Professional Documents
Culture Documents
การจัดการพลังงานไฟฟ้ า
การคิดค่าไฟฟ้ าและการใช้งานอย่างเหมาะ
สม
อุปกรณ์ไฟฟ้ าหลัก
การอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้ า
1. ทำความเข้าใจหลักการทำงาน และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
2. ตรวจสอบและตรวจวัดการใช้พลังงานของระบบหรืออุปกรณ์ที่มีอยู่
3. วิเคราะห์การใช้พลังงาน เพื่อหาจุดสิ้นเปลือง (Load) หรือจุดสูญเสีย (Loss)
4. กำหนดมาตรการในการปรับปรุง และวิเคราะห์ความคุ้มค่าในแต่ละมาตรการ
5. ดำเนินการตามมาตรการที่ได้เลือกไว้
6. ตรวจสอบหลังดำเนินการเพื่อดูว่าเป็นไปตามเป้ าหมายที่ได้กำหนดไว้หรือไม่
Ѥҕ
ѝчѝ њь ё ј ккѥ
Ѥ ь ѳђ ђҖ
ѥъ Ѳ ҖѠ
ѷн ш
Ѩ ҕюѨ
chiller
Aircomp
Blower&Pump
Process
Lighting
Other
•หม้อแปลงไฟฟ้ ากำลัง (Power Transformer)
•หม้อแปลงจำหน่าย (Distribution Transformer)
•หม้อแปลงสำหรับเครื่ องมือวัด (Instrument Transformer)
•หม้อแปลงสำหรับความถี่สูง (High frequency Transformer)
ฟิวส์
ล่อฟ้ า
อาร์ซิ่งฮอร์น
น้ำมันหม้อแปลง
ซิลิก้าเจล
ประสิทธิภาพ กำลังสูญเสียในหม้อแปลง
• การทำงานของหม้อแปลงไฟฟ้ า
RP LP RS LS
Vg
ความต้านทานที่เกิดขึ้นในหม้อแปลงนี้ทำให้เกิดการสูญเสียกำลังไฟฟ้ าขึ้นใน
หม้อแปลง ซึ่งแบ่งได้เป็ น 2 อย่างคือ
1. Iron loss / Core loss (Wi) คือ กำลังไฟฟ้ าสูญเสียในแกนเหล็ก
2. Copper loss (Wc) คือ กำลังไฟฟ้ าสูญเสียเนื่ องจากขดลวดทองแดง
ประสิทธิภาพ กำลังสูญเสียในหม้อแปลง
= n P cos .
n P cos + Wi+n2Wc
กำลังไฟฟ้ าก่อนการปรับปรุง
วางแผนดำเนินการ
วัดผลประหยัดหลังจากดำเนินมาตรการ
กำลังไฟฟ้ าหลังการปรับปรุง
สิ่งที่พบ
พัดลมที่ใช้ในกระบวนการผลิตมีภาระที่ไม่คงที่ เนื่ องจากใช้ร่วมกันอยู่ 3
กระบวนการผลิต การใช้งานปัจจุบันควบคุมโดยการปรับลดแดมเปอร์
ทำให้เกิดการสูญเสีย จึงพิจารณาในการลดการใช้พลังงาน โดยใช้
อุปกรณ์ปรับความเร็วของมอเตอร์(VSD) และควบคุมให้ปรับความเร็ว
รอบแบบอัตโนมัติ
การพิจารณา มาตรการประหยัดพลังงานโดยการปรับความเร็วรอบ
ของมอเตอร์
สิ่งที่ควรพิจารณาและโอกาสในการประหยัดพลังงาน
การใช้งาน พัดลม และปั้ม ที่เกินความจำเป็น
มีการใช้งาน พัดลม และปั้ม ที่ต้องการให้สามารถลดการใช้งานได้
เหมาะสมกับภาระของงาน
มาตรการสิ่งที่ควรพิจรณาในการปรับลดความเร็วรอบ
การปรับเปลี่ยนขนาดของปั้ม และขนาดของพัดลม
การเปลี่ยนขนาดของพูเล่
การใช้อุปกรณ์ปรับความเร็วรอบ : มีความยืดหยุ่น และสามารถ
ควบคุมแบบอัตโนมัติให้เหมาะสมกับภาระได้ตลอดเวลา
