Professional Documents
Culture Documents
สารและสมบัติของสาร
การจัดสาร
การจัดสารออกเป็นหมวดหมู่เพื่อสะดวกต่อการศึกษา โดยอาศัยเกณฑ์กาหนดต่างๆ กัน เช่น
- แบ่งตามสถานะ ได้แก่ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส
- แบ่งตามลักษณะของเนื้อสาร ได้แก่ สารเนื้อเดียว สารเนื้อผสม
- แบ่งตามองค์ประกอบทางเคมี ได้แก่ ธาตุ สารประกอบ ของผสม
สารเนื้อเดียว หมายถึง สารที่มองเห็นเป็นเนื้อเดียวตลอด ซึ่งเป็นสารบริสุทธิ์ก็ได้ เช่น ทองคา เงิน น้า หรือเป็นสาร
ไม่บริสุทธิ์ก็ได้ เช่นอากาศ ทองเหลือง (Cu + Zn) และสารละลายเกลือ (NaCl)
สารผสม หมายถึง สารที่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน สามารถมองเห็นความแตกต่างได้ง่าย เป็นสารที่ไม่
บริสุทธิ์ที่สามารถแยกออกจากกันได้ง่ายๆ
สารบริสุทธิ์ หมายถึง สารที่มีส่วนประกอบหรือองค์ประกอบเพียงชนิดเดียว มีสมบัติทางกายภาพและทางเคมี
เฉพาะ เช่น สี จุดเดือด จุดหลอมเหลว การทาปฏิกิริยาเคมี ซึ่งได้แก่ ธาตุ (โลหะ อโลหะและกึ่งโลหะ) และ
สารประกอบ
สารละลาย เป็นของผสมเนื้อเดียวกันที่ประกอบด้วย ตัวทาละลาย (solvent) และตัวละลาย (solute) ซึ่งรวมกัน
ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป
สารละลายมีทั้ง 3 สถานะ
o ของแข็ง : เช่น ทองเหลือง (Cu + Zn)
2
2. สารเนื้อเดียว
- การตกผลึก : ใช้แยกสารเนื้อเดียวที่เป็นของแข็ง เป็นการแยกโดยอาศัยความสามารถในการละลายต่างกัน เช่นเกลือแกง
กับแนฟทาลีน
- การกลั่น : ใช้แยกสารเนื้อเดียวที่เป็นของเหลว เป็นการแยกโดยอาศัยความแตกต่างของจุดเดือดของสาร การกลั่นมีหลาย
แบบ ดังนี้
1.) การกลั่นธรรมดา ใช้แยกสารที่ต้องการแยกมีจุดเดือดต่างกันมาก หรือเป็นของแข็งที่ละลายในของเหลว
2.) การกลั่นลาดับส่วน ใช้แยกสารจุดเดือดต่างกันน้อย เช่น ในการกลั่นน้ามันดิบ เป็นต้น
3.) การกลั่นไอน้า ใช้ในกรณีที่ของเหลวนั้นมีสารใดสารหนึ่งจุดเดือดต่ากว่าน้าและไม่ละลายเป็นเนื้อเดียวกับน้า
เมื่อเย็นตัวลง แต่ส่วนใหญ่ใช้ในการสกัดน้ามันหอมระเหย เช่น ตะไคร้หอม เป็นต้น
4
หลักการจาแนกสาร
ถ้าใช้ลักษณะเนื้อสารเป็นการจาแนกสาร เป็นสารเนื้อเดียวและสารเนื้อผสมนั้น ยังสามารถแยกย่อยออกได้เป็น สาร
แขวนลอย (suspension) คอลลอยด์ (colloid) และสารละลาย (solution) นั้น อาจใช้หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ
5
1. ขนาดอนุภาค
สารละลาย คอลลอยด์ สารแขวนลอย
ขนาด < 10-7 cm. 10-7 cm. - 10-4 cm. > 10-4 cm.
2. การกรอง สาหรับสารแขวนลอยใช้กระดาษกรองและคอลลอยด์ใช้เซลโลเฟน ส่วนสารละลายไม่สามารถกรองได้
3. การฉายแสงผ่านสาร ถ้าฉายแสงผ่านสารชนิดต่างๆ จะพบว่าใน
สารละลาย คอลลอยด์ สารแขวนลอย
ไม่เห็นลาแสง เห็นลาแสงอย่างชัดเจน ทึบแสง
“Titridol’s Effect”
คอลลอยด์ มีหลายประเภทขึ้นอยู่กับสถานะของอนุภาคที่กระจายอยู่มนตัวกลางและสถานะของตัวกลาง ได้แก่
แอโรซอล (aerosol) เป็นการกระจายตัวของของเหลวหรือของแข็งในอากาศ เช่น หมอก เมฆ ฝุ่น
อิมัลชัน (emulsion) เป็นการกระจายตัวของของเหลวชนิดหนึ่งในของเหลวอีกชนิดหนึ่ง เช่น น้าใน น้ามัน
ปกติน้าจะไม่รวมตัวเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ามัน แต่ถ้าเราใส่สบู่หรือผงซักฟอกลงไปเล็กน้อยจะทาให้ได้สารละลายที่เรียกว่า
อิมัลชัน ซึ่งสบู่หรือผงซักฟอกที่ใส่ลงไปเพื่อทาให้น้ารวมตัวกับน้ามันเรียกว่าตัวประสาน หรือ อิมัลซิไฟเออร์ (Emulsifier)
โจทย์สารและสมบัติของสาร
1. ข้อความเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสารที่อุณหภูมิห้อง ข้อใดผิด
ก. น้าแข็งไม่ระเหิดเพราะโมเลกุลมีพันธะไฮโดรเจนระหว่างกัน
ข. แนพทาลีนระเหิดได้เพราะมีแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลน้อย
ค. การเปลี่ยนแปลงเป็นไอของโลหะปรอทจัดอยู่ในประเภทการระเหิด
ง. ควันที่เกิดจากน้าแข็งแห้งตั้งทิ้งไว้ประกอบด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์กับไอน้า
2. ข้อความใดต่อไปนี้เป็นข้อที่ถูกต้อง
ก. สารเนื้อเดียวจะต้องเป็นสารชนิดเดียวกัน
ข. สารละลายทุกชนิด จัดเป็นของเหลวเนื้อเดียวกัน
ค. สารละลายบางชนิดจัดเป็นสารบริสุทธิ์
ง. สารบริสุทธิ์ทุกชนิดจัดเป็นสารเนื้อเดียวกัน แต่สารเนื้อเดียวกันไม่จาเป็นต้องเป็นสารบริสุทธิ์
6
3. ข้อความใดต่อไปนี้ บอกความบริสุทธิ์ของของเหลวได้
ก. เมื่อระเหยให้แห้งแล้วมีสารบริสุทธิ์เหลือ
ข. เมื่อสกัดด้วยอีเทอร์แล้วระเหยอีเทอร์ออก จะมีสารบริสุทธิ์เหลืออยู่
ค. เมื่อกลั่นด้วยวิธีธรรมดาจุดเดือดจะคงที่
ง. เมื่อกลั่นด้วยไอน้า จุดเดือดของของเหลวที่กลั่นได้ต่ากว่าเมื่อกลั่นโดยวิธีธรรมดา
6.พิจารณาสมบัติของสารต่อไปนี้
อะตอมและตารางธาตุ
1. แบบจาลองอะตอม
1.1 แบบจาลองอะตอมของดอลตัน ดอลตัน ( John Dalton ) กล่าวว่า “สสารทั้งหลายประกอบด้วยอะตอมซึ่งเป็น
หน่วยที่เล็กที่สุด มีลักษณะเป็นทรงกลมทึบตันไม่สามารถแบ่งแยกได้อีก”
1. ข้อมูลใดที่ทราบจากการทดลองโดยใช้หลอดรังสีแคโทด
ก. นิวเคลียสของธาตุมีโปรตอน ข. สสารทุกรูปแบบประกอบด้วยอิเล็กตรอน
ค. รังสีบวกจะเป็นโปรตอน ง. อนุภาคแอลฟาหนักกว่าโปรตอน
8
เพราะเมื่อรัทเทอร์ฟอร์ดได้ทาการทดลองยิงรังสีแอลฟา ซึ่งเป็นอนุภาคไฟฟ้าบวกเข้าไปกระทบอะตอมในแผ่นทองคาบางๆ
ผลปรากฏว่ารังสีส่วนมากจะลอดช่องว่างระหว่างนิวเคลียสกับอิเล็กตรอนแล้วทะลุออกไปเป็นเส้นตรงรังสีส่วนน้อยจะพุ่งเข้า
ใกล้นิวเคลียสซึ่งมีขนาดเล็ก แล้วเกิดแรงผลักระหว่างประจุบวกของนิวเคลียสกับประจุบวกของรังสีแอลฟาแล้วทาให้รังสี
แอลฟาเกิดการเบี่ยงเบน และรังสีส่วนน้อยที่สุดจะพุ่งเข้าชนนิวเคลียสตรงๆ แล้วเกิดการสะท้อนย้อนกลับออกมา แต่การพุ่ง
เข้าใกล้กับการพุ่งชนตรงๆ จะเกิดได้น้อยเพราะนิวเคลียสมีขนาดเล็กนั่นเอง
3. ถ้าทาการทดลองโดยใช้หลอดรังสีแคโทดที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษและจัดอุปกรณ์ดังนี้ ผลการทดลองต่อไปนี้ข้อใดถูก
1. เกิดจุดสว่างตรงจุดกึ่งกลางของฉากเรืองแสง ก.
