Professional Documents
Culture Documents
นิพนธ์ ต้นฉบับ
แรงที่ใช้ในการตอกอัดหรื อเพิ่มความเร็วในการ
ตอก โดยถ้าใช้ความเร็วในการตอก 240 mm/s วิธีดำเนินการวิจัย
จะเกิด capping ขึ้นใน die โดยเฉพาะถ้ามีแรง
1.การกำหนดสู ตรตำรับของยาเม็ด
ตอกอัดและความชื้นสูง ส่ วนการใช้แรงตอกอัด
Ibuprofen 400 mg
ที่ความดันสูงคือ 40 kN จะได้เม็ดยาที่ไม่ดีถึงแม้
สู ตรตำรับยาเม็ด Ibuprofen 400 mg
จะใช้ความเร็ วในการตอกช้า โดยแรงตอกอัดที่
มีส่วนประกอบต่างๆ ดังแสดงในตารางที่ 1-
สู งจะทำให้เกิดลักษณะ laminating และ sticking
3 โดยผลิตจำนวน 200 เม็ดต่อตำรับ
โดยจะสังเกตเห็นฟิ ลม์สีขาวบางๆ อยูท่ ี่ punch
ตัวบนและตัวล่าง และยังอาจเกิดจากการ 2.ก า ร เ ต ร ีย ม แ ก ร น ูล โ ด ย ว ธิ ี Wet
หลอมเหลวของตัวยาเนื่องจากตัวยามี granulation
จุดหลอมเหลวที่ 76OC ชัง่ น้ำหนักสารต่างๆ ตามปริ มาณใน
ส่ วน A. J. Romero และคณะได้ศึกษาผล สู ตรตำรับ นำมาผสมแห้งในโกร่ ง (ยกเว้น
ของการใช้ Ibuprofen จากแหล่งต่างๆ ที่มีต่อ glidant และ lubricant) เป็ นเวลาประมาณ 10
คุณภาพยาเม็ดโดยใช้สูตรตำรับดังนี้ นาที จากนั้นเตรี ยม binding solution โดยนำ
Ibuprofen 57 % binder มากระจายตัวในน้ำโดยใช้ความเข้มข้น
Fast flow lactose 36 % 10% ค่อยๆ เติม binding solution ลงในส่ วน
Plasdone 6% ผสมของผงยา บดผสมจนได้ wet mass ที่พอ
Explotab 1% เหมาะแล้วนำมาผ่านแร่ งเบอร์ 12 อบแกรนูล
Lubricant 1% เปี ยกที่ได้ในตูอ้ บโดยใช้อุณหภูมิ 50OC จนแห้ง
Granulating fluid (water) q.s. (ประมาณ 2 ชัว่ โมง) จากนั้นนำแกรนูลแห้งมา
จากการทดลองสรุ ปได้วา่ Ibuprofen ที่มา ผ่านแร่ งเบอร์ 16 แล้วผสมกับ glidant และ
จากแหล่งต่างกันจะมีความแตกต่างในด้าน lubricant ตามปริ มาณที่กำหนดในสู ตรตำรับ
ขนาดอนุภาค ปริ มาณความชื้น พื้นที่ผวิ และ เป็ นเวลา 5 นาทีจนเข้ากันดี
ความหนาแน่น ซึ่ งไม่มีผลต่อ dissolution 3.การนำแกรนูลไปตอกเป็ นยาเม็ด
pattern หรื อ content uniformity แต่จะมีผลต่อ ตอกแกรนูลเป็ นยาเม็ดด้วยเครื่ องตอก
liquid requirements for end point และส่ งผลไป อัตโนมัติแบบ single punch โดยใช้ punch
ถึงความแข็งของยาเม็ด ซึ่ งความยากง่ายในการ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3/8 นิ้ว ควบคุมความ
เคลือบยาเม็ดจะมีความสัมพันธ์กบั friability แข็งของเม็ดยาให้ได้ประมาณ 6-8 กิโลกรัม
และ hardness ดังนั้นการใช้แหล่งวัตถุดิบที่แตก
ต่างกันอาจมีผลต่อการเคลือบ ในการผลิตจึง 4.การประเมินคุณสมบัตทิ างกายภาพของ
