Professional Documents
Culture Documents
แนวความคิดทางจิตวิทยา
แนวความคิดทางจิตวิทยา
VIEWPOINTS IN PSYCHOLOGY
ผลงานทางวิชาการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาบุคลากร
คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
แนวความคิดทางจิตวิทยา
Viewpoints in Psychology
จัดทาโดย
ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อรพิน สถิรมน
ภาควิชาจิตวิทยา คณะสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผู้ เขี ย นขอขอบคุ ณ คณะสั ง คมศำสตร์ ที่ ใ ห้ ควำมสนั บ สนุ น ทุ น ในกำรเขี ย นต ำรำวิ ช ำกำรเล่ ม นี ้
และขอขอบคุณฝ่ ำยสำรสนเทศ สำนักหอสมุด มหำวิทยำลัยเกษตรศำสตร์ และผู้เกี่ยวข้ องทุกท่ำน ในโครงกำร
หนังสืออิเล็กทรอนิคส์ เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรั ตนรำชสุดำฯ สยำมบรมรำชกุมำรี ในกำรเปิ ดโอกำสให้
ผลงำนนี เ้ ป็ นส่วนหนึ่งของโครงกำรฯ ซึ่งจะทำให้ ทัง้ นิสิต นักศึกษำ และผู้สนใจสำมำรถเข้ ำถึงได้ ง่ำยและไม่มี
ค่ำใช้ จ่ำย และท้ ำยสุด ขอขอบคุณ นำงสำวณหทัย จิตรชื่น ในกำรพิมพ์ต้นฉบับและจัดรู ปเล่มด้ วยควำมเพียร
แนวความคิดทางจิตวิทยาในยุคกรีก
ทาเลส
ที่มาของภาพ : http://scienceworld.
wolfram.com/biography/Thales.html
อานักซิมานเดอร์ (Anaximander)
ประมาณ 610 - 546 ปี ก่ อนคริสตกาล
อานักซิมานเดอร์ เ ป็ น ค น แ ร ก ที่ ทา แ ผ น ที่ ที่ แ ส ด ง ถึ ง
รายละเอี ย ดของโลกและท้ องฟ้ า และเป็ นผู้ อธิ บ ายว่ า โลกเป็ น
ศูนย์ กลางของจักรวาลอันประกอบด้ วยดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และ
อานักซิมานเดอร์
ดาวต่าง ๆ ล้ อมรอบอยู่
ที่มาของภาพ : http://physics.unr.edu
/grad/welser/astro/astronomers.html
อานักซิเมเนส
ที่มาของภาพ : http://socialphilosophy.
yolasite.com/resources/anaximenes.jpg
แนวคิดของนักปราชญ์ ไอโอเนียนทังสามคนถื
้ อเป็ นกลุ่มความเชื่อด้ านธรรมชาตินิยม เพราะมุง่ หา
คาตอบเกี่ยวกับต้ นกาเนิดของชีวิต และอธิบายปรากฏการณ์ ของสิ่งต่าง ๆ ในโลกโดยไม่ยึดความเชื่อที่ว่า
พระเจ้ าเป็ นผู้บนั ดาลให้ เป็ นไป
3
พาร์ เมนิเดส
จากแนวคิดธรรมชาตินิยมก่อให้ เกิ ดแนวทางในการใช้ ที่มาของภาพ: http://beatway
down.blogspot.com/
การสังเกตตามธรรมชาติ (natural observation) และการตังและ
้
สรุ ปสมมติฐาน (hypothesis deduction)
แนวความคิดทางจิตวิทยา
4
Viewpoint Psychology
โพรทากอรั ส
ที่มาของภาพ
:http://www.philo5.com
/Les%20philosophes/Protagoras
_files/image003.jpg จอเจียส (Gorgias) ประมาณ 485 - 380 ปี ก่ อนคริ สตกาล
จอเจี ย ส เห็ น พ้ องกับ โพรทากอรั ส และได้ แต่งหนังสื อชื่ อ “On
Nature” ซึง่ เน้ นว่าคนเรา สามารถจะรู้ ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีอยู่ ก็เฉพาะที่ผ่าน
เข้ ามาในการรับรู้ ของเรา
อานักซากอรั ส
ที่มาของภาพ: http://www.luventicus.org
/articulo s/02 A034/ anaxagoras.htm
7
เพลโตเห็ น ว่าปฏิ สัม พัน ธ์ ของมนุษ ย์ กับ สิ่ งแวดล้ อมเป็ นปั จ จัย ส าคัญ ที่ จ ะน าไปสู่ความเข้ าใจ
กิจกรรมของมนุษย์ เขาเชื่อว่ามนุษย์ จดั การกับสิ่งแวดล้ อมโดยผ่านการรู้ สึกการรับการรู้ สึกโดยผ่านทาง
ร่ างกายจัดเป็ นกระบวนการที่ ไม่ลึกซึง้ บิ ดเบื อน และเชื่ อถื อไม่ได้ เพลโตไม่เห็นด้ วยกับพวกโซฟิ สต์ ที่
ยึดถือความรู้ ที่เกิดจากการรับความรู้ สึก เพลโตอธิ บายว่า จิตวิญญาณเป็ นส่วนที่เกิดและสะสมความคิด
จิตวิญญาณประกอบไปด้ วยเหตุผลและความต้ องการ สิ่งจูงใจของจิตวิญญาณ ก็คือ ความอยาก กิจกรรม
ของจิตวิญญาณ แบ่งเป็ นส่วนที่เต็มไปด้ วยปั ญญา คือ กิจกรรมที่ก่อให้ เกิดความรู้ ความเข้ าใจ กับส่วนที่
เป็ นความคิดเห็น ซึง่ เกิดจากการที่ร่างกายมีปฏิสมั พันธ์กบั สิ่งแวดล้ อม เกิดเป็ นความเชื่อ จิตวิญญาณ เป็ น
ส่วนที่สาคัญและไม่มีวนั ตาย จิตวิญญาณมีมาก่อนการเกิดร่ างกาย เมื่อเกิดชีวิตใหม่ จิตวิญญาณจะนา
ความรู้ เดิมมาสูร่ ่ างกาย ชีวิตที่ดีในทัศนะของเพลโต ก็คือการผสมผสานของเหตุผลและความพึงพอใจ
แนวความคิดทางจิตวิทยา
8
Viewpoint Psychology
เซนต์ ออกัสติน
ที่มาของภาพ: http://www.accd.edu/sac/
english/bailey/augustin.htm
ศาสนาคริ ส ต์ เริ่ ม มี บ ทบาทมากขึ น้ นับ แต่ยุ คโรมัน จนคริ ส ตจัก รมี อิท ธิ พ ลสูงสุด ในยุ ค กลาง
(Middle Ages) โดยในส่วนที่เกี่ยวกับมนุษย์ ศาสนาคริ สต์ได้ นาทัศนะใหม่ในการมองมนุษย์ โดยเห็นว่า
มนุษย์ต่างจากสัตว์อื่นตรงที่มีจิตวิญญาณ และเชื่อว่าพระผู้เป็ นเจ้ า (God) มีบทบาทในกิจกรรมของมนุษย์
นอกจากนีย้ งั เชื่อว่าการศึกษาร่ างกายมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่จะทาให้ เข้ าใจถึงจิตใจหรื อจิตวิญญาณของมนุษย์
ดังที่เสนอในผลงานของ เซนต์ โทมัส อไควนัส
11
หนังสื อจ านวนหลายร้ อยเล่ม เกี่ ย วกับ ด้ านเทววิท ยาได้ รับ การตีพิ มพ์ จ นถึงช่ วงศตวรรษที่ 16
หั ว ข้ อที่ เ ป็ นที่ สนใจ คื อ พระผู้ เป็ นเจ้ า ความเป็ นอมตะของจิ ต วิ ญ ญ าณ และค าถามในเชิ ง
ปรัชญา - จิตวิทยา เรื่ องเจตนารมณ์ อนั เป็ นอิสระ (free will) จิตวิทยาเป็ นเพียงส่วนหนึ่งของคาสอนใน
ศาสนาคริ สต์ เน้ นการปฏิ บัติตนให้ ถูกต้ องตามหลัก ศาสนา เช่น กิจกรรมทางเพศของมนุษย์ ควรจะมีได้
เฉพาะเมื่อแต่งงาน การมีเพศสัมพันธ์ นอกเหนือจากคู่สมรสถือว่าบาปและมีความผิด นอกจากนี ้ยังเกิด
ความเชื่อในเชิงไสยศาสตร์ เช่น ความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรมเบี่ยงเบนจากกรอบที่สงั คมกาหนดถือ
ว่าเกิดจากการกระทาของภูตผีหรื อวิญญาณชั่วร้ าย การรั กษาอาการทางจิตใจจึ งไม่ได้ ม่งุ สู่ความเข้ าใจ
มนุษย์ แต่ใช้ การสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระผู้เป็ นเจ้ า
แนวความคิดทางจิตวิทยา
12
Viewpoint Psychology
ลีโอนาโด ดา วินชี
ที่มาของภาพ: http://www.visi.
eom/~reuteler/vinci/self.jpg
เวซาเลียส
ที่มาของภาพ:http://academic.brooklyn.cuny.
edu/history/virtual/portrait/vesalius2.gif
แนวคิดเชิงปรั ชญา
ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) ค.ศ. 1561 – 1626
ฟ ร า น ซิ ส เบ ค อ น เป็ น นั ก ป ร า ช ญ์ รั ฐ บุ รุ ษ
นัก วิท ยาศาสตร์ นัก กฎหมาย และนัก เขี ย นชาวอังกฤษ เป็ น
อธิบดีศาลสูงสุดของอังกฤษ เบคอนเป็ นที่ร้ ู จกั ในฐานะผู้คิดค้ น
ป ระจั ก ษ์ นิ ย ม (empiricism) ซึ่ ง เชื่ อ ว่ า ค วาม รู้ เกิ ด จ า ก
ประสบการณ์ ทางประสาทสั ม ผั ส ทั ง้ 5 คื อ ตา หู จมู ก ลิ น้
ผิวหนัง เท่านัน้
ฟรานซิส เบคอน
ที่มาของภาพ: https://en.wikipedia.org/
wiki/Francis_Bacon#/media/File:Some
r_Francis_Bacon.jpg
แนวความคิดทางจิตวิทยา
14
Viewpoint Psychology
ผลงานด้ านวิทยาศาสตร์
ศตวรรษที่ 18 ได้ รั บ สมญาว่ า เป็ นยุ ค เรื อ งปั ญ ญา (The Age of Enlightenment) โดยนั บ แต่
ศตวรรษที่ 18 มีการเคลื่อนไหวใน 3 ด้ าน ซึง่ ถือว่าเป็ นรากฐานที่ทาให้ เกิดศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยาที่แยก
จากวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ (natural science) และปรั ชญา คือ ด้ านสรี รวิทยา ด้ านจิตฟิ สิกส์ และทฤษฎี
วิวฒ
ั นาการ
17
ปิ แอร์ ฌอง จอร์ ส คาบานิส (Pierre Jean Georges Cabanis) ค.ศ. 1757 - 1808
แพทย์ ผ้ ู นี ไ้ ด้ รั บ สมญาว่ า เป็ นบิ ด าของวิ ช าสรี ร ะจิ ต วิ ท ยา
ค า บ า นิ ส เป็ น นั ก ป ระ จั ก ษ์ นิ ย ม (empiricist) แ ล ะ วั ต ถุ นิ ย ม
(materialistic) คากล่าวของเขาซึง่ ถือเป็ นคติของกลุ่มประจักษ์ นิยมคือ
เรารู้ สกึ เราจึงมีอยู่ (We sense, we are)
คาบานิ ส เปรี ย บเที ย บการท างานของสมองกั บ หน้ าที่ ข อง
กระเพาะอาหารว่าสมองย่อยความประทับใจ (impressions) และเกิด
เป็ นผลพวง ความคิด คาบานิสเสนอสมมติฐานว่าปฏิกิริยาสะท้ อนเกิด ปิ แอร์ ฌอง จอร์ ส คาบานิส
ในระดับไขสันหลัง แต่การตอบสนองอื่น ๆ เกิดในระดับสูงขึ ้นคือมีการ ที่มาของภาพ: http://www.academie
francaise.fr/immortels/base/acad
สัง่ จากสมอง
emiciens/fiche.asp?param=280
แนวความคิดทางจิตวิทยา
18
Viewpoint Psychology
ฟรี ดดริก วิลเฮลม์ เบสเซล (Friedrich Wilhelm Bessel) ค.ศ. 1784 - 1846
นักดาราศาสตร์ ชาวเยอรมันท่านนี ้เป็ นผู้เริ่ มศึกษาเปรี ยบเทียบความ
แตกต่ างของนัก ดาราศาสตร์ แ ต่ล ะคนในเรื่ องการตัด สิ น เกี่ ย วกับ เวลาใน
ขณะที่ ตามองผ่านกล้ องดูดาวและหูฟั งเสียงนาฬิกาบอกเวลา เบสเซลได้
ทาการศึกษาอย่างเป็ นระบบ และพบว่านักดาราศาสตร์ ทุกคนรายงานเวลา
ต่างกัน เพื่อแก้ ไขจุดอ่อนนี เ้ บสเซลได้ กาหนดสูตรค่าสมการส่วนบุคคลขึน้
เพื่ อ ให้ สามารถตัด ค่ า แตกต่ า งระหว่ า งบุ ค คลออกในเวลาที่ ค านวณหา
ตาแหน่ง เบสเซลสันนิษฐานว่าค่าความแตกต่างระหว่างบุคคลนันคงที ้ ่
เฟคเนอร์ ได้ ประยุกต์วิธีการของ อี. เฮช. เวเบอร์ (E.H. Weber , ค.ศ. 1795 - 1878) และเสนอ
วิธีการกาหนดค่าหรื อปริ มาณเป็ นตัวเลขให้ แก่การรู้ สึกโดยทางอ้ อม เขาใช้ วิธีการให้ ผ้ ถู ูกทดลองเลือก
ว่าสิ่งใดในสอง สิ่งที่หนักกว่า หรื อเสียงใดดังกว่า โดยใช้ การจับคู่อย่างเป็ นระบบเพื่ อหาค่าที่ แท้ จริ ง
(Absolute values) และค่าความแตกต่างระหว่างของ 2 สิ่ ง และใช้ ก ารสังเกตว่าเมื่อไรบุคคลจึง
สามารถจะแยกแยะ หรื อ ไม่ ส ามารถแยกแยะความแตกต่ าง ดังนัน้ เราจึงสามารถค านวณหาค่ า
ความสัมพันธ์ ของสิ่งเร้ ากับความเข้ มของการรู้ สึก โดยทั่วไปคนจะเชื่ อว่าการรู้ สึกจะแปรตามสิ่งเร้ า
โดยตรง แต่เฟคเนอร์ กลับพบว่า S=K logR (เมื่อ K เท่ากับค่าคงที่) นัน้ คือ ความแตกต่างของสิ่งเร้ า
จะตรวจพบได้ ง่ายหากสิ่งเร้ าทังสองมี
้ ความเข้ มระดับปานกลางมากกว่าความเข้ มสูง เช่น การยกลูกตุ้ม
หนัก 10 ออนซ์จากลูกตุ้มหนัก 11 ออนซ์จะง่ายจากแยกน ้าหนัก 10 ปอนด์จาก 10 ปอนด์ 1 ออนซ์
ทฤษฎีวิวัฒนาการ
วิล เฮล์ ม แมกซิ มิ เลี ย น วุ นดท์ (Wilhelm Maximilian Wundt) เกิ ดเมื่อวัน ที่ 16 สิ งหาคม
ค.ศ. 1832 ที่เมืองบาเดน ประเทศเยอรมนี เป็ นบุตรคนที่ 4 ของนักสอนศาสนา แมกซิมิเลียน วุนดท์ และ
