Professional Documents
Culture Documents
การคานวณแสงสว่างภายในด้ วยวิธีลูเมน
5.1 ความนา
การค านวณแสงสว่างด้วยวิธี ลู เมน (lumen method) เป็ นวิธี ก ารค านวณเพื่ อหาปริ มาณ
ฟลักซ์ส่องสว่างที่เหมาะสมกับงานชนิดต่าง ๆ เป็ นวิธีที่เหมาะกับพื้นที่ใช้งานที่ตอ้ งการความส่ องสว่าง
อย่างสม่าเสมอ โดยมีหลักว่าฟลักซ์ส่องสว่างที่ใส่ ไปในบริ เวณงานที่ออกแบบ จะเฉลี่ยให้มีความส่ อง
สว่างเท่ากัน เช่ น การส่ องสว่างในสานักงาน ห้องเรี ยน เป็ นต้น หลักการคานวณจะคานึ งถึงผลการ
สะท้อนของพื้น ผนัง และเพดาน ซึ่ งเป็ นนับเป็ นการส่ องสว่างแบบทางอ้อม (indirect) คือการคิดผล
จากการสะท้อนเข้าไปด้วย สอดคล้องกับ ที่ กล่ าวไว้โดย ประสิ ท ธิ์ พิท ยพัฒน์ (2543, หน้า 206) ว่า
การคานวณด้วยวิธีลูเมนจะคิดผลของการสะท้อนเข้าไปด้วย ส่ วนการคานวณแบบจุดต่อจุดจะเป็ นการ
หาความส่ องสว่างแบบโดยตรง ดังนั้นการคานวณด้วยวิธีลูเมนนี้ จึงมี งานหลักในการคานวณหาผล
ที่เกิดจากการสะท้อนของส่ วนต่าง ๆ ของห้องทั้งที่เกิดจากชนิ ดและสี ของวัสดุ ซึ่ งก็คือค่าสัมประสิ ทธิ์
การใช้ประโยชน์ของโคมที่เลือกใช้ ดังจะได้กล่าวถึงรายละเอียดในลาดับต่อไป
เผื่อสั ม ประสิ ท ธิ์ การใช้ประโยชน์ (coefficient of utilization, CU) ตามหลัก การของ IES
หรื อ ตัวประกอบการใช้ประโยชน์ (utilization factor, UF) ตามหลักการของ CIE ในที่น้ ีใช้ค่า CU
CU
E =
A
เผื่อความเสื่ อมของหลอดไฟ (lamp lumen depreciation, LLD) และความสกปรกของโคม
(luminaries dirt depreciation, LDD)
CU LLD LDD
จะได้ E = (lux) (5.2)
A
EA
และ = (lm) (5.3)
CU LLD LDD
จานวนโคม N = (5.4)
(lm/lamp) (lamp/luminaire)
เมื่อ
lm/lamp คือ ฟลักซ์ส่องสว่างต่อหลอด
lamp/luminaire คือ จานวนหลอดต่อโคม
5.3 ขั้นตอนการคานวณและการออกแบบ
เป็ นขั้นตอนการออกแบบทั้งหมด ของทั้งวิธีอตั ราส่ วนโพรงและวิธีอตั ราส่ วนของห้อง
จะมีข้ นั ตอนที่เหมือนกัน จากเริ่ มต้นจนถึงขั้นตอนสุ ดท้าย ดังนี้
1. วัดขนาดของพื้นที่ที่ตอ้ งการออกแบบเป็ นตารางเมตร หรื อตารางฟุ ต ให้สัมพันธ์ กบั
หน่วยของค่าความส่ องสว่างจะที่เลือกใช้ ตามลาดับ
2. กาหนดค่าความส่ องว่างเป็ นลักซ์ (lux) หรื อ ฟุตแคนเดิ ล (foot-candle) ให้สัมพันธ์กบั
หน่ วยของขนาดกว้าง-ยาวของห้อง และกาหนดค่าให้เพียงพอตามชนิ ดของงาน ตามมาตรฐาน IES
หรื อ CIE
115
HCC โพรงห้ อง
โคมไฟ
