You are on page 1of 56

เอกสารประกอบการเรียน

กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ
เรื่อง Part of Speech (ชนิดของคา)

จัดทาโดย
นางสาววรัญญา ต๊ ะวิชัย
สาขาวิชาภาษาอังกฤษ
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปาง
คานา

บทเรี ยนสาเร็ จรู ปนี้ จัดทาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรี ยนการสอน เรื่ อง Part of Speech ในกลุ่มสาระ
การเรี ยนรู ้ภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 โดยรวบรวมเนื้อหา ตลอดจนแบบทดสอบก่อนเรี ยนและหลัง
เรี ยน เพื่อเป็ นคู่มือให้ผเู ้ รี ยนได้เรี ยนรู ้ดว้ ยตนเอง เน้นให้นกั เรี ยนได้พฒั นาตนเอง ให้มีความรู ้ความเข้าใจ มี
ทักษะการนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้อย่างถูกต้อง
ผูจ้ ดั ทาหวังว่า บทเรี ยนสาเร็ จรู ปเล่มนี้จะเป็ นประโยชน์แก่นกั เรี ยนที่เรี ยนภาษาอังกฤษและผูส้ นใจ
ทัว่ ไปในการฝึ กฝนการเดาความหมายของคาศัพท์ได้อย่างถูกต้อง เพื่อเป็ นพื้นฐานในการพัฒนาการอ่านใน
ระดับสูงต่อไป

ผูจ้ ดั ทา

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 2


สารบัญ

หน้ า

คานา 2
สารบัญ 3
คาชี้แจงบทเรี ยน 4
วัตถุประสงค์บทเรี ยน 5
แบบทดสอบก่อนเรี ยน 6-11
เนื้อหาบทเรี ยน
1. Noun (คานาม) 12-18
2. Verb (คากริ ยา) 19-20
3. Pronoun (คาสรรพนาม) 21-23
4. Adjective (คาคุณศัพท์) 24-29
5. Adverb (คากริ ยาวิเศษณ์) 30-32
6. Preposition (คาบุพบท) 33-37
7. Conjunction (คาสันธาน) 38-43
8. Interjection (คาอุทาน) 44-48
แบบทดสอบหลังเรี ยน 49-55
แหล่งอ้างอิง 56

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 3


คาชี้แจงบทเรียน

บทเรี ยนสาเร็ จรู ป เรื่ องPart of Speech (ชนิดของคา)สาหรับชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 ผูเ้ รี ยนสามารถ
ศึกษาเนื้อหาได้ดว้ ยตนเองตามขั้นตอนที่กาหนดไว้ จะมีการเสริ มแรงแก่ผเู ้ รี ยนเป็ นระยะๆ เนื้อหาการเรี ยนรู ้
แบ่งเป็ นตอนย่อยๆ เนื้อหาที่จะเรี ยนมีแบบฝึ กหัดให้ผเู ้ รี ยนคิดทากิจกรรมหรื อตอบคาถาม ผูเ้ รี ยนจะสามารถ
รับรู ้ได้ดว้ ยตนเองตามความสามารถของแต่ละบุคคลซึ่งมีกิจกรรมให้นกั เรี ยนปฏิบตั ิดงั นี้
1. อ่านจุดประสงค์การเรี ยนรู ้ของบทเรี ยนให้เข้าใจ
2. ทาแบบทดสอบก่อนเรี ยน
3. ศึกษาความรู้จากบทเรี ยน ในเรื่ องที่ 1-4 ซึ่ งประกอบด้วย
Noun (คานาม)
Verb (กริ ยา)
Pronoun (คาสรรพนาม)
Adjective (คาคุณศัพท์)
Adverb (กริ ยาวิเศษณ์)
Preposition (บุพบท)
Conjunction (คาสันธาน)
Interjection (คาอุทาน)
4. ทาแบบทดสอบหลังเรี ยน

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 4


วัตถุประสงค์ ของบทเรียน

1. นักเรี ยนมีความรู ้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ Part of Speech(ชนิดของคา)


2. นักเรี ยนสามารถจาแนก Part of Speech(ชนิดของคา)ในแต่ละชนิดได้ถูกต้อง
3. นักเรี ยนสามารถบอกได้วา่ คาต่างๆอยูใ่ น Part of Speechชนิดใดได้ถูกต้อง
4. นักเรี ยนนาความรู ้เรื่ องคาศัพท์ ประเภทของคา การใช้ประโยคของคาชนิดต่างๆ ไปใช้ประยุกต์กบั
การเรี ยนวิชาภาษาอังกฤษในเรื่ องอื่นได้
5. นักเรี ยนนาความรู ้เรื่ องคาศัพท์ ประเภทของคา การใช้ประโยคของคาชนิดต่างๆ
ไปใช้ประยุกต์กบั การเรี ยนวิชาภาษาอังกฤษในเรื่ องอื่นได้

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 5


แบบทดสอบก่อนเรียน

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 6


เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 7
เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 8
เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 9
เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 10
เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 11
เนือ้ หาบทเรียน
เรื่องที่ 1. Noun (คานาม)

Noun (คานาม) คือคาที่ใช้แทนคน สัตว์ สิ่ งของ สถานที่ (รวมถึง ชื่อของคน สัตว์ สิ่ งของ สถานที่)
 คน เช่น boy girl man student doctor king father/ John Sam Ted Tom

 สัตว์ เช่น dog cat bird tiger / Simba Kitty

 สิ่ งของ เช่น TV radio fan car soap / Sony Samsung Lux

 สถานที่ เช่น market bank city country / London Thailand England

หน้ าทีข่ อง Noun


1) Subject คือ “ประธาน” เช่น Jack go to school.
2) Complement คือ “ส่ วนเสริม” หมายถึง คาที่อยูใ่ นภาคแสดงซึ่งทาให้ความหมายของคากริ ยา
สมบูรณ์ข้ ึน ส่ วนเสริ มนี้อาจแบ่งออกเป็ น 4 ประเภทคือ
2.1 Direct Object คือ “กรรมตรง” เช่น He opened the door.
2.2 Indirect Object คือ “กรรมรอง” เช่น Simon gave his uncle a dirty look.
2.3 Subject Complement คือ “ส่ วนเสริมประธาน” เช่น Brandon is a gifted athlete.
2.4 Object Complement คือ “ส่ วนเสริมกรรม” เช่น I found the guard sleeping.
3) Object of a Preposition คือ “กรรมตามหลังบุพบท” เช่น At the kitchen counter.
4) Appositive คือ “คานามตัวทีส่ องที่ขยายความคานามตัวแรกหรือเป็ นการเรียกขานอีกชื่อ
หนึ่ง” เช่น The insect, a cockroach, is crawling across the kitchen table

ชนิดของคานาม คานามอาจแบ่งออกได้เป็ นประเภทต่าง ๆ ดังนี้


1) Singular Noun คือ ‚คานามที่เป็ นเอกพจน์ หมายถึง เพียงสิ่ งเดียว‛เช่น ball, man, cat เป็ นต้น (ไม่ตอ้ งใส่
-s ตามหลัง)
2) Plural Noun คือ ‚คานามที่เป็ นพหูพจน์ หมายถึง สิ่ งที่ระบุจานวนสองสิ่ งขึ้นไป‛เช่น houses, fans, books
เป็ นต้น (ต้องใส่ -s ตามหลังเสมอเพื่อบ่งบอกว่ามีจานวนสองสิ่ งขึ้นไป)

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 12


**** หลักการเติม -s เพือ่ ระบุว่า เป็ น Singular Noun หรือ Plural Noun
SINGULAR PLURAL REMARKS
(1) one bird two bird s คานามส่ วนใหญ่มกั เติม – s เมื่อเป็ นพหูพจน์
ลงท้ายด้วยพยัญชนะ + – y ให้เปลี่ยน y เป็ น iแล้ว
(2) lady lad ies
เติม – es
(3) toy toy s ลงท้ายด้วยสระ + – y เติม – s
(4) life li ves ลงท้ายด้วย f/feให้เปลี่ยน f/feเป็ น v แล้วเติม – es
ลงท้ายด้วย – sh, -ch, -ss, -x
(5) dish dish es
เติม – es
(6) tomato tomato es ลงท้ายด้วยพยัญชนะ + – o เติม- es
(7) radio radio s ลงท้ายด้วยสระ + – o เติม – s
(8) ox ox en เติม – en
(9) child child ren เติม – ren
เปลี่ยนรู ปสระ (คานี้เปลี่ยนการออกเสี ยงด้วยจาก ‘ วู
(10) woman wom e n
มัน่ ‘ เป็ น ‘ วี มิ่น‘)
เป็ นคายืมจากภาษาอื่น รู ปพหูพจน์
(11) memorandum memoranda
ใช้ตามภาษาเดิม
(12) deer deer ไม่เปลี่ยนรู ป เมื่อเป็ นพหูพจน์

นอกจากนี้ คานามบางคาจะเป็ นพหูพจน์เสมอ เช่น shoes, eyeglasses, scissors, trousers เป็ นต้น
แต่คานามบางคาถือเป็ นคานามเอกพจน์ แม้มีรูปเป็ นพหูพจน์ คือ เติม – s เช่น news, mathematics, measles
(โรคหัด) เป็ นต้น
3) Common Noun คือ ‚คานามทัว่ ไป‛ เป็ นคานามที่ใช้เรี ยกคน สัตว์ สิ่ งของ สถานที่ทวั่ ๆไป ความคิด (
person, animal, place, thing, idea ) โดยไม่เฉพาะเจาะจง กล่าวโดยสรุ ปคือ คานามทั้งหลายที่ไม่ใช่ proper
nouns คือ common nouns เช่น
สิ่ งของ boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant
สถานที่ city, hill, road, stadium, school,company
เหตุการณ์ revolution, journey, meeting
ความรู ้สึก fear, hate, love
เวลา year, minute, millennium

