You are on page 1of 24

Unit 3

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 Mind and Body ชัน้ มัธยมศึกษาปี ท่ี 6


เรื่องหลัก/หัวเรื่อง Health and Welfare เวลา 10 ชั่วโมง

เป้ าหมายการเรียนรู้
สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
ศาสตร์หลายแขนงในปั จจุบนั นีม้ วี ิวฒ ั นาการจากภูมิปัญญาของบรรพชนแต่ยคุ โบราณ ไม่ว่าจะเป็ นการอ่าน
นิสยั จากใบหน้าหรือจากรูปร่างและขนาดของโหนกบนศีรษะหรือการแพทย์ทางเลือกอย่างการฝังเข็ม หน่วยการ
เรียนรูน้ ใี ้ ห้ความรูใ้ นเรื่องดังกล่าว ทักษะการอ่านที่นกั เรียนจาเป็ นต้องใช้ในการอ่านเรื่องดังกล่าวคือ การจาแนก
โครงสร้างข้อเขียนในแต่ละย่อหน้าออกมาเป็ นใจความสาคัญ รายละเอียดหลัก และรายละเอียดรองซึ่งส่วนใหญ่
จะเป็ นตัวอย่าง ซึ่งมีสญ ั ญาณบอกตัวอย่างไว้ชดั เจน การทาเช่นนีไ้ ด้นอกจากจะทาให้นกั เรียนเข้าใจข้อความที่
อ่านชัดเจนแล้วยังเป็ นกรอบความคิดที่ให้แนวทางในการเขียนบรรยายหัวข้อที่กาหนดอย่างเป็ นระบบ นอกจากนี ้
ความรูท้ ่ไี ด้จากการอ่านบทความในหน่วยการเรียนรูน้ กี ้ ็จะเป็ นแรงกระตุน้ ให้คน้ คว้าต่อไปเกี่ยวกับศาสตร์โบราณ
ที่กาลังเป็ นที่สนใจอย่างแพร่หลายในปั จจุบนั

1. มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชีว้ ัด
สาระที่ 1 : ภาษาเพื่อการสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 ม.4-6/3, ต 1.1 ม.4-6/4, ต 1.2 ม.4-6/1, ต 1.2 ม.4-6/4, ต 1.2 ม.4-6/5, ต 1.3 ม.4-6/1
สาระที่ 2 : ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.1 ม.4-6/1, ต 2.1 ม.4-6/2, ต 2.2 ม.4-6/1, ต 2.2 ม.4-6/2
สาระที่ 3 : ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อ่นื
มาตรฐาน ต 3.1 ม.4-6/1
สาระที่ 4 : ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.1 ม.4-6/1, ต 4.2 ม.4-6/1
2. ความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม; สุขศึกษาและพลศึกษา; วิทยาศาสตร์
3. ความรู้
- คาศัพท์และสานวนภาษา
Unit 3, Chapter 5: Bumps and Personalities
- reveal (v.): to show something that was previously hidden (เผยให้เห็น, เปิ ด
ให้เห็น)
- trait (n.): a particular quality in someone’s character (ลักษณะนิสยั ,
ลักษณะเด่น, ลักษณะเฉพาะ)
50

- stern (adj.): not flexible, severe (เข้มงวด)


- arrogant (adj.): behaving in a proud, unpleasant way, showing little thought for
other people (หยิ่ง จองหอง)
- prominent (adj.): sticking out from something (โด่ง, สูง, เด่นชัด)
- decisive (adj.): able to make definite decision, able to decide something
quickly and with confidence (แน่วแน่, เด็ดเดี่ยว)
- restless (adj.): seeking change because of discontent (ที่ไม่เคยหยุดหย่อน)
- indicate (v.): to point to something (บ่งชี,้ ชีใ้ ห้เห็น)
- elegance (n.): grace and attractiveness (ความสง่างาม)
- bulge (n.): a part that has expanded outward. (ส่วนที่นนู บวม โป่ ง หรือโปน)
- ridicule (v.): to laugh at a person, idea, institution, etc. (หัวเราะเยาะ, เยาะเย้ย
เห็นเป็ นเรื่องขบขัน)
- bitter (adj.): feeling angry and unhappy (ขมขื่น ปวดร้าว)
Unit 3, Chapter 6: The Many Faces of Medicine
- acupuncture (n.): a part of Chinese medicine that treats diseases and pain by
putting needles into the body (การฝังเข็มเพื่อรักษาโรค)
- remedy (n.): a cure for pain or a minor illness (การเยียวยารักษา)
- approach (n.): a method of doing something or dealing with a problem (วิธีการ)
- independently (adv.): separately (อย่างแยกเป็ นอิสระ)
- holistic medicine/ medical treatment based on the belief that the whole person
treatment/healing etc.(n.): must be treated, not just the part of thin body that has a
disease (การรักษาโรคโดยรวมไม่แยกเฉพาะส่วนที่เจ็บป่ วย)
- relieve (v.): to remove or reduce an unpleasant feeling or pain (ขจัดหรือ
บรรเทาความเจ็บปวด)
- tension (n.): anxious feeling (ความตึงเครียด)
- medical practice (n.): the work of a doctor (วิธีปฏิบตั ทิ างการแพทย์)
- respect (v.): to admire, have a high opinion of (ชื่นชม ยกย่อง)
- chronic (adj.): long lasting (เรือ้ รัง)
- reflexology (n.): a kind of alternative medicine in which areas of feet are
touched or rubbed in order to cure a medical problem. (การ
นวดฝ่ าเท้าเพื่อบาบัดโรค)
51

- prestige (n.): respect associated with high quality, success, or high rank
(เกียรติภมู ิ ชื่อเสียง)
- meditation (n.): the practice of emptying your mind of thoughts and feeling, in
order to relax completely or for religious reason. (วิปัสสนา การ
ทาสมาธิ)
- biofeedback (n.): a method of helping people to relax by teaching them to
control their heart rate, breathing etc., using an instrument
attached to the body. (วิธีชว่ ยให้ผ่อนคลายโดยใช้เครื่องมือติดที่ตวั
และให้คนไข้ควบคุมอัตราเร็วของหัวใจ การหายใจ ฯลฯ)
- homeopathy (n.): a way of treating illness by giving small amounts of natural
substances that in large amounts would cause the illness (วิธี
รักษาที่ให้สารธรรมชาติแต่นอ้ ย สารเหล่านีถ้ า้ ให้มากจะทาให้เจ็บป่ วย)
- chiropractic (n.): The treatment some diseases and physical problems by
pressing and moving the bone in a person’s spine or joints.
(การบาบัดโรคโดยวิธีการจับกระดูกสันหลัง)
- hypnotism (n.): making people feel tired or unable to think clearly, especially
because of a regularly repeated sound or movement (การสะกดจิต)
- alternative medicine (n.): treatment using methods that are different from usual Western
scientific methods, for example, homeopathy and acupuncture
(การแพทย์ทางเลือก)
- desperate (adj.): feeling a complete lack of hope (สิน้ หวัง)
- complement (v.): to complete or perfect something (ทาให้สมบูรณ์)
- โครงสร้างประโยค/ไวยากรณ์
Unit 3, Chapter 5: Bumps and Personalities
- การใช้ for example และ for instance แสดงตัวอย่างใน example essay
Unit 3, Chapter 6: The Many Faces of Medicine
- การแสดงตัวอย่างโดยใช้ such as + example ใน example essay
- ข้อมูลด้านวัฒนธรรม
Energy therapy เป็ นวิธีการฝึ กร่างกายของคนเราพร้อม ๆ กับการฝึ กควบคุมจิตใจไปด้วยเพื่อให้รา่ งกาย
บรรเทาจากความเครียด ความวิตกกังวล และความเจ็บป่ วยต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น การฝึ กโยคะและวิธีนวด
กระดูกสันหลังเพื่อรักษาโรค การฝึ กนีจ้ ะช่วยให้พลังงานในร่างกายไหลเวียนไปอย่างอิสระทั่วร่างกาย ทา
ให้สขุ ภาพของเราฟื ้ นฟูกลับสู่สภาพเดิมหรือปรับปรุงให้ดขี นึ ้
52

การฝึ กโยคะ (Yoga) เป็ นการเปลี่ยนแปลงตัวเองทัง้ ร่างกายและจิตวิญญาณ นอกจากจะเปลี่ยนแปลง


