Professional Documents
Culture Documents
สรุปแบบจริงจัง
สรุปแบบจริงจัง
1. พระมหากษัตริย์
2. สภาผู้แทนราษฎร
3. คณะกรรมการราษฎร
4. ศาล
กระทั่งถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญ
ราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวรซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิ ได้เปลี่ยนระบอบการ
ปกครอง เป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุข
ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง เป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตัง้ ให้บริการราชการแผ่นดิน
แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึง่ เป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียง
อำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตามคณะรัฐมนตรี
รวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจทีจ่ ะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะ
เป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐซึ่งมีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาทีไ่ ด้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้ง
ใหม่ ในส่วนเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์นั้น ได้บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็น ที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะ
ละเมิดมิได้
เกร็ดอื่นๆ
- คณะราษฎร มีผู้นำดังนี้ 1.พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (เป็นหัวหน้า) 2.พันตรี หลวงพิบลู สงคราม 3.นายนาวาตรี
หลวงสิทธุสงครามชัย 4.อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี)
สภาพทางสังคมและการเมืองก่อนการปฎิวัติสยาม 2475
เริ่มต้นที่ ร.4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี 2398 ได้ตกลงทำสนธิสัญญาเบาว์ริงค์กับประเทศอังกฤษ จึงถือ
เป็นการกำเนิดระบบเศรษฐกิจแบบเสรีในสยาม เกิดตลาดเสรีขึ้น ทำให้พ่อค้าชาวอังกฤษสามารถดำเนินการค้าขายกับ
เอกชนชาวสยามได้อิสระโดยไม่ถูกกีดกันใดๆ มีการยกเลิกค่าธรรมเนียมปากเรือ มีการกำหนดอัตราภาษีขาเข้าและออก
ชัดเจน(ร้อยละ3 ยกเว้นฝิ่นไม่ตอ้ งเสีย) ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนีท้ ำให้สยามสูญเสียไปซึ่งสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่
ประชากรต่างด้าว มากไปกว่านัน้ ร.4 ยังมีการพยายามเพิ่มจำนวนเจ้านาย โดยการเพิ่มจำนวนพระชายาเพื่อที่จะสร้าง
สายเลือดเชื้อพระวงศ์ให้มากขึ้น พร้อมกับส่งเสริมการเรียนรู้แบบโลกตะวันตกให้กับกลุ่มเจ้านาย เพื่อใช้ในการคานอำนาจ
กับขุนนางสกุลบุญนาค
ต่อจากนั้น ร.5 (2411) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดกลุ่มสยามหนุ่ม(ร.5เป็นผูน้ ำ) ที่มีความประสงค์
ต้องการให้พระมหากษัตริย์กลับมามีอำนาจเหนือพวกขุนนาง การต่อสู้นั้นไม่เกิดขึ้นตรงๆ แต่เป็นการทำลายศัตรูอย่างช้าๆ
เช่น การสร้างแนวคิดว่าด้วยชาติกำเนิดที่พยายามทำให้เจ้านายกับกษัตริย์นั้นมีความยึดโยงติดกัน แล้วเกิดเป็น
Community ที่มีความใกล้ชิดกันและขยายตัวมากขึ้น มากไปกว่านัน้ ยังมีการสถาปนาตำแหน่งสยามกุฏราชกุมาร มาแทน
ตำแหน่งพระราชวงบวรสถานมงคล (วังหน้า) เพื่อมาทัดทานอำนาจของพวกขุนนาง
- การตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ : สร้างระเบียบในการส่งเงินเข้าพระคลัง ป้องกันความหละหลวม และการทุจริตเงินพระคลัง
จากขุนนาง แล้วมีการกำหนดภาษีขาเข้าเป็นภาษีร้อยชักสาม ทำให้มีความแน่นอนในการจัดเก็บภาษี ซึ่งเป็นการป้องกัน
เจ้าภาษีโกงเงินได้ ซึ่งการกระทำนี้สง่ ผลให้ขุนนางไม่พอใจ
- การเติบโตของระบบทุนนิยม เกิดการระดมทุน ทรัพยากรต่างๆขึ้นเป็นจำนวนมากทำให้เกิดความขัดแย้งกับกลุ่มชน
ชั้นสูง ร.5 นั้นก็เลยมีการเลิกทาสขึ้นเพราะการมัทาสนั้นทำให้การทำงานในระบบแรงงานเสรีไม่มีความยืดหยุ่น เปลีย่ น
ทาสเป็นแรงงานอิสระเพื่อตอบสนองต่อระบบตลาดเสรีแทน มากไปกว่านัน้ ยังเป็นการลดทอนอำนาจของขุนนางอีกด้วย
- เกิดระบบราชการแบบใหม่ โดยยึดติดกับระบบคุณธรรม ความเป็นชาติ เปิดรับให้ประชาชนทุกคนเข้ามารับราชการได้
โดยผ่านระบบการสอบ มีการจ่ายเงินเดือนให้เพื่อลดการติดสินบน
- สร้างระบบมณฑลเทศาภิบาล โดยรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางโดยส่งข้าหลวงไปปกครองในมณฑลต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร
โดยมีจุดมุ่งหมายในการรวบรวมอำนาจเข้าสู่ศนู ย์กลาง (ดูมีความเป็นสภาวะกึ่งอาณานิคม)
เหตุการณ์ ร.ศ.103 (เกิดโดยกลุ่มเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูงที่ทำงานด้านการทูต) ได้มีข้อเรียกร้องเป็นคำกราบ
บังคมทูลแก่ ร.5 เพื่อเรียกร้องให้เปลี่ยนระบอบการปกครองจาก Absolute Monarchy เป็น Constitutional
Monarchy (ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ) เพื่อป้องกันภัยรุกรามจากอาณานิคมตะวันตก และเพื่อการพัฒนาระบอบ
การปกครองที่จะทำให้อนาคตของสยามนัน้ สามารถปรับตัวอยู่รอดได้
ร.5 ก็ทรงมีพระราชดำรัสตอบกลุ่มกลุ่มรศ.103 ว่าทรงเห็นด้วย แต่จะกระทำในทันทีไมได้เนือ่ งจากคนไทยยังไม่พร้อม
ขาดความเข้าใจในระบอบนี้ ขณะเดียวกันการเสนอแนวทางของรศ.103 เป็นเหตุผลที่ร.5 ทรงโปรดเกล้าให้พวกรศ.103
มาร่วมบริหารราชการแผ่นดิน ส่งผลให้อำนาจของพระองค์มากขึ้นจนสามารถลดอำนาจของฝ่ายขุนนางอำมาตย์ได้(มีขุน
นางสกุลบุญนาคเป็นแกนหลัก) เหตุการณ์นี้นำไปสู่การปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินให้กลายเป็นรัฐรวมศูนย์เข้าสู่
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยสมบูรณ์ (ตรงข้ามกับความประสงค์ของกลุ่มรศ.103อย่างสิ้นเชิง)
- ระบบมณฑลเทศาพิบาล (Centralization) : ระบบที่มีการกำหนดหัวเมืองตามภูมิภาค และประเทศราชให้รวมเป็น
มลฑล จากนั้นส่งข้าหลวงส่วนกลางเข้าไปปกครอง (ทำให้พวกขุนนางนัน้ มีอำนาจน้อยกว่าข้าหลวง ก็เลยเกิดเป็นกบฏ
ต่างๆขึ้นมา)
- ปฏิรูประบบราชการ, ปฎิรูปกฎหมาย
รบ.หลวงพิบูลสงคราม 2481-2487
- เกิดกบฎพระยาทรงสุรเดช เกิดการกวาดล้างทางการเมืองครั้งใหญ่ รบ.ออกแถลงว่ามีกลุ่มบุคคลวางแผนล้มล้างรบ.อยู่
หลังจากเหตุการณ์นี้ สถานะของรัฐบาลคระราษฎรมั่นคงขึ้น
- รัฐนิยม, การปฏิวัติทางสังคม-วัมนธรรม เช่น การเคารพทงชาติ สวัสดี เปลี่ยนชื่อสยามเป็นไทย เกิดนโยบายกีดกันคน
จีน ยกเลิกบรรดาศักดิ์ การปรับปรุงอักขระ
- กำหนดให้ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติ
- เกิดขบวนการเสรีไทย เพราะสงครามมหาเอเชียบูรพา ไทยเข้าร่วมญี่ปุ่น แล้วประกาศสงครามกับสหรัฐและอิง
