Professional Documents
Culture Documents
ฝายน้ำ
ฝายน้ำ
E1 E 2
P1 V12 P V2
Z1 2 2 Z 2
2g 2g
V22 P1 V2
Z1 Z 2 1
2g 2g
V22 V2
h 1
2g 2g
V12
V2 2g h
2g
dQ V .dA V .B.dh
V12
dQ B 2g h dh
2g
1/ 2
H
V
2
Q B 2g h 1 dh
0
2g
2 V
2
3/2
V12
3/2
Q B 2g H 1
2g
3 2g
Q r C dQ
2 V
2
3/2
V12
3/2
Q r C d B 2g H 1
2g
3 2g
จากสมการการไหลของฝายสันคม
2
Qr Cd B 2g H3 / 2
3
2
ถ้าให้ C Cd 2g และแทนความยาวของสันฝายด้วย L
3
Q CLH 3/2
8.3 ประเภทของฝาย
อาจแบ่งประเภทของฝายได้หลายอย่าง ได้แก่
8.3.1 แบ่ งประเภทฝายตามลักษณะความมั่นคงแข็งแรง พิจารณาจากการก่อสร้างเป็ น ฝาย
เฉพาะฤดูกาล ฝายชัว่ คราว ฝายกึ่งถาวรหรื อฝายคอกหมู ฝายถาวรฯลฯ
8.3.2 แบ่ งประเภทฝายตามวัสดุที่นํามาใช้ ก่อสร้ าง ได้แก่ ฝายดิ นถม ฝายหิ น(หิ นทิ้ง หิ น
เรี ยง หิ นเรี ยงยาแนว หิ นก่อ) ฝายโครงสร้างไม้ ฝายคอนกรี ต ฝายคอนกรี ตเสริ มเหล็ก ฯลฯ
8.3.3 การแบ่ งประเภทฝายตามลักษณะหน้ าตัดของฝาย มีการจัดแบ่งใหม่ตามลักษณะการ
ไหลของนํ้าเหนื อสันฝาย เป็ น 3 ประเภท (จากเดิมที่การแบ่งตามลักษณะสันฝายจะมีเพียง ฝายสัน
คม และฝายสันกว้างเท่านั้น)
หลักการคํานวณปริมาณนํา้ ผ่านอาคารชลประทาน ปราโมท พลพณะนาวี สํ านักชลประทานที่ 8
8-6
1) ฝายสั นคม (Sharp crested weir or Thin plate weir) เป็ นฝายที่มีสันคม
ลักษณะการไหลเป็ นแบบไหลตกอิสระ โดยเกิด Critical depth ที่ตาํ แหน่งสันฝายคม ได้แก่ ฝาย
วัดนํ้าแบบฝายสันคมรู ปแบบต่างๆ อาจพิจารณาจาก H/B ≥ 15
ลักษณะหน้ าตัด
แบ่งหน้าตัดฝายตามรู ปแบบการไหลลักษณะ Free flow เป็ น 2 รู ปแบบ
คือ Free overflow และ Free overfall
ก. การไหลแบบ Free overflow เป็ นการไหลที่น้ าํ ไหลอย่างต่อเนื่อง
ผ่านผิวหน้าของฝายสามส่ วนที่มีความต่อเนื่องกันไป คือ (1) สันฝาย (Crest) (2) ลาดตัวฝายด้าน
ท้าย (Face) ซึ่ งเป็ นส่ วนจากสันฝายถึงพื้นท้ายฝาย และ (3) พื้นท้ายฝาย (Toe) แล้วไหลออกสู่
ลํานํ้าด้านท้ายหรื อไหลผ่านรางเทก่อนออกสู่ลาํ นํ้า หน้าตัดของฝายกลุ่มนี้ได้แก่
แนวของสันฝาย
(1.4) Side channel spillway สันฝายเป็ นแนวตรงหรื อรู ปตัว L ที่
ด้านยาวของสันฝายวางตัวในแนวเดียวกับแนวของลํานํ้าที่จะระบายนํ้าออกไปด้านท้าย
