Professional Documents
Culture Documents
การคลังและการงบประมาณสาธารณะ
ความหมายของการคลัง
คาว่าการคลัง (Public Finance) ได้มีนกั วิชาการได้ให้คานิยามไว้หลากหลายดังนี้
อรัญ ธรรมโน (2548 : 10) ได้อธิบายว่า การคลังเป็ นการศึกษาเกี่ยวกับข้อเท็จจริ ง ทฤษฎี
วิธีการ และผลกระทบกระเทือนของการรับและจ่ายเงินของรัฐบาล และการบริ หารหนี้สาธารณะ
ไพรัช ตระการศิรินนท์ (2550: 1-4) ได้ให้ความหมายไว้ว่า นโยบายเชิงควบคุมของรัฐบาล
จะมีผลกระทบอย่างสาคัญต่อการจัดสรรทรัพยากร นโยบายเหล่านี้ บางครั้งต้องนามาตรการใช้จ่าย
ของรั ฐ บาลหรื อมาตรการด้า นภาษี ม าใช้ จึ ง จะสามารถบรรลุ เ ป้ า หมายที่ รั ฐ บาลก าหนดนั ก
เศรษฐศาสตร์ การคลังภาครัฐ จะศึกษาวิเคราะห์ท้ งั ผลกระทบที่เกิดจากกิจกรรมการจัดเก็บภาษีและ
การใช้จ่ายที่รัฐบาลสมควรจะกระทามุมมองต่างๆ เกี่ยวกับหน้าที่ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลมักจะ
ได้รับอิทธิพลจากทัศนคติทวั่ ไปที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลที่มีต่อภาครัฐ
ธัญญณัฐ ญาณมโนวิศิษฏ์ (2552: 25) ได้ให้ความหมายไว้วา่ การคลังเป็ นการศึกษากิจกรรม
การหารายได้และการใช้จ่ายของรัฐบาล การอธิ บายเกี่ยวกับการใช้จ่ายการเงินงบประมาณ ภาษี
106
รายรับและรายจ่ ายของภาครัฐ
การคลังมีความสาคัญในฐานะที่เป็ นเครื่ องมือทางเศรษฐกิจและการบริ หารของรัฐในการที่
จะช่วยให้รัฐบาลได้ทาหน้าที่ทางเศรษฐกิจในการจัดสรรทรัพยากรทางสังคม การกระจายรายได้
ของสังคม และการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิ ทธิผลมากที่สุด ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ
รายรับและรายจ่าย
ไชยา เกษารัตน์ (2556 : 238-240) ได้กล่าวถึงรายรับและรายจ่ายของภาครัฐไว้ดงั นี้
รายรับของรัฐบาลสามารถพิจารณาที่มาได้เป็ น 3 แหล่งใหญ่ๆ ได้แก่ 1) มาจากรายได้ของ
รัฐบาล 2) มาจากเงินกู้ และ 3) มาจากเงินคงคลัง อธิบายได้ดงั นี้
1. รายได้ของรัฐบาล ประกอบด้วย ภาษีอากร การขายสิ นค้าและบริ การ รัฐพาณิ ชย์ และ
อื่นๆ เช่น ค่าปรับ ค่าภาคหลวง (เงินค่าธรรมเนี ยม แร่ ปิ โตรเลียม ป่ าไม้) ฤชากร (เงินที่ได้จาก
ค่าธรรมเนี ยม) การผลิตเหรี ยญกษาปณ์ ภาษีแบ่งออกเป็ น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ 1) ภาษีทางตรง
(Direct Tax) และ 2) ภาษีทางอ้อม (Indirect Tax)
107
วัตถุประสงค์ของนโยบายการคลัง
นโยบายการคลังเป็ นนโยบายเกี่ยวกับการใช้จ่ายรายได้ของรัฐเป็ นเครื่ องมือสาคัญในการ
กาหนดแนวทางเป้าหมายและการดาเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ นโยบายการคลัง
ประกอบด้วยนโยบายภาษีอากรนโยบายด้านรายจ่ายนโยบายการก่อหนี้ และบริ หารหนี้ สาธารณะ
และนโยบายในการบริ หารเงินคงคลังซึ่ งมีวิธีการของนโยบายการคลังที่สาคัญ ได้แก่ การกาหนด
รายจ่ายต้องจัดทาเป็ นงบประมาณการหารายได้ของรัฐบาลโดยการเก็บภาษีอากรซึ่ งต้องคานึ งถึง
ความเป็ นธรรมการสร้างรายได้พอเพียงและหลักความสามารถในการใช้จ่ายของผูม้ ีหน้าที่ในการ
เสี ยภาษี หรื อในกรณี ที่รายได้ไม่ เพียงพอกับรายจ่ายของผูม้ ีหน้าที่ในการเสี ยภาษีหรื อกรณี ที่รายได้
ไม่เพียงพอกับรายจ่ายรัฐบาลอาจเลือกใช้วิธีก่อหนี้ เป็ นต้น
ณัฐพัชร์ สถิตพรธนชัย (2553 : 180-185) ได้อธิบายถึงลักษณะของนโยบายด้านการคลัง
ไว้ ดังนี้
1. ลักษณะของนโยบายการคลัง การกาหนดนโยบายการคลังจะมุ่งเน้นเป้าหมายทาง
เศรษฐกิจ 4 ประการ ดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ของการกาหนดนโยบายการคลังกับระบบ
เศรษฐกิจสามารถดาเนินการได้ใน 2 ลักษณะหลัก ๆ คือ
1.1 การกาหนดนโยบายการคลังแบบหดตัว มุ่งเน้นเป้าหมายลดความต้องการการ
ใช้จ่ายภายในประเทศ ทาให้รายได้ประชาชาติลดลง เพื่อชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ โดยรัฐ
จะทางบประมาณรายจ่ายแบบเกินดุลหรื อจัดเก็บภาษีมากขึ้น
1.2 การก าหนดนโยบายการคลัง แบบขยายตัว มุ่ ง เน้นการเพิ่ ม เป้ า หมายความ
ต้องการใช้จ่า ยภายในประเทศเพื่อทาให้รายได้ประชาชาติ เพิ่ มขึ้ น โดยรั ฐจะจัดท างบประมาณ
รายจ่ายแบบขาดดุล หรื อลดภาษี
2. ประเภทของนโยบายการคลัง นโยบายการคลัง ที่ ไ ด้ก าหนดขึ้ นแบ่ ง ออกเป็ น 4
ประการ คือ (พรชัย ฐีระเวช, 2558 : 13)
2.1 นโยบายรายได้ รายได้ของรัฐบาลประกอบด้วยรายได้ที่มาจากการจัดเก็บภาษี
อากรและรายได้ที่ไม่ใช่ภาษีอากร ดังนั้น ขอบเขตสาคัญที่ควรพิจารณา คือ ขอบเขตของการจัดเก็บ
113
2. นโยบายการคลังกับการแก้ไขปัญหาภาวะเงินเฟ้อ รัฐบาลใช้นโยบายการคลังแบบหดตัว
เพื่อแก้ไขปั ญหาภาวะเงินเฟ้อ โดยมีการเพิ่มอัตราภาษีและลดรายจ่ายของรัฐบาลเพื่อลดปริ มาณเงิน
หมุ นเวีย นในระบบเศรษฐกิ จลดการบริ โภคของประชาชนลงและลดรายจ่ ายของรั ฐบาลทาให้
ประชาชนมีรายได้ลดลง นโยบายนี้ รัฐบาลต้องใช้งบประมาณแบบเกินดุลคือต้องทาให้รายรับสู ง
กว่ารายจ่าย
3. นโยบายการคลัง กับ การแก้ไ ขปั ญ หาภาวะเงิ น ฝื ด รั ฐ บาลใช้น โยบายการคลัง แบบ
ขยายตัวเพื่อแก้ปัญหาภาวะเงินฝื ดโดยการเพิ่มรายจ่ายของรัฐบาลและลดอัตราภาษีเพื่อเพิ่มปริ มาณ
เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพื่อความต้องการบริ โภคนของประชาชนเพื่อการลดทุนเพิ่มการ
จ้างงานและผลผลิตทาให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นนโยบายนี้ รัฐบาลต้องใช้งบประมาณแบบขาด
ดุลคือต้องทาให้รายจ่ายสูงกว่ารายรับ
4. นโยบายการคลังเป้าหมายทางเศรษฐกิจมหาภาค เนื่องจากรัฐบาลมีหน้าที่ในการกาหนด
ทิศทางของเศรษฐกิจภายในประเทศ ดังนั้นรัฐมักใช้นโยบายทางการคลังเพื่อเป้าหมายทางเศรษฐกิจ
ได้แก่ การจัดสรรทรัพยากรภายใน ระบบเศรษฐกิจอย่างมีประสิ ทธิภาพ การกระจายรายได้ที่เป็ น
ธรรม สร้างความเจริ ญเติบโตทางเศรษฐกิจ รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเครื่ องมือของนโยบายการ
