You are on page 1of 68

10/4/2559 สภาวิ

ศวกร

วิ
ชา : Highway Engineering
เนื
อหาวิ
ชา : 550 : Historical development of highways, highway administration

ข อที
้  1 : ทางหลวงแผ่
น ดิ
น สายประธานตามภาคต่ ้
าง ๆ กรมทางหลวงจะใชระบบหมายเลขกี
ตัว

1 : 1 ตัว
2 : 2 ตัว
3 : 3 ตัว
4 : 4 ตัว

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  2 : ทางหลวงพิ
เศษ ในประเทศไทยมีื ยกอี
ชอเรี กอย่
างหนึ
งว่
า Motorway อยากทราบว่
า ทางหลวงประเภทนี
ในประเทศ สหรัฐอเมริ
กา เรี
ยกว่
าอย่
างไร

1 : Expressway
2 : Freeway
3 : Super Highway
4 : Autobahn

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  3 : ทางหลวงสายเอเชี
ยที
ผ่
านในประเทศไทยที
อํ
าเภอแม่
ส าย ไปจดชายแดนประเทศมาเลเซี
ย มีื าสายอะไร
ชอว่

1 : สาย AH1
2 : สาย AH2
3 : สาย AH3
4 : สาย AH4

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  4 : ถนนประเภทใดที
มี
ระดับ Accessibility ดี
ทสุ
ีด

1 : Local Streets
2 : Collector Streets
3 : Major Arteries
4 : Motorway

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  5 : ถนนเจริ
ญกรุ
งก่
อสรางขึ
้ นในสมัยใด

1 : สมัยกรุงศรี
อยุธ ยา
2 : สมัยรัชกาลที 3
3 : สมัยรัชกาลที 4
4 : สมัยรัชกาลที 5

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  6 : ตามพระราชบัญญัตท
ิางหลวง พ.ศ. 2535 ทางหลวงประเภทใดที
กรมทางหลวงไม่
ไดรั้
บผิ
ดชอบ

1 : ทางหลวงสัมปทาน
2 : ทางหลวงชนบท
3 : ทางหลวงพิเศษ
4 : ทางหลวงแผ่น ดิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  7 : ทางหลวงซึ
งอยู
ใ่
นภาคตะวัน ออกเฉี
ยงเหนื
อจะขึ
นตนด
้ วยหมายเลขใด

1 : 1
2 : 2
3 : 3
4 : 4

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  8 : Frontage Road หมายถึ
งอะไร

วนพิ
1 : ทางด่ เศษ
องเดิ
2 : ช่ น รถ
3 : ทางขนาน
วมทางแยก
4 : ทางร่

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 1/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  9 : Divided Highway ประเภทใดที
เป็
น Full control of access

1 : Freeway
2 : Expressway
3 : Access Road
4 : Principal road

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  10 : ข อใดคื
้ อองค์
กรซึ
งเกี
ยวข องโดยตรงกั
้ บทางหลวงในประเทศไทย

1 : TRRL
2 : TRB
3 : DOH
4 : ITE

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  11 : ถนนใดที
สรางขึ
้ นเพื
อรับปริ
มาณการจราจรไดสู
้ง มี
การควบคุ
มการเข าออกอย่
้ างเข มงวด ไม่
้ อนุ
ญาตใหคนหรื
้ อสัตว์
และยานพาหนะบางชนิ ้
ดมาใชถนน ฯลฯ

1 : Expressway or Freeway
2 : Major or Arterial Street
3 : Collector Road
4 : Local Road

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  12 : โครงข่
ายถนนแบบใด เหมาะกับบริ
เวณที
เป็
นภู
เขา หุ
บเขา เนิ
น เขา มี
พนที
ื จํ
ากัด

1 : Grid Network
2 : Linear Network
3 : Radial Network
4 : Hexagonal Network

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  13 : องค์
กรใด มี
หน าที
้ ควบคุ
มและดํ
าเนิ
น การก่
อสราง บู
้ รณะและบํ
ารุ
งรักษาทางหลวงพิ
เศษ ทางหลวงแผ่
น ดิ
น  และทางหลวงสัมปทาน

เศษแห่
1 : การทางพิ งประเทศไทย
2 : กรมทางหลวง
3 : กรมทางหลวงชนบท
งเทพมหานคร
4 : กรุ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  14 : ทางหลวงที
แบ่
งแยกการจราจรไปและกลับดวยเกาะกลางถนน (Median) ตรงกั
้ บข อใด

1 : Divided Highway
2 : Primary Highway
3 : Provincial Highway
4 : Secondary Highway

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  15 : ข อใดที
้ ไม่ ไดถู
้กกํ
าหนดโดยตรงในมาตรฐานชันทางหลวงทัวประเทศ

1 : ปริมาณการจราจรเฉลียคัน ต่
อวัน
2 : อัตราความเร็
วที ้
ใชในการออกแบบ
3 : ความกวางของผิ
้ วจราจรสะพาน
4 : รัศมี
โคง้

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  16 : ทางหลวงในประเทศไทยประเภทใดไม่
อยู
ใ่
นความรับผิ
ดชอบของกรมทางหลวง

1 : ทางหลวงพิเศษ 
2 : ทางหลวงจังหวัด 
3 : ทางหลวงเทศบาล 
4 : ทางหลวงสัมปทาน 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  17 : ทางหลวงที
เชื
อมจากกรุ ่
งเทพฯ ไปสู
ภาคใตมี
้ ื ยกว่
ชอเรี าอะไร

ขุ
1 : ถนนสุมวิ
ท ทางหลวงหมายเลข 1
ตรภาพ ทางหลวงหมายเลข 2
2 : ถนนมิ

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 2/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
3 : ถนนเพชรเกษม ทางหลวงหมายเลข 3
4 : ถนนพหลโยธิน  ทางหลวงหมายเลข 4

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  18 : ทางหลวงประเภทหนึ
งที
กรมทางหลวงรับผิ
ดชอบดู
แลคื

1 : ทางหลวงชนบท
2 : ทางหลวงเทศบาล
3 : ทางหลวงสุข าภิ
บาล
4 : ทางหลวงสัมปทาน

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  19 : ทางหลวงสายที
ขึ
นตนด
้ วยหมายเลข 3 แสดงว่
้ า

1 : ทางสายนั นอยู
ใ่
นภาคเหนือ
2 : ทางสายนั นอยู
ใ่
นภาคตะวัน ออกเฉี
ยงเหนื

3 : ทางสายนั นอยู
ใ่
นภาคกลาง ภาคตะวัน ออก
4 : ทางสายนั นอยู
ใ่
นภาคใต ้

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  20 : หน่
วยงานหรื
อสมาคมในข อใด ที
้ ไม่
เกี
ยวข องกั
้ บงานทางหลวง

1 : AASHTO
2 : ASHTO
3 : TRB
4 : TRRL

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้   21  :  ในเมื
องๆ  หนึ
ง  ถนนที
ทํ
าหน าที
้ เชื
อมโยงส่ วนต่
าง  ๆ  ของเมื
อง  หรื อเชื
อมโยงแหล่งกํ
าเนิ
ดจราจร  (Traffic  generators)  ใหญ่
  ๆ  เช่
น   ย่
านศู
น ย์
กลางธุ รกิ
จและการคา้
รถไฟ ท่
(Central Business District ; CBD) สถานี าเรื
อและแหล่ งงานต่
าง  ๆ  เป็
นตน 
้การเดิ
น ทางบนถนนเหล่ านีส่
วนใหญ่ เป็
นการจราจรผ่ าน  (Through  traffic)  ระยะเดิ
น ทางยาว
ถนนดังกล่ าวถาจํ ้
้าแนกตามลักษณะการใชงาน จะจั ดเป็นถนนในข อใด

1 : Arterials
2 : Principal collectors
3 : Collectors
4 : Access roads

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้   22  :  ในเมื
องๆ  หนึ
ง  ถนนทีทํ
าหน าที
้ รวบรวมการจราจรจากถนนเข าออกที
้ อยู

่าศัย  เพื
อป้ ้่
อนเข าสู
ถนนสายเมนของเมื
อง  ขณะเดี
ยวกัน ยังก็
ทํ
าหน าที
้ เป็
นทางเข าออกที
้ ดิ
น สอง
ข างทางด
้ วย ถนนดั
้ งกล่าวจัดเป็
นถนนในข อใด

1 : Major Arterials
2 : Minor Arterials
3 : Collectors
4 : Access roads

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  23 : มาตรฐานและคู

มอ
ืออกแบบทาง รวมทังเอกสารวิ
ชาการของ AASHTO เป็ ยอมรับและใชกั้
นที น อย่
างแพร่
หลายในประเทศไทย AASHTO ย่
อจากคํ
าเต็
มในข อใด

1 : Asian Association of State Highway and Transportation Organization
2 : American Association of State Highway and Transportation Organization
3 : Asian Association of State Highway and Transportation Officials
4 : American Association of State Highway and Transportation Officials

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  24 : โครงข่
ายถนนประเภทใด ทีจะช่
วยใหความสามารถเข
้ าถึ
้ง (Accessibility) ของส่
วนต่
าง ๆ ของเมื
องดี
เท่
า ๆ กัน  ช่
วยกระจายความเจริ
ญไปทัวถึ
งกัน  ทํ
าใหความหนาแน่
้ น
ของประชากรกระจายออกสมําเสมอกัน

1 : Grid Network
2 : Radial Network
3 : Ring Network
4 : Linear Network

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

้  25 : ข้
ข อที อใดเป็
นลักษณะพึ
งประสงค์
ของทางประเภท Local street

1 : อํ
านวยความสะดวกแก่ การจราจรให้
รถทางใกล้
ทางไกลผ่
านได้
2 : ความเร็
วออกแบบสู ง
3 : ให้
บริการทั䛰
งการจราจรผ่
านและการจราจรสองข้
างทาง
4 : ทางปลายตัน ไม่
สามารถใช้
เป็
นทางลัดได้
http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 3/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

้  26 : เกณฑ์
ข อที  (Criteria) ในข้
อใดเป็
นเกณฑ์
ที

เหมาะสมที

สุ
ดที

ใช้
ในการจํ
าแนกถนนว่
าจะเป็
นถนน Arterial, หรื
อ Collector หรื
อ Local road

1 : ระดับการอํ
านวยความสะดวกด้ าน Mobility และการเข้
าออกของถนน
2 : ปริ
มาณจราจรบนถนน
3 : ระดับการติ
ดขัดของการจราจร
4 : ความเร็
วของการจราจรบนถนนนั䛰 นในชัว䙐
โมงเร่งด่
วน
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

้  27 :  โครงข่
ข อที ายถนนประเภทใด ที

จะช่
วยให้
ความสามารถเข้
าถึ
ง (Accessibility) ของส่
วนต่
าง ๆ ของเมื
องดี
เท่
า ๆ กัน ช่
วยกระจายความเจริ
ญไปทัว䙐
ถึ
งกัน ทํ
าให้
ความหนาแน่

ของประชากรกระจายออกสมํ

าเสมอกัน

1 : Grid network
2 : Radial Network
3 : Ring network
4 : Linear network

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

้  28 : ข้
ข อที อใดไม่
ใช่
ลกั ษณะพึ
งประสงค์
ของทางประเภท Arterial

1 : อํ
านวยความสะดวกแก่ การจราจรผ่
าน (Through traffic)
2 : ความเร็
วออกแบบสู ง
3 : ให้
บริการทั䛰
งการจราจรผ่านและการจราจรสองข้ างทาง
4 : เน้
นความปลอดภัยเป็ นพิ
เศษ
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

เนื
อหาวิ
ชา : 551 : Principles of highway planning and traffic analysis

ข อที
้  29 : ระยะห่
างระหว่
างกัน ชนหน าของรถคั
้ น หน า ถึ
้ งกัน ชนหน าของรถคั
้ น หลัง เรี
ยกว่
าอะไร

1 : Headway
2 : Distance
3 : Density
4 : Section

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  30 : ในการสํ ้
ารวจเส นทางจะต องทํ
้ าการสํ
ารวจในขันตอนใดก่
อน

1 : Route Survey
2 : Preliminary Survey
3 : Reconnaissance Survey
4 : Location Survey

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  31 : แผนที ้
เส นทางที
ซึ ้
งแสดงทัง Plan และ Profile จะใชมาตราส่
วน ในแนวราบเท่
าใด

1 : 1 : 20
2 : 1 : 500
3 : 1 : 100
4 : 1 : 1000

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  32 : กฎกระทรวงที
ออกตาม พรบ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ผู
ขั้
บขี
ยวดยานจะตองมี
้ ค่าระดับแอลกอฮอล์
ในเลื
อดไวไม่
้เกิ
น เท่
าใด

1 : 25 มก. %
2 : 50 มก. %
3 : 75 มก. %
4 : 100 มก. %

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  33 : ระดับการใหบริ
้การ (Level of Service) ระดับใดที
การขับขี
ไม่
ส ะดวกเพราะปริ
มาณการจราจรเข าใกล
้ หรื้อถึ
งความจุ
  ความเร็
วลดลงเหลื
อประมาณ 48 กม./ชม. การไหลไม่
คงทีอาจผสมกับการหยุ ดเป็
นครังคราว

1 : LOS C
2 : LOS D
3 : LOS E
4 : LOS F

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 4/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้  34 : ความจุ
ข องทางหลวง เมื
ออยู
ใ่
นสภาพสมบู
รณ์
แบบ ควรตองมี
้ คุณสมบัตอ
ิย่
างไร

อย่
1 : มี างน อย 4 ช่
้ องจราจร ทีรถเคลื
อนทีในทิศทางเดียวกัน
กคัน ตองเคลื
2 : รถทุ ้ อนที ดวยความเร็
้ วสมํ
าเสมอ ดวยอั
้ ตราเร็ ว 60­80 กม./ชม.
3 : ความลาดชัน ถู
กตองตามมาตรฐาน ไม่
้ มทีางแยกหรื
อคนข ามถนนตั
้ ดผ่าน อัน จะก่
อใหเกิ
้ดการกี
ดขวางการจราจร
4 : ยานพาหนะมี รถยนต์
นั งเป็
นส่
วนใหญ่

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  35 : จงหาค่าระยะทางเพื
อที จะหยุดรถไดโดยปลอดภั
้ ย บนถนนทางราบ ขณะที รถแล่
น ที
ความเร็
ว 50 kph 
กํ
าหนดใหค่ ้า Perception­Reaction Time = 2.5 sec ถาสมมติ
้ ใหค่
้าสัมประสิ
ทธิ
ระหว่
︀︀ าง ยางรถ และผิวทาง = 0.6

1 : 25 m
2 : 50 m
3 : 100 m
4 : 150 m

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  36 : จงหาค่
า PHF จากข อมู
้ลการสํ
ารวจปริ
มาณการจราจรทุ
กช่
วงเวลา 15 นาที
 บนถนนสายหนึ
ง ระหว่
างเวลา 16:00 น ­ 18:00 น ดังต่
อไปนี

1 : 0.73
2 : 0.79
3 : 0.84
4 : 0.85

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  37 : สัญญาณไฟจราจรแบบ pretimed จังหวะไฟมี ทงหมด 4 เฟส ค่
ั า critical­lane volumes ของ 3 เฟสแรกมี ค่
าเท่
ากับ 240, 200 และ 210 คัน ตามลํ
าดับ 
ถาให
้ ค่
้า saturation flows ของทุ กเฟส มี
ค่
าเท่ากับ 1,800 vehicle per hour per lane ค่ า lost time ของทุ
กเฟส มี
ค่
าเท่
ากับ 4 วิ
น าที
 
จงหาค่า critical­lane volumes ในเฟสที 4 หากค่ า cycle length มี
ค่
าเท่
ากับ 87 วิ น าที
 

1 : 137.5 คัน
2 : 275 คัน
3 : 550 คัน
4 : 1100 คัน

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  38 : ข อใดคื
้ อลักษณะของป้
ายหยุ

นแผ่
1 : เป็ น กลมสีข าว ตัวอักษรสี
ดํ

นรู
2 : เป็ ปแปดเหลียมดานเท่
้ า ตัวอักษรสี
ข าวบนพื
นแดง
นรู
3 : เป็ ปสามเหลียมดานเท่
้ า ตัวอักษรสี
ดํ
าบนพืนขาว
นแผ่
4 : เป็ น สี
นํ
าเงิ
น  ตัวอักษรสีแดง

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  39 : ปริ
มาณจราจรเฉลี
ยต่
อวัน  คื
อข อใด

1 : Average Annual Daily Traffic
2 : Average Daily Traffic
3 : Vehicle Per Day
4 : Peak Hourly Volume

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  40 : การออกแบบสัญญาณไฟเหลื
อง จะออกแบบใหอยู
้ใ่
นช่
วงเวลาใดจึ
งจะเหมาะสม

น าที
1 : 1­2 วิ
น าที
2 : 2­3 วิ
น าที
3 : 1­3 วิ
น าที
4 : 3­5 วิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  41 : Feasibility study หมายถึ
งข อใด

กษาข อมู
1 : การศึ ้ลทางดานวิ
้ ศวกรรม
กษาหาความเหมาะสมก่
2 : การศึ อนลงทุ

กษาวิ
3 : การศึ เคราะห์
ทางดานเศรษฐกิ
้ จและสังคม
กษาปั ญหาทางดานการคมนาคมขนส่
4 : การศึ ้ ง

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 5/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  42 : ถาปริ
้ มาณการจราจรในทิ ศทางหนึ ง =1800 คัน /ชม.
เป็นรถบรรทุกและรถบัส  4% 
ถาหากรถบรรทุ
้ กและรถบัส  1 คัน เที
ยบเท่ารถยนต์นั ง 1.6 คัน  
จงคํานวณหา ปริมาณการจราจรในหน่ วยเทียบเท่ารถยนต์ นั ง

1 : 1545
2 : 1591.4
3 : 1675
4 : 1843.2

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  43 : ข อใดคื
้ อหลักสํ
าคัญในการวางแผนโครงข่
ายถนน

าแนกประเภทรถ
1 : การจํ
าแนกถนนเป็
2 : การจํ นลํ
าดับชัน
3 : การออกแบบสัญญาณไฟจราจร
4 : การออกแบบทางแยกทางร่ วม

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  44 : จากการสํ ารวจปริ มาณจราจรทางแยกแห่ งหนึ
งในเวลา 1 ชัวโมง ไดจํ
้านวนรถยนต์
นั ง 30 คัน
รถบรรทุกใหญ่  5 คัน  รถมอเตอร์ ไซค์
 50 คัน  และรถประจํ
าทาง 4 คัน  จงหาค่
า PCU เมื
อกํ
าหนดใหค่ ้า PCU ของรถยนต์
นั ง =1 
PCU ของรถบรรทุ กใหญ่  = 1.75
PCU ของรถมอเตอร์ ไซค์  = 0.33
PCU ของรถประจํ าทาง = 2

1 : 39 PCU
2 : 57.15 PCU
3 : 63.25 PCU
4 : 72 PCU

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  45 : ระยะเวลาของสัญญาณไฟจราจรใน 1 รอบเรี
ยกว่
าอะไร

1 : Cycle Length
2 : Signal Phasing
3 : Headway
4 : Critical Lane Volume

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  46 : วัฏจักรของงานทาง งานใดควรทํ
าเป็
นลํ
าดับแรก

ารุ
1 : งานบํ งรักษา
ารวจ
2 : งานสํ
3 : งานวางแผน
อสรางและบู
4 : งานก่ ้ รณะ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้   47  :  ความเร็
วออกแบบปลอดภัยสู
งที
สุ
ด  เมื
อผู
ขั้
บขี ้
ใชความเร็
วเกิ
น กว่
านี
จะไม่
ปลอดภัยและความเร็
วนี ้
จะใชในการกํ
าหนดความเร็
วสู
งสุ
ดบนถนน  ความเร็ ยมใช ้
วออกแบบนิ
ความเร็วที าใด
 Percentile เท่

1 : 15
2 : 50
3 : 85
4 : 100

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  48 : จงคํ
านวณหา Peak Hour Factor จากข อมู
้ลปริ
มาณการจราจรดังนี

1 : 0.28
2 : 0.83
3 : 40.00
4 : 133.33

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 6/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้  49 : ปริ
มาณการจราจรเท่
ากับ 3500 คัน ต่
อชัวโมง เลื
อกสรางทางด่
้ วนมี
ความจุ
ประมาณ 2000 คัน ต่
อชัวโมงต่
อช่
องทางวิ
ง จะตองออกแบบให
้ ค่

า v/c เท่
ากับ 0.35 จะตองสร
้ าง ้
ถนนใหมี้
จํานวนช่องทางวิ
งเท่
าไร

องทาง
1 : 2 ช่
องทาง
2 : 3 ช่
องทาง
3 : 4 ช่
องทาง
4 : 5 ช่

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  50 : ในการกํ
าหนดค่
าปริ
มาณการจราจรในการออกแบบถนน AASHTO กํ
าหนดให ในช่
้ วงเวลา 1 ปี ปริ
 จะมี มาณการจราจรในถนนมากกว่
าความจุ
ข องถนนจํ
านวนกี
ชัวโมง

1 : 29 ชัวโมง 
2 : 30 ชัวโมง 
3 : 32 ชัวโมง 
4 : 35 ชัวโมง 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  51 : จงคํ
านวณหาระยะหยุ
ดรถโดยปลอดภัยสํ าหรับถนน 2 ช่
องจราจร ความเร็
ว 60 กม./ชม. ขับรถลงเนิ
น มี
ความลาดชัน  6% กํ
าหนดใหสั้
มประสิ
ทธิ
ความเสี
︀︀ ยดทาน (f) = 0.4
และผูขั้
บขี
เหยี
ยบหามล
้ อหลั
้ งจากเห็น วัตถุ
ข วางอยู

่างหน
้ า 3 วิ
้ น าที

1 : 86.74 เมตร
2 : 92.39 เมตร
3 : 96.74 เมตร
4 : 102.65 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  52 : ที
จุ
ดหนึ
งของถนนมี ากับ 88 กม./ชม. และมี
 free flow speed เท่ ากับ 250 คัน /กม. ถาสมมติ
 jam density เท่ ้ ใหความสั
้ มพัน ธ์
ระหว่
าง speed และ density เป็ ้
นเส นตรงจง
หา maximum flow

1 : 125 คัน /กม.
2 : 120 คัน /กม.
3 : 84 คัน /กม.
4 : 160 คัน /กม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  53 : ที
ช่
วงหนึ
งของถนนมี ากับ 88 กม./ชม. และมี
  free flow speed เท่ ากับ 250 คัน /กม. ถาสมมติ
  jam density เท่ ้ ใหความสั
้ มพัน ธ์
ระหว่
าง speed และ density เป็ ้
นเส นตรง
จงหา maximum flow rate

1 : 11000 คัน /กม.
2 : 22000 คัน /กม.
3 : 5000 คัน /กม.
4 : 5500 คัน /กม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  54 : ที
จุดหนึ
งของถนนมี ากับ 88 กม./ชม. และมี
 free flow speed เท่ ากับ 250 คัน /กม. ถาสมมติ
 jam density เท่ ้ ใหความสั
้ มพัน ธ์
ระหว่
าง speed และ density เป็ ้
นเส นตรงจง
หาความเร็ วที
 maximum flow

1 : 29 กม./ชม.
2 : 34 กม./ชม.
3 : 44 กม./ชม.
4 : 50 กม./ชม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  55 : ถนนสายหนึ งมี
  average hourly volume เท่ากับ 360 คัน /ชม. สมมติ
วา่
การมาถึ
งของรถ (arrival of  vehicles)  เป็
นแบบ  Poisson  distribution  จงหา  ความเป็
นไปได ้
จะมี
(Probability) ที รถมาถึง 4 คัน  ในเวลา 20 วิ
น าที
 

1 : 0.22
2 : 0.15
3 : 0.09
4 : 0.03

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 7/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้   56  :  ถนนสายหนึงมี
  average hourly volume เท่ากับ  360  คัน /ชม.  สมมติ
วา่
การมาถึ
งของรถ  (arrival  of  vehicles)  เป็
นแบบ  Poisson  distribution  จงหาความเป็
นไปได ้
(Probability) ทีจะมี
รถมาถึง 5 คัน หรื
อมากกว่
าในเวลา 20 วิ
น าที

1 : 0.053
2 : 0.071
3 : 0.130
4 : 0.334

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  57 : กระแสจราจรในช่
องจราจรหนึ
งบนถนนช่
วงหนึ
งมี ย = 20 เมตร/คัน  มี
 spacing เฉลี ความเร็
วเฉลี
ย = 20 กิ
โลเมตรต่
อชัวโมง จงหาปริ
มาณการจราจร (คัน ต่
อชัวโมง)

1 : 400
2 : 1,000
3 : 1,500
4 : 2,000

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  58 : จงหาค่
าปริ
มาณจราจรเฉลี
ย (คัน /ชัวโมง) เมื
อค่
า headway เฉลี
ย = 5 วิ
น าที
/คัน

