You are on page 1of 18

  

COLLEGE OF MANAGEMENT, MAHIDOL UNIVERSITY


MGMG-664 Study Cases in Finance

CALIFORNIA PIZZA KITCHEN


Dr. Thanachai   Phoopatana 

GROUP A


Members 


6450214  Mr.Chakraphol Chulajata 
6450218  MissTanyapa Sintapanin 
6450228  Mr.Voramon Polkert 
6450393  Mr.Chanut Pongcharoen 
6453098  MissTayanee Chudjerjeen 
6450403 Mr.Pongsakorn Futrakulphan 
คำนำ
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา Study Cases in Finance (MGMG 664) จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาประโยชน์ทางการเงินของ
California Pizza Kitchen โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโครงสร้างเงินทุนที่อ้างอิงจากแนวคิด Modigliani-
Miller และแนวคิดของการลดหย่อนภาษี โดยเนือ้ หาจะอ้างอิงจากข้อมูลที่ระบุไว้ใน Case 32 California Pizza Kitchen
เท่านั้นคณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานวิเคราะห์กรณีตัวอย่างทางการเงินที่จัดทำขึ้นฉบับนีจ้ ะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ
สามารถนำไปประยุกต์และปรับใช้ได้ต่อไป สุดท้ายนี้หากรายงานฉบับนีม้ ีข้อผิดพลาดประการใด คณะผู้จัดทำขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

คณะผู้จัดทำ
สารบัญ

CALIFORNIA PIZZA KITCHEN ......................................................................................................................................................... 4


The Restaurant Industry ................................................................................................................................................................ 6
Recent Development..................................................................................................................................................................... 8
The Capital Structure Decision .................................................................................................................................................... 9
Suggested questions 1 ................................................................................................................................................................. 10
Suggested questions 2 ................................................................................................................................................................. 11
Suggested questions 3 ................................................................................................................................................................. 13
Suggested questions 4 ................................................................................................................................................................. 14
Suggested questions 5 ................................................................................................................................................................. 15
Suggested questions 6 ................................................................................................................................................................. 17
CALIFORNIA PIZZA KITCHEN
ทุกคนรู้ว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของร้านอาหารล้มเหลวใน 2 ปีแรก และมีผู้คนมากที่คิดว่า "ตำแหน่งที่ตั้ง" เป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่
ประสบการณ์ของฉันบอกว่าคุณต้องมีความสามารถในการเงิน เพราะคุณอาจมีไอเดียที่ยอดเยี่ยม แต่หลายร้านอาหารไม่สามารถทำ
กำไรได้ในตอนแรก ต้องสร้างฐานลูกค้าเป็นเวลา ดังนั้นมันเป็นเรื่องของความมั่งคั่งและความสามารถในการเงินในระยะยาว “Rick
Rosenfield, Co-CEO, California Pizza Kitchen”

ต้นเดือนกรกฎาคม 2007 ทีมการเงินของ California Pizza Kitchen (CPK) ซึ่งนำโดยประธานการเงิน Susan Collyns
กำลังรวบรวมผลลัพธ์เบื้องต้นสำหรับไตรมาสที่สองของปี 2007 แม้ว่าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มจะมีความท้าทายจากการ
เพิ่มขึ้นของต้นทุนสินค้า แรงงาน และพลังงาน แต่ CPK กำลังจะประกาศผลกำไรไตรมาสสูงสุดใกล้เคียง 6 ล้านดอลลาร์ กำไร
ขยายตัวของ CPK อธิบายได้ด้วยการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง โดยยอดขายร้านอาหารเปรียบเทียบเพิ่มขึ้นกว่า 5% จำนวนที่
ประกาศเต็มรูปแบบตรงกับคำแนะนำการลงทุนของบริษัท ผลลัพธ์ของบริษัทนั้นเป็นที่น่าประทับใจมาก เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัท
อื่น ๆ ที่มีการลดการเดินทางของลูกค้าอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่ามีผลการแสดงความสามารถที่แข็งแกร่ง แต่ปัญหาของอุตสาหกรรม
ยังคงมีอยู่ว่าราคาหุ้นของ CPK ลดลง 10% ในเดือนมิถุนายน ไปยังมูลค่าปัจจุบันที่ 22.10 ดอลลาร์ จากราคาหุ้นลดลง ทำให้ทาง
ทีมผู้บริหารได้พูดคุยกันเกี่ยวกับการรับซื้อหุ้นของบริษัทกลับ แต่เนื่องจากมีเงินสดไม่มากพอ การซื้อหุ้นมากจะต้องใช้หนี้เพื่อ
การเงิน ตั้งแต่เปิดตัวบริษัทในปี ค.ศ. 2000 ทีมผู้บริหารของ CPK ได้หลีกเลี่ยงการเพิ่มหนี้สินในงบการเงิน นโยบายทางการเงิน
ของบริษัท เป็นแบบConservativeเพื่อรักษาสิ่งที่ co-CEO Rick Rosenfeld เรียกว่า staying power งบการเงินที่แข็งแกร่งจะ
สามารถรักษาความสามารถในการกู้ยืมที่จำเป็นต้องให้การสนับสนุนเพื่อการเติบโตของ CPK ได้ แต่ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจาก
ต่ำสุดในอดีต Collyns ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้หนี้สินอย่างสมดุลในการเพิ่มส่วนของเงินทุนของ CPK

California Pizza Kitchen


แรงบันดาลใจจากข้อเสนอพิซซ่ารสเลิศที่ Spago ร้านอาหารชื่อดังของ Wolfgang Puck ,white-collar Larry Flax
และ Rick Rosenfield ได้สร้าง California Pizza Kitchen แห่งแรกในปี 1985 ใน Beverly Hills เป็นที่รู้จักสําหรับพิซซ่าบาร์บี
คิวไก่ ที่อบด้วยเตาถ่าน พิซซ่า ―designer ในราคา off-the-rack แนวคิดเริ่มต้นขึ้น การขยายตัวทั่วทั้งรัฐ ประเทศ และทั่วโลก
ตามมาในสองทศวรรษต่อมา ณ สิ้นไตรมาสที่สอง บริษัทมีที่ตั้งทั้งหมด 213 แห่งใน 28 รัฐและ 6 ต่างประเทศ ในขณะที่ยังคงมี
California-centric มาก (ประมาณ 41% ของร้านค้าในสหรัฐฯ อยู่ในแคลิฟอร์เนีย) รูปแบบการรับประทานอาหารแบบสบาย ๆ ก็
ทําได้ดีทั่วทุกภูมิภาคของสหรัฐอเมริกาด้วยสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับครอบครัว ส่วนผสมที่ยอดเยี่ยม และข้อเสนอที่สร้างสรรค์

