Professional Documents
Culture Documents
372 เนื้อหาบทความ 728 1 10 20181009
372 เนื้อหาบทความ 728 1 10 20181009
นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
ดร. ชาติชาย มหาคีตะ และนายธาตรี มหันตรัตน์
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
บทน�ำ
นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ได้รับประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกจากการประชุมคณะกรรมการ
มรดกโลกสมัยสามัญ ณ กรุงคาร์เธจ ประเทศตูซิเนีย เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2534 โดยมีคุณสมบัติการเป็นมรดกโลก
ตรงตามหลั ก เกณฑ์ คื อ “เป็ น สิ่ ง ที่ ยื น ยั น ถึ ง หลั ก ฐานของวั ฒ นธรรมหรื อ อารยะธรรมที่ ป รากฏให้ เ ห็ น
อยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว” (กระทรวงวัฒนธรรม, 2556) เป็นดินแดนประวัติศาสตร์ที่มีโบราณ
สถาน โบราณวั ต ถุ ศิ ล ปวั ฒ นธรรมที่ ท รงคุ ณ ค่ า ซึ่ ง เป็ น เอกลั ก ษณ์ แ ละเป็ น แหล่ ง ที่ ม าของวั ฒ นธรรมตั้ ง แต่
อดีตระการ ทีเ่ ป็นสมบัตอิ นั ล�ำ้ ค่าทางวัฒนธรรม เมืองประวัตศิ าสตร์พระนครศรีอยุธยาในฐานะทรัพยากรการท่องเทีย่ ว
ทางโบราณสถาน ศิลปะและวัฒนธรรมต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและ
ทางธรรมชาติหรือที่รู้จักแพร่หลายว่า “อนุสัญญามรดกโลก” (World Heritage Convention) ได้รับการรับรอง
โดยที่ ป ระชุมแห่ง องค์ก ารยูเ นสโกเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1972 โดยอนุสัญญานี้ได้แ บ่งมรดก
ทางวัฒนธรรมออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ โบราณสถาน (Monuments) กลุ่มอาคาร (Groups of Building) และ
แหล่ง (Sites) โดยได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ
ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 โดยมีกรมศิลปากรสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานที่มี
หน้าที่บริหารจัดการและควบคุมดูแล มีการก�ำหนดรูปแบบการจัดท�ำแผนการอนุรักษ์และการพัฒนาเมือง
ประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาในรูปแบบของอุทยานประวัติศาสตร์
ปั จ จุ บั น นครประวั ติ ศ าสตร์ พ ระนครศรี อ ยุ ธ ยาก� ำ ลั ง มี ก ารขยายตั ว ทางกายภาพอย่ า งมาก โดยมี
การขยายเมือง เพือ่ สร้างอาคารทีอ่ ยูอ่ าศัยต่าง ๆ การสร้างอาคารทีบ่ ดบังทัศนียภาพทีส่ วยงาม เป็นการท�ำลายคุณค่า
ของโบราณสถาน ตลอดจนการพัฒนาของถนนหนทางภายในเขตเมือง เพือ่ รองรับการคมนาคมทีน่ กั ท่องเทีย่ วต่างมา
เยีย่ มชมอุทยานประวัตศิ าสตร์ ท�ำให้เขตพัฒนาเป็นไปอย่างไร้ทศิ ทางของการอนุรกั ษ์มรดกทางวัฒนธรรม เช่น การสร้าง
เสาไฟรูปนางหงส์ ทีก่ ระจายอยูโ่ ดยทัว่ ของใจกลางเมือง ปัญหาของขยะมูลฝอย การสร้างบ้านพัก ทีอ่ ยูอ่ าศัย บ้านจัดสรร
อยู่โดยรอบโบราณสถาน และการถมคูคลองต่าง ๆ เป็นต้น (กระทรวงวัฒนธรรม, 2556) แม้ว่าจะเป็นเมืองเก่าและ
เป็นพื้นที่ที่มีการควบคุมสิ่งก่อสร้างภายในเมืองก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถห้ามการพัฒนา และความเจริญในท้องถิ่นได้
เพราะเมืองประวัตศิ าสตร์พระนครศรีอยุธยาเป็นพืน้ ทีเ่ มืองใหม่ทบั ซ้อนอยูบ่ นพืน้ ทีเ่ มืองเก่า วิถขี องผูค้ นยังคงด�ำเนิน
ไปในพืน้ ทีอ่ นุรกั ษ์นี้ ท�ำให้บางครัง้ มุมมองของคนท้องถิน่ ในเรือ่ งการพัฒนาเมือง อาจขัดแย้งกับแนวทางในการอนุรกั ษ์
โบราณสถานเอาไว้ ก่อให้เกิดปัญหาการรุกล�ำ้ แหล่งมรดกโลก ก่อสร้างสิง่ ปลูกสร้างลงในพืน้ ทีข่ องวัดร้าง การบุกรุกพืน้ ที่
การท�ำลายโบราณสถาน และการอ้างกรรมสิทธิ์ของตนในที่ดินภายในเขตบริเวณโบราณสถาน และปี 2553-2554
มีนำ� ขยะมาทิง้ แหล่งโบราณสถานถูกน�ำ้ ท่วมเกิดความเสียหายหนักจากสภาพสถานการณ์ดงั กล่าวข้างต้น เนือ่ งจาก
