Professional Documents
Culture Documents
การดำเนินกระบวนพิจารณาทางอิเล็กทรอนิกส
การดำเนินกระบวนพิจารณาทางอิเล็กทรอนิกส
กับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่รองรับการกระทำในทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มมากขึ้น
นายตรีรัตน์ วงษาเกษ
นักกฎหมายกฤษฎีกาชำนาญการพิเศษ
๑
มาตรา ๙๔ เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยาน
บุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี
(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง
(ข) ขอสื บ พยานบุ ค คลประกอบข้ อ อ้ า งอย่ า งใดอย่ า งหนึ ่ ง เมื ่ อ ได้ น ำเอกสารมาแสดงแล้ ว ว่ า
ยังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก
แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (๒) แห่งมาตรา ๙๓
และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า พยานเอกสารที่
แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้น
ไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด
๒
มาตรา ๙๓ การอ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานให้ยอมรับฟังได้เฉพาะต้นฉบับเอกสารเท่านั้น เว้นแต่
(๑) เมื่อคู่ความที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตกลงกันว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้วให้ศาลยอมรับฟังสำเนา
เช่นว่านั้นเป็นพยานหลักฐาน
(๒) ถ้าต้นฉบับเอกสารนำมาไม่ได้ เพราะถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสั ย หรือสูญหาย หรือไม่สามารถ
นำมาได้ โดยประการอื่ น อั น มิ ใ ช่ เ กิ ดจากพฤติก ารณ์ ท ี่ ผู ้ อ ้า งต้ อ งรั บ ผิด ชอบ หรื อ เมื ่ อ ศาลเห็ นว่ า เป็น กรณี จำเป็น
และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะต้องสืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนต้นฉบับเอกสารที่นำมาไม่ได้นั้น
ศาลจะอนุญาตให้นำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้
(มีต่อหน้าถัดไป)
๒
(ต่อจากเชิงอรรถที่ ๒)
(๓) ต้นฉบับเอกสารที่อยู่ในความอารักขาหรือในความควบคุมของทางราชการนั้นจะนำมาแสดงได้
ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากทางราชการที่เกี่ยวข้องเสียก่อน อนึ่ง สำเนาเอกสารซึ่งผู้มีอำนาจหน้าที่ได้รับรองว่าถูกต้องแล้ ว
ให้ถือว่าเป็นอันเพียงพอในการที่จะนำมาแสดง เว้นแต่ศาลจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น
(๔) เมื่อคู่ความฝ่ายที่ถูกคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างอิงเอกสารมาเป็นพยานหลักฐานยันตนมิได้คัดค้าน
การนำเอกสารนั้ น มาสื บตามมาตรา ๑๒๕ ให้ ศ าลรั บ ฟั งสำเนาเอกสารเช่ น ว่ า นั ้ นเป็ น พยานหลั ก ฐานได้ แต่ ท ั ้ งนี้
ไม่ตัดอำนาจศาลตามมาตรา ๑๒๕ วรรคสาม
๓
แนวคำพิพากษาของศาลฎีกา
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าการดำเนินการต่าง ๆ ในทางอิเล็กทรอนิกส์ได้มีการรับรองมา
ตั ้ ง แต่ ม ี พ ระราชบั ญ ญั ต ิ ว ่ า ด้ ว ยธุ ร กรรมทางอิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ พ.ศ. ๒๕๔๔ แต่ ห ลั ง จากที ่ ก ฎหมาย
ฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ยังไม่ค่อยมีแนวคำพิพากษาที่ได้นำกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
มาใช้บังคับอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลในเรื่องเงื่อนไขตามกฎหมายที่กำหนดถึงลักษณะของข้อมูล
ที่อยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความน่าเชื่อถือหรือสามารถรับฟังได้ เทคโนโลยีที่ยังไม่แพร่หลายมาก
ดังเช่นปัจจุบัน สภาพและปัจจัยของสังคมที่ยังไม่บีบคั้นให้ต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำธุรกรรม
ดังเช่นในปัจจุบัน
โดยหากสืบย้อนกลับไปจะพบคำพิพากษาศาลฎีกาบางฉบับที่แสดงให้เห็นถึงการยอมรับ
หลักการและการกระทำในทางอิ เล็ก ทรอนิ กส์ตามกฎหมายว่าด้ว ยธุรกรรมทางอิเล็ กทรอนิ กส์ คือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๐๘๙/๒๕๕๖๓ สรุปความได้ว่า การที่จำเลยนำบัตรเงินสดไปถอนเงินและใส่รหัส
ส่ว นตัว เปรีย บได้ กับ การลงลายมือชื่อตนเอง ถือเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินจากโจทก์ตามมาตรา ๗
มาตรา ๘ และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔ คำพิพากษา
ศาลฎีกาที่ ๖๗๕๗/๒๕๖๐ ๔ สรุปความได้ว่า การส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ต้องนำบทบัญญัต ิข อง
๓
คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๐๘๙/๒๕๕๖ การที่จำเลยนำบัตรกดเงินสดควิกแคชไปถอนเงินและใส่รหัส
ส่วนตัวเปรียบได้กับการลงลายมือชื่อตนเอง ทำรายการเบิกถอนเงินตามที่จำเลยประสงค์ และกดยืนยันทำรายการพร้อม
รั บ เงิ น สดและสลิ ป การกระทำดั ง กล่ า วถื อ เป็ น หลั ก ฐานการกู ้ ย ื ม เงิ น จากโจทก์ ตาม พ.ร.บ.ว่ า ด้ ว ยธุ ร กรรม
ทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๗, ๘ และมาตรา ๙ ประกอบกับคดีนี้จำเลยมีการขอขยายระยะเวลาผ่อนชำระ
หนี้สินเชื่อเงินสดควิกแคชที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ ซึ่งโจทก์มีเอกสารซึ่งมีข้อความชัดว่าจำเลยรับว่าเป็นหนี้โจทก์ขอ
ขยายเวลาชำระหนี้ โดยจำเลยลงลายมือชื่อมาแสดง จึงรับฟังเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมอีกโสดหนึ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
๔
คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๗๕๗/๒๕๖๐ จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ ๕๙๕,๕๐๐ บาท ตกลงชำระ
ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือน จำเลยได้รับเงินที่กู้ยืมครบถ้วนแล้ว หลังจากทำสัญญาจำเลยไม่ชำระต้นเงิน
คงชำระดอกเบี้ย ๔ ครั้ง รวมเป็นเงิน ๖,๕๕๐ บาท การที่โจทก์ส่งข้อความทางเฟสบุ๊คถึงจำเลยมีใจความว่า เงินทั้งหมด
๖๗๐,๐๐๐ บาท ไม่ต้องส่งคืน ยกให้หมด ไม่ต้องส่งดอกอะไรมาให้ จะได้ไม่ต้องมีภาระหนี้สินติดตัว การส่งข้อมูลดังกล่าว
เป็นการสนทนาผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ถือว่าเป็นการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงต้องนำ พ.ร.บ.ว่า ด้วย
ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๗ ถึง มาตรา ๙ มาใช้บังคับด้วย แม้ข้อความนี้จะไม่มีการลงลายมือชื่อ
โจทก์ก็ตาม แต่การส่งข้อความทางเฟสบุ๊คจะปรากฏชื่อผู้ส่งด้วยและโจทก์ก็ยอมรับว่าได้ส่งข้อความถึงจำเลยจริง
ข้อความการสนทนาดังกล่าวจึงรับฟังได้ว่า เป็น การแสดงเจตนาปลดหนี้ให้แก่จำเลยโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๓๔๐ แล้ว หนี้ตามสัญญากู้ยืมย่อมระงับ จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
๔
กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินกระบวนพิจารณาทางอิเล็กทรอนิกส์ในคดี
หากมองกลับไปพิจารณากฎหมายที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการดำเนินกระบวนพิจารณา
ในทางแพ่งของฝ่ายตุลาการ คือ การมองย้อนกลับ ไปพิจารณาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
และที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่าแนวความคิดดั้งเดิมในการดำเนินกระบวนพิ จารณาและการนำพยาน
เพื่ออ้างอิงข้อเท็จจริงและนำสืบข้อกล่าวอ้างของคู่ความแต่ละฝ่าย พยานเอกสารจะเป็นพยานหลักฐาน
ที่มีน้ำหนักในการนำสืบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี พัฒนาการของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่งก็มิได้หยุดนิ่ง โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้แก้ไข
เพิ่มเติม บทบั ญญัติ ในลั ก ษณะ ๕ ว่าด้ว ยพยานหลักฐาน ให้ทันสมัยและสอดคล้ องกั บสภาวการณ์
ทางเศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของประเทศในเวลาดังกล่าว โดยได้แก้ไขเพิ่มเติม
๗
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๗๒๓/๒๕๖๒ ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ต่อไปทำนองว่า จำเลยต้องรับผิด
ต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใดนั้น ในข้อนี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยสรุปได้ความว่า
จำเลยเช่าอากาศยานทั้ง ๒ ลำ ตามคำฟ้องมาจากโจทก์ สิทธิและหน้าที่ของโจทก์แ ละจำเลยจึงเป็นไปตามข้อกำหนด
และเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาดังกล่าว หลังจากโจทก์ส่งมอบอากาศยานทั้ง ๒ ลำ ให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยได้ครอบครองใช้
ประโยชน์จากอากาศยานดังกล่าว โดยชำระค่าเช่าพื้นฐานและค่าเช่าเพิ่มเติมเรื่อยมาจนกระทั่งจำเลยผิดนัดไม่ชำระ
ค่าเช่าพื้นฐานและค่าเช่าเพิ่มเติม โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาทั้ง ๒ ฉบับ ซึ่งเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาข้อ ๑๓.๒ หนังสือ
บอกเลิกสัญญาทั้ง ๒ ฉบับ ดังกล่าวออกโดยผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และมีผ ลในวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๗
และ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ตามลำดับ ต่อมาวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำเลยมีจดหมาย
อิเล็กทรอนิกส์พร้อมเอกสารแนบ ถึงโจทก์ยืนยันยอดค่าเช่าอากาศยานทั้ง ๒ ลำ ที่ค้างชำระแก่โจทก์โดยขอผ่อนชำระ
และลดหย่อนหนี้ดังกล่าว จำเลยมิได้น ำสืบหรือโต้แย้งเกี่ยวกับหน้าที่และจำนวนค่าเช่าพื้นฐานและค่าเช่าเพิ่มเติม
ตามคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าพื้นฐานและค่าเช่า
เพิ่มเติมตามที่โจทก์นำสืบ ซึ่งรวมถึงดอกเบี้ยและค่าเสียหายจากการที่โจทก์ไม่สาม ารถใช้อากาศยานทั้ง ๒ ลำ ด้วย
และเมื่อพิจารณาตารางคำนวณดอกเบี้ยแล้ว เห็นว่า มีการคำนวณค่าเช่าพื้นฐานและค่าเช่าเพิ่มเติมแยกกันเป็นรายเดือน
สำหรับอากาศยานแต่ละลำโดยละเอียด ซึ่งตรงกับตารางคำนวณ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๑๒ แต่จำเลยก็ไม่ได้
โต้แย้งไว้ในคำให้การหรือถามค้านพยานโจทก์ว่าตารางคำนวณดอกเบี้ยดังกล่าวไม่ถูกต้องอย่างไร ทั้งเมื่อผู้รับมอบอำนาจ
โจทก์นำสืบว่าหลังจากโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวทวงถามไปยังจำเลยแล้ว กรรมการผู้มีอำนาจของ
บริษัทจำเลยมีจดหมายอิเล็กทรอนิกส์พร้อมเอกสารแนบยืนยันยอดค่าเช่าอากาศยานทั้ง ๒ ลำ ที่ค้างชำระแก่โจทก์
จำเลยก็ไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์หรือนำสืบโต้แย้งเกี่ยวกับความไม่ถูกต้องของยอดหนี้ที่จำเลยยืนยันตามจดหมาย
อิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาในประเด็นนี้จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้มากกว่าพยานหลักฐานของ
จำเลย ที่ศาลทรัพย์สิ นทางปัญญาและการค้าระหว่า งประเทศกลางวิน ิจฉัยในข้ อนี ้และพิพากษามานั ้น ชอบแล้ ว
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
๖
และมาตรา ๖๘ ๑๒ ให้อำนาจประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาสามารถ
ออกข้ อ กำหนดเพื่ อ กำหนดหลั ก การรองรั บให้ ก ารดำเนิ น กระบวนพิจ ารณาของศาลในทุ ก ขั ้ น ตอน
นับตั้งแต่การฟ้องคดี การยื่นและส่งคำคู่ความและเอกสาร การแจ้งคำสั่งของศาล การจัดทำสารบบความ
