You are on page 1of 70

นิ ทานมงคลธรรม

โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

๏ พระเทวทัตกับเจ้าชายอชาตศัตรู

เรื่องนี้ รู้กันเป็ นส่วนมากอย่้แลูว ขอเล่าสั้นๆ

พระเทวทัตอยากเป็ นใหญ่ อยากให้ญาติโยมนับถือเหมือนนับถือพระอัครสาวกและ


พระผู้ใหญ่อ่ ืนๆ จึงไปคบหากับเจ้าชายอชาตศัตรู และทำาการล้างสมองเจ้าชาย ให้ยึด
ราชบัลลังก์พระราชบิดา (พระเจ้าพิมพิสาร) อชาตศัตรูจับพระราชบิดาขังคุกจน
สิ้นพระชนม์ เทวทัตเองหวังจะเป็ นใหญ่ หาวิธีกำาจัดพระพุทธองค์ต่างๆ นานา แต่ก็ล้ม
เหลว ในทีส่ ุดจึงถูกแผ่นดินสูบ

อชาตศัตร้หลังจากไดูบัลลังก์แลูวก็บรรทมไม่หลับ สำานึ กไดูว่าตนไดูก่ออนันตริยกรรมยากที่จะ


แกูไขเสียแลูว จึงไปกราบขอขมาพระพุทธองค์ ฟั งพระธรรมเทศนา ถวายตนเป็ นสาวกนับถือพระ
รัตนตรัยตลอดชีวิต

อชาตศัตร้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ แทนที่จะบรรลุมรรคผล แต่เพราะไดู "ขุดรากถอนโคน


ตนเอง" แลูว จึงไดูอย่างมากเพียงศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย พระพุทธองค์ตรัสว่า นี้ เพราะผล
แห่งการคบคนพาลสันดานชั่วอย่างเช่นเทวทัต อชาตศัตร้จึงถลำาลงลึก ดีท่ีพระพุทธองค์มาฉุดช่วย
ไวูไดู จึงพอทุเลาเบาบางลงไดูบูาง

พระพุทธวจนะตรัสเตือนไว้ว่า "ไม่พึงคบคนเลว ไม่พึงคบคนตำ่าช้า พึงคบคนดี พึงคบ


คนสูงสุด"

คำาหลังทรงใช้ว่า "ปุริสุตตม" บุรุษทีส


่ ูงสุด หมายถึงคนทีด
่ ีทีส
่ ุด สูงด้วยคุณธรรม ไม่ใช่
สูง 180 นิ้ ว อะไรทำานองนัน
้ หนา ขอรับ...

๏ ดาบสสอนบุตร

พระสิริมังคลาจารย์ยกมาสาธก เพื่อเตือนสติว่า การคบคนพาลไม่ดี มีแต่โทษ ไม่มีคุณเลย อีก


เรื่องหนึ่ งคือ เรื่องดาบสสอนบุตร เป็ นเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ในอดีตกาลอันยาวนานโพูน (เมื่อ
มีคำาว่า โพูน แสดงว่ายาวมาก ไกลมาก ขอรับ)

ดาบสท่านหนึ่ ง บำาเพ็ญพรตอย่้ในป่ าหิมพานต์ โอวาทที่ดาบสสอนล้กเป็ นประจำา คือ อย่าคบคน


พาลเป็ นอันขาด

วันหนึ่ งเมื่อบุตรชายเรียนศิลปวิทยาจนสำาเร็จแลูว อยากจะไปใชูชีวิตในเมืองหลวงเยี่ยงสามัญชน


ทั่วไป ไปลาบิดา บิดาก็อนุญาต ก่อนไปไดูใหูโอวาทบุตรว่า...

ผูใ้ ดไม่มีความชั่วทางกายวาจาใจ เจูาไปจากที่น้ี แลูวพบผู้น้ัน เจูาจงคบหาท่าน ประพฤติตน


เหมือนบุตรเชื่อฟั งบิดา

ผูใ้ ดเป็ นคนประพฤติธรรม แมูเป็ นคนประพฤติธรรมปานนั้นก็ไม่หยิ่ง ไม่โอูอวดคนอื่นว่าตนเป็ น


คนประพฤติธรรม เจูาไปจากที่น้ี แลูว จงคบหาท่านผู้น้ัน
ล้กเอ๋ย ถูาแมูนว่าพื้นชมพ้ทวีปจะไรูมนุษย์ไซรู เจูาก็อย่าคบคนกลับกลอก ตลบตะแลง รักง่าย
หน่ ายเร็ว จงหลีกคนชั่วนั้นใหูหา
่ งไกล ดุจคนขี้ขลาดหลีกอสรพิษรูาย ดุจคนเกลียดค้ถ หลีก
หนทางอันเปื้ อนค้ถ ดุจคนเดินทางหลีกทางอันขรุขระ

ล้กเอ๋ย ความฉิบหายทั้งหลาย มักเกิดขึ้นแก่ผู้ท่ีคบคนพาลสันดานชั่วแทู เจูาอย่าไปคบหาคนพาล


เลยนะล้ก เพราะการอย่้ร่วมกับคนพาล นำามาแต่ทุกข์ ใหูห่างคนพาลไวูทุกเวลา ดุจดังห่างจาก
ศัตร้อันรูายกาจ

ล้กเอ๋ย พ่อขอรูอง เจูาจงจำาคำาของพ่อไวูใหูดี เจูาอย่าคบหากับคนพาลสันดานชั่วเป็ นอันขาด


เพราะการคบหากับคนพาลสันดานชั่ว มีแต่ทางพินาศและฉิบหาย

ฟั งโอวาทนี้ แล้วคงเห็นลึกถึงความรู้สึกภายในใจของผ้เู ป็ นพ่อใช่ไหมครับ สัง่ แล้วสัง่ อีก


อย่าคบคนชัว ่ อย่ามัว
่ คนผิด เพราะคบกเฬวรากพวกนี้ มีแต่เสียคน เหม็นตัง ้ แต่ยังไม่
ตายก็มีครับ...

๏ คนเกลียดคนพาลทีส
่ ุด

ดาบสท่านหนึ่ งบำาเพ็ญพรตอย่างเคร่งครัด กินผลไมูท่ีหล่นจากตูน เมื่อผลไมูหมดแลูว ก็เอาใบมัน


มากินหรือตูมนำ้าดื่มจนร่างกายซ้บผอม ทูาวสักกะเทวราชตูองการจะทดสอบความเคร่งครัดของ
ดาบส จึงจำาแลงกายเป็ นคนชรา ยืนแสดงอาการขออาหาร ดาบสก็เอาใบไมูท่ีกำาลังตูมนำ้าดื่มมาใหู
จนหมด วันที่สองวันที่สามก็ทำาอย่างนี้ จนพระอินทร์เธอเห็นใจ จึงสำาแดงตัวแลูวกล่าวว่า เห็น
ความแน่ วแน่ ของดาบสแลูว จะใหูพร อยากไดูพรอะไรใหูเอ่ยปากขอไดู จะประทานใหูดังประสงค์

ดาบสว่า ถูาอย่างนั้นก็ดีแลูว อาตมาขอเพียงขูอเดียวคือ อย่าไดูเห็น อย่าไดูยิน อย่าไดูคบ อย่าไดู


สนทนากับคนพาลเลย

พระอินทร์จึงถามว่า คนพาลมาทำาอะไรใหูท่านเจ็บชำ้านำ้าใจหรือ ท่านจึงไม่อยากพบ ไม่อยากเห็น


ไม่อยากไดูยิน และไม่อยากคบหา

ดาบสตอบว่า คนพาลไม่ไดูมาทำาอะไรใหูเจ็บใจดอก แต่คนพาลนั้น ปั ญญาทราม ชอบแนะนำาใน


สิ่งที่ไม่ควรแนะนำา และขวนขวายในสิ่งที่มิใช่ธุระ

คนพาลแนะนำายาก เขาพ้ดดูวยดีๆ ก็โกรธ คนพาลไม่รับรูร


้ ะเบียบวินัย คนพรรค์น้ีไม่เห็นเสียเลย
ดีกว่า

เออ แน่ะ อะไรจะปานนัน


้ ...

นกแขกเต้าสองตัว

มีนกแขกเตูาอย่้สองตัว พ่อแม่เดียวกัน เขาว่านกพันธ์ุน้ี พ้ดไดู ทำานองนกแกูวนกขุนทองนั้นแหละ


บังเอิญคราวหนึ่ งเกิดพายุหมุน (ลมหัวดูวน) พัดพานกทั้งสองตัวไปคนละทิศคนละทาง

ตัวหนึ่ งไปตกใกลูท่ีอย่้ของพวกโจร ตกลงมายังกองหอกกองดาบพอดี พวกโจรมาพบเขูาจึงเอามัน


ไปเลี้ยงไวู และตั้งชื่อว่า "สัตติคุมพะ" (แปลว่า ไอูหอก เพราะตกลงใกลูท่ีเก็บอาวุธ)
พวกโจรนั้นก็รู้กันอย่้แลูว ยังชีพดูวยการปลูนฆ่า วันๆ ก็วางแผนว่าจะไปปลูนที่ไหน อย่างไร
กิริยาอาการก็ไม่สำารวมพ้ดจากันแต่เรื่องฆ่าๆ ปลูนๆ มึงมาพาโวย นกมันก็เลียนเสียงพ้ดของพวก
โจร

อีกตัวหนึ่ งไปตกที่สวนดอกไมูของพวกฤาษี พวกฤาษีจึงเอาไปเลี้ยงไวู ตั้งชื่อ "ปุบผกะ" (แปลว่า


ไอูดอกไมู) อาศรมของพวกฤาษี พวกนักพรตก็จะพ้ดจาแต่ถูอยคำาอันไพเราะ นกก็จำาไวู และเลียน
เสียงตาม

อย่้มาวันหนึ่ ง พระเจูาปั ญจาละเสด็จไปล่าเนื้ อ พลัดหลงกับขูาราชบริพาร เสด็จไปองค์เดียว ทรง


พักผ่อนใตูตูนไมูใหญ่ตูนหนึ่ งกลางป่ า พลันทรงสะดูุงตื่น เพราะมีเสียงรูองว่า "ฆ่ามันเลย ปลูนมัน
เลย" ทรงนึ กว่าพวกโจรจักมาปลูน ทรงหันไปตามเสียงที่ไดูยิน ก็ทอดพระเนตรเห็นนกตัวนูอย
รูองเสียงคน จึงเสด็จต่อไปเพราะขืนอย่้พวกโจรอาจตามมาไดู

เสด็จไปถึงอาศรมของฤาษี ขณะนั้นพวกฤาษีไม่อย่้ มีนกแขกเตูาตัวเดียวเฝู าอย่้ นกเห็นมีคนเดิน


เขูามา ก็รูองตูอนรับอย่างสุภาพว่า "สวาคะตัม" (แปลว่า ยินดีตูอนรับๆ)

พระราชาทรงพอพระทัย ที่ไดูยินเสียงนกรูองปฏิสันถารเช่นนั้น เมื่อพวกฤาษีกลับมา จึงทรงเล่า


เรื่องนกทั้งสองใหูพวกฤาษีทราบ

พวกฤาษีจึงถวายพระพรว่า นกแขกเต้าสองตัวนี้ เดิมอยู่ในสิง ่ แวดล้อมเดียว ภายหลัง


ถูกพายุพัดพาไปตกคนละที่ ตัวนัน ้ อยู่กับพวกโจร จึงกล่าววาจาหยาบเลียนแบบพวก
โจร ส่วนตัวนี้ อยู่กับพวกอาตมา จึงพูดจาไพเราะดังทีเ่ ห็นนี้

๏ ม้ามงคล

มูาทรงพระราชาพระองค์หนึ่ ง มีคนเลี้ยงชื่อ สิริทัต เป็ นคนขาเดี้ยง เดินกะโผลกกะเผลก เวลาคน


เลี้ยงมูาจ้งมูา แกก็เดินกะเผลกตามลักษณะของคนขาเดี้ยง มูาเดินตามหลัง เห็นเจูานายเดิน
อย่างนั้น จึงกระทำาตามบูาง

จนวันหนึ่ง พระราชาทรงสังเกตเห็นม้าเดินผิดปกติ จึงรับสัง่ ให้ตามสัตวแพทย์มาตรวจ


ว่าม้าป่ วยเป็ นโรคอะไร สัตวแพทย์ตรวจเช็กอาการโดยละเอียดก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
พระราชารับสัง่ ว่า มันต้องมีสิ ไม่อย่างนัน
้ ม้าข้ามันจะเดินขาเดี้ยงอย่างนัน
้ ได้อย่างไร
ตรวจดูให้ดีอีกครัง ้ ซิ สัตวแพทย์ก็ตรวจโดยละเอียดอีกก็ไม่พบสาเหตุ มึนอยู่ตัง ้ นาน
พลันสายตาเหลือบเห็นคนเลี้ยงม้าโขยกเขยกเข้ามา ก็นึกได้ จึงกราบทูลพระราชาให้
ลองเปลีย ่ นคนเลี้ยงม้าดู ม้าอาจจะอาการดีข้ึนก็ได้

เมื่อเปลี่ยนคนเลี้ยงมูาใหูเป็ นคนขาดีแลูว สักพักเท่านั้นมูาของพระราชาก็เดินเป็ นปกติ ไม่เดินขา


เดี้ยงอีกต่อไป

เล่านิ ทานเรื่องนี้ แลูว ผูแ


้ ต่งคัมภีร์ก็สรุปว่า...

นี่ แหละคืออิทธิพลของการอย่้ใกลูชิดกัน

มูาขาไม่เดี้ยง แต่คนเลี้ยงขาเดี้ยง มูาก็เลยเดินตามคนเลี้ยงที่ขาเดี้ยง นานวันเขูาก็เลยกลายเป็ น


มูาขาเดี้ยงไปดูวย
เรื่องมันก็เป็ นประการฉะนี้ แล...

๏ ช้างมหิฬามุข

ชูางทรงของพระราชาเมืองพาราณสี (คราวนี้ พระเจูาพรหมทัต เจูาเก่าครับ) ชื่อ มหิฬามุข เป็ น


ชูางมงคล ชูางดี สงบเสงี่ยม กิริยามารยาทเรียบรูอย เชื่อฟั งควาญชูาง ภาษาบาลีท่านใชูคำาส้งว่า

"เป็ นชูางที่มีศีล สมบ้รณ์ดูวยมารยาท ไม่เบียดเบียนใคร"

วันหนึ่ ง พวกโจรมาวางแผนการปลูนอย่้ขูางๆ โรงชูางเสียงโจรพ้ดกันไดูยินไปถึงพญาชูางว่า ตูอง


ไม่ปรานี มัน ฆ่ามันเลย กระทืบมันเลย ถูาใครขัดขืนก็ฆ่ามันใหูตายเลย

คงมิใช่ครั้งเดียวดอกครับ พวกโจรหูารูอยนั้นคงมาซ่องสุมปรึกษาหารือกัน ณ จุดนั้นบ่อย จนพญา


ชูางจำาไดู ชูางไดูยินดังนั้น ก็คิดว่าพวกนี้ มาสอนเราใหูทำาอย่างนั้น

ตั้งแต่น้ันเป็ นตูนมา มหิฬามุขที่เคยแสนจะเรียบรูอย สงบเสงี่ยม ก็กลับกลายเป็ นคนละคน พอ


นายควาญชูางมา จะพามันไปใหูพระราชาทรง มันก็เฉย ไม่ทำาตามเหมือนเคย ครั้นพอเคี่ยวเข็ญ
มันมากเขูา มันก็โมโห จับควาญชูางฟาดกับพื้นดิ้นตายในทันที

ควาญคนไหนก็เอามันไม่อย่้ จนรำ่าลือกันว่าชูางนั้นดุรูายทั้งๆ ที่ไม่ตกมัน แต่อาการมันก็เสมือน


ตกมัน ปุโรหิตที่ปรึกษาพระราชาพิจารณาหาสาเหตุท่ีชูางกลายเป็ นเช่นนั้นอย่้นาน ในที่สุดก็
สันนิ ษฐานว่า ชูางอาจไดูรู้ไดูเห็นตัวอย่างที่ไม่ดีก็ไดู จึงกราบท้ลพระราชาใหูทดลองด้ โดยนิ มนต์
สมณะชีพราหมณ์ผู้ทรงศีล มานั่งเทศน์น่ังสอนใกลูๆ โรงชูางนั้นติดต่อกันหลายวัน พระคุณเจูาก็
เทศนาว่าดูวย ศีล มารยาท ตูองมี กาย วาจา ใจ สงบไม่คิดเบียดเบียนใคร ไม่ทำารูาย ไม่ฆ่าใคร
ควรมีมารยาทงดงามอ่อนนูอมถ่อมตน ว่านอนสอนง่าย อะไรประมาณนี้

พญาช้างได้ยินบ่อยๆ ก็คิดว่า พวกนี้ ต้องการให้เราทำาอย่างนี้ จึงทำาตาม ไม่ดุรา


้ ย ไม่
ฆ่าใครอีกต่อไป ควาญสัง่ ให้ทำาอะไรก็ทำาตาม...

ปริพาชกไหว้แพะ

ปริพาชกคนหนึ่ งโง่แกมหยิ่งคนหนึ่ ง เดินเขูาไปยังเมืองพาราณสี ผ่านไปยังสถานชนแพะ (คง


คลูายๆ กับสถานที่ชนวัว ชนไก่ อะไรทำานองนั้น) ที่มีคนสัญจรไปมาคับคั่ง

แพะตัวหนึ่ ง เห็นปริพาชก ตูองการจะขวิดใหูถนัด จึงย่อกายลง

"แหม แพะตัวนี้ ฉลาดจริง คนในที่น้ี มากมายยังรู้จักว่าเราเป็ นใคร แพะตัวนี้ ตัวเดียวรู้ว่าเราเป็ น


ผู้ทรงศีล" นึ กว่าแพะมันกูมไหวูตน จึงประนมมือรับ ประชาชนตะโกนบอกปริพาชกว่า "สาธุจี (พร
ะคุณเจูา) แพะกำาลังจะขวิดท่าน รีบหนี ไป"

"ใครว่า แพะมันไหวูเราต่างหาก" ปริพาชกตอบอย่างอารมณ์ดี

"สัตว์หนูาขนไวูใจไดูท่ีไหน สาธุจี รีบหนี ไปเถอะ"

พระคุณเจูาไม่สนใจ ยืนประนมมือรับไหวูแพะอย่้ แพะมันวิ่งเขูามาอย่างรวดเร็ว เอาเขาเสยร่างปริ


พาชกลอยขึ้นแลูวตกลงพื้นดิน แกครวญครางดูวยความเจ็บปวดแสนสาหัสก่อนสิ้นใจตาย
"ใครก็ตามบ้ชา (เคารพนับถือ) คนชั่วที่ไม่ควรบ้ชา ย่อมจะถ้กคนชั่วนั้นทำารูายเอา เหมือนเราผู้โง่
เขลา ยกมือไหวูแพะโดนแพะขวิดเอา นอนรอความตายอย่้ ณ บัดนี้ "

นี้ วาทะสุดทูายของปริพาชกไหวูแพะ ก่อนสิ้นชีวิต ความก็แจ่มแจูงแลูว เพื่อใหูเขูากับบรรยากาศ


การบูานการเมือง ที่มีการเลือกตั้งออกบ่อย ขอ "คอมเมนต์" เพิ่มเติมสักเล็กนูอย

นักเลือกตั้งทั้งหลายมักจะอูางตนว่าเป็ นคนดี เสนอหนูามาใหูประชาชนเลือก แจกโน่ นแจกนี่


สัญญาโน่ นสัญญานี่ ทั้งๆ ที่กฎหมายหูาม แต่เขามีวิธีการเลี่ยงบาลีกันอย่างเฉลียวฉลาด

หนูาที่ของประชาชนก็คอ ื ตูองใชูวิจารณญาณด้ใหูดีหน่ อยเถอะครับ คนที่ว่าตนดีๆ นั้นมันดีจริงหรือ


ไม่ ดีอย่างไร สมควรที่จะ "ยกย่อง" ใหูปรากฏไหม สมควรจะเลือกเขูาสภาไหม

นักการเมืองประเภท "ปริพาชกไหวูแพะ" ก็ป่วยการเลือกเขูามา เป็ นอัปมงคลมากกว่ามงคล


ส.ว.สมัครเขูามาเพื่อถอดถอนนักการเมืองที่ทุจริต แต่ก็โดนถอดเสียเอง ก็ไม่ไหวเช่นเดียวกัน คุณ
ว่าไหมขอรับ...

๏ การอยู่ในถิน
่ เหมาะสม

มงคลต่อไป ภาษาพระว่า "อย่้ในประเทศที่เหมาะ" ประเทศก็คอ ื "ถิ่น" อย่้ในประเทศที่เหมาะ ก็


คืออย่้ในถิ่นที่เหมาะ เหมาะกับอะไร เหมาะกับการดำารงชีวิต เหมาะกับพฤติกรรมนั่นแล

สมมติว่าจะคูาขาย เช่น ขายก๋วยเตีย๋ ว ก็จะตูองมองหา "ทำาเล" ที่จะคูาขาย ตรงไหนมีผู้คนผ่านไป


มามาก ก็ต้ังรูานตรงนั้น รับรองคูาขายเจริญรุ่งเรือง

พระอรรถกถาจารย์เนูนว่า อย่้ถิ่นที่เหมาะทำาใหูเจริญนั้น ม่ง


ุ เนูนความเจริญดูวยคุณธรรม
มากกว่าความเจริญทางดูานวัตถุ ท่านจึงกล่าวต่อไปว่า การอย่้ในถิ่นที่เหมาะ คือ อย่้ในถิ่นที่จะมี
โอกาสไดู "อนุตตริยะ" (สิ่งยอดเยี่ยม) 6 อย่าง คือ ไดูเห็นยอดเยี่ยม เช่น เห็นพระพุทธเจูา ไดูฟัง
ยอดเยี่ยม เช่น ไดูฟังธรรม ไดูลาภยอดเยี่ยม เช่น ไดูบรรลุธรรม ไดูการศึกษายอดเยี่ยม เช่น ไดู
ฝึ กฝนอบรมตน ไดูปรนบัตยอดเยี
ิ ่ยม เช่น ไดูอุปัฏฐากพระพุทธเจูา และไดูรำาลึกยอดเยี่ยม เช่น ไดู
ระลึกพระรัตนตรัย

๏ วักกลิมาณพ

ชายหน่ ุมชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ ง เห็นพระพุทธเจูาแลูวติดใจในร้ปสมบัติอันงามสง่าของพระองค์


จึงติดใจมาขอบวชอย่้ดูวย เพื่อมีโอกาสเฝู าด้พระสิริโฉม พระพุทธองค์ก็ไม่ตรัสอะไร

อย่้มาระยะหนึ่ ง พระองค์ตรัสกับท่านแรงๆ ว่า "วักกลิประโยชน์อะไรดูวยการด้ร่างกายอันเน่ า


เปื่ อยนี้ ผูเ้ ห็นธรรมชื่อว่าเห็นเรา ผูเ้ ห็นเราชื่อว่าเห็นธรรม" จึงขับไล่เธอออกจากสำานัก

พระวักกลินูอยใจ จึงหนี ไปคิดจะปลงชีพตัวเอง แต่พระพุทธองค์เสด็จไปช่วยไดูทัน ในที่สุด วักกลิ


ไดูบรรลุพระอรหัตตผล

นี้ แสดงว่า วักกลิอย่้ถน


ิ่ ที่เหมาะสม ไดูมีโอกาสรับใชูพระพุทธเจูา ไดูฝึกฝนตามหลัก ศีล สมาธิ
ปั ญญา ไดูรำาลึกถึงความดีของพระพุทธองค์ และไดูบรรลุมรรคผล
๏ นางวิสาขา

นางเป็ นสะใภูของตระก้ลที่ไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาถึงจะอย่้ในเมืองหลวง แต่ก็นับว่าไม่ใช่


ปฏิร้ปเทศ

ในกาลต่อมาดูวยความสามารถของนาง นางไดูแปรถิ่นที่ไม่เหมาะ ใหูกลายเป็ นถิ่นที่เหมาะขึ้นมา


จนไดู คือ นางพ้ดกับพระที่มาบิณฑบาต ขณะที่พ่อของสามีกำาลังรับประทานอาหารอย่้และไม่ยินดี
ใส่บาตรว่า นิ มนต์โปรดขูางหนูาเถิด คุณพ่อของดิฉน
ั กำาลังกิน "ของเก่า"

ทำาเอาเศรษฐีโกรธมาก แต่เมื่อนางอธิบายว่า กินของเก่าคือ ที่ไดูเกิดมารำ่ารวยในปั จจุบัน ก็เพราะ


บุญเก่าที่สรูางสมไวู มาบัดนี้ ไม่ทำาบุญใหม่เพิ่มเติมเลย อาศัยบุญเก่าเท่านั้น เศรษฐีจึงสำานึ กตน
หันมาศรัทธาในพระพุทธศาสนา และสนับสนุนศรีสะใภูใหูทำาบุญทำากุศลตามศรัทธาดูวย ไม่
กีดขวางอีกต่อไป

๏ การทำาบุญไว้ในปางก่อน

มงคลขูอต่อไป การมีความดีเป็ นทุนเดิม หมายถึง ทำาบุญมากสรูางสมความดีมาแต่อดีตมาก


ความดีงามที่เราสะสมไวูแต่ปางก่อน จะดลบันดาลใหูเรามีความเจริญ

เรียนหนังสือมาดูวยกัน ผลัดกันสอบไดูท่ีหนึ่ งกับที่สองเสมอ จบการศึกษาแลูวไดูเขูาทำางาน ไดู


เงินเดือนเริ่มตูนเท่ากัน เหตุการณ์ผ่านไปสักระยะหนึ่ ง คนหนึ่ งประสบความสำาเร็จในหนูาที่การ
งาน อีกคนหนึ่ ง "แปู ก" อย่้ในตำาแหน่ งเดิม

ถามว่ามีอะไรที่ทำาใหูสองคนแตกต่างกัน ตอบว่ามีบุญ หรือคุณงามความดีสะสมมาไม่เท่ากัน


ภาษาไทยเรียกว่า วาสนาไม่ถึง บุญเก่ามีไม่พอ (บุญเก่าไม่จำาเป็ นตูองเป็ นบุญในชาติกอ ่ นเสมอไป
ความดีงามที่มอ
ี ย่้ในชาติน้ี แหละ กำาลังจะไดูรับแต่งตั้ง แต่มีคนติงว่าคุณสมบัติไม่เหมาะ) เลยกิน
แหูว

๏ ไก่ข้ีโม้

ณ เทวาลัยนอกเมืองแห่งหนึ่ ง มีไก่หลายตัวอาศัยอย่้ คืนหนึ่ งไก่ตัวที่จับอย่้ขูางบนถ่ายรดไก่อีกตัว


ขูางล่าง

"ใครขี้รดหัวขูาวะ" เสียงถามดูวยความโกรธ

"ทานโทษเพื่อน ไม่ทันระวัง แต่ไม่เป็ นไรดอก ขูามิใช่ไก่ธรรมดา ใครไดูกินขูา จะไดูกหาปณะพัน


หนึ่ งไม่ทันขูามวัน"

"กระจอก ถูาใครกินเนื้อสันขูา จะไดูเป็ นพระราชา ใครกินเนื้ อติดหนัง จะไดูเป็ นเสนาบดี ถูาเป็ น


หญิงจะไดูเป็ นพระมเหสี ใครกินเนื้ อติดกระด้ก จะไดูเป็ นขุนคลัง ถูาเป็ นพระจะไดูเป็ นพระอาจารย์
พระราชา" ไก่ตัวบนคุยบูาง

คนหาฟืนคนหนึ่งกลับจากป่ าไม่ทน
ั ประตูเมืองปิด จึงอาศัยนอนทีเ่ ทวาลัยนัน
้ ได้ยน
ิ ดัง
นัน้ จึงย่องขึ้นไปจับไก่ตัวบน เอาไปฆ่าย่างอย่างดี แล้วชวนภรรยาไปอาบนำ้าชำาระกาย
ก่อนกิน วางถาดไก่ยา ่ งไว้บนฝั ่ ง อาบนำ้าพลางครึ้มอกครึ้มใจ จะได้เป็ นพระราชามหา
กษัตริย์ บังเอิญขณะนัน ้ ถาดใส่ไก่ยา ่ งถูกลมพัดแรงลงไปยังแม่น้ ำา ลอยไปตามกระแส
นำ้า

นายควาญชูางกำาลังใหูชา ู งอาบนำ้าอย่้ทางใตูน้ ำา เห็นเขูาจึงนำาถาดไก่ย่างกลับไปบูาน กำาลังจะกิน


ใหูอร่อย ดาบสร้ปหนึ่ งที่เป็ นผู้คูุนเคยกับครอบครัวของนายครวญชูาง รู้วา ่ อะไรเป็ นอะไรจึงรีบไป
ที่บูานนายควาญชูาง เขาจึงนำาไก่ย่างไปถวายท่าน ดาบสฉันเฉพาะเนื้ อติดกระด้ก แบ่งเนื้ อสันใหู
นายควาญชูาง และเนื้ อติดหนังใหูภรรยานายควาญชูาง ก่อนจากไปไดูพ้ดเป็ นปริศนาว่า "รักษา
เนื้อรักษาตัวใหูดี ไม่นานโยมทั้งสองจะโชคดี"

สามวันต่อมา ขูาศึกยกทัพมาโจมตีเมืองหลวง พระราชาคิดพิลึกอย่างไรไม่รใู้ หูนายควาญชูางแต่ง


ตัวเป็ นพระราชา พระองค์เองปลอมเป็ นทหารเลว ออกรบกับทหารทั้งหลาย บังเอิญสิ้นพระชนม์
ในสนามรบ

พอสงครามสงบ เหล่าเสนามาตย์เห็นว่า ไหนๆ นายควาญชูางก็ไดูรับความไวูวางพระราชหฤทัย


จากพระมหากษัตริย์แลูว สมควรใหูเขาเป็ นพระเจูาแผ่นดิน จึงยกนายควาญชูางขึ้นเป็ นพระราชา
ปกครองบูานเมืองสืบแทน

นิ ทานประเภท "ราชรถ" มาเกย


แต่ก่อนมีมากมายหลายเรื่อง แต่พิเคราะห์ให้ดี
คนทีร ่ าชรถจะมาเกยได้ ต้องมีคุณสมบัติเหมาะสม
เนื่ องจากได้สร้างบุญกุศลไว้มาก
คนตัดฟืนมองเห็นตำาแหน่งใหญ่โตอยู่แค่เอื้อม
แต่ก็ชวดได้เป็ น...
อย่างนี้ พระท่านว่าไม่มี "ปุพเพกตปุญญตา"
แปลว่า บุญไม่ถึงครับ

การคบบัณฑิต

เมื่อไม่ใหูคบคนพาลสันดานชั่วแลูว ท่านก็บอกใหูคบบัณฑิต ซึ่งบัณฑิตในที่น้ีมิไดูหมายถึงคนคง


แก่เรียน ไดูดีกรีส้งๆ ไม่เกี่ยวกัน ท่านหมายถึงคนที่คิดดี พ้ดดี ทำาดี และคนที่ดำารงชีวิตโดยใชู
ปั ญญา

คนที่เป็ นบัณฑิตอีกทัศนะหนึ่ ง คือ คนที่ทำาเปู าหมาย 2 ประการสมบ้รณ์ เปู าหมายระดับพื้นฐาน


คือ ทิฏฐธัมมิกัตถะ (พึ่งตนไดูในทางเศรษฐกิจ) เปู าหมายชั้นที่สอง คือ สัมปรายิกัตถะ (เจริญดูวย
คุณธรรม) ท่านไม่หมายส้งไปถึงคนที่บรรลุ มรรค ผล นิ พพาน เพราะหายาก ใครพบก็นับว่าเป็ น
บุญของผู้น้ัน

ทีท
่ า
่ นว่าคบบัณฑิตเป็ นเหตุให้ถึงความเจริญ ก็เพราะบัณฑิตจะไม่ทำาตนและคนทีท
่ ำา
ตามคำาสอนของตนถึงความพินาศฉิ บหาย ตรงกันข้าม กลับได้ความสำาเร็จและความ
สุข ขอนำานิ ทานของท่านมาประกอบดังนี้

มหาสุตตโสม

เรื่องนี้ ค่อนขูางยาว พระสิรม


ิ ังคลาจารย์นำามากล่าวเฉพาะคำาคมที่นันทพราหมณ์สอน มหาสุตต
โสมว่า การคบกับสัตบุรุษนั้นคูุมครองเขาไดูดีกว่าสมาคมกับพวกอสัตบุรุษมากมายเสียอีก
เรื่องมีอยู่วา
่ พระราชาเมืองพาราณสีชอบเสวยเนื้ อทุกวันขาดไม่ได้ พ่อครัวก็ป้ิ งเนื้ อ
ถวายทุกวัน วันหนึ่งเป็ นวันพระหาเนื้ อไม่ได้ จึงไปตัดเอาขาคนทีต
่ ายใหม่ๆ ในป่ าช้ามา
ย่างมาป้ิ งอย่างดีถวาย พระราชาติดใจในรสเนื้ อ จึงซักถามจนได้ความจริงว่าเป็ นเนื้ อ
มนุษย์ จึงสัง่ ให้พ่อครัวไปหามาให้เสวยทุกวัน จนนักโทษในคุกหมด

หลังจากนั้น จึงสั่งใหูพ่อครัวดักจับคน ฆ่าเอาเนื้ อส่วนที่ดีๆ มาปรุงอาหารถวาย จนลือทั่วเมืองว่า


เกิดมีโจรอำามหิตฆ่าคนเพื่อเฉือนเอาเนื้ อไปกิน เสนาบดีจึงวางแผนจับไดู สืบไปจนกระทั่งรู้ความ
จริงว่าพระราชาเป็ นตัวการสั่งใหูพ่อครัวทำา

เสนาบดีจึงขอรูองใหูพระราชาเลิกเสวยเนื้อคน แต่ไม่สำาเร็จจนกระทั่งตูองเนรเทศออกจากเมือง
เมื่อออกจากเมืองไป เธอก็ไล่จับคนกินเนื้อ จนไดูช่ ือว่า มหาโจรโปริสาท (โจรกินคน) เป็ นที่หวาด
กลัวของประชาชน

วันหนึ่ งมหาโจรโปริสาทไปจับพราหมณ์ท่ีกำาลังจะขูามนำ้าเอาใส่บ่าแบกหนี ไป ชายฉกรรจ์ท่ีรับจูาง


พราหมณ์จะพาขูามนำ้าวิ่งตาม โปริสาทเหยียบตอไมูแหลม ตอไมูทะลุฝ่าเทูาเลือดอาบจึงปล่อย
พราหมณ์ แกโขยกเขยกหนี รอดไปจนไดู ไปพักอย่้ใตูตน ู ไทรใหญ่ บวงสรวงเทพบนตูนไมูว่า ถูา
แผลหายเร็วๆ จะนำาเอากษัตริย์จากพระนครทั้งหลายมาเซ่นไหวูบ้ชา บังเอิญไม่ถึงเจ็ดวันแผลก็
หาย แกก็เขูาใจว่า เป็ นเพราะอานุภาพเทวดา

จึงไปจับเอากษัตริย์จากเมืองต่างๆ มาผ้กเทูาแขวนใหูศีรษะหูอยลง เทวดาที่สิงอย่้บนตูนไมูเห็น


ความทารุณของโปริสาทจึงจำาแลงกายเป็ นนักบวช โปริสาทคิดว่านักบวชก็เท่ากับกษัตริย์จับมา
เซ่นเทพเจูาก็คงจะดีเหมือนกัน จึงวิ่งไล่จับ ไล่เท่าไรก็ไม่ทันนักบวชนั้นจึงสำาแดงตนว่าคือเทพบน
ตูนไมูใหญ่ จึงสั่งว่ายังขาดพระราชาอีกองค์ คือ มหาสุตตโสม ใหูไปนำาตัวมา ไม่อย่างนั้นพิธีกรรม
นั้นจักไม่สมบ้รณ์

โปริสาทจึงไปจับมหาสุตตโสม แต่มหาสุตตโสมรับปากจะฟั งธรรมจากพราหมณ์ในวัน


รุ่งขึ้น มหาสุตตโสมจึงขอให้โปริสาทปล่อยกลับไปฟั งธรรมก่อน เสร็จแล้วจะกลับมา
โปริสาทขอคำามัน ่ ว่าจะมาแน่ๆ จึงปล่อยตัวไป

และแลูว โปริสาทก็ตูองทึ่งในความเป็ นผู้มีสัจจะของมหาสุตตโสม ที่กลับมาตามสัญญา มหาสุตต


โสมกล่าวสอนใหูโปริสาทเลิกกันเนื้ อมนุษย์ ดูวยการยกเหตุผล และเล่าเรื่องในอดีตมาประกอบ
โปริสาทขอฟั งธรรมที่มหาสุตตโสมเอาชีวิตเขูาแลกเพื่อไปฟั งว่าดีอย่างไร มหาสุตตโสมจึงกล่าวใหู
ฟั ง โปริสาทจึงพอใจและจะใหูพร ขอใหูมหาสุตตโสมขอมา 4 ขูอ

มหาสุตตโสมขอใหูโปริสาทมีอายุยืนปราศจากโรค ขูอสอง ขอใหูปล่อยกษัตริย์ท้ังหลายที่จับตัวมา


ขูอสาม ขอใหูส่งกษัตริย์เหล่านั้นคืนเมือง ขูอสี่ ขอใหูโปริสาทเลิกกินเนื้ อมนุษย์ เมื่อโปริสาทอิด
ออด ไม่กลูาใหูพรขูอสุดทูาย มหาสุตตโสมก็ทูวงว่าไม่ควรเสียสัจจะ ตัวท่านเองยังรักษาสัจจะ แลูว
โปริสาทก็เคยเป็ นกษัตริย์ จะทำาลายสัจจะเสียย่อมหาควรไม่ โปริสาทจึงใหูพรทั้งสี่ตามที่ขอ ใน
ที่สุดกลับเนื้ อกลับตัวเป็ นคนมีศีลธรรม เลิกกันเนื้ อมนุษย์ และไม่ทำาบาปอีกต่อไป

สรุปว่า การคบบัณฑิตเช่นมหาสุตตโสมนัน
้ ทำาให้คนชัว
่ คนบาปเลิกทำาชัว
่ มีสุคติเป็ น
ไปในเบื้องหน้า ด้วยประการฉะนี้ แล

การตัง
้ ตนไว้ชอบ

มงคลข้อต่อไป ข้อทีว
่ ่า "การตัง
้ ตนไว้ชอบ" เป็ นมงคลสูงสุด
การตั้งตนไวูชอบ ตั้งอย่างไรเป็ นมงคล (เหตุใหูเจริญ) อย่างไร

พระอรรถกถาจารย์ท่านขยายความใหูเขูาใจดีว่า "ตน" ก็คือจิต ตั้งตนก็คือตั้งจิตของเรานั้นแล


กล่าวคือ ใหูต้ังอย่้ในศรัทธา ศีล สุตะ และจาคะ ปั ญญา นั้นเอง ฝึ กฝนตนเองใหูเปี่ ยมดูวย
คุณธรรมเหล่านี้ รับรองว่าเจริญแน่ นอน ขอยกนิ ทานมาสาธกดังนี้

หมู่โจรห้าร้อย

โจรปลูนฆ่าคนมาจำานวนมาก วันหนึ่ งถ้กชาวบูานหม่้ใหญ่รวบรวมกำาลังต่อสู้ เมื่อสู้ชาวบูานไม่ไดู


จึงหนี เอาตัวรอด ไปพบพระภิกษุร้ปหนึ่ ง ขอใหูท่านช่วยเป็ นที่พึ่งใหูดูวย เพราะชาวบูานจำานวน
มากกำาลังไล่ล่า พระภิกษุร้ปนั้นกล่าวว่า ที่พึ่งอื่นไม่มีนอกจากศีลเท่านั้น พวกเธอจงถือศีล 5 ใหู
บริบ้รณ์ จะปลอดภัย

พวกโจรหูารูอยก็สมาทานศีลหูา และรักษาศีลหูาอย่างเคร่งครัด พวกชาวบูานตามมาพบเขูา จึง


จับโจรเหล่านั้นฆ่าตายอย่างง่ายดาย (เพราะพวกโจรไม่ต่อสู)้ โจรหูารูอยตายไปไปเกิดเป็ นเทว
บุตรบนสรวงสวรรค์

จุติจากสวรรค์แลูวมาเกิดในตระก้ลชาวประมง วันหนึ่ งจับปลาทองที่มีกลิ่นปากเหม็นไดู จึงนำาไป


ถวายพระเจูาปเสนทิโกศล

พระเจูาปเสนทิโกศลนำาปลาไปแสดงใหูพระพุทธองค์ และภิกษุสงฆ์ด้ พอปลาอูาปากหาวเท่านั้น


กลิ่นเหม็นฟู ุงตลบไปทั่วพระนคร (พ้ดเว่อร์ไปหน่อย) พระพุทธองค์จึงตรัสบอกบุรพกรรมของ
ปลาทองปากเหม็นใหูท่ีประชุมทราบ

ชาวประมง อดีตโจรหูารูอยไดูฟังก็สลดใจ เลิกละอาชีพประมง ออกบวชเป็ นพระ บำาเพ็ญสมาธิ


วิปัสสนา ไม่ชูาไม่นานก็ไดูบรรลุพระอรหัตตผล

สรุปตรงนี้ ก็คือ อดีตโจรหูารูอยตั้งตนอย่้ในศีลอันบริสุทธิก


์ ็ย่อมไดูรับอานิ สงส์ คือ เกิดในสวรรค์
และบรรลุเป็ นพระอรหันต์ในที่สุด

ในนิ ทานนี้ เอ่ยถึงนิ ทานย่อยอย่้เรื่องหนึ่ ง คือ ปลาทองปากเหม็น นี่ แสดงว่า ตั้งตนไวูผิด ย่อมไดู
ความเสื่อมขนาดหนักดังปลาพิลึกตัวนี้

ในอดีตกาลนานมาแลูว มีพ่ีนอ ู งสามคน ออกบวชในพระพุทธศาสนา ภิกษุและภิกษุณีผู้นอ ู งเรียน


พุทธวจนะจนเชี่ยวชาญเป็ นพห้ส้ต เมื่อรู้มากก็มีทิฐิมานะมาก หนักขูอถึงขนาดด้หมิ่นภิกษุผู้ทรง
ศีลทรงธรรมอื่นๆ แค่น้ันยังไม่พอ ยังอวดตนว่าไดูรู้พระธรรมเอง ไม่ไดูเรียนมาจากไหน ลบหล่้ด้
หมิน
่ พระศาสดาทำานองว่าขูานี้ใหญ่ท่ีสุด เก่งที่สุด ไม่มใี ครเกิน

ภิกษุณีนอ
ู งสาวก็สนับสนุน และปฏิบัติเยี่ยงเดียวกัน ในขณะที่ภิกษุนอ
ู งชายไม่เห็นดูวย ไปตัก
เตือนใหูพ่ีชายและนูองสาวสำานึ กตัวใหูดีว่า พวกตนเป็ นล้กศิษย์พระพุทธเจูา ประพฤติในธรรม
วินัยของพระองค์ ไม่ควรลืมตน ทำาการลบหล่้ด้หมิ่นพระรัตนตรัย

แต่สองพี่นอ
ู งไม่ฟัง ยังคงฮึกเหิมอย่างนั้น จนสิ้นอายุขัยตายไปแลูวก็ไปตกนรกหมกไหมูเป็ นเวลา
นาน

มาพุทธกัปนี้ ภิกษุผู้พ่ีใหญ่มาเกิดเป็ นปลาทองสวยงามมาก ถ้กชาวประมงจับไดู นำาไปถวายพระ


ราชา พระราชานำาไปแสดงใหูพระพุทธองค์ชม พรูอมท้ลถามความเป็ นมาของปลาทองปากเหม็น

พระพุทธองค์ตรัสว่า ที่ปลานี้ เกิดมามีผิวทอง เพราะตอนบวชไดูมีใจเลื่อมใสมาแต่ตูน ประพฤติ


พรหมจรรย์มา อานิ สงส์แห่งการประพฤติพรหมจรรย์จึงทำาใหูมีสีทองอร่าม แต่ภิกษุน้ันเรียนธรรม
ที่พระตถาคตแสดงจนเป็ นพห้ส้ต กลับปฏิเสธว่าไม่ไดูเรียนรู้จากใคร แถมยังคัดคูานคำาสอนของ
พระพุทธเจูาบางเรื่องบางประเด็นดูวย จึงบันดาลใหูมาเกิดเป็ นปลาทองปากเหม็น

นี้ แสดงว่า การตัง


้ ตนไว้ผิด ย่อมนำามาซึง
่ ความวิบัติด้วยประการฉะนี้ แล...

