Professional Documents
Culture Documents
จากใจของเรา 6
ในหลวงกับการอนุรักษ์ป่า 8
ก่อนจะมาเป็น ๘๔ พรรณไม้ถวายในหลวง 22
พรรณไม้ภาคเหนือ 30
พรรณไม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 80
พรรณไม้ภาคตะวันออก 110
พรรณไม้ภาคตะวันตกและภาคกลาง 126
พรรณไม้ภาคใต้ 166
หัวใจที่รับผิดชอบต่อสังคมไทยของเรา 208
บรรณานุกรม 212
ดัชนี 214
คณะผู้จัดทำ 215
จากใจของเรา
จากพระราชปณิธานอันมุ่งมั่นเสมอมาตลอดระยะเวลา
ป่าโดยรวมที่ลดลง และจำนวนที่ร่อยหรอลงไปทุกทีของพรรณไม้
ประจำถิ่ น และไม้ ที่ ห ายาก แต่ ยั ง เป็ น การมุ่ ง ให้ ค วามรู้ เ รื่ อ ง
ลั ก ษณะของชนิ ด และภู มิ ป ระเทศที่ ถู ก ต้ อ งและสอดคล้ อ งกั บ
พรรณไม้ทคี่ ดิ จะนำมาปลูกแก่ผทู้ สี่ นใจอีกด้วย หนังสือ ๘๔ พรรณไม้
ถวายในหลวง จาก บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
หรือ CAT จึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมและสืบสาน
แนวทางการดำเนิ น งานตามพระราชดำริ ข องพระบาทสมเด็ จ
พระเจ้าอยู่หัว เรื่องการปลูกป่าในใจคน ซึ่งเป็นพระราชดำริที่ ได้
พระราชทานแก่ เ จ้ า หน้ า ที่ ป่ าไม้ ที่ รั บ ผิ ด ชอบด้ า นการดู แ ลป่ า ว่ า
“...ถ้าจะปลูกป่าควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคน
เหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดิน และรักษาต้นไม้ด้วย
ตนเอง”
หนังสือเล่มนี้จึงมีเนื้อหาว่าด้วยการให้ความรู้ในเรื่องพรรณไม้
ซึ่งถือเป็น ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการฟื้น ฟูป่า โดยเน้นไป
ที่พรรณไม้สำคัญประเภทไม้ถิ่นเดียวและหายาก ซึ่งเกี่ยวพันกับ
สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศน์
ต้นน้ำลำธารและอนุรักษ์ดิน อันเป็นสมบัติของชาติที่ “ในหลวง”
ทรงเน้นย้ำให้คนไทยทุกคนพึงรักษาไว้เสมอมา
คือสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงใส่พระทัยตลอดมา
ในหลวงกับการอนุรักษ์ป่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนาที่มีสายพระเนตรอันยาวไกล
นับแต่ทรงขึ้นครองสิริราชสมบัติจนกระทั่งปัจจุบันเป็นเวลากว่า 6 ทศวรรษ พระองค์ทรงทุ่มเท
พระวรกายอย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อยเพื่อสร้างความผาสุกให้แก่อาณาประชาราษฎร์ โดยการเสด็จ
พระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรในทุกภูมิภาคเป็นประจำทุกปีมิได้ขาด ทั้งนี้เพื่อทอดพระเนตร
สภาพชี วิ ต ความเป็ น อยู่ ข องพสกนิ ก รในพื้ น ที่ ถิ่ น ทุ ร กั น ดารเพื่ อ ที่ จ ะได้ ท รงทราบถึ ง ปั ญ หา
ความเดือดร้อนทุกข์ยากที่แท้จริงของราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องการเสื่อมโทรม
ของทรัพยากรป่าไม้ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลกระทบ
ในสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ และสามารถพึ่งพาตนเองได้
จากพระราชดำริดังกล่าวจวบจนถึงวันนี้ นำมาซึ่งโครงการพระราชดำริที่เกี่ยวข้องกับการ
อนุรักษ์ป่าไม้มากมาย ได้แก่
โครงการป่าไม้สาธิต
โครงการป่าไม้สาธิตอาจถือได้ว่าเป็น พระราชดำริ เ ริ่ ม แรกเกี่ ย วกั บ การอนุ รั ก ษ์ ป่ าไม้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญ
กับการสำรวจและทดลองปลูกพันธุ์พืชต่างๆ
เพื่อยังประโยชน์แก่ประชาชน
เป็ น สวนสาธารณะ แต่ ก็ ไ ม่ อ าจดำเนิ น การได้ เนื่ อ งจากมี ร าษฎรมาทำไร่ ท ำนาในบริ เ วณนั้ น
เป็นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงเริ่มทดลองปลูกต้นยางนาด้วยพระองค์เอง
ในบริเวณพระราชวังไกลกังวล และได้ทรงปลูกต้นยางนาในแปลงทดลองพระราชวังสวนจิตรลดา
ซึ่งต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำพรรณไม้ต่างๆ ทั่วประเทศมาปลูกในลักษณะป่าไม้สาธิต
นอกจากนี้ยังได้สร้างพระตำหนักเรือนต้นในบริเวณป่าไม้สาธิตนั้นเพื่อทรงศึกษาธรรมชาติวิทยา
ป่าไม้ด้วยพระองค์เองอย่างใกล้ชิดเมื่อปี 2508
โครงการป่าพระราชทานมูลนิธิชัยพัฒนา-มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง จังหวัดสงขลาและปัตตานี
โครงการดังกล่าวดำเนินการประสานงานโดยองค์การทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ มูลนิธิ
โททาล (Total) และสถาบันทรัพยากรชายฝั่ง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประกอบด้วยโครงการ
ย่อย 3 โครงการ ได้แก่ โครงการชุมชนพัฒนาป่าชายเลน ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัด
สงขลา โครงการศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนยะหริ่ง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี โครงการ
ศึกษาความเป็นไปได้ในการฟื้นฟูป่าชายเลน อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี
ในหลวงกั บ การอนุ รั ก ษ์ ป่ า
13
โครงการหลวง
โครงการนี้เกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียน
ราษฎรในภาคเหนือ พระองค์ทรงพบเห็นการตัดไม้ทำลายป่าและความลำบากยากแค้นของชาวเขา
บนดอยต่างๆ จึงทรงมีพระราชดำริและทรงจัดตั้งโครงการเกษตรในที่สูงขึ้น เริ่มจาก โครงการ
พระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา ในปี 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระราชทรัพย์
ส่วนพระองค์ซื้อที่ดินบนดอยปุยเพื่อเป็นสถานีทดลองปลูกพืชเมืองหนาว พร้อมกับพระราชทานชื่อว่า
สวนสองแสน ปีต่อมาได้ขยายโครงการไปสู่ดอยอ่างขาง ซึ่งประสบความสำเร็จ นำความกินดีอยู่ดี
มาสู่ราษฎร จากนั้นโครงการจึงขยายต่อไปสู่ดอยต่างๆ ในจังหวัดเชียงใหม่อีก 4 ดอย ได้แก่
ในพื้นที่ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับระบบพัฒนาป่าตามแนวพระราชดำริโดยตรง
อันได้แก่ ป่าประเพณี ป่ากึ่งชุมชน ป่าชุมชน และป่าในบ้าน การศึกษาค้นคว้า การทดลองและการ
สาธิต ปัจจุบันศูนย์การศึกษาการพัฒนาฯ มีอยู่ 6 ศูนย์ทั่วประเทศ ได้แก่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนา
เขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน
ความตอนหนึ่งว่า
ในหลวงกั บ การอนุ รั ก ษ์ ป่ า
15
ทรงริเริ่มการกระจายความรู้แผนใหม่
เพื่อเผยแพร่การพัฒนาป่า
ให้กว้างไกลออกไป
พระราชดำริเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ดังกล่าวได้ดำเนินการในหลายส่วนราชการ ทั้งกรม
ป่าไม้และศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริทุกแห่ง โดยมีการปลูกไม้ใช้สอย ไม้กิน
ได้ และไม้เศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากจะให้ประโยชน์ดังกล่าวแล้ว ยังมีประโยชน์อย่างที่ 4 คือ อนุรักษ์
ดินและอนุรักษ์ต้นน้ำลำธาร สามารถช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนได้อย่างมหาศาล
การปลูกป่าทดแทน
จากปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าในปัจจุบัน ได้ส่งผลให้ระบบนิเวศน์ของธรรมชาติเกิดความ
เสียหายอย่างรุนแรง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มเนื้อที่ป่าไม้ ให้มากขึ้น ซึ่งวิธีการหนึ่ง
“...การปลูกป่าทดแทนจะต้องทำอย่างมีแผน โดยการดำเนินการไปพร้อมกับการพัฒนา
ชาวเขา ในการนี้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ชลประทาน และฝ่ายเกษตรจะต้องร่วมกันสำรวจต้นน้ำใน
บริเวณพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อวางแผนปรับปรุงต้น น้ำและพัฒนาอาชีพราษฎรได้อย่างถูกต้อง
สำหรับต้นไม้ที่ปลูกทดแทนป่าไม้ทถี่ กู ทำลายนัน้ ควรใช้ตน้ ไม้โตเร็วทีม่ ปี ระโยชน์หลายๆ ทาง
คละกันไป และควรปลูกพืชคลุมแนวร่องน้ำต่างๆ เพื่อยึดผิวดินและให้เก็บรักษาความชุ่มชื้นไว้
นอกจากนั้น จะต้องสร้างฝายเล็กเพื่อหนุน น้ำ ส่งไปตามเหมือง ไปใช้ ในพื้นที่เพาะปลูก ๒
ด้าน ซึ่งจะทำให้น้ำค่อยๆ แผ่ขยายออกไปทำความชุ่มชื้นให้บริเวณนั้นด้วย ในการนี้จะต้อง
อธิบายให้ราษฎรรู้ว่า การที่ปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติลดลงนั้น ก็เพราะมีการทำลายป่า
ต้นน้ำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์...”
การปลูกป่าต้นน้ำ
เนื่องจากบริเวณต้นน้ำของไทยในภูเขาสูงทางภาคเหนือของประเทศ มักประสบกับการถูก
บุกรุกเพื่อทำไร่ ทำให้เกิดการพังทลายของดินอยู่บ่อยครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง
ตระหนั กถึงปัญหาดังกล่าว ดังจะเห็นจากเมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินยังวัดคีรีบรรพต ตำบล
ลำนารายณ์ อำเภอชั ย บาดาล จั ง หวั ด ลพบุ รี เมื่ อ วั น ที่ 14 เมษายน 2520 ได้ ท รงกำชั บ กั บ
ผู้ใหญ่บ้านของตำบลลำนารายณ์ ว่า
“...การที่จะมีต้นน้ำลำธารไปชั่วกาลนานนั้น สำคัญอยู่ที่การรักษาป่าและปลูกป่าบริเวณ
ต้นน้ำ ซึ่งบนยอดเขาและเนินสูงนั้น ต้องมีการปลูกป่าโดยปลูกไม้ยืนต้น และปลูกไม้ฟืน
ซึ่งไม้ฟืนนั้นราษฎรสามารถตัดไปใช้ ได้แต่ต้องมีการปลูกทดแทนเป็นระยะ ส่วนไม้ยืนต้นนั้นจะ
ช่วยให้อากาศมีความชุ่มชื้น เป็นขั้นตอนหนึ่งของระบบการให้ฝนตกแบบธรรมชาติ ทั้งยังช่วย
ในหลวงกั บ การอนุ รั ก ษ์ ป่ า 17
ไม่ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินไปที่ใด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มิทรงเคยละเว้นโอกาสในการใช้พระราชวินิจฉัยเพื่อพิจารณา
แก้ไขปัญหาในพื้นที่ให้เกิดความผาสุกแก่เหล่าพสกนิกร
การดำเนินการในศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
“...เดี๋ยวนี้ทุกคนก็คงเข้าใจแล้วว่า ป่า ๓ อย่าง นั้น
คื อ อะไร. แต่ ใ ห้ เ ข้ า ใจว่ า ป่ า ๓ อย่ า ง นี้ มี
ประโยชน์ ๔ อย่าง ไม่ ใช่ ๓ อย่าง. “ป่า ๓
อย่าง“ ที่บอกว่าเป็นไม้ฟืน เป็นไม้ผล และไม้สร้างบ้าน
นั้น ความจริงไม้ฟืนกับไม้ ใช้สอยก็อันเดียวกัน ไม้สร้าง
บ้านกับไม้ใช้สอยก็อันเดียวกัน. แต่เราแบ่งออกไปเป็นไม้ทำ
ฟืน ไม้สร้างบ้านเรือน รวมทั้งไม้ทำศิลปหัตถกรรมแล้วก็
ไม้ผล...”
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔
พิธีปิดการสัมมนาการเกษตรภาคเหนือ
ณ สำนักงานเกษตรภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่
ในหลวงกั บ การอนุ รั ก ษ์ ป่ า
19
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพยายามคิดค้น
วิธีที่จะเพิ่มปริมาณของป่าไม้ในประเทศไทย
ให้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและถาวร โดยการใช้วิธีการ
ที่เรียบง่ายและประหยัด
การปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยในปัญหาปริมาณป่าไม้ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
จึงทรงพยายามคิดค้นวิธีที่จะเพิ่มปริมาณของป่าไม้ ในประเทศไทยให้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและถาวร
อันเป็นธรรมชาติดั้งเดิม ซึ่งหนึ่งในวิธีการนั้นก็คือการปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก
การปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูกเป็นการอนุรักษ์ป่าโดยอาศัยระบบวงจรป่าไม้และการทดแทน
ความตอนหนึ่งว่า
จากปั ญ หาการบุ ก รุ ก ทำลายพื้ น ที่ ป่ า ชายเลนอย่ า งต่ อ เนื่ อ งและรุ น แรง ประกอบกั บ
ป่าชายเลนอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม และลดลงอย่างที่มิอาจประมาณการได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้พระราชทานพระราชดำริ
แก่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษ ฏ์) ในพระราชพิธี
ทรงส่งเสริมให้ราษฎรเข้ามามีส่วนร่วม
ในการปลูกป่า จนกระทั่งสามารถจัดตั้ง
เป็นกลุ่มอนุรักษ์ป่าช่วยกันดูแลรักษาป่า
ในหลวงกั บ การอนุ รั ก ษ์ ป่ า
21
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่า
ทุกสรรพสิ่งสามารถที่จะเกื้อกูลกันและกันได้
หากรู้จักนำไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์
เกี่ยวกับการพัฒนาป่าพรุ ความตอนหนึ่งว่า
“...ควรก่อสร้างและปรับปรุงระบบรับน้ำเปรี้ยวที่ ไหลออกจากพรุให้ ไปลงระบบระบายน้ำ
ของโครงการมูโนะ เพื่อระบายน้ำเปรี้ยวทั้งหมดไปลงคลองปูยูทางด้านท้ายประตูระบายน้ำปูยู
รวมทั้งวางโครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำเปรี้ยวจากพรุกาบแดงไปลงทะเล และส่งเสริมการ
ปลูกป่าในบริเวณพรุเพื่อรักษาพื้นที่ขอบไม่ให้ถูกทำลาย...”
จากแนวพระราชดำริต่างๆ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สะท้อนถึงความห่วงใย
ในเหล่าพสกนิกรและผืนป่าของเมืองไทย ได้ก่อกำเนิดโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ขึ้นมากมาย
เสมือนกระจกเงาที่ส่องให้เห็นถึงความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทยที่สนองตอบพระเมตตา
ก่อนจะมาเป็น
23
การอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าคือหนึ่งในพระราชดำริของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อแผ่นดินไทยนับตั้งแต่
ผืนป่าเพื่อรักษาไว้ซึ่งสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศน์ทั้งน้ำ
ดิ น และป่ า ไม้ เพื่ อให้ พ สกนิ ก รของพระองค์ ไ ด้ มี ชี วิ ต
พรรณไม้ถิ่นเดียวและพรรณไม้หายาก
ควรค่าแก่การอนุรักษ์เพื่อลูกหลานไทย
พรรณไม้ที่รวบรวมมาไว้ ในหนังสือเล่มนี้ส่วนใหญ่
เป็นพืชหายาก (rare) และพืชถิ่นเดียว (endemic plant)
ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่าพืชเฉพาะถิ่นอัน มีความหมายถึง พืช
ชนิดที่พบขึ้นแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณภูมิศาสตร์
เขตใดเขตหนึ่ ง ของโลกที่ มี แ นวเขตค่ อ นข้ า งจำกั ด และ
มาจากประเทศใกล้เคียงของทั้งสามภูมิภาคนั่นเอง
ส่วนพืชหายาก (rare) นั้น ได้แก่พืชที่มีจำนวนน้อย
แต่ส่วนใหญ่ยังไม่อยู่ ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ แต่มีความ
เสี่ยงต่อการเป็นพืชใกล้สูญพันธุ์ ได้ ในอนาคต หากว่าปัจจัย
ต่างๆ ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้จำนวนประชากรพืชลดลงยังคง
ดำเนิ น อยู่ พื ช ถิ่ น เดี ย วส่ ว นใหญ่ ข องไทยจั ด ว่ า เป็ น พื ช
ลักษณะป่าไม้ในเมืองไทย
ในแต่ละภาคของประเทศไทย ล้วนแล้วแต่มีสภาพภูมิอากาศ แหล่งพันธุกรรมของสัตว์ป่าใหญ่หลายชนิด
และระบบนิเวศน์แตกต่างกันไป ซึ่งเป็นตัวกำหนดลักษณะของธรณี พรรณไม้ที่เจริญเติบโตในแหล่งนั้นๆ พรรณไม้
ภาคเหนือ
ความพิเศษของป่าในภาคเหนืออยู่ตรงที่มีความ
สำคั ญ ในฐานะเป็ น ต้ น น้ ำ ลำธารซึ่ ง อยู่ บ นภู เ ขาสู ง
ภาคใต้
สิ่ ง ที่ ท ำให้ ป่ าไม้ ท างภาคใต้ มี ค วามโดดเด่ นไม่
เหมือนที่ ไหน คือเป็นคาบสมุทรที่ยื่นออกไปในทะเล
และมี ป่ า บนภู เ ขาและพื้ น ที่ ร าบลุ่ ม สลั บ กั นไป ดั ง นั้ น
ภาคใต้ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อีกด้วย
ก่ อ นจะมาเป็ น ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
27
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ลักษณะผืนป่าของภาคอีสานนี้บางแห่งเป็นภูเขา
หินทรายที่สูงมากกว่า 1,000 ม. เช่น ภูกระดึง ภูหลวง
บนยอดเขามีอากาศหนาวเย็นและมีความชื้นสูง จึงมี
สภาพเป็ น ป่ า ดิ บ เขา ซึ่ ง พบพรรณไม้ ห ายาก อาทิ
ที่มีความสูงต่ำลงมา จะมีอากาศร้อนจัดและมีความชื้นต่ำ
จึ ง มี ส ภาพเป็ น ป่ า เต็ ง รั ง จะพบพรรณไม้ จ ำพวก
กระมอบ หมักม่อ หากมีความชื้น มากขึ้นก็จะมีสภาพ
เป็นป่าดิบแล้ง ซึ่งมีพรรณไม้จำพวก พะยูง ฝาง มะป่วน
ภาคตะวันออก
ป่ าในภาคนี้ มี คุ ณ ลั ก ษณะเฉพาะตั ว ตรงที่ เ ป็ น
ป่าดิบชื้นบนเขาที่มีความสูงไม่เกิน 1,000 ม. และมีป่า
ชายเลนตามแนวชายฝั่งเป็น หย่อมๆ ซึ่งพรรณไม้ที่จะ
พบได้ในแถบนี้คือ กะหนาย พุงทะลาย พันจำ เป็นต้น
ภาคตะวันตกและภาคกลาง
ภาคกลางนั้ น มี ผื น ป่ า บนที่ ร าบลุ่ ม และหากมี
พรรณไม้ ใ ดที่ ขึ้ น บนภู เ ขาก็ จ ะมี ค วามสู ง ไม่ เ กิ น
สถานการณ์การอนุรักษ์ป่าไม้ไทยโดยรวม ณ ปัจจุบัน
ความจริงที่เราต้องยอมรับคือ ป่าไม้ ในเมืองไทยของเราคือหนึ่ง
ในป่าเขตร้อนบนโลกใบนี้ที่ระบบนิเวศน์ถูกคุกคามมากที่สุด พื้นที่ป่าของ
เราลดลงอย่างรวดเร็วจาก 53.3% เหลือเพียง 24% ในช่วงเวลา 44 ปี
และถึงแม้ว่ารัฐบาลไทยจะได้ยกเลิกการให้สัมปทานการทำไม้ทั้งหมด
ดินฟ้าอากาศในท้องถิ่นนั้นด้วย
29
ในการพลิกฟื้นป่าต้นน้ำเหนือป่าในหมู่บ้านจากพื้นที่ไร่เก่าที่เคย
ทำการเกษตรให้กลับมาเป็นป่าสมบูรณ์ได้ในเวลาเพียง 5-6 ปี
ด้ ว ยการปลู ก “พรรณไม้ โ ครงสร้ า ง” ซึ่ ง ก็ คื อ พรรณไม้
ดุจเดียวกับน้ำพระทัยแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่ ไ ด้ ริ น รดให้ ค วามผาสุ ก แก่ ทั้ ง ผื น ป่ า และราษฎรของ
พระองค์ ม าอย่ า งยาวนาน นั บ เป็ น พระมหากรุ ณาธิ คุ ณ ที่
คนไทยผู้รับสนองพระราชดำริในการผดุงรักษาป่าไม้ทุกคน
ต้องจดจำและดำเนินรอยตามพระปณิธานอันดีงามนี้สืบต่อไป
ชั่วกาลนาน
อากาศหนาวเย็นและไม้ดอกสีสันงดงามแปลกตาในป่า
บนภูสูงที่ชุ่มชื้น คือเอกลักษณ์ของป่าภาคเหนือ
ของประเทศไทย และเป็นถิ่นกำเนิดของพรรณไม้หายาก
หลากชนิดที่ผลิบานเมื่อใดก็ละลานตาเมื่อนั้น
32 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
กระเจาะ
Millettia kangensis Craib
ชื่ออื่น ขะเจาะ ขะเจาะน้ำ
ลักษณะพรรณไม้
ออกดอกเป็นช่อ
ต้น เป็นไม้ต้นขนาดกลางสูง 15-18 ม. แต่อาจ
สีชมพูอมม่วง
สู ง ได้ ถึ ง 20 ม. เรื อ นยอดค่ อ นข้ า งกลมหรื อ ทรง
กระบอก เปลือกสีเทา เรียบ หรือแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ
กระพี้สีขาวอมน้ำตาล แก่นสีน้ำตาลดำ
ใบ ใบอ่อนและยอดอ่อนมีขนนุ่มคล้ายไหม ใบ
ประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงสลับ ยาว 20-30 ซม.
ใบย่อย 7-9 ใบ ใบแก่มีขนทั้งสองด้าน ช่อดอกแยกแขนง
ดอก ออกดอกเป็นช่อ สีชมพูอมม่วง ยาว 2-2.5
ซม. กลีบดอกด้านนอกมีขนยาวเป็นมัน
ผล เป็นฝักแบน กว้าง 1.5 ซม. ยาว 5-6 ซม.
เมล็ด แบน กลมมน สีน้ำตาลเข้ม กว้างและยาว
1-1.2 ซม.
ด้วยวิสัยที่กำเนิดอยู่ริมแม่น้ำลำธาร ชาวบ้านจึง
การขยายพันธุ์
เรี ย กพรรณไม้ ช นิ ด นี้ อี ก ชื่ อ หนึ่ ง ว่ า “ขะเจาะน้ ำ ”
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ควรส่งเสริมให้มี
กระเจาะเป็นพรรณไม้ที่เจริญเติบโตได้ค่อนข้างรวดเร็ว การนำไปปลูกริมลำธารแต่ละพื้น ที่ ในภาคเหนือ เพื่อ
เพราะอาศั ย อยู่ ใ นบริ เ วณที่ ชื้ น แฉะ และความชื้ น สู ง เป็นการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์
เวลาที่กระเจาะผลิดอกและติดฝัก ฝักแก่จะแตกออก
แล้ ว ทิ้ ง เมล็ ด ร่ ว งลงสู่ ล ำธาร ปล่ อ ยให้ ส ายน้ ำ พั ด พา
เมล็ดไปขึ้นอยู่ตามริมลำธารที่อยู่ต่ำลงมา กลายเป็นพืช
ที่สร้างสีสันอันสวยงามได้ตลอดลำน้ำ
ด้านประโยชน์ของกระเจาะ ชาวบ้านที่อิงอาศัยอยู่
กับป่า รู้จักนำเปลือกของกระเจาะมาใช้ย้อมผ้ากันเป็น
เวลานานแล้ว เปลือกของกระเจาะยังมีสรรพคุณเป็น
อีกด้วย ในปัจจุบันได้มีการส่งเสริมให้ปลูกกระเจาะเป็น
ไม้ประดับในหลายพื้นที่ และเชื่อกันว่า ในอีกไม่ช้า ไม้ป่า
เมืองเหนือที่เคยซ่อนตัวอยู่ตามขุนเขาอย่างกระเจาะนี้
จะอวดโฉมให้คนไทยได้เห็นกันอย่างแพร่หลาย
34 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
กาสะลองคำ
Radermachera ignea (Kurz) Steenis
ชื่ออื่น กากี สำเภาหลามต้น จางจืด สะเภา อ้อยช้าง ปีบทอง
ลั ก ษณะเด่ น อย่ า งหนึ่ ง ของกาสะลองคำ คื อ เป็ น
กาสะลองคำ หรือปีบทอง เป็นพรรณไม้พระราชทาน พรรณไม้ เ บิ ก นำเพื่ อ เพิ่ ม ความชุ่ ม ชื้ น ให้ แ ก่ พื้ น ที่ จึ ง
เพื่ อ ปลู ก เป็ นไม้ ม งคลของจั ง หวั ด เชี ย งราย และเป็ น สามารถปลู กได้ ใ นพื้ น ที่ ที่ ค่ อ นข้ า งแห้ ง แล้ ง หรื อ พื้ น ที่
พรรณไม้ประจำมหาวิทยาลัยสองแห่ง คือ มหาวิทยาลัย ซึ่ ง ปลู ก พรรณไม้ อื่ น ๆ ไม่ ค่ อ ยเจริ ญ เติ บ โต เมื่ อ ต้ น
ราชภั ฏ เชี ย งราย เรี ย กว่ า กาสะลองคำ และ กาสะลองคำเจริญเติบโตได้ประมาณ 1-2 ปี ก็ไม่มีความ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ซึ่งเรียกอีกชื่อหนึ่ง คือ จำเป็ น ที่ จ ะต้ อ งรดน้ ำ เพิ่ ม เติ ม อาศั ย เพี ย งน้ ำ ตาม
ปีบทอง
ธรรมชาติก็เพียงพอในการเจริญเติบโต ปัจจุบันจึงมีคน
กาสะลองคำ เป็นพรรณไม้ในวงศ์ Bignoniaceae ให้ความสนใจนำมาปลูกขยายพันธุ์มากขึ้น โดยสามารถ
ขึ้นตามธรรมชาติบนเทือกเขาหินปูนที่ค่อนข้างชื้นทาง ปลู ก เป็ น ไม้ ป ระดั บ ตามอาคารบ้ า นเรื อ น สถานที่
ภาคเหนือ ส่วนในต่างประเทศ พบตั้งแต่พม่าตอนใต้ ราชการ ริมถนน ริมสระน้ำ และเป็นไม้สมุนไพรไว้ ใช้
เรื่อยไปถึงเกาะไหหลำในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ในชีวิตประจำวันของผู้คนในชนบท
พรรณไม้ ภ าคเหนื อ
35
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ผลัดใบ
สูง 6-20 ม. เรือนยอดรูปไข่แคบโปร่ง ลำต้นเปลาตรง
ตามลำต้ น และกิ่ ง ก้ า นจะมี ช่ อ งหายใจกระจายอยู่
เปลือกต้นเรียบสีเทา เรือนยอดทึบแผ่กว้างเป็นพุ่มกลม
ใบ ประกอบแบบขนนก 2 ชั้น ออกตรงข้ามกัน
ใบย่อย 2-5 คู่ แผ่นใบรูปรีแกมรูปใบหอกถึงรูปไข่แกม
การใช้ประโยชน์ด้านสมุนไพรจากต้นกาสะลองคำ รูป ใบหอก หรือขอบขนานแกมรูป ใบหอก กว้าง 2-5
สามารถนำไปเป็ น สมุ นไพรได้ ตั้ ง แต่ ส่ ว นลำต้ น โดย
ซม. ยาว 5-12 ซม. ปลายแหลมเป็นติ่ง โคนใบสอบ
นำไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆ ฝนน้ำกินแก้ซาง เปลือกต้น แหลม ขอบใบเรียบ
ยั ง สามารถต้ ม น้ ำ ดื่ ม แก้ ท้ อ งเสี ย ใบตำคั้ น น้ ำ ทาหรื อ ดอก สีเหลืองอมส้ม หรือสีส้ม ออกดอกเป็นช่อ
พอกใช้รักษาแผลสด แผลถลอก และห้ามเลือดได้ดี
ตามกิ่งและลำต้น ช่อละ 5-10 ดอก ทยอยบาน โคน
ใครที่อยากชื่นชมความงามของดอกกาสะลองคำ กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอด ยาว 4-7 ซม. ปลายเป็น
สามารถหาชมได้ตามป่าเขาหินปูนในภาคเหนือช่วงเดือน แฉกสั้นๆ 5 แฉก
มกราคมถึงเมษายน จะทยอยเห็นความงามในแต่ละ ผล เป็ น ฝั ก ยาว 26-40 ซม. ไม่ มี ข นปกคลุ ม
ช่วงตั้งแต่ผลัดใบ แล้วผลิดอกตามมา ส่วนผู้ต้องการ เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ซีก และบิดงอ ภายในฝักมีเมล็ด
เห็ น กาสะลองคำปลู ก เป็ น แถวเป็ น แนว เป็ น ระเบี ย บ ขนาด 2-13 มม.
