You are on page 1of 6

การประชุมวิชาการวิศวกรรมโยธาแห่งชาติ ครั้งที่ 25 The 25th National Convention on Civil Engineering

วันที่ 15-17 กรกฎาคม 2563 จ.ชลบุรี July 15-17, 2020, Chonburi, THAILAND

อิทธิพลของขนาดแผ่นเหล็กเกลียวต่อกาลังการรับแรงแบกทาน โดยใช้ข้อมูลการทดสอบในห้องปฏิบัติการ
Influence of helical plate diameter on bearing capacity based on laboratory study

จักรพันธ์ ธงทอง1,*, สุริยะ ทองมุณ2ี และ คเชนทร์ จักร์แก้ว3

1
โปรแกรมวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมโยธา คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร จ.กาแพงเพชร
2,3
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่
*Corresponding author; E-mail address: jakkaphan_t@elearning.cmu.co.th

บทคัดย่อ increased in an exponential manner according to the increase in


the diameter of the helix plate. The skin friction is constant.
การออกแบบก าลั ง รั บ แรงแบกทานของเสาเข็ ม แผ่ น เหล็ ก เกลี ย ว
โดยทั่วไปจะใช้วิธีการคล้ายกับพฤติกรรมเสาเข็มลึก จากผลการวิจัยที่ผ่านมา Keywords: Helical pile, Bearing capacity, Pile foundation,
พบว่าการเสริมแผ่นเหล็กเกลียวทาให้กาลังรับแรงแบกทานเพิ่มขึ้นตามการ Laboratory test
เพิ่ม ขึ้ นของขนาดแผ่น เหล็ก เกลีย ว แต่แ นวโน้ม การเพิ่มขึ้ น ไม่ ไ ด้มีอั ต รา 1. คานา
เพิ่มขึ้นเหมือนกับการเพิ่มของขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของเสาเข็มลึก ส่งผลให้
การประเมินหรือออกแบบกาลังรับแรงแบกทานของเสาเข็มเหล็กเกลียวไม่ โดยทั่วไประบบฐานรากเสาเข็มเหล็กเกลียวจะนามาใช้ในโครงสร้าง
สอดคล้องกับกาลังรับแรงแบกทานที่แท้จริง บทความนี้จึงทาการศึกษาถึง หรืออาคารขนาดเบา แต่ด้วยคุณสมบัติที่ดีและได้เปรียบกว่าฐานรากระบบ
อิ ทธิพ ลของขนาดแผ่นเหล็ก เกลีย วที่ ใช้เสริมกาลังต่อก าลังแบกทานของ อื่นหลายประการ[1] ทาให้ในปัจจุบันมีการนาระบบฐานรากดังกล่าวมาใช้
เสาเข็ มเหล็ก เกลีย ว ภายใต้ก ารรับ แรงอั ดในแนวแกน โดยใช้ข้ อ มูลการ ในงานที่ ต้องรับน้าหนักมากยิ่งขึ้ น ส่งผลให้ มีค วามต้องการที่จะต้องเพิ่ม
ทดสอบในห้ อ งปฏิ บั ติ ก าร แล้ ว จึ ง เปรี ย บเที ย บกั บ ผลการออกแบบ ผล ความสามารถในการรับกาลังแบกทานให้กับเสาเข็ม ซึ่งการเพิ่มกาลังการรับ
การศึกษาพบว่าขนาดของแผ่นเหล็กเกลียวมีอิทธิพลต่อการเพิ่มขึ้นของกาลัง แรงแบกทานให้กับเสาเข็มเหล็กเกลียวนั้น มีวิธีการหลายวิธีด้วยกัน เช่น
แบกทานของเสาเข็มเหล็กเกลียว อันเกิดจากพื้นที่หน่วยแรง "stress zone" การเพิ่มจานวนเสาเข็ม การเพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางและความยาวของ
ภายใต้แผ่นเหล็กเกลียว โดยการเพิ่มขนาดแผ่นเหล็กเกลียว ส่งผลให้กาลังรับ เสาเข็ม การเสริมด้วยแผ่นเหล็กเกลียวที่มีขนาด จานวน หรือรูปแบบต่าง ๆ
แรงแบกทานที่ปลายเสาเข็มเพิ่มขึ้นในลักษณะเอกซ์โพเนนเชียล ตามการ เป็นต้น [2]
เพิ่มขึ้นของขนาดแผ่นเหล็กเกลียว ส่วนแรงเสียดทานที่ผิวเสาเข็มคงที่ วิธีการเสริมกาลังแบกทานด้วยการเสริมแผ่นเหล็กเกลียวให้กับเสาเข็ม
นั้น พบว่าเป็นวิธีที่ถูกนามาใช้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากความสะดวกและ
คาสาคัญ: เสาเข็มแผ่นเหล็กเกลียว, กาลังการรับแรงแบกทาน, ฐานราก ค่าใช้จ่ายที่ไม่สูง ซึ่งการออกแบบกาลังรับแรงแบกทานของเสาเข็มแผ่นเหล็ก
เสาเข็ม, การทดสอบในห้องปฏิบัติการ
เกลียวนั้น โดยทั่วไปใช้วิธีการคล้ายกับพฤติกรรมเสาเข็มลึก [2], [3] จาก
Abstract การศึกษาถึงพฤติกรรมของเสาเข็มแผ่นเหล็กเกลียวโดยทั่วไปนั้น การเสริม
แผ่นเหล็ก เกลีย วทาให้ ก าลังรับ แรงแบกทานเพิ่มขึ้ นตามการเพิ่มขึ้ นของ
Generally, design of the bearing capacity of helical piles is
ขนาดแผ่นเหล็ก เกลีย ว [2], [4], [5] แต่ แ นวโน้ม การเพิ่มขึ้ นไม่ได้มีอั ต รา
similar to the behavior of deep pile foundations. From the
เพิ่มขึ้นเหมือนกับการเพิ่มของขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของเสาเข็มลึก ส่งผลให้
previous research, it is found that the reinforcing helix plate
การประเมินหรือออกแบบกาลังรับแรงแบกทานของเสาเข็มเหล็กเกลียวไม่
causes the bearing capacity to increase as the diameter of helix
สอดคล้องกับกาลังรับแรงแบกทานที่แท้จริง
plate increases. But the tendency is not the same as the increase
การศึกษาถึงคุณสมบัติ พฤติกรรม และอิทธิพลของแผ่นเหล็กเกลียวที่มี
in the diameter of the deep pile foundations. This article studies
ผลต่อกาลังการรับแรงแบกทาน เพื่อที่จะสามารถนาไปใช้ ในการประเมิน
the influence of helical plate diameter on bearing capacity
กาลังการรับแรงของเสาเข็มเหล็กเกลียวนั้น ย่อมส่งผลให้การประเมินกาลัง
under axial compression based on laboratory study and then
รับ แรงแบกทานมีความถู ก ต้อ งมากยิ่งขึ้ น บทความนี้จึ ง ทาการศึก ษาถึ ง
compares with the design results. By increasing the diameter of
อิทธิพลของขนาดแผ่นเหล็ก เกลียวที่ใช้เสริ มกาลัง ต่อกาลังแบกทานของ
the helix plate, the end bearing capacity of the helical pile is
เสาเข็ มเหล็ก เกลีย ว ภายใต้ก ารรับ แรงอั ดในแนวแกน โดยใช้ข้ อ มูลการ
ทดสอบในห้องปฏิบัติการ แล้วจึงเปรียบเทียบกับผลการออกแบบ