มาริ ก เฟเดริ ก บรรพบุรุษทัง้ 2 ฝ่ ายของครอบครัววุนดท์ต่างก็เป็ นพวกมีสติปัญญาสูง เป็ นนักวิทยาศาสตร์
นักวิชาการ ข้ าราชการ และแพทย์
ในระหว่างที่ ท างานกับ เฮล์ ม โฮลทซ์ วุน ดท์ เริ่ ม งานการสอนวิ ช าจิ ต วิ ท ยาโดยบรรยายเรื่ อ ง
"จิตวิทยาในฐานะที่เป็ นวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ" ในปี ค.ศ. 1862 เขามีงานเขียนอย่างต่อเนื่อง โดยงานชิ ้น
แรกของเขาคือ “Grundzüge der Physiologischen Psychologie” ซึ่งเนือ้ หามุ่งเรื่ องจิตวิทยาการทดลอง
ได้ ตีพิ มพ์ ในปี ค.ศ. 1873 และมีการพิ มพ์ ซา้ อีกหลายครั ง้ วุนดท์ ได้ รับ การเลื่อนตาแหน่ งทางวิชาการ
ตามลาดับขันและเข้
้ าสูว่ งการเมืองครัง้ หนึง่ ในฐานะนักสังคมนิยมจิตนิยม (Idealistic Socialist)
ในช่วง ค.ศ. 1875 ถึง ค.ศ. 1917 วุนดท์ ได้ รับตาแหน่งหัวหน้ าแผนกปรั ชญาที่ เมืองไลป์ซิก ที่
เมืองนีเ้ ขาตัง้ สถาบันจิ ตวิทยา (Psychology Institute) ขึน้ ในปี ค.ศ. 1879 โดยเริ่ มจากการเป็ นสถาบัน
ส่วนตัว วุนดท์ใช้ เงินทุนตนเองสนับสนุนการดาเนินงานของสถาบันนี ้จนถึง ปี ค.ศ. 1881 สถาบันแห่งนี ้ก็
ได้ รับการยอมรับวิทยฐานะให้ เป็ นมหาวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1855 และสามารถขยายจากห้ องเรี ยนห้ องเดียว
ย้ ายไปสู่ตกึ ที่ออกแบบโดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1897 ต่อมาตึกหลังนี ้ได้ ถูกทาลายไปในระหว่างสงครามโลก
ครัง้ ที่ 2
วุน ดท์ ได้ รับ การยกย่ องว่าเป็ นผู้ที่ ก่ อตัง้ จิ ตวิท ยาให้ เป็ นวิท ยาศาสตร์ ในปั จ จุบันนัก วิช าการมี
ความเห็ น ว่ า แนวความคิ ด ของวุ น ดท์ ต่ า งไปจากที่ เคยเชื่ อ กั น ว่ า เป็ นทวิ นิ ย ม (dualistic) เน้ นแยก
องค์ประกอบออกเป็ นส่วน ๆ (atomistic) ใช้ เฉพาะวิธีการพินิจจิต (purely introspective) และมุ่งอธิบาย
สิ่ ง ที่ อยู่ ใ นจิ ต ส านึ ก เนื่ องจากทฤษฎี และแนวคิ ด ของเขาถู ก น าไป รวมกั บ ของ เอ็ ด เวิ ร์ ด บี
ทิชเชเนอร์ ผู้เป็ นลูกศิษย์ซงึ่ นาแนวคิดและผลงานของเขามาแปลและเผยแพร่ ในสหรัฐอเมริ กา
ในบรรดาลูก ศิษ ย์ ข องวุน ดท์ ที่ มีส่ วนช่ วยก่ อตัง้ ให้ จิ ตวิท ยาเป็ นศาสตร์ ที่ ได้ รับ การยอมรั บ ใน
สหรัฐอเมริ กา ได้ แก่
วิลเฮล์ม วุนดท์ (นัง่ ) และเพื่อนร่ วมงาน ในห้ องปฏิบตั กิ ารด้ านจิตวิทยาการทดลองแห่งแรกมหาวิทยาลัยไลป์ซิก ประเทศเยอรมนี
ทีม่ าของภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/a/a3/Wundt-research-group.jpg
แนวความคิดทางจิตวิทยา
32
Viewpoint Psychology
เมื่อความตังใจของวุ
้ นดท์ในการทาให้ จิตวิทยาเป็ นวิทยาศาสตร์ ได้ เผยแพร่ เข้ าไปในสหรัฐอเมริ กา
โดยนั ก จิ ต วิ ท ยาชาวอเมริ กั น ที่ เคยได้ รั บ การฝึ กฝนในเยอรมนี จ ากวุน ดท์ ได้ มี บ ทบาทในการก่ อ ตัง้
ห้ องปฏิบตั ิการทางจิตวิทยาในหลายมลรัฐ ขณะเดียวกันได้ เกิดแนวคิดจิตวิทยาที่เน้ นการมองพฤติกรรม
ในรู ปแบบการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้ อม หรื อ จิตวิทยาการหน้ าที่ (Function Psychology) ซึง่ ให้ ความสาคัญ
กับกระบวนการคิด (mental process) มากกว่าเนื ้อหาความคิด (mental content) และเน้ นคุณค่าของการ
ใช้ ประโยชน์จากวิชาจิตวิทยา
ในส่วนของมหาวิทยาลัยชิคาโกมีนกั จิตวิทยา คือ จอห์น ดิวอี ้ (John Dewey, ค.ศ. 1859 - 1952)
เจมส์ แองเจล (James Angell, ค.ศ. 1869 - 1949) และฮาร์ วีย์ คาร์ (Harvey Carr, ค.ศ. 1873 - 1954)
ส่วนมหาวิ ท ยาลัย โคลัม เบี ย มี เจมส์ แมคคี น แคทเทล (James Mckeen Cattell, ค.ศ.1860 -
1944) เอ็ดเวิร์ด ลี ทอร์ นไดก์ (Edward Lee Thorndike, 1874 - 1949) โรเบิร์ด เอส วูดเวิร์ท (Robert S.
Woodworth, 1869 - 1962)
แนวคิ ด จิ ต วิ ท ยาการหน้ าที่ ค งอยู่ ใ นสหรั ฐ อเมริ ก าเพี ย งช่ ว งสั น้ ๆ นั ก ทฤษฎี บ างท่ า น
(Brennan,1991) ให้ ความเห็นว่า เราสามารถมองจิตวิทยาการหน้ าที่ได้ 2 ทาง คือ (1) จิตวิทยาการหน้ าที่
เปรี ยบเสมือนช่วงเปลี่ยนแปลงของสหรัฐอเมริ กาจากแนวคิดจิตวิทยาโครงสร้ างนิยมมาสูก่ ารเป็ นจิตวิทยา
พฤติกรรมนิยมหรื อ (2) อาจมองได้ ว่าแนวคิดจิตวิทยาการหน้ าที่ทาให้ จิตวิทยาเป็ นศาสตร์ ที่แข็งแกร่ งใน
สหรัฐอเมริ กา เพราะมีจุดประสงค์ในด้ านการประยุกต์ใช้ จึงทาให้ วงการศึกษาเกิดความสนใจในศาสตร์
จิตวิทยา
จิ ตวิท ยาเกสตอลต์ เป็ นแนวคิดที่ เกิ ดขึน้ ในประเทศเยอรมนี เพื่ อคัดค้ านการศึก ษาหรื ออธิ บ าย
กระบวนการทางจิ ต ของมนุ ษ ย์ อ อกเป็ นส่ ว นๆ ค าว่ า เกสตอลต์ (Gestalt) ไม่ ส ามารถแปลให้ เป็ น
คา ๆ เดียวได้ แต่หมายถึงรู ปแบบที่มีลกั ษณะเฉพาะ ความพยายามที่จะวิเคราะห์สว่ นย่อยแต่ละส่วนจะ
ทาให้ สูญเสียความหมายของสิ่งนัน้ ไป สิ่งที่เราเห็น เช่น วัตถุ รู ปร่ าง จะมีความแตกต่างจากผลรวมของ
ส่วนประกอบทัง้ หมดของมัน ตัวอย่ างเช่น รถยนต์ มีความหมายมากกว่าตัวถัง ล้ อ เพลา พวงมาลัย
เครื่ องยนต์ และชิ ้นส่วนอุปกรณ์ทกุ ชิ ้นรวมกัน เช่นเดียวกันกับ สี่เหลี่ยมจัตรุ ัสรู ปหนึง่ มีความเป็ นเอกลักษณ์
และคุณสมบัติเฉพาะของมัน ซึง่ เราจะไม่สามารถซาบซึ ้งหรื อเข้ าใจได้ เต็มที่หากเราเห็นว่ามันเป็ นเส้ นตรงสี่
เส้ นมาเชื่อมต่อกันเป็ นมุมฉาก จิตวิทยาเกสตอลต์เห็นว่าการพยายามอธิบายกระบวนการเรี ยนรู้ โดยแยก
ศึก ษาถึงสิ่ งที่ เกิ ด ขึน้ ในระดับ สรี รวิท ยาออกเป็ นส่วน ๆ จะไม่ช่ วยท าให้ เราเข้ าใจถึงสิ่งที่ เกิ ดขึน้ ในทาง
จิตวิทยาได้ จิตวิทยาเกสตอลต์เชื่อว่า สิ่งใด ๆ ก็ตามมีความหมายมากกว่าผลรวมของส่วนประกอบย่อย
แมกซ์ เวอร์ ไธเมอร์ ในปี ค.ศ.1910 เวอร์ ไธเมอร์ ได้ ความคิดที่จะทดลองเรื่ องการรับรู้
ที่มาของภาพ: การเคลื่ อนไหว (apparent movement) จากการเห็ น กล้ องฉายหนังของ
http://allpsy
ch.com/biographies/images/
เล่ น ที่ ป ระกอบขึ น้ อย่ า งง่า ย ๆ ในระหว่ า งที่ เขาเดิ น เที่ ย วสถาบั น ด้ า น
wertheimer.gif จิตวิทยาแห่งแฟรงก์เฟิ ร์ ต และขอยืมกล้ องของมหาวิทยาลัยนันเพื ้ ่อทดลอง
เรื่ องการเกิดภาพลวงตาเมื่อฉายภาพนิ่งด้ วยความเร็ ว สูง ในการนี ้ วอล์ฟกัง โคลเลอร์ และ เคิร์ท คอฟกา
ได้ เข้ ามาเป็ นผู้รับการทดลองของ เวอร์ ไธเมอร์ เรื่ องการรับรู้ การเคลื่อนไหวหลอก (phi phenomenon)
ในปี ค.ศ.1919 เวอร์ ไธเมอร์ ได้ ตี พิ ม พ์ ผ ลงานของเขา เรื่ อ ง “Experimental Studies of the
Perception of Movement” ซึ่งถื อเป็ นจุดเริ่ มต้ น ของจิ ตวิ ท ยาเกสตอลต์ เนื่ องจากงานวิจัยของเขาได้
ชี ้ให้ เห็นว่า การรับรู้ การเคลื่อนไหว เช่น การรับรู้ การเคลื่อนไหวหลอก เกิดจากปฏิสมั พันธ์ของผู้รับรู้ และตัว
สิ่งเร้ า ซึ่งไม่สามารถจะศึกษาตามวิธีของวุ น ดท์ คือศึกษาเฉพาะการที่ ผ้ ูถูกทดลองเห็นสิ่งเร้ าแต่ละส่วน
เท่านัน้
ในช่วงสงครามโลกครัง้ ที่ 1 เวอร์ ไธเมอร์ ได้ ทางานวิจยั ให้ แก่กองทัพ หลังจากสงครามโลกเขา
ได้ บรรยายให้ กับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง และได้ ดารงตาแหน่งศาสตราจารย์ ของมหาวิทยาลัยในแฟรงก์
เฟิ ร์ ตใน ค.ศ.1929
ในปี ค.ศ.1933 เขาได้ ลี ภ้ ัย นาซี จากเยอรมัน นี ม าที่ ป ระเทศสหรั ฐ อเมริ ก า โดยท าการสอนใน
มหาวิทยาลัยที่ เมืองนิ วยอร์ ก และในปี ค.ศ.1945 เวอร์ ไธเมอร์ ได้ ตีพิมพ์ เรื่ อง “Productive thinking”
โดยได้ นาเสนอแนวทางที่จะล่งเสริ มการพัฒนาวิธีการแก้ ปัญหาอย่างสร้ างสรรค์
เวอร์ ไธเมอร์ ได้ เผยแพร่ แนวคิดจิตวิทยาเกลตอลต์ในสหรัฐอเมริ กา จนได้ รับยกย่องว่าเป็ นผู้สร้ าง
แรงบันดาลใจให้ ชาวอเมริ กนั สนใจจิตวิทยาเกสตอลต์ นอกจากนี ้เขายังได้ ขยายขอบเขตของจิตวิทยาเกส
ตอลต์ที่เดิมสนใจเฉพาะปั ญหาเรื่ องการรับรู้ ไปสูก่ ระบวนการคิด แนวความคิดท้ ายสุดของเวอร์ ไธเมอร์ ก็
คือ จิตวิทยาการรู้ คิด
35
แนวคิด จิ ตวิเคราะห์ เริ่ มต้ น ในช่วงต้ น ศตวรรษที่ 19 ผู้ก่ อตัง้ คือ ซิ กมั นด์ ฟรอยด์ (Sigmund
Freud ค.ศ.1856 - 1939) แพทย์ด้านประสาทวิทยาชาวออสเตรี ย
ซิกมันด์ ฟรอยด์
ที่มาของภาพ : https://cdn.britannica.com/s:300x300/29/59229-004-4C758356.jpg
แนวความคิดทางจิตวิทยา
38
Viewpoint Psychology
ในช่วงการก่อตังศาสตร์
้ จิตวิทยา วิลเฮล์ม วุนด์ และวิลเลียม เจมส์ นักจิตวิทยาผู้มีบทบาทถือว่า
จิตวิทยาเป็ นวิทยาศาสตร์ ของจิต โดยให้ ความสาคัญกับการศึกษาสิ่งที่อยู่ในจิตสานึก (Consciousness)
ในขณะต่อมา ฟรอยด์เปลี่ยนมาให้ ความสาคัญกับการศึกษาทังจิ ้ ตไร้ สานึก และจิตสานึก
ก่ อ นสงครามโลกครั ง้ ที่ 1 แนวคิ ด พฤติ ก รรมนิ ย มได้ พัฒ นาขึ น้ ซึ่งนิ ย ามของจิ ตวิ ท ยาได้ ถู ก
เปลี่ยนเป็ นวิทยาศาสตร์ ด้านพฤติกรรม ซึง่ อาจถือได้ ว่า จิตวิทยาได้ เปลี่ยนจากจิตนิยม (mentalism) มา
เป็ นพฤติกรรมนิยม (behaviorism) โดยมีพื ้นฐานมาจากงานของอิวาน พาฟลอฟ และวลาดีมีร์ เบฮ์เจเรฟ
แนวคิดพฤติกรรมนิยม มุ่งการทานาย ควบคุม อธิบาย หรื อกาหนดรู ปแบบพฤติกรรม เพื่อที่จะ
อธิ บายถึงสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมต่าง ๆ โดยกลุ่มพฤติกรรมนิยมเสนอให้ ใช้ การสังเกตพฤติกรรม
ภายนอก ที่สามารถวัดและสังเกตเห็นได้
ผู้ก่อตังแนวคิ
้ ดพฤติกรรมนิยมได้ แก่ จอห์น บี วัตสัน และ บี เอฟ สกินเนอร์
จอห์ น บี วั ต สั น นั ก จิ ต วิ ท ยาชาวอเมริ กั น จบ
การศึกษาในระดับปริ ญ ญาเอกจากมหาวิทยาลัยชิคาโก้ และ
ทางานเป็ นอาจารย์สอนและวิจยั เกี่ยวกับสัตว์ในห้ องปฏิบตั ิการ
ทางจิตวิทยา
วัตสันเป็ นผู้วางรากฐานพฤติกรรมนิยม และเป็ นผู้นา
หลักการและทฤษฏีมาใช้ อย่างกว้ างขวางในสหรัฐอเมริ กา โดย
ได้ รับแนวคิดมาจากการทดลองของ อิวาน พาฟลอฟ และจาก
จอห์ น ล็อค นักปรั ชญาชาวอังกฤษ ซึ่งเสนอว่าจิ ตมนุษย์ แรก จอห์ น บี วัตสัน
ที่มาของภาพ : https://www.quien.net/wp-
เกิดนัน้ ว่างเปล่า ประสบการณ์ จากการเลี ้ยงดูและสิ่งแวดล้ อม
content/uploads/John-Broadus-Watson-
(nurture) เป็ นสิ่งกาหนดการรับรู้ ตวั ตน (self) 300x298.jpg
แนวความคิดทางจิตวิทยา
40
Viewpoint Psychology
อัลเบิร์ต แบนดูรา
ที่มาของภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia
/commons/thumb/c/cc/Albert_Bandura_Psychologist.
