You are on page 1of 4

การทำบุญด้วยการภาวนาได้กศุ ลผลบุญสูงสุ ด ทำได้ไม่ยาก !!!

หลายท่านอาจเข้าใจว่า การทำบุญด้วยวิธีเจริ ญสมาธิภาวนานั้นทำได้ยากมากเพราะว่าไม่มีเวลา พอพูดเรื่ องการเจริ ญสมาธิภาวนา


นั้นจะนึกถึงการนัง่ หลับตา แต่จริ งๆแล้วการเจริ ญสมาธิภาวนานั้นไม่จ ำเป็ นต้องหลับตาเสมอไป สมาธิน้ นั ทำได้ท้งั ลืมตาและ
หลับตา ไม่จ ำเป็ นต้องนัง่ ท่าขัดสมาธิ จะนัง่ ท่าไหนก็เป็ นสมาธิได้ ทำได้ท้งั ยืน นอน นัง่ เดิน วิง่ ก็สามารถทำสมาธิ ได้ ทำได้ทุก
ท่าทาง ทุกอริ ยาบท ท่านว่าการทำบุญด้วยการภาวนาได้กศุ ลผลบุญสูงสุ ด
การเจริญสมาธิภาวนานั้นมีสองแบบ ดังนี้
๑) การเจริ ญสมถะภาวนาคือการจดจ่ ออารมณ์ ใดอารมณ์ หนึ่ง เพื่อให้ จิตสงบ
๒) การเจริ ญวิปัสสนาภาวนา คือการพิจารณาไตรลักษณ์ การเกิดขึน้ ตั้้งอยู่ ดับไป

โดยตามหลักแห่งการสร้างบุญแล้วการภาวนาเป็ นการทำบุญใหญ่ที่สุดลงทุนน้อยที่สุด ง่ายที่สุดแต่การจะไปให้ถึงบุญสูงสุ ดด้วย


การเจริ ญภาวนานั้นกลับเป็ นเรื่ องยากที่สุดสำหรับคนทัว่ ไป คนทัว่ ๆไปจะมองเรื่ องการภาวนาเป็ นเรื่ องที่สูงและไกลตัวเกินกว่า
ทำความเข้าใจได้และเป็ นเรื่ องของผูท้ ี่เป็ นพระสมณะเท่านั้น อย่างดีถา้ จะให้ได้ท ำก็แค่นงั่ สมาธิก ำหนดใจสัก 5-10 นาทีแล้วก็
หยุดเลิกไป

การเจริ ญภาวนานั้นมีอยู่หลายวิธีที่จะทำให้ จิตเกิดเป็ นสมาธิ และได้ บญ


ุ กุศลตามที่ได้ ปรารถนาไว้ ได้ แก่

1. สวดมนต์

การสวดมนต์ดว้ ยบทพระคาถาต่าง ๆจะทำให้จิตใจเป็ นสมาธิไม่ต่างจากการนัง่ สมาธิเพราะขณะที่สวด ทั้งสายตาและจิตของเราก็


จะมุ่งอยูก่ บั คำสวดที่อยูใ่ นมือ การสวดมนต์น้ นั เป็ นการบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้าอย่างหนึ่งโดยการทวนคำสอนของพระองค์
ด้วยการสวด ขณะที่ปากสวดใจก็จะมีสมาธิและเมื่อสวดเสร็ จก็จะเกิดความอิ่มเอมปี ติทางใจ เพราะการสวดมนต์นาน ๆ ต้องใช้
ความอดทนอันเป็ นสิ่ งที่คนทัว่ ไปทำได้ยาก นอกจากนั้นเรายังได้รับรู้วา่ การใช้ปากสวดมนต์เปล่งวาจาออกมา จะนำไปสู่ การ
ปฏิบตั ิที่สำคัญคือ เราไม่กล้าที่จะใช้ปากของเราไปก่อกรรมไม่ดีทางวาจาขึ้นมาอีก อย่างเช่นการพูดปด เพราะปากต้องสวดมนต์
อยูบ่ ่อย ๆ บทสวดมนต์ที่แนะนำให้สวดเป็ นประจำ คือ บทบูชา พระพุทธคุณ (อิติปิโส) พระธรรมคุณ (สวากขาโต) และพระ
สังฆคุณ (สุ ปฏิปันโน) ผูท้ ี่ได้สวดเป็ นประจำทุกวันจะได้อานิสงส์ให้ชีวิตอยูเ่ ย็นเป็ นสุ ขคลายทุกข์ร้อนจิตเป็ นสมาธิ นอนหลับ
ฝันดี นอกจากบทสวดหลักนี้ กย็ งั มีบทสวดมหามงคลอีกมากมายเช่น บทถวายพรพระ พาหุง มหากาฯ บทคาถาพระชินบัญชร
ฯลฯ