โพรงพืน้
HRC
HCC : Ceiling Cavity Height
โต๊ ะทางาน HRC : Room Cavity Height
HFC HFC : Floor Cavity Height
5.4.4 การหาสัมประสิทธิ์การประโยชน์
สัมประสิ ทธิ์ การใช้ประโยชน์ เป็ นอัตราส่ วนระหว่างค่าผลลัพธ์สุทธิ (หลังจากที่
สู ญเสี ยไปกับการกรองแสงของโคมและการดูดกลืน-สะท้อนของสภาพห้อง) ต่อค่าฟลักซ์ส่องสว่างที่
กระจายออกจากหลอดทั้งหมด (Capehart; Turner & Kennedy, 2002, p.172) ผลลัพธ์สุ ทธิ ของฟลักซ์
คื อ ฟลัก ซ์ ที่ ออกจากโคมและคิ ด ผลของการสะท้อนของส่ วนต่ าง ๆ ของห้อ ง การหาค่ าท าได้โดย
พิจารณาตารางภาคผนวก ค.1 กาหนดตัวแปรต้น คือ RCR, w, cc และ fc โดยพิจารณาให้ตรงกับ
ชนิดของโคมที่เลือกใช้
118
5.4.5 การหาตัวประกอบการบารุงรักษา
ตัวประกอบการบ ารุ งรักษา (maintenance factor, MF) เป็ นตัวประกอบของความ
คงอยูข่ องความส่ องสว่าง ขึ้นอยูก่ บั 2 ปั จจัยหลักคือสภาพความเสื่ อมของหลอดไฟและ ความสกปรก
ของโคม เขียนเป็ นสมการได้ดงั นี้
วิธีทา
หา RCR แทนค่าในสมการ 5.7
5 x HRC (W + L)
RCR =
WxL
120
ExA
=
CU x MF
(500)(80)
=
(0.575)(0.8)
= 86,956.52 lm
จานวนโคม N =
(lm/lamp) (lamp/luminaires)
86,956.52
=
(3,200) (2)
= 13.6 โคม
ปัดเป็ น 14 โคม เพื่อให้แสงพอเพียงและติดตั้งได้อย่างสมดุล
121
ตัวอย่ างที่ 5.2 พื้นที่ประกอบชิ้นส่ วนโทรศัพท์ของโรงงานแห่ งหนึ่ ง กว้าง 6 เมตร ยาว 12 เมตร ระยะ
จากพื้นถึงเพดาน 4.5 เมตร โต๊ะทางานสู ง 0.8 เมตร โคมแขวนจากเพดานลงมา 0.6 เมตร ถ้าเลือกใช้
โคมแขวนชนิ ดไฮเบย์แบบกระจายแสงกว้าง ใช้กบั หลอดเมทัลฮาไลด์ 400 วัตต์ ชนิ ดใส จะต้องใช้
ทั้งหมดกี่โคม
วิธีทา
1. หาอัตราส่ วนโพรง
CCR = 5 x HCC (W + L)/W x L = 5 x 0.6 (6 + 12)/6 x 12 = 0.75
RCR = 5 x HRC (W + L)/W x L = 5 x 3.1 (6 + 12)/6 x 12 = 3.875
FCR = 5 x HFC (W + L)/W x L = 5 x 0.8 (6 + 12)/6 x 12 = 1.00
4. ปรั บค่ า CU ให้ ถูกต้ อง เนื่ องจากค่า CU ที่ได้มานั้นใช้กบั ค่า fc = 20 % เท่านั้น แต่
ค่าfc ที่หาได้ คือ 12 % จึงต้องหาค่าตัวคูณเพื่อปรับค่า CU ให้ถูกต้อง พิจารณาตารางภาคผนวก ค.2
cc = 70% fc = 10% (ใช้แทน12 %) RCR = 3.875 ได้ตวั คูณ = 0.962
CU ที่ถูกต้อง = 0.628 x 0.962 = 0.604
ExA
=
CU x LLD x LDD
750 x 72
=
0.604 x 0.74 x 0.8
= 151,020.23 lm
8. หาจานวนโคมทีต่ ้ องการ
N = 151,020.23/34,000
= 4.44 โคม เลือกจริ ง 6 โคม (เลือก 5 ไม่สมดุล)
