ข้อสอบภาคีวิศวกร หมวดวิชาโยธา Construction Management

5/11/2562 สภาวิศวกร
ขอ
สภาวิศวกร | Council of engineers
กร
สาขา : โยธา
ิ ว
วิชา : Highway Engineering
าวศ
เนือหาวิชา : 550 : Historical development of highways, highway administration
สภ
ข ้อที 1 :
้
ทางหลวงแผ่นดินสายประธานตามภาคต่าง ๆ กรมทางหลวงจะใชระบบหมายเลขกี
ตัว
1 : 1 ตัว
2 : 2 ตัว
3 : 3 ตัว
4 : 4 ตัว
คําตอบทีถูกต ้อง : 2
ื ยกอีกอย่างหนึงว่า Motorway อยากทราบว่า ทางหลวงประเภทนีในประเทศ สหรัฐอเมริกา เรียกว่าอย่างไร
ทางหลวงพิเศษ ในประเทศไทยมีชอเรี
1 : Expressway
2 : Freeway
3 : Super Highway
ิ
4 : Autobahn
ิ ธ
สท
งวน
ี ทีผ่านในประเทศไทยทีอํ าเภอแม่สาย ไปจดชายแดนประเทศมาเลเซย
ทางหลวงสายเอเชย ี มีชอว่
ื าสายอะไร
อส
coe.or.th/memexam/main/app4011.php?aSubj=79&aMajid=1&aDb=0&fbclid=IwAR3EFLMRMZBxv8S8JBziThfSuywdD8huiamEQcRP88hwB3xdIuGlxWDj-Ok 1/170
ขอ
1 : สาย AH1
2 : สาย AH2
3 : สาย AH3
4 : สาย AH4
กร
ิ ว
าวศ
ถนนประเภทใดทีมีระดับ Accessibility ดีทสุ
ี ด
สภ
1 : Local Streets
2 : Collector Streets
3 : Major Arteries
4 : Motorway
ถนนเจริญกรุงก่อสร ้างขึนในสมัยใด
1 : สมัยกรุงศรีอยุธยา
2 : สมัยรัชกาลที 3
ิ
ิ ธ
สท
ตามพระราชบัญญัตท
ิ างหลวง พ.ศ. 2535 ทางหลวงประเภทใดทีกรมทางหลวงไม่ได ้รับผิดชอบ
งวน
1 : ทางหลวงสัมปทาน
2 : ทางหลวงชนบท
3 : ทางหลวงพิเศษ
อส
4 : ทางหลวงแผ่นดิน
ขอ
กร
ึ
ิ ว
ทางหลวงซงอยู ใ่ นภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะขึนต ้นด ้วยหมายเลขใด
าวศ
1 : 1
2 : 2
3 : 3
4 : 4
สภ
Frontage Road หมายถึงอะไร
1 : ทางด่วนพิเศษ
2 : ่ งเดินรถ
ชอ
3 : ทางขนาน
4 : ทางร่วมทางแยก
Divided Highway ประเภทใดทีเป็ น Full control of access
ิ
ิ ธ
1 : Freeway
สท
2 : Expressway
3 : Access Road
4 : Principal road
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 10 :
ึ ยวข ้องโดยตรงกับทางหลวงในประเทศไทย
ข ้อใดคือองค์กรซงเกี
1 : TRRL
กร
2 : TRB
3 : DOH
ิ ว
4 : ITE
าวศ
สภ
ข ้อที 11 :
ถนนใดทีสร ้างขึนเพือรับปริมาณการจราจรได ้สูง มีการควบคุมการเข ้าออกอย่างเข ้มงวด ไม่อนุญาตให ้คนหรือสัตว์และยานพาหนะบางชนิดมาใชถนน
้
ฯลฯ
1 : Expressway or Freeway
2 : Major or Arterial Street
3 : Collector Road
4 : Local Road
ข ้อที 12 :
โครงข่ายถนนแบบใด เหมาะกับบริเวณทีเป็ นภูเขา หุบเขา เนินเขา มีพนที
ื จํากัด
1 : Grid Network
2 : Linear Network
3 : Radial Network
ิ
ิ ธ
4 : Hexagonal Network
สท
งวน
ข ้อที 13 :
องค์กรใด มีหน ้าทีควบคุมและดําเนินการก่อสร ้าง บูรณะและบํารุงรักษาทางหลวงพิเศษ ทางหลวงแผ่นดิน และทางหลวงสัมปทาน
อส
ขอ
1 : การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
2 : กรมทางหลวง
3 : กรมทางหลวงชนบท
4 : กรุงเทพมหานคร
กร
ิ ว
ข ้อที 14 :
าวศ
ทางหลวงทีแบ่งแยกการจราจรไปและกลับด ้วยเกาะกลางถนน (Median) ตรงกับข ้อใด
สภ
1 : Divided Highway
2 : Primary Highway
3 : Provincial Highway
4 : Secondary Highway
ข ้อที 15 :
ข ้อใดทีไม่ได ้ถูกกําหนดโดยตรงในมาตรฐานชันทางหลวงทัวประเทศ
1 : ปริมาณการจราจรเฉลียคันต่อวัน
2 : ้
อัตราความเร็วทีใชในการออกแบบ
3 : ความกว ้างของผิวจราจรสะพาน
4 : รัศมีโค ้ง
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 16 :
ทางหลวงในประเทศไทยประเภทใดไม่อยูใ่ นความรับผิดชอบของกรมทางหลวง
งวน
1 : ทางหลวงพิเศษ
2 : ทางหลวงจังหวัด
3 : ทางหลวงเทศบาล
อส
ขอ
กร
ข ้อที 17 :
ื งเทพฯ ไปสู่ภาคใต ้มีชอเรี
ื ยกว่าอะไร
ิ ว
ทางหลวงทีเชอมจากกรุ
าวศ
1 : ถนนสุขุมวิท ทางหลวงหมายเลข 1
2 : ถนนมิตรภาพ ทางหลวงหมายเลข 2
3 : ถนนเพชรเกษม ทางหลวงหมายเลข 3
4 : ถนนพหลโยธิน ทางหลวงหมายเลข 4
สภ
ข ้อที 18 :
ทางหลวงประเภทหนึงทีกรมทางหลวงรับผิดชอบดูแลคือ
1 : ทางหลวงชนบท
2 : ทางหลวงเทศบาล
3 : ทางหลวงสุขาภิบาล
ข ้อที 19 :
ทางหลวงสายทีขึนต ้นด ้วยหมายเลข 3 แสดงว่า
ิ
ิ ธ
1 : ทางสายนั นอยูใ่ นภาคเหนือ

สท
2 : ทางสายนั นอยูใ่ นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

3 : ทางสายนั นอยูใ่ นภาคกลาง ภาคตะวันออก
4 : ทางสายนั นอยูใ่ นภาคใต ้
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 20 :
หน่วยงานหรือสมาคมในข ้อใด ทีไม่เกียวข ้องกับงานทางหลวง
1 : AASHTO
กร
2 : ASHTO
3 : TRB
ิ ว
4 : TRRL
าวศ
สภ
ข ้อที 21 :
ื
ในเมืองๆ หนึง ถนนทีทําหน ้าทีเชอมโยงส ่วนต่าง ๆ ของเมือง หรือเชอมโยงแหล่
ื ่ ย่านศูนย์กลางธุรกิจ
งกําเนิดจราจร (Traffic generators) ใหญ่ ๆ เชน
่
และการค ้า (Central Business District ; CBD) สถานีรถไฟ ท่าเรือและแหล่งงานต่าง ๆ เป็ นต ้น การเดินทางบนถนนเหล่านีสวนใหญ่เป็ นการจราจรผ่าน
(Through traffic) ระยะเดินทางยาว ถนนดังกล่าวถ ้าจําแนกตามลักษณะการใชงาน ้ จะจัดเป็ นถนนในข ้อใด
1 : Arterials
2 : Principal collectors
3 : Collectors
4 : Access roads
ข ้อที 22 :
่ าศัย เพือป้ อนเข ้าสู่ถนนสายเมนของเมือง ขณะเดียวกันยังก็ทําหน ้าทีเป็ นทาง
ในเมืองๆ หนึง ถนนทีทําหน ้าทีรวบรวมการจราจรจากถนนเข ้าออกทีอยูอ
เข ้าออกทีดินสองข ้างทางด ้วย ถนนดังกล่าวจัดเป็ นถนนในข ้อใด
1 : Major Arterials
ิ
ิ ธ
2 : Minor Arterials
สท
3 : Collectors
4 : Access roads
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 23 :
มาตรฐานและคู่มือออกแบบทาง รวมทังเอกสารวิชาการของ AASHTO เป็ นทียอมรับและใชกั้ นอย่างแพร่หลายในประเทศไทย AASHTO ย่อจากคํา
เต็มในข ้อใด
กร
1 : Asian Association of State Highway and Transportation Organization
2 : American Association of State Highway and Transportation Organization
ิ ว
3 : Asian Association of State Highway and Transportation Officials
4 :
าวศ
American Association of State Highway and Transportation Officials
สภ
ข ้อที 24 :
โครงข่ายถนนประเภทใด ทีจะชว่ ยให ้ความสามารถเข ้าถึง (Accessibility) ของส่วนต่าง ๆ ของเมืองดีเท่า ๆ กัน ชว่ ยกระจายความเจริญไปทัวถึงกัน
ทําให ้ความหนาแน่นของประชากรกระจายออกสมํ าเสมอกัน
1 : Grid Network
2 : Radial Network
3 : Ring Network
4 : Linear Network
ข ้อที 25 :
ข้อใดเป็ นลักษณะพึงประสงค์ของทางประเภท Local street
1 : อํานวยความสะดวกแก่การจราจรให้รถทางใกล้ทางไกลผ่านได้
2 : ความเร็วออกแบบสูง
ิ
ิ ธ
3 : ให้บริ การทังการจราจรผ่านและการจราจรสองข้างทาง
สท
4 : ทางปลายตัน ไม่สามารถใช้เป็ นทางลัดได้

งวน
อส
ขอ
ข ้อที 26 :
เกณฑ์ (Criteria) ในข้อใดเป็ นเกณฑ์ทีเหมาะสมทีสุดทีใช้ในการจําแนกถนนว่าจะเป็ นถนน Arterial, หรื อ Collector หรื อ Local road
1 : ระดับการอํานวยความสะดวกด้าน Mobility และการเข้าออกของถนน
กร
2 : ปริ มาณจราจรบนถนน
3 : ระดับการติดขัดของการจราจร
ิ ว
4 : ความเร็วของการจราจรบนถนนนันในชัวโมงเร่ งด่วน
าวศ
สภ
ข ้อที 27 :
โครงข่ายถนนประเภทใด ทีจะช่ วยให้ความสามารถเข้าถึง (Accessibility) ของส่วนต่าง ๆ ของเมืองดีเท่า ๆ กัน ช่ วยกระจายความเจริ ญไปทัวถึงกัน ทําให้ความหนาแน่ นของ
ประชากรกระจายออกสมําเสมอกัน
1 : Grid network
2 : Radial Network
3 : Ring network
4 : Linear network
ข ้อที 28 :
ข้อใดไม่ใช่ ลกั ษณะพึงประสงค์ของทางประเภท Arterial
1 : อํานวยความสะดวกแก่การจราจรผ่าน (Through traffic)
2 : ความเร็วออกแบบสูง
ิ
ิ ธ
3 : ให้บริ การทังการจราจรผ่านและการจราจรสองข้างทาง
สท
4 : เน้นความปลอดภัยเป็ นพิเศษ
งวน
เนือหาวิชา : 551 : Principles of highway planning and traffic analysis

อส
ขอ
ข ้อที 29 :
ระยะห่างระหว่างกันชนหน ้าของรถคันหน ้า ถึงกันชนหน ้าของรถคันหลัง เรียกว่าอะไร
กร
1 : Headway
2 : Distance
ิ ว
3 : Density
4 :
าวศ
Section
สภ
ข ้อที 30 :
ในการสํารวจเสนทางจะต
้ ้องทําการสํารวจในขันตอนใดก่อน
1 : Route Survey
2 : Preliminary Survey
3 : Reconnaissance Survey
4 : Location Survey
ข ้อที 31 :
้
แผนทีเสนทางที ึ
ซงแสดงทั ้
ง Plan และ Profile จะใชมาตราส ่วน ในแนวราบเท่าใด
1 : 1 : 20
2 : 1 : 500
3 : 1 : 100
ิ
ิ ธ
4 : 1 : 1000
สท
งวน
ข ้อที 32 :
กฎกระทรวงทีออกตาม พรบ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ผู ้ขับขียวดยานจะต ้องมีค่าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดไว ้ไม่เกินเท่าใด
อส
1 : 25 มก. %
ขอ
2 : 50 มก. %
3 : 75 มก. %
4 : 100 มก. %
กร
ิ ว
ข ้อที 33 :าวศ
ระดับการให ้บริการ (Level of Service) ระดับใดทีการขับขีไม่สะดวกเพราะปริมาณการจราจรเข ้าใกล ้หรือถึงความจุ ความเร็วลดลงเหลือประมาณ 48
สภ
กม./ชม. การไหลไม่คงทีอาจผสมกับการหยุดเป็ นครังคราว
1 : LOS C
2 : LOS D
3 : LOS E
4 : LOS F
ข ้อที 34 :
ความจุของทางหลวง เมืออยูใ่ นสภาพสมบูรณ์แบบ ควรต ้องมีคุณสมบัตอ
ิ ย่างไร
1 : ่ งจราจร ทีรถเคลือนทีในทิศทางเดียวกัน
มีอย่างน ้อย 4 ชอ
2 : รถทุกคันต ้องเคลือนทีด ้วยความเร็วสมํ าเสมอ ด ้วยอัตราเร็ว 60-80 กม./ชม.
3 : ความลาดชันถูกต ้องตามมาตรฐาน ไม่มีทางแยกหรือคนข ้ามถนนตัดผ่าน อันจะก่อให ้เกิดการกีดขวางการจราจร
4 : ยานพาหนะมีรถยนต์นังเป็ นส่วนใหญ่
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 35 :
งวน
จงหาค่าระยะทางเพือทีจะหยุดรถได ้โดยปลอดภัย บนถนนทางราบ ขณะทีรถแล่นทีความเร็ว 50 kph

กําหนดให ้ค่า Perception-Reaction Time = 2.5 sec ถ ้าสมมติให ้ค่าสัมประสท
ิ ธิระหว่าง ยางรถ และผิวทาง = 0.6
1 : 25 m
อส
2 : 50 m
3 : 100 m
ขอ
4 : 150 m
กร
ิ ว
ข ้อที 36 :
าวศ
จงหาค่า PHF จากข ้อมูลการสํารวจปริมาณการจราจรทุกชว่ งเวลา 15 นาที บนถนนสายหนึง ระหว่างเวลา 16:00 น - 18:00 น ดังต่อไปนี
สภ
1 : 0.73
2 : 0.79
3 : 0.84
4 : 0.85
ข ้อที 37 :
สัญญาณไฟจราจรแบบ pretimed จังหวะไฟมีทังหมด 4 เฟส ค่า critical-lane volumes ของ 3 เฟสแรกมีค่าเท่ากับ 240, 200 และ 210 คันตาม
ลําดับ
ถ ้าให ้ค่า saturation flows ของทุกเฟส มีค่าเท่ากับ 1,800 vehicle per hour per lane ค่า lost time ของทุกเฟส มีค่าเท่ากับ 4 วินาที
จงหาค่า critical-lane volumes ในเฟสที 4 หากค่า cycle length มีค่าเท่ากับ 87 วินาที
1 : 137.5 คัน
ิ
ิ ธ
2 : 275 คัน
สท
3 : 550 คัน
4 : 1100 คัน
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 38 :
ข ้อใดคือลักษณะของป้ ายหยุด
กร
1 : เป็ นแผ่นกลมสีขาว ตัวอักษรสีดํา
2 : เป็ นรูปแปดเหลียมด ้านเท่า ตัวอักษรสีขาวบนพืนแดง
3 : เป็ นรูปสามเหลียมด ้านเท่า ตัวอักษรสีดําบนพืนขาว
ิ ว
4 : เป็ นแผ่นสีนําเงิน ตัวอักษรสีแดง
าวศ
สภ
ข ้อที 39 :
ปริมาณจราจรเฉลียต่อวัน คือข ้อใด
1 : Average Annual Daily Traffic
2 : Average Daily Traffic
3 : Vehicle Per Day
4 : Peak Hourly Volume
ข ้อที 40 :
การออกแบบสัญญาณไฟเหลือง จะออกแบบให ้อยูใ่ นชว่ งเวลาใดจึงจะเหมาะสม
1 : 1-2 วินาที
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 41 :
Feasibility study หมายถึงข ้อใด
อส
ขอ
1 : ึ ษาข ้อมูลทางด ้านวิศวกรรม
การศก
2 : การศกึ ษาหาความเหมาะสมก่อนลงทุน
3 : การศก ึ ษาวิเคราะห์ทางด ้านเศรษฐกิจและสังคม
4 : การศก ึ ษาปั ญหาทางด ้านการคมนาคมขนส่ง
กร
ิ ว
ข ้อที 42 :
าวศ
ถ ้าปริมาณการจราจรในทิศทางหนึง =1800 คัน/ชม.
สภ
เป็ นรถบรรทุกและรถบัส 4%
ถ ้าหากรถบรรทุกและรถบัส 1 คันเทียบเท่ารถยนต์นัง 1.6 คัน
จงคํานวณหา ปริมาณการจราจรในหน่วยเทียบเท่ารถยนต์นัง
1 : 1545
2 : 1591.4
3 : 1675
4 : 1843.2
ข ้อที 43 :
ข ้อใดคือหลักสําคัญในการวางแผนโครงข่ายถนน
1 : การจําแนกประเภทรถ
2 : การจําแนกถนนเป็ นลําดับชัน
3 : การออกแบบสัญญาณไฟจราจร
4 : การออกแบบทางแยกทางร่วม
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 44 :
จากการสํารวจปริมาณจราจรทางแยกแห่งหนึงในเวลา 1 ชัวโมง ได ้จํานวนรถยนต์นัง 30 คัน
รถบรรทุกใหญ่ 5 คัน รถมอเตอร์ไซค์ 50 คัน และรถประจําทาง 4 คัน จงหาค่า PCU เมือกําหนดให ้ค่า PCU ของรถยนต์นัง =1
อส
PCU ของรถบรรทุกใหญ่ = 1.75
ขอ
PCU ของรถมอเตอร์ไซค์ = 0.33
PCU ของรถประจําทาง = 2
1 : 39 PCU
กร
2 : 57.15 PCU
3 : 63.25 PCU
ิ ว
4 : 72 PCU
าวศ
สภ
ข ้อที 45 :
ระยะเวลาของสัญญาณไฟจราจรใน 1 รอบเรียกว่าอะไร
1 : Cycle Length
2 : Signal Phasing
3 : Headway
4 : Critical Lane Volume
ข ้อที 46 :
วัฏจักรของงานทาง งานใดควรทําเป็ นลําดับแรก
1 : งานบํารุงรักษา
2 : งานสํารวจ
3 : งานวางแผน
4 : งานก่อสร ้างและบูรณะ
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 47 :
้
ความเร็วออกแบบปลอดภัยสูงทีสุด เมือผู ้ขับขีใชความเร็ ้
วเกินกว่านีจะไม่ปลอดภัยและความเร็วนีจะใชในการกํ าหนดความเร็วสูงสุดบนถนน ความเร็ว
้
อส
ออกแบบนิยมใชความเร็ วที Percentile เท่าใด

ขอ
1 : 15
2 : 50
3 : 85
4 : 100
กร
ิ ว
ข ้อที 48 :
าวศ
จงคํานวณหา Peak Hour Factor จากข ้อมูลปริมาณการจราจรดังนี
สภ
1 : 0.28
2 : 0.83
3 : 40.00
4 : 133.33
ข ้อที 49 :
ปริมาณการจราจรเท่ากับ 3500 คันต่อชัวโมง เลือกสร ้างทางด่วนมีความจุประมาณ 2000 คันต่อชัวโมงต่อชอ
่ งทางวิง จะต ้องออกแบบให ้ค่า v/c
่ งทางวิงเท่าไร
เท่ากับ 0.35 จะต ้องสร ้างถนนให ้มีจํานวนชอ
ิ
่ งทาง
ิ ธ
1 : 2 ชอ
2 : 3 ชอ่ งทาง
สท
3 : 4 ชอ ่ งทาง
4 : 5 ชอ ่ งทาง
งวน
อส
ข ้อที 50 :
ขอ
ในการกําหนดค่าปริมาณการจราจรในการออกแบบถนน AASHTO กําหนดให ้ ในชว่ งเวลา 1 ปี จะมีปริมาณการจราจรในถนนมากกว่าความจุของถนน
จํานวนกีชัวโมง
1 : 29 ั
ชวโมง
กร
2 : 30 ชัวโมง
ิ ว
าวศ
สภ
ข ้อที 51 :
จงคํานวณหาระยะหยุดรถโดยปลอดภัยสําหรับถนน 2 ชอ ่ งจราจร ความเร็ว 60 กม./ชม. ขับรถลงเนินมีความลาดชัน 6% กําหนดให ้สัมประสท
ิ ธิความ
เสียดทาน (f) = 0.4 และผู ้ขับขีเหยียบห ้ามล ้อหลังจากเห็นวัตถุขวางอยูข
่ ้างหน ้า 3 วินาที
1 : 86.74 เมตร
2 : 92.39 เมตร
3 : 96.74 เมตร
4 : 102.65 เมตร
ข ้อที 52 :
ทีจุดหนึงของถนนมี free flow speed เท่ากับ 88 กม./ชม. และมี jam density เท่ากับ 250 คัน/กม. ถ ้าสมมติให ้ความสัมพันธ์ระหว่าง speed และ
้
density เป็ นเสนตรงจงหา maximum flow
1 : 125 คัน/กม.
2 : 120 คัน/กม.
ิ
ิ ธ
3 : 84 คัน/กม.
สท
4 : 160 คัน/กม.
งวน
อส
ข ้อที 53 :
ทีชว่ งหนึงของถนนมี free flow speed เท่ากับ 88 กม./ชม. และมี jam density เท่ากับ 250 คัน/กม. ถ ้าสมมติให ้ความสัมพันธ์ระหว่าง speed และ
ขอ
้
density เป็ นเสนตรงจงหา maximum flow rate
1 : 11000 คัน/กม.
2 : 22000 คัน/กม.
กร
3 : 5000 คัน/กม.
4 : 5500 คัน/กม.
ิ ว
าวศ
สภ
ข ้อที 54 :
้
density เป็ นเสนตรงจงหาความเร็ วที maximum flow
1 : 29 กม./ชม.
2 : 34 กม./ชม.
3 : 44 กม./ชม.
4 : 50 กม./ชม.
ข ้อที 55 :
ถนนสายหนึงมี average hourly volume เท่ากับ 360 คัน/ชม. สมมติว่าการมาถึงของรถ (arrival of vehicles) เป็ นแบบ Poisson distribution จงหา
ความเป็ นไปได ้ (Probability) ทีจะมีรถมาถึง 4 คัน ในเวลา 20 วินาที
ิ
ิ ธ
สท
งวน
1 : 0.22
อส
2 : 0.15
ขอ
3 : 0.09
4 : 0.03
กร
ิ ว
ข ้อที 56 :
าวศ
ถนนสายหนึงมี average hourly volume เท่ากับ 360 คัน/ชม. สมมติว่าการมาถึงของรถ (arrival of vehicles) เป็ นแบบ Poisson distribution จง
หาความเป็ นไปได ้ (Probability) ทีจะมีรถมาถึง 5 คันหรือมากกว่าในเวลา 20 วินาที
สภ
1 : 0.053
2 : 0.071
3 : 0.130
4 : 0.334
ิ
ิ ธ
ข ้อที 57 :
สท
กระแสจราจรในชอ่ งจราจรหนึงบนถนนชว่ งหนึงมี spacing เฉลีย = 20 เมตร/คัน มีความเร็วเฉลีย = 20 กิโลเมตรต่อชัวโมง จงหาปริมาณการจราจร