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 13


4) Proper Noun คือ ‚คานามที่เป็ นชื่อเฉพาะ‛ อาจเป็ นคน สัตว์ สิ่ งของ หรื อสถานที่ เช่น Jame, Bangkok,
USA เป็ นต้น จะสังเกตว่ า proper noun จะขึน้ ต้ นด้ วยอักษรตัวใหญ่ เสมอเช่น
คน:Sam Smith, David Beckham, Barak Obama, Britney Spears, Simon, Somsee, Somchai, Saichon
สั ตว์ :Simba, Angel,Jerry, Buddy, Adam, Alwin, Bruno, Pluto, Kenney, Braily, Toto
สิ่ งของ: ปกติจะเป็ นยีห่ ้ อของสิ นค้ าต่ างๆToyota, Lux, Samsung, Sony, Apple, Pantine, Panasonic, Honda
สถานที:่ หมู่บ้าน เมือง ประเทศ ทวีปLondon, Tokyo, Canada, Italy, Asia, Africa, Singapore, China,
Uinited States, England
ชื่อองค์ กรต่ างๆ:บริษัท ห้ างร้ าน โรงเรียน โรงแรมOxford University, Toyota Corporation, DBS Bank
วัน เดือน วันหยุด : December, June, Monday, Sunday, Valentine, Christmas
สั ญชาติ : Thai, Japanese, Chinese, American, English, Australian
สิ่ งก่อสร้ าง : Big Ben, Buckingham Palace, the TajMahal, the Great wall of China, the Statue of Liberty
ธรรมชาติ: แม่ นา้ ลาคลอง ทะเล ทะเลทราย มหาสมุทร ภูเขา เกาะThe Nile River, Mount Fuji, the Pacific,
the Red Sea, the Grand Canyon, the Sahara

5) Concrete Noun คือ ‚คานามที่เป็ นรู ปธรรม‛ หรื อคานามวัตถุเป็ นสิ่ งที่จบั ต้อง เป็ นคานามที่ใช้เรี ยกสิ่ งที่
เป็ นรู ปธรรม คานามประเภทนี้เป็ นmass noun เป็ นคานามที่เรี ยกสิ่ งของที่มีรูปร่ างอยูเ่ ป็ นกลุ่มก้อน แต่นบั
ไม่ได้ตอ้ งระบุจานวนมากน้อยโดยบอกเป็ นปริ มาณและเป็ นคานามที่บ่งบอกถึงเนื้อวัตถุจะมีรูปเป็ นเอกพจน์
และใช้กบั กริ ยาเอกพจน์เสมอ เช่น rice, soap, gold, water, wood
คานามวัตถุจะ ไม่ ใช้ คากากับนาม a/an นาหน้ า เช่น
Rice is grown in Thailand.
We wash our hands with soap and water before meals.
Gold is very expensive these days.

6) Abstract Noun คือ ‚คานามที่เป็ นนามธรรม‛ หรื ออาการนาม ได้แก่คานามที่เรี ยกสิ่ งที่ไม่มีรูปร่ าง
เช่น เช่น idea, happiness, taste, honesty เป็ นต้น
คานามประเภทนี้เป็ นคานามที่บอกการกระทา ( action) คุณสมบัติ (quality) หรื อสภาพ ( state) ซึ่งไม่มีตวั
ตนที่จบั ต้องได้ อาการนามเป็ นคานามที่นบั ไม่ได้ เช่น
ability courage death fear help
decision experience beauty hope pity
honesty horror knowledge happiness mercy
poverty arrival choice shopping camping

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 14


7) Countable Noun คือ ‚คานามนับได้‛ คืออะไรก็แล้วแต่ที่นบั ได้ จึงมีรูปเอกพจน์(singular form) และ
รู ปพหูพจน์ ( plural form)
การเปลีย่ นรูปเอกพจน์ เป็ นรูปพหูพจน์ มีดังนี้
กลุ่มที่ 1 คานามส่ วนมาก เติม s ที่รูปเอกพจน์เมื่อต้องการรู ปพหูพจน์ เช่น คาต่อไปนี้
Singular Form Plural Form
boy boys
table tables
teacher teachers
กลุ่มที่ 2 คานามที่ลงท้ายด้วย o, ch, s, ss, sh, x, และ z ต้องเติม es
Singular Form Plural Form
potato potatoes
watch watches
bus buses
glass glasses
brush brushes

ข้ อยกเว้ น
1. คาที่ลงท้ายด้วย o เช่นbuffalo ใช้ได้ 2 แบบ คือเติม es ดังนี้ buffaloes หรื อใช้รูปเดิมก็ได้ คือ buffalo
2. คานามที่ลงท้ายด้วย o ที่มาจากภาษาอื่น หรื อคาที่เป็ นคาย่อ ให้เติม s เท่านั้น เช่นคาต่อไปนี้
kilo = kilos photo = photos
piano = pianos dynamo = dynamos
kimono = kimonos soprano = sopranos
กลุ่มที่ 3 คานามที่ลงท้ายด้วย y โดยอักษรที่นาหน้า y เป็ นรู ปพยัญชนะต้องเปลี่ยน y เป็ น i ก่อน
เติม es เช่น
Singular Form Plural Form
baby babies
country countries
fly flies
แต่คานามที่ลงท้ายด้วย y โดยอักษรที่นาหน้า y เป็ นรู ปสระ ให้เติม s เช่น
boy = boys
monkey = monkeys

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 15


กลุ่มที่ 4 คานามที่ลงท้ายด้วย f หรื อ fe ต้องเปลี่ยน f หรื อ fe เป็ น ves เช่น คานาม
ต่อไปนี้ calf, half , knife, leaf, loaf, life, self, shelf, thief, wife, wolf, sheaf
Singular Form Plural Form
loaf loaves
leaf leaves
wife wives
half halves
thief thieves
ส่ วนคานามต่อไปนี้ hoof, scarf, และ wharf เติม s หรื อเปลี่ยน f เป็ น vesก็ได้ดงั นี้
hoof = hoofs/ hooves
scarf = scarfs/ scarves
wharf = wharfs/wharves
นอกจากคานามที่กล่าวมานี้ คานามอื่นที่ลงท้ายด้วย f หรื อ feให้เติม s เมื่อเป็ นพหูพจน์ เช่น
cliff = cliffs
handkerchief = handkerchiefs
กลุ่มที่ 5คานามต่อไปนี้มีรูปพหูพจน์เฉพาะ เช่น
Singular Form Plural Form
m an men
woman wom e n
f oo t f ee t
t oo th t ee th
g oo se g ee se
m ouse m ic e
l ous e l ic e
child child ren
ox ox en
ข้ อสั งเกต คาที่ 1 – 7 คาที่เป็ นพหูพจน์เปลี่ยนสระภายในคาเอกพจน์ ส่ วน 2 คาหลัง คือ
child และ ox เป็ นการเติม -ren/-en ท้ายคา
กลุ่มที่ 6 คานามกลุ่มนี้ ไม่ ต้องเปลี่ยนรู ป เมื่อเป็ นพหูพจน์
fish (fishes มีใช้บา้ ง แต่นอ้ ยมาก)
ชื่อปลาต่าง ๆ เช่น carp, salmon, trout, cod, mackerel

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 16


ปลาหมึก squid
สัตว์บางชนิด เช่น deer, sheep, swine
ยานพาหนะบางชนิด เช่น aircraft, craft
คานามต่อไปนี้ใช้รูปเดิมหรื อเติม s ก็ได้ duck/ducks, partridge/ partridges, pheasant/pheasants
คานามนับได้บางคาจะเป็ นพหูพจน์เสมอ เช่น clothes, police, savings, stairs, surroundings, valuables,
pains, thanks, contents, etc.

8) Uncountable Noun คือ ‚คานามนับไม่ได้‛คืออะไรก็แล้วแต่ที่นบั ไม่ได้ หรื อไม่สามารถแยกนับเป็ น


หนึ่ง สอง สาม ฯลฯ ได้ และคาเหล่านี้จะไม่มีรูปพหูพจน์
คานามทีเ่ รียกสิ่ งทีน่ ับจานวนไม่ ได้ เช่ น
water sugar bread gold paper dust
sand hair cloth soap ice oil
glass wood meat jam chalk mud
milk salt butter rice air snow
คานามทีเ่ ป็ นชื่อวิชาหรือชื่อกีฬา เช่ น
English Japanese history geography psychology
basketball tennis golf baseball
คานามทีเ่ รียกชื่อโรคต่ าง ๆ เช่ น mumps, measles, shingles ( งูสวัด)
และคานามต่ อไปนี้ luggage, baggage, furniture, weather, news, etc. เป็ นคานามนับไม่ได้จะมีคุณสมบัติ
เป็ นเอกพจน์เสมอ และ ไม่ ใช้ คากากับนาม a/an นาหน้า

9) Collective Noun คือ ‚คานามที่กล่าวถึงสิ่ งต่าง ๆ ในลักษณะเป็ นกลุ่ม‛ เช่น team, army, committee เป็ น
ต้น
Collective Nouns คือ คาที่ใช้เรี ยกบุคคล หรื อ สิ่ งของเป็ นกลุ่มๆ โดยทัว่ ไป เป็ นกลุ่มที่ประกอบด้วยปัจเจก
บุคคลต่างๆเช่น
the air force (กองทัพอากาศ) the army (กองทัพ) an audience (ผูช้ ม)
a band (วงดนตรี ) a board (คณะกรรมการบอร์ด) a committee (คณะกรรมการ)
a crew (ลูกเรื อ) a firm (บริ ษทั ) a jury (คณะลูกขุน)
the press (สื่ อมวลชน) a choir (กลุ่มนักร้องประสานเสี ยง) a community (ชุมชน)
a crowd (ฝูงชน) a gang (แก๊ง) the navy (กองทัพเรื อ)
the public (สาธารณชน) a class (ชั้น, รุ่ น) a company (บริ ษทั )
an elite (กลุ่มชนชั้นา) the government (รัฐบาล) an orchestra (วงออเชสตร้า)

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 17


the staff (สต้าฟ) a club (สโมสร) a corporation (บรรษัท)
a family (ครอบครัว) a group (กลุ่ม) a party (พรรค)
a team (ทีม)

แม้วา่ คานาม collective nouns เหล่านี้จะเป็ นเอกพจน์ แต่มกั จะใช้กริ ยาพหูพจน์ โดยเฉพาะเมื่อคุณใช้ใน
ความหมายที่วา่ คานามเหล่านี้ประกอบด้วยกลุ่มบุคคลในเชิงปัจเจกชนรวมกัน แต่ถา้ ใช้ในความหมายที่เป็ น
หน่วยเดียวแทนที่จะที่เป็ นหลายๆคน ก็ให้ใช้กริ ยาเอกพจน์ โปรดสังเกตตัวอย่างต่างๆ ดังต่อไปนี้:
 My family comes from Hong Kong.

(ครอบครัวของฉันมาจากประเทศฮ่องกง)
 My family were pleased to see me again.

(ครอบครัวของฉันรู ้สึกดีใจที่ได้พบฉันอีกครั้งหนึ่ง)
 The staff consists of a manager and four sales assistants.