ในปี 1985 ลาร์รี่แฟลกซ์และริค โรเซนฟิลด์สร้างร้าน California Pizza Kitchen เพื่อให้บริการพิซซ่าชาวบี เวอร์ ลี่ฮิ ลส์
ซึ่งเป็นไอเดียที่มาจากพิซ ซ่าแบบผสมผสานระหว่างความโดดเด่นและราคาเหมาะสม และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ในยุค 2
ทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทได้ขยายธุรกิจไปทั่วโลก โดยมีร้านทั้งในอเมริกาและต่างประเทศ จนถึงสิ้นสุดไตรมาสที่สองของปี บริษัทมี
สถานที่ทั้งหมด 213 แห่งใน 28 รัฐ และ 6 ประเทศต่างๆ บริษัทได้รับรายได้จาก 3 แหล่ง คือ การขายในร้านของบริษัท เงินส่วน
แบ่งจากร้านในระบบแฟรนไชส์ และเงินส่วนแบ่งจากคู่ค้าในธุรกิจคราฟท์ฟู้ดสำหรับการขายพิซซ่าแช่แข็งยี่ห้อ CPK ในร้านขายของ
ในซูเปอร์มาร์เก็ต โดยยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจร้านของบริษัท CPK โดยปัจจุบันมีจำนวน 170 สาขา
นักลงทุนวิเคราะห์ประเมินศักยภาพของหน่วย CPK ของบริษัทที่ให้บริการเต็มรูปแบบอย่างรอบคอบ 500สาขา ทั้งการ
ลงทุนและการจัดการนั้น ไม่ค่อยมั่นใจเกี่ยวกับศักยภาพของความพยายามของหัวหน้าบริษัทในการขยายแบรนด์ นั่นคือแนวคิด
ร้านอาหาร ASAP ในปี 1996 บริษัทได้พัฒนาแนวคิด ASAP เป็นครั้งแรกในข้อตกลงแฟรนไชส์กับ HMSHost ASAPs แฟรนไชส์
ตั้งอยู่ในสนามบินสําหรับนักเดินทางและมีพิซซ่าให้เลือกมากมายและสลัดและแซนวิช ที่เรียกว่า grab-n-go แม้ว่าจะไม่ใช่แหล่ง
รายได้มหาศาล แต่ฝ่ายบริหารก็พอใจกับความสําเร็จของที่ตั้งสนามบินโดยเร็ว ซึ่งปัจจุบันมีจํานวน 16 แห่ง ในช่วงต้นปี 2550
HMSHost และ CPK ตกลงที่จะขยายความร่วมมือจนถึงปี 2555 อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นนั้นปะปนกันมากขึ้นเกี่ยวกับที่ตั้ง
ASAP ที่บริษัทเป็นเจ้าของ และการเปิดครั้งแรกในปี 2000 เพื่อใช้ประโยชน์จากการเติบโตของการรับประทานอาหารแบบสบาย ๆ
ที่รวดเร็ว หน่วย ASAP ที่บริษัทเป็นเจ้าของเสนอพิซซ่า สลัด ซุป และแซนวิชที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเครือพร้อมที่นั่ งใน
ร้านอาหาร การขายและการดําเนินงานตามแนวคิด ASAP ของบริษัท-owned ไม่เคยเป็นไปตามความคาดหวังของฝ่ายบริหาร แม้
หลังจากปรับปรุงแนวคิดและต้นแบบร้านอาหารในปี 2546 ฝ่ายบริหารก็ตัดสินใจหยุดการพัฒนา ASAP ทั้งหมดอย่างไม่มีกําหนด
ในปี 2550 และวางแผนที่จะบันทึกค่าใช้จ่ายประมาณ 770,000 ดอลลาร์ ในไตรมาสที่สองเพื่อยุติการเปิดสถานที่ ASAP ตามแผน
เหมือนกับความไม่แน่ใจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจASAP ที่เป็นเจ้าของบริษัท และกลุ่มลงทุนมีแนวโน้มที่ดีเกี่ยวกับความสำเร็จ
และโอกาสของบริษัทในการจัดหาแฟรนไชส์ร้ านอาหารเต็มรูปแบบ CPK ระดับนานาชาติ ตั้งแต่เริ่มต้นเดือนกรกฎาคม 2007
บริษัทมีสถานที่ตั้งแฟรนไชส์ระหว่างประเทศทั้งหมด 15 แห่งและมีแผนเปิดตัวเพิ่มเติมในครึ่งหลังของปี 2007 การจัดหาบริษัทคู่
ค้าแฟรนไชส์ที่มีความรู้ความชำนาญและสามารถปกป้องตราสินค้าของบริษัทและสามารถเพิ่มจำนวนหน่วยระหว่างประเทศได้ เป็น
เรื่องสำคัญที่บริหารจัดการ Franchising agreements ทั่วไปจะให้ CPK รับเงินรางวัลเริ่มต้นในอัตรา 50,000 ถึง 65,000 ดอลลาร์
สหรัฐสำหรับทุก สถานที่ที่ เปิดและจากนั ้นรั บรายได้ยอดรวมประมาณ 5% ของยอดขาย โดยมีสถานที่อยู่ แ ล้วในจีน ฮ่องกง
อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ บริษัทวางแผนที่จะขยายตลาดของตนไปยังเม็กซิโกและเกาหลีใต้ในครึ่ งหลั ง
ของปี 2007
การบริหารงานมองว่าพันธมิตรกับ Kraft เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแบรนด์ระดับโลกของบริษัท เมื่อปี 1997 บริษัทได้
ทำสัญญาอนุญาตกับ Kraft Foods เพื่อกระจายผลิตภัณฑ์พิซซ่าแบรนด์ CPK แช่แข็ง แม้ว่ารายได้จากผลิตภัณฑ์นี้จะเพียงไม่ถึง
1% ของรายได้ปัจจุบัน แต่นักวิเคราะห์หุ้นหนึ่งก็ประเมินว่าค่าส่วนแบ่งที่ได้รับจาก Kraft มีอัตรากำไรก่อนภาษีถึง 95% นอกจากนี้
ยังมีผลกระทบต่อด้านกำไรสุทธิของบริษัทอย่างมาก นอกจากนี้ การบริหารงานยังเน้นเรื่องของการต้องการการตลาดในพันธมิตร
กับ Kraft ซึ่งมีข้อกำหนดให้ Kraft ต้องใช้เงินจำนวน 5% ของยอดขายสุทธิในการตลาดผลิตภัณฑ์พิซซ่าแบรนด์ CPK ซึ่งบางครั้งก็
มากกว่าที่บริษัทจะใช้ในการตลาดสินค้าของตนเอง
การบริหารจัดการรู้สึกว่าความสำเร็จของ CPK ในการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงผ่านพันธมิตรเช่น
พันธมิตรกับ Kraft เป็นส่วนใหญ่เนื่องจาก "การให้บริการที่ถูกใจและนวัตกรรมเมนู และวัฒนธรรมที่ยั่งยืนของการให้บริการ"
อาหารที่สร้างความคุ้นเคยและมีคุณภาพสูงเป็นลำดับที่สำคัญที่ CPK โดยผู้ก่อตั้งสองคนยังเป็นผู้นำทีมพัฒนาเมนู สำรวจ 1 มีเมนูที่
เลือกเป็นตัวอย่าง นักวิเคราะห์ของ Morgan Keegan เขียนว่า "เมนูของ CPK นำเสนอรสชาติที่หลากหลายและน่าตื่น เต้นให้กับ
ลูกค้า" ในขณะที่ธุรกิจของบริษัทมีเมนูที่ค่อนข้างจำกัดกว่าบางคู่แต่ก็ภูมิใจในการสร้าง "รสชาติที่เป็นที่ต้องการ" เช่น Singapore
Shrimp Rolls ที่แตกต่างจากเมนูของพวกเดียวกันในร้านอาหารแบบเคเชียลได้ ยกตัวอย่างได้ว่า รายงานการวิจัยภายในของ
บริษัทพบว่าความต้องการเฉพาะในเมนูที่ไม่สามารถพอใจได้ที่อื่นเป็นสาเหตุหลักที่ผู้บริโภคไปใช้บริการ ในการรักษาความเป็น
เอกลักษณ์ของเมนู CPK ผู้บริหารตรวจสอบรายงานการขายอย่างละเอียดสองครั้งต่อปี เพื่อรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของเมนู
ผู้จัดการตรวจสอบรายงานขายอย่างละเอียดสองครั้งต่อปีและแทนที่รายการที่ขายช้าด้วยรายการใหม่ บางส่วนของรายการเมนูที่
เพิ่มเป็นล่า สุ ดถูกพั ฒนาและทดสอบที่ แนวคิ ดร้านอาหารใหม่ของบริษ ัท ชื่อ LA Food Show ซึ่งถูกสร้างขึ้น โดย Flax และ
Rosenfield เมื่อปี 2003 LA Food Show เสนอประสบการณ์ที่เหมาะสมกว่า CPK และเมนูที่กว้างขึ้น CPK เพิ่มส่วนแบ่งส่วนของ
ตนใน LA Food Show จนเป็นเจ้าของเต็มรูปแบบในปี 2005 และวางแผนที่จะเปิดสถานที่ใหม่ในต้นปี 2008
นอกจากนวัตกรรมในเมนูอาหารของ CPK แล้ว นักวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นว่า เฉลี่ยใช้จ่ายต่อคนละ 13.30 ดอลลาร์ของ
CPK ต่ำกว่าพวก P.F. Chang's และ The Cheesecake Factory ในกลุ่มร้านอาหารแบบเรียบง่ายที่มีราคาแพงขึ้น นักวิเคราะห์
จาก RBC Capital Markets เรียก CPK ว่าเป็นผู้นำในด้าน "ราคาคุ้มค่า - ประสบการณ์ที่ดี - ราคา" ในกลุ่มของเขา