GTE26-1
การประชุมวิชาการวิศวกรรมโยธาแห่งชาติ ครั้งที่ 25 The 25th National Convention on Civil Engineering
วันที่ 15-17 กรกฎาคม 2563 จ.ชลบุรี July 15-17, 2020, Chonburi, THAILAND

2. ข้อมูลและวิธีการทดสอบ
การศึกษาอิทธิพลของขนาดแผ่นเหล็กเกลียวต่อกาลังการรับแรงแบก
ทานของเสาเข็มเหล็กเกลียวนั้น ดาเนินการโดยการติดตั้งแบบจาลองเสาเข็ม
ลงในแบบจาลองดิน ก่อนการทดสอบกาลังรับแรงอัด ในห้องปฏิบัติการ โดย
มีตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงคือขนาดของแผ่นเหล็กเกลียว ส่วนในสภาวะต่างๆ
จะ คงที่ อันได้แก่ แบบจาลองเสาเข็ม แบบจาลองดิน และชุดอุปกรณ์ การ
ทดสอบต่างๆ ดังนั้น เพื่อให้ทุกการทดสอบสามารถควบคุมสภาวะแวดล้อม
ต่ า ง ๆ ให้ ค งที่ ม ากที่ สุ ด จึ ง ต้ อ งมี ก ารจั ด เตี ย มวั ส ดุ แ ละอุ ป กรณ์ โดยมี
รายละเอียดดังนี้
2.1 วัสดุและอุปกรณ์การทดสอบ
2.1.1 แบบจาลองเสาเข็มแผ่นเหล็กเกลียว รูปที่ 2 กราฟการกระจายของขนาดเม็ดทราย
การศึกษาในครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้แบบจาลองเสาเข็มแผ่นเหล็กเกลียวสแตน
เลส เกรด 304 ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 นิ้ว หนา 1.1 มม. ความยาว 40 ตารางที่ 1 รายละเอียดคุณสมบัติของแบบจาลองเสาเข็มแผ่นเหล็กเกลียว
Property Value
ซม. เชื่อมปิดปลายเสาเข็ม ติดตั้งแผ่นเหล็กเกลียวเสริมกาลัง หนา 2 มม. ที่
Outer diameter, D (mm.) 12.7
ระยะ 0.5 นิ้ว จากปลายเสาเข็ม (e) ที่อัตราส่วนเส้นผ่าศูนย์กลางแผ่นเหล็ก 1.1
Wall thickness, t (mm.)
เกลียว (D) ต่อเส้นผ่าศูนย์กลางเสาเข็ม (d) เท่ากับ 1, 2, 3 และ 4 ดังแสดง Length from raft base, L (mm.) 400
ในรูปที่ 1 โดยทาการทดสอบเป็นจานวน 4 ต้น ต่ออัตราส่วน D/d ต่างๆ Young’s modulus, Ep (GPa.) 180
คุณสมบั ติทางวิศวกรรมเบื้ อ งต้น ของแบบจาลองเสาเข็ ม มีค่าโมดูลัส Poisson’s ratio, ν 0.270
ยืดหยุ่น (Young’s modulus) เท่ากับ 180 GPa. และค่าอัตราส่วนปัวซอง Relative density, Dr (%) 50
(Poisson's ratio) เท่ากับ 0.270 ซึ่งเป็นค่าคุณสมบัติทั่วไปของสเตนเลส Interface friction angle,  (deg.) 18.3
โดยรายละเอียดคุณสมบัติของแบบจาลองเสาเข็มแสดงในตารางที่ 1 ตารางที่ 2 คุณสมบัติทางวิศวกรรมเบือ้ งต้นของทราย
2.1.2 แบบจาลองดิน Property Value
แบบจาลองดินใช้ทรายซิลิกา คัดขนาด 0.40-0.84 มม. ผ่านตะแกรง Classification (USCS) SP
D50 0.56
เบอร์ 20 ค้างบนตะแกรงเบอร์ 40 โดยมีคุณสมบัติทางวิศวกรรมเบื้องต้น ดัง
Coefficient of uniformity, Cu 1.45
แสดงในรูปที่ 2 และตารางที่ 2
Coefficient of curvature, Cc 1.17
2.1.3 ชุดอุปกรณ์ถังทดสอบ Specific gravity, Gs 2.65
ชุดอุ ป กรณ์ ถั งทดสอบเป็นชุดถังโครงเหล็กรูป พรรณประกอบ ขนาด Maximum dry density, ρdmax (kg/m3.) 1,679
ภายใน กว้า งxยาวxสูง 50x80x53 ซม. เพื่อ ใช้ในการบรรจุ ทราย รวมทั้ง Minimum dry density, ρdmin (kg/m3.) 1,344
ติ ด ตั้ ง เครื่ อ งมื อ การให้ แ รง (Hydraulic jack), เครื่ อ งมื อ การอ่ า นค่ า แรง Maximum void ratio, emax 0.971
Minimum void ratio, emin 0.578
(Load cell), เครื่องมือการวัดการทรุดตัวของโมเดลเสาเข็ ม (LVDT) และ
Relative density, Dr (%) 50 60 70 80
เครื่องมือการบันทึกและแปลผลข้อมูล (Data logger) ดังแสดงในรูปที่ 3
Internal friction angle,  (deg.) 29.7 30.2 31.7 32.5
Dry density, ρ (kg/m3.) 1493 1526 1562 1599
Void ratio, e 0.775 0.735 0.696 0.657

รูปที่ 1 แบบจาลองโมเดลเสาเข็ม

GTE26-2
การประชุมวิชาการวิศวกรรมโยธาแห่งชาติ ครั้งที่ 25 The 25th National Convention on Civil Engineering
วันที่ 15-17 กรกฎาคม 2563 จ.ชลบุรี July 15-17, 2020, Chonburi, THAILAND