ลักษณะพิเศษเฉพาะตัว
(1.6) Chute spillway เป็ นฝายที่มีระดับสันฝายกับระดับพื้นด้านท้าย
นํ้า ต่ า งกัน มาก อาคารรั บนํ้า ด้า นท้า ยฝายจึ งมี ล ัก ษณะเป็ นรางสู ง (ในขณะที่ ฝ ายทั่ว ๆไป หรื อ
Simple weir มีระดับพื้นด้านหนาและท้ายฝายไม่ต่างกันมาก)
(1.7) ฝายแบบกล่องลวดตาข่ายบรรจุหินใหญ่ (Gabion weirs)
ประเภทของฝายในกลุ่มนี้ได้แก่
จากสมการพื้นฐานการคํานวณปริ มาณนํ้าไหลข้ามสันฝายทุกประเภท
Q CLH3 / 2
เมื่อ
Q = ปริ มาณนํ้าไหลข้ามฝาย ม.3 / วินาที
C = ค่าสัมประสิ ทธิ์ ของการไหลของนํ้าผ่านฝาย
L = Effective length ของสันฝายที่น้ าํ ไหลผ่านไปได้จริ ง ม.
H = ความลึกของนํ้าด้านเหนื อนํ้าวัดจากสันฝายถึงผิวนํ้า ม.
1) ฝายมีสันตรง
1.1) กรณีฝายสั นตรง ที่ริมข้ างฝาย 2 ด้ านไม่ เป็ นกําแพงตั้ง แต่มีลกั ษณะเป็ นลาด และ
ไม่มีตอม่อ กลาง
ิ L = ความยาวทั้งหมดของสั นฝาย
ใหคด ม.
L L' 2 K aHe
L’ = ความยาวรวมของสันฝายทั้งหมด (หักตอม่อกลางออก) ม.
L’ = L’1+L’2+L’3+…+L’n
(การคํานวณอย่างหยาบๆ อาจใช้ค่านี้เป็ น ค่า L)
L= ความยาว Effective ของสันฝายที่มีน้ าํ ไหลผ่านจริ ง ม.
L L' 2 NK p K a He
N = จํานวนตอม่อกลาง แห่ง
กรณี ตวั อย่างจากรูปที่ 8.4-3 L’ = L’1+L’2+L’3 ; N= 2
He = ความลึกของนํ้าที่ไหลข้ามสันฝาย ม.
Ka = สัมประสิ ทธิ์ การบีบตัวเนื่ องจากกําแพงตั้งสองข้างสันฝาย
ตามตารางที่ 8-1
Kp = สัมประสิ ทธิ์ การบีบตัวเนื่ องจากตอม่อตัวกลางของสันฝาย
ตามตารางที่ 8-2
หมายเหตุ : ในการคํานวณอย่างหยาบอาจไม่คิดการบีบตัว ใช้ L = L’
หักตั้งฉากกับทิศทางนํ้าไหล
ฯลฯ
สมการส่ วนโค้ งทีเ่ ป็ นสั นมน (Downstream profile) ของฝาย WES Standard
ฝายสันมนตาม WES Standard จะมีลกั ษณะของส่ วนโค้งมนตามสมการต่อไปนี้
n
Y X
K USBR form
Hd Hd
X n K Hd
n1
Y USACE form
เมื่อ Y = ระยะในแกนตั้ง
X = ระยะในแกนราบ
Hd = Design head
ั พันธ์กบั ความลึกของนํ้าหน้าฝาย
K = ค่าตัวแปรที่สม
n = ค่าคงที่ซ่ ึ งขึ้นกับรู ปร่ างหน้าตัดของฝาย ดังต่อไปนี้
ฝายไม่มี Slope ด้านหน้า : n = 1.850
ฝายมี Slope ด้านหน้า 3 : 1 : n = 0.836
ฝายมี Slope ด้านหน้า 3 : 2 : n = 1.810
ฝายมี Slope ด้านหน้า 3 : 3 : n = 1.776