CPK ใช้เพียง 1% ของยอดขายในการโฆษณา น้อยกว่า 3-4% ของยอดขายของคู่แข่งในกลุ่มร้านอาหารแบบเรียบง่าย


เช่น Chili's, Red Lobster, Olive Garden และ Outback Steakhouse โดยจัดการอย่างระมัดระวั ง เป้าหมายของบริษ ัท คื อ
ลูกค้าที่กระตือรือร้นซึ่งสร้างการตลาดแบบฟรีโดยมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าแต่มีประโยชน์มากกว่า นอกจากนี้ CPK ยังลงทุนประมาณ
50% จากจำนวนเงินที่ใช้ในการตลาดเพื่อการพัฒนาเมนู และ 50% คงเหลือไว้สำหรับกิจกรรมตลาดอื่นๆ เช่น การสื่อสารกับสื่อ ,
การเสนอข้อเสนอโดยตรง, โฆษณากลางแจ้งและการตลาดออนไลน์
ลูกค้าของ CPK ไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อการสนับสนุนร้านอาหารเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญในเชิง Demographics
ด้วย โดยการจัดการของ CPK ได้เน้นให้ลูกค้าหลักของร้านนี้มีเฉลี่ยรายได้ในบ้านเกิน 75,000 ดอลลาร์ต่อปี ตามการสำรวจความ
พึงพอใจของลูกค้าในปี 2005 นี้ พวกเขาได้ยืนยันว่ากลุ่ มลูกค้าที่ มี ความร่ำ รวยเหล่านี ้ช ่วยปกป้อ งธุรกิจจากผลกระทบของ
สถานการณ์เศรษฐกิจรวมทั้งสถานการณ์การเงิน เช่น การเพิ่มราคาน้ำมันที่อาจทำให้ยอดขายลดลงสำหรับคู่แข่งที่มีลูกค้าที่มีรายได้
น้อยกว่า CPK
The Restaurant Industry
อุตสาหกรรมร้านอาหารสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือบริการเต็มรูปแบบและบริการจำกัด บริการเต็มรูปแบบมี
หลายแขนงย่อยที่ได้รับความนิยมอย่าง Casual dining และ Fine dining ในขณะที่ Fast casual และ Fast food เป็นสองแขนง
ย่ อ ยที ่ ไ ด้ ร ับ ความนิ ย มในบริ การอย่า งจำกั ด ทำตามนิ ย ามโดยบริ ษั ท ที่ ใ ห้ บ ริ ก ารที่ ป รึก ษาในด้ านร้ านอาหาร Technomic
Information Services ได้ทำการคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของร้านอาหารบริการจำกัดจะสูงขึ้นในอัตราประมาณ 5.5% ต่อปี
ในขณะที่ร้านอาหารบริการเต็มรูปแบบจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 5.1% โดยการเติบโตประมาณ 6.5% ของ CPK ในแขนงย่อย
ของร้านอาหารบริการเต็มรูปแบบนั้นมีโอกาสเติบโตสูงกว่า ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีการทำให้ผู้บริหารของวงการร้านอาหาร
ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการเพิ่มต้นทุนในการซื้อวัตถุดิบและค่าแรงงานที่สูงขึ้น ความต้องการที่ลดลงเนื่อ งจากราคาน้ำ มันสู ง
และการเสื่อมถอยของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงความสนใจที่สูงในวงการนี้จากผู้ถือหุ้นที่เป็นนักกิจกรรมและผู้รับบริการ
ในตลาด ณ ปัจจุบัน
ราคาน้ำมันสูงไม่เพียงแต่มีผลต่อความต้องการในพฤติกรรมของการกินข้างนอกบ้าน แต่ยังส่งผลกระทบต่อการเพิ่ มขึ้น
ของราคาวัตถุดิบอาหารอย่างมหาศาลด้วย นอกจากนี้ยังมีการเรียกร้องให้มีเชื้อเพลิงชีวภาพเพิ่มขึ้นในระดับชาติ โดยใช้เมล็ด
ข้าวโพดเป็นเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งมีบทบาทเพิ่มขึ้นในการเพิ่มราคาอาหารสำหรับอุตสาหกรรมร้านอาหาร บริษัทร้านอาหารตอบสนอง
ด้วยการเพิ่มราคาเมนูในระดับต่าง ๆ พวกเขาเชื่อว่าการเพิ่มราคาจะไม่มีผลกระทบต่อการเดินทางไปยังร้านอาหาร เนื่องจาก
ผู้บริโภคกำลังเผชิญกับการเพิ่มราคา
ร้านอาหารไม่เพียงแค่ต้องจัดการกับการเพิ่มราคาวัตถุดิบเท่านั้น แต่ยังต้องจัดการกับค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้นด้ว ย ในเดือน
พฤษภาคม ปี 2007 ประธานาธิบดีบุชลีได้ลงนามในกฎหมายที่เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในสหรัฐฯ จาก $5.15 เป็น $7.25 ต่อชั่วโมง
ในระยะเวลาสามปีเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2007 แต่ทีมจัดการร้านอาหารยังไม่มีการเตรียมตัวเพียงพอในการจัดการกับการ
เพิ่มขึ้นของค่าจ้างในรัฐประมาณ 20 รัฐในปลายปี 2006 ที่ผา่ นมาได้ประกาศเพิ่มอัตราค่าจ้างที่สูงกว่าที่รัฐสภาเสนอ นอกจากนี้
การต้องจัดการกับการเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบแล้ว กำไรขั้นต้นของร้านอาหารยังต้องรับความกดดันจากการลดลงของอัตราการใช้
บริการร้านอาหาร การสำรวจของ AAA Mid-Atlantic ในช่วงเวลานั้นได้ถามผู้เดินทางเกี่ ยวกับวิธีการลดการใช้จ่ายเพื่อ ชดเชยค่า
น้ำมันที่สูงขึ้น และมีผู้ตอบว่า 52% จะลดค่าใช้จ่ายในด้านอาหารก่อน แต่ด้วยข่าวดีว่านักลงทุนของ Deutsche Bank กล่าวว่า
“สองตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพของผู้บริโภค คือรายได้ส่วนตัวและการจ้างงาน ยังคงดีอยู่ ผู้คนจึงมีแนวโน้มที่จะกินออกนอกบ้าน
ต่อไป”
สภาพแวดล้อมปัจจุบันของการค้าร้านอาหารที่มีค่าวัสดุอาหารและค่าแรงงานสูง และความกังวลของผู้บริโภคเน้นข้อ
แตกต่างระหว่างส่วนของอุตสาหกรรมร้านอาหารแบบ Limited-Service และ Full-Service โมเดล Franchising เป็นที่นิยมกว่า
ในส่วนของ Limited-Service และให้การป้องกันบางส่วนจากค่าวั สดุอาหารและค่า แรงงานที่ สู ง โดย Franchisors จะได้รับ
เปอร์เซ็นต์จากยอดขายรวม การเพิ่มรายได้จากการเพิ่มราคาสินค้าจะมีผลกระทบต่ำกว่าใน Full-Service บริษัทร้านอาหารที่มี
ธุรกรรมการจัดการฟรีแลนซ์ใหญ่ยังไม่ได้ลงทุนมากในสถานที่หรือมีความจำเป็นต้องรับผิดชอบสัญญาเช่าที่มีน้ำหนักหน่วยงานหนัก
ผู้วิเคราะห์ตลาดยังรับน้ำหนักต้องการเช่าที่ดำเนินงานเมื่อพิจารณาความสมดุลของบริษัทร้านอาหาร 2 ผู้วิเคราะห์ตลาดรู้สึกว่า
Limited-Service จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของผู้ บริโภคที่จะลดความสนใจใน Casual Dining ใน Full-Service
ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ เติบโตของ Fast Casual และการปรับปรุงคุณภาพอาหารใน Fast Food ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่
เป็นไปได้มากขึ้น
การดูโดยรวมของอุตสาหกรรมร้านอาหารดูเหมือนจะแข็งแกร่งมากขึ้นในระยะยาว ศึกษาโดยสมาคมร้านอาหารแห่งชาติ
ได้โปรแจ็คว่าผู้บริโภคจะเพิ่มเปอร์เซ็นต์ของเงินที่ใช้สำหรับอาหารที่รับประทานนอกบ้านจาก 45% ในปีก่อนหน้านีไ้ ปเป็น 53% ใน
ปี 2010 แนวโน้มที่ดีในระยะยาวนี้อาจช่วยอธิบายเหตุผลของความสนใจลึกของผู้ถือหุ้นที่มักเป็นผู้บริหารของกองทุนเอกชนและ
กองทุนฮีดจ์ นักลงทุนแอ็กทิวิสต์วิลเลียม แอ็กแมนของเพอร์ชิ่ง สแควร์ แคปิตอลแมเนจเม้นท์ได้เป็นผู้เริ่มต้นสร้างความเคลื่อนไหว
แรงๆ ในตลาดหุ้นของร้านอาหาร โดยบริษัทได้ประกาศว่าจะขายออก 1,500 ร้านอาหาร จะซื้อคืนหุ้นของตนเองมูลค่า 1 พันล้าน
ดอลลาร์ และเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับผลงานของแต่ละร้านอาหารมากขึ้น แอ็กแมนสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทั้ งหมดเหล่านี้
และสามารถใช้สื่อมวลชนเพื่อส่งผลให้กับราคาหุ้นของแอ็กแมนในสัดส่วน 4.5% ของแมคโดนัลด์ได้
ความสำเร็จของเขาไม่ได้ไปตามที่ไม่รู้จักและนักลงทุนของลูกน้องที่เป็นผู้มีอิทธิพลส่งกำลังกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่
บริษัทฯใหญ่อื่น ๆ เช่น Applebee's, Wendy's และ Friendly's การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การขายบริษัทจนถึงการ
ขายส่วนหนึ่งของธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องไปจนถึงการปิดสถานที่ที่ทำงานไม่ดี

การตอบสนองด้วยแผน "เป็นมิตรต่อผู้ถือหุ้น" โดยซึ่งบางเครือข่ายได้เริ่มเริ่มแผนการเหล่านี้ เช่น เริ่มการโปรแกรมการ


