Professional Documents
Culture Documents
อาจารย์พัชรินทร์ วงษ์สว่าง
ภาควิชาการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช
เอกสารประกอบการเรียนรู้ภาคทฤษฎี
บทที่ 2 จิตวิทยาพัฒนาการของมนุษย์
วัตถุประสงค์เฉพาะ
1. บอกแนวคิดทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการของมนุษย์ และระบุแนวทางการนำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้ในการพยาบาล
ได้
2. บอกแนวคิดทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ทฤษฎีของอีริคสัน ทฤษฎีของมาสโลว์ ทฤษฎีของเพียเจต์ ทฤษฎีของโคลเบิร์ก
และระบุแนวทางการนำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้ในการพยาบาลได้
หัวข้อที่สอน
2.1 ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory
2.2 ทฤษฎีของอีริคสัน
2.3 ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs)
2.4 ทฤษฎีของเพียเจต์
2.5 ทฤษฎีมนุษยนิยม (Humanistic Theory)
2.6 ทฤษฎีของโคลเบิร์ก
2
บทที่ 2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาพัฒนาการของมนุษย์
บทนำ
แนวคิดทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการของมนุษย์เป็นการนำทฤษฎีที่ได้ศึกษาค้นคว้าทางด้านจิตเวช
ศาสตร์ มนุษยศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศาสตร์สาขาอื่นๆมาอธิบายและทำความเข้าใจ
เกี่ยวกับความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมที่ผิดปกติของบุคคลทั้งในภาวะปกติและเมื่อเกิดการเจ็บป่วย
ทางจิต ปัจจุบันยังไม่มีทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งที่สามารถอธิบายความผิดปกติของพฤติกรรม ความคิด
ความรู้สึกของผู้ป่วยได้อย่างครบถ้วน จึงจำเป็นต้องมีหลายๆ ทฤษฎีที่ช่วยให้พยาบาลมีความรู้ ความ
เข้าใจ และสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติการพยาบาลได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และมี
ประสิทธิภาพ
2.1 การใช้ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ทฤษฎีจิตสังคม
2.2.1 ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory)
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ริเริ่มโดย ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud: 1856-1939) นักประสาท
วิทยาชาวออสเตรีย ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งทฤษฎีจิตวิเคราะห์ โดยฟรอยด์มีความเชื่อว่าระดับ
จิตใจของมนุษย์มีความแตกต่างกันในแต่ละขั้น เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ พฤติกรรมและ
ประสบการณ์ในภาวะจิตสำนึกเป็นเพียงส่วนที่เล็กน้อยส่วนหนึ่งของจิตใจเท่านั้น การแสดงออกต่างๆ ที่
เกิดขึ้นเป็นแรงกระตุ้นโดยตรงจากจิตใต้สำนึก ความขัดแย้ง แรงจูงใจ รวมไปถึงความคับข้องใจ ซึ่ง
การศึกษาระบบจิตใต้สำนึกนั้นไม่สามารถศึกษาได้โดยตรง แต่สามารถเข้าใจได้โดยการวิเคราะห์จากการ
แสดงออกขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในภาวะจิตสำนึก ฟรอยด์ได้ศึกษาและกำหนดแนวคิดของทฤษฎี ซึ่ง
ประกอบด้วย ระดับของจิตใจ (Level of mind) โครงสร้างของจิตใจ (Structure of mind)
สัญชาตญาณ (Instinct) กลไกการป้องกันทางจิต (Defense mechanism) และพัฒนาการทาง