ั
(คันต่อชวโมง)
1 : 400
งวน
2 : 1,000
3 : 1,500
4 : 2,000
อส
ขอ
กร
ข ้อที 58 :
จงหาค่าปริมาณจราจรเฉลีย (คัน/ชัวโมง) เมือค่า headway เฉลีย = 5 วินาที/คัน
ิ ว
1
2
:
:
าวศ
0.2
160
3 : 720
สภ
4 : 800
ข ้อที 59 :
เมือปริมาณจราจร = 400 คัน/ชัวโมง
อัตราเร็วเฉลียของกระแสจราจร = 25 กิโลเมตร/ชัวโมง
จงหาค่า density เฉลียมีค่ากีคันต่อชัวโมง
1 : 8
2 : 16
3 : 32
4 : 64
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 60 :
งวน
อส
จงหาค่า time-mean speed ในหน่วย กิโลเมตร/ชัวโมง เมือ
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
1 : 22.4
สภ
2 : 44.5
3 : 77.4
4 : 80.5
ข ้อที 61 :
จงหาค่า space-mean speed ในหน่วย กิโลเมตร/ชัวโมง เมือ
ิ
ิ ธ
1 : 21.5
สท
2 : 65.6
3 : 77.4
4 : 80.5
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 62 :
จาการสํารวจปริมาณจราจร ได ้ข ้อมูลดังแสดงในตารางข ้างล่างนี จงหาค่า Peak Hour Factor (PHF)
กร
ิ ว
1 :
าวศ
0.85
สภ
2 : 0.94
3 : 1.06
4 : 1.21
ข ้อที 63 :
จากรูป ิ
1 : 73.5
ิ ธ
2 : 75
สท
3 : 80
4 : 50
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 64 :
จากกราฟความสัมพันธ์ระหว่าง q - k ให ้หา อัตราเร็วเฉลีย เมือ density = 20 คัน/กิโลเมตร
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 30 กม./ชม.
2 : 45 กม./ชม.
3 : 60 กม./ชม.
4 : 90 กม./ชม.
ิ
ิ ธ
ข ้อที 65 :
สท
งวน
อส
่ งห่าง (gap) ทีรถจากทางเชอม

จํานวนชอ ื (ramp) สามารถแทรกเข ้าไปได ้ เท่ากับกีชอ
่ ง
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 133
2 : 263
3 : 316
4 : 456
ข ้อที 66 :
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
จากกราฟความสัมพันธ์ระหว่าง q - k ให ้หา อัตราเร็วเฉลีย (กม./ชม.) ทีสภาพ ความจุ (capacity)
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 0
2 : 25
3 : 30
4 : 50
ข ้อที 67 :
ในชอ ่ งจราจรชอ
่ งหนึง ๆ rate of flow มีค่ามากทีสุด เมือ
ิ
ิ ธ
สท
1 : density น ้อย และอัตราเร็วมาก

2 : density ปานกลาง และอัตราเร็วปานกลาง
3 : density มาก และอัตราเร็วน ้อย
งวน
4 : density น ้อย และอัตราเร็วมาก หรือ density มาก และอัตราเร็วน ้อย
อส
ขอ
ข ้อที 68 :
ข ้อใด ไม่ใช ่ วัตถุประสงค์ของการสํารวจปริมาณการจราจร
กร
1 : เพือดูความสําคัญของถนนแต่ละสาย
2 : เพือดูความเปลียนแปลงตามเวลาของการไหล
3 : เพือดูปริมาณทีแตกต่างกันในแต่ละชว่ ง
ิ ว
4 : เพือดูเวลาการรับรู ้ของผู ้ขับขียานพาหนะ
าวศ
สภ
ข ้อที 69 :
Highway Capacity Manual ได ้แยกระดับการให ้บริการ (Level of Service, LOS) บนทางด่วนออกเป็ นกีระดับ
1 : 4 ระดับ
ข ้อที 70 :
วัตถุประสงค์หลักของ Four-step Model คืออะไร
1 : คาดประมาณรายได ้เฉลียของประชากร
2 : คาดประมาณความต ้องการด ้านขนส่ง
3 : ทํานายความหนาแน่นของประชากร
้ นที
ิ
4 : ทํานายความต ้องการการใชพื
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 71 :
้
พืนทีขนาดเล็ก ทีใชในการศ ึ ษา Four-step Model เรียกว่าอะไร
ก
อส
ขอ
1 : District
2 : Element
3 : Zone
4 : Area
กร
ิ ว
ข ้อที 72 :
าวศ
ขันตอนใดใน Four-step Model ทีทําให ้ทราบถึงจํานวนการเดินทางทีเข ้าออกแต่ละพืนทีย่อย
สภ
1 : Trip Assignment
2 : Trip Distribution
3 : Trip Generation
4 : Modal Split
ข ้อที 73 :
้ ผู ้เดินทางจะเลือกใช ้
ขันตอนใดใน Four-step Model ทีทําให ้ทราบถึงเสนทางที
1 : Trip Assignment
3 : Trip Generation
4 : Modal Split
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 74 :
การสํารวจใดที ไม่ใช ่ วิธีการสํารวจจุดเริมต ้นและจุดสุดท ้ายของการเดินทาง (O-D Survey)
งวน
1 : การจดหมายเลขทะเบียนรถ (License Plate)

2 : การติดเครืองหมาย (Tag) ทีตัวรถ
3 : การนั บรถทีข ้างทาง (Volume Count)
อส
4 : การสัมภาษณ์ทบ ี ้าน (Home Interview)

ขอ
กร
ข ้อที 75 :
ข ้อใดที ไม่ใช ่ สภาพการจราจรแบบ Ideal ตามเงือนไขของ Highway Capacity Manual
ิ ว
าวศ
1 : สภาพภูมิประเทศเป็ นทีราบ
2 : มีแต่รถยนต์นังส่วนตัวเท่านั น
3 : ความกว ้างของชอ ่ งทางต ้องไม่น ้อยกว่า 10 ฟุต
4 : ิ ดขวางจะต ้องห่างจากขอบทางไม่น ้อยกว่า 6 ฟุต
สงกี
สภ
ข ้อที 76 :
ในถนนสายหนึงสมมุตวิ ่า มียานพาหนะ 3 ชนิด ได ้แก่ รถจักรยานยนต์ จํานวน 30 % ความเร็วเฉลีย 70 กม. /ชม. รถยนต์ จํานวน 60 % ความเร็ว
เฉลีย 80 กม./ชม. และรถบรรทุกจํานวน 10 % ความเร็วเฉลีย 50 กม./ชม. จงหาความเร็วจุด (Spot Speed) เฉลียของการยวดยานทุกชนิด
1 : 24.7 กม./ชม.
2 : 66.7 กม./ชม.
3 : 70.0 กม./ชม.
4 : 74.0 กม./ชม.
ข ้อที 77 :
ิ
ิ ธ
จากข ้อมูลปริมาณการจราจรในชว่ งเวลาหนึง พบว่า Hourly Volume , HV มีค่าเท่ากับ 3,200 คันต่อชัวโมง Peak Hour Factor , PHF มีค่าเท่ากับ
0.80 อยากทราบว่าในขณะนั นมีค่า Service Flow , SF เท่าใด
สท
1 : 4,000 คัน/ชม.
2 : 3,200 คัน/ชม.
งวน
3 : 2,560 คัน/ชม.
4 : 640 คัน/ชม.
อส
ขอ
ข ้อที 78 :
กร
ถนนสายหนึงมี average hourly volume เท่ากับ 360 คัน/ชม.
สมมติว่าการมาถึงของรถ (arrival of vehicles) เป็ นแบบ Poisson distribution
จงหาความเป็ นไปได ้ (Probability) ทีจะมีรถมาถึง 3 คันหรือมากกว่า ในเวลา 20 วินาที
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 0.135
2 : 0.865
3 : 0.594
4 : 0.323
ข ้อที 79 :
่ งจราจรหนึง บนถนนชว่ งหนึงมี headway เฉลีย = 20 เมตร/คัน
จงหาค่า density เฉลีย เมือกระแสจราจรในชอ
1 : 0.5
2 : 5
3 : 50
4 : 180
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 80 :
งวน
้
density เป็ นเสนตรง จงหา maximum flow rate
1 : 11000 คัน/กม.
อส
2 : 7330 คัน/กม.
ขอ
3 : 6500 คัน/กม.
4 : 5500 คัน/กม.
กร
ิ ว
ข ้อที 81 :
าวศ
้
density เป็ นเสนตรง จงหาค่า density ที maximum flow
สภ
1 : 84 คัน/กม.
2 : 120 คัน/กม.
3 : 125 คัน/กม.
4 : 160 คัน/กม.
ข ้อที 82 :
สัญญาณไฟจราจรแบบ pretimed จังหวะไฟมีทังหมด 4 เฟส
ค่า critical-lane volumes ของ 3 เฟสแรกมีค่าเท่ากับ 240, 200 และ 210 คันตามลําดับ
ถ ้าให ้ค่า
saturation flows ของทุกเฟส มีค่าเท่ากับ 1,800 vphpl
ค่า lost time ของทุกเฟส มีค่าเท่ากับ 4 วินาที
จงหาค่า
ิ
ิ ธ
สท
1 : 137.5 คัน
2 : 275 คัน
3 : 550 คัน
งวน
4 : 1100 คัน
อส
ขอ
ข ้อที 83 :
ถนนชานเมืองสายหนึงออกแบบเพือรองรับ AADT = 11,500 คันต่อวัน
้
ความเร็วออกแบบ 80 กม./ชม. ผู ้ใชถนนเป็ ้ นกลับ
นกลุ่มคนงานไปเชาเย็
กร
ค่า PHF(Peak Hour Factor) = 0.89
ค่า D(Directional Factor) = 65%
ิ ว
ค่า K = 12%
าวศ
จงคํานวณหา DDHV ( Directional Design Hourly Volume)
1 : 650 คัน/ชม.
2 : 700 คัน/ชม.
สภ
3 : 800 คัน/ชม.
4 : 897 คัน/ชม.
ข ้อที 84 :
วัตถุประสงค์ของ Four Step Model คืออะไร
1 : การคาดคะเนรายได ้ประชากร
2 : การคาดคะเนความต ้องการด ้านขนส่ง
3 : การทํานายถึงความหนาแน่นของการใชพื ้ นที
4 : ้
การทํานายถึงความต ้องการใชพลังงาน
ข ้อที 85 :
ิ
ิ ธ
ข ้อใดแสดงถึงลําดับการวิเคราะห์ Four Step Model ได ้ถูกต ้อง

สท
1 : Trip Generation, Trip Distribution, Trip Assignment, Modal Split

2 : Trip Generation, Modal Split, Trip Assignment, Trip Distribution
3 : Trip Generation, Trip Distribution, Modal Split, Trip Assignment
งวน
4 : Trip Generation, Trip Assignment, Modal Split, Trip Distribution
อส
ขอ
ข ้อที 86 :
ขันตอนใดใน Four Step Model ทีทําให ้ทราบว่าจํานวน Trip ทีเข ้าสู่แต่ละโซนและมีจํานวนเท่าใด
กร
1 : Trip Assignment
2 : Modal Split
ิ ว
4 :
าวศ
Trip Generation
สภ
ข ้อที 87 :
ขันตอนใดใน Four Step Model ทีพิจารณาว่า Trip กําเนิดจากโซนใด ๆ และจะไปสู่โซนไหนบ ้างจํานวนเท่าใด
1 : Modal Split
2 : Trip Assignment
4 : Trip Generation
ข ้อที 88 :
ขันตอนใดใน Four Step Model ทีคาดคะเนความต ้องการแยกตามรูปแบบการเดินทาง
1 : Trip Generation
2 : Modal Split
3 : Trip Assignment
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 89 :
้ นทางใดในการเดิ
ขันตอนใดใน Four Step Model ทีพิจารณาว่า Trip เหล่านั นจะใชเส ้ นทาง
อส
1 : Trip Assignment
ขอ
2 : Modal Split
3 : Trip Generation
กร
ิ ว
ข ้อที 90 :าวศ
ในการสํารวจพบว่ายวดยานจํานวน 5 คัน มีความเร็วเฉลียตลอดระยะทาง 5 กิโลเมตร เท่ากับ 25, 30, 40, 50 และ 60 กิโลเมตรต่อชัวโมง (kph) จง
สภ
หาความเร็วเชงิ ชว่ ง (Space Mean Speed)
1 : 35 kph
2 : 37 kph
3 : 40 kph
4 : 41 kph
ข ้อที 91 :
้
ความเร็วเฉลียของคนเดินข ้ามถนน (Average Pedestrian Walking Speed ; PWS) ทีใชในการออกแบบส ัญญาณไฟสําหรับคนเดินข ้ามถนน มีค่า
ประมาณเท่าไร
1 : 0.8 m/s
2 : 1.2 m/s
3 : 1.6 m/s
4 : 2.0 m/s
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 92 :
จงหาค่า DHV (Design Hourly Volume) ต่อชอ ่ งทางของรถบรรทุกในทางหลวงขนาด 4 ชอ
่ งทาง ทีสํารวจได ้ค่าปริมาณจราจร AADT = 40,000
่ งทางทีออกแบบ 90%
vpd แยกเป็ นรถบรรทุก 10% Directional Value = 60% ค่า K = DHV/AADT = 0.12 และมีรถบรรทุกวิงอยูใ่ นชอ
อส
่ งทาง
1 : 480 คัน/วัน/ชอ
่ งทาง
2 : 288 คัน/วัน/ชอ
ขอ
3 : 259 คัน/วัน/ชอ่ งทาง
4 : 240 คัน/วัน/ชอ ่ งทาง
กร
ิ ว
ข ้อที 93 :
าวศ
ปริมาณการจราจรเฉลียรายวันทีได ้จากการสํารวจตลอดระยะเวลา 1 ปี คือค่าในข ้อใด
1 : Average Daily Traffic (ADT)
สภ
2 : Average Annual Daily Traffic (AADT)
3 : Hourly Volume (HV)
4 : Design Hourly Volume (DHV)
ข ้อที 94 :
โครงข่ายถนนประเภทใด ทีเหมาะสําหรับการจัดระบบเดินรถทางเดียว (Oneway)
1 : Grid Network
2 : Radial Network
3 : Ring Network
4 : Linear Network
ิ
ิ ธ
ข ้อที 95 :
สท
Traffic Data in Year 1993 ADT = 1987 vpd

Finish Design in Year 1995
งวน
Start Construction in Year 1996

Finish Construction and Start Operation in 1998
จงหา ADT in Year 1998 เมือ Traffic Growth Rate = 6%
อส
1 : 2233 vpd
2 : 2367 vpd
ขอ
3 : 2509 vpd
4 : 2659 vpd
กร
ิ ว
ข ้อที 96 :
าวศ
ใน Four-Step Model, วัตถุประสงค์หลักของการใช้ Trip Generation Model เพือการวางแผนทางหลวง คือ ข้อใด
1 : ้ นทาง
คาดคะเนจํานวนยานพาหนะ m จากพืนทีย่อย i. ไปยังพืนทีย่อย j. ทีจะใชเส ้ r.
สภ
2 : คาดคะเนจํานวนการเดินทางจากพืนทีย่อย i. ไปยังพืนทีย่อย j. โดยยานพาหนะ mpan � gT�u6��2>
3 : คาดคะเนจํานวนการเดินทางจากพืนทีย่อย i. ไปสู่พนที
ื j.
4 : คาดคะเนจํานวนการเดินทางเข ้าออกพืนทีย่อย i.nbsp;� a ��3Hy8.
ข ้อที 97 :
ใน Four-Step Model, วัตถุประสงค์หลักของการใช้ Trip Distribution Model เพือการวางแผนทางหลวง คือ ข้อใด
1 : คาดคะเนจํานวนการเดินทางจากพืนทีย่อย i. ไปสู่พืนที j.
2 : คาดคะเนจํานวนการเดินทางเข้าออกพืนทีย่อย i.
3 : คาดคะเนจํานวนยานพาหนะ m จากพืนทีย่อย i. ไปยังพืนทีย่อย j. ทีจะใช้เส้นทาง r.
4 : คาดคะเนจํานวนการเดินทางจากพืนทีย่อย i. ไปยังพืนทีย่อย j. โดยยานพาหนะ m
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 98 :
ใน Four-Step Model, วัตถุประสงค์หลักของการใช้ Modal Split Model เพือการวางแผนทางหลวง คือ ข้อใด
งวน
3 : คาดคะเนจํานวนการเดินทางด้วยยานพาหนะ m จากพืนทีย่อย i. ไปยังพืนทีย่อย j
อส
ขอ
กร
ข ้อที 99 :
ใน Four-Step Model, วัตถุประสงค์หลักของการใช้ Trip Assignment Model เพือการวางแผนทางหลวง คือ ข้อใด
ิ ว
าวศ
2 : คาดคะเนจํานวนยานพาหนะ m จากพืนทีย่อย i. ไปยังพืนทีย่อย j. ทีจะใช้เส้นทาง r.
สภ
ข ้อที 100 :
จากขันตอนการวางแผน ทําให้ทราบว่าปริ มาณจราจรบนถนนสายหนึ งในปี ออกแบบจะเท่ากับ 40,000 คันต่อวัน และร้อยละ 20 เป็ นรถบรรทุก ถ้าสมมติให้ Passenger
Equivalent Factor ของรถบรรทุก = 3. Directional Distribution Value = 60%, K Value = DHV/ AADT = 0.12 ค่าปริ มาณจราจรรายชัวโมงทีใช้ออกแบบ (DHV) ในด้านจราจร
มากกว่าจะเท่ากับข้อใด
1 : 3333 คันรถนังส่วนบุคคลต่อชัวโมง
ิ
ิ ธ
ข ้อที 101 :
สท
จากการวัดความเร็วรถนังส่วนบุคคล จํานวน 87 คัน บนทางสายหนึ ง ได้ขอ้ มูลดังแสดงในตารางข้างล่างนี ความเร็วรถที 85th เปอร์เซนต์ไทล์ เท่ากับ ข้อใด
งวน
อส
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 79 กม./ชม.
2 : 90 กม./ชม.
3 : 101 กม./ชม.
4 : 105 กม./ชม.
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 102 :
ข้อใดทีไม่ใช่ ผลประโยชน์ทางตรงทีได้รับจากการปรับปรุ งก่อสร้างทางทีมีอยูเ่ ดิม
1 : ลดค่าใช้จ่ายในการใช้รถ
งวน
2 : ลดระยะเวลาในการเดินทาง
3 : มูลค่าของทีดินสูงขึน
4 : ลดค่าบํารุ งรักษาถนน
อส
ขอ
กร
ข ้อที 103 :
หากความสัมพันธ์ระหว่างความหนาแน่ นของการจราจร (Density) และความเร็วของการจราจร (Speed) มีลกั ษณะเป็ นเส้นตรง ข้อใดไม่ถูกต้อง
ิ ว
าวศ
1 : เมือความหนาแน่ นของการจราจรสูงขึน ความเร็วของการจราจรจะลดลง
2 : เมือความเร็วของการจราจรเพิมขึน ปริ มาณการจราจร (Volume) จะเพิมขึนตาม
3 : เมือความหนาแน่ นของการจราจรมีค่าตําสุด ปริ มาณการจราจรจะมีค่าตําสุดเช่ นเดียวกัน
4 : เมือความหนาแน่ นของการจราจรมีค่าสูงสุด ปริ มาณการจราจรจะมีค่าตําสุด
สภ
ข ้อที 104 :
Gravity Model เป็ นเทคนิ คทีใช้ในการวิเคราะห์ในขันตอนใดของ Four Step Model
1 : Trip Generation
2 : Modal Split
3 : Trip Assignment
ข ้อที 105 :
All-or-Nothing เป็ นเทคนิ คทีใช้ในการวิเคราะห์ในขันตอนใดของ Four Step Model
ิ
ิ ธ
1 : Trip Generation
สท
2 : Modal Split
3 : Trip Assignment
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 106 :
หากเราสนใจใช้มาตรการจํากัดรถเข้าออกพืนทีในเขตเมืองชันใน วิธีการสํารวจใดเป็ นวิธีการทีเหมาะสมทีสุดในการรวบรวมข้อมูลประกอบการพิจารณาการใช้มาตรการดัง
กล่าว
กร
1 : Turning Movement Count
2 : Cordon Count
ิ ว
3 : Mid-Block Count
าวศ
4 : Classification Count
สภ
ข ้อที 107 :
วิธีการสํารวจใดทีเหมาะสําหรับใช้ในการรวบรวมข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ Trip Distribution
1 : Origin-Destination Survey
2 : Mid-Block Count
3 : Floating Car Technique
ข ้อที 108 :
ถ้าเราอยากทราบปริ มาณการจราจรทีวิงข้ามแม่นําเจ้าพระยาในเขต กทม. และปริ มณฑล เราควรดําเนิ นการสํารวจด้วยวิธีใด
1 : Intersection Count
2 : Screen Line Count
ิ
ิ ธ
สท
4 : Roadside Count
งวน
อส
ข ้อที 109 :
วิธีการสํารวจใดเป็ นวิธีทีเหมาะสมทีสุดสําหรับรวบรวมข้อมูลเพือการออกแบบสัญญาณไฟทางแยก
ขอ
1 : Signal Count
2 : Roadside Count
3 : Turning Movement Count
กร
4 : Mid-Block Count
ิ ว
าวศ
สภ
ข ้อที 110 :
ข้อใดไม่ใช่ ปัจจัยหลักทีจะมีผลต่อการตัดสินใจเลือกรู ปแบบการเดินทาง (Mode) ของคนเดินทาง
1 : วัตถุประสงค์ของการเดินทาง
2 : ระดับบริ การทีได้รับจากแต่ละรู ปแบบการเดินทาง
3 : ลักษณะของผูเ้ ดินทาง
4 : ความถีในการเดินทาง
ข ้อที 111 :
ปัจจุบนั การจราจรมีปริ มาณ 1,000 คันต่อชัวโมง สมมติวา่ ปริ มาณการจราจรเพิมขึนด้วยอัตราร้อยละ 5 เท่ากันทุกปี ต้องใช้เวลาอย่างน้อยกีปี ปริ มาณการจราจรจึงจะเพิมขึนเป็ น 2
เท่าของปี ปัจจุบนั
1 : 15 ปี
2 : 18 ปี
3 : 20 ปี
4 : 24 ปี
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 112 :
ประเภทสัญญาณไฟทีเหมาะสําหรับติดตังบนทางแยกบนทางหลวงในพืนทีชนบทในต่างจังหวัดทีมีปริ มาณการจราจรบนทางโทมีปริ มาณตํามาก เมือเทียบกับปริ มาณยวดยาน
บนทางเอก
อส
Coordinated Signal
ขอ
1 :
2 : Fully Actuated Signal
3 : Semi-Actuated Signal
4 : Pretimed Signal
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 113 :
ถนน 4 ช่ องจราจรตัดกับถนน 2 ช่ องจราจร ณ ทางแยกแห่ งหนึ ง ซึงแบ่งรอบสัญญาณไฟออกเป็ น 4 จังหวะ (Phase) ผลการสํารวจและวิเคราะห์ขอ้ มูลการจราจรได้ขอ้ มูลการ
สภ
จราจรสําหรับแต่ละจังหวะ ดังนี
ิ
ิ ธ
สท
งวน
1 : 81 วินาที
อส
ขอ
กร
ข ้อที 114 :
ถนน 4 ช่ องจราจรตัดกับถนน 2 ช่ องจราจร ณ ทางแยกแห่ งหนึ ง ซึงแบ่งรอบสัญญาณไฟออกเป็ น 4 จังหวะ (Phase) ผลการสํารวจและวิเคราะห์ขอ้ มูลการจราจรได้ขอ้ มูลการ
ิ ว
จราจรสําหรับแต่ละจังหวะ ดังนี
าวศ
สภ
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 115 :
ถนน 4 ช่ องจราจรสองสายตัดกัน ณ ทางแยกแห่ งหนึ ง ซึงแบ่งรอบสัญญาณไฟออกเป็ น 4 จังหวะ (Phase) ผลการสํารวจและวิเคราะห์ขอ้ มูลการจราจรได้ขอ้ มูลการจราจรสําหรับ
แต่ละจังหวะ ดังนี
กร
ิ ว
าวศ
สภ
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 116 :
กร
ิ ว
าวศ
สภ
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 117 :
วิธีการใดทีเหมาะทีสุดสําหรับใช้สาํ รวจข้อมูลทีใช้ในการวิเคราะห์ Modal Split
1 : Household Interview Survey
กร
2 : Traffic Count Survey
3 : Physical Inventory Survey
ิ ว
4 : Bus Passenger Survey
าวศ
สภ
ข ้อที 118 :
จากโครงข่ายถนนตามรู ปซึงตัวเลขในวงกลมแสดงหมายเลข Node ส่วนตัวเลขทีแสดงติดกับ Link เป็ นระยะเวลาในการเดินทางบนแต่ละช่ วงถนน และจากตารางการเดินทาง
(Trip Table) ทีแสดงปริ มาณการเดินทางระหว่าง Node ต่างๆ ในโครงข่าย จงใช้เทคนิ ค All-or-nothing assignment คํานวณหาปริ มาณการเดินทางทีคาดว่าจะเกิดขึนบนถนนช่ วง
Node 2 ไปยัง Node 4
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
ิ
ิ ธ
สท
งวน
1 : 100
2 : 150
3 : 250
อส
4 : 300
ขอ
กร
ข ้อที 119 :
จากโครงข่ายถนนตามรู ปซึงแสดงระยะเวลาในการเดินทางบนแต่ละช่ วงถนน และจากตารางการเดินทาง (Trip Table) ทีแสดงปริ มาณการเดินทางระหว่าง Node ต่างๆ ในโครง
ิ ว
ข่าย จงใช้เทคนิ ค All-or-nothing assignment คํานวณหาปริ มาณการเดินทางทีคาดว่าจะเกิดขึนบนถนนช่ วง Node C ไปยัง Node E
าวศ
สภ
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
ิ
ิ ธ
สท
1 : 150
งวน
2 : 250
3 : 300
4 : 350
อส
ขอ
กร
ข ้อที 120 :
ิ ว
าวศ
สภ
ิ
ิ ธ
สท
1 : Effective Green Time ของจังหวะที มากกว่าของจังหวะที 4