(คณะทางาน (พนักงาน,สต้าฟ) ประกอบด้วยผูจ้ ดั การและพนักงานขาย 4 คน)


 The staff are pleased with their pay rise.

(คณะทางาน (พนักงาน,สต้าฟ) รู ้สึกดีใจกับการได้รับขึ้นเงินเดือน)


 Our team has a good chance of victory.

(ทีมของพวกเรามีโอกาสสูงที่จะได้รับชัยชนะ)
 Our team have been practising hard.

(ทีมของพวกเราฝึ กฝนอย่างหนัก)
 The public rarely gets a say.

(สาธารณชนแทบจะไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็นเลย)
 The public are admitted on weekdays.

(สาธารณชนเข้ามาได้ในช่วงวันเปิ ดทาการ)
 The committee is too large.

(คณะกรรมการมีขนาดใหญ่เกินไป)
 The committee are considering further action.

(คณะกรรมการกาลังพิจารณาดาเนินการต่อไป)

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 18


เรื่องที่ 2. Verb(คากริยา)

Verb(คากริยา)เป็ นคาที่บอกอาการหรื อการกระทา ( action ) หรื อบอกความเป็ นอยู่ ( being ) หรื อ


สภาวะความเป็ นอยู่ ( state of being ) เรี ยกว่า ‚คากริ ยา‛เช่น fly, is, am, seem, look.

การกระทา Birds fly. นกบิน


ความเป็ นอยู่ Danny is a boy. แดนนี่เป็ นเด็กผูช้ าย
สภาวะความเป็ นอยู่ He looks good. เขาแลดูดี

ประเภทของ verb คากริ ยาแบ่งเป็ น 3 ประเภท คือ Main verb คือ คา


กริ ยาหลัก , Auxiliary หรื อ Helping Verb คือ กริ ยาช่วยแท้ และ modal verb คือ กริ ยาช่วยชนิดพิเศษ
1 Main verbsคือคากริ ยาแท้หรื อคากริ ยาหลักในประโยค ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็ น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
intransitive verbs, transitive verbs และ linking verbs
1) Intransitive verbs คือคากริ ยาที่ไม่ตอ้ งการกรรมมารองรับ เช่น drink, move,are
Cats drink. (Intransitive Action Verb)
Buses move. (Intransitive Action Verb)
Clocks are helpful. (Intransitive Linking Verb)

2) Transitive verbs คือคากริ ยาที่ตอ้ งมีกรรมมารองรับ เช่น sold,brought,is


I sold some books. (Transitive Action Verb)
I bought a radio. (Transitive Action Verb)
My sister is at home.(Transitive Linking Verb)

3) Linking verbs คือคากริ ยาที่เชื่อมประธานกับคานามหรื อคาคุณศัพท์ที่ตามมา เพื่อแสดง


ความสัมพันธ์วา่ เป็ นสิ่ งเดียวกัน ซึ่งเป็ นการขยายความบอกกริ ยาลักษณะของประธานได้แก่ รู ปต่าง ๆ ของ
คากริ ยา be, seem, look, become, turn, smell, sound, taste, feel, etc. คากริ ยาประเภทนี้จะต้องมีส่วนเสริ ม
ประธาน (subject complement) ส่ วนเสริ มประธานอาจเป็ นคานามหรื อคุณศัพท์กไ็ ด้
เช่น I am a teacher. (Main Linking Verb)
Sunny feels happy. (Main Linking Verb)
Ron Swanson is the manager of the office.(Main Linking Verb)

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 19


2) Auxiliary or Helping Verb (Auxiliaries) คือ ‚กริยาช่ วยที่ใช้ ประกอบคากริยาแท้ ‛ ซึ่งช่วยบ่งบอก
ลักษณะการกระทาของประทานให้ชดั เจนยิง่ ขึ้นได้แก่ be(is,am, are, was, were, being,
been), do(does,do,did), have, has,hadในรู ปต่าง ๆคากริ ยาเหล่านี้อาจเป็ นได้ท้ งั กริ ยาแท้ และกริ ยาช่วย
He is a student. (Main Linking Verb)
She is playing the piano. (is = helping verb, playing = Main Action verb)

3) Modal Verb (Modals) คือ ‚กริยาช่ วยชนิดพิเศษ‛ ที่ทาให้กริ ยาแท้มีความหมายแตกต่างกันไป


ได้แก่ can, could, shall, should, will, would, may, might, must, ought to, need และ dare คากริ ยาประเภทนี้
จะใช้นาหน้าคากริ ยาแท้ซ่ ึงอยูใ่ นรู ป Verb base form(กริ ยาพื้นฐาน)
He can speak Chinese
She should be here by 9:00.
รู ปของคากริ ยา
คากริ ยาแท้โดยทัว่ ไปจะมี 5 รู ปคือ
1 .รู ปที่ยงั ไม่ได้ผนั (base form) เช่น walk, speak, hear, cut
2. รู ปที่ลงท้ายด้วย s (-s form) เช่น walks, speaks, hears, cuts
3 .รู ปอดีต (past form) เช่น walked, spoke, heard, cut
4 .รู ป present participle เช่น walking, speaking, hearing, cutting
5 .รู ป past participle เช่น walked, spoken, heard, cut
การเปลี่ยนรู ปของคากริ ยานั้นมีอยู่ 2 กลุ่มคือ
1.Regular verbs คือ ‚รู ปแบบการเปลี่ยนรู ปแบบปกติ‛ เช่น Verb1 – kick or kicks , Verb2 และ Verb3 –
Kicked (อยูใ่ นรู ป -ed)
2.Irregular verb คือ ‚คือคากริ ยาที่มีการเปลี่ยนรู ปไปอย่างชัดเจน‛ เช่น Verb1- eat, Verb2 – ate, Verb3 –
eaten

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 20


เรื่องที่ 3. Pronoun

Pronoun(คาสรรพนาม)คาที่ใช้เรี ยกแทน Noun หรื อ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คาซ้ า


ยกตัวอย่าง เวลาเราเรี ยกหรื อเอ่ยคาใดคาหนึ่งบ่อยๆจะหลีกเลี่ยงการใช้คาซ้ าโดยการใช้คา สรรพนาม แทน
คือ ครั้งแรก เรี ยกชื่อ และครั้งต่อๆไปจึงเรี ยก เขา หรื อ เธอ
แบ่งออกได้เป็ น 4 แบบ ดังนี้
1. Personal Pronoun ทาหน้าที่เป็ นประธานและกรรมของประโยค ได้แก่คาว่า

Subjective ประธาน Objective กรรม


I (ฉัน) me (ฉัน)
You (คุณ) you (คุณ)
We (พวกเรา) us (พวกเรา)
They (พวกเขา) them (พวกเขา)
He (เขา) him (เขา)
She (หล่อน) her (หล่อน)
It (มัน) it (มัน)
เช่น I gave the ball to him .
The car hit her .
They told us the secret.

2.Possessive pronoun ทาหน้าที่เป็ นคาแสดงความเป็ นเจ้าของไม่ตอ้ งมีคานามตามหลัง


(Possessive adjective) ทาหน้าที่เป็ นคาแสดงความเป็ นเจ้าของต้องมีคานามตามหลังเสมอ

Possessive adjective Possessive pronoun


my mine ของฉัน
your yours ของคุณ
our ours ของพวกเรา
their theirs ของพวกเขา
his his ของเขา
her hers ของหล่อน
its - ของมัน

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 21


เช่น
My wife belongs to the club.
That car is mine.
This book is yours.
Their dog was hit by a car.

3.Reflexive pronoun ทาหน้าที่เป็ นกรรมของกริ ยาโดยเน้นว่าประธานเป็ นผูก้ ระทา

เอกพจน์ พหูพจน์
I - myself we - ourselves
you - yourself you - yourselves
he - himself they - themselves
she - herself
it - itself

I am working by myself.
He ate the whole cake by himself.
She cut herself while making dinner.

ดูตารางการเปรี ยบเทียบ

Possessive Possessive
Subjective Objective Reflexive pronoun
adjective pronoun
I me my mine myself
You you your yours yourself
We us our ours ourselves
They them their theirs themselves
He him his his himself
She her her hers herself
It it its - itself

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 22


4. Relative Pronoun (ประพันธสรรพนาม) คือ สรรพนามที่ใช้เป็ นตัวเชื่อมประโยคได้แก่คาว่า

who ผูซ้ ่ ึงใช้แทนคน


ที่ ซึ่ง อัน ใช้กบั สัตว์
which
และสิ่ งของ
ที่ ซึ่ง อัน ใช้ได้ท้ งั คน
that
และสิ่ งของ
ผูซ้ ่ ึง ทาหน้าที่เป็ น
กรรมของประโยค
whom
และใช้ได้เฉพาะคน
เท่านั้น
ซึ่ง...ของใช้แสดง
ความเป็ นเจ้าของต้อง
whose
มีคานามตามหลัง
เสมอ
สิ่ งซึ่ง สิ่ งที่ ใช้เฉพาะ
what
สิ่ งเท่านั้น
where ที่ซ่ ึง ใช้กบั สถานที่

The man who is playing chess is blind.


There is a new pub which you might find interesting.
The dog that is sleeping under my car is dirty.
This is Pongsee whom you promoted last year.
This is the student whose house burned down last night.
This is what I want to order for lunch.
The school where I study is closed for the holiday.