1 : 0.2
2 : 160
3 : 720
4 : 800

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  59 : เมื
อปริมาณจราจร = 400 คัน /ชัวโมง
อัตราเร็
วเฉลียของกระแสจราจร = 25 กิ โลเมตร/ชัวโมง
จงหาค่ า density เฉลี
ยมี
ค่
ากี
คัน ต่
อชัวโมง

1 : 8
2 : 16
3 : 32
4 : 64

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  60 : จงหาค่
า time­mean speed ในหน่
วย กิ
โลเมตร/ชัวโมง เมื

1 : 22.4
2 : 44.5
3 : 77.4
4 : 80.5

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  61 : จงหาค่
า space­mean speed ในหน่
วย กิ
โลเมตร/ชัวโมง เมื

1 : 21.5

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 8/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
2 : 65.6
3 : 77.4
4 : 80.5

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  62 : จาการสํ
ารวจปริ
มาณจราจร ไดข้อมู
้ลดังแสดงในตารางข างล่
้ างนี า Peak Hour Factor (PHF)
 จงหาค่

1 : 0.85
2 : 0.94
3 : 1.06
4 : 1.21

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  63 : จากรู

1 : 73.5
2 :  75
3 : 80
4 : 50

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  64 : จากกราฟความสัมพัน ธ์
ระหว่
าง q ­ k ใหหา อั
้ ตราเร็
วเฉลี
ย เมื
อ density = 20 คัน /กิ
โลเมตร

1 : 30 กม./ชม.
2 : 45 กม./ชม.
3 : 60 กม./ชม.
4 : 90 กม./ชม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  65 : จํ
านวนช่
องห่
าง (gap) ที
รถจากทางเชื
อม (ramp) สามารถแทรกเข าไปได
้ ้ ากับกี
 เท่ ช่
อง

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 9/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 133
2 : 263
3 : 316
4 : 456

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  66 : จากกราฟความสัมพัน ธ์
ระหว่
าง q ­ k ใหหา อั
้ ตราเร็
วเฉลี
ย (กม./ชม.) ที
สภาพ ความจุ
 (capacity)

1 : 0
2 : 25
3 : 30
4 : 50

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  67 : ในช่
องจราจรช่
องหนึ
ง ๆ rate of flow มี
ค่
ามากที
สุ
ด เมื

1 : density น อย และอั
้ ตราเร็
วมาก
2 : density ปานกลาง และอัตราเร็ วปานกลาง
3 : density มาก และอัตราเร็
วน อย

4 : density น อย และอั
้ ตราเร็
วมาก หรือ density มาก และอัตราเร็
วน อย

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  68 : ข อใด ไม่
้ ใช่
 วัตถุ
ประสงค์
ข องการสํ
ารวจปริ
มาณการจราจร

อดู
1 : เพื ความสําคัญของถนนแต่ ละสาย
อดู
2 : เพื ความเปลียนแปลงตามเวลาของการไหล
อดู
3 : เพื ปริ
มาณที แตกต่างกัน ในแต่ละช่
วง
อดู
4 : เพื เวลาการรับรู
ของผู
้ ขั้ บขี ยานพาหนะ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  69 : Highway Capacity Manual ไดแยกระดั
้ บการใหบริ
้การ (Level of Service, LOS) บนทางด่
วนออกเป็
นกี
ระดับ

1 : 4 ระดับ
2 : 5 ระดับ
3 : 6 ระดับ
4 : 7 ระดับ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  70 : วัตถุ
ประสงค์
หลักของ Four­step Model คื
ออะไร

1 : คาดประมาณรายไดเฉลี
้ ยของประชากร
2 : คาดประมาณความตองการด
้ านขนส่
้ ง
านายความหนาแน่
3 : ทํ น ของประชากร
านายความตองการการใช
4 : ทํ ้ ้นที
พื

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  71 : พื
นที
ขนาดเล็
ก ที ้
ใชในการศึ
กษา Four­step Model เรี
ยกว่
าอะไร

1 : District
2 : Element
3 : Zone
4 : Area

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 10/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้  72 : ขันตอนใดใน Four­step Model ที
ทํ
าใหทราบถึ
้ งจํ
านวนการเดิ
น ทางที
เข าออกแต่
้ ละพื
นที
ย่
อย

1 : Trip Assignment
2 : Trip Distribution
3 : Trip Generation
4 : Modal Split

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  73 : ขันตอนใดใน Four­step Model ที
ทํ
าใหทราบถึ
้ ้
งเส นทางที
ผู
เดิ อกใช ้
้น ทางจะเลื

1 : Trip Assignment
2 : Trip Distribution
3 : Trip Generation
4 : Modal Split

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  74 : การสํ
ารวจใดที ใช่
 ไม่  วิ
ธก
ีารสํ
ารวจจุ
ดเริ
มตนและจุ
้ ดสุ
ดทายของการเดิ
้ น ทาง (O­D Survey)

1 : การจดหมายเลขทะเบี ยนรถ (License Plate)
2 : การติ ดเครื
องหมาย (Tag) ทีตัวรถ
3 : การนั บรถทีข างทาง (Volume Count)

4 : การสัมภาษณ์ ทบ
ีาน (Home Interview)

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  75 : ข อใดที
้  ไม่ใช่
 สภาพการจราจรแบบ Ideal ตามเงื
อนไขของ Highway Capacity Manual

1 : สภาพภูมป
ิระเทศเป็ นทีราบ
แต่
2 : มี รถยนต์นั งส่
วนตัวเท่
านั น
3 : ความกวางของช่
้ องทางตองไม่
้ น อยกว่
้ า 10 ฟุต
งกี
4 : สิ ดขวางจะตองห่
้ างจากขอบทางไม่น อยกว่
้ า 6 ฟุ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  76 : ในถนนสายหนึ
งสมมุตวิ
า่ ยานพาหนะ 3 ชนิ
 มี ด ไดแก่
้ รถจักรยานยนต์ จํ
านวน 30 % ความเร็
วเฉลี
ย 70 กม. /ชม. รถยนต์
 จํ
านวน 60 % ความเร็
วเฉลี
ย 80 กม./ชม. และรถ
บรรทุกจํ
านวน 10 % ความเร็
วเฉลีย 50 กม./ชม. จงหาความเร็
วจุ
ด (Spot Speed) เฉลี
ยของการยวดยานทุกชนิด

1 : 24.7 กม./ชม.
2 : 66.7 กม./ชม.
3 : 70.0 กม./ชม.
4 : 74.0 กม./ชม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  77 : จากข อมู
้ลปริ มาณการจราจรในช่ วงเวลาหนึ
ง พบว่
า Hourly Volume , HV มี
ค่
าเท่
ากับ 3,200 คัน ต่
อชัวโมง Peak Hour Factor , PHF มี
ค่
าเท่
ากับ 0.80 อยากทราบว่

ในขณะนั นมีค่
า Service Flow , SF เท่
าใด

1 : 4,000 คัน /ชม.
2 : 3,200 คัน /ชม.
3 : 2,560 คัน /ชม.
4 : 640 คัน /ชม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  78 : ถนนสายหนึงมี
 average hourly volume เท่ ากับ 360 คัน /ชม. 
สมมติวา่
การมาถึงของรถ (arrival of vehicles) เป็นแบบ Poisson distribution 
จงหาความเป็ นไปได (Probability) ที
้ จะมี
รถมาถึ ง 3 คัน หรื
อมากกว่า ในเวลา 20 วิ
น าที
 

1 : 0.135
2 : 0.865
3 : 0.594
4 : 0.323

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  79 : จงหาค่
า density เฉลี
ย เมื
อกระแสจราจรในช่
องจราจรหนึ
ง บนถนนช่
วงหนึ
งมี ย = 20 เมตร/คัน
 headway เฉลี

1 : 0.5
2 : 5
3 : 50

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 11/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
4 : 180

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  80 : ที
จุ
ดหนึ
งของถนนมี ากับ 88 กม./ชม. และมี
  free flow speed เท่ ากับ 250 คัน /กม. ถาสมมติ
  jam density เท่ ้ ใหความสั
้ มพัน ธ์
ระหว่
าง speed และ density เป็ ้
นเส นตรง
จงหา maximum flow rate

1 : 11000 คัน /กม.
2 : 7330 คัน /กม.
3 : 6500 คัน /กม.
4 : 5500 คัน /กม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  81 : ที
จุ
ดหนึ งของถนนมี ากับ 88 กม./ชม. และมี
  free flow speed เท่ ากับ 250 คัน /กม. ถาสมมติ
  jam density เท่ ้ ใหความสั
้ มพัน ธ์
ระหว่
าง speed และ density เป็ ้
นเส นตรง
จงหาค่า density ที
 maximum flow

1 : 84 คัน /กม.
2 : 120 คัน /กม.
3 : 125 คัน /กม.
4 : 160 คัน /กม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  82 : สัญญาณไฟจราจรแบบ pretimed จังหวะไฟมี ทงหมด 4 เฟส 

ค่า critical­lane volumes ของ 3 เฟสแรกมี ค่
าเท่
ากับ 240, 200 และ 210 คัน ตามลํ
าดับ
ถาให
้ ค่้ า
saturation flows ของทุ กเฟส มีค่าเท่ากับ 1,800 vphpl
ค่า lost time ของทุ กเฟส มี
ค่
าเท่ากับ 4 วิน าที
 
จงหาค่ า

1 : 137.5 คัน
2 : 275 คัน
3 : 550 คัน
4 : 1100 คัน

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  83 : ถนนชานเมื องสายหนึ งออกแบบเพื
อรองรับ AADT = 11,500 คัน ต่
อวัน
ความเร็วออกแบบ 80 กม./ชม. ผู ใช ้
้ถนนเป็นกลุ
่ ้ น กลับ
มคนงานไปเชาเย็
ค่า PHF(Peak Hour Factor) = 0.89 
ค่า D(Directional Factor) = 65% 
ค่า K = 12%
จงคํานวณหา DDHV ( Directional Design Hourly Volume)

1 : 650 คัน /ชม.
2 : 700 คัน /ชม.
3 : 800 คัน /ชม.
4 : 897 คัน /ชม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  84 : วัตถุ
ประสงค์
ข อง Four Step Model คื
ออะไร

1 : การคาดคะเนรายไดประชากร

2 : การคาดคะเนความตองการด
้ านขนส่
้ ง
านายถึ
3 : การทํ งความหนาแน่ ้นที
น ของการใชพื
านายถึ
4 : การทํ งความตองการใช
้ ้ งงาน
พลั

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  85 : ข อใดแสดงถึ
้ งลํ
าดับการวิ
เคราะห์
 Four Step Model ไดถู
้กตอง

1 : Trip Generation, Trip Distribution, Trip Assignment, Modal Split
2 : Trip Generation, Modal Split, Trip Assignment, Trip Distribution
3 : Trip Generation, Trip Distribution, Modal Split, Trip Assignment
4 : Trip Generation, Trip Assignment, Modal Split, Trip Distribution

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  86 : ขันตอนใดใน Four Step Model ที
ทํ
าใหทราบว่
้ าจํ
านวน Trip ที ้่
เข าสู
แต่
ละโซนและมี
จํ
านวนเท่
าใด

1 : Trip Assignment
2 : Modal Split
3 : Trip Distribution

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 12/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
4 : Trip Generation

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  87 : ขันตอนใดใน Four Step Model ที
พิ
จารณาว่
า Trip กํ
าเนิ ่
ดจากโซนใด ๆ และจะไปสู
โซนไหนบางจํ
้ านวนเท่
าใด

1 : Modal Split
2 : Trip Assignment
3 : Trip Distribution
4 : Trip Generation

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  88 : ขันตอนใดใน Four Step Model ที
คาดคะเนความตองการแยกตามรู
้ ปแบบการเดิ
น ทาง

1 : Trip Generation
2 : Modal Split
3 : Trip Assignment
4 : Trip Distribution

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  89 : ขันตอนใดใน Four Step Model ที
พิ
จารณาว่
า Trip เหล่ ้นทางใดในการเดิ
านั นจะใชเส ้ น ทาง

1 : Trip Assignment
2 : Modal Split
3 : Trip Generation
4 : Trip Distribution

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  90 : ในการสํ
ารวจพบว่
ายวดยานจํ
านวน 5 คัน  มี
ความเร็
วเฉลี
ยตลอดระยะทาง 5 กิ
โลเมตร เท่
ากับ 25, 30, 40, 50 และ 60 กิ
โลเมตรต่
อชัวโมง (kph) จงหาความเร็
วเชิ
งช่
วง
(Space Mean Speed)

1 : 35 kph
2 : 37 kph
3 : 40 kph
4 : 41 kph

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  91 : ความเร็
วเฉลี
ยของคนเดิ
น ข ามถนน (Average Pedestrian Walking Speed ; PWS) ที
้ ้
ใชในการออกแบบสั ญญาณไฟสํ
าหรับคนเดิ
น ข ามถนน มี
้ ค่
าประมาณเท่
าไร

1 : 0.8 m/s
2 : 1.2 m/s
3 : 1.6 m/s
4 : 2.0 m/s

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  92 : จงหาค่
า DHV (Design Hourly Volume) ต่
อช่
องทางของรถบรรทุกในทางหลวงขนาด 4 ช่
องทาง ที
สํ
ารวจไดค่
้าปริ
มาณจราจร AADT = 40,000 vpd แยกเป็
นรถบรรทุ

า K = DHV/AADT = 0.12 และมี
10% Directional Value = 60% ค่ รถบรรทุ
กวิ
งอยู
ใ่
นช่
องทางที
ออกแบบ 90%

1 : 480 คัน /วัน /ช่


องทาง
2 : 288 คัน /วัน /ช่
องทาง
3 : 259 คัน /วัน /ช่
องทาง
4 : 240 คัน /วัน /ช่
องทาง

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  93 : ปริ
มาณการจราจรเฉลี
ยรายวัน ที
ไดจากการสํ
้ ารวจตลอดระยะเวลา 1 ปี อค่
 คื าในข อใด

1 : Average Daily Traffic (ADT)
2 : Average Annual Daily Traffic (AADT)
3 : Hourly Volume (HV)
4 : Design Hourly Volume (DHV)

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  94 : โครงข่
ายถนนประเภทใด ที
เหมาะสํ
าหรับการจัดระบบเดิ
น รถทางเดี
ยว (Oneway)

1 : Grid Network
2 : Radial Network
3 : Ring Network
4 : Linear Network

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  95 : Traffic Data in Year 1993 ADT = 1987 vpd 

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 13/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
Finish Design in Year 1995 
Start Construction in Year 1996 
Finish Construction and Start Operation in 1998 
จงหา ADT in Year 1998 เมื อ Traffic Growth Rate = 6%

1 : 2233 vpd
2 : 2367 vpd
3 : 2509 vpd
4 : 2659 vpd

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

้  96 : ใน Four-Step Model,  วัตถุ
ข อที ประสงค์
หลักของการใช้
 Trip Generation Model เพื

อการวางแผนทางหลวง คื
อ ข้
อใด

านวนยานพาหนะ m จากพื
1 : คาดคะเนจํ นทีย่
อย i. ไปยังพื นทีย่ อย j. ที ้นทาง r.
จะใชเส ้
านวนการเดิ
2 : คาดคะเนจํ น ทางจากพื นที
ย่อย i. ไปยังพื
นที ย่
อย j. โดยยานพาหนะ mpan   � g T  �u6 ��2 >
านวนการเดิ
3 : คาดคะเนจํ น ทางจากพื นที
ย่อย i. ไปสู่
พนที
ื  j.
านวนการเดิ
4 : คาดคะเนจํ น ทางเข าออกพื
้ นทีย่อย i.nbsp;  � a   ��3 Hy8 .

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

้  97 : ใน Four-Step Model,  วัตถุ
ข อที ประสงค์
หลักของการใช้
 Trip Distribution Model เพื

อการวางแผนทางหลวง คื
อ ข้
อใด

1 : คาดคะเนจํ
านวนการเดิ
นทางจากพื䛰 ยอ่
นที
䙐 ย i. ไปสู ่
พ䛰

นที 䙐
 j.
2 : คาดคะเนจํ
านวนการเดิ
นทางเข้
าออกพื
นที
䛰 ยอ่
䙐 ย i.
3 : คาดคะเนจํ
านวนยานพาหนะ m จากพืนที
䛰 䙐ยอ่ย i. ไปยังพืนที
䛰 ยอ่
䙐 ย j. ที

จะใช้
เส้
นทาง r.
4 : คาดคะเนจํ
านวนการเดิ
นทางจากพื䛰 ยอ่
นที
䙐 ย i. ไปยังพืนที
䛰 ยอ่
䙐 ย j. โดยยานพาหนะ m
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

้  98 : ใน Four-Step Model,  วัตถุ
ข อที ประสงค์
หลักของการใช้
 Modal Split Model เพื

อการวางแผนทางหลวง คื
อ ข้
อใด

1 : คาดคะเนจํ
านวนการเดิ
นทางจากพื䛰 ยอ่
นที
䙐 ย i. ไปสู ่
พ䛰

นที

 j.
2 : คาดคะเนจํ
านวนการเดิ
นทางเข้
าออกพื ยอ่
นที
䛰 䙐 ย i.
3 : คาดคะเนจํ
านวนการเดิ
นทางด้วยยานพาหนะ m จากพื นที
䛰 ยอ่
䙐 ย i. ไปยังพื ยอ่
นที
䛰 䙐 ย j
4 : คาดคะเนจํ
านวนการเดิ
นทางจากพื䛰 ยอ่
นที
䙐 ย i. ไปยังพื
นที
䛰 ยอ่
䙐 ย j. โดยยานพาหนะ m
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

้  99 : ใน Four-Step Model,  วัตถุ
ข อที ประสงค์
หลักของการใช้
 Trip Assignment Model เพื

อการวางแผนทางหลวง คื
อ ข้
อใด

1 : คาดคะเนจํ
านวนการเดิ
นทางจากพื䛰 ยอ่
นที
䙐 ย i. ไปสู ่
พ䛰

นที 䙐
 j.
2 : คาดคะเนจํ
านวนยานพาหนะ m จากพืนที
䛰 䙐ยอ่ย i. ไปยังพืนที
䛰 ยอ่
䙐 ย j. ที

จะใช้
เส้
นทาง r.
3 : คาดคะเนจํ
านวนการเดิ
นทางเข้
าออกพื
นที
䛰 ยอ่
䙐 ย i.
4 : คาดคะเนจํ
านวนการเดิ
นทางจากพื䛰 ยอ่
นที
䙐 ย i. ไปยังพืนที
䛰 ยอ่
䙐 ย j. โดยยานพาหนะ m
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

้  100 :  จากขั䛰
ข อที นตอนการวางแผน ทํ
าให้
ทราบว่
าปริ
มาณจราจรบนถนนสายหนึ

งในปี
ออกแบบจะเท่
ากับ 40,000 คันต่
อวัน และร้
อยละ 20 เป็
นรถบรรทุ
ก  ถ้
าสมมติ
ให้
  Passenger
Equivalent Factor ของรถบรรทุ
ก = 3. Directional Distribution Value = 60%, K Value = DHV/ AADT = 0.12   ค่
าปริ
มาณจราจรรายชัว䙐
โมงที

ใช้
ออกแบบ (DHV) ในด้
านจราจร
มากกว่าจะเท่ากับข้อใด

1 : 3333 คันรถนัง䙐
ส่
วนบุ
คคลต่
อชัว䙐
โมง
2 : 4032 คันรถนัง䙐
ส่
วนบุ
คคลต่
อชัว䙐
โมง
3 : 4667 คันรถนัง䙐
ส่
วนบุ
คคลต่
อชัว䙐
โมง
4 : 6270 คันรถนัง䙐
ส่
วนบุ
คคลต่
อชัว䙐
โมง
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  101 :
จากการวัดความเร็
วรถนัง䙐
ส่
วนบุ
คคล จํ
านวน 87 คัน บนทางสายหนึ

ง ได้
ขอ้
มู
ลดังแสดงในตารางข้
างล่
างนี
   ความเร็
䛰  85th เปอร์
วรถที
䙐 เซนต์
ไทล์
 เท่
ากับ ข้
อใด

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 14/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 79 กม./ชม.
2 : 90 กม./ชม.
3 : 101 กม./ชม.
4 : 105 กม./ชม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

้  102 : ข้
ข อที อใดที

ไม่
ใช่
ผลประโยชน์
ทางตรงที

ได้
รับจากการปรับปรุ
งก่
อสร้
างทางที

มี เ่
อยูดิ

1 : ลดค่ จ่
าใช้ ายในการใช้รถ
2 : ลดระยะเวลาในการเดินทาง
3 : มู
ลค่
าของที 䙐
ดินสู
งขึ


4 : ลดค่
าบํ
ารุงรักษาถนน
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

้  103 : หากความสัมพันธ์
ข อที ระหว่
างความหนาแน่
นของการจราจร (Density) และความเร็
วของการจราจร (Speed) มี
ลกั ษณะเป็
นเส้
นตรง ข้
อใดไม่
ถกู
ต้
อง

1 : เมื

อความหนาแน่นของการจราจรสูงขึ
น ความเร็
䛰 วของการจราจรจะลดลง
2 : เมื

อความเร็
วของการจราจรเพิ
มขึ
䙐 น ปริ
䛰 มาณการจราจร (Volume) จะเพิ
มขึ
䙐 นตาม

3 : เมื

อความหนาแน่นของการจราจรมีค่
าตํ

าสุ
ด ปริมาณการจราจรจะมีค่
าตํ

าสุ
ดเช่
นเดี
ยวกัน
4 : เมื

อความหนาแน่นของการจราจรมีค่
าสู
งสุ
ด ปริมาณการจราจรจะมีค่
าตํ

าสุ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

้  104 : Gravity Model เป็
ข อที นเทคนิ
คที

ใช้
ในการวิ
เคราะห์
ในขั䛰
นตอนใดของ Four Step Model

1 : Trip Generation
2 : Modal Split
3 : Trip Assignment
4 : Trip Distribution

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

้  105 : All-or-Nothing  เป็
ข อที นเทคนิ
คที

ใช้
ในการวิ
เคราะห์
ในขั䛰
นตอนใดของ Four Step Model

1 : Trip Generation
2 : Modal Split
3 : Trip Assignment
4 : Trip Distribution

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้   106  :  หากเราสนใจใช้
มาตรการจํ
ากัดรถเข้
าออกพื
นที
䛰 䙐
ในเขตเมื
องชั䛰
นใน  วิ
ธี
การสํ
ารวจใดเป็
นวิ
ธี
การที

เหมาะสมที

สุ
ดในการรวบรวมข้
อมู
ลประกอบการพิ
จารณาการใช้
มาตรการดังกล่
าว

1 : Turning Movement Count
2 : Cordon Count
3 : Mid-Block Count
4 : Classification Count

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

้  107 : วิ
ข อที ธี
การสํ
ารวจใดที

เหมาะสํ
าหรับใช้
ในการรวบรวมข้
อมู
ลประกอบการวิ
เคราะห์
 Trip Distribution

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 15/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : Origin-Destination Survey
2 : Mid-Block Count
3 : Floating Car Technique
4 : Classification Count

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

้  108 : ถ้
ข อที าเราอยากทราบปริ
มาณการจราจรที

วงิ
ข้
䙐ามแม่
น䛰
าํ
เจ้
าพระยาในเขต กทม. และปริ
มณฑล เราควรดํ
าเนิ
นการสํ
ารวจด้
วยวิ
ธี
ใด

1 : Intersection Count
2 : Screen Line Count
3 : Classification Count
4 : Roadside Count

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

้  109 : วิ
ข อที ธี
การสํ
ารวจใดเป็
นวิ
ธี
ที

เหมาะสมที

สุ
ดสํ
าหรับรวบรวมข้
อมู
ลเพื

อการออกแบบสัญญาณไฟทางแยก

1 : Signal Count
2 : Roadside Count
3 : Turning Movement Count
4 : Mid-Block Count

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

้  110 : ข้
ข อที อใดไม่
ใช่
ปัจจัยหลักที

จะมี
ผลต่
อการตัดสิ
นใจเลื
อกรู
ปแบบการเดิ
นทาง (Mode) ของคนเดิ
นทาง

1 : วัตถุ
ประสงค์
ของการเดินทาง
2 : ระดับบริ
การที䙐
ได้
รับจากแต่
ละรู
ปแบบการเดิ
นทาง
3 : ลักษณะของผูเ้
ดิ
นทาง
4 : ความถี䙐
ในการเดิ
นทาง
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

้  111 :  ปั จจุ
ข อที บนั การจราจรมี
ปริ
มาณ 1,000 คันต่
อชัว䙐 วา่
โมง สมมติ ปริ
มาณการจราจรเพิ
มขึ
䙐 นด้
䛰 วยอัตราร้
อยละ 5 เท่
ากันทุ
กปี
 ต้
องใช้
เวลาอย่
างน้ 䙐
อยกี
ปี
 ปริ
มาณการจราจรจึ
งจะเพิ


ขึ
นเป็
䛰 น  2 เท่
าของปี
ปั จจุ
บนั

1 : 15 ปี
2 : 18 ปี
3 : 20 ปี
4 : 24 ปี

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที ประเภทสัญญาณไฟที
้   112  :  䙐
เหมาะสํ
าหรับติ
ดตั䛰
งบนทางแยกบนทางหลวงในพื
นที
䛰 䙐
ชนบทในต่
างจังหวัดที