งวน

4 : Effective Green Time ของจังหวะที 3 มากกว่าของจังหวะที 4
อส
ขอ
กร
ข ้อที 121 :
จากความสัมพันธ์ระหว่างปริ มาณการจราจร (Flow) ความเร็วของการจราจร (Speed) และความหนาแน่ นของการจราจร (Density) ข้อความใดถูกต้อง
ิ ว
1 : เมือความหนาแน่ นของการจราจร (Density) เพิมขึน ความเร็วของการจราจร (Speed) จะลดลง
าวศ
2 : เมือความหนาแน่ นของการจราจร (Density) เพิมขึน ปริ มาณการจราจร (Flow) จะเพิมขึน
3 : เมือความเร็วของการจราจร (Speed) เพิมขึน ปริ มาณการจราจร (Flow) จะเพิมขึน
4 : ผิดทุกข้อ
สภ
ข ้อที 122 :
ข้อใดสะท้อนความจุของทางหลวง 2 ช่ องจราจร (Two lane, two-way, highways) ได้ดีทีสุด
1 : 500 pcu ต่อชัวโมง
2 : 2,000 pcu ต่อชัวโมง ต่อช่ องทาง
3 : 2,000 pcu ต่อชัวโมง
4 : 3,600 pcu ต่อชัวโมง
ข ้อที 123 :
ข้อใดสะท้อนความจุของทางด่วนทีมีอย่างน้อย 2 ช่ องจราจรต่อทิศทางได้ดีทีสุด
ิ
1 : 500 pcu ต่อชัวโมงต่อช่ องทาง

ิ ธ
2 : 750 pcu ต่อชัวโมงต่อช่ องทาง

สท
3 : 1,000 pcu ต่อชัวโมงต่อช่ องทาง

4 : 1,800 pcu ต่อชัวโมงต่อช่ องทาง
งวน
อส
ขอ
เนือหาวิชา : 552 : Geometric design and operations
กร
ข ้อที 124 :
้
ทางประเภทใด ใชความเร็ วในการออกแบบน ้อยทีสุด
ิ ว
1 : Major Arteries
2
3
4
:
:
:
าวศ
Provincial Roads
Access Roads
Collector Roads
สภ
ข ้อที 125 :
ึ
อุปกรณ์ควบคุมการจราจรซงประกอบด ้วยเสน้ รูป หรือสีบนถนน ทีขอบทางหรือบนวัตถุอืนๆ ในทางจราจรหรือติดกับทางจราจร หรือคําหรือสัญลักษณ์
ทีเขียนบนผิวทาง เรียกว่า
1 : Traffic markings
2 : Traffic signs
3 : Traffic signal
4 : Traffic lines
ข ้อที 126 :
ทีขอบทางของถนนในเมือง บ่อยครังจะมีการทาสี เชน
่ เป็ นสีขาวแดง สีขาวเหลือง หรือสีขาวดํา เป็ นต ้น การทาสีขาวดําหมายความว่า
ิ
ิ ธ
1 : ให ้จอดได ้
สท
2 : ห ้ามจอด เว ้นไว ้แต่เป็ นการจอดรับส่งผู ้โดยสารซงต

ึ ้องกระทําโดยมิชักชา้
3 : เป็ นการบอกอุปสรรค
4 : ห ้ามจอด
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 127 :
้ นถนนเพือควบคุมการจราจร ปั จจุบันใชทั้ งเสนส
ในการตีเสนบนพื ้ ีขาว และเสนส
้ ีเหลือง ต่อไปนีข ้อใดถูกต ้องทีสุด
1 : สีเหลืองใชตี้ เป็ นเสนแบ่
้ งระหว่างการจราจรสองทิศทาง เสนขาวใช ้ ้ งชอ
แบ่ ่ งทีการจราจรไปในทิศทางเดียวกัน
กร
2 : สีเหลืองใชกั้ บเสนศู
้ นย์กลางทาง ส่วนสีขาวใชแบ่ ้ งชอ่ งจราจรกับไหล่ทาง
3 : ใชส้ ีเหลืองหรือขาวก็ได ้ ไม่แตกต่างกัน
ิ ว
4 : สีเหลืองใชกั้ บพืนทีขัดแย ้งสูง ต ้องเตือนให ้ระมัดระวังเป็ นพิเศษ เชน
่ พืนทีทางร่วมทางแยก สีขาวใชกั้ บพืนทีทัวไป
าวศ
สภ
ข ้อที 128 :
ข ้อความในข ้อใดถูกต ้องทีสุด
1 : ป้ ายหยุดให ้ติด ณ จุดทีให ้รถหยุดทีจุดนั น ส่วนป้ ายห ้ามเข ้าให ้ติดก่อนถึงจุดห ้ามเข ้า
2 : ป้ ายหยุดให ้ติด ณ จุดทีให ้รถหยุดทีจุดนั น ส่วนป้ ายห ้ามเข ้าก็ให ้ติดทีจุดห ้ามเข ้า
3 : ทังป้ ายหยุดและป้ ายห ้ามเข ้าควรติดทีจุดก่อนหน ้านั น เพือให ้คนขับปฏิบัตไิ ด ้ทัน
4 : ป้ ายห ้ามเข ้าให ้ติด ณ จุดทีให ้ห ้ามรถเข ้าที ส่วนป้ ายหยุดให ้ติดตังก่อนถึงจุดหยุดเล็กน ้อย
ข ้อที 129 :
ผลของการติดตังสัญญาณไฟแบบ Pretimed signal กับทางแยกในเขตเมืองทีปริมาณจราจรไม่หนาแน่นมาก ข ้อใดถูกต ้องทีสุด
1 : ปลอดภัยขึน เพราะถ ้าติดตังดี จะทําให ้อุบัตเิ หตุจากการชนด ้านข ้างทีทางแยกลดลง
2 : ปลอดภัยขึน เพราะสัญญาณไฟจะชว่ ยหยุดรถ ทําให ้ความเร็วรถทีวิงระหว่างทางแยกลดลง
3 : ปลอดภัยขึน รถจะวิงไม่เร็ว อุบัตเิ หตุรถชนท ้ายกันจะลดลง
4 : ไฟสัญญาณแต่ละแยกทํางานอย่างอิสระ รถจะผ่านกลุ่มทางแยกได ้อย่างต่อเนืองและรวดเร็ว
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 130 :
อส
้
จงหาค่าระดับบนเสนโค ้งทางดิงพาราโบลาแบบสมมาตร ที Sta 3 + 050 มีข ้อมูลดังต่อไปนี
ขอ
กร
1 : 100.250 m
2 : 100.500 m
ิ ว
3 : 101.250 m
าวศ
4 : 101.500 m
สภ
ข ้อที 131 :
1:
2:
3:
4:
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 132 :
งวน
จากข ้อมูลการยกโค ้งโดยการหมุนรอบจุดศูนย์กลางของโค ้งวงกลม ดังต่อไปนี

ถนนขนาด 2 ชอ ่ งทาง ความกว ้างทังหมด 8.00 m
Crown Slope = 2 %
อส
อัตราการยกโค ้ง , e = 0.09 m / m ความลาดชันใน Profile , S = 150
ขอ
จงหาค่า Transition Length , TL หรือ Length of runoff ของการยกโค ้งนี
1 : 66.00 m
2 : 78.00 m
กร
3 : 102.00 m
4 : 128.00 m
ิ ว
าวศ
สภ
ข ้อที 133 :
้
จงหาว่าจุดตําทีสุดบนเสนโค ้งทางดิงพาราโบลาทีมีข ้อมูลดังต่อไปนี อยูท
่ ใด
ี
1 : 33.333 m จาก PVT sta

ข ้อที 134 :
โจทย์ ถนนออกแบบให ้รถแล่นด ้วยความเร็ว 100 กม./ชม. กําหนดอัตราการยกโค ้ง e = 9%
สปส.ความเสียดทานระหว่างล ้อกับถนน = 0.12 จงหารัศมีทางโค ้งทีสันสุดทีขับรถได ้โดย ปลอดภัย
1 : 375 เมตร
2 : 395 เมตร
ิ
ิ ธ
3 : 425 เมตร
สท
4 : 450 เมตร
งวน
อส
ข ้อที 135 :
จงคํานวณหาระยะหยุดโดยปลอดภัยสําหรับถนนซงมี ึ 2 ชอ ่ งจราจร
ขอ
ความเร็วของรถบนถนน 60 กม./ชม. สปส.ความเสียดทานระหว่างล ้อกับถนน 0.4
และผู ้ขับเริมเหยียบห ้ามล ้อหลังจากเห็นวัตถุขวางหน ้าอยู่ = 3 วินาที
1 : 86.04 เมตร
กร
2 : 92.39 เมตร
3 : 95.50 เมตร
ิ ว
4 : 99.05 เมตร
าวศ
สภ
ข ้อที 136 :
ถนนถูกออกแบบเพือรองรับ AADT = 11,500 คันต่อวัน เป็ นถนนอยูช ่ านเมือง
้
ความเร็วออกแบบ 80 กม./ชม. ผู ้ใชถนนเป็ ้ นกลับ
นกลุ่มคนงานไปเชาเย็
ค่าPHF(Peak Hour Factor) = 0.89 ค่า D(Directional Factor) = 65% ค่า K = 12%
จงคํานวณหา DDHV ( Directional Design Hourly Volume)
1 : 650 คัน/ชม.
2 : 700 คัน/ชม.
3 : 800 คัน/ชม.
4 : 897 คัน/ชม.
ข ้อที 137 :
ระดับการให ้บริการ (Level of Service) ตามนิยามของ Transportation Research Board มีกระดั
ี บ
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 138 :
นายใจเย็นมีระยะเวลาตัดสน ิ ใจ =1.5 วินาที จงหาว่ารถจะเคลือนทีไปเป็ นระยะทางเท่าใด
ก่อนทีเขาจะเหยียบห ้ามล ้อเพือหยุดรถเมือรถมีความเร็ว 60 กม./ชม.
กร
1 : 13.89 เมตร
2 : 16.67 เมตร
ิ ว
3 : 18.50 เมตร
4 :
าวศ
25 เมตร
สภ
ข ้อที 139 :
Guard Rail หมายถึงอะไร
1 : ราวกันอันตราย
2 : เกาะกลางถนน
3 : ทางวิงของรถราง
4 : รัวและหลักบอกระยะ
ข ้อที 140 :
ระยะทางเบืองหน ้าทีผู ้ขับรถสามารถมองเห็นได ้ไกลสุด
เพือการตัดสน ิ ใจกระทําอย่างใดอย่างหนึงเรียกว่าอะไร
1 : Stopping Distance
ิ
2 : Braking Distance
ิ ธ
3 : Perception and Reation Distance

สท
4 : Sight Distance
งวน
อส
ข ้อที 141 :
การออกแบบทางหลวงสายใดก็ตาม จะต ้องจัดให ้มีระยะมองเห็นอย่างน ้อยเท่ากับระยะใด
ขอ
1 : ระยะแซงปลอดภัย
2 : ระยะหยุดรถโดยปลอดภัย
3 : ระยะมองเห็นโดยปลอดภัยบนโค ้งราบ
กร
4 : ระยะมองเห็นโดยปลอดภัยบนโค ้งดิง
ิ ว
าวศ
ข ้อที 142 :
สภ
้
ถ ้าหากจําเป็ นต ้องใชลาดช ันยาวเกินกว่าระยะการไต่ลาดชันวิกฤตและปริมาณรถมาก จําเป็ นต ้องเพิมชอ
่ งทางวิงสําหรับรถบรรทุกทีวิงชา้ ชอ
่ งทางวิงที
เพิมขึนนีเรียกว่าข ้อใดอะไร
1 : Express Lane
2 : Climbing Lane
3 : Storage Lane
4 : Speed-Change Lane
ข ้อที 143 :
เครืองหมายจราจรใดใชส้ ีแตกต่างไปจากกลุ่ม
1 : ้
เสนแบ่ ่ งจราจร
งชอ
2 : ้
เสนแบ่ งทิศทางจราจร
3 : เสนหยุ้ ดบริเวณทางแยก
4 : ้
เสนขอบทาง
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 144 :
ื
บริเวณทางเชอมโยงเข ้ องหมายจราจรชนิดใด ให ้ผู ้ขับขีรับรู ้ถึงความแตกต่างของความเร็วและพึงระมัดระวังในการเข ้า-ออก
้าและออก ควรใชเครื
้ บคู่
1 : เสนทึ
อส
้
2 : เสนประถี
ขอ
้
3 : เสนประกว ้าง
4 : เสนประ้
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 145 :
จากรูปเป็ นโค ้งตามข ้อใด
สภ
1 : Broken Back Curve

2 : Compound Curve
3 : Sag Vertical Curve
4 : Reverse Curve
ข ้อที 146 :
ิ
ิ ธ
จากรูปข ้อใดไม่ถก
ู ต ้อง
สท
งวน
อส
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1:
2: ิ
ิ ธ
สท
3:
งวน
อส
ขอ
กร
ิ ว
4:
าวศ
สภ
ข ้อที 147 :
ผลต่างพีชคณิตของโค ้งนี
ิ
ิ ธ
สท
1 : –0.5%
งวน
2 : +0.5%
3 : –3.5%
4 : +3.5%
อส
ขอ
กร
ข ้อที 148 :
สัญญาณไฟจราจรควบคุมชอ
่ งทางวิง กรณีอนุญาตให ้ยานพาหนะแล่นไปได ้ควรมีลักษณะตามข ้อใด
ิ ว
1 : สัญลักษณ์ลูกศรชขึ
ี น มีไฟสญ ั ญาณสเี ขียว
าวศ
2 : สัญลักษณ์ลูกศรชลง
ี มีไฟสัญญาณสีเขียว
3 : สัญลักษณ์ลูกศรชขึี น มีไฟสัญญาณสีเหลือง
4 : สัญลักษณ์กากบาท มีไฟสัญญาณสีแดง
สภ
ข ้อที 149 :
จากรูป จงหาเวลาของสัญญาณไฟแดงของ Phase ที 2
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 150 :
งวน
อส
จากรูปแนวทางนีเป็ นลักษณะโค ้งทีไม่ดี แก ้ไขแนวทางใหม่ให ้เหมาะสมขึน จงหาค่า P.I. ใหม่
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : P.I. STA. 0+514.802

ิ
ิ ธ
2 : P.I. STA. 0+513.486

3 : P.I. STA. 0+513.174
สท
4 : P.I. STA. 0+500.571

งวน
อส
ขอ
ข ้อที 151 :
จงหาความยาวของท่อกลม
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 10 ม.
2 : 11 ม.
3 : 23 ม.
4 : 24 ม.
ข ้อที 152 :
จงคํานวณหาค่า Super Elevation (e) สําหรับถนนคอนกรีตกว ้าง 7.5 เมตร รัศมีความโค ้งของถนน 800 เมตร และออกแบบให ้รถแล่นด ้วยความเร็ว
80 กม./ชม. โดยมีค่า สปส.ความเสียดทานระหว่างล ้อกับถนนไม่เกิน 0.05
1 : 0.013
2 : 0.075
ิ
ิ ธ
3 : 0.080
4 : 0.150
สท
งวน
ข ้อที 153 :
อส
งานก่อสร ้างทางจะต ้องบอกขอบเขต ดินตัดหรือดินถม รวมทังระยะทางจากจุดศูนย์กลางถนน หมุดนั นคือ
ขอ
1 : Cut & Fill
2 : Stake Construction
3 : Slope Stake
กร
4 : Reference Point
ิ ว
าวศ
ข ้อที 154 :
สภ
โค ้งกลมมีความยาวโค ้งเท่ากับ AC และมีรัศมีโค ้ง R ระยะ tangent T จะเท่ากับข ้อใด
1:
ิ
ิ ธ
2:
สท
3:
งวน
4:
อส
ขอ
กร
ข ้อที 155 :
ิ ว
1
2
3
:
:
:
าวศ
5249.587
5827.587
5729.578
สภ
4 : 5927.578
ข ้อที 156 :
1 : 160 เมตร
2 : 180 เมตร
3 : 200 เมตร
4 : 220 เมตร
ิ
ิ ธ
ข ้อที 157 :
สท
งวน
1 : 98.206 เมตร
2 : 98.726 เมตร
อส
3 : 98.546 เมตร
4 : 98.406 เมตร
ขอ
กร
ิ ว
ข ้อที 158 :
าวศ
สภ
1 :
2 :
3 :
4 :
ข ้อที 159 :
้
จงหาระยะหยุดโดยปลอดภัย เมือรถยนต์แล่นด ้วยความเร็วเท่ากับ 70 กม./ชม. บนพืนราบ และคนขับใชเวลาในการรั บรู ้และปฏิบัตต
ิ อบสนองเท่ากับ
ิ
ิ ธ
2.5 วินาที สัมประสท

ิ ธิความเสียดทานระหว่างล ้อกับถนนเท่ากับ 0.4
สท
1 : 97 เมตร
2 : 108 เมตร
3 : 120 เมตร
งวน
4 : 133 เมตร
อส
ขอ
ข ้อที 160 :
ถ ้ารัศมีทางโค ้งของถนนเท่ากับ 350 เมตร และต ้องการให ้รถแล่นเข ้าโค ้งได ้อย่างปลอดภัยด ้วยความเร็ว 100 กม./ชม. จะต ้องกําหนดอัตราการยกโค ้ง
กร
เท่าใด กําหนดให ้สัมประสทิ ธิการเสียดทานระหว่างล ้อกับถนน = 0.15
1 : 4%
ิ ว
2 : 7.5%
าวศ
3 : 12%
4 : 28%
สภ
ข ้อที 161 :
้ ัมผัส (Length of Tangent) 120 เมตร จุดตัดกันของเสนส
โค ้งราบวงกลมของถนนสายหนึงมีรัศมี 600 เมตร มีระยะเสนส ้ ัมผัสโค ้ง (PI) อยูท
่ ี Sta.
103 + 840 จงหา sta. ของจุดปลายโค ้ง (PT)
ิ
ิ ธ
สท
1 : 103 + 956.87
งวน
2 : 104 + 011.11
3 : 103 + 456.66
4 : 104 + 070.02
อส
ขอ
กร
ข ้อที 162 :
จงหาระยะเบรกสําหรับรถทีวิงด ้วยความเร็ว 75 กม./ชม. ลงเขาทีมีความลาดชัน 5% ถ ้าสัมประสท
ิ ธิความเสียดทานระหว่างล ้อกับผิวถนนเท่ากับ 0.35
ิ ว
1 : 55.30 เมตร
าวศ
2 : 73.74 เมตร
3 : 81.20 เมตร
4 : 90.15 เมตร
สภ
ข ้อที 163 :
โค ้งควําแบบสมมาตร มีความลาดชันขึน 3% และความลาดชันลง 2% มีจุด PVI ที Sta. 10+250 มีระดับ 135.450 m ถ ้าความยาวโค ้งเท่ากับ 300
เมตร จงหาตําแหน่ง (Station) และค่าระดับของจุด PVC และ PVT
1 : PVC Sta. 10+110 , ค่าระดับ 130.950 m: PVT Sta. 10+400, ค่าระดับ 132.450 m
ข ้อที 164 :
ข ้อใดไม่ใช ่ เวลาในการรับรู ้และปฏิบัตต
ิ อบสนอง (Perception and Reaction time)
ิ
ิ ธ
1 : Perception time ระยะเวลาทีมองเห็นวัสดุชัดเจน ,รับทราบสถานะการณ์

สท
2 : ิ เห็นคืออะไร
Identification time ระยะเวลาในการพิจารณา วิเคราะห์ว่าสงที
3 : ิ ใจ
Election time ระยะเวลาในการเก็บข ้อมูลเพือตัดสน
4 : ้
Volition time ระยะเวลาใชในการปฏิบัตต ิ ามสมองสัง
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 165 :
ความชัน G1 เท่ากับกี เปอร์เซ็นต์
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : +2.0
2 : +2.5
3 : +3.0
4 : +3.5
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 166 :
อส
ความชัน G2 เท่ากับกี เปอร์เซ็นต์
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : -3.5
2 : -4.0
3 : -4.5
4 : -5.0
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 167 :
ALL-Red Period มีความหมายตรงกับข ้อใด
งวน
1 : สญั ญาณไฟแดง
2 : ชว่ งระยะเวลาของไฟแดง
3 : เวลาไฟแดงทุกด ้านของทางแยก (เป็ นคําตอบทีถูกต ้อง)
อส
4 : การเปลียนมาเป็ นสัญญาณไฟแดง
ขอ
กร
ิ ว
ข ้อที 168 :
At-Grade Intersection หมายถึงทางแยกในข ้อใด
1
2
:
:
าวศ
ทางแยกแบ่งทิศทางการไหล
ทางแยกยกระดับ
3 : ทางแยกต่างระดับ
สภ
4 : ทางแยกระดับเดียวกัน
ข ้อที 169 :
องค์ประกอบ (Element) ใดทีชว่ ยในการลดแรงเหวียงขณะทีรถวิงในโค ้งราบ
1 : Vertical Alignment
2 : Transition Curves
3 : Summit Curves
4 : Superelevation
ข ้อที 170 :
ิ
ิ ธ
ในการออกแบบโค ้งหงาย ข ้อใดมีความสําคัญมากทีสุด

