Professional Documents
Culture Documents
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะการเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้านความสามารถในการแก้ปัญหา
และความสามารถในการสื่อสารและความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ ระหว่างกลุ่มที่ได้ รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
โดยใช้ เ ทคนิ ค KWDL กั บ กลุ่ ม ที่ จั ด กิ จ กรรมการเรี ย นรู้ แ บบปกติ เรื่ อ ง เศษส่ ว น กลุ่ ม ตั ว อย่ า งที่ ใ ช้ ใ นการวิ จั ย ในครั้ ง นี้
เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 2 ห้องเรียน จานวนนักเรียน 26 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม
เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL 2) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
แบบปกติ 3) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาและความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ 4) แบบทดสอบ
วัดความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์
ผลการวิจัย พบว่า
1. นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยวิธีการสอนแบบ KWDL มีความสามารถในการแก้ปัญหาทาง
คณิตศาสตร์ สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2. นั ก เรี ย นที่ ได้ รับ การจัดกิ จ กรรมการเรีย นรู้ ด้ว ยวิ ธี ก ารสอนแบบ KWDL มี ค วามสามารถในการสื่อ สารทาง
คณิตศาสตร์ สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยวิธีการสอนแบบ KWDL มีความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์
สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ
Abstract
The purpose of this research is to compare mathematics learning competencies, problem solving
ability, communication ability, and retention on mathematic of student between the groups that received
learning activities using the KWDL technique with the conventional approach on fractions. The samples
consisted of 26 grade 7 students attending in first semester of the academic year in 2020, Thongnoi School,
29
ประมวลบทความในการประชุมวิชาการระดับชาติ มอบ.วิจัย ครั้งที่ 15 | ผลงานนาเสนอแบบบรรยาย
Sangkha District, Surin Province, who were selected through the random cluster sampling technique. The
research instruments were: 1) the lesson plans for organization of using KWDL technique. 2) the lesson
plans for organization of the conventional approach. 3) the test of mathematical problem solving ability
and communication ability. 4) the test of the learning retention of mathematics.
The results of the research were as follows:
1. Students who received KWDL teaching activities had significantly higher math problem solving
ability than students who received regular learning activities at level .05.
2. Students who have been organized learning activities with the KWDL method of teaching have
a mathematical communication ability. Higher than students who received regular learning activities with
statistical significance at the .05 level.
3. Students who have been organized learning activities using the KWDL method have a retention
in mathematics. Higher than students who received regular learning activities.
Keywords : Mathematics learning competencies, Learning Activities Using KWDL Technique, Mathematics
Word Problem Solving Ability, Mathematics Word Communication Ability, Retention on
Mathematics.
บทนา
ที่มาและความสาคัญ
การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนไทยยังเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ อยู่หลายปัญหา โดยเฉพาะขาดทักษะ
และกระบวนการทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน และแม้ว่าในการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ที่ผ่านมานั้น นักเรียนจะมีความรู้
ความเข้าใจในเนื้อหาสาระที่เรียนรู้เป็นอย่างดี แต่ยังมีนักเรียนจานวนไม่น้อยที่ยังขาดทักษะในการแก้ปัญหา การให้เหตุผล
ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การสื่อสารหรือการนาเสนอแนวคิดทางคณิตศาสตร์ รวมไปถึงการเชื่อมโยงความรู้ทางคณิตศาสตร์
กับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจาวัน (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2551 : 1) นักเรียนจึงไม่สามารถ
นาความรู้และทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันและในการศึกษาระดับต่อไปให้มี
ประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ และจากการรายงานการประเมินคุณภาพการศึกษาที่ผ่านมายังไม่บรรลุผลสาเร็จตามจุดมุ่งหมาย
ของหลักสูตร ดังจะเห็นได้จากการสรุปคะแนนสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (O-NET) ประจาปีการศึกษา 2562 พบว่า รายวิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านโตงน้อย อาเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 27.