สวยงาม ออกดอกสีเหลืองส้มพรูเต็มต้น กระจายเต็ม เมล็ด แบน มีปีกเป็นเยื่อบางๆ สีขาว
ทั่ ว พื้ น ที่ ก็ จ ะต้ อ งเข้ า ไปเยื อ นมหาวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ
เชี ย งราย ในจั ง หวั ด เชี ย งราย หรื อ มหาวิ ท ยาลั ย การขยายพันธุ์
เทคโนโลยี สุ ร นารี ในจั ง หวั ด นครราชสี ม าในช่ ว งที่
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และปักชำกิ่ง
กาสะลองคำบาน ส่วนผู้ที่ต้องการปลูกไว้ชื่นชมเป็นการ ดอกสีเหลืองอมส้ม หรือสีส้ม
ส่วนตัว ก็สามารถปลูกให้เจริญเติบโตสวยงามได้ ไ ม่ ออกดอกเป็นช่อตามกิ่งและลำต้น
ยากนัก ซึ่งมีเทคนิคพิเศษเป็นเคล็ดลับก็คือ จะต้องปลูก
กลางแจ้งให้มีระยะห่างจากต้นไม้อื่นอย่างน้อย 5 ม.
จะต้องปักหลักผูกยึดให้ลำต้นตั้งตรง และคอยตัดแต่ง
กิ่งให้แตกออกรอบลำต้นในลักษณะมีสมดุล มิฉะนั้นต้น
กาสะลองคำจะมี กิ่ ง ยาวมากแล้วฉีกหัก หรือมีลำต้น
เอียงแล้วล้มไม่สวยงาม
36 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
กุ
หลาบขาวเชียงดาว
Rhododendron ludwigianum Hoss.
เกสรสีเหลือง
ชื่ออื่น คำขาว
ธรรมชาตินั้นช่างเสกสรรปั้นแต่ง และก่อกำเนิด
ความงามอันน่าอัศจรรย์อยู่เสมอ ใครเลยจะคิดว่าบน
ยอดเขาหินปูนที่แห้งแล้งและแทบจะหาชั้นดินไม่ ได้เลย
อย่างยอดดอยเชียงดาว ในจังหวัดเชียงใหม่ กลับเป็น กลีบดอก 5 กลีบ
แหล่งกำเนิดของกุหลาบป่าที่งดงามที่สุดชนิดหนึ่ง ที่
ค่อนข้างกลม
ชาวดอยเรี ย กขานกั น ว่ า คำขาว หรื อ กุ ห ลาบขาว
เชียงดาว ซึ่งเป็นกุหลาบป่าชนิดที่หายากที่สุดและมีดอก
ขนาดใหญ่ที่สุดของไทย
ให้แก่ขุนเขา รอการมาเยือนของผู้เดินทาง
กุ ห ลาบขาวเชี ย งดาวเป็ น พรรณไม้ ในวงศ์
Ericaceae ในสกุลกุหลาบป่า (Rhododendron) เช่น
เดี ย วกั บ กุ ห ลาบพั น ปี มี ลั ก ษณะเป็ นไม้ พุ่ ม ไม่ ผ ลั ดใบ
ลำต้ น แตกกิ่ ง มาก กุ ห ลาบขาวเชี ย งดาวจั ด เป็ น พื ช
พรรณไม้ ภ าคเหนื อ 37
ท่องเที่ยวรวมทั้งต้องช่วยกันปกปักรักษา ด้วยการป้องกัน
ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนเป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง
มีเกล็ดสีน้ำตาล
ดอก ออกเป็นช่อตามปลายกิ่งช่อละ 2-3 ดอก
ดอกตูมสีขาวอมชมพู เมื่อบานมีกลีบดอก 5 กลีบ ค่อน
ข้างกลม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8-13 ซม. ออกดอก
ระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม
ผล แบบผลแห้งแตก รูปทรงกระบอกยาว 2-3
ซม. ผิวแห้งแข็ง เป็นตุ่มขรุขระ มีเกล็ดปกคลุม แก่จัด
แตกเป็น 5-6 เสี่ยง
เมล็ด ขนาดเล็ก มีจำนวนมาก รูปร่างแบน มีปีก
บางใสล้อมรอบ
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์ตามธรรมชาติโดยการงอกจากเมล็ด
38 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
กุหลาบพันปี
Rhododendron arboreum Sm. subsp. delavayi (Franch.)
Chamb.
ชื่ออื่น คำแดง
ในช่วงฤดูหนาว บรรดากุหลาบป่าที่แฝงพุ่มอยู่ตาม
ยอดดอยสูงทางภาคเหนือ จะพากันแย้มกลีบบานเพื่อ
เผยให้เห็นความงดงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ ไว้อย่าง
น่ า อั ศ จรรย์ โดยเฉพาะกุหลาบป่าสีแดงสดที่ชาวดอย
กุหลาบพัน ปี เป็น พรรณไม้ ในวงศ์ Ericaceae
เรียกขานว่า “กุหลาบพันปี” จะพร้อมใจกันออกดอกสีแดง ซึ่ งไม่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ กุ ห ลาบที่ เ รารู้ จั ก กั น ซึ่ ง อยู่ ใ นวงศ์
เจิดจ้าสวยงามเพิ่มสีสันให้แก่พงไพร ดึงดูดนักท่องเที่ยว
Rosaceae กุหลาบพันปีเป็นพรรณไม้ในสกุลกุหลาบป่า
ผู้ ห ลงใหลธรรมชาติ ใ ห้ ดั้ น ด้ น เดิ น ทางมาเยี่ ย มชม
Rhododendron ซึ่งหากมองดูเผินๆ คล้ายพุ่มกุหลาบ
แม้จะต้องบุกป่าฝ่าดงขึ้นมาจนถึงยอดดอย
คนจึงนิยมเรียกกันว่ากุหลาบป่า คำว่า Rhododendron
มาจากภาษากรีก คือ rhodo ซึ่ ง แปลว่ า กุ ห ลาบ และ
dendron ซึ่งแปลว่า ต้นไม้ ส่วนที่เรียกกุหลาบป่าชนิดนี้
ว่ากุหลาบพันปีนั้นเป็นเพราะลำต้นมีมอสปกคลุมจนดู
คล้ายมีอายุเป็นพันปี
พรรณไม้ ภ าคเหนื อ
39
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 1-3 ม. เปลื อ กต้ น
สีน้ำตาลอมแดงเข้ม หลุดออกเป็นแผ่นได้
ใบ เป็ น ใบเดี่ ย วเรี ย งสลั บ รู ป ขอบขนานหรื อ
ชาวเนปาลยกย่องให้ดอกไม้ชนิดนี้เป็นดอกไม้ประจำ
ชาติ ซึง่ ผูกพันอยูก่ บั วิถชี วี ติ ของชาวหิมาลัยมาอย่างช้านาน
ชาวเนปาลนิยมนำไม้ชนิดนี้มาทำเชื้อฟืนสำหรับหุงต้ม
อาหารและสร้างความอบอุน่ ภายในทีพ่ กั อาศัย
สำหรับบ้านเรา กุหลาบพันปีถอื เป็นพรรณไม้หายาก
ที่มีการใช้ประโยชน์ค่อนข้างน้อย จึงควรส่งเสริมให้มี
การปลูกอย่างกว้างขวางในพื้นที่อนุรักษ์ระดับสูงตาม
อุ ท ยานแห่ ง ชาติ ต่ า งๆ เพื่ อให้ เ ป็ น แหล่ ง ท่ อ งเที่ ย วที่
สำคัญประจำภูมิภาค
40 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
ขมิ
้ น ต้ น
Mahonia duclouxiana Gagnep.
ชื่อพ้อง Mahonia siamensis Takeda ex Craib
ใบย่อยรูปขอบขนานแกมรูปไข่
ชื่ออื่น – หรือรูปใบหอก
บรมราชกุมารี ทรงแย้มพระสรวลอยู่ท่ามกลางดอก
ขมิ้นต้นที่ชูช่อเหลืองอร่ามอย่างพระเกษมสำราญ
ขมิ้ น ต้ น เป็ น พรรณไม้ ที่ แ ตกแต่ กิ่ ง ยาวหรื อ ที่
พื้นเมืองที่ทนแล้งทนลมหนาวได้อย่างทรหด ส่วนใบ
ในต่างประเทศพบในระดับความสูงจนถึง 2,800 ม.
พรรณไม้ชนิดนี้มีสรรพคุณเป็นสมุนไพร เปลือกรากใช้
แก้ ไข้อีดำอีแดง แก้ท้องเสีย ตาเจ็บ และช่วยให้เจริญ
อาหาร
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้พุ่ม สูงได้ถึง 4 ม. แตกกิ่งเป็นลำยาว
เปลือกแตกเป็นร่องลึก
ใบ ประกอบแบบขนนกปลายคี่ ยาว 20-70 ซม. ดอก สีเหลือง กลีบเลี้ยงยาว 3-8 มม. กลีบดอก
ใบย่ อ ยมี 4-9 คู่ เป็ น รู ป ขอบขนานแกมรู ป ไข่ ห รื อ
บางสีเหลืองรูปรีหรือรูปขอบขนาน ยาว 6-7 มม. ที่โคน
รูปใบหอก ยาว 4-15 ซม. ปลายใบแหลมหรือเรียวยาว กลีบมีต่อมชัดเจน ปลายมนหยักเว้า
โคนใบกลม เบี้ยว ขอบใบจักซี่ฟันห่างๆ ไม่มีก้านใบย่อย ผล เป็นผลกลม มีเนื้อหลายเมล็ด สุกสีม่วงเข้ม
ช่อดอกมี 4-15 ช่อ ยาว 8-30 ซม.
เส้นผ่าศูนย์กลาง 5-8 มม. มีนวลฉาบอยู่
เมล็ด สีขาวหม่น กลมขนาด 3 มม. มี 1 เมล็ด
การขยายพันธุ์
ควรทำการอนุรักษ์ขมิ้นต้นด้วยการร่วมมือกันปกปัก
รักษาต้นที่มีอยู่ ในถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติให้เจริญเติบโต
เป็นต้นแม่พันธุ์ ออกดอกและติดผล สามารถขยายพันธุ์
ตามธรรมชาติได้เป็นอย่างดี และควรทำการขยายพันธุ์
โดยการเพาะเมล็ ด เก็ บ ผลแก่ น ำเมล็ ด มาเพาะแล้ ว
คำมอกหลวง
Gardenia sootepensis Hutch.
ชื่ออื่น ไข่เน่า คำมอกช้าง ยางมอกใหญ่
สมุนไพรที่มีความสำคัญในแพทย์แผนจีน มานานกว่า
พัน ปีแล้ว สำหรับประเทศไทยมีพรรณไม้ ในสกุลนี้อยู่
เป็ น พิ ษ ต่ อ เซลล์ ม ะเร็ ง ปากมดลู ก ซึ่ ง คาดว่ า จะมี ที่มีต้นเตี้ย ดอกใหญ่ สีเข้มสดใส ออกดอกตลอดปีและ
ประโยชน์ต่อการบำบัดมะเร็งชนิดนี้ในอนาคต
มีกลิ่นหอมแรง แล้วขยายพันธุ์โดยการตอน ทาบกิ่งหรือ
พรรณไม้ ภ าคเหนื อ
43
ผลสีเขียวสด
รูปไข่มีติ่งที่ปลาย
เสียบกิ่ง ทำให้ต้นขนาดเล็กออกดอกได้ จึงได้รับความ
นิยมปลูกเป็นไม้ดอกกระถางและไม้ประดับตามบ้าน
งิ
้วป่า
Bombax ceiba L.
ชื่ออื่น งิ้วบ้าน งิ้วแดง งิ้วปงแดง
สีเขียวเข้มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองก่อนหลุดร่วง
ดอก ออกเป็นช่อเดี่ยว หรือเป็นกระจุกตามปลาย
กิ่ง 3-5 ดอก ไม่มีก้านดอก กลีบรองกลีบดอกรูปถ้วย
สี เ ขี ย ว กลี บ ดอก 5 กลี บ ส่ ว นใหญ่ สี แ ดง สี ส้ ม แต่
นำมาวิเคราะห์ถึงคุณค่าและการนำไปใช้ประโยชน์ ใน
ทางสมุนไพรต่อไป
46 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
จำปาขาว
Magnolia champaca X baillonii
ชื่ออื่น -
ดอกจำปาที่คนส่วนใหญ่รู้จักมักมีสีเหลืองส้ม อย่าง
ที่เราเรียกกันว่าสีจำปา หากแต่ก็มีจำปาชนิดหนึ่งที่ดอกมี
เป็นสีของดอกที่มีสีขาวนวล หรือลักษณะของผลที่เป็น
ซึ่ ง เกิ ด จากการผสมกั น ระหว่ า งผลย่ อ ยรู ป ทรงกลม ไปได้ถึงอาณาจักรสุโขทัย กล่าวกันว่า จำปาขาวต้น
ซึ่งปลูกไว้เมื่อครั้งก่อนยกไพร่พลไปตีเมืองสุโขทัยซึ่งอยู่
ภายใต้การปกครองของขอมได้สำเร็จ แล้วสถาปนา
ตนเองเป็น “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์
พระร่วงแห่งอาณาจักรสุโขทัย โดยตั้งสัตยาธิษ ฐานว่า
ถ้าตีเมืองสุโขทัยได้สำเร็จ ก็ขอให้ต้นจำปาขาวไม่ตาย
และออกดอกเป็นสีขาว จากคำอธิษฐานนั้น จำปาขาว
ต้นนี้จึงถือเป็นไม้คู่บ้านคู่เมืองของอำเภอนครไทย (เมือง
บางยางในอดีต)
ทุกวันนี้หากใครมีโอกาสได้ ไปเที่ยวชมวัดกลาง-
ศรีพุทธาราม จะพบจำปาขาวต้นนี้ที่ด้านหลังอนุสาวรีย์
พ่อขุนศรีอิน ทราทิตย์ แม้จะผ่านกาลเวลามาเนิ่น นาน
หลายศตวรรษ หากจำปาขาวต้นนี้ก็ยังคงยืนหยัดอยู่อย่าง
มั่ น คง สง่ า งาม ลำต้ น ขนาดใหญ่ วั ด เส้ น ผ่ า ศู น ย์ ก ลาง
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 8-10 ม. แต่มีโคน
ลำต้นใหญ่ ได้ถึง 1.5 ม. ลำต้นเปลาตรง แตกกิ่งจำนวน
มากที่ยอด ยอดทรงพุ่มโปร่งเป็นรูปกรวยคว่ำ ใบ ยอดอ่อน
และใบอ่อนมีขน
ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับ รูปรีแกมรูปขอบขนาน การขยายพันธุ์
กว้าง 4-9 ซม. ยาว 10-20 ซม. ปลายใบแหลม โคนสอบ โดยการเพาะเมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง และทาบกิ่ง
จำปี
ช้าง
Magnolia citrata Noot. & Chalermglin
ชื่ออื่น -
ซึ่งเป็นพืชถิ่นเดียวของไทย และในธรรมชาติมีสภาพเป็น
พืชหายากใกล้สูญพันธุ์ แต่ด้วยความวิริยะอุตสาหะของ
คณะวิจัยจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
แห่ ง ประเทศไทย ซึ่ ง นำที ม โดย ดร.ปิ ย ะ เฉลิ ม กลิ่ น
ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ได้แกะรอยการสำรวจเข้าไปจนพบ
จากพรรณไม้ที่ ไม่สามารถให้กำเนิดลูกหลานมา
นานกว่าครึ่งศตวรรษ ปัจจุบัน จำปีช้างสามารถขยาย
พันธุ์ได้ด้วยวิธีการทาบกิ่งโดยใช้จำปาเป็นต้นตอ ปลูก
เป็นไม้ประดับได้ดี ในพื้น ที่อุทยานแห่งชาติและแหล่ง
พื้นที่ราบทั่วไป จำปีช้างส่งกลิ่นหอมตั้งแต่ช่วงใกล้พลบค่ำ
มีกลิ่นหอมแรง แต่น่าเสียดายที่ดอกอันบอบบางบานอยู่
เพียงแค่วันเดียวแล้วก็ร่วงโรยในวันถัดไป และออกดอก ลักษณะพรรณไม้
ให้ ผู้ ป ลู ก เลี้ ย งได้ ชื่ น ใจเพี ย งแค่ ช่ ว งเดื อ นเมษายนไป ต้น เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง 25-30 ม. ลำต้น
จนถึงเดือนพฤษภาคมเท่านั้น
เปลาตรง แตกกิ่งเป็นพุ่มอยู่ที่ยอด เปลือกลำต้นสีเทา
อมขาว มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว เนื้อไม้และกิ่งเหนียว
เมล็ด สีแดงเข้ม รูปกลมรี
ใบ เป็นใบเดี่ยว รูป ไข่ กว้าง 12-18 ซม. ยาว
20-25 ซม. เรี ย งเวี ย นรอบกิ่ ง รู ป รี จ นถึ ง เกื อ บกลม
เนื้อใบหนา เหนียว สีเขียวเข้มเป็นมัน ใบด้านล่างสีอ่อน
กว่า มีเส้นกลางใบและเส้นแขนงใบนูนเด่น
กลีบดอกสีขาวนวล
ดอก เป็ น ดอกเดี่ ย วออกที่ ซ อกใบ ดอกตู ม รู ป
กระสวย เมื่อแรกแย้มกลีบนอกสุด 3 กลีบจะบานลู่ลง
เริ่มส่งกลิ่นหอมแรงตั้งแต่ช่วงเย็น กลีบดอกสีขาวนวล
ผลมีขนาดใหญ่ที่สุด
9-12 กลีบ เมื่อบานมีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอก 4-5 ซม.
ในสกุลจำปี จำปา
ใกล้โรยกลีบดอกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน
ผล เป็นผลกลุ่ม ติดอยู่บนแกนช่อผล มีผลย่อย
5-8 ผล แต่ละผลมีขนาดใหญ่ เปลือกหนา เส้นผ่า-
ดอกตูมรูปกระสวย
ศูนย์กลาง 4-7 ซม. ยาว 7-8 ซม. แตกออกเป็น 2 ซีก
เมล็ด สีแดงเข้ม รูปกลมรี กว้าง 1.6 ซม. ยาว
1.8 ซม. หนา 4 มม.
การขยายพันธุ์
ขยายพั น ธุ์ โ ดยการเสี ย บยอดและทาบกิ่ ง ควร
ขยายพั น ธุ์ แ ละปลู ก เพิ่ ม จำนวนต้ น ให้ ม ากขึ้ น ในพื้ น ที่
อนุ รั ก ษ์ ในพื้ น ที่ ร ะดั บ สู ง มี อ ากาศหนาวเย็ น จะเจริ ญ
เติบโตและออกดอกได้ดี
50 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
จำปี
รัชนี
สำหรั บ นั ก ท่ อ งเที่ ย วหรื อ ผู้ ส นใจที่ อ ยากชื่ น ชม
จึงต้องไปให้ตรงช่วงเวลาดังกล่าว
พรรณไม้ ภ าคเหนื อ
51
ดอกขนาดใหญ่กว่าดอกจำปีหรือ
จำปา ออกเดี่ยวๆ ตามซอกใบ
ดอกตูมรูปกระสวย
กลีบรวมสีขาวอมเหลือง
ใบ ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ รูปรีหรือรูปไข่ กว้าง
10-13 ซม. ยาว 17-30 ซม. ปลายใบมนหรือตัด โคน
ใบหยักเว้า มน หรือกลม แผ่นใบด้านบนเกลี้ยง ด้าน
ล่ า งมี ข นนุ่ ม ยาวปกคลุ ม หนาแน่ น ใบอ่ อ นนุ่ ม สากมื อ
ใบแก่แข็งกรอบ เส้นแขนงใบและเส้นกลางใบเป็นร่อง
ตื้น ที่ด้านบนของใบและเป็นสัน นูน ที่ด้านล่างของใบ
มีรอยหูใบเด่นชัดยาวสามในสี่ของความยาวก้านใบ
ดอก ขนาดใหญ่ ก ว่ า ดอกจำปี ห รื อ จำปา ออก
เดี่ยวๆ ตามซอกใบ บนกิ่งด้านข้าง มีกลิ่นหอม ดอกตูม
รูปกระสวย กลีบรวมสีขาวอมเหลือง ยาว 2.5-3.5 ซม.
มี 12-15 กลี บ เรี ย งเป็ น รู ป วง วงละ 3 กลี บ กลี บ
ปัจจุบันจำปีรัชนีได้รับการจัดเป็นพืชถิ่นเดียว และ วงนอกกว้างกว่ากลีบวงใน เกสรเพศผู้จำนวนมาก รังไข่
พืชหายากของไทย มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ ในภาค จำนวนมาก แต่ละอันเรียงเวียนสลับบนแกนยาว
เหนื อ ตอนบนที่ จั ง หวั ด เชี ย งใหม่ เชี ย งราย ลำพู น ผล ออกเป็นผลกลุ่ม ช่อผลยาว 15-20 ซม. มีผล
พะเยา ลำปาง แพร่ น่านและแม่ฮ่องสอน ควรเร่งขยาย ย่อย 12-30 ผล แต่ละผลรูปไข่ค่อนข้างยาว กว้าง 1.5
พันธุ์และอนุรักษ์ด้วยการนำมาปลูกเพื่อให้ร่มเงาและ ซม. ยาว 2-3 ซม. ผิวของผลมีช่องอากาศเป็นจุดนูน
ตามยาว
52 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
ชมพู
พิมพ์ใจ
ดอกสีชมพูมีกลิ่นหอม
Luculia gratissima (Wall.) Sweet var. glabra Fukuoka
ชื่ออื่น ชมพูเชียงดาว พิมพ์ใจ
ความมหัศจรรย์ของดอยเชียงดาวคือ เป็นแหล่ง
นักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาชื่นชมความมหัศจรรย์ของ
น่าชื่นชม” ชมพูพิมพ์ใจจึงเป็นดอกไม้ที่สร้างความประทับใจ
ให้แก่ผู้พบเห็นได้ไม่รู้ลืม ก่อนหน้านี้ ชมพูพิมพ์ ใจมีชื่อ
เรียกเพียงสั้นๆ ว่า “พิมพ์ใจ” ซึ่งได้มาจากชื่อของหญิงสาว
ในคณะสำรวจ ที่มีรอยยิ้มสดใสน่ารักเหมือนดอกไม้นี้
บ่งบอกถึงลักษณะของสีดอกที่มีสีชมพูเข้มสวยงาม
พรรณไม้งามแห่งยอดดอยเชียงดาวชนิดนี้ เป็น
หายากชนิดหนึ่งของไทย ที่ควรส่งเสริมให้มีการปลูก
อนุรักษ์พันธุ์บนพื้นที่ระดับสูง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ
พื้นที่และใช้เป็นพรรณไม้ส่งเสริมการท่องเที่ยว
พรรณไม้ ภ าคเหนื อ
53
สำหรับผู้ที่ต้องการชื่นชมความงามและถ่ายภาพ
ชมพูพิมพ์ ใจไว้เป็นที่ระลึกควรเดินทางไปในช่วงเดือน
ธั น วาคมถึ ง กุ ม ภาพั น ธ์ ซึ่ ง เป็ น ช่ ว งที่ ช มพู พิ ม พ์ ใ จ
ออกดอกบานสะพรั่ง แต่งแต้มสีสันให้แก่ดอยเชียงดาว
จนกลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงความงามอย่างยากที่จะหา ออกดอกเป็ นช่อ
ลักษณะเป็นชั้น
พรรณไม้ชนิดใดทัดเทียมได้
ลดหลั่นกันเป็นระนาบ
การขยายพันธุ์
ตามธรรมชาติมีการขยายพันธุ์โดยงอกจากเมล็ด
จึงควรเก็บผลแก่นำเมล็ดไปเพาะในพื้นที่เหมาะสมอื่นๆ
ที่มีสภาพภูมิอากาศใกล้เคียงกัน เพื่อให้มีจำนวนต้นมากขึ้น
เพิ่มแหล่งสวยงามให้มีมากขึ้น หรืออาจจะขยายพันธุ์
โดยการปักชำ ปลูกลงแปลงกลางแจ้งในพื้นที่ระดับสูง
มีอากาศหนาวเย็น สำหรับเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ เป็น
ลักษณะพรรณไม้
แหล่งธรรมชาติที่มีทัศนียภาพสวยงาม สำหรับส่งเสริม
ต้น เป็นไม้พุ่มสูง 1.5-2 ม. แตกลำต้นในระดับ ให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาท่องเที่ยวถ่ายรูปที่ระลึก
เหนือผิวดิน แตกกิ่งค่อนข้างมากเป็นพุ่มกลม เปลือก
ลำต้นสีม่วงอ่อน ยอดอ่อนสีเขียว
ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามเป็นคู่สลับตั้งฉาก
รูป ใบหอก โคนและปลายใบแหลม เนื้อใบคล้ายแผ่น
หนัง เกลี้ยง หูใบเป็นแผ่นรูปสามเหลี่ยมหลุดร่วงง่าย
ดอก มี ด อกสี ช มพู มี ก ลิ่ น หอม ออกเป็ น ช่ อ
ลั ก ษณะเป็ น ชั้ น ลดหลั่ น กั น เป็ น ระนาบ มี ด อกย่ อ ย
ชมพู
ภูคา
Bretschneidera sinensis Hemsl.
ชื่ออื่น -
ดอยภูคาในจังหวัดน่าน เป็นยอดดอยที่สูงที่สุด
แห่งหนึ่งของเทือกเขาหลวงพระบาง และเป็นยอดดอยที่สูง
เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ยอดดอยแห่งนี้อยู่สูงจาก
ระดั บ น้ ำ ทะเลถึ ง 1,980 ม. จึ ง ทำให้ มี ร ะบบนิ เ วศน์
หายากและใกล้สูญพันธุ์ที่ชื่อว่า ชมพูภูคา
ชมพูภูคาเป็นไม้ต้นขนาดกลางที่เจริญเติบโตได้ดี
ในป่ า ดงดิ บ ตามไหล่ เ ขาสู ง ชั น ที่ ร ะดั บ ความสู ง ตั้ ง แต่
1,200 ม. ขึ้ น ไป กระจายพั น ธุ์ อ ย่ า งกว้ า งขวางใน
ซึ่งทางจังหวัดน่านได้จัดให้เป็นเทศกาล “ผ่อดอกชมพูภูคา”
หรือเทศกาลชมดอกชมพูภูคา เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยว
เดินทางไปชมความงดงามและถ่ายภาพพรรณไม้หายาก
แห่งยอดดอยภูคาได้อย่างใกล้ชิด
พรรณไม้ ภ าคเหนื อ
55
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 10-25 ม.
เปลือกเรียบสีเทาน้ำตาล
ใบ เป็นใบประกอบยาว 30-70 ซม. ใบย่อย 3-9
คู่ ใบรูปรี รูป ใบหอก หรือรูป ไข่แกมรูป ใบหอก ยาว
ชมพูภูพิงค์
Carasus cerasoides (Buch.-Ham. ex D. Don) S. Y. Sokolov
ชื่อพ้อง Prunus cerasoides D.Don
ชื่ออื่น ฉวีวรรณ นางพญาเสือโคร่ง (ภาคเหนือ) เส่คาแว่ เส่แผ่ เส่สาแหล่ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่) ซากุระดอย ซากุระเมืองไทย (กทม.)
ยามเมื่อสายลมเหนือพัดพาความหนาวเย็นห่มคลุม
ปัจจุบันสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งทางภาคเหนือ
ไปทั่วผืนป่า บนดอยสูงภาคเหนือ ผืนป่าจะถูกแต่งแต้มไป อย่ า งบ้ า นม้ ง ขุ น ช่ า งเคี่ ย น ขุ น แม่ ย ะ ขุ น วาง และดอย
ด้วยสีชมพูสดใสของดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือที่เรียก
แม่ ส ลอง มี นางพญาเสื อโคร่ ง เป็ น นางเอกที่ ค อยดึ ง ดู ด
ลักษณะพรรณไม้
ต้ น เป็ นไม้ ต้ น ผลั ดใบขนาดเล็ ก ถึ ง ขนาดกลาง
โคนใบแหลมหรือกลม ขอบใบจักฟันเลื่อยชั้นเดียวหรือ
ก้านดอกยาว
1-2 ซม.
สองชั้น ปลายเป็นตุ่ม แผ่นใบเกลี้ยง หรือมีขนตามเส้นใบ
ด้านล่าง เส้นใบมี 9-15 เส้น ก้านใบยาว 0.8-2 ซม.