3. สมมุติฐานและสมการในการออกแบบ
3.1 สมมุติฐานการออกแบบ
วิธีการประเมินประสิทธิภาพเสาเข็มเหล็กเกลียวที่ใช้โดยทั่วไป มี 3 วิธี
คือ 1. วิธีกาลังแบกทานแบบแยกส่วน 2. วิธีกาลังแบกทานแบบทรงกระบอก
LVDT (ดังแสดงในรูปที่ 5) และ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างแรงบิดระหว่างการติดตั้ง
Data Logger (installation torque) และกาลังการรับแรง [1], [3] ในการศึกษานี้ ศึกษา
ถึงอิทธิพลของขนาดแผ่นเหล็กเกลียวต่อกาลังการรับแรงแบกทาน โดยใช้
แบบจาลองเสาเข็มที่มีแผ่นเหล็กเกลียวจานวน 1 แผ่น ที่ขนาดต่างๆกัน และ
Hydraulic jack ทดสอบหลังจากการติดตั้งเสาเข็มแล้วเสร็จ ในประเมินกาลังรับแรงแบกทาน
จึงใช้เพียงวิธีเดียวคือ วิธีกาลังแบกทานแบบแยกส่วน
ก าลังรับ แรงแบกทานของเสาเข็ มแผ่น เหล็ก เกลีย วมีส มมุติ ฐานและ
Load cell
พฤติก รรมระนาบการวิบั ติเช่นเดีย วกับ ฐานรากลึก โดยกลไกการถ่ า ยเท
รูปที่ 3 ชุดอุปกรณ์ถังทดสอบ
น้าหนักของเสาเข็มจากโครงสร้างสู่ดิน ในระหว่างการถ่ายน้าหนัก เสาเข็ม
2.2 การเตรียมการทดสอบและวิธีการทดสอบ แผ่นเหล็กเกลียวจะถ่ายน้าหนักจากโครงสร้างสู่ดินรอบเสาเข็ม โดยผ่านแรง
เสียดทานระหว่างแกนเสาเข็มแผ่นเหล็กเกลียว(shaft) หรือที่เรียกว่าแรง
2.2.1 แบบจาลองชันนดินและการติดตันงเสาเข็มทดสอบ เสียดทานที่ผิว (skin friction) บวกกับแรงแบกทานที่แผ่นเหล็กเกลียว (end
การจาลองชั้นดินเพื่อให้ทุกการทดสอบคงที่ มีวิธีการดาเนินการ ดังนี้ bearing) การถ่ายน้าหนักนี้จะส่งผลให้เกิดพื้นที่หน่วยแรง "stress zone"
a. แบ่งชั้นทรายออกเป็นชั้นๆ ชั้นล่ะ 5 ซม. จานวน 9 ชั้น โดย ภายใต้แผ่นเหล็กเกลียว ซึ่งมีการกระจายแรงดันที่ด้านล่างของแต่ละแผ่น
ขีดเส้นไว้ที่ถังทดสอบ เหล็กเกลียวอย่างสม่าเสมอทั่วแผ่น กาลังการรับแรงแบกทานของเสาเข็ ม
b. คานวณน้าหนักชั้นทราย ใส่ชั้นทราย และทาการบดอั ดชั้น ได้มาจากผลรวมของแรงแบกทานที่แผ่นเหล็กเกลียว (end bearing) รวม
ทราย ทีละชั้น เพื่อให้ได้ความหนาแน่นสัมพัทธ์ที่ต้องการ กับแรงเสียดทานของแกนเสาเข็ม (shaft) [1], [4]
c. ใส่ ชั้ น ทรายจนถึ ง ระดั บ ปลายเสาเข็ ม จึ ง ด าเนิ น การติดตั้ง
เสาเข็มเข้ากับแท่นยึดและ Load cell
d. ดาเนินการใส่ชั้นทราย และทาการบดอัดชั้นทรายที่เหลือจน
ครบทั้ง 9 ชั้น
2.2.2 การควบคุมความสมาเสมอของแบบจาลองชันนทราย
เพื่อให้การจาลองชั้นทรายมีความสม่าเสมอทั่วพื้นที่ และคงที่ในทุกการ
ทดสอบ จึ งดาเนินการทดสอบ Cone Penetration Test โดยแสดงผ่ า น
ความสัมพันธ์ระหว่างค่าความต้านทานแรงกดกับความลึก [6]
ในการทดสอบจะใช้แท่งเหล็กตันขนาดเส้นผ่า นศูนย์กลาง 12.7 มม.
ความยาว 70 ซม. ปลายรูปทรงกรวย มุมเอียงทรงกรวย 60 องศา ยึดติดกับ
รูปที่ 4 ตาแหน่งการทดสอบ Cone Penetration
Load Cell เพื่อใช้ในการบันทึกและอ่านค่าแรงกด
ดาเนินการกดแท่งเหล็ก ตันลงบนผิวแบบจาลองชั้นทราย ที่ตาแหน่ง
ต่างๆ ทั่วพื้นที่ผิว ดังแสดงในรูปที่ 4 กดลงด้วยอัตราคงที่ และบันทึกค่าแรง
ต้านทานที่ความลึกทุก 5 ซม.
2.2.3 การทดสอบกาลังการรับแรงแบกทาน
การทดสอบก าลังการรับ แรงแบกทาน ดาเนินการโดยใช้ Hydraulic
jack เป็ น เครื่ อ งให้ แ รงแบกทานในแนวดิ่ ง ที่ อั ต ราการเคลื่ อ นตั ว คงที่
ประมาณ 0.2 มม./วินาที ทาการบันทึกค่าแรงและค่าการเคลื่อนตัว ที่การ
เคลื่อนตัวประมาณทุก 0.25 มิลลิเมตร
รูปที่ 5 กลไกการถ่ายน้าหนักของเสาเข็มแผ่นเหล็กเกลียว(a) วิธกี าลังแบกทาน
แบบแยกส่วน และ (b) วิธีกาลังแบกทานแบบทรงกระบอก [3]