ภรรยาพราหมณ์มิจฉาทิฏฐิ

พราหมณ์มีภรรยาสาวสวยคนหนึ่ ง สองคนนับถือคนละศาสนา พราหมณ์นับถือศาสนาพราหมณ์


พราหมณีเป็ นพุทธสาวิกา แต่ก็อย่้กันมาดูวยความสงบพอสมควร เพราะฝ่ ายภรรยา
ประนี ประนอม สามีใหูช่วยทำาบุญ เช่น เลี้ยงพราหมณ์ เซ่นไหวูตามประเพณีพราหมณ์ เธอก็ทำา
แมูว่าสามีจะไม่สนใจพระพุทธศาสนา ก็ไม่วา ่ อะไร ปล่อยใหูเขาทำาไปตามศรัทธา

มีอย่างเดียวที่สามีไม่ยินยอม ก็คือ เวลาอย่้ต่อหนูาพวกพราหมณ์ อย่าเอ่ยชื่อถึงพระพุทธเจูาหรือ


พระสงฆ์สาวก ใหูพวกพราหมณ์ระคายห้

แต่ก็อย่างว่า คนที่เคยสวดมนต์นมัสการพระรัตนตรัยอย่างสมำ่าเสมอนั้น ย่อมจะพลั้งเผลอบูาง


เวลาสะดุดหรือจะลูม เธอก็หลุดอุทานออกมาว่า "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต" หลุดออกมาทีไรก็ถ้ก
สามีตะเพิดทุกที

วันหนึ่ ง สามีจะเลี้ยงพระ พราหมณ์กำาชับภรรยาว่า เวลาเลี้ยงพระของเขาอย่้น้ัน อย่าเผลอเอ่ยถึง


พระของนางเป็ นอันขาด นางก็รับปากรับคำาเป็ นอย่างดี

ขณะยกถาดอาหารจะไปถวายพระพราหมณ์ นางก็สะดุดลูมลง จึงอุทานว่า "นะโม ตัสสะ ภะคะวะ


โต"

พระพราหมณ์กำาลังสวาปามอาหารอย่้ ก็บ่นว่า วันนี้ บุญไม่เป็ นบุญเสียแลูว พวกเราไดูยินเสียง


กาลกิณีเต็มสองห้ จึงลุกจากอาสนะเดินหนี ไปพรูอมกัน พลางหันหนูากลับมาด่าพราหมณ์เจูาภาพ
อย่างเสียๆ หายๆ

พราหมณ์เสียใจมากที่พิธีทำาบุญถ้กยกเลิกกลางคัน โกรธภรรยาหัวฟั ดหัวเหวี่ยง ลงจากเรือนไป


หาพระพุทธเจูา เพื่อต่อว่าเป็ นตูนเหตุใหูภรรยาหลงใหล และทำาใหูขายหนูา

ไปถึงก็ด่าฉอดๆ ด่าจนรู้สึกหายเหนื่ อยแลูว เห็นพระพุทธเจูาประทับนิ่ ง ไม่ตอบโตูอะไร จึงถามว่า


สมณะโคดม คนเราฆ่าอะไรไดูจึงจะเป็ นสุข พระพุทธเจูาตรัสว่า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมีแต่ก่อทุกข์ ก่อเวร
ภัย ฆ่าความโกรธในใจเราสิ จึงจะมีความสุขสงบเย็นไดู

พราหมณ์พิจารณาตามกระแสพระดำารัส และเห็นดีดูวย เพราะตอนที่ตนโกรธ เห็นชูางเท่าหม้น้ัน


จิตใจมันรูอนร่ม
ุ กระวนกระวาย หัวอกแทบจะระเบิด แต่พอความโกรธมันสงบลง มันผ่อนคลาย
เบาสบาย จึงไม่คิดด่าใครอีกต่อไป

ขอบวชเป็ นสาวกพระพุทธศาสนา ไม่ช้าไม่นานเขาก็อยู่เหนื อความโกรธ ได้บรรลุภาวะ


ทีด
่ ับเย็นสนิ ทแล้วแล...
พราหมณ์ข้ีเหนี ยว

ในเมืองแห่งหนึ่ ง มีพราหมณ์อภิมหามัจฉริยะ (จอมมหาขี้เหนี ยว) อย่้อย่างปอนๆ ใส่เสื้อผูาราคา


ถ้ก กินอาหารพื้นๆ ราคาถ้ก ไม่มีเสียละที่จะขึ้นเหลา สั่งห้ฉลาม ซุปเยื่อไผ่แพงๆ รสชาติอร่อยๆ
มากิน ไม่ใช่ไม่อยาก แต่อยาก เห็นคนอื่นกินแลูวนำ้าลายไหล แต่สามารถควบคุมความอยากของ
ตนเอาไวูไดู

วันหนึ่ งเดินทางกลับจากเฝู าพระมหากษัตริย์ แวะเยี่ยมบูานเศรษฐีนอ ู ย (คือ มีหน


ูุ นูอยกว่าตัวเอง
ซึ่งมีมากเสียจนจำาไม่ไดูว่าเท่าไหร่) เห็นเศรษฐีนอ
ู ยบริโภคขูาวมธุปายาสอย่างดี ส่งกลิ่นหอมโชย
มาตูองจม้กจนนำ้าลายสอ อนุเศรษฐีจึงรูองเชิญว่า "ท่านเศรษฐี เชิญทานขูาวดูวยกัน ขูาวปายาส
กำาลังรูอนเชียวเชิญครับๆ"

เศรษฐีกลืนนำ้าลายเอือ
๊ ก อยากกิน แต่นึกถึงวันขูางหนูาว่า ถูาเรากินของเขาในวันนี้ วันหนูาเราก็
จะตูองเลี้ยงเขาตอบ ทรัพย์เราก็จะร่อยหรอไปเปล่าๆ ว่าแลูวก็ส่ันศีรษะดิกๆ ไม่ยอมกิน ทั้งๆ ที่ใจ
อยากกินแทบจะขาด

จึงรีบลงจากเรือนของเศรษฐีนอ
ู ยๆ ถึงบูานก็ไม่กินอะไรนอนห่มผูาคลุมโปง ครางหงิงๆ

ภรรยาทราบเรื่องสามีป่วยเพราะอยากกินขูาวมธุปายาสจึงรูองดูวยความสงสารว่า โถ พ่อ เรื่อง


แค่น้ี ก็ทุกข์รอ
ู นดูวย เราไปซื้อขูาวมาหุงมธุปายาสกินเองก็ไดู จะเอาแค่ไหน เลี้ยงคนทั้งซอยก็ย่อม
ไดู สามีตาเหลือก รูองว่า อย่าเชียวนะ เปลือง "ถูาเช่นนั้นเลี้ยงเฉพาะเราสองคนก็ไดู" สามีกล่าว
ต่อว่า เธอเกี่ยวอะไรดูวย เปลืองเปล่าๆ ใหูฉน ั กินคนเดียว

"ถูางั้นพี่จัดการเอง ขี้เหนี ยวแมูกับเมีย ไม่ยุ่งดูวยแลูว"

สามีจึงหาเครื่องปรุงขูาวมธุปายาส ออกไปหาทำาเลหุงขูาวมธุปายาสใกลูพุ่มไมูแห่งหนึ่ ง ในป่ า


ละเมาะนอกเมือง คิดว่าคงไม่มใี ครมาเห็นและขอส่วนแบ่ง

ทูาวสักกะเทวราช ผู้เคยเป็ นพ่อของตาพราหมณ์ข้เี หนี ยวจึงจำาแลงกายเป็ นพราหมณ์เฒ่าห้หนวก


เดินมาใกลูๆ รูองถามว่า ใครทำาอะไรอย่้ เห็นควันไฟ สงสัยว่ากำาลังหุงขูาวเลี้ยงพราหมณ์ใช่ไหม
ฉันขอรับเศษขูาวของพวกพราหมณ์ดูวยจะไดูไหม

พราหมณ์ข้ีเหนี ยวรูองลั่น ไม่ใช่ๆ อย่าเขูามา ไม่มีการเลี้ยงพราหมณ์ดอก "ว่าไงนะ จะหุงกินเอง


หรือ ถูางั้นขอกินดูวยคน ไม่กินมากดอก"

พราหมณ์ข้ีเหนี ยวรูองลั่น "ไม่ใช่โวูย ไอูแก่หห


้ นวก ไปที่อ่ ืน"

รูองอย่างไรพราหมณ์เฒ่าก็ทำาท่าไม่ไดูยิน เดินเขูามาจนไดูแลูวกล่าวโศลกว่า...

"มีนอ
ู ยควรใหูนอ
ู ย มีปานกลางควรใหูปานกลาง มีมากแลูวค่อยใหูมาก จงใหูทานดูวย กินเองดูวย
กินคนเดียวย่อมไม่ไดูความสุข"

พราหมณ์ข้ีเหนี ยวกล่าวว่า ท่านพ้ดเขูาที ถูาเช่นนั้นเราจะแบ่งใหูนิดหน่อย จากนั้นปั ญจสิขเทพ


บุตรก็มากล่าวโศลกว่า
ผูใ้ ดเมื่อแขกนั่งแลูวกินอาหารคนเดียว ผูน
้ ้ันนับว่ากลืนกินเบ็ด หย่อนลงดูวยสายยาวๆ ท่านโกสิ
ยะ เราขอเตือนสติท่านจงใหูทานดูวย จงกินดูวย ผูใ้ ดเมื่อแขกนั่งแลูวกินคนเดียว ผู้น้ันย่อมไม่ไดู
ความสุข"

พราหมณ์กล่าวว่า "ท่านก็กล่าวเขูาที นั่งลง เราจะใหูหน่ อยหนึ่ ง"

จากนั้นมาตุลีเทพบุตรก็มากล่าวโศลกว่า...

ใครรำาลึกถึงสิ่งศักดิส ์ ิทธิท
์ ้ังปวง ทำาการเซ่นสรวงแก่เทพทั้งหลาย ที่ท่าพหุกา ท่าคยา ท่าโทณะ
หรือท่าใดก็ตาม ย่อมจะไดูอานิ สงส์บูาง ท่านโกสิยะ เราขอเตือนสติท่าน จงใหูทานดูวย จงกินเอง
ดูวย ผูใ้ ดเมื่อแขกนั่งแลูวกินอาหารคนเดียว ผูน ้ ้ันย่อมไม่ไดูความสุข

เศรษฐีข้ีเหนี ยวกล่าวว่า ท่านก็พ้ดเขูาที นั่งลง ท่านจะไดูหน่ อยหนึ่ ง

เศรษฐีข้ีเหนี ยว กำาลังเผชิญกับอาคันตุกะผู้เหนี ยวกว่าไม่ยอมไปไหน นั่งรอส่วนแบ่งอย่้ดูวยกัน 5


คน คือ พระอินทร์จำาแลงเป็ นพราหมณ์เฒ่า สุริยเทพบุตร จันทเทพบุตร มาตุลีเทพบุตร และปั ญจ
สิขเทพบุตร ต่างก็จำาแลงกายเป็ นหน่ ุมหล่อมาขอส่วนแบ่ง

เศรษฐียกหมูอมธุปายาสลงจากเตา กล่าวว่า พวกท่านจงเอาใบตองมา คิดใหูคนละกระทงใบตอง


ก็พอวะ จะไดูไม่เปลือง อาคันตุกะทั้ง 5 ยื่นมือเปล่าออกไป ใบตองตึงขนาดใหญ่มาอย่้ท่ีมือทันที
เศรษฐีว่าใบไมูน้ันใหญ่ไป เอาใบตะเคียนก็พอ อาคันตุกะขอเอาใบตะเคียนมา แต่กลายเป็ นใบ
ตะเคียนยักษ์โตขนาดโล่ทหาร

เศรษฐีจำาใจเอาทัพพีตักใหูคนละเล็กละนูอย ตักไปๆ ขูาวมธุปายาสพร่องลง เหลือติดหมูอนิ ด


หน่อย เล่นเอาเจูาภาพใจแปู วด้จะกินอิ่มหรือเปล่านี่ อะไรทำานองนี้

ขณะนั้น ปั ญจสิขเทพบุตรจำาแลงกายเป็ นสุนัขตัวใหญ่เดินเขูามาจะถ่ายปั สสาวะใส่ขูาวมธุปายาส


อาคันตุกะทั้งหลายก็เอามือปิ ดกระทงของตนไวู เศรษฐีก็รีบปิ ด แต่สุนัขก็ถา
่ ยรดมือแกจนไดู

แกโกรธถือท่อนไมูไล่ตีสุนัข มันวิ่งเร็วจนตามไม่ทัน วกมาปั สสาวะในหมูอขูาวมธุปายาสจนไดู


คราวนี้ สุนัขกลับเป็ นผู้ไล่กัดเศรษฐี เศรษฐีหนี สุนัขแลูวมาขอใหูอาคันตุกะทั้งหลายช่วยไล่สุนัขไป

อาคันตุกะทั้งหมดก็ลอยขึ้นในอากาศ สำาแดงตนใหูปรากฏ แกตกใจ ถามว่าพวกท่านเป็ นใคร


พระอินทร์กล่าวว่า นี้ คอ
ื สุริยะเทพบุตร นี้ คือจันทะเทพบุตร นี้ มาตุลีเทพบุตร ส่วนสุนัขที่เยี่ยวใส่
หมูอขูาวท่านคือปั ญจสิขเทพบุตร ส่วนเราคือสักกะเทวราช

พวกเราเห็นว่าท่านขี้เหนี ยวนัก มีทรัพย์สินเงินทองก็ไม่ใชูสอยเอง ไม่เลี้ยงด้บุตรภรรยา และคนที่


ควรเลี้ยงอย่างดี ที่เหลือก็ไม่จุนเจือสังคม บุญทานก็ไม่เคยทำา ท่านตายไปจะตกนรกหมกไหมู เรา
จึงมาเตือนท่าน ท่านยกท่านขึ้นจากนรก

ว่าแลูวก็หายวับไป เศรษฐีนึกสลดใจที่ตนไม่ทำาประโยชน์อะไรใหูแก่ตน คนอื่น และสังคม เพราะ


ความขี้เหนี ยว รีบกลับบูานประกาศใหูขนขูาวของจากคลังใหูทานแก่ยากจนวณิพกทั้งหลาย สรูาง
โรงทานสี่มุมเมืองเป็ นการใหญ่ กลายเป็ นคนละคนไปเลย

จากนั้นไม่นาน เศรษฐีสรูางศาลาริมป่ าหิมพานต์ ออกบวชเป็ นนักพรต บำาเพ็ญศีลภาวนาอย่าง


เคร่งครัด ตายไปไปเกิดเป็ นเทพบริวารของทูาวสักกะเทวราช ทูาวสักกะเห็นหนูาก็จำาไดู กล่าว
อนุโมทนาในการกระทำาของอดีตเศรษฐี ประทานนางเทพกัญญา นามว่า หิริเทวี ใหูปรนนิ บัติ
จุติจากสวรรค์แลูวมาเกิดเป็ นกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถี ในสมัยพุทธกาลนี้ ดูวยอุปนิ สัยที่มีมาแต่
ปางก่อน เขาเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา ออกบวชเป็ นสาวกของพระพุทธเจูา บวชมาแลูวเป็ น
พระที่ยินดีในการบริจาคทาน บิณฑบาตไดูมาแลูว ถูาปฏิคาหก (ผู้รับทาน) มีอย่้ใกลู ก็ไม่ยอมฉัน
ภัตตาหารที่ไดูมานอกจากจะใหูแก่ปฏิคาหก

พระพุทธเจูาตรัสสรรเสริญภิกษุร้ปนั้นว่า เป็ นผูม


้ ีจิตใจเอื้ออารี เปี่ ยมดูวยสาราณียธรรม แลูวตรัส
เล่าสุธาโภชนชกดกใหูภิกษุท้ังหลายฟั ง

เรื่องก็จบลงเพียงเท่านี้ ท่านพระอรรถกถาจารย์นำานิ ทานเรื่องนี้ มาเล่าใหูฟังเพื่อแสดงว่า คนที่ต้ัง


ตนไวูผิด ภายหลังตั้งตนไวูถ้กอย่างเช่นเศรษฐีข้ีเหนี ยวคนนี้ ภายหลังละทิ้งนิ สัย "ตังเม" กลาย
เป็ นคนใจบุญสุนทาน ก็ไดูรับอานิ สงส์มากมายดังกล่าวมา

การตัง
้ ใจฟั งโดยมาก

มงคลขูอต่อไปเกี่ยวกับ พาหุสัจจะ ความเป็ นพห้ส้ต คือ คนที่ฟังมาก ศึกษามาก พ้ดใหูเขูาใจคือ ผู้


คงแก่เรียน พระพุทธเจูาตรัสว่า การเป็ นคนคงแก่เรียนเป็ นเหตุใหูถึงความเจริญ เพราะคนที่รู้ขอ

ม้ลมากๆ ขูอม้ลเหล่านั้นย่อมเป็ นประโยชน์ในการตัดสินใจในการนำามาพิจารณาเพื่อเกิดปั ญญา
อย่างแทูจริง

พาหุสัจจะ การไดูศึกษามาก การมีขอ ู ม้ลมาก ยังมิใช่ปัญญาแทูจริงถูาจะเป็ นปั ญญาก็แค่อนุโลม


เท่านั้น การมีความรู้ระดับพาหุสัจจะไม่จำาเป็ นจะตูองบรรลุมรรค ผล นิ พพาน แต่ถูาผู้บรรลุมรรค
ผล นิ พพานมีพาหุสัจจะเป็ นพื้นฐานก็ยอ ่ มมีประโยชน์ เพราะจะไดูอาศัยความรูใ้ นเชิงวิชาการนั้น
อธิบายประสบการณ์โดยตรงใหูคนอื่นเขูาใจไดูง่ายขึ้น

ขอนำานิ ทานมาสาธกสักเรื่องดังนี้

พระอานนท์พุทธอนุชา

พระอานนท์...เป็ นล้กพี่ล้กนูองกับพระพุทธเจูา ออกบวชพรูอมกับเจูาศากยะ เจูาโกลิยะ และนาย


ภ้ษามาลา รวมทั้งหมด 67 คน

บวชมาแลูวก็มีความอุตสาหะ พยายามศึกษาและปฏิบัติตามคำาสั่งสอนของพระพุทธเจูาอย่างดียิ่ง
ไดูบรรลุโสดาปั ตติผล ท่านเป็ นผูใ้ ฝ่ รูใ้ ฝ่ ศึกษาเป็ นอย่างยิ่ง จะเห็นไดูจากตอนที่คณะสงฆ์สรรหา
บุคคลเพื่อมารับตำาแหน่ งพุทธอุปัฏฐากถาวร

พระสงฆ์ขอรูองใหูท่านรับหนูาที่น้ี เพราะไม่มใี ครสามารถทำาไดูดีเท่ากับท่านพระอานนท์

พระอานนท์ขอเสนอเงื่อนไข 8 ขูอ สามในแปดขูอนั้นมีใจความว่า...

เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปแสดงพระธรรมเทศนาที่ใด ขอใหูพระพุทธองค์พาท่านไปดูวย

ถูาไม่มีโอกาสไปฟั ง เมื่อกลับมาแลูวขอใหูพระพุทธองค์ทรงแสดงใหูฟังซำ้าดูวย

ถูาท่านเกิดมีความสงสัยในเรื่องใด ขอใหูประทานอนุญาตใหูเขูาเฝู าท้ลถามใหูหายสงสัยเมื่อนั้น

เงื่อนไขเหล่านี้ ทำาใหูท่านพระอานนท์ไดูมีโอกาสฟั งธรรมจากพระพุทธองค์มากกว่าพระสาวกร้ป


ใด เรียกไดูว่าไม่มีหัวขูอธรรมใดที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ประชาชนจะหลุดรอดมันสมองของ
ท่านพระอานนท์ไปไดู ท่านไดูบันทึกไวูในมันสมองของท่านหมดทุกเรื่อง ท่านจึงเป็ นผู้รอบรู้ทรง
จำาพระพุทธวจนะไดูมากที่สุด

คุณสมบัติน้ี เองที่พระมหากัสสปะมองขูามไม่ไดู เมื่อท่านพระมหากัสสปะดำาริทำาสังคายนาครั้งที่ 1


รวบรวมพระอรหันต์ผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทาไดู 499 ร้ป ยังขาดอีกร้ปจึงจะครบ 500 ตามที่ต้ังใจ
ไวู ท่านจำาตูองเวูน "ที่น่ัง" นี้ ไวูเพื่อพระอานนท์

ตอนนั้นพระอานนท์ยังไม่เป็ นพระอรหันต์ ท่านมหากัสสปะจะรับก็ไม่ไดู เพราะคุณสมบัติยังไม่


ครบ แต่จะเวูนท่านไม่เอาท่านมาร่วมเลยก็ยิ่งไม่ไดูใหญ่ เพราะการทำาสังคายนาครั้งนี้ ขาดพระ
อานนท์ร้ปเดียวก็จะไม่สำาเร็จสมบ้รณ์

เมื่อพระอานนท์รู้ตัวว่าท่านมีความสำาคัญอย่างยิ่งสำาหรับงานใหญ่เช่นนี้ ท่านจึงตั้งหนูาตั้งตา
บำาเพ็ญเพียร (ความหมายก็คือครำ่าเคร่งฝึ กสมาธิวิปัสสนาเป็ นการใหญ่ ไม่พักไม่ผอ ่ นติดต่อกัน
หลายวัน) จนเหนื่อยอ่อน

คืนวันหนึ่ ง ขณะนั่งสมาธิ เดินจงกรมติดต่อกัน จนเวลาล่วงเลยตีหนึ่ งสองยาม ท่านรู้สึกเมื่อยลูา


ตูองการจะพักสักเล็กนูอยแลูวค่อยมาทำาต่อ พอท่านนั่งลงจะเอนกายลงพักผ่อน เทูาขูางหนึ่ งยังไม่
พูนพื้น ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอน ท่านก็เกิด "ความสว่างโพลงภายใน" คือ บรรลุพระอรหัตตผล
ทันที

การบรรลุพระอรหัตตผลของท่านจึงพูนจากอิริยาบถทั้งสี่ คือจะอย่้ในระหว่างนั่งก็ไม่ใช่ ยืนก็ไม่ใช่


เดินก็ไม่ใช่ นอนก็ไม่ใช่

ในการทำาสังคายนาครั้งนั้นพระอานนท์ไดูรับหนูาที่เป็ นผู้วิสัชนาพระธรรมคำาสั่งสอนของพระพุทธ
องค์ ท่านไดูเล่าใหูฟังถึงขูออรรถขูอธรรมต่างๆ ที่พระพุทธเจูาทรงแสดงไวูในที่ต่างๆ แก่ท่ีประชุม
สงฆ์ โดยไม่ผิดเพี้ยนเลย

ความเป็ นผู้ฟังมาก จำาได้มาก ของพระอานนท์ จึงเป็ นประโยชน์แก่ตัวท่านเองและ


พระพุทธศาสนาโดยรวม ด้วยประการฉะนี้ ...

การศึกษาศิลปวิทยา

มงคลขูอต่อไปเกี่ยวกับ ศิลปะเป็ นเหตุใหูบรรลุถึงความเจริญ

เมื่อพระบาลีท่านใชูคำาว่า "สิปปะ" (ศิลปะ)

ด้เหมือนว่าท่านจำาเพาะเจาะจงหมายถึง "ความเป็ นผูเ้ ชี่ยวชาญ" ไม่ใช่เฉพาะเรื่องจิตรกรรม


ประติมากรรม ฯลฯ หากรวมถึงวิชาการทุกชนิ ดรู้ธรรมดาๆ ไม่เรียกว่ามีศิลปะ

ตูองรู้ลึกซึ้งถึงกึน
๋ และเชี่ยวชาญเป็ นพิเศษ จึงจะเรียกว่า "มีศิลปะ" ความเชี่ยวชาญอย่างนี้ แมูจะ
วิชาหรือสาขาเดียวก็ยังชีพอย่้ไดูอย่างสบาย

ดังคร้สุนทรภ่้กล่าวไวูว่า "รู้อะไรใหูกระจ่างเพียงอย่างเดียว แต่ใหูเชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล"

นี้ แหละครับ สิปปั ญจะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง


ลองฟั งนิ ทานเรื่องนี้ ด้ครับ...

บุรุษเปลี้ย

บุรุษเปลี้ยคือคนแคระครับ แกเรียนศิลปะการดีดกูอนกรวดจนเชี่ยวชาญ ไม่ใช่แค่ดีดกูอนกรวด


เล่นนะครับ แกสามารถเอากูอนกรวดเล็กๆ ดีดใส่ใบไมูบนตูนไมู ฉลุเป็ นร้ปสัตว์นานาชนิ ดไดูสวย
สดงดงามมาก ความเชี่ยวชาญระดับนี้ ถึงจะมีร้ปร่างแคระแต่ก็อาศัยยังชีพไดูสบาย

แกก็รับจูางเด็กๆ ดีดฉลุเป็ นร้ปสัตว์ต่างๆ ตามที่เด็กขอรูอง ไดูค่าจูางทีละเล็กละนูอยพอยังชีพตาม


ประสาคนยากจน

ความเก่งกาจของบุรุษเปลี้ยลือกระฉ่อนไปไกลถึงพระกรรณของพระราชา พระราชาทรงมีปัญหา
ที่แกูไม่ตกมาเป็ นเวลานานพอไดูยินเรื่องบุรุษเปลี้ยดีดกรวดก็ทรงนึ กอะไรขึ้นมาไดู รับสั่งใหู
มหาดเล็กไปตามหาบุรุษเปลี้ยผู้น้ันทันที

ปั ญหาอะไรหรือครับที่รบกวนพระราชหฤทัยของพระราชาจนถึงตูองสั่งใหูตามหาบุรุษเปลี้ย
ปั ญหาก็คอ ื ในพระราชสำานักมีปุโรหิตอย่้คนหนึ่ ง มีความรู้ความสามารถดีมาก ทุกอย่างดีหมดแต่
เสียตรงที่แกเป็ นคนพ้ดมาก ลงไดูพ้ดแลูวล่ะก็หยุดยาก จนพระราชาทรงรำาคาญพระราชหฤทัย
แต่ไม่รู้จะทำาอย่างไรจึงจะใหูปุโรหิตปากมากสงบปากสงบคำาไดู

บุรุษเปลี้ยคนนี้ แหละจะช่วยไดู มหาดเล็กจึงไปตามหาบุรุษเปลี้ยที่ชนบท นำาตัวมาเขูาเฝู าพระ


ราชา พระองค์ตรัสกับบุรุษเปลี้ยว่า ในวังมีคนพ้ดมากอย่้คนหนึ่ ง เธอทำาอย่างไรก็ไดูใหูเจูาหมอนั่น
มันสงบปากใหูไดู

เมื่อบุรุษเปลี้ยกราบท้ลว่าแกไม่สามารถทำาไดู เพราะชั่วชีวิตแกก็รู้แต่วิชาดีดกรวดฉลุร้ปสัตว์อย่าง
เดียว

"เอ็งก็ลองเอาวิชาดีดกรวดอะไรของเอ็งดีดอะไรสักอย่างเขูาปากปุโรหิตเวลามันอูาปากพ้ดชีวะ"
พระราชาทรงแนะนำา

บุรุษเปลี้ยจึงไปเตรียมม้ลแพะ (ขี้แพะ) มาไวู แลูวก็น่ังอย่้หลังม่านดูานหลังพระที่น่ัง เมื่อปุโรหิต


เขูาเฝู าถวายคำาปรึกษา ปุโรหิตกำาลังอูาปากจะพ้ดบุรุษเปลี้ยก็ดีดขี้แพะดูวยความฉับไวเขูาปาก
ปุโรหิตก็กลืนเอือ ๊ กเขูาลำาคอไป ก็นึกว่ากลืนนำ้าลาย พออูาปากทีก็ดีดฉับเขูาไปอีกหนึ่ งเอือ๊ ก อูาอีก
ทีก็อีกเอือ
๊ ก กว่าจะพ้ดจบก็รู้สึกว่าหนักทูองทีเดียว

พระราชาตรัสถามว่า "เป็ นไงท่านปุโรหิต วันนี้ กินขี้แพะไปกี่กูอน เต็มพุงเชียวนะ ฮะฮะฮ่าฮ่า"


ทรงพระสรวลดูวยความสำาเริงสำาราญพระราชหฤทัยยิ่งนัก

ตั้งแต่น้ันต่อมาปุโรหิตผู้ "ทอล์กคะถีพ" กลับกลายเป็ นคนพ้ดนูอย สงบปากสงบคำาดีมาก แทบจะ


เรียกว่า "ถีบ" ยังไม่ "ทอล์ก" เลย

บุรุษเปลี้ยไดูรับพระราชทานบำาเหน็จรางวัลอย่างงาม จนกลายเป็ นเสี่ยเปลี้ยไปในบัดดล เพราะ


ความเป็ นผู้เชี่ยวชาญในศิลปะการดีดกูอนกรวดเพียงอย่างเดียวแทูๆ ที่บุรุษเปลี้ยแกไดูอย่้ดีมีสุข
ถึงปานนี้

แต่ตูองระวังอย่้อย่างหนึ่ ง เมื่อมีความเชี่ยวชาญในวิชาใดก็ตาม ตูองใชูในทางที่ถ้กตูอง สุจริต


ยุติธรรม หาไม่แลูวจะประสบกับหายนะเอาไดู ดังนิ ทานเรื่องที่สอง
บุรุษนิ รนาม

บุรุษนิ รนามคนหนึ่ งเรียนศิลปะดีดกูอนกรวดจากจอมยุทธ์แคระจนเชี่ยวชาญ อาจารย์แคระกำาชับ


ว่าศิลปะนี้อย่านำาไปใชูในทางที่ผิด เช่น เบียดเบียนหรือฆ่าผู้อ่ น
ื บุรุษนิ รนามก็รับปากอย่างดี

แต่ดูวยความคะนอง วันหนึ่ งเห็นพระปั จเจกพุทธเจูาซึ่งออกจากณาณสมาบัติเดินบิณฑบาตอย่้


บุรุษนิ รนามอยากทดสอบความแม่นยำาของตน กำาลังมองหาเปู าเคลื่อนที่อย่้ พอเห็นพระปั จเจก
พุทธะเดินมาก็คิดว่า ธรรมดาสมณะไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีครอบครัว ถึงเราดีดกรวดใส่ห้ตาย คง
ไม่มีใครทราบ คิดแลูวก็ดีดกูอนกรวดเขูาห้ซา
ู ยทะลุออกห้ขวาดูวยความชำานาญ

พระปั จเจกพุทธเจูาทนความเจ็บปวดไม่ไหว จึงไดูลูมลงมรณภาพ ณ ที่น้ันเอง ไม่มใี ครทราบว่า


พระท่านมรณภาพอย่างปั จจุบันทันด่วนเพราะอะไร เห็นแต่เลือดไหลออกจากห้ท้ังสองดังท่อนำ้า
แตก แต่ไม่ทราบสาเหตุ

ในเวลาต่อมา บุรุษนิ รนามนั้นยังไปคุยอวดความเก่งของตัวว่าตัวเองนั้นมือแม่นขนาดไหน ขนาด


ดีดกูอนกรวดใส่ห้พระร้ปหนึ่ งเขูาห้ซา
ู ยทะลุห้ขวายังกะจับวาง ไม่บอกไม่มใี ครรูน
้ ะว่าเป็ นฝี มือของ
เขาเอง

ประชาชนพอทราบเรื่องเขูาก็พากันรุมประชาทัณฑ์จนตาย

นี่ เพียงแค่กูอนกรวดธรรมดาๆ ถูาดีดเก่ง เชี่ยวชาญอย่างบุรุษเปลี้ยก็สามารถเอาตัวรอดไดู แต่ถูา


ใหูใชูความเก่งนั้นในทางที่ผิด ก็ย่อมประสบหายนะดุจดังชายคนที่สองในเรื่องนี้ แล
การมีวินัยทีฝ ่ ึ กดีแล้ว

พระพุทธเจูาตรัสว่า...ภิกษุท่ีระวังตา ห้ จม้ก ลิ้น กาย ใจ มิใหูถ้กสิ่งที่เห็นที่ไดูยิน ยั่วยวน ชวนใหู


เคลิบเคลิ้ม เห็นสักว่าเห็น ไดูยินสักว่าไดูยิน ไม่ยินดียินรูาย ก็อย่้รอดปลอดภัย ดุจเต่ารอดพูนจาก
การตกเป็ นเหยื่อของสุนัขจิ้งจอกฉะนั้น

ดังนิ ทานเรื่องต่อไปนี้ เกี่ยวกับพระที่ไม่สำารวมอินทรีย์ ไม่ใช่พระภิกษุ แต่เป็ นฤาษี นามว่า หาริ


ตดาบส

หาริตดาบส

คราวหนึ่ งพระราชาตูองไปปราบกบฏที่ชายแดน รับสั่งใหูพระมเหสีสาวสวยช่วยด้แลอาหาร


บิณฑบาตใหูพระคุณเจูาแทน เหตุการณ์ก็เป็ นไปตามปกติ

อย่้มาวันหนึ่ ง หลังจากเตรียมสำารับกับขูาวจะถวายพระแลูว มเหสีก็ทรงสรงสนานเสร็จ และก็


กำาลังแต่งองค์ทรงเครื่องอย่้

หลวงพ่อฤาษีท่านมาเร็วไปหน่ อย เหาะลงมายังตำาหนักลดเพดานลงมาเรื่อยๆ เสียงปะทะผูา


"คากรอง" (เครื่องน่ ุงห่มของฤาษี) ดังพับๆๆ พระมเหสีตกใจผุดลุกขึ้นจะเขูาไปในหูองส่าหรีหลุด
ขณะพระมเหสีกำาลังแต่งองค์ทรงเครื่องอย่้

หลวงพ่อแลเห็นพอดี เสียสำารวม หล่นตุุบลง ดีว่าใกลูถึงพื้นอย่้แลูว ไม่เป็ นไรมาก จากนั้นตำาราก็


ว่าไวูส้ันๆ ว่า "แลูวทั้งสองก็ถึงศีลวิบัติ" understood ว่างั้นเถอะ ฉันเสร็จฌานเสื่อม ตูองเดิน
กลับ เหตุการณ์ก็เป็ นมาเรื่อยๆ จนเสียงลือแซดไปหมด แฟ็ กซ์บูาง มือถือบูาง ทำางานหนัก ว่างั้น
เถอะ

พระราชาเสด็จกลับมาทรงทราบเรื่อง ก็ไปจับเข่าฤาษีถามว่า จริงหรือเปล่าที่เขาลือกัน ฤาษีแกก็


ชื่อดีนะ ตอบว่า "จริงขอถวายพระพร" อาตมาเสียสำารวมไปหน่ อย

ขอโอกาสสักพัก ว่าแลูวก็ปิดประต้กระท่อม นั่งเขูาฌานสักพักหนึ่ งก็บรรลุฌานขั้นส้ง ไม่เสื่อมอีก


ต่อไป แลูวเปิ ดประต้กระท่อมออกมาแสดงธรรมใหูพระราชาฟั ง เรื่องการไม่สำารวมระวังในกาม
มันทำาใหูชีวิตพรหมจรรย์มัวหมอง เสียพระ เสียผู้เสียคน อาตมาก็เกือบไปแลูว ว่าอย่างนั้น

นักเลงจอมขี้โกง

ในอดีตกาล นักเลงสกาคนหนึ่ งชอบมาเล่นสกากับพระโพธิสัตว์ และเวลาแกเล่นไดูติดๆ กัน แกก็


หาเรื่องเลิกเล่นเสียดื้อๆ อย่างนั้น อูางโน่ นอูางนี่ แต่พอเวลาแกแล่นทำาท่าว่าจะเสียก็แกลูงอีก
เช่น แกลูงอมล้กสกาแลูวบอกว่าล้กสกาหายไม่ครบ เล่นไม่ไดูแลูว เลิกกันเถอะ อะไรทำานองนี้

พระโพธิสัตว์รู้นิสัยขี้โกงของนักเลงสกาคนนี้ ดี

วันต่อมาจึงเอาล้กสกาทั้งหมดอาบยาพิษ ตากใหูแหูงแลูวแหูงอีก จนไม่รู้ว่ามียาพิษเคลือบอย่้

วันหนึ่ งขณะเล่นสกากับจอมขี้โกง จอมขี้โกงทำาท่าว่าจะแพูจึงใส่ล้กสกาเขูาปากอม ยังไม่ทันพ้ดว่า


สกาหายก็ตาเหลือก นำ้าลายฟ้มปาก ลูมลงทันที

พระโพธิสัตว์อาศัยความกรุณา จึงเอายาแกูพิษมากรอกปากใหูด่ ืม ใหูสำารอกยาพิษออกมา จน


หายในที่สุด

แลูวใหูคติธรรมว่า คนเราควรมีวินัย (คือมีศีล) คนที่ไม่มีวินัยจะประสบกับความหายนะเช่นนี้


เท่ากับบอกว่า ถูาขูาไม่ช่วยเอาไวูเอ็งมีหวังตายแหงๆ ว่าอย่างนั้นเถอะ

ฤาษีไร้วินัยทีฝ
่ ึ กฝนดีแล้ว

ฤาษี 2 ร้ป ร้ปหนึ่ งมีอายุมาก มีกิริยามารยาทที่ไดูรับการฝึ กฝนมาดีแลูว ส่วนอีกร้ปหนึ่ งยังหน่ ุม


ไม่คอ
่ ยจะสงบสำารวมสมกับเป็ นเพศนักพรตสักเท่าไหร่ อยากจะทำาอะไรก็ทำา อยากจะกินอะไรก็
กิน อยากจะพ้ดอะไรก็พ้ด ไม่รู้จักกาลเทศะ เรียกว่าเป็ นคนประเภท "คร้บาอาจารย์มรณะตั้งแต่
บวชใหม่ๆ" ไม่รู้จักระมัดระวังกายวาจา คือ บวชปั ๊ บอุปัชฌาย์อาจารย์ก็ตาม เลยไม่มีเวลาสอน

ฤาษีผู้สงบสำารวมก็ช่วยสอน ช่วยเตือน แต่เธอก็ไม่ฟัง ยังคงจูุนจูานอย่้เหมือนเดิม

วันหนึ่ งฤาษีผู้สำารวมไดูยกโศลกที่มีขอ
ู ความกินใจมาว่าใหูฟัง มีความว่า...