คลัง การดาเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลไทยโดยผูร้ ับผิดชอบดูแลกระทรวงการคลังมีเป้าหมาย
เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวการรักษาความ
เจริ ญเติบโตทางเศรษฐกิจการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิ ทธิ ภาพ ตลอดจนการกระจายรายได้
และทรัพย์สินที่เป็ นธรรม ดังนั้นเครื่ องมือนโยบายการคลังสามารถจาแนกได้ 4 ประเด็น ดังนี้
4.1 เครื่ องมือด้านการบริ หารรายได้ ได้แก่ การจัดเก็บภาษีและการจัดเก็บรายได้ที่
ไม่ใช่ภาษี เช่น รายได้จากรัฐวิสาหกิจ เป็ นต้น หน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่ องนี้ คือ กรมสรรพากร
กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร ซึ่ งการใช้จ่ายของรัฐบาล ได้แก่ 1) การใช้จ่ายเพื่อการซื้ อสิ นค้าและ
บริ การของรัฐบาล ประกอบด้วย (1)การใช้จ่ายในการบริ โภคหรื องบประจา เช่น ค่าจ้างเงินเดือน
ข้าราชการ ลูกจ้างของรัฐ (2) การใช้จ่ายในการลงทุนหรื องบลงทุน ได้แก่ งบลงทุนในโครงการ
ต่างๆ เช่น การก่อสร้างฐานอุปโภคต่างๆ การใช้จ่ายเงินโอนของรัฐบาลเป็ นรายจ่ายที่ รัฐบาลจ่ าย
ให้แก่บุคคลหรื อหน่วยงานโดยไม่ได้สร้างผลผลิตเป็ นการโอนอานาจซื้ อจ่ายมือรัฐไปสู่ มือผูร้ ับ เช่น
เงินบาเหน็จบานาญ เงินสงเคราะห์ชราและทุพพลภาพและเงินอุดหนุนการต่างเงินโอนจึงไม่อยู่ใน
GDP หรื อ GMP แต่อยูใ่ น Discos Adele Income
4.2 เครื่ องมือด้านการบริ หารรายจ่าย การบริ หารงบประมาณแผ่นดิน การจัดเตรี ยม
งบประมาณเพื่อใช้จ่ายในโครงการต่างๆ การควบคุมดูแลตรวจสอบหน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่
115
ระบบบริหารการคลัง
รู ปแบบความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมทางการคลังและสถาบันการคลังต่างๆ ซึ่ งรวมกัน
เป็ นโครงสร้ า งของระบบการคลัง กิ จกรรมและสถาบันการคลัง ต่ า งๆเหล่ า นี้ มี ก ารดาเนิ น งาน
เกี่ยวเนื่องการตามประเพณี ปฏิบตั ิ ระเบียบและกฎหมายต่างๆที่กาหนดไว้ระบบบริ หารการคลังจึง
116
พยายามสร้างดุลยภาพระหว่างรายได้และรายจ่ายโดยพยายามไม่ให้มีเงินสดในคลังมากเกินไป ซึ่ง
จะเป็ นการเสี ยค่าเสี ยโอกาสจากการถือเงินสดไว้เป็ นจานวนมาก เนื่ องจากเงินสดจะไม่ได้ดอกเบี้ย
และเป็ นการเสี ย โอกาสในการน าเงิ น ไปใช้จ่ า ยในกิ จ กรรมที่ มี ค วามส าคัญ และเร่ ง ด่ ว นใน
ขณะเดียวกันจะต้องพยายามไม่ให้มีเงินสดในคลังน้อยเกินไปจนทาให้การเบิกจ่ายเงินงบประมาณ
ของหน่วยงานราชการต้องติดขัดและล่าช้า นอกจากนี้ ในบางกรณี รัฐบาลยังอาจมีความจาเป็ นต้อง
ใช้จ่ายเงินมากกว่ารายได้ในขณะใดขณะหนึ่ งทาให้ตอ้ งมีการกูเ้ งินระยะสั้นเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายโดย
การออกตัว๋ เงินคลัง สาหรับการบริ หารเงินกูห้ รื อหนี้ สาธารณะก็เป็ นงานสาคัญอีกด้านหนึ่ งของการ
บริ หารเงินสด หน่วยงานสาคัญที่ทาหน้าที่ดูแลการบริ หารการเบิกจ่ายและการบริ หารเงินสดของ
รัฐบาลในส่ วนกลาง คือ กรมบัญชีกลาง สาหรับหน่วยงานรัฐบาลในจังหวัดต่างๆ กรมบัญชีกลาง
มอบหมายให้คลังจังหวัดทาหน้าที่ดูแลงานด้านนี้ และเพื่อให้การบริ หารการเบิกจ่ายเงินเป็ นไปด้วย
ความเรี ยบร้ อยเร็ วและมี ประสิ ทธิ ภาพมากยิ่งขึ้น กรมบัญชี กลางและหน่ วยงานที่เกี่ ยวข้องได้นา
ระบบการบริ ห ารงานค้า งภาครั ฐ ด้ว ยระบบอิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ (Government Fiscal Management
Information System: GFMIS ) มาใช้ในการบริ หารการเบิกจ่ายเงิน
5. การบริ หารการตรวจสอบการใช้จ่ายเงิน เป็ นกิจกรรมที่มีความจาเป็ นและมีความสาคัญ
ยิ่งในระบบการบริ หารการคลังทั้งนี้ เพื่อให้การบริ หารงานคลังของรัฐมีความถูกต้องและเชื่อถือได้
การตรวจสอบทางการคลังโดยเฉพาะอย่างยิง่ การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของแผ่นดินครอบคลุมถึง
กิจกรรมหลายประการ เช่น การตรวจสอบบัญชีการเงิน บัญชีทรัพย์สิน บัญชีพสั ดุคุรุภณ ั ฑ์ และมี
หน่ วยงานกลางเป็ นผูค้ วบคุมและดาเนิ นการตรวจสอบ นอกจากนั้นลักษณะการตรวจสอบก็มีท้ งั
การตรวจสอบจากภายนอกโดยผ่านกลไกของรัฐสภา และการตรวจสอบจากภายในซึ่งมักจะมีการ
ตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมาทาหน้าที่น้ ี ในกรณี ของประเทศไทยมีสานักงานตรวจสอบเงินแผ่นดินซึ่งผู ้
มีอานาจสานักงานขึ้นตรงต่อประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดินโดยพระมหากษัตริ ยท์ รงแต่งตั้ง
ตามคาแนะนาของวุฒิสภา ทาหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายและตรวจสอบงานด้านการคลัง ไม่เฉพาะ
แต่เงินงบประมาณแผ่นดินเท่านั้นแต่ยงั มีการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินแหล่งอื่นๆด้วย เช่น เงินนอก
งบประมาณต่างๆ เงิ นกู้ เงิ นช่ วยเหลื อ รวมทั้งการตรวจสอบการใช้จ่ายเงิ นของรั ฐวิสาหกิจ และ
องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น
5.1 ตรวจสอบความถู ก ต้อ ง โดยพิ จ ารณาว่ า เจ้า หน้า ที่ ไ ด้ป ฏิ บัติ ต าม
ระเบี ย บแบบแผนที่ ก าหนดไว้ห รื อ ไม่ การลงบัญ ชี ว่ า จ านวนเงิ น และสิ่ ง ของถู ก ต้อ งตรงตาม
หลักฐานหรื อลงประเภทบัญชีถูกต้องหรื อไม่
5.2 ตรวจสอบประสิ ทธิภาพ โดยพิจารณาว่าเจ้าหน้าที่ผดู ้ าเนินงานมีการใช้
จ่ายอย่างประหยัดหรื อไม่ ใช้เวลาในการดาเนินการในกิจกรรมหรื อโครงการต่างๆมากไปหรื อไม่
119
สถาบันการคลัง
รัฐบาลมีหน้าที่จดั หารายได้และใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทาง
เศรษฐกิจที่สาคัญ คือ การจัดสรรทรัพยากรของสังคมให้เกิดประสิ ทธิภาพ การกระจายรายได้ให้เกิด
ความเป็ นธรรม การสร้างความเจริ ญเติบโตและการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ใน