2. นั่งสมาธิให้ ได้ อย่างน้ อยวันละ 15 นาที (อาจให้ การเดินจงกรมก็ได้ )

การนัง่ สมาธิเป็ นการสร้างบุญใหญ่ง่าย ๆดังที่พระพุทธองค์กล่าวไว้วา่ ต่อให้รักษาศีล 227 ข้อได้ต่อเนื่องยาวนานเป็ น 100


ปี ก็สู้การทำจิตให้นิ่งเป็ นสมาธิเพียงชัว่ ไก่กระพือปี กหรื อช้างกระดิกหูไม่ได้ การทำสมาธิขอให้ใช้หลัก อานาปานสติ คือการ
กำหนดลมหายใจเข้าออกให้เป็ นสมาธิบริ กรรมขณะหายใจเข้าว่า “พุทธ” หายใจออกว่า “โธ” จนจิตเริ่ มนิ่งแล้วก็ไม่ตอ้ งบริ กรรม
ใด ๆอีกให้รับรู้ขณะที่ลมกระทบที่จมูกขณะหายใจเข้าออกก็พอจิตก็จะนิ่งได้เองไปเรื่ อย ๆ หากจิตส่ ายออกไปข้างนอกก็ให้กลับ
มาบริ กรรมใหม่ การทำสมาธิดว้ ยวิธีน้ ีจดั เป็ นกรรมฐานที่พระพุทธองค์ตรัสว่ามีความปลอดภัยสูงเป็ นกรรมฐานเย็นทำแล้วอิ่ม
เอิบใจจิตเกิดความปี ติได้ง่าย

3. แผ่เมตตาอุทิศบุญไปให้ แก่ท้งั เทพ เทวดา เจ้ ากรรมนายเวร และบุคคลที่เกีย่ วข้ อง

คนทัว่ ไปอาจไม่ทราบว่าการแผ่เมตตาและอุทิศบุญนี้เป็ นการสร้างบุญอย่างหนึ่งตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการข้อหนึ่งที่วา่


เป็ นการเปิ ดโอกาสให้คนอื่นได้มารับบุญและโมทนาคุณความดีของเรา การแผ่บุญและส่ งบุญไปให้คนอื่นนั้นเป็ นการสร้างความ
ดีเสมือนเราจุดเทียนขึ้นในความมืดแล้วเราก็ต่อเทียนไปให้ผอู้ ื่นโดยที่ บุญของเราก็ยงั อยูแ่ ละได้ยงั แสงสว่างให้เกิดขึ้นไปแก่ผอู้ ื่น
ด้วย ดังนั้นภายหลังจากการสวดมนต์ นัง่ สมาธิและแผ่เมตตาแล้ว ครู บาอาจารย์มกั จะให้กล่าวคำอุทิศบุญไปให้ผอู้ ื่นให้
ครอบคลุมด้วยบท อุทิศส่ วนบุญส่ วนกุศลว่า

อิทงั เม มาตาปิ ตูนงั โหตุ สุ ขิตา โหนตุ มาตา ปิ ตะโร ขอส่ วนบุญนี้จงสำเร็ จ แก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของ
ข้าพเจ้า จงมีความสุ ข
อิทงั เม ญาตีนงั โหตุ สุ ขิตา โหนตุ ญาตะโย ขอส่ วนบุญนี้จงสำเร็ จ แก่ญาติท้งั หลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติท้งั หลายของข้าพเจ้า
จงมีความสุ ข
อิทงั เม คุรูปัชฌายาจะริ ยานังโหตุ สุ ขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจะริ ยา ขอส่ วนบุญนี้จงสำเร็ จ แก่ครู อุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอ
ให้ครู อุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า จงมีความสุ ข
อิทงั สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุ ขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา ขอส่ วนบุญนี้จงสำเร็ จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้ง
ปวง จงมีความสุ ข
อิทงั สัพพะ เปตานัง โหตุ สุ ขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา ขอส่ วนบุญนี้จงสำเร็ จ แก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวง
จงมีความสุ ข
อิทงั สัพพะ เวรี นงั โหตุ สุ ขิตา โหนตุ สัพเพ เวรี ขอส่ วนบุญนี้จงสำเร็ จ แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรม
นายเวรทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุ ข
อิทงั สัพพะ สัตตานัง โหตุ สุ ขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา ขอส่ วนบุญนี้จงสำเร็ จ แก่สตั ว์ท้งั หลายทั้งปวง ขอให้สตั ว์ท้งั หลายทั้งปวง
จงมีความสุ ขทัว่ หน้ากันเทอญฯ