GTE26-3
การประชุมวิชาการวิศวกรรมโยธาแห่งชาติ ครั้งที่ 25 The 25th National Convention on Civil Engineering
วันที่ 15-17 กรกฎาคม 2563 จ.ชลบุรี July 15-17, 2020, Chonburi, THAILAND

3.2 สมการในการออกแบบ กดไม่ได้รับอิทธิพลจากผนังด้านข้าง หากตาแหน่งอยู่ห่างจากผนังด้านข้าง


50 มม. ทั้งนี้ในการทดสอบ Cone Penetration Test นั้น เป็นการทดสอบ
สมการสาหรับการหากาลังแบกทานสาหรับเสาเข็มเหล็กเกลียว [2]
แยกต่างหาก โดยยังไม่ได้ติดตั้งแบบจาลองเสาเข็ม [6]
Pu  q
n
ult An  H ( d ) (1)
4.2 กาลังการรับแรงแบกทาน
เมื่อ qult = กาลังรับแรงแบกทานประลัย รูปที่ 7 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกาลังแบกทานกับการทรุดตัว ของ
An = พื้นที่หน้าตัดของแผ่นเหล็กเกลียวที่ nth ต่าง ๆ เสาเข็มเหล็กตัน (SP) และเสาเข็มเสริมแผ่นเหล็กเกลียวที่ขนาดอัตราส่วน
α = แรงยึดเหนี่ยวระหว่างดินและแกนเพลาเสาเข็ม D/d เท่ากับ 2, 3 และ 4 พบว่า เสาเข็มเหล็กตัน กาลังรับแรงแบกทานจะ
H = ความยาวแกนเพลาเสาเข็มเหนือแผ่นเหล็กเกลียวแผ่นบนสุด เพิ่มขึ้น ที่การทรุดตัวช่วงต้น คือที่ประมาณ 0-2 มม. หลังจากนั้นจะค่อยๆ
d = เส้นผ่าศูนย์กลางของแกนเพลาเสาเข็ม (shaft) [2] เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จนถึงคงที่
กาลังรับแรงแบกทานประลัยของดินหาได้จากสมการกาลังรับแรงแบก ส่วนเสาเข็มที่เสริมกาลังด้วยแผ่นเหล็กเกลียว การเพิ่มขึ้นของกาลังรับ
ทานประลัยของฐานรากรูปทรงกลม; แรงแบกทานจะมีระยะการเพิ่มขึ้นที่มากกว่า คือมีการเพิ่มขึ้นตั้งแต่การทรุด
qult  1.3cNc  q ' Nq  0.3BN
ตัวในช่วงต้นจนถึงช่วงกลาง ที่การทรุดตัวประมาณ 0-10 มม. และยังพบว่า
(2) กาลังการรับแรงแบกทานจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะที่เสริมด้วยแผ่น
เมื่อ c = แรงดึงดูดของดินใต้แผ่นเหล็กเกลียว soil cohesion below เหล็กขนาดใหญ่ขึ้น (D/d=4)
helical plate) จากผลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของขนาดแผ่นเหล็กเกลียวที่ยิ่งมี
q ' = ความเค้นประสิทธิพลที่ระดับแผ่นเหล็กเกลียว (effective ขนาดแผ่นเหล็กกว้าง ยิ่งมีผลต่อกาลังรับแรงแบกทานสูง อันเกิดจากพื้นที่
overburden stress at the bearing depth) หน่ว ยแรง "stress zone" ภายใต้แ ผ่นเหล็ก เกลีย ว [2], [4] เมื่อ เทีย บกับ
 = หน่วยน้าหนักของดิน (soil unit weight) เสาเข็ มเหล็ก ตัน (SP) ที่ก ารทรุดตัว มากๆ มีเพีย งแรงเสีย ดทานที่ผิว ของ
B = เส้ น ผ่ า ศู น ย์ ก ลางของแผ่ น เหล็ ก เกลี ย ว (width of the เสาเข็ ม จึ งทาให้ ก าลังไม่เพิ่มขึ้ นเหมือ นกับ เสาเข็ มที่เสริมด้ว ยแผ่นเหล็ก
bearing element) เกลียว
Nc , N q , N = ตัวแปรกาลังรับแรงแบกทาน (bearing capacity นอกจากนั้นที่การทรุดตัวที่มากขึ้น (20 มม.) จึงทาให้เกิดแรงอัดและ
factors) พื้นที่ของหน่วยแรงใต้แผ่นเหล็กเกลียวมากขึ้นตาม โดยค่าการเพิ่มขึ้นของ
โดยแรงยึดเหนี่ยวระหว่างดินและแกนเพลาเสาเข็มมีค่าเท่ากับ กาลังรับแรงแบกทานนี้ มีลักษะการเพิ่มขึ้นแบบเอกซ์โพเนนเชียล ตามการ