รับซื้อหุ้นกลับ การเพิ่มเงินปันผล การลดค่าใช้จ่ายของบริษัท และการขายสินทรัพย์รองที่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ ดังนั้น Doug Brooks
ผู้บริหารอาวุโสของ Brinker International Inc. ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน Chili's ได้กล่าวไว้ในงานประชุมล่าสุดว่า "ไม่มีขาดแคลนของ
ความสนใจในวงการของเราในวันนี้ และข่าวล่าสุดเน้นไปที่การเข้าร่วมของผู้ถือหุ้นนักต่อสู้ แต่หน้าที่ของฉันเป็น ผู้บริ หารผู้กดดัน
ภายใน" ในเดือนเมษายน 2007 Brinker ประกาศได้รับสิทธิ์ในการขอสินเชื่อไม่มีหลักประกันจำนำเป็นจำนวน 400 ล้านดอลลาร์
สหรัฐเพื่อสนับสนุนการซื้อหุ้นกลับอย่างรวดเร็ว ซึ่งประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐจะถูกซื้อกลับ สิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากการเสนอ
ขายเอกสารในการกลับร้อนในปี 2006 ที่บริษัทได้ซื้อกลับหุ้นรายส่วนมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Recent Development
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่สองของ CPK ที่ดีเป็นไปตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายคนที่ระบุว่าบริษัทเป็ น "ที่
หลบภัย" ในภูมิภาคร้านอาหารประเภทคาชูดี้ ข้อมูลการเงินล่าสุดของ CPK สามารถเห็นได้จากแผนภูมิ 2 และ 3 และแผนภูมิที่ 4
แสดงแนวโน้มของยอดขายร้านเดียวกันของ CPK และของคู่แข่ง แผนภูมิที่ 5 แสดงการพยากรณ์ของนักวิเคราะห์ที่เลือก CPK โดย
ทั้งหมดคาดการณ์ว ่ารายได้แ ละกำไรจะเติบ โต นักวิเคราะห์จาก Morgan Keegan ได้มีความคิดเห็น เมื่อ เดือนพฤษภาคมว่ า
"ถึงแม้ว่าตลาดจะมีการกดดันกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น แต่แนวคิดของ California Pizza Kitchen ยังคงมีการเพิ่ มลูกค้า
อย่างน่าประทับใจ โดยเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าที่มีรายได้สูงมากกว่า อาหารที่สร้างสรรค์ของ CPK ราคาเบาๆ แต่มีมาตรฐานการ
บริการสูงทำให้แนวคิดนี้เป็นเอกลักษณ์เพื่อความสำเร็จในสภาวะเศรษฐกิจของผู้บริโภคที่ยากลำบาก" ในขณะที่บริษัทร้านอาหาร
อื่นๆ ประสบความย่วงของยอดขายและกำไรสุทธิ CPK บริษัทร้านอาหารอาบู๊ดี เพิ่มรายได้ขึ้นมากกว่า 16% เป็นเงิน 159 ล้าน
ดอลลาร์สหรัฐสำหรับไตรมาสที่สองของปี 2007 โดยมีส่วนของค่าแลกเปลี่ยนรายได้จากพันธมิตรกับ Kraft และสัญญาการให้สิทธิ์
การใช้ชื่อเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระหว่างประเทศ เพิ่มขึ้น 37% และ 21% ตามลำดับ สำหรับไตรมาสที่สอง แผนการพัฒนาเพื่อ
เปิดตัวร้านอาหารใหม่ 16-18 สถานที่คงไว้ในตารางเวลาสำหรับปี 2007 การจัดทุนเพื่อการเติบโตของ CPK ในปี 2007 คาดว่า
จะต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการลงทุนประมาณ 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
บริษัทสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายสองรายการที่ใช้ในประเทศที่ราคาแรงงานและวัตถุดิบสูงได้ดี ค่าแรงงานจริงๆ
ลดลงจาก 36.6% เหลือเพียง 36.3% ของรายได้รวมในไตรมาสที่สองของปี 2006 ถึงไตรมาสที่สองของปี 2007 ค่าใช้จ่ายในด้าน
อาหาร เครื่องดื่ม และอุปกรณ์กระดาษคงที่ที่ประมาณ 24.5% ของรายได้รวมในทั้งสองไตรมาส ของปี 2006 และ 2007 บริษัท
กำลังดำเนินการด้วยกลุ่มงานมากมายเพื่อจัดการกับการดันราคาสินค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาชีสเพิ่มขึ้นจาก $1.37 ต่อปอนด์
ในเดือนเมษายนไปจนถึงเกือบ $2.00 ในสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคมผู้บริหารเชื่อว่าการปรับปรุงการดำเนินงานในร้านอาหาร
ได้ช่วยลดต้นทุนได้มากเป็นส่วนใหญ่
The Capital Structure Decision
Book Equity ของ CPK คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 226 ล้านดอลลาร์ตอนปลายไตรมาสที่สอง ราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำ 20
ดอลลาร์ CPK มีมูลค่าตลาดประมาณ 644 ล้านดอลลาร์ บริษัทได้จ่ายเงินปันผลหุ้น 50% โดยที่ผู้ถือหุ้น CPK จะได้รับหุ้นเพิ่มอีก
หนึ่งหุ้นสำหรับทุกสองหุ้นที่ถืออยู่ โดยคำนวณค่าหุ้นตามอัตราส่วน 3:2 CPK มีการเปรียบเทียบผลการดำเนินกับธุรกิจอื่น โดยใช้
การปรับเพื่อให้เหมาะสมกับการจ่ายเงินปันผลหุ้นที่เกิดขึ้นล่าสุด
หลังจากเจอความท้าทายในการเพิ่มจำนวนร้านอาหารไปถึง 38% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา CPK ยังคงได้รับผลตอบแทนจาก
การดำเนินกิจการอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผลตอบแทนจากส่วนของเจ้าของ (ROE) ของ CPK ปี 2006 มีอัตราสูง
ถึง 10.1% โดยไม่ได้รับผลประโยชน์จากการขยายหนี้เป็นส่วนใหญ่ นโยบายการเงินของธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้มีความแตกต่า งกัน
บางบริษัทเลือกที่จะใช้ทุนเป็นหลัก ส่วนอื่นๆ เลือกใช้หนี้เพื่อจัดการทุนเงิน ตารางเลขทางการเงินบางส่วนของบริษัทในกลุ่ม
เดียวกันแสดงใน Exhibit 7 โดย CPK ได้ใช้เงินจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรกเมื่อปี 2000 เพื่อชำระหนี้ค้างจ่าย จึงไม่ต้องใช้หนี้เป็น
เงินเลย แต่ยังคงเพิ่มความสามารถในการกู้ยืมตามสายเครดิตของบริษัท ในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยของสายเครดิตคิดจาก LIBOR บวก
0.80% และเมื่อ LIBOR อยู่ที่ 5.36% ดังนั้น interest rest ก็จะอยู่ที่ 6.16%
Suggested questions 1
1. In what ways can Susan Collyns facilitate the success of CPK?

1.1 โครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม ทางกลุ่มมองว่า Susan ควรมีการประเมินและวิเคราะห์ในส่วนของ Capital Structure ของ


CPK อย่างการใช้ WACC ในการประเมินว่าบริษัทควรมีการใช้สัดส่วนของหนี้สินและทุนเท่าไหร่
เพื่อให้เกิดโครงสร้างการลงทุนที่เหมาะสม
1.2 การวางแผนและวิเคราะห์ทางการเงิน ทาง Susan เป็น CFO ของบริษัท ควรมีการวางแผนและวิเคราห์ทางการเงินของบริษัท
ผ่านการพัฒนางบประมาณการคาดการณ์และการวางแผนระยะ (Long term)
โดยแผนเหล่านี้ควรสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายของบริษัท

1.3 การควบคุมต้นทุนและประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท Susan ควรมีการควบคุมต้นทุนจากแผนงบประมาณในข้างต้น


โดย Monitor ค่าใช้จ่ายภายในบริษัทให้เป็นไปตาม Plan ที่วางไว้ แต่ยังคงความมีประสิทธิภาพการดำเนินงานไว้ด้วย เพื่อเกิด
Profit Margins ที่มากขึ้น
1.4 การบริหารความเสี่ยง Susan ควรมีการระบุประเมินและลดความเสี่ยงทางการเงินต่างๆ อย่างความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย
ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และความเสี่ยงด้านเครดิต เพื่อวางแผนและป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับบริษัท
Suggested questions 2
2. Using the scenarios in case Exhibit 9, what role does leverage play in affecting the return on equity
(ROE) for CPK? What about the cost of capital? In assessing the effect of leverage on the cost of
capital, you may assume that a firm’s CAPM beta can be modeled in the following manner:
βL = βU[1 + (1 − T)D/E], where βU is the firm’s beta without leverage, T is the corporate income
tax rate, D is the market value of debt, and E is the market value of equity.
Debt/Total Capital
Actual 10% 20% 30% 33.2023%
Interest rate (1) 6.16% 6.16% 6.16% 6.16% 6.16%
Tax rate 32.5% 32.5% 32.5% 32.5% 32.5%