สท
1 : ระยะมองเห็นในเวลากลางวัน
2 : ระยะส่องของไฟหน ้า
3 : ความเร็วสูงสุดทีรถจะวิงได ้
งวน
4 : การแซง
อส
ขอ
ข ้อที 171 :
้
เมือเสนทางเริมมีการเปลียนแปลงแนวในทางราบและมีความจําเป็ นในการยกโค ้ง ข ้อใดไม่ใชว่ ธิ ีการยกโค ้ง
กร
1 : หมุนรอบจุดศูนย์กลาง
2 : หมุนรอบขอบในผิวทาง
3 : หมุนรอบขอบนอกของผิวทาง
ิ ว
4 : หมุนรอบหมุดอ ้างอิง
าวศ
สภ
ข ้อที 172 :
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
ความยาวโค ้งดิงทีสันทีสุดซงคนขั
ึ บสามารถมองเห็นได ้ไกลเพียงพอทีหยุดรถได ้ทัน เท่ากับกี เมตร
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 120
ิ
ิ ธ
2 : 240
สท
3 : 270
4 : 424
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 173 :
ความยาวโค ้งดิงทีสันทีสุดซงคนขั
ึ บสามารถมองเห็นได ้ไกลเพียงพอทีหยุดรถได ้ทัน เท่ากับกี เมตร
กร
ิ ว
าวศ
สภ
ิ
ิ ธ
สท
1 : 223
2 : 225
งวน
3 : 340
4 : 193
อส
ขอ
ข ้อที 174 :
ป้ ายการจราจรใด ทีส่วนใหญ่ มีลักษณะ กลม
กร
1 : ป้ ายแนะนํ า
ิ ว
2 : ป้ ายบังคับ
าวศ
3 : ป้ ายเตือน
4 : ป้ ายบอกระยะทาง
สภ
ข ้อที 175 :
ป้ ายการจราจรใด ทีส่วนใหญ่ มีลักษณะ สีเหลียมจัตุรัสตังมุมขึน
1 : ป้ ายแนะนํ า
2 : ป้ ายบังคับ
3 : ป้ ายเตือน
4 : ป้ ายบอกระยะทาง
ข ้อที 176 :
้
เสนเครื องหมายบนขอบทางทีมีสี ดํา-ขาว หมายความว่าอย่างไร
1 : จอดรถได ้
2 : จอดรถได ้ชัวคราว
ิ
ิ ธ
3 : จอดรถได ้วันเว ้นวัน

เน ้นให ้ผู ้ขับขีเห็นบริเวณวิกฤตได ้ชัดเจน
สท
4 :
งวน
ข ้อที 177 :
อส
้
เสนเครื ื ยกว่าอย่างไร
องหมายบนผิวจราจรตามขวาง ทีมีลักษณะเป็ นแถบถีๆ เพือให ้ผู ้ขับขีลดความเร็ว มีชอเรี
ขอ
1 : Warning Strips
2 : Reduced Strips
3 : Rumble Strips
กร
4 : Reflex Strips
ิ ว
าวศ
ข ้อที 178 :
สภ
ความยาวโค ้งก ้นหอยอย่างน ้อยทีสุด เท่ากับกี เมตร
1 : 162
2 : 182
3 : 202
ิ
4 : 222
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 179 :
อส
ิ ดขวางการมองเห็นภายในโค ้งราบ ไม่น ้อยกว่า กีเมตร

ระยะห่างจากแนวศูนย์กลางของเลนในสุดถึงสงกี
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 9.0
2 : 9.5
3 : 8.0
4 : 8.5
ข ้อที 180 :
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
เพือความปลอดภัย ควรแนะนํ าให ้คนขับขับด ้วยอัตราเร็วภายในโค ้งราบ ไม่เกิน กีกิโลเมตร/ชัวโมง
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 50
2 : 60
3 : 70
4 : 80
ข ้อที 181 :
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
เพือทีจะให ้รถจากทังทางเอกและทางโทหยุดได ้ทัน ควรกําหนดให ้รถในทางโทแล่นเข ้าสู่ทางแยกด ้วยอัตราเร็วไม่เกินกี กิโลเมตร/ชัวโมง
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
ิ
ิ ธ
สท
1 : 25
2 : 30
งวน
3 : 40
4 : 50
อส
ขอ
ข ้อที 182 :
ข ้อใดคือลักษณะของป้ ายหยุด
กร
1 : เป็ นแผ่นกลมสีขาว ตัวอักษรสีดํา
2 : เป็ นรูปแปดเหลียมด ้านเท่า ตัวอักษรสีขาวบนพืนแดง
ิ ว
3 : เป็ นรูปสามเหลียมด ้านเท่า ตัวอักษรสีดําบนพืนขาว
4 :
าวศ
เป็ นแผ่นสีนําเงิน ตัวอักษรสีแดง
สภ
ข ้อที 183 :
เวลาไฟเหลืองทีน ้อยทีสุด เท่ากับกี วินาที
ิ
ิ ธ
1 : 3.0
สท
2 : 4.0
3 : 5.0
4 : 11.0
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 184 :
อัตราเร็วทีแล่นเข ้าสู่ทางแยกซงใช
ึ เวลาไฟเหลื
้ องน ้อยทีสุด เท่ากับกี กิโลเมตร/ชัวโมง
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 25
2 : 35
3 : 60
4 : 90
ข ้อที 185 :
ลักษณะการขัดแย ้งกันของกระแสจราจร ดังรูป คือ
1 : Crossing
ิ
ิ ธ
2 : Merging
สท
3 : Diverging
4 : Weaving
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 186 :
กร
ิ ว
1 : Crossing
าวศ
2 : Merging
3 : Diverging
4 : Weaving
สภ
ข ้อที 187 :
1 : Crossing
2 : Merging
3 : Diverging
4 : Weaving
ข ้อที 188 :
ิ
ิ ธ

สท
งวน
1 : Crossing
2 : Merging
อส
3 : Diverging
ขอ
4 : Weaving
กร
ิ ว
ข ้อที 189 :
1 :
้
าวศ
แผนทีเสนทางที
1
ึ
ซงแสดงทั
: 20
้
ง Plan และ Profile จะใชมาตราส ่วน ในแนวราบเท่าใด
2 : 1 : 500
สภ
3 : 1 : 100
4 : 1 : 1000
ข ้อที 190 :
จงคํานวณหาค่า Superelevation สําหรับถนนกว ้าง 7 ม.
ทางโค ้งมีรัศมี 240 ม.
ออกแบบให ้รถแล่น 80 กม./ชม.
สัมประสท ิ ธิความเสียดทานระหว่างล ้อกับถนน = 0.15
1 : 20 เซนติเมตร
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 191 :
งวน
ถนนออกแบบให ้รถแล่นด ้วยความเร็ว 100 กม./ชม.

กําหนดอัตราการยกโค ้ง e = 9%
สัมประสท ิ ธิความเสียดทานระหว่างล ้อกับถนนสูงสุด = 0.12
จงหารัศมีทางโค ้งทีสันสุดทีขับรถได ้โดยปลอดภัย
อส
ขอ
1 : 375 เมตร
2 : 395 เมตร
3 : 425 เมตร
4 : 450 เมตร
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 192 :
้
นายใจเย็นใชระยะเวลาในช ว่ ง Perception และ Reaction =1.5 วินาที จงหาว่ารถจะเคลือนทีไปเป็ นระยะทางเท่าใด ก่อนทีเขาจะเหยียบห ้ามล ้อเพือ
สภ
หยุดรถเมือรถมีความเร็ว 60 กม./ชม.
1 : 13.89 เมตร
2 : 16.67 เมตร
3 : 18.50 เมตร
4 : 25 เมตร
ข ้อที 193 :
จากรูปเป็ นโค ้งตามข ้อใด
ิ
ิ ธ
สท
1 : Broken Back Curve

2 : Compound Curve
3 : Sag Vertical Curve
งวน
4 : Reverse Curve
อส
ขอ
ข ้อที 194 :
จากรูป ข ้อใดไม่ถก
ู ต ้อง
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1:
2:
ิ
ิ ธ
3:
สท
งวน
อส
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
4:
ข ้อที 195 :
ื
ผลต่างพีชคณิตของโค ้งนี จงหา Grade Change ของโค ้งดิงในรูปทีเชอมระหว่ าง Grade +2% และ +1.5%
ิ
ิ ธ
สท
1 : –0.5%
2 : +0.5%
3 : –3.5%
งวน
4 : +3.5%
อส
ขอ
ข ้อที 196 :
รถยนต์วงดิ ้วยความเร็ว 70 กิโลเมตรต่อชัวโมง ทําการห ้ามล ้อเต็มทีวัดระยะทางตามรอยลืนไถลบนถนนได ้ความยาว 21 เมตร ให ้หาสัมประสท
ิ ธ์ความ
กร
เสียดทานทีเกิดขึนระหว่างล ้อยางกับผิวบนทางราบถนน
1 : 0.30
ิ ว
2 : 0.46
3
4
:
: าวศ
0.60
0.92
สภ
ข ้อที 197 :
ปั จจุบันมีการส่งเสริมให ้มีการใชรถจั
้ กรยานในตัวเมือง อยากทราบว่าขนาดของ Bike Lane ควรจะมีความกว ้างอย่างน ้อยสุดกีเมตร
1 : 0.60 ม.
2 : 0.90 ม.
3 : 1.20 ม.
4 : 1.50 ม.
ข ้อที 198 :
้
จงหาค่าระดับบนเสนโค ้งทางดิงแบบพาราโบลาแบบไม่สมมาตร ที PVI Sta.
ิ
ิ ธ
สท
งวน
1 : 102.160 m.
2 : 102.500 m.
3 : 104.320 m.
อส
4 : 105.000 m.
ขอ
กร
ข ้อที 199 :
ิ ว
ความกว ้างของไหล่ทางในทางขนานตามมาตรฐานกรมทางหลวง จะต ้องมีความกว ้างอย่างน ้อยกีเมตร
าวศ
1 : 1.20 ม.
2 : 1.50 ม.
3 : 2.00 ม.
4 : 3.00 ม.
สภ
ข ้อที 200 :
่ อกเขตกรุงเทพฯ เมืองพัทยา และเขตเทศบาล โดยทัวไปกฎหมายได ้จํากัดความเร็วของรถยนต์นังส่วนบุคคลไว ้ไม่เกิน
ถนนทัวไปในทางราบทีอยูน
เท่าใด
1 : 80 กม./ชม.
2 : 90 กม./ชม.
3 : 100 กม./ชม.
4 : 120 กม./ชม.
ข ้อที 201 :
ิ
ิ ธ
ข ้อใดไม่ใชเ่ ป็ นตัวกําหนดจํานวนชอ
่ งจราจรของทางหลวง
สท
1 : ปริมาณจราจรในทางหลวง
2 : ระดับบริการ (Level of Service) ทีต ้องการ
3 : Directional Distribution Value ( D Value)
งวน
4 : ประเภททางหลวง
อส
ขอ
ข ้อที 202 :
่ งจราจรและไหล่ทางอย่างน ้อยในข ้อใดจึงจะถือได ้ว่าสมบูรณ์แบบ (Ideal condition) ตามความหมายของ AASHTO
ความกว ้างของชอ
กร
1 : ่ งจราจร
ชอ 12 ฟุต ไหล่ทาง 6 ฟุต
2 : ชอ่ งจราจร 11 ฟุต ไหล่ทาง 8 ฟุต
3 : ชอ ่ งจราจร 12 ฟุต ไหล่ทาง 8 ฟุต
ิ ว
4 : ชอ ่ งจราจร 11 ฟุต ไหล่ทาง 6 ฟุต
าวศ
สภ
ข ้อที 203 :
ข ้อใดถูกต ้องทีสุด
1 : การออกแบบทางเรขาคณิตของทางตามมาตรฐานออกแบบทําให ้ได ้ทางทีเดินทางสะดวก
2 : การออกแบบทางเรขาคณิตของทางตามมาตรฐานออกแบบทําให ้ได ้ทางทีเดินทางสะดวก และปลอดภัย
3 : การออกแบบทางเรขาคณิตของทางตามมาตรฐานออกแบบทําให ้ได ้ทางทีเดินทางได ้รวดเร็วและปลอดภัย
4 : การออกแบบทางเรขาคณิตของทางตามมาตรฐานออกแบบอาจทําให ้ได ้ทางทีเดินทางแล ้วไม่ปลอดภัย
ข ้อที 204 :
ในการออกแบบทางเรขาคณิตของทาง หลักการเลือกความเร็วออกแบบ (Design speed) ข ้อใด ไม่เหมาะสมทีสุด
1 : ้
เลือกใชความเร็ ้
วออกแบบตามลักษณะการใชงานของทาง
2 : ้
เลือกใชความเร็ วออกแบบสูงสุดทีสามารถวิงได ้ ณ จุดนั นๆ
3 : ้
เลือกใชความเร็ วออกแบบให ้สอดคล ้องกับความคาดหวังของผู ้ขับขี
้
ิ
4 : เลือกใชความเร็วออกแบบให ้เหมาะสมกับสภาพสองข ้างทาง

ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 205 :
เพือให ้รถยนต์นังส่วนบุคคลเลียวซาย
้ 90 องศา ทีมุมถนนด ้วยความเร็วตําได ้อย่างสะดวกและปลอดภัย อย่างน ้อยทีสุดรัศมีของขอบถนนควรเท่ากับ
อส
ประมาณกีเมตร
ขอ
1 : 3 เมตร
2 : 5 เมตร
3 : 7 เมตร
4 : 9 เมตร
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 206 :
้ 90 องศา ทีมุมถนนทีความเร็วตําได ้อย่างสะดวกและปลอดภัย อย่างน ้อยทีสุดรัศมีของขอบถนน
เพือให ้รถโดยสารความยาวไม่เกิน 12 เมตรเลียวซาย
สภ
ควรเท่ากับประมาณกีเมตร
1 : 8 เมตร
2 : 10 เมตร
3 : 11 เมตร
4 : 12 เมตร
ข ้อที 207 :
เพือให ้รถยนต์นังส่วนบุคคลเลียวซาย
้ 90 องศา ทีมุมถนนด ้วยความเร็วตําได ้อย่างสะดวกและปลอดภัย รัศมีเลียว (Turning radius)น ้อยทีสุดของรถ
ควรเท่ากับประมาณกีเมตร
1 : 5.5 เมตร
2 : 7.5 เมตร
3 : 9.0 เมตร
4 : 10.0 เมตร
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 208 :
ในการออกแบบแนวทางราบ (Horizontal alignment) บนทางพิเศษ เราใส่โค ้งเมือแนวถนนมีการเปลียนทิศทาง โค ้งทีควรนํ ามาใช ้ คือ
1 : โค ้งกลม
อส
2 : โค ้งเปลียนรูปสไปรอล
ขอ
3 : โค ้งเปลียนรูปสไปรอล + โค ้งกลม
4 : โค ้งรูปพาราโบล่า + โค ้งกลม
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 209 :
ี ําคัญทีสุดในการใส่โค ้งเปลียน (Transition curve) ในทางหลวง คือ ข ้อใด
วัตถุประสงค์ทส
1 : ให ้รถวิงได ้เร็วขึน
สภ
2 : ให ้การปรับแนวการวิงเป็ นแบบค่อยเป็ นค่อยไป
3 : ้
ใชแทนโค ้งกลมได ้
4 : ่
ชวยลดแรงหนีศูนย์กลางขณะรถวิงในโค ้งกลมได ้
ข ้อที 210 :
ความยาวน ้อยทีสุดของโค ้ง Transition ในถนนสองชอ ่ งจราจร ความเร็วออกแบบ 80 กม/ชม. ทีจะเชอมกัื บโค ้งกลมทีมีรัศมีโค ้ง 200 เมตร จะเท่ากับ
ข ้อใด ถ ้ากําหนดให ้อัตราการเปลียนความเร่งเข ้าสู่ศูนย์กลาง (Rate of change of radial acceleration) ไม่เกิน 0.5 เมตร / วินาที2 / วินาที. (Radial
acceleration = v2/ R)
1 : 109.7 เมตร
2 : 94.3 เมตร
3 : 54.8 เมตร
4 : 36.8 เมตร
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 211 :
งวน
ในการออกแบบโค ้งในทางหลวง โค ้งทีมีลักษณะทีทําให ้อัตราการเปลียนแปลงของเกรด (Rate of change of grade) คงที คือโค ้งในข ้อใด
1 : โค ้งสไปรอล
2 : โค ้งพาราโบล่า
อส
3 : โค ้งเปลียน
ขอ
4 : โค ้งกลม
กร
ิ ว
ข ้อที 212 :
1 :
าวศ
ในการออกแบบโค ้งราบในทางหลวง โค ้งทีมีลักษณะทีทําให ้อัตราการเปลียนแปลงของทิศทาง (Rate of change of direction) คงที คือโค ้งในข ้อใด
โค ้งกลม
2 : โค ้งสไปรอล
สภ
3 : โค ้งพาราโบล่า
4 : โค ้งเปลียน
ข ้อที 213 :
ในการคํานวณรัศมีโค ้งน ้อยทีสุด (Minimum curve radius) เราจะได ้รัศมีโค ้งน ้อยทีสุดทีความเร็วออกแบบใดๆ เมือเรากําหนดลักษณะถนนและการ
จราจรเป็ นไปตามข ้อใด
1 : สมมติถนนได ้รับการยกโค ้งสูงสุด
2 : ้ งส่วนบุคคลทีเลียวโค ้งได ้ดีในการออกแบบ
ใชรถนั
3 : เมือถนนได ้รับยกโค ้งสูงสุดและค่าสัมประสท
ิ ธิความเสียดทานด ้านข ้างสูงสุด
4 : เมือถนนได ้รับยกโค ้งสูงสุดและค่าสัมประสทิ ธิความเสียดทานด ้านข ้างตําสุด
ิ
ิ ธ
ข ้อที 214 :
สท
ถ ้าความเร็วรถในการออกแบบโค ้งที 90 กม./ชม. โดยใชรั้ ศมีโค ้งกลม 500 เมตร กําหนดค่าสัมประสท

ิ ธิแรงเสียดทานด ้านข ้างให ้เกิดขึนไม่เกิน 0.06
อัตราการยกโค ้ง (e) ทีโค ้งนีจะเท่ากับ
งวน
1 : 0.057
2 : 0.067
3 : 0.077
อส
4 : 0.100
ขอ
กร
ข ้อที 215 :
้ ้งดิงหงาย (Sag curve) ทีสันมากๆ เชอมระหว่
ื
ิ ว
เหตุผลในข ้อใดทีเราพยายามหลีกเลียงการใชโค างลาด (Grade) ทียาว
าวศ
1 : รถจะเลียวโค ้งไม่ทัน
2 : ทําให ้ระยะมองเห็นไม่เพียงพอแม ้ในเวลากลางวัน
3 : อาจเกิดอันตรายได ้ระหว่างการแซง
4 : รถบรรทุกอาจพลิกควําในโค ้งได ้ง่าย
สภ
ข ้อที 216 :
โดยปกติ การใส่โค ้งดิงทียาวๆ ทําให ้ระดับของทางค่อยเปลียน นั บเป็ นสงดี
ิ แต่ในโค ้งดิงหงายทีมีขอบทางนั นก็ไม่ควรใส่โค ้งทียาวมากจนทําให ้ได ้
ั
เกรดทางทีลาดชนตํากว่า 0.5% เพราะเหตุใด
1 : จะทําให ้การระบายนํ ายาก
2 : เกิดความล ้าแก่คนขับทีต ้องขับรถในโค ้งทียาวมาก
3 : รถอาจชนขอบทางได ้ง่าย
4 : ระยะมองเห็นในโค ้งไม่พอ
ข ้อที 217 :
ิ
ิ ธ
้
เหตุผลหลักทีมีข ้อแนะนํ าในการออกแบบเสนทางว่ า ไม่ควรใส่โค ้งราบแคบๆ ให ้อยูท
่ ี หรือใกล ้กับยอดของโค ้งดิง (Crest vertical curve) ทีชัน คือ
เหตุผลข ้อใด
สท
1 : ทําให ้การก่อสร ้างยากโดยไม่จําเป็ น

2 : ้
อันตราย เพราะคนขับจะไม่เห็นว่ามีการเปลียนแนวเสนทางข ้างหน ้า
งวน
3 : ึ ไม่สบายเท่าทีควร
ผู ้โดยสารนั งรถจะรู ้สก
4 : ภาพถนนทีคนขับเห็นจะผิดเพียนไป (Distortion appearance) จากสภาพจริง
อส
ขอ
ข ้อที 218 :
กร
ทางหลวงสายหลักนอกเมืองสองสายตัดกัน แต่ละสายมีปริมาณจราจรใกล ้เคียงกัน ทางแยกต่างระดับทีเหมาะกับทางแยกนี โดยทัวไปควรเป็ นทางแยก
ต่างระดับรูปใด
ิ ว
1 : Trumpet or T interchange
าวศ
2 : Diamond
3 : Cloverleaf
4 : Rotary
สภ
ข ้อที 219 :
่ ตัวจังหวัด หรืออํ าเภอเป็ นต ้น ทางแยกต่างระดับทีเหมาะกับทางแยกเข ้าเมืองเชน
ทางหลวงสายหลักระหว่างภาค ผ่านเข ้าใกล ้เมือง เชน ่ นี โดยทัวไป
ควรเป็ นทางแยกต่างระดับรูปใด
2 : Diamond
3 : Cloverleaf
4 : Rotary
ข ้อที 220 :
ทางหลวงสายหลักปริมาณจราจรมากกว่าตัดกับทางสายรองทีปริมาณจราจรน ้อยกว่า ทางแยกต่างระดับทีเหมาะกับทางแยกนี โดยทัวไปควรเป็ นทาง
ิ
แยกต่างระดับรูปใด
ิ ธ
สท
2 : Diamond
3 : Cloverleaf
งวน
4 : Rotary
อส
ขอ
ข ้อที 221 :
สมมุตวิ ่า มียานพาหนะ 3 ชนิดบนถนน ได ้แก่ จักรยานมีจํานวน 20 เปอร์เซ็นต์ มีความเร็วเฉลีย 20 กม./ชม. รถยนต์มีจํานวน 70 เปอร์เซ็นต์ มี
ความเร็วเฉลีย 90 กม./ชม. รถประจําทางมีจํานวน 10 เปอร์เซ็นต์ มีความเร็วเฉลีย 52 กม./ชม. จะมีความเร็วทีจุด (SPOT SPEED) ของการจราจร
กร
เท่าใด
1 : 72 กม./ชม.
ิ ว
2 : 80 กม./ชม.
3
4
:
: าวศ
85
87
กม./ชม.
กม./ชม.
สภ
ข ้อที 222 :
จงคํานวณหาค่า Super Elevation สําหรับถนนกว ้าง 7 เมตร
ทางโค ้งมีรัศมี 240 เมตร ออกแบบให ้รถแล่น 80 กม./ชม.
สปส. ความเสียดทานระหว่างล ้อกับถนน = 0.15
1 : 20 ซม.
2 : 35 ซม.
3 : 42 ซม.
4 : 55 ซม.
ข ้อที 223 :
ในการออกแบบแนวทางราบ เรานิ ยมใส่โค้งกลมระหว่างแนวทางตรงสองแนว เพราะเหตุผลหลักในข้อใด
ิ
ิ ธ
1 : การคํานวณง่าย และการวาง Lay out ในสนามง่าย

สท
2 : รถสามารถวิงผ่านโค้งได้อย่างราบเรี ยบ แบบค่อยเป็ นค่อยไปทําให้ปลอดภัย

3 : โค้งกลมเป็ นโค้งทีมีอตั ราการเปลียนแปลงของทิศทางคงที
4 : สามารถเลือกออกแบบให้เข้ากับภูมป ิ ระเทศได้ง่ายกว่า
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 224 :
ในการออกแบบแนวทางดิง เรานิ ยมใส่รูปพาราโบลาระหว่างแนว Grade Line เพราะเหตุผลหลักในข้อใด
1 : การคํานวณง่าย และการวาง Lay out ในสนามง่าย
กร
2 : รถสามารถวิงผ่านโค้งได้อย่างราบเรี ยบ แบบค่อยเป็ นค่อยไปทําให้รู้สึกนังสบาย
3 : โค้งพาราโบลาเป็ นโค้งทีมีอตั ราการเปลียนแปลงของเกรดคงที
ิ ว
4 : สามารถเลือกออกแบบให้เข้ากับภูมป ิ ระเทศได้ง่ายกว่า
าวศ
สภ
ข ้อที 225 :
แรงเสียดทานเกิดขึนทีผิวสัมผัสระหว่างล้อรถกับผิวถนน ขณะรถเบรก มีค่าสัมประสิทธ์ความเสียดทานตามแนวยาว (Longitudinal friction factor) และขณะรถวิงในโค้งราบก็มี
ค่าสัมประสิทธ์ความเสียดทานด้านข้าง (Side friction factor) ในการออกแบบทาง เราถือว่าข้อใดต่อไปนี เป็ นจริ งมากทีสุด
1 : ค่าสัมประสิทธ์ความเสียดทานทังสองกรณีเท่ากัน เพราะเกิดจากล้อรถและผิวจราจรเหมือนกัน
2 : ค่าสัมประสิทธ์ความเสียดทานตามแนวยาว มากกว่าค่าสัมประสิทธ์ความเสียดทานด้านข้าง
3 : ค่าสัมประสิทธ์ความเสียดทานตามแนวยาวน้อยกว่าค่าสัมประสิทธ์ความเสียดทานด้านข้าง
4 : ค่าสัมประสิทธ์ความเสียดทานทังสองกรณียอ่ มไม่เท่ากัน แต่ต่างกันน้อยมากจนไม่มน
ี ัยสําคัญ
ข ้อที 226 :
ข้อใดมิใช่ องค์ประกอบของระยะแซงโดยปลอดภัย (Passing Sight Distance)
1 : ระยะทางทีรถคันทีจะแซงแล่นตามรถข้างหน้าไปเพือรอจังหวะปลอดภัยแล้วจึงแซง
2 : ระยะทางทีรถเริ มเร่ งความเร็ว ทําการแซงจนพ้น แต่ยงั อยูใ่ นช่ องทางขวายังไม่กลับเข้าช่ องทางซ้าย
ิ
ิ ธ
3 : ระยะทางระหว่างรถแล่นสวนมากับรถทีทําการแซงเสร็จเรี ยบร้อยแล้วกลับมาอยูใ่ นช่ องทางซ้ายเดิม