มี
ปริ
มาณการจราจรบนทางโทมี
ปริ
มาณตํ

ามาก  เมื

อเที
ยบกับปริ
มาณ
ยวดยานบนทางเอก

1 : Coordinated Signal
2 : Fully Actuated Signal
3 : Semi-Actuated Signal
4 : Pretimed Signal

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  113 :
ถนน 4 ช่
องจราจรตัดกับถนน 2 ช่
องจราจร ณ ทางแยกแห่
งหนึ

ง ซึ

งแบ่
งรอบสัญญาณไฟออกเป็
น 4 จังหวะ (Phase) ผลการสํ
ารวจและวิ
เคราะห์
ขอ้
มู
ลการจราจรได้
ขอ้
มู
ลการจราจร
สํ
าหรับแต่
ละจังหวะ ดังนี

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 16/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

น าที
1 : 81 วิ
น าที
2 : 107 วิ
น าที
3 : 129 วิ
น าที
4 : 146 วิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  114 :
ถนน 4 ช่
องจราจรตัดกับถนน 2 ช่
องจราจร ณ ทางแยกแห่
งหนึ

ง ซึ

งแบ่
งรอบสัญญาณไฟออกเป็
น 4 จังหวะ (Phase) ผลการสํ
ารวจและวิ
เคราะห์
ขอ้
มู
ลการจราจรได้
ขอ้
มู
ลการจราจร
สํ
าหรับแต่
ละจังหวะ ดังนี

น าที
1 : 16 วิ
น าที
2 : 23 วิ
น าที
3 : 31 วิ
น าที
4 : 43 วิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  115 :
ถนน 4 ช่องจราจรสองสายตัดกัน  ณ  ทางแยกแห่
งหนึ

ง  ซึ

งแบ่
งรอบสัญญาณไฟออกเป็
น  4  จังหวะ  (Phase)  ผลการสํ
ารวจและวิ
เคราะห์
ขอ้
มู
ลการจราจรได้
ขอ้
มู
ลการจราจรสํ
าหรับ
แต่
ละจังหวะ ดังนี

น าที
1 : 81 วิ
น าที
2 : 107 วิ
น าที
3 : 129 วิ
น าที
4 : 146 วิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  116 :
ถนน 4 ช่องจราจรสองสายตัดกัน  ณ  ทางแยกแห่
งหนึ

ง  ซึ

งแบ่
งรอบสัญญาณไฟออกเป็
น  4  จังหวะ  (Phase)  ผลการสํ
ารวจและวิ
เคราะห์
ขอ้
มู
ลการจราจรได้
ขอ้
มู
ลการจราจรสํ
าหรับ
แต่
ละจังหวะ ดังนี

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 17/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

น าที
1 : 16 วิ
น าที
2 : 23 วิ
น าที
3 : 31 วิ
น าที
4 : 43 วิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

้  117 : วิ
ข อที ธี
การใดที

เหมาะที

สุ
ดสํ
าหรับใช้
สาํ
รวจข้
อมู
ลที

ใช้
ในการวิ
เคราะห์
 Modal Split

1 : Household Interview Survey
2 : Traffic Count Survey
3 : Physical Inventory Survey
4 : Bus Passenger Survey

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  118 :
จากโครงข่ายถนนตามรู
ปซึ
䙐งตัวเลขในวงกลมแสดงหมายเลข Node ส่ วนตัวเลขที

แสดงติ ดกับ Link เป็นระยะเวลาในการเดิ
นทางบนแต่ละช่
วงถนน และจากตารางการเดิ
นทาง (Trip
Table) ที

แสดงปริ
มาณการเดิ
นทางระหว่ าง Node ต่
างๆ ในโครงข่
าย จงใช้
เทคนิค All-or-nothing assignment คํ
านวณหาปริ
มาณการเดิ
นทางที䙐
คาดว่
าจะเกิ
ดขึ
นบนถนนช่
䛰 วง Node 2
ไปยัง Node 4

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 18/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 100
2 : 150
3 : 250
4 : 300

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  119 :
จากโครงข่
ายถนนตามรู ปซึ䙐งแสดงระยะเวลาในการเดิ
นทางบนแต่ละช่
วงถนน และจากตารางการเดิ
นทาง (Trip Table) ที

แสดงปริ
มาณการเดิ
นทางระหว่
าง Node ต่
างๆ ในโครงข่
าย
จงใช้
เทคนิ
ค All-or-nothing assignment คํ
านวณหาปริ
มาณการเดิ
นทางที

คาดว่
าจะเกิ
ดขึ
นบนถนนช่
䛰 วง Node C ไปยัง Node E

1 : 150
2 : 250
3 : 300
4 : 350

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  120 :
ถนน 4 ช่องจราจรสองสายตัดกัน  ณ  ทางแยกแห่
งหนึ

ง  ซึ

งแบ่
งรอบสัญญาณไฟออกเป็
น  4  จังหวะ  (Phase)  ผลการสํ
ารวจและวิ
เคราะห์
ขอ้
มู
ลการจราจรได้
ขอ้
มู
ลการจราจรสํ
าหรับ
แต่
ละจังหวะ ดังนี

1 : Effective Green Time ของจังหวะที

     มากกว่
าของจังหวะที

 4
2 : Effective Green Time ของจังหวะที

     มากกว่
าของจังหวะที

 1
http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 19/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
2 : Effective Green Time ของจังหวะที

     มากกว่
าของจังหวะที

 1
3 : Effective Green Time ของจังหวะที

     มากกว่
าของจังหวะที

 3
4 : Effective Green Time ของจังหวะที

 3   มากกว่
าของจังหวะที

 4
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

้  121 : จากความสัมพันธ์
ข อที ระหว่
างปริ
มาณการจราจร (Flow) ความเร็
วของการจราจร (Speed) และความหนาแน่
นของการจราจร (Density) ข้
อความใดถู
กต้
อง

1 : เมื

อความหนาแน่นของการจราจร (Density) เพิ
มขึ
䙐 น ความเร็
䛰 วของการจราจร (Speed) จะลดลง
2 : เมื

อความหนาแน่นของการจราจร (Density) เพิ
มขึ
䙐 น ปริ
䛰 มาณการจราจร (Flow) จะเพิ
มขึ
䙐 น

3 : เมื

อความเร็
วของการจราจร (Speed) เพิ
มขึ
䙐 น ปริ
䛰 มาณการจราจร (Flow) จะเพิ
มขึ
䙐 น

4 : ผิดทุ
กข้

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

้  122 : ข้
ข อที อใดสะท้
อนความจุ
ของทางหลวง 2 ช่
องจราจร (Two lane, two-way, highways) ได้
ดี
ที

สุ

1 : 500 pcu ต่
อชัว䙐
โมง
2 : 2,000 pcu ต่
อชัว䙐
โมง ต่
อช่
องทาง
3 : 2,000 pcu ต่
อชัว䙐
โมง
4 : 3,600 pcu ต่
อชัว䙐
โมง
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

้  123 : ข้
ข อที อใดสะท้
อนความจุ
ของทางด่
วนที

มี
อย่
างน้
อย 2 ช่
องจราจรต่
อทิ
ศทางได้
ดี
ที

สุ

1 : 500 pcu ต่อชัว䙐
โมงต่อช่
องทาง
2 : 750 pcu ต่อชัว䙐
โมงต่อช่
องทาง
3 : 1,000 pcu ต่อชัว䙐
โมงต่
อช่องทาง
4 : 1,800  pcu ต่
อชัว䙐
โมงต่อช่
องทาง
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

เนื
อหาวิ
ชา : 552 : Geometric design and operations

ข อที ้
้  124 : ทางประเภทใด ใชความเร็
วในการออกแบบน อยที
้ สุด

1 : Major Arteries
2 : Provincial Roads
3 : Access Roads
4 : Collector Roads

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้   125  :  อุ
ปกรณ์
ควบคุ
มการจราจรซึ
งประกอบดวยเส
้ น  ้รู
ป  หรื
อสี
บนถนน  ที
ขอบทางหรื
อบนวัตถุ
อนๆ 
ื ในทางจราจรหรื
อติ
ดกับทางจราจร  หรื
อคํ
าหรื
อสัญลักษณ์
ทเขี
ียนบนผิ
วทาง
เรี
ยกว่า

1 : Traffic markings
2 : Traffic signs
3 : Traffic signal
4 : Traffic lines

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  126 : ที
ขอบทางของถนนในเมื
อง บ่
อยครังจะมี
การทาสี
 เช่
น  เป็
นสี
ข าวแดง สี
ข าวเหลื
อง หรื
อสี
ข าวดํ
า เป็
นตน การทาสี
้ ข าวดํ
าหมายความว่

1 : ใหจอดได
้ ้
2 : หามจอด เว
้ นไว
้ แต่
้ เป็
นการจอดรับส่
งผู
โดยสารซึ
้ งตองกระทํ
้ าโดยมิั ชา้
ชก
นการบอกอุ
3 : เป็ ปสรรค
4 : หามจอด

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  127 : ในการตี ้
เส นบนพื
นถนนเพื
อควบคุ
มการจราจร ปั จจุ ้งเส นสี
บัน ใชทั ้ ข าว และเส นสี
้ เหลื
อง ต่
อไปนี
ข อใดถู
้ กตองที
้ สุ

เหลื
1 : สี ้
องใชตีเป็ ้ งระหว่
นเส นแบ่ างการจราจรสองทิ ้
ศทาง เส นขาวใช ้ งช่
แบ่ องทีการจราจรไปในทิ ศทางเดียวกัน
2 : สี องใชกั้
เหลื ้ น ย์
บเส นศู กลางทาง ส่
วนสี ้ งช่
ข าวใชแบ่ องจราจรกับไหล่ทาง

3 : ใชสี
เหลื
องหรือขาวก็ได ไม่
้ แตกต่
างกัน
4 : สี องใชกั้
เหลื บพืนทีขัดแยงสู
้ง ตองเตื
้ อนใหระมั้ ดระวังเป็
นพิเศษ เช่
น พื
นทีทางร่
วมทางแยก สีข าวใชกั้
บพืนทีทัวไป

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  128 : ข อความในข
้ อใดถู
้ กตองที
้ สุ

ายหยุ
1 : ป้ ดใหติ
้ด ณ จุ
ดที
ใหรถหยุ
้ ดทีจุ
ดนั น ส่
วนป้
ายหามเข
้ าให
้ ติ
้ดก่อนถึ
งจุดหามเข
้ า้
ายหยุ
2 : ป้ ดใหติ
้ด ณ จุ
ดที
ใหรถหยุ
้ ดทีจุ
ดนั น ส่
วนป้
ายหามเข
้ าก็
้ใหติ
้ดทีจุ
ดหามเข
้ า้
3 : ทังป้
ายหยุ
ดและป้
ายหามเข
้ าควรติ
้ ดทีจุ
ดก่ อนหน านั
้ น เพื
อใหคนขั
้ บปฏิ บัตไิดทั
้น

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 20/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
ายหามเข
4 : ป้ ้ าให้ ติ
้ด ณ จุ
ดที
ใหห้
ามรถเข
้ าที
้  ส่
วนป้
ายหยุ
ดใหติ
้ดตังก่
อนถึ
งจุ
ดหยุ
ดเล็
กน อย

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  129 : ผลของการติ
ดตังสัญญาณไฟแบบ Pretimed signal กับทางแยกในเขตเมื
องที
ปริ
มาณจราจรไม่
หนาแน่
น มาก ข อใดถู
้ กตองที
้ สุ

1 : ปลอดภัยขึ
น เพราะถาติ
้ดตังดี จะทําใหอุ
้บัตเิ
หตุจากการชนดานข
้ างที
้ ทางแยกลดลง
2 : ปลอดภัยขึ
น เพราะสัญญาณไฟจะช่ วยหยุ ดรถ ทําใหความเร็
้ วรถที
วิ
งระหว่
างทางแยกลดลง
3 : ปลอดภัยขึ
น รถจะวิ
งไม่
เร็
ว อุ
บัตเิ
หตุรถชนทายกั
้ น จะลดลง
4 : ไฟสัญญาณแต่ ละแยกทํางานอย่ างอิ
ส ระ รถจะผ่านกลุ่
มทางแยกไดอย่
้างต่อเนื
องและรวดเร็

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  130 : จงหาค่ ้ งทางดิ
าระดับบนเส นโค ้ งพาราโบลาแบบสมมาตร ที ข อมู
 Sta 3 + 050 มี ้ลดังต่
อไปนี

1 : 100.250 m
2 : 100.500 m
3 : 101.250 m
4 : 101.500 m

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  131 : 

1 : 

2 : 

3 : 

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  132 : จากข อมู
้ลการยกโคงโดยการหมุ
้ น รอบจุดศูน ย์
กลางของโคงวงกลม ดั
้ งต่
อไปนี
 
ถนนขนาด 2 ช่ องทาง ความกวางทั
้ งหมด 8.00 m 
Crown Slope = 2 % 
อัตราการยกโคง , e = 0.09 m / m ความลาดชั
้ น ใน Profile , S = 150 
จงหาค่า Transition Length , TL หรื
อ Length of runoff ของการยกโคงนี้

1 : 66.00 m
2 : 78.00 m
3 : 102.00 m
4 : 128.00 m

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  133 : จงหาว่
าจุ
ดตํ
าที
สุ ้ งทางดิ
ดบนเส นโค ้ งพาราโบลาที
มี
ข อมู
้ลดังต่
อไปนี ท
่ใด
 อยู ี

1 : 33.333 m จาก PVT sta
2 : 20.834 m จาก PVT sta
3 : 41.667 m จาก PVT sta
4 : 50.000 m จาก PVT sta

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  134 : โจทย์
 ถนนออกแบบใหรถแล่
้ น ดวยความเร็
้ ว 100 กม./ชม. กํ
าหนดอัตราการยกโคง e = 9%

สปส.ความเสี ยดทานระหว่
างลอกั
้บถนน = 0.12 จงหารัศมี
ทางโคงที
้ สันสุ
ดที
ขับรถไดโดย ปลอดภั
้ ย

1 : 375 เมตร
2 : 395 เมตร
3 : 425 เมตร
4 : 450 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  135 : จงคํ
านวณหาระยะหยุ ดโดยปลอดภัยสํ าหรับถนนซึงมี องจราจร 
 2 ช่
ความเร็ วของรถบนถนน 60 กม./ชม. สปส.ความเสี ยดทานระหว่ างลอกั
้บถนน 0.4 
และผูขั้
บเริ
มเหยี
ยบหามล
้ อหลั
้ งจากเห็ น วัตถุ
ข วางหน าอยู
้  ่ น าที
= 3 วิ

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 21/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 86.04 เมตร
2 : 92.39 เมตร
3 : 95.50 เมตร
4 : 99.05 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  136 : ถนนถู
กออกแบบเพื อรองรับ AADT = 11,500 คัน ต่อวัน  เป็
นถนนอยูช
่านเมื
อง
ความเร็
วออกแบบ 80 กม./ชม. ผูใช ้
้ถนนเป็ นกลุ่ ้ น กลับ 
มคนงานไปเชาเย็
ค่าPHF(Peak Hour Factor) = 0.89 ค่า D(Directional Factor) = 65% ค่า K = 12% 
จงคํานวณหา DDHV ( Directional Design Hourly Volume)

1 : 650 คัน /ชม.
2 : 700 คัน /ชม.
3 : 800 คัน /ชม.
4 : 897 คัน /ชม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  137 : ระดับการใหบริ
้การ (Level of Service) ตามนิ
ยามของ Transportation Research Board มี
กระดั
ี บ

1 : 3 ระดับ
2 : 4 ระดับ
3 : 5 ระดับ
4 : 6 ระดับ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  138 : นายใจเย็
น มี
ระยะเวลาตัดสิ
น ใจ =1.5 วิ
น าที จงหาว่
ารถจะเคลื
อนที
ไปเป็
นระยะทางเท่
าใด
ก่
อนที เขาจะเหยี
ยบหามล
้ อเพื
้ อหยุ ดรถเมือรถมีความเร็ว 60 กม./ชม.

1 : 13.89 เมตร
2 : 16.67 เมตร
3 : 18.50 เมตร
4 : 25 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  139 : Guard Rail หมายถึ
งอะไร

1 : ราวกัน อัน ตราย


2 : เกาะกลางถนน
3 : ทางวิงของรถราง
4 : รัวและหลักบอกระยะ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  140 : ระยะทางเบื
องหน าที
้ ผู
ขั้
บรถสามารถมองเห็น ไดไกลสุ
้ ด
เพื ิใจกระทํ
อการตัดส น าอย่
างใดอย่
างหนึงเรี
ยกว่
าอะไร

1 : Stopping Distance
2 : Braking Distance
3 : Perception and Reation Distance
4 : Sight Distance

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  141 : การออกแบบทางหลวงสายใดก็
ตาม จะตองจั
้ ดใหมี
้ระยะมองเห็
น อย่
างน อยเท่
้ ากับระยะใด

1 : ระยะแซงปลอดภัย
ดรถโดยปลอดภัย
2 : ระยะหยุ
น โดยปลอดภัยบนโคงราบ
3 : ระยะมองเห็ ้
น โดยปลอดภัยบนโคงดิ
4 : ระยะมองเห็ ้ง

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  142 : ถาหากจํ
้ าเป็
นตองใช ้ น
้ ลาดช ั ยาวเกิ
น กว่
าระยะการไต่ ั วิ
ลาดชน กฤตและปริ
มาณรถมาก จํ
าเป็
นตองเพิ
้ มชอ ่งทางวิ
งสํ
าหรับรถบรรทุ
กที
วิ ้อ
งชา ช ่งทางวิ
งที
เพิ
มขึ
นนี
เรี
ยกว่
าข อ้
ใดอะไร

1 : Express Lane
2 : Climbing Lane
3 : Storage Lane
4 : Speed­Change Lane

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที องหมายจราจรใดใชส้
้  143 : เครื ีตกต่
แ างไปจากกลุ

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 22/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

้ งช อ
1 : เส นแบ่ ่งจราจร
้ งทิ
2 : เส นแบ่ ศทางจราจร
้ ดบริ
3 : เส นหยุ เวณทางแยก

4 : เส นขอบทาง

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  144 : บริ ื
เวณทางเชอมโยงเข าและออก ควรใช
้ ้ องหมายจราจรชนิ
เครื ดใด ใหผู
้ขั้
บขี
รับรู
ถึ
้งความแตกต่
างของความเร็
วและพึ
งระมัดระวังในการเข า­ออก

้ บคู
1 : เส นทึ ่

2 : เส นประถี

3 : เส นประกว าง


4 : เส นประ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  145 : จากรู
ปเป็
นโคงตามข
้ อใด

1 : Broken Back Curve
2 : Compound Curve
3 : Sag Vertical Curve
4 : Reverse Curve

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  146 : จากรู
ปข อใดไม่
้ ถก
ูตอง

1 :  

2 :  

3 :  

4 :  

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 23/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  147 : ผลต่
างพี
ชคณิ
ตของโคงนี

1 : –0.5%
2 : +0.5%
3 : –3.5%
4 : +3.5%

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

้  148 : สัญญาณไฟจราจรควบคุ
ข อที ่งทางวิ
มชอ ง กรณี
อนุ
ญาตใหยานพาหนะแล่
้ น ไปไดควรมี
้ ลักษณะตามข อใด

1 : สัญลักษณ์
ลู ีน มี
กศรชขึ ไฟสัญญาณส เี
ขียว
2 : สัญลักษณ์
ลู ี ไฟสัญญาณส เี
กศรชลง มี ขี
ยว
3 : สัญลักษณ์
ลู ีน มี
กศรชขึ ไฟสัญญาณส เี
หลือง
4 : สัญลักษณ์ ไฟสัญญาณส แ
กากบาท มี ีดง

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที ป จงหาเวลาของสัญญาณไฟแดงของ Phase ที
้  149 : จากรู  2

น าที
1 : 20 วิ
น าที
2 : 40 วิ
น าที
3 : 60 วิ
น าที
4 : 80 วิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  150 : จากรู
ปแนวทางนี
เป็
นลักษณะโคงที
้ ไม่
ด ี
แกไขแนวทางใหม่
้ ใหเหมาะสมขึ
้ น จงหาค่
า P.I. ใหม่

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 24/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : P.I. STA. 0+514.802
2 : P.I. STA. 0+513.486
3 : P.I. STA. 0+513.174
4 : P.I. STA. 0+500.571

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  151 : จงหาความยาวของท่
อกลม

1 : 10 ม.
2 : 11 ม.
3 : 23 ม.
4 : 24 ม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  152 : จงคํ
านวณหาค่า Super Elevation (e) สําหรับถนนคอนกรี
ตกวาง 7.5 เมตร รั
้ ศมี
ความโคงของถนน 800 เมตร และออกแบบให
้ รถแล่
้ น ดวยความเร็
้ ว 80 กม./ชม. โดยมี
ค่ ีดทานระหว่
า สปส.ความเส ย างลอกั
้บถนนไม่ เกิ
น  0.05

1 : 0.013
2 : 0.075
3 : 0.080
4 : 0.150

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  153 : งานก่
อสรางทางจะต
้ องบอกขอบเขต ดิ
้ น ตัดหรื
อดิ
น ถม รวมทังระยะทางจากจุ
ดศู
น ย์
กลางถนน หมุ
ดนั นคื

1 : Cut & Fill
2 : Stake Construction
3 : Slope Stake
4 : Reference Point

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  154 : โคงกลมมี
้ ความยาวโคงเท่
้ ากับ AC และมี
รัศมี
โคง R ระยะ tangent T จะเท่
้ ากับข อใด

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 25/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 

2 : 

3 : 

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  155 : 

1 : 5249.587
2 : 5827.587
3 : 5729.578
4 : 5927.578

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  156 : 

1 : 160 เมตร
2 : 180 เมตร
3 : 200 เมตร
4 : 220 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  157 : 

1 : 98.206 เมตร
2 : 98.726 เมตร
3 : 98.546 เมตร
4 : 98.406 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  158 : 

1 : 
2 : 
3 : 
4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 26/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้   159  :  จงหาระยะหยุ
ดโดยปลอดภัย  เมื
อรถยนต์ แล่
น ดวยความเร็
้ วเท่
ากับ  70  กม./ชม.  บนพื ้
นราบ  และคนขับใชเวลาในการรั บรู
และปฏิ
้ บั ต ต
ิอบสนองเท่
ากับ  2.5  วิ
น าที
สัมประส ท
ิธิ
ความเส
︀︀ ีดทานระหว่
ย างลอกั
้บถนนเท่ ากับ 0.4

1 : 97 เมตร
2 : 108 เมตร
3 : 120 เมตร
4 : 133 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  160 : ถารั
้ศมี ทางโคงของถนนเท่
้ ากับ 350 เมตร และตองการให
้ รถแล่
้ น เข าโค
้ งได
้ อย่
้างปลอดภัยดวยความเร็
้ ว 100 กม./ชม.  จะตองกํ
้ าหนดอัตราการยกโคงเท่
้ าใด  กํ
าหนดให ้
สัมประส ท
ิธิ
การเส
︀︀ ย ีดทานระหว่
างลอกั
้บถนน = 0.15

1 : 4%
2 : 7.5%
3 : 12%
4 : 28%

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  161 : โคงราบวงกลมของถนนสายหนึ
้ งมี
รัศมี ้ ัมผัส  (Length of Tangent) 120 เมตร จุ
ระยะเส นส
 600 เมตร มี ้ ัมผัส โคง (PI) อยู
ดตัดกัน ของเส นส ้ ท
่ Sta. 103 + 840 จงหา sta.