9. การจัดวางตาแหน่ งโคม
จัดอย่างง่ายเนื่ องจากจานวนโคมไม่มาก
จัดเป็ น 2 แถว ๆ ละ 3 โคม ดังแผนผัง
3/2 = 1.5 m
6/2 = 3 m
6m
3/2 = 1.5 m
2m 12/3 = 4 m 4m 4/2 = 2m
12 m
123
S
SC (5.10)
MH
เมื่อ S คือ ระยะระหว่างโคม (spacing)
MH คือ ระยะจากผิวงานถึงโคม (mounting height)
จุดอับแสง
S S
S S
S
S- 4
S/2 (2.5 – 3)
ตัว อย่ างที่ 5.3 ส านัก งานออกแบบแห่ งหนึ่ ง กว้าง 12.61 เมตร ยาว 36.04 เมตร สู ง 3.60 เมตร
พื้นผิวปฏิ บตั ิ งานสู ง 0.9 เมตร กาหนดให้ c = 80% w = 50% f = 10% ใช้โคมฟลูออเรสเซนต์
ติ ด ตั้ง ซ่ อ นในฝ้ า ขนาด 36 วัต ต์ 2 หลอด รหัส LMPM2 – 240/R/MI ของ LUSO ใช้ ห ลอดมี ฟ ลัก ซ์
ส่ องสว่างเฉลี่ย 2,970 ลูเมน ฟลักซ์ส่องสว่างเริ่ มต้น 3,300 ลูเมน ต้องการความสว่างตามมาตรฐานของ
IES สภาพห้องเป็ นแบบสะอาด ทาความสะอาดโคมไฟทุก ๆ 2 ปี ให้คานวณหาจานวนโคมและเขียน
แผนผังการติดตั้ง
วิธีทา
1. หาอัตราส่ วนโพรง
RCR = HRC x 5(W + L)/W x L = 2.7 x 5(12.61 + 36.04)/12.61 x 36.04 = 1.45
CCR = HCC x 5(W + L)/W x L = 0 x 5(12.61 + 36.04)/12.61 x 36.04 = 0
125
FCR = HFC x 5(W + L)/W x L = 0.9 x 5(12.61 + 36.04)/ 12.61 x 36.04 = 0.482
2. หา cc , fc
c = 80% w = 50% CCR = 0 cc = c = 80%
f = 10% w = 50% FCR = 0.482 fc = 11%
4. ปรับค่ า CU
เปิ ดตารางภาคผนวก ค.2 หาตัวคู ณประกอบค่าความถู กต้องส าหรั บประสิ ทธิ ผลของ
โพรงพื้น fc ที่ต่างไปจาก 20% ซึ่งจากข้อ 2 fc มีค่า 11 %
ที่ cc = 80% w = 50% และที่ fc = 10% (กาหนดแทน 11% )
RCR = 1 ตัวคูณ = 0.929
RCR = 2 ตัวคูณ = 0.942
126
ปรับ CU ด้วยค่าตัวคูณ
CU เมื่อปรับค่าแล้ว = 0.6985 x 0.935 = 0.653
ปริ มาณแสงเฉลี่ย
LLD =
ปริ มาณแสงเริ่ มต้น
= 2,790/3,300
= 0.845
LDD จากภาพที่ 5.2 โคมประเภทที่ 4 รอบการบารุ งรักษาทุ ก 24 เดื อน สภาพห้อง
ระดับสะอาด ได้ค่า LDD = 0.80
7. หาจานวนโคม
N = 772,149.25/(3,300 x 2)
= 117 โคม
127
8. การจัดวางตาแหน่ งโคม
พื้นที่ท้ งั หมด
พื้นที่การให้แสงสว่างของ 1 โคม =
จานวนโคม
= (12.61 x 36.04)/117 = 3.88 m2
ระยะระหว่างโคม (S) = 3.88 1.97 m
ระยะระหว่างโคม
1.06 =
ระยะผิวงานถึงโคม 2.7 m
ระยะระหว่างโคม 1.06 x 2.7 = 2.862 m
12.61 m
1.06 m
0.9 m
36.04 m
2.12 m 0.9 m
แถวที่ 1
1.06 m 0.3 m
12.61 m
1.8 m
แถวที่ 7
36.04 m
ก. ข.
