Professional Documents
Culture Documents
และจากการทดลอง รัทเทอร์ฟอร์ดจึงอธิบายผลการทดลองว่า
- การที่อนุภาคแอลฟาส่วนใหญ่ทะลุแผ่นทองคาเป็นแนวเส้นตรงแสดงว่า อะตอมนั้นจะต้องมีพื้นที่ ว่า ง
พอที่จะให้อนุภาคแอลฟาสามารถทะลุผ่านไปได้
- อนุภาคแอลฟาบางส่วนที่มีการเลี้ ยวเบนจากเส้นตรงหรือมีการสะท้อนกลับ เพราะภายในอะตอมนั้นมีมวล
และมีประจุไฟฟ้าบวกสูง ดังนั้นเมื่ออนุภาคแอลฟากระทบหรือเข้าใกล้กับอนุภาคนี้ จะเกิดการสะท้อนกลับหรือถูก
เบี่ยงเบนออกจากแนวเดิม
จากข้อมูลทัง้ หมดที่กล่าวมา ทาให้รัทเทอร์ฟอร์ด ได้เสนอรูปแบบใหม่ของอะตอม
อะตอมประกอบด้วยโปรตอนและอิเล็กตรอน โดยโปรตอนจะรวมกันเป็น
นิวเคลียสอยู่ตรงกลาง มีประจุบวกและมีมวลมาก ส่วนอิเล็กตรอนจะมีประจุ
ลบ มีมวลน้อย และเคลื่อนทีอ่ ยู่รอบนิวเคลียส จานวนอิเล็กตรอนจะเท่ากับ
จานวนโปรตอน
อะตอมมีลักษณะเป็นทรงกลม ประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอนรวมกัน
เป็นนิวเคลียสอยู่ตรงกลาง และมีอิเล็กตรอนวิ่งอยู่รอบๆ นิวเคลียส ซึ่งจะวิ่ง
เป็นชั้นๆ หรือระดับพลังงาน
ตัวอย่างการจัดเรียงพลังงานหลัก และแบบย่อยของธาตุต่างๆ
ธาตุ การจัดเรียงแบบหลัก การจัดเรียงแบบย่อย
11Na
20Ca
6C
16S
18Ar
21Sc
24Cr
28Ni
29Cu
29Cu
2+
35Br
-
19K
+
Li Be B
Na Mg Al
K Ca Ga
Rb Sr In
Cs Ba Tl
Fr Ra
หมู่ 4 หมู่ 5 หมู่ 6 (ชาลโคเจน)
สัญลักษณ์ วิธีท่อง ชื่อธาตุ สัญลักษณ์ วิธีท่อง ชื่อธาตุ สัญลักษณ์ วิธีท่อง ชื่อธาตุ
C N O
Si P S
Ge As Se
Sn Sb Te
Pb Bi Po
He
F Ne
Cl Ar
Br Kr
I Xe
At Rn
- สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับตำรำงธำตุ
ตารางธาตุแบ่งออกเป็น 8หมู่ 7คาบ
ธาตุโลหะอยู่ด้ายซ้ายมือ อโลหะอยู่ด้านขวา และ กึ่งโลหะอยู่ตรงขั้นบันได
H (ไฮโดรเจน) ไม่จัดอยู่ในหมูใ่ ดของตารางธาตุ
ธาตุหมู่ 1A เรียกว่า โลหะแอลคาไล (Alkali), หมู่ 2A เรียกว่า โลหะแอลคาไลเอิร์ท (Alkali earth) เพราะพบ
บนพื้นโลก, หมู่ 6A เรียกว่า ชาลโคเจน (Chalcogen), หมู่ 7A เรียกว่า ฮาโลเจน (Halogen), หมู่ 8A เรียกว่า
ก๊าซเฉื่อย (Inert gas) ธาตุโลหะทุกธาตุเป็นของแข็งที่ RTP (Room Temperature Pressure) ยกเว้น Hg
โลหะหมู่ 1A, 2A ไวต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมีมาก วางไว้ในอากาศไม่ได้ การเก็บรักษาต้องเก็บไว้ในน้ามัน
โลหะทรานซิชนั ส่วนใหญ่มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูงมาก
จงนาตัวเลขไปใส่หน้าข้อที่แสดงความสัมพันธ์อย่างเหมาะสมและถูกต้องที่สุด
ก) Cr Mn Fe ข) Xe Kr He ค) O S Se ง) Cs Rb Fr
จ) Be Ra Sr ฉ) N P As ช) C Si Ge ซ) Cl Br I ฌ) B Al In
.................. Alkali metals ................... Alkali earth metals .................. Chalcogens
.................. Halogens .................... Transition metals .................. Inert Gas
• การอ่านคาลงท้ายของการอ่านชื่อ
N3- Nitride (ไนไตรด์)
C4- …………………………………….
O2- …………………………………….
S2- …………………………………….
F- …………………………………….
Cl- …………………………………….
Br- …………………………………….
I- …………………………………….
H- …………………………………….
อนุมูลกลุ่ม ได้แก่
**Trick ของการเขียนชื่อสารประกอบโควาเลนต์
การเขียนสารประกอบโคเวเลนต์
จงเขียนชื่อและสัญลักษณ์ธาตุให้ถูกต้อง
สัญลักษณ์ ชื่อธาตุ ชื่อภาษาไทย สัญลักษณ์ ชื่อธาตุ ชื่อภาษาไทย
Pb Pt
ปรอท Sn
silver เหล็ก
As กามะถัน
Sb สังกะสี
จงเขียนสูตรทางเคมีของสารประกอบต่อไปนี้
เอทานอล ....................................... น้าตาลทราย .......................................
ก๊าซไข่เน่า ....................................... กรดไนตริก .......................................
น้าปูนใส ....................................... หินปูน .......................................
ซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ ....................................... คาร์บอนมอนอกไซด์ .......................................
ด่างทับทิม ....................................... โซดาไฟ .......................................
[Co(NH3)6]3+
3Cl- [Co(NH3)6]Cl3
อะตอมกลาง ลิแกนด์ เลขโคออดิเนชัน
[Fe(C2O4)3]3-
3K+ K3[Fe(C2O4)3]
อะตอมกลาง ลิแกนด์ เลขโคออดิเนชัน
: การอ่านชื่อสารประกอบ
อ่านชื่อไอออนบวกก่อนแล้วค่อยอ่านชื่อไอออนลบ
ถ้าโลหะอะตอมใดมีลิแกนด์เกาะอยู่ให้อ่านจานวนลิแกนด์ก่อนตามด้วยชื่อลิแกนด์แล้วค่อยอ่านชื่อโลหะ
เลขจานวนลิแกนด์ อ่านดังนี้
จานวนลิแกนด์ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
อ่านว่า Mono Di Tri Tetra Penta Hexa Hepta Octa Nona Deca
3. ลิแกนด์ที่เป็นกลาง เรียกชื่อเหมือนกับโมเลกุลที่เป็นกลาง
สารประกอบ ชื่อเมื่อเป็นลิแกนด์
H2O aqua
NH3 ammine
CO Carbonyl
NO Nitrosyl
4. ไอออนเชิงซ้อนมีประจุลบ ตัวอย่าง
โลหะ ชื่อโลหะ ชื่อโลหะในไอออนเชิงซ้อนที่มีประจุลบ
Al Aluminium aluminate
Cr Chromium chromate
Mn Manganese manganate
Ni Nickel nickelate
Co Cobalt colaltate
Zn Zinc Zincate
Mo Molybdenum Molybdate
Fe Iron Ferrete
Au Gold Aurate
Ag Silver Argentate
Cu Copper Cuprate
จงอ่านชื่อสารประกอบเชิงซ้อน
K3[Fe(CN)6]…………………………………………………………………………………………………………………………………….
