ
ให้กับต้วนฉางไห่แล้วพูดว่า “รีบไปเตรียมมาเดี๋ยวนี้
เลย ในร้านของพวกเราอย่างไหนมีเตรียมมาให้หมด
ถ้าไม่มีให้ไปเอามาจากร้านข้างๆ ต่อให้ต้องแย่งมาก็
ต้องเอามาให้ได้”
ต้วนฉางไห่ไม่มีความรู้เรื่องยาสมุนไพร ยังดีที่มีเด็ก
ของร้านหย่งอันถังอยู่คนหนึ่ง ต้วนฉางไห่รีบเรียกตัว
เขามา แล้วเอารายการยาสมุนไพรให้เขาไปเตรียม
เด็กในร้านคนนั้นอายุราวสามสิบปี ทำงานในร้านมา
นานหลายปี ถึงแม้จะไม่มีความรู้วิชาแพทย์ แต่ว่ารู้
เรื่องยาสมุนไพรเป็นอย่างดี เขามองในกระดาษแล้ว
พูดว่า “ท่านต้วน ในนี้มีตัวยาสมุนไพรทั้งหมดสี่สิบ
สามชนิด ส่วนมากในร้านของพวกเรามีเกือบทั้งหมด
เอาอย่างละสองขีดไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่ามีอีกเจ็ด
แปดชนิดที่ร้านของพวกเราไม่มีของเลย”
ต้วนฉางไห่อึ้งไป เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ร้านของ
พวกเราเป็นร้านใหญ่ ทำเหตุใดถึงยังมีสมุนไพรไม่ครบ
อีก?”
“ท่านต้วน ใช่ว่าร้านพวกเราจะขาดสมุนไพร” เด็กใน
ร้านอธิบายว่า “ยาสมุนไพรเจ็ดแปดตัวนี้ ร้านยาส่วน
ใหญ่ไม่ค่อยจะมีเก็บไว้หรอก เพราะราคามันค่อนข้าง
สูง ไม่มีคนซื้อ แล้วก็ใช้น้อย ปีหนึ่งขายได้ไม่ถึงหนึ่งชั่ง
ก็เลยไม่มีของสำรองเอาไว้”
ฉีหนิงถามถังนั่วว่า “แม่นางถังท่านหาท่านหมอซ่ง
หรือ?”
ถังนั่วพูดว่า “ข้าต้องปรุงยา คนเดียวจะเสียเวลา ข้า
ต้องการคนที่รู้เรื่องยามาช่วยข้า ท่านหมอซ่งรู้เรื่องยา
ดี มีเขาช่วยจะไม่เสียเวลา”
ฉีหนิงหันไปพูดกับต้วนฉางไห่ว่า “ต้วนฉางไห่ บ้าน
ท่านหมอซ่งไกลจากที่นี่หรือไม่? รีบไปรับเขามาเร็ว”
ต้วนฉางไห่รีบพูดว่า “ทราบแล้ว” เขาเรียกคนมาหนึ่ง
คน บอกที่อยู่กับเขา แล้วรีบสั่งให้เขาไปรับท่าน
หมอซ่งมา
“ยังต้องเตรียมหมอต้มยาเอาไว้ด้วย” ถังนั่วพูดว่า
“อย่างน้อยสามหม้อจุดไฟต้มพร้อมกันทีเดียว” นาง
คิด แล้วพูดว่า “ยิ่งเร็วยิ่งดี” แล้วไม่พูดอะไรมากอีก
หันหลังแล้วเข้าห้องไป
ฉีหนิงก็ไม่เสียเวลา นอกจากต้วนฉางไห่แล้วก็มีจ้าวอู๋
ซัง และยังมีทหารองครักษ์ของจวนโหวอีกสี่คน ฉี
หนิงสั่งให้จ้าวอู๋ซังกับอีกสองคนไปเตรียมหม้อต้มยา
กับเตามาสี่ใบ ในหย่งอันถังมีเตาเพียงแค่สองเตา เลย
ต้องไปขอยืมที่ร้านข้างๆ มาอีกสองเตา
พริบตาเดียวในหย่งอันถังก็เริ่มยุ่งขึ้นมา
ต้วนฉางไห่กำลังเครียดเรื่องที่ตัวยาไม่ครบ เขาถาม
เด็กในร้านว่า “แล้วจะหายาสมุนไพรพวกนี้ได้จากที่
ไหน?”
เด็กในร้านคิด แล้วหยิบใบรายการไปที่ตู้ จากนั้นก็ขีด
ไปที่สมุนไพรบางรายการ “ท่านต้วน ยาสมุนไพรพวก
นี้ราคาสูงมาก ร้านของพวกเราไม่มีของ แต่ว่าร้านยา
ที่ใหญ่กว่าของพวกเราน่าจะมี ไปทางฉางเล่อฟ่างทาง
ทิศตะวันออก มีร้านยาขนาดใหญ่อยู่สองร้าน ลองไป
ดูได้น่าจะมี” จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว เหลือตัวยาอีก
สองชนิด “ส่วนสองตัวนี้ร้านยาใหญ่ก็อาจจะไม่มี
ราคาไม่ได้สูงมาก แต่ว่าใช้น้อย ในเมืองหลวงไม่น่าจะ
มีของมาก”
“แล้วทำอย่างไรดี?” ฉีหนิงเดินมา ขมวดคิ้วแล้วถาม
ว่า “ยาสมุนไพรที่แม่นางถังต้องการ พวกเราจะให้
ขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว”
“โหวเยว่ ในเมืองหลวงคงมีที่เดียวที่มีสมุนไพรสองตัว
นี้” เด็กในร้านคิด แล้วพูดว่า “ร้านยาสมุนไพรสดของ
ตระกูลเถียน สมุนไพรสองตัวนี้ คิดว่าร้านยาตระกูล
เถียนน่าจะมี”
“ร้านยาตระกูลเถียน?” ฉีหนิงอึ้งไป เขามองหน้ากับต้
วนฉางไห่ แล้วก็นึกถึงเรื่องในเวทีประลองในวันนั้น
ร้านยาตระกูลเถียน ฉีหนิงจับพลัดจับผลูชนะการ
ประลอง แล้วถูกเชิญไปที่ตระกูลเถียน สุดท้ายจบกัน
ไม่ค่อยสวย เถียนฮูหยินจนตอนนี้ก็น่าจะยังโกรธแค้น
อยู่ คิดไม่ถึงเลยว่า วันนี้ต้องไปขอร้องเถียนฮูหยิน
“เหตุใดจะต้องเป็นร้านยาตระกูลเถียนด้วย?” ฉีหนิง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ ร้านยา
ร้านอื่นหาสมุนไพรสองตัวนี้ไม่ได้เลยหรือ?”
“โหวเยว่ ยาสมุนไพรสองตัวนี้ ตัวหนึ่งคือกุ่ยมู่เฉ่า อีก
ตัวหนึ่งคือเฟิงกู๋จื่อ สองตัวนี้มันขึ้นที่บริเวณเมืองหลัน
เจียงที่ชีชวน” เด็กในร้านค่อยๆ อธิบายว่า “ร้านยา
ขนาดใหญ่ในเมืองหลวงมีอยู่ประมาณสิบร้าน มาจาก
ปาสู่สามร้าน แต่ว่าร้านยาตระกูลเถียนเปิดมานาน
ที่สุด อีกสองร้านเทียบไม่ได้เลย อีกทั้งต้นตระกูลของ
ร้านยาตระกูลเถียนก็มาจากเมืองหลันเจียงที่ชีชวน
ดังนั้นยาสมุนไพรสองตัวนี้ ที่ร้านยาตระกูลเถียน
น่าจะมีของ”
ฉีหนิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เขามองไปที่ต้วนฉางไห่
แล้วพูดว่า “ท่านอาต้วน วันนั้นข้ารู้สึกว่าเถียนฮูหยิน
น่าจะประทับใจในตัวท่านอยู่บ้าง ถ้าอย่างไร...ท่านไป
ที่นั่นสักครั้งดีหรือไม่? แล้วแวะไปหายาสมุนไพรที่
ขาดไปกลับมาด้วยเลยดีหรือไม่?”
ต้วนฉางไห่สีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดว่า “โหวเยว่
วางใจได้ เรื่องนี้ข้าไปจัดการเอง ต้องสำเร็จแน่นอน”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 241 ความแค้น
เตาต้มยาตั้งไว้ที่หลังร้าน ฉีหนิงไปคุมเด็กในร้าน
เตรียมยาสมุนไพรด้วยตัวเอง
ด้านหลังร้านขายยามีคลังเก็บยาเฉพาะทาง ภายในมี
ยาสมุนไพรหลากหลายชนิด ฉีหนิงมองไปก็รู้สึกงุนงง
แต่ว่าเด็กในร้านคุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาหยิบจับยา
อย่างเชี่ยวชาญและชำนาญ
ยาสมุนไพรแต่ละชนิดถูกจัดวางไว้ในถ้วย วางอยู่ใน
ร้าน
ถังนั่วออกจากห้องมา จากนั้นนางก็เรียกเด็กในร้าน
มา สั่งอะไรบางอย่าง เด็กในร้านขานรับ เมื่อมาถึง ก็
พูดว่า “เอาป๋อเจี้ย โกวเถิง ถงเฉ่า ฉางเอ๋อจื่อ
หย๋าตั๋นจื่ออย่างละตำลึง ต้มรวมกัน...” เห็นพวกของ
จ้าวอู๋ซังมองอย่างงงงวย นึกขึ้นมาได้ว่าคนพวกนี้คง
ไม่รู้เรื่องแน่นอน ก็เลยเดินไปทำเอง หยิบตาชั่งมา
แล้วหยิบยามาชั่ง แล้วนำไปต้ม
พอจบตรงนี้ ถังนั่วก็สั่งอีกว่า “กู่จิงเฉ่า โกวเถิง เจวีย
หมิงจื่อ เหมาตงชิงอย่างละตำลึง ต้มรวมกัน”
เด็กในร้านก็รีบไปหยิบมา มีคนรู้เรื่องยาสมุนไพรอยู่
ตรงนั้น คนอื่นก็ได้แต่ยืนมอง
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ฉีหนิงรีบเดินไป
ในเวลานี้ต้องการคนที่รู้เรื่องยามาช่วย ไม่รู้ว่าจะใช่
ท่านหมอซ่งหรือไม่
เมื่อเปิดประตูออก ด้านนอกกลับไม่เห็นใครเลย ฉี
หนิงขมวดคิ้ว กำลังจะปิดประตู ทันใดนั้นเองก็ได้ยิน
เสียงไอดังขึ้นมา ฉีหนิงระวังตัวเป็นอย่างมาก ชะโงก
หัวออกไปดู ฟ้ามืดแล้ว อากาศก็เริ่มหนาว เห็นเงา
ร่างคนหนึ่งยืนอยู่ ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ใคร?”
คนๆ นั้นเหมือนจะลังเลไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็พูดว่า
“โหวเยว่ ข้าเอง”
ฉีหนิงตะลึงไป เขารู้สึกคุ้นเสียงนี้เป็นอย่างมาก
สุดท้ายก็นึกขึ้นได้ว่าเสียงใคร แล้วถามว่า “ผู้อาวุโสจู
เชี่ย?” เสียงที่ได้ยินเหมือนจะเป็นเสียงของผู้อาวุโส
จูเชี่ยผู้ดูแลเจ็ดสาขาพรรคกระยาจกทางใต้
“โหวเยว่ช่างหูดีจริงๆ” ผู้อาวุโสจูเชี่ยก้าวขึ้นมา
ภายในห้องสว่าง ไสวทำให้ฉีหนิงมองเห็นหน้าของผู้
อาวุโสจูเชี่ยได้อย่างชัดเจน
ผู้อาวุโสจูเชี่ยสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ในมือถือไม้ค
ฑา สีหน้าเคร่งเครียด
“ผู้อาวุโสจูเชี่ย ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?” ฉีหนิงเห็นผู้
อาวุโสจูเชี่ยมาที่ร้านยากลางดึก จึงรู้สึกแปลกใจ
ผู้อาวุโสจูเชี่ยพูดว่า “โหวเยว่ขอชาให้ข้าสักถ้วยจะได้
หรือไม่?”
ฉีหนิงเห็นภายในร้านกำลังยุ่งอยู่ ขอทานเฒ่ามาไม่ได้
เวลาเลย แต่ว่าเห็นเขาอายุก็มากแล้ว มาหาเขา
กลางดึก อากาศข้างนอกก็หนาว ก็ไม่ได้ลังเล เขาจึง
พูดขึ้นว่า “เข้ามาก่อนเถอะ” เขาให้ผู้อาวุโสจูเชี่ยเข้า
มาในร้าน
ผู้อาวุโสจูเชี่ยเข้ามาในร้านแล้วก็มองไปรอบๆ ฉีหนิงชี้
ไปที่มุมห้อง ผู้อาวุโสจูเชี่ยยกมือคำนับ แล้วเดินเข้าไป
ฉีหนิงไปรินน้ำชามาให้เอง ผู้อาวุโสจูเชี่ยรีบรับมา
แล้วพูดว่า “ขอบคุณโหวเยว่”
ที่มุมห้องมีโต๊ะเล็กๆ และเก้าอี้สามตัว ก่อนหน้านี้ต้
วนฉางไห่เฝ้ายามอยู่ตรงนี้กัน ผู้อาวุโสจูเชี่ยดื่มชา
ร้อนๆ แล้ว ก็พูดว่า “โหวเยว่ ตั้งแต่เมื่อคืนที่ท่าน
กลับมา มีศิษย์ของพรรคกระยาจกของพวกเราถูกพิษ
กำเริบตายไปเจ็ดคนแล้ว”
ฉีหนิงตกใจ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ศิษย์พรรค
กระยาจกของพวกท่านได้ถูกส่งไปที่ตรอกหนานเห๋อ
บ้างหรือไม่?”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยสีหน้าเคร่งเครียด ส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“เรื่องของพรรคกระยาจก ราชสำนักอย่ายุ่งเลยจะ
ดีกว่า แต่ว่าข้าได้จัดหาที่ทางแยกคนที่ถูกพิษไว้แล้ว
อีกทั้งยังสั่งให้คนเฝ้าเอาไว้ คนอื่นไม่สามารถเข้าไปได้
พวกเขาก็ออกมาไม่ได้เหมือนกัน” เขาหยุด แล้วพูด
ว่า “ข้าลองนับดูแล้ว ตอนนี้ศิษย์ในพรรคที่ถูกพิษ มี
ทั้งหมดสองร้อยห้าสิบสามคน ในบรรดาพวกเขามี
เกินกว่าครึ่งที่มีอาการร้ายแรงมากแล้ว”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ที่ท่านมาหาข้าเพื่อจะ
ถามว่ามีวิธีถอนพิษแล้วหรือยังใช่หรือไม่?”
“ข้าก็รู้ว่ามันดูรีบร้อนเกินไป” ผู้อาวุโสจูเชี่ยยิ้มอย่าง
ลำบากใจแล้วพูดว่า “แต่ว่ามีศิษย์ในพรรคตายไปทุก
วัน ข้าเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร...”
“ข้าเข้าใจ” ฉีหนิงเข้าใจความรู้สึกของผู้อาวุโสจูเชี่ยดี
เรื่องแบบนี้ มันไม่ใช่มีฝีมือสูงหรือไม่ ยิ่งไม่ใช่เรื่องที่
จะมาทดสอบปัญญา เผชิญหน้ากับพิษ ในเมื่อพรรค
กระยาจกหาวิธีรับมือไม่ได้ ต่อให้มีวรยุทธ์ร้ายกาจแค่
ไหน ก็ไม่มีผล ทำได้แค่ร้อนใจอย่างเดียว
“โหวเยว่ ไป๋เซิ่งเฮ่า....ก็ถูกพิษแล้วเช่นกัน วันนี้เพิ่งจะ
ตรวจพบ” ผู้อาวุโสจูเชี่ยลังเล สุดท้ายก็ถอนหายใจ
ฉีหนิงตะลึงไป
ไป๋เซิ่งเฮ่าเป็นหัวหน้าสาขากุ่ยจินหยาง ดูแลโซนเมือง
หลวง นอกจากผู้อาวุโสจูเชี่ยแล้ว ไป๋เซิ่งเฮ่าถือว่า
ตำแหน่งสูงสุดแล้ว
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า แม้แต่ไป๋เซิ่งเฮ่าเองก็จะถูกพิษด้วย
เช่นกัน
“ศิษย์พรรคกระยาจกถูกพิษ หลายวันมานี้ไป๋เซิ่งเฮ่า
จัดการเรื่องนี้ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย อีกทั้งยังสัมผัส
ถูกตัวของพวกเขาด้วย” ผู้อาวุโสจูเชี่ยขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วเขาเองก็จะถูก
พิษด้วย โหวเยว่ ที่ข้ามาหาท่านในคืนนี้ ข้าแค่
อยากจะถามว่า โหวเยว่มั่นใจกับการหายาถอนพิษ
มากน้อยแค่ไหน?”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ฉีหนิงถามว่า
“ใคร?”
“โหวเยว่ ข้าน้อยเอง” เสียงท่านหมอซ่งดังมาจากข้าง
นอก ฉีหนิงรีบเดินไปเปิดประตู ท่านหมอซ่งเดินเข้า
มาด้านใน แล้วรีบถามว่า “โหวเยว่ท่านเรียกหา
ข้าน้อยหรือขอรับ?”
ฉีหนิงชี้ไปทางด้านหลัง แล้วพูดว่า “เจ้ารีบไป
ด้านหลังช่วยแม่นางถัง เดี๋ยวนางจะบอกเจ้าเองว่า
ต้องทำอะไรบ้าง” จากนั้นก็หันไปพูดกับองครักษ์ที่ไป
ตามหมอซ่งว่า “เจ้าก็ไปช่วยด้านหลังด้วย”
ทั้งสองรีบเดินไปด้านหลัง ถังนั่วได้ยินเสียง ก็เดิน
ออกมาเรียกท่านหมอซ่ง จากนั้นก็พูดอะไรกับเขาสอง
สามคำ ท่านหมอซ่งก็พยักหน้า
“ที่นี่...ที่นี่คือที่หาวิธีถอนพิษหรือ?” ผู้อาวุโสจูเชี่ยเห็น
แล้วถามขึ้นมา
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสจูเชี่ย จนถึง
ตอนนี้ ข้าก็ไม่สามารถให้คำตอบอย่างมั่นใจกับท่าน
ได้ แต่ว่าตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ทางข้ากำลังหาวิธี
ถอนพิษอยู่ตลอด สำเร็จหรือไม่ คงต้องปล่อยให้เป็น
เรื่องของโชคชะตา” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “แต่ว่า
ท่านวางใจเถอะ หากพวกเราเจอวิธีถอนพิษเมื่อไหร่
ข้าจะแจ้งกับทางพรรคกระยาจกเป็นคนแรก”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยลุกขึ้น แล้วพูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “โหว
เยว่ หากช่วยศิษย์พรรคกระยาจกของพวกเราได้ โหว
เยว่ก็เป็นผูม้ ีพระคุณของพรรคกระยาจกพวกเรา”
ฉีหนิงยกมือ แล้วยกน้ำชาให้ผู้อาวุโสจูเชี่ยอีก แล้ว
ถามว่า “ผู้อาวุโสจูเชี่ย ข้ามีเรื่องหนึ่ง ที่อยากจะรู้มาก
แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในพรรคของท่าน หากข้า
ถามไปแล้วเป็นการล่วงเกิน ท่านก็อย่าใส่ใจเลยนะ”
“โหวเยว่ท่านอยากจะถามอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“พวกท่านมั่นใจแต่แรกเลยว่าเป็นฝีมือของพรรคบัว
ดำ เหตุใดถึงได้มั่นใจเช่นนั้นเล่า?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “ตัดสินจากพิษอย่างนั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “โหวเยว่ขอ
พูดตามตรง ตอนที่พรรคกระยาจกเริ่มถูกพิษระบาด
พวกเราก็ไม่ทราบหรอก จนกระทั่งเริ่มมีพิษกำเริบจน
คนเริ่มตายไป ตอนแรกพวกเรายังคิดว่าเป็นแค่โรค
เท่านั้น แต่ว่าต่อมามีคนตายอย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
พวกเราถึงได้รู้ว่ามันผิดปกติ เลยรวบรวมคนที่มีฝีมือ
ในพรรค แล้วก็เชิญคนในยุทธภพมาช่วยตรวจสอบ
ถึงได้รู้ว่าถูกพิษ”
ฉีหนิงพยักหน้า ผู้อาวุโสจูเชี่ยพูดต่อว่า “จากนั้นไม่
นานพวกเราจะตรวจพบว่า ในตัวศพที่ถูกพิษจนตาย
มีพิษไข่ที่มีอยู่ในชายแดนเผ่าเหมียวเท่านั้น”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่แท้พรรคกระยาจกก็ตรวจพบพิษไข่
เขาถามว่า “พวกท่านก็เลยคิดว่าเป็นฝีมือของพรรค
บัวดำอย่างนั้นหรือ?”
“โหวเยว่ท่านรู้จักพรรคบัวดำด้วยหรือ?” ผู้อาวุโส
จูเชี่ยถาม
ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสจูเชี่ย ข้าพูดตามตรง
ราชสำนักเองมองว่าพรรคบัวดำเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับ
หนึ่งในตอนนี้ อีกทั้งยังมีคนคิดจะใช้กำลังกับทาง
พรรคบัวดำด้วย”
“ราชสำนักจะใช้กำลังทหารกับทางพรรคบัวดำ?” ผู้
อาวุโสจูเชี่ยตะลึงไป เขาเหมือนใช้ความคิด แล้วพูด
ว่า “พิษไข่มันมีแค่ที่ชายแดนเผ่าเหมียว อีกทั้งการนำ
พิษไข่มาเป็นเชื้อปรุงยาพิษร้ายแรงแบบนี้ได้ มีเพียง
พรรคบัวดำเท่านั้นที่มีปัญญาทำแบบนี้” เขาหยุดไป
แล้วพูดว่า “ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น เดิมทีพวกเราก็
ไม่ได้แน่ใจนัก แต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน พรรคบัวดำ
กับพรรคของพวกเราเกิดการปะทะกัน อีกทั้ง...อีกทั้ง
พวกเรายังได้ทำร้ายคนของเขาบาดเจ็บ ดังนั้น...”
“พวกท่านปะทะกับทางพรรคบัวดำ?” ฉีหนิงรีบถาม
ว่า “ที่ไหน? ในเมืองหลวงหรือ?”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยส่ายหน้า “ไม่ใช่ในเมือง แต่ว่าใกล้กับ
เมืองหลวง พรรคกระยาจกมีอยู่ทั่ว ก่อนหน้านี้มีคน
พบชาวเผ่าเหมียวปรากฏตัวใกล้กับเมืองหลวง ทำตัว
ลับๆ ล่อๆ ก็เลยสั่งให้คนสะกดรอยตาม ดูว่าพวกเขา
คิดจะทำอะไร”
ฉีหนิงคิดในใจว่าพวกเจ้าอยากรู้อยากเห็นเอง แต่ว่า
เขาก็รู้ว่าชาวยุทธ์มักชอบยุ่งเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว
อำนาจอิทธิพลของพรรคกระยาจกไม่ธรรมดา เจอ
เรื่องแปลกๆ อยากจะทำให้กระจ่างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อะไร
“เดิมที่พวกเราก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นคนของพรรคบัวดำ
เพราะพรรคบัวดำอยู่ไกลถึงปาสู่ ไม่เคยเข้ามายุ่งในจง
หยวนเลย” ผู้อาวุโสจูเชี่ยสีหน้าเคร่งเครียด “หลังจาก
ที่คนของพวกเราตามพวกเขาไป ใครจะคิดว่าอีกฝ่าย
จะรู้ตัว คิดอยากจะหนี ยิ่งพวกเขาทำแบบนี้ พวกเรา
ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันแปลก เลยตามติดตลอด อีกฝ่ายสลัด
พวกเราไม่หลุด ก็เลยคิดจะฆ่าพวกเรา”
“ดังนั้นก็เลยสู้กัน?”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยพยักหน้า “พวกเขาวางกับดัก ลอบทำ
ร้ายคนของพวกเรา ฆ่าคนของพวกเราไปไม่น้อย ยังดี
อีกสองคนเอาตัวรอดกลับมาได้ พรรคกระยาจกของ
พวกเราเน้นหลักเหตุผลมาตลอด ไม่ค่อยเห็นใครใน
ยุทธภพเป็นศัตรูง่ายๆ แต่ว่าพวกเขาลงมือเหี้ยมโหด
พวกเราเองก็ไม่อาจจะนั่งดูเฉยๆ ได้”
“ชาวยุทธ์ให้ความสำคัญกับบุญคุณความแค้น พวก
ท่านถูกพวกเขาสังหาร ก็คงไม่เลิกราง่ายๆ” ฉีหนิงพูด
ผู้อาวุโสจูเชี่ยพูดว่า “พรรคกระยาจกรีบส่งคนออกสืบ
หา ไม่ถึงสองวันพวกเราก็เจอ แต่ว่า...” เขาหยุดไป
แล้วพูดว่า “เดิมแค่อยากจะให้เขาอธิบายให้ชดั เจน
ว่าเหตุใดถึงไม่มีเหตุผลแบบนี้ แต่เห็นพวกเขาลงมือ
สุดท้าย...คนของพวกเขาก็ตายไปสองคน เหลืออีกคน
หนีไปได้” เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกเราทำการ
ชันสูตรศพ พบว่าบนตัวของพวกเขามีรอยสักของ
พรรคบัวดำอยู่ มันเป็นสัญลักษณ์ของพรรคบัวดำ
พวกเราถึงได้รู้ว่าพวกเราได้สร้างความแค้นกับทาง
พรรคบัวดำแล้ว”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ เขาพูดว่า “หลังจากพิษเริ่มระบาด
ในหมู่ของศิษย์พรรคกระยาจก อีกทั้งพบว่าพิษไข่มา
จากชายแดนเผ่าเหมียว บวกกับไม่นานมานี้พวกท่าน
ได้สังหารคนของพรรคบัวดำไป ก็เลยรู้สึกว่าเป็นฝีมือ
ของพรรคบัวดำ พวกท่านคิดว่านี่เป็นความแค้นของ
ชาวยุทธ์ หากทางการรู้เรื่อง พวกท่านพรรคกระยาจก
เองก็จะเสียหน้า ก็เลยปิดเรื่องนี้เอาไว้ แต่กลับไม่รู้ว่า
มันก่อให้เกิดภัยใหญ่ตามมา”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยสีหน้าเคร่งเครียด แล้วพยักหน้า
“ถูกต้อง”
“ผู้อาวุโสจูเชี่ย ในเมื่อท่านบอกเองว่าพรรคบัวดำไม่
เข้ามายุ่งอะไรในจงหยวน แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใด
พรรคบัวดำถึงได้ส่งคนมาที่เมืองหลวง?” ฉีหนิงขมวด
คิ้วแล้วถาม
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 242 เยือนตระกูลเถียนกลางดึก
ผู้อาวุโสจูเชี่ยก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อยู่ๆ พรรคบัวดำ
ก็มาปรากฏตัวใกล้กับเมืองหลวง พวกเราเองก็รู้สึก
แปลกใจ โหวเยว่พูดถูก ตั้งแต่พรรคบัวดำก่อตั้งมา ไม่
เคยออกจากซีชวนเลย ต่อให้มีคนมาจงหยวนจริง ก็
จะอำพรางตัว แต่ว่าก็ไม่เคยก่อเรื่องอะไรในจงหยวน
เลย แต่ครั้งนี้พวกเขากลับมาถึงเมืองหลวง จะต้องมี
สาเหตุบางอย่างแน่นอน”
ฉีหนิงคิด แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสจูเชี่ย ท่านเองก็เป็นคน
เก่าคนแก่ในยุทธภพ พรรคกระยาจกเป็นพรรคอันดับ
หนึ่งในใต้หล้า จากประสบการณ์ของท่าน ในยุทธภพ
มีพรรคใดบ้างที่คิดจะเป็นปรปักษ์กับทางราชสำนัก?”
“เรื่องนี้...” ผู้อาวุโสจูเชี่ยรู้สึกว่าฉีหนิงถามแบบนี้
แปลกมาก ไม่รู้เขาควรตอบฉีหนิงอย่างไรดี
ฉีหนิงพูดว่า “ข้ารู้ดีว่าชาวยุทธ์ให้ความสำคัญกับ
บุญคุณความแค้น หลายคนไม่ชอบอยู่ในกรอบหรือ
กฎเกณฑ์ ข้าก็รู้ว่าหลายคนไม่พอใจราชสำนัก แล้วก็
ต่อต้านที่ราชสำนักแทรกแซงเรื่องของยุทธภพ ข้าแค่
อยากจะถามท่านว่า ในใต้หล้านี้ มีพรรคใดบ้างที่กล้า
เป็นปรปักษ์กับราชสำนัก?”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยลังเล เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “โหวเยว่
พูดตามตรง ขุนนางราชสำนักเองบางคนก็รังแก
ชาวบ้าน ชาวยุทธ์ที่ถือคุณธรรมมากๆ ก็มีที่ไม่พอใจ
ออกหน้าลงมือช่วยชาวบ้านบ้าง แต่ว่าถึงอย่างนั้น
เขาก็จะปิดบังชื่อเสียงตัวเอง ไม่มีใครกล้าเป็นศัตรู
ซึ่งๆ หน้ากับราชสำนักหรอก จริงๆ แล้วยิ่งเป็นพรรค
ที่ใหญ่มากในยุทธภพ พวกเขาก็ยิ่งระวังตัวมากขึ้น
เหตุผลคือยิ่งเป็นพรรคใหญ่ราชสำนักก็จะจับตามอง
เป็นพิเศษ อีกทั้งพรรคยิ่งใหญ่มาก คนที่เกี่ยวข้องก็ยิ่ง
มากขึ้น หากแม้แต่ราชสำนักยังไม่พอใจ ผลที่ตามมา
นั้นแทบไม่อยากนึกถึง”
“ถ้าอย่างนั้น ในความเป็นจริงแล้วพรรคในยุทธภพ
เองไม่มีพรรคใดกล้าเป็นปรปักษ์กับทางราชสำนัก
เลยน่ะสิ” ฉีหนิงลูบคางแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นท่าน
คิดว่าพรรคบัวดำกล้าหรือไม่?”
“ข้าเองก็ไม่ได้รู้เรื่องของพรรคบัวดำมากนัก แต่ว่า...
ข้าคิดว่าพรรคบัวดำเองก็น่าจะไม่กล้าหรอก” ผู้
อาวุโสจูเชี่ยเหมือนจะคิดแล้วพูดว่า “พวกเขาเป็น
พรรคที่อยู่ตามชายแดน ราชสำนักเองก็ไม่ได้ไม่พอใจ
พวกเขา พวกเขาก็แค่ยิ่งใหญ่ในดินแดนปาสู่เท่านั้น
ไม่ได้ทำอะไรผิด หากกล้าเป็นปรปักษ์กับราชสำนัก
พวกเขาไม่หาเรื่องใส่ตัวไปหน่อยหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้พวกเขาวางยา
พิษ ทำร้ายคนบริสุทธิ์ ไม่เป็นการแสดงตัวเป็น
ปรปักษ์กับราชสำนักหรอกหรือ? ไม่ว่าจะเป็นจวน
เสินโหวหรือพรรคกระยาจกของพวกท่าน ใช้เวลาไม่
นานก็สามารถตรวจพบว่าพิษมาจากพรรคบัวดำ ท่าน
ไม่คิดว่ามันน่าแปลกหรือ?”
“โหวเยว่หมายความว่า?” ผู้อาวุโสจูเชี่ยขมวดคิ้ว
ฉีหนิงพูดว่า “หากพรรคบัวดำแค่อยากแก้แค้นพรรค
กระยาจกของพวกท่าน พวกเขาลงมือแค่กับพรรค
กระยาจกก็พอ เหตุใดต้องทำร้ายชาวบ้านให้วุ่นวาย
ด้วย?”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยครุ่นคิด
“เรื่องเป็นมาอย่างไร ข้าเองก็ไม่แน่ใจ” ฉีหนิงพูดว่า
“ข้าแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ ผู้อาวุโสจูเชี่ย พวกท่าน
เป็นชาวยุทธ์ การข่าวเองก็รวดเร็ว ความหมายของข้า
คือ พวกท่านลองแอบสืบดูว่า เรื่องนี้มีเบื้องหลังอะไร
หรือไม่ หากมีคนแสร้งทำทีเป็นคนของพรรค
กระยาจกแล้วลงมือกับพวกท่าน เพราะมีแผนการอื่น
พวกเราก็อาจจะตกหลุมพรางที่คนร้ายตัวจริงวางไว้
ถ้าอย่างนั้นพวกมันไม่หัวเราะเยาะพวกเราหรือ?”
ผู้อาวุโสจูเชี่ยพยักหน้า แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่านพูด
มาแบบนี้ ข้าเองก็รู้สึกว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น” เขาลุก
ขึ้นแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าขอตัวก่อน เรื่องที่ท่านว่า
มา ข้าจะกลับไปสั่งให้คนไปแอบสืบดู”
“ก็ดีเหมือนกัน” ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “หากทาง
ข้ามีวิธีถอนพิษ จะให้คนไปส่งข่าวให้ที่ตรอกหลัวกู่
ทราบทันที”
“ข้ากับพี่น้องพรรคกระยาจกขอบคุณโหวเยว่” ผู้
อาวุโสจูเชี่ยยกมือ แล้วก็กลับไป
คนอื่นยุ่งวุ่นวายอยู่ในร้าน ท่านหมอซ่งช่วยได้มากเลย
ทีเดียว ถังนั่วไม่จำเป็นต้องเข้าๆ ออกๆ ห้องแล้ว
ท่านหมอซ่งช่วยถังนั่วในห้อง เขาจะออกมาสั่งว่า
จะต้องต้มยาอะไรอย่างไรเป็นระยะ ส่วนพวกของ
จ้าวอู๋ซัง ก็ถือพัดช่วยก่อไฟ ช่วยต้มยา ส่วนหมอซ่งก็
ยกเข้ายกออก
ฉีหนิงรู้ว่าถังนั่วเริ่มทดสอบการปรุงยาถอนพิษแล้ว
แต่ว่าพิษชนิดนี้พิเศษ ไม่ใช่จะหายาถอนพิษกันได้
ง่ายๆ ถังนั่วถึงได้เริ่มการทดลองยาแล้ว
ในตอนนี้ต้วนฉางไห่กลับมาแล้ว ถังนั่วทดสอบยาไป
แล้วเจ็ดแปดอย่าง ผลคือล้มเหลว
“ได้ยาสมุนไพรกลับมาครบหรือไม่?” หลังจากที่ต้วน
ฉางไห่เข้ามา ฉีหนิงก็รีบถาม
ต้วนฉางไห่ทำอะไรไม่ถูก แล้วพูดว่า “โหวเยว่ พวก
เราไปหามาหลายที่ ส่วนใหญ่หาได้แล้ว ตอนนี้...
ตอนนี้เหลือยาอีกสองชนิด”
“อย่าบอกนะว่าเป็นยาที่มีแค่ในร้านยาตระกูล
เถียน?”
ต้วนฉางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “กุ่ยมู่เฉ่ากับเฟิงกู๋จื่อ
เป็นยาหายาก ร้านยาใหญ่ต่างเคยได้ยิน แต่ก็บอกว่า
หาได้ยากมาก อีกทั้งขายไม่ได้ราคา หลายร้านต่างก็
ไม่มีของ”
“แล้วเจ้าไปที่ร้านยาตระกูลเถียนมาหรือยัง?”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “ข้าน้อยไปมาแล้ว เถียนฮูหยินเข้า
นอนแล้ว แต่ว่าข้าน้อยได้พบกับพ่อบ้านของพวกเขา
พ่อบ้านตระกูลเถียนบอกว่าไม่มี”
“ไม่มีจริงหรือ?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
ต้วนฉางไห่ลังเลแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยรู้สึกว่า
พวกตระกูลเถียนจงใจ ตอนที่กลับมา ข้าน้อยเห็น
เถียนฮูหยินหลบอยู่หลังหน้าต่าง”
ฉีหนิงรู้สึกโกรธมาก “ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้หรืออย่างไรว่า
มันต้องเอาไปช่วยคน?”
ต้วนฉางไห่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ดูท่า
ตระกูลเถียนจะเข้าใจพวกเราผิดหนักเลย พ่อบ้าน
เถียนไม่ได้สนใจใยดีพวกเรามากนัก เหมือนไม่
อยากจะคุยกับพวกเรา”
ฉีหนิงรู้ว่าในเมื่อถังนั่วระบุยาสมุนไพรสองตัวนี้มา ถ้า
อย่างนั้นก็จะให้ขาดไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้ถังนั่วกำลัง
หาทางปรุงยาถอนพิษอย่างเต็มที่ งานของเขาก็จะให้
สะเพร่าไม่ได้ เขาพูดว่า “พวกเขาต้องจงใจปกปิดแน่
ไม่ได้ ข้าต้องไปด้วยตัวเอง” เขาไม่พูดอะไรมาก ออก
จากประตูไป ต้วนฉางไห่เองก็รีบตามไป ถึงแม้จะรู้สึก
เหนื่อย แต่กังวลว่าฉีหนิงจะเป็นอันตราย ก็เลยตาม
ไป
ฉีหนิงขี่ม้ามุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลเถียน เขาสั่งให้ต้วน
ฉางไห่ไปเคาะประตู เมื่อประตูจวนเปิดออก ก็มีเสียง
ไม่พอใจพูดออกมาว่า “ดึกๆ ดื่นๆ จะไม่ให้คนอื่น
นอนเลยหรืออย่างไรกัน?” เขามองไปที่ต้วนฉางไห่
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าอีกแล้วหรือ?”
ต้วนฉางไห่ไม่ได้พูดอะไร ฉีหนิงก้าวขึ้นมา ผลักประตู
ออก แล้วพูดว่า “ไปตามฮูหยินพวกเจ้าออกมา หาก
ไม่ออกมา ต้องมีคนตายแน่” เขาเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง
คุ้นเคยกับทางในตระกูลเถียนดี เขาเดินตรงเข้าไปที่
ห้องโถงใหญ่ แล้วก็นั่งลง
ไม่นานนัก พ่อบ้านเถียนก็มา เห็นฉีหนิงนั่งอยู่ เขาก็
คำนับ แล้วพูดว่า “เป็นโหวเยว่เองหรือ? ไม่ทราบว่า
ท่านมีอะไรจะสั่งหรือ?” เขามองไปที่ต้วนฉางไห่ ซึ่ง
เขารู้ดีอยู่แก่ใจ
“พ่อบ้านเถียน เจ้าเองก็อายุมากแล้ว ดึกขนาดนี้
สมองคงไม่ค่อยทำงาน ความจำก็คงไม่ดี ข้าจะไม่คุย
กับเจ้า” ฉีหนิงรู้ว่าพูดกับพ่อบ้านเถียนอย่างไรไปก็ไม่
มีประโยชน์ อีกทั้งจะทำให้เสียเวลาด้วย เลยพูดว่า
“ไปตามฮูหยินของพวกเจ้ามา ข้ามีเรื่องด่วนต้องคุย
กับนาง”
พ่อบ้านเถียนยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ฮูหยิน...ฮูหยินห
ลับไปแล้ว นางรู้สึกเหนื่อย ในจวนของพวกเรามีกฎ
หากฮูหยินหลับไปแล้ว ใครก็ห้ามรบกวนนาง”
“เจ้ารู้หรือไม่ หากนางยังหลบหน้าไม่ยอมออกมาพบ
จะต้องมีคนตายเพิ่มมากขึ้น” ฉีหนิงจ้องไปที่พ่อบ้าน
เถียน
พ่อบ้านเถียนตะลึงไป สายตาของเขามีความ
หวาดกลัว แต่ก็ยังพูดว่า “โหวเยว่ จวน...จวนของ
พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด จะ...จะมีคนตายได้
อย่างไร?”
ฉีหนิงรู้สึกร้อนใจ เขาลุกขึ้น แล้วพูดว่า “เถียนฮูหยิ
นอยู่ที่เรือนไหน เจ้าพาข้าไปเดี๋ยวนี้?”
เวลาไม่คอยท่า เสียเวลาเพียงวันเดียว อาจจะมีคนถูก
พิษกำเริบจนตายได้ ถังนั่วกำลังพยายามอย่างเต็มที่
ฉีหนิงรู้ว่าเขาจะเสียเวลาไม่ได้ ถึงแม้จะบุกเข้ามาใน
จวนตระกูลเถียนกลางดึก มันจะไม่เหมาะสม แต่ว่า
เขารู้ว่าเถียนฮูหยินตั้งใจหาเรื่องเขา หากเขายังจะ
เจรจาด้วยดีๆ เกรงว่าถึงเช้าก็คงไม่ได้ยาสมุนไพรแน่
พ่อบ้านเถียนถูกเถียนฮูหยินสั่งให้ทำแบบนี้แน่ เขาพูด
ว่า “โหวเยว่ ฮูหยินหลับไปแล้วจริงๆ พวกท่านอย่าไป
รบกวนนางเลย หากมีเรื่องด่วนจริง รอฮูหยินตื่นมา
แล้วให้ฮูหยินไปหาท่านที่จวนโหว...”
“พ่อบ้านเถียน หากเจ้ายังพูดไม่หยุดอย่างนี้ จะทำให้
ตระกูลเถียนของพวกเจ้าต้องเดือดร้อนนะ” ฉีหนิง
ข่มขู่ “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ราชสำนักสั่งมา หากพวกเจ้า
ทำให้ทางราชสำนักเสียการใหญ่ ข้าถามหน่อย
ตระกูลเถียนของพวกเจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ?”
พ่อบ้านเถียนตะลึงไป เห็นฉีหนิงสีหน้าจริงจัง ไม่
เหมือนล้อเล่น ในใจก็คิดว่าก็แค่ยาสมุนไพรสองตัว
ทำไมถึงได้เกี่ยวข้องกับราชสำนักได้ล่ะ?
ต้วนฉางไฮ่พูดว่า “พ่อบ้านเถียน อย่าเสียเวลาอีกเลย
เหตุใดเจ้าไม่ลองคิดดูบ้าง หากไม่ใช่เรื่องใหญ่ของราช
สำนัก ข้ากับโหวเยว่จะมาที่นี่เพื่อสิ่งใดกัน? ดึกขนาด
นี้ โหวเยว่ก็ควรพักผ่อนแล้ว เหตุใดยังต้องลำบาก
มาถึงที่นี่ด้วย? ยาสมุนไพรแค่สองตัว หากเจ้าคิดว่า
มันเป็นเรื่องเล็ก เหตุใดพวกเราต้องทำให้เป็นเรื่อง
ใหญ่กันขนาดนี้ล่ะจริงหรือไม่?”
ตอนนี้พ่อบ้านเถียนรู้สึกตื่นตระหนก
ร้านยาตระกูลเถียนถึงแม้จะมีอิทธิพลมากในเมือง
หลวง แต่ในสายตาของราชสำนัก ก็แค่เม็ดข้าวเม็ด
หนึ่งเท่านั้น หากทำให้ราชสำนักเสียการใหญ่จริง
ตระกูลเถียนถึงจุดจบแน่นอน
“พ่อบ้านเถียน ฮูหยินหลับไปแล้ว จริงๆ พวกเราไม่
ต้องรบกวนนางก็ได้” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าแค่บอกข้าว่า
ร้านของพวกเจ้ามีกุ่ยมู่เฉ่ากับเฟิงกู๋จื่อหรือไม่? ขอแค่
เจ้าเอายาสมุนไพรสองตัวนี้ให้ข้า พวกเราก็จะไม่ไป
รบกวนเถียนฮูหยิน”
พ่อบ้านเถียนก้มหน้า แล้วพูดว่า “โหวเยว่ เรื่องของ
ร้านยา ฮูหยินเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด ข้าน้อย...
ข้าน้อยไม่กล้าตัดสินใจแทน”
เมื่อพูดมาแบบนี้ ฉีหนิงกับต้วนฉางไห่ก็มองหน้ากัน
พวกเขาพอจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
“ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็พาข้าไปที่เรือนของฮูหยิน” ฉี
หนิงพูดว่า “อย่าต้องเสียเวลาอีก ไม่อย่างนั้นเจ้าก็หนี
ไม่พ้น”
เขาเดินนำทางไป ถึงแม้จะอายุมากแล้ว แต่วา่ เขาก็
เดินเร็วอยู่ พริบตาเดียวก็เดินมาถึงเรือนที่อยู่ทางทิศ
ตะวันออก เขาชี้ไปภายในเรือนพูด “โหวเยว่ ฮูหยิน...
ฮูหยินอยู่ในนี้ ไม่มีคำสั่งของฮูหยิน พวกเราบ่าวไพร่
เข้าไปด้านในไม่ได้”
ฉีหนิงเห็นประตูเรือนแง้มเอาไว้ ไม่ได้ปิด ในใจก็คิดว่า
ดึกขนาดนี้แล้วบุกเข้าเรือนนอนของหญิงม่าย มัน
ค่อนข้างจะเสียมารยาท แต่ว่าพอคิดถึงถังนั่วที่ไม่ได้
หลับไม่ได้นอนเพื่อพยายามปรุงยาถอนพิษ อีกทั้งมี
อีกหลายคนที่กำลังรอยาถอนพิษอยู่ จะมาคิดเล็กคิด
น้อยไม่ได้ เขาพูดว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่แหละ” เขา
ผลักประตูเข้าไปในเรือน เงยหน้าไปมอง เขาเห็นห้อง
ทางด้านซ้ายมือยังจุดไฟอยู่ ในใจก็คิดว่าเถียนฮูหยิน
ยังไม่ได้นอนแน่นอน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 243 ฮูหยินผู้เอาแต่ใจ
ค่ำคืนอันเงียบสงัด อากาศที่หนาวเหน็บ
ฉีหนิงเดินไปที่หน้าประตู เขายกมือขึ้นมาเคาะประตู
จากนั้นก็ชะโงกหน้าไปมองในห้องที่อยู่ทางด้าน
ซ้ายมือ เขาเห็นไฟในห้องจู่ๆ ก็ดับลง
ในใจของเขาทั้งรู้สึกขำและก็รู้สึกโกรธมาก
ฉีหนิงเคาะประตูอีกครั้ง ภายในห้องเงียบมาก ฉีหนิง
คิดในใจว่าเถียนฮูหยินตั้งใจทำแบบนี้ เขาเลยเดินไปที่
ริมหน้าต่างห้องทางด้านซ้ายมือ แล้วกระแอมขึ้นมา
ครั้งหนึ่ง “เถียนฮูหยิน ข้าฉีหนิง มีเรื่องต้องการหารือ
กับท่าน ขอรบกวนเวลาสักครู่”
ภายในห้องเงียบมาก
ฉีหนิงยื่นมือไปเคาะหน้าต่าง ในใจรู้สึกไม่ค่อยดี
เท่าไหร่ ก่อนหน้านี้พอได้ยินเรื่องเคาะประตูสาวม่าย
กลางดึกมาบ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าตัวเขาจะต้องมาทำ
เรื่องอะไรแบบนี้ด้วย
แต่เรื่องด่วนมาก เขาไม่มีเวลาจะมานั่งคิดอะไร
มากมาย เห็นเถียนฮูหยินไม่ตอบรับ เขาก็รู้สึกโมโห
แล้วพูดว่า “ฮูหยิน ข้าไม่ได้มาเพราะเรื่องส่วนตัว แต่
เรื่องนี้มันเกี่ยวกับหลายชีวิต หวังว่าท่านจะไม่อคติ
ส่วนตัว รีบออกมาพบข้าเถอะ” เขาคิด แล้วพูดด้วย
น้ำเสียงอ่อนลงว่า “ฮูหยินหากท่านไม่ยินดีออกมาพบ
กับข้าก็ไม่เป็นไร แค่ท่านสั่งให้พ่อบ้านเถียนเอายา
สมุนไพรสองตัวนั้นให้ข้า ข้าสามารถซื้อมันในราคา
สองเท่าจากปกติได้ ฮูหยินคิดเห็นว่าอย่างไร?”
เถียนฮูหยินเหมือนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ว่าจะไม่พูด
อะไรเลย
ฉีหนิงรู้สึกโกรธมาก แอบคิดในใจว่าม่ายสาวคนนี้ไม่มี
เหตุผลเอาเสียเลย “ฮูหยิน หากท่านยังคงทำให้ข้า
ลำบากใจแบบนี้ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ?”
เขาเดินมาที่หน้าประตู ลังเลครู่หนึ่ง แล้วหยิบมีดสั้น
ในตัวออกมา จากนั้นก็สอดมันเข้าไปตามร่องประตู
แล้วตวัดขึ้น มีดสั้นทำจากเหล็กชั้นดีหายาก แค่ไม้
ธรรมดา ก็ขาดง่ายๆ ฉีหนิงผลักประตูเข้าไป
ฉีหนิงเองก็พอรู้ว่าตัวเขาทำเกินไป แต่ว่าชีวิตคน
สำคัญ ทำให้ไม่สามารถมาพะวงกับเรื่องเล็กๆ เช่นนี้
ได้ เมื่อเขาเข้าไปในห้อง เขาก็เดินไปทางห้องทางซ้าย
เขาหยุดอยู่หน้าประตู แล้วพูดว่า “ฮูหยิน ข้าเข้ามา
ด้านในห้องแล้ว ท่านคงไม่คิดจะให้ข้าเข้าไปเชิญท่าน
ขึ้นมาจากเตียงหรอกกระมัง?”
เสียงอันตกใจของเถียนฮูหยินดังออกมาจากใน
ห้องนอน “ท่าน...ท่านบุกรุกบ้านชาวบ้าน ข้า...ข้าจะ
ร้องให้คนช่วย...” เสียงของนางสั่นมาก เหมือนกำลัง
ตื่นตระหนก
“ฮูหยินท่านจะยอมมาคุยกับข้าดีๆ หรือไม่?” ฉีหนิง
ถาม
เถียนฮูหยินพูดด้วยความโกรธว่า “ท่านไปซะ ที่นี่...
ที่นี่เป็นห้องนอนของข้า ข้ายังไม่อนุญาต บุกรุกเข้ามา
แบบนี้ มันต่างกับโจรผู้ร้ายตรงไหนกัน?”
ฉีหนิงรู้สึกว่าหากยังเถียงกับนางไม่หยุดแบบนี้ พรุ่งนี้
เช้าก็อาจจะไม่ได้เรื่องอะไร เขาพูดว่า “หากเจ้ายัง
ยืนยันที่จะไม่ออกมา ข้าก็จะเข้าไปในห้องของเจ้า ถึง
เวลานั้นเจ้าจะไปร้องทางการได้ หากต้องรับโทษ ข้า
จะรับผิดชอบเอง” เขาไม่พูดมากอีก ผลักประตูเข้าไป
ไม่รู้เหมือนกันว่าเถียนฮูหยินลืมหรือว่ารีบร้อนเกินไป
นางไม่ได้ลงกลอนประตูด้านใน ฉีหนิงใช้แรง ทำให้
ผลักประตูเข้าไปได้เลย
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ เถียนฮูหยินตกใจแล้วพูดว่า “หาก
ท่านกล้าเข้ามา ข้าจะ...ข้าจะ...” ประโยคหลังนางพูด
ไม่ออก
“ฮูหยิน ประตูห้องท่านข้าเปิดให้แล้ว ท่านจะออกมา
คุยกันได้หรือยัง?” ฉีหนิงรู้ว่าหากเขาบุกเข้าห้องนอน
ไปแบบนั้น อาจทำให้เถียนฮูหยินตกใจไปมากกว่านี้
เพราะอย่างไรเขามาที่นี่เพื่อร้องขอให้ช่วย จะทำอะไร
เกินเลยกว่านี้ไม่ได้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า
“ข้าจะออกไปรอท่าน ท่านคิดว่าอย่างไร?”
“ข้า...ข้าไม่ออกไป ข้าจะนอนแล้ว” เถียนฮูหยินกลับ
ยังดื้อรั้นแล้วพูดว่า “หากว่า...หากว่าข้าทำอะไรผิด
ท่านก็ให้เจ้าหน้าที่ทางการมาจับข้า แต่ว่าอย่างไรข้าก็
จะไม่ออกไปเด็ดขาด”
ฉีหนิงทั้งขำทั้งโกรธ เถียนฮูหยินเป็นแม่คนแล้ว
จัดการเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ทั้งหมด แต่ว่าพูดจา
เหมือนกับหญิงสาวแรกรุ่นเอาแต่ใจยิ่ง
เขาขมวดคิ้ว คิดแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นต้องขออภัย
ด้วย” จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องนอนของนาง
เถียนฮูหยินเห็นเงาของฉีหนิงเดินเข้ามาในห้องแล้ว ก็
ตกใจมาก รีบพูดว่า “เจ้า...เจ้าคิดจะทำอะไร? ใคร....
ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา ยังไม่ออกไปอีก?”
ภายในห้องมืดมาก ฉีหนิงได้กลิ่นหอมโชยมา ไม่รู้ว่า
มันเป็นกลิ่นกำยานหรือว่ากลิ่นตัวของเถียนฮูหยิน แต่
ว่าภายในห้องเหมือนจะมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง มีเงาเดินมา
หยุดอยู่ที่ริมโต๊ะ ท่าทางเหมือนจะตกใจกลัวมาก
ฉีหนิงยืนแล้วยกมือคำนับ “ฮูหยิน ข้ารู้ว่าก่อนหน้านี้
พวกเรามีเรื่องเข้าใจผิดกัน แต่ว่าที่ข้ามาครั้งนี้ข้ามา
เพื่อซื้อยากับท่าน เรื่องเร่งด่วนมาก ไม่อย่างนั้นข้าคง
ไม่มารบกวนท่านกลางดึกแบบนี้”
“ท่านเป็นโหวเยว่ คิดจะบุกรุกบ้านใครก็ได้อย่างนั้น
หรือ?” น้ำเสียงของเถียนฮูหยินค่อนข้างโกรธ นางพูด
ว่า “ข้าบอกแล้ว หากข้าทำอะไรผิด ท่านก็ให้
เจ้าหน้าที่ทางการมาจับข้า ข้าเป็นแค่หญิงม่ายคน
หนึ่งที่ทำการค้าเท่านั้น ต่อให้ท่านเป็นโหวเยว่ท่านก็
ทำอะไรข้าไม่ได้”
ฉีหนิงพูดว่า “ฮูหยินไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายหรอก
แต่ว่าฮูหยินจะต้องช่วยชีวิตคนอื่น”
“ข้าเปิดร้านขายยาสมุนไพร ไม่ได้เป็นหมอรักษาใคร”
เถียนฮูหยินไม่ได้พูดดีด้วย “ข้าตรวจโรคให้ใครไม่ได้
ช่วยคนไม่ได้ จิ่น...จิ่นอีโหว ท่านรีบกลับไปดีกว่า ข้า
เป็นหญิงม่าย ท่านเป็นผู้ชายอยู่ในห้องนอนของข้า
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป โหวเยว่คงไม่เป็นอะไร แต่ว่า
...แต่ว่าข้ายังต้องการเกียรติของข้าอยู่”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้น ฮูหยินจะไม่คุยกับข้า
แล้วใช่หรือไม่?”
“ข้า...” ฉีหนิงบุกเข้าห้องนอนของเถียนฮูหยิน ถึงแม้
นางจะรู้สึกโกรธมาก แต่นางก็รู้ว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า
ของเขาเป็นหนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหวของแคว้น จะผิด
ใจกับเขาไม่ได้ นางพูดน้ำเสียงอ่อนลงว่า “ร้านยาของ
พวกเราเปิดตอนยามโย่ว หากท่านอยากคุยกับข้า ก็
รอให้ถึงเวลานั้นก่อนเถอะ...”
ฉีหนิงคิดในใจว่าม่ายสาวคนนี้พูดมากจริง เขารู้สึก
ร้อนใจ เลยเดินหน้าบีบเข้าหาเถียนฮูหยิน เถียนฮู
หยินรู้สึกตกใจ รีบถอยหลัง แล้วพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
ว่า “ท่าน...ท่านคิดจะทำอะไร?”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าอย่าบอกนะว่าคิดว่าเขาจะฉวย
โอกาสทำมิดีมิร้าย? เขาพูดว่า “ฮูหยินท่านยังแค้นข้า
เรื่องครั้งที่แล้วอยู่ใช่หรือไม่ เลยหาเรื่องข้าแบบนี้?”
“ข้าไม่ได้หาเรื่องท่าน” เถียนฮูหยินพูดว่า “ข้า...ข้าจำ
ไม่ได้แล้วว่าครั้งที่แล้วเกิดอะไรขึ้น”
“ถ้าฮูหยินจะพูดแบบนี้ ข้าก็จนปัญญา” ฉีหนิงพูดว่า
“หากข้าไม่ได้ยาสมุนไพรกลับไป ข้าก็จะไม่ไปไหน
ทั้งนั้น หากฮูหยินจะนอน ก็ขึ้นเตียงไปได้เลย ข้าจะ
นั่งอยู่ตรงนี้ ท่านคิดว่าอย่างไร?”
เถียนฮูหยินตะลึงไป นางพูดอย่างเขินอายว่า “ท่าน...
ท่านพูดเหลวไหลอะไร?” เหมือนกังวลว่าฉีหนิงจะทำ
อะไรในความมืด นางเดินอ้อมโต๊ะไป เว้นระยะจากฉี
หนิง แล้วไปจุดไฟ
หลังจากภายในห้องสว่างขึ้นมาแล้ว ฉีหนิงก็เห็นเถียน
ฮูหยินสวมแค่เสื้อบางๆ ซึ่งสามารถมองเห็นทะลุไปถึง
เสื้อชั้นในลายกุหลาบได้ ผิวของนางขาวเนียน มีความ
เป็นผู้หญิงเต็มตัว ปลายคิ้วซ้ายมีไฝเล็กๆ เม็ดหนึ่ง
นางดูสวยและมีเสน่ห์มาก
ช่วงล่างของนางก็สวมแค่กระโปรงตัวบางๆ ทำให้เห็น
ขาเรียวๆ ทั่วทั้งตัวของนางขาวราวกับหิมะ ดูเย้ายวน
ใจมาก
ฉีหนิงยอมรับว่านางดูแลตัวเองได้ดีมาก ถึงแม้จะเป็น
แม่คนแล้ว แต่ว่าไม่ว่าจะผิวหรือรูปร่าง ต่างดูแลเป็น
อย่างดี เหมือนถ้าแค่สัมผัสเบาๆ ก็จะมีน้ำออกมาจาก
ผิว รูปร่างของนางไม่ว่าจะสะโพก เอว หรือหน้าอก ก็
ดูสมส่วนพอดี ดูไม่เหมือนคนที่เป็นม่ายเลย
เห็นฉีหนิงมองมาที่ตัวเอง เถียนฮูหยินก็ตะลึง รีบไป
หยิบเสื้อคลุมหนาบนเตียงมาคลุมเอาไว้ แล้วพูดด้วย
ความโมโหว่า “ท่านหันไปก่อน”
นางกับฉีหนิงอายุห่างกันมาก แต่นางไม่รู้ว่าจริงๆ
แล้วฉีหนิงอายุเท่านาง นางเป็นแม่คนแล้ว ก็เลยจะ
ทำอะไรสบายๆ ไปบ้าง แต่ว่าพอฉีหนิงมองไปที่ตัว
นาง นางกลับรู้สึกเขินอาย เมื่อฉีหนิงหันหลังกลับไป
นางก็รีบไปที่เตียงแล้วสวมเสื้อให้เรียบร้อย
เมื่อฉีหนิงหันไป ในหัวของเขายังเห็นภาพสัดส่วนของ
เถียนฮูหยินอยู่ ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกของเขาจะ
เป็นเด็กหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบปี ถือว่ายังหนุ่มยังแน่น
แต่ว่าเขาเป็นคนสองยุค จิตใจและสมองของเขาไม่ใช่
เด็กแล้ว สำหรับเขา ผู้หญิงแบบนี้มีเสน่ห์ทำให้เขา
แทบบ้าได้เลย
“ท่านจิ่นอีโหว ท่านบุกมากลางดึก ไม่กลัวใครเขา
นินทาหรืออย่างไร?” เมื่อได้ยินเถียนฮูหยินพูดขึ้นมา
จากด้านหลัง ฉีหนิงก็รู้ว่านางน่าจะใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว
ก็เลยหันกลับมา เห็นเถียนฮูหยินนั่งลง ใบหน้าที่
งดงามมีสีหน้าที่เย็นชา เห็นนางยกมือลูบไปที่หลังหู
ของตัวเอง ท่าทางของนาง มีเสน่ห์ของผู้หญิงมาก
ฉีหนิงพูดว่า “เถียนฮูหยิน ข้ารู้ว่าร้านของท่านมียา
สมุนไพรสองตัวนั้น ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อซื้อยาสองตัวนั้น”
“ร้านยาในเมืองหลวงมีเป็นสิบร้าน จิ่นอีโหวอย่าง
ท่าน ต้องการหายาสมุนไพรสองตัวนี้ จะไปหาที่ไหนก็
ได้ เหตุใดจะต้องบุกมาถึงร้านของข้าดึกๆ แบบนี้
ด้วย?” เถียนฮูหยินเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วทำ
ท่าทางน่าสงสาร “ร้านยาตระกูลเถียนของข้ามีหญิง
ม่ายอย่างข้าดูแลคนเดียว ลำบากยิ่งนัก โหวเยว่ ท่าน
ก็เห็นใจพวกเราหน่อย อย่าให้พวกเราต้องลำบากใจ
เลยได้หรือไม่? หากก่อนหน้านี้ข้าทำอะไรให้ท่านไม่
พอใจ ท่าน...ท่านเป็นคนใจกว้าง อย่าเอาเรื่องหญิง
ม่ายอย่างข้าเลย” นางกัดริมฝีปากเบาๆ ทำท่าทางน่า
สงสารแล้วมองไปที่ฉีหนิง เหมือนกับว่านางถูกรังแก
มา
ฉีหนิงรู้สึกขำมาก “หากข้าหาได้จากที่อื่น ข้าจะมาหา
ท่านในห้องกลางดึกแบบนี้เพื่ออะไรกัน?” เมื่อพูดถึง
ตรงนี้ก็รู้สึกว่าพูดไม่ถูก ทันใดนั้นเองก็เห็นเถียนฮูหยิน
โกรธขึ้นมา ฉีหนิงรู้สึกกระอักกระอ่วน แล้วพูดต่อว่า
“ฮูหยิน เวลาไม่คอยท่า หากพวกเรามีเรื่องเข้าใจผิด
กัน ไว้ค่อยคุยกันอีกที ถึงตอนนั้นข้าจะชดเชยให้ท่าน
แต่ว่าตอนนี้ท่านจำเป็นจะต้องมอบกุ่ยมู่เฉ่า
กับเฟิงกู๋จื่อให้ข้า”
เถียนฮูหยินเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า “ที่อื่นไม่
มี พวกเราเองก็ไม่มี” นางยื่นมือไปรินน้ำมาดื่ม
ฉีหนิงรู้สึกว่านางไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย “ไม่มีจริง
หรือ?”
“ไม่มีก็คือไม่มี จะหลอกได้อย่างไร” เถียนฮูหยินหยิบ
กาน้ำชากำลังจะริน ฉีหนิงยื่นมือไปจับมือของนาง
เถียนฮูหยินตกใจมาก แล้วพูดว่า "เจ้าจะทำอะไร?
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 244 ความปรารถนา
เห็นเถียนฮูหยินปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก ฉีหนิงก็รู้สึก
ร้อนใจ เห็นนางยังมีอารมณ์มาดื่มชา ก็เลยยื่นมือไป
จับมือของนาง เมื่อได้ยินเถียนฮูหยินร้องขึ้น ถึงได้
รู้สึกตัวว่าตัวเองวู่วามเกินไป จึงรีบปล่อยมือ “อย่า
ร้อง อย่าให้ใครได้ยิน”
ถึงแม้จะรีบ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะทำอะไร แต่ว่าฉีหนิง
ยังจำได้ว่าต้วนฉางไห่กับพ่อบ้านเถียนยังยืนรออยู่ข้าง
นอก หากเถียนฮูหยินร้องขึ้นมา แล้วมีคนได้ยิน คน
อื่นจะเข้าใจว่าเขาทำอะไรเถียนฮูหยินได้
เถียนฮูหยินรีบเก็บมือกลับมา แล้วจ้องไปที่ฉีหนิงแล้ว
พูดว่า “หากท่านกลัวคนอื่นจะได้ยิน ก็อย่าทำสิ” นาง
อดไม่ได้ที่จะพูดเสริมอีกว่า “ท่านบุกเข้ามาที่นี่ ก็ไม่
กลัวใครจะเห็นหรืออย่างไร?”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฮูหยิน พวกเราก็อย่า
เสียเวลาพูดเรื่องอื่นอีกเลยนะ ท่านเสนอราคามา
ท่านต้องการเท่าไหร่ถึงจะขายยาสมุนไพรสองชนิดนั้น
ให้ข้า?”
“ข้าเป็นคนทำการค้า มีงานขายเหตุใดจะไม่อยากทำ
ล่ะจริงหรือไม่?” เถียนฮูหยินเบือนหน้าหนีไป “ข้าไม่
มียาสมุนไพรสองตัวนั้น ท่านจะให้ข้าเสกมาให้ท่าน
หรืออย่างไร?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าม่ายสาวคนนี้หน้าตาสวยมาก แต่ว่า
จิตใจคับแคบ นางยังติดใจเรื่องครั้งที่แล้วอยู่
“เถียนฮูหยิน ท่านรู้หรือไม่ ในเมืองหลวงตอนนี้เกิด
โรคระบาดขึ้น?” ฉีหนิงไม่พูดกับนางว่ามันคือพิษ
“ข้าต้องการปรุงยารักษา ขาดแค่สมุนไพรสองชนิดนี้
หากท่านมีของแต่ไม่ยอมเอาออกมา นั่นหมายถึงว่า
ท่านตั้งใจปล่อยให้คนตาย ถึงเวลานั้นราชสำนัก
ตรวจสอบขึ้นมา ท่านเองก็หนีไม่พ้นนะ”
เถียนฮูหยินอึ้งไป สายตาของนางมีความตกใจเป็น
อย่างมาก เพราะนางก็เห็นมากับตา นางยิ้มบางๆ
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ท่านกำลังข่มขู่หญิงม่ายอย่างข้า
หรือ”
“ไม่ได้ข่มขู่” ฉีหนิงพูดว่า “ในเมื่อท่านอยู่ในสายยา
เรื่องที่เกิดในเมืองหลวง ท่านไม่มีทางไม่รู้ สองวันมานี้
มีคนตายไปเท่าไหร่ อย่าบอกนะว่าท่านไม่รู้?”
เถียนฮูหยินขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ท่านกำลังปรุงยา
รักษาหรือ?”
ฉีหนิงเห็นคำพูดของนางผ่อนคลายลง ก็พยักหน้า
เถียนฮูหยินคิดแล้วพูดว่า “สำนักหมอหลวงใหญ่
ขนาดนั้น เรื่องการรักษาโรคระบาดเป็นเรื่องของราช
สำนัก คลังยาในวังหลวงมียาแทบจะทุกอย่าง เหตุใด
ท่านถึงไม่ไปดูในวังเล่า?”
“ยาสมุนไพรในวังหลวงร้านยาของเจ้าเป็นคนส่งไม่ใช่
หรือ?” ฉีหนิงถาม
เถียนฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ยาสมุนไพรในวังหลวงมีไว้
ให้บรรดาเชื้อพระวงศ์องค์ชายใช้ทั้งนั้น ร้านยาของข้า
เป็นร้านยาเล็กๆ จะมีสิทธิอะไรส่งยาเข้าวังหลวงกัน
ไม่อย่างนั้นร้านยาตระกูลเถียนของพวกเราก็คง
กลายเป็นร้านยาอันดับหนึ่งในเมืองหลวงไปนาน
แล้ว” สายตาของนางเป็นประกายขึ้นมา แล้วเหลือบ
ไปที่ฉีหนิง แล้วถามว่า “จิ่นอีโหวท่านคงไม่ได้คิด
อยากจะช่วยร้านยาตระกูลเถียนส่งยาเข้าวังหรอก
กระมัง?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าม่ายสาวคนนี้มีโอกาสที่จะได้ทำ
การค้าก็ไม่ปล่อยให้ทุกโอกาสหลุดมือไปจริงๆ แต่ใน
เมื่ออีกฝ่ายมีเจตนาแบบนี้แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
อะไร เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินอยากจะส่งยา
สมุนไพรเข้าวังหลวงหรือ?”
เถียนฮูหยินได้ยินน้ำเสียงของฉีหนิง เหมือนจะมีทาง
ก็มองไปที่ฉีหนิง นางเขยิบเข้าใกล้ จากนั้นนางก็ยิ้ม
“โหวเยว่ ท่านมีวิธีช่วยให้ตระกูลเถียนของพวกเราส่ง
ยาเข้าวังหลวงได้หรือ?”
“ท่านก็เป็นคนพูดเอง ยาสมุนไพรในวังหลวงมีไว้ให้
บรรดาเชื้อพระวงศ์องค์ชายใช้ทั้งนั้น หากมีสมุนไพร
ไม่ดีหรือว่าไม่ครบ คิดอยากจะส่งของเข้าวังไม่ใช่เรื่อง
ง่าย” ฉีหนิงลากเก้าอี้เข้ามาแล้วนั่งลงตรงข้าม
กับเถียนฮูหยิน
เถียนฮูหยินตาเป็นประกาย แล้วพูดว่า “สมุนไพรใน
ร้านยาตระกูลเถียนมีแต่ของดีทั้งนั้น ที่นี่คือเมือง
หลวง หากนำยาระดับล่างมา ร้านยาของพวกเราคง
ปิดตัวไปนานแล้ว โหวเยว่ พูดตามตรง สมุนไพรของ
พวกเราในแต่ละรอบ ข้าเป็นคนตรวจสอบด้วยตัวเอง
ไม่มีปัญหาแน่นอน อีกทั้งสมุนไพรในร้านของเราก็มี
ครบทุกอย่าง เจ้าอย่าคิดว่ามีร้านยาใหญ่มากมายใน
เมืองหลวงนะ ของของพวกเขาไม่ได้ดีไปกว่าพวกเรา
หรอก”
เถียนฮูหยินรู้ว่ามีการค้าทำได้ เหมือนจะรู้สึกตื่นเต้น
มาก ลืมไปเลยว่ากำลังสู้อยู่กับฉีหนิงอยู่ นางยิ้มหน้า
บานเลย
“ไม่หรอก” ฉีหนิงพูดว่า “ร้านของเจ้าแม้แต่กุ่ยมู่เฉ่า
กับเฟิงกู๋จื่อยังไม่มีเลย ยังกล้าบอกว่ามีของครบอีก?”
เถียนฮูหยินพูดว่า “โหวเยว่ ท่านเองก็พูดอยู่ว่า ร้าน
ยาใหญ่ที่อื่นก็ไม่มีสมุนไพรสองตัวนี้เหมือนกัน ร้านยา
ของพวกเราไม่มีก็ไม่เห็นจะแปลก อีกทั้ง...” นางหยุด
ไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “โหวเยว่ หากว่า...หากว่าข้าหา
วิธีเอาสมุนไพรสองตัวนั้นมาให้ท่านได้ ท่านจะช่วยข้า
หาทางส่งยาเข้าวังหลวงได้หรือไม่?”
ฉีหนิงแอบขำ แต่ว่าก็ไม่มีเวลามายื้ออะไรกับนางมาก
แต่เขาก็ยังพูดว่า “คิดอยากจะส่งยาเข้าวังหลวง มันก็
ไม่ง่าย แต่ว่า...”
“แต่ว่าอะไร?” เถียนฮูหยินเขยิบมาใกล้อีกครั้ง
หน้าอกของนางทับกับโต๊ะจนเปลี่ยนรูป แล้วรีบพูดว่า
“โหวเยว่ ต่อให้ต้องเสียเงิน ก็ไม่เป็นไร”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เอาไว้พูดทีหลัง หากเจ้า
เอากุ่ยมู่เฉ่ากับเฟิงกู๋จื่อมาให้ข้าได้ ข้ารับปากเจ้า จะ
หาทางช่วยเจ้าดู”
เถียนฮูหยินมองไปที่ฉีหนิง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จากนั้น
ก็ถามว่า “ท่าน...ท่านไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฮูหยิน ข้าคุยกับท่านมาตั้ง
นาน มีแต่ความจริงใจ แต่ว่าสุดท้ายท่านกลับไม่เชื่อ
ข้า” เขาลุกขึ้นยืน แล้วจะเดินไป เขาพูดว่า “ข้า
เสียเวลาที่นี่มานานแล้ว ในเมื่อฮูหยินยังเป็นอย่างนี้
อยู่ ข้าพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ขอตัวก่อน”
สำหรับร้านยาแล้ว หากสามารถทำการค้ากับทางวัง
หลวงได้ มันเป็นเรื่องที่เหมือนฝัน
เพราะว่าการทำการค้ากับในวังหลวง กำไรมาก
มหาศาล สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือ เมื่อส่งยา
สมุนไพรเข้าวังหลวง ได้รับการยอมรับจากในวัง
การค้าทั่วไปก็จะรุ่งเรืองไปด้วย
เถียนฮูหยินสามารถทำให้ร้านยาตระกูลเถียนรอดพ้น
วิกฤตมาจนร้านยาดีได้ขนาดนี้ ไม่ง่ายเลย ก่อนหน้านี้
ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าร้านยาตระกูลเถียนจะสามารถ
ส่งยาสมุนไพรเข้าวังหลวงได้
แต่ว่าพอฉีหนิงพูดในคืนนี้ ทำให้เถียนฮูหยินคิดว่ามี
ความเป็นไปได้
สำหรับเถียนฮูหยินแล้ว หากสามารถส่งยาสมุนไพร
เข้าวังหลวงได้ ไม่มีอะไรน่าดึงดูดใจไปมากกว่านี้แล้ว
เมื่อเห็นฉีหนิงจะไป หากเปลี่ยนเป็นช่วงเวลาก่อน
นางคงอยากให้เขารีบไป แต่ในเวลานี้หากฉีหนิงกำลัง
จะไปจริง จึงรีบลุกขึ้น นางกลัวฉีหนิงจะไป ไม่ได้
สนใจอย่างอื่นยื่นมือเข้ามาจับแขนของฉีหนิงเอาไว้
แล้วพูดอย่างร้อนรนว่า “โหวเยว่ ช้าก่อน”
ฉีหนิงแอบขำในใจ คิดว่าหากรู้ช่องโหว่ของเถียนฮู
หยินแต่แรก คงเอามาใช้รับมือแล้ว ไม่ต้องเสียเวลา
พูดนานขนาดนี้ เมื่อหันไปมองเถียนฮูหยิน สีหน้าของ
นางดูร้อนรน เขาก้มลงมองไปที่มือของเถียนฮูหยินที่
กำลังจับแขนเขาอยู่ เถียนฮูหยินหน้าแดง แล้วรีบ
ปล่อยมือ นางพูดว่า “โหวเยว่ ที่จริงแล้ว...ยา
สมุนไพรสองตัวนั่น ที่ร้าน...ที่ร้านของข้ามี”
ฉีหนิงหันกลับมา แล้วแกล้งพูดว่า “แล้วเหตุใดเมื่อครู่
เจ้าถึงบอกว่าไม่มี?”
เถียนฮูหยินเขิน นางก้มหน้า แล้วพูดว่า “ก็...ก็เพราะ
ครั้งที่แล้วท่านไม่รักษาคำพูด ดังนั้น...”
“ฮูหยิน ครั้งที่แล้วข้าไม่ได้รับปากอะไรท่านเลย ไม่ถือ
ว่าเป็นการผิดคำพูดหรอกนะ” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าฉี
หนิงหากพูดหรือรับปากอะไรไปแล้วไม่มีทางคืนคำ
เด็ดขาด”
เถียนฮูหยินพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าคงเข้าใจผิดไปเอง
โหวเยว่ ถ้าอย่างนั้นท่านจะช่วยตระกูลเถียนของข้าปู
ทางส่งยาเข้าวังหลวงจริงๆ ใช่หรือไม่?”
“ในเมื่อข้ารับปากว่าจะลองหาทางให้ ก็จะไม่คืนคำ”
ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ข้ารับปากไม่ได้
นะ” เขารู้ดีว่า ความเข้าใจผิดที่เถียนฮูหยินพูดมานั้น
เพราะนางอยากให้เขาปูทางให้นางได้ส่งของไปขาย
กับทางวัง หากไม่ใช่เพราะอยากทำการค้า ม่ายสาว
คนนี้คงไม่มีทางพูดแบบนี้แน่นอน
เถียนฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ได้โหวเยว่ช่วย ต้องสำเร็จ
แน่นอน โหวเยว่ ท่านกลับไปก่อน ข้าจะสั่งให้คนเอา
ยาสมุนไพรส่งไปที่จวนโหว”
“ไม่ต้องส่งไปที่จวนโหว ส่งไปที่หย่งอันถัง” ฉีหนิงพูด
ว่า “ข้าได้ยินมาว่าหย่งอันถังเคยค้าขายกับพวกเจ้ามา
ก่อน เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าอยู่ที่ไหน”
เถียนฮูหยินพูดว่า “รู้ ข้าจะให้คนส่งไปให้เดี๋ยวนี้เลย
โหวเยว่ต้องการเท่าไหร่ อย่างละสิบชั่งพอหรือไม่?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าร้านยาตระกูลเถียนของพวกเจ้าไม่
เพียงมีของ แต่ยังมีของมากอีกด้วย เขาส่ายหน้าแล้ว
พูดว่า “ไม่ต้องมากขนาดนั้น เอามาอย่างละหนึ่งชั่ง
ก่อน”
เถียนฮูหยินยิ้มหวานแล้วก็พยักหน้า “ได้ ข้าจะให้คน
ส่งไปให้” สายตาของนางน่าหลงใหลยิ่งนัก มือของ
นางสวยราวกับดอกไม้ ผิวขาวอมชมพูด ใบหน้ารูปไข่
นางพูดว่า “โหวเยว่ท่านจะดื่มชาสักถ้วยหรือไม่?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าพอจะให้ข้าช่วย นึกจะชงชาให้ดื่ม
เสียแล้ว แต่ว่าเขาไม่มีเวลามานั่งดื่มชาแล้ว “เอาไว้
วันหลังเถอะ ฮูหยิน ยาสมุนไพรต้องรีบส่งไปเลยนะ
พวกเราต้องรีบใช้” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “วันนี้ข้า
ล่วงเกินท่านไป ฮูหยินโปรดอภัยด้วย”
เถียนฮูหยินเห็นฉีหนิงรับปากนางแล้ว ในใจก็ดีใจมาก
“ข้าไม่โทษท่านหรอก โหวเยว่หากท่านมีเวลา ก็เชิญ
มาที่จวนได้ตลอด” เหมือนนางรู้สึกว่าพูดไม่ค่อย
ชัดเจน อยากจะอธิบายต่อ แต่ก็รู้สึกว่ายุ่งยาก “โหว
เยว่จะกลับมาแจ้งข่าวข้าเมื่อไหร่?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเจ้าก็ใจร้อนเกินไป “รอให้จบเรื่องนี้
ก่อน ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว ไม่ผิดคำพูดแน่นอน”
“โหวเยว่พูดอะไรก็หนักแน่นดุจดั่งทอง ไม่มีทาง
หลอกชาวบ้านอย่างข้าแน่” เถียนฮูหยินยิ้ม
ม่ายสาวคนนี้ดูเหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจเลย ฉีหนิงคิด
ในใจว่านางสามารถยื้อจนตระกูลเถียนรอดวิกฤตมา
ได้ เป็นเพราะบรรพบุรุษของตระกูลเถียนคุ้มครอง
เมื่อได้กลิ่นหอมจากตัวเถียนฮูหยิน ฉีหนิงก็ไม่ได้อยู่
ต่อ เขาขอตัวกลับทันที
เถียนฮูหยินเดินมาส่งถึงหน้าประตู เมื่อฉีหนิงเดินออก
จากประตูจวน นางอดไม่ได้ที่จะถามว่า “โหวเยว่
ท่าน...ท่านคงไม่...ไม่หลอกข้าใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงหันกลับมา แล้วพูดว่า “จะให้ข้าเขียนใบสัญญา
ให้เจ้าหรือไม่?”
เถียนฮูหยินคิดว่าหากเขียนให้ได้ก็ดีน่ะสิ แต่ว่านางรู้
ว่าหากทำให้โหวน้อยโกรธขึ้นมาจะแย่ “ไม่ต้อง โหว
เยว่พูดแล้วไม่คืนคำแน่ ไม่หลอกม่ายสาวอย่างข้า
หรอก ข้าเชื่อใจท่าน”
ฉีหนิงส่ายหน้า แล้วออกไป เมื่อฉีหนิงเดินออกมา
เถียนฮูหยินก็กลับเข้าเรือนนอนไป เมื่อปิดประตู นาง
ก็รีบวิ่งไปพิงกำแพง สีหน้าของนางดีใจมาก “หากส่ง
ยาเข้าวังได้ ตระกูลเถียนก็จะมีชื่อเสียงมากขึ้น ถึง
เวลานั้นเงินก็ไหลมาเทมา” นางวิ่งดีใจเข้าห้องไป
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 245 ถูกจับ
ถึงแม้เถียนฮูหยินจะเป็นคนค้าขาย ชอบเงินเงินทอง
ทอง แต่ว่าก็รักษาคำพูดของคนค้าคนขาย ฉีหนิง
กลับไปถึงร้านหย่งอันถังไม่ถึงครึ่งชั่วยาม กุ่ยมู่เฉ่า
กับเฟิงกู๋จื่อก็ถูกส่งมา
ในร้านหย่งอันถังยุ่งทั้งคืน หลังร้านยากำลังต้มยากัน
ให้วุ่น เมื่อต้มเสร็จแล้ว ก็จะรีบส่งไปให้ถังนั่วในห้อง
เริ่มแรก ถังนั่วมีรายการยาสมุนไพรทั้งหมดสามสิบสี่
ชนิด มองแล้วก็ตาลาย
และมักจะสั่งให้นำยากว่าสิบชนิดต้มรวมกัน มากสุด
ต้มรวมกันถึงสิบสามชนิด น้อยสุดก็สามสี่ชนิด
เมื่อฟ้าสาง ยาสมุนไพรส่วนใหญ่ถูกถังนั่วขีดทิ้งไปจน
หมด เหลือยาสมุนไพรเพียงแค่สิบหกสิบเจ็ดชนิด
เท่านั้น
เมื่อเลยยามโฉ่ว (01.00 - 02.59 น.) มีหิมะตกลงมา
เล็กน้อย นำพากลิ่นไอของฤดูหนาวพัดโชยเข้ามา
หิมะแรกของฤดูกาลตกโปรยปรายลงมา หิมะไม่ตก
หนักมาก แต่ตกลงมาบ่อย ทำให้ยิ่งตกยิ่งหนัก
เหมือนแหสีขาวขนาดใหญ่ เมื่อฟ้าสาง หิมะเหล่านั้นก็
หายไปจนหมด
เมื่อเปิดประตูออก ก็เห็นเศษหิมะลอยอยู่กลางอากาศ
ทุกคนกลางกระโจมอยู่หลังร้าน เพื่อไม่ให้หิมะส่งผล
ต่อการต้มยา
ถังนั่วไม่ได้หลับเลยสองวันสองคืน นางดูอ่อนเพลีย
มาก ส่วนต้วนฉางไห่กับฉีหนิงและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้พัก
มานานมากแล้วเหมือนกัน ดวงตาของแต่ละคนเริ่มมี
เลือดฝาด
แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า ร้านยาเล็กๆ แห่งนี้ อาจจะเป็น
ส่วนสำคัญในความเป็นความตายของคนอีกนับหมื่น
คน ดังนั้นก็เลยไม่มีใครกล้าละเลย
ถังนั่วรู้ว่าทุกคนเหนื่อยมาก เลยสั่งให้ทุกคนเข้ามาใน
ห้อง แล้วฝังเข็มไปที่หลังคอของพวกเขาคนละสอง
เข็ม
ต้วนฉางไห่รู้ว่าจุดที่ฝังเข็มนั้นไม่เป็นอันตราย แต่ละ
คนหลังจากที่ได้ฝังเข็มแล้ว ก็รู้สึกหายเหนื่อยไม่น้อย
ถึงแม้จะไม่ได้ฟื้นฟูทั้งหมด แต่ก็ลดลงไปมาก ในใจ
เขาก็เริ่มนับถือวิชาแพทย์ของถังนั่ว
ฉีหนิงไม่รู้เรื่องการแพทย์ ห้องที่มีศพมีถังนั่วกับท่าน
หมอซ่งอยู่ ฉีหนิงไม่ไปยุ่ง ส่วนจ้าวอู๋ซังกับคนอื่นก็อยู่
ต้มยาที่หลังร้าน ไม่รบกวนให้โหวเยว่อย่างฉีหนิงช่วย
ทำอะไรเลย
ฉีหนิงกับต้วนฉางไห่รับผิดชอบเรื่องอื่น หาอาหารมา
ให้พวกเขา ทุกคนก็ต่างเจียดเวลามารีบกินอาหารเพื่อ
เพิ่มกำลัง
เมื่อถึงตอนเที่ยง หมอซ่งออกมาจากห้องด้วยสีหน้า
ยิ้มแย้ม ฉีหนิงเห็นเลยรีบถามว่า “หาสูตรยาได้แล้ว
หรือ?”
หมอซ่งรู้สึกตื่นเต้น แต่ก็ยังส่ายหน้า “โหวเยว่ ใกล้
แล้ว ใกล้แล้ว วิชาแพทย์ของถังนั่วราวกับเทพเจ้า
ร้ายกาจมากจริงๆ ตอนนี้พอจะเจอลู่ทางแล้ว” แล้ว
ตะโกนออกไปด้านหลังว่า “ปานเหมา เฟิงกู๋จื่อ กุ่ยมู่
เฉ่า เสอทุ่ย ฝอเจี๋ยเฉ่าอย่างละตำลึงต้มรวมกัน เร็ว
เข้า”
ฉีหนิงได้ยินในสมุนไพรห้าชนิดนี้ มีสองชนิดที่เอามา
จากเถียนฮูหยิน เลยถามว่า “ยาที่ทางร้านยาตระกูล
เถียนส่งมาใช้งานได้แล้วหรือ?”
“ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ” หมอซ่งพูดว่า “แต่ว่าน่าจะใกล้
แล้ว” เขาพูดด้วยความชื่นชมว่า “แม่นางถังอายุยัง
น้อย แต่ว่าคุ้นเคยกับยาสมุนไพรเป็นอย่างดี ข้าสู้
ไม่ได้เลย” แล้วเขาปลอบว่า “โหวเยว่ ท่านวางใจได้
มีแม่นางถังอยู่ ข้าว่าอีกไม่กี่ชั่วยาม อาจจะพบสูตรก็
ได้”
ฉีหนิงรู้สึกดีใจมาก แอบคิดในใจว่าทางจวนเสินโหว
รวบรวมคนในยุทธภพมามากมาย เซวียนหยวนผ่อยัง
บอกว่าไม่มีวิธีถอนพิษ อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนใน
การค้นหา แต่ว่าถังนั่วร้ายกาจกว่าพวกเขามากนัก
ตอนเที่ยง ขณะที่ฉีหนิงกำลังรอข่าวดีจากถังนั่วอยู่
คนในวังก็มาหาเขาถึงหย่งอันถัง แล้วรียกฉีหนิงเข้าวัง
ไป
ฮ่องเต้เรียกตัวเขาไปเข้าเฝ้า ฉีหนิงก็ไม่รอให้เสียเวลา
เขาตรงเข้าวังทันที เมื่อมาถึงห้องทรงอักษร เขาเห็น
เพียงฮ่องเต้น้อย แต่ไม่เห็นขุนนางคนอื่นเลย
หลงไท่เห็นฉีหนิงมา เขาก็ยิ้มให้ “ฉีหนิง เจ้ารู้หรือไม่
ว่าข้าเรียกเจ้าเข้าวังมาทำไม?”
เมื่อไม่มีคนอื่น ฉีหนิงก็ทำตัวสบายๆ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาทดูดีพระทัยมาก มีเรื่องน่ายินดีอะไรหรือไม่”
เขาถามอีกว่า “ฝ่าบาท หรือว่ามีข่าวดีเรื่องพิษ
ระบาด?”
“เจ้าฉลาดมาก” ฮ่องเต้น้อยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ารู้
หรือไม่ ข้าไม่ได้นอนทั้งคืน รอจนกระทั่งซีเหมินอู๋เหิง
มา ข้าถึงได้เบาใจ”
“หะ?” ฉีหนิงเห็นฮ่องเต้น้อยดีใจ แต่ใบหน้าของเขา
เห็นได้ชัดว่าอ่อนเพลียมาก เขาถามว่า “ซีเหมินอู๋เหิง
นำข่าวดีมาให้?”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเหล่าโหวมีความสามารถ
พอตัวเลย ไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวัง” เขาชี้ไปที่เก้าอี้ “ที่นี่
ไม่มีคนอื่น เจ้านั่งลงก่อน”
ฉีหนิงยิ้ม เขาก็ไม่ได้เกรงใจ หลังจากที่นั่งลง เขาก็พูด
ว่า “ฝ่าบาททรงรักษาพระวรกายด้วย อย่าหักโหม
มากเกินไป”
หลงไท่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เข้าใจหรอก ข้าไม่
เหมือนเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อคืนพอในเมืองหลวงมีพิษ
ปะทุขึ้นมา ก็มีคนแอบพูดว่าเป็นเพราะข้า”
“เพราะท่าน?” ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ
หลงไท่พูดว่า “ในเมืองหลวงเกิดเรื่องขึ้น ข้าไม่มีทาง
ฟังแค่ขุนนางเท่านั้น ข้าเลยส่งอาจารย์เซี่ยงไปแอบ
สำรวจมา เพื่อที่จะได้ฟังคำพูดที่ข้าจะไม่มีวันได้ยิน
จากเหล่าขุนนาง”
ฉีหนิงรู้ว่าอาจารย์เซี่ยงที่หลงไท่หมายถึงนั้นคือเซี่ยง
เทียนเป่ย เซี่ยงเทียนเป่ยเป็นยอดฝีมือกระบี่ เป็นคน
ที่หลงไท่เชื่อใจมากคนหนึ่ง
“ฝ่าบาทได้ยินอะไรมาบ้าง?”
หลงไท่พูดว่า “มีคนบอกว่าข้าเพิ่งจะครองราชย์ เมือง
หลวงก็เกิดโรคระบาด นั่นเป็นเพราะข้าไม่มีคุณธรรม
ทำให้สวรรค์พิโรธ เลยทำให้เกิดโรคระบาด”
“บ้าไปแล้ว ใครกันพูดจาเหลวไหลแบบนี้?” ฉีหนิงด่า
ออกไปประโยคหนึ่ง “ฝ่าบาท คำพูดแบบนี้ ท่านอย่า
ไปใส่ใจเลย”
หลงไท่ยิ้ม แล้วพูดว่า “ข้าไม่ใส่ใจอยู่แล้ว ข้าแค่กังวล
ว่าเหล่าราษฎรจะถูกปิดบังความจริง พวกเขาจะเก็บ
เอาไปใส่ใจ พวกเขาไม่รู้ว่าเรื่องในคราวนี้เป็นการ
กระทำของคน พวกเขายังคิดว่ามันเป็นเหตุการณ์
ธรรมชาติ มีคนปล่อยข่าวมาแบบนี้ หากมีคนหนึ่งใน
พวกเขาพูดกันก็จะแพร่กันปากต่อปาก มันยากที่จะ
ทำให้พวกเขาไม่เชื่อ”
“ไม่ปล่อยให้ทุกโอกาสหลุดมือไปเลยจริงๆ” ฉีหนิง
พูดว่า “ดูท่าจะมีคนฉวยโอกาสสร้างความปั่นป่วนกับ
ชาวบ้าน”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าคิดไว้อยู่แล้ว ข้าไม่มี
คุณธรรมหรือ? หึ ข้าอยากจะรู้นัก ว่าคนแบบไหนกัน
ถึงจะคู่ควรกับเก้าอี้ตัวนี้?” จากนั้นเขาก็พูดว่า “ตอน
ที่อาจารย์เซี่ยงบอกกับข้า ตอนนั้นข้าหงุดหงิดมาก
แต่ว่าพอเมื่อครู่ซีเหมินเสินโหวมารายงาน ทำให้ข้า
หายหงุดหงิดไปเลย”
“ฝ่าบาท ซีเหมินเสินโหวนำข่าวดีอะไรมาให้ท่าน
หรือ?” ฉีหนิงถาม “หรือว่าจวนเสินโหวหายาถอนพิษ
ได้แล้ว?”
หลงไท่หัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ข้าว่าแล้วว่าเจ้าฉลาด
ถูกต้อง จวนเสินโหวหายาถอนพิษได้แล้ว”
ฉีหนิงตะลึงไป คิดในใจว่าเมื่อวานเซวียนหยวนผ่อยัง
บอกว่าจะหายาถอนพิษต้องใช้เวลาหลายเดือน ทำไม
เวลาแค่คืนเดียว จวนเสินโหวถึงหายาถอนพิษได้แล้ว
เล่า? หรือว่าจวนเสินโหวตั้งใจปิดบังเขา?
แต่ว่าจากน้ำเสียงและท่าทางของเซวียนหยวนผ่อ ก็
ไม่เหมือนโกหก หรือว่าเขาแสดงละครเหมือนจริง
จวนเสินโหวหาวิธีถอนพิษได้ ก็หมายความว่าที่ถังนั่ว
ทำมาทั้งหมดสองวันนั้นสูญเปล่า ถึงแม้ถังนั่วเหมือน
จะหาทางถอนพิษได้แล้ว แต่ยังอยู่ในระหว่างการปรุง
ยา จะบอกว่าสำเร็จก็ไม่ได้
แต่ว่าหากจวนเสินโหวหาวิธีถอนพิษได้จริง ก็ไม่ใช่
เรื่องเลวร้ายอะไร อย่างน้อยชาวบ้านหลายคนก็จะ
รอด
“เพราะว่าสวรรค์คุ้มครองฝ่าบาท” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด
ว่า “ในเมื่อหายาถอนพิษได้ ภัยในคราวนี้ก็ถือรอด
แล้ว”
หลงไท่ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ข้าพูดไม่ชัดเอง ยาถอนพิษ
ยังไม่ได้มา แต่ว่าใกล้แล้ว” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า
“ทางจวนเสินโหวจับคนวางยาได้แล้ว”
ฉีหนิงสะดุง แล้วพูดว่า “จริงหรือ?”
หลงไท่เหมือนจะรู้ว่าฉีหนิงต้องตกใจ เห็นฉีหนิงตกใจ
หนักมาก ก็หัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ท่านเหล่าเสินโหว
มาเฝ้า แล้วรายงานว่าพวกเขาจับตัวศิษย์ของราชา
พิษจิ่วซีได้แล้ว ตอนนี้ถูกจับขังไว้ที่จวนเสินโหว กำลัง
สอบสวนอยู่”
“ตัวศิษย์ของราชาพิษจิ่วซี?” ฉีหนิงตะลึงไป “ฝ่าบาท
ไม่ใช่ตัวของราชาพิษจิ่วซีหรอกหรือ?”
“ราชาพิษจิ่วซียังไม่ปรากฏตัว แสดงว่าเรื่องในครั้งนี้
เขาอาจจะไม่ได้ลงมือเอง ส่งลูกศิษย์มาแทน” หลงไท่
พูดว่า “แต่ว่าในเมื่อจับตัวเขาได้ หากคนที่วางยาพิษ
คือเขา เขาก็น่าจะรู้วิธีถอนพิษ จวนเสินโหวกำลัง
สอบสวนอยู่ เมื่อมีความคืบหน้า ข้าสั่งให้พวกเขามา
รายงานทันที”
“ฝ่าบาท ท่านซีเหมินเสินโหวบอกหรือว่า จะได้วิธี
ถอนพิษมาจากศิษย์ของราชาพิษจิ่วซี?” ฉีหนิงขมวด
คิ้ว ในใจของเขาตอนนี้คิดว่าทางจวนเสินโหวจับใคร
มา?
เขารู้ว่าปีศาจน้อยอาเหน่าเป็นศิษย์ของราชาพิษจิ่วซี
อีกทั้งตอนนี้ก็อยู่ในเมืองหลวง แต่ว่าไม่รู้ว่าทางจวน
เสินโหวจับอาเหน่ามาได้หรือว่าคนอื่นที่เข้ามาในเมือง
หลวงพร้อมกัน
หลงไท่พูดว่า “ท่านเหล่าเสินโหวก็ไม่ได้พูดแบบนั้น
เขาแค่บอกว่าคนๆ นั้นอยู่ในมือของเขาแล้ว ยาถอน
พิษก็น่าจะได้มาเร็วๆ นี้” เขาถามว่า “ฉีหนิงเจ้ากำลัง
กังวลอะไรอยู่?”
หลงไท่เชี่ยวชาญในการมองสีหน้าคน ท่าทีของฉีหนิง
เขาเห็น รู้ว่าฉีหนิงกำลังกังวล
“ฝ่าบาท หากท่านซีเหมินเสินโหวพูดเป็นความจริง
ถ้าอย่างนั้นปัญหานี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่” ฉีหนิงพูดว่า
“ข้าแค่กังวลว่าต่อให้คนๆ นั้นจะเป็นคนวางยาจริง
แต่เขาอาจจะไม่รู้วิธีถอนพิษก็ได้”
หลงไท่พยักหน้าพูดว่า “ที่เจ้ากังวล ข้าก็เคยคิด แต่ว่า
ในเมื่อเริ่มจับจุดในแล้ว จะทำอะไรต่อไปมันก็ง่าย
ขึ้น” เขาหยุด แล้วพูดว่า “ที่ข้าให้เจ้ามาเฝ้า ไม่ได้แค่
จะบอกเรื่องนี้กับเจ้า แต่ยังมีเรื่องที่จะให้เจ้าไปทำ
ด้วย”
ฉีหนิงลุกขึ้นแล้วยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทมี
งานอะไรให้ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ ก็จะทำเต็มที่”
“ข้าไม่ได้จะให้เจ้าไปบุกน้ำลุยไฟอะไร” หลงไท่ยิ้ม
แล้วพูดว่า “ข้าอยากให้เจ้าไปที่จวนเสินโหวสักครั้ง
แล้วสอบสวนศิษย์ของราชาพิษจิ่วซีโดยลำพัง”
“ฝ่าบาท เพราะอะไร?” ฉีหนิงตะลึงไป รู้สึกแปลกใจ
“ทางจวนเสินโหวมีหน่วยอาชญากรรมเฉพาะ เป็นที่
ใช้สอบสวนอยู่แล้ว พวกเขาก็สอบสวนคนมาก็เยอะ
ฝีมือไม่ธรรมดา อยู่ในมือของพวกเขา ศิษย์ของราชา
พิษจิ่วซีหากรู้วิธีถอนพิษจริง เจ้าหน้าที่ของทางจวน
เสินโหวก็จะทำให้เขาพูดได้”
หลงไท่สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา มองซ้ายมองขวา แล้ว
กวักมือเรียกฉีหนิงเข้ามา ฉีหนิงเดินเข้าไปใกล้โต๊ะ
หลงไท่พูดเสียงเบาว่า “ที่ข้าให้เจ้าไป เพราะข้า
ต้องการให้เจ้าเอาความจริงมาบอกข้า คนของจวน
เสินโหว...ข้าไม่ไว้ใจ อีกทั้ง...ข้าอยากให้เจ้าไปยืนยัน
ว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทางราชาพิษจิ่วซีจริงหรือไม่”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 246 ป้ายทอง
ฉีหนิงคิดในใจว่าฮ่องเต้น้อยนี่ฉลาดมากกว่าที่เขาคิด
ไว้มาก เขาดูออกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ เขาพูดว่า “ฝ่า
บาท ท่านรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำหรือ?”
หลงไท่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยื่นฎีกาบนโต๊ะออกไป
ให้ฉีหนิง ฉีหนิงใช้สองมือรับมา จากนั้นก็เปิดอ่าน เขา
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ฎีกาพวกนี้ เป็นฎีกา
ขอให้ทรงกวาดล้างพรรคบัวดำทั้งนั้นเลยหรือ?”
“เรื่องเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้ แต่ว่าฎีกาพวกนี้ กลับส่งมา
พร้อมกันหมดเมื่อเช้านี้” หลงไท่พูดว่า “โดยมีหลู
เซียวซื่อหลางของกรมกลาโหมเป็นผู้นำ ยังมีขุนนาง
สำคัญอีกส่วนหนึ่งอีกด้วย มีหลายคนที่แต่ก่อนข้ายัง
ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนของใคร ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเป็นคน
ของไหวหนานอ๋อง”
“ฝ่าบาทรู้สึกว่าฎีกาพวกนี้เป็นเจตนาของไหวหนาน
อ๋อง?” ฉีหนิงถาม
หลงไท่พูดว่า “นอกจากไหวหนานอ๋อง ยังจะมีใครอีก
เล่า? หรือว่าเมื่อวานเจ้าไม่เห็น เจ้าคนแซ่หลูของกรม
กลาโหมกับไหวหนานอ๋องเหมือนมีความแค้นใหญ่
หลวงกับพรรคบัวดำ พูดไม่ถึงสามคำก็จะให้กวาดล้าง
พรรคบัวดำแล้ว”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วถามว่า “แล้วจินเตาโหวเป็นคน
ของไหวหนานอ๋องหรือไม่?”
“ข้าพูดตามตรง ตอนที่จินเตาโหวยังหนุ่ม เป็นคนที่ไท่
จู่ฮ่องเต้สนับสนุน มีผลงานมากมาย เท่าที่ข้ารู้ ใน
ตอนนั้น เขาเป็นแม่ทัพใต้บังคับบัญชาของไท่จู่ฮ่องเต้
ก็ทำศึกชนะตลอด” หลงไท่พูดว่า “แต่ว่าหลังจากที่
ไท่จู่ฮ่องเต้สวรรคตไปแล้ว ไท่จงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์
ท่านสนับสนุนตระกูลฉีของพวกเจ้า ท่านจิ่นอีเหล่า
โหวก็ทำศึกอย่างกล้าหาญองอาจ ท่านไท่จงฮ่องเต้
ทรงให้ความสำคัญ มีผลงานมากมาย ซึ่งทำให้
เหนือกว่าจินเตาโหว”
ฉีหนิงคิดในใจว่าแต่ละยุคสมัยก็มีขุนนางของตัวเอง
ฮ่องเต้น้อยพูดมาแบบนี้ ทำให้ฉีหนิงจับประเด็นได้
อย่างหนึ่ง จินเตาโหวนั้นเป็นขุนนางคนสำคัญของไท่จู่
ฮ่องเต้ อีกทั้งยังเป็นแม่ทัพที่ชำนาญสงครามอีกด้วย
หลังจากไท่จงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ หากยังคงใช้งาน
จินเตาโหวอีก ไม่ได้เป็นผลดีของไท่จงฮ่องเต้เลย
จินเตาโหวเป็นคนที่ไท่จู่ฮ่องเต้สนับสนุน แสดงว่ามี
ความใกล้ชิดสนิทสนมกับทางสายของไท่จู่ฮ่องเต้มาก
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ไท่จงฮ่องเต้นั้นสนับสนุนจิ่นอี
โหวขึ้นมา
ในยุคของไท่จงฮ่องเต้ จิ่นอีโหวตระกูลฉีมีผลงานการ
ศึกเหนือกว่าจินเตาโหว แต่ว่าจินเตาโหวนั้นก็มี
ผลงานการศึกเป็นขุนนางเปิดประเทศ ไท่จงฮ่องเต้
ต้องการได้ใจคน ก็ยังคงต้องไว้หน้าและให้เกียรติจิน
เตาโหวอยู่ ดังนั้นจึงได้ให้จินเตาโหวเป็นหนึ่งในสี่
บรรดาศักดิ์โหว
“ตอนที่อดีตฮ่องเต้เป็นรัชทายาทอยู่นั้น จินเตาโหว
เคยถวายฎีกาฉบับหนึง่ แต่ว่าข้าไม่เคยได้เห็นฎีกา
ฉบับนั้น แต่ได้ยินมาว่าตอนนั้นจินเตาโหวเหมือนจะ
ถวายฎีกาให้ไท่จงฮ่องเต้แต่งตั้งไหวหนานอ๋องเป็นรัช
ทายาท” หลงไท่พูดว่า “แต่ว่าหลังจากถวายฎีกาฉบับ
นั้นแล้ว จินเตาโหวก็ไม่เคยถวายฎีกาอะไรอีกเลย
แล้วก็ไม่พูดเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทอีก หลังจากที่เสด็จ
พ่อขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงดูแลและให้เกียรติจิน
เตาโหวมาก พระราชทานที่ดินศักดินาให้ อีกทั้งยัง
แต่งตั้งให้ลูกชายคนโตของจินเตาโหวเป็นแม่ทัพของ
กองทัพปาสู่ด้วย ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณจนหา
ที่สุดมิได้”
“กองทัพปาสู่?”
หลงไท่เหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าควรจะ
เรียนรู้ให้มากกว่านี้นะ ตระกูลฉีของพวกเจ้าเป็น
ตระกูลที่มีผลงานการทำศึกมากมาย เหตุใดไม่ทำ
ความเข้าใจเรื่องกองทัพของต้าฉู่ให้มากกว่านี้?”
ฉีหนิงรู้สึกกระอักกระอ่วน หลงไท่พูดต่อว่า “กองทัพ
ใหญ่ของต้าฉู่มีด้วยกันสองกองทัพ กองทัพแรกคือทัพ
ฉินไหวเป็นคนของตระกูลฉีของเจ้า น่าจะเคยได้ยิน
มาอยู่แล้ว ข้าจะไม่พูดมากอีก ปาสู่อยู่ทางทิศ
ตะวันตก กองทัพถูกู่จวินมักบุกรุกเขตชายแดนปาสู่
ตลอด ดังนั้นเสด็จพ่อก็เลยส่งกองทัพไปประจำการณ์
ที่นั่นเพื่อป้องกันทัพถูกู่จวิน ตรงนั้นเป็นดินแดน
เทือกเขา ที่อันตรายมาก ขอแค่ปักหลักให้ดี ก็
สามารถหยุดยั้งทัพถูกู่จวินได้”
“อย่างนี้นี่เอง” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อดีตฮ่องเต้ทรง
ปรีชานัก” เขาคิดในใจว่ามีต้าจงซือคนหนึ่ง มาจาก
เขาชิงซานจั้งเสวีย ไม่รู้ว่าเขาเป็นทหารของทัพ
ถูกู่จวินหรือไม่
แต่ว่าเขาก็นึกไปถึง มีทหารรักษาการณ์ที่ดินแดนปาสู่
ก็เพื่อป้องกันทัพถูกู่จวิน คิดว่าไม่ได้มีแค่นั้นแน่นอน
ฉีหนิงไม่ได้ลืมปาสู่หลีหงซิ่น ตระกูลหลี่เหมือนเป็น
ฮ่องเต้ของดินแดนปาสู่ ตอนนั้นสวามิภักดิ์ต่อต้าฉู่
ถึงแม้ปาสู่จะเป็นของต้าฉู่แล้ว แต่ว่าตระกูลหลี่ยังอยู่
ต้าฉู่ก็ยังไม่ถือเป็นของต้าฉู่จริงๆ การที่มีทหารประจำ
การณ์ที่ปาสู่ แสดงว่าต้องการจับตาดูหลี่หงซิ่น
“อดีตฮ่องเต้มีมหากรุณาธิคุณต่อจินเตาโหวมาก จิน
เตาโหวในหลายปีนมานี้ก็ไม่ได้ก่อความวุ่นวายอะไร
อีกทั้งก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับไหวหนานอ๋องมากมายอะไร
นัก” หลงไท่พูด “แต่ว่าฎีกากวาดล้างพรรคบัวดำ
พวกนี้ มาจากกลุ่มของไหวหนานอ๋องแน่นอน” เขา
หยุดไป จากนั้นก็ขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียด
เขาพูดว่า “หากไม่มีฎีกาพวกนี้ ข้ายังไม่คิดอะไรมาก
แต่ว่า...ฉีหนิง เจ้าว่าที่ไหวหนานอ๋องต้องการกวาด
ล้างพรรคบัวดำเขามีเป้าหมายอะไรกัน?”
“เขาเป็นถึงท่านอ๋องฐานะสูงส่ง พรรคบัวดำอยู่ไกลถึง
ปาสู่ เป็นเพียงพรรคหนึ่งในยุทธภพเท่านั้น” ฉีหนิง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมบังอาจทูล
ถามสักคำ ท่านเคยได้ยินว่าไหวหนานอ๋องมี
ความแค้นอะไรกับพรรคบัวดำหรือไม่?”
หลงไท่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าก็เพิ่งรู้เมื่อวานนี้ว่ามี
พรรคบัวดำ...” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ใน
เมืองหลวงจู่ๆ ก็เกิดพิษระบาด ภายในเวลาแค่หนึ่งวัน
ก็ตรวจพบว่าเกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำ เมื่อครู่ได้รับ
ข่าวมาอีกว่าเกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำ ถึงแม้จะยังไม่
แน่ใจว่าพรรคบัวดำเป็นคนลงมือหรือไม่ แต่ไหว
หนานอ๋องกับหลูเซียวกับคนอื่น มันดูรีบร้อนเกินไป”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทตรัสถูกแล้ว มัน
จะต้องมีเงื่อนงำแน่” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท จวนเสินโหวจับตัวศิษย์ของราชาพิษจิ่วซีได้
น่าจะสอบสวนอะไรมาได้บ้าง”
หลงไท่พูดเสียงเบาว่า “ตอนนี้ข้าสับสนมาก ข้าไม่
แน่ใจว่า ทางจวนเสินโหวมีความสามารถขนาดนี้เลย
หรือ หรือว่า...” เขายิ้ม แต่ไม่ได้พูดต่อ
“ฝ่าบาทหมายความว่า...” ฉีหนิงพูด “ทางจวนเสิน
โหวมีเงื่อนงำหรือ?”
“ข้าก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” หลงไท่พูดว่า
“ข้าแค่รู้สึกว่า เป็นคนของพรรคบัวดำจริง หรือเป็น
ศิษย์ราชาพิษจิ่วซีจริง หลังจากที่ลงมือวางยาแล้ว ก็
น่าจะหนีไปแล้วไม่ใช่หรือ? อีกทั้งก็ควรจะปิดบัง
ร่องรอย เหตุใดทางจวนเสินโหวเองถึงได้จับตัวมาได้
เร็วขนาดนี้?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าฮ่องเต้น้อยคนนี้ความคิดลึกล้ำมาก
เขาพูดว่า “ฝ่าบาท จวนเสินโหวมีหูตาอยู่ทั่วเมือง
หลวง หลังเกิดเรื่อง แรกที่พวกเขาต้องทำคือการ
ค้นหาผู้ร้ายตัวจริง หากพวกเขาต้องการจะจับตัว
คนร้ายจริงๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“ข้าหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่าข้าจำเป็นต้องระวัง
เอาไว้ก่อน ดังนั้นก็เลยอยากให้เจ้าไปยืนยัน” หลงไท่
สีหน้าเคร่งเครียด “ข้าไม่อยากให้ใครหาแพะมา ฉี
หนิง เจ้าไปที่จวนเสินโหว แล้วสอบสวนด้วยตัวเอง
โดยลำพัง ก่อนอื่นเลยเจ้าจะต้องแน่ใจเสียก่อนว่าเป็น
ศิษย์ของราชาพิษจิ่วซีหรือไม่ อีกทั้งเจ้าจะต้องทำให้
แน่ใจด้วยว่า เรื่องพิษระบาดที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง
เกี่ยวข้องกับราชาพิษจิ่วซีหรือไม่” เขาหยุดคิดไปครู่
หนึ่ง แล้วพูดว่า “ยังมีอีก หากราชาพิษจิ่วซีเป็นคน
วางยาจริง เจ้าจะต้องถามให้ได้ว่าเป็นเจตนาของ
ราชาพิษจิ่วซีเอง หรือว่าเจตนาของพรรคบัวดำ”
ฉีหนิงรู้ว่าที่หลงไท่สั่งให้เขาไป เพราะเชื่อใจในตัวเขา
เขายกมือคำนับแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงวางพระทัย
กระหม่อมจะทำเรื่องนี้ให้กระจ่างเอง”
หลงไท่ยิ้ม แล้วพยักหน้า “ข้าไปสอบสวนเองไม่ได้
เจ้าไปเป็นตัวแทนของข้า” เขาหยิบป้ายทองมา แล้ว
พูดว่า “เจ้าเอาอันนี้ไป เมื่อไปถึงจวนเสินโหว พวก
เขาเห็นป้ายทองนี้ จะไม่มีใครขวางเจ้า”
ฉีหนิงรับมา แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมจะไป
เดี๋ยวนี้เลย”
หลงไท่พยักหน้า ไม่ได้รอฉีหนิงหันตัวไป เหมือนคิด
อะไรขึ้นมาได้ “ช้าก่อน ฉีหนิง เจ้าอย่าลืมถามด้วยว่า
หากราชาพิษไม่ได้ส่งหรือเป็นคนวางยา ถ้าอย่างนั้น
เหตุใดในเมืองหลวงถึงได้มีพิษเฉพาะของราชาพิษ?
แล้วพิษนี่มันตกไปอยู่ในมือของใคร?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทวางพระทัย กระหม่อม
จะถามมาให้อย่างละเอียดเลย”
เมื่อออกมาจากวัง ตอนนี้หิมะตกหนัก ถึงแม้จะเช้า
แล้ว แต่ว่าถูกหิมะปกคลุมอย่างหนัก
หิมะตกหนักมาก ถนนหนทางในเมืองหลวงมีแต่หิมะ
ไม่ว่าที่ใครต่างก็เริ่มคลุมเสื้อตัวหนาๆ กันแล้ว
ฉีหนิงมาถึงจวนเสินโหว คนของจวนเสินโหวเหมือน
จะตกใจ แต่ว่าองครักษ์ของจวนเสินโหวสองคนเคย
เจอฉีหนิงเมื่อสองวันก่อน ก็ถือว่ารู้จัก หลังจากที่พวก
เขาเข้าไปรายงาน ฉีหนิงก็ไม่ได้รอนานมาก พวกเขาก็
มาเชิญฉีหนิงเข้าไป
เซวียนหยวนผ่อออกมาต้อนรับฉีหนิงด้วยตัวเอง เมื่อ
เห็นฉีหนิง เขาก็ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “โหวเยว่มา
เยือน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด?”
“ท่านเสินโหวไม่อยู่หรือ?”
เซวียนหยวนผ่อพูดอย่างนอบน้อมว่า “สองวันมานี้
ท่านเสินโหวเหนื่อยมาก เพิ่งจะไปพักที่เรือนตงหยวน
เมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว โหวเยว่ต้องการพบท่านเสินโหว
หรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยจะไปรายงาน”
“ไม่ต้องหรอก” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “สองวันมานี้
ท่านเสินโหวเหนื่อยมากแล้ว กว่าจะได้พัก ไม่ต้องไป
รบกวนหรอกนะ”
“ทราบแล้ว” เซวียนหยวนผ่อพูด
ฉีหนิงพูดว่า “ที่ข้ามาที่นี่ ก็แค่มาขอพบศิษย์ของราชา
พิษจิ่วซี ไม่ได้มีเรื่องอะไรพิเศษ”
เซวียนหยวนผ่ออึ้งไป รู้สึกแปลกใจ แล้วก็พูดว่า “โหว
เยว่รู้แล้วหรือว่าพวกเราเจ้าคนร้ายได้?”
“ใช่ พวกเจ้าสอบปากคำได้เรื่องอะไรบ้าง?” ฉีหนิง
ถามว่า “เขายอมรับแล้วหรือยังว่าเป็นคนวางยา?”
เซวียนหยวนผ่อรีบตอบว่า “เรียนโหวเยว่ คนร้ายยัง
ไม่ได้รับสารภาพ ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวน โหว
เยว่ถ้าอย่างไรท่านดื่มชารออยู่ที่นี่ก่อน เมื่อมีอะไร
คืบหน้า ข้าจะรีบมารายงานทันที”
“เซวียนหยวนเสี้ยวเว่ยเกรงใจเกินไปแล้ว” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “ข้าไม่ใช่คนของจวนเสินโหว หากมีผลการ
สอบสวนอะไร พวกท่านไม่มีเหตุผลอะไรต้องมา
รายงานข้าหรอก ข้าเองก็ไม่มีสิทธิอยากจะรู้ด้วย แต่
ก่อนที่จะได้เรื่องอะไร เขาไม่ใช่คนร้าย อย่างมากก็
เป็นแค่ผู้ต้องสงสัยเท่านั้น”
เซวียนหยวนผ่อเหมือนจะรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ก็
ยังพูดว่า “โหวเยว่สั่งสอนถูกต้องแล้ว”
“ผู้ต้องสงสัยถูกขังไว้ที่ไหน? พาข้าไปดูหน่อย”
เซวียนหยวนผ่อเหมือนจะลำบากใจ เขาลังเล แล้วพูด
ว่า “โหวเยว่ ทางจวนเสินโหวของพวกเรามีกฎ เวลา
สอบสวนผู้ต้องสงสัย ห้ามใครรบกวน ต่อให้เป็น
เจ้าหน้าที่ของทางจวน ก็จะเข้าใกล้ไม่ได้”
ฉีหนิงไม่พูดอะไรมาก หยิบป้ายทองออกมา แล้วถาม
ว่า “เซวียนหยวนเสี้ยวเว่ยเจ้ารู้จักนี่หรือไม่?”
เซวียนหยวนผ่อแค่มอง ก็รีบคุกเข่าลงทันที แล้วพูด
ว่า “ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี” จากนั้นก็เงย
หน้าขึ้นมา “โหวเยว่ ข้าน้อยจะพาท่านไป”
ฉีหนิงเก็บป้ายทองเอาไว้ คิดในใจว่าป้ายทองนี่ใช้งาน
ได้ดีจริงๆ หากไม่ต้องคืนให้แก่ฮ่องเต้น้อย มันก็น่าจะ
ดีนะ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 247 จิ่วฉงเทียน
เซวียนหยวนผ่อพาฉีหนิงมายังเรือนด้านหลังของจวน
เสินโหว ที่เรือนด้านหลังมีห้องหินอยู่หลังหนึ่ง ตาม
มุมห้องมีองครักษ์คุมอยู่ด้านละคน หน้าประตูห้องมี
องครักษ์อยู่สองนาย การคุ้มกันแน่นหนามาก
หิมะตกหนักมาก เสื้อขององครักษ์กลายเป็นสีขาว
โพลน แต่ไม่มีใครปัดหิมะออกเลย
“โหวเยว่ ที่นี่เป็นสถานที่สำคัญในการสอบสวนของ
จวนเสินโหว ผู้ต้องสงสัยสำคัญ จะถูกจับมาสอบสวน
ที่นี่ทั้งหมด” เซวียนหยวนผ่ออธิบายต่อว่า “อากาศ
ข้างในมีกลิ่นเล็กน้อย โหวเยว่ท่านจะ...”
“ข้าได้รับพระบัญชาให้มาที่นี่ จะทำตัวสบายไม่ได้ เซ
วียนหยวนเสี้ยวเว่ย รบกวนท่านพาข้าเข้าไปหน่อย
เถอะ” ฉีหนิงพูดด้วยรอยยิ้ม
เซวียนหยวนผ่อรับคำสั่ง แล้วพาฉีหนิงไปที่หน้าประตู
ห้องหิน ประตูห้องหินเป็นประตูเหล็ก องครักษ์โค้ง
คำนับ เซวียนหยวนผ่อสั่งให้เปิดประตู แล้วเชิญฉีหนิง
เข้าไป
ภายในห้องหิน มืดมาก ด้านในเหมือนมีทางเดิน
แคบๆ ให้เดิน เมื่อเดินตรงเข้าไป ยังมีประตูเหล็กอีก
ชั้นกั้นอยู่ เซวียนหยวนผ่อสั่งให้เปิดออก เดินเข้าไป
อีกระยะหนึ่ง ก็มาถึงห้องโถงเล็ก ด้านในไม่ได้มีขนาด
ใหญ่มาก ด้านผนังมีตะเกียงจุดไฟอยู่ แสงไฟปลิวไสว
บรรยากาศอึมครึมน่ากลัวมาก
เซวียนหยวนผ่อกระแอมครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มีคน
ออกมารับ เขาพูดว่า “คำนับโหวเยว่” เขาคือเหวินชวี
เสี้ยวเว่ยหานเทียนซู่นั่นเอง
เหวินชวีเสี้ยวเว่ยหานเทียนซู่หน้าตาอัปลักษณ์ ปาก
ของเขาเหมือนลิง ร่างกายซูบผอม แต่ว่าดวงตาของ
เขาคมคาย เหมือนสามารถมองทะลุทุกอย่างได้
ฉีหนิงเคยเจอเขามาก่อน เขาพยักหน้าให้ แล้วมองไป
รอบๆ เขาเดินไปตามเสียงโซ่ตรวนที่ดังขึ้นมา เขาเห็น
คนๆ หนึ่งถูกล่ามโซ่เอาไว้ ร่างกายบอบบาง เป็น
ผู้หญิงคนหนึ่ง เขามองไปก็จำได้ทันที นางคือปีศาจ
น้อยอาเหน่า
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะแอบสงสัยว่าจะเป็นอาเหน่าใช่
หรือไม่ แต่ว่าตอนนี้ได้เห็น เขาก็ยังตกใจอยู่ดี
อาเหน่ามองมาที่ฉีหนิง นางก็ตกใจเช่นกัน แล้วพูดว่า
“เจ้าสั่งให้พวกเขาจับข้ามาหรือ?” ใบหน้าสวยๆ ของ
นาง เต็มไปด้วยความโกรธ
ฉีหนิงไม่ได้สนใจนาง เขาหันไปหาหานเทียนซู่ แล้ว
ถามว่า “สอบสวนอะไรได้บ้าง?”
หานเทียนซู่มองไปที่เซวียนหยวนผ่อ เมื่อเห็นเซวียน
หยวนผ่อพยักหน้า เขาก็ยกมือคำนับแล้วพูดว่า
“เรียนโหวเยว่ ผู้ต้องสงสัยพูดจากลับไปกลับมา ไม่
ยอมให้ความร่วมมือในการสอบสวนเลย ข้าน้อยกำลัง
เตรียมการลงทัณฑ์”
“ควรจะลงทัณฑ์ไปตั้งนานแล้ว” ฉีหนิงไม่ได้พูดดี
“ผู้หญิงแบบนี้ตายไปก็ไม่มีทางรับหรอก น่าจะให้นาง
ฟันหลุดไปสักซี่สองซี่ จากนั้นทาเกลือที่แผลสักหน่อย
ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ยอมรับ”
อาเหน่าหน้าถอดสี แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้า
กล้าหรือ พวกเจ้า...พวกเจ้ากล้าแตะต้องตัวข้าหรือ?”
“เจ้าถูกล่ามโซ่ขนาดนี้แล้ว จะเป็นหรือตายก็อยู่ในกำ
มือของพวกเรา แล้วเหตุใดพวกเราจะไม่กล้าเล่า?” ฉี
หนิงมองไปที่ปีศาจน้อย แล้วพูดว่า “เจ้าทำให้คนตาย
ไปมาก อย่าว่าแต่ขนเส้นเดียวเลย ต่อให้ต้องใช้มีด
เฉือนเนื้อเจ้าออกทั่วตัว กรรมที่เจ้าก่อก็ชดใช้ไม่หมด
หรอก”
หานเทียนซู่พูดขึ้นมาว่า “โหวเยว่ ลงทัณฑ์ตอนนี้เลย
หรือไม่?” เขาส่งสัญญาณ เจ้าหน้าที่สองคนของจวน
เสินโหว รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้ามีรอยแผลเป็น ดูก็รู้ว่า
มีหน้าที่รับผิดชอบในการลงทัณฑ์
“หานเสี้ยวเว่ย ข้าอยากรู้จริงๆ จวนเสินโหวมีวิธีการ
ลงทัณฑ์อย่างไรบ้าง?” ฉีหนิงถามว่า “มีแบบที่ทำให้
ตายทั้งเป็นหรือไม่?”
“เรียนโหวเยว่ ทางจวนเสินโหวของพวกเรานอกจาก
การลงทัณฑ์ทั่วไปแล้ว ในหลายปีที่ผ่านมา ทางเราได้
คิดค้นการลงทัณฑ์ขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งวิธี ในจวนเสิน
โหวเรียกว่าจิ่วฉงเทียน”
“จิ่วฉงเทียน?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ชื่อนี้น่าสนใจ
แล้วมันเป็นวิธีแบบไหน?”
หานเทียนซู่พูดว่า “พวกเราได้รวมเอาจุดเด่นของการ
ลงทัณฑ์แต่ละอย่างมา ถึงแม้การลงทัณฑ์แต่ละอย่าง
จะมีวิธีที่แตกต่างกัน แต่ผลของมันนั้นเหมือนกัน ซึ่ง
จะมีซ้ำเยอะมาก ทางจวนเสินโหวของพวกเรา เน้น
การทำงานแบบง่ายๆ ใช้วิธีที่ง่ายที่สุดและให้ได้ผล
ลัพธ์มา จิ่วฉงเทียนเป็นการลงทัณฑ์ที่จวนเสินโหว
คิดค้นขึ้นมาเองเป็นการลงทัณฑ์ทั้งหมดเก้าแบบ แต่
ละแบบจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน แต่ว่าจะทำให้ผู้
ได้รับการลงทัณฑ์อยากตายมากกว่ามีชีวิตอยู่”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ยกตัวอย่างให้สักหน่อยได้
หรือไม่?”
หานเทียนซู่ชี้ไปที่มุมห้อง ตรงนั้นมีแผ่นทองแดงสี
เหลืองวางอยู่แผ่นหนึ่ง เหมือนเอาไว้ใช้นอน แต่
บริเวณข้างๆ มีเตาเผาไฟเพิ่มขึ้นมา
“โหวเยว่ นั่นคือเตียงทองคำของจิ่วฉงเทียน ไม่ใช่
ทองคำจริงๆ แต่ว่าทำมาจากทองแดง” หานเทียนซู่
เมื่อพูดถึงเรื่องการลงทัณฑ์สายตาของเขาก็เป็น
ประกาย “ด้านล่างของเตียงทองคำสามารถใส่ฟืนจุด
ไฟได้ แค่จับนักโทษขึงไว้บนเตียง จากนั้นก็จุดไฟ
ด้านล่าง จากนั้นก็เพิ่มความร้อนไปเรื่อยๆ ก็จะ
สามารถค่อยๆ เผานักโทษจนตายได้ เสียงร้อง
โหยหวนของนักโทษก่อนตาย มันน่าฟังมากเลย”
ปีศาจน้อยอาเหน่าถึงแม้จะเหี้ยมโหด แต่เมื่อได้ยิน
คำพูดของหานเทียนซู่แล้ว สายตาของนางก็เหมือน
ตกใจ
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าการลงทัณฑ์ของจวนเสินโหวนั้น
เหี้ยมโหดจริงๆ จิ่วฉงเทียนมีการลงทัณฑ์เก้าอย่าง ก็
คงทำให้คนที่ได้ยินหน้าถอดสีได้อยู่แล้ว
“สามารถลงทัณฑ์ได้ตลอดเวลาเลยหรือไม่?”
หานเทียนซู่รีบพูดว่า “ไม่ว่าจะเป็นการลงทัณฑ์แบบ
ใด สามารถทำได้ทันที”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน ข้า
จะสอบสวนนางตามลำพัง ข้าอยากจะรู้ว่าปีศาจน้อย
นี่ชอบการลงทัณฑ์แบบใด ไว้ข้าลองปรึกษากับนาง
แล้ว พวกเจ้าค่อยลงมือก็แล้วกัน”
หานเทียนซู่ตะลึงไป เซวียนหยวนผ่อก็เหมือนกัน
จากนั้นก็หลุดพูดออกมาว่า “โหวเยว่...?”
ฉีหนิงไม่ได้หันหน้ากลับมา เห็นแค่ปีศาจอาเหน่าที่
หน้าถอดสีอยู่ เขาหยิบป้ายทองออกมา เซวียนหยวน
ผ่อกับหานเทียนซู่มองหน้ากัน ทำได้แค่ยกมือคำนับ
แล้วก็สั่งให้คนด้านในออกไปให้หมด ภายในเหลือ
เพียงฉีหนิงกับอาเหน่าเท่านั้น
ฉีหนิงกังวลว่าจะมีคนแอบฟัง เขามองไปรอบๆ เมื่อ
แน่ใจแล้วว่าไม่มีคนแอบฟัง เขาก็เบาใจ จากนั้นก็เดิน
ไปตรงหน้าอาเหน่า ลากเก้าอี้มาแล้วนั่งลง เขามองอา
เหน่า ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้รู้สึกอย่างไร?”
อาเหน่าพูดว่า “เจ้ารีบปล่อยข้าไปซะ ไม่อย่างนั้น...”
“ไม่อย่างนั้นจะทำไม?” ฉีหนิงไม่รอให้นางพูดอะไร
เขาพูดเสียงดุว่า “ไม่อย่างนั้นจะให้ข้าตายแบบไม่มีที่
ฝังใช่หรือไม่? เจ้ามันปีศาจสาวใจคอโหดเหี้ยม วันนี้
เจ้าตกอยู่ในกำมือของข้า เจ้าคงไม่สบายขนาดนั้น”
เขามองซ้ายมองขวา เห็นกระถางฟืนที่อยู่ตรงมุม
ด้านบนมีท่อนเหล็กถูกเผาจนแดง เขาเดินไป แล้ว
หยิบมา ปีศาจน้อยเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดี
แล้ว จึงรีบพูดว่า “เจ้า...เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ฉีหนิงเดินกลับไปที่เก้าอี้ เห็นหน้าอาเหน่าดูตกใจ เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ แล้วจะถามทำไม?”
เขาเอนตัวเข้าไปใกล้ แล้วพูดว่า “ข้าถามอะไรเจ้า
เจ้าก็ตอบมา หากไม่ตอบความจริง ข้าก็จะเอามัน
นาบไปที่ตัวของเจ้า เจ้าคิดว่าดีหรือไม่?”
“หากเจ้า...หากเจ้าทำร้ายข้าแม้แต่ขนเส้นเดียว ข้า
รับรองว่าเจ้าจะไม่ได้ตายดีแน่?” อาเหน่าเริ่มขู่ แต่ว่า
น้ำเสียงของนางเริ่มสะอื้น “พวกเจ้าต้องการจะถาม
อะไรข้า?”
“ไม่ต้องมาทำตัวน่าสงสารต่อหน้าข้า” ฉีหนิงพูดเสียง
ดุ “ข้าขอถามเจ้า งูพิษในห้องข้าครั้งที่แล้ว เป็นฝีมือ
ของเจ้าใช่หรือไม่?”
อาเหน่าพูดว่า “ไม่ใช่”
“หืม?” ฉีหนิงยื่นแผ่นเหล็กไปใกล้หน้าของอาเหน่า
อาเหน่ารีบถอยหลัง แต่ว่าโซ่ตรวนมันหนักมาก นาง
ถอยได้ไม่ถนัดเท่าไหร่ เมื่อเห็นแผ่นเหล็กกำลังจะนาบ
หน้า อาเหน่าก็พูดด้วยความตกใจว่า “อย่า...ข้าพูด
แล้ว ข้า...ข้าเอง”
ฉีหนิงหยุดมือ ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะฆ่าข้าหรือ?”
“ไม่” อาเหน่ารีบตอบ “ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าเจ้า ข้ารู้ว่า
...รู้ว่าถังนั่วอยู่ที่บ้านเจ้า นางจะต้องช่วยถอนพิษให้
เจ้าได้แน่ ข้าก็แค่...ก็แค่อยากทดสอบความสามารถ
ของนางเท่านั้น”
“ทดสอบความสามารถของนาง?” ฉีหนิงพูดด้วย
ความโกรธว่า “หากว่านางถอนพิษไม่ได้ ข้าไม่ตาย
ด้วยน้ำมือเจ้าหรือ?”
อาเหน่าเห็นฉีหนิงดุ ก็พูดว่า “ข้าไม่ดีเอง...ต่อไปข้า
จะไม่ทำร้ายเจ้าอีก”
“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษกับศิษย์พรรคกระยาจก
ด้วย?” ฉีหนิงถาม “เจ้าเป็นลูกศิษย์ของราชาพิษจิ่วซี
เขาส่งเจ้ามาใช่หรือไม่? นอกจากเจ้าแล้ว ราชาพิษจิ่ว
ซียังส่งใครมาอีกบ้าง?”
“ศิษย์พรรคกระยาจก?” อาเหน่าขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
"เหตุใดพวกเจ้าถึงคิดว่าข้าทำร้ายศิษย์พรรค
กระยาจก? ข้ากับพรรคกระยาจกไม่ได้มีความแค้นต่อ
กัน เหตุใดข้าต้องไปหาเรื่องพวกเขาด้วย?
“ไม่มีความแค้น?” ฉีหนิงพูดว่า “ข้ากับเจ้าก็ไม่มี
ความแค้นต่อกัน? เจ้าก็ทำร้ายข้าเลยไม่ใช่หรือ?”
อาเหน่าพูดว่า “ข้ามาเมืองหลวง เพราะต้องการ
[ตำราสมุนไพรร้อยตำรับ] ในมือของถังนั่ว เหตุใดต้อง
ไปหาเรื่องพรรคกระยาจกด้วย?”
“เจ้ายังพูดโกหกอีกหรือ?” ฉีหนิงลุกขึ้น แล้วเอาแผ่น
เหล็กจี้เข้าหาอาเหน่า “ข้าใจดีกับเจ้ามากแล้วนะ
หากเจ้ายังไม่พูดความจริงมาอีก ที่นี่มีการลงทัณฑ์
มากมาย ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลองมันแน่”
“ข้าไม่ได้ทำจริงๆ” อาเหน่ากระพริบตา พูดด้วย
ความน่าสงสารว่า “ข้าไม่ได้โกหก อาจารย์บอกกับข้า
ว่า [ตำราสมุนไพรร้อยตำรับ] เป็นสมบัติล้ำค่าในใต้
หล้านี้ ตอนนี้อยู่ในมือของผู้เฒ่าหลี เขาดีกับถังนั่ว
มาก จะต้องเอา [ตำราสมุนไพรร้อยตำรับ] มอบให้
ถังนั่วแน่ ข้า...ข้าก็แค่อยากยืมมาดู เพราะแม้แต่
อาจารย์ก็ยังไม่เคยได้เห็น”
“ผู้เฒ่าหลี?”
อาเหน่าพูดว่า “ผู้เฒ่าหลีก็คือหลีซีกง เขา...เขากับ
อาจารย์ของข้าแต่ก่อนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ต่อมา
พวกเขามีปัญหากัน จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก หลี
ซีกงมีวิชาแพทย์ร้ายกาจมาก อาจารย์ข้าสู้เขาไม่ได้
เลย แต่ว่าหลีซีกงเองก็ใช้พิษได้ไม่เก่งเท่าอาจารย์ข้า
เหมือนกัน [ตำราสมุนไพรร้อยตำรับ] เป็นของที่
อาจารย์ปู่เหลือทิ้งเอาไว้ อาจารย์บอกว่าหลีซีกงได้
[ตำราสมุนไพรร้อยตำรับ] มา วันหนึ่งเขาจะต้องเอา
มันกลับมาให้ได้”
ฉีหนิงอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าจะมีที่มาที่ไปแบบนี้ด้วย
“พิษระบาดในเมืองหลวง เจ้าคงเห็นแล้วใช่หรือไม่”
ฉีหนิงถามว่า “เจ้าจะบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับเจ้าหรือ?”
“ไม่เกี่ยวอยู่แล้ว” อาเหน่าพูดว่า “ข้ายังคิดอยู่เลยว่า
ใครกันที่ร้ายกาจขนาดนี้ สามารถวางยาพิษหลายคน
ได้ นอกจากอาจารย์แล้ว บนโลกนี้ยังมีคนร้ายกาจ
แบบนี้ด้วยหรือ?”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “เจ้าหมายความว่า พิษ
เจ้าไม่ได้เป็นคนทำ ถ้าอย่างนั้นราชาพิษจิ่วซีมาเมือง
หลวงอย่างนั้นหรือ?”
อาเหน่าส่ายหน้า “ไม่มีทางเป็นอาจารย์ข้าแน่”
“เหตุใดเจ้าถึงได้มั่นใจแบบนี้?” ฉีหนิงถาม
อาเหน่าพูดว่า “อาจารย์เป็นราชาพิษที่ซีชวน ในเมื่อ
เป็นถึงราชาพิษ ก็ไม่มีทางใช้พิษง่ายๆ อีกทั้งด้วยนิสัย
ของอาจารย์แล้ว ไม่มีทางวางยาพิษกับพวกขอทาน
นั่นแน่”
ฉีหนิงพูดว่า “อาจารย์เจ้าดูสูงส่งดีนะ”
เวลาอาเหน่าพูดถึงราชาพิษจิ่วซี นางจะรู้สึกได้ใจ
ไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะถูกขังหรือไม่ นางพูดว่า “หาก
อาจารย์จะลงมือใช้พิษจริง อีกฝ่ายจะต้องเป็นคนที่
ร้ายกาจมาก คุ้มค่าที่จะให้อาจารย์ลงมือด้วยตัวเอง
ขอทานพวกนั้น ทั้งสกปรกทั้งเหม็น วรยุทธ์ก็ไม่
เท่าไหร่ อาจารย์ไม่มีทางเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ยิ่ง
ไม่มีทางลงมือกับพวกเขาแน่”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 248 เชือกสีดำ
ฉีหนิงเห็นอาเหน่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ผู้หญิงคนนี้
เจ้าเล่ห์มาก คำพูดของนาง ฉีหนิงไม่ได้เชื่ออย่างสนิท
ใจ
“เจ้าบอกว่าอาจารย์เจ้าไม่มีทางวางยาพิษ แล้วเหตุใด
พิษที่ระบาดอยู่ในเมืองหลวง ถึงได้มีพิษไข่เล่า?” ฉี
หนิงถาม
อาเหน่าพูดว่า “เรื่องนี้ไม่เห็นแปลกเลย พิษนี่ขึ้นตาม
ชายแดนเผ่าเหมียวไม่ได้มีแค่อาจารย์เท่านั้นที่มี หาก
ต้องการพิษไข่ หาได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ หากเจ้า
อยากได้ ข้าเอามาให้เจ้าได้เต็มบ้านเลย”
“อย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าหนอนจินกู่คง
ไม่ได้หาได้ง่ายๆหรอกกระมัง? อวิ๋นเจิงหงหาได้ง่าย
อย่างนั้นหรือ?”
อาเหน่าอึ้งไป แล้วถามด้วยความแปลกใจว่า “เจ้ารู้
เรื่องพวกนี้ด้วยหรือ?”
“หนอนจินกู่กินอวิ๋นเจิงหงเป็นอาหาร เป็นพิษที่
ร้ายแรงมาก” ฉีหนิงพูดว่า “นอกจากอาจารย์เจ้าแล้ว
หรือว่ายังมีคนอื่นที่เลี้ยงหนอนจินกู่อีก?”
“เจ้าหมายความว่า พิษที่ระบาดในเมืองหลวงครั้งนี้ มี
พิษมาจากหนอนจินกู่ผสมอยู่อย่างนั้นหรือ?” อาเห
น่าเหมือนจะแปลกใจ “ไม่จริง หนอนจินกู่เป็นของรัก
ของอาจารย์ ไม่มีใครเอามันไปได้แน่” นางบ่นกับ
ตัวเอง “หรือว่าอาจารย์มาวางยาในเมืองหลวงจริง?
แล้วเหตุใดเขาถึงไม่บอกข้าสักคำเลยเล่า?”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่าราชาพิษ
จิ่วซีเป็นคนวางยาพิษใช่หรือไม่?”
“ข้าเองก็ไม่รู้” อาเหน่าพูดว่า “ตามหลักแล้ว
อาจารย์ไม่มีทางมาวางยาพวกขอทานนั่นถึงในเมือง
หลวง แต่ว่า...หนอนจินกู่มีแค่อาจารย์เท่านั้นที่มี...”
นางคิด แล้วพูดว่า “ต่อให้อาจารย์จะเป็นคนวางยา
พิษจริง มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้านี่นา? พวกเจ้า
ปล่อยข้าไป แล้วก็ไปจับตัวอาจารย์สิ”
“เจ้าเป็นศิษย์ของราชาพิษจิ่วซี จะหนีความผิดไปได้
อย่างไร?” ฉีหนิงพูด
อาเหน่ายิ้มแล้วพูดว่า “ง่ายจะตายไป ตั้งแต่นี้ต่อไป
ข้ากับอาจารย์ขาดกัน ไม่เป็นศิษย์อาจารย์กันอีก เขา
จะทำอะไร ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าอีก”
ฉีหนิงคิดในใจว่า เหตุใดเจ้าปีศาจน้อยตัวนี้ถึงได้นิสัย
แย่ขนาดนี้ อาจารย์เปรียบดั่งบิดา แต่นางกลับตัดขาด
ง่ายขนาดนี้เลย ทำเหมือนกินข้าวกินน้ำ ไม่ลังเลใจ
เลย
เห็นฉีหนิงจ้องอย่างดุดัน อาเหน่าก็พูดว่า “อาจารย์
ข้าไม่ค่อยปรากฏตัว พวกเจ้าก็หาตัวเขายาก ไม่รู้ว่า
เขาอยู่ไหนด้วย พวกเรามาแลกเปลี่ยนกันหรือไม่
พวกเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะพาเจ้าไปหาเขา ช่วยพวก
เจ้าจับเขา ดีหรือไม่?”
ฉีหนิงพูดว่า “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอาจารย์ของเจ้านะ
หากเจ้าพาพวกข้าไปจับเขา ไม่เป็นการเนรคุณไป
หน่อยหรือ? เจ้ามันใจคอโหดเหี้ยมมาก แม้แต่
อาจารย์ตัวเองยังกล้าทำร้าย”
“พวกเจ้าบอกว่าอาจารย์ข้าเป็นคนไม่ดี ข้าช่วยพวก
เจ้าจัดการเขาก็ไม่ได้?” อาเหน่าพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น
พวกเจ้าคิดจะเอาอย่างไร? อาจารย์เคยบอกว่า ท่อง
ยุทธภพต้องเด็ดขาด หากเจออันตราย ต้องรักษาชีวิต
ตัวเองไว้ก่อน ถึงจะทำอะไรก็ได้ สิ่งที่เขาสอนไม่มีทาง
ผิด”
ฉีหนิงกำลังจะพูดต่อ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงจากข้าง
นอก “ใคร?” ทันใดนั้นเองก็ได้ยินอีกว่า “จับเขา อย่า
ให้เขาบุกเข้าไป”
ฉีหนิงลุกขึ้นมา แล้วหันหลังวิ่งไป ทันใดนั้นก็ได้ยิน
เสียงร้อง
ที่นี่คือจวนเสินโหว องครักษ์หนาแน่นมาก ในใต้หล้า
นี้คงไม่มีใครกล้ากำเริบเสิบสานแบบนี้ แต่ว่าเสียงข้าง
นอก แสดงว่ามีคนบุกรุกเข้ามา
ในหัวของเขาคิดว่า หรือว่ามีคนจะมาช่วยปีศาจน้อย
ออกไป?
ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าปีศาจน้อยนี่ก็มีพรรคพวก เดิมที
เขาคิดว่าพิษระบาดในครั้งนี้อาจจะมีคนใส่ร้ายราชา
พิษจิ่วซีหรือไม่ก็พรรคบัวดำ แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึก
ว่าพรรคบัวดำอาจจะไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์
ด้านนอกห้องหินนี้ เป็นทางแคบๆ ฉีหนิงวิ่งออกไปที่
ปากทาง ได้ยินเสียงปะทะกัน มีคนต้องการบุกเข้ามา
ในห้องหินจริง เขาจึงตกใจ แต่เขาไม่รู้ว่าคนที่บุกเข้า
มานั้นมีจำนวนเท่าไหร่ จากนั้นเขาก็หยิบมีดสั้น
ออกมา
อีกฝ่ายกล้าบุกจวนเสินโหว แสดงว่ามีเจตนาไม่ดี วร
ยุทธ์เองก็ต้องไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นยอดฝีมือในจวน
เสินโหวมากมายขนาดนี้ ก็เหมือนรนหาที่ตายชัดๆ
ฉีหนิงรู้ว่าตอนนี้วรยุทธ์ของเขาสู้ยอดฝีมือจริงๆ พวก
นั้นไม่ได้เลย
ภายในจุดตันชี่ถึงแม้จะกำลังภายในมีอยู่มาก แต่ว่า
ตอนนี้กำลังภายในในจุดตันชี่นั้นยังไม่ทะลุทะลวงไป
ตามจุดชีพจร อีกทั้งยังไม่สามารถเดินกำลังภายใน
พวกนั้นได้ด้วย ทำอะไรไม่ได้เลย ทำได้แค่ปล่อยมันไว้
อย่างนั้น
ตอนนี้คาดหวังได้แค่พลังเทพหกประสานกับท่าเท้า
ท่องคลื่นเท่านั้น
พลังเทพหกประสานถึงแม้จะลี้ลับมหัศจรรย์ แต่ก็ต้อง
ให้อีกฝ่ายแตะไปที่หนึ่งจุดชีพจรสิบเอ็ดจุด อีกทั้งยัง
ต้องให้อีกฝ่ายเดินลมปราณหรือกำลังภายในด้วยถึง
จะดูดมาได้ ไม่อย่างนั้นพลังเทพหกประสานก็ทำอะไร
ไม่ได้ ส่วนท่าเท้าท่องคลื่น ถึงแม้จะลึกลับและ
มหัศจรรย์ แต่จนถึงตอนนี้ ฉีหนิงก็ยังไม่สามารถจับ
ทางมันได้ทั้งหมด อีกทั้งพื้นที่ด้านในนี้ก็แคบมาก ผล
ของท่าเท้าท่องคลื่นก็ลดลง
ส่วนเพลงกระบี่ในภาพเคล็ดวิชากระบี่ ฉีหนิงเรียนมา
บ้าง แต่ว่าเขาไม่รู้ว่าหากใช้วิชากระบี่นั่นรับมือศัตรู
แล้ว จะได้ผลหรือไม่ ถึงแม้เขาจะใช้เพียงกระบวนท่า
เดียวเอาชนะไป๋อวี่เฮ่อได้ แต่ว่าพอนึกย้อนกลับไป
มันก็เหมือนวันนั้นจะมีโชค
เขารีบเรียกสติกลับมา เขารู้ว่าหากอีกฝ่ายบุกเข้าไป
ยังห้องสอบสวนต้องไม่ดีแน่ เขานึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่
สั่งให้เจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวออกไปจนหมด
ตอนนี้ไม่มีองครักษ์อยู่รอบตัวเขาเลย
เขากำมีดสั้นของเขาเอาไว้แน่น จากนั้นก็ปิดประตู
หน้าต่างของห้องสอบสวน แล้วเดินไปทางที่อาเหน่า
อยู่
หากอีกฝ่ายมาช่วยอาเหน่าจริง ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า
อาเหน่าสำคัญกับพวกเขามาก เขาสามารถควบคุมอา
เหน่าเป็นตัวประกันเอาไว้ก่อนได้ เพราะถ้าอีกฝ่ายบุก
เข้ามา เห็นอาเหน่าอยู่ในมือของตัวเอง ก็น่าจะไม่กล้า
ทำอะไรบุ่มบ่าม
เขาวางแผนเอาไว้อย่างดี แต่ว่าพอเขาเดินไปทางอา
เหน่าแค่สองก้าว ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีกำลังแรงที่สูง
มากกระแทกกับอะไรบางอย่าง มันเหมือนกับประตู
ด้านหลังของเขา ประตูนั่นมันชนเข้ากับหลังของเขา
ทำให้ตัวของเขาลอยออกไป
อาเหน่าเห็นฉีหนิงลอยมาที่นาง นางก็หลบอย่าง
รวดเร็ว ฉีหนิงลอยไปชนกับกำแพง
พริบตาเดียวฉีหนิงรู้สึกว่าเหมือนตัวเขาจะแตก เขา
ตาลายเวียนหัว จากนั้นเขาก็ตกลงมาที่พื้น
เขานอนกองอยู่ที่พื้น ขยับตัวไม่ได้เลย ท่ามกลาง
ความมึนงง ก็เห็นเงาๆ หนึ่งบุกเข้ามา ในมือของเขา
ถือดาบเล่มใหญ่ แล้วเดินไปที่อาเหน่า แล้วพูดว่า
“กางมือออก”
อาเหน่าได้ยินชัดเจน นางกางมือออก คนๆ นั้นใช้
ดาบตัดโซ่ตรวนที่มือและเท้าของอาเหน่าจนขาด
ฉีหนิงเจ็บไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าเจ็บตรงไหนบ้าง หน้าอก
ของเขามันร้อนไปหมด ทรมานมาก แต่เขาเห็น
สถานการณ์อย่างชัดเจน ในใจคิดว่าอีกฝ่ายมาช่วยอา
เหน่าจริงๆ อีกทั้งดาบของเขาก็คมมาก
เขาคนนั้นสวมชุดสีดำ ปิดหน้าปิดตา เหลือแค่ดวงตา
อย่างเดียว
“ตามข้ามา ไป” เสียงของเขาดูมีอายุ เขาถือดาบแล้ว
ก็ออกไป
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังตรงเข้ามาที่นี่ ฉี
หนิงก็ไม่รู้ว่าใช่เจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวหรือไม่หรือ
ว่าเป็นพวกของคนๆ นี้
“ช้าก่อน” อาเหน่ากำลังจะตามไป เหมือนคิดอะไร
ออก เขาหันมามองฉีหนิงที่กำลังนอนกองอยู่ที่พื้น
นางยิ้ม แล้วชี้มาที่ฉีหนิง “เขาเป็นโหวเยว่ คนที่นี่เชื่อ
ฟังคำสั่งเขามาก จับเขาเอาไว้ คนพวกนั้นไม่กล้าทำ
อะไรพวกเรา”
ฉีหนิงรู้สึกโกรธมาก เขาเสียดายที่เมื่อครู่นี้ไม่จัดการ
นางซะ แต่ว่าใครจะไปคิด ว่าจะมีคนบุกเข้ามาช่วย
นางถึงจวนเสินโหว
คนนี้ไม่เพียงกล้ามาก ยังเหมือนกินดีหมีดีเสือมาอีก
ชายชุดดำมองมาที่ฉีหนิง ในตอนนี้เอง ก็เห็นมี
เจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวสองคนบุกเข้ามา พวกเขา
ทำอะไรรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ล้อมชายชุดดำเอาไว้
ซ้ายคนขวาคน
ชายคนนั้นมือซ้ายจับดาบ มือขวายกขึ้นมา จากนั้นก็
เห็นเขาซัดฝ่ามือระเบิดรูปดาวออกไป เจ้าหน้าที่จวน
เสินโหวคนหนึ่งยกกระบี่ขึ้นมาบัง แต่ว่าตัวเขาก็ยังถูก
โจมตีใส่จนล้มลง
ฉีหนิงคิดในใจว่าชายชุดซัดอาวุธลับใส่พวกเขา ถึงแม้
เจ้าหน้าที่นั่นจะบังเอาไว้ได้ แต่ก็ถูกซัดเข้าไปหนึ่งดอก
อาวุธลับนั่นเหมือนจะมีพิษ ดังนั้นหลังจากที่
เจ้าหน้าที่คนนั้นถูกอาวุธลับ ก็ล้มลงทันที ไม่รู้ว่าตาย
หรือยัง
เจ้าหน้าที่อีกคนฟันกระบี่เข้าใส่ ชายชุดดำคนนั้นก็
หลบหลีดอย่างชำนาญ จากนั้นพวกเขาก็ปะทะกัน
ดาบในมือของเจ้าหน้าที่ถูกตัดขาดเป็นสองท่อน เขา
อึ้งตะลึงไป ชายชุดดำฉวยโอกาสซัดฝ่ามือเข้าที่
หน้าอกของเขาทันที
ชายชุดดำก็ไม่เสียเวลา หันตัวกลับมา แล้วยกมือขึ้น
ใส่ฉีหนิง ฉีหนิงตกใจมาก คิดว่าเขาจะซัดอาวุธลับใส่
แอบคิดในใจว่าข้าจะต้องมาตายแบบไม่รู้อะไรเลยใน
นี้หรือ?
แต่กลับเห็นมือขวาของชายชุดดำเหมือนมีงูตัวหนึ่ง
เลื้อยออกมา มันพันไปที่คอของฉีหนิง หลังจากที่ฉี
หนิงถูกพันคอ เขาถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่งู แต่มันเป็นเชือก
สีดำ แต่ว่าเชือกเส้นนี้มันไม่เหมือนเชือกปกติ มันลื่น
กว่า อีกทั้งยังมีกลิ่นคาวด้วย
ชายชุดดำกระตุกแขนคราหนึ่ง เชือกนั้นจึงม้วนพัน
ตัวฉีหนิงถูกเอาไว้ชายชุดดำโอบเอวของฉีหนิงเอาไว้
แล้วพูดว่า “ไป” เขาจับฉีหนิง แล้วพุ่งออกไปจาก
ห้องหิน ปีศาจน้อยหัวเราะเบาๆ แล้วตามชายชุดดำ
ไป
ยังไม่ทันได้ออกไป ก็ได้ยินเสียงคนข้างนอกดังมาว่า
“ปิดประตูเหล็ก ขังพวกเขาให้ตายอยู่ในนั้น”
จากนั้นก็ได้ยินว่า “โหวเยว่ยังอยู่ข้างใน ต้องช่วยโหว
เยว่ออกมาก่อน”
จากนั้นก็ได้ยินเซวียนหยวนผ่อพูดว่า “ตั้งค่ายกล
อย่าให้มันหนีไปได้”
ชายคนนั้นพุ่งออกไปที่หน้าประตูเหล็ก ประตูเหล็กยัง
ไม่ทันปิด ฉีหนิงถูกจับตัวเอาไว้ไว้ เขาปวดไปทั้งตัว
รู้สึกมึนหัวตาลาย แต่ก็พยายามเงยหน้าขึ้นมามอง
เห็นที่นอกประตูห้องหิน มีเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหว
กว่าสิบคน ปิดทางเข้าออก แต่ละคนถืออาวุธครบมือ
บางคนถือธนูเล็งมาที่ประตูเหล็กนั้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 249 ตัวประกัน
ขณะที่ชายชุดดำบุกออกมา เจ้าหน้าที่จวนเสินโหว
ง้างธนูขึ้น เซวียนหยวนผ่อกลับเห็นฉีหนิงถูกชายชุด
ดำจับเอาไว้ในมือ แล้วตะคอกว่า “หยุด”
ทุกคนต่างก็ไม่กางธนูยิงออกไป
ฉีหนิงคิดในใจว่าเซวียนหยวนผ่อรู้จักสถานการณ์ดี
เป็นห่วงเขาอยู่เหมือนกัน แต่ว่าในใจก็รู้ดีว่า หากจิ่นอี
โหวตายในจวนเสินโหว อย่าว่าเจ้าหน้าที่จวนเสินโหว
พวกนี้จะหนีความผิดไม่พ้นเลย แม้แต่ซีเหมินอู๋เหิงเอง
ก็น่าจะไม่รอดเหมือนกัน
ตอนนี้ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าคนที่มาช่วยอาเหน่านั้นมา
เพียงคนเดียว เขาตกใจ แอบคิดว่าจวนเสินโหว
รักษาการณ์เข้มงวดขนาดนี้ ชายชุกดำผู้นี้ยังสามารถ
บุกเข้ามาได้อีก แสดงว่าประเมินคนของจวนเสินโหว
สูงเกินไป
อาเหน่าเองก็เหมือนเห็นชายชุดดำเป็นเหมือนโล่
กำบัง นางหลบอยู่ด้านหลัง เห็นเจ้าหน้าที่จวนเสิน
โหวยังไม่ยิงธนู ก็โผล่หน้าออกมา หัวเราะแล้วพูดว่า
“ข้าบอกแล้วหากเขาอยู่ในมือของพวกเรา พวกเขาไม่
กล้าทำอะไรพวกเราหรอก”
เซวียนหยวนผ่อมองไปที่ชายชุดดำ แล้วพูดว่า “เจ้ารู้
หรือไม่ว่าที่นี่คือจวนเสินโหว?”
ชายชุดดำไม่ได้พูดอะไร
“เจ้าปล่อยโหวเยว่ แล้วยอมให้จับซะดีๆ พวกเรา
อาจจะลงโทษสถานเบา” เซวียนหยวนผ่อพูดอีกว่า
“ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้าหนีรอดจากจวนเสินโหวไปได้
ต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว เจ้าก็ต้องถูกจับ”
ชายชุดดำพูดว่า “ถอยไปให้หมด หลีกทางให้พวกข้า
เมื่อพวกข้าปลอดภัยแล้ว เขาจะรอด”
“ไม่มีทาง” เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “ตั้งแต่จวนเสิน
โหวของพวกเราก่อตั้งมา ไม่มีใครสามารถนำตัว
นักโทษออกจากที่นี่ไปได้ วันนี้ก็เหมือนกัน”
“ตั้งแต่จวนเสินโหวก่อตั้งมา เคยมีโหวเยว่ตายอยู่ที่นี่
บ้างหรือไม่?” อาเหน่าหัวเราะแล้วพูดว่า “หากเจ้าไม่
ยอมให้พวกข้าไป วันนี้โหวเยว่คนนี้ก็จะนอนตายอยู่
ตรงนี้”
เซวียนหยวนผ่อขมวดคิ้ว เจ้าหน้าที่จวนเสินโหวต่าง
มองหน้ากัน
จวนเสินโหวบารมีสะท้านแผ่นดิน ขุนนางแต่ละคนไม่
มีใครกล้า คนในยุทธภพต่างก็เคารพนับถือ แต่ไม่มี
ใครคิดว่า วันหนึ่งจะมีคนกล้าบุกเข้ามาชิงตัวนักโทษ
ในจวนเสินโหว
เซวียนหยวนผ่อขมวดคิ้ว สายตาของเขาดุดัน แล้วพูด
ว่า “หากพวกเจ้ากล้าทำร้ายโหวเยว่ จะต้องแหลก
เป็นกระดูกแน่”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร” ปีศาจน้อยพูดว่า “โหวเยว่
ตายไปคนหนึ่ง ต่อให้พวกข้าต้องตายไป ก็ถือว่าคุ้ม
อีกทั้งหากโหวเยว่ตายอยู่ที่นี่ พวกเจ้าเองก็คงไม่ตาย
ดี”
คำพูดของอาเหน่า ทำให้สายตาของเซวียนหยวนผ่อดุ
ขึ้นกว่าเดิม
ในเวลานี้อง ก็ได้ยินเสียงที่อ่อนลง คนในจวนเสินโหว
ไม่น้อยหน้าถอดสี เห็นด้านข้างของห้องหิน มีเงาของ
คนพุ่งออกมา จากนั้นแส้ก็ม้วนไปที่ชายชุดดำ ถึงแม้
คนที่ลงมือจะแต่งกายชุดของเจ้าหน้าที่จวนเสินโหว
แต่ร่างกายดูบอบบาง เหมือนผู้หญิง
เซวียนหยวนผ่อเห็นแล้ว คนที่ลงมือนั้น ก็คือ
ซีเหมินจั้นอิง
เขาคิดในใจว่าชายชุดดำวรยุทธ์ร้ายกาจมาก
ซีเหมินจั้นอิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ลงมือบุ่มบ่ามแบบนี้
ไม่เพียงไม่ได้เปรียบ กลับจะทำให้เกิดเรื่องขึ้นอีกได้
เขารีบตะโกนว่า “ศิษย์น้องเล็กหยุดนะ”
แต่ว่าเขาห้ามช้าไปหนึ่งก้าว ขณะที่ซีเหมินจั้นอิงฟาด
แส้ออกมา ชายชุดดำเหลือบไปมอง เขาวางฉีหนิงลง
แล้วยกมือขึ้น เชือกสีดำเส้นนั้นพุ่งออกมาอีกครั้ง ซึ่ง
มันไปพันกับแส้ของซีเหมินจั้นอิง
เซวียนหยวนผ่อประสบการณ์สูง เมื่อเห็นสถานการณ์
ดังนั้น ก็ตะคอกไปว่า “ศิษย์น้องเล็กถอยเร็ว”
ซีเหมินจั้นอิงถึงแม้จะอยู่ในจวนเสินโหวมานานหลาย
ปี แต่ว่าประสบการณ์มีไม่มาก ถึงแม้จะได้ยินเซวียน
หยวนผ่อตะโกนมาแบบนั้น แต่ว่านางรู้สึกว่ามือของ
นางเริ่มตึง นางไม่ได้ผ่อนมือ แต่จับมันแน่นขึ้น
เหมือนกับว่าแส้ถูกแรงดึงไป ตัวของนางเอนตัวไปกับ
แส้ด้วย ในตอนนี้จะปล่อยมือก็ไม่ทันแล้ว
เซวียนหยวนผ่อหน้าถอดสี สายตาของเขาจ้องอย่าง
ไม่กระพริบ ตัวเขาห่างจากตรงนั้นไกลมาก ไม่รอให้
เขาได้เข้าใกล้ ชายชุดดำก็ใช้เชือกดำกระชากซีเห
มินจั้นอิงเข้ามา จากนั้นก็ใช้มือบีบไปที่คอขาวๆ ของซี
เหมินจั้นอิง แล้วตะคอกว่า “ใครกล้าลงมืออีก?”
ทุกคนต่างก็หน้าถอดสีกันไปหมด เซวียนหยวนผ่อเอง
ก็มีสายตาที่โกรธเกรี้ยวมาก เขาตะคอกว่า “ปล่อย
นางซะ”
ฉีหนิงฟุบอยู่ที่พื้น เขาอยากจะขยับตัว แต่ว่าปวดเนื้อ
ปวดตัวไปหมด ในสมองมึนไปหมด ถึงแม้จะได้ยินที่
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกัน แต่ก็ไม่มีปัญญามองเห็นว่าพวก
เขาทำอะไรกันบ้าง
ชายชุดดำหันไปมอง อาเหน่าเข้าใจทันที เมื่อครู่นาง
ออกมาจากห้องหิน นางหยิบดาบมาด้วยเล่มหนึ่ง
ตอนนี้นางเอาดาบพาดไปที่บ่าของซีเหมินจั้นอิง นาง
หัวเราะแล้วพูดว่า “ใครกล้าเข้ามา ข้าจะตัดคอนาง
ซะ”
รูปร่างของนางเล็กกว่าซีเหมินจั้นอิงไม่น้อย ดาบที่
พาดบ่าของซีเหมินจั้นอิงมันดูตลกมาก แต่ว่าใครจะ
ไปรู้ หากปีศาจน้อยโหดขึ้นมา จะตัดคอซีเหมินจั้นอิง
ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ชายชุดดำวางมือลง เชือกสีดำพุ่งออกมาอีกครั้ง มัน
ม้วนไปรัดตัวของฉีหนิง
เดิมทีฉีหนิงอยู่ในมือของชายชุดดำ เจ้าหน้าที่ของจวน
เสินโหวก็ไม่กล้าลงมืออยู่แล้ว ตอนนี้รวมลูกสาวของ
เสินโหวเข้าไปเป็นตัวประกันไปอีก ทุกคนก็แทบจะไม่
กล้าขยับเลย
ถึงแม้ซีเหมินจั้นอิงจะไม่เชื่อฟังคำสั่ง ลงมือโดยพล
กาล แต่ในเวลาแบบนี้ก็ไม่มีใครกล้าตำหนินาง
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ายังคิดหาวิธีจะจับพวกข้าอยู่”
อาเหน่าเหมือนได้ใจ “แต่ว่าพวกข้ามีตัวประกันอยู่ใน
มือ พวกข้าไม่รอด พวกเขาก็จะต้องตายพร้อมกับ
พวกข้า”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “พวกเจ้ารู้
หรือไม่ ตั้งแต่จวนเสินโหวก่อตั้งมา ไม่มีใครกล้าข่มขู่
จวนเสินโหวของพวกเราเลย” คนๆ นั้นค่อยๆ เดินมา
เขาคือซีเหมินอู๋เหิงนั่นเอง
ซีเหมินอู๋เหิงสีหน้านิ่งมาก สายตาของเขาแหลมคมดั่ง
คมดาบ เขามองไปที่ชายชุดดำ น้ำเสียงของเขาเรียบ
มาก “บุกชิงตัวนักโทษในจวนเสินโหว เจ้าเป็นคน
แรก”
ชายชุดดำหัวเราะแปลกๆ แต่ไม่พูดอะไร
เซวียนหยวนผ่อเขยิบมาข้างตัวของซีเหมินอู๋เหิง ยก
มือคำนับแล้วพูดว่า “ท่านเสินโหว ข้าน้อยไร้
ความสามารถ”
ซีเหมินเสินโหวยกมือขึ้น บอกให้เซวียนหยวนผ่อไม่
ต้องพูดอะไรอีก เขายิ้ม แล้วจ้องไปที่ชายชุดดำ “เจ้า
น่าจะรู้ ต่อให้ข้าปล่อยเจ้าไปวันนี้ แต่ว่าตั้งแต่นี้ต่อไป
จวนเสินโหวของพวกเราก็จะตามเจ้าเป็นเงาตามตัว
ไม่ว่าเจ้าจะไปไหน จวนเสินโหวก็จะตามล่าตัวเจ้า”
ชายชุดดำพูดว่า “เจ้าไม่ใช่เทพเจ้า ไม่มีทางดูแลได้ทั่ว
ทั้งแผ่นดิน”
“ได้” ซีเหมินเสินโหวยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะปล่อยเจ้า
ไป แต่ว่าข้ามีเงื่อนไข”
“อะไร?”
“เจ้าปลอดภัยเมื่อไหร่ ปล่อยพวกเขากลับมาอย่าง
ปลอดภัย” ซีเหมินอู๋เหิงค่อยๆ พูด
เซวียนหยวนผ่อขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ท่านเสินโหว
เอ่อ...” เห็นซีเหมินอู๋เหิงเหลือบตามอง ไม่กล้าพูด
อะไรอีก
ชายชุดดำพูดว่า “เงื่อนไขของเจ้าดีมาก ข้าเองก็มี
เงื่อนไข”
“เชิญพูดมาได้”
“ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป คนของเจ้าห้ามขวางทางข้า
อีก เพราะข้าไม่อยากฆ่าใคร” ชายชุดดำพูดว่า “”
หลังจากที่ข้าออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เมื่อแน่ใจว่า
ปลอดภัยแล้ว ข้าจะปล่อยพวกเขากลับมา แต่ว่าใน
ช่วงเวลานี้ ข้าไม่อยากเห็นคนของจวนเสินโหว
ตามหลังพวกเรามา"
“จวนเสินโหวจะไม่ตามตัวเจ้าชั่วคราว” ซีเหมินอู๋เหิง
พูดว่า “ข้าแค่กังวลว่า หากพวกเจ้าพาตัวสองคนนั้น
เป็นตัวประกัน อาจจะออกจากเมืองหลวงไปไม่ได้”
“เรื่องนี้ไม่ต้องรบกวนพวกเจ้าหรอก” ชายชุดดำพูด
ว่า “ข้อแลกเปลี่ยนของพวกเราตกลงแล้วใช่หรือไม่?”
ซีเหมินอู๋เหิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษา
คำพูด หากเจ้าผิดคำพูด อาจจะทำให้ใครอีกหลายคน
ต้องเดือดร้อน” เขาไขว้มือไว้ด้านหลัง ยิ้มแล้วพูดว่า
“พวกเจ้าไปได้แล้ว”
เจ้าหน้าที่เสินโหวตกใจที่ซีเหมินอู๋เหิงปล่อยพวกเขา
ไปง่ายๆ แต่ในเมื่อเสินโหวพูดมาแบบนี้แล้ว ก็ไม่มีใคร
กล้าไม่ฟัง
ซีเหมินจั้นอิงถูกดาบพาดบนบ่า กลับมีสีหน้า
หวาดกลัว แล้วพูดกับซีเหมินอู๋เหิงว่า “ท่านเสินโหว
ท่าน...ท่านไม่ต้องห่วงข้า หากปล่อยพวกเขาไป ต่อไป
คนอื่นจะมองจวนเสินโหวอย่างไร?”
ที่จริงแล้วเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวต่างก็คิดแบบนี้
แต่ก็ไม่กล้าพูด
จวนเสินโหวเหมือนเป็นกระบี่ที่พาดบ่าคนในยุทธภพ
ทั้งหมด มีทั้งบารมีและอิทธิพลมากมาย
แต่ว่าครั้งนี้มีคนบุกเข้ามาในจวนเสินโหว แล้วพา
นักโทษหนีไปได้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่เพียงจะ
กระทบต่อบารมีของจวนเสินโหว แต่ว่ามันจะ
สะเทือนต่อสายตาของคนในยุทธภพด้วย
แต่ว่าในใจของทุกคนก็รู้ดีว่า ซีเหมินเสินโหวไม่มีทาง
ไม่ห่วงชีวิตของจิ่นอีโหวกับลูกสาวแน่
ซีเหมินอู๋เหิงไม่ได้สนใจซีเหมินจั้นอิง เขานิ่งไม่พูด
อะไร
“จริงด้วย พวกเจ้าเตรียมม้าให้พวกเราด้วย” อาเหน่า
พูด “อากาศหนาวแบบนี้ คงไม่ได้จะให้ข้าเดินไป
หรอกใช่หรือไม่? ยังมีอีก พวกเจ้าต้องเตรียม
อาหารแห้งและน้ำให้พวกข้าด้วย”
ฉีหนิงสะลึมสะลือ คิดในใจว่าหากสวรรค์มีตา ครั้ง
ต่อไปหากจับตัวปีศาจน้อยตัวนี้ได้ จะต้องให้นางตาย
ทั้งเป็นอย่างแน่นอน
ขณะที่เขากำลังคิด ทันใดนั้นเองก็เหมือนมีนิ้วจี้มาที่
หลังคอของเขา ฉีหนิงรู้สึกหน้ามืด จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัว
อีก
ไม่รู้เหมือนกันว่านานแค่ไหน ฉีหนิงจึงเริ่มรู้สึกตัว
ขึ้นมา เมื่อเขาลืมตา รอบๆ มืดสนิท ไม่รู้ว่าตัวเขาอยู่
ที่ไหน เขาอยากจะลุกขึ้นมา แต่กลับพบว่าไม่มีแรง
เลย ขยับอะไรไม่ได้เลย
เขาตกใจ แอบคิดในใจว่าตัวเขาเองน่าจะยังอยู่ในกำ
มือของชายชุดดำนั่น แต่ไม่รู้ว่าเขาจะรักษาคำพูด
หรือไม่ เมื่อถึงที่ปลอดภัยแล้ว จะปล่อยพวกเขากลับ
ผ่านไประยะหนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนแรงกระแทกหยุดลง
จากนั้นก็ได้ยินว่า “ปล่อยม้าไป พวกเราจะเดินไป
ต่อ” เป็นเสียงของชายชุดดำผู้นั้น
ได้ยินอาเหน่าพูดว่า “อาจารย์ พวกเขาไม่กล้าตามมา
หรอก พวกเราขี่ม้าไปก็ได้ หิมะยังตกอยู่ เดี๋ยว
ร่องรอยก็ถูกกลบไปแล้ว ต่อให้พวกเขาตามมาก็ไม่มี
ทางหาเจอหรอก”
ฉีหนิงตกใจ แอบคิดในใจว่าชายชุดดำเป็นอาจารย์
ของปีศาจน้อยเองหรือ หรือว่าเป็นราชาพิษจิ่วซี
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 250 ศิษย์อาจารย์
ราชาพิษจิ่วซีอยู่ในเมืองหลวงจริงๆ ด้วย อีกทั้งยังกล้า
บุกเข้าจวนเสินโหวเพื่อช่วยคน ฉีหนิงแอบคิดในใจว่า
ดูท่าพิษระบาดในครั้งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับศิษย์
อาจารย์สองคนนี้แน่
“อย่าพูดมาก” ชิวเฉียนอี๋พูด “เรื่องอะไรก็ตามพวก
เราก็ต้องระวังตัว”
ฉีหนิงมืดแปดด้าน ปวดเนื้อปวดตัวไปหมด เขาแอบ
รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสกัดจุดของเขา เหมือน
จะถูกจับมัดใส่ถุงกระสอบ
เขารู้สึกว่าเขาถูกหิ้ว จากนั้นก็เหมือนจะเคลื่อนไหว
อีกครั้ง ครั้งนี้นานไปกว่าครึ่งวัน ถึงได้ยินเสียงอาเห
น่าพูดว่า “อาจารย์ ตรงนั้นมีไฟ”
ฉีหนิงมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า
ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แค่รู้สึกว่าชิวเฉียนอี๋เดินต่อไป ไม่
นานนัก ก็ได้ยินเสียงตะโกนว่า “ใคร?” เมื่อพูดจบ ก็
ได้ยินเสียงกรีดร้อง จากนั้นก็ได้ยินเสียงพูดว่า “มีโจร
ทุกคนรับมือให้ดี”
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงวิ่งวุ่นกัน
ไปทั่ว จากนั้นก็เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาอีกครั้ง ชั่วขณะ
เดียว ก็ไม่ได้ยินเสียงใครอีกเลย
จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงอาเหน่าพูดว่า “อาจารย์
ในนี้มีเนื้อต้มด้วย”
ฉีหนิงรู้ว่าเสียงเคลื่อนไหวเมื่อครู่ น่าจะเป็นเพราะ
ศิษย์อาจารย์คู่นี้ฆ่าคนตายเป็นจำนวนมาก ก็ไม่รู้ว่า
คนที่ตายไปเป็นใครบ้าง แต่ว่าศิษย์อาจารย์คู่นี้ไม่สน
ว่าใครเป็นใครฆ่าตายให้หมด โหดเหี้ยมจริงๆ
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ทันใดนั้นตัวของเขาก็กระแทกกับ
พื้น ฉีหนิงรู้สึกโกรธมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขารู้สึกว่า
เหมือนข้างๆ ตัวเขามีของอะไรบางอย่างตกลงมา
ทันใดนั้นเองเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าซีเหมินจั้นอิงก็ถูกจับ
มาด้วยนี่นา เขาคิดในใจว่าซีเหมินจั้นอิงสถานการณ์
ไม่ได้ดีไปกว่าเขาแน่
“อาจารย์ พวกเราพักที่นี่กันสักคืนเถอะ” อาเหน่าพูด
ว่า “พวกเราหนีมาตั้งไกล ออกนอกเมืองหลวงแล้ว
พวกเราตกลงกับพวกเขาไว้แล้ว พวกเขาน่าจะไม่ตาม
พวกเรามา”
ฉีหนิงตกใจ แอบคิดในใจว่าสองศิษย์อาจารย์นี่หนี
ออกจากเมืองหลวงมาได้แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าพวก
เขาหนีออกจากเมืองมาได้อย่างไร
“ไปจัดการศพให้เรียบร้อยก่อน” ชิวเฉียนอี๋พูด
อาเหน่ายิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์ ที่นี่น่าจะมีหมาป่า
ออกมา พวกมันต้องออกมาหาอาหารช่วงหน้าหนาว
ศพพวกนี้น่าจะให้พวกมันหายหิวได้ ใช้ผงสลายศพ
กับพวกนี้ มันไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่”
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “สั่งให้เจ้าไปก็ไป อย่าพูดมาก”
อาเหน่าเหมือนจะกลัวชิวเฉียนอี๋มาก ได้ยินเสียงนาง
เดินออกไป ไม่นาน ก็กลับมา
ฉีหนิงได้กลิ่นของเนื้อย่าง ก็ได้ยินอาเหน่าพูดว่า
“อาจารย์ เนื้อพวกนี้ต้มเสร็จแล้ว น่าจะรสชาติไม่เลว
...ท่านว่าหากเป็นเนื้อคนต้มจะหอมแบบนี้หรือไม่?”
ชิวเฉียนอี๋ไม่ตอบ แล้วถามว่า “ใครสั่งให้เจ้ามาเมือง
หลวงโดยพลกาล?” น้ำเสียงของเขาดุมาก
อาเหน่าหัวเราะแล้วพูดว่า “อาจารย์ ท่านกำลังต่อว่า
อาเหน่าหรือ? ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าอยากให้อาเห
น่าฝึกให้มาก ดังนั้น...”
“เจ้าออกมาจากชายแดนเผ่าเหมียวตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ชิวเฉียนอี๋พดู “เจ้าอยู่ที่พื้นที่ของชาวเหมียวไม่มีใคร
กล้าหาเรื่องเจ้า แต่ว่าเมื่อออกมาจากที่นั่นแล้ว เจ้า
คิดหรือว่าจะไม่มีใครกล้าหาเรื่องเจ้าอีก? ครั้งนี้เจ้าก่อ
เรื่องใหญ่ให้แล้ว ดูสิว่าเจ้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
“มีอาจารย์หนุนหลังข้า อาเหน่าไม่กลัว” อาเหน่าพูด
อย่างไม่พอใจ “อาจารย์ เหตุใดท่านถึงได้มาเมือง
หลวงเล่า? จริงสิ ข้าช่วยท่านสร้างผลงานด้วยนะ”
“ผลงาน?”
อาเหน่ายิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์อยากได้ [ตำรา
สมุนไพรร้อยตำรับ] ไม่ใช่หรือ? ข้าเจอร่องรอยของตา
เฒ่าหลีแล้ว อีกทั้งอีกนิดเดียวข้าก็จะได้ [ตำรา
สมุนไพรร้อยตำรับ] มาในมือแล้ว”
ชิวเฉียนอี๋พูดว่า “เจ้าเจอเขาหรือ?”
“ไม่ได้เจอ” อาเหน่าพูดว่า “แต่ว่าข้าเจอถังนั่ว ตอนนี้
ถังนั่วก็อยู่ในเมืองหลวง [ตำราสมุนไพรร้อยตำรับ]
ต้องอยู่ในมือของนางแน่”
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “[ตำราสมุนไพรร้อยตำรับ] ลึกล้ำ
มาก ถังนั่วฝีมือยังไม่ถึง หลีซีกงอาจจะเคยพูดกับนาง
บ้าง แต่ไม่มีทางยกมันให้นาง” เขาหยุดไป แล้วพูด
ขึ้นมาอย่างดุดันว่า “เจ้ารู้สำนึกบ้างหรือไม่?”
“หะ?” อาเหน่าเหมือนงุนงง “อาจารย์ ท่านเป็นอะไร
ไป?”
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “เจ้าขโมยหนอนจินกู่มาใช่หรือไม่?
เจ้าบังอาจมากนะ เจ้าอย่าลืมนะ ตอนนั้นที่ข้ารับเจ้า
เป็นศิษย์ เคยพูดเอาไว้แล้วว่า ชีวิตของเจ้าเป็นของข้า
เจ้ากล้าขโมยหนอนจินกู่ เจ้าอยากตายใช่หรือไม่?”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง “เพี๊ยะ” ฉีหนิงกำลังแปลกใจ
ก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของอาเหน่า ในใจ
ก็คิดว่าชิวเฉียนอี๋น่าจะลงมือกับอาเหน่าแล้ว
“อาจารย์...ท่านจะฆ่าข้าจริงๆ หรือ?” เสียงของอาเห
น่าไม่ได้หวาดกลัว แต่กลับมีเสียงตำหนิ “วรยุทธ์ของ
ข้าสู้ท่านไม่ได้อยู่แล้ว ท่านอยากฆ่าข้าก็เชิญเลย”
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “เจ้าใช้หนอนจินกู่วางยาพิษในเมือง
หลวง เจ้าคิดถึงผลที่จะตามมาบ้างหรือไม่?”
“ข้าวางยาพิษ?” อาเหน่ารีบอธิบายว่า “ใครบอกว่า
ข้าเป็นคนวางยาพิษ? อาจารย์ ท่านหมายถึงพิษ
ระบาดในเมืองหลวงหรือไม่? นั่น...นั่นท่านเป็นคนทำ
ไม่ใช่หรือ?”
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “หากข้าเป็นคนวางยา คนในเมือง
หลวงคงตายไปหมดแล้ว”
ฉีหนิงได้ยินเต็มสองหู ในใจก็ตกใจ เขาฟังจากคำของ
ศิษย์อาจารย์คู่นี้แล้ว เหมือนทั้งคู่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นคน
วางยาพิษ ถ้าอย่างนั้น พิษระบาดในเมืองหลวงครั้งนี้
ก็ไม่เกี่ยวข้องกับสองคนนี้อย่างนั้นน่ะสิ?
“แต่ว่าพิษระบาดในเมืองหลวงมีพิษไข่ผสมอยู่นะ”
อาเหน่าพูดว่า “แต่ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้เป็นคนวางยา
ในใต้หล้านี้ นอกจากอาจารย์แล้ว จะมีใครวางยาพิษ
แบบนี้ได้อีกเล่า?”
ชิวเฉียนอี๋ไม่พูดอะไร
ฉีหนิงกำลังคิดว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ทันใดนั้นเองก็ได้
ยินเหมือนเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นก็เห็นแสง
สว่างแยงตา ใบหน้าสวยๆ ของอาเหน่าอยู่ตรงหน้า
เขา
พูดจากใจเลย ใบหน้าของอาเหน่านั้นสวยมาก ผิวก็
ขาวเนียน ถือเป็นเด็กสาวที่สวยมากทีเดียว แต่ฉีหนิง
เห็นใบหน้าสวยๆของนางแล้ว กลับรู้สึกตรงกันข้าม
ตอนนี้เขานอนกองอยู่ที่พื้น อาเหน่านั่งยองๆ อยู่
ข้างๆ ในมือของนางถือมีดสั้นของเขาอยู่
อาเหน่ายิ้มหวาน มองมาที่เขาอย่างได้ใจ ฉีหนิงไม่
อยากมองนางเลย เขามองไปรอบๆ มันเป็นบ้านไม้
หลังหนึ่ง ภายในมีกองไฟกองหนึ่ง ด้านบนมีหม้อ
แขวนอยู่ ภายในมีกลิ่นเนื้อต้มสุกลอยออกมา
ที่มุมบ้านไม้ มีหนังสัตว์ปูอยู่ที่พื้น เหมือนน่าจะเป็นที่
นอน นอกจากนั้นก็มีอุปกรณ์ล่าสัตว์ต่างๆ แขวนอยู่
เต็มผนัง
ริมกองไฟ ชายชุดดำนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนกำลังคิด
อะไรอยู่ ตอนที่ฉีหนิงเห็นเขาที่จวนเสินโหว เขาปิด
หน้าปิดตา แต่ในตอนนี้เขาถอดผ้าที่ปิดเอาไว้ออก
แล้ว ทำให้เห็นใบหน้าของชิวเฉียนอี๋ชัดแล้ว
หน้าตาของราชาพิษจิ่วซีพิเศษนัก ผิวของเขาออกไป
ทางเหลือง เหมือนใบหน้าทาขมิ้นเอาไว้ หนวดเคราสี
ขาว ใบหน้าซูบเรียว สายตาดูลึกซึ้ง เหมือนคนผิวหุ้ม
กระดูก ดวงตากลวงโบ๋อย่างบอกไม่ถูก
เขาจ้องไปที่กองไฟ ไม่ได้สนใจอะไร เหมือนกำลังคิด
อะไรอยู่
อาเหน่าถือมีดสั้น แล้วลูบไปลูบมาตรงหน้าของฉีหนิง
นางหัวเราะแล้วพูดว่า “มีดสั้นของเจ้าเล่มนี้คมนัก ข้า
ชอบมาก เจ้าให้ข้าได้หรือไม่?”
ฉีหนิงขี้เกลียดจะสนใจนาง ไม่แม้แต่จะมองนางด้วย
อาเหน่าเห็นฉีหนิงไม่ได้สนใจ ก็ยื่นมือไปดึงหูของฉี
หนิง แล้วพูดว่า “หากเจ้ายังไม่สนใจข้าอีก ข้าจะตัดหู
เจ้าดีหรือไม่?”
ฉีหนิงรู้ว่าปีศาจน้อยนี่นิสัยโหดเหี้ยม ในเมื่อนางพูด
แบบนี้ ก็ทำได้แน่นอน เขาพูดว่า “พูดอะไร?
หมายถึงพวกเจ้ากำลังจะเดือดร้อนน่ะหรือ?”
“โอ้โห น่ากลัวจังเลย” ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
คิดว่าข้าจะกลัวหรือ? กำลังจะเดือดร้อน? หากตอนนี้
ข้าเฉือนเนื้อเจ้าออกมา เจ้านั่นแหละที่กำลังจะ
เดือดร้อน”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองดูสิ” ฉีหนิงพูด
ปีศาจน้อยเห็นฉีหนิงไม่กลัว นางส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“เล่นกับเจ้าไม่สนุกเลย ต่อให้เจ้าไม่กลัวสักนิด แกล้ง
กลัวหน่อยก็ไม่ได้” นางลุกขึ้นมา แล้วเดินไปข้างๆ
ฉีหนิงมองไป ตรงเท้าของเขามีกระสอบทรายอีกถุง
หนึ่ง ภายในนั้นก็น่าจะเป็นคน หากไม่มีอะไร
ผิดพลาด ก็น่าจะเป็นซีเหมินจั้นอิง
อาเหน่าใช้มีดสั้นเปิดปากถุงออก จากนั้นก็ลากคนข้าง
ในออกมา เป็นซีเหมินจั้นอิงจริงๆ
ซีเหมินจั้นอิงตอนนี้ลืมตาขึ้นมาแล้ว แต่ร่างกายของ
นางขยับไม่ได้ แต่นางไม่เหมือนฉีหนิง ปากของซีเห
มินจั้นอิงเหมือนมีอะไรยัดเอาไว้ ทำให้นางไม่สามารถ
พูดอะไรได้
อาเหน่านั่งยองๆ ตรงหน้าของซีเหมินจั้นอิง แล้วก็
แกว่งมีดสั้นไปมา นางมองไปที่หน้าของซีเหมินจั้นอิง
ยิ้มหวานแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทันได้ดูดีดี เจ้า
เองก็หน้าตาใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย นี่ ข้าถามเจ้า
หน่อย เหตุใดตอนที่เจ้าอยู่ที่จวนเสินโหว ต้องดุขนาด
นั้นด้วย เหตุใดกล้าลอบทำร้ายอาจารย์ของข้า?” นาง
กระพริบตา แล้วพูดว่า “อ๋อ ข้ารู้แล้ว โหวเยว่นั่นเป็น
ชายที่เจ้าหมายปองใช่หรือไม่ เจ้าเห็นข้าจับตัวเขา
เอาไว้ ในใจคงร้อนใจมาก ดังนั้นก็เลยอยากจะช่วย
เขา ข้าเดาถูกใช่หรือไม่?”
ท่าทางได้ใจแบบนั้น เหมือนคนชั่วร้ายจริงๆ
ซีเหมินจั้นอิงสีหน้าเหมือนจะโกรธมาก สายตาของ
นางเย็นชา เหมือนคิดอยากจะฆ่าอาเหน่าให้ตาย
อาเหน่าเห็นซีเหมินจั้นอิงโกรธมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้ามองข้าแบบนี้ทำไม? อยากจะกัดข้าหรือ?
อาจารย์ข้าเป็นถึงราชาพิษจิ่วซีนะ ทั่วทั้งตัวมีแต่พิษ
ข้าเป็นราชาพิษน้อย ร่างกายของข้าก็มีแต่พิษ หาก
เจ้ากัดข้า เจ้าก็จะตาย เจ้าไม่กลัวหรือ?”
ซีเหมินจั้นอิงส่งเสียงร้องอู้อี้อยู่ในลำคอ แต่เพราะว่า
ถูกเอาของยัดปากเอาไว้ พูดอะไรไม่ออกมีแต่เสียง
เท่านั้น อีกทั้งร่างกายก็เหมือนฉีหนิงขยับไม่ได้ ขยับ
ได้แค่หัว
“เจ้าว่าอะไรนะ ข้าฟังไม่เข้าใจเลย” อาเหน่าได้ใจ
มาก นางยื่นมือไปลูบใบหน้าของซีเหมินจั้นอิง แล้ว
ยิ้ม “ผิวหน้าเจ้าเนียนจังเลย นี่ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้า
กับโหวเย่นั่นเป็นผัวเมียกันหรือ? เจ้าชอบเขาก่อน
หรือว่าเขาชอบเจ้าก่อน?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าปีศาจน้อยนี่เพิ่งจะอายุเท่าไหร่กัน ใจ
คอโหดเหี้ยม แม้แต่เรื่องระหว่างชายหญิงก็เหมือน
รู้จักอย่างดี
“เจ้าไม่พูดข้าก็รู้” อาเหน่าใช้นิ้วลูบไปลูบมาที่หน้า
ของซีเหมินจั้นอิง ยิ้มแล้วพูดว่า “เขาจะต้องชอบเจ้า
ก่อนแน่ๆ เจ้าหน้าตาดีขนาดนี้ โหวเยว่ผู้นั้นเจ้าชู้จะ
ตายไป เขาถูกใจรูปร่างของเจ้า เจ้าเห็นเขาเป็น
โหวเยว่ ก็เลยตกลงปลงใจกับเขา ข้าพูดถูกใช่
หรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงฟังปีศาจน้อยยิ่งพูดยิ่งเลยเถิดไปกันใหญ่
ยิ่งพยายามจะขยับตัว เห็นซีเหมินจั้นอิงดวงตาแดงก่ำ
ด้วยความโกรธ นางก็ยิ่งชอบใจ แล้วพูดอีกว่า “ข้า
เดาถูกล่ะสิ เลยร้อนใจขนาดนี้ใช่หรือไม่? ข้ารู้ทุก
อย่าง พวกเจ้าปิดข้าไม่ได้หรอก” นางหันไปหาฉีหนิง
แล้วถามว่า “นี่ เจ้าเคยเห็นนางถอดเสื้อผ้าหรือไม่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 251 ภัยกำลังจะถึงตัว
ซีเหมินจั้นอิงหน้าถอดสี สายตาของนางมีความตกใจ
เป็นอย่างมาก
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าปีศาจน้อยผู้นี้เรื่องอะไรก็
กล้าทำ ถามมาแบบนี้ แสดงว่าคิดอะไรไม่ดีอยู่แน่ เขา
พูดว่า “อาเหน่า เจ้าอย่าทำอะไรเหลวไหลนะ”
อาเหน่าหันไปมองแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็บอก
ข้าสิ เจ้าเคยเห็นนางถอดเสื้อผ้าหรือไม่?”
“เจ้าอายุเท่าไหร่กัน เหตุใดถึงไม่มียางอายเช่นนี้” ฉี
หนิงอดไม่ได้ที่จะด่านางออกไป “นางจะถอดเสื้อผ้า
หรือไม่ ข้าจะเคยเห็นหรือไม่ มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า
ด้วย?”
อาเหน่ายิ้มแล้วพูดว่า “เกี่ยวสิ พวกเจ้าสองคนเป็น
นักโทษของข้า ก็ถือเป็นทาสของข้าด้วย ต้องเชื่อฟัง
คำสั่งของข้า ข้าสั่งให้พวกเจ้าทำอะไร ก็ต้องทำ
ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาพวกเจ้าไปปล่อยให้หมาป่ากิน”
คิดแล้วก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ดีกว่า เอาตัวกลับไป
เป็นอาหารของเจ้ามังกรน้อยดีกว่า”
ฉีหนิงไม่รู้ว่ามังกรน้อยที่อาเหน่าพูดมานั้นมันคืออะไร
แต่รู้ว่าต้องไม่ใช่ของดีแน่นอน เขาเลยไม่สนใจนาง
อาเหน่าเห็นฉีหนิงไม่พูด ก็ลากซีเหมินจั้นอิงขึ้นมานั่ง
พิงกับกำแพง ซีเหมินจั้นอิงนั่งพิงกำแพง นางยิ้มแล้ว
พูดกับซีเหมินจั้นอิงว่า “เจ้าว่าข้าดีกับเจ้าหรือไม่?
เจ้าควรจะขอบคุณข้าหรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกโกรธมาก หันหน้าหนีไป ไม่สนใจ
นาง
อาเหน่ายิ้มหวาน เห็นซีเหมินจั้นอิงไม่มีปฏิกิริยาอะไร
ก็พูดว่า “เจ้านี่ไม่รู้สำนึกเอาเสียเลย” นางถือมีดยื่น
มือไปที่หน้าอกของซีเหมินจั้นอิง
ฉีหนิงตกใจมาก เขาตะโกนออกไปว่า “หยุดนะ”
อาเหน่าถือมีดสั้นไว้ในมือจิ้มไปที่หน้าอกของซีเห
มินจั้นอิง แล้วหันหน้ามา ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ากลัวข้า
ฆ่านางหรือ? อย่ากังวลไปเลย ข้ายังเล่นสนุกไม่พอ ไม่
ฆ่านางตอนนี้หรอก” จากนั้นนางก็กรีดเสื้อของซีเห
มินจั้นอิง ซีเหมินจั้นอิงหน้าถอดสี คิดอยากจะดิ้น แต่
ก็ขยับไม่ได้ ในใจได้แต่ร้องอู้อี้อยู่ในลำคอ
อาเหน่าหัวเราะตลอดเวลา ในขณะที่นางกรีดเสื้อของ
ซีเหมินจั้นอิงออก แล้วยื่นมือไปดึงเสื้อลง ไหล่ขาว
นวลของนางโผล่ออกมา ซีเหมินจั้นอิงน้ำตาไหล
ออกมาทันที
อาเหน่าดึงเสื้อลงอีก จนมองเห็นชุดชั้นในสีชมพูของซี
เหมินจั้นอิง หน้าอกของนางยื่นออกมาอย่างเด่นชัด
อาเหน่าก้มหน้าไปมองหน้าอกของตัวเอง แล้วมองไป
ที่หน้าอกของซีเหมินจั้นอิง แล้วถามอย่างจริงจังว่า
“เหตุใดของเจ้าถึงได้ใหญ่แบบนี้เล่า? ใหญ่กว่าของข้า
ตั้งเยอะ?” นางคิดที่จะยื่นมือออกไปจับหน้าอกของซี
เหมินจั้นอิง
ฉีหนิงรู้ว่าซีเหมินจั้นอิงเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ ซึ่งให้
ความสำคัญเรื่องพวกนี้มาก อาเหน่าเกิดและโตมาที่
ชายแดนเผ่าเหมียวอาจจะไม่ได้เห็นเรื่องนี้สำคัญ
เท่าไหร่ แต่ว่าซีเหมินจั้นอิงไม่ใช่ เรื่องแบบนีน้ างต้อง
เห็นว่ามันเป็นเรื่องถึงตายได้
“อาเหน่า หยุดนะ” ฉีหนิงตะคอก สีหน้าเต็มไปด้วย
ความโกรธ “หากเจ้าจะเล่น มาเล่นกับข้า อย่าไปแตะ
ต้องนาง”
นิสัยของอาเหน่านั้นหากห้ามนางทำอะไรนางก็จะทำ
เห็นฉีหนิงปกป้องซีเหมินจั้นอิง ก็รู้ว่านี่คือจุดอ่อนของ
ฉีหนิง นางไม่มีทางปล่อยไปแน่นอน อีกทั้งยังทำมาก
ขึ้นไปอีก นางดึงเสื้อของซีเหมินจั้นอิงลงไปถึงเอว ทำ
ให้บนตัวของนางเหลือแค่ชุดชั้นในเท่านั้น
ตอนนี้เนื้อหนังของซีเหมินจั้นอิงโผล่ออกมามากมาย
ผิวของนางทั้งขาวทั้งเนียน ใต้ชุดชั้นในนั่น มันขาวจน
สะดุดตา
ฉีหนิงเห็นซีเหมินจั้นอิงน้ำตาไหล ก็รู้ว่านางถูกหยาม
เกียรติมากแล้ว ในใจก็คิดว่าปีศาจน้อยนี่คงไม่ยอมรา
มือแน่นอน เลยหันไปทางชิวเฉียนอี๋ เห็นเฒ่าพิษยังคง
นั่งมองกองไฟอยู่เช่นเดิม เหมือนกำลังคิดหนักเรื่อง
อะไรอยู่ เขาไม่รู้เลยว่าอาเหน่ากำลังทำอะไรอยู่
“ชิวเฉียนอี๋ เจ้าสั่งสอนลูกศิษย์เจ้าแบบนี้หรือ?” ฉี
หนิงตะคอกใส่ชิวเฉียนอี๋ “เจ้าไม่คิดจะจัดการอะไร
หน่อยหรือ?”
เขาตะคอกออกไปแรงมาก ทำให้แม้แต่อาเหน่าก็
ตกใจ ชิวเฉียนอี๋หันหน้ามา แล้วจ้องมาที่ฉีหนิง
ฉีหนิงเห็นสายตาของเฒ่าพิษไม่ได้เป็นมิตร ก็พูดว่า
“ชิวเฉียนอี๋ ตอนที่ออกมาจากจวนเสินโหว เจ้าบอก
เองว่า หากเจ้าปลอดภัยแล้ว เจ้าจะปล่อยพวกเรา
กลับไปอย่างปลอดภัย หรือว่าเจ้าคิดจะผิดคำพูด?”
ชิวเฉียนอี๋ยิ้มแปลกๆ แล้วพูดว่า “ข้ารับปากว่าจะ
ปล่อยพวกเจ้ากลับไป แต่ไม่ได้รับปากว่าจะดูแลพวก
เจ้าอย่างดี”
“เจ้าน่าจะรู้ความหมายของคำว่าปลอดภัยนะ นั่นก็
หมายความว่าพวกเราต้องรอดกลับไป” ฉีหนิงพูดว่า
“ศิษย์ของเจ้าทำเรื่องแบบนี้ หยามเกียรติของผู้หญิง
คนหนึ่งมากขนาดนี้ คิดว่าจะกลับไปได้อย่างปลอดภัย
อย่างนั้นหรือ?”
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้า แต่ข้าไม่สามารถ
ห้ามไม่ให้พวกเจ้าฆ่าตัวตาย”
ฉีหนิงโกรธมากจึงพูดว่า “ชิวเฉียนอี๋ เจ้าได้ชื่อว่าเป็น
ราชาพิษ ในยุทธภพเองก็ถือว่ามีชื่อเสียงมาก แต่กลับ
ไม่ต่างอะไรกับคนชั้นต่ำเลย”
“คนชั้นต่ำ?” ชิวเฉียนอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “หรือว่าเจ้าคิด
ว่าข้าจะสามารถเป็นสุภาพบุรุษได้อย่างนั้นหรือ? ใน
ใต้หล้านี้ผู้ชายเป็นโจรผู้หญิงเป็นนางโลม ข้าเกลียด
พวกสุภาพบุรุษที่สุด คนต่ำช้าเป็นอะไรที่ข้าชอบ
มาก” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าข้าต่ำช้า
หมายความว่าอย่างไร?”
ฉีหนิงพูดว่า “เดิมทีท่านบุกเข้าไปในจวนเสินโหวคน
เดียว ข้ายังแอบชื่นชมนับถือท่านไม่น้อย เพราะในใต้
หล้านี้ คนที่กล้าบุกจวนเสินโหวได้แบบนี้ คงไม่ใช่คน
ธรรมดา แต่ว่าท่านเป็นถึงราชาพิษ กลับรังแกผู้หญิง
ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง มันทำให้คนอื่นดูถูกท่าน”
ชิวเฉียนอี๋ได้ยินฉีหนิงชมตัวเอง สายตาเหมือนจะได้ใจ
และดีใจขึ้นมา แต่น้ำเสียงยังคงเรียบๆ เหมือนเดิม
“รังแกผู้หญิง? ข้ารังแกผู้หญิงตอนไหน?”
ลูกศิษย์ของเจ้าตั้งใจทำ มันต่างอะไรกับที่เจ้าทำกัน?
ฉีหนิงพูดว่า “ชื่อของราชาพิษเกรียงไกรเพียงใด แต่
กลับรังแกได้แม้แต่ผู้หญิง หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่รู้
ชาวยุทธ์จะมองท่านอย่างไร”
ชิวเฉียนอี๋ขมวดคิ้ว แล้วเหลือบไปมองอาเหน่า เห็นอา
เหน่าดึงเสื้อของซีเหมินจั้นอิงลงมาจนเห็นผิวขาวๆ
ของนาง ก็ตะคอกว่า “คลุมเสื้อให้นางเดี๋ยวนี้”
อาเหน่ารีบพูดว่า “อาจารย์ ท่านฟังเขาทำไมกัน?”
“อย่าพูดมาก” ชิวเฉียนอี๋ไม่สนใจในคำพูดของอาเห
น่า แล้วพูดอย่างไม่เกรงใจกับนางว่า “ข้าจะเตือนเจ้า
เป็นครั้งสุดท้าย ข้าสั่งให้เจ้าทำอะไร อย่าได้เถียงอีก
ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
ถึงอย่างไรอาเหน่าก็ยังคงกลัวชิวเฉียนอี๋อยู่ นางจ้อง
ไปที่ฉีหนิงด้วยความโกรธ จากนั้นก็ดึงเสื้อขึ้นมาให้
ซีเหมินจั้นอิง แต่ก็ยังไม่สามารถปกปิดได้เหมือนเดิม
“ไม่เสียแรงที่เป็นถึงราชาพิษ” ฉีหนิงรู้สึกว่าเหมือน
ราชาพิษจิ่วซีจะบ้าการเยินยอมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ราชาพิษ พวกเจ้าเองก็ออกจากเมืองหลวงมามาก
แล้ว ปล่อยพวกข้าไปดีหรือไม่? ขอพูดอะไรสักคำได้
หรือไม่ ท่านอย่าว่าข้าเลยนะ หากท่านจับพวกข้าไว้
แบบนี้ไม่ยอมปล่อย คนของจวนเสินโหวคงคิดว่าท่าน
กลัวพวกเขาแน่ ดังนั้นถึงได้จับพวกข้าเป็นตัวประกัน
ไว้ไม่ยอมปล่อยเช่นนี้”
ชิวเฉียนอี๋ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง ฉีหนิง
เหมือนจะเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“อย่าคิดว่าเจ้าฉลาด” ชิวเฉียนอี๋พูดว่า “หลายคนที่
อวดฉลาดต่อหน้าข้า คิดว่าจะหลอกข้าได้ แต่ว่า
สุดท้ายพวกมันก็กลายเป็นผงกระดูกไปหมดแล้ว”
เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมา แล้วเดินไปหาฉีหนิง แล้วมองเขา
“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า ข้าอาจจะลองคิดดูว่าจะปล่อย
เจ้าไปดีหรือไม่”
“ราชาพิษต้องการจะถามอะไรข้า?”
ชิวเฉียนอี๋คิดแล้วพูดว่า “เหตุใดจวนเสินโหวต้องจับ
ตัวอาเหน่าด้วย? หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าพิษระบาดใน
เมืองหลวงเกี่ยวข้องกับอาเหน่า?”
“หรือว่ามันม่ได้เกี่ยวข้องกับท่านหรือ?” ฉีหนิงพูด
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “ข้ากำลังถามเจ้า เจ้าตอบมาก็
พอแล้ว”
ฉีหนิงไม่ได้ตอบ เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ราชาพิษ
ภัยกำลังจะมาถึงตัวพวกเจ้าแล้ว เจ้ากลับ...”
“ภัยกำลังจะมา?” ชิวเฉียนอี๋ “ในชีวิตข้า เจอภัยร้าย
มาก็มาก แต่ว่าสุดท้ายแล้วภัยที่ว่าก็เป็นฝ่ายตรงข้าม
มากกว่า”
“ราชาพิษ ข้าขอถามท่านสักคำ หากราชสำนักส่ง
ทหารมา แล้วมีพรรคในยุทธภพช่วยเหลือ ไปกวาด
ล้างพรรคบัวดำของท่าน ไม่ทราบว่าราชาพิษเช่นท่าน
คิดว่านี่ถือเป็นภัยร้ายที่กำลังจะมาถึงหรือไม่?” ฉีหนิง
พูดว่า “ราชาพิษท่านเป็นคนของพรรคบัวดำ การ
กวาดล้างพรรคบัวดำ ท่านเองก็หนีไม่พ้น”
ฉีหนิงเห็นสายตาที่แปลกไปของชิวเฉียนอี๋ เห็นชิ
วเฉียนอี๋นั่งยองๆ ลงมา แล้วถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?
ราชสำนักจะส่งทหารมา?”
ฉีหนิงหลับตา แล้วพูดว่า “ดูท่าราชาพิษจะยังไม่รู้ผล
ที่ตามมา เลยยังทำตัวสบายๆ แบบนี้สินะ”
ฉีหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา แล้วพูดว่า “ราชาพิษ ท่าน
อยากจะคุยกับข้า คงไม่คิดจะให้ข้านอนคุยแบบนี้ไป
ตลอดหรอกกระมัง? ท่านสกัดจุดข้า ทำให้ข้าขยับตัว
ไม่ได้ คงไม่ได้กลัวข้าหรอกใช่หรือไม่?”
“สกัดจุดเจ้า?” ชิวเฉียนอี๋ ยื่นนิ้วไปที่จมูกฉีหนิง ฉี
หนิงได้กลิ่นฉุนมากมาจากนิ้วของชิวเฉียนอี๋ กลิ่นมัน
เหม็นจนทรมานมาก จากนั้นเขาก็จามออกมา
จากนั้นก็รีบยกมือขึ้นถูจมูก ทันใดนั้นเองเขาถึงได้
พบว่า เขาขยับตัวได้แล้ว
เขาเข้าใจในทันทีว่า เขาไม่ได้ถูกสกัดจุด แต่ว่าถูกพิษ
ทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้ กลิ่นที่ปลายนิ้วของชิ
วเฉียนอี๋ มันคือยาถอนพิษ คิดในใจว่าตาเฒ่าพิษผู้นี้
ลูกไม้เยอะจริงๆ เขาลองขยับร่างกายส่วนอื่นดู ก็
ฟื้นฟูจนหมดแล้ว
เขาลุกขึ้นนั่ง ถึงแม้จะขยับตัวได้แล้ว แต่เพราะว่า
เวลานานเกินไปทำให้ตัวชา เขายกมือคำนับแล้วพูด
ว่า “ราชาพิษร้ายกาจมาก”
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “อย่าพูดมาก เจ้าบอกว่า ราชสำนัก
จะส่งทหารมาอย่างนั้นหรือ? ยังมีอีก เจ้าบอกว่าใน
ยุทธภพก็จะช่วยด้วย แล้วมีพรรคใดบ้าง?”
“พรรคใดบ้าง?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ราชาพิษ เกรง
ว่าแค่พรรคกระยาจกพรรคเดียว ก็สามารถทำให้
พรรคล่มบัวดำสลายไม่เป็นท่าแล้วกระมัง”
“พรรคกระยาจก?” ชิวเฉียนอี๋ยิ้มแห้ง “เจ้าคิดว่า
พรรคบัวดำกลัวพรรคกระยาจกอย่างนั้นหรือ? น่าขำ
นัก หากพรรคกระยาจกกล้าเป็นศัตรูกับพวกเรา ท่าน
ประมุขจะต้องให้พรรคกระยาจกล่มสลายไม่เป็นท่า
แน่นอน”
“หากกล้าเป็นศัตรู?” ฉีหนิงพูดว่า “พรรคกระยาจก
ไม่ใช่เป็นศัตรูกับพวกเจ้าแล้วหรือ? พวกเจ้าวางยาพิษ
พวกเขาตายไปหลายคน เจ้าคิดว่าพรรคกระยาจกจะ
ยอมเลิกราหรือ? ในเมืองหลวงคนตายไปมากมาย
ท่านคิดว่าราชสำนักจะปล่อยพวกท่านไปหรือ? ราชา
พิษ ข้าบอกท่านตามตรง ในราชสำนักมีคนเริ่ม
วางแผนกวาดล้างพรรคบัวดำแล้ว หากท่านคิดว่านี่
ไม่ใช่ภัยกำลังจะมาถึง ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูด”
ชิวเฉียนอี๋สายตาดุดันขึ้นมา เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“เจ้าผิดแล้ว พิษระบาดในเมืองหลวง ล้วนไม่มีความ
เกี่ยวข้องกับพวกข้า มีคนคิดจะยืมมือของพวกข้าฆ่า
คนแล้วล่ะ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 252 หลุมพราง
ฉีหนิงลุกขึ้นยืน เขาไม่ได้พูดอะไร แต่เดินตรงไปหาซี
เหมินจั้นอิง อาเหน่าคิดจะขวางเอาไว้ แต่ฉีหนิงจ้อง
เขม็งไปที่นาง สายตาของเขาเหมือนคมหอกคมดาบ
อาเหน่าถูกจ้องเขม็งแบบนั้น ก็เลยไม่ได้ขวางเอาไว้
ฉีหนิงเดินไปหาซีเหมินจั้นอิง เห็นผิวขาวนวลของ
นางกก็ขนลุกซู่ไปหมด ในใจก็รู้ว่าถึงแม้ภายในห้องจะ
ก่อกองไฟเอาไว้ แต่เพราะว่าเป็นฤดูหนาว ผิวหนังไม่
มีอะไรห่อหุ้มแบบนี้ ต่อให้ร่างกายจะเป็นเหล็กก็
หนาวอยู่ดี อย่าว่าแต่ซีเหมินจั้นอิงเลย เห็นเสื้อผ้าของ
นางขาดหลุดรุ่ยเพราะอาเหน่าถูกกรีดจนขาด เขาทำ
ได้แค่ถอดเสื้อนอกของเขา คลุมให้กับซีเหมินจั้นอิง
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกแปลกใจมาก นางเงยหน้ามองฉีหนิง
สายตาของนางแดงก่ำ ใบหน้าของนางมีคราบน้ำตาที่
ยังไม่แห้ง เห็นฉีหนิงยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน รอยยิ้ม
แบบนี้ซีเหมินจั้นอิงไม่เคยเห็นจากฉีหนิงมาก่อน ไม่รู้
เพราะเหตุใด ตอนนี้พอนางเห็นฉีหนิงอยู่ข้างๆ กลับ
รู้สึกอุ่นใจแปลกๆ
ฉีหนิงคลุมเสื้อให้ซีเหมินจั้นอิงแล้ว ก็หันหลังไปพูดว่า
“ราชาพิษ เอาอย่างนี้ได้หรือไม่ ถึงอย่างไรผู้หญิงคนนี้
ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เป็นแค่เจ้าหน้าที่เล็กๆ ใน
จวนเสินโหวเท่านั้น ต่อให้ท่านเก็บนางเอาไว้ จวนเสิน
โหวก็ไม่ได้ใส่ใจหรอก พวกเขาให้ความสำคัญกับข้า
มากกว่า มีข้าเป็นตัวประกัน เป็นเพราะข้า พวกเจ้า
ศิษย์กับอาจารย์ต้องปลอดภัยแน่นอน”
ชิวเฉียนอี๋หันหน้ามา แค่ยิ้มแปลกๆ
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าลองดู ผู้หญิงคนนี้ไม่มี
สมอง วรยุทธ์ก็ไม่ดี ทั้งโง่ทั้งเซ่อซ่า มีนางไว้ก็เป็น
ภาระเปล่าๆ”
ซีเหมินจั้นอิงได้ยินดังนั้น ก็อดถลึงตาไปที่ฉีหนิงไม่ได้
แต่ว่านางก็รู้ ว่าฉีหนิงตั้งใจพูดแบบนี้ เพื่อให้ชิวเฉียน
อี๋ปล่อยนางไป
ก่อนหน้านี้นางรู้สึกรังเกียจฉีหนิง แต่ว่าในตอนนี้นาง
รู้สึกว่ามองเขาแล้วรู้สึกดีมากขึ้น
อาเหน่าไม่รอชิวเฉียนอี๋พูดอะไร ก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“อาจารย์ เขาบอกว่าผู้หญิงคนนี้ทั้งโง่ทั้งเซ่อซ่า จวน
เสินโหวไม่สนใจนาง ข้าว่าก็พอมีเหตุผลอยู่ ในเมื่อ
จวนเสินโหวไม่สนใจนางแล้ว พวกเราเก็บนางไว้ก็เป็น
ภาระอยู่ดีถ้าอย่างนั้น...” นางหัวเราะแล้วพูดว่า “ถ้า
อย่างนั้นพวกเราฆ่านางทิ้ง แล้วใช้ผงสลายกระดูกกับ
นางดีหรือไม่?”
ฉีหนิงตกใจ ชิวเฉียนอี๋พูดว่า “เมื่อถึงเวลาต้องปล่อย
ข้าก็จะปล่อย” เขายกมือกวักฉีหนิงแล้วพูดว่า “เจ้า
มานี่”
ฉีหนิงตบไปที่บ่าของซีเหมินจั้นอิงเบาๆ เพื่อปลอบ
นาง แล้วเดินไปนั่งตรงข้ามชิวเฉียนอี๋
“ข้ากับเจ้ายังคุยกันไม่จบ” ชิวเฉียนอี๋จ้องไปที่ฉีหนิง
“เจ้าบอกว่าราชสำนักมีคนเสนอให้กวาดล้างพรรคบัว
ดำ พวกเขาเป็นใคร? ฝ่าบาทหรือ?”
ฉีหนิงส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทไม่มีทางตัดสิน
พระทัยอะไรง่ายๆ แบบนั้น แต่ว่าไหวหนานอ๋องกับ
พวกเสนอให้กวาดล้างพรรคบัวดำ”
เขาคิดในใจว่า พรรคบัวดำลึกลับมาก แม้แต่เฒ่าพิษ
อย่างชิวเฉียนอี๋ก็ยังเป็นคนของพรรคบัวดำเลย
ประมุขของพรรคบัวดำก็เป็นถึงต้าจงซือ ไม่ว่าสุดท้าย
ราชสำนักจะตัดสินใจอย่างไร ต้องทำให้พรรคบัวดำ
เกลียดไหวหนานอ๋องก่อน
“ไหวหนานอ๋อง?” ชิวเฉียนอี๋ขมวดคิ้ว “เขาคิด
อยากจะกวาดล้างพรรคบัวดำมากเลยหรือ?” เขาพูด
ว่า “คิดว่าพวกเขาก็ไม่มีความสามารถแบบนั้น
หรอก”
“ราชาพิษ ข้ามีเรื่องอยากจะขอคำชี้แนะจากท่าน
หน่อย พรรคบัวดำของพวกท่านมีปัญหาหรือ
ความแค้นอะไรกับไหวหนานอ๋องหรือไม่?” ฉีหนิง
ถาม “ไหวหนานอ๋องถวายฎีกาให้ฝ่าบาทเป็นคน
แรกๆ แสดงว่ามีการเตรียมการกวาดล้างพรรคบัวดำ
ไว้อยู่แล้ว”
“ความแค้นหรือ?” ชิวเฉียนอี๋พูดว่า “พรรคบัวดำ
เคลื่อนไหวแค่ในซีชวน อีกทั้งไม่ได้มีปัญหาอะไรกับ
ทางเจ้าหน้าที่ทางการ ไหวหนานอ๋องที่เจ้าพูดถึง
ถึงแม้ข้าจะเคยได้ยินชื่อของเขามาบ้าง แต่ก็ไม่เคย
เจอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความแค้นเลย”
ก่อนที่เรื่องนี้จะมีความชัดเจน ไหวหนานอ๋องก็เสนอ
ให้กวาดล้างพรรคบัวดำ ทำให้ฉีหนิงแปลกใจมาก
หากไหวหนานอ๋องไม่ได้คิดวางแผนอะไรอย่างอื่น ถ้า
อย่างนั้นก็ต้องมีความแค้นอะไรกับพรรคบัวดำ เป็น
ถึงท่านอ๋องแล้วจะมีความแค้นอะไรกับชาวเผ่าเหมียว
กันนะ?
ตอนนี้ได้ยินชิวเฉียนอี๋พดู มาแบบนี้ เขาก็ยิ่งแปลกใจ
“ที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็ยังพอมีโอกาสพลิกแพลงอยู่” ฉี
หนิงถอนหายใจ “แต่ว่า...ราชาพิษ ข้าขอพูดตามตรง
ท่านบุกเข้าจวนเสินโหว เกรงว่าท่านจะทำให้พรรคบัว
ดำเดือดร้อนแล้ว”
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “เจ้าหมายความว่าข้าบุกเข้าจวนเสิน
โหวชิงตัวคนออกมา นั่นเท่ากับยอมรับอย่างนั้น
หรือ?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเฒ่าพิษผู้นี้ก็เข้าใจอะไรง่ายอยู่
เหมือนกัน เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง พิษ
ระบาดในเมืองหลวง คนตายไปไม่น้อย ราชสำนัก
แน่ใจแล้วว่าต้องมีคนวางยา อีกทั้งในยาพิษมี
ส่วนผสมของพิษไข่ ซึ่งมาจากหนอนจินกู่ ราชาพิษ
หนอนจินกู่ท่านเป็นคนเพาะเลี้ยงมาถูกหรือไม่?”
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “ถูกต้อง”
“ราชสำนักพบยาพิษ แล้วก็พุ่งเป้าสงสัยไปที่ราชาพิษ
ที่มาจากพรรคบัวดำ แต่เพราะว่าฝ่าบาททรงพระ
ปรีชา ไม่ได้ตัดสินว่าการเจอพิษไข่จะต้องเป็นฝีมือ
ของพรรคบัวดำ” ฉีหนิงพูดว่า “ไหวหนานอ๋องกับ
พวกคิดอยากจะกำจัดพรรคบัวดำ แต่ว่าก่อนที่จะเจอ
คนร้ายตัวจริง ฝ่าบาทไม่มีทางออกราชโองการง่ายๆ
แน่นอน แต่ว่าพออาเหน่าถูกจับ ท่านกลับบุกเข้าจวน
เสินโหวช่วยคน แม้แต่คนโง่ก็น่าจะดูออกว่าท่านเป็น
คนไปช่วย”
ชิวเฉียนอี๋สีหน้าเปลี่ยนไป แต่ก็ยังคงพูดเรียบๆ
เหมือนเดิมว่า “รู้แล้วจะอย่างไร?”
“หากท่านพูดแบบนี้ ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก” ฉี
หนิงพูดว่า “ทางจวนเสินโหวกำลังสืบว่าพิษในครั้งนี้
เกี่ยวข้องกับทางพรรคบัวดำหรือไม่ แต่ท่านกลับมาใน
เมืองหลวงในเวลานี้ อีกทั้งบุกเข้าไปช่วยคนอีก ตอนนี้
ท่านซีเหมินเสินโหวคงไปรายงานต่อราชสำนักแล้ว
ราชสำนักรู้ว่าท่านบุกไปช่วยอาเหน่า ท่านคิดว่ายังจะ
แค่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำหรือไม่เล่า?”
ชิวเฉียนอี๋ยกมือลูบเครา คิดแล้วพูดว่า “เป็นไปอย่าง
ที่ข้าคิดจริงๆ ซีเหมินอู๋เหิงวางหลุมพรางเอาไว้จริงๆ”
“ซีเหมินอู๋เหิงวางหลุมพรางเอาไว้?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
แล้วพูดอย่างสงสัยว่า “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “เดิมทีข้ายังคิดอยู่ว่าเจ้าพอจะฉลาด
อยู่บ้าง ดูไปแล้วก็โง่เหมือนเดิม” เขาเหลือบไปมองซี
เหมินจั้นอิง แล้วถามว่า “แม่นางคนนั้นเป็นอะไรกับซี
เหมินอู๋เหิง?”
“เป็นอะไร?” ฉีหนิงคิดอยากจะปกปิดฐานะของซีเห
มินจั้นอิง แต่พอได้ยินดังนั้น เขาก็ตกใจ แอบคิดในใจ
ว่าเฒ่าพิษมองออกอยู่แล้ว แต่ก็ยังยิ้มแล้วพูดว่า “ก็
แค่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งในจวนเสินโหว”
ชิวเฉียนอี๋จ้องไปที่ตาของฉีหนิง แล้วพูดว่า “จวนเสิน
โหวมีกฎเข้มงวดมาก จะเข้าจะออกล้วนเป็นระบบ
ระเบียบมาก ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น มีเพียงแค่แม่นางคน
นี้เท่านั้นที่ลงมือโดยพลกาล แค่จุดนี้จุดเดียว ก็รู้แล้ว
ว่านางไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่ธรรมดาทั่วไป” เขามองไปที่
เหมินจั้นอิง เขาไม่ได้สนใจว่าซีเหมินจั้นอิงที่กำลังจ้อง
มาที่เขา ชิวเฉียนอี๋พูดว่า “ใช่ นางคือลูกสาวของซีเห
มินอู๋เหิง”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าเฒ่าพิษผู้นี้ร้ายกาจจริงๆ ยังไม่
ทันจะพูดอะไร ชิวเฉียนอี๋ก็จ้องไปที่ฉีหนิง “เจ้ารู้
หรือไม่ คนของจวนเสินโหวไม่ได้พูดผิด ตั้งแต่จวน
เสินโหวก่อตั้งมา ไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปชิงตัวคน
ออกมา”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ราชาพิษท่านเป็นคนแรกไม่ใช่
หรือ?”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดถึงไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปใน
จวนเสินโหว?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าจวนเสินโหวชื่อเสียงเกรียงไกร คนใน
ยุทธภพไม่มีใครไม่รู้จัก หากจะไปหาเรื่องจวนเสินโหว
คงนอนไม่หลับแน่ เขาแค่ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร
“เจ้าคงดูไม่ออก รูปแบบของจวนเสินโหว มันก่อสร้าง
ตามแบบของค่ายกล” ชิวเฉียนอี๋กล่าว “คนที่ไม่รู้ไม่มี
ทางรู้ถึงความร้ายกาจของมัน แต่ว่าคนที่รู้ ก็จะเห็นว่า
มันเป็นค่ายกลหกแถวหกแนว ต้องการจะเข้าไปจวน
เสินโหว หากไม่รู้เรื่องค่ายกล บุกเข้าไปก็รนหาที่ตาย
ชัดๆ”
ฉีหนิงกับซีเหมินจั้นอิงหน้าถอดสีไป
ฉีหนิงไปจวนเสินโหวมาแล้วหลายครั้งไม่เคยคิดเลยว่า
จวนเสินโหวจะมีรูปแบบเกี่ยวข้องกับค่ายกลเลย เขา
มองไปที่ซีเหมินจั้นอิง เห็นสีหน้าของนาง เหมือนว่าซี
เหมินจั้นอิงก็ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน
“ข้าลอบเข้าจวนเสินโหว สามารถผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ
หากทางจวนเสินโหวตั้งค่ายกล ข้าไปคนเดียวก็
อาจจะหนีรอดได้ แต่ว่าหากพาอาเหน่าหนีมาด้วย ก็มี
โอกาสแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น” ชิวเฉียนอี๋พูดว่า “ข้ารู้สึก
แปลกใจมากว่า เหตุใดถึงได้สามารถเข้าไปในจวนเสิน
โหวได้ง่ายดายแบบนี้”
ฉีหนิงรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าตกใจสำหรับเขามาก เขาถาม
ว่า “ราชาพิษ ท่านพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“ตอนแรกข้าก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าเพราะเหตุใด
แต่ว่าเมื่อครู่ข้าคิดได้แล้ว ทางจวนเสินโหวจับตัวอาเห
น่าไป เป้าหมายไม่ใช่อาเหน่า แต่เป็นข้า” ชิวเฉียนอี๋
พูดว่า “ซีเหมินอู๋เหิงใช้อาเหน่าเป็นเหยื่อล่อ เพื่อให้
ข้าไปช่วยนาง”
ฉีหนิงตกใจ แล้วถามว่า “ท่านหมายความว่าซีเหมิน
เสินโหวรู้ว่าท่านอยู่ในเมืองหลวงหรือ?”
“เขาอาจจะไม่แน่ใจ แต่ว่าไม่ว่าจะอยู่หรือไม่ การใช้
อาเหน่าเป็นตัวล่อ ก็เพื่อต้องการรู้ร่องรอยของข้า” ชิ
วเฉียนอี๋พูดว่า “ซีเหมินอู๋เหิงรู้อะไรมากกว่าที่เจ้าคิด
เขารู้ฐานะของอาเหน่า รู้ด้วยว่าหากข้าอยู่เมืองหลวง
ก็จะไม่มีทางไม่สนใจนาง”
อาเหน่าเดินเข้ามา นางกระพริบตา แล้วอดไม่ได้ที่จะ
ถามว่า “อาจารย์ ท่านบอกว่าพวกเขาใช้ข้าเป็นตัวล่อ
ท่านออกมาหรือ? ถ้าอย่างนั้น เหตุใดพวกเขาไม่วาง
กับดักเอาไว้เล่า รอให้ท่านเข้าไปช่วยข้าออกมาก่อน
เพื่ออะไรกัน?”
ชิวเฉียนอี๋เหลือบไปมองนาง แล้วพูดว่า “หากวางกับ
ดักเอาไว้ เจ้าคิดว่าข้าจะดูไม่ออกหรือ? ถึงแม้ซีเห
มินอู๋เหิงจะมีวิธีการไม่ธรรมดา แต่ว่าหากจะจับข้า
เขาก็ต้องคิดหนักเหมือนกัน” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า
“อีกทั้งเป้าหมายของเขา ไม่ใช่เพื่อจับข้า แต่ขอแค่ข้า
เข้าไปในจวนเสินโหว เท่านี้เป้าหมายของเขาก็สำเร็จ
แล้ว”
อาเหน่าเหมือนจะยังงุนงงอยู่ ฉีหนิงเข้าใจแล้ว สีหน้า
ของเขาดูเคร่งเครียด แล้วถามว่า “ท่านหมายความว่า
เป้าหมายของซีเหมินเสินโหวก็คือ ทำให้เรื่องพิษ
ระบาดในเมืองหลวงเกี่ยวข้องกับท่านอย่างนั้นหรือ?”
ชิวเฉียนอี๋พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ขอแค่ข้าเข้า
ไปในจวนเสินโหว จะจับข้าได้หรือไม่นั้นไม่ได้สำคัญ
เลย หากจับข้าได้ ราชาพิษจิ่วซีเช่นข้าอยู่ในกำมือของ
จวนเสินโหว พวกเขาจะโยนโทษอะไรให้ข้าก็ได้ หาก
ข้าหนีรอดไปได้ พวกเขาก็จะไปทูลฝ่าบาทอยู่ดีว่าข้า
เป็นพวกเดียวกับอาเหน่า อีกทั้งยังบุกเข้าจวนเสินโหว
ไปช่วยคน ถึงตอนนั้นราชสำนักก็จะเชื่อว่าเรื่องนี้
พรรคบัวดำเป็นคนทำ” เขาลูบเคราแล้วพูดว่า “ข้ามี
ตัวประกันอยู่ในมือ เขารู้ว่าหากสู้กันจริงๆ ขึ้นมา
จวนเสินโหวจะมีคนตายมากมาย ในเมื่อเป็นอย่างนั้น
ไม่สู้ปล่อยข้าหนีไป เพราะเป้าหมายของเขาก็สำเร็จ
ไปแล้ว” เขาเหลือบไปมองซีเหมินจั้นอิง ยิ้มแล้วพูด
ว่า “หากเขาต้องการที่จะฆ่าข้า ต่อให้ลูกสาวเขาอยู่
ในมือข้า เขาก็ไม่มีทางสนใจอะไร”
ฉีหนิงรู้สึกเศร้าใจ ถึงแม้จะมั่นใจไม่ได้ว่าสิ่งที่ชิวเฉียน
อี๋พูดจะเป็นจริง แต่หากมันเป็นจริงขึ้นมา ความคิด
ของซีเหมินอู๋เหิงนั้นก็ล้ำลึกมาก
ซีเหมินอู๋เหิงต้องการให้เรื่องพิษระบาดในเมืองหลวงมี
ความเกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำ ซึ่งเหมือนกับทางไหว
หนานอ๋อง ซึ่งพุ่งเป้าไปที่พรรคบัวดำเหมือนกัน หรือ
ว่าซีเหมินอู๋เหิงกับไหวหนานอ๋องจะเป็นพวกเดียวกัน?
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 253 ทะลวงจุดชีพจร
ในขณะที่ฉีหนิงกําลังลังเลอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงร้อง
ของซีเหมินจั้นอิง เขาหันหน้าไปมอง เขาก็เห็น
ซีเหมินจั้นอิงกําลังส่ายหน้า เหมือนกําลังจะบอกว่า
ชิวเฉียนอี๋นั้นพูดจาเหลวไหล
อาเหน่าเหลือบไปมอง แล้วด่าว่า “หากเจ้ายังร้อง
อีก ข้าจะกรีดหน้าเจ้าให้เละเลย”
ซีเหมินจั้นอิงรู้ว่าปีศาจน้อยเหี้ยมโหดแค่ไหน นาง
เกลียดอาเหน่าเข้ากระดูกดํา เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้
รู้ว่าถึงอย่างไรนางก็กล้าทําอย่างแน่นอน
นางต้องไม่อยากให้ปีศาจน้อยกรีดหน้านางอยู่แล้ว
นางจ้องไปยังปีศาจน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดหรือร้องอะไร
อีก
ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “ราชาพิษ พวกท่านทําผิดอย่าง
ใหญ่หลวง อยากจะฟังวิธีพลิกแพลงสถานการณ์
หรือไม่?”
ชิวเฉียนอี๋ถามว่า “เจ้ามีข้อเสนอะไรดีๆ อย่างนั้น
หรือ?”
“หากข้าเป็นท่าน ข้าก็จะปล่อยพวกข้าไปเสีย
ตอนนี้” ฉีหนิงพูดว่า “เมื่อท่านปล่อยพวกข้าสองคน
ไป หลังจากที่กลับไป ข้าอาจจะไปช่วยทูลเรื่องของ
พรรคบัวดํากับฝุาบาท อธิบายเรื่องของท่านได้” เขา
เหลือบไปมองอาเหน่า “แล้วท่านก็ต้องส่งตัวอาเห
น่าให้กลับไปกับพวกข้าด้วย แสดงถึงความจริงใจ
ของพรรคบัวดํา จากนั้นค่อยหาวิธีสืบหาคนร้าย
วางยาพิษตัวจริง เพื่อยืนยันกับทางราชสํานักว่าพวก
ท่านบริสุทธิ์”
อาเหน่าหน้านิ่ง แล้วพูดว่า “อาจารย์ ท่านจะเอาตัว
ข้าให้เขาจริงหรือไม่? หากข้าถูกเขาจับตัวกลับไป
จะต้องถูกเขาฆ่าแน่นอน ข้าไม่ยอม หากท่านบังคับ
ข้า ข้าจะตายให้ท่านดู”
ชิวเฉียนอี๋ไม่พูดอะไร แต่ถามว่า “ทําแบบนี้ พรรค
บัวดําของพวกข้าจะสามารถรอดปลอดภัยได้อย่าง
นั้นหรือ?”
“ข้ารับประกันไม่ได้ว่าพวกท่านจะรอดปลอดภัย”
ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าหากพรรคบัวดําของพวกท่านให้
ความร่วมมือ ข้าจะพยายามช่วยพวกท่านอธิบาย
แต่ก่อนหน้านั้นพวกท่านเองก็ต้องแสดงความจริงใจ
จะได้หาคนร้ายตัวจริงออกมาให้เร็วที่สุด”
ชิวเฉียนอี๋ยิ้ม ฉีหนิงไม่รู้ว่ายิ้มนั้นหมายความว่า
อย่างไร แต่ทันใดนั้นเองเขาก็ยื่นมือออกมาบีบคอ
ของเขา
ฉีหนิงตกใจ คิดจะหลบ แต่ว่าเฒ่าพิษลงมือ
กะทันหันและรวดเร็วมาก ฉีหนิงแค่ขยับตัว แต่ยังไม่
ทันหลบ ก็ถูกชิวเฉียนอี๋บีบคอแล้ว
ซีเหมินจั้นอิงมองอยู่ไกลๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป ถึงแม้
จะถูกปิดปากเอาไว้ แต่ยังส่งเสียงออกมาจากใน
ลําคอได้ นางทั้งตกใจแล้วก็รีบร้อน
อาเหน่าเองก็ไม่คิดว่าชิวเฉียนอี๋จะลงมือ นางตะลึง
จากนั้นก็ยิ้ม แล้วปรบมือ “ใครบอกให้เจ้าพูดจา
เหลวไหลต่อหน้าอาจารย์ข้า เจ้าคิดว่าอาจารย์เป็น
เด็กทารกหรืออย่างไร ถึงจะถูกเจ้าหลอกเอาง่ายๆ
อย่างนั้น?”
ชิวเฉียนอี๋บีบคอฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้ากลัว
ราชสํานักส่งทหารไปที่ชายแดนเผ่าเหมียวหรือ? เจ้า
คิดว่าแผนร้ายของซีเหมินอู๋เหิง จะทําให้ข้าตก
หลุมพรางอย่างนั้นหรือ?”
คอของฉีหนิงถูกชิวเฉียนอี๋บีบแน่น ทําให้เขาหายใจ
ลําบาก หน้าอกของเขาเหมือนจะแตกออกมา
เขายกมือขึ้นมาจับข้อแขนของชิวเฉียนอี๋ คิดจะดึง
ออก แต่ว่ามือของชิวเฉียนอี๋นั้นแข็งดังเหล็ก
“ใช้กําลังทหารแล้วจะอย่างไร?” ชิวเฉียนอี๋ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ชายแดนเหมียวมีภูเขากว่าหนึ่งแสนลูก เป็น
พื้นที่ของพวกข้า ไม่ว่าพวกเจ้าจะมากันมากเท่าไหร่
ข้ารับรองว่าพวกเขาจะไม่ได้กลับออกไปอีกเลย
แม้แต่คนเดียว ข้าจะบอกเจ้าตามตรง หากไม่ใช่
เพราะคําสั่งของท่านประมุข ข้าอาจจะจัดการเมือง
หลวงเจี้ยนเยี่ยราบเป็นหน้ากองไปแล้ว แต่พวกข้า
ยังไม่ทันลงมือ พวกเจ้ากลับคิดจะลงมือกับพวกข้า
สมใจข้านัก”
ฉีหนิงตกใจ แล้วเขาก็ได้ยินชิวเฉียนอี๋หัวเราะแล้ว
พูดอีกว่า “ซีเหมินอู๋เหิงคิดว่าแผนของเขาสําเร็จแล้ว
คิดอยากจะใส่ร้ายท่านประมุขของพวกข้า หาว่าข้า
เป็นคนทํา แต่ว่าน่าเสียดายที่ท่านประมุขมีคําสั่งลง
มา ในเมื่อราชสํานักต้องการโยนความผิดให้ข้า ข้า
จะรับเอาไว้ก็ได้”
ตอนนี้ฉีหนิงรู้สึกหายใจไม่ออกแล้ว หน้าของเขาเริ่ม
แดงก่ํา ซีเหมินจั้นอิงพยายามส่ายหน้าขยับตัว นาง
ดูร้อนใจเป็นอย่างมาก
ฉีหนิงพยายามบีบไปที่แขนของชิวเฉียนอี๋ เขาใช้แรง
ไม่น้อยเลย ชิวเฉียนอี๋ยิ้มอย่างชั่วร้าย เขาเดินกําลัง
ภายในไปที่แขนของเขา เพื่อเพิ่มแรงให้มากขึ้น แล้ว
พูดว่า “เจ้าจะช่วยพวกข้าพูดกับราชสํานักอย่างนั้น
หรือ? เจ้าคิดว่าข้าสนใจเรื่องพวกนี้หรืออย่างไร? ขุน
นางราชสํานักก็แค่พวกดีแต่ปากเท่านั้นแหละ”
แรงในมือของชิวเฉียนอี๋มีมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้เขาจะ
เชี่ยวชาญด้านพิษ แต่ว่าวรยุทธ์ของเขาก็ไม่ธรรมดา
เหมือนกัน
ฉีหนิงแค่รู้สึกว่าตอนนี้เขาหายใจไม่ออก มือทั้งสอง
ของเขาเริ่มไร้เรี่ยวแรง ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่คํา
ว่า “ข้าจะตายแล้ว...” สัญชาตญาณในการเอาตัว
รอดของมนุษย์ทําให้เขาพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้าย
ขณะที่เขากําลังคิดว่าคงต้องตายในเงื้อมมือของเฒ่า
พิษผู้นี้อย่างแน่นอน ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าแขนของ
เขาเริ่มชา แขนของเขาเริ่มสั่นขึ้นมา มือของเขาแตะ
ไปที่มือของชิวเฉียนอี๋
ทันใดนั้นเอง ฉีหนิงก็เลยไม่ลังเลเลยที่จะจับไปที่
ข้อมือของชิวเฉียนอี๋อย่างแน่น
ชิวเฉียนอี๋คิดว่าฉีหนิงดิ้นเพราะกําลังจะตาย อาเห
น่ายืนอยู่ข้างๆ เห็นใบหน้าซีดเซียวของฉีหนิง เริ่ม
แดงขึ้นมา นางก็ตกใจ แล้วพูดว่า “อาจารย์ ท่าน...
หากท่านฆ่าเขา เขา...เขาจะตายจริงๆ แล้วนะ”
“เขาหลอกข้า คิดร้ายกับท่านประมุข ข้าต้องกําจัด
เขา” ชิวเฉียนอี๋พูดว่า “ฆ่าเขาแล้ว ท่านประมุขก็ไม่
มีทางโทษข้าหรอก ชาวเหมียวของพวกเรามี
มากกว่าแสนคน หากร่วมแรงร่วมใจ ทหารต้าฉู่ก็ไม่
มีทางสู้พวกเราได้”
เมื่อเขาพูดจบ ทันใดนั้นเองก็รู้สึกเหมือนมือของเขา
เริ่มอ่อนแรงลง เขาเลยเดินกําลังภายในเพิ่มขึ้นอีก
แต่ว่าไม่เดินกําลังภายในยังดี แต่เมื่อเดินกําลัง
ภายในไปแล้ว กําลังแรงในมือของเขาก็อ่อนแรงลง
โดยไม่มีสาเหตุ
เขาขมวดคิ้ว สายตาของเขามีแต่ความสงสัย
ฉีหนิงรู้สึกว่าเหมือนมีกําลังดูดกําลังภายในขนาด
ใหญ่ของเขาไหลมาตามจุดชีพจรที่มือของเขา
จากนั้นมันก็ไหลไปตามเส้นชีพจรตรงเข้าไปที่จุด
ตันเถียน
ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกบริเวณปอดของเขาเหมือนมี
ลมที่ไม่สะอาดปะทุขึ้น เหมือนมันแทบจะพุ่งออกมา
จากจมูก แต่ว่าลมตัวนี้พอมาถึงที่บริเวณลําคอก็
เหมือนถูกอะไรบางอย่างมาขวางเอาไว้ ฉีหนิงรู้ว่า
มันเป็นเพราะชิวเฉียนอี๋บีบคอเขาอยู่ ดังนั้นลมตัวนี้
ก็เลยไปไหนไม่ได้ เมื่อลมถูกดันขึ้นมาถึงตรงนี้ แต่
กลับถูกบีบไม่ไหลย้อนกลับไป จึงทําให้มันไม่มีทาง
ไหลไปได้
เดิมทีหลังจากที่ฉีหนิงถูกชิวเฉียนอี๋บีบคอ ตาของ
เขาเริ่มพร่ามัว แต่ว่าหลังจากที่มือของเขาดูดกําลัง
ภายในของชิวเฉียนอี๋มาแล้ว ก็รู้สึกว่ามือที่บีบคอเขา
อยู่นั้นเริ่มอ่อนแรงลงบ้าง ดังนั้น เลยทําให้เขาพอ
หายใจหายคอลงได้บ้าง
หลังจากลมที่ขึ้นมาจากหน้าอกถูกดันมาถึงคอ แต่ว่า
พอถึงคอ ชิวเฉียนอี๋เดินกําลังภายในออกมาอีก บีบ
คอแน่นขึ้น ทําให้ลมนั้นไปไหนไม่ได้
ฉีหนิงรู้ว่าพลังเทพหกประสานมันมหัศจรรย์มาก ซึ่ง
ในตอนนี้มันกําลังดูดกําลังภายในของอีกฝุายเข้ามา
ก่อนหน้านี้ก็ได้ดูดกําลังภายในของมู่เสินจวินมาแล้ว
จนหมด จนเขากลายเป็นกระดูกแล้ว
จู่ๆ ชิวเฉียนอี๋ก็ลงมือกับเขา ฉีหนิงรู้ว่าในเวลานี้เป็น
เวลาแห่งความเป็นความตาย แล้วก็รู้ว่าพลังเทพหก
ประสานเป็นทางรอดเดียวของเขา ดังนั้นเขาจึงจับ
ข้อมือของชิวเฉียนอี๋ไว้แน่น ไม่ปล่อยมือเลย
ซีเหมินจั้นอิงกับอาเหน่ามองอยู่ ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไร
ขึ้น ชิวเฉียนอี๋เองก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ
กําลังภายของเขามีอยู่มาก แต่ก็เพราะเหตุนี้ กําลัง
ภายในที่ถูกปล่อยออกมาจึงเร็วกว่าคนปกติ ทุกครั้ง
ที่เดินกําลังภายใน มันก็จะไหลออกไปยิ่งกว่าสายน้ํา
ไหล
กลับเป็นสีหน้าของฉีหนิง ที่เมื่อครู่ยังคล้ําจนม่วง แต่
ตอนนี้กลับเริ่มฟื้นฟูกลับมามีเลือดฝาด
เขาเดินกําลังภายในอีกหลายครั้ง แต่กําลังภายใน
ของเขาก็หายไปหมด ชิวเฉียนอี๋เหมือนเริ่มจับทางได้
คิดอยากจะเอามือออก แต่ว่าเขาพบว่ามือของเขา
มันติดหนึบไปกับมือของฉีหนิงแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่
เขาออกแรง กําลังภายในก็จะหายไปหมด มือของ
เขาเริ่มอ่อนแรง ทําให้ไม่สามารถดึงมือออกได้
มือขวาของชิวเฉียนอี๋บีบคอฉีหนิงอยู่ เห็น
สถานการณ์ไม่ดี เขาเลยยกมือซ้ายขึ้น คิดจะซัดฝุา
มือใส่ฉีหนิง แต่ว่าพอยกมือขึ้นมา เขาก็ลังเล
เขามีนิสัยเหี้ยมโหด แต่ว่าก็หยิ่งในศักดิ์ศรี ชื่อของ
ราชาพิษยิ่งใหญ่เกรียงไกรในปาสู่เป็นอย่างมาก อีก
ทั้งเขาเป็นเสมือนเทพเจ้าของชาวชนเผ่าเหมียวด้วย
หากเขาจะฆ่าฉีหนิง จริงๆ ก็ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝุามือ
แค่ใช้พิษ ก็สามารถทําให้ฉีหนิงตายอย่างไม่รู้ตัวได้
แล้ว
แต่ว่าเขาไม่ใช้พิษในดินแดนอื่นง่ายๆ อีกทั้งยังเป็น
เด็กหนุ่มด้วยแล้ว
เดิมทีเขาคิดอยากจะบีบคอฉีหนิงจนตาย แต่กลับ
พบเรื่องประหลาดแบบนี้อีก หากมือซ้ายของเขาซัด
ใส่ไปอีก ก็อาจจะทําให้เขาตายได้ แต่ก็คิดว่ารับมือ
กับเด็กหนุ่มแบบนี้ ยังต้องมาใช้วิธีการแบบนี้ มัน
เหมือนการลอบทําร้าย เหมือนจะไม่เหมาะกับฐานะ
อย่างเขาเลย ที่สําคัญ เขายังไม่รู้ว่าเหตุใดกําลัง
ภายในของเขาถึงได้หายไปหมด เขายังคิดอยากจะรู้
เหตุผล
ตอนนี้ฉีหนิงรู้สึกว่าหน้าอกของเขาเจ็บปวดอย่าง
รุนแรง ร่างกายของเขามีลมปะทุชนกันไปมาอย่าง
หนักหน่วง แล้วก็รู้สึกร้อนขึ้นเรื่อยๆ เหมือนน้ําร้อน
ที่กําลังเดือด หน้าอกเหมือนจะฉีกขาดออกมา
ทันใดนั้นเอง เขารู้สึกว่าตรง “จุดฮุ่ยยิน” เหมือนถูก
เข็มเล็กๆ ทิ่ม จากนั้นก็รู้สึกว่ามีความร้อนพุ่งจาก
“จุดฮุ่ยยิน” พุ่งไปที่ “จุดฉางเฉียง”
“จุดฮุ่ยยิน” กับ “จุดฉางเฉียง” ของคนเราอยู่ห่าง
กันไม่ถึงคืบ แต่ว่า “จุดฮุ่ยยิน” ถือเป็นหนึ่งในเส้น
ลมปราณเริ่น แต่ “จุดฉางเฉียง” ถือเป็นหนึ่งในเส้น
ลมปราณตู โดยทั่วไปแล้วลมปราณสองเส้นนี้ไม่มี
ทางทะลุทะลวงถึงกันได้ แม้แต่คนที่ฝึกยุทธ์ก็ตาม
หากต้องการให้เส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตู
ทะลวงถึงกัน ทําให้พลังชี่ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย มัน
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่เพียงต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อ
ใช้กําลังภายในทะลวงจุดแล้ว ยังจะต้องรู้สึกถึง
วิธีการทะลวงจุดด้วย
สําหรับคนที่ฝึกวรยุทธ์ การทําให้เส้นลมปราณเริ่น
กับเส้นลมปราณตูทะลวงถึงกัน มันไม่ใช่เรื่องง่าย
เลย แต่มันเป็นเงื่อนไขของคนที่ต้องการเป็นยอด
ฝีมือ
อย่าว่าแต่ฉีหนิงจะเคยฝึกการทะลวงลมปราณสอง
เส้นนี้เลย เดินควบคุมพลังชี่เขายังทําไม่เป็นเลย คิด
อยากจะทะลวงเส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตู
ทําได้แค่ฝัน แต่ว่าวันนี้ชิวเฉียนอี๋บีบคอของเขา ทํา
ให้พลังชี่ในตัวของเขาไม่มีทางไหลเวียนไปที่อื่น อีก
ทั้งเขายังดูดกําลังภายในของชิวเฉียนอี๋มาอีก บวก
กับพลังชี่ที่อยู่ในจุดตันเถียนปะทะกับกําลังภายใน
ของชิวเฉียนอี๋ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ทําให้มันเกิดความยุ่ง
เหยิง ทําให้ลมภายในร่างกายวิ่งชนกันไปทั่ว ใน
สถานการณ์ที่อันตราย เกิดปะทะที่รุนแรงภายใน
ร่างกาย มันทําให้ทั้งลมปราณเริ่นและตูทะลวงถึง
กัน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 254 โชคดีในความโชคร้าย
เส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตูของฉีหนิง
ทะลวงถึงกัน เดิมทีเพราะมีกาลังภายในจานวนมาก
พุ่งเข้าปะทะกับเส้นลมปราณเริ่นและเส้นลมปราณตู
แต่ทันใดนั้นเองมันก็ไหลไปที่จุดฉางเฉียงในเส้น
ลมปราณตู เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทาให้มันไม่สามารถ
หยุดไหลไปได้อีก มันไหลไปที่จุดยาวซู หยางกวน
มิ่งเหมิน เสวียนซู และจุดชีพจรทุกจุดในเส้น
ลมปราณตู
จากนั้นก็ไหลไปยังจุดจี่จง จงซู จิงซัว จื่อหยาง หลิง
ไท่ และจุดชีพจรสูงสุดที่จุดไป่ฮุ่ย
ถึงแม้ฉีหนิงจะเชี่ยวชาญการต่อสู้ อีกทั้งยังรู้จักจุด
ชีพจรต่างๆ ในร่างกายเป็นอย่างดี แต่เพราะพลังหก
เทพประสาน ทาให้ในจุดตันเถียนของเขามีกาลัง
ภายในสะสมอยู่เป็นจานวนมาก อีกทั้งไม่นานมานี้
เขาได้ฝึกวิชา [ชิงจิง] มาจากวัดต้ากวงหมิง แต่ว่า
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยได้สัมผัสกับกาลังภายในเลย ไม่
รู้ด้วยซ้าว่าต้องเดินกาลังภายในอย่างไร หากไม่มีคน
สอนเขา ต่อให้อีกสิบปียี่สิบปีข้างหน้า เส้นลมปราณ
เริ่นกับเส้นลมปราณตูก็ไม่มีทางทะลวงถึงกันได้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในวินาทีความเป็นความตายเช่นนี้
ลมปราณสองเส้นนี้กลับทะลวงถึงกันได้
อาเหน่ากับซีเหมินจั้นอิงเห็นฉีหนิงตัวกระตุก พวก
นางไม่รู้ว่าฉีหนิงมีปฏิกิริยากับกาลังภายในที่กาลัง
ทะลวงจุดชีพจรอยู่ ในสายตาของซีเหมินจั้นอิง
ฉีหนิงกาลังดิ้นเพราะถูกชิวเฉียนอี๋บีบคอ น้าตาของ
นางไหลนองหน้า คิดอยากจะไปช่วย แต่ก็ไม่มีแรง
แม้แต่จะขยับตัว
ชิวเฉียนอี๋ถูกฉีหนิงดูดกาลังภายในไปเพราะพลังหก
เทพประสาน เริ่มแรกก็แค่กาลังภายในที่ออกมาจาก
มือของเขา แต่ตอนนี้แม้แต่กาลังภายในจุดตันเถีย
นของเขาก็กาลังถูกดูดไปด้วย มันไหลออกจากมือ
ขวาของเขาเรื่อยๆ
เมื่อเดินกาลังภายในไปที่มือ มันก็จะถูกดูดไปทันที
ในตอนนี้เอง ชิวเฉียนอี๋เหมือนจะรู้แล้ว เขามองไปที่
ชายหนุ่มที่เหมือนกาลังจะตายอยู่ในกามือของเขา
กลับมีวิชาประหลาดที่สามารถดูดกาลังภายในของ
เขาไปได้
ตอนนี้เขาคิดอยากจะดึงมือออก แต่มันก็ไม่ทันแล้ว
ฉีหนิงรู้สึกได้ถึงกาลังภายในของชิวเฉียนอี๋ที่ไหลเข้า
มาในตัวเขาไม่หยุด แต่ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจตรงนั้น
เลย เขาสนใจพลังชี่ในร่างกายของเขามากกว่า
หลังจากที่พลังชี่ไหลออกจากจุดเฉียงฉางไปยังจุดไป่
ฮุ่ย ฉีหนิงรู้สึกว่าใบหน้าของเขานั้นเย็นสบาย ความ
เย็นมันไหลออกมาจากหน้าผาก จมูก ปาก คาง มัน
ทะลวงจุดเฉิงเจียง
จุดเฉิงเจียงเป็นหนึ่งในจุดของเส้นลมปราณเริ่น นั่น
หมายความว่าพลังชี่นั้นมันไหลย้อนจากเส้น
ลมปราณตูกลับมาที่เส้นลมปราณเริ่ม เส้นลมปราณ
เริ่นส่วนมากอยู่ด้านหน้าของร่างกาย เมื่อครู่รู้สึกถึง
ความร้อนที่พุ่งออกมาเพราะทะลวงลมปราณตูได้
ในตอนนี้ลมปราณไหลเวียนตั้งแต่จุดเหลียนเฉวียน
เทียนทู เสวียนจี หัวไก้ จื่อกง อวี้ถัง ชี่ไห่ สือเหมิน
ชวีกู่ สุดท้ายก็ไหลกลับไปที่จุดฮุ่ยยิน
การไหลเวียนแบบนี้ทาให้ฉีหนิงรู้สึกสบายอย่างที่ไม่
เคยเป็นมาก่อน
ตอนนี้เขาไม่รู้ว่า สีหน้าของชิวเฉียนอี๋นั้นดูหวาดกลัว
มาก เขายิ่งไม่รู้ว่า หลังจากที่ทั้งลมปราณเริ่นและตู
ทะลวงถึงกันหมดแล้ว พลังหกเทพประสานก็จะมี
อนุภาพร้ายแรงขึ้นด้วย
ก่อนหน้านี้ฉีหนิงแค่รู้ว่า ชีพจรหลักสิบเอ็ดจุดนั้น
เป็นสถานที่กักเก็บของพลังหกเทพประสาน ขอแค่
ศัตรูสัมผัสจุดชีพจรจุดใดจุดหนึ่งในสิบเอ็ดจุด แล้ว
เดินกาลังภายใน ฉีหนิงก็จะสามารถดูดกาลังภายใน
ของอีกฝ่ายมาได้
แต่ว่าเขาไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ลมปราณทั้งสองนี้
ทะลวงหมดแล้ว พลังหกเทพประสานก็จะไร้เทียม
ทาน
ก่อนหน้านี้ต้องให้อีกฝ่ายใช้กาลังภายในก่อนถึงจะ
ดูดกาลังภายในได้อย่างมหาศาล แต่ว่าหากอีกฝ่าย
หยุดใช้กาลังภายใน ก็จะไม่สามารถดูดกาลังภายใน
ได้อีก
แต่ว่าเมื่อทะลวงเส้นลมปราณทั้งสองเส้นนี้ได้แล้ว ก็
เหมือนได้อุปกรณ์เสริม ขอแค่อีกฝ่ายใช้กาลังภายใน
เพียงครั้งเดียว ก็จะทาให้ลมปราณภายในร่างกาย
ของฉีหนิงไหลเวียนไปทั่ว ต่อให้อีกฝ่ายหยุดใช้กาลัง
ภายใน พลังหกเทพประสานก็ยังคงสามารถดูดกาลัง
ภายในของอีกฝ่ายมาได้อยู่ดี
ฉีหนิงไม่เข้าใจในจุดนี้ แต่ว่ากาลังภายในที่ไหลเวียน
อยู่ในตัวเขา ในตอนนี้มันไม่ใช่แค่ดูดกาลังภายในที่
อีกฝ่ายปล่อยออกมาเท่านั้น มันยังดูดกาลังภายในที่
อีกฝ่ายสะสมเอาไว้ด้วย นอกจากฉีหนิงจะหยุด หาก
ไม่หยุดแล้วล่ะก็อีกฝ่ายก็จะถูกดูดจนตัวแห้ง
ชิวเฉียนอี๋รู้ว่ากาลังภายในของเขากาลังถูกดูด
ออกไป แต่ว่าในเวลานี้เขาไม่สามารถควบคุมกาลัง
ภายในของตัวเองได้เลย มันมีแรงมหาศาลที่กาลังจะ
ดึงพลังชี่ของเขาไปด้วย
อาเหน่าเห็นฉีหนิงสั่นไปทั้งตัว ชิวเฉียนอี๋เองก็เริ่มตัว
สั่นเหมือนกัน อีกทั้งสีหน้าของฉีหนิงก็เริ่มแดงขึ้น
เรื่อยๆ แต่ชิวเฉียนอี๋กลับสีหน้าเริ่มซีดขาว ถึงแม้
นางจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ว่านางก็รู้ว่า
สถานการณ์ไม่ดีแล้ว นางรีบถามว่า “อาจารย์ ท่าน
...ท่านเป็นอะไรไป?”
ชิวเฉียนอี๋รู้ว่าตอนนี้แย่แล้ว ก่อนหน้านี้ยังคิดถึงก่อน
หน้านี้ที่ไม่ซัดฝ่ามือใส่ฉีหนิงเสียแต่ตอนนั้น ตอนนี้
คิดจะทา ก็รู้สึกว่าทาไม่ได้แล้ว มือซ้ายของเขาสิ้นไร้
เรี่ยวแรงที่จะต่อสู้เสียแล้ว
เขารู้เรื่องมากมาย ในใจก็รู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เขารู้ว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป กาลังภายในของเขาก็
จะถูกดูดไปจนหมด กาลังภายในที่เขาฝึกฝนมา
มากกว่าสิบปีจะสลายไปหมด อีกทั้งเขาเองก็จะตาย
อยู่ที่นี่ด้วย ตอนนี้อยากจะดึงมือออกคงไม่ทันแล้ว
เขารีบตะคอกว่า “ตัดมือของเขา”
อาเหน่าตกใจ แต่ก็ได้สติว่าชิวเฉียนอี๋กาลังพูดกับ
นางอยู่ นางเห็นชิวเฉียนอี๋สีหน้าซีดเซียว ก็พอจะ
เข้าใจ นางถือมีสั้นของฉีหนิง แล้วเดินเข้าไปใกล้เขา
เสียงตะโกนพูดของชิวเฉียนอี๋ ฉีหนิงได้ยินแน่นอน
เขาตกใจ สายตาเหลือบมองไปที่อาเหน่าที่กาลังเดิน
มาที่เขา มีดสั้นสะท้อนแสงมาแยงตา หากนางลงมือ
เขาก็ไม่รอดแน่ หน้าผากของเขาเริ่มมีเหงื่อไหล
ออกมาเป็นจานวนมาก
อาเหน่าเห็นชิวเฉียนอี๋ตัวสั่นไปทั้งตัว รู้ว่า
สถานการณ์คับขัน นางกามีดสั้นไว้แน่น นางไม่ลังเล
อีกแล้ว ยกมีดขึ้นตั้งใจจะแทงไปที่ฉีหนิง
ฉีหนิงเห็นดังนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก สายตาของ
เขาคมกริบราวคมดาบ ด้วยสถานการณ์ที่บังคับ ทา
ให้เขาต้องปล่อยมือจากข้อมือของชิวเฉียนอี๋ แล้ว
เอามือไปขวางอาเหน่า
เขาไม่มีทางเลือก ทาให้เขาต้องใช้มือบังมีดสั้นที่แสน
คมของเขาเอง
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเขาซัดมือออกไป กลับได้ยิน
เสียงกรีดร้อง จากนั้นก็เหลือบไปเห็นอาเหน่าตัว
ลอยออกไปเหมือนว่าว
ฉีหนิงตะลึงไป ทันใดนั้นเอง ชิวเฉียนอี๋ก็รู้สึกว่า
สัมผัสของฉีหนิงหายไปแล้ว เขารู้ว่านี่เป็นโอกาสที่
หายาก เขาหยุดชะงักลงแล้วถอยหลังแยกตัวออก
จากตัวฉีหนิง เขาเหมือนกลัวว่าฉีหนิงจะตามมา เลย
ถอยหลังไปอีกสองสามก้าว หน้าผากของเขามีเหงื่อ
ผุดออกมาเป็นจานวนมาก
ฉีหนิงได้ยินเสียงร้องของชิวเฉียนอี๋ รู้ว่าสถานการณ์
ไม่ดีแล้ว เขามองไป เห็นชิวเฉียนอี๋ถอยห่างตัวเขาไป
แล้ว
หลังจากที่อาเหน่าตัวลอยไปแล้ว นางก็ตกลงไปที่
พื้น มีดสั้นในมือปลิวหลุดออกไป ตัวของนาง
กระแทกกับพื้นอย่างแรงทาให้กระอักเลือดออกมา
สีหน้าของนางซีดจนน่ากลัว คิดอยากจะลุกขึ้น แต่
ขยับได้แค่สองที ก็ลุกไม่ขึ้นแล้ว
ชิวเฉียนอี๋เห็นดังนั้น ก็รีบเดินไปหานาง สกัดจุดของ
อาเหน่าไปหลายจุด จากนั้นก็หยิบเอายาออกมายัด
ใส่ปากของอาเหน่า อาเหน่านอนกองอยู่ที่พื้น
จากนั้นก็สลบไป
ซีเหมินจั้นอิงอึ้งไป สีหน้าของนางตกใจมาก คิดไม่
ถึงเลยว่าผลจะเป็นแบบนี้ได้
นางเห็นฉีหนิงลุกขึ้นมาอย่างโซซัดโซเซ สายตาของ
ซีเหมินจั้นอิงเหมือนจะตกใจ แต่ก็มีความดีใจอยู่ใน
นั้น
ฉีหนิงเห็นอาเหน่าสลบไปแล้ว เขายังไม่รู้เลยว่ามัน
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากเส้นลมปราณเริ่นกับตูทะลวงแล้ว มีพลังชี่
ไหลเวียนในร่างกายของเขาอยู่ตลอด ตอนที่ดูด
กาลังภายในของชิวเฉียนอี๋ ฉีหนิงสัมผัสได้ว่ามีพลังชี่
สองเส้นมันเคลื่อนไหวอยู่
เส้นแรกมาจากการที่ดูดกาลังภายในของชิวเฉียนอี๋
ไปยังจุดตันเถียน อีกเส้นคือกาลังภายในที่เส้น
ลมปราณเริ่นกับตู
ถึงแม้เส้นลมปราณเริ่นกับตูจะทะลวงแล้ว แต่ฉีหนิง
ก็ยังไม่รู้จักวิธีการควบคุมพลังชี่ กาลังภายในพวก
นั้นมันยังคงวิ่งไหลเวียนอยู่ที่เส้นลมปราณเริ่นกับตู
ฉีหนิงไม่รู้ว่าจะต้องทาอย่างไรถึงให้มันไปอยู่รวมกัน
ที่จุดตันเถียนได้ ยังดีที่อาเหน่าเข้ามา ด้วยความรีบ
ร้อนเลยยกมือไปขวาง ซึ่งมันทาให้กาลังภายในนั้น
พุ่งไปที่ฝ่ามือของเขา และปล่อยมันออกมาเป็นพลัง
ที่สามารถทาให้อาเหน่าลอยละลิ่วออกไปได้
พละกาลังนั้นรุนแรงมาก มันพุ่งเข้าไปบนตัวของอา
เหน่า อาเหน่าไม่มีทางรับแรงนั้นได้ไหวอย่าง
แน่นอน
ในระยะเวลาสั้นๆ ในห้วงวินาทีความเป็นความตาย
ฉีหนิงกลับสามารถทะลวงจุดที่หลายคนต้องใช้เวลา
หลายสิบปีในการทะลวงจุดนั้นได้
เขาไม่เพียงทะลวงเส้นลมปราณได้ แต่ยังซัดฝ่ามือที่
มีพละกาลังมหาศาลได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ามัน
เกิดอะไรขึ้น
แต่หลังจากเส้นลมปราณทะลวงหมดแล้ว ทั้งแขนทั้ง
ขาของเขาก็รู้สึกสบายมาก เหมือนมีแรงขึ้นมา
มากมาย แม้แต่เส้นผมของเขาก็ยังรู้สึกว่ามีแข็งแรง
ขึ้นมา ความรู้สึกนี้เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนไม่ว่าจะ
ชาติไหน
ชิวเฉียนอี๋รักษาเบื้องต้นให้อาเหน่าเรียบร้อยแล้ว ก็
ค่อยๆ ลุกขึ้นมา แล้วหันไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า
“เจ้าเด็กนี่เสือซ่อนเล็บดีๆ นี่เอง ฮึ ข้ามองเจ้าผิด
ไป” เขาถามว่า “นั่นมันวิชาอะไรกัน?”
ฉีหนิงดูดกาลังภายในของคนอื่นมา มันเป็นวิชา
ลึกลับมหัศจรรย์ ชิวเฉียนอี๋ดูออก ในใจก็เริ่มสนใจ
และสงสัยเป็นอย่างมาก
เพราะเขามีประสบการณ์มากมาย เมื่อครู่เกือบตาย
เพราะพลังหกเทพประสานของฉีหนิง แต่ว่าเขาก็
พอจะเข้าใจฉีหนิง
เขารู้ว่าฉีหนิงมีกาลังภายในที่แข็งแกร่งมาก แต่ว่ายัง
ห่างชั้นกับเขามาก ที่สาคัญที่สุดคือ ชายหนุ่มคนนี้มี
ประสบการณ์รับมือศัตรูที่อ่อนมาก ไม่อย่างนั้นเมื่อ
ครู่นี้ ไม่มีทางทาแบบนั้นแน่นอน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 255 ดอกไม้กับขี้หมา
ด้านนอกบ้านไม้ หิมะยังคงตกหนัก ท้องฟ้ามืดสนิท ฉี
หนิงเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามแล้ว
ชิวเฉียนอี๋วางมือลง ทำมือเป็นรูปกรงเล็บ แล้วจ้องไป
ที่ฉีหนิง จากนั้นก็เริ่มเดินบีบเข้ามา ฉีหนิงถอยหลังไป
หนึ่งก้าว
อันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าเขาได้ทะลวงเส้นลมปราณไป
แล้ว ถึงแม้จะรู้สึกสบายตัว แต่ว่าเมื่อต้องเผชิญหน้า
กับชิวเฉียนอี๋ ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ดี
ถึงแม้ฉีหนิงจะสามารถปลดพันธนาการจากความเป็น
ความตายมาได้ แต่ว่าเมื่อเทียบกับชิวเฉียนอี๋แล้ว เขา
ยังห่างชั้นมากนัก ไม่ต้องพูดถึงว่าชิวเฉียนอี๋จะชำนาญ
ด้านพิษหรือไม่ แค่วรยุทธ์ของเขา ฉีหนิงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้
ของเขาแล้ว
“ชิวเฉียนอี๋ ดูเหมือนท่านจะไม่ห่วงความเป็นความ
ตายของคนในเผ่าของท่านเลยนะ” ฉีหนิงวางแผนไว้
แล้วหากชิวเฉียนอี๋จู่โจมเข้ามาจริง เขาก็จะอาศัยท่า
เท้าท่องคลื่นหลบ
หากซีเหมินจั้นอิงไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย เขาคงวิ่งออกจาก
บ้านไม้หลังนี้ไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้จะทิ้งนางไว้แบบนี้
ไม่ได้
ในเมื่อชิวเฉียนอี๋คิดจะฆ่าเขา เมื่อครู่ก็เกือบจะบีบคอ
เขาตาย ก็จะต้องไม่ปล่อยซีเหมินจั้นอิงไว้เหมือนกัน
ชิวเฉียนอี๋ค่อยๆ เดินบีบเข้ามา แล้วพูดว่า “ไม่สนใจ
คนในเผ่าหรือ? ฮึ ชาวเผ่าเหมียวต้องทนถูกกดขี่มา
นานหลายปี พวกเราก็ได้แต่อดทน แต่ว่าพวกเจ้ามัน
ไม่รู้จักพอ ได้คืบจะเอาศอก หากพวกเราไม่ต่อต้าน
ชาวเหมียวกว่าแสนคนจะต้องถูกพวกเจ้าบีบจนตาย”
ฉีหนิงเห็นว่ามือทั้งสองข้างของชิวเฉียนอี๋นั้นราวกับ
กรงเล็บปีศาจ ตอนนี้เล็บของเขาทั้งสิบนิ้วนั้นมันมี
ลมปราณสีดำลอยวนอยู่รอบๆ
ฉีหนิงรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว ชิวเฉียนอี๋ก้าวบุกเข้า
มา ในตอนนี้เอง ก็มีของบางอย่างพุ่งใส่ชิวเฉียนอี๋ ชิ
วเฉียนอี๋เองรู้ตัวเร็ว เขารีบหลบ แล้วตะคอกไปว่า
“ใคร?”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแบบขี้เกียจดังขึ้นมาว่า “อายุก็
มากแล้ว กลับรังแกเด็กตัวแค่นี้ ชิวเฉียนอี๋ เจ้าเป็นถึง
ราชาพิษของปาสู่ เหตุใดไม่สนใจฐานะของตัวเอง
บ้าง?”
ฉีหนิงรู้สึกว่าเสียงของเขาน่าจะมาจากบนหลังคา เขา
รู้สึกตกใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นไป เห็นหลังคายังคงปิดอยู่
มองไม่เห็นว่าเป็นใคร ในใจก็คิดว่า หรือว่าคนของ
จวนเสินโหวจะตามมาช่วย?
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดไม่ออกมา
เล่า?”
“ข้าอยากจะดูว่าเจ้าจะไม่รู้จักอายจริงๆ หรือไม่”
เสียงของเขาเหมือนกำลังหัวเราะ “เจอหน้าไม่สู้แค่ได้
ยินชื่อ ก่อนหน้านี้ได้ยินชื่อเสียงของราชาพิษจิ่วซี ยัง
รู้สึกนับถืออย่างมีความสุขอยู่เลย แต่วันนี้ได้พบ รู้สึก
ผิดหวังจริงๆ” หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรแตก ฉี
หนิงเห็นบนหลังคาแตกออกเป็นรูขนาดใหญ่ มีเงา
ของคนๆ หนึ่งโผล่ออกมา
ชิวเฉียนอี๋ถอยหลังไปหลายก้าวแล้ว เมื่อคนๆ นั้นตก
ลงมา ฉีหนิงถึงได้เห็นชัดว่า คนที่มานั้นอายุราวสี่สิบปี
เขามีรูปหน้าเหลี่ยม มีหนวดเครา มือใหญ่ เสื้อผ้าก็
เก่าๆ ขาดๆ สายตาดูมีประกาย
เดิมทีฉีหนิงคิดว่าคนของจวนเสินโหวมาช่วย แต่เขา
ไม่รู้จักคนๆ นี้เลย ก่อนหน้านี้ไม่เคยเจอมาก่อน เขา
น่าจะไม่ใช่คนของจวนเสินโหว เขาไม่รู้ว่าคนๆ นี้เป็น
ใคร เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ยื่นมือเข้ามาช่วย
ชิวเฉียนอี๋มองๆ ดู แต่ก็รู้ว่าเขาน่าจะมาไม่ดี เลยถาม
ไปว่า “เจ้าเป็นใคร?”
“ฮึ ข้ารู้จักเจ้าดีทุกอย่าง แต่เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับข้า
เลย แค่เริ่มต้นเจ้าก็แพ้แล้ว” คนๆ นั้นหัวเราะ เขา
เหมือนกำลังดมอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เห็นเขาเดิน
ไปที่กองไฟ แล้วมองไปในหม้อ เขาส่ายหน้าแล้วพูด
ว่า “น่าเสียดาย เนื้อดีๆ แบบนี้ กลับเละไม่เป็นท่า
ต้มนานเกินไป เนื้อก็ไม่อร่อยแล้ว” เขามองซ้ายมอง
ขวา แล้วมองไปที่ช้อนใหญ่ เขายื่นมือไปหยิบมาแล้ว
คนลงไปในหม้อ แล้วพูดว่า “ยังดีไม่ได้เสียทั้งหมด”
เขามองไปที่ชิวเฉียนอี๋ ยิ้มแล้วพูดว่า “ราชาพิษท่าน
มาเยือนจงหยวน เป็นแขกจากแดนไกล ข้าเลี้ยงเนื้อ
ท่านดีหรือไม่? แต่ว่าหลังจากกินเนื้อมื้อนี้แล้ว ก็อย่าสู้
กันอีกเลยนะ”
ชิวเฉียนอี๋เบี่ยงเป้าหมายไปยังชายวัยกลางคนผู้นั้น
แล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะมาไกล่เกลี่ยอย่างนั้นหรือ? คิด
ว่าเจ้าคงไม่มีปัญญาหรอก”
ชายวันกลางคนผู้นั้นตักเนื้อขึ้นมากิน เขากินเหมือน
หิวมาก ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไฟแรงเกินไป รสชาติไม่
ดีเลย” ถึงแม้จะพูดแบบนั้น แต่ว่าเขาก็ยังคงตักมัน
ขึ้นมาอีก
ชิวเฉียนอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้านี่ก็กล้าดีนะ ในเมื่อรู้ว่า
ข้าอยู่ที่นี่ ยังกล้ากินเนื้อนั่นอีก เจ้าไม่กลัวว่ามันมีพิษ
หรือ?”
“หากถูกพิษจนตายก็สบายตัวไป” ชายวัยกลางคน
เหมือนไม่ได้ใส่ใจมาก เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ถูกพิษ
ตายก็ยังดีกว่าหิวตาย” เขาตักเนื้อขึ้นมากินอีก แล้ว
พูดว่า “ราชาพิษจิ่วซี เจ้าอยู่ปาสู่เป็นเหมือนเทพเจ้า
อยู่ที่นั่นก็ดีอยู่แล้ว จะมาเมืองหลวงทำไมกัน? ต่อให้
มาแล้ว เจ้าก็ควรจะศึกษาให้ดีว่าชาวยุทธ์ในจงหยวน
นั้นเป็นอย่างไร เจ้าไม่รู้อะไรเลยก็วิ่งมาถึงที่นี่แล้ว
แล้วเจ้าจะทำอะไรได้?”
คำพูดของเขาสบายๆ แต่ว่าน้ำเสียงของเขาเหมือน
ผู้ใหญ่กำลังสั่งสอนเด็ก
ฉีหนิงคิดในใจว่าชายคนนี้อายุไม่เกินสี่สิบปี อายุน้อย
กว่าชิวเฉียนอี๋ไม่น้อย แต่ว่าคำพูดคำจาของเขา
เหมือนจะไม่เห็นชิวเฉียนอี๋อยู่ในสายตาเลย
ชิวเฉียนอี๋มีประสบการณ์ในยุทธภพมามากมาย เขา
เห็นการกระทำของอีกฝ่ายชัดเจน เขาถามว่า “แล้ว
ท่านเป็นใครกันแน่?”
“ข้าเป็นใคร เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้” ชายวัยกลางคน
พูดว่า “แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นเพื่อนกันไม่ได้
เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าเป็นใคร แต่ว่าเจ้า
รีบกลับไปชายแดนเหมียวของเจ้าจะดีกว่า เจ้าจับ
ตัวจิ่นอีโหวมา แม้แต่ลูกสาวของซีเหมินอู๋เหิงเจ้าก็อุ้ม
มาด้วย พรรคบัวดำเดือดร้อนแน่นอน”
ฉีหนิงกับชิวเฉียนอี๋หน้าถอดสีไป
ฉีหนิงตกใจคนๆ นี้เหมือนรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขารู้สึก
สงสัย ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
ชายวัยกลางคนเอาแต่คนเนื้อในหม้อ ไม่แม้แต่จะมอง
หน้าชิวเฉียนอี๋เลย เขาพูดว่า “ข้ารู้ว่าพรรคบัวดำแบ่ง
ออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคิดอยากจะรวมชาวเผ่า
เหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำให้เป็นหนึ่ง แล้วเป็นศัตรูกับราช
สำนัก ก่อตั้งแคว้นของชาวเหมียวขึ้นมาเอง ส่วนอีก
ฝ่ายก็ต้องการเป็นพันธมิตรกับทางแคว้นฉู่ หวังจะ
แก้ปัญหาให้กับทางชาวเผ่าเหมียว ปกป้องไม่ให้ถูก
รังแก”
ชิวเฉียนอี๋สีหน้าเคร่งเครียด
“ฝ่ายแรกที่พูดถึง ก็มีราชาพิษจิ่วซีชิวเฉียนอี๋เป็นผู้นำ
ซึ่งเรียกว่ากลุ่มตู๋พ่าย” ชายวัยกลางคนเหลือบไปมอง
ชิวเฉียนอี๋ แล้วพูดว่า “คนของกลุ่มตู๋พ่ายหยิ่งยโส ไม่
เห็นอะไรอยู่ในสายตาเลย รู้แค่ว่าหากชาวเผ่าเหมียว
เจ็ดสิบสองถ้ำรวมเป็นหนึ่งแล้ว ก็จะมีคนมากถึงหนึ่ง
แสนกว่าคน อีกทั้งอาศัยอยู่ในภูมิประเทศแบบ
เทือกเขา จะรับจะรุกก็ทำได้ง่าย จะตั้งแคว้นเหมียว
ของตัวเองขึ้นมาก็เป็นเรื่องง่าย”
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “ท่านไม่ใช่คนธรรมดาเลย แม้แต่
เรื่องของพรรคข้า ท่านก็ยังรู้ดีขนาดนี้”
“รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ราชาพิษไม่เคย
ได้ยินคำพูดนี้หรือ?” ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วพูดว่า
“ข้าว่านะเจ้ากลับไปคราวนี้ เอาหนังสือกลับไปมาก
หน่อยนะ อ่านให้มาก จะได้เข้าใจอะไรมากขึ้น” เขา
ยกมือขึ้นมาลูบเคราของเขา หัวเราะแล้วพูดว่า “นึก
ถึงตอนที่อำนาจของตระกูลหลี่ยิ่งใหญ่มากในซีชวน
พอทหารของแคว้นฉู่ไปถึง สุดท้ายก็สวามิภักดิ์ให้
แคว้นฉู่อยู่ดี อย่าบอกนะว่าชนเผ่าเหมียวร้ายกาจกว่า
ตระกูลหลี่ที่มีถึงสิบสามหัวเมืองน่ะ?”
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้เจ้ามันก็สุนัขรับ
ใช้ของแคว้นฉู่นี่เอง”
ชายวัยกลางคนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตอนนั้นแคว้นฉู่
เองก็เคยยิ่งใหญ่มาก่อน แต่เพราะมีฮ่องเต้ไม่เอาไหน
ชาวบ้านอยู่ไม่เป็นสุข ตระกูลเป่ยถังเมืองอี้โจวก่อก
บฏ บุกเข้าโจมตีลั่วหยาง ทำให้แคว้นฉู่ล่มสลาย
ฮ่องเต้หนีตายหัวซุกหัวซุน คิดจะข้ามแม่น้ำหนีลงใต้
แต่ใครจะคิดพอถึงแม่น้ำฉางเจียง ก็ถูกสังหาร ไม่
เพียงสังหารฮ่องเต้ ยังบุกลงใต้สังหารเชื้อพระวงศ์
และขุนนางจนหมด” เขาหยุดไป แล้วพูดต่อว่า
“หลังจากนั้นเป็นต้นมา ใต้หล้าก็เกิดจลาจล ฆ่าฟัน
กันเป็นสิบปีไม่มีวันหยุด ตระกูลเป่ยถังบุกยึดดินแดน
และเมืองทางเหนือได้ สถาปนาแคว้นเป่ยฮั่นขึ้นมา
อีกทั้งยังเตรียมยกทัพลงใต้ต่อ เซียวเหยียนไท่โซ่ว
เมืองฉางซาของอี้โจวมีเชื้อสายสืบมาจากเชื้อพระวงศ์
แคว้นฉู่ ได้ตั้งทัพในนามของแคว้นฉู่ขึ้นที่เมืองฉางซา
เขาเก่งทั้งบุ๋นและบู้ เขาทำศึกอยู่นานหลายปี ไม่นาน
ตระกูลเซียวก็ยึดดินแดนทางใต้ได้จนหมด...”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดในใจว่าก่อนหน้าที่จะแบ่งดินแดน
ทางเหนือกับใต้ แคว้นฉู่เป็นแผ่นดินเดียวมาก่อน
แคว้นฉู่ในวันนี้ ใช้นามของรัชสมัยก่อน แต่ว่าดินแดน
กลับเหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น อีกทั้งแคว้นฉู่ในวันนี้
ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับรัชสมัยก่อนนี้ด้วย
ชิวเฉียนอี๋พดู ว่า “เจ้าพูดเรื่องนี้เพราะเหตุใดกัน?”
“ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่า ต่อให้เป็นวันนี้ เป่ยฮั่นกับ
หนานฉู่ทำสงครามกัน ใต้หล้ายังคงไม่สงบ” ชายวัย
กลางพูดว่า “ในฐานะลูกผู้ชาย ก็จะต้องช่วยเหลือ
ชาวประชา ไม่เพียงไม่ควรก่อความวุ่นวายเพิ่ม ยัง
ต้องช่วยให้ใต้หล้านี้สงบสุขให้ชาวบ้านมีกินมีใช้
หลายปีมานี้ชาวเผ่าเหมียวของพวกเจ้า ไม่ได้รับ
ผลกระทบจากสงครามเลย ถือว่าพวกเจ้าโชคดีมาก
แล้ว แต่ว่าพวกเจ้ากลับไม่รักษาสถานะแบบนี้ของ
พวกเจ้าเอาไว้ จะหาเรื่องใส่ตัว ชิวเฉียนอี๋ หากเจ้านึก
ถึงชาวเผ่าเหมียวจริง ก็ไม่ควรจะลากพวกเขามาตก
นรกด้วย”
ชายวัยกลางคนวางช้อนลง แล้วหันไปหาชิวเฉียนอี๋
แล้วพูดว่า "ข้าแค่บอกเหตุผลที่ง่ายที่สุดให้เจ้าฟัง ไม่
ว่าเจ้าจะเข้าหูเจ้าหรือไม่ ข้าก็จะให้เจ้าได้เข้าใจว่า
เรื่องนี้มันร้ายแรงเพียงใด หากเจ้าเพียงคนเดียว
ต้องการลากชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำลงนรกไปด้วย
ถ้าอย่างนั้นอีกหลายปีข้างหน้า ที่หน้าหลุมศพของเจ้า
คงไม่ได้มีดอกไม้ แต่น่าจะเป็นกองขี้หมามากกว่า
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 256 ไม่รู้ที่มาที่ไป
ชิวเฉียนอี๋กระพริบตา จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปหาชายวัย
กลางคนผู้นั้น
ฉีหนิงเห็นชิวเฉียนอี๋พุ่งเข้าไปหาชายวันกลางคนผู้นั้น
อย่างรวดเร็ว เขาก็ตกใจ แอบคิดในใจว่าเฒ่าพิษนี่วร
ยุทธ์ร้ายกาจกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก ยังดีที่ชายวัย
กลางคนผู้นี้โผล่มาเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องตาย
อยู่ในกำมือของเฒ่าพิษแน่
เล็บมือของชิวเฉียนอี๋เปลี่ยนเป็นสีดำ ราวกับกรง
เล็บเหยี่ยวเป็นอย่างมาก
เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น ชายวัยกลางคนก็หลบ
หายไป ฉีหนิงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจมาก จากนั้นก็เห็น
ชายวัยกลางคนนั่นไปโผล่อยู่หลังชิวเฉียนอี๋แล้ว
“กรงเล็บเพลิงโลกันตร์ร้ายกาจจริงๆ มันทำร้ายคน
อื่นบาดเจ็บได้นะ” ชายวัยกลางคนยังคงพูดออกมา
อย่างสบายๆ “คิดว่าอีกสักห้าปี เจ้าน่าจะฝึกจนลึกซึ้ง
กว่านี้ได้”
ชิวเฉียนอี๋เคลื่อนที่ว่องไว ชายวัยกลางคนหลบไปอยู่
หลังเขา เขาเองก็เอี้ยวตัวหลบเหมือนกัน กรงเล็บขวา
ซัดไปที่ชายวัยกลางคนอีกครั้ง
ชายวัยกลางคนยกมือซ้ายขึ้นมา แล้วซัดไปที่มือกรง
เล็บของชิวเฉียนอี๋ เขาดูสบายๆ มืออีกข้างไขว้หลังไว้
ชิวเฉียนอี๋ซัดมือสลับไปมา ชายวัยกลางคนรับมือด้วย
มือเดียว แต่ก็สามารถรับมือชิวเฉียนอี๋ได้สบายๆ
ฉีหนิงเห็นพวกเขาสลับออกกระบวนท่าไปมา ถึงแม้
ทั้งคู่จะเปลี่ยนกระบวนท่ามากมาย แต่ก็ไม่รู้ว่าพวก
เขาเปลี่ยนอะไรตรงไหนบ้าง
แต่ชายวัยกลางคนสามารถรับมือชิวเฉียนอี๋เพียงแค่
มือเดียว แสดงว่าฝีมือของเขาต้องเหนือกว่าชิวเฉียนอี๋
แน่ เขาก็รู้สึกเบาใจ
ฉีหนิงไม่รู้ที่มาที่ไปของชายวัยกลางคนผู้นั้น ไม่รู้ว่า
เป็นมิตรหรือศัตรู แต่ว่าจากคำพูดเมื่อครู่นี้ คิดว่าเขา
น่าจะไม่ใช่คนเลว
มือของชิวเฉียนอี๋มีลมสีเทาออกมา ทำให้เขารู้สึก
ตกใจ เขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ผู้อาวุโส ระวังเขาจะใช้
พิษ” เมื่อพูดออกไป เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าชายวัย
กลางคนน่าจะรู้จักชิวเฉียนอี๋ดี ก็น่าจะรู้ว่าเฒ่าพิษนี่
เหี้ยมโหดแค่ไหน ในเมื่อประมือกัน คงต้องระวังตัว
เป็นอย่างมาก ไม่ต้องให้เขาเตือนหรอก
ทันใดนั้นเองก็เห็นชายวัยกลางคนนั่นถอยหลังมาหนึ่ง
ก้าว เขาคิดว่าคงถูกชิวเฉียนอี๋บีบจนล่าถอย แต่เห็น
ชายวัยกลางคนงอขาลงเล็กน้อย จากนั้นก็วาดเป็น
ครึ่งวงกลมตรงบริเวณหน้าอก มืออีกข้างกางไปทาง
ด้านหลัง จากนั้นก็ซัดฝ่ามือออกไปอย่างแรง ฉีหนิง
เห็นท่าทางของเขาชัดเจน คิดในใจว่ากระบวนท่านี้
แปลกประหลาดมาก ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นวิชา
อะไร จากนั้นก็ได้ยินชิวเฉียนอี๋ร้องออกมา ตัวของเขา
ลอยละลิ่วปลิวออกไป เขาจับไปที่หน้าอกของตัวเอง
สีหน้าของเขาซีดเซียว
ชายวัยกลางคนก็ไม่ได้ฉวยโอกาสทำร้ายอีก เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “คนเราจะจับปลาสองมือไม่ได้ เจ้า
เชี่ยวชาญด้านพิษ วรยุทธ์ของเจ้าก็เลยด้อยลงไป
แม้แต่ข้าเจ้ายังสู้ไม่ได้เลย ยังคิดจะต่อต้านจงหยวน
อีกหรือ ข้าว่าเจ้ายังไม่มีความสามารถนั้นหรอก”
ชิวเฉียนอี๋กระอักเลือดออกมา ร่างกายของเขาเซ
เหมือนจะล้มลง
แต่ว่าเขาก็ยังพยายามฝืน เขายกมือคำนับแล้วพูดว่า
“วรยุทธ์ของท่านร้ายกาจมาก ข้านับถือ”
“ภัยกำลังจะมาถึงพรรคบัวดำของเจ้าแล้ว ข้าว่าเจ้า
รีบกลับไปที่ดินแดนของเจ้าดีกว่า รีบไปรายงานให้
ท่านประมุขของพวกเจ้าได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเถอะ” ชาย
วัยกลางคนพูดว่า “หลายปีมานี้ท่านประมุขพรรคบัว
ดำ ไม่ได้ทำเรื่องร้ายกาจอะไร คิดว่าก็ไม่ใช่คนเลวร้าย
ข้าจะเห็นแก่เขาปล่อยเจ้าไปสักครั้ง แต่หากครั้งต่อไป
ยังเห็นเจ้าเป็นแบบนี้อีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
ฉีหนิงมองอะไรไม่ออกเลย หลังจากประมือกับชิ
วเฉียนอี๋แล้ว เขารู้ว่าตัวเขาเจอคนที่ร้ายกาจมากเข้า
ให้แล้ว เขารู้ว่าวรยุทธ์ของตัวเขาเองสู้ชายวันกลางคน
นี้ไม่ได้เลย
ชิวเฉียนอี๋เหมือนจะมีความเกรงใจขึ้นมาบ้าง เขาพูด
ว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงทุกอย่าง ข้าต้อง
รายงานให้ท่านประมุขทราบอยู่แล้ว แต่หากท่าน
ประมุขถามถึงท่านขึ้นมา ไม่ทราบว่าจะให้ข้าตอบเขา
ว่าอย่างไร?” เขาเหมือนไม่ค่อยพอใจที่แพ้ให้กับยอด
ฝีมือที่ไม่รู้ที่มาที่ไป เพราะเขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงของ
ปาสู่ ตอนนี้พ่ายแพ้ให้คนอื่น แต่เขากลับไม่รู้แม้แต่ชื่อ
ของอีกฝ่าย มันน่าขายหน้ายื่งนัก
ชายวัยกลางคนเหมือนไม่ได้สนใจที่เขาพูดเลย “เจ้า
ยังคิดอยู่ที่นี่ต่อไปอีกหรือ?” ในน้ำเสียงของเขา มัน
แฝงความหมายข่มขู่เอาไว้ด้วย
ถึงแม้ชิวเฉียนอี๋จะไม่ค่อยพอใจ แต่ก็สู้ไม่ได้ เขาไม่มี
ทางเลือก เขาทำได้แค่เดินไปอุ้มอาเหน่า แล้วเหลือบ
ไปมองฉีหนิง จากนั้นก็จากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ฉีหนิงเดินตามพวกเขาออกไปนอกบ้านไม้ เขามองชิ
วเฉียนอี๋อุ้มอาเหน่าจากไปไกล เขาก็เบาใจขึ้นมา เขา
หันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านไม้ แล้วยกมือคำนับ
ชายวัยกลางคนแล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่
ช่วยพวกข้าเอาไว้”
ชายวัยกลางคนยิ้มให้ แล้วเดินไปที่ข้างหม้อ เขาจ้อง
ไปที่เนื้อในหม้อ ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “น่า
เสียดาย”
“เหตุใดท่านผู้อาวุโสถึงบอกว่าน่าเสียดายเล่า?” ฉี
หนิงถาม
ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วชี้ไปในหม้อจากนั้นก็พูดว่า
“ข้าเสียดายเนื้อหม้อใหญ่แบบนี้ นี่มันเนื้อหมูป่าเลย
นะ ของดีทั้งนั้น เดิมทีเนื้อหม้อนี้กินได้ แต่มาตอนนี้
แม้แต่น้ำแกงก็กินไม่ได้แล้ว”
ฉีหนิงถามว่า “ท่านผู้อาวุโสเมื่อครู่นี้ท่านยังกินอยู่เลย
ไม่ใช่หรือ?”
ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่นี้ก็ส่วนเมื่อครู่
นี้ ตอนนี้ก็ส่วนตอนนี้ ตอนนี้แค่น้ำแกง ก็เลือดออก
เจ็ดทวารแล้ว”
ฉีหนิงตกใจ แล้วก็เข้าใจทันทีว่า “ผู้อาวุโสหมายความ
ว่า เฒ่าพิษผู้นั้นก่อนจะจากไป วางยาพิษเอาไว้ใน
หม้อหรือ?”
“เจ้าก็ฉลาดเหมือนกันนี่นา” ชายวัยกลางคนยิ้มแล้ว
พูดว่า “เขาเสียเปรียบ ต้องไม่พอใจอยู่แล้ว ก่อนไปก็
ต้องทำอะไรบ้าง หากสำเร็จ ก็จะเอาชีวิตข้าได้ไม่ใช่
หรืออย่างไร?”
“แต่ว่า...ข้าไม่เห็นเขาวางยาเลย” ฉีหนิงจำได้ว่า
หลังจากที่ชิวเฉียนอี๋ประมือกับชายวัยกลางคนแล้ว ก็
ไม่ได้เข้าใกล้หม้อเนื้ออีก
ชายวัยกลางคนหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “หากให้เจ้าเห็น
เขายังกล้าเรียกตัวเองว่าราชาพิษอีกหรือ?” เขาสีหน้า
จริงจังขึ้นมา แล้วพูดว่า “ต่อไปหากเจอเขาอีก ต้อง
ระวังให้มาก วรยุทธ์เขาไม่ได้ถือว่าสุดยอดมาก แต่ว่า
เวลาเขาใช้พิษไม่มีใครเทียบเขาได้”
ฉีหนิงก็รู้ว่าวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ หากเฒ่าพิษผู้นั้น
ต้องการสู้กับเขา ต่อให้ระวังก็ไม่มีประโยชน์ เขาถาม
ว่า “ผู้อาวุโส ในเมื่อท่านรู้ว่าเขาไม่ใช่คนดี เหตุใด
ท่านยังปล่อยเขาไปอีก เหตุใดไม่...กำจัดคนเลวเพื่อ
ชาวบ้านเล่า?”
“กำจัดคนเลวเพื่อชาวบ้านหรือ?” ชายวัยกลางคนพูด
ว่า “เขากับข้าไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดข้าต้องฆ่า
เขาด้วย? อีกทั้งเขาก็เป็นคนของพรรคบัวดำด้วย หาก
ฆ่าเขา ก็จะต้องมีความแค้นกับพรรคบัวดำ”
“วรยุทธ์ของผู้อาวุโสร้ายกาจขนาดนี้ ท่านยังกลัว
พรรคบัวดำอีกหรือ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด
ชายวัยกลางคนจ้องไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าเด็กนี่
ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย เหนือฟ้ายังมีฟ้า
เหนือคนยังมีคน คบเพื่อนให้มากมีศัตรูให้น้อย หรือ
ว่าเพราะเจ้าเห็นเขาขัดหูขัดตาเจ้า ข้าก็ต้องฆ่าเขา
อย่างนั้นหรือ?” ถึงแม้เขาจะตำหนิ แต่ว่าเขาไม่ได้
ประสงค์ร้าย อีกทั้งยังทำให้ฉีหนิงรู้สึกสนิทสนมอีก
ด้วย
ทันใดนั้นเองฉีหนิงก็ตบไปที่หัวของตัวเอง “แย่แล้ว”
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เป็นอะไรไป?”
ฉีหนิงทั้งโกรธและหงุดหงิด “ลืมให้ตาเฒ่านั่นถอนพิษ
ให้จั้นอิง” เขาวิ่งไปหาจั้นอิง ซีเหมินจั้นอิงนั่งพิง
กำแพงอยู่ ร่างกายของนางขยับไม่ได้ ฉีหนิงเดินไปหา
แล้วเอาของที่อุดปากนางออก ซีเหมินจั้นอิงถึงได้
หายใจถนัด
“จั้นอิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉีหนิงถาม
ซีเหมินจั้นอิงจ้องไปที่ฉีหนิงแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้า
ควรจะรู้สึกอย่างไร? ตอนนี้ข้าขยับไม่ได้ เมื่อครู่นี้คิด
อยากจะเตือนเจ้าให้เจ้าบอกให้เฒ่าพิษนั่นถอนพิษให้
ข้า แต่ว่าข้าพูดไม่ได้ เจ้าก็ปล่อยเขาไปแบบนั้นเลย
หรือ? เจ้าตั้งใจใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงชินกับท่าทีของนางแล้ว เขายิ้มแล้วพูดว่า
“หากเจ้ายังพูดแบบนี้อีก ข้าจะอุดปากเจ้า
เหมือนเดิม” จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าไม่
ต้องกังวลไป พิษนี่แค่ทำให้ขยับตัวไม่ได้ ไม่ได้มีผลต่อ
ชีวิต มันต้องมีวิธีแก้แน่นอน”
ชายวัยกลางคนเดินมา เขามองไปที่ซีเหมินจั้นอิง แล้ว
พูดกับฉีหนิงว่า “เจ้าถอยไปก่อน”
ฉีหนิงเดินหลบไปข้างๆ ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นมา
ข้างหนึ่งแล้วกางมือออก ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกได้ว่ามีแรง
กำลังกระชากตัวนาง ร่างกายของนางถูกกระชากออก
จากกำแพง ชายคนนั้นหมุนมือไปมา ซีเหมินจั้นอิง
หมุนตัวร้อยแปดสิบองศา ชายวัยกลางคนซัดฝ่ามือไป
ด้านหลังของซีเหมินจั้นอิง
ฉีหนิงเห็นดังนั้นตกใจ คิดจะไปช่วย แต่ว่าชายวัย
กลางคนลงมือรวดเร็วมาก ฉีหนิงทำอะไรไม่ทันเอา
เสียเลย
เห็นซีหมินจั้นอิงอยู่ในท่านั่งแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ ใน
ใจก็คิดว่าชายวัยกลางคนไม่ได้คิดจะทำร้าย
ลมหนาวจากข้างนอกลอยมา ผิวขาวนวลที่หน้าของซี
เหมินจั้นอิงเริ่มแดงขึ้นมา แต่ไม่นานนัก สีหน้าของ
นางก็ซีดลงไปอีก บนหน้าผากของนางมีเหงื่อไหลเต็ม
ไปหมด
หลังจากนั้นไม่นาน ชายวัยกลางคนก็เก็บฝ่ามือ
กลับมา เขาใช้นิ้วขวาสกัดไปที่จุดของซีเหมินจั้นอิง
หลายจุด ทันใดนั้นเองก็เห็นซีเหมินจั้นอิงกระอัก
เลือดออกมา เลือดนั่นเป็นสีม่วงคล้ำ ฉีหนิงถึงได้
เข้าใจว่า ชายวัยกลางคนกำลังขับพิษให้ซีเหมินจั้นอิง
นั่นเอง
ชายวัยกลางคนเก็บมือแล้วพูดว่า “ไม่เป็นอะไรมาก
แล้ว แต่ว่าถูกพิษนานเกินไป ยังมีบางส่วนขับออกมา
ไม่ได้ หลังจากที่พวกเจ้ากลับไป หายาสมุนไพรมากิน
ก็จะดีขึ้นเอง” เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคุณหนูของ
ซีเหมินเสินโหว เขารู้ว่าจะขจัดพิษในตัวเจ้าอย่างไร
ก่อนที่พิษจะขจัดออกไปหมด อาจจะยังมีอาการ
ข้างเคียงอยู่บ้าง ในระหว่างนี้ ห้ามออกแรง ห้ามโมโห
ด้วย”
ร่างกายของซีเหมินจั้นอิงยังคงไร้เรี่ยวแรง แต่ก็
สามารถขยับตัวได้แล้ว นางคิดอยากจะลุกขึ้น แต่รู้สึก
ว่ายังไม่มีแรง ยังไม่สามารถลุกได้
“ไม่ต้องรีบลุกขึ้นหรอก” ชายวัยกลางคนพูดว่า “เพิ่ง
จะขับพิษออกมา พิษของราชาพิษ ไม่ใช่พิษธรรมดา
ทั่วไป ต้องพักอีกสักสองสามชั่วยาม ถึงจะเริ่มดีขึ้น”
ซีเหมินจั้นอิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ขอบคุณผู้อาวุโส”
ฉีหนิงรีบเดินมาแล้วพูดว่า “มา จั้นอิง ข้าพยุงเจ้า
นอน” เขากำลังจะพยุงซีเหมินจั้นอิง แต่นางถลึงตาใส่
เขา แล้วฝืนขยับตัวเองไปพิงผนัง แล้วคลุมเสื้อที่ก่อน
หน้านี้ฉีหนิงคลุมให้นางไว้แน่น นางยังไม่มีแรง ทำได้
แค่ต้องพักก่อนเท่านั้น
ฉีหนิงหันไปมองชายวัยกลางคน ยกมือคำนับแล้วพูด
ว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ขอถาม
ท่านผู้อาวุโส...” เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นชายวัย
กลางคนยิ้มแปลกๆ แล้วก็พุ่งตัวเข้ามา ซัดฝ่ามือมาที่
เขา
ฉีหนิงหน้าถอดสี คิดไม่ถึงว่าชายวัยกลางคนจะลงมือ
กับเขา เขาปฏิกิริยาไว เอียงเท้าซ้าย แล้วก็เริ่มใช้วิชา
ท่าเท้าท่องคลื่นทันที
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 257 รูปแบบและจิตวิญญาณ
ฝ่ามือของชายวัยกลางคนราวกับสายลมและเงา
เหมือนมันอยู่ด้านหลังคอ ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก ไม่
เข้าใจว่าเหตุใดชายวัยกลางคนถึงได้ลงมือกับเขาได้
เมื่อเริ่มเดินท่าเท้าท่องคลื่น มันก็เริ่มเคลื่อนที่ไปตาม
แบบแผน ฉีหนิงรู้สึกว่าชายวัยกลางคนเหมือนจะตาม
อยู่ด้านหลังเขาตลอดเวลา ราวกับว่าเขาเป็นวิญญาณ
ถึงแม้จะไม่ได้แตะตัวของฉีหนิงเลย แต่ว่าฝ่ามือของ
เขาราวกับสายลมมันพัวพันรอบตัวเขาอยู่
ซีเหมินจั้นอิงเห็นชายวัยกลางคนจู่โจมใส่ฉีหนิง ก็
ตกใจ แล้วนางก็เห็นฉีหนิงหลบไปมาราวกับวิญญาณ
ท่าทางการเคลื่อนที่ของเขามันมหัศจรรย์มาก ก่อน
หน้านี้นางไม่ได้รู้สึกว่าฉีหนิงเป็นคนสง่าผ่าเผยเท่าไหร่
นัก แต่ว่าพอเขาใช้ท่าเท้าท่องคลื่นแล้ว นางกลับรู้สึก
ว่าเขาดูพลิ้วไหว สง่างามยิ่งนัก ราวกับเทพที่ล่องลอย
อยู่บนฟากฟ้า
ก่อนหน้านี้ตอนที่ขึ้นเวทีประลองยุทธ์ ฉีหนิงเอาชนะ
ชายตัวใหญ่ได้ ซีเหมินจั้นอิงแค่รู้สึกว่าเขาไม่ได้ร้าย
กาจเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเขาเกิดในตระกูลนักรบ
เลยพอมีพื้นฐานอยู่บ้าง
แต่ว่าวันนี้ก่อนหน้านี้ก็ซัดฝ่ามือใส่อาเหน่า ตอนนี้ก็
เคลื่อนที่แบบประหลาดแบบนี้อีก ซีเหมินจั้นอิงเลย
รู้สึกว่าจิ่นอีโหวน้อยผู้นี้น่าจะเป็นพวกเสือซ่อนเล็บ
ก่อนหน้านี้นางประเมินเขาต่ำเกินไป
ภายในบ้านไม้ไม่ได้กว้างมาก ฉีหนิงเปลี่ยนรูปแบบไป
มาคาดเดาไม่ได้ แต่ว่าเวลาเขาเดินไปหนึ่งก้าวก็จะ
แตะไปถูกของบางอย่าง เขารู้สึกว่าถูกฝ่ามือซัดเข้าที่
ไหล่ ซึ่งแรงของมันก็ไม่น้อยเลย แต่ฉีหนิงไม่ได้รู้สึกไม่
สบายตัวหรือบาดเจ็บอะไร อีกทั้งเขาก็ไม่ได้เอนตัว
ถอยหลังไป
เขารู้สึกแปลกใจมาก ก่อนหน้านี้เห็นชายวัยกลางคน
ปะทะกับชิวเฉียนอี๋ เฒ่าพิษถูกชายวัยกลางคนซัดจน
ได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าในตอนนี้เขาถูกซัดด้วยฝ่ามือ
เช่นกัน แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย
ขณะที่เขากำลังสงสัย ก็ได้ยินชายวัยกลางคนหัวเราะ
ขึ้นมา แล้วพูดว่า “ไม่เลวเลย พอมีพื้นฐานอยู่บ้าง แต่
ว่าความสามารถในการเข้าใจยังแย่อยู่”
ฉีหนิงไม่เข้าใจความหมายของชายวัยกลางคน เห็น
ชายวัยกลางคนยืนอยู่หน้าเขา ยิ้มแล้วพูดว่า “วิชา
เคลื่อนที่ของเจ้าเมื่อครู่นี้ มหัศจรรย์มาก แต่ว่าเจ้าไม่
รู้จักพลิกแพลงมัน ไม่อย่างนั้นมันจะร้ายกาจมากกว่า
นี้”
“หะ?” ฉีหนิงถามอย่างแปลกใจ “ผู้อาวุโส
ความหมายของท่าน ข้าไม่เข้าใจ”
“คนที่คิดค้นวิชานี้ขึ้นมา เขาฉลาดมาก น่าจะเป็น
ยอดฝีมือแห่งยุคคนหนึ่งเลย” ชายวัยกลางคนพูดว่า
“แสดงว่าตอนที่เจ้าฝึกวิชานี้ คงไม่มีคนคอยชี้แนะล่ะ
สิ เจ้าเลยรักษารูปแบบการเคลื่อนที่ได้อย่างดี ข้าถาม
เจ้าหน่อย วิชาการเคลื่อนที่แบบนี้ ตั้งแต่เริ่มจนจบมัน
เป็นแบบหมุนเวียน หรือว่าเป็นแบบเดินตามหลักของ
มันวนซ้ำไปมา หากเจ้าเจอคู่ต่อสู้จริงๆ เจ้าเดินแบบนี้
วนไปมาเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ?”
สายตาของฉีหนิงมีความตกใจมาก คิดในใจว่าชายวัย
กลางคนนี้สายตาเฉียบแหลมมาก มองแค่ครั้งเดียวก็รู้
หลักของท่าเท้าท่องคลื่นนี้แล้ว
ฉีหนิงคุ้นเคยกับท่าเท้าท่องคลื่นนี้แล้ว ตอนเริ่มฝึก
ใหม่ๆ เขายังก้าวเท้าค่อนข้างแข็ง แต่ตอนนี้สามารถ
เดินมันได้อย่างพลิ้วไหวแล้ว
แต่ว่าเขาแค่รู้สึกว่า พอเขาใช้ท่าเท้าท่องคลื่นแล้วมัน
เดินวนเป็นวงกลมเท่านั้น ถึงแม้จะเจอคู่ต่อสู้จริง มัน
ก็พอจะหลบหลีกได้ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
มากกว่านั้น เมื่อฟังชายวัยกลางคนพูดมาแบบนี้ เขา
รีบยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสสายตาเฉียบคม
นัก ขอท่านอาวุโสชี้แนะด้วย”
ชายวัยกลางคนยิ้ม คิดแล้วพูดว่า “วิชานี้ร้ายกาจหา
ได้ยาก น่าเสียดายถูกเจ้านำมาใช้แบบนี้” เขาทำ
ท่าทางแล้วพูดว่า “เมื่อครู่พอเจ้าเดินออกไปแบบนี้
แล้ว จริงๆ แล้วเจ้ามีทางเลือกได้ถึงสามทาง สิ่งที่เจ้า
เลือกถึงแม้มันจะไม่ได้ผิด แต่มันคือการเน้นรับเพื่อ
รุก”
ฉีหนิงรู้สึกมึนงง แล้วพูดว่า “คำพูดของผู้อาวุโส ข้าไม่
เข้าใจเลย”
“สมองหมูเสียจริง” ชายวัยกลางคนต่อว่า “เจ้ารู้
หรือไม่ การเคลื่อนที่ของเจ้า มันสามารถเปลี่ยนได้
เป็นพันเป็นหมื่นรูปแบบ ทำได้ทั้งรุกและรับ แต่เมื่อ
ครู่กระบวนท่าที่เจ้าใช้นั้น มันเอาไว้โจมตีศัตรู ไม่ใช่ไว้
เพื่อหนี” เห็นฉีหนิงยังงงอยู่ ก็ยื่นมือไปดีดหน้าผาก
ของเขา แล้วพูดว่า “คนที่สอนวิชานี้ให้เจ้า เขาใช้การ
เคลื่อนที่นี้ต่อสู้กับศัตรู ดังนั้นมันเลยวนเป็นวงกลม
เป้าหมายเพื่อหาโอกาสจู่โจมใส่คู่ต่อสู้ แต่ว่าหากพลิก
แพลงมัน ก็จะสามารถใช้หลบหลีกศัตรูได้”
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมา แล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ผู้อาวุโส
หมายความว่ามันเอาไว้ใช้หนีได้หรือ?”
ชายวัยกลางคนเห็นฉีหนิงตื่นเต้นดีใจ ก็ไม่ได้พูดดีด้วย
“ลูกผู้ชาย เจอศัตรูคิดแต่เรื่องหนี ยังมีศักดิ์ศรี
หรือไม่?” แต่ก็ยังพูดว่า “ขอแค่จับสาระสำคัญของ
วิชานี้ได้ ก็สามารถทำอะไรได้ตามแต่จะคิด
ยกตัวอย่างเมื่อครู่ จะเดินแบบที่เจ้าเดินก็ได้ หรือว่า
จะทำแบบนี้ก็ได้” พูดจบ เขาก็เอียงเท้าซ้ายออกไป
แล้วหมุนครึ่งตัว ถอยหลังไปหนึ่งก้าว เขายิ้มแล้วถาม
ว่า “เจ้าเข้าใจหรือยัง?”
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก คิดในใจว่าชายวัยกลางคนนี่ร้าย
กาจมากจริงๆ เขาเดินยังไม่ถึงหนึ่งรอบ แต่ว่าเขากลับ
จำท่าทางการเดินของเขาได้จนหมด
เขาเหมือนนิ่งแล้วครุ่นคิด แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสการ
เดินเมื่อครู่เหมือนข้ามไปท่าหนึ่ง...”
ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ความร้ายกาจ
ของมันอยู่ที่ทำไปตามใจ หากเดินตามแบบแผน คนที่
คิดค้นวิชานี้ขึ้นมาคงด่าเจ้าว่าโง่เง่าแล้ว”
ฉีหนิงได้รับการชี้แนะจากชายวัยกลางคน เหมือน
สมองจะเข้าใจอะไรมากขึ้นไม่น้อย เขารู้สึกว่าได้เปิด
โลกใหม่ของท่าเท้าท่องคลื่นแล้ว
ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจแล้วว่า เหตุใดมันถึงได้มีชื่อว่า
“ท่องคลื่น” มันก็เหมือนชายวัยกลางคนว่า ทำไป
ตามใจ ที่เขารู้มันก็แค่หลักการพื้นฐานของท่าเท้าท่อง
คลื่นเท่านั้น หลักสำคัญของมันไม่ใช่การเดินไปตาม
หลักเกณฑ์
ท่าเท้าท่องคลื่นมีไม่ถึงห้าสิบกระบวนท่า ตอนที่เขา
เริ่มฝึกก็ฝึกตามลำดับของภาพบนผนัง ซึ่งจริงๆ แล้ว
วิชานี้คงไม่ได้เดินตามลำดับ แต่สามารถพลิกแพลงไป
ตามโอกาส หากจะฝึกให้ลึกซึ้งกว่านี้ สามถึงห้าวันก็
น่าจะได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉีหนิงก็รู้สึกดีใจมาก เขายกมือคำนับ
แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสเหมือนปลุกข้าจากความฝัน ข้า
ซาบซึ้งใจมาก”
“เมื่อครู่ข้าทดสอบวรยุทธ์ของเจ้าแล้ว ในร่างกายของ
เจ้ามีกำลังภายในที่มีพลังมาก” ชายวัยกลางคนมอง
ไปที่ฉีหนิง “เจ้าอายุไม่ถึงยี่สิบ ปี เหตุใดถึงได้มีกำลัง
ภายในแบบนี้ได้?”
ฉีหนิงคิดในใจว่ากำลังภายในของมู่เสินจวินอย่างน้อย
ก็น่าจะมีสักสิบปี อีกทั้งยังดูดกำลังภายในของทหาร
องครักษ์ของเรือนรับรองจงหลิงมาอีกหลายคน รวม
แล้วก็น่าจะไม่น้อย วันนี้มาดูดกำลังภายในจากชิ
วเฉียนอี๋มาอีกนิดหน่อย คิดว่ากำลังภายในของเขาคง
ไม่มีใครเทียบได้
แต่ว่าชายวัยกลางคนถามมาแบบนี้ ฉีหนิงไม่รู้ว่าต้อง
ตอบอย่างไร
จนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่รู้เลยว่าชายวัยกลางคนเป็นใคร
มาจากไหน ถึงแม้จนถึงตอนนี้ ชายวัยกลางคนผู้นี้จะ
ดูเป็นมิตรมากกว่าศัตรู แต่ว่าเขาเป็นคนในยุทธภพ ฉี
หนิงจะไว้ใจเขาง่ายๆ ไม่ได้ ในยุทธภพมีคนเก่ง
มากมาย ใครจะรู้ว่าชายวัยกลางคนจะแกล้งเป็นคนดี
หรือไม่
พลังหกเทพประสานร้ายกาจไม่มีใครเทียบ เขาเองก็
บังเอิญได้มันมา เขารู้ว่าวิชานี้หาได้ยากมาก หากชาว
ยุทธ์รู้เรื่องวิชานี้ จะต้องคิดอยากได้มันมาแน่นอน
หากเล่าไปตามจริง ใครจะรับประกันได้ว่าเขาจะไม่
สนใจ
เห็นฉีหนิงลังเล ชายวัยกลางคนก็หัวเราะร่าแล้วพูดว่า
“เส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตูเหมือนจะทะลวง
ถึงกันแล้ว แต่ว่าข้าเห็นว่าในจุดตันเถียนของเจ้ามี
กำลังภายในสะสมอยู่ไม่น้อย แต่ไม่เดินมาใช้เลย นี่มัน
เหมือนกับมีของดีอยู่กับตัวกลับไม่รู้จักใช้เลยจริง
หรือไม่?” เขาส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “น่าเสียดาย
น่าเสียดายจริงๆ”
ฉีหนิงรู้สึกนับถือชายวัยกลางคนนี้มาก เขาไม่เพียงจำ
ท่าเท้าท่องคลื่นที่เขาเดินได้ แต่กลับรู้เรื่องกำลัง
ภายในของเขาด้วย
“ผู้อาวุโส...ผู้อาวุโสเป็นคนดีก็เป็นให้ถึงที่สุด ถ้าอย่าง
นั้น...ถ้าอย่างนั้นท่านสอนข้าได้หรือไม่?” ฉีหนิงคิดใน
ใจว่าเขาสามารถเอาชนะชิวเฉียนอี๋ได้อย่างง่ายดาย
แสดงว่าวรยุทธ์ไม่ธรรมดา หากได้เขามาเป็นคนชี้แนะ
ให้ น่าจะโชคดีไม่น้อย ก็เลยหน้าด้านร้องขอ
ชายวัยกลางคนลูบไปที่เคราของเขา แล้วพูดว่า “เจ้า
อยากให้ข้าสอนเจ้าเดินกำลังภายในอย่างนั้นหรือ?”
“ผู้อาวุโสชี้แนะด้วย” สีหน้าของฉีหนิงจริงจังมาก เขา
โค้งตัวคำนับ
ชายวัยกลางคนพูดว่า “ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ว่าคิดจะให้
ข้าสอนเจ้า ข้าก็ต้องดูความสามารถในการเข้าใจของ
เจ้าก่อน ข้าจะถ่ายทอดวิชาให้เจ้าหนึ่งชุด หากเจ้าจำ
ได้ ข้าจะลองคิดดู” เขาพูดจบ ก็แสดงให้ฉีหนิงดู
หากเป็นคนอื่น เกรงว่าคงจะไม่ทันตั้งตัว ยังดีที่ฉีหนิง
ฉลาดมีปฏิกิริยาที่ว่องไว ชายวัยกลางคนเริ่มลงมือ
เขาก็จ้องตาไม่กระพริบเลย
ชายวัยกลางคนแสดงวิชาให้ดู มันไม่ได้ซับซ้อนมาก ฉี
หนิงตั้งใจดูอย่างมากตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อแสดงจบ ชายวัยกลางคนก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็น
อย่างไร ทั้งหมดมีสิบหกกระบวนท่า หากเจอยอด
ฝีมือหรือว่าคนที่มีสำนักอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่
ว่ากับคนทั่วไปนั้นเหลือเฟือนัก” เขาถามว่า “เจ้าจำ
ได้กี่กระบวนท่า?”
ฉีหนิงไม่ได้พูดอะไร เขายกมือแล้วก็เลียนแบบ
กระบวนท่าของชายวัยกลางคนที่ทำเมื่อครู่
ท่าทางของเขาช้ากว่าชายวัยกลางคนมาก ไม่ได้ลื่น
ไหล บางทีทำไปแล้วก็มีหยุดคิด ถึงแม้จะไม่ได้อารมณ์
เหมือนชายวัยกลางคน แต่ว่ากระบวนท่าส่วนใหญ่นั้น
เขาจำได้เกือบหมด
ชายวัยกลางคนตาเป็นประกาย ปรบมือยิ้มแล้วพูดว่า
“ดูท่าข้าจะประเมินเจ้าต่ำไป ไม่เลว ไม่เลว”
“ผู้อาวุโสหมายความว่า ท่านจะสอนข้าเดินลมปราณ
ใช่หรือไม่?” ฉีหนิงดีใจ
ชายวัยกลางคนหัวเราะ แล้วกวักมือเรียกเขามา แล้ว
กระซิบพูดกับเขา แล้วถามว่า “เจ้าจำได้หรือไม่?”
ฉีหนิงเหมือนจะดูมึนงง ชายวัยกลางคนพูดว่า
“กระบวนท่าคือรูปแบบ กำลังภายในเหมือนเป็นจิต
วิญญาณ ไม่มีกระบวนท่ามีเพียงกำลังภายใน มีจิต
วิญญาณไม่มีรูปแบบ มีกำลังภายในแต่ไม่มีกระบวน
ท่า มีรูปแบบแต่ไม่มีจิตวิญญาณ หากมีทั้งรูปแบบ
และจิตวิญญาณ ก็จะทำให้กระบวนท่าหลอมรวมกับ
กำลังภายในได้” เขาหัวเราะเบาๆ เหลือบไปมองซีเห
มินจั้นอิง แล้วพูดว่า “ก็เหมือนโลกนี้ที่มีผู้ชายและ
ผู้หญิง ไม่มีผู้หญิง ผู้ชายก็ไร้ความหมาย แต่ว่าผู้หญิง
เองก็ขาดผู้ชายไม่ได้เหมือนกัน”
ถึงแม้ซีเหมินจั้นอิงร่างกายจะไร้เรี่ยวแรง แต่วา่ หูของ
นางยังฟังได้ชัดอยู่ เห็นชายวัยกลางคนเหลือบมองมา
ที่นาง แล้วยังมาพูดแบบนี้อีก นางรู้สึกหน้าร้อนผ่าว
ขึ้นมา เดิมทีนางยังรู้สึกนับถือชายวัยกลางคนอยู่
ตอนนี้นางหักคะแนนตัวเขาลงไปแล้ว แอบคิดในใจว่า
คิดว่าจะเป็นคนสูงส่ง ที่แท้ก็ไม่เท่าไหร่
ฉีหนิงรู้สึกว่าชายวัยกลางคนเปรียบเทียบได้ดีมาก เขา
หัวเราะแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ผู้อาวุโสพูดได้ตรงจุด
มาก”
“อย่ามัวแต่หัวเราะ” ชายวัยกลางคนจ้องไปที่ฉีหนิง
แล้วพูดว่า “เจ้าลองใช้กระบวนท่าที่ข้าสอนเจ้า ทำ
ตามวิธีที่บอกลองดูว่าสามารถเดินกำลังภายในได้
หรือไม่”
ฉีหนิงคิดแล้วพยักหน้า ทำท่าทางตามที่ชายวัย
กลางคนบอกเขา ขณะที่ซัดฝ่ามือออกไป เขารู้สึกว่า
กำลังภายในที่จุดตันเถียนมันเคลื่อนที่ลุกโชนขึ้นมา
แล้วพุ่งมาที่มือของเขา พริบตาเดียวเขาก็รู้สึกว่ามือ
ของเขาเหมือนเหล็ก และมีแรงมหาศาล
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 258 ฝ่ามือดันภูเขา
ฉีหนิงดีใจมาก เขาพูดว่า “สำเร็จแล้ว ผู้อาวุโส สำเร็จ
แล้ว”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา กำลังภายในของเขาสะสมอยู่
ภายในไม่เคยนำออกมาใช้เลย ทำให้ฉีหนิงเคร่งเครียด
เป็นอย่างมาก ชายวัยกลางคนผู้นั้นถ่ายทอดเคล็ด
วิชาการเดินลมปราณกำลังภายในให้เขา เขาก็รู้สึกว่า
มันช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน เดิมทียังเชื่อครึ่งไม่เชื่อ
ครึ่ง แต่พอได้ลอง มันก็ได้จริงๆ จึงทำให้เขาดีใจมาก
ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วพูดว่า “สำเร็จ? ฝึกยุทธ์ มันไม่
มีที่สิ้นสุดหรอกนะ เจ้าเพิ่งจะได้เรียนวิชาการเดิน
ลมปราณไป ยังห่างชั้นอยู่มากนัก”
ฉีหนิงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มแย้ม
ออกมาแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสวิธีการเดินลมปราณ
ง่ายดายเช่นนี้ ข้ายังคิดว่าน่าจะยากกว่านี้เสียอีก”
“ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เจ้าไม่เข้าใจหรือ?” ชาย
วัยกลางคนถอนหายใจแล้วพูดว่า “บางเรื่องยิ่งง่าย
เท่าไหร่ยิ่งสำเร็จได้ยาก แต่ว่าการเดินลมปราณมัน
ไม่ใช่วิชาลึกซึ้งอะไรมาก ที่สำคัญมากกว่าคือกำลัง
ภายในที่อยู่ในตัวของเจ้า หากเจ้าไม่ได้มีกำลังภายใน
อยู่ก่อน ต่อให้มีวิธีที่ง่ายกว่านี้ ก็ทำไม่ได้”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสกล่าวถูกแล้ว”
เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ที่ผู้อาวุโสถ่ายทอดให้ข้าเมื่อ
ครู่ ไม่ทราบว่ามันคือวิชาอะไรหรือ?”
“มันก็ไม่ใช่วิชาลึกล้ำอะไรหรอก มันเรียกว่าฝ่ามือดัน
ภูเขา เจ้าขยันฝึกให้มาก มันช่วยป้องกันตัวของเจ้า
ได้” ชายวัยกลางคนคิดแล้วพูดว่า “พู่กันแท่งเดียวกัน
แต่คนใช้ไม่เหมือนกัน เป้าหมายก็ไม่เหมือนกัน บาง
คนเขียนได้สะเปะสะปะ แต่บางคนสามารถเขียนจน
กลายเป็นของเก่าล้ำค่าได้ บางคนสามารถวาดเป็น
ภาพได้ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับคนที่ใช้งานมัน”
ฉีหนิงเข้าใจความหมายของชายวัยกลางคน เขาถาม
ว่า “ผู้อาวุโสหมายความว่า วิชาฝ่ามือดันภูเขาถึงแม้
จะเป็นกระบวนท่าที่ทำได้ง่าย แต่หากขยันฝึกฝน ก็
สามารถกลายเป็นวิชาที่ร้ายกาจได้”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า สายตาของเขามีความชื่น
ชม แล้วพูดว่า “เจ้าก็เข้าใจอะไรได้ง่ายดี” เขาหยุดไป
แล้วพูดว่า “กำลังภายในในร่างกายของเจ้าถึงแม้จะมี
มาก แต่ว่ามันยุ่งเหยิงไปหมด ยังต้องฝึกเดินลมปราณ
ให้มาก ต้องทำให้มันหลอมรวมเป็นหนึ่งให้ได้ ตอนนี้
กำลังภายในของเจ้ายังอ่อนอยู่ มันไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง
หลังจากกลับไป หาคนมาสอนเจ้าเสีย หากไม่มีจริงๆ
ก็ไปที่วัดต้ากวงหมิง ที่นั่นเป็นดินแดนศาสนา การ
เดินลมปราณที่นั่นเป็นการฝึกที่ถูกต้อง มันมี
ประโยชน์กับเจ้า”
ฉีหนิงคิดในใจว่า หรือว่าชายวัยกลางคนผู้นี้จะรู้เรื่อง
ของเขากับวัดต้ากวงหมิงด้วย? เขาอดไม่ได้ที่จะถาม
ออกไปว่า “ผู้อาวุโส ข้าขอถามชื่อของท่านได้
หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ที่ข้ามา อะไรที่
ควรทำก็ทำไปแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อข้าหรอก”
ฉีหนิงเห็นเขาไม่ยอมบอกชื่อ ก็ไม่กล้าจะถามอีก ทำ
ได้แค่พูดว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้ต้องขอบคุณ
ท่านผู้อาวุโสจริงๆ ทั้งเรื่องที่ช่วยชีวิตข้าและคำชี้แนะ
ต่างๆ หากท่านมีเวลาว่าง ก็เชิญท่านมาที่จวนจิ่นอี
โหวได้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่คุ้นชินกับที่แบบนั้นหรอก” ชายวัย
กลางคนยืนไขว้มือไว้ด้านหลังยิ้มแล้วพูดว่า “ช่าง
เถอะ ข้าต้องไปแล้ว เจ้าดูแลตัวเองให้ดี”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “ผู้อาวุโส ตอนนี้ดึกมากแล้ว ด้าน
นอกหิมะยังตกอยู่ ท่าน...”
“ต่างคนต่างมีทางของตัวเอง” ชายวัยกลางคนยิ้ม
แล้วจากไป ฉีหนิงเห็นเขากำลังจะจากไป จึงเรียก
เอาไว้ ชายวัยกลางคนหันกลับมา กล่าว “มีอะไร
อีก?”
“เอ่อ...” ฉีหนิงไม่รู้จะพูดอะไร “จริงสิ ผู้อาวุโส ขอ
อภัยด้วย ก่อนหน้านี้...ก่อนหน้านี้ท่านซัดชิวเฉียนอี๋ไป
ช่างร้ายกาจยิ่งนัก มัน...”
ชายวัยกลางคนยิ้มแปลกๆ แล้วถามว่า “เจ้าเด็กผู้นี้
อย่าบอกนะว่าเจ้าอยากจะเรียนวิชาอีก?”
ฉีหนิงรู้ว่ากระบวนท่าเมื่อครู่นี้มันร้ายกาจมาก แม้แต่
ชิวเฉียนอี๋ยังไม่สามารถรับมือได้ เขายิ้มแล้วพูดไปด้วย
ความหน้าด้านว่า “ผู้อาวุโสเมื่อครู่ก็บอกเองว่าฝ่ามือ
ดันภูเขาสามารถรับมือกับคนทั่วไปได้ แต่ว่า...แต่ว่า
หากชิวเฉียนอี๋กลับมาหาเรื่องพวกข้าอีก ผู้อาวุโสก็ไม่
อยู่กับข้าแล้ว ข้า...”
ชายวัยกลางคนหัวเราะร่าออกมา แล้วพูดว่า “เจ้ามัน
โลภมากจริงๆ เจ้าคิดเรียนวิชาแบบนั้น ก็ใช่ว่าจะ
ไม่ได้ เพียงแค่พื้นฐานของเจ้าตอนนี้ หากฝืนฝึกไป จะ
เป็นโทษกับเจ้ามากกว่า อาจจะเป็นอันตรายได้ อีกทั้ง
...เหอะเหอะ วิชานั้นเจ้าคิดว่าใครก็ฝึกได้อย่างนั้น
หรือ? หากข้าถ่ายทอดให้เจ้าไป พอเจ้ารู้ความจริง
ขึ้นมา คงไม่กล้าเรียน”
“ไม่กล้าเรียน?” ฉีหนิงอึ้งไป กำลังจะถาม ก็เห็นชาย
วัยกลางคนหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ฉีหนิงวิ่งออกไปด้านนอก เห็นหิมะตกหนัก แต่ว่าเขา
ไม่เห็นเงาของชายวัยกลางคนผู้นั้นเสียแล้ว
ฉีหนิงยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น แล้วส่ายหน้า จากนั้นก็
เดินกลับไปด้านในบ้านไม้ กองไฟใกล้ดับลงแล้ว ยังดี
ที่มุมห้องยังมีฟืนอยู่ ฉีหนิงเอาฟืนมาเพิ่มในกองไฟ ไฟ
จึงลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จากนั้นเขาก็เดินไปหาซีเห
มินจั้นอิง เห็นซีเหมินจั้นอิงนั่งหลับตาพิงกำแพงอยู่
เหมือนว่านางจะหลับไปแล้ว
“จั้นอิง” ฉีหนิงเรียกนาง ไม่รู้เหมือนกันว่าซีเหมินจั้น
อิงนั้นหลับจริงหรือแกล้งหลับ นางไม่ขยับตัวเลย
ฉีหนิงส่ายหน้า แล้วลุกขึ้นมา เห็นที่มุมห้องมีกองหนัง
สัตว์อยู่ เขาเห็นหนังสัตว์สองผืน ที่ตากจนแห้งแล้ว
เขาไปหยิบมันมาปูวางไว้ข้างกองไฟหนึ่งแผ่น อีกแผ่น
ก็หยิบไปคลุมให้ซีเหมินจั้นอิง
ในใจของเขายังคงรู้สึกกังวลอยู่ ชายวัยกลางคนเป็น
ใครก็ไม่รู้จะมาก็มาจะไปก็ไป และก็ไม่รู้ว่าชิวเฉียนอี๋
จะไปแล้วหรือยัง หากเฒ่าพิษยังอยู่แถวนี้ แล้ว
ย้อนกลับมา มันก็จะยุ่งยาก
แต่ว่าคืนหิมะตกหนักแบบนี้ ถ้าไปตอนนี้ก็ไม่รู้ต้องไป
ทางไหน
เขาหยิบหนังสัตว์ขึ้นมาห่มตัว แล้วเดินออกนอกบ้าน
ไป พร้อมทั้งปิดประตู เขาเดินวนรอบบ้านไม้หนึ่งรอบ
พบว่าบ้านไม้หลังนี้อยู่ทางตีนเขา ด้านหลังเป็นภูเขา
ลูกใหญ่เป็นป่าทึบ
บริเวณรอบๆ นี้นอกจากบ้านไม้หลังนี้แล้ว ก็ไม่มีที่
ไหนที่มีแสงไฟอีก ไม่มีบ้านคนสักหลัง มีเพียงบ้านไม้
หลังนี้เท่านั้นที่อยู่ตรงตีนเขา
ฉีหนิงไม่รู้เลยว่าตัวเขาอยู่ที่ไหน อีกทั้งหิมะก็ตกลงมา
อย่างหนักไม่หยุด ความสามารถในการมองเห็นตอนนี้
ก็ต่ำมาก ได้ยินแต่เสียงลมพัดอย่างหนัก ไม่รู้ว่ามันคือ
ทิศไหนอะไรอย่างไร
ด้านนอกหนาวมาก ฉีหนิงเดินแค่รอบเดียว ก็กลับเข้า
ไปในบ้านไม้แล้ว ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า บ้านไม้หลัง
นี้น่าจะเป็นบ้านของนายพราน แต่ชิวเฉียนอี๋บังเอิญ
ผ่านมาพอดี เลยโชคร้ายกลายเป็นศพที่ไม่เหลือแม้แต่
กระดูก ไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้ด้วยแม้แต่รอยเลือดก็
ไม่มี เพราะถูกหิมะกลบไปหมดแล้ว
เมื่อกลับเข้าไปในบ้านไม้ ฉีหนิงปิดประตูลงกลอน เขา
แค่ออกไปเดินแค่รอบเดียว ก็รู้สึกว่าตัวเขาหนาวมาก
รีบเดินไปนั่งข้างกองไฟ แล้วเอาหนังสัตว์มาห่มตัวไว้
รอบๆ มีแต่เสียงลมพัด ไม่มีเสียงอะไรอย่างอื่นเลย
มันทำให้รู้สึงวังเวง
ชายวัยกลางคนโผล่มากะทันหัน ที่นี่เป็นตีนเขา พูดได้
ว่าเป็นป่าร้าง ฉีหนิงไม่เชื่อเลยว่าเขาแค่ผ่านทางมา
เท่านั้น อาจเป็นไปได้ว่าเขาตามชิวเฉียนอี๋มาจนถึงที่นี่
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขากับชายวัยกลางคนผู้นั้นไม่
เคยเจอหน้ากันมาก่อน ไม่เคยรู้จักกัน แต่เพราะเหตุ
ใดเขาถึงได้ยื่นมือเข้ามาช่วยนะ?
หากบอกว่าเขาทำไปเพราะคุณธรรม แล้วเหตุใดเขา
ถึงได้ถ่ายทอดวิชาการเดินลมปราณกำลังภายในกับ
วิชาฝ่ามือดันภูเขาให้เขาด้วยเล่า?
แต่ที่ไม่ต้องสงสัยเลย ก็คือเขาสามารถเอาชนะชิ
วเฉียนอี๋ได้ แสดงว่าวรยุทธ์ของเขาต้องไม่ธรรมดา
แน่นอน
ฉีหนิงยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องในยุทธภพเท่าไหร่ แค่ได้
ยินมาจากต้วนฉางไห่บ้าง เรื่องของต้างจงซือห้าคน
เขายังจำได้ แต่ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้จะเป็นหนึ่งในห้า
คนนั้นหรือไม่
เจ้าเกาะตงไห่ไป๋อวิ๋นโม่ฉางหลันเป็นอาจารย์ของชื่อ
ตันเหมย อีกทั้งยังเป็นราชครูของแคว้นตงฉี ชื่อตัน
เหมยอายุไม่น้อยแล้ว โม่ฉางไห่เองก็ไม่น่าจะอายุแค่สี่
สิบ เขาอยู่ไกลถึงเกาะไป๋อวิ๋น คิดว่าไม่น่าจะมา
ปรากฏตัวแถวนี้
หากบอกว่าเป็นเทพกระบี่เป่ยกงเหลียนเฉิงกับเป่ยถัง
ห้วนเยี่ยแห่งเป่ยฮั่น ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ อายุไม่
สอดคล้องกันสักเท่าไหร่ จู๋ยื่อฟ่าอ๋องจากเขาชิงจั้งต้า
เสวีย ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เหมือนกัน
กระบวนท่าที่ชายวัยกลางคนเอาชนะชิวเฉียนอี๋ได้นั้น
มันร้ายกาจมาก เดิมทีฉีหนิงยังคิดหน้าด้านขอให้เขา
สอนให้ แต่ว่าชายวัยกลางคนผู้นั้นบอกว่าวิชานี้ไม่ใช่
ใครก็จะเรียนได้ อีกทั้งยังบอกว่าหากรู้ความจริงอะไร
อีก ต่อให้เขายอมสอน ฉีหนิงก็อาจจะไม่อยากเรียน
มันยิ่งทำให้เขาสงสัยเข้าไปอีก เขาคิดในใจว่าวิชาร้าย
กาจแบบนี้ ถ้าถ่ายทอดให้จริง เหตุใดเขาจะไม่อยาก
เรียนเล่า?
คิดว่าเขาคงไม่อยากถ่ายทอดให้มากกว่า ก็เลยหา
ข้ออ้างไปเรื่อย
เขานั่งคิดอยู่นาน แต่ก็จับจุดอะไรไม่ได้เลย ในใจก็คิด
ว่าแม้แต่ชิวเฉียนอี๋ยังเดาไม่ออกว่าเขาเป็นใคร ตัวเขา
เองต่อให้ทุบสมองออกมาก็คงไม่รู้อะไร
เขาคิดอีกว่าการเดินลมปราณกำลังภายในที่เขาเรียน
มาเมื่อครู่นี้ ถึงแม้จะสามารถทำได้อย่างราบรื่น แต่ว่า
เขาก็ยังกังวลว่ามันจะแค่บังเอิญหรือไม่ เขาก็เลยลอง
เดินลมปราณกำลังภายในอีกที เขาจึงได้พบว่ามัน
ราบรื่นดีมาก เขาสามารถเดินลมปราณกำลังภายใน
จากจุดตันเถียนได้ อีกทั้งยังสามารถควบคุมอวัยวะ
ทุกอย่างของเขาได้หมด
เขาดีใจมาก แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็รู้สึกอ่อนล้า
ขึ้นมาเป็นอย่างมาก แล้วในจุดตันเถียนก็เหมือนไม่
เหลืออะไรอยู่เลย
ฉีหนิงเข้าใจทันที การเดินลมปราณหรือกำลังภายใน
จะทำให้อ่อนล้าได้ง่าย ที่จุดตันเถียนอ่อนแรงเป็น
เพราะเขาเดินลมปราณมากเกินไป เขาจึงรีบหยุดลง
แล้วเอนตัวพักผ่อน ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงร้อง
ขึ้นมา เขาหันไปมอง เห็นซีเหมินจั้นอิงที่ก่อนหน้านี้
นอนพิงอยู่ที่กำแพงตอนนี้กำลังนอนตัวสั่นอยู่ที่พื้น
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วลุกขึ้นมา เขาเดินไปนั่งยองๆ
ข้างๆ ตัวนาง เขาเห็นซีเหมินจั้นอิงสีหน้าซีดเซียว ตัว
สั่นอย่างหนัก เขาจึงตกใจ แล้วรีบถามว่า “จั้นอิง เจ้า
เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงลืมตาขึ้นมาบางๆ แล้วพูดเสียงเบาว่า
“ไม่...ไม่เป็นไร ก็แค่...ก็แค่รู้สึกหนาวนิดหน่อย”
ฉีหนิงตะลึงไป เขายื่นมือไปจับมือของซีเหมินจั้นอิง
นางก็รู้สึกตกใจ คิดอยากจะดึงมือออก แต่ว่านางไม่มี
แรงเหลืออยู่เลย
ฉีหนิงจับมือของซีเหมินจั้นอิงเอาไว้ เขารู้สึกว่ามือของ
นางเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง เขายื่นมือไปแตะ
หน้าผากของซีเหมินจั้นอิง ก็เย็นเหมือนกัน
ซีเหมินจั้นอิงพูดอย่างไม่มีแรงว่า “ไม่ต้อง...ไม่ต้องมา
ยุ่ง เจ้า...เจ้าห้ามแตะต้องตัวข้า”
“อย่าพูดมากได้หรือไม่ เป็นขนาดนี้แล้ว ยังมีอารมณ์
มาเถียงอีกรึ?” ฉีหนิงไม่ได้พูดดีด้วย จากนั้นเขาก็ไม่
พูดอะไรอีก อุ้มตัวซีเหมินจั้นอิงขึ้นมาแล้วพูดว่า “ไป
นั่งข้างๆ กองไฟดีกว่า”
ซีหมินจั้นอิงถูกเขาอุ้มขึ้นมา นางทั้งเขินอายทั้งโกรธ
คิดอยากจะขัดขืน แต่ก็ไม่มีแรง นางทำอะไรไม่ได้เลย
ฉีหนิงอุ้มนางมาวางบนหนังสัตว์ข้างกองไฟ แล้วเอา
หนังสัตว์อีกผืนมาห่มให้นาง แล้วถามว่า “ดีขึ้นบ้าง
หรือไม่?”
ซีหมินจั้นอิงนอนอยู่ข้างกองไฟ ไม่พูดอะไร แล้วก็
หลับตาลง
ฉีหนิงรู้ว่าน่าจะเป็นเพราะพิษที่ยังเหลือในตัวของซีเห
มินจั้นอิง ถึงแม้ชายวัยกลางคนผู้นั้นจะขับพิษให้ซีเห
มินจั้นอิงแล้ว แต่เขาก็บอกแล้วว่าเพราะถูกพิษนาน
เกินไป ทำให้พิษบางส่วนขับออกมาไม่หมด ถึงแม้ไม่มี
อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ยังมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง
เขารู้สึกโกรธอยู่ไม่น้อย แอบคิดในใจว่าพิษของชิ
วเฉียนอี๋เจ้าเฒ่าพิษผู้นั้นร้ายกาจมาก อีกทั้งเขาก็รู้สึก
เสียใจที่ไม่ได้ให้เขาถอนพิษให้ซีเหมินจั้นอิงก่อนที่เขา
จะไป
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยังคงเห็นซีเหมินจั้นอิงนอน
ตัวสั่นอยู่เหมือนเดิม เขายื่นมือไปแตะหน้าผากของ
นาง มันยังคงหนาวเหน็บเหมือนเดิม ราวกับว่ากองไฟ
ไม่สามารถทำให้นางอุ่นขึ้นเลย ไม่เพียงแค่นั้น
หน้าผากของนางยังมีเหงื่อไหลออกมามากอีกด้วย
ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก เขาคิดในใจว่า
หรือว่าชายวัยกลางคนผู้นั้นจะคิดผิด พิษในร่ายกาจ
ของซีเหมินจั้นอิงยังคงรุนแรงอยู่?
ภายในบ้านไม้ นอกจากหนังสัตว์สองผืนกับกองไฟ
แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้ตัวอุ่นได้อีก เขาคิดแล้วก็ถอด
เสื้อของตัวเองออกจนเหลือแค่เสื้อชั้นในสุด แล้วเอา
เสื้อที่ถอดออกทั้งหมดห่มให้ซีเหมินจั้นอิง แล้วพูด
อย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ อดทนอีกนิด
เดียวก็หายแล้ว”
ซีเหมินจั้นอิงลืมตาขึ้นมา เห็นฉีหนิงเอาเสื้อของเขามา
ห่มให้ตัวเอง แล้วเหลือเพียงเสื้อชั้นในสุด นางก็รู้สึก
ซาบซึ้งใจมาก นางพูดว่า “ไม่ต้องหรอก...เจ้า...เจ้าจะ
หนาวนะ รีบ...รีบใส่เสื้อเร็วเข้า”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ามันคนเหล็ก ทนหนาวได้ ไม่
ต้องห่วงหรอก” เขายิ้มแล้วพูดว่า “จั้นอิง ข้ารู้สึกว่า
เหมือนเจ้าจะเริ่มห่วงข้าบ้างแล้ว เป็นอะไรไป เจ้าถูก
รูปร่างกำยำของข้าดึงดูดใจไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ซีเหมินจั้นอิงทั้งโกรธทั้งขำ นางจ้องไปที่เขา แล้วออก
แรงพูดว่า “ใคร...ใครเป็นห่วงเจ้ากัน...เจ้าคนกะล่อน
...เจ้า...เจ้าถอยไปเลยนะ” ทันใดนั้นเองนางก็รู้สึก
หนาวขึ้นมาเป็นอย่างมาก นางกัดฟันแน่น ตัวของ
นางสั่นเทาอย่างหนัก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 259 คืนที่หนาวเหน็บ
ฉีหนิงหัวเราะแหะๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขานั่ง
ลงข้างๆ
ฟืนที่ไหม้ในกองไฟกําลังลุกโชน เปลวไฟพวยพุ่ง
ขึ้นมาไม่หยุด เหมือนกําลังเต้นระบําอยู่ ฉีหนิงจ้อง
ไปที่กองไฟ เหมือนกําลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ทันใด
นั้นเอง ก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางของซีเหมินจั้นอิง
ก็รีบวิ่งไปดู เขาเห็นซีเหมินจั้นอิงตัวสั่นอย่างหนัก
ม้วนตัวเป็นขดอยู่
ฉีหนิงรีบเดินเข้าไปหาแล้วถามว่า “จั้นอิง ทรมาน
มากใช่หรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงก็ไม่ได้พูดอะไรมาก นางได้แต่ควรญ
ครางออกมาด้วยความเหน็บหนาว ฉีหนิงยื่นมือเข้า
ไปแตะมือของนางอีก มือของนางเย็นเยียบราวกับ
น้ําแข็ง
เขาเกรงว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป ซีเหมินจั้นอิง
จะต้องหนาวตายอย่างแน่นอน
แต่ว่าภายในบ้านไม้ไม่มีสิ่งใดที่สามารถทําให้อุ่นขึ้น
ได้แล้ว แม้แต่กองไฟยังทําให้ซีเหมินจั้นอิงอุ่นขึ้น
ไม่ได้เลย
เหงื่อของซีเหมินจั้นอิงไหลออกมาทางหน้าผากเป็น
จํานวนมาก ฉีหนิงขมวดคิ้วมุ่น นิ่งไปครู่หนึ่ง
จากนั้นก็เดินไปนอนข้างๆ ซีเหมินจั้นอิง นางนอน
อยู่ข้างกองไฟ ฉีหนิงเดินไปนอนด้านหลังของนาง
แล้วใช้มือโอบกอดนางจากด้านหลัง
ซีเหมินจั้นอิงขยับตัวเล็กน้อย เหมือนจะขัดขืน แต่
ปากก็ยังคงครวญครางออกมาด้วยความหนาวอยู่
นางสะลึมสะลือเหมือนไม่รู้ตัวว่ากําลังเกิดเรื่องอะไร
ขึ้น
ฉีหนิงกอดเอวของซีเหมินจั้นอิงเอาไว้โดยมีแผ่นหนัง
สัตว์กั้นเอาไว้ เขารู้ว่าหากมีอะไรกั้นเอาไว้แบบนี้
ความอบอุ่นคงไม่สามารถส่งผ่านไปยังตัวของซีเห
มินจั้นอิงได้ เขาลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงดึงหนัง
สัตว์ออกมา แล้วเขยิบเข้าไป จากนั้นค่อยห่มหนัง
สัตว์ทับอีกที
ซีเหมินจั้นอิงนอนขดตัวอยู่ ทําให้สะโพกของนางนั้น
ดันโก่งขึ้นมา ฉีหนิงแนบตัวเข้าไปเพื่อให้ความอบอุ่น
กับนาง
เขารู้สึกว่ารูปร่างของซีเหมินจั้นอิงนั้นดีมากๆ
โดยเฉพาะสะโพกกับก้นที่อวบอิ่มเช่นนี้
ซีเหมินจั้นอิงยังคงตัวสั่นและตัวเย็นอยู่ ฉีหนิงยังรู้สึก
กังวลอยู่ เขาคิดในใจว่า ถึงอย่างไรซีเหมินจั้นอิงก็
เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ เขาใช้วิธีนี้ในการให้ความ
อบอุ่นกับนาง ตัวเขาเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ว่า
สําหรับผู้หญิงแล้ว มันน่าจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
แต่ว่าในตอนนี้ซีเหมินจั้นอิงตัวเย็นมากขนาดนี้ หาก
คิดหาวิธีอื่น เกรงว่านางอาจจะตายก่อนได้
สถานการณ์บังคับ เขาเลยตัดสินใจไม่ไปคิดถึงเรื่อง
อื่น
นางฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะไม่ได้เก่งกาจ
อะไรมาก แต่เพราะมีพื้นฐานที่ดี ทําให้ผิวพรรณของ
นางนั้นขาวเนียนและนุ่มลื่นเป็นอย่างมาก
คนที่ฝึกวรยุทธ์หากไม่ได้ฝึกช่วงล่างให้แข็งแกร่ง ก็
จะทําให้ยืนได้ไม่มั่นคง แล้วก็ไม่สามารถฝึกวิชาอะไร
ได้อีก
เพราะแบบนั้นกระมัง ก็เลยทําให้ช่วงสะโพกของซี
เหมินจั้นอิงนั้นอวบอิ่มเนื้อแน่นแบบนี้
ฉีหนิงกอดซีเหมินจั้นอิงเอาไว้ เขาสัมผัสได้ถึงความ
หนาวเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวของซีเหมินจั้นอิง ทํา
ให้ตัวเขาเองก็รู้สึกหนาวไปด้วย แต่ว่าเขาเองก็ไม่
กล้าที่จะปล่อยมือจากนาง
สักพักหนึ่งความเย็นกับอาการตัวสั่นนั้นก็ค่อยๆ
ลดลง อุณหภูมิในตัวนางเริ่มเพิ่มสูงขึ้น ไม่ได้เย็น
เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ฉีหนิงรู้สึกดีใจมาก แอบคิดในใจว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลดี
จริงๆ
ทันใดนั้นเองซีเหมินจั้นอิงก็ขยับตัวเล็กน้อย ฉีหนิงก็
เป็นคนมีเลือดมีเนื้อ เริ่มแรกเขาแค่คิดว่าซีเหมินจั้น
อิงกําลังหนาว แต่ว่ามีร่างกายที่มีกลิ่นหอมและนุ่ม
ลื่นแบบนี้อยู่ในอ้อมกอด หากเขาไม่รู้สึกอะไรเลย
มันคงจะแปลกประหลาดไปเสียหน่อยแล้ว
ระหว่างท้องของเขาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา และบริเวณ
ต้นขาของเขานั้นก็เริ่มร้อนขึ้นมาเช่นกัน ในตอนนี้
ร่างกายของเขามันเริ่มมีปฏิกิริยาขึ้นมาบ้างแล้ว
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงครวญครางละเมอมาจากซี
เหมินจั้นอิง นางขยับช่วงล่างของนาง แต่ครั้งนี้นาง
ขยับเข้าหาตัวของฉีหนิง
ในใจของฉีหนิงเข้าใจดีว่า เวลานี้ซีเหมินจั้นอิง
สะลึมสะลือไม่รู้สึกตัว นางไม่รู้ว่าเขากําลังกอดนาง
อยู่ แค่รู้สึกว่ามาทางนี้มันทําให้นางอบอุ่นจึงขยับ
เข้ามา ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่านางรู้ว่าเขากําลังกอด
นางแบบนี้อยู่ คงร้องโวยวายไปแล้ว
ซีเหมินจั้นอิงไม่รู้เลยว่า การที่นางขยับสะโพกเข้าไป
หาฉีหนิงนั้น มันทําให้ฉีหนิงทรมาน เพราะฉีหนิง
ตอนนี้มีช่วงล่างของเขามันเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง
ขึ้นมาแล้ว
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาคิดในใจว่าแย่จริงๆ ซีเห
มินจั้นอิงสะลึมสะลือแบบนี้ ฉีหนิงไม่มีทางฉวย
โอกาสกับนางแน่นอน ไม่อย่างนั้นหากนางยังมีสติ
อยู่ คงจัดการเขาไปแล้ว เขาเองก็รู้ดี หากซีเหมินจั้น
อิงมีสติสมบูรณ์ เขาคงไม่ได้มีโอกาสได้กอดนางแบบ
นี้
นางกําลังทรมานอยู่ เขากลับมีปฏิกิริยาแบบนี้กับ
นาง ถึงแม้ซีเหมินจั้นอิงจะยังไม่รู้ตัว แต่ฉีหนิงก็รู้สึก
ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เขาเลยขยับตัวออกมาเล็กน้อย
“อย่า...อย่า...” ขณะที่ร่างกายของฉีหนิงกําลังเร่า
ร้อน ก็ได้ยินซีเหมินจั้นอิงพึมพําออกมา เขาไม่รู้ว่า
“อย่า” ของนาง มันหมายความว่าอะไร
หรือว่านางรู้สึกตัวแล้ว ถึงได้บอกว่าอย่า? หรือว่า...
นางจะรู้สึกสบายตัวที่เขาเข้าใกล้นางแบบนี้
“หาก...หากเจ้าไม่อยากให้ขยับออกมา หลังจาก...
หลังจากนี้อย่าหาเรื่องข้าก็แล้วกัน” ฉีหนิงหน้าร้อน
ผ่าวมาก เขาขยับเข้าไปกอดนางอีกครั้ง ครั้งนี้เขา
เขยิบแนบชิดมากกว่าเดิม
แต่ก่อนเขาแค่รู้สึกว่านางมีสะโพกที่อวบอิ่มมาก
เท่านั้น แต่ว่าตอนนี้พอเข้าใกล้นางมากๆ เขากลับ
รู้สึกว่ามันเป็นเวลาอันล้ําค่าที่หาได้ยากมาก
บนตัวของซีเหมินจั้นอิงมีเสื้อผ้าอยู่น้อยชิ้น ชุดของ
จวนเสินโหวออกแบบมาเพื่อให้เคลื่อนไหวว่องไว
ด้านในเป็นเสื้อบางๆ ชุดหนึ่งเท่านั้น เพราะสําหรับ
คนที่ฝึกยุทธ์แล้วอากาศของหน้าหนาวมันไม่ได้เป็น
ปัญหาอะไร
ถึงแม้ซีเหมินจั้นอิงจะเป็นผู้หญิง แต่ว่าร่างกาย
แข็งแรงมาก เหมือนเจ้าหน้าที่ทั่วไปของจวนเสิน
โหว
ตอนนี้ฉีหนิงรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว เขาทั้งรู้สึกอาย
แล้วก็รู้สึกผิด แอบคิดในใจว่าในเวลาแบบนี้เขากลับ
หลอกล่วงเกินนางอีก ต่ําช้าจริงๆ แต่หากให้เขาถอย
ออกมาจากนางตอนนี้ เขาเองก็ไม่อยากถอย
เดิมทีร่างกายของซีเหมินจั้นอิงนั้นหนาวเย็นมาก แต่
ว่าในเวลานี้เริ่มอุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ เขาดีใจมาก แอบ
คิดในใจว่าหรือการที่เขามีอารมณ์แล้วแนบชิด
นางแบบนี้ ทําให้นางฟื้นตัวได้เร็วแบบนี้
ในเมื่อจะช่วยคน ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด เขาจะคิดถึง
แต่ตัวเองไม่ได้ ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่านางกําลังขยับตัว
ออก เขาเลยโอบกอดนางเอาไว้แน่นขึ้นไปอีก เผื่อ
ไม่ให้นางขยับตัวออก
เขาร้อนรุ่มไปทั้งตัว เขารู้สึกดีกับร่างกายของนาง
มากๆ ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงครวญครางของซีเห
มินจั้นอิงดังขึ้นอีกครั้ง ฉีหนิงตกใจมาก จากนั้นก็ได้
ยินซีเหมินจั้นอิงละเมอว่า “มีด...อย่า...อย่าแทงข้า
เอา...เอามันออกไป ทรมาน...ทรมานเหลือเกิน” ฉี
หนิงรู้ทันทีว่านางเองก็เริ่มรู้สึกตัวแล้ว หากเขายัง
กอดนางอยู่แบบนี้ต่อไป นางก็จะตื่นขึ้นมาแน่นอน
เขาเลยรีบพูดว่า “จั้นอิง...ข้าจะเอามันถอยออกไป
เดี๋ยวนี้เลย” แต่เขาก็ยังไม่อยากถอยห่างจากตัวของ
ซีเหมินจั้นอิงในตอนนี้เลย เขาพยายามถูๆ ไถๆ ช่วง
ล่างของเขากับร่องก้นของซีเหมินจั้นอิง จนสุดท้ายก็
สุขสมอารมณ์หมาย เขาวางมือของเขาบนสะโพก
ของนาง ฉีหนิงหายใจถี่กระชั้น เขารู้สึกผิดมาก แต่
เขาคิดในใจว่าเขาก็ไม่ได้ทําให้นางเสียความบริสุทธิ์
ไปจริงๆ อีกทั้งยังช่วยให้นางตัวอุ่นขึ้นอีก ทําให้
ความรู้สึกผิดของเขามันลดลงไปบ้าง เขาพบว่าตัว
เขาหัวใจเต้นแรงมาก เขาไม่รู้ว่าหากผ่านคืนอัน
หนาวเหน็บในคืนนี้ไป เขาจะมีโอกาสได้สัมผัส
สะโพกกับก้นอันอวบอิ่มอีกหรือไม่
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 260 เส้นทางหิมะ
ฉีหนิงไม่ได้พักผ่อนดีๆ มาหลายวันแล้ว อีกทั้งเมื่อ
ครู่นี้ยังทาแบบนั้นไปอีก เขาจึงรู้สึกเหนื่อยมาก
ตอนนี้ซีเหมินจั้นอิงนิ่งไปแล้ว ฉีหนิงถอยห่างจากตัว
นางออกมา แต่ก็กังวลว่าหากถอยห่างมากเกินไป
จะทาให้ร่างกายของนางหนาวขึ้นมาอีก เขาก็เลย
โอบเอวของนางไว้อยู่ เขาได้กลิ่นหอมจากตัวของซี
เหมินจั้นอิง เขารู้สึกสบายตัวจนหลับไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา
ทาให้ฉีหนิงตกใจตื่น ฉีหนิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอ
เขาลืมตาขึ้นมา ก็รู้สึกว่ามันมืดๆ เขาเพิ่งตื่น ยังไม่
ทันได้ตั้งตัว ก็รู้สึกว่าเจ็บที่ตาซ้าย
“เจ้า...เจ้ามันคนเลว” ได้ยินเสียงแหลมของซีเห
มินจั้นอิงดังขึ้น “ข้าจะฆ่าเจ้า”
ฉีหนิงรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว เขากลิ้งตัวออกจาก
หนังสัตว์ที่ห่มอยู่ เขาตกใจ แอบคิดในใจว่า อย่า
บอกว่าแม่สาวก้นใหญ่นี่รู้แล้วว่าเมื่อคืนเขาแอบ
อาศัยก้นของนางช่วยตัวเองจนเสร็จ เขารีบพูดว่า
“จั้นอิง เจ้า...เจ้าอย่าเพิ่งทาอะไรนะ ฟังข้าอธิบาย
ก่อน”
จริงๆ แล้วด้วยวรยุทธ์ของเขา ต่อให้ซีเหมินจั้นอิง
ออกแรงสู้สุดชีวิตก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา แต่เพราะเมื่อคืน
ทาเรื่องแบบนั้นไป ทาให้เขารู้สึกกลัว ตอนนี้เขาไม่มี
อารมณ์ทาอะไรกับซีเหมินจั้นอิง หลังจากกลิ้งตัว
ออกไปแล้ว เขาก็ลุกขึ้นมานั่ง เขารู้สึกว่าตาซ้ายของ
เขาบวมเปล่งขึ้นมา แอบคิดในใจว่า นางถีบเขาหรือ
เขาเห็นซีเหมินจั้นอิงหยิบหนังสัตว์ขึ้นมาปิดตัวไว้ สี
หน้าของนางโกรธมาก สายตาของนางราวกับคม
ดาบ เหมือนกาลังจะกินคน แต่ว่าใบหน้าของนางยัง
ซีดอยู่ ร่างกายของนางเหมือนยังยืนไม่นิ่ง
ฉีหนิงรู้ว่านางยังไม่ฟื้นตัวดี ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่นี้ที่
นางถีบคงแรงกว่านี้ เขาเห็นซีเหมินจั้นอิงจ้องมาที่ฉี
หนิงด้วยสายตาที่คมกริบ เขาแกล้งพูดว่า “จั้นอิง
เจ้า...เจ้าเป็นอะไรไป? ข้าทาอะไรให้เจ้าไม่พอใจ
ตรงไหนหรือไม่?”
ถึงแม้ร่างกายของซีเหมินจั้นอิงจะไม่หนาวแล้ว แต่
ว่าแรงกาลังของนางยังไม่ฟื้นตัวดี เมื่อครู่ถีบเขาไป
ออกแรงไปมากไม่น้อย ขาของนางอ่อนแรงแล้วนั่ง
ลง นางพูดว่า “เหตุใด...เหตุใดเจ้าถึง...ถึงได้นอนอยู่
ข้างตัวข้า แล้วยัง...ยังกอดข้าอีก?” เมื่อพูดถึงตรงนี้
หน้าของนางก็แดงเรื่อขึ้นมา
ฉีหนิงโล่งอก แอบคิดในใจว่าที่แท้นางก็ยังไม่รู้เรื่อง
นั้น เขาลุกขึ้น แล้วจัดเสื้อผ้า แต่ว่าเขารู้สึกว่าตรง
กางเกงของเขามันไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ เดิมทีตรง
นั้นมันอ่อนแล้วก็สบาย แต่ตอนนี้มันกลับแข็ง เขา
คิดขึ้นมาได้ว่าสงสัยเมื่อคืนเสร็จแล้วยังไม่ได้จัดการ
มัน เขารู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ก็ยังแกล้งทาเป็น
จริงจังแล้วพูดว่า “เมื่อคืนเจ้าเกือบหนาวตาย ตัว
เย็นไปทั้งตัว ข้าไม่มีทางเลือก ก็เลยไปนอนข้างๆ
เจ้า เอาความอุ่นบนตัวข้าสลายความเย็นให้เจ้า ข้ารู้
ว่าทาแบบนี้เจ้าอาจจะเข้าใจผิดข้าได้ แต่ว่าเจ้าจะให้
ข้าเห็นเจ้าเป็นแบบนั้นแล้วไม่ทาอะไรเลยได้
อย่างไร?” เขาส่ายหัว “ไม่ ข้าทาไม่ได้หรอก ข้าไม่
อาจทนเห็นเจ้าทรมานแบบนั้น ยิ่งทนไม่ได้ที่จะเห็น
เจ้าต้องหนาวตาย ข้าเลยตัดสินใจทาแบบนี้”
ซีเหมินจั้นอิงตะลึงไป นางขมวดคิ้ว แต่ว่าฉีหนิง
สังเกตเห็นว่าสายตาของนางมันค่อยผ่อนคลายลง
แล้ว
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องเข้าใจผิดแน่ แต่ว่าจะให้ข้าทา
อย่างไรเล่า?” ฉีหนิงส่ายหน้า เขาพูดว่า “หากเจ้า
รู้สึกไม่ดี ก็ตีข้าระบายอารมณ์ได้เลย ข้ามันเข้าไปยุ่ง
เอง หากรู้ว่าทาดีไม่ได้ดี สู้ไม่ทาอะไรเลยยังจะ
ดีกว่า” เขาจับไปที่ตาของตัวเอง แค่แตะก็เจ็บแล้ว
ตาของเขาเริ่มบวมเปล่งขึ้นมา แอบด่าในใจ แต่ที่
หน้าเขายังคงแกล้งน้อยใจ
ตอนที่ซีเหมินจั้นอิงเพิ่งตื่นขึ้นมา ฉีหนิงก็กาลังกอด
นางจากด้านหลัง มือข้างหนึ่งของเขาพาดอยู่ที่
หน้าอกของนาง นางเป็นคนใจร้อนอยู่แล้ว เมื่อเห็น
ภาพแบบนั้น ก็โกรธมาก หลังจากลุกขึ้นมา ก็เห็นฉี
หนิงใส่เสื้อตัวในตัวเดียวอยู่ข้างๆ นาง นางเลยถีบ
เขาไปโดยไม่สนอะไร
แต่พอฉีหนิงพูดอธิบายแบบนี้แล้ว หลังจากที่ซีเห
มินจั้นอิงสลบไปแล้วก็สะลึมสะลือ เรื่องส่วนใหญ่ก็
จาไม่ค่อยได้แล้ว นางจาได้แค่ว่า เมื่อคืนฉีหนิงถอด
เสื้อให้นางเพราะนางหนาว เมื่อเห็นฉีหนิงใส่แค่เสื้อ
ตัวในแล้วทาท่าทางน้อยใจ ก็รู้สึกผิด แต่นางเป็นคน
กลัวการเสียหน้า นางพูดว่า “ใครบอกให้เจ้าเข้ามา
ยุ่งล่ะ”
กองไฟมอดไปแล้ว ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว หิมะก็หยุดตก
แล้ว แต่ว่ายังมีกองหิมะขนาดใหญ่ปกคลุมทั่วภูเขา
อยู่
ฉีหนิงส่ายหน้า คิดในว่ายังดีที่นางจาเรื่องที่เขาทา
เมื่อคืนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นนางคงเอาดาบมาฟันเขา
ตายแน่
เขาไม่เข้าไปใกล้นาง เขานั่งลงกับพื้น แล้วถามว่า
“ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง? ยังหนาวอยู่หรือไม่?”
ถึงแม้ซีเหมินจั้นอิงจะปากแข็ง แต่ว่าในใจของนางก็
รู้สึกผิดมาก นางรู้สึกว่าเขาไม่สนว่าตัวเองจะเป็น
อย่างไร ทาทุกอย่างให้นางอุ่นขึ้น ถึงแม้วิธีที่เขาทา
นางจะรับไม่ค่อยได้ก็ตาม แต่ก็เป็นเพราะเขาหวังดี
กับนาง นางไม่ขอบคุณไม่ว่า แต่พอตื่นมาก็ถีบเขา
อย่างแรงแบบนี้อีก นางรู้สึกไม่ดีเลย เมื่อเห็นฉีหนิง
ถามแบบนี้ เขาส่ายหัว แล้วพูดว่า “ไม่เป็นอะไร
แล้ว” เมื่อเห็นตาซ้ายของฉีหนิงบวม นางทั้งขาทั้ง
รู้สึกผิด แล้วถามว่า “ตาของเจ้าเจ็บหรือไม่?”
ฉีหนิงไม่ได้พูดดีด้วย “เจ้าลองให้ข้าถีบดูบ้างดี
หรือไม่เล่า?” เขายื่นมือไปแตะตา ก็รู้สึกปวดมาก
แล้วก็แอบด่านางในใจอีก เดิมเขายังรู้สึกผิดเรื่องเมื่อ
คืนอยู่บ้าง ตอนนี้ถูกนางเตะ เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรติด
ค้างกันอีก
ซีเหมินจั้นอิงสีหน้าไม่พอใจ นางพูดว่า “เจ้ากล้า
หรือ?” แต่นางก็ยื่นมือไปในเสื้อของตัวเองหยิบขวด
เล็กๆ มาหนึ่งขวด แล้วโยนไปให้ฉีหนิง แล้วพูดว่า
“เจ้าเอาไปทาสิ เดี๋ยว...เดี๋ยวก็หายแล้ว”
ฉีหนิงรับยามาแล้วก็ทา คิดในใจว่าจวนเสินโหวมี
แผนกชี่ตัน เป็นแผนกคิดค้นยาโดยเฉพาะ ยานี่ก็
น่าจะมาจากที่นั่น ของๆ จวนเสินโหวจะต้องเป็น
ของดีแน่ เก็บเอาไว้อาจจะได้ใช้ เขาก็ไม่ได้คืนให้ซี
เหมินจั้นอิง
ซีเหมินจั้นอิงเห็นดังนั้น ก็เหลือบไปมองเขา แล้ว
ถามว่า “พวกเรา...พวกเราจะไปได้หรือยัง? ท่านพ่อ
...ทางจวนเสินโหวจะต้องเป็นห่วงมากแล้วแน่ๆ”
จริงๆ แล้วนางรู้ว่า จิ่นอีโหวถูกจับตัวไปจากจวนเสิน
โหว หากเรื่องนี้รายงานไปถึงราชสานักแล้ว พ่อของ
นางจะต้องเดือดร้อนแน่
ตั้งแต่ถูกชิวเฉียนอี๋จับตัวออกมาจากจวนเสินโหว ซี
เหมินจั้นอิงก็รู้ทันทีว่าต้องกระทบต่อชื่อเสียงของ
จวนเสินโหวมาก อีกทั้งจิ่นอีโหวถูกจับตัวมาจาก
จวนเสินโหวด้วย ในฐานะเสินโหวของจวนเสินโหว
ซีเหมินอู๋เหิงจะต้องถูกราชสานักลงโทษแน่นอน
ตอนนี้รอดจากมือของชิวเฉียนอี๋แล้ว พวกเขา
กลับไปยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี
นางเห็นฉีหนิงสวมเสื้อบางๆ เท่านั้น กองไฟในบ้าน
ไม้ก็มอดไปแล้ว เมื่อคืนชายวัยกลางคนผู้นั้นลงมา
จากบนหลังคา ด้านบนยังมีร่องรอยอยู่ ทาให้หิมะ
ตกลงมาไม่น้อย จึงทาให้อุณหภูมิภายในบ้านหนาว
ขึ้นมาเป็นอย่างมาก ไม่รู้เหตุใด นางรู้สึกทนไม่ได้
นางยื่นมือเอาเสื้อผ้าตัวนอกของฉีหนิงโยนไปให้เขา
แล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้าใส่ซะ”
ฉีหนิงสวมเสื้อผ้าแล้วเดินไปมองที่หน้าต่าง เขาเห็น
แต่หิมะสีขาวโพลน ฟ้าสว่างแล้ว เห็นหิมะหนาตา
เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้างนอกหิมะหนามาก
พวกเราอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปทาง
ไหน”
“จะอยู่ที่นี่ทั้งหน้าหนาวเลยหรืออย่างไร?” ซีเห
มินจั้นอิงยังคงห่มหนังสัตว์เอาไว้กับตัว ถึงแม้หนัง
สัตว์จะเย็นและแห้งมาก แต่มันก็ยังมีกลิ่นอยู่
เพียงแต่ว่าเพราะเสื้อผ้าของนางถูกอาเหน่ากรีดขาด
ไปหมดแล้ว มันไม่สามารถปิดอะไรได้แล้ว ถึงแม้จะ
ได้เสื้อคลุมของฉีหนิงมา แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่ค่อย
ปลอดภัย ก็เลยทนกลิ่นห่มหนังสัตว์เอาไว้กับตัว
นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไม่แน่หิมะอาจจะตกลงมา
อีก อีกทั้ง...” นางหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ที่นี่ไม่
มีอาหาร จะให้มาตายแบบนี้หรือ”
เดิมทีนางคิดจะพูดว่า ฉีหนิงเป็นผู้ชายจะมาอยู่แบบ
นี้กับผู้หญิงสองต่อสองมันไม่เหมาะ แต่ว่าสุดท้าย
นางก็ไม่ได้พูดออกมา นางคิดว่าฉีหนิงเป็นผู้ชาย
ปากร้าย หากถูกเขาจับทางได้ อาจจะประชด
ประชันแกล้งนางอีก
ฉีหนิงเองก็รู้ ว่าการที่เขาถูกจับ ทางจวนโหวต้อง
วุ่นวายแน่ กู้ชิงฮั่นเองก็ต้องเป็นห่วง เขาลังเลแล้ว
พูดว่า “ร่างกายของเจ้าฟื้นฟูบ้างแล้วหรือยัง? เดิน
ไหวหรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “ได้”
“เจ้าพูดถูก ที่นี่ไม่มีอาหาร ต่อให้พวกเราสองคนจะ
อยู่ที่นี่สักระยะ รอจนหิมะละลายไปแล้วก็ไม่เป็นไร”
ฉีหนิงยิ้ม เห็นซีเหมินจั้นอิงเหลือบมองเขา เขาพูดว่า
“เอาอย่างนี้เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะออกไปดู
รอบๆ ลองดูว่าพอจะเจอใครบ้างหรือไม่ จะได้ถามดู
ว่าที่นี่ที่ไหน จะได้รู้ว่าพวกเราควรไปทางไหน”
ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เมื่อวานตอนเที่ยง
พวกเราถูกจับออกมา เมื่อคืนพวกเราก็มาถึงที่นี่
หากชิวเฉียนอี๋ต้องการออกจากเมือง ก็จะต้อง
เสียเวลาไม่น้อย ออกนอกเมืองก็ต้องเป็นช่วงบ่าย”
นางคิดแล้วพูดต่อว่า “เขาขี่ม้ามา หลังจากออกจาก
เมืองหลวงก็ต้องหาม้าอีก ก็ต้องเสียเวลาไปอีก นับ
ไปนับมา หากขี่ม้าไม่หยุดเลย ก็น่าจะเป็นระยะทาง
ประมาณสามชั่วยาม”
ฉีหนิงคิดในใจว่าสาวก้นใหญ่คนนี้ก็พอได้ความรู้
อะไรมาจากจวนเสินโหวบ้างเหมือนกัน เขาพยัก
หน้า แล้วพูดว่า “พวกเขาก็น่าจะหาม้าแบบ
กะทันหัน ไม่น่าจะเป็นม้าดีอะไรมากมาย อีกทั้ง
หิมะยังตกหนักอีก หนึ่งชั่วยาม...อืม หนึ่งชั่วยามก็
น่าจะเป็นระยะทางสักห้าสิบลี้ ต่อให้เป็นระยะทาง
สามชั่วยาม พวกเราก็น่าจะมาไกลจากเมืองหลวงแค่
หนึ่งร้อยลี้” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ก็ขมวด
หนึ่งร้อยลี้ถึงแม้ไม่ไกลมาก แต่ว่าดูจากตอนนี้ มันก็
ไม่ใกล้เลย
หิมะบนพื้นหนามาก เดิมทีก็เดินลาบากอยู่แล้ว
ตอนนี้ม้าสักตัวก็ไม่มี ให้เดินกลางหิมะ อย่างไรก็
ต้องเดินทางเป็นวัน
เขาเห็นซีเหมินจั้นอิงเองก็ยังไม่หายดี ไม่มีทางเดิน
ไปได้มาก
ซีเหมินจั้นอิงไม่ได้พูดอะไรมาก นางเดินไปเปิด
หน้าต่างดู นางเห็นด้านหลังเป็นภูเขาที่ปกคลุมด้วย
หิมะ นางกลับพูดด้วยน้าเสียงดีใจมากว่า “ที่นี่น่าจะ
เป็นเขาหนานหัวหลิง อยู่ใกล้กับเมืองหลวง ที่นี่มีเขา
ไม่กี่ลูก หนานหัวหลิงอยู่ทางทิศตะวันตกห่างจาก
เมืองหลวงหนึ่งร้อยลี้ น่าจะใช่”
“อ๋อ?” ฉีหนิงถามว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องเดิน
ไปทางทิศตะวันออกสินะ? แล้วใกล้ๆ นี้มีเมืองหรือ
หมู่บ้านอะไรหรือไม่? พวกเราเดินเท้ากันไป ข้าไม่
เป็นไรหรอก แต่เจ้าเดินทางไกลไม่ไหวหรอกนะ”
“ซีเหมินจั้นอิงก็รู้สภาพร่างกายของตัวเองดี นางรู้ว่า
ที่ฉีหนิงพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ก็ไม่ได้เถียง นางพูดว่า”
จากหนานหัวหลิงเดินไปทางทิศตะวันตกประมาณ
ยี่สิบลี้มีตลาดเฟิงหวงอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่มาก แต่
น่าจะพอหาเช่ารถม้าได้ พวกเราไปที่ตลาดเฟิงหวง
กัน"
ฉีหนิงคิด แล้วหยิบหนังสัตว์ที่พื้นขึ้นมา เขาหยิบมีด
สั้นออกมา แล้วกรีดหนังสัตว์ให้เป็นรูสองรู จากนั้นก็
คลุมหนังสัตว์ไว้ด้านหลัง เอามือยัดเข้าไปในรูทั้งสอง
ทาให้มันดูเหมือนเป็นเสื้อหนัง
ซีเหมินจั้นอิงเห็นดังนั้นก็พูดออกมาเบาๆ ว่า “ฉลาด
เหมือนกันนี่นา” ฉีหนิงเดินมา แล้วส่งสัญญาณบอก
ซีเหมินจั้นอิงว่าให้เอาหนังสัตว์ที่ห่มไว้ออกมา ซีเห
มินจั้นอิงก็รู้ว่าข้างนอกอากาศหนาว ร่างกายของ
นางยังอ่อนแรงอยู่มาก หากห่มหนังสัตว์ไว้แบบนี้มัน
ไม่สะดวก นางก็เลยหยิบหนังสัตว์ยื่นให้เขาไป เมื่อ
ก้มหน้ามองนางเห็นตัวเองสวมเสื้อของฉีหนิงอยู่
ใบหน้าของนางก็แดง คิดในใจว่าสวมเสื้อของคนเลว
แบบเขา มันดูไม่เป็นมงคลเลย แต่นางไม่รู้ตัวเลยว่า
เมื่อคืนฉีหนิงทาอะไรกับนางบ้าง ไม่อย่างนั้นนางคง
เอาเขาตายไปแล้ว
เสื้อผ้าของนางขาดหมดแล้ว มีเพียงเสื้อของฉีหนิง
เท่านั้นที่สามารถปกปิดได้ ฉีหนิงกรีดหนังสัตว์จน
เป็นรูแล้วยื่นให้กับซีเหมินจั้นอิง หลังจากที่นางสวม
มันแล้ว ก็จัดระเบียบมันนิดหน่อย ยังดีที่ภายในบ้าน
ยังพอมีเชือกอยู่บ้าง ทั้งสองคนใช้เชือกมัดหนังสัตว์
ไว้กับเอว แล้วมองหน้ากัน พวกเขารู้สึกว่าอีกฝ่าย
สวมชุดแบบนี้มันตลกมาก
ทั้งคู่ก็ไม่เสียเวลาอีก จัดการอะไรนิดหน่อย ฉีหนิง
หาไม้ยาวในบ้านมาสองท่อน แล้วยื่นให้ซีเหมินจั้น
อิงหนึ่งอัน หิมะปกคลุมหนัก ทางเดินขรุขระ เอาไว้
คลาทางก็ยังดี
ตอนที่ออกจากบ้านไม้มา ลมหนาวเย็นก็พัดโชยเข้า
มา ไม่รู้เลยว่าต้องไปทางไหน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง
ซีเหมินจั้นอิงชี้แล้วพูดขึ้นว่า “ไปทางนั้น”
ฉีหนิงถือไม้แล้วเดินนาหน้า ถึงแม้หิมะจะไม่ตกลง
มาแล้ว แต่ว่าตอนนี้มันคือหน้าหนาว แค่ลมพัดมา ก็
หนาวจนถึงกระดูกแล้ว
แต่ว่าพอเดินไปได้แค่สองสามลี้ ก็ได้ยินเสียงร้อง
“โอ้ย” ดังขึ้น ฉีหนิงหันไปมอง เห็นซีเหมินจั้นอิงล้ม
เขารีบเดินมาพยุง แล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
เห็นซีเหมินจั้นอิงสีหน้าซีดขาว เขาคิดว่านางยังไม่มี
แรงเลย ฝืนเดินมาขนาดนี้ น่าจะฝืนต่อไม่ไหวแล้ว
“ข้า...ข้าไม่เป็นไร เจ้า...เจ้าเดินนาไปก่อนเถอะ” ซี
เหมินจั้นอิงยังไม่ยอมแพ้
ฉีหนิงไม่ได้พูดดีด้วย “เป็นแบบนี้แล้วยังบอกไม่
เป็นไรอีก สภาพเจ้าแบบนี้ เดินถึงปีหน้าก็ไปไม่ถึง
ตลาดเฟิงหวงหรอก”
ซีเหมินจั้นอิงกาลังจะเถียง ฉีหนิงก็หันหลังให้ แล้ว
พูดว่า “เจ้าขึ้นมา ข้าแบกเจ้าเดินเอง”
“ไม่” ซีเหมินจั้นอิงถอยหลังไป ฉีหนิงหันหน้าไปหา
แล้วพูดว่า “นี่มันเวลาอะไรแล้ว จวนเสินโหวดูแล
จัดการเรื่องในยุทธภพทุกอย่าง เจ้าก็ถือเป็นลูกสาว
ของชาวยุทธ์ เหตุใดถึงได้น่าราคาญอะไรแบบนี้เล่า?
พ่อเจ้าร้อนใจตายอยู่ในเมืองหลวงแล้วกระมัง หาก
พวกเราไม่รีบกลับไปไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก”
ซีเหมินจั้นอิงสะดุ้ง นางขมวดคิ้ว ลังเลไปครู่หนึ่ง
นางรู้ว่าตอนนี้นางไม่มีแรงเลย เดินทางไกลไม่ได้แน่
ไม่มีทางเลือก นางเลยขยับเข้าไปที่หลังของฉีหนิง
แต่ก็ยังลังเลอยู่ ฉีหนิงเริ่มหงุดหงิด เขาจึงพูดว่า
“เจ้าระลึกถึงหลักปรัชญาชีวิตอยู่หรืออย่างไร?”
“ใครให้เจ้ายุ่ง” ซีเหมินจั้นอิงจ้องเขา แต่ก็ยังยอม
ขึ้นหลังเขาไป
ฉีหนิงเองก็ไม่เกรงใจ เขาโอบมือไปที่ก้นของซีเห
มินจั้นอิง นางร้องอย่างตกใจ แล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้า
คิดจะทาอะไร?”
“ไม่น่าถาม ไม่ทาแบบนี้จะแบกได้อย่างไร?” ฉีหนิง
คิดในใจว่าเขาต้องแสดงท่าทางให้ดูสบาย ซีเห
มินจั้นอิงจะได้ไม่อายมากนัก “เจ้าจะให้ไปได้หรือ
ยัง? ลูกสาวชาวยุทธ์ ทาอะไรเด็ดขาดหน่อยได้
หรือไม่”
ซีเหมินจั้นอิงไม่มีทางเลือก นางคิดในใจว่าหากไม่
เป็นเพราะไม่อยากให้พ่อของนางต้องเดือดร้อนแล้ว
ต้องรีบกลับเมืองหลวง ไม่มีทางให้เขาได้แตะเนื้อ
ต้องตัวแบบนี้แน่นอน นางทาได้แค่ยอมให้ฉีหนิงจับ
ไปที่ก้นของนาง แล้วเดินไปทางทิศตะวันตก
ซีเหมินจั้นอิงก็ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือไม่ ใบหน้าของ
นางแดงก่า นางรู้สึกได้ว่ามือใหญ่ๆ ของฉีหนิงกาลัง
โอบก้นของนางอยู่ มันทาให้นางรู้สึกกระวนกระวาย
“ข้าว่าจวนเสินโหวของพวกเจ้านี่ก็เชื่อฟังกันดีนะ
เฒ่าพิษสั่งไม่ให้ตามมา ก็ไม่ตามมาจริงๆ” ฉีหนิง
ไม่ได้พูดดีด้วย “หากพวกเขาตามมา ข้าคงไม่ต้อง
ลาบากขนาดนี้”
“หากเจ้าไม่เต็มใจ ก็วางข้าลง ข้าเดินเองได้” ซีเห
มินจั้นอิงพูดอย่างไม่พอใจ “ไม่มีเจ้า ข้าก็ไม่ตาย
หรอก”
ฉีหนิงหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “จั้นอิง พวกเราก็ร่วม
ทุกข์กันมานะ ต่อไปหากเจ้ามีเรื่องอะไรดีๆ ก็อย่า
ลืมข้าเล่า ในเมื่อพวกเราร่วมทุกข์กันมาแล้ว ก็ควร
ร่วมสุขกันด้วย”
“เจ้าเป็นถึงจิ่นอีโหว เสื้อผ้าอาหารทุกอย่างก็ไม่ขาด
ยังไม่ถือว่ารวยอีกหรือ?” ซีเหมินจั้นอิงพูด
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เสื้อผ้าอาหารไม่ขาดน่ะใช่ แต่
ว่า เฮ้อ...จนถึงตอนนี้ข้ายังขาดอยู่อย่างหนึ่ง ทาให้
ข้านอนไม่หลับเลย”
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกสงสัย เลยถามว่า “เจ้าเป็นโหวเยว่
แล้ว ยังขาดอะไรอีก?”
“ขาดเมียอย่างไรเล่า” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “นอน
คนเดียวทุกคืนเหงาจนนอนไม่หลับเลย จั้นอิง เจ้า
เองก็นอนคนเดียวเหมือนกันใช่หรือไม่? เหงา
หรือไม่? แล้วเจ้าฆ่าเวลาอันแสนจะยาวนานนั่น
อย่างไร?”
“ไปเลยนะ” ซีเหมินจั้นอิงต่อว่าไปอีกว่า “เจ้าคน
เลว ไม่ต้องมาพูดกับข้าเลย” นางอดไม่ได้ที่จะตีไปที่
ไหล่ของฉีหนิง เพียงแต่ว่านางยังไม่มีแรง ทาให้
เหมือนกับการตีเล่นเท่านั้น
ฉีหนิงหัวเราะร่าออกมา เขามีแรงเต็มที่ แบกซีเห
มินจั้นอิงเอาไว้แบบนี้ ก็ไม่ได้เสียแรงเท่าไหร่ เขาคิด
ว่าตลาดเฟิงหวงห่างจากนี่อีกยี่สิบลี้เท่านั้น เขาเลย
เร่งฝีเท้าเดินฝ่าเส้นทางหิมะไป
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 261 เสื้อขาวราวหิมะ
ระยะทางยี่สิบกว่าลี้ ฉีหนิงเดินมาถึงตลาดเฟิงหวงก็
เกือบเที่ยงแล้ว
ตลอดเส้นทางที่เดินมา ทั้งคู่เถียงกันตลอด ฉีหนิงฉวย
โอกาสตอนที่เดินทาง แอบฉวยโอกาสกับซีเหมินจั้น
อิงตลอด ระหว่างที่เดินก็จะตั้งใจโยกตัวซีเหมินจั้นอิง
บ้าง ทำแบบนี้ มือของเขาที่อยู่ที่ก้นของซีเหมินจั้นอิง
ก็จะกระตุกไปด้วย หน้าอกของนางที่แนบอยู่ที่หลัง
เขา มันก็จะเด้งใส่เขาด้วย
ตอนแรกซีเหมินจั้นอิงก็ยังไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไร แต่ว่า
ระหว่างทางเป็นแบบนี้กว่าสิบครั้ง นางเลยค่อยๆ
รู้สึกว่าฉีหนิงนั้นตั้งใจ นางทั้งโกรธทั้งเขิน แต่ก็ไม่พูด
อะไรมาก
ตลาดเฟิงหวงเป็นเพียงตลาดเล็กๆ ทั่วไป ตอนนี้เป็น
หน้าหนาว คนไม่เยอะมาก แต่ว่าจะหาเช่ารถม้าสัก
คันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
หิมะปกคลุมหนามาก เจ้าของรถม้าเป็นชายแก่วัยห้า
สิบปี รถม้าที่ตลาดเฟิงหวงแห่งนี้ถือว่ามีชื่อเสียงมาก
แต่เพราะเป็นช่วงหิมะตกหนัก คนส่วนใหญ่เลยไม่
ค่อยออกรถ ฉีหนิงยื่นราคาไปสองเท่า ชายแก่ถึง
ยอมรับปาก
ขณะที่ชายแก่ไปเตรียมรถม้า ฉีหนิงก็ไปซื้อเสื้อกัน
หนาวผ้าฝ้ายมาสองชุด ถึงแม้ที่นี่จะห่างจากเมือง
หลวงแค่ร้อยลี้ แต่ว่าเพราะไม่ใช่เมืองหลวง จะหาเสื้อ
คลุมขนสัตว์อย่างดีคงไม่มี เสื้อกันหนาวผ้าฝ้ายแบบดี
หน่อยก็ไม่มีเช่นกัน มีเพียงเสื้อผ้าฝ้ายแบบธรรมดา
เท่านั้น
อากาศหนาวมาก ฉีหนิงเองก็ไม่ได้เลือกอะไรมาก เขา
ซื้อมาสองชุด เขากับซีเหมินจั้นอิงคนละชุด พอพวก
เขาใส่ชุด ดูไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับชาวบ้านทั่วไป
รถม้าของชายแก่ธรรมดามาก แต่ว่าภายในตัวรถนั้น
กว้างขวาง อย่าว่าแต่สองคน ต่อให้นั่งสามสี่คนก็ไม่
อึดอัด
ชายแก่ได้รับราคารถม้าถึงสองเท่า เขาก็ใส่ใจดี เขาหา
กระถางเตาถ่านมาวางไว้ในรถด้วย ทำให้ภายในรถ
อุ่นขึ้นเยอะมาก
ชายแก่ไปเมืองหลวงบ่อยครั้ง ดังนั้นเขาเลยคุ้นเคยกับ
เส้นทางไปเมืองหลวงเป็นอย่างดี แต่เพราะมีหิมะปก
คลุมบนพื้นอย่างหนัก การเดินทางจึงล่าช้าลง
เมื่อออกจากตลาดเฟิงหวง พวกเขาก็เดินทางไปยังทิศ
ตะวันออก เดินไปไม่ถึงสิบลี้ หิมะก็ตกลงมาอีก
หิมะตกลงมา ลมพัดมาไม่หยุด เสียงล้อรถที่เสียดสีกับ
หิมะ ทำให้รถโยกไปมา แต่ก็ไม่ได้แรงมาก
ร่างกายและกำลังของซีเหมินจั้นอิงเริ่มฟื้นฟูมาบ้าง
แล้ว แต่ว่ายังคงไม่ได้แข็งแรงดีพอ นางนั่งพิงกับ
ด้านข้างรถม้า เหลือบไปเห็นฉีหนิงนั่งยกเท้าขึ้นมา
แล้วผิวปาก นางก็รู้สึกรังเกียจ จึงไม่อยากมองเขาอีก
นางเปิดม่านรถมองไปด้านนอก
“ด้านนอกลมแรง เจ้าเปิดม่านออกอย่างนี้ เดี๋ยวลม
หนาวก็พัดเข้ามาหรอก” ฉีหนิงเหลือบไปมอง แล้ว
พูดว่า “อายุขนาดนี้แล้ว เหตุใดยังไม่รู้จักคิดอีก?”
“ปล่อยให้เจ้าหนาวตายไปเลย” ซีเหมินจั้นอิงจ้องไป
ที่ฉีหนิง ฉีหนิงพูดแบบนี้ นางก็จะทำอะไรตรงข้ามกับ
ที่เขาพูด นางไม่เพียงไม่ปิดม่าน แต่กลับเปิดอ้าแล้ว
มองออกไปด้านนอกอีก
ฉีหนิงส่ายหน้า เหมือนกำลังพูดกับตัวเอง แล้วพูดว่า
“ผู้หญิงบางคน เกิดมาก็มีชะตาจะไม่ได้แต่งงาน
อารมณ์ร้าย หากแต่งงานไปกับคนที่นิสัยเหมือนกัน
สงสัยต้องทะเลาะกันวันละแปดครั้งแน่ ไม่ต้องใช้ชีวิต
กันพอดี? ผู้ชายคิดจะแต่งงาน ยังต้องเลือกให้ดีเลย”
“เจ้าพูดถึงใคร?” ซีเหมินจั้นอิงจ้องไปที่เขา แล้วกำ
หมัดแน่น
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอย่าคิดว่าเป็นเจ้าสิ ข้าพูด
ชื่อแล้วหรือ? ข้าแค่คิดขึ้นมาได้ จะขอบ่นหน่อยไม่ได้
หรือ?”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “ผู้ชายบางคนก็หลงตัวเอง เป็น
พวกเสเพล ไม่เอาไหน แถมยัง...ยังลามกบ้ากามอีก
ผู้ชายแบบนี้หากยังมีผู้หญิงยอมแต่งด้วย สวรรค์คงตา
บอด”
“อ๋อ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “มีผู้ชายแบบนี้ด้วยหรือ?
จั้นอิง เจ้าแนะนำให้ข้ารู้จักหน่อยสิ ข้านับถือผู้ชาย
แบบนี้มากเลยนะ”
“หน้าไม่อาย” ซีเหมินจั้นอิงด่าออกไป แล้วไม่สนใจ
เขาอีก เอนตัวไปริมหน้าต่าง แล้วมองออกไปด้าน
นอก
ฉีหนิงเห็นปอยผมของนางปลิวลงมา ใบหน้าที่ขาว
เนียนนุ่มไม่รู้ว่าเป็นเพราะลมหรือว่าอะไร มันเหมือน
มีเลือดฝาดแดงขึ้นมา ถึงแม้จะสวมเสื้อผ้าฝ้าย
ธรรมดา แต่ว่าเพราะอย่างนี้ จึงทำให้นางดูสวยงาม
ทำให้อยากจะลุกไปลูบหน้าเลยทีเดียว
นางนั่งเอียงตัวไปด้านข้าง ทำให้เห็นทรวดทรงเด่นชัด
ความอ่อนหวานของหญิงสาวแรกรุ่นปรากฏออกมา
เด่นชัดมาก
ฉีหนิงว่างไม่มีอะไรทำ เขาแอบคิดลึกกับนาง หากซีเห
มินจั้นอิงเริงระบำอยู่บนเตียง รูปร่างแบบนางคงทำให้
ผู้ชายเคลิบเคลิ้มน่าดู
ซีเหมินจั้นอิงไม่ได้อ่อนหวานเหมือนผู้หญิงทั่วไป ไม่มี
เสน่ห์เย้ายวนแบบผู้หญิงปกติ นางฝึกวรยุทธตั้งแต่
เด็ก การฝึกอย่างยากลำบากมาตลอด ทำให้นางขาด
ความอ่อนหวานไป แต่ว่าเพราะแบบนี้ ทำให้รูปร่าง
ของนางดีมาก
ฉีหนิงกำลังเพลิดเพลินกับการมองรูปร่างของซีเห
มินจั้นอิง ทันใดนั้นก็เห็นซีเหมินจั้นอิงยืดตัวนั่ง แล้ว
ร้องออกมาว่า “เอ๊ะ”
ฉีหนิงรีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ซีเหมินจั้นอิงเหลือบไปมองเขา แล้วพูดว่า “ดูเองไม่
เป็นหรือ?”
ฉีหนิงเข้ามาใกล้หน้าต่าง ตั้งใจเข้าไปเบียดนาง ซีเห
มินจั้นอิงเห็นดังนั้นก็เลยหลบไปอีกด้านหนึ่ง ฉีหนิงนั่ง
ลง แล้วยื่นหัวออกไปดู ฟ้าสีคราม พื้นสีขาว ไม่เห็นมี
อะไรแปลกเลย เขาคิดว่าซีเหมินจั้นอิงแกล้งแหย่เขา
เล่น แต่ซีเหมินจั้นอิงเหมือนรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เลย
พูดว่า “ดูพื้นสิ”
ฉีหนิงก้มไปดู เขาถึงได้เห็นว่า ตรงบริเวณล้อรถ
เหมือนมีรอยเท้าของคน มันมุ่งไปทางด้านหน้า
รอยเท้าไม่ชัดมาก หิมะยังตกอยู่ จากรอยเท้านี้ น่าจะ
เป็นรอยเท้าของคนเดินอยู่คนเดียว อีกทั้งรอยนี้
เกิดขึ้นไม่นาน ไม่อย่างนั้นรอยนี้ก็น่าจะถูกหิมะปก
คลุมไปแล้ว
“เหมือนมีคนเดินอยู่คนเดียว” ฉีหนิงบ่นว่า “หรือว่า
จะไปเมืองหลวงเหมือนกัน?”
ซีเหมินจั้นอิงนั่งพิงเบาะในรถม้า นางพูดว่า “เขา
น่าจะอยู่ด้านหน้าไม่ไกล อีกเดี๋ยวก็คงเห็น หากเจ้า
เป็นห่วง เจ้าก็ลองไปถามดูสิ”
ฉีหนิงยิ้ม “รอยเท้าไม่ได้ใหญ่มาก อีกทั้งยังบาง ข้า
เดาว่าน่าจะเป็นผู้หญิง น่าจะร่างกายบอบบางด้วย”
สายตาของเขามองไปที่ซีเหมินจั้นอิง
ซีเหมินจั้นอิงหุบขาเข้า หน้าของนางแดงมาก แล้วพูด
ว่า “เจ้ามองอะไร?”
ฉีหนิงหัวเราะ แล้วหันไปเปิดม่านด้านหน้า ชายแก่หัน
มาพูดกับเขาว่า “น้องชายไม่ต้องรีบร้อน หิมะตก
หนัก พื้นมีแต่หิมะ แต่ว่าอย่างไรคืนนี้ก็ถึงแน่นอน”
เขาหยิบห่อผ้าออกมาแล้วยื่นให้ “ในนี้มีขนมอยู่ ถ้า
หิว ก็เอาไปรองท้องก่อนได้นะ อีกเดี๋ยวจะผ่าน
ร้านอาหารสองสามร้าน หากขนมไม่ถูกปากเจ้า เดี๋ยว
พวกเราแวะไปกินที่นั่นก็ได้”
เขาไม่เห็นฉีหนิงรับห่อผ้าไป เขาเงยหน้าไปมอง เห็นฉี
หนิงมองไปข้างหน้า
ชายแก่มองตามเขาไป เห็นด้านหน้ามีคนสวมเสื้อคลุม
สีขาวขนาดใหญ่ มองไปแทบจะกลืนไปกับหิมะ หาก
ไม่มองดีๆ แทบจะมองไม่เห็นเลย
รถม้าวิ่งมุ่งหน้าไป ไม่นานนัก ก็วิ่งตามเขาทัน ฉีหนิง
กลับไปนั่งริมหน้าต่าง แล้วยื่นหัวออกไป รถม้าไม่ได้
หยุดวิ่ง เมื่อวิ่งผ่านคนๆ นั้น เขาเงยหน้ามามอง แล้ว
ปล่อยให้รถม้าวิ่งผ่านไป เขายังคงค่อยๆ เดิน
เหมือนเดิมต่อไป
“หยุดรถก่อน” ฉีหนิงพูด
ชายชราด้านหน้ากระตุกเชือกม้าเพื่อหยุดรถ ฉีหนิง
ยื่นหน้าหันหลังไป คนๆ นั้นเดินขึ้นมาทันพอดี ฉีหนิง
เห็นใบหน้าของคนๆ นั้น เขาก็ตะลึงไป
ผิวของเขาขาวราวกับหิมะ หน้าตางดงามราวกับ
ภาพวาด ผมดำจัดเก็บเป็นระเบียบ มีปอยผมซ้ายและ
ขวา
เขาค่อยๆ เดินมา แต่ทุกก้าวที่เขาเดิน มันเหมือน
ภาพวาดทุกย่างก้าว
ท่าทางการเดิน บวกกับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว ทำ
ให้เขาดูสูงศักดิ์ ดูแล้วน่าหลงใหล
คนๆ นั้นเห็นรถม้าหยุด ก็เหลือบมามอง เห็นฉีหนิง
มองเขาด้วยสายตาที่เป็นประกาย ในดวงตาเหมือนมี
ดาวอยู่หลายดวง
เขาเห็นฉีหนิงกำลังมองมาที่เขา เขาก็ยิ้ม แล้วพยัก
หน้า เหมือนทักทาย
เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าผู้ชาย แต่ว่าใบหน้าของเขา
งดงามราวกับผู้หญิง อีกทั้งท่าทางการเคลื่อนไหวที่มี
เสน่ห์ ดูยากมากว่าเป็นชายหรือหญิง
อีกฝ่ายยิ้มมา งามราวกับดอกไม้ ดูสบายตา มัน
สามารถละลายความหนาวท่ามกลางหิมะได้เลย
“พี่ชาย อากาศหนาวแบบนี้ ท่านขึ้นรถมากับพวดข้า
ดีหรือไม่?” ฉีหนิงได้สติคืนมา แล้วทักไป “ท่านจะไป
เมืองหลวงใช่หรือไม่?”
คนๆ นั้นยิ้มแล้วส่ายหน้า
ฉีหนิงไม่รู้ว่าที่เขาส่ายหน้าเพราะจะไม่ขึ้นรถหรือว่าไม่
ไปเมืองหลวง เขารีบพูดว่า “ท่านไม่ได้จะไปเมือง
หลวงหรือ?”
คนชุดขาวพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นขึ้นรถไปด้วยกันสักระยะดีหรือไม่?” ฉี
หนิงถาม “ในรถกว้างมาก ท่านมากับพวกข้าได้ หาก
ท่านจะลงตรงไหนแค่บอกก็พอ”
คนชุดขาวยิ้ม เหมือนกำลังคิด แล้วพยักหน้า แต่ไม่ได้
พูดอะไร
ไม่รู้เพราะเหตุใด พอคนชุดขาวตกลงที่จะขึ้นรถมา
ด้วย ฉีหนิงถึงได้รู้สึกดีใจ เมื่อเปิดม่านด้านหน้ารถม้า
คนชุดขาวก็ขึ้นมาที่ริมรถแล้ว คนชุดขาวพยักหน้า
ให้กับฉีหนิง เหมือนเป็นการขอบคุณ แต่ก็ไม่ได้พูด
อะไร แล้วเดินเข้าไปในตัวรถ
เขาเห็นซีเหมินจั้นอิงนั่งอยู่ในรถด้วย เขาก็ยิ้มให้ แล้ว
นั่งลงข้างๆ
ฉีหนิงปิดผ้าม่านลง เขานั่งลงตรงข้ามกับคนชุดขาว
พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก ใบหน้าของเขาขาวเนียน
เหมือนกับซีเหมินจั้นอิงมาก อีกทั้งยังงดงามไม่มีที่ติ
อีกด้วย ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนผู้หญิง แอบคิดในใจว่าหรือว่า
เขาจะเป็นหญิงที่ปลอมตัวเป็นชาย เขายิ้มแล้วถามว่า
“พี่ชายท่านจะไปไหนหรือ? อากาศหนาวแบบนี้ เหตุ
ใดท่านถึงได้มาเดินอยู่แบบนี้เล่า?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 262 ทหารซีชวน
คนชุดขาวขยับใบหน้าเล็กน้อย คางของเขาขาวเนียน
มาก ถึงแม้จะคลุมเสื้อขนจิ้งจอกสีขาวขนาดใหญ่ แต่
ว่าผิวตรงคอก็ไม่ได้ปิดสนิท
เขาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ เขาส่ายหน้า แล้วก็ยิ้ม
ออกมา
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก แอบคิดในใจว่าเขาคงไม่
อยากบอกว่าเขาจะไปไหน ตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงตอนนี้
เขาไม่ยอมพูดเลยสักคำเดียว เหมือนจะไม่ค่อยมี
มารยาทเท่าไหร่
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เห็นเขาเดินอยู่กลางหิมะคนเดียว
เขาหวังดีชวนเขาขึ้นรถมาด้วย ก็น่าจะเอ่ยปาก
ขอบคุณสักคำ
แต่ว่ากับคนชุดขาวที่ราวกับออกมาจากภาพวาด กลับ
ไม่สามารถไม่พอใจได้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากบอก ก็
คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะระแวงก็ได้ เขาเลยไม่ถามต่อ
แต่จะว่าไปก็แปลก ถึงแม้ฉีหนิงจะเห็นใบหน้าของเขา
แล้ว แต่ฉีหนิงกลับเดาอายุของเขาไม่ได้เลย
ทุกการเคลื่อนไหวของเขามันทั้งสง่างามเป็นผู้ใหญ่
อย่างไรก็น่าจะสามสิบเป็นอย่างต่ำ แต่ว่าผิวพรรณ
ของเขามันราวกับเด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปด
ชายและหญิงมีหลายสิ่งที่แตกต่างกันออกไป
ผิวพรรณเป็นสิ่งหนึ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ผิวของ
ผู้ชายจะหยาบกร้านกว่า ผิวของผู้หญิงจะเนียนนุ่ม
กว่า ผิวของเขาเหมือนผู้หญิงมาก ฉีหนิงอดไม่ได้ที่จะ
เหลือบไปมองลูกกระเดือกของเขา มันยื่นออกมา
เล็กน้อย มองไม่ชัดเลยว่าใช่ลูกกระเดือกหรือไม่
เขายิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีกว่าจะใช่ผู้หญิงปลอมตัวเป็น
ผู้ชายหรือไม่ หากเป็นผู้หญิง หน้าตางดงามแบบนี้ ก็
ถือว่าหาได้ยากมาก
หากเป็นผู้ชาย มีใบหน้าแบบนี้ ก็ถือว่าสะอาดหมด
จรดหาได้ยากเหมือนกัน
แต่หากเป็นผู้หญิงปลอมตัวเป็นชาย แล้วผู้หญิงแบบ
นาง เหตุใดถึงมาเดินคนเดียวกลางหิมะแบบนี้ได้ ดู
จากเสื้อผ้าของเขา ก็ไม่น่าจะใช่คนไม่มีเงิน หากจะหา
เช่ารถม้าสักคันก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เขาสงสัยมาก อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองซีเหมินจั้น
อิง เห็นซีเหมินจั้นอิงเหลือบมองคนชุดขาวเป็นระยะ
อาจเป็นเพราะเขาแต่งกายเป็นผู้ชาย ผู้หญิงอย่างนาง
เลยไม่เหมาะที่จะจ้องนานๆ แต่ว่าสายตาของนางก็
มองอยู่อย่างเป็นระยะ เหมือนนางเองก็สงสัย
เหมือนกัน
ภายในรถม้าค่อนข้างเงียบ อีกฝ่ายไม่พูดอะไรเลย ทำ
ให้บรรยากาศแปลกๆ ฉีหนิงกำลังนึกว่าจะคุยเรื่อง
อะไรดี เพื่อที่จะรู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แต่กลับ
เห็นคนชุดขาวหลับตา เหมือนจะหลับไปแล้ว แต่จาก
ใบหน้าของเขา ก็ไม่เหมือนคนที่เหนื่อยอ่อนเพลียเลย
ฉีหนิงมองหน้ากับซีเหมินจั้นอิง สายตาของพวกเขา
เต็มไปด้วยความสงสัย
ภายในรถม้าโยกไปโยกมาแล้วก็เดินทางไปอีกกว่าสิบ
กว่าลี้ เดิมทีฉีหนิงก็เป็นคนที่เก่งวาทศิลป์อยู่แล้ว แต่
ว่าตลอดการเดินทางเขาไม่รู้จะพูดอะไรเลย
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงชายแก่ดังขึ้นมาว่า
“น้องชาย ด้านหน้านี้มีร้านอาหารอยู่ จะแวะพักกิน
อะไรก่อนหรือไม่? ร้านของพวกเขามีเหล้าหมัก
รสชาติดีด้วยนะ ลงไปกินสักถ้วยสองถ้วย ให้ร่างกาย
อุ่นขึ้นดีหรือไม่...”
ฉีหนิงรู้ว่าชายแก่นี่ต้องการอะไร ดูท่าเขาคงอยากจะ
เข้าดื่มสักสองสามแก้ว แต่ว่าตั้งแต่เมื่อวานจนถึง
ตอนนี้ก็ยังไม่ได้กินอะไรจริงๆ ท้องก็เริ่มหิวแล้ว อีกทั้ง
ซีเหมินจั้นอิงเองก็ยังไม่หายดี กินอะไรร้อนๆ สัก
หน่อยก็น่าจะดีต่อนาง
“พักสักหน่อยก็ดี พวกเราจะได้ไปทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น
หน่อย” ฉีหนิงพูด แล้วหันไปพูดกับคนชุดขาวที่กำลัง
หลับตาอยู่ว่า “พี่ชาย พวกเราลงไปกินอะไรด้วยกัน
หน่อยดีหรือไม่?”
เดิมทีเขาคิดว่าคนชุดขาวหลับไปแล้ว ใครจะคิดว่าเขา
จะลืมตาขึ้นมาในทันที จากนั้นก็ยิ้ม แล้วพยักหน้า แต่
ไม่พูดอะไรสักคำ
ฉีหนิงแอบคิดว่าเขาไม่พูดอะไรเลย หรือว่าเขาจะเป็น
ใบ้?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็คิดว่าหรือว่าเขาจะเดาถูกจริงๆ
คนที่งดงามราวกับเป็นเทพคงไม่ได้เป็นใบ้จริงๆ
หรอกกระมัง?
ดูจากท่าทางของเขาแล้วน่าจะเป็นคนที่ฝึกฝนมากมา
ก่อน คนแบบนี้คงไม่ได้พูดไม่ได้จริงๆ หรอกกระมัง
เมื่อฉีหนิงคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกสงสารแอบคิดในใจ
ว่า สวรรค์ชอบเล่นตลกจริงๆ มอบใบหน้าที่งดงาม
หมดจรดขนาดนี้ให้เขา แต่กลับให้เขาเป็นใบ้ สงสัย
สวรรค์คงชอบอะไรที่ไม่สมบูรณ์แบบ
รถม้ามาจอดอยู่หน้าร้านอาหาร พวกเขาลงจากรถ
มันเป็นร้านอาหารริมทางไม่ได้ใหญ่มาก ใช้ผ้าขนาด
ใหญ่กางเป็นกระโจม หลังจากชายแก่จอดรถเสร็จ ก็
นำพวกเขาเข้าไปในร้าน ภายในมีโต๊ะสี่ตัว สำหรับ
ร้านข้างทาง ก็ถือว่าไม่น้อย
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ตามโต๊ะมีตะเกียงจุดอยู่ ไฟไม่ได้สว่าง
มาก สลัวๆ บนโต๊ะทั้งสี่ตัวไม่มีคนนั่งเลย เงียบมาก
คิดแล้วก็ไม่แปลก อากาศหนาวแบบนี้ หากไม่ได้รีบ
มาก ไม่มีใครออกจากบ้านกันหรอก หากรีบมากจริงๆ
ก็ไม่มีใครคิดจะหยุดพักกินเหล้ากันหรอก
เมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา คนที่นอนฟุบอยู่ที่โต๊ะก็
เงยหน้าขึ้นมามอง เห็นชายแก่เดินเข้ามา ก็ยิ้มแล้วพูด
ว่า “ตาเฒ่าจาง จะไปเมืองหลวงอีกแล้วหรือ?”
จากนั้นก็เรียกเด็กๆ มาต้อนรับ
ฉีหนิงก็เลยรู้ว่าชายแก่นี่น่าจะเป็นลูกค้าประจำของ
ที่นี่ เขาทำอาชีพรับจ้าง ก็มีคนมาจ้างส่งลูกค้าไปเมือง
หลวงบ่อยๆ คุ้นเคยถนนเส้นนี้เป็นอย่างดี ไม่แปลกที่
จะสนิทสนมกับร้านพวกนี้
เฒ่าจางหัวเราะ เห็นพวกฉีหนิงนั่งลงแล้ว เขาก็เดิน
เข้ามายิ้มแล้วพูดว่า “น้องชาย พวกท่านนั่งกินกันไป
นะ ข้าจะไปรอที่รถ”
ฉีหนิงรู้สึกขำ แอบคิดในใจว่าตาเฒ่าจางนี่เล่นละคร
เก่งจริง แต่ว่าอากาศแบบนี้ เขาบังคับรถม้ามากว่า
ร้อยลี้ ก็ลำบากไม่น้อย เขายิ้มแล้วพูดว่า “นั่งกิน
ด้วยกันสิ เจ้าเองก็เร่งเดินทางมานาน กินเหล้าให้ตัว
อุ่น จะได้มีแรง”
ชายแก่จับหัวแล้วยิ้ม “ไม่ดีหรอกกระมัง” ถึงแม้เขา
จะพูดแบบนี้ แต่เขาก็นั่งลง โต๊ะตัวหนึ่งมีเก้าอี้สี่ตัว
เต็มโต๊ะพอดี
ฉีหนิงมองไปที่คนชุดขาว เห็นเขากำลังมองมาที่เขา
ภายในห้องนี้ถึงแม้จะสลัว แต่ว่าสายตาของเขาเป็น
ประกายมาก ทั้งสองยิ้มให้กัน ชายแก่ก็พูดขึน้ มาว่า
“ไฟนี่ไม่สว่างเลย จะจุดตะเกียงให้มากกว่านี้หน่อยก็
ไม่ได้” เขาหัวเราะแล้วหันไป เขาถึงกับตะลึงไป
ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันได้สังเกตให้ดี แต่ตอนนี้นั่งอยู่
ด้วยกัน เขาเห็นใบหน้าของคนชุดขาวชัดเจน เขา
ถึงกับตะลึงไปกับใบหน้าของเขา
จากนั้นไม่นานก็มีคนเอาตะเกียงมาวางไว้บนโต๊ะ
ข้างๆ ทำให้ภายในร้านดูสว่างขึ้นมา ฉีหนิงสั่งเหล้าไป
สองไห แล้วก็สั่งกับข้าวมาอีกหลายอย่าง
ในตอนนี้เอง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาที่ร้าน
มันมาหยุดอยู่ที่หน้าร้าน ชายแก่รีบลุกขึ้นมา เขาคิด
ว่าม้าของเขาวิ่งหนีไป ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่
ต้องกังวล มีคนมา” เขาอยากจะหัวเราะออกมาจริงๆ
ร้านนี้เงียบมาตั้งนาน พวกเขาเข้ามานั่งก้นยังไม่ทัน
ร้อน ก็มีคนมาแล้ว
ไม่นานนัก ก็มีคนเดินเข้ามา พวกเขามากันสามคน ฉี
หนิงขมวดคิ้ว เพราะคนพวกนั้นสวมชุดเกราะ พบ
ดาบ สวมหมวก พวกเขารูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายกำยำ
คนแรกที่เดินเข้ามานั้นมีเคราเป็นรูปโค้งงอ ดูค่อนข้าง
โหด แต่ที่ชัดคือพวกเขาน่าจะเป็นทหาร
เด็กในร้านเข้ามาต้อนรับ พวกเขาเหลือบมามองพวก
ของฉีหนิง จากนั้นก็นั่งลงที่โต๊ะที่อยู่ติดประตู ชาย
เครางอก็พูดขึ้นว่า “เอาเหล้ามาสามไห มีอาหารอะไร
ดีๆ ก็เอามาให้หมด ยิ่งเร็วยิ่งดี ข้ามีงานด่วน เสียเวลา
มากไม่ได้ มาเจออากาศแบบนี้ เสียอารมณ์จริงๆ”
น้ำเสียงของเขาเหมือนมาจากซีชวน
ฉีหนิงเริ่มสนใจพวกเขามากขึ้น ทั้งสามคนไม่ได้มอง
มา แต่ว่าพวกเขากลับคุยกัน ทันใดนั้นเองก็มีคน
หัวเราะออกมา ชายเครางอพูดขึ้นมาว่า “มาเมือง
หลวงครั้งนี้ ข้าเลี้ยงเอง ข้าจะพาพวกเจ้าไปผ่อน
คลายที่แม่น้ำฉินไหวให้สบายตัวไปเลยสักสามวัน มี
แต่คนบอกว่าผู้หญิงที่แม่น้ำฉินไหวเยอะมาก ผู้หญิง
สวยๆ อยู่ที่นั่นหมด ถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็เลือกตาม
สบายเลย สนใจคนไหน ก็มาเอาเงินกับข้า ข้าจ่ายให้
พวกเจ้าเอง”
อีกสองคนหัวเราะหน้าบาน
ซีเหมินจั้นอิงได้ยินที่ชายเครางอพูดจาหยาบคาย ก็
โกรธจนหน้าแดง แต่ก็ไม่แสดงท่าทีมาก ผู้ชายพูดคุย
กันแบบนี้มนั ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรมากมาย นาง
เลยอดทนไว้
คนชุดขาวไม่ขยับตัวเลย มองก็ไม่มอง แค่มองไปที่
แสงไฟ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“แต่ว่าน่าเสียดายจริงๆ” คนที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “ข้าได้
ยินมาว่าพอเข้าหน้าหนาวของทุกปี ที่แม่น้ำฉินไหวจะ
มีการคัดเลือกราชินีดอกไม้ พวกเรามาไม่ทัน
ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นอะไรดีๆ อีกเยอะ”
ชายเครางอหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้านี่ไม่เบาเหมือนกัน
นะ ราชินีดอกไม้คนอย่างพวกเราจะเอื้อมได้หรือ? อีก
อย่าง ราชินีดอกไม้ก็ยังไม่เคยลงสนามมาก่อน จะเอา
จริงๆ ก็ไม่สนุกหรอก หญิงบริสุทธิ์ ทำทั้งคืนพวกเจ้า
อาจทำนางตายได้ ไม่สู้พวกที่มีอายุหน่อย
ประสบการณ์มาก ลีลาดี ปรนนิบัติแล้วสบายกว่า
เยอะ จะทำสามวันสามคืน พวกนางก็ไหว”
“พี่ใหญ่นี่ร้ายกาจจริงๆ” ชายอีกคนก็ยกนิ้วโป้งให้
แล้วมองไปที่อีกคน “เรียนรู้กับพี่ใหญ่มากๆ หญิง
บริสุทธิ์ไม่สนุกหรอก จะเอาทั้งทีก็เอาที่ประสบการณ์
เยอะๆ ถึงจะสนุก พี่ใหญ่ประสบการณ์สูง เชื่อพี่ใหญ่
ไม่มีผดิ แน่นอน” เขาหัวเราะ “อีกอย่าง ต่อให้อายุ
มากแล้ว แต่ผู้หญิงที่แม่น้ำฉินไหวมีคนไหนไม่สวย
บ้าง? ครั้งนี้มีโอกาสเข้าเมืองหลวงกับพี่ใหญ่ เป็นโชค
ดีของพวกเราจริงๆ”
ทั้งสามคนเหมือนคิดว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆ ยิ่งพูดยิ่ง
หยาบคาบขึ้นเรื่อยๆ
ซีเหมินจั้นอิงโกรธจนหน้าแดง ในใจของนางร้อนยิ่ง
กว่าไฟเผา นางกำหมัดแน่น กำลังจะระเบิดออกมา
แต่ฉีหนิงกลับกระแอมเสียง แล้วส่ายหัวให้นาง
เหมือนบอกกับนางว่าอย่าเพิ่งโกรธ ซีเหมินจั้นอิงจ้อง
ไปที่ฉีหนิง เหมือนกำลังต่อว่าฉีหนิงอยู่
แต่ฉีหนิงกลับหันไปมองคนชุดขาว คิดในใจว่าหากเขา
เป็นผู้หญิงจริง ได้ยินคำพูดพวกนี้กน็ ่าจะมีปฏิกิริยา
อะไรบ้าง แต่ว่าตั้งแต่เริ่มจนจบเขากลับนิ่งมาก
เหมือนไม่ได้ยินที่พวกเขาคุยกันเลย
ไม่นานนัก เด็กในร้านก็เอาอาหารกับเหล้ามาวางบน
โต๊ะ มีเหล้าสองไห เป็ดตุ๋นหนึ่งชาม เนื้อแพะปิ้งหนึ่ง
จาน ซุปเต้าหู้หนึ่งชาม แล้วก็ผัดผักอีกสองอย่าง ซึ่ง
มันก็พอสำหรับสี่คน
ฉีหนิงหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วยิ้มให้คนชุดขาวแล้ว
พูดว่า “กินตอนร้อนๆ ถึงจะดี ร่างกายจะได้อุ่นขึ้น”
คนชุดขาวยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ แต่ก็ไม่ได้หยิบ
ตะเกียบ
ฉีหนิงคิดในใจว่าหรือว่าอาหารพวกนี้ไม่ถูกใจเขา แต่ก็
ไม่พูดอะไรมากอีก เขามองไปที่ซีเหมินจั้นอิง แล้วพูด
ว่า “กินเยอะๆ นะ”
เมื่อพูดจบ ก็ได้ยินเสียงดัง “ปึ้ง” ทุกคนต่างตกใจ หัน
ไปมอง เห็นชายเครางอทุบโต๊ะ แล้วพูดว่า “ข้าบอก
แล้วใช่หรือไม่ว่าให้ไว เหตุใดถึงไม่มีอาหารมาส่งที่โต๊ะ
นี้เลย? เจ้าคิดจะให้พวกเราเดือดร้อนหรืออย่างไร?”
ชายคนที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “พวกเราจะไปราชการที่
เมืองหลวง หากต้องเสียเวลา พวกเจ้ารับผิดชอบไหว
หรือ? ข้าเผาร้านของเจ้าทิ้งได้เลยตอนนี้เจ้าเชื่อ
หรือไม่”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 263 จินกวนเว่ย
เด็กในร้านเห็นทหารทั้งสามคนกำลังโมโห ก็รีบเดิน
เข้ามา ยิ้มแล้วพูดว่า “นายท่านอย่าเพิ่งโกรธ อาหาร
ของพวกท่าน พวกเรากำลังทำอยู่ รออีกเดี๋ยวก็เสร็จ
แล้ว”
ชายเครางอกระชากเสือ้ ของเด็กในร้าน แล้วพูดว่า
“รอ? เจ้ากล้าบอกให้พวกข้ารอรึ” เขายกเท้าขึ้นมา
แล้วก็ถีบไปที่ท้องของเด็กในร้านเด็กนั่นจะทนไหวได้
อย่างไร เขาถอยหลัง ด้านหลังของเขาเป็นซีเหมินจั้น
อิง อีกนิดเดียวก็จะชนแล้ว ยังดีที่ซีเหมินจั้นอิงเตรียม
ตัวไว้แล้ว นางยกมือขึ้นมาดันหลังของเขาเอาไว้ ทำ
ให้ไม่ถูกชน
เด็กในร้านใบหน้าซีดเซียว เขาตกใจมาก แล้วก็รู้สึก
เจ็บท้อง “โอ้ย” เขาโค้งตัวลง
ฉีหนิงรู้ว่าซีเหมินจั้นอิงน่าจะทนไม่ไหวแล้ว ไม่ผิดที่
คิดเขาก็ได้ยินเสียงซีเหมินจั้นอิงพูดขึ้นมาว่า “พวก
เจ้านี่เป็นทหารหรือเป็นโจรกันแน่?”
ทหารซีชวนทั้งสามคนหันมองซีเหมินจั้นอิง เห็นนาง
สวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา สวมหมวก แรกเริ่มยังดูไม่
ออกว่าเป็นชายหรือหญิง แต่พอนางพูดออกมา ถึงได้
รู้ว่าเป็นผู้หญิง ชายเครางอพูดว่า “น้องชาย เจ้าว่า
ใครเป็นโจร?”
คำพูดของเขาเหมือนกำลังย้อนกลับมาว่าซีเหมินจั้น
อิงเป็นโจร
ซีเหมินจั้นอิงโมโหมาก นางตบโต๊ะ กำลังจะลุกขึ้น ฉี
หนิงดึงมือของนางเอาไว้ ซีเหมินจั้นอิงสะบัดมือทิ้ง
พูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าจะทำอะไร?” ในใจก็คิดว่า
ฉีหนิงขี้ขลาด เป็นถึงจิ่นอีโหว กลับยอมให้กับทหารซี
ชวนเล็กๆ ไม่กี่คน
ชายเครางอถีบเก้าอี้ออก แล้วเดินมา อีกสองคนก็เดิน
ตามมา จับดาบของตัวเองไว้
ซีเหมินจั้นอิงเป็นอารมณ์ร้อน ก็ไม่ใช่คนที่จะถูกรังแก
ง่ายๆ อีกทั้งนางเป็นคนของจวนเสินโหวด้วย ทหาร
เล็กๆ แบบนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของนางเลย ถึงแม้
พละกำลังของนางจะยังไม่ฟื้นฟูมากนัก แต่นางก็ลุก
ขึ้นมา แล้วหันไปมองทหารทั้งสามคนนั้น
ชายเครางอมองจากเสื้อผ้าของซีเหมินจั้นอิง เขาก็นึก
ว่านางเป็นแค่หญิงสาวชาวบ้านทั่วไป แต่ว่าหน้าของ
นางนั้น งดงามมาก ผิวของนางก็ขาวเนียน เพียงแต่สี
หน้าตอนนี้ไม่พอใจมาก เขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ที่
แท้ก็สาวสวยนี่เอง พอดีเลย พวกข้ามาดื่มเหล้า เจ้า
มากินเป็นเพื่อนพวกข้าดีหรือไม่”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “พวกเจ้าไม่เห็นกฎหมายอยู่ใน
สายตา เจ้าพวกสุนัข จะตายแล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
ชายเครางอกำลังจะพูด ทันใดนั้นเองเขาก็นิ่งไป อีก
สองคนเห็นชายเครางอไม่พูดไม่จา ก็แปลกใจ เขาหัน
ไปมอง เห็นคนชุดขาวที่หน้าตาเหมือนกับภาพวาดผู้
นั้น
ชายชุดขาวไม่พูดอะไรมาตั้งแต่เริ่ม ราวกับว่าเรื่องนี้
ไม่เคยเกิดขึ้นเลย เขาไม่สนใจเลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
อาหารบนโต๊ะ เขาไม่แม้แต่จะหยิบตะเกียบขึ้นมากิน
ด้วยซ้ำ เขาแค่เทชามาดื่มเพียงแก้วเดียวเท่านั้น เขา
ใช้นิ้วลูบไปมาที่ขอบแก้ว ต่อให้ชายเครางอทั้งสามจะ
เดินเข้ามา เขาก็ไม่สะทกสะท้าน
ชายเครางอเห็นคนชุดขาวหน้าตางดงาม ถึงแม้จะ
แต่งตัวเป็นชายก็ตาม แต่ว่าผิวของเขากลับขาวเนียน
เป็นคนที่งดงามมาก ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย
ทหารซีชวนทั้งสามยืนจ้องคนชุดขาวตาไม่กระพริบ
เหมือนลืมเรื่องที่ทะเลาะกับซีเหมินจั้นอิงไปแล้ว คน
ชุดขาวเหมือนไม่ได้สนใจคนที่อยู่ข้างๆ เลย ยังคงลูบ
แก้วชาเล่นอยู่อย่างนั้น จากนั้นเขาก็ยกแก้วชาขึ้นมา
ดื่ม ท่าทางของเขางดงามเกินบรรยาย
ฉีหนิงกระแอมคราหนึ่ง ถึงทำให้ทหารทั้งสามนายนั้น
ได้สติ เมื่อได้สติมาแล้ว ชายเครางอก็เลียริมฝีปาก
เขาไม่ได้สนใจซีเหมินจั้นอิงอีกแล้ว เขาเดินเข้าไปใกล้
คนชุดขาว เขายิ้มแล้วพูดว่า “แม่นาง...แม่นางท่านนี้
ชอบแต่งตัวเป็นผู้ชายหรือ? ข้ามาจากซีชวน ไม่ค่อย
คุ้นเคยกับเมืองหลวงนัก แม่นางจะมานั่งเป็นเพื่อนข้า
ได้หรือไม่ ข้าอยากจะขอคำชี้แนะเรื่องในเมืองหลวง
สักหน่อย?”
ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้ว ฉีหนิงเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
ขณะที่กำลังจะพูด ก็เห็นคนชุดขาววางแก้วลง หัน
หน้าไปหาชายเครางอ เขายิ้มแย้มออกมา รอยยิ้มของ
เขาดูอบอุ่นมาก
ชายเครางอเห็นเขายิ้ม ก็กลืนน้ำลาย แล้วพูดด้วย
ความตื่นเต้นว่า “แม่นาง...แม่นางรับปากแล้วหรือ?”
คนชุดขาวพยักหน้า แล้วหยิบน้ำชามาดื่ม แล้วไม่
สนใจอะไรอีก
ชายเครางอกลับยื่นมือออกไป เขาคิดจะไปแตะตัวคน
ชุดขาว แต่ยังไม่ทันได้แตะ ฉีหนิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านทหารผู้นี้ ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่านสักหน่อย”
ชายเครางอชะงักไป แล้วหันมามองฉีหนิง เห็นฉีหนิง
สวมเสื้อผ้าฝ้ายธรรมดา ก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ไปไป
ไป ที่นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า กินเสร็จก็รีบไปเสีย”
“นายท่าน ข้าบอกแล้วว่ามีเรื่องสำคัญจะบอก” ฉี
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากท่านไม่มาฟัง อาจจะต้อง
เสียใจนะ”
“เสียใจ?” ชายเครางออึ้งไป ลังเลครู่หนึ่ง แล้วก็เดิน
ไปยืนอยู่หลังฉีหนิง แล้วพูดว่า “มีเรื่องอะไร? หากพูด
เหลวไหล ข้าจะฆ่าเจ้าทันที”
ฉีหนิงหัวเราะ เขายกมือขึ้นมาแล้วชี้ไปยังประตู แล้ว
ถามว่า “นายท่าน ท่านเห็นม่านประตูนั่นหรือไม่?”
ชายเครางอเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วพูดว่า “เห็นแล้ว
จะอย่างไร?”
“เจ้ากับเพื่อนของเจ้าขอโทษเพื่อนชุดขาวของข้า
ตอนนี้ แล้วจ่ายค่าเสียหายมา แล้วออกไปจากที่นี่เสีย
ข้ารับรองว่าพวกเจ้าจะไม่เป็นอันตราย” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “ไม่อย่างนั้นวันนี้เจ้าได้โชคร้ายแน่นอน
เจ้าว่าเรื่องนี้สำคัญหรือไม่เล่า?”
ชายเครางออึ้งไป สีหน้าของเขาโกรธมาก เขาด่า
ออกไปว่า “เจ้าเด็กตัวแสบอยากตายแล้วใช่หรือไม่”
เมื่อพูดคำว่า “ตาย” ออกมา มือซ้ายก็ยื่นออกมาจะ
จับไปที่หลังคอของฉีหนิง
ฉีหนิงเตรียมตัวไว้พร้อมอยู่แล้ว สีหน้าของเขานิ่งสนิท
เขาใช้มือซ้ายยื่นไปจับที่จุดของชายเครางอผู้นั้น แล้ว
ออกแรงบิด ชายเครางอถลาตัวออกมาด้านหน้า
ทหารซีชวนรูปร่างสูงใหญ่ เมื่อเขาถลาเข้ามาทำให้
ศอกของฉีหนิงชนเข้าที่ท้องของชายเครางอ เขางอตัว
ลง จากนั้นฉีหนิงก็ลุกขึ้นยืน เขากำหมัดแน่น แล้วก็
ทุบไปที่หลังคอของชายเครางอผู้นั้นอย่างแรง
ทหารซีชวนร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เขาทรุด
ตัวลงไปอย่างรวดเร็ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ชายแก่เจ้าของรถม้ายัง
มองไม่ทันเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้สติกลับมา ฉีหนิง
ก็บิดแขนของชายเครางอไปแล้ว ฉีหนิงออกแรงเข้าไป
อีก แขนของชายเครางอแทบจะหักอยู่แล้ว ตอนนี้เขา
ไม่กล้าทำอะไรเลย
ฉีหนิงไม่ได้สนใจ ฉีหนิงเขวี้ยงหมวกของเขาทิ้ง แล้ว
หยิบไหเหล้าที่ยังไม่เปิดขึ้นมา ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
อยากได้คนดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเจ้าใช่หรือไม่? ได้ ข้า
เป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีนะ ชอบคบหาเพื่อนฝูง ข้า
มากินเป็นเพื่อนเจ้าเอง” จากนั้นเขาก็เทเหล้าใส่หัว
ของชายเครางอทันที
หากเหล้าเข้าสู่ร่างกายมันทำให้อุ่นได้ แต่ว่าอากาศ
เย็นแบบนี้ อีกทั้งเหล้านี่ก็ไม่ได้อุ่นมา มันเย็นไปถึง
กระดูก ชายเครางอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
บนหัวของเขาเปียกไปด้วยเหล้าเย็น แล้วเขาก็พูดว่า
“เจ้า...เจ้าเป็นใคร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? หยุด...
หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าท่านเป็นใคร
ท่านบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะได้รู้จักคนที่ยิ่งใหญ่
อย่างท่านสักหน่อย”
ซีเหมินจั้นอิงเห็นดังนั้น นางก็รู้สึกขำ เมื่อครู่นี้นาง
เห็นฉีหนิงอดกลั้นเอาไว้ ในใจยังโทษเขาคิดว่าเขาขี้
ขลาด คิดไม่ถึงว่าพอเขาลงมือ จะโหดได้ถึงขนาดนี้
เขากังวลว่าทหารซีชวนอีกสองคนจะเข้ามาหาเรื่อง ก็
ระวังตัวมาก หากพวกเขาลงมือเมื่อไหร่ ก็จะลงมือ
ทันที
ถึงแม้วรยุทธ์จะไม่ได้สูงส่งมาก ร่างกายก็ยังไม่หายดี
แต่ว่าทหารธรรมดาไม่กี่คน นางรับมือได้
นางแค่ไม่รู้เลยว่า ทหารซีชวนสองคนนี้พอเห็นฉีหนิง
จัดการชายเครางอไปแล้ว ก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
ชายเครางอเป็นทหารซีชวนถึงแม้ฝมี ือไม่ได้ดีมาก แต่
ก็ไม่ได้แย่ อีกฝ่ายสามารถจัดการชายเครางอได้อย่าง
อยู่หมัด แสดงว่าไม่ใช่ธรรมดา
ฉีหนิงยิ้ม แต่ว่ายังคงเทเหล้าใส่เขาไม่หยุด
“เขา...เขาคือชวีเสี้ยวเว่ยของทหารหน่วยจินกวน
เว่ย” ทหารอีกคนพูด “พวกเจ้ากล้าทำแบบนี้กับ
ทหารจินกวนเว่ย ก็คือกบฏ ต้องถูกตัดหัว พวกเจ้า...