Earnings before income taxes and


interest(2) 30.05 30.05 30.05 30.05 30.05
Interest expense - 1.39 2.78 4.17 4.62
Earnings before taxes 30.05 28.66 27.27 25.88 25.43
Income taxes 9.76 9.30 8.85 8.40 8.26
Net income 20.30 19.36 18.42 17.48 17.18

Book value:
Debt - 22.59 45.18 67.77 75.00
Equity 225.89 203.30 180.71 158.12 150.89
Total capital 225.89 225.89 225.89 225.89 225.89

Market value:
Debt(3) - 22.59 45.18 67.77 75.00
Equity(4) 643.77 628.52 613.26 598.00 593.12
Market value of capital 643.77 651.10 658.44 665.77 668.12

จาก case เนื่องจากได้มีการกล่าวว่า borrowing capacity available $75 million ทางกลุ่มจึงได้กำหนด scenario
เพิ่มเติมในกรณีที่บริษัทได้ทำการใช้หนี้เต็มจำนวน จะทำให้ Debt/Total Capital ของบริษัทมีค่าเท่ากับ 33.2023% และ Market
value capital เท่ากับ 668.12 million
Actual 10% 20% 30% 33.2023%
roe 8.986% 9.523% 10.193% 11.054% 11.385%
beta 0.85
D/E - 0.04 0.07 0.11 0.13
CAPM : beta L 0.85 0.87 0.89 0.92 0.92
Cost of Equity 8.81% 8.90% 9.00% 9.10% 9.13%
Risk Free 5.10% 5.10% 5.10% 5.10% 5.10%
MRP 4.37% 4.37% 4.37% 4.37% 4.37%
Cost of Debt (LIBOR+0.80%) 6.16%
We 100.00% 96.53% 93.14% 89.82% 88.77%
Wd 0.00% 3.47% 6.86% 10.18% 11.23%
WACC 8.81% 8.74% 8.67% 8.60% 8.57%
จากตารางจะพบได้ว่าค่า roe จาก actual มีค่าเท่ากับ 8.986% เมื่อเทียบกับ scenario ที่เคสให้มานั้นเห็นได้ว่าค่า roe จะมี
การเพิ่มขึ้นตาม Debt/Total Capital ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีการกู้เพื่อทำการซื้อหุ้นคืน จึงทำให้ใช้สัดส่วนของ Equity ลดลง
ตามสัดส่วน scenario ที่กำหนด แต่เนื่องจากได้กำหนดให้กำไรสุทธิของบริษัทคงเดิม จึงทำให้ผลตอบแทนจากส่วนของผู้ ถือหุ้น มี
สัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับในส่วนของ WACC จากกรณี actual จะมีค่าอยู่ที่ 8.81% โดยสัดส่วนของ WACC ในกรณีนี้จะมาจากในส่วนของ cost
of equity 100% เนื่องจากบริษัทไม่ได้มีการก่อหนี้ที่ก่อให้เกิดภาระทางดอกเบี้ย แต่เมื่อสังเกตจาการกรณีศึกษาเพิ่มเติมนั้น
WACC ของบริษัทมีแนวโน้มลดลงตามสัดส่วนของ cost of debt ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทไม่มีหนี้มาก่อน โดยค่า cost of debt
จะอยู่ที่ 6.16% และ cost of equity ที่สัดส่วนลดลงเนื่องจากการกู้ที่เพิ่มมากขึ้น โดยค่าของ cost of equity ที่คำนวณออก
มาแล้วต่างออกไปนั้นมาจาก D/E เนื่องจากในแต่ละกรณีจะมีการก่อ Debt ในปริมาณที่แตกต่างกันออก ถ้าบริษัทยิ่งก่อหนี้มาก
เท่าใดก็จะทำให้ cost of equity สูงตามขึ้นไปด้วย อีกทั้งการกู้ยังส่งผลให้ WACC ของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญตามที่ได้กล่าว
ไปข้างต้น
Suggested questions 3
3. Based on the analysis in case Exhibit 9, what is the anticipated CPK share price under each scenario?
How many shares will CPK be likely to repurchase under each scenario? What role does the tax
deductibility of interest play in encouraging debt financing at CPK?
repurchase stock @ $22.10 Actual 10% 20% 30% 33.2023%
Debt after tax 7.33 14.66 22.00 24.34
Price Per Share $ 22.10 $ 22.36 $ 22.64 $ 22.94 $ 23.05
Share Repurchased (million) 0 1.02212 2.04424 3.06635 3.39367
Share Outstanding (million) 29.13 28.11 27.09 26.06 25.74
Earning Per share 0.70 0.69 0.68 0.67 0.67
Tax shield (million) - 0.45 0.90 1.35 1.50

จากตารางจะเห็นได้ว่า ราคาของหุ้น CPK จะสูงขึ้นตามสัดส่วน scenario ของเงินกู้ที่สูงขึ้น เมื่อกู้เงิน 10%