[Co(NH3)6]Cl…………………………………………………………………………………………………………………………………….
[Cu(NH3)4]SO4…………………………………………………………………………………………………………………………………….
Li2[Ni(CN)6]…………………………………………………………………………………………………………………………………….
[Ni(H2O)6]SO4…………………………………………………………………………………………………………………………………….
ข้อควรทราบเกี่ยวกับสัญลักษณ์นิวเคลียร์ ****
1. เลขอะตอม = จานวนโปรตอน = ลาดับของธาตุในตารางธาตุ
* ถ้ารู้จานวนโปรตอน จะรู้ว่าเป็นธาตุลาดับที่เท่าไรในตารางธาตุ และเป็นธาตุอะไร
* ถ้าจานวนโปรตอนของอะตอมเปลี่ยนไปชนิดและสมบัตขิ องอะตอมจะเปลี่ยนไป
* อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันจะมีจานวนโปรตอนเท่ากัน
หมายถึง ตัวเลขแสดงค่าประจุไฟฟ้าที่แท้จริงหรือประจุไฟฟ้าสมมติของธาตุ
หลักการคิดเลขออกซิเดชัน
หมู่ I, II, III มีเลขออกซิเดชัน +1, +2, +3 ตามลาดับ เช่น Na+, Mg2+, Al3+
ธาตุ F มีเลขออกซิเดชันเท่ากับ -1 เสมอ เนื่องจากมีค่า EN (ความสามารถในการดึงดูด
อิเล็กตรอน) สูงสุดในตารางธาตุ
หมู่ V, VI, VII ส่วนใหญ่มีเลขออกซิเดชัน -3, -2, -1 ตามลาดับ
ธาตุหมู่ VIII ไม่มีเลขออกซิเดชัน (มีค่า=0) เพราะเสถียรอยู่แล้ว จึงไม่เกิดสารประกอบ
ธาตุแทรนสิชันบางชนิดส่วนใหญ่มีเลขออกซิเดชันได้หลายค่าและมีค่าเป็นบวก ส่วนธาตุแทรนสิ
ชันบางชนิดที่มีเลขออกซิเดชันเพียงค่าเดียวได้แก่ Ag+, Zn2+, Sc3+
H มีค่าเป็น +1 ถ้าเป็นพันธะโคเวเลนต์ และมีค่าเป็น -1 ถ้าเป็นพันธะไอออนิก
ไอออนชนิดเดียวกันจะมีค่าประจุเท่ากัน
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
ธาตุอิสระทุกตัวมีเลขออกซิเดชัน เท่ากับ 0 เช่น Na, Zn, O2, S8
เลขออกซิเดชันของสารประกอบใดๆ ก็ตาม รวมกันจะมีค่าเท่ากับ 0 หรือ เท่ากับไอออนที่ปรากฏ
อยู่
เลขออกซิเดชันจะมีค่าเป็นจานวนเต็มบวก จานวนเต็มลบ หรือเศษส่วนก็ได้
ถ้าสารประกอบมีธาตุ 3 ตัว ให้หาเลขออกซิเดชันของธาตุ 2 ตัวริมก่อน!
ความแตกต่างของเลขออกซิเดชันและเลขแสดงประจุของธาตุ
ความแตกต่าง เลขออกซิเดชัน ประจุของธาตุ
1. ชนิดของประจุ +,-,0 +,-
2. วิธีการเขียน +หรือ- อยู่หน้าตัวเลข เช่น +1,+2,- +หรือ- อยู่หลังตัวเลข เช่น +, 2+, -
1 , 2-
3. หาได้จากสารประกอบ ไอออนิก,โควาเลนต์, โลหะ ไอออนิกเท่านั้น
ลองทำดูนะ!
สถาบันกวดวิชาพีแอนด์ที พี่เบียร์ 094-929-2552
หัวโค้งหน้า มจพ. ติวเพิ่มเกรด-สอบเข้า การันตีดว้ ยประสบการณ์มากกว่า25ปี
www.facebook.com/schoolpandt
เคมีปรับพื้นสอบเข้า >> P&T Learning Institute Center << 19
P “Rain”
จงคานวณหาเลขออกซิเดชันของธาตุในสารประกอบและไอออนต่อไปนี้
จงหาเลขออกซิเดชันของธาตุแทรนซิขันในสารประกอบหรือไอออนเชิงซ้อนต่อไปนี้
[Cu(NH3)3H2O]O = ……………………………… [Co(NH3)5CO3]+ = …………………………………..
[Cr(NH3)4(SO4)]+ = ……………………………… [ZnCl4]2- = …………………………………..
[PtCl4]2- = ……………………………… [Ag(CN)2]- = …………………………………..