หรือสารบบคำพิพากษา การสืบพยานและการรับฟังพยานหลักฐาน การวินิจฉัยคดี การดำเนินกระบวน
พิจารณาใด ๆ สามารถดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือกระทำในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การพิจารณาพิพากษาคดีและการให้บริการประชาชนผู้มีอรรถคดีเป็นไปด้วย
ความสะดวกรวดเร็ว
บทบัญญัติต่าง ๆ ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว
เป็ น จุ ด เริ ่ ม ต้ น ให้ ป ระธานศาลฎี ก าได้ อ อกกฎหมายลำดั บ รองเพื ่ อ รองรั บ และสร้ า งกระบวนการ
ให้การดำเนินกระบวนพิจารณาและการรับฟังพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์มีมาตรการ กระบวนการ
และความชัดเจนที่ เพิ่มมากยิ่งขึ้น ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องในการดำเนินกระบวน
พิจารณาทางอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีหลายฉบับ โดยผู้เขียนขอนำเสนอข้อกำหนดที่เห็นว่ามีบทบาทสำคัญ
ในการดำเนิ น กระบวนพิ จ ารณาทางแพ่ ง ผ่ า นสื ่ อ อิ เ ล็ก ทรอนิ ก ส์ แ ละการรั บ ฟั ง พยานหลั ก ฐานทาง
อิเล็กทรอนิกส์ ดังนี้
๑. ข้ อ กำหนดของประธานศาลฎี ก า ว่ า ด้ ว ยแนวทางการนำสื บ พยานหลั ก ฐาน
และการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ พ.ศ. ๒๕๕๖
๒. ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความและเอกสาร
ทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๐
๓. ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๓
หากพิ จ ารณาในรายละเอี ย ดของข้ อ กำหนดทั ้ ง สามฉบั บ ดั ง กล่ า วจะพบว่ า
ได้มีการรองรับถึงการนำสืบพยานหลักฐานที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างชัดเจนตั้ งแต่ข้อกำหนด
ของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยแนวทางการนำสืบพยานหลักฐานและการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาล
โดยระบบการประชุ ม ทางจอภาพ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยได้ ม ี ก ารกำหนดบทบั ญ ญั ต ิ เ ฉพาะสำหรั บ
การสืบพยานหลักฐานซึ่งเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ ไว้ในหมวด ๔ ของข้อกำหนดฉบับดังกล่าว ทั้งการเสนอ
ข้อมูลที่บัน ทึกโดยเครื่องคอมพิว เตอร์ห รือที่ประมวลผลโดยเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นพยานหลั กฐาน
(ต่อจากเชิงอรรถที่ ๑๑)
สารบบความหรือสารบบคำพิพากษา หรือเป็นสำเนาเอกสารในสำนวนความ แล้วแต่กรณี และให้ใช้แทนต้นฉบับได้
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่
ศาลฎีกา และเมื่อข้อกำหนดนั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
๑๒
มาตรา ๖๘ การยื่นและส่งคำคู่ความและเอกสารในลักษณะนี้ไม่ว่าการนั้นจะเป็นโดยคู่ค วาม
ฝ่ายใดทำต่อศาลหรือต่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง หรือศาลทำต่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทุกฝ่าย รวมทั้งการแจ้งคำสั่งของ
ศาลหรือข้อความอย่างอื่นไปยังคู่ความหรือบุคคลอื่นใด อาจดำเนินการโดยทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อเทคโนโลยี
สารสนเทศอื่นใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบ
ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และเมื่อข้อกำหนดนั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
๘
การดำเนินกระบวนพิจารณาทางอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับข้อพิจารณาสำคัญที่จะเป็นการตอบประเด็นข้อสงสัยที่ได้ยกขึ้นในตอนแรกว่า
หากมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้สามารถมีผลในทางกฎหมาย
ได้แล้วและต่อมาเกิดประเด็นพิพาทระหว่างกันขึ้น จะสามารถใช้ข้อมูลการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ดังกล่าวอ้างอิงหรือกล่าวอ้างในการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นศาลได้หรือไม่ เพียงใด นั้น ประธานศาลฎีกา
๑๓
ข้อ ๑๙ คู่ความที่ประสงค์จะเสนอข้อมูลที่บันทึกโดยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือ ที่ประมวลผล
โดยเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นพยานหลัก ฐานจะต้องระบุข้อมูลที่จะอ้างไว้ในบัญชีระบุพยานตามมาตรา ๘๘ แห่งประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พร้อมกับยื่นสำเนาสื่อที่บันทึกข้อมูลนั้นในจำนวนที่เพียงพอเพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง
มารับไปจากเจ้าพนักงานศาล เว้นแต่
ฯลฯ ฯลฯ
๑๔
ข้อ ๒๐ คู่ความฝ่ายที่ถูกอีกฝ่ายหนึ่งอ้างอิงข้อมูลที่บันทึกโดยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือประมวลผล
โดยเครื่องคอมพิวเตอร์มาเป็นพยานหลักฐานยันตน อาจยื่นคำแถลงคัดค้านการอ้างข้อมูลนั้นต่อศาลก่อนการสืบข้อมูล
นั้นเสร็จ โดยเหตุที่ว่าสื่อที่บันทึกข้อมูลนั้นปลอม หรือข้อมูลนั้นปลอม หรือสำเนาสื่อที่บันทึกข้อมูลนั้นไม่ถูกต้องกับข้อมูล
ทั้งหมดหรือบางส่วน เว้นแต่จะแสดงให้เห็นเป็นที่พอใจแก่ศาลว่ามีเหตุอันสมควรที่ไม่อาจทราบเหตุแห่งการคัดค้านนั้นได้
ก่อนเวลาดังกล่าว คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำร้องขออนุญาตคัดค้านการอ้างข้อมูลหรือสื่อหรือสำเนาสื่ อที่บันทึกข้อมูล
เช่นว่านั้นต่อศาลไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษาคดี และถ้าศาลเห็นว่าคู่ความฝ่ายนั้นไม่อาจยกข้อคัดค้านได้ก่อนนั้น
และคำร้องมีเหตุผลฟังได้ก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้อง ในกรณีที่มีการคัดค้านดังว่ามานี้ ให้นำมาตรา ๑๒๖ แห่งประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ฯลฯ ฯลฯ