ปัญหาส�ำคัญได้แก่ การพัฒนาเมือง การบังคับใช้กฎหมาย ความรู้ความเข้าใจ การบริหารจัดการ ไม่มีหน่วยงาน
กลางที่รับผิดชอบในการบริหารพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์โดยตรง และประชาชนไม่ให้ความสนใจตระหนักถึง
ความส�ำคัญของมรดกโลก จึงเกิดปัญหาสร้างทีอ่ ยูอ่ าศัยบดบังทัศนียภาพโบราณสถาน การรุกล�ำ้ พืน้ ที่ และการทิง้ ขยะ
ในเขตแหล่งมรดกโลก จึงเป็นปัญหากระทัง่ กลายเป็นความขัดแย้ง และอาจน�ำไปสูก่ ารถอดถอนเมืองประวัตศิ าสตร์
พระนครศรีอยุธยาออกจากการขึน้ ทะเบียนการเป็นแหล่งมรดกโลก ดังนัน้ งานวิจยั นีจ้ งึ มีความมุง่ หมายทีจ่ ะศึกษาถึง
สภาพสถานการณ์ ข้อเท็จจริงของปัญหาอุปสรรคการด�ำเนินงานในการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก เพื่อน�ำผล
แนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาเมืองมรดกโลกนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
ส�ำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาพื้นที่เมืองมรดกโลกนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา สามารถท�ำได้
หลายแนวทางโดยเฉพาะควรเน้นหนักในด้านการบริการจัดการ ควบคูก่ บั มาตรการอืน่ ๆ เช่น มาตรการทางกฎหมาย
การอนุรักษ์แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม การน�ำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ การมีส่วนร่วม และ การบริหารจัดการ
ที่ดีตามหลักธรรมมาภิบาล โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การน�ำแนวคิดด้านการบริหารจัดการใช้ในการแก้ไขปัญหา
การบริหารเชิงสถานการณ์ (Situational Management Theory) หรือทฤษฎีอุบัติการณ์ (Contingency
Theory) การบริหารในยุคนีค้ อ่ นข้างสลับซับซ้อน ในปัจจุบนั ปรัชญาของการบริหารเริม่ เปลีย่ นแปลงไปจากการมอง
การบริหารในเชิงปรัชญาไปสู่การมองการบริหารในเชิงสภาพข้อเท็จจริง เนื่องจากในปัจจุบันสังคมหรือมนุษย์ต้อง
ประสบกับปัญหาอยู่เสมอ การเลือกทางออกที่จะไปสู่การแก้ปัญหาทางการบริหารถือว่าไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุด There
is one best way สถานการณ์ต่างหากที่จะเป็นตัวก�ำหนดว่าควรจะใช้การบริหารแบบใด การบริหารในยุคนี้
มุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมขององค์การ และเป็นส่วนขยายของทฤษฎีระบบว่า ทุก ๆ
ส่วนจะต้องสัมพันธ์กัน สถานการณ์บางครั้งจะต้องใช้การตัดสินใจอย่างเฉียบขาด บางสถานการณ์ต้องอาศัย
การมี ส ่ ว นร่ ว มในการตั ด สิ น ใจ บางครั้ ง ก็ ต ้ อ งค� ำ นึ ง ถึ ง หลั ก มนุ ษ ยธรรมและแรงจู ง ใจ บางครั้ ง ก็ ต ้ อ งค� ำ นึ ง
ถึงเป้าหมายหรือผลผลิตขององค์การเป็นหลัก รวมถึงสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกที่เป็นตัวแปรส�ำคัญ
ซึ่งต้องพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ดังนั้นการบริหารจึงต้องอาศัยสถานการณ์เป็นตัวก�ำหนดในการตัดสินใจ บนพื้นฐาน
ตามหลักการและแนวทางที่จะสร้างสมดุลของสังคม
แนวคิดด้านการจัดการมรดกโลก
อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ หรือเรียกว่า “อนุสัญญาคุ้มครอง
มรดกโลก” (The World Heritage Convention) เป็นความตกลงระหว่างรัฐภาคี (States Parties) ในการยอมรับและ
ให้ความร่วมมือในการด�ำเนินการต่าง ๆ เพือ่ การคุม้ ครองและอนุรกั ษ์แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ
ทั้งที่มีอยู่ในประเทศตนและประเทศอื่นให้ด�ำรงอยู่เป็นมรดกของมวลมนุษยชาติตลอดไป วัตถุประสงค์ส�ำคัญ
ของอนุสัญญาฯ คือ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการคุ้มครองและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและ
ทางธรรมชาติให้ดำ� รงคุณค่าความโดดเด่นเป็นมรดกของมวลมนุษยชาติทั้งในปัจจุบันและอนาคตตลอดไป