"ถูาความรู้และวินัยที่ฝึกฝนดีแลูวไม่มีอย่้ในคนใด คนนั้นก็ไม่ตา
่ งกับควายตาบอด เที่ยว
มะงุมมะงาหราอย่้ในป่ า หาทางออกจากป่ าไม่ไดู"

ไดูฟังคำาพ้ด "ปรัชญา" อย่างนี้ ทำาใหูฤาษีร้ปนี้เกิดความละอายว่า เราปฏิญาณตนว่าจะถือเพศ


นักพรต ประพฤติวัตรเคร่งครัดเพื่อข้ดเกลากิเลสใหูเบาบาง แค่ศีลหรือวินัยพื้นฐานยังทำาไม่ไดู ใหู
เขาตูองตำาหนิ น่ าอายจริงหนอ

ว่าแลูวก็กูมลงกราบขอโทษฤาษีอีกร้ปผู้อาวุโส ซึง
่ เป็ นพระโพธิสัตว์มาเกิด บำาเพ็ญบารมี และทำา
ตามโอวาทของฤาษีโพธิสัตว์ เพ่งกสิณจนกระทั่งไดูฌานในที่สุด

เรื่องนี้ เล่าไวูใน คันธารชาดก ตูองการจะบอกว่าศีลก็คอ ื วินัย วินัยก็คือศีล วินัยของชาวบูานแค่ศีล


5 ก็เกินพอ ของพระก็ 227 ขูอก็เกินพอ แต่น่ันเป็ นเพียงตัวบทกฎหมาย แต่ความมีศีลมีวินัยก็คือ
อายชั่วกลัวบาป พัฒนาตนใหูเจริญดูวยคุณธรรม ละสิ่งที่ควรละ พัฒนาสิ่งที่ควรพัฒนา ไดูพอ
สมควรนั่นแหละเรียกว่า ผูม ้ ีวินัยที่ฝึกฝนอบรมมาดี...
วาจาทีเ่ ป็ นสุภาษิต

วาจาสุภาษิต คือ พ้ดดี ตามหลักวจีกรรมที่เป็ นกุศล 4 คือ ไม่พ้ดคำาหยาบ ไม่พ้ดส่อเสียด ไม่พ้ด


เพูอเจูอ ถึงจะพ้ดตามวจีสุจริต 4 ครบ ก็ตอ
ู งด้องค์ประกอบเหล่านี้ ดูวย จึงจะเรียกว่า "พ้ดดีจริง"
คือ

พ้ดถ้กกาละ พ้ดคำาจริง
พ้ดสุภาพ พ้ดคำามีประโยชน์
พ้ดดูวยเมตตา

พระท่านว่า ศีลนี้ แลรักษายาก เพราะมันขาดง่าย อย่้บูานเฉยๆ ก็ขาดศีลขูอ 4 แลูว เช่น เสียง


โทรศัพท์ดัง ล้กชายรับ แลูวหันมาถามพ่อว่า "พ่อ คุณ...โทร.มา" พ่อเกลียดขี้หนูาไอูหมอนั่นอย่้
แลูว บอกกับล้กชายว่า "บอกไปว่าพ่อไม่อย่"้ นี่ แค่น้ี กผ
็ ิดศีลแลูวล่ะ แลูวถูาล้กมันยังเล็กอย่้ อย่า
บอกล้กอย่างนี้ นะ เดีย
๋ วหนูาแตก "คุณพ่อบอกว่าคุณพ่อไม่อย่้ค่ะ"

คนพูดดีและไม่ดี

ล้กเศรษฐี 4 คน เพื่อนซี้กัน กินเที่ยวเล่นสนุกดูวยกันเชียร์บอลดูวยกัน ไปฟั งเพลงดูวยกัน เขูาเธ


คดูวยกัน ว่างั้นเถอะ

วันหนึ่ งนายพราน บรรทุกเนื้ อผ่านมาเต็มเกวียน จะมาขายในเมือง ล้กเศรษฐีพันลูานคนแรก


กล่าวกับนายพรานว่า...

"เฮูย ไอูนายพราน ขอเนื้อขูาสักชิ้นซีวะ"

"วาจาของท่านนั้น หยาบคายดุจพังผืดไม่มีผิด จงเอาเนื้อพังผืดไป" นายพรานกล่าว แลูวเฉือน


พังผืดใหู คนที่สองพ้ดว่า

"พี่ครับ ขอเนื้อผมบูางไดูไหม"

"พี่นอ
ู งเปรียบเสมือนแขนขา ขาดพี่นอ
ู งคนเราก็โดดเดี่ยววาจาของท่านดุจแขนขา จงเอาเนื้ อขา
ไป"

ว่าแลูวนายพรานก็ตัดขาเนื้อใหูไปหนึ่ งขา

คนที่สามพ้ดว่า...

"คุณพ่อครับ ขอเนื้อผมบูาง"
"ใครไดูยินคำาว่าพ่อ หัวใจย่อมหวั่นไหวดูวยความรักล้ก คำาพ้ดของท่านดุจหัวใจ จงเอาเนื้อหัวใจ
ไป"

ว่าแลูวก็เฉือนหัวใจเนื้ อใหูไป

คนสุดทูายกล่าวว่า...

"สหายเอ๋ย ขอเนื้อเราบูางเถอะ"

นายพรานดีใจ พ้ดว่า "ใครไม่มเี พื่อน คนนั้นย่อมโดดเดี่ยว หม่้บาู นใดไม่มีเพื่อน หม่้บูานนั้นเป็ น


เสมือนบูานรูาง เพื่อนพ้ดถ้กใจเรา เรายกเนื้ อใหูหมดทั้งเล่มเกวียนเลย"

ว่ากันว่า ทั้ง 5 คนนั้นต่อมาเป็ นเพื่อนรักกันตลอดชีวิต

นี้ คือตัวอย่างของการรู้จักใชูคำาพ้ด พ้ดดีก็ไดูประโยชน์ พ้ดไม่ดีก็เสียประโยชน์ เผลอๆ โดนเตะ


ปากแตก ดังคำาพังเพยว่า "พ้ดดีเป็ นศรีแก่ปาก พ้ดมากปากมีส"ี

เจ้าหนุ่มคารมดี

ชายหน่ ุมร้ปหล่อคนหนึ่ ง เห็นพ่อเฒ่าศีรษะบางคนหนึ่ งจ้งวัวมาสองตัว จึงรูองถามไปว่า...

"พ่อผมดกปกหัว พ่อจะจ้งวัวไปไหน"

"บุะ ไอูหน่ม
ุ นี้ พ้ดจาดีแฮะ" พ่อเฒ่าคิด

จึงรูองตอบไปว่า

"พ่อเอย พ่อพ้ดถ้กเขูาห้ วัวทั้งค่้พ่อยกใหู" ใหูวัวไอูหน่ม


ุ เลย ใจปำ้ าปานนั้น

เจูาหน่ม
ุ จ้งวัวเดินไป ล้กสาวพ่อเฒ่าเห็นจำาไดูว่าวัวของพ่อตน จึงรูองถามว่า "พ่อร้ปหล่อไปทั้งตัว
พ่อไดูวัวมาจากไหน"

ชายหน่ ุมก็ตอบว่า "แม่อกตั้งดังดอกบัว ไอูหัวลูานร้ปชั่วมันยกใหู"

สาวไดูยินก็โกรธแทนพ่อ หนอย มันมาด่าพ่อปานนี้ พ่อยังใหูวัวมันไป จึงรีบไปถามพ่อว่า พ่อใหูวัว


ไอูหน่ ุมมันไปทำาไม พ่อตอบว่า ไอูหน่ ุมมันคนดีนะล้ก มันพ้ดเพราะๆ

"เพราะกะผีอะไรพ่อ มันด่าว่าพ่อหัวลูานร้ปชั่ว"

ล้กสาวรายงาน

"ถึงยังงั้นเชียวรึ หนอย พอลับหลังขูามันด่าขูาเรอะ"

ว่าแลูวพ่อเฒ่าก็ควูาปะฏักวิ่งตามไปทัน
ชายหน่ ุมเห็นท่าไม่ดี จึงรูองไปว่า

"พ่อผมตกปกหลัง พ่อจะละลูาละลังไปขูางไหน"

"บุะ มันพ้ดไพเราะนี่ หว่า" พ่อเฒ่าคิด จึงตอบไปว่า "ล้กเอยล้กรัก พ่อลืมปะฏักจะเอามาใหู" แลูวก็


ใหูปะฏักใหูไอูหน่ม
ุ ไป

กลับถึงเรือน ล้กสาวรู้ว่าพ่อโดนหลอกอีก จึงควูาแขนพ่อตามไป เจูาหน่ ุมเห็นดังนั้นจึงรูองตะโกน


เสียงดังฟั งชัดว่า...

"พ่อผมตกปกเกลูา พ่อจะจ้งล้กสาวไปขูางไหน"

พ่อเฒ่าหัวลูานดีใจที่ไดูยินมธุรสวาจาอีก จึงรูองตอบไปว่า

"ล้กเอย ล้กแกูว พ่อแก่แลูว พ่อจะยกล้กสาวใหู"

เป็ นอันว่าเจูาหน่ม
ุ ร้ปหล่อคารมดี ไดูล้กสาวของพ่อเฒ่าเป็ นภรรยาดูวยประการฉะนี้ แล...

คนพูดส่อเสียด

ในวัดแห่งหนึ่ งมีพระเถระสองร้ป ร้ปหนึ่ งพรรษา 60 ร้ป ที่สองพรรษา 59 อย่้ดูวยฉันพี่นอ


ู ง รัก
ใคร่กลมเกลียวกันมาก

อย่้มาวันหนึ่ ง พระนักเทศน์ร้ปหนึ่ งมายังอาวาสนั้น เห็นพระเถระทั้งสองปรองดองกันดีเหลือเกิน


ที่สำาคัญเหล่าญาติโยมก็เลื่อมใสถวายจตุปัจจัยใหูท่านอย่้อย่างพอเพียง

พระนักเทศน์เกิดอิจฉาและโลภอยากเป็ นเจูาอาวาสเสียเอง ลาภผลจะไดูตกเป็ นของตน

วันดีคืนดีก็เขูาไปประจบประแจงพระเถระเจูาอาวาส แลูวก็ใส่ไฟว่า "พระเดชพระคุณที่เคารพ


ความจริงผมไม่อยากกราบเรียนใหูท่านทราบ แต่ก็อดเป็ นห่วงมิไดู" ครั้นพระเถระถามว่าเรื่อง
อะไร ก็ตอบอูอมแอูมๆ หลังจากทำาท่าไม่อยากพ้ดสักพักหนึ่ ง

"พระเถระนูองชายท่าน นิ นทาท่านอย่างนี้ ๆ (ว่าหนักถึงขั้นว่า ท่านแกลูงทำาสำารวมจริยาวัตร


เรียบรูอย แต่ภายในใจเต็มไปดูวยกิเลส ผิดศีลรูายแรง)

แลูวก็นำาคำาพ้ดอย่างเดียวกันไปเป่ าห้พระเถระผูน
้ อ
ู ง

แรกๆ ก็ยังไม่เชื่อ แต่เมื่อถ้กเป่ าห้เขูาบ่อยๆ พระเถระทั้งสองร้ปก็กินแหนงแคลงใจกัน ต่างก็แยก


ทางกันไปอย่้ท่ีอ่ ืน ทิ้งวัดใหูพระนักเทศน์หนูาแหลมอย่้เพียงร้ปเดียว ดูวยความอิม
่ เอมเปรมปรีดิใ์ น
แผนการใส่รูายปู ายสีอน ั สกปรกของตน

กาลเวลาผ่านไป พระเถระสองพี่นอ ู งไดูพบกัน จับเข่าถามกันว่า ทำาไมท่านว่าผมอย่างนั้นๆ แต่ละ


ร้ปก็บอกว่าไม่ไดูว่าอะไรเลย จึงรู้ว่าถ้กพระนักเทศน์ยุยงใหูแตกกัน จึง "แสดงโทษกันและกัน"
สำานวนพระครับ ความหมายก็คือขอขมากัน

พระเถระผู้เฒ่าและพระเถระผู้นอ
ู งจ้งมือกันกลับมาวัดเดิมชี้หนูาพระนักเทศน์ว่า ท่านเป็ นอลัชชี
ปลิ้นปลูอน หลอกลวง อาศัยผูาเหลืองสรูางความรำ่ารวยแก่ตน เอาความดีใส่ตัว แต่เอาความชั่ว
ใหูคนอื่น ทำาใหูเราซึ่งอย่้ดูวยกันมาอย่างสมานฉันท์ตูองกินแหนงแคลงใจกัน วาจายุแยงของท่าน
มันช่างรูายกาจนัก ท่านไม่สมควรอย่้ในอาวาสนี้ จะไปไหนก็ไป

พระนักเทศน์ผู้พห้ส้ตก็เลยตูองถ้กขับไล่ไปจากวัด

ปิ สุณวาจา ก่อใหูเกิดโทษมหาศาลดังนี้ แล

โทษของการพูดคำาหยาบ

โคนันทวิสาลเห็นเจูานายของตนลำาบาก อยากจะช่วยเหลือใหูมีโภคทรัพย์บูาง จึงบอกอุบายใหู


พราหมณ์ พราหมณ์เห็นดูวยจึงไปทูาพนันกับเพื่อนว่าโคนันทวิสาลของแกมีกำาลังมาก สามารถ
ลากเกวียนที่ผ้กติดกันไดูถึง 100 เล่ม

ใครจะเชื่อ โควินทเศรษฐีจึงรับคำาทูา เดิมพันจำานวนพันกหาปณะ พอถึงวันแข่ง พราหมณ์น่ัง


เกวียนแลูวก็รูองว่า

"เฮูย ไอูโคโกง เข็นไปเร็วๆ ซีวะ"

โคนันทวิสาลรู้สึกเสียใจที่นายพ้ดไม่ไพเราะ จึงไม่ยอมลากเกวียน ทำาใหูพราหมณ์เสียพนัน เมื่อ


เสียเงินก็เลยเศรูาโศกเสียใจไม่เป็ นอันกินอันนอน โคนันทวิสาลเกิดความสงสาร จึงเขูาไป
ปลอบโยนว่า "นาย ที่ท่านแพูมใิ ช่เพราะขูาพเจูานะ แต่เพราะท่านเรียกขูาพเจูาว่า ไอูโคโกง
ขูาพเจูาจึงไม่ยอมลากเกวียน ต่อไปใหูพนันใหม่ แต่อย่าเรียกขูาพเจูาว่าไอูโคโกงเป็ นอันขาด ใหู
พ้ดดูวยวาจาอันไพเราะ แลูวขูาพเจูาจะทำาเงินใหูแก่ท่านมากกว่าเดิมหลายเท่า"

พราหมณ์คิดตรึกตรองอย่้นานกว่าจะตัดสินใจทูาพนันเป็ นครั้งที่สอง เดิมพันคราวนี้ สองพัน


กหาปณะ คราวนี้ พราหมณ์แกพ้ดแบบแจ๋วหวานเจีย ๊ บเลย

"พ่อนันทวิสาลผูเ้ จริญ พ่อจงโปรดเข็นเกวียนไปเถิด"

ผลเป็ นอย่างไร ท่านผูอ


้ ่านคงจะทราบดี

สรุปก็คือ การพ้ดไพเราะนั้น อย่าว่าแต่คนเลย สัตว์เองก็ชอบ เอวังก็มีดูวยประการฉะนี้ ...

ภิกษุผู้เลี้ยงมารดา

บุตรของครอบครัวมีอันจะกินคนหนึ่ ง เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ออกบวชเป็ นพระสาวกของ


พระพุทธเจูา บวชแลูวก็จากบูานเกิดเมืองนอนไปปฏิบัติธรรมในป่ าเป็ นเวลา 5 ปี หารู้ไม่ว่า
ครอบครัวของตนเกิดวิกฤต ทรัพย์สินร่อยหรอลงไป บิดาตายพี่นอู งแยกยูายกันไป เหลือแต่โยม
มารดาคนเดียว ตูองอย่้อย่างแรูนแคูน

ภิกษุหน่ ุมทราบภายหลัง มีความวิตกกังวลถึงแม่ ตนเองปลีกเอาตัวรอดคนเดียวนั้นไม่สมควร


อย่างยิ่ง ยิ่งคิดมาก การปฏิบัติธรรมก็ไม่กูาวหนูา จึงตัดสินใจจะสึกเพื่อด้แลแม่

ก่อนไปหาแม่ได้เข้ากราบทูลลาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า การเลี้ยงดูบิดา


มารดานัน
้ เป็ นพระภิกษุก็เลี้ยงได้ไม่จำาเป็ นต้องลาสิกขาเป็ นคฤหัสถ์ ภิกษุหนุ่มดีใจที่
ไม่ต้องสึก เวลาไปบิณฑบาต ได้ข้าวปลาอาหารทีม ่ ีผู้ใส่บาตร ท่านก็เอาไปให้มารดา
แล้วก็กลับวัด วันไหนได้ข้าวมาก็ให้โยมแม่มาก และตนเอาแต่นอ ้ ย แต่วันไหนได้นอ
้ ย
ก็ให้โยมแม่หมด ตนเองก็อดฉัน

ไดูผูาที่เขาถวายมา ก็นำาไปใหูโยมแม่เย็บทำาผูาน่ ุงผูาห่ม ส่วนตนเองก็ใชูจีวรเก่าขาด จนกระทั่ง


ร่างกายซ้บผอมไป

พระภิกษุท้ังหลายเห็นท่านซ้บผอม ผิวพรรณไม่ผอ ่ งใส จึงถามว่าเป็ นอะไร ท่านก็เล่าใหูฟัง แทนที่


ท่านเหล่านั้นจะยินดีดูวยกลับติเตียนท่านต่างๆ นานา หาว่าทำาลายศรัทธาของชาวบูาน ชาวบูาน
เขาใส่บาตรใหูพระฉัน กลับเอาไปใหูแม่กิน

จึงพากันไปเฝู าพระพุทธเจูา กราบท้ลใหูทรงทราบ พระพุทธเจูารับสั่งใหูภิกษุหน่ ุมมาเฝู า ตรัส


ถามว่า เธอบิณฑบาตเอาขูาวไปเลี้ยงมารดาหรือ ภิกษุหน่ ุมกราบท้ลว่า พระเจูาขูา

พระพุทธองค์ประทานสาธุการ 3 ครั้งว่า "สาธุ สาธุ สาธุ" แลูวตรัสใหูไดูยินโดยทั่วกันว่า "ดีแลูว


ภิกษุเธอไดูดำาเนิ นตามมรรคที่ถ้กตูองแลูว ภิกษุท้ังหลาย การเลี้ยงมารดาบิดาเป็ น
"วงศ์" (ธรรมเนี ยมที่พึงปฏิบัติ) ของบัณฑิตทั้งหลาย

สุวรรณสาม

คนที่มีความกตัญญ้กตเวที เลี้ยงด้บิดามารดาอย่างดียิ่งจนไดูรับการบันทึกไวูใหูเอาเยี่ยงอย่าง ที่


รู้จักกันโดยทั่วไปนั้นก็คือ สุวรรณสามโพธิสัตว์

เมื่อครั้ง พระพุทธเจูาเสวยชาติเป็ นสุวรรณสามโพธิสัตว์ ท่านบวชเป็ นดาบส เลี้ยงบิดามารดาผู้


ตาบอดทั้งสองคน ดูวยความกตัญญ้กตเวทีเป็ นที่ยิ่ง

สุวรรณสามนั้น มีจิตประกอบดูวยเมตตา ในสรรพสัตว์ทุกถูวนหนูา ท่านจึงเป็ นที่รักของเหล่า


เทพยดา แมูกระทั่งเหล่ามฤคชาติท้ังหลายก็มาหูอมลูอมเป็ นบริวารท่าน เวลาท่านไปตักนำ้าที่
ท่านำ้ามาใหูบิดามารดาตักอาบและดื่มกิน บรรดาหม่้เนื้อก็ตามท่านเป็ นพรวน

ในช่วงนั้น พระเจูาปิ ลยักษ์ผู้ครองเมืองพาราณสี ออกไปล่าเนื้อแต่ลำาพัง ผ่านไปยังท่านำ้าใกลู


อาศรมของสุวรรณสาม เห็นรอยเทูาเนื้อเดินขึน ้ ลงท่านำ้ามากมาย จึงกระหยิ่มในใจว่า ตนไดูพบ
เหยื่ออันโอชะแลูว จึงแอบซ่ม ุ ด้ลาดเลา

ดาบสหน่ ุมลงมาอาบนำ้า แลเตรียมตักนำ้าไปใหูบิดามารดาดูวย ติดตามดูวยฝ้งมฤคชาติมากมาย


พระราชาซึ่งแอบซ่อนอย่้จึงโก่งธน้ ตั้งใจจะยิงเนื้ อตัวหนึ่ ง แต่ล้กธน้แล่นไปเสียบอกดาบสหน่ ุมเต็ม
รัก ฝ้งเนื้อตื่นตกใจแตกฮือหนี ไป

พระโพธิสัตว์ลูมลง สายตาสอดส่ายหาผู้ท่ียิงตน พลางเปล่งวาจาดูวยสำาเนี ยงไพเราะถามออกไป


ว่า ท่านผู้เจริญท่านใดหนอ ที่เป็ นผู้ยิงขูาพเจูา

พระราชาในคราบพรานป่ า ไดูยินคำาพ้ดของพระโพธิสัตว์ก็สะดูุงพระทัย "ท่านผูน


้ ้ี แมูถ้กเรายิงยัง
ไม่มีจิตโกรธขึ้งเลย รูองเรียกเราดูวยวาจาไพเราะ โอหนอ เราทำากรรมหนักแลูว"

ว่าแลูวก็รีบเขูาไปประคองร่างพระโพธิสัตว์ผู้สลบไสลดูวยล้กศรกำาซาบยาพิษ ทรงครำ่าครวญ
สำานึ กในความผิดของตนอย่างน่าสงสาร
เทวธิดาตนหนึ่ งมิไดูปรากฏตัวเปล่งเสียงลอยมาจากอากาศว่า "มหาราชเจูา ท่านไดูทำาผิดอันยิ่ง
ใหญ่แลูว ถูาพ่อสามตายท่านตูองเลี้ยงด้บิดามารดาที่ตาบอดของพ่อสาม"

พระเจูาปิ ลยักษ์ไดูสดับดังนั้น จึงไปยังอาศรม ไปนำาบิดามารดาของดาบสหน่ ุมมายังดาบสผู้นอน


สลบไสลอย่้ แลูวเล่าความใหูฟังจนหมดสิ้น บิดามารดาทั้งสองของดาบสหน่ ุมไดูกล่าว
สัตยาธิษฐานว่า...

"พ่อสามนี้ ปกติเป็ นคนประพฤติธรรมเสมอ ดูวยการกล่าวสัจวาจานี้ ขอใหูพิษในกายของพ่อสาม


บุตรชายของขูาพเจูาจงหายไปเถิด"

เทพยดาไดูกล่าวสัจคาถาว่า "เราอย่้ท่ีเขาคันธมาทน์นี้ มาชูานาน ใครๆ ที่จักเป็ นที่รักของเรา


เหมือนพ่อสามนี้ ไม่มีเลย ดูวยการกล่าววาจานี้ ขอพิษในกายของพ่อสามจงส้ญหายไป"

จบสัจวาจาของเทพยดา ไดูเกิดความอัศจรรย์ 3 อย่างพรูอมกัน คือ (1) ดาบสหน่ ุมหายโรค (2)


พ่อแม่ของดาบสหน่ ุมกลับมองเห็นดุจแต่ก่อน (3) รุ่งอรุโณทัยพอดี

พระโพธิสัตว์เมื่อหายจากโรคแลูว ไดูใหูโอวาทแก่พระเจูาปิ ลยักษ์ว่า...

"นรชนที่เลี้ยงบิดามารดาโดยธรรม แมูเทพยดาทั้งหลายก็ย่อมช่วยเหลือเขา นักปราชญ์ท้ังหลาย


ก็สรรเสริญในโลกนี้ เขาละไปแลูว (คือตายไปแลูว) ย่อมเกิดในสวรรค์"

จากนั้นพระโพธิสัตว์ไดูสอนจริยธรรมสำาหรับนักปกครองแก่พระราชา ความว่า...

"ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในพระราชบิดาพระราชมารดาในพระโอรส และพระชายา

ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในมิตรและอำามาตย์ท้ังหลายในสัตว์พาหนะ และในพลนิ กายทั้งหลาย

ในชาวแว่นแควูนและชนบททั้งหลาย ในสมณชีพราหมณ์ท้ังหลาย ในหม่้เนื้ อและนกทั้งหลาย

ธรรมที่พระองค์ประพฤติดีแลูว ย่อมนำาสุขมาใหู พระองค์ละโลกนี้ ไปแลูว ย่อมไปส่้สวรรค์

ขอพระองค์ประพฤติธรรมเถิด เทพยดา อินทร์ พรหม บรรลุทิพย์ไดูเพราะการประพฤติธรรม ขอ


พระองค์อย่าประมาทในธรรมเลย"

คำาว่า "ประพฤติธรรม" หมายถึง ทำาหนูาที่ในฐานะผู้ปกครองประเทศใหูดี ใหูสุจริตยุติธรรม สรุป


สั้นๆ ดังพระราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระเจูาอย่้หัวของเรา เมื่อคราวขึ้นครองราชย์ว่า "เรา
จะครองแผ่นดินโดยธรรม" นั้นแหละครับ

นิ ทานชาดกเรื่องนี้ ช้ีถึงอานิ สงส์ หรือคุณประโยชน์ของการบำารุงบิดามารดาผู้ให้กำาเนิด


เลี้ยงพ่อแม่ผู้แก่เฒ่า แล้วเราจะอยู่สุขปลอดภัย นี้ แลทีท
่ ่านว่า "เป็ นมงคลอันอุดม" แล

มิตตวินทุกะ

เรื่องนี้ ว่ากันว่าเกิดขึ้นก่อนสมัยพุทธกาล แต่เป็ นเรื่องที่กินใจคน เพราะบันทึกความเป็ นคนชั่ว


เนรคุณไวูครบถูวนบริบ้รณ์ เตือนคนภายหลังไม่ใหูเอาเยี่ยงอย่าง
เด็กหน่ ุมชื่อ มิตตวินทุกะ เป็ นถึงล้กคนรำ่ารวย แต่นิสัยเกเรตั้งแต่เด็ก ชอบลักเล็กขโมยนูอย ทั้งที่
พ่อแม่ตัวเองก็ร่ า ำ รวย บิดาเป็ นถึงพระโสดาบัน แต่ก็ไม่สามารถสั่งสอนล้กตัวเองใหูเป็ นคนดีไดู
สาเหตุใหญ่ก็คอ ื แม่เขูาขูางมาตั้งแต่เล็ก เพราะรักมากนั้นเอง

ต่อมาหลังจากบิดาสิ้นชีวิตแลูว มิตตวินทุกะถ้กพรรคพวกชักชวนไปคูาขายทางเรือ ใจจริงคง


อยากห่างบูานไปเที่ยวผจญภัยอย่้แลูว จึงขออนุญาตแม่ว่าจะไปคูาขายต่างเมือง แม่ก็บอกว่า
ทรัพย์สมบัติเราก็มม
ี ากพอแลูว ล้กอย่าไปลำาบากเลย ล้กเป็ นทรัพย์สินทั้งหมดของแม่เลยนะ

"ยังไงฉันก็จะไป เพราะฉันรับปากกับเพื่อนไวูแลูว"

เด็กหน่ ุมยืนกราน

"อย่าไปเลยล้ก แม่กม
็ ีล้กคนเดียวเท่านั้น หลังจากพ่อสิ้นไปแลูว แม่ไม่มีใครอื่นเลย นอกจากล้ก"
แม่ออ
ู นวอน

เขาขืนจะไปท่าเดียว กล่าวว่า "แม่หูามฉันไม่ไดูดอก จะไปซะอย่าง" แมูถ้กแม่ดึงมือไวูก็สลัดมือ


ออก ตีแม่ลูมลง แม่ก็ยังกอดขาล้กรูองว่า อย่าไปเลยล้กๆ เมื่อเกิดรำาคาญที่ถ้กหูามจึงเตะแม่เขูา
เต็มรัก แลูวก็รีบลงจากเรือนไป โดยไม่หนั มาแลแมูแต่นอู ยว่าแม่ของตนนอนดิ้นครวญครางดูวย
ความเจ็บปวด

เขาแล่นเรือไปในมหาสมุทร ในวันที่ 7 ดูวยบาปของนายมิตตวิทุกะ ก็เกิดเหตุอาเภศ เรือกลับ


หยุดแล่นเสียเฉยๆ พนักงานเรือแกูไขอย่างไรก็ไม่สามารถจะใหูเรือวิ่งไปไดู จึงปรึกษากันว่า
สงสัยจะมีคนกาลกิณีอย่้ในเรือกระมัง

กรรมวิธีหาคนกาลกิณีก็เกิดขึ้น เขาแจกสลากใหูทุกคนจับ โดยกาเครื่องหมายกาลกิณีไวูในสลาก


ใบหนึ่ ง เมื่อทุกคนจับแลูวนำามาเปิ ดด้ทีละคนๆ สลากกาลกิณีตกที่มือนายมิตตวินทุกะ

เพื่อความแน่ นอน จึงไดูมีการทดสอบแบบเดียวกันนี้ ถึง 3 ครั้ง คนในเรือทั้งหมดจึงตกลงลอยแพ


นายมิตตวินทุกะ แพพาเขาไปยังเกาะแห่งหนึ่ ง มองเห็นเป็ นเมืองใหญ่โตมโหฬาร มีประต้ 4 ประต้
วิจิตรสวยงามมาก นับว่าเป็ นนรกขุมหนึ่ ง ชื่ออุสสทะนรก แต่นายคนนี้ มองเห็นเป็ นเมืองที่
สวยงาม

เขาเดินชมนั่นชมนี่ เพลิน เห็นสัตว์นรกตนหนึ่ ง มีจักรคมกริบท้นอย่้บนศีรษะ ถ้กจักรบดศีรษะ ไดู


รับความเจ็บปวดรูองครวญครางอย่้

นายมิตตวินทุกะมองเห็นศีรษะสัตว์นรกเป็ นดอกปทุมใหญ่ เห็นเครื่องจองจำา 5 อย่างที่อก เป็ น


เครื่องประดับอก โลหิตที่ไหลออกมาจากสรีระของสัตว์นรกนั้น เห็นเป็ นจันทน์เครื่องล้บไลูกาย
เสียงรูองครวญครางดูวยความเจ็บปวด ฟั งเป็ นเสียงขับเพลงที่ไพเราะอย่างยิ่ง

เขาเดินเขูาไปใกลูกล่าวว่า

"บุรุษผู้เจริญ ดอกปทุมสวยจัง ขอขูาไดูไหม"

"ท่านเอ๋ย มิใช่ดอกปทุม มันเป็ นจักรอันคม บดร่างขูาใหูเจ็บปวดทรมานอย่้น้ี ท่านไม่เห็นหรือ"


สัตว์นรกกล่าวตอบ
"ท่านแสรูงพ้ดใหูเห็นอย่างอื่น ทั้งที่ก็ปรากฏอย่้ชัดๆ ว่า ดอกปทุมสวยงาม ท่านไม่ปรารถนาจะใหู
ขูาก็ว่ามาเถิด" เขากล่าว

สัตว์นรกนั้นคิดว่า เห็นทีกรรมเราจักสิ้นแลูว บุรุษคนนี้ มารับกรรมแทน จึงโยนจักรใหูพรูอมรูอง


ว่า "เชิญท่านผู้เจริญรับเอาดอกปทุมอันสวยงามเถิด"

จักรไดูหมุนบดศีรษะของนายมิตตวินทุกะ จนเลือดไหลโซมร่าง เขาไดูรับความเจ็บปวดทรมาน


อย่างแสนสาหัส เสวยทุกข์อย่้ในนรกยาวนาน กว่าจะสิ้นกรรมชั่ว คือ ตบต่อยทุบตีมารดาบังเกิด
เกลูา

คำาพังเพยไทยที่ว่า "เห็นกงจักรเป็ นดอกบัว" หมายถึงเห็นความชั่วเป็ นสิ่งดี เห็นความผิดเป็ นสิ่ง


ถ้ก อาจจะมีท่ีไปที่มาจากเรื่องนี้ ก็ไดูกระมังครับ

ขออย่าใหูผู้คนทั้งหลายเห็นกงจักรเป็ นดอกบัวเลย จะไดูมีแต่สิริมงคลเกิดขึ้นในชีวิต...

การสงเคราะห์บุตร-ภรรยา

มงคลต่อไป คือ สงเคราะห์บุตร-ภรรยา

สงเคราะห์บุตร ก็คอื ทำาหนูาที่ต่อบุตร 5 ประการ คือ หูามบุตรจากความชั่ว ใหูต้ังอย่้ในความดี


ใหูการศึกษาที่ดี หาสามีภรรยาที่เหมาะสมใหู มอบทรัพย์สมบัติใหูในเวลาอันควร

สงเคราะห์ภรรยา คือ ยกย่องใหูเกียรติ ไม่ด้หมิน


่ ไม่นอกใจ มอบความเป็ นใหญ่ในบูานเรือนใหู ใหู
เสื้อผูาและเครื่องประดับตามโอกาสอันควร

พระสิริมังคลาจารย์ท่านยกนิ ทานมาประกอบเรื่องเดียว คือ หญิงนอกใจสามี นิ ทานสั้นๆ ไม่น่า


สนใจ ผมจึงไม่นำามาเล่า ขอเปลี่ยนเป็ นเรื่องบุตรเกเร ที่พ่อตูองใชูวิทยายุทธ์ทุกอย่างกว่าจะใหูเขา
กลับตัวเป็ นคนดี ขอเริ่มเลยนะครับ

จ้างบุตรฟั งธรรม

อนาถบิณฑิกะเศรษฐี เศรษฐีใจบุญชาวเมืองสาวัตถี เป็ นพุทธสาวกผู้เคร่งครัด ทะนุบำารุงพระพุทธ


ศาสนาอย่างแข็งขัน ท่านมีบุตรชายโทนนามว่า กาละ ไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรเลย พ่อแม่พ่ีสาว
นูองสาว ต่างเป็ นชาวพุทธที่เคร่งครัด ทำาบุญทำาทาน เขูาวัดฟั งธรรมกันหมด มีแต่นายกาละคน
เดียวที่ไม่สนใจ เอาแต่เที่ยวเตร่สำามะเลเทเมา คบเพื่อนอันธพาล สรูางความเดือดเนื้อรูอนใจแก่
อนาถบิณฑิกะเศรษฐีผู้เป็ นบิดามาก

เศรษฐีน้ันเป็ นทายกตัวอย่าง เป็ นผู้นำาชาวบูานทำาบุญกุศลย่อมรูอนใจเป็ นธรรมดา เมื่อคำานึ งว่า


ตัวเองสามารถชักนำาใครต่อใครใหูศรัทธาเลื่อมใสในทางบุญทางกุศล แต่กลับไม่มีปัญญาอบรมล้ก
ของตัวเองใหูเป็ นคนดีไดู

วันหนึ่ งจึงเรียกล้กชายมา กล่าวกับล้กชายว่า "ล้กอยากไดูเงินใช่ไหม"

"อยากไดูครับ" เขารีบตอบ

"พ่อจะใหูล้กจำานวนมากทีเดียวแหละ แต่ขอใหูล้กไปวัดฟั งธรรมจากพระพุทธเจูาทุกวัน ตกลง


ไหม"

"ตกลงครับ" เขาคิด แค่ไปนั่งฟั งเทศน์ ทนๆ เอาหน่ อยเดีย


๋ วก็ไดูตังค์

ตั้งแต่วันนั้นมา นายกาละก็ไปวัดฟั งธรรมเทศนาจากพระพุทธเจูาทุกวัน เขาเลือก "ทำาเล" ที่


เหมาะ แลูวก็น่ังพิงเสาหลับสบาย เมื่อพระองค์แสดงพระธรรมเทศนาจบ ก็ต่ ืนพอดี รีบกลับบูาน
ไปทวงค่าจูางจากพ่อไดูเงินไปเที่ยวสบายแฮ

เหตุการณ์ดำาเนิ นไปอย่างนี้ เป็ นเดือน นายกาละก็ไม่ไดูเปลี่ยนพฤติกรรม ยังคงเที่ยวเตร่สำาเริง


สำาราญเช่นเดิม รสพระธรรมที่เขาไปฟั งทุกวัน มิไดูซม ึ ซับหัวใจเขาแมูแต่นอ
ู ย เพราะมิไดูต้ังใจฟั ง
เขูาห้ซา
ู ยออกห้ขวา หรือไม่เขูาสักห้เลย (เพราะมัวแต่น่ังหลับ)

เศรษฐีผู้พ่อก็คิดหาอุบายใหม่ คราวนี้ บอกว่าจะขึ้นค่าจูางใหูมากกว่าเดิม แต่ตูองจำาคำาเทศน์ของ


พระพุทธเจูามาเล่าใหูฟัง จำาไดูมากก็จะไดูเงินค่าจูางมาก

เขาตั้งอกตั้งใจฟั งพระธรรมเทศนา จำาไดูวันละบทสองบทก็รับเงินจากพ่อไปตามเนื้องาน ว่าอย่าง


นั้นเถอะ

หลายสัปดาห์ผ่านไป พระธรรมก็ค่อยๆ ซึมซับเขูาในจิตวิญญาณเขาทีละนิ ดละหน่ อยโดยไม่รู้ตัว


พระพุทธเจูาทรงทราบความเปลี่ยนแปลงภายในใจของเขาดี

วันหนึ่ ง ทรงเห็นว่านายกาละมี "อินทรีย์แก่กลูาแลูว" (ภาษาพระ แปลว่า มีความพรูอมที่จะบรรลุ


มรรคผลนิ พพานแลูว) พระองค์ทรงบันดาลใหูนายกาละหลงลืม พอจำาไดูตอนหนึ่ งแลูวกำาหนดจะ
จำาตอนต่อไป จำาตอนต่อไปไดูก็ลืมตอนตูน เป็ นอย่างนี้ ไปจนทรงแสดงจบ

พอพระธรรมเทศนาจบลง ที่เขาลืมไปแลูวก็กลับจำาไดูหมด เกิดความเขูาใจแจ่มแจูง "สว่างโพลง


ภายใน" ใจทันที ว่ากันว่า นายกาละนั่งฟั งธรรมตั้งแต่ค่ ำาจนจวนสว่าง จบพระธรรมเทศนาเขาก็ไดู
บรรลุพระโสดาปั ตติผล

พอรุ่งเชูาเขานิ มนต์พระพุทธเจูาพรูอมภิกษุสงฆ์ไปเสวยภัตตาหารที่บูาน เขาอูุมบาตรเดินนำาหนูา


พระพุทธองค์ตรงไปยังบูาน

เศรษฐีผู้พ่อเห็นท่าทางของล้กชายวันนี้ ผิดแปลกไปจากวันอื่นๆ ก็นึกฉงนอย่้ในใจ นายกาละ


กุลีกุจอปรนนิ บัติพระพุทธองค์และภิกษุสงฆ์ โดยมิไดูสนใจค่าจูางดังวันก่อน

เศรษฐีก็นำาห่อกหาปณะ (เงิน) มาวางไวูต่อหนูาล้กชายบอกว่า "เอูา นี่ ค่าจูางฟั งธรรมของล้ก"


นายกาละอายหนูาแดงโบูยใหูพ่อนำาห่อกหาปณะออกไป

พระพุทธเจูาตรัสกับเศรษฐีว่า "คหบดี ล้กชายของท่านไม่ยินดีในทรัพย์สินเงินทองหรือสมบัติทาง


โลกใดๆ แลูว บัดนี้ ไดูบรรลุโสดาปั ตติผลเป็ นพระอริยบุคคลแลูว"

พระองค์ตรัสพระคาถาสั้นๆ ว่า

"ยิ่งกว่าเอกราชย์ท่ัวทั้งปฐพี ยิ่งกว่าขึน
้ สวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยในโลกทั้งปวง คือ โสดาปั ตติ
ผล"

ตั้งแต่น้ันมา ล้กชายเกเรของพ่อคนนี้ ไม่เกเรอีกต่อไปแลูว เธอไดูสัมผัสรสแห่งอมตธรรม เป็ นพระ


อริยบุคคลระดับโสดาบันแลูว ไม่มีทางหวนกลับส่้ท่ีต่ ำาอีกต่อไป

ที่น่าคิดก็คือ "การจูางใหูล้กฟั งธรรม" เป็ นเทคนิ ควิธีหนึ่ งที่ใชูไดูผล พ่อแม่พ่ีนอ


ู งทั้งหลายน่ าจะ
ลองใชูวิธีน้ี ด้ หลังจากใชูสารพัดวิธีแลูวยังไม่สำาเร็จ เด็กมันอยากไดูเงินก็ย่อมเต็มใจทำา แต่พอ
นานๆ เขูาพระธรรมอาจซึมซับใจลึกไปเรื่อยๆ จนละอายที่จะรับค่าจูางอย่างนายกาละบุตรอนาถ
บิณฑิกะเศรษฐีก็ไดู ใครจะไปรู้ ไม่ลองไม่รู้ครับ...
การงานไม่อากูล

ต่อไปเป็ นมงคลขูอว่า อนากุลา จ กมฺมนฺตา (การงานไม่อาก้ลเป็ นมงคลส้งสุด) การงานไม่อาก้ล


คืออย่างไร ? งานที่ไม่ปฏิก้ลเน่ าเหม็นหรืออย่างไร ไม่ใช่

ความจริงคำานี้ ท่านหมายถึง การงานที่ไม่ค่ังคูางแบบดินพอกหางหม้ เมื่อมีงานมาตูองรีบทำาทันที


ใหูเสร็จตามกำาหนด อย่างนี้ เรียกว่า การงานไม่อาก้ล

พุทธภาษิตบทหนึ่ งเขูากับเรื่องนี้ ไดูก็คือ "ปฏิร้ปการี ธุรวา อุฏฺ ฐาตา วินฺทเต ธนำ คือ ผู้ทำาการ
เหมาะ เอาการเอางาน ขยันหมั่นเพียร ย่อมหาทรัพย์ไดู"

ครับ หาไดูไม่ยากเย็นดูวย กลายเป็ นเศรษฐีทันตาเห็น

ขอยกนิ ทานประกอบดังนี้ ...