ของจุดปลายโคง (PT)

1 : 103 + 956.87
2 : 104 + 011.11
3 : 103 + 456.66
4 : 104 + 070.02

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

้  162 : จงหาระยะเบรกสํ
ข อที าหรับรถที
วิ
งดวยความเร็
้ ว 75 กม./ชม. ลงเขาที
มี ั  5% ถาส
ความลาดชน ้ัมประส ท
ิธิ
ความเส
︀︀ ีดทานระหว่
ย างลอกั
้บผิวถนนเท่
ากับ 0.35

1 : 55.30 เมตร
2 : 73.74 เมตร
3 : 81.20 เมตร
4 : 90.15 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  163 : โคงควํ
้ าแบบสมมาตร มีความลาดชนั ขึ ั ลง 2% มี
น 3% และความลาดชน จุ
ด PVI ที ระดับ 135.450 m ถาความยาวโค
 Sta. 10+250 มี ้ งเท่
้ ากับ 300 เมตร จงหาตํ
าแหน่

าระดับของจุ
(Station) และค่ ด PVC และ PVT

าระดับ 130.950 m: PVT Sta. 10+400, ค่
1 : PVC Sta. 10+110 , ค่ าระดับ 132.450 m
าระดับ 132.550 m: PVT Sta. 10+410, ค่
2 : PVC Sta. 10+100 , ค่ าระดับ 138.450 m
าระดับ 130.950 m: PVT Sta. 10+400, ค่
3 : PVC Sta. 10+100 , ค่ าระดับ 132.450 m
าระดับ 132.550 m: PVT Sta. 10+410, ค่
4 : PVC Sta. 10+110 , ค่ าระดับ 138.450 m

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที ใช ่
้  164 : ข อใดไม่
้ เวลาในการรับรู
และปฏิ
้ บั ต ต
ิอบสนอง (Perception and Reaction time)

1 : Perception time ระยะเวลาที มองเห็
น วัส ดุั เจน ,รับทราบสถานะการณ์
ชด
2 : Identification time ระยะเวลาในการพิ จารณา วิ เคราะห์วา่ ิ เห็
ส งที น คื
ออะไร
3 : Election time ระยะเวลาในการเก็ บข อมู
้ลเพื ิใจ
อตัดส น

4 : Volition time ระยะเวลาใชในการปฏิ ิามสมองสัง
บั ต ต

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที ั  G1 เท่
้  165 : ความชน ากับกี เ ซ็
 เปอร์ น ต์

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 27/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : +2.0
2 : +2.5
3 : +3.0
4 : +3.5

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที ั  G2 เท่
้  166 : ความชน ากับกี เ ซ็
 เปอร์ น ต์
 

1 : ­3.5
2 : ­4.0
3 : ­4.5
4 : ­5.0

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  167 : ALL­Red Period มี
ความหมายตรงกับข อใด

1 : สัญญาณไฟแดง
2 : ชว่งระยะเวลาของไฟแดง
3 : เวลาไฟแดงทุ กดานของทางแยก (เป็
้ นคํ
าตอบที
ถู
กตอง) 

4 : การเปลียนมาเป็นสัญญาณไฟแดง

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  168 : At­Grade Intersection หมายถึ
งทางแยกในข อใด

1 : ทางแยกแบ่งทิศทางการไหล
2 : ทางแยกยกระดับ
3 : ทางแยกต่างระดับ
4 : ทางแยกระดับเดียวกัน

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  169 : องค์ ชว่
ประกอบ (Element) ใดที ยในการลดแรงเหวี
ยงขณะที
รถวิ
งในโคงราบ

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 28/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : Vertical Alignment
2 : Transition Curves
3 : Summit Curves
4 : Superelevation

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  170 : ในการออกแบบโคงหงาย ข
้ ้ ความสํ
อใดมี าคัญมากที
สุ

น ในเวลากลางวัน
1 : ระยะมองเห็
2 : ระยะส่
องของไฟหน า้
วสู
3 : ความเร็ งสุดทีรถจะวิ
งได ้
4 : การแซง

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  171 : เมื ้
อเส นทางเริ
มมี
การเปลี
ยนแปลงแนวในทางราบและมี
ความจํ
าเป็
นในการยกโคง ข ใชว่
้ อใดไม่
้ ธิก
ีารยกโคง้

น รอบจุ
1 : หมุ ดศู
น ย์
กลาง 
น รอบขอบในผิ
2 : หมุ วทาง
น รอบขอบนอกของผิ
3 : หมุ วทาง
น รอบหมุ
4 : หมุ ดอางอิ
้ง

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  172 : ความยาวโคงดิ
้งทีสันที
สุ ึ บสามารถมองเห็
ดซงคนขั น ไดไกลเพี
้ ยงพอที
หยุ
ดรถไดทั
้น  เท่
ากับกี
 เมตร

1 : 120
2 : 240
3 : 270
4 : 424

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  173 : ความยาวโคงดิ
้งทีสันที
สุ ึ บสามารถมองเห็
ดซงคนขั น ไดไกลเพี
้ ยงพอที
หยุ
ดรถไดทั
้น  เท่
ากับกี
 เมตร

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 29/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 223
2 : 225
3 : 340
4 : 193

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  174 : ป้ ส่
ายการจราจรใด ทีวนใหญ่
 มี
ลักษณะ กลม

ายแนะนํ
1 : ป้ า
ายบังคับ
2 : ป้
ายเตื
3 : ป้ อน
ายบอกระยะทาง
4 : ป้

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  175 : ป้ ส่
ายการจราจรใด ทีวนใหญ่
 มี ี ยมจัตุ
ลักษณะ ส เหลี รัส ตังมุ
มขึ

ายแนะนํ
1 : ป้ า
ายบังคับ
2 : ป้
ายเตื
3 : ป้ อน
ายบอกระยะทาง
4 : ป้

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที ้ องหมายบนขอบทางที
้  176 : เส นเครื ส  ี
มี ดํ
า­ขาว หมายความว่
าอย่
างไร

1 : จอดรถได ้

2 : จอดรถไดช้วคราว
3 : จอดรถไดวั้น เวนวั
้น
4 : เน นให
้ ผู้
ขั้
บขี เห็
น บริ
เวณวิ ั เจน
กฤตไดช้ด

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที ้ องหมายบนผิ
้  177 : เส นเครื วจราจรตามขวาง ที
มี
ลักษณะเป็
นแถบถี
ๆ เพื
อใหผู
้ขั้
บขี
ลดความเร็
ว มีื ยกว่
ชอเรี าอย่
างไร

1 : Warning Strips
2 : Reduced Strips
3 : Rumble Strips
4 : Reflex Strips

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  178 : ความยาวโคงก
้นหอยอย่
้ างน อยที
้ สุด เท่
ากับกี
 เมตร

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 30/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 162
2 : 182
3 : 202
4 : 222

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  179 : ระยะห่
างจากแนวศู
น ย์
กลางของเลนในสุ
ดถึ ิ ดขวางการมองเห็
งส งกี น ภายในโคงราบ ไม่
้ น อยกว่
้ า กีเมตร

1 : 9.0
2 : 9.5
3 : 8.0
4 : 8.5

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  180 : เพื
อความปลอดภัย ควรแนะนํ
าใหคนขั
้ บขับดวยอั
้ ตราเร็
วภายในโคงราบ ไม่
้ เกิ
น  กี
กิ ั
โลเมตร/ชวโมง

1 : 50
2 : 60
3 : 70
4 : 80

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  181 : เพื
อที
จะใหรถจากทั
้ งทางเอกและทางโทหยุ
ดไดทั
้น  ควรกํ
าหนดใหรถในทางโทแล่
้ ้่
น เข าสู
ทางแยกดวยอั
้ ตราเร็
วไม่
เกิ
น กี ั
โลเมตร/ชวโมง
 กิ

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 31/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 25
2 : 30
3 : 40
4 : 50

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  182 : ข อใดคื
้ อลักษณะของป้
ายหยุ

นแผ่
1 : เป็ ีาว ตัวอักษรส ด
น กลมส ข ีํ

นรู
2 : เป็ ปแปดเหลียมดานเท่ ีาวบนพื
้ า ตัวอักษรส ข นแดง
นรู
3 : เป็ ปสามเหลียมดานเท่ ีํ
้ า ตัวอักษรส ด าบนพื
นขาว
นแผ่
4 : เป็ นสนีํ
าเงิ ีดง
น  ตัวอักษรส แ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  183 : เวลาไฟเหลื
องที
น อยที
้ สุด เท่
ากับกี น าที
 วิ

1 : 3.0
2 : 4.0
3 : 5.0
4 : 11.0

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  184 : อัตราเร็
วที
แล่ ้่
น เข าสู ึ เวลาไฟเหลื
ทางแยกซงใช ้ องน อยที
้ สุด เท่
ากับกี ั
โลเมตร/ชวโมง
 กิ

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 32/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 25
2 : 35
3 : 60
4 : 90

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  185 : ลักษณะการขัดแยงกั
้น ของกระแสจราจร ดังรู
ป คื

1 : Crossing
2 : Merging
3 : Diverging
4 : Weaving

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  186 : ลักษณะการขัดแยงกั
้น ของกระแสจราจร ดังรู
ป คื

1 : Crossing 
2 : Merging
3 : Diverging
4 : Weaving 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  187 : ลักษณะการขัดแยงกั
้น ของกระแสจราจร ดังรู
ป คื

1 : Crossing
2 : Merging
3 : Diverging 
4 : Weaving 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  188 : ลักษณะการขัดแยงกั
้น ของกระแสจราจร ดังรู
ป คื

1 : Crossing 
2 : Merging
3 : Diverging
4 : Weaving

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  189 : แผนที ้
เส นทางทีึ
ซงแสดงทั ้
ง Plan และ Profile จะใชมาตราส ่
วน ในแนวราบเท่
าใด

1 : 1 : 20
2 : 1 : 500
3 : 1 : 100
4 : 1 : 1000

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  190 : จงคํ
านวณหาค่ า Superelevation สํ
าหรับถนนกวาง 7 ม.

ทางโคงมี
้รัศมี 240 ม.
ออกแบบใหรถแล่
้ น  80 กม./ชม.

สัมประส ท
ิธิ
ความเส
︀︀ ีดทานระหว่
ย างลอกั
้บถนน = 0.15
http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 33/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
สัมประส ท
ิธิ
ความเส
︀︀ ีดทานระหว่
ย างลอกั
้บถนน = 0.15

เมตร
1 : 20 เซนติ
เมตร
2 : 35 เซนติ
เมตร
3 : 42 เซนติ
เมตร
4 : 55 เซนติ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  191 : ถนนออกแบบใหรถแล่
้ น ดวยความเร็
้ ว 100 กม./ชม. 
กํ
าหนดอัตราการยกโคง e = 9%

สัมประส ท
ิธิความเส
︀︀ ีดทานระหว่
ย างลอกั
้บถนนสูงสุ ด = 0.12 
จงหารัศมี ้ สันสุ
ทางโคงที ดทีขับรถไดโดยปลอดภั
้ ย

1 : 375 เมตร
2 : 395 เมตร
3 : 425 เมตร
4 : 450 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้   192  :  นายใจเย็ ้
น ใชระยะเวลาในช ว่
ง  Perception  และ  Reaction  =1.5  วิ
น าที
  จงหาว่
ารถจะเคลื
อนที
ไปเป็
นระยะทางเท่
าใด  ก่
อนที
เขาจะเหยี
ยบหามล
้ อเพื
้ อหยุ
ดรถเมื
อรถมี
ความเร็ว 60 กม./ชม.

1 : 13.89 เมตร
2 : 16.67 เมตร
3 : 18.50 เมตร
4 : 25 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  193 : จากรู
ปเป็
นโคงตามข
้ อใด 

1 : Broken Back Curve
2 : Compound Curve
3 : Sag Vertical Curve
4 : Reverse Curve

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  194 : จากรู
ป ข อใดไม่
้ ถก
ูตอง

1 : 

2 : 

3 : 

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 34/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  195 : ผลต่
างพี
ชคณิ
ตของโคงนี
้ จงหา Grade Change ของโคงดิ
้งในรู
ปที ื
เชอมระหว่
าง Grade +2% และ +1.5%

1 : –0.5%
2 : +0.5%
3 : –3.5%
4 : +3.5%

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  196 : รถยนต์
วงด
ิ วยความเร็
้ ว 70 กิ
โลเมตรต่ ั
อชวโมง ทํ
าการหามล
้ อเต็
้ มที
วัดระยะทางตามรอยลื
นไถลบนถนนไดความยาว 21 เมตร ให
้ ้ ัมประส ท
หาส ิธ์ ีดทานที
ความเส ย เกิ
ดขึ

ระหว่
างลอยางกั
้ บผิ
วบนทางราบถนน

1 : 0.30
2 : 0.46
3 : 0.60
4 : 0.92

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  197 : ปั จจุ การส่
บัน มี งเสริ
มใหมี
้ ้ กรยานในตัวเมื
การใชรถจั อง อยากทราบว่
าขนาดของ Bike Lane ควรจะมี
ความกวางอย่
้ างน อยสุ
้ ดกีเมตร

1 : 0.60 ม.
2 : 0.90 ม.
3 : 1.20 ม.
4 : 1.50 ม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  198 : จงหาค่ ้ งทางดิ
าระดับบนเส นโค ้ งแบบพาราโบลาแบบไม่
ส มมาตร ที
 PVI Sta. 

1 : 102.160 m.
2 : 102.500 m.
3 : 104.320 m.
4 : 105.000 m.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  199 : ความกวางของไหล่
้ ทางในทางขนานตามมาตรฐานกรมทางหลวง จะตองมี
้ ความกวางอย่
้ างน อยกี
้ เมตร

1 : 1.20 ม.
2 : 1.50 ม.
3 : 2.00 ม.
4 : 3.00 ม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  200 : ถนนทัวไปในทางราบที
อยู

่อกเขตกรุ
งเทพฯ เมื
องพัทยา และเขตเทศบาล โดยทัวไปกฎหมายไดจํ
้ากัดความเร็ นั งส่
วของรถยนต์ วนบุ
คคลไวไม่
้เกิ
น เท่
าใด

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 35/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 80 กม./ชม.
2 : 90 กม./ชม.
3 : 100 กม./ชม.
4 : 120 กม./ชม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที ้ ใชเ่
้  201 : ข อใดไม่ ป็
นตัวกํ
าหนดจํ ่งจราจรของทางหลวง
านวนชอ

มาณจราจรในทางหลวง
1 : ปริ
2 : ระดับบริการ (Level of Service) ทีตองการ

3 : Directional Distribution Value ( D Value)
4 : ประเภททางหลวง

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  202 : ความกวางของช
้ ่งจราจรและไหล่
อ ทางอย่
างน อยในข
้ อใดจึ
้ งจะถื
อไดว่
้าสมบู
รณ์
แบบ (Ideal condition) ตามความหมายของ AASHTO

่งจราจร 12 ฟุ
1 : ชอ ต ไหล่
ทาง 6 ฟุ

่งจราจร 11 ฟุ
2 : ชอ ต ไหล่
ทาง 8 ฟุ

่งจราจร 12 ฟุ
3 : ชอ ต ไหล่
ทาง 8 ฟุ

่งจราจร 11 ฟุ
4 : ชอ ต ไหล่
ทาง 6 ฟุ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  203 : ข อใดถู
้ กตองที
้ สุ

ตของทางตามมาตรฐานออกแบบทํ
1 : การออกแบบทางเรขาคณิ าใหได
้ทางที
้ เดิน ทางสะดวก
ตของทางตามมาตรฐานออกแบบทํ
2 : การออกแบบทางเรขาคณิ าใหได
้ทางที
้ เดิน ทางสะดวก และปลอดภัย
ตของทางตามมาตรฐานออกแบบทํ
3 : การออกแบบทางเรขาคณิ าใหได
้ทางที
้ เดิน ทางไดรวดเร็
้ วและปลอดภัย
ตของทางตามมาตรฐานออกแบบอาจทํ
4 : การออกแบบทางเรขาคณิ าใหได
้ทางที
้ เดิ น ทางแลวไม่
้ ปลอดภัย

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  204 : ในการออกแบบทางเรขาคณิ
ตของทาง หลักการเลื
อกความเร็
วออกแบบ (Design speed) ข อใด ไม่
้ เหมาะสมที
สุ


อกใชความเร็
1 : เลื ้
วออกแบบตามลักษณะการใชงานของทาง
2 : เลื ้
อกใชความเร็
วออกแบบสู
งสุดที
สามารถวิ
งได ณ จุ
้ ดนั นๆ
3 : เลื ้
อกใชความเร็
วออกแบบใหสอดคล
้ องกั
้ บความคาดหวังของผู
ขั้
บขี
4 : เลื ้
อกใชความเร็
วออกแบบใหเหมาะสมกั
้ บสภาพสองข างทาง

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  205 : เพื ้ นั งส่
อใหรถยนต์ วนบุ
คคลเลี ้
ยวซาย 90 องศา ที
มุ
มถนนดวยความเร็
้ วตํ
าไดอย่
้างสะดวกและปลอดภัย อย่
างน อยที
้ สุดรัศมี
ข องขอบถนนควรเท่
ากับประมาณกี
เมตร

1 : 3 เมตร
2 : 5 เมตร
3 : 7 เมตร
4 : 9 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  206 : เพื
อใหรถโดยสารความยาวไม่
้ เกิ
น  12 เมตรเลี ้
ยวซาย 90 องศา ที
มุ
มถนนที
ความเร็
วตํ
าไดอย่
้างสะดวกและปลอดภัย อย่
างน อยที
้ สุดรัศมี
ข องขอบถนนควรเท่
ากับประมาณ
กี
เมตร

1 : 8 เมตร
2 : 10 เมตร
3 : 11 เมตร
4 : 12 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  207 : เพื ้ นั งส่
อใหรถยนต์ วนบุ
คคลเลี ้
ยวซาย 90 องศา ที
มุ
มถนนดวยความเร็
้ วตํ
าไดอย่
้างสะดวกและปลอดภัย รัศมี
เลี
ยว (Turning radius)น อยที
้ สุดของรถควรเท่
ากับประมาณ
กี
เมตร

1 : 5.5 เมตร
2 : 7.5 เมตร
3 : 9.0 เมตร
4 : 10.0 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที เศษ เราใส่
้  208 : ในการออกแบบแนวทางราบ (Horizontal alignment) บนทางพิ โคงเมื
้ อแนวถนนมี
การเปลี
ยนทิ
ศทาง โคงที
้ ควรนํ ้อ
ามาใช คื

1 : โคงกลม

2 : โคงเปลี
้ ยนรูปสไปรอล
3 : โคงเปลี
้ ยนรูปสไปรอล + โคงกลม

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 36/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
4 : โคงรู
้ปพาราโบล่
า + โคงกลม

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  209 : วัตถุ
ประสงค์ีํ
ทส าคัญทีดในการใส่
สุ โคงเปลี
้ ยน (Transition curve) ในทางหลวง คื
อ ข อใด

1 : ใหรถวิ
้ งไดเร็
้วขึน
2 : ใหการปรั
้ บแนวการวิ งเป็
นแบบค่
อยเป็
นค่
อยไป

3 : ใชแทนโค งกลมได
้ ้
4 : ชว่
ยลดแรงหนี ศู
น ย์
กลางขณะรถวิ
งในโคงกลมได
้ ้

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  210 : ความยาวน อยที
้ สุดของโคง Transition ในถนนสองช
้ ่งจราจร ความเร็
อ วออกแบบ 80 กม/ชม. ที ื บโคงกลมที
จะเชอมกั ้ มี
รัศมี
โคง 200 เมตร จะเท่
้ ากับข อใด ถ
้ ากํ ้าหนดให ้
อัตราการเปลี
ยนความเร่ ้่
งเข าสู
ศู
น ย์
กลาง (Rate of change of radial acceleration) ไม่
เกิ
น  0.5 เมตร / วิ 2 / วิ
น าที . (Radial acceleration = v2/ R)
น าที

1 : 109.7 เมตร
2 : 94.3 เมตร
3 : 54.8 เมตร
4 : 36.8 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  211 : ในการออกแบบโคงในทางหลวง โค
้ งที
้ มี
ลักษณะที
ทํ
าใหอั้
ตราการเปลี
ยนแปลงของเกรด (Rate of change of grade) คงที อโคงในข
 คื ้ อใด้

1 : โคงสไปรอล

2 : โคงพาราโบล่
้ า
3 : โคงเปลี
้ ยน
4 : โคงกลม

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  212 : ในการออกแบบโคงราบในทางหลวง โค
้ งที
้ มี
ลักษณะที
ทํ
าใหอั้
ตราการเปลี
ยนแปลงของทิ
ศทาง (Rate of change of direction) คงที อโคงในข
 คื ้ อใด้

1 : โคงกลม

2 : โคงสไปรอล

3 : โคงพาราโบล่
้ า
4 : โคงเปลี
้ ยน

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  213 : ในการคํ
านวณรัศมี
โคงน
้อยที
้ สุ
ด (Minimum curve radius) เราจะไดรั้
ศมี
โคงน
้อยที
้ สุ
ดที
ความเร็
วออกแบบใดๆ เมื
อเรากํ
าหนดลักษณะถนนและการจราจรเป็
นไปตามข อ้
ใด

1 : สมมติถนนไดรั้
บการยกโคงสู
้งสุด
้ งส่
2 : ใชรถนั วนบุ คคลทีเลี
ยวโคงได
้ ดี้ในการออกแบบ
อถนนไดรั้
3 : เมื บยกโคงสู
้งสุ าสัมประส ท
ดและค่ ิธิ
ความเส
︀︀ ีดทานดานข
ย ้ างสู
้ งสุ

อถนนไดรั้
4 : เมื บยกโคงสู
้งสุ าสัมประส ท
ดและค่ ิธิ
ความเส
︀︀ ีดทานดานข
ย ้ างตํ
้ าสุ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  214 : ถาความเร็
้ ้  90 กม./ชม. โดยใชรั้
วรถในการออกแบบโคงที ศมี
โคงกลม 500 เมตร กํ
้ าสัมประส ท
าหนดค่ ิธิ
แรงเส
︀︀ ย ีดทานดานข
้ างให
้ เกิ
้ดขึ
นไม่
เกิ
น  0.06 อัตราการยกโคง (e)

ทีโคงนี
้จะเท่ ากับ

1 : 0.057
2 : 0.067
3 : 0.077
4 : 0.100

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  215 : เหตุ
ผลในข อใดที
้ เราพยายามหลี
กเลี ้งดิ
ยงการใชโค สันมากๆ เชอมระหว่
้งหงาย (Sag curve) ที ื างลาด (Grade) ที
ยาว

1 : รถจะเลียวโคงไม่
้ ทนั
2 : ทําใหระยะมองเห็
้ น ไม่เพี
ยงพอแมในเวลากลางวั
้ น
3 : อาจเกิดอัน ตรายไดระหว่
้ างการแซง
4 : รถบรรทุกอาจพลิ กควํ าในโคงได
้ ง่้
าย

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  216 : โดยปกติ  การใส่
โคงดิ
้งทียาวๆ ทํ
าใหระดั
้ บของทางค่
อยเปลี
ยน นั บเป็ ิ   แต่
นส งดี ในโคงดิ
้งหงายที
มี
ข อบทางนั นก็ ควรใส่
ไม่ โคงที
้ ยาวมากจนทํ
าใหได
้เกรดทางที
้ ั ตํ
ลาดชน า
กว่า 0.5% เพราะเหตุ
ใด

1 : จะทําใหการระบายนํ
้ ายาก
ดความลาแก่
2 : เกิ ้ คนขับที ตองขั
้ บรถในโคงที
้ ยาวมาก
3 : รถอาจชนขอบทางไดง่ ้
าย
น ในโคงไม่
4 : ระยะมองเห็ ้ พอ

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 37/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  217 : เหตุ
ผลหลักที
มี
ข อแนะนํ
้ ้
าในการออกแบบเส นทางว่ ควรใส่
า ไม่ โคงราบแคบๆ ให
้ อยู
้ท
่ หรื
ี อใกลกั้
บยอดของโคงดิ
้ง (Crest vertical curve) ทีั  คื
ชน อเหตุ
ผลข อใด

1 : ทําใหการก่
้ อสรางยากโดยไม่
้ จํ
าเป็ น
2 : อัน ตราย เพราะคนขับจะไม่เห็น ว่
ามีการเปลี ้
ยนแนวเส นทางข างหน
้ า้
3 : ผูโดยสารนั
้ งรถจะรู
ส้
กึไม่
ส บายเท่ าทีควร
4 : ภาพถนนที คนขับเห็
น จะผิ
ดเพียนไป (Distortion appearance) จากสภาพจริ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  218 : ทางหลวงสายหลักนอกเมื
องสองสายตัดกัน  แต่
ละสายมี
ปริ
มาณจราจรใกลเคี
้ยงกัน  ทางแยกต่
างระดับที
เหมาะกับทางแยกนี
 โดยทัวไปควรเป็
นทางแยกต่
างระดับรู
ปใด

1 : Trumpet or T interchange
2 : Diamond
3 : Cloverleaf
4 : Rotary

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้   219  :  ทางหลวงสายหลักระหว่
างภาค  ผ่
านเข าใกล
้ เมื ่  ตัวจังหวัด  หรื
้อง  เชน ออํ
าเภอเป็
นตน 
้ทางแยกต่
างระดับที
เหมาะกับทางแยกเข าเมื ่นี
้ องเชน   โดยทัวไปควรเป็
นทางแยก
ต่างระดับรู
ปใด

1 : Trumpet or T interchange
2 : Diamond
3 : Cloverleaf
4 : Rotary

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  220 : ทางหลวงสายหลักปริ
มาณจราจรมากกว่
าตัดกับทางสายรองที
ปริ
มาณจราจรน อยกว่
้ า ทางแยกต่
างระดับที
เหมาะกับทางแยกนี
 โดยทัวไปควรเป็
นทางแยกต่
างระดับรู
ปใด

1 : Trumpet or T interchange
2 : Diamond
3 : Cloverleaf
4 : Rotary

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  221 : สมมุ
ตวิ
า่ ยานพาหนะ 3 ชนิ
 มี ดบนถนน ไดแก่
้ จักรยานมีจํ เ ซ็
านวน 20 เปอร์ น ต์
 มี
ความเร็
วเฉลี
ย 20 กม./ชม. รถยนต์
มจี
ํ เ ซ็
านวน 70 เปอร์ น ต์
  มี
ความเร็
วเฉลี
ย 90 กม./ชม.
รถประจํ
าทางมี จํ เ ซ็
านวน 10 เปอร์ น ต์
 มี
ความเร็
วเฉลี
ย 52 กม./ชม. จะมี
ความเร็
วทีจุ
ด (SPOT SPEED) ของการจราจรเท่ าใด