การดาเนิ นการดังกล่าวจะต้องอาศัยสถาบันหรื อองค์การต่าง ๆ ของรัฐ สถาบันหรื อหน่วยงานที่มี
อานาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการคลังอาจจาแนกออกกว้าง ๆ ได้เป็ นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดทา
และบริ หารงบประมาณฝ่ ายบริ หาร สถาบันในส่ วนที่เกี่ยวข้องกับการอนุมตั ิ งบประมาณในฝ่ ายนิ ติ
บัญญัติ และหน่วยงานอิสระของรัฐที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ หน่วยงานที่
เกี่ ยวกับการจัดทาและบริ หารงบประมาณ ซึ่ งประกอบด้วยรั ฐบาลและรั ฐบาลท้องถิ่นโดยแต่ละ
หน่วยงานมีบทบาท ดังนี้ (รังสรรค์ ประเสริ ฐศรี , 2551 : 239-240, สถาพร วิชยั รัมย์, 2559: 267)
1. รั ฐบาล สถาบันที่เกี่ยวกับการจัดทาและการบริ หารงบประมาณของรั ฐบาลอาจ
จาแนกได้เป็ นสถาบันการคลังด้านรายรับและด้านรายจ่าย โดยรายรับของรัฐบาล ประกอบด้วย
รายได้จ ากภาษี อ ากร รายได้อื่ น ๆ เงิ น กู้ รวมทั้ง เงิ น ช่ ว ยเหลื อ หรื อ เงิ น บริ จ าคทั้ง ภายในและ
ต่างประเทศ
1.1 รายรั บ และแหล่งรายได้ของรั ฐ กระทรวงการคลังเป็ นหน่ วยงานหลัก ของ
รัฐบาลที่มีอานาจหน้าที่เกี่ยวข้องทางด้านรายรับที่เป็ นรายได้และเงินกูแ้ ละการเบิกจ่าย ซึ่งโดยทัว่ ไป
แหล่งที่มาของรายได้แบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1.1.1 รายได้จากภาษีอากร เป็ นรายได้หลักมีจานวนมากกว่ารายได้อื่นใด
120
1.2 รายจ่ า ย สถาบัน การคลัง ด้า นรายจ่ า ยจะพิ จ ารณาเฉพาะหน่ ว ยงานที่ มี ห น้า ที่
เกี่ยวข้องกับการกาหนดขนาด การจัดทาการอนุมตั ิ และจัดสรร และการควบคุมงบประมาณรายจ่าย
เหล่านั้นไม่รวมหน่วยงานที่ใช้งบประมาณรายจ่ายด้วย
ศุภวัฒน์ ปภัสรากาญจน์ (2546 : 8-9) ได้อธิบายว่า หน่วยงานหลักในฝ่ ายบริ หารที่
ถือว่าเป็ นสถาบันการคลังด้านรายจ่าย ประกอบด้วย สานักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ธนาคาร
แห่งประเทศไทย และสานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ งชาติ นอกจากนี้ ยงั มี
หน่วยงานรัฐที่เป็ นอิสระ ได้แก่ สางักงานตรวจเงินแผ่นดิน โดยในการจัดทางบประมาณรายจ่ าย
ประจาปี กระบวนการจัดทางบประมาณกระบวนการงบประมาณจะเริ่ มต้นตั้งแต่ข้ นั ตอนการจัดทา
งบประมาณ การอนุมตั ิงบประมาณ การบริ หารงบประมาณ และการควบคุมงบประมาณ
นอกจากนี้ พรชัย ฐี ระเวช (2558 : 34-35) ได้อธิ บายว่า สถาบันการคลังรายจ่ าย
ข้างต้น มีอานาจในการดาเนิ นการด้านนี้ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น สานักงบประมาณมีอานาจ
เกี่ยวกับการงบประมาณจามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติมและ
ระเบี ย บที่ อ อกตามกฎหมายดัง กล่ า ว และกระทรวงการคลัง มี อ านาจเกี่ ย วกับ การบริ ห ารเงิ น
งบประมาณตามพระราชบัญ ญัติ วิ ธี ก ารงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่ แ ก้ ไ ขเพิ่ ม เติ ม และ
พระราชบัญ ญัติ ค งคลัง พ.ศ. 2491 รวมทั้ ง ระเบี ย บหรื อข้ อ บั ง คั บ ที่ อ อกโดยอ านาจาของ
พระราชบัญญัติท้ งั 2 ฉบับ เป็ นต้น
2. รัฐบาลท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ สุ ชาดา ตั้งทางธรรม (2554 : 39) พรชัย ฐีระเวช (2558 :
35) และสถาพร วิชยั รัมย์, 2559: 268) ได้อธิบาย สรุ ปได้ดงั นี้
รัฐบาลท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจก็มีบทบาทในการการทาหน้าที่สถาบันการคลังด้านรายรับ
และรายจ่ ายที่ มีกฎหมายจัดตั้งให้ดาเนิ นการด้วย รั ฐบาลท้องถิ่ นในประเทศไทย เรี ยกว่า องค์กร
ปกครองส่ วนท้องถิ่ น (Local Authorities) มีอานาจจัดเก็บภาษีอากรบางประเภท เช่น ภาษีบารุ ง
ท้องที่ ภาษีป้าย ภาษีสรรพสามิต เป็ นต้น และมีรายได้จากค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต ค่าปรับภาษี
และอื่ น ๆ แต่ ไ ม่ มี อ านาจในการก าหนดนโยบายรายได้ โดยอ านาจดั ง กล่ า วเป็ นของ
กระทรวงมหาดไทย ซึ่ ง เป็ นหน่ วยงานที่ ก ากับ ดู แลโดยตรง องค์ก รปกครองส่ ว นท้องถิ่ น จะมี
หน่ วยงานงบประมาณในองค์กรทาหน้าที่จดั ทาและเสนองบประมาณเพื่อให้ฝ่ายนิ ติบญ ั ญัติของ
ท้องถิ่นหรื อสภาท้องถิ่นอนุมตั ิก่อนที่จะดาเนิ นการใช้จ่ายได้ โดยมีหน่วยงานการเงินและบัญชี ทา
หน้าที่บริ หารและควบคุมการใช้จ่าย
ส่ วนรัฐวิสาหกิจก็มีหลายแห่ งที่สามารถนารายได้ส่งรัฐในรู ปของกาไรหรื อเงินปันผลมา
โดยตลอด เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สานักงานสลากกินแบ่งของรัฐบาล โรงงานยาสู บ บริ ษทั
ทีโอที จากัด การสื่ อสารแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็ นต้น
122
การประมาณการรายได้ ของภาครัฐ
การประมาณการรายได้ของรัฐบาลเป็ นเรื่ องที่มีความสาคัญอย่างยิ่งต่อการกาหนดนโยบาย
ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจาปี โดยในการกาหนดนโยบายและวงเงินงบประมาณรายจ่าย
ประจาปี ในแต่ละปี รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทาการประเมินการรายได้จากแหล่งรายได้
ต่างๆของรัฐบาลเพื่อให้ทราบว่าในปี ต่อไปหรื อปี ที่จดั ทางบประมาณรายจ่ายการบริ หารและพัฒนา
ประเทศรัฐบาลจะมีรายได้เป็ นจานวนเท่าใด เพียงพอที่จะใช้จ่ายในการบริ หารงานให้เป็ นไปตาม
ยุทธศาสตร์ ของชาติและนโยบายของรั ฐบาลหรื อไม่ มากน้อยเพียงใดเพื่ อรั ฐบาลจะได้ก าหนด
นโยบายและวงเงินงบประมาณรวมถึงนโยบายการคลังด้านอื่นๆได้อย่างเหมาะสมกับสภาวการณ์
และเป้าหมายทางเศรษฐกิจของประเทศโดยปกติการประมาณการรายได้ของรัฐบาลจัดเป็ นหน้าที่
ของหน่วยงานที่มีหน้าที่จดั เก็บรายได้ประเภทต่างๆ หน่วยงานที่สาคัญ ได้แก่ กระทรวงการคลังซึ่ง
มีหน่วยงานหลักในการจัดเก็บรายได้ประเภทภาษีอากร คือ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และ
ศุลกากร นอกจากนี้ยงั มีหน่วยงานของกระทรวงและกรมต่างๆรวมถึงรัฐวิสาหกิจที่ทาหน้าที่ในการ