ราคาหุ้นจะอยู่ที่ 22.36 เหรียญ ไปจนถึง 22.94 เหรียญ เมือกู้เงิน 30% เทียบกับราคาหุ้นในกรณี้ที่ไม่ได้มีการกู้อยู่ที่ 22.10
เหรียญเนื่องจาก เมือนำเงินกู้มีซื้อหุ้นคืนเนื่องจาก Tax shield
ที่ได้จากการกู้เงินจะไปเพิ่มส่วนของราคาหุ้นให้เพิ่มขึ้นมาที่นอกเหนือจากจำนวนหุน้ ที่ลดลง
โดยจะเห็นว่าการซือ้ หุ้นคืนจากการกู้เงิน 10% จะซื้อหุน้ คืนได้ประมาณ 1.02ล้านหุ้ น ไปจนถึง 3.07ล้านหุ้นในกรณี้ที่กู้เงิน 30%
โดย Tax shield ที่ได้จากการกู้เงิน จาก scenario 10% จะได้ 0.45 ล้านเหรียญ จนถึง 1.35 ล้านเหรียญที่ scenario กูเงิน 30%
จากการที่ tax shield หักภาษีได้ที่ 32.5% แต่อย่างไรก็ตาม การกู้เงินแม้ว่าจะทำให้ outstanding share ลดลง แต่ EPS
ก็ไม่ได้มีการเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนดอกเบี้ยจากการกู้เงิน ก็ทำให้ Netincome ของบริษัทลดลง ส่งผลให้ EPS ลดลงตามไปด้วย
โดย EPS ของ scenario กู้เงิน 10% อยู่ที่ 28.11 ไปจนถึง 26.06 ใน scenario กู้เงิน 30% เทียบกับ 29.13 ซึ่งเป็น EPS
ในกรณี้ที่ไม่ได้มีการกู้เงิน เนื่องจากบริษัทไม่ได้นำเงินกู้มาขยายกิจการหรือเพิ่มยอดขาย ทำให้ revenue
ของบริษัทไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่กลับมา expense จาก interest ที่สูงขึ้น
Suggested questions 4
4. What capital structure policy would you recommend for CPK?
เนื่องจากบริษัท CPK มีนโยบายทางการเงินของบริษัท เป็นแบบ Conservative เพื่อรักษาสิ่งที่ co-CEO Rick Rosenfeld
เรียกว่า staying power ในปี 2000 ราคาหุ้นลดต่ำลงทำให้บริษัทมีการเสนอขายหุ้นแก่ IPO เพื่อชำระหนี้ที่ค้างชำระ ทำให้บริษัท
จึงสามารถรักษาระดับเครดิตเอาไว้ได้อยู่และไม่ต้องเผชิญกับอัตรดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มสูงขึ้น (ความสามารถในการกู้ยืมภายใต้วงเงิน
เครดิต 75 ล้านดอลลาร์)
ดังนั้นจึงคิดว่าควรใช้โครงสร้างเงินทุนแบบหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นที่ 10% นั้นเหมาะสมที่สุด เพราะว่าที่กล่าวไปข้า งต้นว่า
CPK มีนโยบายทางการเงินของบริษัท เป็นแบบ Conservative ซึ่งไม่อยากมีภาระหนี้สินมากนักและเมื่อมีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น จะทำ
ให้ไม่เป็นภาระกับบริษัทในระยะยาวมากนัก และอีกทั้งโครงสร้างเงินทุนแบบหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นที่ 10% นั้นก็เป็นประโยชน์กับ
บริษัททางด้านภาษี ที่ทำให้บริษัทสามารถหักลดหย่อยภาษีได้เพิ่มขึ้น สำหรับผลดีในระยะสั้นนั้น เนื่องจากจำนวนหุ้นลดลงไป 1.02
ล้านหุ้นดังตารางด้านล่าง ทำให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตาม
สำหรับเหตุผลที่บริษัทยังไม่ควรใช้ โครงสร้างเงินทุน แบบหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น ที่มากกว่า 10% นั้น เพื่อรักษานโยบาย
ทางการเงินของบริษัทและบริษัทจำเป็นต้องคำนึกถึงความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินของบริษัทด้วย เช่นความเสี่ยงที่จะผิดนัด
ชำระหนี้สินในกรณีที่เศรษฐกิจ ตกต่ำหรือผันผวน อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้บริษัทไม่สามารถรักษา
ระดับเครดิตของบริษัทเอาไว้ได้

repurchase stock @ $22.10 Actual 10% 20% 30% 33.2023%


Debt after tax 7.33 14.66 22.00 24.34
Price Per Share $ 22.10 $ 22.36 $ 22.64 $ 22.94 $ 23.05
Share Repurchased (million) 0 1.02212 2.04424 3.06635 3.39367
Share Outstanding (million) 29.13 28.11 27.09 26.06 25.74
Earning Per share 0.70 0.69 0.68 0.67 0.67
Tax shield (million) - 0.45 0.90 1.35 1.50
Suggested questions 5
5. What is the case for not doing the recapitalization?

การที่บริษัทไม่มีการเพิ่มทุนจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเท่าเดิม ดังนั้นจำนวนหุ้นยังคงเท่าเดิมด้วยเหตุนี้ในกรณีที่บริษัทยัง
สามารถทำกำไรได้จากการดำเนินงานและมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นจะยังทำให้ส่วนของ D/E เท่าเดิมหากบริษัทไม่ได้มีการกู้ยืม
เพิ่มเติม แต่ในกรณี่บริษัทมีแผนในการขยาดสาขา 16-18 แห่งในต่างประเทศด้วยเงินลงทุน 85 ล้านดอลล่าร์ การที่บริษัทต้องกู้เงิน
เพิ่มเพื่อขยายธุรกิจจะทำให้สัดส่วนของ Debt to Equity เพิ่มขึ้น และด้วยเหตุนี้บริษัทจะมี ICR ที่ลดลงทำให้ Credit Rating
ลดลง ซึ่งส่งผลถึงอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมและวงเงินในการกู้ยืมอื่นๆ ในอนาคตอาจเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังทำให้ Cost of Equity ของ
บริษัทเพิ่มสูงขึ้น ถึงแม้ว่าการขยายธุรกิจทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นในตลาดของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ใน
กรณีที่รายได้จากสาขาใหม่ที่ลงทุนไม่ได้สร้างรายได้ที่เพียงพอกับดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายอาจจะนำมาสู่การผิดนัดชำระหนี้ได้ ซึ่งสามารถ
แบ่งประเด็นได้ดังนี้
มูลค่าของส่วนผู้ถือหุ้น : ผู้ถือหุ้นอาจจะเชื่อว่าบริษัทมีมูลค่าต่ำเกินไปและการเพิ่มทุนจะไม่ให้ผลตอบแทนที่ยุติธรรมจาก
การลงทุนของผู้ถือหุ้น และบริษัทควรมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการดำเนินงานและเพิ่มความสามารถในการสร้างกำไรแทน เพื่อเพิ่ม