K2[Ni(CN)4] = ………………………………
สารละลาย (Solution)
คือ สารเนื้อเดียวที่ไม่บริสุทธิเ์ กิดจากสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมารวมกัน สารละลายแบ่งส่วนประกอบได้ 2 ส่วนคือ
1. ตัวทาละลาย (solvent)= สารที่มีความสามารถในการทาให้สารต่างๆ ละลายได้ โดยไม่ทาปฏิกิริยาเคมีกับสารนั้น
2. ตัวละลาย (solute)= สารที่ถูกตัวทาละลายละลายให้กระจายออกไปทั่วในตัว ทาละลายโดยไม่ทาปฏิกิริยาเคมี
โดยมีวิธีการสังเกตตัวทาละลายและตัวละลายดังนี้
▪ ใช้สถานะของสารละลายเป็นเกณฑ์ สารใดที่มีสถานะเดียวกันกับสารละลาย สารนั้นจะเป็นตัวทาละลาย เช่น น้า
ด่างทับทิม ประกอบน้าเป็นตัวทาละลายและด่างทับทิมเป็นตัวละลาย
▪ ใช้ปริมาณของสารแต่ละชนิดเป็นเกณฑ์ สารใดที่มีปริมาณมากกว่าสารนั้นจะเป็นตัว ทาละลาย เช่น ทองเหลือง
ประกอบด้วยทองแดงเป็นตัวทาละลายและสังกะสีเป็นตัวละลาย
ความเข้มข้นของสารละลาย
ตัวอย่าง 4 สารละลาย NaCl เข้มข้น 20 %โดยมวล/ปริมาตร จานวน 200 cm3 จะมี NaCl กี่โมล
(ข้อสอบปี’54) สารละลายกรด HNO3 เข้มข้น 20% โดยปริมาตร ถ้ากรด HNO3 มีความหนาแน่น 1.4 g/cm3
จงคานวณหาความเข้มข้นของกรด HNO3 ในหน่วย โมล/ลิตร
กำรนำสำรบริสุทธิ์มำละลำยในตัวทำละลำย
หลักการเตรียม คือ ละลายสารบริสุทธิ์ที่เป็นของแข็งตามปริมาณที่ต้องการลงในตัวทาละลาย แล้วปรับปริมาตรของ
สารละลายให้ได้ตามที่ต้องการ
1. ถ้ามี Pb(NO3)2 อยู่ 3.31 กรัม ต้องการเตรียมสารละลาย Pb(NO3)2 ที่มีความเข้มข้น 0.4 โมลต่อลิตร จะได้
สารละลายนี้มีปริมาตรกี่ลูกบาศก์เซนติเมตร
3. ถ้านาสารละลายกรด HCl เข้มข้น 1.0 โมล/ลิตรมา 20 cm3 แล้วเติมน้าจนมีปริมาตรเป็น 300 cm3 จะได้
สารละลายเข้มข้นกี่โมล/ลิตร
5. มีสารละลาย NaOH 0.5 โมล/ลิตร จานวน 200 cm3 จะต้องเติมน้าลงไปเท่าใดจึงจะได้สารละลาย 0.2 โมลาร์
ตัวอย่าง 1 ผสมสารละลาย HCl เข้มข้น 0.3 M จานวน 150 mL กับสารละลาย HCl 0.4 M จานวน 50 cm3 จะได้
สารละลายมีความเข้มข้นเท่าใด
ตัวอย่าง 2 นาสารละลาย HBr เข้มข้น 0.4 M และสารลาย HBr เข้มข้น 0.1 M อย่างละกี่ dm3 มาผสมกันจึงจะได้
สารละลาย HCl เข้มข้น 0.2 M จานวน 5 dm3
ตัวอย่าง 1 เมื่อใส่ Zn (สังกะสี) ลงในสารละลายกรด HCl (ไฮโดรคลอริก) 2.5 mol/l จานวนมากเกินพอ จะเกิดแก๊ส
H2 (แก๊สไฮโดรเจน) 5.6 dm3 ดังนั้นจะต้องใช้สังกะสีทั้งหมดกี่กรัม และใช้สารละลายกรด HCl กี่ cm3
ตัวอย่าง 2 จะต้องใช้ C6H12O6 กีก่ รัม จึงเกิด CO2 33.6 ลิตร ที่ STP กาหนดเป็นปฏิกิริยาดังนี้
ตัวอย่าง 3 นาหินปูน 5 g มาเผาจะสลายตัวหมดให้ CaO และได้ CO2 672 cm3 ที่ STP จงคานวณหามวลเป็นร้อย
ละของ CaCO3 ในหินปูน
▪ ขั้นตอนการหาสารกาหนดปริมาณ
. นาสิ่งที่โจทย์กาหนดมาให้ มาหารด้วยปริมาณของสารนั้นที่ทาปฏิกิริยาพอดี ตามสมการที่ดุลแล้ว
. พิจารณาผลหาร โดยสารที่หารแล้วเหลือน้อยกว่า จะเป็นสารกาหนดปริมาณ
3. จงคานวณร้อยละโดยมวลของธาตุต่างๆ ในกรดกามะถัน
- สารใดเป็นสารกาหนดปริมาณ
- สารใดเป็นสารมากเกินพอ และเหลืออยู่กี่กรัม
ข. เมื่อปฏิกิริยาสิ้นสุดจะเหลือสารใด ปริมาณกี่กรัม
CO2
CS2
HCN
BF3
BeCl2
PCl5
CCl4
NH3
CH4
C2H4
C3H4
C5H12
C6H10
C2H6
C3H6
C4H10
H2SO4
HNO3
H2CO3
HClO4
H3PO4
การเขียนแบบที่4 สารประกอบพันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์
พันธะที่เกิดจากอะตอมใดอะตอมหนึ่งจ่ายอิเล็กตรอนคู่ไปให้ธาตุตัวใดตัวหนึ่ง เพื่อให้มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน
ครบ 8 โดยไม่รับอิเล็กตรอนจากธาตุตัวนั้นกลับมา
สาร สูตรแบบจุด สูตรแบบเส้น
NH4+
OCN-
การเขียนแบบที่5 สารประกอบเรโซแนนซ์
การเกิดเรโซแนนซ์ คือ ปรากฏการณ์ที่ทาให้สามารถเขียนโครงสร้างลิวอิสได้มากกว่า 1 แบบ ซึ่งการเกิด
เรโซแนนซ์จะทาให้โมเลกุลมีเสถียรภาพเพิ่มขึ้น โครงสร้างที่แสดงการเกิดเรโซแนนซ์ เรียกว่า โครงสร้างเรโซแนนซ์
สาร สูตรแบบจุด สูตรแบบเส้น
SO2
O3
NO3-
N2O4
รูปร่างพันธะ
โมเลกุลโคเวเลนต์ มีรูปร่างแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแรงผลักภายในโมเลกุลของอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะและอิเล็กตรอนคู่
โดดเดี่ยวรอบอะตอมกลาง
คู่ e- = จุดอะตอมกลาง – แขนอะตอมล้อมรอบ
สามเหลี่ยมแบนราบ
120o
(Trigonal planar)
พีระมิดฐานสามเหลี่ยม
<109.5o
(Trigonal pyramidal)
พีระมิดคู่ฐานสามเหลี่ยม
90o และ 120o
(Trigonal bipyramidal)
ทรงสี่เหลี่ยมแบนราบ
90o
(Square Planar)
ทรงแปดหน้า
90o
(Octahedral)
1. จงทานายรูปร่างโมเลกุลคเวเลนต์ของสารประกอบต่อไปนี้พร้อมทั้งบอกขนาดมุมระหว่างพันธะ
NO3-
TeF2
SF6
PO33-
AsH5
SO2
SiO2
H2SO4
หมายเหตุ : สารประกอบที่ มี แ รงยึ ด เหนี่ ย วระหว่ า งโมเลกุ ล เฉพาะแรงแวนเดอร์ ว าลส์ อาจมี จุ ด เดื อ ดสู ง กว่ า
สารประกอบที่มีแรงยึด เหนี่ยวระหว่างโมเลกุลเป็นพันธะไฮโดรเจนก็ได้ ถ้าสารนั้นมีมวลโมเลกุลมากกว่ามากๆ
1. จงเขียนสูตรโครงสร้างของสารประกอบต่อไปนี้ พร้อมทั้งระบุว่าสารแต่ละชนิดสามารถเกดพันธะไฮโดรเจนได้
หรือไม่
สาร สูตรโครงสร้างแบบเส้น แสดงการเกิดพันธไฮโดรเจน
HCOOH
HCiO3
CF2H2
2. จงระบุชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของสารประกอบโคเลนต์ต่อไปนี้
NHCl2 ..........................................................................................................
C2H2 ..........................................................................................................
HCN ..........................................................................................................
SiH3F ..........................................................................................................
SCl2 ..........................................................................................................
CH3OH ..........................................................................................................