2. เกิดจุดสว่างเหนือจุดกึ่งกลางของฉากเรืองแสง ก.
3. เกิดจุดสว่างตรงจุดกึ่งกลางของฉากเรืองแสง ข.
4. เกิดจุดสว่างเหนือจุดกึ่งกลางของฉากเรืองแสง ข.
คาชี้แจง ใช้รูปหลอดรังสีแคโทดและอุปกรณ์สร้างสนามไฟฟ้าต่อไปนี้ในการตอบคาถาม 2 ข้อถัดไป
4. ถ้าเลื่อนอุปกรณ์สร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าไปไว้ที่ตาแหน่งต่างๆ จะมีปรากฏการณ์ใดเกิดขึ้น
1. ที่ตาแหน่ง 1 รังสีจะเบนขึ้นด้านบน
2. ที่ตาแหน่ง 2 รังสีจะคงที่เพราะหักล้างกันหมด
3. ที่ตาแหน่ง 2 รังสีจะเบนขึ้นและเบนลง
4. ที่ตาแหน่ง 3 รังสีจะเบนลงด้านล่าง
5. ถ้าใช้แก๊สไฮโดรเจนและดิวเทอเรียม ทาการทดลองเปรียบเทียบกัน โดยเลื่อนอุปกรณ์สร้างสนามไฟฟ้าไปไว้ที่ตาแหน่ง
ต่างๆ เช่นเดิม แก๊สทั้งสองชนิดจะให้ผลไม่แตกต่างกันเมื่ออุปกรณ์สร้างสนามไฟฟ้าอยู่ที่ตาแหน่งใด
1. ตาแหน่ง 1 2. ตาแหน่ง 2 3. ตาแหน่ง 1 และ2 4. ตาแหน่ง 3
10
จะได้ว่า จานวนโปรตอน ( p ) = Z
จานวนนิวตรอน ( n ) = A – Z
+ จานวนอิเล็กตรอนที่รับเพิ่ม
จานวนอิเล็กตรอน ( e ) = Z
- จานวนอิเล็กตรอนที่เสียไป
เมื่อ A คือเลขมวล Z คือ เลขอะตอม K คือ เลขบอกประจุไฟฟ้า
2. 39
19 K ตอบ p = …….. n = ……..…. e = ……….
3. 235
92 U ตอบ p = …….. n = ……..…. e = ……….
12
4. 83
36 Kr ตอบ p = …….. n = ……..…. e = ……….
5. 232
90Th ตอบ p = …….. n = ……..…. e = ………..
10. แคลเซียมไอออนมีจานวนอิเล็กตรอนไม่เท่ากับไอออนใด
1. คลอไรด์ไอออน 2. โพแทสเซียมไอออน
3. ซัลไฟด์ไอออน 4. แมกนีเซียมไอออน
1.6 แบบจาลองอะตอมของโบร์
1.6.1 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คือคลื่นที่เกิดจากการเหนี่ ยวนาของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก เหนี่ยวนา ซึ่งกันและกัน อย่ าง
ต่อเนื่องไม่รู้จบแหล่งกาเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาลนี้คือดวงอาทิตย์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ออกมาจากดวง
อาทิตย์ แบ่งแยกได้ 8 ชนิด แต่ละชนิดเรียกว่า สเปกตรัม ดังแสดงในตารางต่อไปนี้
C = fλ
และสามารถคานวณหาค่าพลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้จากสมการ
E = h f และ E = hc
λ
เมื่อ E = พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (หน่วยเป็น จูล )
h = ค่าคงที่ของพลังค์ ( Plank , constant) = 6.625 x 10-34 Js
f , = ความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Hz หรือ s-1)
C = ความเร็วแสงในสุญญากาศ (3.0 x 108 ms-1)
สรุปสูตรของคลื่น
ข้อควรทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบบจาลองอะตอมของโบร์
1. ระดับพลังงานในสุด ( n = 1 ) จะเป็นระดับที่มีพลังงานต่าสุด และถัดออกมาจะเป็นระดับที่ มีพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ และ
ปกติอิเล็กตรอนชอบที่จะอยู่ชั้นในสุด ( n = 1 ) เพราะจะมี เสถียรภาพมากที่สุด ภาวะเช่นนี้เรียกสภาวะพื้น ( Ground
State )
2. หากอิเล็กตรอนได้รับพลังงานที่เหมาะสมอิเล็กตรอนจะดูดพลังงานนั้นแล้วเคลื่อนย้ายจากระดับ พลังงานต่าขึ้นไประดับ
พลั งงานสู งกว่าเดิม เรี ย กภาวะเช่น นี้ ว่าเป็ น สภาวะกระตุ้น ( Excited State ) แต่ภ าวะถูกกระตุ้นนี้อิเล็ กตรอนจะมี
พลังงานมากเกินไปจึงไม่เสถียร อิเล็กตรอนจะคาย พลังงานส่วนหนึ่งออกมาแล้วเคลื่อนย้ายลงมาอยู่ในระดับพลังงานที่ต่า
กว่าเดิม
3. พลังงานที่อิเล็กตรอนคายออกมาจะอยู่ในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเสมอ
17
ตัวอย่างการคายพลังงานของอิเล็กตรอนของอะตอมไฮโดรเจนเกิดเป็นสเปกตรัมดังนี้
14. ข้อความต่อไปนี้ข้อใดถูกต้อง
ก. การที่สเปกตรัมในช่วงแสงขาวของธาตุไฮโดรเจนมีเพียง 4 เส้น แสดงว่าอิเล็กตรอนใน ไฮโดรเจนอะตอม มี
ระดับพลังงาน เพียง 4 ระดับ
ข. ถ้าอะตอมของธาตุ ก มีอิเล็ กตรอนมากกว่าอะตอมของธาตุ ข จานวนเส้ นสเปกตรัมในแสงขาวของธาตุ ก
จะต้องมากกว่าของธาตุ ข ด้วย
ค. จานวนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนในธาตุชนิดต่างๆ จะเพิ่มขึ้นตามเลขอะตอม
ง. ธาตุต่างชนิดกันอาจมีเส้นสเปกตรัมบางเส้นอยู่ที่ตาแหน่งเดียวกัน ( ความถี่เท่ากัน )ได้
18
ก. I
ข. III
ค. III หรือ IV
ง. IV หรือ V
16. แสงสีส้มมีความยาวคลื่น 620 นาโนเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับแสงสีครามซึ่งมีความยาวคลื่น 430 นาโนเมตร ข้อความ
ใดถูกต้องที่สุด
ก. แสงสีส้มมีพลังงานสูงกว่าแสงสีครามเนื่องจากมีความถี่สูงกว่า
ข. แสงสีครามมีพลังงานสูงกว่าแสงสีส้มเนื่องจากมีความถี่ต่ากว่า
ค. แสงสีครามมีพลังงานสูงกว่าแสงสีส้มเนื่องจากมีความถี่สูงกว่า
ง. แสงสีส้มมีพลังงานสูงกว่าแสงสีครามเนื่องจากมีความถี่ต่ากว่า
1.6.3 การจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอม
1.6.3.1 การจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอมในระดับพลังงานหลัก
จากแบบจ าลองอะตอมของโบร์ ระดับพลั งงานของอิ เล็ ก ตรอนแต่ล ะระดั บ จะมีความสามารถในการบรรจุ
อิเล็กตรอนได้ไม่เท่ากัน โดยจานวนอิเล็กตรอนที่มีได้มากที่สุดในระดับพลังงานที่ n= 2n2 เมื่อ n คือ ลาดับที่ของชั้นพลังงาน
เช่น ชั้น K (ชั้นที่ 1) มีจานวน e ได้เพียง = 2(12) = 2
ชั้น L (ชั้นที่ 2) มีจานวน e ได้เพียง = 2(22) = 8
19
คาชี้แจง ให้เขียนจานวนอิเล็กตรอนลงในตารางต่อไปนี้ให้สมบูรณ์
20
เทคนิคการจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานหลัก (เบื้องต้น)
ขั้น 1. นาจานวนอิเล็กตรอนทั้งหมดลบออกด้วย 2 , 8 , 18 , 32 หรือ 18 , 32หรือ 18 , 18 , 8 , 2 ทีละตัวจนกว่าจะลบ
ต่อไม่ได้
ขั้น 2. ให้นาตัวที่ใช้ลบทั้งหมด และผลลบที่เหลือสุดท้ายมาเรียงเป็นคาตอบได้เลย
แต่ถ้าผลลบสุดท้ายเหลือ 9ให้แบ่งเป็น 8 , 1
ถ้าผลลบสุดท้ายเหลือ 10 ให้แบ่งเป็น 8 , 2
ถ้าผลลบสุดท้ายเหลือ 11 ให้แบ่งเป็น 9 , 2
ถ้าผลลบสุดท้ายเหลือ 12 ให้แบ่งเป็น 10 , 2
ถ้าผลลบสุดท้ายเหลือ 13 ให้แบ่งเป็น 11 , 2
ถ้าผลลบสุดท้ายเหลือ 14 ให้แบ่งเป็น 12 , 2
ถ้าผลลบสุดท้ายเหลือ 15 ให้แบ่งเป็น 13 , 2
ถ้าผลลบสุดท้ายเหลือ 16 ให้แบ่งเป็น 14 , 2
ถ้าผลลบสุดท้ายเหลือ 17 ให้แบ่งเป็น 15 , 2
ถ้าผลลบสุดท้ายเหลือ 18 ให้แบ่งเป็น 16 , 2
แล้วจึงนาไปต่อท้ายตัวที่ใช้ลบ
หมายเหตุ :
21
ก. A, B ข. C , E ค. B , C ง. D , E
18. ธาตุใดอยู่หมู่ 8A
ก. A ข. B ค. C ง. D
19. อะตอมและไอออนในแต่ละกลุ่มข้อใดมีจานวนอิเล็กตรอนในระดับพลังงานชั้นนอกสุดเท่ากัน กาหนดเลขอะตอม
B = 5, C = 6 , N = 7 , O = 8 , F = 9
ก. B, F+, O, N- , C2- ข. B3- , C2- , N- , O, F+
ค. F+, N- , O, C2- , B3- ง. O, B3- , F+, C2-, N-
คาชี้แจง ใช้ข้อมูลต่อไปนี้ตอบคาถาม 2 ข้อถัดไป
31 32 S 35 39 K 40 Ca
15 P 16 17 Cl 19 20
20. Y2- มี 3 ระดับพลังงาน มีจานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 8 มีจานวนนิวตรอนเท่ากับ 16 ธาตุ Y เป็นไอโซโทป กับ
ธาตุใด
ก. 32
16 S
35 C
ข. 17 ค. 39
19 K ง. 40
20 Ca
21. ถ้าดึงโปรตอน 2 อนุภาค และดึงอิเล็กตรอน 1 อนุภาค ออกจาก 39
19 K ผลิตภัณฑ์ที่ได้คือ
ก. 39
17 K ข. 39
19 K
35 Cl -
ค. 17 35Cl-
ง 17
22. ถ้า Y มีอิเล็กตรอนอยู่ในระดับพลังงานต่างๆ 3 ระดับ มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเป็น 5 มีเลขมวล 31 ข้อความใดต่อไปนี้
เกี่ยวข้องกับธาตุ Y ไม่ถูกต้อง
ก. ธาตุ Y ควรมีสัญลักษณ์นิวเคลียร์เป็น 3115Y
ข. ธาตุ Y มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น 2 , 8 , 5
ค. ธาตุ Y มีจานวนนิวตรอน 15 ตัว
ง. ธาตุ Y มีสมบัติเป็นอโลหะ
1.6.3.2 การจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอมในระดับพลังงานย่อย
23
เราสามารถหาลาดับการเรียงระดับพลังงานย่อยจากชั้นต่าสุดออกไปได้ดังนี้
24
ขั้น 1. เขียนแผนภาพดังนี้
19K = 2,8,8,1
= 1s , 2s 2p , 3s 3p 3d , 4s
แต่เนื่องจากชั้น 4s จะมาก่อน 3d จึงต้องสลับเป็นดังนี้
19K = 1s2s 2p 3s 3p 4s 3d
ขั้น 2.ใส่จานวนอิเล็กตรอนลงในแต่ละระดับพลังงานหลัก โดยใส่ชั้นในให้เต็มก่อน แล้วจึงใส่ชั้นนอกถัดมา
คาชี้แจง จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของอะตอมต่อไปนี้แบบระดับพลังงานย่อย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ข้อ ข. ธาตุแต่ละธาตุมีอิเล็กตรอนอยู่ในระดับพลังงานใดบ้าง จานวนเท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
24. ในสภาวะพื้นการจัดเรียงอิเล็กตรอนของ Fe2+ คือข้อใด (เลขอะตอมของ Fe = 26)
ก. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s2 3d4
ข. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s1 3d5
ค. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p5 4s2 3d5
ง. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s0 3d6
25. ในสภาวะพื้นการจัดเรียงอิเล็กตรอนของ 24Cr3+ คือข้อใด
ก. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s1 3d2
ข. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s0 3d3
ค. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s2 3d1
ง. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p3 4s1 3d5
การเขียนการจัดเรียงอิเล็กตรอนแบบระดับพลังงานย่อยในรูปแก๊สเฉื่อย พิจารณาอะตอมแก๊สเฉื่อยต่อไปนี้
36Kr มี 36 อิเล็กตรอน จัดเรียงเป็น 1s2 , 2s2 , 2p6 , 3s2 , 3p6 , 4s2 , 3d10 , 4p6
54Xeมี 54 อิเล็กตรอน จัดเรียงเป็น 1s2 , 2s2 , 2p6 , 3s2 , 3p6 , 4s2 , 3d10 , 4p6 , 5s2 , 4d10 , 5p6
