Professional Documents
Culture Documents
• ฟรอยด์ กล่ าวว่ าความพึงพอใจในส่ วนต่ างๆ ของร่ างกายนี้ เป็ นไปตามวัย
เริ่มตั้งแต่ วยั ทารก จนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งแบ่ งออกเป็ น 5 ขั้น คือ
• 1. ขั้นปาก (Oral Stage)
• 2. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage)
• 3. ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage)
• 4. ขั้นแฝง (Latence Stage)
• 5. ขั้นสนใจเพศตรงข้ าม (Genital Stage)
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• 1) ขั้นปาก (Oral Stage) อายุระหว่ าง 0-18 เดือน ฟรอยด์
เรียกขั้นนีว้ ่ า เป็ นขั้นปากเพราะความพึงพอใจอยู่ทชี่ ่ องปาก เริ่มตั้งแต่ เกิด
เด็กอ่ อนจนถึงอายุราวๆ 2 ปี หรือวัยทารก เป็ นวัยทีค่ วามพึงพอใจ เกิดจาก
การดูดนมแม่ นมขวด และดูดนิว้ เป็ นต้ น ในวัยนีค้ วามคับข้ องใจ จะทำให้
เกิดภาวะทีเ่ รียกว่ า "การติดตรึงอยู่กบั ที"
่ (Fixation) ได้ และมี
ปัญหาทางด้ านบุคลิกภาพ เรียกว่ า "Oral Personality" มี
ลักษณะทีช่ อบพูดมาก และมักจะติดบุหรี่ เหล้ า และชอบดูด หรือกัดอยู่เสมอ
โดยเฉพาะเวลาทีม่ คี วามเครียด บางครั้งจะแสดงด้ วยการดูดนิว้ หรือดินสอ
ปากมีลกั ษณะแบบนีอ้ าจจะชอบพูดจาถากถาง เหน็บแนม เสี ยดสี ผู้อนื่
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• 2) ขั้นทวารหนัก (Anal Stage) อายุระหว่ าง 18 เดือน –
3 ปี ฟรอยด์ กล่ าวว่ า เด็กวัยนีไ้ ด้ รับความพึงพอใจทางทวารหนัก คือ
จากการขับถ่ ายอุจจาระ และในระยะซึ่งเป็ นสาเหตุของความขัดแย้ ง และ
ความคับข้ องใจของเด็กวัยนี้ เพราะพ่อแม่ มกั จะหัดให้ เด็กใช้ กระโถน
และต้ องขับถ่ ายเป็ นเวลา เนื่องจากเจ้ าของความต้ องการของผู้ฝึก และ
ความต้ องการของเด็ก เกีย่ วกับการขับถ่ ายไม่ ตรงกันของเด็ก คือความ
อยากทีจ่ ะถ่ ายเมือ่ ไรก็ควรจะทำได้ เด็กอยากจะขับถ่ ายเวลาทีม่ คี วาม
ต้ องการ กับการทีพ่ ่ อแม่ หัดให้ ขบั ถ่ ายเป็ นเวลา บางทีเกิดความขัดแย้ ง
มาก
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• อาจจะทำให้ เกิด Fixation และทำให้ เกิดมีบุคลิกภาพนีเ้ รียกว่ า
"Anal Personality" ผู้ทมี่ พี ฤติกรรมแบบนี้ อาจจะเป็ น
คนทีช่ อบความเป็ นระเบียบเรียบร้ อยเป็ นพิเศษ และค่ อนข้ างประหยัด
มัธยัสถ์ หรืออาจมีบุคลิกภาพตรงข้ าม คืออาจจะเป็ นคนทีใ่ จกว้ าง และ
ไม่ มคี วามเป็ นระเบียบ เห็นได้ จากห้ องทำงานส่ วนตัวจะรกไม่ เป็ น
ระเบียบ
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• 3) ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage) อายุระหว่ าง 3-5 ปี ความพึง
พอใจของเด็กวัยนีอ้ ยู่อวัยวะสื บพันธุ์ เด็กมักจะจับต้ องลูกคลำอวัยวะเพศ ระยะนี้ ฟ
รอยด์ กล่ าวว่ า เด็กผู้ชายมีปมออดิปุส (Oedipus Complex) ฟรอย
ด์ อธิบายการเกิดของปมออดิปุสว่ า เด็กผู้ชายติดแม่ และรักแม่ มาก และต้ องการทีจ่ ะ
เป็ นเจ้ าของแม่ แต่ เพียงคนเดียว และต้ องการร่ วมรักกับแม่ แต่ ขณะเดียวกันก็ทราบ
ว่ าแม่ และพ่อรักกัน และก็ร้ ูดวี ่ าตนด้ อยกว่ าพ่อทุกอย่ าง ทั้งด้ านกำลังและอำนาจ
ประกอบกับความรักพ่อ และกลัวพ่อ ฉะนั้นเด็กก็พยายามทีจ่ ะเก็บกดความรู้สึก ที่
อยากเป็ นเจ้ าของแม่ แต่ คนเดียว และพยายามทำตัวให้ เหมือนกับพ่อทุกอย่ างฟรอยด์
เรียกกระบวนนีว้ ่ า "Resolution of Oedipal Complex"
เป็ นกระบวนการทีเ่ ด็กชายเลียนแบบพ่อ ทำตัวให้ เหมือน "ผู้ชาย"
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• ส่ วนเด็กหญิงมีปมอีเล็คตรา (Electra Complex) ซึ่งฟรอยด์ กไ็ ด้
ความคิดมาจากนิยายกรีก เหมือนกับปมออดิปุส ฟรอยด์ อธิบายว่ า แรกทีเดียวเด็ก
หญิงก็รักแม่ มากเหมือนเด็กชาย แต่ เมือ่ โตขึน้ พบว่ าตนเองไม่ มอี วัยวะเพศเหมือน
เด็กชาย และมีความรู้ สึกอิจฉาผู้ทมี่ อี วัยวะเพศชาย แต่ เมือ่ ทำอะไรไม่ ได้ กย็ อมรับ
และโกรธแม่ มาก ถอนความรักจากแม่ มารักพ่อ ทีม่ อี วัยวะเพศทีต่ นปรารถนาจะมี
แต่ กร็ ้ ูว่าแม่ และพ่อรักกัน เด็กหญิงจึงแก้ปัญหาด้ วยการใช้ กลไกป้องกันตน โดยเก็บ