กระบวนการสร้างพันธะ เป็นกระบวนการคายความร้อน
กระบวนการสลายพันธะ เป็นกระบวนการดูดความความ
การระเหิด
ความ
ร้อน
ดูด
การหลอมเหลว การกลายเป็นไอ
ของแข็ง ของเหลว แก๊ส
การแข็งตัว การควบแน่น
ความ
ร้อน
คาย
การพอกพูน
สมบัติของแก๊ส (Gas)
พารามิเตอร์ในการคานวณเรื่องก๊าซ
T V
1L =
𝐂 𝐅 − 𝟑𝟐
𝟓
=
𝟗 อุณหภูมิ oC,oF, K 1000 cm3 ปริมาตร dm3, l
1dm3 =
K=oC+273
1ลิตร
P
1ATM =
760mmHg ความดัน ATM
1ATM =
1บรรยากาศ
กฎต่างๆ ของแก๊สมีดังนี้
PV
T1
T2
V V
1 2
T T
1 2
V P1
P2
T(K)
P P
1 2
T T
1 2
P V1
V2
T(K)
กฎของก๊าซอุดมคติ ใช้สูตรนี้ก็ต่อเมื่อโจทย์ต้องการหาสมบัติของแก๊สที่สภาวะใดๆ
P= ความดันแก๊ส
PV = nRT n = โมลของแก๊ส
(ATM)
V= ปริมาตรแก๊ส
m = มวลของแก๊ส (g)
(dm3)
แปลงค่า n MW=มวลโมเลกุลแก๊ส T= อุณหภูมิแก๊ส (K)
N=ความเข้มข้นแก๊ส
R= 0.082 atm·dm3/mol·K
(mol/dm3)
PV m
P=NRT
RT MW
กฎความดันย่อยของดาลตัน
ใช้สูตรนี้ก็ต่อเมื่อหาความดันรวมของแก๊สหลายๆ ชนิดที่กระทาต่อภาชนะ
แก๊สหลายชนิดอยู่ในภาชนะ เดียวกัน
Pรวม = P1 + P2 + P3 + … + Pn
กฎการแพร่ของเกรแฮม
R = อัตราการแพร่ของแก๊ส (ml/min)
d = ความหนาแน่นของแก๊ส (g/cm3)
R1 d M2 v1 s1 t2
2
R2 d1 M1 v 2 t1 s2 M = มวลโมเลกุลของแก๊ส
v = ความเร็วของแก๊ส
ปัจจัยที่มีผลต่อการแพร่ของแก๊ส :
1. มวลโมเลกุล แก๊สทีม่ ีมวลน้อยกว่าจะแพร่ได้เร็วกว่าแก๊สที่มีมวลมาก
2. ความหนาแน่น แก๊สที่ความหนาแน่นน้อยจะแพร่ได้เร็วกว่า
กฎของเกรแฮม : อัตราการแพร่ผ่านของแก๊สจะแปรผกผันกับรากที่สองของความหนาแน่น
เป็นกฎของ........................................................ สูตคือ……………………………………………………………………………
............................................................................................................................................................................
การจัดเรียงตัวของอนุภาคของของแข็ง
การจัดเรียงอนุภาคของของแข็ง
1. ของแข็งผลึก 2. ของแข็งอสัณฐาน
เป็นโครงสร้างของแข็งที่อยู่กันเป็นระเบียบแบบแผน อยูปะปนกันอยางไมเปนระเบียบ ไมมีรูปรางที่แนนอน
ผิวหนาเรียบ มุมระหวางผิวหนามีคาแนนอน ผิวหนาไม่เรียบ
มีจุดหลอมเหลวแนนอน ช่วงหลอมเหลวกว้าง
มีสมบัติไมเหมือนกันทุกทิศทาง มีสมบัติเหมือนกันทุกทิศทาง
เช่น คาร์บอน ฟอสฟอรัส กามะถัน เช่น พลาสติก แก้ว พอลิเมอร์บางชนิด ยาง
ตัวอย่างผลึกของแข็งที่เกิดจากธาตุเดียวกันแต่โครงสร้างต่างกัน ซึ่งผลึกลักษณะนี้จะเรียกว่า อัญรูป จะมีสมบัติทาง
กายภาพและทางเคมีต่างกัน
อัญรูปของธาตุกามะถัน (S8)
กามะถันมอนอคลินิก มีสถานะเปนของแข็งรูปผลึกเป
กามะถันรอมบิก เปนกามะถันทีอ่ ยูในธรรมชาติ และ
นรูปเข็ม ผลึกนี้จะอยูตัวที่อุณหภูมิสูงกวา 96 ๐C ดังนั้น
เสถียรที่อุณหภูมิปกติ
จึงไมอยูตัวที่ภาวะปกติ
การจัดเรียงตัวของอนุภาคของของเหลว
สมบัติของของเหลวทั่วไปที่ต้องศึกษา
การระเหย (Evaporation)
- ของเหลว → ไอ ที่อุณหภูมิต่ากว่าจุดเดือด
- เกิดจากโมเลกุลเคลื่อนที่ตลอดเวลาทาให้แต่ละโมเลกุลมีความเร็วไม่เท่ากัน ทาให้โมเลกุลที่มีพลังงานจลน์
สูงจนชนะแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลหลุดออกจากผิวหน้าของเหลวกลายเป็นไอ
- ของเหลวที่ระเหยง่าย → มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลต่า
- ของเหลวที่ระเหยยาก → มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลสูง
- เมื่อของเหลวเกิดการระเหยแล้วของเหลวที่เหลือจะมีพลังงานจลน์ลดลงเสมอทาให้อุณหภูมิของของเหลว
ลดลง→นามาทาเครื่องทาความเย็น
ปัจจัยที่มีผลต่อความดันไอ
1. แรงระหว่างโมเลกุล 1
ความดันไอ
2. จุดเดือด ความดันไอ
3. สารชนิดเดียวกันอุณหภูมิความดันไอจะเท่ากันเสมอ ไม่ว่าจะปริมาตรต่างกัน
ความดันไอไม่ขึ้นกับปริมาตร
4. ความดันไอเกิดขึ้นที่สภาวะสมดุล เกิดขึ้นทีร่ ะบบปิดเท่านั้น
5. อุณหภูมิ ความดันไอ
การเดือดของของเหลว
- การเดือด (Boiling) จะเกิดขึ้นเมื่อความดันไอของของเหลวเท่ากับความดันของบรรยากาศ ณ อุณหภูมินั้นๆ
เรียกว่า จุดเดือด (Boiling point, b.p.)
- จุดเดือดปกติ คือความดัน 1 บรรยากาศ (1 atm)
- จุดเดือด ความดันบรรยากาศ
- จุดเดือด 1
ความสูงของ ของเหลว
โมเลกุลของเหลวบริเวณภายในไม่เกิดแรงตึงผิว โมเลกุลของของเหลวบริเวณผิวหน้าเกิดแรงตึงผิว
4. ประโยคในแต่ละข้อต่อไปนี้ถูกหรือผิด หากผิดให้แก้ไขให้ถูกต้องสมบูรณ์
4.1 ของเหลว X ความดันไอสูง จุดเดือดจะสูง แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลจะสูงด้วย
.........................................................................................................................................................................................