86Rn มี 86 อิเล็กตรอน จัดเรียงเป็น 1s2, 2s2, 2p6, 3s2, 3p6, 4s2, 3d10, 4p6, 5s2, 4d10, 5p6, 6s2, 4f14, 5d10, 6p6
พิจารณาการจัดเรียงอิเล็กตรอนอะตอมธาตุต่อไปนี้
15P รูปแบบจัดเรียงอิเล็กตรอน 1s2 , 2s2 , 2p6 , 3s2 , 3p3 อาจเขียนย่อเป็น [ Ne ] , 3s2 , 3p3
37Rb รูปแบบจัดเรียงอิเล็กตรอน 1s2 , 2s2 , 2p6 , 3s2 , 3p6 , 4s2 , 3d10 , 4p6 , 5s1 อาจเขียนย่อเป็น [ Kr ] , 5s1
26. จงระบุสัญลักษณ์ของธาตุที่มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนดังต่อไปนี้
ก. 2, 8,
ข. [Ar] 4s2 3d10 4p2
ค. [Ne] 3s2 3p3
27. ธาตุที่มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนดังต่อไปนี้จะมีอิเล็กตรอนจานวนเท่าใด
ก. [ Ne ] 3s2 3p3 ข. [ Ar ] 4s2 3d10 4p2 ค. [ Kr ] 5s2 4d5
1. ก. 15 ข. 30 ค. 43 2. ก. 16 ข. 30 ค. 40
3. ก. 15 ข. 32 ค. 43 4. ก. 20 ข. 32 ค. 40
ตารางธาตุ
28
ข้อใดไม่ถูกต้อง
ก. ธาตุ A มีความเป็นโลหะมากกว่าธาตุ I
ข. ธาตุ G มีความเป็นอโลหะมากกว่าธาตุ F
ค. ธาตุ B ทา ปฏิกิริยากับน้า ได้รุนแรงกว่าธาตุ C
ง. ธาตุ E และ D เป็นอโลหะ
2.2 สมบัติของธาตุตามหมู่และตามคาบ
31
2.2.1 แนวโน้มของขนาดอะตอมและขนาดไอออน
ขั้นตอนการพิจารณาแนวโน้มของขนาดอะตอม
ขั้นที่ 1. พิจารณาจากคาบที่อะตอมนั้นอยู่ในหมู่เดียวกันขนาดอะตอมจะเล็กลงจากล่างขึ้นบน เพราะอะตอมธาตุ
ด้าน บนจะมีระดับพลังงานอิเล็กตรอนน้อยกว่าอะตอมธาตุด้านล่าง
ขั้นที่ 2. พิจารณาจากหมู่ที่อะตอมนั้นอยู่ในคาบเดียวกันขนาดอะตอมจะเล็กลงจากซ้ายไปขวา เพราะอะตอมธาตุ
ด้าน ขวาจะมีจานวนโปรตอนมากกว่า จึงมีแรงดึงดูดอิเล็กตรอนรอบนอกให้เข้าใกล้นิวเคลียสมากขึ้น ทาให้ขนาด
อะตอมเล็กลง
35. ข้อใดที่เรียงลาดับสารตามขนาดจากเล็กไปใหญ่
ก. N, O, F ข. Na, Mg, K ค. Cr, Cr2+, Cr3+ ง. Cl, Cl-, S2-
36. ธาตุ A, B และ C เป็นธาตุที่อยู่ในคาบที่ 2 เรียงลา ดับตั้งแต่หมู่ VA ถึง VIIA ธาตุทั้ง 3 ควรมีสมบัติเป็นอย่างไร
1. มีขนาดอะตอมเท่ากัน
2. มีจานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากัน
3. มีเลขอะตอมเท่ากัน
4. มีจานวนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนเท่ากัน
2.2.2 แนวโน้มของของอิเล็กโทรเนกาติวิตี ( Electronegativity , EN )
32
42. เลขออกซิเดชันของโลหะในข้อใดมีค่าน้อยที่สุด
1. NH4 VO3 2. Na2 MnO4 3. K2Cr2O7 4. Fe2O3
43. เลขออกซิเดชันของ Cr ใน Cr2O72- (aq) ,CrO42- (aq)และ K3Cr(CN)6(s) ตามลาดับตรงกับข้อใด
1. +7 , +4 และ +3 2. +6 , +5 และ +2 3. +6 , +6 และ +3 4. +6 , +6 และ +2
44. เลขออกซิเดชันของโลหะแทรนซิชันในข้อใดรวมกันสูงสุด
1. Cu2O K2[Ni(CN)4] 2. MnO2 [FeSCN] Cl2
3. V2O5 NH4Fe (SO4)2 4. HgCl2 [Co (NH3)4Cl2]Cl
45. โลหะทรานสิชันในข้อใดที่มีเลขออกซิเดชันเท่ากัน
1. (NH4)2CrO4 Na[Au(CN)2] V2O5
2. K3Fe(CN)6 [Ni(NH3)6]SO4 PbCrO4
3. [Cu(NH3)3]SO4 [Co(H2O)6]Cl2 Na2CoCl4
4. [Co(NH3)4Cl2]Cl NH4Fe(SO4)2 K2Cr2O7
พันธะเคมี
ความเป็นโลหะและอโลหะ
35
1. จากรูปภาพที่กาหนด หมายเลขใดแสดงถึงพันธะเคมีและหมายเลขใดแสดงถึงแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล
1. (1) พันธะเคมี (2) พันธะเคมี
2. (1) พันธะเคมี (2) แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล
3. (1) แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล (2) พันธะเคมี
4. (1) แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล (2) แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล
2. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่พันธะเคมี
1. พันธะไอออนิก 2. พันธะโคเวเลนต์ 3. พันธะโลหะ 4. พันธะไฮโดรเจน
2.1 พันธะโคเวเลนต์
2.1.1 การเกิดพันธะโคเวเลนต์
พันธะโคเวเลนต์ คือแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมที่เกิดจากอะตอมใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันเป็นคู่ๆ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่าง การเกิดพันธะของคลอรีน ( Cl ) กับฟลูออรีน ( F ) ทั้งคลอรีน ( Cl ) และฟลูออรีน ( F ) ล้วนเป็นอโลหะหมู่ 7A
เหมือนกัน อะตอมของธาตุทั้งสองต่างต้องการอิเล็กตรอนอีก 1 ตัวเหมือนกัน แต่เนื่องจากธาตุทั้งสองล้วนมีค่าอิเล็กโทรเน
กาติวิตี (EN) สูง อะตอมทั้งสองจึงไม่ยอมจ่ายอิเล็กตรอนให้แก่กัน จึงต้องมีการนาเอาเวเลนซ์อิเล็กตรอน มาใช้ร่วมกัน 1 คู่
ดังรูป เพื่อให้อะตอมทั้งสองเสมือนมีเวเลนซ์อิเล็กตรอน 8 ตัวเหมือนกันทั้งคู่ อิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกันนี้ จะเรียก อิเล็กตรอน
คู่ร่วมพันธะ และอิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกันนี้จะมีแรงดึงดูดกับนิวเคลียสของอะตอมที่เข้ามาร่วมพันธะกันแรงดึงดูดตรงนี้จะ