จัดเก็บรายได้ให้แก่รัฐบาล หน่วยงานต่างๆเหล่านี้ จะทาการประมาณการรายได้ของหน่วยงานของ
ตนและรวบรวมเสนอให้รัฐบาลทราบยอดรวมวงเงินประมาณการรายได้ในทางปฏิบตั ิการประมาณ
การรายได้ป ระจ าปี ของรั ฐ บาลมี ห น่ ว ยงานหลัก ซึ่ งประกอบด้ว ยกระทรวงการคลัง ส านัก
งบประมาณ สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ งชาติ และธนาคา รแห่ ง
ประเทศไทย ร่ วมกันพิจารณาประมาณการรายได้ที่หน่ วยงานต่างๆได้จดั ทาขึ้นเพื่อให้ได้ขอ้ สรุ ป
ยอดวงเงินประมาณการรายได้ประจาปี ที่เหมาะสมถูกต้องและใกล้เคียงกับรายได้ที่จดั เก็บได้จริ ง
การประมาณการรายได้น้ ี จะเป็ นปั จจัยที่สาคัญในการกาหนดนโยบายและวงเงินงบประมาณรายจ่าย
ประจาปี ต่อไป
อิ ศ เรศ ศัน สนี ย ์วิ ท ยากุ ล (2561 : 10.19-10.21)ได้ก ล่ า วถึ ง การประมาณการรายได้ข อง
หน่วยงานที่มีหน้าที่จดั เก็บรายได้ของรัฐบาลมีกระบวนการดาเนินงาน 7 ประการ ดังนี้
1. ส่ วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่มีหน้าที่ในการจัดเก็บรายได้ให้แก่ รัฐบาลทาการ
ประมาณการรายได้ของส่ วนราชการและวิสาหกิจนั้นๆ โดยใช้เทคนิ คและวิธีการต่างๆตามความ
123
เหมาะสมเพื่อให้ทราบว่าในปี งบประมาณต่อไปหน่วยงานนั้นๆจะสามารถจัดเก็บรายได้ประเภทใด
เป็ นจานวนเท่าใด
2. ส่ วนราชการและรั ฐ วิ ส าหกิ จ ต่ า งๆเสนอรายละเอี ย ดประมาณรายได้ ไ ปยัง
กระทรวงการคลังและสานักงบประมาณตามแบบรายงานที่กาหนด ภายในเวลาที่กาหนดไว้ใน
ปฏิทินงบประมาณโดยปกติส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจะจัดส่ งรายละเอียดประมาณการรายได้
พร้ อ มกับ ค าขอตั้ง งบประมาณรายจ่ า ยประจ าปี ซึ่ งจะเป็ นเวลาประมาณ 9 เดื อ นก่ อ นวัน เริ่ ม
ปี งบประมาณใหม่
3. ในขณะที่ ส่ ว นราชการและรั ฐ วิ ส าหกิ จ ต่ า งๆจัด ท าประมาณการรายได้ข องแต่ ล ะ
หน่ วยงานนั้นหน่ วยงานกลางของรั ฐที่ มีหน้า ที่ เกี่ ย วข้องด้า นเศรษฐกิ จ การเงิ น การคลัง สานัก
งบประมาณกระทรวงการคลัง สานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิ จและสังคมแห่ งชาติ และ
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะทาการวิเคราะห์และประมาณการรายได้ของรัฐบาลด้วยเพื่อประโยชน์
ในการร่ วมกันพิจารณากาหนดประมาณการรายได้ร่วมกันกับรัฐบาล
4. กระทรวงการคลังและสานักงบประมาณทาการวิเคราะห์และพิจารณาความเหมาะสม
เบื้องต้นของประมาณการรายได้ของส่ วนราชการ และรัฐวิสาหกิจแล้วนาผลการพิจารณาไปประชุม
ร่ ว มกัน กับ ส านัก งานงบประมาณเบื้ อ งต้น ของยอดวงเงิ น ประมาณการรายได้ข องรั ฐ บาลเพื่ อ
นาไปใช้ประกอบในการจัดทาวงเงินงบประมาณรายจ่ายเบื้องต้นในปี งบประมาณต่อไป
5. กระทรวงการคลังและสานักงบประมาณนายอดวงเงินประมาณการรายได้เ บื้องต้นและ
วงเงินงบประมาณรายจ่ายเบื้องต้นประชุมร่ วมกันกับสานักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณากาหนดนโยบายงบประมาณประมาณการรายได้
ขั้นสุ ดท้ายและกาหนดวงเงิ นงบประมาณรายจ่ ายที่ เหมาะสมและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ และ
นโยบายของรัฐบาลตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
6. เมื่อกาหนดนโยบายงบประมาณ การประมาณการรายได้และวงเงินงบประมาณรายจ่าย
ประจาปี แล้วหากรายได้ของรัฐบาลต่ากว่ายอดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจาปี ซึ่งหมายถึงได้มี
การกาหนดนโยบายงบประมาณเป็ นแบบขาดดุล ที่ประชุมจะมีการพิจารณาแนวทางการชดเชยการ
ขาดดุล ซึ่งโดยปกติจะเป็ นการกูเ้ งินเพื่อชดเชยการขาดดุลหรื อโดยการนาเงินคงคลังมาใช้ร่วมกันทั้ง
การกูเ้ งินและการนาเงินคงคลังมาใช้ซ่ ึงในกรณี ของการนาเงินคงคลังมาใช้เพื่อชดเชยการขาดดุลจะ
เกิดขึ้นน้อยครั้ง
7. หลังจากที่ประชุมได้ขอ้ ยุติยอดงบประมาณการรายได้ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจาปี
และนโยบายงบประมาณแล้ว ส านัก งบประมาณจะน าตัว เลขประมาณการรายได้แ ละวงเงิ น
งบประมาณรายจ่ายเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
124
กล่าวโดยสรุ ป การประมาณการรายได้ของรัฐบาลการประมาณการรายได้ของหน่วยงาน
ที่มีหน้าที่ จดั เก็บรายได้ของรั ฐบาลนั้น มีความสาคัญต่อกระบวนการประเมินปานใช้จ่ายภาครัฐ
อย่างมากเนื่ องจากหน่ วยงานที่เกี่ยวข้องหรื อเป็ นกระบวนการหลักในการจัดเก็บภาษีการพัฒนา
ประเทศในอนาคต โดยการประมาณการรายได้ของรัฐนั้นกระทรวงการคลังและสานักงบประมาณ
ทาการวิเคราะห์ป ระมาณการรายได้ที่ จะจัดเก็บได้เพื่ อการทาแผนงบประมาณการ หากรัฐบาล
จัดเก็บรายได้มากกว่ารายจ่ายรัฐบาลก็บริ หารงานงบแบบเกินดุล หากรัฐบาลจัดเก็บรายได้พอดีกบั
รายจ่ายเป็ นการบริ หารงบประมาณแบบสมดุล แต่หากรัฐบาลจัดเก็บรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายจะ
มีการบริ หารแบบขาดดุลและจะนามาซึ่งกระบวนการกูย้ มื เงินเพื่อให้เพียงพอกับรายจ่าย
การบริหารการจัดเก็บรายได้ ของรัฐ
รายได้ของรัฐบาล ประกอบด้วย รายได้จากภาษีอากรและรายได้ที่ไม่ใช่ภาษีอากร ซึ่งได้แก่
รายได้จากการขายสิ่ งของและบริ การรายได้จากรัฐพาณิ ชย์และรายได้อื่นๆ โดยแหล่งรายได้ของ
รัฐบาลที่สาคัญที่สุด คือ รายได้จากภาษีอากรซึ่งมีสัดส่ วนสู งถึงร้อยละ 80 ของรายได้ท้ งั หมดของ
รัฐ การบริ หารการจัดเก็บรายได้ในที่น้ ี ผูเ้ ขียนมุ่งอธิบายเกี่ยวกับภาษีอากรเป็ นหลัก
รังสรรค์ ประเสริ ฐศรี (2551 : 244-245) ได้อธิบายเกี่ยวกับภาษีอากรไว้วา่ ภาษีอากร แต่เดิม
เป็ น 2 คาที่มีความหมายต่างกับ “ภาษี” ใช้ในความหมายว่าสิ่ งที่เรี ยกเก็บจากสิ นค้าเมื่อผ่านด่าน หรื อ
เงินที่รัฐบาลจัดเก็บจากราษฎร โดยอาศัยอานาจตามกฎหมาย ส่ วนคาว่า “อากร” จัดเก็ บจากผูม้ ี
โอกาสหาผลประโยชน์จากทรัพยากรของแผ่นดินหรื อผูกขาดการประกอบกรบางอย่าง จงถึงปี พ.ศ.