4.2 ที่อุณหภูมิเดียวกันสาร A และสาร B มีความดันไอ 0.15 และ 0.05 atm ตามลาดับ สาร A จะมีจุดเดือด
ต่ากว่าสาร B และสาร A จะระเหยยากกว่าสาร B
.........................................................................................................................................................................................
4.3 ของเหลวจะเดือดเมื่อความดันไอของของเหลวสูงกว่าความดันบรรยากาศ
.........................................................................................................................................................................................
4.4 ก๊าซสามารถเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวได้ ถ้าเพิ่มทั้งอุณหภูมิและความดันให้มากขึ้น
.........................................................................................................................................................................................
4.5 การระเหิดเกิดขึ้นเนื่องจากโมเลกุลของของแข็งเกิดการชนกันตลอดเวลาจึงมีการถ่ายเทพลังงานให้แก่กัน
และกัน และจะเกิดทั่วทุกบริเวณของของแข็ง
.........................................................................................................................................................................................
4.6 กามะถันมีการจัดเรียงโมเลกุลต่างกัน จึงทาให้กามะถันจึงมีรูปร่าง สมบัติและสูตรโมเลกุลที่แตกต่างกัน
.........................................................................................................................................................................................
กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความดันไอกับจุดเดือด
และตอบคาถามต่อไปนี้
ก. ที่อุณหภูมิ 50oc ของเหลวชนิดใดมีความดันไอสูงที่สุด
.........................................................................................................................................................................................
ข. ที่ความดันไอ 0.5 atm ของเหลว A B C และ D จะเดือดที่อุณหภูมิเท่าใด
.........................................................................................................................................................................................
ค. ของเหลวแต่ละชนิดมีจุดเดือดปกติ เท่าใด
.........................................................................................................................................................................................
ง. จงเรียงลาดับแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของของเหลวทั้งสามชนิดที่ความดัน 1 atm จากมากไปน้อย
.........................................................................................................................................................................................
จ. ถ้านาของเหลวดังกล่าวไปต้มที่อุณหภูมิ 100oc ของเหลวชนิดใดที่สามารถเดือดได้บ้าง
.........................................................................................................................................................................................
: สมมติปฏิกิรยิ า A → C ปริมาณสารมีการเปลี่ยนแปลงดังกราฟ
ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี แบ่งออกเป็นดังนี้
ธรรมชาติของสารตั้งต้น
ลักษณะการสลายพันธะ : หากสารตั้งต้นโครงสร้างเสถียรอยู่แล้วจะเกิดปฏิกิริยาเคมียากกว่าสารไม่เสถียร
โมเลกุลไม่ซับซ้อน
โมเลกุลซับซ้อนมากเกิดปฏิกิริยายากมาก โมเลกุลซับซ้อนเกิดปฏิกิริยายาก
เกิดปฏิกิริยาง่าย
คือเส้นก่อนเพิ่มอุณหภูมิ
คือเส้นหลังเพิ่มอุณหภูมิ
เพิ่มเติม : พื้นที่ผิวจะมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีเฉพาะปฏิกิริยาเนื้อผสมเท่านั้นเนื้อเดียวไม่มีผล
ปัจจัยที่จะเกิดปฏิกิริยาเคมี
ต้องทีจานวนโมเลกุลมากพอ
ต้องมีการชนกัน
ต้องมีพลังงานสูงพออย่างน้อยเท่ากับพลังงานก่อกัมมันต์
ต้องมีทิศทางที่เหมาะสม
2. จงหาอัตราการลดลงของ H+
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
1. จงหากฎอัตราและอันดับของปฏิกิริยา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
1. จงหาอันดับของปฏิกิริยา พร้อมเขียนสมการแสดงกฎอัตราของปฏิกิริยา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
• จงตอบคาถาม จากกลไกปฏิกิริยาต่อไปนี้
1. 2M + A C+X Ea = 52 kJ
X+B C+Y Ea = 12 kJ
Y+B A Ea = 25 kJ
a. จงเขียนสมการแสดงปฏิกิริยารวมของกลไกข้างบนนี้
..............................................................................................................................................................................
b. สารเร่งปฏิกิริยา คือ.........................................................................................................................................
c. สารมัธยันตร์ของปฏิกิริยานี้คือ........................................................................................................................
d. สมการแสดงกฎอัตราของปฏิกิริยา คือ............................................................................................................
a. จงเขียนสมการแสดงปฏิกิริยารวมของกลไกข้างบนนี้
..............................................................................................................................................................................
b. สารเร่งปฏิกิริยา คือ.........................................................................................................................................
c. สารมัธยันตร์ของปฏิกิริยานี้คือ........................................................................................................................
d. สมการแสดงกฎอัตราของปฏิกิริยา คือ............................................................................................................
•จงตอบคาถามต่อไปนี้
1. แคลเซียมคาร์บอเนตทาปฏิกิริยากับกรดไฮโดรคลอริกดังสมการ
CaCO3(s) + 2HCl(aq) → CaCl2(aq) + H2O(l) + CO2(g)
เมื่ อ ใช้ แ คลเซี ย มคาร์ บ อเนตชนิ ด ก้ อ นและชนิ ด ผงที่ มี ม วลเท่ า กั น ท าปฏิ กิ ริ ย ากั บ กรดไฮโดรคลอริ ก อั ต ราการ
เกิดปฏิกิริยาจะต่างกันหรือไม่ อย่างไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
2. ในปฏิ กิ ริ ย า H2(g) + Cl2(g) → 2HCl(g) ถ้ า เติ ม ผงนิ ก เกิ ล ลงไปเล็ ก น้ อ ยจะมี ผ ลท าให้ อั ต ราการ
เกิดปฏิกิริยาสูงขึ้น นักเรียนคิดว่าผงนิกเกิลทาหน้าที่อะไร และมีผลต่อการดาเนินไปของปฏิกิริยาอย่างไร จงอธิบาย
.........................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................
ก. จงเขียนสมการแสดงปฏิกิริยารวมของกลไกข้างบนนี้
..............................................................................................................................................................................
ข. สารมัธยันตร์ของปฏิกิริยานี้คือ................................................................................................................
ค. สารเชิงซ้อนก่อกัมมันต์ (Activated complex) คือสารใด.....................................................................
ง. พลังงานก่อกัมมันต์ของแต่ละขั้นมีค่าเท่าใดบ้าง......................................................................................
จงตอบคาถามต่อไปนี้
1. ปัจจัยใดที่ทาให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเร็วขึ้นอย่างน้อย 2 ปัจจัย อธิบายพอสังเขป
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
2. โลหะแมกนีเซียมแบบก่อน หรือ แบบผง ชนิดใดจะเกิดปฏิกิริยาเร็วกว่ากัน เพราะเหตุใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
3. สารเคมีที่ใส่ลงไปในปฏิกิริยา แล้วทาให้ปฏิกิริยาเกิดช้าลง เรียกว่า........................................................