หลักการคํานวณปริมาณนํา้ ผ่านอาคารชลประทาน ปราโมท พลพณะนาวี สํ านักชลประทานที่ 8
8-23
3) ผลกระทบจากความลาดเทผิวของฝายด้ านเหนือนํา้
เส้นกราฟ
ช่วงของการไหล
C = C0xC1xC2
H
Q CL 2gH (D ) .......... .C 0.65 (SI Unit)
3
Part A
2
VA C A 2gH
3
A A LH
Q A VA .A A
2 2
Q A C A 2gH .LH C A LH 2gH
3 3
Part B
VB CB 2gH
A A L(D H)
Q B VB .A B
QB CB 2gH .L(D H)
C A CB C( Approximate) = Discharge coefficient
Q Q A QB
2
Q C 2gH .LH CL 2gH .(D H)
3
2
Q CL 2gH ( H D H)
3
H
Q CL 2gH (D )
3
ตัวอย่าง Q-H Curve จาก รู ปที่ 8.5-14 เป็ น Discharge rating curve ใน
แบบก่อสร้าง Side channel spillway ที่มีหน้าตัดเป็ น WES Standard Ogee ของอางเก็บ
นํ้าหวยตาเขียว จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีสันฝายยาว 10.00 ม. (ค่า C ที่ใช้ในกราฟ จึงเป็ น 2.1695) ระดับ
สันฝาย +235.80 ม. (รทก.) ซึ่งสามารถคํานวณตรวจสอบค่า C ได้ตามตารางที่ 8.5-2
1 ฟุต = 0.3048 ม.
1 ลูกบาศก์ฟุต = 0.0283 ม.3
Q = CLH1.5 ฟ.3/วินาที
L,H ฟ.
C ระบบอังกฤษ*
Q = 0.552CLH1.5 ม.3/วินาที
L,H ม.
C ระบบอังกฤษ*
P / gmin H1
VS
H1 r
ใช้สมการพื้นฐานของฝายสันสั้น
2 2
Q Ce g LeH3 / 2 ลบ.ม. /วินาที
3 3
รู ปที่ 8.6-10 รู ปบน กราฟ Discharge (Q) VS Head (H) รู ปล่าง กราฟ Discharge (Q) VS
Discharge coefficient (C) ที่เปรี ยบเทียบผลจากการทดลอง (exp) และผลจากการคํานวณ
CFD: Computational Fluid Dynamics)
ผลจากการศึกษาสรุ ปได้วา่
ฝายหน้าตัด รู ปสี่ เหลี่ ยมคางหมูเป็ นฝายที่ นิยมสร้ างมากในอิ นเดี ย ดังนั้นจึ งมัก
เรี ยกว่า ฝายแบบอินเดีย (Indian type weir) การออกแบบอาจมีลกั ษณะรายละเอียดปลีกย่อย
ออกไป แต่ลกั ษณะสําคัญคือมีหน้าตัดเป็ นรู ปสี่ เหลี่ยมคางหมู โดยมีสนั ฝายแบนและกว้าง ซึ่งอาจใช้
เพื่อการสัญจรข้ามผ่านสันฝายไปได้
ทางระบายนํ้าล้นฉุกเฉินหรื อฝายฉุกเฉินอาจออกแบบในลักษณะของฝายถาวรแบบต่างๆ ก็
ได้ แต่ ส่วนใหญ่เนื่ องจากนานๆ ครั้ งจึ งจะมี ปริ มาณนํ้ามากจนต้องระบายผ่านทางระบายนํ้าล้น
ฉุกเฉิน ดังนั้นจึงมักออกแบบโดยการลดระดับของสันเขื่อนหรื อทํานบดินลง เป็ นช่องฝายความยาว