แล้วยังสามารถปรับปรุงให้ดีขึน้ การฝึ กโยคะจะประกอบด้วยส่วนที่สาคัญ 3 อย่าง ได้แก่ การออกกาลัง
กายหรือการฝึ กท่าโยคะ การหายใจหรือลมปราณ การทาสมาธิ การฝึ กโยคะจะกระตุน้ อวัยวะและต่อม
ต่าง ๆ ในร่างกายให้ทางานดีขนึ ้ สุขภาพจึงดีขึน้ การหายใจเป็ นแหล่ง ที่ก่อให้เกิดพลังของชีวิต การ
ควบคุมการหายใจจะทาให้จิตใจและสุขภาพดีขนึ ้ สุขภาพจึงดีขึน้ การฝึ กท่าโยคะและการหายใจจะเป็ น
พืน้ ฐานในการทาสมาธิ หากท่านได้ฝึกทัง้ สามอย่างจะทาให้ผฝู้ ึ กมีสขุ ภาพที่แข็งแรง จิตใจผ่องใสและเข้มแข็ง
ประโยชน์ของการฝึ กโยคะ
- ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลีย้ งส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
- ช่วยผ่อนคลายความเครียดและอาการปวดเมื่อย
- ช่วยทาให้การเคลื่อนไหวของข้อดีขึน้
- ทาให้มีสมาธิในการทางานดีขนึ ้
- ทาให้มีสติดีขึน้ รูว้ า่ เรากาลังทาอะไร เพื่ออะไร
- ทาให้ใจเย็นลง
- ช่วยลดอาการปวดประจาเดือน
การฝั งเข็ม (Acupuncture)
การฝังเข็มเป็ นวิธีการรักษาโรคที่มีมานานไม่ต่ากว่า 2000 ปี เพราะมีการบันทึกไว้ในคัมภีรห์ วังตีเ้ น่ยจิง
ซึ่งเขียนเมื่อประมาณ 200 ปี ท่ผี ่านมา โดยเริ่มจากการที่ชาวจีนโบราณสังเกตว่า เมื่อบาดแผลจากการ
บาดเจ็บด้วยของทิม่ แทงหายทุเลาลง โรคประจาตัวบางอย่างหายไป และจากหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์
พบว่า มีการใช้เข็มที่ทาจากหิน กระดูกสัตว์ เข็มไม้ไผ่ เข็มโลหะ เช่น เข็มทอง เข็มเงิน ในการรักษา ซึ่งใน
ปั จจุบนั นีจ้ ะใช้เป็ นเข็มเหล็ก เนื่องจากการฝังเข็มเป็ นวิชาการรักษาที่ทาได้สะดวก เพราะใช้เครื่องมือน้อย
จึงเป็ นที่นิยมจนเป็ นการแพทย์ทางเลือกในประเทศต่าง ๆ องค์การอนามัยโลกจึงให้ความสนใจและจัดการ
ประชุมฝังเข็มนานาชาติ รวมทัง้ กาหนดรายชื่อโรคต่าง ๆ ที่อาจใช้การฝังเข็มเป็ นการรักษา ซึ่งในปั จจุบนั
มีทงั้ หมด 57 โรค และมีการกาหนดมาตรฐานความปลอดภัยและแนวทางการฝึ กอบรมการฝังเข็ม
ในอดีตการฝังเข็มจะจากัดอยู่เฉพาะการฝังตามจุดฝังเข็มที่อยู่บนลาตัว และใช้เทคนิคการปั่ นเข็มแบบ
ต่าง ๆ ของแพทย์ผใู้ ห้การรักษา แต่ปัจจุบนั จะมีการกระตุน้ ไฟฟ้าที่เข็ม การใช้แสงเลเซอร์แทนการฝังเข็ม
นอกจากนีย้ งั มีการฝังเข็มเฉพาะส่วนของร่างกายซึง่ ที่พบเห็นบ่อย คือ การฝังเข็มที่ใบหู ศีรษะ เป็ นต้น
โดยส่วนของร่างกายดังกล่าวจะมีแผนภูมิรา่ งกายและอวัยวะภายในอยู่ เช่น ที่ใบหูจะมีรูปลักษณะคนที่
งอเข่าและสะโพกอยู่ โดยศีรษะจะอยู่ท่บี ริเวณติ่งหู
โรคและอาการทีส่ ามารถรักษาบรรเทาโดยการฝังเข็ม
ในปั จจุบนั มีโรคหรืออาการที่สามารถรักษาบรรเทาได้ดว้ ยการฝังเข็มและได้รบั การรับรองจากองค์การ
อนามัยโลกทัง้ 57 โรค หรืออาการซึ่งผูส้ นใจสามารถเปิ ดชมได้ท่ี www.thaiacupuncture.org ในที่นจี ้ ะ
กล่าวถึงเป็ นกลุ่ม ๆ คือ
53

- กลุ่มอาการปวดชนิดต่าง ๆ เช่น ปวดกล้ามเนือ้ ปวดเอ็น ปวดข้อ ปวดในผูป้ ่ วยมะเร็ง


- กลุ่มโรคทางระบบประสาทและจิตใจ
- กลุ่มโรคทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ท้องเดิน
- กลุ่มโรคระบบหายใจ เช่น ภูมิแพ้จมูก หอบหืด
- กลุ่มโรคหลอดเลือด
- อื่น ๆ เช่น ลดความอ้วน
ข้อควรระวังในการฝังเข็ม คือ
- ความรูข้ องผูใ้ ห้การรักษา - ความสะอาด
4. ทักษะ/กระบวนการ
- ทักษะเฉพาะวิชา
การอ่าน : จับใจความสาคัญ ระบุรายละเอียด วิเคราะห์ความ สรุปความ ตีความ ระบุความหมายของคา
โดยการวิเคราะห์หน่วยคาและ/หรือบริบท
การเขียน :บรรยายบุคคล บรรยายปั ญหาและทางแก้
การพูด : บรรยายบุคคล/สิ่งของ แสดงความคิดเห็น อภิปรายกลุ่ม
- ทักษะคร่อมวิชา
การสื่อสาร การให้เหตุผล กระบวนการกลุ่ม การสืบค้น
5. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้ทกั ษะชีวิต การใช้เทคโนโลยี
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
ใฝ่ เรียนรู ้ : นักเรียนใช้สิ่งที่เรียนรูเ้ ป็ นฐานในการแสวงหาความรูต้ ่อไป
7. ความเข้าใจทีย่ ่งั ยืน
นักเรียนเข้าใจว่าการรูจ้ กั โครงสร้างข้อเขียนช่วยให้อ่านเข้าใจง่ายขึน้
8. สิ่งทีน่ ักเรียนเรียนรู้และปฏิบัตไิ ด้
1. จับใจความสาคัญ ระบุรายละเอียด วิเคราะห์ความ สรุปความ ตีความ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ
เรื่องที่อ่าน (Bumps and Personalities) (ต 1.1 ม.4-6/3, ต 1.1 ม.4-6/4, ต 2.1 ม.4-6/1, ต 2.2 ม.4-6/2,
ต 3.1 ม.4-6/1)
2. พูดโต้ตอบเกี่ยวกับ astrology, physiognomy และ phrenology (ต 1.2 ม.4-6/1, ต 1.2 ม.4-6/4,
ต 1.2 ม.4-6/5, ต 2.1 ม.4-6/1, ต 2.2 ม.4-6/2, ต 4.1 ม.4-6/1)
3. เขียนบรรยายลักษณะนิสยั ของบุคคล (ต 1.2 ม.4-6/4, ต 1.2 ม.4-6/5, ต 2.2 ม.4-6/1)
4. จับใจความสาคัญ ระบุรายละเอียด วิเคราะห์ความ สรุปความ ตีความและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ
เรื่องที่อ่าน (The Many Faces of Medicine) (ต 1.1 ม.4-6/3, ต 1.1 ม.4-6/4, ต 2.1 ม.4-6/2,
ต 2.2 ม.4-6/2, ต 3.1 ม.4-6/1)
54

5. พูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบการแพทย์ (forms of medicine) (ต 1.2 ม.4-6/4, ต 1.2 ม.4-6/5,


ต 2.1 ม.4-6/1, ต 4.1 ม.4-6/1)
6. เขียนเรียงความเกี่ยวกับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ (ต 1.2 ม.4-6/4, ต 1.2 ม.4-6/5, ต 2.2 ม.4-6/1)
7. ใช้ภาษาอังกฤษในการค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสาระการเรียนรูอ้ ื่นจากแหล่งการเรียนรูต้ า่ ง ๆ และ
เขียนนาเสนอ (ต 1.1 ม.4-6/4, ต 1.3 ม.4-6/1, ต 2.2 ม.4-6/2, ต 3.1 ม.4-6/1, ต 4.2 ม.4-6/1)