ความรู้ สึกความต้ องการของตน (Represtion) และเปลีย่ นจากการโกรธ
เกลียดแม่ มาเป็ นรักแม่ (Reaction Formation) ขณะเดียวกันก็
อยากทำตัวให้ เหมือนแม่ จึงเลียนแบบ สรุ ปได้ ว่าเด็กหญิงมีความรักพ่ อ แต่ กร็ ้ ูว่าแย่ ง
พ่ อมาจากแม่ ไม่ ได้ จึงเลียนแบบแม่ คือ ถือแม่ เป็ นแบบฉบับ หรือต้ นแบบของ
พฤติกรรมของ "ผู้หญิง"
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• 4) ขั้นแฝง (Latency Stage) เด็กวัยนีอ้ ยู่ระหว่ างอายุ
6-12 ปี เป็ นระยะทีฟ่ รอยด์ กล่าวว่ า เด็กเก็บกดความต้ องการทาง
เพศ หรือความต้ องการทางเพศสงบลง (Quiescence
Period) เด็กชายมักเล่น หรือจับกลุ่มกับเด็กชาย ส่ วนเด็กหญิงก็
จะเล่น หรือจับกลุ่มกับเด็กหญิง
• 5) ขั้นสนใจเพศตรงข้ าม (Genital Stage) วัยนีเ้ ป็ นวัย
รุ่นเริ่มตั้งแต่ อายุ 12 ปี ขึน้ ไป จะมีความต้ องการทางเพศ วัยนีจ้ ะมี
ความสนใจในเพศตรงข้ าม ซึ่งเป็ นระยะเริ่มต้ นของวัยผู้ใหญ่
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• ฟรอยด์ กล่ าวว่ า ถ้ าเด็กโชคดี และผ่ านวัยแต่ ละวัย โดยไม่ มปี ัญหาก็จะเจริญ
เติบโต เป็ นผู้ใหญ่ ทมี่ บี ุคลิกภาพปกติ แต่ ถ้าเด็กมีปัญหา ในแต่ ละขั้นของ
พัฒนาการ ก็จะมีบุคลิกภาพผิดปกติ ซึ่งฟรอยด์ ได้ ต้งั ชื่อตามแต่ ละวัย เช่ น
"ผู้ใหญ่ ทมี่ ี Oral Personality เป็ นผู้ทมี่ คี วามต้ องการทีจ่ ะ
หาความพึงพอใจทางปากอย่ างไม่ จำกัด เช่ น สู บบุหรี่ กัดนิว้ ดูดนิว้ รับ
ประทานมาก มีความสุ ขในการกิน และชอบดืม่ คนทีม่ ี Oral
Personality อาจจะเป็ นผู้ทเี่ ห็นโลกในทางดี
(Optimist) มากเกินไป จนถึงกับเป็ นคนทีไ่ ม่ ยอมรับความจริง
ของชีวติ หรืออาจจะเป็ น คนทีแ่ สดงตนว่ าเป็ นคนเก่ง ไม่ กลัวใคร และใช้
ปากเป็ นเครื่องมือ เช่ น ชอบพูดเยาะเย้ ย ถากถางและกระแนะกระแหนผู้อนื่
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• Fixation ในระยะที่ 2 คือ อายุ 2-3 ปี จะทำให้ มบี ุคลิกภาพแบบ
Anal Personality ซึ่งอาจจะมีลกั ษณะต่ างๆ ดังนี้
• (1) เป็ นคนเจ้ าสะอาดมากเกินไป (Obsessively Clean)
และเรียบร้ อยเจ้ าระเบียบ เข้ มงวด และเป็ นคนทีต่ ้ องทำอะไรตามกฎเกณฑ์
เปลีย่ นแนวไม่ ได้
• (2) อาจจะมีลกั ษณะตรงข้ ามเลย คือ รุงรัง ไม่ เป็ นระเบียบ
• (3) อาจจะเป็ นคนสุ ร่ ุยสุ ร่าย หรือตระหนี่กไ็ ด้ ผู้ชายทีแ่ ต่ งงานก็คดิ ว่ า ตน
เป็ นเจ้ าของ "ผู้หญิง" ทีเ่ ป็ นภรรยาเก็บไว้ แต่ ในบ้ าน หึงหวงจนทำให้ ภรรยา
ไม่ มคี วามสุ ข ผู้หญิงทีม่ ี Anal personality ก็จะหึงหวงสามี
มาก จนทำให้ ชีวติ สมรสไม่ มคี วามสุ ข
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• องค์ ประกอบทีม่ ีส่วนพัฒนาการทางบุคลิกภาพมีหลายอย่ างซึ่งฟรอยด์ ได้
กล่าวไว้ ดงั ต่ อไปนี้
• 1. วุฒิภาวะ ซึ่งหมายถึงขั้นพัฒนาการตามวัย
• 2. ความคับข้ องใจ ทีเ่ กิดจากความสมหวังไม่ สมหวัง เมือ่ มีปฏิสัมพันธ์
กับสิ่ งแวดล้ อมภายนอก
• 3. ความคับข้ องใจ เนื่องมาจากความขัดแย้ งภายใน
• 4. ความไม่ พร้ อมของตนเอง ทั้งทางด้ านร่ างกาย ด้ านเชาวน์ ปัญญา และ
การขาดประสบการณ์
• 5. ความวิตกกังวล เนื่องมาจากความกลัว หรือความไม่ กล้ าของตนเอง
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• ฟรอยด์ เชื่อว่ า ความคับข้ องใจ เป็ นพืน้ ฐานสำหรับพัฒนาการทาง
บุคลิกภาพ แต่ ต้องมีจำนวนพอเหมาะทีจ่ ะช่ วยพัฒนา Ego แต่ ถ้ามี
ความคับข้ องใจมากเกินไป ก็จะเกิดมีปัญหา และทำให้ เกิดกลไกในการ
ป้ องกันตัว (Defense Mechanism) ซึ่งเป็ นวิธีการ
ปรับตัวในระดับจิตไร้ สำนึกกลไกในการป้ องกันตัวมักจะเป็ นสิ่ งทีค่ น
ทัว่ ไปนำไปใช้ ในชีวติ ประจำวันของบุคคลปกติทุกวัย ตั้งแต่ อนุบาล
จนถึงวัยชรา
• กลไกในการป้ องกันตัว (Defense Mechanism) ฟ
รอยด์ และบุตรีแอนนา ฟรอยด์ ได้ แบ่ งประเภทกลไกในการป้ องกันตัวดัง
ต่ อไปนี้
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• การเก็บกด (Repression) หมายถึง การเก็บกดความรู้ สึกไม่