ภาพที่ 5.8 กราฟไอโซลักซ์และกราฟการกระจายความส่ องสว่างสามมิติ
132
cc CU
CCR
fc
RCR
FCR E Amount of
C w Luminaires
f LDD
w RCR
LLD
Kr CU
Amount of
C E Luminaires
w
MF
ExA
= (lm)
CU x LLD x LDD
หรื อ
ExA
= (lm)
CU x MF
ตัวอย่างที่ 5.4 ห้องบรรยายแห่งหนึ่ง เพดานสี ขาว ผนังสี เทาอ่อน พื้นสี เทาเข้ม กว้าง 100 ฟุต ยาว 150 ฟุต
เพดานสู ง 33 ฟุ ต โต๊ะ จดงานสู ง 3 ฟุ ต ต้อ งการติ ด ตั้ง โคมขนาดกว้าง 1 ฟุ ต ยาว 4 ฟุ ต ติ ด ตั้งให้
ด้านล่ างของโคมเสมอกับ ฝ้ าเพดาน ครอบด้วยบานเกร็ ดโลหะที่ มี มุ ม ก าบัง 45 (โคมหมายเลข 4
ภาคผนวก ค.4) ติดตั้งด้วยหลอดฟลูออเรสเซนต์ TLD 36 W cool white ฟลักซ์ส่องสว่างเริ่ มแรก 3,350 lm
ฟลักซ์ ส่องสว่างเฉลี่ ย 2,950 lm รอบของการบารุ งรักษา 2 ปี ให้คานวณหาจานวนโคมที่ตอ้ งใช้ และ
เขียนแผนผังแสดงตาแหน่งการติดตั้งโคม
วิธีทา
1. วิเคราะห์ ชนิดของดวงโคมเพื่อเลือกสู ตร จากโจทย์ เป็ นโคมชนิ ดส่ องแสงโดยตรง จึง
เลือกใช้สมการที่ 5.11
WxL 100 x 150
Kr = = =2
HRC (W + L) 30 (100 + 150)
135
5. คานวณหาฟลักซ์ ส่องสว่างทั้งหมด
EA
= (lm)
CU x LLD x LDD
30 (100 x 150)
= lm
0.41 x 0.7
= 1,559,035.5 lm
6. หาจานวนโคม
1,559,035.5
N = โคม
2 x 3,350
= 233 โคม
7. แผนผังการติดตั้ง
พื้นที่ของ 1 โคม = 100 x 150/233 = 64.4 ft2
136
ระยะระหว่างโคม
64.4 8 ft
แผนผังการติดตั้ง
กรณีที่ 1 จัดแบบปกติ
จานวนแถว = 100 ft/8 ft = 12.5 แถว ปัดเป็ น 12 แถว
จานวนโคมใน 1 แถว = 233 โคม / 12 แถว = 19.4 โคม ปัดเป็ น 20 โคม
ระยะระหว่างแถว = 100 ft/12 = 8.33 ft
ระยะระหว่างโคมแถวที่ติดผนังกับผนัง = 8.33 ft/2 = 4.17 ft
ระยะระหว่างกึ่งกลางโคมถึงกึ่งกลางโคมที่อยูใ่ นแถวเดียวกัน = 150 ft/20 = 7.5 ft
ระยะระหว่างหัว-ท้ายของโคมกับผนังด้านหน้าและด้านหลัง = (7.5 ft / 2) – 2 ft = 1.75 ft
4.17’
8.33’
7.5’
1.75’
137
2’ 4’ S
6’ S’ = 15.33’ 6’
จากสมการ 5.3
ExA
=
CU x LLD x LDD
และจากสมการ 5.4
จานวนโคม N =
(lm/lamp) (lamp/luminaire)
= N (lm/lamp) (lamp/luminaire)
= N (L) (n)
แทน ในสมการที่ 5.3 ด้วย N (L) (n)
ExA
N x L x n =
CU x LLD x LDD
139
EA = N x L x n x CU x LLD x LDD
EA = N x L x n x CU x MF
N x L x n x CU x MF
E =
A
Nxn E
=
A L x CU x MF
NxnxP E
= (5.13)
A (L/P) CU x MF
จากสมการที่ 5.13 เมื่ อแทนตัวแปรบางส่ วนด้วยหน่ วย จะได้ส มการที่ เป็ นที่ ม าของชื่ อ
วิธีการออกแบบโดยวิธีวตั ต์ต่อตารางเมตร ดังสมการที่ 5.14
W E
= (5.14)
m2 (LPW) CU x MF
จากสมการที่ 5.14 LPW หรื อ lm/w คือหน่ วยของประสิ ทธิ ผลการส่ องสว่างของหลอดที่