ดอกบานมี 5 กลีบ
ดอก ออกเป็นกระจุกหรือเป็นช่อแบบซี่ร่ม มี 1-4
สีชมพูอมขาว
ดอกในแต่ละช่อย่อย ดอกสีชมพูหรือขาว ฐานรองดอก
บุหรงสุเทพ
Dasymaschalon sootepensis Craib
ชื่ออื่น -
ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ก็กำลังเร่งทำการศึกษาวิจัยหา
พรรณไม้ ถิ่ น เดี ย วของไทย แต่ ภ ายหลั ง มี ก ารค้ น พบ
สารสำคัญที่มีประโยชน์ทางเภสัชวิทยาซึ่งมีอยู่มากมาย
เพิ่มเติมที่ประเทศจีนในมณฑลยูนนาน
ในพรรณไม้สกุลนี้
พรรณไม้ ภ าคเหนื อ
59
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 5 ม. โคนลำต้น
มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 ซม. แตกกิ่งยาวอ่อนลู่ ทรงพุ่ม
โปร่งแผ่กว้าง
ใบ รูปรีกว้าง 3-6 ซม. ยาว 10-18 ซม. แผ่นใบ
บางและเหนียว ด้านล่างของใบมีนวลสีขาวเคลือบอยู่
ดอก เป็นดอกเดียวออกที่ปลายยอด กลีบดอก
พะยอม
Shorea roxburghii G.Don
ชื่ออื่น กะยอม ขะยอม ขะยอมดง พะยอมดง แดน เชียง เซี่ยว สุกรม พะยอมทอง ยางหยวก
เมื่อครั้งที่สุน ทรภู่เดินทางไปนมัสการพระแท่น-
พะยอมเป็นไม้ที่ผูกพันอยู่กับวิถีชีวิตของคนไทย
แมลงภู่ฟอนเฝ้าเคล้าประคองชม
ไม้หมอนรถไฟ
แมลงภู่เป็นคู่ของบุปผา
บุราณว่าเห็นจริงทุกสิ่งสม
หญิงกับชายก็เป็นคู่ชู้อารมณ์
ชั่วปฐมกัปกัลป์พุทธันดรฯ”
พรรณไม้ ภ าคเหนื อ
61
ลักษณะพรรณไม้
ดอกออกเป็นช่อใหญ่
ต้น เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดกลาง สูง 15-25 ม.
ตามปลายกิ่ง หรือตามกิ่ง
ลำต้ น ตรง กิ่ ง อ่ อ นเกลี้ ย ง เรื อ นยอดเป็ น พุ่ ม แคบๆ
เปลือกหนาสีน้ำตาลหรือเทา เป็นสะเก็ดหนาและแตก
เป็นร่องตามยาว
ใบ เป็นใบเดี่ยวรูปขอบขนานแคบๆ กว้าง 3.5-4
ซม. ยาว 8-10 ซม. โคนใบมน ปลายใบมนหรือหยัก
ขอบใบมักเป็นคลื่น เนื้อใบเกลี้ยงเป็นมัน มีเส้นแขนงใบ
15-20 คู่ ก้านใบยาว 2-2.5 ซม.
ดอก ออกเป็นช่อใหญ่ตามปลายกิ่ง หรือตามกิ่ง
กลีบดอกสีขาว
เหนือรอยแผลใบ มีดอกย่อยจำนวนมาก สีขาว กลิ่นหอมจัด
กลิ่นหอมจัด
กลีบเลี้ยงเกลี้ยง สีขุ่น มี 5 กลีบ เรียงบิด
ผล เป็ น ผลแห้ ง รู ป กระสวย กว้ า ง 1 ซม. ยาว
เป็นที่รู้กันดีว่า พะยอมถือเป็นไม้มงคลที่คนนิยม
2 ซม. ปีกสั้น 2 ปีก ยาว 2 ซม. ปีกยาว ยาวประมาณ
ปลูกกันตามบ้าน ด้วยมีความเชื่อว่าหากบ้านใดปลูก 8 ซม. มีเส้นปีก ปีกละ 10 เส้น
พะยอมไว้ประจำบ้านจะทำให้คนบ้านนั้นมีอุปนิสัยอ่อนน้อม เมล็ด กลมรียาว 1 ซม.
ถ่อมตน เป็นบุคคลที่ได้รับความเห็นอกเห็นใจและได้รับการ
อุปถัมภ์ค้ำชูจากผู้อื่น ด้วยความที่เป็นพรรณไม้ที่มีทั้ง การขยายพันธุ์
ความสวยงามและมากด้วยประโยชน์ กวี ในสมัยต่างๆ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เป็นพรรณไม้ที่ใช้ใน
จึงมักพรรณนาถึงพะยอมไว้ ในวรรณคดีหลายต่อหลาย การปลูกป่าชนิดหนึ่ง เนื่องจากทนแล้งได้ดี ถึงแม้ว่า
แต่มีมากในภาคเหนือที่ระดับความสูง 100-1,000 ม.
เติ บ โตได้ ดี ใ นพื้ น ที่ แ ห้ ง แล้ ง แต่ เ ป็ น ไม้ ที่ โ ตช้ า และ
ออกดอกเพียงปีละครั้งในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภา-
พันธ์ การปลูกพะยอมจึงต้องอาศัยความอดทนและมี
พร้อมกันทั่วทั้งต้น และส่งกลิ่นหอมอันแสนจรุงใจ
62 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
โพสามหาง
Symingtonia populnea (R. Br. ex Griff.) Steenis
ชื่ออื่น -
นอกจากจะเป็นแหล่งก่อกำเนิดต้นน้ำลำธารเพื่อ
หล่อเลี้ยงชีวิตแล้ว ยอดดอยอิน ทนนท์ยังเป็นเสมือน
อุ ท ยานแห่ ง ชาติ ด อยอิ น ทนนท์ เ ป็ น พื้ น ที่ ต้ น น้ ำ แผ่นดินแม่ผู้ ให้กำเนิดระบบนิเวศวิทยาที่สมบูรณ์ ไม่
ลำธารที่ ส ำคั ญ ของแม่ น้ ำ ปิ ง ให้ ก ำเนิ ด แม่ น้ ำ ลำธาร เพียงแต่จะอุดมพร้อมทั้งไม้ ใหญ่ดึกดำบรรพ์ หรือไม้หา
หลายสาย ที่สำคัญได้แก่ ลำน้ำแม่วาง ลำน้ำแม่กลาง ยากเท่านั้น บนจุดสูงสุดแห่งสยามประเทศยังเป็นแหล่ง
ลำน้ ำ แม่ ย ะ ลำน้ ำ แม่ ห อย ลำน้ ำ แม่ แ จ่ ม และลำน้ ำ
ให้กำเนิดไม้พุ่มหรือไม้ขนาดกลาง ทรงสวยงามอย่าง
แม่เตี๊ยะ ซึ่งลำน้ำเหล่านี้จะไหลผ่านและหล่อเลี้ยงชุมชน โพสามหาง อีกด้วย ชื่อของโพสามหางถูกเรียกตาม
ต่างๆ ในเขตอำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอ ลั ก ษณะของใบที่ อ วบอ้ ว นคล้ า ยใบโพธิ์ ทว่ า มี แ ฉก
ลักษณะพรรณไม้
ต้น ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15-30 ม.
แตกกิ่งน้อย มี ใบเฉพาะตอนปลายกิ่ง หูใบรูป ไข่กลับ
ยาว 1.5-2.5 ซม. เกลี้ยง หนา หลุดร่วงง่าย
ใบ เป็ น ใบเดี่ ย วเรี ย งสลั บ รู ป ไข่ ห รื อ รู ป ฝ่ า มื อ
ทางภาคใต้ที่จังหวัดยะลา ขึ้นตามสันเขาในป่าดิบเขา
ระดับความสูง 1,400-2,200 ม. เท่านั้น ด้วยข้อจำกัด ชื่อถูทีก่อเรีวบอ้
ยกตามลักษณะของใบ
วนคล้ายใบโพธิ์
ทางธรรมชาติ จึงทำให้พบโพสามหางได้ยากตามพื้นที่ มี 3 แฉกคล้ายหาง
ป่าทั่วๆ ไป ประกอบกับสถานการณ์ป่าไม้ ในปัจจุบันที่
ถูกรุกรานและทำลายไปมากด้วยน้ำมือมนุษย์ จึงเป็นการ
เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ให้แก่บรรดาไม้ที่หายาก
อยู่แล้ว ซึ่งมีโพสามหางเป็นหนึ่งในนั้น
ด้วยคุณสมบัติของโพสามหางที่ขึ้นอยู่ตามพื้น ที่
มณฑาป่า
Magnolia garrettii (Craib) V.S. Kumar
ของไทยในป่าดิบเขาที่ระดับความสูง 1,000-1,900 ม.
ชื่ออื่น มณฑาดอย มะองนก ปอนาเตอ
ในจั ง หวั ด เชี ย งใหม่ เชี ย งราย แม่ ฮ่ อ งสอน ตาก
พิษ ณุโลก ส่วนในต่างประเทศพบได้ที่มณฑลยูน นาน
คนไทยส่ ว นใหญ่ มั ก คุ้ น เคยกั บ มณฑา ซึ่ ง เป็ น ประเทศจีน และในเวียดนาม
พรรณไม้ชนิดหนึ่งในสกุล Magnolia ที่มีดอกสวยงาม ดอกสี ม่ ว งแดงของมณฑาป่ าในบางครั้ ง ก็ ส ร้ า ง
น่ารัก อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมหวานรวยรื่น เป็นที่ชื่นชอบ ความสั บ สนให้ แ ก่ นั ก สำรวจและจำแนกพรรณไม้
ของบรรดาผู้รักไม้ดอกหอมทุกท่าน หากทว่าในราวป่า เนื่ อ งจากยั ง มี ม ณฑาอี ก ชนิ ด หนึ่ ง ที่ มี ด อกสี ม่ ว งแดง
สภาพของความเป็นไม้หายากแล้ว มีกลี บ ดอกชั้ น ในเป็ น สี ม่ ว งเข้ ม เช่ น เดี ย วกั บ กลี บ ดอก
ของใบและกลีบดอกชั้นในซึ่งมีสีที่แตกต่างกัน
พรรณไม้ ภ าคเหนื อ
65
ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงเวียน รูปรีหรือรูปขอบขนาน
ยาว 18-30 ซม. ปลายใบเรียวแหลม หรือแหลมสั้นๆ
เนื้อใบหนา เหนียว คล้ายแผ่นหนัง ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้ม
เป็นมันวาว ด้านล่างเคลือบขาว
ดอก เป็นดอกเดี่ยวออกตามปลายกิ่ง สีม่วงอมแดง
ดอกมี 9 กลีบ กลีบหนา แข็ง อวบน้ำ เมื่อบานมีเส้นผ่า-
ผลอ่อน
ศูนย์กลาง 8-10 ซม. ดอกบาน 2-3 วัน
ผล เป็นผลกลุ่มรูปไข่หรือทรงกระบอก สีน้ำตาล
มณฑาป่าเป็น พรรณไม้ที่มีลำต้นขนาดใหญ่ ถึง กว้าง 6-8 ซม. ยาว 7-12 ซม. ผลแก่ห้อยลง มีผลย่อย
แม้ว่าจะมีเนื้อไม้ค่อนข้างอ่อน แต่ชาวบ้านก็ยังตัดโค่น จำนวนมากเรียงกันอยู่บนแกนยาวอันเดียวกัน ผลย่อย
มาใช้ ในงานก่อสร้าง และใช้ทำเครื่องเรือนบางชนิด แข็ง ยาว 1-1.5 ซม.
ทำให้ ใ นธรรมชาติ มี จ ำนวนต้ น เหลื อ อยู่ ไ ม่ ม ากนั ก
เมล็ด สีแดง ยาวรีและค่อนข้างแบน ขนาด 0.7-1
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายๆ หน่วยงานจึงได้เร่งขยาย ซม. ผลย่อยแต่ละผลมี 1-4 เมล็ด
พันธุ์และส่งเสริมให้ปลูกเป็นไม้ประดับบนพื้น ที่ระดับ
ออกดอกเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ผลแก่เดือน
สูง เช่น เขตอุทยานแห่งชาติ และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ตุลาคมถึงพฤศจิกายน
นอกจากนี้ มณฑาป่ายังมีชื่ออยู่ ในโครงการปลูกทดแทน
ป่ า ที่ เ สื่ อ มโทรมในพื้ น ที่ สู ง อย่ า งได้ ผ ลดี เนื่ อ งจาก
ช่วยให้ป่ากลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่งได้ ใน
เวลาไม่นานนัก
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบ ขนาดใหญ่ สูง 20-25 ม.
เปลือกหนา สีเทา มีกลิ่นฉุน
เกสร
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ปลูกลงในแปลงที่
ร่มรำไร หรือกลางแจ้งบนพื้นที่ระดับสูงที่มีอากาศหนาว
เย็ น ผู้ ที่ ชื่ น ชอบความสวยงามของดอกมณฑาป่ า
พยายามนำต้น มณฑาป่ามาปลูกในกรุงเทพฯ และใน
พื้ น ที่ ร าบภาคกลาง ซึ่ ง มี อ ากาศร้ อ นจั ด พบว่ า ยั งไม่
ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากต้นมณฑาป่าชะงักการเจริญ
เติบโตในช่วงฤดูร้อน และค่อยๆ ตายไป
66 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
มหาพรหมราชินี
Mitrephora sirikitiae Weerasooriya, Chalermglin & R. M. K.Saunders
ชื่ออื่น -
พรรณไม้ ภ าคเหนื อ 67
ผลเป็นผลกลุ่ม
รูปทรงกระบอก
หายากได้แล้ว
กลีบดอกชั้นนอก
มหาพรหมราชิ นี เ มื่ อ ออกดอกจะบานพร้ อ มกั น
สีขาว
ทั้งต้น ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ และแต่ละดอกบานอยู่ ได้
1-2 วัน ช่วงเวลาดอกบานราวเดือนพฤษภาคม ต้นที่
ปลู ก จากต้ น กล้ า เพาะเมล็ ด จะมี ท รงพุ่ ม สวยงาม
ออกดอกได้เต็มทรงพุ่ม ขณะที่ต้นที่ปลูกจากต้นทาบกิ่ง
จะมี ท รงพุ่ ม แผ่ ก ระจายและออกดอกเฉพาะกิ่ ง ที่ อ ยู่
กลีบดอกชั้นในสีม่วง
ด้านบนทรงพุ่ม
ลักษณะพรรณไม้
การขยายพันธุ์
ต้น เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 3-5 ม. เปลือกลำต้น มีการนำผลแก่มาเพาะเมล็ดซึ่งงอกได้ดี ส่วนวิธีการ
สีน้ำตาล กิ่งอ่อนสีเทาอมขาวมีขนอ่อนปกคลุม แตกกิ่ง ขยายพันธุ์ที่เหมาะสมที่สุดคือ การทาบกิ่ง เนื่องจากเป็น
น้อย ทรงพุ่มกลมโปร่ง
วิธีการที่รวดเร็ว สะดวก ประหยัด และสามารถกำหนดให้
ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ รูป ใบหอก กว้าง 4-9 กิ่งทาบมีความยาวได้ตามความต้องการ ตั้งแต่ความสูง
ซม. ยาว 11-19 ซม. เนื้อใบค่อนข้างหนา ผิวใบเรียบ 30 ซม. จนถึง 150 ซม. โดยใช้ระยะเวลาทาบเพียง
รักใหญ่
Gluta usitata (Wall.) Ding Hou
ชื่ออื่น รัก ฮัก ฮักหลวง ซู้ มะเรียะ ฮักขี้หมู ฮักหมู
“งานรัก” เป็นงานช่างฝีมือขั้นสูงของไทยที่เป็น
มรดกสืบทอดทางวัฒนธรรมมาตั้งแต่ครั้งโบราณ เครื่องรัก
ถือเป็นศิลปวัตถุอนั ทรงคุณค่า ซึง่ ในสมัยโบราณจะนำมาใช้
เฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์
เท่านั้น เช่น การลงรักปิดทองพระพุทธรูป ตู้พระธรรม
หรือเครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์และเครื่องใช้
ในราชสำนัก และส่วนประกอบที่สำคัญที่ใช้ในงานรักก็คือ
“ยางรัก” ที่ได้จากต้น “รักใหญ่” ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวน
การรั่วซึมของน้ำได้ ทำให้ช่างฝีมือของไทยนำน้ำยางรักมา
ชิ้นมีความคงทนสวยงาม ก็ด้วยอาศัยข้อดีของน้ำยางรัก
ใช้งานอย่างกว้างขวาง ทั้งในงานลงรักปิดทอง การเขียน ที่ติดแน่นทนทานนี่เอง
พรรณไม้ ภ าคเหนื อ
69
กลีบเลี้ยงและ
กลีบดอก
มีอย่างละ 5 กลีบ
ส่วนงานประกอบเครื่องมุกอย่างทัพพีมุก ธรรมาสน์
รัง
Shorea siamensis Miq.
ชื่ออื่น เปา เปาดอกแดง เรียง เรียงพนม ลักป้าว แลบอง เหล้ท้อ
เหล่บอง ฮัง
จะมีแต่ความสงบร่มเย็น
รังเจริญเติบโตได้ดีในดินทุกประเภทที่ระบายน้ำดี ผลแข็ง มีปีกยาว 3 ปีก
ปีกสั้น 2 ปีก
ชอบแดดจัด และต้องการน้ำน้อย เหมาะที่จะปลูกใน
พื้นที่กว้างขวางหรือตามรีสอร์ต เนื่องจากทรงพุ่มสวยงาม
นอกจากจะทนแล้งได้ดีแล้ว ยังทนลมแรงได้ดีเป็นพิเศษ ลำต้น มีเปลือกหนา
อีกด้วย
สีเทาปนน้ำตาล แตกเป็นร่องลึก
เป็นสะเก็ดโตๆ
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นต้นผลัดใบขนาดกลางสูง 10-25 ม. เรือน
ยอดกลมหรือรูปกรวยคว่ำ ลำต้นเปลาตรงหรือคดงอ
เปลือกสีเทาปนน้ำตาล แตกเป็นร่องลึก เป็นสะเก็ดโตๆ
ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบรูปขอบขนาน กว้าง
7-12 ซม. ยาว 10-20 ซม. ปลายใบมน โคนใบหยัก
เว้าเป็นรูปหัวใจ
ดอก สีขาวหรือเหลืองอ่อน ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง
กลิ่น หอม กลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนกลีบดอกติดกันเป็น
ลำดวนดอย
Mitrephora wangii Hu
ชื่ออื่น -
กันอย่างกว้างขวาง จนทำให้พ้นสภาพจากความเป็นไม้
หายากแล้ว
พรรณไม้ ภ าคเหนื อ
73
ใบด้านบนสีเขียวเข้ม ใบด้านล่างสีอ่อนกว่า
ดอก เป็นดอกเดี่ยว ออก 1-2 ดอก ออกตามกิ่ง
ตรงข้ า มใบ เมื่ อ บานมี สี ข าวแล้ ว เปลี่ ย นเป็ น สี เ หลื อ ง
และมีกลิ่น หอมแรงมากขึ้น กลีบดอกชั้น นอก 3 กลีบ
บานกางออกจากกัน กลีบนอกชั้นในขอบกลีบประกบกัน
ผล เปลือกเรียบ
เป็นรูปกระเช้า มีลายประสีแดงอ่อนอยู่ตรงกลางดอก
สีเขียวเข้ม
ดอกทยอยบานตลอดทั้ ง ปี และบานเต็ ม ต้ น ในเดื อ น
ลำดวนดอยนับว่าเป็นพรรณไม้มหัศจรรย์ต้นหนึ่ง กุมภาพันธ์ถึงมีนาคม
ในเมืองไทย กล่าวคือ แม้จะมีถิ่นกำเนิดอยู่บนเทือกเขา ผล เป็นผลกลุ่ม ผลอ่อนเปลือกเรียบ สีเขียวเข้ม
ทรงพุ่มสวยงาม มี ใบดกสีเขียวเข้มเป็นมันวาวออกดอก
เต็มต้น จึงได้รับความนิยมนำมาใช้ในงานจัดภูมิทัศน์กัน
อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้ต้นขนาดกลาง สูง 10-20 ม. ลำต้น
เปลาตรง แตกกิ่งน้อย โคนลำต้นมีพูพอนในระดับต่ำ
เปลือกลำต้นเรียบ สีดำ เนื้อไม้แข็งและเหนียว มีกลิ่นฉุน
74 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
สะแล่งหอมไก๋
Rothmannia sootepensis (Craib) Bremek.
กลีบดอกสีขาว
โคนกลีบดอก
ชื่ออื่น -
มีจุดสีม่วงแดง
จักเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุของเรา และจะเจริญรุ่งเรือง
สืบไปในกาลข้างหน้า”
หริภุญไชย พระนางทรงมีศรัทธาประสาทะในบวรพุทธ-
ศาสนาเป็นอย่างมาก จึงได้เสด็จพระราชดำเนินไปยัง
สถานที่สำคัญต่างๆ ในเมืองล้านนาเพื่อเสาะหาสถานที่
ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ส ำหรั บ ประดิ ษ ฐานพระบรมสารี ริ ก ธาตุ
ที่ทรงได้รับพระราชทานมาจากพระราชบิดาเจ้าเมือง
ละโว้ กระทั่งได้เสด็จฯ ผ่านเมืองกุกกุฎไก่เอิก ในเขตของ
จังหวัดลำพูน จึงทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ขบวนเสด็จพักแรม
ที่ดอนสะแล่ง และตั้งผอบทองคำบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ใกล้ๆ กับปากถ้ำ เพื่อให้ราษฎรได้สักการบูชา และต่อมา
ได้โปรดฯ ให้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ณ ปากถ้ำ
กลางดอนสะแล่งแห่งนั้น และทรงโปรดให้สร้างพระเจดีย์
ครอบพระบรมสารีริกธาตุนั้นไว้ พระเจดีย์ดังกล่าวนี้คือ
พระธาตุ ข ะอู บ คำ ที่ ป ระดิ ษ ฐานอยู่ ณ วั ด สะแล่ ง
ในปัจจุบัน
พรรณไม้ ภ าคเหนื อ
75
สีขาวนวล กลีบดอกมีลักษณะปลายแหลมเหมือนหอก
โบราณ แต่เดิมเรียกว่า ดอกสะแล่ง แต่ด้วยความที่
พรรณไม้ชนิดนี้มีกลิ่น หอมแรง กำจายไปได้ ไกลมาก
ชาวบ้านจึงพากันเรียกว่า สะแล่งหอมไก๋ ซึ่งหมายความว่า
ดอกสะแล่งที่ส่งกลิ่นหอมไกล ปัจจุบันมีผู้พยายามนำไป
ปลูกเป็นไม้ดอกหอม ไม้ประดับตามอาคารสถานที่ต่างๆ
หลายแห่ง
สะแล่งหอมไก๋เป็นพรรณไม้ที่เจริญเติบโตช้ามาก
ในช่วงที่ฤดูแล้งยาวนานจะออกดอกได้ดกเต็มต้น ส่ง ลักษณะพรรณไม้
กลิ่น หอมรวยรื่นแสนชื่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง ต้น เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 4-6 ม. เปลือกลำต้น
พลบค่ำหรือช่วงเช้ามืด แต่น่าเสียดายที่พรรณไม้ชนิดนี้ สีน้ำตาล แตกกิ่งจำนวนมาก ออกรอบต้นเป็นชั้นๆ กิ่ง
ปลูกเลี้ยงยากมาก ต้นที่ปลูกเลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขนานกับพื้นดิน ทรงพุ่มโปร่งรูปกรวยคว่ำ
ต้น ที่ขุดล้อมมาปลูก จะค่อยๆ ตายไปในที่สุด ดังนั้น
ใบ เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้าม รูปรีปลายแหลม
ผู้ปลูกเลี้ยงควรปลูกต้นขนาดเล็กจากการเพาะเมล็ด ยาว 10-12 ซม. ผิวใบเป็นมันเรียบ สีเขียวเข้มทั้งสองด้าน
และต้องอาศัยความวิริยะอุตสาหะอดทนรอเป็นเวลา ดอก ออกเป็นช่อดอกสีขาวที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง
หลายปี จึงจะได้ต้นใหญ่ที่ออกดอกได้อย่างสวยงาม
1-3 ดอก โคนกลี บ ดอกเป็ น หลอด ปลายแยกเป็ น
สารภีดอย
Anneslea fragrans Wall.
ชื่ออื่น แก้มอ้น คำโซ่ ตองหนัง ตีนจำ ทำซุง บานมา พระราม โมงนั่ง ต้ำจึง ฮาฮอย ทึกลอ ทึลา ปันม้า ส้านแดง ส้านแดงใหญ่ สารภี
ลักษณะพรรณไม้
ต้น ไม้ต้นขนาดกลางสูง 10-20 ม. เปลือกลำต้น
ตะปุ่มตะป่ำ เปลือกแตกเป็นร่องเล็กๆ หรือแตกล่อน
ดอกเดี่ยว กลีบเลี้ยงดอกหนา
เป็นสะเก็ดแข็ง มีกลิ่นฉุน ทรงพุ่มโปร่งกลม
มี 5 กลีบ สีเหลืองแกมชมพู
ใบ ใบเดี่ ย ว เรี ย งเวี ย นสลั บ แผ่ น ใบหนาคล้ า ย
แผ่นหนัง เขียวเข้มเป็นมัน เส้นกลางใบเด่นชัดทั้งด้าน
บนและด้านล่าง ผิวเกลี้ยงรูปหอก แกมขอบขนานกว้าง
2.5-5 ซม. ยาว 7-15 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ
ดอก ดอกเดี่ยว ก้านดอกยาว 3-5 ซม. กลีบเลี้ยง
เนื้อไม้ของต้นสารภีดอยเหมาะสำหรับนำมาใช้
ดอกหนา มี 5 กลีบ สีเหลืองแกมชมพู โคนเชื่อมติดกัน
ทำเครื่องเรือนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีเนื้อไม้ละเอียด ปลายโค้งงุ้มเข้าหากัน ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบ สีขาวครีม
แน่นเหนียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นที่ขึ้นอยู่บนดอยสูงที่มี อยู่รวมกันเป็นก้อนกลม ปลายแหลมขนาด 1.5-2 ซม.
อากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว และมีความแห้งแล้งในช่วง กลางวันดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ และจะหอมแรงขึ้นในช่วง
ฤดูร้อนเป็นระยะเวลายาวนาน จะเจริญเติบโตช้ามาก เวลากลางคืน ฤดูออกดอกอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว
เนื้อไม้มีวงปีที่เด่นชัด สวยงาม เคยมีผู้นำไปแกะสลัก ผล รู ป กลมรี ผิ ว เรี ย บ ขนาดเส้ น ผ่ า ศู น ย์ ก ลาง
ของสารภีดอย อาจมีความคิดที่จะนำพรรณไม้ชนิดนี้ ไป
เพาะเพื่อขยายพันธุ์ ซึ่งการปลูกเลี้ยงพรรณไม้ชนิดนี้
เสี้ยวดอกขาว
Bauhinia variegata L.