ที่เพียงพอที่จะระบายนํ้ามากที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ทนั มีป้องกันการกัดเซาะตัวฝายทั้งด้านเหนื อนํ้า
และท้ายนํ้า โดยอาจเป็ นคอนกรี ต หิ นเรี ยง หิ นทิ้ง และอื่นๆ ลักษณะการไหลที่เกิดขึ้นจึงเหมือนเกิด
นํ้าไหลล้นข้ามถนนออกไป (Roadway overtopping)
การคํานวณใช้สมการทัว่ ไปของฝาย
Q Cd L H11.5
8.8.1 รู ปแบบมาตรฐานของฝายเกเบียน
Vertical weir
Stepped weir
Battered or Sloped weirs
8.8.2 ประเภทของฝายเกเบียน
การคํานวณใช้สมการของ Chezy
Q AV , V C 2gh1 , A B.h1
Q B.h1.C 2gh1
Q B.C. 2g h13 / 2
เนื่ อ งจากฝายเกเบี ย นมี ลกั ษณะคล้า ยฝายสัน กว้างการแทนค่ าตัว แปรต่ างๆ จึ ง
กําหนดให้คล้ายฝายสันกว้าง (ให้สงั เกต ค่า B และ L)
Q m.B.C. 2g h13 / 2
ฝายยาง (Rubber weir) หรื อบางแห่ งอาจเรี ยกว่า เขื่อนยาง (Rubber dam)
เป็ นฝายที่มีการการม้วนยางให้มีลกั ษณะเป็ น ถุงยาง (Rubber bag) ปลายปิ ดรู ปทรงกระบอกที่
อากาศหรื อนํ้ารั่วซึ มผ่านไม่ได้และนํามาวางขวางกั้นเต็มขนาดความกว้างของลํานํ้า โดยยึดติดกับ
สลักเกลียวที่ฝังในฐานคอนกรี ตที่ก่อสร้างอยูใ่ นท้องลํานํ้ารวมทั้งตรึ งแน่ นกับแท่นคอนกรี ตที่ตลิ่ง
ทั้งสองฝั่ง ตัวฝายยางสามารถพองตัวและยุบตัวได้ ฝายยางนี้ อาจเป็ นได้ท้ งั ฝายที่มีการควบ และไม่มี
การควบคุมปริ มาณนํ้า โดยต้องพิจารณาจากวัตถุประสงค์และพฤติกรรมของฝายนั้นว่าเป็ นแบบใด
8.9.1 ประเภทของฝายยาง
8.9.2 ส่ วนประกอบของฝายยาง
1) ข้ อดีของฝายยาง
(1) สามารถบังคับควบคุมให้แบนแฟบลงติดฐานคอนกรี ตในฤดูฝนทําให้
ตะกอนที่ไหลมากับนํ้าระบายผ่านฝายไปได้ คล้ายกับลํานํ้าธรรมชาติสามารถระบายนํ้าในฤดูน้ าํ
หลากได้ดีเนื่องจากไม่กีดขวางทางนํ้า
(2) สามารถก่อสร้างได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ ว เนื่ องจากฐานคอนกรี ต
บางกว่าฝายปกติและไม่มีตอม่อจํานวนมากทําให้ไม่เสี ยเวลา ตัวฝายสามารถผลิตจากโรงงานและ
นํามาติดตั้งในระยะเวลาอันรวดเร็ วขึ้นอยูก่ บั ขนาดของฝาย
(3) ทนนํ้าเค็ม กรด และด่าง ได้ดีกว่าฝายซึ่งมีบานประตูเป็ นเหล็ก
(4) เป็ นการส่ งเสริ มการเกษตรอุตสาหกรรมตามนโยบายของรัฐ เนื่ องจาก
ขั้นตอนการผลิตและการใช้วตั ถุดิบ สามารถกระทําได้ภายในประเทศ