การประเมินผลประหยัด
หลังการจากการติดตั้ง VSD คาดว่าจะสามารถลดความเร็วรอบ โดยเฉลี่ยได้ประมาณ
15% ความเร็วรอบของพัดลมปัจจุบันวัดได้ 1,420 รอบต่อนาที โดยมอเตอร์กินกำลังไฟฟ้ า
70 กิโลวัตต์ หลังปรับปรุงพัดลมจะทำงานที่ความเร็วรอบเฉลี่ย= 1,207 รอบต่อนาที
70/P2 = (1420/1207)² , P2= 50.57kW
ดังนั้นคาดว่าสามารถประหยัดพลังงานได้ =19.43x24x300=139,896kWh/year
=419,688 บาทต่อปี เงินลงทุนอุปกรณ์และค่าติดตั้ง 200,000 บาท คืนทุนภายใน 6 เดือน
•ตรวจสอบ และบำรุงรักษามอเตอร์ ไม่ให้เกิดการเสียดสีหรือ ความฝืด
•ใช้มอเตอร์ประสิทธิภาพสูง
•ปรับตั้งแรงดันไฟฟ้ าที่ป้ อนเข้ามอเตอร์ให้เหมาะสมกับโหลด
•ให้แรงดันไฟฟ้ าที่สมดุลแก่มอเตอร์
•ปรับลดขนาดมอเตอร์ที่ขับโหลดน้อยกว่า 40 เปอร์เซ็นต์
•ปรับปรุงค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์ของมอเตอร์
•หลีกเลี่ยงการใช้วาล์วควบคุมการไหล แต่ให้ใช้การปรับความเร็วรอบของ
มอเตอร์แทน
1. เลือกใช้หลอดไฟให้เหมาะสม
2. ใช้อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง(บัลลาสต์และโคมไฟฟ้ า)
3. ลดการส่องสว่างที่เกินความจำเป็น
+ ใช้แสงธรรมชาติช่วย
+ เลือกสีห้องหรือผ้าม่านสีอ่อน
4. หมุนหลอดที่ใช้หรือสว่างเกินความจำเป็นออก
5. วิธีการส่องสว่างที่อนุรักษ์พลังงานมากที่สุด
คือการส่องสว่างแบบเป็นจุด
ชนิดของหลอดแสงสว่าง ลูเมนต่อวัตต์
หลอดไส้ 8-22
หลอดแสงจันทร์ 26-58
หลอดฟลูออเรสเซนต์ 30-83
หลอดเมทัลฮาไลท์ 67-115
หลอดโซเดียมความดันสูง 74-132
ตารางค่าการใช้กำลังไฟฟ้ าของวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์ 36 วัตต์
กำลังไฟฟ้ าเข้าวงจร กำลังไฟฟ้ าที่หลอด กำลังไฟฟ้ าสูญเสียที่บัลลาสต์
ใช้บัลลาสต์ธรรมดา ประมาณ 46-48 วัตต์ ประมาณ 36 วัตต์ ประมาณ 10-12 วัตต์ (ขึ้ นกับ
(ตาม มอก. ของหลอด) คุณภาพบัลลาสต์และการระบาย
ความร้อน)
ใช้บัลลาสต์กำลัง ประมาณ ประมาณ 36 วัตต์ ประมาณ 5-6 วัตต์ (ขึ้ นกับคุณภาพ
สูญเสียต่ำ 41-42 วัตต์ (ตาม มอก. ของหลอด) บัลลาสต์และการระบายความร้อน)
(Low Loss Ballast)
ใช้บัลลาสต์ ประมาณ 36 วัตต์ ประมาณ32 วัตต์ ประมาณ 4 วัตต์ (ขึ้ นกับคุณภาพ
อิเล็กทรอนิกส์ (อาจต่ำกว่าได้ ซึ่งถ้าหาก ของบัลลาสต์และการระบายความ
(Electronic Ballast) ต่ำลงก็จะทำให้ปริมาณ ร้อน)
แสงลดลง)
การใช้โคมไฟฟ้ าประสิทธิภาพสูง
การใช้แสงธรรมชาติ
จัดความสว่างให้เหมาะสม
(ค่าความสว่างตามมาตรฐาน)
จำกัดพื้นที่โดยเน้นเฉพาะที่ใช้งาน
(Task Lighting)
การจัดแยกสวิทช์เปิด-ปิด ตามจุดการใช้งาน
