You are on page 1of 89

ทฤษฎีบุคลิกภาพ

อารีลกั ษณ์ พูลทรัพย์


นิยาม
• การรั บรู้ พฤติกรรมรวมทัง้ หมดของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทัง้ ในสิ่งที่
มองเห็นได้ เช่ น ลักษณะของพฤติกรรม และสิ่งที่มองไม่ เห็น เช่ น
ความคิด ความสนใจ ค่ านิยม ซึ่งจะทำให้ คนอื่นสามารถจะเข้ าใจและ
แยกได้ ว่าบุคคลนัน้ แตกต่ างจากคนทั่วไปได้
• โครงสร้ างทางจิตวิทยา (psychological construct)
เป็ นมโนคติอันซับซ้ อนซึ่งรวมถึงภูมหิ ลังพิเศษทางยีนส์ ของบุคคลและ
ประวัตกิ ารเรี ยนรู้ รวมทัง้ วิธีการที่ความซับซ้ อนเหล่ านีร้ วมเป็ นองค์
เดียวและประสานกันทำให้ เกิดพฤติกรรมสนองตอบของสิ่งเหล่ านีใ้ น
สภาพเฉพาะของสิ่งแวดล้ อมบุคคลมีปฏิกริ ิยาในเหตุการณ์ ต่างๆ
อย่ างไร
ความสำคัญ
• บุคลิกภาพมีความสำคัญต่ อชีวติ มนุษย์ ท้งั ในด้ านส่ วนตัวและด้ านการงาน
เพราะเป็ นทีช่ ื่นชอบของคนโดยทัว่ ไป ทำให้ ประสบความสำเร็จในด้ าน
ต่ างๆ และได้ รับความร่ วมมือจากบุคคลอืน่ มากขึน้ ก่อให้ เกิดความเชื่อมัน่
ในตนเองช่ วยเสริมสร้ างบุคลิกภาพให้ ดยี งิ่ ขึน้ เรื่อยๆ
• บุคคลทีม่ บี ุคลิกภาพดี มักจะประสบความสำเร็จในหน้ าทีก่ ารงาน และ
สามารถอยู่ร่วมกับผู้อนื่ ได้ อย่ างมีความสุ ข เพราะมีความเชื่อมัน่ มีโอกาส
รู้ วธิ ีทจี่ ะปรับตัวให้ เข้ ากับคนอืน่ ทำให้ เกิดความสั มพันธ์ ทดี่ ตี ่ อกัน คนทีม่ ี
บุคลิกภาพดีจะได้ เปรียบคนอืน่ เพราะจะทำให้ ได้ รับความเชื่อมัน่ ศรัทธา
จากผู้พบเห็นและคนทีม่ ปี ฏิสัมพันธ์ ด้วย การทำงานหรือประกอบ
กิจกรรมต่ างๆ ย่ อมได้ รับความร่ วมมือจากคนส่ วนใหญ่ มากกว่ าคนทีม่ ี
บุคลิกภาพไม่ ดี และสามารถปรับตัวอยู่ในสั งคมอย่ างมีความสุ ข
ประเภทของบุคลิกภาพ
• นักจิตวิทยาและนักวิชาการได้ แบ่ งประเภทของบุคลิกภาพของบุคคลไว้
หลายลักษณะ เช่ น แบ่ งตามลักษณะโครงสร้ างร่ างกาย แบ่ งตามลักษณะ
การแสดงออก แบ่ งตามลักษณะพฤติกรรม และแบ่ งตามลักษณะบุคลิกภาพ
• วิลเลียม เชลดอน (William Sheldon)นักจิตวิทยาชาว
อเมริกนั ได้ แบ่ งประเภทของบุคลิกภาพของบุคคลตามลักษณะโครงสร้ าง
ของร่ างกายได้ 3 ประเภทคือ
• 1 รู ปร่ างอ้ วนเตีย้ (Endomorphy) ได้ แก่ บุคคลทีม่ ลี กั ษณะ
อ้วนเตีย้ เป็ นคนชอบสั งคม อารมณ์ ดี ร่ าเริง ช่ างพูดคุย ใจดี ใจเย็น เป็ นคน
ชอบสนุกสนานรื่นเริง จู้จี้ ขีบ้ ่ น เสี ยงดังฟังชัด โกรธง่ าย หายเร็ว
ประเภทของบุคลิกภาพ
• 2 รู ปร่ างสมส่ วน (Mesomorphy) ได้ แก่ บุคคลทีม่ รี ู ปร่ าง
ลักษณะสมส่ วน ลำตัวตรง ไหล่กว้ าง กล้ามเนือ้ และโครงสร้ างกระดูกแข็ง
แรง เป็ นบุคคลทีก่ ล้ าหาญ กล้าเสี่ ยงกล้าผจญภัย เข้ มแข็ง คล่ องแคล่ ว
ว่ องไว มีความอดทน และมีพลังมาก ส่ วนใหญ่ ชอบเล่ นกีฬาและเป็ น
นักกีฬา
• 3 รู ปร่ างผอมบาง (Ectomorphy) ได้ แก่ บุคคลทีม่ ี
บุคลิกภาพในลักษณะผอมสู ง ช่ วงไหล่ห่อ เอวเล็กเอวบาง สะโพกเล็ก
กล้ามเนือ้ น้ อย ไวต่ อการรู้ สึกและไม่ ชอบเข้ าสั งคม ใจน้ อย และอ่ อน
ไหวง่ าย
ประเภทของบุคลิกภาพ
• แบ่ งตามประเภทลักษณะพฤติกรรม
• คาร์ ล กุสตาฟ จุง (Carl Gustav Jung) ได้ แบ่ ง
บุคลิกภาพของมนุษย์ ออกเป็ น 3 ประเภท คือ
• 1. ประเภทเก็บตัว (Introvert) คือ เป็ นลักษณะทีเ่ งียบเฉย
เก็บตัว ขีอ้ าย ไม่ ชอบพูด ไม่ ชอบสั งคม ไม่ ชอบและไม่ สนใจเรื่องของผู้
อืน่ ชอบคิดมาก ชอบความเงียบสงบ ไม่ ว่ นุ วาย จะคิดและฝันเองตาม
ลำพัง เมือ่ ประสบปัญหามักจะหลีกเลีย่ งปัญหา หรือแยกตัวออกจาก
สั งคม มีอารมณ์ รุนแรง นอกจากนีย้ งั คิดช้ า ตัดสิ นใจช้ า ขาดความเชื่อมัน่
ในตนเองถ้ าจะพูดก็มกั จะพูดเรื่องของตัวเองและชอบเขียนมากกว่ าพูด
ประเภทของบุคลิกภาพ
• 2. ประเภทแสดงตัว (Extrovert) บุคคลที่มีบุคลิกภาพกล้า
แสดงออกเปิ ดเผย ร่ าเริง แจ่ มใส มีน้ำใจ ชอบงานสังคม การสังสรรค์ เข้ า
สั งคม พบปะพูดคุยกับผู้อนื่ และสนใจเรื่ องราวของผูอ้ ื่น มีความเชื่อมัน่
ในตนเอง สามารถปรับตัวได้ดี ชอบช่ วยเหลือสั งคม ไม่ สนใจตนเองมาก
นัก ถือสั งคมเป็ นศูนย์ กลาง ชอบทำงานเป็ นกลุ่ม ติดต่ องานได้
คล่องแคล่ วว่ องไว มีมนุษยสั มพันธ์ ดี แต่ มขี ้ อเสี ย คือ เป็ นคนพูดมาก เก็บ
ความลับไม่ อยู่ พูดนอกเรื่อง พูดเกินจริง สนิทกับคนแปลกหน้ าเร็วเกิน
ไป พูดไม่ ถูกกาลเทศะ และชอบพูดทับถมผู้อนื่
ประเภทของบุคลิกภาพ
• 3. พวกกลาง ๆ (Ambivert) บุคคลประเภทนีเ้ ป็ นคนพูด
พอควร เดินทางสายกลางมีชีวติ เรียบง่ าย อยู่คนเดียวก็มคี วามสุ ขอยู่ใน
สั งคมก็มคี วามสุ ข คบหากับคนทัว่ ไปได้ ดี ไม่ พูดมากเกินไป และไม่ น้อย
เกินไป
ประเภทของบุคลิกภาพ
• แบ่ งตามลักษณะบุคลิกภาพ
เราสามารถแบ่ งบุคลิกภาพของมนุษย์ ออกเป็ น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ
• 1 บุคลิกภาพภายนอก (External Personality)
หมายถึง ทั้งร่ างกายทีป่ รากฏ
• 2 บุคลิกภาพภายใน (Internal Personality)
คือลักษณะทีซ่ ่ อนอยู่ภายในเป็ นสิ่ งทีม่ องไม่ เห็นสั มผัสยาก แต่ สามารถ
ศึกษาจากการมีปฏิสัมพันธ์ เช่ น ความคิดริเริ่มสร้ างสรรค์ ความ
เฉลียวฉลาด ความเป็ นมิตร อารมณ์ และความรู้ สึก
ประเภทของบุคลิกภาพ
• น.พ. ประสพ รัตนากร ให้ ความคิดเห็นว่ า บุคลิกภาพของมนุษย์ แบ่ งออก
เป็ น 8 ประเภท คือ
• 1. ประเภทปัญญาชน คนประเภทนีม้ กั ใช้ สติปัญญาเป็ นเคริ่องกำหนด
พฤติกรรม ทำอะไรต้ องไตร่ ตรองอย่ างมีเหตุผล