สบายใจ หรือความรู้ สึกผิดหวัง ความคับข้ องใจไว้ ในจิตใต้ สำนึก จนกระทัง่
ลืมกลไกป้ องกันตัวประเภทนีม้ อี นั ตราย เพราะถ้ าเก็บกดความรู้ สึกไว้ มาก
จะมีความวิตกกังวลใจมาก และอาจทำให้ เป็ นโรคประสาทได้
• การป้ ายความผิดให้ แก่ ผ้ ูอนื่ (Projection) หมายถึง การลดความ
วิตกกังวล โดยการป้ ายความผิด ให้ แก่ผ้ ูอนื่ ตัวอย่ าง ถ้ าตนเองรู้ สึกเกลียด
หรือไม่ ชอบใครทีต่ นควรจะชอบก็อาจจะบอกว่ า คนนั้นไม่ ชอบตน เด็กบาง
คนทีโ่ กงในเวลาสอบ ก็อาจจะป้ ายความผิด หรือใส่ โทษว่ าเพือ่ โกง
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• การหาเหตุผลเข้ าข้ างตนเอง (Rationalization) หมายถึง
การปรับตัว โดยการหาเหตุผลเข้ าข้ างตนเอง โดยให้ คำอธิบายทีเ่ ป็ นที่
ยอมรับสำหรับคนอืน่ ตัวอย่ างเช่ น พ่อแม่ ทตี่ ลี ูก มักจะบอกว่ า การตีทำเพือ่
เด็ก เพราะเด็กต้ องได้ รับการทำโทษเป็ นบางครั้งจะได้ เป็ นคนดี พ่ อแม่ จะไม่
ยอมรับว่ าตี เพราะโกรธลูก นักเรียนที่สอบตกก็อาจจะอ้ างว่ าไม่ สบาย
แทนทีจ่ ะบอกว่ าไม่ ได้ ดูหนังสื อ บางครั้งจะใช้ เหตุผลแบบ "องุ่นเปรี้ยว"
เช่ น นักเรียนอยากเรียนแพทยศาสตร์ แต่ สอบเข้ าไม่ ได้ ได้ วศิ วกรรมศาสตร์
อาจจะบอกว่ าเข้ าแพทย์ ไม่ ได้ กด็ แี ล้ว เพราะอาชีพแพทย์ เป็ นอาชีพที่
เหน็ดเหนื่อย ไม่ มเี วลาของตนเอง เป็ นวิศวกรดีกว่ า เพราะเป็ นอาชีพอิสระ
"การหาเหตุผลเข้ าข้ างตนเอง" แตกต่ างกับการโกหก เพราะผู้แสดง
พฤติกรรมไม่ ร้ ู สึกว่ าตนเองทำผิด
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• การถดถอย (Regression) หมายถึง การหนีกลับไปอยู่ในสภาพอดีต
ทีเ่ คยทำให้ ตนมีความสุ ข ตัวอย่ างเช่ น เด็ก 2-3 ขวบ ทีช่ ่ วยตนเองได้ มีน้อง
ใหม่ เห็นแม่ ให้ ความเอาใจใส่ กบั น้ อง มีความรู้ สึกว่ าแม่ ไม่ รัก และไม่ สนใจตน
เท่ าทีเ่ คยได้ รับ จะมีพฤติกรรมถดถอยไปอยู่ในวัยทารกทีช่ ่ วยตนเองไม่ ได้ ต้ อง
ให้ แม่ ทำให้ ทุกอย่ าง
• การแสดงปฏิกริ ิยาตรงข้ ามกับความปรารถนาทีแ่ ท้ จริง (Reaction
Formation) หมายถึง กลไกป้องกันตน โดยการทุ่มเทในการแสดง
พฤติกรรมตรงข้ ามกับความรู้ สึกของตนเอง ทีต่ นเองคิดว่ าเป็ นสิ่ งที่สังคม อาจ
จะไม่ ยอมรับ ตัวอย่ างแม่ ทไี่ ม่ รักลูกคนใดคนหนึ่ง อาจจะมีพฤติกรรมตรงข้ าม
โดยการแสดงความรักมากอย่ างผิดปกติ หรือเด็กทีม่ อี คติต่อนักเรียนต่ างชาติที่
อยู่โรงเรียนเดียวกัน การจะแสดงพฤติกรรมเป็ นเพือ่ นทีด่ ตี ่ อนักเรียนผู้น้ัน โดย
ทำตนเป็ นเพือ่ นสนิท เป็ นต้ น
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• การสร้ างวิมานในอากาศ หรือการฝันกลางวัน (Fantasy หรือ
Day dreaming) กลไกป้ องกันตัวประเภทนี้ เป็ นการสร้ าง
จินตนาการ หรือมโนภาพ เกีย่ วกับสิ่ งทีต่ นมีความต้ องการ แต่ เป็ นไปไม่ ได้
ฉะนั้นจึงคิดฝัน หรือสร้ างวิมานในอากาศขึน้ เพือ่ สนองความต้ องการชั่ว
ขณะหนึ่ง เป็ นต้ นว่ า นักเรียนทีเ่ รียนไม่ ดี อาจจะฝันว่ าตนเรียนเก่ ง มี
มโนภาพว่ าตนได้ รับรางวัล มีคนปรบมือให้ เกียรติ เป็ นต้ น
• การแยกตัว (Isolation) หมายถึง การแยกตนให้ พ้นจาก
สถานการณ์ ที่นำความคับข้ องใจมาให้ โดยการแยกตนออกไปอยู่ตามลำพัง
ตัวอย่ างเช่ น เด็กทีค่ ดิ ว่ าพ่อแม่ ไม่ รัก อาจจะแยกตนปิ ดประตูอยู่คนเดียว
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• การหาสิ่ งมาแทนที่ (Displacement) เป็ นการระบาย
อารมณ์ โกรธ หรือคับข้ องใจต่ อคน หรือสิ่ งของ ทีไ่ ม่ ได้ เป็ นต้ นเหตุของ
ความคับข้ องใจ เป็ นต้ นว่ า บุคคลทีถ่ ูกนายข่ มขู่ หรือทำให้ คบั ข้ องใจ
เมือ่ กลับมาบ้ านอาจจะใช้ ภรรยา หรือลูกๆ เป็ นแพะรับบาป เช่ น อาจจะ
มีพฤติกรรมก้ าวร้ าวต่ อภรรยา และลูก ๆ นักเรียนทีโ่ กรธครู แต่ ทำอะไร
ครู ไม่ ได้ ก็อาจจะเลือกสิ่ งของ เช่ น โต๊ ะเก้าอีเ้ ป็ นสิ่ งแทนที่ เช่ น เตะโต๊ ะ
เก้าอี้
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• การเลียนแบบ (Identification) หมายถึง การปรับตัวโดยการ
เลียนแบบบุคคลทีต่ นนิยมยกย่ อง ตัวอย่ างเช่ น เด็กชายจะพยายามทำตัวให้