๑๕
ข้อ ๒๑ ให้นำความในข้อ ๑๙ และ ๒๐ มาใช้บังคับแก่การนำสืบข้อมูลที่บันทึกไว้ในหรือได้มาจาก
ไมโครฟิลม์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่นโดยอนุโลม
๙
โดยความเห็ น ชอบของที ่ ป ระชุ ม ใหญ่ ศ าลฎี ก าได้ อ อกข้ อ บั ง คั บ ฉบั บ หนึ ่ ง ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ คื อ
ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๓ ซึ่งข้อกำหนด
ดั ง กล่ า วเป็ น การเน้ น ย้ ำ และสร้ า งความชั ด เจนมากยิ ่ ง ขึ ้ น เกี่ ย วกั บ การดำเนิ น กระบวนพิ จ ารณา
ทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีรายละเอียดที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
๑. เงื ่ อ นไขในการพิ จ ารณาที ่ ศ าลจะกำหนดให้ ม ี ก ารดำเนิ น กระบวนพิ จ ารณา
ทางอิเล็กทรอนิ กส์ โดยข้อ ๔ ๑๖ ของข้อกำหนดของประธานศาลฎี ก าฯ ได้กำหนดให้ ศาลมี อ ำนาจ
ในการกำหนดให้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยคำนึงถึงความสะดวก
และประหยัดสำหรับคู่ความที่ยังไม่สำมารถเข้าถึงเทคโนโลยีด้วย ซึ่งการกำหนดให้มีการดำเนินกระบวน
พิจารณาโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์นั้นเพื่อ ให้การดำเนินกระบวนพิจ ารณเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็ว
และเที่ยงธรรม
โดยการกระบวนพิจารณาทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น สามารถนำไปใช้บังคับกับ คดีแพ่ง
ทุกประเภท รวมถึงคดีแพ่งในศาลชำนัญพิเศษ คดีผู้บริโภค และคดีที่มีกฎหมายกำหนดให้นำประมวล
กฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่งไปใช้บ ังคับ ทั้งนี้ ตามข้อ ๕ ๑๗ ของประกาศสำนักงานศาลยุติธ รรม
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการใช้วิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์
๒. การจัด การเกี่ยวกับ เอกสารต่าง ๆ ในกระบวนพิจารณาในรู ปแบบอิเล็กทรอนิกส์
ซึ่ง รายละเอีย ดในส่วนนี้จ ะมีความคาบเกี่ยวกับ ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้ว ยการยื่น ส่ง
และรับคำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่กำหนดกลไกตั้งแต่การยื่น
การส่ง การรับ คำคู่ความ เอกสาร พยานหลักฐานต่าง ๆ ผ่านระบบปฏิ บัติงานของศาล โดยระบบ
การปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องที่สำคัญ คือ ระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ (e - Filing)๑๘ และระบบบริการข้อมูล
คดี ศ าลยุ ต ิ ธ รรม (Court Integral Online Service : CIOS)๑๙ ซึ ่ ง เป็ น ระบบที ่ ศ าลให้ ค วามเชื ่ อ ถื อ
ส่งผลให้ คำคู่ความ เอกสาร พยานหลักฐานที่ ได้ส ่งผ่านระบบปฏิบั ติง านของศาลดั งกล่าวจะได้ รั บ
๑๖
ข้ อ ๔ เพื ่ อ ให้ ก ารดำเนิ น กระบวนพิ จ ารณาเป็ น ไปโดยสะดวก รวดเร็ ว และเที ่ ย งธรรม
เมื ่ อ ศาลเห็น สมควรหรื อ คู ่ค วามร้อ งขอ ศาลอาจกำหนดให้ ดำเนิ นกระบวนพิ จารณาด้ว ยวิ ธ ีก ารตามข้ อกำหนดนี้
โดยคำนึงถึงความสะดวกและประหยัดสำหรับคู่ความที่ยังไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีด้วย ทั้งนี้ ประเภทคดี หลักเกณฑ์
และวิธีการ ให้เป็นไปตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมประกาศกำหนด
๑๗
ข้อ ๕ ให้ใช้วิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์กับคดีแพ่งทุกประเภทและคดีที่มีกฎหมายกำหนดให้นำ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไปใช้บังคับ โดยให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่กำหนดในประกาศนี้
๑๘
ระบบ e-Filing เป็นระบบสำหรับการยื่นคำฟ้อง ส่ง รับ คําคู่ความและเอกสาร ผ่านทางเทคโนโลยี
และสารสนเทศ เพื่อให้ศาลและคู่ความสามารถส่งข้อมูลผ่านอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและช่องทางการ
บริการแก่คู่ความ สนับสนุนการพัฒนางานศาลและอํานวยความสะดวกให้แก่คู่ความ ช่วยให้คู่ความประหยัดเวลา
ค่าใช้จ่าย ในการที่ต้องเดินทางไปศาล (ข้อมูลจากเว็บไซต์สำนักงานศาลยุติธรรม https://jla.coj.go.th/th/content/
category/detail/id/8/cid/9726/iid/174634)
๑๙
ระบบบริ ก ารข้ อ มู ล คดี ศ าลยุ ต ิ ธ รรม (CIOS) เป็ น ระบบบริ ก ารข้ อ มู ล คดี วั น นั ด พิ จ ารณา
ผลการส่งหมายและคำสั่ง ศาลผ่านอินเตอร์เน็ตตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพิ่มความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของ
คู่ความในคดีหรือประชาชน ช่วยอำนวยความสะดวกในการเรียกดูข้อมูลคดีที่คู่ความเกี่ยวข้องในคดีได้ทุกที่ทุกเวลาที่
ต้องการ สามารถใช้งานได้ด้วยอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ อุปกรณ์แท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) (ข้อมูลจาก
เว็บไซต์สำนักงานศาลยุติธรรม https://jla.coj.go.th/th/content/category/detail/id/8/cid/9726/iid/174634)
๑๐
การรั บ รองและให้ ความเชื ่ อถื อตามไปด้ ว ย โดยจะเห็ นได้ จากบทบั ญญั ต ิ ห ลาย ๆ ข้ อในข้ อกำหนด
ของประธานศาลฎีกาว่าด้วย วิธีพิจารณาคดีอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวคือ
- เอกสารที่ได้ ยื่น ส่ง และรับทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ ให้ถือว่ าเป็นเอกสาร
ที่ได้จัดทำในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ต ามข้อกำหนดนี้และสิ่งพิมพ์ออกของเอกสารดังกล่าวให้ถือเป็น
สำเนาที่ได้รับรองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และให้ใช้แทนต้นฉบับได้ ตามข้อ ๘๒๐