2505 เมื่ อส านัก งานงบประมาณได้มี ก ารจาแนกภาษี อากรของประเทศไทยเสี ย ใหม่ เพื่ อใช้ใ น
เอกสารงบประมาณ ความแตกต่างของคาทั้ง 2 จึงหมดไป โดยใช้คาว่า “ภาษีอากร”
เมื่อได้อธิ บายเกี่ยวกับการบริ หารการจัดเก็บรายได้ภาครัฐในประเด็นเกี่ยวกับภาษี แล้ว
อรั ญ ธรรมโน (2548 : 75-76) ได้อธิ บายประเด็นของวัตถุประสงค์ของการจัดเก็ บภาษีไ ว้จะมุ่ง
เพื่อให้เกิดผล 4 อย่าง คือ
1 เพื่อหารายได้ เข้ ารั ฐ หน้าที่ของรัฐคือดาเนิ นการให้เกิดประโยชน์แก่สังคม จึง
จาเป็ นต้องหารายได้เพื่อนาไปใช้ในการดาเนินการต่าง ๆ
2. เพื่ อ การควบคุ ม ภาษี อ ากรเป็ นการบัง คับ เก็ บ จากเอกชน ท าให้ เ อกชนมี
ทรัพยากรเหลือเพื่อบริ โภคลดลง รัฐจึงอาจใช้ภาษีเพื่อควบคุมการบริ ภาคสิ นค้าบางอย่างที่ไม่พึง
ประสงค์ ให้ประชาชนลดการบริ โภคด้วยการเก็บภาษีสูง นอกจากนี้ รัฐยังใช้ภาษี อากรเพื่ อการ
ควบคุมธุ รกิจโดยสนับสนุนหรื อจากัดการลงทุนในธุ รกิจบางประเภท เช่น ลดภาษีแก่อุตสาหกรรม
การส่งออก
125
สิ นค้าออกจากโรงงานอุตสาหกรรม ประกอบการที่มีหน้าที่ชาระภาษีจึงมีเวลาจัดทางบเดือนเพื่อ
สรุ ปยอดการจาหน่ายภายในเดือนและสามารถนาส่ งภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปได้ การ
กาหนดช่วงเวลาในการชาระภาษี เช่นนี้ จะช่วยอานวยความสะดวกแก่ผูป้ ระกอบการในการชาระ
ภาษี โ ดยผู ้ป ระกอบการไม่ ต้ อ งท าการช าระภาษี ทุ ก ครั้ งที่ มี ก ารน าสิ น ค้า ออกจากโรงงาน
อุตสาหกรรม ความยุ่งยากในการแจ้งชาระภาษีของผูป้ ระกอบการลงได้อย่างมาก นอกจากนี้ การ
ก าหนดช่ ว งเวลาการช าระภาษี ย งั มี ส่ ว นช่ ว ยให้เ จ้า หน้า ที่ จัด เก็ บภาษี ส ามารถจัด สรรงานและ
บริ หารงานภายในหน่วยงานได้สะดวกขึ้น การจัดระบบการชาระภาษีที่ดีควรมีการพัฒนา รู ปแบบ
การรับชาระภาษีให้ทนั สมัยและสอดคล้องกับระบบธุ รกิจในปั จจุบนั โดยการนาเอาเทคโนโลยีมา
ใช้เป็ นเครื่ องมือในการสนับสนุนการชาระภาษีเพื่อเป็ นทางเลือกสาหรั บผูม้ ีหน้าที่เสี ยภาษี เช่น การ
รับชาระภาษีทางอินเตอร์เน็ต หรื อการรับชาระภาษีโดยการหักบัญชีเงินฝาก จะมีส่วนช่วยลดภาระ
ในการดาเนินการชาระภาษีของผูม้ ีหน้าที่เสี ยภาษีลงได้
2.3 การยกเว้น การลดหย่อน และการคืนภาษีอากร ในการบริ หารการจัดเก็บภาษีนอกจาก
การประเมินภาษีและการรับชาระภาษีแล้วในบางกรณี ยงั มีการบริ หารการยกเว้น การลดหย่อนและ
การคืนภาษีอากรเพื่อไม่ให้เกินภาระในทางภาษีแก่ผมู ้ ีหน้าที่เสี ยภาษีมากจนเกินไป
2.3.1 การยกเว้นภาษี อากร เป็ นมาตรการให้สิ ท ธิ ป ระโยชน์ บ างประการแก่ ผูม้ ี
หน้าที่เสี ยภาษีตามกฎหมายให้ได้รับการยกเว้นไม่ตอ้ งเสี ยภาษีอากรสาหรับเงินได้พึงประเมินบาง
ประเภทและการขายสิ นค้าบางรายการ เช่น เงินได้ประเภทค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ ดอกเบี้ยเงินฝาก
ประเภทออมทรั พ ย์ที่ ไ ด้จ ากสหกรณ์ เงิ น ประโยชน์ ท ดแทนที่ ผูป้ ระกัน ตนได้รั บ จากกองทุ น
ประกันสังคม เงินบาเหน็จพิเศษ เงินบาเหน็จตกทอด การขายอสังหาริ มทรัพย์อนั เป็ นมรดกตกทอด
หรื อสังหาริ มทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในการค้าหรื อหากาไร เป็ นต้น การยกเว้นภาษีอากรประเภท
ต่ า งๆดัง กล่ า วเป็ นมาตรการในการบรรเทาภาระการเสี ย ภาษี แก่ ผูม้ ี หน้า ที่ เสี ย ภาษี และเป็ นการ
ส่งเสริ มการออมภายในประเทศ
2.3.2 การลดหย่อนภาษีอากร เป็ นการให้สิทธิ ประโยชน์แก่ผมู ้ ีหน้าที่เสี ยภาษีให้มีการชาระ
ภาษีนอ้ ยลงซึ่งสามารถดาเนินการได้หลายรู ปแบบ กรณี ลดหย่อนภาษีทางตรง เช่น การลดหย่อน
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากาหนดให้ผูม้ ีเงิ นได้สามารถนาดอกเบี้ยเงิ นกูย้ ืมซื้ อบ้านอยู่อาศัยไปหัก
ลดหย่อนจากเงิ นได้พึ ง ประเมิ นได้ตามจานวนที่ จ่ายจริ งแต่ไ ม่ เกิ น 100,000 บาท เป็ นต้น การ
ลดหย่อนภาษีดงั กล่าวเป็ นมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทางานและลดภาระภาษีสาหรับผูท้ ี่
ต้องซื้อหรื อเช่าซื้อที่อยู่อาศัย และยังส่ งผลต่อการสร้างปริ มาณความต้องการที่อยู่อาศัยให้เพิ่มสู งขึ้น
ด้วย กรณี ลดหย่อนภาษีทางอ้อม เช่น ภาษีสรรพสามิตเครื่ องปรับอากาศรถยนต์ผปู ้ ระกอบการผลิต
รถยนต์สามารถนาภาษีเครื่ องปรับอากาศที่ได้ชาระแล้วมาหักลดหย่อนจากจานวนภาษีรถยนต์ที่ตอ้ ง
128
การงบประมาณการคลัง
งบประมาณเป็ นแผนทางการเงิ น ที่ แ สดงแนวทางในการปฏิ บัติ แ ละนโยบายในการ
ดาเนินงานของหน่วยงานในช่วงเวลาหนึ่งใดเวลาหนึ่ง กระบวนการแผนการดาเนินงานภาครัฐเป็ น
ลายลักษณ์อกั ษรที่แถลงต่อรัฐสภาเพื่อขออนุมตั ิงบประมาณ เพื่อการใช้งบประมาณทรัพยากรที่มีอยู่
จากัดให้เกิดประโยชน์สูงสุ ด โดยที่รัฐบาลได้สัญญาต่อรัฐสภาและประชาชนที่จะใช้เงินภายใต้
เงื่อนไขข้อจากัดต่างๆให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ
ส าหรั บ การงบประมาณของประเทศไทยนั้น จิ ระ ประที ป และอิ ศ เรศ ศันสนี ย ์วิท ยกุ ล