เหมือนพ่อ เด็กหญิงจะทำตัวให้ เหมือนแม่ ในพัฒนาการขั้นฟอลลิคของฟรอยด์
การเลียนแบบนอกจากจะเปลีย่ นพฤติกรรมให้ เหมือนบุคคลทีต่ นเลียนแบบ แม้
ยังจะยึดถือค่ านิยม และมีความรู้ สึกร่ วมกับผู้ทเี่ ราเลียนแบบในความสำเร็จ หรือ
ล้มเหลวของบุคคลนั้น การเลียนแบบไม่ จำเป็ นจะต้ องเลียนแบบจากบุคคล
จริงๆ แต่ อาจจะเลียนแบบจากตัวเอกในละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ โดยมีความ
รู้ สึกร่ วมกับผู้แสดง เมือ่ ประสบความทุกข์ ความเศร้ าโศกเสี ยใจ หรือเมือ่ มี
ความสุ ขก็จะพลอยเป็ นสุ ขไปด้ วย
• กลไกในการป้องกันตัว เป็ นวิธีการทีบ่ ุคคลใช้ ในการปรับตัว เมือ่ ประสบปัญหา
ความคับข้ องใจ การใช้ กลไกป้องกันจะช่ วยยืดเวลาในการแก้ปัญหา เพราะจะ
ช่ วยให้ ผ่อนคลายความเครียด ความไม่ สบายใจ ทำให้ คดิ หาเหตุผล หรือแก้ไข
ปัญหาได้
แนวคิดมนุษยนิยม
• ฐานคิดมาจากปรัชญาในกลุ่ม Existentialism ซึ่งมองมน
สุ ษย์ ในแง่ อตั ลักษณ์ เฉพาะตัวบุคคลมากกว่ าภาพรวมของบุคคล
• มีทศั นคติในการมองและอธิบายธรรมชาติมนุษย์ ในแง่ ดงี าม มีธรรมชาติ
ใฝ่ ดี ต้ องการพัฒนาตนเองให้ ดยี งิ่ ขึน้
• เป้ าหมายของทุกชีวติ คือ พัฒนาศักยภาพในตนเองให้ ถงึ จุดสู งสุ ด รู้ คุณ
ค่ าตนเอง มีความรับผิดชอบต่ อหน้ าที่ ต่ อตนเอง ต่ อการกระทำของตน
ยอมรับผลจากการกระทำของตนเอง
• หากบุคคลอยู่ในสิ่ งแวดล้อมทีด่ กี จ็ ะสามารถพัฒนาตนเองไปสู่ ความ
สมบูรณ์ แบบ
แนวคิดมนุษยนิยม
• Maslow กล่ าวว่ า "มนุษย์ จะไม่ เข้ าใจตนเองจนกว่ า จะเกิดความ
ปรารถนาอย่ างแรงกล้ าทีจ่ ะแสวงหาสิ่ งต่ อไปนีค้ อื ความต้ องการทีจ่ ะ
เข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริง ความบริบูรณ์ งอกงาม เอกลักษณ์ และความเป็ น
ตัวของตัวเอง และสิ่ งสำคัญทีท่ ฤษฎีของ Maslow เน้ นคือ
เอกลักษณ์ ของบุคคล ความสำคัญและความหมายของคุณค่ าต่ างๆ
(values) ศักยภาพสำหรับการชี้นำตนเอง และความต้ องการ
เจริญเติบโตของบุคคล" ซึ่งสิ่ งเหล่านีเ้ ป็ นอิทธิพลสำคัญของความคิด
ในปัจจุบันเกีย่ วกับพฤติกรรมมนุษย์
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาส
โลว์ (Maslow’s Hierarchical Theory
of Motivation)
• เชื่อว่ าพฤติกรรมของมนุษย์ เป็ นจำนวนมากสามารถอธิบายโดยใช้ แนว
โน้ มของบุคคลในการค้ นหาเป้ าหมายทีจ่ ะทำให้ ชีวติ ของเขาได้ รับความ
ต้ องการ ความปรารถนา และได้ รับสิ่ งทีม่ คี วามหมายต่ อตนเอง
• กระบวนการของแรงจูงใจเป็ นหัวใจของทฤษฎีบุคลิกภาพของ
Maslow โดยเขาเชื่อว่ ามนุษย์ เป็ น “สั ตว์ ทมี่ คี วามต้ องการ”
(wanting animal) และเป็ นการยากทีม่ นุษย์ จะไปถึงขั้น
ของความพึงพอใจอย่ างสมบูรณ์
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• กรอบความคิดทีสำ ่ คัญ ของทฤษฎีนี้ มีสามประการ คือ
• เมือ่ บุคคลปรารถนาทีจ่ ะได้ รับความพึงพอใจและเมือ่ บุคคลได้ รับความพึง
พอใจในสิ่ งหนึ่งแล้ วก็จะยังคงเรียกร้ องความพึงพอใจสิ่ งอืน่ ๆ ต่ อไป ซึ่งถือเป็ น
คุณลักษณะของมนุษย์ ซึ่งเป็ นผู้ทมี่ คี วามต้ องการอยู่เสมอ
• ความปรารถนาของมนุษย์ น้ันติดตัวมาแต่ กำเนิดและความปรารถนาเหล่ านีจ้ ะ
เรียงลำดับขั้นของความปรารถนา ตั้งแต่ ข้นั แรกไปสู่ ความปรารถนาขั้นสู งขึน้
ไปเป็ นลำดับ
• มาสโลว์ มีการเรียงลำดับขั้นความต้ องการทีอ่ ยู่ในขั้นต่ำสุ ดจนถึงสู งสุ ด โดย
เชื่อว่ าบุคคลจะต้ องได้ รับความพึงพอใจเสี ยก่ อนบุคคลจึงจะสามารถผ่ านพ้น
ไปสู่ ความต้ องการทีอ่ ยู่ในขั้นสู งขึน้ ตามลำดับ
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• 1. ความต้ องการทางร่ างกาย ( Physiological needs )
• เป็ นความต้ องการขั้นพืน้ ฐานทีม่ ีอำนาจมากที่สุดและสั งเกตเห็นได้ ชัด
ทีส่ ุ ดจากความต้ องการทั้งหมด เพราะเป็ นความต้ องการทีจ่ ะดำรงชีวติ
ได้ แก่ ความต้ องการอาหาร น้ำดืม่ ออกซิเจน การพักผ่ อนนอนหลับ ความ
ต้ องการทางเพศ ความต้ องการความอบอุ่น ตลอดจนความต้ องการทีจ่ ะ
ถูกกระตุ้นอวัยวะรับสั มผัส แรงขับของร่ างกายเหล่านีจ้ ะเกีย่ วข้ องโดยตรง
