Professional Documents
Culture Documents
Hearing Loss and Hearing Rehabilitation
Hearing Loss and Hearing Rehabilitation
ระดับของการได้ยินบกพร่อง
การได้ยินบกพร่องหมายถึงระดับการได้ยินซึ่งวัดโดยใช้เสียง pure tone จากเครื่องตรวจการได้
ยิน (Audiometer) แล้วได้ค่า hearing threshold มากกว่า 25 เดซิเบล (decibel hearing level – dBHL)
ในแต่ละความถี่ ส่วนระดับการได้ยินบกพร่องจะคิดจากค่าเฉลี่ยของระดับการได้ยินเสียงในช่วงความถี่
ของการสนทนา (speech frequencies) ซึ่งเกณฑ์การแบ่งอาจแตกต่างกันบ้างในแต่ละประเทศและ
สถาบันที่ใช้อ้างอิง สาหรับในประเทศไทย ใช้เกณฑ์ตามประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ
มั่นคงของมนุษย์ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา (29 พฤษภาคม 2552) ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์ของ
American Speech-Language-Hearing Association (Clark JG)(3) และ Bess and Humes(4) ซึ่งคานวณ
ระดับการได้ยินจากค่าเฉลี่ยของ air conduction threshold ที่ความถี่ 500, 1000 และ 2000 Hertz และ
แบ่งการได้ยินบกพร่องตามความรุนแรงออกเป็นระดับต่างๆ ดังนี้
ประเภทของการได้ยินบกพร่อง
การได้ยินบกพร่องอาจแบ่งได้เป็นประเภทต่างๆ ตามตาแหน่งของพยาธิสภาพ ได้แก่
1. การนาเสียงบกพร่อง (conductive hearing loss)
2. ประสาทรับเสียงบกพร่อง (sensori-neural hearing loss)
3. การได้ยินบกพร่องแบบผสม (mixed hearing loss)
4. การได้ยินบกพร่องที่ไม่พบพยาธิสภาพทางกาย (non-organic หรือ functional hearing loss)
สาเหตุของการได้ยินบกพร่อง
โรคของหูชั้นนอก
- Microtia, External auditory canal atresia
เป็นความพิการตั้งแต่กาเนิดหรือเป็นผลแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ, อุบัติเหตุ หรือการผ่าตัด ใน
รายที่เป็นตั้งแต่กาเนิดอาจพบความผิดปกติของ ossicles หรือ middle ear cavity ร่วมด้วย
เด็กที่มคี วามผิดปกติของใบหูหรือรูหูตงั้ แต่กาเนิดจะต้องได้รับการประเมินการได้ยินและ
ตรวจหาความผิดปกติของระบบอื่นที่อาจเกิดร่วมกัน ในกรณีที่มคี วามผิดปกติข้างเดียว จะไม่มี
ผลกระทบต่อการได้ยินโดยรวมและพัฒนาการทางภาษามากนัก โดยทั่วไปแล้วจึงไม่ต้องใช้เครื่องช่วย
ฟังและสามารถชะลอการผ่าตัดแก้ไขไว้จนกระทั่งเด็กโตพอที่จะร่วมตัดสินใจได้ว่าต้องการผ่าตัดหรือไม่
(7) แต่ในกรณีที่มค ี วามผิดปกติทั้ง 2 ข้างและมีการได้ยินบกพร่องร่วมด้วย ต้องรีบฟื้นฟูสมรรถภาพการ
ได้ยินด้วยการใช้เครื่องช่วยฟังและฝึกพูด การเลือกเครื่องช่วยฟังขึ้นอยู่กับข้อบ่งชีว้ ่าจะสามารถใช้
เครื่องช่วยฟังชนิดทั่วไปหรือชนิด bone conduction
การผ่าตัดแก้ไขใบหู ถ้าจะใช้กระดูกอ่อนซี่โครงของผูป้ ่วยเองมาเป็นโครงใบหู ควรทาหลังจาก
อายุประมาณ 8-10 ขวบเพื่อให้เพื่อกระดูกอ่อนซี่โครงมีขนาดใหญ่พอและหูอกี ข้างมีขนาดใหญ่
เหมาะสมกับหูขา้ งที่จะทาขึ้นใหม่ แต่ถ้าใช้โครงใบหูที่ทาด้วยวัสดุสังเคราะห์ เช่น polyethylene จะ
สามารถทาได้ตงั้ แต่อายุราว 4 ขวบแต่มีคา่ ใช้จา่ ยเพิ่มขึ้นเป็นค่าวัสดุอีกหลายหมื่นบาท
ในกรณีที่มชี ่องหูหรือรูหูตบี มาก ต้องเฝ้าระวังเรื่อง cholesteatoma ที่อาจสะสมอยู่ด้านใน จึง
ควรผ่าตัดแก้ไขในช่วงอายุ 6-12 ปีเพื่อป้องกันการกัดกร่อนของกระดูกหรือทาลายหูชั้นกลาง(7)
- Otitis externa
(อ่านรายละเอียดในบท otorrhea)
- Impacted cerumen