ของข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์
- ในกรณีของพยานเอกสารและพยานวัตถุที่คู่ความประสงค์จะอ้างอิงนั้น ข้อ ๑๘๒๑
ของข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ ฯ ได้กำหนดให้สามารถยื่น
ในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ได้เช่นกัน แต่ต้องผ่านระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะให้ถือว่ าพยาน
เอกสารและพยานวัตถุดังกล่าวเป็นต้นฉบับหรือเอกสารเทียบเท่าฉบับเดิม นอกจากนั้น คู่ความที่อ้างอิง
พยานหลักฐานไม่ต้องส่งสำเนาให้คู่ความฝ่ายอื่น เว้นแต่คู่ความฝ่ายนั้นไม่อาจเข้าถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
นั้นได้
โดยบทบัญญัติในข้อกำหนดของข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณา
คดีทางอิเล็กทรอนิกส์ ฯ ในส่ว นที่เกี่ย วกับการจัดการเอกสารนี้มีบทบัญญัติที่ส ะท้อนแนวความคิด
และหลักการของพระราชบัญญัติ ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔ หลายประการ เช่น
ความเป็น ต้น ฉบับ เอกสารตามข้อ ๘ ข้อ ๙ และข้อ ๑๗ ของข้อกำหนดกำหนดประธานศาลฎี ก าฯ
จะสอดคล้องตามความในมาตรา ๑๐ ๒๒ ของกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้กำหนด
๒๐
ข้อ ๘ เอกสารที่ได้ยื่น ส่ง และรับทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ตามข้อกำหนดของประธาน
ศาลฎีกาว่าด้วยการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ถือว่าเป็นเอกสาร
ที่ได้จัดทำในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามข้อกำหนดนี้
ฯลฯ ฯลฯ
สิ่งพิมพ์ออกของเอกสารตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้ถือว่าเป็นสำเนาทีไ่ ด้รับรองตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และให้ใช้แทนต้นฉบับได้
๒๑
ข้ อ ๑๘ พยานเอกสารและพยานวั ต ถุ ท ี ่ ค ู ่ ค วามประสงค์ จ ะอ้ า งอิ ง ให้ ย ื ่ น ในรู ป แบบข้ อ มู ล
อิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ และให้ถือว่าพยานเอกสารและพยานวัตถุดังกล่าว เป็นต้นฉบับหรือเอกสาร
เทียบเท่าฉบับเดิม
กรณีการยื่นพยานเอกสารตามวรรคหนึ่ง คู่ความไม่ต้องส่งสำเนาให้คู่ความฝ่ายอื่น เว้นแต่คู่ความ
ฝ่ายนั้นไม่อาจเข้าถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นได้
๒๒
มาตรา ๑๐ ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้นำเสนอหรือเก็บรักษาข้อความใดในสภาพที่เป็ นมา
แต่เดิมอย่างเอกสารต้นฉบับ ถ้าได้นำเสนอหรือเก็บรักษาในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ ให้ถือว่า
ได้มีการนำเสนอหรือเก็บรักษาเป็นเอกสารต้นฉบับตามกฎหมายแล้ว
(๑) ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้ใช้วิธีการที่เชื่อถือได้ในการรักษาความถูกต้องของข้อความตั้งแต่
การสร้างข้อความเสร็จสมบูรณ์ และ
(๒) สามารถแสดงข้อความนั้นในภายหลังได้
ความถูกต้องของข้อความตาม (๑) ให้พิจารณาถึงความครบถ้วนและไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด
ของข้ อ ความ เว้ น แต่ ก ารรั บ รองหรื อ บั น ทึ ก เพิ ่ ม เติ ม หรื อ การเปลี ่ ย นแปลงใด ๆ ที ่ อ าจจะเกิ ด ขึ ้ น ได้ ต ามปกติ
ในการติดต่อสื่อสาร การเก็บรักษา หรือการแสดงข้อความซึ่งไม่มีผลต่อความถูกต้องของข้อความนั้น
๑๑
เงื่อนไขของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถรับรองและสามารถยอมรับได้ในฐานะต้นฉบับเอกสารจะต้อง
(๑) ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้ใช้วิธีการที่เชื่อถือได้ในการรักษาความถูกต้องของข้อความตั้งแต่การสร้าง
ข้อความเสร็จสมบูรณ์ และ (๒) สามารถแสดงข้อความนั้นในภายหลังได้ โดยการที่มีการดำเนินการ
ผ่ า นระบบปฏิ บ ั ต ิ ง านของศาลดั งกล่ าวข้ างต้ นแล้ ว ศาลถื อว่ า เอกสารรู ปแบบอิ เล็ กทรอนิ กส์ ที่ ได้ นั้ น
เป็นไปตามมาตรฐานดังกล่าวแล้ว๒๓
อย่างไรก็ดี ในการยื่นพยานเอกสารและพยานวัตถุดังกล่าว แม้ผ ่านระบบรับส่ง
อิเล็กทรอนิกส์ คู่ความยัง ต้องมีการอ้างอิง ในบัญชีระบุพยานและศาลยังคงมีหน้าที่สั่งรับหรือไม่รับ
พยานเอกสารและพยานวั ตถุ ในรูป แบบข้ อมูล อิเล็ กทรอนิ กส์ ๒๔ ตามประมวลกฎหมายวิธ ีพิจ ารณา
ความแพ่ง มาตรา ๘๘๒๕
๓. การกำหนดรายละเอี ย ดเกี ่ ย วกั บ การนั ่ ง พิ จ ารณาคดี ข องศาล โดยข้ อ ๑๓ ๒๖
ของข้ อ กำหนดของประธานศาลฎี ก า ว่ า ด้ ว ยวิ ธ ี พ ิ จ ารณาคดี ท างอิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ ฯ กำหนดให้
ศาลอาจกำหนดให้ มี ก ารนั่ ง พิ จ ารณาและบั น ทึ ก คำเบิ ก ความพยาน โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งหมดหรือบางส่ว นก็ได้ ซึ่ง ลักษณะของการนั่งพิจารณาคดีโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ คู่ความ
หรือพยานนั้น ไม่จำต้องมาปรากฏตัวที่ศาลโดยกายภาพ แต่การที่ศาลนั่งพิจารณาและคู่ความเข้าร่วม
การพิจารณาทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ถือเสมือนว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในห้องพิจารณา
โดยถือว่าคู่ความที่ปรากฏตัวและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการใช้วิธีพิจารณาคดี
ทางอิเล็กทรอนิกส์ได้มาดำเนินกระบวนพิจารณาที่ศาลแล้ว เมื่อการพิจารณาคดีทางระบบอิเล็กทรอนิกส์
ถือเสมือนว่าเป็น การดำเนิน กระบวนพิ จารณาในห้องพิจารณา หากคู่ความประพฤติตนไม่เรียบร้ อย
ในระหว่างพิจารณาทางออนไลน์จึงอาจเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้ เช่น การลักลอบบันทึกภาพ
และเสียงระหว่างการพิจารณา๒๗
๒๓
คณะทำงานนิเทศ ติดตาม ส่งเสริม และสนับสนุนการพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ในศาลชั้นต้น,