กับความอยู่รอดของชีวติ และร่ างกาย
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• ความพึงพอใจทีไ่ ด้ รับ ในขั้นนีจ้ ะกระตุ้นให้ เกิดความต้ องการในขั้นที่สูงกว่ า
และถ้ าบุคคลใดประสบความล้ มเหลวทีจ่ ะสนองความต้ องการพืน้ ฐานนีก้ จ็ ะ
ไม่ ได้ รับการกระตุ้นให้ เกิดความต้ องการในระดับที่สูงขึน้ ถ้ าความต้ องการ
อย่ างหนึ่งยังไม่ ได้ รับความพึงพอใจ บุคคลก็จะอยู่ภายใต้ ความต้ องการนั้น
ตลอดไป ซึ่งทำให้ ความต้ องการอืน่ ๆ ไม่ ปรากฏหรือกลายเป็ นความต้ องการ
ระดับรองลงไป เช่ น คนทีอ่ ดอยากหิวโหยเป็ นเวลานานจะไม่ สามารถ
สร้ างสรรค์ สิ่งทีม่ ปี ระโยชน์ ต่อโลกได้ บุคคลเหล่ านีจ้ ะมีความรู้ สึกเป็ นสุ ขเมือ่
มีอาหารเพียงพอสำหรับเขาและจะไม่ ต้องการสิ่ งอืน่ ใดอีก ไม่ ว่าจะเป็ น
เสรีภาพ ความรัก ความรู้ สึกต่ อชุมชน การได้ รับการยอมรับ และปรัชญาชีวติ
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• ความต้ องการทางด้ านร่ างกายเป็ นเรื่องสำคัญทีจ่ ะเข้ าใจพฤติกรรมมนุษย์
ความเสี ยหายอย่ างรุนแรงของพฤติกรรมมีสาเหตุจากการขาดอาหารหรือ
น้ำติดต่ อกันเป็ นเวลานาน ในปี ค.ศ. 1970 เครื่องบินของสายการบิน
Peruvian ตกลงทีฝ่ ั่งอ่าวอเมริกาใต้ ผ้ ูทรี่ อดตายรวมทั้งพระนิกาย
Catholic อาศัยการมีชีวติ อยู่รอดโดยการกินซากศพของผู้ทตี่ ายจาก
เครื่องบินตก จากปรากฏการณ์ นีช้ ี้ให้ เห็นว่ าเมือ่ มนุษย์ เกิดความหิวขึน้ จะมี
อิทธิพลเหนือระดับศีลธรรมจรรยา จึงไม่ ต้องสงสั ยเลยว่ ามนุษย์ มคี วาม
ต้ องการทางด้ านร่ างกายเหนือความต้ องการอืน่ ๆ และแรงผลักดันของความ
ต้ องการนีไ้ ด้ เกิดขึน้ กับบุคคลก่อนความต้ องการอืน่ ๆ
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• 2. ความต้ องการความปลอดภัย (Safety or security needs)
• เมือ่ ความต้ องการทางด้ านร่ างกายได้ รับความพึงพอใจแล้ วบุคคลก็จะ
พัฒนาการไปสู่ ข้นั ต่ อไป ความต้ องการนีจ้ ะสั งเกตได้ ง่ายในทารกและเด็ก
เล็ก เนื่องจากต้ องการความช่ วยเหลือและต้ องพึง่ พาอาศัยผู้อนื่ ทารกจะ
รู้ สึกกลัวเมือ่ ถูกทิง้ ให้ อยู่ตามลำพัง พลังความต้ องการความปลอดภัยจะ
เห็นได้ ชัดเจนเช่ นกันเมือ่ เด็กเกิดความเจ็บป่ วย ประสบอุบัตเิ หตุจะรู้ สึก
กลัวและอาจแสดงออกด้ วยอาการฝันร้ ายและความต้ องการทีจ่ ะได้ รับ
ความปกป้ องคุ้มครองและการให้ กำลังใจ
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• พ่อแม่ ทเี่ ลีย้ งดูลูกอย่ างไม่ กวดขันและตามใจมากจนเกินไปจะไม่ ทำให้
เด็กเกิดความรู้ สึกว่ าได้ รับความพึงพอใจด้ านความต้ องการความ
ปลอดภัย การให้ นอนหรือให้ กนิ ไม่ เป็ นเวลาไม่ เพียง แต่ ทำให้ เด็กสั บสน
เท่ านั้นแต่ ยงั ทำให้ เด็กรู้ สึกไม่ มนั่ คงในสิ่ งแวดล้อมรอบๆ ตัวเขา
สั มพันธภาพของพ่ อแม่ ทไี่ ม่ ดตี ่ อกัน เช่ น ทะเลาะกันทำร้ ายร่ างกายซึ่ง
กันและกัน พ่ อแม่ แยกกันอยู่ หย่ า ตายจากไป สภาพการณ์ เหล่ านีจ้ ะมี
อิทธิพลต่ อความรู้ สึกของเด็ก ทำให้ เด็กรู้ ว่าสิ่ งแวดล้อมต่ างๆ ไม่ มนั่ คง
ไม่ สามารถคาดการณ์ ได้ และนำไปสู่ ความรู้ สึกไม่ ปลอดภัย
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• ความต้ องการความปลอดภัยมีอทิ ธิพลต่ อบุคคลแม้ ว่าจะผ่ านพ้ นวัยเด็กไป
แล้ว ในบุคคลที่ทำงานเป็ นผู้คุ้มครอง เช่ น ผู้รักษาเงิน นักบัญชี หรือทำงาน
การประกัน และผู้ททำ ี่ หน้ าทีใ่ ห้ การรักษาพยาบาล เช่ น แพทย์ พยาบาล
บุคคลทั้งหมดทีก่ ล่ าวมานีจ้ ะใฝ่ หาความปลอดภัยของผู้อนื่
• ศาสนาและปรัชญาทีม่ นุษย์ ยดึ ถือทำให้ เกิดความรู้ สึกมัน่ คง เพราะทำให้
บุคคลได้ จัดระบบตัวเองให้ มเี หตุผลและวิถที างที่ทำให้ ร้ ู สึก “ปลอดภัย”
• ความต้ องการความปลอดภัยในเรื่องอืน่ ๆ จะเกีย่ วข้ องกับการเผชิญกับ สิ่ ง
ต่ างๆ เหล่ านี้ สงคราม อาชญากรรม น้ำท่ วม แผ่ นดินไหว การจลาจล ความ
สั บสนไม่ เป็ นระเบียบของสั งคม
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• อาการโรคประสาทในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะโรคประสาทชนิดย้ำคิด-ย้ำทำ