ชื่ออื่น นางอั้ว เปียงพะโก โพะเพ่
เสี้ยวดอกขาวเป็นพรรณไม้ในวงศ์ถั่ว (Leguminosea)
สกุ ล อรพิ ม (Bauhinia) มี ก ารกระจายพั น ธุ์ อ ยู่ ใ น
ประเทศอินเดีย พม่า ลาว และเวียดนาม ในประเทศไทย
พบตามป่าเบญจพรรณ และป่าหิน ปูน ทางภาคเหนือ
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ระดับความสูง 500-
800 ม. ตามปกติ จ ะทยอยออกดอกตลอดปี แต่ จ ะ
ออกดอกพร้อมกันทั้งต้นในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม
ดอกเสี้ยวเมื่อบานใหม่ๆ จะมีสีชมพูอ่อน แต่พอดอกแก่
ใกล้โรยจะกลายเป็นสีขาว
ในช่วงที่ดอกเสี้ยวบานเต็มต้น จะเป็นช่วงฤดูหนาว
ที่มีอากาศแห้ง ท้องฟ้าสีครามสดใสไร้เมฆหมอกตัดกับ
ดอกเสี้ยวที่มีสีขาวบริสุทธิ์งามเด่นสะดุดตา ยิ่งในยามที่
ลมหนาวพัดมา ดอกเสี้ยวจะปลิดปลิวลอยคว้างไปตาม ลักษณะพรรณไม้
กระแสลม เป็ น ภาพที่ น่ า ประทั บ ใจอย่ า งยิ่ ง จั ง หวั ด ต้น เป็นไม้ต้นผลัดใบสูงได้ถึง 15 ม. เรือนยอด
เชียงรายจึงได้จัดให้มีงานวันเสี้ยวบานขึ้นบนยอดดอย กลม กิ่งก้านไม่สม่ำเสมอ กิ่งและยอดอ่อนมีขนปกคลุม
หลายๆ แห่ง ซึ่งในแต่ละแห่งมีต้นเสี้ยวออกดอกบาน
เปลือกต้นเกลี้ยงสีเทาอ่อนถึงดำ มีรอยแตกหยาบๆ
สะพรั่งและส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่วขุนเขา
ใบ เป็นใบเดี่ยว โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ คล้ายใบ
แฝดติดกัน ใต้ใบมีขน
ดอก ออกเป็ น ช่ อ ที่ ซ อกใบและปลายกิ่ ง 6-10
ดอก ดอกมีสีขาวหรือสีม่วงอ่อน กลีบดอกบอบบางมี
กระมอบ
Gardenia obtusifolia Roxb. ex Kurz
ชื่ออื่น กระบอก ไข่เน่า คมขวาน พญาผ่าด้าม พุดนา คำมอกน้อย
ฝรั่งโคก
ครานั้นท่านคงไม่อยากที่จะย่างก้าวไปไหนอีกเลย เพราะ
ท่านได้ยืนอยู่ ณ จุดที่สวยงามที่สุดของป่าเต็งรังแล้ว
กระมอบเป็ น พรรณไม้ ใ นสกุ ล พุ ด มี เ ขตการ
กระจายพันธุ์ ในประเทศไทยทางภาคเหนือ ภาคตะวัน-
ออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก โดยจะพบทั่วไปตามป่า
เต็ ง รั ง และป่ า เบญจพรรณที่ แ ห้ ง แล้ ง ส่ ว นในต่ า ง-
ประเทศพบที่พม่าและภูมิภาคอินโดจีน กระมอบเป็น
พรรณไม้ ที่ ท นทานต่ อ ความแห้ ง แล้ ง มากที่ สุ ด ขณะ
เดียวกันก็เป็น พรรณไม้ที่เจริญเติบโตช้าที่สุด ผู้ที่เคย
ปลูกกระมอบโดยการเพาะเมล็ด คงจะทราบเป็นอย่างดี
ว่ า กว่ า ต้ น กระมอบจะมี ค วามสู ง ถึ ง 3 ม. ต้ อ งใช้
เวลาในการดูแลเอาใจใส่ไม่ต่ำกว่า 10 ปี
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ออกเฉี ย งเหนื อ
83
ผลสีน้ำตาลอมเขียว
ส่วนบนของผลมีหลอด
กลีบเลี้ยงสั้นๆ ติดอยู่
ด้ ว ยความที่ ก ระมอบเป็ น พรรณไม้ ที่ ใ ช้ ร ะยะ
เวลาในการเจริญเติบโตค่อนข้างนาน จึงมักมีผู้ลักลอบ
เข้ าไปขุ ด ล้ อ มต้ น จากพื้ น ที่ อ นุ รั ก ษ์ ทำให้ จ ำนวนต้ น
กระมอบในถิ่นธรรมชาติลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว วิธี
การอนุรักษ์ที่ถูกต้องจึงควรสนับสนุนให้เกษตรกรปลูก
ต้ น กระมอบมากขึ้ น ด้ ว ยระยะปลู ก 3x4 ม. แล้ ว
หมั่นบำรุงรักษาจนกระทั่งต้นกระมอบมีทรงพุ่มสวยงาม
และออกดอกได้ เพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่บรรดานักจัด
สวนที่มาซื้อต้นกระมอบจากเกษตรกรไปจัดสวนให้แก่ ลักษณะพรรณไม้
บรรดาเจ้าของบ้านที่นิยมปลูกสวนไม้ ไทยหายาก ถือ ต้น เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ต้น ผลัดใบขณะออกดอก สูง
กลีบเลี้ยงสั้นๆ ติดอยู่
เมล็ด กลมรี ค่อนข้างแบน ยาว 3-5 มม.
การขยายพันธุ์
ใช้วิธีการเพาะเมล็ด ปักชำ และตอนกิ่ง
84 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
ก่
วมแดง
Acer calcaratum Gagnep.
ชื่ออื่น ไฟเดือนห้า
ก่วมแดงจัดเป็นไม้ต้นอยู่ ในสกุลเดียวกับเมเปิล
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้ต้นขนาดกลาง ผลัดใบ สูง 15-25 ม.
เปลือกสีเทา ค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็กน้อย
ใบอ่อนสีน้ำตาลอมเขียว
และมีน้ำเลี้ยงใสรสหวานกระจายอยู่
ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปพัด กว้าง 6-21
ซม. ยาว 6-15 ซม. โคนมนกว้ า งหรื อ เว้ า เล็ ก น้ อ ย
ใบแก่สีเขียว
รูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน
ดอก เป็ น ช่ อ ออกที่ ป ลายกิ่ ง ยาว 2-3.5 ซม.
แต่ละช่อมีดอกจำนวนมาก ดอกสีขาวอมชมพู เมื่อบาน
เต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลาง 6-8 มม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ
กลีบดอก 5 กลีบ รูป ไข่กลับหรือรูปพัด กว้างและยาว
นอกจากความแข็งที่ขึ้นชื่อลือชาแล้ว ไม้สกุลนี้ยัง 3-4 มม.
มีอีกคุณสมบัติที่รู้จักกันดีว่าให้เสียงกังวานไพเราะ จึง ผล รูป ไข่ ยาว 0.8-1.3 ซม. มีปีกแบน ช่อละ
ภาคเหนือในฤดูหนาวช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม
การขยายพันธุ์
โดยเฉพาะที่ จั ง หวั ด เชี ย งใหม่ น่ า น (ดอยภู ค า) และ
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
ภาคตะวั น ออกเฉี ย งเหนื อ ที่ จั ง หวั ด เลย (ภู ก ระดึ ง
อุทยานแห่งชาติภูกระดึงในช่วงต้นฤดูหนาว กระชาก
อารมณ์ ข องนั ก ทั ศ นาจรให้ พุ่ ง สู ง ขึ้ น สุ ด ขั้ ว แต่ แ ล้ ว
อารมณ์ก็ค่อยๆ ลดวูบต่ำลงตามความเย็นของกระแส
น้ ำ ตกที่ ไ หลริ น ลงสู่ แ อ่ ง น้ ำ ใสปานกระจก รองรั บ อยู่
เบื้องล่าง
ก่วมแดงยังสามารถพบได้อีกในประเทศเพื่อนบ้าน
อย่างพม่าและเวียดนามเช่นกัน
86 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
กั
นเกรา
Frgraea fragrans Roxb.
ชื่ออื่น ตำเสา ทำเสา มันปลา ปันปลา กันเตรา ตาเตรา ทำมะซู่ ตำมูซู
เดือนเมษายนถึงมิถุนายน ในช่วงเวลานี้พื้นที่ที่มีกันเกรา
ขึ้นอยู่มากจะส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว ดึงดูดให้หมู่
แมลงและผึ้งพากันมาดูดกินน้ำหวานและผสมเกสรให้
กันเกราได้ขยายพันธุ์ต่อไป
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดกลาง สูง 15-25 ม.
ลำต้นเปลาตรง แตกกิ่งต่ำ เปลือกหยาบ สีน้ำตาลเข้ม
แตกเป็นร่องลึกไม่เป็นระเบียบ เปลือกในสีเหลืองอ่อน
เรือนยอดรูปกลมแหลมหรือรูปเจดีย์
ใบ ใบเดี่ยว ติดตรงข้ามกันเป็นคู่ รูปรีแกมรูปหอก
กว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 8-11 ซม. เนื้อใบค่อนข้างหนา
เป็นแผ่นหนัง ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นมันทั้งสองด้าน
ดอก ออกเป็ น ช่ อ ตามง่ า มใบและปลายกิ่ ง รู ป
แจกันทรงสูง เมื่อบานเต็มที่กว้างประมาณ 2 ซม. โคน
กลีบเชื่อมติดกันเป็นกลีบ ดอกเมื่อแรกบานมีสีขาวแล้ว ผล กลม มีขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนจนถึงเหลืองแก่เมื่อดอก 6 มม. มีติ่งแหลมสั้นๆ ติดอยู่ตรงส่วนบนสุดของผล
ใกล้โรย
ผลแก่จัดมีสีเหลืองจนถึงสีแดงเลือดนก
ดอกออกเป็นช่อ
เมล็ด สีน้ำตาลอ่อน มีหลายเมล็ด ขนาด 2-3 มม.
รูปแจกันทรงสูง
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
88 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
กั
ลปพฤกษ์
Cassia bakeriana Craib
ช่ ว งเดื อ นมกราคมถึ ง มี นาคม จะเห็ น ต้ น กั ล ปพฤกษ์
ชื่ออื่น ชัยพฤกษ์
ออกดอกสล้างไปทั้งต้น แซมกับพรรณไม้หลากชนิด
ดูสวยงามแปลกตา
กั ล ปพฤกษ์ ไม้ ด อกสี ข าวแกมชมพู แ สนงดงาม ตามคติ โ บราณต้ น กั ล ปพฤกษ์ ถื อ ว่ า เป็ น ต้ น ไม้
นามมงคลเสนาะหูนี้ ในแต่ละถิ่นก็มีชื่อเรียกต่างกันไป สารพัดนึก เช่นเดียวกับต้นปาริชาติ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่
เช่ น กานล์ ในภาษาเขมรและแถบจั ง หวั ด สุ ริ น ทร์ ในแดนสวรรค์ ไม่ ว่ า ชาวสวรรค์ จ ะปรารถนาสิ่ ง ใดก็
ชัยพฤกษ์ในแถบภาคเหนือ และเปลือกขมในแถบจังหวัด สามารถนึ ก ขอเอาได้ ทุ ก สิ่ ง ในงานพิ ธี ห ลวงในสมั ย
ปราจีนบุรี ด้วยความที่ออกดอกพร้อมกันทั้งต้น ดอกดก โบราณ เช่น ในงานพระราชทานเพลิงศพ ได้มีความ
สี สั น สวยงาม เพาะเมล็ ด เป็ น ต้ น กล้ า ได้ ง่ า ย ทำให้
นิ ย มจำลองต้ น กั ล ปพฤกษ์ ขึ้ น โดยผู ก โครงไม้ เ ป็ น
กัลปพฤกษ์ซึ่งเป็นพรรณไม้ป่าของไทย ที่เปลี่ยนสภาพ
มาเป็นไม้ปลูกประดับข้างทางหลวง ยืนต้นเด่นสวยงาม
อยู่เป็นระยะๆ และหากเดินทางผ่านป่าเบญจพรรณใน
การทิ้งทานให้คนยากจน โดยเมื่อถึงเวลาเจ้าพนักงานจะ
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ออกเฉี ย งเหนื อ
89
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้ต้นขนาดกลาง ผลัดใบ สูง 5-15 ม.
เปลือกเรียบสีเทา เรือนยอดทรงกลม หรือรูปร่ม แผ่กว้าง
แตกกิ่งในระดับต่ำ มีกิ่งขนาดเล็กจำนวนมาก
ใบ ประกอบแบบขนนกปลายคู่ ยาว 15-40 ซม.
ใบย่ อ ย 5-8 คู่ กว้ า ง 1.5-3.5 ซม. ยาว 6-9 ซม.
ปลายใบมน หรือมีติ่งสั้น โคนใบมน ขอบใบเรียบ ผิวใบ
ด้านบนและด้านล่างมีขน
ดอก สี ช มพู แ ล้ ว เปลี่ ย นเป็ น สี ข าว ออกเป็ น ช่ อ
มีเขตการกระจายพันธุ์ ในป่าเบญจพรรณแล้งทางภาค
เหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก
บางครั้งพบขึ้นอยู่บนภูเขาหินปูนบนพื้นที่สูงจากระดับ
จำปี
ศรีเมืองไทย
ผลอ่อน
พรรณไม้ชนิดใหม่ของโลก ที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
ในสภาพธรรมชาติมากที่สุด เพราะมีวิวัฒนาการต่ำที่สุด
ในไม้วงศ์จำปา เนื่องจากยังมีการแยกเพศเป็นต้นเพศผู้
และเพศเมีย
ถึ ง แม้ ว่ า ต้ น จำปี ศ รี เ มื อ งไทยจะขึ้ น อยู่ ใ นพื้ น ที่
ของอุทยานแห่งชาติหรือเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าที่ ไม่มี
โอกาสถูกตัดฟัน หรือถูกไฟไหม้เพราะอยู่ติดลำธารใน
เขตที่ ชื้ น มาก แต่ เ นื่ อ งจากมี ก ารขยายพั น ธุ์ ใ นสภาพ
ธรรมชาติน้อยมาก มีดอกเพศเมียอยู่บนต้นเพศเมีย
และมีดอกเพศผู้อยู่บนต้นเพศผู้ ผสมเกสรได้ยาก จึงมี
โอกาสที่จะสูญพันธุ์ได้ในอนาคต
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ออกเฉี ย งเหนื อ
91
10-12 มม.
ดอกมีกลิ่นหอมแรง
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
ดอกตูม
92 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
จำปี
หนู
Magnolia philippenensis P.Parm.
ชื่ออื่น -
ได้ดี พร้อมทั้งใส่ยาป้องกันและกำจัดแมลงปีกแข็งและ
ปลวก ซึ่งเป็นศัตรูร้ายกาจที่อยู่ในดิน หลังจากปลูกแล้ว
ก็ควรปักหลักผูกมัดต้นให้ตั้งตรงเพื่อป้องกันลมพัดโยก
และควรใช้ ฟ างหรื อ หญ้ า แห้ ง คลุ ม โคนต้ น เพื่ อ รั ก ษา
ความชื้นในดิน อีกทั้งยังเป็นการป้องกันวัชพืชไปในตัว
ด้วย เพียงเท่านี้ท่านก็จะได้ต้นจำปีหนูที่สวยงาม เป็นที่
ถูกอกถูกใจของบรรดาผู้นิยมปลูกพรรณไม้หายาก แต่
ทั้งนี้ต้องไม่ลืมที่จะปลูกบนพื้นที่สูง และมีอากาศหนาว
เย็น เนื่องจากจำปีหนูจะเจริญเติบโตได้ดี ในสถานที่ที่
เหมาะสมเท่านั้น
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ออกเฉี ย งเหนื อ
93
การขยายพันธุ์
ตามธรรมชาติมีการขยายพันธุ์จากเมล็ด แม้จะ
ออกดอกดก แต่ ก็ ติ ด ผลน้ อ ยมาก และเมล็ ด สู ญ เสี ย
ความงอกเร็วมาก จึงไม่สามารถเพาะเป็นต้นกล้าขึ้นมา
ลักษณะพรรณไม้
ได้ ส่ ว นการขยายพั น ธุ์ ด้ ว ยวิ ธี ก ารตอนและทาบกิ่ ง
ชมพู
พาน
Wightia speciosissima (D.Don) Merr.
ชื่ออื่น ตุมกาแดง
ภูหลวงในช่วงปีใหม่ จะรู้สึกตื่นเต้นไปกับความหนาวเย็น
ของฤดูกาล สายลมหนาวปะทะใบหน้าจนรู้สึกวูบวาบใน
ช่วงแรกๆ แล้วต่อมาความเย็นก็จะทำให้ ใบหน้ารู้สึกชา
เมื่อขับรถไต่ระดับความสูงขึ้นไป ความหนาวเย็นก็จะ
เพิ่ ม มากขึ้ น จนผ่ า นระดั บ ความสู ง 1,300 ม. ขึ้ นไป
ป่าสองข้างทางจะเริ่มเปลี่ยน จากมุมสูงที่มองป่าดิบเขา
ที่อยู่เบื้องล่างจะเห็นเฉพาะเรือนยอดของต้นไม้เป็นพุ่มๆ
สีเขียวเข้มบ้าง สีเขียวอ่อนบ้าง บางต้น ทิ้งใบหมดจน
เห็นแต่กิ่ง หรือบางต้นก็เริ่มจะผลิใบอ่อนออกมา บาง
พุ่มจะมีสีพุ่มสีชมพูสอดแทรกอยู่กับพุ่มสีเขียวทั่วๆ ไป
มองดูสะดุดตา เมื่อเข้าไปใกล้ทรงพุ่มสีชมพูจึงเห็นว่า
เป็นดอกของต้นชมพูพานที่เป็นไม้อิงอาศัยอยู่บนคาคบ
ของต้นไม้ ใหญ่ ซึ่งบางพุ่มจะมีขนาดใหญ่เท่ากับเป็น
ต้นไม้ต้นหนึ่งทีเดียว
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ออกเฉี ย งเหนื อ
95
ร่องตื้นๆ ด้านล่างใบมีเส้นแขนงใบเป็นสันนูนเล็กน้อย
แต่มีเส้นกลางใบเป็นสัน นูนเด่น โคนใบรูปลิ่มหรือมน
แผ่นใบหนา
ถึงแม้จะมีดอกสีชมพูหวาน เพิ่มความสดใสให้แก่ ดอก ออกเป็นช่อกระจุกแยกแขนง ยาว 10-20
ผื น ป่ า แต่ ต้ น ชมพู พ านก็ ยั ง เป็ น เพี ย งพื ช ป่ า ที่ ยั งไม่ มี
ซม. มี ด อกย่ อ ยจำนวนมาก ก้ า นช่ อ ดอกยาว 1 ซม.
ผู้ศึกษากันอย่างจริงจัง และยังไม่มีผู้ใดนำมาขยายพันธุ์ ก้านดอกย่อยสั้น มาก มีขนหนาแน่น กลีบดอกสีชมพู
หรือปลูกเป็นไม้ประดับแต่อย่างใด
ยาว 2.5-3.5 ซม. โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดสั้น
กลีบปากบน 2 แฉก กลีบปากล่าง 3 แฉก ชมพูพาน
ลักษณะพรรณไม้
มีฤดูออกดอกในเดือนธันวาคมถึงมกราคม
ต้ น เป็ น ไม้ พุ่ ม หรื อ ไม้ ต้ น ขนาดเล็ ก อิ ง อาศั ย
ผล เป็นฝักสีน้ำตาล ผิวเรียบ รูปขอบขนาน ยาว
บนต้นไม้หรือบนก้อนหิน สูง 1-3 ม. แต่อาจสูงได้ถึง 2.5-4 ซม. แตกกลางเป็น 2 ส่วน มีเมล็ดจำนวนมาก
ช่อดอก
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์ตามธรรมชาติโดยการงอกเมล็ด เป็น
พรรณไม้ป่าที่ยังไม่มีการศึกษา
96 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
ธนนไชย
Buchanania siamensis Miq.
ชื่ออื่น ศรีธนนไชย พังพวยนก พังพวยป่า ลันไชย รวงไซ รางไซ รางไทย ลังไซ
หลักฐานการค้นพบที่ควรจะเป็นของคนไทยไปอย่างน่า
เสียดาย
ธนนไชยเป็น พรรณไม้ ในสกุลมะม่วงหัวแมงวัน
การขยายพันธุ์
ผลแก่สีแดง
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด หรืออนุรักษ์ด้วย
การปลูกเป็นไม้ประดับตามสองข้างทาง เช่น ในจังหวัด
นครราชสีมา
ใบอ่อนเรียงชิดกัน
ผลอ่อนสีเขียว
ลักษณะพรรณไม้
ต้น ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 5-10 ม. กิ่งอ่อน ใบอ่อน
และช่อดอก มีขนนุ่มสีน้ำตาลปกคลุม ทรงพุ่มกลมหรือ
สูงชะลูด
ใบ เดี่ ย ว เรี ย งสลั บ แผ่ น ใบรู ป ไข่ ก ลั บ หรื อ
หรือเกลี้ยง
เมล็ด สีน้ำตาลอ่อน กลม ขนาด 6-8 มม.
98 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
โปร่
งกิ่ว
Dasymaschalon lomentaceum Finet & Gagnep.
ชื่ออื่น ติดต่อ
ซึ่งเป็นพื้นที่ดินทรายเช่นกัน
โปร่งกิ่วเป็น พรรณไม้ที่มีทรงพุ่มแน่น มี ใบเล็ก
หนา ไม่ร่วงง่าย อีกทั้งออกดอกและติดผลตลอดปี จึง
ได้รับความนิยมปลูกเป็นไม้ประดับโชว์ทรงพุ่ม ซึ่งมีวิธี
การปลูกง่ายๆ เหมือนกับพืชทั่วไป คือต้องขุดหลุมให้
กว้างและลึก 30 ซม. หากใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอิน ทรีย
์
รองก้นหลุม ก็จะช่วยให้ต้นเจริญเติบโตได้รวดเร็วขึ้น
และเนื่องจากโปร่งกิ่วมีทรงพุ่มแน่น เมื่อเวลาลมแรง
จึงมีโอกาสทำให้ทรงพุ่มเอียงล้มได้ง่าย การปักหลัก
และปลูกยึดลำต้นให้ตั้งตรงจึงมีส่วนสำคัญต่อการปลูก
และบำรุงรักษา
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ออกเฉี ย งเหนื อ
99
ข้อดีอีกอย่างของโปร่งกิ่วคือเป็น พรรณไม้เรียก
นก เนื่ อ งจากมี ผ ลดก เมื่ อ เวลาผลสุ ก มี สี แ ดงเข้ ม
ผู้ที่ปลูกโปร่งกิ่วในบริเวณบ้าน จึงมักได้ยินเสียงขับขาน
ของนกขณะมากินผลแก่ ส่วนคนก็สามารถรับประทาน
ผลสุกของโปร่งกิ่วเป็นผลไม้ ได้ด้วย นอกจากนี้ ในตำรา
สมุ นไพรพื้ น บ้ า นอี ส าน ยั ง มี ก ารใช้ ส่ ว นของรากเข้ า
ตำรั บ ยา โดยมี ส รรพคุ ณ บรรเทาอาการปวดเมื่ อ ย
กล้ามเนื้อ หรือเคล็ดขัดยอก
ดอกอ่อนสีขาวอมเขียว
ลักษณะพรรณไม้
ดอกบานสีเหลือง
กลีบดอกติดกันเป็นกรวย
ต้น ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1-2 ม. แตกกิ่งจำนวน
มาก เปลือกลำต้นสีน้ำตาลอมดำ กิ่งอ่อนสีเขียว มีช่อง
อากาศสีขาวเป็นจุดๆ เนื้อไม้เหนียว
ดอก เป็นดอกเดี่ยว ออกที่ปลายกิ่งหรือซอกใบ
ใบ รูปขอบขนาน กว้าง 2-3.5 ซม. ยาว 6-10 ซม. ใกล้ปลายกิ่ง ดอกอ่อนสีขาวอมเขียว ดอกบานสีเหลือง
โคนใบมนหรื อ เว้ า เล็ ก น้ อ ย ปลายใบเรี ย วทู่ ผิ ว ใบ
สีเขียวอมขาว ผลแก่สีแดง
เมล็ด กลม สีขาว ขนาด 5-7 มม.
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
ผลเป็นกลุ่ม เมื่อแก่มีสีแดง
100 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
ฝาง
Caesalpinia sappan L.
ชื่ออื่น ง้าย ฝางส้ม
ใหม่ก็สามารถนำมาดัดแปลงเป็น บลัชที่ ให้สีระเรื่อบน
โหนกแก้มได้อย่างไม่ขัดเขิน
ก่อนยุคแห่งความทันสมัย ที่มนุษ ย์เรารู้จักใช้สี นอกจากนี้ ฝ างยั ง มี ส รรพคุ ณ แก้ ธ าตุ พิ ก าร
ไม้เลื้อย มีเฉพาะต้นฝางนี้เท่านั้นที่เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก
ลักษณะพรรณไม้
ต้ น ไม้ ต้ น ขนาดเล็ ก หรื อ ไม้ พุ่ ม สู ง 3-6 ม.
พะยู
ง
Dalbergia cochinchinensis Pierre
ชื่ออื่น กระยูง ขะยูง พยุง
ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศอบอ้าวและมีความชื้นต่ำ
อย่างเดือนมีนาคมและเมษายน จะพบว่าพรรณไม้ในป่า
เต็งรังและป่าดิบแล้งแทบทุกชนิดล้วนพากันผลัดใบ ทิ้ง
ลำต้นให้เดียวดาย เช่นเดียวกับต้น พะยูง ที่ยังคงมีแต่
กิ่งก้านระเกะระกะ ราวกับว่าเป็นต้นไม้ที่ยืนต้นตาย
แตกช่อออกดอกเต็มต้น ผลิดอกขนาดเล็กสีขาวจำนวนมาก
ช่วยให้ป่าเต็งรังเปลี่ยนสภาพ คืนความสดชื่น และมี
สีสันขึ้นมาทันที จะเห็นได้จากแมลงจำนวนมากที่บินมา
ตอมน้ ำ หวานเสี ย งดั ง อื้ อ อึ ง สลั บ กั บ เสี ย งของนกตั ว
เล็กๆ ในบางช่วงที่เข้ามาแย่งดูดกินน้ำหวาน
พะยูงกระจายพันธุ์อยู่ ในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบ
แล้ง บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวัน-
ออก ที่ ร ะดั บ ความสู ง 100-300 ม. มี ม ากที่ จั ง หวั ด
ชั ย ภู มิ สกลนคร นครราชสี ม า ขอนแก่ น ร้ อ ยเอ็ ด
อุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ส่วนในต่างประเทศ
ถึงกันยายน
พะยู ง เป็ น พรรณไม้ ที่ ท นทานต่ อ ความแห้ ง แล้ ง
สามารถขึ้นได้แม้ดิน ที่ขึ้นจะเป็นดิน ทรายหรือดินร่วน
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้ต้นขนาดกลาง ผลัดใบ สูง 15-25 ม.
ลำต้ น เปลาตรง เปลื อ กสี เ ทาเรี ย บ และล่ อ นเป็ น
มะป่
วน
Mitrephora tomentosa Hook. f. & Thomson
ชื่ออื่น นมหนู ปอแฮด แฮด ลำดวนดง
แตกต่างจากต้นที่ขึ้นอยู่ในที่ลุ่มหรือมีน้ำแฉะตลอดเวลา
รวมทั้งต้นที่ปลูกตามบ้านพัก ซึ่งมีการให้น้ำกันอยู่แทบ
ทุกวัน จนดินปลูกมีสภาพความชื้นสูง จะทำให้ต้นมะป่วน
แตกใบอ่ อ นอยู่ ต ลอดเวลาและไม่ อ อกดอก หรื อ มีด อก
ออกน้อยมาก
ผลออกเป็นกลุ่ม
ลักษณะพรรณไม้
ต้น ไม้ต้นสูง 10-15 ม. เรือนยอดเป็นพุ่มค่อนข้าง การขยายพันธุ์
กลม เปลื อ กต้ น เรี ย บสีน้ำตาล กิ่งอ่อนและใบอ่อนมี
โดยการเพาะเมล็ด แต่หากต้องการให้ออกดอก
ขนสีน้ำตาลหนาแน่น
ได้รวดเร็วขึ้นจะใช้วิธีทาบกิ่ง โดยใช้ต้นมะป่วนทาบกับ
ใบ เป็ น ใบเดี่ ย ว เรี ย งสลั บ สองข้ า งของกิ่ ง ใน กิ่งยอดของมะป่วนที่ออกดอกแล้ว
ระนาบเดียวกัน แผ่นใบรูปรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 9-20
ซม. ปลายใบเรียวแหลม ผิวใบมีขนสีน้ำตาล
106 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
ลำดวนแดง
Melodorum fruticosum Lour. cv. ‘Lamduan Daeng’
ชื่ออื่น -
เมื่อเริ่มบานกลีบดอกมี
สีพื้นเป็นสีเหลืองนวล
ปลายกลีบด้านในมี
จากการที่มีการปลูกลำดวนแดงเป็นไม้ประดับตามบ้าน
มากขึ้นก็พบว่าลำดวนแดงมีช่วงฤดูออกดอกนานมาก
หากใครที่คิดจะปลูกลำดวนแดงแต่ยังไม่ทราบวิธี
สังเกตความแตกต่างระหว่างลำดวนแดงกับลำดวนที่ม
ี
ดอกเหลืองตามปกติ ก็สามารถดูได้จากดอก เนื่องจาก
สีดอกของลำดวนทั้งสองจะแตกต่างกัน แต่หากไม่ ได้
อยู่ ในช่วงฤดูออกดอก ก็สามารถสังเกตได้จากลักษณะ
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด และทาบกิ่ง
108 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
หมั
กม่อ
Rothmannia wittii (Craib) Bremek.
