Professional Documents
Culture Documents
37. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) บุคคลใดถูกศำลสั่งให้เป็ นบุคคลสำบสูญแล้วกฎหมำยถือว่ำถึงแก่ควำมตำย
(2) เมื่อบุคคลใดถูกศำลสั่งให้เป็ นบุคคลสำบสูญ มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทำยำท
(3) กำรเป็ นคนสำบสูญอำจมีกำรเพิกถอนคำสั่งได้
ตอบ 3 ดูคำอธิบำยข้อ 11 ประกอบ
38. กำรสิ้นสภำพบุคคลธรรมดำ ได้แก่
(1) ถูกศำลพิพำกษำลงโทษจำคุกตลอดชีวิต (2) สำบสูญ
(3) ล้มละลำย (4) ถูกศำลสัง่ ให้เป็ นบุคคลไร้ควำมสำมำรถ
ตอบ 2 หน้ำ 154-155 สภำพบุคคลย่อมสิ้นสุดลงเมื่อตำย ซึ่งกำรตำยนั้นมี 2 กรณี คือ
1. ตำยธรรมดำ และ 2. ตำยโดยผลของกฎหมำย คือ เมื่อบุคคลนั้นถูกศำลสั่ง
ให้เป็ นบุคคลสำบสูญ และได้ประกำศคำสั่งนั้นในรำชกิจจำนุเบกษำแล้ว
39. นิติบุคคลแสดงเจตนำต่ำงๆได้โดย
(1) ผ่ำนตัวแทน (2) แสดงเจตนำเป็ นลำยลักษณ์อกั ษร (3) แสดงเจตนำได้เอง (4) ผ่ำนผูแ้ ทนนิติบุคคล
ตอบ 4 หน้ำ 167-168 นิติบุคคล เป็ นสิ่ งไม่มีชีวิตจิตใจ จึงไม่สำมำรถที่จะแสดงเจตนำหรื อทำกำรใด
โดยตนเองได้ ดังนั้น กฎหมำยจึงบัญญัติให้นิติบุคคลแสดงเจตนำต่ำงๆ โดยผ่ำนผูแ้ ทนนิติบุคคล
ซึ่งอำจมีคนเดียวหรื อหลำยคนก็ได้ เช่น รัฐมนตรี เป็ นผูแ้ ทนกระทรวง อธิบดีเป็ นผูแ้ ทนกรม
เจ้ำอำวำสเป็ นผูแ้ ทนวัดวำอำรำม หุ้นส่วนผูจ้ ดั กำรเป็ นผูแ้ ทนห้ำงหุ้นส่วนที่จดทะเบียนแล้ว
กรรมกำรเป็ นผู ้ แทนของบริ ษทั จำกัด คณะกรรมกำรของสมำคมเป็ นผูแ้ ทนของสมำคม
คณะกรรมกำรมูลนิธิเป็ นผูแ้ ทนของมูลนิธิ เป็ นต้น
40. ข้อใดถือเป็ นภูมิลำเนำของนิติบุคคล
(1) ที่ต้งั ที่ทำกำร (2) ภูมิลำเนำเฉพำะกำรตำมข้อตกลง (3) สำขำ (4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้ำ 168-169 ภูมิลำเนำของนิติบุคคลแยกเป็ น 3 ประเภท 1. สิ่ งที่ต้งั สำนักงำนใหญ่ หรื อ
ที่ต้งั ที่ทำกำร 2. ถิ่นที่เลือกเป็ นภูมิลำเนำเฉพำะกำรตำมข้อตกลงหรื อครำสำรจัดตั้ง
3. ถิ่นของสำนักงำนสำขำในส่วนที่กิจกำรนั้นได้ทำขึ้น
41. ผูป้ กครองของผูเ้ ยำว์มีได้ในกรณี
(1) ผูเ้ ยำว์ไม่มีบิดำมำรดำ (2) บิดำมำรดำถูกถอนอำนำจกำรปกครอง
(3) บิดำมำรดำหย่ำขำดจำกกัน (4) ถูกเฉพำะข้อ (1) และ (3)
ตอบ 4 หน้ำ 147 ผูป้ กครองของผูเ้ ยำว์ซ่ ึงจะเป็ นผูแ้ ทนโดยชอบธรรม จะมีได้ใน 2 กรณี คือ