เรียกเป็นพันธะโคเวเลนต์ และโมเลกุลที่เกิดขึ้นจะเรียก โมเลกุลโคเวเลนต์ สารประกอบที่มีโมเลกุลโคเวเลนต์จะเรียก สาร
ประกอบโคเวเลนต์
37
3. เหตุที่อะตอมของธาตุต่างๆ ต้องเข้ามารวมตัวกันสร้างพันธะเคมีคือข้อใดต่อไปนี้
1. เพื่อรวมกันเป็นกลุ่มก้อนที่ใหญ่ขึ้น
2. เพื่อป้องกันการสูญเสียพลังงาน
3. เพื่อให้เวเลนส์อิเล็กตรอนของแต่ละอะตอมครบ 8 ตัว
4. ถูกทุกข้อ
โดยทั่วไปแล้วพันธะโคเวเลนต์จะเกิดจากการรวมตัวของ ธาตุอโลหะรวมตัวกับอโลหะ หรือ ธาตุกึ่งโลหะรวมตัวกับอโลหะ
หรือโลหะบางชนิด (Be , Sn ) รวมตัวกับอโลหะ ทั้งนี้เพราะอะตอมของธาตุพวกนี้จะมีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตี้ (EN) สูง
เหมือนๆ กัน เมื่อมารวมกันจะไม่มีอะตอมใดยอม จ่ายอิเล็กตรอนให้แก่กัน จึงต้องมีการนาอิเล็กตรอนมาใช้ร่วมกันเกิดเป็น
พันธะโคเวเลนต์นั่นเอง
หมายเหตุ ไอออนเชิงซ้อนที่ประกอบด้วยโลหะแทรนซิชันกับอโลหะ โลหะแทรนซิชันกับอโลหะจะเกิดพันธะชนิด
โคเวเลนต์กัน เช่น MnO4-, CrO42- , Fe(CN)34- เป็นต้น (ไอออนเชิงซ้อนคือไอออนที่ประกอบด้วยธาตุมากกว่า 1 ชนิด)
4. อะตอมคู่ใดในข้อใดต่อไปนี้ที่รวมตัวด้วยพันธะโคเวเลนต์
1. คาร์บอนกับซัลเฟอร์ 2. แคลเซียมกับออกซิเจน
3. เหล็กกับคลอรีน 4. คลอรีนกับโซเดียม
5. ถ้าธาตุ X , Y และ Z มีเลขอะตอมเป็น 7 , 11 และ 30 ตามลาดับ สารประกอบในข้อ ใดจัดเป็นสารโคเวเลนต์
1. XCl3 2. YCl 3. ZCl2 4. ถูกทุกข้อ
6. จงพิจารณาว่าสารประกอบในข้อใดเป็นสารประกอบโคเวเลนต์ล้วนๆ
1. K2O , Al2O3 2. BeCl2 , SnCl4 3. MgBr2 , NaCl2 4. CsCl , MgCl2
2) พันธะคู่ คือพันธะมีการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอน
ร่วมกัน 2 คู่ เช่น พันธะใน O2
3) พันธะสาม คือพันธะมีการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอน
ร่วมกัน 3 คู่ เช่น พันธะใน N2
พลังงานพันธะ คือพลังงานที่ใช้ไปเพื่อสลายพันธะระหว่างอะตอมภายในโมเลกุลซึ่งอยู่ในสถานะแก๊สให้แยกออกจากกัน
เป็นอะตอมในสถานะแก๊ส โดยทั่วไปแล้ว พันธะสามจะมีพลังงานพันธะมากที่สุด ทั้งนี้เพราะมีการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วม
พันธะกันถึง 3 คู่ ส่วนพันธะเดี่ยวจะมีพลังงานพันธะน้อยที่สุ ด เมื่อเรียงลาดับพลังงานพันธะจากมากไปหาน้อยจึงได้ว่า
พลังงานพันธะของ
พันธะสาม > พันธะคู่ > พันธะเดี่ยว
ความยาวพันธะ คือระยะห่างระหว่างนิวเคลียสของอะตอมสองอะตอมที่เข้าร่วมพันธะกันในโมเลกุล โดยทั่วไปแล้วพันธะ
สามจะมีความยาวพันธะสามจะมีความยาวพันธะน้อยที่สุด เพราะมีการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันถึง 3 คู่ จึงทาให้มีแรง
ดึงดูดนิวเคลียสมากทาให้นิวเคลียสขยับเข้าใกล้กันทาให้ความยาวพันธะน้อยนั่นเอง ส่วนพันธะเดี่ยวจะมีความยาวพันธะ
มากที่สุด เมื่อเรียงลาดับความยาวพันธะจากมากไปหาน้อยจึงได้ว่าความยาวพันธะของ
พันธะสาม < พันธะคู่ < พันธะเดี่ยว
7. ความยาวพันธะใดต่อไปนี้ ยาวที่สุด
1. C – H 2. C – C 3. C = C 4. C≡C
8. จงเรียงพลังงานของพันธะต่อไปนี้ จากพลังงานต่าสุดไปหาพลังงานสูงสุด
ก. H – F ข. H – Cl ค. H – Br
1. ก , ค , ข 2. ค , ก , ข 3. ค , ข , ก 4. ข , ก , ค
ก) การเขียนสูตรโมเลกุลของสารโคเวเลนต์
ขั้นที่ 1 ต้องเรียงลาดับธาตุที่เข้ามารวมตัวกันตามลาดับ ตามหลักสากลดังนี้ B Bi C Sb As P N H Te Se S At I Br Cl O
F ตามลาดับ
ขั้นที่ 2 หาจานวนอิเล็กตรอนที่แต่ละธาตุต้องการแล้วนาจานวนอิเล็กตรอนนั้นไขว้สลับไปเขียนห้อยไว้หลังแต่ธาตุแต่ละตัว
ตัวอย่าง จงเขียนสูตรโมเลกุลของสารโคเวเลนต์ที่เกิดจากการรวมตัวของธาตุออกซิเจน ( O ) กั บไฮโดรเจน ( H )
แนวคิด ขั้นที่ 1 ต้องเขียนธาตุ H ก่อน O ตามหลักสากล
ขั้นที่ 2 หาจานวนอิเล็กตรอนที่แต่ละธาตุต้องการ แล้วไขว้สลับห้อยไว้หลังธาตุแต่ละตัว H รับ
อิเล็กตรอน 1 ตัว ส่วน O อยู่หมู่ 6A รับอิเล็กตรอน 2 ตัว
ข) การเขียนสูตรโครงสร้างแบบเส้นจากสูตรโมเลกุล
เมื่อเราเขียนสูตรโมเลกุลของสารโคเวเลนต์ได้แล้ว เราสามารถเปลี่ยนให้เป็นสูตรโครงสร้างแบบเส้นได้ โดยทาตามขั้นตอน
ดังนี้
40
ขั้นที่ 3 เขียนแขนของ แต่ละอะตอม โดย C มี 4 แขน และ H มี 1 แขน และ C กับ H ที่อยู่ติดกันให้นา
แขนมาต่อกันดังรูป
ขั้นที่ 3 เขียนแขนของ แต่ละอะตอม โดย C มี 4 แขน และ O แต่ละอะตอม มี 2 แขน และ C กับ O ที่
อยู่ติดกันให้นาแขนมาต่อกันดังรูป
41
ฝึกทา จงเขียนสูตรโครงสร้างแบบเส้นของสารโคเวเลนต์ต่อไปนี้
SiH4
CHCl3
NH3
H 2O
HClO
COCl2
CS2
ค) การเขียนสูตรโครงสร้างลิวอิสของโมเลกุลโคเวเลนต์ ( สูตรแบบจุด )
เมื่อเราเขียนสูตรโครงสร้างแบบเส้นได้แล้ว เราสามารถเปลี่ยนให้เป็นสูตรโครงสร้างลิวอิส (แบบจุด) ได้ โดยทาตามขั้นตอน
ดังนี้
ขั้นที่ 1 เปลี่ยนเส้นพันธะ 1 เส้น เป็นจุด 2 จุด