4. ทำการอธิษฐานขอให้ ผลบุญได้ สัมฤทธิ์ผล

คำกล่าวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ “ถ้ าขอแล้ วจะได้ ถ้ าหาแล้ วจะพบ” หมายความว่าการที่เราได้ลงมือทำอะไรไปแล้วและเป็ น


สิ่ งที่ดีสมควรที่จะได้รับหากยังไม่ได้กค็ วรจะร้องขอเอา สิ่ งที่ทุกคนปรารถนาก็คือความสุ ข ความมัง่ มี ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยจากแรง
บุญและกรรมทีได้กระทำ การอธิษฐานขอให้ผลบุญได้สำเร็ จผลนี้ ก็เป็ นไปเพื่อความสำเร็ จต่าง ๆดังที่เราปรารถนาไม่วา่ จะเป็ น
ทั้งทางโลกทางธรรม
ดังนั้นเมื่อได้ท ำบุญด้วยการภาวนาแล้วต้องอธิษฐานประกอบบุญไปด้วยบุญนั้นจึงจะส่ งผลได้เร็ วยิง่ ขึ้นโดยตั้งใจให้แน่วแน่ปัก
จิตลงไปในเป้ าหมายอย่างแท้จริ งเชื่อมัน่ ในบุญที่ได้ท ำโดยไม่ลงั เลสงสัย แม้ผลสำเร็ จจะยังไม่เกิดขึ้นทันทีกย็ งั ไม่ตอ้ งท้อแท้
เพราะองค์ประกอบเหตุและปัจจัยยังไม่สมบูรณ์เพียงพอซึ่งแต่ละคนมีปัจจัยบุญและกรรมที่ไม่เหมือนกัน

คำอธิษฐานโดยทัว่ ไปที่ควรนำมาใช้
“ข้าพเจ้า………..(ชื่อ – นามสกุล) ขอน้อมอานิสงส์ผลบุญจากบุญที่ได้ท ำ….. ( รวมได้หมดทุกอย่างแห่งการสร้างบุญไม่วา่
ทำบุญมาแบบไหนทั้งการ ให้ทาน รักษาศีล และเจริ ญภาวนแล้ว) ในวันนี้ ครั้งนี้ขออุทิศให้แก่……( บุคคลที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา
ทั้งหมด หรื อ คนที่ปรารถนาจะอุทิศให้ตามหลักแห่งการอุทิศบุญแผ่เมตตา)
ขอให้อานิสงส์ผลบุญนี้ จงเป็ นพละปัจจัยให้ขา้ พเจ้า (หรื อผูอ้ ื่น โดยกล่าวชื่อ นามสกุล)…..ขอให้..(ปรารถนาสิ่ งใดก็วา่ ไป
ตามนั้น โดยสิ่ งที่ขอต้องไม่ผดิ ศีลธรรม) เช่นขอให้ประสบความสำเร็ จในหน้าที่การงานที่ท ำอยู,่ ขอให้หายจากการเจ็บไข้ได้
ป่ วย ให้คิดดี พูดดี ทำดีติอต่อกัน สนับสนุนกันให้พน้ จากภาวะที่เป็ นทุกข์อยูใ่ นปัจจุบนั ( บอกรายละเอียดของความทุกข์ดว้ ย
ก็ได้) ให้พน้ จากทุกข์น้ นั นับแต่บดั นี้เป็ นต้นไป การงานสิ่ งใดที่ชอบกอร์ปไปด้วยธรรม ขอให้ขา้ พเจ้าได้ประสบความสำเร็ จตาม
ความปรารถนา ทั้งทางโลกและทางธรรม นับแต่บดั นี้เป็ นต้นไปตราบจนกว่าจะเข้าสู่ พระนิพพานเทอญ”

5. หมั่นพิจารณาสิ่ งทั้งหลายว่าทุกอย่างเป็ นไปตามสภาวธรรมและความเป็ นจริง

การสร้างบุญด้วยเจริ ญปัญญาที่ได้บุญและอานิสงส์ขอ้ นี้ เองที่พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้วา่ “ ผูใ้ ดที่มีปัญญาพิจารณาจนจิตเห็น