ราคาหุ้นและให้มูลค่าระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้น ดังนัน้ การไม่เพิ่มทุนจะสามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้
ความเสี่ยงทางการเงิน : หนี้ที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มทุนอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน
ของบริษัท อุตสาหกรรมร้านอาหารขึ้นชือ่ เรื่องต้นทุนการดำเนินงานที่สงู และอัตรากำไรที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งอาจทำให้ California
Pizza Kitchen ชำระหนี้ได้ยากในกรณีที่เศรษฐกิจตกต่ำหรือความท้าทายทางการเงินอื่นๆ สิ่งนี้อาจทำให้บริษัทเสี่ยงต่อการผิดนัด
ชำระหนี้หรือเผชิญกับปัญหาทางการเงินอืน่ ๆ ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงทางการเงินบริษัทควรค่อย ๆ ขยายธุรกิจจากกำไรสะสม
การหันเหความสนใจของผู้บริหาร : ผู้ถือหุ้นบางส่วนอาจมีความกังวลว่าการเพิ่มทุนอาจเบี่ยงเบนความสนใจของฝ่าย
บริหารไปจากการดำเนินงานประจำวันของธุรกิจ ด้วยความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นในการจัดการหนี้ใหม่และธุรกรรมทางการเงินที่
เกี่ยวข้อง ผู้ถือหุ้นบางส่วนอาจจะกลัวว่าผู้นำของบริษัทจะไม่สามารถมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการดำเนินงานของร้านอาหาร
ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า และรักษาความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมได้มากนัก ดังนั้นเพื่อสร้างรายได้แบบ
Organic ผู้บริหารควรสนใจแต่การพัฒนาสินค้าและบริการรวมถึงการเอาชนะคู่แข่งเพื่อให้บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่
ครอบคลุมและมากที่สุด
ค่าเสียโอกาส : (ในกรณีที่บริษัทเพิ่มทุนจากส่วนของผู้ถือหุ้น) เงินที่ใช้สำหรับการจ่ายเงินปันผลครั้งเดียวซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง
ของแผนการเพิ่มทุนอาจนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นได้ดีกว่า เช่น การลงทุนในสถานที่ใหม่ การขยายเมนู หรือการพัฒนาความคิด
ริเริ่มทางการตลาดใหม่ๆ ด้วยการผูกเงินสดสำรองของบริษัทส่วนหนึ่งไว้ในการเพิ่มทุน ทำให้บริษัทกำลังพลาดโอกาสในการเติบโต
ที่สำคัญ ดังนั้นการเพิ่มทุนจะทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายที่ใช้จากกำไรสะสมอย่างไม่จำเป็น
ผลประโยชน์ที่ไม่แน่นอน : ผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากแผนการเพิ่มทุน โดยแผนการลงทุนยังไม่ชัดเจนว่าจะสร้าง
มูลค่าให้กับนักลงทุนได้มากน้อยเพียงใด แม้ว่าการจ่ายเงินปันผลครั้งเดียวอาจช่วยเพิ่มราคาหุน้ ในระยะสั้น แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าจะ
ยั่งยืนในระยะยาวหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีความไม่แน่นอนว่าหนี้ที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มทุนจะส่งผลให้ผลประกอบการ
ทางการเงินดีขึ้นหรือผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นที่สูงขึ้นในอนาคตหรือไม่ ดังนั้นการเพิ่มทุนจะทำให้ควงามเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง
หากแผนการลงทุนนี้ไม่สามารถสร้างรายได้ที่แน่นอนให้กับบริษัท
การปรับลดอันดับเครดิต : การก่อหนี้เพิ่มซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มทุนอาจส่งผลเสียต่ออันดับเครดิตของบริษัท หาก
สถาบันจัดอันดับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ California Pizza Kitchen บริษัทอาจเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้น ซึ่งจะ
เพิ่มต้นทุนของเงินทุนและลดความสามารถในการทำกำไร สิ่งนี้อาจทำให้บริษัทหาแหล่งเงินทุนได้ยากขึน้ ในอนาคต ดังนั้นการไม่
เพิ่มทุนจะทำให้บริษัทยังคงรักษาระดับเครดิตของบริษัทไว้ได้
ความยืดหยุ่นที่จำกัด : การเพิ่มทุนที่เสนอจะจำกัดความยืดหยุ่นของบริษัทในการจัดการโครงสร้างเงินทุนและการ
ตอบสนองต่อสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง เมื่อการเพิ่มทุนเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะเป็นการยากที่จะกลับเปลี่ยนแปลงการตัดสินหรือทำ
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอื่นๆ ในโครงสร้างเงินทุนของบริษัท สิ่งนี้อาจทำให้บริษัทเสี่ยงต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ภาวะ
เศรษฐกิจตกต่ำอย่างกะทันหันหรือการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมร้านอาหาร นัน่ อาจจะทำให้บริษัทมีโอกาสผิดนัดชำระหนีไ้ ด้
เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอ
สรุป : บริษัทมีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการเพิ่มทุนที่เสนอซึ่งสามารถบรรลุเป้าหมายที่คล้ายกันโดยไม่มีความเสี่ยงหรือ
ต้นทุนในระดับเดียวกัน ตัวอย่างเช่น บริษัทอาจพิจารณาขายสินทรัพย์บางส่วน ออกหุน้ ทุนใหม่ หรือสำรวจทางเลือกทางการเงิน
อื่นๆ ที่จะไม่เกี่ยวข้องกับการก่อหนี้เพิ่ม จากทางเลือกเหล่านี้ บริษัทสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยง
และต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มทุนที่เสนอ
Suggested questions 6
6. What should Collyns recommend?