บุคลิกภาพ (Psychosexual development) โดยมีรายละเอียดดังนี้
2.2.1.1 ระดับของจิตใจ (Level of mind) ภาพเปรียบเทียบเกี่ยวกับจิตใจตามทฤษฎีจิต
วิเคราะห์ที่รู้จักกันดีเป็นภาพภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg) (ศุกร์ใจ เจริญสุข, 2557) ซึ่งฟรอยด์เปรียบเทียบจิต
ของคนเป็นเหมือนก้อนน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในน้ำ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
1) ระดับจิตสำนึก (Conscious level) เป็นระดับของจิตใจที่มนุษย์รู้สึกตัวและตระหนักใน
ตนเอง มีพฤติกรรมและการแสดงออกที่ตนรับรู้ พฤติกรรมที่แสดงออกอยู่ภายใต้การควบคุมด้วย
สติปัญญา ความรู้ และการพิจารณาให้เหมาะสมกับสิ่งที่ถูกต้องและสังคมยอมรับ
2) ระดับจิตใต้สำนึก (Subconscious/Preconscious level) เป็นระดับของจิตใจที่อยู่ในระดับ
กึ่งรับรู้ และไม่รับรู้ อยู่ในระดับลึกลงกว่าจิตสำนึก ต้องใช้เวลาและเหตุการณ์ช่วยกระตุ้นให้เกิดการระลึก
ได้ จิตใจในส่วนนี้จะช่วยขจัดข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกไปจากความรู้สึกของบุคคลและเก็บไว้แต่ส่วนที่มี
ความหมายต่อตนเอง จิตใจในส่วนนี้ดำเนินการอยู่ตลอดเวลาในชีวิต
3) ระดับจิตไร้สำนึก (Unconscious level) เป็นระดับของจิตใจที่อยู่ในส่วนลึกไม่สามารถจะนึก
ได้ในระดับจิตสำนึกธรรมดา บุคคลมักจะเก็บประสบการณ์ที่ไม่ดีและเลวร้ายในชีวิตที่ผ่านมาของตนไว้ใน
จิตไร้สำนึกโดยไม่รู้ตัว และจะแสดงออกในบางโอกาสซึ่งเจ้าตัวไม่ได้ควบคุมและไม่รู้สึกตัว
2.2.1.2 โครงสร้างของจิตใจ (Structure of mind) ฟรอยด์ แบ่งโครงสร้างของจิตใจออกเป็น 3 ระบบ
ดังนี้
1) Id เป็นแรงผลักดันของจิตใจที่ติดตัวทุกคนมาแต่กำเนิด เป็นแรงขับตามสัญชาตญาณ เป็นการ
แสวงหาความสุขโดยยึดความพึงพอใจเป็นหลัก (Pleasure principles) ฟรอยด์ เรียกกระบวนการทำงาน
3
พยาบาลในการส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันการเกิดปัญหาทางจิตโดยการให้สุขภาพจิตศึกษาแก่บิดา
มารดาเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการของบุตร
2.2 ทฤษฎีจิตสังคม (Psychosocial Theory)
ทฤษฎีจิตสังคม ริเริ่มโดย อิริค เอช อิริคสัน (Erik H. Erikson: 1902-1982) อิริคสันได้
อธิบายถึงพัฒนาการทางจิตใจโดยยอมรับพัฒนาการทางจิตใจตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ แต่เน้น
ความสำคัญของปัจจัยด้านสังคมวัฒนธรรมและปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นต่อพัฒนาการทางจิตใจ โดย
เชื่อว่าบุคลิกภาพเป็นผลมาจากความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการแก้ไขข้อขัดแย้งเกี่ยวกับการ
ตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานในแต่ละช่วงชีวิตของบุคคล โดยแบ่งพัฒนาการของบุคลิกภาพ
เป็น 8 ขัน้ ตอน ดังนี้
1) ความไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจ (Trust vs Mistrust) อายุ 0-18 เดือน การเลี้ยงดูที่มารดา
สามารถตอบสนองความต้องการทางร่างกาย เช่น การให้นมและอาหารในเวลาที่เด็กรู้สึกหิว และสามารถ
ตอบสนองความต้องการทางจิตใจด้วยความรักความอบอุ่นอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เด็กเกิดความไว้วางใจ