พวกเจ้าปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่น
เครือแล้ว
“จินกวนเว่ย?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว ชื่อนี้ไม่คุ้นเลย
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “จินกวนเว่ยเป็นทหารขอหลี่หง
ซิ่นของปาสู่ ตอนที่หลี่หงซิ่นสวามิภักดิ์ต่อราชสำนัก
ทหารในมือของเขามีกว่าแสนคนหากไม่ถูกราชสำนัก
ยึดไป ก็ต้องถูกสลายไป เขาเหลือทหารแค่หนึ่งพัน
นายเท่านั้น หลี่หงซิ่นอาศัยอยู่เมืองเฉิงตู เลยเรียก
พวกนี้ว่าจินกวนเว่ย”
ฉีหนิงนึกขึ้นมาได้ว่า เมืองเฉิงตูมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า
เมืองจินกวน จินกวนเว่ย ก็คือทหารของเมืองเฉิงตู
ของซีชวน
เขารู้ว่าหลังจากหลี่หงซิ่นสวามิภักดิ์ต่อราชสำนักแล้ว
ถึงแม้รากฐานที่ซีชวนยังไม่หมดไป แต่ว่าราชสำนัก
เองก็ยังคงส่งขุนนางไปประจำอยู่ที่ปาสู่ ด้านหนึ่งเพื่อ
ควบคุมให้ปาสู่อยู่ภายใต้การปกครองของแคว้นฉู่
แล้วค่อยๆ สลายปาสู่ไป อีกด้านหนึ่งก็เพื่อจับตาดูหลี่
หงซิ่นเอาไว้
ในนามแล้ว หลี่หงซิ่นยังคงเป็นสู่อ๋อง แต่ว่าไม่ได้มี
อำนาจเหมือนก่อนหน้าที่จะสวามิภักดิ์ต่อแคว้นฉู่
ราชสำนักส่งคนไปจับตาดู หลี่หงซิ่นก็ไม่กล้าทำอะไร
มาก
“ที่แท้ก็ทหารจินกวนเว่ยของสู่อ๋องนี่เอง?” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “ขอถามสักคำ สู่อ๋องสั่งให้พวกเจ้ามารังแก
ชาวบ้านที่เมืองหลวงแบบนี้หรือ? หรือว่าพวกเจ้าทำ
แบบนี้ที่ซีชวนจนเคยชิน พอมาที่นี่เลยปรับตัวไม่ได้?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 264 ไปไม่ลา
จินกวนเหว่ยชวีเสี้ยวเว่ยเห็นฉีหนิงเทเหล้าใส่เขาอย่าง
สะใจ เขารู้สึกหนาวอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ร่างกายของ
เขาจะแข็งแรง แต่ว่าถูกทรมานอยู่แบบนี้ไม่ไหว
เหมือนกัน เขาถูกฉีหนิงเหยียบเอาไว้ เขาพูดว่า
“น้องชายท่านนี้ พวกเรา...พวกเราไม่ต้องต่อสู้กันแล้ว
ดีหรือไม่ มาทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้จะไม่ดีกว่า
หรือ เจ้าชอบ...เจ้าชอบคบหาเพื่อนฝูงใหม่ๆ ข้าเองก็
ชอบเหมือนกัน พวกเรา...พวกเรามาเป็นเพื่อนกันดี
หรือไม่ เจ้า...เจ้าปล่อยข้าก่อน แล้วข้าเลี้ยง...เลี้ยง
เหล้าเจ้าเองดีหรือไม่...”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ใจกว้างเสียเหลือเกิน แต่ว่า
ข้าไม่อาจเอื้อมเป็นเพื่อนกับชวีเสี้ยวเว่ยหรอกนะ มา
คิดบัญชีกันก่อนดีหรือไม่”
“หะ?”
“ไม่ต้องมาแกล้งโง่” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าทำร้ายคนอื่น
จนบาดเจ็บ ต้องพักรักษาตัวแล้วยังต้องเสียค่าแรงไป
อีก เจ้าคิดจะชดใช้ให้เขาเท่าไหร่? อีกอย่าง เจ้าพูดจา
ดูถูกหยามเกียรติเพื่อนข้า ก็ต้องชดใช้ค่าทำขวัญให้
พวกเขาด้วย” เขาคิดแล้วพูดอีกว่า “ยังมี ครอบครัว
ของพวกเราด้วย ต้องชดใช้มาให้หมด”
ชวีเสี้ยวเว่ยถึงกับตะลึงไป แอบคิดในใจว่าเรื่องนี้มัน
เกี่ยวอะไรกับครอบครัวเจ้าด้วย เขาพูดว่า “เพราะ
เหตุใด...เพราะเหตุใดต้องชดใช้ให้ครอบครัวพวกเจ้า
ด้วย?”
“อากาศหนาวหิมะตกแบบนี้ พวกข้าก็เป็นคนเดินทาง
เหมือนกัน เดิมทีพวกข้าคิดจะหาอะไรกินแล้วก็
เดินทางกันต่อ แต่ว่าถูกพวกเจ้าก่อกวนแบบนี้ ทำให้
พวกข้าเสียเวลาเดินทางไปอีก ครอบครัวของพวกข้า
ไม่เห็นพวกข้ากลับบ้านไปตามเวลาที่กำหนดเอาไว้
พวกเขาจะไม่ห่วงหรือย่างไร?” ฉีหนิงพูดอีกว่า “ต้อง
ชดใช้สิ” พูดจบ เขาก็ออกแรงที่มือ ชวีเสี้ยวเว่ยรู้สึก
เหมือนแขนจะหัก เขารีบพูดว่า “จ่าย ข้า...ข้ายอม
ชดใช้แล้ว...”
“ดี” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “มีเงินเท่าไหร่ควักออกมา
ให้หมด อย่าให้เสียเวลา ทุกคนต่างก็เร่งเดินทาง”
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกขำ คนชุดขาวเองก็เหมือนจะเริ่ม
สนใจขึ้นมามองไปที่เขา สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วย
รอยยิ้ม แต่ว่าชายแก่เจ้าของรถม้ากลับรู้สึกเป็นกังวล
ถึงแม้ทหารซีชวนพวกนี้จะเป็นอันธพาล แต่ถึง
อย่างไรพวกเขาก็เป็นทหาร ฉีหนิงมีเรื่องกับทหาร
ชายแก่กลัวว่าจะเดือดร้อนไปด้วย
“เอาเงินออกมา...” ชวีเสี้ยวเว่ยรู้สึกว่าแค่ฉีหนิงออก
แรงแค่นิดเดียว แขนของเขาแทบจะขาดออกแล้ว เขา
รีบตะโกนว่า “พวกเจ้าสองคน...เอา...เอาเงินออกมา
ให้หมด กลับไปค่อยคืนให้พวกเจ้า...”
ทหารซีชวนมองหน้ากัน ด้วยความจนใจ จำใจต้อง
เอาถุงเงินออกมาวางที่โต๊ะ
พวกเขาสองคนตามชวีเสี้ยวเว่ยเข้าเมืองหลวงมา ต้อง
เดินทางไกล เลยต้องพกเงินไว้บ้าง เมื่อรวมกันแล้วก็มี
ประมาณหกสิบเจ็ดสิบตำลึง
สำหรับทหารทั่วไปแล้ว เงินจำนวนนี้ถือว่าไม่น้อย
“เอาออกมาหมดแล้วหรือยัง?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“มีซ่อนตรงไหนอีกหรือไม่?”
ทหารสองคนนั้นรีบพูดว่า “ไม่มีแล้ว ไม่มีจริงๆ”
ฉีหนิงยิ้ม แล้วโยนไหเหล้าทิ้งไป ยื่นมือไปค้นตัวชวี
เสี้ยวเว่ย ชวีเสี้ยวเว่ยถูกล็อคแขนเอาไว้ ก็ไม่กล้าขยับ
ปล่อยให้เขาค้นตัวไป ไม่นานนักเขาก็ถูกค้นจนทั่ว
ทั้งตัว นอกจากถุงเงินแล้ว ยังมีตั๋วเงิน แล้วก็จดหมาย
ราชการหนึ่งฉบับ
ชวีเสี้ยวเว่ยแอบด่าในใจ แอบคิดในใจว่าเมื่อครู่นี้ยัง
หาว่าพวกเขาเป็นโจรอยู่เลย ตอนนี้เขาคิดว่าพวกเขา
ต่างหากที่เจอโจรเข้าให้แล้ว
เงินในถุงเงินรวมกับตั๋วเงิน มีมากถึงสี่ห้าร้อยตำลึง ฉี
หนิงคิดในใจว่า เป็นแค่ทหารตำแหน่งเสี้ยวเว่ยจะมี
เงินมากขนาดนี้ได้อย่างไร เงินจำนวนนี้ต้องไม่สะอาด
แน่นอน เขามองไปที่จดหมายราชการ ถูกปิดผนึกสี
แดงไว้ มันเป็นเอกสารด่วนจริงๆ ถึงแม้ฉีหนิงจะมี
บรรดาศักดิ์เป็นถึงจิ่นอีโหว แต่ว่าจดหมายเอกสาร
แบบนี้ ไม่เปิดจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะมีโทษกบฏได้
ฉีหนิงปล่อยมือออก จากนั้นชวีเสี้ยวเว่ยก็ถอยหลัง
ออกไป ในใจเขาก็คิดว่าเจอปีศาจเข้าแล้ว กำลังจะพูด
ฉีหนิงก็คืนจดหมายให้กับเขา แล้วพูดว่า “เจ้าพาคน
ของเจ้าไปได้แล้ว ในเมื่อเอกสารฉบับนี้มันด่วนมาก ก็
อย่ามาเสียเวลาที่นี่อีกเลย”
ชวีเสี้ยวเว่ยมองไปที่ถุงเงินกับตั๋วเงินที่อยู่บนโต๊ะ เขา
พูดด้วยความน่าสงสารว่า “น้องชาย พวกข้า...พวกข้า
มาไกลจากซีชวน เจ้าเอาเงินของพวกข้าไปจนหมด
ค่ากินของพวกข้ายังไม่พอเลย เจ้าเหลือให้พวกข้าสัก
หน่อยได้หรือไม่...” พูดจบ ฉีหนิงก็พูดว่า “อะไร จะสู้
กันอีกหรืออย่างไร? ครั้งนี้ข้าจะไม่ไว้หน้าแล้วนะ”
เขากำหมัดขึ้น
ชวีเสี้ยวเว่ยรีบพูดว่า “ไม่ ไม่” เขาแอบคิดในใจว่า
กลับไปเมื่อไหร่จะไปแจ้งความทันที เขารู้สึกเจ็บมือ
มาก คอของเขาก็เย็นไปหมด เขาไม่กล้าอยู่ต่อ พาอีก
สองคนออกจากร้านไป ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้า
ม้าดังมาจากข้างนอก ทหารซีชวนสามคนนั้นออกไป
แล้ว
เมื่อพวกเขาไปแล้ว ฉีหนิงก็หยิบถุงเงิน ด้านในมีเงิน
อยู่ประมาณสามสิบตำลึง แล้วโยนให้เด็กในร้านคน
นั้น แล้วพูดว่า “นี่เป็นเงินค่าชดใช้ของเจ้า ไปรักษา
ตัวให้ดี”
เด็กในร้านคนนั้นมองถุงเงินที่อยู่ในมือ เขาก็ตะลึงไป
คิดไม่ถึงเลยว่าถูกถีบทีเดียว จะมีโชคแบบนี้ เงินเดือน
ของเขาก็ไม่กี่อีแปะ ปีหนึ่งมีเงินสะสมไม่ถึงสองตำลึง
เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณ ฉีหนิง
โบกมือให้เขาออกไป เด็กในร้านคนนั้นถอยออกไป
ด้วยความซาบซึ้งใจ คิดในใจว่าไม่แน่ทหารซีชวนพวก
นั้นอาจจะกลับมาขอเงินคืนก็ได้ ไม่สู้รีบเก็บของแล้ว
ไปจากที่นี่ดีกว่า มีเงินแล้ว ก็ไม่ต้องมาเป็นลูกจ้างร้าน
นี้อีกแล้ว
ฉีหนิงหยิบตั๋วเงินออกมาสองร้อยตำลึงแล้วยื่นให้กับ
คนชุดขาว เขายิ้มแล้วพูดว่า “เงินจำนวนนี้ท่านรับ
เอาไว้ด้วย ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้ขาดเงิน ถือเสียว่าใช้เป็น
ค่าเช่ารถม้าก็แล้วกัน อากาศมันหนาว เช่ารถสักคัน
น่าจะดีกว่า” จากนั้นก็ยัดเงินเข้าเสื้อของตัวเองไป
เขาเห็นซีเหมินจั้นอิงมองมาที่ตัวเอง เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้าคงไม่ได้อยากได้ด้วยใช่หรือไม่? เจ้าอยากได้
หรือ? ถ้าเจ้าอยากได้ก็บอกข้านะ หากเจ้าพูดกับข้า
ข้าก็จะให้เจ้า หากเจ้าไม่พูด ข้าไม่รู้ว่าเจ้าอยากได้
หรือไม่? แต่เจ้าคงไม่ได้อยากได้จริงๆ ใช่หรือไม่? เอา
หรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงจ้องไปที่เขา แล้วพูดว่า “โลภมากบ้า
ตัณหา” แล้วก็ไม่พูดอะไรมากอีก กินข้าวต่อไป
คนชุดขาวเห็นฉีหนิงยื่นตั๋วเงินมาให้ สายตาของเขา
เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาหยิบตั๋วเงินขึ้นมาดู ก็ไม่ได้
เกรงใจ แล้วเก็บเข้าไปในเสื้อทันที
ชายแก่ถึงแม้จะรู้สึกอิจฉา แต่เขาก็รู้ว่าเงินนั่นเขาไม่
น่าจะได้ แต่หวังว่าเมื่อถึงเมืองหลวงแล้ว น้องชายคน
นี้จะใจกว้าง ตบรางวัลเศษเงินให้เขาสักหน่อย
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ฟ้าก็มืดลงแล้ว ชายแก่พูด
อย่างมั่นใจว่า “วางใจได้ ข้าคุ้นเคยเส้นทางดี ไม่มี
ปัญหาแน่นอน”
ทั้งสามคนขึ้นรถไปอีกครั้ง ฉีหนิงถามคนชุดขาวว่า
“พี่ชายตกลงท่านจะไปไหนหรือ หากไม่ไกลจากเมือง
หลวง ก็ให้รถม้าแวะไปส่งท่านก่อนก็ได้ แล้วท่านค่อย
หารถไปที่ท่านอยากจะไป ไม่เสียเวลามากหรอก ท่าน
ลุงเขาคุ้นเคยเส้นทางไปเมืองหลวงมากเลยนะ”
คนชุดขาวแค่ยิ้ม แต่ก็ไม่พูดอะไร
ฉีหนิงรู้สึกว่าคนชุดขาวก็น่าจะพูดไม่ได้จริงๆ ตอนนี้
เขาก็เริ่มชินแล้ว เขาไม่ได้ใส่ใจมันอีก
แต่ว่าเขากำลังคิดอยู่ว่า เมื่อครู่ชวีเสี้ยวเว่ยบอกว่าคน
ชุดขาวเป็นหญิงปลอมตัวเป็นชาย หรือว่าชวีเสี้ยวเว่ย
จะไม่ได้พูดผิด เขาเป็นผู้หญิงจริงๆ
เพราะว่าคนชุดขาวอยู่บนรถม้าด้วย ฉีหนิงเองก็แหย่ซี
เหมินจั้นอิงเล่นไม่ได้ แต่ว่าคนชุดขาวเองก็ไม่พูดไม่จา
บรรยากาศภายในรถก็เลยเงียบเชียบมาก
ชายแก่บังคับรถม้าไปทางเมืองหลวง ยังเหลืออีก
ประมาณสิบกว่าลี้ หิมะบนพื้นก็หนาอยู่ ฉีหนิงรู้ว่าต่อ
ให้ไปถึงเมืองหลวงได้จริง ก็น่าจะเที่ยงคืนกว่า ดังนั้น
ก็เลยงีบหลับสักหน่อยก่อน ซีเหมินจั้นอิงเองก็เอนตัว
นอนเหมือนกัน
ไม่รู้ว่านานแค่ไหน รถม้ากระแทกเล็กน้อย ฉีหนิงลืม
ตาขึ้นมา แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ชายแก่พูดว่า “ไม่มีอะไร เมื่อครู่ลงเนิน เลยกระแทก
นิดหน่อย”
“อีกนานหรือไม่?” ฉีหนิงยื่นมือไปเปิดม่านด้านหน้า
เขาเห็นข้างนอกมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรเลย คิดใน
ใจว่าค่ำมืดแบบนี้ชายแก่ยังเร่งเดินทางได้ แสดงว่า
คุ้นเคยเป็นอย่างดีจริงๆ
“อีกไม่นานนัก” ชายแก่พูดว่า “น่าจะอีกประมาณสัก
หนึ่งชั่วยาม ก็น่าจะถึงเมืองหลวงแล้ว”
ฉีหนิงโล่งใจ คิดในใจว่าหนึ่งชั่วยามก็ไม่ได้นานมาก
ภายในรถไม่มีตะเกียง มืดมาก ทันใดนั้นเอง ฉีหนิงก็
รู้สึกว่ามันแปลกๆ แล้วขมวดคิ้วพูดว่า “จั้นอิง จั้นอิง”
เขาไม่ได้ยินซีเหมินจั้นอิงตอบกลับมา เขาก็ร้อนใจ ยื่น
มือไปคลำหาซีเหมินจั้นอิง เหมือนเขาจะคลำเจอ
กระดูกโครงหน้า จากนั้นก็เหมือนรู้สึกว่ามีคนสะดุ้ง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงจั้นอิงพูดขึ้นมาว่า “ทำ...ทำ
อะไร?” เสียงของนางสะลึมสะลือ เหมือนเพิ่งตื่น
ฉีหนิงเห็นซีเหมินจั้นอิงยังอยู่ ก็โล่งใจ แต่ว่าคนชุด
ขาวที่นั่งตรงข้ามเขาหายไปแล้ว
ภายในรถมืดมาก แต่ว่าเพราะคนชุดขาวมีเสื้อคลุมสี
ขาว เลยพอจะมีแสงบ้าง ก่อนหน้านี้ยังพอจะเห็นเป็น
โครงอยู่บ้าง แต่ว่าตอนนี้ไม่มีแล้ว เขารีบถามว่า
“พี่ชายท่านยังอยู่หรือไม่?”
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ฉีหนิงหันหลังไปเปิดม่าน
หน้าต่างรถ แสงจากด้านนอกส่องเข้ามา ฉีหนิง
สายตาดีมาก ตอนนี้เขาถึงเห็นว่า ที่นั่งตรงข้ามเขา ไม่
มีคนนั่งอยู่แล้ว คนชุดขาวไม่รู้หายไปไหนแล้ว
เขาตกใจเล็กน้อย เขาลากผ้าม่านด้านหน้าออก แล้ว
ถามชายแก่ไปว่า “ก่อนหน้านี้ท่านจอดรถกลางทาง
บ้างหรือไม่? คนชุดขาวลงจากรถไปตรงไหน?”
“ลงจากรถ?” ชายแก่หันมา แล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้จอด
ตรงไหนเลย พวกท่านอยู่บนรถตลอดไม่ใช่หรือ คนชุด
ขาวก็ไม่ได้ลงจากรถเลยนะ”
ฉีหนิงตกใจ ชายแก่รีบหยุดรถม้าทันที แล้วเขาก็
ชะโงกหน้าไปมองด้านในรถ เห็นภายในรถนอกจากฉี
หนิงกับซีเหมินจั้นอิงแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก เขาตกใจ
มาก “เขาหายไปไหนแล้ว? เขา...เขาอยู่บนรถตลอด
เลยไม่ใช่หรือ?”
“จั้นอิง เจ้าเห็นเขาลงจากรถหรือไม่?” ฉีหนิงขมวด
คิ้ว
ซีเหมินจั้นอิงพูดด้วยความแปลกใจว่า “ไม่นะ เมื่อครู่
ข้า...ข้าหลับไป ก็...ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีใครลงจากรถไป”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเจ้าหลับไปแล้ว จะไปรู้สึกอะไรได้อีก
เล่า
แต่ว่าก่อนหน้านี้ฉีหนิงครึ่งหลับครึ่งตื่น ถึงแม้จะ
หลับตา แต่ก็ไม่ได้หลับลึก เดิมทีเขาเป็นคนระวังตัว
อยู่แล้ว แต่ว่าเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความเคลื่อนไหว
อะไร
ชายแก่พูดด้วยความแปลกใจว่า “คงไม่ได้กระโดด
ออกไปทางหน้าต่างหรอกนะ?” หน้าต่างของรถถึงจะ
ไม่ได้ใหญ่มาก แต่คนก็สามารถรอดผ่านไปได้ไม่
ลำบากเท่าไหร่ แต่ว่าจะลงรถ บอกชายแก่ให้จอดรถก็
ได้แล้ว เหตุใดต้องออกไปทางหน้าต่างด้วย? อีกอย่าง
เขาก็ใจดีให้นั่งรถมาด้วย ให้เงินเขาไปตั้งสองร้อย
ตำลึง เงินนั่นอาจจะไม่ได้มีค่ามากมายสำหรับเขา แต่
ว่าเขาก็ดูแลดีขนาดนี้ เหตุใดถึงไปไม่ลาอีก
ซีเหมินจั้นอิงตื่นได้สติ อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “คน
นั้นลึกลับแปลกๆ ก็ไม่รู้เป็นใครมาจากไหน เจ้าให้เขา
ขึ้นรถมาด้วย เกิดเขาเป็นคนร้ายขึ้นมา พวกเราไม่
เดือดร้อนหรือ?” ทันใดนั้นเขาก็พูดอย่างแปลกใจว่า
“เอะ ที่...ที่เอวของเจ้ามันอะไร?”
ฉีหนิงตะลึงไป เขาก้มหน้ามองไปที่เอวของเขา ที่เอว
ของเขาเหมือนมีแสงเขียวๆ สะท้อนขึ้นมา ก่อนหน้านี้
เขาไม่ทันได้สังเกตจึงมองไม่เห็น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 265 สร้อยคอ
ฉีหนิงยื่นมือไปหยิบมาไว้ในมือ มันเหมือนจะทำจาก
หยก ในใจก็แปลกใจ “มีไฟหรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “ข้ามีชุดไฟ” นางเป็นคนของจวน
เสินโหว เจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวทุกคนจะพก
อุปกรณ์จำเป็นเอาไว้กับตัว เช่นพวกยาปฐมพยาบาล
เบื้องต้น
ตอนที่ชิวเฉียนอี๋จับตัวนางมา ไม่ได้ค้นตัวนาง ดังนั้น
ยากับชุดไฟก็ยังอยู่กับตัว ทันใดนั้นเอง ภายในรถก็
สว่างขึ้น
ฉีหนิงเห็นชายแก่ยังหันมามองอยู่ เขายิ้มแล้วพูดไปว่า
“ไม่มีอะไรแล้ว พวกเราเดินทางต่อกันเถอะ”
ชายแก่ปล่อยม่านลง แล้วก็เริ่มเดินทางต่ออีกครั้ง
ท่ามกลางแสงไฟ ฉีหนิงกางมือออก ตัวสร้อยทำมา
จากทองตัวจี้ทำมาจากหยก มันเงางามและประณีต
มาก
ฉีหนิงรู้ว่าถึงแม้มันจะเป็นหยกชิ้นหนึ่ง แต่ว่ามันไม่น่า
ใช่หยกธรรมดา หากมันเป็นแค่หยกทั่วไป ไม่มีทาง
ส่องสว่างในความมืดได้อย่างนั้นแน่นอน
“สร้อยเส้นนี้มาจากไหน?” ฉีหนิงสงสัย “บนตัวข้าไม่
มีนะ”
“เดาไม่เห็นยากเลย” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “เจ้าช่วย
คนไว้ ก่อนเขาจะไปก็ทิ้งของไว้ตอบแทนเจ้า เข้าใจ
ยากตรงไหน”
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าหมายถึง...คนชุดขาวทิ้งเอาไว้ให้
หรือ?”
“ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครได้อีก?” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า
“ตัวเจ้ากับข้าไม่มีของชิ้นนี้เลย นอกจากเขาแล้ว
สร้อยเส้นนี้จะโผล่มาจากไหนได้อีก? สร้อยทอง จี้
หยก ราคาสร้อยเส้นนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ เจ้าเอาเงิน
ให้เขาสองร้อยตำลึง แต่ว่าสร้อยเส้นนี้ราคาน่าจะสูง
กว่านั้น”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากเจ้าชอบ ให้เจ้าดีหรือไม่?”
เขายื่นไปให้ซีเหมินจั้นอิง
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “เอาไปเลย ของที่ผู้หญิงคนนั้นให้
มันเกี่ยวอะไรกับข้า? ข้าจะเอามาทำไม”
“ผู้หญิง?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็รู้สึกว่าเขาเป็น
ผู้หญิงหรือ?”
“นางปลอมตัวเป็นชาย นอกจากเจ้าจะตาบอดถึงจะ
มองไม่ออก” ซีเหมินจั้นอิงไม่ได้พูดอีก “ผู้หญิงคน
หนึ่งมาเดินคนเดียวท่ามกลางอากาศหนาว ข้าว่าก็
น่าจะไม่ใช่คนดีอะไร”
ฉีหนิงจ้องไปที่หน้าของซีเหมินจั้นอิง ยิ้มแล้วพูดว่า
“จั้นอิง เหตุใด ข้าถึงได้รู้สึกว่าเจ้ากำลังหึงอยู่ เป็น
เพราะเขาไม่ได้ให้ของเจ้าด้วย หรือว่าเพราะ...”
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกกระวนกระวาย นางรีบอธิบายว่า
“หึงอะไร? ข้า...เหตุใดข้าต้องหึงนางด้วย สร้อยเส้น
เดียว ไม่เห็นจะมีอะไร” นางถูกฉีหนิงจ้อง รู้สึกหน้า
ร้อนๆ แต่ไม่รู้ว่านางกำลังหน้าแดงอยู่ นางพูดว่า
“เจ้ามองอะไร? ถ้ายังมองอีก...ข้าจะควักตาเจ้า
ออกมา” นางนึกขึ้นได้ว่าชุดไฟยังจุดอยู่ ก็รีบเป่ามัน
จนดับ
ภายในรถมืดลง
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ เขารู้สึกว่าถูกจับตัวมาครั้งนี้ คนที่
เขาเจอมีแต่แปลกๆ ทั้งนั้น ก่อนหน้านี้ก็เจอชายวัย
กลางคนมาช่วยเขาเอาไว้ แล้วยังสอนวิชาเดิน
ลมปราณกับฝ่ามือดันภูเขาให้เขาอีก หลังจากนั้นก็
เจอคนชุดขาว ที่ไม่พูดไม่จา ไปมาไร้ร่องรอย อีกทั้งยัง
ทิ้งสร้อยเส้นหนึ่งเอาไว้
ทั้งสองคนนี้จะมาก็มาจะไปก็ไป แปลกมาก
เขาไม่รู้ว่าที่คนชุดขาวทิ้งสร้อยเอาไว้นั้นมัน
หมายความว่าอะไร อีกทั้งสร้อยเส้นนี้ยังเป็นจี้รูป
หัวใจด้วย ในยุคนี้สร้อยลักษณะแบบนี้หาได้ยากมาก
เพราะคนโบราณไม่เปิดเผยความในใจง่ายๆ จี้รูป
หัวใจมันเปิดเผยเกินไป
ซีเหมินจั้นอิงบอกว่าคนนั้นเป็นหญิงปลอมตัวเป็นชาย
ก็คิดว่าไม่น่าจะผิด คนชุดขาวก็น่าจะเป็นผู้หญิง แต่
เพราะออกมานอกบ้าน เลยแต่งกายเป็นชายเพื่อ
ปกปิด
เวลาหนึ่งชั่วยามก็ไม่ได้ถือว่านานมาก ในที่สุดพวกเขา
ก็มาถึงนอกประตูเมือง ฉีหนิงหยิบป้ายทองที่ฮ่องเต้
ประทานให้มา ทหารเฝ้าประตูเมืองก็รีบเปิดประตูให้
เขาทันที
รถม้าวิ่งไปยังจวนเสินโหวก่อน ซีเหมินจั้นอิงลงจากรถ
ม้า นางหันมามองฉีหนิง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “กลับไปพักผ่อนให้มากๆ ไว้ข้าจัดการ
อะไรเรียบร้อยแล้วข้าจะมาหาเจ้า”
“ใครอยากให้เจ้ามาหาเล่า” ซีเหมินจั้นอิงบ่นพึมพำ
แต่ว่าก็ยังพูดไปว่า “เจ้าเองก็...ก็ระวังตัวด้วยนะ
กลับไปพักผ่อนมากๆ”
เจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวที่หน้าประตู เห็นซีเหมินจั้น
อิงสวมเสื้อผ้าฝ้ายธรรมดาลงจากรถม้า ตอนแรกจำ
นางไม่ได้ แต่สุดท้ายก็จำได้ พวกเขาดีใจมาก “ศิษย์...
ศิษย์น้องเล็ก เจ้า...เจ้ากลับมาแล้ว”
ฉีหนิงก็ไม่เสียเวลาอยู่ต่อ เขาบอกให้ชายแก่ตรง
กลับไปยังถนนผีผา เดิมทีเขาอยากไปที่หย่งอันถังเลย
แต่ว่าเขาคิดขึ้นมาได้ว่าข่าวที่เขาถูกจับตัวไปน่าจะไป
ถึงจวนจิ่นอีโหวแล้ว กูช้ ิงฮั่นจะต้องร้อนใจมากแล้ว
แน่ๆ กลับไปที่จวนโหวก่อนน่าจะดีกว่า
กลางดึกแบบนี้บรรยากาศเงียบมาก ในเมืองหลวงมี
แต่ทหารของค่ายหูเสินที่ลาดตระเวนอยู่เท่านั้น ในมือ
ของฉีหนิงมีป้ายทองอยู่ ไม่มีใครขวางเขาได้ ถังนั่วเอง
ก็ยังหายาถอนพิษไม่ได้ เมื่อวานตอนเที่ยงเขาถูกจับ
ตัวไป จนถึงตอนนี้ก็เกือบสองวันแล้ว
เมื่อกลับมาที่จวนโหว มันไม่ได้เป็นอย่างที่ฉีหนิงคิด
เลย คนที่เฝ้าประตูจวนไม่ได้ตื่นเต้นดีใจที่ฉีหนิง
กลับมา ฉีหนิงรู้ว่าพวกเขาน่าจะไม่รู้ว่าเขาถูกจับตัว
ไป? แต่ว่าเกือบสองวันแล้ว ไม่น่าจะไม่รู้ แต่เขาก็คิด
ว่า น่าจะเป็นกู้ชิงฮั่นปิดข่าวเอาไว้เพื่อไม่ให้คนในจวน
แตกตื่น
ฉีหนิงสั่งให้องครักษ์หน้าประตูพาชายชราเอารถม้าไป
จอดที่เรือนด้านหลัง แล้วสั่งให้จัดห้องพักและอาหาร
ให้กับชายชรา เพราะเขาก็ลำบากพาพวกฉีหนิงมาส่ง
ถึงที่นี่ จะให้กลับไปตอนนี้เลย ก็ลำบากเกินไป
เดิมทีเขาก็เป็นคนใจกว้างอยู่แล้ว ถึงแม้จะรับปากว่า
จะให้ค่าแรงเป็นสองเท่า แต่ว่าเขาก็เอาเงินให้
มากกว่าค่าเช่ารถเป็นสิบเท่า
ชายแก่คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่เช่ารถม้าของเขาจะเป็น
คนในจวนจิ่นอีโหว เขาตกใจมาก คิดไม่ถึงเลยว่าใน
ชีวิตนี้จะได้มาค้างในจวนจิ่นอีโหว เขาทั้งดีใจทั้งตกใจ
เขาซาบซึ้งใจมาก รีบตามองครักษ์ไป
ฉีหนิงกลับมาถึงจวน รีบสั่งให้คนไปรายงานกู้ชิงฮั่น กู้
ชิงฮั่นรีบมาหาเขา เมื่อเห็นฉีหนิงปลอดภัยกลับมา
นางก็ดีใจทั้งน้ำตา
เมื่อสอบถามดู กู้ชิงฮั่นรู้เรื่องมาตั้งแต่วันที่แรกแล้ว
แต่นางปิดข่าวเอาไว้แล้ว ต้วนฉางไห่ได้ข่าวก็รีบ
รวบรวมไพร่พล ออกไปตามหา จนถึงตอนนี้เขาก็ยัง
ไม่กลับมา
ฉีหนิงบอกกับนางแค่ว่าคนที่จับตัวฉีหนิงไปนั้นไม่ได้
คิดร้าย เขาแค่อยากออกจากเมืองหลวงไปเท่านั้น
จากนั้นก็ปลอบกู้ชิงฮั่นอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็กลับห้อง
ไป แล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
สาวใช้เอาน้ำร้อนกับเสื้อผ้าสะอาดมาให้ ฉีหนิง
อาบน้ำร้อนอย่างสบายใจ อีกทั้งยังเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่
ที่นุ่นสบายตัว สองวันที่ผ่านมาเขารู้สึกเพลียมาก เขา
ได้ยนิ ฝีเท้าคนเดินมา กู้ชิงฮั่นยกถาดอาหารเข้ามา
ด้านหลังของนางมีสาวใช้อีกคนตามหลังมาด้วย นาง
ถือผ้านวมผืนใหญ่เดินเข้ามา กู้ชิงฮั่นสั่งให้สาวใช้เอา
ผ้านวมวางไว้บนเตียง แล้วสั่งให้นางออกไป จากนั้น
นางถึงเอาถาดอาหารมาวางไว้ที่โต๊ะ แล้วจัดอาหาร
ให้กับฉีหนิง “รีบกินตอนร้อนๆ สองวันมานี้ข้าไม่กล้า
บอกใครเลย แม้แต่ไท่ฮูหยินเองข้าก็ไม่ได้ไปบอก
ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะถูกจับตัวไป ผ่านไปไม่นาน
เท่าไหร่ถูกจับอีกแล้ว หากไท่ฮูหยินรู้เข้า นางจะทนได้
อย่างไร...เฮ้อ เหตุใดเรื่องร้ายๆ จะต้องตกอยู่กับเจ้า
ตลอดเลยนะ?” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของนางก็เริ่ม
แดงก่ำขึ้นมา
ฉีหนิงรู้ว่าถึงนางจะพูดเหมือนไม่มีอะไร แต่ว่าสอง
วันที่ผ่านมานางทั้งกังวลและกดดันมาก เขารู้สึกผิด
มาก “ซานเหนียง ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีก”
ตอนนี้เลยยามจื่อไปแล้ว ฉีหนิงเห็นกู้ชิงฮั่นสวมแค่ชุด
สีม่วงบางๆเท่านั้น ทำให้รูปร่างของนางเห็นเด่นชัด
มาก
“บอกตั้งกี่ครั้งแล้ว ก็ไม่เคยระวังตัวเลย” กู้ชิงฮั่น
ดวงตาแดงก่ำ นางหันไปที่เตียงนอนของเขา แล้วพูด
ว่า “ต้วนฉางไห่บอกว่าถูกจับตัวไปจากจวนเสินโหว
เป็นถึงจวนเสินโหว เหตุใดถึงยังเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้
อีก? เจ้าถูกคนจับไปจากที่นั่น เคราะห์ร้ายจริงๆ”
ฉีหนิงรู้ว่าสองวันมานี้กู้ชิงฮั่นต้องเครียดมากแน่ๆ เห็น
นางเหนื่อยขนาดนี้ เขาเองก็ไม่สบายใจ แอบคิดในใจ
ว่าวันหลังเขาต้องระวังตัวมากกว่านี้ เพราะหากเขา
เกิดเรื่องอะไรแม้แต่นิดเดียว คนที่ห่วงเขามากที่สุดก็
คือม่ายสาวคนนี้
ท่าทางของนาง เหมือนสองวันที่ผ่านมานางคงไม่มี
อารมณ์จะแต่งตัวเลย แต่ว่าเห็นนางเป็นแบบนี้ มันยิ่ง
ทำให้นางดูงดงามมากขึ้น นางดูสวยเป็นธรรมชาติ
มาก
นางเดินไปริมเตียง จากนั้นก็กางผ้านวมออก จากนั้น
นางก็โค้งตัวลงไปจัด ฉีหนิงรีบพูดว่า “ซานเหนียง ให้
พวกนางทำก็ได้ เหตุใดต้องทำเองด้วย”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “อากาศหนาว
แล้ว ต้องเสริมผ้านวมผ้าห่มให้หนาขึ้น กลางคืนจะได้
ไม่หนาว” นางก้มหน้าลงไปจัดเตียง ท่าทางของนาง
น่าหลงใหลมาก
กู้ชิงฮั่นคุกเข่าลงบนเตียงแล้วก็จัดเตียงให้เขา ฉีหนิง
อึ้งไป เขามองนางไม่กระพริบตาเลย
รูปร่างของนางส่วนเว้าส่วนโค้งเห็นได้ชัดเจน
เหมือนกับลายเส้นการวาดภาพเลย โดยเฉพาะสะโพก
และหน้าอกของนาง บวกกับท่าทางการเคลื่อนไหว
ของนาง ทำให้นึกภาพออกได้เป็นหมื่นภาพ
เมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย กู้ชิงฮั่นก็อดไม่ได้ที่จะหัน
กลับมามอง เห็นฉีหนิงจ้องนางไม่กระพริบตา นางก็
ตะลึงไป จากนั้นก็มองตามสายตาของฉีหนิงไป นาง
ถึงได้รู้ว่าท่าทางของนางนั้นมันยั่วยวนมาก นางหน้า
แดง แล้วจ้องเขากลับไป แล้วพูดว่า “มองอะไร?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 266 หาได้ยาก
ฉีหนิงถูกกู้ชิงฮั่นดุ ทันใดนั้นก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา
เขาหลบสายตาแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ข้า...ข้าทำเอง
ดีกว่า”
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่ฉีหนิง แต่นางก็เข้าใจว่ารูปร่างของ
ตัวเองนั้นก็เย้ายวน อีกทั้งนางก็ไม่ได้ทันระวังตัว ถึง
ได้ทำท่าทางแบบนั้นออกมา ฉีหนิงเป็นผู้ชายแท้ เห็น
ท่าแบบนั้นจะมีปฏิกิริยามันก็ไม่แปลกอะไร ไม่มี
ปฏิกิริยาอะไรมันนั่นสิถึงจะแปลก
จริงๆ แล้วในใจนางรู้มาระยะหนึ่งแล้วว่าฉีหนิงชอบ
นาง จะมีปฏิกิริยาแบบนี้ มันก็ไม่แปลก
นางหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา จากนั้นนางก็รีบลงจากเตียง
ไม่ทำต่อ นางรู้สึกใจเต้นแรงมาก หายใจแรงถี่กระชั้น
รีบดึงเสื้อของนางขึ้นมาปิดหน้าอกเอาไว้
ถึงแม้นางจะโกรธที่ฉีหนิงที่มองนางแบบนั้น แต่ครั้งนี้
นางก็โทษตัวเองด้วย ที่นางไม่ได้ทันระวังตัว ทำท่า
ทางให้ฉีหนิงจ้องมาที่สะโพกของนางได้ เพราะฉะนั้น
จะโทษฉีหนิงทั้งหมดก็ไม่ได้
เห็นฉีหนิงก้มหน้า เหมือนทำเรื่องที่ผิดพลาดใหญ่
หลวง กู้ชิงฮั่นก็ใจอ่อน นางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ข้า
...ข้ากลับเรือนก่อนนะ เจ้าเองก็รีบพักผ่อน มีเรื่อง
อะไร พรุ่งนี้ค่อยไปทำ” นางลุกขึ้นมา เอามือปิด
หน้าอกไว้ข้างหนึ่ง แล้วก็เดินออกไป เมื่อเดินไปถึง
ประตู กำลังจะเปิดประตูออกไป นางเกิดลังเลครู่หนึ่ง
แล้วหันกลับมามอง เห็นฉีหนิงยังคงนั่งเหม่ออยู่ที่เตียง
ในใจก็คิดว่าฉีหนิงจะต้องโทษตัวเองอยู่แน่ๆ นางคิด
ว่าฉีหนิงเพิ่งจะกลับมา อ่อนเพลียมาก นางก็ถอน
หายใจ แล้วเดินมาพูดกับเขาว่า “หนิงเอ๋อร์ เจ้า...เจ้า
รีบกินอะไรก่อนเถอะนะ อาหารเย็นหมดแล้ว”
ฉีหนิงตอบรับแค่ “อืม” จากนั้นเขาก็เดินมาที่โต๊ะ
เมื่อครู่เขาจ้องไปที่สะโพกของกู้ชิงฮั่น ถูกกู้ชิงฮั่นเห็น
เข้า เขารู้สึกไม่ดีเลย หากเป็นผู้หญิงคนอื่น ฉีหนิงคง
ไม่ได้รู้สึกอะไรมากเท่านี้มาก่อน แต่ว่ากับกู้ชิงฮั่นนั้น
ไม่เหมือนกัน ถึงแม้ฉีหนิงจะชอบนาง แต่ก็เคารพนาง
ด้วย เขากังวลว่ากู้ชิงฮั่นจะโกรธเขาเพราะเรื่องนี้
เขารู้ดีว่าไม่ว่าเขาจะรู้สึกอะไรอย่างไรกับกู้ชิงฮั่น ก็จะ
ทำอะไรเกินเลยไม่ได้ กู้ชิงฮั่นไม่เหมือนกับผู้หญิงคน
อื่น เขาจะต้องควบคุมระยะเอาไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นจะ
ทำให้มองหน้ากันไม่ติด อีกทั้งความระแวงมันจะทำ
ให้ความสัมพันธ์ห่างเหินกันไป
อีกทั้งความคิดของกู้ชิงฮั่น ฉีหนิงรู้สึกว่าเขายังเดา
ไม่ได้ ดังนั้นจะทำอะไรต้องระวังให้มาก
“จริงสิ มีเรื่องที่ต้องบอกให้เจ้ารู้” ถึงอย่างไรกู้ชิงฮั่นก็
ผู้ใหญ่ เห็นฉีหนิงไม่พูดไม่จา นางคิดว่าฉีหนิงคงรู้สึก
หงุดหงิดใจตัวเอง นางอยากจะแก้ไขสถานการณ์ เลย
นั่งลงตรงหน้าของฉีหนิง พยายามทำให้บรรยากาศ
นั้นดีขึ้น “ทางเจียงหลิงส่งจดหมายมาว่า อีกสักพักใน
จวนคงวุ่นวายสักหน่อย”
“หะ?” ฉีหนิงเงยหน้าขึ้นมา เขามองไปที่กู้ชิงฮั่น
ใบหน้าของกู้ชิงฮั่นขาวราวกับหยก ไม่ว่าจะมุมไหน
นางก็งดงามมีเสน่ห์มาก ดวงตาของนางเหมือนเป็น
ประกายกลมโต เขาถามว่า “ที่จวนเก่าส่งจดหมายมา
หรือ?”
“ไม่ใช่” กู้ชิงฮั่นรีบส่ายหัวแล้วพูดว่า “แต่เป็น...เฮ้อ
ท่านลุงไม่เอาไหนของเจ้าต่างหาก หาเรื่องได้ไม่หยุด”
ฉีหนิงนึกถึงกู้เหวินจางที่มีความฝันอยากจะเป็นทหาร
นำทัพออกศึกขึ้นมา แล้วอดหัวเราะไม่ได้ เขาพูดว่า
“ท่านลุงทำไมหรือ? เขาก่อเรื่องอะไรอีกหรือ?”
กู้ชิงฮั่นไม่ได้พูดดี “ครั้งที่แล้วที่พวกเรากลับไป เขา
บอกกับข้าว่า อยากให้ช่วยเขาขอตำแหน่งทหารให้
เขาอยากจะทำงานให้ราชสำนัก เจ้าว่าคนอย่างเขา ที่
ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง จะไปเป็นขุนนางได้
อย่างไร”
“มันก็ไม่แน่หรอก” ถึงแม้ฉีหนิงจะรู้สึกว่ากู้เหวินจาง
จะไม่ค่อยมีสมอง แต่ว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นลุงที่กล้า
หาญคนหนึ่ง ฉีหนิงไม่ได้มีอคติอะไรกับเขา เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นให้ข้าไปทูลขอฝ่าบาทดูให้ดี
หรือไม่ ลองดูว่าพอมีทางให้เขาไปเป็นทหารได้บ้าง
หรือไม่ ต่อให้ได้เข้าไปกองทัพจริง คงยังไม่ได้ให้เขา
นำทัพไปทำศึกได้ในทันทีหรอก ต้องฝึกฝนอีกระยะ
ใหญ่ๆ”
ตอนนี้ฮ่องเต้น้อยหลงไท่กำลังต้องการคน หากเขา
เสนอกู้เหวินจางไป ต่อให้ไม่ได้เป็นแม่ทัพใหญ่ แต่ว่า
ไปเป็นทหารเล็กๆ ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
“เจ้าอย่าบ้าไปกับเขาด้วย” กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่ฉีหนิง
“หากเจ้าไปทูลฝ่าบาท ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าจริงๆ
ด้วย” แล้วพูดว่า “เมื่อวานเขาส่งจดหมายมาว่า รอ
พ้นวันส่งท้ายปีเก่าไปแล้ว เข้าช่วงตรุษจีนเมื่อไหร่ จะ
พาคนที่บ้านมาเมืองหลวง”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หลังตรุษจีน พิษระบาดในเมือง
หลวงก็น่าจะแก้ไขได้แล้ว ในเมื่อท่านลุงจะมา ก็ให้
พวกเขามาอยู่สักระยะก็ได้ จวนของพวกเราใหญ่
ขนาดนี้ จะมาอยู่สักร้อยคนก็ไม่มีปัญหา”
“มาอยู่ระยะหนึ่งหรือ?” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “หากเขามา
อยู่แค่ระยะเดียว ข้าก็ไม่ว่าหรอก เจ้ารู้หรือไม่ เขา
แอบข้าให้คนไปซื้อร้านค้าในเมืองหลวงไว้สามร้าน
แม้แต่โฉนดก็ได้มาอยู่ในมือแล้ว ตอนนี้กำลังให้คน
ตกแต่งอยู่ หลังตรุษจีนก็จะเริ่มเปิดร้านในเมืองหลวง
ทันที”
คำสนทนาของพวกเขาสองคน ทำลายบรรยากาศ
กระอักกระอ่วนก่อนหน้านี้ไปหมด
“หะ?” ฉีหนิงอ้าปากค้าง เขาไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร เขา
เกาศีรษะ แล้วพูดว่า “เขาปิดแม้กระทั่งซานเหนียง
เลยหรือ?”
กู้ชิงฮั่นไม่ได้พูดดี “ก็เพราะรู้ว่าหากข้ารู้เรื่อง ก็
ต้องห้ามเขา ตอนท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ บอกเขาหลาย
ครั้งแล้วว่า ตระกูลกู้จะต้องอยู่ใช้ชีวิตที่เจียงหลิง
เท่านั้น ห้ามมาเมืองหลวงเด็ดขาด ตอนที่ท่านแม่ทัพ
ใหญ่ยังอยู่ ท่านลุงของเจ้าก็มักขอให้ท่านแม่ทัพหา
งานในกองทัพให้เขาทำ ท่านแม่ทัพก็แค่ยิ้มแล้วปล่อย
ผ่านไปเท่านั้น ตอนนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ทัพใหญ่ต่าง
ไม่อยู่แล้ว ท่านแม่ก็ห้ามเขาไม่อยู่ ตอนนี้เขาไม่เห็น
หัวใครเลย อยากจะทำอะไรก็ทำ” นางถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าเป็นคนของตระกูลฉี เขาเป็น
นายใหญ่ของตระกูลกู้ หลายเรื่องข้าเองจะไปยุ่งมาก
ไม่ได้”
ฉีหนิงพูดว่า “ในเมื่อท่านลุงอยากทำการค้าในเมือง
หลวง ก็ให้เขาลองดูก็ได้ ถ้าทำไม่ได้ ค่อยกลับไปที่
เจียงหลิงก็ได้” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ท่าน
ลุงเหมือนจะเกรงใจท่านอยู่บ้าง เขาอยู่เจียงหลิง
เส้นทางยาวไกล หากเขาก่อเรื่องท่านก็ห้ามอะไรเขา
ไม่ได้ แต่ถ้ามาเมืองหลวง อยู่ใกล้หใู กล้ตา ก็ดูแลกัน
ได้ง่ายกว่าไม่ใช่หรือ”
กู้ชิงฮั่นรู้สึกกระวนกระวายใจ เขาพูดว่า “ถึงอย่างไรก็
เป็นเรื่องของเขา หากก่อเรื่องขึ้นมาจริงๆ ข้าจะไม่
ยุ่ง” นางเห็นฉีหนิงไม่หยิบตะเกียบเลย นางพูดว่า
“รีบกินซะ เย็นหมดแล้ว”
ฉีหนิงถึงได้หยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วพูดว่า “ซาน
เหนียง ครั้งนี้ข้าถูกจับไป จริงๆ ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร
ข้ายังมีโชคเล็กๆ ด้วยนะ”
“หืม?” กู้ชิงฮั่นตาโต “โชคดี?”
“หลังจากข้ารอดมาได้ ข้าเจอยอดฝีมือท่านหนึ่งด้วย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เขาสอนวิชาที่ร้ายกาจมากให้ข้า
ด้วยนะ ต่อไปก็ไม่ต้องห่วงว่าใครจะมาทำร้ายข้าอีก
แล้ว”
เดิมทีเขาก็ไม่ได้อยากจะพูดอะไรมาก แต่ว่ารู้ว่ากู้ชิง
ฮั่นห่วงเขาตลอดเวลา ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ปลอบนาง
ว่าตัวเองได้เรียนวิชาร้ายกาจมาดีกว่า นางจะได้สบาย
ใจขึ้นมาบ้าง
กู้ชิงฮั่นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “วรยุทธ์ร้ายกาจหรือ?”
ฉีหนิงลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “ซานเหนียง หลีกทางให้
ข้าหน่อย เดี๋ยวข้าจะแสดงให้ท่านดู ท่านดูแล้วก็รู้ว่า
ข้าพูดจริงหรือไม่”
จริงๆ แล้วกู้ชิงฮั่นเองก็หวังให้ฉีหนิงเป็นวรยุทธ์
เพราะตระกูลฉีจิ่นอีโหวทั้งสามรุ่นมักถูกลอบสังหาร
ทั้งนั้น ท่านเหล่าโหวกับฉีจิ่งต่างเป็นวรยุทธ์ อย่าง
น้อยๆ ก็ป้องกันตัวเองได้ แต่ว่าโหวน้อยคนนี้ก่อน
หน้านี้ก็ไม่สมประกอบ ไม่เคยมีพื้นฐานวรยุทธ์เลย
เพราะอย่างนี้ กู้ชิงฮั่นถึงได้เป็นห่วงมาก
ถึงแม้พวกต้วนฉางไห่จะเป็นองครักษ์คนสนิท แต่ก็ไม่
สามารถอยู่กับเขาตลอดเวลาได้ หากเขามีวรยุทธ์ติด
ตัว ก็จะได้ป้องกันตัวเองได้บ้าง คนอื่นจะได้เบาใจ
เห็นฉีหนิงกำลังจะแสดงให้นางดู กู้ชิงฮั่นยิ้ม แล้วหลบ
ไปที่ริมเตียง นางมองฉีหนิงอย่างตื่นเต้น
ฉีหนิงสูดหายใจเข้า แล้วแสดงวิชาฝ่ามือดันภูเขาที่
ชายวัยกลางคนสอนให้นางดู
ท่าทางของฝ่ามือดันภูเขาไม่ได้ซับซ้อน แต่ว่ามัน
แข็งแกร่งมาก สำหรับคนที่มีพื้นฐานการต่อสู้อย่างฉี
หนิง ต้องรู้ถึงแก่นแท้ของมันอยู่แล้ว ตอนที่ชายวัย
กลางคนผู้นั้นสอนวิชานี้ให้เขา ฉีหนิงก็รู้แล้วว่ามัน
เป็นวิชาที่ร้ายกาจมาก เพราะอย่างนี้ เขาถึงได้
พยายามจดจำท่าต่างๆ ให้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
แต่ว่าสำหรับกู้ชิงฮั่นแล้ว ฉีหนิงแสดงท่าทาง
เคลื่อนไหวไปมาทำให้นางตาลาย ถึงแม้นางจะไม่รู้วร
ยุทธ์ แต่ว่านางก็รู้สึกว่าวรยุทธ์ที่ฉีหนิงฝึกมานั้นมัน
ร้ายกาจมาก รอยยิ้มบนใบหน้าของนางดูสดใส แวว
ตาของนางมีแต่ความปลื้มปีติ นางปรบมือแล้วพูด
ด้วยความดีใจว่า “ดีมากเลย”
ฉีหนิงเห็นกู้ชิงฮั่นยิ้มหน้าบาน ปรบมือชื่นชม ก็นึก
อยากจะแกล้งนางขึ้นมา เขาชกหมัดไปที่กู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นตกใจเอนหลังหลบไป แล้วล้มลงไปกับเตียง ฉี
หนิงเองก็ไม่ทันระวังสะดุดขาของนาง แล้วก็ล้มทับไป
บนตัวนางที่อยู่บนเตียง
ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วก็ตะลึงไป ดวงตาของกู้ชิงฮั่น
ตกใจมาก นางเห็นหน้าของฉีหนิงอยู่ห่างจากนางแค่
คืบเดียวเท่านั้น นางอยากจะพูดอะไร แต่ก็พูดไม่ออก
ฉีหนิงเห็นใบหน้าเนียนนุ่มของนางสวยงามราวกับ
ภาพวาด มันเป็นเสน่ห์ที่เขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เขาเห็นปากของกู้ชิงฮั่นราวกับดอกไม้แรกแย้ม เขาก็
หวั่นไหว อยากจะกัดปากนางสักคำ
กู้ชิงฮั่นเป็นม่ายมานานหลายปี ตอนนี้ถูกผู้ชายทับ
ร่างกายก็รู้สึกอ่อนระทวย ในใจก็คิดว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว
คิดอยากจะดิ้น แต่ว่าร่างกายมันไม่เชื่อฟัง ไม่มีแรง
เลย แม้แต่จะขยับก็ลำบาก
ฉีหนิงรู้สึกเหมือนสัมผัสอะไรที่นุ่มนิ่มมาก เขาอดไม่ได้
ทีจ่ ะก้มหน้ามามองไป เขาพบว่ามือของตัวเขาเองนั้น
กำลังจับไปที่หน้าอกของกู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นหอบหายใจแรงมาก
ฉีหนิงรู้สึกหวั่นไหวมาก จนลืมฐานะของกู้ชิงฮั่นไป
ชั่วขณะ สายตาของเขามีแต่ม่ายสาวคนสวยผู้นี้
เท่านั้น เขาแทบอยากจะกลืนกินนางเข้าไปเสียตอนนี้
เลย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 267 กำเริบเสิบสาน
ร่างกายของกู้ชิงฮั่นอ่อนระทวย ไม่มีแรงจะผลักฉีหนิง
ออกไป ฉีหนิงรู้สึกว่าตัวของเขานั้นร้อนรุ่มไปทั้งตัวแต่
ว่ายังมีแรงอยู่ เขาจะลุกขึ้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ว่าเขาไม่อยากลุกขึ้นไป
ทั้งคู่หายใจเร็วแรงขึ้น
ฉีหนิงไม่กล้าทำอะไร สายตาของเขามองไปที่ใบหน้า
ของกู้ชิงฮั่น ไม่ว่าจะคิ้ว โครงหน้า หรือริมฝีปาก เขา
ชอบมันทั้งหมด
เขากลืนน้ำลาย เหมือนจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง
กำลังเต้นแรงด้วย เขาเห็นกู้ชิงฮั่นไม่พูดอะไร ก็เลยยื่น
มือไปกอดนาง
สีหน้าของกู้ชิงฮั่นเปลี่ยนไป นางพูดว่า “เจ้า...เจ้าคิด
จะทำอะไร?”
ฉีหนิงไม่พูด เขากอดกู้ชิงฮั่นเอาไว้อย่างเดียว หัวใจ
ของเขาเต้นแรงมาก เหมือนมันจะหลุดออกมาผ่าน
สายตาของเขา เขาแตกตื่นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาอดคิดไม่ได้ว่า “นางโกรธแล้วหรือ? แล้วตอนนี้จะ
ทำอย่างไรดีเล่า?”
เดิมทีเขาก็ชำนาญเรื่องพวกนี้ดี แต่ตอนนี้กลับไม่รู้
ต้องทำอย่างไร ไม่รู้ว่าจะต้องปล่อยมือจากกู้ชิงฮั่น
อย่างไร หรือว่าเขาควรจะรุกใส่นางต่อไป
ถึงแม้กู้ชิงฮั่นจะมีฐานะเป็นอาสะใภ้ของเขา แต่ต่อให้
เขาไม่ได้เป็นจิ่นอีซื่อจื่อตัวปลอม จิ่นอีซื่อจื่อตัวจริงก็
ไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องทางสายเลือดกับกู้ชิงฮั่นเลย
แต่ว่ากู้ชิงฮั่นเคร่งครัดกับเรื่องพวกนี้มาก
สีหน้าของกู้ชิงฮั่นโกรธมาก ด้วยความตกใจ ร่างกาย
ของนางเลยเหมือนจะมีแรงขึ้นมา นางทุบไปที่หน้าอก
ของฉีหนิง แล้วด่าว่า “ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ หนิงเอ๋อร์
ห้ามทำแบบนี้”
ฉีหนิงเห็นนางงดงาม อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ท่าน...ท่าน
ให้ข้ากอดหน่อยนะ ข้า...ข้าไม่ทำอะไรหรอก ข้าแค่
อยาก...อยากกอดท่านเท่านั้น”
“ต่ำช้า” กู้ชิงฮั่นหน้าแดงเรื่อ
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว มือสองข้างของนางพยายามทุบ
ถึงแม้นางจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิง
จะไปสู้แรงของฉีหนิงได้อย่างไร นางพยายามดิ้น คิด
ในใจว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ดีแน่ เริ่มเปลี่ยน
น้ำเสียงเป็นเสียงอ้อนวอนแทน “หนิงเอ๋อร์ ปล่อย
ซานเหนียงเถอะนะ ข้าจะทำผิดต่ออาสามของเจ้า
ไม่ได้ เจ้าเองก็จะทำผิดต่อบรรพบุรุษของตระกูลฉี
ไม่ได้เหมือนกัน เรื่องแบบนี้มันจะทำ...ทำลายพวกเรา
ทั้งสองคนนะ เชื่อข้าเถอะ ปล่อยมือออกไป จะทำผิด
แบบนี้ไม่ได้”
ฉีหนิงได้ยินนางร้องขอ สีหน้าของนางน่าสงสารมาก
เขาลังเลครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ได้รีบปล่อยมือทันที แล้วก็
ไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
กู้ชิงฮั่นทั้งโกรธทั้งเขิน นางกัดปากจนเลือดแทบออก
นางพยายามดิ้นอีกครั้ง ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง นางรู้
ว่าแรงของตัวเองสู้ฉีหนิงไม่ได้
แต่นางเป็นหญิงม่ายที่ฉลาดมาก นางพยายามทำใจ
เย็นลง รู้ว่าหากนางยังดิ้นต่อไป มันกลับจะทำให้
ผู้ชายมีอารมณ์มากขึ้น ในสายตาของนาง ฉีหนิงกำลัง
เป็นหนุ่มเลือดร้อน ตอนนี้เขากำลังลืมตัวไปชั่วขณะ
หากไม่ระวัง อาจจะกระตุ้นให้เขาทำผิดได้
นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและอดทน “หนิงเอ๋อร์
ซานเหนียงรู้ว่าเจ้าแค่วู่วามไปชั่วขณะ คนหนุ่ม
เลือดร้อน ทำผิดได้ง่าย แต่ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้
จริงๆ เจ้าปล่อยข้าเถอะนะ ขอแค่เจ้าปล่อยข้า พวก
เราก็จะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แล้วซานเหนียงก็จะ
ให้อภัยเจ้า ดีหรือไม่? เชื่อซานเหนียงนะ ขอแค่เจ้า
ยอมปล่อยมือข้า ข้าก็จะไม่โทษเจ้า แต่ว่า...แต่ว่าหาก
เจ้าทำอะไรซานเหนียง ซานเหนียงก็จะสู้หน้าใคร
ไม่ได้อีก ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะ...ก็จะฆ่าตัวตาย ตายไป
ก็จะไม่มีวันให้อภัยเจ้าเด็ดขาด”
ฉีหนิงสะดุ้ง เขารู้ว่าตัวเขาทำเกินไปแล้ว เขาเลย
ค่อยๆผ่อนแรงลง
กู้ชิงฮั่นเห็นว่าตัวนางเกลี่ยกล่อมสำเร็จแล้ว ก็รู้สึกดีใจ
มาก ก็เลยรีบพูดว่า “หนิงเอ๋อร์ เอาไว้ซานเหนียงจะ
หาผู้หญิงดีๆ ให้เป็นภรรยาของเจ้านะ ตอนนี้เจ้าเป็น
จิ่นอีโหวแล้ว ผู้หญิงแบบไหนก็หาได้ ซานเหนียง...
ซานเหนียงแก่แล้ว อีกทั้งยังเป็นอาสะใภ้ของเจ้าด้วย
เจ้าจะทำผิดต่อข้าไม่ได้ หลายปีมานี้ข้าทุ่มเทให้
ตระกูลฉีของพวกเจ้ามามาก เห็นแก่ความดีพวกนี้
เจ้า...เจ้าปล่อยข้าไปได้หรือไม่?”
เห็นนางขอร้องแบบนี้ ฉีหนิงก็คิดในใจว่าเขาควรจะ
หยุดแค่นี้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เขาพูด
ว่า “ซานเหนียง ท่านหน้าตางดงาม ใครว่าท่านแก่
แสดงว่าตาบอด ท่านเป็นผู้หญิงที่ข้าคิดว่าสวยและ
อ่อนโยนที่สุด”
กู้ชิงฮั่นเห็นฉีหนิงสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงหนักแน่น ก็
พูดว่า “หนิงเอ๋อร์คิดว่าซานเหนียงหน้าตาดี ข้าก็ดีใจ
ขอแค่หนิงเอ๋อร์ไม่ทำให้ซานเหนียงลำบากใจ เจ้าก็จะ
ได้เห็นหน้าซานเหนียงอย่างนี้ทุกวัน ไม่ใช่หรือ?”
จากนั้นก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “แต่ว่าหากเจ้ายังทำ
แบบนี้ต่อไป ข้า...ข้าก็จะดูถูกเจ้า เจ้าเป็นถึงจิ่นอีโหว
เป็นทายาทของตระกูลฉี จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นเป็น
วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ แต่ว่าเจ้า...เจ้ากลับเป็นคนต่ำช้า
รังแกผู้หญิง แล้วจะมีหน้าไปหาพวกเขาได้อย่างไร
กัน?”
ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นจากตัวของกู้ชิงฮั่น เขา
นั่งอยู่ริมเตียง แล้วพูดว่า “ซานเหนียง ข้าไม่ดีเอง ข้า
...ข้าวู่วามเกินไป เมื่อครู่...ข้าเองก็ไม่รู้ว่าข้าทำอะไรลง
ไป”
“รู้ว่าผิดพลาดก็สามารถแก้ไขได้ มันยังทันอยู่” กู้ชิง
ฮั่นลุกขึ้นนั่ง หูของนางแดงมาก นางเห็นเสื้อผ้าและ
ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง ก็รีบจัดการให้เรียบร้อย นาง
กลัวว่าฉีหนิงจะกดทับตัวนางอีก เลยลุกออกจากเตียง
แล้วเดินมาที่ริมโต๊ะ ถอยออกมาให้มีระยห่างกับฉี
หนิง เห็นฉีหนิงเอามือกุมศีรษะ สีหน้าของเขาเครียด
มาก นางคิดอยากจะปลอบ แต่ก็กลัวฉีหนิงจะทำแบบ
นั้นอีก นางเลยพูดว่า “เจ้า...เจ้าสงบสติอารมณ์ก่อน
นะ พักผ่อนซะ พรุ่งนี้...พรุ่งนี้ตื่นเช้ามาก็ไม่มีอะไร
เกิดขึ้นแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
นางหันหลังกำลังจะเดินไป ฉีหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “ซาน
เหนียง ช้าก่อน”
กู้ชิงฮั่นตกใจ หัวใจแทบจะหลุดออกมา นางกำลังเปิด
ประตูออก ลมพัดเข้ามา ทำให้นางขนลุกขนชัน นาง
หันมามองฉีหนิง แล้วถามด้วยความกังวลว่า “เจ้า...
เจ้ามีเรื่องอะไรอีกหรือ?”
ฉีหนิงรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ทำให้กู้ชิงฮั่นระแวง
ตัวเขามากแน่ เขารู้สึกเสียใจมาก แอบคิดในใจว่าเขา
ไม่ควรทำแบบนั้นเลย ในเมื่อทำไปแล้วก็ควรทำจนสุด
แต่เขาก็รู้จักนิสัยกู้ชิงฮั่นดี หากเขาใช้กำลังกับนาง คิด
ว่านางฆ่าตัวตายแน่นอน
เขาหยิบสร้อยออกมาจากเสื้อ แล้วเดินไปหากู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นหดตัว ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ซานเหนียง
ต่อไปท่านจะหลบหน้าหนิงเอ๋อร์หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นยังคงกลัวว่าฉีหนิงจะทำอะไรอีก แต่นางก็ยัง
ส่ายหัวแล้วพูดว่า “เจ้าอย่าคิดมาก พอ...พอเจ้าตื่นมา
ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นท่านรับสิ่งนี้เอาไว้นะ” ฉีหนิงยื่นสร้อยรูป
หัวใจไปให้กู้ชิงฮั่น “สวมมันไว้สวยดี”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่เอา เจ้า...เจ้าเก็บไว้
ให้คนอื่นเถอะ”
“นอกจากซานเหนียงแล้ว สร้อยเส้นนี้ก็ไม่เหมาะกับ
ใครทั้งนั้น” ฉีหนิงพูดว่า “หากซานเหนียงไม่เอา ข้า
จะทำลายมันทิ้งซะ” พูดจบ เขาก็ยกมือขึ้นเตรียมจะ
เขวี้ยงมันลงกับพื้น
กู้ชิงฮั่นรีบพูดขึ้นมาว่า “เจ้า...ช้าก่อน” นางพูดด้วย
ความจนใจว่า “ของดีๆ แบบนี้ จะทำลายมันทำไม
เจ้ามีรวยมากหรืออย่างไร?” นางยื่นมือไปรับมา แล้ว
พูดว่า “ข้าจะเก็บเอาไว้ให้เจ้าก่อน รอ...รอให้เจ้า
แต่งงานเมื่อไหร่ ข้าจะเป็นมอบให้นางเอง” นางก็
ไม่ได้อยู่ต่อ นางพูดว่า “เจ้ารีบพักผ่อนเถอะนะ” แล้ว
ก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก หันหลังแล้วรีบเดินออกจาก
เรือนนอนของฉีหนิงไป
ฉีหนิงเห็นกู้ชิงฮั่นวิ่งออกจากเรือนไป ก็ถอนหายใจ
แล้วยกมือขึ้นมาดม มือของเขายังมีกลิ่นกายของกู้ชิง
ฮั่นอยู่
กู้ชิงฮั่นเดินเร็วเหมือนกำลังวิ่งเบาๆ กลับไปยังเรือน
นอนของตัวเอง หลังจากเข้าห้องไปแล้ว นางเหมือน
กลัวว่าฉีหนิงจะตามนางมา ไม่เพียงลงกลอนประตู
เรือน เมื่อกลับเข้าห้องนอนก็ลงกลอนประตูห้องด้วย
เหมือนคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะปลอดภัยที่สุด นางพิง
ประตู สูดหายใจเขาลึกๆ ยกมือขึ้นมาปิดหน้าอก
ตอนนี้นางรู้สึกว่าหัวใจของนางเต้นแรงมาก ใบหน้า
ของนางร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ก็
ค่อยๆ เดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วนั่งลง
ภายในห้องนอนสว่างมาก นางมองใบหน้าสวยๆ ของ
นางผ่านทางกระจก นางนั่งมองเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นก็ถอนหายใจ แล้วนำสร้อยออกมาวางบนโต๊ะ
เครื่องแป้ง แล้วบ่นว่า “บังอาจเกินไปแล้ว ใครจะคิด
ว่าโตมาแล้วจะเป็นคนแบบนี้”
นางเหมือนยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ นางหยิบสร้อยบนโต๊ะ
เครื่องแป้งขึ้นมา คิดจะเขวี้ยงมันทิ้ง แต่พอยกมือ
ขึ้นมาก็เปลี่ยนใจวางลง นางถอนหายใจ แล้วบ่นว่า
“ข้าแก่ขนาดนี้แล้ว เจ้า...เจ้าตัวแสบนั่นจะชอบอะไร
ข้านักหนา?” นางกัดฟันแล้วพูดว่า “กล้าทำเรื่องแบบ
นี้กับข้าได้อย่างไร เลวจริงๆ”
นางหยิบสร้อยขึ้นมาดูอย่างละเอียด ตอนนี้ถึงได้เห็น
ว่ามันเป็นสร้อยจี้รูปหัวใจ “ว้าย” จากนั้นนางก็โยน
สร้อยไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง แล้วพูดด้วยความโกรธว่า
“เอาของแบบนี้มาให้ข้าได้อย่างไร ไว้พรุ่งนี้ค่อยเอาไป
คืน เป็นถึงโหวเยว่แล้ว ไม่คิดทำอะไรเชิดหน้าชูตา
ตระกูล วันๆ คิดแต่เรื่องเหลวไหลแบบนี้ได้อย่างไร”
นางรู้สึกว่าตัวของนางร้อนมาก ภายในห้องมีเตาให้
ความอุ่นอยู่ นางลุกขึ้นไปที่ริมเตียง แล้วถอดเสื้อนอก
ออก เหลือแค่เสื้อตัวในสีม่วง
เมื่อนางถอดเสื้อนอกออก หน้าอกรูปร่างของนางก็
โผล่ออกมาเห็นได้ชัด ท่าทางการเดินของนางใน
ตอนนี้ ยิ่งทำให้หวั่นไหวมาก
ผิวของนางเนียนนุ่มราวกับน้ำ ดวงตาของนางมี
ประกาย คิ้วของนางดูมีเสน่ห์ ปากของนางดูอวบอิ่ม
หน้าอกก็รูปทรงพอดี โดยรวมแล้วนางดูมีเสน่ห์น่า
หลงใหลมาก
นางเดินไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอีกครั้ง นางมอง
ไปที่กระจก ความงามของนางไม่ได้ถูกอายุพัดพาไป
ด้วยเลย ผิวของนางไม่มีแม้แต่ริ้วรอยใดๆ
กู้ชิงฮั่นจ้องมองตัวเองผ่านกระจก จากนั้นก็ถอน
หายใจ ก้มหน้ามองไปที่สร้อยคอที่อยู่บนโต๊ะ
นางลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วหยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง นาง
มองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ สวมไปที่คอของตัวเอง
คอที่เรียวยาวราวกับหงส์ถูกสร้อยทองโอบล้อม ทำให้
ผิวของนางดูขาวมากยิ่งขึ้น
“เจ้าตัวแสบเลือกของเก่งเหมือนกัน” จี้รูปหัวเจ้า
เปล่งแสงออกมา กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่าจี้รูปหัวใจมันให้
ความรู้สึกอบอุ่นใจแก่นาง ทำให้บนใบหน้าของนาง
เลยมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 268 รอยยิ้มบางๆ
อากาศหนาวเหน็บกับค่ำคืนที่เงียบสงบ หลังจากที่กู้
ชิงฮั่นตกใจตื่นแล้วหนีไป ฉีหนิงก็เริ่มสงบลง ภายใน
ห้องนอนของเขาเหมือนจะยังมีกลิ่นของกู้ชิงฮั่น
หลงเหลืออยู่
เขารู้ว่าคืนนี้เขาถูกกระตุ้นจากร่างกายอันเย้ายวนของ
กู้ชิงฮั่น ทำให้เกิดวู่วามขึ้นมา หากตอนที่กู้ชิงฮั่นไม่รับ
สร้อยจากเขาก่อนที่จะออกไป ฉีหนิงก็รู้สึกแย่กว่านี้
ต่อไปเขากับกู้ชิงฮั่นก็จะห่างเหินกันมากกว่านี้ แต่ว่า
ยังดีที่นางรับสร้อยไป เลยทำให้ฉีหนิงสบายใจขึ้นมา
บ้าง
เขาไม่รู้ว่ากู้ชิงฮั่นคิดอะไร แต่ว่าเขาเองก็รู้สึกว่าม่าย
สาวคนสวยคนนี้รักษาประเพณีอย่างเคร่งครัด ถึงแม้
เขาจะไม่ได้ทำอะไรกู้ชิงฮั่นไป แต่ว่าเขาก็รู้สึกว่านาง
น่านับถือมาก
ตลอดทางที่กลับมา เขาพอได้พักบ้าง อีกทั้งคืนนี้เกิด
เรื่องแบบนี้ขึ้น ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกอยากนอน เขาคิดๆ
ดูแล้ว ก็เก็บของแล้ว คลุมเสื้อขนสัตว์ที่เพิ่งเอามา
ออกจากเรือนนอน แล้วก็ไปที่คอกม้า จากนั้นก็พา
องครักษ์คนหนึ่ง ตรงไปที่หย่งอันถังเลย
เขารู้ว่า หากเขาเจอคู่ต่อสู้คนธรรมดาทั่วไปเขา
สามารถรับมือได้ แต่ว่าพาองครักษ์ไปด้วยก็น่าจะ
ดีกว่า
ตอนนี้ในเมืองหลวงก็ประกาศใช้กฎอัยการศึกไปแล้ว
บนถนนก็มีแต่ทหารค่ายหู๋เสินเดินลาดตะเวน จริงๆ ก็
ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
เมื่อมาถึงหยงอันถัง ฟ้าเริ่มสางแล้ว เขาเคาะประตู
คนที่มาเปิดประตูคือฉีเฟิง เมื่อเห็นฉีหนิง เขาตะลึงไป
เขาดีใจมาก “โหวเยว่ ท่าน...”
ฉีหนิงกับองครักษ์ที่เขาพามาเดินเข้าไปด้านใน ฉีเฟิง
รีบปิดประตู แล้วหันมาพูดว่า “โหวเยว่ ท่านไม่เป็น
อะไรใช่หรือไม่? พวกของพี่ต้วน...”
เขาคิดว่าพวกต้วนฉางไห่เป็นคนช่วยฉีหนิงกลับมา ฉี
หนิงส่ายหน้า กำลังจะพูด เขาก็เหลือบไปเห็นมี
ขอทานวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่มุมเดียวกับที่เขาเคย
รับรองผู้อาวุโสจูเชี่ย ขอทานคนนั้นเห็นฉีหนิงมาก็รีบ
ลุกขึ้นมา
ฉีหนิงรู้สึกคุ้นหน้ามาก ขอทานคนนั้นมองมาที่ฉีหนิง
จากนั้นเขาก็เดินมายกมือคำนับแล้วพูดว่า “โหวเยว่”
ฉีหนิงนึกออกแล้ว ครั้งที่แล้วที่เขาไปที่ตรอกหลัวกู่
เหมือนเขาจะเป็นผู้ช่วยของหัวหน้าสาขากุ่ยจินหยาง
ไป๋เซิงเฮ่า ถือว่าเป็นคนมีตำแหน่งของสาขา เขาพยัก
หน้า ในใจก็รู้สึกสงสัย ไม่รู้ว่าเขามาทำอะไรที่นี่
“โหวเยว่ เขาคือท่านซั่งกวนหลิงเฟิง ท่านหัวหน้าไป๋
ถูกพิษ ไม่สามารถดูแลจัดการเรื่องภายในสาขาได้อีก
ตอนนี้ท่านซั่งกวนหลิงเฟิงทำหน้าที่ดูแลชั่วคราว คอย
ช่วยท่านผู้อาวุโสจูเชวีย” ฉีเฟิงอธิบาย
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจแล้วถามว่า “ท่านหัวหน้าไป๋เป็น
อย่างไรบ้าง?”
ซั่งกวนหลิงเฟิงพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดว่า
“หลังจากที่ท่านหัวหน้าไป๋รู้ตัวว่าถูกพิษ เพื่อไม่ให้
ลำบากคนอื่น เขาก็ขังตัวเองไว้ในห้อง ไม่ออกไปไหน
เลย ไม่ให้ใครเข้าไปในห้องของเขาด้วย ตอนนี้ไม่มี
ใครรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง แต่ว่า...แต่ว่าสถานการณ์
ทั่วไปน่าจะไม่ค่อยดีนัก”
ฉีหนิงมองไปที่ห้องของถังนั่ว เห็นประตูห้องปิดอยู่
นอกจากฉีเฟิงกับซั่งกวนหลิงเฟิงแล้ว ภายในห้องยังมี
องครักษ์อีกสองคนยืนอยู่ข้างๆ
ภายในร้านยาเงียบมาก ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วถามว่า
“แม่นางถังเป็นอย่างไรบ้าง? มีอะไรคืบหน้าเรื่อง...ยา
ถอนพิษบ้างหรือไม่?”
ฉีเฟิงพูดว่า “ตอนนี้กำลังรอผลจากทางแม่นางถังอยู่”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วอธิบายต่อว่า “หลังจากที่โหว
เยว่...โหวเยว่เกิดเรื่อง พี่ต้วนก็สั่งห้ามพวกเรารบกวน
แม่นางถังเด็ดขาด เพื่อไม่ให้แม่นางถังต้องเสียสมาธิ
เพราะเรื่องนี้ส่งผลต่อหลายชีวิต จะเสียเวลาไม่ได้ พี่ต้
วนกับพี่จ้าวพาคนออกไปตามหาท่าน...เมื่อวานช่วง
บ่าย แม่นางถังก็หาสูตรยาจนพบ...”
ฉีหนิงพูดด้วยความดีใจว่า “เจ้าหมายความว่า ปรุงยา
ถอนพิษออกมาได้แล้วหรือ?”
ฉีเฟิงพูดว่า “เอ่อ...โหวเยว่ ข้าเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร
เหมือนจะปรุงออกมาได้แล้ว แต่ว่า...แต่ว่าก็ยังไม่
แน่ใจ”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“โหวเยว่ แม่นางถังค้นหาสูตรยาจนพบแล้ว แต่ว่า
นางบอกว่าจะรีบประกาศออกไปไม่ได้ ต้องหาคนมา
ทดสอบก่อน ยาถอนพิษนี้เอาไว้ช่วยคน หากเกิด
ผิดพลาดขึ้นมา ไม่เพียงช่วยคนไม่ได้ เกรงว่าจะทำให้
โหวเยว่ต้องเดือดร้อนไปด้วย” ฉีเฟิงพูดว่า “ดังนั้นข้า
เลยไปที่ตรอกหลัวกู่ ไปขอให้ท่านซั่งกวนหลิงเฟิงหา
คนที่ถูกพิษมาหนึ่งคน ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ผ่าน
ไปแล้วห้าชั่วยาม ยังเหลืออีกนิดก็จะหกชั่วยามแล้ว
แม่นางถังบอกว่า ยาถอนพิษจะได้ผลหรือไม่ เมื่อครบ
หกชั่วยามก็ให้ไปเคาะประตู แจ้งให้นางทราบ ก็จะรู้
ผล”
ฉีหนิงเดินไป เขาเห็นนาฬิกาทรายเหลืออีกไม่มาก
แล้ว น่าจะอีกประมาณสิบนาทีได้ เขาขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “สำเร็จหรือไม่อยู่ที่ครั้งนี้แล้วถูกหรือไม่?”
ฉีเฟิงพยักหน้าด้วยสีหน้าที่จริงจังแล้วพูดว่า “ใช้เวลา
ไปตั้งหลายวัน ลองมาแล้วหลายสูตร สุดท้ายแม่นาง
ถึงได้มั่นใจในสูตรยาถอนพิษ แม่นางถังเองก็ไม่ได้พูด
อะไรมา แต่ว่าท่านหมอซ่งแอบบอกพวกเราว่า หาก
สูตรนี้ไม่ได้ผล เกรงว่าแม้แต่แม่นางถังก็ไม่มีปัญญา
ปรุงยาถอนพิษออกมาได้อีก”
เมื่อฉีหนิงได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกเครียดขึ้นมา
ซั่งกวนหลิงเฟิงพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “โหวเยว่
ที่ตรอกหนานเห๋อ ได้ยินว่ามีคนถูกกักตัวไว้แล้ว
ประมาณสองพันคน ส่วนทางพรรคของพวกข้าตาย
แล้วประมาณหกเจ็ดคน ตอนนี้ถูกกักเอาไว้อีก
ประมาณสามสี่ร้อยคน หากว่า...หากว่าครั้งนี้ล้มเหลว
ไม่อยากคิดถึงผลที่จะตามมาเลย”
ฉีหนิงพยักหน้า เขาแอบภาวนาในใจ ขอให้สวรรค์
คุ้มครอง ให้เมืองหลวงผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนี้ไปให้ได้
“แม่นางถังกับหมอซ่งอยู่ข้างในด้วยกันหรือ?”
ฉีเฟิงส่ายหน้า “แม่นางถังยังอยู่ด้านใน แต่ท่าน
หมอซ่งอายุมากแล้วฝืนไม่ไหว เลยไปพักอยู่ที่ห้อง
ข้างๆ ตอนนี้ก็นอนไปแล้วสามสี่ชั่วยาม พวกเราเองก็
ไม่กล้าไปปลุกเขา”
“ถ้าอย่างนั้น...แม่นางถังก็ไม่ได้พักเลยอย่างนั้น
หรือ?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
ฉีเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “แม่นางถังไม่ได้นอนมา
หลายวันแล้ว แม้แต่ข้าวก็กินแค่ไม่กี่คำเอง ข้ากลัวว่า
...เฮ้อ นางเป็นผู้หญิงบอบบาง ข้ากลัวว่านางจะไม่
ไหวได้”
ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด หากไม่ได้คิดว่าอีกไม่กี่นาทีก็
จะรู้ผลแล้ว ก็คงไปเคาะประตู ให้ถังนั่วไปพักแล้ว
ฉีหนิงนั่งลงที่เก้าอี้ ฉีเฟิงกับซั่งกวนหลิงเฟิงยืนอยู่
ข้างๆ ลมจากภายนอกพัดเข้ามา ถึงแม้ในห้องจะมี
เตา แต่บรรยากาศมันก็ทำให้หนาวอยู่ดี
ในตอนนี้วินาทีเดียวก็เหมือนผ่านไปเป็นปี ทุกวินาที
ของพวกเขามันทรมานและยาวนาน บรรยากาศมัน
ตึงเครียดมาก
ฉีหนิงรู้ว่าขนาดตัวเขาเองยังรู้สึกแบบนี้เลย ถังนั่วเป็น
คนที่อยู่ตรงนั้น นางจะต้องเครียดมากกว่าเขาแน่นอน
ในเมืองหลวงคงไม่มีใครกดดันและเครียดไปมากกว่า
ถังนั่วอีกแล้ว
ความกดดันแบบนี้ ต่อให้นอนอยู่บนเตียง ก็ไม่มีทาง
หลับลง
ฉีหนิงหลับตาลง เขาได้ยินเสียงลมพัดจากภายนอกดัง
ในหู เหมือนกับว่าเวลามันวิ่งผ่านไปนานหลายปี
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฉีเฟิงพูดว่า “โหวเยว่ ได้เวลา
แล้ว”
ฉีหนิงแทบจะกระโดดขึ้นมาจากเก้าอี้ เขาเดินไปที่
หน้าประตู แล้วก็ยกมือเคาะประตู แล้วพูดว่า “แม่
นางถัง ถึงเวลาแล้ว”
ไม่นานนัก ประตูก็เปิดออก ถังนั่วที่สวมชุดเฟิงหวง
เดินออกมายืนตรงหน้าเขา ใบหน้าของนางซีดขาว ไม่
มีเลือดฝาด มือหนึ่งค้ำประตูเอาไว้ ดวงตาของนาง
เป็นประกาย แต่ว่าดูก็รู้ว่านางอ่อนเพลียมาก
เมื่อถังนั่วเห็นหน้าฉีหนิง นางก็เหมือนจะยิ้มบางๆ แต่
ว่าทันใดนั้นเองนางก็เหมือนจะล้มลง ฉีหนิงตกใจ
เรียกชื่อนาง “แม่นางถัง” จากนั้นก็โอบถังนั่วไว้ใน
อ้อมแขน ร่างกายของนางหนาวเย็นมาก ฉีหนิงตกใจ
มาก ถังนั่วยกมือขึ้นมา ในมือมีกระดาษแผ่นหนึ่ง นาง
แทบจะยกมือไม่ขึ้นแล้ว
ฉีหนิงก็ไม่มีเวลาคิดอะไรอีก เขายื่นมือไปจับนาง แล้ว
พูดว่า “แม่นางถัง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่สบาย
ตรงไหน?” เขาหันหน้าไป “หมอซ่ง ไปตามมาซ่งมาดู
อาการแม่นาถัง เร็ว...”
ถังนั่วพิงอยู่ในอ้อมแขนของฉีหนิงอย่างไร้เรี่ยวแรง
นางดูเหนื่อยมาก เลยไม่มีทางเลือกต้องเอนตัวแบบนี้
นางพูดว่า “ไม่ต้อง...ข้าไม่เป็นอะไร พักเดี๋ยวเดียวก็
หายแล้ว...” นางยิ้ม “สำเร็จแล้ว เอาสูตร...สูตรยาไป
สูตรยานี้ไม่มีปัญหาแล้ว รีบ...รีบไปช่วยคน...”
ฉีเฟิงกับซั่งกวนหลิงเฟิงแล้วก็องครักษ์คนอื่นตอนนี้ก็
เดินมารวมตัวกัน หลายวันที่ผ่านมา ทุกคนลำบากกัน
มามาก เมื่อได้ยินถังนั่วพูดแบบนี้แล้ว ทุกคนต่างดีใจ
เหมือนเป็นบ้า ฉีเฟิงยกมือขึ้นสองข้าง แล้วพูดว่า
“สำเร็จแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า...” หลายชั่วยามที่ผ่านมา ฉีเฟิง
เครียดมากจนนาทีสุดท้าย เส้นสมองของเขาแทบจะ
ระเบิดออก เมื่อได้ยินแบบนี้ ทำให้เขาเหมือนกับหลุด
พ้น ซั่งกวนหลิงเฟิงเอาก็ดีใจจนแทบล้มทั้งยืน พวก
เขากอดกัน ดีใจน้ำตาแทบไหล
ซั่งกวนหลิงเฟิงถูกฉีเฟิงกอด เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เขา
เองก็กอดฉีเฟิงกลับเหมือนกัน น้ำตาแห่งความดีใจ
ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขารู้ว่า หากถังนั่วล้มเหลว พี่น้องกว่าร้อยชีวิตใน
พรรคกระยาจกต้องไม่รอดแน่ แต่ว่าหากถังนั่วทำ
สำเร็จ ก็เหมือนได้ชิงเอาชีวิตของพี่น้องกลับมาจาก
มือของยมทูต เขาอยู่ในพรรคกระยาจกมานานหลาย
ปี ผ่านทุกข์สุขมาก็มาก แต่ว่าเขาเองก็ยังอดกลั้น
ความดีใจของเขาเอาไว้ไม่อยู่
ฉีหนิงรับสูตรยามาจากถังนั่ว แล้วยื่นให้ฉีเฟิง เขาพูด
ว่า “เอาไปคัดลอก แล้วเอาให้ท่านซั่งกวนนำกลับไป”
สิ่งที่เขาห่วงที่สุดในตอนนี้คือร่างกายของถังนั่ว เขา
อุ้มนางขึ้นมา แล้วเดินไปที่ห้องข้างๆ ยังไม่ทันเปิด
ประตู หมอซ่งก็เดินเข้ามา เขาเห็นฉีหนิงอุ้มถังนั่ว
เอาไว้ ก็ตกใจ ฉีหนิงรีบพูดว่า “หมอซ่ง ท่านรีบไป
เตรียมตัวให้พร้อม”
ถึงแม้หมอซ่งเองก็ลำบากมากกว่าสองวัน แต่เขาก็ได้
นอนไปหลายชั่วยามแล้ว พอจะฟื้นฟูกำลังและสติมา
ไม่มากก็น้อย ถังนั่วไม่ได้นอนมาหลายคืน ใช้กำลัง
และสติปัญญาทั้งหมดไปกับการทดลองยาจนหมด ฉี
หนิงก็ไม่พูดอะไรกับหมอซ่งมาก เขาอุ้มนางเข้าไปใน
ห้องทันที ในร้านยาที่ที่พอพักผ่อนได้ก็เหลือแต่ที่นี่ที่
เดียวเท่านั้น ตอนนี้ถังนั่วเหนื่อยมาก ฉีหนิงทำได้แค่
ให้นางพักอยู่ที่นี่ก่อน
เขาเดินไปที่เตียง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “แม่นาง
ถัง เจ้าพักอยู่ตรงนี้ก่อนนะ ข้าจะรีบไปจัดการเรื่อง
ช่วยคน เจ้า...” เมื่อก้มหน้าลง ถังนั่วก็หลับไปกับอ้อม
แขนของเขาแล้ว ใบหน้าสวยงามที่ซีดเซียว ทำให้นาง
ดูสวยกว่าปกติ เหมือนเด็กที่กำลังหลับไปพร้อมกับ
รอยยิ้มบางๆ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 269 ผลงานอันยิ่งใหญ่
ฉีหนิงรู้สึกสงสารถังนั่วมาก เขาวางนางลงอย่างระวัง
เดิมเขาคิดจะห่มผ้าให้นาง แต่ก็คิดว่าผ้าห่มนี้ไม่รู้ว่ามี
ผู้ชายกี่คนที่เคยใช้ห่มมาแล้ว ในตอนนี้จะมาคิดเล็ก
คิดน้อยมากไม่ได้ แต่จะไม่คิดเลยก็ไม่ได้ เขาเอาผ้าห่ม
นั้นโยนไปข้างๆ แล้วถอดเสื้อคลุมของตัวเองห่มให้
นางแทน เสื้อคลุมอีกตัวเขาห่มให้นางไปก่อนหน้านี้
ยังอยู่ในห้องข้างๆ อีกเดี๋ยวเขาคิดจะไปเอามาห่มให้
นางอีกผืน
เมื่อเดินเข้าไปในห้อง กลิ่นยาภายในห้องรุนแรงมาก
เขาเห็นเสื้อคลุมขนสัตว์ของเขาถูกแขวนอยู่ด้านข้าง
กำลังจะเดินไปหยิบ ก็ได้ยินเสียงเรียก “โหว...โหว
เยว่” เสียงนั้นดูอ่อนแรงมาก เขาหันไปมอง ตรงเตียง
มีคนกำลังฝืนนั่งขึ้นมา เสื้อผ้าของเขาขาดหลุดลุ่ย เขา
น่าจะเป็นขอทานที่ถูกส่งมาทดลองยา
ใบหน้าของเขายังคงมีผืนแดงอยู่ เขาเดินเข้าไปใกล้
อาศัยแสงไฟมองไป “เจ้าเองหรือ?” คนๆ นี้เป็น
ขอทานหนึ่งในสองคนก่อนหน้านี้ที่เคยพบหน้ากันมา
ครั้งแรกคือตอนที่เคยไปขอให้ทางร้านฉีซื่อถังรักษาให้
อีกครั้งเคยเจอที่ตรอกหลัวกู่ ตอนนั้นเขาได้ถูกพิษไป
แล้ว
คนนั้นพยายามลุกขึ้น จากนั้นก็จะคุกเข่าลง ฉีหนิงรีบ
พยุงเขาเอาไว้ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องทำแบบนี้หรอก”
เขาถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
ขอทานคนนั้นพูดว่า “ข้าน้อยชื่อหลิวชิงโจว”
“อ่อ” ฉีหนิงพยักหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องเป็น
ห่วงนะ พิษของเจ้าถูกถอนออกไปแล้ว อีกไม่นานก็จะ
หายดี”
ในเมื่อถังนั่วทดลองสำเร็จ หลิวชิงโจวก็ถือเป็นคนแรก
ที่ได้รับการถอนพิษ
หลิวชิงโจวพูดด้วยความซาบซึ้งใจว่า “ขอบคุณโหว
เยว่ที่ช่วยชีวิต ตั้งแต่นี้ต่อไป ชีวิตของข้าน้อย...เป็น
ของโหวเยว่”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ชีวิตเป็นของเจ้า ไม่ต้อง
เอามันยกให้ใครหรอกนะ ในเมื่อรอดพ้นความตายมา
ได้ ต่อไปก็ต้องมีชิวิตอยู่ต่อไปให้ดี” เขาตบไหล่ของ
หลิวชิงโจว หลิวชิงโจวอายุราวสามสิบปี ฉีหนิงอายุไม่
ถึงยี่สิบ แต่ว่าตอนนี้ ฉีหนิงดูเป็นผู้ใหญ่เอามากๆ
เขาหยิบเสื้อคลุมมา แล้วกลับไปคลุมให้กับถังนั่ว
ตอนนี้นางหลับไปแล้ว ภายในห้องมีเตาให้ความ
อบอุ่นอยู่ รวมทั้งเสื้อคลุมทั้งสองตัวของเขา ก็ไม่ทำให้
นางต้องหนาวแล้ว
เขาออกมาจากห้องพร้อมปิดประตู แล้วเดินกลับไปที่
ห้องโถงหลัก ฉีเฟิงได้คัดลอกสูตรยาเรียบร้อยแล้ว
เขายื่นให้กับซั่งกวงหลิงเฟิง แล้วพูดว่า “ท่านซั่งกวง
ท่านไปต้มยาตามนี้...” เขาหยุดไป เขารู้สึกว่าพรรค
กระยาจกมีคนมากกว่าร้อยคนที่ถูกพิษ หากต้องเสีย
เงินไปซื้อยาพวกนี้ คิดว่าต้องใช้เงินมาก เขาลังเล เห็น
ฉีหนิงเดินมา เลยรีบพูดว่า “โหวเยว่ เขียนเสร็จ
เรียบร้อยแล้ว ท่านซั่งกวนสามารถเอาไปช่วยคนได้
ทันทีเลย”
ฉีหนิงรับสูตรยามาดูอย่างละเอียด มันมียาสมุนไพร
ทั้งหมดห้าชนิด ในใจก็คิดว่ายาห้าชนิดดูธรรมดา แต่
กลับแลกมาด้วยแรงกำลังทั้งหมดที่ถังนั่วมี สูตรยา
ง่ายๆ แผ่นเดียว มันมีค่ามากกว่าทองคำอีก
เขาเห็นชื่อสมุนไพรสองตัวที่เขาคุ้นเคย นั่นคือ
เฟิงกู๋จื่อกับกุ่ยมู่เฉ่า เป็นยาสมุนไพรสองตัวที่เขาไป
เจรจากับตระกูลเถียนด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงเลยว่ายา
สมุนไพรสองตัวนี้จะใช้งานได้จริงๆ
หากเป็นยาสมุนไพรตัวอื่น จัดการง่ายมาก ในเมือง
หลวงมีร้านยาอยู่มากมาย ราชสำนักต้องการรวบรวม
ยาช่วยคน ในคลังก็น่าจะมีพออยู่ แต่ว่าเฟิงกู๋จื่อ
กับกุ่ยมู่เฉ่าทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มีของเลย ในตอนนี้ มี
เพียงแค่ตระกูลเถียนที่เดียวที่มีของ แต่ว่าฉีหนิงไม่รู้
ว่าที่ร้านยาตระกูลเถียนนั้นมีอยู่มากเท่าไหร่
เพราะยาสองตัวนั้นเป็นสมุนไพรที่ไม่ได้กำไรมาก
เท่าไหร่ ไม่มีร้านยาร้านไหนมีของเลย
“ท่านซั่งกวน สูตรยาท่านรับไปก่อน” ฉีหนิงพูดว่า
“ด้านในมียาสมุนไพรทั้งหมดห้าชนิด สามชนิดใน
เมืองหลวงหาได้ง่ายมาก แต่อีกสองชนิดยุ่งยากสัก
หน่อย” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้าลองไปหา
ดูว่ามีที่ไหนอีกบ้างที่มีกุ่ยมู่เฉ่ากับเฟิงกู๋จื่อบ้าง ส่วน
สมุนไพรอีกสามอย่างทางหย่งอันถังของพวกเรา
พอจะมีของอยู่ ท่านให้คนมาเอาก็ได้แล้ว”
ซั่งกวนหลิงเฟิงอึ้งไป
ก่อนหน้านี้ฉีหนิงไปตรอกหลัวกู่ ทางพรรคกระยาจก
เข้าใจฉีหนิงผิดเป็นอย่างมาก ทำอะไรไม่ได้เกรงใจเขา
เลย ซั่งกวนหลิงเฟิงเองก็ไม่ได้พูดจาดีกับฉีหนิงมาก
นัก วันนี้ทำให้เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก
ฉีหนิงยื่นสูตรยาไปให้ ซั่งกวนหลิงเฟิงรู้สึกซาบซึ้งใจ
มาก คิดไม่ถึงเลยว่าฉีหนิงจะบอกให้เขามาเอายาที่
ขาดจากหย่งอันถังได้ตลอดเวลา เขาไม่รู้ต้องทำ
อย่างไร เขายกมือขึ้นมาแล้วตบไปที่หน้าของตัวเอง
ทุกคนต่างอึ้งไป ซั่งกวนหลิงเฟิงพูดด้วยความรู้สึกผิด
มากว่า “โหวเยว่ ก่อนหน้านี้ล่วงเกินท่านไป เพราะ
พวกเราตาบอด ท่านเป็นคนใจกว้าง ไม่คิดเอาเรื่อง
พวกเราเลย”
ฉีหนิงรู้ว่าชาวยุทธ์แยกแยะบุญคุณความแค้นได้ดี
เห็นซั่งกวนหลิงเฟิงมีปฏิกิริยาแบบนี้ เขาเลยยิ้มแล้ว
พูดว่า “ไม่เห็นต้องคิดมากอะไรเลย เรื่องครั้งที่แล้ว
ข้าลืมไปหมดแล้ว” จากนั้นเขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้กัน ท่านซั่งกวน
หลังจากที่ท่านกลับไป รีบส่งคนไปตามหากุ่ยมู่เฉ่า
กับเฟิงกู๋จื่อให้เร็วที่สุด นอกเมืองหลวงเองก็ไปหามา
ด้วย”
ซั่งกวนหลิงเฟิงรู้ว่าต้องรีบช่วยคน เขาก็ไม่ลังเล เก็บ
สูตรยาแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้
เลย”
ฉีหนิงหันไปสั่งฉีเฟิงว่า “เจ้าให้คนไปที่ร้านยาตระกูล
เถียน บอกเถียนฮูหยินว่า เรื่องที่ข้ารับปากนางเอาไว้
ไม่มีปัญหา ให้นางวางใจได้ แต่ว่าตัวยาสองตัวที่นางมี
เก็บไว้ มีเท่าไหร่เตรียมไว้ให้หมด พวกเราต้องรีบใช้
มัน” ไม่รอฉีเฟิงพูดอะไร เขาก็พูดอีกว่า “เจ้าไปหาผู้
บัญชาการเสวียด้วยตัวเองนะ อธิบายเรื่องยาสมุนไพร
ห้าตัวนี้ แต่ไม่ต้องบอกว่ามันคือสูตรยาถอนพิษนะ
บอกแค่ว่ามันเป็นสมุนไพรสำหรับยาถอนพิษ ให้เขา
ส่งคนไปรวบรวมมา”
ฉีเฟิงพูดว่า “ให้ผู้บัญชาการเสวียไปรวบรวมยา
หรือ?”
“ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้ค่ายหูเสินของผู้บัญชาการเสวีย
ดูแลความเรียบร้อยของเมืองหลวง หากในเวลาที่
จำเป็น สามารถใช้ลานหลวงในการจัดการผู้ถูกพิษ
ได้” ฉีหนิงพูดว่า “ให้ทหารจัดการทุกอย่างจะรวดเร็ว
เด็ดขาด ให้ทหารของค่ายหูเสินไปรวบรวมสมุนไพร
มา ไม่เสียเวลา ช่วยคนเรื่องใหญ่ ไม่มีใครกล้าขวาง
หรอก”
ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่พูดถูกแล้ว ข้าจะไป
เดี๋ยวนี้” เขาหยุดไป แล้วถามว่า “โหวเยว่ ท่าน
รับปากอะไรกับเถียนฮูหยิน แล้วต้องพูดอย่างไรกับ
นาง?”
“ไม่ต้องพูดอะไรมาก บอกแค่ว่าที่ข้ารับปากนาง
เอาไว้สำเร็จแล้ว” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “นางอยากให้
ร้านยาตระกูลเถียนค้าขายกับสำนักหมอหลวง ส่งยา
สมุนไพรเข้าวังหลวง”
ฉีเฟิงอึ้งไป เขายิ้มแล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง โหวเยว่
ทำให้นางได้แล้วหรือ?”
“เหตุใดพูดมากอย่างนี้” ฉีหนิงพูดว่า “รอเรื่องนี้ผ่าน
ไปก่อน ค่อยดูว่ามีโอกาสหรือไม่” เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เถียนฮูหยินคนนี้รับมือยาก หากไม่มีผลประโยชน์
นางคงปฏิเสธ เรื่องเร่งด่วนแบบนี้ จะมาเสียเวลา
เพราะนางไม่ได้”
ฉีเฟิงยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยทราบแล้ว โหว
เยว่ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย” เขาสั่งให้คนไปที่
ตระกูลเถียน ส่วนเขาไปหาเสวียหลิงเฟิง
ฉีหนิงเดินกลับไปดูถังนั่วในห้อง นางหลับสนิทไปแล้ว
เขาปิดประตู แล้วสั่งให้คนเฝ้าหน้าประตูเอาไว้
ส่วนตัวเขาเองก็ไม่อยู่ที่ร้านยาต่อ มุ่งหน้าเข้าวังทันที
จากร้านหย่งอันถังไปจนถึงวังหลวง ระยะทางห่าง
พอสมควร ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว เมื่อมาถึงวังหลวง เป็น
เวลาที่เข้าวังได้พอดี
ถึงแม้ฮ่องเต้น้อยจะขึ้นครองราชย์แล้ว ทำพิธีที่
วัดต้ากวงหมิงไปแล้ว แต่ว่าการเปิดประชุมยังไม่ได้
เริ่ม
ฉีหนิงรู้ว่าการเปิดประชุมครั้งแรกของราชสำนัก เป็น
เรื่องที่สำคัญมาก ทางราชสำนักจะต้องเตรียม
ตัวอย่างดี หากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องพิษระบาดนี่ขึ้นมา
ก่อน คงเปิดประชุมไปแล้ว
เมื่อมาถึงหน้าประตูวัง ฟ้าก็สว่างแล้ว ทหารเห็นฉี
หนิงแสดงป้ายทองออกมา ก็ปล่อยเขาเข้าวังไป
ฉีหนิงเข้าวังมาแล้วสองครั้ง ถึงแม้ในวังหลวงจะมี
ตำหนักมากมาย แต่ว่าความจำของเขาดีมาก มีป้าย
ทองอยู่ในมือ อีกทั้งฐานะของจิ่นอีโหว ทำให้เขาเดิน
ตรงไปที่ห้องทรงอักษรได้เลย แต่พอเขาไปถึงฮ่องเต้
น้อยไม่อยู่ที่นั่น เขาเห็นขันทีที่เข้าเวรอยู่ จึงได้เข้าไป
ถาม ขันทีจึงรีบไปรายงานทันที ไม่นานนักก็มีรับสั่งให้
เขาเข้าเฝ้า
หลงไท่ได้ยินว่าฉีหนิงขอเข้าเฝ้า เขาดีใจมาก “รีบเข้า
มาเร็ว เจ้านี่หนีตายมาได้ด้วย” เขารู้สึกดีใจที่เห็นฉี
หนิงกลับมาอย่างปลอดภัย
ฉีหนิงรีบเดินเข้ามา เขาเห็นหลงไท่เดินเข้ามาหาเขา
สีหน้าของเขาดูดีใจมาก ดูท่าฮ่องเต้น้อยนี่จะเป็นห่วง
เขามากจริงๆ เขารู้สึกอุ่นใจ เดินก้าวขึ้นไปจะทำความ
เคารพ หลงไท่จับมือเขาไว้ ไม่ให้เขาคุกเข่าลง เขา
มองฉีหนิงจนทั่วตัวแล้ว แล้วชกไปที่อกของฉีหนิง แต่
ไม่ได้ออกแรงมา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฉีหนิง ข้ารู้ว่าเจ้า
ตัวลื่นเหมือนปลาไหล ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้ง่ายๆ
หรอก”
“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี” ฉีหนิง
แกล้งพูด จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้บารมีของฝ่า
บาทคุ้มครอง ก็ต้องปลอดภัยสิ”
“อย่ามาพูดเลย” หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ได้คิด
แบบนี้” เขาปล่อยมือจากฉีหนิง หันกลับไปนั่ง แล้ว
พูดว่า “หลังจากที่เจ้าถูกจับตัวไป ซีเหมินอู๋เหิงก็มา
รายงานข้า จวนเสินโหวถูกคนบุกรุก ช่างกล้าจริงๆ ฉี
หนิง ซีเหมินอู๋เหิงบอกว่าคนร้ายปิดหน้าไว้ แต่ว่าเขา
คิดว่าน่าจะเป็นคนของพรรคบัวดำ จริงหรือไม่? เจ้า
เห็นหน้าเขาหรือไม่ว่าเป็นใคร?”
ฉีหนิงเดินขึ้นหน้าสองก้าวแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท เห็น
แล้ว คนที่เข้าไปชิงตัวคนในจวนเสินโหวคือราชาพิษ
จิ่วซี”
หลงไท่ตะลึงไป แล้วขมวดคิ้วพูดว่า “เป็นเขาจริงๆ
ด้วย? ซีเหมินอู๋เหิงบอกว่าคนๆ นั้นน่าจะเป็นราชาพิษ
จิ่วซี ดูท่าเขาจะเดาไม่ผิด” เขาพูดอีกว่า “ตอนนี้ดูไป
แล้ว เรื่องพิษระบาดน่าจะเกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำ
แน่นอน ก่อนหน้านี้ข้ายังสงสัยอยู่ ตอนนี้หลักฐาน
แน่นขนาดนี้ พรรคบัวดำคิดจะกบฏจริงๆ หรือ”
“ฝ่าบาท เรื่องของพรรคบัวดำ ไว้ข้าจะทูลท่านอีกที”
ฉีหนิงพูดว่า “ที่ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท เพราะข้ามีข่าวดีจะ
มาบอกท่าน”
“ข่าวดีหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท พวกเราเพิ่งปรุงยาถอน
พิษสำเร็จแล้วเมื่อครู่นี้” เขาหยิบสูตรยาออกมา แล้ว
ยื่นสองมือ “ฝ่าบาท นี่เป็นสูตรยา ไม่มีผิดแน่นอน
ทดลองแล้ว”
หลงไท่รับสูตรยามา แล้วมองดู เขาทั้งตะลึงแล้วก็ดีใจ
มือของเขาสั่นเทา “ฉีหนิง...นี่...นี่เป็นสูตรยาถอนพิษ
จริงหรือ?” เขาทุบโต๊ะ แล้วพูดว่า “ฉีหนิง เจ้าสร้าง
ผลงานที่ใหญ่หลวงแล้ว ข้ารู้อยู่แล้ว มีเจ้าอยู่ข้างกาย
ข้า ปัญหาทุกอย่างต้องแก้ไขได้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 9 บทที่ 270 ทหารหลวงเฟิงเตียน
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท นี่เป็นเพราะบุญบารมี
ของท่าน เรื่องในตอนนี้มีคนรู้อยู่แค่ไม่กี่คน ข้าเข้าวัง
มาทูลรายงานกับท่านก่อน ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะ
จัดการเรื่องนี้อย่างไร?”
“ก็ต้องรีบช่วยคนสิ” หลงไท่พูดว่า “ต้องไปหาจงอี้
โหวก่อน แล้วให้เขาทำเรื่องเบิกเงินจากกรมคลังไปซื้อ
ยา แล้วรีบช่วยคน...” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เหมือนเขานึก
อะไรขึ้นมาได้ เดิมทีเขาก็เป็นคนฉลาดอยู่แล้ว จาก
น้ำเสียงของฉีหนิงเขาก็เหมือนสัมผัสอะไรบางอย่างได้
เขามองไปที่ฉีหนิง แล้วถามว่า “มีคนรู้ไม่กี่คนอย่าง
นั้นหรือ?”
ฉีหนิงรู้ว่าหลงไท่น่าจะเข้าใจความหมายเขาแล้ว เขา
เขยิบเข้าไปใกล้ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “เป็นคนที่ไว้ใจ
ได้ทั้งนั้น ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้”
หลงไท่ยกมือลูบไปที่คาง แล้วถามเสียงเบาว่า “เจ้า
หมายความว่าอย่างไร?”
“หากฝ่าบาทนำสูตรยานี้มอบให้กับจงอี้โหว เขาต้อง
ไปเอาเงินจากกรมคลังมาก่อน แล้วถึงไปซื้อยา เกรง
ว่าน่าจะเสียเวลาไปไม่น้อย” ฉีหนิงพูดว่า “อีกทั้ง
หลังจากที่ชาวบ้านดื่มยาไปแล้วคนที่ไม่รู้ความจริง
อาจจะคิดว่าเรื่องนี้จงอี้โหวเป็นคนจัดการแก้ไข แล้ว
ฝ่าบาทเองก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย”
หลงไท่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทั่วทั้งแผ่นดินเป็นของข้า
ข้ากับจงอี้โหวเหตุใดต้องแย่งกันได้ประโยชน์ด้วย? อีก
ทั้งช่วยคนเป็นเรื่องเร่งด่วน จะมาคิดเรื่องอื่นแบบนี้ได้
อย่างไร” เห็นฉีหนิงไม่พูดอะไร หลงไท่ก็หันซ้ายหัน
ขวามอง เขาเคยชินเวลาเรียกขุนนางมาเฝ้า จะไม่ให้
ขันทีอยู่รับใช้ พอเห็นไม่มีคน เขาเลยถามว่า “ฉีหนิง
เจ้าหมายความว่าเรื่องนี้พวกเราทำอะไรอย่างอื่นได้ใช่
หรือไม่?”
“ฝ่าบาททรงตรัสเองไม่ใช่หรือว่า มีคนตั้งใจปล่อยข่าว
ว่า พิษระบาดในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะฝ่าบาทไร้
คุณธรรมประพฤติมิชอบ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใน
เมื่อเป็นอย่างนี้ สูตรยานี้ก็มีประโยชน์มาก มีคนคิดไม่
ซื่อ พวกเราก็ใช้สูตรยานี้ตบหน้าพวกเขากลับไป ทำ
ให้ข่าวลือของชาวบ้านเปลี่ยนทิศมาหาเรา”
หลงไท่เหมือนจะยังไม่เข้าใจ ฉีหนิงพูดอีกว่า “ฝ่าบาท
ยานี้อย่างไรก็ต้องเอาออกไปช่วยคนอยู่แล้ว แต่ว่าจะ
ให้จงอี้โหวกับกรมคลังเป็นคนจัดการไม่ได้เด็ดขาด
หากจะต้องดำเนินการต้องทำในนามของฝ่าบาท
เท่านั้น”
หลงไท่เข้าใจขึ้นมาทันที ตามหลักแล้ว ราชสำนักก็
หมายถึงตัวฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็คือราชสำนัก แต่ว่า
สถานการณ์อำนาจในตอนนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น
หลงไท่เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน อย่าว่าประชาชน
ทั่วแผ่นดินเลย ชาวบ้านในเมืองหลวงจะมีสักกี่คนที่รู้
เรื่องนี้ แต่ชื่อเสียงของจงอี้โหวนั้นกลับเป็นที่รู้จัก
มากกว่าฮ่องเต้องค์ใหม่เสียอีก
หากเรื่องนี้ให้จงอี้โหวไปทำ รับประกันไม่ได้เลยว่าจง
อี้โหวจะฉวยโอกาสเอาใจประชาชนให้ไปอยู่ข้างเขา
หรือไม่ ฉีหนิงเองก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดจะยกเอา
ความชอบความทุ่มเททั้งหมดของถังนั่วไปให้คนอื่น
“ทำในนามของข้าหรือ?” หลงไท่เหมือนจะใช้
ความคิด “หมายความว่าอย่างไร?”
“ก็บอกไปว่าฝ่าบาทกับกลุ่มคนหนึ่งช่วยกันค้นหา
วิธีการถอนพิษทั้งวันทั้งคืน ฝ่าบาทเป็นโอรสสวรรค์
สวรรค์คุ้มครองฝ่าบาท ทำให้ความพยายามของ
พระองค์เป็นผลสำเร็จ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “จากนั้น
ฝ่าบาทก็ออกราชโองการสั่งให้คนตั้งศูนย์แจกยา ทำ
แบบนี้แล้ว ชาวบ้านก็จะรู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาของ
ฝ่าบาทมาก”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “วิธีของเจ้าไม่เลวเลย ไม่ต้องส่ง
คนอื่นไปทำ เรื่องนี้เจ้าก็รับไปจัดการก็แล้วกัน ให้จิ่น
อีโหวแจกจ่ายยาแทนข้า เหมาะสมที่สุด”
หลงไท่เข้าใจความหมายเป็นอย่างดี เขารู้ว่ามันเป็น
โอกาสที่ดีมากเลย
“กระหม่อมรับบัญชา” ฉีหนิงรีบพูดว่า “กระหม่อม
จะทำให้สุดความสามารถ จะไม่ทำให้ฝ่าบาททรง
ผิดหวัง”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉีหนิง หากเรื่องนี้เจ้าทำได้ดี
ข้าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม ไม่ให้เจ้าผิดหวังเลย”
“ได้รับใช้ฝ่าบาท เป็นบุญของข้า” ฉีหนิงพูดอย่างมี
มารยาทมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่ามีอีกสองสาม
เรื่องอยากขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตด้วย”
“เจ้าว่ามาเลย หากข้าทำให้ได้ ข้าจะอนุญาตทั้งหมด”
หลงไท่รู้ว่าฉีหนิงเป็นคนเชื่อถือได้ แล้วก็เป็นคนที่พึ่ง
ได้ในตอนนี้ คำขอของฉีหนิง หากไม่ได้ลำบากมา เขา
จะทำให้หมดทุกอย่าง
ฉีหนิงพูดว่า “การแจกยาในครั้งนี้ ต้องการตัวยา
สมุนไพรจำนวนมาก ก่อนที่ข้าจะเข้าวังมา ได้ส่งคน
ไปบอกเสวียหลิงเฟิงแล้ว ให้เขาส่งคนไปรวบรวมตัว
ยาตามร้านขายมาให้หมด”
เวลาไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย ฉีหนิงก็ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไร
กับหลงไท่มาก อีกทั้งยังแทนตัวเองว่า “ข้า” ด้วย
หลงไท่เองก็ไม่ได้คิดว่าเขาไม่มีมารยาท อีกทั้งยังรู้สึก
ว่าสนิทสนม เหมือนเพื่อนสองคนคุยกัน
“เจ้าทำถูกแล้ว ช่วยคนสำคัญ ให้เสวียหลิงเฟิงไป
รวบรวมยาสมุนไพร ข้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน”
หลงไท่พูดว่า “ครั้งที่แล้วข้าก็เคยสั่งไปแล้ว ขอแค่
เป็นการรับมือกับภัยในครั้งนี้ จะเคลื่อนกำลังพล
อย่างไรก็ได้ ให้เขาไปรวบรวมสมุนไพรมา แล้วค่อยไป
เบิกเงินจากทางกรมคลังทีหลังได้” เขาพูดอีกว่า
“จริงสิ หากมีสมุนไพรตัวไหนขาดไป ป้ายทองที่ข้าให้
ยังอยู่ใช่หรือไม่ เจ้าเอามันไปเบิกจากสำนักหมอหลวง
ได้เลยนะ ในสำนักหมอหลวงมีคลังยา มีสมุนไพรเก็บ
ไว้ไม่น้อย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ข้ากำลังคิดจะพูดกับ
ท่านเรื่องของสำนักหมอหลวงพอดี ในสูตรยาใช้ยา
สมุนไพรทั้งหมดห้าชนิด สามชนิดหาได้ทั่วเมืองหลวง
แต่ว่ามีอีกสองชนิดหาไม่ได้เลย อีกทั้งยังมีน้อยมาก
ร้านยาใหญ่ในเมืองหลวงไม่มีของเลย”
หลงไท่ตะลึงไป เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ในเมือง
หลวงไม่มี ก็ส่งคนไปตามหา รอบๆ เมืองหลวงสิ จะ
ให้มาเสียเวลาช่วยคนไม่ได้”
ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวลไป ร้านยา
ตระกูลเถียนที่อยู่ในเมืองหลวงเหมือนจะมีของอยู่ ต่อ
ให้มีไม่มาก แต่พวกเราสามารถเอามาช่วยคนไป
พร้อมกับการรวบรวมสมุนไพรได้ พวกเราแจกจ่ายยา
ให้กับคนที่มีอาการรุนแรงก่อนได้”
“อ๋อ?” หลงไท่พยักหน้า “ในเมื่อเจ้ามีแผนอยู่แล้ว ก็
ทำตามแผนของเจ้าไปเลย” ไม่รอฉีหนิงพูด เขาก็
ตะโกนไปว่า “มีใครอยู่บ้าง”
ขันทีข้างนอกวิ่งเข้ามาคนหนึ่ง หลงไท่สั่งว่า “เจ้าไป
ตามฉือเฟิ่งเตี่ยนมา”
ขันทีรับคำ แล้วก็ถอยออกไป ฉีหนิงคิดในใจว่าฉือเฟิ่ง
เตี่ยนผู้นี้เป็นใครอีก? เขารู้ว่านอกจากเขาแล้ว คนที่
ฮ่องเต้น้อยหลงไท่ไว้ใจก็มีแค่เซี่ยงเทียนเป่ยหนึ่งในสิบ
สุดยอดกระบี่ เซี่ยงเทียนเป่ยคุ้มกันอยู่ข้างกายเขามา
ตั้งแต่เล็ก แต่ว่าครั้งนี้เข้าวังมา ยังไม่เคยเห็นเขาเลย
ส่วนฉือเฟิ่งเตี่ยน ฉีหนิงไม่เคยได้ยินมาก่อน
หลงไท่เหมือนจะเห็นเขาสงสัย เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฉือ
เฟิ่งเตี่ยนเป็นผู้บัญชาการทหารอวี่หลินจวิน เจ้าจ่าย
ยาแทนข้าครั้งนี้ ต้องใช้คนไม่น้อย ข้าจะให้ฉือเฟิ่ง
เตี่ยนจัดคนไปช่วยเจ้า เรื่องนี้จะต้องราบรื่นแน่นอน”
“ผู้บัญชาการทหารหลวงอวี่หลินจวินหรือ?” ฉีหนิง
ตะลึงไป แต่ก็เข้าใจทันทีว่า ในเมืองหลวงมีทหารอยู่
สองกอง ค่ายหนึ่งเป็นทหารค่ายหูเสินของเสวียหลิง
เฟิง อีกค่ายก็คือทหารหลวงอวี่หลินจวิน เสวียหลิง
เฟิงทำงานได้เด็ดขาด ฉือเฟิ่งเตี่ยนเองก็น่าจะไม่ด้อย
ไปกว่าเขา
ฉือเฟิ่งเตี่ยนเป็นผู้บัญชาการทหารหลวงอวี่หลินจวิน
อีกทั้งทหารหลวงอวี่หลินจวินเป็นกองทหารในวัง
หลวง ฟังคำสั่งของฮ่องเต้โดยตรง ดังนั้นฉือเฟิ่งเตี่ยน
ก็น่าจะเป็นคนที่ฮ่องเต้ทรงไว้พระทัย ไม่อย่างนั้นคง
ไม่ได้รับตำแหน่งหน้าที่สำคัญนี้แน่นอน แต่ว่าก่อน
หน้านี้ฮ่องเต้น้อยไม่เคยพูดถึงเขามาก่อนเลย
จริงๆ แล้วเขาอยากรู้เรื่องหนึ่งมาก ก่อนหน้านี้ตอน
หลงไท่ยังเป็นรัชทายาท ในวังหลวงก็ตึงเครียด ตาม
หลักแล้ว ตอนนั้นทหารหลวงอวี่หลินจวินก็น่าจะ
รับภาระใหญ่ เพราะเป็นทหารที่รับใช้ฮ่องเต้โดยตรง
แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว ในเวลาที่สำคัญที่สุด
ทหารหลวงอวี่หลินจวินกลับถูกโยกย้ายออกไปนอก
วัง แล้วให้ทหารค่ายดาบดำเข้ามารักษาการณ์แทน
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉีหนิงคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก จากการ
โยกย้ายทหารในครั้งนั้น ทำให้เห็นว่าทหารค่ายดาบ
ดำนั้นพึ่งพาได้มากกว่าทหารหลวงอวี่หลินจวิน
“คนๆ นี้...” หลงไท่นึกแล้วถึงพูดว่า “เสด็จพ่อสั่งข้า
ไว้ว่า ผู้บัญชาการทหารหลวงอวี่หลินจวินจะเปลี่ยน
คนไม่ได้ ฉือเฟิ่งเตี่ยนมีความสามารถอยู่พอตัว”
เหมือนเขาจะไม่ค่อยอยากพูดถึงเท่าไหร่ เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ยาสองชนิดที่เอามาจากร้านยาตระกูลเถียน
ทางกรมคลังจะทำเรื่องเบิกจ่ายไปให้ทีหลังนะ”
ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาท จ่ายชดเชยให้ก็พอแล้ว แต่ว่า
ยาสองตัวนี้ไม่ได้มีราคาอะไรมากอยู่แล้ว แต่ว่าใน
เมืองหลวง มีเพียงร้านยาตระกูลเถียนที่มียาสองตัวนี้
ถือว่าเป็นร้านยาที่รอบคอบดี...”
หลงไท่เป็นคนฉลาดมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
อยากจะพูดอะไรก็พูดมาตรงๆ เลย ไม่ต้องพูดอ้อม
ค้อมต่อหน้าข้า ร้านยาตระกูลเถียนให้เจ้าช่วยอะไรใช่
หรือไม่?”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาท พวก
เขาอยากจะเป็นคนส่งยาให้กับสำนักหมอหลวง”
หลงไท่พูดว่า “ข้าคิดว่าเป็นเรื่องอะไรใหญ่กว่านี้เสีย
อีก สนมขันทีนางกำนัลมีเป็นหมื่นคน ต้องใช้ยาทุกวัน
...” เขาคิดแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เรื่องเล็ก เอาไว้ให้ฟ่า
นเต๋อไห่ไปแจ้งกับทางสำนักหมอหลวงให้ก็แล้วกัน”
จริงๆ แล้วฉีหนิงก็รู้ว่าหลงไท่เพิ่งจะขึ้นครองราชย์
เรื่องใหญ่ของเถียนฮูหยิน มันเป็นเรื่องเล็กสำหรับหลง
ไท่มาก ไม่จำเป็นต้องให้หลงไท่เอ่ยปากสั่งเองทุกเรื่อง
ให้หัวหน้าขันทีคนสนิทไปบอกก็พอ
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงนอบน้อมเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า
“ผู้บัญชาการทหารหลวงฉือเฟิ่งเตี่ยนขอเข้าเฝ้า” ฉี
หนิงมองไป เห็นมีชายสวมชุดเกราะคุกเข่าก้มหน้าอยู่
นอกห้องทรงอักษร
หลงไท่เหลือบไปมอง แล้วพูดว่า “ฉือเฟิ่งเตี่ยน เจ้า
เข้ามานี่”
ผู้บัญชาการทหารหลวงอวี่หลินจวินฉือเฟิ่งเตี่ยนอายุ
ประมาณสี่สิบปี ร่างกายกำยำ สวมชุดเกราะหนา
สวมรองเท้าหนัง อาจเป็นเพราะต้องเข้าเฝ้า ดังนั้นก็
เลยไม่สวมหมวก ตอนที่เขาเดินเข้ามาก็ดูองอาจใช้ได้
ฉีหนิงเห็นเขาค่อนข้างผอมและตัวสูง แต่ว่าร่างกาย
กำยก มีเครา ดวงตาของเขาดูเฉียบคม ซึ่งต่างจากเส
วียหลิงเฟิง
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงพระเจริญหมื่นปีหมื่น
หมื่นปี” ฉือเฟิ่งเตี่ยนคุกเข่าลง แล้วก้มหน้า ไม่กล้า
มองหน้าของหลงไท่ ฉีหนิงเห็นเขามีกล้ามเนื้อ คิดใน
ใจว่าวรยุทธ์น่าจะไม่เลวเลย แต่ไม่รู้ว่าหากเทียบกับเส
วียหลิงเฟิงแล้วจะเป็นอย่างไร
“ฉือเฟิ่งเตี่ยน เจ้านำทหารหลวงสองร้อยนาย แล้วทำ
ตามคำสั่งจิ่นอีโหว” หลงไท่พูดว่า “เจ้าต้องทำตาม
คำสั่งของจิ่นอีโหวทุกอย่าง” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า
“เจ้านำทหารออกจากวังด้วยตัวเองนะ”
“กระหม่อมรับบัญชา” ฉือเฟิ่งเตี่ยนรับปากอย่างไม่
ลังเล เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉีหนิง เห็นฉีหนิงกำลัง
มองเขาอยู่ ฉือเฟิ่งเตี่ยนก็ยิ้มแล้วยกมือคำนับ “ฉือ
เฟิ่งเตี่ยนคำนับจิ่นอีโหว โหวเยว่เป็นชายหนุ่มที่
องอาจจริงๆ น่านับถือจริงๆ ฝ่าบาทมีรับสั่งแล้ว
ข้าน้อยจะไปจัดทหารมาทันที โหวเยว่สั่งให้พวกเรา
ไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหน พวกเราก็ไม่เกี่ยง”
ฉีหนิงตะลึงไป ในใจคิดว่าฉือเฟิ่งเตี่ยนพูดจาเป็นปลา
ไหลจริงๆ ขนาดอยู่ต่อหน้าหลงไท่ยังประจบได้ขนาด
นี้ ตอนนี้รู้สึกว่าใบหน้าของฉือเฟิ่งเตี่ยนมีรอยยิ้มที่เจ้า
เล่ห์เป็นอย่างมาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 271 แจกยา
หลงไท่พูดขึ้นมาว่า “ฉีหนิง เรื่องการช่วยเหลือผู้คน
ข้าให้เจ้าไปจัดการ ฉือเฟิ่งเตียนเป็นคนเชื่อฟังคนหนึ่ง
ข้าจะให้เขานำทหารร้อยนายไปช่วยเจ้า ต้องทำให้
เรียบร้อยนะ”
ฉีหนิงรับคำ “กระหม่อมรับบัญชา”
ความจริงแล้วเขาเข้าใจดี ที่หลงไท่ให้ฉือเฟิ่งเตียนนำ
ทหารไปช่วยเขาทำงาน ไม่ได้กลัวว่าตัวเขาจะขาด
ลูกมือ ในเมืองหลวงมีทั้งทหารของเมืองหลวงและ
ทหารของค่ายหูเสิน ขอแค่ออกคำสั่งเท่านั้น ก็
สามารถโยกย้ายทหารมาได้แล้ว
ฉือเฟิ่งเตียนคือผู้บัญชาการทหารหลวงค่ายอวี่หลินจ
วิน เป็นกองทหารใกล้ชิดของฮ่องเต้ การให้ฉือเฟิ่ง
เตียนนำทหารมาร่วมแจกยาด้วย ในสายตาของคนอื่น
ก็เหมือนฮ่องเต้มาแจกยาด้วยพระองค์เอง
ส่วนฮ่องเต้น้อยก็รู้ว่าครั้งนี้ฉีหนิงสร้างผลงานที่ใหญ่
หลวง ดังนั้นการให้ฉีหนิงเป็นคนจัดการเรื่องนี้ ก็
เหมือนให้จิ่นอีโหวกับทหารอวี่หลินจวินร่วมมือกัน
แจกยา ไม่เพียงทำให้คนรู้ว่านี่คือคำสั่งของฮ่องเต้ ยัง
ทำให้ฉีหนิงได้ใจชาวบ้านด้วย ยิงนัดเดียวได้นกสอง
ตัว
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าฮ่องเต้น้อยนั้นอายุไม่มาก แต่
กลับฉลาดมาก
ช่วยคนเป็นเรื่องเร่งด่วน ฉีหนิงไม่อยู่ในวังหลวงต่อให้
เสียเวลา ฮ่องเต้น้อยกำชับอีกสองสามอย่าง ฉือเฟิ่ง
เตียนก็รีบออกไปเตรียมกำลังพลอวี่หลินจวินหนึ่งร้อย
นาย ตามฉีหนิงออกนอกวังไป
ก่อนฉีหนิงเข้าวังมา ระหว่างทางเขาพอจะวางแผน
ขั้นตอนการช่วยคนไว้แล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนที่ถูกพิษตอนนี้หลักๆ ถูกกัก
เอาไว้อยู่สองที่ ที่แรกคือสถานที่กักกันของค่ายหูเสิน
ที่ตรอกหนานเห๋อ อีกที่คือที่พรรคกระยาจก
“ผู้บัญชาการฉือ เจ้านำทหารสามสิบนายไปยังตรอก
หนานเห๋อ” เมื่อออกจากวัง ฉีหนิงก็เริ่มสั่งการ “แจ้ง
ทหารค่ายหูเสินว่า รีบให้ทางตรอกหนานเห๋อเตรียม
หม้อเหล็กเอาไว้ให้พร้อมเพื่อปรุงยา”
ฉือเฟิ่งเตียนไม่รีรอ รีบสั่งทหารสามสิบนายไปยัง
ตรอกหนานเห๋อทันที แล้วถามว่า “โหวเยว่ พวกเรา
จะไปไหนกัน?”
“รบกวนเจ้าส่งคนไปแจ้งผู้บัญชาการเสวียหลิงเฟิง
ด้วยว่า หลังจากรวบรวมสมุนไพรแล้ว ให้ส่งส่วนหนึ่ง
ไปยังตรอกหนานเห๋อ อีกส่วนให้ส่งไปยังตรอกหลัวกู่”
ฉีหนิงพูด “ทั้งสองที่นี้ผู้ถูกพิษเยอะ ต้องช่วยคนสอง
ที่นี้ก่อน”
ฉือเฟิ่งเตียนยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ท่านเกรงใจเกินไป
แล้ว ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยฟังคำสั่งของท่าน โหวเยว่
จะสั่งให้ทำสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้น มิได้รบกวนอะไร” เขาสั่ง
ให้ทหารอีกสองคน ไปแจ้งข่าวให้เสวียหลิงเฟิง
ฉีหนิงขึ้นม้า แล้วรีบควบออกไป
ฉือเฟิ่งเตียนรู้ว่าต้องตามฉีหนิงมาช่วยแจกยา จะต้อง
ไปๆ มาๆ ทั่วเมืองหลวง แต่เมืองหลวงเจี้ยนเยีย่ ใหญ่
ขนาดนี้ หากไม่มีม้าเร็ว จะทำให้เสียเวลามาก ดังนั้น
จึงเตรียมทหารหลวงม้าเร็วเอาไว้หนึ่งร้อยนายเพื่อมา
ปฏิบัติการนี้
หนานฉู่ไม่เหมือนเป่ยฮั่น
ทุกคนรู้หมด เป่ยฮั่นมีม้าเป็นจำนวนมาก โดดเด่น
เรื่องการทำศึกบนหลังม้า ทหารม้าของเป่ยฮั่น
เหนือกว่าหนานฉู่มาก ส่วนทหารบกของหนานฉู่ก็
เหนือกว่าเป่ยฮั่นมาก ทรัพยากรด้านแร่เหล็กของ
หนานฉู่มีมาก ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์หนานฉู่
เหนือกว่าทุกอย่าง
ทั้งสองแคว้นต่างมีจุดที่โดดเด่นของตัวเองทั้งนั้น
แต่ว่าทหารหลวงอวี่หลินจวินเป็นทหารประจำการณ์
อารักขาของวังหลวง ไม่เพียงมีหน่วยทหารม้าที่ยอด
เยี่ยมแล้ว ม้าที่พวกเขาใช้ก็เป็นม้าหลวงที่เลือกจากใน
วังทั้งนั้น ในทุกปีการเลือกม้าศึกของหนานฉู่ จะมีการ
คัดเลือกจำนวนหนึ่งเข้าไปยังคอกม้าหลวงด้วย
เพื่อให้ทางทหารหลวงได้เอาไว้ใช้งาน
ฉีหนิงขี่ม้านำอยู่ด้านหน้า ฉือเฟิ่งเตียนขี่ม้าตามหลัง
มาและนำทหารตามมาอีกสิบกว่านาย ฉือเฟิ่งเตียนไม่
รู้ว่าฉีหนิงจะไปไหน ฉีหนิงไม่ได้พูดอะไร เขาเองก็ไม่
อยากถาม
จนกระทั่งฉีหนิงหยุดม้าที่หน้าประตูจวนหลังหนึ่ง ฉือ
เฟิ่งเตียนยกมือสั่งให้ทหารม้าที่เหลือหยุด ทันใด
นั้นเองก็มีคนสองคนเดินออกมา เห็นทหารม้าอยู่หน้า
ประตูมากมาย สีหน้าก็เปลี่ยนทันที คนหนึ่งรีบวิ่ง
ออกมา เมื่อเห็นฉีหนิง เขาก็จำได้ทันที เขาฝืนยิ้มแล้ว
พูดว่า “โหวเยว่...”
ฉือเฟิ่งเตียนรู้สึกสงสัย ไม่รู้ฉีหนิงจะหยุดตรงนี้ทำไม ฉี
หนิงเหลือบไปมองเขา รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ก็เลยพูดว่า
“ตรอกหนานเห๋ออยู่ทางใต้ของเมือง ตรอกหลัวกู่อยู่
ทางทิศตะวันตกของเมือง ร้านยาตระกูลเถียนบังเอิญ
อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองพอดี พวกเราจะตั้งจุด
แจกยาทิศละที่ เพื่อให้คนที่ถูกพิษไปยังจุดที่พวกเขา
สะดวกจะได้เป็นการกระจายยาให้พวกเขาให้เร็ว
ที่สุด”
ฉือเฟิ่งเตียนถึงได้เข้าใจ เขายิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่
สติปัญญาช่างเฉียบแหลม มิอาจหาใครเทียบได้...”
เขายังพูดไม่ทันจบ “ขี้เกียจจะฟังจริงๆ” ฉีหนิงคิดใน
ใจ จากนั้นก็หันไปพูดกับบ่าวไพร่ของตระกูลเถียนว่า
“ร้านยาของตระกูลเถียนอยู่แถวนี้หรือไม่?”
คนๆ นั้นยังตื่นตระหนกอยู่ เมื่อได้ยินฉีหนิงถาม ก็รีบ
ชี้ไปทางปากทาง “อยู่...อยู่ทางนั้น...” ในใจของเขาดู
หวาดกลัวมาก
เรื่องเวทีประลองครั้งที่แล้ว คนในตระกูลเถียน
ทั้งหมดรู้เรื่องดี เรื่องที่ตระกูลเถียนเกือบมีเรือ่ งกับจิ่น
อีโหว บ่าวไพร่ในจวนพูดกันจนหนาหู ในใจก็รู้สึกกลัว
ทั้งนั้น กลัวว่าจิ่นอีโหวจะกลับมาแก้แค้น
เพราะเขาเป็นถึงจิ่นอีโหว หนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหว
ของต้าฉู่ จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นเป็นเสาหลักของ
บ้านเมือง คนแบบนี้มีต้นไม้ใหญ่ค้ำจุน ตระกูลพ่อค้า
เล็กๆ ของพวกเขา จะไปสู้ได้อย่างไรกัน
ตอนนี้เห็นจิ่นอีโหวนำทหารม้ามา พวกเขาต่างก็พา
กันขวัญกระเจิงกันไปหมด คิดว่าฉีหนิงจะกลับมา
แก้แค้น
ฉีหนิงเองก็ไม่พูดอะไรมาก ขี่ม้าตรงเข้าไป เมื่อถึงทาง
โค้งก็เลี้ยวไปทางถนนใหญ่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งถนนกว้าง
กว่าถนนของบ้านตระกูลเถียนมาก
ร้านยาตระกูลเถียนอยู่ตรงหัวมุมตั้งอยู่เป็นร้านแรก
เป็นบ้านสองห้อง กว้างขวางโอ่อ่ามาก ตรงหน้าประตู
มีป้ายเขียนไว้ว่า “ร้านยาตระกูลเถียน” ด้านหน้า
ประตูมีรถม้าขนของอยู่สองคัน ภายในร้านยามีคนเข้า
ออกไม่หยุด กำลังขนย้ายสิ่งของกันอยู่ ทั้งหมดนั้น
เป็นถุงกระสอบ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้า ทุกคนก็หันไปมอง ฉีหนิงมอง
ไปที่พ่อบ้านเถียน แล้วลงจากม้าทันที เขาหันไปพูด
กับฉือเฟิ่งเตียนว่า “ผู้บัญชาการฉือ พวกเราตั้งจุด
แจกยาที่นี่ดีหรือไม่?”
ฉือเฟิ่งเตียนลงมาจากม้า แล้วโค้งคำนับพูดว่า “ทุก
อย่างจะเป็นไปตามที่โหวเยว่สั่ง โหวเยว่จัดการ
อย่างไรก็เป็นไปตามนั้นขอรับ”
“ดี ถ้าอย่างนั้นเจ้าสั่งให้คนไปเฝ้าหน้าปากทางทั้งสอง
ด้านเอาไว้ แล้วพวกเราจะแจกจ่ายยากันตรงนี้ หากมี
ชาวบ้านมา ให้จัดการให้เป็นระเบียบห้ามให้วุ่นวาย
เด็ดขาด” ฉีหนิงสั่งความออกไป แล้วหันไปพูดกับ
พ่อบ้านเถียนว่า “บนรถม้าคือกุ่ยมู่เฉ่ากับเฟิงกูจ๋ ื่
อทั้งหมดเลยใช่หรือไม่?”
พ่อบ้านเถียนรีบตอบว่า “โหวเยว่ฮูหยินสั่งเอาไว้แล้ว
ว่ากุ่ยมู่เฉ่ากับเฟิงกู๋จื่อให้นำออกมาจากคลังทั้งหมด
พวกเรากำลังจะส่งไปที่ร้านหย่งอันถังพอดี”
ฉีหนิงเห็นบนรถบรรทุกยาจนเต็มคัน จำนวนถือว่ามี
ไม่น้อยเลย เขาก็เบาใจลงไปได้บ้าง คิดในใจว่าเถียนฮู
หยินเองก็ให้ความร่วมมือได้เป็นอย่างดี เขาถามว่า
“ในคลังมีอีกเท่าไหร่?”
“น่าจะมีอีกสองคันรถ” พ่อบ้านเถียนพูดว่า “ผ่าน
การชั่งแล้วทั้งหมด โหวเยว่ ท่านจะดูบัญชีเลย
หรือไม่?”
ฉีหนิงคิคในใจว่าเจ้านี่แก่จนเลอะเลือนไปแล้วหรือ
อย่างไร ในเวลาแบบนี้จะให้ข้ามาดูบัญชี จะให้ข้าจ่าย
ค่ายาตอนนี้เลยหรือ? เขาไม่ได้สนใจ แล้วพูดว่า “ทิ้ง
ไว้ที่นี่สักคันรถหนึ่ง ที่เหลืออีกสามคัน คนหนึ่งส่งไปที่
ตรอกหลัวกู่ อีกสองคันส่งไปที่ตรอกหนานเห๋อ ตรง
นั้นจะมีคนมารอรับ”
พ่อบ้านเถียนรับคำสั่ง ฉีหนิงหันไปพูดกับฉือเฟิ่งเตียน
“ผู้บัญชาการฉือ ส่งคนไปจัดเตรียมหม้อกระทะขนาด
ใหญ่แถวนี้มา ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ยิ่งดี แล้วก็เตรียมฟืน
เอาไว้ด้วย และจะตั้งหม้อต้มยาเอาไว้ที่นี่”
ฉือเฟิ่งเตียนรับคำ แล้วรีบส่งคนไปจัดการ
“พ่อบ้านเถียน แถวนี้นอกจากร้านยาตระกูลเถียน ยัง
มีร้านยาอื่นอีกหรือไม่?” ฉีหนิงถาม
พ่อบ้านเถียนรีบพูดว่า “ด้านหลังนี้มีร้านยาตระกูลสวี
อยู่ แต่ว่าเทียบกับตระกูลเถียนของพวกเราแล้ว...”
ฉีหนิงก็ไม่พูดมาก ยื่นสูตรยาไปให้ฉือเฟิ่งเตียน “ผู้
บัญชาการฉือ สั่งให้คนไปรวบรวมยาจากร้านยา
ตระกูลสวีมา ตัวสมุนไพรในนี้มีห้าชนิด กุ่ยมู่เฉ่า
กับเฟิงกู๋จื่อน่าจะไม่มี แต่อย่างไรก็ต้องถาม อีกสาม
อย่าง พวกเขามีเท่าไหร่ก็เอามาให้หมด”
ฉือเฟิ่งเตียนก็กระตือรือร้นดี รับใบสูตรยามา แล้วพูด
ว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยจะไปรวบรวมมาให้เอง” จากนั้น
ก็สั่งทหารสามสี่นาย แล้วตามเขาไปทันที
หลังจากที่ฉือเฟิ่งเตียนไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคน
เดินมาอย่างรีบร้อน ฉีหนิงหันไปมอง เห็นม่ายสาว
พราวเสน่ห์กำลังเดินมา
ม่ายสาวคนสวยคลุมเสื้อคลุมสีม่วง สวมชุดสีเขียวด้าน
ใน รูปร่างอ่อนช้อย เวลาเดินสะโพกบิดไปมา ท่าทาง
ของนางดูรีบร้อน แล้วเหมือนจะโกรธนิดๆ เมื่อเห็นฉี
หนิงก็รีบพูดว่า “โหวเยว่ พวกท่าน...พวกท่านจะทำ
อะไรกัน?”
ฉีหนิงเห็นท่าทางของนางแล้ว ก็รู้ว่านางคงกำลัง
เข้าใจผิด เลยพูดว่า “พวกเราหายาถอนพิษระบาดได้
แล้ว ฝ่าบาทมีราชโองการให้แจกยาเพื่อช่วยคน ข้าจะ
ให้ตั้งจุดจ่ายยาที่หน้าร้านตระกูลเถียนของพวกเจ้า
ตั้งหม้อต้มยาที่นี่ ยาทั้งหมดที่ใช้ พวกเราจะใช้ยาของ
พวกเจ้าก่อน”
เถียนฮูหยินอึ้งไป นางยิ้มหวานออกมาแล้วพูดว่า “ได้
เลย ในคลังยังมีสมุนไพรอีกมาก หากโหวเยว่จะใช้ ก็
เอามาใช้ได้เลย” จากนั้นนางก็เขยิบเข้าไปใกล้ ฉีหนิง
ได้กลิ่นตัวหอมๆ จากตัวของนาง จากนั้นก็ได้ยินเถียน
ฮูหยินพูดว่า “โหวเยว่ ทั้งหมดนี้ท่านใช้หรือทางราช
สำนักใช้กันหรือ?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?” ฉีหนิงเห็นนางงดงามยิ่ง ริม
ฝีปากก็ชุ่มช่ำไม่ได้แตกแห้งไปตามฤดูหนาว ในใจก็คิด
ว่านางดูแลตัวเองดีมาก ถึงแม้อายุจะเกินสามสิบแล้ว
แต่ว่าผิวพรรณยังคงดีอยู่ ดูแล้วเหมือนคนอายุสักยี่สิบ
ปีได้
เถียนฮูหยินพูดว่า “โหวเยว่ ท่านอย่าเพิ่งเข้าใจ
ความหมายของข้าผิดไป ข้าหมายความว่าหากท่านใช้
เอง ข้าจะคิดราคาพิเศษให้ท่าน หากราชสำนักใช้ ข้า
จะได้คำนวณราคาที่สูงหน่อย จากนั้นค่อยเตรียม
ของขวัญให้ท่านทีหลัง...”