1 : 72 กม./ชม.
2 : 80 กม./ชม.
3 : 85 กม./ชม.
4 : 87 กม./ชม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  222 : จงคํ
านวณหาค่ า Super Elevation สํ
าหรับถนนกวาง 7 เมตร 

ทางโคงมี
้รัศมี 240 เมตร ออกแบบใหรถแล่
้ น  80 กม./ชม. 
สปส. ความเส ยีดทานระหว่างลอกั
้บถนน = 0.15

1 : 20 ซม.
2 : 35 ซม.
3 : 42 ซม.
4 : 55 ซม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

้  223 : ในการออกแบบแนวทางราบ เรานิ
ข อที ยมใส่
โค้
งกลมระหว่
างแนวทางตรงสองแนว เพราะเหตุ
ผลหลักในข้
อใด

1 : การคํ
านวณง่าย และการวาง Lay out ในสนามง่ าย
2 : รถสามารถวิ
ง䙐ผ่
านโค้
งได้ อย่างราบเรี
ยบ แบบค่อยเป็นค่อยไปทํ
าให้
ปลอดภัย
3 : โค้
งกลมเป็
นโค้ งที

มี
อตั ราการเปลี䙐
ยนแปลงของทิ ศทางคงที 䙐
4 : สามารถเลื
อกออกแบบให้ เข้
ากับภู
มิประเทศได้
ง่ายกว่

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

้  224 : ในการออกแบบแนวทางดิ
ข อที ง เรานิ
䙐 ยมใส่
รู
ปพาราโบลาระหว่
างแนว Grade Line  เพราะเหตุ
ผลหลักในข้
อใด

1 : การคํ
านวณง่าย และการวาง Lay out ในสนามง่ าย
2 : รถสามารถวิ
ง䙐ผ่
านโค้
งได้อย่างราบเรียบ แบบค่อยเป็นค่อยไปทํ
าให้
รู

สึ
กนัง䙐
สบาย
3 : โค้
งพาราโบลาเป็นโค้
งที

มี อตั ราการเปลี

ยนแปลงของเกรดคงที 䙐
4 : สามารถเลื
อกออกแบบให้ เข้ากับภู
มิประเทศได้
ง่ายกว่

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 38/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

้   225  :  แรงเสี
ข อที ยดทานเกิ
ดขึ
นที
䛰 䙐
ผวิ
สัมผัสระหว่
างล้
อรถกับผิ
วถนน  ขณะรถเบรก มี
ค่
าสัมประสิ
ทธ์
ความเสี
ยดทานตามแนวยาว (Longitudinal friction factor)  และขณะรถวิ
ง䙐
ใน
โค้
งราบก็
มี
ค่
าสัมประสิ
ทธ์
ความเสี
ยดทานด้
านข้
าง (Side friction factor)  ในการออกแบบทาง เราถื
อว่
าข้
อใดต่
อไปนี

เป็
นจริ
งมากที

สุ

1 : ค่
าสัมประสิ
ทธ์
ความเสี
ยดทานทั䛰
งสองกรณีเท่
ากัน เพราะเกิ ดจากล้อรถและผิ วจราจรเหมื อนกัน
2 : ค่
าสัมประสิ
ทธ์
ความเสี
ยดทานตามแนวยาว มากกว่ าค่าสัมประสิ ทธ์ความเสี
ยดทานด้ านข้ าง
3 : ค่
าสัมประสิ
ทธ์
ความเสี
ยดทานตามแนวยาวน้อยกว่ าค่าสัมประสิทธ์ ความเสี
ยดทานด้านข้ าง
4 : ค่
าสัมประสิ
ทธ์
ความเสี
ยดทานทั䛰
งสองกรณียอ่
มไม่ เท่ากัน แต่
ต่างกันน้อยมากจนไม่มีนยั สําคัญ
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

้  226 : ข้
ข อที อใดมิ
ใช่
องค์
ประกอบของระยะแซงโดยปลอดภัย (Passing Sight Distance)

1 : ระยะทางที

รถคันที 䙐
จะแซงแล่นตามรถข้างหน้าไปเพื

อรอจังหวะปลอดภัยแล้ วจึ
งแซง
2 : ระยะทางที

รถเริ
䙐มเร่
งความเร็
ว ทํ
าการแซงจนพ้ น แต่
ยงั อยูใ่
นช่
องทางขวายังไม่กลับเข้
าช่
องทางซ้
าย
3 : ระยะทางระหว่างรถแล่นสวนมากับรถที 䙐
ทาํ
การแซงเสร็ จเรี
ยบร้
อยแล้
วกลับมาอยู ใ่
นช่องทางซ้
ายเดิ

4 : ระยะทางของรถคันที 䙐
แล่
นสวนมานับตั䛰
งแต่รถคันที

จะแซงเริ มแซงจนกระทัง䙐
䙐 เคลื

อนกลับเข้าช่
องทางซ้
ายเดิ
มโดยปลอดภัย
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

เนื
อหาวิ
ชา : 553 : Highway finance and economic

ข อที
้  227 : ในการก่อสรางถนนสายหนึ
้ งมี
รายละเอี ยดการลงทุ น ดังต่อไปนี
ค่าลงทุน ก่
อสรางเสร็
้ จภายใน 1 ปี  , I = 50 ลานบาท มู
้ ลค่าซากเมื อหมดอายุ ้
การใชงาน , T = 10 ล านบาท

ค่าบํ
ารุ
งรักษา ต่
อปี , M = 2 ลานบาท จงหาค่
้ าเที
ยบเท่ าของเงิ
น ลงทุ น เฉลี
ยต่
อปี , EUAC
ถาสมมุ
้ ตใิ หถนนเส
้ ้ มี
นนี อายุ ้
การใชงาน 10 ปี  และมีอต
ั ราดอกเบียเงิน กู
คงที
้  = 3 % ต่ อปี

1 : 8.72 ลานบาท

2 : 4.72 ลานบาท

3 : 6.00 ลานบาท

4 : 6.98 ลานบาท

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  228 : ในการวิเคราะห์
ทางดานเศรษฐศาสตร์
้ ข องการลงทุ
น ก่
อสรางถนน 2 สาย ข
้ อมู
้ลของแต่ ละโครงการ มี
ค่
า ดังแสดงในตาราง 
จงหาค่า Benefit – Cost Ratio , B/C ของการลงทุ
น เพิ
มจากโครงการ A เป็
น B ทังสองโครงการมี
อายุ ้
การใชงาน 10 ปี อต
 และมีั ราดอกเบี
ยเงิ
น กู้ อปี
 = 3 % ต่

1 : B/C = 1.00
2 : B/C = 1.32
3 : B/C = 1.58
4 : B/C = 1.64

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  229 : โครงการก่อสรางทางสายหนึ
้ ง ถามู
้ลค่าปั จจุ
บัน ของเงิ
น ลงทุ
น  = 100.7 
และมูลค่
าปั จจุ
บัน ของผลประโยชน์
 = 97.2 จงหา Benefit cost ratio

1 : 1.04
2 : 0.96
3 : ­3.50 ลานบาท

4 : 3.50 ลานบาท

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  230 : โครงการก่อสรางทางสายหนึ
้ ง ถามู
้ลค่
าปั จจุ
บัน ของเงิ
น ลงทุ
น  = 100.7 ลานบาท

และมูลค่
าปั จจุ
บัน ของผลประโยชน์
 = 97.2 ลานบาท จงหา Net present worth

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 39/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 1.04
2 : 0.96
3 : ­3.50 ลานบาท

4 : 3.50 ลานบาท

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  231 : โครงการก่
อสรางทางสายหนึ
้ ้ อสราง 2 ปี
งใชเวลาก่ ้  โดยลงทุ น ก่
อสรางปี
้ ละ 50 ลานบาท

ในปีพ.ศ.2544 และพ.ศ.2545 เมือเริ ้
มใชงานแล วก็
้มกีารบํารุงทางต่ อไปปีละ 1 ลานบาท

ตังแต่
ปี
พ.ศ. 2546จนถึ งปี
พ.ศ.2560 จงคํานวณหามูลค่าปั จจุ
บัน ของเงิ
น ลงทุน โดยคิ
ดอัตราดอกเบี
ย 10%

1 : 97.22 ลานบาท

2 : 102.40 ลานบาท

3 : 104.50 ลานบาท

4 : 110.00 ลานบาท

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  232 : ในการปรับปรุ
งทางแยกแห่ งหนึ ง มี
ทางเลื
อก 2 ทาง จงหาว่
าทางเลื
อกใดมี
ความเหมาะสม
ในการลงทุ น มากกว่
าโดยวิธม
ีลูค่
าปั จจุ
บัน สุ
ทธิ กํ
าหนดอายุ ้
การใชงานของทางเป็
น 20 ปี
และมีอต
ั ราดอกเบียคงที 5% 

กว่
1 : A ดี า
กว่
2 : B ดี า
น่
3 : ไม่าลงทุน ทังสองทางเลื อก
าลงทุ
4 : A และ B น่ น เท่
ากัน

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  233 : สมการข อใดเป็
้ นการหาจํ
านวนเงิ
น ในอนาคตจากจํ
านวนเงิ
น เฉลี
ยเท่
ากัน รายปี

1 : 

2 : 

3 : 

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  234 : การวิ
เคราะห์
ความเหมาะสมทางเศรษฐศาสตร์
วธิใี
ด ที
ไม่
ตองทราบอั
้ ตราดอกเบี

1 : Equivalent Uniform Annual Cost Method
2 : Present Worth of Costs Method
3 : Benefit Cost Ratio Method
4 : Rate of Return

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  235 : จงวิ เชงิ
เคราะห์ เศรษฐศาสตร์
วศ
ิวกรรมของโครงการนี อ i = 10% โดยวิ
 เมื ธ  ี
Net Present Value

1 : NPV = ­0.94 ลานบาท โครงการนี
้ ไม่
เหมาะสมในการลงทุ

2 : NPV = 0.94 ลานบาท โครงการนี
้ เหมาะสมในการลงทุน

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 40/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
3 : NPV = 1.39 ลานบาท โครงการนี
้ เหมาะสมในการลงทุน
4 : NPV = ­1.39 ลานบาท โครงการนี
้ ไม่
เหมาะสมในการลงทุ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที ้ าง จงหาอัตราส่
้  236 : จากตารางข างล่ วนตอบแทนต่
อการลงทุ
น  (Benefit Cost Ratio) คิ
ดอัตราดอกเบี
ยคงที อปี
 12 % ต่

1 : 1.33
2 : 1.44
3 : 1.85
4 : 2.05

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  237 : ถากู
้เงิ
้น จํ
านวน 200 บาท อัตราดอกเบี เ ซ็
ย 10 เปอร์ น ต์
ต่
อปี ยื

 ระยะเวลาการกูม 3 ปี ยเชงิ
ดดอกเบี
 จงคิ ้ ตร P( 1 + i )n – P
ซอน สู

1 : 39.2 
2 : 40.2
3 : 56.2 
4 : 66.2
ยเชงิ
5 : ดอกเบี ้ ค่
ซอน มี ากับ P( 1 + i )n – P = 200(1 + 0.1)3 –200 = 66.2 บาท
าเท่

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  238 : ข อใดที
้ ไม่ ถอ
ืว่
าเป็
นค่ ้
าใชจ่
ายในการจัดใหมี
้ทางหลวง (Highway Cost)

าลงทุ
1 : ค่ น ครังแรก (Investment Cost)

าใชจ่
2 : ค่ ้
ายในการใชรถ (Vehicle Operating Cost)
าบํ
3 : ค่ ารุ
งรักษา (Maintenance Cost)
าดํ
4 : ค่ าเนิ
น การ (Operating Cost)

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  239 : ค่ ้
าใชจ่
ายใดที
ไม่
ถอ
ืว่
าเป็
นค่ ้
าใชจ่ ้
ายในการใชรถ (Vehicle Operating Cost)

ายางรถ
1 : ค่
าบํ
2 : ค่ ารุ
งรักษา
าทะเบี
3 : ค่ ยนรถ
านํ
4 : ค่ ามัน หล่
อลื

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้   240  :  การวิ โครงการเชงิ
เคราะห์ เศรษฐศาสตร์
  โดยวิ
ธ  ี
Benefit­Cost  Ratio,  B/C  โครงการที
สมควรลงทุ
น จะตองมี
้ ค่า  B/C  เป็
นอย่
างไร  เมื
อเที
ยบกับโครงการพื
นฐาน  (Base
Alternative)

1 : B/C < 1.0
2 : B/C > 1.0
ค่
3 : B/C มี าเป็
น +
ค่
4 : B/C มี าเป็
น ­

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  241 : การวิ โครงการเชงิ
เคราะห์ เศรษฐศาสตร์
โดยวิ
ธ  ี สมควรลงทุ
Net Present Value, NPV โครงการที น จะตองมี
้ ค่า NPV เป็
นอย่
างไร เมื
อเที
ยบกับโครงการพื
นฐาน (Base
Alternative)

ค่
1 : NPV มี าเป็
น ­
2 : NPV < 1.0
3 : NPV > 1.0
ค่
4 : NPV มี าเป็
น +

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

้   242  :  โครงการขยายถนนสายหนึ
ข อที 䙐
ง ใช้
เวลาในการดํ
าเนิ
นการปรับปรุ
ง 1 ปี
 และเงิ
นลงทุ
นในการดํ
าเนิ
นการ 25 ล้
านบาท มี
อายุ
ของโครงการ 10 ปี
  ทั䛰
งนี

  ในขณะที

ดาํ
เนิ
นการ
ปรับปรุงนั䛰
น จํ
าเป็
นต้
องมี
การปิ
ดการจราจรในบางช่ วงเวลา คาดว่
าจะทําให้เกิ
ดการจราจรติ ดขัดคิ
ดเป็
นมูลค่
าเงิ
น  5 ล้
านบาท  แต่ เมื

อปรับปรุงแล้
วเสร็
จ  สภาพการจราจรจะคล่
องตัว
ขึ
นคิ
䛰 ดเป็นผลประโยชน์ ที

มู
ลค่
าเงิ
นปี
ละ 6  ล้
านบาท จงวิเคราะห์
หา Net Present Value (NPV) ของโครงการปรับปรุงนี

 ภายใต้
อตั ราดอกเบี䛰
ย 6%

1 : 12.16 ล้
านบาท
2 : 13.16 ล้
านบาท
http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 41/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
2 : 13.16 ล้
านบาท
3 : 14.16 ล้
านบาท
4 : 15.16 ล้
านบาท
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

้   243  :  โครงการขยายถนนสายหนึ
ข อที 䙐
ง ใช้
เวลาในการดํ
าเนิ
นการปรับปรุ
ง 1 ปี
 และเงิ
นลงทุ
นในการดํ
าเนิ
นการ 25 ล้
านบาท มี
อายุ
ของโครงการ 10 ปี
  ทั䛰
งนี

  ในขณะที

ดาํ
เนิ
นการ
ปรับปรุงนั䛰
น จํ
าเป็
นต้
องมี
การปิ
ดการจราจรในบางช่ วงเวลา คาดว่
าจะทํ าให้เกิ
ดการจราจรติ ดขัดคิดเป็
นมู
ลค่
าเงิ
น  5 ล้
านบาท  แต่
เมื

อปรับปรุ
งแล้
วเสร็
จ  สภาพการจราจรจะคล่
องตัว
ขึ
นคิ
䛰 ดเป็นผลประโยชน์ ที

มู
ลค่
าเงิ
นปี
ละ 6  ล้
านบาท จงวิเคราะห์
หา Internal Rate of Return (IRR) โดยประมาณของโครงการปรับปรุ งนี

1 : 14.1%
2 : 15.1%
3 : 16.1%
4 : 17.1%

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

เนื
อหาวิ
ชา : 554 : Flexible and rigid pavement design

ข อที
้  244 : การสรางถนนมิ
้ ตรภาพเป็ ั
นถนนชนหนึ
ง ผิ
วลาดยางแอสฟั ลต์
คอนกรี ้
ตใชค่
าใดเป็
นหลักในการออกแบบ

1 : Wheel Load and Traffic
2 : Compaction and Wheel Load
3 : Benkelman Beam and Wheel Load
4 : CBR and Wheel Load

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้   245  :  ค่
าเฉลี
ยของจํ
านวนรถที
มี
นํ
าหนั กเพลาเท่
ากับ  18000  ปอนด์ ้
  มาใชถนนในหนึ ่งจราจรต่
งชอ ่งจราจรที
อวัน   ในชอ ้
ใชออกแบบ  ของชว่
งระยะเวลาในการออกแบบ  คื
อค่

เฉลียในข อใด

1 : Initial Daily Traffic 
2 : Design Traffic Number 
3 : Equivalent Daily Traffic 
4 : Design Daily Traffic 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  246 : จงหาจํ
านวนรถบรรทุ
กที ้
ใชในการออกแบบโครงสร างทางตลอดอายุ
้ ้
การใชงาน 7 ปี  โดยรถบรรทุ กมี
อต
ั ราการเพิ
มขึ
น 5 % คงที
ทุ
กปี
 (Growth Factor = 8.14 ) 
กํ
าหนดใหในปี
้ แรกคาดว่ าจะมี
จํ
านวนรถทังหมดทุ
กประเภทวัน ละ , ADT  = 20,000 คัน /วัน  Directional Value = 60 % จํานวนรถบรรทุ
กคิ
ดเป็
น 15 % ของรถทังหมด และรถบรรทุ

จํ
านวน 90 % วิ งอยู
ใ่ ่งทางที
นชอ ้
ใชออกแบบ

1 : 

2 : 
3 : 

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้   247  :  จงหาปริมาณของเหล็
กตะแกรงตามความยาว  ของผิ
วทางคอนกรี ่งทาง  แผ่
ตขนาด  2  ชอ น คอนกรี
ตหนา  20  cm  ความกวางของแต่
้ ่งทางเท่
ละชอ ากับ  3.50  m  ระยะห่
าง
ระหว่
างรอยต่ อ15 m 
กํ
าหนดใหใช ้ กตะแกรงสํ
้เหล็ าเร็
จรู
ป fs = 2,700 ksc ความหนาแน่ ต = 2400 kg/m3 และค่
น คอนกรี าสัมประส ท
ิธิ
แรงเส
︀︀ ย ีดทาน, f มี
ค่
า 1.50

1 : 
2 : 
3 : 
4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  248 : การกระจายหน่
วยแรงเมื
อมี
นํ
าหนั กกด จากผิ ่
วจราจรดานบน ลงสู
้ ั น คัน ทางดานล่
ชนดิ ้ างสํ
าหรับถนนลาดยาง (Flexible Pavement)มี
ส มมุ
ตฐ
ิานอย่
างไร

าเสมอเป็
1 : กระจายสมํ นรู ี ยม
ปส เหลี
นรู
2 : กระจายเป็ ปกรวยเอี
ยง 80 องศา
นรู
3 : กระจายเป็ ปกรวยเอี
ยง 45 องศา
นรู
4 : กระจายเป็ ปกรวยเอี
ยง 60 องศา
รป
5 : มีูแบบไม่แน่
น อน

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  249 : การกระจายหน่
วยแรงเมื
อมี
นํ
าหนั กกด จากผิ ่
วจราจรดานบน ลงสู
้ ั น คัน ทางดานล่
ชนดิ ้ างสํ
าหรับถนนคอนกรี
ต (Rigid Pavement)มี
ส มมุ
ตฐ
ิานอย่
างไร

าเสมอตลอดแผ่
1 : กระจายสมํ น พื
นคอนกรี

นรู
2 : กระจายเป็ ปกรวยเอี
ยง 80 องศา

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 42/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
นรู
3 : กระจายเป็ ปกรวยเอี
ยง 45 องศา
นรู
4 : กระจายเป็ ปกรวยเอี
ยง 60 องศา
รป
5 : มีูแบบไม่แน่
น อน

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  250 : แผ่
น คอนกรี
ตหนา 30 ซม. กวาง 2x3.5 เมตร (2 ช
้ ่งจราจร) ยาว 15.0 เมตร จงคํ
อ านวณหาขนาดเหล็
กเสริ ้ ก SR24
มกัน แตก ตามยาวและตามขวาง โดยใชเหล็

กเสริ
1 : เหล็ ้ านศู
มตามยาว เส นผ่ น ย์
กลาง 9 มม.ทุ
กๆ 9 ซม. เหล็
กเสริ ้ านศู
มตามขวาง เส นผ่ น ย์
กลาง 9 มม.ทุ
กๆ 20 ซม.

กเสริ
2 : เหล็ ้ านศู
มตามยาว เส นผ่ น ย์
กลาง 9 มม.ทุ
กๆ 9 ซม. เหล็
กเสริ ้ านศู
มตามขวาง เส นผ่ น ย์
กลาง 9 มม.ทุ
กๆ 25 ซม. 

กเสริ
3 : เหล็ ้ านศู
มตามยาว เส นผ่ น ย์
กลาง 9 มม.ทุ
กๆ 6 ซม. เหล็
กเสริ ้ านศู
มตามขวาง เส นผ่ น ย์
กลาง 9 มม.ทุ
กๆ 15 ซม.
กเสริ
4 : เหล็ ้ านศู
มตามยาว เส นผ่ น ย์
กลาง 9 มม.ทุ
กๆ 30 ซม. เหล็
กเสริ ้ านศู
มตามขวาง เส นผ่ น ย์
กลาง 9 มม.ทุ
กๆ 10 ซม. 