ควรเลือกใช้วตั ถุดิบที่มาจากแหล่งเดียวกันเสมอ ยาเม็ด Ibuprofen
สำหรับการศึกษาวิจยั นี้ จะใช้วิธี wet 4.1 น ้ำ ห น ัก แ ป ร ผ นั (Weight
granulation ในการพัฒนาสูตรตำรับ core tablet variation) ประเมิน ตามวิธี ท ี่กำ หนดใน USP
ของยาเม็ด Ibuprofen ขนาด 400 mg เพื่อแก้ XX โดยสุ่ ม ตัว อย่า งมาสู ต รละ 20 เม็ด ชัง่ น้ำ
ปัญหา capping และปัญหาการแตกตัวของยา หนักของยาแต่ละเม็ดด้วย analytical balance นำ
เม็ดโดยให้มีความแข็งในระดับที่สามารถนำไป น้ำหนักที่ได้มาหาค่าเฉลี่ยและเปอร์เ ซ็น ต์การ
เคลือบเป็ น enteric coated ได้ แปรผันของน้ำหนัก
3
4.2 ความแข็งเม็ดยา (Hardness) ใช้ เปิ ดให้เครื่ องหมุนนาน 4 นาที ชัง่ น้ำหนักยาเม็ด
Schleuniger ห ร ื อ Heberlin tablet hardness ที่เ หลือ แล้ว คำนวณหาค่า เปอร์เ ซ็น ต์ก ารสึ ก
tester หาค่าความแข็งของตัวอย่างยาเม็ดสู ตรละ กร่ อน
10 เม็ด 4.4 เ ว ล า แ ต ก ต ัว ข อ ง เ ม ็ด ย า
4.3 ค่าเปอร์ เ ซ็น ต์ การสึกกร่ อนของ (Disintegration time) ทดสอบตามวิธีที่กำหนด
เม็ดยา (Percent friability) ทดสอบโดยการสุ่ ม ใน USP XX โดยสุ่ ม ตัว อย่า งมาสู ต รละ 6 เม็ด
ตัว อย่า งยาเม็ด สูต รละ 20 เม็ด ใส่ ใ นเครื่ อ ง ทดสอบด้วยเครื่ อง tablet disintegration tester
Erweka abrasion tester (Erweka friabilator)
Hardness 6.97 kg
Friability 1.3 %
Disintegration time
- ภายหลังจากเก็บไว้ 1 สัปดาห์ 38.3 sec
- ภายหลังจากเก็บไว้ 2 สัปดาห์ 47.5 sec
3. Romeo, A. J., Ludas, G., and Rhodes, C. T., pp. 84, 280, 392, 424, 448, 462, 483, 491,
Influence of different sources on the 519, USA: American Pharmaceutical
processing and biopharmaceutical properties Association, 1994.
of high-dose ibuprofen formulations, 6. ปราโมทย์ ทิพย์ดวงตา, ยาเม็ด, หน้า 20-241,
Pharmaceutica Acta Helvetiae, 66(2) 34-43 เชีย งใหม่: คณะเภสัช ศาสตร์ มหาวิท ยาลัย
(1991). เชียงใหม่, 2539.
4. Walter Lund. The pharmaceutical Codex, 7. ยุพิน รุ่ งเวชวุฒิว ิท ยา, ปัญหาในการผลิต ยา
Twelfth Edition, Principles and Practice of เม็ด , เภสัช อุต สาหกรรม 1, หน้า 308-313,
Pharmaceutics, pp. 908-911, London: The กรุ งเทพฯ: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิท ยาลัย
Pharmaceutical Press, 1994. มหิ ดล, 2525.
5. Wade, A. and Weller, P. J. Handbood of
Pharmaceutical Excipients. Second Edition,