และสามารถแก้ไข Internal crisis ในระยะแรกนี้ได้ และเด็กจะมีการพัฒนา Basic trust คือ ความรู้สึก
ไว้วางใจผู้อื่นและเชื่อมั่นในตนเอง รวมทั้งสามารถพึ่งพาผู้อื่นอย่างเหมาะสม อันเป็นพื้นฐานของ
พัฒนาการทางจิตใจและบุคลิกภาพในระยะต่อไป
2) ความเป็นตัวของตัวเองหรือความละอายและสงสัยไม่แน่ใจ (Autonomy vs Shame and
Doubt) อายุ 18 เดือน-3 ปี เป็นระยะที่เด็กสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวต่างๆ รวมทั้งการขับถ่ายได้ดี
และเริ่มต้องการความเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy) แต่ในขณะเดียวกันบิดามารดาเริ่มต้องการฝึกหรือ
ควบคุมพฤติกรรมบางอย่าง การควบคุมอย่างเข้มงวดหรือเร็วเกินไปจะเกิดผลเสียต่อการพัฒนา Internal
control ของเด็กเอง หรือการที่บิดามารดาไม่สามารถช่วยควบคุมให้เด็กควบคุมตนเองได้ จะมีผลเสียต่อ
การพัฒนาความเป็นตัวของตัวเองของเด็ก การควบคุมอย่างเหมาะสมช่วยให้เด็กพัฒนาความเป็นตัวของ
ตัวเองได้โดยไม่เกิดความละอายหรือไม่แน่ใจในตนเอง (Shame and Doubt)
3) ความคิดริเริ่มหรือความรู้สึกผิด (Initiative vs Guilt) อายุ 3-6 ปี เป็นระยะที่เด็กมีพัฒนาการ
ด้านกล้ามเนื้อ ภาษา ความคิดและปัญญา มีความอยากรู้อยากเห็นและมีความคิดริเริ่มในเรื่องต่างๆ หาก
บิดามารดาสนับสนุนโดยควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เด็กจะสามารถแก้ไข Internal crisis นี้ได้
และมีความคิดริเริ่มในทางที่เหมาะสม (Initiative) มีความรับผิดชอบ สามารถควบคุมตนเองและมีมโน
ธรรม ส่วนเด็กที่พ่อแม่คอยปกป้อง ห้ามปราม หรือควบคุมมากเกินไปจะมีมโนธรรมที่เข้มงวดมากจนเกิด
ความรู้สึกผิด (Guilt) ในเรื่องต่างๆ ได้ง่าย
4) ความขยันหมั่นเพียรหรือความรู้สึกมีปมด้อย (Industry vs Inferiority) อายุ 6-12 ปี เป็นวัย
ที่เด็กเข้าสู่สังคมนอกครอบครัว ทั้งกับเพื่อน ครูที่โรงเรียน และบุคคลอื่นในสังคมมากขึ้น มีความสนใจ
และความสุขในการเรียนรู้และฝึกทักษะด้านต่างๆ หากบิดามารดาและครูสนับสนุนกระตุ้นให้เด็กรู้จักทำ
กิจกรรมต่างๆ ได้ด้วยตนเอง โดยยอมรับและให้อภัยเมื่อเด็กผิดพลาด เด็กจะมีการพัฒนาความวิริยะ
อุตสาหะ (Industry) รู้สึกว่าตนเองมีความสามารถและนับถือตนเอง (Self esteem) ส่วนเด็กที่ได้รับการ
ดูแลในทางตรงข้ามจะมีความรู้สึกมีปมด้อย (Inferiority) รู้สึกว่าตนเองไม่มีความสามารถและไม่มีคุณค่า
5) การรู้เอกลักษณ์ของตนเองหรือสับสนในบทบาท (Identity vs Role Confusion) อายุ 12-
20 ปี เป็นระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมเป็นอย่างมาก ที่สำคัญในระยะนี้
คือ การพัฒนาอัตลักษณ์ (Identity) ที่สอดคล้องกับค่านิยมของสังคม ประสบการณ์จากพัฒนาการ
ประสบการณ์กับกลุ่มเพื่อน ครูอาจารย์ บิดามารดา และบุคคลทั่วไป การมีบุคคลที่ยึดเป็นแบบอย่างจะ
7
เด็กเกิดความรู้สึกว่าได้รับความพึงพอใจจากความต้องการความปลอดภัยการให้นอนหรือให้กินไม่เป็น
เวลาไม่เพียงแต่ทำให้เด็กสับสนเท่านั้นแต่ยังทำให้เด็กรู้สึกไม่มั่นคงในสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเขา
สัมพันธภาพของพ่อแม่ที่ไม่ดีต่อกัน เช่น ทะเลาะกันทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน พ่อแม่แยกกันอยู่ หย่า