ร่องรอย หลักฐานการเรียนรู้
1. ผลงานปฏิบตั ิ/ชิน้ งาน
การอ่าน
1. ผลงานจากการทากิจกรรมใน Unit 3, Worksheet 1
2. ผลงานจากการทากิจกรรม Comprehension ใน Chapter 5 หน้า 56-58, Chapter 6 หน้า 71-74
การเขียน
1. เรียงความบรรยายลักษณะนิสยั ของบุคคล (Writing Practice หน้า 65)
2. เรียงความเกี่ยวกับวิธีการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ (Writing Practice หน้า 77)
3. งานเขียน Body paragraphs ในหัวข้อสิ่งที่ตนเองชอบเกี่ยวกับตัวเอง/สิ่งที่ชอบเกี่ยวกับเพื่อน (Essay
Question ใน Assessment Questions Chapter 5: Bumps and Personalities)
(หมายเหตุ: งานเขียนในข้อ 3 เลือกทา ไม่บงั คับ)
การพูด
1. ถ้อยคาพูดโต้ตอบเกี่ยวกับ astrology, physiognomy และ phrenology
2. ถ้อยคาพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบการแพทย์
การสืบค้น
1. ผลงานจากกิจกรรม “Do you know these facts about your body?”
2. ผลงานจาก Internet Activity
2. การวัดผลและประเมินผล
ร่องรอยและ
ตัวชีว้ ัด วิธีการประเมิน เกณฑ์การประเมิน
หลักฐานการเรียนรู้
...เขียนสื่อที่ไม่ใช่ความเรียงรูปแบบ คาตอบใน Worksheet 1 การเขียนตอบ จานวนคาตอบที่
ต่าง ๆ ให้สมั พันธ์กับ...ข้อความ...ที่ เรื่อง Bumps and สัน้ ๆ ถูกต้อง
อ่าน (ต 1.1 ม.4-6/3) Personalities เกณฑ์ผ่านร้อยละ 70
55

จับใจความสาคัญ วิเคราะห์ความ คาตอบจากกิจกรรม การเลือกคาตอบ จานวนคาตอบที่


สรุปความ ตีความ และแสดงความ Comprehension จากตัวเลือก ถูกต้อง
คิดเห็นจากการ...อ่านเรื่องที่เป็ น เรื่อง Bumps and Personalities และการเขียน เกณฑ์ผ่านร้อยละ 70
สารคดี...พร้อมทัง้ ให้เหตุผลและ คาตอบสัน้ ๆ
ยกตัวอย่างประกอบ คาตอบจากกิจกรรม การเลือกคาตอบ จานวนคาตอบที่
(ต 1.1 ม.4-6/4) Comprehension จากตัวเลือก ถูกต้อง
เรื่อง The Many Faces of และการเขียน เกณฑ์ผ่านร้อยละ 70
Medicine คาตอบสัน้ ๆ
...เขียนเพื่อให้ขอ้ มูล บรรยาย อธิบาย เรียงความบรรยายลักษณะนิสยั การเขียน เกณฑ์การประเมิน
เปรียบเทียบ และแสดงความคิดเห็น ของบุคคล แบบอัตนัย งานเขียนตาม
เกี่ยวกับเรื่องที่อ่านอย่างเหมาะสม คุณลักษณะ 6
(ต 1.2 ม.4-6/4) เรียงความเกี่ยวกับการรักษา การเขียน ประการ
โรคภัยไข้เจ็บ แบบอัตนัย เกณฑ์ผ่านระดับ
...เขียนบรรยายความรูส้ กึ และแสดง พอใช้
ความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับ
เรื่องต่าง ๆ...อย่างมีเหตุผล เกณฑ์การประเมิน
(ต 1.2 ม.4-6/5) งานเขียนตาม
คุณลักษณะ 6
...เขียนนาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ... ประการ
เรื่องและประเด็นต่าง ๆ ตาม เกณฑ์ผ่านระดับ
ความสนใจของสังคม พอใช้
(ต 1.3 ม.4-6/1)
พูด...เพื่อให้ขอ้ มูล บรรยาย อธิบาย ถ้อยคาพูดโต้ตอบเกี่ยวกับ การประเมินผล แบบประเมินการพูด
เปรียบเทียบ และแสดงความคิดเห็น astrology, physiognomy ปฏิบตั ิ เกณฑ์ผ่านระดับ
เกี่ยวกับเรื่อง...ที่อ่านอย่างเหมาะสม และ phrenology พอใช้
(ต 1.2 ม.4-6/4)

พูด...แสดงความคิดเห็นของตนเอง ถ้อยคาพูดแสดงความคิดเห็น การประเมินผล แบบประเมินการพูด


เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ...อย่างมีเหตุผล เกี่ยวกับรูปแบบการแพทย์ ปฏิบตั ิ เกณฑ์ผ่านระดับ
(ต 1.2 ม.4-6/5) พอใช้

พูด...นาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง
เรื่องและประเด็นต่าง ๆ ตามความ
สนใจของสังคม (ต 1.3 ม.4-6/1)
56

เลือกใช้ภาษา นา้ เสียง และกิริยา


ท่าทางเหมาะกับระดับบุคคล โอกาส
และสถานที่ตามมารยาทสังคมและ
วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
(ต 2.1 ม.4-6/1)

อธิบาย/อภิปรายวิถีชีวิต ความคิด
ความเชื่อและที่มาของ
ขนบธรรมเนียมและประเพณี
ของเจ้าของภาษา (ต 2.1 ม.4-6/2)

...อภิปรายความเหมือนและ
ความแตกต่างระหว่างวิถีชีวิต
ความเชื่อ และวัฒนธรรมของเจ้าของ
ภาษากับของไทย... (ต 2.2 ม.4-6/2)

ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง
ที่เกิดขึน้ ในห้องเรียน สถานศึกษา...
(ต 4.1 ม.4-6/1)
...สืบค้น บันทึกข้อมูล...ที่เกี่ยวข้องกับ ผลงานจากกิจกรรม การประเมินผล แบบประเมินการ
กลุ่มสาระการเรียนรูอ้ ื่นจากแหล่งการ “Do you know these facts ปฏิบตั ิ ปฏิบตั ิงานกลุ่ม
เรียนรูต้ ่าง ๆ และนาเสนอด้วยการพูด about your body?” เกณฑ์ผ่านระดับ
(ต 3.1 ม.4-6/1) พอใช้
ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น/ ผลงานจาก Internet Activity การเขียน แบบประเมินการ
ค้นคว้า รวบรวม วิเคราะห์ และสรุป แบบอัตนัย เขียนย่อหน้า
ความรู/้ ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อและ เกณฑ์ผ่านระดับ
แหล่งการเรียนรูต้ ่าง ๆ (ต 4.2 ม.4-6/1) พอใช้

หลักฐานอืน่ ๆ
1. ผลงานจากการตอบคาถาม Assessment Questions Unit 3, Chapter 5: Bumps and Personalities
- Vocabulary คาตอบด้านคาศัพท์ (เกณฑ์ผา่ นร้อยละ 70)
- Grammar/Language คาตอบเกี่ยวกับความรู ้ ความเข้าใจ example essay และการใช้เครื่องหมาย
วรรคตอน (เกณฑ์ผา่ นร้อยละ 70)
- Essay Questions งานเขียน body paragraphs ของ example essay หัวข้อเรื่อง Things I like
about myself หรือ Things I like about my friend (เกณฑ์ผา่ นระดับพอใช้)
57

2. ผลงานจากการตอบคาถาม Assessment Questions Unit 3, Chapter 6: The Many Faces of


Medicine
- Vocabulary คาตอบด้านคาศัพท์ (เกณฑ์ผา่ นร้อยละ 70)
- Grammar/Language คาตอบเกี่ยวกับความรูค้ วามเข้าใจวิธีเขียนเรียงความ (เกณฑ์ผ่านร้อยละ 70)
- Essay Questions งานเขียนโครงร่าง (outline) ของเรียงความ โดยใช้กระบวนการเขียนขัน้ แรก Pre-
writing (เกณฑ์ผ่านระดับพอใช้)
นักเรียนประเมินตนเอง
- ใช้แบบประเมินตนเองของนักเรียน Unit 3, Chapter 5, 6