จากที่ราคาหุ้นในปัจจุบันลดลงเหลือเพียง $ 22.10 อีกทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มสูงขึ้น Collyns ควรแนะนำ


โครงการเงินทุน แบบ ข้อ 4 คือ โครงสร้างเงินทุนแบบหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ที่ 10% จะทำให้กิจการประหยัดในด้านของภาษี
และยังมีค่ามี ICR (อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย) EBIT ของบริษัทสามารถ Cover ภาระดอกเบี้ยจ่ายได้ ซึ่งหากค่า
ICR มีค่าน้อยอาจจะส่งผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) ของบริษัท และทำให้ช่วยทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะ
สั้น จากเดิม $ 22.10 เป็น $22.36 ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริหารที่มีความประสงค์ที่ จะให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น
เพื่อเป็นการรักษานโยบายบริษัทเน้นการโครงสร้างทางการเงินแบบ Conservative การใช้โครงสร้างเงินทุนแบบหนี้สินต่อส่วนของ
ผู้ถือหุ้น ที่ 10% น่าจะเป็นผลดีที่สุด
อย่างไรก็ตามหากมองว่าปัจจุบันราคาหุ้นต่ำแล้วทางผู้บริหารอาจจะเลือกโครงสร้ างเงินทุนแบบหนี้สินต่อ ส่วนของผู้ถือหุ้น
ที่ 20% หรือ 30%ได้ เพื่อซื้อหุ้นคืนกับผู้ถือหุ้น จะทำให้บริษัทได้ประโยชน์ของ Tax shield เพิ่มขึ้น, ROE เพิ่มขึ้น, อย่างไรก็ตาม
เพื่อเป็นการรักษานโยบายบริษัทเน้นการโครงสร้างทางการเงินแบบ Conservative การใช้โครงสร้างเงินทุนแบบหนี้สินต่อส่วนของ
ผู้ถือหุ้น ที่ 10% น่าจะเป็นผลดีที่สุด ทั้งนี้ในระยะยาวหากมีการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย และต้นทุนค่าและค่าใช้จ่า ยเพิ่ม
สูงขึ้น ทำให้ EBIT ลดลง โดย Net income ในปีก่อนหน้า บริษัทไม่ได้นำเงินไปชำระเงินต้น และเงินกู้นั้นทางธนาคารให้ Grace
Period จะส่งผลกระทบต่อบริษัทได้ ค่า ICR ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยของบริษัทจะลดลง, ROE ลดลง

EVA (Economic Value Added: EVA) คือ มูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐศาสตร์ เป็นเทคนิคการ วิเคราะห์ทางการเงินที่ใช้เป็น


ดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพการดำเนินงาน แสดงถึงมูลค่าที่เพิ่มขึ้นขององค์กร หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมูลค่าเชิงเศรษฐกิจที่สูงกว่าต้นทุนของ
เงินทุนที่ใช้ในการดำเนินงาน
โดยผลของ EVA มีดังนี้
- EVA = 0 แสดงว่าการบริหารงานก่อให้เกิดผลกำไรเพียงครอบคลุมต้นทุนของเงินทุนพอดี
- EVA < 0 แสดงว่าการบริหารงานไม่ประสบผลสำเร็จ ผลกำไรที่ได้ไม่คุ้มกับต้นทุนของเงินทุน
- EVA > 0 แสดงว่าการบริหารงานมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างผลกำไรได้มากกว่าต้นทุนของเงินทุน

สูตร EVA = NOPAT - (WACC X IC)

ในส่วนของบริษัท ค่า EVA ที่คำนวณได้ในแต่ละโครงสร้างเงินทุนแบบหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น มีค่า EVA > 0 ทั้งหมด


สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทมีการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างผลกำไรได้มากกว่าต้นทุนของเงินทุน

You might also like