ชื่ออื่น ต้นขี้หมู หม่อ
ลักษณะพรรณไม้
ต้ น เป็ น ไม้ ต้ น ขนาดเล็ ก สู ง 6-8 ม. เปลื อ ก
กะหนาย
Pterospermum littorale Craib var. littorale
ก ะ ห น า ย เ ป็ น พ ร ร ณ ไ ม้ ที่ อ ยู่ ใ น ว ง ศ์ ป อ
ชื่ออื่น ขนาน จำปาเทศ สนาน ยวนปลา หำอาว
(Steraculiaceae) ในสกุลกะหนาย (Pterospermum)
สำรวจพบครั้ ง แรกโดยหมอคาร์ ที่ อ ำเภอศรี ร าชา
ผู้ที่ชื่นชอบการจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่นอย่างที่เรียก จังหวัดชลบุรี บริเวณใกล้ชายหาด พรรณไม้ชนิดนี้มี ใบ
กันว่าอิเคบานะ อาจคุ้นเคยกันดีกับพรรณไม้ชนิดหนึ่งที่ ลักษณะพิเศษกว่าพรรณไม้ชนิดอื่นตรงที่ ใบของต้นอ่อน
นิยมนำมาจัดดอกไม้ ซึ่งใบมีรูปร่างจักเว้าลึกสวยงาม หรือใบของกิ่งที่แตกมาจากต้นที่ถูกตัดยอดจะมีลักษณะ
คล้ายฝ่ามือ ที่ชื่อ กะหนาย หรือจำปาเทศ พรรณไม้
คล้ายฝ่ามือ แต่เมื่อกะหนายเจริญเติบโตมากขึ้นจนถึง
ถิ่นเดียวของไทยที่พบกระจายอยู่ตามป่าชายหาด และ ช่วงที่เริ่มออกดอกได้ ใบจะเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ มี
ป่าละเมาะใกล้ชายหาดทางภาคตะวันออกของประเทศ ลักษณะจักเว้าน้อยลงจนมีลักษณะเหมือนกับใบไม้ทั่วๆ
ไทย
ไป และใบของกะหนายนี่เองที่นิยมนำมาจัดดอกไม้แบบ
ญี่ปุ่น ส่วนชาวบ้านในท้องถิ่นนิยมนำใบมาทับให้เรียบแล้ว
ตากแดดให้แห้ง นำไปจัดเป็นดอกไม้แห้ง หรือจัดใส่ ใน
กรอบรูป นำไปจำหน่ายสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวและ
ชุมชนได้เป็นอย่างดี
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ออก
113
ลักษณะพรรณไม้
เกสร
ต้น เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 5-16 ม. แตกกิ่งยาว
โค้ ง อ่ อ นช้ อ ย กิ่ ง อ่ อ นมี ข นสี ข าวหรื อ เหลื อ งอ่ อ น
ประปราย กิ่งแก่เกลี้ยง ทรงพุ่มค่อนข้างโปร่งสูงเรียว
ใบ เดี่ยวเรียงสลับ มี 2 แบบ คือใบของต้นอ่อน
รูป ไข่กว้างหรือเกือบเป็นแผ่นกลม กว้าง 14-18 ซม.
ยาว 14-16 ซม. แผ่ น ใบเว้ า เป็ น แฉกลึ ก 5-7 แฉก
ใบของต้นแก่มีรูปขอบขนานและมีขนาดเล็กลง
ดอก เดี่ยวออกตามง่ามใบ ดอกมีสีขาว กลิ่นหอม
อ่อนๆ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวอมน้ำตาล รูปขอบ
ขนาน กว้าง 7-8 มม. ยาว 7-8 ซม. กลีบดอก 5 กลีบ
กว้าง 4-5 ซม. ยาว 5-6 ซม. โคนกลีบเรียว กลีบด้านนอก
มีขนเป็นแฉกรูปดาวประปราย ด้านในเกลี้ยง
ผล แบบผลแห้ ง แตก คล้ า ยผลทุ เ รี ย น รู ป
ในช่ ว งเดื อ นกั น ยายนถึ ง ธั น วาคม กะหนาย
กระบอกสั้น กว้าง 3-4 ซม. ยาว 5-8 ซม. มีสันคม
กิ่งกระโดงที่แตกใหม่อย่างสม่ำเสมอ กะหนายก็จะมีทรง
พุ่มที่โปร่งสวยงาม ออกดอกได้ทั่วทุกกิ่งพร้อมกลิ่นหอม
รวยริน จึงเหมาะที่จะปลูกประดับตามอาคารสำนักงาน การขยายพันธุ์
สวนสาธารณะ แหล่งพักผ่อน
โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และปักชำ
114 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
ตำหยาวผลตุ
่ม
ดอก ออกเดี่ยว หรือเป็น
Alphonsea boniana Finet & Gagnep
กระจุก 1-3 ดอก
ดอกสีเหลืองอ่อนอมเขียว
ชื่ออื่น กล้วยค่าง
กลีบดอกวงในประกบกัน
คล้ายรูปคนโท
ต ำ ห ย า ว ผ ล ตุ่ ม เ ป็ น พ ร ร ณ ไ ม้ ใ น ว ง ศ์
Annonaceae หรือวงศ์กระดังงา มีเขตกระจายพันธุ์
และถิ่ น กำเนิ ด อยู่ ใ นภาคตะวั น ออกเฉี ย งเหนื อ ภาค
ตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของไทย ส่วน
ส่วนราชการ โรงเรียนหรือสำนักงานของภาคตะวันออก-
เฉียงใต้ที่มีฝนตกชุก มีปริมาณน้ำฝนแผ่กระจายเกือบ
ตลอดทั้งปี เนื่องจากเป็นพรรณไม้ที่ต้องการความชื้นสูง
จึงจะเจริญเติบโตได้ดี
ตำหยาวผลตุ่มชอบดินร่วนระบายน้ำดี หากนำไป
ปลูกในดินเหนียวที่มีการระบายน้ำต่ำจะแสดงอาการ
ชะงั ก การเจริ ญ เติ บ โต และมี อั ต ราการเจริ ญ เติ บ โต
การขยายพันธุ์
โดยการเพาะเมล็ด ใช้เวลาเดือนครึ่งจึงเริ่มงอก
ต้นกล้าระยะแรกมีขนาดเล็กและเจริญเติบโตช้ามาก
ชอบอยู่ในที่ร่มเงา และมีความชื้นสูง
ลักษณะพรรณไม้
ต้ น ไม้ ต้ น ขนาดเล็ ก ไม่ ผ ลั ด ใบ สู ง 5-8 ม.
สีเขียวเข้ม ด้านล่างสีจางกว่าและเห็นเส้นกลางใบเป็น
สันนูนเด่นสีเหลืองอมเขียว
116 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
นมสวรรค์
ต้น
Clerodendrum smitinandii Moldenke
ชื่ออื่น ไฟเดือนห้า
ดอก เป็นช่อแบบช่อแยกแขนงแกมช่อเชิงหลั่น
ออกที่ปลายยอด กลีบเลี้ยงสีแดงรูประฆัง ปลายแยก
เป็นกลีบแหลม 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมเป็นหลอด
กลีบเลี้ยงสีแดง
ยาว 3.5-5 ซม. ปลายแยกเป็น 5 กลีบ สีขาว มีก้าน
เกสรเพศผู้และเพศเมียสีขาวยื่นยาวพ้นตัวดอก
ผล สุกสีดำ กลีบเลี้ยงติดทน สีแดง
เมล็ด ขนาดเล็ก สีดำ
พุ
งทะลาย
Scaphium scaphigerum (G.Don) Guib.& Planch.
ชื่ออื่น สำรอง
พื้นบ้านที่ได้รับการสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
พุงทะลายยังเป็นสมุนไพรที่ชาวจีนนำมาใช้ ในการ
รักษาโรคมาช้านาน โดยใช้พุงทะลายและชะเอมต้มกับ
น้ำ แล้วจิบบ่อยๆ แก้เจ็บคอ ส่วนในอินเดีย ชาวภารตะ
ก็ใช้พุงทะลายในการรักษาอาการอักเสบ แก้ ไอและขับ
เสมหะ สำหรับประเทศไทย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ก็ประสบความ
สำเร็จในการวิจัยและพัฒนา “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ปรับภูมิคุ้มกันจากพุงทะลาย” ซึ่งมีสรรพคุณช่วยกระตุ้น
การทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ป้องกันและทำลาย
เชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย และมีฤทธิ์
ต้านอักเสบ ในยุคหนึ่งคนนิยมกินเนื้อผลพุงทะลายเป็น
อาหารลดความอ้วน เนื่องจากพุงทะลายมีกากใยมาก
ช่ ว ยในการขั บ ถ่ า ย เนื้ อ พองน้ ำ จึ ง ทำให้ อิ่ ม ท้ อ งได้ ดี
นอกจากนี้ยังมีผู้นำวุ้นของเนื้อพุงทะลายไปฟอกสีทำเป็น
น้ำรังนกเทียมอีกด้วย
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ออก
119
ดอก กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีขนสีแดง
ผล รูปกระสวยมีปีกบางๆ เป็นรูปเรือโค้ง มีลาย
เส้ น ชั ด เจน ออกผลไม่ แ น่ น อน อาจจะออกทุ ก ปี ห รื อ
ผลมีปีกบางๆ
ปีเว้นปี
เมล็ด กลมรีสีน้ำตาล ยาว 1-1.5 ซม. เมื่อแช่น้ำ
เนื้อหุ้มเมล็ดจะพองตัวคล้ายวุ้น
ผล
พุงทะลายเพื่อเก็บผลแก่ จำเป็นต้องอาศัยความอดทน
เพราะพรรณไม้ชนิดนี้เจริญเติบโตช้า กว่าจะมีความสูง เมล็ด
20 ม. และออกดอกติดผลได้ ต้องใช้เวลาประมาณ
20 ปี
การขยายพันธุ์
ลักษณะพรรณไม้
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
ต้ น ไม้ ต้ น ขนาดใหญ่ สู งได้ ถึ ง 45 ม. ผลั ดใบ
โคนต้ น มี พู พ อน เปลื อ กสี เ ทา มี ร อยแผลเป็ น ทั่ วไป
เปลือกในสีชมพู มีเส้นตามยาว เรือนยอดเป็นพุ่มกลม
ใบอ่อนสีแดงเรื่อๆ
รู ป กรวยคว่ ำ กิ่ ง ก้ า นมั ก แตกออกรอบลำต้ น ณ จุ ด
เดียวกันเป็นชั้นๆ แบบฉัตร
ใบ เดี่ ย ว เรี ย งเวี ย นสลั บ ใบอ่ อ นสี แ ดงเรื่ อ ๆ
เนื้อใบบาง เกลี้ยงเป็นมันทั้งสองด้าน
120 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
พุ
ดสี
Gardenia tubifera Wall.
ดอกของพุดสีมีลักษณะคล้ายคลึงกับพุดชนิดอื่นๆ
ชื่ออื่น พุดป่า
ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน และมีสีเหลืองคล้ายคลึงกัน แต่พุดสี
มีขนาดของดอกเล็กกว่าและมีขอบกลีบเวียนซ้อนเกย
พุดสี
ที่ชอบขึ้นในบริเวณน้ำกร่อย
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ออก
121
ลงแปลงประดับสำหรับบ้านที่มีพื้นที่ขนาดเล็ก
ในอดีต คนนิยมนำไม้ ในสกุลพุดมาทำหวี ด้วยมี ลักษณะพรรณไม้
ความเชื่อที่ว่า หวีที่ทำจากไม้พุดเมื่อนำมาหวีผมแล้วผม ต้น ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 3-5 ม. แตกกิ่งมาก ทรง
จะดกดำ โดยอ้างว่าไม้พุดนี้จะไม่สร้างประจุไฟฟ้าซึ่งจะ พุ่มแผ่กว้าง กิ่งโน้มลงต่ำ เปลือกสีเทาอมขาว มีช่อง
ช่วยให้เส้นผมมีสีดำขึ้น อยู่ ได้นานมากขึ้น หรือเท่ากับ อากาศเป็นตุ่มขนาดเล็กทั่วไป เนื้อไม้เหนียว
ช่วยป้องกันผมหงอกได้ช้าลง แต่จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มี ใบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามเป็นคู่ รูปไข่กลับ กว้าง
การพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ การตัดไม้พุดเพื่อนำมา 5-8 ซม. ยาว 10-15 ซม. โคนใบสอบ ปลายใบเป็นติ่ง
ทำหวีจึงเป็นการลงทุนที่มีมูลค่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับ เรี ย วแหลม ผิ ว ใบด้ า นบนเกลี้ ย ง ด้ า นล่ า งมี ข นนุ่ ม
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ปักชำ และตอนกิ่ง
ปลูกลงแปลงกลางแจ้ง
122 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
ยี
่หุบปลี
Magnolia siamensis (Dandy) H.Keng
ต่อมา ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีรายงานการค้นพบ
ชื่ออื่น -
พรรณไม้ ช นิ ด หนึ่ ง ที่ บ้ า นเสี ย บญวน ซึ่ ง อยู่ ใ กล้ กั บ
ยี่ หุ บ เป็ น พรรณไม้ ที่ ค นไทยรู้ จั ก มาตั้ ง แต่ ส มั ย มีสีขาว มีกลิ่นหอมเหมือนยี่หุบ และมีลักษณะการบาน
รัชกาลที่ 2 นำเข้ามาจากประเทศจีนโดยพ่อค้าวานิช
เหมือนปลีกล้วย จึงเรียกพรรณไม้ชนิดนั้นว่า ยี่หุบปลี
ชาวจีนที่เข้ามาค้าขายในกรุงสยามสมัยนั้น มีข้อสังเกต ปั จ จุ บั น นั ก สำรวจพรรณไม้ ที่ ติ ด ตามเรื่ อ งการ
ที่น่าสนใจประการหนึ่งว่า พรรณไม้จากต่างประเทศ
กระจายพันธุ์ของยี่หุบปลี ได้กลับไปสำรวจยังหมู่บ้าน
ที่นิยมนำมาปลูกกันในสมัยรัชกาลที่ 2 มักจะมีคำว่า เสียบญวนอีกครั้ง ปรากฏว่าไม่มียี่หุบปลีหลงเหลืออยู่
“ยี่” นำหน้า เช่น ยี่สุ่น ยี่โถ รวมทั้งยี่หุบนี้ด้วย
เลยแม้ สั ก ต้ น เดี ย ว และหมู่ บ้ า นดั ง กล่ า วก็ ไ ด้ เ ปลี่ ย น
สภาพเป็นค่ายทหารไปแล้ว กระนั้นก็ดี นักสำรวจพรรณไม้
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ออก
123
แสดสยาม
Goniothalamus repevensis Pierre ex Finet & Gagnep.
ชื่ออื่น -
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1-2 ม. แตกกิ่งน้อย
กิ่งอ่อนเรียบ สีเขียวปนน้ำตาล เปลือกลำต้นสีดำ มีช่อง
ดอกบานสีแสด
อากาศเป็นแนวสีขาวบิดเวียนตามยาว เนื้อไม้เหนียว
มาก ทรงพุ่มโปร่งรูปสามเหลี่ยม
ใบ รู ป ขอบขนานแกมรู ป ใบหอก กว้ า ง 3-3.5
ซม. ยาว 12-16 ซม. โคนใบรูปลิ่ม ปลายใบเรียวแหลม
ใบค่อนข้างหนาและเหนียว เรียบเป็นมันทั้งสองด้าน
ดอก เป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบ เมื่อบาน
เปลี่ ย นเป็ น สี แ สดและมี ก ลิ่ น หอม กลี บ เลี้ ย งรู ป
สามเหลี่ยม กลีบดอกชั้นนอกรูปไข่ กว้าง 1.5-1.7 ซม.
ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากแสดสยามชอบขึ้นอยู่บนพื้นที่ระดับสูง ยาว 2.3-2.6 ซม. กลีบดอกชั้นในประกบกันเป็นแท่ง
ที่มีอากาศหนาวเย็น และมีความชื้นสูง การนำมาปลูก สามเหลี่ยม ยาว 5-8 มม.
ในพื้ น ราบที่ มี อ ากาศร้ อ นและมี ค วามชื้ น ต่ ำ อย่ า งใน ผล เป็นกลุ่ม มีผลย่อย 5-10 ผล แต่ละผลรูปรี
กรุ ง เทพฯ จึ ง ทำให้ แ สดสยามออกดอกมาเป็ น ดอก
กว้าง 8 มม. ยาว 2.2-2.6 ซม. ผิวผลเรียบเป็น มัน
อมชมพูสมใจ โดยช่วงเวลาที่จะได้ชื่นชมดอกแสดสยาม
การขยายพันธุ์
จะอยู่ ในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ส่วนผลของ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ปลูกในที่ร่มรำไร
แสดสยามจะแก่หลังจากออกดอกบาน 4-5 เดือน
เมื่อเสียบยอดต้นตอขนาดเล็ก สามารถปลูกเป็น ออกดอกเดี่ยว
ไม้ประดับในกระถางได้ ซึ่งจะใช้ประดับได้เป็นเวลานาน
เนื่องจากแสดสยามเจริญเติบโตช้ามาก แต่หากเจริญ
เติบโตขึ้นมาแล้ว หรือมีการเสียบยอดต้นตอขนาดใหญ่
สามารถนำลงปลูกในแปลงที่มีร่มเงาและความชื้นสูง ผล
การขุดหลุมให้กว้างและใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุม ปักหลัก
ผูกมัดให้ต้นตั้งตรง รดน้ำให้เพียงพอและคลุมโคนต้น
ด้วยหญ้าหรือฟางแห้ง จะช่วยให้เจริญเติบโตได้รวดเร็ว
ขึ้น มีทรงพุ่มสวยงามและออกดอกได้ดี
พรรณไม้ที่งอกงามบนป่าแห่งพื้นที่ราบลุ่มและภูเตี้ยๆ
ในภาคกลางและภาคตะวันตกนั้น คือพฤกษ์ไพรที่แสดงถึง
ความเชื่อมโยงของผืนป่าถึงสองภาคและเชื่อมต่อไปยัง
ประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าอีกด้วย
128 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
กลาย
Mitrephora keithii Ridl.
ชื่ออื่น กล้วยค่าง ลำดวน
“ ก ลา ย ” เ ป็ น พ ร ร ณ ไ ม้ ใ น ว ง ศ์ ก ร ะ ดั ง ง า
(Annonaceae) ที่มีช่วงฤดูดอกบานยาวนานที่สุดชนิด
หนึ่ง รองจากกระดังงาสงขลา และกระดังงาจีน สำรวจ
พบโดย A.Keith นักสำรวจพรรณไม้ชาวนิวซีแลนด์ ที่
อำเภอบางสะพาน จั ง หวัดประจวบคีรีขันธ์ ในระดับ
ความสูง 100 ม. พรรณไม้ชนิดนี้จึงมีชื่อระบุชนิดว่า
keithii ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้แก่ผู้ที่สำรวจค้นพบ
ครั้งแรก
กลายเป็นพรรณไม้ที่ออกดอกและติดผลตลอดปี
ดอกที่เริ่มบานจะมีสีเหลืองนวล พอใกล้โรยจะเปลี่ยน
เป็นสีเหลืองเข้ม ส่วนผลกลายที่แก่จะมีสีแดงเข้มและ
มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เยื่อหุ้มเมล็ดมีรสหวานจึงเป็นอาหาร
อันโอชะของสัตว์ป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นกและค้างคาว
ตัวเล็กๆ และเมื่อกินผลแก่แล้วไปถ่ายมูลที่อื่นก็เท่ากับ
เป็นการกระจายเมล็ดได้ดีอีกทางหนึ่ง และจากความ
จึงได้รับความนิยมนำมาปลูกกันมากขึ้น
กลายเป็ น พรรณไม้ ย อดนิ ย มของบรรดานั ก ชม
ธรรมชาติและนักท่องเที่ยวที่ ไปเยือนอุทยานแห่งชาติ
แก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และอุทยานแห่ง-
ชาติน้ำตกห้วยยาง เนื่องจากพรรณไม้ชนิดนี้มีกลิ่นหอม
จรุ ง ใจ จนหลายคนคิ ด จะเก็ บ เมล็ ดไปเพาะเพื่ อ ปลู ก
เลี้ยงบ้าง แต่ก็ ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะกลายเป็น
พรรณไม้ที่ขยายพันธุ์โดยเมล็ดซึ่งมีโอกาสกลายพันธุ์ได้
ตามธรรมชาติ ดังนั้นหลายคนจึงพบว่ากลายบางต้นอาจ
มีเพียงกลิ่น หอมอ่อนๆ หรือบางต้นอาจไม่มีกลิ่น หอม
เลย จึงเป็นที่มาของชื่อ “กลาย” ซึ่งหมายถึงการกลาย
พันธุ์นั่นเอง
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ตกและภาคกลาง
129
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ทาบกิ่ง และเสียบกิ่ง
การคัดเลือกแม่พันธุ์ควรเลือกจากต้นที่มีกลิ่นหอมแรง
ดอกดกและออกดอกตลอดปี การปลูกต้นกล้าจากการ
เพาะเมล็ดจะได้ทรงพุ่มที่กลมแน่น สวยงาม แต่การ
ปลูกจากการทาบกิ่งหรือเสียบกิ่ง จะมีทรงพุ่มที่สูงชะลูด
130 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
โกงกางน้
ำจืด
Marcania grandiflora Imlay
โกงกางน้ำจืดเป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวของไทย อยู่
ชื่ออื่น -
ในวงศ์ Acanthaceae พบตามภูเขาหิน ปูนในบริเวณ
จังหวัดลพบุรี กาญจนบุรี และเพชรบุรี ที่ระดับความสูง
คนที่เคยมีโอกาสนั่งรถจากตัวเมืองกาญจนบุรี ไป ไม่ เ กิ น 100 ม. ชื่ อ สกุ ล Marcania นี้ ตั้ ง ให้ เ ป็ น
ลักษณะพรรณไม้
ต้ น เป็ น ไม้ พุ่ ม ผลั ด ใบ สู ง 1-2 ม. แตกกิ่ ง
จั
นทน์หอม
Mansonia gagei J.R. Drumm. ex Prain
ชื่ออื่น จันทน์ชะมด จันทน์พม่า
ไม้จัน ทน์ ห อมมาแกะสลั ก ฉลุ ท ำพระเมรุ เ ช่ น เดี ย วกั น
นอกจากนี้ ใ นสมั ย ก่ อ นก็ ยั ง ใช้ เ นื้ อไม้ จั น ทน์ ห อมฝาน
ลักษณะพรรณไม้
ต้ น ไม้ ต้ น ผลั ด ใบมี ข นาดเล็ ก ถึ ง ขนาดกลาง
ผลเป็นผลแห้ง แต่ละผลมีปีก
ใช้เข้ายาบำรุงหัวใจ เนื้อไม้ใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้โลหิตเสีย ติดที่ปลายผลหนึ่งปีก
แก้กระหายน้ำ และอ่อนเพลีย
สมัยรัชกาลที่ 2 มีรายงานว่ามีต้นจัน ทน์หอมใน
ไทยและพม่าเป็นจำนวนมาก แต่ ในขณะนั้นเริ่มมีการ
ติดต่อค้าขายกับประเทศจีน ซึ่งคนจีนสมัยก่อนก็นิยมนำ
จันทน์หอมมาทำธูป แกะสลักพระพุทธรูปและลูกประคำ
ทำให้จันทน์หอมมีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการ
จึงได้เริ่มสั่งซื้อต้นจันทน์หอมจากพม่าและไทย เป็นเหตุให้
ต้นจันทน์หอมในไทยลดจำนวนลงเรื่อยๆ จนกลายเป็น
พรรณไม้หายาก
การขยายพันธุ์
จันทน์หอมเป็นพรรณไม้ในวงศ์ปอ (Sterculiaceae) ขยายพั น ธุ์ โ ดยการเพาะเมล็ ด เป็ น ไม้ ที่ เ จริ ญ
มีแหล่งกระจายพันธุ์ทั้งในภาคตะวันออกเฉียงใต้และ เติบโตได้ ในเกณฑ์ปานกลางถึงค่อนข้างช้าแม้ว่าจะได้
ภาคตะวันตกเฉียงใต้ แต่ไม่มากนัก โดยแหล่งที่พบมาก รับการดูแลเป็นอย่างดี หรือปลูกในสภาพสิ่งแวดล้อม
จั
่นน้ำ
Ehretia winitii Craib
จั่นน้ำเป็นอีกหนึ่งไม้ดอกที่มีสีสันเด่นสะดุดตาแก่
ก็สามารถเลือกหาจั่นน้ำมาปลูกเป็นไม้เกาะหินได้
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ตกและภาคกลาง
135
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้พุ่ม สูง 1-1.5 ม. แตกกิ่งยาว ปลาย
กิ่งลู่ลง
ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรีหรือรูปไข่กลับ กว้าง
1-2.5 ซม. ยาว 2.5-5.5 ซม. ปลายใบแหลมหรือมน
หรือเว้าบุ๋ม โคนสอบแคบ ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น
เล็กน้อย ผิวใบเกลี้ยง เส้นแขนงใบ 3-5 คู่ ก้านใบยาว
0.2-0.4 ซม.
ดอก สี ม่ ว ง ช่ อ ดอกแบบช่ อ แยกแขนง ออกที่
ปลายกิ่ง มีดอกย่อยจำนวนมาก โคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติด
กันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉก สีเขียว โคนกลีบ
ดอกเชื่ อ มติ ด กั น เป็ น หลอด ปลายแยกเป็ น 5 แฉก
1 อัน
ผล เป็นช่อ รูปทรงกลม ขนาด 4-5 มม. เมื่อแก่
สีแดง เมล็ดมี 4 เมล็ด
จั่นน้ำเป็นพรรณไม้ในวงศ์ Boraginaceae มีการ เมล็ด ขนาดเล็กมาก เป็นสัน รูปทรงสามเหลี่ยม
กระจายพันธุ์ตามเขาหิน ปูนในระดับต่ำ ที่มีความชื้น
บริเวณภาคกลาง และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ในระดับ การขยายพันธุ์
ความสูง 20-50 ม. เช่น จังหวัดสระบุรี ลพบุรี และ ขยายพั น ธุ์ ต ามธรรมชาติ ใช้ วิ ธี เ พาะจากเมล็ ด
จำปาหลวง
Magnolia utilis (Dandy) V.S.Kumar
ชื่ออื่น ตองสะกา ตองสะกาใบใหญ่
ภาคตะวันตกเฉียงใต้และภาคใต้
เส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 ม.
จำปาหลวงเป็น พรรณไม้ที่มีลักษณะหลายอย่าง
คล้ า ยกั บ มณฑาดอย พรรณไม้ ใ นวงศ์ เ ดี ย วกั น แต่
พรรณไม้ ทั้ ง 2 ชนิ ด นี้ ก็ ยั ง มี ลั ก ษณะบางประการที่
ปลูกจำปาหลวงที่เขาพะเนินทุ่ง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ
พื้นที่ ให้นักท่องเที่ยวได้มาชื่นชมความงามและเก็บภาพ
ความประทับใจ แต่ถ้าหากใครได้มีโอกาสขึ้นไปชื่นชม
ต้นจำปาหลวงแล้วอยากได้เมล็ดพันธุ์กลับมาขยายพันธุ์
ขอแนะนำว่า จำปาหลวงเป็นพรรณไม้ที่ไม่สามารถปลูก
ให้ อ อกดอกได้ ใ นพื้ น ที่ ร าบ แม้ จ ะปลู ก เป็ น เวลานาน
ผลรูปทรงกระบอกเล็กๆ
มีผลย่อย 42-80 ผล
เรียงอัดแน่นอยู่บน
แกนกลางผลร่วมกัน
ดอกตูม
โดยควรเก็บผลแก่ที่มีผลย่อยเริ่มแตกเพียงเล็กน้อยมา
ผึ่งไว้ ในร่ม 2-3 วัน ผลจะแตกมากขึ้น แล้วแกะเมล็ด
นำไปเพาะ จะงอกเป็นต้นกล้าได้ดี สำหรับผู้ที่หวังว่าจะ
ขยายพันธุ์จำปาหลวงโดยวิธีการทาบกิ่ง หรือเสียบยอด
โดยใช้ จ ำปาเป็ น ต้ น ตอนั้ น ไม่ ส ามารถกระทำได้
เนื่องจากพันธุกรรมค่อนข้างห่างกัน มีอยู่ทางเดียวที่
กระทำได้คือ ใช้ต้นตอจำปาหลวงมาทาบกับยอดของ
จำปาหลวงเท่านั้น
138 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
จำปี
ดอย
Magnolia gustavii King
ชื่ออื่น -
ประวัติพบว่า จำปีดอยถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2434 ที่ ให้ แ ก่ บ รรดานั ก สำรวจพรรณไม้ เ ป็ น อย่ า งมาก ที่ ไ ด้
ลักษณะพรรณไม้
ต้น ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 8-12 ม. ลำต้นเปลาตรง
แตกกิ่งในระดับสูง เรือนยอดกลมโปร่ง เปลือกลำต้น
จำปี
ป่า
Magnolia baillonii Pierre
ชื่ออื่น จำปีป่า จุมปี
เดิมทีจำปีป่าเป็นพรรณไม้ที่สามารถพบได้ทั่วไป
ในป่ า ดิ บ แล้ ง แต่ เ พราะลั ก ษณะของจำปี ป่ า ที่ มี ก ลิ่ น
เช่นเดียวกับชาวจีนในประเทศจีน ยังมีการนำจำปีป่ามา
ทำโลงจำปา ทำให้จำนวนต้นจำปีป่าในประเทศไทยมี
จำนวนลดลงอย่างต่อเนื่องและมีโอกาสที่จะสูญพันธุ์ ใน
ถิ่นกำเนิดได้ง่าย ดังนั้นจึงควรมีการอนุรักษ์ต้นจำปีป่า
ขนาดใหญ่เหล่านี้เอาไว้ เพื่อใช้เป็นต้นแม่พันธุ์ ในการ
ผลิตเมล็ดพันธุ์สำหรับการขยายพันธุ์ต่อไปในอนาคต
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ตกและภาคกลาง
141
ลักษณะพรรณไม้
ต้น ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง 25-35 ม. ลำต้นเปลา-
ตรง แตกกิ่ ง มาก เป็ น พุ่ ม ที่ ย อด ทรงพุ่ ม กลมโปร่ ง
เปลื อ กแตกสะเก็ ด เป็ น แผ่ น เล็ ก ๆ มี ก ลิ่ น เฉพาะตั ว
เนื้อไม้และกิ่งเหนียว
ใบ เดี่ยวรูปรีหรือรูปขอบขนาน เนื้อใบบาง แผ่นใบ
ทั้งสองด้านเรียบ ใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่าง
มีคราบสีขาวฉาบอยู่ ใบอ่อนมีขนปกคลุม เมื่อแก่แล้ว
ใบค่อนข้างเกลี้ยง
ดอก เดี่ ย ว ออกที่ ซ อกใบใกล้ ป ลายกิ่ ง สี ข าว
สำหรับประโยชน์ด้านอื่นๆ ของพรรณไม้ชนิดนี้ เหมื อ นดอกจำปี แ ต่ มี ก ลี บ มากกว่ า ดอกบานตั้ ง ขึ้ น
ดอกเดี่ยวออกที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง
สีขาวเหมือนดอกจำปี
แต่มีกลีบมากกว่า
ผลเป็นผลกลุ่ม
มีเปลือกผลย่อยเชื่อมติดกัน
142 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
จำปี
เพชร
Magnolia mediocris (Dandy) Figlar
ชื่ออื่น -
ใบเดี่ยวเรียงเวียนรอบกิ่ง
รูปรีแกมรูปขอบขนาน
จำปีเพชรเดียวเรียวสูงโปร่ง
ปลายใบเรียวแหลม
โคนใบมนกลมหรือเป็นรูปลิ่ม
ยืนยืดโยงดำรงอยู่มิรู้ไหว
ขอบใบเป็นคลื่น เนื้อใบหนา
หอมละมุนกรุ่นกลิ่นทั่วถิ่นไพร
จะจากไกลใจยังอยู่คู่ดงดอย
บทประพันธ์ข้างต้นได้กล่าวถึงลักษณะเด่นของ
(ประสิทธิ์ วงษ์พรม : ประพันธ์)
จำปีเพชร หนึ่งในพรรณไม้วงศ์จำปาที่หายากที่สุดอีก
ชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะลักษณะเด่นในด้านของการเป็น
พรรณไม้ต้นขนาดใหญ่ ดอกมีกลิ่นหอมแรง จึงมีโอกาส
ที่จะนำไปปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับได้ดี
จำปี เ พชรมี ก ารกระจายพั น ธุ์ ใ นป่ า ดิ บ เขาทาง
ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
จังหวัดเพชรบุรี ในระดับความสูง 1,000 ม. ส่วนใน
จำปีเพชรที่จังหวัดอื่นอีกเลย และก็ยังไม่สามารถขยายพันธุ์
ด้ ว ยวิ ธี อื่ นได้ นอกจากการขยายพั น ธุ์ ต ามธรรมชาติ
ข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ในการปลูก ที่จะต้องเป็นพื้นที่สูง
และมีอากาศหนาวเย็นเท่านั้น ไม่สามารถปลูกได้ ใน
พื้นที่ราบ
จากการที่เป็น พรรณไม้หายากและใกล้สูญพันธุ์
ในประเทศไทย พบเฉพาะบนยอดเขาพะเนิ น ทุ่ ง มี
ต้นแม่พันธุ์ขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ต้น มีอัตราการขยาย
พั น ธุ์ ต่ ำ มาก และไม่ พ บต้ น ขนาดเล็ ก อยู่ ใ ต้ ต้ น หรื อ
ใกล้เคียงกับต้นแม่พันธุ์เลย จึงนับเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงว่า
หากต้นขนาดใหญ่ที่มีอยู่ถูกทำลายหรือตายไป จำปี-
เพชรก็จะสูญพันธุ์ไปจากเมืองไทย
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ตกและภาคกลาง
143
ปั จ จุ บั น จึ ง มี ค วามพยายามจะนำเมล็ ด ของต้ น
ดอก เดี่ยวออกที่ซอกใบใกล้ปลายยอด ดอกบาน
จำปีเพชรไปปลูกในพื้น ที่อุทยานแห่งใดแห่งหนึ่ง ที่มี ตั้งขึ้นสีขาวนวล กลิ่น หอมแรง ดอกบานอยู่ ได้ 2 วัน
สภาพแวดล้อมใกล้เคียงกับบริเวณที่ค้นพบ เพื่อให้เป็น เมื่ อใกล้ โ รยเปลี่ ย นเป็ น สี เ หลื อ งเล็ ก น้ อ ย ดอกตู ม รู ป
สัญลักษณ์ของพื้นที่นั้นๆ สำหรับให้นักท่องเที่ยวมาชม กระสวย เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.8-1 ซม. ยาว 2.5-2.8 ซม.