กิจกรรมการเรียนรู้
Unit 3, Chapter 5: Bumps and Personalities
บทเรียนย่อยที่ 1 เวลา 2 ชั่วโมง
สิ่งทีน่ ักเรียนเรียนรู้และปฏิบัตไิ ด้
1. จับใจความสาคัญ ระบุรายละเอียด วิเคราะห์ความ สรุปความ ตีความ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ
เรื่องที่อ่าน (Bumps and Personalities) (ต 1.1 ม.4-6/3, ต 1.1 ม.4-6/4, ต 2.1 ม.4-6/1, ต 2.2 ม.4-6/2,
ต 3.1 ม.4-6/1)
2. พูดโต้ตอบเกี่ยวกับ astrology, physiognomy และ phrenology (ต 1.2 ม.4-6/1, ต 1.2 ม.4-6/4,
ต 1.2 ม.4-6/5, ต 2.1 ม.4-6/1, ต 2.2 ม.4-6/2, ต 4.1 ม.4-6/1)
กิจกรรมการเรียนรู้
กิจกรรมก่อนอ่าน
1. สารวจความรูเ้ ดิม
- ครูให้นกั เรียนดูภาพบุคคลในหนังสือเรียน หน้า 51 ซึง่ เป็ น Unit opener หัวข้อ Mind and Body และ
ถามว่า What is he doing? นักเรียนส่วนหนึง่ อาจตอบได้วา่ Tai Chi ครูให้นกั เรียนที่รูจ้ กั Tai Chi
อธิบายว่า Tai Chi คืออะไร หลังจากนัน้ ครูอธิบายสรุปเกี่ยวกับบุคคลในภาพที่กาลังฝึ ก Tai Chi ดังนี ้
“The person practices a set of physical movements that look like ballet while
concentrating the mind deeply on the process. Regular practice of Tai Chi is said to boost
the immune system, decrease anxiety and depression, and reduce asthma and allergy
problems.
- ครูให้นกั เรียนดูภาพบุคคลในหนังสือเรียน หน้า 52 และให้รว่ มกันอภิปราย คาถามข้อ 1 ในกิจกรรม
Pre-Reading Activity เกี่ยวกับบุคคลในภาพ
- ครูให้นกั เรียนร่วมกันอภิปรายคาถามข้อ 2 และ 3 ในกิจกรรม Pre-Reading Activity
58

- ครูให้นกั เรียนทากิจกรรม Predicting ในหนังสือเรียน หน้า 52 ให้นกั เรียนจับคู่ส่วนต่าง ๆ บนใบหน้า


กับลักษณะนิสยั ตามที่เคยรูม้ าหรือคาดเดา ครูยงั ไม่บอกคาตอบตอนนี ้ ให้นกั เรียนหาคาตอบจาก
บทความที่จะอ่านต่อไป (ดูเฉลยคาตอบท้ายเล่ม)
2. อ่านกวาดตาเพื่อหาข้อมูลเฉพาะ
- ครูเขียน physiognomy และ phrenology บนกระดาน ให้นกั เรียนอ่านกวาดตาเพื่อหานิยามของ 2
คานี ้ นักเรียนจะพบนิยามของ physiognomy ในย่อหน้าที่ 2 บรรทัดที่ 1-2 ดังนี ้ ...the art of reading
character from physical features และนิยามของ phrenology อยู่ในย่อหน้าที่ 4 บรรทัดที่ 1-2
ดังนี ้ ...the study of the bumps on the head
3. ตัง้ จุดประสงค์ในการอ่าน
- ครูให้นกั เรียนอ่านย่อหน้า 2-5 ในหนังสือเรียน หน้า 53-54 เพื่อตอบคาถามต่อไปนี ้
1. What do we learn from physiognomists’ studies?
2. What do we learn from phrenologists’ studies?
กิจกรรมระหว่างอ่าน
1. อ่านเพื่อตอบคาถามตามจุดประสงค์
- ครูแจก Unit 3, Worksheet 1 ให้นกั เรียนทุกคน ให้นกั เรียนอ่านย่อหน้าที่ 2-5 ในหนังสือเรียน หน้า
53-54 เพื่อหาคาตอบสาหรับคาถามตามจุดประสงค์ และเขียนคาตอบลงใน Worksheet 1 จากนัน้
ครูแบ่งนักเรียนเป็ นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน ให้ช่วยกันตรวจสอบคาตอบ ครูเขียนตารางใน Worksheet 1
บนกระดาน แล้วให้นกั เรียนผลัดกันออกมาเขียนคาตอบ และครูตรวจสอบความถูกต้องก่อนที่จะใช้
เป็ นเฉลยคาตอบ (ดูคาตอบที่เสนอแนะ Unit 3, Worksheet 1)
2. อ่านเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง
- ครูเปิ ดซีดีบนั ทึกเสียงบทความเรือ่ ง Bumps and Personalities ย่อหน้าที่ 1 ให้นกั เรียนฟั งและ
ดูขอ้ ความตามไป แล้วให้นกั เรียนอ่านในใจซา้ ตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง เมื่อพบคาศัพท์ท่ี
ไม่ทราบความหมายให้ใช้ restatement clues, synonym clues, word in a series clues หรือ
experience clues เดาความหมายของคานัน้ ๆ หรือไม่ก็ขา้ มไปถ้าคานัน้ ไม่มีผลต่อความเข้าใจ
โดยรวม
- ครูเปิ ดซีดีบนั ทึกเสียงย่อหน้าที่ 2 และ 3 ให้นกั เรียนฟั งและดูขอ้ ความตามไปด้วย และให้อ่านซา้ เพื่อ
ตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง
- ครูให้นกั เรียนย้อนกลับไปดูคาตอบที่ได้จากการทากิจกรรม Predicting ในหนังสือเรียน หน้า 52 ให้
นักเรียนเปรียบเทียบคาตอบของตนกับข้อมูลที่มีอยู่ในบทความ และแก้ไขให้ตรงกับข้อความ (ดูเฉลย
คาตอบท้ายเล่ม)
กิจกรรมหลังอ่าน
1. ทากิจกรรมพัฒนาความเข้าใจ
59

- ครูให้นกั เรียนทากิจกรรม Comprehension: Looking for the Main Ideas ในหนังสือเรียน หน้า 56
จากนัน้ ให้นกั เรียนช่วยกันเฉลยคาตอบ (ดูเฉลยคาตอบท้ายเล่ม)
- ครูให้นกั เรียนทากิจกรรม Comprehension: Looking for Details ในหนังสือเรียน หน้า 57 แล้ว
ให้นกั เรียนผลัดกันบอกคาตอบ ถ้าคาตอบเป็ น F ให้นกั เรียนเขียนประโยคที่ถกู ต้องด้วย (ดูเฉลย
คาตอบท้ายเล่ม)
- ครูให้นกั เรียนทากิจกรรม Comprehension: Making Inferences and Drawing Conclusions ใน
หนังสือเรียน หน้า 57-58 จากนัน้ ให้นกั เรียนอภิปรายคาตอบร่วมกันกับกลุ่มเพื่อน กลุ่มละ 3-4 คน
แล้วครูให้นกั เรียนผลัดกันออกมาเขียนคาตอบบนกระดาน ครูตรวจแก้ไขให้ถกู ต้อง เพื่อให้นกั เรียนใช้
เป็ นเฉลยคาตอบ (ดูเฉลยคาตอบท้ายเล่ม)
2. ทากิจกรรมพัฒนาศัพท์
- นักเรียนทากิจกรรม Vocabulary: Meaning ในหนังสือเรียน หน้า 54-55 แล้วนักเรียนช่วยกันเฉลย
คาตอบ (ดูเฉลยคาตอบท้ายเล่ม)
- นักเรียนทากิจกรรม Vocabulary: Word Building ในหนังสือเรียน หน้า 55-56 จากนัน้ ครูให้นกั เรียน
ผลัดกันอ่านออกเสียงประโยคที่เติมคาที่ถกู ต้องลงในช่องว่างเรียบร้อยแล้ว (ดูเฉลยคาตอบท้ายเล่ม)
3. ทากิจกรรม Discussion
- ครูให้นกั เรียนใช้อินเทอร์เน็ตค้นหา astrological sign ของตนเอง และอ่านคาบรรยายลักษณะนิสยั
ของผูท้ ่เี กิดในราศีนนั้ พิจารณาดูว่าตรงกับลักษณะนิสยั ของตนเองหรือไม่
- ครูแบ่งนักเรียนเป็ นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน ให้นกั เรียนอภิปรายคาถาม 4 ข้อ ในกิจกรรม Discussion ใน
หนังสือเรียน หน้า 58 ตามลาดับดังนี ้
- อภิปรายเกี่ยวกับลักษณะใบหน้าและร่างกายที่แสดงว่าสุขภาพดีและสุขภาพไม่ดีจากประสบการณ์
ของนักเรียนเอง
- นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มเล่าคาอธิบายเกี่ยวกับราศีเกิดของตน และให้เพื่อนช่วยกันบอกว่าคาบรรยาย
นัน้ ตรงกับลักษณะนิสยั ของตนมากน้อยเพียงใด
- นักเรียนในกลุ่มแสดงความคิดเห็นว่า astrology แม่นยากว่า physiognomy หรือ phrenology
หรือไม่
- นักเรียนดูแผนผังรูปภาพและคาบรรยายเกี่ยวกับ 40 bumps ในหนังสือเรียน หน้า 59-60 แต่ละ
คนตรวจดู bump บนศีรษะของตนและอ่านคาบรรยายร่วมกับเพื่อน พิจารณาว่าตรงกับอุปนิสยั
หรือบุคลิกภาพของตนหรือไม่
- ระหว่างที่นกั เรียนอภิปรายกลุ่ม ครูเดินไปรอบ ๆ ชัน้ เรียนประเมินการอภิปรายของนักเรียนโดยใช้แบบ
ประเมินการอภิปรายกลุ่ม
60