กเสริ
5 : เหล็ ้ านศู
มตามยาว เส นผ่ น ย์
กลาง 9 มม.ทุ
กๆ 12 ซม. เหล็
กเสริ ้ านศู
มตามขวาง เส นผ่ น ย์
กลาง 9 มม.ทุ
กๆ 20 ซม. 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที ้
้  251 : กรมทางหลวงใชวิ
ธอ
ีอกแบบความหนาของ Flexible Pavement 
โดยดัดแปลงมาจากวิ ธ ใี

1 : The Asphalt Institute
2 : Portland Cement Association
3 : Road Note
4 : AASHTO

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  252 : กรมทางหลวงนํ
าวิ
ธ ใี ้
ดมาใชออกแบบถนนคอนกรี

1 : TAI
2 : PCA
3 : AASHTO
4 : TRB

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  253 : ข อมู
้ลดานการจราจรที
้ นํ ้
ามาใชในการออกแบบความหนาของถนนลาดยางโดยวิ
ธ  ี อข อใด
The Asphalt Institute คื ้

1 : Initial Daily Traffic
2 : Traffic Signalization
3 : Hourly Traffic
4 : Critical Lane Volume

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที ั
้  254 : ชนโครงสรางของถนนช
้ ั
นใด ใช วั้
ส ดุ
ทมี
ีความแข็
งแกร่
ง ทนทาน รับนํ
าหนั กสู
งไดดี
้ มี
ค่
า CBR > 80%

1 : รองพื นทาง
2 : วัส ดุ
คัดเลื
อก
3 : พืนทาง
4 : ดิน เดิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  255 : เหล็
กชนิ
ดใด ทํ
าหน าที
้ ถ่
ายนํ
าหนั กจากแผ่
น คอนกรี
ตต่
างผื
น กัน  เพื
อรับแรงเฉื
อน และแรงกระแทกจากลอของยานพาหนะ

กเสริ
1 : ตะแกรงเหล็ ม
กเดื
2 : เหล็ อย
3 : ปลอกเหล็กเดื
อย
กยึ
4 : เหล็ ด

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  256 : แผ่
น คอนกรี
ตหนา 15 ซม. กวาง 3.50 ม. ยาว 7.00 ม. จงคํ
้ านวณเหล็
กเสริ
มกัน ราว

1 : 

2 : 

3 : 

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 43/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้  257 : ข อใดเป็
้ นแบบขยายรอยต่
อเพื
อการก่
อสราง

1 : 

2 :     

3 :  

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  258 : dowel bar หรื
อเหล็
กเดื ใชกั้
อย ไม่ บ รอยต่
อชนิ
ดใดในแผ่
น คอนกรี

อเพื
1 : รอยต่ อการหดตัว (Contraction Joint)
อเพื
2 : รอยต่ อการก่
อสราง (Construction Joint)

อเพื
3 : รอยต่ อการขยายตัว (Expansion Joint) 
อตามยาว (Longitudinal Warping Joint)
4 : รอยต่

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  259 : ครึ
งหนึ
งของความยาวของเหล็ ใชกั้
กที บรอยต่
อในแผ่
น คอนกรี
ต ชนิ
ดใดตองทาผิ
้ วดวยวั
้ ส ดุ
ป้
องกัน การยึ
ดเกาะกับเนื
อคอนกรี

กเดื
1 : เหล็ อย (dowel bar) 
กยึ
2 : เหล็ ด (Tie bar)
งหนึ
3 : ครึ งของความยาวของเหล็
กเดื
อย และเหล็
กยึ
ด ตองทาผิ
้ วดวยวั
้ ส ดุ ป้
องกัน การยึ
ดเกาะกับเนื
อ คอนกรี

งหนึ
4 : ครึ งของความยาวของเหล็
กเดื
อย และเหล็
กยึ
ด ไม่
ตองทาผิ
้ วดวยวั
้ ส ดุ ป้
องกัน การยึ
ดเกาะกับเนื
อ คอนกรี

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 44/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้  260 : เหล็ ใชกั้
กที บรอยต่
อในแผ่
น คอนกรี
ต มี
การเลื ้างไร
อกใชอย่

้ กเส นกลมเป็
1 : ใชเหล็ ้ นเหล็กเดื ้ กข ออ
อย (Dowel Bar) และใชเหล็ ้อยเป็
้ นเหล็
กยึ
ด (Tie Bar)
้ กเส นกลมเป็
2 : ใชเหล็ ้ นเหล็กยึ ้ กข ออ
ด และใชเหล็ ้อยเป็
้ นเหล็กเดื
อย 
้ กข ออ
3 : ใชเหล็ ้อยทั
้ งเหล็ กเดื
อย และเหล็
กยึด
้ กเส นกลมทั
4 : ใชเหล็ ้ งเหล็กเดื
อย และเหล็
กยึด 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  261 : ในการสรางรอยต่
้ อเพื
อการหดตัวในแผ่
น คอนกรี
ต มี
การตัดคอนกรี
ตเมื
อเริ
ม Set ตัวหรื
อฝั งพุ
กในขณะคอนกรี
ตยังไม่
แข็
งตัว ใหลึ
้กลงไปเท่
าไรในแผ่
น คอนกรี

น คอนกรี
1 : 1/3 ของแผ่ ต
น คอนกรี
2 : 1/4 ของแผ่ ต
น คอนกรี
3 : 1/5 ของแผ่ ต
น คอนกรี
4 : 1/6 ของแผ่ ต

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  262 : การสรางรอยต่
้ อตามยาวของแผ่
น คอนกรี
ตใหเป็
้นรู
ป key Joint มี
วัตถุ
ประสงค์
อย่
างไร

อชว่
1 : เพื ยยึ
ดรอยต่ อมิ
ใหแยกจากกั
้ น
อชว่
2 : เพื ยในการถ่ ายนําหนั กระหว่
างแผ่น คอนกรีต
อป้
3 : เพื องกัน มิ
ใหนํ
้ ึลงไปในพื
าซม นทาง
อชว่
4 : เพื ยในการแตกออกจากกัน อย่ างเป็นระเบี
ยบของแผ่
น คอนกรี

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที ั
้  263 : ชนรองพื
นทาง (base) วัส ดุ
ประเภทซอยแอกกรี
เกท จะตองมี
้ ค่า CBR ไม่
น อยกว่
้ าเท่าใด

1 : 20%
2 : 40%
3 : 60%
4 : 80%

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  264 : ดิ
น คัน ทางเป็ ั น เดิ
นชนดิ มหรื
อดิ
น ถม เรี
ยกว่ ั
าชนอะไร

1 : Subbase
2 : Base Course
3 : Wearing Course
4 : Subgrade

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  265 : รอยต่
อถนนคอนกรี
ตเพื
อการขยายตัวตามขวาง เรี
ยกว่
าอะไร

1 : Contraction Joint
2 : Construction Joint
3 : Expansion Joint
4 : Longitudinal Joint

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  266 : โดยทัวไป วัส ดุ
ลู ั
กรังในชนรองพื
นทาง จะตองมี
้ ค่า CBR. ไม่
น อยกว่
้ าเท่าใด(กรณี
ทดลองวิ
ธแ
ีบบ Soak)

1 : 8%
2 : 15%
3 : 20%
4 : 25%

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที ีหายที
้  267 : ความเส ย แผ่
น พื
นคอนกรี
ต (Rigid Pavement) สาเหตุ ีหายข อใดพบได
การเส ย ้ มากที
้ สุ ด

งตัว
1 : การโก่
น ตัว
2 : การแอ่
วหน าส
3 : ผิ ้ก ึกร่
อน
ดตัว
4 : การบิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  268 : มาตรฐานกรมทางหลวง การก่
อสรางทางผิ
้ วจราจรคอนกรี
ต (Rigid Pavement) จะตองใช ้
้ ทรายรองพื
นหนาเท่
าใด

1 : 5 ซม.

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 45/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
2 : 10 ซม.
3 : 15 ซม.
4 : 20 ซม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  269 : Binder Course อยูนส่
ใ่ วนใดของโครงสรางถนน

วทาง (Surface)
1 : ผิ
2 : พืนทาง (Base Course)
3 : รองพืนทาง (Subbase Course)
น เดิ
4 : ดิ ม (Subgrade)

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  270 : ผิ ดใดใชส้
วทางชนิ ํ
าหรับถนนประเภทที
มี
ปริ
มาณการจราจรสู

วทางเซอร์
1 : ผิ เฟซทรี ทเมนต์
้  (Surface Treatment)
วทางเพนนิ
2 : ผิ ั
เตรชนแมคคาดั ม (Penetration Macadam)
วทางเคพซล
3 : ผิ ี (Cape Seal)
วทางแอสฟั ลท์
4 : ผิ คอนกรีต (Asphalt Concrete)

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  271 : จากการทดสอบค่ น คัน ทางในถนนชว่
า CBR ของดิ งหนึ
งไดค่
้า CBR จํ
านวน 10 ค่
า คื
อ 9, 6, 9, 8, 7, 10, 9, 9, 8, และ 12 จงกํ
าหนดค่
า CBR ที ้
จะใชในการออกแบบ
โครงสรางถนน

1 : 7%
2 : 9%
3 : 10%
4 : 12%

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  272 : หน่
วยแรงที
เกิ
ดขึ
นในถนนคอนกรี
ตเกิ
ดจากอะไร

1 : ความแตกต่ างของอุ
ณหภูมข
ิองผิ
วบนและล่ าง
าหนั กกระทํ
2 : นํ าจากลอยานพาหนะ

3 : การเปลี ื นดิ
ยนแปลงความชนในช ั น ที
รองรับถนน
กทุ
4 : ถู กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที ใชว่
้  273 : ข อใดไม่
้ ัตถุ
ประสงค์
ในการเสริ
มเหล็
กในถนนคอนกรี

1 : ป้องกัน การแตกราวเนื
้ องจากอุ ณหภูมิ
2 : ยึดรอยแตกราวไม่
้ ใหห่ ้ างจากกัน
3 : รับแรงดัดที เกิดจากนํ าหนั กลอกระทํ
้ ากับถนน
4 : ลดการแอ่ น ตัว (Deflection) ในถนน

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  274 : การเสริ
มเหล็
กในถนนคอนกรี
ตจะเสริ
มบริ
เวณใด

าจากผิ
1 : ระยะตํ วบนประมาณ 3 – 5 เซนติเมตร
งจากผิ
2 : ระยะสู วล่างประมาณ 3 – 5 เซนติ
เมตร
งกลางระหว่
3 : ตรงกึ างผิ
วบนและผิวล่าง
มเหล็
4 : เสริ กที
ตําแหน่งใดก็
ได ้

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  275 : รอยต่
อของถนนคอนกรี
ตแบบใดที
ทํ
าหน าที
้ บังคับใหรอยแตกในแผ่
้ น คอนกรี
ตเกิ
ดตรงจุ
ดที
ตองการ

1 : Contraction Joint
2 : Construction Joint
3 : Expansion Joint
4 : Longitudinal Joint

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  276 : เหล็
กเดื
อย (Dowel Bar) ไม่ ้
ใชในรอยต่
อประเภทใด

1 : Contraction Joint
2 : Construction Joint
3 : Expansion Joint
4 : Longitudinal Joint

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 46/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้   277  :  จงหาหน่
วยแรงทีเกิดในถนนคอนกรี
ตที
จุ
ดกึ
งกลางความยาวถนนจากแรงฝื
ดเมื
อถนนเป็
นแผ่ ตหนา  20  ซม.  ยาว  15  เมตร  สัมประส ท
น คอนกรี ิธิ
ความเส
︀︀ ีดทานระหว่
ย าง
แผ่น คอนกรี ตกับพืนทางเท่
ากับ 1.5

1 : 2.70 กก/ตร.ซม.
2 : 3.50 กก/ตร.ซม
3 : 4.30 กก/ตร.ซม.
4 : 5.40 กก/ตร.ซม

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  278 : รอยต่
อในผิ
วทางคอนกรี
ตที
แสดง เป็
นรอยต่
อชนิ
ดใด

อเพื
1 : รอยต่ อการขยายตัว (Expansion Joint)
อเพื
2 : รอยต่ อการหดตัว (Contraction Joint)
อเพื
3 : รอยต่ อการก่
อสราง (Construction Joint)

อตามยาว (Longitudinal Joint)
4 : รอยต่

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  279 : รอยต่
อในผิ
วทางคอนกรี
ตที
แสดง เป็
นรอยต่
อชนิ
ดใด

อเพื
1 : รอยต่ อการขยายตัว (Expansion Joint)
อเพื
2 : รอยต่ อการหดตัว (Contraction Joint)
อเพื
3 : รอยต่ อการก่
อสราง (Construction Joint)

อตามยาว (Longitudinal Joint)
4 : รอยต่

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  280 : โครงสรางทางช
้ ั
นใดที
อยู
ใ่ ั วทางลาดยาง
ตช้นผิ


1 : ชนรองพื นทาง
ั นทาง
2 : ชนพื
3 : ชนวัั ส ดุคัดเลือก
4 : ชนดิ ั น คัน ทาง

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  281 : จงหาปริมาณของเหล็กตะแกรงตามความยาว ของผิ
วทางคอนกรี ่งทาง
ตขนาด 2 ชอ
แผ่น คอนกรีตหนา 20 cm. 
ความกวางของแต่
้ ละชอ่งทางเท่
ากับ 3.50 m. 
ระยะห่างระหว่
างรอยต่อเพื
อการขยายตัว 15 m.

1 : 

2 : 

3 : 

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  282 : เหล็ ใชกั้
กที บรอยต่
อในแผ่
น คอนกรี
ต ชนิ
ดใดที
ครึ
งหนึ
งของความยาวตองทาผิ
้ วดวยวั
้ ส ดุ
ป้
องกัน การยึ
ดเกาะกับเนื
อคอนกรี

1 : Dowel Bar
2 : Tie Bar

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 47/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
3 : Longitudinal Steel
4 : Transverse Steel

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  283 : การกํ าหนดใหใช ้
้นําหนั กเพลาเดี
ยวมาตรฐาน ( Single Axle Load ) 18,000 ปอนด์   และเปลี
ยนยวดยานขนาดนํ
าหนั กเพลาต่
างๆ ที ้
มาใชถนนใหเป็
้น Equivalent Axle
load (EAL) นั น เป็
นการวิ
เคราะห์
ดานการจราจรของการออกแบบถนนลาดยางของวิ
้ ธกีารในข อใด

ธ  ี
1 : วิ The AASHTO method
ธ  ี
2 : วิ Group Index
ธ  ี
3 : วิ Corps of Engineers
ธ  ี
4 : วิ ธ  ี
The Asphalt Institute (1981, 1991) และ วิ Corps of Engineers

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  284 : จากการทดสอบค่ น คัน ทางในถนนชว่
า CBR ของดิ งหนึ
งไดค่
้า CBR จํานวน 10 ค่
า คื
อ 
9, 6, 9, 8, 7, 10, 9, 9, 8, และ 12 
จงกําหนดค่ า CBR ที ้
จะใชในการออกแบบโครงสร างถนน กํ
้ าหนดใหใช ้
้ Percentile ที
 90

1 : 7%
2 : 9%
3 : 10%
4 : 12%

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  285 : ในการจํ
าลองโครงสรางทางแบบยึ
้ ดหยุ

่ (Flexible) เป็
นโครงสราง 3 ช
้ ั
น ดั งรู
ป Stresses / Strains ที
วิ
กฤตในการออกแบบโครงสรางทาง คื
้ อข อใด

ผิ
1 : Tensile stresses ทีวล่ ั
างของชน Bituminous bound layer และ Compressive strains ที ดานบนของช
้ ั
น Subgrade
ดานบนของช
2 : Tensile stresses และ Compressive strains ที้ ั
น Subgrade
3 : Compressive strains ทีผิวล่ ั
างของชน Bituminous bound layer และ Tensile stresses ด านบนของช
้ ั
น Subgrade
ผิ
4 : Tensile stresses และ Compressive strains ทีวล่ ั
างของชน Bituminous bound layer

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  286 : รถบรรทุ
กหกลอ (สองเพลา) คั
้ น หนึ
ง นํ
าหนั กรวม (Gross Vehicle Weight) เท่
ากับ 12 ตัน  นํ
าหนั กรถกระจายลงเพลาหน าและเพลาหลั
้ งเท่
ากับรอยละ 35 และ 65 ตาม

ลํ
าดับ ถากํ
้าหนดให Load Equivalency Factor = [ Axle Load , i / Standard Axle Load, 18000 lbs]
้ 4 และ 1 ton = 2200 lb, รถคัน นี
วิ
ง 1 เที
ยวจะเที
ยบเท่
ากับเพลามาตรฐาน
งเท่
(Standard Axle) วิ าใด

ยว
1 : 0.83 เที
ยว
2 : 0.90 เที
ยว
3 : 1.15 เที
ยว
4 : 1.46 เที

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที ่งจราจรออกแบบของทางหลวงสายหนึ
้  287 : ในชอ ง รถบรรทุ กที
 1 คัน เที
ยบเท่
ากับเพลามาตรฐานวิ
ง1.15 ครัง ในปี
แรกมี
รถบรรทุ
กผ่
าน 100 คัน ต่
อวัน  และรถบรรทุ
กมี
อต
ั ราการ
เพิมรอยละ 4 ต่
้ อปี ถาอายุ
้ ออกแบบ (Design life) = 5 ปี
 นําหนั กจราจรที ้
ใชออกแบบโครงสร างทางจะเท่
้ ากับเท่
าใด

1 : 2.2 x 105 เที
ยว
2 : 4.9 x 104 เที
ยว
3 : 2.09 x 105 เที
ยว
4 : 2.45x 104 เที
ยว

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 48/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้  288 : Full­ Depth Pavement ตามความหมายของ The Asphalt Institute หมายถึ
งข อใด

1 : โครงสรางถนนที
้ รับนํ
าหนั กมาก จึงออกแบบใหแข็้งแรงเป็ นพิ
เศษ
2 : โครงสรางถนนที
้ ออกแบบใหสามารถรั
้ บนํ
าหนั กรถไดตลอดอายุ
้ ้
ใชงานของทางนั นไม่
ตองเททั
้ บเพิ
มในภายหลัง
3 : โครงสรางถนนที
้ มี ั
เฉพาะชนผสมวั ส ดุ
แอสฟั ลท์
เท่ ั
านั นวางบนชน Subgrade
4 : โครงสรางถนนที
้ ประกอบดวยผิ ้ วทาง พืนทาง รองพืนทาง และวัส ดุ
คัดเลื
อกเต็
มรู
ปแบบ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  289 : 


1 : 10.0 นิ

2 : 15.1 นิ

3 : 18.1 นิ

4 : 20.1 นิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  290 : คํ
าว่
า Pumping Action ในงานถนนคอนกรี
ต หมายถึ
งข อใด

1 : การทีนํ
าและดิน ไดแผ่
้ น พื
นคอนกรีตพุ
ง่
ขึนมาผ่
านทางรอยต่ อ รอยแตกหรื อที
ขอบของ แผ่น พื
นเมื
อมีนํ
าหนั กกดใหแผ่
้น พื
นแอ่
น ลงหลังจากมี
นํ
าขังสะสมอยู
ใ่
ตแผ่
้ น พื
นนั น
2 : เทคนิคพิเศษในการเทคอนกรี ตงานถนนทีตองเทด
้ ้ ตราส่
วยอั วนซเี มนต์
ต่
อนํ
าตํ
ากว่
าคอนกรีตทัวไป
3 : การเทคอนกรี ตเพือไปอุดโพรงใตถนนคอนกรี
้ ต เป็นการป้องกัน ไม่
ใหถนนคอนกรี
้ ีหาย
ตเส ย
4 : การระบายนําใตถนนคอนกรี
้ ตออก เพื
อใหทางไม่
้ ีหาย
เส ย

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  291 : เมื
อแผ่
น พื
นคอนกรี
ตถู
กกระทํ
าดวยนํ
้ าหนั กลอที
้ ขอบของแผ่
น พื
น (Edge loading). Tensile stress สู
งสุ
ดในแผ่
น พื
นคอนกรี
ตเกิ
ดขึ
น ณ ตํ
าแหน่
งใด

1 : ใตนํ
้าหนั กบรรทุก ทีผิ
วล่างของแผ่น พื
นคอนกรี
ต มี
ข นาดเท่
ากัน ทุ
กทิ
ศทาง
2 : ใตนํ
้าหนั กบรรทุก ผิวล่
างของแผ่น พืนคอนกรี
ตมี
ทศิทางขนานกับขอบ
3 : ดานบนของแผ่
้ น พื
นคอนกรี ้ งครึ
ต ในแนวเส นแบ่ งมุมของแผ่
น พืนคอนกรี

ดที
4 : ณ จุ นํ าหนั กบรรทุก ผิ
วบนของแผ่ น พื
นคอนกรี
ตมีทศ
ิทางขนานกับขอบ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  292 : เมื
อแผ่
น พื
นคอนกรี
ตถู
กกระทํ
าดวยนํ
้ าหนั กลอที
้ มุ
มของแผ่
น พื
น (Corner loading) Tensile stress สู
งสุ
ดเกิ
ดขึ
น ณ ตํ
าแหน่
งใด

1 : ใตนํ
้าหนั กบรรทุก ทีผิ
วล่างของแผ่น พื
นคอนกรี
ต มี
ข นาดเท่
ากัน ทุ
กทิ
ศทาง
2 : ใตนํ
้าหนั กบรรทุก ผิวล่
างของแผ่น พืนคอนกรี
ตมี
ทศิทางขนานกับขอบ
3 : ดานบนของแผ่
้ น พื
นคอนกรี ้ งครึ
ต ในแนวเส นแบ่ งมุมของแผ่
น พืนคอนกรี

ดที
4 : ณ จุ นํ าหนั กบรรทุก ผิ
วบนของแผ่ น พื
นคอนกรี
ตมีทศ
ิทางขนานกับขอบ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 49/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้  293 : การที
แผ่
น พื
นคอนกรี ตรับความรอนในตอนกลางวั
้ น และการคายความรอนในตอนกลางคื
้ น  มี
ผลใหอุ้ณหภู มภิายในผืน คอนกรี ตไม่เท่
ากัน  (มี ง
  Temperature gradient) จึ
ทําใหแผ่
้น พืนคอนกรี
ตโก่
ง  (Curl  or  Warp)  ตอนกลางวัน   แผ่
น พื
นคอนกรีตโก่
งลง  ทํ
าใหเกิ
้ดหน่
วยแรงดึง  (Tensile  stresses)  เนื
องจาก  Temperature  gradient  ขึน  ณ  ที
ใดใน
แผ่น พื
นและกระจายอย่
างไร

ดสมํ
1 : เกิ าเสมอตลอดผิวล่างของแผ่
น พื

ดที
2 : เกิ ผิ
วล่างของแผ่
น พื
น และมี
ค่
ามากสุดที
กลางผื

ดสมํ
3 : เกิ าเสมอตลอดผิวบนของแผ่น พื

ดที
4 : เกิ ผิ
วบนของแผ่น พื
น และมากทีสุ
ดทีกลางผื

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  294 : การที
แผ่
น พื
นคอนกรี ตรับความรอนในตอนกลางวั
้ น และการคายความรอนในตอนกลางคื
้ น  มี
ผลใหอุ้ณหภู มภิายในผืน คอนกรี ตไม่เท่
ากัน  (มี ง
  Temperature gradient) จึ
ทําใหแผ่
้น พืนคอนกรี
ตโก่
ง  (Curl  or  warp)  ตอนกลางคื
น   แผ่น พื
นคอนกรี
ตโก่
งขึน  ทํ
าใหเกิ
้ดหน่
วยแรงดึง  (Tensile  stresses)  เนื
องจาก  Temperature  gradient  ขึน  ณ  ที
ใดใน
แผ่น พื
นและกระจายอย่
างไร

ดสมํ
1 : เกิ าเสมอตลอดผิวล่างของแผ่
น พื

ดที
2 : เกิ ผิ
วล่างของแผ่
น พื
น และมี
ค่
ามากสุดที
กลางผื

ดสมํ
3 : เกิ าเสมอตลอดผิวบนของแผ่น พื

ดที
4 : เกิ ผิ
วบนของแผ่น พื
น และมากทีสุ
ดทีกลางผื

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้   295  :  เมื
ออุ
ณหภู
มเิ
ฉลี
ยของแผ่
น พื
นคอนกรี
ตลดลงและตองการจะหดตั
้ ว  แต่
เนื
องจากมี
ดน
ิ  Subgrade  เหนี
ยวรังไว ้การเหนี
ยวรังของ  Subgrade  ในกรณี
นี
จะทํ
าใหเกิ
้ด
Stresses ประเภทใด

น พื
1 : Tensile Stresses ในแผ่ น
2 : Compressive Stresses ในแผ่ น พื

น พื
3 : Flexible Stresses ในแผ่ น
4 : Bending Stresses ในแผ่น พืน

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  296 : ในการออกแบบถนนคอนกรี
ต เราพิ
จารณาออกแบบรองรับ Stresses เนื
องจากอุ
ณหภู
มอ
ิย่
างไร

1 : ออกแบบแผ่ น พืนใหหนาเพี
้ ยงพอทีจะรับ Stresses นี
ได ้
2 : ใส่เหล็
กเสริ
มรับหน่วยแรงดัดเพิ
มขึ

3 : ตัดซอยคอนกรี ตเป็นผื
น เล็
กเพื
อลด Stresses ใหเหลื
้ อน อย

4 : ปรับอุ
ณหภูมแิผ่น พื
นใหคงที
้ มากที สุ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  297 : ในการทดสอบค่ า CBR ของดิ น คัน ทางในถนนชว่
งหนึ
ง ไดค่
้า CBR จํ
านวน 15 ค่
าดังนี านวณหาค่
 11, 12, 6, 9, 8, 10, 7, 11, 9, 10, 8, 12, 6, 6, 9 จงคํ ใช ้
า CBR ที
ในการออกแบบของวิ ธ  ี
The Asphalt Institute

1 : 6
2 : 7
3 : 8
4 : 9

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  298 : เหล็ ใส่
กที ในรอยต่
อตามขวางในผิ
วทางคอนกรี
ตเรี
ยกว่
าเหล็
กอะไร

1 : Temperature Steel
2 : Reinforcement Steel
3 : Tie Bar
4 : Dowel Bar

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  299 : รอยต่
อใดที
จํ
าเป็
นตองเว
้ นช ่งว่
้อ างระหว่
างแผ่
น คอนกรี

1 : Contraction Joint
2 : Expansion Joint
3 : Construction Joint
4 : Longitudinal Joint

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

้  300 : เมื
ข อที 䙐
อออกแบบให้
ถนนลาดยางกับถนนคอนกรี
ตให้
รับนํ
าหนักจราจรได้
䛰 เท่
ากัน โดยทัว䙐
ไปแล้
วข้
อความต่
อไปนี

ขอ้
ใดเป็
นจริ

1 : ถนนคอนกรี
ตแพงกว่าถนนลาดยาง
2 : ถนนคอนกรี
ตต้
องใช้
เครื

องจักรหนักมากกว่

3 : ถนนคอนกรี
ตต้
องการการซ่อมบํารุ
งน้
อยกว่

4 : ถนนคอนกรี
ตต้
องการบุคลากรที䙐
มี
ความชํ
านาญงานในการก่
อสร้
างมากกว่

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 50/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

้  301 :  รถบรรทุ
ข อที กหกล้
อ (สองเพลา) คันหนึ

ง นํ
าหนักรวม (Gross Vehicle Weight) เท่
䛰 ากับ 12 ตัน นํ
าหนักรถกระจายลงเพลาหน้
䛰 าและเพลาหลังเท่
ากับร้
อยละ 35 และ 65 ตาม
ลํ
าดับ  ถ้
ากําหนดให้   Load Equivalency Factor  = [ Axle Load , i  / Standard Axle Load, 18000 lbs]4  และ 1 ton = 2200 lb, รถคันนี

วงิ
 100 เที
䙐 䙐
ยวจะเที
ยบเท่
ากับเพลามาตรฐาน
(Standard Axle) วิ
ง䙐
เท่าใด

1 : 83 เที䙐
ยว
2 : 90  เที

ยว
3 : 115  เที

ยว
4 : 146  เที

ยว
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  302 :
จงหาความหนาของ  Full-Depth  pavement  เพื

อรองรับนํ
าหนักจากการจราจรในเลนออกแบบ    2.0  ล้
䛰 านเที

ยวของเพลามาตรฐาน  18,000  lb    บนดิ
น  Subgrade  ที

มี
ค่
า  CBR  6  % 
(Resilient Modulus, psi = 1500 CBR)