และเก็บภาพความประทับใจกลับไป แต่ถ้าตอนนี้ ใคร กลีบดอกมี 9 กลีบ เรียงเป็นชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบ
1-4 เมล็ด
เมล็ด สีแดงเข้มรูปกลมรี ขนาด 5-7 มม.
ดอกบานตั้งขึ้นสีขาวนวล แต่ละผลเรียงติดอยู่บนแกนกลางผล
จำปี
สิรินธร
Magnolia sirindhorniae Noot. & Chalermglin
ชื่ออื่น จำปา
พระราชานุ ญ าตให้ อั ญ เชิ ญ พระนามาภิ ไ ธยเป็ น ชื่ อ เป็ น ที่ น่ า ภาคภู มิ ใจว่ า เมื่ อ มี ก ารค้ น พบต้ น จำปี
ชมพู
่น้ำ
Syzygium siamense (Craib) Chantar. & J. Parn.
ชื่ออื่น ชมพู่ค่าง หว้าปลอก
ภูมิภาคอินโดจีน และมาเลเซีย ชมพู่น้ำเป็นพรรณไม้ที่
ออกดอกและติ ด ผลเกื อ บตลอดปี มี ช่ ว งฤดู ด อกบาน
และบริเวณหินตามริมลำธารในป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้ง นักส่องสัตว์จึงนิยมใช้ต้นชมพู่น้ำเป็นเป้าหมายในการ
จึงเป็นที่มาของชื่อ ชมพู่น้ำ ส่วนต่างประเทศพบที่พม่า ส่องดูสัตว์ต่างๆ
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ตกและภาคกลาง
147
ลักษณะพรรณไม้
ต้น ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 7-15 ม.
ไม่ผลัดใบ เปลือกสีเทาอมน้ำตาล เรียบหรือแตกเป็น
สะเก็ดละเอียด แตกอ้าเล็กน้อยทั่วไปตามลำต้นและกิ่ง
ใบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปหอกกลับ รูปรี
หรือรูปขอบขนานแคบๆ กว้าง 4-7.3 ซม. ยาว 11-19
ซม. ปลายใบแหลม โคนสอบหรื อ มน ขอบใบเรี ย บ
ทั้ ง หลายในป่ า แต่ ก็ ไ ม่ ใ ช่ อ าหารอร่ อ ยปากของคน ครึ่งวงกลม 4 กลีบ ไม่ติดกัน ร่วงง่าย เกสรเพศผู้สีขาว
เท่ าใดนั ก เนื่ อ งจากมี ร สชาติ ค่ อ นข้ า งฝาด ไม่ ห วาน จำนวนมาก ดอกบานเต็มที่กว้าง 4-6 ซม.
กรอบหรือคุ้นลิ้นเหมือนชมพู่ที่ขายทั่วไปตามท้องตลาด ผล ผลสดทรงกลมสีเขียวเข้ม ขนาด 4-5 ซม.
จึ ง เป็ น พรรณไม้ ที่ เ หมาะเป็ น อาหารสำหรั บ สั ต ว์ ป่ า เมื่อผลแก่จะโค้งเป็นพู 2-3 พู ปลายผลมีกลีบเลี้ยงและ
เท่านั้น นอกจากนี้ชมพู่น้ำยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีก ปลายเกสรเพศเมียติดอยู่จนถึงระยะผลแก่
มากมาย โดยชาวบ้านนิยมนำใบมาต้มล้างแผลหรือตำ เมล็ด ค่อนข้างกลมรี และมีสันนูน 1 ด้าน
ทารักษาโรคผิวหนัง เมล็ดสามารถแก้โรคบิดได้ ส่วน
เปลือกใช้แก้ท้องร่วงและล้างแผล เนื้อไม้ของชมพู่น้ำ
ยังมีลักษณะเหนียวและเนื้อละเอียด แต่ทั้งนี้ควรจะร่วมมือ
กั น อนุ รั ก ษ์ ไม่ ตั ด ฟั น เนื่ อ งจากปั จ จุ บั น ชมพู่ น้ ำ เป็ น ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุก
พรรณไม้ที่ถูกจัดอยู่ในสถานภาพพืชหายาก
ตามปลายกิ่ง
ผลสดทรงกลมสีเขียวเข้ม
ขนาด 4-5 ซม. เมื่อผลแก่
จะโค้งเป็นพู 2-3 พู
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง
148 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
ด้
ามมีด
Cyathocalyx martabanicus Hook.f. & Thomson
ชื่ออื่น -
ด้ามมีด พรรณไม้ชื่อแปลกชนิดนี้มีที่มาของชื่อ
จากลั ก ษณะผล ผลของด้ า มมี ด มี รู ป ร่ า งเป็ น ทรง
กระบอก เส้ น ผ่ า ศู น ย์ ก ลาง 3-5 ซม. ยาว 5-8 ซม.
และมี ร อยคอดตามขวางจั บ ได้ ก ระชั บ มื อ เหมื อ นกั บ
ด้ามมีดหรือด้ามปืน จึงได้รับการตั้งชื่อเรียกขานดังกล่าว
ลาดชันได้ดี
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ตกและภาคกลาง
149
ปัจจุบันยังไม่ค่อยมีใครรู้จักพรรณไม้ชนิดนี้มากนัก
จึงควรมีการส่งเสริมให้ปลูกมากยิ่งขึ้น โดยเก็บเมล็ด ผลรูปทรงกระบอก
เปลือกหนาแข็ง
จากผลแก่ที่ร่วงหล่นอยู่ เพาะเป็นต้นกล้าแล้วปลูกรวมกัน มีรอยคอดตามขวาง
ให้เป็นแปลงใหญ่ เป็นสัญลักษณ์ของพื้น ที่ท่องเที่ยว
จับได้กระชับมือเหมือน
ด้ามมีดหรือด้ามปืน
ให้มีคนมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ได้ชื่นชมกับดอกหอมและ
รูปร่างแปลกตา
บุ
หรงใบนวล
Dasymaschalon glaucum Merr. & Chun
บุ ห รงใบนวลเป็ น พรรณไม้ ที่ ห ายากในสภาพ
ชื่ออื่น -
ธรรมชาติ ถึ ง แม้ จ ะมี ถิ่ น กำเนิ ด กระจายกว้ า งตั้ ง แต่
ประเทศจี น (ตอนใต้ ) ลงมาเวี ย ดนาม ลาว จนถึ ง
ในทางนิเวศวิทยา บุหรงใบนวล ถือเป็นพรรณไม้ ประเทศไทย แต่พบจำนวนต้น น้อยมากในแต่ละพื้น ที่
ดัชนีชี้บ่งความอุดมสมบูรณ์ของป่าที่ร่มและชื้น โดยวิธี ทั้งนี้อาจเนื่องจากอัตราการงอกของเมล็ดต่ำ และเจริญ
การสังเกตง่ายๆ คือ ถ้าบุหรงใบนวลเหี่ยวตาย แสดงว่า เติบโตได้ค่อนข้างยาก สำหรับในประเทศไทย บุหรง-
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 8 ม. โคนลำต้น
มีขนาดใหญ่ ได้ถึง 13 ซม. แตกกิ่งจำนวนมากเป็นพุ่ม
กลม
ใบ ใบรูปรี หรือรูป ไข่กลับ กว้าง 4-8 ซม. ยาว
10-20 ซม. ด้านล่างของใบมีนวลเคลือบสีขาวเด่นชัด
มาก ผิวใบมีขนประปราย
ดอก ออกที่ ใกล้ปลายยอด ก้านดอกยาว 2 ซม.
ดอกออกที่ใกล้ปลายยอด
มี ก ลี บ ดอก 3 กลีบประกบกัน เป็นแท่งสามเหลี่ยมเรียว
มีกลีบดอก 3 กลีบประกบกัน
ยาว 2.5-4 ซม. ปลายดอกเรียวแหลมและบิดเวียน
เป็นแท่งสามเหลี่ยมปลายแหลม
ผล เป็ น ผลกลุ่ ม มี ผ ลย่ อ ย 6-28 ผล ผลย่ อ ย
บุหรงใบนวลเป็นพรรณไม้ ในวงศ์กระดังงา มีช่วง รูปทรงกระบอก ยาว 1.5-5 ซม. มีเมล็ด 1-6 เมล็ด
บ่งบอกความอุดมสมบูรณ์ของป่าแล้ว ยังมีการศึกษา
ประโยชน์ ท างด้ า นสมุ นไพรของพรรณไม้ ช นิ ด นี้ ด้ ว ย
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการนำต้นและรากของ
บุหรงใบนวลไปใช้ประโยชน์เป็นสมุนไพรพื้นบ้าน แต่ไม่
สามารถระบุสรรพคุณ ทางยาอย่างแน่ชัด เนื่องจากมี
การใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น และในปัจจุบันกำลังมี
การเร่งศึกษาสารสำคัญที่มีอยู่ ในต้น กิ่ง และใบของ
บุหรงใบนวล
ดอกของบุ ห รงใบนวล มี รู ป ร่ า งเป็ น แท่ ง
สามเหลี่ยม ยาว 2.5-4 ซม. ปลายบิดเป็นเกลียว และมี
สี สั น สวยงาม บางดอกมี สี ข าวหรื อ ขาวนวล หรื อ ส้ ม
ชมพู ม่ ว งแดง แต่ บ างดอกมี ห ลายสี ซึ่ ง น่ า จะนำมา ผลย่อยรูปทรงกระบอก
ยาว 1.5-5 ซม.
ปรับปรุงพันธุ์โดยผสมกับบุหรงชนิดอื่นๆ ที่มีดอกขนาด มีเมล็ด 1-6 เมล็ด
ใหญ่และมีความยาวมากกว่าหรือชนิดที่ออกดอกได้ดก
และเกือบตลอดปี จะมีโอกาสได้ชนิดที่สวยงามขนาด การขยายพันธุ์
ใหญ่ และดอกดก เป็นไม้ประดับได้ดีในอนาคต
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
152 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
พุ
ด
Gardenia collinsae Craib
ชื่ออื่น ข่อยด่าน ข่อยหิน พุดผา สีดาดง
ลักษณะพรรณไม้
ปลายผลมีครีบแหลมของ
ต้น ไม้ต้นขนาดเล็กหรือไม้พุ่ม ผลัดใบ สูง 3-6 ม.
กลีบเลี้ยงติดอยู่ 6 แฉก
เส้นผ่าศูนย์กลางของโคนต้น 5-10 ซม. ลำต้นค่อนข้าง
เปลาหรื อ แตกเป็ น หลายลำต้ น เปลื อ กบาง เรี ย บ
มณฑาดอย
Magnolia hodgsonii (Hook.f. & Thomson) H. Keng
ชื่ออื่น ตองแข็ง
มณเอ๋ยมณฑา งามหนักหนามณฑาดอย
สีสันงามหยดย้อย มีไม่น้อยในปฐพี
บ้างเรียกว่าตองแข็ง ปลูกลงแปลงเขียวขจี
กลิ่นหอมรื่นชื่นฤดี ในแดนนี้มิงามเท่ามณฑาเอย
(ศิรินภา สาลีเกิด : ประพันธ์)
และหลุดออก เหลือเมล็ดสีแดงเข้มติดอยู่กับช่องแกนผล
ช่องละ 2 เมล็ด
เมล็ด กลมรี สีแดงเข้ม ยาว 1 ซม.
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด แล้วปลูกในพื้น ที่
ระดับสูง ในที่ร่มรำไรที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น
เปลือกผลย่อยหนาและ
ลักษณะพรรณไม้
เชื่อมติดกัน แต่ละผลรูปรี
ต้น ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 10-15 ม.
เรือนยอดเป็น พุ่มกลมค่อนข้างโปร่ง เปลือกสีเทาปน
น้ำตาล มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว เนื้อไม้และกิ่งเหนียว
ใบ มี ข นาดใหญ่ ม าก รู ป ไข่ ก ลั บ หรื อ รู ป ขอบ
ขนานแกมรูป ไข่กลับ กว้าง 6.5-12 ซม. ยาว 19-45
ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรี ย บและ
มหาพรหม
Mitrephora winitii Craib
ชื่ออื่น -
ลักษณะพรรณไม้
ต้ น ไม้ ต้ น ขนาดเล็ ก สู ง 5-12 ม. แตกกิ่ ง ต่ ำ
เปลือกเรียบ สีน้ำตาลเข้ม มีกลิ่นฉุน มีรอยด่างสีเขียว
เทา มีขนสั้นนุ่มสีน้ำตาลแดงหนาแน่นตามปลาย
ใบ รูปขอบขนาน รูปหอก หรือรูปใบหอกแกมรูป
ไข่ ยาว 6-20 ซม. ปลายใบแหลมหรื อ เรี ย วแหลม
โคนใบรูปหัวใจหรือเบี้ยวเล็กน้อย หลังใบสีเขียวเข้ม
ส่วนข้อแตกต่างระหว่างมหาพรหมกับมหาพรหม- ท้องใบสีเขียวซีด เนื้อใบหนาและมีขนนุ่มทั้งสองด้าน
ราชินีซึ่งเป็นพรรณไม้ ในสกุลเดียวกันก็คือ มหาพรหม ดอก เดี่ ย วออกตรงข้ า มใบ กลี บ ดอก 6 กลี บ
จะมีใบค่อนข้างกลม เนื้อใบหนา มีขนมาก และมีเส้นใบ เรียงเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ ชั้นนอกรูปรีเกือบกลม
มหาพรหมออกดอกจำนวนมากพร้อมกันทั้งต้น ต้องอาศัย
เคล็ดลับเล็กน้อยในการปลูก โดยจะต้องงดการให้น้ำ
ผลเป็นผลกลุ่ม มี 10-16 ผล
ในช่วงฤดูแล้ง ประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ผลรีเกือบกลม
เมื่ อ ต้ น มหาพรหมมี ใ บเหี่ ย วและทิ้ ง ใบหมดแล้ ว
ลักษณะพรรณไม้
ต้น ไม้ต้นขนาดกลางสูง 15-25 ม. ไม่ผลัดใบ
เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ เปลือกลำต้นสีน้ำตาลปนดำ
ขรุขระแตกเป็นร่องลึกตามยาว
ใบ ใบเดี่ยว เรียงเวียนเป็นกระจุก รูปขอบขนาน
กว้าง 2-5 ซม. ยาว 5-15 ซม. ผิวใบด้านบนมีสีเขียวเข้ม
เป็นมัน ด้านล่างเคลือบขาว ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น
เล็กน้อย ส่วนใบอ่อนจะมีสีแดง
160 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
โมกราชิ
นี
Wrightia sirikitiae D.J. Middleton & Santisuk
ชื่ออื่น -
โมกราชิ นี เป็ นไม้ ถิ่ น เดี ย วของไทย อยู่ ใ นวงศ์
Apocynaceae พบกระจายอยู่ ห ลายพื้ น ที่ ใ นจั ง หวั ด
โมกราชินี เป็น พรรณไม้ ในสกุลโมกบ้านที่มีคำ นครสวรรค์ สระบุรี ลพบุรี กาญจนบุรี และสระแก้ว
ระบุชนิด sirikitiae ตั้งขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จ- โดยจะขึ้นตามเขาหิน ปูนเตี้ยๆ ที่แล้ง ระดับความสูง
พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สำรวจพบครั้งแรก ประมาณ 100 ม. มี ฤ ดู ด อกบานอยู่ ใ นช่ ว งเดื อ น
โดย Dr.David Middleton ชาวอเมริ กั น ร่ ว มกั บ
มกราคมถึ ง กุ ม ภาพั น ธ์ ส่ ว นต้ น ที่ น ำมาปลู ก เลี้ ย ง
โดยปลูกลงกระถางขนาดใหญ่หรือลงแปลงกลางแจ้ง ต้นตอ
ปลูกในดินร่วน และระบายน้ำดี การดูแลต้นโมกราชินี
ควรมีการตัดแต่งพุ่มเป็นช่วงๆ เนื่องจากเป็นพรรณไม้ที่
แตกกิ่ ง กระโดงสู ง เร็ ว ทำให้ มี ท รงพุ่ ม สู ง ชะลู ด และ
มีดอกน้อย ความนิยมปลูกโมกราชินีอีกแนวทางหนึ่ง
คือปลูกโชว์ทรวดทรง โชว์ลีลา มีการตัดแต่งเป็นรูปทรง
ต่างๆ มีการปลูกให้ยึดเกาะหินและปลูกเป็นไม้แคระ
หรือบอนไซ
ลักษณะพรรณไม้
ต้น ไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 6 ม. ผลัดใบ ลำต้น
แตกกิ่ ง มาก เปลื อ กสี ข าวปนเทา มี ช่ อ งอากาศเป็ น
ปุ่มกลมหรือรีกระจายทั่วลำต้น
162 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
โมกเหลื
อง
Wrightia viridiflora Kerr
ชื่ออื่น -
โมกเหลืองในป่าสามารถเจริญเติบโตต่อไปในสิ่งแวดล้อม
เดิมได้
นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่ตกแต่งสวน
ประดับและทำน้ำตกในบ้าน เหมาะที่จะนำต้นโมกเหลือง
มาปลู ก เนื่ อ งจากโมกเหลื อ งชอบขึ้ น เกาะหิ น ริ ม น้ ำ
กลิ่นหอมอ่อนๆ จึงสามารถปลูกข้างน้ำตกประดับสวน
ในบ้ า นได้ โดยไม่ จ ำเป็ น ต้ อ งไปขุ ด เซาะหิ น ในป่ า
ซึ่งนอกจากจะเป็นการทำลายธรรมชาติแล้วยังเป็นการ
กระทำที่ผิดกฎหมายอีกด้วย
พรรณไม้ ภ าคตะวั น ตกและภาคกลาง
163
ส่วนผู้ที่ต้องการปลูกโมกเหลืองลงแปลงประดับ
สวน จะพบปัญหาที่ว่าโมกเหลืองไม่เจริญเติบโตเมื่อ
ปลูกลงดิน แล้วกำลังหาวิธีบำรุงรักษาโมกเหลืองให้
เจริญเติบโตได้เร็วขึ้น ต้องใช้วิธีการเสียบกิ่ง เพื่ออาศัย
รากของไม้ชนิดอื่น เช่น โมกมัน เป็นต้นตอ ต้นโมก-
เหลืองก็จะเจริญเติบโตได้เร็วขึ้นกว่าการปลูกจากการ
เพาะเมล็ด และให้รากสัมผัสกับต้นโดยตรง
เพศผู้และเพศเมียที่อยู่กลางดอก
ผล เป็นฝักคู่ รูปกระสวย ยาว 16-20 ซม. เมื่อ
ผลเป็นฝักคู่ รูปกระสวย
แก่แล้วแตกด้านเดียว มีเมล็ดจำนวนมาก
ยาว 16-20 ซม. เมื่อแก่แล้ว
แตกด้านเดียว มีเมล็ดจำนวนมาก
เมล็ด รูปแถบ ยาวประมาณ 2.5 มม. ที่โคนมีขน
กระจุก ยาวประมาณ 2 ซม.
ลักษณะพรรณไม้
การขยายพันธุ์
ต้น ไม้พุ่ม หรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 2-3 ม. กิ่ง ใช้ วิ ธี เ พาะเมล็ ด ปั ก ชำและตอนกิ่ ง แล้ ว นำลง
แก่เกลี้ยงมีช่องหายใจเป็นขีดนูนสีขาว
ปลูกเป็นไม้กระถาง แต่จะเจริญเติบโตได้ช้าเมื่อเทียบ
ใบ เดี่ยวเรียงตรงข้าม ใบรูปรี ยาว 8-15 ซม. กับการนำมาเสียบกิ่งโดยใช้ต้นโมกมันเป็นต้นตอ ซึ่งจะ
เนื้อใบบาง ปลายใบเป็นติ่งแหลมยาว โคนใบรูปลิ่มหรือ เจริญเติบโตได้เร็วและมีทรงพุ่มที่แข็งแรง
มน แผ่นใบด้านบนเกลี้ยง ด้านล่างมีขนเล็กน้อย
164 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
โมลี
สยาม
Reevesia pubescens Mast. var. siamensis (Craib) Anthony
ชื่ออื่น -
พรรณไม้ดอกหอมที่มีชื่อโดดเด่นเป็นสง่าว่า โมลี-
สยาม และมีชื่อวิทยาศาสตร์ที่มีคำระบุชื่อพันธุ์ (var.)
ว่า siamensis นี้ ได้ถูกตั้งขึ้นให้เป็นเกียรติแก่ประเทศ
ไทยในการสำรวจพบครั้งแรกโดยหมอคาร์ ชาวไอริช
เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2465 ที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัด
เลย ในระดับความสูง 1,300 ม.
โมลีสยามเป็นพืชถิ่นเดียวของไทย ขึ้นอยู่เฉพาะ
แห่งในป่าดิบชื้นและป่าดิบเขา ที่ระดับความสูง 1,000-
1,500 ม. มีกระจายพันธุ์อยู่ ในจังหวัดเลย นครนายก
กาญจนบุรี และเพชรบุรี โดยจะออกดอกระหว่างเดือน
สิงหาคมถึงธันวาคม ถือเป็นอีกหนึ่งพรรณไม้ที่หายาก
และขยายพั น ธุ์ ไ ด้ ย าก เนื่ อ งจากการขยายพั น ธุ์
ลักษณะพรรณไม้
ต้ น ไม้ ต้ น ขนาดเล็ ก สู ง 8-15 ม. มี เ ส้ น ผ่ า -
ศูนย์กลางของลำต้นในระดับอก 20-50 ซม. เปลือก
ลำต้น หนา สีน้ำตาลอมขาว ลำต้นแตกกิ่งต่ำ กิ่งอ่อน
ใบอ่อน และช่อดอกปกคลุมด้วยขนนุ่ม มีใบเฉพาะส่วน
ปลายยอดเป็นพุ่มกลม
ใบ ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ รูปรีจนถึงรูปขอบ
ขนาน กว้ า ง 4-7 ซม. ยาว 9-15 ซม. โคนใบมน
กระดั
งงาเขา
Polyalthia jenkensii Hook.f. & Thomson
ชื่ออื่น -
ผลเป็นผลกลุ่ม สีเขียวอ่อน
มีผลย่อย 15-40 ผล
ลักษณะพรรณไม้
ต้ น เป็ น ไม้ ต้ น ขนาดเล็ ก สู ง 6-10 ม. ลำต้ น
สีเขียวเข้มเป็นมันวาว
ดอก เป็นดอกเดี่ยวที่ซอกใบ กลีบดอกมี 6 กลีบ
สีเหลืองเข้ม แต่ละกลีบมีลักษณะและขนาดใกล้เคียง
กัน เมื่อบานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-5 ซม.
ผล เป็นผลกลุ่ม มีผลย่อย 15-40 ผล แต่ละผล
รู ป รี ย าว 1-1.5 ซม. เมื่ อ แก่ แ ล้ ว เปลื อ กผลนิ่ ม และ
เปลีย่ นเป็นสีแดง
เมล็ด สีขาว รูปกลมรี ยาว 8-10 มม.
กะพ้
อสี่สิบ
Licuala distans Ridl.
ชื่ออื่น -
คนไทยแต่ โ บราณมี ค วามฉลาดหลั ก แหลมที่ จ ะ ในภาคใต้ มีพรรณไม้ชนิดหนึง่ ทีอ่ ยูค่ กู่ บั ภูมปิ ญ
ั ญา
ดำเนินชีวิตให้ประสานกลมกลืนไปกับธรรมชาติ แม้จะ ชาวบ้านมานานนับร้อยๆ ปี นั่นคือ กะพ้อสี่สิบ ด้วย
ไร้ซึ่งเทคโนโลยีหรือวิทยาการมาอำนวยความสะดวกให้ คุณลักษณะที่มีลำต้นสูงประมาณ 2-4 ม. มีความเหนียว
แก่ชีวิต ทว่าคนไทยเราก็ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาได้ถึงทุกวัน และยื ด หยุ่ น มี ล ำต้ น ผอมเหมาะที่ จ ะนำมาทำเป็ น
นี้ โดยอาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ถ่ายทอดต่อกันจากรุ่น
ด้ามมีด จอบ เสียม พลั่ว คราด ส่วนลำต้นที่อวบอ้วน
สู่รุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิปัญญาในการนำวัสดุพื้นเมือง ใหญ่ สั ก หน่ อ ย ก็ จ ะนำมาทำเสากระท่ อ มหรื อโรงนา
พอเพียงได้อย่างปกติสุขตามอัตภาพ
ช่วงที่จะต้องมาปักดำหรือเกี่ยวข้าว
พรรณไม้ ภ าคใต้
171
ลักษณะพรรณไม้
ต้ น เป็ น ปาล์ ม ต้ น เดี่ ย ว สู ง ได้ ถึ ง 6 ม. ลำต้ น
ขนาด 6-10 ซม. มีทางใบอยู่บนต้นจำนวน 12-15 ก้าน
ใบ รูปฝ่ามือ แผ่นใบกว้าง 100-120 ซม. ขอบใบ
จักเว้าถึงสะดือ 25-35 แฉก ก้านใบยาว 2.5 ม. ขอบ
ก้านใบมีหนามแหลมคม
ดอก ออกเป็นช่อ ยาว 2-3 ม. ปีละ 4-5 ช่อ มีดอก
ย่อยจำนวนมาก แยกเป็นดอกเพศผู้เพศเมียแต่อยู่ในช่อ
ดอกเดียวกัน
ผล กลมรี ขนาด 1.2-1.5 ซม. ผลอ่อนสีเขียว
เข้ม เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีแดง
ช่อดอก ยาว 2-3 ม.