ตายจากไป สภาพการณ์เหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อความรู้ที่ดีของเด็ก ทำให้เด็กรู้ว่าสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม่มั่นคง
ไม่สามารถคาดการณ์ได้และนำไปสู่ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ความต้องการความปลอดภัยจะยังมีอิทธิพลต่อ
บุคคลแม้ว่าจะผ่านพ้นวัยเด็กไปแล้ว แม้ในบุคคลที่ทำงานในฐานะเป็นผู้คุ้มครอง เช่น ผู้รักษาเงิน นักบัญชี
หรือทำงานเกี่ยวกับการประกันต่างๆ และผู้ที่ทำหน้าที่ให้การรักษาพยาบาลเพื่อความปลอดภัยของผู้อื่น
เช่น แพทย์ พยาบาล แม้กระทั่งคนชรา บุคคลทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะใฝ่หาความปลอดภัยของผู้อื่น เช่น
แพทย์พยาบาล แม้กระทั่งคนชรา บุคคลทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะใฝ่หาความปลอดภัยด้วยกันทั้งสิ้น ศาสนา
และปรัชญาที่มนุษย์ยึดถือทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคง เพราะทำให้บุคคลได้จัดระบบของตัวเองให้มีเหตุผล
และวิถีทางที่ทำให้บุคคลรู้สึก “ปลอดภัย” ความต้องการความปลอดภัยในเรื่องอื่นๆ จะเกี่ยวข้องกับการ
เผชิญกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ สงคราม อาชญากรรม น้ำท่วม แผ่นดินไหว การจลาจล ความสับสนไม่เป็น
ระเบียบของสังคม และเหตุการณ์อื่นๆ ที่คล้ายคลึงกับสภาพเหล่านี้
Maslow ได้ให้ความคิดต่อไปว่าอาการโรคประสาทในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะโรคประสาทชนิดย้ำคิด-
ย้ำทำ (obsessive-compulsive neurotic) เป็นลักษณะเด่นชัดของการค้นหาความรู้สึกปลอดภัย ผู้ป่วย
โรคประสาทจะแสดงพฤติกรรมว่าเขากำลังประสบเหตุการณ์ทที่ร้ายกาจและกำลังมีอันตรายต่างๆ เขาจึง
ต้องการมีใครสักคนที่ปกป้องคุ้มครองเขาและเป็นบุคคลที่มีความเข้มแข็งซึ่งเขาสามารถจะพึ่งพาอาศัยได้
3. ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ (Belongingness and Love needs) ความ
ต้องการความรักและความเป็นเจ้าของเป็นความต้องการขั้นที่ 3 ความต้องการนี้จะเกิดขึ้นเมื่อความ
ต้องการทางด้านร่างกาย และความต้องการความปลอดภัยได้รับการตอบสนองแล้ว บุคคลต้องการได้รับ
ความรักและความเป็นเจ้าของโดยการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวหรือ
กับผู้อื่นสมาชิกภายในกลุ่มจะเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับบุคคล กล่าวคือ บุคคลจะรู้สึกเจ็บปวดมากเมื่อ
ถูกทอดทิ้งไม่มีใครยอมรับ หรือถูกตัดออกจากสังคม ไม่มีเพื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจำนวนเพื่อนๆ
ญาติพี่น้อง สามีหรือภรรยาหรือลูกๆ ได้ลดน้อยลงไป นักเรียนที่เข้าโรงเรียนที่ห่างไกลบ้านจะเกิดความ
ต้องการเป็นเจ้าของอย่างยิ่ง และจะแสวงหาอย่างมากที่จะได้รับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน Maslow
คัดค้านกลุ่ม Freud ที่ว่าความรักเป็นผลมาจากการทดเทิดสัญชาตญาณทางเพศ(sublimation) สำหรับ
Maslow ความรักไม่ใช่สัญลักษณ์ของเรื่องเพศ (sex) เขาอธิบายว่า ความรักที่แท้จริงจะเกี่ยวข้องกับ
ความรู้สึกที่ดี ความสัมพันธ์ของความรักระหว่างคน 2 คน จะรวมถึงความรู้สึกนับถือซึ่งกันและกัน
การยกย่องและความไว้วางใจแก่กัน นอกจากนี้ Maslow ยังย้ าว่าความต้องการความรักของคนจะเป็น