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 23


เรื่องที่ 4. Adjective (คาคุณศัพท์ )

Adjective(คาคุณศัพท์ )เป็ นคาที่อธิบายหรื อขยาย noun หรื อ pronoun ให้ได้รายละเอียดเกี่ยวกับ


คุณสมบัติของสิ่ งนั้นๆ เพิ่มขึ้น เช่น new, ugly, ill, happy, afraid, careless ,older, famous, funny, big, small,
red, black เป็ นต้น
He bought a new car. เขาซื้อรถใหม่.( newขยาย car ซึ่งเป็ น noun )
They are ugly. พวกเขาน่าเกลียด ( ugly ขยาย they ซึ่งเป็ น pronoun )
คาคุณศัพท์พยางค์เดียวและคาคุณศัพท์ 2 พยางค์ ที่ลงท้ายด้วย –y, -ow, -le และ erจะนาหน้าด้วยคาว่า the
และเติมท้ายด้วย -estเช่น
Jack is the oldest student in class.
This assignment is the easiest of all.
That is the narrowest street in town.
I gave the simplest work of all.
Andrew is the cleverest boy in the class.
ส่ วนคาคุณศัพท์ต้ งั แต่ 2 พยางค์ข้ ึนไปที่ไม่ได้ลงท้ายด้วย –y, -ow, -le และ –erจะนาหน้าด้วยคาว่า the
most หรื อ the least เช่น
The ring is the most valuable thing I have.
The last speaker gave the least stimulating speech of all.
ชนิดของ Adjective
Adjective ในภาษาอังกฤษแบ่ งออกเป็ น 11 ชนิด คือ
1. Descriptive Adjective คุณศัพท์บอกลักษณะ
2. Proper Adjective คุณศัพท์บอกสัญชาติ
3. Quantitative Adjective คุณศัพท์บอกปริ มาณ
4. Numbearl Adjective คุณศัพท์บอกจานวนแน่นอน
5. Demonstrative Adjective คุณศัพท์ช้ ีเฉพาะ
6. Interrogative Adjective คุณศัพท์บอกคาถาม
7. Possessive Adjective คุณศัพท์บอกเจ้าของ
8. Distributive Adjective คุณศัพท์แบ่งแยก
9. Emphaszing Adjective คุณศัพท์เน้นความ
10. Exclamatory Adjective คุณศัพท์บอกอุทาน
11. Relative Adjective คุณศัพท์สัมพันธ์

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 24


1. Descriptive Adjective คือ "คาคุณศัพท์ บอกลักษณะ" หมายถึง คาที่ใช้ลกั ษณะหรื อคุณภาพของคนสัตว์
สิ่ งของและสถานที่เพื่อให้รู้วา่ นามนั้นมีลกั ษณะอย่างไร ได้แก่คาว่า
good, bad, tall, shot, black, fat, thin, fat, thin, clever, foolish, poor, rich, brave, cowardly, pretty, agly,
happy, sorry, etc.
ตัวอย่ างเช่ น :The rich man lives in the big house. (คนรวยอาศัยอยูบ่ า้ นหลังใหญ่)
A clever pupil can answer the difficult problem. (นักเรี ยนที่ฉลาดสามารถตอบปัญหายากได้)
The black cat cuagh a smail bird. (แมวดาตัวนั้นจับนกได้)
ข้อสังเกต : rich, big, clever, difficult, black และ small เป็ นคุณศัพท์บอกลักษณะ

2. Proper Adjective คือ "คุณศัพท์ บอกสั ญชาติ" หมายถึง คาที่ไปขยายนามเพื่อบอกสัญชาติ ซึ่งอันที่จริ งมี
รู ปเปลี่ยนมาจาก Proper noun นัน่ เอง ได้แก่
Proper Noun (เป็ นนามเฉพาะ)
England America Thailand Japan
India Germany Italy China
ตัวอย่ างเช่ น : John employs a chinese cook. (จอห์นจ้างพ่อครัวชาวจีนคนหนึ่ง)
Do you learn French literature? (คุณเรี ยนวรรณคดีฝรั่งเศสหรื อ)
The English language is used by every nation. (ภาษาอังกฤษใช้ในทุกประเทศ)
ข้อสังเกต : Chinese, French, English เป็ นคาคุณศัพท์บอกสัญชาติ

3. Quantitive Adjective คือ "คาคุณศัพท์ บอกปริมาณ" หมายถึง คาที่ไปขยายนาม เพื่อบอกให้ทราบปริ มาณ


ของสิ่ งเหล่านั้นว่า มีมากหรื อน้อย (แต่ไม่บอกจานวนแน่นอน)ได้แก่
much, many, little, some, any, enough, half, great, all, whole, sufficent, etc.
ตัวอย่ างเช่ น : He ate much rice at school yesterday.
(เขากินข้าวมากที่โรงเรี ยนเมื่อวานนี้)
Linda did not give any money to her younger brother.
(ลินดาไม่ได้ให้เงินแก่นอ้ งชายของหล่อน)
Take great care of your health.
(เอาใจใส่ ต่อสุ ขภาพของคุณให้มากหน่อย)
ข้ อสั งเกต : much, any, great ในประโยชน์ท้ งั 3 เป็ นคาคุณศัพท์บอกปริ มาณ

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 25


4. Numberal Adjective คือ "คาคุณศัพท์ บอกจานวนแน่ นอน" หมายถึง คาที่ไปขยายนาม เมื่อบอกจานวน
แน่นอนของนามว่ามีเท่าไหร่ แบ่งเป็ นชื่อย่อยได้ 3 ชนิด คือ
4.1 Cardinal Numberal Adjective คือ คุณศัพท์ที่ใช้บอกจานวนนับที่แน่นอนของนาม ได้แก่
one, two, three, four, five, six, seven, etc.

ตัวอย่ างเช่ น : She gave me two apples and three organes.


(หล่อนให้แอปเปิ้ ลสองผล และส้มสามผลแก่ฉนั )
Bill wants to buy seven pens.
(บิลต้องการซื้อปากกาเจ็ดด้าม)
ข้ อสั งเกต : two, three, seven เป็ นคุณศัพท์บอกจานวนแน่นอนวางไว้หน้านาม
4.2 OrdinanalNumberal Adjective คือ "คาคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกลาดับที่ของนามนั้นๆ ได้แก่
first, second, third, fifth, sixt, seventh, etc.
ตัวอย่ างเช่ น :
Tom is the first boy to be rewarded in this school.
(ทอมเป็ นเด็กคนแรกที่ได้รับรางวัลในโรงเรี ยนนี้)
Sam won the third prize last month and the second one last week.
(แซมได้รับรางวัลที่ 3 เมื่อเดือนที่แล้ว และสัปดาห์ที่ผา่ นมา ได้รับรางวัลที่ 2)
I am the seventh son of my family.
(ฉันเป็ นลูกคนที่ 7 ของครอบครัว)
ข้ อสั งเกต : first, third, second, seventh เป็ นคุณศัพท์บอกลาดับที่วางไว้หน้านาม
4.3 Mutiplicative Adjective คือ "คุณศัพท์ บอกจานวนทวีของนาม" ได้แก่ double, triple, fourfold
ตัวอย่างเช่น :
Some roses are double.
(ดอกกุหลาบบางดอกก็มีกลีบ 2 ชั้น)

Buddha, Dhamma, and Sangha are triple gems.


(พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ คือแก้ว 3 ประการ)
ข้ อสั งเกต : double, triple, เป็ นคาคุณศัพท์บอกจานวนทวีของนาม

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 26


5. Demonstrative adjective คือ คุณศัพท์ ชี้เฉพาะหรือนิยมคุณศัพท์ หมายถึง คาที่ช้ ีเฉพาะให้กบั นามใดนาม
หนึ่ง ได้แก่ this, that (ใช้กบั นามเอกพจน์), these ,those (ใช้กบั นามพหูพจน์) such, same

ตัวอย่างเช่น:
I invited that man to come in.
(ฉันได้เชิญผูช้ ายคนนั้นให้เข้ามาข้างใน)
Jan hated such things because they made her ill.
(แจนเกลียดสิ่ งเหล่านั้นเพราะมันทาให้เธอไม่สบาย)
They said the same thing two or three times.
(พวกเขาพูดถึงสิ่ งเดียวกันนี้2หรื อ3ครั้งแล้ว)
ข้ อสั งเกต: that,such,same เป็ นคุณศัพท์ช้ ีเฉพาะวางไว้หน้านาม

6.interrogative adjective คือ คุณศัพท์ บอกคาถาม หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อให้เป็ นคาถามโดยจะ


วางไว้ตน้ ประโยคและมีนามตามหลังเสมอ ได้แก่ what, which, whose
ตัวอย่างเช่น:
What book is he reading in the room?
(เขากาลังอ่านหนังสื ออะไรอยูใ่ นห้อง)
Which way shall we go?
(เราจะไปทางไหนกันนี่?)
Whose shoes are these?
(รองเท้านี้เป็ นของใคร)
ข้อสังเกต: what,which,whoseเป็ นคุณศัพท์บอกคาถามอยูห่ น้าประโยค
7. Possessive adjective คือ คุณศัพท์ บอกเจ้ าของหรือสามีคุณศัพท์ หมายถึง คาคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อ
บอกความเป็ นเจ้าของของนาม ได้แก่ my,our,your,his,her,itsและ their
ตัวอย่างเช่น :
This is my table.
(นี่คือโต๊ะของฉัน)

Her pen is on my desk.


(ปากกาของหล่อนอยูบ่ นโต๊ะฉัน)
Our nation needs solidarity.
(ชาติของเราต้องการความสามัคคี)

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 27


Their parents work hard every day.
(พ่อแม่ของพวกเขาทางานหนักทุกวัน)
ข้ อสั งเกต : my, her, our, their เป็ นคุณศัพท์บอกเจ้าของวางไว้หน้านาม

8. Distributive คือ คุณศัพท์ แบ่ งแยก หมายถึง คาคุณศัพท์ที่ไปขยายนาม เพื่อแยกนามออกจากกันเป็ น


อันหนึ่ง หรื อส่ วนหนึ่งได้แก่ each(แต่ละ), every(ทุกๆ), either(ไม่อนั ใดก็อนั หนึ่ง), neither(ไม่ท้ งั สอง)
ตัวอย่างเช่น :
The two men had each a gun.
(ชายสองคนนี้มีปืนคนละกระบอก)
Every soldier is punctually in his place.
(ทหารทุกคนเข้าประจาที่ของตัวตรงเวลาดี)
Either side is a narrow lane.
(ไม่ขา้ งใดก็ขา้ งหนึ่งเป็ นซอยแคบ)
Neither accusation is true.
(ข้อกล่าวหาทั้งสองข้อไม่เป็ นความจริ ง)
ข้ อสั งเกต: each,every,either,neither เป็ นคุณศัพท์แบ่งแยกมาขยายนาม

9. Emphasizing Adjective คือ คุณศัพท์ เน้ นความ หมายถึงคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อเน้นความให้มีนาหนัก


ขึ้น ได้แก่ own(เอง),very(ที่แปลว่า นั้น,นั้นเอง,นั้นจริ งๆ)
ตัวอย่างเช่น:
Linda said that she had seen it with her own eyes.
(ลินดาพูดว่าหล่อนได้เห็นมันมากับตาเธอเอง)
He is the very man who stole my wrist watch last night.
(เขาคือชายคนนั้นผูซ้ ่ ึงได้ขโมยนาฬิกาข้อมือของฉันไปเมื่อคืนนี้)
Jean is my own girl-friend.
(จีนคือแฟนผมเอง)
ข้ อสั งเกต : own,very เป็ นคุณศัพท์เน้นความขยายนามที่ตามหลังให้มีนาหนักขึ้น
10. Exclamatory Adjective คือ คุณศัพท์ บอกอุทาน หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายเพื่อให้เป็ นคาอุทาน ได้แก่
what
ตัวอย่างเช่น:
What a man he is!
(เขาเป็ นผูช้ ายอะไรนะเนี่ย!)