รักษาโดยใช้เครื่องมือดึงหรือดูดขี้หูออกมา แต่ถ้าขีห้ ูแข็งหรือเหนียวมากอาจต้องใช้กระบอก
ฉีดยาฉีดน้าเข้าไปล้างขี้หู หรือหยอดโซเดียมไบคาร์บอเนตความเข้มข้นร้อยละ 2.5 เพื่อให้ข้ีหูนุ่มหรือ
เหลว และแนะนาไม่ให้ผปู้ ่วยปั่นหรือแคะหูเพราะมักจะดันขีห้ ูเข้าไปในช่องหูลึกมากขึน้
- Cyst และ Tumor
รักษาตามข้อบ่งชีข้ องแต่ละโรค
โรคของหูชั้นกลาง
- Otitis media
(อ่านรายละเอียดในบท otorrhea)
- Otitis media with effusion
(อ่านรายละเอียดในบท otorrhea)
- Eustachian tube dysfunction
(อ่านรายละเอียดในบท otorrhea)
- Hemotympanum
คือการมีเลือดคั่งในหูชั้นกลางอันเป็นผลจาก trauma เช่น temporal bone fracture,
barotrauma หรือเกิดขึ้นในผูป้ ่วยที่มกี ารแข็งตัวของเลือดผิดปกติ การตรวจ otoscopy จะเห็นเลือดสีดา
คล้าอยู่ด้านในต่อเยื่อแก้วหูซึ่งไม่ทะลุ โดยทั่วไปไม่จาเป็นต้องให้การรักษาใดๆ เนื่องจากส่วนใหญ่จะ
หายได้เองใน 3-6 สัปดาห์(8) การเจาะเยื่อแก้วหู (myringotomy) เพื่อระบายเลือดอาจทาเมื่อมีอาการ
ปวดมากหรือ hemotympanum ไม่หายไปเองเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่อ ossicles และหลังจากนั้น
ถ้ายังมี conductive hearing loss อาจต้องนึกถึงพยาธิสภาพอื่นที่เกิดร่วมด้วยจาก trauma เช่น ossicular
chain disruption เพื่อพิจารณาผ่าตัดรักษาต่อไป
- Tympanic membrane perforation
ในกรณีที่เยื่อแก้วหูทะลุและไม่ติดเชือ้ เช่น จากแรงอัดหรือถูกของแข็งกระแทก อาจเพียง
สังเกตอาการเป็นระยะโดยที่ไม่จาเป็นต้องให้การรักษาใดๆ นอกจากระวังไม่ให้น้าเข้าหู รูทะลุเล็กๆ
อาจปิดได้เองภายใน 1 เดือน และส่วนมากจะหายภายใน 2-3 เดือน(9) หลังจากนี้ถ้ารูทะลุยังไม่ปิดก็
รักษาโดยการผ่าตัดปะแก้วหู (myringoplasty) หากรูทะลุปิดแล้วแต่การได้ยินยังไม่กลับมาเป็นปกติ
อาจเป็นเพราะมีความเสียหายของ ossicles หรือหูชั้นในร่วมด้วย
- Otosclerosis
เป็นโรคที่มกี ารสร้างกระดูกขึน้ มาใหม่อย่างผิดปกติที่ osseous labyrinth โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
รอบๆ oval window ทาให้ footplate ของ stapes ขยับได้นอ้ ยลงตามลาดับ เป็นผลให้มี conductive
hearing loss ซึ่งมักเริ่มมีอาการเมื่ออายุราว 30 - 40 ปี และในระยะยาวอาจลามเข้าหูชั้นใน ทาให้เกิด
sensori-neural hearing loss ร่วมด้วย ทาให้การได้ยินบกพร่องมากขึ้น กลายเป็นmixed hearing loss
และมีอาการเวียนศีรษะร่วมด้วยได้ โรคนีส้ ามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal dominant
(incomplete penetrance)(10, 11) แต่ผปู้ ่วยราวครึ่งหนึ่งก็ไม่มีประวัตโิ รคนีใ้ นครอบครัว
การผ่าตัดทา stapedectomy หรือ stapedotomy พร้อมทั้งใส่กระดูกหูเทียม (prosthesis) จะทา
ให้ผู้ป่วยได้ยินดีขึน้ แต่ในรายที่มขี ้อห้ามหรือปฏิเสธการผ่าตัดก็สามารถใช้เครื่องช่วยฟังได้
- Other ossicular disorders
ความผิดปกติอ่ืนๆ ของ ossicles เช่น ossicular fixation หรือ ossicular discontinuity ซึ่งมีสาเหตุ
จากความผิดปกติตั้งแต่กาเนิด, อุบัติเหตุ หรือเป็นผลแทรกซ้อนจากการติดเชือ้ อาจรักษาได้โดยการ
ผ่าตัด
- Glomus tympanicum
เป็น paraganglioma ชนิดหนึ่งและเป็นเนือ้ งอกที่พบได้บ่อยที่สุดในหูชั้นกลาง แต่พบใน
temporal bone มากเป็นอันดับสองรองจาก vestibular schawannoma(12) เนือ้ งอกนีจ้ ะโตขึ้นช้าๆ ทาให้