(2562: 46-47) ได้อธิ บายว่า ในการจัดทางบประมาณของประเทศไทยในระยะเริ่ มแรกได้มีการใช้
ระบบงบประมาณแบบแสดงรายการ (Line Item Budgeting System) ซึ่ งเป็ นระบบงบประมาณที่
แสดงการใช้จ่ายเงินเป็ นรายการตามวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินและให้ความสาคัญกับการ
ควบคุมปัจจัยนาเข้า (Input) แต่ละรายการโดยแสดงให้เห็นแต่เพียงว่าในการบริ หารงานของแต่ละ
หน่ วยงานนั้นจะมีการใช้จ่ายงบประมาณประเภทใด เช่น เงินเดือน ค่าวัสดุ ค่าครุ ภณ ั ฑ์ ค่าจัดซื้ อ
สิ่ งของรายการต่าง ๆ เป็ นจานวนอย่างละเท่าใด ระบบงบประมาณแบบแสดงรายการนี้ มีข ้อดี คื อ
ช่วยให้สามารถควบคุมการใช้จ่ายของหน่วยงานได้อย่างดีเพราะมีการแสดงรายการและค่าใช้จ่ายได้
อย่างชัดแจ้ง การควบคุมทาได้โดยการตรวจสอบว่าหน่วยงานได้ใช้จ่ายเงินงบประมาณในการจัดซื้ อ
รายการวัสดุ ครุ ภณ ั ฑ์ และรายการใช้จ่ายเงินอื่น ๆ ได้ครบถ้วนตามที่ได้รับอนุมตั ิหรื อไม่ แต่ระบบ
งบประมาณนี้ มีขอ้ บกพร่ องคือ ไม่สามารถวัดผลสาเร็ จของงานได้ เพราะการอนุมตั ิการใช้จ่ายเงิน
อนุมตั ิตามหมวดรายจ่าย ไม่ได้อนุมตั ิตามแผนงาน งาน/โครงการ ทาให้ไม่สามารถมองเห็นความ
130
ความสาคัญของงบประมาณ
งบประมาณมีความสาคัญที่ เป็ นประโยชน์แก่ประเทศชาติและต่อประชาชน ซึ่ งสามารถ
อธิบายได้ดงั นี้ (ศุภวัฒน์ ปภัสสรากาญจน์. 2546: 152)
1. เป็ นเครื่ องมือในการบริ หารประเทศและหน่วยงานให้มีประสิ ทธิภาพ
2. เป็ นเครื่ องมือในการส่งเสริ มการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
3. เป็ นเครื่ องมือในการจัดสรรและกระจายทรัพยากรที่มีอยูอ่ ย่างจากัดให้มีประสิ ทธิภาพ
โดยการให้เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้เวลาเร็วที่สุดแต่ใช้ทรัพยากรให้นอ้ ยที่สุด
4. เป็ นเครื่ องมือในการกระจายรายได้ให้เกิดความเท่าเทียมและเป็ นธรรมแก่ประชาชน
โดยงบประมาณสามารถช่วยยกฐานะคนยากจนให้มีรายได้ที่สูงขึ้น เช่ น การจัดให้มีโครงสร้ า ง
พื้นฐาน
5. เป็ นเครื่ องมือในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินการคลังของประเทศ
เช่น การใช้มาตรการภาษีอากรในภาวะเงินเฟ้อหรื อเงินฝื ด
6. สามารถปรับปรุ งความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ ายบริ หารกับฝ่ ายนิติบญั ญัติใ ห้ดีข้ ึน โดยการ
ร่ วมกันพิจารณางบประมาณ
7. เป็ นการเสริ มสร้างประสิ ทธิภาพของระบบเศรษฐกิจและการบริ หารราชการ
8. เป็ นเครื่ องมื อในการประชาสัมพันธ์ผลงานที่รัฐบาลจะดาเนิ นการให้แก่ ประชาชนและ
ประเทศ
9. เป็ นการสะท้อนให้เห็นถึงการดาเนินงานตามระบบประชาธิปไตย
รังสรรค์ ประเสริ ฐศรี (2551 : 262-263) ได้อธิบายความสาคัญของงบประมาณว่า
1. เป็ นเครื่ องมือของฝ่ ายนิติบญั ญัติในการควบคุมฝ่ ายบริ หารประเทศที่มีการปกครอง
แบบรัฐสภา สภานิติบญั ญัติจะใช้งบประมาณควบคุมฝ่ ายบริ หาร 2 ลักษณะ คือ ประการแรก ในช่วง
132
ประเภทของงบประมาณ
การจัดทางบประมาณสามารถกระทาได้หลายรู ปแบบ แต่ละรู ปแบบแสดงให้เห็นถึงการ
เน้นเป้ าประสงค์ที่แตกต่างกัน โดยทัว่ ไปแล้วการจัดทางบประมาณสามารถจาแนกได้ 4 รู ปแบบ
ได้แก่ งบประมาณแสดงรายการ (Line–Item Budgets) งบประมาณแสดงผลงาน (Performance
Budgets) งบประมาณแบบแผนงาน (Program Budgets) และงบประมาณฐานศูนย์ (Zero-Based
Budget) ซึ่ ง Aaronson and Schwartz (1987 : 152-156; อ้างใน เรื องวิทย์ เกษสุ วรรณ, 2556 : 264-
269) อัจฉรา จินดารัตน์ (2557 : 10-15) และสถาพร วิชยั รัมย์ (2559: 279-284) ได้อธิบายไว้ สรุ ปการ
นาเสนอในแต่ละประเด็น ดังนี้
1. งบประมาณแบบแสดงรายการ งบประมาณแบบแสดงรายการ ยังเป็ นแนวทางการ
จัดทางบประมาณที่ใช้กนั มากในปั จจุบนั เกิดขึ้นจากปั ญหาคอรัปชัน่ ในสหรัฐอเมริ กาช่วงที่เปลี่ยน
มาสู่ ศตวรรษที่ 20 เป็ นแนวทางการจัดทางบประมาณที่ออกแบบมาเพื่อให้แน่ ใจว่าข้าราชการที่
รับผิดชอบงบประมาณจะมีความพร้อมรับผิดทางการเงิน โดยกาหนดแนวทางที่จ่ายเอาไว้ให้แน่ชดั
เช่น ค่าใช้จ่ายในการปฏิบตั ิงาน ค่าใช้จ่ายในการลงทุนและหนี้ สาธารณะ การเสนองบประมาณต้อง
แยกออกตามหน่ วยงานและจาแนกรายการจ่ายออกเป็ นประเภทต่าง ๆ โดยทัว่ ไปกาหนดเงินที่จะ
จัดสรรตามช่วงระยะเวลาที่แน่ นอน ส่ วนใหญ่เป็ นหนึ่ งปี เมื่อรัฐสภาอนุ มตั ิงบประมาณแล้วฝ่ าย
บริ หารต้องจ่ายเงินที่ไ ด้รับจัดสรร ส่ วนการจัดสรรแบ่งออกตามหมวดรายจ่ าย รัฐสภาสามารถ
ควบคุมงบประมาณได้โดยการกาหนดรายจ่ายรวมและตรวจสอบทางการเงินฝ่ ายบริ หาร ระบบ
งบประมาณแบบนี้ จึงเป็ นระบบที่เป็ นการควบคุม ตรวจสอบการใช้งบประมาณโดยวัดความสาเร็ จ
การใช้จ่ายงบประมาณที่เป็ นปั จจัยนาเข้ามากกว่าผลสาเร็ จของงานที่จะเกิดขึ้น ขาดความเชื่อมโยง
135
ระหว่า งปั จ จัย น าเข้า กับ ปั จ จัย น าออก ซึ่ ง เป็ นผลการด าเนิ น งานไม่ ส ามารถตอบค าถามได้ว่ า
งบประมาณที่ ใ ช้จ่ า ยไปนั้น ก่ อ ให้ เ กิ ด ผลส าเร็ จ อะไรบ้าง และขาดความยืด หยุ่น ในการใช้จ่าย
งบประมาณ