ใช้สวิทช์แบบกระตุ้ก (pull down switch)
ใช้สวิทช์แสง (photo switch)
ใช้อุปกรณ์จับความเคลื่อนไหว (movement detector)
จัดกลุ่มสวิตช์ใหม่ , ติดตั้ง Pull down Switch
•เลือกใช้หลอดไฟฟ้ าให้เหมาะสมกับสภาพของงาน
•จัดแสงให้มีความสว่างเหมาะสมกับงาน และใช้แสงธรรมชาติช่วย
•ปิดไฟเมื่อไม่ใช้งานเป็นเวลานานกว่า 15 นาที
•เปิด ปิดไฟ โดยอัตโนมัติ โดยใช้อุปกรณ์ตั้งเวลาหรือสั่งจากระบบ
ควบคุม อัตโนมัติ
•แยกสวิทซ์วงจรแสงสว่าง
•ใช้อุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหว
•หมั่นบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
การประหยัดพลังงาน
ในระบบปรับอากาศ
ประเภทของการทำความเย็น
การทำความเย็นแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
การทำความเย็นโดยกระบวนการอัดไอ
(Vapor Compression Refrigeration Cycle)
การทำความเย็นโดยกระบวนการดูดซึม
(Absorption Refrigeration Cycle)
โดยส่วนใหญ่โรงงานจะใช้การทำความเย็นโดยกระบวนการอัดไอ ดังนั้นใน
เอกสารชุดนี้จะนำเสนอหลักการและวิธีการประหยัดพลังงานสำหรับระบบ
ทำความเย็นโดยกระบวนการแบบอัดไอเท่านั้น
วัฎจักรความเย็นใช้ในระบบปรับอากาศแบบแยกส่วน
3
ของเหลวความดันสูง
ของเหลวและก๊าซที่
2
วาล์วลดความดัน อุณหภูมิและความดันต่ำ ก๊าซร้อน
4
(Expansion Valve) ความดันสูง
ก๊าซเย็น
1
ความดันต่ำ
อีแวปปอเรเตอร์ คอนเดนเซอร์
คอมเพรสเซอร์
หลักการของการทำความเย็นแบบอัดไอ
3 2
การควบแน่น
ความดัน
การขยายตัว
การอัด
4 1
อัตราการทำความเย็น (อิแวปพอเรเตอร์)
ปริมาณความร้อนทั้งหมด = เอนทัลปี
แผนภาพความดัน-เอนทัลปี
หลักการของการทำความเย็นแบบอัดไอ
1 2 = การอัด (Compression)
อัดก๊าซเย็นความดันต่ำ ให้เป็นก๊าซร้อนความดันสูง
2 3 = การควบแน่น (Condensing)
ก๊าซควบแน่นเป็นของเหลว และ คลายความร้อนออก
3 4 = การขยายตัว (Expansion)
จากความดันสูงไปเป็นความดันต่ำ พร้อมทั้งลดอุณหภูมิลงและเปลี่ยน
สถานะจากของเหลวเป็นของเหลวผสมก๊าซ
4 1 = การระเหย (Evaporation)
ความร้อนจากผลิตภัณฑ์จะถูกดูดเพื่อใช้ในการระเหยของของเหลวเย็นให้
เป็นก๊าซเย็นที่ความดันต่ำ
พลังงานหรือความร้อน และความดันของสารทำความเย็นใน
แต่ละขั้น ตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 ถึง 4 อธิบายได้โดยแผนภาพความดันและ
ระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์ (ระบายความร้อนด้วยน้ำ)
วัฎจักรความเย็นใช้ในระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์
น้ำหรืออากาศร้อน