(obsessive-compulsive neurotic) เป็ น
ลักษณะเด่ นชัดของการค้ นหาความรู้ สึกปลอดภัย ผู้ป่วยโรคประสาทจะ
แสดงพฤติกรรมว่ าเขากำลังประสบเหตุการณ์ ทรี่ ้ ายกาจและกำลังมี
อันตรายต่ างๆ เขาจึงต้ องการมีใครสั กคนทีป่ กป้ องคุ้มครองเขาและเป็ น
บุคคลทีม่ คี วามเข้ มแข็งซึ่งเขาสามารถจะพึง่ พาอาศัยได้
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• 3. ความต้ องการความรักและความเป็ นเจ้ าของ (Belongingness
and Love needs)
• ความต้ องการนีจ้ ะเกิดขึน้ เมือ่ ความต้ องการทางด้ านร่ างกาย และความ
ต้ องการความปลอดภัยได้ รับการตอบสนองแล้ ว บุคคลต้ องการได้ รับความ
รักและต้ องการเป็ นเจ้ าของโดยการสร้ างความสั มพันธ์ กบั ผู้อนื่ เช่ น ความ
สั มพันธ์ ภายในครอบครัวหรือกับผู้อนื่ สมาชิกภายในกลุ่มจะเป็ นเป้าหมาย
สำคัญ บุคคลจะรู้ สึกเจ็บปวดเมือ่ ถูกทอดทิง้ ไม่ มใี ครยอมรับ ไม่ มเี พือ่ น
โดยเฉพาะเมือ่ จำนวนเพือ่ น ญาติพนี่ ้ อง ครอบครัวได้ ลดน้ อยลงไป
นักเรียนทีเ่ ข้ าโรงเรียนทีห่ ่ างไกลบ้ านจะเกิดความต้ องการเป็ นเจ้ าของอย่ าง
ยิง่ และจะแสวงหาอย่ างมากทีจ่ ะได้ รับการยอมรับจากกลุ่มเพือ่ น
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• Maslow คัดค้ านFreud ทีว่ ่ าความรักเป็ นผลมาจากการ
ทดแทนสั ญชาตญาณทางเพศ (sublimation) สำหรับ
Maslow ความรักไม่ ใช่ สัญลักษณ์ ของเรื่องเพศ (sex) ความรัก
ทีแ่ ท้ จริงจะเกีย่ วข้ องกับความรู้ สึกทีด่ ี ความสั มพันธ์ ของความรักระหว่ าง
คน 2 คน จะรวมถึงความรู้ สึกนับถือซึ่งกันและกัน การยกย่ องและความ
ไว้ วางใจแก่ กนั ความต้ องการความรักของคนจะเป็ นความรักทีเ่ ป็ นไปใน
ลักษณะทั้งการรู้ จักให้ ความรักต่ อผู้อนื่ และรู้ จักทีจ่ ะรับความรักจากผู้อนื่
การได้ รับความรักและได้ รับการยอมรับจากผู้อนื่ เป็ นสิ่ งทีทำ ่ ให้ บุคคลเกิด
ความรู้ สึกว่ าตนเองมีคุณค่ า บุคคลทีข่ าดความรักก็จะรู้ สึกว่ าชีวติ ไร้ ค่ามี
ความรู้ สึกอ้ างว้ างและเคียดแค้ น
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• บุคคลต้ องการความรักและความรู้ สึกเป็ นเจ้ าของ และการขาดสิ่ งนีม้ กั จะเป็ น
สาเหตุให้ เกิดความข้ องคับใจและทำให้ เกิดปัญหาการปรับตัวไม่ ได้ และความ
ยินดีในพฤติกรรมหรือความเจ็บป่ วยทางด้ านจิตใจในลักษณะต่ างๆ
• สิ่ งทีค่ วรสั งเกต ก็คอื มีบุคคลจำนวนมากลำบากใจทีจ่ ะเปิ ดเผยตัวเองเมือ่ มี
ความสั มพันธ์ ใกล้ ชิดสนิทสนมกับเพศตรงข้ าม เนื่องจากกลัวว่ าจะถูกปฏิเสธ
ความรู้ สึกเช่ นนีส้ ื บเนื่องมาจากประสบการณ์ ในวัยเด็ก การได้ รับความรักหรือ
การขาดความรักในวัยเด็ก ย่ อมมีผลกับการเติบโตเป็ นผู้ใหญ่ ทมี่ วี ุฒิภาวะและ
การมีทศั นคติในเรื่องของความรัก Maslow เปรียบเทียบว่ าความ
ต้ องการความรักก็เป็ นเช่ นเดียวกับรถยนต์ ที่สร้ างขึน้ มาโดยต้ องการก๊ าซหรือ
น้ำมันนั่นเอง
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• 4.ความต้ องการได้ รับความนับถือยกย่ อง ( Self-Esteem
needs)
• เมือ่ ความต้ องการได้ รับความรักและการให้ ความรักแก่ ผ้ ูอนื่ เป็ นไปอย่ างมี
เหตุผลและทำให้ บุคคล เกิดความพึงพอใจแล้ว พลังผลักดันในขั้นที่ 3 ก็
จะลดลงและมีความต้ องการในขั้นต่ อไปมาแทนที่ มนุษย์ ต้องการทีจ่ ะได้
รับความนับถือยกย่ องออกเป็ น 2 ลักษณะ คือ ลักษณะแรกเป็ นความ
ต้ องการนับถือตนเอง (self-respect) ส่ วนลักษณะที่ 2 เป็ น
ความต้ องการได้ รับการยกย่ องนับถือจากผู้อนื่ (esteem from
others
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• 4.1 ความต้ องการนับถือตนเอง (self-respect) คือ ความ
ต้ องการมีอำนาจ มีความเชื่อมัน่ ในตนเอง มีความแข็งแรง มีความ
สามารถในตนเอง มีผลสั มฤทธิ์ไม่ ต้องพึง่ พาอาศัยผู้อนื่ และมีความเป็ น
อิสระ ทุกคนต้ องการทีจ่ ะรู้ สึกว่ าเขามีคุณค่ าและมีความสามารถทีจ่ ะ
ประสบความสำเร็จในงานภารกิจต่ างๆ และมีชีวติ ทีเ่ ด่ นดัง
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• 4.2 ความต้ องการได้ รับการยกย่ องนับถือจากผู้อนื่ (esteem