หลักการคํานวณปริมาณนํา้ ผ่านอาคารชลประทาน ปราโมท พลพณะนาวี สํ านักชลประทานที่ 8
8-60
2) ข้ อจํากัดของฝายยาง
(1) มีโอกาสชํารุ ดเสี ยหายของตัวยางจากของแหลมได้ง่าย
(2) เมื่อเป็ นสิ นค้านําเข้ามีราคาค่อนข้างสูง
(3) ก่อสร้างได้ในความสู งที่จาํ กัด ปั จจุบนั ออกแบบตัวยางสู งได้ไม่เกิน
4.50 ม. เพราะจะเกิดการสัน่ ของตัวยางเมื่อรับแรงจากนํ้า
(4) ไม่สามารถควบคุมระดับนํ้าในระดับต่าง ๆ ได้เนื่ องจากเมื่อไม่พองตัว
เต็มที่จะเสี ยรู ปทรง จึงทําได้เพียง 2 ลักษณะคือพองตัวเต็มที่ กับยุบตัวแบนราบ
q Cd 2g H3 / 2 (1)
รูปที่ 8.9-5 Cd - H/Dh Curve ผลการศึกษาของ Abdullah Ali Nasser Alhamati และคณะ
การออกแบบและการติดตั้งฝายยางบนฐานรองแผ่นยางหรื อถุงยางนั้นมีส่วนที่ยาก
อยู่ที่ส่วนปลายทั้ง 2 ข้าง เพราะมีผลต่อการยุบฝายยางให้นอนราบกับฐานรองได้มากที่สุดเพียงใด
ซึ่ งรู ปแบบการติดตั้งดังกล่าวก็จะเกี่ยวข้องกับการคิดความยาวของสันฝายด้วย โดยทัว่ ไปแล้ว
ฐานรองถุงยางจะมี 2 รู ปแบบ คือ 1) ฐานรองรับฝายยางที่มีขอบด้านข้างเป็ นแนวลาด 2)
ฐานรองรับฝายยางที่มีขอบด้านข้างเป็ นกําแพงตั้ง ส่ วนใหญ่จะเป็ นการติดตั้งเสริ มฝายเดิมที่มีตอม่อ
กลางฝาย
สําหรั บการติดตั้งถุงยางบนฐานรองนั้นเมื่อพิจารณาส่ วนปลายของฝายยางทั้ง 2
ข้างจะมีการติดตั้ง 2 รู ปแบบ ได้แก่ 1) การติดตั้งปลายถุงยางเป็ นแนวตรงตามแนวสันฝายทําให้
ขอบทั้ง 2 ข้างยกตัวสู งขึ้น มักติดตั้งกับฐานรองที่ขอบข้างเป็ นลาด 2) การติดตั้งปลายถุงยางให้พบั
โค้งไปทางท้ายนํ้า จะได้แนวสันฝายตรงตลอดแนวติดตั้งได้กบั ฐานรองทั้ง 2 แบบ
1 2
รูปที่ 8.9-8 แสดงการติดตั้งฝายยางที่ขอบฐานรองด้านข้างเป็ นลาด รู ป1 ปลายถุงยางเป็ นแนวตรง
ขึ้นไปตามลาด รู ป 2 ปลายถุงยางที่พบั โค้งไปทางท้ายนํ้า
L L
L L0 1 2
2
1) การศึกษาของ G. Peter
จากการที่ฝายมีคุณสมบัติของฝายสันคมและฝายสันกว้างจะได้วา่
h h
Ch f ; 2.953 1 2
W0 l
µ1 คือค่า Factor การไหล (หรื อคือค่าสัมประสิ ทธิ์ของการไหล) ของ Small-crested
ที่โน้มเอียงไปทาง Sharp crest หาค่าจากสมการของ Rehbock
h
1 0.6034 0.0813
W0
µ2 คือค่า Factor การไหลที่โน้มเอียงไปทาง Broad crest หาค่าจากสมการของ G.