ฉีหนิงทำอะไรไม่ถูกเลย แอบคิดในใจว่าคนทำการค้า
ก็คือคนทำการค้า ในเวลาแบบนี้ยังคิดแต่เรื่องของ
การค้าอย่างเดียว เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
“อะไรก็วุ่นวายไปหมด ข้าไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น
นะ”
เถียนฮูหยินรู้สึกหน้าชา แล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก นาง
หันไปสั่งพ่อบ้านเถียนว่า “ฟังคำสั่งของโหวเยว่ โหว
เยว่ต้องการยาสมุนไพรอะไร ก็ชั่งแล้วเอามาให้หมด”
ฉีหนิงเหลือบไปมองเถียนฮูหยินแล้วพูดว่า “การที่มา
ตั้งจุดจ่ายยาที่หน้าร้านตระกูลเถียน ข้าให้โอกาสเจ้า
แล้วนะ หลังจากนี้ ชื่อเสียงของร้านยาตระกูลเถียนจะ
ดังกว่านี้ ข้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว อย่าไม่เห็นค่ามัน
เล่า” เขาพูดอีกว่า “ยาสมุนไพรที่ใช้ไป ทางกรมคลัง
จะทำการจ่ายเงินให้ทีหลัง เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้
เงิน”
“จะได้อย่างไรกัน” เถียนฮูหยินฉลาดเรื่องทำการค้า
อยู่แล้ว เมื่อครู่ที่ฉีหนิงพูดมา นางรู้ถึงข้อดีของมันอยู่
แล้ว นางยิ้มหน้าบาน แล้วพูดว่า “โหวเยว่ทำเพื่อ
ชาวบ้าน พวกเราเปิดร้านยา ก็ต้องหวังให้คนป่วยเจ็บ
ไข้นั้นได้หายดี โหวเยว่ต้องการจะทำอะไรย่อมต้องได้
ทั้งนั้น ร้านยาตระกูลเถียนของพวกเราจะฟังท่านทุก
อย่าง”
ในใจของนางดีใจมาก ครั้งนี้มาจ่ายยาหน้าร้านยา
ตระกูลเถียน ไม่เพียงสามารถขายยาได้เป็นจำนวน
มาก อีกทั้งยังเป็นการโฆษณาร้านยาตระกูลเถียนอีก
ด้วย เถียนฮูหยินยิ่งเห็นหน้าโหวน้อย ก็ยิ่งสบายตา
สบายใจมากขึ้นแล้ว
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 272 ตบทรัพย์
ฉีหนิงออกคำสั่งจัดการด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีทหาร
หลวงอวี่หลินจวินคอยช่วยเหลือ ทำให้หลายเรื่อง
ราบรื่นไปด้วยดี ทำให้ทุกอย่างไม่ได้เสียเวลามาก
ด้านหน้าร้านขายยาตระกูลเถียน มีเตาและกระทะ
ขนาดใหญ่ตั้งไว้ทั้งหมดหกเตา เพื่อป้องกันหิมะตก
เขายังสั่งให้กางกระโจมเอาไว้อีกด้วย
ตรงทางเข้าถนนทั้งสองด้าน ต่างมีทหารหลวงอวี่หลิน
จวินเฝ้าอย่างเข้มงวด
ทางร้านยาตระกูลเถียนต่างก็ให้ความร่วมมือเป็น
อย่างดี นำยาที่มีอยู่ในคลังออกมาให้ฉีหนิงใช้สอย ถึง
อย่างไรร้านยาตระกูลเถียนก็เป็นร้านยาใหญ่ในเมือง
หลวง ในคลังของพวกเขามียาสมุนไพรเก็บเอาไว้ไม่
น้อย
กระทะตั้งไฟแรง เพื่อไม่เห็นเกิดความผิดพลาด ฉีหนิง
ให้หมอที่รู้เรื่องสมุนไพรของร้านยาตระกูลเถียนกับ
ลูกมือมารับผิดชอบในการต้มยา นอกจากนี้ยังสั่งให้
ทหารหลวงอวี่หลินจวินอีกยี่สิบกว่านาย ออกไป
ประกาศเรื่องการแจกจ่ายยาไปตามตรอกซอกซอย
ตามท้องถนนทางด้านทิศตะวันออก
ฉีหนิงรู้ว่า เมืองทางด้านตะวันออกนั้นส่วนมากเป็นที่
อยู่ของทางขุนนาง พวกคนที่อาศัยในจวนหลังใหญ่
อย่างไรก็ต้องมีคนที่ถูกพิษ เพียงแต่พวกเขาไม่มีทาง
ไปยังตรอกหนานเห๋อเด็ดขาด คิดว่าน่าจะถูกขังเอาไว้
ในบ้านของตัวเอง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร
พิษระบาดในครั้งนี้ร้ายแรงมาก ถึงแม้จะเริ่มมาจาก
พรรคกระยาจก แต่ก็ยังดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับขุน
นางอยู่ดี แต่ว่าพรรคกระยาจกอยู่ในเมืองหลวงก็มาก
โดยเฉพาะสถานที่ที่มีคนไปมามากมายอย่างแม่น้ำฉิน
ไหว ขุนนางมากมายมักไปที่นั่น จนทำให้คนสองฝ่าย
ที่มีฐานะต่างกันล้วนก็ถูกพิษกันทั้งนั้น
ก่อนการแจกยา ฉีหนิงให้คนนำผ้าสีเหลืองมาเขียนคำ
ว่า “แจกยาแทนสวรรค์” แล้วแขวนมันไว้รอบๆ
กระโจม ไม่ว่าจะทางไหน ก็จะเห็นธงแบบนี้ปลิวไสว
อยู่ภายใต้สายลม
ฮ่องเต้คือโอรสสวรรค์ แจกยาแทนสวรรค์ ก็คือแจก
ยาแทนโอรสสวรรค์
ฉีหนิงสั่งให้คนเอาถังน้ำมาเตรียมเอาไว้ เมื่อไหร่ที่ยา
หมดก็จะเติมน้ำเข้าไปทันที
เป็นไปอย่างที่ฉีหนิงคิดเอาไว้ เมื่อป่าวประกาศข่าวไป
คนที่ติดเชื้อทางด้านทิศตะวันตกต่างทยอยกันมาที่
หน้าร้านยาตระกูลเถียนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมี
ญาติพี่น้องที่มาส่งผู้ติดเชื้อด้วย
ตรงทางเข้าทั้งสองข้างต่างถูกกั้นเอาไว้ ตามที่ฉีหนิง
สั่ง ไม่ได้ปล่อยใครเข้ามาง่ายๆ
“ฟังกันให้ดี ใครที่ไม่ติดเชื้อ ให้ยืนนอกไม้กั้น ห้ามเข้า
มาด้านในเด็ดขาด” ทหารที่เฝ้าทางเข้าออกตะโกนสั่ง
การ “ใครที่ติดเชื้อ เรียงแถวเข้ามา จิ่นอีโหวมีคำสั่ง
ได้ยาคนละถ้วย ห้ามนำออกมาด้านนอก นี่เป็นยา
พระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ โหวเยว่รับคำสั่งมา
แจกจ่ายยาแทนพระองค์”
“ข้าคือไท่ฉางซือเส้าชิน ให้ข้าเข้าไปก่อน” คนเริ่ม
เยอะขึ้นเรื่อยๆ บางคนถูกพยุงมา บางคนถูกหามมา
คนติดเชื้อมีทั้งอาการหนักเบาต่างกันออกไป ชายอายุ
ราวหกสิบสวมชุดขุนนางเบียดขึ้นมาด้านหน้า
ด้านหลังมีชายฉกรรจ์สองคนกันทางตามมาด้วย เขา
สวมเสื้อคลุมห่อตัวเองเอาไว้
“ช้าก่อน ให้ข้าเข้าไปก่อน” ชายฉกรรจ์ด้านหลังคน
หนึ่งเบียดขึ้นหน้ามา ใบหน้าของเขามีผื่นแดงใหญ่
ขนาดเหรียญอีแปะ ดูอาการหนักเป็นอย่างมาก แต่
เสียงของเขายังดังชัดเจนอยู่ “ข้าคือทหารแนว
หน้าอวิ๋นตูเว่ย เจ้าเป็นแค่ไท่ฉางเท่านั้นรึ?” เขา
พยายามเบียดมาหน้าสุด
ไท่ฉางเส้าชินสีหน้าเปลี่ยนไป แล้วพูดว่า “อวิ๋นตูเว่ย?
ข้าแทบจะไม่เคยได้ยิน แต่ก็น่าจะรู้จักลำดับก่อนหลัง
นะ ข้ามาก่อนเจ้า เจ้าก็ต้องอยู่ด้านหลังข้าสิ”
อวิ๋นตูเว่ยตำแหน่งสูงกว่าไท่ฉางเส้าชินหนึ่งขั้น แต่ว่า
ทางไท่ฉางเส้าชินไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางการทหาร ทางไท่
ฉางเส้าชินเลยไม่ไว้หน้าทางอวิ๋นตูเว่ยเลยแม้แต่น้อย
รอบๆ เริ่มวุ่นวายขึ้น ทหารหลวงอวี่หลินจวินต่างพก
ดาบติดตัว แล้วยืนจ้องอยู่ข้างๆ ไม่ให้ใครเข้าไปได้
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลังว่า “หลีก
ไปให้หมด อย่ามาขวาง” ท่ามกลางฝูงชน ชายรูปร่าง
กำยำห้าหกคนผลักคนอื่นแล้วให้อีกคนเบียดขึน้ มา
เขาชนตัวอวิ๋นตูเว่ยไปอยู่ข้างๆ เขาไม่แม้แต่จะเหลียว
มองว่าเป็นใคร เอ่ยปากด่าออกไปว่า “หมาตัวไหนไม่
มีตาหรืออย่างไร?”
เขาเห็นคุณชายคนหนึ่งถูกชายห้าหกคนคุ้มกันเดินมา
คุณชายคนนั้นสวมชุดผ้าแพรอย่างดี คลุมผ้าคลุมสี
ม่วงเข้ม ใบหน้ามีผื่นแดงเต็มไปหมด แต่ว่าก็น้อยกว่า
ของทางอวิ๋นตูเว่ย เขาจ้องไปที่อวิ๋นตูเว่ยแล้วพูดว่า
“เจ้าว่าใครเป็นหมา?” จากนั้นเขาก็ยกเท้าขึ้นมาถีบ
ไปที่อวิ๋นตูเว่ย แล้วด่าว่า “เจ้าอยากตายนักใช่
หรือไม่?”
คนเบียดเสียดกันมาก อวิ๋นตูเว่ยถูกถีบออกไป แต่ดีว่า
เขาร่างกายแข็งแกร่ง เลยไม่เป็นอะไร อวิ๋นตูเว่ยไม่ได้
โกรธ แต่กลับยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายโต้วนั่นเอง ข้าไม่
ทันเห็นเอง คุณชายโต้วเป็นคนใจกว้าง คงไม่ถือสาข้า
หรอกใช่หรือไม่”
ท่ามกลางฝูงชน ถึงแม้จะมีคนอีกมากที่ไม่รู้จักคุณชาย
คนนี้ แต่ว่าก็มีคนไม่น้อยเหมือนกันที่จำเขาได้ มีคน
พูดขึ้นมาว่า “นั่นมันคุณชายโต้วลูกชายคนโตของ
ท่านเสนาบดีกรมพระคลังนี่”
ใช่แล้วเขาคือโต้วเหลียนจง
เสนาบดีกรมพระคลังเป็นตำแหน่งหนึ่งในหกกรมใหญ่
ขุนนางขั้นสอง ถึงแม้โต้วเหลียนจงจะไม่ได้มีตำแหน่ง
ขุนนาง แต่ว่าพ่อของเขาเป็นถึงขุนนางขั้นสอง คนใน
เมืองหลวงรู้เรื่องความอวดดีในเมืองหลวงของเขาดี
ใครจะกล้ามีปัญหากับเขาได้ คนที่เบียดอยู่ต่างค่อยๆ
ถอยหลังไป เหมือนบนตัวของโต้วเหลียนจงมีขี้หมา
เปื้อนอยู่ จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาเลย
โต้วเหลียนจงเดินขึ้นหน้าไป ทหารหลวงอวี่หลินจวิน
สองคนยกดาบขวางเขาเอาไว้ โต้วเหลียนจงพูดว่า
“ที่นี่จ่ายยาถอนพิษใช่หรือไม่? ให้ข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้”
“โหวเยว่มีคำสั่ง หากไม่มีคำสั่ง ห้ามใครเข้าไปด้านใน
เด็ดขาด” ทหารหลวงอวี่หลินจวินพูดด้วยความไร้
อารมณ์
โต้วเหลียนจงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ โหวเยว่
ไหน? พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? พ่อข้าคือ
เสนาบดีกรมพระคลัง พวกเจ้ากินดีหมีมาหรืออย่างไร
ถึงได้กล้ามาขวางทางข้า?”
เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมา แล้วพูด
ว่า “นี่มันคุณชายโต้วมิใช่หรือ? ไม่ได้เจอกันนานเลย
นะ? เอ๋ คุณชายโต้ว หน้าท่านไปโดนอะไรมาหรือ?
หรือว่าท่านเองก็ถูกพิษด้วย?” คนๆ นั้นเดินมือไขว้
หลัง แล้วเดินเข้ามา ใช่ เขาคือฉีหนิง
โต้วเหลียนจงเห็นฉีหนิงเดินมา ก็ตกใจ อดไม่ได้ที่จะ
พูดว่า “เจ้า...เจ้าเป็นคนดูแลเรื่องจ่ายยาที่นี่หรือ?”
ฉีหนิงเดินขึ้นหน้ามา เขาไม่ตอบอะไร เขากวาด
สายตาไปรอบๆ เขาพบว่าคนที่มานั้นส่วนมากสวม
เสื้อผ้าอย่างดีทั้งนั้น คนที่สวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดายืน
อยู่ด้านหลังไกลมาก พวกเขาไม่ได้เดินเบียดขึ้นมา
เขายิ้มแย้มออกมา แล้วยกมือคำนับขึ้นไปบนท้องฟ้า
แล้วพูดว่า “ฮ่องเต้มีราชโองการ ให้แจกจ่ายยาช่วย
ชาวบ้าน ข้ารับราชโองการให้ดูแลเรื่องนี้”
โต้วเหลียนจงรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงพระเนตร
แหลมคมนัก จิ่นอีโหวฉลาดมีความสามารถ เรื่องใหญ่
แบบนี้ ให้โหวเยว่จัดการนั้นถูกต้องแล้ว” เขาเขยิบ
เข้ามาใกล้แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ให้ขา้ เข้าไปก่อนได้
หรือไม่ แล้วข้าจะกลับไปเตรียมของขวัญให้ท่านชุด
ใหญ่เลย พวกเราคนกันเอง โหวเยว่ก็ให้เกียรติข้า
หน่อยดีหรือไม่?”
ฉีหนิงรู้ว่าโต้วเหลียนจงชอบไปอยู่ที่แม่น้ำฉินไหว เห็น
เขาถูกพิษ ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาทมีราชโองการให้แจกจ่ายยาช่วยผู้คน ก็
จะต้องไม่ปล่อยให้ใครต้องเป็นอะไรไป” เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “คุณชายโต้ว ยาต้มเสร็จแล้ว เข้าไปก็กินได้
แต่เจ้าอยากจะเข้าไปคนแรกจริงหรือ?”
“ในเมื่อฝ่าบาทพระราชทานยาให้ ก็ต้องเป็นยาที่
รักษาจนหายขาดอยู่แล้ว” โต้วเหลียนจงรีบพูดว่า
“น้องฉี ท่านให้ข้าเข้าไป แล้วเอาไว้ข้าจัดงานเลี้ยง
ขอบคุณท่านดีหรือไม่”
ฉีหนิงหัวเราะร่า แล้วพูดว่า “ให้เจ้าเข้าไปคนแรกก็ใช่
ว่าจะไม่ได้ แต่ว่าต้องคุยกันให้เรียบร้อยก่อนนะ
คุณชายโต้วรู้หรือไม่ว่ายานี่มันถ้วยเท่าไหร่?”
โต้วเหลียนจงตะลึงไป แล้วขมวดคิ้วพูดว่า “ไม่จริง
กระมัง เมื่อครู่...เมื่อครู่ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาททรง
แจกจ่ายไม่คิดเงินไม่ใช่หรือ อีกอย่าง...” เขาเขยิบเข้า
ไปใกล้หูของฉีหนิงแล้วกระซิบว่า “อีกทั้งยาพวกนี้
กรมพระคลังก็จะจ่ายเงินให้ทีหลังไม่ใช่หรือ ถึง
อย่างไรพ่อข้าก็เป็นคนต้องควักเงินจ่าย”
“ไม่ใช่” ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตอนนี้ก็คือตอนนี้
หลังจากนี้เป็นอย่างไรไม่ใช่เรื่องของข้าแล้ว” เขา
ครุ่นคิด แล้วยกมือขึ้นมาห้านิ้ว แล้วพูดว่า “เท่านี้ เจ้า
ก็จะได้เข้าไปกินยาเป็นคนแรก เห็นว่าเป็นคนกันเอง
คนอื่นได้กินแค่ถ้วยเดียว เจ้าอยากจะกินเท่าไหร่ก็ได้”
“ห้าตำลึง?” โต้วเหลียนจงก็ไม่พูดมาก หันหลังไป
แล้วพูดว่า “เอาเงินมาห้าตำลึง”
ฉีหนิงหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “คุณชายโต้ว เจ้าดูถูก
ตัวเอง หรือว่าดูถูกข้า? หากแค่ห้าตำลึง ข้าจะต้องมา
พูดกับเจ้าแบบนี้หรือ?”
หลังจากที่โต้วเหลียงจงถูกพิษ เขาก็รู้ว่าพิษนี้ทำให้ถึง
ตายได้ สองวันมานี้จิตใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย
วันนี้รู้ว่ามีการแจกยาถอนพิษที่นี่ ก็รีบวิ่งมา ฉีหนิงยื่น
มือไปขอเงิน โต้วเหลียนจงก็รู้ว่าฉีตั้งใจจะตบทรัพย์
จากเขาแล้ว แต่ว่าชีวิตสำคัญกว่า จะมานั่งสนใจเรื่อง
เงินได้อย่างไร เขารีบถามว่า “ถ้าอย่างนั้นต้องจ่าย
เท่าไหร่? ห้าสิบตำลึง? เจ้าคงไม่คิดจะให้ข้าจ่ายเงิน
ห้าร้อยตำลึงกับยาหนึ่งถ้วยหรอกกระมัง? ถ้าอย่างนั้น
ข้าไม่กินก็ได้”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็หันหลัง แล้ว
กลับไปเลย ข้าเห็นว่าพวกเรายังพอมีความสัมพันธ์อยู่
บ้าง ข้าก็จะไม่ปิดเจ้า คนถูกพิษในครั้งนี้มีมากเป็นพัน
คน แต่ว่าสมุนไพรที่เอามาปรุงยาถอนพิษนั้นหาได้
ยากมาก ไม่ได้มีเต็มท้องถนนทั่วไป ข้าคิดว่าสุดท้าย
แล้วอาจจะมีคนที่ไม่ได้กินยาด้วย”
เมื่อเขาพูดออกมา ไม่เพียงแค่โต้วเหลียนจง แต่คนที่
อยู่รอบๆ นั้นต่างก็หน้าถอดสี ไม่มีใครสนอะไรแล้ว
พวกเขาต่างเบียดเสียดกันขึ้นมา
“ได้ ห้าร้อยตำลึง ข้าจ่าย” โต้วเหลียนจงตื่นตระหนก
มาก แล้วรีบพูดว่า “ข้าจ่ายให้เจ้าเดี๋ยวนี้เลย เจ้าให้
ข้าเข้าไปนะ”
จริงๆ แล้ว ยาถ้วยเดียวราคาไม่ถึงหนึ่งตำลึงหรอก
แต่ว่าโต้วเหลียงจงถูกข่าวการตายเพราะพิษนี้ทำให้
อกสั่นขวัญหายไปหมด สำหรับเขาแล้วเงินห้าร้อย
ตำลึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาจ่ายได้อยู่แล้ว หากเทียบกับ
ชีวิตแล้ว ห้าร้อยตำลึงเรื่องเล็กมาก
ฉีหนิงส่ายหัว “ข้าพูดตามตรง พี่โต้วอยากถอนพิษ
หากไม่จ่ายมาห้าพันตำลึง เรื่องนี้คงพูดกันยาก”
“เจ้า...” โต้วเหลียงจงสูดหายใจเข้าลึกๆ “ฉีหนิง เจ้า
คิดจะทำอะไร? ยาไร้คุณภาพถ้วยเดียว เจ้าจะให้ข้า
จ่ายห้าพันตำลึงเชียวหรือ?”
“พี่โต้ว พูดจาอะไรท่านก็ระวังหน่อยนะ” ฉีหนิงหน้า
นิ่งลง “นี่เป็นยาพระราชทาน ฝ่าบาททรงเหน็ด
เหนื่อยในการค้นหาวิธีถอนพิษนี่มาก แต่ท่านกลับ
บอกว่ามันเป็นยาไร้คุณภาพ ท่านกล้าต่อว่าฝ่าบาท
หรือ?” เขาตั้งใจตะโกนไปว่า “ทุกคนถือเสียว่าไม่ได้
ยินก็แล้วกันนะ คุณชายโต้วไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่คำพูด
ที่มาจากใจจริง ทุกคนอย่าพูดออกไปกันนะ”
โต้วเหลียนจงสีหน้าซีดลงทันที เขาเห็นฉีหนิงสีหน้า
จริงจังมาก เขากำมือแน่นในใจเขาก็รู้สึกโกรธมาก
แทบอยากจะชกหมัดออกไปให้เต็มแรง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 10 บทที่ 273 งานเลี้ยงเล็กๆ
อวิ๋นตูเว่ยได้ยินทุกอย่างชัดเจน เขาอดไม่ได้ที่จะถาม
ว่า “โหวเยว่ ฝ่าบาทพระราชทานยา ต้องเก็บเงินพวก
เราด้วยหรือ? เพราะเหตุใดกัน?”
การที่ฉีหนิงเรียกเก็บเงินจากโต้วเหลียนจง หลายคนก็
ตกใจมากแล้ว
ขุนนางราชสำนักมีเป็นร้อยเป็นพันคน แต่ว่าไม่ใช่ว่า
ใครจะร่ำรวยเหมือนกับตระกูลโต้ว ขุนนางหลายคนก็
มีแค่เงินเดือนประทังชีวิตเท่านั้น การอาศัยอยู่ในเมือง
หลวง หากจะทำการค้าเกร็งกำไร ก็ไม่สู้เป็นขุนนาง
สี่บรรดาศักดิ์โหวเป็นขุนนางบุกเบิกแคว้น และเป็น
บรรดาศักดิ์สืบทอดนอกเหนือจากเชื้อพระวงศ์ ถือได้
ว่าเป็นตำแหน่งขุนนางที่มีเบี้ยหวัดสูงที่สุดแล้ว
นอกจากนี้แล้ว จิ่นอีโหวเองก็มีที่ดินศักดินาอีกสาม
พันที่ และนาอีกร้อยกว่าไร่ ในหนึ่งปีอย่างน้อยก็มี
รายได้กว่าสองหมื่นตำลึง อยู่ได้สบายๆ
เสนาบดีทั้งหกกรมเป็นขุนนางขั้นสอง เบี้ยหวัดปีหนึ่ง
รวมกันก็ไม่เกินหนึ่งพันตำลึง
สำหรับขุนนางทั่วไปแล้ว เงินห้าพันตำลึงหากอาศัย
แค่เงินเดือน เป็นไปไม่ได้เลย
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกคนไม่ต้องร้อนใจไป ไม่ใช่ว่า
ใครก็ต้องจ่ายเงิน” เขาชี้ไปทางด้านหลัง “ชาวบ้านที่
อยู่ตรงนั้น ไม่ต้องจ่ายเลยสักแดงเดียวก็กินยาได้”
เขามองไปที่อวิ๋นตูเว่ย ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าต้องการยา
คิดว่าก็ต้องจ่ายเงินสักหน่อย”
“โหวเยว่ ท่านยังไม่ได้พูดเลยว่าเหตุใดต้องเก็บเงิน
ด้วย” ไท่ฉางซือเส้าชินมองมาที่ฉีหนิง ตอนนี้เขา
เหมือนกับอวิ๋นตูเว่ยเห็นเขาเป็นเหมือนศัตรู
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทคือโอรสสวรรค์ ครั้งนี้
ผ่านวิกฤติมาได้ หรือว่าไม่ควรขอบคุณสวรรค์? ใน
เมื่อพวกเจ้าได้รับกรุณาธิคุณจากฝ่าบาท เหมือนตาย
แล้วเกิดใหม่ หรือว่าเจ้าไม่ควรจะควักเงินบูชาสวรรค์
หรือ?”
ทุกคนอึ้งไป
โต้วเหลียนจงกัดฟัน คิดแล้วพูดว่า “โหวเยว่ เชิญทาง
นี้หน่อยได้หรือไม่?”
ฉีหนิงพยักหน้า ทหารหลวงอวี่หลินจวินถึงปล่อยเขา
เข้ามา โต้วเหลียนจงส่งสายตา เหมือนบอกให้ฉีหนิง
เดินไปข้างๆ แล้วพูดว่า “ห้าพันตำลึงก็ได้ แต่ว่า...
วันนี้ถือว่าบัญชีเก่าบัญชีใหม่จบกันไป ข้าก็จะไม่
ต่อรองราคากับเจ้าอีก ข้าให้เจ้าหนึ่งหมื่นตำลึงเลย
เจ้าเอาใบค้างหนี้ที่อยู่ที่เจ้าคืนให้ข้า ตั้งแต่นี้ต่อไป
พวกเราไม่ติดค้างอะไรกันอีก”
ฉีหนิงคิดในใจว่าโต้วเหลียนจงผู้นี้ก็ใจป้ำไม่เบา แต่ว่า
คุณชายของเสนาบดีกรมพระคลัง มีปัญญาจ่ายเงิน
มากถึงหนึ่งหมื่นตำลึงเลยหรือ เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
อยากได้ใบค้างหนี้หรือ? ไม่ได้หรอก จบเป็นเรื่องๆไป
สิ เรื่องนี้กับเรื่องที่แล้วจะเอามารวมกันได้อย่างไร ไว้
หลังจากนี้ข้าจะไปคุยกับเจ้าที่จวนเอง”
“ฉีหนิง เจ้าอย่าให้มันเกินไปนักนะ?” โต้วเหลียนจง
โกรธมาก “ครั้งที่แล้วข้ายอมไห้เจินจูไป เรือข้าก็ให้
เจ้าไปแล้ว ครั้งนี้เจ้าจะให้ข้าจ่ายอีกห้าพันตำลึง ไม่
ควรจบกันแล้วหรืออย่างไร? เจ้าอย่ารังแกกันมาก
เกินไปนัก ข้าโต้วเหลียนจงไม่ใช่คนที่จะให้เจ้ามา
รังแกกันง่ายๆ นะ”
“อ๋อ?” ฉีหนิงหน้านิ่งไป แล้วพูดว่า “อะไรกัน
คุณชายโต้วกำลังข่มขู่ข้าหรือ? เจ้าอย่าลืมนะว่า พ่อ
เจ้าเป็นเสนาบดี แต่เจ้าไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเลย เจ้า
กล้าข่มขู่โหวเยว่อย่างข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีโทษหนัก
เพียงใด?”
โต้วเหลียนจงตะลึงไป
ถึงแม้เขาจะไม่มีตำแหน่งขุนนาง แต่ว่าเขาอาศัยว่าพ่อ
เป็นเสนาบดี ในเมืองหลวงเลยไม่มีใครกล้ามีปัญหา
กับเขา ถึงแม้จะเป็นอวิ๋นตูเว่ยคนเมื่อครู่ ตามหลัก
แล้ว ตำแหน่งก็เหนือกว่าเขา แต่เพราะว่าเขาเป็นลูก
ชายของเสนาบดี ถูกถีบไปหนึ่งทีเขาก็ยังยิ้มอยู่
ฉีหนิงพูดไม่ผิด หากจะเอาเรื่องจริง คนไม่มีตำแหน่ง
พูดจาล่วงเกินโหวเยว่ หากเป็นคนอื่น มีสิบหัวก็ไม่พอ
ให้ตัด
“แต่ว่า...แต่ว่าห้าพันตำลึงมันมากเกินไป” โต้วเหลียน
จงพูดอย่างจนใจว่า “ลดหน่อยได้หรือไม่ สองพัน
ตำลึงดีหรือไม่?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อใช้ในการบูชาสวรรค์ เจ้า
เป็นถึงคุณชายตระกูลโต้ว ก็ต้องทำเป็นตัวอย่างสิ
อย่ามาต่อรองเลย ตอนนี้ห้าพันตำลึง อีกเดี๋ยวหากไม่
มียาแล้ว ห้าหมื่นตำลึงก็ไม่มีประโยชน์”
“ก็ได้” โต้วเหลียนจงกัดฟันแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้พก
เงินมามากขนาดนั้น ไว้กลับไปข้าเอาไปส่งให้ท่าน เงิน
ห้าพันตำลึง อีแปะเดียวก็จะไม่ขาด”
“จะดีหรือ?” ฉีหนิงพูดว่า “ถ้าเกิดว่า...”
“ข้าพูดคำไหนคำนั้น ในมือของท่านยังมีใบค้างหนี้
ของพวกเรามาตลอด เจ้ายังกลัวข้าหนีอีกหรือ?” โต้ว
เหลียนไม่ได้พูดดี “เงินห้าพันตำลึงซื้อยาจากเจ้าหนึ่ง
ถ้วย หากเจ้ายังจะหาเรื่องอีก เจ้าก็ฆ่าข้าเสียเลยจะ
ดีกว่า”
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” ฉีหนิงหัวเราะร่าแล้วพูดว่า
“พี่โต้วเป็นต้นเงินต้นทองของข้า ข้าจะให้ท่านตายได้
อย่างไร” เขาตะโกนไปในกระโจมว่า “เอายามาให้
คุณชายโต้วชามหนึ่ง...อ่อ ไม่ใช่สิ คุณชายโต้วอยาก
จะกินกี่ชามก็เอามาให้เขาดื่มจนเขาพอใจ”
โต้วเหลียนจงเดินไปอย่างโมโห
ฉีหนิงเดินไปยังปากทาง ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าเข้า
แถวกันให้ดี พวกเรามาตกลงกันให้ชัดเจนก่อนจะได้
ไม่วุ่นวายกันทีหลัง ข้าเห็นว่ามีขุนนางอยู่ตรงนี้ไม่น้อย
เลย เอาอย่างนี้นะ อวิ๋นตูเว่ยท่านนี้ ท่านจ่ายแค่หนึ่ง
ร้อยตำลึงก็พอ ยังมีท่านอีก เอ่อ...อ๋อ ใช่ ไท่ฉางซื
อเส้าชิน ท่านเองก็จ่ายแค่ร้อยตำลึงพอ ส่วนขุนนาง
หรือว่าคนที่เกิดในตระกูลขุนนาง จ่ายอย่างน้อยคน
ละสิบตำลึง หากเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่ต้องจ่าย”
เขาพูดด้วยความหนักแน่น น้ำเสียงชัดเจน หลังจากที่
เขาพูดจบก็มีเสียงชื่นชมยินดีดังขึ้นมา มีชาวบ้านบาง
กลุ่มเดินขึ้นหน้ามาบ้าง พอได้ยินว่ามีการเรียกเก็บ
เงิน ก็เกิดความเครียด แต่พอจิ่นอีโหวพูดมาแบบนี้ ก็
ดีใจมาก มีคนตะโกนขึ้นมาว่า “โหวเยว่ท่านช่างดีมี
เมตตา เป็นคนดีมากจะต้องได้ผลบุญที่ดีแน่นอน”
ยังมีคนพูดอีกว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ที่สิ้นไป ก็ทำเพื่อ
ชาวบ้าน คนของตระกูลฉีเป็นคนมีเมตตากันทุกคน
เลย”
โต้วเหลียนตงเสียเงินซื้อยาไปห้าพันตำลึง จึงดื่มยา
เข้าไปสามถ้วยเต็ม เดิมเขาคิดจะเดินเข้าไปดูหม้อต้ม
ยา แต่ถูกทหารหลวงขวางเอาไว้
หลังจากที่ดื่มยาลงไปแล้ว โต้วเหลียนก็เบาใจขึ้น เดิม
เขาคิดว่าพิษนี้จะไม่มียาถอนแล้ว รอแค่วันตายเพียง
อย่างเดียว ก็รู้สึกหวาดกลัว
คนที่รู้ข่าวมีมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่มาเข้าแถวก็เริ่มยาว
ขึ้น ฉีหนิงเห็นดังนั้น ก็มองไปทางร้านยาตระกูลเถียน
เขาเดาว่าน่าจะมีประมาณพันกว่าคน หักลบกับญาติ
และผู้ติดตามออกไป คนที่ถูกพิษก็น่าจะมีประมาณ
สามร้อยคน อีกทั้งยังมีที่กำลังเดินทางมา
ในใจเขาก็รู้สึกหวาดกลัวเหมือนกัน คิดในใจว่าหาก
ถังนั่วไม่สามารถค้นหายาถอนพิษได้ ผลที่ตามมานั้น
เขาไม่อยากจะคิดเลย
ผ่านไปหนึ่งวันเต็ม ทางทิศตะวันออกแจกจ่ายยา
พอประมาณแล้ว คนที่มาดื่มยาก็เริ่มน้อยลง ทาง
ตรอกหนานเห๋อกับทางตรอกหลัวกู่มีข่าวแจ้งมาว่า
การแจกจ่ายยาเป็นไปได้ด้วยดี ทางตรอกหลัวกู่
นอกจากศิษย์ของพรรคกระยาจกแล้ว ยังมีชาวบ้าน
อีกไม่น้อยที่มาดื่มยา
ส่วนที่ตรอกหนานเห๋อมีผู้ติดเชื้ออยู่เป็นจำนวนมาก
ยาไม่พอ เขาจึงสั่งให้คนเอายาที่เหลือจากทางทิศ
ตะวันออกไปสมทบ
ตอนนี้ถือได้ว่าผ่านวิกฤติหนักไปได้แล้ว ถังนั่วถือว่ามี
ผลงานที่สุด ส่วนร้านยาตระกูลเถียนที่มีสำรอง
ยากุ่ยมู่เฉ่ากับเฟิงกู๋จื่อไว้มาก ก็ถือว่ามีผลงานไม่น้อย
เช่นกัน
หลังจากที่ฟ้ามืดลง ฉีหนิงก็ยังไม่ได้สั่งให้เก็บกระทะ
ยา แต่สั่งให้คนมาเฝ้าไว้ หากมีผู้ป่วยมาอีก ก็ให้
แจกจ่ายยาไปอีก หากรอจนถึงเที่ยงพรุ่งนี้ไม่มีใคร
มาแล้ว ก็เก็บได้เลย
ผ่านไปหนึ่งวัน ฉีหนิงรู้สึกว่าร่างกายเหนื่อยล้ามาก
เขากำลังคิดว่าจะไปดูถังนั่วที่หย่งอันถัง ก็เห็นคนของ
ตระกูลเถียนเดินเข้ามาหาแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ฮูหยิน
ได้เตรียมอาหารเอาไว้ อยากให้ท่านให้เกียรติสักครั้ง”
ฉีหนิงคิดไปครู่หนึ่ง เขารู้ว่าเถียนฮูหยินเป็นคนขี้
เหนียวมาก การที่นางจัดเตรียมอาหารเอาไว้ คิดว่าคง
ไม่ได้แค่อยากจะเลี้ยงข้าวเขาแค่นั้นแน่นอน จะต้องมี
เรื่องอื่นอีก คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของสำนักหมอหลวง
แน่ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้ากำลังหิวพอดี ไปดูหน่อยก็
ได้ว่าฮูหยินของพวกเจ้าเตรียมอะไรเอาไว้บ้าง”
พ่อบ้านเถียนพาฉีหนิงมายังจวนตระกูลเถียน เขานำ
ทางไปยังห้องหนึ่งที่ด้านข้าง ด้านในตกแต่งอย่าง
สวยงาม ถึงแม้จะอากาศหนาว แต่ว่าภายในก็มีเตาผิง
อยู่ ทำให้อุ่นมาก ฉีหนิงสวมเสื้อคลุมทำให้เขารู้สึก
ร้อน เขาจึงถอดมันออก แล้วเอาให้พ่อบ้านไปแขวน
เอาไว้
ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หลังฉากบังลม อาหารและสุรา
ถูกจัดวางอยู่เต็มโต๊ะ มีอาหารหกอย่าง ถึงแม้จะไม่ได้
หรูหราอะไร แต่ว่าก็ทำอย่างประณีตมาก อาหารทุก
จานดูจะใส่ใจทำมาก ถึงแม้จะยังไม่รู้รสชาติ แต่ว่าก็
น่าจะไม่แย่ บนโต๊ะมีเหล้าอยู่สองไห และมีถ้วยเหล้า
อยู่สองจอก ในห้องมีเตาผิง ทำให้อากาศในห้องอุ่น
มาก เลยไม่ต้องกังวลเลยว่าเหล้ามันจะเย็น
ฉีหนิงรู้สึกขำ ถึงแม้เถียนฮูหยินจะไม่ได้ถึงขนาดไม่
ควักเงินเลยแม้แต่แดงเดียว แต่ก็ไม่ใช่คนใจป้ำ ที่นาง
ยอมจัดอาหารมาเลี้ยง ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
หลังจากที่พ่อบ้านเถียนออกไปแล้ว ฉีหนิงก็ได้ยิน
เสียงฝีเท้าเดินออกมาจากฉากบังลม มีคนเดินออกมา
จากทางด้านข้าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะแล้วพูด
ว่า “โหวเยว่ ขอบคุณท่านมากที่ให้เกียรติหญิงม่าย
อย่างข้า อาหารพวกนี้ข้าเข้าครัวทำเองกับมือ ไม่รู้ว่า
จะถูกปากท่านหรือไม่ ขอโหวเยว่อย่าได้รังเกียจเลย
นะ”
นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน ชายเสื้อที่มือถกขึ้น
เล็กน้อยทำให้เห็นแขนขาวนวลของนางโผล่ออกมา
มันขาวจนไม่อาจปิดได้ มันเต็มไปด้วยเสน่ห์
นางใช้สองมือยกถ้วยน้ำแกงออกมาวางที่โต๊ะ นางยิ้ม
หวานแล้วค่อยๆ วางลง ท่าทางเหล่านั้นมันน่า
หลงใหลมาก
เขารู้ว่า เถียนฮูหยินอายุสามสิบต้นๆ หากดูจาก
ภายนอก อายุก็แค่สิบกว่าเท่านั้น แต่นางมีลูกแล้ว ไม่
เหมือนหญิงสาวทั่วไป เรื่องบางเรื่องนางก็ไม่ค่อยถือ
อีกทั้งในสายตาของเถียนฮูหยิน ถึงแม้เขาจะเป็นโหว
เยว่ แต่ก็เป็นแค่เด็กอายุไม่ถึงยี่สิบปี จึงไม่ได้กลัวอะไร
ภายในห้องอบอุ่นมาก เถียนฮูหยินก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าที่
บางมาก สะโพกอันอวบอิ่ม หน้าอกเหมือนเนินเขา
สองลูก หากสวมเสื้อน้อยหรือบางกว่านี้ คงไม่มีทาง
ปกปิดสัดส่วนได้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 274 ของขวัญตอบแทน
เสน่ห์ของเถียนฮูหยินนั้นมากล้นจนฉีหนิงแทบอดใจ
ไม่ไหว แต่เขาก็แอบโมโหตัวเองในใจ ว่าทุกครั้งที่เขา
เห็นนางก็หวั่นไหวทุกครั้งแบบนี้ มันไม่เหมาะสมเลย
“ฮูหยินทำกับข้าวเป็นด้วยหรือ?” ฉีหนิงพยายามสงบ
ใจ แล้วมองไปที่อาหารที่อยู่บนโต๊ะ เขายอมรับเลยว่า
เถียนฮูหยินใส่ใจในการทำกับข้าวพวกนี้จริงๆ เพราะ
ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้หญิง อย่างไรก็ต้องทำให้ดี
หลังจากที่เถียนฮูหยินวางถ้วยน้ำแกงลง ก็นั่งลงข้างๆ
นางยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ท่านลองชิมดู ว่ารสชาติ
ถูกปากท่านหรือไม่?”
ฉีหนิงหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบเต้าหู้ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้ว
เอาเข้าปาก รสชาติมันดีมาก เขาอดชื่นชมไม่ได้ “ฮู
หยินเต้าหู้นี่รสชาติดีมากเลย ได้กินเต้าหู้ของท่าน ถือ
เป็นบุญของข้า”
ฮูหยินตะลึงจนหน้าแดง เห็นฉีหนิงไม่มีท่าทีอะไร นาง
ก็แอบคิดในใจว่านางอาจจะคิดมากเกินไปเอง นางทำ
การค้ามาหลายปี นางสามารถจัดการทุกอย่างได้
อย่างเด็ดขาดในทุกสถานการณ์ นางยิ้มแล้วพูดว่า
“โหวเยว่ชอบก็ดีแล้ว วันนี้โหวเยว่เหนื่อยมาทั้งวัน
แล้ว ยังไม่ได้กินอะไรเลย หากถูกปาก ท่านก็กินให้
มากๆ นะ หากไม่ใช่โหวเยว่ ก็ไม่รู้ว่าเมืองหลวงจะมี
สภาพอย่างไร ข้าขอเป็นตัวแทนชาวบ้านขอบคุณโหว
เยว่”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่เถียนฮูหยินพูดจาเกรงใจแบบนี้
หากไม่ได้มีเรื่องอื่น เถียนฮูหยินคงไม่ทำแบบนี้
แน่นอน อาจจะเป็นไปได้ว่า นางคงคิดว่าเรื่องพิษ มัน
ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง
“ฮูหยินชมเกินไปแล้ว” ฉีหนิงยังคงนิ่งอยู่ เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ทั้งหมดนี้เพราะบารมีขององค์ฮ่องเต้ ไม่ใช่
ผลงานของข้าหรอก”
เถียนฮูหยินพูดว่า “ใช่ใช่ใช่ โหวเยว่พูดถูกต้องแล้ว
เป็นเพราะบารมีขององค์ฮ่องเต้” ดวงตาของนาง
งดงามมาก มันดูมีเสน่ห์และหลากหลายอารมณ์
ฉีหนิงคิดในใจว่า เถียนฮูหยินไม่เพียงเป็นหญิงงาม
แห่งเจียงหนาน แต่ยังเป็นหญิงที่มีผิวพรรณขาวเรียบ
เนียน จนน่าหลงใหล
ฉีหนิงวางตะเกียบลง เถียนฮูหยินยกจอกเหล้าให้เขา
แล้วยืนอยู่ข้างฉีหนิง นางโค้งตัวลง ฉีหนิงได้กลิ่นหอม
โชยมาจากตัวของนาง ทำให้เขาอดที่จะเหลือบไปมอง
ไม่ได้ ใบหน้าของเถียนฮูหยินนั้นงดงามมาก ร่างกาย
บอบบาง ดูก็รู้ทันทีว่าดูแลดีมาก
ฉีหนิงอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ ฉีหนิงเป็นผู้ชายทั้งแท่ง
เขามองนางจนรู้สึกทำตัวไม่ถูก
เถียนฮูหยินเหมือนจะรู้สึกถึงความผิดปกติ นางใช้หาง
ตาเหลือบไปมอง นางเห็นฉีหนิงกำลังมองหน้าอกของ
นางอยู่ นางก็ตกใจ ใบหน้าของนางเริ่มแดงขึ้น แอบ
คิดในใจว่าโหวน้อยผู้นี้เหตุใดถึงได้ลามกแบบนี้ แต่ว่า
นางเห็นว่าฉีหนิงไม่ได้มองแล้ว นางก็แอบขำ แอบคิด
ในใจว่านางคงคิดมากไปเอง เขาเป็นถึงจิ่นอีโหว
ฐานะสูงศักดิ์ อยากได้ผู้หญิงแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น จะ
มาสนใจผู้หญิงมีลูกแล้วอย่างนางได้อย่างไร นางคิด
มากเกินไปจริงๆ
นางเห็นฉีหนิงมองมาที่หน้าอกของนาง นางรู้สึกใจสั่น
มาก ตอนนี้นางคิดได้แล้ว ก็ปล่อยวางได้มากขึ้น นาง
ก็รู้สึกขำตัวเอง ฉีหนิงถึงแม้จะเป็นโหวเยว่ แต่เขาก็
แค่เด็กอายุไม่ถึงยี่สิบปี อาศัยอยู่ในจวนโหว สาวงาม
แบบไหนไม่เคยได้เห็นบ้าง นางเองอายุก็เกินสามสิบ
มาแล้ว อีกอย่างนางก็แค่แม่ค้าคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้
เป็นฮูหยินของอ๋องหรือโหวได้ อายุห่างกันขนาดนี้
เกรงว่าโหวน้อยก็คงไม่ได้สนใจหรอก
เมื่อคิดได้แบบนี้ นางก็เบาใจ หลังจากดื่มเหล้าไปแล้ว
ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ นี่เป็นเหล้าโหวเอ๋อจากซี
ชวน ท่านกินอาหารหรูหรามามาก ลองอาหาร
ชาวบ้านอย่างพวกเราดูบ้าง”
ฉีหนิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “ชาวบ้านทั่วไปอะไรกัน ไม่
มีหรอก” เขายกจอกเหล้าขึ้นจิบ แล้วดมกลิ่นของมัน
เขาดื่มมันได้ แต่ว่าก็รู้ว่า เหล้านี่มันจืดเกินไป แม้แต่
คนที่เมาง่าย ก็อาจจะไม่ชินนัก
เมื่อวางจอกเหล้าลง ฉีหนิงก็เริ่มถามเลยว่า “ฮูหยินอ
ยากรู้เรื่องของสำนักหมอหลวงใช่หรือไม่?”
หลังจากที่เถียนฮูหยินนั่งลงแล้ว นางได้ยินฉีหนิงถาม
นางแบบนี้ ก็คิดในใจว่าหนุ่มน้อยคนนี้ พูดจา
ตรงไปตรงมาดีเหมือนกัน
แต่ว่าการที่นางจัดเลี้ยงในวันนี้ ก็เพื่อถามเรื่องนี้ให้
ชัดเจน เพราะสำหรับนางแล้ว การที่สามารถทำ
การค้ากับทางสำนักหมอหลวงได้ มันคือเป้าหมาย
จริงๆ ของนาง ในเมื่อฉีหนิงเอ่ยปากมาแบบนี้ นางก็
ไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อมอีก นางยิ้มแล้วพูดว่า “โหว
เยว่ให้คนมาแจ้งว่าเรื่องทางวังหลวงเรียบร้อยดีแล้ว
ข้า...ข้ายังไม่รู้รายละเอียดเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ดัง
นั้น...เอ่อ แต่คืนนี้ก็เลยเชิญท่านมากินข้าว ก็ไม่ใช่
เพราะเรื่องนี้หรอกนะ”
ฉีหนิงรู้สึกขำมาก แต่ก็ยังพูดไปว่า “ไม่มีปัญหาอะไร
ในวังจะส่งคนไปแจ้งทางสำนักหมอหลวงให้ คิดว่า
ภายในสองวันนี้ก็น่าจะมีข่าวแจ้งมา” เขาคิดในใจว่า
ยังดีว่าเขาได้พูดเรื่องนี้กับทางหลงไท่ไปแล้ว หลงไท่
เองก็ได้พูดกับเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ไม่อย่างนั้นเขา
เองก็คงไม่รู้ว่าจะต้องพูดกับเถียนฮูหยินอย่างไร
ถึงแม้ฉีหนิงจะเป็นโหวเยว่ แต่ว่าก็ถือว่าได้มาโดย
ไม่ได้ตั้งใจ จนถึงตอนนี้ ในตัวเขาก็ไม่ได้มีชนชั้น
วรรณะอะไร ถึงแม้ฐานะของเขาจะพอมีหน้ามีตามา
บ้าง แต่ว่าเขายังไม่ได้มีความองอาจตามตำแหน่ง
ไม่อย่างนั้นจิ่นอีโหวคงไม่มานั่งกินข้าวกับหญิงม่าย
แบบนี้หรอก อีกทั้งการที่เขานั่งอยู่กับเถียนฮูหยินเขา
ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาเหนือกว่าตรงไหน ก็แค่นั่งกินข้าวกับ
ม่ายสาวคนสวยคนหนึ่งเท่านั้น
เถียนฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่าน...ท่าน
หมายความว่าร้านยาตระกูลเถียนสามารถส่งยาเข้าไป
ยังสำนักหมอหลวงจริงๆ หรือ?”
“ในเมื่อทางวังหลวงส่งคนไปแจ้งแล้ว ก็ไม่น่าจะมี
ปัญหาอะไร” ฉีหนิงยกตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง “แต่ว่า
จะประสานหรือจะอย่างไรกับทางสำนักหมอหลวง
นั่นก็เป็นเรือ่ งของทางฮูหยินเองนะ ข้าไม่สะดวกออก
หน้า อีกทั้งในวังเองก็จะมาออกหน้าแทนท่านไม่ได้
เพราะสำหรับในวังหลวงแล้ว มันเป็นเพียงเรื่องเล็ก
ไม่มีทางมาถามไถ่อีกเป็นครั้งที่สอง แต่ว่าในเมื่อทาง
วังหลวงก็ไปแจ้งให้แล้ว ทางสำนักหมอหลวงเองก็คง
ไม่ล่าช้า เจ้าเองก็สามารถไปหาขุนนางที่รับผิดชอบ
การจัดซื้อของทางสำนักหมอหลวง แล้วเจรจากับเขา
ดู”
“ข้าทราบแล้ว” เถียนฮูหยินดูตื่นเต้นดีใจมาก จากนั้น
นางก็ยกจอกเหล้าขึ้นมา “โหวเยว่ ข้าขอคารวะท่าน
หนึ่งจอก ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือร้านยาตระกูลเถีย
นของพวกเรา” พูดจบนางก็กระดกจนหมดจอก
ท่าทางการดื่มเหล้าของนางงดงามมาก
นางดื่มไปหนึ่งจอก หน้าของนางก็เริ่มแดง ในตอนนี้
นางดูงดงามมากกว่าเดิม
“ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ก็ได้” ฉีหนิงยิ้ม เห็นนาง
ดื่มเหล้าไปแล้วหน้าแดง เขาก็อดพูดไม่ได้ว่า “ฮูหยิน
ข้าช่วยเจ้าแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าควรตอบแทนข้า
หรือไม่?”
เถียนฮูหยินตะลึงไป แต่ก็ยิ้ม แล้วลุกขึ้นเดินไปที่หลัง
ฉากบังลมแล้วออกมา ในมือของนางมีกล่องเล็กๆ
ออกมาด้วย นางพูดว่า “โหวเยว่ นี่เป็นของขวัญตอบ
แทนที่ข้าเตรียมไว้ให้ท่าน ขอให้ท่านรับไว้ด้วย”
ฉีหนิงเหลือบไปมอง แล้วใช้มือสะกิดเปิดกล่อง
ออกมาดู ด้านในเป็นตั๋วเงินหลายใบ ตั๋วเงินใบแรก
ระบุว่าหนึ่งร้อยตำลึง เขายิ้ม แล้วปิดกล่องลง แล้ว
ผลักมันกลับไป “ฮูหยินคิดว่าข้าต้องการเงินแค่นี้
อย่างนั้นหรือ?”
เห็นฉีหนิงดันกล่องกลับมา เถียนฮูหยินก็ตกใจ นาง
รู้สึกลำบากใจมาก “โหวเยว่...โหวเยว่คิดว่ามันน้อย
เกินไปหรือ?” ไม่รอให้ฉีหนิงพูดอะไร นางก็เขยิบ
ขึ้นมากระซิบว่า “โหวเยว่ นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
หลังจากที่สามารถทำการค้ากับสำนักหมอหลวงได้
สำเร็จแล้ว ทุกครั้งที่ส่งยาเข้าวังหลวงไป ข้าจะแบ่ง
เงินส่วนหนึ่งส่งไปให้ท่าน”
ฉีหนิงคิดในใจว่าม่ายสาวคนสวยนีห่ ัวการค้าจริงๆ ไม่
แปลกใจเลยที่ตระกูลเถียนสามารถกลับมาได้
ของตอบแทนชิ้นใหญ่ บวกกับใช้วิธีนี้ผูกมัด
ผลประโยชน์ไว้ด้วยกัน ทำให้มันดูมั่นคงมากขึ้น
“เฮ้อ...” ฉีหนิงตั้งใจถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ฮูหยิน
เป็นคนทำการค้า ไม่แปลกที่จะคิดถึงแต่เรื่องเงิน พูด
ไปพูดมา ก็ไม่พ้นเรื่องเงินอยู่ดี เจ้าคิดว่าข้าไม่มีเงิน
อย่างนั้นหรือ?”
ก่อนหน้านี้เถียนฮูหยินคิดว่าฉีหนิงรู้สึกว่าเงินมันน้อย
เกินไป ในเมื่อสามารถเข้าไปเชื่อมความสัมพันธ์กับ
ทางสำนักหมอหลวงผ่านทางฉีหนิง นั่นมันถือเป็น
โอกาสครั้งใหญ่ที่หาได้ยากมาก นางคิดว่าหากตัด
ความสัมพันธ์กับทางฉีหนิงไปแล้ว สิ่งที่นางวางแผน
เอาไว้ก็จะหายไปด้วย เดิมทีคิดว่าการที่ให้ส่วนแบ่งฉี
หนิงไปจะทำให้เขาพอใจได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฉีหนิง
เหมือนจะไม่ได้สนใจ
นางรู้สึกโกรธมาก แอบคิดในใจว่าข้ายอมถอยให้มาก
ขนาดนี้แล้ว เจ้าเด็กตัวแสบนี่ยังไม่พอใจอีกหรือ? แต่
ว่านางก็ไม่กล้าพูดออกมา นางฝืนยิ้ม แล้วถามว่า
“โหวเยว่...โหวเยว่ต้องการอะไร ขอเพียง...ขอเพียง
ตระกูลเถียนของข้าสามารถทำได้ ข้าจะทำให้”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “สามารถทำการค้าของสำนัก
หมอหลวงได้ ร้านยาตระกูลเถียนคงทำกำไรได้มาก
เลยทีเดียว ฮูหยินก็ควรจะใจป้ำกว่านี้จริงหรือไม่? ข้า
ไม่ได้อยากได้เงิน”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 275 เขินอาย
ภายในห้องเงียบสนิท ทั้งสองคนต่างไม่พูดไม่จากัน ฉี
หนิงยังคงนิ่งอยู่ เถียนฮูหยินเองก็เริ่มรู้สึกทำอะไรไม่
ถูก นางค่อยๆ เขยิบตัวห่างออกไปแล้วเหลือบไปมอง
ฉีหนิง แล้วขมวดคิ้ว
ฉีหนิงไม่ได้พูดอะไรชัดเจน แต่ว่าเหมือนเถียนฮูหยิน
จะเข้าใจอะไรเข้าแล้ว
เดิมทีนางก็อายุห่างกับฉีหนิงมากพอสมควรอยู่แล้ว
นางจึงไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร แต่ว่าคำพูด
คลุมเครือของฉีหนิง ทำให้นางอดสะดุ้งไม่ได้
นางดูแลเรื่องการค้าการเงินทุกอย่างในเมืองหลวงที่
แสนจะวุ่นวาย ไม่เหมือนม่ายสาวทั่วไปที่ไม่ออกไป
ไหนเลย เรื่องภายนอกมากมายนางก็พอจะรู้เรื่องบ้าง
ในทางการค้านางสามารถจัดการได้ทุกอย่าง นั่น
เพราะสมุนไพรของร้านขายยาตระกูลเถียนมีแต่
สมุนไพรชั้นดี อีกทั้งยังเป็นเพราะม่ายสาวอย่างนางที่
ฉลาดด้วย
การที่ฉีหนิงพูดจาคลุมเครือแบบนี้ ทำให้นางคิดถึง
ความเป็นไปได้มากมายหลายอย่าง
นางเคยได้ยินมาว่า ขุนนางหลายคนในเมืองหลวงจะ
แอบทำเรื่องที่เสื่อมเสีย ถึงแม้หญิงสาวอายุน้อยจะ
เป็นที่สนใจของเหล่าขุนนาง แต่ว่าก็มีหลายคนที่ไม่
ชอบแบบนั้น
ฉีหนิงดูเป็นคนสุภาพ อายุก็น้อย เถียนฮูหยินไม่ได้
รู้สึกจริงๆ ว่าเขาจะแปลกประหลาดตรงไหน ตอนนี้
ได้ยินฉีหนิงพูดมาแบบนี้ นางก็นึกตกใจ ในตอนนี้ก็
ย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่ฉีหนิงมองหน้าอกของนาง ก็
รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่
เถียนฮูหยินคิดว่า ถึงแม้ว่านางจะอายุเกินสามสิบแล้ว
แต่ว่านางก็ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ดูอย่างไรก็ไม่
เหมือนคนแก่ มองจากภายนอกก็น่าจะสักประมาณ
ยี่สิบห้ายี่สิบหกเท่านั้น หากมองจากผิวพรรณ นางก็
น่าจะมีอายุแค่ยี่สิบสองยี่สิบสามเท่านั้น
ฉีหนิงจะคิดอะไรกับนาง เถียนฮูหยินก็รู้สึกว่าไม่ใช่
เรื่องแปลก แอบคิดในใจว่า หรือว่าโหวน้อยคนนี้จะมี
รสนิยมในตัวหญิงม่าย? แต่ว่าเขาเป็นถึงจิ่นอีโหว
อยากได้ผู้หญิงแบบนั้นเหตุใดจะไม่ได้ แล้วจะมาสนใจ
อะไรในตัวนาง?
เหมือนนางจะรู้สึกได้ แต่ก็ไม่แน่ใจ นางพยายามดึง
เสื้อผ้ามาปิดให้มิดชิด นางฝืนยิ้มแล้วถามว่า “โหวเยว่
...โหวเยว่หมายความว่าอะไร ข้า...ข้าโง่เขลานัก ฟังไม่
ค่อยเข้าใจเลย”
“เถียนฮูหยินเป็นคนฉลาด จะฟังไม่เข้าใจได้
อย่างไร?” ฉีหนิงคีบอาหารขึ้นมา ท่าทางของเขานิ่ง
มาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินอย่าแกล้งโง่หน่อย
เลย” พูดจบ ก็ยิ้มให้เถียนฮูหยิน
เถียนฮูหยินอึ้งไป นางก้มหน้าลง ในใจก็นึกโมโห แอบ
คิดในใจว่าเจ้าเด็กบ้านี่ลามกเสียจริง กล้าฉวยโอกาส
จะล่วงเกินนาง นางคิดในใจว่า หลังจากที่สามีของ
นางตายไปแล้ว นางก็ดูแลร้านยาตระกูลเถียนคน
เดียวมาหลายปี ความลำบากก็ผ่านมาเยอะ ผู้ชายที่
คิดอะไรกับนางก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ว่าเถียนฮูหยินไม่เคย
ให้พวกเขาได้แตะแม้แต่ปลายนิ้ว
นางกัดปาก เหมือนจะตัดสินใจเรื่องสำคัญครั้งใหญ่
น้ำเสียงของนางสั่นเครือ “โหวเยว่ การค้ากับสำนัก
หมอหลวง ข้าไม่ทำแล้ว ถึงแม้ข้าจะเป็นแม่ค้า ฐานะ
ต่ำต้อย แต่ว่า...แต่ว่าก็ไม่เคยทำการค้าโดยไม่นึกถึง
เกียรติหรือศักดิ์ศรี ครั้งนี้เกรงว่าโหวเยว่คงจะเสียแรง
เปล่า”
“ไม่ทำแล้วหรือ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วถามว่า “เป็นอะไรไป
ทำการค้ากับสำนักหมอหลวงไม่ดีหรือ?”
เถียนฮูหยินพูดว่า “ใช่ ข้ารู้สึกว่ามันไม่ดี ข้าคิดเกินตัว
ไป คิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย ตอนนี้ข้ารู้ตัวแล้วว่าข้าคิด
ง่ายเกินไป ถึงอย่างไรข้า...ข้าไม่ทำแล้ว เงื่อนไขของ
โหวเยว่ ขออภัยที่ข้าไม่อาจรับปากได้...” คิดในใจว่า
เจ้าเด็กแสบจิ่นอีโหว หากเขาคิดจะทำ คิดว่าน่าจะ
วุ่นวาย เลยพูดตัดบทไปว่า “โหวเยว่ฐานะสูงส่ง ข้า
ฐานะต่ำต้อย แต่ว่า...หากโหวเยว่คดิ จะรังแกกัน ข้า...
ข้าก็ไม่ได้กลัว”
ฉีหนิงแอบขำ เมื่อครู่เขาตั้งใจจะแหย่นาง อยากรู้ว่า
ม่ายสาวคนนี้จะยอมทำทุกอย่างเพื่อการค้าอย่างเดียว
หรือไม่ ตอนนี้ได้ยินว่านางไม่อยากจะทำแล้ว เขาก็
เริ่มนิ่ง เขาเริ่มรู้สึกดีกับนางมากขึ้น เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เถียนฮูหยิน เจ้าพูดแบบนี้ ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจ
เท่าไหร่ สำนักหมอหลวงใช่ว่าใครจะสามารถเข้าไปได้
ง่ายๆ นะ ร้านยาใหญ่ๆ ในเมืองหลวง อยากจะเข้าหา
จนตัวสั่นยังทำไม่ได้เลย แต่เจ้ามีโอกาสแต่ไม่ยอมรับ
มันไว้ เจ้ารู้ดีมากกว่าใครว่าการทำการค้ากับสำนัก
หลวงได้ มันจะได้ผลประโยชน์อีกมากมายตามมา แต่
ว่าหากเจ้าทิ้งโอกาสนี้ไป ร้านยาตระกูลเถียนจะไม่มี
วันเป็นร้านยาอันดับหนึ่งได้อีก การเสียค่าตอบแทน
นิดหน่อย เมื่อเทียบกับที่ร้านยาตระกูลเถียนจะได้รับ
เจ้าไม่คิดจะเสียสละเลยหรือ?”
“ไม่ก็คือไม่” เถียนฮูหยินรู้สึกโกรธมาก นางรู้ว่ามันคือ
โอกาส ต่อให้ฉีหนิงจะเรียกร้องเงื่อนไขอันเลวร้าย
เพียงใด เถียนฮูหยินก็ไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด ยกเว้น
เรื่องนี้เรื่องเดียว ที่นางไม่มีวันที่จะรับปาก ในใจของ
นางตัดสินใจแล้ว นางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเป็น
แม่ม่ายลูกติด จริงๆ แล้วก็ใช้จ่ายกันไม่มาก ตอนนี้ก็
พอกินพอใช้ ความหวังดีของโหวเยว่ ข้าขอรับด้วยใจ
...”
ใบหน้าของนางในตอนนี้ทั้งเศร้าแล้วก็เหมือนจน
ปัญญา มันแสดงชัดว่านางเสียดายโอกาสนี้มาก แต่ว่า
สายตาของนางยังคงมีความหนักแน่นชัดเจน
ฉีหนิงแอบชื่นชม เขารู้สึกว่าถึงแม้ม่ายสาวคนนี้จะมี
ข้อเสียอยู่ แต่ว่าคนไม่มีทางสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว แต่
ว่าในตอนนี้สิ่งที่นางแสดงออกมานั้นมันกลบข้อเสีย
ของนางไปจนหมดสิ้น เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินน
ท่านช่างขี้เหนียวจริงๆ เลย ข้าแค่อยากจะกินข้าว
หลายมื้อหน่อย ท่านก็ไม่ยินดี? เงินที่เจ้าเสนอมา ก็
เกือบหนึ่งพันตำลึง ข้าแค่อยากจะขอแลกกับการให้
เจ้าลงมือทำกับข้าวให้ข้ากินด้วยตัวเองก็ไม่ได้อย่าง
นั้นหรือ?”
เมื่อครู่เถียนฮูหยินกำลังโกรธมาก แอบหวังว่าอยาก
ให้เขารีบกลับไปให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่กล้าไล่เขา แต่พอ
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็เงยหน้าขึ้นมา สายตาของนางดู
แปลกใจ นางถามว่า “โหวเยว่ท่านว่าอะไรนะ?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หรือว่าฮูหยินไม่รู้ ตอน
ท่านพ่อของข้ายังอยู่ ท่านไม่เคยรับสินบนเลย ครั้งนี้
ข้าช่วยเจ้าติดต่อกับทางสำนักหมอหลวง ที่จริงแล้วก็
แค่ช่วยพูดเท่านั้น ไม่ได้ต้องเกรงใจขนาดนี้ หากต้อง
รับเงินจากเจ้า ข้าเองคงไม่สบายใจ อีกทั้งข้าก็แค่พา
เจ้าไปส่งที่หน้าประตูของสำนักหมอหลวงเท่านั้น แต่
จะเข้าไปยังไง มันก็เป็นเรื่องของเจ้าเอง ดังนั้นไม่ว่า
จะเป็นตั๋วเงินพวกนี้หรือส่วนแบ่งอะไร เจ้าก็ไม่
จำเป็นต้องเตรียมให้ข้าหรอกนะ”
“โหวเยว่ ท่าน...” สมองของเถียนฮูหยินเริ่มมึนงงแล้ว
ฉีหนิงพูดว่า “ฝีมือของฮูหยินยอดเยี่ยมมาก ข้าชอบ
รสชาติของมันมาก คิดในใจว่าหากต่อไปคิดอยากจะ
กินอีก จะไปหากินได้จากที่ไหน? ดังนั้นในเมื่อข้าช่วย
เจ้า ต่อไปหากข้าอยากจะกินรสชาติแบบนี้อีก หวังว่า
ฮูหยินจะยินดีลงครัวทำให้ข้ากินได้ แต่ว่า...เฮ้อ ฮู
หยินเหมือนจะไม่ยินดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องถึงขึ้น
จะไม่ทำการค้าหรอกกระมัง?”
เถียนฮูหยินตะลึงไป จากนั้นนางก็ยิ้มด้วยความดีใจ
“โหวเยว่แค่อยากกินอาหารพวกนี้หรือ?”
“แล้วท่านคิดว่าข้าจะเรียกร้องอะไรหรือ?” ฉีหนิง
แกล้งทำเป็นตกใจ
เถียนฮูหยินเหมือนกับยกภูเขาออกจากอก นางรู้สึก
ผ่อนคลายลง ใบหน้าของนางเริ่มแดง แอบคิดในใจว่า
ตัวเองคิดมากเกินไป โหวน้อยยังไม่ได้คิดไปถึงเรื่อง
อย่างว่าเลย ตัวนางกลับคิดเลยเถิดไปถึงเรื่องนั้น มัน
ไม่ควรเลยจริงๆ
นางรู้สึกอายมาก หน้าของนางแดงไปถึงใบหู นางพูด
อย่างกระอักกระอ่วนว่า “ข้าคิดมากเกินไปเอง โหว
เยว่...”
ฉีหนิงเห็นท่าทางของนางเป็นแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะ
พูดว่า “ฮูหยินคงไม่ได้...เฮ้อ ฮูหยิน เจ้า...เฮ้อ ข้าจะ
เป็นคนแบบนั้นได้อย่างไรกัน ฮูหยิน...เจ้าทำข้าอาย
ไปหมดแล้วนะ”
เถียนฮูหยินเขินอายหนักกว่าเดิม เห็นฉีหนิงนั่งเอามือ
กอดอก นางก็อดขำออกมาไม่ได้ นางพูดว่า “โหว
เยว่อยากกินอาหารที่ข้าทำ จะมากินทุกวันเลยก็ได้”
นางอารมณ์ดีมากๆ จึงล้อเล่นกับเขาอีกว่า “โหวเยว่
จะให้ข้าไปเป็นแม่ครัวที่จวนท่านเลยก็ได้นะดี
หรือไม่?”
“ไม่ได้หรอก” ฉีหนิงส่ายหัวยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อครัวใน
จวนมีหลายคนแล้ว จวนจิ่นอีโหวของข้าธรรมดาเรียบ
ง่าย ไม่ได้ร่ำรวยมาก มืออย่างฮูหยิน หากเชิญไปเป็น
แม่ครัวที่จวน คิดว่าเงินเดือนของพ่อครัวห้าหกคน
รวมกันคงไม่พอมาจ่ายให้เจ้าหรอก”
เถียนฮูหยินเห็นเขาพูดมาแบบนี้ ก็อดหัวเราะออกมา
ไม่ได้
บรรยากาศภายในห้องเริ่มกลับมาดีขึ้น
ฉีหนิงพูดว่า “ฮูหยินยังจะทำการค้าต่ออยู่หรือไม่?”
“ทำสิ” เถียนฮูหยินหัวเราะไม่หยุด นางยิ้มหน้าบาน
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ช่วยข้ามากขนาดนี้ ข้าจะไม่รับ
น้ำใจของท่านได้อย่างไร?”
ฉีหนิงหัวเราะร่า แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เรื่อง
หลังจากนี้ฮูหยินก็จัดการได้เลยนะ หากมีเรื่องอะไร ก็
ไปหาข้าที่จวนโหวก็แล้วกัน ห่างกันแค่สองซอยเอง”
เถียนฮูหยินรีบพูดว่า “บุญคุณของโหวเยว่ ตระกูล
เถียนจะไม่มีวันลืม” ในใจของนางก็ยังเห็นแก่เงินอยู่
พอรู้ว่าตัวเองเข้าใจฉีหนิงผิด ก็เบาใจลง แอบคิดในใจ
ว่าฉีหนิงไม่รับทั้งเงินทั้งส่วนแบ่ง ประหยัดไปได้เยอะ
คิดแล้วก็ดีใจ นางลุกขึ้นแล้วรินเหล้าให้ฉีหนิงอีก
ถึงแม้เหล้าจะไม่ได้แรงมาก แต่ว่าเถียนฮูหยินไม่ได้คอ
แข็งมาก ไม่นานนักหน้าของนางก็แดงขึ้นมาราวกับ
ดอกไม้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 276 สูตรยา
ลมพัดโชยมา แต่ว่าภายในห้องนั้นยังอบอุ่นเช่นเคย
เหล้ากับนารี หลังจากได้เหล้าลงท้องไปแล้ว ฉีหนิงก็
รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก
เถียนฮูหยินอารมณ์ดีไม่น้อย นางดื่มไปหลายจอก แต่
เพราะนางคอไม่แข็งพอ ไม่เพียงหน้าของนางแดง
เท่านั้น แต่ว่าท่าทางของนางตอนเมายังดูมีเสน่ห์มาก
อีกด้วย
“ฮูหยิน ร้านยาตระกูลเถียนทำการค้าแค่ในเมือง
หลวงเท่านั้นหรือ?” ฉีหนิงนั่งมองเถียนฮูหยิน
ถึงแม้เขาจะชอบม่ายสาวคนนี้มากๆ แต่ว่าเขาก็รู้ว่า
เถียนฮูหยินเป็นคนรักนวลสงวนตัวมาก จึงไม่คิดเกิน
เลยมาก
“หลักๆ ก็เส้นเมืองหลวง” เถียนฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า
“ร้านยาในเมืองหลวงมีมาก เส้นทางการค้าขายก็ดี
ถึงแม้จะมีร้านยาคู่แข่งเป็นสิบ แต่ว่าร้านยาของข้ามี
สมุนไพรหลายตัวที่ส่งมาจากซีชวน สมุนไพรที่มาจาก
ซีชวนส่วนมากจะเป็นสมุนไพรชั้นดีและหายาก ดังนั้น
การค้าของพวกเราในเมืองหลวง ก็เลยยังสามารถเดิน
ต่อไปได้”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง
สามารถบริหารการค้าใหญ่ขนาดนี้ได้ ไม่ง่ายเลยนะ”
เถียนฮูหยินถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใช่ ตอนนั้นข้าคิด
อยากจะพาลูกสาวกลับไปยังหลันเจียง แต่ว่ามีหนี้
จำนวนมาก อีกทั้งคนที่ตามเขามาในตอนนั้นมีเป็นสิบ
คน มีครอบครัวในเมืองหลวงกันหมดแล้ว หากทิ้งไป
ไม่สนใจพวกเขาเลย แล้วพวกเขาจะอยู่กันอย่างไร
เล่า?”
ฉีหนิงรู้ว่าเถียนฮูหยินเป็นคนเมืองหลันเจียงที่ซีชวน
“เขา” ที่นางพูดถึง ก็น่าจะหมายถึงสามีที่ถูกสังหาร
ตายระหว่างเดินทางขนยาสมุนไพร
“วันนี้มีขนาดนี้ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า
“ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว ไม่ค่อยมีการค้ากับ
บริเวณใกล้เมืองหลวงเลยหรือ?”
เถียนฮูหยินพูดว่า “ทางเหนือของเมืองหลวงไม่มี แต่
ว่าหลังจากข้ามแม่น้ำไปแล้ว ลงใต้มีสมาคมการค้าที่
ซื้อของจากเราอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้มาก” นางยิ้มแล้ว
พูดว่า “ที่ร้านยาตระกูลเถียนรอดมาได้ ตอนนั้นข้า
ยอมหั่นราคาลงมาพอสมควร ตอนนั้นทางสมาคม
การค้าเกือบจะไล่พวกเราออกจากเมืองหลวงไป
เพราะเรื่องนี้ด้วย พวกเขาบอกว่าพวกเราทำให้ราคา
ตลาดเสีย ต่อมาพวกเราไม่มีทางเลือก จึงอนุญาตห
พวกเราเป็นร้านเดียวที่ขายราคาต่ำที่สุด ส่วนร้าน
อื่นๆ ต้องทำตามกฎ”
“อ๋อ?”
“เดิมทีการตั้งราคาต่ำ เพื่อให้ได้ลูกค้ามา ต่อมาตัวยา
ขึ้นราคา พวกเราจึงนำเข้าสมุนไพรน้อยลง ยาที่มีแค่
ในร้านของพวกเราเองก็ไม่ได้กำไรมาก บางครั้งก็
ขาดทุน” เถียนฮูหยินแสดงสีหน้าเศร้าใจ
“ในเมื่อเป็นยาที่มีเฉพาะ เพิ่มราคาให้สูงขึ้นก็ได้แล้ว
ไม่ใช่หรือ”
“ไม่ได้หรอก” เถียนฮูหยินส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หาก
ขึ้นราคา ลูกค้าก็จะไม่ซื้อยาตัวอื่นจากของพวกเราไป
ด้วย ตอนนี้ อย่างน้อยก็ยังพอได้เงินมาบ้าง คนในร้าน
ยาตระกูลเถียนอย่างน้อยก็ไม่อดตาย”
ฉีหนิงพยักหน้า คิดแล้วพูดว่า “ฮูหยิน จริงๆ แล้วข้ามี
เรื่องอยากจะตกลงกับเจ้า ข้าคิดดูแล้ว ร้านยา
ตระกูลเถียนของพวกเจ้าน่าจะเหมาะสมที่สุด”
“อ๋อ?” เถียนฮูหยินดูตื่นเต้นมาก นางถามด้วยความ
สงสัยว่า “โหวเยว่หมายถึงเรื่องอะไรหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ามีสูตรยาอยู่ตัวหนึ่ง สรรพคุณ
ไม่เลวเลย สามารถรักษารอยแผลบนตัวได้ ไม่เพียง
ฟื้นตัวได้เร็ว อีกทั้งยังไม่หลงเหลือริ้วรอยไว้ด้วย”
ช่วงนี้ฉีหนิงเกี่ยวข้องกับร้านยาบ่อยมาก พอเริ่มเข้าใจ
สายธุรกิจนี้บ้างแล้ว อย่างตัวยาที่เขามี นอกจากชาว
ยุทธ์แล้ว คนธรรมดาทั่วไปแทบจะไม่มี อีกทั้งยาที่
เหล่าชาวยุทธ์ใช้กันนั้นเป็นของชั้นดี ชาวบ้านทั่วไปไม่
มีทางซื้อหามาได้แน่นอน
ยาของจวนเสินโหวเป็นยาที่ดีมาก แต่ว่าต้นทุนสูงมาก
อีกทั้งมีใช้เฉพาะคนในจวนเท่านั้น
ถังนั่วฝีมือไม่ธรรมดา ยาของนางต้องดีแน่นอน ที่
สำคัญที่สุด สมุนไพรที่ใช้มาปรุงนั้นก็ไม่ได้หายาก
ต้นทุนไม่สูงเลย
สามารถปรุงยาที่ใช้ต้นทุนที่ต่ำมากมาผลิตยาที่มี
สรรพคุณดีมาก ฉีหนิงรู้ทันทีว่าไม่เพียงแค่ชาวบ้านที่
จะมีบุญ ยังเป็นช่องทางที่สามารถได้เงินมาเป็น
จำนวนมากด้วย
ถังนั่วเอาสูตรยาให้เขามานานแล้ว ฉีหนิงไม่เคยบอก
ใครมาก่อน เขาเก็บมันไว้กับตัวเหมือนสมบัติล้ำค่า
เขาเคยคิดอยากจะใช้มันเป็นของขึ้นชื่อของหย่งอันถัง
แต่คิดๆ ดูแล้ว หย่งอันถังเปิดกิจการในเมืองหลวงมา
นานหลายปี รายรับก็ได้มากอยู่ แต่ว่ารายจ่ายก็มีไม่
น้อยเช่นกัน ฉีหนิงรู้แล้วว่าสถานภาพทางการเงินของ
จวนจิ่นอีโหวไม่ได้ดีมาก เพราะอย่างนี้ จวนโหวถึงได้
มีร้านค้าเป็นของตัวเองสองร้าน เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับ
ทางจวนโหว
ตอนแรกร้านยาก็ไม่ได้ทำใหญ่โตมาก อีกทั้งก็ไม่ได้คิด
จะปรุงยาวิเศษอะไรขึ้นมา แค่เปิดมาเพื่อเพิ่มรายได้
เพียงเท่านั้น
ดังนั้นถึงแม้ร้านหย่งอันถังจะมีชื่อเสียง แต่ว่าด้านยา
สมุนไพรก็มีจำกัด หลายคนรู้ว่าร้านหย่งอันถังเป็น
ของจวนจิ่นอีโหว ทางสมาคมการค้าเองก็ไม่ได้เข้ามา
ยุ่ง แต่ก็ไม่ได้ดูแลอะไรมากนัก ปล่อยไปตามมีตาม
เกิด
ฉีหนิงรู้ว่าหากให้ทางหย่งอันถังขายยารักษาแผลที่
ถังนั่วให้มา ร้านหย่งอันถังอาจจะมีชื่อเสียงมากขึ้น
แต่ว่าขอบเขตการขายมันก็จะแคบมาก
เมื่อมีเส้นทางการขายที่ดี จำนวนการสั่งซื้อก็จะมี
จำนวนมากขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นก็จะถือว่ารับประกัน
รายได้แน่นอน ก็จะต้องมีห้องปรุงยาเฉพาะ อีกทั้งยัง
ต้องมีคลังสมุนไพรจำนวนมาก ทั้งคนและแรงก็
จะต้องมีมากตามไปด้วย ถ้าเช่นนั้นไม่เพียงจะต้อง
ขยายกิจการให้กว้างมากขึ้น หย่งอันถังก็จะต้องเสีย
ค่าใช้จ่ายส่วนนั้นมากขึ้นไปอีก
แค่เหตุผลนี้ ฉีหนิงจึงยังไม่กล้าวู่วามที่จะปรุงยาตัวนี้
ออกขาย
วันนี้นึกขึ้นมาได้ว่า หากให้ร้านยาตระกูลเถียนเป็นคน
ทำขาย น่าจะเหมาะสมกว่าหย่งอันถังมาก
ร้านยาตระกูลเถียนไม่เหมือนร้านขายยาทั่วไป
กลุ่มเป้าหมายของร้านขายยาคือคนป่วย แต่
กลุ่มเป้าหมายของร้านยาคือเหล่าร้านขายยา ผู้ป่วย
จะไปซื้อยาจากร้านขายยา ส่วนร้านยาก็จะต้องมาหา
ซื้อยาจำนวนมากจากร้านยา ซึ่งก็จะได้ปริมาณที่
มากกว่า
ฉีหนิงถามว่า ร้านยาตระกูลเถียนมีคู่ค้านอกเมือง
หลวงหรือไม่ รู้ว่าทางเหนือนั้นไม่มี แต่ก็รู้ว่าขอบเขต
ของร้านยาตระกูลเถียนนั้นกว้างกว่าหย่งอันถังมาก
ในใจก็มีแผนขึ้นมา
เถียนฮูหยินเห็นฉีหนิงคุยเรื่องสมุนไพรขึ้นมา ก็แปลก
ใจ แล้วถามว่า “โหวเยว่ท่านมีสูตรยารึ?” จริงๆ แล้ว
นางก็ไม่ได้ตื่นเต้นมากเท่าไหร่ คิดว่าน่าจะเป็นแค่ยา
รักษาแผลทั่วไป
นางทำการค้ามานานหลายปี รู้เรื่องสมุนไพรเป็น
อย่างดี ยารักษาภายนอกเป็นอะไรที่นางเจอบ่อยมาก
ฉีหนิงจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่หย่งอันถังให้นางฟัง เรื่อง
ที่มีเด็กคนหนึ่งถูกน้ำมันลวก แผลพุพอง แล้วใช้ยาตัว
นี้รักษา ไม่เกินสองวันก็หายขาด อีกทั้งยังไม่มี
แผลเป็นหลงเหลืออยู่เลย
เถียนฮูหยินตะลึงไป นางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “โหวเยว่
ท่าน...ท่านพูดจริงหรือไม่?”
นางรู้ว่า หากยาที่ฉีหนิงพูดมีสรรพคุณดีแบบนั้นจริง
ก็น่าจะเป็นของล้ำค่าเลย
ในสายร้านยา เถียนฮูหยินรู้ดีมากกว่าใคร นางรู้ว่า
หากสามารถปรุงยาตัวใหม่ออกมาขาย แล้วมี
สรรพคุณดี ร้านยาก็จะอยู่รอดได้อย่างสบายๆ
หย่งอันถังไม่เคยเข้าร่วมการแข่งขันการค้าอะไรเลย
แต่ว่าเถียนฮูหยินรู้จักร้านขายยาในเมืองหลวง
มากกว่าร้อยแห่ง ทุกร้านต่างแอบแข่งขันกันอย่าง
ลับๆ ร้านขายยาที่มีอิทธิพลต่อสมาคมมากที่สุด
มักจะเป็นร้านที่มีสูตรยาเป็นของตัวเอง
ฉีหนิงบอกว่าในมือของเขามีสูตรยา ทำให้เถียนฮูหยิ
นตกใจมาก และก็สงสัยมากด้วย
ฉีหนิงมองออกว่านางกำลังสงสัย เขายิ้มแล้วพูดว่า
“หากฮูหยินไม่เชื่อ ก็ไม่เป็นไร”
“ในเมื่อโหวเยว่บอกว่ามี ก็ต้องมีแน่นอน” เถียนฮู
หยินเป็นคนทำการค้า เมื่อฉีหนิงพูดถึงสูตรยา ก็แสดง
ว่าเขาจะต้องมีเป้าหมายแล้วก็เหตุผลบางอย่าง นาง
ยิ้มแล้วพูดว่า “เหตุใดโหวเยว่ถึงได้พูดถึงสูตรยาขึ้นมา
เล่า?”
ฉีหนิงก็ไม่พูดอ้อมค้อม เขาถามกลับไปว่า “ฮูหยิน
หากข้าให้พวกเจ้าเป็นคนผลิตและขายยาตัวนี้ เจ้าจะ
จัดการทำอย่างไร?”
“หา?” ร่างกายของเถียนฮูหยินเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา มัน
ปกปิดความตื่นเต้นของนางเอาไว้ไม่อยู่ แต่ก็พยายาม
นิ่งเอาไว้
นางไม่ใช่ผู้หญิงใสซื่อบริสุทธิ์ เดิมทีก็เป็นคนฉลาดอยู่
แล้ว ในสองปีมานี้นางสู้มาทุกรูปแบบ ได้ฟังได้ยิน
อะไรมาก็เยอะ นางเริ่มนึกถึงความเป็นไปได้หลาย
อย่างมาในตอนนี้
นางแน่ใจว่า คำถามที่ดูไม่มีอะไร แต่มันเหมือนการ
ทดสอบนางครั้งใหญ่ หากผ่านการทดสอบนี้ไปได้
นางอาจจะได้ของขวัญชิ้นใหญ่เลยก็ได้
เถียนฮูหยินไม่ได้รีบตอบในทันที นางคิด แล้วค่อยๆ
พูดขึ้นมาว่า “หากโหวเยว่มีสูตรยาจริง ก่อนอื่นเลยก็
ต้องเก็บรักษาให้เป็นความลับก่อน ในขั้นตอนในการ
ปรุงยา จะต้องแยกออกเป็นหลายส่วน เพื่อไม่ให้ใครรู้
ได้ว่าสูตรทั้งหมดมันเป็นมาอย่างไร เมื่อปรุงยาออกมา
ได้แล้ว ก็ต้องทดสอบก่อน หากได้ผล ก็ค่อยลอง
เจรจากับทางกลุ่มลูกค้า อีกทั้งสามารถนำสินค้า
ตัวอย่างให้พวกเขาไปลองขายดู”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เถียนฮูหยินก็นิ่งไป เห็นฉีหนิงนิ่งไม่รู้
ว่าเขาคิดอะไร นางก็พูดต่อไปว่า “หากขายได้ดี ก็
สามารถกำหนดราคาขาย แล้วขายให้กับเหล่าร้าน
ขายยา ให้พวกเขานำไปขายในร้านของพวกเขา
ถึงแม้การทำแบบนี้จะได้ราคาต่ำกว่า แต่ว่าหากมีร้าน
ขายยาหลายร้านที่สนใจ ก็จะได้กำไรมากกว่าขายอยู่
ร้านเดียว” พูดจบ ในใจนางก็รู้สึกหวาดกลัว นางมอง
ไปที่ฉีหนิง แล้วถามว่า “โหวเยว่ ท่านว่า...ทำแบบนี้
ได้หรือไม่?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ร้านยาตระกูลเถียนของพวกเจ้า
สร้างห้องปรุงยาเองได้หรือ?”
เถียนฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ได้แน่นอน อีกทั้งร้านยา
ตระกูลเถียนของพวกเราใช้สมุนไพรในร้านของตัวเอง
ในการปรุงยา ต้นทุนก็จะต่ำลงไปอีก”
ฉีหนิงคิดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบสูตรยาที่เขาพกติด
ตัวเอาไว้มาวางบนโต๊ะ แล้วพูดว่า “นี่เป็นสูตรยา ก็
ทำตามที่เจ้าบอกมาเมื่อครู่ก็แล้วกัน แน่นอนว่า หาก
เจ้าทำผิดพลาดขึ้นมา สูตรยานี้ข้าก็จะเอากลับคืนมา
ทันที”
ความหมายการเอาสูตรยาคืน นั่นหมายความว่าร้าน
ยาตระกูลเถียนก็จะไม่มีสิทธิในการผลิตยานี้ต่อไปได้
อีก
เถียนฮูหยินมองไปที่สูตรยาที่อยู่บนโต๊ะ เพราะนาง
ตื่นเต้นเกินไปทำให้ตัวของนางสั่นเทิ้มไม่หยุด นาง
ลังเลไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หยิบสูตรยามาดู สายตาของ
นางดูมีความสุขอย่างยิ่ง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 277 ถ้ำเฮยเหยียน
เมื่อฉีหนิงกลับไปถึงจวนโหว ถังนั่วก็ได้กลับมาแล้ว
ครั้งนี้เพื่อหาวิธีถอนพิษ ถังนั่วเสียแรงเสียกำลังไปมาก
คงต้องพักหลายวันหน่อย
ต้วนฉางไห่กับจ้าวอู๋ซัง ที่ออกไปตามหาตัวเขา จน
ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเสียที เขาจึงสั่งให้คนออกไปตาม
หาพวกต้วนฉางไห่
ยังดีที่องครักษ์ของจวนจิ่นอีโหวมีสัญลักษณ์ของ
ตัวเอง หลังจากออกนอกเมืองไปแล้ว จะทิ้ง
สัญลักษณ์ให้คนตามหาได้ง่ายๆ
ภัยพิบัติที่เกือบจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่
สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน แต่หลังจากผ่านวันนี้ไปแล้ว
ก็ถือได้ว่าผ่านเรื่องแย่ๆ ไปแล้ว เป็นเช่นนี้จึงทำให้ฉี
หนิงผ่อนคลายลงได้ คืนนี้ถือได้ว่าสามารถหลับได้
อย่างสบายใจเสียที
วันต่อมา ในวังหลวงส่งคนมาเรียกตัวฉีหนิงไปเข้าวัง
ฉีหนิงเตรียมตัวเสร็จแล้วจึงรีบเข้าไปในวังหลวง ในใจ
ก็คิดว่าฮ่องเต้คงคิดอยากจะรู้ความคืบหน้าของพิษ
ระบาด
หลังจากที่เข้าวังไปแล้ว ก็ตรงไปยังห้องทรงอักษร เขา
พบว่าในห้องทรงอักษรมีคนถึงสิบกว่าคน จงอี้โหว
และไหวหนานอ๋องก็อยู่ในนั้นด้วย
เมื่อฉีหนิงมาถึง หลูเซียวซื่อหลางของกรมกลาโหมยืน
อยู่ในนั้นด้วย เหมือนกำลังจะรายงานอะไรบางอย่าง
อยู่ หลังจากที่ฉีหนิงเข้ามา ทุกคนก็มองไปยังฉีหนิง
ฉีหนิงมองไปที่ชายอายุประมาณห้าสิบที่ยืนอยู่
ด้านหน้าหลูเซียว มีหนวดเครา ร่างกายผอมสูง
หน้าตาของเขาดูหล่อเหลา เหมือนคุ้นหน้า ดูๆ ไป
แล้วหน้าตาของเขาก็คล้ายกับโต้วเหลียนจงมาก คิด
ในใจว่าหรือว่าเขาคือเสนาบดีกรมคลังโต้วขุ่ย?
เห็นฉีหนิงเดินเข้ามา สายตาของหลงไท่ก็เป็นประกาย
แต่ว่าท่าทางของเขายังนิ่งอยู่ หลังจากฉีหนิงถวาย
พระพรไปแล้ว ก็ไปยืนอยู่ด้านหังจงอี้โหวเหมือนครั้งที่
แล้ว แต่ครั้งนี้ไม่เห็นหน้าของอู่เซียงโหวซูเจิน เขาคิด
ในใจว่าเมื่อวานแจกจ่ายยาถอนพิษไป คิดว่าอู่เซียง
โหวน่าจะได้รับยาถอนพิษไปแล้ว ตอนนี้ก็น่าจะ
กลับไปพักที่บ้าน
ไม่มีใครพูดอะไรเลย หลงไท่มองเหมือนสั่งให้หลูเซียว
พูดต่อไป หลูเซียวถึงได้พูดต่อว่า “หากไม่รีบกวาด
ล้าง เกรงว่าจะทำให้ถ้ำเหมียวอื่นก่อความวุ่นวายได้
กระหม่อมเห็นว่า ควรจะเชือดไก่ให้ลิงดูพะยะค่ะ”
ฉีหนิงคิดว่าหลูซื่อหลางคิดจะกำจัดพรรคบัวดำอีก
แล้ว เขานึกในใจว่าเขานี่ก็อุดมการณ์หนักแน่นมาก
แต่ว่าการที่อาเหน่าถูกชิงตัวไปจากจวนเสินโหว ก็ทำ
ให้กระทบต่อราชสำนักมาก อีกทั้งยังมีเหตุผลมาก
พอที่จะทำให้หลูเซียวเสนอการส่งทหารไป
เขาอดไม่ได้ที่เหลือบไปมอง เห็นซีเหมินอู๋เหิงยืนอยู่
หลังตัวเอง ท่าทางของเขานิ่งมาก เมื่อมองไป เขาเห็น
ซีเหมินอู๋เหิงกำลังมองมาที่เขาพอดี ซีเหมินอู๋เหิงยิ้ม
บางๆ ฉีหนิงฝืนยิ้มตอบ แต่ในใจก็คิดว่าครั้งนี้ข้าถูก
จับตัวไปจากจวนเสินโหว เจ้าไม่คิดจะเอาของขวัญมา
เยี่ยมที่จวนเลยหรือ?
“จงอี้โหว ท่านก็คิดว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการแบบนี้
หรือ?” ฉีหนิงได้ยินหลงไท่พูดขึ้นมา
จงอี้โหวพูดว่า "ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า หากไม่ถึง
ที่สุดก็ไม่ควรใช้กำลังทหาร ชาวหัวเหมียวถ้ำเฮยเห
ยียนเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองถ้ำ ถือเป็นถ้ำที่มีกำลังมาก
ที่สุดถ้ำหนึ่ง หลายปีก่อนก็เคยสร้างผลงานให้กับราช
สำนักมาก่อน ครั้งนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ควรจะส่งคน
ไปสืบหาความจริงก่อนดีหรือไม่พะยะค่ะ?
ฉีหนิงตะลึงไป เดิมทีเขาคิดว่าหลูเซียวพูดถึงการส่ง
ทหารไปกวาดล้างพรรคบัวดำ แต่ว่าความหมายของ
จงอี้โหว เหมือนจะไม่ใช่ แต่เป็นชาวหัวเหมียวหนึ่งใน
ชนเผ่าของถ้ำเฮยเหยียน
เขารู้ว่าพรรคบัวดำก่อตั้งโดยชาวเฮยเหมียว แล้วชาว
หัวเหมียวนี่มาจากไหนอีก?
“ท่านเหล่าโหว ฎีกาก็ถวายขึ้นมาแล้ว ข้าน้อยคิดว่า
เรื่องนี้ชัดเจนพอแล้ว” หลูเซียวพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไร
ก็ตาม การสังหารขุนนางราชสำนัก ก็ถือว่าเป็นการ
ก่อกบฏ หากราชสำนักปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป ชาวเผ่า
ถ้ำอื่นๆ ก็อาจจะทำตามได้ อีกทั้งพรรคบัวดำก็ยังคอย
ยุยงตลอด อาจจะเป็นภัยภายหลังได้ กับคนป่าเถื่อน
พวกเราต้องเหี้ยมโหด การกวาดล้างถ้ำเฮยเหยียน ถือ
เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ชาวถ้ำอื่นๆ จะได้หวาดกลัว”
ฉีหนิงอึ้งตะลึงไป แอบคิดในว่าที่แท้ก็ชาวหัวเหมียว
ของถ้ำเฮยเหยียนก็สังหารขุนนางราชสำนักนี่เอง
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เขาอดไม่ได้จะถามไปว่า “ใต้เท้า
หลู ถ้ำเฮยเหยียนสังหารขุนนางราชสำนัก ท่านมี
หลักฐานหรือไม่?”
หลูเซียวรู้ว่าฉีหนิงเพิ่งมา ไม่รู้เรื่องสนทนาของก่อน
หน้านี้ เขาพยักหน้า แล้วพูดกับหลงไท่ว่า “ฝ่าบาท สู่
อ๋องส่งคนมาชี้แจงเรื่องนี้แล้ว จะทรงเรียกมาเข้าเฝ้า
เพื่ออธิบายหรือไม่?”
หลงไท่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ให้เขาเข้ามา”
จากนั้นขันทีก็นำคนส่งสารจากสู่อ๋องเข้ามายังห้อง
ทรงอักษร หลังจากที่เขาเข้ามาแล้ว เขาก็ไม่กล้าเงย
หน้าเลย เขาคุกเข่าลง แล้วพูดว่า “กระหม่อมจิ่นกวน
เสี้ยวเว่ยฉวี่กวนเฟิง ถวายพระพรฝ่าบาท ขอทรงพระ
เจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี” จากนั้นเขาก็ก้มหัวลง ก้น
ของเขากระดกขึ้นมา ท่าทางของเขาในเวลานี้ดู
เหมือนกบที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเขาเข้ามา ฉีหนิงมองหน้าเขาปราดเดียวก็จำได้
ทันที ฉวี่กวนเฟิงคือคนที่เขาเจอระหว่างทางที่กลับมา
เมืองหลวงครั้งที่แล้ว เขาคือทหารซีชวนที่เขาเจอใน
ร้านเหล้าวันนั้น
“ฉวี่กวนเฟิง เรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำเฮยเหยียน เจ้าเล่ามา
อย่างละเอียดสิ” หลูเซียวพูด “หากเล่าไม่ละเอียด
หรือหลุดไป เจ้าโดนลงโทษแน่นอน”
ฉวี่กวนเฟิงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เขาก้มหน้าพูดว่า
“กระหม่อมไม่กล้าปกปิดแต่อย่างใด ทูลฝ่าบาท ถ้ำ
เฮยเหยียนตั้งอยู่ที่เขาเฮยเหยียนของถ้ำของชาวหัว
เหมียว มีทั้งหมดหกค่าย ทั้งหกค่ายรวมกันมีจำนวน
หกพันเจ็ดพันคน”
หลูเซียวพูดว่า “ไม่ต้องอธิบายพวกนี้ หลายปีก่อนถ้ำ
เฮยเหยียนสร้างผลงานให้กับราชสำนัก ทางเราก็ปูน
บำเหน็จไปให้ อีกทั้งยังยกเว้นภาษีให้อีกห้าปี”
จากนั้นเขาก็เหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า “เรื่องนี้
ราชสำนักรู้ดี จิ่นอีโหวรู้เรื่องนี้ดีที่สุด”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดว่าข้าไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อนี้มา
ก่อน แล้วจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? มันเกี่ยวอะไรกับข้า
ด้วย?
จงอี้โหวพูดขึ้นมาว่า “เหตุใดชาวเฮยเหยียนต้อง
สังหารขุนนางราชสำนักด้วย?”
ฉวี่กวนเฟิงพูดว่า “ถ้ำเฮยเหยียนสร้างผลงานให้กับ
ราชสำนัก ก็รู้สึกหยิ่งผยองมาตลอด ไม่เพียงไม่เห็น
ชาวเผ่าเหมียวอื่นอยู่ในสายตา แม้แต่ขุนนางราช
สำนักเอง พวกเขาก็ไม่ได้สนใจ” เขาหยุดไป แล้วพูด
ขึ้นมาว่า “ราชสำนักยกเว้นภาษีให้ห้าปี แต่พอ
หลังจากห้าปีแล้ว พวกเขาก็ยื้อมาหลายปีไม่ยอมเสีย
ภาษีเสียที ขุนนางท้องที่ก็ไม่กล้าว่าอะไรพวกเขา”
ไหวหนานอ๋องพูดว่า “การเก็บภาษี เป็นหน้าที่ของขุน
นาง หากไม่ยอมเสียภาษี ก็เท่ากับกบฏ เหตุใดพวก
เขาถึงไม่กล้าว่าอะไร?”
ฉวี่กวนเฟิงลังเล แล้วพูดว่า “เพราะ....เพราะเกรงใจ
จิ่นอีโหว...”
ทุกคนมองไปที่ฉีหนิง แม้แต่ฮ่องเต้น้อยหลงไท่เองก็
มองไปที่เขาเหมือนกัน ฉีหนิงเดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่
เกี่ยวอะไรกับเขา จึงไม่พูดอะไร แต่คิดไม่ถึงเลยว่า
ฉวี่กวนเฟิงกลับโยงเรื่องนี้มาที่จิ่นอีโหว เขาอดไม่ได้
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับจิ่นอีโหว?”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่คงไม่ทราบ
ตอนนั้นท่านเหล่าโหวยกไปทัพปราบซีชวน เพราะ
พื้นที่ซีชวนนั้นอันตรายมาก แต่เพราะท่านเหล่าโหว
ได้ไปรู้จักกับทางชาวหัวเหมียวที่ถ้ำเหยียน พวกเขาได้
ช่วยท่านเหล่าโหว นำทางให้กับทัพต้าฉู่ พวกเขารู้
เส้นทางที่ซับซ้อนของที่นั่น อีกทั้งยังรายงาน
สถานการณ์ของท้องที่ให้พวกเรารู้ ทำให้ท่านเหล่า
โหวสามารถพิชิตซีชวนได้ หากไม่ได้พวกเขา ท่าน
เหล่าโหวเองก็น่าจะไม่สามารถทำการได้ราบรื่น”
ฉีหนิงรู้แล้วก็ตกใจ
ตอนนั้นซีชวนเป็นดินแดนของสู่อ๋องตระกูลหลี่ เขา
เป็นเสมือนฮ่องเต้ของท้องที่ หลังจากที่ตระกูลเซียว
พิชิตดินแดนทางใต้ทั้งหมดแล้ว ก็ไม่มีทางปล่อยให้
ตระกูลหลี่สถาปนาตนเป็นกษัตริย์แน่นอน อีกทั้ง
หนานฉู่กับเป่ยฮั่นก็สู้ศึกกันอย่างดุเดือด หากซีชวนยัง
วุ่นวาย หนานฉู่เองก็จะลำบาก ฉะนั้น จึงได้ส่งท่าน
เหล่าโหวนำทัพไปปราบ
สำหรับเรื่องเก่าพวกนี้ ฉีหนิงก็พอรู้อยู่บ้าง เขารู้ว่า
ตอนนั้นตระกูลหลี่เองก็ต่อต้านอยู่ จิ่นอีเหล่าโหวไม่
สามารถทำการได้อย่างราบรื่นในตอนแรก ทั้งสอง
ฝ่ายเสียทหารไปจำนวนมาก อีกทั้งทั้งสองฝ่ายก็ไม่ถูก
กัน เหมือนน้ำกับไฟ
เขารู้ว่า หลังจากนั้นท่านเหล่าโหวก็ยกทัพชนะศึกมา
ตลอด อีกทั้งยังช่วยตระกูลหลี่ให้รอดพ้นจากกองทัพ
ของเป่ยฮั่นด้วย เพื่อให้หนานฉู่ต้านทัพของเป่ยฮั่น จึง
จำเป็นต้องพึ่งฐานทัพที่ซีชวน ทำให้ซีชวนอยู่รอด
ปลอดภัย จึงไม่เป็นศัตรูกับทางหนานฉู่อีก
ท่านเหล่าโหวสามารถชนะศึกได้ เพราะได้ชาวเหมียว
ช่วยเหลือ ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ชาวหัวเหมียว
น่าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ช่วยท่านเหล่าโหวในตอนนั้น
สำหรับเรื่องแต่ก่อน ฉีหนิงพอจะเข้าใจบ้าง เขาก็พอ
เข้าใจว่าเหตุใดหลูเซียวกับไหวหนานอ๋องถึงบอกว่าถ้ำ
เฮยเหยียนมีความเกี่ยวข้องกับจิ่นอีโหว
เดิมทีเขารู้สึกว่ามันไม่มีอะไร แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่า
ต้องระแวดระวังให้มากแล้ว
ฉวี่กวนเฟิงพูดว่า “ถ้ำเฮยเหยียนเคยช่วยเหลือทาง
ราชสำนัก อยู่ในสังกัดของจิ่นอีโหว พวกเขาเห็นจิ่นอี
โหวเป็นเหมือนที่พึ่งมาตลอด ถึงแม้จะไม่ได้ถึงขั้นไม่
เห็นใครอยู่ในสายตา แต่ก็หยิ่งผยองยโสมาก หลังจาก
ห้าปีไปแล้ว ขุนนางท้องที่ได้เดินทางไปเรียกเก็บภาษี
พวกเขาก็ยื้อมาตลอด หาเหตุผลต่างๆ นาๆ ยื้อมา
นานหลายปี ต่อมาใต้เท้าชื่อสื่อเชิญท่านจ้าวถ้ำไปพบ
ที่จวน แล้วก็เจรจากับเขา ถึงได้เก็บภาษีที่ควรจะ
ได้มา”
ฉีหนิงได้ยินฉวี่กวนเฟิงพูดจาคล่องไม่มีติดขัด ไม่มี
ลังเล เหมือนกับท่องหนังสือมา ในใจก็คิดว่าเขาน่าจะ
รายงานเรื่องไม่จริงต่อราชสำนักแน่
“ถ้าอย่างนั้น เหตุใดยังต้องสังหารขุนนางราชสำนัก
อีกเล่า?” หลูเซียวถาม
ฉวี่กวนเฟิงพูดว่า “หลายปีมานี้เพราะการศึกกับทาง
เป่ยฮั่น ราชสำนักขึ้นภาษีเพิ่มอีกสองส่วน ทางถ้ำเห
ยียนเองที่อยู่ในท้องที่ก็ต้องเพิ่มภาษีตามไปด้วย แต่ว่า
ชาวหัวเหมียวนั้นป่าเถื่อนไม่ฟังเหตุผลอีกทั้งไม่ยอม
เสียภาษี เมื่อสามเดือนก่อน ทางท้องที่ได้ส่งคนไป
เรียกเก็บภาษีกับพวกเขา แต่พวกเขากับทะเลาะกับ
ทางเจ้าหน้าที่เรียกเก็บภาษี อีกทั้งยังทำร้ายเขาด้วย
นายอำเภอตันปาไป๋ถังหลิงเห็นว่าทางถ้ำเฮยเหยียน
เคยสร้างผลงานใหญ่ให้กับราชสำนัก จึงไปที่เขาเฮย
เหยียนพร้อมกับเจ้าหน้าที่อีกสองสามคนด้วยตัวเอง
แต่ว่า...” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดไป แล้วพูดขึ้นมา
ว่า “แต่ว่าคนที่ไป กลับถูกสังหารจนหมด”
ในห้องทรงอักษรเงียบสงัด คนที่ฉีหนิงสงสัยว่าจะเป็น
โต้วขุ่ยที่ไม่พูดอะไรเลยถามขึ้นมาว่า “แค่ชาวเหมียว
แค่ถ้ำเดียวไม่ยอมส่งภาษี ก็สังหารขุนนางเลยหรือ
เช่นนี้ก็ถือว่าเป็นกบฏแล้ว แล้วเหตุใดเหว่ยชื่อสื่อถึง
ไม่ส่งทหารไปจับเจ้าถ้ำส่งมายังเมืองหลวง?”
ฉวี่กวนเฟิงพูดว่า “เหว่ยชื่อสื่ออยากจะส่งทหารไป
แต่ว่า...ทางถ้ำเฮยมีผลงานกับทางราชสำนัก อีกทั้งยัง
มีความสัมพันธ์อันดีกับทางจิ่นอีโหว หากไม่รายงาน
ราชสำนักก่อน เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย อีกทั้งชาว
หัวเหมียวเองก็มีอิทธิพลบารมีค่อนข้างมาก หากทำ
การอะไรไม่ระวังแล้ว เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
ดังนั้นหลังจากที่สู่อ๋องได้ทำการหารือกับทางใต้เท้าชื่อ
สื่อแล้ว จึงส่งกระหม่อมมารายงานที่เมืองหลวงก่อน”
ฉีหนิงเห็นว่าฉวี่กวนเฟิงพูดสองสามคำก็โยงเข้าหาจิ่น
อีโหว เขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ฉวี่กวนเฟิง ที่เจ้าพูดมา
ทั้งหมดนี้ สู่อ๋องสั่งให้เจ้าพูด หรือว่าเหว่ยชื่อสื่อสั่งให้
เจ้าพูดกัน? เจ้าคงไม่ได้คิดขึ้นมาเองหรอกกระมัง?”
ฉวี่กวนเฟิงรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นเคยมาก เขาอดไม่ไดที่จะ
เงยหน้าขึ้นมา เขาเห็นชายหนุ่มสวมชุดขุนนางกำลัง
จ้องมาที่เขา สายตาแหลมคมดั่งธนูกำลังจั่งมองมาที่
เขา พอฉวี่กวนเฟิงเห็นหน้า ก็รู้สึกว่าคุ้นๆ หน้า ทันใด
นั้นเขาก็สะดุ้ง หน้าถอดสีขึ้นมาทันทีทันใด สายตา
ของเขามีแต่ความหวาดกลัว
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 278 บำเหน็จรางวัล
ฉวี่กวนเฟิงถูกฉีหนิงซัดที่ร้านเหล้า จากนั้นก็หนีหัวซุก
หัวซุนไป เพราะเหล้าที่เขาราดหัวเขาในวันนั้นทำให้
เขาป่วยไปหลายวัน ยังดีที่เขาร่างกายแข็งแรง ทำให้
ฟื้นตัวขึ้นมาได้เร็ว
แต่ว่าหน้าตาของฉีหนิง เขาจำได้ดี ตอนนี้เห็นหน้า
ของฉีหนิง มันทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่าง
มาก
ต่อให้เขาจะโง่เพียงใด ก็รู้ว่าคนที่อยู่ในห้องทรงอักษร
นี้ได้ก็มีแต่ขุนนางคนสำคัญของหนานฉู่ทั้งนั้น ส่วน
ตำแหน่งที่ฉีหนิงยืนอยู่นั้นอยู่ใกล้กับโต๊ะทรงอักษร
มาก แสดงว่าตำแหน่งของเขาไม่ธรรมดาเลย
ฉีหนิงหัวเราะอยู่ในใจ แต่ว่าน้ำเสียงของเขายังนิ่งอยู่
“ข้าถามเจ้า ไม่ได้ยินหรืออย่างไร?”
ฉวี่กวนเฟิงได้สติกลับมา รีบตอบว่า “ข้าน้อย...
ข้าน้อยรับคำสั่งของท่านสู่อ๋อง ให้มา...ให้มารายงานที่
เมืองหลวง...”
“ถ้าอย่างนั้น สู่อ๋องสั่งให้เจ้าพูดอะไรก็ให้ลากโยง
ถึงจิ่นอีโหวทุกครั้งเลยอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงพูดว่า
“จิ่นอีโหวได้ส่งจดหมายหรือว่ามีคำสั่งให้พวกเจ้าอย่า
ไปทำให้ทางถ้ำเฮยเหยียนลำบากใจ? หรือว่าพวกเจ้า
คิดจะทำการอันใดด้วยตัวเอง?”
“เอ่อ...” ฉวี่กวนเฟิงเหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผาก
คนที่หน้าตาเหมือนโต้วเหลียนจงพูดว่า “โหวเยว่ จะ
พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก หากถ้ำเฮยเหยียนไม่ได้อาศัยการ
ปกป้องจากทางจวนของท่านในคราวนั้น ก็ไม่กล้า
กำเริบแบบนี้หรอก”
“ท่านคือ?” ฉีหนิงยิ้ม “ขออภัยใต้เท้าด้วยที่ข้าตาไม่
ถึง ข้าเพิ่งจะรับตำแหน่งได้ไม่นาน ขุนนางหลายคน
ข้าจึงไม่รู้จัก”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “เขาคือใต้เท้าโต้วเสนา
บดีกรมพระคลังโต้วขุ่ย”
ที่แท้ก็เป็นเขาจริงๆ ฉีหนิงรู้สึกขำมาก คิดว่าโต้วขุ่ย
น่าจะรู้ว่าเขากับโต้วเหลียนจงมีปัญหาอะไรกัน เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ที่แท้ก็ใต้เท้าโต้วนี่เอง ที่ใต้เท้าโต้วกล่าว
มาข้าไม่เห็นด้วยนะ ข้อแรก ท่านบอกว่าถ้ำเฮยเห
ยียนกำเริบเสิบสาน ไม่ทราบว่าท่านเห็นด้วยตา
หรือไม่ หรือว่าแค่ได้ยินคนอื่นพูดมา? ใต้เท้าโต้วดูแล
กรมพระคลัง แต่ละวันมีงานมากมาย มีเรื่องให้ต้อง
คิด เกรงว่าคงไม่มีเวลาไปที่ซีชวนหรอกกระมัง ถึงมี
เวลาไปที่นั่นจริง ท่านเป็นถึงเสนาบดีกรมพระคลัง คง
ไม่ลดตัวลงไปคลุกคลีกบั ชาวเผ่าเหมียวหรอกกระมัง
ดังนั้นในกรณีที่เรื่องราวยังไม่ชัดเจนแบบนี้ ใต้เท้าโต้ว
ไม่ควรตัดสินไปก่อน...” เหมือนโต้วขุ่ยกำลังจะแก้ต่าง
ไม่รอให้เขาได้พูด เขาก็พูดไปว่า “ข้อสอง ท่านบอก
ว่าชาวถ้ำเฮยเหยียนอาศัยบารมีของจิ่นอีโหวกำเริบ
เสิบสาน ถ้าอย่างนั้นก็แปลก ตอนนั้นชาวถ้ำเฮยเห
ยียนช่วยเหลือกองทัพของพวกเรา ภักดีต่อราชสำนัก
ไม่ได้ภักดีต่อจิ่นอีโหว อีกทั้งจิ่นอีโหวไม่มีทางอาศัย
อำนาจส่วนตัวทำอะไรแบบนั้นแน่นอน หากใต้เท้า
โต้วมีญาติที่ฆ่าคนวางเพลิง ขุนนางท้องที่จะไม่จับเขา
เพราะว่าเขาเป็นญาติของท่าน ปล่อยตัวเขาไม่ทำการ
สอบสวนได้หรือ?”
โต้วขุ่นหน้าเสีย “โหวเยว่พูดอะไรระวังด้วย ญาติข้า
ไปฆ่าคนวางเพลิงตอนไหนกัน?”
“เพียงแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น ใต้เท้าโต้ว เข้าใจคำว่า
ยกตัวอย่างหรือไม่?” ฉีหนิงพูด
โต้วขุ่ยพูดว่า “โหวเยว่ เรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่
พูดจะดีกว่า”
“ถูกต้อง ในเมื่อมันคือเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่พูด
จะดีกว่า” ฉีหนิงพูดว่า “ทางซีชวนบอกว่าเพราะเห็น
แก่จิ่นอีโหว จึงไว้หน้าชาวถ้ำเฮยเหยียนมาก ฮึ เรื่องนี้
มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้จริงหรือไม่? จิ่นอีโหวไปให้ท้าย
ชาวถ้ำเฮยเหยียนรึ? หากชาวถ้ำเฮยเหยียนรักษา
กฎหมาย ก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องพวกเขาได้ แต่ว่าหาก
เขาทำผิดกฎหมาย ท้องที่ก็แค่ทำตามกฎหมาย ก็ไม่
เห็นมีอะไรต้องกลัวอีก”
ไหวหนานอ๋องลูบเคราแล้วพูดว่า “โหวเยว่พูดถูกแล้ว
ใครจะไปอยู่เหนือกฎหมายได้เล่า” จากนั้นเขาก็หัน
ไปพูดกับหลงไท่ว่า “ฝ่าบาท ชาวถ้ำเฮยเหยียนสังหาร
ขุนนางในท้องที่ ตามหลักแล้วก็เหมือนการก่อกบฏ
ใต้เท้าหลูบอกว่าควรจะเชือดไก่ให้ลิงดู ก็ใช่ว่าจะไม่มี
เหตุผล หากสามารถกำจัดได้เร็ว นำตัวจ้าวถ้ำมายัง
เมืองหลวงได้ ต่อไปชาวถ้ำกลุ่มอื่นก็จะไม่กล้าทำอะไร
อีก”
หลูเซียวพูดอีกว่า “ฝ่าบาท ครั้งนี้พรรคบัวดำส่งคนมา
ก่อความวุ่นวายในเมืองหลวง ทางจวนเสินโหวเองก็
ยืนยันแล้ว พวกเขาถึงกับกล้าบุกชิงตัวคนถึงจวนเสิน
โหว จิ่นอีโหวเองก็ถูกจับตัวไปด้วย เช่นนี้ก็ถือว่าก่อ
กบฏแล้ว พวกเราสามารถอาศัยเรื่องในคราวนี้ทำให้
ชาวเหมียวกลุ่มอื่นอยู่ในความสงบ ให้พวกเขาได้รู้ถึง
แสนยานุภาพของกองทัพต้าฉู่ของเรา จากนั้นค่อย
จัดการกวาดล้างพรรคบัวดำ”
“จงอี้โหว ท่านเองก็คิดแบบนี้หรือ?” หลงไท่มองไปที่
จงอี้โหวซือหม่าหลัน
จงอี้โหวพูดว่า “ทูลฝ่าบาท หากเรื่องนี้คือเรื่องจริง
เพื่อปกป้องเกียรติของราชสำนัก ก็ควรจะกวาดล้าง
อีกทั้งยังต้องนำตัวจ้าวถ้ำเข้ามารับโทษในเมืองหลวง
ด้วย แต่ว่า...” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองฉวี่ก
วนเฟิง แล้วถามว่า “ตอนนี้ทางถ้ำเฮยเหยียน เป็น
อย่างไรบ้าง? เหว่ยซูถงจัดการอย่างไร?”
ฉวี่กวนเฟิงพูดว่า “เหว่ยชื่อสื่อได้ส่งทหารไปปิดล้อม
เขาเฮยเหยียนเอาไว้ ท่านสู่อ๋องเองก็ได้ส่งทหารเหว่
ยกวนเว่ยไปล้อมไว้เหมือนกัน เพื่อไม่ให้พวกเขาหนีไป
เพียงแต่ไม่มีราชโองการของฝ่าบาท เหว่ยชื่อสื่อจึงยัง
ไม่กล้าออกคำสั่งให้บุกโจมตี”
“จิ่นกวนเว่ยเป็นทหารคุ้มกันของท่านสู่อ๋อง พวกเขา
ไปที่เขาเฮยเหยียนทำไมกัน?” ฉีหนิงขมวดคิ้วถาม
โต้วขุ่ยยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ท่านคงไม่ทราบ เฮยเห
ยียนมีทั้งหมดหกถ้ำย่อย มีสามถ้ำย่อยเป็นพื้นที่ศักดิ
นาของท่านสู่อ๋อง”
“หะ?”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ตระกูลหลี่
สวามิภักดิ์ต่อราชสำนัก ได้รับพระเมตตาจากทางอดีต
ฮ่องเต้ ไม่เพียงบำเหน็จรางวัลให้ตระกูลหลี่มากมาย
อีกทั้งยังคงบรรดาศักดิ์สืบทอดสู่อ๋องไว้ พร้อมที่ดิน
ศักดินาอีกสองพันหลัง เฮยเหยียนจำนวนสามถ้ำเป็น
หนึ่งในที่ดินศักดินาของสู่อ๋อง เพียงแต่ที่ดินศักดินา
สองพันหลังนี้ มีเจ้าหน้าที่ท้องที่เป็นคนเรียกเก็บก่อน
จากนั้นค่อยแยกส่งไปให้ที่จวนสู่อ๋อง ชาวบ้านในที่ดิน
ศักดินาของเขาก่อกบฏ เขาส่งทหารเข้าไป ก็ไม่ใช่
เรื่องแปลก”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ
ซือหม่าหลันพูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ฎีกาของสู่อ๋องส่ง
มาถึงแล้ว แต่ว่าฎีกาของทางเหว่ยซูถงยังมาไม่ถึง
เมืองหลวง เรื่องนี้สำคัญมาก ไม่ได้แค่เกี่ยวข้องกับชน
เผ่าเหมียวเท่านั้น อดีตฮ่องเต้ใช้ไม้อ่อนกับทางชาว
เหมียวมาตลอด กระหม่อมคิดว่า รอให้ฎีกาของเห่วย
ซูถงมาถึงก่อน แล้วพวกเราค่อนหารือกันอีกครั้งดีกว่า
พะยะค่ะ”
หลงไท่เข้าใจความหมายของซือหม่าหลันดี เขาพยัก
หน้า “จงอี้โหวพูดถูก”
หลูเซียวอดพูดไม่ได้จึงพูดว่า “ท่านเหล่าโหว หากไม่
รีบลงมือตอนนี้ จะไม่เป็นการให้ทางชาวถ้ำเฮยเห
ยียนมีเวลาเตรียมการหรือ? ชาวถ้ำเฮยเหยียนมี
อิทธิพลต่อชาวหัวเหมียวมาก พวกเขาจะไม่ไปดึงชาว
ถ้ำกลุ่มอื่นมาร่วมด้วยหรือ?”
ซือหม่าหลันยิ้มแล้วพูดว่า “หากราชสำนักต้องกลัว
ชาวถ้ำเล็กๆ แบบนั้น แล้วจะปกครองทั่วทั้งซีชวน
อย่างไร? ชาวหัวเหมียวถึงแม้จะป่าเถื่อน ไม่มี
มารยาท แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ หากชาวถ้ำเฮยเหยียน
สังหารขุนนางท้องที่จริง ราชสำนักจะกวาดล้าง ชาว
ถ้ำกลุ่มอื่นจะโง่เข้าร่วมวงเรื่องนี้หรือ? อีกทั้งตอนนี้ก็
หน้าหนาว ทางซีชวนหิมะตกหนัก เขาเฮยหลิงเป็นที่
อยู่อาศัยของชาวเหมียว พวกเขาคุ้นเคยกับเส้นทาง
เหล่านั้นดี หากทหารใช้กำลังบังคับจัดการ เกรงว่าก็
อาจจะสูญเสียไม่น้อย เมื่อเป็นอย่างนี้ การปิด
ทางเข้าออก แล้วรอเรื่องชัดเจนก่อนแล้วค่อยวางแผน
ก็ไม่สาย”
หลูเซียวเหมือนอยากจะพูดอีก แต่ก็พูดไม่ออก
ฉีหนิงคิดในใจว่าซือหม่าหลันเป็นขิงแก่มี
ประสบการณ์จริงๆ แต่ว่าเขาก็รู้ว่า ซือหม่าหลัน
คัดค้านการโจมตีชาวถ้ำเฮยเหยียน อาจจะไม่ได้มา
จากใจจริง แต่แค่อยากจะอยู่คนละฝ่ายกับกลุ่มของ
ไหวหนานอ๋องหรอก
ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นพรรคบัวดำหรือว่าชาวถ้ำ
เฮยเหยียน ไหวหนานอ๋องกับหลูเซียวเหมือนจะอยาก
ส่งทหารไปกำจัด แต่ซือหม่าหลันกลับแสดงท่าทางที
ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ถึงแม้จะไม่ได้พูดตรงๆ แต่เขา
กลับเสนอให้ค่อยๆ ดำเนินการ
หลังจากฉวี่กวนเฟิงถอยออกไปแล้ว หลงไท่ก็ขบคิด
ไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว
สถานการณ์พิษระบาดในเมืองหลวง คลี่คลายหรือ
ยัง?”
ตอนที่ฉีหนิงเข้าวังมา เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะหารือกัน
เรื่องของชาวถ้ำเฮยเหยียน แต่คิดว่าฮ่องเต้จะถาม
เรื่องยาถอนพิษด้วย เขารีบพูดว่า “ทูลฝ่าบาท เมื่อ
วานได้ทำการตั้งจุดแจกจ่ายยา กระหม่อมได้ทำการ
แจกจ่ายยาแทนพระองค์ ผู้ถูกพิษส่วนใหญ่เป็น
ชาวบ้านทั้งหมดได้รับยาถอนพิษแล้ว แต่ว่าเพื่อเป็น
การป้องกัน จึงสั่งให้ตั้งจุดแจกจ่ายยาจนถึงวันนี้
ในช่วงเที่ยงค่อยเก็บพะยะค่ะ”
หลงไท่ยมิ้ แล้วพูดว่า “ข้ารู้แล้ว ซีเหมินอู๋เหิง ก่อน
หน้านี้เจ้าบอกว่า ยาถอนพิษนี่เห็นผล”
ซีเหมินอู๋เหิงพูดว่า “ทูลฝ่าบาท จิ่นอีโหวเป็นตัวแทน
แจกจ่ายยาแทนพระองค์ เห็นผลจริงๆ กระหม่อมได้
ทำการสำรวจอาการของผู้ถูกพิษหลังกินยาเข้าไป
ภายในคืนเดียว มีอาการดีขึ้นทันตาพะยะค่ะ”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว ภัยร้ายในเมืองหลวง
ครั้งนี้คลี่คลายได้ เจ้ามีผลงานมากที่สุด ข้าเตรียมจะ
บำเหน็จรางวัลให้แก่เจ้า เจ้าอยากได้อะไร?”
“ทูลฝ่าบาท เป็นเพราะบารมีของฝ่าบาท กระหม่อมมิ
กล้าพูดว่ามีผลงาน” ฉีหนิงแกล้งพูดว่า “ขอแค่ฝ่า
บาทไม่ทรงต้องกังวลพระทัยอีก ก็ถือเป็นรางวัลที่ดี
มากสำหรับกระหม่อมแล้ว”
หลงไท่หัวเราะร่า แล้วพูดว่า “เจ้าเพิ่งรับสืบทอด
ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ มีบรรดาศักดิ์แล้ว แต่ว่าข้ายัง
ไม่ได้จัดหางานในราชสำนักให้เจ้าเลย...” เขาหยุดไป
ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ปู่กับพ่อของเจ้า ต่างเป็นเสาหลัก
ในหน่วยทหารของต้าฉู่ของเรา ดังนั้น...ข้าจึงเตรียมที่
จะให้เจ้าทำงานในหน่วยทหารเหมือนกัน”
สีหน้าของทุกคนแปลกไป จงอี้โหวกับไหวหนานอ๋อง
ต่างไม่พูดอะไร
“ฝ่าบาทจะให้กระหม่อมไปที่ไหนหรือพะยะค่ะ?” ฉี
หนิงคิดไม่ถึงเลยว่าหลงไท่จะให้เขาไปทำงานในหน่วย
ทหาร เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “หรือว่าจะให้
กระหม่อมไปที่กองทัพฉินไหวหรือพะยะค่ะ?”
ฉีจิ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพฉินไหว ฉีหนิงรู้สึกว่า
ฮ่องเต้ก็น่าจะให้เขาไปที่นั่น เขาคิดในใจว่าเรื่องนี้
ไม่ใช่เรื่องเล็ก ฮ่องเต้น้อยเหตุใดถึงไม่ปรึกษาเขาก่อน
หลูเซียวเห็นดังนั้น ก็รีบพูดว่า “ฝ่าบาท จิ่นอีโหวไม่
เคยทำงานในหน่วยทหารมาก่อน หาก...หากให้ไป
ทำงานในกองทัพฉินไหว เกรงว่าจะมีคนไม่พอใจ อีก
ทั้งเยว่หวนซานติดตามท่านแม่ทัพฉีมานานหลายปี
คุ้นเคยกับกองทัพฉินไหวเป็นอย่างดี ตอนนี้ให้เขา
รับหน้าที่บัญชาการกองทัพชั่วคราว ถือเป็นคนที่
เหมาะสมมากที่สุดในตอนนี้...”
หลงไท่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หลูเซียว ข้าบอกเมื่อไหร่
ว่าจะให้ฉีหนิงไปที่ทัพฉินไหว?”
หลูเซียวอึ้งไป รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา จากนั้นก็รีบ
คุกเข่าลง “กระ...กระหม่อมสมควรตาย กระหม่อม
ภักดีกับแคว้น ดังนั้น...”
“ข้าไม่ได้ว่าเจ้า” หลงไท่โบกมือ “เจ้าลุกขึ้นมาเถอะ”
หลูเซียวลุกขึ้น หลงไท่ถึงได้พูดว่า “ข้าเตรียมที่จะให้ฉี
หนิงไปเป็นผู้บัญชาการทหารค่ายกิเลนดำเพื่อฝึกฝน
ไปชั่วคราวก่อน จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นเป็นแม่ทัพของต้า
ฉู่ของเรา มีผลงานด้านการทหารมากมาย ข้าเชื่อว่าฉี
หนิงจะสามารถสืบทอดบารมีความองอาจของจิ่นอี
โหวตระกูลฉี รับใช้และภักดีกับราชสำนักได้”
เมื่อพูดแบบนี้มา ทุกคนต่างก็ตกใจ จงอี้โหวตกใจมาก
พูดว่า “ฝ่าบาท ค่ายกิเลนดำไม่อยู่แล้ว จิ่นอีโหวจะ
ไปบัญชาการทหารค่ายกิเลนดำได้อย่างไรพะยะค่ะ?”
หลงไท่พูดว่า “ข้ารู้ว่าค่ายกิเลนดำล่มสลายไปแล้ว
ครั้งที่ต่อสู้กับกองทัพเฉวี่ยหลันของเป่ยฮั่น ตอนที่
อดีตฮ่องเต้ยังอยู่ ได้พูดกับข้าเรื่องนี้มาแล้ว อดีต
ฮ่องเต้คิดอยากจะตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่ แต่ว่า
ราชสำนักมีเรื่องยุ่งมากมาย ทำให้เสียเวลามาตลอด
ข้านึกถึงคำของอดีตฮ่องเต้ จึงอยากจะทำความ
ปรารถนาของพระองค์ให้เป็นจริง จึงคิดจะตั้งค่าย
กิเลนดำขึ้นมาใหม่ วันนี้เมื่อทุกคนมาอยู่ที่นี่กันครบ
แล้ว ไม่รู้ว่าพวกเจ้าคิดอย่างไรกันบ้าง?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 279 ขิงแก่ประสบการณ์สูง
ทุกคนมองหน้ากัน ในใจรู้สึกแตกต่างกันออกไป แต่
ว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตกใจมากทั้งนั้น คิดไม่ถึงเลยว่า
หลงไท่จะเสนอความคิดเรื่องนี้ขึ้นมาในวันนี้
ทหารค่ายกิเลนดำองอาจกล้าหาญ รวมกับทหารค่าย
ดาบดำถือว่าเป็นกองกำลังที่ร้ายกาจมากของหนานฉู่
กองกำลังทั้งสองมีจำนวนคนไม่มาก แต่ว่าทักษะการ
ต่อสู้ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของหนานฉู่ ไม่ว่าจะด้วยมือ
เปล่าหรืออาวุธ พวกเขาไม่เป็นรองใคร
บารมีความยิ่งใหญ่ของกองทัพหนึ่งกองไม่ได้ได้มา
ด้วยการตะโกนโฮ่ร้อง แต่ว่าผ่านการทำศึกต่อสู้มานับ
ไม่ถ้วน
วันนี้ค่ายดาบดำเคยผ่านสงครามเลือดมาก่อน ถึงได้มี
ความน่าเกรงขามให้ได้พูดถึง อีกทั้งก็มีชื่อเสียงมี
บารมีเหมือนกับค่ายกิเลนดำ
ตอนนั้นค่ายกิเลนดำทำสงครามกับทัพเสวียหลันของ
เป่ยฮั่น จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคนพูดถึงอยู่ พูดถึงความ
กล้าหาญของคนที่อยู่ในสนามรบนั้น ไม่มีใครดูถูก
หรือต่อว่าเพราะค่ายกิเลนดำล่มสลายไป มีแต่คน
เสียดายมากกว่า
การศึกในคราวนั้น ค่ายกิเลนดำถึงแม้จะล้มสลายไป
แต่ว่าชาวหนานฉู่ไม่ได้รู้สึกว่าทหารค่ายกิเลนดำพ่าย
แพ้เลย
ทหารทัพเสวียหลันของเป่ยฮั่น ไม่ได้ด้อยกว่าทหาร
ค่ายกิเลนดำเลย ทุกคนรู้ดี ทัพเสวียหลันชำนาญการขี่
ม้ามากกว่าทหารค่ายกิเลนดำ ทัพม้าเหนือกว่าหนาน
ฉู่ อีกทั้งม้าของพวกเขาล้วนแต่เป็นม้าชั้นดี รวดเร็วมี
พละกำลังเหนือกว่าค่ายกิเลนดำทั้งนั้น
เมื่อเป็นอย่างนี้ ผลสุดท้ายแล้ว ค่ายกิเลนดำล่มสลาย
ไป เหลือแค่สิบกว่าคนเท่านั้น แต่ว่าทัพเสวียหลันเอง
ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ถึงแม้จะยังมีเหลือชื่อทัพเสวียหลัน
แต่ว่าหลังจากวันนั้นกองทัพเสวียหลันก็ไม่เคยปรากฏ
ในสนามรบอีกเลย ดังนั้นชาวหนานฉู่คิดว่าชาวเป่ยฮั่น
แค่รักษาชื่อของกองทัพเสวียหลันเอาไว้ แต่ในความ
เป็นจริงแล้วพวกเขาเองก็ล่มสลายไปหมดในสนามรบ
แล้ว
หลังจากศึกในวันนั้น ทหารค่ายกิเลนดำก็ไม่ได้ฟื้นฟู
กลับมาอีก ถึงแม้ราชสำนักจะไม่ได้ปลดประจำการชื่อ
ทหารค่ายนี้ แต่ว่าทหารค่ายกิเลนดำที่เหลืออีกสิบ
กว่าคนก็ให้ไปทำงานกับจวนจิ่นอีโหว บางส่วนก็ให้ไป
รับราชการอื่นๆ แทน กรมคลังกับทางกรมโยธาเองก็
ไม่ต้องจัดงบประมาณในด้านเสบียงและอาวุธ ดังนั้น
ในความเป็นจริงแล้วก็เหมือนไม่มีค่ายกิเลนดำแล้ว
การล่มสลายของทหารค่ายกิเลนดำ ส่งผลกระทบ
ใหญ่ต่อหนานฉู่มาก เพราะตอนนั้นฉีจิ่งฝึกฝนทหาร
พวกนี้มาอย่างยากลำบาก เสียทั้งกำลังและทรัพย์ของ
ราชสำนักไปเป็นจำนวนมาก ทหารค่ายกิเลนดำก็
เปรียบเสมือนไข่มุกของในกองทัพฉินไหว
เมื่อไข่มุกเม็ดนี้แตกสลายไป ชาวบ้านอาจจะมีพูดถึง
กันบ้าง แต่ว่าทางราชสำนักกลับไม่พูดถึง เพราะมัน
เหมือนบาดแผลใหญ่ของฮ่องเต้ หากพูดถึงขึ้นมา
หลายคนก็จะรู้สึกไม่สบายใจ
เหล่าขุนนางไม่มีใครคิดถึงหรอกว่า ราชสำนักจะทำ
การก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่ ตอนนี้จู่ๆ หลงไท่
กลับพูดถึงมันขึ้นมา ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจ
หลังจากเงียบไปสักพักหนึ่ง ฉีหนิงก็เหลือบไปมอง
หลงไท่ พบว่าถึงแม้หลงไท่จะมีท่าทางที่นิ่งมาก แต่ว่า
สายตาของเขาเองก็รู้สึกกังวลมากเช่นกัน
“หลู...หลูเซียว เจ้าเป็นซื่อหลางของกรมกลาโหม เจ้า
คิดว่าอย่างไร?” หลงไท่ถามหลูเซียว
หลูเซียวพูดว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า...ไม่
เหมาะพะยะค่ะ”
“หืม?” สายตาของหลงไท่รู้สึกผิดหวังมาก แต่ว่าเขา
ยังคงยิ้มอยู่ แล้วถามว่า “เหตุใดถึงไม่เหมาะเล่า?”
“ตามความเห็นของกระหม่อม มีอยู่สองเหตุผล” หลู
เซียวพูดว่า “ข้อแรก ทหารค่ายกิเลนดำล่มสลายไป
ตอนที่ทำสงครามกับทัพเสวียหลัน เหลือรอดกลับมา
ประมาณห้าสิบคน ตอนนี้ต่างก็มีตำแหน่งราชการ
ของตัวเอง ฝ่าบาทต้องการก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมา
ใหม่ ตอนนี้แทบจะไม่เหลือรากฐานอะไรเลย ตอนนั้น
ที่ทางราชสำนักฝึกฝนทหารค่ายกิเลนดำขึ้นมา ทาง
ราชสำนักก็ใช้เงินไปมาก ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์หรือว่า
ม้า ทางค่ายกิเลนดำก็จะต้องใช้ของที่ดีที่สุด กอง
กำลังอื่นทหารกินข้าสามมื้อ แต่ทหารค่ายกิเลนดำกิน
ข้าวห้ามื้อ อีกทั้งต้องเป็นเนื้ออย่างดี...ส่วนเบีย้ หวัด
ของพวกเขาก็มากกว่าทหารกองกำลังอื่นกว่าเท่าตัว”
เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อม
ยกตัวอย่างง่ายๆ ชุดเกราะที่ทหารค่ายกิเลนดำใช้ ไม่
เพียงต้องสั่งทำจากเหล็กชั้นดี ยังต้องเพิ่มแร่ชนิด
ต่างๆเข้าไปด้วย ตอนที่สั่งทำเกราะกิเลนดำ หากมี
ความผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ก็ต้องทำใหม่ทั้งหมด
แต่ว่าการทำเกระของค่ายอื่นไม่ได้ต้องยุ่งยากแบบนี้
ฝ่าบาททรงคิดดูว่าต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่”
หลงไท่ขมวดคิ้ว หลูเซียวเห็นดังนั้น ก็พูดต่อไปว่า
“ทหารค่ายกิเลนดำองอาจกล้าหาญ มีผลงาน
มากมาย น่านับถือ แต่ก็เพราะอย่างนี้ ทุกครั้งที่ออก
ศึก ยุทโธปกรณ์ของพวกเขาก็เสียหายทุกครั้ง และ
จำเป็นต้องทำเพิ่ม ในแต่ละปีราชสำนักต้อง
รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่หนักอึ้ง”
“คิดจะชนะศึก แต่ไม่อยากจะเสียเงิน ใต้เท้าหลู ใน
โลกใบนี้ไม่มีเรื่องสวยงามอย่างนั้นหรอกนะ” ฉีหนิง
อดพูดขึ้นมาไม่ได้
หลูเซียวไม่ได้แก้ตัว แต่กลับยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว
อาศัยอยู่ในจวนโหว ไม่เคยออกรบ ไม่เคยต้องเครียด
กับเรื่องเงินทอง แต่เรื่องนี้ใต้เท้าโต้วน่าจะเข้าใจดี”
โต้วขุ่ยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ใต้เท้าหลูพูด
ถูกแล้ว เงินที่เอามาใช้กับทหารค่ายกิเลนดำในคราว
นั้น ทำให้กรมพระคลังปวดหัวมาก แทบจะกรีด
เลือดออกมาเสียด้วยซ้ำ แต่ว่าตอนนี้...” เขาพูดว่า
“ฝ่าบาท ศึกของทางฉินไหวเพิ่งจะสิ้นสุดลง มี
ชาวบ้านไม่น้อยได้รับผลกระทบไม่มีทั้งอาหารและ
เครื่องนุ่งห่ม เงินในคลังหลวง ก็ใช้หมดไปกับแนวหน้า
แล้ว ตอนนี้ยังต้องใช้เงินในการปลอบขวัญชาวบ้าน
อีก หากจะก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาอีก กรมพระคลัง
คงไม่อาจเจียดงบออกมาได้”
หลงไท่เหมือนเริ่มจะโมโหขึ้นมาแล้ว จึงพูดว่า “คน
ของค่ายกิเลนดำมีแค่พันคนเท่านั้น ต่อให้ต้องใช้เงิน
จำนวนมาก หรือว่าเงินแค่นี้ต้าฉู่ของพวกเราก็เอา
ออกมาไม่ได้?”
โต้วขุ่ยรู้ว่าหลงไท่ไม่พอใจแล้ว จึงไม่พูดอะไรอีก เขา
ได้แต่ก้มหน้า
หลงไท่เห็นโต้วขุ่ยไม่พูดอะไร ก็เหลือบไปมองจงอี้โหว
แล้วถามว่า “จงอี้โหว ท่านเองก็รู้สึกเหมือนกันหรือว่า
เรื่องนี้มันไม่เหมาะ?”
จงอี้โหวพูดว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า หลังจาก
สิ้นศึกที่ฉินไหว เป็นเวลาที่ดีในการก่อตั้งค่ายกิเลน
ดำ”
หลงไท่สายตาเป็นประกาย แล้วพูดว่า “จงอี้โหว
หมายความว่าอย่างไร”
“ฝ่าบาท ศึกฉินไหว พวกเราเสียเวลาไปหลายปี ทั้ง
สองแคว้นเหนื่อยล้ากันมามาก” จงอี้โหวค่อยๆ พูด
เหมือนกับแต่ละคำผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว “ไม่ว่า
จะเป็นเป่ยฮั่นหรือต้าฉู่ของพวกเรา กำลังใจของทหาร
ตอนนี้ย่ำแย่ยิ่งนัก”
หลงไท่พยักหน้า ฉีหนิงเองก็รู้สึกว่าซือหม่าหลันพูด
นั้นเป็นความจริง ทำศึกกันมาหลายปี ทหารที่อยู่แนว
หน้านั้นเหนื่อยล้ามาก อีกทั้งฉีจิ่งกับอดีตฮ่องเต้ต่าง
ตายกันไปหมดแล้ว ทั่วทั้งแคว้นฉู่ได้รับผลกระทบ
อย่างต่อเนื่องกัน ทหารแนวหน้าในตอนนี้เองก็เครียด
และไม่มีกำลังใจอย่างมาก
“กระหม่อมกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะเพิ่มกำลังใจ
ของทหารอยู่” ซือหม่าหลันพูดว่า “กระหม่อมโง่เขลา
คิดไม่ออกเลย แต่ว่าวันนี้ฝ่าบาททำให้กระหม่อมคิด
ได้ กระหม่อมคิดว่า การก่อตั้งค่ายกิเลนดำ ถือว่าเป็น
วิธีการเพิ่มกำลังใจของทหารได้มากทีเดียว”
“อ๋อ?”
ซือหม่าหลันยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกคนรู้ดี หากกองทัพฉิน
ไหวเปรียบเสมือนดาบเล่มหนึ่ง ค่ายกิเลนดำก็
เปรียบเสมือนคมดาบ หากก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมา
ใหม่ในตอนนี้ ทหารแนวหน้ารู้ข่าว กำลังใจของพวก
เขาก็จะกลับมา มันทำให้เหล่าทหารรู้ว่าราชสำนักให้
ความสำคัญกับทหารในกองทัพมาก”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าแค่อยากทำความปรารถนา
ของอดีตฮ่องเต้ให้เป็นจริง คิดไม่ถึงขั้นนั้นเลย จงอี้
โหวท่านคิดได้ลึกซึ้งมาก สามารถคิดถึงขั้นนี้ได้
ถูกต้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่ก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่
ทหารฉู่ของพวกเรา ก็จะมีกำลังใจฮึกเหิมมากขึ้น”
เขาหันไปหาไหวหนานอ๋อง แล้วถามว่า “ไหวหนาน
อ๋องท่านคิดว่าอย่างไร?”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างรู้สึกว่าไหวหนานอ๋องคงจะท้า
ทายความเห็นของจงอี้โหวแน่ จงอี้โหวจะก่อตั้งค่าย
กิเลนดำขึ้นมาใหม่ มันไม่ได้เป็นผลดีต่อไหวหนานอ๋อง
เท่าไหร่
แต่ใครจะคิดว่าไหวหนานอ๋องกลับยิ้ม พยักหน้าแล้ว
พูดว่า “จงอี้โหวพูดถูกแล้ว ตอนนี้ทหารต้าฉู่ของพวก
เราต้องเพิ่มกำลังฮึกเหิมให้มากขึ้น การก่อตั้งค่าย
กิเลนดำขึ้นมานั้น ไม่เพียงจะทำให้ทหารของพวกเรา
ฮึกเหิม ยังสามารถให้ชาวเป่ยฮั่นรู้ถึงแสนยานุภาพ
ของต้าฉู่ด้วย ตั้งแต่ศึกครั้งที่แล้ว ทัพเสวียหลันก็ไม่
ปรากฏตัวในสนามรบอีกเลย แต่ว่าการที่ตั้งค่ายกิเลน
ดำขึ้นมาใหม่ วันหนึ่งถ้าไปปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา
จะต้องทำให้พวกเขาขวัญกระเจิงแน่นอน”
หลงไท่คิดว่าไหวหนานอ๋องจะคัดค้าน คิดไม่ถึงเลยว่า
เขาจะเห็นด้วยง่ายแบบนี้ เขาพูดด้วยความแปลกใจ
ว่า “ไหวหนานอ๋อง ท่านเองก็เห็นด้วยที่จะก่อตั้งค่าย
กิเลนดำขึ้นมาหรือ?”