ผูป้ ่วยมีเสียงรบกวนในหูเป็นจังหวะเหมือนเสียงหัวใจเต้น (pulsatile tinnitus) และมี conductive hearing
loss ตามมา glomus tumor ที่เกิดบริเวณ jugular bulb จะเรียกว่า glomus jugulare tumor อาจโตขึน้ กด
เบียดเส้นประสาทสมองคู่ที่ 9-12 และลุกลามเข้า mastoid ทาให้เกิดอัมพาตของใบหน้า หรือมี
sensori-neural hearing loss ร่วมด้วย
การตรวจร่างกายอาจมองเห็นก้อนในหูชั้นกลางหรือก้อนเนือ้ งอกอาจดันทะลุแก้วหูออกมาใน
ช่องหูการตรวจโดย CT scan หรือ MRI จะช่วยในการวินิจฉัย
รักษาโดยการผ่าตัดหรือรังสีรักษา
โรคของหูชั้นใน
- Infections
Labyrinthitis เป็นการติดเชื้อที่หูชั้นในซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อที่หูชั้นในโดยตรงหรือกระจาย
มาจากอวัยวะอื่น ผู้ป่วยจะมี sensori-neural hearing loss ร่วมกับ acute vertigo โดยมักเกิด hearing
loss อย่างถาวร ส่วน vertigo อาจดีข้ึนได้จาก vestibular compensatory mechanisms
Mumps เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อยของ unilateral sudden sensori-neural hearing loss(13)
Measles ทาให้เกิด bilateral moderate-to-profound sensori-neural hearing loss
Herpes Zoster Oticus (Ramsay Hunt Syndrome) ผูป ้ ่วยจะมี sensori-neural hearing loss
ร่วมกับ facial paresis นอกจากนีม้ ักมีอาการปวดหูและพบ vesicles ที่ใบหูหรือรูหูด้วย
Otosyphilis การได้ยินเป็นได้ทั้ง sudden, progressive หรือ fluctuating sensori-neural hearing
loss ซึ่งในรายที่เป็น fluctuating sensori-neural hearing loss จะวินจิ ฉัยแยกจาก Meniere’s
disease ได้ยาก การตรวจเลือดจะช่วยในการวินิจฉัย รักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ
Otogenic labyrinthitis แบคทีเรียจาก otitis media จะเข้าสู่หูชั้นในผ่านทาง round window, oval
window หรือ fistula ที่เกิดจากการอักเสบ
Meningogenic labyrinthitis เกิดในผูป ้ ่วย meningitis เนื่องจากเชือ้ ลุกลามมาตามกระแสเลือด
หรือจาก subarachnoid space เข้าสู่หูชั้นในผ่านทาง cochlear aqueduct หรือ internal auditory
canal ผูป้ ่วยมักจะมี bilateral sensori-neural hearing loss
- Trauma
มักเกิดจากการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ เช่น temporal bone fracture แล้วรอยแตกผ่าน
cochlea
หรือมี cochlear concussion ผูป้ ่วยมักมี vertigo ร่วมด้วย
- Ototoxicity
ยาบางอย่างเป็นอันตรายต่อหูชั้นใน ซึ่งอาจมีผลต่อการได้ยิน, การทรงตัว หรือทั้ง 2 ส่วน
แล้วแต่ชนิดของยา โดยมีปัจจัยสนับสนุนได้แก่ ระดับยาในเลือด, ระยะเวลา, ยาอื่นที่ใช้รว่ ม และภาวะ
ของผู้ป่วยเอง เช่น อายุ, การทางานของตับและไตตลอดจนปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรม(14) หูชั้นในมัก
ค่อยๆ เสื่อม และเป็นทั้ง 2 ข้าง แต่ก็พบได้เช่นกันที่หูเสื่อมข้างเดียวหรือเป็น sudden profound sensori-
neural hearing loss หลังจากได้รับยาในช่วงเวลาสั้นๆหรือเพียงครั้งเดียว ยาที่มอี ันตรายต่อหูชั้นใน เช่น
Aminoglycosides มีผลต่อ hair cells ของหูชั้นใน ทาให้เกิดการได้ยินบกพร่องอย่างถาวร และ/
หรือเสียการทรงตัว ซึ่งขึ้นกับชนิดของยาว่ามีผลด้าน cochleotoxic หรือ vestibulotoxic
มากกว่า นอกจากนี้ ยาหยอดหูที่มีสว่ นผสมของ aminoglycosides ยังเป็นพิษต่อหูชั้นในได้
โดยตรงเมื่อใช้ในผู้ที่แก้วหูทะลุ