สท
4 : ระยะทางของรถคันทีแล่นสวนมานับตังแต่รถคันทีจะแซงเริ มแซงจนกระทังเคลือนกลับเข้าช่ องทางซ้ายเดิมโดยปลอดภัย
งวน
เนือหาวิชา : 553 : Highway finance and economic

อส
ขอ
ข ้อที 227 :
ในการก่อสร ้างถนนสายหนึงมีรายละเอียดการลงทุนดังต่อไปนี
ค่าลงทุนก่อสร ้างเสร็จภายใน 1 ปี , I = 50 ล ้านบาท มูลค่าซากเมือหมดอายุการใชงาน ้ , T = 10 ล ้านบาท
กร
ค่าบํารุงรักษา ต่อปี , M = 2 ล ้านบาท จงหาค่าเทียบเท่าของเงินลงทุนเฉลียต่อปี , EUAC
้ มีอายุการใชงาน
ถ ้าสมมุตใิ ห ้ถนนเสนนี ้ 10 ปี และมีอัตราดอกเบียเงินกู ้คงที = 3 % ต่อปี
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 8.72 ล ้านบาท
2 : 4.72 ล ้านบาท
3 : 6.00 ล ้านบาท
4 : 6.98 ล ้านบาท
ข ้อที 228 :
ในการวิเคราะห์ทางด ้านเศรษฐศาสตร์ของการลงทุนก่อสร ้างถนน 2 สาย ข ้อมูลของแต่ละโครงการ มีค่า ดังแสดงในตาราง
้
จงหาค่า Benefit – Cost Ratio , B/C ของการลงทุนเพิมจากโครงการ A เป็ น B ทังสองโครงการมีอายุการใชงาน 10 ปี และมีอัตราดอกเบียเงินกู ้ = 3
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
% ต่อปี
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : B/C = 1.00
2 : B/C = 1.32
3 : B/C = 1.58
4 : B/C = 1.64
ข ้อที 229 :
โครงการก่อสร ้างทางสายหนึง ถ ้ามูลค่าปั จจุบันของเงินลงทุน = 100.7
และมูลค่าปั จจุบันของผลประโยชน์ = 97.2 จงหา Benefit cost ratio
1 : 1.04
2 : 0.96
ิ
ิ ธ
3 : -3.50 ล ้านบาท
สท
4 : 3.50 ล ้านบาท
งวน
ข ้อที 230 :
อส
โครงการก่อสร ้างทางสายหนึง ถ ้ามูลค่าปั จจุบันของเงินลงทุน = 100.7 ล ้านบาท
ขอ
และมูลค่าปั จจุบันของผลประโยชน์ = 97.2 ล ้านบาท จงหา Net present worth
1 : 1.04
2 : 0.96
กร
3 : -3.50 ล ้านบาท
4 : 3.50 ล ้านบาท
ิ ว
าวศ
สภ
ข ้อที 231 :
้
โครงการก่อสร ้างทางสายหนึงใชเวลาก่ อสร ้าง 2 ปี โดยลงทุนก่อสร ้างปี ละ 50 ล ้านบาท
้
ในปี พ.ศ.2544 และพ.ศ.2545 เมือเริมใชงานแล ้วก็มีการบํารุงทางต่อไปปี ละ 1 ล ้านบาท
ตังแต่ปีพ.ศ. 2546จนถึงปี พ.ศ.2560 จงคํานวณหามูลค่าปั จจุบันของเงินลงทุนโดยคิดอัตราดอกเบีย 10%
1 : 97.22 ล ้านบาท
2 : 102.40 ล ้านบาท
3 : 104.50 ล ้านบาท
4 : 110.00 ล ้านบาท
ข ้อที 232 :
ในการปรับปรุงทางแยกแห่งหนึง มีทางเลือก 2 ทาง จงหาว่าทางเลือกใดมีความเหมาะสม
้
ในการลงทุนมากกว่าโดยวิธีมูลค่าปั จจุบันสุทธิ กําหนดอายุการใชงานของทางเป็ น 20 ปี
และมีอัตราดอกเบียคงที 5%
ิ
ิ ธ
สท
งวน
1 : A ดีกว่า
อส
2 : B ดีกว่า
3 : ไม่น่าลงทุนทังสองทางเลือก
ขอ
4 : A และ B น่าลงทุนเท่ากัน
กร
ิ ว
ข ้อที 233 :
าวศ
สมการข ้อใดเป็ นการหาจํานวนเงินในอนาคตจากจํานวนเงินเฉลียเท่ากันรายปี
1:
สภ
2:
3:
4:
ข ้อที 234 :
การวิเคราะห์ความเหมาะสมทางเศรษฐศาสตร์วธิ ีใด ทีไม่ต ้องทราบอัตราดอกเบีย
1 : Equivalent Uniform Annual Cost Method
2 : Present Worth of Costs Method
3 : Benefit Cost Ratio Method
ิ
ิ ธ
4 : Rate of Return
สท
งวน
ข ้อที 235 :
อส
จงวิเคราะห์เชงิ เศรษฐศาสตร์วศ
ิ วกรรมของโครงการนี เมือ i = 10% โดยวิธี Net Present Value
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : NPV = -0.94 ล ้านบาท โครงการนีไม่เหมาะสมในการลงทุน

2 : NPV = 0.94 ล ้านบาท โครงการนีเหมาะสมในการลงทุน
3 : NPV = 1.39 ล ้านบาท โครงการนีเหมาะสมในการลงทุน
4 : NPV = -1.39 ล ้านบาท โครงการนีไม่เหมาะสมในการลงทุน
ข ้อที 236 :
จากตารางข ้างล่าง จงหาอัตราส่วนตอบแทนต่อการลงทุน (Benefit Cost Ratio) คิดอัตราดอกเบียคงที 12 % ต่อปี
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
1 : 1.33
2 : 1.44
ขอ
3 : 1.85
4 : 2.05
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 237 :
้ สูตร P( 1 + i )n – P
ถ ้ากู ้เงินจํานวน 200 บาท อัตราดอกเบีย 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ระยะเวลาการกู ้ยืม 3 ปี จงคิดดอกเบียเชงิ ซอน
สภ
1 : 39.2
2 : 40.2
3 : 56.2
4 : 66.2
5 : ้ มีค่าเท่ากับ P( 1 + i )n – P = 200(1 + 0.1)3 –200 = 66.2 บาท
ดอกเบียเชงิ ซอน
ข ้อที 238 :
ข ้อใดทีไม่ถอื ว่าเป็ นค่าใชจ่้ ายในการจัดให ้มีทางหลวง (Highway Cost)
1 : ค่าลงทุนครังแรก (Investment Cost)
2 : ค่าใชจ่้ ายในการใชรถ
้ (Vehicle Operating Cost)
3 : ค่าบํารุงรักษา (Maintenance Cost)
4 : ค่าดําเนินการ (Operating Cost)
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 239 :
ค่าใชจ่้ ายใดทีไม่ถอ
ื ว่าเป็ นค่าใชจ่้ ายในการใชรถ
้ (Vehicle Operating Cost)
งวน
1 : ค่ายางรถ
2 : ค่าบํารุงรักษา
3 : ค่าทะเบียนรถ
อส
4 : ค่านํ ามันหล่อลืน
ขอ
กร
ิ ว
ข ้อที 240 :
การวิเคราะห์โครงการเชงิ เศรษฐศาสตร์ โดยวิธี Benefit-Cost Ratio, B/C โครงการทีสมควรลงทุนจะต ้องมีค่า B/C เป็ นอย่างไร เมือเทียบกับโครงการ
:
าวศ
พืนฐาน (Base Alternative)
1 B/C < 1.0
2 : B/C > 1.0
สภ
3 : B/C มีค่าเป็ น +
4 : B/C มีค่าเป็ น -
ข ้อที 241 :
การวิเคราะห์โครงการเชงิ เศรษฐศาสตร์โดยวิธี Net Present Value, NPV โครงการทีสมควรลงทุนจะต ้องมีค่า NPV เป็ นอย่างไร เมือเทียบกับโครงการ
พืนฐาน (Base Alternative)
1 : NPV มีค่าเป็ น -
2 : NPV < 1.0
3 : NPV > 1.0
4 : NPV มีค่าเป็ น +
ิ
ิ ธ
ข ้อที 242 :
สท
โครงการขยายถนนสายหนึ ง ใช้เวลาในการดําเนิ นการปรับปรุ ง 1 ปี และเงิ นลงทุนในการดําเนิ นการ 25 ล้านบาท มีอายุของโครงการ 10 ปี ทังนี ในขณะทีดําเนิ นการปรับปรุ ง
นัน จําเป็ นต้องมีการปิ ดการจราจรในบางช่ วงเวลา คาดว่าจะทําให้เกิดการจราจรติดขัดคิดเป็ นมูลค่าเงิ น 5 ล้านบาท แต่เมือปรับปรุ งแล้วเสร็จ สภาพการจราจรจะคล่องตัวขึนคิด
เป็ นผลประโยชน์ทีมูลค่าเงิ นปี ละ 6 ล้านบาท จงวิเคราะห์หา Net Present Value (NPV) ของโครงการปรับปรุ งนี ภายใต้อตั ราดอกเบีย 6%
งวน
1 : 12.16 ล้านบาท
2 : 13.16 ล้านบาท
อส
3: 14.16 ล้านบาท
ขอ
4 : 15.16 ล้านบาท
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 243 :
โครงการขยายถนนสายหนึ ง ใช้เวลาในการดําเนิ นการปรับปรุ ง 1 ปี และเงิ นลงทุนในการดําเนิ นการ 25 ล้านบาท มีอายุของโครงการ 10 ปี ทังนี ในขณะทีดําเนิ นการปรับปรุ ง
นัน จําเป็ นต้องมีการปิ ดการจราจรในบางช่ วงเวลา คาดว่าจะทําให้เกิดการจราจรติดขัดคิดเป็ นมูลค่าเงิ น 5 ล้านบาท แต่เมือปรับปรุ งแล้วเสร็จ สภาพการจราจรจะคล่องตัวขึนคิด
เป็ นผลประโยชน์ทีมูลค่าเงิ นปี ละ 6 ล้านบาท จงวิเคราะห์หา Internal Rate of Return (IRR) โดยประมาณของโครงการปรับปรุ งนี
สภ
1 : 14.1%
2 : 15.1%
3 : 16.1%
4 : 17.1%
เนือหาวิชา : 554 : Flexible and rigid pavement design
ข ้อที 244 :
การสร ้างถนนมิตรภาพเป็ นถนนชันหนึง ผิวลาดยางแอสฟั ลต์คอนกรีตใชค่้ าใดเป็ นหลักในการออกแบบ
1 : Wheel Load and Traffic
2 : Compaction and Wheel Load
3 : Benkelman Beam and Wheel Load
4 : CBR and Wheel Load
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 245 :
้
ค่าเฉลียของจํานวนรถทีมีนําหนั กเพลาเท่ากับ 18000 ปอนด์ มาใชถนนในหนึ ่ งจราจรต่อวัน ในชอ
งชอ ่ งจราจรทีใชออกแบบ
้ ของชว่ งระยะเวลาในการ
ออกแบบ คือค่าเฉลียในข ้อใด
อส
1 : Initial Daily Traffic
ขอ
2 : Design Traffic Number
3 : Equivalent Daily Traffic
4 : Design Daily Traffic
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 246 :
้
จงหาจํานวนรถบรรทุกทีใชในการออกแบบโครงสร ้
้างทางตลอดอายุการใชงาน 7 ปี โดยรถบรรทุกมีอัตราการเพิมขึน 5 % คงทีทุกปี (Growth Factor
สภ
= 8.14 )
กําหนดให ้ในปี แรกคาดว่าจะมีจํานวนรถทังหมดทุกประเภทวันละ , ADT = 20,000 คัน/วัน Directional Value = 60 % จํานวนรถบรรทุกคิดเป็ น 15
% ของรถทังหมด และรถบรรทุกจํานวน 90 % วิงอยูใ่ นชอ ่ งทางทีใชออกแบบ
้
1:
2:
3:
4:
ข ้อที 247 :
จงหาปริมาณของเหล็กตะแกรงตามความยาว ของผิวทางคอนกรีตขนาด 2 ชอ ่ งทาง แผ่นคอนกรีตหนา 20 cm ความกว ้างของแต่ละชอ ่ งทางเท่ากับ
3.50 m ระยะห่างระหว่างรอยต่อ15 m
้ กตะแกรงสําเร็จรูป fs = 2,700 ksc ความหนาแน่นคอนกรีต = 2400 kg/m 3 และค่าสัมประสท
กําหนดให ้ใชเหล็ ิ ธิแรงเสียดทาน, f มีค่า 1.50
ิ
ิ ธ
1:
สท
2:
3:
งวน
4:
อส
ขอ
ข ้อที 248 :
การกระจายหน่วยแรงเมือมีนําหนั กกด จากผิวจราจรด ้านบน ลงสู่ชันดินคันทางด ้านล่างสําหรับถนนลาดยาง (Flexible Pavement)มีสมมุตฐิ านอย่างไร
กร
1 : กระจายสมํ าเสมอเป็ นรูปสีเหลียม
2 : กระจายเป็ นรูปกรวยเอียง 80 องศา
ิ ว
าวศ
5 : มีรูปแบบไม่แน่นอน
สภ
ข ้อที 249 :
การกระจายหน่วยแรงเมือมีนําหนั กกด จากผิวจราจรด ้านบน ลงสู่ชันดินคันทางด ้านล่างสําหรับถนนคอนกรีต (Rigid Pavement)มีสมมุตฐิ านอย่างไร
1 : กระจายสมํ าเสมอตลอดแผ่นพืนคอนกรีต
5 :
ข ้อที 250 :
่ งจราจร) ยาว 15.0 เมตร จงคํานวณหาขนาดเหล็กเสริมกันแตก ตามยาวและตามขวาง โดยใช ้
แผ่นคอนกรีตหนา 30 ซม. กว ้าง 2x3.5 เมตร (2 ชอ
เหล็ก SR24
ิ
ิ ธ
1 : เหล็กเสริมตามยาว ้ านศูนย์กลาง
เสนผ่ 9 มม.ทุกๆ ้ านศูนย์กลาง 9 มม.ทุกๆ 20 ซม.
9 ซม. เหล็กเสริมตามขวาง เสนผ่
สท
4 : เหล็กเสริมตามยาว เสนผ่้ านศูนย์กลาง 9 มม.ทุกๆ 30 ซม. เหล็กเสริมตามขวาง เสนผ่้ านศูนย์กลาง 9 มม.ทุกๆ 10 ซม.
งวน
5 :
อส
ขอ
ข ้อที 251 :
กรมทางหลวงใชวิ้ ธีออกแบบความหนาของ Flexible Pavement
โดยดัดแปลงมาจากวิธีใด
กร
1 : The Asphalt Institute
2 : Portland Cement Association
ิ ว
3 : Road Note
4 :
าวศ
AASHTO
สภ
ข ้อที 252 :
้
กรมทางหลวงนํ าวิธีใดมาใชออกแบบถนนคอนกรี ต
1 : TAI
2 : PCA
3 : AASHTO
4 : TRB
ข ้อที 253 :
้
ข ้อมูลด ้านการจราจรทีนํ ามาใชในการออกแบบความหนาของถนนลาดยางโดยวิ
ธี The Asphalt Institute คือข ้อใด
1 : Initial Daily Traffic
2 : Traffic Signalization
ิ
3 : Hourly Traffic
ิ ธ
4 : Critical Lane Volume

สท
งวน
ข ้อที 254 :
อส
ชันโครงสร ้างของถนนชันใด ใชวั้ สดุทมี

ี ความแข็งแกร่ง ทนทาน รับนํ าหนั กสูงได ้ดี มีค่า CBR > 80%
ขอ
1 : รองพืนทาง
2 : วัสดุคัดเลือก
3 : พืนทาง
4 : ดินเดิม
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 255 :
เหล็กชนิดใด ทําหน ้าทีถ่ายนํ าหนั กจากแผ่นคอนกรีตต่างผืนกัน เพือรับแรงเฉือน และแรงกระแทกจากล ้อของยานพาหนะ
สภ
1 : ตะแกรงเหล็กเสริม
2 : เหล็กเดือย
3 : ปลอกเหล็กเดือย
4 : เหล็กยึด
ข ้อที 256 :
แผ่นคอนกรีตหนา 15 ซม. กว ้าง 3.50 ม. ยาว 7.00 ม. จงคํานวณเหล็กเสริมกันร ้าว
1:
2:
3:
4:
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 257 :
ข ้อใดเป็ นแบบขยายรอยต่อเพือการก่อสร ้าง
อส
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1:
2:
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
3:
4:
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 258 :
งวน
dowel bar หรือเหล็กเดือย ไม่ใชกั้ บ รอยต่อชนิดใดในแผ่นคอนกรีต

1 : รอยต่อเพือการหดตัว (Contraction Joint)
2 : รอยต่อเพือการก่อสร ้าง (Construction Joint)
อส
3 : รอยต่อเพือการขยายตัว (Expansion Joint)
ขอ
4 : รอยต่อตามยาว (Longitudinal Warping Joint)
กร
ิ ว
ข ้อที 259 :
1 :
าวศ
ครึงหนึงของความยาวของเหล็กทีใชกั้ บรอยต่อในแผ่นคอนกรีต ชนิดใดต ้องทาผิวด ้วยวัสดุป้องกันการยึดเกาะกับเนือคอนกรีต
เหล็กเดือย (dowel bar)
2 : เหล็กยึด (Tie bar)
สภ
3 : ครึงหนึงของความยาวของเหล็กเดือย และเหล็กยึด ต ้องทาผิวด ้วยวัสดุป้องกันการยึดเกาะกับเนือ คอนกรีต
4 : ครึงหนึงของความยาวของเหล็กเดือย และเหล็กยึด ไม่ต ้องทาผิวด ้วยวัสดุป้องกันการยึดเกาะกับเนือ คอนกรีต
ข ้อที 260 :
เหล็กทีใชกั้ บรอยต่อในแผ่นคอนกรีต มีการเลือกใชอย่
้ างไร
1 : ้ กเสนกลมเป็
ใชเหล็ ้ นเหล็กเดือย (Dowel Bar) และใชเหล็้ กข ้ออ ้อยเป็ นเหล็กยึด (Tie Bar)
2 : ้ กเสนกลมเป็
ใชเหล็ ้ ้ กข ้ออ ้อยเป็ นเหล็กเดือย
นเหล็กยึด และใชเหล็
3 : ้ กข ้ออ ้อยทังเหล็กเดือย และเหล็กยึด
ใชเหล็
4 : ใชเหล็้ กเสนกลมทั
้ งเหล็กเดือย และเหล็กยึด
ิ
ิ ธ
ข ้อที 261 :
ในการสร ้างรอยต่อเพือการหดตัวในแผ่นคอนกรีต มีการตัดคอนกรีตเมือเริม Set ตัวหรือฝั งพุกในขณะคอนกรีตยังไม่แข็งตัว ให ้ลึกลงไปเท่าไรในแผ่น
สท
คอนกรีต
1 : 1/3 ของแผ่นคอนกรีต
งวน
อส
ขอ
กร
ข ้อที 262 :
การสร ้างรอยต่อตามยาวของแผ่นคอนกรีตให ้เป็ นรูป key Joint มีวัตถุประสงค์อย่างไร
ิ ว
1 : เพือชว่ ยยึดรอยต่อมิให ้แยกจากกัน
าวศ
2 : เพือชว่ ยในการถ่ายนํ าหนั กระหว่างแผ่นคอนกรีต
3 : ึ ลงไปในพืนทาง
เพือป้ องกันมิให ้นํ าซม
4 : เพือชว่ ยในการแตกออกจากกันอย่างเป็ นระเบียบของแผ่นคอนกรีต
สภ
ข ้อที 263 :
ชันรองพืนทาง (base) วัสดุประเภทซอยแอกกรีเกท จะต ้องมีค่า CBR ไม่น ้อยกว่าเท่าใด
1 : 20%
2 : 40%
3 : 60%
4 : 80%
ข ้อที 264 :
ิ
ิ ธ
ดินคันทางเป็ นชันดินเดิมหรือดินถม เรียกว่าชันอะไร