จูฬกเศรษฐีกับคนใช้

วันหนึ่ งจ้ฬกเศรษฐี แห่งเมืองพาราณสี เดินทางไปพระราชสำานัก เพื่อเขูาเฝู าพระราชา ติดตาม


ดูวยคนรับใชูคนหนึ่ งระหว่างทางพบหน้ตายตัวหนึ่ ง จึงเอ่ยขึ้นว่า...

"คนที่มีสายตายาวไกล เอาหน้ตายตัวนี้ ไป อาจหาเงินไดูพอเลี้ยงครอบครัวและรับใชูประเทศชาติ


ไดู"

เพียงหน้ตายตัวเดียวนี่ นะ จะบันดาลผลไพศาลอะไรปานนั้น คนรับใชูคิด พอดีเศรษฐีพ้ดต่อว่า ขูา


ตรวจด้ฤกษ์ยามแลูวเวลาที่ขูาพบหน้ตายเป็ นฤกษ์งามยามดี ใครก็ไดูท่ีเอาหน้ตัวนี้ ไปจะเจริญ
รุ่งเรือง

อัศจรรย์ปานนี้ ใครมันจะไปเอา คนรับใชูคิด เขาจึงเอาหน้ตายตัวนั้นติดตัวไป ไดูมาแลูวก็มานั่ง


คิดว่า เอ จะเอาไปทำาอะไร เอาละวะ เอาไปขายดีกว่า ว่าแลูวเขาก็นไปขายในตลาดเพื่อเป็ น
อาหารแมว คนเลี้ยงแมวใหูเงินมากากณิกหนึ่ ง แกก็เอาเงินนั้นไปซื้อนำ้าอูอยหมูอหนึ่ ง เอาไปแจก
จ่ายใหูช่างทำาดอกไมูซึ่งไปเก็บดอกไมูในสวนกลับมาใหูด่ ืมฟรีคนละจอกสองจอก พวกช่างดอกไมู
ก็เห็นในความมีน้ ำาใจ จึงแบ่งดอกไมูใหูเขาส่วนหนึ่ ง

เขาขายดอกไมูเหล่านั้นไดูเงินมา 8 กหาปณะ กำาลังคิดอย่้ว่าจะเอาเงินนี้ ไป "ต่อทุน" อย่างไร


บังเอิญคืนหนึ่ งมีพายุฝนกระหนำ่ าตูนไมูโค่นลูมระเนระนาด โดยเฉพาะพระราชอุทยาน ตูนไมูโดน
พายุไมูโค่นลูมจำานวนมาก คนเฝู าอุทยานไม่อาจขนไมูไปทิ้งไดู

บุรุษหน่ ุมจึงไปเสนอตัวขอขนตูนไมูใหู แต่ขอแบ่งเศษไมูไปทำาฟื นบูาง คนเฝู าอุทยานบอกว่า ท่าน


เอาไปหมดเลย ขอแต่ใหูขนออกจากสวนใหูหมด

เขาไปซื้อนำ้าอูอยมาแจกเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอย่้ ขอแรงใหูช่วยขนไมูมาตัดเป็ นท่อนเล็กท่อนนูอย มัดเป็ น


มัดๆ ขนไปกองไวูท่ีประต้อุทยาน ช่างหมูอหลวงซื้อฟื นเหล่านั้นดูวยเงิน 16 กหาปณะ และแถมตุ่ม
นำ้าใหูหลายใบ

เขาตั้งตุ่มนำ้าไวูท่ีประต้พระนคร บริการคนขนหญูา 500 คนดูวยนำ้าเป็ นประจำา จนพวกคนขนหญูา


พ้ดกับเขาว่า "ท่านมีอุปการคุณแก่พวกเรามาก จะใหูพวกเราช่วยอะไรไดูบูาง" เขากล่าวว่า เอา
ไวูก่อน ถูาขูาพเจูามีธุระจะไหวูวานท่านแลูวจะบอก

บุรุษหน่ ุมวิสัยทัศน์กวูางไกลรายนี้ ไปตีสนิ ทกับพ่อคูาผู้ประกอบการทั้งทางนำ้าและทางบก จนรู้จัก


สนิ ทสนมกันดี วันหนึ่ งพวกพ่อคูาทางบกมาบอกข่าวว่า พรุ่งนี้ พ่อคูามูา 500 ตัว จะนำามูาเขูาเมือง
เขาไดูยินดังนั้นจึงรีบไปหาพวกคนขนหญูา ขอหญูาจากพวกเขาคนละฟ่ อน แลูวขอรูองพวกเขาว่า
เมื่อขูาพเจูายังไม่ไดูขายหญูา ขอพวกท่านอย่าเพิ่งขาย พวกคนขนหญูาเขาก็ยินยอม เพราะบุรุษนี้
มีบุญคุณต่อเขา เขาขายหญูาใหูพ่อคูามูาเหล่านั้นไดูเงินมา 500 กหาปณะ

จากนั้นมาไม่นาน เขาก็หันไปติดต่อประสานงานคูาขายกับพวกพ่อคูาเรือ ดูวยความชาญฉลาด


และไหวพริบของเขา ทำาใหูเขาไดูเงินมากมาถึง 200,000 กหาปณะ มีฐานะรำ่ารวยขึ้นชั่วเวลาไม่
นาน

เขานึ กถึงบุญคุณของจ้ฬกเศรษฐี จึงนำาเงินหนึ่ งแสนบาทไปใหู และเล่าเรื่องทั้งหมดใหูฟัง เศรษฐี


ไม่รับเงินนั้น คิดว่า "หน่ม
ุ คนนี้ ไม่ควรเป็ นคนรับใชูเราอีกต่อไป" จึงยกธิดาใหูแต่งงานกับเขา

เป็ นอันว่า เด็กหน่ ุมผู้ขยัน มีวิสัยทัศน์กวูางไกล ไดูเป็ นทั้งเศรษฐี และล้กเขยเศรษฐี ดูวยประการ


ฉะนี้ แล...

มาณพเกียจคร้าน

เป็ นเรื่องราวของล้กเศรษฐีเมืองพาราณสี พ่อเป็ นคนเขูาวัดฟั งธรรม รักษาศีลหูานิ จศีล ล้กเอง


ตอนแรกๆ ก็มีแววว่าจะเป็ นเด็กดี แต่เนื่องจากเป็ นคนหัวอ่อน จึงถ้กเพื่อนชักจ้งไดูง่าย บรรดา
เพื่อนๆ ก็ลูวนแต่เป็ นนักท่องเที่ยวผับเที่ยวเธคกันทั้งนั้น ชวนแกไปเที่ยวไปดื่ม แกก็ไปกับเขา
อย่างว่าง่าย

แรกๆ แกก็ด่ ืมไม่เป็ น เพราะพ่อสอนว่าอย่าแตะตูองสุราเมรัย แกก็เชื่อฟั งคำาสอนของพ่อ เพื่อนริน


เหลูาใหูก็ไม่ยอมแตะแมูแต่จิบเดียว เพื่อนๆ จึงร่วมกันวางแผนใหูเขาดื่มเหลูาจนไดูโดยใหูเอาใบ
บัวมาทำาเป็ นร้ปกระทง เจาะร้ เอาจ่อปาก แลูวเทนำ้าใสๆ ลงดื่มทีละหยดๆ บอกแกว่านำ้าหวานจาก
ใบบัวอร่อยมาก ใหูเขาลองชิมด้

มาณพหนุ่มพาซื่อ ลองดูบ้าง ปรากฏว่ารสนำ้าจากใบบัวมีรสชาติแปลกประหลาดซาบ


ซ่าเสียนี่กระไร ดื่มไปหลายกระทงก็ยง
ั ไม่พอ ปากก็เรียกร้อง "เอามาอีกๆ"

"หมดแลูว" เพื่อนๆ บอก

"อะไร ทำาไมหมดเร็วนัก" มาณพหน่ม


ุ ถาม

"นำ้าใบบัวน่ ะไม่หมดดอก แต่เงินหมด ไม่มเี งินจะซื้อ"

เรื่องเล็ก เอานี่ไป ว่าแลูวก็ควักเหรียญกษาปณ์ใหูถุงเบูอเร่อเท่อ ใหูเพื่อนไปหานำ้าจากใบบัวมาดื่ม


กว่าจะรู้ว่านำ้าจากใบบัวที่แทูน้ันก็คือสุรา เขาก็ติดเสียจนงอมแงมแลูว ถอนตัวไม่ขึ้น กลายเป็ นนัก
ดื่มคอทองแดงในเวลาไม่นาน พ่อแม่ทักทูวงอย่างไรก็ไม่ฟัง เงินทองก็รอ ่ ยหรอเพราะไปซื้อสุรายา
เมามาเลี้ยงเพื่อนๆ

พ่อของเขาเมื่อไดูตระหนักแลูวว่า ล้กชายของตัวเกิดมาเพื่อลูางผลาญทรัพย์สมบัติ จึงฟู องต่อศาล


ตัดขาดจากความเป็ นพ่อล้กกัน เนรเทศเขาออกจากบูาน เขาก็ระเหเร่ร่อนเที่ยวกินเที่ยวดื่มกับ
เพื่อนๆ ไป สักพักหนึ่ งเมื่อเงินหมด เพื่อนๆ ก็หดหายไปดูวย เหลืออย่้ตัวคนเดียว

สมกับโคลงสุภาษิตโลกนิ ติว่า "เพื่อนกิน สิ้นทรัพย์แลูวแหนงหนี " ยังไงยังงั้น

ในที่สุดก็ตูองถือกะลาเที่ยวขอทาน และจบชีวิตลงอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายขูางฝาเรือคนอื่น ตาย


อย่างหมากลางถนนว่ากันอย่างนั้นเถิด

อาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์ ท่านสรุปทูายดูวยคำาคมว่า...

"ผูห
้ ลับในกลางวันเป็ นปกติ
เกลียดการลุกขึ้นในกลางคืน
เมาเป็ นนิ ตย์ เป็ นนักเลง ไม่อาจครองเรือนไดู"

"ประโยชน์ทัง ้ หลายย่อมล่วงเลยมาณพผู้ท้ิงงานด้วยอ้างว่า เวลานี้ หนาวนัก เวลานี้ ร้อน


นัก เวลานี้ เย็นนัก"

การให้ทาน

มงคลขูอต่อไปคือทาน การใหู การใหูน้ันแบ่งไดูหลายประเภท ที่รู้กันส่วนมาก คือ อามิสทาน


(สิ่งของ) ธรรมทาน (ใหูธรรมะ) และ อภัยทาน (ใหูความไม่มีภัย ใหูชีวิต)

พ้ดถึงทาน นึ กถึงคำาอีกคำาหนึ่ ง คือ จาคะ หรือ ปริจจาคะ สองคำานี้ ใชูแทนกันไดู ในที่ใดใชูคำาเดียว


ว่า "ทาน" ในที่น้ันย่อมคลุมถึงความหมายของ "จาคะ" ดูวย แต่ถูาทั้งสองคำามาดูวยกัน ทาน
หมายถึงใหูสิ่งของ ปริจจาคะ หมายถึงเสียสละกิเลส

ถูาจะพ้ดใหูเขูาใจง่ายกว่านี้ ก็ว่า "จาคะ" หมายถึงสละความหวงแหนสิ่งของที่ตนมีออกจากใจ หรือ


"การตัดใจ" นั่นเอง ทาน หมายถึงกิริยาอาการที่ย่ ืนสิ่งของนั้นใหูหลังจากตัดใจแลูว แต่ถูาใชูคำาว่า
ทาน หรือจาคะ โดดๆ ก็รวมทั้งสองความหมายนั้นอย่ใ้ นคำาเดียวกัน

มีพุทธวจนะพ้ดถึงสาเหตุท่ีคนใหูทานแตกต่างกัน บางคนใหูทานเพราะหวังผล มีจิตผ้กพันกันจึง


ใหู หวังสะสมจึงใหู คิดว่าจากโลกนี้ ไปแลูวจะไดูกินไดูใชู

บางคนใหูดูวยคิดว่า พ่อแม่ป่้ย่าตายายเคยทำากันมา ไม่ควรใหูเสียจารีตประเพณี บางคนใหูดูวย


คิดว่า เรามีอย่้มีกิน ควรแบ่งปั นใหูคนอื่นที่เขาไม่มีอย่้ไม่มีกิน บางคนใหูดูวยคิดว่า การใหูของตน
นั้นเป็ นเกียรติยศ บางคนใหูดูวยคิดว่า เมื่อเราใหูท่าน จิตใจจะโสมนัสแช่มชื่น บางคนใหูโดยฐาน
เป็ นอลังการเป็ นบริขารของจิต (หมายถึงเป็ นเครื่องปรุงแต่งจิตใหูดีขึ้น ยกระดับจิตใหูมีคุณภาพ
ขึ้น)

ท่านชอบใหูทานแบบไหน ก็เลือกเอาตามสบายเถิด
มาฟั งนิ ทานกันดีกว่า...

นางอุมมาทันตี

หญิงยากจนคนหนึ่ งรับจูางทำางานอย่้ 3 ปี จึงไดูผูาเนื้อดียูอมดูวยดอกคำามาผืนหนึ่ ง ขณะคิดว่าจะ


ตัดเสื้อผูาใชูเองแลเห็นพระสาวกของพระพุทธเจูาร้ปหนึ่ งถ้กโจรลักจีวรไป จึงฉีกผูานั้นถวายพระ
ท่านไปครึ่งหนึ่ ง เมื่อพระคุณเจูาน่ ุงห่มผูานั้นแลูวมีผิวพรรณผ่องใส นางก็มีความเลื่อมใสอย่างยิ่ง
ตั้งจิตอธิษฐานว่า

"ดูวยการถวายผูานี้ ดิฉน
ั เกิดในชาติใด ภพใด ในภายภาคหนูา ขอใหูมร
ี ้ปร่างสวยงามหาใคร
เปรียบมิไดู ชายใดเห็นแลูวหลงรักทันที"

สำาเร็จตามปรารถนาครับ นางสิ้นชีพแลูวไปเกิดเป็ นเทพธิดาแสนสวยบนสวรรค์ สรูางความ


โกลาหลปั่ นป่ วนทั่วสวรรค์เพราะเทพผู้ยิ่งใหญ่ท้ังหลายต่างตูองการนางไปอภิรมย์ จุติจากสวรรค์
ก็ไดูไปเกิดเป็ นล้กสาวแสนสวยของเศรษฐีเมืองอริฏฐะ แควูนสีพีรัฐ

ใครๆ ไดูยลโฉมก็คลั่งไคลูใหลหลง ไม่สามารถดำารงคงสติอย่้ไดู นางจึงมีช่ ือว่า อุมมาทันตี (ทำาใหู


คนหลงใหล)

เศรษฐีไม่เห็นใครเหมาะสมกับนาง จึงเขูาเฝู าพระเจูากรุงสีพี ขอยกบุตรสาวใหู พระราชารับสั่งใหู


พราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญในการด้โหงวเฮูงไปด้นางก่อน

พราหมณ์ทัง ้ 8 ไปเห็นนางเท่านัน
้ ต่างก็มองตาค้าง โอ้โฮ ทำาไมสวยอย่างนี้ เมื่อนางได้
นำาข้าวปลามาให้รับประทานพราหมณ์ทัง ้ 8 ต่างก็ไม่เป็ นอันกินข้าว ได้แต่จ้องมองนาง
ตักข้าวเข้าปากผิดๆ ถูกๆ ข้าวหกเรีย
่ ราด จนนางโมโหว่า "นี่หรือพราหมณ์ผู้เชีย ่ วชาญ
ดูลักษณะคน เซอะๆ ซะๆ ยังกับบ้าใบ้ไสหัวไป"

นางสั่งไล่พราหมณ์เหล่านั้นไป ทำาใหูพวกเขาเจ็บใจมากที่ถ้กด้หมิ่น จึงไปกราบท้ลพระราชาว่า


นางงามที่ว่านั้นมิไดูงามจริงดังเล่าลือดอก "งามแต่ร้ปจ้บไม่หอม" ที่แทูนางเป็ นกาลกิณีบูานเมือง
ขืนเอามาไวูในราชสำานักจะมีแต่ความวิบัติ พะย่ะค่ะ

พระราชาเลยเลิกคิดจะนำานางเขูาวัง ผูเ้ ป็ นพ่อจึงยกนางใหูเป็ นภรรยาของเสนาบดี วันหนึ่ งพระ


ราชาเสด็จเลียบพระนครซึ่งจะตูองผ่านมาที่บูานเสนาบดีดูวย เสนาบดีผู้สามีส่ังภรรยาว่าใหูหลบ
อย่้แต่ในบูาน อย่าโผล่หนูามาใหูพระราชาเห็นเป็ นอันขาดสั่งแลูวก็เขูาวังไป

พระเจ้ากรุงสีพีข้ึนทรงช้างมงคล เสด็จเลียบพระนครไปตามลำาดับ ตอนพลบคำ่าได้


เสด็จผ่านมาทางคฤหาสน์เสนาบดี นางอุมมาทันตีแอบมองทางหน้าต่างเพื่อชมขบวน
เสด็จ บังเอิญพระราชาแหงนพระพักตร์สอดส่ายสายพระเนตรมาทางหน้าต่าง ทอด
พระเนตรเห็นนางพอดี เกิดปฏิพัทธ์ในพระราชหฤทัย เสด็จกลับไปวังแล้ว มิอาจเสวย
มิอาจบรรทมได้ตามปกติ เพราะพิษรักแรกพบ ว่าอย่างนัน ้ เถิด

เสนาบดีรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดูวยความจงรักภักดีต่อพระราชบัลลังก์ จึงออกอุบายใหูคนใชูคนสนิ ทคน


หนึ่ งไปหลบอย่้ในโพรงตูนไมูใหญ่ตน ู หนึ่ งใกลูกับเทวาลัย ซักซูอมกันอย่างดี รู้กันสองคน

วันหนึ่ งเสนาบดีก็ไปยังเทวาลัย กล่าวดังๆ ว่า

"ขูาแต่เทวะผู้ประเสริฐ ระยะนี้ พระราชาของขูา ไม่ทรงพระสำาราญ มิอาจเสวย มิอาจบรรทมไดู


ตามปกติ ไม่ทราบว่าเกิดเภทภัยอันใด จะแกูไขอย่างไร"

เสียงเทวะ (ปลอม) ดังกูองมาจากโพรงไมูใกลูๆ ว่า "พระราชาของเจูาเกิดปฏิพัทธ์ในภรรยาของ


เจูา อยากไดูนางเป็ นมเหสี ถูาไม่ไดูนาง พระราชาจักสวรรคตภายใน 7 วันนี้ เจูาจะคิดเห็น
ประการใด สุดแต่เจูาเถิด"

เสนาบดีเขูาเฝู าพระราชา และกราบท้ลคำาพ้ดของเทวะผู้ประเสริฐใหูพระองค์ทรงทราบ และยินดี


ถวายนางอุมมาทันตีภรรยาของตน เพื่อรักษาพระชนม์ชีพของพระราชาไวู

เบื้องแรกพระราชาก็ปลื้มพระราชหฤทัยที่จะไดูนางมาเป็ นสมบัติ ซึง


้ ในความจงรักภักดีของ
เสนาบดี ที่ยอมสละไดูแมูกระทั่งของรักของหวงที่สุด แต่คิดไปคิดมา เกิดความละอายพระทัยว่า
พฤติกรรมของพระองค์รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น วิญญ้ชนติเตียนเทวดาไม่ช่ ืนชม พรหมไม่
สรรเสริญ อย่างแน่ นอน

จึงรับสั่งขอบคุณในความจงรักภักดีของเสนาบดี แต่ทรงรับไวูไม่ไดู

เรื่องนี้ จบลงดูวยความชื่นชมในพระราชาเมืองสีพี ที่มห


ี ิริโอตตัปปะ ไม่รับภรรยาของคนอื่น ทั้งที่
สามียินดียกใหู คุณธรรมอย่างนี้ หายากครับ

เรื่องนี้ผู้รจนาคัมภีร์ต้องการชี้ว่า การถวายทานด้วยความเลื่อมใส ย่อมได้อานิ สงส์ตาม


ปรารถนาแล...

ลูกสาวนายมาลาการ

ในเมืองสาวัตถี มีธิดานายมาลาการ (ช่างทำาดอกไมู) อายุ 16 ปี มีร้ปงาม เฉลียวฉลาด มีบุญมาก


วันหนึ่ งนางเอาขนมกุมมาสสามชิ้นใส่ตะกรูาดอกไมู ไปส่้สวนดอกไมู เห็นพระศาสดาเสด็จเขูาไป
ยังพระนครพรูอมภิกษุสงฆ์ก็ดีใจ เอาขนมกุมมาสใส่บาตร เจริญปี ติพระพุทธเจูาเป็ นอารมณ์ ยืน
อย่้ ณ มุมหนึ่ ง

พระพุทธเจูาทอดพระเนตรเห็นแลูว ทรงแยูมพระสรวลพระอานนท์เห็นดังนั้นจึงกราบท้ลถาม
สาเหตุท่ีทรงแยูมพระสรวลพระพุทธองค์ตรัสว่า "อานนท์ กุมารีคนนี้ จะไดูเป็ นอัครมเหสีของ
พระเจูาโกศล ในวันนี้ ทีเดียว ดูวยการถวายขนมกุมมาสนี้ "

นางไปยังสวนดอกไมู เก็บดอกไมูใส่ตะกรูาพลางรูองเพลงดูวยความสำาราญใจ หารู้ไม่ว่ามีบุรุษ


แปลกหนูายืนแอบฟั งอย่้

บุรุษที่ว่านี้ เป็ นถึงพระราชานามว่าปเสนทิโกศล พระองค์สู้รบกับพระเจูาอชาตศัตร้ผเู้ ป็ นพระเจูา


หลาน ดูวยความขัดแยูงบางอย่างที่ติดพันกันมานาน บังเอิญทรงพ่ายแพู เสด็จหนี มาไดูยินเสียง
รูองเพลงแว่วมาจากสวนดอกไมู จึงทรงชักมูาที่น่ังมายังสวน ทอดพระเนตรเห็นหญิงสาวเจูาของ
เสียงเพลง ก็ทรงมีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ จึงเสด็จเขูาไปสนทนาปราศรัยดูวย

และทรงทราบว่านางยังไม่มีเจูาของ จึงใหูนางขึ้นมูาทรงเสด็จเขูาวังดูวย ทรงส่งราชบุรุษไปยัง


ตระก้ลของนายมาลาการจัดการส่้ขอตามประเพณี และสถาปนาในตำาแหน่ งใหญ่โต ชนิ ดที่ใคร
คาดคิดไม่ถึง นี่เป็ นเพราะผลแห่งการถวายขนมกุมมาสแด่พระสัมมาสัมพุทธเจูาดูวยจิตที่เลื่อมใส
ทานที่ถวายแด่พระพุทธองค์ จึงบันดาลผลปั จจุบันทันตาเห็นดูวยประการฉะนี้ แล
ประพฤติเป็ นธรรม

คราวนี้ ถึงขูอที่ว่า การประพฤติธรรมเป็ นมงคลอันส้งสุด หัวขูอฟั งด้กวูางๆ ประพฤติธรรม คือ


ประพฤติธรรมขูอไหน หรือประพฤติธรรมอย่างไร เพราะเวลาพ้ดลอยๆ ว่า "ธรรม" หมายความ
ไดูหลายอย่างอย่างที่จะรัดกุมที่สุดก็เห็นจะเป็ น "ความถ้กตูองดีงาม" ในที่น้ี การประพฤติถ้กตูองดี
งามนั้นประพฤติอย่างไร ยิ่งพ้ดไปก็ยิ่งงง เอาอย่างนี้ ดีกว่า ลองไปด้พระอรรกถาจารย์ผแ ู้ ต่ง
หนังสือดีกว่า ฉบับ original หรือ "เจูาเก่า" เขาว่าไวูอย่างไร ท่านว่าดังนี้ ครับ...

การประพฤติธรรม ในที่น้ี คอ
ื ประพฤติธรรมที่กายสุจริต 3 วจี สุจริต 4 และ มโนสุจริต 3

กายสุจริต 3 ก็คือ ไม่ฆ่าไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ลักไม่ล่วงละเมิดทรัพย์สินคนอื่น ไม่ผิดในกาม ไม่


ล่วงละเมิดสิทธิของรักของหวงของคนอื่น

วจีสุจริต 4 คือ ไม่พ้ดเท็จ ไม่พ้ดจาส่อเสียด ไม่พ้ดคำาหยาบ ไม่พ้ดเพูอเจูอเหลวไหลไรูสาระ

มโนสุจริต 3 คือ ไม่คิดพยาบาทเบียดเบียนใคร ไม่คิดละโมบจูองจะเอาของคนอื่น มีความเห็นถ้ก


ตูองตามทำานองคลองธรรม

ผู้ประพฤติความถ้กตูองดีงามในดูานกาย วาจา ใจ ดังกล่าวมาแลูวนี้ เรียกว่าเป็ นผู้ประพฤติธรรม


ผลไดูอันเป็ นมงคลส้งสุดก็คือ ความอย่้ดีมีสุขในโลกนี้ ละโลกนี้ ไปแลูวไม่ตูองห่วงว่าจะไปหัวหกกูน
ขวิดที่ไหน "ไปดี" แน่ นอน พระท่านว่ามีสุคติโลกทรัพย์เป็ นที่ไปในเบื้องหนูา

ไม่เหมือนกับพวกที่เมายาบูา จี้ตัวประกัน ฆ่าเขาจนสิ้นชีพก่อนที่ตำารวจจะช่วยทัน พวกนี้ ยมบาล


ถามหาตั้งแต่ยังไม่ตายแลูว "เมื่อไรมันจะมาเยี่ยมเสียทีวะ ขูาจะไดูเตรียมตูอนรับใหูสมเกียรติ"

พระมิลกเถระ

พระคุณเจูาร้ปนี้ เมื่อครั้งยังเป็ นคฤหัสถ์น้ัน ไดูกระทำาการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมามาก

วันหนึ่ งบริโภคเนื้ อปิ้ งไปแลูว เกิดกระหายนำ้า เห็นหมูอนำ้าตั้งอย่้ใกลูๆ ณ ที่น้ันมีพระภิกษุร้ปหนึ่ ง


เดินจงกรมอย่้ จึงไปเปิ ดหมูอนำ้าเพื่อจะดื่ม แต่ไม่มีน้ ำาเหลืออย่้ จึงโกรธด่าพระว่า "ท่านฉันแลูวก็
นอนหรือไง ไม่ตักนำ้าใส่ตุ่ม ด้สิน่ี เราจะดื่มก็ไม่มีสักหยด"

พระเถระคิดว่า "เอ เราก็ตักนำ้าเต็มต่ม ุ เมื่อกี้น้ี เอง ไฉนประสกนายนี้ จึงบอกว่าไม่มีน้ ำา" จึงเดินไป


เปิ ดด้ก็เห็นตุ่ม จึงเอาสังข์ตักนำ้าใหูเขาดื่มจนอิม ่

เขาดื่มนำ้าแลูวเกิดความสลดใจว่า...เราคงทำาบาปมามากหมูอนำ้าเต็มๆ ยังมองไม่เห็นนำ้า เราตาย


ไปแลูวชะตากรรมจะเป็ นเช่นไรหนอ คงไม่พูนนรกแน่ นอน จึงตัดสินใจขอบวชในสำานักของพระ
เถระ

พระเถระใหูกรรมฐาน ใหูพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟั น หนัง ลูวนเป็ นของไม่สะอาด เธอนั่งพิจารณา


อย่างไรๆ ก็เห็นแต่บรรดาเนื้ อที่ตนฆ่า เห็นสถานที่ฆ่า เห็นมีด เห็นเลือด เจริญกรรมฐานอย่างไรก็
ไม่สำาเร็จ

เมื่อเธอไปเล่าใหูอาจารย์ฟัง อาจารย์ท่านจึงใหูไปตัดไมูมะเดื่อสดมากองไวู ใหูเอาไฟจุดเผา ภิกษุ


ใหม่ใส่ไฟสุมเขูาทั้ง 4 ดูาน ก็ไม่สามารถจุดไฟไดู อาจารย์จึงบอกว่า ถูาเช่นนั้น เธอหลีกไป เราจะ
จุดเอง ว่าแลูวก็น่ังเขูาสมาบัติ บันดาลใหูไฟจากอเวจีลุกไหมูกองไมูมะเดื่อทันที
เขาเห็นไฟอเวจี ขนลุกพองสยองเกลูา คิดว่า ถูาเราสึกไปแลูวเราคงถ้กไฟอเวจีเผาอย่างแน่ นอน
จึงกราบเรียนพระเถระว่า กระผมขอตั้งใจปฏิบัติธรรมภายใตูการสั่งสอนอบรมของท่านอาจารย์
อาจารย์บอกว่า ไดู ตั้งแต่น้ี ไปเธอตูองปฏิบัติธรรมอย่างเขูมงวด พยายามฝ่ าไฟอเวจีออกไปใหูไดู

พระหน่ม
ุ เจริญวิปัสสนากรรมฐานวันแลูววันเล่า อย่างพากเพียรต่อเนื่ อง จิตก็ค่อยๆ เขูาที่หยั่งลึก
ลงตามลำาดับ

วันหนึ่ งเธอกรองนำ้าดื่ม แลูววางหมูอนำ้าไวูท่ีขา ยืนคอยใหูน้ ำาสะเด็ดขาดสาย ไดูยินเสียงอาจารย์


สอนแว่วมาว่า...

"ยศย่อมเจริญแก่ผู้หมั่นขยัน มีสติ มีการงานสะอาดใคร่ครวญก่อนแลูวจึงทำา สำารวมระวังอย่้โดย


ธรรม ไม่ประมาท"

เธอคิดว่า คนไม่ประมาทก็เป็ นเช่นเรา คนหมั่นขยัน มีสติ มีการงานสะอาด ก็เป็ นเช่นเรา คน


สำารวมระวัง เป็ นอย่้โดยธรรม ก็เป็ นเช่นเรา

ความหมายตรงนี้ ก็คือ เธอเมื่อพิจารณาตัวเองแลูว เห็นว่ากำาลังปฏิบัติตนไดูตามที่อาจารย์กล่าว


แลูวมีความปี ติปลื้มใจแลูวยืนอย่้น้ันแหละ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ในที่สุดก็สามารถตัดวงจรของ
กิเลส ไดูบรรลุพระอรหัตตผล ฉะนี้ แล...

นายโคฆาต

กระทาชายนายหนึ่ ง แกชอบกินเนื้ อเป็ นชีวิตจิตใจ ในชีวิตนี้ ไม่มโี อกาสเป็ นนักมังสวิรัติเป็ นอันขาด


ว่าอย่างนั้นเถอะ

แกเลี้ยงโคไวูมากมาย เพราะแกชอบเนื้อโคเป็ นพิเศษ โดยเฉพาะลิ้นโค เฉือนมาสดๆ ย่างอย่างดี


กินกับนำ้าพรรค์หยั่งว่าเจูาประคุณเอ๋ยเห็นสวรรค์รำาไร

วันหนึ่ งเป็ นวันพระ แม่ครัวหาเนื้ อมาทำาอาหารใหูนายไม่ไดูจึงเอาอย่างอื่นมาทำาใหูเจูานาย เจูา


นายกลับมาจากงาน กำาลังหิวเชียว สั่งใหูยกสำารับกับขูาวมาตั้ง เปิ ดฝาด้เห็นมีแต่อย่างอื่นไม่มเี นื้ อ
สักชิ้น จึงถามว่า ทำาไมไม่มีเนื้อวะ

"วันนี้ วันพระ เจูานาย" คนครัวบอก

"วันพระ มันเกี่ยวอะไรกับกระเพาะของขูา" นายชักยัวะ

"วันพระเขาไม่ฆ่าสัตว์ จึงไม่มเี นื้ อขายเจูาค่ะ" แม่ครัวกล่าวตอบ ท่าทางหวาดๆ กลัวชามขูาวบิน


ใส่กบาล

เจูานายไม่ยอม จะกินเนื้ อใหูไดู จึงควูามีดคมกริบ เดินลงเรือนเขูาไปยังคอกโค จับปากโคตัวหนึ่ ง


งัดขึ้นดึงลิ้นมันออกมาเฉือนลิ้นขาดฉับ เสียงวัวรูองดูวยความเจ็บปวด ไดูยินไปทั่วทั้งบริเวณ เขา
หัวเราะฮ่าๆ ก้ไม่อดแลูวโวูย สั่งใหูแม่ครัวไปปิ้ งมาใหูด่วน พยาธิในทูองกำาลังรูองแลูว

เลือดออกจากปากโคไม่หยุด จนในที่สุดมันหมอบตายอย่้ตรงนั้น เจูานายไม่สน ลิ้นปิ้ งหอมฉุย


กำาลังถ้กยกมาเทียบ ล่อนำ้าลายสออย่้พอดี
เขายกลิ้นปิ้ งเขูาปากกัดกรูวมดูวยความหิว เวรกรรมสิ้นดีกลับกัดลิ้นตนเองขาด เลือดกระฉ้ดออก
มา อาจเป็ นดูวยผลกรรมทันตาเห็นก็ไดู บันดาลใหูเลือดเขาไหลไม่หยุด เขารูองดูวยความเจ็บ
ปวดทรมาน

ดิ้นไปมาอย่้พักใหญ่ ก็สิ้นใจตายไปตามโคผู้น่าสงสาร

ไม่ตอ
ู งถามว่า ตายแลูวเขาไปไหน โน่ น ไปเป็ นศิษย์ของยมบาลในนรกโน่ นแหละครับ....

นายจุนทสูกริก

ถูาเป็ นคนไทย ควรจะเรียกว่า นายจุ่น หรือ เจูาสัวจุ่น นายจุ่นแกชอบกินหม้เป็ นชีวิตจิตใจ เลี้ยง


เอง ฆ่าเอง กินเอง ไปซื้อตามตลาดมันไม่อร่อย เสี่ยงต่อโรคภัย

แกชอบกินหม้หัน หม้หันของแกตำารับพิสดารไม่เหมือนใคร แกจะเลือกเอาหม้รุ่นๆ มาฆ่าโดยวิธี


ทุบใหูน่วม ไม่ใหูเลือดออก เสร็จแลูวเอานำ้ารูอนกรอกปาก รีดขี้ออกใหูหมด ลูางใหูสะอาด เอานำ้า
รูอนลวก ข้ดหนังออกใหูหมดแลูวย่างไฟ เรียกว่า ทำาหม้หันตำารับพิเศษ ย่างสุกไดูท่ีแลูวยกลงหั่น
เนื้อกินเอร็ดอร่อย

แกกินอย่างนี้ แทบทุกวัน แน่ นอน หม้รุ่นๆ ถ้กแกฆ่าทำาอาหารแต่ละครั้ง ก็รูองอีด


๊ อุาดๆ ดูวยความ
เจ็บปวดทรมานไดูยินไปทั่วบูาน จนชาวบูานเขาชาชินกับเสียงนั้นแลูว

วันหนึ่ งนายจุ่นลูมป่ วยดูวยโรคหาสาเหตุมิไดู อาการทรุดหนักอย่างรวดเร็ว มีอาการเพูอคลั่ง


คลานสี่ขาและส่งเสียงรูองครวญครางเหมือนหม้ถ้กทุบ ล้กหลานตูองจับมัดไวูกับเสาบูาน กระนั้น
ก็ยังดิ้นทุรนทุรายจนเชือกขาด คลานรูองเป็ นเสียงหม้ถ้กทุบเป็ นที่เวทนาของผู้พบเห็น

เขาทรมานอย่้ 7 วัน จึงขาดใจตาย วันที่แกจะตายนั้นเป็ นวันพระ พระคุณเจูาจากพระวิหารเชตวัน


เขูามาบิณฑบาตในหม่้บูาน ไดูยินเสียงนายจุ่นทะรูองเหมือนเสียงหม้ถ้กทุบอย่างทรมาน นึ กว่า
นายจุ่นทะแกฆ่าหม้เหมือนเคย ไดูแต่ปลงสังเวชกลับไปวัดกราบท้ลพระพุทธองค์ว่า...

"นายจุ่นทะฆ่าหม้ไม่เวูนแมูแต่วันธรรมสวนะ (วันพระ) พระพุทธเจูาขูา"

พระพุทธองค์ตรัสว่า "ภิกษุท้ังหลาย นายจุ่นทะเธอมิไดูฆ่าหม้ เสียงที่พวกเธอไดูยินนั้นเป็ นเสียง


ของเขาเอง เขาถ้กกรรมตามทัน รูองเหมือนหม้ถ้กทุบ ทำากาละ (ตาย) แลูว หลังจากพวกเธอกลับ
มาไม่นาน"

ครับ บาปกรรม ใครทำาใครไดู ตอนบาปมันไม่ใหูผลก็กร่างไดูอย่้ ถึงวันนั้นเมื่อใด ก็คงเอามือกุม


ขมับกลัวใครเขาจะมาลั่นไกใส่สมองกระจุยกระจาย ดุจดังที่ตัวทำากับคนอื่น...

การสงเคราะห์ญาติ

มงคลชัยต่อไป คือ สงเคราะห์ญาติ ญาติ คือ พี่นอ


ู งสืบเชื้อสายวงศ์วานทั้งฝ่ ายบิดาและมารดา

การสงเคราะห์ ก็คือ การช่วยเหลือ อุดหนุนเจือจุน ดูวยอามิสสิ่งของบูาง ดูวยธรรมะบูาง คือ ใหู


ความรูค
้ วามเขูาใจแก่พวกเขาบูางตามโอกาสอันควร
การสงเคราะห์ญาติเช่นนี้ เป็ นการแสดงอัธยาศัยไมตรีอน
ั ดีงามเป็ นเหตุใหูมีความรักใคร่
ปรองดองกันในหม่้ญาติ มีความอบอ่น ุ อย่างยิ่ง

พระพุทธเจูาตรัสว่าเป็ นมงคลอันส้งสุด

พระพุทธเจูาเองยังทรงนับว่าการอนุเคราะห์พระประยุรญาติ เป็ นพุทธจริยาวัตรอย่างหนึ่ งในสาม


อย่าง และก็ทรงบำาเพ็ญอย่างบริบ้รณ์ ดังจะยกนิ ทานมาเล่าต่อไป

พญาสุนัข

สุนัขที่ว่าเป็ นพระโพธิสัตว์มาเกิด เป็ นหัวหนูาฝ้งสุนัขอย่้ในป่ าชูานอกเมือง วันหนึ่ งเมื่อฝนตกหนัก


หนังหูุมรถ และเชือกหนังที่ผ้กรถเปี ยกนำ้า พวกสุนัขภายในวังก็พากันมากัดมาแทะเป็ นอาหาร
หมด

นายสารถีกราบท้ลพระราชาว่า สุนัขนอกเมืองมุดอุโมงค์เขูามากัดหนังหูุมราชรถหมด พระราชา


ทรงพระพิโรธ สั่งใหูฆ่าสุนัขป่ าทุกตัวที่พบ พญาสุนัขโพธิสัตว์เห็นว่าความหายนะกำาลังมาส่้ญาติๆ
ของตน จึงตัดสินใจเขูาวังเพื่อช่วยเหลือญาติๆ ของตน

ก่อนเขูาไป พระโพธิสัตว์ไดูแผ่เมตตาจิตไปยังพระราชาขูาราชบริพารและคนทั้งปวงที่พบเห็น
ดูวยอำานาจเมตตาจิตของพระโพธิสัตว์ ไม่มีใครขัดขวางและคิดทำาอันตราย พระโพธิสัตว์จึง
เล็ดลอดไปจนไดูพบกับพระราชา

พระโพธิสัตว์น่ังที่ทูองพระโรงต่อพระพักตร์พระราชา พวกราชบุรุษเห็นเขูาก็จะเขูามาไล่ พระ


ราชารับสั่งใหูถอยไป ไม่ตูองทำาอันตรายพระโพธิสัตว์

"ขูาแต่มหาราช พระองค์รับสั่งใหูฆ่าสุนัขทั้งหลายหรือ" พระโพธิสัตว์ท้ลถามพระราชา

พระราชารับสั่งว่า "ใช่ เราสั่งใหูฆา


่ เอง เพราะพวกมันมากัดหนังหูุมรถของเรา"

"พระองค์รับสั่งใหูฆ่าสุนัขทั้งหมดหรือยกเวูนบูาง"

"ฆ่าเฉพาะสุนัขนอกวัง ยกเวูนสุนัขในวัง"

"พระองค์ทรงรู้หรือว่าสุนัขตัวไหนผิด หรือไม่ผิด"

"ขูอนั้นเราไม่รู้ดอก แต่เราเชื่อตามที่นายสารถีเขาบอกใหูทราบ"

"เมื่อยังไม่ทราบแน่ ชัด การสั่งฆ่าสุนัขป่ า เวูนสุนัขในวังนั้นเป็ นการอคติ เพราะความหลงไม่รู้จริง


ไม่เที่ยงธรรมสมกับที่เป็ นผู้ปกครองประเทศ น่าจะสืบสวนไตร่ตรองใหูถอ ่ งแทูก่อนเพื่อกันความ
ผิดพลาด"

สุนัขโพธิสัตว์ไดูที ก็แสดงธรรมโปรดพระราชาเป็ นการใหญ่ถา


ู เป็ นเรื่องจริงคงโดนเตะรูองเอ๋งไป
แลูว แลูวก็กล่าวต่อว่า...