คำอธิบายการใช้วิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ส่วนการพิจารณาคดีออนไลน์, หน้า ๑๕
๒๔
โปรดดูเชิงอรรถที่ ๒๓, ข้างต้น
๒๕
มาตรา ๘๘ เมื่อคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารฉบับใดหรือคำเบิกความของพยาน
คนใด หรือมีความจำนงที่จะให้ศาลตรวจบุคคล วัตถุ สถานที่ หรืออ้างอิงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้งหรือความเห็น
ของผู้มีความรูเ้ ชี่ยวชาญ เพื่อเป็นพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตน ให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่นบัญชีระบุพยาน
ต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน โดยแสดงเอกสารหรือสภาพของเอกสารที่จะอ้าง และรายชื่อ ที่อยู่ของบุคคล
ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญ วัตถุ หรือสถานที่ซึ่งคู่ความฝ่ายนั้นระบุอ้างเป็นพยานหลักฐาน หรือขอให้ศาลไปตรวจ หรือขอให้ตั้ง
ผู้เชี่ยวชาญแล้วแต่กรณี พร้อมทัง้ สำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอ เพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นมารับไปจาก
เจ้าพนักงานศาล
ฯลฯ ฯลฯ
๒๖
ข้ อ ๑๓ ศาลอาจกำหนดให้ ม ี ก ารนั ่ ง พิ จ ารณาและบั น ทึ ก คำเบิ ก ความพยานโดยวิ ธ ี ก าร
ทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และเที่ยงธรรม
โดยต้องไม่ทำให้สิทธิในการต่อสู้คดีของคู่ความลดน้อยลง ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการให้เป็นไปตามที่สำนักงานศาล
ยุติธรรมประกาศกำหนด
๒๗
คณะทำงานนิเทศ ติดตาม ส่งเสริม และสนับสนุนการพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ในศาลชั้นต้น,
คำอธิบายการใช้วิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ส่วนการพิจารณาคดีออนไลน์, หน้า ๑๑
๑๒
๔. การรับฟังพยานหลักฐาน
สำหรับในประเด็นเรื่องการรับฟังพยานหลักฐานนี้ได้มีการนำและรับรองหลักการ
สำคัญของกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ มากำหนดเพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือ
ความในข้อ ๑๕ ๒๘ ได้กำหนดว่า ห้ามมิให้ปฏิเสธการรับฟังข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์เป็นพยานหลั กฐาน
ในกระบวนการพิจารณาคดีตามกฎหมายเพียงเพราะเหตุว่าเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นหลักการ
เดียวกับมาตรา ๑๑๒๙ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ฯ
นอกจากนั้นบทบัญญัติอีกประการที่สำคัญและเป็นหลักการเช่นเดียวกันกับกฎหมาย
ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ คือ ข้อ ๑๖ ๓๐ ของข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา และมาตรา ๘ ๓๑
แห่งพระราชบัญญัติ ว่าด้ว ยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ฯ ซึ่งกำหนดว่า ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้
การใดต้องทำเป็นหนังสือ มีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือมีเอกสารมาแสดง ถ้าได้มีการจัดทำข้อความขึ้น
เป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเข้าถึงและนำกลับมาใช้ได้โดยความหมายไม่เปลี่ยนแปลง ให้ถือว่า
ข้อความนั้นได้ทำเป็นหนังสือ มีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือมีเอกสารมาแสดงตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว
โดยสาเหตุที่ผู้เขียนพยายามกล่าวถึงและเทียบเคียงหลักการระหว่างข้อ กำหนดของ
ประธานศาลฎีกาฯ และกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อมิให้ เกิดประเด็นข้อสงสัยว่า
๒๘
ข้อ ๑๕ ห้ามมิให้ปฏิเสธการรับฟังข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เป็นพยานหลักฐานในกระบวนการพิจารณา
คดีตามกฎหมายเพียงเพราะเหตุว่าเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
ในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานว่าข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จะเชื่อถือได้หรือไม่เพียงใดนั้น ให้พิเคราะห์
ถึงความน่าเชื่อถือของลักษณะหรื อวิธีการที่ใช้สร้าง เก็บรักษา หรือสื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ลักษณะหรือวิธีการ
เก็บรักษา ความครบถ้วน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงของข้อความ ลักษณะ หรือวิธีการที่ใช้ในการระบุหรือแสดงตัว
ผู้ส่งข้อมูล รวมทั้งพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งปวง
๒๙
มาตรา ๑๑ ห้ามมิให้ปฏิเสธการรับฟังข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เป็นพยานหลักฐานในกระบวนการ
พิจารณาตามกฎหมายทั้งในคดีแพ่ง คดีอาญา หรือคดีอื่นใด เพียงเพราะเหตุว่าเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
ในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานว่าข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จะเชื่อถือได้หรือไม่เพียงใดนั้นให้พเิ คราะห์
ถึงความน่าเชื่อถือของลักษณะหรือวิธีการที่ใช้สร้าง เก็บรักษา หรือสื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ลักษณะหรือวิธีการเก็บ
รักษา ความครบถ้วน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงของข้อความลักษณะ หรือวิธีการที่ใช้ในการระบุหรือแสดงตัวผู้ส่งข้อมูล
รวมทั้งพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งปวง
๓๐
ข้อ ๑๖ ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้การใดต้องทำเป็นหนังสื อ มีหลักฐานเป็นหนังสือ หรื อ