Loop diuretics เช่น furosemide มีผลต่อ stria vascularis ทาให้การได้ยินบกพร่องทั้ง 2 ข้าง
เท่ากันอย่างเฉียบพลัน (bilateral symmetrical sudden onset sensori-neural hearing loss) ถ้า
บริหารยาโดยการฉีด แต่การได้ยินที่บกพร่องไปมักกลับคืนมาได้ (reversible sensori-neural
hearing loss)
Salicylates มีผลต่อ outer hair cell ของ cochlea ทาให้มี tinnitus และ reversible sensori-
neural hearing loss
Quinines มีผลต่อ outer hair cell ของ cochlea ทาให้มี tinnitus และ reversible sensori-neural
hearing loss แต่ถ้าใช้ขนาดสูงจะมีการได้ยินบกพร่องอย่างถาวร
Cisplatinum มีผลต่อ outer และ inner hair cell ของ cochlea ทาให้เกิด bilateral symmetrical
progressive high frequency sensori-neural hearing loss และส่วนมากเป็นแบบถาวร
ยาอื่นๆ เช่น กลุ่ม macrolides, deferoxamine (iron-chelating agents), vincristine และ
vinblastine ก็มีอันตรายต่อหูชั้นในได้เช่นกัน(15, 16)
เมื่อให้ยาที่มอี ันตรายต่อหูชั้นใน ควรเฝ้าระวังโดยการตรวจการได้ยินเป็นระยะด้วย
otoacoustic emissions หรือ high-frequency audiometry (ถึง 12 kHz) และพิจารณาหยุดยาเมื่อผูป้ ่วย
เริ่มมี tinnitus หรือรู้สกึ ว่าการทรงตัวไม่ปกติ
- Meniere’s disease (Endolymphatic hydrops)
(อ่านรายละเอียดในบท vertigo)
- Noise trauma
เสียงดังเป็นอันตรายต่อหูได้ 2 ลักษณะ คือ
Acoustic trauma เกิดจากได้ยินเสียงดังรุนแรงในระยะเวลาสัน ้ ๆ เช่น เสียงระเบิด คลื่นเสียงที่
ดังเกิน 140 dB SPL จะทาอันตรายหูชั้นใน นอกจากนีย้ ังอาจทาให้แก้วหูทะลุหรือ ossicles
เสียหายได้(17, 18) ผูป้ ่วยจะรู้สึกหูอื้อหรือมี tinnitus ทันที ซึ่งจะเป็นชั่วคราวหรือถาวรขึน้ อยู่กับ
ความดังของเสียง และอาจเป็นข้างเดียวหรือไม่เท่ากันในหูแต่ละข้าง
Noise-induced hearing loss เกิดจากการได้ยินเสียงดังเป็นเวลานานเกินไป โดยทั่วไปแล้วเรา
สามารถฟังเสียงที่ดังไม่เกิน 85 dB SPL ได้นาน 8 ชั่วโมงต่อวันโดยไม่เป็นอันตราย และถ้า
เสียงดังขึน้ ระยะเวลาที่จะฟังเสียงได้อย่างปลอดภัยจะลดลงตามลาดับ
Noise-induced hearing loss เกิดขึ้นได้ทั้งแบบชั่วคราว (temporary threshold shift –
TTS) และแบบถาวร (permanent threshold shift – PTS) ขึน้ อยู่กับระดับเสียงและระยะเวลา
ที่ได้ยิน ผูป้ ่วย
จะรู้สกึ หูอื้อหรือมี tinnitus ซึ่งในระยะแรกการได้ยินจะมีลักษณะเฉพาะคือเสื่อมที่ความถี่
4,000
Hertz มากกว่าความถี่อื่น (4-kHz notch) และมักใกล้เคียงกันทั้ง 2 ข้าง แต่เมื่อเป็นมากขึ้น
หลายๆ ปี
การได้ยินในช่วงความถี่อื่นก็จะเสื่อมลงไปด้วย
กระทรวงแรงงานได้ออกกฎกระทรวงเพื่อกาหนดมาตรฐานในการบริหารและจัดการด้านความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมในการทางานเกี่ยวกับเสียง พ.ศ. 2549 ดังนี้
มาตรฐานระดับเสียงที่ยอมให้ลูกจ้างได้รับตลอดเวลาการทางานในแต่ละวัน(19)
ระดับเสียงเฉลี่ยตลอดเวลาการทางาน(TWA)
เวลาการทางานที่ได้รับเสียง(ชั่วโมง)
ไม่เกิน (เดซิเบลเอ)
12 87
8 90
7 91
6 92
5 93
4 95
3 97
2 100
1 105
½ 110
¼ หรือน้อยกว่า 115
การวินิจฉัยผู้มีการได้ยินบกพร่อง
เมื่อผู้ป่วยมาพบแพทย์เนื่องจากมีปัญหาการได้ยินบกพร่อง การที่แพทย์จะวินิจฉัยและรักษา
ได้อย่างถูกต้องจะประกอบด้วย
การซักประวัติ
- ระหว่างการซักถามผู้ป่วย อาจประเมินได้ว่าผู้ป่วยมีการได้ยินบกพร่องแบบใด โดยสังเกต