"ความขูอนี้ ก็น่าสงสัยอย่้ สุนัขนอกวังไม่สามารถเขูามาในวังไดู เพราะมีร้ัวรอบขอบชิด จะว่ามุด


อุโมงค์เขูามาก็ยากที่จะเขูามาไดู เพราะปากอุโมงค์มีตาข่ายกั้นอย่้ หนังหูุมราชรถทั้งหลายคงจะ
ถ้กสุนัขในพระราชวังนั้นแหละครับกัดกิน หาใช่สัตว์อ่ นื ไม่ ถูาจะใหูรู้จริง ใหูเอายาใหูสุนัขในวังกิน
แลูวสำารอกออกมา ก็จะสามารถรู้ไดูทันที"

พระราชาไดูพระสติ รับสั่งใหูสำารวจอุโมงค์ทุกแห่ง ปรากฏว่ามีตาข่ายปิ ดไวูอย่างแน่ นหนา ไม่มี


สัตว์ใดสามารถเล็ดลอดเขูามาไดู จึงยอมรับความจริงไปชั้นหนึ่ ง ขั้นต่อไป รับสั่งใหูเอายากรอก
ปากสุนัขในวังทุกตัว สักพักหนึ่ งพวกมันก็สำารอกเอาหนังหูม
ุ และผ้กราชรถออกมา ความจริง
ปรากฏเป็ นขั้นที่สองแลูว พระราชาจึงทรงยอมรับว่า พระองค์ไดูผิดพลาดแลูว

ตั้งแต่วันนั้นมาพระราชาไดูพระราชทานอภัยทานแก่สุนัขรวมถึงสัตว์ท้ังหลายดูวย แถมยัง
พระราชทานอาหารแก่สุนัขป่ าบริวารของพระโพธิสัตว์เป็ นประจำาอีกดูวย

พญาสุนัขไดูสงเคราะห์ญาติของตน ดูวยประการฉะนี้ ...

พญากา

คราวที่แลูวเล่านิ ทานสุนัขโพธิสัตว์ สงเคราะห์ญาติของตน คราวนี้ ก็เป็ นเรื่องพญากา เรื่องมีว่า


พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็ นพญากา อาศัยอย่้ในป่ าใกลูเมืองพาราณสี (เมืองอื่นไม่ค่อยดังเหมือน
เมืองนี้ ) พรูอมกับญาติพ่ีนอ
ู งเป็ นฝ้ง

วันหนึ่ งพราหมณ์ปุโรหิตคนหนึ่ งเดินกลับเขูาเมืองหลังจากอาบนำ้าที่ท่านำ้า ขณะนั้นกาสองตัวเห็น


พราหมณ์เดินมา กาตัวหนึ่ งพ้ดว่า ตนจะขี้รดหัวพราหมณ์คนนี้ ใหูด้ อีกตัวหูามว่า อย่าไปตอแยกับ
เขา เขาเป็ นถึงปุโรหิต เขาโกรธขึ้นมาจะลำาบาก

กาตัวนั้นไม่เชื่อ จึงบินไปถ่ายลงบนศีรษะพราหมณ์ทันที แลูวก็รูองกากาหนี ไป พราหมณ์โกรธจน


หนูาเขียว ผ้กอาฆาตว่าไอูกาจัญไร ก้เจอมึงที่ไหนจะฆ่าใหูสมแคูน พราหมณ์แกไม่ผ้กอาฆาต
เฉพาะกาตัวที่ข้ีรดหัวแก เพราะแกเองก็จำาไม่ไดู แต่แกอาฆาตไปหมดทุกตัว

ขณะกำาลังวางแผนอย่้ว่าจะแกูแคูนพวกกานี้ อย่างไร ก็เกิดเหตุอย่างหนึ่ งขึ้น คือ สตรีนางหนึ่ งตาก


ขูาวเปลือกไวูแลูวนั่งเฝู าอย่้ แพะตัวหนึ่ งมากินขูาวเปลือก นางจึงเอาดูุนไฟตีแพะ ไฟไหมูขนแพะ
แพะวิ่งไปเอาสีขูางถ้กระท่อมหญูาขูางโรงชูาง ไฟไหมูกระท่อมหญูา แลูวลามไปไหมูโรงชูางหลวง
ไหมูชูางเป็ นแผลเหวอะหวะ

สัตวแพทย์ไม่สามารถรักษาแผลใหูหายขาดในเร็ววันไดู ปุโรหิตจึงเขูาไปกราบท้ลพระราชาว่า ยา
ที่รักษาแผลชูางไดูวิเศษนัก คือ นำ้ามันเหลวของกา พระราชาจึงรับสั่งใหูฆ่ากาทั้งหลายทุกตัวที่
พบเห็น เพื่อเอานำ้ามันเหลวมารักษาชูาง

ราชบุรุษก็ฆ่ากาตายทีละตัวสองตัว ในไม่ชูาก็ตายเป็ นจำานวนมาก แต่ก็ไม่ไดูน้ ำามันเหลวจากกา


แมูแต่นิดเดียว ภัยอันใหญ่หลวงไดูเกิดขึ้นแก่ฝ้งกาแลูว

พญากาโพธิสัตว์คิดจะช่วยเหลือญาติของตนใหูพูนภัย จึงหาทางแอบไปพบพระราชาจนไดูในวัน
หนึ่ ง เกาะอย่้ในที่สมควรแลูวกราบท้ลพระราชาว่า...

"ขูาแต่มหาราช พระองค์ก็ทรงทราบอย่้แลูวมิใช่หรือว่ากาทั้งหลายไม่มีน้ ำามันเหลว เพราะเหตุสอง


ประการ คือ

(1) กามีจิตสะดูุงหวาดภัยเป็ นนิ ตย์


(2) มนุษย์ท้ังหลายคอยเบียดเบียนกาเป็ นนิ ตย์

กาจึงไม่มีน้ ำามันเหลว ไม่มม


ี าแลูวในอดีต ปั จจุบัน และอนาคตก็จักไม่มี

"ขูาแต่มหาราช เรื่องนี้ มีเลศนัย คือ ปุโรหิตของพระองค์น้ันมีความอาฆาตต่อฝ้งกาดูวยเหตุส่วน


ตัว และคิดจะกำาจัดพวกกาใหูส้ญพันธ์ุ จึงกราบท้ลพระองค์เช่นนั้น ขูาแต่มหาราช ขอพระองค์ทรง
ใชูดุลยพินิจดูวยเถิด พระเจูาขูา"

พระราชาทรงใคร่ครวญด้ ก็ทรงรู้ความจริงตามที่พญากากราบท้ล จึงขอโทษพญากา และทรงใหู


คำามั่นว่าจะไม่ใหูใครฆ่าฝ้งกาอีกต่อไป

จากนั้นก็ประกาศพระราชทานอภัยทานแก่พวกกา รวมทั้งสัตว์อ่ ืนๆ ดูวย และพระราชทานอาหาร


แก่ฝ้งกาเป็ นประจำา

นี้ ก็คือเรื่องหนึ่ งที่สัตว์ช่วยเหลือญาติของตนใหูพูนภัย

พระพุทธองค์สงเคราะห์ญาติ

พระพุทธองค์ทรงอนุเคราะห์ช่วยเหลือพระประยุรญาติหลายครั้งหลายครา อาทิ...

ครั้งหนึ่ ง...ทรงระงับสงครามแย่งนำ้า

เนื่องจากศากยวงศ์และโกลิยวงศ์ท้ังสอง มีนิวาสถานอย่้รม ิ ฝั่ งนำ้าโรหิณีท้ังสองขูาง และต่างก็


อาศัยนำ้าในแม่น้ ำานี้ ทำาการเกษตรกรรม กษัตริย์เมืองกบิลพัสด์ุ และเมืองเทวทหะ เขาทำานากันนะ
ครับ พุทธประวัติเล่าถึงฤด้ทำานา พระเจูาสุทโธทนะทรงแรกนาขวัญดูวยพระองค์เอง

เนื่องจากนำ้าในแม่น้ ำาโรหิณี บางปี ก็นอ


ู ย ปี ไหนนำ้านูอยก็ไม่ค่อยเพียงพอสำาหรับการทำานา ผูค
้ นทั้ง
สองฝั่ งก็กระทบกระทั่งกัน การแย่งนำ้ากันมีมาเรื่อยๆ มิใช่เพิ่งจะมีหลังพระพุทธองค์เสด็จออก
ผนวช ก่อนหนูานั้นก็ประทุครั้งหนึ่ งแลูว ถึงขั้นจะทำาสงครามกับฝ่ ายโกลิยะ แต่ในที่สุดไดูมติ
ยกเลิก

และแลูวสงครามก็เกิดขึ้นจริงๆ หลังจากยับยั้งไวูหลายครั้งหลายครา กองทัพทั้งสองเมืองก็ยก


ออกมาเพื่อสู้รบกัน กะใหูรู้ดำารู้แดงกันเสียทีว่าใครยิ่งใหญ่กว่ากัน ขณะจะประจัญบานกันอย่้น้ัน
พระพุทธองค์เสด็จมาพอดี

ทรงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งสองฝ่ าย ซึง
่ ก็พระประยุรญาติของพระพุทธองค์ท้ังนั้น มาตรัสถามเชิง
ตำาหนิ วา

"มหาบพิตรทั้งหลาย พวกท่านทำาอะไรกัน"

"สู้รบกัน พระพุทธเจูาขูา" เสียงกราบท้ลอูอมแอูม

"รู้แลูวละว่าสู้รบกัน จะสู้รบกันไปทำาไม" ตรัสถามอีก

"เพื่อเอานำ้าไปทำานา พระเจูาขูา"
"แค่เอานำ้าไปทำานา แบ่งกันคนละครึ่งไม่ไดูหรือ ทำาไมตูองถึงกับรบราฆ่าฟั นกัน"

"ไม่มฝ
ี ่ ายไหนยอม พระเจูาขูา ต่างฝ่ ายก็จะเอามากกว่า" สีเสียงหนึ่ งลอดเขูามา

พระพุทธองค์ตรัสเตือนสติว่า

"มหาบพิตรทั้งหลาย พวกท่านคิดด้ซิเลือดซึ่งไหลนองเพราะการสู้รบครั้งนี้ กับนำ้าในแม่น้ ำา อย่าง


ไหนมีค่ามากกว่ากัน ถูาจะส้ญเสีย อะไรจะส้ญเสียมากกว่ากัน"

"เลือดมีค่ามากกว่า และจะส้ญเสียมากกว่า พระเจูาขูา" เสียงตอบหลังจากนิ่ งไปคร่้ใหญ่

"แลูวทำาไมพวกท่านจึงยอมเสียเลือดเสียเนื้ อ เพราะเรื่องเล็กนูอยเพียงแค่น้ี จงหยุดเสียเถอะ"

กษัตริย์ท้ังสองฝ่ ายก็ยอมฟั งแต่โดยดี ยกทัพกลับไปในที่สุดสงครามเลือดซึ่งทำาท่าว่าจะเกิดขึ้น ก็


ระงับไป เพราะพระเมตตาบารมีของพระพุทธองค์ทรงช่วยไวู

เรื่องนี้ สะทูอนใหูเห็นบทบาทในการสงเคราะห์พระญาติของพระพุทธองค์เด่นชัด เด่นชัดจนตูอง


สรูางพระพุทธร้ปปางหูามญาติไวูเป็ นอนุสรณ์สำาหรับชาวพุทธ เป็ นพระพุทธร้ปในท่าทรงยืนยก
พระหัตถ์ขวาทำาท่าหูามปราม

ครอบครัวไหนญาติพ่ีนอ
ู งไม่ปรองดอง น่ าจะนำาพระปางหูามญาติไปบ้ชานะครับ จะไดูเลิกทะเลาะ
เบาะแวูงกัน...

ทรงห้ามพระเจ้าวิฑูฑภะ

เมื่อครั้งพระเจูาปเสนทิโกศล ซึง
่ เป็ นนายของเหล่าศากยะทรงส่งคณะท้ตไปขอขัตติยนารี จาก
ศากยวงศ์ เพื่ออภิเษกสมรสเป็ นอัครมเหสี พวกศากยะที่หยิ่งทะนงในศักดิศ ์ รีและสายเลือดอัน
บริสุทธิข ์ องตน ส่งล้กสาวนางทาสีอันเกิดแต่เจูาชายมหานามใหูเรียกว่า "ยูอมแมวขาย" นั้นแหละ
ครับ

ตอนหลังความแตก เจูาชายนูอยพระราชโอรสของพระเจูาปเสนทิโกศล เสด็จไปเยี่ยมพระเจูาตาที่


เมืองกบิลพัสด์ุ ถ้กพวกศากยะด้หมิ่นขนาดหนัก หาว่าเป็ นล้กนางทาสี เวลาเจูาชายนูอยลุกจากที่
นั่ง เขาจะเอานำ้านมมาราดขัดเสนี ยดจัญไรออก เจูาชายนูอยผ้กอาฆาตในใจว่า "ฝากไวูก่อนเถอะ
ต่อไปก้มีอำานาจมาเมื่อใด ก้จะเอาเลือดในลำาคอพวกนี้ ลูางตีนก้ใหูสมแคูน"

พระเจูาปเสนทิโกศลหลังจากทราบเรื่อง ก็ทรงพิโรธ สั่งปลดทั้งแม่และล้กออกจากตำาแหน่ ง ที่ไดู


พระพุทธองค์มาทรงช่วยไวู ทรงอธิบายว่าสายเลือดขูางแม่ไม่สำาคัญ โอรสกษัตริย์อันเกิดแต่สตรี
ชาวนา ทาสี วณิพก ยาจก อะไรก็ตาม ก็มีสายเลือดของกษัตริย์วันยังคำ่า พระเจูาปเสนทิโกศลทรง
เชื่อพระพุทธเจูาจึงคืนตำาแหน่ งอัครมเหสีและรัชทายาทใหูแก่แม่ล้กตามเดิม

พระพุทธองค์ทรงช่วยไวูครั้งหนึ่ ง

เมื่อเจูาชายวิฑ้ฑภะเจริญวัยมา ความแคูนที่มม
ี าตั้งแต่ครั้งไปเยี่ยมพระเจูาตาที่เมืองกบิลพัสด์ุ นับ
วันแต่จะรุนแรงขึ้นคิดหาโอกาสแกูแคูนใหูไดูสักวัน เมื่อไดูขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดาแลูว ก็
ยกทัพไปเพื่อจะฆ่าฟั นพวกศากยะชำาระความแคูนเสียที
พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าขืนปล่อยไปตามนั้น พระประยุรญาติท้ังหลายจะถ้กฆ่าตาย เพราะอำานาจ
ความแคูนของวิฑ้ฑภะจึงเสด็จมาหูามไวู วิธีหูามของพระพุทธองค์ก็ทรงทำาทางอูอม คือประทับใตู
ใบไมูท่ใี บโปร่งแสงแดดส่องไดู ดักทางที่วิฑ้ฑภะจะเสด็จผ่านมา พระเจูาวิฑ้ฑภะเห็นพระพุทธองค์
ก็เสด็จไปถวายบังคมกราบท้ลถามว่า "ทำาไมพระองค์ประทับใตูไมูเงาโปร่ง ไม่ประทับใตูตูนโนูน
(ทรงชี้ไปอีกตูนหนึ่ ง อย่เ้ ขตแดนเมืองสาวัตถี) ร่มเงาหนาทึบเย็นสบายกว่า"

พระพุทธองค์ตรัสว่า "มหาบพิตร ร่มเงาของญาติย่อมเย็นสบายกว่า"

ไดูฟังดังนั้น พระเจูาวิฑ้ฑภะทรงทราบทันทีว่า พระพุทธองค์เสด็จมาหูาม จึงกราบถวายบังคมแลูว


สั่งกองทัพกลับเมืองสาวัตถี

ต่อมาความแคูนประทุขึ้นมาอีก ก็ยกมาอีก พบพระพุทธองค์ ณ จุดเดิม ก็ยกทัพกลับ เป็ นเช่นนี้


สามครั้งสามครา พอถึงครั้งที่สี พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นกรรมเก่าของพวกศากยะ แรงเกิน
กว่าจะหูามไวูไดู ถึงจะเสด็จไปหูามอีก วิฑ้ฑภะก็คงไม่ฟัง จึงปล่อยไปตามวิถีท่ีมันควรจะเป็ นไป

พระเจูาวิฑ้ฑภะไม่เห็นพระพุทธเจูา ก็รีบยกทัพเขูาโจมตีเมืองกบิลพัสด์ุ สั่งฆ่าทุกคนที่เห็น ไม่


ยกเวูนแมูแต่ล้กเล็กเด็กแดง

เรื่องนี้ แสดงใหูเห็นว่า พระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์พระญาติของพระองค์เท่าที่จะทรงทำาไดู หูาม


ทัพไม่ใหูยกไปฆ่าฟั นสามครั้งสามครา ต่อเมื่อทรงรู้ว่าหูามอะไรหูามไดู แต่หูามกรรมของคนนั้นไม่
ไดู จึงทรงปล่อยไปตามวิถีท่ีมันควรจะเป็ นไป...

การงานทีไ
่ ม่มีโทษ

มงคลขูอต่อไป คือ อนวัชกรรม (การกระทำาที่ไม่มีโทษ) การกระทำาหรือการงานที่ไม่มีโทษ มีแต่


คุณ มีแต่ประโยชน์ พ้ดกวูางๆ การงานอะไรก็ไดูท่ีไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม

ปุโรหิตรับสินบน

ในเมืองพาราณสี มีปุโรหิตคนหนึ่ ง พระราชาทรงแต่งตั้งใหูว่าอรรถคดีอีกตำาแหน่ งหนึ่ ง นอกจาก


ทำาหนูาที่ท่ีปรึกษาทั่วไป ปุโรหิตคนนี้ ภาษาบาลีท่านใชูสำานวนว่า "เป็ นผู้กินเนื้ อหลังของคนอื่น"
คลูายๆ คำาพังเพยไทยว่า "ทำานาบนหลังคน" คือการแสวงหาความรำ่ารวยบนความเดือดรูอนของ
คนอื่น ในกรณีว่า อรรถคดีน้ี แกก็กินสินบน "ทำาคนผิดใหูเป็ นคนถ้ก ทำาคนถ้กใหูเป็ นคนผิด"
คอร์รัปชั่นฉิบหายวายวอด อย่างนั้นเถอะ

วันหนึ่ งเขาเขูาเฝู าพระราชา บังเอิญวันนั้นเป็ นวันอุโบสถ พระราชาตรัสถามเขาว่า ท่านอาจารย์


ท่านสมาทานอุโบสถศีลบูางหรือเปล่า

เขากราบท้ลว่า "สมาทาน พระเจูาขูา"

เมื่อตอนเขากลับ อำามาตย์อีกคนหนึ่ งซึ่งเฝู าอย่้ดูวย เดินตามหลังเขาไปกล่าวตำาหนิ ว่า "ท่าน


ปุโรหิตไม่เคยรักษาอุโบสถเลย ผมทราบ ทำาไมท่านกราบท้ลพระราชาเช่นนั้น"

ปุโรหิตกล่าวว่า "ถึงผมไม่เคยรักษาศีลอุโบสถ แต่คืนนี้ ผมตั้งใจจะรักษา"

"เวลาสมาทานศีลล่วงไปแลูวหลายเพลา" อำามาตย์คนเดิมกล่าว
"ไม่เป็ นไร ผมสมาทานศีลอุโบสถสายไปหน่ อยก็คงจะไดูอานิ สงส์กึ่งหนึ่ ง ก็ยังนับว่าดี" ปุโรหิต
กล่าว แลูวเขาก็ทำาจริงๆ ไปถึงบูานก็เอานำ้าบูวนปากสมาทานศีลอุโบสถ ปฏิเสธอาหารตลอดทั้ง
คืน

ในวันอุโบสถอีกวันหนึ่ ง มีสตรีนางหนึ่ งตูองขึ้นศาล ถึงเวลาสมาทานศีลอุโบสถ ไม่มโี อกาสรับ


ประทานอาหารก่อน ก็เตรียมจะบูวนปากสมาทานศีล ปุโรหิตทราบเรื่องเขูา จึงใหูผลมะม่วงแก่
เธอ บอกว่าใหูนางกินมะม่วงนี้ ก่อนแลูวค่อยสมาทานศีลอุโบสถ ความดีท่ีเขาทำาก็มีเพียงรักษาศีล
อุโบสถครั้งหนึ่ ง และใหูทานคือมะม่วงผลหนึ่ งนี้ เท่านั้น นอกนั้นก็มีแต่ "กินหลังของคนอื่นๆ"

เมื่อเขาตายไปไปเกิดเป็ น "เวมานิ กเปรต" (เปรตมีวม ิ าน) ตอนกลางวันเขาจะตูองเสวยผลกรรม


ชั่วที่เขาไดูกระทำาไวู คือร่างกายจะโตส้งเท่าตูนตาล มีนิ้วงอกออกมาจากมือขูางละนิ้ ว มีเล็บแหลม
ยาวโคูง คมกริบ แลูวเขาก็เอาเล็บขีดข่วนตัวเองกูอนเนื้ อและเลือดสดๆ ก็ติดมากับเล็บ รูอง
ครำ่าครวญดูวยความเจ็บปวด ยิ่งเจ็บก็ยิ่งข่วนลึกลงตามลำาดับ (เพราะผลกรรม)

แต่พอตกกลางคืน เขาก็พูนจากสภาพทรมาน มีเสื้อผูาอาภรณ์สวยหร้อย่้บนวิมานอันโอ่อา ่


มโหฬาร ท่ามกลางป่ ามะม่วงอันรื่นรมย์กวูางใหญ่ไพศาล เสวยสุขอันเป็ นทิพย์ตลอดทั้งคืน

ที่เขาไดูวิมานสวยหร้ในป่ ามะม่วงกวูางใหญ่น่ารื่นรมย์ยิ่งเพราะผลแห่งการใหูมะม่วงเป็ นทานแก่


สตรีผู้รักษาศีลอุโบสถ แต่ท่ีเขาตูองไดูรับทุกข์ทรมานดูวยการขีดข่วนเนื้ อตัวเอง ก็เพราะ
บาปกรรมที่เป็ นผู้พิพากษารับสินบน ที่เขาไดูเสวยสุขอันเป็ นทิพย์ในวิมานในเวลากลางคืน ก็
เพราะผลแห่งการรักษาศีลอุโบสถในเวลากลางคืน...

สำารวมการดื่มนำ้าเมา

การสำารวมจากการดื่มนำ้าเมา (มชฺชปาน จ สญ้ญโม) คำาว่า สัญญะโม (สำารวม) หลายท่าน


พยายามแปลว่า ดื่มของเมาไดู แต่ใหูระวังอย่าดื่มจนเกินขนาดจนเสียสติ เปิ ดตำาราด้แลูวท่านไม่
ว่าอย่างนั้น ท่านว่าใหูงดเวูนเลยทีเดียว ดุจเดียวกับงดเวูนจากบาป

สุราคือนำ้าดื่มที่กลั่นแลูว เมรัยคือนำ้าดื่มที่ไม่ไดูกลั่น รวมไปถึงของหมักดองอื่นๆ ดูวย รวมทั้งยาบูา


ยาอี ฝิ่ น กัญชา กะแช่ ขูาวหมากก็รวมดูวย รวมเรียกว่าเมรัยทั้งหมดแหละครับ

ทางพระพุทธศาสนาถือว่า สุราเมรัย "เป็ นที่ต้ังแห่งความประมาท" คือ เป็ นเหตุใหูประมาทและ


ขาดสติ ท่านจึงหูามมิใหูด่ ืม ถูาดื่มบ่อยๆ ก็จะติดเป็ นนิ สัย และเป็ นเหตุใหูเกิดอันตรายต่อชีวิตและ
ทรัพย์สิน ดูวยเหตุน้ี การดื่มสุราเมรัยจึงเป็ น "อบายมุข" (ปากทางแห่งความฉิบหาย)

สุราเมรัยมีโทษอย่างไรนั้น ย่อมเป็ นที่ทราบกันดี

พระพุทธเจูาท่านตรัสว่าเป็ นอบายมุข ทางแห่งความฉิบหาย และท่านตรัสโทษของการดื่มสุรา


เมรัยไวู 6 ประการ คือ

1. ทำาใหูเสียทรัพย์สินเงินทอง
2. เป็ นเหตุใหูเกิดการทะเลาะวิวาท
3. ทำาใหูเสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศ
4. เป็ นบ่อเกิดของโรคภัยไขูเจ็บต่างๆ
5. ทำาใหูไม่รู้จักอับอาย
6. ทำาใหูสติปัญญาเสื่อม
โทษของสุราเมรัย 6 ประการนี้ ไม่มีใครกลูาปฏิเสธ เพราะว่ามันเป็ นเรื่องจริงทั้งสิ้น...

โทษของสุรา

ในอดีตกาล พรานป่ าชาวเมืองพาราณสี นามว่า สุระเขูาป่ าล่าสัตว์เป็ นนิ ตย์

วันหนึ่ งสังเกตเห็นฝ้งนกกินนำ้าที่คาคบไมูใหญ่ตูนหนึ่ ง แลูวก็มอ


ี าการเมา ตกลงมายังพื้นดิน เวลา
ผ่านไปสักพักก็สร่างเมาบินต่อไปไดูเหมือนเดิม จึงสงสัยเป็ นกำาลังว่าเพราะอะไร เลยปี นตูนไมูขน ึ้
ไปด้ ก็เห็นแอ่งนำ้าใหญ่ มีสีและกลิ่นประหลาด จึงเอานิ้ วจิ้มด้ด รสชาติแปลกประหลาดมาก ไม่เคย
ไดูลิ้มรสมาก่อนเลยจึงตักใส่กระบอกนำาลงมาดื่ม

เห็นนกเมานำ้าพรรค์อย่างว่าตกลงมา ก็จับเอาไปฆ่า ย่างไฟอย่างดี กินกับนำ้าวิเศษนี้ รู้สึก


เอร็ดอร่อยเป็ นอย่างยิ่ง นี้ แลคือที่มาของ "กับแกลูม" กินเหลูาตูองมีกับแกลูมดูวย

นำ้าวิเศษนี้ นายพรานดื่มเขูาไปแลูวนิ สัยจะเปลี่ยน คือจะมีความกลูาหาญ ไม่กลัวใคร ฟู อนรำาเฉิบๆ


สนุกสนาน ท่านว่าเหตุน้ี แล นำ้าดื่มจึงชื่อว่าสุรา ความหมายก็คือ

(1) เป็ นดื่มนำ้าที่นายสุระคูนพบคนแรก


(2) เป็ นนำ้าดื่มที่ทำาใหูกลูาหาญ

ว่ากันว่าพรานสุระแกดื่มกินอย่้คนเดียว ไม่ยอมบอกใคร

วันหนึ่ งเดินไปพบฤๅษีนามว่า วรุณ อย่้ท่ีอาศรมในป่ า จึงเอากระบอกนำ้าสุราไปถวาย พรูอมทั้ง


กับแกลูมอย่างดี หลวงพ่อฤๅษีไดูด่ ืมนำ้าสุรา ก็ติดใจในรสชาติอันวิเศษ จึงขอแจมดูวย สั่งนาย
พรานว่า วันหลังใหูเอามาใหูด่ ืมอีก

ทั้งพระทั้งโยมก็ต้ังวงล่อสุรากันเป็ นประจำา ยามแดดร่มลมตก เพราะเหตุน้ี แล สุราจึงมีช่ อ


ื เรียกอีก
ชื่อหนึ่ งว่า วารุณี (แปลว่านำ้าที่วรุณฤๅษีชอบใจ)

สองคนเกิดความคิดว่า น่ าจะหาเลี้ยงชีพอย่างสบายดูวยการผลิตนำ้าอมฤตนี้เผยแพร่ จึงพากัน


ศึกษาส้ตรสุรา สังเกตจากโพรงไมูท่ีคูนพบนำ้านี้ ครั้งแรกนั่นแหละ ว่ามีส่วนผสมของอะไรบูาง
เมล็ดขูาวฟ่ าง ล้กเดือย ผลไมู...ฯลฯ ก็นำาเอาสิ่งเหล่านั้นมาหมักจนเกิดเป็ นส่านำ้าเมา ทดลองกัน
อย่้นานพอสมควร จนกระทั่งไดูรสชาติอย่้ตัว เอร็ดอร่อยไม่แพูของเดิม คราวนี้ ผลิตกันจนเป็ นลำ่า
เป็ นสัน เป็ นอุตสาหกรรมประจำาอาศรมเลยทีเดียว

ทั้งสองชวนกันขนไหสุราไปยังเมืองปั จจันตนคร นำานำ้าวิเศษเขูาถวายพระราชา พระราชาเสวย


เพียงจอกสองจอกเท่านั้นก็ชอบพระทัย คราวนี้ หยุดไม่อย่้ เสวยจนกระทั่งเมา สร่างเมาก็รับสั่งหา
นำ้าวิเศษมาเสวยอีก

สุราที่นำาไปถวาย ภายในเวลาไม่ชา ู ไม่นานก็หมด จึงรับสั่งใหูท้ังสองคนผลิตนำ้าวิเศษใหูมากๆ ใหู


พอดื่ม เมื่อไดูรับพระบรมราชานุญาตแลูว ทั้งสองคนก็ต้ังโรงงานย่อยๆ ผลิตสุราขึ้นเป็ นจำานวน
มาก ว่ากันว่าไม่ชูาไม่นาน ไม่เฉพาะแต่พระราชาเท่านั้นประชาชนทั้งหลายก็พลอยไดูมีโอกาสดื่ม
ดูวย และติดกันเป็ นแถว ความนิ ยมในการดื่มสุราก็แพร่หลายไปทั่วประเทศ

นายสุระและฤๅษีวรุณ ผลิตสุราไดูท่ีแลูว คิดจะหาทางรำ่ารวย จึงวางแผน คือ เดินทางต่อไปยัง


เมืองต่างๆ แนะนำาสินคูาวิเศษใหูคนไดูลิ้มลอง และผลิตขายใหูพวกเขาดื่ม จากเมืองนี้ ไปเมืองโนูน
จนกระทั่งมนุษย์โลกทั้งหมดรู้จักสุราและดื่มสุราเป็ น ว่ากันอย่างนั้น
ทั้งสองคนเดินทางไปยังเมืองสาวัตถี เอาสุราไปถวายพระราชา นามว่า สรรพมิตร เมื่อพระราชา
เสวยแลูวก็ทรงชอบพระทัย รับสั่งใหูท้ังสองผลิตใหูเสวยมากๆ ทั้งสองก็หาวัตถุดิบมาตูมกลั่นกัน
อย่างเอางานเอาการ ใส่ตุ่มเป็ นรูอยๆ ใบ เอาฝาปิ ดไวูอย่างดี ตั้งเรียงรายไวู รอเวลาใหูมัน "ไดูท่ี"
ก่อนที่จะนำาไปดื่ม

บังเอิญว่านำ้าในต่ม ุ มันลูนไหลลามปากตุ่ม บรรดาแมวและหน้ท้ังหลายก็มาเลียกินนำ้านั้น ต่างก็


เมาตกตุ่มสลบไสลเป็ นจำานวนมาก พวกราชบุรุษเป็ นเหตุการณ์น้ัน ก็ไปกราบท้ลพระราชาว่า
พ่อคูาต่างเมืองสองคนนั้น สงสัยว่าจะผลิตยาพิษเพื่อฆ่าพระราชาและชาวเมือง เพราะแมวและหน้
กินนำ้าที่ว่านั้นแลูวตายไปเป็ นจำานวนมากเลย

ความจริงแมวและหน้มันไม่ตาย เพียงแต่เมา พอสร่างเมาแลูวมันก็วิ่งหนี ไป แต่พระราชาและ


พวกราชบุรุษไม่เห็นตอนนั้นทั้งสองคนจึงเรียกไปสอบสวน และถ้กสั่งประหารชีวิต ราชบุรุษที่ไดู
รับคำาสั่งใหูไปทุบทำาลายไหสุราทิ้ง เห็นแมวและหน้ท้ังหลายที่คิดว่ามันตายแลูวกลับฟื้ นวิ่งไปตาม
เดิม จึงไปกราบท้ลพระราชา พระราชาสั่งระงับไม่ใหูทุบทิ้ง ลองใหูมหาดเล็กดื่มด้ก็ไม่เห็นเป็ น
อะไร จึงเชื่อว่านำ้านี้ ด่ ืมแลูวทำาใหูเมาเฉยๆ ไม่ถึงกับตาย

พระองค์ก็เลยไดูครอบครองลิขสิทธิ ์ สมบัติคือไหสุราทั้งหมดดูวยประการฉะนี้ แล

พอพระเจูาสรรพมิตรทรงทราบว่าสุรานั้นมิใช่ยาพิษ เพราะแมวและหน้มันเมาแลูวพอสร่างเมามัน
ก็กระโดดโลดเตูนไดูตามเดิมจึงรับสั่งใหูปล้กพลับพลา ที่ทูองสนามหลวง ประดับตกแต่งสวยหร้
ทำานองลานเบียร์ในกรุงสมัยปั จจุบันนี้ แหละ แวดลูอมดูวยเหล่าเสนามาตย์นูอยใหญ่ เตรียมเสวย
สุราเป็ นการใหญ่

แต่ยังไม่ทันไดูลงมือก็มีคนมาขัดจังหวะ พระอินทร์ทราบว่า พระราชาและประชาชนชาวเมือง


กำาลังจะตกเป็ นทาสสุรา ตูองรีบไปหูาม หาไม่แลูวเมืองนี้ ท้ังเมืองจะกลายเป็ นเมืองปี ศาจสุรา
เพราะเมื่อเจูาผู้ครองนครกลายเป็ นปี ศาจสุราเสียเองแลูว เหล่าเสนามาตย์ก็จะเอาอย่าง

พระอินทร์จำาแลงกายเป็ นพราหมณ์ ถือหมูอสุราขนาดย่อมๆ เหาะลอยมาจากนภากาศ มาเมื่อไร


ไม่มีใครสังเกตเห็นมาปรากฏตัวต่อหนูาพระที่น่ัง ประกาศว่า จงซื้อหมูอใบนี้ เถิด จงซื้อหมูอใบนี้
เถิด

พระเจูาสรรพมิตรตรัสถามว่า ท่านเป็ นใคร มาเล่นกลลอยอย่้ในอากาศ ประกาศว่าจงซื้อหมูอใบนี้


เถิด หมูออะไรของท่าน มันดีอย่างไรหรือ

พรมหมณ์แปลงกายกล่าวว่า "หมูอนี้ มใิ ช่หมูอเนยใส มิใช่หมูอนำ้ามัน มิใช่หมูอนำ้าอูอย มิใช่หมูอนำ้า


ผึ้ง แต่เป็ นหมูอนำ้าวิเศษที่มีโทษอย่างมหาศาล"

อูาว หมูอมีโทษจะมาประกาศขายทำาไม พระเจูาสรรพมิตรทรงสงสัย มิทันไดูเอ่ยวาจาถาม


พราหมณ์แปลงกายก็กล่าวว่า

๐ ดื่มสุราใดแลูว พึงเดินสะเปะสะปะ ตกเหว ตกบ่อ ตกหลุมนำ้าครำา และหลุมโสโครก ท่านจงซื้อ


หมูอบรรจุน้ ำาสุรานี้ เถิด

๐ ดื่มสุราใดแลูว ไม่มีความคิด เที่ยวไปเหมือนโคเมา ฟู อนรำาขับรูองไม่เป็ นภาษามนุษย์ น่า


อเนจอนาถ ท่านจงซื้อหมูอบรรจุน้ ำาสุรานี้ เถิด
๐ ดื่มสุราใดแลูว เปลือยกายล่อนจูอน มีจิตฟั่ นเฟื อน นอนตื่นสาย เที่ยวตามตรอกซอกซอยนูอย
ใหญ่ ท่านจงซื้อหมูอบรรจุน้ ำาสุรานี้เถิด

๐ ดื่มสุราใดแลูว จะลุกจะเดินก็งกงันๆ หัวสั่นคลอน ฟู อนรำาเหมือนหุ่นไมู ท่านจงซื้อหมูอบรรจุน้ ำา


สุรานี้ เถิด

๐ ดื่มสุราใดแลูว นอนใหูไฟเผาบูาง ถ้กสุนัขจิ้งจอกกัดกินบูาง ถ้กจองจำา ถ้กฆ่า เสื่อมสมบัติ ท่าน


จงซื้อหมูอบรรจุน้ ำาสุรานี้ เถิด

๐ ดื่มสุราใดแลูว พ้ดสิ่งไม่ควรพ้ด แกูผูาผ่อน ทั้งที่อย่้ท่ีประชุมชน กลิ้งเกลือกจมอาเจียนสกปรก


สิ้นดี ท่านจงซื้อหมูอบรรจุน้ ำาสุรานี้ เถิด

๐ ดื่มสุราใดแลูว ฮึกเหิม มีนัยน์ตาขุ่นมัว นึ กว่าแผ่นดินทั้งหมดเป็ นของตน แมูพระเจูาจักรพรรดิผู้


เรืองอำานาจก็หาทัดเทียมตนไม่ ท่านจงซื้อหมูอบรรจุน้ ำาสุรานี้ เถิด

๐ ดื่มสุราใดแลูว ถือตัวและด้หมิ่นคนอื่น ก่อการทะเลาะวิวาท ผิวพรรณทราม ที่อย่้ของเขาเป็ นที่


ซ่องสุมของพวกนักเลง ท่านจงซื้อหมูอบรรจุน้ ำาสุรานี้ เถิด

๐ ดื่มสุราใดแลูว ทำาสกุลที่มีทรัพย์นับอเนกอนันต์ตอ
ู งย่อยยับ ไรูทายาทสืบสกุล ท่านจึงซื้อหมูอ
บรรจุน้ ำาสุรานี้ เถิด

๐ ดื่มสุราใดแลูว แมูว่าจะมีฐานะมั่นคงเพียงใด ก็ทำาเรือกสวนไร่นา ทรัพย์สินเงินทอง พินาศไปใน


ชั่วเวลาไม่นาน ท่านจงซื้อหมูอบรรจุน้ ำาสุรานี้ เถิด

พราหมณ์แปลงกายไดูสาธยายโทษของสุราแก่พระเจูาสรรพมิตรยืดยาว ไดูกล่าวต่อไปอีกว่า...

๐ บุรุษดื่มสุราใดแลูว กลายเป็ นคนจิตใจรูายกาจ ดุด่าบิดามารดา ข่มเหงขูาทาสบริวาร ท่านจง


ซื้อหมูออันบรรจุน้ ำาสุรานี้ เถิด

๐ สตรีด่ ืมสุราใดแลูว กลายเป็ นหญิงใจรูาย ดุด่าพ่อผัวแม่ผัว ข่มเหงขูาทาสบริวาร ท่านจงซื้อหมูอ


อันบรรจุน้ ำาสุรานี้เถิด

๐ ดื่มสุราใดแลูว เบียดเบียนสมณะหรือพรมหมณ์ผู้ต้ังอย่้ในธรรม ทำาตัวใหูเขูาส่้อบาย เพราะการ


เบียดเบียนผู้ทรงศีล ท่านจงซื้อหมูออันบรรจุน้ ำาสุรานี้ เถิด

๐ ดื่มสุราใดแลูว ทำาชั่วทางกาย วาจา ใจ ไปส่้นรกเพราะทุจริต ท่านจงซื้อหมูออันบรรจุน้ ำาสุรานี้


เถิด

๐ ดื่มสุราใดแลูว แมูในกาลก่อนจะเป็ นผู้ใจบุญสุนทานไม่กล่าวเท็จเลย แต่กลับเป็ นคนโกหก


หลอกลวงไดู ท่านจงซื้อหมูออันบรรจุน้ ำาสุรานี้ เถิด

๐ คนรับใชูด่ ืมสุราใดแลูว เมื่อมีกิจที่พึงทำาไม่ทำา ถ้กเขาซักถามก็ไม่รู้เรื่อง ท่านจงซื้อหมูออันบรรจุ


นำ้าสุรานี้ เถิด

ตำานานเก่าเล่าว่า กษัตริย์พ่ีนอ
ู งสิบพระองค์ด่ ืมสุราใดแลูวรูองรำาทำาเพลงสนุกสนาน ริมฝั่ งแม่น้ ำา
แลูวก็ประหัตประหารกันสิ้นชีวิตอย่างอนาถริมฝั่ งนำ้านั่นแล ท่านจงซื้อหมูออันบรรจุน้ ำาสุรานี้ เถิด
พวกเทพในกาลก่อน ถือว่าตนเที่ยงแทู ดื่มสุราใดแลูวมึนเมา หล่นจากสวรรค์ นำ้าเมาเช่นนี้
ปราศจากประโยชน์ ด้ก่อนกษัตริย์ บุคคลเมื่อรูอ
้ ย่างนี้ แลูว ยังจะคิดดื่มสุรานี้ หรือ

ในหมูอนี้ มิใช่นม นำ้าสูม นำ้าผึ้ง ด้กอ


่ นกษัตริย์ ท่านทราบชัดอย่างนี้ แลูว จงซื้อไปเถิด ด้ก่อน สรรพ
มิตร ของที่อย่้ในหมูอนี้ มีลักษณะดังที่ขูาพเจูาพรรณนามานี้ แล

พระเจูาสรรพมิตรฟั งพราหมณ์แปลงกายสาธยายโทษของสุรามายาวเหยียด ฟั งไปๆ ก็ไดูคิดขึ้น


มา โอู สุราที่ขูากำาลังจะตั้งวงดื่มนี้ มันมีโทษมากมายปานนี้ เชียวหรือ จึงกล่าวตอบพราหมณ์แปลง
กายว่า...