ความรักที่เป็นไปในลักษณะทั้งการรู้จักให้ความรักต่อผู้อื่นและรู้จักที่จะรับความรักจากผู้อื่น การได้รับ
ความรักและได้รับการยอมรับจากผู้อื่นเป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า บุคคลที่ขาด
ความรักก็จะรู้สึกว่าชีวิตไร้ค่ามีความรู้สึกอ้างว้างและเคียดแค้น กล่าวโดยสรุป Maslow มีความเห็นว่า
บุคคลต้องการความรักและความรู้สึกเป็นเจ้าของ และการขาดสิ่งนี้มักจะเป็นสาเหตุให้เกิดความข้องคับใจ
และทำให้เกิดปัญหาการปรับตัวไม่ได้และความยินดีในพฤติกรรมหรือความเจ็บป่วยทางด้านจิตใจใน
ลักษณะต่างๆ สิ่งที่ควรสังเกตประการหนึ่ง ก็คือมีบุคคลจำนวนมากที่มีความลำบากใจที่จะเปิดเผยตัวเอง
เมื่อมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับเพศตรงข้ามเนื่องจากกลัวว่าจะถูกปฏิเสธความรู้สึกเช่นนี้ Maslow
กล่าวว่าสืบเนื่องมาจากประสบการณ์ในวัยเด็ก การได้รับความรักหรือการขาดความรักในวัยเด็ก ย่อมมีผล
กับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะและการมีทัศนคติในเรื่องของความรัก Maslow เปรียบเทียบว่าความ
11
จากผู้อื่นมากกว่าการยอมรับความจริงและเป็นที่ยอมรับกันว่าการได้รับความนับถือยกย่อง มีพื้นฐานจาก
การกระทำของบุคคลมากกว่าการควบคุมจากภายนอก
5. ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง (Self-Actualization needs)
ถึงลำดับขั้นสุดท้าย ถ้าความต้องการลำดับขั้นก่อนๆ ได้ทำให้เกิดความพึงพอใจอย่างมี
ประสิทธิภาพ ความต้องการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงก็จะเกิดขึ้น Maslow อธิบายความต้องการเข้าใจ
ตนเองอย่างแท้จริง ว่าเป็นความปรารถนาในทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งบุคคลสามารถจะได้รับอย่างเหมาะสม
บุคคลที่ประสบผลสำเร็จในขั้นสูงสุดนี้จะใช้พลังอย่างเต็มที่ในสิ่งที่ท้าทายความสามารถและศักยภาพของ
เขาและมีความปรารถนาที่จะปรับปรุงตนเอง พลังแรงขับของเขาจะกระทำพฤติกรรมตรงกับ
ความสามารถของตน กล่าวโดยสรุปการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงเป็นความต้องการอย่างหนึ่งของบุคคลที่
จะบรรลุถึงวจุดสูงสุดของศักยภาพ เช่น “นักดนตรีก็ต้องใช้ความสามารถทางด้านดนตรี ศิลปินก็จะต้อง
วาดรูป กวีจะต้องเขียนโคลงกลอน ถ้าบุคคลเหล่านี้ได้บรรลุถึงเป้าหมายที่ตนตั้งไว้ก็เชื่อได้ว่าเขาเหล่านั้น
เป็นคนที่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง” Maslow ( 1970 : 46)
ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงจะดำเนินไปอย่างง่ายหรือเป็นไปโดยอัตโนมัติโดย
ความเป็นจริงแล้ว Maslow เชื่อว่าคนเรามักจะกลัวตัวเองในสิ่งเหล่านี้“ด้านที่ดีที่สุดของเราความสามารถ
พิเศษของเรา สิ่งที่ดีงามที่สุดของเรา พลังความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์” Maslow (1962 : 58)
ความต้องการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงมิได้มีแต่เฉพาะในศิลปินเท่านั้น คนทั่วๆ ไป เช่น นักกีฬา
นักเรียน หรือแม้แต่กรรมกรก็สามารถจะมีความเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงได้ถ้าทุกคนสามารถทำในสิ่งที่
ตนต้องการให้ดีที่สุด รูปแบบเฉพาะของการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงจะมีความแตกต่างอย่างกว้างขวาง
จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง กล่าวได้ว่ามันคือระดับความต้องการที่แสดงความแตกต่างระหว่างบุคคลอย่าง
ยิ่งใหญ่ที่สุด
Maslow ได้ยกตัวอย่างของความต้องการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ในกรณีของนักศึกษาชื่อ
Mark ซึ่งเขาได้ศึกษาวิชาบุคลิกภาพเป็นระยะเวลายาวนานเพื่อเตรียมตัวเป็นนักจิตวิทยาคลีนิค นักทฤษฎี
คนอื่นๆ อาจจะอธิบายว่าทำไมเขาจึงเลือกอาชีพนี้ ตัวอย่าง เช่น Freud อาจกล่าวว่ามันสัมพันธ์อย่าง
ลึกซึ้งกับสิ่งที่เขาเก็บกด ความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเพศไว้ตั้งแต่วัยเด็ก ขณะที่ Adler อาจมองว่ามัน
เป็นความพยายามเพื่อชดเชยความรู้สึกด้อยบางอย่างในวัยเด็ก Skinner อาจมองว่าเป็นผลจากการถูก
วางเงื่อนไขของชีวิตในอดีต ขณะที่Bandura สัมพันธ์เรื่องนี้กับตัวแปรต่างๆ ทางการเรียนรู้ทางสังคม และ
Kelly อาจพิจารณาว่า Mark กำลังจะพุ่งตรงไปเพื่อที่จะเป็นบุคคลที่เขาต้องการจะเป็นตัวอย่างที่แสดงถึง
การมุ่งตรงไปสู่เป้าประสงค์ในอาชีพโดยความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงและถ้าจะพิจารณา
กรณีของ Mark ให้ลึกซึ่งยิ่งขึ้น ถ้า Mark ได้ผ่านกาเรียนวิชาจิตวิทยาจนครบหลักสูตรและได้เขียน
วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกและในที่สุดก็ได้รับปริญญาเอกทางจิตวิทยาคลีนิค สิ่งที่จะต้องวิเคราะห์
Mark ต่อไปก็คือ เมื่อเขาสำเร็จการศึกษาดังกล่าวแล้วถ้ามีบุคคลหนึ่งได้เสนองานให้เขาในตำแหน่งตำรวจ
สืบสวน ซึ่งงานในหน้าที่นีจะได้รับค่าตอบแทนอย่างสูงและได้รับผลประโยชน์พิเศษหลายๆ อย่าง
ตลอดจนรับประกันการว่าจ้างและความมั่นคงสำหรับชีวิต เมื่อประสบเหตุการณ์เช่นนี้ Mark จะทำ
อย่างไร ถ้าค าตอบของเขาคือ “ตกลง” เขาก็จะย้อนกลับมาสู่ความต้องการระดับที่ 2 คือความต้องการ
ความปลอดภัย สำหรับการวิเคราะห์ความเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง Maslow กล่าวว่า “อะไรที่มนุษย์
สามารถจะเป็นได้เขาจะต้องเป็นในสิ่งนั้น” เรื่องของ Mark เป็นตัวอย่างง่ายๆ ว่า ถ้าเขาตกลงเป็นตำรวจ
สืบสวน เขาก็จะไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง
ทำไมทุกๆ คนจึงไม่สัมฤทธิผลในการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง (Why Can’t All People
13
2.4.ทฤษฎีของเพียเจต์
ประวัติของฌอง เพียเจต์
ความสนใจครั้งแรกของ ฌอง เพียเจต์ นั้นจริง ๆ แล้วเกี่ยวกับสัตว์ ซึ่งเขาก็ได้ตีพิมพ์งานวิจัยทาง
วิทยาศาสตร์งานแรกเกี่ยวกับนกกระจอกเผือกในปี 2450 เมื่ออายุ 11 ปี และในปี 2463 เขาได้เริ่ม
ทำงานเกี่ยวกับชุดการทดสอบทางสติปัญญา เพียเจต์สังเกตว่าเด็กเล็กมักจะทำผิดพลาดในสิ่งเดิม ๆ ซ้ำ ๆ
ที่เด็กโตไม่ทำ จึงสรุปได้ว่าเด็กเล็กนั้นมีความคิดที่แตกต่าง และได้ใช้เวลาที่เหลือเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการ
พัฒนาสติปัญญาของเด็กเล็ก
ทฤษฎีของเพียเจต์ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนของพัฒนาการทางสติปัญญา มีดังนี้คือ
ขั้นที่ 1 ประสาทการรับรู้และการเคลื่อนไหว
ขัน้ ที่ 2 ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด
ขั้นที่ 3 การคิดแบบเป็นรูปธรรม