มีเอกสารมาแสดง หรือกำหนดผลทางกฎหมายกรณีไม่ทำเป็นหนังสือ ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือไม่มี เอกสารมาแสดง
ถ้าได้มีการจัดทำข้อความขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเข้าถึงและนำกลับ มาใช้ได้โดยความหมายไม่เปลีย่ นแปลง
ให้ถือว่าข้อความนั้นได้ทำเป็นหนังสือ มีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือมีเอกสารมาแสดงตามที่กฎหมายกำหนด
ฯลฯ ฯลฯ
๓๑
มาตรา ๘ ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา ๙ ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้การใดต้องทำเป็น
หนังสือ มีหลักฐานเป็นหนังสือหรือมีเอกสารมาแสดง หรือกำหนดผลทางกฎหมายกรณีไม่ทำเป็นหนังสือ ไม่มีหลักฐาน
เป็ น หนั งสื อ หรื อ ไม่ ม ี เ อกสารมาแสดง ถ้ า ได้ ม ี ก ารจั ด ทำข้ อ ความขึ ้ น เป็ น ข้ อ มู ล อิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ ท ี ่ ส ามา รถเข้ า ถึ ง
และนำกลับมาใช้ได้โดยความหมายไม่เปลี่ยนแปลง ให้ถือว่าข้อความนั้นได้ทำเป็นหนังสือ มีหลักฐานเป็นหนังสือ
หรือมีเอกสารมาแสดงตามที่กฎหมายกำหนด
ฯลฯ ฯลฯ
๑๓
การกำหนดรายละเอียดหรือหลักเกณฑ์บางประการในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาฯ ที่อาจแตกต่าง
จากบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จะสามารถทำได้หรือไม่ เช่น ในกรณีที่ประมวล
กฎหมายวิ ธ ี พ ิ จ ารณาความแพ่ ง กำหนดให้ ก ารอ้ า งเอกสารเป็ น พยานหลั ก ฐานให้ ย อมรั บ ฟั ง ได้
เฉพาะต้นฉบับเอกสารเท่านั้น แต่ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาฯ กลับกำหนดว่า ห้ามมิให้ปฏิเสธ
การรับฟังข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์เป็น พยานหลักฐาน โดยหากพิจารณาบทอาศัยอำนาจตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๔/๑๓๒ ได้ให้อำนาจประธานศาลฎีกาในการออกข้อกำหนด
เกี่ย วกับ การฟ้ องคดี การสืบ พยาน และการรับ ฟัง พยานหลั กฐานการวิน ิจ ฉั ย คดี ไ ด้ ซึ่งข้อกำหนด
ของประธานศาลฎีกาฯ ได้กำหนดบทบัญญัติที่ ส อดคล้ องกับหลั ก การของกฎหมายว่าด้ว ยธุร กรรม
ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่รับรองหลักการในเรื่องการรับฟังพยานหลักฐานในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้ว
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาจึงเป็นการยืนยันและสร้างความชัดเจนของกฎหมาย
ฉบับดังกล่าวให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
สำหรับการรับฟังและโต้แย้งพยานเอกสารในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้น ยังคงต้อง
พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ลักษณะ ๔ พยานหลักฐาน เช่น ไม่ตัดสิทธิคู่ความ
อีกฝ่ายในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า พยานเอกสารในรูปแบบข้อมูล
อิเล็กทรอนิกส์ที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้
อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิดตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ ๓๓ วรรคสอง และมาตรา ๑๒๕ ๓๔ หากคู่ความอีกฝ่ายคัดค้านข้อมูล
อิเล็กทรอนิกส์ว ่าไม่มีต้น ฉบับ หรือต้น ฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือบางส่ว น คู่ความฝ่ายที่อ้างข้อมูล
อิเล็กทรอนิกส์จำต้องพิสูจน์ถึงความมีอยู่ของต้นฉบับนั้น ในรูปแบบที่เป็นต้นฉบับทางกายภาพ เช่น
๓๒
มาตรา ๓๔/๑ เพื่อให้การพิจารณาพิพ ากษาคดีเ ป็ นไปโดยสะดวก รวดเร็ว และเที่ยงธรรม
หรือเพื่อความเหมาะสมสำหรับคดีบางประเภท ให้ประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
มีอำนาจออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการฟ้องคดี การสืบพยานและการรับฟังพยานหลักฐานการวินิจฉัยคดี ตลอดจน
การดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ได้ตามความจำเป็น
ข้อกำหนดตามวรรคหนึ่งเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
๓๓
มาตรา ๙๔ เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยาน
บุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี
(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง
(ข) ขอสื บ พยานบุ ค คลประกอบข้ อ อ้ า งอย่ างใดอย่ า งหนึ่ ง เมื ่ อ ได้ น ำเอกสารมาแสดงแล้วว่า
ยังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก
แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (๒) แห่งมาตรา ๙๓
และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า พยานเอกสารที่
แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน หรื อสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่
สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด
๓๔
มาตรา ๑๒๕ คู่ความฝ่ายที่ถูกอีกฝ่ายหนึ่งอ้างอิงเอกสารมาเป็นพยานหลักฐานยันตนอาจคัดค้าน
การนำเอกสารนั้นมาสืบโดยเหตุที่ว่าไม่มีต้นฉบับหรือต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือ บางส่วน หรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องกับ
ต้นฉบับ โดยคัดค้านต่อศาลก่อนการสืบพยานเอกสารนั้นเสร็จ
ฯลฯ ฯลฯ
๑๔
บทสรุป
การที่สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปอาจเกิดจากเหตุผลหลายประการ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผล
เพื่อ จะให้การทำธุร กิจ เกิด ความสะดวกรวดเร็ว ยิ่ งขึ้น เพื่อลดต้นทุนในการดำเนิน การ หรือแม้ แ ต่
โรคระบาดที่ทำให้บุคคลไม่สามารถมีปฏิสัมพั นธ์กันได้อย่างเช่นในอดีต ส่งผลให้มนุษย์ต้องหันหน้ามาพึ่ง
เทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น และเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว กฎหมายในฐานะเครื่องมือ อย่างหนึ่ง