ชื่อ ____________________________________________________ ชัน้ มัธยมศึกษาปี ท่ี 6


รายวิชาเพิ่มเติมภาษาอังกฤษ (อ่าน เขียน)
หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 3: Mind and Body, Chapter 5: Bumps and Personalities

Worksheet 1
1. Directions: Complete the chart below to show the relationship between people’s facial features
and their character traits.
Facial Features Character Traits
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
61

2. Complete the chart below to show the relationship between the bumps on people’s heads and their
character and personality.
Bumps on People’s Heads Character and Personality
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
62

เฉลยคาตอบ
Worksheet 1

Unit 3, Chapter 5: Bumps and Personalities


1.
Facial Features Character Traits
an equine, or horselike, face loyal, brave and stern
an aquiline, or eaglelike, nose bold, courageous, arrogant and self-centered
round face self-confident
prominent cheekbones strong character
pointed nose curious
heavy – arched eye brows decisive
thin arched eye brows restless and active
almond-shaped eyes artistic
round soft eyes dreamer
down-turned lips proud
long pointed chin likes to give order

2.
Bumps on People’s Heads Character and personality
a bump between the nose and forehead have natural elegance and a love of beauty
a bump behind the curve of the ear courageous and adventurous
a bump in the center of the forehead have a good memory and a desire for knowledge
a small bump at the top of the head have strong moral character
a bump just below the top of the head generous, kind, good-natured
a bump just above the tip of the eyebrow love order and discipline
a bump at the very back of the head very attached to family
63

บทเรียนย่อยที่ 2 เวลา 2 ชั่วโมง


สิ่งทีน่ ักเรียนเรียนรู้และปฏิบัตไิ ด้
1. เขียนเรียงความบรรยายลักษณะนิสยั ของบุคคล (ต 1.2 ม.4-6/4, ต 1.2 ม.4-6/5, ต 2.2 ม.4-6/1)
กิจกรรมการเรียนรู้
1. ตรวจสอบความเข้าใจ thesis statement และ topic sentence
- ครูให้นกั เรียนอ่าน Model Essay ในหนังสือเรียน หน้า 61-62 แล้วขีดเส้นใต้ thesis statement
และ topic sentence ในแต่ละ body paragraph จากนัน้ ครูให้นกั เรียนช่วยกันบอกคาตอบ
(ดูเฉลยท้ายเล่ม)
2. เรียนรู ้ Example Essay
- ครูบอกนักเรียนว่า Model Essay ที่นกั เรียนอ่านจบไปแล้วนั่นคือ Example Essay แต่ละย่อหน้า
แสดงตัวอย่างเพื่อสนับสนุน thesis statement ในย่อหน้าแรก คือ “I was born under the sign
Virgo, and I believe I have some of the characteristics of people born under this sign”
- ครูให้นกั เรียนสังเกตคาเชื่อมปรับเปลี่ยน (transitions) ที่ใช้แสดงตัวอย่างในย่อหน้าที่ 2-4 คือ One
example...; Another example...; และ Finally...ตามลาดับ
- ครูให้นกั เรียนอ่านคาอธิบายเกี่ยวกับการใช้คาเชื่อมปรับเปลี่ยนใน Example Essay ใน body paragraph
ในหนังสือเรียน หน้า 63 แล้วครูสรุปให้นกั เรียนฟังอีกครัง้ หนึ่ง
- ครูให้นกั เรียนอ่านคาอธิบายเกี่ยวกับการใช้คาและวลีเช่น for example, for instance หรือ e.g.
นาข้อความที่เป็ นตัวอย่างสนับสนุน topic sentence ใน body paragraph ในท้ายหน้า 63 และครึง่
แรกของหน้า 64
- ครูให้นกั เรียนดูตวั อย่างการใช้ for example, for instance หรือ e.g. ใน Model Essay ครูชีใ้ ห้เห็นว่า
การใช้คาเหล่านีส้ อดคล้องกับคาอธิบายที่อ่านอย่างไร เช่น ชีใ้ ห้เห็นในย่อหน้าที่ 1 ใช้คาดังกล่าว
นาเสนอตัวอย่างอย่างไร ข้อความต่อไปนี ้ ... I have also found that patience helps me in a lot of
things มีตวั อย่างที่ใช้ For example นาหน้าหลายตัวอย่างประโยคต่อ ๆ ไปทุกประโยค ยกเว้น
ประโยคสุดท้ายเป็ นตัวอย่างที่แสดงว่า “patience helps me ...” ทัง้ สิน้ และครูชีใ้ ห้นกั เรียนเห็นอีกว่า
นอกจาก I am very patient with people จะเป็ นหนึง่ ในตัวอย่างต่าง ๆ แล้ว ยังมีการแสดงตัวอย่าง
ของ “people” คือ “children, senior citizens, and even people who are sick and need a lot of
help” และข้อความดังกล่าวใช้ e.g. นา ครูให้นกั เรียนสังเกตว่า หลังคากล่าวนาตัวอย่างเหล่านีม้ ี
เครื่องหมาย ,
- ครูให้นกั เรียนดูอีกตัวอย่างหนึ่งในย่อหน้าที่ 4 ใน Model Essay ตัวอย่างที่แสดงว่า ...I can be that
way (fussy and irritable)... คือ “I like everything to be neat and tidy, and if someone comes
along and messes things up, I will scold them.” และตัวอย่างนีใ้ ช้ for instance นา
64

- ครูชีใ้ ห้นกั เรียนเห็นการใช้ also และ another ในการเพิ่มอีกสิง่ หนึ่งเข้าไปจากสิง่ ที่มีหรือเป็ นอยูอ่ ยู่
แล้ว ในย่อหน้าที่ 2 ตอนต้น also ใช้เพื่อเพิม่ สิ่งที่คิดได้ I think... และ I have also found... การใช้
also อีก 2 แห่งในย่อหน้านี ้ แสดงตัวอย่างที่แสดงว่า patience helps me... เพิ่มขึน้ ส่วนการใช้
another ในย่อหน้าที่ 3 ก็เป็ นการแสดงตัวอย่างที่เพิม่ ขึน้
- ครูให้นกั เรียนทา Exercise 1 ในหนังสือเรียน หน้า 64 ให้นกั เรียนเขียนคาเชื่อมปรับเปลี่ยนลงในช่องว่าง
ในย่อหน้าที่กาหนดให้ จากนัน้ ให้นกั เรียนบอกคาตอบ (ดูคาตอบที่เสนอแนะท้ายเล่ม)
3. เรียนรู ้ Brainstorming techniques
- ครูให้นกั เรียนร่วมกันศึกษา Brainstorming techniques ในหนังสือเรียน หน้า 208-211 โดยที่ครูเป็ น
ผูช้ ีน้ า
- ครูให้นกั เรียนทัง้ ชัน้ อ่านขัน้ ตอนของ Listing technique และช่วยกันสรุป โดยครูชีน้ าดังนี ้
1) เขียน topic ตอนบนของกระดาษ
2) ทารายการคา กลุ่มคาที่คิดได้เกี่ยวกับหัวข้อ อย่าหยุดเพื่อคิดว่าถูกหรือผิด ไวยากรณ์ถกู หรือผิด
แม้จะเขียนข้อความที่ไม่เกี่ยวกับหัวข้อก็ขีดฆ่าออกทีหลังได้
3) เขียนคา กลุ่มคา และประโยค ดังปรากฏในตัวอย่างของหัวข้อ Superstitions
4) เขียนรายการคา กลุ่มคา และประโยคซา้ นาแนวคิดเดียวกันมารวมไว้ในที่เดียวกัน ขีดฆ่าแนวคิด
ที่ซา้ กันหรือไม่เข้ากันออกไป ดังตัวอย่างที่เห็นในข้อ 4 ในหนังสือเรียน หน้า 209 และจากรายการ
ใหม่นี ้ แนวคิดส่วนมากเชื่อมโยงกับ lucky & unlucky numbers และ lucky or unlucky objects
นักเรียนอาจเลือกกลุ่มคาหนึ่งใน 2 นีเ้ ป็ นจุดเน้นของย่อหน้า
- ครูให้นกั เรียนคิดหัวข้อมา 1 หัวข้อ ต้องเป็ นหัวข้อที่นกั เรียนมีขอ้ มูลพอที่จะสร้างรายการคาหรือกลุ่มคา
อาจจะเป็ น trees, smoking, air pollution ฯลฯ ให้นกั เรียนทัง้ ห้องฝึ กใช้ Listing technique กับ
หัวข้อที่พวกตนเลือก
- ครูให้นกั เรียนอ่านคาอธิบายพร้อมตัวอย่างของ Clustering technique ในหนังสือเรียน หน้า 209-210
แล้วครูสรุปดังนี ้
1) เขียน topic ไว้กลางหน้ากระดาษ และเขียนวงรอบ topic
2) เขียนสิ่งที่คดิ ได้เกี่ยวกับ topic และเขียนวงรอบคา กลุ่มคาเหล่านี ้ ความคิดที่ดีท่สี ดุ มักจะมีวง
หลายวงล้อมรอบ
- ครูให้นกั เรียนดูตวั อย่าง Clustering technique ที่มี My Sister เป็ น topic คาที่มวี งล้อมรอบมากที่สดุ
คือ “selfish” และ “very studious” ผูเ้ ขียนอาจเลือกคาใดคาหนึง่ เป็ นเป้าในการเขียนย่อหน้า
- ครูให้นกั เรียนอ่านคาอธิบายพร้อมตัวอย่างของ Free writing technique ในหนังสือเรียน หน้า
210-211 แล้วครูสรุปขัน้ ตอนต่างๆ ดังนี ้
1) เขียน topic ไว้ตอนบนสุดของกระดาษ
65