ส่วนควบแน่น (Condenser)
น้ำหรืออากาศหล่อเย็น
เครื่ องอัดไอ น้ำ
(Compressor)
ส่วนทำระเหย (Evaporator)
น้ำเย็น
ลักษณะของเครื่ องปรับอากาศ ขนาด ประมาณการกินไฟ ลักษณะการใช้งาน
(ตันความเย็น) โดยทั่วไป
(กิโลวัตต์/ตัน)
เครื่ องแบบหน้าต่าง 0.5 - 3 1.3 - 1.5 - บ้านพักอาศัย
(Window Type) - สำนักงาน
เครื่ องแบบแยกส่วน 0.75 - 3.0 1.3 - 1.5 - บ้านพักอาศัย
( Type) - สำนักงาน
Packaged Air-cooled 3 - 30 1.3 - 1.5 - คอนโดมิเนียมสำนักงาน
Air-conditioner
Packaged Water-cooled 1 - 50 1.2 - สำนักงาน
Air-conditioner - คอนโดมิเนียมสำนักงาน
Air-cooled Water Chiller 3 - 10 1.4 - 1.6 - บ้านพักอาศัย
- ศูนย์คอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก
10 - 500 1.4 - 1.6 - ศูนย์คอมพิวเตอร์
(ประมาณการกินไฟทั้งระบบ) - โรงแรมขนาดกลาง
- ห้องส่งสถานีโทรทัศน์
- โรงพยาบาลขนาดกลาง
Water-cooled 500 - 10,000 0.8 - 1.0 - โรงแรม
Water Chiller หรือมากกว่านี้ (ประมาณการกินไฟทั้งระบบ) - โรงพยาบาล
- ศูนย์การค้าขนาดใหญ่
- สำนักงานขนาดใหญ่
- ศูนย์คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่
อัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงาน
• มาตรการที่ไม่ต้องลงทุน
• การปิดผ้าม่าน
• นำตู้มาชิดผนังด้านตะวันตก/ตะวันออก
• ปิดพัดลมระบายอากาศเมื่อไม่จำเป็น
• ปรับตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม
• ปิดเครื่ องปรับอากาศเมื่อไม่ใช้งาน
มารตการประหยัดพลังงานในระบบปรับอากาศ
• มาตรการที่ลงทุนน้อย
• ทำความสะอาดเครื่ องปรับอากาศ
• ตรวจสอบระบบท่อ
• เปลี่ยนเทอร์โมสตัท
• ปรับปรุงสภาพแวดล้อม
• ล้างเครื่ องทำน้ำเย็น
• ล้างหอผึ่งเย็น
มารตการประหยัดพลังงานในระบบปรับอากาศ
• มาตรการที่ลงทุนมาก
• ติดตั้งระบบนำความเย็นกลับมาใช้ใหม่
• Air to air heat exchanger
• Plate heat exchanger
• ติดตั้งอุปกรณ์ปรับความเร็วรอบเครื่ องส่งลมเย็น
• ติดตั้งอุปกรณ์ปรับความเร็วรอบเครื่ องสูบน้ำเย็น
• ปรับปรุงระบบส่งลมเย็น
• ปรับปรุงระบบส่งน้ำเย็น
• เปลี่ยนเครื่ องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง
• เปลี่ยนเครื่ องทำน้ำเย็นประสิทธิภาพสูง
การอนุรักษ์พลังงาน
ในเครื่องอัดอากาศ
1. ตัวกรองอากาศขาเข้า
ส่วนประกอบของระบบอากาศอัด 2. เครื่ องอัดอากาศ
3. ตัวระบายความร้อน
4. ตัวแยกความชื้น (ก่อนเข้าถัง
ต่อไปยังอุปกรณ์นำความร้อนกลับคืน
5 เก็บ)
(ถ้ามี) 5. วาล์วนิรภัย
6 6. มาตรวัดความดัน
7. ถังเก็บอากาศอัด