2. งบประมาณแบบแสดงผลงาน งบประมาณแบบแสดงผลงานถือกาเนิ ดเมื่อปลาย
ทศวรรษ 1940 ในสหรัฐอเมริ กา จากรายงานเกี่ยวกับงบประมาณรัฐบาลกลางของคณะกรรมการฮู
เวอร์ (Hoover Commission) ในฐานะที่ เ ป็ นกลไกปรั บ ปรุ งการให้ บ ริ การโดยใช้ ต้ น ทุ น -
ประสิ ทธิ ภาพ (Cost-Efficiency) เป็ นตัววัดความสาเร็ จทางการบริ หาร หน่วยงานแต่ละหน่วยงาน
ต้องออกแบบงบประมาณให้สอดคล้องกับกับหน้าที่และกิจกรรม ระบบงบประมาณแบบนี้แบ่งออก
ตามหน้าที่แต่ละหน้าที่มีโครงการต่าง ๆ จานวนมาก และแต่ละโครงการยังแยกออกเป็ นกิจกรรม
ซึ่งทาโดยหน่วยงาน อาจเป็ นกระทรวง ฝ่ าย กลุ่มงานหรื อหน่วยอื่น ๆ ที่รับผิดชอบกิจกรรมมากกว่า
หนึ่ งกิจกรรม แต่ละกิจกรรมก่อให้เกิดผลผลิต (Output) หรื อบางครั้งเรี ยกว่าภาระงาน (Workload)
หรื อผลผลิตขั้นสุ ดท้าย (End Product) กิจกรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นจากส่ วนผสมของสิ่ งที่ใช้จ่ายใน
การทากิจกรรม (Objects of Expenditure)
การริ เริ่ มงบประมาณแบบแสดงผลงานเริ่ มขึ้น ณ หน่วยที่มีผลงาน กิจกรรมของหน่วย
ที่มีผลงานเกิดเป็ นผลผลิตหรื อภาระงานโดยนับเป็ นหน่วยงานที่ทาสาเร็ จในแต่ละกิจกรรมของช่วง
ปี งบประมาณ ต่อจากนั้นจึงประมาณค่าต้นทุนรวม (Total Cost) และต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost)
ของกิจกรรมแต่ละอย่าง และใช้เป็ นเกณฑ์สาหรับเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดโดยเปรี ยบเทียบค่าใช้จ่าย
ต้นทุนและผลผลิตของทางเลือกต่าง ๆ จากนั้นจึงเลือกทางเลือกที่เป็ นโครงการหรื อกิจกรรมที่ให้
ประโยชน์สูงสุ ด แต่มีค่าต่อหน่ วยต่าที่สุด สุ ดท้ายจึงเป็ นประมาณการเป็ นงบประมาณประจาปี
กระทาโดยนาค่าใช้จ่ายต่อหน่วยคูณด้วยจานวนผลผลิต หน่วยที่เสนอของบประมาณต้องเขียนคา
ของบประมาณ ส่ วนใหญ่ประกอบด้วยหัวข้อที่สาคัญ ได้แก่ 1) การบรรยายว่ากิจกรรมเกี่ยวข้องกับ
ความรั บ ผิดชอบและจุ ดมุ่ ง หมายของหน่ วยงานอย่างไร 2) เขีย นโครงร่ างงานที่ จะทาในแต่ล ะ
กิจกรรม 3) แสดงให้เห็นว่าการจัดสรรงบประมาณช่วยให้กิจกรรมดาเนิ นไปโดยสะดวกอย่างไร
และ 4) เริ่ มจัดทาแผนภาระงานที่ระบุเป้ าหมายแต่ละระยะของหน่วยงานภาระงานหรื อผลผลิตที่จะ
ทาสาเร็จในช่วงปี งบประมาณ และตารางการทางานที่จะทาตามเป้าหมายแต่ละระยะ
ระบบงบประมาณแบบนี้ ได้น ามาใช้เ พื่ อ แก้ปั ญ หาระบบงบประมาณแบบแสดง
รายการ ที่ไม่สามารถเชื่อมโยงการใช้จ่ายงบประมาณกับผลการดาเนินงานของหน่วยงานได้ ระบบ
งบประมาณแบบแสดงผลงานจึงเป็ นระบบงบประมาณที่เน้นการจัดการ ให้ความสนใจต่อผลสาเร็ จ
ของงานมากกว่าทรัพยากรที่ใช้ ดังนั้น องค์การจึงใช้งบประมาณแบบแสดงผลงานเป็ นเครื่ องมือใน
การควบคุ ม และตรวจสอบการท างานภายในหน่ ว ยงาน โดยการตอบค าถามให้ไ ด้ว่า เมื่ อ ใช้
136
ปี ในขณะที่ จัด ท างบประมาณ หรื อ ได้รั บ อนุ มัติ ง บประมาณ ภายใต้ส มมติ ฐ านว่ า ได้มี ก าร
เปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่สาหรับแผนงานต่าง ๆ และสามารถปรับตัวเลขงบประมาณเมื่อมีการ
เปลี่ยนแปลงของปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาวะเงินเฟ้อ นโยบายสาคัญของรัฐบาล
6. เน้นหลักธรรมาภิบาล หรื อหลักการบริ หารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยการแบ่ง
หน้าที่ความรับผิดชอบ และมีระบบการติดตามประเมินผล และการรายงานผลการดาเนิ นงาน เพื่อ
ควบคุ ม ตรวจสอบผลการดาเนิ นงานว่าบรรลุเป้ าหมายที่ กาหนดไว้หรื อไม่ อย่างไร โดยดู จาก
ตัวชี้ วดั ความสาเร็ จและเป้ าหมายในแต่ละระดับ และใช้เป็ นข้อมูลประกอบการตัดสิ นใจในการ
จัดทางบประมาณ และเป็ นการบ่งบอกถึงความรับผิดชอบของหน่วยงานต่อความสาเร็ จของการ
ดาเนินงานตามเป้าหมายที่กาหนดไว้
ด้วยเหตุ น้ ี ก ารจัดท าระบบงบประมาณแบบมุ่ ง เน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ จึ ง เป็ น
ระบบที่ จะทาให้รัฐบาลมัน่ ใจได้ว่า 1) ผลผลิ ตที่ เกิ ดขึ้นมี ความเชื่ อมโยงกับผลลัพธ์ และผลลัพธ์
สอดคล้องกับเป้ าหมายการให้บริ การของกระทรวงและเป้ าหมายในระดับชาติหรื อของรัฐบาล 2)
ผลผลิตที่ตอ้ งการ มีปริ มาณ ราคาและคุณภาพเหมาะสมสอดคล้องกัน และ 3) ประชาชนได้รับ
ประโยชน์ภายในเวลาที่กาหนด
การเชื่อมโยงระหว่างนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์หลัก ผลงานหลักหรื อผลลัพธ์ที่
ต้องการของรัฐบาลให้เข้ากับแผนยุทธศาสตร์ และแผนดาเนิ นงานของหน่วยงาน จะช่วยทาให้เกิด
การบูรณาการระหว่างกระบวนการบริ หารราชการแผ่นดินตามแนวนโยบายของรัฐบาล โดยมุ่ง
หมายให้ส ามารถถ่า ยทอดนโยบายของรั ฐบาลสู่ ก ารดาเนิ นงานของส่ วนราชการตามแผนงาน
โครงการในการให้บริ การสาธารณะแก่ประชานได้อย่างถูกต้อง การจัดสรรงบประมาณและการใช้
ทรัพยากรบริ หารต่าง ๆ เป็ นไปอย่างสอดคล้องกับลาดับความสาคัญและเจตนารมณ์ของนโยบาย
รวมทั้ง ก่ อให้เ กิ ด พันธะ เงื่ อนไข ผูก พัน และความพร้ อมที่ จะต้องรั บผิ ดชอบตลอดจนการถู ก