“การก่อตั้งค่ายกิเลนดำถึงแม้จะต้องเสียเงินจำนวน
มาก แต่ว่าเงินจำนวนนี้คุ้มค่ายิ่งนัก ไม่เพียงสร้าง
ความฮึกเหิมให้ทหารได้ ยังสามารถกดดันทางชาว
เป่ยฮั่นได้ด้วย” ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “อีก
อย่างก็เป็นพระประสงค์ของอดีตฮ่องเต้ด้วย พวก
กระหม่อมก็จะต้องช่วยฝ่าบาทให้ทำตามความ
ปรารถนานั้นให้สำเร็จ” เขามองไปที่โต้วขุ่ย ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ใต้เท้าโต้ว เรื่องใหญ่แบบนี้ ถึงแม้กรมคลัง
ของท่านจะลำบากสักหน่อย แต่ว่าเรื่องนี้ อย่างไรก็
ต้องเจียดมาให้ได้”
โต้วขุ่ยรีบพูดว่า “ในเมื่อมีผลประโยชน์ต่อกองทัพ ต่อ
ให้ต้องทุบกระปุกกระหม่อมก็จะเจียดมาให้ได้พะยะ
ค่ะ”
นี่เป็นเรื่องแรกที่หลงไท่คิดวางแผนเองหลังจากขึ้น
ครองราชย์ เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้อาจจะไม่ราบรื่น คิดไม่
ถึงว่าจงอี้โหวกับไหวหนานอ๋องจะเห็นด้วย เขารู้สึก
ตื่นเต้นมาก “ดี พวกเราทุกคนร่วมใจ ไม่มีอะไรไม่
สำเร็จ ฉีหนิง ข้า...”
เขายังไม่ทันพูดจบ จงอี้โหวก็พูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท
กระหม่อมยังมีเรื่องจะทูล” เขาพูดแทรกหลงไท่ขึ้นมา
หลงไท่ตะลึงไป แล้วถามว่า “จงอี้โหว ท่านยังมีอะไร
กังวลอีก?”
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้กังวลอะไรเลยพะยะค่ะ” ซื
อหม่าหลันพูดว่า “เพียงแต่ว่าการก่อตั้งค่ายกิเลนดำ
ขึ้นมาใหม่ คนที่จะมาเป็นผู้บัญชาการของค่ายกิเลน
ดำ จะต้องคิดให้รอบคอบ”
“หา?” หลงไท่รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ปกติแล้ว เขาขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “ข้าคิดมาดีแล้ว ฉีหนิงเหมาะสมที่สุดที่จะ
เป็นผู้บัญชาการทหารค่ายกิเลนดำ”
ซือหม่าหลันส่ายหัวแล้วพูดว่า “กระหม่อมกลับคิดว่า
จิ่นอีโหวนั้นไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้บัญชาการค่าย
กิเลนดำพะยะค่ะ”
“แต่ว่า...แต่ว่าค่ายกิเลนดำในตอนนั้น ท่านแม่ทัพ
ใหญ่ฉีเป็นผู้บัญชาการนะ” หลงไท่รู้สึกเครียดขึ้นมา
จากนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าเขาน่าจะตกหลุมพรางของเฒ่า
จิ้งจอกเข้าให้แล้ว “ฉีหนิงได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์
อีกทั้งเขาก็เป็นทายาทของท่านแม่ทัพฉีด้วย ให้เขา
เป็นผู้บัญชาการค่ายกิเลนดำไม่เหมาะตรงไหน มีใคร
เหมาะกว่าเขาอีกอย่างนั้นหรือ?”
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าท่านเหล่าโหวพูดถูกต้อง
แล้ว” ไหวหนานอ๋องค่อยๆพูดว่า “ท่านโหวน้อยไม่ใช่
ท่านแม่ทัพฉี ตอนท่านแม่ทัพฉีอายุยังน้อยนั้นได้
ติดตามท่านจิ่นอีเหล่าโหวสู้รบจับศึกตลอด ตอนอายุ
สิบสาม ก็สามารถสร้างผลงานการศึกได้แล้ว แต่นั่นก็
เป็นเพราะการฝึกฝน ดังนั้นถึงได้สามารถฝึกอบรม
ทหารค่ายกิเลนดำออกมาได้” เขามองไปที่ฉีหนิง เห็น
ฉีหหนิงยังนิ่งอยู่ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว ข้าไม่ได้
จะตำหนิเจ้านะ แต่ว่าการทหารเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่
เรื่องเล่นๆ ค่ายกิเลนดำเป็นหน้าเป็นตาของต้าฉู่เรา
จะทำอะไรลวกๆ ไม่ได้”
ฉีหนิงเองก็เข้าใจ หลงไท่คิดจะก่อตั้งค่ายกิเลนดำ
ขึ้นมาใหม่ แล้วให้เขารับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการค่าย
กิเลนดำ แค่อยากจะฝึกฝนเขา แต่ว่าเฒ่าจิ้งจอกสอง
คนนี้กลับทำลายแผนที่หลงไท่วางไว้จนหมด เขารู้ว่า
ในเวลาแบบนี้ จะต้องนิ่งให้มากที่สุด เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “ท่านอ๋องพูดถูกต้องแล้ว ฉีหนิงอายุยังน้อย
ประสบการณ์ก็ไม่มาก คงต้องพิจารณาให้ดี”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 280 ศึกชิงผู้บัญชาการ
หลงไท่มองซ้ายทีขวาที แล้วพูดว่า “จงอี้โหว หากจิ่น
อีโหวไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้บัญชาการทหารค่าย
กิเลนดำ แล้วท่านคิดว่าใครเหมาะสม?”
“ทูลฝ่าบาท หากพระองค์คิดจะก่อตั้งค่ายกิเลนดำ
ขึ้นมาใหม่ กระหม่อมไม่คัดค้าน” ซือหม่าหลันพูดว่า
“แต่ว่าตอนที่ฝ่าบาทพูดถึงค่ายกิเลนดำขึ้นมา
กระหม่อมก็นึกถึงค่ายดาบดำขึ้นมาด้วย ทหารของ
ค่ายกิเลนดำไม่ใช่ทหารทั่วไป การคัดเลือกคนกับการ
ฝึกฝนนั้นมีแบบเฉพาะของตัวเอง ซึ่งคล้ายกับของ
ค่ายดาบดำ ดังนั้นกระหม่อมคิดว่า หากก่อตั้งค่าย
กิเลนดำขึ้นมาใหม่ อาจจะต้องให้ทางค่ายดาบดำ
ช่วยเหลือ”
“อ๋อ?” หลงไท่พูดว่า “ท่านหมายความว่าจะให้ค่าย
ดาบดำมาช่วยก่อตั้งค่ายกิเลนดำอย่างนั้นหรือ?”
ซือหม่าหลันพูดว่า “รองผู้บัญชาการค่ายดาบดำฉวีเห
ยี่ยนจืออยู่ในค่ายดาบดำมานานหลายปี กระหม่อม
คิดว่า เขาเหมาะสมมากที่สุด”
“จงอี้โหวพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ” ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้ว
พูดว่า “การก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่ เดิมทีก็เป็น
หน่วยงานพิเศษไม่ขึ้นกับใคร หากให้คนของค่ายดาบ
ดำมาบัญชาการค่ายกิเลนดำแล้ว ไม่สู้ขยายค่ายดาบ
ดำไม่ดีกว่าหรือ ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะมีสัมพันธ์อันดีกัน
อยู่บ้าง แต่ว่ามันก็คนละหน่วยงานกัน หากฉวีเห
ยี่ยนจือมาที่ค่ายกิเลนดำแล้ว ก็เหมือนมาตั้งค่ายดาย
ดำใหม่แค่นั้นเอง”
ขุนนางที่อยู่หลังซีเหมินอู๋เหิงพูดขึ้นมาว่า “ท่านอ๋อง
พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ ถึงแม้ค่ายกิเลนดำจะไม่
เหมือนกับค่ายดาบดำ แต่ว่าหากต้องเลือกผู้ที่มา
บัญชาการ ก็อาจจะแค่ไม่คุ้นชิน แต่ฉวีเหยี่ยนจือฝึก
ทหารได้ดีมากอยู่เป็นทุนเดิม เขาสามารถฝึกทหารที่
เก่งกาจได้”
โต้วขุ่ยยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าอู๋หรือว่าท่านไม่รู้ ตอน
นั้นทหารค่ายดาบดำกับทหารค่ายกิเลนดำไม่มีใคร
ยอมน้อยหน้าใครเลยนะ มีปัญหากันก็มาก ฉวีเห
ยี่ยนจือมาจากค่ายดาบดำ ให้เขามาเป็นผู้บัญชาการ
ค่ายกิเลนดำ คงทำให้ทหารฮึกเหิมไม่ได้ อีกทั้งยังจะมี
ปัญหาตามมาอีกมาก”
ฉีหนิงฟังพวกเขาโต้เถียงกัน ก็รู้สึกตลก รู้ว่าการก่อตั้ง
ค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่ก็เหมือนเนื้อที่พวกเขาจ้อง
ต้องการจะได้ ราชสำนักออกเงินตั้งหน่วยงานแบบนี้
มา ใครก็อยากให้คนของตัวเองได้ไปทั้งนั้น
ถึงแม้สายตาของหลงไท่เองจะไม่ได้พอใจ แต่ว่า
ฮ่องเต้น้อยก็ควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีมาก เขา
ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร “ไหวหนานอ๋อง หากฉวีเห
ยี่ยนจือเองก็ไม่เหมาะ แล้วท่านคิดว่าใครที่
เหมาะสม?”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมนึกถึงคนๆ หนึ่ง อาจจะลองดู
ได้” ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “เขาได้รับการยก
ฐานะเป็นผู้มีคุณธรรม ตอนนี้เขามารอเข้าเฝ้าอยู่ใน
เมืองหลวงแล้ว”
“ได้รับการยกฐานะเป็นผู้มีคุณธรรม?” หลงไท่พูดว่า
“คนที่ท่านอาจารย์จั่วแนะนำอย่างนั้นหรือ?”
ไหวหนานอ๋องพูดว่า “ถูกต้องแล้ว ท่านอาจารย์จั่ว
แนะนำให้อดีตฮ่องเต้ทั้งหมดสามคน สามคนนี้ตอนนี้
ล้วนเป็นเสาหลักของบ้านเมือง คนที่อาจารย์จั่ว
แนะนำในครั้งนี้ ถือเป็นคนที่สี่ในรอบหลายปี คนที่
อาจารย์จั่วแนะนำล้วนแต่มีความสามารถ หากมีเพียง
ความสามารถแค่ด้านเดียว คงไม่ได้รับการแนะนำเข้า
มาเป็นแน่”
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “อดีตฮ่องเต้พูดถึง
อาจารย์จั่วให้ข้าฟังบ่อยๆ ท่านเป็นนักปราชญ์ของยุค
จริงสิ แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
“ทูลฝ่าบาท เขาตามกระหม่อมเข้าวังมาด้วย ตอนนี้
รออยู่ข้างนอก” ไหวหนานอ๋องพูดว่า “เดิมทีคิดว่า
หลังจากหารือราชกิจกับพระองค์แล้วค่อยให้เขาเข้า
เฝ้า แต่ว่าตอนนี้พูดถึงเรื่องค่ายกิเลนดำขึ้นมา
กระหม่อมคิดว่าพระองค์ควรจะเรียกเขามาเข้าเฝ้า”
ฉีหนิงขมวดคิ้วหนักมาก
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว คนที่ไหวหนานอ๋องพูดถึงนั้น
น่าจะเป็นเจียงซุยอวิ๋น
เจียงซุยอวิ๋นเป็นลูกศิษย์ของจั่วชิงหยาง อาจารย์จั่ว
แนะนำเขาให้กับทางราชสำนัก ฉีหนิงจำได้ว่าเคยเดิม
พันกับทางเจียงซุยอวิ๋นเอาไว้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าไหว
หนานอ๋องจะพาเขาเข้าวังมาในวันนี้ด้วย
หลงไท่คิด แล้วสั่งให้คนไปเรียกตัวเขามา ไม่นานนัก
ก็เห็นคุณชายเจียงจากตงไห่เดินเข้ามาในห้องทรง
อักษร
ขุนนางทุกคนมองไปที่เขา คนส่วนมากไม่รู้จักเจียง
ซุยอวิ๋น จู่ๆ ก็เห็นคุณชายหน้าตาดีมาอยู่ตรงหน้า ก็
รู้สึกสงสัย เพียงแต่เจียงซุยอวิ๋นมีราศีของคนมีฐานะ
ทำให้คนรู้สึกถูกชะตาง่ายๆ
“กระหม่อมเจียงซุยอวิ๋นจากตงไห่ ถวายพระพรฝ่า
บาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี” เจียง
ซุยอวิ๋นถวายพระพร หลงไท่ก็พูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ
เจียงซุยอวิ๋น เงยหน้าขึ้นมาให้ข้าดูหน่อยสิ”
เจียงซุยอวิ๋นยืนตรงแล้วเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของเขา
เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้จะยืนอยู่ท่ามกลางขุนนาง
ผู้ใหญ่และสำคัญ แต่ท่าทางของเขานิ่งมาก ไม่ได้มี
ความตื่นกลัวใดๆ เลย
“เจ้าเป็นศิษย์ของท่านจั่วหรือ?” หลงไท่ถาม ฉีหนิง
สัมผัสได้ว่า หลงไท่เหมือนจะมีความเคารพต่อจั่วชิงห
ยางมาก
เจียงซุยอวิ๋นพูดว่า “ทูลฝ่าบาท ตอนนั้นท่านอาจารย์
ท่องเที่ยวไปถึงตงไห่ กระหม่อมได้คำนับท่านเป็นศิษย์
ที่นั่น จึงได้รับความเมตตาในการอบรมสั่งสอนวิชาพะ
ยะค่ะ”
หลงไท่พยักหน้า แล้วหันไปมองไหวหนานอ๋อง แล้ว
ถามว่า “ไหวหนานอ๋อง ท่านคิดว่าเจียงซุยอวิ๋น
เหมาะสมที่จะเป็นผู้บัญชาการค่ายกิเลนดำอย่างไร
หรือ?”
ไหวหนานอ๋องพูดว่า “ฝ่าบาท เจียงซุยอวิ๋นไม่เพียงมี
ความรู้ความสามารถ เขาเองก็ชื่นชอบในวิชาการ
ทหารมาก กระหม่อมเคยพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องนี้กับ
เขาหลายครั้ง เขาเป็นคนมากความรู้จริงๆ ไม่เสียแรง
ที่เป็นศิษย์ของท่านจั่วจริงๆ”
“ท่านอ๋อง ตอนนี้ที่พวกเรากำลังพูดกันเรื่องคัดเลือกผู้
บัญชาการทหารค่ายกิเลนดำนะ เป็นการคัดเลือกคน
ที่เป็นนักรบ เจียงซุยอวิ๋นอาจจะมีความรู้มาก แต่ว่า
จะให้เขาไปเป็นผู้บัญชาการทหาร เกรงว่าน่าจะไม่
เหมาะ” ขุนนางที่อยู่หลังซีเหมินอู๋เหิงอดไม่ได้ที่จะพูด
ขึ้นมา “หากให้เขาเป็นผู้บัญชาการทหารค่ายกิเลนดำ
ไม่สู้ให้ฉวีเหยี่ยนจือเป็นจะเหมาะสมกว่า”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “ไหวหนานอ๋อง ในเมื่อเจียง
ซุยอวิ๋นเป็นคนที่ท่านจั่วแนะนำมา ข้าต้องให้
ความสำคัญเขาแน่นอน แต่ว่าเรื่องการบัญชาการ
ทหาร ข้าว่าเขาน่าจะไม่เหมาะสม”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทกับใต้เท้าทุก
ท่านอาจจะเข้าใจผิดเขาจากท่าทางภายนอกของเขา
เจียงซุยอวิ๋นถึงแม้จะดูสุขุมเรียบร้อย แต่ว่าเขาเก่ง
ทั้งบุ๋นและบู้ ฝ่าบาทอาจจะทรงไม่ทราบ เจียงซุยอวิ๋น
เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเจียงแห่งตงไห่ ตระกูล
เจียงเป็นตระกูลการค้าทางทะเล ตอนอายุสิบหกเจียง
ซุยอวิ๋นเคยออกทะเลไป แต่ว่าเขาหลงทาง แล้วเจอ
โจรสลัดในทะเล” เขาหันไปมองเจียงซุยอวิ๋น แล้วพูด
ว่า “เจ้าเล่ารายละเอียดให้ฝ่าบาททรงทราบ”
เจียงซุยอวิ๋นพูดอย่างนอบน้อมว่า “ตอนอายุสิบหก
กระหม่อมออกเรือไปกับขบวนการค้า ได้ยินว่าบน
ทะเลมีเกาะอยู่เกาะหนึ่ง บรรยากาศดีมาก จึงแอบ
ออกจากขบวนไปเพื่อไปตามหาเกาะแห่งนี้ บนเรือมี
คนมากกว่ายี่สิบกว่าคน ใครจะคิดว่าไม่มีใครเลยที่
ค้นหาเกาะแห่งนี้ได้ อีกทั้งยังหลงทางอีกด้วย” ทุกคน
ตั้งใจฟังเขามาก เขาพูดต่อว่า “ตอนที่กระหม่อม
กำลังค้นหาเส้นทางอยู่นั้น ก็พบกับโจรสลัดเข้า ที่ตง
ไห่มักมีโจรสลัดอยู่เสมอ ปล้นชิงสินค้าบนเรือบ่อยครั้ง
พวกเขาพบร่องรอยของกระหม่อม คิดจะชิงเรือของ
กระหม่อมไป”
ฉีหนิงไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เพราะเขาเจอเรื่องที่
วิทยาลัยฉงหลินมาแล้ว เรื่องที่เขาพูด ฉีหนิงเชื่อครึ่ง
ไม่เชื่อครึ่ง
“กระหม่อมต่อสู้กับเขาบนทะเล โชคดีที่รอดมาได้ อีก
ทั้งยังสามารถจับเรือของโจรสลัดสามลำมาได้ โดยโจร
สลัดทั้งหมดสามสิบคนถูกสังหาร เหลืออีกสิบกว่าคน
ถูกจับกลับมาตงไห่ แล้วส่งให้ทางการจัดการ” เจียง
ซุยอวิ๋นพูดว่า “พอนึกๆ ดูแล้ว น่าจะเป็นเพราะ
กระหม่อมชอบเรื่องการทหาร จึงพอจะรู้กลยุทธ์ต่างๆ
อยู่บ้าง จึงโชคดี”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท เจียงซุยอวิ๋น
อายุสิบหกก็สามารถใช้กลยุทธ์ต่างๆ ได้แล้ว ถือว่าหา
ได้ยาก คนที่เก่งทั้งบุ๋นทั้งบู้อย่างนี้ อีกทั้งยังเป็นศิษย์
ของท่านจั่ว กระหม่อมคิดว่าหากให้เขารับหน้าที่เป็น
ผู้บัญชาการ จะต้องไม่ทำให้พระองค์ผิดหวังแน่นอน”
“ท่านอ๋อง นำทัพออกศึกกับปราบโจรสลัดมันไม่
เหมือนกันนะ” ใต้เท้าอู๋พูด “ทหารค่ายกิเลนดำเป็น
ทหารที่ร้ายกาจหน่วยหนึ่งของต้าฉู่ เจียงซุยอวิ๋นไม่มี
ประสบการณ์ด้านการทหารเลย เกรงว่าคงไม่เหมาะ”
“ใต้เท้าอู๋ การตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่ ทุกอย่างก็
เริ่มใหม่หมด” ไหวหนานอ๋องพูดอย่างจริงจังว่า
“เจียงซุยอวิ๋นสามารถใช้กลศึกได้ เก่งทั้งบุ๋นและบู้ ใน
ระหว่างการฝึกทหาร ก็สามารถฝึกฝนได้ ท่าน
อาจารย์จั่วเลือกคนไม่ผิดแน่นอน ข้าไม่ได้เชื่อในตัว
ของเจียงซุยอวิ๋น แต่ข้าเชื่อในตัวของท่านจั่ว”
หลงไท่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “จงอี้โหวเสนอฮวีเห
ยี่ยนจือ ไหวหนานอ๋องเสนอเจียงซุยอวิ๋น ตำแหน่งผู้
บัญชาการ ควรจะต้องตัดสินอย่างไร?” เขามองไปที่ซี
เหมินอู๋เหิง แล้วพูดว่า “ซีเหมินเสินโหว ท่านมีวิธี
หรือไม่?”
ซีเหมินอู๋เหิงไม่พูดอะไรเลย ตอนนี้ออกมาพูดว่า “ทูล
ฝ่าบาท ไม่ว่าจะเป็นฉวีเหยี่ยนจือ เจียงซุยอวิ๋น หรือ
ว่าจิ่นอีโหว ต่างเป็นผู้ที่มีความสามารถมาก
กระหม่อมคิดว่า อย่างไรก็ตามค่ายกิเลนดำ ก็เป็น
เรื่องของคนฝึกยุทธ์ หากคิดจะเป็นผู้บัญชาการค่าย
กิเลนดำ จะต้องเป็นคนที่มีวรยุทธ์เหนือใคร ถึงจะทำ
ให้ทหารในสังกัดยอมรับและเชื่อมัน่ ได้” เขาหยุดไป
ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลว่า
ในเมื่อมีตัวเลือกสามคน เหตุใดฝ่าบาทไม่ทรงให้พวก
เขาทั้งสามประลองฝีมือกันเล่า ดูว่าใครฝีมือดีที่สุด ก็
ให้คนนั้นเป็นผู้บัญชาการทหารค่ายกิเลนดำไป ให้
ฝีมือเป็นผู้ตัดสิน”
จงอี้โหวรีบพูดว่า “ฝ่าบาท ซีเหมินเสินโหวพูดมามี
เหตุผล ในเมื่อต้องบัญชาการทหาร ก็ใช้ฝีมือมา
ตัดสิน”
ขุนนางไม่น้อยคิดในใจว่า ข้อเสนอของซีเหมินอู๋เหิง
นั้น เข้าทางจงอี้โหว
ทุกคนต่างรู้ดีว่า ทหารของค่ายดาบดำเป็นทหารที่ถูก
คัดเลือกมาแล้วอย่างละเอียด อย่าว่าแต่รองผู้
บัญชาการเลย แค่ทหารทั่วไปก็สามารถสู้หนึ่งต่อสิบ
ได้สบาย
ผู้บัญชาการค่ายดาบดำเป็นแม่ทัพฝีมืออันดับต้นๆ
ของแคว้น รองผู้บัญชาการฉวีเหยี่ยนจือวรยุทธ์ไม่ได้
ด้อยกว่าเลย อีกทั้งเขายังเป็นแม่ทัพที่ดูแลการฝึกของ
ทหารด้วย
แต่ว่าเจียงซุยอวิ๋นกับฉีหนิง เจียงซุยอวิ๋นดูเรียบร้อย
ไม่มีแรง อาจจะมีความสามารถด้านวิชาการ แต่หาก
บอกว่าวรยุทธ์ของเขาร้ายกาจ อาจจะไม่ค่อยมีใคร
เชื่อเท่าไหร่
ส่วนฉีหนิงก็เพิ่งเคยโผล่หน้าออกมาหลังจากที่ฉีจิ่ง
ตายไป
จวนจิ่นอีโหวมีชื่อเรื่องจิ่นอีคนบ้า ถึงบอกว่าตอนนี้
ปกติแล้ว แต่ว่าก็เพิ่งจะเริ่มทำงานได้ปกติ แต่จะให้
โหวน้อยคนนี้ไปสู้กับฉวีเหยี่ยนจือ คิดว่าขาคงอ่อน
ตั้งแต่ยังไม่ได้สู้แน่นอน
หากให้สู้กันด้วยฝีมือ ฉวีเหยี่ยนจือคงได้ไปแน่นอน
หลงไท่มองไปที่ฉีหนิง สายตาของเขาเหมือนกำลัง
ถามความเห็นของเขาอยู่ ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้า
ประสบการณ์ความรู้น้อยนัก เดิมทีก็ไม่ได้มี
ความสามารถอะไรจะเป็นผู้บัญชาการทหารค่ายกิเลน
ดำอยู่แล้ว แต่ว่าท่านพ่อเคยสอนไว้ว่า ต่อให้รู้ว่าสู้
ไม่ได้ก็ต้องลองให้รู้ หากจะประลองฝีมือแล้วล่ะก็ ข้า
ลองดูก็ไม่เสียหาย” เขามองไปที่เจียงซุยอวิ๋น ยิ้มแล้ว
พูดว่า “คุณชายเจียง หากข้ามีโอกาสได้ประลองกับ
เจ้าจริงๆ เจ้าก็ออมมือให้ข้าด้วยนะ”
ทุกคนในที่นั้นแอบคิดในใจว่า ยังไม่ทันได้สู้ ก็ขอให้
ออมมือแล้ว คำพังเพยโบราณกล่าวได้ดี รุ่งเรืองไม่
เกินสามรุ่น ดูท่าทางตระกูลฉีจะรุ่งเรืองแค่สองรุ่น
เท่านั้น พอมาอยู่ในมือของโหวน้อย น่าจะจบสิ้นแล้ว
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 281 แผนของแต่ละคน
หลงไท่พอจะรู้วรยุทธ์ของฉีหนิงอยู่บ้าง ทั้งสองเคย
ประมือกันมาก่อน เขารู้ว่าวรยุทธ์ของฉีหนิงนั้นถึงแม้
จะธรรมดา แต่ว่าหากเทียบกับฉวีเหยี่ยนจือแล้ว
ต่างกันราวฟ้ากับดิน
เดิมทีเขาคิดจะอาศัยโอกาสการก่อตั้งค่ายกิเลนดำ
ขึ้นมาใหม่ ให้ฉีหนิงรับผิดชอบบัญชาการไป แต่คิดไม่
ถึงเลยว่าทุกอย่างที่เขาวางแผนเอาไว้มันสลายหายไป
หมด ในใจของเขาก็นึกโมโห รู้สึกว่าตัวเองอายุน้อย
เกินไป กว่าจะคิดแผนขึ้นมาได้ แต่กลับให้เฒ่าจิ้งจอก
สองตัวย้อนกลับหลอกใช้ประโยชน์ได้
แต่ว่าในเวลาแบบนี้ จะแสดงออกทางสีหน้าไม่ได้
เด็ดขาด เขาพูดว่า “ไหวหนานอ๋องท่านเองก็คิดแบบ
นี้เช่นกันหรือ?”
ในเมื่อไม่สามารถทำให้ฉีหนิงได้ตำแหน่งนี้มาครองได้
หลงไท่ก็คิดจะยกเลิกเรื่องนี้เลย เขาเห็นเจียงซุยอวิ๋น
ก็ดูอ่อนแอ อาจจะพอมีพื้นฐานวรยุทธ์อยู่บ้าง แต่ว่า
ไม่มีทางเทียบกับฉวีเหยี่ยนจือได้ เขาเลยคิดให้ไหว
หนานอ๋องนั้นคัดค้านเรื่องการประลองชิงผู้บัญชาการ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าไหวหนานอ๋องกลับพูดว่า “ฝ่าบาท
วิธีนี้กระหม่อมว่าใช้ได้ ในเมื่อเป็นการชิงธงของนักรบ
ก็ให้แสดงความสามารถออกมา ไม่อยากนั้นคงไม่มี
ใครยอมรับได้”
จงอี้โหวยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องพูดถูกแล้ว ถ้า
เช่นนั้น ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย กำหนดประลอง
สามรอบตัดสินแพ้ชนะ”
“ประลองสามรอบตัดสินแพ้ชนะ?” หลงไท่ขมวดคิ้ว
แล้วถามว่า “จงอี้โหว ท่านหมายถึงอะไรบ้าง?”
“ฝ่าบาท การเลือกผู้บัญชาการค่ายกิเลนดำ เป็นเรื่อง
ใหญ่ระดับชาติ ไม่ใช่การประลองยุทธ์ทั่วไป” จงอี้โหว
พูดว่า “ในเมื่อต้องประลอง การขี่ม้ายิงธนูคงเลี่ยง
ไม่ได้ กระหม่อมคิดว่า สามรอบ ให้แบ่งเป็นแข่งหมัด
มวย อาวุธ แล้วก็ขี่ม้ายิงธนู โดยทั้งสามรอบให้จิ่นอี
โหว ฉวีเหยี่ยนจือกับเจียงซุยอวิ๋นประลองกัน ใครแพ้
ชนะ ก็จะได้หนึ่งแต้ม หลังจากครบสามรอบไปแล้ว
คะแนนใครสูงสุด ก็จะได้ตำแหน่งผู้บัญชาการค่าย
กิเลนดำไปแทน” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่า
วิธีของกระหม่อมเป็นอย่างไรบ้าง?”
ขุนนางที่อยู่ตรงนั้นต่างพยักหน้า
ขุนนางทุกคนมองออก ค่ายกิเลนดำกับค่ายดาบดำ
เหมือนเป็นหน่วยงานคู่ต่อสู้กัน การประลองฝีมือด้าน
การทหาร ก็เหมือนการทำสงครามจริง
หากผู้บัญชาการต้องนำทัพกว่าแสนล้านนาย ก็ต้อง
รู้จักค่ายกลทางการทหาร แต่ว่าค่ายกิเลนดำนั้นมี
เพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น ในฐานะผู้บัญชาการ วิชาการ
ต่อสู้ต่างๆ นั้นก็สำคัญมากกว่ากลศึก
จงอี้โหวเสนอการต่อสู้สามด่าน ในสามด่านนี้ไม่มีด้าน
ในคือกลศึกเลย นั่นชัดเจนว่าปูทางให้กับฉวีเหยี่ยนจือ
ชัดๆ
เจียงซุยอวิ๋นเป็นศิษย์ของมหาบัณฑิต เรื่องวิชาการไม่
น่าห่วง ส่วนฉีหนิงทุกคนรู้ว่าเขาความรู้น้อย แต่ว่า
การเป็นคนของจวนจิ่นอีโหว อย่างไรแล้วก็ต้องมีติด
ตัวอยู่ แต่ว่าฉวีเหยี่ยนจือเขาเป็นนักรบ ให้เขาไป
ประลองความรู้กับฉีหนิงยังพอไหว แต่ว่าหากให้ไปสู้
กับศิษย์ของจั่วชิงหยาง ก็เหมือนกับรนหาที่ชัดๆ
จงอี้โหวไม่พูดถึงเรื่องของวิชาการเลย เพราะเขารู้
จุดอ่อนของฉวีเหยี่ยนจือดี
มีบางคนคิดว่าไหวหนานอ๋องแสดงชัดเจนว่าเสนอ
เจียงซุยอวิ๋น น่าจะไม่มีทางยอม อย่างไรก็จะต้องเถียง
กับทางจงอี้โหวแน่นอน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าไหวหนานอ๋องจะยิ้มแล้วพูดว่า
“โหวเยว่บอกว่าแข่งกันสามด่าน เหมาะสมจริงๆ หาก
สามารถชนะได้ทั้งสามด่าน ก็จะสามารถได้ใจเหล่า
ทหารได้ โหวเยว่คิดวิธีแบบนี้มาได้ ข้านับถือจริงๆ”
เมื่อเป็นแบบนี้มันทำให้ขุนนางทั้งหลายต่างตกใจ คิด
ในใจว่าเหตุใดไหวหนานอ๋องถึงได้ไม่คัดค้านเลย หรือ
ว่าจะยกตำแหน่งผู้บัญชาการทหารค่ายกิเลนดำให้กับ
ฉวีเหยี่ยนจือไป?
มีคนประเมินเจียงซุยอวิ๋นไว้ว่า ชายหนุ่มคนนี้จะเป็น
เสือซ่อนเล็บ แต่ว่าท่าทางของเขาดูเรียบร้อยเกินไป
ไม่เหมือนคนฝึกยุทธ์เลย หากเทียบกับจิ่นอีโหวฉีหนิง
แล้ว ฉีหนิงยังดูเหมือนเคยฝึกมาบ้าง
หลงไท่ไม่คิดว่าวันนี้ไหวหนานอ๋องกับจงอี้โหวจะคิด
เหมือนกันได้ เขาคิดจะคืนคำสั่งก็ทำไม่ได้แล้ว เขา
รู้สึกโกรธมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ทำตาม
วิธีของจงอี้โหวก็แล้วกัน ให้พวกเขาสามคนประลอง
กัน จิ่นอีโหวเป็นผู้สืบทอดของท่านแม่ทัพใหญ่ ฉวีเห
ยี่ยนจือเป็นรองผู้บัญชาการทหารค่ายดาบดำ เจียง
ซุยอวิ๋นเป็นศิษย์ของท่านจั่วชิงหยาง พวกเขาทั้งสาม
คนไม่ว่าใครก็ตามที่ชนะ ข้าจะแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้
บัญชาการทหารค่ายกิเลนดำ” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง
แล้วพูดว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว หลังจากนี้อีกสามวัน ก็
ให้ไปประลองกันที่สนามฝึกของค่ายหู๋เสิน”
จงอี้โหวพูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา” ขุนนาง
คนอื่นก็พูดตาม
เมื่อออกจากวัง ฉีหนิงกำลังจะขึ้นม้า ก็ได้ยินเสียงซีเห
มินอู๋เหิงดังขึ้นมาว่า “โหวเยว่ช้าก่อน”
ฉีหนิงหันหน้ากลับไป เห็นซีเหมินอู๋เหิงกำลังเดินเข้า
มาหา เขายังไม่ทันได้พูดอะไร ซีเหมินอู๋เหิงยิ้มแล้วพูด
ว่า “โหวเยว่ ข้ามาเพื่อขอขมาต่อท่าน”
“ขอขมา?”
ซีเหมินอู๋เหิงพูดว่า “โหวเยว่ถูกจับตัวไปจากจวนเสิน
โหว เพราะองครักษ์ในจวนเสินโหวไม่รอบคอบ โชคดี
ที่ท่านปลอดภัยกลับมา ถือว่าสวรรค์คุ้มครองจริงๆ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเสินโหว หากไม่ใช่คนดีฟ้า
คุ้มครอง ตอนนี้ข้าคงถูกเชือดเป็นชิ้นๆ แล้วกระมัง”
“ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะองครักษ์ในจวนเสินโหวไม่
รอบคอบ ข้าต้องขออภัยต่อโหวเยว่ด้วย” ซีเหมินอู๋
เหิงฟังออกว่าฉีหนิงไม่ค่อยพอใจ “โหวเยว่วางใจได้
เรื่องนี้ทางจวนเสินโหวไม่มีทางปล่อยไว้แน่นอน
หลังจากที่จั้นอิงกลับมาที่จวนแล้วนางเล่าให้ฟังว่า คน
ที่บุกชิงตัวโหวเยว่ไป คือราชาพิษจิ่วซี ข้าได้ส่งคนไปที่
ซีชวนเพื่อสืบหาร่องรอยของชิวเฉียนอี๋แล้ว เมื่อได้
ข่าวพวกเราจะส่งคนไปจับทันที เมื่อเขาถูกจับแล้ว
พวกเราจะแจ้งท่านทันที”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเสินโหว ท่านรู้หรือไม่ว่า
ปล่อยเสือเข้าป่าเสือก็จะดุร้ายขึ้น? ชิวเฉียนอี๋กลับ
มาถึงซีชวน ก็เหมือนเสือร้ายกลับสู่ป่า คิดจะจับเขา
มันไม่ง่ายแล้วกระมัง”
“ปล่อยเสือเข้าป่า?” ซีเหมินอู๋เหิงยิ้มแล้วพูดว่า “โหว
เยว่พูดมาเช่นนี้ก็ไม่ถูก ข้าไม่ได้ปล่อยเสือเข้าป่าไป
ตอนนี้หากเขาไม่ได้จับตัวท่านไว้ ข้าต้องจับเขา
แน่นอน”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าคงพูดผิดไป ท่านเสิน
โหวอย่าถือสาเลยนะ”
“มิกล้า ครั้งนี้จั้นอิงปลอดภัยกลับมาได้ ก็เพราะได้
โหวเยว่ช่วยเหลือ” ซีเหมินอู๋เหิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“หลังจากที่จั้นอิงกลับมา ก็พูดตลอดว่าโหวเยว่มี
บุญคุณที่ช่วยชีวิตนาง บุญคุณของท่าน ข้าจะจำไม่ลืม
หากมีโอกาส ข้าต้องตอบแทนแน่นอน”
ฉีหนิงกำลังจะพูด ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของไหวหนาน
อ๋องดังขึ้นมา จากนั้นก็ได้ยินว่า “ข้อเสนอของท่าน
เสินโหวช่างวิเศษนัก ข้านับถือจริงๆ”
ไหวหนานอ๋องเดินมาถึง เจียงซุยอวิ๋นเดินตามไหว
หนานอ๋องมาด้วย
ซีเหมินอู๋เหิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมเป็น
คนฝึกยุทธ์ เมื่อเจอปัญหา ก็ใช้วิชาแก้ปัญหากันไป
เดิมทีแค่พูดไปอย่างนั้น ไม่คิดว่าจะได้ใช้ประโยชน์
จริงๆ”
ไหวหนานอ๋องหัวเราะ แล้วมองไปที่ฉีหนิง เขาพูดว่า
“จิ่นอีโหว เจ้าเป็นผู้สืบทอดของท่านแม่ทัพใหญ่ ท่าน
เหล่าโหวกับท่านแม่ทัพเคยเป็นเสาหลักของบ้านเมือง
ตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายกิเลนดำในครั้งนี้ ข้ายังหวัง
ว่าเจ้าจะสามารถชิงมันไปได้ ไม่เพียงจะได้สืบทอด
ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ยังสืบทอดหน้าที่อันใหญ่หลวง
ของท่านแม่ทัพอีกด้วย” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ทำ
หน้าเศร้าสลดใจ “ไม่แน่อีกหลายปี โหวเยว่อาจจะ
เป็นเสาหลักของบ้านเมืองได้เช่นกัน”
“ท่านอ๋อง ข้าขอพูดตามตรง การชิงตำแหน่งผู้
บัญชาการในครั้งนี้ ข้าก็แค่อยากร่วมสนุกด้วย
เท่านั้น” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากจะพูดด้านฝีมือ
ท่านองบัญชาการฉวีเหยี่ยนจือเหนือกว่าข้ามาก อย่า
ว่าแต่หมัดมวย หรือขี่ม้ายิงธนูเลย จนถึงวันนี้ข้ายังไม่
รู้เลยว่าเวลาขี่ม้าต้องง้างธนูอย่างไร...” เขาส่ายหน้า
ยิ้มว่าแล้วพูดว่า “หากพูดถึงเรื่องวิชาการ ข้าคงเทียบ
กับศิษย์ของท่านจั่วชิงหยางอย่างคุณชายเจียงไม่ได้
หรอก...” เขาเหมือนไม่อยากจะพูดต่อ เขายกมือ
คำนับแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ท่านเสินโหว ใต้เท้าทุก
ท่าน ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ข้าขอตัวก่อน” เขาขึ้นม้า
แล้วจากไปทันที
ซีเหมินอู๋เหิงเองก็ขอตัวกลับเช่นกัน หลังจากที่ซีเห
มินอู๋เหิงจากไป เสนาบดีกรมพระคลังโต้วขุ่ยก็พูด
ขึ้นมาว่า “เจ้าเด็กแซ่ฉีนั่งไม่สบายหรือ? หึ ข้าว่าคง
กลัวตั้งแต่ยังไม่ได้ประลองมากกว่า ค่ายกิเลนดำเป็น
ของตระกูลฉี ก็ควรให้คนแซ่ฉีอย่างเขามาเป็นผู้
บัญชาการอย่างนั้นหรือ”
ไหวหนานอ๋องยืนไขว้มือ แล้วเหลือบไปมอง ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ใต้เท้าขุ่ยอย่าพูดเช่นนั้น ค่ายกิเลนดำท่านแม่
ทัพฉีเป็นคนก่อตั้งขึ้นมา ถึงแม้จะเป็นทหารของทาง
ราชสำนักจริง แต่ว่าตอนนั้นถ้าไม่มีคำสั่งของฉีจิ่ง ราช
สำนักสามารถสั่งโยกย้ายทหารค่ายกิเลนดำได้จริง
หรือ?” เขาหันกลับไปมอง แล้วยิ้มว่า “ก็เหมือนค่าย
ดาบดำในวันนี้ หากไม่มีคำสั่งของจงอี้โหว แม้แต่
คำสั่งของฝ่าบาท ก็อาจจะไม่สามารถโยกย้ายกำลัง
พลของค่ายดาบดำได้”
“ท่านอ๋อง ครั้งนี้จงอี้โหวเสนอฉวีเหยี่ยนจือ แสดงว่า
เขาวางแผนว่าจะต้องได้ตำแหน่งนี้แน่” โต้วขุ่ยพูดว่า
“ฉวีเหยี่ยนจือวรยุทธ์ร้ายกาจมาก ข้าได้ยินมาว่าเขา
ฝึกวิชาดาบที่มีชื่อว่าดาบอู๋จี๋ ตอนนี้ไม่มีใครสามารถ
เป็นคู่มือกับเขาได้ ท่านอ๋อง จงอี้โหวผลักดันฉวีเห
ยี่ยนจือ ทางคุณชายเจียง...” เขาไม่ได้พูดต่อ แต่ว่า
ทุกคนรู้ความหมายดี
ไหวหนานอ๋องมองไปที่เจียงซุยอวิ๋น แล้วพูดว่า “เจียง
ซุยอวิ๋น โอกาสมาหาเจ้าแล้ว จะได้หรือไม่ อยู่ที่ตัวเจ้า
เอง ใต้เท้าโต้วพูดถูก คนของค่ายดาบดำไม่ธรรมดา
สามารถอยู่ในระดับผู้บัญชาการได้ ฝีมือต้องร้ายกาจ
ยิ่ง เจ้ามีวิธีรับมือหรือไม่?”
“ท่านอ๋อง ในเมื่อโอกาสมาถึงแล้ว ซุยอวิ๋นก็จะต้อง
ทำให้เต็มที่” เจียงซุยอวิ๋นพูดว่า “ซุยอวิ๋นได้ยินชื่อ
ของฉวีเหยี่ยนจือมาบ้าง ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
ไหวหนานอ๋องลูบเคราแล้วยิ้ม จากนั้นก็ตบบ่าของ
เจียงซุยอวิ๋น แต่ไม่พูดอะไรต่อ
ตั้งแต่ออกมาจากวังจนถึงจวนโหว ฉีหนิงอารมณ์ไม่
ค่อยดีสักเท่าไหร่ เขาคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น
จากนั้นก็ถามหากู้ชิงฮั่น พอรู้ว่ากู้ชิงฮั่นอยู่ที่ห้องบัญชี
เขาลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปที่ห้องบัญชีทันที
ในจวนโหวมีกว่าร้อยคน ในแต่ละวันมีเรื่องราวเกิดขึ้น
มากมาย
กู้ชิงฮั่นจะใช้เวลาครึ่งชั่วยามในแต่ละวันอยู่ที่ห้อง
บัญชี ดังนั้นจึงมีห้องเฉพาะหนึ่งห้อง หากไม่มีคำสั่ง
ห้ามใครเข้ามารบกวนเด็ดขาด
ตั้งแต่คืนนั้น ฉีหนิงก็ไม่ได้เจอหน้ากู้ชิงฮั่นอีกเลย
เพราะสองวันที่ผ่านมาเขาเองก็ยุ่งจนไม่มีเวลา อีกทั้ง
ในใจก็รู้สึกไม่ดี ไม่รู้จะสู้หน้าอย่างไร กู้ชิงฮั่นเองก็
เหมือนตั้งใจจะหลบหน้าด้วย เพราะที่ผ่านมา ไม่ว่า
จะกลับมาดึกแค่ไหน กู้ชิงฮั่นจะนั่งรอที่ห้องโถงตลอด
แต่ว่าตั้งแต่กลับมาจากจวนตระกูลเถียน กู้ชิงฮั่นกลับ
เข้าไปนอนแล้ว
เมื่อมาถึงหน้าห้อง เขาเห็นประตูแง้มอยู่ ไม่ได้ปิด
สนิท วันนี้อากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ค่อนข้างมืด ดังนั้น
ในห้องจึงจุดตะเกียงเอาไว้ ฉีหนิงเดินไปหยุดที่หน้า
ประตู เขามองผ่านช่องไป เห็นกู้ชิงฮั่นกำลังเขียน
หนังสืออยู่
ท่าทางของนางอ่อนช้อยมีเสน่ห์ รูปร่างเย้ายวน
ผิวพรรณขาวผ่อง มองอย่างไรก็ทำให้คนหลงใหล
ฉีหนิงหยุดยืนอยู่แบบัน้ ไม่รู้ทำไม ความสวยของกู้ชิง
ฮั่นในครั้งนี้ มันทำให้เขารู้สึกใจเต้นแรงมากกว่าเดิม
เดิมทีเขาเป็นคนที่สามารถควบคุมตัวเองได้ แต่ว่าเมื่อ
อยู่ต่อหน้ากู้ชิงฮั่น กลับรู้สึกแปลกๆ อธิบายไม่ถูก
เขาไม่ได้พูดอะไร กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่ามีคนบังแสงอยูท่ ี่หน้า
ประตู นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วถามว่า “ใครอยู่
ข้างนอก?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 282 ต้องเป็นของข้า
ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ซานเหนียง ข้า
เอง ท่านกำลังยุ่งอยู่หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นได้ยินเสียงของฉีหนิง ก็ตื่นตระหนก นางรีบ
วางพู่กันลง นั่งตัวตรง แล้วก้มหน้าดูเสื้อผ้าของตัวเอง
จากนั้นก็รีบจัดเสื้อดึงมาปิดให้มิดชิดขึ้น จากนั้นถึงได้
พูดว่า “หนิง...หนิงเอ๋อร์รึ? มีเรื่องอะไรหรือไม่?”
“มีเรื่องอยากจะขอคำชี้แนะจากซานเหนียงสัก
หน่อย” ฉีหนิงก็ไม่กล้าเดินเข้าไป แต่ว่าทั้งคู่พูดคุยกัน
เหมือนจะห่างเหินไปเยอะมาก
เขารู้ว่าหลังจากเกิดเรื่องขึ้นในวันนั้นแล้ว ถึงแม้กู้ชิง
ฮั่นจะบอกว่าไม่โทษเขา แล้วก็ไม่ได้พูดถึงอีก แต่ว่าก็
ไม่มีทางหายไปจากใจนางได้เร็วแบบนั้น แม้แต่ตัวเขา
เองก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ไม่แปลกที่กู้ชิงฮั่นจะเป็นแบบ
นี้
กู้ชิงฮั่นตอบกลับมาว่า “อ่อ” กำลังคิดจะให้ฉีหนิงเข้า
มา นางก็ก้มตรวจดูเสื้อผ้าของตัวเองอีกครั้ง เมื่อ
มั่นใจว่าปิดมิดชิดแล้ว ก็หยิบพู่กันอีกครั้ง แล้วแกล้ง
ทำเป็นเขียนหนังสืออยู่ “เจ้า...เข้ามาสิ”
ฉีหนิงเดินเข้ามาในห้อง แล้วคิดจะปิดประตู กู้ชิงฮั่น
รีบพูดว่า “ไม่...ไม่ต้องปิด ในห้อง...ในห้องมันร้อน
เปิดไว้ให้อากาศผ่านดีกว่า”
ฉีหนิงตะลึงไป เขารู้สึกขำ ภายในห้องมีเตาผิงอยู่
อากาศภายในห้องนี้ก็อุ่นจริง แต่ว่ามันก็ไม่ได้ถึงขั้น
ร้อนจนต้องเปิดประตูให้อากาศภายนอกผ่านเข้ามา ดู
ท่าเรื่องในคืนนั้น กู้ชิงฮั่นคงจะระวังตัวมากขึ้น กังวล
ว่าหากอยู่ด้วยกันสองคนแล้ว เขาจะทำอะไรนาง
แต่ว่าเรื่องนี้จะโทษกู้ชิงฮั่นก็ไม่ได้ เพราะคืนนั้นเขา
วู่วามเกินไปเอง เหมือนอยากจะกลืนกินม่ายสาวคนนี้
เข้าไปทั้งตัว ไม่แปลกที่นางจะระวังตัวแบบนี้
เขาแง้มประตูเอาไว้ เมื่อเขามาในห้องแล้ว กู้ชิงฮั่นก็
ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา แต่เขียนอะไรของนางต่อไป นาง
พูดว่า “เจ้านั่งลงก่อน”
ฉีหนิงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เขามองไปที่กู้ชิงฮั่น ใบหน้า
ของนางมีเลือดฝาดเล็กน้อย แก้มอมชมพู ขนตางอน
ยาว เขาลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้น คิดจะไปช่วย
นางฝนหมึก
“ไม่ต้อง...” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “เจ้าไปนั่ง
เฉยๆ ดีกว่า...เจ้าไม่ต้องทำหรอก”
ฉีหนิงได้ยินน้ำเสียงของนางไม่ได้อ่อนโยนเหมือนแต่
ก่อนอีกแล้ว ในใจก็รู้สึกผิดหวัง เขากำลังจะถอย
กลับไปนั่ง ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ เมื่อ
เขาก้มหน้ามองไป ก็เห็นน้ำหมึกสาดเต็มมือของเขา
เหมือนเด็กน้อยถือของเล่นอยู่
กู้ชิงฮั่นเขียนหนังสือไปได้สองบรรทัด ยกมือจะไป
ปาดน้ำหมึกเพิ่ม พบว่าฉีหนิงหายไปจากข้างตัวนาง
แล้ว ก็ตกใจ นางหันไปมองฉีหนิง เห็นฉีหนิงยืนทำ
ท่าทางประหลาดอยู่ จะนั่งก็ไม่ใช่ จะยืนก็ไม่เชิง ใน
มือก็ถือของบางอย่างและยืนเหม่ออยู่ นางมองแล้วก็
อดขำไม่ได้
เสียงหัวเราะและรอยยิ้มนี้ของนางเหมือนน้ำชโลมใจ
ของฉีหนิงมาก มันทำให้เขาสบายใจมากขึ้น
กู้ชิงฮั่นหัวเราะออกมาแล้ว ก็จะกลับไปปั้นหน้าอีก
ไม่ได้ นางจ้องไปที่เขาแล้วพูดว่า “ยืนอยู่ทำไมอีกเล่า?
จะฝนหมึกก็รีบมาทำสิ”
ฉีหนิงเหมือนได้รับการอภัยโทษ เขาเองก็รู้สึกว่า
ท่าทางของตัวเองนั้นตลกมาก แอบคิดในใจว่าคนที่
กล้าบ้าบิ่นอย่างเขา เหตุใดพออยู่ต่อหน้าม่ายสาว
อย่างนางถึงได้ทำอะไรไม่ถูกแบบนี้ เขาถามนางว่า
“ซานเหนียง ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”
“ตั้งแต่เช้าจนค่ำ ข้าก็ไม่รู้ข้ายุ่งอะไรนักหนา” กู้ชิงฮั่น
วางพู่กันลง เงยหน้ามองฉีหนิง แล้วถามว่า “เจ้าเพิ่ง
กลับมาจากในวังหรือ?”
ฉีหนิงพยักหน้า “ใช่ เข้าวังไปหารือราชการมา มีเรื่อง
ที่ข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ จึงอยากจะมาขอคำชี้แนะ
จากท่าน”
“เรื่องการเมือง หญิงม่ายอย่างข้าจะไปรู้อะไร เจ้ามา
ขอคำชี้แนะจากข้ามันจะมีประโยชน์อะไร” กู้ชิงฮั่น
ลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ชั้นวางหนังสือ ด้านบนวางสมุด
บัญชีทั้งหมด สมุดบัญชีในจวนโหวเยอะกองเท่าภูเขา
สมุดบัญชีของในจวนทั้งหมด ที่กู้ชิงฮั่นเองก็จะมี
สำเนาอยู่อีกฉบับ
ฉีหนิงมองไป เห็นหลังคอของกู้ชิงฮั่น คอของนางสวย
มาก กระดูกหลังคอเว้าโค้งราวกับงู ร่างกายของนาง
อวบอิ่มมาก ทำให้คนที่มองเลือดในตัวพุ่งพล่านไป
หมด
ฉีหนิงรีบหันหน้าหนี คิดในใจว่าคืนนั้นเพิ่งจะเกิดเรื่อง
ไป เขายังไม่จำอีก เขารีบรวบรวมสมาธิกลับมาแล้ว
พูดว่า “ซานเหนียงท่านรู้จักถ้ำเฮยเหยียนที่ซีชวน
หรือไม่?”
“ถ้ำเฮยเหยียน?” กู้ชิงฮั่นหันหลังกลับมา นางขมวด
คิ้ว นางขบคิดไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
หมายถึงถ้ำเฮยเหยียนของชาวหัวเหมียวใช่หรือไม่?”
“ซานเหนียงรู้จริงๆ ด้วย”
กู้ชิงฮั่นหันกลับมาวางสมุดบัญชีลง หลังจากนั่งลงแล้ว
ก็พูดว่า “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องของชาวเหมียวมากนัก หาก
เจ้าพูดถึงเรื่องอื่นข้าพอจะรู้บ้าง เรื่องของถ้ำเฮยเห
ยียนก็พอรู้ ข้าจำได้ว่า ตอนท่านเหล่าโหวเสียชีวิต เจ้า
ถ้ำเฮยเหยียนได้ข่าวก็รีบเดินทางมายังเมืองหลวงเลย
เสร็จงานศพของท่านแล้ว เจ้าถ้ำเฮยเหยียนยังไป
คุกเข่าร้องไห้ที่หลุมฝังศพอีกสามวันสามคืน”
“อ๋อ?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้น เฮยเหยียนก็มี
สัมพันธ์ลึกซึ้งกันมากเลยสิ?”
กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนั้นหรอก
เท่าที่ข้ารู้ ตอนนั้นท่านเหล่าโหวยกทัพไปปราบปาสู่
ถ้ำเฮยเหยียนสวามิภักดิ์ต่อท่านเหล่าโหว ช่วยงาน
ท่านไม่น้อย ดังนั้นท่านเหล่าโหวจึงรายงานความชอบ
ของพวกเขาต่อราชสำนัก ราชสำนักไม่เพียงบำเหน็จ
รางวัลให้ อีกทั้งยังละเว้นภาษีให้พวกเขาหลายปีด้วย
ตอนนั้นทางซีชวนยังไม่สงบ ราชสำนักทำแบบนั้น ก็
เพื่อให้ชาวเหมียวได้รู้ว่าหากยอมสวามิภักดิ์ต่อราช
สำนักแล้วจะได้รับผลดีอย่างไร” นางยิ้มแล้วถามว่า
“เหตุมดจู่ๆ ถึงได้ถามเรื่องถ้ำเฮยเหยียนขึ้นมาเล่า?”
“วันนี้เข้าวังไป ก็หารือเรื่องของถ้ำเฮยเหยียน มีคนใน
ราชสำนักคิดจะกวาดล้างถ้ำเฮยเหยียน” ฉีหนิงขมวด
คิ้วแล้วพูด
กู้ชิงฮั่นสะดุ้ง แล้วพูดว่า “กวาดล้างถ้ำเฮยเหยียน?”
นางรีบถามว่า “หนิงเอ๋อร์ เหตุใดราชสำนักถึงคิด
อยากจะกวาดล้างถ้ำเฮยเหยียนเล่า?”
“กบฏ” ฉีหนิงพูดว่า “สู่อ๋องหลี่หงซิ่นให้คนส่งฎีกามา
บอกว่าชาวถ้ำเฮยเหยียนสังหารขุนนางทที่เรียกเก็บ
ภาษี ตอนนี้ได้ปิดทางเข้าออกของถ้ำไว้หมดแล้ว
ขอให้ทางราชสำนักเตรียมทหารเพื่อไปกวาดล้าง”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “สังหารขุนนางเรียกเก็บ
ภาษี? มัน...มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ตอนนั้นข้าเคย
เจอกับท่านจ้าวถ้ำ ถึงแม้จะเป็นชาวเหมียวไม่ได้รู้จัก
ทำเนียมพิธีอะไรมากมาย แต่ว่าเขาก็เป็นคนสุภาพ
ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักคิดนะ อีกทั้งการสังหารขุนนางที่
เรียกเก็บภาษีก็เป็นโทษกบฏ ท่านจ้าวถ้ำไม่น่าจะหา
เรื่องใส่ตัวแบบนั้นได้”
“ข้าถึงได้แปลกใจ” ฉีหนิงพูดว่า “ซานเหนียง
หลังจากนั้นทางถ้ำเฮยเหยียนได้ติดต่อพวกเรามาอีก
หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ข้าจำได้แค่ว่าหลังจากที่ท่านเหล่าโหว
สิ้นไป ท่านจ้าวถ้ำมาด้วยตัวเองสองครั้ง ท่านแม่ทัพ
ใหญ่เป็นคนไปรับด้วยตัวเองทั้งสองครั้ง หลังจากสอง
ครั้งนั้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพพูดอะไรกับพวกเขา
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านจ้าวถ้ำก็ไม่เคยมาอีกเลย จริง
ด้วย สองปีก่อนพวกเขาส่งคนมาครั้งหนึ่ง แต่ว่าท่าน
แม่ทัพอยู่ที่แนวหน้า คนที่มาก็ไม่ได้พูดอะไร เอาของ
ฝากมาให้แค่นั้น”
“หรือว่าท่านจ้าวถ้ำจะสิ้นไปแล้ว?” ฉีหนิงถาม “ท่าน
จ้าวถ้ำคนใหม่อายุน้อย จึงก่อเรื่องอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน” กู้ชิงฮั่นส่ายหน้า “แต่ว่าคำนวณ
จากอายุ ปีนี้ท่านจ้าวถ้ำอายุก็น่าจะแค่ห้าสิบต้นๆ ก็
ไม่ได้ถือว่าแก่มาก แต่ว่าสองปีที่ผ่านมาก็ไม่มีข่าว
คราวเลย แต่จะตายไปแล้วหรือไม่นั้น ข้าเองก็ไม่
แน่ใจ” นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อร์ ราชสำนัก
จะกวาดล้างถ้ำเฮยเหยียนจริงหรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาททำอะไรรอบคอบระวังมาก ยัง
ไม่ได้มีราชโองการอะไรลงมา พระองค์ทรงรอฎีกา
จากทางซีชวนชื่อสื่อเหว่ยซูถงอยู่ ตอนนี้มีแค่ฎีกาของ
สู่อ๋องหลี่หงซิ่นเท่านั้น ราชสำนักไม่ได้เชื่อในตัวสู่อ๋อง
มาก จึงยังไม่ได้ทำการตัดสินใจอะไรลงไป แต่ว่า
เมื่อไหร่ก็ตามที่ฎีกาของเหว่ยซูถงมาถึง หากแน่ใจว่า
ถ้ำเฮยเหยียนก่อกบฏจริง หลังปีใหม่ ทางซีชวนก็จะ
นำกำลังทหารเข้ากวาดล้างทันที”
กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องการเมือง หญิง
ม่ายอย่างข้าไม่รู้เรื่องหรอกนะ แต่ว่า...เฮ้อ อย่าใส่ร้าย
คนดีก็พอ”
“คนที่หลี่หงซิ่นส่งมาวันนี้ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วย แต่ว่า
เขาพูดโยงว่าทางถ้ำเฮยเหยียนกับจวนจิ่นอีโหวของ
พวกเรามีสัมพันธ์อันลึกซึ้งมาก ข้าแค่กังวลว่าอาจจะมี
คนกำลังคิดร้ายกับจวนของพวกเราอยู่หรือไม่ ก็เลย
อยากมาถามซานเหนียงให้แน่ใจ” ฉีหนิงพูดว่า “ใน
เมื่อไม่ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน ก็ไม่น่ากังวลว่าจะมีคนคิด
จะเอาเรื่องนี้มาหาเรื่องพวกเรา” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง
แล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้ก็เรื่องพรรคบัวดำ ตอนนี้ก็มา
เรื่องถ้ำเฮยเหยียนก่อกบฏอีก ข้ารู้สึกว่าทางซีชวน
กำลังจะเกิดความวุ่นวายขึ้นแล้ว”
กู้ชิงฮั่นกระพริบตา แล้วถามว่า “หนิงเอ๋อร์ เจ้า
หมายความว่าทางซีชวนจะมีสงครามหรือ? แต่ว่าเพิ่ง
จะเสร็จจากศึกกับทางเป่ยฮั่นไปเองนะ ราชสำนักมี
กำลังจะไปตีกับซีชวนอีกหรือ?”
“คงไม่ขนาดนั้น” ฉีหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท
ระแวงซีชวนมาก น่าจะเพราะสู่อ๋องหลี่หงซิ่น แต่ว่าห
ลี่หงซิ่นสวามิภักดิ์ต่อราชสำนัก ทหารในมือก็ถูกถอน
สลายไปหมดแล้ว เขามีแค่ทหารจิ่นกวนเว่ยหนึง่ พัน
คนเท่านั้น หากจะต้องทำสงคราม เสบียงอาหารอาวุธ
ที่ต้องใช้นั้นไม่น้อยเลย เหว่ยซูถงเป็นคนที่ราชสำนัก
ส่งไปจับตาดูหลี่หงซิ่น หากมีอะไรผิดปกติ ราชสำนัก
ก็ต้องรู้ก่อน ทางหลี่หงซิ่นเองก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
มาก”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้า เหมือนคิดอะไรออก นางรีบพูดว่า
“จริงสิ วันนี้มีคนส่งเงินมาห้าพันตำลึง ถามว่าใครส่ง
มา เขาบอกแค่ว่าเจ้ารู้เรื่องนี้ แล้วก็ไม่อธิบายอะไร
หนิงเอ๋อร์ เจ้า...เจ้ารับสินบนมาใช่หรือไม่?” พูดถึง
ตรงนี้ สีหน้าของนางก็มีแต่ความกังวลใจ
ฉีหนิงรู้ทันทีว่าโต้วเหลียนจงน่าจะให้คนส่งเงินมาให้
แอบคิดในใจว่าเจ้าบ้านี่ไม่กล้ากลับคำจริงๆ แต่ว่าใน
มือของเขายังมีใบค้างหนี้อยู่ โต้วเหลียนจงคงไม่กล้า
ทำอะไรเขา
เขาเองก็ไม่ได้ปิดบัง เล่าเรื่องของโต้วเหลียนจงให้กู้ชิง
ฮั่นฟังทั้งหมด รวมถึงเอาใบค้างหนี้ให้กู้ชิงฮั่นดูด้วย
กู้ชิงฮั่นรู้สึกขำมาก แต่ว่านางก็ยังกังวลอยู่ “พ่อลูก
ตระกูลโต้วคิดไม่ซื่อ ท่านแม่ทัพใหญ่สนับสนุนโต้วขุ่ย
ให้ได้ตำแหน่งนี้มา แต่ว่าต่อมาเขากลับย้อนมาทำร้าย
พวกเรา หนิงเอ๋อร์ เจ้าต้องระวังพ่อลูกคู่นี้ให้ดีนะ เงิน
ห้าพันตำลึงนี่...”
“ซานเหนียง ท่านอย่าบอกนะว่าจะให้ข้าเอาเงินคืน
เขา?” ฉีหนิงรีบพูดว่า “ไม่ได้หรอก เป็นแค่คุณชาย
ของท่านเสนาบดีกรมพระคลัง ไม่มีตำแหน่งไม่มีเบี้ย
หวัด ท่านคิดว่าเงินห้าพันตำลึงนี่ได้มาอย่างถูกต้อง
หรือ? ในเมื่อเข้ากระเป๋าข้าแล้ว ก็ไม่มีทางกลับ
ออกไปแน่นอน อีกทั้งช่วงนี้ในจวนก็ขาดเงินอยู่ ถือว่า
ชดเชยเงินที่เสียไปในตอนนั้น ลงบัญชีเอาไว้ก่อน ส่วน
เรื่องของตระกูลโต้ว ข้าจัดการเอง” เห็นกู้ชิงฮั่นลังเล
เขาจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียง มีข้าอยู่ ท่านเชื่อข้า
นะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก คนในจวนมีมากขนาดนี้ จะ
ให้ขาดแคลนเงินได้อย่างไร”
หลายวันมานี้กู้ชิงฮั่นกำลังเครียดกับเรื่องเงินอยู่ โรง
รับจำนำที่ถูกเผาไป ถึงแม้จะไปเอาเงินภาษีสามพัน
หลังคืนมาจากทางซานเหล่าไท่เยี่ยได้ แต่หลังจาก
จ่ายเงินค่าชดเชยไปแล้ว ในจวนก็แทบไม่เหลือเงิน
เลย ตอนนี้ยื้ออีกได้ไม่กี่วัน กู้ชิงฮั่นยังคิดอยู่เลยว่าจะ
แอบไปเอาเงินจากที่บ้านนางมาใช้ก่อน ตอนนี้ได้เงิน
ห้าพันตำลึงมาเข้าบัญชี ก็ถือว่าคลี่คลายสถานการณ์
ลงไปได้แล้ว
แต่ว่าเงินจำนวนนี้ได้มาจากคนของตระกูลโต้ว
กู้ชิงฮั่นรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ นางคิดอยากจะ
พูดอะไรอีก แต่ว่าฉีหนิงกลับพูดขึ้นมาก่อนว่า “ซาน
เหนียง มีอีกเรื่อง ท่านฟังแล้วน่าจะดีใจมากๆ เลย”
“หืม?” กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องอะไร?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ค่ายกิเลนดำ ฝ่าบาททรงมีราช
โองการ ก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่”
“หะ?” กู้ชิงฮั่นตะลึงไป สายตาของนางเป็นประกาย
แล้วรีบพูดว่า “หนิงเอ๋อร์ เจ้าหมายความว่า...ฝ่าบาท
จะให้เจ้าก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่อย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ค่ายกิเลนดำต้องก่อตั้ง
แน่นอน แต่ว่าตำแหน่งของผู้บัญชาการยังไม่ได้
แต่งตั้ง สามวันหลังจากนี้ ถึงจะรู้ผล”
กู้ชิงฮั่นเดิมทีดีใจมาก แต่พอได้ยินแบบนี้แล้ว ก็อึ้งไป
นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แล้วใครเป็นผู้บัญชาการ
ทหารค่ายกิเลนดำกันเล่า?”
ฉีหนิงจึงเล่าเรื่องของค่ายกิเลนดำให้กู้ชิงฮั่นฟัง
ทั้งหมด กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ท่าทางของนาง
ดูเป็นห่วงและกังวลมาก “หนิงเอ๋อร์ จงอี้โหวเสนอชื่อ
ฉวีเหยี่ยนจือให้ลงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการหรือ? เอ่อ...
เฮ้อ จงอี้โหวเสนอชื่อเขา แล้วเจ้าจะไปสู้เขาได้
อย่างไรกัน” เมื่อพูดออกมาแบบนี้ นางก็รู้สึกได้ว่ามัน
ไม่ค่อยเหมาะ จึงรีบพูดว่า “ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นนะ
ข้าแค่อยากบอกว่าเขาฝีมือร้ายกาจมาก ตอนที่ท่าน
แม่ทัพยังอยู่ ก็ชมเขาไม่ขาดปากเลย......”
ตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่ กู้ชิงฮั่นเดิมทีดีใจมาก แต่
ว่าพอรู้ว่าฉวีเหยี่ยนจือจะลงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการ
ใบหน้าของนางก็เครียดมาก
“ซานเหนียง ค่ายกิเลนดำ...ท่านพ่อเป็นคนสร้างมา
กับมือ วันนี้ค่ายกิเลนดำจะกลับมาอีกครั้ง หาก
ตำแหน่งผู้บัญชาการตกไปอยู่กับคนอื่น จวนจิ่นอีโหว
ของพวกเราคงไม่มีโอกาสกลับไปรุ่งเรืองได้อีก” ฉี
หนิงพูดอย่างจริงจังว่า “ไม่ว่าจงอี้โหวกับไหวหนาน
อ๋องกำลังวางแผนอะไรอยู่ก็ตาม ตำแหน่งผู้บัญชาการ
ทหารค่ายกิเลนดำ จะต้องเป็นของตระกูลฉีเท่านั้น”
เขากำหมัดแน่น แล้วพูดว่า “ตำแหน่งผู้บัญชาการ
จะต้องเป็นของข้าเท่านั้น”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 283 ธงทัพกิเลนดำ
ฉีหนิงรู้ว่าคำพูดแบบนี้พูดกันออกมาได้ง่ายมาก แต่ว่า
พอจะทำจริงๆ มันไม่ง่ายเลย
การก่อตั้งค่ายกิเลนดำถือเป็นโอกาสที่ดีมากๆ อีกทั้ง
ยังเป็นความท้าทายมากด้วย หากตำแหน่งผู้
บัญชาการถูกคนใดคนหนึ่งชิงไปได้ ไม่เพียงกระทบ
ต่อหลงไท่เท่านั้น แต่ยังกระทบต่อจนจิ่นอีโหวอย่าง
มากด้วย
ถึงแม้ฉีจิ่งจะตายไปแล้ว ฉีหนิงเหมือนกำลังจะลงจาก
เขา แต่ว่าชื่อเสียงของจิ่นอีโหวทั้งสองรุ่น ที่ทำให้
ใครๆ ที่ได้ยินคำว่า “จิ่นอีโหว” แล้วก็นึกถึงทหารนับ
พัน คิดถึงผลงานที่มากเป็นอันดับหนึ่งในต้าฉู่
ในด้านการทหารแล้ว มีหลายคนยังคงสนับสนุนฉีจิ่ง
อยู่มาก ไม่ว่าจะมาจากกองกำลังไหน เมื่อได้ยินคำว่า
“จิ่นอีโหว” ก็จะเคารพมาก
แต่ว่าหากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารค่ายกิเลนดำถูก
ชิงไป ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป
ในสายตาของหลายคน ค่ายกิเลนดำฉีจิ่งเป็นคนก่อตั้ง
และฝึกมากับมือถือเป็นสัญลักษณ์ของจิ่นอีโหว
เมื่อไหร่ก็ตามธงผืนนี้เปลี่ยนทิศไป นั่นก็หมายความ
ว่าจิ่นอีโหวตระกูลฉีได้ออกจากการทหารแล้ว
อีกอย่างหากจิ่นอีโหวแม้แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการยังชิง
ไม่ได้ เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงบารมีของจิ่นอี
โหวก็จะมีผลกระทบทันที
จิ่นอีโหวไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนเมื่อก่อนแล้ว หากยัง
ได้รับผลกระทบอีก ต่อให้ได้รับความไว้วางใจจากหลง
ไท่ แต่ฉีหนิงก็รู้ว่าจุดเด่นของจิ่นอีโหวก็จะลดลง และ
ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของต้าฉู่ ถึงแม้มันจะไม่ใช่
สิ่งที่หลงไท่กับฉีหนิงอยากจะเห็น แต่ว่ามันคือสิ่งที่
จงอี้โหวกับไหวหนานอ๋องต้องการจะเห็น
เขาจะไม่ยอมให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด
แต่ว่าเขาเองก็รู้ว่า ฉวีเหยี่ยนจือไม่ใช่คนที่จะรับมือ
ง่ายๆ คิดว่าเจียงซุยอวิ๋นน่าจะยิ่งรับมือไม่ง่ายเลย
เจียงซุยอวิ๋นวันนี้ตอนเข้าเฝ้าเขานิ่งมาก แต่ว่าการที่
ไหวหนานอ๋องเสนอชื่อของเจียงซุยอวิ๋น จงอี้โหวเสนอ
ชื่อของฉวีเหยี่ยนจือที่ถนัดการต่อสู้ การประลองไม่มี
ด่านไหนเป็นการแข่งวิชาการเลย ไหวหนานอ๋องกลับ
ไม่คัดค้านเลย แสดงว่าไหวหนานอ๋องนั้นมั่นใจในตัว
เจียงซุยอวิ๋นมาก
ฉีหนิงคิดไม่ออกว่าเจียงซุยอวิ๋นจะรับมือกับฉวีเห
ยี่ยนจืออย่างไร
ชาวเป่ยฮั่นเชี่ยวชาญการขี่ม้า คนทางใต้เชี่ยวชาญ
การเดินเรือ เจียงซุยอวิ๋นเป็นคนตงไห่ อาศัยอยู่เมือง
ติดทะเลมาหลายปี หากเก่งการขีม่ ้า ยากที่จะให้คน
เชื่อได้
การขี่ม้ายิงธนูไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คนที่จะฝึกศาสตร์นี้
ได้ อาจต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งปี ถึงจะสามารถยิง
ธนูบนหลังม้าได้ เพราะคนกับม้าต้องไปพร้อมกัน ไม่
เพียงต้องเชี่ยวชาญการขี่ม้า แต่ม้าและคนยังต้องเป็น
หนึ่งเดียวกันด้วย
เขาเกิดในตระกูลพ่อค้า ฉีหนิงสงสัยมากว่าเจียง
ซุยอวิ๋นมีเวลาไปฝึกฝนการขี่ม้ายิงธนูด้วยหรือ แต่ว่า
คนที่ชำนาญเรื่องนี้ จะต้องมีแรงกำลังมาก แต่เจียง
ซุยอวิ๋นไม่ได้เป็นอย่างนั้น
แต่ว่าไหวหนานอ๋องไม่ได้คัดค้านอะไร แสดงว่าเจียง
ซุยอวิ๋นน่าจะมีวิธีในการชิงตำแหน่ง แต่ว่าวิธีอะไร ฉี
หนิงยังคิดไม่ออก
ส่วนเขา ถึงแม้ขี่ม้าจะพอได้ แต่ว่าขี่ม้ายิงธนู เขาไม่ได้
เลย
อย่าว่าแต่เวลาแค่สามวัน ต่อให้ให้เวลาเขาสักหนึ่งปี
ขี่ม้ายิงธนูก็ไม่แน่ว่าจะชนะฉวีเหยี่ยนจือได้หรือไม่
โอกาสชนะของเขา มีแค่การประลองอาวุธกับหมัด
มวยเท่านั้น
การใช้อาวุธ คงต้องพึ่งภาพเคล็ดวิชากระบี่ จงอี้โหว
บอกแค่ว่าประลองอาวุธแต่ว่าไม่ได้ระบุประเภท
เขาได้รับกระบี่ผีหลูมาจากวัดต้ากวงหมิง อีกทั้งได้
เคล็ดวิชากระบี่จากภาพวาด ลองดูได้
ถึงแม้เคล็ดวิชากระบี่ฉีหนิงจะยังฝึกไม่ครบ แต่ว่า
กระบวนท่าบางส่วนเขาจำได้หมดแล้ว
ส่วนหมัดมวย ฉีหนิงรู้ว่าวิชาที่มีติดตัวมาจากภพ
ปัจจุบันคงใช้ไม่ได้ผล ยังดีที่ชายวัยกลางคนได้สอนฝ่า
มือดันภูเขามาให้เขา กระบวนท่าใช้งานได้จริง ลองดู
น่าจะพอไหว
หลังจากนั้นอีกสองวันถัดมา ฉีหนิงไม่ออกไปไหนเลย
เขาฝึกเพลงกระบี่กับฝ่ามือดันภูเขาทั้งวันทั้งคืน ก็ชิง
ฮั่นเห็นฉีหนิงหากไม่ฝึกกระบี่ก็ฝึกเพลงมวยตลอด
นอนวันละแค่สองชั่วยาม นางก็รู้สึกปวดใจ แต่ว่าก็รู้
ว่าฉีหนิงทำเพื่ออนาคตของจวนจิ่นอีโหว ก็ไม่ได้ไปพูด
อะไร เพียงแต่สั่งให้คนส่งข้าวส่งน้ำและยาบำรุงไปให้
ฉีหนิงตรงเวลาเท่านั้น
เช้าวันที่สาม หลังจากที่ฉีหนิงล้างหน้าล้างตาแล้ว ก็
ไปฝึกกระบี่ที่สวน เมื่อออกจากเรือน ก็เห็นคนสองคน
ยืนรออยู่ เขาตกใจ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้า
กลับมาแล้วหรือ”
คนที่ยืนรออยู่คือต้วนฉางไห่กับจ้าวอู๋ซัง
เมื่อเห็นฉีหนิงออกมาพร้อมกับกระบี่ผีหลู ทั้งสองก็
คุกเข่าลง ไม่พูดไม่จา ฉีหนิงขมวดคิ้วพูดว่า “เป็น
อะไรไป? กลับมาเมื่อไหร่?”
ต้วนฉางไห่เงยหน้าพูดว่า “โหวเยว่ พวกเรากลับมา
เมื่อคืนนี้ ได้ยินว่าท่านปลอดภัยดี ก็วางใจ พวกเรา
อารักขาไม่ดี โหวเยว่ลงโทษพวกเราด้วย”
“ข้าปลอดภัยดี เหตุใดจะต้องลงโทษด้วย?” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “อีกอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับพวก
เจ้า ลุกขึ้นมาก่อน”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “โหวเยว่ พวกเราไม่ได้คุกเข่าเพราะ
เรื่องที่เกิดขึ้น แต่ว่า...” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ฮูหยินสามเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเราฟัง
แล้ว พวกเรารู้ว่าพรุ่งนี้โหวเยว่จะต้องไปประลองชิง
ตำแหน่ง การก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่ เป็นความ
ปรารถนาของท่านแม่ทัพใหญ่มาตลอด แล้วก็...แล้วก็
เป็นความฝันของพวกเราด้วย เพียงแต่ว่าพวกเราคิด
ไม่ถึงว่า มันจะมีวันนั้นจริงๆ”
จ้าวอู๋ซังไม่ได้พูดอะไร แต่ในมือกำของสิ่งหนึ่งเอาไว้
แน่น เขาวางมันลงอย่างระมัดระวัง แล้วเปิดออก ฉี
หนิงเห็นผ้าผืนนั้นขาดรุ่ยด้านในมีตัวอักษรจิ่น มันคือ
ธงผืนหนึ่ง
แต่ว่าธงมันขาดหลุดรุ่ยไปหมดแล้ว มองก็รู้ว่ามันมี
อายุมาหลายปีแล้ว
“นี่คือ...ธงของค่ายกิเลนดำหรือ?” ฉีหนิงเหมือนรู้
ต้วนฉางไห่สีหน้าจริงจังมาก ชายอกสามศอกตอนนี้
ดวงตาแดงก่ำ “โหวเยว่ นี่คือธงของค่ายกิเลนดำ
ตอนนั้นแม่ทัพสามเป็นผู้บัญชาการของค่ายกิเลนดำ
ข้ากับจ้าวอู๋ซังติดตามท่านแม่ทัพสามไปออกรบ
สังหารทัพเสวียหลัน ธงผืนนี้ก็เปรียบเสมือนตัวแทน
ของค่ายกิเลนดำ”
ฉีหนิงรู้ว่าแม่ทัพสามคือสามีที่ตายในสนามรบของกู้
ชิงฮั่น เขาค่อยๆ เดินไปแล้วนั่งยองลง ยื่นมือไปลูบธง
ธงผืนนี้ถึงแม้ว่ามันจะขาด รอยเลือดด้านบนจะแห้ง
ไปแล้ว แต่ว่ามันยังคงให้ความรู้สึกองอาจและน่าเกรง
ขามอยู่มาก
ฉีหนิงรู้ว่า ก่อนหน้านี้หลายปี ใต้ธงผืนนี้ ค่ายกิเลนดำ
ได้ผ่านการทำศึกหนักมามาก
ค่ายกิเลนดำล่มสลายไปภายในพริบตาเดียว ธงผืนนี้มี
ร่องรอยความทรงจำเหล่านั้นอยู่
“ค่ายกิเลนดำไม่เคยหายไปไหน” ต้วนฉางไห่พูด
ขึ้นมาว่า “แม่ทัพสามเคยพูดว่า ขอแค่ธงอยู่ ไม่ว่า
ทหารค่ายกิเลนดำจะเหลือแค่คนเดียวก็ตาม วันหนึ่ง
พวกเราจะมีโอกาสได้กลับไปยังสนามรบอีกครั้ง”
น้ำตาของเขาไหลออกมา “หลายปีมานี้ ข้าน้อยเฝ้า
นับวันรอมาตลอด ข้าน้อยเชื่อว่า ก่อนที่ข้าน้อยจะ
ตาย ข้าน้อยอยากเห็นมันเกิดขึ้น”
ฉีหนิงรู้ว่าค่ายกิเลนดำสำคัญกับพวกเขาสองคนมาก
แค่ไหน
ไม่ว่าจะเป็นต้วนฉางไห่หรือว่าจ้าวอู๋ซัง เลือดในตัว
ของพวกเขามันคือเลือดของค่ายกิเลนดำ ร่องรอยบน
ร่างกายของพวกเขามันเป็นความทรงจำของค่าย
กิเลนดำทั้งนั้น
เขายื่นมือไปตบบ่าของต้วนฉางไห่ แล้วพูดว่า “พวก
เจ้าลุกขึ้นมาก่อนเถอะ”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “โหวเยว่ ค่ายกิเลนดำคือพวกเรา
พวกเราก็คือค่ายกิเลนดำ หากค่ายกินเลนดำไม่อยู่
แล้ว พวกเราก็ไม่มีหน้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก”
จ้าวอู๋ซังพูดว่า “โหวเยว่ พวกเราโชคดีที่เรารอดมาได้
ไม่ใช่เพราะพวกเรากลัวตาย แต่เพราะแม่ทัพสามสั่ง
พวกเราเอาไว้ ว่าหากมีโอกาส ให้มีชีวิตอยู่ต่อไป รอ
วันที่ค่ายกิเลนดำของพวกเรากลับมา ค่ายกิเลนดำล่ม
สลายไป ไม่มีใครพูดถึงการก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมา
ใหม่เลย แม้แต่ตอนที่ท่านแม่ทัพใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ก็...
ก็ไม่เคยพูดถึง” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ
ใหญ่ให้พวกเราอยู่ที่จวนโหว ก็เชื่อว่าสักวันค่ายกิเลน
ดำจะได้กลับมาเหมือนกัน พวกเราอยู่ที่นี่เพื่อรอ
วันนี้”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคิดอะไร
แต่ว่า...”
“โหวเยว่ พวกเรารู้ว่าการประลองพรุ่งนี้มันเป็นเรื่อง
ยาก” ต้วนฉางไห่พูดว่า “แต่ว่าค่ายกิเลนดำท่านแม่
ทัพเป็นคนตั้งขึ้นมากับมือ อีกทั้งพวกเราทุกคนก็ผ่าน
การฝึกด้วยเลือดเนื้อมากับท่านแม่ทัพสาม ค่ายกิเลน
ดำเป็นของต้าฉู่ เป็นของตระกูลฉี หากตำแหน่งผู้
บัญชาการเป็นของคนอื่นไป ค่ายกิเลนดำก็จะไม่ใช่
ค่ายกิเลนดำอีกต่อไป มันจะหายไปจริงๆ” เขา
หลับตาลง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากเป็นอย่างนั้น
พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีชีวิตต่อไปอีก คงต้อง
ไปขอรับโทษจากท่านแม่ทัพสามในปรโลก”
ฉีหนิงอึ้งไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
ต้วนฉางไห่เป็นคนฝึกยุทธ์ คำพูดของเขา
ตรงไปตรงมา ความหมายชัดเจน เขาต้องการบอกว่า
หากตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายกิเลนดำตกไปเป็นของ
คนอื่น เขาสองคนก็จะไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก
ในใจของเขารู้สึกโกรธมาก เขาด่าว่า “เจ้าหมาสองตัว
นี่ คิดจะบีบข้าหรือ? ไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปอะไรกัน หาก
ข้าเอาตำแหน่งมาไม่ได้จริงๆ พวกเจ้าจะฆ่าตัวตายไป
เลยหรืออย่างไร?” เขาชักกระบี่ผีหลูออกมา แล้วจี้ไป
ที่คอของต้วนฉางไห่ แล้วพูดว่า “ในเมื่ออยากตาย ข้า
จะฆ่าเจ้าตอนนี้เลยดีกว่า”
ต้วนฉางไห่ไม่ได้มีอาการหวาดกลัวแม้แต่น้อย แต่
กลับมองไปที่ฉีหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ท่านไม่มี
ความมั่นใจหรือ? โหวเยว่คิดว่าท่านสู้คนอื่นไม่ได้
หรือ? หากเป็นอย่างนั้น ท่านก็สังหารข้าน้อยได้เลย
ข้าน้อยก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก อีกทั้งจะได้ไม่ต้องเห็น
ท่านพ่ายแพ้ด้วยตาของตัวเองด้วย”
คำพูดของเขาเริ่มไม่ดีมากแล้ว ฉีหนิงอึ้งไป จากนั้น
เขาก็เก็บกระบี่ผีหลูไป ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้า
คิดอะไรอยู่ อยากจะกระตุ้นข้าใช่หรือไม่เล่า?” เขายก
เท้าถีบไปที่ไหล่ของต้วนฉางไห่ แล้วด่าว่า “ข้ายังต้อง
ให้เจ้ามากระตุ้นหรือ อย่ามาทำตัวเป็นผู้หญิงอ่อนแอ
บีบน้ำตาใส่ข้า พวกเจ้าอยากตาย รอให้ข้าแพ้ก่อน
ค่อยว่ากัน” จากนั้นเขาก็เดินไป เขาไม่หันกลับมา แต่
พูดว่า “ยังไม่รีบตามมาอีก มาคุยกันสิว่าจะรับมือ
พวกเขาอย่างไร”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 284 ชางเกอ
เช้าวันรุ่งขึ้น ทหารของค่ายหู่เสินมาแจ้งว่า สนาม
ประลองชิงตำแหน่งผู้บัญชาการของค่ายกิเลนดำ
ตั้งอยู่ที่สนามฝึกของค่ายหู่เสิน ขอให้ทางจิ่นอีโหวเร่ง
เดินทางไป
ค่ายหู่เสินประจำการณ์ในเมืองหลวง มีทหารประจำ
การณ์ทั้งหมดสามพันคน
ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง มีค่าย
ประจำการณ์ของค่ายหู่เสินอยู่ พื้นที่ไม่เล็ก ภายในมี
สนามประลองยุทธ์อยู่
ในฐานทหารประจำการณ์ในเมืองหลวง ทหารของ
ค่ายหู่เสินจึงไม่มีการละเว้นการฝึกฝนเลย
ฉีหนิงเดินทางไปถึงค่ายหู่เสินก่อนเที่ยง ด้านในมีคน
มาแล้วเป็นจำนวนมาก รอบๆ ลานประลองมีตั้งที่พัก
ชมเอาไว้รอบด้าน มีเก้าอี้สีทองอร่ามตั้งอยู่หนึ่งตัว
ถึงแม้จะเป็นหน้าหนาว แต่วันนี้อากาศก็ไม่ได้มืดมาก
มีแสงแดดสาดส่องลงมา ทำให้เก้าอี้ตัวนั้นเปล่ง
ประกายมาก
ฉีหนิงรู้ว่านั่นคือที่นั่งของฮ่องเต้น้อย เรื่องใหญ่ขนาด
นี้ ฮ่องเต้น้อยต้องออกจากวังหลวงมาดูด้วยตัวเองแน่
ด้านซ้ายและด้านขวาของเก้าอี้สีทอง มีเก้าอี้วางอีก
หลายตัว
เดิมทีพวกของต้วนชางไห่คิดว่าแค่ตามเขามาเท่านั้น
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถเข้ามาด้านในได้ด้วย แต่
ว่าที่น่าแปลกกว่านั้นคือ ทหารของค่ายหู่เสินไม่ได้
ขวางพวกต้วนชางไห่ด้วย เมื่อมาถึงลานประลอง ถึง
ได้รู้ว่ามีคนมาดูการประลองนี้จำนวนมาก ทหารที่
สวมเกราะมากมายนั่งอยู่ในที่พักของทหาร
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เห็นผู้บญั ชาการค่ายหู่เสินเสวียหลิง
เฟิงเดินมารับ ไม่รอเสวียหลิงเฟิงพูดอะไรก่อน เขาก็
ยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้บัญชาการเสวีย”
เสวียหลิงเฟิงยกมือขึ้นคำนับ แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ฝ่า
บาทน่าจะใกล้ถึงแล้ว การประลองจะเริ่มขึ้นตอน
เที่ยงตรง”
“เหมือนวันนี้จะมีคนมาไม่น้อยเลยนะ”
เสวียหลิงเฟิงเหลือบไปมองด้านข้างแล้วพูดว่า “เป็น
เจตนาของท่านจงอี้โหว ขุนนางขั้นสี่ขึ้นไป สามารถ
เข้ามาชมการประลองได้ บอกว่าเป็นการให้ฝ่าบาทได้
ตรวจสอบความองอาจของกองทัพฉู่ของเรา ฉวีเห
ยี่ยนจือค่ายดาบดำมาถึงแล้ว คนของค่ายดาบดำเองก็
มากันไม่น้อยเลย อีกทั้งยังมีแม่ทัพของค่ายเสวียนอู่
มากันอีกสองคน”
“อ๋อ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าจงอี้โหวจะ
มั่นใจในตัวของฉวีเหยี่ยนจือมากเลยนะ คิดอยากจะ
ให้มาดูความร้ายกาจของรองผู้บัญชาการฉวี”
เสวียหลิงเฟิงลังเล แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ฉวีเหยี่ยนจื
อเก่งทั้งด้านการขี่ม้ายิงธนูกับเพลงดาบ หากโหวเยว่
ขึ้นประลอง ต้องประลองหมัดมวยกับเขาก่อน เพื่อให้
เขาออกแรงให้ได้มากที่สุดก่อน อาจจะเป็นโอกาส
ชนะเดียวของพวกเราได้”
ฉีหนิงรู้สึกซาบซึ้งใจมาก แต่ว่าพอจะฟังออกว่าเสวีย
หลิงเฟิงเองก็ไม่ได้มั่นใจในตัวเขาเหมือนกัน
แต่ก็ไม่แปลก เสวียหลิงเฟิงเป็นผู้บัญชาการค่ายหู่เสิน
ความสามารถของแม่ทัพในราชสำนักเขารู้ดี ฉวีเห
ยี่ยนจือเป็นรองผู้บัญชาการค่ายดาบดำ เป็นแม่ทัพ
คนหนึ่งของแคว้นฉู่ เสวียหลิงเฟิงต้องรู้เรื่องของเขาดี
อยู่แล้ว
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงเกราะเสียดสีกันดังมาจาก
ด้านหลัง เมื่อหันหลังกลับไป ก็เห็นทหารกลุ่มหนึ่ง
สวมชุดเกราะกำลังเดินมาทางนี้ คนด้านหน้าสวมชุด
เกราะสีดำ ร่างกายกำยำ หนวดเครารุงรัง
หนวดเคราของเขาหนามาก ร่างกายของเขาสูงใหญ่
มองไปราวกับเทพสงคราม ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึก
หนาวไปถึงกระดูก เหมือนเขาก็เปรียบได้ดังอาวุธที่
ทำลายล้าง
ฉีหนิงแค่มอง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป แล้วรีบหัน
กลับมา
เขาเห็นชัดเจนมาก เขาคือชายตาโตที่เขาเคยเจอ
ตอนนั้นหลงไท่ใช้ชื่อปลอมว่าเซียวกวง หลบหนีการ
ลอบสังหารตลอดทางที่กลับมาเมืองหลวง ระหว่าง
ทางเกือบตายสุดท้ายได้ทหารของค่ายดาบดำหลาย
คนมาช่วยเอาไว้แล้วพาตัวกลับเมืองหลวง ฉีหนิงยัง
จำได้แม่น ชายคนที่เป็นผู้นำกลุ่มในวันนั้น คือชาย
ตาโตคนนี้
ดวงตาสองดวงเดิมทีก็แปลกอยู่แล้ว ทำให้คนไม่อาจ
ลืมได้
ฉีหนิงไม่ได้ตกใจกับหน้าตาของเขา แต่ฉีหนิงจำได้ว่า
เขาเคยเจอตอนที่อยู่กับเซียวกวง พวกเขายังเคย
พูดคุยกันด้วย เขาจำได้ดี แต่ไม่รู้ว่าชายดวงตาสอง
ดวงนั่นจะจำเขาได้หรือไม่
เดิมทีเขาคิดว่าในโลกนี้นอกจากหลงไท่แล้ว น่าจะไม่
มีใครรู้ว่าเขาสวมรอยเป็นจิ่นอีซื่อจื่อ แต่ว่าเมื่อเจอ
หน้าคนๆ นี้ ฉีหนิงก็นึกขึ้นมาได้ว่า นอกจากหลงไท่
แล้วอาจมีคนอื่นที่รู้ฐานะที่แท้จริงของเขาก็ได้
ตอนนั้นฉีหนิงแต่งตัวเป็นขอทาน สภาพเมื่อเทียบกับ
วันนี้เหมือนกับคนละคน แต่ว่าฉีหนิงก็รู้ว่า สำหรับคน
ที่มีสายตาแหลมคมแล้ว อาจจะมองออกก็ได้
พอนึกถึงตรงนี้ ก็หวังแต่เพียงว่าเขาจะเดินผ่านไปให้
เร็วที่สุด
เมื่อเห็นเขาเดินตรงมาทางนี้ เขากลับหยุดทักเสวีย
หลิงเฟิง “ผู้บัญชาการเสวีย”
เสวียหลิงเฟิงตอบกลับอย่างมีมารยาทว่า “ผู้
บัญชาการเจ๋อ ไม่เจอกันนานเลย สบายดีหรือไม่?”
“สบายดี” ชายคนนั้นพูดเสียงต่ำ แต่ว่าน้ำเสียงหนัก
แน่นมาก “ไว้มีเวลาพวกเราไปดื่มเหล้ากันนะ”
“ได้” เสวียหลิงเฟิงยิ้ม แล้วก็พูดว่า “ผู้บัญชาการเจ๋อ
นี่คือท่านจิ่นอีโหว ท่านอาจจะไม่เคยพบมาก่อน”
“อ๋อ?” ชายดวงตาสองดวงหันมามองฉีหนิง แล้วโค้ง
คำนับ “ผู้บัญชาการค่ายดาบดำเจ๋อชางเกอ คำนับ
โหวเยว่” น้ำเสียงของเขามีความนอบน้อมมาก
เหมือนจะไม่ได้ให้เกียรติฉีหนิง แต่เป็นการให้เกียนรติ
“จิ่นอีโหว” มากกว่า
คนอื่นเห็นดังนั้นก็โค้งคำนับตาม ฉีหนิงเองก็จะหัน
หลังให้พวกเขาไม่ได้ เขาหันหลังกลับมา แล้วยกมือ
ตอบกลับไปว่า “ชื่อเสียงของท่านผู้บัญชาการเจ๋อ
เกรียงไกร ข้านับถือ” เขาแอบคิดในใจว่าที่แท้เขาก็
เป็นถึงผู้บัญชาการของค่ายดาบดำ
ตอนนั้นเขาเห็นชายคนนี้ลงมือ ฝีมือการยิงธนูของเขา
ร้ายกาจมาก ตอนนี้เขาก็ยังจำได้ดี
เขาเหลือบมองไปที่คนด้านหลังเจ๋อชางเกอ มีคนหนึ่ง
เงยหน้าขึ้นมามอง เขาอายุประมาณสี่สิบปี มองดูก็รู้
ว่าจะต้องเป็นคนที่มีฝีมือมาก
คนๆ นี้พกธนูมาด้วย ที่เอวก็พกดาบ ส่วนคนอื่นนั้นไม่
มีการพกอาวุธมา มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น คนอื่น
สวมชุดเกราะมา มีเพียงเขาคนเดียวที่สวมเสื้อ
ธรรมดา อากาศหนาวแบบนี้เขายังสวมเสื้อที่บางมาก
แต่ว่าเขาเหมือนไม่หนาวเลย บนตัวเขามีราศีของ
ความเป็นทหาร
ฉีหนิงสะดุ้ง คิดในใจว่าหากเขาเดาไม่ผิด คนนี้น่าจะ
เป็นรองผู้บัญชาการค่ายดาบดำฉวีเหยี่ยนจือ
เขามองไป ทันใดนั้นเองก็เหมือนรู้สึกว่ามีสายตาคู่
หนึ่งจ้องมาที่เขา เขาหันไปมอง เห็นเจ๋อชางเกอกำลัง
มองเขาอยู่ สายตาของเขาจ้องมาที่ตัวเองอย่างเฉียบ
คม
ฉีหนิงสะดุ้ง อดคิดไม่ได้เลยว่าเขามองอะไรออก
หรือไม่?
เขารู้ว่าในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด ก็ต้องนิ่งให้มาก
ทีส่ ุด หากในเวลาแบบนี้แสดงท่าทีตื่นตระหนกมากไป
อาจทำให้เจ๋อชางเกอสงสัยได้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “แม่
ทัพที่แข็งแกร่งทหารในสังกัดก็ไม่อ่อนแอ จงอี้โหว
เสนอชื่อรองผู้บัญชาการฉวีมาชิงตำแหน่งผู้บัญชาการ
ค่ายกิเลนดำ ข้าเองก็หวังจะได้เจอกับท่านอยู่นะ”
ที่เขายิ้ม ก็แค่เป็นมารยาทเท่านั้น
คนที่พกดาบยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ราชสำนักมอง
ผิดคน ข้าน้อยมิกล้ารับ เพียงแต่ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
เท่านั้น เพื่อไม่ให้ราชสำนักผิดหวัง”
เจ๋อชางเกอยกมือคำนับอีกครั้ง แล้วพยักหน้าให้กับเส
วียหลิงเฟิง จากนั้นก็พาคนของตัวเองเดินจากไป เมื่อ
เดินออกไปไม่กี่ก้าว เขาก็หันกลับมามองฉีหนิงอีกครั้ง
เหมือนคิดอะไรอยู่ แต่สุดท้ายก็เดินไปที่ที่พักทหาร
ฉีหนิงรู้ว่าการที่เจ๋อชางเกอหยุดหันกลับมามอง แสดง
ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาน่าจะสงสัยอะไรบางอย่าง
“โหวเยว่ วรยุทธ์ของเจ๋อชางเกอ ถือว่าเป็นอันดับ
ต้นๆ ในราชสำนักเลย” เสวียหลิงเฟิงหันไปมองเงา
ของทหารจากค่ายดาบดำ แล้วพูดอีกว่า “กลศึกของ
เขาถึงแม้จะไม่เหนือกว่าท่านแม่ทัพใหญ่ แต่ว่าด้านวร
ยุทธ์เขาไม่ได้เป็นรองท่านแม่ทัพใหญ่เลย”
ฉีหนิงพยักหน้า เขาสังเกตไปที่การเดินของ
ฉวีเหยี่ยนจือ ท่าทางการเดินของเขาหนักแน่น เขารู้
ทันทีว่าเพลงหมัดของเขาก็น่าจะไม่ด้อยเลย
เจ๋อชางเกอนำทหารไปรับตัวเซียวกวง การขี่ม้ายิงธนู
ของพวกเขา ฉีหนิงรู้ดี รู้ว่าไม่เพียงแค่เจ๋อชางเกอ
เท่านั้น แต่คนของเขาเองก็ร้ายกาจเหมือนกัน
ในเมื่อฉวีเหยี่ยนจือเป็นถึงรองผู้บัญชาการค่ายดาบดำ
การขี่ม้ายิงธนูต้องเหนืออยู่แล้ว ในด่านนี้ฉวีเห
ยี่ยนจือเหมือนถูกกำหนดให้ชนะแต่แรกแล้ว แม้แต่
เจียงซุยอวิ๋นอาจจะสู้เขาไม่ได้
ในใจของเขาเครียดมาก ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียง
ฝีเท้า เมื่อหันไปมอง ก็เห็นเจียงซุยอวิ๋นกำลังเดินมา
เจียงซุยอวิ๋นเดินมาคนเดียว ไม่มีใครติดตามมาด้วย
เมื่อเห็นฉีหนิง เขาก็ไม่ได้เดินมาหา แค่พยักหน้าให้
เท่านั้น
“เขาคือเจียงซุยอวิ๋นหรือ?” เสวียหลิงเฟิงมองไปที่
เจียงซุยอวิ๋นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ดูเหมือนเขาจะไม่
ถนัดการขี่ม้ายิงธนูเลย”
“อ๋อ?”
เสวียหลิงเฟิงพูดว่า “หากเป็นคนถนัดขี่ม้ายิงธนู มอง
จากร่างกายก็ดูรู้แล้ว รูปร่างผอมแบบนั้น ไม่ใช่คนที่
ถนัดการขี่ม้า ไหล่ของเขาก็แคบมาก เหมือนไม่เคยฝึก
ยิงธนูมาก่อน”
เมื่อมืออาชีพพูดแบบนีแ้ ล้ว ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่
คิดว่าหมัดมวยกับอาวุธเขาคงไม่ธรรมดา”
ทันใดนั้นเองก็มีทหารของค่ายหู่เสินวิ่งเข้ามา กระซิบ
พูดบางอย่างกับเสวียหลิงเฟิง “โหวเยว่ ฝ่าบาทเสด็จ
มาถึงแล้ว” จากนั้นเขาก็เดินไปที่หน้าประตูค่าย เพื่อ
ไปต้อนรับ
ฉีหนิงเองก็ไม่ลังเล เขาเดินตามไป เห็นภายนอกประตู
ถนนกว้างขวาง มีธงโบกสะบัด มีขบวนทหารม้าสวม
ชุดเกราะเดินนำมา ดูองอาจมาก
ขบวนเดินมาอย่างช้าๆ ไม่นานนักเหล่าทหารก็แยก
ออกเป็นสองทาง เหมือนบังอะไรไว้ให้ รอบๆ บริเวณ
ไม่มีชาวบ้านอยู่ ถนนจึงกว้างเป็นพิเศษ คนในขบวนก็
มีเยอะมาก แต่ก็ไม่ทำให้อึดอัด
ทหารม้าทั้งซ้ายขวาเหมือนกับลูกธนู พุ่งมายังด้านใน
เหมือนกับว่ามาเพื่อขจัดสิ่งกีดขวางต่างๆ
หลังจากนั้นก็เห็นทหารอวี่หลินจวินมาพร้อมกับรถม้า
หรูหราขนาดใหญ่ ม้าขาวสองตัวหน้าตาเหมือนกัน
ลากราชรถหลวงมายังหน้าประตู
ฉีหนิงรู้ว่านี่คือครั้งแรกที่ฮ่องเต้น้อยออกจากวัง
หลังจากขึ้นครองราชย์ ถึงแม้เป้าหมายของเขาจะมา
เพื่อดูการประลอง แต่ว่าก็มาเพื่อตรวจสอบกำลัง
ทหารของค่ายหู่เสินด้วย
เกียรติยศของราชวงศ์ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น การมาในครั้ง
นี้ ก็เพื่อแสดงแสนยานุภาพของเชือ้ พระวงศ์
เสวียหลิงเฟิงเดินขึ้นหน้าไป แล้วคุกเข่าลง “ถวาย
พระพรฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
ทหารทั้งหมดตรงนั้นก็คุกเข่าตาม แม้แต่ทหารหลวง
อวี่หลินเองก็ลงจากม้า แล้วคุกเข่าอยู่ข้างม้า
เห็นเหล่าทหารต่างนอบน้อม แล้วก็ระวังมาก รถม้า
ค่อยๆเคลื่อนผ่าน แดดส่องใส่ดาบของเหล่าทหาร ฉี
หนิงแสงสะท้อนเข้าตา เขามีหลากหลายความรู้สึก
มากในตอนนี้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 285 จับไม้สั่้นไม้ยาว
จงอี้โหวกับไหวหนานอ๋องต่างขี่ม้าตามรถม้าหลวงมา
ส่วนซีเหมินเสินโหวเองก็พาฉวีเสี่ยวชางมาด้วย ทุกคน
ที่มาชมการประลองทั้งหมดต่างคุกเข่าลง เมื่อเห็น
หลงไท่ลงจากรถม้ามา ทั้งหมดต่างร้องตะโกนทรง
พระเจริญ หลงไท่สวมชุดมังกรสีเหลืองอร่าม เขานั่ง
ลงบนเก้าอี้
ผู้บัญชาการทหารหลวงอวี่หลินฉือเฟิ่งเตียนนำทหาร
ประจำการณ์อยู่รอบๆ
ตอนนี้ขบวนผู้ติดตามมาดูแลของฟ่านกงกงเองก็เดิน
มาทางฉีหนิง แล้วเชิญฉีหนิงขึ้นไปที่ลานชมการ
ประลอง
ถึงแม้ฉีหนิงจะเป็นหนึ่งในผู้ร่วมประลอง แต่ว่าเขา
เป็นจิ่นอีโหว ดังนั้นมีที่นั่งสำหรับเขาที่ด้านบน
จงอี้โหวนั่งขนาบข้างซ้ายขวาของหลงไท่ ซีเหมินอู๋เหิง
นั่งอยู่ด้านหลังของไหวหนานอ๋อง ส่วนฉีหนิงนั่งอยู่
ด้านหลังของจงอี้โหว
ลานนั่งชมนั้นสูงกว่าที่พักทหาร ดังนั้นผู้ที่นั่งอยู่ลาน
นั่งชมนั้นจะเห็นทุกอย่างในลานประลองอย่างชัดเจน
เหล่าแม่ทัพขุนนางเริ่มนั่งลง อีกทั้งรอบๆ ลาน
ประลองนั้นมีทหารของค่ายหู่เสินเฝ้าอยู่รอบๆ ไม่ให้
ใครเข้าไปใกล้
ตอนนี้เหล่าแม่ทัพขุนนางรวมทั้งทหารของค่ายหู่เสิน
รวมแล้วน่าจะมีกว่าพันคน
หลงไท่หันไปมองฉีหนิง เห็นฉีหนิงนิ่งอยู่ ไม่ได้มี
อาการตื่นเต้นหรือกังวลอะไร เขาก็เบาใจขึ้น
จริงๆ แล้วหลงไท่เองก็รู้ การประลองในวันนี้ถึงแม้จะ
มีสามคน แต่ว่าฉีหนิงโอกาสน้อยสุดที่จะได้ตำแหน่ง
มา
จงอี้โหวนั่งลูบเคราอย่างสบายใจ ไหวหนานอ๋องเองก็
ดูสบายๆไม่ต่างกัน
“ทูลฝ่าบาท ฉวีเหยี่ยนจือกับเจียงซุยอวิ๋นมารออยู่
แล้ว ไม่ทราบจะให้เริ่มการประลองเลยหรือไม่พะยะ
ค่ะ?” เสวียหลิงเฟิงคุกเข่าลงข้างเดียวอยู่ด้านหน้า
ลานที่นั่ง
หลงไท่กำลังคิดจะพูด แต่กลับหันไปมองจงอี้โหวก่อน
แล้วถามว่า “จงอี้โหว เริ่มเลยดีหรือไม่?”
ไหวหนานอ๋องเห็นหลงไท่หันไปถามจงอี้โหวก่อน เขา
ก็เหลือบไปมองจงอี้โหวด้วยความไม่พอใจ
“ฝ่าบาท ในเมื่อผู้ที่เข้าร่วมการประลองมาครบ
หมดแล้ว” จงอี้โหวลุกขึ้น โค้งตัวแล้วพูดว่า “ในเมื่อ
เป็นอย่างนี้ ก็อย่าเสียเวลาเลย” เขาตะโกนออกไปว่า
“ฉวีเหยี่ยนจือ เจียงซุยอวิ๋นอยู่ที่ไหน?”
จากนั้นก็เห็นทั้งสองออกมาจากคนละฝั่ง คนหนึ่งคือ
คนที่สวมเสื้อบางๆ ที่ฉีหนิงเจอก่อนหน้านี้ ที่พกธนู
และดาบ อีกคนก็คือเจียงซุยอวิ๋น
เมื่อพวกเขามาถึงด้านหน้าก็คุกเข่าลง แจ้งชื่อของ
ตัวเอง
จงอี้โหวซือหม่าหลันยกมือคำนับหลงไท่แล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท จิ่นอีโหวฐานะสูงส่ง เจียงซุยอวิ๋นเองก็เป็น
ศิษย์ของท่านจั่ว ให้สองคนนี้ประลองก่อนเลยดี
หรือไม่พะยะค่ะ?”
หลงไท่ยังไม่ทันพูดอะไร ฉีหนิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
เหล่าโหว ท่านพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก ด้วยฐานะของข้าแล้ว
ควรจะให้พวกเขาสองคนประลองกันก่อนถึงจะถูก
พูดตามตรง การประลองวันนี้ ข้าก็แค่มาสนุกด้วย
เท่านั้น ไม่ได้มีหวังอะไรอยู่แล้ว คนตาบอดยังดูออก
เลย” เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปด้านหน้าของหลงไท่
ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ถึงแม้จะเป็นการชิง
ตำแหน่งผู้บัญชาการ แต่ว่าฝ่าบาททรงเสด็จมาด้วย
พระองค์เองแบบนี้ การประลองจะต้องตื่นเต้นเร้าใจ
วรยุทธ์ของกระหม่อมอ่อนด้อยยิ่งนัก ให้ประลอง
อะไรก็ไม่ไหว หากขึ้นไปก่อนคงมีแต่จะขายหน้า ถ้า
อย่างไรก็ให้ทางรองผู้บัญชาการฉวีกับคุณชายเจียง
ประลองกันก่อน เพื่อความสนุกดีหรือไม่พะยะค่ะ”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “การประลองวันนี้ ต้อง
ยุติธรรมที่สุด ไม่ว่าใครประลองก่อน ก็จะต้องเสีย
พลังงานไปมาก ถึงอย่างไรก็ต้องมีเวลาพักอยู่แล้ว”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “จิ่นอีโหวใจกว้างมาก
น่านับถือนัก แต่ว่า...ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า เพื่อ
ความยุติธรรม พวกจับฉลากกันดีกว่า”
หลงไท่เข้าใจความหมายของจงอี้โหว เจียงซุยอวิ๋น
กับฉีหนิงเริ่มก่อน เพื่อให้เสียแรง อีกทั้งการแสดงวิชา
ออกมาให้คนเห็นก่อนมันไม่เป็นผลดีเท่าไหร่
จงอี้โหวเป็นเฒ่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จอมแผนการ ถึงแม้ฉวี
เหยี่ยนจือจะได้เปรียบ แต่ว่าเขาก็ยังระวังตัวมาก ขอ
แค่ฉีหนิงกับเจียงซุยอวิ๋นประลองกันก่อน สองคนนี้ไม่
มีใครอยากออกเป็นคนแรกแน่ จะต้องสู้สุดกำลัง
แน่นอน
“ดี ไหวหนานอ๋องพูดถูก จับฉลากเลือกก่อนหลัง”
หลงไท่รีบพยักหน้า แล้วพูดกับเสวียหลิงเฟิงว่า “เส
วียหลิงเฟิง เจ้าเตรียมการจับฉลากสิ”
เสวียหลิงเฟิงยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท
กระหม่อมมีวิธีที่ง่าย กระหม่อมจะใช้ไม้เล็กๆ สามอัน
ยาวสองสั้นหนึ่ง หากคนที่ได้ไม้ยาวก็ประลองก่อน
พระองค์ทรงเห็นควรหรือไม่?”
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ดี”
เสวียหลิงเฟิงถอยออกไป แล้วก็กลับมาอย่างรวดเร็ว
มือซ้ายของเขากำหมัดแน่น แต่ว่ามีไม้สามท่อนโผล่
ออกมา มองไปแล้วดูไม่ออกว่าอันไหนสั้นอันไหนยาว
เขาเดินตรงไป แล้วยื่นหมัดไปให้เจียงซุยอวิ๋น เจียง
ซุยอวิ๋นนิ่งมาก เขาหยิบมาหนึ่งอัน จากนั้นก็ตามด้วย
ฉวีเหยี่ยนจือ ทั้งสองมองของกันและกัน มันยาว
เท่ากัน
เสวียหลิงเฟิงพูดว่า “ฝ่าบาท ผลการจับฉลากออก
มาแล้ว เจียงซุยอวิ๋นกับฉวีเหยี่ยนจือจับได้ไม้ยาวทั้งคู่
ต้องทำการประลองก่อน”
“ถ้าอย่างนั้น ในมือของผู้บัญชาการเสวียก็เป็นไม้สั้น
สินะ?” ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าทางนี่คง
เป็นลิขิตฟ้า”
เสวียหลิงเฟิงเหมือนจะเข้าใจที่ไหวหนานอ๋องพูด เขา
นำไม้อีกอันที่อยู่ในมือซ้ายออกมา มันสั้นกว่าอีกสอง
อันจริงๆ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ยกมือคำนับแล้ว
ถอยออกไป
ฉีหนิงคิดในใจว่าเขาดวงดีขนาดนี้เชียวหรือ? แต่ก็รู้สึก
ว่าเรื่องนี้มันไม่ง่ายขนาดนั้น เขารู้ว่าเสวียหลิงเฟิงเป็น
คนของเขา การที่เขาเสนอให้จับไม้สั้นไม้ยาว อาจจะ
มีอะไรก็ได้
“เจียงซุยอวิ๋น ฉวีเหยี่ยนจือ พวกเจ้าสองคนออกมา
ทำการประลองก่อน” จงอี้โหวพูดว่า “แค่ประลอง
พอประมาณเท่านั้น อย่าให้เกินเลย ทำร้ายอีกฝ่ายจน
บาดเจ็บเล่า”
ไหวหนานอ๋องก็พูดว่า “ถูกต้อง ห้ามทำร้ายอีกฝ่าย
โดยเด็ดขาด ถึงแม้ดาบหรือกระบี่จะไม่มีตา แต่หาก
ว่าเกิดถึงแก่ชีวิตขึ้นมา ฝ่าบาทก็จะไม่มีปล่อยเอาไว้
แน่นอน”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าพวกเขาสองคนกำลังทำ
สงครามน้ำลายกันอยู่
พวกเขาบอกแค่ว่าเป็นไปได้อย่าทำร้ายอีกฝ่าย แต่ว่า
ไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้ ไหวหนานอ๋องยังบอกอีกว่าอย่า
ให้มีคนตาย เหมือนบอกว่าขอแค่ไม่มีใครตาย ไม่ว่า
อีกฝ่ายจะเจ็บแค่ไหน ก็ไม่เป็นไร
เจียงซุยอวิ๋นกับฉวีเหยี่ยนจือยกมือคำนับแล้วรับคำ
จากนั้นเจียงซุยอวิ๋นก็หันไปยกมือคำนับฉวีเหยีย่ นจื
อยิ้มแล้วพูดว่า “รองผู้บัญชาการฉวี ประลองสาม
รอบ พวกเราประลองหมัดมวยกันก่อนดีหรือไม่ หรือ
ว่าท่านอยากจะประลองดาบ?” แต่เขาไม่ได้พูดถึงการ
ขี่ม้ายิงธนูเลย
ฉวีเหยี่ยนจือไม่มีท่าทีอะไร เขาพูดว่า “อย่างไรก็ต้อง
ประลองทั้งสามรอบ ประลองอะไรก่อนหลังไม่สำคัญ
เลย คุณชายเจียงอยากจะประลองอะไรก็ได้ไม่มี
ปัญหา”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้น ในใจก็คิดว่าฉวีเหยี่ยนจือมั่นใจใน
ตัวเองมาก ถึงได้นิ่งขนาดนี้
คนที่อยู่ตรงนี้มีกว่าพันคน ในใจก็คิดว่าฉวีเหยี่ยนจือ
น่าจะเป็นผู้ชนะในวันนี้แน่นอน
ฉวีเหยี่ยนจือมีชื่อเสียงในหน่วยทหารไม่น้อย อีกทั้ง
คู่ปรับของเขาเป็นคนเรียบร้อยอย่างเจียงซุยอวิ๋นด้วย
คุณชายที่ดูเจ้าสำอาง ทหารที่มาเข้าชมไม่เคยได้พบ
มาก่อน แต่จากหน้าตาแล้ว ไม่น่าจะสู้กับฉวีเห
ยี่ยนจือได้
เจียงซุยอวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าของ
ประลองเพลงดาบกับท่านรองผู้บัญชาการฉวีก็แล้วกัน
ไม่ทราบว่าท่านจะชี้แนะข้าได้หรือไม่?”
เสียงของเขาไม่ได้ดังมาก แต่ว่าก็มีคนไม่น้อยที่ได้ยิน
ชัด พวกเขาต่างรู้สึกขอยู่ในใจ
เพลงดาบของฉวีเหยี่ยนจือมีชื่อเสียงมาก พูดได้ว่า
ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะในยุทธภพหรือว่าในกรมทหาร คน
ที่ฝึกเพลงดาบมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เพลงดาบฝึกกันง่าย แต่หากต้องการฝึกขั้นสูงนั้นไม่
ง่ายเลย
คนที่รู้จักฉวีเหยี่ยนจือ ก็จะรู้ว่าฉวีเหยี่ยนจือฝึกเพลง
ดาบมาตั้งแต่เด็ก เขามีพื้นฐานที่แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว
ตั้งแต่ก่อนเข้ามาทำงานในค่ายดาบดำ เขาเป็นคนที่มี
ชื่อเสียงระดับหนึ่งในยุทธภพ เรื่องที่แปลกก็คือ เขา
ได้รับการชี้แนะเพลงดาบจากยอดฝีมือท่านหนึ่ง ทำ
ให้เขาก้าวกระโดดไปไกลมาก
ขณะที่เริ่มก่อตั้งค่ายดาบดำใหม่ๆ การคัดเลือกคน
เข้มงวดมาก คนที่ได้เข้ามาในค่ายนี้ ต่างมีพื้นฐาน
เพลงดาบทั้งนั้น เพราะในค่ายดาบดำมีหลายคนที่มา
จากยุทธภพ
ตอนที่ฉวีเหยี่ยนจือมาคัดเลือกที่ค่ายดาบดำ เจ๋อชาง
เกอเป็นคนทดสอบเพลงดาบของเขาเอง ได้ยินมาว่า
แม้แต่เพลงดาบของเจ๋อชางเกอก็ไม่อาจเอาชนะฉวีเห
ยี่ยนจือได้ ดังนั้นเจ๋อชางเกอถึงได้เลือกเขาให้เป็นรอง
ผู้บัญชาการค่ายดาบดำ
ตอนนี้เจียงซุยอวิ๋นขึ้นลานประลองก็ขอประลองเพลง
ดาบกับฉวีเหยี่ยนจือแล้ว หลายคนคิดว่าเจียงซุยอวิ๋น
นั้นหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ
ฉวีเหยี่ยนจือไม่ได้มีสีหน้าท่าทางอะไร เขาเดินไปที่
ขอบเวทีประลอง แล้วถอดธนูออกวางไว้ด้านข้าง
จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนลานประลองอย่างง่ายดาย
ทหารหลายคนต่างส่งเสียงให้กำลังใจ
ฉวีเหยี่ยนจือเป็นทหาร เจียงซุยอวิ๋นเป็นคนธรรมดา
ทั่วไป แม้แต่ทหารของค่ายหู่เสินเอง ก็หวังว่าฉวีเห
ยี่ยนจือเป็นผู้ชนะเพื่อเกียรติของกรมทหาร
เจียงซุยอวิ๋นเดินมาตรงด้านหน้าของทหารหลวงอวี่ห
ลินจวิน เขามองไปที่ดาบในเอวของทหาร ยิ้มแล้วพูด
ว่า “ข้าขอยืมดาบของเจ้าหน่อยจะได้หรือไม่”
ทหารคนนั้นตะลึงไป เขารู้สึกแปลกใจ แล้วหันไปมอง
ผู้บัญชาการฉือเฟิ่งเตียน เขาเห็นฉือเฟิงเตียนพยัก
หน้า ถึงได้เอาดาบยื่นให้เขาไป
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นหยุดพูดคุยกัน
การประลองวันนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเกี่ยวพันถึง
ตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายกิเลนดำ ฉวีเหยี่ยนจือเตรียม
ตัวมาอย่างดี ไม่ว่าจะธนูหรือว่าดาบ ก็พกมาเอง แต่
คิดไม่ถึงว่าเจียงซุยอวิ๋นจะสบายๆ แบบนี้
ถึงแม้อาวุธของทหารหลวงอวี่หลินจวินจะเป็นอาวุธ
ชั้นดี แต่ว่าดาบของพวกเขาหากเทียบกับทางฉวีเห
ยี่ยนจือแล้ว ก็ยังห่างชั้นกันมาก
ฉีหนิงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขารู้สึกเครียดขึ้นมา
ไหวหนานอ๋องก็พูดเองว่าขอแค่ไม่มีใครตายก็พอ
แสดงว่าทั้งสองฝ่ายพยายามสู้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าอีก
ฝ่ายจะเจ็บแค่ไหน ก็ห้ามเอาเรื่องเด็ดขาด
ที่นี่ไม่ใช่วิทยาลัยฉงหลิน เมื่อลงมือทุกอย่างคือความ
เสี่ยงและอันตราย
เจียงซุยอวิ๋นยังคงนิ่งมาก แต่ว่าฉีหนิงรู้สึกว่าเขาน่าจะ
มีแผนการบางอย่าง
อยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน เขาจะใช้แผนอะไร ไม่
กลัวถูกคนอื่นจับได้หรือ?
เจียงซุยอวิ๋นค่อยๆ เดินขึ้นลานประลองไป ไม่ได้
กระโดดขึ้นไปอย่างฉวีเหยี่ยนจือ แต่เดินขึ้นบันใดไป
แบบคนทั่วไป
ฉวีเหยี่ยนจือค่อนข้างผ่อนคลาย มือซ้ายของเขาถือ
ดาบ เจียงซุยอวิ๋นยืนห่างจากเขาสามสี่ก้าว เขามองไป
ที่ฉวีเหยี่ยนจือ ยิ้มแล้วพูดว่า “รองผู้บัญชาการฉวี
ช่วยชี้แนะข้าด้วย” เขาชักดาบออกมา แล้วทิ้งฝักดาบ
ไว้ข้างๆ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 286 ฝ่ามือกรงเล็บเหล็ก
ฉวีเหยี่ยนจือมองไปที่เจียงซุยอวิ๋น แล้วชักดาบ
ออกมา ดาบของเขาเป็นสีดำ ซึ่งต่างกับดาบทั่วไป ตัว
ดาบหนากว่าปกติ
เจียงซุยอวิ๋นค่อยๆ เคลื่อนที่ จากนั้นก็พุ่งตัวบุกจู่โจม
เข้าใส่ เขาฟันดาบเข้าใส่ฉวีเหยี่ยนจือ
เหล่าแม่ทัพทหารเห็นเจียงซุยอวิ๋นจู่โจมก่อน หลาย
คนก็ถึงกับส่ายหัว
กระบวนท่าของเขาเป็นกระบวนท่าธรรมดา แค่ฟัน
ออกไปอย่างนั้นเหมือนกับไม่มีกระบวนท่า เหมือนว่า
เขาไม่เคยถือดาบมาก่อน ทุกคนเห็นว่าเจียงซุยอวิ๋น
ท้าทายเพลงดาบของฉวีเหยี่ยนจือ เดิมคิดว่าเพลง
ดาบของเจียงซุยอวิ๋นก็น่าจะพอไปไหว แต่ว่าพอลงมือ
จริงๆ แล้ว ก็รู้ว่าเพลงดาบของเขาไม่เท่าไหร่
ฉีหนิงมองลงมาจากด้านบน เขาเห็นทุกอย่างชัดเจน
ทั้งสองคนนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่ชนะ ก็ต้องเป็นคู่ปรับ
ของเขา ดังนั้นเขาจะต้องสังเกตการณ์ให้ดี
เดิมทีเขาคิดว่าเจียงซุยอวิ๋นน่าจะเป็นเสือซ่อนเล็บ แต่
ว่ากระบวนท่าแรกของเขา ทำให้ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ
เขาแอบคิดในใจว่าฟันลงไปธรรมดาแบบนั้น หากเป็น
คนอื่นอาจจะบาดเจ็บ แต่ว่ากับฉวีเหยี่ยนจือแล้ว มัน
เหมือนตัวตลก
ในใจเขาแอบสงสัยว่า หรือว่าเจียงซุยอวิ๋นจะโรคเก่า
กำเริบอีกแล้ว เหมือนครั้งที่อยู่ที่วิทยาลัยฉงหลิน
แกล้งคุยโวโอ้อวดไปอย่างนั้น?
เจียงซุยอวิ๋นเคยบอกว่าตัวเองท่องเที่ยวไปทั่วดินแดน
บอกว่าตัวเองเห็นพระจันทร์ทรงสี่เหลี่ยม วันนี้เหมือน
จะประเมินเขาสูงเกินไป ฉีหนิงคิดว่าเขาอาจจะเป็น
เสือซ่อนเล็บ แต่ว่าตอนนี้มันทำให้เขาตกใจมาก
เจียงซุยอวิ๋นถึงแม้จะเป็นคนที่จั่วชิงหยางแนะนำ แต่
ว่าเขาสนิทสนมกับทางไหวหนานอ๋องมาก เหมือน
เห็นจากสถานการณ์แล้ว ไหวหนานอ๋องมั่นใจในตัว
เขามาก เขาสนิทสนมกับไหวหนานอ๋องซื่อจื่อเซียว
จ้าวจงมากด้วย คิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นพวกเดียวกับ
ไหวหนานอ๋อง เขาน่าจะเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของ
ทางฝั่งไหวหนานอ๋อง
ไหวหนานอ๋องเสนอชื่อเขาไป อีกทั้งมั่นใจในตัวเขา
มากด้วย หรือว่าเขาจะโกหกอะไรไหวหนานอ๋องมา
เพื่อให้ไหวหนานอ๋องไว้ใจ?
ฉีหนิงถึงแม้จะสงสัย แต่ก็ยังดูอย่างไม่กระพริบตา
บนลานประลอง เจียงซุยอวิ๋นฟันดาบออกไปหลาย
ครั้งฉวีเหยี่ยนจือถึงแม้จะกำดาบไว้ในมือ แต่ก็ยังไม่ได้
ลงมือ เขาเอาแต่หลบ เขาหลบได้อย่างง่ายดาย
ถึงแม้ทุกคนเห็นฉวีเหยี่ยนจือหลบไปมา แต่ว่าไม่มีใคร
คิดเลยว่าฉวีเหยี่ยนจือตกเป็นรอง
แต่กลับกัน หลายคนคิดว่าฉวีเหยี่ยนจือแค่ตั้งใจหลบ
พวกเขารู้สึกว่าเพลงดาบของเจียงซุยอวิ๋นนั้นด้อยมาก
หลายคนเดาว่า หากฉวีเหยี่ยนจือออกกระบวนท่า
น่าจะเอาชนะได้ในทันที
เจียงซุยอวิ๋นออกกระบวนท่าอย่างต่อเนื่องอีกเจ็ด
แปดครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรฉวีเหยี่ยนจือได้เลย
ทันใดนั้นเองก็เห็นฉวีเหยี่ยนจือกระโดดลอยตัวขึ้นมา
แล้วพุ่งเข้าใส่เจียงซุยอวิ๋น เขาฟันดาบทั้งเร็วทั้งคม
ทุกคนเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แต่ว่าพริบตาเดียวก็เริ่ม
เคร่งเครียด
คนที่มาชมวันนี้ ล้วนเป็นแม่ทัพ มีทั้งค่ายหู่เสิน ค่าย
เสวียนอู่ ค่ายทหารหลวงอวี่หลินกับค่ายดาบดำ ทุก
คนล้วนแต่รู้จักคุ้นเคยเพลงดาบเป็นอย่างดี
ถึงแม้จะบอกว่ามียอดฝีมือไม่น้อยที่มีเพลงดาบ
เหนือกว่าฉวีเหยี่ยนจือ แต่ว่าภายในหน่วยงานนั้นมีไม่
มาก หลายคนรู้ว่าการที่เขาลงมือ เข่าของเจียงซุยอวิ๋
นต้องบาดเจ็บแน่นอน อาจจะถึงขั้นพิการได้เลย
หลังจากที่เจียงซุยอวิ๋นปรากฎตัวในวันนี้ เขาดูนิ่งมาก
ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกว่าเขาหยิ่งเลย ทหารในลาน
ประลอง ถึงแม้จะมาจากหลายหน่วยงาน แต่ว่าต่าง
เป็นทหารในเมืองหลวง เดิมทีพวกเขาก็จะมีความ
หยิ่งยโสมากกว่าทหารท้องที่อยู่แล้ว เจียงซุยอวิ๋น
ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเลย ในสายตาของเหล่าทหาร
การที่เขาไปยืมดาบของทหารหลวง มันเหมือนไม่ให้
ความเคารพกับฉวีเหยี่ยนจือ ทำให้พวกเขาไม่พอใจ
มาก
ตอนนี้ให้ฉวีเหยี่ยนจือลงมือ หลายคนหวังว่าฉวีเห
ยี่ยนจือจะทำให้ขาของเจียงซุยอวิ๋นพิการไปเลย
เจียงซุยอวิ๋นเหมือนจะชะงักไป เขาเหมือนตกใจใน
เสียงตะคอกของฉวีเหยี่ยนจือ เขาถอยหลังไปสอง
สามก้าว แต่ก็สามารถหลบดาบของฉวีเหยี่ยนจือไปได้
ฉวีเหยี่ยนจือออกกระบวนท่าแล้ว ก็ไม่มีทางปราณีอีก
เขากำลังคิดวิธีเอาชนะเจียงซุยอวิ๋น จากนั้นก็เป็นจิ่นอี
โหวฉีหนิง ถึงแม้หลายคนในเมืองหลวงจะบอกว่าฉี
หนิงเป็นจิ่นอีคนบ้า แต่ว่าฉวีเหยี่ยนจือก็ไม่ได้
ประมาท ในเมื่อเพลงดาบของเจียงซุยอวิ๋นธรรมดา ก็
รีบจัดการให้จบจะดีกว่า จะได้ไม่เปลืองแรง
หลังจากที่เจียงซุยอวิ๋นได้ท้าทายเพลงดาบของเขา
เขาเองก็เดินไปตามเกมของเจียงซุยอวิ๋น เขา
เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด
มีหลายคนเริ่มร้องตะโกนหลากหลายอารมณ์
เจียงซุยอวิ๋นถอยหลังอย่างต่อเนื่อง เขาตวัดดาบไป
เรื่อยๆ แต่ว่ามันเหมือนไม่มีกระบวนท่าอะไร ทั้งตวัด
ดาบ ทั้งถอยหลัง ดูน่าอนาถมาก
ทหารหลายนายเห็นดังนั้น ถึงแม้ฮ่องเต้จะอยู่ด้วย ไม่
กล้าหัวเราะ แต่ว่าพวกเขาก็แอบขำกันมาก คิดในใจ
ว่าคนแบบนี้ยังกล้ามาชิงผู้บัญชาการทหารค่ายกิเลน
ดำอีก ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ
เพลงดาบของฉวีเหยี่ยนจือร้ายกาจสมคำร่ำลือ เขา
ออกอาวุธได้อย่างเฉียบขาด รวดเร็ว แฝงไปด้วย
อานุภาพที่ร้ายแรง คนที่รู้จักเพลงดาบก็จะชื่นชมว่า
เพลงดาบของเขาราวกับเทพเจ้า ดูไปแล้วก็เป็นจริง
ถึงแม้เพลงดาบของฉวีเหยี่ยนจือจะร้ายกาจ เจียง
ซุยอวิ๋นจะดูอนาถ แต่ว่าผ่านไปแล้วกว่าสิบกระบวน
ท่า ดาบของฉวีเหยี่ยนจือก็ยังทำอะไรเจียงซุยอวิ๋น
ไม่ได้เลย ทุกครั้งที่เห็นเขาจู่โจมใส่เจียงซุยอวิ๋น ถึงแม้
จะเห็นเจียงซุยอวิ๋นหนีอย่างน่าอนาถ แต่เขาก็หลบได้
ทุกครั้ง
ฉีหนิงเห็นเหตุการณ์อยู่ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาก
กว่าเดิม
หากเจียงซุยอวิ๋นหลบได้แค่หนึ่งถึงสองดาบ อาจจะ
เป็นเพราะโชคดี แต่ว่านี่เขาหลบได้เป็นสิบครั้ง มัน
ไม่ใช่เพราะเรื่องบังเอิญแน่นอน
การเคลื่อนที่ของเจียงซุยอวิ๋นถึงแม้จะดูอนาถ แต่ว่า
ในสายตาของฉีหนิง การเคลื่อนที่ของเขามันคือ
รูปแบบที่ร้ายกาจมาก ดูมั่วแต่ไม่ยุ่งเหยิงและรวดเร็ว
มาก ฉีหนิงรู้สึกตะลึงมาก การเคลื่อนที่ของเจียง
ซุยอวิ๋นมันมีความคล้ายกับท่าเท้าท่องคลื่นของเขา
ฉีหนิงฝึกท่าเท้าท่องคลื่นจนคุ้นชินมาได้ ครั้งที่แล้วได้
ชายวัยกลางคนชี้แนะ เขาก็เข้าใจในหลักของท่าเท้า
ท่องคลื่นมากขึ้น คนทั่วไปหรือคนที่ไม่รู้อาจจะไม่ได้
ทันสังเกตมากนัก แต่เพราะเขาฝึกท่าเท้าท่องคลื่นมา
ฉีหนิงถึงได้รู้และมองถึงวิชาการเคลื่อนที่ของคนอื่น
ออก
การเคลื่อนที่ของเจียงซุยอวิ๋นมีทั้งรุกและรับ เปลี่ยน
สลับไปมามากมาย ถึงแม้จะไม่เหมือนกับท่าเท้าท่อง
คลื่นของเขา แต่ว่าเวลาเคลื่อนที่ไปมานั้นมีผลลัพธ์ที่
ไม่ต่างกัน
ตอนนี้ฉีหนิงถึงได้เข้าใจแล้วว่า เหตุใดไหวหนานอ๋อง
ถึงได้มั่นใจในตัวของเจียงซุยอวิ๋นมากนัก เหตุใดเจียง
ซุยอวิ๋นถึงได้นิ่งมาก เขาเป็นเสือซ่อนเล็บจริงๆ
เพลงดาบของฉวีเหยี่ยนจือร้ายกาจมาก ฉีหนิงถาม
ตัวเองว่าหากเขาเป็นเจียงซุยอวิ๋น เขาอาจจะไม่
สามารถหลบเพลงดาบของฉวีเหยี่ยนจือได้มากขนาด
นี้ แต่ว่าเจียงซุยอวิ๋นถึงแม้จะดูน่าอนาถ แต่ในความ
เป็นจริงแล้วเขาหลบเพลงดาบของฉวีเหยี่ยนจือได้อ
ย่างมั่นใจ
ตอนนี้ไม่เพียงฉีหนิง แม้แต่เสวียหลิงเฟิง เจ๋อชางเกอ
ฉือเฟิ่งเตียนต่างมีสีหน้าที่เคร่งเครียดมาก
เดิมทีจงอี้โหวยังมีสีหน้าที่เรียบเฉย แต่ว่าเจียง
ซุยอวิ๋นหลบได้อย่างต่อเนื่อง เขาก็ขมวดคิ้วหนัก
กว่าเดิม
ฉีหนิงอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง เขาเห็นต้วนฉางไห่
กำลังมองไปที่การต่อสู้ที่อยู่บนลานประลอง เขา
เหมือนรู้ว่าฉีหนิงกำลังมองเขาอยู่ เขาจึงหันมามอง
ทั้งสองมองหน้ากัน สายตาของพวกเขาก็มีแต่ความ
หนักใจ
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดัง “ฉึบ” เหมือนฉวีเหยี่ยนจือ
จะรู้แนวทางของเจียงซุยอวิ๋นแล้ว เขากวาดดาบ
ออกไป แต่เจียงซุยอวิ๋นก็งัดดาบของเขาขึ้นมาอย่าง
สบายๆ ฉวีเหยี่ยนจือใช้แรงดันดาบ จากนั้นก็ได้ยิน
เสียงเจียงซุยอวิ๋นร้อง ดาบในมือของเขาลอยออกจาก
มือไป
คนที่นั่งอยู่ต่างตะลึงไป ไหวหนานอ๋องสีหน้า
เปลี่ยนไป แล้วลุกขึ้นยืน
ฉวีเหยี่ยนจือมองไป เห็นดาบในมือของเจียงซุยอวิ๋นก
ระเด็นออก เขากวาดดาบไปที่บริเวณหน้าอกของ
เจียงซุยอวิ๋น แต่เห็นเจียงซุยอวิ๋นยกมือขึ้นมา แล้ว
พลิกมือเหมือนตะขอเกี่ยว แล้วซัดไปตามดาบของฉวี
เหยี่ยนจือ
ดาบของฉวีเหยี่ยนจือรวดเร็วมาก เจียงซุยอวิ๋นซัดมา
อย่างกะทันหัน หลายคนยังไม่ทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ก็มีหลายคนเห็นว่าเจียงซุยอวิ๋นใช้มือไปบังคมดาบ
ของฉวีเหยี่ยนจือเอาไว้ หลายคนคิดในใจว่าเจียง
ซุยอวิ๋นรนหาที่ตายชัดๆ ในมือของฉวีเหยี่ยนจือคือ
ดาบอีกาดำเป็นดาบหายาก คมมาก ใช้มือบังดาบ
เช่นนั้น พิการแน่นอน
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้น หลายคนยังไม่ทันได้สติ
พวกเขาเห็นเจียงซุยอวิ๋นถอยหลัง เว้นระยะห่างจาก
ฉวีเหยี่ยนจือประมาณสามสี่ก้าว ทันใดนั้นดาบในมือ
ของฉวีเหยี่ยนจือตกอยู่ที่พื้น
ทุกคนต่างตะลึงไป ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่นานนัก
ก็เห็นฉวีเหยี่ยนจือยืนเซไปเซมา แล้วก็ถอยหลังไปอีก
หลายก้าว คนที่อยู่ใกล้ลานประลองเห็นว่ามือทั้งสอง
ข้างของฉวีเหยี่ยนจือมีเลือดออก ในมือของเจียง
ซุยอวิ๋นกลับมีปลายดาบที่หักอยู่
หลายคนยังไม่ได้สติ แม้แต่ฉีหนิงเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิด
อะไรขึ้น เขาขมวดคิ้ว จากนั้นก็ได้ยินซีเหมินอู๋เหิงที่
อยู่ไม่ไกลพูดว่า “ฝ่ามือกรงเล็บเหล็ก...”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 287 ดาบหักเอ็นขาด
เจ๋อชางเกอเห็นแล้วว่าสถานการณ์ไม่ปกติ ก็รีบลุกขึ้น
หน้าไป ร่างกายของเขากำยำสูงใหญ่ แต่ว่าการ
เคลื่อนที่ของเขาว่องไว ผู้ติดตามของเขาหลายคนก็
ตามไปด้วยเช่นกัน
เมื่อมาถึงขอบลานประลอง ถึงได้เห็นอะไรชัดเจนขึ้น
ในมือของเจียงซุยอวิ๋นถือเศษดาบที่หักอยู่ในมือ ส่วน
ดาบในมือของฉวีเหยี่ยนจือกลับหักครึ่งอยู่ที่พื้น
ไม่เพียงแค่เหล่าแม่ทัพขุนนาง แม้แต่เจ๋อชางเกอเองก็
ตกใจเหมือนกัน
พวกเขารู้ฝีมือของฉวีเหยี่ยนจือเป็นอย่างดี แล้วก็รู้
ด้วยว่าดาบของฉวีเหยี่ยนจือนั้นคือดาบอูตั่ว
แต่ว่าวันนี้ นอกจากสิบสุดยอดกระบี่แล้ว ก็ยังมีสุด
ยอดห้าดาบ ถึงแม้ดาบอูตั่วจะไม่ได้เป็นหนึ่งในสุด
ยอดห้าดาบ แต่ก็เป็นอาวุธที่หาได้ยาก
ดาบอูตั่วไม่เพียงแค่คม แต่มันยังแข็งมากอีกด้วย
แต่ว่าตอนนี้ดาบอูตั่วกลับหักเป็นสองท่อน สิ่งที่หน้า
ตกใจมากกว่านั้นคือ ดาบอูตั่วหักเพราะเจียงซุยอวิ๋น
ใช้มือหักมัน
ในตอนนี้ฉวีเหยี่ยนจือสีหน้าซีดเซียว เดิมท่าทางของ
เขาดูไม่ออกว่ารู้สึกอะไร แต่ในแววตาของเขามันมี
ความโกรธซ่อนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นก็แฝงไปด้วยความ
หวาดกลัวด้วยเช่นกัน
แม่ทัพหลายคนที่อยู่ด้านหลังเจ๋อชางเกอเองก็เห็นชัด
เหมือนกัน มือทั้งสองข้างของฉวีเหยี่ยนจือมีเลือดสด
ไหลหยดลงมาตรงพื้น เส้นเอ็นที่ข้อมือของเขาทั้งสอง
ข้างถูกตัดขาด
ทุกคนต่างอึ้งตะลึงไป
พวกเขารู้ว่าทำไมฉวีเหยี่ยนจือถึงได้มีสีหน้าที่
หวาดกลัว อาจจะไม่ได้เป็นมือเท้าทั้งสี่ของเจียง
ซุยอวิ๋นเท่านั้น แต่มันยังเป็นเพราะมือทั้งสองของเขา
มันพิการไปแล้ว หลังจากนี้ต่อไป เขาจะไม่สามารถ
หยิบจับอาวุธได้อีก
สำหรับยอดฝีมือแล้ว อย่าว่าแต่ถูกตัดเส้นเอ็นเลย
แม้แต่นิ้วมือบาดเจ็บ ก็ทำให้อานุภาพของเพลงดาบ
ลดลงไปมาก แต่เมื่อเส้นเอ็นข้อมือขาดไป ข้อมือก็ไม่
อาจจะหมุนหรือตวัดข้อมือได้พลิ้วไหวเหมือนเดิมได้
อีก แม้แต่พลังชี่ก็ไม่อาจจะเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใจได้
อีก เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ในหัวสมองจะมีเพลงดาบที่
ร้ายกาจแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถแสดงศักยภาพของ
มันออกมาได้อีก
“รนหาที่ตาย...” แม่ทัพคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา เขากำ
หมัดไว้แน่น เขาคิดที่จะขึ้นไปคิดบัญชีกับเจียงซุยอวิ๋น
ทหารองครักษ์ค่ายหู่เสินที่ยืนคุ้มกันอยู่รอบๆ ยกทวน
ขึ้นขวางเอาไว้ เจ๋อชางเกอเองก็ยกมือขึ้นห้ามเช่นกัน
เขาจ้องไปที่เจียงซุยอวิ๋น
ฮ่องเต้น้อยตกใจมาก เขาหันไปมอง เห็นจงอี้โหวหน้า
ดำคล้ำเครียด ตอนนี้สีหน้าของเขาดูแย่มาก
ไหวหนานอ๋องลูบเครา เขายิ้มแล้วพูดว่า “เหมือนว่า
รอบนี้เจียงซุยอวิ๋นจะชนะแล้ว ที่แท้คุณชายเจียงก็
เป็นเสือซ่อนเล็บนี่เอง ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ”
จงอี้โหวเหลือบไปมอง สีหน้าท่าทางของเขากลับมา
เหมือนเดิม เขายิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ดาบ
ของเจียงซุยอวิ๋นกระเด็นหล่นพื้นไปแล้ว หากนับแค่
การประลองอาวุธ ก็นบั ว่าเจียงซุยอิ๋นแพ้นะ”
“อ๋อ?” ไหวหนานอ๋องรีบพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้า
เลอะเลือนไปเอง นี่เป็นการประลองอาวุธนี่นา
ถูกต้อง อาวุธของเจียงซุยอวิ๋นหลุดมือไปแล้ว ก็ต้อง
ถือว่าแพ้”
ตอนนี้ฉวีเหยี่ยนจือพยายามทนต่อความเจ็บปวดที่มือ
ของเขาถูกตัดเส้นเอ็นจนขาด เขาไม่พูดอะไรเลยแล้ว
เดินลงมาจากลานประลอง ตลอดเส้นทางที่เขาเดินมา
มีแต่รอยเลือด เมื่อลงมาถึงด้านล่างเขาโซเซจนเกือบ
ล้มลงไป แต่มีเพื่อนมาช่วยพยุงเขาเอาไว้
เสวียหลิงเฟิงเดินไปกระซิบพูดกับเจ๋อชางเกอสองสาม
คำ จากนั้นก็เดินไปที่หน้าลานเวทีประลอง แล้วพูด
รายงานเสียงดังว่า “ทูลฝ่าบาท เส้นเอ็นที่มือของฉวี
เหยี่ยนจือขาดทั้งสองข้าง ไม่สามารถทำการประลอง
ต่อไปได้อีกพะยะค่ะ”
“แล้ว...แล้วทั้งสองคนนี้ใครชนะ?” หลงไท่ขมวดคิ้ว
ถาม
“ทูลฝ่าบาท หากพูดถึงแค่การประลองอาวุธ อาวุธ
ของเจียงซุยอวิ๋นหล่นพื้นไปก่อน ก็ถือว่าฉวีเหยี่ยนจื
อชนะ” เสวียหลิงเฟิงสีหน้าจริงจัง “แต่ว่าเอ็นข้อมือ
ของฉวีเหยี่ยนจือได้ถูกตัดขาดไปแล้ว คงไม่สามารถ
ประลองหมัดมวยและขี่ม้ายิงธนูได้อีก ดังนั้น...ฉวีเห
ยี่ยนจือจึงจะต้องออกจากการประลองในครั้งนี้ไป”
“น่าเสียดาย น่าเสียดาย...” ไหวหนานอ๋องถอน
หายใจแล้วพูดว่า “รองผู้บัญชาการฉวีวรยุทธ์ล้ำเลิศ
ฝีมือขี่ม้ายิงธนูของเขาหาใครเทียบยาก แต่เพราะ
บาดเจ็บทำให้ไม่สามารถประลองต่อได้อีก มัน...” เขา
ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “น่าเสียดายจริงๆ”
จงอี้โหวยิ้มแล้วพูดว่า “เจียงซุยอวิ๋นเป็นคนที่ท่านอ๋อง
ทรงเสนอ เสือซ่อนเล็บจริงๆ ไม่มีใครคาดถึงเลย”
“จงอี้โหว เจียงซุยอวิ๋นเป็นศิษย์ของท่านจั่วชิงหยาง
ในเมื่อเป็นคนที่ท่านอาจารย์จั่วแนะนำมา ข้าก็แค่
สนใจเขามากขึ้นมาหน่อยก็เท่านั้น” ไหวหนานอ๋อง
พูดว่า “เพียงแค่ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีฝีมือขนาด
นี้ อนาคตไกลแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า ต้าฉู่ของพวกเรามี
มังกรหลับเยอะมากจริงๆ” เขามองไปที่ฉีหนิง เห็นฉี
หนิงสีหน้าเคร่งเครียด เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว ฉวีเหยี่ยนจือประลองต่อ
ไม่ได้แล้วนะ ตอนนี้ก็เหลือก็จิ่นอีโหวกับเจียงซุยอวิ๋น
แค่สองคนที่ต้องประลองกันแล้ว”
ในใจของฉีหนิงก็ตกใจมากเหมือนกัน
สิ่งที่ซีเหมินอู๋เหิงพูด เขาได้ยินมันชัดเจน แต่ไม่รู้ว่า
อะไรคือวิชา “ฝ่ามือกรงเล็บเหล็ก” แต่ว่าเขาดูออก
ว่าดาบที่ฉวีเหยี่ยนจือใช้นั้นเป็นดาบดี แล้วเขาก็เห็น
ว่าดาบเล่มนั้นถูกหักด้วยมือของเจียงซุยอวิ๋น เขาจึง
ตกใจไม่น้อยเลย ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจแล้วว่า เจียง
ซุยอวิ๋นนั้นเป็นเสือซ่อนเล็บจริงๆ คนๆ นี้จิตใจ
เหี้ยมโหดมาก เขาถึงกลับฉวยโอกาสตัดเส้นเอ็น
ข้อมือของฉวีเหยี่ยนจือด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เป้าหมายของเจียงซุยอวิ๋นนั้นทำ
เพื่อไม่ให้ฉวีเหยี่ยนจือประลองต่อไปได้อีก ถ้าอย่าง
นั้น ก็จะหมดศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดไป
ในตอนนี้เจียงซุยอวิ๋นเดินมาที่ด้านล่างลานประอง ยก
มือแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมทำให้ท่านรองผู้
บัญชาการฉวีต้องบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ ทรงลงอาญา
ด้วยพะยะค่ะ”
หลงไท่ขมวดคิ้ว จงอี้โหวกลับพูดขึ้นมาว่า “เจียง
ซุยอวิ๋น การประลองวิชาก็ควรจะให้อยู่ในความพอดี
แต่เจ้ากลับกล้าลงมือโหดเหี้ยมกับฉวีเหยี่ยนจือแบบนี้
ได้อย่างไรกัน?”