เพิ่มของขนาดแผ่นเหล็กเกลียว ดังผลที่แสดงในรูปที่ 8 และรูปที่ 9
  2 / 3T (3)
4.3 การเปรียบเทียบผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการกับการออกแบบ
เมื่อ T = กาลังต้านทานแรงเฉือนของดิน (shear strength of soil)
โดยที่ ตารางที่ 3 แสดงค่ า เฉลี่ ย ก าลั ง แบกทานจากผลการทดสอบใน
ห้องปฏิบัติการและค่าจากการออกแบบ และรูปที่ 10 แสดงค่าเฉลี่ยกาลัง
T  (0.09e0.08 )( z   whw ) tan  (4) แบกทานจากผลการทดสอบในห้ อ งปฏิบั ติ ก ารกับ ผลจากการออกแบบ
เมื่อ  = แรงเสียดทานภายในระหว่า งเม็ดดิน (internal angle of เปรี ย บเที ย บกั บ อั ต ราส่ ว น D/d พบว่ า ค่ า ก าลั ง แบกทานที่ ไ ด้ จ ากการ
friction) ออกแบบในทุ ก อั ต ราส่ ว น D/d ให้ ค่ า ก าลั ง แบกทานต่ ากว่ า ผลจากการ
 w = หน่วยน้าหนักของน้า (unit weight of water) ทดสอบในห้องปฏิบัติการ โดยมีอัตราส่วน 2.7, 3.0, 2.6 และ 2.8 เท่า ที่
hw = ความสู ง ของระดั บ น้ าที่ ค วามลึ ก z (height of water อัตราส่วน D/d = 1, 2, 3 และ 4 ตามลาดับ อันเนื่องมาจากกาลังรับ แรง
above depth z) [2] แบกทานจากห้องปฏิบัติการนั้น ได้กาหนดไว้ที่การทรุดตัวเสาเข็มเท่ากับ 20
มิลลิเมตร
4. ผลการทดสอบ และการวิเคราะห์ผล ทั้งนี้หากยึดค่ากาลังรับแรงแบกทานจากการออกแบบเป็นค่ากาลังรับ
4.1 Cone Penetration Test แรงแบกทานสูงสุด จะพบว่าอยู่ในช่วงที่เสาเข็มทรุดตัวประมาณ 5-8% ของ
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเสาเข็ม ซึ่งสอดคล้องกับกาลังรับแรงแบกทานของ
ผลของ Cone Penetration Test ของแบบจาลองดินแสดงในรูปที่ 6
เสาเข็มเหล็กเกลียวโดยทั่วไป [2], [5]
พบว่าค่าความต้านทานแรงกดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นเส้นตรงตามความลึก
ในการออกแบบกาลังรับแรงแบกทานนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2
โดยค่าความต้านทานแรงกดให้ค่าแตกต่างกันของค่าต่าสุดกับสูดสุดของใน
ส่วน คือ 1. กาลังรับแรงแบกทานที่ปลายเสาเข็ม และ 2. แรงเสียดทานที่ผิว
แต่ละตาแหน่ง ไม่เกิน 2.5 กก. ในทุก การทดสอบ แสดงให้ เห็ นถึ งความ
เสาเข็ม ดังแสดงในรูปที่ 5
สม่าเสมอของแบบจาลองชั้นทราย และยังแสดงให้เห็นว่าความต้านทานแรง

GTE26-4
การประชุมวิชาการวิศวกรรมโยธาแห่งชาติ ครั้งที่ 25 The 25th National Convention on Civil Engineering
วันที่ 15-17 กรกฎาคม 2563 จ.ชลบุรี July 15-17, 2020, Chonburi, THAILAND

จากผลการออกแบบ พบว่า กาลังรับแรงแบกทานที่ปลายเสาเข็มนั้น 80


0 1 2 3 4 5
80

เป็นส่วนสาคัญต่อการกาหนดค่ากาลังรับแรงแบกทานสูงสุด โดยมีอัตราส่วน 70
Equation
y = Intercept +
B1*x^1 + B2*x^
2 70

65%, 90%, 94% และ 97% ของกาลังรับแรงแบกทานสูงสุด ที่ D/d = 1,


Weight No Weighting
Residual Sum 614.88795
of Squares

60 Adj. R-Square 0.92408


60
2, 3 และ 4 ตามลาดับ (รู ป ที่ 10และตารางที่ 3) สอดคล้อ งกับ ผลการ
Value Standard Error
Ultimate load (k Intercept 5.6835 8.21174
Ultimate load (k B1 -3.33558 7.60896

Ultimate load (kg.)