ขั้นที่ 2 หากอะตอมกลางยังเหลืออิเล็กตรอนซึ่งไม่ได้ใช้สร้างพันธะ อาจเขียนด้วยก็ได้
ตัวอย่าง จงเขียนสูตรโครงสร้างลิวอิสของ
แนวคิด ขั้นที่ 1 เปลี่ยนเส้นพันธะ 1 เส้นเป็น 2 จุด
ขั้ น ที่ 2 เนื่ อ งจาก N มี เ วเลนซ์ อิ เ ล็ ก ตรอน 5 ตั ว ใช้ ส ร้ า งพั น ธะกั บ H ไป 3 ตั ว ดั ง นั้ น N จึ ง เหลื อ
อิเล็กตรอนที่ไม่ได้ใช้สร้างพันธะอีก 2 ตัวดังรูป
ฝึกทา จงเขียนสูตรโครงสร้างลิวอิสของโมเลกุลโคเวเลนต์ต่อไปนี้
ตัวอย่างการอ่านชื่อสารประกอบโคเวเลนต์
2.1.4 กฏออกเตต
กฎออกเตต กล่ าวว่า “ อะตอมของธาตุต่างๆ ที่เข้าทาปฏิกิริยากัน จะมีการเปลี่ ยนแปลงจานวนอิเล็ กตรอน
เพื่อที่จะให้มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนแบบเดียวกับแก๊สเฉื่อย คือมีเวเลนซ์อิเล็กตรอน ครบ 8 ( ยกเว้น H ครบ 2 ) ”
อย่างไรก็ตามโมเลกุลบางอย่างเวเลนซ์อิเล็กตรอนของอะตอมกลางอาจมากกว่าหรือน้อยกว่า 8 ก็ได้ ซึ่งได้แก่
1. ธาตุที่มีวาเลนส์อิเล็กตรอนน้อยกว่า 4 คือ Be และ B เมื่อเกิดพันธะอาจจะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนน้อยกว่า 8
ควรทราบเพิ่มเติม
1. สารประกอบไฮโดรคาร์ บ อน (สารประกอบของ C กับ ) และโมเลกุล กรดออกซี อะตอมกลางจะมีจานวน
อิเล็กตรอนเป็นไปตามกฏออกเตตเสมอ
2. อะตอม Be , B , P , S , ธาตุหมู่ 8A เมื่อเป็นอะตอมกลางมักไม่เป็นไปตามกฏออกเตต เช่น BeCl2 , BF3 , PCl5
SF6 , XeF4 เป็นต้น
14. สารประกอบในข้อใดที่มีการจัดเรียงตัวของอิเล็กตรอนเป็นไปตามกฏออกเตตทั้งหมด
1. H2 , BF3 , CS2 2. N2 , Br2 , PCl5
3. PBr3 , CH2O , OF2 4. H2O , O2 , BeH2
2.1.5 พลังงานพันธะ
ในการเกิดปฏิกิริยาเคมีหนึ่งๆ นั้น ปกติแล้วจะต้องมีการสลายพันธะของสารตั้งต้นแล้วจึงมีการสร้างพันธะของผลิตภัณฑ์
การสลายพันธะจะเป็นกระบวนการที่มีการดูดพลังงานเข้าไปเพื่อใช้ทาลายแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคให้แตกออกจากกัน
ส่วนการสร้างพันธะจะเป็นกระบวนการที่มีการคายพลังงานออกมา สาหรับพลังงานรวมของปฏิกิริยาอาจเป็นแบบดูด
พลังงานเข้าหรือคายพลังงานออกก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าพลังงานที่ดูดหรือคาย อย่างไหนจะมากกว่ากัน เราสามารถหาพลังงาน
รวมของปฏิกิริยาได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่าง กาหนดพลังงานพันธะดังนี้
H–H = 436 kJ/mol I–I = 151 kJ/mol H–I = 298 kJ/mol
จงหาว่าการเปลี่ยนแปลงต่อไปนี้ ดูดหรือคายพลังงานเท่าใด
แนวคิด
15. กาหนดพลังงานพันธะให้ดังนี้
H – H = 436 kJ / mol F – F = 159 kJ/mol H – Fl = 567 kJ / mol
จงหาว่าการเปลี่ยนแปลงต่อไปนี้ ดูดหรือคายพลังงานเท่าใด
2.1.6 รูปร่างของโมเลกุล
การทานายรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์เราอาจใช้แบบจาลองการผลักกันระหว่างคู่อิเล็กตรอนที่อยู่ในวงเวเลนซ์ (
Valence Shell Electron Pair Repulsion model เขียนย่อเป็น VSEPR ) โดยพิจารณาจากจานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอน
ของอะตอมกลาง ซึ่งอิเล็กตรอนเหล่านี้จะอยู่ห่างกันให้มากที่สุดเพื่อลดแรงผลักกันระหว่างคู่อิเล็กตรอน รูปร่างของโมเลกุล
อาจแบ่งพิจารณาได้ดังนี้
47
2.1.7 แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์มี 2 ประเภท ได้แก่ 1. แรงแวนเดอร์วาลส์ 2. พันธะไฮโดรเจน
1. แรงแวนเดอร์วาลส์ แรงแวนเดอร์วาลส์มี 3 ประเภทย่อย ได้แก่
1.1 แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลมีขั้ว เมื่อโมเลกุลมีขั้วหลายๆ โมเลกุลมาอยู่รวมกัน แต่ละโมเลกุลจะมีการ
จัดเรียงตัวโดยโมเลกุลหนึ่งจะหันขั้วบวกของตัวเองเข้าหาขั้วลบของโมเลกุลอื่น ทั้งนี้เพราะขั้ว ไฟฟ้าต่างกันจะมีแรงดึงดูดซึ่ง
48
2.1.8 สมบัติของสารประกอบโคเวเลนต์
1. มีจุดหลอมเหลว จุดเดือดต่า เพราะการหลอมเหลวและการเดือดทาลายเฉพาะแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล
และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีค่าน้อย
2. ไม่นาไฟฟ้าทั้งในสถานะของแข็ง ของเหลวและแก๊สหรือเมื่อละลายน้าอยู่ในสภาพสารละลายส่วนใหญ่ก็ไม่นา
ไฟฟ้า เพราะการละลายน้าของสารโคเวเลนต์ไม่แตกตัวออกเป็นไอออน ยกเว้นสารโคเวเลนต์ที่โมเลกุลมีสภาพขั้วแรงมาก
เช่น HCl HBr Hi HNO3 HClO4 H2SO4 เมื่อละลายน้า นาไฟฟ้าได้
3. โมเลกุลโคเวเลนต์ที่มีขั้วจะละลายในโมเลกุลโคเวเลนต์ที่มีขั้ว เช่น CH3OH ละลายน้า ได้ ส่วนโมเลกุลโคเวเลนต์
ที่ไม่มีขั้วก็จะละลายในโมเลกุลโคเวเลนต์ที่ไม่มีขั้วเหมือนกัน เช่น กามะถันละลายได้ใน CS2 เป็นต้น
50
2.2 พันธะไอออนิก
พันธะไอออนิก คือพันธะที่เกิดจากแรงดึงดูดทางไฟฟ้าระหว่างไอออนบวกและไอออนลบที่เข้ามารวมตัวกัน
2.2.1 การเกิดพันธะไอออนิก พันธะไออนิกเกิดจากการรวมตัวของธาตุโลหะ (ยกเว้น Be , Sn ) กับอโลหะซึ่งมีค่า