ตรวจสอบผลงานจากฝ่ ายบริ หาร
สาหรั บประเทศไทยได้เริ่ มใช้งบประมาณแบบแสดงรายการในระยะแรก และได้
พัฒนาเรื่ อยมาตามการเปลี่ ย นแปลงทางด้า นเศรษฐกิ จ สังคม การเมื องการปกครอง จนกระทั้ง
รั ฐบาลในขณะนั้นได้มีนโยบายเร่ งรั ดให้ปรั บเปลี่ยนกระบวนการจัดทางบประมาณและจัดสรร
งบประมาณใหม่ เพื่อให้การจัดสรรทรัพยากรของชาติเกิดประสิ ทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายและ
ยุทธศาสตร์ ในการพัฒนาประเทศ ส่ งเสริ มให้ส่วนราชการมีบทบาทในการตัดสิ นใจมากขึ้น กับจัด
ให้ มี ร ะบบควบคุ ม ตรวจสอบที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพและโปร่ ง ใส ส านัก งบประมาณจึ ง ได้ จัด ท า
งบประมาณมุ่ ง เน้ น ผลงานตามยุ ท ธศาสตร์ (Strategic Performance-Based Budget) ที่ มุ่ ง เน้ น
ผลสาเร็จของผลผลิตและผลลัพธ์ ซึ่งใช้อยูใ่ นปัจจุบนั
141
กระบวนการงบประมาณ
การดาเนินการเกี่ยวกับรายจ่ายของรัฐบาลในส่ วนที่เกี่ยวกับงบประมาณมีการดาเนิ นการ
เป็ นขั้นตอนที่เรี ยกว่ากระบวนการงบประมาณ หรื อวงจรงบประมาณ หรื อวิธีการงบประมาณ ซึ่งมี
ล าดับ ขั้น ตอนในการด าเนิ น การที่ ต่ อ เนื่ อ งกัน ไปตั้ง แต่ ก ารจัด เตรี ย มงบประมาณ การอนุ ม ัติ
งบประมาณ การบริ หารงบประมาณซึ่ งการดาเนิ นการในแต่ละขั้นตอนนั้น หน่ วยงานที่เกี่ยวข้อง
จะต้องดาเนิ นการให้เป็ นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนด ขั้นตอนต่างๆ มีสาระที่สาคัญดังนี้
(วรบุตร วภักดิ์เพชร, 2554 : 28-35, จิระ ประทีปและอิศเรศ ศันสนียว์ ิทยกุล, 2562: 33-35)
1. ขั้นตอนการเตรี ยมจัด ทางบประมาณ (Budget Preparation) เป็ นขั้นตอนที่ ฝ่ าย
บริ หารเป็ นผู ้จัด ท างบประมาณเพื่ อ เสนอของอนุ มัติ จ ากฝ่ ายนิ ติ บัญ ญัติ ซึ่ งประกอบด้ ว ย
คณะรัฐมนตรี ส่ วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ โดยมีสานักงบประมาณเป็ น
หน่วยงานกลางทาหน้าที่รับผิดชอบในการรวบรวม และวิเคราะห์คาขอตั้งงบประมาณรายจ่ายของ
ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานภาครัฐเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อนาเสนอให้คณะรัฐมนตรี
พิจารณาให้ความเห็นชอบและจัดทาเป็ นร่ างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปี เสนอขอ
อนุมตั ิต่อรัฐสภา
ขณะเดียวกันหน่วยงานกลางที่ได้รับมอบหมายในการประมาณการรายรับและรายจ่าย
ก็จะทาหน้าที่ในการกาหนดวงเงินทั้งสองส่ วนของประเทศเสนอต่อฝ่ ายบริ หารให้พิจารณาอนุ มตั ิ
และทาหน้าที่ประสานกับทุกหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจัดทารายละเอียดประมาณการรายรับ
และงบประมาณรายจ่ายเพื่อนาเสนอต่อฝ่ ายบริ หารและฝ่ ายนิติบญั ญัติต่อไป
2. ขั้ น ตอนการอนุ มั ติ ง บประมาณ (Budget Adoption) การอนุ มัติ ง บประมาณ
หมายถึง การที่ฝ่ายนิ ติบญ ั ญัติพิจารณาอนุ มตั ิประมาณการรายรับ และงบประมาณรายจ่ายที่ฝ่าย
บริ ห ารจัด ท าขึ้ น โดยฝ่ ายนิ ติ บ ัญ ญัติ เ ป็ นผู ว้ ิ เ คราะห์ แ ละสามารถเปลี่ ย นแปลง แก้ไ ข ปรั บ ลด
งบประมาณ ด้วยการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้การใช้จ่ ายของฝ่ ายบริ หารเกิดประโยชน์สูงสุ ด
แก่ ป ระชาชนและส่ ว นรวมทั้ง ทางด้า นเศรษฐกิ จ สั ง คม และการเมื อ ง สาเหตุ ข องการอนุ มัติ
งบประมาณเป็ นหน้าที่ของฝ่ ายนิ ติบญ ั ญัติหรื อรัฐสภานั้นก็เป็ นเพราะว่า ในระบบการปกครองใน
142
สรุป
การคลัง ภาครั ฐ ถื อ ว่ า เป็ นเรื่ อ งที่ มี ค วามส าคัญ มากเรื่ อ งหนึ่ ง ในการศึ ก ษาทางด้า นรั ฐ
ประศาสนศาสตร์ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กบั การบริ หารจัดการเศรษฐกิจและสังคมของ
ประเทศ การคลัง เป็ นการบริ หารงานของรั ฐบาลในลัก ษณะเป็ นแนวทางในการจัด สรรการใช้
ทรัพยากรของสังคม การจัดการทางการคลังโดยทัว่ ไปจะเกี่ยวข้องกับการจัดทาแผนรายรับ รายจ่าย
ของรั ฐบาล โดยอาศัย ตัวแปรที่ ส าคัญ เช่ น ภาษี อากร งบประมาณแผ่นดิ น หนี้ ส าธารณะ เป็ น
เครื่ องมือเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เช่น กรณี เกิดปั ญหาการว่างงาน ภาวะเงินเฟ้อ เงินฝื ด
ตลอดจนราคาสิ นค้าสู งหรื อต่าเกินไป โดยมีมาตรการในการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีท้ งั ทางด้านการ
เพิ่มหรื อลดอัตราภาษี การเปลี่ ยนแปลงปริ มาณการใช้จ่ายของรั ฐบาล และมาตรการขยายความ
ต้องการของสิ นค้าและบริ การ เป็ นต้น
การงบประมาณเป็ นแผนทางการเงินที่แสดงแนวทางในการปฏิบตั ิและนโยบายในการ
ดาเนินงานของหน่วยงานในช่วงเวลาหนึ่งใดเวลาหนึ่ง กระบวนการแผนการดาเนินงานภาครัฐเป็ น
ลายลักษณ์อกั ษรที่ฝ่ายบริ หารแถลงต่อรัฐสภาเพื่อขออนุ มตั ิงบประมาณ เพื่อการใช้งบประมาณ
ทรั พ ยากรที่ มี อยู่จากัดให้เ กิ ดประโยชน์สู งสุ ด มี ค วามส าคัญแก่ ป ระเทศชาติ และต่ อ ประชาชน
กล่าวคือ เป็ นเครื่ องมือในการบริ หารประเทศและหน่วยงานให้มีประสิ ทธิภาพ โดยมีข้นั ตอนหลักที่
144
คาถามท้ ายบท