1 : 10.0 นิ


2 : 15.1 นิ


3 : 18.1 นิ


4 : 20.1 นิ


คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  303 : รถบรรทุ ิลอ (3 เพลา) คั
กสบ ้ นหนึ
ง นํ
าหนักรวม (Gross Vehicle Weight) เท่
ากับ  20 ตัน นํ
าหนักรถกระจายลงเพลาหนา เพลากลางและเพลาหลั
้ งเท่
ากับ รอยละ 20, 40 และ 40 ตามลํ
้ าดับ  ถากํ
้าหนดให ้
ิลอคั
Load Equivalency Factor = [ Axle load,i/Standard Axle Load,1800 lbs ] และ 1 ton = 2,000 lbs รถสบ ้นนีวิ
ง   1 เที
ยว จะเที
ยบเท่
ากับ เพลามาตรฐาน (Standard Axle) วิ
งกี
เที
ยว

ยว
1 : 4.3 เที

ยว
2 : 1.52 เที

ยว
3 : 1.29 เที

ยว
4 : 0.82 เที

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

เนื
อหาวิ
ชา : 555 : Highway materials

ข อที
้  304 : แอสฟั ลต์
บริ
สุ
ทธิ
มี
︀︀คุ
ณสมบัตท
ิพิ
ีเศษอย่
างหนึ
งคื
อสามารถละลายไดหมดในสารใด

1 : 
2 : HCl
3 : NaCl

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  305 : Cutback Asphalt ในข อใดที ้
้ ใชในงานลาดยาง Prime Coat

1 : MC­250
2 : MC­70
3 : RC­250

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 51/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
4 : RC­70

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  306 : Asphalt ชนิ
ดใดที ้
ใชในงาน Asphalt Concrete ผสมรอน

1 : AC 60­70
2 : AC 120­150
3 : MC­70
4 : RS­2

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที ้
้  307 : ในงาน Cold Mixed Asphalt Concrete จะใช Asphalt ชนิ
ดใด

1 : AC 60­70
2 : MC­70
3 : RS­2
4 : CMS­2h

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  308 : การหาค่
าความหนื
ดของ Emulsified Asphalt โดยทัวไปจะทดสอบตัวอย่
างที
อุ
ณหภู
มใิ

1 : 
2 : 
3 : 
4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  309 : ตามมาตรฐานของกรมทางหลวงคอนกรี
ตที ้
ใชในงานผิ
วทางคอนกรี
ตจะตองมี
้ กาํลังอัดลู
กบาศก์
ไม่
น อยกว่
้ าเท่าใด

1 : 180 ksc
2 : 240 ksc
3 : 280 ksc
4 : 325 ksc

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  310 : วัส ดุ
ทใช ้นส่
ี เป็ วนผสมสํ
าหรับแอสฟั ลต์
คอนกรี
ตผสมรอน มี
้ อะไรบาง

1 : แอสฟั ลต์ ซเีมนต์  นํ มวลรวม ซเี


า วัส ดุ มนต์
2 : แอสฟั ลต์ อมีล ั  วัส ดุ
ั ชน มวลรวม
3 : แอสฟั ลต์ ซเีมนต์  วัส ดุ
มวลรวม
4 : ซเี
มนต์  วัส ดุมวลรวม นํ า

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที ้ ่
้  311 : Cutback Asphalt ไดจากส วนผสมใดต่
อไปนี

ซเี
1 : แอสฟั ลต์ มนต์  กับ วัส ดุมวลรวม
2 : แอสฟั ลต์
อม
ิล ั  กับ วัส ดุ
ั ชน มวลรวม
ซเี
3 : แอสฟั ลต์ มนต์  กับ อิมลั ซไิ
ฟอิงเอเจนต์
ซเี
4 : แอสฟั ลต์ มนต์  กับ นํามัน ทีไดจากผลิ
้ ตภัณฑ์
ปิ
โตรเลี
ยม
ดทุ
5 : ผิ กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  312 : แอสฟั ลต์
อม
ิล ั  ไดจากส
ั ชน ้ ่ วนผสมใดต่
อไปนี

ซเี
1 : แอสฟั ลต์ มนต์
 กับ วัส ดุ มวลรวม
ซเี
2 : แอสฟั ลต์ มนต์
 กับ นํา
ซเี
3 : แอสฟั ลต์ มนต์
 กับ อิมลั ซไิฟอิงเอเจนต์
 กับ นํ

ซเี
4 : แอสฟั ลต์ มนต์
 กับ อิมล ั ซไิ
ฟอิงเอเจนต์
 กับ นํ
ามัน ที
ไดจากปิ
้ โตรเลี
ยม
ซเี
5 : แอสฟั ลต์ มนต์
 กับ นํามัน ที ไดจากปิ
้ โตรเลี ยม

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  313 : ยางแอสฟั ลต์
จะมี นส ใี
ลักษณะเป็ ด

1 : เทา
2 : นําตาลแก่
3 : ดํา
4 : ข อ 2 และ ข
้ อ 3 ถู
้ ก

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 52/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

ข อที ้ ใช ่
้  314 : ข อใดไม่ วัส ดุ
คัดเลื
อกประเภท ก.

1 : วัส ดุ
 Soil Aggregate
2 : ทราย
3 : ลูกรังที
ปราศจากกอนดิ
้ น เหนี
ยว
4 : ถูกทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  315 : ยางแอสฟั ลต์
ชนิ
ดใดที ้ ตสาหกรรม
ใชในอุ

1 : Cutback Asphalt
2 : Emulsified Asphalt
3 : Asphalt Cement
4 : Blown Asphalt

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที ้ าการส ก
้  316 : การทดลองใดใชหาค่ ึหรอของวัส ดุ
มวลหยาบ

1 : Stripping Test
2 : Job Mix Formula
3 : Particle Charge Test
4 : Los Angeles Abrasion Test

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  317 : วัส ดุั นทางโดยทัวไปจะใชวั้
ชนรองพื ส ดุ
อะไร

กรัง
1 : ลู
น โม่
2 : หิ หรื
อกรวดโม่
น คลุ
3 : หิ ก
น เดิ
4 : ดิ ม

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  318 : Asphalt Cement แบ่
งเกรดโดยการทดลองใด

1 : Softening Point
2 : Specific Gravity
3 : Float Test
4 : Penetration Test

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  319 : ตะกรัน เหล็
กเป็
นมวลรวมประเภทใด สามารถนํ ้าผิ
ามาใชทํ วจราจรได ้

1 : Pit or Bank­Run Materials
2 : Processed Aggregates
3 : Synthetic or Artificial Aggregates
4 : Selected Materials

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  320 : แอสฟั ลต์
ชนิ
ดใดมี
คุ
ณสมบัตพ
ิเิ จะใชกั้
ศษเหมาะที บงานทางดานอุ
้ ตสาหกรรมและงานพิ
เศษต่ ่ งานหลังคา งานเคลื
าง ๆ เชน อบผิ
วท่
อ เป็
นตน้

1 : Air Blown Asphalt
2 : Asphalt Cement
3 : Cutback Asphalt
4 : Emulsified Asphalt

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  321 : จากรู

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 53/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 15.8
2 : 70.7
3 : 89.8
4 : 105.6

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  322 : แอสฟั ลต์
ชนิ
ดใดที
ไม่ ้
ใชในงาน Tack Coat

1 : RC­70
2 : RC­250
3 : CRS­1
4 : CSS­1

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  323 : AASHTO กํ ามาตรฐานสํ
าหนดค่ าหรับวัส ดุ
ทใช ้
ี ในการก่ ้ นทาง(ส่
อสรางพื วนที
ผ่
านตะแกรงเบอร์
 40) ในข อใด

1 : 

2 : 

3 : 

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  324 : ข อใดมิ
้ ใชผ ่ลที
ไดในการปรั
้ บปรุ
งคุ
ณภาพดิ
น ดวยปู
้ น ขาว

1 : ลดความเป็ นพลาสติ ก (PI) 


มกํ
2 : เพิ าลังรับแรงเฉือนของดิ น 
มกํ
3 : เพิ าลังรับแรงอัด 
4 : ลดขนาดมวลดิ น

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  325 : การปรับปรุ
งคุ
ณภาพดิ
น ดวยปอร์
้ ซเี
ตแลนด์ มนต์
ไม่ จะใชกั้
เหมาะที ั
บชนทางช ั
นใด

น คัน ทาง 
1 : ดิ
2 : รองพืนทาง 
3 : พืนทาง 
วทาง
4 : ผิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

้  326 : การใชวั้
ข อที ส ดุ
ปรับปรุ
งคุ
ณภาพดิ
น ในข อใดไม่
้ เหมาะกับชนิ
ดของดิ

้ ตแลนด์
1 : ใชปอร์ ซเีมนต์ กบั ดิ
น ทราย 

2 : ใชปู
น ขาวกับดิน เหนี ยว 
้ ลต์
3 : ใชแอสฟั กบ
ั ดิ น เหนียว 

4 : ใชปู
น ขาวกับดิน เหนี ยวปนทราย

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 54/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  327 : ความมุหมายของการใชวั้
ง่ ส ดุ
ปรับปรุ
งคุ
ณภาพดิ
น ในข อใดไม่
้ ถก
ูตอง

้ ตแลนด์
1 : ใชปอร์ ซเี
มนต์เพือลด Plastic Index 

2 : ใชปู
น ขาวเพือลด Plastic Limit 
้ ลต์
3 : ใชแอสฟั เพื
อใหดิ
้น ลดปริ มาณการดู ดซม ึนํ
า 
้ น ยางแอสฟั ลต์
4 : ใชการพ่ คลุมทับดิ น ที
บดอัดแลวเพื
้ อป้
องกัน มิ
ใหนํ
้ ึเข าสู
าซม ้่ดน
ิ 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  328 : ข อใดคื
้ อยางประเภท Cutback Asphalt

1 : RM
2 : RS
3 : RD
4 : RC

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  329 : ข อใดคื
้ อยางประเภท Emulsion Asphalt

1 : CRS
2 : CMD
3 : CRB
4 : CBS

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  330 : หิ
น คลุ
กเป็
นวัส ดุ
ทนิ ้
ียมใชในการก่
อสรางช ั
้ นใดของทาง

1 : พืนทาง (Base Course)
2 : รองพื นทาง (Subbase Course)
3 : ดิน คัน ทาง (Subgrade)
4 : วัส ดุ
คัดเลือก (selected material)

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  331 : วัส ดุ
ทใช ้
ี ก่
อสรางช ั นทางสํ
้ นพื าหรับผิ
วทางแบบแอสฟั ลท์
คอนกรี
ตควรมี
ค่
า CBR ไม่
น อยกว่
้ า

1 : 100%
2 : 80%
3 : 60%
4 : 40%

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

้  332 : การใชวั้
ข อที ส ดุ
คัดเลื
อก (Selected Material) มี
จุ
ดประสงค์
เพื
ออะไร

1 : รับนํ ั วทางและถ่
าหนั กจากชนผิ ่
ายลงสูั
ชนรองพื นทาง
2 : ป้ ื ช้นผิ
องกัน ความชนใต ั วทาง
3 : ยกระดับของถนนเพื อลดหน่
วยแรงในดิ
น คัน ทางและใหพ
้นระดั
้ บนําท่
วม
4 : รับนํ
าหนั กโดยตรงจากลอของยานพาหนะ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  333 : เมื
อจํ
าแนกประเภทของดิ
น ตามระบบ AASHTO Classification แลว วั
้ ส ดุ
ใดที
เหมาะสมที
สุ ้นวัส ดุ
ดในการใชเป็ กอ
่สรางทาง

1 : A­1 ­ A­3
2 : A­4 ­ A­6
3 : A­7
4 : A­8

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  334 : ดิ
น ที
จํ
าแนกประเภทตามระบบ Unified Classification ไดเป็
้น SW หมายถึ

1 : ทรายทีมี
ข นาดคละดี
น ตะกอนที
2 : ดิ มีข นาดคละดี
น ตะกอนผสมทราย
3 : ดิ
4 : ทรายผสมดิ น เหนียว

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  335 : Cutback Asphalt คื

1 : แอสฟั ลท์
ทได
ี จากธรรมชาติ

2 : แอสฟั ลท์ีส่
ทมี วนผสมของสารอิ
น ทรี
ย์

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 55/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
3 : แอสฟั ลท์
ทได
ี จากหิ
้ น
4 : แอสฟั ลท์
ทได
ี จากการผสมแอสฟั
้ ซเี
ลท์ มนต์
กบ
ั นํ
ามัน บางชนิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  336 : วิ
ธก
ีารทดลอง CBR เป็
นวิ
ธก
ีารทดลองเพื
อหา

าเปรี
1 : ค่ ยบเที ยบ Bearing Value ของวัส ดุ
ตัวอย่
างกับวัส ดุ
หน
ิมาตรฐาน
าเปรี
2 : ค่ ยบเที ยบ Shear Strength ของวัส ดุ
ตัวอย่
างกับวัส ดุ
หนิมาตรฐาน
ากํ
3 : ค่ าลังรับแรงเฉื
อนของวัส ดุ ตัวอย่
าง
าการทรุ
4 : ค่ ดตัวของวัส ดุ
ตัวอย่
าง

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  337 : แอสฟั ลต์
ทเหมาะจะใช
ี กั้
บถนนย่
านอุ
ตสาหกรรมและในบริ
เวณที
มี
อากาศรอนคื
้ อ

1 : AC เกรด 85 ­ 100
2 : AC เกรด 60 ­ 70
3 : AC เกรด 50 ­ 60
4 : AC เกรด 40 ­ 50

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  338 : คัทแบกแอสฟั ลต์
ชนิ
ดบ่
มตัวเร็ ้
วใชอะไรเป็
นตัวทํ
าละลาย

ามัน ก๊
1 : นํ าด
2 : แกสโซลี น
ามัน ดี
3 : นํ เซล
ามัน สน
4 : นํ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  339 : ข อใดที
้ ไม่ ใชว่
ธิก
ีารที
ทํ
าใหแอสฟั
้ ลท์ ซเี
มนต์
เป็
นของเหลว

1 : หลอมดวยความร
้ อน

2 : ละลายในปิโตรเลียม
3 : ทําใหแขวนลอยในนํ
้ า 
4 : อัดดวยแรงดั
้ น

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  340 : คัทแบกแอสฟั ลต์
ชนิ
ดบ่ ้
มตัวปานกลางใชอะไรเป็
นตัวทํ
าละลาย

ามัน ก๊
1 : นํ าด
2 : แกสโซลี น
ามัน ดี
3 : นํ เซล
ามัน สน
4 : นํ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  341 : คุ
ณสมบัตอ
ิะไรที ้
ใชแยกชนิ
ดของแอสฟั ลต์
อม
ิล ั
ั ชน

1 : อัตราการหลอมเหลว
2 : อัตราการแตกตัว
3 : อัตราการระเหย
4 : อัตราการอ่
อนตัว

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  342 : ในการทดสอบ Penetration Test จะตองให
้ เข็้มรวมนํ
าหนั กบรรทุ
ก 100 กรัม จมลงไปในเนื
อยางตัวอย่
างเป็
นระยะเวลาเท่
าใด

น าที
1 : 5 วิ
น าที
2 : 10 วิ
น าที
3 : 15 วิ
น าที
4 : 20 วิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที ้ ใส่
้  343 : การทดลอง Flash and Fire Points ถวยที ตัวอย่
างทดลองเรี
ยกว่

1 : Taken Open Cup
2 : Cleveland Open Cup
3 : Clavative Open Cup
4 : Asphalt Open Cup

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  344 : การทดลอง Float Test for Bitlumenous Materials อุ
ณหภู
มข
ิองนํ
าที ้
ใชทดสอบกี
องศา

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 56/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 

2 : 

3 : 

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  345 : การทดสอบหาค่
าความหนื ้
ดของยางประเภท Cutback Asphalt ควรใชวิ
ธท
ีดสอบใด

1 : Kinematic Viscosity Test
2 : Softening Viscosity Test
3 : Float Test
4 : Penetration Test

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  346 : ถวยรองรั
้ บตัวอย่
าง (Flask) ในการทดสอบ Saybolt Furol Viscosity Test มี
ปริ
มาตรความจุ
เท่
าใด

1 : 40 ml.
2 : 60 ml.
3 : 80 ml.
4 : 100 ml.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  347 : จงคํานวณหา Bulk Specific Gravity of Specimen (G) ในการทดสอบ Marshall Mix Design ดังต่
อไปนี
 
ตัวอย่ ั
างชงในอากาศหนั ก 525 กรัม 
นําหนั กอิ
มตัวผิ
วแหง 545 กรั
้ ม และเมื
อนํ ั
าไปชงในนํา หนั ก 285 กรัม

1 : 2.00
2 : 2.02
3 : 2.15
4 : 2.28

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  348 : จงคํ
านวณหาค่
า Flakiness Index จากข อมู
้ลผลการทดสอบต่
อไปนี

1 : 19.73%
2 : 20.96%
3 : 21.78%
4 : 22.81%

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที ใชกั้
้  349 : ขนาดของมวลรวมที บผิ
วทาง Double Surface Treatment คื
อข อใด

ว) และ 9.5 มม. (3/8 นิ
1 : 12.5 มม. (1/2 นิ ว)
ว) และ 12.5 มม. (1/2 นิ
2 : 12.5 มม. (1/2 นิ ว)
ว) และ 9.5 มม. (3/8 นิ
3 : 19.0 มม. (3/4 นิ ว)
ว) และ 12.5 มม. (1/2 นิ
4 : 19.0 มม. (3/4 นิ ว)

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  350 : ก่
อนที
จะนํ ้
า Asphalt Cement AC 85­100 มาใชงาน จะต องผสมกั
้ บ aggregate ทํ
ายางแอสฟั ลต์
ไปทํ
าอะไรก่
อน

1 : เผาใหร้อน

2 : ผสมนํามัน ก๊
าด
3 : ผสมนํา
4 : ผสมกับทิน เนอร์

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  351 : มวลรวมหรื
อแอกกรี
เกทที
มี
ข นาดคละดี งแอกกรี
 (Well­graded) หมายถึ เกทที
มี
คุ
ณสมบัตต
ิรงตามข อใด

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 57/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

เกทที
1 : แอกกรี ไดรั้
บการคลุกเคลาให
้ เม็
้ดดิน ผสมเป็ นเนื
อเดี
ยวกัน
เกทที
2 : แอกกรี ไดรั้
บการคัดเลื
อกว่
ามี
คุณภาพดี
เกทที
3 : แอกกรี มี
เม็ดโต เม็
ดกลาง เม็
ดละเอี
ยด ปะปนกัน
เกทที
4 : แอกกรี ไดรั้
บการคัดขนาด ในกองเดียวกัน มี
เม็
ดขนาดใกลเคี้ยงกัน

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  352 : แอกกรี
เกทที
บดอัดทํ
าเป็ ั างๆ ของถนนแลวนํ
นชนต่ ้าซมึผ่
านไดยากกว่
้ า คื
อ แอกกรี
เกทที
มี
คุ
ณสมบัตต
ิรงตามข อใด

1 : ขนาดคละดี
ดละเอี
2 : เม็ ยด
3 : ขนาดโตปานกลาง
ดขนาดโตกับขนาดเล็
4 : เม็ กมาก มี
เม็
ดขนาดกลางน อย

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  353 : ในการควบคุ
มคุ
ณสมบัตวิ
ัส ดุ
ทจะทํ
ี าเป็ ั นทางแอกกรี
นชนพื เกท นิ มโดยอาศัยผลการทดสอบวัส ดุ
ยมควบคุ จากการทดสอบในข อใด

1 : Atterburg Limit. California Bearing Ratio. Marshall Mix Design. Gradation
2 : Gradation. Atterburg Limit. % Wear. Compaction
3 : Gradation. Atterburg Limit. % Wear. California Bearing Ratio
4 : Atterburg Limit. California Bearing Ratio. Marshall Mix Design. Compaction

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  354 : เหตุ เราสามารถใชวั้
ผลหลักที ส ดุ
ประเภท นอนพลาสติ ั นทางไดเพราะ
ก (Non­Plastic) ในชนพื ้

กกว่
1 : ราคาถู า
ตองห่
2 : ไม่ ้ วงเรื
องนํ
าซมึผ่
าน
3 : บดอัดไดง่
้ายกว่
าพื
นทางทัวไป
ดเหนี
4 : แรงยึ ยวระหว่
างเม็
ดดี ทํ
าให Stability ดี

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

้  355 : สํ
ข อที าหรับไหล่
ทางซอยแอกกรี
เกทที
ทํ
าหน าที
้ ปกป้ ้ วยงานทางควรใชวั้
องคัน ทางดวย หน่ ส ดุ
ไหล่
ทางที
มี
ค่
า Atterburg Limit ในข อใดจึ
้ งจะเหมาะสมที
สุ

เกิ
1 : Liquid Limit ไม่ น  35 Plasticity Index ไม่
เกิ
น  16
เกิ
2 : Liquid Limit ไม่ น  35 Plasticity Index อยู
ร่
ะหว่าง 6 ­16
เกิ
3 : Liquid Limit ไม่ น  25 Plasticity Index ไม่
เกิ
น  6
เกิ
4 : Liquid Limit ไม่ น  35 Plasticity Index ไม่
เกิ
น  11

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  356 : 

1 : 0.5 HGE
2 : 0.6 HGE
3 : 0.7 HGE
4 : 0.8 HGE

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 58/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

้  357 : สํ
ข อที าหรับงานเซอร์
เฟสทรี
ตเมนท์
ททํ
ีาบนพื
นทาง ข อความในข
้ อใดผิ
้ ด

วของพื
1 : ผิ นทางที
ขรุ
ข ระและพรุน จะดู
ดซมึยาง เพราะฉนั นตองใช ้
้ ยางมากขึ อชว่
นเพื ยยึ
ดแอกกรี
เกท
2 : ถาผิ
้วของพื นทางแข็
ง แอกกรีเกทจะไม่ ฝังลงในพืนทาง ตองใช ้มาณยางมากขึ
้ ปริ อชว่
นเพื ยยึ
ดแอกกรี
เกท
3 : ปริ ้ ่
มาณจราจรมาก ตองใส ยางแอสฟั ลท์มากขึ อชว่
นเพื ยยึดแอกกรีเกท
เกทกอนกลมเกลี
4 : แอกกรี ้ ยแลวมี
้ชอ ่งว่
างมาก การยึดเหนียวระหว่
างกอนไม่
้ ด ี ้มาณยางมากขึ
ควรใชปริ อชว่
นเพื ยยึ
ดแอกกรี
เกท

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  358 : 

1 : 

2 : 

3 : 

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  359 : Asphalt Mixes ที
มี
เสถี
ยรภาพ (Stability) ดี
 ไดมาจากการใช
้ ส้

วนผสมในข อใด

เกทมี
1 : แอกกรี ข นาดคละดี
 ผิ
วขรุข ระ ยางแอสฟั ลท์ แข็
ง ปริ
มาณน อย

เกทมี
2 : แอกกรี ข นาดคละดี
 ผิ
วเรี
ยบ ยางแอสฟั ลท์  แข็ง ปริ
มาณน อย

เกทมี
3 : แอกกรี ข นาดคละไม่
ด ี
ผิ
วขรุ ข ระ ยางแอสฟั ลท์
ออ่น ปริ
มาณน อย

เกทมี
4 : แอกกรี ข นาดคละดี
 ผิ
วขรุข ระ ยางแอสฟั ลท์ แข็
ง ปริ
มาณมาก

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  360 : Asphalt Mixes ที
มี
ความยื
ดหยุ

่ (Flexibility) ดี
 ไดมาจากการใช
้ ส้

วนผสมในข อใด

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 59/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

เกทมี
1 : แอกกรี ข นาดคละแบบ Open graded ยางแอสฟั ลท์ ปริ
มาณน อย

เกทมี
2 : แอกกรี ข นาดคละแบบ Well graded ยางแอสฟั ลท์
ปริ
มาณน อย

เกทมี
3 : แอกกรี ข นาดคละแบบ Open graded ยางแอสฟั ลท์ปริ
มาณมาก
เกทมี
4 : แอกกรี ข นาดคละแบบ Well graded ยางแอสฟั ลท์
ปริ
มาณมาก

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  361 : Asphalt Mixes ที
มี
ความทนทานต่
อการลื
นไถลไดดี
้ ไดมาจากการใช
้ ส้

วนผสมในข อใด

เกทมี
1 : แอกกรี ผวิ
ขรุข ระ ยางแอสฟั ลท์
ปริมาณมาก
เกทมี
2 : แอกกรี  ผิ
วเรี
ยบ ยางแอสฟั ลท์ ปริ
มาณน อย

เกทมี
3 : แอกกรี ผวิ
ขรุข ระ ยางแอสฟั ลท์
ปริมาณมาก
เกทมี
4 : แอกกรี ผวิ
ขรุข ระ ยางแอสฟั ลท์
ปริมาณน อย

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  362 : 

1 : 2.66
2 : 2.67
3 : 2.69
4 : 2.71

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  363 : คุ
ณสมบัตข
ิอง Mixes จากการทดสอบโดยวิ
ธม
ีาร์
แชล ในข อใดไม่
้ ถก
ูตอง