(1) ผูเ้ ยำว์ไม่มีบิดำมำรดำ (กรณี บิดำมำรดำตำยหรื อไม่ปรำกฏบิดำมำรดำ)
(2) บิดำมำรดำถูกถอนอำนำจกำรปกครอง
42. บุคคลธรรมดำที่กฎหมำยมิได้กำหนดภูมิลำเนำให้ได้แก่
(1) คนเสมือนไร้ควำมสำมำรถ (2) คนไร้ควำมสำมำรถ
(3) ผูเ้ ยำว์ (4) ผูถ้ ูกจำคุกตำมคำพิพำกษำถึงที่สุดของศำล
ตอบ 1 หน้ำ 144-145 บุคคลที่กฎหมำยกำหนดภูมิลำเนำให้ได้แก่ 1. ผูเ้ ยำว์ 2. คนไร้ควำมสำมำรถ
3. สำมีและภริ ยำ 4. ข้ำรำชกำร 5. ผูถ้ ูกจำคุกตำมคำพิพำกษำถึงที่สุดของศำล
9
43. ข้อใดถูกต้อง
(1) บุคคลฝ่ ำยเดียวสำมำรถทำสัญญำได้
( 2) สัญญำเกิดขึ้นเมื่อคำเสนอคำสนองถูกต้องตรงกัน
(3) สัญญำที่ทำขึ้นนั้นจะก่อให้เกิดผลผูกพันในทำงกฎหมำยทุกกรณี
(4) กำรเลิกสัญญำต้องตกลงกันไว้ในเนื้อหำของสัญญำเสมอ
ตอบ 2 หน้ำ 122, 125 สัญญำเกิดขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้
1. ต้องมีบุคคลตั้งแต่ 2 ฝ่ ำยขึ้นไปเป็ นคู่สัญญำ 2. ต้องมีกำรตกลงยินยอมระหว่ำงคู่สัญญำ
กล่ำวคือคู่สัญญำฝ่ ำยหนึ่งแสดงเจตนำเป็ นคำเป็ นคำเสนอ และอีกฝ่ ำยแสดงเจตนำเป็ นคำสนอง
รับคำเสนอนั้น สัญญำจึงจะเกิดขึ้น 3.ต้องมีวตั ถุประสงค์แห่งสัญญำ ซึ่งวัตถุประสงค์น้ ีจะต้อง
ไม่เป็ นกำรต้องห้ำมตำมกฎหมำยต้องไม่เป็ นกำรพ้นวิสัย และต้องไม่ขดั ต่อควำมสงบเรี ยบร้อย
หรื อศีลธรรมอันดีของประชำชน มิฉะนั้นสัญญำจะตกเป็ นโมฆะไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันในทำงกฎหมำย
44. กำรกระทำที่เป็ นโมฆียะจะมีผลคือ
(1) กำรให้สัตยำบันไม่ได้ (2) กำรกล่ำวอ้ำงไม่กำหนดเวลำ
(3) สมบูรณ์จนกว่ำจะบอกล้ำง (4) ผูม้ ีส่วนได้เสี ยทุกคนกล่ำวอ้ำงได้
ตอบ 3 หน้ำ 116 นิติกรรมที่เป็ นโมฆียะ คือ นิ ติกรรมซึ่งเมื่อได้ทำขึ้นมำแล้วจะมีผลใช้บงั คับกันได้
ตำมกฎหมำย ซึ่งอำจมีกำรบอกล้ำงให้ตกเป็ นโมฆะ หรื ออำจมีกำรสัตยำบันเพื่อให้
นิ ติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ก็ได้ ( ข้อ (1), (2) และ(4) เป็ นผลของนิติกรรมที่เป็ นโมฆะ)
45. ข้อใดมิใช่นิติเหตุ
(1) กำรเกิด (2) กำรตำย (3) กำรให้ (4) กำละมิด
ตอบ 3 หน้ำ 125 – 129 นิติเหตุ หรื อเหตุที่ก่อให้เกิดผลทำงกฎหมำย โดยอำจจะเป็ นเหตุที่เกิดจำก