jpg/800px-Albert_Bandura_Psychologist.jpg
43
คาร์ ล รอเจอรส์
ที่มาของภาพ : https://cdn.britannica.com
/s:300x300/34/38434-004-065E4D77.jpg
แนวความคิดทางจิตวิทยา
44
Viewpoint Psychology
Physiological Need
ความต้ องการทางสรี ระ
ความก้ าวหน้ าทางเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์ เน็ต ยังเป็ นส่วนสาคัญ ที่ทาให้ เกิดการ
เปลี่ยนแปลงทังในการศึ
้ กษาวิจยั และการทางานของนักจิตวิทยา ในส่วนของการวินิจฉัย การบาบัดรักษา
และการให้ บริ การทางจิ ตวิทยา นักวิชาชี พจิตวิทยายังต้ องตระหนักถึงความสาคัญ กับปั จจัยด้ านความ
หลากหลายทางสังคม-วัฒ นธรรมเพิ่ มมากขึน้ เช่น เพศสภาพ ชาติพันธุ์ เศรษฐานะ ความพิ ก ารและ
ข้ อจากัดของบุคคล
การศึกษาด้ านชี วะ-จิต วิทยาได้ พัฒ นาขึน้ อย่างมาก ความก้ าวหน้ าทางเทคโนโลยี และศาสตร์
การแพทย์ ยังช่วยให้ นักจิ ตวิทยา นักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัยทาการศึ กษาสมองและระบบประสาทได้
ก้ าวหน้ ายิ่งกว่าที่ เคยเป็ นมา การพั ฒนาของ PET scan MRI scan functional MRI (fMRI) scan ช่วย
ให้ นกั วิทยาศาสตร์ เข้ าใจโครงสร้ างการทางานของสมองได้ ดียิ่งขึน้
งานด้ านชี ว ะ-จิ ต วิ ท ยา (Biopsychology) มุ่ ง เน้ นการศึ ก ษาสาเหตุ ท างกายภาพ (Physical
cause) ว่ามีความสัมพันธ์ตอ่ พฤติกรรมและกระบวนการทางานของจิตใจอย่างไร เช่น การศึกษาพันธุกรรม
(Genetics) ชี ว เคมี (Biochemical) และระบบประสาทและสมอง ซึ่ งมี ชื่ อ เรี ย กเฉพาะเป็ นประสาท
จิตวิทยา (Neuropsychology)
คอนราด ลอเรนซ์
ที่มาของภาพ : https://klf.univie.ac.at/
research/history/konrad-lorenz/
มนุษย์ป้อนข้ อมูลเพื่อสัง่ การ มีความสามารถในการรู้ คิด เช่น การคิด การแก้ ปัญหา การตัดสินใจ และการ
เรี ย นรู้ สิ่ งใหม่ด้วยตนเอง เป็ นต้ น และเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น สามารถเคลื่อนไหว โต้ ตอบ
สื่อสาร และมีประสาทรับสัมผัสเหมือนมนุษย์
การพัฒ นาปั ญ ญาประดิษฐ์ เป็ นประโยชน์ อย่างมหาศาล ทัง้ ในทางการแพทย์ และการอานวย
ความสะดวกในชีวิตประจาวัน ในด้ านจิตวิทยาสามารถนาปั ญญาประดิษฐ์ มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล
ขนาดใหญ่ ทางสังคม (Big Data) ช่วยในการวินิจฉัยโรคเบื อ้ งต้ น การสร้ างโปรแกรมปรั บและติดตาม
พฤติกรรม เช่น การออกกาลังกาย การนอนหลับ การดื่มน ้า รวมไปถึงการจัดการความวิตกกังวลและความ
เศร้ า
ผู้มีบทบาทในแนวคิดการรู้ คิด ได้ แก่
ทฤษฎีองค์การ
นอม ชอมสกี ้ อารอน เบค (Aaron Temkin Beck : ค.ศ. 1921 – ปั จจุบนั )
ที่มาของภาพ : https://www.britannica.
com/biography/NoamChomsky/med จิ ตแพทย์ ช าวอเมริ กัน ผู้ได้ รับ ยกย่ อ งให้ เป็ นบิ ดาด้ านการ
ia/1/114218/232747
บ าบัดแบบรู้ คิด (Cognitive therapy) เป็ นผู้น าในการบ าบัด โรค
ซึมเศร้ า และวิตกกังวล เขาได้ พัฒ นาแบบรายงานตนเอง Beck
Depression Inventory (BDI) ซึ่ง ใช้ ประเมิ น อาการซึม เศร้ าด้ ว ย
ตนเองมาจนถึ ง ปั จจุ บั น และผสานแนวคิ ด การรู้ คิ ด เข้ ากั บ
พฤติ ก รรมบ าบั ด เกิ ด เป็ นการบ าบั ด พฤติ ก รรมผ่ า นการรู้ คิ ด
(Cognitive Behavior Therapy)
แนวคิ ด ที่ ส าคั ญ ของกลุ่ ม พฤติ ก รรมนิ ย มคื อ พฤติ ก รรมของมนุ ษ ย์ ทั ง้ พฤติ ก รรมภายใน
และพฤติกรรมภายนอก เกิดจากการเรี ยนรู้ ซึง่ อาจเป็ นพฤติกรรมที่เหมาะสม (Adaptive Behavior) หรื อไม่
เหมาะสม (Maladaptive Behavior) ก็ได้ พฤติกรรมที่ ไม่เหมาะสมสามารถปรั บแก้ หรื อเปลี่ยนแปลงได้
โดยการทาให้ เกิดการเรี ยนรู้ ใหม่ การเสริ มแรง (reinforcement) เป็ นปั จจัยสาคัญที่ทาให้ เกิดกระบวนการ
เรี ยนรู้
มาช่ า ลินแฮน
ที่มาของภาพ : http://grawemey
er.org/wpcontent/uploads/2016/
11/Marsha-Linehan-2014-jpg-
e1479919746738.jpg
centered) และในด้ านการเมืองการปกครอง เกิ ดความตระหนัก ถึงการให้ ค วามส าคัญ กับ การเคารพ
คุณค่า ศักดิ์ศรี การเป็ นมนุษย์ และสิทธิมนุษยชน (Human right)
แนวคิดปรัชญาอัตถิภาวะนิยม มาจากกลุ่มนักคิดชาวยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยแนวคิดนี ้เชื่อ
ว่า มนุษย์ ต้องการความสัมพันธ์ และการมีความหมายต่อผู้อื่น แต่สุดท้ ายจะต้ องตระหนักว่าคุณค่าของ
ตนเองต้ องมาจากการยอมรับตนเอง แนวคิดนี ้ถูกนามาใช้ โดยนักจิตบาบัดในศตวรรษที่ 20 โดยผู้บาบัด
ต้ องเข้ าใจถึงปรัชญาชีวิตของผู้รับการบาบัด และช่วยให้ ผ้ ูรับการบาบัดตระหนักถึงเสรี ภาพในการเลือก
ดาเนินชีวิต การตัดสินใจ และรับผิดชอบต่อการเลือกของตนเอง ผู้บาบัดในแนวคิดนี ้ได้ แก่ ไอร์ วิน ดี ยา
ลอม (Irvin D. Yalom : 13 June 1931 – ปั จจุบนั ) จิตแพทย์ชาวอเมริ กนั
แนวคิ ด ทั ง้ 2 กลุ่ ม นี ้ ได้ น าไปสู่ แ นวทางการศึ ก ษาวิ จั ย เชิ ง คุ ณ ภาพ (qualitative research
methodology) ซึง่ ให้ ความสาคัญกับการเข้ าใจสนามประสบการณ์ชีวิตของบุคคล
เมื่อมาร์ ติน เซลิกแมน ได้ รับเลือกเป็ นประธานสมาคมจิตวิทยาชาวอเมริ กนั ในปี ค.ศ.1998 และ
กาหนดเป้าหมายการทางานในวาระของตนเองให้ มงุ่ ดูแลและส่งเสริ มคนทัว่ ไปในสังคมมากกว่าเน้ นเฉพาะ
โรคทางจิตเวช และเกิดการประชุมนานาชาติหวั ข้ อจิตวิทยาเชิงบวกครัง้ แรกในปี ค.ศ. 2002 และเริ่ มเป็ นที่
รู้ จกั โดยทัว่ ไปเมื่อมหาวิทยาลัยฮาร์ วาร์ ดมีการสอนวิชาจิตวิทยาเชิงบวกในปี ค.ศ. 2006 และมีการประชุม
the First World Congress on Positive Psychology ขึ ้นที่มหาวิทยาลัยเพนซิเวเนีย ในปี ค.ศ.2009
แนวคิดจิ ตวิทยาทางบวกมุ่งเน้ นพั ฒ นาเทคนิ คการบ าบัดที่ ส่งเสริ มความเป็ นอยู่ที่ดีของบุคคล
มากกว่าการมุ่งหาวิธีการบรรเทาโรคทางจิตเวช ให้ ความสาคัญกับ อารมณ์ ทางบวก (positive emotions)
สุขภาพจิตที่ดี ลักษณะบุคลิกภาพทางบวก (positive individual traits) และความเป็ นอยู่ที่ดีของมนุษย์
(well-being) รวมไปถึงการสนับ สนุน สถาบัน ทางสังคมที่ ให้ การช่วยเหลือบุคคลและชุมชนให้ มีความ
เป็ นอยู่ที่ดียิ่งขึ ้น
หัวข้ อความสนใจของจิตวิทยาทางบวก ได้ แก่ ความสุขของบุคคล (Personal happiness) การ
มองโลกในแง่ดี (Optimism) ความสร้ างสรรค์ (Creativity) ความสามารถในการฟื น้ ตัวเมื่อเผชิญความ
ยากลาบาก (Resilience) จุดแข็ง (Character strengths) และปั ญญา (Wisdom)
ไดเซ็ตซึ เทอิทาโร ซูซูกิ (Daisetsu Teitaro Suzuki : ค.ศ. 1870 – 1966) ผู้เขียนและเผยแพร่แนวคิด
พุท ธศาสนานิ ก ายเซ็น (ZEN) และนิ ก ายสุข าวดี เป็ นจานวนมาก โดยหนังสื อ ที่ ส าคัญ ของเขาชื่ อ “An
Introduction to Zen Buddhism” ซึง่ คาร์ ล กุสตาฟ จุงเขียนคานิยมให้ ในปี ค.ศ. 1957 เขาได้ ร่วมกับ คา
เรน ฮอร์ นาย (Karen Horney) และ อีริค ฟรอมม์ (Erich Fromm : ค.ศ. 1900-1980) และนักจิตวิเคราะห์
อีกหลายท่านจัดงานสัมมนาปฏิบตั ิการหัวข้ อ "Zen Buddhism and Psychoanalysis" ที่ประเทศเม็กซิโก
โยชิ โมโต ไอชิ น (Yoshimoto Ishin : ค.ศ. 1916 - 1988) ผู้พัฒ นาการท าสมาธิ แ บบไนกัน
(Naikan) เป็ นแนวทางบ าบัดที่ พัฒ นามาจากพุท ธศาสนานิ ก ายโจโด (Jodo Shinshu) หรื อ
สุขาวดี (Pure land Buddhism) เน้ นการสารวจตนเองจากภายใน ทาให้ บุคคลตระหนักใน
ความเกื ้อหนุนที่ได้ รับจากสิ่งรอบตัว และตระหนักถึงความสัมพันธ์ที่ตนเองมีตอ่ คนรอบข้ าง
ในปั จจุบัน นอกจากงานด้ านการบาบัดแล้ วได้ มีการนาการฝึ กสติ (mindfulness) มาใช้ ในงาน
จิตวิทยาอย่างแพร่ หลายมากขึ ้น เช่น ด้ านส่งเสริ มพัฒนาการเด็ก การส่งเสริ มสมดุลชีวิตและการทางาน
การเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยเรื อ้ รังและระยะสุดท้ าย เป็ นต้ น
เลฟ ไวกอตสกี ้ นัก จิ ตวิ ท ยาชาวรั ส เชี ย ซึ่ง ศึก ษาด้ านพัฒ นาการเด็ ก และด้ านการศึก ษาใน
ช่วงเวลาใกล้ เคียงกับ ฌอง เพียเจท์ แต่ทฤษฏีของเขาไม่เป็ นที่ร้ ู จกั ในช่วงที่เขายัง มีชีวิตอยู่ งานของเขาให้
ความสาคัญกับพัฒนาการทางภาษาและศิลปะ ไวกอตสกีม้ ีความเห็นว่า กระบวนการเรี ยนรู้ ทักษะของ
เด็กไม่ได้ เกิดขึ ้นเอง แต่จะต้ องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้อื่นอันได้ แก่ พ่อแม่ ครู ผู้ใหญ่ใกล้ ชิด และเพื่อน
ในวัยเดียวกัน การเรี ยนรู้ ของเด็กเกิดขึ ้นอย่างค่อยเป็ นค่อยไปและต่อเนื่อง สิ่งที่เรี ยนรู้ อาจแตกต่างกันไป
ตามวัฒนธรรม
แคโรล แกลิ แ กน นัก จิ ต วิ ท ยาชาวอเมริ กัน ในสายสตรี นิ ย ม (Feminist Psychology) ผู้ เสนอ
คาอธิบายโต้ แย้ งกับทฤษฏีพฒั นาการทางจริ ยธรรมของ ลอว์เรนซ์ โคลเบิร์ก (Lawrence Kohlberg) ที่บอก
ว่าผู้ห ญิ งมี พัฒ นาการทางจริ ย ธรรมไปไม่ ถึงขัน้ สูงสุดเท่ าผู้ช าย โดยเธอเห็ น ว่า ผู้ห ญิ งมีมุมมองด้ าน
จริ ยธรรมที่ แตกต่างจากผู้ช าย ผู้ห ญิ งให้ ความสาคัญ กับ ความรั บ ผิ ดชอบและความสัมพัน ธ์ ซึ่งเป็ น
จริ ยธรรมในด้ านการดูแล (ethics of care) ในขณะที่ ผ้ ูชายให้ ความสาคัญ กับความยุติธรรม (ethics of
justice)
รวมทังการเป็
้ นสื่อกลางการประสานงานระหว่างองค์กรต่าง ๆ นักวิชาชีพ นักวิชาการ ชุมชนและสังคม
เพื่อให้ เกิดความร่ วมมือในการแก้ ไขปั ญหา ตัวอย่างเช่น ช่วยองค์กรกาหนดนโยบายลดการใช้ พลังงาน
คิดโครงการสร้ างแรงจูงใจลดการใช้ พลาสติก
2. บทบาทในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
นักจิตวิทยามีทางานด้ านสุขภาพ มีบทบาทต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยเฉพาะ
กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื อ้ รัง (Chronic Pain) โรคไม่ติดต่อเรื อ้ รัง ได้ แก่ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด
สมองและหัวใจ โรคความดัน โลหิ ตสูง โรคถุงลมโป่ งพอง โรคมะเร็ ง โรคอ้ วนลงพุง ซึ่งเป็ นปั ญ หา
สุขภาพที่รบกวนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การใช้ ยาเพื่อรักษาอาการของโรคเหล่า นี ้ ไม่ได้ แก้ ปัญหาอย่าง
แท้ จริ ง และการใช้ ยาแก้ ปวดกลุ่มมอร์ ฟีนซึ่งเป็ นสารเสพติดเพื่อลดอาการปวด ก่อให้ เกิดปั ญหาใหม่เช่น
การเสพติด และโรคที่ เกิ ดจากการใช้ ยา ซึ่งถื อเป็ นภาระงบประมาณด้ านสาธารณสุขที่ สาคัญ ในทุก
ประเทศ ทาให้ เกิดความต้ องการในการบาบัดรักษาผู้ป่วยโดยไม่ใช้ ยา
นักจิตวิทยาด้ านสุขภาพจึงมีบทบาทในการให้ ความรู้ ทางจิตวิทยา(Psychoeducation) และสร้ าง
แรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การสอนทักษะการดูแลตนเอง การฝึ กทักษะการผ่อนคลายและการ