ความจริ งว่า ร่ างกายนี้ เป็ น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้จะเป็ นเพียงชัว่ เวลาสั้น ๆแค่ชา้ งกระดิกหูแล้วย่อมดีเสี ยกว่า ผูท้ ี่มีอายุยนื ยาว
100 ปี แต่ไม่มีปัญญาได้เห็นความจริ งดังกล่าวทำให้เสี ยเวลาไปชาติหนึ่งหรื อเป็ น “โมฆะบุรุษ”
การเจริ ญปัญญาอย่างง่าย ๆประจำวันควรจะทำให้บ่อย ๆ ทำให้มาก ๆจนจิตเป็ นอารมณ์แนบแน่นไม่วา่ จะยืนจะนัง่ จะนอนก็คิด
ใคร่ ครวญถึงความเป็ นจริ ง 4 ประการดังต่อไปนี้

การใคร่ ครวญถึง ความตายเป็ นอารมณ์ โดยเป็ นการเตือนสติให้เราได้ตื่นได้พากเพียรทำความดีก่อนที่ความตายจะมาถึง เพราะ


การคิดถึงความตายอยูเ่ สมอนั้นจะทำให้เราเป็ นผูไ้ ม่ประมาทในชีวิต เมื่อได้คิดแล้วย่อมเร่ งกระทำความดีและบุญกุศล เกรงกลัว
ต่อบาปกรรมที่จะติดตัวไปถึงในชาติหน้า หากมัวหลงในลาภยศสรรเสริ ญ สมบัติท้งั หลาย เมื่อตายไปแล้วทุกสิ่ งทุกอย่างที่หลง
มัวเมาอยูก่ ส็ ู ญไปหมดไม่ได้ติดตัวไปกับตนเองเลย

การใคร่ ครวญถึง สิ่ งที่ไม่สวยงามเป็ นอารมณ์ เป็ นการพิจารณาว่าร่ างกายของคนอื่นที่วา่ สวยงามทั้งหลายที่เป็ นบ่อเกิดแห่งความ
ใคร่ และตัณหานั้นที่จริ งแล้วก็เป็ นสิ่ งที่ไม่แน่นอน ทุกคนต้องแก่ตอ้ งเหี่ยวหรื อมีความเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา จนเมื่อตายแล้ว
ร่ างกายก็ตอ้ งเปลี่ยนสภาพกลายเป็ นเน่าเปื่ อย ทุกอย่างเป็ นของน่าสะอิดสะเอียนหาความสวยงามใด ๆไม่ได้อีก ซึ่งหาความเป็ น
ตัวตนของตนเองไม่ได้เลย ในที่สุดสังขารของเราก็จะต้องเป็ นเช่นนี้เหมือนกัน

การใคร่ ครวญถึงว่า ร่ างกายของเราเป็ นแหล่งรวมสิ่ งสกปรก การพิจารณาในข้อนี้กเ็ พื่อให้เห็นว่า แท้จริ งแล้วร่ างกายของเราก็
เป็ นที่รวมซากศพและของเน่าเหม็นที่เราได้รับประทานเข้าไป และต้องขับถ่ายออกมาจากทวารทั้งหลาย เป็ นสารพัด “ขี้” เช่น
เมื่อมีการขับถ่ายออกมาทางหูกเ็ รี ยกว่า ขี้หู ออกมาทางตาก็เรี ยก ขี้ตา ออกมาจากผิวหนังก็เรี ยก ขี้ไคล เป็ นต้น เมื่อได้พิจารณา
ความจริ งข้อนี้จะเห็นความสกปรกในร่ างกายนั้นเป็ นสิ่ งที่เป็ นจริ งและไม่อาจเลี่ยงได้ เมื่อรับรู้แล้วจิตก็จะมีก ำลังและเกิดความ
เบื่อหน่ายในการยึดติดร่ างกายทั้งของตัวเองและผูอ้ ื่น

การใคร่ ครวญถึงว่าทุกสิ่ งนั้นประกอบด้วยธาตุที่มาประชุมรวมกันอยู่ ข้อนี้เป็ นการพิจารณาถึงความเป็ นจริ งให้ถึงที่สุดว่า ไม่วา่


ร่ างกายของเรา ของผูอ้ ื่นและทุกสิ่ งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็ นแต่เพียงธาตุที่มาประชุมรวมกันชัว่ คราวเท่านั้น สิ่ งเหล่านั้นไม่
สามารถทนรวมกันอยูไ่ ด้นาน นานไปก็เก่า นานไปก็แก่แล้วก็ตอ้ งมีอนั แตกสลายไปแล้วกลับคืนสู่ ความเป็ น วัตถุธาตุอีกครั้ง ดัง
เช่นร่ างกายเรา กระดูกก็คือดิน เลือดก็คือน้ำ ลมภายในร่ างกายก็คือ ธาตุลม และความร้อนรวมไปถึงอารมณ์ในร่ างกายต่าง ๆก็คือ
ธาตุไฟ เมื่อแตกสลายไปแล้วก็ กลายเป็ น ดิน น้ำ ลม ไฟ อย่างเดิม