EN แตกต่างกันมากกว่า 1.7 โดยโลหะจะเป็นตัวจ่ายอิเล็กตรอนแล้วกลายเป็นไอออนบวก อโลหะจะเป็นตัวรับอิเล็กตรอน
แล้วกลายเป็นไอออนลบ แล้วไอออนบวกและไอออนลบจะจะมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกันเกิดเป็นพันธะไอออนิก
ตัวอย่าง การเกิดพันธะของสารประกอบโซเดียมคลอไรด์ ( NaCl )
เมื่อโซเดียม (Na) ซึ่งเป็นโลหะหมู่ 1A ทาปฏิกิริยากับคลอรีน (Cl) ซึ่งเป็นอโลหะหมู่ 7A โซเดียม (Na) จะจ่ายอิเล็กตรอน
ออกไป 1 ตัวแล้วกลายเป็นโซเดียมไอออน (Na+) ส่วนคลอรีน (Cl) จะรับอิเล็กตรอนเข้า 1 ตัวแล้วกลายเป็นคลอรีนไอออน
(Cl–) จากนั้น Na+ กับ Cl– ไอออนซึ่งมีประจุต่างกันจะมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกันทาให้เข้ามารวมตัวกันกลายเป็นสารประกอบ
NaCl แรงดึงดูดระหว่างไอออนบวกและลบเช่นนี้เรียกพันธะไอออนิก สารประกอบที่ได้จะเรียกเป็นสารประกอบไอออนิก
51
2.2.2 โครงสร้างสารประกอบไอออนิก
โครงสร้างแบบโซเดียมคลอไรด์ ( NaCl )
ในสารประกอบโซเดียมคลอไรด์ Na+ ไอออน
จะถูกล้อมรอบโดย Cl– ไอออน ถึง 6 ไอออน ใน
ลักษณะ 3 มิติ และ Cl– ไอออน ก็จะถูกล้อมรอบ
โดย Na+ ไอออน 6 ไอออนเช่นกัน การล้อมของ
ไอออนจะเรียงสลับกันไปอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นโครงสร้างที่มีลักษณะเป็นผลึกอันแข็งแรง
49. เหตุใดสารประกอบไอออนิกจึงถือว่าเป็นสารที่ไม่มีสูตรโมเลกุล
1. เพราะอัตราส่วนของอะตอมที่มารวมตัวกันมีค่าไม่แน่นอน
2. เพราะสารประกอบไอออนิกมีโครงสร้างเป็นผลึกตาข่าย
3. เพราะระหว่างไอออนบวกและลบไม่มีการสร้างพันธะเคมี
4. เพราะจานวนชนิดอะตอมที่เข้ามารวมตัวกันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เพิ่มเติม กลุ่มอะตอมต่อไปนี้ทาหน้าที่รับจ่ายอิเล็กตรอนแล้วกลายเป็นไอออนได้ดังนี้
52. ธาตุ 40 35
20 A สามารถเกิดสารประกอบธาตุ 17 B สารประกอบที่เกิดขึ้นควรมีสูตรเคมีเป็นดังข้อใด
1. AB 2. AB2 3. A2B 4. A3B2
53. กาหนดธาตุ 3X 7Y และ 17Z สูตรของสารประกอบธาตุคู่ที่เกิดจากธาตุทั้งสาม ข้อใดเป็นไปได้
1. X3Y , YZ3 , XZ 2. X3Y , YZ3 , XZ2
3. XY3 , YZ3 , XZ 4. X3Y , YZ5 , X2Z
2.2.3.2 การเรียกชื่อสารประกอบไอออนิก
1) กรณีที่โลหะมีประจุบวกได้ค่าเดียว ( เช่น โลหะหมู่ 1A , 2A และ 3A ) ให้อ่านชื่อโลหะ หรือ ไอออนบวกก่อน แล้วตาม
ด้วยชื่ออโลหะหรือไอออนลบ โดยเปลี่ยนพยางค์ท้ายเป็นไอด์ (ide) ยกเว้นถ้าธาตุต่อไปนี้อยู่ที่ท้ายให้อ่านดังนี้
ไฮโดรเจน ให้อ่านเป็น ไฮไดรด์ (ไม่ใช่ ไฮโดรไจด์)
ไนโตรเจน ให้อ่านเป็น ไนไตรด์ (ไม่ใช่ ไนโตรไจด์)
ออกซิเจน ให้อ่านเป็น ออกไซด์ (ไม่ใช่ ออกซิไจด์)
55
2.2.5 สมบัติของสารประกอบไอออนิก
2.2.5.1 สมบัติบางประการของสารประกอบไอออนิก
สารประกอบไอออนิกทุกชนิดจะมีสถานะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง และเปราะ
พันธะไอออนิ กเป็ นพันธะที่มีความแข็งแรงมาก สารประกอบไอออนิกจึงมีจุดเดือดและ จุดหลอมเหลวสู ง เช่น
จุดหลอมเหลวของ NaCl คือ 801 oC และจุดเดือดจะขึ้นกับความแต่ต่างของ ค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตี ( EN ) ของ
อะตอมคู่ร่วมพันธะด้วย เช่น
เมื่อเรียงลาดับค่าค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีจะพบว่า Cl > Br > I
58
2.3 พันธะโลหะ
อะตอมของโลหะมีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีต่า จึงไม่หวงแหนอิเล็กตรอน ทาให้อิเล็กตรอนมีความเป็นอิสระสูงและจะ
วิ่งไปมาระหว่างอะตอมใกล้เคียงได้ อิเล็กตรอนเหล่านี้จะส่งแรงดึงดูดกับโปรตรอนใกล้เคียงกลายเป็นแรงดูดยึดระหว่าง
อะตอม แรงดูดยึดแบบนี้เรียกว่าพันธะโลหะ ซึ่งมีความแข็งแรงมาก
สมบัติของสารที่มีพันธะโลหะ
1) นาไฟฟ้าได้ดี เพราะมีอิเล็กตรอนอิสระอยู่จึงทาให้นาไฟฟ้าได้
2) นาความร้อนได้ดี อิเล็กตรอนอิสระที่มีสามารถนาความร้อนได้ด้วย
3) โลหะสามารถตีเป็นแผ่นหรือดึงให้หลุดออกจากกันได้ เพราะไอออนบวกสามารถเลื่อนไถลผ่านกันได้โดยไม่หลุดจากกัน
เพราะมีอิเล็กตรอนคอยยึดไอออนบวกเหล่านี้ไว้ด้วยกัน
4) โลหะมีผิวมันเป็นวาว อิเล็กตรอนอิสระสามารถรับ และกระจายแสงมาได้
60
66. เหตุผลเกี่ยวกับสมบัติของธาตุในข้อใดผิด
1. โลหะมีความมันวาว เพราะดูดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไว้ได้มาก
2. โลหะตีแผ่เป็นแผ่นแบนๆ ได้ เพราะระหว่างอนุภาคของอะตอมโลหะยังมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนยึดไว้
3. โลหะนาไฟฟ้าได้เพราะมีอิเล็กตรอนอิสระสามารถเคลื่อนที่ได้
4. อะตอมในโลหะสร้างพันธะโดยใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน
ปริมาณสัมพันธ์
มวลอะตอม
จากการทดลองพบว่า He 1 อะตอม มีมวลเป็น 4 เท่าของ (1/12ของมวล C–12 1 อะตอม)
จึงถือกันว่า He มีมวลอะตอม = 4 หรือ 4 a.m.u.