2) เขียนเกี่ยวกับ topic ให้มากที่สดุ เท่าที่ทาได้ ไม่ตอ้ งกังวลกับไวยากรณ์ ตัวสะกด การเรียบเรียง


หรือความเกี่ยวข้องของเนือ้ หา
3) เขียนจนกระทั่งไม่มีอะไรจะเขียน
4) อ่าน free writing ของตนเองและขีดเส้นใต้ main ideas
5) นา main idea ออกมาและเขียนเกี่ยวกับ main idea นัน้
- ครูชีใ้ ห้นกั เรียนดู 2 ใจความสาคัญที่ขีดเส้นใต้ คือ “Many birds and fish are dying because of
polluted water.” และ “Our forests are dying.” และบอกนักเรียนว่าผูเ้ ขียนอาจเลือก 1 ใน 2
ใจความสาคัญนี้ และลาดับความคิดโดย free writing เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวต่อไป
- ครู แบ่งนักเรียนเป็ นกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน ทา Exercise ในหนังสือเรียน หน้า 211 ฝึ กใช้
brainstorming หนึ่งเทคนิคหรือมากกว่าเกี่ยวกับหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งจาก 3 หัวข้อที่กาหนดให้
ระหว่างที่นกั เรียนทางานกลุ่ม ครูเดินไปรอบ ๆ ชัน้ เรียน คอยดูแลให้นกั เรียนปฏิบตั ิตามขัน้ ตอนแต่ละ
เทคนิค และให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ เท่าที่จาเป็ น
กระบวนการเขียน
1. Pre-writing
- ครูแบ่งนักเรียนเป็ นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน แต่ละกลุ่มเลือก 1 ใน 4 หัวข้อที่กาหนดให้ในกิจกรรม Writing
Practice ในหนังสือเรียน หน้า 65
- แต่ละกลุ่มเลือก Pre-writing brainstorming technique ที่ตนพอใจ
- ระดมสมองเพื่อให้ได้ความคิดเกี่ยวกับ “Strong character traits”
- คิด thesis statement จากความคิดที่ได้จากการระดมสมอง
2. Outlining
- เรียบเรียงความคิด ตามขัน้ ตอนต่อไปนี ้
ขัน้ ที่ 1 : เขียน thesis statement
ขัน้ ที่ 2 : เลือกตัวอย่างของ strong character traits ที่ดีท่สี ดุ
ขัน้ ที่ 3 : อย่าลืมขึน้ ต้นแต่ละย่อหน้าด้วยคาเชื่อมปรับเปลี่ยนที่แสดงตัวอย่าง
- เขียนโครงร่างโดยให้รายละเอียดเพิ่มขึน้ ใช้ตวั อย่าง Essay outline ในหนังสือเรียน หน้า 22 เป็ น
แบบอย่าง
3. Write a rough draft
- นักเรียนใช้ขอ้ ความใน outline เป็ นแนวทางในการเขียนต้นร่าง
4. Revise your rough draft
- นักเรียนแต่ละกลุ่มตรวจทานต้นร่างงานเขียนของกลุ่มของตน โดยใช้ Essay Checklist ในหนังสือเรียน
หน้า 66
- นักเรียนช่วยกันแก้ไขปรับปรุงงานเขียนของกลุ่มตน
66

5. Peer review
- นักเรียนแลกเปลี่ยนงานเขียนกับอีกกลุ่มหนึ่ง ต่างก็อ่านและให้ขอ้ เสนอแนะเกี่ยวกับงานเขียนของกัน
และกัน โดยใช้รายการตรวจสอบเรียงความโดยเพื่อน
6. Edit your essay
- นักเรียนแต่ละกลุ่มตรวจแก้งานเขียนของตน โดยตรวจสอบการสะกดคา เครื่องหมายวรรคตอน คาศัพท์
และไวยากรณ์ มุง่ เน้นในการตรวจแก้คาที่สะกดผิด
7. Write your final copy
- นักเรียนทุกกลุม่ เขียนร่างสุดท้ายส่งให้ครูตรวจ
- ครูประเมินโดยใช้แบบประเมินการเขียนตามคุณลักษณะ 6 ประการ
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เพิ่มเติม
- ครูใช้ Assessment Questions วัดและประเมินผลการเรียนรู ้ Unit 3, Chapter 5: Bumps and Personalities

Unit 3, Chapter 6: The Many Faces of Medicine


บทเรียนย่อยที่ 3 เวลา 2 ชั่วโมง
สิ่งทีน่ ักเรียนเรียนรู้และปฏิบัตไิ ด้
1. จับใจความสาคัญ ระบุรายละเอียด วิเคราะห์ความ สรุปความ ตีความ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ
เรื่องที่อ่าน (The Many Faces of Medicine) (ต 1.1 ม.4-6/3, ต 1.1 ม.4-6/4, ต 2.1 ม.4-6/2,
ต 2.2 ม.4-6/2, ต 3.1 ม.4-6/1)
2. พูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบการแพทย์ (forms of medicine) (ต 1.2 ม.4-6/4, ต 1.2 ม.4-6/5,
ต 2.1 ม.4-6/1, ต 4.1 ม.4-6/1)
กิจกรรมการเรียนรู้
กิจกรรมก่อนอ่าน
1. สารวจความรูเ้ ดิม
- ครูให้นกั เรียนดูภาพบนซ้ายของหนังสือเรียน หน้า 67 และใช้คาถามข้อ 1-2 ในกิจกรรม Pre-Reading
Activity ถามนักเรียนดังนี ้
1) Why do you think the person in the picture has needles in her ear?
2) How would you feel if this was done to you?
- ครูเขียนชื่อโรคภัยไข้เจ็บลงในตารางบนกระดานดังนี ้
Ailments Doctors’ treatment Alternative treatment
headache
backache
upset stomach
67

- ครูให้นกั เรียนช่วยกันบอกว่าแพทย์แผนปั จจุบนั รักษาอาการเจ็บป่ วยเหล่านีอ้ ย่างไร และให้นกั เรีย น


เขียนคาตอบลงในคอลัมน์ท่ี 2
- ครูให้นกั เรียนช่วยกันคิดว่า alternative treatment สาหรับอาการเจ็บป่ วยเหล่านี ้ ทาได้อย่างไรบ้าง
แล้วให้นกั เรียนเขียนคาตอบลงในคอลัมน์ท่ี 3
- ครูให้นกั เรียนบางคนที่มีประสบการณ์ในการรับการรักษาแบบ alternative treatment เล่าเกี่ยวกับ
กับการรักษาแบบนีใ้ ห้เพื่อนฟัง และให้แสดงความคิดเห็นด้วยว่าการรักษาแบบนีม้ ีประสิทธิผลหรือไม่
2. ตัง้ จุดประสงค์ในการอ่าน
- ครูให้นกั เรียนทัง้ ชัน้ ร่วมกันทากิจกรรม Predicting ในหนังสือเรียน หน้า 67 ให้ช่วยกันตอบคาถาม
ข้อ 1 What do you think is the main difference between alternative medicine and Western
scientific medicine?
- ครูเขียนคาตอบทัง้ หมดที่นกั เรียนบอกบนกระดาน แล้วให้นกั เรียนพิจารณาคาตอบทัง้ หมดอีกครัง้ หนึ่ง
- ครูให้นกั เรียนช่วยกันตอบคาถามข้อ 2 How many approaches to medicine do you know of?
และครูทาเช่นเดิม คือ เขียนคาตอบทุกคาตอบที่นกั เรียนบอกบนกระดาน และคัดเอาไว้เฉพาะคาตอบ
ที่ดสู มเหตุสมผล
- ครูให้นกั เรียนใช้คาตอบของคาถามในกิจกรรม Predicting เป็ นจุดประสงค์ในการอ่าน คือ อ่านเพื่อ
เปรียบเทียบคาตอบของตนกับข้อมูลที่อยู่ในบทความที่จะอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี ้
กิจกรรมระหว่างอ่าน
1. อ่านเพื่อตอบคาถามตามจุดประสงค์
- ครูเขียนตารางบนกระดานให้นกั เรียนลอกบนกระดาษดังนี ้
Western Scientific Medicine Alternative Medicine