ขั้นที่ 4 การคิดแบบเป็นนามธรรม เมื่อใดที่เราผ่านครบทุกขั้นตอนแล้ว ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม
เราจะได้เข้าถึงระดับสติปัญญาของมนุษย์ที่พัฒนาแล้ว
สรุป
ทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการของมนุษย์ ทำให้ช่วยการเข้าใจมนุษย์มากยิ่งขึ้นและสามารถไป
ประยุกต์ใช้ในการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยหรือผู้ใช้บริการทางด้านสุขภาพเพื่อให้การพยาบาลผู้ที่มีปัญหาให้
ครอบคลุมครบถ้วนด้านจิตใจ การที่จะศึกษาให้เข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับมนุษย์ พยาบาลควรมีความรู้ความ
เข้าใจในแนวคิดทฤษฎีพื้นฐานดังที่ได้กล่าวมา ซึ่งเห็นได้ว่าไม่มีทฤษฎีใดเพียงทฤษฎีเดียวที่จะใช้อธิบาย
พฤติกรรมของบุคคล สาเหตุของพฤติกรรมที่ผิดปกติ อาจนำไปสู่การเจ็บป่วยทางจิตของบุคคลได้แต่ถ้า
ได้รับการดูแลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านร่างกาย จิตใจ ก็จะสามารถทำให้มนุษย์ผ่านพ้นและ
จะเจริญเติบโตมาเพื่อทำให้เกิดพัฒนาการที่ดี นำไปสู่การคิดและสติปัญญาที่ดี ดังนั้นสิ่งสำคัญในการเรียน
ทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการของมนุษย์ จะเป็นพื้นฐานในการช่วยเหลือบุคคลและเป็นสิ่งในการบูรณาการ
แนวคิดทฤษฎีต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งจะเป็นประกอบด้วยทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory
ทฤษฎีของอีริคสัน ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs) ทฤษฎีของเพีย
เจต์ จะช่วยให้นำมาประยุกต์ในวิชาชีพการพยาบาลทำให้เกิดได้รู้ตระหนักในตัวบุคคล และปัจจัยที่
เกี่ยวข้องกับบุคคลให้ชัดเจน เพื่อนำไปสู่ความสามารถในการวิเคราะห์ ประเมินสภาพปัญหา วางแผนให้
การช่วยเหลือ ปฏิบัติการช่วยเหลือ รวมทั้งประเมินผลการพยาบาลได้อย่างครอบคลุมทั้งร่างกาย จิตใจ
อารมณ์ และสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ
16
หนังสืออ่านประกอบ
กนกรัตน์ สุขตุงคะ. (2555).คู่มือจิตวิทยาคลินิก: ภาคปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: นิโอ ดิจิตอล.
กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข. (2544). คู่มือการดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิต และจิตเวช: สำหรับ
แพทย์. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : บริษัท เรดิเอชั่น จำกัด.
จุฑารัตน์ สถิรปัญญา, วัลลภา คชภักดี. (2551). สุขภาพจิต. สงขลา: บริษัท นำศิลป์โฆษณา จำกัด.
มาโนช หล่อตระกูล .(2555). จิตเวชศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 3. มหาวิทยาลัยมหิดล :กรุงเทพฯ .
วิไลวรรณ ศรีสงครามและคณะ.(2549).จิตวิทยาทั่วไป.กรุงเทพฯ: ทริปเพิ้ล กรุ๊ป.
สุวนีย์ เกี่ยวกิ่งแก้ว .(2554). การพยาบาลจิตเวช.พิมพ์ครั้ง 3. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์: กรุงเทพฯ
ศรีเรือน แก้วกังวาน.(2545).จิตวิทยาพัฒนาการชีวิตทุกช่วงวัย แนวคิดเชิงทฤษฎี-วัยเด็กตอนกลาง.
กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ใบงานมอบหมาย
1. ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม 10 กลุ่ม
2. ให้วิเคราะห์จากการดู Clip VDO
17