จาก
ผูป้ ่วยพูดเสียงดัง มักเป็น sensori-neural hearing loss เนื่องจากได้ยินเสียงพูดของตนเอง
เบา
ผูป้ ่วยพูดเสียงเบา มักเป็น conductive hearing loss เนื่องจากได้ยินเสียงพูดของตนเองดัง
ก้อง
- ระยะเวลาที่เป็น เช่น เป็นแบบเฉียบพลันหรือค่อยเป็นค่อยไป ถ้าเป็นแบบเฉียบพลัน อาจมี
สาเหตุจาก sensori-neural hearing loss เช่น sudden sensori-neural hearing loss, acoustic trauma
หรือ conductive hearing loss เช่น ขีห้ ูอุดตัน เป็นต้น
- อาการที่เกิดร่วมด้วย เช่น มีหนองไหลจากหู ปวดหู หรือมีไข้ ควรเกิดจากการอักเสบติดเชือ้ ,
ถ้ามีอาการเวียนศีรษะ หรือทนเสียงดังไม่ได้ จะนึกถึงพยาธิสภาพของหูชั้นใน
- ประวัติการได้รับยาที่มพี ิษต่อหู, การได้ยินเสียงดัง, อุบัติเหตุ
- ประวัติการขึน้ เครื่องบินหรือดาน้า ซึ่งอาจเกิด barotrauma ได้
- ประวัติความเจ็บป่วยในอดีต เช่น หูนาหนวก, ้ เคยฉายแสงบริเวณศีรษะและคอ อาจทาให้
Eustachian tube อุดตันหรือหูชั้นในเสื่อม,ได้รับเคมีบาบัด, ความเจ็บป่วยร้ายแรง รวมทั้งโรคประจาตัว
ต่างๆ และยาที่ใช้เป็นประจา
- อาชีพ เช่น คนงานในโรงงาน, คนขับเรือหางยาว ซึ่งเสี่ยงต่อการได้ยินเสียงดังเป็น
เวลานาน
- ในเด็ก ต้องซักประวัติตงั้ แต่อยู่ในครรภ์, ระหว่างคลอด, หลังคลอด, พัฒนาการ, การ
ได้รับภูมคิ ุ้มกันรวมทั้งประวัติการเลี้ยงดูด้วย
- ประวัติการได้ยินบกพร่องหรือความผิดปกติทางพันธุกรรมในครอบครัว ซึ่งอาจจะสัมพันธ์
กับ sensori-neural hearing loss หรือสัมพันธ์กับ conductive hearing loss เช่น otosclerosis ได้
การตรวจร่างกาย
- การตรวจร่างกายโดยทั่วไปเพื่อตรวจหาความผิดปกติหรือกลุ่มอาการ (syndrome) ต่างๆ
- การตรวจทางหู คอ จมูก อย่างละเอียด เช่น otitis media with effusion ในผู้สูงอายุอาจมี
สาเหตุจากมะเร็งหลังโพรงจมูก (nasopharyngeal carcinoma) ส่วนในเด็กอาจเกิดจากต่อม adenoid โต
เป็นต้น
การตรวจการได้ยินและการทรงตัว
- การตรวจด้วยส้อมเสียง (tuning fork test) โดย Rinne และ Weber test จะช่วยแยก
conductive กับsensori-neural hearing loss ได้
- audiometry นอกจากจะช่วยแยก conductive, sensori-neural hearing loss และ mixed
hearing loss ได้แล้ว ยังทาให้ทราบระดับการได้ยิน ซึ่งมีผลต่อการวางแผนการรักษาและฟื้นฟู
สมรรถภาพการได้ยิน
- tympanometry ช่วยในการวินิจฉัยภาวะของหูชั้นกลางและ eustachian tube (อ่าน
รายละเอียดในบท Basic Audiology)
- acoustic reflex อาจช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยแยก conductive หรือ sensori-neural hearing
loss และอาจพบลักษณะ recruitment ซึ่งบ่งถึง cochlear lesion ได้ดว้ ย (อ่านรายละเอียดในบท Basic
Audiology)
- การตรวจการทรงตัว เช่น caloric test มีประโยชน์ในผู้ป่วย sensori-neural hearing loss บาง
กรณีที่มอี าการเวียนศีรษะร่วมด้วย (39)
- การตรวจการได้ยินระดับก้านสมอง (auditory brainstem response - ABR) มีประโยชน์ใน
การตรวจหาพยาธิสภาพชนิด retrocochlear lesion(40-42) นอกจากนี้ การตรวจการได้ยินระดับก้าน
สมองทั้ง ABR และ auditory steady-state response (ASSR) ยังใช้ประเมินระดับการได้ยินทางอ้อมหรือ
ยืนยันระดับการได้ยินได้อีกด้วย
การตรวจเพิ่มเติม
- การตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุและโรคที่เป็นร่วม ควรตรวจในผูป้ ่วยที่เป็น sensori-neural