Peter
3.06
h
0.6
2 1 0 .2 e l
h h
(a) f u ;
h hu Wu
เป็ นไปตามสมการต่อไปนี้
b
1 hu
exp a arctan c h
h
hu Wu
h hu
(b) f u ;
h hu Wu
h l
(c) f u ;
h h
หาได้จากกราฟใน รูปที่ 8.10-6
hu l
รู ปที่ 8.10-6 กราฟ f ;
h h
Q 2 gC dLH1 .5
3) กรมชลประทาน
Q CLH 1 .5
4) มหาวิทยาลัยขอนแก่น
C = 1.70 , L=W
3
เมื่อ Q = ปริ มาณนํ้าที่ไหลผ่านฝาย (ม. /วินาที)
L = ความยาวประสิ ทธิ ผล (Effective Length) ของสันฝาย (ม.)
H = ความลึกของนํ้าเหนื อสันฝายที่คิด Approach Velocity ด้วย (ม.)
Cd = ค่าสัมประสิ ทธิ์ ของการไหลผ่านสันฝาย ***
H
ถ้าให้ k
Rk
เมื่อ H/Rk ≤ 1.5 แรงกดดันของที่เกิดจากการไหลของนํ้าบนผิวหน้าของฝาย
จะไม่เกิด Cavitations หรื อเกิดการกัดเซาะผิวหน้าฝายจากฟองอากาศ นัน่ คือ H/Rk มีค่าสูงสุ ดไม่
เกิน 1.5 นัน่ เอง
การคํานวณจะได้ค่าที่ถูกต้องเมื่อ H ≥ 7 ซม. (จะไม่เกิดผลกระทบจากความหนืด
และจากความขรุ ขระของผิวของฝาย)
3 k
C d 0.3741 การไหลแบบ Free Flow
11 2.5 k
รายละเอียดของฝาย หน่วย SI
ส่ วนโค้งของสันฝาย มีรัศมี = R
ฝายมีความสู ง =P
โดยที่ R = P/12
ความลึกนํ้าที่ไหลผ่านฝาย = h
ฝายมีความหนา =t
แนวทางการศึกษาทดลอง
ใช้สมการพื้นฐานการคํานวณปริ มาณนํ้าผ่านฝาย
2
Q 2gCdLH1.5
3
Q = ปริ มาณนํ้าไหลผ่านฝาย (ม.3/วินาที)
Cd = ค่าสัมประสิ ทธิ์ ของการไหลของนํ้าผ่านฝาย
L = ความยาวสันฝาย (ม.)
H = Total head ของนํ้าเหนื อสันฝาย (ม.)
2
g = ความเร่ งเนื่ องจากแรงดึงดูดของโลก = 9.81 ม./วินาที
Qact
Cd
Qtheo
Qact = ปริ มาณนํ้าไหลผ่านฝายที่วดั ได้จริ ง (ใช้เครื่ องมือวัดนํ้า)
Qtheo = ปริ มาณนํ้าไหลผ่านฝายที่คาํ นวณตามทฤษฏี
2
Q theo 2gLH1.5
3
h R
Cd ,
P P
ผลจากการศึกษา
ได้ผลการทดลองเป็ นค่าความสัมพันธ์ของ Cd และอัตราส่ วนของ h/P, R/P
สําหรับฝายที่แนวสันทํามุม α กับแนวการไหล ดังสมการต่อไปนี้ ซึ่ งแสดงด้วยกราฟในรู ปที่ 8.10-
11
h 0 .2
P
C d 0.0035 sin 0.3
R
P
1) วัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มความสามารถของการระบายนํ้าของทางระบายนํ้าล้นหรื อฝาย
จากความกว้างของทางนํ้าปกติที่แคบได้มากขึ้น ซึ่งทําให้สร้างฝายได้สูงขึ้นด้วย
2) ใช้เป็ น Drop Structure ในระบบส่ งนํ้าระบายนํ้าที่เป็ นอาคารวัดปริ มาณนํ้าด้วย