Ultimate load (k B2 4.54342 1.51098
50 50
ทดสอบของ [5] และยังพบว่า การเพิ่มขึ้นของกาลังรับแรงแบกทานที่ปลาย
เสาเข็ม ตามการเพิ่มของขนาดแผ่นเหล็กเกลียวนั้น มีลักษณะการเพิ่มขึ้น
40 40

แบบเอกซ์โพเนนเชียล ดังนั้น ในการออกแบบเสาเข็มแผ่นเหล็กเกลียว จึงมี 30 30

ความจาเป็นที่จะต้องให้ความสาคัญต่อการประเมินค่ากาลังรับแรงแบกทาน 20 20

ที่ปลายเสาเข็ม ซึ่งโดยทั่วไป ถูกกาหนดด้วยค่า Nc , Nq , N เป็นหลัก อัน 10 10

จะทาให้การประเมินกาลังรับแรงแบกทานมีความถูกต้องมากยิ่งขึ้น 0
0 1 2 3 4 5
0

0 D/d
รูปที่ 8 ความสัมพันธ์ระหว่างกาลังแบกทานกับอัตราส่วน D/d
0 1 2 3 4 5
12 12
10
y = Intercept +
Equation B1*x^1 + B2*x^
2

10 Weight No Weighting 10
Residual Sum 0.20686
Depth (cm.)

of Squares
Adj. R-Square 0.98744
20 Value Standard Error
QHP/QSP Intercept 1.00099 1.26617
8 QHP/QSP B1 -0.64078 1.1551 8
QHP/QSP B2 0.7415 0.22741
QHP/QSP

30 6 6

4 4

40
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11
Tip resistance (kg.) 2 2

รูปที่ 6 ผลการทดสอบ Cone Penetration


0 4 8 12 16 20 0 0
80 80 0 1 2 3 4 5
75 75 D/d
SP (No.1)
70
65
SP (No.2)
SP (No.3)
SP (No.4)
70
65
รูปที่ 9 อัตราส่วนกาลังแบกทานของเสาเข็มเหล็กเกลียว (HP) เทียบกับเสาเข็ม
เหล็กตัน (SP) ที่อัตราส่วน D/d ต่างๆ
SP (No.5)
60 D/d=2 (No.1) 60
D/d=2 (No.2)
55 D/d=2 (No.3) 55
D/d=2 (No.4) 70
50 D/d=2 (No.5) 50
D/d=3 (No.1)
45 D/d=3 (No.2) 45
Load (kg)

D/d=3 (No.3) Avg. Ultimate load from lab test


40 D/d=3 (No.4) 40 60
D/d=4 (No.1) Ultimate load from design
D/d=4 (No.2)
35 35
D/d=4 (No.3)
D/d=4 (No.4)
End bearing from design
30 30
50 Skin frictionfrom design
25 25
20 20
Load (kg.)

15 15 40
10 10
5 5
30
0 0
0 4 8 12 16 20
Settelmant (mm) 20
รูปที่ 7 ความสัมพันธ์ระหว่างกาลังแบกทานกับการทรุดตัว
10

0
1 2 3 4
D/d
รูปที่ 10 ค่าเฉลี่ยกาลังแบกทานจากผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการกับผลจาก
การออกแบบเปรียบเทียบกับอัตราส่วน D/d

GTE26-5
การประชุมวิชาการวิศวกรรมโยธาแห่งชาติ ครั้งที่ 25 The 25th National Convention on Civil Engineering
วันที่ 15-17 กรกฎาคม 2563 จ.ชลบุรี July 15-17, 2020, Chonburi, THAILAND