from others) คือ ความต้ องการมีเกียรติยศ การได้ รับยกย่ อง
ได้ รับการยอมรับ ได้ รับความสนใจ มีสถานภาพ มีชื่อเสี ยงเป็ นทีก่ ล่ าว
ขาน และเป็ นทีช่ ื่นชมยินดี มีความต้ องการทีจ่ ะได้ รับความยกย่ องชมเชย
ในสิ่ งทีเ่ ขากระทำซึ่งทำให้ ร้ ู สึกว่ าตนเองมีคุณค่ าว่ าความสามารถของเขา
ได้ รับการยอมรับจากผู้อนื่
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• บุคคลจะแสวงหาความต้องการได้รับการยกย่องเมื่อความต้องการความรัก
และความเป็ นเจ้าของได้รับการตอบสนองแล้ว และเป็ นไปได้ที่บุคคลจะย้อน
กลับจากระดับความต้องการขั้นที่ 4 กลับไปสู่ ข้นั ที่ 3 อีก ถ้าความต้องการ
ขั้นที่ 3 ถูกกระทบกระเทือนหรื อสูญสลายไปทันทีทนั ใด เช่น หญิงสาวคน
หนึ่งซึ่งการตอบสนองความต้องการความรักของเธอดำเนินไปด้วยดี เธอจึง
ทุ่มเทกับธุรกิจและประสบความสำเร็ จเป็ นนักธุรกิจที่มีชื่อเสี ยง และอย่างไม่
คาดฝันสามีได้จากเธอไป ปรากฏว่าเธอวางมือจากธุรกิจต่างๆ และหันมาใช้
ความพยายามที่จะเรี ยกร้องสามีให้กลับคืน และถ้าเธอได้รับความพึงพอใน
ความรักโดยสามีหวนกลับคืนมาเธอก็จะกลับไปเกี่ยวข้องในโลกธุรกิจอีกครั้ง
หนึ่ง
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• ความพึงพอใจของความต้ องการได้ รับการยกย่ องเป็ นความรู้ สึกและ
ทัศนคติของความเชื่อมัน่ ในตนเอง ความรู้ สึกว่ าตนเองมีคุณค่ า การมี
พละกำลัง มีความสามารถ และรู้ สึกว่ ามีชีวติ อยู่อย่ างมีประโยชน์ และเป็ น
บุคคลทีม่ คี วามจำเป็ นต่ อโลก
• การขาดความรู้ สึกต่ างๆ นีนำ้ ไปสู่ ความรู้ สึกของปมด้ อยและไม่ พอเพียง
เกิดความรู้ สึกอ่ อนแอ ช่ วยเหลือตนเองไม่ ได้ สิ่ งต่ างๆ เหล่ านีเ้ ป็ นการรับ
รู้ ตนเองในทางนิเสธ (negative) ก่อให้ เกิดความรู้ สึกขลาดกลัว
และรู้ สึกว่ าตนเองไม่ มปี ระโยชน์ และสิ้นหวังในสิ่ งต่ างๆ ทีเ่ กีย่ วข้ องกับ
ความต้ องการของชีวติ ประเมินตนเองต่ำกว่ าชีวติ ความเป็ นอยู่
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• การได้ รับความนับถือยกย่ องเป็ นผลมาจากความเพียรพยายาม และ
ความต้ องการนีอ้ าจนำไปสู่ การเกิดอันตราย ถ้ าบุคคลนั้นต้ องการคำ
ชมเชยจากผู้อนื่ มากกว่ าการยอมรับความจริง และเป็ นทีย่ อมรับกัน
ว่ าการได้ รับความนับถือยกย่ องมีพนื้ ฐานจากการกระทำของบุคคล
มากกว่ าการควบคุมจากภายนอก
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• 5. ความต้ องการทีจ่ ะเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริง (Self-
Actualization needs)
• ถึงลำดับขั้นสุ ดท้ าย ถ้ าความต้ องการลำดับขั้นก่อนๆ ได้ ทำให้ เกิดความพึง
พอใจอย่ างมีประสิ ทธิภาพ ความต้ องการเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริงก็จะเกิด
ขึน้ คือความปรารถนาในทุกสิ่ งทุกอย่ างซึ่งบุคคลสามารถจะได้ รับอย่ างเห
มาะส บุคคลทีป่ ระสบผลสำเร็จในขั้นสู งสุ ดนีจ้ ะใช้ พลังอย่ างเต็มทีใ่ นสิ่ งที่
ท้ าทายความสามารถและศักยภาพของเขาและมีความปรารถนาทีจ่ ะ
ปรับปรุงตนเอง พลังแรงขับของเขาจะกระทำพฤติกรรมตรงกับความ
สามารถของตน
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• การเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริงเป็ นความต้ องการอย่ างหนึ่งของบุคคลทีจ่ ะ
บรรลุถงึ วจุดสู งสุ ดของศักยภาพ เช่ น “นักดนตรีกต็ ้ องใช้ ความสามารถ
ทางด้ านดนตรี ศิลปิ นก็จะต้ องวาดรู ป กวีจะต้ องเขียนโคลงกลอน ถ้ า
บุคคลเหล่ านีไ้ ด้ บรรลุถงึ เป้ าหมายทีต่ นตั้งไว้ กเ็ ชื่อได้ ว่าเขาเหล่ านั้นเป็ น
คนทีร่ ้ ู จักตนเองอย่ างแท้ จริง”
• ความต้ องการทีจ่ ะเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริงจะดำเนินไปอย่ างง่ ายหรือ
เป็ นไปโดยอัตโนมัติ โดยความเป็ นจริงแล้ว Maslow เชื่อว่ าคนเรา
มักจะกลัวตัวเองในสิ่ งเหล่านี้ “ด้ านทีด่ ที ี่สุดของเรา ความสามารถพิเศษ
ของเรา สิ่ งทีด่ งี ามที่สุดของเรา พลังความสามารถ ความคิดสร้ างสรรค์ ”