hearing loss โดยทั่วไปจะส่งตรวจ complete blood count, erythrocyte sedimentation rate, ระดับ
น้าตาลและไขมันในเลือด, blood urea nitrogen, creatinine, การติดเชือ้ เช่น ซิฟิลิส (VDRL, TPHA) หรือ
ภาวะภูมคิ ุ้มกันบกพร่อง (anti-HIV) นอกจากนีใ้ นบางรายอาจเจาะเลือดเพื่อตรวจการทางานของต่อม
ไทรอยด์ รวมทั้งอาจส่งตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น connexin 26 gene ในผู้ป่วยที่มขี ้อ
บ่งชีอ้ ีกด้วย(36)
- การตรวจทางรังสีวิทยาด้วย CT scan หรือ MRI พร้อมกับฉีดสาร Gadolinium เพื่อตรวจหา
รอยโรคบริเวณสมองและ temporal bone มีขอ้ บ่งชีเ้ มื่อคาดว่ามีพยาธิสภาพชนิด retrocochlear lesion
หรือที่สมอง นอกจากนี้ในบางกรณีอาจส่งตรวจเพื่อดูความผิดปกติของโครงสร้างหูชั้นใน
แผนภูมิสรุปแนวทางวินิจฉัยผูม้ ีการได้ยินบกพร่อง
การรักษา
ขึน้ กับสาเหตุของการได้ยินบกพร่อง โดยทั่วไปแล้วในกลุ่ม conductive hearing loss มีโอกาสที่
จะรักษาได้ดว้ ยการใช้ยา, หัตถการหรือการผ่าตัดมากกว่ากลุ่ม sensori-neural hearing loss แต่เมื่อ
รักษาที่สาเหตุแล้วการได้ยินยังไม่ดีข้ึนเป็นปกติหรือในกรณีที่ไม่สามารถรักษาได้ การฟื้นฟูสมรรถภาพ
การได้ยินจะเป็นวิธีที่ชว่ ยให้ผปู้ ่วยสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขนึ้
3. เครื่องช่วยฟังแบบใส่ในช่องหู จะบรรจุในแบบพิมพ์ซึ่งมีรูปร่างและขนาดพอดีกับช่องหูของผูใ้ ช้
แต่ละคน
เอกสารอ้างอิง
1. World Health Organization. WHO global estimates on prevalence of hearing loss. Mortality and
burden of diseases and prevention of blindness and deafness. WHO 2012.
2. Prasansuk S. Primary ear and hearing care: the foreseeable solution for prevention of hearing
impairment and deafness in developing countries: a practical approach. 1st ed. Bangkok: Bangkok
Otological Center, Faculty of Medicine Siriraj Hospital, Mahidol University, c2002.
3. Clark JG. Uses and abuses of hearing loss classification. ASHA 1981; 23: 493-500.
4. DeBonis DA, Donohue CL. Acoustics of sound and preliminary clinical application. In: DeBonis DA,
Donohue CL, editors. Survey of audiology: Fundamentals for audiologists and health professionals.
2 ed. United States of America: Pearson Education, Inc, 2008. p. 13-53.
5. Bess FH, Humes LE. Pathologies of the auditory system. In: Ciocci S, Pakulski L, Radhakrishnan N,
Melcher J, Davis R, Reilly A, editors. Audiology the fundamentals. 4 ed. China: Lippincott Williams
& Wilkins, a Wolters Kluwer business, 2008. p. 159-203.
6. DeBonis DA, Donohue CL. Assessment and management of special populations. In: DeBonis DA,
Donohue CL, editors. Survey of audiology: Fundamentals for audiologists and health professionals.
2 ed. United States of America: Pearson Education, Inc, 2008. p. 337-374.
7. Gault D, Rothera M. Management of congenital deformities of the external and middle ear. In:
Gleeson M, Browning GG, Burton MJ, Clarke R, Hibbert J, Jones SN, et al., editors. Scott-Brown's
Otorhinolaryngology, Head and Neck Surgery. 7 ed. London: Edward Arold, Ltd., 2008. p. 965-
989.