จัดการความเครี ยด
3. บทบาทด้ านการดูแลผู้สูงอายุ และผู้ป่วยระยะยาว (Long-Term care)
เนื่องจากคนมีอายุยืนยาวขึ ้น ผู้สงู อายุจงึ มีมากขึ ้น การดูแลสุขภาพและสวัสดิการผู้สงู วัยจึงเป็ น
ประเด็นสาคัญของสังคมยุคใหม่ นักจิตวิทยาจึงมีบทบาทในการจัดกิจกรรมสาหรับผู้สงู วัยในชุมชน
โรงพยาบาล หรื อสถานดูแลผู้สงู วัย การให้ ความรู้ แก่ครอบครัว การดูแลสุขภาพของผู้สงู วัยและผู้ดแู ล
รวมถึงการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยติดเตียง และการเตรี ยมตัวตาย
4. บทบาทด้ านจิตวิทยาการกีฬา
กีฬาในปั จจุบนั ไม่ได้ เป็ นเพียงการนันทนาการเท่านัน้ แต่สามารถเป็ นอาชีพที่นาไปสู่ชื่อเสียงและ
รายได้ อาชีพนักกีฬาจึงกลายเป็ นที่นิยม แม้ วา่ อาชีพนี ้จะมีวงจรชีวิตที่สนั ้ และอาจนามาซึง่ อาการเจ็บป่ วย
และปั ญหาสุขภาพเรื อ้ รัง
นักจิตวิทยาการกีฬามีส่วนในการดูแลสุขภาพจิตของนักกีฬา เช่น การจัดการความวิตกกังวลและ
ความเครี ยดในช่วงการแข่งขัน ประเด็นอ่อนไหวส่วนบุคคลของนักกีฬา ปั ญหาการใช้ ความรุ นแรงแล ะ
อารมณ์โกรธ รวมถึงประเด็นการคุกคามทางเพศซึง่ นักกีฬาอาจเป็ นผู้กระทาหรื อถูกกระทา
61
5. บทบาทการดูแลด้ านโภชนาการ
อาหารและโภ ชน าการมี ผลต่ อ สุ ข ภ าพ จิ ต ดั ง ค ากล่ า วที่ ว่ า “You are what you eat”
นัก จิ ต วิ ท ยามี บ ทบาทเป็ นหนึ่ งในที ม สุข ภาพ เพื่ อ ปรั บ ทัศ นคติ ในเรื่ อ งอาหาร ปรั บ เปลี่ ย นนิ สัย การ
รับประทานอาหาร ปรับนโยบายอาหารกลางวันของโรงเรี ยนและองค์กร
สาขาของวิชาจิตวิทยา
สมาคมจิ ตวิท ยาอเมริ กัน ปั จ จุบัน ประกอบด้ วยสมาชิ ก 54 กลุ่มสาขา (divisions) ซึ่งเป็ นการ
รวมกลุ่มตามความสนใจและการปฏิบตั ิงานของสมาชิก โดยเมื่อเริ่ มต้ นในปี ค.ศ. 1944 สมาคมมีสมาชิก
19 กลุม่ สาขา และเนื่องจากมีการยกเลิกและควบรวมของบางกลุ่ม จึงเหลือ 17 กลุ่มสาขา (Psychometric
Society ซึ่ง เป็ นกลุ่ ม สาขาที่ 4 ตัด สิ น ใจไม่ เข้ า ร่ วม และกลุ่ ม สาขาที่ 11 Abnormal Psychology and
Psychotherapy ไปรวมกับกลุม่ สาขาที่ 12 Clinical Psychology)
จานวนของกลุ่มสาขาเพิ่มขึ ้นอย่างช้ า ๆ ในช่วงปี ค.ศ. 1960 มีกลุม่ สาขาเพิ่มขึ ้นอีก 3 กลุ่ม และ
จากช่วงปี ค.ศ. 1960 ถึง ค.ศ. 2007 มีกลุม่ สาขาเพิ่มขึ ้นอีก 34 กลุม่ รวมในปั จจุบนั มีทงสิ
ั ้ ้น 54 กลุม่ สาขา
กลุ่ ม สาขาที่ เกิ ด ขึ น้ ใหม่ สะท้ อนให้ เห็ น ถึ ง การเติ บ โตของการท างานด้ านจิ ต วิ ท ยา เช่ น
กลุ่มสาขาที่ 50 จิตวิทยาการเสพติด (Society of Addiction Psychology) และบางกลุม่ แสดงถึงประเด็น
ทางสังคมที่ ได้ รั บ ความสนใจเพิ่ ม มากขึน้ เช่ น กลุ่ ม จิ ต วิ ท ยาผู้ ห ญิ ง (Society for the Psychology of
Women)
63
เนื่ องจากการแปลชื่ อ สาขาต่างๆของสมาคมจิ ตวิท ยาอเมริ กัน อาจไม่ส ามารถสื่ อได้ ตรงตาม
ความหมายและวัต ถุ ป ระสงค์ ข องกลุ่ ม ได้ ชั ด เจนเพี ย งพอ จึ ง ขอแสดงรายชื่ อ แต่ ล ะ สาขาตามชื่ อ
ภาษาอังกฤษ
สมาคมจิตวิทยาอเมริ กนั 54 สาขา โดยเรี ยงตามตัวเลข
การจัดตัง้ องค์กรด้านจิตวิทยา
ในหลาย ๆ ประเทศได้ มีการจัดตังองค์
้ กรด้ านจิตวิทยาขึน้ โดยมีวตั ถุประสงค์ คล้ ายคลึงกัน คือ
เพื่ อเป็ นศูน ย์ รวมของนักวิชาชี พ และนักวิชาการด้ านจิ ตวิท ยา เผยแพร่ ความรู้ ให้ แก่ส าธารณะ ส่งเสริ ม
ความก้ าวหน้ าด้ านวิชาการ การศึกษา การวิจยั และยกระดับมาตรฐานวิชาชีพ โดยในบางประเทศองค์กร
ด้ านจิตวิทยาจะมีบทบาทในการกากับดูแลนักวิชาชีพ การขึน้ ทะเบี ยนและการออกใบอนุญาตประกอบ
วิชาชี พนักจิตวิทยาตามกฎหมาย ซึ่งเป็ นประโยชน์ คือ (1) ปกป้องคุ้มครองผู้รับบริ การด้ านจิตวิทยาให้
ได้ รับบริ การโดยนักวิชาชีพที่มีความรู้ ความสามารถ (2) ก่อให้ เกิดสร้ างความเชื่อมัน่ ในวิชาชีพนักจิตวิทยา
สมาคมจิ ต วิ ท ยาอเมริ กั น ก่ อ ตั ง้ ขึ น้ ในปี ค.ศ. 1892 โดยมี ส มาชิ ก เริ่ ม แรก 31 คน และ
จี . สแตนลี ย์ ฮอล เป็ นประธานสมาคมคนแรก สมาคมจั ด การประชุ ม ครั ง้ แรกในเดื อ นธั น วาคม
ปี ค.ศ. 1892 ที่มหาวิทยาลัยแพนซิลเวเนีย
การก่อตังสมาคมจิ
้ ตวิทยาอเมริ กนั เป็ นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครัง้ ใหญ่ที่เกิดขึ ้นในประเทศ
สหรัฐอเมริ กาในขณะนัน้ ได้ แก่
สมาชิกของสมาคม
สมาชิกของสมาคมแบ่งเป็ น 9 ประเภท ตามคุณสมบัติของสมาชิก คือ
1. สมาชิ ก (Member) ต้ องเป็ นผู้จ บการศึก ษาระดับ ปริ ญ ญาเอกด้ านจิ ตวิท ยาหรื อสาขาที่
เกี่ ย วข้ องจากสถาบัน การศึก ษาที่ ได้ รับ การรั บ รองระดับ ภู มิภ าค (regionally accredited
institution)
2. สมาชิกสมทบ (Associate) ผู้จบการศึกษาระดับปริ ญ ญาโท หรื อกาลังศึกษาปริ ญ ญาโท
มาแล้ วอย่างน้ อย 2 ปี ในด้ านจิตวิทยาหรื อสาขาที่เกี่ยวข้ อง จากสถาบันการศึกษาที่ได้ รับการ
รับรองระดับภูมิภาค
3. สมาชิ ก สมทบจากนานาชาติ (International Affiliate) ต้ องเป็ นผู้ เป็ นสมาชิ ก สมาคม
จิตวิทยาในประเทศที่ตนอาศัยอยู่ หรื อต้ องแสดงหลักฐานว่ามีคณ ุ สมบัติเหมาะสม
69
เว็บไซต์ ทางการของสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน
ที่มา : https://www.apa.org เข้ าถึงเมื่อ 4 ตุลาคม 2561
ตัวอย่ างวารสารวิชาการของสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน
ที่มา : https://www.apa.org/pubs/journals/browse.aspx?query=Title:*&type=journal
สมาคมจิ ตวิท ยาแคนาดา เป็ นองค์ กรที่ จัดตัง้ ขึน้ ตัง้ แต่ปี ค.ศ. 1939 และได้ รับ การรั บ รองตาม
กฎหมายในปี ค.ศ. 1950 เพื่อเป็ นตัวแทนของนักจิตวิทยาทัว่ ทังแคนาดา ้ โดยทางานร่ วมกับองค์กรด้ าน
สุขภาพ สุขภาพจิ ต การศึกษา และการวิจัย ภายในประเทศแคนาดา และสมาคมนักจิ ตวิทยาอเมริ กัน
(APA) นอกจากนี ส้ มาคมยังมี ส่วนเกี่ ยวข้ องกับ การเตรี ย มความพร้ อมและการรั บ มือในสถานการณ์
ฉุกเฉิน หรื อภัยพิบตั ิ ทังในประเทศแคนาดา
้ และระดับนานาชาติ
ตราสัญลักษณ์ สมาคมจิตวิทยาแคนาดา
ที่มา : https://www.cpa.ca
วัตถุประสงค์ ของสมาคมจิตวิทยาแคนาดา
1. ส่งเสริ มด้ านสุขภาพและความเป็ นอยู่ที่ดีของชาวแคนาดา
2. สนับสนุนความเป็ นเลิศและผลงานสร้ างสรรค์ในการวิจัย การศึกษา และการดาเนินงาน
ด้ านจิตวิทยา
3. ส่งเสริ มความก้ าวหน้ าและพัฒนาการในการประยุกต์ใช้ ความรู้ ทางจิตวิทยา
4. ให้ บริ การที่มีคณ
ุ ภาพแก่สมาชิก
สมาชิกของสมาคมจิตวิทยาแคนาดา
สมาชิ ก ของสมาคมจิ ต วิ ท ยาแคนาดา ซึ่ง เป็ นนั ก จิ ต วิ ท ยาที่ อ าศัย ในประเทศแคนาดา หรื อ
สหรัฐอเมริ กา โดยแบ่งออกได้ เป็ น 3 ประเภท ได้ แก่
73
เว็บไซต์ ทางการของสมาคมจิตวิทยาแคนาดา
ที่มา : https://www.cpa.ca/
วารสารวิชาการของสมาคมจิตวิทยาแคนาดา
ที่มา : http://psycnet.apa.org/PsycARTICLES
75
แม็กกาซีน Psynopsis
การประกอบวิชาชีพและใบอนุญาตประกอบวิชาชีพในแคนาดา
ในแคนาดา การให้ บ ริ ก ารด้ า นจิ ต วิ ท ยาจะถู ก คุ้ ม ครองโดยกฎหมาย ผู้ ที่ จ ะเรี ย กตนเองว่ า
นักจิตวิทยา หรื อ ให้ บริ การที่ เกี่ ยวข้ องกับจิตวิทยา จะต้ องเป็ นสมาชิ กของสมาคมนักจิ ตวิทยาและต้ อง
ได้ รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ (License) โดยในแต่ละจังหวัดและเขตปกครองของประเทศแคนาดาจะ
มี ส ม าค ม จิ ต วิ ท ย าใน ท้ อ งถิ่ น เป็ น ส่ วน ที่ ก ากั บ ดู แ ล ก ารอ อ ก ใบ อนุ ญ าต ป ระก อ บ วิ ช าชี พ
โดยมี เกณฑ์ ส อดคล้ องกั บ สมาคมจิ ต วิ ท ยาแคนาดา เพื่ อ เป็ นการคุ้ มครองสาธารณะว่ า เฉพาะ
ผู้มีคณุ สมบัติเหมาะสมเท่านันจึ ้ งจะสามารถให้ บริ การด้ านจิตวิทยาได้ ซึง่ นอกจากจะต้ องจบการศึกษาใน
ระดับปริ ญ ญาเอกหรื อปริ ญ ญาโท (ตามข้ อกาหนดในแต่ละพื น้ ที่ ) แล้ ว ยังต้ องมีประสบการณ์ ทางาน
ภายใต้ การควบคุมดูแลของนักจิตวิทยาอาวุโส (supervisor) อย่างน้ อย 1 ปี และต้ องผ่านการสอบข้ อเขียน
และการสอบสัมภาษณ์ ปากเปล่าทังในด้ ้ านการปฏิบตั ิงานและด้ านจรรยาบรรณ เมื่อได้ รับการขึ ้นทะเบียน
ผู้รับใบประกอบวิชาชี พจิตวิทยาในเขตหรื อจังหวัดใดแล้ ว หากมีการย้ ายถิ่นที่อยู่ข้ามเขตหรื อจังหวัด ผู้
ประกอบวิชาชีพนักจิตวิทยาต้ องปฏิบตั ิตามข้ อกาหนดของสมาคมจิตวิทยาที่กากับดูแลในพื ้นที่ใหม่ที่ตนจะ
ย้ ายไป
แนวความคิดทางจิตวิทยา
76
Viewpoint Psychology
ตราสัญลักษณ์ HCPC
ที่มา : http://www.hcpc-uk.org/
ตราสัญลักษณ์สมาคมจิตวิทยาอังกฤษ
ที่มา : https://www.bps.org.uk/
สมาคมจิ ต วิ ท ยาอังกฤษ (British Psychological Society : BPS) เดิ ม เป็ นองค์ ก รที่ ท าหน้ าที่
ควบคุมดูแลนักจิตวิทยาในสหราชอาณาจักร แต่เนื่องจากสมาคมนี ้ดาเนินการในรู ปแบบเป็ นองค์กรการ
กุ ศ ล ท าให้ มี ข้ อ จ ากัด ในการด าเนิ น งานบางประการ เช่ น ไม่ ส ามารถด าเนิ น กิ จ กรรมด้ า นการเมื อ ง
นอกจากนี ้ องค์กรมีสมาชิกทังที ้ ่เป็ นนักจิตวิทยาและอาจารย์ผ้ สู อนจิตวิทยา ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง
ท างก ารเมื อ ง แล ะมี ก ารออ ก พ .ร.บ . “The National Health Service Reform and Health Care
Professions Act 2002” ซึง่ ทาให้ สภาวิชาชีพด้ านสุขภาพและการดูแล ได้ กลายเป็ นหน่วยงานที่ทาหน้ าที่
กากับดูแลการประกอบวิชาชีพจิตวิทยา รวมถึงการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพให้ แก่นกั จิตวิทยา แต่
สมาคมจิตวิทยาอังกฤษก็ยงั คงมีบทบาทในการเป็ นองค์กรตัวแทนด้ านจิตวิทยาและนักจิตวิทยา และดูแล
ส่งเสริ มมาตรฐานและจรรยาบรรณในด้ านการสอน การวิจยั และการปฏิบตั ิงานทางจิตวิทยา สมาคมได้ มี
การจัดทามาตรฐานจรรยาบรรณ (Code of Ethics and Conduct) และแนวทางการปฏิบตั ิงาน (Practice
Guidelines) เพื่อเป็ นกรอบในการปฏิบตั ิตนสาหรับนักจิตวิทยาชาวอังกฤษ
ในประเทศไทย มีองค์ กรด้ า นจิ ตวิท ยาที่ จัดตัง้ และยังคงดาเนิ นการอยู่จนถึงปั จจุบัน 3 องค์ ก ร
ได้ แ ก่ สมาคมนัก จิ ตวิท ยาคลิ นิ ก ไทย (The Thai Clinical Psychologist Association – TCPA) สมาคม
จิตวิทยาแห่งประเทศไทย (The Thai Psychological Association - T.P.A.) และคณะกรรมการวิชาชีพ
สาขาจิตวิทยาคลินิก
ตราสัญลักษณ์สมาคมนักจิตวิทยาคลินิกไทย
ที่มา : www.thaiclinicpsy.org/
1. เพื่อเพิ่มพูนความรู้ และประสบการณ์ระหว่างสมาชิก
2. ส่งเสริ มและควบคุมคุณ ภาพงานด้ านจิ ตวิทยาคลินิ กและจิ ตวิท ยาแก่ส มาชิ กทัง้ ด้ านการ
ปฏิบตั ิและวิชาการ
3. เพื่อร่ วมมือกันผลิตผลงานวิจัยทางด้ านจิ ตวิทยาคลินิกและสุขภาพจิตให้ เป็ นประโยชน์ ต่อ