มีดอกย่อยจำนวนมาก
เมล็ด มี 1 เมล็ดต่อผล รูปรี ขนาด 1-1.2 ซม.
กะพ้อสี่สิบเป็นพรรณไม้ที่มีการสำรวจพบครั้งแรก
ในจั ง หวั ด พั ง งา และมี ร ายงานการตั้ ง ชื่ อในปี 2463
พรรณไม้ชนิดนี้นับเป็นพรรณไม้พิเศษอีกชนิดหนึ่งของ
ไทย เนื่องจากเป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวที่มีจำนวนลดน้อย
ลงในธรรมชาติ อันเนื่องมาจากการนำมาใช้ประโยชน์
ดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ การช่วยกันอนุรักษ์และขยายพันธุ์
กะพ้ อ สี่ สิ บ ให้ มี จ ำนวนต้ น มากขึ้ น จึ ง เท่ า กั บ เป็ น การ
อนุรักษ์พรรณไม้ชนิดนี้ ให้อยู่คู่กับโลกของเราสืบไปใน
อนาคต
กะพ้อสี่สิบเป็นพรรณไม้ ในวงศ์ Arecaceae พบ
ได้ เ ฉพาะในป่ า ดิ บ ชื้ น ที่ ร ะดั บ ความสู ง 300-900 ม.
จำปาขอม
Polyalthia cauliflora Hook.f. & Thomson var. wrayi (Hemsl.) J. Sinclair
ชื่ออื่น -
สีทอง กิ่งก้านเหนียว
ใบ รูปขอบขนานแกมรูปรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว
9-20 ซม. โคนใบมนหรือรูปลิ่ม ปลายใบแหลม ผิวใบ กลีบดอกรูปแถบ
ค่อนข้างเรียบเป็นมัน
ดอก ออกตามลำต้นเป็นกระจุก 3-6 ดอก ดอก
สีเหลืองนวลหรือม่วงแดง เมื่อบานแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
ส้ม กลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยม ยาว 7 มม. แผ่กางออก
กลีบดอกเรียงเป็น 2 ชั้น แต่ละกลีบขนาดใกล้เคียงกัน
รูปแถบ กว้าง 4-6 มม. ยาว 3.5-5.5 ซม. ดอกบานมี
เส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5-4 ซม. ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์
ถึงกันยายน ผลแก่หลังจากดอกบาน 4-5 เดือน
ดอกออกเป็นกระจุก
3-6 ดอก
174 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
จำลา
Magnolia praecalva (Dandy) Figlar & Noot.
ชื่ออื่น -
ตอนล่างในจังหวัดสงขลาและพังงาเท่านั้น จำลาเป็น
พรรณไม้อีกชนิดหนึ่งในวงศ์จำปาที่มีดอกสวยงามและ
กลิ่นหอมหวาน จนทำให้หลายคนยากจะห้ามใจนำเมล็ด
ของจำลาไปเพาะเพื่อปลูกไว้เชยชมอย่างใกล้ชิด
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่จำลาไม่อาจขยายพันธุ์ ได้
นอกถิ่นกำเนิด เพราะแม้แต่ ในถิ่นกำเนิดเองเมล็ดของ
จำลาก็ถูกเชื้อราในดินทำลายจนไม่อาจงอกเป็นต้นใหม่
ได้ การขยายพั น ธุ์ จ ำลาจึ งไม่ อ าจกระทำได้ แม้ จ ะมี
ความพยายามที่จะขยายพันธุ์ด้วยวิธีการอื่นๆ เช่นการ
ทาบกิ่ ง เสี ย บยอด ตอนกิ่ ง หรื อ ปั ก ชำ ก็ ล้ ว นแต่ ไ ม่
ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้เนื่องจากจำลาเป็นพรรณไม้ที่
มีพันธุกรรมห่างจากพรรณไม้อื่นชนิดที่อยู่ ในสกุลจำปา
ดังนั้นเมื่อนำต้นตอจำปามาทาบ เนื้อไม้ของจำปากับ
จำลาจึงเข้ากันไม่ได้ ทำให้ทาบไม่ติด
ด้วยชะตากรรมอันแสนเศร้าเช่นนี้เอง พรรณไม้
ชนิดนี้จึงถูกเรียกขานว่า “จำลา” โดยผู้ที่ตั้งชื่อนี้ให้ก็คือ
ศาสตราจารย์ พ วงเพ็ ญ ศิ ริ รั ก ษ์ ซึ่ ง เล็ ง เห็ น ว่ า การ
กระจายพันธุ์ที่ต่ำมากของพรรณไม้ชนิดนี้มีต้นเหลืออยู่
ในธรรมชาติเพียงไม่กี่ต้น อาจทำให้มันจำต้องลาจาก
โลกนี้ ไปในไม่ช้า จึงเป็นที่มาของชื่อ จำลา ที่เราเรียก
ขานอยู่ในปัจจุบัน
จำลาออกดอกในช่ ว งเดื อ นมกราคมถึ ง มี นาคม
เมื่อเริ่มแย้มมีสีขาวนวลและสีเข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อใกล้
โรย ส่งกลิ่นหอมหวาน และบานอยู่ได้ 2-3 วัน
พรรณไม้ ภ าคใต้
175
ลักษณะพรรณไม้
ต้น ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง 25-35 ม. โคนลำต้น
เป็นพูพอนสูง 1-2 ม. ลำต้นเปลาตรง เปลือกหนาเรียบ
และมีกลิ่นฉุน
ใบ เดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับ รูปขอบขนาน กว้าง
3.5-5 ซม. ยาว 10-13 ซม. โคนใบรูปลิ่ม ปลายใบมน
ทู่ ผิวเรียบเป็นมันทั้งสองด้าน
ดอก ออกเดี่ยวที่ปลายยอด กาบหุ้มดอกสีเขียว
อ่อน บางและเรียบ ดอกบานตั้งขึ้น มีกลีบดอก 9 กลีบ
เรียงเป็น 3 ชั้น กลีบดอกชั้นนอกค่อนข้างบาง รูปหอก
แกมรูปขอบขนาน กลีบชั้นกลางและชั้นในหนา อวบน้ำ
ผล รูปทรงกลมชูตั้งขึ้น ขนาด 3-4 ซม. เปลือก
ผลหนาแข็ง เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แตกตามรอยพู
ในแนวตั้งคล้ายผลทุเรียน มีผลย่อย 4-5 ผล แต่ละผลมี
เมล็ดสีแดง 5-8 เมล็ด ผลจำลาแตกต่างจากพรรณไม้ใน
วงศ์จำปาอย่างสิ้นเชิง คือผลจะแตกเป็นพูเหมือนทุเรียน
เมล็ด กลมรี และมีสันเหลี่ยม สีแดง ยาว 6-8 มม.
ดอกบานตั้งขึ้น
มีกลีบดอก 9 กลีบ
เรียงเป็น 3 ชั้น
การขยายพันธุ์
จำลาเป็น พรรณไม้ที่มีผลแก่ ในช่วงฤดูฝน ซึ่งมี
ความชื้นสูงมาก เมื่อผลแก่หล่นลงมากระแทกกับพื้นดิน
ก็จะแตก เมล็ดได้รับบาดแผลหรือเสียหายแล้วมีเชื้อรา
เข้าทำลายจนสูญเสียความงอก ทำให้ไม่สามารถงอกได้
จึงไม่พบต้นกล้าของจำลา ในปัจจุบันยังไม่สามารถหา
วิธีการที่จะช่วยให้ขยายพันธุ์ได้
176 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
ตี
นเป็ดแคระ
Alstonia curtisii King & Gamble
ชื่ออื่น -
ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายและได้ผลดี อีกทั้งปลูกใช้ประโยชน์
เป็นไม้ประดับกระถาง ซึ่งเมื่อปลูกเป็นไม้กระถางจะ
สามารถออกดอกได้ ต ลอดปี แตกต่ า งจากต้ น ในถิ่ น
กำเนิดเดิมบริเวณภูเขาหินปูนที่จะสามารถออกดอกได้
ในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมเท่านั้น
ดอกสีขาว
ปลายแยกเป็น
กลีบ 5 กลีบ
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1-1.5 ม. แตกกิ่ง
เป็น หลายลำต้น เปลือกสีน้ำตาลเข้ม ตามกิ่งแตกใบ
กระจุกละ 4 ใบ ห่างกันกระจุกละ 2-4 ซม.
178 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
ตี
นเป็ดพรุ
Alstonia spatulata Blume
ชื่ออื่น ยวน ปูแลบาซา
ลักษณะพรรณไม้
ต้น ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 5-10 ม. เรือนยอดทรง
กรวยคว่ำเมื่อต้นเล็ก แบนและแผ่กว้างเมื่อต้นใหญ่ขึ้น
ลำต้นมีพูพอนกว้าง รากหายใจขนาดใหญ่คล้ายสะพาน
โค้งครึ่งวงกลม เปลือกเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดสีขาว
เทา เปลื อ กชั้ น ในสี เ หลื อ งอ่ อ น มี น้ ำ ยางสี ข าวคล้ า ย
น้ำนมรอบๆ โคนต้นมีรากหายใจลักษณะหักพับรูปหัวเข่า
ขนาดใหญ่ โผล่ขึ้นกระจัดกระจายในรัศมีของเรือนยอด
ใบ เดี่ยวเรียงรอบกิ่ง วงละ 4-6 ใบ แผ่นใบรูปรี
หรือรูปรีแกมรูปขอบขนานคล้ายช้อน ส่วนกว้างที่สุด
กลางใบยาว 8-12 ซม. กว้าง 3-5 ซม. ผิวเกลี้ยงทั้ง การขยายพันธุ์
สองด้าน ด้านบนสีเขียว เมื่อแห้งเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล โดยวิธีการเพาะเมล็ด และตัดชำราก ในการเพาะ
ด้ า นล่ า งสี ข าวนวล โคนใบสอบเรี ย วแคบเข้ า มาทาง
เมล็ด ควรเลือกเก็บฝักที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ก่อนที่
ก้านใบ
ฝั ก จะแตกให้ น ำฝั ก มาแกะและนำเมล็ ด มาเพาะใน
ดอก เล็ ก สี ข าว ออกเป็ น ช่ อ ตามปลายกิ่ ง กระบะทราย เมล็ดจะมีอัตราการงอกได้สูงดีกว่านำฝัก
ออกดอกระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม
ที่แห้งแตกแล้วมาเพาะ ซึ่งเมล็ดจะงอกได้น้อยกว่า
ผล เป็นฝัก เรียว เกลี้ยงหรือมีขนสั้นๆ ประปราย
ออกเป็นคู่ ยาว 25-30 ซม.
เมล็ด กลมรี ยาว 5 มม. มีขนเป็นปุยที่หัวและ
ปลายเมล็ด ปลิวลอยไปตามลม
บุ
หงาลำเจียก
Goniothalamus tapis Miq.
ชื่ออื่น บุงอนือเก๊าะ สามะ
เมื่อเอ่ยถึงพรรณไม้ที่มีการปรับตัวได้ดีเพื่อการ
บุหงาลำเจียก หรือที่รู้จักในชื่อ บุงอนือเก๊าะ และ
อยู่รอด บุหงาลำเจียก นับเป็นพรรณไม้อีกชนิดหนึ่งที่ สามะ ของชาวมุ ส ลิ ม เป็ น พื ช ที่ มี ถิ่ น กำเนิ ด และการ
ติดอยู่ ในทำเนียบไม้ป่า สามารถปรับตัวได้ดีเมื่อมีการนำ กระจายพันธุ์อยู่ในป่าดิบชื้นที่ระดับความสูง 30-300 ม.
มาปลู ก นอกถิ่ น กำเนิ ด โดยเฉพาะในพื้ น ที่ ที่ มี ส ภาพ ในเขตภาคใต้ ข องประเทศไทย บุ ห งาลำเจี ย กเป็ น
ต้นกล้าเพาะเมล็ดจากถิ่นกำเนิดเดิมในภาคใต้มาปลูกใน
สวนเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีพื้นดินชื้นแฉะ
และสภาพอากาศมีความชื้นสูงเหมือนกับสภาพผืนดิน
ในภาคใต้ ก็พบว่าบุหงาลำเจียกสามารถปรับตัวและ
เจริญเติบโตได้ดี โดยต้นบุหงาลำเจียกที่นำมาปลูกกัน
อยู่ในภาคกลางนั้นสามารถปรับตัวอยู่กลางแจ้งได้ แต่มี
ทรงพุ่มขนาดเล็กลง และสามารถออกดอกได้ตลอด
จึงเป็นไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่ ได้รับความนิยมอย่าง
แพร่หลาย
พรรณไม้ ภ าคใต้
181
ลักษณะพรรณไม้
ต้น ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 2-5 ม. เปลือกลำต้น
หนา ฉ่ำน้ำ สีน้ำตาลอมเทา มีกลิ่นฉุน แตกกิ่งน้อย กิ่ง
อ่อนสีเทา
ใบ รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ กว้าง 4-6 ซม.
ยาว 12-22 ซม. โคนใบมน ปลายใบแหลมและโค้งงอ
เล็กน้อย ใบเรียบเป็นมันทั้งสองด้าน ใบด้านบนสีเขียว
ใบด้านล่างสีอ่อนกว่า
ดอก เดี่ ย วหรื อ เป็ น คู่ ออกตามซอกใบ ดอกสี
เขียวอ่อน เมื่อบานกลีบดอกเปลี่ยนเป็นสีขาวนวลหรือ
ขาวอมชมพู และมีกลิ่นหอม ดอกบานอยู่ ได้ 2-3 วัน
กลีบเลี้ยงสีขาวและมีแถบม่วงแดง รูป ไข่ ปลายแหลม
ยาว 5 มม. ปลายกลีบกระดกขึ้น กลีบดอกเรียงเป็น
มี 1 เมล็ด
เมล็ด กลมรีสีขาว ยาว 1 ซม.
การขยายพันธุ์
ขยายพั น ธุ์ โ ดยการเพาะเมล็ ด และการตอนกิ่ ง
ปลูกลงแปลงในที่ร่มรำไร ต้องการความชื้นสูง
182 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
บุ
หรงก้านเรียบ
Dasymaschalon dasymaschalum (Blume) I.M.Turner
ชื่ออื่น บุหรง
ลักษณะพรรณไม้
ต้น เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 2-3 ม. และอาจสูง
ได้ถึง 8 ม. ที่โคนต้นมีขนาดใหญ่ได้ถึง 10 ซม. แตกกิ่ง
ยาวห้อยลู่
ใบ ใบรูปรีหรือรูป ไข่กลับ กว้าง 4-8 ซม. ยาว
10-25 ซม. ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเรียบเป็นมัน ด้านล่าง
มีนวลเคลือบสีขาว แผ่นใบหนา
ดอก ดอกเดี่ยว ออกที่ใกล้ปลายยอด มีกลีบดอก
3 กลีบประกบกันและบิดเป็นเกลียวคล้ายเหล็กขูดชาร์ฟ
ดอกยาว 3-8 ซม. มีสีเหลืองหรือเหลืองอมส้มหรือสีส้ม
ผล เป็นผลกลุ่ม มีผลย่อย 7-24 ผล ผลย่อยรูป
ทรงกระบอก มีรอยคอดตามช่วงเมล็ด แต่ละผลมี 1-6
บุหรงก้านเรียบยังเป็นหนึ่งในพรรณไม้สกุลบุหรง เมล็ด เมื่อผลแก่มีสีแดงเข้ม
ที่ นั ก วิ จั ย กำลั ง เร่ ง รี บ วิ เ คราะห์ ห าสาระสำคั ญ ที่ มี เมล็ด กลม สีขาวหม่น ขนาด 5-8 มม.
สรรพคุณทางเภสัชวิทยา ส่วนในวงการของคนที่รักและ
ชื่นชอบไม้ประดับ ก็ ได้มีการคัดเลือกบุหรงก้านเรียบ
ต้นที่กลายพันธุ์แล้วมีดอกสีสันสวยงามต่างๆ ทั้งสีเหลือง
สีแดง สีม่วง รวมทั้งที่มีหลากสีในดอกเดียวกัน ไปปลูก
เป็นไม้ประดับจนได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางใน
ปัจจุบัน ทั้งที่ปลูกเป็นไม้กระถางประดับหรือปลูกลง
แปลงประดับสวน
ปาหนั
นขี้แมว
Goniothalamus tenuifolius King
ชื่ออื่น -
ที่ พั ก พิ ง อยู่ อ าศั ย นอกจากนี้ ยั ง มอบความร่ ม รื่ น เป็ น ได้รับความสนใจในวงการเภสัชศาสตร์ ไทย จากการ
สถานที่สำหรับพักผ่อนกายและใจ รวมทั้งใช้บำบัดรักษา วิ จั ย ขณะนี้ ค้ น คว้ า พบว่ า ดอกปาหนั น ขี้ แ มวมี ส าร
ของไทย
ปาหนั น ขี้ แ มวเป็ น พรรณไม้ ข องไทยที่ มี ก าร
กระจายพันธุ์ในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ตอนล่าง ในจังหวัด
สุ ร าษฎร์ ธ านี นครศรี ธ รรมราช พั ท ลุ ง และตรั ง
ไม้แปลกก็มีการนำมาปลูกเป็นไม้สะสม โดยพืชชนิดนี้
มีการตั้งชื่อตามกลิ่นของดอกที่คล้ายกับขี้แมว แม้จะ
ไม่ ใ ช่ ไ ม้ ด อกที่ มี ด อกสวยงามเมื่ อ เที ย บกั บ ปาหนั น
ในอนาคต
พรรณไม้ ภ าคใต้
185
ผลเป็นผลกลุ่ม
มีผลย่อย 25-40 ผล
ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบตามกิ่ง
ดอกอ่อนสีเขียว
เมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง
ลักษณะพรรณไม้
การขยายพันธุ์
ต้น ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 4-6 ม. เปลือกลำต้น ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด และมีปลูกอยู่ ใน
เรี ย บ สี น้ ำ ตาลอมดำ เปลื อ กค่ อ นข้ า งหนา เหนี ย ว
กลุ่มผู้ที่ชื่นชอบสะสมพรรณไม้
มีกลิ่นฉุน แตกกิ่งน้อย มีใบเฉพาะส่วนปลายกิ่ง
ใบ รู ป ขอบขนานแกมรู ป หอก กว้ า ง 3-5 ซม.
ยาว 10-16 ซม. โคนใบสอบ ปลายใบเรียวแหลม ขอบ
ใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบหนาและเหนียว ใบสีเขียวเข้ม
เป็นมันทั้งสองด้าน
ดอก เดี่ยว ออกที่ซอกใบตามกิ่ง ดอกอ่อนสีเขียว
เมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง รูป ไข่ กว้างและ
ยาว 5-8 มม. กลางกลีบด้านนอกเป็นสันนูน กลีบดอก
เรียงเป็น 2 ชั้น กลีบชั้นนอกหนารูป ไข่ โคนกลีบคอด
ปลายกลีบมน มีสันกลางกลีบตามยาวด้านนอกนูนเด่น
ขอบกลีบโค้งออกด้านนอก ขอบกลีบดอกชั้นในประกบ
กันเป็นแท่งสามเหลี่ยม ปลายแหลม
186 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
ปาหนั
นช้าง
Goniothalamus giganteus Hook.f. & Thomson
ชื่ออื่น กระเนือเราะ
ส่วนผลของปาหนันช้าง จะเริ่มติดผลหลังจากที่
หากกล่าวถึงพรรณไม้ที่มีดอกใหญ่ที่สุดในโลกใน ดอกบานไปแล้ว โดยจะเจริญเติบโตอย่างช้าๆ และแก่
สกุลปาหนัน รวมทั้งมีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์กระดังงา ในเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคมของปีถัดไป นับเป็น
บรรดานักสำรวจและผู้ชื่นชอบพรรณไม้คงจะต้องเอ่ยเป็น พรรณไม้ที่มีช่วงระยะเวลาติดผลยาวนานถึง 10 เดือน
เสียงเดียวกันถึงชื่อของ ปาหนันช้าง
นอกจากนี้ ป าหนั น ช้ า งยั ง เป็ น พรรณไม้ ที่ มี จ ำนวน
กลีบชั้นในรูปไข่
ลักษณะพรรณไม้
ปลายแหลมประกบกัน
ต้น ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 6-12 ม. แตกกิ่งน้อย
เป็นรูปสามเหลี่ยม
เรือนยอดรูปกรวยคว่ำ เปลือกลำต้นหนาเรียบ สีขาวปน
น้ำตาล ฉ่ำน้ำ
ใบ เดี่ยว รูปหอกแกมรูปไข่กลับ กว้าง 4-6 ซม.
ยาว 15-25 ซม. โคนใบรูปลิ่ม ปลายใบเป็นติ่งแหลม
ยาว ผิวใบเป็นมันเรียบทั้งสองด้าน
ดอก เดี่ยวหรือเป็นช่อ 2-3 ช่อ ออกตามกิ่งแก่
เหนือรอยแผลของก้านใบ ดอกสีเขียว เมื่อบานเปลี่ยนเป็น
กลีบชั้นนอกรูปไข่ สีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อนๆ กลีบดอก 6 กลีบ เรียงเป็น
ขอบกลีบเป็นคลื่น
2 ชั้น ชั้นนอกรูปไข่ ขอบกลีบเป็นคลื่น กลีบชั้นในรูปไข่
ปลายแหลม และประกบกันเป็นรูปสามเหลี่ยม
ผล กลุ่ ม มี ผ ลย่ อ ย 8-20 ผล เปลื อ กผลย่ น
ขรุขระเป็นตุ่มขนาดเล็ก ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยน
เป็นสีเหลืองอมเขียว มี 1-2 เมล็ดต่อผล
เมล็ด รูปกลมรี ยาว 1-1.5 ซม.
เคยมีความเข้าใจที่ไม่กระจ่างชัดถึงความแตกต่าง
ระหว่ า งปาหนั น ช้ า งและปาหนั น พรุ ม าเป็ น เวลานาน
เนื่ อ งจากพรรณไม้ ทั้ ง สองมี ลั ก ษณะคล้ า ยคลึ ง กั น
อย่างไรก็ตามถ้าได้มีการศึกษากันอย่างละเอียด จะพบ
ข้อแตกต่างมากมาย เช่น ปาหนันช้างมีกลีบดอกกว้าง
และยาวได้ถึง 18 ซม. ขณะที่ปาหนันพรุมีกลีบดอกยาว
เพียง 8-10 ซม. ส่วนผลของปาหนันช้างจะมีรูปกลมรี
เปลือกย่นขรุขระเป็นตุ่มขนาดเล็ก ขณะที่ปาหนัน พรุ
มีผลรูปทรงกระบอก เปลือกเรียบเป็นมัน
ด้ ว ยความที่ ป าหนั น ช้ า งมี ด อกที่ ส วยงามและมี
กลิ่นหอม จึงได้รับความนิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ
กั น มาก ปั จ จุ บั น มี ก ารคั ด พั น ธุ์ ต้ น ที่ มี ลั ก ษณะเตี้ ย
ฝาดดอกแดง
Lumnitzera littorea ( Jack) Voigt
ชื่ออื่น -
เพื่อแสดงศรัทธาที่มีต่อศาสนา คือการย้อมฝาด หมายถึง
การย้ อ มจี ว รถวายพระโดยใช้ สี จ ากเปลื อ กของต้ น
ผู ก พั น อยู่ กั บ วั ด ด้ ว ยเป็ น ศู น ย์ ร วมแห่ ง จิ ต ใจ และ มีความชุ่ ม ชื้ น และมี แ สงแดดส่ อ งถึ ง เพื่ อให้ ร ากพิ เ ศษ
กิจกรรมหนึ่งที่คนท้องถิ่นมักจะร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบัติ ที่งอกออกตามลำต้นหายใจได้
พรรณไม้ ภ าคใต้
189
เจ็บป่วยที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร คนในสมัยก่อนก็จะนำ
เปลื อ กฝาดดอกแดงฝนกั บ น้ ำ เพื่ อ ดื่ ม รั ก ษาอาการ
ปวดท้องและท้องเสีย พรรณไม้ชนิดนี้จึงผูกพันแน่นแฟ้น
อยู่กับวิถีของคนไทยมาช้านานอย่างยากที่จะแยกจากกันได้
ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง
ช่อแต่ละช่อยาว 2-5 ซม.
มีดอก 5-15 ดอก
ใบ เดี่ยว เรียงเวียนรอบกิ่ง หนาแน่นที่ปลายกิ่ง
แผ่นใบหนา รูปรีแกมรูปไข่กลับ หรือรูปไข่กลับแกมรูป
ขอบขนาน กว้าง 1-3 ซม. ยาว 3-9 ซม. ฐานใบรูปลิ่ม
ขอบใบหยั ก มน ปลายใบกลม เว้ า ตื้ น ก้ า นใบสั้ น
ใบสีเขียวเข้ม เส้นแขนงใบไม่ชัดเจน
ดอก ออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ช่อแต่ละช่อยาว
2-5 ซม. มีดอก 5-15 ดอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปไข่
กว้าง สีเขียว ขอบกลีบมีขน กลีบดอก 5 กลีบ รูปรีแกม
รูปขอบขนาน สีแดง แต่ละกลีบไม่ติดกัน ออกดอก-ผล
ลักษณะพรรณไม้
ในเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน
ต้ น ไม้ ต้ น ขนาดเล็ก สูง 6-10 ม. ราก ระบบ
ผล รู ป กระสวย ป่ อ งตรงกลาง มี สั น ตามยาว
พรหมขาว
Mitrephora alba Ridl.
ในสมัยก่อน พรหมขาวเคยมีการกระจายพันธุ์อยู่
ชื่ออื่น -
เกือบทั่วทุกภาคของประเทศ แต่ ได้สูญพันธุ์ ไปหลาย
แห่ ง และคงเหลื อในปั จ จุ บั น อยู่ น้ อ ยมาก ทุ ก วั น นี้
ไม้ดอกไม้ประดับ
พรรณไม้ ภ าคใต้
191
เปลือกผลขรุขระ
หรือเรียบ
ดอกเดี่ยวหรือ
เป็นกระจุก 1-3 ดอก
สีขาวปนม่วงแดง
ซึ่ ง เป็ น พรรณไม้ พื้ น เมื อ งในสกุ ล เดี ย วกั น ที่ ห าได้ ง่ า ย การขยายพันธุ์
แข็งแรงทนทานมาเป็นต้นตอ ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาในการ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เสียบยอด และ
ปลูกเลี้ยงให้สั้นลง และจะออกดอกได้ภายใน 1 ปี
ทาบกิ่ง
ลักษณะพรรณไม้
ต้ น ไม้ ต้ น ขนาดเล็ ก สู ง 6-8 ม. ทรงพุ่ ม โปร่ ง
เรือนยอดกลมรูปโดม เปลือกลำต้นหนาเรียบ สีดำ เนื้อไม้
เหนียว
ใบ เดี่ยว รูปรี กว้าง 4.5-6 ซม. ยาว 10-14 ซม.
โคนใบมน ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ใบด้านล่างสีอ่อน
กว่า
192 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
พั
งกาหัวสุมดอกแดง
Bruguiera gymnorrhiza
ชื่ออื่น ประสักดอกแดง
เครื่องมือประมง หรือใช้ทำถ่านและฟืน รวมทั้งสร้าง
ระเบียบ สีน้ำตาลดำถึงดำ มีรากพิเศษออกตามลำต้น ตั้ ง แต่ ผ ลติ ด อยู่ บ นต้ น เรี ย กว่ า “ฝั ก ” หรื อ ลำต้ น ใต้
พุ
ดชมพู
Kopsia rosea D.J. Middleton
ชื่ออื่น เข็มอุนากรรณ
ลักษณะพรรณไม้
ต้ น ไม้ พุ่ ม หรื อไม้ ต้ น ขนาดเล็ ก สู ง 5 ม. ส่ ว น
ต่างๆ มียางขาว แตกกิ่งจำนวนมาก ทรงพุ่มกลมแน่น
ใบ ใบเดี่ยว แตกออกเป็นคู่ตรงกันข้าม ออกตาม
ข้อกิ่ง ลักษณะเป็นรูปมนรี ปลายใบแหลม ผิวใบเรียบ
สีเขียว ขนาดใบกว้าง 3-5 ซม. ยาว 8-12 ซม.
ดอก ดอกเดี่ยว ออกตามปลายยอดหรือปลายกิ่ง
ดอกสีขาว โคนกลีบแดงอมชมพูเข้ม กลีบเรียงชั้นเดียว
ผล รูปเคียวขอบขนาน ยาวประมาณ 1.7 ซม.
ตรงกลางมีเดือยคล้ายตะขอ ยาวประมาณ 0.3 ซม.
เมล็ด สีขาวอมเทา เรียวแหลม ยาว 3-5 มม.