ปฏิกิริยาที่อยู่ในภาวะสมดุล เช่น
A+B⇋C+D
ตัวเร่งกับภาวะสมดุล
ตัวเร่งปฏิกิริยาหรือคะตะลิสต์ ถ้าใส่ตัวเร่งปฏิกิริยาลงไปปฏิกิริยาที่อยู่ในภาวะสมดุล และปฏิกิริยานี้ยังไม่เข้าสู่ภาวะ
สมดุล ตัวเร่งปฏิกิริยาจะเร่งปฏิกิริยาเข้าส่สมดุลได้เร็วขึ้น โดยเร่งอัตราการเกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้าและย้อนกลับให้
เท่ากัน แต่ถ้า ระบบเข้าสู่สมดุลอยู่แล้ว การเพิ่มตัวเร่งปฏิกิริยาจะไม่มีผลต่อระบบ
การเปลี่ยนภาวะสมดุล
เลอชาเตอลิเอ กล่าวว่า
“ระบบใดทีเ่ ข้าสู่ภาวะสมดุลแล้ว ถ้าถูกรบกวนด้วยภาวะต่างๆ จะทาให้สมดุลของระบบเสียไป
แต่ระบบจะพยายามปรับสภาวะใหม่ เพื่อให้กลับมาสมดุลได้อีกครั้ง แต่จะไม่เหมือนกับครั้งแรก”
• สิง่ ที่ทาให้สมดุลเปลี่ยนได้แก่
1. ความเข้มข้น
2. ความดันและปริมาตร
การเพิ่มความดัน
การลดความดัน
3. อุณหภูมิ *มีผลต่อค่ำคงที่สมดุล*
การจะบอกว่า สมดุลเลื่อนไปทางใด ต้องรู้ว่าระบบนั้นๆ เป็นระบบดูดหรือคายความร้อน
ตัวอย่าง ระบบดูดและคายความร้อนแบบต่างๆ
1. A + B ⇋ C + D ดูดความร้อน
2. A + B ⇋ C + D คายความร้อน
3. A + B ⇋ C + D + heat
4. A + B ⇋ C + D - heat
5. A + B + heat ⇋ C + D
6. A + B - heat ⇋ C + D
7. A + B ⇋ C + D ΔH เป็นบวก
8. A + B ⇋ C + D ΔH เป็นลบ
การทดลองเกี่ยวกับอุณหภูมิกับภาวะสมดุล
จากปฏิกิริยา
2NO2(g) ⇋ N2O4(g)
สีน้าตาลแดง ไม่มีสี
การหาค่า Kp (p=pressure)
ถ้าสารในสมการสมดุล มีสถานะเป็นแก๊ส เราสามารถหาค่า K จากความดันย่อยของแก๊สได้
ความสัมพันธ์ของ Kc กับ Kp
PV = nRT
P = NRT
จากสมการ aA + bB ⇋ cC + dD
- ข้อความใดไม่จาเป็นสาหรับระบบที่อยู่ที่สมดุล
1. เป็นระบบใด
2. มีอัตราเร็วของปฏิกิริยาไปข้างหน้าและปฏิกิริยาย้อนกลับเท่ากัน
3. มีความเข้มข้นคงที่
4. มีความเข้มข้นของสารผลิตภัณฑ์เท่ากับสารตั้งต้น
- ผลการทดลองต่อไปนี้
2CrO42- + 2H+ ↔ Cr2O72− + H2O
ถ้าเติม NaOH 6 mol/l 10 หยด ลงในสารผสมของปฏิกิริยา ผลคือ ปฏิกิริยาจะดาเนินไปทางด้านขวา หรือด้านซ้าย
และสารละลาย จะมีสีอะไร
- ถ้าเพิ่มความดันให้แก่ระบบแล้ว ปฏิกิริยาข้อใดที่จะเพิ่มปริมาณผลิตภัณฑ์
1. 2CO(g) + 2NO(g) ↔ 2CO2(g) + N2(g)
2. C2H4(g) ↔ C2H2(g) + H2(g)
3. C(s) + O2(g) ↔ CO2(g)
4. 3Fe(s) + 4H2O(g) ↔ Fe3O4(s) + 4H2(g)
- ปฏิกิริยาที่ภาวะสมดุลที่อุณหภูมิคงที่ต่อไปนี้ ปฏิกิริยาใดหากมีการขยายปริมาตรจากเดิมเป็นสองเท่าจะมีการ
เปลี่ยนแปลงทิศทางของปฏิกิริยาไปทางขวามือ
1. H2(g) + CO2(g) ↔ H2O(g) + CO(g) 2. PCl5(g) ↔ PCl3(g) + Cl2(g)
3. H2(g) + Cl2(g) ↔ 2HCl(g) 4. N2(g) + 3H2(g) ↔ 2NH3(g)
- ปฏิกิริยาต่อไปนี้ 4NH3(g) + 3O2(g) ↔ 2N2(g) + 6H2O(g) มีค่าคงทีส่ มดุลที่ 25oC เท่ากับ 1x1028 ถ้าเพิ่มความ
ดันของปฏิกิริยานี้ที่ 25oC ข้อความต่อไปนี้ข้อความใดถูกต้อง
1. จะเกิด NH3(g) เพิ่มขึ้น เป็นผลให้ค่าคงทีข่ องสมดุลนี้ลดลง
2. จะเกิด O2(g) ลดลง เป็นผลทาให้ค่าคงทีข่ องสมดุลนี้เพิ่มขึ้น
3. จะเกิด N2(g) เพิ่มขึ้น เป็นผลทาให้ค่าคงที่ของสมดุลนี้เพิ่มขึ้น
4. จะเกิด H2O(g) ลดลง เป็นผลทาให้ค่าคงที่ของสมดุลนี้เท่าเดิม
4. จากปฏิกิริยา 2A (g) + B (l) ⇄ C (g) + D (g) บรรจุสาร A 14 mol ในภาชนะ 10 ลิตร ถ้าค่าคงที่สมดุลของ
ปฏิกิริยานี้เท่ากับ 9 จงหาเปอร์เซ็นต์การสลายตัวของสาร A
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. จากสมการการละลาย AgNO3 (s) ⇄ Ag+ (aq) + NO3- (aq) จงตอบค าถามต่ อ ไปนี้ พร้ อ มทั้ ง บอกปริ ม าณ
AgNO3 (s) เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร
5.1 เติม KNO3 สมดุลจะเลื่อนไปทาง........................................ปริมาณ AgNO3 (s)…………………………..
5.2 เติม NaCl สมดุลจะเลื่อนไปทาง........................................ปริมาณ AgNO3 (s)………………………….
5.3 ลดความดัน สมดุลจะเลื่อนไปทาง....................................................................................................