สท
1 : Subbase
2 : Base Course
3 : Wearing Course
งวน
4 : Subgrade
อส
ขอ
ข ้อที 265 :
รอยต่อถนนคอนกรีตเพือการขยายตัวตามขวาง เรียกว่าอะไร
กร
1 : Contraction Joint
2 : Construction Joint
3 : Expansion Joint
ิ ว
4 : Longitudinal Joint
าวศ
สภ
ข ้อที 266 :
โดยทัวไป วัสดุลูกรังในชันรองพืนทาง จะต ้องมีค่า CBR. ไม่น ้อยกว่าเท่าใด(กรณีทดลองวิธีแบบ Soak)
1 : 8%
2 : 15%
3 : 20%
4 : 25%
ข ้อที 267 :
ความเสียหายทีแผ่นพืนคอนกรีต (Rigid Pavement) สาเหตุการเสียหายข ้อใดพบได ้มากทีสุด
1 : การโก่งตัว
2 : การแอ่นตัว
3 : ึ กร่อน
ผิวหน ้าสก
ิ
4 : การบิดตัว
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 268 :
้
มาตรฐานกรมทางหลวง การก่อสร ้างทางผิวจราจรคอนกรีต (Rigid Pavement) จะต ้องใชทรายรองพื
นหนาเท่าใด
อส
ขอ
1 : 5 ซม.
2 : 10 ซม.
3 : 15 ซม.
4 : 20 ซม.
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 269 :
Binder Course อยูใ่ นส่วนใดของโครงสร ้างถนน
สภ
1 : ผิวทาง (Surface)
2 : พืนทาง (Base Course)
3 : รองพืนทาง (Subbase Course)
4 : ดินเดิม (Subgrade)
ข ้อที 270 :
ผิวทางชนิดใดใชส้ ําหรับถนนประเภททีมีปริมาณการจราจรสูง
1 : ผิวทางเซอร์เฟซทรีทเม ้นต์ (Surface Treatment)
2 : ผิวทางเพนนิเตรชันแมคคาดัม (Penetration Macadam)
3 : ผิวทางเคพซล ี (Cape Seal)
4 : ผิวทางแอสฟั ลท์คอนกรีต (Asphalt Concrete)
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 271 :
จากการทดสอบค่า CBR ของดินคันทางในถนนชว่ งหนึงได ้ค่า CBR จํานวน 10 ค่า คือ 9, 6, 9, 8, 7, 10, 9, 9, 8, และ 12 จงกําหนดค่า CBR ทีจะใช ้
งวน
ในการออกแบบโครงสร ้างถนน
1 : 7%
2 : 9%
อส
3 : 10%
4 : 12%
ขอ
กร
ิ ว
ข ้อที 272 :
หน่วยแรงทีเกิดขึนในถนนคอนกรีตเกิดจากอะไร
1
2
:
:
าวศ
ความแตกต่างของอุณหภูมิของผิวบนและล่าง
นํ าหนั กกระทําจากล ้อยานพาหนะ
3 : การเปลียนแปลงความชนในช ื ันดินทีรองรับถนน
สภ
4 : ถูกทุกข ้อ
ข ้อที 273 :
ข ้อใดไม่ใชว่ ัตถุประสงค์ในการเสริมเหล็กในถนนคอนกรีต
1 : ป้ องกันการแตกร ้าวเนืองจากอุณหภูมิ
2 : ยึดรอยแตกร ้าวไม่ให ้ห่างจากกัน
3 : รับแรงดัดทีเกิดจากนํ าหนั กล ้อกระทํากับถนน
4 : ลดการแอ่นตัว (Deflection) ในถนน
ข ้อที 274 :
ิ
ิ ธ
การเสริมเหล็กในถนนคอนกรีตจะเสริมบริเวณใด
สท
1 : ระยะตําจากผิวบนประมาณ 3 – 5 เซนติเมตร
2 : ระยะสูงจากผิวล่างประมาณ 3 – 5 เซนติเมตร
3 : ตรงกึงกลางระหว่างผิวบนและผิวล่าง
งวน
4 : เสริมเหล็กทีตําแหน่งใดก็ได ้
อส
ขอ
ข ้อที 275 :
รอยต่อของถนนคอนกรีตแบบใดทีทําหน ้าทีบังคับให ้รอยแตกในแผ่นคอนกรีตเกิดตรงจุดทีต ้องการ
กร
3 : Expansion Joint
ิ ว
าวศ
สภ
ข ้อที 276 :
้
เหล็กเดือย (Dowel Bar) ไม่ใชในรอยต่ อประเภทใด
3 : Expansion Joint
ข ้อที 277 :
จงหาหน่วยแรงทีเกิดในถนนคอนกรีตทีจุดกึงกลางความยาวถนนจากแรงฝื ดเมือถนนเป็ นแผ่นคอนกรีตหนา 20 ซม. ยาว 15 เมตร สัมประสท
ิ ธิความ
เสียดทานระหว่างแผ่นคอนกรีตกับพืนทางเท่ากับ 1.5
1 : 2.70 กก/ตร.ซม.
2 : 3.50 กก/ตร.ซม
ิ
3 : 4.30 กก/ตร.ซม.
ิ ธ
4 : 5.40 กก/ตร.ซม
สท
งวน
ข ้อที 278 :
อส
รอยต่อในผิวทางคอนกรีตทีแสดง เป็ นรอยต่อชนิดใด
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
4 : รอยต่อตามยาว (Longitudinal Joint)
ข ้อที 279 :
รอยต่อในผิวทางคอนกรีตทีแสดง เป็ นรอยต่อชนิดใด

ิ
ิ ธ

สท
4 : รอยต่อตามยาว (Longitudinal Joint)

งวน
อส
ขอ
ข ้อที 280 :
โครงสร ้างทางชันใดทีอยูใ่ ต ้ชันผิวทางลาดยาง
กร
1 : ั
ชนรองพื นทาง
2 : ชันพืนทาง
3 : ชันวัสดุคัดเลือก
ิ ว
4 : ชันดินคันทาง
าวศ
สภ
ข ้อที 281 :
่ งทาง
จงหาปริมาณของเหล็กตะแกรงตามความยาว ของผิวทางคอนกรีตขนาด 2 ชอ
แผ่นคอนกรีตหนา 20 cm.
ความกว ้างของแต่ละชอ่ งทางเท่ากับ 3.50 m.
ระยะห่างระหว่างรอยต่อเพือการขยายตัว 15 m.
1:
2:
3:
ิ
ิ ธ
สท
4:
งวน
ข ้อที 282 :
อส
เหล็กทีใชกั้ บรอยต่อในแผ่นคอนกรีต ชนิดใดทีครึงหนึงของความยาวต ้องทาผิวด ้วยวัสดุป้องกันการยึดเกาะกับเนือคอนกรีต
ขอ
1 : Dowel Bar
2 : Tie Bar
3 : Longitudinal Steel
กร
4 : Transverse Steel
ิ ว
าวศ
ข ้อที 283 :
สภ
การกําหนดให ้ใชนํ้ าหนั กเพลาเดียวมาตรฐาน ( Single Axle Load ) 18,000 ปอนด์ และเปลียนยวดยานขนาดนํ าหนั กเพลาต่างๆ ทีมาใชถนนให
้ ้เป็ น
Equivalent Axle load (EAL) นั น เป็ นการวิเคราะห์ด ้านการจราจรของการออกแบบถนนลาดยางของวิธีการในข ้อใด
1 : วิธี The AASHTO method
2 : วิธี Group Index
3 : วิธี Corps of Engineers
4 : วิธี The Asphalt Institute (1981, 1991) และ วิธี Corps of Engineers
ข ้อที 284 :
จากการทดสอบค่า CBR ของดินคันทางในถนนชว่ งหนึงได ้ค่า CBR จํานวน 10 ค่า คือ
9, 6, 9, 8, 7, 10, 9, 9, 8, และ 12
้
จงกําหนดค่า CBR ทีจะใชในการออกแบบโครงสร ้างถนน กําหนดให ้ใช ้ Percentile ที 90
1 : 7%
2 : 9%
3 : 10%
ิ
ิ ธ
4 : 12%
สท
งวน
ข ้อที 285 :
อส
่ (Flexible) เป็ นโครงสร ้าง 3 ชัน ดังรูป Stresses / Strains ทีวิกฤตในการออกแบบโครงสร ้างทาง คือข ้อใด
ในการจําลองโครงสร ้างทางแบบยึดหยุน
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : Tensile stresses ทีผิวล่างของชัน Bituminous bound layer และ Compressive strains ทีด ้านบนของชัน Subgrade
2 : Tensile stresses และ Compressive strains ทีด ้านบนของชัน Subgrade
3 : Compressive strains ทีผิวล่างของชัน Bituminous bound layer และ Tensile stresses ด ้านบนของชัน Subgrade
4 : Tensile stresses และ Compressive strains ทีผิวล่างของชัน Bituminous bound layer
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 286 :
รถบรรทุกหกล ้อ (สองเพลา) คันหนึง นํ าหนั กรวม (Gross Vehicle Weight) เท่ากับ 12 ตัน นํ าหนั กรถกระจายลงเพลาหน ้าและเพลาหลังเท่ากับร ้อยละ
งวน
35 และ 65 ตามลําดับ ถ ้ากําหนดให ้ Load Equivalency Factor = [ Axle Load , i / Standard Axle Load, 18000 lbs]4 และ 1 ton = 2200 lb, รถ
คันนีวิง 1 เทียวจะเทียบเท่ากับเพลามาตรฐาน (Standard Axle) วิงเท่าใด
1 : 0.83 เทียว
อส
2 : 0.90 เทียว
ขอ
3 : 1.15 เทียว
4 : 1.46 เทียว
กร
ิ ว
ในชอ าวศ
ข ้อที 287 :
่ งจราจรออกแบบของทางหลวงสายหนึง รถบรรทุกที 1 คันเทียบเท่ากับเพลามาตรฐานวิง1.15 ครัง ในปี แรกมีรถบรรทุกผ่าน 100 คันต่อวัน และ
้
รถบรรทุกมีอัตราการเพิมร ้อยละ 4 ต่อปี ถ ้าอายุออกแบบ (Design life) = 5 ปี นํ าหนั กจราจรทีใชออกแบบโครงสร ้างทางจะเท่ากับเท่าใด
สภ
1 : 2.2 x 105 เทียว
2 : 4.9 x 104 เทียว
3 : 2.09 x 105 เทียว
4 : 2.45x 104 เทียว
ข ้อที 288 :
Full- Depth Pavement ตามความหมายของ The Asphalt Institute หมายถึงข ้อใด
1 : โครงสร ้างถนนทีรับนํ าหนั กมาก จึงออกแบบให ้แข็งแรงเป็ นพิเศษ
2 : ้
โครงสร ้างถนนทีออกแบบให ้สามารถรับนํ าหนั กรถได ้ตลอดอายุใชงานของทางนั นไม่ต ้องเททับเพิมในภายหลัง
3 : โครงสร ้างถนนทีมีเฉพาะชันผสมวัสดุแอสฟั ลท์เท่านั นวางบนชัน Subgrade
4 : โครงสร ้างถนนทีประกอบด ้วยผิวทาง พืนทาง รองพืนทาง และวัสดุคัดเลือกเต็มรูปแบบ
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 289 :
งวน
อส
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
ิ
ิ ธ
สท
งวน
1 : 10.0 นิว
อส
2 : 15.1 นิว
ขอ
3 : 18.1 นิว
4 : 20.1 นิว
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 290 :
คําว่า Pumping Action ในงานถนนคอนกรีต หมายถึงข ้อใด
1 : การทีนํ าและดินได ้แผ่นพืนคอนกรีตพุ่งขึนมาผ่านทางรอยต่อ รอยแตกหรือทีขอบของ แผ่นพืนเมือมีนําหนั กกดให ้แผ่นพืนแอ่นลงหลังจากมีนํา
สภ
ขังสะสมอยูใ่ ต ้แผ่นพืนนั น
2 : เทคนิคพิเศษในการเทคอนกรีตงานถนนทีต ้องเทด ้วยอัตราส่วนซเี มนต์ต่อนํ าตํากว่าคอนกรีตทัวไป
3 : การเทคอนกรีตเพือไปอุดโพรงใต ้ถนนคอนกรีต เป็ นการป้ องกันไม่ให ้ถนนคอนกรีตเสียหาย
4 : การระบายนํ าใต ้ถนนคอนกรีตออก เพือให ้ทางไม่เสียหาย
ข ้อที 291 :
เมือแผ่นพืนคอนกรีตถูกกระทําด ้วยนํ าหนั กล ้อทีขอบของแผ่นพืน (Edge loading). Tensile stress สูงสุดในแผ่นพืนคอนกรีตเกิดขึน ณ ตําแหน่งใด
1 : ใต ้นํ าหนั กบรรทุก ทีผิวล่างของแผ่นพืนคอนกรีต มีขนาดเท่ากันทุกทิศทาง
2 : ใต ้นํ าหนั กบรรทุก ผิวล่างของแผ่นพืนคอนกรีตมีทศิ ทางขนานกับขอบ
3 : ด ้านบนของแผ่นพืนคอนกรีต ในแนวเสนแบ่ ้ งครึงมุมของแผ่นพืนคอนกรีต
4 : ณ จุดทีนํ าหนั กบรรทุก ผิวบนของแผ่นพืนคอนกรีตมีทศ ิ ทางขนานกับขอบ
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 292 :
เมือแผ่นพืนคอนกรีตถูกกระทําด ้วยนํ าหนั กล ้อทีมุมของแผ่นพืน (Corner loading) Tensile stress สูงสุดเกิดขึน ณ ตําแหน่งใด
งวน
1 : ใต ้นํ าหนั กบรรทุก ทีผิวล่างของแผ่นพืนคอนกรีต มีขนาดเท่ากันทุกทิศทาง

2 : ใต ้นํ าหนั กบรรทุก ผิวล่างของแผ่นพืนคอนกรีตมีทศิ ทางขนานกับขอบ
3 : ด ้านบนของแผ่นพืนคอนกรีต ในแนวเสนแบ่ ้ งครึงมุมของแผ่นพืนคอนกรีต
อส
4 : ณ จุดทีนํ าหนั กบรรทุก ผิวบนของแผ่นพืนคอนกรีตมีทศ ิ ทางขนานกับขอบ

ขอ
กร
ข ้อที 293 :
ิ ว
การทีแผ่นพืนคอนกรีตรับความร ้อนในตอนกลางวันและการคายความร ้อนในตอนกลางคืน มีผลให ้อุณหภูมิภายในผืนคอนกรีตไม่เท่ากัน (มี
Temperature gradient) จึงทําให ้แผ่นพืนคอนกรีตโก่ง (Curl or Warp) ตอนกลางวัน แผ่นพืนคอนกรีตโก่งลง ทําให ้เกิดหน่วยแรงดึง (Tensile
1 :
าวศ
stresses) เนืองจาก Temperature gradient ขึน ณ ทีใดในแผ่นพืนและกระจายอย่างไร
เกิดสมํ าเสมอตลอดผิวล่างของแผ่นพืน
2 : เกิดทีผิวล่างของแผ่นพืน และมีค่ามากสุดทีกลางผืน
สภ
3 : เกิดสมํ าเสมอตลอดผิวบนของแผ่นพืน
4 : เกิดทีผิวบนของแผ่นพืน และมากทีสุดทีกลางผืน
ข ้อที 294 :
การทีแผ่นพืนคอนกรีตรับความร ้อนในตอนกลางวันและการคายความร ้อนในตอนกลางคืน มีผลให ้อุณหภูมิภายในผืนคอนกรีตไม่เท่ากัน (มี
Temperature gradient) จึงทําให ้แผ่นพืนคอนกรีตโก่ง (Curl or warp) ตอนกลางคืน แผ่นพืนคอนกรีตโก่งขึน ทําให ้เกิดหน่วยแรงดึง (Tensile
stresses) เนืองจาก Temperature gradient ขึน ณ ทีใดในแผ่นพืนและกระจายอย่างไร
1 : เกิดสมํ าเสมอตลอดผิวล่างของแผ่นพืน
2 : เกิดทีผิวล่างของแผ่นพืน และมีค่ามากสุดทีกลางผืน
3 : เกิดสมํ าเสมอตลอดผิวบนของแผ่นพืน
4 : เกิดทีผิวบนของแผ่นพืน และมากทีสุดทีกลางผืน
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 295 :
เมืออุณหภูมิเฉลียของแผ่นพืนคอนกรีตลดลงและต ้องการจะหดตัว แต่เนืองจากมีดน
ิ Subgrade เหนียวรังไว ้ การเหนียวรังของ Subgrade ในกรณีนีจะ
งวน
ทําให ้เกิด Stresses ประเภทใด

1 : Tensile Stresses ในแผ่นพืน
2 : Compressive Stresses ในแผ่นพืน
อส
3 : Flexible Stresses ในแผ่นพืน