การฝึ กเจริ ญภาวนาด้ วยการคิดใคร่ ครวญหาเหตุผลทั้ง 4 แบบนีเ้ ป็ นข้ อที่ท ำได้ ยากที่สุดเพราะในโลกของมนุษย์ เรายังมีสิ่งปรุ ง
แต่ งเจือปนให้ กับจิตใจด้ วยวัตถุมากมาย แต่ หากใครทำได้ จิตก็จะค่ อย ๆหลุดพ้ นไปอันเป็ นทางสู่นิพพานในที่สุด การสะสม
สร้ างบุญในทุกวิธีที่กล่ าวมานีเ้ ป็ นเรื่ องที่ต้องใช้ หลักในการปฏิบัติเพิ่มเข้ าไปอีก 3 ประการคือ

1. มีความสม่ำเสมอ
การทำบุญนั้นเป็ นเรื่ องที่ท ำได้ยากกว่าทำบาป แต่กไ็ ม่ใช่เรื่ องที่เหลือวิสยั จนไม่สามารถทำได้ เปรี ยบเสมือนงานประจำ ก็คือ งาน
นั้นเราต้องทำอยูป่ ระจำทำทุกเมื่อเชื่อวันจึงจะเกิดความชำนาญ บุญก็เช่นเดียวกันต้องมีความสม่ำเสมอในการสร้างบุญ บุญนั้นก็
จะได้พอกพูนขึ้นมาเรื่ อยๆและเวลานำไปใช้กจ็ ะมีความชำนาญในการใช้ ไม่ให้เสี ยไปโดยเปล่าประโยชน์

2. มีความมากพอในบุญ
นอกจากมีความสม่ำเสมอแล้วการทำบุญก็ตอ้ งมีความมากพอที่จะนำบุญนั้นไปใช้ เปรี ยบเทียบเหมือนเราตักน้ำใส่ ตุ่มน้ำที่บา้ น
เราต้องตื่นมาแต่เช้าและทำเป็ นประจำเสมอ แต่ถา้ เราตักน้ำใส่ เป็ นประจำเพียงแค่วนั ละขันมันก็ยงั น้อยเกินไปไม่พอจะนำไปใช้
ประโยชน์ได้ ถ้าจะให้มากพอให้มนั เต็มตุ่มในแต่ละวันก็ตอ้ งตักน้ำวันละหลาย ๆถังเพื่อให้เพียงพอจะนำไปใช้ได้

3. มีความนานพอ
บุญต้องใช้การ “สะสม” มันไปเรื่ อย ๆเหมือนกับความสำเร็ จในด้านอื่น ๆ ทุกสิ่ งทุกอย่างในโลกนี้ กฎแห่งความสำเร็ จก็ข้ ึนอยูก่ บั
3 ข้อนี้ท้งั นั้น ทุกความสำเร็ จจะต้องใช้เวลาสะสมในตัวของมันเอง เมื่อสร้างบุญได้สม่ำเสมอ, มากพอ, และนานพอ ก็จะ
ทำให้บรรลุธรรมถึงขั้นสูงสุ ดอันคือ พระนิพพานได้ การบรรลุพระนิพพานเป็ นเหตุให้บุคคลสิ้ นเวรสิ้ นกรรมสิ้ นบาปสิ้ นบุญ
หมดแล้วทุกอย่าองในโลก เหมือนดังที่พระพุทธเจ้าของเรา ได้บ ำเพ็ญเพียรสร้างบุญมากว่า 500 ชาติ และใน สิ บชาติสุดท้าย
ก็ได้บ ำเพ็ญสร้าง “มหาทศบารมี” จนในชาติสุดท้ายพระองค์กต็ รัสรู้สิ้นเวรกรรมในโลกและหลุดพ้นไปในที่สุด

ทำจิตใจของตนให้บริ สุทธิ์ ด้วยการนัง่ สมาธิ การไหว้พระสวดมนต์ การน้อมพิจารณาความจริ งของชีวิต เพื่อให้สภาพจิตใจมี


ความสะอาด สว่าง สงบ อยูเ่ หนือความโกรธ ความโลภ ความหลง และการเชื่อในบาปบุญคุณโทษ การมีสติปัญญาที่บริ สุทธิ์
ปราศจากความอคติล ำเอียง มองโลกตามความเป็ นจริ ง

You might also like