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 28


What an idea it is!
(มันเป็ นความคิดอะไรกันหนอ!)
What a piece of work he does!
(เขาทางานได้เยีย่ มจริ งๆ!)
ข้ อสั งเกต : what ทั้ง 3 คา ในประโยคเหล่านี้เป็ นคุณศัพท์บอกอุทาน

11. Relative Adjective คือ คุณศัพท์ สัมพันธ์ หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามที่ตามหลังและในขณะเดียวกัน


ก็ยงั ทาหน้าที่คล้ายส้นธานเชื่อมความในประโยคของตัวเองกับประโยคข้างหน้าให้สมั พันธ์กนั อีกด้วย ได้แก่
what(อะไรก็ได้),whichever(อันไหนก็ได้)

ตัวอย่างเช่น:
Give me what money you have.
(จงให้เงินเท่าที่คุณมีอยูแ่ ก่ฉนั )
I will take whichever horse you don t want.
(ฉันจะนาเอาม้าตัวที่คุณไม่ตอ้ งการ)
He will read what book he wishes.
[ แซมจะอ่านหนังสื ออะไรก็ได้ที่เขาปราถนา (จะอ่าน) ]
ข้อสังเกต : What, Whichever เป็ นคุณศัพท์สมั พันธ์ ไปขยายนามที่ตามหลัง และในขณะเดียวกันก็ทา
หน้าที่เชื่อมประโยคหน้าและประโยคหลังให้กลมกลืนกันอีกด้วย
หน้ าทีข่ องคาคุณศัพท์ Adjective
1. ใช้ Adjective เพื่อขยายคานาม
ตัวอย่างGary is a smart student. (แกรี่ เป็ นนักเรี ยนที่ฉลาด)
คาว่า smart เป็ นคาคุณศัพท์ ขยายคาว่า student ซึ่งเป็ นคานาม
2. ใช้ Adjective เพื่อขยายคาสรรพนาม
ตัวอย่างHe is tall. (เขาเป็ นคนสูง)
คาว่า tall เป็ นคาคุณศัพท์ ขยายคาว่า He ซึ่งเป็ นคาสรรพนาม

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 29


เรื่องที่ 5 Adverb (คากริยาวิเศษณ์ )
Adverb (คากริยาวิเศษณ์ ) คือคาที่บอกอาการกริ ยา คุณศัพท์ กริ ยาวิเศษณ์ สถานที่ เวลา
fast hard carefully
well badly happily
slowly easily early

 หน้าที่ของคากริ ยาวิเศษณ์
คากริ ยาวิเศษณ์แบ่งออกได้เป็ นประเภทต่าง ๆ ตามหน้าที่ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1 คากริยาวิเศษณ์ ที่ทาหน้ าทีบ่ อกเวลา (adverbs of time)เช่น soon, lately, recently, today,
tomorrow, yesterday, etcadverb ที่ บอกว่าการกระทานั้นเกิดเมื่อใด ( when ) เป็ นเวลานานแค่ไหน ( for how
long ) และบ่อยแค่ไหน ( how often )
เช่น When = today, yesterday, later,now, last year, after, soon, before, sometime, For how long = all day,
not long, for a while, since last year, temporarily, briefly, from……to, till, until ( บางตาราแยกเป็ น
Adverbs of Duration [กริ ยาวิเศษณ์บอกระยะที่ดาเนินการมา] )
How often = sometimes , frequently, never, often, always, monthly ( บางตาราแยกหัวข้อนี้ออกเป็ น
Adverbs of Frequency [กริ ยาวิเศษณ์บอกความสม่าเสมอ] )
2 คากริยาวิเศษณ์ ที่ทาหน้ าทีบ่ อกสถานที่ (adverbs of place) เช่น here, there, upstairs, downtown,
inside, outside, etc.adverbที่ บอกว่าการกระทานั้นเกิดขึ้นที่ไหน หรื อ การเคลื่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุด
หนัง ( Where )
เช่น here, there, everywhere, up, down, near, abroad, above
3 คากริยาวิเศษณ์ ที่ทาหน้ าทีบ่ อกอาการ (adverbs of manner)เช่น quietly, nicely, graciously,
quickly, rapidly, slowly, steadily, safely, silently, etc.adverbที่บอกว่าการกระทานั้นได้กระทาในลักษณะ
อาการอย่างไร ( How ) ส่ วนมากจะเป็ น adverb ที่ลงท้ายคาด้วย -lyของคาคุณศัพท์
เช่น quickly, happily, bravely, hard, fast, well
4 คากริยาวิเศษณ์ ที่ทาหน้ าทีบ่ อกระดับ (adverbs of degree)เช่น very, rather, fairly, quite, slightly,
extremely, etc.เป็ นกริ ยาวิเศษณ์ที่ส่วนใหญ่ไปขยาย adjective หรื อ adverb ด้วยกันเอง เพื่อบอกระดับหรื
อปริ มาณความมากน้อย คาที่พบบ่อยๆ (How much) ( บางตาราแยกหัวข้อนี้ออกเป็ น Adverbs of quantity
[กริ ยาวิเศษณ์บอกปริ มาณมากหรื อน้อย] )
ได้แก่very, fairly, rather, quite, too, hardly
5 คากริยาวิเศษณ์ ที่ทาหน้ าทีบ่ อกความถี่ (adverbs of frequency) เช่น often, seldom, always,
frequently, every day, rarely, occasionally, etc.

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 30


6 คากริยาวิเศษณ์ ที่ทาหน้ าทีบ่ อกเน้ นคาหรือข้ อความ (focus adverbs) เช่น even, just, merely,
only, really, simply, too, as well, etc.
7คากริยาวิเศษณ์ ทที่ าหน้ าทีบ่ อกทัศนคติของผู้พูดหรือผู้เขียนต่ อสิ่ งทีพ่ ูดหรือเขียน (viewpoints
adverbs)เช่น clearly, evidently, frankly, honestly, generally, normally, briefly, hopefully, etc.
8 คากริยาวิเศษณ์ ที่ทาหน้ าทีเ่ ชื่อมความ (connective adverbs)เช่น however, on the contrary,
meanwhile, furthermore, moreover, as a result, consequently, etc.
ตาแหน่ งของคากริยาวิเศษณ์ คากริ ยาวิเศษณ์จะปรากฏในตาแหน่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1 .ต้นประโยค เช่น
-Soon John fell asleep.
สาหรับประโยคที่ข้ ึนต้นด้วยคากริ ยาวิเศษณ์ที่มีความหมายปฏิเสธหรื อเชิงปฏิเสธ เช่น never (ไม่เคย),
hardly (โดยยาก, เกือบไม่เคย), rarely (นาน ๆ ครั้ง, ไม่ใคร่ จะ), seldom (นาน ๆ ครั้ง, ไม่ใคร่ จะ), etc. กริ ยา
ช่วยจะอยูห่ น้าประธานของประโยค ส่ วนกริ ยาแท้หรื อกริ ยาหลักจะอยูห่ ลังประธาน
2 .หลังประธานและก่อนกริ ยาช่วยหรื อกริ ยาแท้
3 .หลังกริ ยาช่วยคาแรก
4 .หลัง BE เมื่อ BE เป็ นกริ ยาแทน
now,ago,then,already,soon.late.before.after.since.yesterday.tomorrow.today,
everyday.everyweek.etc. เช่น
I must go now. Somsribouhgt a book yesterday.
ฉันจะต้องไปเดี๋ยวนี้ สมศรี ซ้ือหนังสื อเล่มหนึ่งเมื่อวานนี้
2) Adverb of Place คือ กริยาวิเศษณ์ บอกสถานที่ ได้แก่คาว่า
near,far,in,out,here,there,inside,outside,outside,etc, เช่น
He goes there twice a day. We have to stay here today.
เขาไปที่น้ นั วันละ 2 ครั้ง พวกเราจะต้องพักอยูท่ ี่นี่วนั นี้
The manager has just gone out when you come in.
ผูจ้ ดั การเพิ่งจะออกไปข้างนอก ตอนคุณเข้ามาเข้าใน เป็ นต้น
3) Adverb of Frequency คือ กริยาวิเศษณ์ บอกความสม่าเสมอ ได้แก่คาว่า
always,often,seldom,hardly,once,twice,again,sometimes,usually,rarelyเช่น

He always goes to the cinema after school.


เขาไปดูหนังเสมอ ๆ หลังจากเลิกโรงเรี ยนแล้ว เป็ นต้น
4) Adverb of Manner คือ กริยาวิเศษณ์ บอกกริยาอาการ ได้แก่คาว่า
well,sowly,quickly,fast,probably,certainly,etc. เช่น

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 31


He speaks Thai well. Why do you walk so quickly?
เขาพูดไทยได้ดีมาก ทาไมคุณจึงเดินเร็ วนัก? เป็ นต้น
5) Adverb of Quantity คือ กริยาวิเศษณ์ บอกปรมาณมากน้ อย ได้แก่คาว่า
many.much.very.too.quite.rather.etc, เช่น
This question is very easy. She loves me very much.
คาถามนี้ง่ายมาก หล่อนรักผมมาก เป็ นต้น
6) Adverb of Affirmation or Negation คือ กริยาวิเศษณ์ บอกการรับ
หรือปฏิเสธ ได้แก่คาว่า yes,no,not,not at all เช่น
Do you understand me? Yes, I do.
คุณเข้าใจผมไหม? ครับ, ผมเข้าใจ
Does he come here every day? No, he doesn't.
เขามาที่นี่ทุกวันหรื อ? เปล่า, เขาไม่มา เป็ นต้น
กลับด้านบน
Interrogative Adverb แบ่ งออกเป็ นกีช่ นิด
คือ กริ ยาวิเศษณ์ที่ใช้ขยายกริ ยาเพื่อให้เป็ นคาถาม ซึ่งบางคาก็เป็ นคา ๆ เดียว บางคาก็เป็ น
คาผสม กริ ยาวิเศษณ์คาถามเวลาพูดหรื อเขียนต้องวางไว้ตน้ ประโยคเสมอ แบ่งออกเป็ นหมวด
เล็ก ๆ ได้ 6 หมวด คือ
1) บอกเวลา (Time) ได้ แก่คาว่ า When (เมื่อไร) How long (นานเท่ าไร) เช่ น
When will he come here again? Next Year.
เมื่อไหร่ เขาจะมาที่นี่อีก? ปี หน้า