• 2. ประเภทปากเป็ นเอก คนประเภทนีช้ อบใช้ วาจาเป็ นเครื่องมือในการ
ประกอบอาชีพ
• 3. ประเภทถืออำนาจเป็ นใหญ่ คนประเภทนีช้ อบใช้ อำนาจวางโต หรือแฝง
ไว้ ด้วยอำนาจ
• 4. ประเภททีร่ ู้ จักและเข้ าใจตนเอง คือ ประเภททีร่ ู้ ฐานะของตนเองว่ าเป็ น
ใคร มีความสำคัญอย่ างไร
ประเภทของบุคลิกภาพ
• 5. ประเภทมีความอดทน คนประเภทนีจ้ ะมีความอดทน อดกลั้น
• 6. ประเภทเจ้ าอารมณ์ คนประเภทนีใ้ ช้ อารมณ์ เป็ นใหญ่ มีอารมณ์
รุนแรง เป็ นคนเจ้ าคิดเจ้ าแค้ น
• 7. ประเภทยึดระเบียบกฎเกณฑ์ คนประเภทนีน้ อกจากจะยึดระเบียบ
กฎเกณฑ์ แล้ วยังเป็ นประเภทเถรตรง
• 8. ประเภทยึดถือสั งคม คนประเภทนีช้ อบทำตามสั งคม เปลีย่ นแปลง
ปรับปรุงสิ่ งต่ างๆ ตามสั งคม นิยมใช้ อปุ กรณ์ เครื่องใช้ เครื่องสำอาง
เสื้อผ้ าตามแฟชั่น ตามสั งคม
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory)
• แนวคิดนีพ้ ยายามอธิบายและศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ ในแง่ มุมและ
ประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
1. บุคคลได้ รับผลกระทบจากสิ่ งแวดล้อมทั้งทางกายภาพ สั งคม และ
วัฒนธรรม
2. ประสบการณ์ ในอดีตมีผลต่ อพฤติกรรมในปัจจุบันและอนาคตอย่ างไร
โดยเน้ นว่ าประสบการณ์ ในวัยเด็กมีอทิ ธิพลมีอทิ ธิพลต่ อพฤติกรรม
ต่ างๆ ในวัยผู้ใหญ่ ท้งั ทางบวกและทางลบอย่ างไร
3. ประสบการณ์ จิตใต้ สำนึก ควบคุมและบงการพฤติกรรมของบุคคล
อย่ างไร
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory)
4. การพัฒนาของมนุษย์ มขี ้นั ตอนการพัฒนา ไม่ มกี ารข้ ามขั้น ทุกขั้นตอน
มีความสำคัญและมีผลกระทบต่ อพัฒนาการในลำดับขั้นต่ อไป หาก
พัฒนาการขั้นใดไม่ มเี กิดขึน้ ในระยะทีค่ วรพัฒนา (Critical
Period) จะส่ งผลในแง่ ลบต่ อพัฒนาการและบุคลิกภาพในวัยนั้น
5. อธิบายถึงพฤติกรรมทีไ่ ร้ เหตุผล และเบี่ยงเบนจากปกติได้ ค่อนข้ าง
ชัดเจน
6. ได้ ข้อมูลส่ วนใหญ่ จากการศึกษาบุคคลทีม่ ปี ัญหาทางอารมณ์ ทางความ
คิด และบุคลิกภาพแต่ กม็ แี ค่ ยงิ่ ต่ อการฉายภาพพฤติกรรมปกติให้ เห็น
ชัดเจนขึน้
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• ฟรอยด์ (Sigmund Freud, 1856-1939) เป็ น
จิตแพทย์ ชาวออสเตรีย เป็ นคนแรกทีเ่ ห็นความสำคัญของพัฒนาการใน
วัยเด็ก โดยเชื่อว่ าเป็ นรากฐานของพัฒนาการของบุคลิกภาพตอนวัย
ผู้ใหญ่ ตามคำกล่ าวของนักกวี Wordsworth ทีว่ ่ า "The
child is father of the man" และมีความเชื่อว่ า 5
ปี แรกของชีวติ มีความสำคัญมาก เป็ นระยะวิกฤติของพัฒนาการของชีวติ
บุคลิกภาพของผู้ใหญ่ มักจะเป็ นผลรวมของพัฒนาการใน 5 ปี แรกของ
ชีวติ
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• ฟรอยด์ เชื่อว่ า บุคลิกภาพของผู้ใหญ่ ทีแ่ ตกต่ างกัน ก็เนื่องจาก
ประสบการณ์ ของแต่ ละคน เมือ่ เวลาอยู่ในวัยเด็ก และขึน้ อยู่กบั
ว่ าเด็กแต่ ละคน แก้ ปัญหาของความขัดแย้ งของแต่ ละวัยอย่ างไร
ทฤษฎีของฟรอยด์ มอี ทิ ธิพลทางการ รักษาคนไข้ โรคจิต วิธีการ
นีเ้ รียกว่ า จิตวิเคราะห์ (Psycho analysis) โดย
ให้ คนไข้ ระบายปัญหาให้ จิตแพทย์ ฟัง
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• ฟรอยด์ เป็ นคนแรก ทีไ่ ด้ ให้ ความคิดเกีย่ วกับแรงผลักดันไร้ สำนึก
(Unconscious drive) หรือแรงจูงใจไร้ สำนึก
(Unconscious motivation) ว่ าเป็ นสาเหตุสำคัญ
ของพฤติกรรม และมีอทิ ธิพลต่ อบุคลิกภาพของมนุษย์
• ฟรอยด์ อธิบายว่ าจิตใจมนุษย์ มสี ภาพคล้ายภูเขาน้ำแข็งทีล่ อยอยู่ใน
มหาสมุทร ส่ วนทีอ่ ยู่เหนือผิวน้ำมีเป็ นส่ วนน้ อย ส่ วนทีอ่ ยู่ใต้ ผวิ น้ำมี
เป็ นส่ วนมาก ฟรอยด์ ได้ แบ่ งจิตของมนุษย์ ออกเป็ น 3 ระดับ คือ
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• จิตสำนึก (Conscious) ภาวะจิตระดับสำนึกเป็ นส่ วนของน้ำ
แข็งทีอ่ ยู่เหนือผิวน้ำต้ องแสงสวางและอากาศปรากฏแก่ สายตา คือ จิต
หรือพฤติกรรมทีอ่ ยู่ในความควบคุมของสำนึกรู้ เป็ นระดับทีผ่ ้ ูแสดง
พฤติกรรมทราบและรู้ ตวั
• จิตก่อนสำนึก (Pre-conscious) คือส่ วนทีอ่ ยู่ปริ่มผิวน้ำแจ
ปรากฏขึน้ หรือจมหาบไป ระดับจิตก่อนสำนึก เป็ นสิ่ งทีจ่ ะดึงขึน้ มา อยู่
ในระดับจิตสำนึก ได้ ง่าย ถ้ าหากมีความจำเป็ นหรือต้ องการ เป็ นระดับ
ความรู้ สึกตัวของบุคคลทีบ่ างครั้งรู้ ตวั บางครั้งไม่ ร้ ู ตวั
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• จิตไร้ สำนึก (Unconscious) คือส่ วนทีจ่ มอยู่ใต้ น้ำซึ่งมีปริมาณ
มหาศาล อยู่ในความมืด ไม่ ปรากฏแก่ สายตา ห้ าม จิตระดับนีม้ กี ลไกทาง
จิตหลายประเภท เช่ น แรงจูงใจ อารมณ์ ทถี่ ูกเก็บกด ความรู้ สึกนึกคิด ความ
ฝัน ความจำ ฯลฯ จิตใต้ สำนึกสะสมประสบการณ์ ในอดีตมากมาย ถูกบีบ
อัด เก็บกด หรือคอยเพือ่ ให้ ได้ สมความปารถนา เพือ่ ให้ ได้ จังหวะเหมาะ
สำหรับตอบสนองต่ อสิ่ งเร้ าอันยังไม่ ได้ กระทำหรือยังไม่ สมปารถนาหรือ
กระทำไม่ ได้ ในสภาวะปกติ เช่ น จารีตประเพณีห้าม กฎหมาย
• พลังจิตใต้ สำนึกมีอทิ ธิพลเหนือจิตสำนึกกระตุ้นให้ มพี ฤติกรรมประจำวัน
ทัว่ ๆ ไป เป็ นแรงจูงใจให้ เกิดพฤติกรรมไร้ เหตุผลและผิดปกติในลักษณะ
ต่ างๆ จิตใต้ สำนึกนีม้ กั จะถูกกล่าวถึงในแง่ ลบเป็ นส่ วนใหญ่
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• ระดับจิตไร้ สำนึกเป็ นระดับทีอ่ ยู่ในส่ วนลึกภายในจิตใจ จะดึงขึน้ มาถึง