3) ใช้เพิ่มปริ มาณอากาศในนํ้า(เพิ่มออกซิเจน) เพื่อการปรับคุณภาพของนํ้าในทางนํ้า เพราะ
การไหลผ่านฝายประเภทนี้ จะเป็ นลักษณะ Aerating Flow คือเกิดฟองอากาศปนไปกับนํ้าเมื่อมี
การไหลผ่านสันฝายออกไปและขณะนํ้ากระทบพื้นด้านท้ายปริ มาณมาก
จากการที่ฝายหยักมีการพับไปพับมา ตําแหน่งของสันฝายและลักษณะการไหลจึงอาจมีได้
3 รู ปแบบ คือ ตั้งฉากกับทิศการไหล (การไหลของฝายปกติ Normal Spillway Flow), ขนานกับ
ทิศการไหล (Side Channel Spillway Flow) และทํามุมกับทิศการไหล (Skew Spillway
Flow) และเนื่ องจากฝายหยักประกอบด้วยสันฝายที่มีมุมหักในแนวแปลน การไหลของนํ้าที่ผา่ น
สันฝายบริ เวณที่ เป็ นส่ วนมุ มหักนี้ และบริ เวณใกล้เคียงจึ งต่างจากการไหลของนํ้าที่ ผ่านสันฝาย
บริ เวณที่เป็ นเส้นตรง การไหลแบบนี้จะเกิดขึ้นในช่วงความยาวหนึ่งของสันฝาย ความยาวนี้เรี ยกว่า
Nappe Interference (Ld) ซึ่ งมีความสัมพันธ์กบ ั ความสู งของนํ้าที่ไหลข้ามสันฝาย ความสู ง
ของฝาย และมุมของฝาย โดยในบริ เวณ Ld นี้ น้ าํ จะมีการอัดตัวกัน มีผลให้น้ าํ ไหลข้ามฝายได้
น้อยลง ซึ่งแสดงตามรูปที่ 8.11-5
α = มุมของกําแพงด้านข้างของฝาย
Ld = Nappe Interference ส่ วนที่มีการไหลที่ทบ
ั ซ้อนกัน= f (h/p, α)
C หรือ C(l) = ค่าสัมประสิ ทธิ์ ของการรบกวนกันของการไหล = Cr/ Cd
Cr = ค่าสัมประสิ ทธิ์ ของการไหลของฝายที่มีค่าลดลงจากการรบกวนกันของการไหล
Cd = ค่าสัมประสิ ทธิ์ของการไหลของฝายเมื่อไม่คิดการรบกวนกันของการไหล (ค่า
จากฝายวัดนํ้าสันตรงอื่นๆ ที่มีความยาวสันเท่าฝายหยักที่ใช้วดั เทียบกัน)
Cm = ค่าเฉลี่ยของสัมประสิ ทธิ์ ของการไหลที่ลดลงจากการรบกวนกันของการไหล
ผลจากการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับฝายหยักทําให้ทราบว่ามุมของฝายกับทิศ
ทางการไหลด้านเหนือนํ้ามีอิทธิพลต่อปริ มาณนํ้าที่ไหลข้ามฝายเป็ นอย่างมาก
การคํานวณใช้สมการมาตรฐานของฝายทัว่ ไป
2
Q Cd L 2g H1.5
3
2 3 4
H H H H
Cd A B C D E
P P P P
H
The Optimum Cd : C d 0.1714 ln 0.8671
P
3) ช่วงการเปลี่ยนแปลงการไหลจากการไหลแบบอิสระเป็ นการไหลแบบจม
การไหลของนํ้าข้างต้นเมื่อระดับนํ้ายังตํ่าจะไหลผ่านสันฝายและ Transition ใน
ลักษณะ Free flow จนกระทัง่ ระดับนํ้าสู งขึ้น Crotch และ Boil ขยับตัวสู งขึ้นถึงจุดหนึ่ ง การ