ตารางที่ 3 ค่าเฉลี่ยกาลังแบกทานจากผลการทดสอบในห้องปฏิบัตกิ ารและค่าจาก and design methods of screw piles: A review,” Soils
Found., vol. 56, no. 1, pp. 115–128, 2016, doi:
แบบจาลอง ค่าเฉลี่ยกาลังแบกทาน ผลจากการออกแบบ (กก.)
10.1016/j.sandf.2016.01.009.
เสาเข็ม จากห้องปฏิบัติการ (กก.) Pu qult An H ( d )
[5] M. Elkasabgy and M. H. El Naggar, “Axial compressive
D/d = 1 6.32 2.30 1.49 (65%) 0.81 (35%)
D/d = 2 18.9 6.20 5.52 (89%) 0.68 (11%)
response of large-capacity helical and driven steel piles
D/d = 3 34.42 13.21 12.53 (94.9%) 0.68 (5.1%) in cohesive soil,” Can. Geotech. J., vol. 52, no. 2, pp.
D/d = 4 65.75 23.12 22.44 (97.1%) 0.68 (2.9%) 224–243, 2014, doi: 10.1139/cgj-2012-0331.
การออกแบบ [6] Y. S. Unsever, T. Matsumoto, and M. Y. Özkan,
“Numerical analyses of load tests on model
5. บทสรุปและอภิปราย foundations in dry sand,” Comput. Geotech., vol. 63,
บทความนี้ได้ศึกษาถึงอิทธิพลของขนาดแผ่นเหล็กเกลียวต่อกาลังการรับ no. January 2016, pp. 255–266, 2015, doi:
แรงแบกทาน โดยใช้ข้อมูลการทดสอบในห้องปฏิบัติการ แล้วจึงเปรียบเทียบ 10.1016/j.compgeo.2014.10.005.
กับผลการออกแบบ ได้ผลสรุปดังนี้
- ขนาดของแผ่นเหล็กเกลียวมี อิทธิพลต่อการเพิ่มขึ้นของกาลังแบก
ทานของเสาเข็ มเหล็ก เกลีย ว อั นเกิดจากพื้นที่ห น่ว ยแรง "stress zone"
ภายใต้แผ่นเหล็กเกลียว
- การเพิ่มขนาดแผ่นเหล็ก เกลียว ส่งผลให้ ก าลังรับ แรงแบกทานที่
ปลายเสาเข็มเพิ่มขึ้นในลักษณะเอกซ์โพเนนเชียล ตามการเพิ่มขึ้นของขนาด
แผ่นเหล็กเกลียว ส่วนแรงเสียดทานที่ผิวเสาเข็มคงที่
- กาลังรับแรงแบกทานที่ปลายเสาเข็มเป็น ส่วนสาคัญต่อกาลังรับแรง
แบกทานสูงสุด โดยมีอัตราส่วนมากกว่า 90% ของกาลังรับแรงสูงสุด และจะ
มี เ พิ่ ม มากขึ้ น ตามการเพิ่มขึ้ นของขนาดแผ่ น เหล็ก เกลี ย ว ดั ง นั้ น ในการ
ออกแบบเสาเข็มแผ่นเหล็กเกลียว จึงจาเป็นที่จะต้องให้ความสาคัญต่อการ
ประเมินค่ากาลังรับแรงแบกทานที่ปลายเสาเข็ม ซึ่งโดยทั่วไปถูกกาหนดด้วย
ค่า Nc , Nq , N เพื่อให้การประเมินกาลังรับแรงแบกทานมีความถูกต้อง
มากยิ่งขึ้น
ในการที่จะเข้าใจถึงพฤติกรรมการถ่ายแรงของเสาเข็มและแผ่นเหล็ก
เกลียวที่เกิดขึ้นระหว่างการทดสอบ อันจะส่งผลต่อการออกแบบที่มีความ
ถูกต้องมากยิ่งขึ้นนั้น การทดสอบกาลังรับแรงดึง เพื่อหาค่าแรงเสียดทานที่
ผิวเสาเข็ม การติดตั้ง strain gauge เพื่อวัดค่า stress ของเสาเข็มที่จุดต่างๆ
รวมถึ ง ผลจากโปรแกรมวิเ คราะห์ ไ ฟไนท์ อิ ลิ เ มนต์ ย่ อ มมี ค วามจ าเป็ น ที่
จะต้องทาการศึกษาต่อไป
เอกสารอ้างอิง
[1] ธ. จักรพันธ์, ท. สุริยะ, จ. พีรพงศ์, and อ. อาศิส, “การทบทวน
วรรณกรรมและการประยุกต์ใช้งานเสาเข็มแผ่นเหล็กเกลียว,” in
การประชุมวิชาการวิศวกรรมโยธาแห่งชาติ ครันงที 23, 2018.
[2] H. A. Perko, Helical Piles: A Practical Guide to Design
and Installation. 2009.
[3] Jessica Young, “Uplift Capacity and Displacement of
Helical Anchors in Cohesive Soil,” Oregon State
University, 2012.
[4] A. Mohajerani, D. Bosnjak, and D. Bromwich, “Analysis

GTE26-6

You might also like