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• Maslow ได้ ยกตัวอย่ างของความต้ องการเข้ าใจตนเองอย่ าง
แท้ จริง ในกรณีของนักศึกษาชื่อ Mark ซึ่งเขาได้ ศึกษาวิชา
บุคลิกภาพเป็ นระยะเวลายาวนานเพือ่ เตรียมตัวเป็ นนักจิตวิทยาคลีนิค
และในที่สุดก็ได้ รับปริญญาเอกทางจิตวิทยาคลีนิค เมือ่ เขาสำเร็จการ
ศึกษาดังกล่ าวแล้ วถ้ ามีบุคคลหนึ่งได้ เสนองานให้ เขาในตำแหน่ งตำรวจ
สื บสวน ซึ่งจะได้ รับค่ าตอบแทนอย่ างสู งและได้ รับผลประโยชน์ พเิ ศษ
หลายๆ อย่ างตลอดจนรับประกันการว่ าจ้ างและความมัน่ คงสำหรับชีวติ
เมือ่ ประสบเหตุการณ์ เช่ นนี้ Mark จะทำอย่ างไร
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• ถ้ าคำตอบของเขาคือ “ตกลง” เขาก็จะย้ อนกลับมาสู่ ความต้ องการระดับ
ที่ 2 คือความต้ องการความปลอดภัย
• สำหรับการวิเคราะห์ ความเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริง Maslow
กล่าวว่ า “อะไรทีม่ นุษย์ สามารถจะเป็ นได้ เขาจะต้ องเป็ นในสิ่ งนั้น” เรื่อง
ของ Mark เป็ นตัวอย่ างง่ ายๆ ว่ า ถ้ าเขาตกลงเป็ นตำรวจสื บสวน
เขาก็จะไม่ มโี อกาสทีจ่ ะเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริง
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• Why Can’t All People Achieve Self-
Actualization ส่ วนมากมนุษย์ตอ้ งการแสวงหาเพื่อให้เกิดความ
สมบูรณ์ภายในตน การรู ้ถึงศักยภาพของตนนั้นมาจากพลังตามธรรมชาติ
และจากความจำเป็ นบังคับ ส่ วนบุคคลที่มีพรสวรรค์มีจำนวนน้อยมากเพียง
1% ของประชากร
• การนำศักยภาพของตนออกมาใช้เป็ นสิ่ งที่ยาก บุคคลมักไม่รู้วา่ ตนเองมีความ
สามารถและไม่ทราบจะได้รับการส่ งเสริ มได้อย่างไร มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่
มัน่ ใจในตัวเองหรื อไม่มนั่ ใจในความสามารถของตน จึงทำให้หมดโอกาส
เข้าใจตนเองอย่างแท้จริ ง และยังมีสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่มาบดบัง
พัฒนาการทางด้านความต้องการของบุคคลดังนี้
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• อิทธิพลของวัฒนธรรม ตัวอย่ างหนึ่ง ทีแ่ สดงให้ เห็นว่ าอิทธิพลของสั งคมมี
ต่ อการเข้ าใจตนเอง คือแบบพิมพ์ของวัฒนธรรม (cultural
stereotype) ซึ่งกำหนดว่ าลักษณะเช่ นไรทีแ่ สดงความเป็ นชาย
(masculine) และลักษณะใดทีไ่ ม่ ใช่ ความเป็ นชาย
• พฤติกรรม ความเมตตากรุณา ความสุ ภาพ และความอ่อนโยน สิ่ งเหล่ านี้
วัฒนธรรมมีแนวโน้ มทีจ่ ะพิจารณาว่ า “ไม่ ใช่ ลกั ษณะของความเป็ นชาย”
(unmasculine)
• การพิจารณาจากเกณฑ์ ต่างๆ ดังกล่าวนีเ้ ป็ นเพียงการเข้ าใจ “สภาพการณ์ ที่
ดี” มากกว่ าเป็ นเกณฑ์ ของการเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริง
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• การไม่ เข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริงเกิดจากความพยายามทีไ่ ม่ ถูกต้ องของ
การแสวงหาความมัน่ คงปลอดภัย เช่ น การทีบ่ ุคคลสร้ างความรู้ สึกให้ ผ้ ู
อืน่ เกิดความพึงพอใจตนโดยพยายามหลีกเลีย่ งหรือขจัดข้ อผิดพลาด
ต่ างๆ ของตน บุคคลเช่ นนีจ้ ึงมีแนวโน้ มทีจ่ ะพิทกั ษ์ ความมัน่ คงปลอดภัย
ของตน โดยแสดงพฤติกรรมในอดีตทีเ่ คยประสบผลสำเร็จ แสวงหา
ความอบอุ่น และสร้ างมนุษยสั มพันธ์ กบั ผู้อนื่ ซึ่งลักษณะเช่ นนีย้ ่ อมขัด
ขวางวิถที างทีจ่ ะเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริง
เคลย์ ตัน แอลเดอร์ เฟอร์ (Claton Elderfer)
• ปรับปรุงระดับความต้ องการตามแนวคิดของมาสโลว์ เหลือ 3 ระดับ คือ
• 1. ความต้ องการดำรงชีวติ อยู่ (Existence Needs) คือ
ความต้ องการทางร่ างกายและความปลอดภัยในชีวติ เปรียบได้ กบั ความ
ต้ องการระดับต่ อของมาสโลว์ ย่อโดย E
• 2. ความต้ องการความสั มพันธ์ (Relatedness
Needs) คือความต้ องการต่ างๆ ทีเ่ กีย่ วเนื่องนกับความสั มพันธ์
ระหว่ างบุคคล ทั้งในที่ทำงานและสภาพแวดล้อมอืน่ ๆ ตรงกับความ
ต้ องการทางสั งคมตามแนวคิดของมาสโลว์ ย..่อโดย R
เคลย์ ตัน แอลเดอร์ เฟอร์ (Claton Elderfer)