ไหลจะเกิดผลกระทบเนื่องจากSubmergence และเมื่อถึงจุด Flood out การไหลของนํ้าจะถูก
ควบคุมด้วย Jet flow หรื อรู ปร่ างของ Transition โดยนํ้าไหลเต็มท่อ (ถ้ารู ปร่ างของ Transition
ไม่พอดีกบั รู ปร่ าง Jet)
Morning glory spillway เป็ น Shaft spillway ที่มีสันฝายเป็ นรู ปวงกลม อาจ
ออกแบบรู ปตัดสันฝายหรื อปากได้เป็ น 2 ชนิดคือ
1) Standard crest spillway มีสนั ฝายเป็ นรู ปหน้าตัดที่สอดคล้องกับรู ปร่ างส่ วนโค้งผิว
ด้านล่างของ Nappe (รู ปร่ างขอบเขตของแผ่นนํ้าที่ลน้ ข้ามสันฝายออกไป) ซึ่ งเป็ นการไหลผ่านสัน
ฝายลักษณะของฝายสันคม ซึ่ ง USBR ได้กาํ หนดรู ปแบบหน้าตัดฝายตามรู ปแบบของ Standard
nappe เอาไว้ การออกแบบก่อสร้างส่ วนใหญ่มกั สร้างสันฝายแบบนี้
H0/Rs < 0.45 เป็ นการไหลแบบ Free Flow หรื อ Entrance control
0.45 <H0/Rs < 1.00 เป็ นการไหลที่เข้าสู่สภาวะการเกิด Submerged
H0/Rs ≈ 1.00 เป็ นการไหลแบบ Submerged ที่สมบูรณ์
H0/Rs > 1.00 เป็ นการไหลแบบ Orifice flow
ทั้งนี้ ในการออกแบบฝายชนิ ดนี้ ลักษณะการไหลที่ยอมรั บได้น้ ันคือ ค่า H0/Rs < 0.60
โดยยอมให้เกิดการไหลแบบ Submerged flow ได้เล็กน้อย
ั ยอดฝายสันคม
Rs = รัศมีขอบนอกของปากปล่องสันฝาย เทียบได้กบ
Hs = ความลึกของนํ้าเหนื อฝายที่เป็ นสันคม ซึ่ งรวมค่า Approach velocity (ha) ด้วย
Ho = ความลึกของนํ้าเหนื อยอดสันฝาย
P = ความสู งของสันฝายเมื่อวัดจากพื้นดิน
การคํานวณใช้สมการพื้นฐานอัตราการไหลของฝาย
Q C o LH 3o / 2
เมือ
่ Q = ปริ มาณนํ้าไหลผ่านฝาย (ม.3/วินาที)
L = ความยาวของสันฝาย (ม.)
L กรณี ไม่มีตอม่อหรื อครี บเหนือสันฝาย
L 2 R s
1) Circular crest
Ho/Rs 0.20 0.40 0.60 0.80 1.00 1.20 1.40 1.60 1.80 2.00
Co 1.82 1.78 1.63 1.33 1.12 0.93 0.80 0.70 0.62 0.57
2) Standard crest
3) Flat crest
Co = 3.20
การคํานวณใช้สมการพื้นฐานอัตราการไหลของฝาย
Q C o LH 3o / 2
3
เมื่อ Q = ปริ มาณนํ้าที่ไหลผ่านฝาย, (ม /วินาที)
H1 = ระดับนํ้าด้านท้ายนํ้า, (ม.)
H0 = ระดับนํ้าด้านเหนื อนํ้า, (ม.)
f 1.035 0.817 H1 / H0 4 0.0647
ถา 0.75 H1 / H0 0.93
การใช้ ไม้ อดั นํา้ (Stop log) และแผ่ นไม้ อดั นํา้ (Flash board)
รู ปตัดตามยาวตัวฝายแสดงการติดตั้งไม้อดั นํ้า