ระดับจิตสำนึกได้ ยาก แต่ สิ่งทีอ่ ยู่ในระดับไร้ สำนึกก็มอี ทิ ธิพลอย่ างมากต่ อ
พฤติกรรมของมนุษย์ เป็ นระดับทีเ่ ก็บกด (Repress) สิ่ งต่ างๆ ที่
ทำให้ ร้ ู สึกเจ็บปวดหรือไม่ สบายใจ ให้ อยู่ในระดับไม่ ร้ ู ตวั แต่ สิ่งเหล่ านีจ้ ะ
หลุดออกมาในรู ปของ ความฝัน หรือการพูดพลั้งปาก (Slipped
Tongue) พลังจิตใต้ สำนึกทีถ่ ูกเก็บกดไว้ มกั แปรรู ปเป็ นพฤติกรรม
ผิดปกติ เช่ น หวาดระแวง วิตกกังวล ซึมเศร้ า นอนไม่ หลับ
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• ฟรอยด์ กล่าวว่ า มนุษย์ เรามีสัญชาติญาณติดตัวมาแต่ กำเนิด

สญชาตญาณเป ็ นต ัวข ับบุคลิกภาพ พฤติกรรม
สว่ นใหญ่ถก ู กำหนดโดยสญชาตญาณ ั
• สั ญชาตญาณบางอย่ าง จะถูกเก็บกดไว้ ในจิตไร้ สำนึก ฟรอยด์ ได้ ต้งั สมมติฐาน
ว่ า มนุษย์ เรามีพลังงานอยู่ในตัวตั้งแต่ เกิด เรียกพลังงานนีว้ ่ า "Libido"
เป็ นพลังงานที่ทำให้ คนเราอยากมีชีวติ อยู่ อยากสร้ างสรรค์ และอยากจะมี
ความรัก มีแรงขับทางด้ านเพศ หรือกามารมณ์ (Sex) เพือ่ จุดเป้าหมาย
คือความสุ ขและความพึงพอใจ (Pleasure)
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์

• แรงข ับของสญชาติ ญาณเริม ่ จากความ
ต้องการของร่างกายสว่ นต่างๆ ซงึ่ ผล ักด ัน
ให้คนต้องกระทำเพือ ่ สนองความต้องการ
ของร่างกาย เมือ่ ได้ร ับการสนองแล้ว
่ ภาพสมดุล เมือ
ร่างกายจะกล ับเข้าสูส ่ ไม่ได้
ร ับการตอบสนองคนเราจะรูส ้ กึ ปวดร้าว
หงุดหงิด ความสุขจะเกิดขึน ้ เมือ ่ แรงกระตุน้
และการเรียกร้องถูกลดลง
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์

• สญชาติ ี่ ย่าง
ญานมีล ักษณะสอ
1. Source สงิ่ ทีร่ า่ งกายขาด
2. Aim การสนองความต้องการ
3. Inputs สงิ่ ทีข
่ ับให้เกิดพฤติกรรม
4. Object สงิ่ ทีทำ ั
่ ให้สญชาตญานสามารถบรรลุ เป้า
หมายได้ ซงึ่ ในโลกเรามีอยูม ่ ากมายทีจ ่ ะสนอง
ความสุขของร่างกายได้ สญชาติั ญาณจะเลือก
ของทีทำ ่ ให้รา่ งกายมีสข
ุ มากทีส่ ด
ุ มีแฟน/เปลีย ่ น
แฟน แก้แค้น/หาแพะร ับบาป ฆ่าคน/ทำอ ัต
วิบากกรรม มีเซ็กส/์ สำเร็จความใคร่ดว้ ยตนเอง
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• ฟรอยด์ ได้ แบ่ งสั ญชาติญาณออกเป็ น 2 ชนิดคือ
1) สั ญชาติญาณเพือ่ การดำรงชีวติ (Life instinct) โดยหลักแล้ วคือความ
ต้ องการทางกายภาพ อาหาร น้ำ ความต้ องการทีจ่ ะมีชีวติ อยู่ ความ
ต้ องการทางเพศเพือ่ ให้ เกิดการสื บพันธุ์และแสวงหาความสุ ข มีพลัง
สำคัญ คือ libido ทีค่ อยขับเคลือ่ นพฤติกรรม
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
2) สั ญชาติญาณเพือ่ ความตาย (Death instinct) หรือเรียกว่า Thanatos
เป็นสญชาติั ญาณแห่งการทำลายล้าง เป็นพล ังตรง
ข้ามก ับสญชาติ ั ญาณเพือ ่ การดำรงชวี ต ิ เป้าหมาย
ของทุกชวี ต ิ ก็คอ ื ความตาย มนุษย์ดน ิ้ รนทีจ ่ ะกล ับไป
สูส ่ ภาพเป็นธุลเี หมือนก่อนเกิดนน ่ ั ก็คอ ื ความตาย
เพือ ่ ยุตคิ วามปวดร้าวดิน ้ รน ถ้าเราไม่ทำให้ต ัวเอง
ตายก็จะต้องทำให้ผอ ู้ น
ื่ ตาย เป็นสญชาติ ั ญาณแห่ง
ความก้าวร้าว
• โดยทัว่ ไปแล้ วสั ญชาติญาณทั้งสองอย่ างแสดงออกทางสั งคมไม่ ได้ สะดวกจึงมักถูกเก็บ
กดอยู่ในจิตไร้ สำนึก เช่ น การมีเซ็กส์ ไปเรื่อยๆ หรือการฆ่ าและทำร้ ายผู้คนเรื่อยเปื่ อย
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• มนุษย์มใิ ชจ ่ ะเป็นมิตรและอ่อนโยนมุง ่ แสวงหาความ
ร ักและรูจ ้ ักแต่การป้องก ันต ัวเองเท่านน ั้ แต่มนุษย์ม ี
ความต้องการทีก ่ า้ วร้าวมากเพราะเป็นสญชาติ ั
ญาณ
• ผลก็คอ ื ผูใ้ กล้เคียงมิเพียงแต่เป็นคนทีช ่ ยเหลือและ
่ ว
เป็นคูท
่ างเพศ แต่เป็นเป้าหมายทีเ่ ย้ายวนให้ทำร้าย
ถูกเอาเปรียบและถูกใชท ้ างเพศโดยไม่ยน ิ ยอม ถูก
ปล้น ถูกทำให้อาย ทำให้เจ็บ ถูกทรมานและฆ่าทิง้
• มนุษย์เมือ ่ ทำผิดก็เป็นผูก ้ ล้าทีจ
่ ะเถียงและปฏิเสธ
ทงๆั้ ทีม่ หี ล ักฐานม ัดต ัว
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• โครงสร้ างบุคลิกภาพ
• Freud ได้ อธิบายโครงสร้ างทางจิตหรือโครงสร้ างของบุคลิกภาพ
ว่ าประกอบด้ วย 3 ส่ วน คือ
• Id เป็ นส่ วนหนึ่งของบุคลิกภาพทีต่ ดิ ตัวเรามาตั้งแต่ เกิด แต่ เป็ นส่ วนที่
อยู่ในจิตไร้ สำนึก เป็ นสั ญชาติญาณดิบของมนุษย์ ทตี่ ้ องการให้ สนองความ
ต้ องการส่ วนตัวของตนเอง มีหลักการทีจ่ ะสนองความต้ องการทีเ่ ป็ น
ความสุ ขของตนเองเท่ านั้น เอาแต่ ได้ อย่ างเดียว และเป้ าหมายก็คอื หลัก
ความพึงพอใจ (Pleasure Principle)
• Id จะผลักดันให้ Ego ประกอบกิจกรรมในสิ่ งต่ างๆ ตามที่ Id
ต้ องการ
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• Freud รูส ึ ว่าสว่ นนีข
้ ก ้ องจิตไม่สามารถเข้าถึงม ันได้โดย
สำนึก สว่ นหนึง่ เขามองว่าม ันเป็นเหมือนกล่องทิง้ ของที่
ไม่ใชแ้ ล้ว ทีม่ แี รงกระตุน ้ ความรูส ึ ความคิดคำนึง ที่
้ ก
ผูกติดก ับความกระวนกระวายใจ ความข ัดแย้งภายใน
ความเจ็บปวด ความรูส ้ กึ และความคิดเหล่านีไ้ ม่ได้หาย
ไปแต่ม ันย ังคงอยู่ มีอท ิ ธิพลต่อการกระทำของคนเรา
และต่อความสำนึกของเรา
• อิดถูกควบคุมด้วยกฎความพึงพอใจก ับความทุกข์ the
pleasure-pain principle
• ไม่มสำ
ี นึกเรือ ่ งเวลา ไม่มต ี รรกะ เน้นเรือ
่ งเพศ เหมือน
ทารกไร้เดียงสา
• อิดเป็นแหล่งเก็บพล ังงานแห่งความร ักและความ
ต้องการทางเพศ libido or "love energy".