94 ซึ่งเป็นคะแนนที่ต่ากว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุของปัญหา พบว่า มีหลายประการ อาทิ เช่น การ
นาหลักสูตรไปใช้ ครูผู้สอนยังขาดความเข้าใจ และความต้องการของหลักสูตร ไม่เข้าใจ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และยังยึดติด
กับการสอนแบบเดิม โดยครูส่วนใหญ่สนใจเพียงการสอน และ วัดผลประเมินผล โดยเน้นที่ตัวคาตอบหรือผลลัพธ์ของปัญหา
ม า ก ก ว่ า วิ ธี ก า ร ห รื อ เ ท ค นิ ค ใ น ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า เ มื่ อ นั ก เ รี ย น พ บ กั บ ปั ญ ห า ค ณิ ต ศ า ส ต ร์ ที่ มี ส ถ า น ก า ร ณ์
ในปัญหาที่ต่างจากที่เคยเรียนจึงไม่ทราบว่าจะ แก้ปัญหานั้นได้อย่างไร ดังนั้นถือเป็นหน้าที่สาคัญของครูที่จะต้องนาวิธีการต่าง
ๆ มาใช้ในการจัดสภาพ การเรียนการสอน เพื่อให้เกิดคุณภาพสูงสุดทางการศึกษา จากข้อมูลดังกล่าวทาให้ผู้วิจัยสนใจถึง
สาเหตุของปัญหาที่ทาให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่า ว่ามีสาเหตุจากอะไรและจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร
จากปัญหาข้างต้นเห็นได้ว่าความสามารถในการแก้ปัญหาเป็นสิ่งสาคัญที่ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ทาความเข้าใจและ
ได้ รั บ การพั ฒ นาเพื่ อ ที่ นั ก เรี ย นสามารถคิ ด เป็ น และแก้ ปั ญ หาได้ สามารถน าทั ก ษะการแก้ ปั ญ หานี้ ไ ปประยุ ก ต์ ใ ช้ ใ น
ชีวิตประจาวัน การที่ผู้เรียนได้เรียนรู้และฝึกการคิดแก้ปัญหา จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะด้านการคิด เกิดแนวคิดที่หลากหลาย
30
ประมวลบทความในการประชุมวิชาการระดับชาติ มอบ.วิจัย ครั้งที่ 15 | ผลงานนาเสนอแบบบรรยาย
วัตถประสงค์ของงานวิจัย
1. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบ KWDL กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน
2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการสื่อสารคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบ KWDL กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน
3. เพื่อเปรียบเทียบความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบ KWDL กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน
สมมติฐานการวิจัย
1. ความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ด้วยวิธีการสอนแบบ KWDL สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2. ความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ด้วยวิธีการสอนแบบ KWDL สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย
วิธีการสอนแบบ KWDL สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ
ขอบเขตการวิจัย
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย
ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนบ้านโตงน้อย อาเภอ
สังขะ จังหวัดสุรินทร์ สังกัดสานั กงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 จานวน 2 ห้องเรียน จานวนนักเรียน
ทั้งหมด 26 คน
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านโตงน้อย อาเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ จานวน 2
ห้องเรียน ที่จัดนักเรียนแบบคละความสามารถทุกห้องเรียน ดังนั้นผู้วิจัยจึงใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียน
เป็นหน่วยในการสุ่ม จากนั้นจับฉลากเพื่อเลือกกลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ได้เป็นนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 จานวน 13 คน และกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ ได้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1/1 จานวน 13 คน
32
ประมวลบทความในการประชุมวิชาการระดับชาติ มอบ.วิจัย ครั้งที่ 15 | ผลงานนาเสนอแบบบรรยาย
2. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยมีดังนี้
ตัวแปรอิสระได้แก่วิธีการจัดการเรียนรู้ 2 วิธีดังนี้
1) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL
2) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามปกติ
ตัวแปรตามได้แก่
1) ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์
2) ความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์
3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย
เนื้อหาที่ใช้ในการผู้วิจัยครั้งนี้เป็นเนื้อหารายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน เรื่อง เศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่ม
สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560)
4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
ผู้วิจัยใช้เวลาในการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ใช้เวลาในการทดลองทั้งหมด 17 ชั่วโมง ทั้งนี้
ไม่รวมเวลาทดสอบก่อนเรียนหลังเรียน
กรอบแนวคิดการวิจัย
การศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาสมรรถนะการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยวิธีการสอน
แบบ KWDL มีกรอบแนวคิดในการวิจัยดังนี้
ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
- การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL - ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์
- การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ - ความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์
- ความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์
ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย
วิธีการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL สาหรับกลุ่ม
ทดลอง และแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติสาหรับกลุ่มควบคุม ซึ่งมีองค์ประกอบต่าง ๆ ในแผนเหมือนกัน มีเพียง
กิจกรรมการเรียนรู้ขั้นสอนเท่านั้นที่มีขันตอนที่แตกต่างกัน จานวน 7 แผน ใช้เวลาในการสอนทั้งหมด 17 ชั่วโมง ซึ่งครอบคลุม
เนื้อหาสาระการเรียนรู้เรื่องเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560)
2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาและการ
สื่อสารทางคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นข้อสอบอัตนัยแบบขนาน 3 ฉบับ ฉบับละ 5 ข้อ โดยแต่ละฉบับประกอบด้วยโจทย์ปัญหา
คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ซึ่งครอบคลุมเนื้อหาสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึ กษาปีที่ 1 โดยใช้เวลาในการทา
แบบทดสอบฉบับละ 60 นาที ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการทดสอบก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และหลังการทดลองผ่าน
ไป 2 สัปดาห์ ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ซึ่งแบบทดสอบผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหาความเหมาะสม
ด้านภาษาของข้อคาถาม และให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมโดยผู้ทรงคุณวุฒิ
การเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ทดสอบก่อนการทดลองโดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาและการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ฉบับ
ก่อนเรียน กับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมพร้อมกัน ใช้เวลาในการทดแบบทดสอบ 60 นาที
33
ประมวลบทความในการประชุมวิชาการระดับชาติ มอบ.วิจัย ครั้งที่ 15 | ผลงานนาเสนอแบบบรรยาย
ผลการวิจัย
ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลแล้วนาเสนอตามลาดับขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาและความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ ของกลุ่ม
ทดลองและกลุ่มควบคุม ปรากฏดังตารางที่ 1 และ 2 ตามลาดับ
ตารางที่ 1 แสดงผลการเปรียบเทียบค่าเฉลีย่ ของคะแนนก่อนการทดลอง ของกลุ่มทดลองและกลุม่ ควบคุม
ความสามารถ กลุ่ม n 𝑥̅ S.D. t p
ความสามารถใน กลุ่มทดลอง 13 12.38 3.23 0.606 0.550
การแก้ปญั หา กลุ่มควบคุม 13 11.54 3.87
ความสามารถใน กลุ่มทดลอง 13 3.08 2.53 -0.277 0.784
การสื่อสาร กลุ่มควบคุม 13 3.38 3.10
จากตารางที่ 1 พบว่ า คะแนนทดสอบวั ด ความสามารถในการแก้ ปัญ หาและความสามารถในการสื่อ สารทาง
คณิ ต ศาสตร์ ก่ อ นการทดลองของกลุ่ ม ทดลองและกลุ่ ม ควบคุ ม ไม่ มี นั ย ส าคั ญ ทางสถิ ติ ที่ ร ะดั บ .05 แสดงให้ เ ห็ น ว่ า
ความสามารถในการแก้ปัญหาและความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ ก่อนการทดลองของนักเรียนทั้งสองกลุ่มไม่
แตกต่างกัน
34
ประมวลบทความในการประชุมวิชาการระดับชาติ มอบ.วิจัย ครั้งที่ 15 | ผลงานนาเสนอแบบบรรยาย
35
ประมวลบทความในการประชุมวิชาการระดับชาติ มอบ.วิจัย ครั้งที่ 15 | ผลงานนาเสนอแบบบรรยาย
ความสามารถในการแก้ปัญหาและความสามารถในการสื่อสารในการพัฒนาในรายด้าน โดยวิเคราะห์เชิงเนื้อหาเป็นดังนี้