- ครูบอกนักเรียนว่าครูจะเปิ ดซีดีบนั ทึกเสียงเรื่อง The Many Faces of Medicine ให้นกั เรียนฟั ง และ
อ่านข้อความในหนังสือเรียน หน้า 68-69 ตามไปด้วย ครูจะหยุดซีดีบนั ทึกเสียงเป็ นระยะ ๆ ให้
นักเรียนอ่านซา้ และถ้าพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องก็ให้เขียนลงในคอลัมน์ใดคอลัมน์หนึ่งในตาราง เมื่อทางานนี ้
เสร็จแล้ว นักเรียนก็จะนาคาตอบของนักเรียนที่ตอบคาถามในกิจกรรม Predicting มาเปรียบเทียบ
กับข้อมูลที่ได้จากบทความ
68

- ครูเปิ ดซีดีบนั ทึกเสียงตัง้ แต่เริ่มต้นบทความจนถึง ...many ways to practice medicine หยุดเทป


ให้นกั เรียนอ่านซา้ เพื่อหาคาตอบที่จะนาไปเขียนในตาราง
- ครูเปิ ดซีดีบนั ทึกเสียงต่อไปอีก 2 ย่อหน้า เริ่มตัง้ แต่ In general, modern medicine... จนถึง ...causing
the headache หยุดซีดีบนั ทึกเสียงให้นกั เรียนอ่านซา้ เพื่อหาคาตอบที่จะนาไปเขียนในตาราง
- ครูเปิ ดซีดีบนั ทึกเสียงย่อหน้าต่อไป เริ่มตัง้ แต่ Medical practices... จนถึง ...little proof that it
works หยุดซีดีบนั ทึกเสียงให้นกั เรียนทางานเช่นเดิม
- ครูเปิ ดซีดีบนั ทึกเสียงย่อหน้าต่อไป เริ่มตัง้ แต่ Some forms of alternative medicine... จนถึง
...possible treatment of cancer and AIDS หยุดซีดีบนั ทึกเสียงให้นกั เรียนทางานเช่นเดิม
- ครูเปิ ดซีดีบนั ทึกเสียงย่อหน้าต่อไปในหนังสือเรียน หน้า 69 เริ่มตัง้ แต่ Treatments that are
unconventional, ... จนถึง ...any kind of respect or recognition หยุดซีดีบนั ทึกเสียงให้นกั เรียน
ทางานเช่นเดิม
- ครูเปิ ดซีดีบนั ทึกเสียงย่อหน้าสุดท้ายของบทความ หยุดซีดีบนั ทึกเสียงให้นกั เรียนทางานเช่นเดิม
- ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนกลุม่ ละ 4 คน ให้ช่วยกันอภิปรายคาตอบ แก้ไขปรับปรุงให้ถกู ต้องและครบถ้วน
แล้วเลือกผูแ้ ทนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้ออกมาเขียนคาตอบในตารางบนกระดานให้นกั เรียนกลุ่มอื่น ๆ
ตรวจสอบซา้ โดยครูช่วยชีน้ าให้สมบูรณ์ยิ่งขึน้
คาตอบที่เสนอแนะ
Western Scientific Medicine Alternative Medicine
surgery acupuncture
pharmaceutical drugs reflexology
herbal medicine
meditation
biofeedback
hypnotism
homeopathy
chiropractic

- นักเรียนแต่ละคนนาคาตอบของคาถามที่ 1 ในกิจกรรม Predicting มาเปรียบเทียบกับคาตอบใน


ตาราง นักเรียนจะได้ทราบว่าตนเองเรียนรูจ้ ากการอ่านบทความมากขึน้ ส่วนการตอบคาถามข้อ 2 ที่
ให้นกั เรียนบอกแนวทางรักษาโรคที่ทราบ ก็ให้นกั เรียนเขียนเครื่องหมายข้างหน้าคาที่แสดงวิธีการรักษา
ทัง้ หมดในตารางที่นกั เรียนรูจ้ กั แล้วนามาเปรียบเทียบกับคาตอบข้อ 2 ที่นกั เรียนเขียนไว้
2. อ่านเพื่อหารายละเอียด และเดาความหมายของคาศัพท์จากบริบท
69

- ครูให้นกั เรียนอ่านบทความในใจอีกครัง้ หนึ่ง แล้วให้จบั คู่กบั เพื่อนช่วยกันคิดความหมายของคาศัพท์


ที่ไม่รู ้ โดยใช้ขอ้ ความแวดล้อมหรือใช้ภมู ิหลังช่วยในการเดา
- ครูให้นกั เรียนผลัดกันอาสาสมัครมาพูดถึงวิธีการเดาความหมายของคาศัพท์ท่ไี ม่รู ้ ไม่จาเป็ นต้องเป็ น
คาศัพท์เป้าหมายในบทเรียนที่เป็ นตัวพิมพ์เส้นหนาหนักเสมอไป สาหรับคาศัพท์ท่ไี ม่อาจใช้บริบทเดา
ความหมายได้กต็ อ้ งใช้วิธีหาความหมายจากพจนานุกรม
กิจกรรมหลังอ่าน
1. ทากิจกรรมพัฒนาความเข้าใจ
- ครูให้นกั เรียนทากิจกรรม Comprehension: Looking for the Main Ideas ในหนังสือเรียน หน้า 71-72
แล้วให้นกั เรียนช่วยกันบอกคาตอบ (ดูเฉลยคาตอบท้ายเล่ม)
- ครูให้นกั เรียนทากิจกรรม Comprehension: Looking for Details ในหนังสือเรียน หน้า 72-73
ให้นกั เรียนเขียนตอบคาถามและบอกตาแหน่งข้อมูลที่เป็ นคาตอบในบทความด้วย จากนัน้ ครูให้
นักเรียนเปรียบเทียบคาตอบกับเพื่อน ก่อนที่จะเฉลยคาตอบร่วมกันทัง้ ชัน้ (ดูเฉลยคาตอบท้ายเล่ม)
- ครูให้นกั เรียนทากิจกรรม Comprehension: Making Inferences and Drawing Conclusions ใน
หนังสือเรียน หน้า 73-74 จากนัน้ ครูให้นกั เรียน 3 คนออกมาเขียนคาตอบของคาถามเดียวกัน
แล้วให้นกั เรียนทัง้ ชัน้ พิจารณาว่าคาตอบใดอนุมานและสรุปความได้สมเหตุสมผลที่สดุ (ดูคาตอบที่
เสนอแนะท้ายเล่ม)
2. ทากิจกรรมพัฒนาศัพท์
- ครูให้นกั เรียนทากิจกรรม Vocabulary: Meaning ในหนังสือเรียน หน้า 69-71 จากนัน้ ให้นกั เรียน
ผลัดกันบอกคาตอบ (ดูเฉลยคาตอบท้ายเล่ม)
- ครูให้นกั เรียนทากิจกรรม Vocabulary: Word Building ในหนังสือเรียน หน้า 71 จากนัน้ ครูให้
นักเรียนผลัดกันอ่านออกเสียงประโยคที่เติมคาลงไปในช่องว่าง แล้วนักเรียนคนอื่น ๆ ในชัน้ ช่วยกัน
ตรวจสอบความถูกต้อง (ดูเฉลยคาตอบท้ายเล่ม)
3. ทากิจกรรม Discussion
- ครูแบ่งนักเรียนเป็ นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน ให้แต่ละคนพูดเล่าและแสดงความคิดเห็นในกลุม่ ดังนี ้
- เล่าว่าแพทย์ประจาตัวใช้วธิ ีการรักษาแบบใด
- บอกว่าอยากทดลองรักษาแบบใดในแบบต่าง ๆ ที่บทความระบุ
- แสดงความคิดเห็นว่าเป็ นความคิดที่ดีหรือไม่ท่จี ะใช้วิธีแบบผสมผสาน
- แสดงความคิดเห็นว่าที่ทางานของแพทย์ในอนาคตจะมีลกั ษณะอย่างไร
- ระหว่างที่นกั เรียนทางาน ครูเดินไปรอบ ๆ ชัน้ เรียนคอยช่วยเหลือเท่าที่จาเป็ น และประเมินการพูด
ของนักเรียนโดยใช้แบบประเมินการอภิปรายกลุม่
70