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• อีโกไม่ได้แยกออกจากอิดโดยเด็ดขาด สว่ นล่าง
ของอีโกย ังผสมก ับอิดอยู่ และสว่ นทีถ
่ ก
ู กด
(repressed) ก็ผสมก ับอิดด้วย และกลายเป็น
สว่ นหนึง่ ของอิด
• The repressed is only cut off sharply
from the ego by the resistances of
repression; it can communicate with the
ego through the id."
• (Model of the mind which appears in
Freud's 1923 paper "The Ego and the Id")
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• เด็กเกิดใหม่ถก ู กดด ันด้วยอิดอย่างมาก เป็นแบบถูก
ครอบงำด้วยอารมณ์ Id-ridden ทีเ่ ป็นอย่างนนก็ ั้ เพราะเด็ก
จะมีแรงผล ักด ันและแรงกระตุน ้ ทางอารมณ์สง ู มาก drives
and impulses
• นอกจากนีเ้ ด็กย ังต้องการการตอบสนองอารมณ์โดยฉ ับ
พล ัน ไม่มสำ ี นึกร ับผิดชอบ
• Id ร ับผิดชอบต่ออารมณ์ความต้องการพืน ้ ฐาน เชน ่ ทาง
เพศ อาหาร และแรงกระตุน ้ ความก้าวร้าว (aggressive
impulses) และเรียกร้องต้องการการตอบสนองโดยฉ ับพล ัน
• อิด ไม่มค ี ณ
ุ ธรรม และเน้นแต่ตนเองเป็นใหญ่ (amoral and
egocentric)
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• Ego เป็ นส่ วนของบุคลิกภาพ ทีม่ พี ฒ
ั นาการมาตั้งแต่ การทีท่ ารกได้ ตดิ ต่ อหรือมี
ปฎิสัมพันธ์ กบั โลกภายนอก หลักการที่ Ego ใช้ คอื หลักแห่ งความเป็ นจริง
(Reality Principle) เป็ นส่ วนของจิตใจที่ดำเนินโดยอาศัยเหตุผล ความเป็ นจริง
ของสั งคม และสิ่ งแวดล้อม
• ego เชอ ื่ มต่อระหว่าง id ก ับ super-ego และ
โลกภายนอก หน้าทีข ่ องม ันก็คอ ื หาความสมดุล
ระหว่างความต้องการดิบๆทีเ่ ป็น primitive
drives ก ับคุณธรรม และความเป็นจริง ในขณะ
เดียวก ันก็จะต้องทำให้ id และ superego มีความ
พอใจ
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• Ego เป็ นตัวกลางทีจ่ ะตัดสิ นว่ าจะดำเนินกิจกรรมตามความต้ องการของ Id
หรือไม่ โดยใช้ หลักการของความเป็ นจริงในสั งคม บุคคลทีม่ บี ุคลิกภาพ
ปกติ คือ บุคคลที่ Ego สามารถทีป่ รับตัวให้ เกิดสมดุลระหว่ างความต้ องการ
ของ Id โลกภายนอก และ Superego
• Its main concern is with the individual's safety and
allows some of the id's desires to be expressed, but
only when consequences of these actions are
marginal. Ego defense mchanisms are often used
by the ego when id behaviour conflicts with reality
and either society's morals, norms, and taboos or
the individual's expectations as a result of the
internalization of these morals, norms, and taboos
.
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• Superego เป็ นส่ วนทีค่ วบคุมการดำเนินการของ Ego อีก
ชั้นหนึ่ง ที่ทำหน้ าทีเ่ กีย่ วกับความรู้ สึกผิดชอบชั่วดี โดยยึดหลัก
Morality Principle และการอบรมเลีย้ งดู เป็ นส่ วน
ของบุคลิกภาพทีเ่ กิดขึน้ ในระยะที่ 3 ของพัฒนาการทีช่ ื่อว่ า
"Phallic Stage" เป็ นส่ วนของบุคลิกภาพทีต่ ้งั มาตรการ
ของพฤติกรรมให้ แต่ ละบุคคล โดยรับค่ านิยมและมาตรฐานจริยธรรม
ของบิดามารดา เป็ นของตน โดยตั้งเป็ นมาตรการความประพฤติ
มาตรการนีจ้ ะเป็ นเสี ยงแทนบิดามารดา คอยบอกว่ าอะไรควรทำ หรือ
ไม่ ควรทำ
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• มาตรการของพฤติกรรมโดยมากได้ มาจากกฎเกณฑ์ ต่างๆ ทีพ่ ่ อแม่ สอน
และ มักจะเป็ นมาตรฐานจริยธรรม และค่ านิยมต่ างของพ่ อแม่ ฟรอยด์
กล่าวว่ าเป็ นผลของการปรับของ Oedipus และ Electra Complex ซึ่ง
นอกจาก ทำให้ เด็กชายเลียนแบบพฤติกรรมของ "ผู้ชาย" จากบิดา และ
เด็กหญิงเลียนแบบพฤติกรรมของ "ผู้หญิง" จากมารดาแล้ ว ยังยึดถือ
หลักจริยธรรม ค่ านิยมของบิดามารดา เป็ นมาตรการของพฤติกรรมด้ วย
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• Superego แบ่ งเป็ น 2 อย่ างคือ
1. Conscience ซึ่งคอยบอกให้ หลีกเลีย่ งพฤติกรรมทีไ่ ม่ พงึ ปารถนา
2. "Ego ideal" ซึ่งสนับสนุนให้ มคี วามประพฤติ
ดี"Conscience" มักจะเกิดจากการขู่ว่าจะทำโทษ เช่ น "ถ้ าทำอย่ าง
นั้นเป็ นเด็กไม่ ดี ควรจะละอายแก่ ใจทีป่ ระพฤติเช่ นนั้น" ส่ วน "Ego
ideal" มักจะเกิดจากการให้ แรงเสริมบวก หรือการยอมรับ เช่ น แม่ รักหนู
เพราะหนูเป็ นเด็กดี
• ฟรอยด์ ถอื ว่ าความต้ องการทางเพศเป็ นแรงขับ และไม่ จำเป็ นจะอยู่ในระดับ
จิตสำนึกเสมอไป แต่ จะอาจอยู่ในระดับจิตไร้ สำนึก
(Unconscious) และมีพลังงานมาก
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• ความคิดของฟรอยด์ เกีย่ วกับแรงขับระดับจิตไร้ สำนึก เป็ นประโยชน์ ใน
การเข้ าใจพฤติกรรมของคน ซึ่งปัจจุบันนีน้ ักจิตวิทยาส่ วนใหญ่ ยอมรับ
ความคิดของฟรอยด์ เกีย่ วกับ Unconscious
motivation แม้ ว่าจะไม่ รับหลักการของฟรอยด์ ท้งั หมดฟรอยด์
กล่าวว่ า พัฒนาการทางบุคลิกภาพเปลีย่ นแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ
ขั้นวัยทารก วัยเด็ก และวัยรุ่น ระบบทั้ง 3 ของบุคลิกภาพ คือ Id,
Ego และ Superego จะทำงานประสานกันดีขนึ้ เนื่องจากเด็ก
มีปฏิสัมพันธ์ กบั สิ่ งแวดล้อม หรือโลกภายนอกมากขึน้ ยิง่ โตขึน้ Ego ก็
ยิง่ แข็งแกร่ งขึน้ และสามารถทีจ่ ะควบคุม Id ได้ มากขึน้
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• ขั้นตอนพัฒนาการทางบุคลิกภาพของ Freud
• พลังงาน "Libido" เป็ นพลังงานแห่ งสั ญชาติญาณเพือ่ การมีชีวติ