ชุมชน
4. เพื่อเผยแพร่ ความรู้ ด้านจิตวิทยาคลินิกและสุขภาพจิตแก่ประชาชน
79
เว็บไซต์ ทางการของสมาคมนักจิตวิทยาคลินิกไทย
ที่มา : www.thaiclinicpsy.org/
แนวความคิดทางจิตวิทยา
80
Viewpoint Psychology
วารสารจิตวิทยาคลินิกของสมาคมนักจิตวิทยาคลินิกไทย
(ซ้ าย) ปี 2553 ฉบับที่ 2 (ขวา) ปี 2558 ฉบับที่ 2
ที่มา : www.thaiclinicpsy.org/
[2] คณะกรรมการวิชาชีพสาขาจิตวิทยาคลินิก
คณะกรรมการวิชาชีพสาขาจิตวิทยาคลินิก เป็ นคณะบุคคลที่ทาหน้ าที่ดแู ลวิชาชีพจิตวิทยาคลินิก
ในประเทศไทย ตามพระราชกฤษฏีกากาหนดให้ สาขาจิตวิทยาคลินิกเป็ นสาขาการประกอบโรคศิลปะตาม
พระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542 พ.ศ.2546
1. ผู้แทนกรมสนับสนุนบริ การสุขภาพ
2. ผู้แทนกรมสุขภาพจิต
3. ประธานราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
4. ผู้แทนหน่วยงานในสถาบันอุดมศึกษาที่จดั การศึกษาหลักสูตรจิตวิทยาคลินิก
5. ผู้ทรงคุณวุฒิที่รัฐมนตรี แต่งตัง้
81
6. ผู้แทนซึ่งมาจากการเลือกตังของผู
้ ้ ประกอบโรคศิลปะสาขาจิ ตวิทยาคลินิกจานวน
เท่ากับสมาชิกข้ อ 1 - 5
7. ผู้อานวยการกองประกอบโรคศิลปะ ทาหน้ าที่เป็ นกรรมการเลขานุการ
ในการทางานของคณะกรรมการวิชาชีพ สาขาจิตวิทยา กาหนดให้ มีคณะอนุกรรมการวิชาชีพ 4
ชุด ซึง่ มาจากนักจิตวิทยาคลินิกในหน่วยงานต่างๆ ทาหน้ าที่
พิจารณาขึ ้นทะเบียนและจัดสอบความรู้
พัฒนาวิชาการและมาตรฐานวิชาชีพสาขาจิตวิทยาคลินิก
จรรยาบรรณวิชาชีพสาขาจิตวิทยาคลินิก
ตรวจประเมินสถาบันการศึกษา
เอกสารมาตรฐานการประกอบโรคศิลปะ แนวทางการตรวจวินิจฉัยทางจิตวิทยาคลินิก
สาขาจิตวิทยาคลินิก คณะกรรมการวิชาชีพสาขาจิตวิทยาคลินกิ สานกพยาบาลและการ
ที่มา : http://mrd-hss.moph.go.th/roksil ประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริ การสุขภาพ กระทรวง
/doc_standard/มาตรฐาน%จค.pdf สาธารณสุข, 2560
แนวความคิดทางจิตวิทยา
82
Viewpoint Psychology
มาตรา ๓๓(๕) แห่งพระราชบัญ ญัติ การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ ไขเพิ่ มเติมโดย
พระราชบัญ ญั ติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับ ที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้ กาหนดให้ ผ้ ูที่ ได้ รับปริ ญ ญาสาขา
จิ ตวิท ยาคลิ นิก หรื อที่ ศึก ษากระบวนวิช าจิ ตวิท ยาคลิ นิก เป็ นวิช าเอก และได้ ผ่ านการฝึ กปฏิ บัติงานใน
โรงพยาบาล หรื อองค์กรใดที่คณะกรรมการวิชาชีพสาขาจิตวิทยาคลินิกรับรองมาแล้ วไม่น้อยกว่า ๖ เดือน
มีสิทธิขอขึ ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็ นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาจิตวิทยาคลินิก และต้ องสอบความรู้
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการวิชาชีพสาขาจิตวิทยาคลินิกกาหนด
คุณสมบัติและความรู้ ในวิชาชีพ
การสอบ
การสอบแบ่งเป็ น 2 ภาค คือการสอบข้ อเขียน และการสอบสัมภาษณ์ โดยเนื ้อหาที่สอบมีทงด้
ั ้ าน
วิชาชีพและด้ านกฎหมาย ได้ แก่
o การตรวจวินิจฉัยทางจิตวิทยาคลินิก
o การบาบัดทางจิตวิทยาคลินิก
o จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพของผู้ประกอบโรคศิลปะ
o การศึกษาค้ นคว้ าวิจยั ทางจิตวิทยาคลินิก
o การประยุกต์จิตวิทยาคลินิกเข้ าสูช่ มุ ชนและศาสตร์ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้ อง
o วิชากฎหมายที่เกี่ยวกับวิชาชีพ
- พระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 และที่แก้ ไขเพิ่มเติม
- พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 และที่แก้ ไขเพิ่มเติม
ตราสัญลักษณ์สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย
ที่มา : http://www.thaipsy.com
สมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทยก่อตังขึ
้ ้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ.2504 โดยมีศาสตราจารย์ ดร.
หม่อมหลวงตุ้ย ชุมสาย เป็ นนายกสมาคมคนแรก (พ.ศ.2504-2506) ต่อมาศาสตราจารย์ น ายแพทย์
ประสพ รัตนากร ผู้เป็ นแพทย์เฉพาะทางประสาทวิทยาและจิตวิทยาคนแรกของไทยได้ รับหน้ าที่เป็ นนายก
สมาคมฯคนที่ 2 โดยดารงตาแหน่งตังแต่
้ พ.ศ.2507 ถึง พ.ศ.2531 จนมาถึงรองศาสตราจารย์ ดร. ประสาร
แนวความคิดทางจิตวิทยา
84
Viewpoint Psychology
1. การประชุมใหญ่สามัญประจาปี
บทนาและการประยุกต์ ใช้
หลั ก จรรยาบรรณและเกณ ฑ์ ป ฏิ บั ติ ข องสมาคมจิ ต วิ ท ยาอเมริ กั น ซึ่ ง เรี ย กอย่ า งสั น้ ๆ ว่ า
จรรยาบรรณ ประกอบด้ วยบทนา คาปรารภและหลักการทั่วไป 5 ข้ อ (A-E) และมาตรฐานจรรยาบรรณ
เฉพาะ
ในส่วนของบทนาจะกล่าวถึง จุดมุ่งหมาย องค์กร ขันตอนในการพิ
้ จารณา และขอบเขตในการใช้
จรรยาบรรณ คาปรารภและหลักการทัว่ ไป มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ แนวทางแก่นกั จิตวิทยาเพื่อมุง่ สูจ่ ิตวิทยา
ในอุดมคติที่สงู สุด แม้ วา่ คาปรารภและหลักการทัว่ ไปโดยตัวมันเองไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่ใช้ บงั คับโดยตรง แต่
นักจิตวิทยาก็พึงพิจารณาด้ วยเพื่อให้ สามารถปฏิบัติตามจรรยาบรรณได้ มาตรฐานจรรยาบรรณกาหนด
กฎเกณฑ์ ความประพฤติของนักจิตวิทยา ส่วนใหญ่จะเขียนอย่างกว้ าง ๆ เพื่อให้ สามารถประยุกต์ใช้ กับ
นักจิตวิทยาที่มีบทบาทต่าง ๆ กันไป แม้ ว่าการใช้ เกณฑ์ จรรยาบรรณอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามบริ บท
มาตรฐานจรรยาบรรณไม่สมบูรณ์ หรื อครอบคลุมได้ ทงั ้ หมด ในกรณี ที่การกระทานันมิ ้ ได้ ระบุ ไว้ ในเกณฑ์
มาตรฐานก็ไม่ได้ หมายความว่าการกระทานันจะถู ้ กต้ องหรื อผิดตามหลักจรรยาบรรณ
จรรยาบรรณครอบคลุ ม เฉพาะใช้ กั บ กิ จ กรรมของนั ก จิ ต วิ ท ยาซึ่ง เป็ นส่ ว นหนึ่ ง ของงานด้ า น
วิทยาศาสตร์ การศึกษา และบทบาทในวิชาชี พในฐานะนักจิ ตวิทยา รวมทัง้ แต่ไม่จากัดเฉพาะในงาน
คลินิก การให้ คาปรึ กษา การทางานด้ านจิตวิทยาในโรงเรี ยน งานวิจยั งานสอน การกากับดูแลและผู้อยู่
ใต้ ก ารนิ เทศ งานบริ ก ารสาธารณะ การพัฒ นานโยบาย การจัด การแทรกแซงทางสังคม การพัฒ นา
เครื่ องมือการประเมิน การประเมินการกระทา จิตวิทยาการศึกษา การให้ คาปรึ กษาในองค์การ กิจกรรม
ด้ านนิติเวช การออกแบบและประเมินโครงการ และการบริ หาร จรรยาบรรณนี ้ครอบคลุมกิจกรรมในบริ บท
ต่าง ๆ เช่น ในรายบุคคล ทางไปรษณี ย์ โทรศัพท์ อินเตอร์ เน็ต และทางสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
จรรยาบรรณนี ้จะไม่ครอบคลุมถึงการกระทาซึง่ เป็ นกิจกรรมส่วนตัวของนักจิตวิทยา
สมาชิ กของ APA และสมาชิ ก สมทบซึ่งเป็ นนัก เรี ยนต้ องปฏิ บัติตามมาตรฐานจรรยาบรรณและ
กฎเกณฑ์ กระบวนการต่าง ๆ การไม่ร้ ู หรื อเข้ าใจผิดในเรื่ องมาตรฐานจรรยาบรรณไม่สามารถใช้ อ้างเพื่ อ
ต่อสู้ในการถูกฟ้องร้ องเรื่ องประพฤติผิดจรรยาบรรณได้
กระบวนการในการฟ้อง สอบสวน และแก้ ไขข้ อร้ องเรี ยนเรื่ องความประพฤติที่ผิดจรรยาบรรณมีระบุ
ไว้ ในกฎและขัน้ ตอนของคณะกรรมการจรรยาบรรณของ APA (APA ethics committee) อาจใช้ วิธีการ
87
ในจรรยาบรรณนี ้ คาว่า อย่างเป็ นเหตุผล (reasonable) หมายถึง การคาดได้ วา่ ภายใต้ สถานการณ์
เช่นเดียวกัน นักจิตวิทยาอื่นก็จะทาเช่นนันเหมื
้ อนกัน หากมีความรู้ หรื อควรรู้ ในขณะนัน้
ในกระบวนการการตัดสินใจเกี่ยวกับพฤติกรรมในทางวิชาชีพ นักจิตวิทยาต้ องคานึงถึงจรรยาบรรณ
นี ้ และยังต้ องปฏิ บัติต ามกฎหมายและหน่ วยงานที่ ก ากับ ดูแ ลด้ านจิ ต วิท ยา นัก จิ ตวิ ท ยาจะต้ อ ง
คานึงถึงข้ อมูล และแนวทางทางวิท ยาศาสตร์ และทางวิชาชี พ และมโนสานึก ส่วนตน เช่น เดีย วกับ การ
ปรึ กษากับผู้อยู่ในวิชาชีพเดียวกัน หากจรรยาบรรณนี ้มีมาตรฐานการกระทาที่สงู กว่าที่กฎหมายกาหนด
นักจิตวิทยาจะต้ องปฏิ บัติตามมาตรฐานที่สูงกว่า หากความรั บผิดชอบทางด้ านจรรยาบรรณขัดแย้ งกับ
กฎหมาย กฎระเบียบ หรื อหน่วยงานอื่น ที่ มีอานาจตามกฎหมาย นักจิตวิทยาจะต้ องแสดงให้ เห็นถึง
ความพร้ อมมั่น ที่ จะปฏิ บัติตามจรรยาบรรณ และกระท าการที่ จ ะแก้ ไขความขัดแย้ งนัน้ อย่ างมีความ
รับผิดชอบ โดยยึดหลักการพื ้นฐานในเรื่ องสิทธิมนุษยชน
แนวความคิดทางจิตวิทยา
88
Viewpoint Psychology
คาปรารภ
นักจิตวิทยาพร้ อมมัน่ ในการเพิ่ มพูนความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ และวิชาชีพด้ านพฤติกรรมและความ
เข้ าใจตนเองและผู้อื่นของบุคคล และการใช้ ความรู้ นัน้ เพื่ อปรั บปรุ งเงื่ อนไขบุคคล องค์ การและสังคม
นักจิตวิทยาเคารพและปกป้องสิทธิ มนุษยชนและสิทธิส่วนบุคคล และให้ ความสาคัญกับเสรี ภาพในการ
ถามและแสดงความคิดเห็นในงานวิจยั งานสอน และงานพิมพ์ เผยแพร่ นักจิตวิทยามุ่งให้ ข้อมู ลเกี่ยวกับ
พฤติกรรมมนุษย์ เพื่อสาธารณะจะได้ ใช้ วิจารณญาณในการตัดสินใจและเลือกดาเนินการ นักจิตวิทยาจึง
อาจมีหลายบทบาท เช่น เป็ นนักวิจยั เป็ นนักการศึกษา เป็ นผู้ให้ การวินิจฉัย เป็ นผู้ให้ การบาบัด เป็ นผู้นิเทศ
เป็ นที่ปรึกษา เป็ นผู้บริ หาร เป็ นผู้นาในทางสังคม การเปลี่ยนแปลง และเป็ นพยานผู้เชี่ยวชาญ
จรรยาบรรณนีม้ ่งุ ที่จะระบุถึงมาตรฐานเฉพาะที่ครอบคลุมสถานการณ์ ส่วนใหญ่ ที่นักจิตวิทยาจะ
เผชิญ โดยมีจุดประสงค์เพื่อประโยชน์ และปกป้องบุคคลหรื อกลุ่ม ซึ่งนักจิตวิทยาทางานด้ วย และเพื่ อ
การศึกษาของสมาชิก นักศึกษาและสาธารณชน ในเรื่ องเกณฑ์มาตรฐานจรรยาบรรณ
การพัฒนาเกณฑ์ จรรยาบรรณ สาหรับการกระทาในหน้ าที่ก ารงานของนักจิตวิทยาให้ เป็ นพลวัต
จาเป็ นต้ องมีความพร้ อมมัน่ ที่จะยึดถือจรรยาบรรณนีใ้ นส่วนบุคคลและเป็ นความพยายามอย่างต่อเนื่อง
ตลอดชีวิต ที่จะกระทาตามจรรยาบรรณ ส่งเสริ มให้ นกั ศึกษา ผู้ อยู่ในกากับดูแล ลูกจ้ าง เพื่อนร่ วมงาน
พฤติกรรมตามเกณฑ์จรรยาบรรณ และปรึกษาผู้อื่นในเรื่ องปั ญหาจรรยาบรรณ
หลักการทั่วไป
หลักการที่ 1 : เพื่อประโยชน์ และไม่ ก่อให้ เกิดอันตราย (Beneficence and Nonmaleficence)
นักจิตวิทยามุง่ ให้ เกิดประโยชน์ต่อผู้ที่ตนทางาน ให้ การดูแลเพื่อไม่ให้ เกิดอันตราย ในการกระทา
ตามหน้ าที่วิชาชีพ โดยเน้ นความผาสุก และสิทธิ ของบุคคลที่ตนปฏิสมั พันธ์ ด้วยทางวิชาชีพ และผู้อื่นซึ่ง
อาจได้ รับผลกระทบ และความปลอดภัยของสัตว์ทดลองในงานวิจยั เมื่อมีข้อขัดแย้ งระหว่างหน้ าที่ตามข้ อ
ผูกพันของนักจิตวิทยา หรื อมีข้อกังวล นักจิตวิทยาจะพยายามแก้ ไขความขัดแย้ งนัน้ อย่างมีเหตุผลเพื่ อ