7. เมื่อปล่อยให้แก๊ส A2 ปริมาตร 44.8 dm3 ผสมกับแก๊ส B2 ปริมาตร 44.8 dm3 ที่ STP เข้าสู่สมดุลในภาชนะ ขนาด
4 ลิ ต ร ที่ 25 ๐ C ตามสมการ A2 (g) + B2 (g) ⇄ 2AB (g) ถ้ า ค่ า สมดุ ล ของปฏิ กิ ริ ย าเท่ า กั บ 9 เปอร์ เ ซ็ น ต์
การสลายตัวของ A มีค่าเท่ากับเท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
นาไฟฟ้า
+โลหะเกิด น้าเงิน→
ก๊าซH2 แดง
กรด
กัดกร่อน
โลหะ
pH <7
รส
เปรี้ยว
นาไฟฟ้า
+กรดได้ แดง→
เกลือและน้า น้าเงิน
เบส
ไม่กัดกร่อน
โลหะ
pH >7
รสฝาด
ทฤษฎีกรด-เบส
ผู้คิดค้น กรด เบส ข้อจากัด
สารที่ละลายน้าแล้วแตกตัวให้ H+ สารที่ละลายน้าแล้วแตกตัวให้ OH- ต้องเป็นสารที่
เช่น HCl → H+ + Cl- เช่น NaOH → Na+ + OH- ละลายน้าแล้วมี
อารีเนียส
H+ และ OH- เป็น
องค์ประกอบ
สารที่ให้ H+ แก่สารอื่น สารที่รับ H+ จากสารอื่น ต้องเป็นสารที่แตก
เบิรสเตดและ เช่น HCl+H2O → H3O++Cl- เช่น NH3+H2O → NH4++OH- ตัวเป็นไอออนหรือ
ลาวรี มี H+เป็น
องค์ประกอบ
ลิวอิส สารที่รับ lone pair e- จากสารอื่น สารที่ให้ lone pair e- แก่สารอื่น -
การแบ่งชนิดของเบส การแบ่งชนิดของกรด
เบสที่มี OH- เบสที่มี OH- เบสที่มี OH- 3 แบ่งตามจานวนการแตก แบ่งตามองค์ประกอบธาตุ
ตัว กรดไฮโดร H+อโลหะ
1หมู่ เช่น 2หมู่ เช่น หมู่ เช่น
Al(OH)3 กรดโมโนโปรติก แตก เช่น HF, HCl, HBr,
LiOH Mg(OH)2
Fe(OH)2 ตัวได้ 1 ครั้ง เช่น HCl, H2O
NaOH Ca(OH)2
HBr, HF กรดออกซี H+O+ธาตุ
KOH Sr(OH)2
กรดไดโปรติก แตกตัว อื่น เช่น HNO3, HClO4,
ได้ 2 ครั้ง เช่น H2SO4, HNO2
H2CO3
กรดไตรโปรติก แตกตัว
ได้ 3 ครั้ง เช่น H3PO4
ความแรงของกรด-เบส
กรด เบส
กรดแก่ กรดอ่อน เบสแก่ เบสอ่อน
HCl HNO3 HF HCOOH NaOH Ca(OH)2 NH4OH
HBr HClO4 CH3COOH HCN LiOH Sr(OH)2 NH3
HI HClO3 H2CO3 HNO2 KOH Ba(OH)2 CH3NH2
H2SO4 H3PO4 HClO2 CsOH Ra(OH)2 Mg(OH)2
RbOH Be(OH)2
FrOH Al(OH)3
การคานวณกรดแก่-เบสแก่
เมื่อนากรดแก่แ ละเบสแก่ไปละลายน้า จะเกิดการแตกตัวได้อย่ างสมบูรณ์ ปฏิกิริย าการแตกตั วจะเป็ น
ปฏิกิริยาไปข้างหน้าอย่างเดียวไม่ผันกลับ การคานวณใช้วิธีเหมือนการคานวณปริมาณสารสัมพันธ์และสมการเคมี
ธรรมดาคือใช้สมการ
g Vgas CV N g 1000
n Molar (mol/dm 3 )
MW 22.4 1000 6.02x10 23 MW cm3
% 10 d
% 10 Molar (mol/dm3 )
Molar (mol/dm 3 ) กรณี (%w/v) MW
MW กรณี (%w/w) หรือ (%v/v) ,d = ความหนาแน่น (g/cm3)
การคานวณกรดอ่อน-เบสอ่อน
การพิจารณาว่าสารผสมคู่ใดเป็นบัฟเฟอร์หรือไม่นั้น ให้ใช้หลักดังนี้
กรณีที่สารที่ผสมกันนั้นไม่ทาปฏิกิริยากัน ให้ดูว่ามีสารตัวหนึ่งเป็นกรดอ่อนหรือเบสอ่อน แล้วอีกตัวเป็นเกลือซึ่งมี
ไอออนของกรดอ่อนหรือเบสอ่อนนั้นหรือไม่ ถ้าใช่สารผสมนั้นจะเป็นบัฟเฟอร์ทันที ไม่ต้องสนใจปริมาณสารแต่ละตัว
กรณีที่เป็นสารผสมของกรดกับเบส ให้พิจารณาปริมาณ H+ ของกรด และ OH– ของเบส หากไอออนที่มีมากกว่า
เป็นของกรดอ่อนหรือเบสอ่อน สารผสมนั้นจะเป็นบัฟเฟอร์ เพราะกรดจะทาปฏิกิริยากับเบสแล้วเกิดเกลือของกรด
อ่อนหรือเบสอ่อนผสมอยู่กับกรดอ่อนหรือเบสอ่อนที่เหลือนั้น
การคานวณเกี่ยวกับปฏิริยาของกรดและเบส
กรณีที่กรดกับเบสทาปฏิกิริยากันหมดพอดี
กรณีที่กรดกับเบสทาปฏิกิริยากันหมดพอดี เช่นกรณีที่โจทย์บอกกรดและเบสทาปฏิกิริยาสะเทินกันพอดี หรือทาการ
ไทเทรตแล้วถึงจุดยุติพอดี เป็นต้น กรณีเหล่านี้สูตรที่ใช้คานวณมีดังนี้
acava = bcbvb
แบเรียมไฮดรอกไซด์ทา ปฎิกิริยากับกรดไฮโดรคลอริกดังสมการ
Ba(OH)2(aq) + 2HCl(aq) → BaCl2(aq) + 2H2O(l)
การไทเทรตกรด –เบส
เป็นวิธีการหาความเข้มข้นหรือปริมาณของสารในสารละลายตัวอย่างโดยให้ทาปฏิกิริยากับสารที่ทราบความเข้มข้น
(สารมาตราฐาน =สารที่อยู่ในบิวเรต) และวัดปริมาตรของสารที่ทาปฏิกิริยากันพอดี
จุดสมมูลหรือจุดสะเทิน (Equivalent point) = จุดทีส่ ารละลายทั้งสองทาปฏิกิริยากันพอดี
จุดยุติ (End point) = จุดที่หยุดการไทเทรต
3. เซลล์ไฟฟ้าเคมี
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
3.1 เซลล์กัลวานิก หรือ เซลล์โวลตาอิก (Galvanic cell หรือ Voltaic cell)
3.2 เซลล์อิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte cell)
3.1 เซลล์กัลวานิก
เป็นเซลล์ไฟฟ้าเคมี ที่สารทาปฏิกิริยากันแล้วให้กระแสไฟฟ้าออกมา เป็นเซลล์ที่สามารถเกิดขึ้นได้เอง มีค่า Ecello
เป็นค่าบวกเสมอ ในชีวิตประจาวัน เราใช้เซลล์กลั วานิกกับอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชนิด เช่น ไฟฉาย วิทยุ นาฬิกา
โทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
พลังงานเคมี → พลังงานไฟฟ้า
รูปแสดงส่วนประกอบของเซลล์กัลป์วานิก
ส่วนประกอบของเซลล์กลั วานิก
1. ครึ่งเซลล์ (half cell) 2. สะพานไอออน (salt bridge) 3. เครื่องมือวัดความต่างศักย์ไฟฟ้า
ครึ่งเซลล์ที่มีขวั้ ว่องไวในการ เป็ น ตั ว เชื่ อ มวงจรไฟฟ้ า แต่ ล ะครึ่ ง (Voltmeter)
เกิดปฏิกิริยา (ส่วนใหญ่เป็น เซลล์ เ ข้ า ด้ ว ยกั น ถ้ า ไม่ มี ส ะพาน - เป็นเครื่องมือวัดว่า ทั้ง 2 ครึ่ง
ขั้วไฟฟ้าที่ทาจากโลหะ) เช่น ไอออน จะไม่ มี ก ระแสไฟฟ้ า ไหลใน เซลล์ มีศักย์ไฟฟ้าต่างกันกี่โวลต์