พันธกรณีของรัฐภาคี ได้แก่ การก�ำหนดนโยบายและวางแผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และจัดการมรดก
ทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ การก�ำหนดมาตรการเพื่อการศึกษาวิจัย การปกป้องคุ้มครองการอนุรักษ์และ
การฟื้นฟูมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ และละเว้นการด�ำเนินการใด ๆ ที่อาจจะท�ำลายมรดกทาง
วัฒนธรรมและทางธรรมชาติของรัฐภาคีอนื่ ๆ ทัง้ โดยทางตรงและทางอ้อม แต่จะสนับสนุนและช่วยเหลือรัฐภาคีอนื่
ในการศึกษาวิจยั และปกป้องคุม้ ครองมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติในประเทศนัน้ ๆ อนุสญ ั ญาฯ ฉบับนี้ ได้รบั
การรับรองจากรัฐสมาชิกขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก
(UNESCO) ในการประชุมใหญ่สมัยสามัญ ครั้งที่ 17 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน
พ.ศ. 2515 โดยอนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา
มาตรการในการรักษาคุณค่าของมรดกโลก
(1) การคุ้มครอง (Protection) และการจัดการ (Management) มาตรการทางกฎหมาย ข้อบัญญัติ
กฎระเบียบต่าง ๆ เช่น พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์ สถานแห่งชาติ
พ.ศ. 2504 พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อบัญญัติท้องถิ่นต่าง ๆ ระเบียบกรมศิลปากรว่าด้วย
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะส�ำหรับการแก้ไขปัญหาเมืองมรดกโลกนครประวัตศิ าสตร์พระนครศรีอยุธยาสามารถท�ำได้ดงั นี้
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
1. ประเด็นนโยบายขาดความต่อเนื่อง มีการเปลี่ยนผู้บริหารและบุคลากรท�ำงาน ด้วยผู้บริหารรัฐและ
ท้องถิ่นมีวาระคราวละ 4 ปี ท�ำให้การพัฒนาไม่ต่อเนื่อง ดังนั้นหากเป็นนโยบายของแต่ละสมัยนั้น หัวหน้าส่วนงาน
และผู้เกี่ยวข้องควรตระหนักให้ความส�ำคัญและด�ำเนินการตามนโยบายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การด�ำเนินงาน
เกิดการพัฒนาและติดตามผลได้
2. รัฐมีนโยบายเน้นเฉพาะการปราบปราม แต่นโยบายในการป้องกันคุ้มครองมีน้อย ดังนั้นควรเพิ่ม
ความชัดเจนในนิตินโยบายในการด�ำเนินการจัดวางนโยบายให้ไปสู่การปฏิบัติได้
3. ด้านนิตินโยบายมีความยืดหยุ่นได้ โดยการบริหารงานภาครัฐตั้งแต่ระดับนโยบายของระดับประเทศโดย
รัฐบาลในการวางกรอบนโยบายเพือ่ ให้สามารถด�ำเนินการได้ เช่น การต้องงบประมาณ การจัดอัตราก�ำลังทีเ่ พียงพอ
ส่วนระดับท้องถิน่ ซึง่ มีเทศบาลและองค์การบริหารส่วนจังหวัดท�ำหน้าทีก่ ส็ ามารถน�ำหลักการบริหารจัดการบ้านเมือง
ที่ดีมาใช้ในการด�ำเนินงานได้
ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติการ
1. ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนในชุมชนและทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมบริหารจัดการแหล่งมรดกโลก
ในลักษณะเป็นตัวแทนในรูปคณะกรรมการ หรือองค์กรมหาชนในลักษณะองค์กรอิสระ หรือหน่วยงานพิเศษ
โดยก�ำหนดอ�ำนาจหน้าทีใ่ ห้แก่หน่วยงานพิเศษทีต่ งั้ ขึน้ นัน้ อย่างชัดเจน จัดงบประมาณอย่างเพียงพอและให้สามารถ
จัดหารายได้เอง บุคลากรต้องมีความรู้ ความเชีย่ วชาญตามหลักสากลโดยมีตวั แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง
เป็นกรรมการเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง
2. การบังคับใช้กฎหมายที่เจ้าหน้าที่ต้องด�ำเนินการผู้กระท�ำผิด เจ้าหน้าที่ต้องด�ำเนินการ เนื่องจากกระท�ำ
ให้รฐั เสียหาย แต่ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าทีข่ องกรมศิลปะไม่เพียงพอ ดังนัน้ รัฐต้องส่งเสริมและให้ความรูค้ วามเข้าใจ
แก่ประชาชนเพื่อให้เห็นถึงคุณค่าและความส�ำคัญของแหล่งมรดกโลก
3. จัดอบรม สัมมนา ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับ นักเรียน นักศึกษา ประชาชนในพื้นที่และ
ขยายผลไปยังพื้นที่อื่น