ที่ใช้ในการกำกับดูแลความสงบเรียบร้อยในสังคมก็ต้องก้าวตามให้ได้อย่างทันท่วงที ในทางกลับกัน
กฎหมายจะต้องไม่ใช่สิ่งที่กีดขวางหรือดึงรั้งให้การพัฒ นาของสังคมหรือเทคโนโลยี เกิดความติดขัด
แต่ต้องเป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนให้ สังคมหรือเทคโนโลยีสามารถเดินหน้าไปได้ด้วยกลไกและสภาพแวดล้อม
ที่เหมาะสม
ความพยายามในการแก้ ไ ขกฎหมายให้ ร องรั บ การดำเนิ น การและการทำธุ ร กรรม
ทางอิเล็กทรอนิ กส์ม ี ความพยายามดำเนิ นการเรื ่อ ยมาตั้ งแต่ ก ารมี พ ระราชบั ญญัต ิว ่า ด้ว ยธุร กรรม
ทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔ เรื่อยมาจนในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๗ รัฐบาลได้มคี วามพยายามผลักดัน
กฎหมายชุดใหญ่เพื่อการรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไม่ว่าจะเป็นกฎหมายว่าด้วย
การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม กฎหมายว่าด้ว ยการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐ
ผ่านระบบดิจิทัล กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคง
ปลอดภัยไซเบอร์ และกฎหมายว่าด้ว ยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการพัฒ นาเรื่ อยมา
จนปัจจุบันปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ความพยายามในการแก้ไขกฎหมายให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพสังคม
๓๕
คณะทำงานนิเทศ ติดตาม ส่งเสริม และสนับสนุนการพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ในศาลชั้นต้น,
คำอธิบายการใช้วิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ส่วนการพิจารณาคดีออนไลน์, หน้า ๑๖
๓๖
โปรดดูเชิงอรรถที่ ๒๘, ข้างต้น
๓๗
ข้ อ ๑๙ เมื ่ อ เสร็ จ การพิ จ ารณาคดี ท างอิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ ให้ ศ าลทำคำพิ พ ากษาหรื อ คำสั่ ง
และลงลายมือชื่อในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามวิธีการที่สำนักงานศาลยุติธรรมประกาศกำหนด และให้ถือว่าคำพิพากษา
หรือคำสั่งได้ทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๑ แล้ว
การทำความเห็ น แย้ ง รวมทั ้ งการจดแจ้ งเหตุ ก รณี ท ี ่ ผ ู ้ พ ิ พ ากษาลงลายมื อ ชื ่ อ ในคำพิ พ ากษา
หรือคำสั่งไม่ได้ ให้ใช้วิธีการตามวรรคหนึ่งโดยอนุโลม
การอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณา
ความแพ่ง มาตรา ๑๔๐ (๓) เว้นแต่จะได้ปฏิบัติตามวิธีการที่สำนักงานศาลยุติธรรมประกาศกำหนด
๑๕
ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์แล้วก็มิได้หมายความว่าข้อมูลทุกอย่างหากอยู่ในรูปแบบ
อิเล็กทรอนิกส์แล้วจะสามารถนำมาใช้บังคับได้ทันที กฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขเพื่อความปลอดภัย
และสามารถยืนยันถึงแหล่งที่มา ความถูกต้อง และความไม่เปลี่ยนแปลงไปของข้อมูลด้วย จึงจะสามารถ
นำมาใช้ได้ จะเห็นได้จากคำพิพากษาศาลฎีกาต่าง ๆ ซี่งได้ยกบทบัญญัติตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรม
ทางอิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ ที่ ไ ด้ ก ำหนดรั บ รองสถานะข้ อ มู ล ทางอิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ ใ นทางกฎหมายแล้ ว เช่ น
การมีส ถานะอย่างต้น ฉบับ เอกสาร แต่ ในการพิจารณาคดีศาลก็มิได้รับฟังข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์
เป็นพยานเดี่ยว จะมีการสืบพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงอื่นประกอบเพื่อยืนยันการกระทำผ่านระบบ
อิเล็กทรอนิกส์ด้วย แต่แนวทางในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลได้มีแนวโน้มที่จะรับฟังพยานหลักฐาน
ที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากยิ่งขึ้น และเมื่อมีข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาฉบับต่าง ๆ
ที่เกีย่ วกับการดำเนินกระบวนพิจารณาทางอิเล็กทรอนิกส์บัญญัติขึ้นและมีลักษณะเป็นการยืนยันหลักการ
ตามกฎหมายว่ าด้ว ยธุร กรรมทางอิ เล็ ก ทรอนิ กส์ ให้ มี ความหนั ก แน่ นยิ่ งขึ้ น ประกอบกั บสำนั ก งาน
ศาลยุติธรรมได้มีการเตรียมการและพัฒนาระบบการปฏิบัติงานที่ตนให้ความเชื่อถือและปลอดภัยแล้ ว
จะส่งผลให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล การรับฟังและชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานที่อยู่ในรูปแบบ
อิเล็กทรอนิกส์นั้นมีความหนักแน่นและมีน้ำหนักยิ่งขึ้น
การที ่ ฝ ่ า ยนิต ิบ ัญ ญัต ิ แก้ ไ ขเพิ ่ม เติม กฎหมายให้ส ามารถใช้ ก ลไกหรือ กระบวนการ
ทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น จะสามารถทำได้อย่างไม่ต้องมีข้อกังวลว่า หากประชาชนเกิดมีข้อพิพาทขึ้น
ข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ที่กฎหมายรับรองแล้วจะสามารถยกขึ้นกล่าวอ้างและใช้เป็นพยานหลักฐานในการ
นำสืบและระงับข้อพิพาทที่อาจเกิดมีขึ้นได้หรือไม่ เพราะฝ่ายตุลาการได้เริ่มต้นและเตรียมเครื่องมือ
ที ่ ร องรั บ การดำเนิน การทางอิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ไ ว้ แล้ ว ไม่ ว ่ า จะเป็ น กฎระเบี ย บ ระบบการปฏิ บ ั ติงาน
และเครื่องมือในการปฏิบัติงาน อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญประการสุดท้าย คือ ทั ศนคติและความรับรู้
เรื่องในทางอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา สภาพแวดล้อม และโลกที่อาจมี
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงและพลิกผันได้ตลอดเวลา