หลีกเลี่ยงหรื อให้ เกิดอันตรายน้ อยที่สดุ เนื่องจากการให้ ความเห็นทางวิชาชีพของนักจิตวิทยาอาจมีผลต่อ
ชีวิตของผู้อื่น นักจิตวิทยาและทางวิทยาศาสตร์ จึงต้ องมีความตื่นตัวและป้องกันปั จจัยส่วนบุคคล ปั จจัย
ด้ านเศรษฐกิจ ปั จจัยสังคม ปั จจัยด้ านองค์การ และปั จจัยด้ านการเมือง ที่จะนาไปสู่การใช้ อิทธิพลในทาง
ที่ผิด นักจิตวิทยาพยายามที่จะตระหนักถึงความเป็ นไปได้ ที่สขุ ภาพกายและสุขภาพจิตของตนจะมีผลต่อ
ความสามารถในการช่วยผู้ที่ตนทางานด้ วย
89
หลักการที่ 5 : ความเคารพในศั กดิ์ศรี และสิทธิของบุ คคล (Respect for People's Right and
Dignity)
นักจิตวิทยาเคารพในศักดิ์ศรี และคุณค่าของคนทุกคน และสิทธิของบุคคลในการที่จะมีความเป็ น
ส่วนตัว ความลับ และการกาหนดเลือกด้ วยตนเอง นักจิตวิทยาตระหนักถึงความจาเป็ นที่อาจต้ องมีการ
ป้องกันสิทธิและประโยชน์สขุ ของบุคคลและชุมชนซึง่ อยู่ในภาวะอ่อนไหวซึง่ ทาให้ ไม่สามารถตัดสิ นใจด้ วย
ตนเองได้ อย่างเป็ นอิสระ นักจิตวิทยาตระหนักและให้ ความเคารพต่อวัฒนธรรม ความเป็ นเอกบุคคล และ
แนวความคิดทางจิตวิทยา
90
Viewpoint Psychology
1.02 ความขัดแย้ งระหว่ างจรรยาบรรณและกฎหมาย กฎระเบียบ หรื อหน่ วยงานอื่นๆ ของรั ฐที่
มีหน้ าที่ตามกฎหมาย
ถ้ า ความรั บ ผิ ด ชอบทางจรรยาบรรณของนั ก จิ ต วิ ท ยาขัด แย้ งกับ กฎหมาย กฎระเบี ย บ หรื อ
หน่วยงานอื่นๆ ของรัฐที่มีหน้ าที่ตามกฎหมาย นักจิตวิทยาต้ องทาความเข้ าใจถึงความขัดแย้ งนันและแสดง
้
ให้ เห็นถึงความพร้ อมมั่นของพวกเขาต่อหลักจรรยาบรรณและแก้ ไขปั ญหานัน้ ตามลาดับขัน้ ที่ ควรจะทา
โดยสอดคล้ องกับหลักการทั่วไปและมาตรฐานจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ มาตรฐานนีจ้ ะไม่ใช้ เพื่ออ้ างเป็ น
เหตุผลหรื อเพื่อปกป้องการละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่วา่ ภายใต้ สถานการณ์ใด ๆ
1.05 การรายงานการละเมิดจรรยาบรรณ
ถ้ าการละเมิดจรรยาบรรณก่อให้ เกิ ดความเสียหายอย่างมาก หรื อมีโอกาสที่ จะก่อให้ เกิ ด
ความเสียหายอย่างมากแก่บุคคลหรื อองค์กร และไม่สามารถที่จะแก้ ไขอย่างไม่เป็ นทางการตามข้ อ 1.04
หรื อแก้ ไขแล้ วแต่ไม่ได้ ผลตามต้ องการ นักจิตวิทยาจะต้ องดาเนินการขัน้ ต่อไปให้ เหมาะกับสถานการณ์
การดาเนินการดังกล่าวอาจรวมไปถึงการแจ้ งไปยังคณะกรรมการแห่งชาติในเรื่ องของจรรยาบรรณวิชาชีพ
คณะกรรมการที่ให้ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ หรื อสถาบันที่เหมาะสมและเกี่ยวข้ อง จรรยาบรรณข้ อนี ้จะ
ไม่ใช้ กับการกระทาอันจะไปละเมิดสิทธิ ในการเก็บความลับ หรื อเมื่อนักจิตวิทยาเป็ นผู้พิจารณางานของ
นักจิตวิทยาผู้อื่นซึง่ อาจมีปัญหาด้ านการทางานในวิชาชีพ (ให้ ดมู าตรฐานข้ อ 1.02 ประกอบ)
1.08 การแบ่ งแยกอย่ างไม่ เป็ นธรรมต่ อผู้ท่ รี ้ องเรี ยนหรื อผู้ท่ ถี ูกร้ องเรี ยน
นัก จิ ต วิท ยาไม่ควรปฏิ เสธการจ้ างงาน โอกาสก้ าวหน้ า การรั บ เข้ าศึกษาต่อในสถานศึกษาหรื อ
โครงการอื่นๆ การเลื่อนตาแหน่ง โดยอยู่บนพื ้นฐานที่ว่า ผู้นนเคยร้
ั้ องเรี ยนหรื อถูกร้ องเรี ยนเรื่ องการทาผิด
จรรยาบรรณ แต่ทงนี ั ้ น้ กั จิตวิทยาที่จะดาเนินการต่อไปตามผลการพิจารณาการร้ องเรี ยนนันหรื ้ อพิจารณา
จากข้ อมูลอื่นๆที่เหมาะสม
แนวความคิดทางจิตวิทยา
92
Viewpoint Psychology
2. ความสามารถ
2.01 ขอบเขตความสามารถของนักจิตวิทยา
(a) นักจิ ตวิท ยาให้ การบริ ก ารสอน และควบคุมการท าวิจัยเกี่ ย วกับ ประชากร และเรื่ อ งอื่น ๆที่
เกี่ ย วข้ องกับประชากรภายใต้ ขอบเขตความสามารถที่ นักจิ ตวิท ยามี ซึ่งขึน้ อยู่กับ ระดับ การศึกษา การ
ฝึ กอบรม ประสบการณ์การจัดการ การให้ คาปรึกษา การค้ นคว้ าหรื อประสบการณ์ในวิชาชีพ
(b) ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ และในวิชาชีพสาขาวิชาจิตวิทยานันจะเกิ ้ ดขึ ้นมาได้ โดยต้ อ งเข้ าใจใน
ปั จจัยเหล่านี ้ คือ อายุ เพศ ความบกพร่ องทางภาษา หรื อเศรษฐฐานะ ซึง่ เป็ นส่วนสาคัญในการให้ บริ การ
และการวิ จั ย นั ก จิ ต วิ ท ยาต้ องมี ห รื อ ได้ รั บ การฝึ กฝนประสบการณ์ การปรึ ก ษา หรื อ จ าเป็ นต้ องมี
ความสามารถเพี ยงพอที่ จะให้ บริ การ หรื อจะส่งต่ออย่างเหมาะสม เว้ นแต่ ภายใต้ เงื่อนไขที่ กล่าวในข้ อ
2.02 ซึง่ เป็ นการให้ บริ การในภาวะฉุกเฉิน
(c) นักจิตวิทยาที่จะให้ บริ การ สอน หรื อดาเนินการวิจยั ซึง่ เกี่ยวกับประชากร เนือ้ หา เทคนิค
หรื อเทคโนโลยีที่เป็ นเรื่ องใหม่สาหรับตน ต้ องทาการศึกษา ฝึ กอบรม ทางานอยู่ภายใต้ การกากับดูแลของ
นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญในเรื่ องนันๆ ้
(d) เมื่อนักจิตวิทยาถูกขอให้ จดั การบริ การให้ แก่บุคคลซึง่ ไม่สามารถรับบริ การทางด้ านสุขภาพจิต
จากหน่วยงานอื่นๆที่เหมาะสม และนักจิตวิทยายังไม่มีความสามารถที่เพียงพอ นักจิตวิทยาที่เคยผ่านการ
ฝึ กฝนหรื อมีประสบการณ์ ใกล้ เคียงในเรื่ องนัน้ อาจให้ บริ การเพื่อไม่ให้ สิทธิในการรับบริ การนันถู ้ กปฏิเสธ
โดยต้ องใช้ ความพยายามที่สมเหตุสมผลเพื่อให้ ได้ มาซึง่ ความสามารถที่จาเป็ น โดยใช้ ข้อมูล งานจากวิจยั ที่
เกี่ยวข้ อง การฝึ กอบรม การปรึกษา หรื อการศึกษา
(e) ในกรณี ที่เป็ นเรื่ องที่ยังใหม่และยังไม่มีมาตรฐานสาหรับการฝึ กฝนที่ เป็ นที่ ยอมรั บโดยทั่วไป
นักจิตวิทยาควรดาเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อทาให้ แน่ใจว่ามีความสามารถในการทางานนัน้ เพื่อปกป้อง
ผู้ใช้ บริ การ นักเรี ยน ผู้ช่วยฝึ กงานหรื อผู้ช่วยในงานวิจัย ผู้เข้ าร่ วมการวิจัย ลูกค้ าขององค์กร และผู้อื่นที่
เกี่ยวข้ องจากอันตราย
(f) ในการทางานด้ านนิติเวช นักจิตวิทยาต้ องศึกษากฎหมายหรื อ ระเบี ยบที่ ครอบคลุมบทบาท
ของตน
3.04 การหลีกเลี่ยงความเสียหาย
(a) นักจิ ตวิท ยาดาเนิ น การอย่างเหมาะสมในการที่ จะหลี กเลี่ ยงการก่ อให้ เกิ ดความเสีย หายแก่
ผู้ใช้ บริ การ นักเรี ยน นักศึกษา ผู้ที่อยู่ใต้ การควบคุมดูแล ผู้เข้ าร่ วมในการวิจยั ผู้ใช้ บริ การที่เป็ นหน่วยงาน
หรื อกลุ่มองค์กร และบุคคลอื่น ๆ ที่นกั จิตวิทยาทางานด้ วย ในกรณีที่เล็งเห็นถึงความเสียหายที่จะเกิด ขึ ้น
และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นักจิตวิทยาจะต้ องดาเนินการให้ เกิดความเสียหายน้ อยที่สดุ
95
(1) ท าให้ ความเป็ นกลาง ความสามารถในทางวิช าชี พ หรื อประสิ ทธิ ภ าพในการปฏิ บัติงานใน
หน้ าที่นกั จิตวิทยาเกิดความบกพร่ อง หรื อ
(2) ทาให้ บคุ คลหรื อองค์การซึง่ ตนมีความสัมพันธ์ทางวิชาชีพด้ วยได้ รับอันตรายหรื อถูกเอาเปรี ยบ
4.03 การบันทึก
ก่อนที่ จะสามารถบันทึกเสียงหรื อบันทึกภาพของบุคคลที่ มารั บบริ การได้ นัน้ นักจิตวิทยาต้ อง
ได้ รับอนุญาตจากบุคคลนันหรื
้ อจากผู้แทนโดยชอบธรรม (ดูตามมาตรฐานข้ อ8.03 ข้ อ8.05 และข้ อ 8.07)
4.06 การปรึกษา
ในกรณีที่มีการปรึกษากับเพื่อนร่ วมงาน
(1) นักจิตวิทยาไม่ควรเปิ ดเผยข้ อมูลที่เป็ นความลับที่จะเป็ นการบ่งชี ้ตัวผู้ใช้ บริ การ ผู้มีส่วนร่ วมใน
การวิจัย บุคคลหรื อองค์การอื่นๆ นอกเสียจากว่าจะได้ รับความยินยอม หรื อไม่สามารถหลีกเลี่ยงการ
เปิ ดเผยนี ้ได้ และ
(2) นักจิตวิทยาจะเปิ ดเผยข้ อมูลเท่าที่จาเป็ นต่อความสาเร็ จตามจุดประสงค์ของการปรึ กษาเพียง
เท่านัน้ (ดูตามมาตรฐานข้ อ 4.01)
5. การประกาศโฆษณาและประกาศสาธารณะอื่นๆ
5.01 การหลีกเลี่ยงถ้ อยแถลงที่เป็ นเท็จหรื อหลอกหลวง
(a) ประกาศสาธารณะ หมายรวมถึงแต่ไม่จากัดเฉพาะการโฆษณาที่ จ่ายหรื อไม่จ่ายค่าโฆษณา
รวมทัง้ คาโฆษณาผลิตภัณฑ์ ใบสมัครขอรับทุน ใบสมัครขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เอกสารรับรอง
แผ่นพับ สิ่งตีพิมพ์ บัญ ชีรายนาม ประวัติส่วนบุคคลและประวัติการศึกษา หรื อ ความคิดเห็นที่ใช้ ในสื่อ
แนวความคิดทางจิตวิทยา
100
Viewpoint Psychology
ปริ ญญา เพื่อให้ แน่ใจว่ารายละเอียดที่ถกู ต้ องในเรื่ อง ผู้ที่ควรเข้ าร่ วมกิจกรรม จุดประสงค์ในด้ านการศึกษา
ผู้บรรยาย และค่าใช้ จ่ายที่จะมี
5.06 ตัวแทนทางธุรกิจ
นักจิตวิทยาไม่ควรเสนอตัวหรื อเป็ นตัวแทนทางด้ านธุรกิจแก่คนไข้ หรื อบุคคลที่กาลังจะมาเป็ นคนไข้
เพราะบุคคลเหล่านี ้ เป็ นผู้ที่อยู่ในภาวะที่ถกู โน้ มน้ าวได้ ง่าย แต่อย่างไรก็ตาม ข้ อห้ ามนี ้ไม่ได้ รวมถึง
(1) พยายามที่จะจัดให้ เกิดการร่ วมมือสองฝ่ ายเพื่อเป็ นประโยชน์แก่คนไข้ ที่ได้ รับการบาบัดแล้ ว
(2) ให้ ความช่วยเหลือกับผู้ที่ประสบภัย หรื อให้ บริ การแก่ชมุ ชน
6.02 การเก็ บ รั ก ษา เผยแพร่ และท าลายข้ อมู ล ที่ เป็ นความลั บ ในทางวิ ช าชี พ และทาง
วิทยาศาสตร์
(a) นักจิตวิทยาต้ องรักษาความลับในการจัดทา การเก็บรวบรวมข้ อมูล การตรวจสอบ การย้ าย
และการกาจัดข้ อมูลที่ทาการบันทึกภายใต้ การควบคุมของพวกเขา ไม่ว่า จะเป็ นรายงานที่ เขี ยนขึน้ เอง
หรื อพิมพ์ หรื อโดยสื่ออื่นๆ (ดูข้อ 4.01 และข้ อ 6.01)
(b) ถ้ าข้ อ มูล ที่ เป็ นความลับ เกี่ ย วกับ ผู้ ที่ ม ารั บ บริ ก ารทางด้ านจิ ต วิ ท ยาจะต้ อ งมี ก ารบัน ทึ ก ใน
คอมพิวเตอร์ ด้วยระบบ Database หรื อระบบอื่น ซึง่ อาจมีผ้ อู ื่นเข้ าถึงข้ อมูลโดยไม่ได้ รับ ความยินยอมจาก
ผู้มารั บ บริ การ นัก จิ ตวิทยาควรใช้ รหัส หรื อเทคนิ คอื่นในการบัน ทึกข้ อมูลเพื่ อหลีกเลี่ยงมิให้ ข้อมูลของ
ผู้รับบริ การถูกสืบค้ นข้ อมูลได้
(c) ในกรณี ที่นักจิตวิทยาต้ องการยุติการบาบัด หรื อถอนตัวออกจากการปฏิบัติงานทางจิตวิทยา
นักจิตวิทยาต้ องวางแผนล่วงหน้ าในการส่งต่อข้ อมูลของคนไข้ และป้องกันความลับของข้ อมูล
6.05 การแลกเปลี่ยน
นักจิตวิทยาจะสามารถให้ ผ้ รู ั บบริ การจ่ายค่าตอบแทนการให้ บริ การทางจิตวิทยาในรู ปของสิ่งของ
บริ การ หรื อสิ่งอื่นๆ ที่ไม่ใช้ เงิน ก็ตอ่ เมื่อ
103
7. การศึกษาและการฝึ กอบรม
7.01 การออกแบบหลักสูตรการศึกษาและการฝึ กอบรม
นัก จิ ต วิท ยารั บ ผิ ดชอบหลักสูตรการศึกษาและการฝึ กอบรมต้ องพยายามให้ เกิ ดความมั่น ใจว่า
หลักสูตรที่ ถูกจัดขึน้ นัน้ ให้ ความรู้ และประสบการณ์ ที่ เหมาะสม และเพื่ อให้ มีความรู้ ที่ เพี ยงพอที่ จะรั บ
ใบอนุญ าต ประกาศนี ยบัตร หรื อเพื่อจุดประสงค์อื่นเกี่ยวกับสิทธิ ที่จะได้ รับจากหลักสูตร (ดูมาตรฐาน
ประกอบในข้ อ 5.03)
(b) นั ก จิ ต วิ ท ยาประเมิ น นั ก ศึก ษาและผู้ อ ยู่ ในก ากับ ดูแ ล บนพื น้ ฐานของผลปฏิ บั ติ งานจริ งที่
เกี่ยวข้ องและกาหนดไว้ ในหลักสูตร
(b) นักจิ ต วิ ท ยาที่ ท าการวิ จัย ซึ่งใช้ การทดลอง ในด้ านการรั ก ษา จะต้ องชี แ้ จงให้ ผ้ ูเข้ าร่ วมการ