8. Ghosh A, Harrison M, Body R. Towards evidence-based emergency medicine: best BETs from the
Manchester Royal Infirmary. Myringotomy in traumatic haemotympanum. Emerg Med J 2006; 23:
805-6.
9. Oghalai JS. Tympanic Membrane, Middle Ear and Mastoid Disease: Tympanic Membrane
Perforation.
In: Laboratory of Cochlear Mechanics and Hearing Loss Home Page Bobby R. Alford Department of
Otolaryngology-Head and Neck Surgery, Baylor College of Medicine, 2009 [updated Aug. 08,
2009].
10. Donnell GN, Alfi OS. Medical genetics for the otolaryngologist. Laryngoscope. 1980; 90: 40-6.
11. Causse JR, Causse JB. Otospongiosis as a genetic disease. Early detection, medical management,
and prevention. American Journal of Otology. 1984; 5: 211-23.
12. O’Leary MJ, Shelton C, Giddings NA, Kwartler J, Brackmann DE. Glomus tympanicum tumours: a
clinical perspective. Laryngoscope 1991; 101: 1038-43.
13. Akihiko Kodama MK, Keiji Fujihara and Toshimi Fujihara. Mumps hearing loss and epidemic
surveillance. International Journal of Pediatric Otorhinolaryngology 1996; 35: 283-4.
14. Moore RD, Smith CR, Lietman PS. Risk factors for the development of auditory toxicity in patients
receiving aminoglycosides. Journal of Infectious Diseases. 1984; 149: 23-30.
15. O’Leary S. Ototoxicity. In: Gleeson M, Browning GG, Burton MJ, Clarke R, Hibbert J, Jones SN, et
al., editors. Scott-Brown's Otorhinolaryngology, Head and Neck Surgery. 7 ed. London: Edward
Arold, Ltd.; 2008. p. 3567-3593.
16. Rybak LP. Vestibular and auditory toxicity. In: Cummings CW, Flint PW, Harker LA, Haughey BH,
Richardson MA, Robbins KT, et al., editors. Cummings Otolaryngology Head & Neck Suurgery. 4
ed. United Stated of America: Elsevier Mosby; 2005. p. 2933-2943.
17. National Institutes of Health Consensus Statement. Noise induced hearing loss. NIH Consensus
Statement. 1990: 8, 1, 1-24.
18. Chongkolwatana C, Atipas S, Metheetrairut C. Blast Injury of the Ears. Siriraj Med J 2009;61:228-
9.
19. มาตรฐานระดับเสียงที่ยอมให้ลูกจ้างได้รับตลอดเวลาการทางานในแต่ละวัน. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
123 ตอนที่ 23 ก; 6 มีนาคม 2549. หน้า 19-20.
20. Behar A, Chasin M, Cheesman M. Occupational hearing conservation regulations and standards.
In: Danhauer JL, editor. Noise Control: A Primer. Canada: Singular Publishing Group; 2000. p.
105-116.
21. Behar A, Chasin M, Cheesman M. Hearing protection devices. In: Danhauer JL, editor. Noise
Control: A Primer. Canada: Singular Publishing Group; 2000. p. 67-85.
22. ISO 7029. Acoustics: Threshold of hearing by air conduction as a function of age and sex for
otologically normal persons. International Organization for Standardization, Geneva, 1984.
23. Hull RH. The effects of hearing impairment on older adults. In: Danhauer JL, editor. Hearing in
Aging. United Stated of America: Singular Publishing Group; 1995. p. 49-66.
24. Stachler RJ, Chandrasekhar SS, Archer SM, Rosenfeld RM, Schwartz SR, et al. Clinical Practice
Guideline: Sudden Hearing Loss. Otolaryngology-Head and Neck Surgery 2012; 146(1S) S1–S35
25. Byl FM Jr. Sudden hearing loss: eight years experience e and suggested prognostic table.
Laryngoscope. 1984 May; 94(5 Pt 1): 647-61.
26. Conlin AE, Parnes LS. Treatment of sudden sensorineural hearing loss: I. A systematic review. Arch
Otolaryngol Head Neck Surg. 2007 Jun; 133(6): 573-81.
27. Wilson WR, Byl FM, Laird N. The efficacy of steroids in the treatment of idiopathic sudden hearing
loss. A double-blind clinical study. Arch Otolaryngol. 1980 Dec; 106(12): 772-6.
28. Moffat DA, Baguley DM, Blumenthal H, Irving RM, Hardy DG. Sudden deafness in vestibular
schwannoma. J Laryngol Otol. Feb 1994; 108(2): 116-9.
29. Walsted A, Andreassen UK, Berthelsen PG, Olesen A. Hearing loss after cardiopulmonary bypass
surgery. European Archives of Oto-Rhino-Laryngology. 2000 April; 257(3): 124-7.