พฤติกำรณ์ตำมธรรมชำติ เช่น กำรเกิด กำรตำย หรื อเป็ นเหตุที่เกิดจำกกำรงำนนอกสั่ง ลำภมิควรได้
และละเมิด หรื ออำจจะเป็ นเหตุที่ได้มำตำม ป.พ.พ. ลักษณะทรัพย์และสิ น เช่น
กำรได้กรรมสิ ทธิ์โดยหลักส่วนครบ เป็ นต้น (กำรให้เป็ นนิติกรรมประเภทหนึ่ง)
46. ข้อใดถูกต้อง
(1) คนไร้ควำมสำมรถทำนิติกรรมรับรองบุตรได้
(2) คนไร้ควำมสำมำรถทำนิติกรรมรับกำรปลดหนี้จำกเจ้ำหนี้ไม่ได้
(3) คนไร้ควำมสำมำรถรับรองกำรสมรสได้
(4) คนไร้ควำมสำมำรถทำนิติกรรมที่เป็ นกำรอันจำเป็ นในกำรดำรงชีพได้ตำมสมควร
ตอบ 2 หน้ำ 150 -151 คนไร้ควำมสำมำทำนิติกรรมใดๆ นิติกรรมนั้นจะตกเป็ นโมฆียะทั้งสิ้นไม่ว่ำ
จะได้ทำนิติกรรมในขณะจริ ตวิกลหรื อไม่ก็ตำม หรื อได้ทำนิติกรรมโดยผูอ้ นุบำลจะได้ยินยอมหรื อ
ไม่ก็ตำม (คนไร้ควำมสำมำรถ กฎหมำยห้ำมทำกำรสมรส ถ้ำมีกำรฝ่ ำฝื น กำรสมรสเป็ นโมฆะ)
47. ข้อใดถูกที่สุด
(1) ทำรกในครรภ์มำรดำถือเป็ นทำยำทแล้ว
(2) สภำพบุคคลเริ่ มแต่เมื่อคลอด
(3) เมื่อทำรกคลอดแล้วปรำกฏว่ำมีกำรเต้นของหัวใจเช่นนี่ ทำรกมีสภำพบุคคล
(4) เมื่อทำรกคลอดแล้วต้องมีกำรหำยใจอย่ำงน้อย 1 ชัว่ โมง จึงจะถือว่ำมีสภำพบุคคล
10
LW 104 page 10 1/51
ตอบ 2 หน้ำ 75, (คำบรรยำย) คดีไม่มีขอ้ พิพำท เป็ นคดีที่ไม่มีกำรโต้แย้งสิ ทธิกนั แต่เป็ นเรื่ องที่บุคคล
มีควำมจำเป็ นที่จะใช้สิทธิทำงศำล เพื่อให้ศำลแสดงสิ ทธิของตนหรื อให้ตนมีสิทธิอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง
เช่น กำรยื่นคำขอเป็ นผูจ้ ดั กำรมรดก เป็ นต้น บุคคลนั้นจะต้องดำเนินกำรโดยกำรยื่นเป็ นคำร้องต่อศำล
79. ควำมผิดทำงอำญำอันยอมควำมได้ ผูเ้ สี ยหำยจะต้องร้องทุกข์ภำยในระยะเวลำเท่ำใดนับแต่วนั กระทำควำมผิด
มิฉะนั้นจะทำให้ขำดอำยุควำมไม่สำมำรถฟ้องให้ศำลลงโทษผูก้ ระทำควำมผิดได้
ตอบ 3 (คำบรรยำย) ในกรณี ควำมผิดอันยอมควำมได้ ถ้ำผูเ้ สี ยหำยมิได้ร้องทุกข์ภำยใน 3 เดือน
นับแต่วนั ที่รู้เรื่ องควำมผิด และรู ้ตวั ผูก้ ระทำผิด เป็ นอันขำดอำยุควำม (ประมวลกฎหมำยอำญำ
มำตรำ 96 )
80. ควำมผิดใดที่กฎหมำยให้ถือเป็ นควำมผิดอันยอมควำมได้
(1) สำมีทำร้ำยร่ ำงกำยภรรยำจนบำดเจ็บสำหัส (2) ภรรยำลักทรัพย์สำมี
(3) น้องสำวลักทรัพย์พี่ชำย (4) บุตรเขยลักทรัพย์พ่อตำ
ตอบ 2 หน้ำ 63, (คำบรรยำย) ในควำมผิดอำญำเกี่ยวกับลักทรัพย์บำงประเภท คือ ลักทรัพย์ วิ่งรำวทรัพย์