มีเป้ าหมายคือความสุ ขและความพึงพอใจ (Pleasure) โดยมี
ส่ วนต่ างๆ ของร่ างกายทีไ่ วต่ อความรู้ สึกเป็ นจุดตอบสนองความต้ องการ
และได้ เรียกส่ วนเรียกนีว้ ่ า อีโรจีเนียสโซน (Erogenous
Zones) แบ่ งออกเป็ นส่ วนต่ างดังนี้
• ส่ วนปาก ช่ องปาก (Oral)
• ส่ วนทางทวารหนัก (Anal)
• ส่ วนทางอวัยวะสื บพันธุ์ (Genital Organ)
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์

• ฟรอยด์ กล่ าวว่ าความพึงพอใจในส่ วนต่ างๆ ของร่ างกายนี้ เป็ นไปตามวัย
เริ่มตั้งแต่ วยั ทารก จนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งแบ่ งออกเป็ น 5 ขั้น คือ
• 1. ขั้นปาก (Oral Stage)
• 2. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage)
• 3. ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage)
• 4. ขั้นแฝง (Latence Stage)
• 5. ขั้นสนใจเพศตรงข้ าม (Genital Stage)
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• 1) ขั้นปาก (Oral Stage) อายุระหว่ าง 0-18 เดือน ฟรอยด์
เรียกขั้นนีว้ ่ า เป็ นขั้นปากเพราะความพึงพอใจอยู่ทชี่ ่ องปาก เริ่มตั้งแต่ เกิด
เด็กอ่ อนจนถึงอายุราวๆ 2 ปี หรือวัยทารก เป็ นวัยทีค่ วามพึงพอใจ เกิดจาก
การดูดนมแม่ นมขวด และดูดนิว้ เป็ นต้ น ในวัยนีค้ วามคับข้ องใจ จะทำให้
เกิดภาวะทีเ่ รียกว่ า "การติดตรึงอยู่กบั ที"
่ (Fixation) ได้ และมี
ปัญหาทางด้ านบุคลิกภาพ เรียกว่ า "Oral Personality" มี
ลักษณะทีช่ อบพูดมาก และมักจะติดบุหรี่ เหล้ า และชอบดูด หรือกัดอยู่เสมอ
โดยเฉพาะเวลาทีม่ คี วามเครียด บางครั้งจะแสดงด้ วยการดูดนิว้ หรือดินสอ
ปากมีลกั ษณะแบบนีอ้ าจจะชอบพูดจาถากถาง เหน็บแนม เสี ยดสี ผู้อนื่
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• 2) ขั้นทวารหนัก (Anal Stage) อายุระหว่ าง 18 เดือน –
3 ปี ฟรอยด์ กล่ าวว่ า เด็กวัยนีไ้ ด้ รับความพึงพอใจทางทวารหนัก คือ
จากการขับถ่ ายอุจจาระ และในระยะซึ่งเป็ นสาเหตุของความขัดแย้ ง และ
ความคับข้ องใจของเด็กวัยนี้ เพราะพ่อแม่ มกั จะหัดให้ เด็กใช้ กระโถน
และต้ องขับถ่ ายเป็ นเวลา เนื่องจากเจ้ าของความต้ องการของผู้ฝึก และ
ความต้ องการของเด็ก เกีย่ วกับการขับถ่ ายไม่ ตรงกันของเด็ก คือความ
อยากทีจ่ ะถ่ ายเมือ่ ไรก็ควรจะทำได้ เด็กอยากจะขับถ่ ายเวลาทีม่ คี วาม
ต้ องการ กับการทีพ่ ่ อแม่ หัดให้ ขบั ถ่ ายเป็ นเวลา บางทีเกิดความขัดแย้ ง
มาก
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• อาจจะทำให้ เกิด Fixation และทำให้ เกิดมีบุคลิกภาพนีเ้ รียกว่ า
"Anal Personality" ผู้ทมี่ พี ฤติกรรมแบบนี้ อาจจะเป็ น
คนทีช่ อบความเป็ นระเบียบเรียบร้ อยเป็ นพิเศษ และค่ อนข้ างประหยัด
มัธยัสถ์ หรืออาจมีบุคลิกภาพตรงข้ าม คืออาจจะเป็ นคนทีใ่ จกว้ าง และ
ไม่ มคี วามเป็ นระเบียบ เห็นได้ จากห้ องทำงานส่ วนตัวจะรกไม่ เป็ น
ระเบียบ
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• 3) ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage) อายุระหว่ าง 3-5 ปี ความพึง
พอใจของเด็กวัยนีอ้ ยู่อวัยวะสื บพันธุ์ เด็กมักจะจับต้ องลูกคลำอวัยวะเพศ ระยะนี้ ฟ
รอยด์ กล่ าวว่ า เด็กผู้ชายมีปมออดิปุส (Oedipus Complex) ฟรอย
ด์ อธิบายการเกิดของปมออดิปุสว่ า เด็กผู้ชายติดแม่ และรักแม่ มาก และต้ องการทีจ่ ะ
เป็ นเจ้ าของแม่ แต่ เพียงคนเดียว และต้ องการร่ วมรักกับแม่ แต่ ขณะเดียวกันก็ทราบ
ว่ าแม่ และพ่อรักกัน และก็ร้ ูดวี ่ าตนด้ อยกว่ าพ่อทุกอย่ าง ทั้งด้ านกำลังและอำนาจ
ประกอบกับความรักพ่อ และกลัวพ่อ ฉะนั้นเด็กก็พยายามทีจ่ ะเก็บกดความรู้สึก ที่
อยากเป็ นเจ้ าของแม่ แต่ คนเดียว และพยายามทำตัวให้ เหมือนกับพ่อทุกอย่ างฟรอยด์
เรียกกระบวนนีว้ ่ า "Resolution of Oedipal Complex"
เป็ นกระบวนการทีเ่ ด็กชายเลียนแบบพ่อ ทำตัวให้ เหมือน "ผู้ชาย"
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• ส่ วนเด็กหญิงมีปมอีเล็คตรา (Electra Complex) ซึ่งฟรอยด์ กไ็ ด้
ความคิดมาจากนิยายกรีก เหมือนกับปมออดิปุส ฟรอยด์ อธิบายว่ า แรกทีเดียวเด็ก
หญิงก็รักแม่ มากเหมือนเด็กชาย แต่ เมือ่ โตขึน้ พบว่ าตนเองไม่ มอี วัยวะเพศเหมือน
เด็กชาย และมีความรู้ สึกอิจฉาผู้ทมี่ อี วัยวะเพศชาย แต่ เมือ่ ทำอะไรไม่ ได้ กย็ อมรับ
และโกรธแม่ มาก ถอนความรักจากแม่ มารักพ่อ ทีม่ อี วัยวะเพศทีต่ นปรารถนาจะมี
แต่ กร็ ้ ูว่าแม่ และพ่อรักกัน เด็กหญิงจึงแก้ปัญหาด้ วยการใช้ กลไกป้องกันตน โดยเก็บ
ความรู้ สึกความต้ องการของตน (Represtion) และเปลีย่ นจากการโกรธ
เกลียดแม่ มาเป็ นรักแม่ (Reaction Formation) ขณะเดียวกันก็
อยากทำตัวให้ เหมือนแม่ จึงเลียนแบบ สรุ ปได้ ว่าเด็กหญิงมีความรักพ่ อ แต่ กร็ ้ ูว่าแย่ ง
พ่ อมาจากแม่ ไม่ ได้ จึงเลียนแบบแม่ คือ ถือแม่ เป็ นแบบฉบับ หรือต้ นแบบของ
พฤติกรรมของ "ผู้หญิง"
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• 4) ขั้นแฝง (Latency Stage) เด็กวัยนีอ้ ยู่ระหว่ างอายุ
6-12 ปี เป็ นระยะทีฟ่ รอยด์ กล่าวว่ า เด็กเก็บกดความต้ องการทาง
เพศ หรือความต้ องการทางเพศสงบลง (Quiescence
Period) เด็กชายมักเล่น หรือจับกลุ่มกับเด็กชาย ส่ วนเด็กหญิงก็
จะเล่น หรือจับกลุ่มกับเด็กหญิง
• 5) ขั้นสนใจเพศตรงข้ าม (Genital Stage) วัยนีเ้ ป็ นวัย
รุ่นเริ่มตั้งแต่ อายุ 12 ปี ขึน้ ไป จะมีความต้ องการทางเพศ วัยนีจ้ ะมี