“จงอี้โหว ดาบมันไม่มีตานะ อีกทั้งดาบของฉวีเห
ยี่ยนจือก็คมมากด้วย เขาจู่โจมอย่างดุดัน เจียง
ซุยอวิ๋นแค่ร้อนใจเลยพลั้งมือพลาดไป เหมือนมันก็มี
เหตุมีผลของมันอยู่ไม่ใช่หรือ?” ไหวหนานอ๋องพูดว่า
“การประลองแบบนี้ เดิมก็ต้องทำอย่างเต็มที่อยู่แล้ว
หากมัวแต่มานั่งกังวลไปมา ก็ไม่สามารถแสดงฝีมือที่
แท้จริงออกมาได้ แล้วจะคัดเลือกคนที่เหมาะสมเพื่อ
มาปกครองค่ายกิเลนดำได้อย่างไรกันล่ะจริงหรือไม่?”
จงอี้โหวพูดว่า “พลั้งมือพลาดไปอย่างนั้นหรือ? แบบ
นี้นี่เอง” เขาหันไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว
เจ้าตั้งระวังหน่อยนะ หากเจียงซุยอวิ๋นพลาดทำให้เจ้า
บาดเจ็บขึ้นมา จะเอาความได้ยากนะ”
ฉีหนิงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าพูดไว้ก่อนแล้วว่า ขอให้
คุณชายเจียงออมมือให้ด้วย ฝีมือของข้า เทียบท่านฉวี
เหยี่ยนจือไม่ได้ ดังนั้นคงไม่ทำให้คุณชายเจียงถูกบีบ
จนพลั้งมือหรอก คิดว่าคุณชายเจียงคงไม่พลาด” เขา
เดินลงมาจากลานนั่งไปหาต้วนฉางไห่ แล้วยื่นมือ
ออกไป ต้วนฉางไฮ่เตรียมกระบี่ผีหลูยื่นมาให้เขา
ทั้งสองมองหน้ากัน ฉีหนิงเห็นสีหน้ากังวลจากสายตา
ของต้วนฉางไห่ เขายิ้มให้ ต้วนฉางไห่กลับเดินเขยิบ
เข้ามาใกล้ แล้วพูดว่า “โหวเยว่ อย่าเอากระบี่ไป
สัมผัสมือขวาของเขา เมื่อครู่เขาใช้มือขวาหักดาบ”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วถามว่า “เจ้าเคยได้ยินชื่อของฝ่า
มือกรงเล็บเหล็กบ้างหรือไม่?” ในใจคิดว่าในเมื่อซีเห
มินอู๋เหิงรู้จักฝ่ามือกรงเล็บเหล็ก ต้วนฉางไห่เองก็มี
ประสบการณ์ความรู้ไม่น้อย ก็น่าจะเคยได้ยิน
เหมือนกัน
แต่ต้วนฉางไห่กลับส่ายหัว
ฉีหนิงก็ไม่พูดอะไรมาก รับกระบี่ผีหลูมา แล้วหันตัว
เดินขึ้นลานประลองไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงไม่รู้ว่า
ใครเหมือนกันตะโกนขึ้นมาว่า “จิ่นอีโหวต้องชนะ”
มันเหมือนการโยนหินลงแม่น้ำ พริบตาเดียวทหาร
ขุนพลกว่าร้อยคนก็พร้อมใจกันตะโกนร้องว่า “จิ่นอี
โหวต้องชนะ” เสียงของพวกเขาเหล่านั้นกึกก้อง
กังวานมาก
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก แต่ก็เข้าใจในทันทีว่า ขุนพล
เหล่านี้ตะโกนแบบนี้ ไม่ได้จะต้องการสนับสนุนตัวเขา
จริงๆ
แต่เพราะบรรดาศักดิ์ “จิ่นอีโหว” สามคำนี้เท่านั้น
เพราะจิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นที่ผ่านมาทำศึกเพื่อบ้านเมือง
มาตลอด ผลงานมีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ อีกทั้งยังเป็น
ตระกูลขุนศึก เป็นที่เคารพยำเกรงของขุนพลไม่น้อย
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เพราะเจียงซุยอวิ๋นทำร้ายฉวีเห
ยี่ยนจือ
ไม่ต้องสงสัยเลย ณ ขุนพลทั้งหลายในลานประลองใน
วันนี้ ไม่ได้สนใจขั้วการเมืองอะไรเลย เพราะคนส่วน
ใหญ่ก็สนับสนุนฉวีเหยีย่ นจือมาตั้งแต่แรกแล้ว
ถึงแม้จะมีบรรดาศักดิ์จิ่นอีโหวค้ำคออยู่ แต่ว่าไม่มีใคร
ไม่รู้จักจิ่นอีคนบ้า ถึงแม้เหล่าขุนพลจะยำเกรงชื่อของ
จิ่นอีโหว แต่ว่ากับตัวเขาเองที่เป็นแค่ผู้สืบทอด
ตำแหน่งโหวน้อยอาจจะไม่ได้มีความน่าเกรงขาม
เท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกันแล้ว ฝ่ายทหารก็มีใจโอน
เอียงไปทางฉวีเหยี่ยนจือมากกว่า
แต่ว่าฉวีเหยี่ยนจือพ่ายแพ้ให้กับเจียงซุยอวิ๋น ไม่เพียง
แค่ดาบอูตั่วหักเท่านั้น แต่ว่าเอ็นข้อมือทั้งสองข้างก็
ขาดไปด้วย ท่ามกลางสายตาของทุกคน เหล่าขุนพล
เห็นอย่างชัดเจน ทุกคนไม่พอใจและโกรธแค้นเจียง
ซุยอวิ๋นมาก
ตอนนี้ฉวีเหยี่ยนจือไม่สามารถประลองต่อไปได้อีก
แล้ว เหล่าทหารเอาความหวังทั้งหมดฝากไว้ที่โหว
น้อยคนนี้
ถึงแม้จะได้ยินเสียงตะโกนโห่ร้องว่า “จิ่นอีโหวต้อง
ชนะ” แต่ว่าเจียงซุยอวิ๋นก็ยังนิ่งอยู่ ไหวหนานอ๋องเอง
ก็นิ่งเหมือนกัน แต่หลงไท่กลับมีสีหน้าพึงพอใจเล็กๆ
ในใจเขาคิดว่าจิ่นอีโหวยังมีบารมีมากในหน่วยทหาร
เมื่อฉีหนิงขึ้นไปยังลานประลองแล้ว เจียงซุยอวิ๋นเองก็
ขึ้นไปบนลานประลองเช่นกัน ทั้งสองยืนมองหน้ากัน
ฉีหนิงจ้องไปที่ตาของเจียงซุยอวิ๋น เขาพบว่าสายตา
ของเขามันดูคมคายมากกว่าตอนที่เจอกันที่
วิทยาลัยฉงหลินเสียอีก
ครั้งที่แล้วที่เจอกับเจียงซุยอวิ๋น เขาดูเป็นคุณชาย
ตระกูลใหญ่ดูเย่อหยิ่ง ท่าทางราศีของเขามันเหมือน
อยู่เหนือคนอื่น แต่ว่าเจียงซุยอวิ๋นในวันนี้ กลับมีทั้ง
ความนิ่งแล้วก็ความเย็นยะเยือก
“คนๆ นี้ซ่อนเขี้ยวเล็บได้ดีจริงๆ” ฉีหนิงยิ้มบางๆ ใน
ใจก็แอบคิดว่า “แค่เวลาสั้นๆ กลับเหมือนคนสอง
คน”
“โหวเยว่” เจียงซุยอวิ๋นยกมือคำนับ ดาบเล่มนั้นที่
กระเด็นออกจากมือเขายังคงอยู่บนลานประลอง เขา
ยังไม่ได้เก็บมันขึ้นมา เขาพูดว่า “ไม่ทราบว่าโหวเยว่อ
ยากจะประลองอะไรก่อนดี?”
มือซ้ายของฉีหนิงถือกระบี่ผีหลูที่ยังไม่ออกจากฝัก
เขายิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ไม่ได้เริ่มประลองอาวุธก่อน
หรอกหรือ?”
เจียงซุยอวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “โหเยว่ร่างกายล้ำค่าดุจ
ทองคำ ซุยอวิ๋นไม่กล้าอวดเก่ง แต่ว่าดาบกับกระบี่มัน
ไม่มีตา หากทำร้ายโหวเยว่จนได้รับบาดเจ็บ ข้ารับ
โทษไม่ไหว หากโหวเยว่ อนุญาต พวกเรามาประลอง
หมัดมวยกันก่อนดีหรือไม่?”
ฉีหนิงเหลือบไปมองดาบที่หัก เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
บอกว่าอยากประลองหมัดมวยก่อนอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว” เจียงซุยอวิ๋นพยักหน้า
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่นี่เป็นที่ที่เจ้าตัดสินใจไปตั้งแต่
เมื่อไหร่กัน? เจ้ากับฉวีเหยี่ยนจือเริ่มประลองอาวุธ
ก่อน พอประลองแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้ประลองอีก
ตอนนี้เจ้ากลับจะมาเปลี่ยน ให้ข้าประลองหมัดมวย
กับเจ้าก่อน หึหึ เจียงซุยอวิ๋น เจ้าวางแผนอะไรเอาไว้
อย่างนั้นหรือ?”
เจียงซุยอวิ๋นตะลึงไป ตาของเขากระตุก แต่หน้าของ
เขายังคงยิ้มอยู่
“เลิกพูดอะไรไร้สาระกับข้าได้แล้ว” ฉีหนิงยกกระบี่ผี
หลูในมือขึ้นมา “หากเจ้าเก่งจริง ก็ใช้ฝ่ามือกรงเล็บ
เหล็กของเจ้าหักอาวุธในมือของข้า แล้วตัดเส้นเอ็น
ของข้าให้ได้ ข้ารับปากเจ้าได้เลยว่า ข้าจะไม่แก้แค้น
เจ้า” เขายิ้ม “ดาบกับกระบี่ไม่มีตา ไม่ว่าใครบาดเจ็บ
ก็ต้องยอมรับ”
เจียงซุยอวิ๋นไม่มีทางรู้ว่าฉีหนิงได้ยินคำว่า "ฝ่ามือกรง
เล็บเหล็กจากซีเหมินอู๋เหิง เมื่อเขาได้ยินฉีหนิงพูด
ออกมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป สายตาของเขามันดู
เย็นชาจนขนลุก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 288 เพลงดาบทวนลม
เมื่อกระบี่ผีหลูออกจากฝัก แสงสะท้อนก็ออกมาจาก
ตัวกระบี่ เพียงแต่ว่ามีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่านี่คือ
หนึ่งในสิบสุดยอดกระบี่ อีกทั้งเมื่อกระบี่ผีหลูออกจาก
ฝักมันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกหนาวจนขนลุก แต่กลับมี
แสงที่ทำให้รู้สึกนุ่มนวลและอบอุ่น
สายตาของเจียงซุยอวิ๋นมองไปที่กระบี่ผีหลู สุดท้าย
เขาก็เดินไปที่ดาบ แล้วใช้เท้าตวัดมันขึ้นมา เขากำมัน
ไว้ในมือ
การกระทำนี้ถึงแม้จะไม่ได้ต้องใช้ฝีมืออะไรมากมาย
แต่มันก็พลิ้วไหวมาก
เป้าหมายที่หลงไท่ต้องการก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมา
ใหม่นั้น ก็เพื่อให้ฉีหนิงได้เป็นผู้บัญชาการทหารค่าย
กิเลนดำ เขาก็จะได้มีกองกำลังที่เป็นของเขาเองจริงๆ
เดิมทีความหวังของฉีหนิงก็ริบหรี่อยู่แล้ว ตำแหน่งผู้
บัญชาการก็น่าจะเป็นของฉวีเหยี่ยนจือค่อนข้าง
แน่นอนแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า เจียงซุยอวิ๋นกลับทำร้าย
ฉวีเหยี่ยนจือจนบาดเจ็บ
ตอนนี้เหลือแค่เจียงซุยอวิ๋นกับฉีหนิงแค่สองคน
ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว
“โหวเยว่ ชี้แนะด้วย” เจียงซุยอวิ๋นกำดาบไว้แน่น เขา
ยิ้ม เหมือนไม่ได้คิดจะลงมือก่อน
สิ่งที่ฉีหนิงพึ่งได้ก็มีแค่กระบวนท่าเพลงกระบี่ในภาพ
เคล็ดวิชากระบี่เท่านั้น
เดิมทีเขาชำนาญกระบวนท่าในภาพเคล็ดวิชา
ประมาณสิบกระบวนท่าแล้ว แต่เพื่อการต่อสู้ในครั้งนี้
หลายวันนี้เขาก็ฝึกฝนอย่างหนัก หลายต่อหลาย
กระบวนท่าเขาเองก็เริ่มคุ้นเคยและชำนาญมากแล้ว
แต่ว่าอนุภาพของเพลงกระบี่เป็นอย่างไร แม้แต่ตัวเขา
เองก็ไม่รู้ หากร้ายกาจมาก ตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่ามัน
ควรจะลงมืออย่างไร อีกทั้งเขาก็ไม่รู้ด้วยว่ามันจะทำ
ให้เกิดอันตรายถึงชีวิตต่อเจียงซุยอวิ๋นหรือไม่ หากไม่
ร้ายกาจ แล้วตอนที่อยู่ที่วัดต้ากวงหมิงนั้น จะเอาชนะ
ไป๋อวี่เฮ่อได้ภายในกระบวนท่าเดียวได้อย่างไร
แม้ในใจของเขาจะระวังมาก แต่ว่าใบหน้าของเขา
ยังคงยิ้มอยู่ เขาพูดว่า “ข้าเป็นจิ่นอีโหว ไม่มีทางลง
มือกับคนธรรมดาอย่างเจ้าก่อนแน่นอน เจ้าลงมือ
ก่อนเถอะ” เขาคิดว่าหากอีกฝ่ายลงมือก่อน เขา
สามารถอาศัยกระบวนท่าของอีกฝ่ายในการรับมือ
เจียงซุยอวิ๋นยิ้ม เขาเองก็ไม่ลงมือง่ายๆ สีหน้าของเขา
นิ่งผิดปกติ แต่ว่าฉีหนิงเองก็มองเห็นความเคร่งเครียด
จากแววตาของเขาอย่างว่องไวและเฉียบแหลม
ฉีหนิงตะลึงไป รู้สึกคิดไม่ถึงอยู่บ้าง
ในสายตาของเจียงซุยอวิ๋น เขามองออกว่า
เจียงซุยอวิ๋นดูกลัวเขามาก แต่ว่าตอนที่เขาเผชิญหน้า
กับฉวีเหยี่ยนจือเขาไม่มีอาการแบบนี้เลย แล้วเหตุใด
ถึงได้กลัวเขาขนาดนี้ได้?
ตอนที่เอาชนะไป๋อวี่เฮ่อที่วัดต้ากวงหมิง ทำไปก็
เพราะความตกใจ แต่ว่าคนที่รู้เรื่องนี้มีแค่ไม่กี่คน
เท่านั้น หรือว่าไหวหนานอ๋องเองก็รู้เรื่องนี้ด้วย แล้ว
เล่าเรื่องนี้ให้เจียงซุยอวิ๋นฟัง ทำให้เจียงซุยอวิ๋นรู้สึก
หวาดกลัว จึงอยากจะประลองหมัดมวยก่อน?
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฉีหนิงก็ไม่ได้กังวลมาก เขาคิด
ในใจว่าตอนนั้นที่วัดต้ากวงหมิงเขาใช้แค่กระบวนท่า
เดียว แต่ว่าตอนนี้เขามีกระบวนท่ามากมายแล้ว
ตอนนี้เขากังวลเกี่ยวกับฝ่ามือกรงเล็บเหล็กของอีก
ฝ่ายเพียงอย่างเดียว
ซีเหมินอู๋เหิงรู้จักฝ่ามือกรงเล็บเหล็ก แต่ว่าต้วนฉางไห่
กลับไม่รู้ แสดงว่าที่มาของวิชาฝ่ามือกรงเล็บเหล็ก
ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เขาเห็นกับตาตอนที่
เจียงซุยอวิ๋นหักดาบของฉวีเหยี่ยนจือ เขาใช้แค่
กระบวนท่าเดียวเท่านั้น ส่วนในมือของตัวเขาเอง
ถึงแม้จะมีหนึ่งในสิบสุดยอดกระบี่อย่างกระบี่ผีหลู แต่
ก็จะไม่ระวังวิชาฝ่ามือกรงเล็บเหล็กของเขาไม่ได้
ฉีหนิงแอบรู้สึกว่า วิชาฝ่ามือกรงเล็บเหล็กของเจียง
ซุยอวิ๋นร้ายกาจมาก แต่ว่าวิชาดาบของเขาเหมือนจะ
ธรรมดา เพลงดาบของฉวีเหยี่ยนจือเหมือนจะ
เหนือกว่าเจียงซุยอวิ๋น อย่างน้อยก่อนหน้านี้เพลงดาบ
ของฉวีเหยี่ยนจือก็บีบจนเจียงซุยอวิ๋นโต้กลับไม่ได้เลย
หากเจียงซุยอวิ๋นไม่ได้ใช้วิชาฝ่ามือกรงเล็บเหล็ก
อาจจะเอาชนะฉวีเหยี่ยนจือได้
ทหารกับเหล่าขุนนางเห็นฉีหนิงกับเจียงซุยอวิ๋นมอง
หน้ากัน แต่ไม่มีใครลงมือก่อนเลย ก็รู้สึกแปลกใจ
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงซุยอวิ๋นเห็นฉีหนิงนิ่งเหมือน
ภูเขา สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจค่อยๆ ยกดาบขึ้นมา ชี้ไป
ด้านหน้า จากนั้นก็พุ่งตัวดีดออกไป เอาปลายดาบจี้
ไปยังหน้าอกของฉีหนิง
ฉีหนิงเห็นดังนั้น ก็คิดในใจว่าเขาน่าจะทนไม่ไหวแล้ว
ก็แอบขำ เห็นอีกฝ่ายใช้ดาบพุ่งแทงมาราวกับดาบทรง
ยาว ในหัวของเขาก็นึกกระบวนท่ารับมือเอาไว้สอง
สามกระบวน แต่ว่าในใจเขาก็คิดว่าในเวลาแบบนี้ คิด
มากเกินไปผลมันอาจจะกลับกัน ก็ไม่ลังเลอีก เขา
เอียงกระบี่ผีหลูแล้วตวัดขึ้น เขาไม่ได้ไปบังดาบของ
อีกฝ่าย แต่ว่ากระดกกระบี่ขึ้นยังเส้นเอ็นที่ข้อมือของ
เจียงซุยอวิ๋น
ทุกคน ณ ลานประลองต่างจดจ้องไปที่ทั้งสองคน
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ทั้งสองคนค่อยๆ ลงมือ
กันอย่างช้าๆ ไม่เหมือนกับการประลองของฉวีเห
ยี่ยนจือเมื่อครู่ แต่ว่าทุกคนเห็นชัดเจนว่า กระบวนท่า
ที่ฉีหนิงใช้นั้นมันประหลาดมาก แต่ว่าไม่มีใครบอกได้
เหมือนกันว่ามันแปลกตรงไหนเพราะอะไร เหมือนมัน
จะง่าย แต่มันก็ดูพิเศษ
เหล่าขุนพลทหารหลายคนที่อยู่ที่นี่ ส่วนมากฝึกดาบ
คนที่ฝึกกระบี่มีไม่กี่คน ดังนั้นเพลงกระบี่ของฉีหนิง
คนส่วนใหญ่ถึงรู้สึกว่าแปลกประหลาด ไม่เข้าใจความ
ร้ายกาจหรือความพิเศษที่ซ่อนอยู่
แต่ซีเหมินอู๋เหิงกลับจ้องมองอย่างไม่กระพริบตา
สายตาของเขามันหยุดนิ่ง ไม่ละสายตาแม้แต่นา
ทีเดียว
ฉีหนิงออกกระบวนท่าไปอย่างต่อเนื่อง ทุกคนเห็น
เจียงซุยอวิ๋นถอยหลังไปหลายก้าว ดูท่าทางจนตรอก
แต่ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เจียงซุยอวิ๋นต่อสู้กับทางฉวีเห
ยี่ยนจือ ทุกคนก็รู้สึกว่าหมดหนทาง แต่สุดท้ายเขาก็
ยังทำร้ายจนฉวีเหยี่ยนจือบาดเจ็บได้ ดังนั้นตอนนี้
เจียงซุยอวิ๋นล่าถอย ทุกคนไม่ได้รู้สึกว่าเจียงซุยอวิ๋
นตกเป็นรอง แต่กลับคิดว่ามันเป็นแผนของเจียง
ซุยอวิ๋น เพื่อหาโอกาสหักกระบี่ของฉีหนิง
ฉีหนิงไม่ได้คิดอะไรมาก เขารู้ว่าเจียงซุยอวิ๋นมีวิชาฝ่า
มือกรงเล็บเหล็ก ไม่เพียงต้องระวังดาบในมือของอีก
ฝ่าย ยังต้องระวังมือขวาของเจียงซุยอวิ๋นอีกด้วย เพื่อ
ป้องกันไม่ให้เขาหักกระบี่ของเขาได้
ในเมื่อกระบี่ผีหลูออกจากฝักแล้ว กระบวนท่าของฉี
หนิงก็โผล่ออกมาในหัวมากมาย
จวนจิ่นอีโหวเป็นตระกูลขุนศึก ในจวนมีพื้นที่การฝึก
ยุทธ์เฉพาะอยู่ ไม่เพียงมีชั้นเรียงอาวุธ ยังมีอาวุธ
มากมายหลายประเภท รวมถึงหุ่นไม้ด้วย
ฉีหนิงฝึกเพลงกระบี่อยู่หลายวัน ใช้หุ่นไม้เป็นศัตรู
เพียงแต่ว่าหุ่นไม้เคลื่อนไหวไม่ได้ อีกทั้งยังไม่สามารถ
ตอบโต้กลับมาด้วย ดังนั้นมันก็เหมือนการฝึกกระบวน
ท่าธรรมดาเท่านั้น
ตอนนี้เจียงซุยอวิ๋นล่าถอยไปอย่างจนตรอก ฉีหนิง
รู้สึกว่าเจียงซุยอวิ๋นกับหุ่นไม้ก็ไม่ได้ต่างกันมาก
เพียงแต่เป็นหุ่นไม้ที่เคลื่อนไหวได้เท่านั้น ดังนั้นเขาก็
เลยออกกระบวนท่าไปอย่างต่อเนื่อง การออก
กระบวนท่าก็ว่องไวมากขึ้นตามไปด้วย แต่เขากลับไม่
รู้เลยว่า ทุกกระบวนท่าของเขา มันมีแต่ไอสังหาร
เหมือนทุกท่าที่เขาใช้ต้องการให้อีกฝ่ายถึงแก่ชีวิต
ตอนนี้เจียงซุยอวิ๋นเหมือนใช้ท่าเท้าท่องคลื่นหลบซ้าย
ทีขวาที เหมือนกับวนไปเวียนมาอยู่อย่างนั้น
นอกจากซีเหมินอู๋เหิงแล้ว ในสายตาของคนอื่น ผู้
บัญชาการค่ายดาบดำอย่างเจ๋อชางเกอมีสีหน้า
เคร่งเครียด เขาจ้องไปที่สองคนตาไม่กระพริบ เห็นฉี
หนิงออกกระบี่ได้พลิ้วไหวราวกับสายลม สายตาของ
เขามีแต่ความตะลึงพรึงเพริด แล้วบ่นพึมพำว่า
“เพลงกระบี่ร้ายกาจมาก”
เจียงซุยอวิ๋นถูกฉีหนิงบีบจนต้องถอยไปถึงขอบลาน
ประลอง หากถอยต่อไป ก็จะต้องตกลงไปแน่นอน
ทหารหลายคนเห็นเพลงกระบี่ของฉีหนิงแปลก
ประหลาด อีกทั้งยังไม่เห็นการเคลื่อนเท้าที่ต่าง
ออกไปหรือพิเศษจากเจียงซุนอวิ๋นเลย หลายคนก็คิด
ว่าฉีหนิงได้เปรียบ อีกทั้งยังมีบางคนที่ร้องตะโกน
เพื่อให้กำลังใจแก่ฉีหนิง
ระหว่างการประลอง ฉีหนิงเห็นเจียงซุยอวิ๋นเอี้ยวตัว
หลบไปด้านข้าง ในชั่วพริบตา เขาเปลี่ยนดาบที่ถืออยู่
ที่มือขวาไปถือที่มือซ้าย จากนั้นก็ยื่นมือขวาออกมา
ฉีหนิงแอบขำในใน แอบคิดในใจว่าเจ้านี่คิดจะใช้ฝ่า
มือกรงเล็บเหล็กมาหักกระบี่ผีหลูของเขา ในตอนนี้
เอง กลุ่มลมก็ลอบจู่โจมเข้ามาทางด้านขวาของเขา
หางตาของเขาเหลือบไปเห็น ดาบที่อยู่ในมือซ้ายของ
เจียงซุยอวิ๋นนั้นมันแทงมาตรงเอวของเขา
กระบวนท่านี้มันเหนือความคาดหมายของฉีหนิงมาก
เดิมเขาคิดว่าเจียงซุยอวิ๋นเปลี่ยนมาเป็นมือซ้าย เพื่อ
ใช้วิชาฝ่ามือกรงเล็บเหล็กจากมือขวา แต่ว่าพริบตา
นั้น เขาถึงเข้าใจว่า มือขวาที่ยื่นออกมาของเจียง
ซุยอวิ๋นนั้นเหมือนทำหลอก แต่การจู่โจมจริงๆ นั้นอยู่
ที่ดาบในมือซ้าย
การฝึกอาวุธ หากเป็นคนทั่วไป มักจะฝึกจากมือขวา
คนที่ฝึกมือซ้ายนั้นหายากมาก
เพลงดาบมือขวาของเจียงซุยอวิ๋นธรรมดามาก แต่ฉี
หนิงคิดไม่ถึงเลยว่าพอเจียงซุยอวิ๋นเปลี่ยนดาบมาอยู่
ในมือซ้ายแล้ว เพลงดาบของเขาถึงได้ออกอาวุธได้
เหนือความคาดหมายแบบนี้
หากเขามีการเตรียมการรับมือก่อน บนภาพเคล็ดวิชา
กระบี่ ก็มีกระบวนท่าที่รับมือเพลงดาบแบบนี้อยู่ แต่
ว่าเขาพุ่งเป้าไปที่มือขวาของเจียงซุยอวิ๋น ระวังฝ่ามือ
กรงเล็บเหล็กของอีกฝ่าย แต่ว่าเพลงดาบในมือซ้าย
ของเขาจู่โจมมาแบบนี้ คิดอยากจะใช้กระบี่ผีหลูไป
รับมือ ก็ไม่ทันแล้ว ด้วยความรีบร้อนทำได้แค่ใช้ท่า
เท้าท่องคลื่นเอี้ยวหลบไปด้านข้าง พร้อมๆกับที่ดาบ
ของเจียงซุยอวิ๋นแทงเข้ามา
ฉีหนิงหลบไปหลบมาหลายก้าว ในระหว่างที่หลบ เขา
รู้สึกว่าที่เอวของเขารู้สึกหนาวมาก ดาบเล่มนั้น
เหมือนจะแทงทะลุเข้าไปในผิวของเขา
เขาหลบแล้วก้มหน้าไปมอง เห็นว่าเสื้อช่วงเอวของ
เขามีรอยขาด สายคาดเอวของเขาอีกแค่คืบเดียวก็จะ
ขาดแล้ว ยังดีแค่เสื้อขาด ไม่ได้ถูกผิวหนัง แต่ในตอนนี้
เขาเองก็รู้สึกว่าเหงื่อเริ่มไหลพรากลงมา หากไม่ใช่
เพราะเขาไหวพริบเร็ว ฝึกท่าเท้าท่องคลื่นมาจนคล่อง
แล้ว ดาบเมื่อครู่ เขาน่าจะหลบไม่พ้น อาจจะถูก
เจียงซุยอวิ๋นแทงเข้าที่ท้องแน่นอน
ฉีหนิงหลบการจู่โจมของเจียงซุยอวิ๋นได้หนึ่งครั้ง เขา
เหมือนจะแปลกใจมาก ในสายตาของเขาดูตกใจมาก
ทั้งคู่เหมือนจะไม่ได้โจมตีต่อ พวกเขาจ้องหน้ากัน ฉี
หนิงเห็นสายตาของเจียงซุยอวิ๋นรู้สึกตกใจ เจียงซุยอวิ๋
นเองก็เห็นว่าฉีหนิงกำลังตกใจอยู่
ตอนนี้ฉีหนิงถึงได้เข้าใจขึ้นมาทันทีว่า ศัตรูที่อยู่
ตรงหน้าเขาตอนนี้ เหมือนจะแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ก่อนหน้านี้เจียงซุยอวิ๋นใช้แค่ฝ่ามือกรงเล็บเหล็กใน
การเอาชนะฉวีเหยี่ยนจือ แต่ว่าด้านเพลงดาบดูไป
เหมือนกับไม่เท่าไหร่ แต่ในตอนนี้ ฉีหนิงถึงได้รู้ว่า
เจียงซุยอวิ๋นนั้นตั้งใจปกปิด เพลงดาบของเขานั้น
เหนือกว่าที่เขาแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้มาก การต่อสู้
กับฉวีเหยี่ยนจือก่อนหน้านี้เขาเหมือนไม่คิดที่จะใช้
เพลงดาบที่แท้จริงของเขาออกมา
แต่ว่าหลังจากที่ต่อสู้กับฉีหนิงไปแล้ว เพลงกระบี่ของ
ฉีหนิงประหลาดมาก เจียงซุยอวิ๋นแทบจะไม่สามารถ
ต้านได้เลย อีกทั้งเขาได้ใช้ฝ่ามือกรงเล็บเหล็กไปแล้ว
จะใช้อีกก็คงไม่ได้แล้ว ฉีหนิงระวังฝ่ามือกรงเล็บเหล็ก
ของเขามาก สถานการณ์ตอนนี้ คิดจะใช้ฝ่ามือกรง
เล็บเหล็กหักกระบี่ผีหลูของฉีหนิงมันยากมากแล้ว
ฝ่ามือกรงเล็บเหล็กไม่สามารถใช้ได้ ฉีหนิงเองก็ใช้
เพลงกระบี่บีบจนไม่มีทางถอยหนี เจียงซุยอวิ๋นถูกฉี
หนิงบีบจนต้องแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา เขาตอบโต้
กลับมา คิดว่ากระบวนท่านี้ของเขาได้ผลแน่นอน แต่
คิดไม่ถึงว่าฉีหนิงจะใช้ท่าเท้าท่องคลื่นหลบไป
ฉีหนิงตกใจกับดาบที่มาอย่างคาดไม่ถึงของเจียง
ซุยอวิ๋น ด้านล่างลานประลอง เจ๋อชางเกอขมวดคิ้ว
หนักกว่าเดิม สายตาของเขามีแต่ความตกใจ เขาบ่น
พึมพำว่า “หรือว่าจะเป็น...เพลงดาบทวนลม นี่มัน...
จะเป็นไปได้อย่างไร”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 289 ระหว่างความเป็นความตาย
เจ๋อชางเกอพูดอยู่กับตัวเอง แต่ว่าเหล่าขุนพลที่อยู่
ข้างๆ ต่างได้ยินชัดเจน แล้วก็อดที่จะแอบกระซิบถาม
ไม่ได้ว่า “ใต้เท้า เพลงดาบทวนลมมันเป็นเพลงดาบ
อะไรกัน?”
เจ๋อชางเกอยังคงจ้องไปที่บนลานประลอง เขาพูด
เสียงเบาว่า “มันเป็นเพลงดาบที่หายสาบสูญไปนาน
มากแล้ว เดิมคิดว่ามันคงจะหายไปไร้คนสืบทอด แต่
ว่าตอนนี้มันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว เจียงซุยอวิ๋น
ใช้มือซ้ายในการออกอาวุธ ทิศทางของดาบแปลก
ประหลาด อาจจะเป็นดาบทวนลมในตำนานก็ได้ แต่
ว่า...ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่”
“เท่าที่รู้ว่าเจียงซุยอวิ๋นเป็นแค่ลูกชายของพ่อค้าคน
หนึ่งที่ตงไห่เท่านั้น จะมีวรยุทธ์แบบนี้ได้อย่างไรกัน?”
ขุนพลคนดังกล่าวถามด้วยความสงสัย “แล้วเขาฝึก
เพลงดาบทวนลมนี่มาได้อย่างไรกัน?”
เจ๋อชางเกอไม่ได้ตอบคำถามนี้อีก ดวงตาทั้งสองข้าง
ของเขามันดูคิดอะไรลึกลงไปอีก
ฉีหนิงกับเจียงซุยอวิ๋นต่างตกใจในวรยุทธ์ของอีกฝ่าย
มาก ทั้งคู่สบตากัน พวกเขาต่างมีสีหน้าท่าทางที่
เคร่งเครียด เจียงซุยอวิ๋นยังคงใช้มือซ้ายในมือถือดาบ
เอาไว้ ส่วนเท้าขยับเล็กน้อย
ในเมื่อฉีหนิงรู้แล้วว่าเพลงดาบในมือซ้ายของอีกฝ่าย
ไม่ปกติ ก็ไม่กล้าประมาท
กระบวนท่าเมื่อครู่ เจียงซุยอวิ๋นลงมือได้เหี้ยมโหด
มาก หากเขาไม่ได้โชคดีใช้ท่าเท้าท่องคลื่นในการ
เคลื่อนที่หลบแล้วล่ะก็ เขาจะต้องถูกแทงเข้าที่ท้อง
แน่นอน ตอนนี้ก็อาจจะนอนกองลงอยู่ที่พื้นไปแล้ว
ถึงแม้เจียงซุยอวิ๋นอาจจะไม่ได้กล้าสังหารเขาต่อหน้า
คนอื่น แต่ว่าหากทำให้ตัวเขาบาดเจ็บ โดยมีการตกลง
เอาไว้ก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังมีไหวหนานอ๋องปกป้อง
เจียงซุยอวิ๋นอาจจะไม่ได้รับโทษ
เขาลงมือกับฉวีเหยี่ยนจือโดยไร้ความปราณี แทบจะ
ไม่สนใจเลยว่าจะเป็นศัตรูกับทางค่ายดาบดำหรือไม่
เขาก็น่าจะไม่ได้สนใจว่าจะเป็นศัตรูกับทางจวนจิ่นอี
โหวหรือไม่ด้วย ทั้งสองฝ่ายเคยมีปัญหากันมาก่อนอยู่
แล้ว แทบจะไม่มีโอกาสได้เป็นเพื่อนกันอีก
เสียงร้องคำรามดังขึ้น เจียงซุยอวิ๋นเคลื่อนที่ไปทาง
ด้านขวาของฉีหนิง แล้วออกอาวุธอีกครั้ง เขาพุ่งดาบ
ซ้ายออกไป ครั้งนี้เขาไม่ได้ปกปิดกระบวนท่าอะไรอีก
แล้ว ดาบขวางแนวนอนขึ้น จากนั้นก็กดลงหมุนเป็น
วงพายุ ท่าทางราวกับคลื่นน้ำวน แสงจากดาบ
สะท้อนมา พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าของฉีหนิง
แล้ว
ตอนนี้ฉีหนิงเองก็นิ่ง ในหัวของเขามันเป็นภาพของ
กระบวนท่าในภาพเคล็ดวิชากระบี่ทั้งหมด คนใน
ภาพวาดราวกับมีชีวิตในตอนนี้ ในหัวของเขานั้น
บรรเลงเพลงกระบี่ได้รวดเร็วดังสายฟ้า เจียงซุยอวิ๋นจู่
โจมเข้ามา โดยที่ไม่อาจคาดเดากระบวนท่าได้ ฉีหนิง
กลับโต้ตอบไปตามแต่ใจคิด กระบี่ผีหลูพุ่งออกไป ราว
กับงูพิษที่กำลังเคลื่อนไหว
การปะทะกันครั้งนี้ ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้เลย
เมื่อครู่เจียงซุยอวิ๋นลงมือได้เหี้ยมโหดกับทางฉีหนิง ฉี
หนิงรู้ว่าคนๆ นี้จิตใจโหดเหี้ยม เมื่อลงมือก็คงไม่มี
ความปราณีใดๆ
ในเมื่อมีการตกลงไว้ก่อนแล้ว ฉีหนิงเองก็ไม่ได้เกรงใจ
เขาคิดวิธีรับมือจากภาพเคล็ดวิชากระบี่ ต่อให้ไม่
สามารถสังหารเจียงซุยอวิ๋นจนตายได้ แต่ก็ต้องทำให้
เขาเกิดผลกระทบมากที่สุด เมื่อเจียงซุยอวิ๋นจู่โจมเข้า
มา ในหัวของเขาก็นึกกระบวนท่าการรับมือขึ้นมาได้
อีกทั้งยังคิดหาโอกาสในการตอบโต้กลับไปด้วย
แต่ว่ากระบวนท่าของพวกเขาต่างประหลาด ต่อให้
ระวัง แต่ว่าในแต่ละกระบวนท่าก็เป็นกระบวนท่าที่
อันตรายมาก ทั้งคู่ไม่เพียงมีกระบวนท่าที่ประหลาด
แต่ยังมีท่าการเคลื่อนที่ด้วยเท้าที่ประหลาดสามารถ
หลบหลีกได้ พริบตาเดียวสลับกับรุกและรับไปมา
การจู่โจมของทั้งคู่ในแต่ละครั้งมันเหมือนสามารถทำ
ให้อีกฝ่ายตกเป็นรองได้เลย แต่ก็จะถูกอีกฝ่ายใช้
กระบวนท่าประหลาดแก้ไขจนรอดไปได้ทุกครั้ง
ขุนพลที่นั่งดูอยู่ทั้งหมดตอนนี้ต่างมองหน้ากัน
ทุกคนเป็นคนฝึกยุทธ์ ฝึกวิชากันมานาน แต่ว่า
กระบวนท่าของทั้งสองที่อยู่บนลานประลองนั้น มัน
ไม่เหมือนกับที่พวกเขาเคยฝึกมาก่อนเลย
ทหารไม่ว่าจะฝึกดาบหรือหอก เน้นไปที่ง่ายแต่มี
ประสิทธิภาพ จะไม่ใช้กระบวนท่าที่มีมาก อีกทั้ง
เข้มงวดกับการเรียงลำดับกระบวนท่ามาก แต่ละท่า
ต้องเป็นไปตามระบบระเบียบ เมื่อออกอาวุธไปแล้ว
ต่อไปจะต้องทำอะไร มันมีลำดับของมันที่ชัดเจน เมื่อ
ออกกระบวนผิดมันก็จะวุ่นแล้วก็ไม่สามารถออก
กระบวนท่าต่อไปได้อีก
แต่ว่าสองคนที่อยู่บนลานประลอง กระบวนท่าทำไป
ตามใจ แทบจะไม่มีลำดับหรือกระบวนใดๆ เลย เมื่อ
คิดว่าจะต้องมาแบบหนึ่ง แต่มันก็จะไม่เป็นแบบนั้น
ไม่ว่าจะเป็นฉีหนิงหรือว่าเจียงซุยอวิ๋น หลังจาก
ออกไปแล้วหนึ่งกระบวนท่า ต่อไปก็แทบจะคิดไม่ถึง
ว่าจะออกอะไรอีก
อีกทั้งการเคลื่อนที่ของพวกเขาทั้งสองคน ก็เซไปเซมา
เหมือนกับคนเมา รุกรับพลิ้วไหว รูปแบบการ
เปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจู่โจมด้วย
กระบวนท่าหรือการเคลื่อนที่ เหล่าขุนพลก็ไม่เคยเห็น
มาก่อน หลายคนมองจนตาลาย พวกเขามองไม่ออก
เลยว่าความอันตรายของกระบวนท่าอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่า
กระบวนท่าแต่ละท่ามันมีประโยชน์อะไรบ้าง
แม้แต่ยอดฝีมือจริงๆ ที่อยู่ ณ ลานประลองอย่าง ซีเห
มินอู๋เหิง เจ๋อชางเกอ กับเสวียหลิงเฟิง พวกเขา
ทั้งหมดก็มีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น สายตาของพวก
เขามีแต่ความตะลึงตกใจ
หลงไท่นงั่ อยู่บนเก้าอี้ ตอนนี้ก็มองแล้วก็มึนๆ งงๆ
เขาเคยประมือกับฉีหนิงมาก่อน ถึงแม้จะเป็นแค่เพลง
มวย แต่ก็รู้ว่าเพลงมวยของฉีหนิงก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ
ตัวเขาเท่าไหร่
หลงไท่เป็นคนฉลาด อีกทั้งยังเป็นฮ่องเต้ที่รู้ว่าอะไร
เป็นอะไรด้วย เขารู้ดีว่า ถึงแม้ตัวเขาจะพอมีพื้นฐาน
วรยุทธ์อยู่บ้าง แต่ว่ามันไม่ได้ร้ายกาจเช่นนั้น อีกทั้ง
เขาเองก็ไม่เคยคิดที่จะฝึกวรยุทธ์จนเก่งกาจ สำหรับ
ฮ่องเต้คนหนึ่งแล้ว การปกครองสำคัญที่สุด สำหรับ
เขาแล้ว ในฐานะฮ่องเต้ รอบตัวมียอดฝีมือคุ้มกันอยู่
แล้วมากมาย
สำหรับเขาแล้ว วรยุทธ์ของฉีหนิงไม่มีทางเทียบฉวีเห
ยี่ยนจือได้เลย
แต่ว่าในตอนนี้เขากลับพบว่า เพลงกระบี่ของฉีหนิงล้ำ
เลิศมาก ทำให้เขาอดนึกถึงมือกระบี่อันดับหนึ่งในวัง
อย่างเซี่ยงเทียนเปยไม่ได้
คนที่ทำให้เขาตะลึงยิ่งกว่าคือเจียงซุยอวิ๋น
เขาต้องมองออกอยู่แล้วว่า เจียงซุยอวิ๋นตั้งใจปกปิด
ความสามารถที่แท้จริง ไม่เช่นนั้นอาศัยเพียงเพลง
ดาบแบบนั้นของเขา ไม่มีทางเอาชนะฉวีเหยี่ยนจือได้
แน่นอน
แต่ว่าเจียงซุยอวิ๋นเลือกใช้ฝ่ามือกรงเล็บเหล็กหักดาบ
ไม่เพียงกำจัดฉวีเหยี่ยนจือออกไปได้อย่างเด็ดขาด
แล้ว ยังสามารถปกปิดความสามารถที่แท้จริงได้อีก
ด้วย แต่ว่าตอนนี้เขาถูกฉีหนิงบีบจนต้องเผย
ความสามารถจริงออกมา
ทั้งสองฝ่ายสลับการรับและรุกพัลวันกันอยู่ราวห้าหก
สิบกระบวนท่า เหมือนกับว่าไม่ว่าใครก็เป็นต่อ แล้วก็
เหมือนกับว่าไม่ว่าใครก็ไม่เป็นรอง
เสียง “แก้ง” สะเก็ดไฟกระจายออกมา ดาบและ
กระบี่ปะทะกัน จากนั้นก็เห็นเงาของทั้งคู่ถอยร่นกัน
ไป พวกเขาถอยห่างออกไปคนละห้าถึงหกก้าว ผู้คน
ในลานประลองต่างเงียบลง เห็นทั้งคู่ไม่ขยับแล้ว
หลายคนยังมองไม่ทันว่ามันเกิดอะไรขึ้นเลย
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเจียงซุยอวิ๋น
หลายคนก็นิ่ง แอบคิดในใจว่าหรือว่าเจียงซุยอวิ๋นจะ
ชนะแล้ว แต่ก็ได้ยินฉีหนิงหัวเราะขึ้นมาเหมือนกัน
เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมกัน แต่ว่าไม่มีใครได้
ยินความสุขจากเสียงหัวเราะนั้นเลย แต่มันมีความ
เยือกเย็นแฝงอยู่ในเสียงหัวเราะนั้นมากกว่า
“เพลงกระบี่ของโหวเยว่น่าตกใจมาก ซุยอวิ๋นได้เห็น
เป็นบุญตาแล้ว” เจียงซุยอวิ๋นหยุดหัวเราะแล้วพูด
ฉีหนิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เพลงดาบของคุณชายเจียง
เฉียบคมนัก หากข้าไม่ทันระวัง คิดว่าคงนอนอยู่ที่พื้น
ไปแล้ว เพลงดาบของคุณชายเจียงมากกว่าที่น่า
ตกใจ”
“โหวเยว่ หากเราทั้งคู่ยังสู้กันต่อไป ต่อให้สู้กันอีกร้อย
กระบวนท่า ก็อาจจะไม่สามารถหาผู้ชนะได้” เจียง
ซุยอวิ๋นยิ้มแล้วพูด
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่
ว่าข้าคิดว่า โอกาสที่คุณชายเจียงจะชนะนั้นมีมากกว่า
นะ คุณชายเจียงเป็นเสือซ่อนเขี้ยวเล็บ คิดว่าคงมี
กระบวนท่าขั้นสูงอยู่อีก”
“โหวเยว่ชมเกินไปแล้ว” เจียงซุยอวิ๋นถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “ซุยอวิ๋นทำเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถแตะ
ต้องตัวของโหวเยว่ได้เลย อย่าว่าแต่ร้อยกระบวนท่า
เลย ต่อให้อีกสักสามร้อยกระบวนท่า ซุยอวิ๋นก็ไม่อาจ
แตะถูกเนื้อตัวของโหวเยว่ได้”
ฉีหนิงพูดว่า “คุณชายเจียงถ่อมตัวเกินไปแล้ว เจ้ากับ
ข้าหากสู้กันต่อไป สองสามร้อยกระบวนท่าก็อาจจะ
หาผู้ชนะไม่ได้ แต่ก็อาจจะหาผู้ชนะได้ภายในอีกไม่กี่
กระบวนท่า ไม่ว่าเจ้าหรือข้าก็ไม่มีใครรู้ได้”
“โหวเยว่พูดได้ชัดเจนดี” เจียงซุยอวิ๋นพยักหน้าแล้ว
พูดว่า “เพลงกระบี่ของโหวเยว่พิสดาร หากซุยอวิ๋นไม่
ระวัง อาจจะตายคากระบี่ของท่านได้”
“ก็เป็นไปได้” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เพลงดาบของ
คุณชายเจียงร้ายกาจ ข้าอาจจะพลาดเพราะ
สถานการณ์คับขัน ทำให้เจ้าตายขึ้นมา มันก็แค่พลั้ง
มือไปเท่านั้นแหละ”
“โหวเยว่ พวกเราจะสู้กันต่อ หรือว่าจะพอกันแค่นี้?”
เจียงซุยอวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ
กระบวนท่าของพวกเราสองคน ออกอาวุธแต่ละครั้งก็
แทบจะเอาชีวิตอีกฝ่ายได้เลย ซุยอวิ๋นอาจจะพลั้งมือ
สังหารท่านก็ได้ หากโหวเยว่ยินดี พวกเรายังมีอีกสอง
อย่างที่ต้องประลองกัน พวกเราไม่จำเป็นจะต้องหาผู้
ชนะในการประลองคราวนี้ ไม่ทราบโหวเยว่คิดเห็น
เช่นไร?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่มาสนุกๆ เท่านั้น ในเมื่อ
คุณชายเจียงพูดมาแบบนี้แล้ว ข้าเองก็ไม่คัดค้าน”
ทุกคนเห็นฉีหนิงกับเจียงซุยอวิ๋นยิ้มหัวเราะคุยกัน
พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีน้อยคนนักที่พอจะมอง
ออกว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนนี้หลังของฉีหนิงมีแต่เหงื่อ แต่เพราะเสื้อบังเอาไว้
เลยมองไม่ออก
สิบกว่ากระบวนท่าที่ผ่านมา อันตรายมากทั้งนั้น คน
นอกไม่รู้ แต่ว่าฉีหนิงกับเจียงซุยอวิ๋นนั้นรู้ดี
ฉีหนิงคิดจะสังหาร ส่วนเจียงซุยอวิ๋นเองก็ไม่ได้มี
เจตนาดี ทั้งคู่ออกอาวุธด้วยความเหี้ยมโหด อีกทั้ง
เคล็ดวิชากระบี่ในภาพ เดิมทีก็ดุดันอยู่แล้ว บวกกับฉี
หนิงมีใจคิดจะสังหาร ดังนั้นทุกครั้งที่เขาจู่โจมมันก็
เหี้ยมโหดดุดันมาก ทำให้เจียงซุยอวิ๋นออกอาวุธ
เหมือนกับต้องออมมือไปเยอะ
สำหรับทั้งคู่แล้ว มันเหมือนกับการเล่มเกมรัชเชี่ยน
รูเล็ตต์ ทุกกระบวนท่ามีโอกาสตายมีโอกาสพิการได้
ทั้งนั้น ทุกครั้งที่รับมือการจู่โจมของอีกฝ่าย ก็เหมือน
ไปวนรอบประตูวิญญาณมาหนึ่งรอบ ฉีหนิงเป็นแบบ
นี้ เจียงซุยอวิ๋นก็เช่นกัน
ผ่านไปแล้วกว่าสิบกระบวนท่า ทั้งสองฝ่ายไม่เพียงสู้
กันด้วยกระบวนท่า แต่ว่าสู้กันด้วยจิตวิทยาด้วย
ขณะที่พวกเขาทั้งสองต่อสู้กัน ทุกครั้งที่ออกอาวุธ ก็
รู้สึกว่าจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่ก็มีความ
เป็นไปได้ที่จะถูกอีกฝ่ายทำร้ายได้ หากไม่ได้เป็นคน
ที่มาอยู่ตรงนี้ ก็อาจจะไม่ได้รู้สึกถึงความน่ากลัวตรงนี้
ได้
ทั้งสองถอยออกมาพร้อมกัน เพราะสภาพจิตใจของ
พวกเขาทั้งคู่มาจนถึงขีดสุดแล้ว ถึงแม้จะรู้สึกว่าอีก
ไม่กี่กระบวนท่าก็อาจจะสามารถเอาชนะได้ แต่ก็รู้ดี
เหมือนกันว่าหากต่อสู้กันต่อไป ตัวเองไม่ตายก็อาจจะ
พิการได้เหมือนกัน ความกดดันที่เหมือนมีภูเขาลูก
ใหญ่กดทับอยู่ในใจแบบนี้ เจียงซุยอวิ๋นไม่อยากเป็น
แบบนี้อีก ฉีหนิงเองก็เช่นกัน
ในใจของฉีหนิงตอนนี้มีความสงสัยมาก เขาอยากรู้ว่า
เจียงซุยอวิ๋นเป็นแค่ลูกชายของพ่อค้าที่ตงไห่เท่านั้น
แล้วเหตุใดถึงได้มีเพลงดาบที่ร้ายกาจขนาดนี้ได้?
เพลงกระบี่ของฉีหนิง มีความเป็นไปได้สูงมากว่า
น่าจะมาจากเป่ยกงเหลียนเฉิง เทพกระบี่เป่ยกง
เหลียนเฉิงเป็นหนึ่งในห้าต้าจงซือ เพลงกระบี่ของเขา
เลยขีดจำกัดไปแล้ว
ตอนที่อยู่วัดต้ากวงหมิง กระบวนท่าเดียวก็สามารถ
เอาชนะไป๋อวี่เฮ่อได้ แต่ว่าวันนี้เจียงซุยอวิ๋นสามารถ
รับมือเพลงกระบี่ชุดนี้ได้มากกว่าสิบกระบวนท่า ฉี
หนิงรู้สึกตกใจมาก เขาอยากรู้มากว่า เพลงดาบของ
เจียงซุยอวิ๋นนั้นได้มาจากไหน ด้วยฐานะของเจียง
ซุยอวิ๋น ไม่น่าจะฝึกฝนเพลงดาบนี้มาเอง อีกทั้งยอด
ฝีมือทั่วไปในยุทธภพ ก็ไม่น่าจะมีเพลงดาบที่สามารถ
รับมือกับเพลงกระบี่นี่ได้แน่
แต่มีความเป็นไปได้ที่ฉีหนิงคิดได้ เพลงดาบของ
เจียงซุยอวิ๋นจะต้องมาจากสุดยอดมือดาบแน่นอน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 290 ฝ่ามือไร้เงา
สีหน้าของจงอี้โหวถึงแม้จะดูนิ่ง แต่ว่าสายตาของเขา
มันเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ เขาหันไปมอง
ไหวหนานอ๋อง เห็นไหวหนานอ๋องมีท่าทีลนลาน เขาก็
แอบหัวเราะเหอะๆ ไหวหนานอ๋องเหมือนจะได้ยิน ก็
หันกลับมามอง จงอี้โหวก็หันกลับไป แล้วมองไปที่
ลานประลอง
“เสวียหลิงเฟิง ใครแพ้ใครชนะกัน?” หลงไท่ถึงแม้จะ
เห็นสถานการณ์บนลานประลองชัดเจน แต่เพราะ
ระยะที่อยู่นี้ก็ถือว่าห่างอยู่ ฉีหนิงกับเจียงซุยอวิ๋นพูด
อะไรกัน มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ยินชัด
เสวียหลิงเฟิงเดินลงมาจากลานประลอง ยกมือคำนับ
แล้วพูดว่า “ทูลฝ่าบาท รอบนี้เสมอพะยะค่ะ”
“เสมอ?”
เสวียหลิงเฟิงพูดว่า “จิ่นอีโหวกับเจียงซุยอวิ๋นฝีมือสูสี
กัน ทั้งสองตกลงที่จะให้รอบนี้เป็นผลเสมอพะยะค่ะ”
หลงไท่ได้ยินว่าเสมอ สีหน้าของเขาก็ดีใจมาก เดิมที
เขาคิดว่าเจียงซุยอวิ๋นสามารถเอาชนะฉวีเหยี่ยนจือได้
ฉีหนิงคงไม่มีทางเอาชนะคนแบบนี้ได้ แต่คิดไม่ถึงเลย
ว่าฉีหนิงสามารถสู้กับเจียงซุยอวิ๋นจนได้ผลเสมอแบบ
นี้ ในสายตาของหลงไท่ ฉีหนิงเสมอกับเจียงซุยอวิ๋นได้
ถือว่าเป็นผลการประลองที่น่าพอใจมากแล้ว
“ไม่เสียทีที่เป็นลูกหลานของขุนพลใหญ่เลย” จงอี้โหว
จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “ฝีมือของโหวน้อย เหนือความ
คาดหมายของข้ามาก ดูท่าทางแล้วพรสวรรค์ของ
สายเลือดองครักษ์เสื้อแพรล้วนแต่เป็นสวรรค์
ประทานให้จริงๆ”
หลงไท่ยิ้มบางๆ
จงอี้โหวชมฉีหนิงขึ้นมา ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกดีต่อฉีหนิง
แต่เพราะหลังจากฉวีเหยี่ยนจือพ่ายแพ้ไปแล้ว จงอี้
โหวไม่อยากเห็นเจียงซุยอวิ๋นชนะมากกว่า
สองขั้วใหญ่ในราชสำนัก จงอี้โหวกับไหวหนานอ๋อง
ต่างมีแนวร่วมของตัวเอง เมื่อก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมา
ใหม่อีกครั้ง ในเมืองหลวงก็จะมีกองกำลังทหารเพิ่ม
ขึ้นมาอีกหนึ่งหน่วย ไม่ว่าจงอี้โหวหรือไหวหนานอ๋อง
ก็ไม่อยากเห็นกองกำลังนี้ตกไปอยู่กับอีกฝ่าย ผลลัพธ์
แบบนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อยากเห็นทั้งนั้น
ไม่มีฉวีเหยี่ยนจือแล้ว จงอี้โหวก็ต้องคาดหวังไปที่ฉี
หนิงแทน อย่างน้อยในสายตาจงอี้โหว ค่ายกิเลนดำ
ตกอยู่ในมือของจิ่นอีโหวได้ แต่จะให้ไปอยู่ในมือของ
ไหวหนานอ๋องไม่ได้
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “เพลงกระบี่ของจิ่นอีโหว
ร้ายกาจจริงๆ เขาเกิดในตระกูลนักรบ มีเพลงกระบี่
แบบนี้ได้ ข้าไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นัก แต่ว่าเจียง
ซุยอวิ๋นเกิดในตระกูลพ่อค้า แต่กลับฝึกฝนเพลงดาบ
ได้ขนาดนี้ หาได้ยากจริงๆ”
บนลานประลอง เจียงซุยอวิ๋นกับฉีหนิงต่างเผชิญหน้า
ต่อกัน ทั้งสองฝ่ายใช้อาวุธสู้กันด้วยความอันตราย
ตอนนี้ทั้งคู่เห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรูแล้ว ไม่กล้าประมาท
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเจียงซุยอวิ๋นร้องคำรามออกมา
เขาลอยตัวมาตรงหน้าฉีหนิง เห็นฉีหนิงเองก็บุกเข้า
มาแล้วเช่นกัน
ฉีหนิงสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ออกมาจากฝ่ามือ เขาไม่
กล้าประมาทเลยแม้แต่วินาทีเดียว เขาเองก็ร้อง
คำรามออกมาเช่นกัน มือของเขาซัดเข้าใส่เจียง
ซุยอวิ๋น
ในตอนนี้เจียงซุยอวิ๋นไม่มีการปกปิดวิชาอีกแล้ว เขา
ลงมือได้เด็ดขาดมาก ฉีหนิงตกใจ เขารู้ว่าวิชาการ
ต่อสู้ของเขาใช้ไม่ได้ผลแน่นอน ถึงแม้เขาจะมีพลัง
ภายในที่กล้าแข็งมาก อีกทั้งยังได้รับการชี้แนะจาก
ชายวัยกลางคนแล้ว รู้วิธีการควบคุมพลังภายใน แต่
ว่าในตอนนี้เขามีแค่วิชาฝ่ามือดันภูเขาเท่านั้นที่เขาพึ่ง
ได้
เขาซัดฝ่ามือของเขาออกไป เป็นกระบวนท่าฝ่ามือดัน
ภูเขาที่ชายวัยกลางคนสอนเขามา
เจียงซุยอวิ๋นเหมือนจะหวาดกลัวฉีหนิงอยู่บ้าง ฝ่ามือ
ที่เขาซัดออกมาถึงจะดูเด็ดขาด แต่ไม่ได้ใส่เต็มแรง
คนที่รู้เรื่องวรยุทธ์มองแค่แป๊บเดียวก็รู้ว่าเจียงซุยอวิ๋น
กำลังคิดจะหยั่งเชิง
ตอนที่ฉีหนิงใช้อาวุธสู้กบั เจียงซุยอวิ๋น ในสายตาของ
ทุกคน ถึงแม้จะรู้สึกว่ากระบวนท่าของพวกเขานั้น
แปลกประหลาด แต่ว่าก็สนุก ตอนนี้เมื่อเห็นทั้งคู่
ประลองเพลงหมัดมวย พอออกกระบวนท่ามาก็ไม่
เหมือนกับคนทั่วไป เพลงมวยของฉีหนิงดูเหมือนจะ
เรียบง่ายกว่า
ลักษณะของเจียงซุยอวิ๋นดูเป็นคุณชายเจ้าสำอาง แต่
พอออกกระบวนท่าเพลงหมัดออกมา ก็ดูพลิ้วไหว
จากกระบวนท่าแล้วดูเหนือกว่าฉีหนิงมาก
ทั้งสองสลับกันรับและรุกกันไปมากว่าสิบรอบ
เริ่มแรกต่างคนต่างรักษาท่าทีรับรุกของตัวเอง
เหมือนกับว่าหยั่งเชิงอีกฝ่ายอยู่ แต่พอหลังจากสิบ
กระบวนท่าไปแล้ว เจียงซุยอวิ๋นเหมือนจะเริ่มดุดันขึ้น
แต่ละกระบวนท่าเหมือนเริ่มบีบขึ้นเรื่อยๆ ฉีหนิงเริ่ม
เหนื่อยล้า เขาถูกเจียงซุยอวิ๋นบีบจนต้องถอย
ฝ่ามือดันภูเขาในสายตาของฉีหนิง มันก็เหมือนการ
เพิ่งระดับวิชาการต่อสู้ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง หากเป็น
คนทั่วไป ใช้วิชานี้รับมือต่อให้มาสักแปดหรือสิบคนก็
จัดการได้สบาย แต่ว่าเพลงมวยของเจียงซุยอวิ๋นร้าย
กาจมาก มือของเขาทั้งสองข้างเหมือนกับงูจงอางสอง
ตัว บิดไปเลี้ยวมา ถึงฉีหนิงจะฝึกฝ่ามือดันภูเขา
ชำนาญแล้วก็อาจจะรับมือไม่ได้ อย่าพูดถึงตอนนี้ที่
เขายังฝึกได้ไม่ชำนาญเลย
ฉีหนิงพลิกไปพลิกมาก็ได้แต่ใช้ฝ่ามือดันภูเขาในการ
รับมือเท่านั้น ยิ่งสู้ก็ยิ่งเปลืองแรง
ตอนนี้เขานึกขึ้นมาได้ว่า ตอนที่สู้ด้วยอาวุธกับเจียง
ซุยอวิ๋นเมื่อครู่ ภาพในเคล็ดวิชากระบี่กระบวนท่าไม่
มาก แต่พอใช้จริงกลับเปลี่ยนได้หลากหลาย เจียง
ซุยอวิ๋นออกอาวุธหนึ่งครั้ง ฉีหนิงก็จะสามารถนึก
กระบวนท่ารับมือออกมาได้เลยทันที
แต่ว่าพอมาถึงการต่อสู้ด้วยเพลงมวย เริ่มแรกฉีหนิง
ยังพอสามารถใช้ฝ่ามือดันภูเขาในการรับมือได้ ยังพอ
มีโอกาสโจมตี แต่ว่าหลังจากยี่สิบกระบวนท่าแล้ว ฉี
หนิงกลับแทบไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เลย อีกทั้งยังไม่มี
แม้แต่การตั้งท่าในการจู่โจม ส่วนเจียงซุยอวิ๋นก็มอง
ออกว่าเพลงมวยของฉีหนิงธรรมดามาก เขาจึงรีบลง
มือให้ดุดันและเด็ดขาดมากขึ้น หากฉีหนิงไม่ได้ใช้ท่า
เท้าท่องคลื่นในการหลบหลีก เกรงว่าคงถูกเจียง
ซุยอวิ๋นจัดการไปแล้วแน่นอน
ต้วนฉางไห่กับจ้าวอู๋ซางที่อยู่ด้านล่างมองด้วยความ
ร้อนใจ
ต้วนฉางไห่เห็นเจียงซุยอวิ๋นยิ่งลงมือยิ่งเหี้ยมโหด ส่วน
ฉีหนิงเองก็หลบซ้ายทีขวาที เหมือนจนตรอก เขาก็
ขมวดคิ้ว มือทั้งสองข้างของเขากำหมัดแน่น แทบ
อยากจะขึ้นไปสู้แทน
“พี่ต้วน เจ้าคนแซ่เจียงนั่นใช้วิชาเพลงหมัดอสรพิษใช่
หรือไม่?” จ้าวอู๋ซางมองแล้วแอบกระซิบถามเบาๆ
ต้วนฉางไห่พยักหน้า แล้วพูดว่า “ใช่ เพลงหมัด
อสรพิษ วิชานี้เป็นของไป๋โซ่วถังแห่งเหอตง ต่อมาไป๋
โซ่วถังหายตัวไปจากยุทธภพ วรยุทธ์ของเขาก็
แพร่กระจายไปทั่วยุทธภพ หนึ่งในนั้นก็คือเพลงหมัด
อสรพิษ” เขาหยุดไป เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตอนที่
สำนักไป๋โซ่วรุ่งเรือง หลังจากวิชาเหล่านี้ถูกเผยแพร่
ออกไป หลายคนก็ฝึกฝนวรยุทธ์นี้มีอยู่ไม่น้อย เพลง
หมัดอสรพิษเป็นหนึ่งในวิชาที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด”
“ข้าคิดตลอดว่าเจ้าคนแซ่เจียงนั่นต้องปกปิดตัวตน
เอาไว้” จ้าวอู๋ซางสีหน้าเคร่งเครียด “เพลงมวยของ
เขาว่องไวมาก เพลงหมัดอสรพิษใช้ได้พลิ้วไหวไม่น้อย
หากข้าเดาไม่ผิด เพลงหมัดอสรพิษนี่ถึงจะเป็นวิชาที่
แท้จริงของเขา...คนๆ นี้เปรียบเสมือนเสือซ่อนเล็บ
พวกเราประเมินเขาต่ำไป”
“เพลงกระบี่ของโหวเยว่ร้ายกาจมาก แต่ว่าเพลงหมัด
ไม่เท่าไหร่” เห็นฉีหนิงตกเป็นรอง ต้วนฉางไห่ก็รู้สึก
ร้อนใจ “ต่อให้เจียงซุยอวิ๋นใช้แค่เพลงหมัดอสรพิษแค่
กระบวนท่าเดียว โหวเยว่ก็รับมือได้ยาก...”
จ้าวอู๋ซางกำลังจะพูด ก็เห็นสถานการณ์บนลาน
ประลอง เขาหลุดออกมาว่า “แย่แล้ว”
ทันใดนั้นเองก็เห็นเจียงซุยอวิ๋นกระโดดลอยตัวขึ้นมา
เขาซัดหมัดออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนฉีหนิงที่เดิมที
สามารถอาศัยท่าเท้าท่องคลื่นแล้วเหมือนจะตะลึงจน
ก้าวเท้าไม่ออก ร่างกายแบบนี้มันเหมือนรอให้คนเข้า
มาชกหมัดข้าใส่ ทันใดนั้นเองก็เห็นเจียงซุยอวิ๋นจับ
เข้าที่ไหล่ขวาของฉีหนิง
ทุกคนในนี้ต่างหวังว่าฉีหนิงจะชนะ เมื่อเห็นฉีหนิงถูก
โจมตี ทุกคนก็รู้สึกตกใจ
เมื่อเจียซุยอวิ๋นซัดฝ่ามือออกมาแล้วเป็นผล สายตา
ของเขาดีใจมาก แต่กลับเห็นฉีหนิงแค่เซแต่ไม่ล้มลง
เจียงซุยอวิ๋นคิดจะใช้กำลังภายในช่วย เขาออกแรงจู่
โจมใส่ไหล่ของฉีหนิง หากเป็นเช่นนั้นอย่างน้อยไหล่
ของโหวน้อยกระดูกแตก แต่เห็นฉีหนิงยังอยู่ดี เขาก็
ตกใจมาก
ใครจะคิดว่าฉีหนิงจะใช้มือซ้ายซัดใส่เจียงซุยอวิ๋น
กระบวนท่าง่ายมาก เจียงซุยอวิ๋นอมยิ้ม แล้วใช้มือจับ
ไปที่ข้อมือซ้ายของฉีหนิงเอาไว้
เมื่อเห็นใบหน้าของฉีหนิงรู้สึกเจ็บปวด เขาก็ยิ่งมีสี
หน้าเจ้าเล่ห์ แต่เจียงซุยอวิ๋นก็รู้สึกว่าเหมือนมีอะไร
ผิดปกติ เขาคิดจะยกมือซ้ายขึ้นมา แต่คิดไม่ถึงว่าฝ่า
มือของเขามันไม่กลับมา ด้วยความตกใจ เขาจึง
พยายามใช้กำลังภายในของเขาดันเพื่อให้มันหลุด
สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไป เขายังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไร
ขึ้น หลายต่อหลายครั้งที่ใช้แรง กลับพบว่ามือของ
ตัวเองติดแน่นขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็ไม่
หลุด ในตอนนี้ไม่เพียงกำลังภายในจะไหลออกจากมือ
ซ้าย อีกทั้งมันยังไหลออกจากมือขวาอีกด้วย
ฉีหนิงยิ้มมุมปาก มือซ้ายของเขาถูกจับ เขายกมือขวา
ของเขาขึ้นมา ทำท่าทางเหมือนกำลังจะซัดออกไป
เจียงซุยอวิ๋นรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว จึงเดินกำลัง
ภายในคิดจะเอามือเก็บกลับมา แต่กลับไม่เป็นผลเห็น
ฉีหนิงยิ้มแปลกๆ ทันใดนั้นเองก็เห็นฉีหนิงซัดฝ่ามือ
ออกมา แล้วตบไปที่หน้าของเขาอย่างแรง
“เพี๊ยะ”
เสียงตบดังสนั่นหวั่นไหว แต่ว่าฉีหนิงไม่ได้ให้โอกาส
เขาได้คิด เขาตบซ้ำไปอีก หลังจากนั้นเขาก็ตบไม่หยุด
ตบต่อเนื่องอยู่หลายสิบที
สิบกว่าครั้งที่ตบไป ทำให้ใบหน้าของเจียงซุยอวิ๋นบวม
แดงขึ้นมา เส้นเลือดกลายเป็นสีแดงปื้นหนึ่ง ราวกับ
ถูกเผาไหม้
“เพี๊ยะ”
เขาตบอีกครั้ง ครั้งนี้ฟันและเลือดพุ่งออกมาจากปาก
ของเจียงซุยอวิ๋น
ทุกคนที่ชมต่างมองด้วยความตะลึง ไม่มีใครรู้ว่ามัน
เกิดอะไรขึ้น
ทุกคนเห็นมือข้างหนึ่งของเจียงซุยอวิ๋นพาดอยู่บนไหล่
ของฉีหนิง มืออีกข้างจับข้อมือของฉีหนิงเอาไว้ ไม่
ยอมปล่อย ส่วนฉีหนิงยกมืออีกข้างหนึ่ง ตบใส่หน้า
ของเจียงซุยอวิ๋นอย่างต่อเนื่อง เจียงซุยอวิ๋นก็ไม่หลบ
ไม่บัง ในสายตาของทุกคน แทบจะไม่อยากเชื่อ
สายตาตัวเองเลย
เดิมทีเจียงซุยอวิ๋นมีสีหน้าที่หล่อเหลา แต่ว่าเมื่อถูกฉี
หนิงตบอย่างต่อเนื่องแล้ว ใบหน้าด้านซ้ายบวมจนไม่
เหลือเค้าโครงเดิม ปากของเขาก็เต็มไปเลือด แต่ถึงจะ
มีเลือดออกมาแล้ว ฉีหนิงเองก็ไม่ปราณี เขายังคงตบ
หน้าเขาต่อไป เหมือนยิ่งตบยิ่งแรง
“พี่รอง นี่...นี่มันอะไรกัน?” จ้าวอู๋ซางรู้สึกตะลึง
สายตาของต้วนฉางไห่มีความยินดี เขาเหลือบไปมอง
จ้าวอู๋ซาง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
ว่าโหวเยว่ใช้เพลงมวยอะไร อาจจะเป็นกระบวนท่าที่
โหวเยว่คิดค้นขึ้นเองก็ได้ เหล่าจ้าว เจ้าดูสิโหวเยว่ตบ
ได้เร็วมากเลยนะ ยิ่งตบยิ่งเร็ว ข้าแทบมองไม่เห็นเงา
ของฝ่ามือเลย อืม กลับไปข้าจะบอกกับโหวเยว่ว่า ให้
เพลงหมัดนี้ชื่อว่าฝ่ามือไร้เงา”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 291 ฟ้าดินได้กำหนดไว้แล้ว
ทิศทางบนลานประลองเปลี่ยนไป ส่วนทางไหวหนาน
อ๋องเองก็จากเส้นทางสดใสก็เริ่มมืดมน ใบหน้าของ
เขาเดิมทียังพอเห็นความหวังอยู่บ้าง แต่ในตอนนี้สี
หน้าของเขาดำคล้ำลงไป ดูไม่ดีเลย ส่วนจงอี้โหวก่อน
หน้านี้มีสีหน้าไม่ดีเลยแต่ในตอนนี้กลับเปี่ยมไปด้วย
รอยยิ้ม
“ฝ่าบาท เหมือนเพลงมวยของจิ่นอีโหวจะเหนือกว่า
นะพะยะค่ะ” จงอี้โหวโค้งตัวแล้วพูด “หากยังเป็น
แบบนี้ต่อไป เกรงว่าเจียงซุยอวิ๋นคงถูกจิ่นอีโหวตีจน
ตายแน่ กระหม่อมคิดว่า รอบนี้ได้ผลแพ้ชนะแล้วนะ
พะยะค่ะ”
หลงไท่เห็นฉีหนิงตบหน้าเจียงซุยอวิ๋นราวกับสะบัดพัด
ตบจนเจียงซุยอวิ๋นเลือดกบปาก เขาตะลึงไปไม่น้อย
อีกทั้งยังตื่นเต้นมากด้วย เมื่อจงอี้โหวพูดมาแบบนี้
หลงไท่ก็เลยรีบพูดว่า “ถูกแล้ว ได้ผู้แพ้ชนะแล้ว ฉี
หนิงดูเหนือกว่า”
“ช้าก่อน” ไหวหนานอ๋องพูดเสียงเข้มว่า “ฝ่าบาท
เจียงซุยอวิ๋นยังไม่ล้มลงพะยะค่ะ เหมือนจะยังไม่ได้ผู้
แพ้ชนะนะพะยะค่ะ”
“อ๋อ?” จงอี้โหวซือหม่าหลันยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง
หรือว่าจะรอให้เจียงซุยอวิ๋นถูกตีตายก่อนถึงจะตัดสิน
แพ้ชนะได้? เจียงซุยอวิ๋นเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์จั่ว
หากวันนี้ตายบนลานประลอง เกียรติของท่าน
อาจารย์จั่วจะไปอยู่ที่ไหนกัน”
ไหวหนานอ๋องขมวดคิ้ว ในตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงร้อง
พวกเขารีบหันไปดู พบว่าฉีหนิงกับเจียงซุยอวิ๋นแยก
ออกจากกัน
เจียงซุยอวิ๋นถอยหลังไปหลายก้าว ร่างกายของเขา
โซเซไปมากว่าจะยืนได้มั่นคง ตอนนี้เหมือนมุมปาก
ของเขามันตกลง แก้มซ้ายของเขาหนากว่าแก้มขวา
มาก ใบหน้าด้านซ้ายของเขาบวมแดง ดูประหลาด
มาก สายตาของเขาเคร่งเครียดมาก
“พี่รอง โหวเยว่เป็นอะไรไป?” จ้าวอู๋ซางขมวดคิ้วแล้ว
ถาม
ต้วนฉางไห่สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะเดิน
ขึ้นหน้าไป จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แย่แล้ว
โหวเยว่...โหวเยว่มีอาการผิดปกติ...” เขามองเห็น ฉี
หนิงตัวสั่น ขาทั้งสองข้างของเขาเหมือนจะเซไป
สถานการณ์ตอนนี้ของฉีหนิงไม่ดีนัก
ก่อนหน้านี้ฝ่ามือดันภูเขาของฉีหนิงไม่อาจรับมือกับ
เพลงหมัดอสรพิษของเจียงซุยอวิ๋นได้ ในใจของเขาคิด
ว่าหากสู้กันต่อไป สุดท้ายก็ต้องแพ้ให้กับเจียงซุยอวิ๋น
ตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายกิเลนดำ ฉีหนิงต้องได้มันมา
ให้ได้ เขาไม่มีทางปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป หากแพ้
ให้กับเจียงซุยอวิ๋นก็เท่ากับส่งมอบตำแหน่งนี้ให้กับ
เขาไป
ด้วยความจนปัญญา เขามีเพียงต้องใช้ทุกสิ่งที่เขามีใน
การสู้
ฉีหนิงรู้ดีว่า หากต้องการชนะเจียงซุยอวิ๋น คงต้องพึ่ง
พลังหกเทพประสานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หลังจากฝึกพลังหกเทพประสานแล้ว ฉีหนิงไม่เพียง
ดูดพลังของมู่เสินจวินคนของหอเก้านภาจนตาย
หลายวันก่อนยังดูดเอาพลังของราชาพิษจิ่วซีชิวเฉียน
อี๋ ทำให้เขาเกือบตายไปเพราะพลังหกเทพประสาน
ด้วย
ตอนนี้เขาก็พอจะควบคุมพลังหกเทพประสานได้บ้าง
แล้ว เขารู้แล้วว่าบนร่างกายของเขามีทั้งหมดสิบเอ็ด
จุด ที่สัมผัสแล้วจะสามารถดูดกำลังภายในมาได้
การปล่อยพลังหกเทพประสาน ก็คือการที่อีกฝ่าย
สัมผัสถูกทั้งสิบเอ็ดจุดในร่างกายของเขา แล้วเดิน
กำลังภายใน ขอแค่อีกฝ่ายเดินกำลังภายใน หลังจาก
นั้นอีกฝ่ายก็จะไม่สามารถเก็บมือได้ อีกทั้งเจียง
ซุยอวิ๋นก็ไม่กล้าจะสังหารตนต่อหน้าคนอื่น แต่ว่าเขา
มีใจคิดจะทำร้ายตนอยู่แล้ว ดังนั้นฝ่ามือของเขานั้นก็
จะมีแฝงด้วยกำลังภายในอยู่
ขอแค่ฉีหนิงปล่อยมือข้างหนึ่ง เดินลมปราณมาที่จุด
ชีพจรที่ไหล่ขวา จากนั้นก็ตั้งใจล่อให้เจียงซุยอวิ๋นซัด
ฝ่ามือซ้ายมา เจียงซุยอวิ๋นไม่มีทางรู้อยู่แล้ว เมื่อซัดฝ่า
มือมา ก็เป็นไปตามที่ฉีหนิงคาดเอาไว้
กำลังภายในของเจียงซุยอวิ๋นไม่ได้อ่อนเลย ดังนั้น
ตอนที่ซัดฝ่ามือมาที่ไหล่ของฉีหนิง ฉีหนิงเองก็รู้สึก
เจ็บเล็กน้อย มันมีความรู้สึกเหมือนกระดูกแตก แต่ว่า
ยังดีที่เขานั้นเดินลมปราณมาที่ไหล่ข้างขวา เมื่อได้
กำลังภายในคุ้มกันไหล่เอาไว้ ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บ แต่มัน
ไม่ได้ทำร้ายเข้าไปถึงเอ็นหรือกระดูก ไม่เช่นนั้นไหล่
ของเขาคงถูกเจียงซุยอวิ๋นทำจนพิการไปแล้ว
ในเมื่อฝ่ามือของเจียงซุยอวิ๋นแตะต้องตัวของฉีหนิง ก็
เหมือนเนื้อเข้าปากเสือ ฉีหนิงเดินพลังหกเทพ
ประสานทันที ทำให้เจียงซุยอวิ๋นหนีไปไหนไม่ได้อีก
ฉีหนิงรู้ว่านิสัยของเจียงซุยอวิ๋นโหดเหี้ยม ดังนั้นเขา
เองก็ไม่เกรงใจ ยื่นมือออกมาตบหน้าเขาทันที เขาคิด
จะดูดกำลังภายในของเขาจนหมด เมื่อเห็นเจียง
ซุยอวิ๋นกำลังจะตายถึงยอมปล่อยมือ หากเป็นที่อื่น ฉี
หนิงคงไม่สนใจว่าเขาจะเป็นหรือตาย แต่ว่าตอนนี้อยู่
ท่ามกลางมากมาย ไม่สะดวกที่จะสังหารเขาตอนนี้
หากดูดกำลังภายในของเจียงซุยอวิ๋นจนหมด อีกทั้ง
ตบหน้าเขาท่ามกลางสายตาทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทาง
ร่างกายหรือสติ มันสะใจมากกว่าการฆ่าเขาให้ตาย
เสียอีก สำหรับเจียงซุยอวิ๋นแล้ว หากกำลังภายในถูก
ดูดไปจนหมดแล้ว มันก็เหมือนตายทั้งเป็น
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากเจียงซุยอวิ๋นถูกตบไปหลาย
สิบที ฉีหนิงกลับรู้สึกว่าฝ่ามือที่มีกำลังภายในไหล
ออกมาของเจียงซุยอวิ๋นนั้นมันเย็นราวกับน้ำแข็ง
หลังจากดูดเข้าร่างกายไปแล้ว มันมีก้อนน้ำแข็งทะลุ
เข้าไปในร่างกาย ร่างกายของเขารู้สึกหนาว
เหมือนกับมันหนาวเข้าไปถึงกระดูกจนขนลุกไปทั้งตัว
ฉีหนิงรู้สึกว่าสถานการณ์ย่ำแย่ หากปล่อยให้เป็นแบบ
นี้ต่อไป เกรงว่ายังไม่ทันจะดูดกำลังภายในของเขามา
จนหมด ตัวเองก็จะหนาวตายเสียก่อน
ด้วยความจนใจ ทำให้เขาต้องหยุด ส่วนเจียงซุยอวิ๋นก็
อาศัยช่วงเวลานี้ ในการเก็บมือของตัวเองกลับมา
หลังจากฉีหนิงปล่อยมือ เขายังคงรู้สึกว่ากำลังภายใน
ที่ดูดมานั้นมันหนาวมากและมันก็กำลังไหลไปทั่ว
ร่างกายของเขา อีกทั้งมันยังค่อยๆ ไหลเข้าไปยังจุด
ตันเถียน ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่ามันคือกำลังภายในแบบ
ไหนกัน แต่คิดว่ามันไม่น่าจะใช่ของดี เขาคิดว่าไม่ควร
ให้มันไหลเข้าไปยังจุดตันเถียนเด็ดขาด ดังนั้นหากทำ
ตามการเดินลมปราณที่ชายชุดดำสอน เขาสามารถ
เคลื่อนย้ายกำลังภายในไปยังจุดชีพจรหัวใจได้ มันจะ
สร้างเกราะคุ้มกันรอบๆ จุดตันเถียนได้ ทำให้กลุ่มไอ
หนาวนั้นไม่สามารถเข้าไปยังจุดตันเถียนได้
สภาพของเจียงซุยอวิ๋นตอนนี้แย่กว่าฉีหนิงเสียอีก ถึง
แม้ฉีหนิงกำลังเดินกำลังภายในเพื่อหยุดยั้งไอหนาวใน
ร่างกาย ทำให้ร่างกายเหมือนจะสั่นอยู่บ้าง แต่ว่า
เจียงซุยอวิ๋นนั้นกลับรู้สึกเหมือนถูกควักทุกสิ่งทุกอย่าง
ออกไปจากร่างกาย ขาทั้งสองข้างของเขาไม่มีแรงเลย
มันสามารถทรุดตัวลงไปได้ตลอดเวลา
กำลังภายในของเขาไม่ได้ถูกฉีหนิงดูดไปจนหมด แต่ก็
ดูดไปเกินกว่าครึ่ง ถึงจะอย่างนั้น สำหรับคนที่ฝึกยุทธ์
แล้ว ในเวลาสั้นๆ ถูกดูดกำลังภายในไปมากกว่าครึ่ง
แบบนี้ ภายในร่างกายเสียความสมดุลเกินไป ทำให้
ภายในวุ่นวาย ในเวลานี้ไม่เพียงแค่ร่างกายจะอ่อน
แรงลงมาก อีกทั้งชีพจรต่างๆ ก็มีความรู้สึกหดตัวลง
ทำให้เจ็บปวดทรมานมาก
คนราวพันคนที่อยู่ ณ ลานประลองแทบจะหยุด
หายใจ พวกเขาจ้องไปที่พวกเขาสองคน ในที่สุด ขา
ของเจียงซุยอวิ๋นก็อ่อนลง เขาคุกเข่าลงตรงหน้าของฉี
หนิง จากนั้นก็ล้มนอนกองไปกับพื้น
รอบๆ เงียบสนิท
จากนั้นไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงตะโกนโห่ร้องว่า “จิ่นอี
โหวชนะแล้ว จิ่นอีโหวชนะแล้ว” เสียงมาจากทหาร
ของค่ายหู่เสิน
เสียงยินดีกึกก้องไปทั่งลานประลอง มีเพียงส่วนน้อย
เท่านั้นที่ไม่ยินดี นอกนั้นต่างตะโกนโห่ร้องกึกก้อง
ทหารค่ายหู่เสินเสียงดังที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นขุนพลของ
ค่ายดาบดำกับค่ายเสวียนอู่ต่างชูมือขึ้นด้วยความดีใจ
เหมือนกับได้ใจคนในชั่วพริบตา
ฉีหนิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขายังคงไม่ขยับ ยังเดิน
กำลังภายในอยู่กับที่ ต้วนฉางไห่เห็นฉีหนิงผิดปกติอยู่
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี เขากับจ้าวอู๋ซาง
รีบพุ่งตัวไปยังลานประลอง เมื่อเข้าใกล้ลานประลอง
ทหารที่เฝ้าตามจุดได้ขวางพวกเขาเอาไว้ แต่ว่าเมื่อเส
วียหลิงเฟิงเดินเข้ามา ส่งสายตาให้พวกเขา เหล่า
ทหารก็ปล่อยพวกเขาเข้าไป
ต้วนฉางไห่กระโดดขึ้นลานประลองไป แล้วเดินเข้าไป
ข้างๆ ฉีหนิง แล้วรีบพยุงตัวของเขาเอาไว้ คนรอบๆ
คิดว่าคงเป็นคนของฉีหนิงที่ขึ้นไปแสดงความยินดีด้วย
เพราะเมื่อครู่ทุกคนเห็นว่าต้วนฉางไห่ยื่นกระบี่ผีหลู
ให้กับฉีหนิง ต่อให้มีหลายคนที่ไม่รู้จักต้วนฉางไห่ แต่
ก็รู้ว่าต้วนฉางไห่น่าจะเป็นคนของฉีหนิงแน่นอน
“โหวเยว่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” ต้วนฉางไห่ยื่นมือไป
จับชีพจรของฉีหนิง เขาพบว่าชีพจรของเขาวุ่นวาย
มาก เขาก็ตกใจ
ฉีหนิงเดินลมปราณไปด้วยแล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ข้า
...ข้าถูกเขาลอบทำร้าย ตอนนี้ร่างกายของข้าหนาว
มาก เจ้า...เจ้ารีบหยิบยาโลหิตในเสื้อของข้าออกมาให้
ข้าเร็ว”
“ยาโลหิต?”
“แม่นางถังมอบให้ข้าตอนที่รู้จักกัน...” ฉีหนิงสีหน้า
ซีดเซียว แต่ว่าร่างกายยังยืนได้อยู่ “ในเสื้อของข้ามี
ขวดสีม่วงอยู่ เจ้าหยิบมันออกมา ป้อนข้า...ป้อนข้า
เม็ดหนึ่ง...”
ครั้งแรกที่เจอถังนั่วที่หุบเขา ก่อนที่จะจากกัน ถังนั่ว
ได้มอบยาโลหิตให้ฉีหนิงหนึ่งขวด บอกเพียงแค่ว่าไม่
ว่าพิษอะไรก็สามารถกินยาโลหิตนี้ได้ ภายในสามวันก็
จะหายดี ยาดีๆ แบบนี้ ฉีหนิงก็เลยพกติดตัวเอาไว้
ตลอดเวลา เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันจะสามารถใช้กับ
ลมปราณหนาวแบบนี้ได้หรือไม่ อีกทั้งไม่รู้ว่ายาโลหิต
เลือดนี้จะมีประโยชน์หรือไม่อีกด้วย แต่ว่าคงจะเดิน
ลมปราณอย่างนี้ไปตลอดเพื่อไม่ให้ความหนาวเข้าไป
ยังจุดชีพจรแบบนี้ คงต้องลองกินดูก่อน
ต้วนฉางไห่ทำอะไรรวดเร็ว เขาหยิบขวดออกมาจาก
เสื้อของฉีหนิง แล้วหยิบยาออกมาหนึ่งเม็ด แต่ยังไม่
รีบป้อนเข้าปากของฉีหนิง เขาจับไปที่ชีพจรของฉี
หนิงอีกครั้ง สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาก แล้วพูด
เสียงเบาๆ ว่า “โหวเยว่ เจ้าบ้านั่นมันปล่อยลมปราณ
อินหานเข้าไปในร่างกายของท่าน แต่ว่ามันเป็นกำลัง
ภายในแบบไหนนั้น ตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้ ยาโลหิตนี่จะ
ได้ผลหรือไม่?”
“ตอนนี้ไม่มีเวลาคิดมากขนาดนั้น” ฉีหนิงพูดว่า “กิน
ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ต้วนฉางไห่รู้ว่าไม่ควรเสียเวลาอีก เขาป้อนยาเข้าไป
ในปากฉีหนิง หลังจากที่ฉีหนิงกินยาโลหิตเข้าไปก็รู้สึก
เหมือนไฟเผา เหมือนกลืนเข้าไป ก็เหมือนกับกลืน
ถ่านเข้าไป
ตั้งแต่ยาโลหิตไหลลงคอไป ไม่นานนักฉีหนิงก็รู้สึกว่า
หน้าอกร้อนขึ้นมา ความร้อนนั้นเริ่มไหลเข้าไปที่จุด
ตันเถียน ความหนาวเย็นที่อยู่ในร่างกายหายไป
ภายในพริบตาเดียว ตอนนี้ไม่รู้สึกหนาวอีกแล้ว
ฉีหนิงค่อยๆ หยุดเดินลมปราณ หลังจากหยุดแล้ว
รู้สึกว่าที่จุดตันเถียนไม่ได้รู้สึกผิดปกติอีกแล้ว ไม่มี
ความหนาวอีกแล้ว เขารู้สึกดีใจมาก แอบคิดในใจว่า
ยาโลหิตนี่สามารถสลายพลังหนาวได้จริง เขารู้สึก
ขอบคุณถังนั่วมาก รู้สึกว่าแม่นางคนนี้เหมือนกับคนที่
สวรรค์ส่งมาคุ้มครองเขา ช่วยเขาพ้นภัยไว้หลายครั้ง
เลย
เจียงซุยอวิ๋นยังคงนอนกองอยู่ที่พื้น ราวกับคนตาย ไม่
ขยับเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีทหาร
ขึ้นมาหามเขาลงไป
บนลานนั่งชม ซือหม่าหลันยิ้มแล้วพูดว่า “สนุก สนุก
จริงๆ วรยุทธ์จิ่นอีโหวเก่งกาจจริงๆ เจียงซุยอวิ๋นก็ไม่
เท่าไหร่ การประลองครั้งนี้ สนุกจริงๆ” เขาพูดกับ
หลงไท่ว่า “ฝ่าบาท เหมือนว่าตำแหน่งผู้บัญชาการ
ค่ายกินเลนดำ สวรรค์จะกำหนดไว้แล้ว สุดท้ายแล้วก็
ยังเป็นของสายเลือดของจิ่นอีโหว”
“ฝ่าบาท โหวเยว่ นี่เพิ่งประลองไปแค่สองรอบเองนะ
ตอนนี้มาตัดสินแพ้ชนะ จะเร็วเกินไปกระมังพะยะ
ค่ะ?” ไหวหนานอ๋องสีหน้าแย่มาก “ยังมีขี่ม้ายิงธนู
ยังไม่ได้ประลองเลย”
“ท่านอ๋อง ขอข้าพูดตามตรง สภาพของเจียงซุยอวิ๋น
ในตอนนี้ รอบที่สามจะแข่งอย่างรเล่า?” ซือหม่าหลัน
สีหน้าจริงจัง “เขาเหมือนจะสลบไม่ฟื้น แม้แต่ยืนยัง
ยืนไม่ไหวเลยนะ”
ไหวหนานอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “ตำแหน่งผู้บัญชาการ
ค่ายกินเลนดำ ไม่ใช่เรื่องเล็ก ในเมื่อตกลงกันไว้แล้ว ก็
ต้องประลองให้ครบขั้นตอน วันนี้เจียงซุยอวิ๋นไม่
สามารถประลองต่อไปได้แล้วก็จริง แต่หากพักสักสอง
สามวัน หลังจากฟื้นตัวแล้ว ก็น่าจะกลับมาประลอง
ได้อีก ตอนนี้จิ่นอีโหวชนะหนึ่งเสมอหนึ่ง หากรอบที่
สามเจียงซุยอวิ๋นชนะ ก็เท่ากับว่าทั้งคู่เสมอกัน ถึง
เวลานั้นค่อยมาคิดอีกทีว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
“ท่านอ๋อง ข้าขอพูดอะไรสักหน่อย ก่อนหน้านี้พวก
เราตกลงกันไว้ว่า วันนี้ประลองกันสามรอบ ตัดสินแพ้
ชนะ” ซือหม่าหลันหน้านิ่ง “หากทำตามที่ท่านอ๋อง
ทรงกล่าวมา ให้เจียงซุยอวิ๋นพักก่อนแล้วค่อยประลอง
ใหม่ ถ้าอย่างนั้นฉวีเหยี่ยนจือเองก็สามารถพักจนหาย
ดีแล้วค่อยมาประลองต่อได้อีกอย่างนั้นใช่หรือไม่?
หากเจียงซุยอวิ๋นหายดีแล้ว แต่จิ่นอีโหวเกิดเหตุ
สุดวิสัยประลองไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องรอต่อไปอย่างนั้น
หรือ?”
ไหวหนานอ๋องอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
หลงไท่พูดว่า “ไหวหนานอ๋อง จงอี้โหวพูดถูก เจียง
ซุยอวิ๋นประลองต่อไม่ได้อีกแล้ว ฉีหนิงชนะหนึ่งเสมอ
หนึ่ง ไม่มีอะไรต้องค้านอีก” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้ว
พูดว่า “จงอี้โหว ไหวหนานอ๋อง การประลองวันนี้ ทุก
คนก็เห็นกันแล้ว ฉีหนิงเป็นผู้ชนะ ข้าพูดเอาไว้แล้ว ไม่
มีทางกลับคำ” เขาลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปตรงขอบเวที
ประลอง แล้วมองไปที่ฉีหนิง ทุกคนต่างโห่ร้องแสดง
ความยินดีไม่หยุด เมื่อเห็นฮ่องเต้น้อยเดินมาที่ริมลาน
ประลอง ทุกคนก็เงียบลง
“ฉีหนิง เจ้ามานี่” หลงไท่มองไปที่ฉีหนิง ท่ามกลาง
แสงแดด ใบหน้าอันหล่อเหลาของหลงไท่ทำให้ยิ่งดู
สง่างามและสดใส
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 292 จินเตาเหยียนไถ
ฉีหนิงเดินมายังหน้าลานประลอง หลงไท่มองไปที่แห
นิง แล้วพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “จิ่นอีโหวฉีหนิง ข้า
ขอสั่งให้เจ้ารับผิดชอบในการก่อตั้งหน่วยทหารค่าย
กิเลนดำขึ้นมาใหม่ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เจ้าคือผู้
บัญชาการทหารค่ายกิเลนดำ ข้าหวังว่าเจ้าจะเหมือน
พ่อของเจ้า ฝึกทหารที่มีความกล้าหาญ ดุดัน เก่งกาจ
ขึ้นมา เพื่อปกป้องคุ้มครองต้าฉู่ของเราต่อไป”
ฉีหนิงถอนหายใจยาว เขารู้ว่าตำแหน่งผู้บัญชาการนี่
ได้มาไม่ง่ายเลย เขาคุกเข่าลงหนึ่งข้าง แล้วพูดด้วย
ความเคารพว่า “กระหม่อมรับบัญชา เป็นพระมหา
กรุณาธิคุณพะยะค่ะ”
จากนั้นก็เห็นฟ่านกงกงถือกล่องสีทองเดินมาด้านหน้า
ของฉีหนิง เขายิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ นี่เป็นตรา
สัญลักษณ์กิเลนดำพระราชทาน รีบขอบพระทัย
เถอะ”
ฉีหนิงขอบพระทัยอีกครั้ง แล้วรับตราสัญลักษณ์กิเลน
ดำมา มันมีลักษณ์เป็นรูปเกราะทหารเกล็ดปลาสีดำ
มันคือสัญญาลักษณ์ของผู้บัญชาการทหารค่ายกิเลน
ดำ
เหล่าทหารเห็นดังนั้น ก็ยกมือโห่ร้องแสดงความดีใจ
อีกครั้ง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วสนามฝึก
ทันใดนั้นเองก็เห็นไหวหนานอ๋องโค้งตัวลงแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาท จิ่นอีโหวได้รับชัยชนะ ผูบ้ ัญชาการทหาร
ค่ายกิเลนดำ ได้กลับไปยังจุดเริ่มต้นแล้ว เพียงแต่ว่า
......เจียงซุยอวิ๋นควรจะจัดการอย่างไรดีพะยะค่ะ?”
“เจียงซุยอวิ๋น?” หลงไท่พูดว่า “ไหวหนานอ๋องท่าน
คิดว่าควรจะจัดการอย่างไรดีล่ะ?”
“ถึงแม้เจียงซุยอวิ๋นจะพ่ายแพ้ในการประลองกับ
จิ่นอีโหว แต่ว่าก็ถือได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถ”
ไหวหนานอ๋องพูดว่า “เขาเป็นศิษย์ของท่านจั่ว
บทความวิชาการโดดเด่น วันนี้ได้เห็น วรยุทธ์ของเขา
ก็ไม่ธรรมดาเลย ถือได้ว่าเก่งทั้งบุน๋ และบู๋ ตอนนี้ราช
สำนักกำลังต้องการคน คนเก่งแบบนี้ กระหม่อมหวัง
ว่าพระองค์จะเก็บเขาเอาไว้ใช้งานนะพะยะค่ะ”
หลงไท่พูดว่า “ข้าคิดเอาไว้แล้ว เจียงซุยอวิ๋นเก่ง
ทั้งบุ๋นและบู๋ แต่ในเมื่อเขาเป็นศิษย์ของอาจารย์จั่ว
ด้านบทความวิชาการก็น่าจะเหนือกว่า ให้เขาลองไป
รับหน้าที่หยวนว่ายหลางที่กรมพิธีการก่อนแล้วกัน”
“ฝ่าบาท เอ่อ......” ไหวหนานอ๋องอึ้งไป เขาขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “แค่หยวนว่ายหลางที่กรมพิธีการหรอพะ
ยะค่ะ มันจะ......มันจะไม่เป็นการละเลยการใช้งานคน
มีความสามารถไปหน่อยหรือพะยะค่ะ?”
จงอี้โหวยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ถึงแม้เจียงซุยอวิ๋น
จะเป็นศิษย์ของท่านจั่ว แต่ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคย
เป็นขุนนางอะไรมาก่อนเลย ขอข้าพูดตามตรง คนที่มี
ความสามารถทำงานให้ราชสำนักมันก็ไม่เท่ากัน บาง
คนตัวใหญ่ต่อสู้เก่ง แต่พอทำงานขึ้นมาจริงๆ กลับทำ
ไม่ได้จริง ตอนนี้ราชสำนักต้องการคนเก่ง แต่ว่าจะไม่
คัดกรองไม่ได้ ฝ่าบาททรงให้เจียงซุยอวิ๋นรับตำแหน่ง
หยวนว่ายหลางที่กรมพิธีการ ก็ถือว่าเป็นฉีกกฎไป
มากแล้ว ข้าว่าอาจจะทำให้คนไม่พอใจด้วยซ้ำไป ตาม
ความเห็นของข้า เริ่มจากกรมพิธีการอย่างนี้ดีแล้ว”
กรมพิธีการเป็นหนึ่งในหกกรมใหญ่โดยแบ่งการใช้งาน
เป็น เข่าจี๋ เจีย จวิน ปิน ทรง ดูแลจัดการเรื่องการ
บูชาและบทความเรียงความต่างๆ แล้วก็เรื่องของต่าง
แดน
รองจากเสนาบดีกรมพิธีการ ก็จะมีจั่วโย่วซื่อหลาง
ของกรมพิธีการ แล้วก็จะเป็นหน่วยอี้จื่อ จี้ซื่อ จู่เค่อ
จิงซ่าน แต่ละหน่วยจีหลางจงหนึ่งคน ต่อจากหลางจง
ก็จะมีผู้ช่วยหยวนว่ายหลาง ส่วนจู่ซื่อก็จะอยู่ต่ำกว่า
หยวนว่ายหลางอีก
ไหวหนานอ๋องสีหน้าแย่มาก เขาพูดว่า “จงอี้โหว
ท่านจั่วถือได้ว่าเป็นนักปราญช์อันดับหนึ่งของต้าฉู่เรา
ตอนที่อดีตฮ่องเต้ยังอยู่ได้เชิญท่านจั่วเข้าวังมาเป็นขุน
นางด้วยพระองค์เอง ข้ายังจำได้ดี ตอนนี้ท่านเสาบดี
กรมพิธีการหยวนเคยบอกไว้ว่า ท่านยอมหลีกทางยก
ตำแหน่งของเสนาบดีกรมพิธีการให้ท่านจั่ว เจียงุ
ซุยอวิ๋นเป็นศิษย์ที่ท่านจั่วเสนอมาให้เอง หากให้
ทำงานแค่เดินงานในกรมพิธีการ มันเหมือนไม่ให้
เกียรติท่านจั่วเลย คงไม่ดีแน่”
“ตำแหน่งขุนนางในราชสำนัก เป็นตำแหน่งที่ต้อง
ทำงานให้กับราชสำนัก” ซือหม่าหลันสีหน้าจริงจัง
เขาพูดว่า “มันก็ไม่เห็นต้องใช้เกียรติใช้หน้าอะไรแบบ
นั้น อีกทั้งเจียงซุยอวิ๋นเองก็มีความสามารถด้านนั้น
ไปฝึกฝนทำงานในกรมพิธีการ ก็ใช่ว่าจะไม่ได้เลื่อน
ตำแหน่ง”
หลงไท่ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ฟังพวกเขาทั้งคู่โต้เถียง
กันเท่านั้น
“ฝ่าบาท เจียงซุนอวิ๋นเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ กระหม่อมคิด
ว่า ต่อให้ต้องทำการเรื่องเอกสาร ก็ไม่ควรอยู่ที่กรม
พิธีการ” ไหวหนานอ๋องพูดว่า “กระหม่อมขอเสนอให้
เจียงซุยอวิ๋นไปทำงานที่กรมกลาโหมพะยะค่ะ”
“หือ?”
ไหวหนานอ๋องพูดว่า “หากเจียงซุยอวิ๋นเก่งแค่งาน
วิชาการ ไปฝึกฝนงานที่กรมพิธีการก็ไม่เป็นไร
กระหม่อมก็เห็นว่าเหมาะสม แต่ว่าเขารู้เรื่องกลศึก
หากฝึกฝนตนในกรมกลาโหม ไม่แน่วันข้างหน้า
อาจจะสามารถช่วยงานของราชสำนักได้ก็ได้
พะยะค่ะ”
หลงไท่มองไปที่จงอี้โหว แล้วถามว่า “จงอี้โหวท่านคิด
ยังไง?”
“หากไปฝึกฝนที่กรมกลาโหม กระหม่อมคิดว่าก็ทำได้
พะยะค่ะ” จงอี้โหวพูดว่า “เสนาบดีกลาโหมหลูเซียว
เหมือนจะชื่นชมในตัวของเจียงซุยอวิ๋นไม่น้อย ก็น่าจะ
สอนอะไรเขาได้อยู่พะยะค่ะ”
หลงไท่คิดแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็ให้เจียงซุยอวิ๋น
ไปเป็นหยวนว่ายหลางของกรมกลาโหมก็แล้วกัน”
ไหวหนานอ๋องรู้ว่าวันนี้เจียงซุยอวิ๋นแพ้ให้กับฉีหนิง
ตอนนี้ยังสลบไม่ฟื้น จะขอมากไม่ได้ การได้ตำแหน่ง
หยวนว่ายหลางกลาโหมมา ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
“ถ่ายทอดคำสั่งไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้ฉีหนิงรีบ
ก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่ กลมกลาโหมกับกรม
คลังต้องให้ความช่วยเหลือฉีหนิงจัดการเรื่องนี้ให้
เรียบร้อย” หลงไท่ลุกขึ้นมา แล้วมองไปที่ฉีหนิงที่อยู่
บนลานประลอง เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย แล้วพูดว่า
“กลับวัง”
การประลองในวันนี้ จริงๆแล้วต้องแข่งสามรอบ คน
ของค่ายดาบดำเดิมคิดว่าตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร
ค่ายกิเลนดำน่าจะเป็นของฉวีเหยี่ยนจือแน่นอน แต่
คิดไม่ถึงว่าเจียงซุยอวิ๋น กลับทำให้ฉวีเหยี่ยนจือพ่าย
แพ้ไม่เป็นท่า ถึงแม้จะไม่ค่อยพอใจ แต่ว่าสุดท้ายเจียง
ซุยอวิ๋นเองก็พ่ายแพ้หมดรูปเช่นกัน ก็เหมือนได้ปลอบ
ประโลมใจจองคนของค่ายดาบดำ
ฉีหนิงรู้ดีว่าถึงแม้วันนี้จะชิงตำแหน่งผู้บัญชาการมาได้
แต่ว่ามันเพิ่งเริ่มต้น การก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยังดีที่ต้วนชางไห่กับจ้าวอู๋ซาง
เป็นทหารเก่าของค่ายกิเลนดำ ค่อนข้างจะเข้าใจใน
ค่ายกิเลนดำอย่างดี มีพวกเขาคอยช่วย ก็น่าจะเริ่มต้น
ได้ดี
เมื่อออกจากค่ายหู่เสิน ฉีหนิงนิ่งมาก แต่ว่าพวกของ
ต้วนชางไห่กลับตื่นเต้นมาก
ผ่านมาหลายปี ค่ายกิเลนดำไม่เพียงได้ก่อตั้งขึ้นมา
ใหม่ อีกทั้งยังสามารถกลับมาอยู่ในมือของตระกูลฉี
อีกครั้ง ไม่เพียงทำให้ความฝันของต้วนชางไห่เป็นจริง
อีกทั้งยังสามารถจิ่นอีโหวตระกูลฉีสามารถอยู่ในสาย
ทหารนี้ต่อไปได้อีก
จิ่นอีโหวรุ่งเรืองมาจากสายทหาร เมื่อไหร่ก็ตามที่หลุด
ออกจากเส้นทางนี้ ก็เหมือกับการออกจากพื้นที่ทำกิน
สุดท้ายแล้วก็ต้องแห้งเหี่ยวตายไป
การก่อตั้งค่ายกิเลนดำ พูดได้ว่ามันมาได้จังหวะพอดี
มันเพียงพอที่จะทำให้ตระกูลฉียังคงเป็นพื้นฐานใน
การปกครองของต้าฉู่ต่อไปได้อีก
“โหวเยว่ ร่างกายของท่านเป็นยังไงบ้าง?” ต้วนชางไฮ่
นั่งอยู่บนหลังม้า เห็นฉีหนิงสีหน้าเหมือนจะซีด เลย
ถามด้วยความเป็นห่วง
จริงๆแล้วฉีหนิงเองก็กังวลเรื่องลมปราณเย็นจะกำเริบ
ขึ้นมาอีกครั้ง ยังดีที่หลังจากกินยาโลหิตเข้าไปแล้ว
จุดตันเถียนเริ่มร้อน จนถึงตอนนี้ก็ยังอุ่นอยู่ ไม่ได้รู้สึก
หนาวอะไร เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นอะไรมาก
ไม่ต้องกังวลนะ” เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่าน
อาต้วน เจียงซุยอวิ๋นมันใช้วิชามารอะไร ทำไมเขาถึง
ได้ปล่อยลมปราณหนาวแบบนี้ออกจากฝ่ามือมาได้?”
ต้วนชางไห่รีบพูดว่า “โหวเยว่ กำลังภายในที่เจียง
ซุยอวิ๋นฝึกนั้น น่าจะเป็นกำลังภายในอินตู๋ ข้าน้อยเคย
บอกไปแล้วว่า วิธีการฝึกกำลังภายในนั้นมีวิธีที่
แตกต่างกันไป วัดต้ากวงหมิงเป็นรูปแบบการฝึกแบบ
ถูกต้องตามทางสายกลาง หากได้ฝึกฝนวิธีการเดิน
ลมปราณกำลังภายในของวัดต้ากวงหมิง ถึงแม้จะเห็น
ผลช้า แต่พื้นฐานจะแน่น กำลังภายในจะแกร่ง เมื่อ
ฝึกฝนจนถึงขั้นสูง กำลังภายในจะแก่กล้า ไม่เพียง
สามารถต้านศัตรูได้ แต่ยังสามารถคุ้มกันร่างกายอีก
ด้วย” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็อธิบายต่อว่า “แต่
ว่าวิชาการเดินกำลังภายในของวัดต้ากวงหมิงถือว่า
เป็นที่สุดของการเดินกำลังภายใน ยากที่คนทั่วไปจะ
ทำได้ ในยุทธภพมีหลายคนที่อยากฝึกกำลังภายในให้
เร็ว จึงแอบใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องในการฝึกฝน กำลัง
ภายในที่ได้จากการฝึกวิธีแบบนี้ มันเลวร้ายมาก ไม่
เพียงทำร้ายศัตรู แต่ย้อนทำร้ายตัวเองด้วย”
“ถ้าอย่างนั้น กำลังภายในของเจียงซุยอวิ๋นก็เพิ่ม
ขึ้นมาในเวลาอันสั้นงั้นสินะ?”
ต้วนชางไห่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ก็ไม่แน่หรอก
ที่จริงหากจะฝึกกำลังภายในอิ่นตู๋ ก็ต้องใช้เวลา
เช่นกัน ต้องมีพื้นฐาน กำลังภายในประเภทนี้ทำร้าย
ศัตรูโหดเหี้ยมมาก แต่ว่าก็จะทำให้ร่างกายของคนๆ
นั้นทรุดลงไปถึงที่สุด หากเจอคู่ต่อสู้แบบนี้ ก็จะต้อง
ระวังให้ดี ส่วนเจียงซุยอวิ๋นนั้นฝึกกำลังภายในอะไร
นั้น ยังตัดสินไม่ได้เต็มปาก แต่ว่าจะประเมินวรยุทธ์
คนๆนี้ต่ำเกินไปไม่ได้เด็ดขาด วันนี้หากไม่ได้โหวเยว่
เกรงว่า......เกรงว่าคงไม่มีใครหยุดเขาได้แน่”
ฉีหนิงพยักหน้า ที่จริงพอคิดๆดูแล้ว ในใจเขาก็แอบ
กลัว หากไม่ใช่เพราะเขามีวิชาท่าเท้าท่องคลื่นมา อีก
ทั้งมีวิชาพลังหกเทพประสานแล้ว ผลลัพธ์ในวันนี้คง
ร้ายเป็นแน่ ตัวเขาอาจจะถูกเจียงซุยอวิ๋นทรมานไม่มี
ชิ้นดี
แพ้ชนะเห็นกันอยู่ แต่ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับโชคชะตา
หากเจียงซุยอวิ๋นชนะในวันนี้ ได้ตำแหน่งผู้บัญชาการ
ค่ายกิเลนดำไป เขาก็น่าจะอวดบารมีไปททั่ว แต่วันนี้
เขาแพ้ให้กับตัวเอง ก็ได้เป็นแค่หยวนว่ายหลางของ
กรมกลาโหมเท่านั้น
“ท่านอาต้วน ท่านเคยบอกว่าหลูเซียวกรมกลาโหม
เป็นคนของจินเตาโหว แล้วกรมกลาโหมเป็นขอบเขต
อำนาจของไหวหนานอ๋องหรือเปล่า?” ฉีหนิงนิ่งไป
แล้วถามว่า “เจียงซุยอวิ๋นไปยังกรมกลาโหม เขาจะ
ได้รับการดูแลจากหลูเซียวหรือเปล่า?”
ต้วนชางไห่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ถึงแม้จินเตา
โหวจะป่วย ไม่เข้าทำงานมาหลายปีแล้ว แต่ว่าเราจะ
มองข้ามจินเตาตระกูลเหยียนไถไม่ได้เลยนะ ก่อนที่
จิ่นอีตระกูลฉีจะรุ่งเรือง จินเตาเหยียนไถเคยเป็น
ตระกูลนักรบอันดับหนึ่งของต้าฉู่มาก่อน บารมี
ชื่อเสียงของพวกเขาเกรียงไกรมาก ถึงต่อมาจะถูก
ละเลยไปบ้าง แต่ว่ารากฐานของพวกเขาก็ยังคงอยู่”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “โหวเยว่หากท่านไป
พูดคุยกับชาวบ้านทางท้องถนน พวกเขาก็ถือว่าทหาร
ของต้าฉู่เรา มีแค่ของคนสองตระกูลเท่านั้น หนึ่งคือ
ตระกูลองครักษ์เสื้อแพร่จิ่นอีตระกูลฉี กับตระกูลดาบ
ทองจินเตาเหยียนไถเท่านั้นแหละ”
“อ๋อ?”
“โหวเยว่ท่านก็รู้ อำนาจของตระกูลฉีของเรา หลักๆ
แล้วคือกองทัพฉินไหว” ต้วนชางไห่พูดด้วยสีหน้าที่
จริงจังว่า “ทัพฉินไหวของงเราเปรียบเสมือนหินหลัก
ใหญ่ของต้าฉู่ มีท่านเหล่าโหวกับท่านแม่ทัพใหญ่เป็น
ผู้นำทัพ ในกองทัพฉินไหว มีแต่คนของตระกูลฉีของ
เรา หลังจากที่ท่านแม่ทัพใหญ่สิ้นไป ตำแหน่งแม่ทัพ
ใหญ่ในตอนนี้ทางทัพฉินไหวก็ได้แม่ทัพเหวียหวนซาน
รักษาการณ์แทน เขาเป็นคนที่ท่านเหล่าโหวรับเป็น
บุตรบุณธรรม เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับท่านแม่ทัพ
ใหญ่ มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลฉีของเรามาก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง พูดมาแบบนี้ ทำให้
ข้านึกถึงผู้บัญชาการเสวียขึ้นมาเลย วันนี้ตอนจับไม้
สั้นไม้ยาว เหมือนผู้บัญชาการเสวียจะช่วยเราไว้เลย
นะ”
ต้วนชางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม้ทั้งสามในมือของผู้
บัญชาการเสวีย เขาให้เจียงซุยอวิ๋นกับฉวีเหยี่ยนจือ
จับก่อน จริงๆแล้วเคล็บลับมันก็อยู่ตรงนี้ ขอแค่โหว
เยว่เป็นคนสุดท้าย ไม่ว่ายังไงก็ตามท่านก็จะต้องได้ไม้
สั้นแน่นอน โหวเยว่รู้ไหมว่าเพราะอะไร? เสวียหลิง
เฟิงฝึกทักษะนี้มาจากใครกัน?”
“หือ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่ยังฝึกมาจากคนอื่น
ด้วยหรอ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ต้วนชางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนั้น
เสวียหลิงเฟิงเป็นคนในสังกัดท่านแม่ทัพใหญ่ สนิท
สนมกับท่านแม่ทัพสามกับเหวียหวนซานมาก ทั้งสาม
คนชอบนั่งดื่มเหล้าด้วยกัน ทุกครั้งที่ดื่ม เวลาเหล้าไม่
พอ ก็จะใช้การจับไม้สั้นไม้ยาวในการตัดสินว่าเหล้า
สุดท้ายจะเป็นของใคร ทุกครั้งที่จับ เหวียหวนซานก็
จะชนะทุกครั้ง”
“ใช้วิธีนี้เหมือนกันหรอ?”
“ใช่แล้ววิธีนี้แหละ เริ่มแรกท่านแม่ทัพสามกับเสวีย
หลิงเฟิงก็คิดว่าเหวียหวนซานนั้นดวงดี แต่พอนานเข้า
ผลที่ได้ก็เป็นแบบเดิม จนวันหนึ่งถึงได้รู้ว่า ที่แท้ไม้ทั้ง
สามอันต่างเป็นไม้ยาว แต่ว่าไม้อันสุดท้าย จะใช้ฝ่ามือ
หักไม้จนสั้น อีกทั้งยังไม่เหลือร่องรอยอีกด้วย วิธีนี้
จะต้องเป็นยอดฝีมือเท่านั้นถึงจะทำได้ผล เพราะหาก
พลาด ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ และจะถูกคนอื่นจับได้
ในที่สุด”
ฉีหนิงตะลึงไป เขานึกย้อนกลับไปวันนี้ไม้อันสุดท้าย
เสวียนหลิงเฟิงกำมันไว้ในมือ โดยที่ไม่แบมือออกมา
เลย ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
ยังไงเขาก็เป็นผู้บัญชาการค่ายหู่เสิน ต่อให้เป็นไหว
หนานอ๋องกับจงอี้โหว ก็ไม่มีทางสั่งให้เขาแบมือออก
ต่อหน้าคนอื่น แต่ว่าทำแบบนี้ยังไงก็เสี่ยง หากถูกคน
อื่นจับได้ เสวยหลิงเฟิงก็จะได้รับโทษฐานหลอกลวง
เบื้องสูง
เสวียหลิงเฟิงดูแลเขามากขนาดนี้ ฉีหนิงรู้สึกซาบซึ้งใจ
มาก
“เสวียหลิงเฟิงฝึกทักษะนี้มาจากเหวียหวนซาน วันนี้
เห็นเขาถือไม้ในมือ ข้าก็รู้ว่าโหวเยว่คงไม่ต้องออกไป
ประลองเป็นคนแรกแล้ว” ต้วนชางไห่ยิ้มแล้วพูด แต่
จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ย้อนกลับมาที่จินเตาเห
ยียนไถ ตระกูลเหยียนไถไม่ได้มีอำนาจอะไรในทัพฉิน
ไหว แต่ว่าในทัพซีชวนกับทัพเรือตงไฮ่ เขามีฐานที่
มั่นคงมาก”
“ทัพเรือตงไฮ่?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 293 เสือคำรามมังกรคะนองน้ำ
ต้วนฉางไห่พูดว่า “ตอนที่องค์ฮ่องเต้ไท่จู่ทรงสวรรคต
ไหวหนานอ๋องยังทรงพระเยาว์ ฮ่องเต้ไท่จงต้องทรง
รับภาระหน้าที่อย่างหนัก จากนั้นก็เริ่มให้ความสำคัญ
ในการใช้งานท่านเหล่าโหว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาท่าน
เหล่าโหวก็สร้างผลงานการศึกไว้มากมาย แต่ว่าท่าน
จินเตาเหล่าโหวถือเป็นขุนศึกคนแรกขององค์ฮ่องเต้
ไท่จู่ ในฝ่ายทหารยังมีรากฐานที่ค่อนข้างแน่น ถึงแม้
องค์ฮ่องเต้ไท่จงจะให้ความสำคัญกับท่านเหล่าโหว
แต่ว่าพระองค์ก็ไม่ได้ทิ้งท่านจินเตาเหล่าโหวเลย”
“เพราะถึงอย่างไรท่านจินเตาเหล่าโหวก็ถือเป็นขุนศึก
เปิดประเทศ” ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “หากละทิ้ง
เขาไม่ใยดีเลย เกรงว่าฝ่ายทหารคงจะไม่พอใจ ภายใน
ก็จะรวดร้าว”
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้นองค์ฮ่องเต้ไท่จงเลย
ทรงให้ท่านเหล่าโหวยกทัพปราบทางเหนือ แล้วให้
ท่านจินเตาเหล่าโหวยกทัพปราบทางตะวันออกเฉียง
ใต้ โดยมีทัพหลักอยู่ที่ทางเหนือ ซึ่งทำให้ท่านเหล่า
โหวมีโอการสร้างผลงานการศึกได้มากกว่า ส่วนท่าน
จินเตาเหล่าโหวเองก็ได้รับชัยชนะกับการปราบกบฏ
ทางตะวันออกเฉียงใต้ได้เช่นกัน ตอนนั้นดินแดนทาง
ตะวันออกเฉียงใต้นั้นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของคือ
ทัพเรือตงไห่ของโหวฉวน ท่านจินเตาเหล่าโหวใช้
เวลานานหลายปีในการกำจัดและกวาดล้างโหวฉวน
อีกทั้งยังสามารถยึดทัพเรือของโหวฉวนมาได้กว่าร้อย
ลำ ราชสำนักจึงแต่งตั้งให้ท่านจินเตาเหล่าโหวก่อตั้ง
กองทัพเรือขึ้นที่ตงไห่”
“ถ้าอย่างนั้น กองทัพเรือก็เป็นกองทัพที่ท่านจินเตา
เหล่าโหวเป็นคนก่อตั้งอย่างนั้นสิ?” ฉีหนิงถาม
ต้วนฉางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ในตอนนี้ แม่ทัพ
ใหญ่ผู้บัญชาการกองทัพตงไห่ก็เป็นคนที่ท่านจินเตา
เหล่าโหวเสนอชื่อไป ต้าฉู่ในตอนนั้นก็เลยมีคำพูดที่
พูดต่อกันว่า องครักษ์เสื้อแพรร้ายดังเสือคำราม
องครักษ์ดาบทองร้ายดุจมังกรคะนองน้ำ ซึ่งสื่อว่าจิ่น
อีตระกูลฉีเปรียบได้ดังเสือคำรามบนบก ส่วนจินเตา
เหยียนไถเปรียบได้ดังมังกรในน้ำ”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ เขาพูดว่า “ตามที่เจ้าว่ามา เจียง
ซุยอวิ๋นมาจากตงไห่ หรือว่าเขาจะเป็นคนของจินเตา
โหว?”
ต้วนฉางไห่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยเองก็ไม่
ทราบ แต่ว่าตอนที่องค์ไท่จงยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่ทรงมี
ราชประสงค์ในการแต่งตั้งผู้สืบทอดบัลลังก์ ท่านจิน
เตาเหล่าโหวเคยถวายฎีกาหนึ่งฉบับ ว่ากันว่าในฎีกา
ระบุขอให้องค์ฮ่องเต้ไท่จงทรงระลึกถึงคำมั่นสัญญาที่
มีไว้ต่อองค์ฮ่องเต้ไท่จู่ ให้แต่งตั้งไหวหนานอ๋องเป็นรัช
ทายาท แต่เรื่องจริงเป็นอย่างนั้นหรือไม่นั้น ไม่มีใคร
พิสูจน์ได้ อาจจะเป็นไหวหนานอ๋องเองที่ปล่อยข่าวลือ
นี้ก็เป็นได้ เรื่องจริงเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ ท่านจินเตา
เหล่าโหวเองก็ไม่ได้ออกหน้ามาปฏิเสธหรือยอมรับ
เรื่องนี้ อีกทั้งท่านจินเตาเหล่าโหวเองก็ไม่ได้ไปมาหาสู่
กับไหวหนานอ๋องด้วย” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูด
อีกว่า “ครั้งนี้ไหวหนานอ๋องเสนอชือ่ ของเจียงซุยอวิ๋น
หากเจียงซุยอวิ๋นเป็นคนของจินเตาโหวจริง ไหว
หนานอ๋องอาจจะไม่เสนอชื่อเขาแบบนี้ก็ได้”
“อ๋อ?” ฉีหนิงพูดว่า “ทำไม?”
ต้วนฉางไห่พูดว่า “โหวเยว่ท่านลองคิดดูนะ จินเตา
โหวเป็นเสาหลักของแคว้น หากคิดจะเสนอชื่อใครสัก
คน ถวายฎีกาขึ้นไป ฝ่าบาทก็ต้องทรงพิจารณาเป็น
พิเศษอยู่แล้ว เหตุใดต้องให้ไหวหนานอ๋องออกหน้า
ด้วย? อีกทั้งหลายปีที่ผ่านมา จินเตาโหวเองก็ไม่ได้ไป
มาหาสู่กับทางไหวหนานอ๋องมากนัก อีกทั้งก็ไม่เคยให้
ไหวหนานอ๋องเสนอชื่อใครไปมาก่อน หากเจียงซุยอวิ๋
นเป็นคนของจินเตาโหวจริง ข้าน้อยคิดว่าจินเตาโหวก็
ไม่มีทางให้ไหวหนานอ๋องเป็นคนเสนอให้แน่นอน”
ฉีหนิงพูดว่า “ตามที่เจ้าว่า ทั้งสองตระกูลนี้ไม่ได้สนิท
กันมากอย่างนั้นหรือ? แต่ว่าเสนาบดีกลาโหมหลูเซียว
เป็นคนของจินเตาโหวนี่นา เขากับไหวหนานอ๋องก็ดู
สนิทสนมกันดีนิ”
ต้วนฉางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ท่านรู้หรือไม่ ใน
บรรดาหกกรม กรมข้าราชการพลเรือนกับกรม
ราชทัณฑ์ถือว่าเป็นขอบเขตอำนาจของจงอี้โหว กรม
กลาโหมกับกรมโยธาเอียงไปทางไหวหนานอ๋อง กรม
พิธีการของท่านเสนาบดีหยวน ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ได้
สนิทกับฝ่ายใดเป็นพิเศษ ส่วนกรมกลาโหวนั้นถือว่า
เป็นอำนาจของทางจินเตาโหว”
“ถ้าอย่างนั้น จิ่นอีตระกูลฉีของเราไม่มีคนในหกกรม
เลยหรือ?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
ต้วนฉางไห่พูดว่า “จะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ ตอนที่ท่าน
เหล่าโหวกับท่านแม่ทัพใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ บัญชาการ
กองทัพฉินไหว อีกทั้งทหารรักษาการณ์เมืองหลวง
อย่างค่ายหู่เสิน ก็ถือเป็นอำนาจของตระกูลฉีของเรา
บารมีในฝ่ายทหารเป็นของพวกเราทั้งหมด ตอนนั้น
ขอแค่ตระกูลฉีของพวกเราพูดอะไรแค่คำเดียว ทั้งหก
กรม ไม่มีใครกล้าขัดแย้งด้วย” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า
“ยกตัวอย่างเสนาบดีกรมคลังอย่างโต้วขุ่ย ตอนนั้น
ตระกูลฉีของพวกเราทำศึกอยู่แนวหน้า ต้อง
ประสานงานกับกรมคลังกับกรมกลาโหมอย่างมาก
ก่อนหน้าที่จะมาเป็นโต้วขุ่ย เสนาบดีกรมคลังหลาย
ต่อหลายคนท่านแม่ทัพใหญ่ไม่ค่อยชอบนัก ดังนั้น
ท่านแม่ทำใหญ่ก็เลยเสนอชื่อโต้วขุ่ยที่ทำงานได้ดีไป
อดีตฮ่องเต้ก็ทรงแต่งตั้งคนที่ท่านแม่ทัพใหญ่เสนอชื่อ
ในทันที โต้วขุ่ยได้เป็นเสนาบดีกรมคลังในวันนี้ได้ ก็มา
จากการที่สนิทสนมกับตระกูลฉีในตอนนั้น แต่ต่อมา
โต้วขุ่ยทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านแม่ทัพใหญ่เป็นคน
ตรงไปตรงมา ท่านร้องเรียนโต้วขุ่ยต่อราชสำนักหลาย
ครั้ง ไหวหนานอ๋องฉวยโอกาสออกหน้าช่วยโต้วขุ่ย
เอาไว้ ตอนนี้ถึงได้เป็นแบบนี้”
ฉีหนิงพยักหน้า ที่มาที่ไปของโต้วขุ่ยกับทางตระกูลฉี
ก่อนหน้านี้เขาก็พอจะรู้มาบ้าง
“หลูเซียวสนิทสนมกับทางไหวหนานอ๋อง น่าจะไม่ใช่
เพราะจะเข้าพวกกับทางไหวหนานอ๋อง” ต้วนฉางไห่
พูดว่า “หลูเซียวเปรียบเสมือนตัวแทนของทางจินเตา
โหว ก็น่าจะปกป้องผลประโยชน์ให้กับทางตระกูลเห
ยียนไถ หากเขาสนิทสนมกับทางไหวหนานอ๋อง นั่น
หมายความว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะมีผลประโยชน์ร่วมกัน
อยู่”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจขึ้นมา เขาคิดในใจว่าสถานการณ์ใน
ราชสำนักนั้นซับซ้อนมาก หลายเรื่องมันดูไม่ง่ายอย่าง
ตาเห็น เขาพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น หากเจียงซุยอวิ๋น
ไม่ใช่คนของจินเตาโหว แต่ไหวหนานอ๋องให้เขาเข้าไป
ทำงานในกรมกลาโหม นั่นหมายความว่าเขาต้องการ
ให้คนของเขาเข้าไปแทรกตัวอยู่ในกรมกลาโหมอย่าง
นั้นสินะ?”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น” ต้วนฉางไห่พูดว่า “ถึงแม้ไหว
หนานอ๋องจะมีอำนาจในราชสำนักมาก แต่ว่าเขายัง
ขาดคนในฝ่ายทหารในการสนับสนุนเขา อีกทั้งในมือ
ของจงอี้โหวก็ยังมีทหารของค่ายดาบดำอยู่ด้วย”
“จริงสิ ข้าอยากจะรู้มานานแล้ว ค่ายดาบดำกับ
ตระกูลซือหม่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร?” ฉีหนิงรีบ
ถามว่า “ค่ายดาบดำมีคนของตระกูลซือหม่า
บัญชาการหรือ?”
ต้วนฉางไห่อธิบายว่า “ตอนนั้นท่านแม่ทัพใหญ่ก่อตั้ง
ค่ายกิเลนดำขึ้นมา สร้างผลงานเอาไว้มากมาย ซื
อหม่าหลันก็เลยทูลเสนอกับอดีตฮ่องเต้ว่าสามารถ
ก่อตั้งค่ายดาบดำขึ้นมาอีกหนึ่งค่ายเพื่อรักษาการณ์
ความปลอดภัยในเมืองหลวง ให้ถือเป็นกองกำลังของ
เมืองหลวง ตอนที่องค์ไท่จงรวบรวมแผ่นดิน ตระกูลซื
อหม่าจงรักภักดีมาโดยตลอด จงอี้โหวซือหม่าหลันไม่
เพียงเป็นขุนนางหลักข้างกายขององค์ฮ่องเต้ไท่จง ซื
อหม่าหลันยังเคยติดตามองค์ฮ่องเต้ไท่จงในการปราบ
กบฏอีกด้วย ลูกชายพี่น้องของเขาตายไปในสนามรบ
ไม่น้อย น้องชายของซือหม่าหลันซือหม่าเว่ยตอนนั้นก็
เป็นถึงองครักษ์ระจำพระองค์ของฮ่องเต้ไท่จง
อารักขาพระองค์จนตัวเองตายในสนามรบ ดังนั้นอดีต
ฮ่องเต้ถึงได้ให้ความสำคัญกับตระกูลซือหม่ามาก
ไทเฮาองค์ปัจจุบันเอง...ก็เป็นลูกสาวคนโตของจงอี้
โหวซือหม่าหลัน”
ฉีหนิงรู้ดีว่าสี่บรรดาศักดิ์โหวของต้าฉู่นั้นมี
ความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับเชื้อพระองค์ ไม่เช่นนั้นก็
คงไม่ได้มีอำนาจสูงสุดในแบบวันนี้แน่นอน
“ซือหม่าหลันทูลเสนอให้ตั้งค่ายดาบดำขึ้น อดีต
ฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาต แค่คนหนึ่งพันคน ในตอนนั้นไม่
มีใครคิดเลยว่าค่ายดาบดำจะร้ายกาจและสร้างชื่อ
ได้” ต้วนฉางไห่พูดว่า “แต่ว่าจงอี้โหวเสนอชื่อเจ๋อ
ชางเกอ ค่ายดาบดำได้ฝึกฝนเจ๋อชางเกอมากับมือ
ถึงแม้จะก่อตั้งช้ากว่าค่ายกิเลนดำถึงสองปี แต่ว่า
กำลังการต่อสู้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าค่ายกิเลนดำเลย กอง
กำลังรอบเมืองหลวงทั้งหมดในตอนนี้ ค่ายดาบดำถือ
ว่าร้ายกาจที่สุด”
“ที่แท้เจ๋อชางเกอก็เป็นคนที่จงอี้โหวสนับสนุนขึ้นมา
นี่เอง” ฉีหนิงพยักหน้า “มิน่าทำไมคนของค่ายดาบ
ดำถึงได้เชื่อฟังคำสั่งของจงอี้โหวนัก”
“ตามหลักแล้วค่ายดาบดำถือว่าเป็นกองกำลังของ
ฮ่องเต้ ก็เหมือนกับจวนเสินโหวกับทหารหลวงอวี้ห
ลิน ที่ฟังบัญชาจากองค์ฮ่องเต้โดยตรงเท่านั้น ก่อน
หน้านี้จงอี้โหวเองก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งกับค่ายดาบดำมาก
นัก” ต้วนฉางไห่พูดว่า “นี่ก็คือความฉลาดของจงอี้
โหว ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเขาไม่ยุ่งเรื่องการทหาร แต่
ว่าในตอนที่ต้องการใช้คน ขอแค่มีคำสั่งจากจงอี้โหว
เจ๋อชางเกอก็พร้อมที่จะฟังคำสั่งทันที ครั้งที่แล้วที่
ค่ายดาบดำเข้ามาในเมืองหลวงก็น่าจะเป็นเจตนาของ
จงอี้โหว”
ในตอนนี้ฉีหนิงรู้สึกว่าสถานการณ์ในเมืองหลวงนั้น
ซับซ้อนมากกว่าที่คิด
เมื่อกลับมาถึงจวนจิ่นอีโหว ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
ก่อนที่จะถึงจวนโหว จ้าวอู๋ซางนั้นเดินทางกลับมา
ก่อนเพื่อรายงาน เมื่อฉีหนิงกลับมาถึงจวน กู้ชิงฮั่นก็
ได้เรียกรวมพลคนในจวนทั้งหมดมารออยู่ที่โถงใหญ่
เมื่อฉีหนิงเดินเข้ามาในจวน คนในจวนทุกคนต่าง
คุกเข่าลงกับพื้น แล้วพร้อมใจกันตะโกนแสดงความ
ยินดี แม้แต่กู้ชิงฮั่นเองก็ถอนสายบัวทำความเคารพ
ฉีหนิงรู้สึกทำตัวไม่ถูก แต่ว่าก็รู้ว่าการชิงตำแหน่งผู้
บัญชาการค่ายกิเลนดำมาได้มันมีความหมายอย่างไร
กับจวนจิ่นอีโหว
กู้ชิงฮั่นเขยิบมากระซิบข้างหูของฉีหนิงว่า “เงินรางวัล
ข้าได้เตรียมเอาไว้แล้ว เจ้าพูดอะไรสักหน่อยสิ ข้าจะ
ได้แจกเงินให้ทุกคน”
ฉีหนิงกำลังจะบอกว่าซานเหนียงจัดการไปเลย แต่ก็
เข้าใจความหมายของกู้ชิงฮั่นขึ้นมาได้ เขาพยักหน้า
ยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกคนลุกขึ้นเถอะ ต่อไปทุกคนต้อง
ร่วมแรงร่วมใจกัน ทำให้จวนจิ่นอีโหวของพวกเรา
กลับมารุ่งเรืองเหมือนเดิม หลังจากนี้ทุกคนก็ไปรับ
เงินรางวัลที่ฮูหยินสามนะ”
ทุกคนต่างกล่าวขอบคุณฉีหนิง
“หนิงเอ๋อร์ ตามข้าไปที่ห้องพระ” กู้ชิงฮั่นพูดเสียงเบา
ว่า “วันนี้เป็นวันดี เจ้าควรจะไปบอกเรื่องนี้กับไท่ฟูเห
รินด้วยตัวเอง ให้ไท่ฟูเหรินได้ดีใจกับเจ้าไปด้วย”
ฉีหนิงตะลึงไป หลังจากที่เขามาที่จวนจิ่นอีโหว เขาได้
พบไท่ฟูเหรินแค่สองครั้งเท่านั้น ปกติเขาก็แทบจะลืม
ไปแล้วด้วยว่ามียายเฒ่าคนนี้อยู่ในจวนด้วย
เขาเองก็ไม่ให้เสียเวลา ทั้งสองคนเดินไปยังที่ห้องพระ
เมื่อมาถึงห้องพระ ที่นี่ไม่มีใครอยู่รบกวนเลย มันสงบ
มาก เมื่อเดินตรงขึ้นไป ฉีหนิงเหลือบไปเห็นสีหน้า
ของกู้ชิงฮั่นที่ไม่สามารถปกปิดความดีใจเอาไว้ได้ เขา
อดยิ้มไม่ได้เขาพูดว่า “ซานเหนียง ได้ตำแหน่งผู้
บัญชาการมา เหมือนท่านจะดีใจกว่าข้าอีกนะ”
กู้ชิงฮั่นเหลือบไปมองฉีหนิง ใบหน้าของนางดูน่า
หลงใหล นางยิ้มแล้วถามว่า “หรือว่าเจ้าไม่ดีใจ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น” ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วยิ้มว่า “ตอนที่ข้า
ได้สืบทอดบรรดาศักดิ์โหว เหมือนท่านไม่ได้ดีใจขนาด
นี้”
“เจ้าเป็นลูกชายคนโตของฮูหยินใหญ่ของท่านแม่ทัพ
บรรดาศักดิ์โหวมันเป็นของเจ้าอยู่แล้ว” กู้ชิงฮั่นยิ้ม
สวยราวกับดอกไม้บาน “แต่ว่าตำแหน่งผู้บัญชาการ
ค่ายกิเลนดำ ได้มาไม่ง่าย เจ้าเองก็น่าจะรู้ ข้ากังวลอยู่
ครึ่งค่อนวัน หายใจหายคอไม่ทั่วท้องเลย”
“ฮ่าฮ่า...” ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ซานเหนียงไม่
มั่นใจในตัวข้าเลยหรือ?”
กู้ชิงฮั่นเหลือบไปมองฉีหนิง “ข้าไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจเจ้า
แต่ว่าคู่ปรับของเจ้ามีแต่คนร้ายกาจทั้งนั้น
ฉวีเหยี่ยนจือเป็นคนที่มีความสามารถสูง......”