5 8. อุปกรณ์ระบายน้ำอัตโนมัติ
1
7 9. ตัวทำให้อากาศแห้ง
3 4
2 9
8 8 8
ชนิดของเครื่องอัดอากาศ
เครื่องอัดอากาศ มี 4 ชนิด (ซึ่ง 3 ชนิดแรกมีใช้ทั่วไป)
1. เครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบ
(Reciprocating Compressor)
ทำงานเหมือนกับเครื่ องยนต์ โดยอากาศจะถูกดูดเข้า
กระบอกสูบ ผ่านวาล์วแล้วลูกสูบจะอัดอากาศและดันออกไป
Single-Acting
Single-Stage
2. เครื่องอัดอากาศแบบโรตารี่เวน
(Rotary Vane Compressor)
จะใช้ตัวโรเตอร์ซึ่งมีสไลดิ้งเวนติดอยู่ โดยที่แกนหมุนของตัว
โรเตอร์จะไม่อยู่ที่ จุดศูนย์กลางดังนั้นเมื่อแกนหมุนไปสไลดิ้งเวนจะ
ยืดออกและหดเข้าเมื่อการหมุนครบรอบอากาศจะถูกดูดเข้าแล้วถูก
อัดและส่งออกไป
อากาศมีความดัน
โรตารีเวน
สไลดิ้งเวน ชั้นเดียวหรือ
สองชั้น
อากาศเข้า
3. เครื่องอัดอากาศแบบโรตารี่สกรู
(Rotary Screw Compressor)
ใช้ตัวโรเตอร์แบบเกลียว 2 ตัวขบกันแล้วหมุนเข้าหากัน เมื่อ
โรเตอร์หมุนช่องว่างรอบโรเตอร์จะเล็กลงซึ่งจะอัดอากาศที่อยู่
ระหว่างโรเตอร์
อากาศออก
อากาศเข้า
อากาศออก
4. เครื่องอัดอากาศแบบอาศัยแรงเหวี่ยง
(Centrifugal Compressor)
•การรั่วไหลของอากาศอัดในระบบ
•อุณหภูมิของอากาศที่นำมาอัด
•การบำรุงรักษาเครื่ องอัดอากาศ
แนวทางในการประหยัดพลังงานในระบบอากาศอัด
1. การตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่ องอัดอากาศอัด
การตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่ องอัดอากาศเพื่อพิจารณาความสามารถในการ
ผลิตอากาศอัดเทียบกับพลังไฟฟ้ าที่ใช้ ซึ่งหากประสิทธิภาพของเครื่ องอัดอากาศต่ำลง การ
ดำเนินการเปลี่ยนชุดอัดอากาศ หรือ เครื่ องอัดอากาศใหม่จะช่วยทำให้เกิดการประหยัด
พลังงานไฟฟ้ าได้
วิธีการตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่ องอัดอากาศ
1. ตรวจวัดพลังไฟฟ้ าที่เครื่ องอัดอากาศใช้ทั้งช่วง Load และ ช่วง Unload
2. หาความจุของถังเก็บอากาศอัด รวมถึงความจุของท่อจากเครื่ องอัดอากาศเข้าถัง
(คิดความจุเท่ากับ L ลิตร)
3. ทำการหยุดการจ่ายลมในระบบอากาศอัดโดยการปิดวาล์วลมด้านจ่ายของถัง
เก็บอากาศอัด และ ปิดเครื่ องอัดอากาศ
4. ทำการปล่อยอากาศอัดออกจากถังจนความดันลดลง 1 บาร์ (P)
แนวทางในการประหยัดพลังงานในระบบอากาศอัด
1. การตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่ องอัดอากาศอัด (ต่อ)
วิธีการตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่ องอัดอากาศ
5. สตาร์ทเครื่ องอัดอากาศ แล้วทำการจับเวลาในการอัดอากาศเข้าถังเก็บอากาศ