1 : Flow value เพิ มเมือ % AC by weight of mix เพิม
2 : Air void ลดลงเมื อ % AC by weight of mix เพิม
3 : Void in Mineral Aggregate ลดลงเมื อ % AC by weight of mix เพิม
มเมื
4 : Stability เพิ อ % AC by weight of mix เพิม แต่ จะลดลงถา เมื
้ อ % AC by weight of mix มากเกิ
น ไป

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  364 : ในการทดสอบหาค่
า Optimum asphalt content โดยวิ
ธ  ี
Marshall ถาปรากฏว่
้ า Mix ยังคงมี งเกิ
  Void สู น ไปแมค่
้า Stability จะเพี
ยงพอ เราสามารถแกไขได
้ โดยวิ
้ ธ ใี

ข อใด

มแอกกรี
1 : เพิ เกท
มฟิ
2 : เติ วเลอร์
 (Filler)
3 : เปลี ้
ยนไปใชแอกกรี เกทที
คุ
ณภาพดี
กว่
าเดิ

มาณยาง
4 : ลดปริ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

เนื
อหาวิ
ชา : 556 : Construction and maintenance of highways

ข อที
้  365 : ผิ
วทางใดถู
กนํ
ามาพิ
จารณาเปรี
ยบเที
ยบในดานวิ
้ ธกีารก่
อสรางและบํ
้ ารุ
งรักษาทางว่
าใกลเคี
้ยงกัน  ในปี
พ.ศ. 2536

1 : Slurry Seal and Concrete
2 : Asphalt Concrete andCold Mixed Asphalt
3 : Cape Seal and Double Surface Treatment
4 : Recycling and Modified Asphalt Concrete

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  366 : ในปี
 พ.ศ. 2536 กรมทางหลวงไดพิ
้จเารณาว่
าผิ
วทางใดมี
คุ
ณภาพเท่
าเที
ยมกัน

1 : Slurry Seal and Cold Mixed Asphalt
2 : Asphalt Concrete and Concrete
3 : Cape Seal and Double Surface Treatment
4 : Recycling and Modified Asphalt Concrete

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 60/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้  367 : ผิ
วทางที ้
ใชวิ
ธก
ีารพ่
น ยางบาง ๆ ลงบนผิ
วทางเก่
าแลวโรยหิ
้ น  มี
ความหนาประมาณ 10­20 มม. เรี
ยกว่
าอย่
างไร

ีซล
1 : ชพ ี (Chip Seal)
ซล
2 : สเลอรี ี (Slurry Seal)
เฟสทรี
3 : เซอร์ ทเมนต์ (Surface Treatment)
4 : โคลด์มก
ิซ ์(Cold Mix)

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  368 : ลักษณะของผิ
วทางที
ไม่
ส ามารถทนต่
อการผลักดัน ของลอรถได
้ ้ องจากแรงยึ
 เนื ดเหนี
ยวระหว่ ั วหน าและช
างชนผิ ้ ั างไม่
นล่ ดพ อส่
ีอ หรื วนผสมของผิ
วทางมี
ทรายมากเกิ
น ไป
เรี
ยกว่
าอย่
างไร

1 : Shrinkage crack
2 : Cracking
3 : Slippage crack
4 : Alligator crack

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  369 : หลังจาก Prime Coat แลวจะต
้ องทิ
้ งไวไม่
้น อยกว่
้ าเท่าใด จึ
งจะทํ
าผิ
วทางได ้

1 : 6 ชม.
2 : 12 ชม.
3 : 24 ชม.
4 : 48 ชม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  370 : ในการก่
อสรางผิ
้ วทางแบบ Cape Seal ก่
อนที
จะทํ
าการลาด Slurry จะตองทํ
้ าการในข อใดก่
้ อน

1 : พรมนํา
2 : Prime Coat
3 : Tack Coat
4 : Fog Spray

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  371 : ตามมาตรฐานของกรมทางหลวง ในการก่
อสรางผิ ั  2 จะตองใช
้ วทางแบบ Double Surface Treatment ในชนที ้ หิ ้
น ขนาดเท่
าใด

1 : 1”
2 : 3/4”
3 : 1/2”
4 : 3/8”

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  372 : ในการปู
ผวิ
ทางแบบแอสฟั ลต์
คอนกรี
ตผสมรอน จะต
้ องมี
้ อณุหภู
มไิ
ม่
น อยกว่
้ าเท่าใด

1 : 
2 : 
3 : 
4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  373 : เครื
องจักรกลงานดิ
น ชนิ
ดใดที
เหมาะสมที
สุ
ดในการปรับขึ
นรู
ปคัน ทางถนน

1 : Tractor
2 : Bullozer
3 : Grader
4 : Back Hoe

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  374 : การ Overlay ในผิ
วทางแบบ Asphalt Concrete จัดว่
าเป็ ่มบํ
นการซอ ารุ
งทางประเภทใด

1 : Routine Maintenance
2 : Periodic Maintenance
3 : Urgent Maintenance
4 : Special Maintenance

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

้  375 : ในการสํ
ข อที ารวจเพือที
จะหางานดิ น ตัดของถนนชว่ งหนึง พบว่า 
เมือตังกลองทางซ
้ ้ อของ  ศู
ายมื น ย์
กลางทาง  ค่ า HI มี
ค่
าเท่
ากับ 20.000  m  อ่
านค่
า Ground  Rod  ที
จุ
ดศู
น ย์
กลางทาง  ไดค่
้าเท่
ากับ  2.500  m  ค่
า  Grade  Elevation  ในแบบมี
ค่

เท่ากับ 16.000 m 
จงหาค่ าความสูงของดิน ตัดที
จุ
ดศูน ย์
กลางทางนี

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 61/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 6.500 m
2 : 4.000 m
3 : 3.000 m
4 : 1.500 m

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  376 : งานผิ
วทางจราจรแบบแอสฟั ลต์
คอนกรี
ตผสมรอน ใช ้
้ ยางแอสฟั ลต์
ชนิ
ดใด

1 : Cutback Asphalt
2 : Emulsified Asphalt
3 : Asphalt Cement
4 : Concrete Asphalt

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  377 : การพ่
น ยางแอสฟั ลต์ ั นทาง ก่
ลงบนชนพื อนที
จะก่
อสรางช ั วทางเรี
้ นผิ ยกว่
าอะไร

1 : Prime Coat
2 : Tack Coat
3 : Slurry Seal
4 : Fog Seal

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  378 : โครงสรางช ั
้ นทางช ั
นใดอยู
ใ่ ั วทาง
ตช้นผิ


1 : ชนรองพื นทาง
ั นทาง
2 : ชนพื
3 : ชนวัั ส ดุ คัดเลือก ก
4 : ชนวั ั ส ดุคัดเลือก ข
5 : ชนดิ ั น คัน ทาง

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  379 : Rotary Power Bloom หมายถึ
งเครื
องจักรชนิ
ดใด

องปู
1 : เครื ถนน
องพ่
2 : เครื น แอสฟั ลต์
องโรยหิ
3 : เครื น
องกวาดฝุ
4 : เครื ่น

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  380 : ในการบํ
ารุ ้
งทาง เราใช benkelman beam วั ดค่
าอะไร

1 : วัดความแข็ งแรงของถนน
ึหรอของผิ
2 : วัดการส ก วหน าถนน

3 : วัดความฝื ดของผิวถนน
4 : วัดการแอ่น ตัวของถนน

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  381 : การทํ
า Overlay ในงานทางหมายถึ
งอะไร

ดโพรงใตพื
1 : การอุ ้นถนน
2 : การป้องกัน ไม่
ใหนํ

าไหลลงใตผิ้วทาง
3 : การทํ ั วทางทับผิ
าชนผิ วทางเดิม
4 : การตัดผิวทางที สู
งเกิ
น ไปออก

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  382 : โดยปกติ
ผวิ
ถนนลาดยางในข อใดรั
้ บนํ าหนั กไดดี
้ทสุ
ีด

1 : Surface Treatment
2 : Asphalt Concrete
3 : Cape Seal
4 : Seal Coat

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  383 : การก่
อสรางถนนสายหนึ
้ ง สภาพภู
มป
ิระเทศเป็
นเนิ
น เขา มี
ตนไม
้ ใหญ่
้ และทุ
ง่
หญาปกคลุ
้ ม ในการก่
อสรางควรทํ
้ างานใดก่
อนเป็
นอัน ดับแรก

1 : งานถางป่ าและงานขุ
ดตอ
2 : งานถมคัน ทาง
3 : งานตัดคัน ทาง
4 : งานวัส ดุ
คัดเลื
อก

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 62/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  384 : ก่
อนที
จะทํ
าการก่
อสรางช ั นผิ
้ นพื วทาง จะตองรี
้ บทําการก่
อสรางในขั
้ นตอนใด เพื
อป้
องกัน มิ ั นทางเกิ
ใหช้
นพื ีหายเส ย
ดความเส ย ีก่
อน

น นํ
1 : การพ่ าพืนทาง
2 : Fog Spray พืนทาง
3 : Prime Coat พืนทาง
นทาง
4 : Tack Coat พื

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที นลักษณะของการแตกชํ
้   385  :  ข อใดเป็
้ ารุ
ด(Cracking)  ที
พบเห็
น บนทางลาดยางทัวไป  มี
ส าเหตุ
เนื
องมาจากดิ
น คัน ทางหรื
อพื
นทางอ่
อนตัว  เพราะการบดอัดไม่
ดท
ีํ
าใหผิ
้วทาง
ทรุดตัวตามไปดวย หรื
้ อเกิ ดจากอาการลา (fatigue) ของผิ
้ วทาง

วทางทรุ
1 : ผิ ดเป็
นร่
องตามแนวลอ้
2 : ทางชํ
ารุ
ดเนื
องจากแรงเฉือน
วทางแตกตามขวาง
3 : ผิ
วทางแตกลายหนั งจระเข ้
4 : ผิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  386 : วิ
ธก ่มรอยแตกแบบหนั งจระเข  (Alligator crack) ลํ
ีารซอ ้ ่มอย่
าดับแรกควรซอ างไร

1 : พ่น  Tack Coat บริ
เวณผนั งข างหลุ
้ มทุ กดาน

2 : กลบหลุ มซอ่มดวยวั
้ ส ดุผสมแอสฟั ลต์
คอนกรี

3 : ขุดผิ วทางและพืนทางที ชํ
ารุ
ดออก
4 : จัดระบบการระบายนํ าใหม่

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

้  387 : การชํ
ข อที ารุ ีหายของถนนในข อใดที
ดเส ย ้ เกิดจากความแตกต่
างของอุ
ณหภู นชว่
มใิ งเวลากลางวัน และกลางคื
น  และแผ่
น คอนกรี
ตเทเป็
นแผ่
น เดี
ยวโดยไม่
มแ
ีนวรอยต่
อตามยาว

อตัว (Warping Cracks)
1 : รอยแตกจากการห่
2 : รอยแตกจากการหดตัวเมื
ออุณหภูมต
ิํา (Contraction Cracks)
3 : รอยแตกจากการขยายตัว (Blowups Cracks)
4 : รอยแตกจากการหดตัว (Shrinkage Cracks)

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  388 : Right of Way หมายถึ
งอะไร

1 : เขตทางหลวง
2 : เขตหวงหาม

3 : เขตแนวบริเวณก่
อสรางทาง

4 : เขตการจราจร

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  389 : ในการก่
อสรางทางใหม่
้ เราจะพ่
น ยางลงบนพื
นหิ
น คลุ
ก (Base) ก่
อนทํ
าผิ
วทาง การพ่
น ยางนั นเรี
ยกว่
าอะไร

1 : Tack Coat
2 : Binder Coat
3 : Seal Coat
4 : Prime Coat

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  390 : การปู วทางเก่
 Asphaltic Concrete ลงบนผิ าเราเรี
ยกว่
าอะไร

1 : Fog Seal
2 : Overlay
3 : Seal Coat
4 : Prime Coat

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  391 : การบดอัดดิ
น ในสนาม ค่ ื
าความชนในมวลดิ
น  (Optimum Moisture Content) ยิ
น ยอมใหผิ
้ดพลาดไดไม่
้เกิ
น เท่
าใดของค่
าควบคุ
มการทดสอบในหองปฏิ
้ บั ต ก
ิาร

1 : 

2 : 

3 : 

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 63/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้  392 : ยางมะตอยนํ
าที ้าสเลอลี
ใชทํ ิ (Slurry Seal) ใชยางประเภทใด
ซล ้

1 : CRS ­ 1 h
2 : CMS ­ 1 h
3 : CSR ­ 1 h
4 : CSS ­ 1 h

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  393 : งานตัดหิ
น ผุ ้ องจักรหนั กในข อใด
 (Soft Rock Excavation) ควรใชเครื ้

1 : Crawler Tractor
2 : Farm Tractor
3 : Motor Grader
4 : Front End Loader

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  394 : งานก่
อสรางผิ
้ วทางแบบ Single Surface Treatment ยางนํ
าที ้
ใชคื
อยางประเภทใด

1 : CMS
2 : CSS­1
3 : CRS­2
4 : MC­70

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  395 : ผิ
วทางลาดยางลื
น (Slippery Surfaces) สาเหตุ
เกิ
ดจากอะไร

มาณยางมากเกิ
1 : ปริ น ไป
มาณหิ
2 : ปริ น น อยเกิ
้ น ไป
มาณยางน อยเกิ
3 : ปริ ้ น ไป
มาณหิ
4 : ปริ น มากเกิน ไปทํ
าใหหลุ
้ ดร่
อน

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  396 : จงคํ
านวณหาอัตราการโรยหิ
น ลาดยางแบบ Single Surface Treatment กรณี
หน
ิมี
ข นาดไม่
เท่
ากัน  กํ
าหนดใหค่
้าจากการทดสอบดังต่
อไปนี

1 : 
2 : 

3 : 

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  397 : 
ส่
านผสมแอสฟัลท์ ติกคอนกรีตประกอบด้วยมวลรวม  ,  กก. ใช้
แอสฟัลท์
เท่
ากับ   กก./ม3  และถู
กดู
ดซึ
มเข้
าไปในวัสดุ
มวลรวม  . ‰ specific gravity ของมวลรวม =  .
และ specific gravity ของแอสฟัลท์
ซี
เมนต์
 = 1.05 จงหาค่
า VMA

1 : 12.50%
2 : 13.80%
3 : 14.20%
4 : 15.70%

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  398 : การพ่
น ลาดยางแอสฟั ลท์
ประเภทที
มี
ความหนื
ดตํ
าลงบนพื
นทางที
บดอัดแน่
น เรี
ยกว่

1 : Prime Coat
2 : Tack Coat
3 : Seal Coat
4 : Fog Seal

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  399 : การพ่
น ยางมะตอยเป็ ื
นตัวเชอมระหว่ ั วทางเดิ
างชนผิ ม และลาดทับดวยหิ
้ น ขนาด 1/2 นิ
ว­No.8 เรี
ยกว่
าอะไร

1 : Prime Coat
2 : Tack Coat
3 : Seal Coat
4 : Fog Seal

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 64/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  400 : การพ่
น ยางมะตอยลงบนผิ
วทางเก่
า(ทังผิ
วทางลาดยางหรื
อผิ
วทางคอนกรี
ต) เพื ื ดผิ
อเชอมยึ วทางเก่
ากับผิ
วทางใหม่
เรี
ยกว่
าอะไร

1 : Prime Coat
2 : Tack Coat
3 : Seal Coat
4 : Fog Seal

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  401 : ข อใดไม่
้ ุ่
ใชจ ดประสงค์
ข องการทํ
า Prime Coat

องกัน นํ
1 : ป้ ื ดหิ
าและเชอมยึ นส่
วนผิ
วของพื
นทาง
มความแข็
2 : เพิ งแรงใหพื
้นทาง
ื ดระหว่
3 : เชอมยึ างพื ั วทาง
นทางและชนผิ
องกัน ผิ
4 : ป้ วของพืนทางไม่
ใหหลุ
้ ดล่
อน

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  402 : ถาต้องการ

1.) กัน นํ
าทีจะซมึผ่
านผิ วทางลงไป
2.) ชว่ยใหการเกาะกั
้ น ของเม็ดหิ
น และผิวทางดี
ขนึ
3.) ชว่ยใหผิ
้ วทางแน่น เรี
ยบและแข็งแรงขึ

4.) เพิมความหนาของผิ วทางและเพิมความแข็งแรงใหถนน

ควรจะทํ าในข อใด

1 : Prime Coat
2 : Tack Coat
3 : Seal Coat
4 : Fog Seal

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที
้  403 : ถาผิ
้วทางเกิ
ดการทรุ
ดตัวเนื ั น คัน ทางและพื
องจาก ชนดิ นทางเปี ื ออิ
ยกชนหรื มตัวดวยนํ
้ า และเกิ
ดเฉพาะพื
นที
ไม่
กวาง ผิ ีหายในลักษณะใด
้ วทางจะเส ย

1 : ลักษณะการแตกทรุดไปตามยาวตามขอบถนน
2 : แตกลักษณะคลายลายหนั
้ งจระเข ้
3 : แตกเป็นรอยยาวอยู

่นผิ
วทาง
4 : แตกเป็นแผ่
น ขนาดใหญ่
และมีมมุแหลม

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  404 : โดยปกติ
ผวิ
ทางชนิ
ดใดมี
ราคาถู
กที
สุ

1 : Rigid Pavement
2 : Double Surface Treatment
3 : Asphalt Concrete
4 : Cape Seal

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  405 : เครื
องจักรกล ชนิ
ดใดที
เหมาะสมที
สุ
ด ในงานขุ
ดตักและขนยายดิ ึ ใ่
้ น ซงอยู
นตํ
าแหน่
งสู
งกว่
าเครื
องจักร

1 : Backhoe
2 : Power Shovel
3 : Dragline
4 : Clamshell

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  406 : จงคํ
านวณหาค่ า Stripping Test (by Plate Test) เฉลี
ยมี
ค่
าเท่
าใด 
ดังรายละเอียดผลการทดสอบจํ านวน 2 ถาด 
ถาดละ 25 ตัวอย่าง ดังต่
อไปนี

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 65/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 6%
2 : 7%
3 : 8%
4 : 9%

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  407 : ค่
าระดับของหมุ
ดระดับ (BM) ในการตรวจสอบแบบวงรอบปิ
ด อนุ
ญาตใหผิ
้ดพลาดไดไม่
้เกิ
น เท่
าไร

1 : 

2 : 

3 : 

4 : 

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

ข อที
้  408 : วัส ดุ
ประเภทหิ
น ลอย (Boulder) ที
ถื
อว่
าเป็
นหิ
น แข็
ง (Hard Rock) จะตองมี
้ ข นาดไม่
น อยกว่
้ าเท่าใด

1 : 0.25 ลบ.ม.
2 : 0.50 ลบ.ม.
3 : 0.75 ลบ.ม.
4 : 1.00 ลบ.ม.

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 3

ข อที ั
้  409 : การบดอัดชนโครงสรางทางโดยทั
้ วไป จะตรวจสอบความหนาแน่
น ของงานในสนามโดยวิ
ธ ใี

1 : Pychometer
2 : Volumemeter
3 : Balloon
4 : Sand Cone

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

ข อที
้  410 : เครื ้ เหมาะสํ
องจักรในข อใดที ้
าหรับใชในการบดอั
ดดิ
น ที
มี
ลักษณะเป็
นดิ
น เหนี
ยวหรื
อดิ
น เหนี
ยวปนทราย

1 : Smooth Wheeled Roller
2 : Tamping Roller
3 : Vibratory Roller
4 : Vibratory Plate

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

้  411 : ข้
ข อที อใดเป็
นการเรี
ยงลํ
าดับการก่
อสร้
างชั䛰
นต่
างๆ ของทางที

ถกู
ต้
อง

ั วทาง ­­­­> วัส ดุ
1 : ชนผิ คัดเลือก ­­­­> รองพื
นทาง ­­­­> พื นทาง ­­­­> ดิน เดิ

น เดิ
2 : ดิ ม ­­­­> วัส ดุ
คัดเลือก ­­­­> รองพืนทาง ­­­­> พื นทาง ­­­­> ผิวทาง
น เดิ
3 : ดิ ม ­­­­> รองพื นทาง ­­­­> พื นทาง ­­­­> วัส ดุ
คัดเลือก ­­­­> ผิ
วทาง
ั วทาง ­­­­> พื
4 : ชนผิ นทาง ­­­­> รองพื นทาง ­­­­> วัส ดุ
คัดเลือก ­­­­> ดิ
น เดิ

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

้  412 : เครื
ข อที 䙐
องจักรหนักที

ใช้
ในการผสมแอกกรี
เกทให้
เข้
าเป็
นเนื

อเดี
ยวกันในสนาม คื
อเครื

องมื
อในข้
อใด

1 : Plant Mixer
2 : Bulldozer
3 : Tractor
http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 66/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร
Bulldozer
3 : Tractor
4 : Grader

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 4

้  413 : การขนย้
ข อที ายดิ
นระยะสั䛰
นระหว่
างการก่
อสร้
างทาง เครื

องจักรหนักในข้
อใดเหมาะสมที

สุ

1 : Grader
2 : Bulldozer
3 : Scraper
4 : Dump truck

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

้  414 : ข้
ข อที อใดไม่
เป็
นเทคนิ
คการก่
อสร้
างเพื

อลดการพังทลายของดิ
นตัดในย่
านภู
เขา

1 : การทํ
า Stabilization คันทาง

ั ของดิ
2 : การลดความลาดชน นตัด

3 : การตัดเป็
นขันบันได
4 : การลดความลาดชันของดิ
นตัด
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

้  415 : ข้
ข อที อใดไม่
เป็
นเทคนิ
คการก่
อสร้
างเพื

อลดทรุ
ดตัวและการพังทลายของคันทางในบริ
เวณดิ
นอ่
อน

1 : ใช้
วสั ดุคนั ทางนําหนักเบา

2 : การทํ า Stabilization ชั䛰
นเพพเมนท์ของทาง
3 : การลดความลาดชันด้ านข้ างของคันทาง
4 : การทํ า Berm  สองข้ างคันทาง
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

้  416 : เครื
ข อที 䙐
องมื
อที

สามารถวัดความต้
านทานต่
อการลื

นไถลของผิ
วทางได้
 คื
อเครื

องมื
อในข้
อใด

1 : Profilometer
2 : British Pendulum Tester
3 : Benkelman Beam
4 : Roughness Meter

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 2

้  417 : ข้
ข อที อใดนับเป็
น Functional Failure ของถนน

1 : ผิ
วทางลื


2 : ทางมี
รอยแตกแบบหนังจระเข้  (Alligator crack)
3 : ผิ
วคอนกรีตเกิ
ด Pumping action
4 : ผิ
วทางแอ่
นตัวมากเกิ
นไป
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

้  418 : ข้
ข อที อใดไม่
นบั เป็
น Structural Failure ของถนน

1 : ผิ
วทางขรุ
ขระ
2 : ทางมี
รอยแตกแบบหนังจระเข้  (Alligator crack)
3 : ผิ
วคอนกรีตเกิ
ด Pumping action
4 : ผิ
วทางแอ่
นตัวมากเกิ
นไป
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

้  419 : ข้
ข อที อใดไม่
เป็
นวิ
ธี
ในการซ่
อมบํ
ารุ
งผิ
วทางแอสฟัลต์
ลื

นโดยเฉพาะเมื

อผิ
วทางเปี
ยก

1 : ทํ
าการเซาะร่ อง (Grooving) บนผิ
วทาง
2 : สาดทับผิ
วเดิ มด้วยแอกกรีเกทร้อน
3 : ทํ
าการปูทบั ด้
วยแอสฟัลต์ คอนกรีต
4 : ปู
ผวิ
ใหม่ดว้ ยการซีลโค้ท
คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  420 :
จากข้
อมู ลการคิ
ดปริมาณดินของการก่ อสร้
างงานทาง ณ Station 0+000 และ Station 0 + 025 ดังนี

 จงคํ
านวณหาปริ
มาตรของดิ
นถม (ลู
กบาศก์
เมตร) ระหว่
าง 2 Stations นี

  โดยวิ
ธี
คิ

เนื

อที

หวั ท้
ายเฉลี

ย (End Area Method)

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 67/68
10/4/2559 สภาวิ
ศวกร

1 : 900
2 : 1,000
3 : 1,800
4 : 2,000

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

ข อที
้  421 :
จากข้
อมู ลการคิ
ดปริมาณดินของการก่ อสร้างงานทาง ณ Station 0+000 และ Station 0 + 025 ดังนี

 จงคํ
านวณหาปริ
มาตรของดิ
นสุ
ทธิ
 (ลู
กบาศก์
เมตร) ระหว่
าง 2 Stations นี

 โดยวิ
ธี
คิ

เนื

อที

หวั ท้
ายเฉลี

ย (End Area Method) โดยสมมติให้
 ดิ
นถมมี  Shrinkage 10%

1 : 10
2 : 100
3 : 150
4 : 200

คํ
าตอบที
ถู
กตอง : 1

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=79&aMajid= 68/68

You might also like