โดย 1 a.m.u. = 1.66 x 10–24 กรัม
มวลของอะตอมที่มีหน่วยเป็น a.m.u. (หรือไม่มีหน่วย) เราจะเรียกว่ามวลอะตอมของธาตุ ส่วนมวลของอะตอมที่มีหน่วย
เป็นกรัมจะเรียกว่า มวลธาตุ 1 อะตอม ซึ่งหาค่าได้จาก มวลธาตุ 1 อะตอม = มวลอะตอมของธาตุ x 1.66 x 10–24
เมื่อ มวลธาตุ 1 อะตอม คือมวลที่มีหน่วยเป็นกรัม
มวลอะตอมของธาตุ คือมวลที่มีหน่วยเป็น a.m.u. หรือไม่มีหน่วย
ตัวอย่าง. ธาตุ Be มีมวลอะตอมเท่ากับ 9 ถามว่า Be 1 อะตอม จะมีมวลกี่กรัม
1. 1.66 x 10–24 2. 1.66 x 10–23 3. 1.49 x 10–24 4. 1.49 x 10–23
ตอบข้อ 4.
วิธีทา โจทย์บอก มวลอะตอมของ Be = 9 a.m.u.
มวล Be 1 อะตอม = ?
จาก มวลธาตุ 1 อะตอม = มวลอะตอมของธาตุ x 1.66 x 10–24
จะได้ มวล Be 1 อะตอม = 9 x 1.66 x 10–24
มวล Be 1 อะตอม = 14.9 x 10–24 กรัม
มวล Be 1 อะตอม = 1.49 x 10–23 กรัม
นั่นคือธาตุ Be 1 อะตอม จะมีมวล 1.49 x 10–23 กรัม
_________________________________________________________________________
62
เนื่องจากธาตุบางชนิดจะมีหลายไอโซโทปทาให้มวลของแต่ละอะตอมมีค่าไม่เท่ากัน ดังนั้นเมื่อจะกล่าวถึงมวล
อะตอมของธาตุเหล่านี้จึงต้องหามวลอะตอมเฉลี่ยมาใช้อ้างอิง
มวลอะตอมเฉลี่ยของธาตุใดๆ สามารถหาค่าได้จากสมการ
มวลอะตอมเฉลี่ย = Σ(% M)
100
เมื่อ M คือมวลอะตอมของแต่ละไอโซโทป
% คือเปอร์เซ็นต์ของแต่ละไอโซโทปที่มีในธรรมชาติ
63
4. สมมติธาตุ M มี 3 ไอโซโทปคือ
จงหามวลอะตอมเฉลี่ยของธาตุ M
1. 1.25 2. 1.73 3. 1.88 4. 2.01
มวลโมเลกุล
เนื่องจากโมเลกุลเกิดจากการรวมตัวกันของอะตอม ดังนั้นการหามวลโมเลกุลจึงหาได้จากการนาเอามวลอะตอมของอะตอม
ที่เข้ามารวมกันนั้นมาบวกกัน
เช่น NO มีมวลโมเลกุล = มวลอะตอมของ N + มวลอะตอมของ O
= 14 + 16
= 30
หรือ H2O มีมวลโมเลกุล = ( มวลอะตอมของ H x 2 ) + มวลอะตอมของ O
= ( 1 x 2 ) + 16
= 18
ฝึกทา. จงหามวลโมเลกุลของสารต่อไปนี้
1) HCN 2) CO2 3) H2O 4) H2SO4 5) CH3COOH
64
โมล
ปริมาณ 1 โมลของสารใดๆ มีความหมายได้ 3 แบบ ได้แก่
1) หมายถึงปริมาณสารที่มีจานวนอนุภาค 6.02 x 1023 อนุภาค (เลขอาโวกาโดร)
เช่น อะตอม H 1 โมลของอะตอม = 6.02 x 1023 อะตอม
โมเลกุล NO 1 โมลของโมเลกุล = 6.02 x 1023 โมเลกุล
ไอออน Cl– 1 โมลของอิออน = 6.02 x 1023 ไอออน
2) หมายถึงสารใดๆ ซึ่งมีมวลเท่ากับมวลโมเลกุลหรือมวลอะตอมแต่มีหน่วยเป็นกรัม
เช่น H2O 1 โมเลกุล จะมีมวลเท่ากับ 18 ( เรียกมวลโมเลกุล )
ดังนั้น H2O 1 โมล ( 6.02 x 1023 โมเลกุล )
จะมีมวลเท่ากับ 18 กรัม (คือเท่ากับมวลโมเลกุลแต่มีหน่วยเป็นกรัม)
3) หมายถึงแก๊สหรือไอใดๆ ที่มีปริมาตร 22.4 ลูกบาศก์เดซิเมตร (ลิตร) ที่ STP
65
สูตรที่ใช้คานวณเกี่ยวกับโมล
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
5. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จานวน 22 กรัม ที่ STP จะมีปริมาตรกี่ลิตร
1. 11.2 2. 22.4 3. 44.8 4. 67.2
สารละลาย
การหาความเข้มข้นเป็นโมลาร์ (M) โมแลล (m) และเศษส่วนโมล
11. ในการเตรียมสารละลาย NaOH เข้มข้น 0.1 mol / dm3 จานวน 5 ลิตร ต้องใช้ NaOH กี่กรัม ( Na = 23 , O = 16 ,
H=1)
1. 1.0 2. 2.0 3. 10.0 4. 20.0
67
การเตรียมสารละลาย
13. มี NaOH 1 mol/dm3 อยู่ 500 cm3 แบ่งมา 100 cm3 ทาให้เจือจางเป็น 1 ลิตร สาร ละลายนี้เข้มข้นเท่าใด
1. 0.10 2. 0.70 3. 2.00 4. 5.00
68
การหาความเข้มข้นเป็นสัดส่วนของตัวละลายในสารละลาย
69
18. สารละลาย HCl เข้มข้น 2% โดยปริมาตร/ปริมาตรจานวน 200 cm3 จะมี HCl ปริมาตรกี่ cm3
1. 2.00 2. 2.80 3. 4.00 4. 4.80
19. เมื่อใช้ NaOH 0.5 โมล เตรียมสารละลายให้มีความเข้มข้น 30% โดยมวล/ปริมาตร จะ ได้สารละลายกี่ cm3
1. 33.33 2. 40.00 3. 66.67 4. 80.00
20. เมอร์คิวรี (II) ไนเตรต (Hg(NO3)2) 0.1 กรัม ละลายในน้า 100 กรัม สารละลายนี้จะมี ความเข้มข้นกี่ส่วนในล้านส่วน
โดยมวล
1. 10 2. 100 3. 1000 4. 10000