ฉ้อโกง โกงเจ้ำหนี้ ยกยอก รับของโจร ทำให้เสี ยทรัพย์และบุกรุ กถ้ำเป็ นกำรกระทำที่สำมี
กระทำต่อภรรยำ หรื อภรรยำกระทำต่อสำมี ผูก้ ระทำไม่ตอ้ งรับโทษ แต่ถำ้ เป็ นกำรกระทำที่บุพกำรี
กระทำต่อผูส้ ื บสันดำน ผูส้ ื บสันดำนกระทำต่อบุพกำรี หรื อพี่น้องร่ วมบิดำมำรดำเดียวกัน
กระทำต่อกัน แม้กฎหมำยมิได้บญ ั ญัติให้เป็ นควำมผิดอันยอมควำมได้ ก็ให้เป็ นควำมผิด
อันยอมควำมได้ และนอกจำกนั้นศำลจะลงโทษน้อยกว่ำที่กฎหมำยกำหนดไว้สำหรับควำมผิดนั้น
เพียงใดก็ได้ (ประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 71 )
81. ข้อใดไม่ใช่กฎหมำยของมหำชน
(1) กฎหมำรัฐธรรมนูญ (2) กฎหมำยอำญำ (3) กฎหมำยแรงงำน (4) กฎหมำยปกครอง
ตอบ 3 หน้ำ 45-49, 54, 57 กฎหมำยมหำชน คือ กฎหมำยที่กำหนดควำมสัมพันธ์ระหว่ำงรัฐ หรื อ
หน่วยงำนของรัฐกับรำษฎร หรื อระหว่ำงหน่วยงำนของรัฐด้วยกันเอง เช่น กฎหมำยรัฐธรรมนูญ
กฎหมำยปกครอง กฎหมำยอำญำฯลฯส่วนกฎหมำยเอกชนเป็ นกฎหมำยพำณิ ชย์ กฎหมำยแรงงำน เป็ นต้น
82. นำยเขียวถือปื นไปยิงนำยแก้วที่บำ้ น ในตอนกำงคืนเห็นหุ่นโชว์เสื้ อผ้ำ เข้ำใจว่ำเป็ นนำยแก้วจึงใช้ปืนยิง
ไปถูกหุ่นเสี ยหำยดังนี้
(1) ไม่มีควำมผิดเพรำะขำดองค์ประกอบ
(2) มีควำมผิดฐำนเจตนำทำให้ทรัพย์ของผูอ้ ื่นเสี ยหำย
(3) มีควำมผิดฐำนพยำยำมฆ่ำซึ่งไม่สำมำรถบรรลุผลอย่ำงแน่แท้
(4) มีควำมผิดฐำนประมำททำให้เสี ยทรัพย์
ตอบ 3 หน้ำ 66 – 67 (คำบรรยำย) กำรกรทำของนำยเขียวถือว่ำเป็ นกำรพยำยำมกระทำควำมผิด
ที่ไม่สำมำรถบรรลุผลอย่ำงแน่แท้ เพรำะเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมำยกระทำต่อ ซึ่งตำมกฎหมำย
ถือว่ำมีควำมผิดฐำนพยำยำมกระทำควำมผิด แต่ให้ลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมำย
ได้กำหนดไว้สำหรับควำมผิดนั้น
17
LW 104 page 17 1/51
MY LECTURE
..................................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................................................
........................................................... ......................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................................................