4 : Bending Stresses ในแผ่นพืน
ขอ
กร
ิ ว
ข ้อที 296 :
ในการออกแบบถนนคอนกรีต เราพิจารณาออกแบบรองรับ Stresses เนืองจากอุณหภูมิอย่างไร
1
2
:
:
าวศ
ออกแบบแผ่นพืนให ้หนาเพียงพอทีจะรับ Stresses นีได ้
ใส่เหล็กเสริมรับหน่วยแรงดัดเพิมขึน
3 : ตัดซอยคอนกรีตเป็ นผืนเล็กเพือลด Stresses ให ้เหลือน ้อย
สภ
4 : ปรับอุณหภูมิแผ่นพืนให ้คงทีมากทีสุด
ข ้อที 297 :
ในการทดสอบค่า CBR ของดินคันทางในถนนชว่ งหนึง ได ้ค่า CBR จํานวน 15 ค่าดังนี 11, 12, 6, 9, 8, 10, 7, 11, 9, 10, 8, 12, 6, 6, 9 จงคํานวณ
้
หาค่า CBR ทีใชในการออกแบบของวิ
ธี The Asphalt Institute
1 : 6
2 : 7
3 : 8
4 : 9
ิ
ิ ธ
ข ้อที 298 :
เหล็กทีใส่ในรอยต่อตามขวางในผิวทางคอนกรีตเรียกว่าเหล็กอะไร
สท
1 : Temperature Steel
2 : Reinforcement Steel
งวน
3 : Tie Bar
4 : Dowel Bar
อส
ขอ
ข ้อที 299 :
กร
่ งว่างระหว่างแผ่นคอนกรีต
รอยต่อใดทีจําเป็ นต ้องเว ้นชอ
ิ ว
2 : Expansion Joint
าวศ
สภ
ข ้อที 300 :
เมือออกแบบให้ถนนลาดยางกับถนนคอนกรี ตให้รับนําหนักจราจรได้เท่ากัน โดยทัวไปแล้วข้อความต่อไปนี ข้อใดเป็ นจริ ง
1 : ถนนคอนกรี ตแพงกว่าถนนลาดยาง
2 : ถนนคอนกรี ตต้องใช้เครื องจักรหนักมากกว่า
3 : ถนนคอนกรี ตต้องการการซ่อมบํารุ งน้อยกว่า
4 : ถนนคอนกรี ตต้องการบุคลากรทีมีความชํานาญงานในการก่อสร้างมากกว่า
ข ้อที 301 :
รถบรรทุกหกล้อ (สองเพลา) คันหนึ ง นําหนักรวม (Gross Vehicle Weight) เท่ากับ 12 ตัน นําหนักรถกระจายลงเพลาหน้าและเพลาหลังเท่ากับร้อยละ 35 และ 65 ตามลําดับ ถ้า
กําหนดให้ Load Equivalency Factor = [ Axle Load , i / Standard Axle Load, 18000 lbs]4 และ 1 ton = 2200 lb, รถคันนี วิง 100 เทียวจะเทียบเท่ากับเพลามาตรฐาน (Standard
Axle) วิงเท่าใด
ิ
ิ ธ
1 : 83 เทียว
สท
2 : 90 เทียว
3 : 115 เทียว
4 : 146 เทียว
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 302 :
จงหาความหนาของ Full-Depth pavement เพือรองรับนําหนักจากการจราจรในเลนออกแบบ 2.0 ล้านเทียวของเพลามาตรฐาน 18,000 lb บนดิน Subgrade ทีมีค่า CBR 6 %
(Resilient Modulus, psi = 1500 CBR)
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 10.0 นิ ว
2 : 15.1 นิ ว
3 : 18.1 นิ ว
ิ
ิ ธ
4 : 20.1 นิ ว
สท
งวน
ข ้อที 303 :
อส
ขอ
ิ ล ้อ (3 เพลา) คันหนึง นําหนักรวม (Gross Vehicle Weight) เท่ากับ 20 ตัน นําหนักรถกระจายลงเพลาหน ้า เพลากลางและเพลาหลังเท่ากับ ร ้อยละ 20, 40 และ 40 ตามลําดับ ถ ้ากําหนด
รถบรรทุกสบ
ิ ล ้อคันนีวิง
ให ้ Load Equivalency Factor = [ Axle load,i/Standard Axle Load,1800 lbs ] และ 1 ton = 2,000 lbs รถสบ 1 เทียว จะเทียบเท่ากับ เพลามาตรฐาน (Standard Axle) วิงกีเทียว
1 : 4.3 เทียว
กร
2 : 1.52 เทียว
ิ ว
3 : 1.29 เทียว
าวศ
4 : 0.82 เทียว
สภ
เนือหาวิชา : 555 : Highway materials
ข ้อที 304 :
แอสฟั ลต์บริสุทธิมีคุณสมบัตท
ิ พิ
ี เศษอย่างหนึงคือสามารถละลายได ้หมดในสารใด
1:
2 : HCl
3 : NaCl
4:
ิ
ิ ธ
ข ้อที 305 :
้
Cutback Asphalt ในข ้อใดทีใชในงานลาดยาง Prime Coat
สท
1 : MC-250
2 : MC-70
งวน
3 : RC-250
4 : RC-70
อส
ขอ
ข ้อที 306 :
กร
้
Asphalt ชนิดใดทีใชในงาน Asphalt Concrete ผสมร ้อน
1 : AC 60-70
ิ ว
2 : AC 120-150
าวศ
3 : MC-70
4 : RS-2
สภ
ข ้อที 307 :
ในงาน Cold Mixed Asphalt Concrete จะใช ้ Asphalt ชนิดใด
1 : AC 60-70
2 : MC-70
3 : RS-2
4 : CMS-2h
ข ้อที 308 :
การหาค่าความหนืดของ Emulsified Asphalt โดยทัวไปจะทดสอบตัวอย่างทีอุณหภูมิใด
1 :
2 :
ิ
ิ ธ
3 :
สท
4 :
งวน
ข ้อที 309 :
อส
้
ตามมาตรฐานของกรมทางหลวงคอนกรีตทีใชในงานผิ
วทางคอนกรีตจะต ้องมีกําลังอัดลูกบาศก์ไม่น ้อยกว่าเท่าใด
ขอ
1 : 180 ksc
2 : 240 ksc
3 : 280 ksc
กร
4 : 325 ksc
ิ ว
าวศ
ข ้อที 310 :
สภ
วัสดุทใช ้ นส่วนผสมสําหรับแอสฟั ลต์คอนกรีตผสมร ้อน มีอะไรบ ้าง
ี เป็
1 : แอสฟั ลต์ซเี มนต์ นํ า วัสดุมวลรวม ซเี มนต์
2 : แอสฟั ลต์อีมัลชัน วัสดุมวลรวม
3 : แอสฟั ลต์ซเี มนต์ วัสดุมวลรวม
4 : ซเี มนต์ วัสดุมวลรวม นํ า
ข ้อที 311 :
Cutback Asphalt ได ้จากส่วนผสมใดต่อไปนี
1 : แอสฟั ลต์ซเี มนต์ กับ วัสดุมวลรวม
2 : แอสฟั ลต์อิมัลชัน กับ วัสดุมวลรวม
3 : แอสฟั ลต์ซเี มนต์ กับ อิมัลซไิ ฟอิงเอเจนต์
4 : แอสฟั ลต์ซเี มนต์ กับ นํ ามันทีได ้จากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
5 : ผิดทุกข ้อ
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 312 :
แอสฟั ลต์อิมัลชัน ได ้จากส่วนผสมใดต่อไปนี
1 : แอสฟั ลต์ซเี มนต์ กับ วัสดุมวลรวม
อส
2 : แอสฟั ลต์ซเี มนต์ กับ นํ า
ขอ
3 : แอสฟั ลต์ซเี มนต์ กับ อิมัลซไิ ฟอิงเอเจนต์ กับ นํ า
4 : แอสฟั ลต์ซเี มนต์ กับ อิมัลซไิ ฟอิงเอเจนต์ กับ นํ ามันทีได ้จากปิ โตรเลียม
5 : แอสฟั ลต์ซเี มนต์ กับ นํ ามันทีได ้จากปิ โตรเลียม
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 313 :
ยางแอสฟั ลต์จะมีลักษณะเป็ นสีใด
สภ
1 : เทา
2 : นํ าตาลแก่
3 : ดํา
4 : ข ้อ 2 และ ข ้อ 3 ถูก
ข ้อที 314 :
ข ้อใดไม่ใช ่ วัสดุคัดเลือกประเภท ก.
1 : วัสดุ Soil Aggregate
2 : ทราย
3 : ลูกรังทีปราศจากก ้อนดินเหนียว
4 : ถูกทุกข ้อ
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 315 :
้
ยางแอสฟั ลต์ชนิดใดทีใชในอุ ตสาหกรรม
งวน
1 : Cutback Asphalt
2 : Emulsified Asphalt
3 : Asphalt Cement
อส
4 : Blown Asphalt
ขอ
กร
ข ้อที 316 :
้ ึ หรอของวัสดุมวลหยาบ
ิ ว
การทดลองใดใชหาค่ าการสก
าวศ
1 : Stripping Test
2 : Job Mix Formula
3 : Particle Charge Test
4 : Los Angeles Abrasion Test
สภ
ข ้อที 317 :
วัสดุชันรองพืนทางโดยทัวไปจะใชวั้ สดุอะไร
1 : ลูกรัง
2 : หินโม่หรือกรวดโม่
3 : หินคลุก
4 : ดินเดิม
ข ้อที 318 :
Asphalt Cement แบ่งเกรดโดยการทดลองใด
ิ
ิ ธ
1 : Softening Point
สท
2 : Specific Gravity
3 : Float Test
4 : Penetration Test
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 319 :
ตะกรันเหล็กเป็ นมวลรวมประเภทใด สามารถนํ ามาใชทํ้ าผิวจราจรได ้
1 : Pit or Bank-Run Materials
กร
2 : Processed Aggregates
3 : Synthetic or Artificial Aggregates
ิ ว
4 : Selected Materials
าวศ
สภ
ข ้อที 320 :
ิ เิ ศษเหมาะทีจะใชกั้ บงานทางด ้านอุตสาหกรรมและงานพิเศษต่าง ๆ เชน
แอสฟั ลต์ชนิดใดมีคุณสมบัตพ ่ งานหลังคา งานเคลือบผิวท่อ เป็ นต ้น
1 : Air Blown Asphalt
2 : Asphalt Cement
3 : Cutback Asphalt
ข ้อที 321 :
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
จากรูป
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 15.8
2 : 70.7
3 : 89.8
4 : 105.6
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 322 :
้
แอสฟั ลต์ชนิดใดทีไม่ใชในงาน Tack Coat
1 : RC-70
อส
2 : RC-250
ขอ
3 : CRS-1
4 : CSS-1
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 323 :
AASHTO กําหนดค่ามาตรฐานสําหรับวัสดุทใช ้ อสร ้างพืนทาง(ส่วนทีผ่านตะแกรงเบอร์ 40) ในข ้อใด
ี ในการก่
สภ
1:
2:
3:
4:
ข ้อที 324 :
่ ลทีได ้ในการปรับปรุงคุณภาพดินด ้วยปูนขาว
ข ้อใดมิใชผ
1 : ลดความเป็ นพลาสติก (PI)
2 : เพิมกําลังรับแรงเฉือนของดิน
3 : เพิมกําลังรับแรงอัด
4 : ลดขนาดมวลดิน
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 325 :
การปรับปรุงคุณภาพดินด ้วยปอร์ตแลนด์ซเี มนต์ไม่เหมาะทีจะใชกั้ บชันทางชันใด
อส
ขอ
1 : ดินคันทาง
2 : รองพืนทาง
3 : พืนทาง
4 : ผิวทาง
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 326 :
การใชวั้ สดุปรับปรุงคุณภาพดินในข ้อใดไม่เหมาะกับชนิดของดิน
สภ
1 : ้
ใชปอร์ ตแลนด์ซเี มนต์กบ
ั ดินทราย
2 : ใชปู้ นขาวกับดินเหนียว
3 : ้
ใชแอสฟั ลต์กบ
ั ดินเหนียว
4 : ใชปู้ นขาวกับดินเหนียวปนทราย
ข ้อที 327 :
ความมุ่งหมายของการใชวั้ สดุปรับปรุงคุณภาพดินในข ้อใดไม่ถก
ู ต ้อง
1 : ้
ใชปอร์ ตแลนด์ซเี มนต์เพือลด Plastic Index
2 : ้
ใชปูนขาวเพือลด Plastic Limit
3 : ้
ใชแอสฟั ลต์เพือให ้ดินลดปริมาณการดูดซมึ นํ า
4 : ใชการพ่ ้ ึ เข ้าสู่ดน
นยางแอสฟั ลต์คลุมทับดินทีบดอัดแล ้วเพือป้ องกันมิให ้นํ าซม ิ
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 328 :
ข ้อใดคือยางประเภท Cutback Asphalt
งวน
1 : RM
2 : RS
3 : RD
อส
4 : RC
ขอ
กร
ข ้อที 329 :
ิ ว
ข ้อใดคือยางประเภท Emulsion Asphalt
าวศ
1 : CRS
2 : CMD
3 : CRB
4 : CBS
สภ
ข ้อที 330 :
หินคลุกเป็ นวัสดุทนิ ้ อสร ้างชันใดของทาง
ี ยมใชในการก่
1 : พืนทาง (Base Course)
2 : รองพืนทาง (Subbase Course)
3 : ดินคันทาง (Subgrade)
4 : วัสดุคัดเลือก (selected material)
ข ้อที 331 :
ี ก่้ อสร ้างชันพืนทางสําหรับผิวทางแบบแอสฟั ลท์คอนกรีตควรมีค่า CBR ไม่น ้อยกว่า
วัสดุทใช
ิ
ิ ธ
1 : 100%
สท
2 : 80%
3 : 60%
4 : 40%
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 332 :
การใชวั้ สดุคัดเลือก (Selected Material) มีจุดประสงค์เพืออะไร
1 : รับนํ าหนั กจากชันผิวทางและถ่ายลงสู่ชันรองพืนทาง
กร
2 : ื
ป้ องกันความชนใต ้ชันผิวทาง
3 : ยกระดับของถนนเพือลดหน่วยแรงในดินคันทางและให ้พ ้นระดับนํ าท่วม
ิ ว
4 : รับนํ าหนั กโดยตรงจากล ้อของยานพาหนะ
าวศ
สภ
ข ้อที 333 :
้ นวัสดุกอ
เมือจําแนกประเภทของดินตามระบบ AASHTO Classification แล ้ว วัสดุใดทีเหมาะสมทีสุดในการใชเป็ ่ สร ้างทาง
1 : A-1 - A-3
2 : A-4 - A-6
3 : A-7
4 : A-8
ข ้อที 334 :
ดินทีจําแนกประเภทตามระบบ Unified Classification ได ้เป็ น SW หมายถึง
1 : ทรายทีมีขนาดคละดี
2 : ดินตะกอนทีมีขนาดคละดี
3 : ดินตะกอนผสมทราย
4 : ทรายผสมดินเหนียว
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 335 :
Cutback Asphalt คือ
1 : แอสฟั ลท์ทได
ี ้จากธรรมชาติ
อส
ี ส่วนผสมของสารอินทรีย ์
2 : แอสฟั ลท์ทมี
ขอ
3 : แอสฟั ลท์ทได
ี ้จากหิน
4 : แอสฟั ลท์ทไดี ้จากการผสมแอสฟั ลท์ซเี มนต์กบ
ั นํ ามันบางชนิด
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 336 :
วิธีการทดลอง CBR เป็ นวิธีการทดลองเพือหา
1 : ค่าเปรียบเทียบ Bearing Value ของวัสดุตัวอย่างกับวัสดุห ินมาตรฐาน
สภ
2 : ค่าเปรียบเทียบ Shear Strength ของวัสดุตัวอย่างกับวัสดุห ินมาตรฐาน
3 : ค่ากําลังรับแรงเฉือนของวัสดุตัวอย่าง
4 : ค่าการทรุดตัวของวัสดุตัวอย่าง
ข ้อที 337 :
แอสฟั ลต์ทเหมาะจะใช
ี กั้ บถนนย่านอุตสาหกรรมและในบริเวณทีมีอากาศร ้อนคือ
1 : AC เกรด 85 - 100
2 : AC เกรด 60 - 70
3 : AC เกรด 50 - 60
4 : AC เกรด 40 - 50
ิ
ิ ธ
ข ้อที 338 :
สท
้
คัทแบกแอสฟั ลต์ชนิดบ่มตัวเร็วใชอะไรเป็ นตัวทําละลาย
1 : นํ ามันก๊าด
งวน
2 : แกสโซลีน
3 : นํ ามันดีเซล
4 : นํ ามันสน
อส
ขอ
กร
ข ้อที 339 :
ข ้อใดทีไม่ใชว่ ธิ ีการทีทําให ้แอสฟั ลท์ซเี มนต์เป็ นของเหลว
ิ ว
1 : หลอมด ้วยความร ้อน
าวศ
2 : ละลายในปิ โตรเลียม
3 : ทําให ้แขวนลอยในนํ า
4 : อัดด ้วยแรงดัน
สภ
ข ้อที 340 :
้
คัทแบกแอสฟั ลต์ชนิดบ่มตัวปานกลางใชอะไรเป็ นตัวทําละลาย
1 : นํ ามันก๊าด
2 : แกสโซลีน
3 : นํ ามันดีเซล
4 : นํ ามันสน
ข ้อที 341 :
คุณสมบัตอ ้
ิ ะไรทีใชแยกชนิ ดของแอสฟั ลต์อิมัลชัน
1 : อัตราการหลอมเหลว
ิ
ิ ธ
2 : อัตราการแตกตัว
สท
3 : อัตราการระเหย
4 : อัตราการอ่อนตัว
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 342 :
ในการทดสอบ Penetration Test จะต ้องให ้เข็มรวมนํ าหนั กบรรทุก 100 กรัม จมลงไปในเนือยางตัวอย่างเป็ นระยะเวลาเท่าใด
กร
ิ ว
าวศ
สภ
ข ้อที 343 :
การทดลอง Flash and Fire Points ถ ้วยทีใส่ตัวอย่างทดลองเรียกว่า
1 : Taken Open Cup
2 : Cleveland Open Cup
3 : Clavative Open Cup
4 : Asphalt Open Cup
ข ้อที 344 :
้
การทดลอง Float Test for Bitlumenous Materials อุณหภูมิของนํ าทีใชทดสอบกี
องศา
1:
2:
ิ
ิ ธ
3:
สท
4:
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 345 :
การทดสอบหาค่าความหนืดของยางประเภท Cutback Asphalt ควรใชวิ้ ธีทดสอบใด
กร
1 : Kinematic Viscosity Test
2 : Softening Viscosity Test
3 : Float Test
ิ ว
4 : Penetration Test
าวศ
สภ
ข ้อที 346 :
ถ ้วยรองรับตัวอย่าง (Flask) ในการทดสอบ Saybolt Furol Viscosity Test มีปริมาตรความจุเท่าใด
1 : 40 ml.
2 : 60 ml.
3 : 80 ml.
4 : 100 ml.
ข ้อที 347 :
จงคํานวณหา Bulk Specific Gravity of Specimen (G) ในการทดสอบ Marshall Mix Design ดังต่อไปนี
ตัวอย่างชังในอากาศหนั ก 525 กรัม
นํ าหนั กอิมตัวผิวแห ้ง 545 กรัม และเมือนํ าไปชังในนํ า หนั ก 285 กรัม
1 : 2.00
ิ
2 : 2.02
ิ ธ
3 : 2.15
สท
4 : 2.28
งวน
อส
ข ้อที 348 :
จงคํานวณหาค่า Flakiness Index จากข ้อมูลผลการทดสอบต่อไปนี
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 19.73%
2 : 20.96%
3 : 21.78%
4 : 22.81%
ข ้อที 349 :
ขนาดของมวลรวมทีใชกั้ บผิวทาง Double Surface Treatment คือข ้อใด
1 : 12.5 มม. (1/2 นิว) และ 9.5 มม. (3/8 นิว)
2 : 12.5 มม. (1/2 นิว) และ 12.5 มม. (1/2 นิว)
3 : 19.0 มม. (3/4 นิว) และ 9.5 มม. (3/8 นิว)
4 : 19.0 มม. (3/4 นิว) และ 12.5 มม. (1/2 นิว)
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 350 :
้
ก่อนทีจะนํ า Asphalt Cement AC 85-100 มาใชงาน จะต ้องผสมกับ aggregate ทํายางแอสฟั ลต์ไปทําอะไรก่อน
งวน
1 : เผาให ้ร ้อน
2 : ผสมนํ ามันก๊าด
3 : ผสมนํ า
อส
4 : ผสมกับทินเนอร์
ขอ
กร
ิ ว
ข ้อที 351 :
มวลรวมหรือแอกกรีเกททีมีขนาดคละดี (Well-graded) หมายถึงแอกกรีเกททีมีคุณสมบัตต
ิ รงตามข ้อใด
1
2
:
:
าวศ
แอกกรีเกททีได ้รับการคลุกเคล ้าให ้เม็ ดดินผสมเป็ นเนือเดียวกัน
แอกกรีเกททีได ้รับการคัดเลือกว่ามีคุณภาพดี
3 : แอกกรีเกททีมีเม็ ดโต เม็ ดกลาง เม็ ดละเอียด ปะปนกัน
สภ
4 : แอกกรีเกททีได ้รับการคัดขนาด ในกองเดียวกันมีเม็ ดขนาดใกล ้เคียงกัน
ข ้อที 352 :
แอกกรีเกททีบดอัดทําเป็ นชันต่างๆ ของถนนแล ้วนํ าซม
ึ ผ่านได ้ยากกว่า คือ แอกกรีเกททีมีคุณสมบัตต
ิ รงตามข ้อใด
1 : ขนาดคละดี
2 : เม็ ดละเอียด
3 : ขนาดโตปานกลาง
4 : เม็ ดขนาดโตกับขนาดเล็กมาก มีเม็ ดขนาดกลางน ้อย
ข ้อที 353 :
ิ
ิ ธ
ในการควบคุมคุณสมบัตวิ ัสดุทจะทํ
ี าเป็ นชันพืนทางแอกกรีเกท นิยมควบคุมโดยอาศัยผลการทดสอบวัสดุจากการทดสอบในข ้อใด
สท
1 : Atterburg Limit. California Bearing Ratio. Marshall Mix Design. Gradation

2 : Gradation. Atterburg Limit. % Wear. Compaction
3 : Gradation. Atterburg Limit. % Wear. California Bearing Ratio
งวน
4 : Atterburg Limit. California Bearing Ratio. Marshall Mix Design. Compaction
อส
ขอ
ข ้อที 354 :
เหตุผลหลักทีเราสามารถใชวั้ สดุประเภท นอนพลาสติก (Non-Plastic) ในชันพืนทางได ้เพราะ
กร
1 : ราคาถูกกว่า
2 : ึ ผ่าน
ไม่ต ้องห่วงเรืองนํ าซม
3 : บดอัดได ้ง่ายกว่าพืนทางทัวไป
ิ ว
4 : แรงยึดเหนียวระหว่างเม็ ดดี ทําให ้ Stability ดี
าวศ
สภ
ข ้อที 355 :
สําหรับไหล่ทางซอยแอกกรีเกททีทําหน ้าทีปกป้ องคันทางด ้วย หน่วยงานทางควรใชวั้ สดุไหล่ทางทีมีค่า Atterburg Limit ในข ้อใดจึงจะเหมาะสมทีสุด
1 : Liquid Limit ไม่เกิน 35 Plasticity Index ไม่เกิน 16
2 : Liquid Limit ไม่เกิน 35 Plasticity Index อยูร่ ะหว่าง 6 -16
ข ้อที 356 :
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
ิ
ิ ธ
1 : 0.5 HGE
2 : 0.6 HGE
สท
3 : 0.7 HGE
4 : 0.8 HGE
งวน
อส
ข ้อที 357 :
ขอ
สําหรับงานเซอร์เฟสทรีตเมนท์ททํ
ี าบนพืนทาง ข ้อความในข ้อใดผิด
1 : ผิวของพืนทางทีขรุขระและพรุนจะดูดซม ึ ยาง เพราะฉนั นต ้องใชยางมากขึ
้ นเพือชว่ ยยึดแอกกรีเกท
้ มาณยางมากขึนเพือชว่ ยยึดแอกกรีเกท
กร
2 : ถ ้าผิวของพืนทางแข็ง แอกกรีเกทจะไม่ฝังลงในพืนทาง ต ้องใชปริ
3 : ปริมาณจราจรมาก ต ้องใส่ยางแอสฟั ลท์มากขึนเพือชว่ ยยึดแอกกรีเกท
4 : ่ งว่างมาก การยึดเหนียวระหว่างก ้อนไม่ดี ควรใชปริ
แอกกรีเกทก ้อนกลมเกลียแล ้วมีชอ ้ มาณยางมากขึนเพือชว่ ยยึดแอกกรีเกท
ิ ว
าวศ
สภ
ข ้อที 358 :
ิ
ิ ธ
สท
งวน
อส
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1:
2:
3:
4:
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 359 :
Asphalt Mixes ทีมีเสถียรภาพ (Stability) ดี ได ้มาจากการใชส้ ่วนผสมในข ้อใด
อส
1 : แอกกรีเกทมีขนาดคละดี ผิวขรุขระ ยางแอสฟั ลท์ แข็ง ปริมาณน ้อย

2 : แอกกรีเกทมีขนาดคละดี ผิวเรียบ ยางแอสฟั ลท์ แข็ง ปริมาณน ้อย
ขอ
3 : แอกกรีเกทมีขนาดคละไม่ดี ผิวขรุขระ ยางแอสฟั ลท์อ่อน ปริมาณน ้อย
4 : แอกกรีเกทมีขนาดคละดี ผิวขรุขระ ยางแอสฟั ลท์ แข็ง ปริมาณมาก
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 360 :
่ (Flexibility) ดี ได ้มาจากการใชส้ ่วนผสมในข ้อใด
Asphalt Mixes ทีมีความยืดหยุน
1 : แอกกรีเกทมีขนาดคละแบบ Open graded ยางแอสฟั ลท์ ปริมาณน ้อย
สภ
2 : แอกกรีเกทมีขนาดคละแบบ Well graded ยางแอสฟั ลท์ปริมาณน ้อย
3 : แอกกรีเกทมีขนาดคละแบบ Open graded ยางแอสฟั ลท์ปริมาณมาก
4 : แอกกรีเกทมีขนาดคละแบบ Well graded ยางแอสฟั ลท์ปริมาณมาก
ข ้อที 361 :
Asphalt Mixes ทีมีความทนทานต่อการลืนไถลได ้ดี ได ้มาจากการใชส้ ่วนผสมในข ้อใด
1 : แอกกรีเกทมีผวิ ขรุขระ ยางแอสฟั ลท์ปริมาณมาก
2 : แอกกรีเกทมี ผิวเรียบ ยางแอสฟั ลท์ปริมาณน ้อย
3 : แอกกรีเกทมีผวิ ขรุขระ ยางแอสฟั ลท์ปริมาณมาก
4 : แอกกรีเกทมีผวิ ขรุขระ ยางแอสฟั ลท์ปริมาณน ้อย
ิ
ิ ธ
ข ้อที 362 :
สท
งวน
อส
ขอ
กร
ิ ว
าวศ
สภ
1 : 2.66
2 : 2.67
3 : 2.69
4 : 2.71
ข ้อที 363 :
คุณสมบัตข ิ อง Mixes จากการทดสอบโดยวิธีมาร์แชล ในข ้อใดไม่ถก
ู ต ้อง
1 : Flow value เพิมเมือ % AC by weight of mix เพิม
2 : Air void ลดลงเมือ % AC by weight of mix เพิม
3 : Void in Mineral Aggregate ลดลงเมือ % AC by weight of mix เพิม
ิ
ิ ธ
4 : Stability เพิมเมือ % AC by weight of mix เพิม แต่จะลดลงถ ้า เมือ % AC by weight of mix มากเกินไป
สท
งวน
ข ้อที 364 :
อส
ในการทดสอบหาค่า Optimum asphalt content โดยวิธี Marshall ถ ้าปรากฏว่า Mix ยังคงมี Void สูงเกินไปแม ้ค่า Stability จะเพียงพอ เราสามารถ
ขอ
แก ้ไขได ้โดยวิธีในข ้อใด
1 : เพิมแอกกรีเกท
2 : เติมฟิ วเลอร์ (Filler)
กร
3 : ้
เปลียนไปใชแอกกรี เกททีคุณภาพดีกว่าเดิม
4 : ลดปริมาณยาง
ิ ว
าวศ
สภ
เนือหาวิชา : 556 : Construction and maintenance of highways
ข ้อที 365 :
ผิวทางใดถูกนํ ามาพิจารณาเปรียบเทียบในด ้านวิธีการก่อสร ้างและบํารุงรักษาทางว่าใกล ้เคียงกัน ในปี พ.ศ. 2536
1 : Slurry Seal and Concrete
2 : Asphalt Concrete andCold Mixed Asphalt
3 : Cape Seal and Double Surface Treatment
4 : Recycling and Modified Asphalt Concrete
ข ้อที 366 :
ในปี พ.ศ. 2536 กรมทางหลวงได ้พิจเารณาว่าผิวทางใดมีคุณภาพเท่าเทียมกัน
1 : Slurry Seal and Cold Mixed Asphalt
2 : Asphalt Concrete and Concrete
ิ
ิ ธ
3 : Cape Seal and Double Surface Treatment

สท
4 : Recycling and Modified Asphalt Concrete
งวน
ข ้อที 367 :
อส
ผิวทางทีใชวิ้ ธีการพ่นยางบาง ๆ ลงบนผิวทางเก่าแล ้วโรยหิน มีความหนาประมาณ 10-20 มม. เรียกว่าอย่างไร
ขอ
1 : ชพี ซล
ี (Chip Seal)
2 : สเลอรีซลี (Slurry Seal)
3 : เซอร์เฟสทรีทเมนต์ (Surface Treatment)
กร
4 : โคลด์มิกซ ์ (Cold Mix)
ิ ว
าวศ
ข ้อที 368 :
สภ
ลักษณะของผิวทางทีไม่สามารถทนต่อการผลักดันของล ้อรถได ้ เนืองจากแรงยึดเหนียวระหว่างชันผิวหน ้าและชันล่างไม่ดีพอ หรือส่วนผสมของผิวทาง
มีทรายมากเกินไป เรียกว่าอย่างไร
1 : Shrinkage crack
2 : Cracking
3 : Slippage crack
4 : Alligator crack
ข ้อที 369 :
หลังจาก Prime Coat แล ้วจะต ้องทิงไว ้ไม่น ้อยกว่าเท่าใด จึงจะทําผิวทางได ้
1 : 6 ชม.
2 : 12 ชม.
3 : 24 ชม.
4 : 48 ชม.
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 370 :
ในการก่อสร ้างผิวทางแบบ Cape Seal ก่อนทีจะทําการลาด Slurry จะต ้องทําการในข ้อใดก่อน
1 : พรมนํ า
อส
2 : Prime Coat
ขอ
3 : Tack Coat
4 : Fog Spray
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 371 :
ตามมาตรฐานของกรมทางหลวง ในการก่อสร ้างผิวทางแบบ Double Surface Treatment ในชันที 2 จะต ้องใชหินขนาดเท่
้ าใด
1 : 1”
สภ
2 : 3/4”
3 : 1/2”
4 : 3/8”
ข ้อที 372 :
ในการปูผวิ ทางแบบแอสฟั ลต์คอนกรีตผสมร ้อน จะต ้องมีอุณหภูมิไม่น ้อยกว่าเท่าใด
1 :
2 :
3 :
4 :
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 373 :
เครืองจักรกลงานดินชนิดใดทีเหมาะสมทีสุดในการปรับขึนรูปคันทางถนน
1 : Tractor
งวน
2 : Bullozer
3 : Grader
4 : Back Hoe
อส
ขอ
กร
ข ้อที 374 :
การ Overlay ในผิวทางแบบ Asphalt Concrete จัดว่าเป็ นการซ่อมบํารุงทางประเภทใด
ิ ว
าวศ
1 : Routine Maintenance
2 : Periodic Maintenance
3 : Urgent Maintenance
4 : Special Maintenance
สภ
ข ้อที 375 :
ในการสํารวจเพือทีจะหางานดินตัดของถนนชว่ งหนึง พบว่า
้ อของ ศูนย์กลางทาง ค่า HI มีค่าเท่ากับ 20.000 m อ่านค่า Ground Rod ทีจุดศูนย์กลางทาง ได ้ค่าเท่ากับ 2.500 m ค่า
เมือตังกล ้องทางซายมื
Grade Elevation ในแบบมีค่าเท่ากับ 16.000 m
จงหาค่าความสูงของดินตัดทีจุดศูนย์กลางทางนี
1 : 6.500 m
2 : 4.000 m
3 : 3.000 m
4 : 1.500 m
ิ
ิ ธ
ข ้อที 376 :
สท
้
งานผิวทางจราจรแบบแอสฟั ลต์คอนกรีตผสมร ้อน ใชยางแอสฟั ลต์ชนิดใด
1 : Cutback Asphalt
งวน
3 : Asphalt Cement
4 : Concrete Asphalt
อส
ขอ
กร
ข ้อที 377 :
การพ่นยางแอสฟั ลต์ลงบนชันพืนทาง ก่อนทีจะก่อสร ้างชันผิวทางเรียกว่าอะไร
ิ ว
1 : Prime Coat
าวศ
2 : Tack Coat
3 : Slurry Seal
4 : Fog Seal
สภ
ข ้อที 378 :
โครงสร ้างชันทางชันใดอยูใ่ ต ้ชันผิวทาง
1 : ั
ชนรองพื นทาง
2 : ชันพืนทาง
3 : ชันวัสดุคัดเลือก ก
4 : ชันวัสดุคัดเลือก ข
5 : ชันดินคันทาง
ข ้อที 379 :
Rotary Power Bloom หมายถึงเครืองจักรชนิดใด
ิ
ิ ธ
1 : เครืองปูถนน
สท
2 : เครืองพ่นแอสฟั ลต์
3 : เครืองโรยหิน
4 : เครืองกวาดฝุ่ น
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 380 :
ในการบํารุงทาง เราใช ้ benkelman beam วัดค่าอะไร
1 : วัดความแข็งแรงของถนน
กร
2 : ึ หรอของผิวหน ้าถนน
วัดการสก
3 : วัดความฝื ดของผิวถนน
ิ ว
4 : วัดการแอ่นตัวของถนน
าวศ
สภ
ข ้อที 381 :
การทํา Overlay ในงานทางหมายถึงอะไร
1 : การอุดโพรงใต ้พืนถนน
2 : การป้ องกันไม่ให ้นํ าไหลลงใต ้ผิวทาง
3 : การทําชันผิวทางทับผิวทางเดิม
4 : การตัดผิวทางทีสูงเกินไปออก
ข ้อที 382 :
โดยปกติผวิ ถนนลาดยางในข ้อใดรับนํ าหนั กได ้ดีทสุ
ี ด
1 : Surface Treatment
2 : Asphalt Concrete
3 : Cape Seal
4 : Seal Coat
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 383 :
การก่อสร ้างถนนสายหนึง สภาพภูมิประเทศเป็ นเนินเขา มีต ้นไม ้ใหญ่และทุง่ หญ ้าปกคลุม ในการก่อสร ้างควรทํางานใดก่อนเป็ นอันดับแรก
1 : งานถางป่ าและงานขุดตอ
อส
2 : งานถมคันทาง
ขอ
3 : งานตัดคันทาง
4 : งานวัสดุคัดเลือก
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 384 :
ก่อนทีจะทําการก่อสร ้างชันพืนผิวทาง จะต ้องรีบทําการก่อสร ้างในขันตอนใด เพือป้ องกันมิให ้ชันพืนทางเกิดความเสียหายเสียก่อน
1 : การพ่นนํ าพืนทาง
สภ
2 : Fog Spray พืนทาง
3 : Prime Coat พืนทาง
4 : Tack Coat พืนทาง
ข ้อที 385 :
ข ้อใดเป็ นลักษณะของการแตกชํารุด(Cracking) ทีพบเห็นบนทางลาดยางทัวไป มีสาเหตุเนืองมาจากดินคันทางหรือพืนทางอ่อนตัว เพราะการบดอัด
ไม่ดีทําให ้ผิวทางทรุดตัวตามไปด ้วย หรือเกิดจากอาการล ้า (fatigue) ของผิวทาง
1 : ผิวทางทรุดเป็ นร่องตามแนวล ้อ
2 : ทางชํารุดเนืองจากแรงเฉือน
3 : ผิวทางแตกตามขวาง
4 : ผิวทางแตกลายหนั งจระเข ้
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 386 :
วิธีการซ่อมรอยแตกแบบหนั งจระเข ้ (Alligator crack) ลําดับแรกควรซ่อมอย่างไร
งวน
1 : พ่น Tack Coat บริเวณผนั งข ้างหลุมทุกด ้าน