ความสนใจในเพศตรงข้ าม ซึ่งเป็ นระยะเริ่มต้ นของวัยผู้ใหญ่
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• ฟรอยด์ กล่ าวว่ า ถ้ าเด็กโชคดี และผ่ านวัยแต่ ละวัย โดยไม่ มปี ัญหาก็จะเจริญ
เติบโต เป็ นผู้ใหญ่ ทมี่ บี ุคลิกภาพปกติ แต่ ถ้าเด็กมีปัญหา ในแต่ ละขั้นของ
พัฒนาการ ก็จะมีบุคลิกภาพผิดปกติ ซึ่งฟรอยด์ ได้ ต้งั ชื่อตามแต่ ละวัย เช่ น
"ผู้ใหญ่ ทมี่ ี Oral Personality เป็ นผู้ทมี่ คี วามต้ องการทีจ่ ะ
หาความพึงพอใจทางปากอย่ างไม่ จำกัด เช่ น สู บบุหรี่ กัดนิว้ ดูดนิว้ รับ
ประทานมาก มีความสุ ขในการกิน และชอบดืม่ คนทีม่ ี Oral
Personality อาจจะเป็ นผู้ทเี่ ห็นโลกในทางดี
(Optimist) มากเกินไป จนถึงกับเป็ นคนทีไ่ ม่ ยอมรับความจริง
ของชีวติ หรืออาจจะเป็ น คนทีแ่ สดงตนว่ าเป็ นคนเก่ง ไม่ กลัวใคร และใช้
ปากเป็ นเครื่องมือ เช่ น ชอบพูดเยาะเย้ ย ถากถางและกระแนะกระแหนผู้อนื่
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• Fixation ในระยะที่ 2 คือ อายุ 2-3 ปี จะทำให้ มบี ุคลิกภาพแบบ
Anal Personality ซึ่งอาจจะมีลกั ษณะต่ างๆ ดังนี้
• (1) เป็ นคนเจ้ าสะอาดมากเกินไป (Obsessively Clean)
และเรียบร้ อยเจ้ าระเบียบ เข้ มงวด และเป็ นคนทีต่ ้ องทำอะไรตามกฎเกณฑ์
เปลีย่ นแนวไม่ ได้
• (2) อาจจะมีลกั ษณะตรงข้ ามเลย คือ รุงรัง ไม่ เป็ นระเบียบ
• (3) อาจจะเป็ นคนสุ ร่ ุยสุ ร่าย หรือตระหนี่กไ็ ด้ ผู้ชายทีแ่ ต่ งงานก็คดิ ว่ า ตน
เป็ นเจ้ าของ "ผู้หญิง" ทีเ่ ป็ นภรรยาเก็บไว้ แต่ ในบ้ าน หึงหวงจนทำให้ ภรรยา
ไม่ มคี วามสุ ข ผู้หญิงทีม่ ี Anal personality ก็จะหึงหวงสามี
มาก จนทำให้ ชีวติ สมรสไม่ มคี วามสุ ข
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• องค์ ประกอบทีม่ ีส่วนพัฒนาการทางบุคลิกภาพมีหลายอย่ างซึ่งฟรอยด์ ได้
กล่าวไว้ ดงั ต่ อไปนี้
• 1. วุฒิภาวะ ซึ่งหมายถึงขั้นพัฒนาการตามวัย
• 2. ความคับข้ องใจ ทีเ่ กิดจากความสมหวังไม่ สมหวัง เมือ่ มีปฏิสัมพันธ์
กับสิ่ งแวดล้ อมภายนอก
• 3. ความคับข้ องใจ เนื่องมาจากความขัดแย้ งภายใน
• 4. ความไม่ พร้ อมของตนเอง ทั้งทางด้ านร่ างกาย ด้ านเชาวน์ ปัญญา และ
การขาดประสบการณ์
• 5. ความวิตกกังวล เนื่องมาจากความกลัว หรือความไม่ กล้ าของตนเอง
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• ฟรอยด์ เชื่อว่ า ความคับข้ องใจ เป็ นพืน้ ฐานสำหรับพัฒนาการทาง
บุคลิกภาพ แต่ ต้องมีจำนวนพอเหมาะทีจ่ ะช่ วยพัฒนา Ego แต่ ถ้ามี
ความคับข้ องใจมากเกินไป ก็จะเกิดมีปัญหา และทำให้ เกิดกลไกในการ
ป้ องกันตัว (Defense Mechanism) ซึ่งเป็ นวิธีการ
ปรับตัวในระดับจิตไร้ สำนึกกลไกในการป้ องกันตัวมักจะเป็ นสิ่ งทีค่ น
ทัว่ ไปนำไปใช้ ในชีวติ ประจำวันของบุคคลปกติทุกวัย ตั้งแต่ อนุบาล
จนถึงวัยชรา
• กลไกในการป้ องกันตัว (Defense Mechanism) ฟ
รอยด์ และบุตรีแอนนา ฟรอยด์ ได้ แบ่ งประเภทกลไกในการป้ องกันตัวดัง
ต่ อไปนี้
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• การเก็บกด (Repression) หมายถึง การเก็บกดความรู้ สึกไม่
สบายใจ หรือความรู้ สึกผิดหวัง ความคับข้ องใจไว้ ในจิตใต้ สำนึก จนกระทัง่
ลืมกลไกป้ องกันตัวประเภทนีม้ อี นั ตราย เพราะถ้ าเก็บกดความรู้ สึกไว้ มาก
จะมีความวิตกกังวลใจมาก และอาจทำให้ เป็ นโรคประสาทได้
• การป้ ายความผิดให้ แก่ ผ้ ูอนื่ (Projection) หมายถึง การลดความ
วิตกกังวล โดยการป้ ายความผิด ให้ แก่ผ้ ูอนื่ ตัวอย่ าง ถ้ าตนเองรู้ สึกเกลียด
หรือไม่ ชอบใครทีต่ นควรจะชอบก็อาจจะบอกว่ า คนนั้นไม่ ชอบตน เด็กบาง
คนทีโ่ กงในเวลาสอบ ก็อาจจะป้ ายความผิด หรือใส่ โทษว่ าเพือ่ โกง
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• การหาเหตุผลเข้ าข้ างตนเอง (Rationalization) หมายถึง
การปรับตัว โดยการหาเหตุผลเข้ าข้ างตนเอง โดยให้ คำอธิบายทีเ่ ป็ นที่
ยอมรับสำหรับคนอืน่ ตัวอย่ างเช่ น พ่อแม่ ทตี่ ลี ูก มักจะบอกว่ า การตีทำเพือ่
เด็ก เพราะเด็กต้ องได้ รับการทำโทษเป็ นบางครั้งจะได้ เป็ นคนดี พ่ อแม่ จะไม่
ยอมรับว่ าตี เพราะโกรธลูก นักเรียนที่สอบตกก็อาจจะอ้ างว่ าไม่ สบาย
แทนทีจ่ ะบอกว่ าไม่ ได้ ดูหนังสื อ บางครั้งจะใช้ เหตุผลแบบ "องุ่นเปรี้ยว"
เช่ น นักเรียนอยากเรียนแพทยศาสตร์ แต่ สอบเข้ าไม่ ได้ ได้ วศิ วกรรมศาสตร์
อาจจะบอกว่ าเข้ าแพทย์ ไม่ ได้ กด็ แี ล้ว เพราะอาชีพแพทย์ เป็ นอาชีพที่
เหน็ดเหนื่อย ไม่ มเี วลาของตนเอง เป็ นวิศวกรดีกว่ า เพราะเป็ นอาชีพอิสระ
"การหาเหตุผลเข้ าข้ างตนเอง" แตกต่ างกับการโกหก เพราะผู้แสดง
พฤติกรรมไม่ ร้ ู สึกว่ าตนเองทำผิด
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• การถดถอย (Regression) หมายถึง การหนีกลับไปอยู่ในสภาพอดีต
ทีเ่ คยทำให้ ตนมีความสุ ข ตัวอย่ างเช่ น เด็ก 2-3 ขวบ ทีช่ ่ วยตนเองได้ มีน้อง
ใหม่ เห็นแม่ ให้ ความเอาใจใส่ กบั น้ อง มีความรู้ สึกว่ าแม่ ไม่ รัก และไม่ สนใจตน
เท่ าทีเ่ คยได้ รับ จะมีพฤติกรรมถดถอยไปอยู่ในวัยทารกทีช่ ่ วยตนเองไม่ ได้ ต้ อง
ให้ แม่ ทำให้ ทุกอย่ าง
• การแสดงปฏิกริ ิยาตรงข้ ามกับความปรารถนาทีแ่ ท้ จริง (Reaction
Formation) หมายถึง กลไกป้องกันตน โดยการทุ่มเทในการแสดง
พฤติกรรมตรงข้ ามกับความรู้ สึกของตนเอง ทีต่ นเองคิดว่ าเป็ นสิ่ งที่สังคม อาจ
จะไม่ ยอมรับ ตัวอย่ างแม่ ทไี่ ม่ รักลูกคนใดคนหนึ่ง อาจจะมีพฤติกรรมตรงข้ าม
โดยการแสดงความรักมากอย่ างผิดปกติ หรือเด็กทีม่ อี คติต่อนักเรียนต่ างชาติที่