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 32


เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 33
เรื่องที่6. Conjunctions(คาสั นธาน)

Conjunctions(คาสั นธาน) คือคาที่ใช้เชื่อมความ ซึ่งได้แก่ คาสันธานที่ใช้เชื่อมประโยคที่สมบูรณ์


สองประโยคเข้าด้วยกัน (coordinating conjunction) คาสันธานที่ใช้นาหน้าประโยคย่อยไม่อิสระใน
complex sentence (subordinating conjunction) และคาสันธานแบบคาคู่ (paired conjunction)
1 .Coordinating conjunctionsเช่น and, but, or, for, not, so, yet, etc. ใช้เชื่อมคาหรื อกลุ่มคาชนิดเดียวกัน
ตัวอย่าง
-Jack and Bill grew up in this town.
-Henry is rich but unhappy.
-You can read or do your homework.
-She drank two glasses of water, for she was very thirsty.
2. Subordinating conjunctionsคือ คาที่ใช้เชื่อมกลุ่มคาหรื อประโยคย่อยเข้ากับประโยคหลัก เพื่อให้
ต่อเนื่องกันเป็ นประโยคเดียวกัน เช่น after, until, before, when, unless, where, while, although, as if, etc.
ตัวอย่าง
-After finishing the work at the office, John drove his car home.
-Before going to bed, Helen meditated for half an hour.
-Although Jane is rich, she is not happy.
คาสันธานมี 3 ชนิด ได้แก่
Coordinating Conjunctions คือคาสันธานที่ใช้เชื่อมเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคา กลุ่มคา หรื อเชื่อม
ประโยคย่อยอิสระที่อยูใ่ น compound sentence เช่น and, but, yet, or, nor, neither, for, so เป็ นต้น โดยหาก
เป็ นการเชื่อมประโยคย่อยอิสระใน compound sentence คาเชื่อมเหล่านี้จะอยูร่ ะหว่าง clause ทั้งสองและมี
เครื่ องหมายจุลภาค , (comma) คัน่ ในกรณี ที่ประโยคที่เชื่อมต่อกันค่อนข้างสั้น สามารถละเครื่ องหมาย
จุลภาคได้
1) and ใช้แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลที่เสริ มกัน (showing addition)
My husband and I are going to Rayong this weekend.
My favorite pastimes are playing sports and listening to music.
I wrote to Kimberly on Tuesday and received her reply on Saturday morning.
January is the first month of the year, and December is the last.
2) but, yet ใช้แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ขดั แย้งกัน (showing concession or contrast)
These shoes are old but comfortable.
Jane likes the piano but prefers to play the harpsichord.

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 34


Carol is rich, but Robert is poor.
Mr. Bartley came to the party, but Mr. and Mrs. O’Connor did not.
William is tired, yet happy.
The psychiatrist spoke in a gentle, yet persuasive voice.
She did not study, yet she passed the exam.
3) or ใช้แสดงความสัมพันธ์ประเภทเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง (showing alternatives)
You can have the black kitten or the white dog.
You can email or fax us the details of the program.
She wants to watch TV or (to) listen to some music.
My friends and I usually go to a party on Saturday night, or we go to the movies.
4) nor, neither ใช้ในความหมายตรงข้ามกับ or กล่าวคือใช้แสดงความสัมพันธ์ในเชิง
ปฏิเสธ หมายถึง ไม่ท้ งั สองอย่าง (showing no alternatives) ขอให้สงั เกตว่าเมื่อใช้คาว่า nor และ neither ซึ่ง
มีความหมายเชิงปฏิเสธนาหน้าประโยค จะมีการสลับที่ประธานกับกริ ยา กล่าวคือ จะวางกริ ยาไว้หน้า
ประธาน
Laura has not left, nor is she planning to leave.
These people are not insane, nor are they fools.
I was not happy, and neither were they.
She doesn’t drink, and neither does she smoke.
5) for ใช้แสดงสาเหตุหรื อเหตุผล (showing causes or reasons)
I went to bed, for I was tired.
I’m taking an English class, for I want to improve my English skills.
I’m afraid I can’t accept your invitation, for I have to go on a business trip to Japan.
The little girl hid behind her mother, for she was afraid of the dog.
6) so ใช้แสดงผล (showing results)
Victor liked the necktie, so he bought it.
She felt hungry, so she took a lunch break.
John’s car is in the repair shop, so he has to take a taxi to work.
My daughter studies very hard, so she always gets good grades.

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 35


3. Correlative conjunctions

Correlative conjunctions คือคาสันธานแบบคาคู่ที่ใช้เชื่อมระหว่างประโยคย่อยอิสระใน compound sentence


ได้แก่ both … and (ทั้ง ... และ ...), not only … but also (ไม่เพียงแต่ ... เท่านั้น แต่ยงั ... อีกด้วย), either … or (ไม่...ก็...),
neither … nor (ไม่ท้ งั ... และไม่ท้ งั ...)
I enjoy singing. I enjoy dancing.
- I enjoy both singing and dancing.

Rice is grown in our country. Wheat is grown in our country.


- Both rice and wheat are grown in our country.

Susan looked to the right before crossing the street. Susan looked to the left before crossing the street.
- Susan looked both to the right and to the left before crossing the street.

Man needs food. Man needs shelter.


- Man needs not only food but also shelter.

The teacher objected to the change in the curriculum. The students objected to the change in the curriculum.
- Not only the teacher but also the students objected to the change in the curriculum.

Frank returned the money. Frank paid the interest.


- Frank not only returned the money but also paid the interest.

You can go. You can stay.


- You can either go or stay.

You can have your party at my house. You can have your party at your parents’ house.
- You can have your party at either my house or your parents’.

You must make the first payment by November 2. You can explain the delay on Form 233A.
- You must either make the first payment by November 2 or explain the delay on Form 233A.

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 36


He doesn’t speak loudly. He doesn’t speak clearly.
- He speaks neither loudly nor clearly.

We don’t have food until the end of the week. We don’t have money until the end of the week.
- We have neither food nor money until the end of the week.

Tomatoes are not good for this season. Beans are not good for this season.
- Neither tomatoes nor beans are good this season. (ขอให้สงั เกตว่าเมื่อใช้ neither … nor
เชื่อมประธานสองตัว คากริ ยาจะใช้สอดคล้องกับประธานที่อยูใ่ กล้คากริ ยามากที่สุด ในที่น้ ีใช้ are สอดคล้องกับ beans)

My sister isn’t here. My parents aren’t here.


- Neither my sister nor my parents are here. (ขอให้สงั เกตว่าเมื่อใช้ neither … nor
เชื่อมประธานสองตัว คากริ ยาจะใช้สอดคล้องกับประธานที่อยูใ่ กล้คากริ ยามากที่สุด ในที่น้ ีใช้ are สอดคล้องกับ my pa

Henry wasn’t there. George wasn’t there.


- Neither Henry nor George was there.

The news did not distress him. The news did not delight him.
- The news neither distressed nor delighted him.

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 37


เรื่องที่ 7. Prepositions (คาบุพบท)

Prepositions (คาบุพบท)เป็ นคา หรื อกลุ่มคาที่วางหน้า noun หรื อ pronoun เพื่อแสดงว่าคานามหรื อสรรพ
นามนั้นเกี่ยวข้องกับคาอื่นๆในประโยคอย่างไรเช่น on, at, in, from, within
คาบุพบทแบ่งเป็ นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
1 .คาบุพบทบอกสถานที่ (prepositions of place) เช่น at, on, in, etc
2. คาบุพบทบอกตาแหน่ง (prepositions of position) เช่น above, beneath, behind, in front of, etc.
3 คาบุพบทบอกการเคลื่อนไหว (prepositions of motion) เช่น through, into, towards, out of, away from,
etc.
4 .คาบุพบทบอกทิศทาง (prepositions of direction) เช่น up, down, across, along, etc
5 .คาบุพบทบอกเวลา (prepositions of time) เช่น on, in, at, by, after, before, etc.
6 .คาบุพบทบอกลักษณะอาการ (prepositions of manner) เช่น in, with, without, etc.
7 .คาบุพบทบอกความสัมพันธ์ (prepositions of relationship) เช่น about, of, with, in, from, etc.
การใช้ คาบุพบท
ประเด็นสาคัญเกี่ยวกับการใช้คาบุพบท มีดงั นี้
1.การใช้คาบุพบทให้ถูกต้องมักต้องอาศัยการสังเกตและจดจา ว่าในสถานการณ์น้ นั ๆ จะต้องใช้คาบุพบทคา
ใด เช่น เมื่อกล่าวถึงวัน ต้องใช้คาบุพบท on เมื่อกล่าวถึงเดือน ต้องใช้คาบุพบท in เป็ นต้น ดังตัวอย่าง
ต่อไปนี้
-I study English on Monday.
-I started studying English in 1990.
2 ถึงแม้วา่ คาบุพบทแต่ละคาจะมีความหมายของตัวเอง แต่คาบุพบทมักถูกนาไปใช้คู่กบั คาอื่น ๆ และทาให้
เกิดความหมายพิเศษ มีลกั ษณะคล้ายสานวน
ตัวอย่าง
· approve of (เห็นชอบ)
We approve of the new plan.
· angry at หรื อ angry with (โกรธ)
We are angry at/with John.
· satisfied with (พอใจกับ)
We are satisfied with our success.
Preposition

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 38


Preposition (บุพบท) คือคาที่ใช้เชื่อม หรื อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคาต่อคา เช่น นามต่อนาม, กริ ยากับ
นาม, กริ ยากับสรรพนาม สรรพนามกับนาม, หรื อนามกับสรรพนาม
Preposition ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็ น 2 ชนิดคือ
1. Preposition คาเดียว Single Preposition
2. Preposition วลี Preposition Phrase

Preposition คาเดียวที่พบเห็นบ่อยๆและนิยมใช้กนั มากมีอยู่ 44 คาคือ in, on, at, under, to, from, of, off,
since, for, near, around, inside, outside, beneath, towards, into, till, until, from…to, with, without, by, up,
down, after, before, beside, besides, against, through, across, along, above, over, behind, below,
underneath, during, between, among, from…until, within, forward

Preposition คาเดียว
การใช้ in, at, on บุพบทที่ใช้กบั เวลามีหลักดังนี้

in : ใช้ บอกเวลาที่เป็ นชื่อเดือน, ปี , ฤดูกาล, และส่ วนของวัน เช่น


I like to swim in the morning. ผมชอบว่ายน้ าในเวลาเช้า.