30. Hurley A, Hurley RM. Differential diagnosis of (central) auditory processing disorder and
neuropathy. In: Musiek FE, Chermak GD, editors. Handbook of (central) auditory processing
disorder: Auditory neuroscience and diagnosis. Volume I. United Stated of America: Plural
Publishing, Inc. 2007. p. 347-363.
31. Madden C, Rutter M, Hilbert L, Greinwald JH, Choo DI. Clinical and audiological features in
auditory neuropathy. Archives of Otolaryngology and Head and Neck Surgery. 2002; 128: 1026-
30.
32. Berlin CL, Hoiod LI, Hurley A, Wen H. Contralateral suppression of otoacoustic emission: An index
of the function of the olivocochlear system. Otolaryngology, Head and Neck Surgery. 1994; 110:
3-21.
33. Erenberg A, Lemons J, Sia C, Trunkel D, Ziring P. Newborn and infant hearing loss: detection and
intervention. American Academy of Pediatrics. Task Force on Newborn and Infant Hearing, 1998-
1999. Pediatrics. 1999 Feb; 103(2): 527-30.
34. Nelson HD, Bougatsos C, Nygren P; 2001 US Preventive Services Task Force. Universal newborn
hearing screening: systematic review to update the 2001 US Preventive Services Task Force
Recommendation. Pediatrics. 2008 Jul; 122(1): e266-76.
35. Northern JL, Downs MP. Hearing screening in children. In: Northern JL, Downs MP, editors.
Hearing in children. 5th ed. Baltimore: Lippincott Williams & Wilkins, 2002. p. 259-300.
36. Thongyai K, Chongkolwatana C. Congenital Hearing Loss: Diagnostic and Management in
Otological Aspects. Siriraj Med J 2009; 61: 218-23.
37. White KR, Vohr BR, Behrens TR. Universal newborn hearing screening using transient evoked
otoacoustic emissions: results of the Rhode Island Hearing Assessment Project. Semin Hear. 1993;
14: 18-29.
38. Atipas S, Chongkolwatana C. Newborn Hearing Screening: Overview. Siriraj Med J 2009; 61:
224-7.
39. McMenomey SO, Gubbels SP. Labyrinthitis. In: Weber PC, editor. Vertigo and Disequilibrium: A
Practical Guide to Diagnosis and Management. New York: Thieme Medical Publishers, Inc.; 2008.
p. 91-98.
40. Lourenco EA, Oliveira MH, Umemura A, et al. Evoked response audiometry according to gender
and age: findings and usefulness. Braz J Otorhinolaryngol 2008; 74: 545-51.
41. Mair IW, Okstad S, Laukli E, et al. Screening for retrocochlear pathology. International Journal of
Audiology 1988; 17: 163-9.
42. Watson DR. A Study of the Effects of Cochlear Loss on the Auditory Brainstem Response (ABR)
Specificity and False Positive Rate in Retrocochlear Assessment. International Journal of Audiology
1999; 38: 155-64.
43. Hull RH. What is aural rehabilitation? In: Hull RH, editor. Aural rehabilitation, serving children and
adults Hearing loss. 4th ed. Canada: Singular; 2001. p. 3-17.
44. Dillon H. Hearing aid components. In: Dillon H, editor. Hearing Aids. United Stated of America:
Boomerang Press. 2001. p. 18-47.
45. Dillon H. Hearing aid systems. In: Dillon H, editor. Hearing Aids. United Stated of America:
Boomerang Press. 2001. p. 48-73.
46. พระราชบัญญัติสง่ เสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550. สานักงานส่งเสริมและพัฒนา
คุณภาพชีวติ คนพิการแห่งชาติ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์.
http://www.nep.go.th
กิตติกรรมประกาศ
ขอขอบคุณผูม้ ีสว่ นช่วยเหลือในด้านต่างๆ คือ
- เจ้าหน้าที่ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา:
คุณเชิดศักดิ์ บัวสีกา ช่วยรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย
คุณนวลนารถ เกษจรัล และคุณสมพร นามเจริญชัยสุข ช่วยจัดเตรียมภาพ
คุณจิรภา เกิดนพคุณ ช่วยค้นหาข้อมูลและจัดทาเอกสารอ้างอิง
- บริษัทออดิเมด จากัด เอือ้ เฟื้อเครื่องช่วยฟังชนิด bone conduction เพื่อถ่ายภาพประกอบ
- คุณกณิศา อธิภาส วาดภาพชุดประสาทหูเทียมและ audiogram
- คุณกวิตา อธิภาส, คุณกวิน อธิภาส และคุณปรียากร เขิงภูเขียว ซึ่งเป็นบุคคลที่ใช้
เครื่องช่วยฟังและประสาทหูเทียมในภาพถ่าย