อยู่โรงเรียนเดียวกัน การจะแสดงพฤติกรรมเป็ นเพือ่ นทีด่ ตี ่ อนักเรียนผู้น้ัน โดย
ทำตนเป็ นเพือ่ นสนิท เป็ นต้ น
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• การสร้ างวิมานในอากาศ หรือการฝันกลางวัน (Fantasy หรือ
Day dreaming) กลไกป้ องกันตัวประเภทนี้ เป็ นการสร้ าง
จินตนาการ หรือมโนภาพ เกีย่ วกับสิ่ งทีต่ นมีความต้ องการ แต่ เป็ นไปไม่ ได้
ฉะนั้นจึงคิดฝัน หรือสร้ างวิมานในอากาศขึน้ เพือ่ สนองความต้ องการชั่ว
ขณะหนึ่ง เป็ นต้ นว่ า นักเรียนทีเ่ รียนไม่ ดี อาจจะฝันว่ าตนเรียนเก่ ง มี
มโนภาพว่ าตนได้ รับรางวัล มีคนปรบมือให้ เกียรติ เป็ นต้ น
• การแยกตัว (Isolation) หมายถึง การแยกตนให้ พ้นจาก
สถานการณ์ ที่นำความคับข้ องใจมาให้ โดยการแยกตนออกไปอยู่ตามลำพัง
ตัวอย่ างเช่ น เด็กทีค่ ดิ ว่ าพ่อแม่ ไม่ รัก อาจจะแยกตนปิ ดประตูอยู่คนเดียว
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• การหาสิ่ งมาแทนที่ (Displacement) เป็ นการระบาย
อารมณ์ โกรธ หรือคับข้ องใจต่ อคน หรือสิ่ งของ ทีไ่ ม่ ได้ เป็ นต้ นเหตุของ
ความคับข้ องใจ เป็ นต้ นว่ า บุคคลทีถ่ ูกนายข่ มขู่ หรือทำให้ คบั ข้ องใจ
เมือ่ กลับมาบ้ านอาจจะใช้ ภรรยา หรือลูกๆ เป็ นแพะรับบาป เช่ น อาจจะ
มีพฤติกรรมก้ าวร้ าวต่ อภรรยา และลูก ๆ นักเรียนทีโ่ กรธครู แต่ ทำอะไร
ครู ไม่ ได้ ก็อาจจะเลือกสิ่ งของ เช่ น โต๊ ะเก้าอีเ้ ป็ นสิ่ งแทนที่ เช่ น เตะโต๊ ะ
เก้าอี้
ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ของฟรอยด์
• การเลียนแบบ (Identification) หมายถึง การปรับตัวโดยการ
เลียนแบบบุคคลทีต่ นนิยมยกย่ อง ตัวอย่ างเช่ น เด็กชายจะพยายามทำตัวให้
เหมือนพ่อ เด็กหญิงจะทำตัวให้ เหมือนแม่ ในพัฒนาการขั้นฟอลลิคของฟรอยด์
การเลียนแบบนอกจากจะเปลีย่ นพฤติกรรมให้ เหมือนบุคคลทีต่ นเลียนแบบ แม้
ยังจะยึดถือค่ านิยม และมีความรู้ สึกร่ วมกับผู้ทเี่ ราเลียนแบบในความสำเร็จ หรือ
ล้มเหลวของบุคคลนั้น การเลียนแบบไม่ จำเป็ นจะต้ องเลียนแบบจากบุคคล
จริงๆ แต่ อาจจะเลียนแบบจากตัวเอกในละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ โดยมีความ
รู้ สึกร่ วมกับผู้แสดง เมือ่ ประสบความทุกข์ ความเศร้ าโศกเสี ยใจ หรือเมือ่ มี
ความสุ ขก็จะพลอยเป็ นสุ ขไปด้ วย
• กลไกในการป้องกันตัว เป็ นวิธีการทีบ่ ุคคลใช้ ในการปรับตัว เมือ่ ประสบปัญหา
ความคับข้ องใจ การใช้ กลไกป้องกันจะช่ วยยืดเวลาในการแก้ปัญหา เพราะจะ
ช่ วยให้ ผ่อนคลายความเครียด ความไม่ สบายใจ ทำให้ คดิ หาเหตุผล หรือแก้ไข
ปัญหาได้
แนวคิดมนุษยนิยม
• ฐานคิดมาจากปรัชญาในกลุ่ม Existentialism ซึ่งมองมน
สุ ษย์ ในแง่ อตั ลักษณ์ เฉพาะตัวบุคคลมากกว่ าภาพรวมของบุคคล
• มีทศั นคติในการมองและอธิบายธรรมชาติมนุษย์ ในแง่ ดงี าม มีธรรมชาติ
ใฝ่ ดี ต้ องการพัฒนาตนเองให้ ดยี งิ่ ขึน้
• เป้ าหมายของทุกชีวติ คือ พัฒนาศักยภาพในตนเองให้ ถงึ จุดสู งสุ ด รู้ คุณ
ค่ าตนเอง มีความรับผิดชอบต่ อหน้ าที่ ต่ อตนเอง ต่ อการกระทำของตน
ยอมรับผลจากการกระทำของตนเอง
• หากบุคคลอยู่ในสิ่ งแวดล้อมทีด่ กี จ็ ะสามารถพัฒนาตนเองไปสู่ ความ
สมบูรณ์ แบบ
แนวคิดมนุษยนิยม
• Maslow กล่ าวว่ า "มนุษย์ จะไม่ เข้ าใจตนเองจนกว่ า จะเกิดความ
ปรารถนาอย่ างแรงกล้ าทีจ่ ะแสวงหาสิ่ งต่ อไปนีค้ อื ความต้ องการทีจ่ ะ
เข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริง ความบริบูรณ์ งอกงาม เอกลักษณ์ และความเป็ น
ตัวของตัวเอง และสิ่ งสำคัญทีท่ ฤษฎีของ Maslow เน้ นคือ
เอกลักษณ์ ของบุคคล ความสำคัญและความหมายของคุณค่ าต่ างๆ
(values) ศักยภาพสำหรับการชี้นำตนเอง และความต้ องการ
เจริญเติบโตของบุคคล" ซึ่งสิ่ งเหล่านีเ้ ป็ นอิทธิพลสำคัญของความคิด
ในปัจจุบันเกีย่ วกับพฤติกรรมมนุษย์
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาส
โลว์ (Maslow’s Hierarchical Theory
of Motivation)
• เชื่อว่ าพฤติกรรมของมนุษย์ เป็ นจำนวนมากสามารถอธิบายโดยใช้ แนว
โน้ มของบุคคลในการค้ นหาเป้ าหมายทีจ่ ะทำให้ ชีวติ ของเขาได้ รับความ
ต้ องการ ความปรารถนา และได้ รับสิ่ งทีม่ คี วามหมายต่ อตนเอง
• กระบวนการของแรงจูงใจเป็ นหัวใจของทฤษฎีบุคลิกภาพของ
Maslow โดยเขาเชื่อว่ ามนุษย์ เป็ น “สั ตว์ ทมี่ คี วามต้ องการ”
(wanting animal) และเป็ นการยากทีม่ นุษย์ จะไปถึงขั้น
ของความพึงพอใจอย่ างสมบูรณ์
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• กรอบความคิดทีสำ ่ คัญ ของทฤษฎีนี้ มีสามประการ คือ
• เมือ่ บุคคลปรารถนาทีจ่ ะได้ รับความพึงพอใจและเมือ่ บุคคลได้ รับความพึง
พอใจในสิ่ งหนึ่งแล้ วก็จะยังคงเรียกร้ องความพึงพอใจสิ่ งอืน่ ๆ ต่ อไป ซึ่งถือเป็ น
คุณลักษณะของมนุษย์ ซึ่งเป็ นผู้ทมี่ คี วามต้ องการอยู่เสมอ
• ความปรารถนาของมนุษย์ น้ันติดตัวมาแต่ กำเนิดและความปรารถนาเหล่ านีจ้ ะ
เรียงลำดับขั้นของความปรารถนา ตั้งแต่ ข้นั แรกไปสู่ ความปรารถนาขั้นสู งขึน้
ไปเป็ นลำดับ
• มาสโลว์ มีการเรียงลำดับขั้นความต้ องการทีอ่ ยู่ในขั้นต่ำสุ ดจนถึงสู งสุ ด โดย
เชื่อว่ าบุคคลจะต้ องได้ รับความพึงพอใจเสี ยก่ อนบุคคลจึงจะสามารถผ่ านพ้น
ไปสู่ ความต้ องการทีอ่ ยู่ในขั้นสู งขึน้ ตามลำดับ
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• 1. ความต้ องการทางร่ างกาย ( Physiological needs )
• เป็ นความต้ องการขั้นพืน้ ฐานทีม่ ีอำนาจมากที่สุดและสั งเกตเห็นได้ ชัด