จะติ ดตั้ง ส่ วน W ยุบรู ปจาก N n P ในสมการที่ 5.13 ดังนั้น W ก็คือหน่ วยวัตต์ของกาลังไฟฟ้ า ของ
หลอดไฟฟ้าทั้งหมดที่จะติดตั้งในพื้นที่ A (m2) ที่กาลังออกแบบ
ตั ว อย่ า งที่ 5.5 อาคารส านั ก งานแห่ ง หนึ่ งต้ อ งการความส่ องสว่ า ง 500 ลัก ซ์ เลื อ กใช้ ห ลอด
ฟลู ออเรสเซนต์ ที่มี ฟลักซ์ ส่องสว่าง 3,350 ลู เมน สัมประสิ ทธิ์ การใช้ป ระโยชน์ ของดวงโคม 0.59
ค่าการบารุ งรักษา 0.7 ใช้บลั ลาสต์แกนเหล็กขนาด 36 W จงหาค่ากาลังไฟฟ้าแสงสว่างเป็ น W/m2
วิธีทา
กาลังวัตต์ที่ใช้ 1 หลอดรวมกับกาลังสู ญเสี ยที่บลั ลาสต์อีก 10 วัตต์ จะได้ 46 วัตต์
ดังนั้น LPW จะได้ 3,350/46 = 72.83
500
แทนค่า W/m2 =
72.83 x 0.59 x 0.7
วิธีทา
5 x HRC (W + L) 5 x 2.2 (4 + 5)
RCR = =
WxL 4x5
= 4.95
LPW = 2,600 lm/46 W
= 56.522
= 17.95 W/m2
= 18 W/m2 (ไม่เกินข้อกาหนดที่ 23 W/m2)
141
เมื่อพื้นที่ใช้งานเท่ากับ 4 x 5 m2 จะได้กาลังวัตต์ที่เพียงพอของหลอดที่จะติดตั้ง
= (18 W/m2) (4 x 5m2)
= 360 W
เมื่อใช้ดวงโคมชนิด 2 หลอด จะได้จานวนดวงโคม
= 360 W/(2 x 46 W)
= 3.91 เลือก 4 โคม
5.7 สรุป
การคานวณแสงสว่างภายในด้วยวิธีลูเมน เป็ นการคานวณเพื่อหาฟลักซ์ส่องสว่างที่พอเพียง
สาหรับงานชนิ ดต่าง ๆ เพื่ อให้ได้ค่าความส่ องสว่างตามมาตรฐาน เป็ นวิธีซ่ ึ งเหมาะกับ พื้นที่ ใช้งาน
ที่ ต้อ งการแสงสว่ า งสม่ า เสมอ วิธี ก ารค านวณเริ่ ม จากพิ จ ารณาขนาดของส่ ว นต่ า ง ๆ ของพื้ น ที่
ที่ออกแบบ การคานึงถึงผลการสะท้อนของพื้น ผนัง และเพดาน ซึ่ งจัดเป็ นการส่ องสว่างแบบทางอ้อม
เพื่ อหาค่ าสั ม ประสิ ท ธิ์ การใช้ป ระโยชน์ ในขั้น ตอนนี้ โดยทัว่ ไปจะมี ก ารค านวณมี ส องวิธี คื อ วิธี
อัตราส่ วนโพรงซึ่ งเป็ นวิธีการของ IES เป็ นวิธีที่มีข้ นั ตอนมากต้องมีความละเอียดและใช้เวลาพอควร
อีกวิธีคือวิธีอตั ราส่ วนของห้อง ซึ่ งเป็ นวิธีที่เสนอโดย CIE มีข้ นั ตอนลัดสั้นกว่าแบบแรก และเมื่อได้
ปริ มาณฟลักซ์ แม่เหล็กที่ ตอ้ งการแล้ว ในขั้นตอนสุ ดท้ายจะเป็ นการคานวณหาจานวนโคมที่ ตอ้ งใช้
การกาหนดระยะห่ างของโคมและการเขียนแผนผังการติดตั้งดวงโคม กรณี ของวิธีวตั ต์ต่อตารางเมตร
เป็ นวิธีที่ประยุกต์มาจากวิธีลูเมน จากการหาฟลักซ์ส่องสว่างที่ตอ้ งการก็เปลี่ ยนเป้ าหมายมาเป็ นกาลัง
วัตต์ของหลอดที่ตอ้ งการ การคานวณจะต้องใช้ค่าอัตราส่ วนโพรงห้องและค่าประสิ ทธิ ผลการส่ องสว่าง
เป็ นปั จจัยหลัก เป็ นวิธีที่ลดั สั้นกว่าสองวิธีแรก วิธีน้ ี มีเป้ าหมายในการใช้พลังงานให้คุม้ ค่า โดยมีการ
กาหนดกาลังไฟฟ้าที่ใช้ไม่ให้เกินค่าที่กฎหมายกาหนด
142
5.8 คาถามทบทวน