2 : กลบหลุมซ่อมด ้วยวัสดุผสมแอสฟั ลต์คอนกรีต
3 : ขุดผิวทางและพืนทางทีชํารุดออก
อส
4 : จัดระบบการระบายนํ าใหม่
ขอ
กร
ข ้อที 387 :
การชํารุดเสียหายของถนนในข ้อใดทีเกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิในชว่ งเวลากลางวันและกลางคืน และแผ่นคอนกรีตเทเป็ นแผ่นเดียวโดยไม่มี
ิ ว
แนวรอยต่อตามยาว
1
2
:
:
าวศ
รอยแตกจากการห่อตัว (Warping Cracks)
รอยแตกจากการหดตัวเมืออุณหภูมิตํา (Contraction Cracks)
3 : รอยแตกจากการขยายตัว (Blowups Cracks)
สภ
4 : รอยแตกจากการหดตัว (Shrinkage Cracks)
ข ้อที 388 :
Right of Way หมายถึงอะไร
1 : เขตทางหลวง
2 : เขตหวงห ้าม
3 : เขตแนวบริเวณก่อสร ้างทาง
4 : เขตการจราจร
ข ้อที 389 :
ิ
ิ ธ
ในการก่อสร ้างทางใหม่เราจะพ่นยางลงบนพืนหินคลุก (Base) ก่อนทําผิวทาง การพ่นยางนั นเรียกว่าอะไร

สท
1 : Tack Coat
2 : Binder Coat
3 : Seal Coat
งวน
4 : Prime Coat
อส
ขอ
ข ้อที 390 :
การปู Asphaltic Concrete ลงบนผิวทางเก่าเราเรียกว่าอะไร
กร
1 : Fog Seal
2 : Overlay
3 : Seal Coat
ิ ว
4 : Prime Coat
าวศ
สภ
ข ้อที 391 :
ื
การบดอัดดินในสนาม ค่าความชนในมวลดิ
น (Optimum Moisture Content) ยินยอมให ้ผิดพลาดได ้ไม่เกินเท่าใดของค่าควบคุมการทดสอบในห ้อง
ปฏิบัตก ิ าร
1:
2:
3:
4:
ข ้อที 392 :
้ าสเลอลีซล
ยางมะตอยนํ าทีใชทํ ิ (Slurry Seal) ใชยางประเภทใด
้
ิ
ิ ธ
1 : CRS - 1 h
สท
2 : CMS - 1 h
3 : CSR - 1 h
4 : CSS - 1 h
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 393 :
้ องจักรหนั กในข ้อใด
งานตัดหินผุ (Soft Rock Excavation) ควรใชเครื
1 : Crawler Tractor
กร
2 : Farm Tractor
3 : Motor Grader
ิ ว
4 : Front End Loader
าวศ
สภ
ข ้อที 394 :
งานก่อสร ้างผิวทางแบบ Single Surface Treatment ยางนํ าทีใชคื้ อยางประเภทใด
1 : CMS
2 : CSS-1
3 : CRS-2
4 : MC-70
ข ้อที 395 :
ผิวทางลาดยางลืน (Slippery Surfaces) สาเหตุเกิดจากอะไร
1 : ปริมาณยางมากเกินไป
2 : ปริมาณหินน ้อยเกินไป
3 : ปริมาณยางน ้อยเกินไป
4 : ปริมาณหินมากเกินไปทําให ้หลุดร่อน
ิ
ิ ธ
สท
งวน
ข ้อที 396 :
อส
จงคํานวณหาอัตราการโรยหินลาดยางแบบ Single Surface Treatment กรณีห ินมีขนาดไม่เท่ากัน กําหนดให ้ค่าจากการทดสอบดังต่อไปนี
ขอ
กร
1:
ิ ว
2:
3:
4:
าวศ
สภ
ข ้อที 397 :
ส่านผสมแอสฟั ลท์ติกคอนกรี ตประกอบด้วยมวลรวม 2,250 กก. ใช้แอสฟั ลท์เท่ากับ 150 กก./ม3 และถูกดูดซึมเข้าไปในวัสดุมวลรวม 1.2‰ specific gravity ของมวลรวม = 2.76
และ specific gravity ของแอสฟั ลท์ซีเมนต์ = 1.05 จงหาค่า VMA
1 : 12.50%
2 : 13.80%
3 : 14.20%
4 : 15.70%
ิ
ข ้อที 398 :
ิ ธ
การพ่นลาดยางแอสฟั ลท์ประเภททีมีความหนืดตําลงบนพืนทางทีบดอัดแน่นเรียกว่า
สท
1 : Prime Coat
2 : Tack Coat
งวน
3 : Seal Coat
4 : Fog Seal
อส
ขอ
ข ้อที 399 :
ื
การพ่นยางมะตอยเป็ นตัวเชอมระหว่ างชันผิวทางเดิม และลาดทับด ้วยหินขนาด 1/2 นิว-No.8 เรียกว่าอะไร
กร
1 : Prime Coat
ิ ว
2 : Tack Coat
3 : Seal Coat
4 :
าวศ
Fog Seal
สภ
ข ้อที 400 :
ื
การพ่นยางมะตอยลงบนผิวทางเก่า(ทังผิวทางลาดยางหรือผิวทางคอนกรีต) เพือเชอมยึ
ดผิวทางเก่ากับผิวทางใหม่เรียกว่าอะไร
1 : Prime Coat
2 : Tack Coat
3 : Seal Coat
4 : Fog Seal
ข ้อที 401 :
ข ้อใดไม่ใชจ่ ุดประสงค์ของการทํา Prime Coat
1 : ื ดหินส่วนผิวของพืนทาง
ป้ องกันนํ าและเชอมยึ
2 : เพิมความแข็งแรงให ้พืนทาง
ิ
ิ ธ
3 : ื
เชอมยึ ดระหว่างพืนทางและชันผิวทาง
4 : ป้ องกันผิวของพืนทางไม่ให ้หลุดล่อน
สท
งวน
ข ้อที 402 :
อส
ถ ้าต ้องการ
ขอ
1.) กันนํ าทีจะซมึ ผ่านผิวทางลงไป
2.) ชว่ ยให ้การเกาะกันของเม็ ดหินและผิวทางดีขน
ึ
3.) ชว่ ยให ้ผิวทางแน่นเรียบและแข็งแรงขึน
กร
4.) เพิมความหนาของผิวทางและเพิมความแข็งแรงให ้ถนน
ควรจะทําในข ้อใด
ิ ว
1 : Prime Coat
2
3
4
:
:
:
าวศ
Tack Coat
Seal Coat
Fog Seal
สภ
ข ้อที 403 :
ถ ้าผิวทางเกิดการทรุดตัวเนืองจาก ชันดินคันทางและพืนทางเปี ยกชนหรื
ื ออิมตัวด ้วยนํ า และเกิดเฉพาะพืนทีไม่กว ้าง ผิวทางจะเสียหายในลักษณะใด
1 : ลักษณะการแตกทรุดไปตามยาวตามขอบถนน
2 : แตกลักษณะคล ้ายลายหนั งจระเข ้
3 : แตกเป็ นรอยยาวอยูบ
่ นผิวทาง
4 : แตกเป็ นแผ่นขนาดใหญ่และมีมุมแหลม
ข ้อที 404 :
โดยปกติผวิ ทางชนิดใดมีราคาถูกทีสุด
1 : Rigid Pavement
ิ
ิ ธ
2 : Double Surface Treatment

สท
3 : Asphalt Concrete
4 : Cape Seal
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 405 :
ึ
เครืองจักรกล ชนิดใดทีเหมาะสมทีสุด ในงานขุดตักและขนย ้ายดินซงอยู
ใ่ นตําแหน่งสูงกว่าเครืองจักร
กร
1 : Backhoe
2 : Power Shovel
3 : Dragline
ิ ว
4 : Clamshell
าวศ
สภ
ข ้อที 406 :
จงคํานวณหาค่า Stripping Test (by Plate Test) เฉลียมีค่าเท่าใด
ดังรายละเอียดผลการทดสอบจํานวน 2 ถาด
ถาดละ 25 ตัวอย่าง ดังต่อไปนี
ิ
ิ ธ
สท
งวน
1 : 6%
2 : 7%
อส
3 : 8%
ขอ
4 : 9%
กร
ิ ว
ข ้อที 407 :
าวศ
ค่าระดับของหมุดระดับ (BM) ในการตรวจสอบแบบวงรอบปิ ด อนุญาตให ้ผิดพลาดได ้ไม่เกินเท่าไร
1:
สภ
2:
3:
4:
ข ้อที 408 :
วัสดุประเภทหินลอย (Boulder) ทีถือว่าเป็ นหินแข็ง (Hard Rock) จะต ้องมีขนาดไม่น ้อยกว่าเท่าใด
1 : 0.25 ลบ.ม.
2 : 0.50 ลบ.ม.
3 : 0.75 ลบ.ม.
4 : 1.00 ลบ.ม.
ิ
ิ ธ
สท
ข ้อที 409 :
การบดอัดชันโครงสร ้างทางโดยทัวไป จะตรวจสอบความหนาแน่นของงานในสนามโดยวิธีใด
งวน
1 : Pychometer
2 : Volumemeter
3 : Balloon
อส
4 : Sand Cone
ขอ
กร
ข ้อที 410 :
เครืองจักรในข ้อใดทีเหมาะสําหรับใชในการบดอั
้
ิ ว
ดดินทีมีลักษณะเป็ นดินเหนียวหรือดินเหนียวปนทราย
าวศ
1 : Smooth Wheeled Roller
2 : Tamping Roller
3 : Vibratory Roller
4 : Vibratory Plate
สภ
ข ้อที 411 :
ข้อใดเป็ นการเรี ยงลําดับการก่อสร้างชันต่างๆ ของทางทีถูกต้อง
1 : ั วทาง ----> วัสดุคัดเลือก ----> รองพืนทาง ----> พืนทาง ----> ดินเดิม
ชนผิ
2 : ดินเดิม ----> วัสดุคัดเลือก ----> รองพืนทาง ----> พืนทาง ----> ผิวทาง
3 : ดินเดิม ----> รองพืนทาง ----> พืนทาง ----> วัสดุคัดเลือก ----> ผิวทาง
4 : ชันผิวทาง ----> พืนทาง ----> รองพืนทาง ----> วัสดุคัดเลือก ----> ดินเดิม
ข ้อที 412 :
เครื องจักรหนักทีใช้ในการผสมแอกกรี เกทให้เข้าเป็ นเนื อเดียวกันในสนาม คือเครื องมือในข้อใด
ิ
ิ ธ
1 : Plant Mixer
สท
2 : Bulldozer
3 : Tractor
4 : Grader
งวน
อส
ขอ
ข ้อที 413 :
การขนย้ายดินระยะสันระหว่างการก่อสร้างทาง เครื องจักรหนักในข้อใดเหมาะสมทีสุด
1 : Grader
กร
2 : Bulldozer
3 : Scraper
ิ ว
4 : Dump truck
าวศ
สภ
ข ้อที 414 :
ข้อใดไม่เป็ นเทคนิ คการก่อสร้างเพือลดการพังทลายของดินตัดในย่านภูเขา
1 : การทํา Stabilization คันทาง
2 : การลดความลาดชันของดินตัด
3 : การตัดเป็ นขันบันได
4 : การลดความลาดชันของดินตัด
ข ้อที 415 :
ข้อใดไม่เป็ นเทคนิ คการก่อสร้างเพือลดทรุ ดตัวและการพังทลายของคันทางในบริ เวณดินอ่อน
1 : ใช้วสั ดุคน
ั ทางนําหนักเบา
ิ
2 : การทํา Stabilization ชันเพพเมนท์ของทาง

ิ ธ
3 : การลดความลาดชันด้านข้างของคันทาง
สท
4 : การทํา Berm สองข้างคันทาง

งวน
อส
ขอ
ข ้อที 416 :
เครื องมือทีสามารถวัดความต้านทานต่อการลืนไถลของผิวทางได้ คือเครื องมือในข้อใด
1 : Profilometer
กร
2 : British Pendulum Tester
3 : Benkelman Beam
ิ ว
4 : Roughness Meter
าวศ
สภ
ข ้อที 417 :
ข้อใดนับเป็ น Functional Failure ของถนน
1 : ผิวทางลืน
2 : ทางมีรอยแตกแบบหนังจระเข้ (Alligator crack)
3 : ผิวคอนกรี ตเกิด Pumping action
4 : ผิวทางแอ่นตัวมากเกินไป
ข ้อที 418 :
ข้อใดไม่นับเป็ น Structural Failure ของถนน
1 : ผิวทางขรุ ขระ
2 : ทางมีรอยแตกแบบหนังจระเข้ (Alligator crack)
3 : ผิวคอนกรี ตเกิด Pumping action
ิ
ิ ธ
4 : ผิวทางแอ่นตัวมากเกินไป
สท
งวน
ข ้อที 419 :
ข้อใดไม่เป็ นวิธีในการซ่อมบํารุ งผิวทางแอสฟั ลต์ลืนโดยเฉพาะเมือผิวทางเปี ยก
อส
ทําการเซาะร่ อง (Grooving) บนผิวทาง
ขอ
1 :
2 : สาดทับผิวเดิมด้วยแอกกรี เกทร้อน
3 : ทําการปูทบั ด้วยแอสฟั ลต์คอนกรี ต
4 : ปูผิวใหม่ดว้ ยการซีลโค้ท
กร
ิ ว
าวศ
ข ้อที 420 :
จากข้อมูลการคิดปริ มาณดินของการก่อสร้างงานทาง ณ Station 0+000 และ Station 0 + 025 ดังนี จงคํานวณหาปริ มาตรของดินถม (ลูกบาศก์เมตร) ระหว่าง 2 Stations นี โดยวิธี
สภ
คิดเนื อทีหัวท้ายเฉลีย (End Area Method)
1 : 900
2 : 1,000
3 : 1,800
4 : 2,000
ข ้อที 421 :
จากข้อมูลการคิดปริ มาณดินของการก่อสร้างงานทาง ณ Station 0+000 และ Station 0 + 025 ดังนี จงคํานวณหาปริ มาตรของดินสุทธิ (ลูกบาศก์เมตร) ระหว่าง 2 Stations นี โดย
วิธีคิดเนื อทีหัวท้ายเฉลีย (End Area Method) โดยสมมติให้ ดินถมมี Shrinkage 10%
ิ
ิ ธ
สท
งวน
1 : 10
อส
2 : 100
ขอ
3 : 150
4 : 200
กร
ิ ว
าวศ
สภาวิศวกร 487/1 ซอย รามคําแหง 39 (เทพลีลา 1) แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310 สายด่วน 1303 โทรสาร 02-935-6695
ิ ธิ 2555 สภาวิศวกร : ติดต่อสภาวิศวกร | Contact
@ สงวนลิขสท
สภ

ข้อสอบภาคีวิศวกร หมวดวิชาโยธา Construction Management

Uploaded by

Document Information

Original Title

Copyright

Available Formats

Share this document

Share or Embed Document

Sharing Options

Did you find this document useful?

Is this content inappropriate?

Copyright:

Available Formats

ข้อสอบภาคีวิศวกร หมวดวิชาโยธา Construction Management

Uploaded by

Copyright:

Available Formats

5/11/2562 สภาวิศวกร

1 : ทางสายนั นอยูใ่ นภาคเหนือ

2 : ทางสายนั นอยูใ่ นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

4 : ทางปลายตัน ไม่สามารถใช้เป็ นทางลัดได้

เนือหาวิชา : 551 : Principles of highway planning and traffic analysis

จงหาค่าระยะทางเพือทีจะหยุดรถได ้โดยปลอดภัย บนถนนทางราบ ขณะทีรถแล่นทีความเร็ว 50 kph

PCU ของรถบรรทุกใหญ่ = 1.75

ออกแบบนิยมใชความเร็ วที Percentile เท่าใด

จงหาค่า time-mean speed ในหน่วย กิโลเมตร/ชัวโมง เมือ

่ งห่าง (gap) ทีรถจากทางเชอม

จากกราฟความสัมพันธ์ระหว่าง q - k ให ้หา อัตราเร็วเฉลีย (กม./ชม.) ทีสภาพ ความจุ (capacity)

1 : density น ้อย และอัตราเร็วมาก

4 : density น ้อย และอัตราเร็วมาก หรือ density มาก และอัตราเร็วน ้อย

1 : การจดหมายเลขทะเบียนรถ (License Plate)

4 : การสัมภาษณ์ทบ ี ้าน (Home Interview)

ข ้อใดแสดงถึงลําดับการวิเคราะห์ Four Step Model ได ้ถูกต ้อง

1 : Trip Generation, Trip Distribution, Trip Assignment, Modal Split

4 : Trip Generation, Trip Assignment, Modal Split, Trip Distribution

Traffic Data in Year 1993 ADT = 1987 vpd

Start Construction in Year 1996

1 : Effective Green Time ของจังหวะที มากกว่าของจังหวะที 4

3 : Effective Green Time ของจังหวะที มากกว่าของจังหวะที 3

1 : 500 pcu ต่อชัวโมงต่อช่ องทาง

2 : 750 pcu ต่อชัวโมงต่อช่ องทาง

3 : 1,000 pcu ต่อชัวโมงต่อช่ องทาง

2 : ห ้ามจอด เว ้นไว ้แต่เป็ นการจอดรับส่งผู ้โดยสารซงต

จากข ้อมูลการยกโค ้งโดยการหมุนรอบจุดศูนย์กลางของโค ้งวงกลม ดังต่อไปนี

อัตราการยกโค ้ง , e = 0.09 m / m ความลาดชันใน Profile , S = 150

1 : 33.333 m จาก PVT sta

3 : Perception and Reation Distance

การออกแบบทางหลวงสายใดก็ตาม จะต ้องจัดให ้มีระยะมองเห็นอย่างน ้อยเท่ากับระยะใด

1 : Broken Back Curve

จากรูปแนวทางนีเป็ นลักษณะโค ้งทีไม่ดี แก ้ไขแนวทางใหม่ให ้เหมาะสมขึน จงหาค่า P.I. ใหม่

1 : P.I. STA. 0+514.802

2 : P.I. STA. 0+513.486

4 : P.I. STA. 0+500.571

งานก่อสร ้างทางจะต ้องบอกขอบเขต ดินตัดหรือดินถม รวมทังระยะทางจากจุดศูนย์กลางถนน หมุดนั นคือ

2.5 วินาที สัมประสท

1 : Perception time ระยะเวลาทีมองเห็นวัสดุชัดเจน ,รับทราบสถานะการณ์

ความชัน G2 เท่ากับกี เปอร์เซ็นต์

ในการออกแบบโค ้งหงาย ข ้อใดมีความสําคัญมากทีสุด

3 : จอดรถได ้วันเว ้นวัน

ิ ดขวางการมองเห็นภายในโค ้งราบ ไม่น ้อยกว่า กีเมตร

เพือความปลอดภัย ควรแนะนํ าให ้คนขับขับด ้วยอัตราเร็วภายในโค ้งราบ ไม่เกิน กีกิโลเมตร/ชัวโมง

ลักษณะการขัดแย ้งกันของกระแสจราจร ดังรูป คือ

ถนนออกแบบให ้รถแล่นด ้วยความเร็ว 100 กม./ชม.

1 : Broken Back Curve

4 : เลือกใชความเร็วออกแบบให ้เหมาะสมกับสภาพสองข ้างทาง

ถ ้าความเร็วรถในการออกแบบโค ้งที 90 กม./ชม. โดยใชรั้ ศมีโค ้งกลม 500 เมตร กําหนดค่าสัมประสท

1 : ทําให ้การก่อสร ้างยากโดยไม่จําเป็ น

1 : การคํานวณง่าย และการวาง Lay out ในสนามง่าย

2 : รถสามารถวิงผ่านโค้งได้อย่างราบเรี ยบ แบบค่อยเป็ นค่อยไปทําให้ปลอดภัย

3 : ระยะทางระหว่างรถแล่นสวนมากับรถทีทําการแซงเสร็จเรี ยบร้อยแล้วกลับมาอยูใ่ นช่ องทางซ้ายเดิม

เนือหาวิชา : 553 : Highway finance and economic

โครงการก่อสร ้างทางสายหนึง ถ ้ามูลค่าปั จจุบันของเงินลงทุน = 100.7 ล ้านบาท

1 : NPV = -0.94 ล ้านบาท โครงการนีไม่เหมาะสมในการลงทุน

เนือหาวิชา : 554 : Flexible and rigid pavement design

1 : Initial Daily Traffic

4 : Critical Lane Volume

ชันโครงสร ้างของถนนชันใด ใชวั้ สดุทมี

dowel bar หรือเหล็กเดือย ไม่ใชกั้ บ รอยต่อชนิดใดในแผ่นคอนกรีต

3 : รอยต่อเพือการขยายตัว (Expansion Joint)

ดินคันทางเป็ นชันดินเดิมหรือดินถม เรียกว่าชันอะไร