at :ใช้ เพือ่ บอกเวลาเกีย่ วกับชั่วโมง noon, night, midnight, midday, Christmas, Easter เพื่อบอกเวลา
เฉพาะเจาะจงเช่น
They want home at three o’clock. พวกเขากลับบ้านเวลา15.00 น

on : ใช้ เพือ่ บอกเวลาที่เป็ นวันของสั ปดาห์ และวันที่ วันสาคัญทางราชการ และวันสาคัญทางศาสนา เช่น


on Sunday, on New Year’s Day, on King’s Birthday etc.
on time แปลว่า ตรงเวลาพอดี (ตรงพอดี)เช่น He comes on time. เขามาตรงเวลาพอดี
in time แปลว่าทันเวลา (ก่อนเวลา,ก่อนกาหนด) เช่น The train arrived at the station in time. รถไฟมาถึง
สถานีทนั เวลา(มาถึงก่อนเวลา)

การใช้ at, in บุพบททีใ่ ช้ เกีย่ วกับสถานทีม่ ีหลักดังนี้

at : ใช้บอกสถานที่ที่ไม่ใหญ่โตนัก ที่จากัด แน่นอน เช่น at school, at the hotel….


in :ใช้บอกสถานที่ที่ใหญ่โตก็ได้เช่น in Thailand หรื อใช้บอกสถานที่ที่เจาะจงภายในแห่งใดแห่งหนึ่งไม่วา่
ใหญ่หรื อโตก็ได้ เช่น in the house, in a country เป็ นต้น

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 39


การใช้ during, between, among มีหลักเกณฑ์ ดังนี้

คาทั้ง 3 แปลว่า ‚ระหว่าง‛ แต่ใช้ต่างกันดังนี้


during: ใช้สาหรับบอกระยะเวลาการกระทาช่วงใดช่วงหนึ่งตามที่ระบุไว้ในประโยค เช่น
During visiting Thailand, I had seen the Emerald Buddha Temple.
ระหว่างการมาเที่ยวประเทศไทย ฉันได้ไปชมวัดพระแก้ว เป็ นต้น

between: ใช้ สาหรับคัน่ ระหว่ างของสองอย่ างหรือคนสองคน เช่น


She’s standing between you and me.
หล่อนยืนอยูร่ ะหว่างคุณและผม (เมื่อใช้ between ต้องมี and ตามเสมอ)
among : ใช้สาหรับคัน่ หรื อเชื่อมนาม ที่มีจานวนตั้งแต่ 3 ขึ้นไป เช่น The teacher’s standing among us.

การใช้ in, on, by กับยานพาหนะ


in :ใช้กบั ยานพาหนะที่มีสภาพปิ ด กาบัง เช่น in the bus, in the plane…
on :ใช้กบั ยานพาหนะที่มีสภาพเปิ ดโล่งแจ้ง ไม่ปกปิ ดกาบัง เช่น on a horse, on a motorcycle..
by :ใช้ได้ท้ งั ปิ ดและเปิ ด แต่ตอ้ งไม่มี article นาหน้า เช่น by bus, by train …

การใช้ on, over, above มีหลักดังนี้


on :ใช้บอกว่าของที่อยูบ่ นที่ติดอยูก่ บั อันล่าง
over :ใช้บอกว่าของอยูเ่ หนือหัวพอดี
above :ใช้บอกว่าของนั้นอยูด่ า้ นบน(กว้างๆ)

Preposition วลี
คือ บุพบทตั้งแต่ 2ตัวขึ้นไปรวมอยูด่ ว้ ยกัน และมีความหมายเสมือนเป็ นบุพบทคาเดียว แบ่งเป็ น 2ชนิด คือ

1.บุพบทวลีชนิด 2 ตัว two words preposition


2.บุพบทวลีชนิด 3 ตัว three words preposition

บุพบทชนิด 2 ตัว ได้ แก่บุพบทต่ อไปนี้


according to (ตาม), instead of (แทน, แทนที่), because of (เพราะว่า), owing to (เนื่องจาก)

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 40


บุพบทชนิด 3 ตัวได้ แก่บุพบท ต่ อไปนี้
in order to เพื่อที่จะ,by means of (โดยอาศัย),on account of (เนื่องจาก), in spite of (ถึงแม้วา่ ), in front of
(ข้างหน้า), in back of ( ข้างหลัง), for the sake of (เพื่อเห็นแก่), of the point of (เกือบจะ), on the point of
(เกือบจะ), in consequence of (เนื่องจากว่า)
* หมายเหตุ การใช้บุพบทนี้ยงั มีกริ ยาบางตัวที่มีขอ้ บังคับว่าต้องใช้บุพบทตัวใดตามหลังอีกด้วย เช่น belong
to (เป็ นของ), arrive at (มาถึงสถานที่เล็กๆ), ask….for (ขอ), agree with (เห็นด้วยตกลงด้วย), consist of
(ประกอบด้วย), protect from (ป้ องกันจาก), believe in (เชื่อ,มีศรัทธา), live on (กินเป็ นอาหาร), make of (ทา
ด้วย), be afraid of (กลัว,เกรงกลัว)

การใช้ คาบุพบททีใ่ ช้ อยู่เป็ นประจาในสานวนอืน่ ๆ เช่น


in all directions (ในทุกทิศทุกทาง) , in search of (ค้าหาเพื่อ), in reply to (ในการตอบ),in the end (ใน
ท้ายที่สุด), in the open-air (ในกลางแจ้ง), in a hurry (ในขณะรี บ), in politics (ในทางการเมือง), in my
opinion (ในความคิดเห็นของข้าพเจ้า), in fact (โดยแท้จริ งแล้ว), in truth (โดยความจริ งแล้ว), in good
condition(อยูใ่ นสภาพดี), in good health (มีสุขภาพดี), in poor health(มีสุขภาพไม่ดี), in row(อยูใ่ นแถว), in
the book (ในหนังสื อ), in despair (ด้วยความผิดหวัง), in tears (ด้วยน้ าตา), in ruin (ในสภาพหักพัง), in debt
(เป็ นหนี้), in luxury (อย่างหรู หรา), in poverty (ในสภาพยากจน) etc

4. การใช้ by (โดย)
คาบุพบท by นี้มีวิธีการใช้ในหลาย ๆ ความหมาย ดังนี้

4.1 ใช้ by กับกริ ยาที่เรี ยกหากรรม (Transitive Verb) ในประโยคกรรมวาจก (Passive Voice) เพื่อแสดงให้รู้
ว่าใครหรื ออะไรเป็ นผูก้ ระทากริ ยาอาการนั้น ๆ เช่น
He was attacked by a dog. (เขาถูกสุ นขั โจมตี (ไล่กดั ))
ในที่น้ ีจะเห็นว่าผูท้ ี่กระทากริ ยาอาการคือการโจมตีน้ นั คือสุ นขั (a dog) ส่ วนเขา (He) นั้นเป็ นผูถ้ ูกกระทา

4.2 ใช้ by เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิธีที่ทาหรื อ ยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง เช่น


You can travel by car/bus/train/boat/plane.(คุณสามารถเดินทางโดยรถยนต์/รถโดยสาร/รถไฟ/เรื อ/
เครื่ องบิน)
You can book the tickets by phone. (คุณสามารถจองตัว๋ ทางโทรศัพท์)

4.3 ใช้ by เพื่อแสดงให้ทราบถึงหนทางที่ผา่ นไป เช่น


He came in by the back door.(เขาเข้ามาทางประตูหลังบ้าน)

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 41


4.4 ใช้ by ในความหมายว่า อยูใ่ กล้ ๆ หรื อข้าง ๆ เช่น
He is standing by the window. (เขากาลังยืนอยูใ่ กล้หน้าต่าง)

4.5 ใช้ by ในความหมายว่า ผ่านไป เช่น


She passed by me without noticing me. (เธอเดินผ่านผมไปโดยไม่ได้สงั เกตเห็นผมเลย)

4.6 ใช้ by เพื่อแสดงถึงชื่อผูท้ ี่เขียนหนังสื อ กากับภาพยนตร์ หรื อทางานทางด้านศิลปะอื่น ๆ เช่น


This English Grammar Book is written by Dr.Thanapol.
(หนังสื อไวยากรณ์องั กฤษเล่มนี้ เขียนโดยดร.ธนพล)

4.7 ใช้ by เกี่ยวกับเวลาในความหมายว่าใกล้ ๆ เวลานั้นหรื อก่อนเวลานั้น เช่น


Try to be there by two o’clock. (พยายามไปให้ถึงที่นนั่ ประมาณบ่าย 2 โมง)
Please finish it by tomorrow. (โปรดทาให้เสร็ จก่อนถึงพรุ่ งนี้)

4.8 ใช้ by ในความหมายว่า ทาทุกสิ่ งทุกอย่างด้วยตนเองทั้งหมด เช่น


I did it all by myself. (ผมทามันทั้งหมดด้วยตัวของผมเองทั้งนั้น)

4.9 ใช้ by นาหน้ากลุ่มคาดังต่อไปนี้คือ


by my watch (ตามนาฬิกาของผม) , by the dozen (เป็ นโหล (ขาย)), by land (โดยทางบก) etc...