ขบวนการเสรีไทยนำโดยปรีดี (ในประเทศ)
ยุคเผด็จการ (ระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ)
การปกครองในสมัยรบ.สฤษดิน์ ั้นมีความคล้าย พ่อปกครองลูก
- ออกคำสั่งโดยอาศัยม.17 ที่เปรียบเสมือนคำสั่งของพ่อ
- สฤษดิ์เปรียบเหมือนพ่อขุนที่แสดงความจงรักภักดีต่อกษัตริย์
- สฤษดิ์ดำรงตำแหน่งนายกจนตายในปี 2506
- ถนอม กิตติขจร ได้เป็นผู้สบื ทอดอำนาจจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516
ข้อสอบปีที่แล้ว
1. มีเหตุการณ์ใดที่สะท้อนให้เห็นว่ามีความเติบโตด้านพรมแดนความรู้ ความคิดกระแสก้าวหน้า หรือความ
ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชน์ ให้ยกตัวอย่างพร้อมอธิบาย จำนวน 4
ปรากฏการณ์
เหตุการณ์ที่ 1 เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งก็คือคำกล่าวบังคมทูล ร.ศ.103 จากกลุ่มเชื้อพระวงศ์และขุน
นางชั้นสูงที่ทำงานด้านการทูต ซึ่งพวกเขาเหล่านี้แน่นอนว่าต้องผ่านการศึกษาในระดับสูง อาจจะได้รับความรู้ด้าน
การปกครองระบอบใหม่ๆ จากตะวันตกมา แล้วเห็นว่าเป็นระบอบที่จะส่งผลดีต่อประเทศสยาม พวกเขาเลยมอบ
คำกล่าวบางคมทูล โดยที่ต้องการที่จะให้สยามนั้นเปลี่ยนจากระบอบ Absolute monarchy
(สมบูรณาญาสิทธิราชย์) ไปเป็น Constitutional monarchy (ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ)
เหตุการณ์ที่ 2 เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งก็คือเหตุการณ์กบฎ ร.ศ.130 จากนายทหารรุ่นใหม่ที่ต้องการ
ที่จะลดทอนอำนาจของพระมหากษัตริย์ โดยเป้าหมายของพวกเขานั้นอาจจะยังมีไม่แน่ชัดว่าต้องการที่จะ
เปลี่ยนแปลงการปกครองไปในรูปแบบใด ไม่ว่าจะเป็น Republic หรือ Constitutional Monarchy แต่
จุดประสงค์หลักคือการทำให้สยามนั้นมีระบอบการปกครองที่มีอารยะ แต่สุดท้ายแผนการที่จะกระทำการก็ถูก
ทำลายลงเสียก่อน
เหตุการณ์ที่ 3 สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่ 2 ที่เป็นผลมาจากเหตุการณ์ กบฎร.ศ.130 ที่พวกทหารรุ่นใหม่
ต้องการจะล้มล้างการปกครองระบบที่กษัตริย์ถืออำนาจหรือรวมอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว โดยร.6 นั้นทรงมีพระ
ประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงจากระบอบที่พระมหากษัตริย์นั้นถืออำนาจทุกอย่างให้เปลี่ยนเป็นระบอบที่กษัตริย์อยู่
ภายใต้รัฐธรรมนูญตามแบบอังกฤษ แต่ท้ายที่สุดแล้วประชุมเสนาบดีส่วนใหญ่ที่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ไม่เห็นด้วย
โดยอ้างว่าประชาชนไม่พร้อม ไม่มีความรู้เพียงพอ ทำให้ความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงนั้นจบลง
เหตุการณ์ที่ 4 เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 ซึ่งก็คือเหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475 หรือ ปฏิวัติสยาม เกิด
จากการรวมตัวกันของพวกนักเรียนนอกที่มีความคิดก้าวหน้าที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก Absolute
monarchy ไปเป็น Constitutional monarchy โดยความพยายามที่จะปฏิรูปการปกครองนี้ถือเป็นการกระทำที่
สำเร็จ เหตุการณ์นี้ยังถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเมืองไทยมาจนถึง ณ ปัจจุบัน