ฉีหนิงเห็นม่ายสาวแสนสวยนี้ท่าทางน่าหลงใหล ก็อด
ที่จะเข้าใกล้นางไม่ได้ เมื่อได้หอมจากตัวของนาง เขา
ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านพูดแบบนี้ ก็เหมือนท่านไม่
เชื่อมั่นในตัวข้านั่นแหละ ท่านคิดว่าฉวีเหยี่ยนจือเก่ง
กว่าข้าใช่หรือไม่? ซานเหนียง ต่อไปท่านจะดูถูกข้า
ไม่ได้นะ หนิงเอ๋อร์ของท่านเคยบอกไว้แล้วตำแหน่งผู้
บัญชาการจะต้องเป็นของข้า ข้าพูดได้ทำได้ ของที่ข้า
อยากจะได้ ข้าก็จะต้องได้” พูดจบ สายตาของเขาก็
มองไปที่หน้าอกอันอวบอิ่มของกู้ชิงฮั่น
“เอาล่ะ เอาล่ะ หนิงเอ๋อร์พูดได้ทำได้ คิดอยากจะได้
อะไรก็ต้องได้” กู้ชิงฮั่นเหมือนจะไม่ทันได้เห็นสายตา
ของฉีหนิง นางเหมือนจะอารมณ์ดีมาก นางยิ้มแล้ว
พูดว่า “หนิงเอ๋อร์ของพวกเรายิ่งมีอนาคตขึ้นทุกวัน
ต่อไปคนที่เคยดูถูกจวนตระกูลฉีของพวกเรา ก็จะไม่
กล้าดูถูกพวกเราอีก” เมื่อใกล้ถึงห้องพระ นางก็เร่ง
ฝีเท้าให้เร็วขึ้น เอวของนางบิดไปบิดมา ราวกับใบไม้ที่
กำลังเริงระบำอยู่
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 294 ห้องพระที่อึมครึม
เรือนหลังเล็กที่ค่อนข้างเงียบสงบ กู้ชิงฮั่นเขาไปยัง
ห้องพระ จากนั้นไม่นานก็ออกมาเรียกฉีหนิงเข้าไป
จริงๆ แล้วตอนที่ฉีหนิงเดินเข้ามาที่เรือนหลังนี้ ก็รู้สึก
ได้ถึงแรงกดดันอย่างหนึ่ง หากในจวนจิ่นอีโหวนี้จะมี
ที่ไหนที่เขาไม่สามารถเข้าไปแตะต้องมันได้เลย ก็คง
เป็นที่เรือนหลังนี้แน่นอน
จวนจิ่นอีโหว ไม่ว่าจะเป็นกู้ชิงฮั่นหรือว่าพวกของต้วน
ฉางไห่ ฉีหนิงคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตของพวกเขาเป็น
อย่างดี มีเพียงไท่ฟูเหรินคนนี้เท่านั้น ที่เหมือนกับเมฆ
หมอก
ไท่ฟูเหรินเหมือนจะไม่ค่อยออกไปไหน วันๆ ก็สวด
มนต์อยู่แค่ในห้องพระเท่านั้น นอกจากกู้ชิงฮั่นกับสาว
ใช้ที่ส่งอาหารเจมาให้แล้ว ไม่มีใครที่สามารถเข้าใกล้
เรือนหลังนี้อีกเลย ในความเป็นจริงแล้วเรือนที่
ค่อนข้างเงียบแบบนี้ ก็ไม่มีใครอยากจะมา
โดยปกติแล้วความคิดของกู้ชิงฮั่น ฉีหนิงยังพอจะได้
เดาได้บ้าง แต่กับไท่ฟูเหริน ฉีหนิงกลับไม่รู้อะไรเลย ก็
เหมือนข้อมูลของฮูหยินของแม่ทัพใหญ่หลิวซู่อี บนตัว
ของไท่ฟูเหรินก็เหมือนกลุ่มเมฆหมอกที่หนามากกลุ่ม
หนึ่ง
เมื่อเข้ามาภายในห้องโถง ฉีหนิงก็หันหลังปิดประตู มี
แสงเทียนบนแท่นบูชาพระ ภายในห้องปิดประตู
เอาไว้ตลอด แล้วจุดเทียนเอาไว้แบบนี้ทั้งวัน ทำให้
ค่อนข้างมืด
ด้านข้างมีเตาผิง ทำให้ภายในห้องค่อนข้างอุ่น ซึ่งมัน
วางอยู่ตรงแท่นบูชาที่ไท่ฟูเหรินนั่งอยู่
“ท่านย่า” ฉีหนิงยืนอยู่ด้านหลังไท่ฟูเหริน แล้วเรียก
ไท่ฟูเหรินไม่ได้หันหลังกลับมา ดวงตาสองข้างของ
นางบอดสนิท ต่อให้หันกลับมา ก็มองไม่เห็นฉีหนิง
ไท่ฟูเหรินไม่ได้พูดอะไร ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า
“วันนี้หลานไปประลองยุทธ์มา หลานโชคดีได้รับชัย
ชนะ เลยสามารถชิงตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายกิเลนดำ
มาได้”
“ก็ดีแล้ว” ในที่สุดไท่ฟูเหรินก็ตอบกลับมา “พ่อของ
เจ้าเป็นคนสร้างมันขึ้นมา เดิมทีก็เป็นของตระกูลฉี
ของพวกเราอยู่แล้ว เจ้าไม่ทำให้ท่านปู่กับพ่อของเจ้า
ต้องผิดหวัง”
ฉีหนิงตอบว่า “ขอรับ”
“นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น” ไท่ฟูเหรินค่อยๆ พูดว่า
“อะไรก็ตามที่ปู่กับพ่อของเจ้าสร้างขึ้นมา เจ้าจะต้อง
เอามันคืนมาให้ได้ อย่างนั้นถึงจะถือว่าไม่เสียแรงที่
เป็นลูกหลานของตระกูลฉี ฉีอวี้ออกบวชไปแล้ว
ตระกูลฉีของพวกเราไม่มีใครแล้ว เหลือเจ้าคนเดียวที่
เป็นผู้สืบทอดของตระกูลฉีของพวกเรา ภาระหน้าที่
ของตระกูล เจ้าจะต้องรับมันเอาไว้”
“หลานจะจำคำสอนของท่านย่าเอาไว้” ฉีหนิงไม่
อยากจะอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่นาทีเดียว หากไม่ใช่เพราะกู้
ชิงฮั่นให้เขามา เขาไม่มีทางมาที่เรือนหลังนี้เด็ดขาด
เมื่อเขามาในห้องนี้ มันเกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
เลย
คำพูดคำจาของไท่ฟูเหริน มันไม่เหมือนย่าหลานคุย
กัน อีกทั้งเขายังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความรักความ
เมตตาที่ย่ามีต่อหลานจากตัวของไท่ฟูเหรินเลย
ถึงแม้ทั้งสองจะอยู่ห่างแค่คืบ แต่ว่าฉีหนิงกลับรู้สึกว่า
อยู่ห่างจากไท่ฟูเหรินเกือบพันลี้
“เพิ่งจะเข้าไปในราชสำนัก หลายๆ เรื่องก็อย่าฝืนให้
มันมากนัก” ไท่ฟูเหรินพูด “ไม่มีใครที่จะมีค่ามากพอ
ให้เจ้าเชื่อถือ แล้วก็ไม่มีใครที่จะมีค่ามากพอให้เจ้า
เสียสละ เอาของที่เป็นของตระกูลฉีของเราคืนมาให้
หมด รับใช้ฝ่าบาทให้ดี ตระกูลฉีของเราก็จะไม่ตก
อับ”
ฉีหนิงพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร ไท่ฟูเหรินพูดเสียงดุ
ขึ้นมา “ที่ข้าพูด เจ้าได้ยินหรือไม่?”
“หลานได้ยินแล้ว” ฉีหนิงแอบด่าในใจ แต่ก็ยังตอบ
กลับไปอย่างมีมารยาทว่า “หลานจะจดจำสิ่งที่ท่าน
ย่าสอนสั่งอย่างดี”
ไท่ฟูเหรินพูดว่า “ขอให้เป็นอย่างนั้น อย่าคิดว่าข้า
เป็นแค่ยายแก่ตาบอดที่ไร้ประโยชน์รอความตาย
เท่านั้นนะ หากเจ้าทำอะไรที่ผิดต่อตระกูลฉี ข้า
สามารถให้ฉีอวี้ออกบวชได้ ก็ให้เจ้าต้องเสียใจได้
เหมือนกัน”
ฉีหนิงคิดในใจว่า ยายเฒ่าน่าจะเลอะเลือนไปแล้ว ข้า
เห็นแก่กู้ชิงฮั่นหรอกนะ ถึงได้ยอมอยู่ที่นี่ แต่เจ้ากลับ
กล้ามาขู่ข้า หากไม่ใช่ว่าข้าได้รับตำแหน่งจิ่นอีโหว
มาแล้ว อีกทั้งได้ตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายกิเลนดำ
ยายแก่ที่ไม่มีแม้แต่แรงจะฆ่าไก่อย่างเจ้า จะทำอะไร
ข้าได้?
เขากับไท่ฟูเหรินไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดต่อ
กัน เดิมก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อกันอยู่แล้ว อีกทั้ง
ไท่ฟูเหรินยังมาพูดจาแบบนี้กับเขาอีก ทำให้เขารู้สึก
อคติอย่างมาก
เพียงแต่ว่ายายเฒ่านี่เป็นฮูหยินของจิ่นอีเหล่าโหว อีก
ทั้งเป็นคนนับหน้าถือตาของหลายคน จะพูดจะจา
อะไรก็ควรจะมีกาลเทศะ นางพูดแบบนี้ออกมาทำให้
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก
“เจ้าออกไปก่อนไป” ไท่ฟูเหรินพูด “ทำเรื่องที่เจ้า
ควรทำ ขอแค่ทำเพื่อตระกูลฉี ยายแก่อย่างข้าจะไม่
ขวางเจ้า”
ฉีหนิงแทบอยากจะลุกออกไปเดี๋ยวนั้นเลย เขารับคำ
จากนั้นก็หันหลังออกจากห้องไป แล้วก็ปิดประตู
เมื่อออกมาจากเรือน กู้ชิงฮั่นยืนรออยู่ เมื่อเห็นฉีหนิง
ออกมา นางก็รีบเดินเข้ามาถามว่า “บอกไท่ฟูเหรินไป
แล้วใช่หรือไม่? ไท่ฟูเหรินดีใจหรือไม่?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วย้อนถามกลับไปว่า “ซานเหนียง ท่าน
ย่าท่านไม่ชอบข้าหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นตะลึงไป นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าพูด
เหลวไหลอะไรกัน เจ้าเป็นหลานคนโตของไท่ฟูเหริน
นะ มีย่าที่ไหนกันจะไม่รักไม่เอ็นดูหลานของตัวเอง
หนิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ไท่ฟูเหรินฝักใฝ่อยู่
แต่กับธรรมะ ไม่ยุ่งกับเรื่องทางโลก บางทีพูดจาอะไร
อาจจะดูเรียบเฉยไปบ้าง แต่ว่าก็ใช่ว่าจะไม่รักไม่เอ็นดู
เจ้า”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง” เมื่อ
เดินผ่านทางเดินมาระยะหนึ่ง เขาก็ถามขึ้นมาว่า
“ซานเหนียง ท่านรู้ชื่อของท่านแม่ของข้าใช่หรือไม่?”
“หะ?” กู้ชิงฮั่นรู้สึกแปลกใจ เหมือนคิดไม่ถึงว่าฉีหนิง
จะถามคำถามนี้กับนาง นางขมวดคิ้ว ลังเลไปครู่หนึ่ง
จากนั้นก็ถามว่า “เหตุใดจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา?”
“ซานเหนียงก็รู้เมื่อก่อนข้าก็สติไม่ดี หลายต่อหลาย
เรื่องแทบไม่รู้เลย” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้า
จำเรื่องของท่านแม่ได้น้อยมาก ข้า...ข้าแค่อยากรู้เรื่อง
ของนางบ้าง”
กู้ชิงฮั่นพูดอย่างเศร้าใจว่า “หนิงเอ๋อร์ จริงๆ แล้ว...
ซานเหนียงเคยบอกเจ้าไปแล้ว เรื่องแม่ของเจ้า ข้าเอง
ก็รู้ไม่มาก ข้าแต่งงานมาที่ตระกูลฉีนี่ก็เกือบสิบปีแล้ว
ตอนนั้นเจ้ายังเป็นเด็กอายุสิบหกสิบเจ็ดเท่านั้น แต่ว่า
ตั้งแต่แต่งเข้าจวนมา ข้าก็ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงแม่
ของเจ้าเลย ข้าเคยถามอาสามของเจ้า อาสามของเจ้า
ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ต่อมาถึงได้รู้ว่า ในจวนจิ่นอีโหว
ไม่ว่าใครก็พูดถึงแม่เจ้าไม่ได้...”
“ทำไมเล่า?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นางเป็นฮู
หยินของโหวเยว่นะ เป็นนายหญิงของจวนจิ่นอีโหว
แล้วเหตุใดถึงห้ามพูดถึงด้วยเล่า?”
กู้ชิงฮั่นฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ไท่ฟูเหรินสั่งไว้ พวกเราจะ
ถามมากได้อย่างไร ได้แต่ทำตามคำสั่งของไท่ฟูเหริน
เท่านั้น” นางหยุดไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นฉีหนิงสีหน้า
เคร่งเครียด นางก็พูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่ต้อง
ร้อนใจไป บางทีสักวันหนึ่งไท่ฟูเหรินอาจจะเล่าเรื่อง
ของแม่เจ้าให้เจ้าฟังก็ได้ นางไม่มีทางปิดเจ้าไปตลอด
ชีวิตหรอก”
“ซานเหนียง ท่านหมายความว่าท่านย่ารู้เรื่องนี้
หรือ?” ฉีหนิงถามเสียงเบาว่า “ในจวนโหวมีบ่าวไพร่
ที่มีอายุไม่น้อย พวกเขา...”
“พวกเขาเองก็ไม่รู้” กู้ชิงฮั่นส่ายหน้า นางก็พูดเสียง
เบาๆว่า “เมื่อก่อนซานเหนียงเองก็เคยเรียกบ่าวไพร่
เก่าแก่ของที่นี่มาถาม พวกเขาเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
บอกแค่ว่าจูๆ่ วันหนึ่ง แม่ของเจ้าก็หายตัวไปไร้
ร่องรอย หลังจากนั้น ในจวนโหวก็ไม่มีใครได้เห็นแม่
ของเจ้าอีก อีกทั้งไท่ฟูเหรินก็เรียกรวมพลคนในจวน
แล้วสั่งห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก ตอนนั้นไท่ฟูเหรินยังเป็น
คนดูแลเรื่องทุกอย่างในจวนอยู่ ท่านเหล่าโหวกับท่าน
แม่ทัพอยู่สนามรบนานหลายปี ดังนั้นเลยไม่มีใครกล้า
ขัดคำสั่งของไท่ฟูเหรินเลย”
ฉีหนิงพยักหน้า เขาแอบคิดในใจว่าหลิวซู่อีหายตัวไป
อย่างลึกลับ เหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับยายเฒ่า
เขาอยากรู้มากว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่จวนโหวตอนนั้น
แม้แต่กู้ชิงฮั่นก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ ดูท่าถามไปก็คงไม่ได้
เรื่องอะไร
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงหมาร้อง หมาตัวหนึ่งวิ่ง
ออกมาจากสวนไผ่ หมาตัวนั้นโผล่ออกมาอย่าง
กะทันหัน กู้ชิงฮั่นตกใจกรีดร้องออกมา ฉีหนิงรีบเดิน
ไปขวางหน้ากู้ชิงฮั่นเอาไว้อย่างรวดเร็ว คุ้มกันนาง
เอาไว้ด้านหลัง เมื่อเห็นหมาวิ่งออกมาแล้วร้อง “เอ๋ง”
ออกมา ฉีหนิงก็รู้สึกแปลกใจ จากนั้นก็เห็นเงาโผล่มา
จากสวนไผ่ มันรวดเร็วมาก เหมือนมันกำลังตามล่า
หมาอยู่
ตอนนี้ฉีหนิงถึงได้เห็นชัดว่า เงานั่นก็คือโฉ่วฮั่น จนถึง
ตอนนี้เขาก็ยังคลุมเสือขนสัตว์สีดำตัวนั้นอยู่
“เขา...เขากำลังทำอะไร?” ฉีหนิงตกใจ จากนั้นก็หัน
หน้ากลับไปมอง ตอนนี้เขาเพิ่งจะเห็นว่าสีหน้าของกู้
ชิงฮั่นซีดนิดหน่อย เหมือนจะตกใจมาก มือขาวนวล
ทั้งสองข้างของนางตอนนี้เกาะแขนของเขาเอาไว้แน่น
กู้ชิงฮั่นได้สติกลับมา ก้มหน้ามองไปที่มือตัวเองที่เกาะ
แขนของฉีหนิงอยู่ ใบหน้าของนางแดงก่ำ แล้วรีบ
ปล่อยมือ จากนั้นก็พูดว่า “ตอนนี้หมาในจวนโหว
ทั้งหมดกลัวเขาไปแล้ว” นางคิดในใจว่า ในเวลาที่คับ
ขัน ฉีหนิงยังคิดปกป้องนาง ถึงแม้นางจะตกใจมาก
แต่ในใจก็รู้สึกอุ่นใจ
“หืม?” ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ “หมากลัวเขาหรือ?”
กู้ชิงฮั่นฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่รู้อะไร หลายวันก่อน
ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงได้ไปพัลวันกับหมาตัวหนึ่งเข้า
เขาสู้อยู่กับหมาอยู่นาน สุดท้ายแล้วเขาก็หักขาทั้งสี่
ของหมาตัวนั้น วันต่อมา เขาก็เหมือนจะสนุก ก็เลย
ออกตามหาหมาแล้วหักขาหมาอีก หลายวันมานี้
หมาในจวนพอเห็นเขา ก็เหมือนกับเจอผีก็ไม่ปาน”
ในจวนจิ่นอีโหวเลี้ยงหมาอยู่หกเจ็ดตัว จริงๆ แล้วก็
เลี้ยงเพื่อช่วยองครักษ์ในจวนรักษาความปลอดภัย
“หักขาหมาหรือ?” ฉีหนิงตะลึงไป
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “จะอย่างไรก็ตามเขาก็เป็นผู้มีพระคุณ
ของข้า หากเขาชอบแบบนี้ก็ปล่อยเขาไปเถอะ ทาง
เจียงหลิงเองก็ยังไม่ได้ข่าวมา ยังไม่รู้ว่าบ้านของเขา
อยู่ที่ไหน แต่ว่า...หนิงเอ๋อร์ เขารวดเร็วมากจริงๆ นะ
พริบตาเดียวก็ผ่านหน้าไปแล้ว ต่อให้เป็นหมาล่าเนื้อ
ในจวน ยังวิ่งสู้เขาไม่ได้เลย” นางหยุดไปครู่หนึ่ง แล้ว
ถามว่า “เจ้าว่าเขาเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิด หรือว่า...เคย
ฝึกวรยุทธ์มาก่อน?”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ซานเหนียงคิดว่าเขาเคย
ฝึกยุทธ์มาก่อนหรือ?”
“ข้าก็แค่เดาไปเรื่อย” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “จะมีใครเกิดมา
ก็วิ่งเร็วได้แบบนี้บ้างเล่า ต้วนฉางไห่เคยฝึกวรยุทธ์มา
ก่อน แต่หากลองวิ่งแข่งกับเขา ยังไม่ได้ครึ่งของเขา
เลยนะ”
ฉีหนิงพยักหน้า เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นเงา
ของโฉ่วฮั่นหายไปแล้ว เขาก็บ่นพึมพำว่า “หากเขา
เคยฝึกวรยุทธ์มาจริง ก็น่าจะเป็นยอดฝีมือที่สุดยอด
มาก คนแบบนั้น เหตุใดถึงกลายมาเป็นแบบนีไ้ ด้
เล่า?” เมื่อเห็นสีหน้าของกู้ชิงฮั่นยังคงซีดอยู่ เขาก็พูด
ด้วยความอ่อนโยนว่า “ซานเหนียง เมื่อครู่ท่านไม่ได้
ตกใจมากใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็นไร” กู้ชิงฮั่นยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าคุ้มกันข้า
อยู่ไม่ใช่หรือ ซานเหนียงจะเป็นอะไรไปได้อย่างไร
เล่า?”
ฉีหนิงเห็นหน้าสวยงามจนใจสั่น ริมฝีปากของนางที่
ชุ่มช่ำ รอยยิ้มที่งามราวกับดอกไม้ ก็อดพูดไม่ได้ว่า
“หนิงเอ๋อร์เคยบอกท่านไปแล้ว ข้าจะคุ้มครองปกป้อง
ท่านไปตลอดชีวิต ข้าพูดได้ทำได้ ไม่มีหลอกแน่นอน”
กู้ชิงฮั่นเห็นฉีหนิงเหลือบมองมาที่ตัวนาง ก็รีบพูดว่า
“ซานเหนียงรู้ โอ้ย ข้านึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเรื่องที่ต้อง
ทำอีก ข้าขอตัวก่อนนะ คืนนี้...คืนนี้มีงานเลี้ยงฉลอง
ให้เจ้านะอย่าลืมล่ะ” ไม่รู้ทำไม นางรู้สึกว่าใจเต้นแรง
มาก นางรีบหันหลังแล้วเดินจากไป นางเดินไปอย่าง
รวดเร็วมา เหมือนจะวิ่งเล็กๆ สะโพกของนางส่ายไป
มาราวกับม้าหุ่นยนต์
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 295 ตายแล้วเกิดใหม่
ฉีหนิงเห็นกู้ชิงฮั่นเดินส่ายสะโพกจากไป เขาก็ฝืนยิ้ม
แล้วส่ายหน้า ม่ายสาวคนนี้ป้องกันตัวอย่างกับป้องกัน
โจรผู้ร้ายเลย แค่มองนานขึ้นหน่อย ก็เหมือนกับว่า
เขาจะไปข่มขืนนางอย่างไรอย่างนั้น ถ้าไม่มีเหตุอะไร
ก็จะหาเหตุผลหนีไปให้ได้ ดูเหมือนว่าคืนนั้นตัวเขา
วู่วามเกินไป ยังไม่ถงึ เวลาที่เหมาะสมก็ลงมือก่อนแล้ว
จึงทำให้เกิดรอยแผลขึ้นมา
เขากำลังคิดว่าจะไปหาต้วนฉางไห่เพื่อหารือเรื่องตั้ง
ค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่ ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นมาได้ว่า
สองสามวันมานี้ยังไม่ได้ไปเยี่ยมถังนั่วเลย เขาจึง
ตัดสินใจไปที่เรือนของถังนั่ว
กู้ชิงฮั่นดูแลเอาใจใส่ถังนั่วเป็นอย่างดี ไม่เพียงสั่งให้
เก็บกวาดหาเรือนเฉพาะให้นางพักอาศัย นางยังรู้ว่า
ถังนั่วนั้นชอบความสงบ ดังนั้นพอถึงเวลาก็จะสั่งให้
คนนำอาหารมาให้
เรือนหลังเล็กที่สงบผิดปกติ ถึงแม้จะเงียบเหมือนกับ
เรือนของไท่ฟูเหริน แต่ว่าเรือนหลังนี้ไม่ได้ทำให้มี
ความรู้สึกอึดอัด แต่ทำให้คนรู้สึกสบาย
ฉีหนิงเดินมาถึงหน้าประตู แล้วเคาะประตู ไม่นาน
ประตูก็เปิดออก ถังนั่วยืนอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นฉี
หนิงยืนอยู่นอกประตู นางก็รู้สึกแปลกใจ นางยิ้มแล้ว
พูดว่า “เข้ามาสิ”
ฉีหนิงรู้สึกว่าเวลาคุยกับถังนั่ว ทำให้เขารู้สึกสบาย
ถังนั่วไม่เคยทำท่าทางอ้อนแอ้น อีกทั้งยังไม่มีท่าที
เหมือนกับผู้หญิงทั่วไป เวลาพูดจาก็ง่ายๆ ไม่อ้อมไป
อ้อมมา อีกทั้งรอยยิ้มของนางมันทำให้คนรู้สึกสบาย
ใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาตามถังนั่วเข้าไปในห้อง เขามองถังนั่วจาก
ด้านหลัง รูปร่างของนางสมส่วน ฉีหนิงเคยเห็นตอนที่
ถังนั่วสวมชุดเฟิ่งหวงครั้งที่อยู่ในร้านหย่งอันถัง เขารู้
ว่าถังนั่วมีรูปร่างเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ ส่วนเว้า
ส่วนโค้งชัดเจน รูปร่างดีไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไป
ตรงไหนควรอวบอิ่มก็อวบอิ่ม ไม่ขาดไม่เกิน
ภายในห้องอบอุ่นมาก อยู่ในห้องของถังนั่ว ไม่
เหมือนกับห้องของกู้ชิงฮั่นที่มีกลิ่นหอม ห้องของ
ถังนั่วมีแต่กลิ่นยาสมุนไพร
บนโต๊ะภายในห้อง มีขวดเล็กขวดน้อยเต็มไปหมด
อีกทั้งยังมีกล่องใส่สมุนไพรอีกหลายสิบอย่าง กล่องยา
เล็กๆ ที่ไม่เคยห่างตัวนางก็อยู่ในห้องด้วย แต่ว่าที่ต่าง
ออกไปนั้นก็คือมีหนังสือหลายเล่มที่วางอยู่ที่โต๊ะ มีอยู่
เล่มหนึ่งเหมือนจะเพิ่งอ่าน เหมือนจะเอาไม้คั่นเอาไว้
ด้วย
“ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉีหนิงมองไปยัง
ถังนั่ว เขายิ้มแล้วพูดว่า “สีหน้าดูดีขึ้นเยอะเลย”
“ฮูหยินสามดูแลข้าเป็นอย่างดีเลย” ถังนั่วยิ้มบางๆ
แล้วพูดว่า “ฮูหยินสามมาเยี่ยมข้าเกือบทุกวัน อีกทั้ง
ยังให้คนส่งอาหารอร่อยๆ มาทุกมื้อ เจ้าดูสิข้าอ้วนขึ้น
บ้างหรือไม่?”
“ไม่เลยไม่เลย รูปร่างของเจ้าสมส่วนดีอยู่แล้ว สวย
อย่างธรรมชาติ กินเยอะแค่ไหนก็ไม่อ้วนหรอก” ฉี
หนิงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ
ถังนั่วยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ถ้าอ้วนก็ไม่สวยแล้วใช่
หรือไม่? รูปร่างสมส่วนก็มีข้อดีของมัน อ้วนอีกหน่อย
ก็มีข้อดีของมัน มันก็แค่รูปลักษณ์ภายนอก มันไม่ได้
สำคัญมาก ขอแค่ร่างกายแข็งแรง ก็สวยทั้งนั้น
แหละ”
“หมอเทวดาอย่างไรก็คือหมอเทวดา ความคิดความ
อ่านแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ” ฉีหนิงยกนิ้วโป้งขึ้น
“แม่นางถัง หากไม่ได้เจ้า ครั้งนี้ในเมืองหลวงคงต้อง
เจอกับภัยร้ายอันใหญ่หลวง”
“ช่วยชีวิตรักษาบาดแผล มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่
แล้ว” ถังนั่วเหมือนจะจริงจังขึ้นมา “แต่ว่าเพราะ
ความรู้ประสบการณ์ของข้ายังน้อยเกินไป ทำให้
เสียเวลาไปหลายวัน คนที่ตายไป ก็ช่วยให้พวกเขาฟื้น
ขึ้นมาไม่ได้ด้วย”
ฉีหนิงเห็นนางรู้สึกเศร้า ก็เลยรีบพูดว่า “แม่นางถัง
อย่าพูดอย่างนี้เลย พิษในครั้งนี้มันร้ายแรงมาก หาก
ไม่ได้เจ้า คงมีคนตายมากกว่านี้อีก”
ถังนั่วนิ่งไป นางฝืนยิ้มแล้วถามว่า “สืบได้หรือยังว่า
ใครเป็นคนวางยาพิษ?”
“แล้วแม่นางถังคิดว่าใครเป็นคนทำ?”
ถังนั่วพูดว่า “ถึงแม้ในพิษจะมีพิษไข่เป็นเชื้อ แต่ว่าข้า
คิดว่าราชาพิษจิ่วซีไม่น่าจะมาวางยาในเมืองหลวงได้
อีกทั้ง...เขาก็ไม่น่าจะมีความกล้ามากขนาดนั้น”
“ไม่มีความกล้า?” ฉีหนิงอึ้งไป “แม่นางถังเหตุใดถึง
ได้คิดแบบนี้เล่า?”
ถังนั่วพูดว่า “หากเขากล้าออกมาทำเรื่องเลวๆ นอก
พื้นที่ซีชวน เขาจะตายอย่างน่าอนาถ เรื่องนี้ตัวเขารู้ดี
เพราฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาจะกล้ามากถึง
ขนาดมาวางยาพิษในเมืองหลวงหรอก” นางหยุดไป
ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “แต่ว่าพิษไข่มันเป็นพิษของเขา
หากเดาไม่ผิด หนอนจินกู่ที่เขาเลี้ยงไว้น่าจะถูกขโมย
ไป พิษระบาดในเมืองหลวง ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นคน
ลงมือ แต่ก็มีความผิดเหมือนกัน”
ครั้งที่แล้วที่ฉีหนิงอยู่ที่จวนเสินโหว ตอนที่เขา
สอบสวนอาเหน่าตามลำพัง เขาได้ข้อมูลจากปากของ
อาเหน่าว่าชิวเฉียนอี้กับหลีซีกงอาจารย์ของถังนั่วเดิม
ทีเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ดังนั้นถังนั่วต้องคุ้นเคยกับ
ราชาพิษจิ่วซีเป็นอย่างดี แต่ว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
ถังนั่วถึงได้บอกว่าชิวเฉียนอี้ไม่กล้าออกมาทำเรื่อง
ชั่วๆ นอกซีชวน เขาอดที่จะถามไม่ได้ว่า “แม่นางถัง
เจ้าคงยังไม่รู้ ชิวเฉียนอี้
มาเมืองหลวงแล้วนะ”
ถังนั่วตะลึงไป นางเหมือนจะตกใจมาก ขมวดคิ้วมุ่น
แล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่า พิษในครั้งนี้เขาเป็นคน
ทำหรือ?”
“ก็ไม่ใช่แบบนั้น” ฉีหนิงส่ายหน้าพูดว่า “เขาบุกเข้า
ไปยังจวนเสินโหว ดังนั้นต่อให้เขาไม่ได้เป็นคนวางยา
พิษ ราชสำนักเองก็ต้องคิดบัญชีกับเขาแน่นอน”
ถังนั่วพูดด้วยความแปลกใจว่า “เขา...เขาบุกเข้าจวน
เสินโหว?”
“ปีศาจน้อยปรากฏตัวในเมืองหลวง นางถูกคนของ
จวนเสินโหวจับไว้ในฐานะผู้ต้องหา อีกทั้งจาก
คำให้การของนาง นางเป็นคนของพรรคบัวดำ” ฉี
หนิงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “ชิวเฉียนอี้บุกเข้า
จวนเสินโหว เพื่อช่วยปีศาจน้อยอาเหน่า ทางจวนเสิน
โหวได้ส่งรายงานเรื่องนี้ให้ทางราชสำนักไปแล้ว
ตอนนี้ทางราชสำนักกำลังหารือกันเรื่องที่จะกวาดล้าง
พรรคบัวดำอยู่ ตอนนี้หน้าหนาว หิมะปกคลุมภูเขา
ราชสำนักคงยังไม่ลงมือง่ายๆ แต่ว่าทางจวนเสินโหว
ได้ทำการส่งคนไปสืบหาความจริงที่ซีชวนแล้ว หากไม่
ผิดไปจากที่คิด หลังจากผ่านตรุษจีนไปแล้วราชสำนัก
ก็คงลงมือแน่นอน”
ตอนที่ฉีหนิงถูกชิวเฉียนอี้จับตัวไป ถังนั่วกำลังปรุงยา
ถอนพิษอยู่ที่หย่งอันถัง ต้วนฉางไห่ไม่อยากให้ถังนั่ว
ต้องเป็นห่วง เลยไม่ได้บอกนาง ดังนั้นถังนั่วก็เลยไม่รู้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเลย
ใบหน้าสวยงามของถังนั่วเคร่งเครียดขึ้นมา นางถาม
ว่า “แล้วตอนนี้ชิวเฉียนอี้กับอาเหน่าเป็นอย่างไร
บ้าง?”
“พวกเขาน่าจะหนีกลับซีชวนไปแล้ว” ฉีหนิงถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ชิวเฉียนอี้บอกเองว่า พิษระบาด
ในคราวนี้ไม่เกี่ยวกับเขา ข้าเองก็เชื่อว่าเขาไม่ได้โกหก
แต่ว่า...ตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว การบุก
เข้าจวนเสินโหว มันทำให้พรรคบัวดำกลายเป็น
เป้าหมายขึ้นมา”
ถังนั่วคิดไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้ารู้หรือว่าชิวเฉียน
อี้ไม่ได้เป็นคนทำ แล้วอธิบายให้ทางราชสำนักเข้าใจ
ไม่ได้หรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “แม่นางถัง ราชสำนักไม่ได้ง่ายอย่างที่
เจ้าคิด มีคนในราชสำนักอยากจะให้พรรคบัวดำล่ม
สลายไป เรื่องที่ชิวเฉียนอี้บุกเข้าจวนเสินโหว มันก็
เหมือนเป็นหลักฐานที่มัดตัวแน่น พอคนพวกนั้นมี
หลักฐาน แล้วพวกเขาจะยอมรามือได้อย่างไรเล่า? ข้า
อธิบายให้ฮ่องเต้เข้าใจได้ แต่ว่าในมือของข้าไม่มี
หลักฐานพิสูจน์ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพรรคบัวดำ เจ้า
เองก็เคยบอกว่า หนอนจิ่นกู่เป็นของชิวเฉียนอี้ หาก
ถูกคนขโมยไป นอกจากชิวเฉียนอี้จะหาคนที่ขโมย
หนอนจินกู่นั้นมาได้ แล้วพาเขามาอธิบายที่เมือง
หลวงด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นจากสถานการณ์ในตอนนี้
แทบจะไม่มีโอกาสรอดเลย”
ถังนั่วพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เหมือนกำลังคิด
อะไรอยู่
“แม่นางถัง เจ้ากำลังเป็นห่วงอาเหน่าใช่หรือไม่?” ฉี
หนิงถาม “เจ้าเหมือนจะห่วงอาเหน่ามากเลยนะ แต่
ว่า...ปีศาจน้อยนั่นใจคอโหดเหี้ยม นิสัยต่างกับเจ้าราว
ฟ้ากับเหว”
“สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนคนได้” ถังนั่วพูดว่า “พื้นฐานของ
อาเหน่าไม่ใช่คนเลว เพียงแต่ถูกสอนให้เป็นคนเลวแค่
นั้นเอง”
เมื่อฉีหนิงเห็นถังนั่วพูดมาแบบนี้แล้ว ก็รู้ทันทีว่าถังนั่ว
เป็นห่วงปีศาจน้อยมากจริงๆ เขาก็เลยไม่เหมาะที่จะ
พูดให้ร้ายอาเหน่าอีก เขาพูดว่า “แต่ว่าข้าจะพยายาม
อธิบายให้ทางราชสำนักเข้าใจ ฝ่าบาทยังทรงพระ
เยาว์ก็จริง แต่ว่าทรงปรีชามาก หากไม่ถึงจุดที่ไม่มี
ทางเลือกจริงๆ น่าจะไม่ใช้กำลังทหารกับพรรคบัวดำ
แน่นอน”
ถังนั่วพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ขอบ...ขอบใจเจ้า
มากนะ”
ฉีหนิงรู้สึกสงสัย แอบคิดในใจว่าคำขอบคุณของถังนั่ว
นั้น มันเพื่อใครเพื่ออะไร? เพื่ออาเหน่า เพื่อชิวเฉียนอี้
หรือว่าพรรคบัวดำ?
หรือว่าถังนั่วจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำ?
เขาเห็นสีหน้าของถังนั่วไม่ค่อยดี คิดว่านางเหมือนจะ
อารมณ์ไม่ดี หรือว่าคุยเรื่องนี้แล้ว ส่งผลต่อ
บรรยากาศ เขาไม่อยากเห็นถังนั่วไม่สบายใจ ก็เลย
เปลี่ยนประเด็น “แม่นางถัง เจ้าชอบอ่านหนังสือ
หรือ?” จากนั้นเขาก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้ว
เปิดผ่านๆ มันเป็นตำราการแพทย์
“หลายวันมานี้พักอยู่แต่ในห้อง ฮูหยินสามรู้ว่าข้าชอบ
ค้นคว้าตำราแพทย์ ก็เลยให้คนเอาตำราแพทย์พวกนี้
มาให้ข้า” ถังนั่วพูดว่า “ในนี้มีอะไรหลายอย่างที่ข้าไม่
เคยรู้มาก่อน แต่ว่า...ก็มีบางส่วนที่ตกหล่นไป”
ฉีหนิงคิดในใจว่าด้วยวิชาแพทย์ของเจ้าเอง มันเทียบ
กับตำราแพทย์ธรรมดาทั่วไปไม่ได้หรอก เขาอดที่จะ
ถามไม่ได้ว่า “แม่นางถัง วิชาแพทย์ของเจ้าร้ายกาจ
มากแล้วนะ เหตุใดเจ้ายังต้องค้นคว้าต่อไปอีกเล่า?
วิชาที่เจ้ามีในตอนนี้ เกรงว่าคงไม่มีใครเทียบเจ้าได้
แล้ว”
“เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน” ถังนั่วพูดว่า “อีก
อย่างวิชาแพทย์ที่ข้าอยากเรียนที่สุด ก็คือวิชาที่
สามารถทำให้ตายแล้วเกิดใหม่ได้”
“ตายแล้วเกิดใหม่?” ฉีหนิงตะลึงไป “มันมีจริงๆหรอ
ไอ้วิชาแบบนั้นน่ะ?”
ถังนั่วยิ้มอ่อนๆ นางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตายแล้วเกิด
ใหม่ของข้า ไม่ได้หมายถึงคนที่ตายไปแล้วนะ แต่
หมายถึงว่าคนที่ยังมีลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่ไม่ว่า
จะเป็นอะไรก็ตาม ก็สามารถฟื้นกลับมาเหมือนเดิมได้
อีก”
“อย่างนี้นี่เอง” ฉีหนิงพูดว่า “แม่นางถังอายุยังน้อย ก็
มีความคิดแบบนี้แล้ว ข้าคิดว่าวันหนึ่ง เจ้าจะต้อง
ค้นคว้าวิชาตายแล้วเกิดใหม่นี่ได้แน่นอน”ถังนั่วถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ข้าเองก็หวังว่าจะมีวันนั้น แต่ว่าข้า
ไม่รู้ว่ามันจะทันหรือไม่...”
“อะไรนะ?” ฉีหนิงรู้สึกว่าคำพูดของถังนั่วนั้นแปลกๆ
เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไม่ทันอะไรหรือ?”
“ไม่...ไม่มีอะไร” ถังนั่วรีบส่ายหัวแล้วพูดว่า “ข้า
หมายถึงว่า...ชีวิตข้าก็มีที่สิ้นสุด ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน
ไม่รู้ว่าจะสามารถฝึกฝนวิชาแบบนั้นได้หรือไม่...” เมื่อ
พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าขาวๆ ของนางก็แดงขึ้นมา
เหมือนนางจะดูเขิน
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้ดูไร้เดียงสาจริงๆ
คำพูดของนางมันคือคำแก้ตัวชัดๆ ว่านางไม่เก่งเรื่อง
โกหก พอพูดจาเรื่องเท็จ ก็ทำอะไรไม่ถูก ใคร
ก็ดูออกได้ง่ายว่านางไม่ได้พูดความจริง
แต่ว่าในเวลาแบบนี้ฉีหนิงก็ไม่ได้ไปเผยความจริงอะไร
ของนาง เขายิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางถังไม่ต้องเป็นห่วง
เจ้าเป็นคนฉลาด ใช้เวลาไม่นานนักหรอก” เขารู้สึก
สงสัยมากว่า ที่ถังนั่วบอกว่าไม่ทัน มันหมายถึงเรื่อง
อะไรกันแน่?
เห็นถังนั่วไม่พูดอะไรต่อ ฉีหนิงรู้ว่านางน่าจะมีความ
ในใจที่ไม่สะดวกใจจะพูดออกมา เขาลุกขึ้น แล้วพูด
อย่างอ่อนโยนว่า “คืนนี้ในจวนมีงานเลี้ยง ทุกคนจะ
ไปดื่มฉลองกัน แม่นางถังไปด้วยกันเถอะ จะได้สนุก
กัน”
ถังนั่วคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า ฉีหนิงเห็นดังนั้น ก็
รู้สึกดีใจมาก เขาพูดว่า “ดีจริงๆ เช่นนั้นข้าไปดูก่อน
ว่าพวกเขาเตรียมกันเสร็จแล้วหรือยัง” เขาหันหลังจะ
เดินไป จู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหันมาถาม
ว่า “แม่นางถัง สูตรยาที่เจ้าให้ข้าเมื่อครั้งที่แล้ว ที่
สามารถรักษาบาดแผลจนหายแล้วไม่เหลือร่องรอย
รักษาอาการเอ็นขาดได้หรือไม่?”
“บาดเจ็บมานานแค่ไหนแล้ว?” ถังนั่วถามฉีหนิงรีบ
ตอบกลับไปว่า “เพิ่งเป็นวันนี้ เอ็นข้อมือถูกคนตัดจน
ขาด ข้าคิดว่าในเมืองหลวงน่าจะไม่มียาแบบนี้ ก็เลย
ลองถามเจ้าดู”
ถังนั่วพูดว่า “ขอแค่ยังไม่เกินสิบสองชั่วยาม ก็ยังมี
หวัง แต่ว่าสูตรยาที่เคยให้เจ้าไป มันรักษาได้แค่แผล
ภายนอก รักษาแผลภายในกับเส้นเอ็นไม่ได้หรอก”
นางนั่งลง แล้วหยิบพู่กันขึ้นมา แล้วเขียนสูตรยาใหม่
แล้วยื่นให้กับฉีหนิง “ต้มยาตามนี้ แค่เอ็นข้อมือขาด
รักษาให้หายได้ ไม่ทิ้งร่องรอยไว้ด้วย แต่ว่าหากเป็น
เส้นเอ็นส่วนอื่นในร่างกาย สูตรยานี้ใช้ไม่ได้ผล”
ฉีหนิงรับสูตรยามา เขาแทบอยากจะกอดถังนั่วแล้ว
จูบนางสักสองสามครั้ง เขาพูดด้วยความดีใจว่า “แม่
นางถัง ขอบใจเจ้ามาก เจ้าวางใจได้ สูตรยานี้ข้าจะ
ไม่ให้ใครแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด” เขาไม่รอถังนั่ว
พูดอะไรอีก เขายิ้มแล้วรีบเดินจากไป
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 296 ศิษย์อาจารย์
ค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ขณะที่จวนจิ่นอีโหวกำลังเฉลิม
ฉลองให้กับฉีหนิงที่สามารถชิงตำแหน่งผู้บัญชาการมา
ได้ ณ บ้านหลังหนึ่งทางมุมทิศตะวันออกที่เมืองเจี้ยน
เย่ กลับเงียบจนผิดปกติ
บ้านหลังนี้ไม่ถือว่าใหญ่ แต่ว่าศาลาอะไรที่ควรมีก็มี
คุณชายใหญ่ตระกูลเจียงแห่งตงไห่ ตระกูลเศรษฐีที่ไม่
มีใครในแคว้นเทียบได้ จะหาบ้านสักหลังในเมือง
หลวง ง่ายอย่างกับพลิกฝ่ามือ
อากาศในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ เรือนหลังหนึ่งภายใน
บ้าน เจียงซุยอวิ๋นเปลี่ยนชุดที่นุ่มและสะอาดแล้ว เขา
กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ ตรงข้ามโต๊ะมีกระจกบานหนึ่งตั้งอยู่
เขามองเห็นใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาที่บวมแดง สายตา
ของเขาดูโกรธแค้นจนน่ากลัว
ในบ้านหลังนี้มีคนไม่มาก มีเพียงบ่าวไพร่กับสาวใช้แค่
ไม่กี่คนเท่านั้น ทุกคนล้วนแต่เป็นคนที่เขาพามาจาก
ตงไห่ทั้งนั้น
บ้านที่เงียบสงบมันทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวและเคว้งคว้าง
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ในตอนนี้แทบดูไม่ได้ ไม่
เพียงแค่บวม แต่มันยังหลงเหลือรอยเลือดอยู่ แดง
เป็นปื้นใหญ่ มองแล้วน่ากลัวมาก
ทันใดนั้นเอง เจียงซุยอวิ๋นก็ทุบไปที่โต๊ะ กระจก
สะเทือนอย่างแรง เจียงซุยอวิ๋นลุกขึ้นมา แล้วเดินไปที่
หน้าต่าง เขาเปิดหน้าต่างออก ลมหนาวจากภายนอก
พัดโชยเข้ามา เจียงซุยอวิ๋นตะโกนออกไปว่า “ใครก็
ได้มานี่ที”
ไม่นานนัก ก็มีบ่าวไพร่เดินโผล่ออกมาจากหลังคา
คนๆนั้นโค้งตัวเล็กน้อย แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า
“คุณชายใหญ่”
“ฆ่าฉีหนิงให้ตาย” เจียงซุยอวิ๋นกำหมัดแน่นแล้วพูด
ว่า “ภายในสามวัน ข้าจะต้องเห็นร่างของเขาแหลก
เป็นชิ้นๆ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม หลังจากนี้อีกสาม
วัน หัวของเขาต้องมาอยู่ตรงหน้าข้า”
“รับทราบขอรับ” คนๆ นั้นรับคำ แล้วหมุนตัวกลับ
ขึ้นไปที่หลังคา เจียงซุยอวิ๋นหัวเราะอย่างชั่วร้าย
กำลังจะหันตัวกลับไป ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดัง
“ตุบ” มาจากทางหน้าต่าง เขาตกใจ รีบหันหลัง
กลับไปมอง เห็นมีคนลงมาจากหลังคาห้อง เขายืนนิ่ง
อยู่ที่พื้น ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
เจียงซุยอวิ๋นสีหน้าเปลี่ยนไป ถึงแม้จะตกใจแต่เขาก็ไม่
ตื่นตระหนก เขาแค่หันมา แล้วเอื้อมมือไปหยิบดาบที่
อยู่บนกำแพงมาถือเอาไว้ในมือ พร้อมทั้งชักดาบ
ออกมา แล้วพูดเสียงเข้มว่า “ใคร?”
สายตาทั้งสองของเขาจ้องไปที่นอกหน้าต่าง ท่าทาง
ของเขาเคร่งเครียดมาก
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงเข้มลอยมาว่า “เจ้าส่งคน
เช่นนั้นไปสังหารจิ่นอีโหวอย่างนั้นหรือ?”
เจียงซุยอวิ๋นหน้าถอดสี เขารู้สึกว่าด้านหลังของเขา
เหมือนมีลมวูบหนึ่งผ่านไป เขาไม่พูดอะไร หันหลัง
กลับไปพร้อมกับตวัดดาบออกไป เงาร่างร่างหนึ่งวิ่ง
ผ่านหน้าเขาไปราวกับวิญญาณ เจียงซุยอวิ๋นกำลังจะ
ตวัดดาบตามไป ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ว่าด้านหลัง
ของเขารู้สึกเจ็บปวด เหมือนกับถูกค้อนหนักพันตัน
ทุบใส่ กระดูกของเขาเหมือนจะแตกออกมาเป็นชิ้นๆ
ดาบที่ถืออยู่ในมือของเขาเหมือนไร้เรี่ยวแรง จนไม่
สามารถจะยกกระบวนท่าออกไปได้อีก คนๆ นั้นก็
ไม่ได้ลงมือต่อ เมื่อเจียงซุยอวิ๋นหันกลับมาอีกที เงา
ร่างนั้นก็เดินเอามือไขว้หลังไปที่ริมหน้าต่างแล้ว เขา
สวมชุดสีเทา ไม่ได้รวบผม ผมของเขาปล่อยยาวประ
บ่า ลมหนาวโชยเข้ามาจากด้านนอก ผมของเขายาว
สยาย
เจียงซุยอวิ๋นมองไป เขาก็ตกใจ เขารีบทิ้งดาบลงพื้น
แล้วคุกเข่าลง แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “อา...
อาจารย์”
คนผู้นั้นไม่ได้หันหน้ากลับมา เขาพูดว่า “สอนเจ้ามาก็
นานหลายปี แต่เหมือนเจ้าจะไม่มีการพัฒนาเลย อีก
ทั้งเรื่องที่สำคัญมากกว่า เหมือนเจ้าก็จะลืมไปแล้วว่า
มาที่เมืองเจี้ยนเย่นี่เพราะอะไร”
“อาจารย์ ศิษย์...” เจียงซุยอวิ๋นเหงื่อออกทั่วตัว
“ไม่คิดถึงภาพรวม ต่อให้สามารถจัดการ ก็ไม่ใช่ทางที่
ถูกต้อง” คนผู้นั้นยังคงใช้น้ำเสียงเรียบง่ายในการพูด
ฟังไม่ออกเลยว่าเขาดีใจหรือโกรธ “เจ้าอยากจะฆ่าจิ่น
อีโหว เพียงแค่เพราะวันนี้เจ้าแพ้ให้เขาอย่างนั้นหรือ
แพ้แค่ครั้งเดียว กำจัดเขาไปแล้วก็จะทำให้เจ้าสะใจ
อย่างนั้นหรือ ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่รู้ว่าคู่ปรับของ
เจ้านั้นแข็งแกร่งแค่ไหน”
“อาจารย์ ข้า...เดิมทีข้าสามารถเอาชนะเขาได้” เจียง
ซุยอวิ๋นยังคงคุกเข่าอยู่ไม่กล้าลุกขึ้นมา “เพลงดาบ
ศิษย์ไม่ได้แพ้ให้กับเขา ส่วนเพลงหมัด ก็...ก็ไม่ได้ด้อย
ไปกว่าเขาเลย แต่ว่าเขาฝึกวิชามาร ที่สามารถดูด
กำลังภายในของคนได้...”
ชายชุดเทาหัวเราะเจื่อนแล้วพูดว่า “ข้าขอเตือนเจ้า
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
อย่าได้ใจเกินไปนัก ไม่เช่นนั้นก็จะถูกคนจับทางได้”
“อาจารย์ท่านก็รู้ หากศิษย์สามารถชิงตำแหน่งผู้
บัญชาการมาได้ ภารกิจที่อาจารย์มอบหมายให้ศิษย์
ไปทำ มันก็จะง่ายขึ้น” เจียงซุยอวิ๋นก้มหน้าแล้วพูดว่า
“ศิษย์ทำอย่างนี้ก็เพื่ออาจารย์”
“อยู่ต่อหน้าข้า ไม่ต้องแสร้งทำเป็นพูดดี” ชายชุดเทา
พูดว่า “ข้าเคยบอกไปแล้ว ข้าให้เวลาเจ้าได้ ข้าเป็น
คนมีความอดทนมากพอ ไม่เคยรีบร้อนกับเรื่องอะไร”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ นอกจวน
ของเจ้าตอนนี้ ถูกคนของจวนเสินโหวจับตาดูอยู่ ซีเห
มินอู๋เหิงเริ่มสงสัยในตัวเจ้าแล้ว”
เจียงซุยอวิ๋นตะลึงไป จากนั้นเขาก็ยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า
“ต่อให้ซีเหมินอู๋เหิงจะสงสัย แล้วจะอย่างไรเล่า? เขา
จะสืบอะไรได้?”
ชายชุดเทาหันหลังกลับมา ใบหน้าของเขาสวม
หน้ากากเอาไว้ หน้ากากสีดำกลับสะท้อนสายตาที่
ดุดันออกมา เขาค่อยๆเดินไปหาเจียงซุยอวิ๋น จากนั้น
ก็พูดว่า “เงยหน้าขึ้นมา”
เจียงซุยอวิ๋นรู้สึกยำเกรงชายชุดเทามากผิดปกติ เขา
รีบเงยหน้าขึ้นมา พอเงยขึ้นมาแล้ว ก็รู้สึกได้ว่ามีเงา
ผ่านหน้ามา “เพลี้ยะ” ใบหน้าที่เดิมทีก็บวมอยู่แล้ว
ถูกชายชุดเทาตบซ้ำลงไปอีก อีกทั้งยังใช้แรงมากด้วย
เจียงซุยอวิ๋นเดิมทีก็ยังไม่หาย พอถูกตบ ก็เหมือน
ใบหน้าด้านซ้ายจะฉีกขาด เจ็บทะลุไปถึงกระดูก
“ข้ารู้ว่าเจ้าเกิดในตระกูลเศรษฐีมีเงิน ตั้งแต่เล็กไม่
เคยขาดอะไร” สายตาของชายชุดเทาใต้หน้ากากนั้น
เฉียบคมราวกับคมดาบ “เจ้าจำเอาไว้ให้ดี ข้าให้เจ้า
มาเมืองหลวง ไม่ใช่เพราะเจ้าเก่งกาจอะไรเลย แค่
เพราะเจ้าเป็นคนของตระกูลเจียงแห่งตงไห่ อีกทั้งยัง
เป็นศิษย์ของจั่วชิงหยาง ฐานะของเจ้า มาเมืองหลวง
เจี้ยนเย่มันเหมาะสมมากไม่มีใครสงสัยในตัวเจ้ามาก
นัก” น้ำเสียงของเขาเริ่มดุดันขึ้น “แต่ว่าเจ้าอยาก
สร้างผลงานจนเกินตัว เข้ามาเมืองหลวงได้ไม่นาน
กลับทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ การชิงตำแหน่งผู้
บัญชาการครั้งนี้ เจ้าไม่ควรเข้าร่วมตั้งแต่แรก”
“แต่ว่า...แต่ว่าอาจารย์เคยบอกว่า ไม่เพียงต้องซื้อใจ
ไหวหนานอ๋องให้ได้ ยังต้อง...ยังต้องให้เขาให้
ความสำคัญในการใช้งานด้วย” เจียงซุยอวิ๋นเจ็บหน้า
มาก แต่ก็ไม่กล้าใช้มือไปจับ “เขาเสนอชื่อศิษย์เข้าชิง
ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารค่ายกิเลนดำ ศิษย์...ก็แค่
ทำมันให้เต็มที่แค่นั้น”
“อ๋อ?” ชายชุดเทาพูดว่า “เจ้ามั่นใจในตัวเองมาก
เกินไป ไม่เช่นนั้นจะถูกคนอื่นจับตามองเพราะการ
ต่อสู้นี้ได้อย่างไรกัน?” เขาหัวเราะเจื่อนแล้วพูดว่า
“หรือว่าในสายตาของเจ้า คนในราชสำนักแคว้นฉู่มี
แต่พวกกินหญ้าหรืออย่างไร?”
“ศิษย์...ศิษย์มิกล้า” เมื่อได้ยินคนชุดเทาน้ำเสียงดุขึ้น
เจียงซุยอวิ๋นก็เอาแต่ก้มหน้าเหงื่อไหลท่วมตัว
“อย่าประเมินพวกนั้นต่ำไป” คนชุดดำพูดว่า “ข้าให้
โอกาสให้เจ้าได้ฝึกฝน หากเรื่องในแคว้นฉู่แค่นี้เจ้ายัง
ทำไม่ได้ ต่อไปเจ้าจะสืบทอดตำแหน่งของข้าได้
อย่างไรกัน? ข้าขอเตือนเจ้า หากเจ้าทำให้ข้าต้องเสีย
การใหญ่ ผลลัพธ์จะเป็นเช่นใด เจ้าน่าจะรู้ดี”
“ศิษย์ทราบแล้ว” เจียงซุยอวิ๋นรีบพูดว่า “ศิษย์จะ
พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่อาจารย์ได้
มอบหมาย”
ชายชุดเทาพูดว่า “พยายามอย่าแตะต้องคนของ
ตระกูลฉีเด็ดขาด เจ้าก็น่าจะรู้ เบื้องหลังของตระกูลฉี
ยังมีคนๆ นั้นอยู่”
“อาจารย์ คนๆ นั้น...คนๆ นั้นยังไม่ตายจริงๆ หรือ?”
เจียงซุยอวิ๋นพูดว่า “วรยุทธ์ของฉีหนิง ใช่...เขาเป็น
คนสอนหรือไม่?”
ชายชุดเทาพูดว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องถามมาก จัดการ
เรื่องของเจ้าให้ดีก็พอ เรื่องสำคัญของเจ้าตอนนี้ก็คือ
เป็นคนสนิทของไหวหนานอ๋องให้ได้ ทำให้ทุกคน
เข้าใจว่าเจ้าเป็นคนของไหวหนานอ๋อง แต่หากไม่
จำเป็น ห้ามยุ่งกับคนของตระกูลฉีเด็ดขาด”
“ศิษย์...ศิษย์ทราบแล้ว” เจียงซุยอวิ๋ยก้มหน้า สายตา
ของเขาเหมือนจะไม่เต็มใจ
หลังจากนั้นก็ไม่เห็นชายชุดเทาพูดอะไรอีก เจียง
ซุยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมา เขาพบว่าชายชุด
เทาผู้นั้นได้หายไปแล้ว เขามองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจ
แล้วว่าชายชุดเทาไม่อยู่แล้ว ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
บ้านของเจียงซุยอวิ๋นเงียบมาก แต่ในจวนจิ่นอีโหว
กลับตรงกันข้าม
คืนนี้มีการจัดงานเลี้ยง เพื่อเฉลิมฉลองให้ฉีหนิงที่ชิง
ตำแหน่งผู้บัญชาการมาได้ ภายในห้องที่อบอุ่น จัด
โต๊ะใหญ่เอาไว้ ตามหลักแล้ว พวกของต้วนฉางไห่เป็น
องครักษ์ของจวนโหว ไม่มีสิทธิร่วมโต๊ะกับฉีหนิง แต่
ว่าฉีหนิงไม่ถือสาอะไรเรื่องนี้ อีกทั้งเรื่องการก่อตั้ง
ค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่นั้นเป็นเรื่องใหญ่ เขาต้อง
หารือกับพวกต้วนฉางไห่
ต้วนฉางไห่ จ้าวอู๋ซางกับฉีเฟิงทั้งสามมาจากค่ายกิเลน
ดำ ดังนั้นภายในห้อง มีสี่คนนี้นั่งอยู่ด้วยกัน พวกเขา
พรางดื่มเหล้าไปด้วยและวางแผนเรื่องค่ายกิเลนดำไป
ด้วย
การตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่นั้น สำหรับต้วนฉางไห่
นั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้นเกินกว่าครึ่งคืนมีแต่ต้
วนฉางไห่เท่านั้นที่พูดอยู่คนเดียว ตอนนี้เขาดื่มมาก
พอสมควรแล้ว แต่ต้วนฉางไห่ก็ยังพูดจนติดลมบนอยู่
“โหวเยว่ เมื่อครู่พวกเราพูดถึงเรื่องกฎทหาร กฎ
ทหารท่านแม่ทัพใหญ่ตั้งขึ้นหลังจากที่ก่อตั้งค่ายกิเลน
ดำขึ้นมาแล้ว ในค่ายกิเลนดำทั้งหมดไม่ว่าจะตำแหน่ง
ไหน ใช้กฎเดียวกันหมด ไม่มีใครกล้าละเมิดกฎทหาร
ของพวกเราสักข้อเดียว ก็เพราะอย่างนี้ ค่ายกิเลนดำ
ถึงได้...” พูดถึงตรงนี้ เขาก็สะอึก แล้วพูดต่อว่า “ถึง
ได้เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นฉู่ของพวก
เรา”
การดื่มเหล้าของฉีหนิงสู้ต้วนฉางไห่ไม่ได้เลย คืนนี้
อารมณ์ของพวกเขาจัดว่าดีมาก โดยเฉพาะพวกต้วน
ฉางไห่ ที่อารมณ์ดีสุดๆ มีเหล้าหลายไหวางอยู่ข้างๆ
อีกทั้งยังมีที่กลิ้งไปกลิ้งมากับพื้นด้วย เวลาพวกเขา
หารือกัน ฉีหนิงสั่งไม่ให้ใครรบกวนโดยเด็ดขาด
อาหารบนโต๊ะก็เย็นไปหมดแล้ว
“กฎทหารพวกนั้นจะต้องใช้มันต่อไป” ใบหน้าของฉี
หนิงแดงขึ้นแล้ว เขาเหมือนจะเริ่มเมา “ตอนนี้สิ่งที่
สำคัญที่สุดก็คือการรวบรวมไพร่พล จากนั้นหาสถาน
ที่ตั้งค่ายฝึกขึ้นมา พวกเจ้ามีแผนอะไรบ้างหรือไม่?”
“เรื่องนี้ไม่ยากเลย” ต้วนฉางไห่ถกแขนเสื้อขึ้นมา
ใบหน้าของเขาแดงมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “จากเมือง
หลวงไปทางใต้อีกสี่สิบลี้ มีค่ายกิเลนดำเดิมอยู่ ถึงแม้
มันจะร้างมานานหลายปีแล้ว แต่ว่าหากเก็บกวาด
จัดการสักหน่อย ก็สามารถใช้ได้เลยทันที ที่นั่นไม่
เพียงเป็นสถานที่ฝึกทหาร แม้แต่ค่ายที่พัก คอกม้า
คลังอาวุธก็มีพร้อมเสร็จ จริงสิ เหล่าจ้าว ริมค่าย
แม่น้ำจีก่วนยังมีอยู่หรือไม่?” เขาใช้อีกมือยกเหล้า
ขึ้นมากระดก มือซ้ายของเขาจับโต๊ะเอาไว้ เหมือนกับ
ว่าเริ่มมันไปได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว แม้แต่เวลาพูด ก็มี
กลิ่นเหล้าโชยออกมาจากจมูกแล้ว
“ยังอยู่ ยังอยู่แน่นอน” จ้าวอู๋ซางปกติจะไม่ค่อยพูด
เขาเป็นคนเงียบๆ แต่ว่าวันนี้เขาอารมณ์ดี ดื่มไปไม่
น้อย แต่เทียบกับต้วนฉางไห่แล้วก็ยังมีสติมากกว่า
“โหวเยว่ ริมค่ายมีแม่น้ำจีก่วนอยู่ จะกินดื่มถ่ายเบา
ถ่ายหนักก็สะดวก...อืม ไม่สิ กินดื่มสะดวก พวกเรา...
พวกเราจะไปถ่ายหนักถ่ายเบาในแม่น้ำไม่ได้...พวก
เราต้องบอกกับกรมโยธา ให้พวกเขาส่งคนมาซ่อม คิด
ว่าไม่กี่วันก็น่าจะใช้ได้แล้ว”
ฉีหนิงพูดว่า “แล้วคนเล่า? จะตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมา
ต้องมีคน ในเมื่อต้องฝึกทหารชั้นยอดขึ้นมา จะไปหา
เอามั่วๆ ข้างทางไม่ได้หรอกนะ”
“โหวเยว่ไม่ต้องกังวล” ต้วนฉางไห่ตบไปที่หน้าอก
ของตัวเอง “ข้าคิด...คิดเอาไว้หมดแล้ว เรื่องนี้ข้า
จัดการเอง รับรองก่อนที่ค่ายของพวกเราจะซ่อมแซม
เสร็จ ข้าจะหาคนมาให้ท่านจนครบหนึ่งพันคน
แน่นอน อีกทั้ง...ยังเป็นนักรบชั้นยอดอีกด้วย...” เขา
เรอกลิ่นเหล้าออกมา “แต่ว่าโหวเยว่จะต้อง...จะต้อง
เตรียมอาวุธกับเสบียงเอาไว้ให้พร้อม ทหารค่ายกิเลน
ดำต้องการเสบียงมาก ท่านอย่าให้คนของกรมคลัง
กดดันไม่...ไม่ยอมให้เสบียงพวกเราได้เล่า...” เมื่อเขา
พูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเองก็ฟุบลงไปกับโต๊ะ ฉีหนิง
ตกใจ ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงกรนของต้วนฉางไห่ดัง
ออกมาจากจมูกของเขา
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 297 คิดวางแผน
ในคืนนี้ฉีหนิงไม่รู้ว่าตัวเองกลับไปที่ห้องได้อย่างไร
เช้าวันต่อมา มีคนเข้ามาปลุกเขา บอกว่าทางวังหลวง
ส่งคนมาเรียกเขาเข้าวัง
ฉีหนิงเดาได้อยู่แล้วว่าหลงไท่น่าจะเรียกเขาไปเฝ้าใน
วันนี้ เขารีบแต่งตัวแล้วก็เข้าวังไป
ครั้งนี้กลับไม่ได้เรียกเขาเข้าพบที่ห้องทรงอักษร แต่
กลับให้เขาไปพบที่ห้องหนังสือที่เขาพบกับหลงไท่ครั้ง
แรก หลังจากที่มีคนเข้าไปรายงานแล้ว หลงไท่ก็เรียก
ตัวฉีหนิงเข้าพบ เมื่อเห็นหลงไท่ ฉีหนิงเพิ่งเคยเห็น
หลงไท่อารมณ์เสียมากขนาดนี้มาก่อน หลังจากถวาย
พระพรแล้วจึงถามว่า “ฝ่าบาททรงไม่สบายพระทัย
หรือพะยะค่ะ?”
หลงไท่พูดด้วยความไม่พอใจว่า “ก่อนที่เจ้าจะมา
ไทเฮาเพิ่งจะทรงกลับไป”
“อ๋อ?” ฉีหนิงได้ยินคำว่าไทเฮา ก็พอจะเดาได้ เลย
ถามกลับไปว่า “ฝ่าบาท เรื่องอภิเษกอีกแล้วใช่หรือไม่
พะยะค่ะ?”
หลงไท่หน้านิ่งอย่างไม่พอใจมาก เขายิ้มเจื่อนแล้วพูด
ว่า “นางกำลังบีบให้ข้าออกราชโองการ ให้ส่งคนของ
กรมพิธีการไปอ่านราชโองการที่จวนจงอี้โหว นาง
ต้องการให้ข้าแต่งงานกับผู้หญิงของตระกูลซือหม่าให้
ได้”
“ฝ่าบาท ชาวบ้านทั่วไปแต่งงาน ก็ฟังคำสั่งของพ่อแม่
ทั้งนั้น ท่านเป็นถึงองค์ฮ่องเต้ ก็ทรงต้องเชื่อฟังคำสั่ง
ของไทเฮาด้วยหรือเปล่าพะยะค่ะ?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
“ตอนนี้ในนราชสำนักมีเรื่องมากมาย หลักๆ ก็มี
จงอี้โหวเป็นคนจัดการ หากฝ่าบาทไม่ทรงทำตามพระ
ประสงค์ขององค์ไทเฮา เกรงว่าตระกูลซือหม่าน่าจะ
ไม่พอใจได้”
หลงไท่พูดด้วยความโมโหว่า “ข้าเป็นถึงฮ่องเต้ หรือ
ว่าข้ายังต้องมานั่งดูสีหน้าท่าทางของตระกูลซือหม่า
ด้วย?”
ฉีหนิงรู้ว่าฮ่องเต้น้อยเป็นคนฉลาดมาก สามารถสร้าง
สมดุลทางอำนาจได้ คำพูดที่พูดออกมาในตอนนี้ ก็แค่
เพียงสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจนานแล้วเท่านั้น จึงระบาย
ออกมาให้เขาฟัง
“ฝ่าบาท ขออภัยที่กระหม่อมขอทูลตามตรง พระองค์
ครองราชย์ การแต่งตั้งฮองเฮาเป็นเรื่องที่ต้องเกิด
ขึ้นอยู่แล้ว” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อีกทั้งในวังหลัง
ตอนนี้ ก็ต้องการคนที่มาดูแล”
หลงไท่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าควรรับลูก
สาวตระกูลซือหม่าเข้าวังอย่างนั้นหรือ?” สีหน้า
ท่าทางของเขาไม่พอใจมาก
ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยผิดแล้ว แต่งตั้ง
ฮองเฮา ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิงจากตระกูลซือหม่า
ในใต้หล้านี้ ผู้หญิงสวยๆ มมีมากมายเหมือนขนวัว ฝ่า
บาททรงโปรดใคร ก็ตั้งคนนั้นเป็นฮองเฮา ใครจะมา
ตัดสินแทนพระองค์ไม่ได้”
“หากเป็นไปตามที่เจ้าว่าก็ดีน่ะสิ” อยู่ต่อหน้าฉีหนิง
หลงไท่ไม่ต้องวางมาดเป็นผู้ใหญ่ เขาดูผ่อนคลายลงไป
เยอะมาก “เจ้าเองก็รู้ จนถึงตอนนี้ ซือหม่าหลันยังไม่
เคยให้ข้าเรียกประชุมใหญ่เลย เขาบอกว่าต้องรอฤกษ์
งานยามดีก่อน ราชสำนักมีเรื่องมากมาย ข้าก็รู้หลัง
เขาตลอด สถานการณ์แบบนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะตัดสินใจ
อะไรเองได้หรือ?”
“ฝ่าบาท ท่านอายุยังน้อย จริงๆ ก็ยังไม่ต้องรีบก็ได้”
ฉีหนิงพูดว่า “ลองดูว่าตาเฒ่าพวกนี้ทำงานอย่างไร
พอจะเรียนรู้อะไรจากพวกเขาได้หรือไม่ แต่ว่า...
ฝ่าบาทไม่อยากอภิเษกกับแม่นางซือหม่า ก็ไม่ใช่เรื่อง
ยาก”
“หืม?” หลงไท่ตาเป็นประกาย “ฉีหนิง เจ้ามีวิธีอะไร
ดีดีอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงเขยิบเข้าไปใกล้ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ฝ่าบาท
ถึงแม้จงอี้โหวจะมีอำนาจมาก แต่ว่าก็ยังมีกลุ่มของ
ไหวหนานอ๋องคัดค้านอยู่ ดังนั้นเรื่องบางเรื่อง ก็ใช่ว่า
จงอี้โหวจะตัดสินใจได้เองคนเดียว ก็เหมือนเรื่องการ
อภิเษกในครั้งนี้ก็เหมือนกัน การเตรียมการแต่งตั้ง
ฮองเฮา ก็ไม่ใช่จงอี้โหวเป็นคนตัดสินใจได้ ขอแค่ฝ่า
บาททรงมีผู้หญิงที่เหมาะสมมากกว่า อีกทั้งทำให้
ไทเฮากับจงอี้โหวไม่มีเหตุผลโต้แย้งได้ ไทเฮาก็ไม่
อาจจะบีบบังคับฝ่าบาทได้แล้ว”
“ผู้หญิงที่เหมาะสม?” หลงไท่ขมวดคิ้ว “เจ้า
หมายความว่าอย่างไร? นอกจากเชื้อพระวงศ์แล้ว ก็
คือสี่บรรดาศักดิ์โหวที่มีตำแหน่งสูงสุด ข้าแต่งตั้ง
ฮองเฮา นอกจากสี่ตระกูลนี้แล้ว ยังมีใครเหมาะสมยิ่ง
กว่าอีกหรือ?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท จวนจิ่นอีโหวไม่มีผู้หญิง
ที่เหมาะสมกับฝ่าบาทหรอกนะ”
หลงไท่ยิ้มแล้วด่าว่า “หากเจ้ามีน้องสาว ข้าจะเรียก
ตัวนางเข้าวังทันที” ทันใดเอง เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า จิ่น
อีโหวที่อยู่ต่อหน้าเขาคนนี้เป็นแค่คนที่มาสวมรอย
เท่านั้น ต่อให้ฉีจิ่งมีลูกสาวจริง ก็ไม่ใช่น้องสาวของคน
ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
เขายิ้ม บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่า
บาท จริงๆ แล้วกระหม่อมเคยคิดนะว่า หากจิ่นเตา
โหวมีลูกสาว ก็เลือกสักคนเข้าวังมาก็ได้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...” หลงไท่ตบโต๊ะแล้วพูดว่า “เจ้าคิด
เหมือนข้าเลย ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน
หากไม่ได้จริงๆ ก็เลือกคนของตระกูลจินเตาเหยียนไถ
เข้าวัง ข้ารู้มาว่า ตระกูลเหยียนไถมีผู้หญิงที่อายุรุ่น
ราวคราวเดียวกับข้าอยู่หลายคน”
ฉีหนิงอึ้งไป หลงไท่กลับส่ายหัวขึ้นมาแล้วพูดว่า “แต่
ว่าทำแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไมเล่า?”
“หากข้าเลือกผู้หญิงจากตระกูลเหยียนไถจริง ตระกูล
เหยียนไถต้องช่วยเหลือข้าอย่างเต็มที่แน่นอน” หลง
ไท่พูดว่า “แต่ว่าหากทำแบบนั้นจริง ข้ากลัวว่าจงอี้
โหวกับไหวหนานอ๋องจะร่วมมือกันจัดการตระกูลเห
ยียนไถ” เขาพูดเสียงดุขึ้นมาว่า “พวกเขาสองคนต่าง
จ้องอำนาจในราชสำนักตาเป็นมัน ตระกูลเหยียนไถ
จะรับมือพวกเขาไว้ได้อย่างไร”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ฝ่าบาทก็คิดถึงจุดนี้ได้นาน
แล้ว”
หลงไท่พูดว่า “อดีตฮ่องเต้เคยบอกกับข้าว่า นิสัยของ
จินเตาโหว องอาจกล้าหาญ ฉลาดหลักแหลม อีกทั้ง
ไม่เคยเล่นแง่ หากไหวหนานอ๋องกับจงอี้โหวร่วมมือ
กันจัดการเขาจริง ข้าเกรงว่าท่านเหล่าโหวเกิดโกรธ
ขึ้นมา ใช้กำลังทหารขึ้นมา ถึงเวลานั้นสถานการณ์
อาจจะเลวร้ายมาก สงครามหลายปีที่ผ่านมา เพิ่งจะ
พักรบกับทางชาวเป่ยฮั่น เวลานี้ควรจะเป็นเวลาใน
การฟื้นฟูบ้านเมือง จะให้สงครามกลางเมืองของพวก
เขามาทำร้ายแคว้นของพวกเราไม่ได้เด็ดขาด”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า
“จริงๆแล้วข้าเองก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน การ
เรียกตัวผู้หญิงจากตระกูลเหยียนไถง่าย แต่ว่าเรื่องที่
ตามมาหลังจากนั้นรับมือได้ยากมาก ตอนนี้ไหวหนาน
อ๋องกับจงอี้โหวต่างฝ่ายต่างมีกำลังอำนาจของตัวเอง
ทำให้ราชสำนักเกิดความสมดุลทางอำนาจ หากไม่
เกิดความเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ก็จะไม่เกิดความยุ่ง
เหยิงขึ้นมากนัก แต่หากจินเตาโหวเข้ามาพัวพันด้วย
แล้ว สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปมาก แล้วอาจจะ
ทำให้สถานการณ์ในราชสำนักวุ่นวายได้”
หลงไท่ขมวดคิ้ว “ข้าถึงได้กำลังเครียดเรื่องนี้อยู่”
“ฝ่าบาท ในเมื่อผู้หญิงในตระกูลเหยียนไถเรียกเข้าวัง
มาไม่ได้ นอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีคนที่เหมาะสมอยู่นะ”
ฉีหนิงพูดเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทเคยนึกถึงแคว้นตงฉี
บ้างหรือไม่?”
“ตงฉี?” หลงไท่อึ้งไป เขามองไปที่ฉีหนิงด้วยความ
ประหลาดใจ
ฉีหนิงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ชาวเป่ยฮั่นกับต้า
ฉู่ของพวกเราอยู่ตรงข้ามกัน ใครสามารถดึงตงฉีมา
เป็นพวกได้ คนนั้นก็จะได้เปรียบ หากฝ่าบาททรง
อภิเษกกับองค์หญิงตงฉี แล้วแต่งตั้งให้นางเป็น
ฮองเฮาของแคว้นฉู่ ฝ่าบาททรงคิดว่าเป็นเช่นไร?”
หลงไท่คิด สายตาของเขาเริ่มเป็นประกาย จากนั้นก็
ลุกขึ้นยืน แล้วจ้องไปที่ฉีหนิง น้ำเสียงของเขาดู
ตื่นเต้นมาก “ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ฉีหนิง เจ้า...เจ้า
หมายความว่าจะให้ข้ารับองค์หญิงของตงฉีมาเป็น
ฮองเฮาใช่หรือไม่?”
“ฝ่าบาท หากทรงอภิเษกกับองค์หญิงตงฉี ก็จะทำให้
พวกเราเป็นพันธมิตรเครือญาติกับแคว้นตงฉี ขุน
นางในราชสำนัก ใครก็รู้ว่าตงฉีสำคัญกับพวกเรามาก
แค่ไหน” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากฝ่าบาททำเพื่อ
ประโยชน์ของแคว้นฉู่ รับองค์หญิงตงฉีมาอภิเษกด้วย
ขุนนางในราชสำนักไม่มีใครกล้าขวางแน่นอน อีกทั้ง
ยังจะนับถือในตัวของพระองค์ด้วย ชาวตงฉีอยู่
ระหว่างกลางแคว้นฉู่กับเป่ยฮั่น หากองค์หญิงของ
พวกเขามาเป็นฮองเฮาของแคว้นพวกเรา ข้าคิดว่า
พวกเขาคงไม่ปฏิเสธแน่นอน”
หลงไท่พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ถูกต้อง แต่งงานกับองค์
หญิงตงฉี เป็นผลประโยชน์กับแคว้นพวกเรา ต่อให้
เป็นจงอี้โหว ก็พูดอะไรไม่ได้อีก”
“เพียงแต่ว่า...ฝ่าบาทอาจจะต้องทรงทนเอาหน่อยนะ
พะยะค่ะ” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “องค์หญิง
ตงฉีหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ฝ่าบาทยังไม่เคยพบ
หน้ามาก่อน หากเป็นคนหน้าตาอัปลักษณ์...”
เขายังพูดไม่ทันจบ หลงไท่ก็ส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้าผิดแล้ว องค์หญิงตงฉีไม่เพียงไม่อัปลักษณ์ แต่ยัง
งามราวกับดอกไม้อีกด้วย เมื่อเทียบกับตระกูลซื
อหม่าแล้วนางเหนือกว่าเป็นร้อยเท่า” เขาขยับเข้า
ใกล้ฉีหนิงมาก่อน แล้วพูดว่า “เจ้าอย่าลืมสิว่า ข้าเคย
ไปเข้าร่วมงานแต่งตั้งรัชทายาทที่แคว้นตงฉี ข้าเคย
พบกับองค์หญิงสามของตงฉี”
“ถ้าอย่างนั้น ฝ่าบาทก็ทรงพอพระทัยองค์หญิงสาม
แห่งตงฉีแล้วสิพะยะค่ะ?” ฉีหนิงหัวเราะ
หลงไท่รีบหุบยิ้ม แล้วกระแอมไอสองที แล้วพูดว่า
“ข้าเป็นคนหลงในนารีอย่างนั้นหรือ? เพียงแค่
ความคิดของเจ้า มันมีประโยชน์ต่อต้าฉู่ของพวกเรา
...” เขานิ่งไป แล้วเหมือนจะคิดหนัก แล้วพูดว่า “ข้า
ตัดสินใจแล้ว ข้าจะส่งทูตไปสู่ขอองค์หญิงตงฉี” เขา
พูดว่า “เมื่อทำแบบนี้แล้ว ตระกูลซือหม่าก็จะพูด
อะไรไม่ได้อีก”
“ฝ่าบาท หากจะส่งทูตไปยังตงฉี เรื่องนี้จะต้อง
เตรียมการให้ดี” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าแค่กังวลว่าจะมีชาว
ตงฉีคอยแอบฟังอยู่ แล้วทำให้เสียเรื่อง”
หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้ารู้” เขาคิด แล้วถามว่า
“ฉีหนิง หากข้าส่งทูตไปสู่ขอที่แคว้นตงฉี เจ้าคิดว่าส่ง
ใครไปดี”
“ก็ต้องเป็นเสนาบดีกรมพิธีการใต้เท้าหยวนสิ” ฉีหนิง
รีบพูด “ใต้เท้าหยวนรู้เรื่องพิธีการดี เหมาะสมกับการ
ทำเรื่องนี้ที่สุด”
หลงไท่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หยวนซิวหรูอายุหกสิบ
แล้ว ข้ากังวลว่าถ้าเขาต้องเดินทางไปยังตงฉี เส้นทาง
ภูเขาคดเคี้ยว เกรงว่าเขาจะไม่ไหว ต่อให้เขาทนได้
จนถึงตงฉี ด้วยอายุที่มากแล้ว สมองอาจจะเลอะ
เลือนเพราะความเหนื่อย หากเกิดอะไรที่ตงฉีขึ้นมา
ข้ากลัวว่าเขาจะรับมือไม่ไหว”
ฉีหนิงพูดว่า “นอกจากใต้เท้าหยวนแล้ว ฝ่าบาททรง
คิดว่าใครเหมาะสมอีก?” เขากดเสียงต่ำลง “การส่ง
ทูตไปสู่ขอ จะให้จงอี้โหวจัดการไม่ได้เด็ดขาด ข้ากลัว
ว่าเขาจะไม่คัดค้าน แต่แอบทำร้ายการสู่ขอครั้งนี้”
“ข้าก็รู้ดี” หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “แต่ว่าข้าเองก็
คิดไว้แล้ว ในเมื่อผู้หญิงของตระกูลซือหม่าเข้าวังไม่ได้
แต่ว่า...เพื่อปลอบใจพวกเขา ข้าจะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์
กงให้เขา” เขาพูดว่า “ก็อย่างที่เจ้าพูด ให้เขานั่ง
ตำแหน่งสูงขึ้น เพื่อให้กลายเป็นเป้า”
ฉีหนิงหัวเราะ ยังไม่ทันได้พูดอะไร หลงไท่ก็พูดขึ้นมา
ว่า “ฉีหนิง หากข้าส่งเจ้าไปตงฉี เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ฉีหนิงตะลึงไป แล้วรีบพูดว่า “ฝ่าบาท ข้าเพิ่งจะได้
เป็นผู้บัญชาการเองนะ ยังมีเรื่องการตั้งค่ายกิเลนดำ
อีก เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เกรงว่าอาจจะปลีกตัวไม่ได้
อีกอย่าง ข้าเองก็ไม่ถนัดเรื่องพิธีการอะไร ให้ข้าไป
ตงฉี หากไม่ระวัง ทำเสียเรื่องขึ้นมา มันจะไม่ดีเอา
นะ”
“เรื่องนี้ไว้ข้าคิดอีกทีก็แล้วกัน” หลงไท่คิดแล้วถาม
ขึ้นมาว่า “เรื่องค่ายกิเลนดำ เจ้ามีแผนอะไรแล้วหรือ
ยัง?”
“กำลังเตรียมการอยู่พะยะค่ะ” ฉีหนิงพูดว่า
“องครักษ์ในจวนจิ่นอีโหวหลายคนเคยเป็นคนในค่าย
กิเลนดำมาก่อน บางคนก็เป็นขุนพลในนั้น พวกเขา
คุ้นเคยกับค่ายกิเลนดำเป็นอย่างดี มีพวกเขาคอยช่วย
เรื่องนี้มีชัยไปกว่าครึ่ง”
หลงไท่พูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดี ฉีหนิง นี่เป็นเรื่องที่ข้า
กังวลมากที่สุด เจ้าจะต้องทำมันอย่างเต็มที่ อย่าทำให้
ข้าต้องผิดหวังเด็ดขาด” ทันใดนั้นเองเหมือนเขาคิด
อะไรขึ้นมาได้ เขามองไปที่ฉีหนิง แล้วถามว่า “ข้า
ถามเจ้าหน่อย วรยุทธ์ของเจ้า ได้มาจากไหนกัน? พูด
ความจริงมาให้หมด หากเจ้ากล้าโกหกข้า ข้าจะ
ลงโทษเจ้าฐานหลอกลวงเบื้องสูง ข้าจะให้คนตัดหัว
เจ้าทิ้งเสีย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 298 คลุมเครือไม่ชัดเจน
ฉีหนิงรู้อยู่แล้วว่าหลงไท่จะต้องถามเรื่องนี้ เขาได้
เตรียมคำตอบเอาไว้อยู่แล้ว เขาพูดด้วยท่าทางที่นอบ
น้อมมาก “ฝ่าบาท จริงๆ แล้วกระหม่อมกำลังจะทูล
เรื่องนี้กับพระองค์อยู่แล้ว”
“เล่ามาเล่ามา” หลงไท่เหมือนจะสนใจมาก “ข้าเคย
ประลองกับเจ้า วรยุทธ์ของเจ้าไม่ได้เหนือไปกว่าข้า
แต่ว่านี่ก็ผ่านไปไม่นานเอง เจ้ากลับฝึกเพลงกระบี่ที่
ร้ายกาจแบบนี้ได้ ข้าว่าเกือบเทียบได้กับอาจารย์เซี่ยง
แล้วนะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากข้าเล่าฝ่าบาทอาจจะไม่ทรง
เชื่อ หลายคืนก่อน มีคนลึกลับคนหนึ่งมายังห้องนอน
ของกระหม่อม เขาสอนเพลงกระบี่ให้กระหม่อมสอง
สามกระบวนท่า”
“มีเรื่องแปลกแบบนี้ด้วยหรือ?” หลงไท่อึ้งไป แล้วพูด
ว่า “คนลึกลับผู้นั้นคือใครกัน?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าถามเขา
แล้ว แต่เขาไม่ยอมบอกข้า เป็นชายแก่คนหนึ่ง”
“ชายแก่...?” หลงไท่ใช้ความคิด หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า
“องครักษ์ของจวนจิ่นอีโหวเองก็ไม่ได้กินหญ้าเป็น
อาหาร แอบเข้าห้องของเจ้าโดยที่ไม่มีใครเห็น วรยุทธ์
คงสูงมาก เขาสอนเพลงกระบี่ให้เจ้า ก็แสดงว่าไม่ได้มี
เจตนาร้าย น่าจะเป็นยอดฝีมือของแคว้นฉู่ของพวก
เรา” เขาถามอีกว่า “แล้วช่วงนี้เขามาอีกหรือไม่? ข้า
อยากเจอเขาจริงๆ”
“ฝ่าบาท แม้แต่ชื่อเขายังไม่ยอมบอกข้าเลย จะมาเข้า
วังพบฝ่าบาทได้อย่างไรกันเล่า” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่า
หลังจากที่เขาสอนเพลงกระบี่ให้แล้ว ก็ไม่เคยปรากฏ
ตัวอีกเลย ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
หลงไท่พยักหน้า ทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“ข้านี่เลอะเลือนจริง เกือบลืมเรื่องสำคัญไป ที่ข้า
เรียกตัวเจ้ามาพบ เพราะมีเรื่องอยากจะถามเจ้า” เขา
หยิบฎีกาฉบับหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นให้ฉีหนิง “เจ้าดู
เนื้อหาในฎีกานี้”
ฉีหนิงรับมาด้วยสองมือ แล้วเปิดอ่าน เขาขมวดคิ้ว
แล้วถามว่า “ฝ่าบาท นี่เป็นฎีกาของซีชวนชื่อสื่อเหว่ย
ซูถงหรือ?”
“ถูกต้อง” หลงไท่พูดว่า “ฎีกาของเหว่ยซูถงมาช้า
กว่าของหลี่หงซิ่นหลายวัน เจ้าลองดูดีๆ สิว่าฎีกาสอง
ฉบับนี้มันมีอะไรต่างกันบ้าง”
ฉีหนิงหยิบเอาฎีกาสองฉบับขึ้นมาอ่านเทียบอีกรอบ
เขาเงยหน้าขึ้นมา “ในฎีกาของหลี่หงซิ่น รายงานว่า
นายอำเภอตันปาไป๋ถังหลิงอีกทั้งขุนนางท้องที่อีก
หลายคนถูกสังหาร แต่ว่าฎีกาของเหว่ยซูถงกลับบอก
ว่ามีขุนนางตายอยู่ที่ถ้ำเฮยเหยียนหลิง ดูเหมือนจะ
ความหมายเหมือนกัน แต่ก็เหมือนจะมีปัญหาใหญ่
อยู่”
“ถูกต้อง” หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “เหว่ยซูถงบอกแค่ว่า
ขุนนางตายอยู่ในถ้ำเฮยเหยียนหลิง แต่ไม่ได้บอกว่า
คนของถ้ำเป็นคนฆ่า แต่ว่าฎีกาของหลี่หงซิ่นกลับระบุ
ชัดเจนว่านายอำเภอตันปาไป๋ถังหลิงถูกฆ่า แต่ว่าใน
ฎีกาของเหว่ยซูถง บอกแค่ว่ามีขุนนางตาย แต่ไม่ได้
พูดถึงนายอำเภอไป๋ถังหลิงตาย”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว “ฝ่าบาท ฎีกาของเหว่ยซูถงเขียนไม่
ชัดเจนสักเท่าไหร่ เขาเป็นขุนนางที่ทางราชสำนัก
ส่งไปประจำที่ซีชวน ตามหลักแล้ว ฎีกาของเขาควร
จะชัดเจนกว่าของหลี่หงซิ่นถึงจะถูก แต่ว่าหลังจาก
อ่านฎีกานี้แล้ว กลับอ่านไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอ่านฎีกาไม่มาก ไม่เข้าใจ
ความหมายที่แฝงอยู่ก็ไม่แปลก”
“ขอฝ่าบาททรงชี้แนะด้วย”
“เจ้ารู้สึกว่าฎีกาของเหว่ยซูถงไม่ชัดเจน ที่จริงแล้วมัน
ก็คือความหมายที่เหว่ยซูถงต้องการจะแจ้งกับทาง
ราชสำนัก” หลงไท่พูดว่า “สิ่งที่เขาอยากจะพูดมัน
ไม่ได้อยู่ในฎีกา แต่อยู่นอกฎีกา”
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาทันที แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท
หมายความว่า เนื้อหาฎีกาฉบับนี้ไม่ใช่สิ่งที่เหว่ยซูถง
อยากจะบอกกับราชสำนัก เขาแค่ใช้ฎีกาสื่อ
ความหมายแฝง?” เขาขมวดคิ้วพูดว่า “แต่ว่าเหตุใด
เขาถึงต้องทำแบบนีด้ ้วย? เขาเป็นซีชวนชื่อสื่อ หากมี
อะไรอยากจะรายงานราชสำนัก เหตุใดถึงต้องพูด
อะไรคลุมเครือแบบนี้ด้วย ยังต้องให้ฝ่าบาทมานั่งเดา
ความหมายของเขาอีก?”
หลงไท่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าอ่านฎีกาฉบับนี้แล้ว
คิดไปคิดมา มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรก
เหว่ยซูถงอาจจะกังวลว่าจะมีคนแอบอ่านฎีกาฉบับนี้
ดังนั้นก็เลยไม่กล้าพูดในสิ่งที่อยากจะพูด ให้ข้าเดาสิ่ง
ที่ซ่อนอยู่แทน อีกความเป็นไปได้ก็คือ เหว่ยซูถงตั้งใจ
เขียนไม่ชัดเจน เผื่อเหลือทางให้กับตัวเอง”
“เหลือทางให้ตัวเอง?”
“อาจเป็นไปได้ว่าทางซีชวนอาจมีเงื่อนงำอะไร
บางอย่าง เหว่ยซูถงกังวลว่าราชสำนักอาจสืบได้ความ
อะไร ดังนั้นจึงเหลือช่องทางหนีให้กับตัวเองไว้” หลง
ไท่พูดว่า “อดีตฮ่องเต้ส่งเขาไปทีซ่ ีชวน เพื่อให้เขา
ปกครองดูแลที่นั่นให้ดี เพื่อเป็นหูเป็นตาที่ซีชวน หาก
คนๆ นี้ต้องการรักษาชีวิตตัวเอง โดยไม่สนใจเรื่องจริง
ข้าว่าเขาก็ไม่ควรจะอยู่ที่ซีชวนอีก”
“ฝ่าบาท ทรงอภัยด้วยที่กระหม่อมโง่เขลา ฝ่าบาท
บอกว่าเหว่ยซูถงกังวลว่าคนอื่นจะแอบอ่านฎีกาฉบับ
นี้ เลยไม่กล้ารายงานเรื่องจริงมาทั้งหมด ถ้าอย่างนั้น
กระหม่อมก็มีสองเรื่องที่ไม่เข้าใจ ข้อแรก เหว่ยซูถง
กังวลใคร ข้อสอง เขาไม่กล้าพูดความจริง มันเพราะ
อะไร?” ฉีหนิงสีหน้าจริงจังขึ้นมา “เขาเป็นถึงซีชวน
ชื่อสื่อหากกลัวเรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำเฮยเหยียนแบบนี้
ไม่กล้าพูดตรงๆ ถ้าอย่างนั้นเบื้องหลังเรื่องนี้คงไม่ใช่
เรื่องเล็ก”
หลงไท่ขยับตัวเข้ามา แล้วพูดเสียงเบาว่า “ช่วงนี้ที่ซี
ชวนเกิดเรื่องไม่หยุด เจ้าคิดว่ามันแปลกหรือไม่?”
“ฝ่าบาทตรัสถูกแล้ว” ฉีหนิงพูด
หลงไท่คิดแล้วพูดว่า “ครั้งที่แล้วรีบร้อนช่วยคน ข้ายัง
ไม่มีเวลาถามเจ้าเลย ครั้งที่แล้วชิวเฉียนอี้จับตัวเจ้าไป
ซีเหมินอู๋เหิงส่งคนไปซีชวน เริ่มสืบเรื่องของพรรคบัว
ดำแล้ว ครั้งนี้ถ้ำเฮยเหยียนก่อกบฏอีก ไหวหนานอ๋อง
บอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำแน่นอน เป็น
เวลาที่เหมาะสม ให้นำทัพบุกปราบพรรคบัวดำ”
“ไหวหนานอ๋องเหมือนจะรีบร้อนกำจัดพรรคบัวดำ
มาก” ฉีหนิงพูดว่า “แล้วจงอี้โหวมีความเห็นอย่างไร
บ้าง?”
“ก่อนหน้านี้ซือหม่าหลันบอกว่าต้องเก็บรวบรวม
หลักฐานก่อน แต่พอราชาพิษจิ่วซีบุกเข้าจวนเสินโหว
เขาก็เหมือนไม่มีอะไรจะพูดอีก พรรคบัวดำคิดก่อ
กบฏ ราชสำนักไม่มีทางนั่งเฉยๆ แน่นอน” หลงไท่พูด
ว่า “หลูเซียวกรมกลาโหมตอนนี้เริ่มวางแผนในการ
กวาดล้างพรรคบัวดำแล้ว เพียงแต่ตอนนี้หน้าหนาว
เส้นทางซีชวนอันตราย พรรคบัวดำตั้งอยู่กลางหุบเขา
ต่อให้จะยกทัพไปจริง ก็ต้องรอหลังตรุษจีนไปก่อน”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “แต่ว่าชิวเฉียนอี้บอกว่า
พิษระบาดคราวนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา”
“ดังนั้นราชสำนักเองก็ได้ให้เวลาเขา” หลงไท่พูดว่า
“ในเมื่อพรรคบัวดำเป็นพรรคในยุทธภพ ข้าเองก็ใช้
กฎยุทธภพในการคุยกับพวกเขา คนของจวนเสินโหว
จะไปหาพรรคบัวดำ ให้พวกเขาส่งตัวชิวเฉียนอี้มา
หากชิวเฉียนอี้ยอมมารับโทษที่เมืองหลงวง พรรคบัว
ดำเองก็หาคนร้ายตัวจริงที่วางยาพิษในเมืองหลวงได้
ราชสำนักอาจจะไม่ปราณีพวกเขาได้ มิเช่นนั้น...ต่อให้
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาจริง แต่ว่าพวกเขาก็
ไม่ได้ทำตามคำสั่งของราชสำนัก ก็ถือว่าเป็นกบฎ
เช่นกัน”
ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาทรงพระปรีชา มันสามารถแสดง
แสงยานุภาพของพระองค์ได้” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้ว
พูดว่า “แต่ว่าคนของพรรคบัวดำ เลี้ยงไม่เชื่อง
อาจจะไม่ให้ความร่วมมือกับทางราชสำนักก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็จะโทษราชสำนักไม่ได้อีก” หลงไท่พูด
ว่า “ซีชวนไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามก็จะวุ่นวายไม่ได้
เด็ดขาด หากเกิดความวุ่นวายขึ้นแม้เพียงนิดเดียว ก็
จะต้องรีบกำราบให้เร็วที่สุด” เขายิ้มแล้วพูดว่า “จริง
สิ ยังเหลืออักยี่สิบกว่าวันก็จะสิ้นปีแล้ว เจ้าเตรียม
ของอะไรมาให้ข้าบ้าง?”
ฉีหนิงอ้าปากค้าง เหงื่อไหลออกจากทางหน้าผาก
“ฝ่าบาท ทรงอภัยที่กระหม่อมขอพูดตามตรง ควรจะ
...ควรจะเป็นพระองค์มากกว่ากระมังที่ต้องประทาน
ให้กระหม่อม?”
“ข้าเพิ่งจะครองราชย์ นี่เป็นปีใหม่ปีแรกหลังจากที่ข้า
ครองราชย์ เจ้าไม่คิดจะแสดงความภักดีกตัญญู อีกทั้ง
ยังกล้าขอให้ข้าประทานของให้เจ้าอีก บังอาจเกินไป
แล้วนะ” หลงไท่ตั้งใจชักสีหน้าใส่ “ช่างเถอะ ข้าเองก็
ไม่ได้ต้องการอะไรของเจ้า เจ้าเองก็อย่ามาขอให้ข้า
ประทานอะไรให้เจ้า พวกเราจะได้ไม่ต้องติดค้างกัน”
ฉีหนิงคิดในใจว่าข้ายังไม่เคยเจอฮ่องเต้ที่ไหนขี้เหนียว
ขนาดนี้มาก่อน เขายิ้มแล้วถามว่า “ฝ่าบาท ที่จริง
แล้วตอนนี้ในจวนกระหม่อมขาดแคลนเงินอยู่พอควร
ปีใหม่แล้ว หากในมือไม่มีเงินเลยมันน่าเกียจเกินไป
ฝ่าบาททรงประทานเงินให้กระหม่อมยืมก่อนได้
หรือไม่?” เขาแอบคิดในใจว่า เจ้าบ้านี่ค้างข้าห้าร้อย
ตำลึงทอง คิดว่าชาตินี้คงหมดหวังจะได้แล้ว
“เช่นนั้นหรือ?” หลงไท่ตาเป็นประกาย แล้วพูดว่า
“เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าได้เงิน
มาจากตระกูลโต้วห้าพันตำลึง มันเรื่องอะไรกัน?”
ฉีหนิงรู้อยู่แล้วว่าหลงไท่อย่างไรก็ต้องรู้เรื่องนี้ เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “โต้วเหลียนจงวางอำนาจบาตรใหญ่ ข้าก็
แค่ช่วยเอาเงินในกระเป๋าของเขามาใช้ก็แค่นั้น”
“เจ้าก็ใจกล้าไม่เบา” หลงไท่พูดว่า “เอาชื่อของข้าไป
ใช้ อีกทั้งยังเก็บเงินมาบูชาฟ้าอีก พูดความจริงมา
ได้มาทั้งหมดเท่าไหร่?”
“ฝ่าบาท ได้มาไม่เท่าไหร่เอง” ฉีหนิงทำหน้าลำบาก
ใจแล้วพูดว่า “รวมแล้วก็แค่หนึ่งหมื่นตำลึงเอง”
“หนึ่งหมื่นตำลึงยังน้อยอีกหรือ” หลงไท่ยิ้มแล้วด่าว่า
“ในมือข้ายังมีเงินไม่มากขนาดนี้เลย ข้าบอกเจ้าก่อน
นะ จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นที่ผ่านมาใจซื่อมือสะอาด เจ้า
ห้ามทำลายชื่อเสียงของจวนจิ่นอีโหวเด็ดขาด เงิน
พวกนี้ ถือว่าข้ายกให้เจ้าเป็นรางวัลก็แล้วกัน” เขา
หยุดไปครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นแค่เสนาบดีกรม
คลังเล็กๆ แต่กลับมีเงินมากเกินพันเกินหมื่นตำลึงได้
การค้าของตระกูลโต้วนี่มันรุ่งเรืองจริงๆ”
“ฝ่าบาท ข้าเคยได้ยินมาว่าการค้าในเมืองหลวงเกิน
ครึ่งมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลโต้วทั้งสิ้น” ตระกูลฉี
และตระกูลโต้วทั้งสองตระกูลเหมือนน้ำกับไฟเข้ากัน
ไม่ได้ เมื่อมีโอกาส ฉีหนิงก็จะไม่ลืมที่จะใช้ยาแรงกับ
ตระกูลโต้ว “เจ้าคนที่ชื่อโต้วเหลียนจงก็เป็นแค่ลูก
ชายของโต้วขุ่ยเท่านั้น ไม่ได้มีตำแหน่งขุนนาง แต่ว่า
เวลาใช้เงินกลับควักเงินควักทองออกมาเป็นพันได้”
หลงไท่คิดแล้วพูดว่า “ข้ารู้แล้ว” เขาพูดอีกว่า “เรื่อง
ของเจ้าในตอนนี้ ก็คือฝึกฝนค่ายกิเลนดำ หากมีเรื่อง
อะไร ให้มารายงานข้าได้เลย”
“รับบัญชา” ฉีหนิงพูด
“จริงสิ ป้ายทองอยู่ที่ไหน?” หลงไท่พูดว่า “ป้ายทอง
ที่ให้เจ้าไปอยู่ที่ไหน เจ้ายังไม่ได้คืนให้ข้าเลยนะ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าฮ่องเต้น้อยนี่ขี้เหนียวจริงๆ ครั้งที่
แล้วไปจวนเสินโหว หลงไท่ให้ป้ายทองกับเขาเอาไว้
เพื่อเข้าไปสอบปากคำอาเหน่าได้ง่าย ฉีหนิงได้ป้าย
ทองมาแล้ว ก็ยังไม่ได้คืนให้ พอหลงไท่ถามหา ก็ต้อง
คืนไป
เมื่ออกมาจากวังหลวง ฉีหนิงก็ไม่ได้รีบร้อนกลับจวน
เขาตรงไปยังกรมกลาโหม
การก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่ ต้องเตรียมเสบียง
อาหารกับของไม่น้อย ถึงแม้พวกอาวุธกับเสบียง
จะต้องรอเงินจากกรมคลัง แต่ว่ายังต้องผ่านกรม
กลาโหมในการจัดสรร จะไปเอากับทางกรมคลังเลย
ไม่ได้
ค่ายกิเลนดำเริ่มวางแผนการก่อตั้งแล้ว แต่ฉีหนิงยัง
ไม่ได้อุปกรณ์อะไรเลยสักชิ้น เงินหรือเสบียงก็ยังไม่ได้
เลยแม้แต่แดงเดียว เขาก็ต้องไปถามหาเอากับทาง
กรมกลาโหม
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 299 พูดชี้แจงให้ชัดเจน
เมื่อฉีหนิงมาถึงกรมกลาโหม เขาก็แจ้งฐานะของ
ตัวเอง จากนั้นเขาก็ถูกเชิญเข้าไปด้านใน เมื่อมาถึง
ห้องโถงรับรองของกรมกลาโหม จั่วซื่อหลางกรม
กลาโหมหลูเซียวก็มาต้อนรับ เขายิ้มแล้วพูดว่า “โหว
เยว่ หากท่านมีอะไรก็ให้คนมาแจ้งข้าน้อยก็ได้ ไม่เห็น
ต้องมาด้วยตัวเองเลย” ระหว่างที่เขาพูด ก็มีคนเอา
น้ำชามาให้ฉีหนิง
ตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหมเป็นของจินเตาโหว แต่
เป็นเพราะจินเตาโหวอายุมากแล้ว หลายปีมานี่มายัง
กรมกลาโหมน้อยมาก ถึงแม้หลูเซียวจะเป็นจั่วซื่อ
หลางของกรมกลาโหม เรื่องในกรมกลาโหมก็มากมาย
ทั้งหมดก็เลยให้เขาเป็นคนดูแลจัดการ
“ที่โหวเยว่มาในวันนี้ น่าจะเป็นเพราะเรื่องของค่าย
กิเลนดำ?” หลังจากนั่งลงแล้ว หลูเซียวก็ไม่พูดอ้อม
ค้อม เขาพูดตรงๆ เลยว่า “ข้าน้อยยังไม่ได้แสดงความ
ยินดีกับท่านเลย”
ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะมีรอยยิ้ม ปากจะแสดงความ
ยินดี แต่น้ำเสียงของเขาไม่ได้มีความยินดีอยู่เลย
ฉีหนิงรู้ดีว่าภายหลังที่ตระกูลฉีรุ่งเรืองขึ้นมา ก็ได้
แทนที่ตระกูลขุนศึกอันดับหนึ่งของต้าฉู่อย่างตระกูล
เหยียนไถ ซึ่งมันก็ทำให้ตระกูลเหยียนไถเห็นตระกูลฉี
เป็นเหมือนศัตรู
หลูเซียวเป็นอดีตคนในสังกัดจินเตาโหว ก็จะต้อง
ปกป้องผลประโยชน์ของจินเตาโหวอยู่แล้ว ซึ่งเขาก็
ไม่ได้รู้สึกอะไรกับตระกูลฉีอยู่แล้ว
ทั้งสองฝ่ายมีท่าทีที่ชัดเจน ฉีหนิงรู้ว่าต่อให้พูดจา
ดีกว่านี้ ก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายดี
ขึ้น เขายิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหลูท่านก็น่าจะรู้ดี ข้า
ได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาท ให้ตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมา
ใหม่ มีงานมากมายก่ายกอง จะว่าไปแล้ว ยังต้อง
รบกวนใต้เท้าหลูให้ช่วยดูแลให้ถึงจะถูก”
“การตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมาใหม่เป็นเรื่องใหญ่ของราช
สำนัก” หลูเซียวพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตอนนั้นท่าน
แม่ทัพใหญ่ฉีก่อตั้งค่ายกิเลนดำขึ้นมา ก็เพื่อทำศึกกับ
ทางกองกำลังเสวี่ยหลันโดยเฉพาะ ทำให้ข้าน้อยทั้ง
นับถือแล้วก็เสียดายด้วย โหวเยว่ ไม่ทราบว่าท่านได้
ที่ตั้งค่ายกิเลนดำแล้วหรือยัง?”
“ทางใต้ของเมืองหลวงริมแม่น้ำจีก่วน มีที่ตั้งค่ายเดิม
ของค่ายกิเลนดำ” ฉีหนิงพูดว่า “เห็นว่าที่นั่นยังมีทุก
อย่างพร้อม เพียงแค่เก่าไปหน่อยแค่นั้น ไว้ค่อยให้
ทางกรมโยธาไปซ่อมแซมเสียหน่อย น่าจะใช้ได้แล้ว”
หลูเซียวพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ข้าน้อย
รู้ว่าโหวเยว่ต้องมาหารือกับข้าน้อยแน่นอน กำลังคิด
อยู่เลยว่าจะจัดให้ค่ายกิเลนดำไปอยู่ตรงนั้น เดิมทีคิด
ว่าที่ริมแม่น้ำจีก่วนมันเก่าเกินไป โหวเยว่อาจจะไม่
สนใจ ตอนนี้โหวเยว่พูดขึ้นมา ก็ถือว่าลดความกังวล
ของข้าน้อยลงไปเรือ่ งหนึ่งแล้ว”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณใต้เท้าหลูที่เป็นห่วง
วันนี้ที่ข้ามา หลักๆ ก็เรื่องอุปกรณ์กับเสบียงอาหาร”
“ข้าน้อยทราบดี” หลูเซียวพยักหน้าแล้วพูดว่า “แต่
ว่าโหวเยว่ก็รู้ เกราะที่ทางค่ายกิเลนดำใช้ไม่เหมือน
ค่ายอื่น ต้องสั่งทำพิเศษ อีกทั้งยังต้องใช้งบจำนวน
มากด้วย ทางกรมคลังยังไม่ได้ส่งงบประมาณตรงนี้มา
ให้ ทางกรมกลาโหมเองก็วางแผนจัดการได้ยาก เรื่อง
นี้ต้องวางแผนระยะยาว ดังนั้นตอนนี้จะรีบร้อนไม่ได้”
ฉีหนิงพยักหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้ารู้ดี
โดยเฉพาะเรื่องเกราะ มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำเสร็จได้ใน
วันสองวัน วันนี้ที่ข้ามาที่นี่ ก็ไม่ได้จะให้ทางกรม
กลาโหมส่งเกราะไปให้ในทันที แต่ว่าม้าศึก เสบียง
อาหาร กับเสื้อผ้าของค่ายกิเลนดำจะต้องรีบเตรียมให้
ทันที”
“อ๋อ?” หลูเซียวยกน้ำชาขึ้น เขาใช้ฝาปัดให้กลิ่นชา
โชยขึ้นมา แล้วพูดว่า “ม้าศึกคงหาให้ได้ไม่มาก
ในตอนนี้ ศึกที่ชายแดน ทหารแต่ละค่ายก็มาขอเบิก
เอาม้าไปจนเกือบหมด กรมกลาโหมตอนนี้ก็มีม้าแบ่ง
ไปได้ไม่มาก ส่วนเสื้อผ้าชุดฝึกข้าน้อยยังพอส่งคนไป
เร่งทางกรมคลังได้อยู่ เพียงแต่ไม่รู้ต้องใช้เวลานานแค่
ไหน ข้าน้อยก็ไม่กล้ารับประกัน ส่วนเรื่องเสบียง
อาหาร ก็ต้องรอให้ค่ายทหารซ่อมแซมจนแล้วเสร็จ
ถึงจะส่งไปให้ได้”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ค่ายกิเลนดำยึดการขี่ม้า
ทำศึกเป็นหลัก การฝึกฝนก็ต้องใช้วิชาขี่ม้ายิงธนู หาก
ไม่มีม้า แล้วจะฝึกฝนได้อย่างไรกัน?”
“โหวเยว่อย่าเพิ่งร้อนใจ” หลูเซียวยิ้มแล้วพูดว่า “ปี
หน้าเดือนเจ็ดหรือแปด เมื่อมีการปรับการโยกย้ายม้า
ศึก ถึงเวลานั้นข้าน้อยจะส่งไปให้ท่านก่อนเลยคน
แรก”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าต้องรออีกครึ่งปีถึงจะได้ม้าศึกมา
อย่างนั้นหละหรือ?”
หลูเซียววางถ้วยชาลง แล้วพูดว่า “ข้าน้อยรู้ดีว่าโหว
เยว่เพิ่งจะรับตำแหน่งใหม่ หลายต่อหลายเรื่อง
อยากจะทำให้เสร็จเร็วๆ แต่ว่าหลายเรื่องมันจะรีบเร่ง
ไม่ได้ หากไม่ได้มีศึกฉินไหวในสามปีที่ผ่านมา อย่าว่า
แต่ม้าพันตัวเลย สามพันตัว กรมกลาโหมก็หามาให้
ท่านได้ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้ว
พูดว่า “ไม่ว่าจะม้าศึกอุปกรณ์ หรือว่าเสบียงอาหาร
ทุกหน่วยงานให้ความร่วมมืออยู่แล้ว แต่ว่ามันไม่
สามารถสำเร็จภายในหนึ่งหรือสองวันได้”
ฉีหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ค่ายกิเลนดำต้องรอจนถึง
เดือนเจ็ดเดือนแปดในปีหน้าถึงจะสามารถเริ่มฝึกได้
อย่างนั้นหรือ”
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก” หลูเซียวยิ้มแล้วพูดว่า “โหว
เยว่สามารถรวบรวมกำลังพลให้ครบก่อน ฝึกพื้นฐาน
วรยุทธ์ของพวกเขาให้แน่น หลังจากนั้นพอฝึกขั้นสูง
มันก็จะง่ายขึ้นกว่าเดิม”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหลู ที่ข้ามาใน
วันนี้ไม่ได้มาเพื่อหาเรื่องกับท่านหรอกนะ แต่มารับม้า
และอุปกรณ์อื่นๆ แต่ท่านกลับเลื่อนไปจนถึงเดือนเจ็ด
เดือนแปด ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ”
“โหวเยว่วางใจได้ ทางกลมกลาโหม จะรีบเร่ง
ดำเนินการให้” หลูเซียวหัวเราะแล้วพูดว่า “จริงสิ
โหวเยว่ มีอีกเรื่อง ข้าน้อยอยากขอคำชี้แนะกับท่าน
หน่อย”
“ใต้เท้าหลูเกรงใจเกินไปแลว ไม่ทราบว่าท่านอยากให้
ข้าชี้แนะเรื่องอะไร?”
“โหวเยว่รู้สึกว่าเรื่องของทางซีชวน ควรยกทัพไป
ปราบปรามหรือไม่?” หลูเซียวจ้องตาของฉีหนิง
“พรรคบัวดำกำเริบเสิบสาน อีกทั้งยังร่วมมือกับชาว
เจ็ดสิบสองถ้ำก่อความวุ่นวาย หากไม่รีบกวาดล้างไป
ต่อไปจะกลายเป็นภัยใหญ่หลวง”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าคิดอยากจะฝึกทหาร
ให้ดี ส่วนเรื่องของซีชวน ยังไกลตัวนัก ขุนนางราช
สำนักสำคัญอย่างพวกท่านคงมีความเห็นอยู่แล้ว ข้า
ไม่เหมาะที่จะให้ความเห็น”
“โหวเยว่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว” หลูเซียวพูดว่า “ตอน
นั้นท่านจิ่นอีเหล่าโหวสร้างผลงานครั้งใหญ่ที่ซีชวน
สะเทือนไปทั่วดินแดน ซีชวนเป็นพื้นที่แห่งโชคของ
ตระกูลฉีเลยนะ” เขาเขยิบเข้ามาใกล้ “โหวเยว่ ทาง
กรมกลาโหมได้เริ่มวางแผนการทหารไว้รับมือแล้ว ใน
เมื่อชาวเหมียวก่อความวุ่นวาย จะยื้อต่อไปไม่ได้อีก
ไม่ต้องใช้ทหารมาก แต่ต้องเพิ่มกำลังใจของพวกเขา
ให้ฮึกเหิมมากขึ้นหน่อยก็พอแล้ว”
ฉีหนิงพูดว่า “ความหมายของใต้เท้าหลูข้าไม่ค่อย
เข้าใจเท่าไหร่”
“โหวเยว่ ท่านจิ่นอีเหล่าโหวยกทัพไปปราบดินแดนสู่
ชื่อเสียงสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วปฐพี จนถึงตอนนี้
บารมีของจิ่นอีโหวในซีชวนนั้นก็ยังเป็นที่ยำเกรง” หลู
เซียวยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่เคยคิดที่จะยกทัพไป
กวาดล้างชาวเหมียวด้วยตัวเองหรือไม่?”
ฉีหนิงตะลึงไป แอบคิดในใจว่าตาเฒ่านี่คิดจะให้เขา
ยกทัพไปเองอย่างนั้นหรือ? สีหน้าของเขาดูลำบากใจ
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหลู พรรคบัวดำสร้างความ
วุ่นวาย ถึงแม้พรรคบัวดำจะก่อตั้งโดยชาวเหมียว แต่
ว่ามันไม่ได้หมายความว่าชาวเหมียวเป็นคนทำ ดังนั้น
ยังตัดสินไม่ได้ว่าชาวเหมียวสร้างความวุ่นวาย พวก
เราคุยกันตรงนี้ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ แต่หากเรื่องนี้
แพร่งพรายออกไป ทางซีชวนรู้ว่าทางราชสำนักตัดสิน
ไปแล้วว่าที่พรรคบัวดำก่อความวุ่นวายเป็นเพราะชาว
เหมียว ต่อให้ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำไม่อยากก่อ
กบฏ ก็ต้องถูกราชสำนักบีบจนต้องกบฏจริงๆ”
หลูเซียวอึ้งไป เขายิม้ อย่งกระอักกระอ่วนใจแล้วพูดว่า
“โหวเยว่พูดถูกต้องแล้ว ข้าน้อยสะเพร่าเอง”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าเจ้าเองก็ดูแลจัดการกรม
กลาโหมมานานหลายปี พูดจาฉะฉานไม่มีพลาด แล้ว
จะมาพลาดต่อหน้าเขาง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไรกัน?
เขาคิดในใจว่า หรือว่าหลูเซียวคิดจะใช้พรรคบัวดำใน
การบีบให้ชาวเหมียวก่อกบฏ?
ที่จริงแล้วเขาแปลกใจมาตลอด ตามที่ต้วนฉางไห่ว่า
มา ไหวหนานอ๋องกับจินเตาโหวไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกัน
แต่ว่าเหตใดเรื่องการส่งทหารปราบซีชวนในครั้งนี้ ทั้ง
สองฝ่ายถึงได้คิดไปในทางเดียวกันได้ ฉีหนิงคิดในใจ
ว่าหรือว่าพวกเขาทั้งสองแอบส่งคนมาทำข้อตกลงกัน
ไว้ก่อน เช่นนั้นก็แสดงว่าได้ทำข้อตกลงเรื่อง
ผลประโยชน์กันไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าเขาเองก็ยังคิด
ไม่ตกว่า การกวาดล้างพรรคบัวดำเพื่อให้ชาวเหมียว
ก่อกบฏ มันมีประโยชน์กับไหวหนานอ๋องกับจินเตา
โหวอย่างไร?
“โหวเยว่ ขออภัยที่ข้าน้อยคงต้องเสียมารยาทแล้ว”
หลูเซียวลุกขึ้น แล้วพูดว่า “กรมกลาโหมยังมีเรื่องอีก
มากที่ต้องจัดการ เรื่องที่โหวเยว่พูดมาข้าน้อยจะจำใส่
ใจ หากมีความคืบหน้าอะไร จะรีบส่งคนไปแจ้งให้โหว
เยว่ทราบทันที ขออภัยที่ข้าน้อยไม่อาจอยู่เป็นเพื่อน
ท่านได้อีก”
ฉีหนิงเองก็ลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “หลังจากที่ค่ายทหาร
ซ่อมแซมเสร็จ หวังว่าใต้เท้าหลูจะส่งสิ่งของไปให้ครบ
ความลำบากใจของทั้งกรมคลังและกรมกลาโหม ข้า
เข้าใจดี แต่ข้าเองก็รับบัญชามาให้ฝึกทหาร ดังนั้น
ขอให้ใต้เท้าหลูให้ความร่วมมือด้วย” เขาหยุดไปครู่
หนึ่ง น้ำเสียงก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ “วันนี้มาหารือดีๆ กับ
ไต้เท้าหลู แต่เมื่อถึงเวลานั้น หากสิ่งของขาดไป เกรง
ว่าอาจจะไม่ใช่ข้าที่มาคุยกับท่าน แต่หากเป็นทหาร
พันคนของค่ายกิเลนดำ”
วันนี้เมื่อหลูเซียวเอ่ยปากพูด ฉีหนิงก็รู้ว่าตาเฒ่านี่
ตั้งใจขัดขวางการก่อตั้งค่ายกิเลนดำ คนของจินเตา
โหวตระกูลเหยียนไถคงไม่ยินดีที่จะเห็นจินอีตระกูลฉี
ทำการสำเร็จราบรื่นไปได้
ฉีหนิงรู้ว่า ไม่ว่าจะพูดจริงหรือว่าเสแสร้ง ไม่ว่าจะพูด
อะไรออกไป เรื่องก็อาจจะไม่คืบหน้า ในเมื่อเป็นอย่าง
นั้นก็พูดชี้แจงให้ชัดเจนไว้ก่อนดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้
เตือนสติกัน
หลูเซียวขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขายกมือคำนับ
แล้วพูดว่า “มีงานราชกิจอีกมาก ขออภัยโหวเยว่ด้วย
ที่ไม่ได้ไปส่ง” เขาหันหลังแล้วเดินไป
ฉีหนิงยิ้มหน้าเจื่อน เขาก็ไม่เสียเวลาอยู่ที่กรมกลาโหม
ต่อ เมื่อเดินออกจากประตูใหญ่ของกรมกลาโหมไม่
ไกล ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียก “โหวเยว่”
ฉีหนิงตกใจ เขาหันหลังไปมอง เห็นขอทานหลายคน
กำลังเดินหน้ามาหา หนึ่งในนั้นเขาคุ้นหน้า เขานึกครู่
หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคือหลิวชิงโจวใช่
หรือไม่?”
ขอทานคนนั้นคือหลิวชิงโจงที่ฉีหนิงพบหน้าหลายครั้ง
ครั้งที่แล้วเขาถูกพิษระบาดด้วย เกือบจะตายไป อีก
ทั้งเขายังคือคนทีถ่ ูกส่งตัวไปยังร้านยาหย่งอันเพื่อ
ทดลองยา และกลายเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการถอนพิษ
เป็นคนแรก
ใบหน้าของเขายังคงมีรอยแดงอยู่ แต่จางไปมากแล้ว
สีหน้าท่าทางของเขาดูดีมาก ฉีหนิงลงจากม้า หลิวชิง
โจวโค้งตัวแล้วพูดว่า “โหวเยว่ยังจำชื่อข้าน้อยได้อีก
หรือ?”
“จำได้สิ พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
หลิวชิงโจวพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสจูเชวี่ยสั่งให้ข้าน้อยมา
เชิญโหวเยว่ไปดื่มเหล้า ท่านผู้อาวุโสได้จัดโต๊ะอาหาร
และเหล้าไว้ที่ตรอกหลัวกู่ อยากจะเลี้ยงขอบคุณโหว
เยว่ที่ช่วยชีวิตพรรคกระยาจกเอาไว้ ท่านผู้อาวุโสยัง
บอกอีกว่า โหวเยว่มีเรื่องมากมาย หากไม่สะดวก ก็ให้
พวกเรารอ รอจนกว่าโหวเยว่จะสามารถปลีกเวลาไป
ได้”
“อ๋อ เกรงใจกันเกินไปแล้ว” ฉีหนิงรู้ดีว่า พรรค
กระยาจกเป็นพรรคที่มีกำลังพลอันดับหนึ่งในยุทธภพ
เรื่องในคราวนี้ จวนจิ่นอีโหวกับทางพรรคกระยาจกได้
สร้างสัมพันธ์อันดีขึ้นมา เขาก็รู้ว่าพรรคกระยาจกมี
คนมากจึงมีหูตาที่กว้าขวาง ในเมืองหลวงไม่ว่าจะ
ตรอกซอกซอยไหน ก็มีศิษย์ของพรรคกระยาจกอยู่
เมื่อเป็นมิตรที่ดีของพรรคกระยาจก ก็ไม่ใช่เรื่อง
เลวร้ายอะไร เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ตอนนี้ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรพอดี ในเมื่อท่านผู้อาวุโสจู
เชวี่ยเกรงใจกันขนาดนี้ ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร”
หลิวชิงโจวพูดด้วยความดีใจมากว่า “ขอบคุณโหวเยว่
ที่ให้เกียรติ โหวเยว่ เชิญขอรับ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 10 บทที่ 300 ป้ายคำสั่งจูเชวี่ย
เมื่อฉีหนิงตามหลิวชิงโจวกับพวกไปถึงตรอกหลัวกู่
เขาเคยมาที่นี่แล้ว ที่นี่เป็นที่ตั้งของสาขากุ่ยจินหยาง
เขาคุ้นเคยกับที่นี่ดี
เมื่อเข้ามายังภายใน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งยืนรอต้อนรับอยู่
แล้ว ฉีหนิงเข้าไปยังเรือน ก็เห็นผู้อาวุโสจูเชวี่ยเดิน
ขึ้นมาต้อนรับ เขายกมือคำนับแล้วพูดว่า “โหวเยว่”
คนอื่นๆ ก็ขึ้นหน้าตามมาเช่นกัน ไป๋เซิงเฮ่ากับซั่ง
กวนหลิงเฟิงก็อยู่ในนั้นด้วย ทั้งหมดทำความเคารพ
พร้อมกัน พวกเขานอบน้อมจนน่าแปลกใจ ไป๋เซิงเฮ่า
ก้มหน้า แล้วพูดด้วยความเสียใจว่า “โหวเยว่มีบุญคุณ
ใหญ่หลวงต่อพรรคกระยาจกของพวกเรา พวกเราจะ
ไม่มีวันลืม หากไม่ได้โหวเยว่ช่วยเหลือ พรรค
กระยาจกของพวกเราก็ไม่รู้ต้องตายไปอีกกี่คน”
“ทุกท่านไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้” ฉีหนิงรู้ว่าหากจะ
สร้างสัมพันธ์กับคนพวกนี้ที่เป็นชาวยุทธ หากมี
พิธีรีตองมาก ทั้งสองฝ่ายก็จะสร้างกำแพงต่อกัน เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินว่าที่นี่มีเหล้าให้ดื่ม ท่านผู้
อาวุโสจูเชวี่ย ท่านคงไม่ได้หลอกข้ามาใช่หรือไม่?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...” ทุกคนได้ยินฉีหนิงเอ่ยปากก็ถามถึง
เหล้า ต่างก็หัวเราะออกมา ผู้อาวุโสจูเชวี่ยยกมือ
คำนับแล้วพูดว่า “โหวเยว่เชิญ ถึงแม้พวกเราจะไม่
ค่อยมีเงินมากนัก แต่ว่าทุกคนก็พยายามไปหามา เป็น
โต๊ะจีนโต๊ะนี้ อาหารอาจจะไม่ดี แต่เหล้าดีแน่นอน”
ทุกคนก็ต่างหัวเราะออกมา หลังจากนั้นก็เชิญฉีหนิง
เข้าไป
ถึงแม้พรรคกระยาจกจะมีกฎที่เข้มงวด แต่ว่าปกติ
แล้วศิษย์ในพรรคก็จะถือและเรียกกันว่าพี่น้อง ผู้
อาวุโสกับศิษย์ชั้นล่างนั่งกินข้าวด้วยกันก็ถือว่าเป็น
เรื่องปกติ จะไม่เหมือนพรรคหรือสำนักอื่น ที่แบ่งชน
ชั้นกันชัดเจน
วันที่ฉีหนิงเดินทางมา ผู้อาวุโสจูเชวี่ยต้องเป็น
ประธานอยู่แล้ว นอกเหนือจากนี้ ยังมีไป๋เซิงเฮ่ากับซั่ง
กวนหลิงเฟิงและบุคคลสำคัญของสาขากุ่ยจินหยาง
อีกสามสี่คนที่อยู่กันพร้อมหน้า เพราะพวกเขารู้ว่า
หลิวชิงโจวสนิทสนมกับฉีหนิงเป็นอย่างดี ครั้งนี้เลยให้
หลิวชิงโจวนั่งร่วมโต๊ะด้วย
ถึงแม้หลิวชิงโจวจะอยู่ในพรรคกระยาจกมานาน
หลายปี แต่ว่าในสาขากุ่ยจินหยางนั้นเขาไม่ได้ถือว่า
เป็นคนบริหาร ถึงแม้ปกติจะมีดื่มเหล้ากับพวกไป๋เซิง
เฮ่าบ้าง แต่ว่าเพราะนี่เป็นงานเลี้ยงทางการ การนั่ง
ร่วมโต๊ะกับผู้มีบรรดาศักดิ์ใหญ่ในแคว้นฉู่ มันเหมือน
กำลังฝันอยู่
ผู้อาวุโสจูเชวี่ยถ่อมตัวว่าอาหารที่เตรียมไว้ไม่ได้ดีมาก
นัก แต่ว่าบนโต๊ะ อาหารแต่ละอย่างที่เอามาวางไว้นั้น
ก็เต็มโต๊ะไปหมด
ถึงแม้ทุกคนอยากจะขอบคุณฉีหนิงมาก จึงส่งคนไป
เชิญฉีหนิงมา แต่ตามความคิดแล้ว ฉีหนิงก็มี
บรรดาศักดิ์ใหญ่ของแคว้น ใครก็รับประกันไม่ได้ว่าฉี
หนิงจะมางานของพรรคกระยาจก คืนนี้ฉีหนิงลด
เกียรติของตัวเองลงมา ไม่สนใจฐานะของตัวเอง ขี่ม้า
มาคนเดียว ทำให้คนในพรรคกระยาจกต่างซาบซึ้งใจ
มาก ในใจของเขาก็รู้สึกนับถือเขามาก
“โหวเยว่ เหล้าแก้วนี้ ข้าขอเป็นตัวแทนของพี่น้อง
สาขากุ่ยจินหยางทุกคนขอบคุณโหวเยว่ที่ช่วยชีวิต
พวกเราเอาไว้” ผู้อาวุโสจูเชวี่ยยกแก้วขึ้นแล้วพูดอีก
ว่า “หากไม่ได้โหวเยว่ช่วยไว้ สาขากุ่ยจินหยางเกรงว่า
จะเกิดภัยใหญ่ ท่านหัวหน้าไป๋ โหวเยว่เป็นคนมอบ
ชีวิตใหม่ให้กับเจ้านะ”
ไป๋เซิงเฮ่ายกแก้วเหล้าแล้วลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “โหว
เยว่ ข้าจะไม่ขอบคุณท่านก่อน เหล้าแก้วนี้ข้าจะขอ
ขมากับท่าน ก่อนหน้านี้ท่านมีเจตนาที่ดีในการที่จะ
ช่วยเหลือพวกเรา แต่ข้ามันตาบอด พูดจาล่วงเกิน
ท่านไป ตอนนี้นึกย้อนไปแล้ว รู้สึกเสียใจมาก
หลังจากที่ดื่มเหล้าแก้วนี้ไปแล้ว หวังว่าโหวเยว่จะไม่
เก็บเอามาแค้นใจ” เขายกแก้วเหล้าดื่มจนหมด
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านหัวหน้าไป๋ หากเหล้าแก้วนี้
เป็นเหล้าขอขมาแล้ว ข้าคงดื่มไม่ได้”
ไป๋เซิงเฮ่าตะลึงไป ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นชาว
ยุทธ์ เจอข้าครั้งแรก หากไม่มีการป้องกันเลย มันก็ไม่
ถูกนัก อีกทั้งข้าเป็นคนแยกแยะบุญคุณความแค้นอยู่
แล้ว เรื่องบางเรื่องพูดให้ชัดเจน ดีกว่าเอามีดมาแทง
ข้างหลังมากกว่าร้อยเท่าจริงหรือไม่? ท่านหัวหน้าไป๋
ข้าเห็นท่านเป็นเพื่อน หากท่านมาขอขมาข้า เหล้า
แก้วนี้ข้าจะดื่มมันได้อย่างไร?”
ทุกคนคิดไม่ถึงเลยว่าฉีหนิงอายุยังน้อย แต่ใจของเขา
มันดูผู้ใหญ่มาก ทำให้ทุกคนรู้สึกดีใจมาก ไป๋เซิงเฮ่าไม่
พูดอะไร เขาหยิบเหล้ามาหนึ่งไหแล้วยกขึ้นมาพูดว่า
“โหวเยว่เห็นข้าเป็นเพื่อน ถึงแม้ข้าจะไม่คู่ควร แต่ใน
เมื่อโหวเยว่พูดมาอย่างนี้แล้ว ข้าก็จะขอหน้าด้านเป็น
เพื่อนกับท่าน โหวเยว่ เหล้าแก้วนี้ ก็ถือว่าเป็นเหล้า
สำหรับการเป็นเพื่อนของพวกเรา”
เขาดื่มเหล้าแบบสะใจมาก ดื่มรวดเดียวหมด
ฉีหนิงเห็นเขาดื่มรวดเดียวแบบสะใจ ในใจก็นึกชื่นชม
เขายกแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “ดี ท่านหัวหน้าไป๋...
เหล้าแก้วนี้ ข้าเองก็จะดื่มมันหมดแก้ว” เขาเองก็ดื่ม
เหล้าจนหมด
ทุกคนเห็นฉีหนิงอายุยังน้อย แต่เวลาดื่มเหล้าก็ดูสะใจ
ดี ไม่ได้มีบุคลิกของจิ่นอีโหวเลย เขาก็ตบมือยิ้มแล้ว
พูดว่า “โหวเยว่คอแข็งมาก พวกข้าเทียบไม่ติดเลย”
ผู้อาวุโสจูเชวี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ไม่รังเกียจ
ขอทานอย่างพวกเรา ยอมเป็นเพื่อนกับพวกเรา ใน
เมื่อเป็นเพื่อนกันแล้ว ก็ต้องมีของขวัญมอบให้” เขา
หยิบเอาของชิ้นหนึ่งออกมาจากหน้าอก มันเป็นรูป
นกยูง เหมือนกับว่าแกะสลักเอาไว้ งานแกะสลัก
ประณีตมาก มันเป็นสีดำ เขายื่นให้กับฉีหนิง “โหว
เยว่โปรดรับไว้ด้วย”
ฉีหนิงรับมามันมีน้ำหนักที่เบามาก เมื่อสัมผัสแล้วมัน
ลื่นมาก มันไม่เหมือนไม้เลย เขาสงสัยเลยถามว่า “นี่
มันคือ...”
“นี่เป็นของที่ข้ากับพวกเราทุกคนหารือกันแล้ว
ตัดสินใจจะมอบให้โหวเยว่เป็นการขอบคุณ” ผู้อาวุโส
จูเชวี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “นี่คือป้ายคำสั่งจูเชวี่ย เป็นป้าย
คำสั่งของเจ็ดสาขาทางใต้ทั้งหมด หากไม่ได้เป็นผู้มี
พระคุณมากของพวกเรา พวกเราไม่มีทางมอบให้
ง่ายๆ”
“ป้ายคำสั่งจูเชวี่ย?”
ผู้อาวุโสจูเชวี่ยอธิบายต่อว่า “โหวเยว่ฐานะสูงส่ง เดิม
ก็คงไม่ได้ใช้มันอยู่แล้ว แต่ว่าป้ายคำสั่งจูเชวี่ยมี
ประโยชน์ของมันอยู่อย่างหนึ่ง เมื่อศิษย์ของสาขาทั้ง
เจ็ดทางใต้เห็นป้ายคำสั่งนี้ ก็จะทำตามคำสั่งของโหว
เยว่ ภายภาคหน้าหากโหวเยว่ต้องการให้พวกเขาทำ
อะไร ขอแค่ท่านเจอศิษย์ในสาขาทั้งเจ็ดในทางใต้ มี
ป้ายคำสั่งนี้ในมือ พวกเขาจะไม่ขัดคำสั่งท่าน
แน่นอน”
ฉีหนิงตะลึงไป เขาถึงรู้ว่าป้ายคำสั่งจูเชวี่ยนี่ไม่ใช่
ของเด็กเล่นเลย
ผู้อาวุโสจูเชวี่ยเป็นถึงหนึ่งในสี่ผู้อาวุโสใหญ่ของพรรค
กระยาจก ดูแลปกครองเจ็ดสาขาทางใต้ของพรรค
กระยาจก มีตำแหน่งสูงมากในพรรคกระยาจก เขา
มอบป้ายคำสั่งจูเชวี่ยให้เองแบบนี้ แสดงว่าเขาจริงใจ
กับฉีหนิงมากจริงๆ
“ผู้อาวุโสจูเชวี่ย ป้ายคำสั่งจูเชวี่ยนี่ข้ารับไม่ได้จริงๆ”
ฉีหนิงรีบยื่นมันคืนไป “ป้ายนี่เป็นของสำคัญของ
พรรคท่าน ข้า...ข้ารับมันไม่ได้จริงๆ”
“โหวเยว่อย่าได้ปฏิเสธเลย” ผู้อาวุโสจูเชวี่ยยิ้มแล้ว
พูดว่า “ข้ารู้ว่าโหวเยว่กำลังคิดอะไรอยู่ โหวเยว่วางใจ
ได้ ป้ายคำสั่งจูเชวี่ยมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากขนาด
นั้น แค่ทำให้ศิษย์ของพวกเราทำงานให้เท่านั้น ศิษย์
ของพรรคเราเรื่องอื่นอาจจะไม่เก่ง แต่ว่าหูตาของ
พวกเขากว้างขวางนัก เมื่อมีป้ายคำสั่งนี้ ต่อไปโหว
เยว่อยากจะรู้อะไร ก็สะดวกขึ้นมาก” เขาหัวเราะ
แล้วพูดว่า “แต่หากโหวเยว่ต้องการให้ศิษย์ของพวเรา
ไปสู้รบต่อสู้กับใคร นั่นก็คงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้”
ทุกคนต่างหัวเราะ ฉีหนิงรู้ว่าในการล้อเล่นของผู้
อาวุโสจูเชวี่ย ในความเป็นจริงแล้วเขาชี้แจงการใช้
งานเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว
ป้ายคำสั่งจูเชวี่ยสามารถให้ศิษย์ของพรรคสืบหา
ข้อมูลได้ แต่ไม่สามารถสั่งให้พวกเขาไปทำอะไรส่วน
ตัวอย่างอื่นได้
แต่แค่สามารถให้ศิษย์พรรคกระยาจกสืบหาความมา
ให้ได้เท่านั้น แต่เท่านี้มันก็มากเกินพอแล้ว ในใต้หล้า
นี้ใครๆ ก็รู้ ศิษย์พรรคกระยาจกมีอยู่ทั่วทุกที่ทุกซอย
ทุกถนน หูตากว้างขวางมากที่สุด ข่าวกรองของพวก
เขาแม่นยำที่สุด ในยุทธภพ ไม่มีคนที่ได้ข่าวแม่นยำ
เท่าพวกเขาอีกแล้ว
ฉีหนิงลังเลไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นทุกคนจ้องมาที่ตัวเขา
เขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ได้ ป้ายคำสั่งจูเชวี่ยนี่ข้าจะ
รับเอาไว้ ผู้อาวุโสจูเชวี่ย หากท่านต้องการมันคืน
เมื่อไหร่ บอกข้าได้เลยนะ”
ทุกคนต่างหัวเราะออกมาเช่นกัน ในตอนนี้เอง ก็มีคน
เดินมาด้วยความรีบร้อน แล้วกระซิบข้างหูผู้อาวุโสจู
เชวี่ย ทุกคนต่างนิ่งลง ผู้อาวุโสจูเชวี่ยขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “คนของจวนเสินโหวมา”
ไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า “พวกเขามาทำไม? มาเยาะเย้ยพวก
เราหรือ? ราชสำนักสนใจพวกเราจะเป็นจะตายตั้งแต่
เมื่อไหร่กัน” ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นมาได้ว่าฉีหนิงก็อยู่
ข้างๆ เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันที
ผู้อาวุโสจูเชวี่ยลุกขึ้นแล้วพูดว่า “หัวหน้าไป๋ เจ้าไป
รับหน้าที” เขามองไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “โหวเยว่
ท่าน...”
“คนของจวนเสินโหวมา ข้าไม่สะดวกเจอพวกเขา
ที่นี่” ฉีหนิงลุกขึ้น “มีที่ให้ข้าหลบหน่อยหรือไม่”
ผู้อาวุโสจูเชวี่ยพูดว่า “โหวเยว่ตามข้ามา” เขาพา
ฉีหนิงหลบไปทางด้านหลังของห้องโถง ซึ่งห่างจาก
โถงหลักแค่กำแพงกั้นเดียวเท่านั้น เขาพูดว่า “โหว
เยว่อยากฟังหรือไม่ว่าคนของจวนเสินโหวมาที่นี่
เพราะเหตุใด?”
“สะ...สะดวกหรือ?” ฉีหนิงอยากรู้ว่าคนของจวนเสิน
โหวมาที่สาขากุ่ยจินหยางนี่ทำไม แต่กลับแกล้งพูดว่า
“เรื่องภายในของพรรคกระยาจก ข้าไม่เหมาะจะเข้า
ไปยุ่ง”
ผู้อาวุโสจูเชวี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่เป็นเพื่อนกับ
พรรคกระยาจกของพวกเรา คนของจวนเสินโหวมา
ที่นี่ ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นความลับอะไร” เมื่อได้ยินเสียง
ฝีเท้าเดินมาจากด้านนอก ผู้อาวุโสจูเชวี่ยก็เงียบไป
ฉีหนิงตั้งใจฟัง จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา
ในห้องโถงใหญ่ จากนั้นก็ได้ยินเสียงไป๋เซิงเฮ่าพูด
ขึ้นมาว่า “ที่แท้ก็ท่านชวีเซี่ยวเว่ยนี่เอง ไม่ทราบว่าชวี
เซี่ยวเว่ยมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?” เสียงของเขาเหมือน
เยือกเย็นมาก เขาปฏิบัติต่างกับฉีหนิงแล้ว
ฉีหนิงรู้ว่าไป๋เซิงเฮ่าแยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจน
เหมือนเขาจะมีอคติต่อคนของจวนเสินโหวมาก
เขากลับได้ยินเสียงหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านหัวหน้าไป๋
เหมือนว่าข้าจะมาผิดเวลาไปหน่อยนะ รบกวนความ
สนุกของท่าน ทุกท่านกำลังดื่มเหล้ากันอยู่หรือ?”
“ชีวิตของพวกข้ามันไม่มีค่าอะไร ผ่านความตายมาได้
ก็เพราะตัวเองทั้งนั้น ชวีเซี่ยวเว่ย หากท่านไม่รังเกียจ
จะมาดื่มด้วยกันก็ได้ ดีหรือไม่?” ไป๋เซิงเฮ่าพูด
ฉีหนิงฟังออกแล้วว่าเขาคือทันหลางเซี่ยวเว่ยชวีเสี่ยว
ชาง
เขาได้ยินชวีเสี่ยวชางยิ้มแล้วพูดว่า “หัวหน้าไป๋ ไม่
ทราบว่าท่านผู้อาวุโสจูเชวี่ยอยู่หรือไม่? ข้ามีเรื่อง
อยากจะหารือกับท่านผู้อาวุโสจูเชวี่ยสักหน่อย”
“ต้องขออภัยด้วย ท่านผู้อาวุโสจูเชวี่ยมีภารกิจมาก
หากท่านชวี่เซี่ยวเว่ยมีเรื่องเร่งด่วนอะไรก็หารือกับข้า
ก่อนได้ แล้วข้าจะนำความไปบอกกับผู้อาวุโสเอง” ไป๋
เซิงเฮ่าพูด
ชวีเซี่ยวชางหัวเราะพูด “หัวหน้าไป๋เหมือนจะมีอะไร
ไม่พอใจในตัวข้านะ ข้าทำอะไรให้ท่านไม่พอใจอย่าง
นั้นหรือ ท่านหัวหน้าไป๋ถึงได้เย็นชากับข้าขนาดนี้”
ไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า “ชวีเซี่ยวเว่ยเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะไป
กล้าไม่พอใจท่านชวีเซี่ยวเว่ยได้อย่างไรกัน” เขาถาม
อีกว่า “ชวีเซี่ยวเว่ย ไม่ทราบท่านมีเรื่องอะไรหรือ?”
ชวีเสี่ยวชางพูดว่า “ในเมื่อท่านหัวหน้าไป๋อยากจะ
ทราบ ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเรื่องในวันนี้คนรู้น้อยที่สุดยิ่งดี
ท่านหัวหน้าไป๋พวกเราคุยกันตามลำพังได้หรือไม่?”
ไป๋เซิงเฮ่าลังเล แล้วพูดว่า “พวกเจ้าทั้งหมดออกไป
ก่อน”
ซั่งกวนหลิงเฟิงพาคนที่เหลือออกไปจนหมด ฉีหนิงได้
ยินเสียงปิดประตู ภายในห้องโถงใหญ่ก็เงียบลง เขาก็
ได้ยินเสียงของไป๋เซิงเฮ่าพูดว่า “ชวีเซี่ยวเว่ย ตอนนี้ก็
เหลือพวกเราแค่สองคนแล้ว มีอะไรก็พูดมาได้เลย”
ฉีหนิงรู้สึกสงสัย แอบคิดในใจว่าชวีเสี่ยวชางทำตัว
ลับๆ ล่อๆ ยังจะคุยตามลำพังกับไป๋เซิงเฮ่า แต่ไม่รู้ว่า
มันเป็นเรื่องอะไรกัน เห็นผู้อาวุโสจูเชวี่ยมีสีหน้า
เคร่งเครียด เขาจึงตัง้ ใจฟัง
---------------------------------

You might also like