"ท่านไม่ใช่บิดามารดาของขูาพเจูา แต่กลับเป็ นห่วงเป็ นใยมาบอกโทษของสุรา เตือนมิใหูขา ู พเจูา


ดื่ม ขูาพเจูาเชื่อคำาของท่าน ขูาพเจูาจะใหูหม่้บูานส่วยสี่ตำาบล ทาสี ทาสา อย่างละหนึ่ งรูอย โคเจ็ด
รูอย รถเทียมมูาอาชาไนยสิบคัน เป็ นของกำานัลแก่ท่าน

พราหมณ์แปลงกายบอกว่า ขูาพเจูามาบอกท่านดูวยความปรารถนาดีอันบริสุทธิ ์ มิไดูหวังผลตอบ


แทนใดๆ เชิญท่านรับของกำานัลคืนไปเถิด ว่าแลูวก็หายวับไปกับตา

เพราะฉะนั้น การงดเวูนจากการดื่มนำ้าเมา จึงเป็ นมงคลอันส้งสุด ดังนี้ แล

บุตรเศรษฐี

บุตรเศรษฐีจะว่าเป็ นผูม
้ ีบุญก็ไดู เพราะเป็ นผู้ "คาบชูอนเงินชูอนทองมาเกิด" บางคนก็คาบวัสดุ
ขนาดใหญ่ เช่น พานเงินพานทอง (แทูๆ ไม่ปลอม) มาเกิด หมายถึงเป็ นคนสรูางบุญไวูมากแต่
ปางก่อน มาชาติน้ี จึงสบายตั้งแต่เกิด จะว่าแกมีบาปก็ไดู เพราะบุญเก่าพาใหูมาเกิดในตระก้ลดี
รำ่ารวย แต่ถูาแกประมาทไม่ประพฤติตัวดีสมกับที่เกิดมาดี แกก็จะกลายเป็ นคนที่ไรูคา ่ ไรู
ศักยภาพ

รู้จักแต่ใชูจ่ายทรัพย์สินที่พ่อแม่หามาใหู ไม่รู้จักค่าของเงินไม่รู้จักสรูางสรรค์ จริงอย่้ ทรัพย์


มหาศาลนั้นกินชั่วโคตรก็อาจไม่หมด แต่ท่ีหมดเกลี้ยงไม่เหลือหลอก่อนทรัพย์ คือ "ความเป็ นคนที่
รู้จักพึ่งพาตนเอง" คนพวกนี้ บางคนใส่รองเทูาเองไม่เป็ นตูองพึ่งคนใชู ถูาวันหนึ่ งขูางหนูา (ใครจะ
ไปรู)้ ไม่มีคนใชูแลูวแกจะใส่เป็ นไหมเนี่ ย น่ าสงสัยจัง

ด้บุตรเศรษฐีมหาศาลคนนี้ เป็ นตัวอย่าง แกเป็ นล้กโทนเกิดมาท่ามกลางทรัพย์สินมหาศาล ใครจะ


คิดว่าชีวิตจะผันแปรแบบหนูามือเป็ นหลังมือ ของพรรค์น้ี มันไม่แน่ ใช่ไหมนาย

วันหนึ่ งบุตรเศรษฐีเดินกลับจากธุระนอกเมือง ติดตามดูวยบอดี้การ์ดหลายนาย ผ่านชายหน่ ุม


กลุ่มหนึ่ งกำาลังดื่มเหลูาฉลองกันอย่างสนุกสนาน แกก็เดินเลี่ยงไป เพราะพ่อแม่เคยบอกว่าอย่าคบ
คนแปลกหนูา

หนึ่ งในกลุ่มหน่ ุมนั้นกระซิบกับพวกว่า "เฮูย นั่นมันนายดวงมเหศักดิ ์ ล้กเศรษฐีฉฬะภิญโญ มิใช่


หรือวะ"

"ใช่ แลูวทำาไม" อีกคนถามขึ้น

"ไม่ทำาไมดอก อยากจะใหูแกดื่มเหลูาหน่อย ช่วยเรียกแกหน่ อย" ว่าแลูวก็รินเหลูาใส่กระทงใบบัว


ถือเขูาไปหาบุตรเศรษฐี กล่าวดูวยความนอบนูอมว่า...
"คุณชายครับ กรุณาใหูเกียรติพวกเรา ดื่มนำ้าใบบัวนี้ สักหน่ อยนะครับ" แลูวยื่นกระทงใบบัวบรรจุ
สุราใหู

บุตรเศรษฐีรับมาดื่มเพื่อมิใหูเสียไมตรี หมดไปกระทงหนึ่ งรู้สึกว่ารสมันซาบซ่าไปทั่วสรรพางค์ ไม่


เคยลิ้มมาก่อน นักเลงหน่ ุมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง จึงรีบยื่นกระทงที่สองใหู เสี่ย
หน่ม
ุ รับมาดื่มอย่างรวดเร็ว พวกบอดี้การ์ดเห็นไม่ไดูความ จึงพากันดึงเจูานายออกจากวงเหลูา
พากลับบูาน

จากนั้นมา เสี่ยหน่ ุมก็มีอันตูองเดินผ่านวงเหลูานั้นเรื่อยและไดูรับเชิญใหูด่ ืมครั้งละกระทงสอง


กระทงเสมอ มิไยล้กนูองจะทัดทานอย่างไรก็ไม่ฟัง เวลาผ่านไปไม่นาน เสี่ยแกก็กลายมาเป็ นขา
ประจำา ณ รูานเหลูาแห่งนั้น

วันหนึ่ งขณะกำาลังดื่มกันสนุกสนาน เสี่ยแกเรียกหานำ้าอมฤตมาดื่มไม่ขาดระยะ เสียงใครคนหนึ่ ง


รูองบอกว่า นำ้าไหหมดแลูวครับ เจูานาย (ตอนนี้ ไม่ใส่กระทงใบบัวแลูวครับ บรรจุไหเลยเรียกสั้นๆ
ว่า นำ้าไห)

"อ๋าย หมดไดูยังไงวะ ขูาเห็นตั้งเรียงรายอย่้หลายไห"

"ที่จริงมีอย่้ แต่ไม่มีเงินซื้อครับ เจูานาย"

"บูาชัดๆ พวกแกเห็นขูาเป็ นอะไร ขูานี่ แหละเวูย ล้กฉฬะภิญโญ เศรษฐีบารมีคับบูานนี้ เมืองนี้ ไอูน่ี


วอนเสียแลูว เอูาเอาเงินนี้ ไปซื้อมา" เสี่ยควักกษาปณ์ฟ่อนใหญ่ใหูไป (กหาปณะหรือกษาปณ์ เป็ น
เงินตราของชมพ้ทวีปครับ)

ดวงมเหศักดิ ์ บุตรฉฬะภิญโญมหาเศรษฐี แกตั้งวงดื่มนำ้าอมฤตทุกวัน พ่อแม่ญาติผใู้ หญ่ตักเตือน


อย่างไรก็ไม่ฟัง บรรดานักเลงนูอยใหญ่ไดูกลายมาเป็ นบริวารแกหมดสิ้น เมื่อพ่อแม่สิ้นชีวิต แก
ก็ไดูรับมรดกทั้งหมด เพราะเป็ นล้กชายโทน แกใชูจ่ายทรัพย์อย่างสุรุ่ยสุร่าย ชั่วเวลาเพียงไม่ก่ีปี
ทรัพย์สินที่มีก็หมดเกลี้ยง ไม่เชื่อก็ตอ
ู งเชื่อ

จะไม่หมดไดูอย่างไร มีแต่จ่ายๆๆ ไม่มีหามาใหม่เลย แถมถ้กบริษท


ั บริวารยักยอกไปคนละเล็กละ
นูอยอีกต่างหาก ต่อใหูมีทรัพย์กองเท่าภ้เขาก็ตอ
ู งมีวันหมด

โคลงโลกนิ ติว่า "เพื่อนกิน สิ้นทรัพย์แลูวแหนงหนี ..." นั้นเป็ นความจริง เมื่อทรัพย์หมดเพื่อนก็


หายหนูาไปหมด เหลือแต่เสี่ยขี้เมากับล้กนูองไม่ก่ีคน แมูล้กนูองไม่ก่ีคนนั้น ในที่สุดก็อันตรธาน
เหลือแต่แกคนเดียว

ทูายที่สุดก็ตูองขอทานเขากิน อาศัยเศษอาหารที่ผู้ใจบุญใหูยังชีพไปวันๆ มาถึงตอนนี้ แลูว ไม่มีใคร


จำาแกไดูแลูว วันหนึ่ งพระพุทธเจูาเสด็จไปโปรดสัตว์ในเมือง ทอดพระเนตรเห็นเขานั่งพิงกำาแพง
กินอาหารที่ขอทานไดูมา ทรงแยูมพระโอษฐ์

เมื่อภิกษุท้ังหลายท้ลถามว่าทรงแยูมพระโอษฐ์เพราะเหตุไร พระองค์ตรัสว่า "ภิกษุท้ังหลาย พวก


เธอเห็นขอทานคนนั้นไหม" เมื่อภิกษุท้ังหลายกราบท้ลว่าเห็น จึงตรัสต่อไปว่า

"ตถาถตจำาไดูว่า เขาผู้น้ันเป็ นบุตรเศรษฐีมหาศาลแห่งเมืองนี้ แต่ทำาตัวไม่ดี ทรัพย์ท่ีมีจึงหมดสิ้น


กลายมาเป็ นขอทานในที่สุด จึงไม่ควรที่ใครจะเอาเป็ นเยี่ยงอย่าง"
พระพุทธองค์ไดูตรัสคาถา (โศลก) สอนใจว่า

เมื่อยังอย่้ในวัยหน่ ุม ไม่ทำาตัวใหูดี และ


ไม่หาทรัพย์ไวู พอถึงวัยแก่เฒ่า คนผู้
เกียจครูาน ย่อมนั่งซบเซา เหมือนนก
กระเรียนแก่จับเจ่าอย่้ขูางริมสระที่ไรูปลา
พวกเขาย่อมนอนทุกข์ ทอดถอนใจรำาพึง
ถึงความหลัง เหมือนธน้หัก ใชูยิงอะไร
ก็ไม่ไดู...

นี้ คือตัวอย่างหนึ่งของชีวิตทีป
่ ล่อยให้เป็ นทาสของสุราจนกระทัง่ หมดเนื้ อหมดตัว
ไม่ประมาทในธรรม

มงคลต่อไป คือ อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ คือ ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย

แปลแลูวก็ตูองขยายความ "ความไม่ประมาท" หมายถึง การเป็ นอย่อ ้ ย่างมีสติกำากับตลอดเวลา


หรือไม่เผอเรอ ธรรมทั้งหลายหมายถึงสิ่งเหล่านี้ คือ การรักษาศีล, การบำาเพ็ญเพียร, สัปปุริส
ธรรม 7 โพธิปักขิยธรรม 37

คนที่ไม่ประมาทมักทำาอะไรไม่ค่อยผิดพลาด เพราะเขามีสติกำากับอย่้ตลอดเวลา

พระพุทธเจูาตรัสว่า ความประมาทเป็ นทางแห่งความตาย คนที่ไม่ประมาทไม่มีวันตาย คน


ประมาทถึงมีชีวิตอย่้ก็เสมือนคนตายแลูว

นี้ เป็ นความจริงอย่างที่สุดครับ...

ไม่ประมาทในการปฏิบัติธรรม

เมื่อพระพุทธเจูาทรงมีพระชนมายุ 80 พรรษา พระองค์ทรงประกาศใหูรู้ท่ัวกันว่า อีกสามเดือน


ขูางหนูา พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน เหล่าพระสาวกจำานวนมากต่างก็ประชุมปรึกษา
หารือกันว่า พระพุทธองค์จะจากไปแลูว พวกเราจะไม่ไดูมีโอกาสเห็นพระพุทธองค์อีกแลูว เพราะ
ฉะนั้น พวกเราไม่ควรประมาท ควรไปเฝู าพระองค์ทุกวัน

ในขณะที่พระจำานวนมากไปคอยเฝู าแทนพระพุทธองค์ทุกเชูาเย็น มีภิกษุร้ปหนึ่ งไม่ไปเฝู าพระองค์


เลย คิดว่าอีกไม่นานพระบรมศาสดาจะปรินิพพานแลูว เราควรรีบปฏิบัติใหูไดูบรรลุธรรมก่อนที่
พระองค์จะจากไป จึงเร่งบำาเพ็ญสมาธิวิปัสสนา จนบรรลุพระอรหันต์ พระอื่นๆ หาว่าท่านเป็ นคน
อกตัญญ้ ไม่สำานึ กในพระคุณของพระพุทธองค์ ขนาดรู้ว่าพระพุทธองค์จะปรินิพพานแลูว ยังไม่
ยอมมาปรนนิ บัติรับใชูอีก

พระพุทธเจูาทรงทราบเรื่อง จึงตรัสกับพวกเธอว่า ภิกษุร้ปนั้นทำาถ้กแลูว เธอมิไดูประมาท รีบ


ปฏิบัติจนบรรลุมรรคผลนับว่าไดูอย่้ใกลูชิดตถาคตยิ่งกว่าพวกเธอที่มาเฝู าเราตถาคตทุกวันเสีย
อีก อย่างพวกเธอนี้ ถึงเกาะชายจีวรตถาคตก็หาไดูอย่้ใกลูชิดตถาคตไม่

พระพุทธองค์เคยตรัสไวูว่า...

"ผูใ้ ดเห็นธรรม ผูน


้ ้ันเห็นเราตถาคต"
เพราะฉะนัน
้ ถ้าอยากอยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้า ต้องไม่ประมาทในการปฏิบัติตามคำา
สอนของพระองค์...

ความเคารพ

มงคลต่อไป คือ ความเคารพ เป็ นมงคลส้งสุด

ความเคารพเป็ น (คารวะ) เป็ นนามธรรม อธิบายใหูเขูาใจไดูยาก ผู้รู้ทา


่ นจึงอธิบายในแง่ของร้ป
ธรรม คือ ทำา "ความเคารพ" ใหูเป็ น "การเคารพ"

การเคารพแบ่งเป็ นหลายขั้นตอน คือ อัญชลีกรณะ หรืออัญชลี คือ การประนมมือ, นมัสการ หรือ


วันทา คือ การไหวู, อภิวาท คือ การ

กราบ, อุฏฐานะ หรือปั จจุปัฏฐานะ คือ การยืนรับ

การแสดงความเคารพเป็ นเครื่องหมายแสดงถึงความมีอารยธรรมและวัฒนธรรมอันดีงาม

พระพุทธเจูาตรัสว่า ผูอ
้ ภิวาทกราบไหวูผู้เจริญดูวยวัยวุฒิเป็ นนิ ตย์ย่อมเจริญดูวยจตุรพิธพรชัย คือ
อายุ วรรณะ สุขะ พละ

สัตว์สามสหาย

ในป่ าหิมพานต์มีสัตว์เป็ นสหายกันสามตัว คือ ลิง ชูาง นกกระทา สัตว์ท้ังสามอย่้ดูวยกันโดยไม่มี


ใครเคารพใคร วันหนึ่ งจึงปรึกษากันว่า พวกเราต่างคนต่างอย่้อย่างนี้ ไม่เหมาะ ควรจะแสดงความ
เคารพกันตามลำาดับอาวุโส

เมื่อเกิดคำาถามขึ้นว่า เราจะรู้ไดูอย่างไรว่าใครเกิดก่อนใคร

ลิงเจูาปั ญญาจึงเสนอว่า เอาอย่างนี้ ก็แลูวกัน พวกเราเห็นตูนไทรตูนนั้นไหม ใครเห็นตูนไทรนั้น


ตั้งแต่เมื่อใด ใครเห็นก่อน คนนั้นก็เป็ นผูอ
้ าวุโส

ชูางบอกว่า ขูาเห็นตูนไทรตูนนั้นตั้งแต่ขูายังเป็ นล้กชูาง เวลาขูาเดินขูามหน่ อไทร ใบของมันยังระ


สะดือขูาเลย แสดงว่าขูาแก่กว่า

ลิงบอกว่า ขูาก็เห็นมันมาตั้งแต่ขูาเป็ นลิงตัวนูอยๆ ขูายังเด็ดใบมันทิ้งเลย แม่หูามขูาแทบไม่ทัน


แสดงว่าขูาแก่กว่าแน่ นอน

นกกระทากล่าวว่า แต่ก่อนตูนไทรมิไดูอย่้ตรงนี้ พวกท่านรู้ไหมว่าว่ามันอย่้ท่ีไหน

"ที่ไหน" อีกสองตัวถาม

"อย่ห
้ ่างจากนี้ ไปสามสี่โยชน์ ขูากินผลไทรจากตูนใหญ่โนูน บินผ่านมาตรงนี้ ข้ีลงตรงนี้ พอดี
ตูนไทรตูนนี้เกิดจากเมล็ดไทรที่ขูาขี้ไวู แสดงว่าขูาแก่กว่าพวกท่าน"

ชูางและลิงทั้งสองต่างก็ยอมรับว่านกกระทาแก่กว่า จึงแสดงความเคารพนกระทาในฐานะผู้
อาวุโส และอย่้ดูวยกันในป่ าอย่างสมัครสมานสามัคคี จนสิ้นชีวิต
ไม่มีใครรู้ว่า นกกระทาเจูาเล่ห์หลอกใหูสหายสองตัวหลงเชื่อหรือไม่ แต่ขูอเท็จจริงจะเป็ นอย่างไร
ไม่สำาคัญ ประเด็นอย่้ท่ีว่าการแสดงความเคารพนอบนูอมต่อผู้มีวัยวุฒิ เป็ นมงคลอย่างยิ่ง

พระพุทธองค์ทรงเล่านิ ทานจบแลูว ก็ทรงหนไปตรัสกับภิกษุท้ังหลายว่า สัตว์เดียรฉานมันยัง


เคารพกันตามลำาดับอาวุโสเลย พวกเธอควรจะใหูความสำาคัญในเรื่องนี้ใหูมาก ไม่อย่างนั้นอาย
สัตว์เดียรฉานมัน...

ความสันโดษ

มงคลขูอต่อไป คือ ความสันโดษ เป็ นคุณธรรมที่สับสน อธิบายกันไปต่างๆ นานา

ถูาเราแปลว่า สันโดษ คือ ความยินดีตามมีตามไดู ก็แฝงความในแง่ลบว่า อย่าไปทะเยอทะยาน


สรูางสรรค์อะไร ใหูพอใจอย่้แค่น้ัน แลูวก็จะทอดอาลัย ทอดถอนธุระไม่เอาเรื่องเอาราว

แต่ถูาแปลใหูชัดว่า สันโดษ คือ ความภ้มใิ จในผลไดู ผลสำาเร็จ ที่ตนไดูรับหลังจากทุ่มเทความรู้


ความสามารถและพละกำาลังลงไป ในทางที่ถ้กตามทำานองคลองธรรมแลูว อย่างนี้ ไม่แฝงความ
หมายในแง่ลบ ตรงขูาม กลับมีความหมายในแง่บวก

ธรรมะทีส
่ นับสนุนสันโดษ คือ ความเพียร ส่วนธรรมทีต
่ รงข้ามกับสันโดษ คือ ความ
โลภ

พระอุปนนท์

ท่านร้ปนี้ เป็ นพระในตระก้ลศากยวงศ์ เชื้อสายเดียวกับพระพุทธองค์ อาจเป็ นว่าเคยเป็ นเจูามา


ก่อน ติดความสบาย จึงมีความเป็ นอย่้ค่อนขูางหร้หรา ทั้งๆ ที่พระพุทธองค์ตรัสสอนว่าใหูพอใจใน
ปั จจัยสี่ตามมีตามไดู รู้จักพอในปั จจัยสี่ (แต่อย่าพอในการบำาเพ็ญกุศลธรรม ดังกล่าวมาแลูว) แต่
ท่านก็ไม่พอ

ใกลูวันจำาพรรษา พระเถระนามว่าอุปนนท์ก็จะไปเยี่ยมวัดต่างๆ ไปคุยกับสมภารเจูาวัด ขากลับก็


วางรองเทูาไวูวัด ก. ไปที่วัด ข. วางร่มไวู ไปที่วัด ค. ก็วางคนโทนำ้าไวู พระในวัดเขูาใจว่าพระเถระ
ท่านลืมบริขาร ก็อุตส่าห์เก็บไวูใหู

พอออกพรรษาแลูว ท่านก็เดินสายไปตามวัดต่างๆ ดังกล่าว ถามว่าญาติโยมถวายอะไรใหูแก่พระ


ที่จำาพรรษาในวัดนี้ บูางเมื่อพระสงฆ์กราบเรียนว่า ถวายสิ่งนี้ ๆ ขอรับ ท่านก็ทวงว่าไหนล่ะ ส่วน
ของฉัน

"พระเดชพระคุณสมเด็จฯ เอุย หลวงพ่อมิไดูจำาพรรษาที่วัดนี้ ขอรับ จึงไม่มีส่วนแบ่ง" พระสงฆ์


กราบเรียน

"ใครบอก ก็ฉันให้รองเท้าจำาพรรษาแทนยังไง ฉันก็ต้องได้ส่วนแบ่งด้วยสิ" พระเถระ


อธิบาย

พระสงฆ์ก็จำาตูองแบ่งใหูท่านตามที่ทวง ท่านก็เอาไทยธรรมที่ไดูใส่ยานเข็นไป ไปยังวัดที่สอง ที่


สาม ก็ทวงเช่นเดียวกัน ไดูส่วนแบ่งแลูวก็บรรทุกเต็มยาน เข็นไป

พฤติกรรมของพระอุปนนท์ล่วงรู้ถึงพระพุทธองค์ พระองค์ทรงตำาหนิ ความมักมากใน


ปั จจัยสีข
่ องพระอุปนนท์
ตรัสเล่านิ ทานสอนใจว่า

มีนากสองตัว ตัวหนึ่ งหากินนำ้าตื้น อีกตัวหากินนำ้าลึก ไดูปลาใหญ่มาตัวหนึ่ ง เกิดแย่งกัน ตกลงกัน


ไม่ไดู ไปขอรูองใหูสุนัขจิ้งจอกช่วยตัดสิน สุนัขจิ้งจอกขอสัญญาว่า ถูาแกตัดสินอย่างไรจะเชื่อฟั ง
ไหม เมื่อทั้งสองตกลง จึงแบ่งปลาเป็ นสามส่วนท่อนหัวใหูนากตัวที่หากินนำ้าลึก ท่อนหางใหูนาก
ตัวที่หากินนำ้าตื้นส่วน อะแฮูม ตรงกลาง พุงปลามัน นั่นแลท่านสุนัขผู้พิพากษาคดีใหูเหตุผลว่า

"ส่วนกลางนี้ ขูาผู้ทำาหนูาที่พิพากษาความ ตูองเสียสมองคิดมาก จึงควรที่จะไดูไป" ว่าแลูวท่าน


สุนัขจิ้งจอกก็คาบพุงปลาวิ่งหนี ไป ปล่อยใหูนากสองตัวมองตากันปริบๆ

นิ ทานเรื่องนี้ ไม่ทราบว่าพระพุทธองค์ทรงสะท้อนความมักมาก ไม่รู้จักสันโดษของพระ


อุปนนท์ หรือว่าความซื่อของพระสงฆ์ในวัดทัง ้ สาม ซื่อจนเซ่อ เปิดโอกาสให้คนฉลาด
แกมโกงหลอก ก็ไม่รู้สิครับ จบแค่น้ี แหละ...

ความกตัญญู

มงคลต่อไป ความกตัญญ้ พระพุทธเจูาตรัสไวูในสังยุตตนิ กายว่า ความกตัญญ้เป็ นภ้มิหรือพื้นฐาน


ของสัตบุรุษ

คนดีตัดสินกันไดูท่ีความกตัญญ้ ใครขาดกตัญญ้หรือคนเนรคุณนั้นไม่เรียกว่าเป็ นคนดี เป็ นคนชั่ว


ไม่ควรคบ โบราณว่า คนเนรคุณเป็ นคน "ทำามาหากินไม่ขึ้น ไม่เจริญ"

ความกตัญญ้น้ี ถูาด้เพียงขอบเขตแคบๆ ก็คอ


ื รู้คุณบิดา มารดา คร้บาอาจารย์ กตเวทีก็คือ
ตอบแทนคุณบิดา มารดา คร้บาอาจารย์

แต่ในความเป็ นจริงแลูว ขอบเขตของกตัญญ้กตเวทีน้ันไม่ควรแคบแค่น้ี ควรขยายออกไปถึงบุคคล


อื่นที่มีบุญคุณต่อเรา และต่อมนุษย์ท้ังหลาย ครอบคลุมถึงสัตว์ สภาพแวดลูอม และธรรมชาติท้ัง
หลายที่มีคุณต่อมนุษยชาติดูวย

กวางกับนายพราน

เรื่องนี้ ผู้แต่งมังคลัตทีปนี (มงคลทีปนี ) ไม่ไดูเล่าไวู ผมนึ กขึ้นมาไดู ขอนำามาแทรกเพื่อแสดงถึงว่า


ผู้ท่ีไม่รู้จักบุญคุณ แมูกระทั่งบุญคุณต่อสิ่งแวดลูอม ย่อมประสบหายนะ

มีกวางตัวหนึ่ งถ้กนายพรานตามล่ามานาน เอาตัวรอดมาไดูทุกที คือ เวลานายพรานแกวิ่งไล่จับ


กวางนูอยก็จะวิ่งเขูาป่ าละเมาะ ไปซ่อนตัวอย่ใ้ นพุ่มไมูหนาพุ่มหนึ่ ง นายพรานตามหาไม่พบ จึง
กลับไปดูวยความผิดหวัง

กวางนูอยมีความเขูาใจว่าที่พุ่มไมูแห่งนี้ แหละปลอดภัยที่สุดทุกครั้งที่ถ้กไล่ ก็จะวิ่งมาหลบซ่อนที่


พุ่มไมูน้ี วันๆ ก็ไม่คอ
่ ยไปที่ไหน หิวมาก็กัดกินใบไมูทีละใบสองใบ จนพุ่มไมูโปร่ง มองทะลุผ่านไดู
กวางนูอยก็ยังไม่รู้ตัว

วันหนึ่ ง ขณะเจูากวางนูอยออกไปกินนำ้าที่ลำาธาร ก็ถ้กนายพรานคนเดิมไล่ตาม จึงวิ่งกลับมาพุ่ม


ไมูท่ีตนคิดว่าปลอดภัยที่สุดซ่อนตัวอย่้

นายพรานที่เคยตามกวางมายังที่ดังกล่าวแลูวไม่พบเพราะใบไมูหนาทึบปิ ดบัง แต่คราวนี้ แกมอง


เห็นกวางหลบอย่้ จึงยิงถ้กกวางนูอยสิ้นชีวิต ตกลงวันนั้นนายพรานพรูอมครอบครัวไดูกินลาบล่้
เนื้อกวางกันอย่างเอร็ดอร่อย

นิ ทานจบแลูว สาระอย่้ตรงไหน แลูวแต่จะอธิบายว่าเพราะกวางนูอยมันประมาท กัดกินใบไมูท่ี


ปกคลุมตัวจนโปร่ง จึงถึงแก่ชีวิตก็ไดู ไม่ว่ากัน แต่ผมตูองการ "ชัก" หรือ "ลาก" เขูา ขูอสรุปในใจ
ของผมว่า กวางนูอยมันไม่รู้จักบุญคุณของพุ่มไมูท่ีคูุมกะลาหัวใหูมันปลอดภัยมาหลายครั้งแลูว ไป
กัดกินใบไมูจนโล่งโกร๋นไปหมด ทูายที่สุดมันก็ถึงแก่กาลกิริยาแล...

พระอานนท์

พระอานนท์เป็ นผูม้ ีเมตตามาก ท่านมักเก็บเอาเด็กขอทานที่ไรูท่ีพึ่งมาฝึ กฝนอบรมศีลธรรม เมื่อ


เห็นควรบวชไดู ท่านก็บวชใหูเป็ นสามเณร มีภิกษุร้ปหนึ่ งบวชเป็ นศิษย์พระอานนท์ รู้สึกซาบซึ้งใน
บุญคุณที่ท่านไดูอนุเคราะห์ตนใหูมีโอกาสบวชปฏิบัติธรรมจึงเอาใจใส่อุปัฏฐากด้แลท่านพระ
อานนท์ในฐานะอุปัชฌาย์อย่างดี ไม่ว่าจะเป็ นการตักนำ้าฉัน นำ้าใชู ปั ดกวาดอาสนะ รับบาตร จีวร

วันหนึ่ งพระอานนท์รับนิ มนต์ไปฉันในพระราชวัง พระเจูาปเสนทิโกศลถวายจีวรแก่พระเถระ


หลายผืน พระเถระไดูมาแลูวก็มอบใหูแก่พระภิกษุล้กศิษย์ร้ปนั้นทั้งหมด ไม่เก็บไวูใชูส่วนตัวเลย

พระหน่มุ ร้ปนั้นก็นำาเอาจีวรเหล่านั้นไปแจกจ่ายแก่เพื่อนพระดูวยกันจนหมดเช่นกัน การกระทำา


ของพระอานนท์ ตอนแรกถ้กพระภิกษุดูวยกันนิ นทาว่า เป็ นการเห็นแก่หนูา พระอานนท์มี
ฉันทาคติ คือ รักล้กศิษย์ร้ปเดียว ไดูจีวรมาก็ใหูแก่ล้กศิษย์ท่ีตนรักร้ปเดียว ยังดีท่ีล้กศิษย์เป็ นคน
ใจกวูาง นำาจีวรมาแจกใหูพระร้ปอื่นไดูใชูดูวย

พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องนั้น จึงเรียกภิกษุท้ังหลายมาเขูาเฝู า ตรัสว่า อานนท์มิไดูมีฉน


ั ทาคติ
แต่อานนท์เธอมีความกตัญญ้ เธอรู้ว่าพระล้กศิษย์น้ันไดูปรนนิ บัติเธอเป็ นอย่างดี เธอซาบซึ้งใน
ความดีของล้กศิษย์ จึงไดูมอบจีวรทั้งหมดแก่ล้กศิษย์

ภิกษุท้ังหลาย อานนท์เห็นแก่คุณธรรมความดียิ่งชีวิต

เมื่อครั้งพระเทวทัตสั่งปล่อยชูางนาฬาคิรีแล่นมาหมายจะเหยียบพระตถาคตนั้น อานนท์มีความ
กตัญญ้รู้คุณของพระตถาคตไม่คิดถึงชีวิตของตน ออกไปขวางหนูาชูางตกมัน จนตถาคตตูองแผ่
เมตตาจิตสยบพญาชูางนั้นเสีย

นี้ แสดงว่าอานนท์มีความกตัญญูกตเวทีต่อตถาคต ความมีกตัญญูกตเวทีนัน


้ เป็ น
คุณสมบัติประจำาตัวอีกประการหนึ่งของอานนท์ ทีพ
่ ึงสรรเสริญยิง
่ ...

การฟั งธรรมตามกาล

มงคลขูอต่อไป คือ การฟั งธรรมตามกาล

ธรรม ในที่น้ี ไดูแก่ "สิ่งถ้กตูองดีงาม" สิ่งถ้กตูองดีงามโดยรวบยอดก็คือหลักคำาสอนทางพระพุทธ


ศาสนา

อรรถกถาไขว่า เวลาที่จิตฟู ุงซ่านหรือถ้กกามวิตกเป็ นตูนครอบงำา ควรจะฟั งธรรมเพื่อบรรเทา


เบาบางความฟู ุงซ่าน หรือบรรเทากามวิตกนั้น และตูองฟั งอย่างเคารพส้งสุด มิใช่ฟังเพื่อจับผิด
คนพ้ดหรือคนแสดง หรือฟั งดูวย "อติมานะ" (ถือตน) อย่ใ้ นใจว่า เรื่องนี้ขูารู้แลูว
อานิ สงส์การฟั งธรรมมี 4 ประการ คือ

1. ไดูฟังในสิ่งที่ไม่เคยฟั ง
2. สิ่งที่เคยฟั งแลูวชัดเจนยิ่งขึ้น
3. บรรเทาความสงสัยไดู
4. ทำาความเห็นใหูถ้กตรง จิตของผู้ฟังก็ย่อมแจ่มใส

กบฟั งธรรม

การฟั งธรรมดูวยจิตเลื่อมใส ถึงแมูจะไม่รเู้ รื่อง ก็มผ


ี ลในการกล่อมเกลาจิตไดู และส่งใหูไปสุคติ
คือ เกิดในภพที่ดี มีตัวอย่างดังต่อไปนี้

สมัยหนึ่ งพระพุทธเจูาทรงแสดงธรรมแก่ประชาชน ขูางสระคัครา เด็กเลี้ยงโคคนหนึ่ งมาฟั งธรรม


ดูวย โดยยืนเอาไมูเทูาคำ้าคางห่างจากสถานที่ท่ีพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมพอสมควร แกตั้งใจ
ฟั งอย่างสนอกสนใจ โดยหารู้ไม่ว่าไดูทำาใหูกบนูอยตัวหนึ่ งตาย เพราะตรงที่แกปั กไมูเทูาลงไปนั้น
ไมูเทูาไปบี้หัวของกบซึ่งกำาลังฟั งธรรมดูวยจิตใจอันเลื่อมใสตายพอดี กบนั้นแกไม่รเู้ รื่องที่พระพุทธ
องค์ทรงแสดงดอก แต่พระสุรเสียงกังวาน ทำาใหูแกรู้สึกสบายห้ยังกับฟั งเสียงดนตรี

กบเคราะห์รูายตัวนั้นตายไปแลูวไปเกิดเป็ นเทพบุตร ชื่อมัณฑ้กเทพบุตรบนสรวงสวรรค์ รำาลึก


ความหลังของตนไดู จึงมาเขูาเฝู าพระพุทธองค์ดูวยร่างกายอันเรืองรอง ทำาพระเชตวันใหู
สว่างไสวไปทั่ว

พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "ใครมีร่างกายเรืองรอง ยืนไหวูเราตถาคตอย่"้

มัณฑ้กเทพบุตรกราบท้ลว่า "ขูาพระองค์เป็ นกบอย่้ริมสระนำ้าคัครา ไดูฟังพระธรรมเทศนาของ


พระพุทธองค์ ดูวยจิตอันเลื่อมใสในพระสุรเสียงอันกูองกังวาน ขณะนั้นถ้กไมูเทูาของนายโคบาล
บดขยี้จนสิ้นชีวิต ดูวยอานิ สงส์แห่งการฟั งธรรมดูวยจิตอันเลื่อมใสนั้น จึงมาอุบัติเป็ นเทพบุตร
นามว่า "มัณฑ้กเทพบุตร" พระเจูาขูา"

เรื่องทำานองนี้ มีแม่ไก่ท่อ
ี าศัยอย่้ในวัด ไดูยินพระสงฆ์ท่านสวดพระอภิธรรมเป็ นประจำา ถึงไม่เขูาใจ
แต่ก็สดับเพลิน เพราะเสียงสวดนั้นทำาใหูร่ ืนห้ เมื่อแม่ไก่น้ันตายไปก็มีสุคติเป็ นที่ไปในเบื้องหนูา
คือ เกิดเป็ นเทพบุตรเช่นเดียวกับกบนูอย

ขอฝากใหูช่วยกันพินิจพิจารณาดูวย พระพุทธวจนะตรัสรับรองว่า "เมื่อจิตผ่องใสแลูว สุคติเป็ นอัน


หวังไดู"

คนเลี้ยงโค

สมัยหนึ่ ง พระพุทธเจูาเสด็จไปยังเมืองแห่งหนึ่ งเพื่อโปรดคนเลี้ยงโคยากจนคนหนึ่ งที่ปรากฏใน


ข่ายคือพระญาณตอนค่อนรุ่งตามพุทธกิจของพระองค์มี 5 ประการ ทรงบำาเพ็ญเป็ น "กิจวัตร" คือ
ใกลูจะรุ่งจะทรงพิจารณาด้สัตว์โลกที่จะพึงเสด็จไปโปรด และรุ่งเชูาเสด็จออกบิณฑบาตไปโปรด
คนที่ปรากฏในข่ายคือพระญาณเวลาเย็นทรงแสดงพระธรรมเทศนา เวลาพลบคำ่าก็ทรงใหูโอวาท
แก่ภิกษุและภิกษุณี ดึกดื่นค่อนคืนทรงแกูปัญหาเทวดา

คนเลี้ยงโคไดูทราบข่าวพระพุทธองค์เสด็จแสดงธรรมแก่ประชาชน ก็อยากจะไปฟั ง แต่บังเอิญโค


ของเขาหายไปตัวหนึ่ ง ตูองตามหาโคนั้นจนพบ ไล่ตูอนเขูาฝ้งแลูว ก็ตอ
ู นโคทั้งหมดเขูาคอกแต่วัน
เพื่อถือโอกาสไปฟั งธรรมจากพระพุทธองค์

กว่าเขาจะตูอนโคเขูาคอกเรียบรูอยเวลาก็เกือบเที่ยงแลูว เขาคิดว่าถึงจะไดูฟังเพียงบางส่วนก็ยังดี
จึงรีบมุ่งหนูาตรงไปยังบริเวณพิธี ไปถึงก็ถวายบังคมพระพุทธองค์แลูวนั่งอย่้ทูายบริษท

ปรากฏว่าพระพุทธองค์ยังมิไดูเริ่มแสดงธรรมเลย ประทับนั่งนิ่ งอย่้ พุทธบริษท


ั เมื่อพระพุทธองค์
ยังไม่ทรงแสดงธรรม ก็น่ังสงบเช่นกัน

พอทอดพระเนตรเห็นเขา แทนที่จะเริ่มแสดงพระธรรมเทศนา พระองค์ตรัสถามเจูาภาพว่า "มี


อาหารเหลือจากถวายพระสงฆ์ไหม" เมื่อเขากราบท้ลว่า "มีอย่้ พระเจูาขูา" พระองค์รับสั่งใหูหา
อาหารมาใหูเขารับประทาน

เมื่อเขารับประทานอิ่มหมีพีมันแลูว กายสบาย จิตใจก็ปลอดโปร่งพรูอมจะสดับพระธรรมเทศนา


แลูว พระพุทธองค์จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนา เขาฟั งจบก็ไดูบรรลุโสดาปั ตติผล

พระพุทธองค์ทรงแสดงนัยใหูเห็นว่า กายกับใจตูองเอื้อแก่กัน จิตใจที่เขูมแข็งย่อมอย่ใ้ นร่างกายที่


แข็งแรง ร่างกายที่หิวโหย ย่อมทำาใหูจิตใจวูาวุ่นกังวล ถึงตั้งใจฟั งธรรมอย่างไรก็คงไม่รู้เรื่อง ตูอง
ใหูกน
ิ อาหารใหูอม
ิ่ เสียก่อน การฟั งธรรมจึงจะเกิดผลเป็ นอย่างดี

ความเป็ นผู้ว่าง่าย

มงคลนี้ คือ ความเป็ นผู้ว่าง่าย แลูวก็อธิบายในทำานองว่าเป็ นว่านอนสอนง่าย คือ บอกอะไรก็ทำา


ตามหมด ไม่คำานึ งว่าผู้บอกจะเป็ นคนดีหรือชั่ว เรื่องที่บอกใหูทำาจะเป็ นเรื่องถ้กหรือผิด ผิด
กฎหมาย ผิดศีลธรรมหรือเปล่าไม่คำานึ งถึง ท่านบอกเราก็ตูองทำาตาม จึงจะเรียกว่าความเป็ นผู้ว่า
นอนสอนง่าย ถูาแบบนี้ ก็อันตรายแน่

ที่ถ้กตูองแลูว ความเป็ นผู้ว่าง่าย หมายความว่า คร้บาอาจารย์ผู้ทรงศีลทรงธรรมบอกใหูเรา


ปฏิบัติตนเพื่อพัฒนาตนเองใหูส้งขึ้น เราก็ตูองนูอมรับฟั งและนำาไปปฏิบัติตาม

ความหมายอีกนัยหนึ่ ง ก็หมายถึงความเป็ นคนพ้ดกันง่าย เขูาใจคนอื่น ยอมรับฟั งความเห็นของ


คนอื่นแมูจะแตกต่างจากความคิดของเราดังนิ ทานเรื่องพระเจูาปายาสิ...