5. การใช้ before (ก่อน)


ถ้านา beforeมาใช้กบั เวลา จะหมายถึงเวลาใดก็ได้ ไม่ได้กาหนดแน่ชดั ลงไปแต่ตอ้ งเกิดขึ้นก่อนถึงเวลาที่พดู
ถึง เช่น
He will be back before ten. (เขาจะกลับเข้ามาก่อนเวลา 10 นาฬิกา)
คาว่า ‚before‛ นี้เป็ นการกาหนดคร่ าวๆ คือจะมาเวลาไหนก็ได้แต่ตอ้ งเป็ นก่อน10 นาฬิกาก็เป็ นอันว่าใช้ได้
before นี้โดยปกติแล้วจะใช้เกี่ยวกับเวลา แต่กน็ าไปใช้เกี่ยวกับสถานที่ได้เช่นเมื่อเอ่ยถึงลาดับที่ในรายชื่อ
หรื อการเรี ยงแถว
เช่น Your name comes before mine in the list. (ชื่อของคุณมาก่อนชื่อของผมในรายชื่อ)

6. การใช้ after (หลังจาก)


คาว่า ‚after‛ เมื่อนามาใช้เกี่ยวกับเวลาก็หมายถึงเวลาใดก็ได้ แต่ตอ้ งเป็ นหลังจากเวลาที่พดู ถึง เช่น

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 42


We will leave after lunch. (พวกเราจะออกเดินทางหลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว)

7. การใช้ till (until) (จนกระทัง่ )


คาว่า till และ until มีความหมายเหมือนกันและใช้แทนกันได้ และที่สาคัญคือทั้ง 2 คานี้ เป็ นได้ท้ งั คาบุพบท
(Preposition) และเป็ นคาเชื่อม (Conjunction) ที่จะกล่าวถึงต่อไปจากนี้ดว้ ย ในที่น้ ีเป็ นคาบุพบทแปลว่า
‚จนถึง/จนกระทัง่ ‛ เช่น
We will keep it for you till (until) Monday. (พวกเราจะเก็บมันไว้ให้คุณจนถึงวันจันทร์)
ข้อสังเกต ข้างหลัง till (until) นั้นเป็ นคานามคาเดียว คือ Monday ไม่ได้ตามด้วยประโยคจึงเป็ นคาบุพบท

8. การใช้ from…..to (จาก.....ถึง)


คาบุพบท from ….to ใช้ได้ท้ งั กับเวลาและเกี่ยวกับสถานที่ เช่น
ใช้กบั เวลา : I usually work from nine to five.
(โดยปกติผมจะทางานจาก 9 นาฬิกาถึง 5 นาฬิกา)
ใช้กบั สถานที่ : It is about 150 kilometres from Bangkok to Suphanburi Province.
(ประมาณ 150 กิโลเมตรจากกรุ งเทพฯถึงจังหวัดสุ พรรณบุรี)

9. การใช้ during (ระหว่าง)


คาบุพบท during จะใช้กบั ระยะเวลาที่ต่อเนื่องกันและที่สาคัญคือหลัง during ต้องเป็ นคานาม (Noun) หรื อ
วลี (Phrase) เท่านั้น เช่น
The sun gives us light during the day. (ดวงอาทิตย์ให้แสงสว่างแกเราระหว่างเวลากลางวัน)

ข้ อสั งเกต
บางครั้งอาจใช้ duringและ inแทนกันได้ เมื่อต้องการพูดว่าบางสิ่ งบางอย่างเกิดขึ้นภายในช่วงระยะเวลาใด
เวลาหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น
We will be on holiday during (in) April. (พวกเราจะอยูใ่ นช่วงวันหยุดระหว่าง (ใน) เดือนเมษายน)
นิยมใช้ during เมื่อต้องการเน้นถึงช่วงตลอดระยะเวลานั้น เช่น
The company was closed during the whole of April. (บริ ษทั ทาการปิ ดในช่วงตลอดเดือนเมษายน)
เรานิยมใช้ during เมื่อต้องการบอกว่าบางสิ่ งได้เกิดขึ้นในเวลาหนึ่งและมีการจบลงในเวลาหนึ่งแต่ไม่ใช่ช่วง
ระยะเวลา เช่น
I phoned him during the meeting. (ผมโทรถึงเขาในระหว่างการประชุม)
I met him during his stay in Bangkok. (ผมได้พบเขาในช่วงที่เขาพักอยูใ่ นกรุ งเทพฯ)
สานวนเกี่ยวกับ duringที่ใช้บ่อย เช่น duringmyabsence (ในระหว่างที่ผมไม่อยู)่ , duringthe concert (ระหว่าง

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 43


มีการแสดงดนตรี ), during the war (ระหว่างสงคราม), during the night (ระหว่างเวลากลางคืน), during
breakfast (ระหว่างเวลาอาหารเช้า)

คาบุพบทและคาอืน่ ๆ ทีน่ ิยมใช้ คู่กนั

คาคุณศัพท์ (Adjective) ที่ใช้คู่กบั คาบุพบทที่พบบ่อย


absent from (ไม่มา)
adequate for (เพียงพอสาหรับ)
afraid of (กลัว)
aware of (ระวัง)
appropriate for (เหมาะสาหรับ)
capable of (สามารถในการ)
familiar with (คุน้ เคยกับ)
fond of (ชอบ)
friendly with (เป็ นมิตรกับ)
free from (เป็ นอิสระจาก)
satisfied with (พอใจกับ)
pleased with (พอใจกับ)

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 44


เรื่องที่ 8 Interjections (คาอุทาน)
Interjections (คาอุทาน) คือคาพูดที่พดู ออกไปด้วยอารมณ์ต่างๆ เพื่อแสดงออกถึงความรู ้สึกที่เกิดขึ้น
ขณะนั้น เช่น ดีใจ เสี ยใจ หรื อ โกรธ เป็ นต้น
ชนิดของการอุทาน มี 2 ชนิด คือ
1. การอุทานทีเ่ ป็ นคาเดียวโดดๆ หรือเป็ นกลุ่มคา (วลี) เช่ น
1. ประหลาดใจ
- Oh! (โอ) = โอ! ออ! โอ้โฮ!
- Indeed (อินดีด) = จริ งๆ! แท้จริ ง!
- Wow (เวา) = โอ้โฮ!
2. เศร้ าใจ
- Alas! (อะแล็ส) = โอย! ตายจริ ง!
- Ah! (อา) (= อา! โอย!
- Alack! (อะแล็ค) = อนิจจา!
3. ดีใจ
- Hurrah (ฮูรา) = ไชโย!
- Ha! (ฮา) = ฮา!
- Bravo! (บราโว) = ไชโย!
4. รังเกียจ
- Ugh! (อุฮ) = ทุด! ถุย!
5. เหยียดหยาม
- Dam! (แด็ม) = สมน้ าหน้า!
- Pooh! (พู)่ = ชึ!
- Bosh! (บ็อช) = เหลวไหล!

6. ติเตียน
- Fie! (ไฟ) = เชอะ! ถุย!
7. เตือนให้ ระวัง
- Hark! (ฮ้าค) = ฟัง!
- Hush! (ฮัช) = อย่าทาเสี ยงดัง!
8. เรียกหรือทักทาย
- Ho! (โฮ) = ฮ้า!

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 45


- Hello (เฮ็ลโล) = สวัสดี!
- Hullo (ฮะโล) = ฮัลโหล!
คาอุทานทีเ่ ป็ นกลุ่มคาได้ แก่
Well done! (เว็ล ดัน) = เยีย่ มไปเลย!
Just my luck! (จัสท มาย ลัค) = โชคของผมแท้ๆ!
O dear me! (โอ เดียร์ มี) = โอ่ ได้โปรดเถอะ!

การอุทานทีอ่ อกมาในรูปแบบของประโยค เช่ น ประโยคอุทานทีข่ นึ้ ต้ นด้ วย What และ How เช่ น
What a pity! (ว็อทอะพิททิ)
ช่างน่าสงสารอะไรอย่างนั้น
What a mess! (ว็อทอะเมส)
มันช่างสับสนอะไรอย่างนั้น
What a fool he is!(ว็อทอะฟูลฮี อีส)
เขาช่างโง่อะไรอย่างนั้น!
What a shame you can’t come!
(ว็อทอะเชม ยู ค้านท คัม)
ช่างน่าอานอะไรอย่างนั้นที่คุณมาไม่ได้!
What an awful noise!
(ว็อท แอน ออฟูลนอยซ)
มันช่างเสี ยงดังอะไรอย่างนั้น!
What a nuisance! (ว็อทอะนิวซันซ)
มันช่างน่าราคาญอะไรอย่างนั้น
What a shame! (ว็อทอะเชม)
ช่างน่ายอายอะไรอย่างนั้น!
What a pretty girl!
(ว็อทอะพริ ททิเกิล)
เธอช่าน่ารักอะไรอย่างนั้น!
What an expensive dress!
(ว็อท แอน อิ๊คซเพนซีฟว เดรส)
ชุดอะไรช่างแพงอย่างนั้น!
What a large room!
(ว็อทอะลาจรู ม)

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 46


ห้องอะไรช่างใหญ่อย่างนั้น!
What lovely children! (ว็อทลัฟลิ ชินเดรน)
ช่างเป็ นเด็กที่น่ารักอะไรอย่างนั้น
What delicious food it is!
(ว็อทดิลิซซัส ฟูด อิท อีส)
มันช่างเป็ นอาหารที่อร่ อยอะไรอย่างนั้น!
How nice of you to come!
(ฮาวไนซออฟ ยู ทู คัม)
ช่างดีเหลือเกินที่คุณมาได้!

How cold this room is!


(ฮาว โคลด ธิสรู ม อีส)
ห้องนี้ช่างหนาวะไรอย่างนั้น!
How strong he is!
(ฮาว สตรอง ฮี อีส)
เขาช่างแข็แรงอะไรอย่างนั้น!
How quickly the time passes!
(ฮาวควิคลี่ เธอะไทม พาสเสซ)
เวลาช่างผ่านไปรวดเร็ วอะไรอย่างนั้น!
How heavy it rains!
(ฮาวเฮ็ฟวี่อิทเรนส)
ฝนช่างตกหนักอะไรอย่างนั้น!
ประโยคอุทาน บางอย่ างก็ขนึ้ ต้ นด้ วยคากริยาวิเศษณ์ (Adverb) เช่ น
Away you go! (อะเวย์ ยู โก)
แกออกไปซะ!
Here it comes! (เฮีย อิทคัมส)
มานี่แล้วไง
There they are! (แธร์เธย์อาร์)
พวกเขาอยูท่ ี่นนั่ เอง
There goes the bus!
(แธร์ โกส เธอะ บัส)
รถโดยสารไปโน่นแล้ว

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 47


นอกจากนีป้ ระโยคอุทาน ยังใช้ เพือ่ การอวยพร หรือแสดงความยินดีได้ อกี ด้ วย เช่ น
Long live the King.
(ลอง ลีฟเธอะคิง)
ขอจงทรงพระเจริ ญ
God save you. (กอด เซฟว ยู)
ขอให้พระเจ้าคุม้ ครองคุณ
Have a good trip.
(แฮ็ฟอะ กูด ทริ พ)
ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย
Best of luck. (เบสทออฟลักค)
ขอให้โชคดี

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 48


แบบทดสอบหลังเรี ยน

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 49


เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 50
เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 51
เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 52
เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 53
เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 54
เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 55
แหล่งอ้างอิง

- https://sakawdurn.wordpress.com/category/part-of-speech/

- http://www.studysquare.co.th/studyenglish/noun-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD-
%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/

- http://ภาษาอังกฤษออนไลน์.com/parts-of-speech-
%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%
E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%94/

เอกสารประกอบการเรี ยน วิชาภาษาอังกฤษ หน้า 56

You might also like