ทดลองทราบถึงสิ่งต่อไปนี ้ตังแต่้ เริ่ มทาการวิจยั
(1) วิธีการรักษานันยั ้ งอยู่ระหว่างการทดลอง
(2) บริ การที่สามารถจัดให้ หรื อไม่สามารถจัดให้ แก่กลุม่ ควบคุม
(3) ถ้ าเป็ นไปได้ บอกวิธีการที่ใช้ คดั เลือกกลุม่ ตัวอย่างเพื่อเป็ นกลุม่ ควบคุม หรื อกลุม่ ทดลอง
(4) ทางเลือกในการบาบัดอื่นๆ หากไม่ประสงค์จะเข้ าร่ วมในงานวิจยั หรื อหากประสงค์จะ
ถอนตัวเมื่อได้ เข้ าร่ วมงานวิจยั แล้ ว
(5) ค่าชดเชยหรื อค่าใช้ จ่ายในการเข้ าร่ วมการทดลอง (ดูมาตรฐานข้ อ 8.02a)
(b) จะก่อให้ เกิดคุณประโยชน์ ในด้ านวิทยาศาสตร์ หรื อในด้ านมนุษยธรรม หากการให้ ข้อมูลล่าช้ า
ลง หรื อปิ ดบังข้ อมูล นักจิตวิทยาต้ องใช้ ความพยายามลดความเสี่ยงของอันตรายที่อาจเกิดขึ ้น
(c) เมื่อนักจิตวิทยาได้ ทราบถึงกระบวนการวิจยั อาจเป็ นอันตรายแก่ผ้ เู ข้ าร่ วมงานวิจยั ต้ องพยายาม
ให้ เกิดอันตรายน้ อยที่สดุ เพื่อลดความร้ ายแรง
8.10 การรายงานผลการวิจัย
(a) นักจิตวิทยาต้ องไม่บิดเบือนข้ อมูล (ดูรายละเอียดประกอบที่ข้อ 5.01a)
(b) ถ้ านักจิตวิทยาพบว่า ข้ อมูลที่ ได้ ตีพิมพ์ ของตนมีข้อผิ ดพลาดที่ สาคัญ ขึน้ ควรต้ องดาเนินการ
อย่างเหมาะสมในการแก้ ไขข้ อผิดพลาดนัน้ ให้ ถูกต้ อง เช่น ตามเก็บสิ่งที่พิมพ์ ประกาศแก้ ไข หรื อใช้ วิธีการ
ในการตีพิมพ์อื่นๆที่มีความเหมาะสม
109
8.11 การนาเสนอผลงานของผู้อ่ นื
นักจิตวิทยาจะไม่นาผลงานหรื อข้ อมูลผู้อื่นมาเสนอเหมือนเป็ นผลงานของตนเอง ถึงแม้ ว่าจะเป็ น
เพียงบางส่วนก็ตาม
8.15 ผู้ตรวจสอบเอกสาร
นักจิตวิทยา ซึ่งเป็ นผู้อ่านผลงานที่นาเสนอ เพื่ อการเสนอผลงานตีพิมพ์ ขอทุน ทบทวนโครงสร้ าง
งานวิจยั จะต้ องเคารพสิทธิสว่ นบุคคลของเจ้ าของข้ อมูล
9. การประเมินผล
9.01 หลักพืน้ ฐานของการตรวจวินิจฉัยทางจิตวิทยา
(a) นักจิตวิทยาแสดงความเห็นในคาแนะนา รายงาน และการวินิจฉัย รวมไปถึงการให้ การต่อศาล
โดยอาศัยข้ อมูลและเทคนิคซึง่ เพียงพอที่จะสนับสนุนความเห็นนันได้ ้ (ดูเพิ่มเติมข้ อ 2.04)
(b) นอกจากที่กาหนดในข้ อ 9.01c แล้ ว นักจิตวิทยาให้ ความเห็นเกี่ยวกับลักษณะทางจิตวิทยาของ
บุค คลก็ต่อเมื่อได้ ท าการทดสอบเพี ย งพอที่ จะสนับสนุนความเห็ นและข้ อสรุ ป นัน้ หากนัก จิ ตวิท ยาได้
พยายามอย่างเต็มความสามารถแล้ ว แต่ไม่สามารถทาการทดสอบได้ นักจิตวิทยาต้ องบันทึกรายละเอียด
ของการทดสอบและผลที่ได้ จากการทดสอบนันไว้ ้ ชี ้แจงถึงข้ อจากัดของความเที่ยงตรงและเชื่อถือได้ ของ
การทดสอบ และข้ อจากัดและขอบเขตของข้ อสรุ ปและคาแนะนาของนักจิตวิทยา
(c) เมื่อนักจิตวิทยาได้ อ่านบัน ทึกหรื อให้ คาแนะน าปรึ กษาในทางวิชาชี พ และมีความเห็นว่าไม่
จาเป็ นที่ จะต้ องมีการทดสอบรายบุคคล นักจิตวิท ยาต้ องอธิ บายถึงความเห็นของตนและบอกเหตุผลใน
ข้ อสรุ ปและคาแนะนานัน้
9.06 การแปลผลการประเมินทางจิตวิทยา
ในการแปลผลการประเมิน ทางจิ ตวิท ยารวมถึง การแปลผลด้ วยตนเอง นัก จิ ตวิท ยาพิ จ ารณา
วัตถุประสงค์ของการประเมินและองค์ประกอบในการทดสอบอื่นๆ ความสามารถในการทาการทดสอบ
และลักษณะเฉพาะตัวของผู้ที่ถูกประเมิน เช่น ความแตกต่างในเรื่ องสถานการณ์ ลักษณะส่วนบุคคล
ภาษา และวัฒนธรรมซึง่ อาจมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของนักจิตวิทยา หรื อทาให้ ความถูกต้ องในการ
แปลผลลดลง และชี ้ถึงข้ อจากัดในการแปลผลของตน (ดูมาตรฐานข้ อ 2.01a และ b และข้ อ 3.01 )
9.08 แบบทดสอบและผลการทดสอบที่ล้าสมัย
(a) นักจิตวิทยาจะไม่ประเมิน ตัดสิน หรื อให้ คาแนะนาโดยใช้ แบบทดสอบหรื อผลการทดสอบที่
ล้ าสมัย
(b)นักจิตวิทยาจะไม่ตดั สินใจหรื อให้ คาแนะนาโดยใช้ แบบทดสอบและการวัดที่ล้าสมัยและไม่เป็ น
ประโยชน์ตอ่ จุดประสงค์ที่ต้องการ
(c) นักจิตวิทยายังคงต้ องรับผิดชอบต่อผู้มาใช้ บริ การ การแปลผล และการใช้ เครื่ องมือที่ใช้ ในการ
ประเมินการให้ คะแนนและการแปลผลด้ วยตนเองของผู้รับการทดสอบ หรื อผลการทดสอบที่มาจากการ
บริ การจากสถานที่อื่น
10. การบาบัด
10.01 การให้ ความยินยอมในการบาบัด
(a) ในการได้ มาซึง่ ความยินยอมในการบาบั ด ตามจรรยาบรรณข้ อ 3.10 ในการให้ ความยินยอม
นั ก จิ ต วิ ท ยาแจ้ งบอกผู้ ใช้ บริ ก ารโดยเร็ ว ที่ สุด เท่ า ที่ จ ะท าได้ เกี่ ย วกั บ ธรรมชาติ แ ละวิ ธี ก ารบ าบั ด โรค
ค่าธรรมเนียม บุคคลที่สามที่มีสว่ นเกี่ยวข้ อง ข้ อจากัดในเรื่ องการรักษาความลับ และเปิ ดโอกาสให้ ลกู ค้ า
หรื อคนไข้ ถามคาถามและได้ รับคาตอบ (ดูจรรยาบรรณข้ อ 4.02 และข้ อ 6.04 ประกอบ)
(b) หากต้ องการความยินยอมในการบาบัดสาหรับวิธีการบาบัดและขบวนการต่างๆ ในการบาบัดที่
ยังไม่เป็ นที่ร้ ู จัก นักจิตวิทยาควรแจ้ งรายละเอียดแก่คนไข้ เกี่ยวกับวิธีการบาบัด ความเสี่ยงต่างๆให้ คนไข้
ทราบทางเลื อกอื่น ๆ ในการบ าบัดคนไข้ และความสมัครใจในการยอมรั บ การบาบัดของคนไข้ (ดูใน
จรรยาบรรณข้ อ 2.10e และข้ อ 3)
แนวความคิดทางจิตวิทยา
114
Viewpoint Psychology
(c) เมื่ อ ผู้ ท าการบ าบั ด เป็ นผู้ ฝึ กงานและผู้ ก ากับ ดูแ ลมี ค วามรั บ ผิ ด ชอบตามกฎหมายในการ
ให้ บริ การการบาบัด ในการแจ้ งข้ อมูลเพื่อให้ ผ้ ูรับการบาบัดให้ ความยินยอม จาเป็ นต้ อ งแจ้ งให้ ผ้ ูรับการ
บาบัดทราบว่าผู้ทาการบาบัดอยู่ในระหว่างการฝึ กงาน อยู่ในการกากับดูแล และต้ องให้ ชื่อของผู้กากับ
ดูแลด้ วย
ระเบียบกระทรวงสาธารณสุข
ว่าด้วยการรักษาจรรยาบรรณแห่งวิ ชาชีพของผูป้ ระกอบโรคศิ ลปะ พ.ศ. ๒๕๕๙
แนวความคิดทางจิตวิทยา
118
Viewpoint Psychology
119
แนวความคิดทางจิตวิทยา
120
Viewpoint Psychology
121
122
หนังสืออ้ างอิง
ประเวช ตันติพิวฒ
ั นสกุล. 2534. จิตบําบัดแนวพุทธมอริ ตะ - ไนกัน. วารสารยุวประสาทปี ที่ 2 ฉบับที่ 3
กันยายน – ธันวาคม 2534
ราชกิจจานุเบกษา. 2546. เล่ม 120 ตอนที่ 72 ก,. "พระราชกฤษฎีกา กําหนดให้ สาขาจิตวิทยาคลินิกเป็ น
สาขาการประกอบโรคศิ ล ปะตามพระราชบัญ ญั ติ ก าร ประกอบโรคศิ ล ปะ พ.ศ.2542 พ.ศ.
2546"
ราชกิจจานุเบกษา. 2559. เล่ม 133 ตอนพิเศษ 46 ง, หน้ า 1 - 5 . เรื่ อง “ระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่า
ด้ วยการรักษาจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพของผู้ประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2559”
สมทรง สุ ว รรณเลิ ศ . 2549. 30 ปี จิ ต วิ ท ยาคลิ นิ ก ไทย, วารสารจิ ต วิ ท ยาคลิ นิ ก ปี ที่ 37 ฉบั บ ที่ 1:
หน้ า 1-8.
สมทรง สุวรรณเลิศ. 2561. ประวัติการก่อตัง้ และการพัฒ นาวิชาชี พนักจิ ตวิทยาคลินิกในประเทศไทย.
กรุ งเทพ สมาคมนักจิตวิทยาคลินิกไทย
อรพิน สถิรมน. 2560. เอกสารประกอบการสอนวิชาแนวความคิดทางจิตวิทยา. ภาควิชาจิตวิทยา คณะ
สังคมศาสตร์ . มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อรพิน สถิรมน. 2560. มาตรฐานจรรยาบรรณนักจิตวิทยาของสมาคมนักจิตวิทยาอเมริ กนั . แปลจาก The
American Psychological Association (APA). 2017. Ethical Principles of Psychologists
and Code of Conduct (Online). https://www.apa.org/ethics/code/.
Bankart, C.P. 1997. Talking cures : A History of western & Eastern Psychotherapies.CA:
Brooks/Cole Publishing.
Chance, P. & Harris, T.G. (Eds) 1990. The best of psychology today. New York : McGraw-Hill.
Feldman, Robert S. 2008.Understanding Psychology. 8th ed. New York: McGraw-Hill.
Goodwin, C.J. 1999. A History of Modern Psychology. New York: John Wiley & Sons,Inc.
Hergenhahn, B.R. 2001. An Introduction to the history of Psychology. California: Wadsworth
Hock, R.R. 2012. Forty studies that changed psychology. 7th ed. New Jersey: Pearson
Education, Inc
Huffman, Karen. 2007. Psychology in action. 8th ed. N.J: John Wiley & Sons.
123
Sdorow, L. M. and Rickabaugh, c. A. 2002. Psychology. 5th ed. New York: McGraw-Hill
Thomson Learning. history of psychological research. New Jersey: Prentice Hall.
thought. 5th ed. N.Y : HarperCollins.
Watson, R.I. & Evans, R.B. 1991. The great psychologists : a history of psychological thought
(5th ed.). New York : HarperCollins.
Weiten, Wayne. 2001. Psychology: Themes and variations. 5th ed. Belmont: Wadsworth
Thomson Learning.
อ้ างอิงภาพประกอบ
ภาพทาเลส สืบค้ นจาก http://scienceworld.wolfram.com/biography/Thales.html. เข้ าถึงเมื่อ 1
กันยายน 2561
ภาพอานักซิมานเดอร์ สืบค้ นจาก http://physics.unr.edu/grad/welser/astro/astronomers.html. เข้ าถึง
เมื่อ 1กันยายน 2561
ภาพอานักซิเมเนส สืบค้ นจาก http://socialphilosophy.yolasite.com/resources/anaximenes.jpg.
เข้ าถึงเมื่อ 1กันยายน 2561
ภาพเดโมครี ตสุ สืบค้ นจาก http://www-gap.dcs.st-and.ac.uk/~history/PictDisplay/Democritus.html.
เข้ าถึงเมื่อ 1กันยายน 2561
ภาพเฮราคลิตสุ สืบค้ นจาก https://martinsj2.files.wordpress.com/2012/04/heraclitus_ephesus_
c535_hi.jpg. เข้ าถึงเมื่อ 1กันยายน 2561
ภาพพาร์ เมนิเดส สืบค้ นจาก http://beatwaydown.blogspot.com. เข้ าถึงเมื่อ 1กันยายน 2561
ภาพแอคเมออน สืบค้ นจาก http://www.philosophy.gr/presocratics/alcmaeon.html. เข้ าถึงเมื่อ
1กันยายน 2561
ภาพฮิปโปเครติส สืบค้ นจาก http://www.greektravel.com/greekisands/kos/hippocrates.html. เข้ าถึง
เมื่อ 1 กันยายน 2561
ภาพเอมเพโดครี ส สืบค้ นจาก http://www.presocratics.org/empedocles.html. เข้ าถึงเมื่อ 1กันยายน
2561
ภาพพิทาโกรัส สืบค้ นจาก http://scienceworld.wolfram.com/biography/Pythagoras.html. เข้ าถึงเมื่อ
1กันยายน 2561
ภาพโพรทากอรัส สืบค้ นจากhttp://www.philo5.com/Les%20philosophes/Protagoras_files/
image003.jpg. เข้ าถึงเมื่อ 1กันยายน 2561
ภาพอานักซากอรัส สืบค้ นจาก http://www.luventicus.org/articulo s/02 A034/anaxagoras.html.
เข้ าถึงเมื่อ 1กันยายน 2561
ภาพโซเครติส สืบค้ นจาก http://web.mit.edu/mit-greece/www/IAP_imgs.html . เข้ าถึงเมื่อ 1กันยายน
2561
ภาพเพลโต สืบค้ นจาก http://www-gap.dcs.st-and.ac.uk/~history/Mathematicians/Plato.html .
เข้ าถึงเมื่อ 1กันยายน 2561
ภาพอริ สโตเติล สืบค้ นจาก http://www-gap.dcs.st-and.ac.uk/~history/PictDisplay/Aristotle.html .