พระเจ้าปายาสิ

พระเจูาปายาสิมีความเห็นว่านรกสวรรค์ไม่มีจริง ทานที่ใหูแลูวไม่มผ
ี ล สมณชีพราหมณ์เขาเอา
เรื่องเหล่านี้ มาล่อ เพื่อใหูคนเอาขูาวปลาอาหารมาปรนเปรอตัวเองเท่านั้น

ความจริงปายาสิเธอก็มิใช่คนธรรมดา เป็ นนักวิจัยตัวยงก่อนที่จะพ้ดว่าไม่เชื่อ เธอตูองทดลองใหู


แน่ ใจก่อน

เช่นบอกนักโทษประหารว่า คนที่ทำาชั่วอย่างแกนี้ สมณชีพราหมณ์เขาว่าจะตูองตกนรกแน่ นอน


ถูาแกไปตกนรกจริง ก็ขอใหูกลับมาบอกฉันไดูไหม นักโทษก็รับคำา แต่หลังจากประหารแลูวก็หาย
จูอย

คราวนี้ บอกอุบาสกผู้ทรงศีล ในชีวิตนี้ ทำาแต่บุญแต่ทานว่าอย่างนั้นเถอะ บอกว่าถูาท่านตายไปขึ้น


สวรรค์จริง ก็ใหูกลับมาบอกไดูไหม จะไดูหายสงสัยเสียทีว่าสวรรค์น้ันมีจริงหรือไม่ อุบาสกก็ตก
ปากรับคำา แต่หลังจากตายไปแลูว อุบาสกแกก็หายต๋อมไปอีกคน

ปายาสิจึงเชื่ออย่างสนิ ทใจว่านรกและสวรรค์ไม่มี แต่พอไดูโตูวาทะกับพระกุมารกัสสปะ พระเถระ


ไดูช้ีแจงแสดงใหูปายาสิเขูาใจดูวยอุปมาอุปมัยบูาง ดูวยการอนุมานบูาง ปายาสิก็ยอมเชื่อ ทูาย
ที่สุดก็ปฏิญาณตนเป็ นพุทธมามกะ นับถือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็ นสรณะตลอดชีวิต

(หมายเหตุ คำาอธิบายของพระกุมารกัสสปะว่าไวูอย่างไร โปรดอ่านในปายาสิราชัญญส้ตร พระ


ไตรปิ ฎกเล่มที่ 10 ขูอที่ 301 ข 330)

อย่างนี้ เรียกว่าความเป็ นผู้ว่าง่าย...

พ่อค้าสำาเภาห้าร้อยคน

ในเกาะตัมพปั ณณิทวีป มีเมืองยักษ์อย่้เมืองหนึ่ ง บอกชื่อเสร็จว่า สิรน


ิ คร ด้จะเป็ นเมืองแม่ม่าย
เพราะมีแต่ยักษ์ตัวเมียหรือยักษิณี นางยักษิณีเหล่านี้ มักจะพบเห็นพ่อคูาวาณิชที่เรือแตกมาขึ้น
เกาะเสมอ และจับกินเป็ นอาหารอันโอชะตลอดมา

ว่ากันว่า เมื่อพวกพ่อคูาวาณิชมาถึง จะไม่มีทางรู้ว่าพวกชาวเมืองนี้ เป็ นยักษ์กินคน เพราะพวกเขา


จะจำาแลงแปลงกายเป็ นคนปกติธรรมดา มีอัธยาศัยดีมาก ตูอนรับขับสู้เป็ นอย่างดี เมื่อบรรดา
มนุษย์เห็นแต่ผู้หญิง ก็ถามไถ่ว่าพวกผู้ชายหายไปไหนหมด พวกนางยักษิณีก็จะบอกว่า สามีของ
พวกนางไปคูาขายทางทะเลเช่นเดียวกัน แต่ไปแลูวก็ไปลับ สงสัยคงจะเรือแตกสิ้นชีวิตกลางทะเล
ไปแลูว

พวกเขาคงถามไถ่กันหลายเรื่องหลายราว เอาเป็ นว่าในที่สุด ทั้งคนทั้งยักษ์ก็ลงเอยกันดูวยการจับ


ค่้เป็ นสามีภรรยากัน พวกมนุษย์หารู้ไม่วา
่ มีคนที่มาเกาะนี้ ในสภาพเดียวกัน และถ้กจับกินมามาก
แลูว และที่ยังกินไม่หมด ถ้กนำาไปขังไวูรอนำามาตูมเปรตกินในครั้งต่อไปก็มีจำานวนมาก

เมื่อพวกนางกินเหยื่อในคุกหมดแลูว ก็จับพวกเขากินทีละคนสองคน หัวหนูาพ่อคูาเป็ นคนฉลาด


คอยสังเกตอากัปกิริยาของพวกนางยักษิณี รู้ว่าพวกนางมิใช่มนุษย์ธรรมดา คงเป็ นนางยักษ์
แน่ นอน จึงบอกเพื่อนๆ หลายคนไม่ยอมเชื่อ แต่อีกจำานวนประมาณ 250 คนเชื่อ จึงคิดหาทาง
หลบหนี และหนี ไปไดูในที่สุด

ในที่สุดผู้แต่งตำาราก็สรุปว่า พ่อคูาพวกที่เชื่อฟั งหัวหนูาเป็ นผู้วา


่ ง่าย จึงรอดพูนมาไดู ส่วนพวกที่
ว่ายาก ไม่ยอมเชื่อฟั งหัวหนูา ก็ตกเป็ นเหยื่อของนางยักษิณีท้ังหลาย ดูวยประการฉะนี้ แล...
การได้เห็นสมณะ

มงคลต่อไป การเห็นสมณะ เป็ นมงคลส้งสุด

ขูอนี้ อย่้ท่ีคำาว่า สมณะ คือใคร ในคัมภีรม


์ ง
ั คลัตถทีปนี อธิบายไวูว่า สมณะ คือ "บรรพชิตผูม
้ ีกาย
วาจา และจิตสงบแลูว"

บุคคลที่ท่านใหูคำานิ ยามไวูอย่างนี้ จะเป็ นใครไปไม่ไดู นอกจากพระอรหันต์ เพราะมีพระพุทธวจนะ


รับรองไวูว่า "พระอรหันต์น้ัน กายท่านก็สงบ วาจาก็สงบ ใจก็สงบ เป็ นผู้คงที่ ไม่ฟ้ไม่ฟุบไปตาม
โลกธรรม"

การเห็น ในที่น้ีมิใช่เพียงมองด้เฉยๆ หมายรวมถึงการไปมาหาส่้การรำาลึกถึงคุณงามความดีของ


ท่าน ตลอดจนปฏิบัติตามคำาสอนของท่าน

ที่ว่าเป็ นมงคลนั้น เพราะการคบผู้ท่ีกายวาจาใจสงบ เป็ นเหตุใหูโพชฌงค์ 7 เจริญงอกงาม เมื่อ


โพชฌงค์ 7 เจริญงอกงาม ก็ทำาใหูบรรลุมรรค ผล นิ พพาน ในที่สุด

ความเลื่อมใสของนกฮูก

ในสมัยหนึ่ ง พระพุทธเจูาอาศัยอย่้ในถำ้าอินทศาล ที่เขาเวทยิกะ เขูาใจว่าอย่้นอกเมืองราชคฤห์ นก


ฮ้กตัวหนึ่ งมีความเลื่อมใสในพระพุทธเจูาเป็ นอย่างยิ่ง เวลาพระองค์เสร็จเขูาเมืองเพื่อโปรดสัตว์
นกฮ้กจะบินตามมาส่งครึ่งทาง จูองมองด้พระองค์ดูวยจิตเลื่อมใส เมื่อพระองค์เสด็จกลับถำ้า นกฮ้ก
ก็จะบินมารอรับครึ่งทาง และทำาเช่นนี้เสมอมา

วันหนึ่ งเมื่อพระพุทธองค์ประทับท่ามกลางภิกษุสงฆ์ นกฮ้กตัวดังกล่าว เอาปี กทั้งสองประกบกัน


ทำานองประนมมือไหวูพระพุทธเจูาและภิกษุสงฆ์

พระพุทธองค์ทรงแยูมสรวล พระอานนท์ท้ลถามสาเหตุท่ีทรงแยูมสรวล พระพุทธเจูาตรัสว่า...

"อานนท์ เธอเห็นนกฮ้กตัวนั้นไหม มันมีจิตเลื่อมใสในเราตถาคตและภิกษุสงฆ์ นกฮ้กตัวนี้ จะท่อง


เที่ยวอย่้ในสังสารวัฏเป็ นเวลานาน แต่จะไม่เกิดในทุคติเลย ในที่สุดจะเกิดเป็ นพระปั จเจกพุทธะ
นามว่า โสมนัส"

พระคัมภีร์กล่าวต่อไปว่า รุกขเทวดาที่สิงอย่้ท่ีตูนไมูเจรจากับนกฮ้กว่า

"แน่ ะ เจูานกฮ้กตาโต เจูาอย่้ท่ีเขาเวทยิกะมานาน เจูาเฝู ามองพระพุทธเจูาตลอดเวลา เจูามีความ


สุขแทูหนอ"

แทนที่นกฮ้กจะตอบเทวดา พระพุทธเจูาตรัสแทนว่า...

"นกฮูกนัน้ มีจิตเลื่อมใสในเราตถาคต พร้อมภิกษุสงฆ์ จะไม่ไปสู่ทุคติตลอดแสนกัป


เขาจุติจากเทวโลกแล้ว จักเกิดเป็ นพระปั จเจกพุทธะ นามว่า โสมนัส"

สุนัขเห่าพระปั จเจกพุทธะ

ขอเล่าเรื่องสัตว์อีกสักตัว คือ สุนัข สุนัขตัวหนึ่ งเป็ นล้กของนางสุนัขที่นายโคบาลคนหนึ่ งเลี้ยงไวู


นายโคบาลพรูอมภรรยาเลื่อมใสในพระปั จเจกพุทธะองค์หนึ่ ง และเขาทั้งสองจะถวายขูาวมธุ
ปายาสแก่พระปั จเจกพุทธะเวลาท่านมาบิณฑบาต เมื่อพระปั จเจกพุทธะท่านฉัน ก็แบ่งขูาวใหูล้ก
สุนัขนั้นกินดูวย มันจึงมีความรักพระปั จเจกพุทธะอย่างยิ่ง เมื่อท่านมาที่บูานนายโคบาลมันก็จะ
เห่าตูอนรับ เมื่อท่านจะกลับ มันก็เห่าส่งท่านกลับ

วันหนึ่ งนายโคบาลไดูไปยังที่อย่้ของพระปั จเจกพุทธะ เพื่อนิ มนต์ท่านไปฉันที่บูานเป็ นประจำา ล้ก


สุนัขตัวนี้ ก็วิ่งตามไป ไล่อย่างไรมันก็ไม่กลับ เมื่อไปถึงที่อย่้พระปั จเจกพุทธะ นายโคบาลจึงกล่าว
กับท่านว่า "วันใดผมไม่ว่าง ผมจะใหูล้กสุนัขตัวนี้ มารับท่านไปที่บูาน"

นายโคบาลไดูอาศัยล้กสุนัขตัวนี้ ไปนิ มนต์พระปั จเจกพุทธะมาที่บูานเพื่อถวายภัตตาหาร มันก็


ปฏิบัติหนูาที่อย่างดี เมื่อพระท่านจะกลับ มันก็ตามไปส่งจนถึงที่พัก ทำาอย่างนี้ เรื่อยมา
วันหนึ่ ง พระปั จเจกพุทธะท่านตัดสินใจไปอย่้ท่ีอ่ ืน เพราะไม่อยากเป็ นภาระแก่นายโคบาล สุนัข
ก็ตามไป ครั้นเห็นว่าท่านไม่ไปตามทางเดิน มันก็ไปขวางหนูาไวู ไม่ใหูเดินไป ปากก็คาบจีวรดึงใหู
พระกลับไปตามทางที่จะไปที่พักท่าน

เมื่อเห็นว่าท่านจะไปที่อ่ ืนจริงๆ มันก็สุดจะทำาอะไรไดู จึงไดูแต่ยืนแลด้พระปั จเจกพุทธะท่านเหาะ


ขึ้นส่้เวหาสมุ่งตรงไปยังเขาคันธมาทน์ ปากก็เห่าทำานองขอรูองไม่ใหูท่านไป เมื่อพระปั จเจกพุทธะ
ลับสายตา สุนัขนูอยผู้น่าสงสารก็หัวใจแหลกสลายตาย

ว่ากันว่าเพราะความเลื่อมใสในพระปั จเจกพุทธเจูา สุนัขนูอยไดูไปเกิดเป็ นเทพบุตรนามว่า โฆสก


เทพบุตร ดูวยอานิ สงส์ท่ีเห่ารับเห่าส่งพระปั จเจกพุทธะเป็ นประจำา ก็เลยทำาใหูเทพบุตรองค์น้ี มี
เสียงดัง แค่กระซิบอย่างเบาๆ ก็ไดูยินไปทั่วสวรรค์ช้ันฟู า

นิ ทานเรื่องนี้ ช้ใี หูเห็นไดูว่า อย่าว่าแต่คนเลย แมูแต่สัตว์เดรัจฉาน ที่มองพระผู้สงบดูวยจิตที่


เลื่อมใส ย่อมไม่เกิดในทุคติ

มัฏฐกุณฑลี

เด็กหน่ ุมคนหนึ่ ง เป็ นล้กเศรษฐีจอมขี้เหนี ยว แกมีเงินทองเยอะแยะ แต่ไม่ยอมใชู และไม่ใหูล้กเมีย


ใชู เก็บไวูใหูปลวกกินเสียอย่างนั้นแหละ

แต่แกก็รักล้กคนเดียวมาก อุตส่าห์ไปเอาไมูมากลึงทำาเป็ นตูุมห้ ทำาเสียเกลี้ยงเกลา ขัดเงาแวววาว


อีกต่างหาก ใหูล้กใชูคิดด้แลูวกัน ไม่ยอมเสียเงินซื้อสักบาทเดียว ล้กชายแกก็เลยไดู "นิ กเนม" ว่า
"มัฏฐกุณฑลี หน่มุ ตูุมห้เกลี้ยง"

วันหนึ่ งหน่ ุมตูม


ุ ห้เกลี้ยงป่ วยเป็ นโรคดีซ่านรูายแรง เศรษฐีก็ไปหายากลางบูานมาตูมใหูกินตามมี
ตามเกิด ไม่ยอมจูางหมอมารักษา กลัวสิ้นเปลือง รักษาไปรักษามา อาการเจ็บป่ วยยิ่งกำาเริบหนัก
ถึงขั้นเยียวยาไม่ไดู ตูองตายแน่ ๆ

พ่อจอมขี้เหนี ยวก็นำาล้กมานอนที่ชานเรือน เพราะกลัวคนที่มาเยี่ยมไขูจะเห็นทรัพย์สมบัติของแก


ว่าถึงขนาดนั้นนะครับ เด็กหน่ ุมจึงตูองนอนรอความตายอย่้ท่ีชานเรือน

คืนนั้น พระพุทธเจูาทรงพิจารณาด้สัตว์โลกที่จะไปโปรดหน่ ุมตูุมห้เกลี้ยงปรากฏในข่ายคือพระ


ญาณว่าจะไดูบรรลุธรรม จึงเสด็จเขูาไปบิณฑบาต มุ่งพระพักตร์ไปเรือนของเศรษฐีข้ีเหนี ยวทรง
แผ่ฉพ
ั พรรณรังสีไปตูองกายของหน่ม ุ ตูุมห้เกลี้ยง ซึ่งนอนรอความตายอย่้ท่ีชานเรือน เด็กหน่ม

เห็นแสงวาบๆ นึ กว่าแสงอะไร จึงค่อยๆ พลิกตัวหันไปมองเห็นพระพุทธองค์ประทับอย่้ตรงหนูา
ดูวยพระรัศมีอนั รุ่งเรืองงดงาม จึงนึ กดูวยความสลดใจว่า

"เราเกิดมาในตระก้ลที่พ่อไม่นับถือพระศาสนา พ่อจึงไม่เคยพาเขูาวัดฟั งธรรม ไม่เคยถวาย


ภัตตาหารแก่พระสงฆ์แมูแต่ทัพพีเดียว บัดนี้ เราก็ป่วยหนัก เพียงแค่จะยกมือนมัสการก็แสนยาก
ขูาพระองค์ขอนมัสการ พระพุทธเจูา พระธรรม และพระสงฆ์ ดูวยจิตอันเลื่อมใสนี้ "

แลูวเขาก็คอ
่ ยๆ ยกมือทั้งสองขึ้นมนัสการพระพุทธองค์อย่างยากเย็น ไหวูเสร็จก็สิ้นลมทันที
พระพุทธองค์ตรัสบอกภิกษุสงฆ์ในภายหลังว่า มัฏฐกุณฑลี หรือ หน่ ุมตูม
ุ ห้เกลี้ยง ไปเกิดเป็ นเทพ
บุตร เพราะอานิ สงส์ คือ ยกมือนมัสการพระเจูาดูวยจิตที่เลื่อมใส

เรื่องนี้ มีเล่าต่ออีกว่า เศรษฐีผู้เป็ นพ่อ พอหลังจากล้กชายตายไปแลูว แกก็ไปป่ าชูาที่เผาศพล้ก ไป


รูองไหูครำ่าครวญหาล้กทุกวัน จนเทพบุตรเธอแปลงเป็ นเด็กมารูองไหูอย่้ขาู งๆ เศรษฐีข้ีเหนี ยว
ถามว่า รูองไหูทำาไมหน้ หน้นอ ู ยบอกว่ารูองไหูอยากไดูพระจันทร์ พระอาทิตย์ จะเอามาทำาลูอรถ
เศรษฐีข้ีเหนี ยวบอกว่า หน้โง่จัง รูองไหูจนตายก็เอาไปไม่ไดู

เด็กนูอยจึงถามว่า แลูวลุงรูองไหูหาใคร เมื่อไดูรับคำาตอบว่ารูองไหูหาล้กชายคนเดียวที่ตายไป จึง


ว่า ลุงนั้นแหละโง่กว่าหน้ หน้รอ
ู งไหูอยากไดูในสิ่งที่มองเห็น แต่ลุงกลับรูองไหูอยากไดูในสิ่งที่มอง
ไม่เห็น...

การสนทนาธรรมตามกาล

มงคลขูอต่อไป คือ การสนทนาธรรมตามกาล เป็ นมงคลส้งสุด

การสนทนาธรรม คือ การพ้ดคุย อภิปรายแลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกันในเรื่องที่ดีงาม ที่ทำา


จิตใจใหูสะอาด สว่าง สงบ

ผู้แต่งคัมภีรม
์ ังคลัตถทีปนี สรุปว่า การสนทนาธรรมตามกาล ก็คือ ผู้เรียนพระส้ตรสนทนาพระ
ส้ตร ผู้เรียนพระวินัยสนทนาพระวินัย ผูเ้ รียนพระอภิธรรมสนทนาพระอภิธรรม เพื่อขจัดความ
หดห่้ใจ ความฟู ุงซ่าน และบรรเทาความสงสัยลงไดู

การสนทนาธรรมตามกาล ที่ว่าเป็ นมงคล ก็เพราะว่าเป็ นเหตุใหูเกิดคุณประโยชน์มากมาย เช่น


ทำาใหูฉลาดแตกฉานในพุทธวจนะ ดูวยประการฉะนี้ แล...

ดังเช่นนิ ทานเรื่องต่อไปนี้ ...

พระเถรีอรหันต์ถูกข่มขืน

สตรีนางหนึ่ งออกบวชเป็ นภิกษุณี ปฏิบัติธรรมจนไดูบรรลุเป็ นพระอรหันต์ วันหนึ่ งท่านเขูาไป


บิณฑบาตในเมือง กลับจากบิณฑบาตแลูว เขูาไปในกุฏิ (กระท่อม) ที่พักซึ่งอย่้ในป่ านอกเมืองเพื่อ
พักผ่อน

หารู้ไม่ว่ามีคนมุ่งรูายมาแอบซ่อนอย่ใ้ นกระท่อม ไดูโอกาสก็ข่มขืนนางภิกษุณีจนสำาเร็จความใคร่


สุดที่แรงสตรีจะตูานทานไดู เจูาวายรูายนี้นามว่านันทะ นัยว่าหลงรักภิกษุณีร้ปนี้ มานาน เมื่อนาง
มาบวช ก็ยังตามมารังควาน นี้ คอ ื เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น

คราวนี้ ก็เกิดวงธรรมสากัจฉา (สนทนาธรรม) ขึ้น ในหม่้ภิกษุสามเณรที่รู้เรื่อง นำาเอาเรื่องนี้ มาถก


มาเถียง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เช่น ภิกษุณีอรหันต์ถ้กข่มขืน ยังยินดีในกามหรือไม่ บาง
พวกว่าไม่ยินดี เพราะพระอรหันต์หมดราคะตัณหาแลูว อีกฝ่ ายหนึ่ งก็แยูงว่า พระอรหันต์ก็มเี นื้ อมี
หนังเหมือนคนทั่วไป ย่อมจะยินดีเหมือนคนทั่วไป ไม่ใช่ทอ
่ นไมู ไม่ใช่กอ
ู นดิน

นี้ คือการสนทนาธรรม แลกเปลี่ยนทัศนะกัน เมื่อตกลงกันไม่ไดู พระพุทธเจูาก็จึงเสด็จมาตรัส


อธิบายใหูฟังว่า...

พระอรหันต์กับปุถุชนด้ภายนอกอาจเหมือนกัน แต่เงื่อนไขทางจิตใจไม่เหมือนกัน แทูจริงแลูว พระ


อรหันต์หมดราคะกิเลสแลูว ย่อมไม่ยินดีในกามอย่างแน่ นอน

"เมล็ดพันธ์ุผักกาดวางไวูบนเหล็กแหลม ย่อมไม่ติดปลายเหล็กแหลม หยาดนำ้าตกลงใบบัวย่อม


กลิ้งตกไป ไม่ติดอย่้ท่ีใบบัว ฉันใด กามย่อมไม่ติดอย่้ในใจของพระอรหันต์ ฉันนั้น"
เมื่อกลุ่มสนทนาธรรมไดูรับคำาตอบจากพระพุทธเจูา ต่างก็เขูาใจ นี้ คืออานิ สงส์ของการสนทนา
ธรรม ถูาหมั่นประชุม หมั่นสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นกัน ก็ย่อมไดูความรู้ ความกระจ่างใน
ปั ญญาต่างๆ อันจะนำาไปส่้การพัฒนาตนในดูานต่างๆ นับว่าเป็ นมงคลอย่างยิ่ง...

การบำาเพ็ญตบะ

มงคลขูอต่อไปคือ ธรรมเครื่องเผากิเลส เป็ นมงคลอย่างยิ่ง แปลแบบพระ แปลแลูวชาวบูานก็ไม่


เขูาใจ พระบวชใหม่ถึงจะเป็ นพระก็ไม่ต่างกับชาวบูาน คือ ยัง "เป็ นงง" อย่้ มันคืออะไร

"ตบะ" คำานี้ แปลไดูหลายอย่าง แปลว่าความอดทนก็ไดู แปลว่าศีลก็ไดู แปลว่าอุโบสถกรรมก็ไดู


แปลว่าการเรียนพุทธวจนะ หรือการบำาเพ็ญสมณธรรมก็ไดู แต่ในที่น้ี ตบะ หมายเอาความเพียร
อย่างยิ่งยวด

พ้ดใหูส้ันก็คือ มงคลขูอนี้ คือความเพียร ความเป็ นมงคล (เหตุใหูถึงความเจริญ) อย่างไร คงไม่


ตูองอธิบายมาก ความเพียรอย่้ท่ีไหน ความสำาเร็จอย่้ท่ีน่ัน คนที่มีความเพียรอย่างเต็มที่ แมูเทวดา
ก็ปิดกั้นเขาไม่ไดู ดังนิ ทานเรื่องต่อไปนี้ ...

พระราชาสองเมือง

พระราชาแห่งเมืองทั้งสองรบกัน ไม่มีใครแพูใครชนะ

วันหนึ่ งฤๅษีตนหนึ่ งไดูพบพระอินทร์ จึงปรารภเรื่องนี้ ใหูพระอินทร์ฟัง พระอินทร์พยากรณ์ว่า พระ


ราชาเมือง ก. จะชนะ พระราชาเมือง ข. จะแพู

ฤๅษีจึงถ่ายทอดคำาพยากรณ์ใหูเหล่าศิษย์ฟัง คำาพยากรณ์ไดูยินไปถึงพระราชาทั้งสองเมือง พระ


ราชาองค์ท่ีไดูรับคำาพยากรณ์ว่าจะชนะ ก็ทรงดีพระทัย ไม่สนใจตระเตรียมกองทัพ เอาแต่ด่ ืม
ฉลองชัยตั้งแต่ยังไม่รบ ส่วนองค์ท่ีไดูรับคำาพยากรณ์ว่าจะแพู ก็ไม่ประมาท พยายามฝึ กปรือ
กองทัพใหูเขูมแข็งเตรียมพรูอมเต็มที่

พอเวลารบกันจริง ฝ่ ายที่ว่าจะชนะก็พ่ายแพูยับเยิน ส่วนฝ่ ายที่ว่าจะแพูก็ชนะ พระราชาที่ไดูรับคำา


พยากรณ์ว่าจะชนะ ก็ไปต่อว่าฤๅษี ฤๅษีก็ไปต่อว่าพระอินทร์ว่าทำาใหูเสียหนูา ทำาไมเป็ นถึงหัวหนูา
แห่งเทพทั้งหลาย มีทิพยจักษุมิใช่หรือ แลูวทำาไมถึงทายผิดๆ

พระอินทร์บอกว่า เราทายไม่ผิดดอก ถูาปล่อยใหูทุกอย่างเป็ นไปตามทางของมัน พระราชาองค์ท่ี


ขูาพเจูาทายว่าจะชนะ ย่อมชนะ องค์ท่ข ี ูาพเจูาพยากรณ์ว่าจะแพู ย่อมแพู มันตูองเป็ นดังนี้ แน่ นอน
แต่บังเอิญว่าพระราชาองค์ท่ีไดูรับคำาพยากรณ์ว่าจะชนะมัวแต่ประมาทมัวเมาเสีย ไม่ตระเตรียม
อะไรเลย นั่งรอนอนรอโชคชะตาเฉยๆ ส่วนพระราชาองค์ท่ีไดูรับคำาพยากรณ์ว่าจะแพูกลับไม่
ประมาท มีความพากเพียร เตรียมกองทัพใหูพรั่งพรูอมเมื่อถึงคราวรบ เธอจึงไดูรับชัยชนะ

แลูวพระอินทร์ก็พ้ดสรุปเป็ นปรัชญาว่า...

"ผ้ท
ู ีพ
่ ากเพียรถึงทีส
่ ุด แม้เทวดาก็กีดกันไม่ได้"

หัวหน้าพ่อค้าเกวียน
ในอดีตกาลอันยาวนานโพูน นานแค่ไหนช่างเถอะ พระโพธิสัตว์เกิดเป็ นหัวหนูากองเกวียน นำา
กองเกวียนเดินทางผ่านทางทุรกันดาร ไปถึงทะเลทรายกวูางใหญ่ ทะเลทรายนั้นกลางวันรูอน
เป็ นเปลวเพลิง จะเดินทางไดูเฉพาะกลางคืนเท่านั้น

กองเกวียนเดินทางผ่านไปไดู 59 โยชน์ เหลืออีกเพียงโยชน์เดียวเท่านั้นจะพูน คิดว่าอีกคืนเดียวก็


จะพูนทะเลทรายแลูวจึงพากันเทนำ้าทิ้งหมด บังเอิญคนนำาทางเผลอหลับไป โคไดูพาเกวียนวก
กลับไปยังทางเดิม คันอื่นๆ ก็เดินตาม พอรุ่งเชูาขึ้นมาจึงรู้ว่าพวกตนไดูกลับมายังจุดเดิม

พ่อคูาทั้งหลายต่างทอดอาลัยตายอยาก คิดว่าตนคงไม่รอดเป็ นแน่ นอน แต่พระโพธิสัตว์หัวหนูา


กองเกวียนเดินสำารวจด้พ้ ืนที่ตอนเชูา เห็นหญูากอหนึ่ ง คิดว่าขูางล่างตูองมีน้ ำาแน่ นอน หญูาจึงขึ้น
เขียวชอุ่ม จึงสั่งใหูคนขุดทรายลึกลงไปถึงแผ่นดิน คนทั้งหลายพากันหนี หมด

พระโพธิสัตว์ลงไปเอาห้แนบแผ่นดิน ไดูยินเสียงนำ้าขูางใตูจึงสั่งใหูเอาคูอนมาทุบแผ่นหินจนกระทั่ง
แตก เกลียวนำ้าไดูพุ่งขึ้นส้งเท่าตูนตาล คนทั้งหลายไดูด่ ืมนำ้า รอดตาย เดินทางต่อไปจนถึงจุด
หมายปลายทางตามปรารถนา

อย่างนี้ แหละครับ เรียกว่า ความพากเพียรถึงทีส


่ ุดนัน
้ เป็ นยอดยิง
่ มิง
่ มงคลแล...

ประพฤติพรหมจรรย์

มงคลขูอต่อไปนี้ คือ การประพฤติพรหมจรรย์ เป็ นมงคลอย่างยิ่ง

พรหมจรรย์ หมายถึง ทาน การใหูปัน, ไวยาวัจจะ การขวนขวายช่วยเหลือ, ปั ญจศีล ศีลหูา, อัป


ปมัญญา กรุณากับมุทิตาอันหาประมาณมิไดู, เมถุนวิรัติ งดเวูนจากเมถุน, สทารสันโดษ ยินดีใน
ภรรยาหรือสามีของตน, วิริยะ ความเพียร, อุโบสถ การรักษาศีลอุโบสถ, อริยมรรค ศาสนา
ทั้งหมดอันไดูแก่ ศีล สมาธิ ปั ญญา, ธรรมเทศนา การแสดงธรรม, อัชฌาสัย การปฏิบัติธรรมที่
สอดคลูองกับอัธยาศัยจนไดูบรรลุมรรคผล

อย่างใดอย่างหนึ่ งในทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เรียกว่า พรหมจรรย์ หรือวิถีดำาเนิ นชีวิตอันประเสริฐ


และเป็ นเหตุใหูไดูความเจริญทั้งนั้น ขอยกนิ ทานมาประกอบดังนี้ ...

ภิกษุ 60 รูป

ภิกษุ 60 ร้ป รับกรรมฐานจากพระพุทธเจูา แลูวไปยังหม่้บูานมาติกะ เชิงเขาแห่งแควูนโกศล


นายบูานและภรรยาของนายบูาน เห็นภิกษุเหล่านั้นแลูวมีความเลื่อมใส ถวายภัตตาหารแด่ท่าน
เหล่านั้น แลูวกล่าวว่า ถูาพระคุณเจูามีความประสงค์จะอย่้ท่ีน่ี สัก 3 เดือน ผมและภรรยาจักรับ
ไตรสรณคมน์ รักษาศีล 5 ศีลอุโบสถ ภิกษุเหล่านั้นยินดีรับนิ มนต์ นายบูานและภรรยาจึงจัดที่อย่้
ถวายท่าน

ภิกษุเหล่านั้นเจริญกรรมฐานมีอาการ 32 เป็ นอารมณ์และเจริญวิปัสสนา

เย็นวันหนึ่ ง ภรรยานายบูานใหูคนถือ เนยใส นำ้าอูอย เป็ นตูน ไปยังวิหาร ไม่เห็นภิกษุสักร้ป จึงสั่ง


ใหูตร
ี ะฆัง

ภิกษุท้ังหลายพากันออกมาจากบำาเพ็ญสมาธิ มาประชุมในท่ามกลางวิหาร นางสังเกตเห็นพระ


ท่านออกมาจากที่อย่้ ร้ปหนึ่ งไปทาง อีกร้ปหนึ่ งไปอีกทาง จึงคิดว่าท่านคงจะทะเลาะกันจึงเรียน
ถาม ท่านก็ตอบว่า พวกอาตมามิไดูทะเลาะอะไรกันดอกโยม พวกอาตมาต่างก็น่ังสมาธิบำาเพ็ญ
กรรมฐาน

"กรรมฐานอะไรหรือเจูาคะ"

"กำาหนด พิจารณาอาการ 32 และเจริญวิปัสสนากำาหนดร้ปนาม กำาหนดความสิ้น ความเสื่อม


แห่งอัตภาพจูะโยม"

"กรรมฐานอย่างนี้ ดิฉน
ั จะทำาบูางไดูไหม เจูาคะ"

"ไดูสิ โยม"

"ถูาอย่างนั้นสอนดิฉน
ั บูาง"

พระคุณเจูาจึงใหูกรรมฐาน คือ สอนวิธีปฏิบัติ

จากวันนั้นมา นางก็ครำ่าเคร่งปฏิบัติธรรม จนกระทั่งไดูบรรลุมรรค 3 ผล 3 เป็ นพระอนาคามีก่อน


ภิกษุเหล่านั้น นางไดูอภิญญา (ความสามารถพิเศษ) พรูอมมรรคผล นางรู้ว่าภิกษุเหล่านั้นยังเป็ น
ปุถุชน ยังไม่กูาวหนูาในการปฏิบัติธรรม จึงจัดสถานที่อันเป็ นสัปปายะ (เหมาะสม) และอาหารอัน
เป็ นสัปปายะแก่ท่านเหล่านั้น

เมื่อภิกษุเหล่านั้น ไดูอาหารและที่อย่้อันเป็ นสัปปายะแลูวจิตก็เป็ นสมาธิ มีอารมณ์เป็ นหนึ่ งเดียว


เจริญวิปัสสนา ไม่ชูาไม่นานก็ไดูบรรลุพระอรหัตผลพรูอมปฏิสัมภิทาทุกร้ป

เรื่องนี้ ช้ีใหูเห็นว่า ภรรยานายบูาน และภิกษุ 60 ร้ป ต่างก็ประพฤติพรหมจรรย์ คือ บำาเพ็ญ


กรรมฐาน จนไดูบรรลุมรรคผล

เพราะฉะนัน
้ การปฏิบัติธรรมทีส
่ อดคล้องกับอัธยาศัย จึงนับว่าเป็ นมงคลฉะนี้ แล
ประสกสีกาทัง
้ หลาย...

ความเห็นอริยสัจ

มงคลต่อไป ความเห็นอริยสัจ แปลว่า เหตุแห่งความเจริญ เหตุแห่งความสำาเร็จ การเห็นอริยสัจ


นับเป็ นผลแลูว มิใช่เหตุอีกต่อไปแลูว

อริยสัจ 4 คือ

1. ทุกข์ คือ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ


2. สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์
3. นิ โรธ คือ ความดับทุกข์ไดูสิ้น
4. มรรค คือ ทางแห่งความพูนทุกข์

การเห็นอริยสัจ เริม
่ ตั้งแต่รู้เห็นสภาวะทั้งหลายตามความเป็ นจริงอันเรียกว่าไดู "ดวงตาเห็น
ธรรม" ภาวะเช่นนี้ ท่านว่าอย่างตำ่าเป็ นพระโสดาบัน อย่างส้งเป็ นพระอนาคามี แลูวก็เห็นส้งขึ้นไป
อีก จนกระทั่งไดูบรรลุช้ันพระอรหัต อย่างนี้ เรียกว่า เห็นแจูงอริยสัจ

พาหิยทารุจีริยะ
กระทาชายนายหนึ่ ง นาม พาหิยะ เดินทางไปคูาขายทางเรือ เรือเกิดล่ม คนในเรือตายหมด เหลือ
แต่เขาคนเดียวที่รอดมาไดู เพราะอาศัยเกาะแผ่นกระดานลอยคอในนำ้า นำ้าไดูพัดไปขึ้นฝั่ ง เสื้อผูา
หายไปหมด ไม่รู้จะทำาอย่างไร จึงหาเปลือกไมูบูางใบไมูบา
ู งมาปิ ดกาย เดินโซซัดโซเซมาดูวย
ความหิว

ชาวบูานเห็นก็เขูาใจว่าเป็ นนักพรตผู้เคร่งตบะ จึงมาไหวูเอาขูาวนำ้ามาถวาย นายพาหิยะก็ไดูกิน


สบายๆ ผ่านไปหลายวันก็คิดไดูว่า ที่ตนไดูอาหารกิน มีคนมากราบไหวูน้ี เพราะอานิ สงส์ (ผล)
ของการไม่นุ่งห่มผูา ต่อมาเมื่อมีผู้เอาผูาผ่อนมาใหูก็ไม่ยอมน่ ุงห่ม ยินดีใชูเปลือกไมูตามเดิม คนจึง
เรียกขานว่า "นักพรตเปลือกไมู"

นักพรตเปลือกไมู แรกๆ ก็อาจเหนี ยมๆ แต่พอมีคนมาลูอมหนูาลูอมหลังมากเขูา สรรเสริญเยินยอ


มากขึ้น ก็ชักเหลิงคิดว่าตนแน่ จริงๆ คราวนี้ กิริยาท่าทาง หรือ "มาด" ของหลวงพ่อ หลวงเสี่ยที่น่า
เกรงขาม น่าศรัทธาเลื่อมใส ก็ฉายแววเจิดจูา

ใครจะถามปั ญหาอะไรตอบไดูหมด อธิบายเป็ นคูุงเป็ นแควผิดๆ ถ้กๆ (ที่จริงผิดทั้งหมดนั้นแหละ


เพราะแกไม่เคยศึกษาเล่าเรียนมา)

รูอนถึงเทวดาที่เคยเป็ นเพื่อนกันมาในชาติปางก่อน มากระซิบเตือนใหูไดูสติ จึงสลดใจตัวเองที่


หลอกลวงชาวบูาน เกิดกลัวบาปกลัวกรรมขึ้นมา จึงถามเทวดาผู้ท่ีมาเตือนว่า จะใหูทำาอย่างไร
เทวดาบอกว่าขณะนี้ ไดูเกิดพระสัมมาสัมพุทธเจูาขึ้นในโลกแลูว ท่านจงไปถามพระองค์เถิด

เขาเที่ยวสอบถามใครๆ ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจูาอย่้ท่ีไหน ในที่สุดก็ไดูข่าวมาว่าประทับอย่้ท่ีกรุง


สาวัตถี แควูนโกศล ก็อุตส่าห์เดินทางไกลแสนไกลไปเพื่อเขูาเฝู า เชูาไปวัดตั้งแต่เชูามืดไดูข่าวว่า
พระพุทธองค์เสด็จเขูาไปโปรดสัตว์ในเมือง ทนรอไม่ไหวใจมันรูอน จึงรีบตามเขูาเมือง ไปทัน
พระพุทธองค์ขณะเสด็จดำาเนิ นโปรดสัตว์อย่้ ก็เขูาไปกราบแทบพระยุคลบาท ขอใหูทรงแสดงธรรม
ใหูฟัง

พระพุทธองค์ตรัสว่า

"พาหิยะ มิใช่เวลา ตถาคตกำาลังบิณฑบาต เอาไวูเวลาอื่นค่อยฟั ง"

"ขูาแต่พระองค์ผเู้ จริญ ขูาพระองค์เดินทางมาแสนไกลเพื่อสดับพระธรรมเทศนาจากพระองค์ เมื่อ


ไดูมีบุญวาสนาไดูพบแลูว ขอไดูโปรดแสดงธรรมใหูขา ู พระองค์ฟังดูวยเถิดพระเจูาขูา" เขาท้ล
อูอนวอน

พระพุทธเจูาจึงตรัสว่า "ถูาอย่างนั้น เธอจงฟั ง เราจะกล่าวสั้นๆ"

พุทธวจนะที่ตรัสสั้นจริงๆ ครับ

"พาหิยะ เห็นสักแต่ว่าเห็น ไดูยินสักแต่ว่าไดูยิน รู้สึกสักแต่ว่ารู้สึก แลูวเธอจะพูนจากโลกนี้ และ


โลกหนูา"

พาหิยะไดูฟังก็เกิดความสว่างวาบขึ้นในใจทันที เรียกว่าไดูรู้แจูงแทงตลอดสัจจะ กลายเป็ นพระ


อรหันต์ทันที จึงท้ลขอบวช พระพุทธองค์ตรัสใหูไปหาบาตรจีวรมา จะประทานอุปสัมปทา (คือจะ
บวชใหู)

พาหิยะจึงออกเดินทาง แต่ในขณะที่ออกเดินไปเพื่อหาผูาและบาตรอย่้น้ัน ไดูพานพบกับโคแม่ล้ก


อ่อน และถ้กโคแม่ล้กอ่อนขวิดตาย พระพุทธเจูาทรงทราบเรื่อง จึงเสด็จไปจัดการใหูเผาศพท่าน
นำาเอาอัฐิธาตุบรรจุใส่เจดีย์ใหูคนบ้ชา และตรัสบอกสาวกทั้งหลายว่า "พาหิยะไดูบรรลุพระอรหัต
กระทำาที่สิ้นสุดแห่งทุกข์แลูว"