การขยายพันธุ์
การปลูกเลี้ยงพุดชมพูให้เจริญเติบโตเป็นพุ่มกลม โดยการเพาะเมล็ด ปักชำ และตอนกิ่ง
แตกใบใหม่สีเขียวเข้มเป็นมันวาว จะต้องปลูกในสภาพ
ที่ต้นพุดชมพูชอบคือ ปลูกในดินร่วน ระบายน้ำดี ได้รับ
ความชื้นและปุ๋ยอย่างเพียงพอ พุดชมพูจะแตกกิ่งอ่อน
หรือกิ่งกระโดง แล้วออกดอกขนาดใหญ่สมบูรณ์เต็มที่
ส่วนจะมีสีเข้มสวยงามได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับแสงแดดที่
ได้รับอย่างเหมาะสม จึงต้องปลูกอยู่ในตำแหน่งกลางแจ้ง
หรือมีร่มเงาเพียงเล็กน้อย
ถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์ของพุดชมพู จะ
ขึ้นอยู่ ในอุทยานแห่งชาตินพรัตน์ธารา (ธารโบกขรณี)
จังหวัดกระบี่ ส่วนในต่างประเทศจะมีขึ้นอยู่ห่างๆ ทาง
ตอนใต้ของพม่า
ดอกเดี่ยว
ออกตามปลายยอดหรือปลายกิ่ง
กลีบเรียงชั้นเดียว
196 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
พุ
ดภูเก็ต
Gardenia thailandica Tirveng.
ชื่ออื่น พุดป่า
ธรรมชาติ นั้ น น่ า มหั ศ จรรย์ ที่ ส ามารถเสกสรรค์ พุ ด ภู เ ก็ ต เป็ น พรรณไม้ ถิ่ น เดี ย วของไทยที่
พลั น บั ง เกิ ด ความงดงามขึ้ นได้ ทุ ก ถิ่ น ที่ บ นโลก ไม่ ว่ า
ดร.ชวลิต นิยมธรรม สำรวจพบเป็นครั้งแรกที่อำเภอ
ดิ น แดนนั้ น จะอุ ด มสมบู ร ณ์ หรื อ จะแห้ ง แล้ ง เพี ย งใด
กระทู้ ในจั ง หวั ด ภู เ ก็ ต เมื่ อ ปี 2525 ในบริ เ วณป่ า
แม้จะเป็น ป่าดิบแล้งมีความชุ่มชื้นต่ำ หรือบนเนินเขา ละเมาะเนินเขาชายทะเลที่ระดับความสูง 30 ม. และ
ซ้ำยังทนทานต่อลมทะเลในช่วงฤดูมรสุมเช่นเดียวกับ
และพบบ้างประปรายในเกาะตะรุเตา และบางเกาะของ
ไม้ป่าอื่นๆ คนทั่วไปจึงเรียกพุดชนิดนี้ว่า “พุดป่า”
จังหวัดพังงา
พรรณไม้ ภ าคใต้
197
ดอกเดี่ยวออกที่ซอกใบใกล้ปลายยอด
ปลายแยกเป็น 5 กลีบ
เมื่อเริ่มแย้มสีขาวนวล ส่งกลิ่นหอม
ไปทั้ ง ต้ น นั บ พั น นั บ หมื่ น ดอก อี ก ทั้ ง ยั ง ส่ ง กลิ่ น หอมจรุ ง 5 กลี บ เมื่ อ เริ่ ม แย้ ม สี ข าวนวล ส่ ง กลิ่ น หอม ต่ อ มา
อบอวลไปทั่วบริเวณ เป็นที่ประทับใจของผู้พบเห็น
เปลี่ยนเป็นสีเหลืองและเหลืองเข้ม ดอกบานวันเดียว
ด้วยความที่เป็น พรรณไม้ถิ่นเดียว หายากในถิ่น แล้วโรย
กำเนิดตามธรรมชาติ แต่มีดอกดก สวยงามมาก จึงมี ผล กลมรี เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-2.5 ซม. ยาว 3-4
ความพยายามที่ จ ะนำมาขยายพั น ธุ์ และได้ พ บว่ า ซม. มีครีบตามแนวยาวของผลเป็น 5 สัน
สามารถใช้ วิ ธี เ พาะเมล็ ด ตอนกิ่ ง และปั ก ชำได้ ผ ลดี
เมล็ด กลมรี สีน้ำตาลอ่อน ขนาด 3-5 มม.
จึ งได้ รั บ ความนิ ย มปลู ก กั น อย่ า งแพร่ ห ลาย และพ้ น
สภาพจากการเป็นพรรณไม้หายากแล้ว
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และปักชำ
198 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
โพทะเล
Thespesia populnea Soland. Ex Correa
ชื่ออื่น บากู ปอกะหมัดไทร ปอมัดไซ
โพทะเลเป็นพรรณไม้ในวงศ์ Malvaceae เป็นพืช
พื ช ห ล า ย ช นิ ด มี คุ ณ ส ม บั ติ เ ป็ น พ ร ร ณ ไ ม้ เมืองร้อน กระจายพันธุ์ตามป่าชายเลน หรือตามชายฝั่ง
อเนกประสงค์ คือสามารถนำมาใช้ประโยชน์ ได้อย่าง ทะเลในที่ ที่ น้ ำ ทะเลท่ ว มถึ ง พบมากทางภาคใต้ แ ละ
ดอกขนาดใหญ่ สีเหลือง
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-10 ซม.
ออกตามง่ามใบ
เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ
แผ่นใบรูปหัวใจ
กว้าง 12 ซม.
โมกเขา
Wrightia lanceolata Kerr
โมกเขาได้รับการสำรวจพบครั้งแรกในประเทศ
ชื่ออื่น -
ไทยเมื่ อ วั น ที่ 11 กรกฎาคม 2469 โดยหมอคาร์
นักพฤกษศาสตร์ชาวไอริช ที่อุทยานแห่งชาติเขาสาม-
ภาคใต้ของไทยถือเป็นแหล่งนิเวศวิทยาขนาดใหญ่ ร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และมีรายงานการตั้ง
ที่มีทั้งขุนเขาและท้องทะเล อันเป็นแหล่งกำเนิดของ
ชื่อในปี 2480 โมกเขาเป็นพรรณไม้ที่มีรูปร่างคล้ายคลึง
สิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ที่เป็น พืชพรรณนานาชนิด และถึง กับโมกอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า โมกสยาม แต่มีกลีบดอก
แม้ ว่ า ภู เ ขาส่ ว นใหญ่ ท างภาคใต้ ล้ ว นแล้ ว แต่ เ ป็ น เขา กว้างกว่าและสีเข้มกว่า รวมทั้งมีลำต้นใหญ่กว่า ส่วน
หินปูนติดชายทะเลอันแห้งแล้ง หากทว่าธรรมชาติก็ยัง ลักษณะของใบและฝักจะคล้ายคลึงกัน
สร้างสรรค์พืชพรรณที่สวยงาม ซึ่งมีความทนทรหดต่อ ด้ ว ยความที่ มี ถิ่ น กำเนิ ด บนเขาหิ น ปู น ชายทะเล
สภาพลมฟ้าอากาศที่หนักหน่วงอย่าง โมกเขา พรรณไม้ โมกเขาจึงมีความทนทานต่อไอเกลือริมทะเลและความ
ถิ่นเดียวของไทยที่มีแหล่งกำเนิดอยู่บนภูเขาหิน ปูน ที่ แห้ง แล้ งได้ ดี โดยเฉพาะในช่ ว งเดื อ นพฤศจิ ก ายนถึ ง
ความสู ง ระดั บ 50 ม. ในอุ ท ยานแห่ ง ชาติ เ ขาสาม-
กุ ม ภาพั น ธ์ ซึ่ ง เป็ น ช่ ว งที่ ล มมรสุ ม พั ด พาไอเกลื อใน
ลักษณะพรรณไม้
ต้ น ไม้ พุ่ ม ขนาดเล็ ก สู ง 2-3 ม. ทุ ก ส่ ว นของ
ลำต้นมียางสีขาว เปลือกลำต้นมีช่องหายใจเป็นขีดนูน
สีขาวกระจายทั่วไป ทรงพุ่มกลมโปร่ง
ใบ ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่แกมรูปขอบขนาน
กว้าง 3-4 ซม. ยาว 6-10 ซม. โคนใบรูปมนหรือเว้า
เล็กน้อย ด้านบนใบเรียบ ด้านล่างมีขนเล็กน้อยและมี
เส้นแขนงใบเป็นสันนูนเด่น
ดอก ช่อออกที่ปลายยอด 2-4 ดอก กลีบดอก
ดอกตูม
การขยายพันธุ์
โดยการเพาะเมล็ด ปักชำกิ่ง ตอนกิ่งและเสียบ
ยอด โดยการเสียบยอดสามารถใช้พืชในสกุลเดียวกัน
คือโมกบ้านและโมกมันเป็นต้นตอ หรือใช้พืชต่างสกุล
คือพุดฝรั่งเป็นต้นตอก็ได้
202 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
รั
กนา
Gardenia carinata Wall.
ชื่ออื่น พุดป่า
หรือท้องทะเลให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะธุรกิจ
รักนา ไม้ป่าที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ ในป่าดิบชื้น ที่ระดับความ
รีสอร์ตและแหล่งพักผ่อนชายทะเล ที่ล้วนแล้วแต่อาศัย สู ง 50-800 ม. พบได้ ตั้ ง แต่ จั ง หวั ด เพชรบุ รี ล งไป
พุดภูเก็ต แต่เมื่อนำรักนามาเปรียบเทียบกับพุดภูเก็ตแล้ว
รักนาจะมีดอกขนาดใหญ่กว่า และดอกของรักนาก็มี
สีเหลืองส้มเด่นชัดกว่าพุดภูเก็ต แต่พุดภูเก็ตจะออกดอก
ดกกว่ามาก ไม้ทั้งสองชนิดเป็นไม้ที่เหมาะแก่การปลูก
เป็นไม้ประดับริมทะเล เพราะมีความทนทานต่อความ
แห้งแล้งเหมือนกัน แต่รักนานี้จะไม่ทนทานต่อความ
แห้งแล้งและไอเกลือจากทะเลได้ดีเท่าพุดภูเก็ต
พรรณไม้ ภ าคใต้
203
ดอกบาน
สีเหลืองส้ม
เริ่มแย้มจะมีสีขาวนวล
ลักษณะพรรณไม้
ต้ น เป็ น ไม้ ต้ น ขนาดเล็ ก สู ง 5-8 ม. แตกกิ่ ง ผล กลมรี ยาว 3-4 ซม. ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สดี ำ
จำนวนมาก ทรงพุ่มกลมโปร่ง มีใบอยู่เฉพาะช่วงปลาย มี สั น นู น ตามยาว 5 เส้ น ปลายผลมี ก ลี บ เลี้ ย งติ ด อยู
่
ยอด
มีเมล็ดจำนวนมาก
ใบ รูป ไข่กลับ ยาว 15-30 ซม. ผิวใบมีขนมาก เมล็ด สีขาวหม่น กลมแบน ขนาด 4-6 มม.
ลักษณะสากคาย เส้นแขนงใบเห็นเด่นชัด
ดอก เป็นดอกเดี่ยว โคนกลีบดอกเป็นหลอดยาว การขยายพันธุ์
5-7 ซม. ดอกออกที่ปลายยอด มีกลีบดอก 6-8 กลีบ โดยการเพาะเมล็ด ปักชำกิ่ง และตอนกิ่ง
เมื่อบานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-8 ซม. เมื่อเริ่มแย้มมี
สีขาวนวลแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้ม ส่งกลิ่นหอมแรง
เมื่อใกล้โรย
เมื่อใกล้โรย
ส่งกลิ่นหอมแรง
204 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
เล็
ง เก็ ง
Magnolia betongensis (Craib) H. Keng
ชื่ออื่น -
ด้วยความมุ่งมั่น พยายามที่จะขยายพันธุ์เล็งเก็ง ผล กลมรี กว้าง 5-7 ซม. ยาว 8-10 ซม. มีผล
ของโครงการอนุ รั ก ษ์ พั น ธุ ก รรมพื ช อั น เนื่ อ งมาจาก
ย่อย 70-80 ผล เปลือกผลย่อยหนาและแข็งเชื่อมติด
พระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม- กัน เมื่อผลแก่ผลย่อยแตกออกตามรอยเชื่อมและหลุด
ราชกุมารี นักวิจัยจึงได้เฝ้าเก็บผลแก่ของเล็งเก็งนำมา ออก มี เ มล็ ด สี แ ดงติ ด อยู่ กั บ แกนกลางผล ช่ อ งละ 2
ขยายพันธุ์เพาะเป็นต้นกล้า แล้วนำออกไปปลูกในพื้นที่ เมล็ด
อื่นๆ ที่มีสภาพเป็นป่าดิบชื้นคล้ายคลึงกับแหล่งกำเนิด เมล็ด กลมรี ยาว 1-1.3 ซม. สีแดงเข้ม
เดิ ม ประกอบกั บ การที่ เ ล็ ง เก็ ง เป็ น พรรณไม้ ที่ มี ด อก
หอมและสวยงาม จึงได้รับความนิยมปลูกเป็นไม้ดอก การขยายพันธุ์
หอม จนมีจำนวนต้นเพิ่มมากขึ้นและพ้นสภาพจากการ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
เป็นพรรณไม้หายากแล้ว ถึงแม้ว่าการขยายพันธุ์โดยวิธี
อื่นๆ จะยังไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม
เมล็ดสีแดงเข้ม
ผลกลมรี
มีผลย่อย 70-80 ผล
ลักษณะพรรณไม้
ต้น ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 6-10 ม. ทรงพุ่มกลม เปลือกผลย่อยหนา
โปร่ง เปลือกลำต้น หนาและมีกลิ่นฉุน กิ่งก้านเหนียว และแข็ง เชื่อมติดกัน
มาก
ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงเวียนรอบกิ่ง รูปขอบขนาน
แกมรูป ไข่กลับ กว้าง 10-12 ซม. ยาว 24-35 ซม.
โคนใบสอบ ปลายใบแหลมหรือมน ขอบใบเรียบ เนื้อ
ใบหนาแข็งกรอบ
ดอก เป็นดอกเดีย่ วออกทีป่ ลายยอด สีขาว ดอกบาน
ตั้งขึ้น บานอยู่ ได้ 2-3 วัน มีกลิ่นหอมแรง เริ่มส่งกลิ่น
หอมแรงตั้งแต่ดอกแรกแย้มในช่วงพลบค่ำ มีกลีบดอก
9 กลีบ เรียบเป็น 3 ชัน้ กลีบหนาแข็ง อวบน้ำ กลีบชัน้ นอก
สีเขียวอ่อนรูปไข่ กลีบชั้นกลางและชั้นในหนาสีขาวนวล
รูปไข่กลับ เมื่อบานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5-6 ซม.
206 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
ศรี
ย ะลา
ศรียะลา หรือในชื่ออื่นๆ ว่า โสกเหลือง อโศก-
Saraca thaipingensis Cantley ex King
เหลือง หรืออโศกใหญ่ เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดยะลา ที่
ชื่ออื่น โสกเหลือง อโศกเหลือง อโศกใหญ่
มีความหมายเข้าใจง่ายว่า ต้นไม้อันเป็นเกียรติเป็นศรี
แก่ชาวเมืองยะลา ดังจะพบว่าตามเกาะกลางถนน หรือ
ความเชื่ อ หนึ่ ง ที่ อ ยู่ คู่ กั บ คนไทยมานานคื อ การ ริ ม ถนนในตั ว เมื อ งยะลาเกื อ บทุ ก สายเต็ ม ไปด้ ว ยต้ น
ปลู กไม้ ม งคลไว้ ใ นบริ เ วณบ้ า นเรื อ นที่ อ ยู่ อ าศั ย เพื่ อ ศรียะลา ศรียะลามีการกระจายพันธุ์ในป่าดิบตามเชิงเขา
ความเป็นสิริมงคล และความร่มเย็นของสมาชิกภายใน ขึ้ น ใกล้ ล ำห้ ว ย ริ ม ลำธาร เป็ น ไม้ ก ลางแจ้ ง ที่ เ จริ ญ
บ้ า น รวมถึ ง การมี ต้ นไม้ ป ระจำจั ง หวั ด ทั่ วไทยที่ เ ป็ น เติบโตได้ดีในแทบทุกสภาพ สามารถพบเห็นต้นศรียะลา
พรรณไม้ ค วามหมายดี และมี ลั ก ษณะอั น บ่ ง บอกถึ ง ปลูกขึ้นได้ ในพื้นที่ทั่วไปเป็นไม้ประดับต้น ประดับทรง
ความรุ่งเรือง เพื่อความผาสุกของชาวเมืองที่อยู่อาศัย
พุ่ ม หรื อ เป็ น ไม้ ด อกสวยงาม ไม้ ด อกหอมที่ ช อบ
ความชื้นค่อนข้างมากถึงความชื้นสูง ปลูกได้ทั่วประเทศ
ได้เห็นกันบ่อยๆ แม้แต่ในกรุงเทพมหานคร
พรรณไม้ ภ าคใต้
207
ลักษณะพรรณไม้
ต้น ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 5-10 ม. บางต้นอาจสูง
เพียง 3-5 ม. แตกกิ่งต่ำเป็นกิ่งยาว ปลายกิ่งห้อยลู่
หัวใจที่รับผิดชอบ
ต่อสังคมไทยของเรา
ปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ…สู่ ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
ผลงานจากใจ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2554
เป็นเวลา 3 ปีมาแล้วที่บริษัท กสท โทรคมนาคม ต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจและการมีจิตสำนึกภายใน
จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ได้ขานรับต่อนโยบายของ ของทุกคนในสังคมเพื่อช่วยผืน ป่าให้ดำรงอยู่ รวมถึง
รัฐบาลในการดำเนินการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิม การไม่มีส่วนร่วมในการทำลายป่าด้วย เพราะต่อให้เรา
พระเกียรติฯ ด้วยการปลูกป่าจำนวน 23,000 ไร่ ใน ช่วยกันปลูกต้นไม้สักกี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านต้นก็ตาม หาก
พื้น ที่ภาคเหนือ 6 จังหวัด คือ เชียงราย น่าน อุตรดิตถ์ มนุษ ย์ยังคงตัดไม้ทำลายป่า ป่าที่มีอยู่ก็นับวันจะหมดไป
พะเยา ชัยภูมิ และพิษณุโลก ตั้งแต่ปี 2548-2550 และ ตามวันเวลา ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลกระทบ
เตรี ย มแผนการดู แ ลรั ก ษาอย่ า งต่ อ เนื่ อ งไปอี ก 3 ปี
ต่ อโลกของเราตามมา เช่ น ภาวะโลกร้ อ น น้ ำ ท่ ว ม
ข้างหน้า เพื่อที่จะส่งมอบให้แก่กรมอุทยานแห่งชาติให้ อากาศและฤดูกาลแปรปรวนจนเกิดภัยธรรมชาติ แต่
ดูแลรักษาต่อไปเพื่อให้เป็นป่าไม้ที่เติบโตสมบูรณ์ และ หากว่าเราทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้เพียงคนละหนึ่งต้น
เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าคู่ชุมชนตลอดไป
ความสมดุลทางธรรมชาติก็จะกลับคืนมา เพราะป่าคือ
ยิ่งใหญ่ที่ส่งผ่านทุกชุมชน ทุกสังคม…เป็นแรงขับเคลื่อน
อันยิ่งใหญ่ที่ช่วยให้โลกของเราแข็งแรงและน่าอยู่
สร้างสำนึกดีต่อสังคม จึงเป็นหัวใจในการดำเนิน
ธุรกิจขององค์กร ซึ่งเริ่มต้นจากคนหลอมรวมกับความ
เข้ าใจ และจิ ต สำนึ กในการทำความดี เ พื่ อ สั ง คม ซึ่ ง
เชื่อมร้อยความดีสู่สังคมด้วยโครงการ “สื่อสานสังคม”
ใ น บ ท บ า ท ข อ ง ผู้ ใ ห้ บ ริ ก า ร ก า ร สื่ อ ส า ร
โทรคมนาคมด้ ว ยเจตนารมณ์ ในการเป็นผู้นำความดี
รุ่นเยาว์ ส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตในเชิงสร้างสรรค์
สร้างจินตนาการแห่งการเรียนรู้โลกไซเบอร์ ในทางบวก
และโครงการด้านสิ่งแวดล้อมที่มุ่งเน้นเรื่องการปลูก
หนังสือ “๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง” นี้ จัดทำขึ้น ต่อไป การจัดทำหนังสือ “๘๔ พรรณไม้ถวายในหลวง”
เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จ เป็นส่วนหนึ่งที่จะผลักดันแนวคิด CSR ที่เน้นการปลูก
พระเจ้ า อยู่ หั ว เนื่ อ งในโอกาสมหามงคลเฉลิ ม จิ ต สำนึ กให้ ทุ ก คนในสั ง คมช่ ว ยกั น ร่ ว มรั บ ผิ ด ชอบต่ อ
ป่าทุกชนิด และหยุดคิดที่จะทำลายป่าและธรรมชาติ
ยั่งยืนในที่สุด
212 ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
บรรณานุกรม
กรมป่าไม้. (2542). พรรณไม้ต้นของประเทศไทย. กรุงเทพฯ : กรม.
กรมป่าไม้. (2544). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2544. กรุงเทพฯ.
บริษัทประชาชน จำกัด.
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช. (2547). พืชถิ่นเดียวและพืชหายากของประเทศไทย. สำนักแผนงานและสารนิเทศ.
กรุงเทพฯ : กรม.
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช. (2550). พรรณไม้เกียรติประวัติของไทย. กรุงเทพฯ. บริษัทประชาชน จำกัด.
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช. (2551). พืชหายากของประเทศไทย. สำนักหอพรรณไม้. กรุงเทพฯ.
โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.
การ์ดเนอร์, ไซมอน; พินดา สิทธิสุนธร และวิไลวรรณ อนุสารสุนทร. (2543). ต้นไม้เมืองเหนือ. กรุงเทพฯ : คบไฟ.
จำลอง เพ็งคล้าย; ชวลิต นิยมธรรม และวิวัฒน์ เอื้อจิรกาล. (2534). พรรณไม้ป่าพรุ จังหวัดนราธิวาส.
โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส (งานป่าไม้). กรุงเทพฯ. :
โรงพิมพ์ ส.สมบูรณ์การพิมพ์.
ชวลิต นิยมธรรม. (2540). ไม้ต้นในพื้นที่พรุ จังหวัดนราธิวาส ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร ในโครงการ
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
เต็ม สมิตินันทน์. (2518). พันธุ์ไม้ป่าเมืองไทย. กรุงเทพฯ : อักษรบัณฑิต.
ธวัชชัย สันติสุข. (2543). พืชถิ่นเดียวและพืชหายากของประเทศไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์ (1987) จำกัด.
ปิยะ เฉลิมกลิ่น. (2545). แมกโนเลียเมืองไทย Thai Magnoliaceae. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์บ้านและสวน.
ปิยะ เฉลิมกลิ่น. (2548). พรรณไม้วงศ์กระดังงา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์บ้านและสวน.
ปิยะ เฉลิมกลิ่น. (2549). พรรณไม้ดอกหอมพื้นเมืองที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ ในประเทศไทย. จัดพิมพ์โดยโครงการ BRT.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรุงเทพ (1984) จำกัด.
ปิยะ เฉลิมกลิ่น. (2551). พรรณไม้ที่พบครั้งแรกของโลกในเมืองไทย. จัดพิมพ์โดยโครงการ BRT. กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์กรุงเทพ (1984) จำกัด
ปิยะ เฉลิมกลิ่น; จิรพันธ์ ศรีทองกุล และอนันต์ พิริยะภัทรกิจ. (2548). ไม้ดอกหอมในป่าสะแกราช.
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์.
ปิยะ เฉลิมกลิ่น; จิรพันธ์ ศรีทองกุล และอนันต์ พิริยะภัทรกิจ. (2551). พรรณไม้ถิ่นเดียว : การอนุรักษ์และพัฒนา
การใช้ประโยชน์. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). กรุงเทพฯ. พิมพ์พินิจการพิมพ์.
ปิยะ เฉลิมกลิ่น; รังสิมา ตัณฑเลขา, กมลวรรณ เอี่ยมกุล และชัยเชษฐ์ ตันถิ่นทอง. (2546). หอมกลิ่นดอกไม้ ใน
เมืองไทย. จัดพิมพ์โดยโครงการ BRT. กรุงเทพฯ : บริษัท จิรวัฒน์ เอ็กซ์เพรส จำกัด.
ภัทรชัย รัชนี; บุญชุบ บุญทวี และจำลอง เพ็งคล้าย. (2535). พรรณไม้ ในสวนป่าสิริกิติ์ ภาคกลาง. กรุงเทพฯ : ชุติมาการพิมพ์.
ภาควิชาเภสัชศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. (2535). สารานุกรมไทย เล่ม 1 สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.
กรุงเทพฯ : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ จำกัด.
ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. (2539). สมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. กรุงเทพฯ :
อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
213
ดัชนี
ก.
กระเจาะ 32
จำปีป่า 140
บุหรงก้านเรียบ 182
มะป่วน 104
กระดังงาเขา 168
จำปีเพชร 142
บุหรงใบนวล 150
มังตาน 158
กระมอบ 82
จำปีรัชนี 50
บุหรงสุเทพ 58
โมกเขา 200
กลาย 128
จำปีศรีเมืองไทย 90
โมกราชินี 160
ก่วมแดง 84
จำปีสิรินธร 144
ป.
โมกเหลือง 162
กะพ้อสี่สิบ 170
จำปีหนู 92
ปาหนันขี้แมว 184
โมลีสยาม 164
กะหนาย 112
จำลา 174
ปาหนันช้าง 186
กาสะลองคำ 34
โปร่งกิ่ว 98
ย.
กันเกรา 86
ช.
ยี่หุบปลี 122
กัลปพฤกษ์ 88
ชมพูพาน 94
ฝ.
กุหลาบขาวเชียงดาว 36
ชมพูพิมพ์ใจ 52
ฝาง 100
ร.
กุหลาบพันปี 38
ชมพูภูคา 54
ฝาดดอกแดง 188
รักนา 202
โกงกางน้ำจืด 130
ชมพูภูพิงค์ 56
รักใหญ่ 68
ชมพู่น้ำ 146
พ.
รัง 70
ข.
พรหมขาว 190
ขมิ้นต้น 40
ด.
พะยอม 60
ล.
ด้ามมีด 148
พะยูง 102
ลำดวนดอย 72
ค.
พังกาหัวสุมดอกแดง 192
ลำดวนแดง 106
คำมอกหลวง 42
ต.
พุงทะลาย 118
เล็งเก็ง 204
ตำหยาวผลตุ่ม 114
พุด 152
ง.
ตีนเป็ดแคระ 176
พุดชมพู 194
ศ.
งิ้วป่า 44
ตีนเป็ดพรุ 178
พุดภูเก็ต 196
ศรียะลา 206
พุดสี 120
จ.
ธ.
โพทะเล 198
ส.
จันทน์หอม 132
ธนนไชย 96
โพสามหาง 62
สะแล่งหอมไก๋ 74
จั่นน้ำ 134
สารภีดอย 76
จำปาขอม 172
น.
ม.
เสี้ยวดอกขาว 78
จำปาขาว 46
นมสวรรค์ต้น 116
มณฑาดอย 154
แสดสยาม 124
จำปาหลวง 136
มณฑาป่า 64
จำปีช้าง 48
บ.
มหาพรหมราชินี 66
ห.
จำปีดอย 138
บุหงาลำเจียก 180
มหาพรหม 156
หมักม่อ 108
215
คณะผู้จัดทำ
คณะที่ปรึกษา
ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
ดร.สุทธาธร สุวรรณรัตน์ หัวหน้าฝ่ายการศึกษา หน่วยวิจัยฟื้นฟูป่า ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ดร.ปิยะเกษตร สุขสถาน นักวิชาการ สวนพฤกษศาตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
คณะอำนวยการจัดทำหนังสือ ๘๔ พรรณไม้ ถวายในหลวง
บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
โดยคณะทำงานโครงการดำเนินธุรกิจกับความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR)
บรรณาธิการ
อรนุช ทาบทอง
บรรณาธิการภาพ
หัสชัย บุญเนือง
หน่วยงานสนับสนุนเมล็ดพันธุ์
กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
บริษัทจัดทำ
บริษัท เปรียว จำกัด (พริ้นติ้ง)
โทร. 0-2513-7013
ลิขสิทธิ์และจัดพิมพ์
บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
ISBN
978-974-499-035-8
หยั่งรากลงดินแล้วอย่าปล่อยทิ้งให้เลือนหาย...
ร่วมรักษาผืนป่าที่ปลูกด้วยมือเราไว้ให้อยู่ยั่งยืนสืบไป
เปลาตรง เปลื อ กสี เ ทา ใบประกอบ ขนนุ่ม ดอกออกเป็นช่อสั้นๆ สีขาวนวล ลำขนาดกลาง ใบสีเขียวเข้ม เหมาะจะ
แบบขนนกปลายคี่ มี ใ บย่ อ ย 7-9 ใบ มี ก ลี บ ดอก 5 กลี บ ขนาด 3.5 ซม.
ปลูกเป็นแนวกันลมหรือตามรั้วบ้านหรือ
ดอกออกเป็ น ช่ อ ที่ ป ลายกิ่ ง ดอกย่ อ ย มี ก ลิ่ น หอมอ่ อ นๆ ออกดอกเดื อ น สวนผลไม้ ทนแล้งได้ดี น้ำที่สกัดจาก