เข้ าถึงเมื่อ 1กันยายน 2561
126
B.C
427 - 322 Lives of Greek philosophers: Plato, Socrates, Aristotle
o 430 BC Hippocrates argues for four temperaments of personality.
o 387 BC Plato suggested that the brain is the mechanism of mental processes.
o 360 BC Plato writes Theaetetus, examining theories of perception, knowledge
and truth.
o 350 BC Aristotle writes De Anima about the relationship of the soul to the body.
o 335 BC Aristotle suggested that the heart is the mechanism of mental processes.
426 Life of St. Augustine, a great thinker who wrote Confessions (406) and City of
God (426) presenting his views of the human situation
1264 St. Thomas Aquinas publishes his famous Summa Theological, a prodigious work
that affirmed the value of knowledge gained through sense and thought.
1605 Sir Francis Bacon publishes The Proficience and Advancement of Learning.
1649 Rene Descartes writes Passions of the Soul, which postulates the total separation
of body and soul.
1651 Thomas Hobbes publishes the Leviathan.
1690 John Locke publishes An Essay Concerning Human Understanding.
1709 Foundational philosophy
George Berkeley publishes An Essay Towards a New Theory of Vision.
1774 Franz Mesmer introduces his treatment for some mental illness, originally called
mesmerism and now known as hypnosis.
132
1793 Philippe Pinel lets the first mental patients out for sunlight with no chains. Beginning
of The massive movement for more humane treatment of the mentally ill.
1808 Franz Gall’s new science "Cranioscopy" introduced in 1796, becomes known as
Phrenology. (The idea that a person's skull shape and placement of bumps on the
head can reveal personality traits).
1834 Ernst Heinrich Weber publishes his perception theory of 'Just Noticeable
DIfference,' Now known as Weber's Law.
1848 Phineas Gage suffered brain damage when an iron pole pierces his brain.
His personality was changed but his intellect remained intact suggesting that
an area of the brain plays a role in personality.
1850 Gustav Fechner experiences crucial insight linking physical changes in the external
world to subjective changes in perception; leads to establishment of psychophysics.
1859 Charles Darwin publishes The Origin of Species. Detailing his view of evolution and
expanding on the theory of 'Survival of the fittest.
1861 French physician Paul Broca discovers an area in the left frontal lobe that plays
a key role in language development.
1863 Place theory of Pitch discovered by Herman von Helmholtz.
1869 Sir Francis Galton, Influenced by Charles Darwin's 'Origin of the Species,' publishes
'Hereditary Genius,' and argues that intellectual abilities are biological in nature.
1874 Carl Wernicke publishes his work on the frontal lobe, detailing that damage to a
specific area damages the ability to understand or produce language
1875 o William James teaches the course, "The relationships among the Physiology
and the Psychology."
o William James creates small psychological laboratory at Harvard University.
1876 Sir Francis Galton first uses the method of twin comparisons.
1878 G. Stanley Hall, the first American to earn a Ph.D. in psychology.
133
o New York State passed the State Care Act, ordering indigent mentally ill
patients out of poor-houses and into state hospitals for treatment and
developing the first institution in the U.S. for psychiatric research.
1891 o Mary Whiton Calkins Establishes a psychology laboratory at Wellesley.
1892 o G. Stanley Hall forms the American Psychological Association (APA), which
initially has just 42 members. He serves as its first president. He later
establishes two key journals in the field: American Journal of Psychology
(1887) and Journal of Applied Psychology (1917).
o Wundt’s student, Edward B. Titchener moves to America, where he continues
his work with the structuralist technique of introspective analysis at Cornell.
1894 o J.M. Cattell and Baldwin found Psychological Review, Psychological Index,
and Psychological Monographs.
o Margaret Floy Washburn becomes the first woman to receive a Ph.D. in
Psychology from Cornell University as Harvard University denies to offer the
degree to Mary Whiton Calkins because of her gender.
1895 Alfred Binet founds the first psychology lab devoted to psychodiagnosis.
1896 o Functionalism
Functionalism, an early school of psychology, focuses on the acts and
functions of the mind rather than its internal contents. Its most prominent
American advocates are William James and John Dewey, whose 1896 article
"The Reflex Arc Concept in Psychology" promotes functionalism.
o Psychoanalysis
The founder of psychoanalysis, Sigmund Freud, introduces the term in a
scholarly paper. Freud's psychoanalytic approach asserts that people are
motivated by powerful, unconscious drives and conflicts. He develops an
influential therapy based on this assertion, using free association and dream
analysis.
135
o Structuralism
Edward B. Titchener, a leading proponent of structuralism, publishes his
Outline of Psychology. Structuralism is the view that all mental experience can
be understood as a combination of simple elements or events. This approach
focuses on the contents of the mind, contrasting with functionalism.
o Lightner Witmer opens world's first psychological clinic at University of
Pennsylvania. It shifts his focus from experimental work to practical application
of his findings.
1898 Edward Thorndike publishes his classical monograph Animal Intelligence. He
developed the 'Law of Effect,' arguing that "a stimulus-response chain is
strengthened if the outcome of that chain is positive".
1900 Sigmund Freud introduces his theory of psychoanalysis in The Interpretation of
Dreams, the first of his 24 books exploring such topics as the unconscious,
techniques of free association, and sexuality as a driving force in human
psychology.
1901 o Manual of Experimental Psychology
Edward Bradford Titchener introduces structuralism to the United States with
his publication “the Manual of Experimental Psychology” . Structuralism, an
approach which seeks to identify the basic elements of consciousness, fades
after Titchener's death in 1927.
o The British Psychological Society is founded.
o Charles E. Spearman proposes a general factor of intelligence.
1904 o Ivan Pavlov wins Nobel Prize for work on digestion that led to fundamental
principles of learning.
136
1905 o Mary Whiton Calkins is elected president of the APA. She becomes the First
woman president of the APA .
o Alfred Binet and Theodore Simon publish the Binet-Simon Intelligence. At the
beginning, test’s accuracy and fairness are challenged. The New revisions
come in 1908 and 1911.
1907 o Alfred Adler publishes his main work: A Study of Organic Inferiority and Its
Psychical Compensation.
o Carl Jung publishes The Psychology of Dementia Praecox.
o Oscar Pfungst demonstrates that the amazing counting horse, Clever Hans,
responds to cues from observers; demonstrates power of expectancies.
o Sigmund Freud proposes his psychosexual theory of personality development.
1908 o Clifford Beers publishes A Mind That Found Itself, detailing his experiences as
a patient in 19th-century mental asylums. Calling for more humane treatment of
patients and better education about mental illness for the general population,
the book inspires the mental hygiene movement in the United States.
o Yerkes-Dodson Law proposes to explain relationship between performance
and arousal.
o Margaret Washburn publishes The Animal Mind, which serves as an impetus
for behaviorism.
137
1909 o Sigmund Freud and Carl Jung visit the United States for a Psychoanalysis
Symposium at Clark University organized by G. Stanley Hall. At the symposium,
Freud gives his only speech in the United States.
o Mary Whiton Calkins publishes A First Book in Psychology.
1911 o Alfred Adler leaves Freud's Psychoanalytic Group to form his own school of
thought, accusing Freud of overemphasizing sexuality and basing his theory on
his own childhood.
o Edward Thorndike publishes Animal Intelligence. His book leads to the
development of the theory of operant conditioning.
1913 o Behaviorism
John B. Watson publishes article entitled "Psychology as the Behaviorist
Views It", launching behaviorism. In contrast to psychoanalysis, behaviorism
focuses on observable and measurable behavior. The work helped establish
behaviorism, which viewed human behavior arising from conditioned
responses.
o Carl G. Jung departs from Freudian views and develops his own theories
citing Freud's inability to acknowledge religion and spirituality. His new school
of thought known as Analytical Psychology.
o George Herbert Mead publishes The Social Self
138
1917 o Robert Yerkes (President of APA at the time) developed the Army Alpha and
Beta Tests to measure intelligence in a group format. The tests were adopted
for use with all new recruits in the U.S. military a year later.
to take place at offices and clinics rather than only at universities and research
facilities.
o The first neurotransmitter, acetylcholine, is discovered.
o Gordon Allport proposes a trait theory of personality.
1925 o Charles Frederick Menninger and his sons Karl Augustus and William Clair
found The Menninger Clinic in Topeka, Kansas. They take a compassionate
approach to the treatment of mental illness, emphasizing both psychological
and psychiatric disciplines.
o Wolfgang Kohler publishes 'The Mentality of Apes' which became a major
component of Gestalt Psychology.
o Lewis M. begins his longitudinal studies on giftedness.
1928 John B. Watson publish two books: The ways of behaviorism and The Psychological
Care of Infant and Child.
1929 o Psychiatrist Hans Berger invents the electroencephalogram and tests it on his
son. The device graphs the electrical activity of the brain by means of electrodes
attached to the head.
140
1936 o Walter Freeman performs first frontal lobotomy in the United States at George
Washington University in Washington, D.C. By 1951, more than 18,000 such
operations have been performed. The procedure, intended to relieve severe
and debilitating psychosis, is controversial.
o Egas Moniz publishes his work on frontal lobotomies as a treatment for mental
illness.
o Anna Freud publishes The ego and the mechanisms of defense, which
include her account of defense mechanisms.
o Han Selye introduces concept of stress into the language of science.
1937 o The Neurotic Personality of Our Time
Karen Horney publishes The Neurotic Personality of Our Time. Horney
questions Freud's theories on the Oedipal Complex and castration anxiety.
o Gordon W. Allport publishes Personality: A psychological interpretation, one of
the books responsible for the acceptance of personality as a field of academic
study
1938 o B.F. Skinner publishes The Behavior of Organisms, introducing the concept of
operant conditioning. The work draws widespread attention to behaviorism and
inspires laboratory research on conditioning.
o Henry A. Murry and Christiana Morgan revise the Thematic Apperception Test.
o Italian psychiatrist and neuropathologist Ugo Cerletti and his associates treat
human patients with electrical shocks to alleviate schizophrenia and psychosis.
Electroconvulsive therapy (ECT), while controversial, is proven effective in
some cases and is still used at present.
1939 o Neal Miller and John Dollard publish their famous study Frustration and
Aggression.
o Wechsler-Bellevue Intelligence Test is published and then becomes the most
widely used intellectual assessment.
o The Canadian Psychological Associated is founded.
o Clark and Clark classic study on prejudice conducted.
142
1942 o Carl Rogers develops client-centered therapy and publishes Counseling and
Psychotherapy. His approach encourages respect and a non-judgmental
approach to therapy is the foundation for effective treatment of mental health
issues.
o Jean Piaget published 'Psychology of Intelligence' discussing his theories of
cognitive development.
o Minnesota Multiphasic Personality Inventory (MMPI) is developed and fast
becomes the most widely researched and widely accepted psychological
assessment device.
all. This prompted an onslaught of outcome studies which have since shown
psychotherapy to be an effective treatment for mental illness.
o The Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) is published
by The American Psychiatric Association marking the beginning of modern
mental illness classification. The 132 pages manual outlines prevalence,
diagnosis, and treatment of mental disorders.
o Chlorpromazine (Thorazine) first used in the treatment of schizophrenia.
1953 o The American Psychological Association publishes the first edition of Ethical
Standards of Psychologists. The document undergoes continuous review and
is now known as APA's Ethical Principles of Psychologists and Code of
Conduct.
o Eugene Aserinsky and Nathaniel Kleitman discover REM sleep.
o B.F. Skinner outlines behavioral therapy, lending support for behavioral
psychology via research in the literature.
o Francis Crick and James Watson discover structure of DNA, launching genetic
revolution.
o B.F.Skinner publishes his influential Science and Human behavior, advocating
radical behaviorism similar to Watson’s.
1954 Neurosurgeon Wilder G. Penfield publishes Epilepsy and the Functional Anatomy
of the Human Brain. His mapping of the brain's cortex sets a precedent for the
brain-imaging techniques that become critical to biopsychology and cognitive
neuroscience.
o FDA approves “Doriden” known as “Rorer”, an anti-anxiety medication.
Starting a psychopharmacology, a new form of treatment for mental illness.
o Gordon Allport publishes The Nature of Prejudice, which draws on various
approaches in psychology to examine prejudice through different lenses. It is
widely read by the general public and influential in establishing psychology's
usefulness in understanding social issues.
145
1958 o Harry Harlow publishes The Nature of Love, which describe his experiments
with rhesus monkey's on the importance of attachment and love.
o Joseph Wolpe writes Psychotherapy by Reciprocal Inhibition, helping to launch
field of behavior therapy.
o Herbert Simon presents his views on information processing theory. He wins
Nobel Prize (in economics) for research on cognition in 1978.
o Fritz Heider proposes attribution theory.
1959 Leon Festinger and Carlsmith publish their study Cognitive consequences of
forced compliance.
146
1960 o The FDA approves the use of chlordiazepoxide (known as Librium) for
treatment of non-psychotic anxiety in 1960. A similar drug, diazepam (Valium),
is approved in 1963.
o A new revision of Stanford-Binet
o Visual cliff experiment on depth perception conducted by Eleanor Gibson.
o George Sperling performs classic experiments on iconic memory.
1961 o John Berry introduces the importance of cross-cultural research bringing
diversity into the forefront of psychological research and application.
o Carl Rogers publishes 'On Becoming a Person,' marking a powerful change in
how treatment for mental health issues is conducted.
o Muzafer Shearif conducts the “Robbers Cave Experiments”.
1962 o The serial position effect discovered by memory researcher Bennett Murdock.
o Cognitive arousal theory of emotion proposed by Schachter and Singer.
1963 o Community Mental Health Centers Act passed
U.S. President John F. Kennedy calls for and later signs the Community Mental
Health Centers Act, which mandates the construction of community facilities
instead of large, regional mental hospitals. Congress ends support for the
program in 1981, reducing overall funds and folding them into a mental health
block-grant program.
o Lawrence Kolberg introduces his ideas for the sequencing of morality
development.
o Albert Bandura first describes the concept of observational learning to explain
personality development.
o Albert Bandura along with Richard Walters, writes Social Learning and
Personality Development, in which he describes the effect of observational
learning on personality development.
o Stanley Milgram publishes the article "Behavioral Study of Obedience".
147
1964 o Neal E. Miller is the first psychologist to be awarded the National Medal of
Science, the highest scientific honor given in the United States, for his studies
of motivation and learning.
o The FDA approves lithium carbonate to treat patients with bipolar mood
disorders. It is marketed under the trade names Eskalith, Lithonate, and
Lithane.
o Roger Sperry publishes his split brain research. He wins Nobel Prize (in
physiology and medicine) for split-brain studies in 1981.
1965 o Stanley Milgram conducts highly controversial study of obedience and
disobedience to authority, which many consider the most famous single study
in psychology.
o Gate control theory proposed by Melzack and Wall.
1966 Masters and Johnson discover four stages of sexual response cycle.
1967 o Aaron Beck publishes The Diagnosis and Management of Depression. A
psychological model of depression suggesting that thoughts play a significant
role in the development and maintenance of depression.
o Ulric Neisser writes Cognitive Psychology; helps to launch field of cognitive
psychology.
o Seligman demonstrates learned helplessness in dog.
o Holmes and Rahe create the Social Readjustment Rating Scale.
o David Hubel & Torsten Wiesel win the Nobel Prize for their work identifying
cortical cells that respond to specific events in the visual field.
o Folkman and Lazarus introduce the concepts of problem-focused and
emotion-focused coping.
o Genetic researchers finish mapping human genes. Scientists hope to one day
isolates the individual genes responsible for different diseases.
2002 o New Mexico becomes the first state to pass legislation allowing licensed
psychologists to prescribe psychotropic medication.
o The push for mental health parity gets the attention of the White House as
President George W. Bush promotes legislation that would guarantee
comprehensive mental health coverage.
o Steven Pinker publishes The Blank Slate, arguing against the concept
of tabula rasa.
o the first International Conference on Positive Psychology
o Daniel Kahneman becomes first Ph.D. psychologist to win Nobel Prize;
honored for his pioneering work (with late Amos Tversky) on biases and
heuristics.
o The American Psychological Association’s Council of Representatives adopted
the APA Ethics Code during its meeting on Aug. 21, 2002. The Code became
effective on June 1, 2003.
2004 APS members vote to change name to Association for Psychological Science.
2009 The first World Congress on Positive Psychology is held in Philadelphia.
2010 APA’s Council of Representatives amended the 2003 Ethics Code on Feb. 20,
2010, became effective June 1, 2010,
2013 DSM V is published by the American Psychiatric Association.
2017 The second amendment APA ethic code on Aug. 3, 2016, became effective Jan. 1,
2017.