ทรงประกาศแต่งตั้งพระพาหิยะเป็ นเอตทัคคะ (ผูเ้ ลิศกว่าผู้อ่ ืน) ในทางตรัสรู้ฉบ


ั พลัน

พาหิยะนิ พพานไม่ทันไดูครองผูากาสาวพัสตร์ แต่ก็นับว่าเป็ นพระโดยคุณธรรม จึงจัดท่านใน


ทำาเนี ยบอสีติสาวก (สาวกผู้ใหญ่ 80 ร้ป) ของพระพุทธเจูา

การเห็นอริยสัจของพระสารีบุตร

เล่านิ ทานเรื่องการเห็นสัจจะของพระพาหิยะ ว่ามีลักษณะพิเศษคือเขูาใจฉับไว เพียงฟั งพุทธโอ


วาทสั้นๆ เท่านั้น

ก็ทำาใหูนึกถึงอีกท่านหนึ่ ง คือ พระสารีบุตร ตอนเป็ นมาณพหน่ ุม เพียงฟั งคาถาธรรมหนึ่ งคาถา


จากพระอัสสชิ ก็ไดู "ดวงตาเห็นธรรม" ครั้นบวชแลูว พระพุทธเจูามิไดูต้ังพระทัยจะแสดงธรรมใหู
ฟั ง เพียงแต่ท่านนั่งอย่้ในที่เฝู า พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมใหูคนอื่นฟั ง ท่านพระสารีบุตรกลับไดู
บรรลุ ในขณะที่ผู้ฟังธรรมนั้นไดูอะไรไม่มากนัก

ดุจดังกินอาหารในสำารับที่เขาจัดไวูใหูคนอื่น ไม่ใช่ขโมยกินนะขอรับ คนที่เขาตั้งใจจะใหูกิน มีอัน


เป็ นไปเสีย เช่นไม่อย่้หรืออย่้แต่เกิดทูองเสียกินไม่ไดู อะไรอย่างนี้

หลังจากบวชแลูวจะครบสิบหูาวันพอดี วันนั้นเป็ นวันเพ็ญพระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะ หรือ เพ็ญ


เดือนสาม พระพุทธเจูาประทับอย่้ท่ีถ้ ำาส้กรขาตา (แปลว่า ถำ้าหม้ขุด แต่ร้ปร่างเหมือนคางหม้ ชาว
บูานเลยเรียกว่าถำ้าคางหม้) ปริพาชก (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) นามว่า ทีฆนขะ (แปลว่าเล็บ
ยาว) เป็ นหลานของพระสารีบุตรเอง ไดูมาเฝู าพระพุทธเจูา พระสารีบุตรไดูถวายงานพัดอย่้ (พระ
สาวกเอาพัดใบตาลพัดวีพระพุทธองค์)

ทีฆนขะแกก็ถือว่าเป็ นนักบวชมีภ้มิคนหนึ่ ง จึงแสดงภ้มิกับพระพุทธเจูาว่า "ขูาพเจูาไม่เชื่อถือ


ทฤษฎีใดๆ ทั้งนั้น"

พระพุทธเจูาทรงแยูงว่า "ถูาเช่นนั้นท่านก็ถือทฤษฎีอย่้เอง"

"ก็ขูาพเจูาบอกว่า ขูาพเจูาไม่ถอ
ื ทฤษฎีใดๆ ท่านยังจะหาว่าขูาพเจูาถือทฤษฎีหรือ"

"ก็ทฤษฎีว่าไม่ถือทฤษฎีใดๆ อย่างไรเล่า" พระพุทธองค์ตรัส

เล่นเอาทีฆนขะอึง
้ ไปเลย นึ กไม่ถึงเรื่องนี้

เรื่องอย่างนี้ มิใช่เป็ นการตีฝีปากนะครับ คนที่โอูอวดว่าตนไม่ยึดมั่นถือมั่นกับคนอื่นนั้น ระวังใหูดี


เถิด ตนกำาลังยึดมั่นความไม่ยึดมั่น ยิ่งรูายกว่าคนที่เขารับตรงๆ ว่าเขายังยึดมั่นอย่้

เล่านิ ทานแทรกนิ ทานใหูฟังก็ยังไหว

อาจารย์กับศิษย์บวชใหม่เดินทางจากวัด พบสาวนางหนึ่ งรีรอจะขูามถนนซึ่งแฉะดูวยนำ้าหลังฝน


ตกใหม่ๆ กลัวกระโปรงยาวเธอจะเปี ยก อาจารย์ร่ีเขูาอูม
ุ เด็กสาวขูามถนน วางเธอลงแลูวก็เดินต่อ
ไป ทำายังกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ศิษย์ไดูเห็นการกระทำาของอาจารย์ก็ตาคูาง นึ กไม่ถึงว่าอาจารย์จะทำาผิดวินัยดูวยการจับตูองสตรี
คืนนั้นนอนไม่หลับขณะที่อาจารย์หลับป๋ ุย ตกประมาณสองยามกว่าๆ ทนไม่ไหวจึงไปเคาะประต้
ต่อว่าอาจารย์เป็ นการใหญ่ หาว่าไปอูม
ุ ผู้หญิงผิดวินัย ไม่ควรทำา

อาจารย์กล่าวเย็นๆ ว่า "นี่ คุณ ผมอูม


ุ เด็กหญิงคนนั้นผมก็วางเธอตั้งนานแลูว คุณเองยังอูุมเธออย่้
ถึงป่ านนี้ หรือ"

อาจารย์อม ูุ ทางกายภาพ อูม


ุ จริงๆ แลูวก็วางนานแลูว ศิษย์ไม่ไดูอม
ูุ สักหน่อย แต่จิตใจอูม
ุ เขูาเต็ม
เปา อูม
ุ ดูวยอุปาทานอูุมตลอดวันตลอดคืนไม่ยอมวางเลย แลูวใครมันทุกข์กว่ากัน

นิ ทานเรื่องที่เล่าซูอนนี้ อาจไม่เกิดขึน
้ จริง แต่ตูองการเตือนใหูเห็นว่า การยึดมั่นนั้นมันละยาก
อย่าคุยว่าตนไม่ยึดมั่นเพราะขณะคุยนั้นกำาลังแสดงใหูเห็นว่าตนกำาลังยึดมั่นความไม่ยึดมั่น

พระพุทธเจูาทรงเห็นทีฆนขะอึง ้ ไป ก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาว่าดูวย "การกำาหนดเวทนา" (เวท


นาปริคคหส้ตร หรืออีกชื่อหนึ่ ง ทีฆนขส้ตร) ใหูเธอฟั ง แสดงว่าอย่างไร ไม่มเี วลาพ้ดถึง อยาก
ทราบไปเปิ ดด้ในพระส้ตรที่ว่านี้ พระไตรปิ ฎกเล่มที่ 13 ขูอที่ 269 จะทราบเองแล)

พระสารีบุตรนั่งพิจารณาไปตามกระแสพระดำารัส ดูวยจิตเป็ นสมาธิแน่ วแน่ พอทรงแสดงธรรมจบ


ลง ท่านก็ไดูบรรลุพระอรหัต เห็นอริยสัจแจูงจางปาง

การตรัสรู้ธรรมของพระสารีบุตรค่อนขูางแปลก เรียกว่าพระพุทธเจูามิไดูทรงมีพุทธประสงค์จะ
แสดงใหูท่านฟั ง ทรงแสดงใหูหลานท่านฟั ง แต่ท่านไดูฟังดูวย ท่านก็เลยไดูบรรลุธรรม ในขณะที่
หลานท่านด้เหมือนจะไดูแค่โสดาบัน

มีข้อพึงสังเกตก็คือ วันทีท
่ ่านพระสารีบุตรบรรลุพระอรหัตนัน
้ ตรงกับวันเพ็ญเดือน 3
เป็ นวันมาฆบูชาพอดี...

การทำานิ พพานให้แจ้ง

มงคลต่อไป การทำานิ พพานใหูแจูง นิ พพานคืออะไร เป็ นเรื่องที่พ้ดง่ายแต่เขูาใจยาก หรือเขูาใจ


ง่ายแต่ทำายาก อะไรทำานองนั้น

นิ พพาน เป็ นจุดหมายส้งสุดแห่งชีวิต ท่านเปรียบชีวิตคนเหมือนการเดินทาง ตราบใดที่ยังไม่ถึงจุด


หมายปลายทางก็ตูองเดินต่อไป นั้นก็คือเวียนเกิดเวียนตายไปเรื่อยๆ ตามกระแสกรรมที่ทำาไวู ดี
บูาง ชั่วบูาง อันนี้ เรียกตามศัพท์ว่า "สังสารวัฏฏ์" เมื่อบรรลุพระนิ พพานแลูว ถือว่าถึงจุดหมาย
ปลายทางแลูว ก็ไม่ตูองเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

พระนิ พพานของพระพุทธเจูา คือ การหมดราคะ โทสะ โมหะ เป็ นเรื่องของนามธรรม ไม่ใช่วัตถุ


สถานที่ ผูใ้ ดปฏิบัติธรรมจนไดูลุถึงความหมดราคะ โทสะ โมหะ ก็เรียกไดูว่าบรรลุพระนิ พพาน นี้
คือปฏิปทาของผู้บรรลุพระนิ พพาน...

นิ พพานในทางธรรม

ผู้ท่ีบรรลุพระนิ พพาน เรียกว่า พุทธบูาง อรหันต์บูาง ขีณาสวะ (ขีณาสพ) บูาง และคำาอื่นอีกหลาย


คำา เป็ นพระอรหันต์แลูว ตายแลูวเขาเรียกว่าดับ ดับแลูวมันจะไปไหนหรือไม่ไปไหนไม่ตูองพ้ดถึง
อีกต่อไปแลูว ถูายังมีชีวิตอย่้ ก็อย่้ใชูรา
่ งสุดทูายเท่านั้น ไม่มีการทำากรรมอีกต่อไป การเคลื่อนไหว
ของท่านเป็ นเพียง "กิริยา" หมดแรงดันแรงเหวี่ยงแรงกระตูุนแห่งกิเลสตัณหาจะมีแต่แรงแห่ง
กรุณา เป็ นพลังใหูท่านทำาประโยชน์เกื้อก้ลแก่เหล่าสรรพสัตว์

พระนิ พพานคืออะไร พระนิ พพานมิใช่บูาน มิใช่เมือง มิใช่สถานที่ท่ีมีอาณาจักรกวูางยาว วัดไดู


เท่านั้น เท่านี้ โยชน์ดังนักสอนลัทธิบางลัทธิเขาสอนกัน

พระนิ พพานของพระพุทธเจูา คือ การหมด ราคะ โทสะ โมหะ เป็ นเรื่องของนามธรรม ไม่ใช่วัตถุ
ไม่ใช่สถานที่

เมื่อพระนิ พพานมิใช่วัตถุ มิใช่สถานที่ ก็ไม่มีตัวตน พระนิ พพานจึงเป็ นอนัตตา = มิใช่ตัวตน ไม่มี


ตัวตน (ที่ถามและเถียงกันหนูาดำาหนูาแดงว่า พระนิ พพานเป็ นอัตตาหรืออนัตตานั้น เพราะใชูคำา
"อัตตา-อนัตตา" มันจึงเถียงกัน ถูาเปลี่ยนคำาถามเป็ นคำาไทยง่ายๆ ว่า "พระนิ พพานเป็ นสภาวะ
หรือว่าเป็ นตัวตนที่จับตูองไดู" อย่างนี้ น่าจะตอบกันไดูง่าย เขูาใจกันง่ายกว่า)

ความหมดราคะ โทสะ โมหะ (หมดกิเลสตัณหา) เป็ นสภาวะ เป็ นนามธรรม

ผูใ้ ดปฏิบัติธรรมจนไดูลุถึงความหมด ราคะ โทสะ โมหะ ก็เรียกไดูว่าไดูบรรลุพระนิ พพาน บรรลุ


ขณะเป็ นๆ มีลมหายใจอย่้น้ี แหละ

เมื่อบรรลุแลูว ร่างกายก็ยังเป็ นคนเดิม หล่ออย่างไรก็คงหล่ออย่างเดิม อูวนผอมอย่างไรก็คงอย่าง


เดิม ไม่เปลี่ยนเป็ นคนละคน ที่เปลี่ยนก็คือจิตใจ ก่อนนี้ จิตเต็มไปดูวยโลภโมโทสัน แต่เดีย
๋ วนี้ กลาย
เป็ นไม่มีกิเลสตัณหาคูางอย่้เลย

ก็อย่างที่บอกไวูตอนตูน ต่อแต่น้ี ไปท่านผู้น้ี มิไดูเคลื่อนไหวดูวยอำานาจกิเลสตัณหาต่อไปแลูว แต่จะ


เคลื่อนไหวดูวยแรงแห่งกรุณา ความสงสารเห็นใจสัตว์โลกที่ตกทุกข์ไดูยาก ขวนขวายเพื่อช่วย
เหลือสรรพสัตว์ใหูพูนทุกข์เหมือนอย่างท่าน โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่ อยยาก

นี้ คือปฏิปทาของผู้บรรลุพระนิ พพาน

ถูายังไม่ชัด ขอใหูอ่านพุทธประวัติหรือประวัติพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย หลังจากท่านบรรลุพระ


นิ พพานแลูว ท่านไดูปลีกวิเวกหนี เขูาป่ าหาความสุขในฌานสมาบัติคนเดียว หรือว่าท่าน
ขวนขวายเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ บำาเพ็ญ หิตานุหิตประโยชน์ (ประโยชน์เกื้อก้ลนูอยใหญ่) แก่
สังคม แลูวจะเห็นว่า ผูบ
้ รรลุนิพพานไม่เห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตน ไม่เรี่ยไรข้ดเงินทองเขามา
เพื่อสรูางอาณาจักรของตนแน่ นอน...

จิตไม่หวัน
่ ไหวด้วยโลกธรรม

มงคลขูอต่อไป คือ จิตไม่หวั่นไหวดูวยโลกธรรม

ความหมายก็คือ ผูใ้ ดไดูกระทบกับโลกธรรม 8 แลูวจิตไม่หวั่นไหวไม่ฟ้ ไม่ฟุบ ไปตามโลกธรรม 8


นั้น นับว่าเป็ นมงคลส้งสุด

ในความหมายอย่างส้ง หมายเอาจิตของพระอรหันต์เท่านั้น ที่ไม่หวั่นไหวไปตามกระแสแห่ง


โลกธรรม เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ท่านจึงมีช่ ือเรียกอีกอย่างหนึ่ งว่า "ตาที" (ผูค
้ งที่, ผูม
้ ่ันคง)

ในตำารากล่าวเปรียบเทียบไวูว่า แผ่นดินมันไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย ไม่ว่าใครจะเอานำ้าหอม


ประพรมลงบนพื้นดิน แผ่นดินมันก็เฉยๆ ไม่รู้สึกอะไรหรือใครเอาสิ่งสกปรกมาเทรด แผ่นดินมันก็
เฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร

ฉันใดก็ฉน ั นั้น พระอรหันต์น้ันจิตใจท่านคงที่ มั่นคง ใครจะด่าจะชมท่านก็เฉย ไม่รู้สึกอะไร แค่รับรู้


ว่า อูอ เขาด่า เขาชม แค่น้ันแลูวก็ผ่านไป

พระอาจารย์ตันซาน

นิ ทานเซ็นเล่าเรื่อง พระอาจารย์นามว่า ตันซาน ล้กสาวรูานชำาไปไดูเสียลับๆ กับเด็กขายปลา จน


ตั้งทูอง พ่อแม่ก็ตามไปจิกหัวด่าหลวงพ่อเป็ นการใหญ่

หลวงพ่อท่านก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่ถามว่า

"เขาว่าอย่างนั้นรึ"

เมื่อล้กสาวคลอดออกมา พ่อแม่กน
็ ำาเด็กมาใหูหลวงพ่อเลี้ยง "ล้กแกแกตูองเลี้ยง"

หลวงพ่อท่านก็ไม่ว่าอะไร รับเด็กมาเลี้ยงอย่างทุลักทุเลเป็ นเวลาสามเดือนเต็มๆ ผู้เป็ นแม่เด็กรู้สึก


ผิดที่โยนบาปใหูพระจึงสารภาพว่า พ่อของเด็กที่จริงนั้น คือ ชายหน่ ุมรูานขายปลามิใช่หลวงพ่อ

พ่อแม่เด็กสาวรูอนใจมากที่เขูาใจผิด ไปด่าว่าหลวงพ่ออย่างเสียๆ หายๆ จึงไปสารภาพขอขมา


ท่าน พรูอมขอรับเด็กกลับ กล่าวว่าพวกตนรู้แลูวว่าหลวงพ่อไม่ผิด เด็กคนนี้เป็ นล้กของหน่ม
ุ ขาย
ปลา

หลวงพ่อก็ถามคำาเดิมว่า "เขาว่าอย่างนั้นรึ"

เรื่องนี้ จริงหรือเท็จไม่ทราบ ถูาเป็ นเรื่องจริง "หลวงพ่อ" ในเรื่องจะตูองเป็ นพระอรหันต์ เพราะถูา


เป็ นปุถุชนคงไม่ "นิ่ ง" ปานนั้น ดีไม่ดีโยมอาจหัวแตกที่ไปกล่าวหาพระโดยไม่มีม้ล เผลอๆ ท่าน
อาจฟู องศาลฐานหมิ่นประมาทเอาดูวย

พระบาลีพุทธพจน์แห่งหนึ่ งพ้ดไวูน่าฟั งว่า โลกธรรม 8 (ลาภ-เสื่อมลาภ, ยศ-เสื่อมยศ, นิ นทา-


สรรเสริญ, สุข-ทุกข์) ตูองประสบเหมือนๆ กันทุกคน ไม่ว่าจะเป็ นพระอริยะหรือปุถุชนไม่แตกต่าง
กัน ที่แตกต่างคือท่าทีหรือปฏิกิริยาตอบรับ พระอรหันต์ท่านไม่ฟ้ไม่ฟุบไปตาม ส่วนปุถุชนฟ้ฟุบไป
ตามกระแสโลกธรรมดังกล่าว

ท่านสอนต่อไปว่า...

ปุถุชนเราอย่าตกเป็ นทาสของโลกธรรมนัก ใหูพยายามมองความจริงใหูกระจ่างแลูว "ปล่อยวาง"


หรือ "ปลง" เสียบูาง จิตใจจะไดูไม่เป็ นทุกข์มากเกินไป

วิธีหนึ่ งที่ท่านสอนนับว่ามีประโยชน์ไม่นอ
ู ย คือ ใหูคิดว่าสิ่งเหล่านี้ เป็ นเพียง "แขก" ที่มาเยี่ยมเรา
ชั่วครั้งชั่วคราว มันไม่อย่้นานดอก ถึงเวลาอันสมควรมันก็จะไป

เวลาทุกข์มาก็ทำาใจว่า มันมาอย่้กับเราเดีย๋ วเดียว เดีย


๋ วมันก็จะไป ทนเอาหน่อย หรือเวลาสุขมาก็
ทำาใจว่า สุขอย่้กับเราไม่นานเดีย
๋ วมันก็จะไป คิดอย่างนี้ แลูวจะไดูไม่ประมาท

ลองฝึ กๆ ด้สิครับ ไม่ยากดอก แลูวจะรู้ว่าเราเป็ นคน "มั่นคง" ขึ้นเยอะ ชีวิตก็นับว่ามีความสุขสงบ


พอสมควร

พระอรหันต์นอ
้ ย

ในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท ไดูเล่าถึง พระอรหันต์นอ ู ย (ร้ปร่างท่านเล็กเตี้ย) นามว่า ลุกุณฏกะ


ภัททิยะ พระต่างจังหวัดนึ กว่าท่านเป็ นเณรนูอย เขกศีรษะท่านบูาง ดึงห้เล่นบูาง กระเซูาว่า "พ่อ
หน้นอู ย มาบวชตั้งแต่เล็กเชียว หย่านมหรือยัง คิดถึงแม่ไหม" อะไรทำานองนี้ ท่านลุกุณฏกะก็ไม่
แสดงอาการโกรธเคืองอะไร ปล่อยใหูพระบูานนอกเขกศีรษะเล่นตามสบาย

รู้ถึงพระอื่นๆ ท่านเหล่านั้นก็อศ
ั จรรย์ใจในความมั่นคงของพรเถระนูอย กล่าวสรรเสริญว่า ท่าน
ช่างมั่นคงจริง พระบูานนอกเหล่านั้นเขกศีรษะบูาง ดึงห้บูาง กระเซูาเยูาแหย่ตา
่ งๆ นานา ท่านก็
ไม่แสดงอาการโกรธตอบ

พระพุทธเจูาเสด็จมา ทรงทราบเรื่องพระสนทนากัน จึงตรัสว่า ธรรมดาพระอรหันต์ย่อมไม่หวั่น


ไหวเพราะนิ นทาหรือสรรเสริญ ดุจภ้เขาใหญ่ ไม่หวั่นไหวเพราะแรงลม ฉันนั้น

ปฏิปทาของพระอรหันต์เป็ นแบบอย่างแก่เราไดู เพียงแต่เราตูอง "ลดเพดาน" ลงมา ไม่เอาถึง


ขนาดไม่รู้รอ
ู นรู้หนาว เอาแค่ว่า ถูาใครด่าเรา เราก็ไม่ด่าตอบ สงบไวู เขาด่าว่า "ไอูหนูาหมา" เรา
ก็หันมาด้ว่าตัวเราหนูาเหมือนหมาหรือเปล่า ไม่เหมือนนี่ หว่า เมื่อไม่เหมือนก็แสดงว่าเขามิไดูด่า
เรา

เขาชมเราว่า คุณดีเหลือเกิน เกือบจะเป็ นเทวดาอย่้แลูวเราก็สำารวจด้ตัวเราว่า ดีตามเขาว่าหรือ


เปล่า ถูาดีจริงดังเขาว่าก็เพียงรับรู้เท่านั้นก็พอ

ทำาไดูอย่างนี้ รับรองมีชีวิตอย่้ในโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ ไดูอย่างดีแล โยมเอ๋ย...

จิตไม่เศร้าโศก

มงคลขูอต่อไป คือ จิตไม่เศรูาโศก เป็ นมงคลอย่างยิ่ง

จิตของพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่หวั่นไหว ไม่เศรูาโศก นอกจากพระอรหันต์แลูว ก็ลูวนยังตูองเศรูา


โศกอย่้ท้ังนั้น

อนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อล้กสาวคนเล็กป่ วยหนัก ท่านคอยเฝู าด้แลอย่างใกลูชิด ถามว่าเป็ น


อย่างไรบูางล้ก ล้กสาวตอบว่า "พี่ไม่เป็ นอะไรมากดอก นูองชาย" ไม่นานล้กสาวก็สิ้นใจ

เศรษฐีไดูฟังล้กสาวพ้ดก็รูองไหูเสียใจโดยไม่อายใคร ที่ล้กสาวคนวัดคนวาเช่นตน เวลาจะตาย


ทำาไมจึงเพูออย่างไรูสติ อย่างนี้ คงตูองไปเกิดในทุคติแน่ นอน เศรษฐีจึงรูองไหูดูวยความเสียใจ
อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็เป็ นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน ยังเศรูาโศกแลูวกับปุถุชนเช่นเรา ถึง
คราวควรเศรูาก็ตอ ู งเศรูา ใช่ไหม...

คนห้าคน

ครอบครัวหนึ่ งอย่้ดูวยกันหูาคน คือ พ่อแม่ บุตรชาย บุตรสาว ล้กสะใภู และคนใชูอีกหนึ่ ง รวมเป็ น


หูาคน ครอบครัวนี้ เป็ นเกษตรกร ทำานาเลี้ยงชีพ
พอถึงหนูานา พ่อกับบุตรชาย บุตรสาว ออกไปไถนาแต่เชูา แม่กับล้กสะใภูคอยหุงหาอาหารใหู
เรียบรูอย เพื่อนำาไปใหูพ่อกับล้กรับประทาน

บังเอิญบุตรชายถ้กง้พิษกัดตาย ผูเ้ ป็ นพ่อเอาศพล้กชายนอนไวูท่ีคันนา ตัวเองก็ไถนาต่อไปอย่าง


ใจเย็น ส่งล้กสาวกลับไปบอกแม่ว่า วันนี้ใหูนำาอาหารพอกินสำาหรับคนสองคน

เมื่อรับบอกเช่นนั้น ผูเ้ ป็ นแม่ก็รู้ทันทีว่าบุตรชายไดูสิ้นชีวิตแลูว ถามล้กสาวก็ไดูรับยืนยันว่าตาย


จริง ฝ่ ายภรรยาก็เขูาใจเช่นนั้นเหมือนกัน ทั้งสองไม่แสดงอาการเศรูาโศกเสียใจใหูปรากฏตระ
เตรียมอาหารเพื่อนำาไปส่งพ่อและล้กสาว

เมื่อไปถึงก็พากันจัดการเผาศพผู้ตายดูวยใบหนูาอันสงบรูอนถึงทูาวสักก

เทวราชตูองจำาแลงกายมาเป็ นพราหมณ์แก่ เดินผ่านมา เขูาไปถามบุคคลทั้งหูาว่า "พวกท่านเผา


ศพใคร"

"ศพบุตรชายของขูาพเจูา" บิดามารดาผู้ตายตอบ

"เขาเป็ นอะไรตาย" พราหมณ์ถาม

"ถ้กง้กัดตายเมื่อเชูานี้ " เสียงตอบอย่างสงบ

"แปลกนะ คนตายทั้งคน ผูอ ้ ย่้ขูางหลังไม่แสดงอาการเศรูาโศกเสียใจอะไร แถมมีใบหนูายิม


้ แยูม
แจ่มใสเสียอีก พราหมณ์รำาพึงออกมาดังๆ

ผู้เป็ นพ่อกล่าวว่า...

"บุตรเราทิ้งร่างเก่าไปเหมือนง้ลอกคราบเก่าทิ้ง เมื่อเขาละร่างนี้ ไป ถ้กไฟเผาอย่้ ก็ไม่รู้สึกอะไร


เราจะรูองไหูไปทำาไมเขามาอย่างใดก็ไปอย่างนั้น"

ผู้เป็ นแม่กล่าวว่า...

"บุตรชายเรา เรามิไดูเชิญก็มาเถิด เรามิไดูอนุญาตใหูไปก็ไป เขามาอย่างใดก็ไปอย่างนั้น ถ้กเผา


อย่้ก็ไม่รู้สึกอะไรเราจะรูองไหูไปทำาไม"

นูองสาวกล่าวว่า...

"ถูาเรารูองไหู เราก็ผอมไปเปล่า ไม่มผ ี ลดีอะไร ญาติพ่ีนอ


ู งก็จะไม่ยินดีกับเรา (ที่เป็ นเช่นนี้ ) เขา
ถ้กเผาอย่้ก็ไม่รู้สึกเขามาอย่างใดก็ไปอย่างนั้น"

ภรรยาเขากล่าวว่า...

"เด็กรูองไหูอยากไดูพระจันทร์ ย่อมไม่มีทางไดูฉนั ใดคนตายไปแลูว ใครจะรูองไหูหา เขาก็หากลับ


คืนมาไม่ นายของเราถ้กไฟไหมูอย่้ก็ไม่รู้สึก เขามาอย่างใดก็ไปอย่างนั้น"

คนใชูกล่าวว่า...

"หมูอนำ้าที่แตกแลูว ประสานใหม่ยากฉันใด คนล่วงลับไปแลูวก็เช่นกัน ถึงใครจะรูองไหูหาก็หาก


ลับคืนมาไม่ นายของขูาพเจูาถ้กไฟไหมูอย่้ก็ไม่รู้สึก เขามาอย่างใดก็ไปอย่างนั้น"

พราหมณ์แปลงไดูยินคำาพ้ดของทั้งสี่คน ก็กล่าวชมว่า

"พวกท่านเขูาใจธรรมดาของชีวิต พวกท่านย่อมไม่เศรูาโศกในขณะที่คนส่วนมากเศรูาโศกอย่้ เรา


ขออนุโมทนาดูวย ต่อนี้ ไปพวกท่านไม่ตูองทำานา ขูาพเจูาเป็ นทูาวสักกเทวราช จะบันดาลใหูพวก
ท่านมีทรัพย์สมบัติพอกินไปตลอดชีพ ขอใหูทำาบุญใหูทานรักษาศีลอุโบสถตลอดชีวิตเถิด"

นิ ทานเรื่องนี้ ใหูคติว่า ถูาเราเขูาใจและทำาใจไดู ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวใหญ่โตในชีวิตสักปานใด


ก็ตาม ย่อมตั้งสติไดูม่ันคง "ไม่เสียศ้นย์" เด็ดขาด

ในเรื่องเกี่ยวกับความตายนี้ เรารู้ดีว่าจะตูองตายอย่างแน่ แทู แต่เรามักไม่ยอมรับความจริง ไม่รู้


จักปลง หรือทำาใจไวูล่วงหนูา ไดูแต่นึกโตูเถียงว่า ไม่จริงๆ เราจะตูองไม่ตาย มัวแต่หลอกตัวเองไป
วันๆ พอถึงเวลาเขูา "เสียศ้นย์" ไปเลย

หลวงพ่อพุทธทาสจึงสอนว่า "จงตายเสียก่อนตาย แลูวจะสบายใจ"

จิตปราศจากธุลี

มงคลขูอต่อไป คือ จิตปราศจากธุลี

วิรชำ แปลตามอักษรว่า จิตปราศจากธุลีในทางพระพุทธศาสนา ท่านมักเปรียบกิเลสดุจธุลีเสมอ


"จิตปราศจากธุลี" จึงหมายถึงจิตปราศจากกิเลสนั้นเอง "กิเลส" หมายถึง สิ่งที่ทำาจิตใหูสกปรกมัว
หมอง จิตปราศจากกิเลสจึงเป็ นจิตที่บริสุทธิผ
์ ่องแผูว

คำาว่า "กิเลส" ด้เหมือนจะเป็ นที่รู้จักกันทั่วไปในหม่้คนไทย เพราะไดูยินไดูฟังไดูอ่านหนังสืออย่้


เสมอ ค่้กับคำาว่า "ตัณหา"

ความจริง "กิเลส" เป็ นคำากลางๆ เรียกความชั่วทางจิตทุกชนิ ด ความโลภก็เป็ นกิเลส ความโกรธ


ก็เป็ นกิเลส ตัณหาก็เป็ นกิเลส เพราะฉะนั้นในคัมภีร์พระไตรปิ ฎกท่านไม่คอ
่ ยใชูคำาศัพท์น้ี เวลาพ้ด
ถึงความชั่วของจิต ท่านก็ระบุช่ อื มันตรงๆ ไปเลย เช่น ราคะ โทสะ โกธะ ตัณหา ในคัมภีร์ระดับ
อรรถกถาเท่านั้นที่ใชู "กิเลส" กันแพร่หลาย

สตรีนอกใจสามี

สตรีนางหนึ่ งลอบเป็ นชู้กับนูองชายสามีมานานปี เกิดกลัวความลับจะเปิ ดเผย จึงบอกชายชู้ว่า ถูา


พี่ชายท่านจับไดูว่าเราเป็ นชู้กัน ชื่อเสียงเราก็จะเสียหาย ทางที่ดีขอใหูท่านฆ่าพี่ชายของท่านเสีย
เถิด นูองชายก็เชื่อ จึงวางแผนฆ่าพี่ชายเสีย

พี่ชายนั้น เนื่องจากมีความรักภรรยามาก จึงไปเกิดเป็ นจิ้งจก เมื่อนางยืนก็ดี นั่งก็ดี จิ้งจกนั้นจะ


ตกลงมายังเธอ นางจึงสั่งใหูฆ่าจิ้งจกนั้นเสีย

จิ้งจกตายแลูวไดูไปเกิดเป็ นล้กหมาในบูานของนาง ดูวยความรักความเสน่ หาในนาง ล้กหมานูอย


จะติดสอยหูอยตามนายหญิงไปไหนต่อไหนเป็ นประจำา จนประชาชนพ้ดลูอนางว่า "แม่นายพรวน
วันนี้ จะออกล่าเนื้อที่ไหน"

นางอับอายผู้คน จึงฆ่าล้กหมาตัวนั้นเสีย ล้กหมาตายแลูวไปเกิดเป็ นล้กวัวในเรือนนั้น ล้กวัวนูอย


จะคอยติดตามนายหญิงไปไหนต่อไหนเสมอ จนถ้กคนเขาลูอเอาว่า "แม่โคบาล จะพาฝ้งวัวไป
ไหน"

นางเกิดความละอายจึงฆ่าล้กวัวตัวนั้นเสีย ล้กวัวตายไปเกิดเป็ นบุตรผู้ระลึกชาติไดูของนาง ไม่


ยอมใหูแม่แตะตูองตัวตั้งแต่รู้ความ ถูาถ้กนางแตะตูองตัวเมื่อใด จะรูองไหูไม่หยุด ยายจึงเอาไป
เลี้ยง เมื่อเขาเติบโตขึ้น ไดูตอบคำาถามของยาย นางคนนี้ มใิ ช่แม่ของตน หากแต่เป็ นศัตร้ ฆ่าเขา
มาหลายชาติติดต่อกัน ยายไดูฟังดังนั้นก็สลดใจ พาเขาออกจากบูานไปบวชในพระพุทธศาสนาไม่
ชูาไม่นานก็ไดูบรรลุพระอรหัต...

จิตอันเกษม

มงคลขูอต่อไป คือ เขมำ แปลกันว่า จิตที่เกษม ถูาแปลง่ายๆ ใหูคนทั่วไปพอเขูาใจก็คอ


ื จิตที่ปลอด
จากกิเลส จิตที่ปลอดภัยไม่มีกิเลสรบกวนนั่นแหละขอรับ

เรื่องจิตเกษมนี้ ก็เหมือนกัน พระอรหันต์เท่านั้นจึงจะมีจิตอันเกษมตลอดเวลา แต่คนยังไม่เป็ น


อรหันต์ก็พอทำาจิตใหูเกษมเป็ นขั้นๆ ไดูจนถึงระดับส้ง ท่านจึงแบ่งระดับจิตเกษมไวูดังนี้

1. จิตเกษมระดับตูน
2. จิตเกษมระดับกลาง
3. จิตเกษมระดับส้ง

คนระดับเราๆ ที่เวียนว่ายอย่้ท่ามกลางกระแสกิเลสตัณหา เอาแค่ทำาใจปลอดจากโลภ โกรธ หลง


บูางบางครั้งบางคราว ไม่ปล่อยใหูกิเลสชักจ้งไปทำาทุจริตก็พอแลูวครับ...

แม่ชีอวดภูมิ

แม่ชีคนหนึ่ ง พอปฏิบัติกรรมฐานไดูเพียงเดือนสองเดือนก็มาคุยอวดพระว่า กิเลสของตนเองลดลง


ทุกทีๆ จนเบาบางที่สุดแล

"อิชั้นนะคะ เดีย
๋ วนี้ กิเลสเหลือนูอยเต็มทีแลูว ใกลูจะหมดแลูว" ว่าเขูาไปโน่ น

พระท่านก็น่ังฟั งดูวยความสงบ แต่เธอชอบมาคุยแต่เรื่องเดิมทุกวัน ไม่ใช่พระอิฐพระป้นนี่ ครับ


พระปุถุชนก็ย่อมมีความรู้สึกบูางสิ

วันหนึ่ งแม่ชีคนเดิมมาถึงก็คุยโมูว่ากิเลสของตนใกลูจะหมดแลูว เบาบางเหลือเกิน พระก็เลยโพล่ง


ขึ้นว่า...

"อีตอแหล"

เท่านั้นแหละครับ กิเลสที่ว่าเบาบาง ใกลูจะหมดแลูว ไม่รม


ู้ าจากไหน เธอเตูนผางเลย

"พระอะไรพ้ดคำาหยาบ เสียแรงนับถือ ไม่นับถือแลูว"

ว่าแลูวก็ลงสูนตึงๆ ลงไปจากกุฏิ

พระท่านก็เลยพ้ดไล่หลังว่า...
"นึ กแลูว กิเลสมันไม่หมดไปง่ายๆ ดอก"

อย่าทำาเป็ นดีไป กิเลสมันไม่หมดง่ายๆ ดอกครับ ตูองค่อยเป็ นค่อยไป ปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติไป


เรื่อยๆ สะสมบารมีไปทีละนิ ดละหน่ อย อย่าไดูเที่ยวสะสมกิเลสโดยเฉพาะทิฐิมานะ (ความเห็นผิด,
ความถือตัว) อติมานะ (ความด้ถ้กคนอื่น) หรืออุปาทาน (ความยึดมั่น) เขูาเป็ นอันขาด

หาไม่ปฏิบัตินานยิ่งมีปัญหา เขูากับใครก็ไม่ไดู เพราะว่าเธอเอามาตรฐานของตัวไปวัดคนอื่นว่า


เลว สู้ตนไม่ไดูอย่้เสมอแลูวก็ยึดติดอย่้ว่า แนวทางของสำานักตน ของอาจารย์ตนเท่านั้นถ้กตูอง
ของคนอื่นผิดหมด...

ภาคผนวก

พระบรมศาสดาตถาคต สำาราญอิริยาบถทรงพักผ่อน
ณ วิหาร "เชตวัน" อันสุนทร ใกลูนครสาวัตถีบุรีรัตน์
เหล่าสาวกสาวิกามาฟั งธรรม ตั้งแต่เชูายันคำ่าแน่ นขนัด
บัดนี้ วังเวงไปทั้งในวัด ดึกสงัดไรูเสียงสำาเนี ยงคน
เทวดาจากสถานพิมานทิพย์ เหาะลิ่วลิ่วลิบลิบจากเวหน
หวังท้ลถามตถาคตทศพล สิ่งที่ตนกังขามาชูานาน
บันดาลใหูไฟสว่างไปทั้งวัด จนมองเห็นถนัดทุกสถาน
ความมืดกลายเป็ นเวลาทิวาร อภิวาทพระทรงญาณในทันใด
ยืนอย่้ ณ สถานอันเหมาะสม กรประนมซักถามความสงสัย
เป็ นโศลกเสนาะรสพจนัย ซึง ่ มีใจความย่อต่อไปนี้
"เหล่าเทพเทวามหาฤทธิ ์ ผูส ้ ถิตวิมานแมนแดนสุขี
ทั้งมนุษย์ในมหาปฐพี ต่างสงสัยอะไรดีเป็ นมงคล
ขูาพระเจูาขอปุจฉาตถาคต ใหูปรากฏแจ่มแจูงทุกแห่งหน
อะไรคือมงคลเลิศประเสริฐลูน เผยยุบลใหูกระจ่างสว่างนัย
ฝ่ ายองค์พระมุนินท์ชินสีห์ เผยวจีภิปรายหายสงสัย
การทำาดีทางกายวาจาใจ คือสิ่งใหูผลเห็นเป็ น "มงคล"

ห่างคนพาลสันดานชั่วมั่วทางผิด
คบบัณฑิตคนดีมีกุศล
ยกย่องคนควรยกย่องประคองตน
เป็ นยอดยิ่งมิ่งมงคลอุดมดี

อย่้ถิ่นฐานเหมาะสมอบรมตน
มีกศุ ลเสริมสรูางปางก่อนนี้
ดำารงตนชอบทางอย่างเมธี
เป็ นยอดศรีมงคลอุดมคุณ

เป็ นผู้คงแก่เรียนเพียรศึกษา
ศิลปะวิทยาพาเกื้อหนุน
พ้ดจาดีมีวินัยลำ้าช่วยคำ้าจุน
เป็ นยอดบุญยอดยิ่งมิ่งมงคล

อีกเลี้ยงด้พ่อแม่ยามแก่เฒ่า
ล้กเมียเราบำารุงใหูไม่ขัดสน
การงานทำาไม่ค่ังคูางเป็ นกังวล
เป็ นยอดยิ่งมิ่งขวัญดลสวัสดี

บำาเพ็ญทานประพฤติธรรมสุจริต
สงเคราะห์เหล่าญาติสนิ ทใหูสุขี
ทำาการงานบริสุทธิใ์ นยุทธวิธี
เป็ นยอดศรียอดผลมงคลชัย

งดจากบาปถูวนทั่วสิ่งมัวหมอง
งดเครื่องดองของเมาไม่เขูาใกลู
ไม่ประมาทในธรรมประจำาใจ
เป็ นยอดยิ่งมิ่งหทัยมงคลดี

คารวะนอบนูอมคูอมศิโรตม์
มีสันโดษรู้จักใชูปัจจัยสี่
กตัญญ้รู้คุณหนุนคนดี
ฟั งธรรมตามกาลมียอดมงคล

อีกอดทนเต็มเปี่ ยมเสงี่ยมสงบ
หมั่นเขูาพบสมณะประเสริฐผล
สนทนาธรรมะกาละดล
ยอดกุศลยอดยิ่งมิ่งมนุษย์

มีเพียรเครื่องเผากิเลสเหตุมัวหมอง
มีชีพครองพรหมจรรย์อน ั วิสุทธิ ์
เห็นสัจจะอันประเสริฐเลิศวิมุติ
แจูงนิ พพานอันส้งสุดยอดมงคล

จิตไม่ไหวไม่เศรูาเคลูากิเลส
อันเป็ นเหตุใหูจิตคิดหมองหม่น
จิตเกษมปลอดภัยไรูกังวล
ประลุดลมิ่งขวัญอนันต์นาน

มงคลธรรมสามสิบแปดประการนี้
ใครทำาไดูทำาดีทุกสถาน
จะมีชัยชำานะทุกประการ
ดลบันดาลยอดยิ่งมิ่งมงคล

You might also like