การทาความเข้าใจปัญหา
เมื่อพิจารณาด้านการทาความเข้าใจปัญหา พบว่า กลุ่มทดลองมีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาสูงกว่ากลุ่ม
ควบคุม โดยมีนักเรียนกลุ่มทดลองจานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 76.92 และกลุ่มควบคุมจานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 53.85
ที่สามารถระบุสิ่งที่โจทย์ต้องการทราบและสิ่งที่โจทย์กาหนดให้ได้ถูกต้อง และมีนักเรียนกลุ่มทดลองจานวน 3 คน คิดเป็นร้อย
ละ 23.02 และกลุ่มควบคุมจานวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 46.15 ที่ยังไม่สามารถระบุสิ่งที่โจทย์กาหนดให้และสิ่งที่โจทย์ต้องการ
ทราบได้ หรือเขียนข้อมูลไม่ครบถ้วน ระบุได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ดังภาพที่ 2
ภาพที่ 5 ตัวอย่างการเปรียบเทียบความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ด้านการแปลผลจากปัญหา
หรือสถานการณ์ไปสู่ประโยคภาษาหรือประโยคสัญลักษณ์
การแปลงปัญหาหรือสถานการณ์ไปสู่รูปแบบที่เข้าใจง่าย
เมื่อพิจารณาด้านการแปลงปัญหาหรือสถานการณ์ไปสู่รูปแบบที่เข้าใจง่าย พบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนความสามารถ
ด้านการสื่อสารทางคณิตศาสตร์สูงกว่ากลุ่มควบคุมโดยมีเพียงนักเรียนกลุ่มทดลองจานวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 46.15 ที่
สามารถแปลงปัญหาหรือสถานการณ์ไปสู่รูปแบบที่เข้าใจง่าย สามารถนาเสนอแนวคิดในการสื่อสารแปลงรูปแบบโจทย์ปัญหา
ให้เป็นรูปแบบที่เข้าใจง่ายได้อย่างถูกต้อง และมีนั กเรียนกลุ่มทดลองจานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 53.85 และกลุ่มควบคุม
จานวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ที่ไม่สามารถแปลงปัญหาหรือสถานการณ์ไปสู่รูปแบบที่เข้าใจง่ายได้ เช่น ไม่สามารถเขียน
ภาพจากโจทย์ปัญหาได้ หรือเขียนแต่ข้อมูลไม่ครบถ้วน ดังภาพที่ 6
อภิปรายและสรุปผลการวิจัย
จากการวิจัยเรื่องการพัฒนาสมรรถนะการเรี ยนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยวิธีการสอน
แบบ KWDL อภิปรายผลได้ดังนี้
1. นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยวิธีการสอนแบบ KWDL มีความสามารถในการแก้ปัญหาทาง
คณิตศาสตร์ สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตาม
สมมติฐานที่ตั้งไว้ เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบ KWDL เป็นกระบวนการส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะ
กระบวนการทางคณิตศาสตร์ เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ช่วยให้นักเรียนสามารถวิเคราะห์คาถามได้ ดียิ่งขึ้น ที่จะช่วยให้
ง่ายขึ้นในการหาคาตอบ ซึ่งสอดคล้องกับ วัชรา เล่าเรียนดี (2554: 150) เมื่อนาการเรียนรู้รูปแบบ KWDL มาประยุกต์ใช้ใน
การสอนเพื่อพัฒนาทักษะและสมรรถนะการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยมีขั้นตอนในการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน คือ 1) ขั้น K สิ่งที่โจทย์
38
ประมวลบทความในการประชุมวิชาการระดับชาติ มอบ.วิจัย ครั้งที่ 15 | ผลงานนาเสนอแบบบรรยาย
39
ประมวลบทความในการประชุมวิชาการระดับชาติ มอบ.วิจัย ครั้งที่ 15 | ผลงานนาเสนอแบบบรรยาย
สรุปผลการศึกษา
จากการวิจัยเรื่องการพัฒนาสมรรถนะการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยวิธีการสอน
แบบ KWDL สามารถสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้
1. นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยวิธีการสอนแบบ KWDL มีความสามารถในการแก้ปัญหาทาง
คณิตศาสตร์ สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2. นั ก เรี ย นที่ ได้ รับ การจัดกิ จ กรรมการเรีย นรู้ ด้ว ยวิ ธี ก ารสอนแบบ KWDL มี ค วามสามารถในการสื่อ สารทาง
คณิตศาสตร์ สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยวิธีการสอนแบบ KWDL มีความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์
สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะจากการวิจัย
1. ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ช่วงแรกนักเรียนยังทาการบันทึกในแผนผัง KWDL ได้ไม่ครบถ้วน ดังนั้น ครูจึงควรให้
ความสาคัญกับการตรวจแบบฝึกหัด การบ้านและใบงานของนักเรียนพร้อมทั้งให้ผลสะท้อนกลับ มีการเสริมแรงในทางบวก
เพื่อให้นักเรียนทราบข้อบกพร่องและมีกาลังใจในการแก้ไขและพัฒนาตนเองต่อไป
2. ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL อาจจะใช้เวลามากกว่าปกติเนื่องจากผู้เรียนต้องเขียนขั้นตอนใน
การแก้ปัญหาอย่างละเอียด ครูจะต้องให้เวลานักเรียนอย่างเพียงพอ ดังนั้นครูจะต้องมีการวางแผนในการจัดการเรียนการสอน
ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับเวลาที่มี
3. ครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ และเปิดใจให้กว้างยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างของ
นักเรียนแต่ละคน พร้อมทั้งให้กาลังใจ ชื่นชม และเสริมแรงให้กับนักเรียน เพื่อส่งเสริมบรรยากาศในห้องเรียน
ข้อเสนอแนะสาหรับการวิจัยต่อไป
1. ควรมีการศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ที่มีต่อสมรรถนะด้านอื่น ๆ เช่น ความสามารถ
ในการคิด ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นต้น
2. ควรมีการศึกษากับเนื้อหาในเรื่องอื่น ๆ ว่ามีความเหมาะสมและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ได้กับ
เนื้อหาในเรื่องใดบ้าง
3. ควรมีการศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL โดยใช้บูรณาการกับเทคนิคการสอนวิธีอื่น ๆ
เช่น การเรียนรู้แบบร่วมมือ การเรียนรู้โดยใช้เกม การใช้ผังกราฟิก เป็นต้น
กิตติกรรมประกาศ
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สาเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความช่วยเหลืออย่างดียิ่งจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรยุทธ นิลสระคู
อาจารย์ที่ปรึกษาวิ ทยานิ พนธ์ ที่ได้ให้คาปรึกษาแนะน า และตรวจแก้ไขจนวิทยานิ พนธ์ฉ บับนี้ส มบูรณ์ ขอขอบพระคุ ณ
คณาจารย์ประจาหลักสูตรคณิตศาสตรศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และผู้เชี่ยวชาญทุกท่านที่ได้กรุณา
ให้คาแนะนาและช่วยเหลืออย่างดีเสมอมา ผู้วิจัยขอขอบพระคุณอย่างสูง ณ โอกาสนี้
40
ประมวลบทความในการประชุมวิชาการระดับชาติ มอบ.วิจัย ครั้งที่ 15 | ผลงานนาเสนอแบบบรรยาย
เอกสารอ้างอิง
กาญจนา รัตนวงศ์. (2554). การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ เรื่อง การหารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยการจัดการ
เรียนรู้แบบ KWDL กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาสารคาม.
ทัศนชัย เก่ากาลังพล. (2553). การพัฒนาชุดทักษะการแก้โจทย์ปัญหาโดยใช้เทคนิคการสอนแบบ KWDL เรื่องสมการเชิงเส้นตัวแปร
เดียว รายวิชาคณิต ศาสตร์พื้นฐานสาหรับนักเรีย นชั้นมัธยมศึก ษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณ ฑิต , มหาวิทยาลัย
นเรศวร, พิษณุโลก.
วัชรา เล่าเรียนดี. (2554). รูปแบบและกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิด. นครปฐม: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร.
สถานบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2551). ทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตร์ (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : ส.
เจริญการพิมพ์.
เสาวนีย์ บุญแก้ว. (2553). การศึกษาความสามารถในการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียน เรื่อง ภาคตัดกรวย โดยการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ.
อัมพร ม้าคะนอง. (2546). คณิตศาสตร์ : การสอบและการเรียนรู้. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อัมพร ม้าคะนอง. (2553). ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ : การพัฒนาเพื่อพัฒนาการ. กรุงเทพฯ: ศูนย์ตาราและเอกสารทาง
วิชาการ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Car, E., & Ogle, D., (1987). KWL plus: A strategy comprehension and summariza. Journal of Reading, 30, 626-631.
Hunter. (1993). Retention Theory for Teacher: A Programma Book (36th ed.). El Segundo, California: Tip.
Krulik, S., Rudnick, J., & Milou, E. (1980). Teaching Mathematics in Middle School. Boston: Allyn and Bacon.
Polya, G. (1957). How To Solve it: A New Aspect of Mathematical Method. New York: Doubleday and Company.
Shaw, J. W., Chambless, M. S., Chessin, D. A., Price, V., & Beardain, G. (1997). Cooperative Problem Solving: Using K
W D L as an Organizational Technique. Teaching Children Mathematics, 3(39), 482-486.
41