- โลหะ Zn จุ่มในสารละลายทีม่ ี วงจร เนื่ อ งจากวงจรไฟฟ้ า ไม่ ค รบ
Zn2+ นอกจากนี้ สะพานไอออนยังทาหน้าที่ - ในกรณีที่ความต่างศักย์มาก ๆ
รักษาสมดุลระหว่า งไอออนบวกและ อาจใช้หลอดไฟวัดความสว่างก็
- โลหะ Cu จุ่มในสารละลายทีม่ ี ไอออนลบ ได้
Cu2+ สารที่ใช้ทาสะพานไอออน
ครึ่งเซลล์ที่มีขวั้ เฉื่อยในการ คือ สารละลายอิ่มตัวของเกลือต่าง ๆ
เกิดปฏิกิริยา เช่น NH4NO3 , KCl , KNO3 ,
NH4Cl เกลือที่ใช้ทาสะพานไอออนนี้
- ใช้ขั้วไฟฟ้าที่ทาจากโลหะหรือ
ต้องไม่มีไอออนที่ไปทาปฏิกิริยากับ
อโลหะบางชนิด เช่น โลหะ
สารละลายในแต่ละครึ่งเซลล์ด้วย
แพลทินัม (Pt) และแกรไฟต์ (C)
- ขั้วไฟฟ้าชนิดนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
กับการเกิดปฏิกิริยาใด ไม่มีการผุ
กร่อน เพราะทาหน้าที่เป็นตัวถ่าย
โอนอิเล็กตรอนให้เคลื่อนที่ครบ
วงจร
ครึ่งเซลล์ที่มีขวั้ ไฟฟ้าเป็นแก๊ส
- ครึ่งเซลล์นี้จะประกอบด้วยโลหะ
Pt ห รื อ แ ก ร ไ ฟ ต์ จุ่ ม อ ยู่ ใ น
สารละลายอิ เ ล็ ก โทรไลต์ โดยมี
แก๊สผ่านเข้าไปในสารละลายนั้ น
ตลอดเวลา
- ปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นที่แผ่น Pt การที่
ต้องมีแผ่น Pt อยู่ด้วย เพราะแก๊ส
ทาหน้าที่เป็นขั้วไฟฟ้าไม่ได้
การเขียนแผนภาพเซลล์แบบต่าง ๆ
E0 = ศักย์ไฟฟ้าครึ่งเซลล์มาตราฐาน
3. ในการสร้างเซลล์กัลวานิกชุดหนึ่ง ครึ่งเซลล์ไฟฟ้าประกอบด้วยแท่งโลหะแคลเซียมจุ่มในสารละลายแคลเซียมไนเต
รท เข้มข้น 1 โมล/ลิตร และอีกครึ่งเซลล์ไฟฟ้าประกอบด้วนสารละลาย HCl เข้มข้น 1 โมล/ลิตร ซึ่งมีก๊าซไฮโดรเจน
1 บรรยากาศผ่านอยู่ และเชื่อมด้วยสะพานเกลือ (ซึ่งเป็นหลอดแก้วรูปตัวยูบรรจุวุ้นที่มี KNO3 บรรจุอยู่) จงตอบ
คาถามต่อไปนี้
3.1 จงวาดรูปแสดงการเกิดเซลล์กัลวานิก พร้อมทั้งแสดงทิศทางการไหลของอิเล็กตรอน
4. จงตอบคาถามจากข้อมูลต่อไปนี้
A (s)/A+ (aq) E๐ = -3.0 V C (s)/C2+ (aq) E๐ = -0.7 V
B (s)/B2+ (aq) E๐ = -2.0 V D (s)/D3+ (aq) E๐ = -0.4 V
4.1 ถ้าจุ่มโลหะ A ลงในสารละลาย B2+ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร
____________________________________________________________________________________
4.2 ถ้าจุ่มโลหะ A ลงในสารละลาย C2+ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพราะเหตุใด
____________________________________________________________________________________
4.3 ถ้าต้องการให้เกิดปฏิกิริยาระหว่าง B (s)/B2+ (aq) กับ D (s)/D3+ (aq) ควรใช้โลหะใดเป็นขั้วไฟฟ้า และ
ควรใช้ไอออนใดเป็นสารละลาย
___________________________________________________________________________________
Half-oxidation reaction :______________________________________________________________
Half-redution reaction :________________________________________________________________
Redox reaction :______________________________________________________________________
Reducing agent:______________________________________________________________________
4.4 จากครึ่งเซลล์ที่กาหนดให้ จงเรียงลาดับความสามารถในการเป็นตัวรีดิวซ์จากมากไปน้อย
____________________________________________________________________________________
4.5 จากครึ่งเซลล์ที่กาหนดให้ จงเรียงลาดับความสามารถในการเป็นตัวออกซิไดส์จากมากไปน้อย
____________________________________________________________________________________
5. กาหนด ค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานรีดักชันของโลหะและภาพเซลล์กัลป์วานิก
A2+(aq) + 2e- A (s) E๐ = + 1.00 V
B3+(aq) + 3e- B (s) E๐ = - 1.00 V
ก. ต้องนาครึ่งเซลล์ของโลหะชนิดใดมาต่อเป็นเซลล์กัลป์วานิกกับครึ่งเซลล์
Ag/AgNO3 เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาเป้นไปตามภาพที่กาหนดให้
............................................................................................................
ข. อิเล็กโทรดชนิดใดที่จะผุกร่อนเมื่อเกิดปฏิกิริยารีดอกซ์
.............................................................................................................
ค. ครึ่งเซลล์ที่เกิดปฏิกิริยา reduction
คือ..........................................................................................................................................................................
ง. ปฏิกิริยา redoxคือ....................................................................................................................................................
จ. แผนภาพเซลล์กัลป์วานิก คือ.....................................................................................................................................
ฉ. ค่าศักย์ไฟฟ้าของเซลล์กัลป์วานิก คือ......................................................................................................................