บทเรียนย่อยที่ 4 เวลา 2 ชั่วโมง


สิ่งทีน่ ักเรียนเรียนรู้และปฏิบัตไิ ด้
1. เขียนเรียงความเกี่ยวกับวิธีการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ (ต 1.2 ม.4-6/4, ต 1.2 ม.4-6/5, ต 2.2 ม.4-6/1)
กิจกรรมการเรียนรู้
1. เข้าใจและใช้คานาเสนอตัวอย่าง
- ครูให้นกั เรียนอ่านการใช้ such as นาเสนอตัวอย่างในหนังสือเรียน หน้า 75 และครูอธิบายสรุปโดย
ชีใ้ ห้เห็นการใช้ such as ในตัวอย่าง ตลอดจนการใช้เครื่องหมาย , กับ such as
- ครูให้นกั เรียนฝึ กใช้ such as ในประโยคโดยให้ทา Exercise 1 ในหนังสือเรียน หน้า 75-76 จากนัน้
ให้นกั เรียนผลัดกันออกมาเขียนประโยคที่สร้างขึน้ ใหม่บนกระดาน นักเรียนคนอื่น ๆ ในชัน้ ช่วยกัน
ตรวจแก้ไขให้ถกู ต้องในกรณีท่ผี ิด และนักเรียนทัง้ ชัน้ ตรวจสอบประโยคที่ตนเขียนกับเฉลยคาตอบ
บนกระดาน (ดูเฉลยคาตอบท้ายเล่ม)
2. ทบทวนการใช้เครื่องหมายวรรคตอนในประโยคที่แสดงตัวอย่าง
- ครูทบทวนการใช้เครื่องหมาย , ในประโยคที่แสดงตัวอย่างโดยให้นกั เรียนทา Exercise 2 ใน
หนังสือเรียน หน้า 76-77 แล้วให้นกั เรียนช่วยกันบอกคาตอบ (ดูเฉลยคาตอบท้ายเล่ม)
กระบวนการเขียน
1. Pre-writing
- ครูแบ่งนักเรียนเป็ นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน แต่ละกลุ่มเลือก 1 ใน 3 หัวข้อที่กาหนดให้ในกิจกรรม Writing
Practice ในหนังสือเรียน หน้า 77
- แต่ละกลุ่มเลือก Pre-writing brainstorming technique ที่ตนพอใจ ครูพยายามกระตุน้ ให้นกั เรียน
เลือกใช้เทคนิคที่ต่างจากที่ใช้ในการเขียนเรียงความเรื่องที่แล้ว
- ระดมสมองเกี่ยวกับ topic ที่เลือก
- คิด thesis statement
2. Outlining
- เรียบเรียงความคิดตามขัน้ ตอนต่อไปนี ้
ขัน้ ที่ 1: เขียน thesis statement
ขัน้ ที่ 2: เลือกตัวอย่างที่ดีท่สี ดุ 2-3 ตัวอย่าง จากกิจกรรมระดมสมอง
ขัน้ ที่ 3: อย่าลืมใช้คาและกลุ่มคาหลากหลายในการแสดงตัวอย่าง
- เขียนโครงร่างโดยให้รายละเอียดเพิ่มขึน้ ใช้ตวั อย่าง Essay outline ในหนังสือเรียน หน้า 22 เป็ น
แบบอย่าง
3. Write a rough draft
- นักเรียนใช้ขอ้ ความใน outline เป็ นแนวทางในการเขียนต้นร่าง
4. Revise your rough draft
71

- นักเรียนแต่ละกลุ่มตรวจทานต้นร่างงานเขียนของกลุ่มของตน โดยใช้ Essay Checklist ใน


หนังสือเรียน หน้า 78
- นักเรียนช่วยกันแก้ไขปรับปรุงงานเขียนของกลุ่มของตน
5. Peer review
- นักเรียนแลกเปลี่ยนงานเขียนของกลุ่มของตนกับอีกกลุ่มหนึ่ง ต่างก็อา่ นและให้ขอ้ เสนอแนะเกี่ยวกับ
งานเขียนของกันและกัน โดยใช้รายการตรวจสอบเรียงความโดยเพื่อน
6. Edit your essay
- นักเรียนแต่ละกลุ่มตรวจแก้งานเขียนของตนโดยตรวจสอบการสะกดคา การใช้เครื่องหมายวรรคตอน
คาศัพท์ และไวยากรณ์ มุง่ เน้นการแก้ขอ้ ผิดเกี่ยวกับ subject/verb agreement
7. Write your final copy
- นักเรียนแต่ละกลุ่มเขียนร่างสุดท้ายส่งให้ครูตรวจ
- ครูประเมินโดยใช้แบบประเมินการเขียนตามคุณลักษณะ 6 ประการ

บทเรียนย่อยที่ 5 เวลา 2 ชั่วโมง


สิ่งทีน่ ักเรียนเรียนรู้และปฏิบัตไิ ด้
1. ใช้ภาษาอังกฤษในการค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสาระการเรียนรูอ้ ื่นจากแหล่งเรียนรูต้ า่ ง ๆ และเขียน
นาเสนอในชัน้ เรียน (ต 1.1 ม.4-6/4, ต 1.3 ม.4-6/1, ต 2.2 ม.4-6/2, ต 3.1 ม.4-6/1, ต 4.2 ม.4-6/1)
กิจกรรมการเรียนรู้
1. ค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งเรียนรูต้ า่ ง ๆ
- ครูให้นกั เรียนทากิจกรรม Do you know these facts about your body? ในหนังสือเรียน หน้า 79
ให้นกั เรียนตอบคาถามทัง้ 6 ข้อ ถ้าไม่ทราบคาตอบให้เว้นไว้โดยไม่ตอ้ งเดา
- ครูแบ่งนักเรียนในห้องเป็ น 6 กลุม่ แต่ละกลุ่มหาคาตอบสาหรับคาถาม 1 คาถาม จากแหล่งความรูท้ ่ี
อาจจะเป็ นบุคคล สื่อสิ่งพิมพ์ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แล้วนาเสนอคาตอบในชัน้ เรียนโดยระบุแหล่ง
ข้อมูลด้วย (ดูเฉลยคาตอบท้ายเล่ม)
2. ค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ต
- ครูให้นกั เรียนจับคูก่ นั หาข้อมูลเกี่ยวกับ “phrenology” จากอินเทอร์เน็ต ตามประเด็นต่อไปนี ้
- ประวัติของ phrenology
- นักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ที่สนใจ phrenology
- phrenology เป็ นที่นิยมมากในประเทศใด
- นักเรียนแต่ละคู่รว่ มกันค้นคว้าและเขียนสรุปข้อมูลตามประเด็นที่กาหนด
- ครูนางานเขียนสรุปของนักเรียนมาประเมินโดยใช้แบบประเมินการเขียนและนาไปแสดงไว้ท่ีผนังชัน้ เรียน
72

- ครูให้นกั เรียนอภิปรายเกี่ยวกับเว็บไซต์ท่ตี นใช้เป็ นแหล่งข้อมูล ให้แสดงความคิดเห็นว่าเว็บไซต์ใด


เชื่อถือได้ เพราะเหตุใด
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เพิ่มเติม
- ครูใช้ Assessment Questions วัดและประเมินผลการเรียนรู ้ Unit 3, Chapter 6: The Many Faces of
Medicine
สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. หนังสือเรียน Weaving It Together 3 หน้า 51-80
2. ซีดีบนั ทึกเสียง
3. Worksheet 1
4. Assessment Questions Unit 3, Chapter 5, 6
5. ใช้ Search Engine เช่น www.google.co.th, www.yahoo.com, www.altavista.com, www.ask.com
พิมพ์ขอ้ ความที่ตอ้ งการและเลือก Website ที่ตอ้ งการ
สื่ออิเล็กทรอนิกส์
- www.alternativemedicine.com/
- www.altmedicine.com/
- www.holisticmed.com/
- www.herbmed.org/
- www.acupuncture.com/
- www.acufinder.com/
- www.aromaweb.com/
- www.reflexology.org/
- www.reflexology-usa.org/
- www.abchomeopathy.com/
- www.homeopathic.org/
- www.onehealthyspine.com/what_is_a_chiropractor.htm
- www.chiropractic.org/
- http://skepdic.com/phren.html
6. ห้องสมุดโรงเรียน
บันทึกผลหลังการสอน
1. ผลการจัดการเรียนรู ้
2. ปั ญหา/อุปสรรค
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางการปรับปรุง

You might also like