อัดขึ้น 1 บาร์ (เวลาที่ใช้เท่ากับ t วินาที)
6. นำค่าต่าง ๆ มาคำนวณหาความสามารถในการผลิตอากาศอัดดังนี้
ความสามารถในการผลิตอากาศอัด = ความจุอากาศอัด x ช่วงความดันที่ทดสอบ
เวลาที่ใช้ในการอัดอากาศ
Q
Actual = (L x P) / t ลิตรต่อวินาที
นำความสามารถในการผลิตอากาศอัดที่คำนวณได้มาเปรียบเทียบกับพิกัดการผลิต
อากาศอัดของเครื่ อง หากมีค่าต่ำกว่ามากอาจจะพิจารณาเปลี่ยนเครื่ องอัดอากาศได้
แนวทางในการประหยัดพลังงานในระบบอากาศอัด
1. การตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่องอัดอากาศอัด (ต่อ)
ตัวอย่าง
1. ถังเก็บอากาศอัดรวมความจุของท่อเท่ากับ 2,000 ลิตร
2. ทำการปล่อยอากาศอัดออกจากถังจนความดันลดลง 1 บาร์
3. จับเวลาในการอัดอากาศเข้าถังเก็บอากาศอัดขึ้น 1 บาร์ เท่ากับ 22 วินาที
Q Actual = (L x P) / t ลิตรต่อวินาที
= 2,000 x 1 / 22
= 90.91 ลิตรต่อวินาที
แนวทางในการประหยัดพลังงานในระบบอากาศอัด
2. การลดการรั่วซึมของระบบอากาศอัด
ก่อนจะทำการลดการรั่วซึม ควรทำการตรวจวัดหาปริมาณอากาศอัดที่รั่วไหลออก
จากระบบอากาศอัดก่อน ซึ่งมีวิธีการดังนี้
วิธีการตรวจวัดหาปริมาณอากาศอัดที่รั่วไหล
1. ทำการหยุดการใช้อากาศอัด โดยยังจ่ายอากาศอัดเข้าระบบตามปกติ
2. ทำการเดินเครื่ องอัดอากาศ 1 เครื่ อง (เครื่ องที่ทำการตรวจวัดความสามารถ
ในการผลิตอากาศอัดแล้ว)
3. ทำการจับเวลาช่วงที่เครื่ องอัดอากาศทำงาน (เวลาเท่ากับ t1 วินาที) และ
จับเวลาช่วงที่เครื่ องอัดอากาศหยุดทำงาน (เวลาเท่ากับ t2 วินาที)
แนวทางในการประหยัดพลังงานในระบบอากาศอัด
2. การลดการรั่วซึมของระบบอากาศอัด (ต่อ)
วิธีการตรวจวัดหาปริมาณอากาศอัดที่รั่วไหล
4. นำค่าต่าง ๆ มาคำนวณหาเปอร์เซ็นต์การรั่วไหลของระบบอากาศอัดดังนี้
เปอร์เซ็นต์การรั่วไหล = เวลาที่เครื่ องอัดอากาศ / เวลาที่ใช้ในการทดสอบ
%Leak = t1 x 100 / (t1 + t2) เปอร์เซ็นต์
นำเปอร์เซ็นต์การรั่วไหลมาคำนวณหาปริมาณอากาศอัดที่รั่วไหลได้ดังนี้
ปริมาณอากาศอัดที่รั่วไหล= เปอร์เซ็นต์การรั่ว x ความสามารถในการผลิตอากาศอัด
100
QLeak = %Leak x QActual / 100 ลิตรต่อ
วินาที
แนวทางในการประหยัดพลังงานในระบบอากาศอัด
2. การลดการรั่วซึมของระบบอากาศอัด (ต่อ)
ตัวอย่าง
1.ทำการหยุดการใช้อากาศอัด โดยยังจ่ายอากาศอัดเข้าระบบตามปกติ
2. จับเวลาช่วงที่เครื่ องอัดอากาศทำงานเท่ากับ 35 วินาที
3. จับเวลาช่วงที่เครื่ องอัดอากาศหยุดทำงานเท่ากับ 55 วินาที
4. นำค่าต่าง ๆ มาคำนวณหาเปอร์เซ็นต์การรั่วไหลของระบบอากาศอัดดังนี้
%Leak = t1 x 100 / (t1 + t2) เปอร์เซ็นต์
= 35 x 100 / (35 + 55)
= 38.89 เปอร์เซ็นต์
QLeak = %Leak x QActual / 100 ลิตรต่อ
วินาที
= 38.89 x 90.91 / 100
= 35.35 ลิตรต่อวินาที
แนวทางในการประหยัดพลังงานในระบบอากาศอัด
2. การลดการรั่วซึมของระบบอากาศอัด (ต่อ)
การคำนวณผลประหยัดจากการลดการรั่วซึม
1. วัดพลังไฟฟ้ าของเครื่ องอัดอากาศช่วง Load ได้เท่ากับ 37.00 กิโลวัตต์
2. วัดพลังไฟฟ้ าของเครื่ องอัดอากาศช่วง Unload ได้เท่ากับ 20.00 กิโลวัตต์
3. ต้องการลดการรั่วซึมให้เหลือ 5 เปอร์เซ็นต์
4. เครื่ องอัดอากาศทำงาน 4,800 ชั่วโมงต่อปี
พลังงานไฟฟ้ าที่ประหยัดได้ = (%Leak - 5.00)x(kWLoad - kWUnload)xชั่วโมง / 100
= (38.89 - 5.00) x (37.00 - 20.00) x
4,800 / 100
= 27,654.24 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี
คิดเป็นค่าไฟฟ้ าที่ประหยัดได้ = พลังงานไฟฟ้ าที่ประหยัดได้ x ค่าไฟฟ้ า
= 27,654.24 x 2.00
= 55,308.48 บาทต่อปี
แนวทางในการประหยัดพลังงานในระบบอากาศอัด
3. การลดความดันด้านจ่ายของอากาศอัด
ความดันอากาศอัดที่สูงเกินไปจะเสียค่าไฟฟ้ ามากเกินความจำเป็น
เมื่อความดันลดลง 50 กิโลปาสกาล จากระดับ 700 กิโลปาสกาล จะทำให้
ประหยัดพลังงานได้ 4 % (แหล่งที่มา : Compressed Air Savings Manual
, SECV)
แนวทางในการประหยัดพลังงานในระบบอากาศอัด
4. การลดการสูญเสียของอากาศเข้าเครื่ องอัดอากาศ
ตรวจสอบดูว่าตัวกรองอากาศสกปรกหรือไม่ เพราะตัวกรองอากาศที่ สกปรก
อาจจะทำให้เกิดความดันตกได้ถึง 1 กิโลปาสกาล ซึ่งมีผลให้เครื่ อง อัดอากาศ
ทำงานหนักขึ้น และสูญเสียพลังงานมากขึ้น
ตรวจสอบดูอุณหภูมิของอากาศเข้าเครื่ องอัดอากาศ เนื่ องจากอากาศที่
อุณหภูมิต่ำจะมีความหนาแน่นมากจึงทำการผลิตอากาศอัดได้มากขึ้นด้วย เมื่อ
อุณหภูมิอากาศลดลง 3 องศาเซลเซียสจะทำให้ประหยัดพลังงานได้ 1% (แ
หล่งที่มา : Compressed Air Savings Manual’, SECV)
การบำรุงรักษา
แสดงการเก็บข้อมูลระบบอัดอากาศ
แสดงการทำความสะอาดกรองอากาศ
แสดงการปรับความดันอากาศอัดให้เหมาะสม
1. เลือกใช้อัตราค่าไฟฟ้ าที่เหมาะสมกับโรงงาน
2. จัดการใช้ไฟฟ้ าเพื่อให้สอดคล้องกับอัตราค่าไฟฟ้ า
3. เข้าใจสัดส่วนการใช้พลังานไฟฟ้ าของโรงงาน
4. วิเคราะห์การใช้พลังงาน เพื่อหาจุดสิ้นเปลือง (Load) หรือจุดสูญเสีย
(Loss)ของอุปกรณ์หลักและกระบวนการผลิต
5. กำหนดมาตรการในการปรับปรุง และวิเคราะห์ความคุ้มค่าในแต่ละมาตรการ
6. ดำเนินการตามมาตรการที่ได้เลือกไว้
7. ตรวจสอบหลังดำเนินการเพื่อดูว่าเป็นไปตามเป้ าหมายที่ได้กำหนดไว้หรือไม่
ขอบคุณครับ