ทีส่ ุ ดจากความต้ องการทั้งหมด เพราะเป็ นความต้ องการทีจ่ ะดำรงชีวติ
ได้ แก่ ความต้ องการอาหาร น้ำดืม่ ออกซิเจน การพักผ่ อนนอนหลับ ความ
ต้ องการทางเพศ ความต้ องการความอบอุ่น ตลอดจนความต้ องการทีจ่ ะ
ถูกกระตุ้นอวัยวะรับสั มผัส แรงขับของร่ างกายเหล่านีจ้ ะเกีย่ วข้ องโดยตรง
กับความอยู่รอดของชีวติ และร่ างกาย
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• ความพึงพอใจทีไ่ ด้ รับ ในขั้นนีจ้ ะกระตุ้นให้ เกิดความต้ องการในขั้นที่สูงกว่ า
และถ้ าบุคคลใดประสบความล้ มเหลวทีจ่ ะสนองความต้ องการพืน้ ฐานนีก้ จ็ ะ
ไม่ ได้ รับการกระตุ้นให้ เกิดความต้ องการในระดับที่สูงขึน้ ถ้ าความต้ องการ
อย่ างหนึ่งยังไม่ ได้ รับความพึงพอใจ บุคคลก็จะอยู่ภายใต้ ความต้ องการนั้น
ตลอดไป ซึ่งทำให้ ความต้ องการอืน่ ๆ ไม่ ปรากฏหรือกลายเป็ นความต้ องการ
ระดับรองลงไป เช่ น คนทีอ่ ดอยากหิวโหยเป็ นเวลานานจะไม่ สามารถ
สร้ างสรรค์ สิ่งทีม่ ปี ระโยชน์ ต่อโลกได้ บุคคลเหล่ านีจ้ ะมีความรู้ สึกเป็ นสุ ขเมือ่
มีอาหารเพียงพอสำหรับเขาและจะไม่ ต้องการสิ่ งอืน่ ใดอีก ไม่ ว่าจะเป็ น
เสรีภาพ ความรัก ความรู้ สึกต่ อชุมชน การได้ รับการยอมรับ และปรัชญาชีวติ
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• ความต้ องการทางด้ านร่ างกายเป็ นเรื่องสำคัญทีจ่ ะเข้ าใจพฤติกรรมมนุษย์
ความเสี ยหายอย่ างรุนแรงของพฤติกรรมมีสาเหตุจากการขาดอาหารหรือ
น้ำติดต่ อกันเป็ นเวลานาน ในปี ค.ศ. 1970 เครื่องบินของสายการบิน
Peruvian ตกลงทีฝ่ ั่งอ่าวอเมริกาใต้ ผ้ ูทรี่ อดตายรวมทั้งพระนิกาย
Catholic อาศัยการมีชีวติ อยู่รอดโดยการกินซากศพของผู้ทตี่ ายจาก
เครื่องบินตก จากปรากฏการณ์ นีช้ ี้ให้ เห็นว่ าเมือ่ มนุษย์ เกิดความหิวขึน้ จะมี
อิทธิพลเหนือระดับศีลธรรมจรรยา จึงไม่ ต้องสงสั ยเลยว่ ามนุษย์ มคี วาม
ต้ องการทางด้ านร่ างกายเหนือความต้ องการอืน่ ๆ และแรงผลักดันของความ
ต้ องการนีไ้ ด้ เกิดขึน้ กับบุคคลก่อนความต้ องการอืน่ ๆ
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• 2. ความต้ องการความปลอดภัย (Safety or security needs)
• เมือ่ ความต้ องการทางด้ านร่ างกายได้ รับความพึงพอใจแล้ วบุคคลก็จะ
พัฒนาการไปสู่ ข้นั ต่ อไป ความต้ องการนีจ้ ะสั งเกตได้ ง่ายในทารกและเด็ก
เล็ก เนื่องจากต้ องการความช่ วยเหลือและต้ องพึง่ พาอาศัยผู้อนื่ ทารกจะ
รู้ สึกกลัวเมือ่ ถูกทิง้ ให้ อยู่ตามลำพัง พลังความต้ องการความปลอดภัยจะ
เห็นได้ ชัดเจนเช่ นกันเมือ่ เด็กเกิดความเจ็บป่ วย ประสบอุบัตเิ หตุจะรู้ สึก
กลัวและอาจแสดงออกด้ วยอาการฝันร้ ายและความต้ องการทีจ่ ะได้ รับ
ความปกป้ องคุ้มครองและการให้ กำลังใจ
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• พ่อแม่ ทเี่ ลีย้ งดูลูกอย่ างไม่ กวดขันและตามใจมากจนเกินไปจะไม่ ทำให้
เด็กเกิดความรู้ สึกว่ าได้ รับความพึงพอใจด้ านความต้ องการความ
ปลอดภัย การให้ นอนหรือให้ กนิ ไม่ เป็ นเวลาไม่ เพียง แต่ ทำให้ เด็กสั บสน
เท่ านั้นแต่ ยงั ทำให้ เด็กรู้ สึกไม่ มนั่ คงในสิ่ งแวดล้อมรอบๆ ตัวเขา
สั มพันธภาพของพ่ อแม่ ทไี่ ม่ ดตี ่ อกัน เช่ น ทะเลาะกันทำร้ ายร่ างกายซึ่ง
กันและกัน พ่ อแม่ แยกกันอยู่ หย่ า ตายจากไป สภาพการณ์ เหล่ านีจ้ ะมี
อิทธิพลต่ อความรู้ สึกของเด็ก ทำให้ เด็กรู้ ว่าสิ่ งแวดล้อมต่ างๆ ไม่ มนั่ คง
ไม่ สามารถคาดการณ์ ได้ และนำไปสู่ ความรู้ สึกไม่ ปลอดภัย
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• ความต้ องการความปลอดภัยมีอทิ ธิพลต่ อบุคคลแม้ ว่าจะผ่ านพ้ นวัยเด็กไป
แล้ว ในบุคคลที่ทำงานเป็ นผู้คุ้มครอง เช่ น ผู้รักษาเงิน นักบัญชี หรือทำงาน
การประกัน และผู้ททำ ี่ หน้ าทีใ่ ห้ การรักษาพยาบาล เช่ น แพทย์ พยาบาล
บุคคลทั้งหมดทีก่ ล่ าวมานีจ้ ะใฝ่ หาความปลอดภัยของผู้อนื่
• ศาสนาและปรัชญาทีม่ นุษย์ ยดึ ถือทำให้ เกิดความรู้ สึกมัน่ คง เพราะทำให้
บุคคลได้ จัดระบบตัวเองให้ มเี หตุผลและวิถที างที่ทำให้ ร้ ู สึก “ปลอดภัย”
• ความต้ องการความปลอดภัยในเรื่องอืน่ ๆ จะเกีย่ วข้ องกับการเผชิญกับ สิ่ ง
ต่ างๆ เหล่ านี้ สงคราม อาชญากรรม น้ำท่ วม แผ่ นดินไหว การจลาจล ความ
สั บสนไม่ เป็ นระเบียบของสั งคม
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• อาการโรคประสาทในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะโรคประสาทชนิดย้ำคิด-ย้ำทำ
(obsessive-compulsive neurotic) เป็ น
ลักษณะเด่ นชัดของการค้ นหาความรู้ สึกปลอดภัย ผู้ป่วยโรคประสาทจะ
แสดงพฤติกรรมว่ าเขากำลังประสบเหตุการณ์ ทรี่ ้ ายกาจและกำลังมี
อันตรายต่ างๆ เขาจึงต้ องการมีใครสั กคนทีป่ กป้ องคุ้มครองเขาและเป็ น
บุคคลทีม่ คี วามเข้ มแข็งซึ่งเขาสามารถจะพึง่ พาอาศัยได้
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• 3. ความต้ องการความรักและความเป็ นเจ้ าของ (Belongingness
and Love needs)
• ความต้ องการนีจ้ ะเกิดขึน้ เมือ่ ความต้ องการทางด้ านร่ างกาย และความ
ต้ องการความปลอดภัยได้ รับการตอบสนองแล้ ว บุคคลต้ องการได้ รับความ
รักและต้ องการเป็ นเจ้ าของโดยการสร้ างความสั มพันธ์ กบั ผู้อนื่ เช่ น ความ
สั มพันธ์ ภายในครอบครัวหรือกับผู้อนื่ สมาชิกภายในกลุ่มจะเป็ นเป้าหมาย
สำคัญ บุคคลจะรู้ สึกเจ็บปวดเมือ่ ถูกทอดทิง้ ไม่ มใี ครยอมรับ ไม่ มเี พือ่ น
โดยเฉพาะเมือ่ จำนวนเพือ่ น ญาติพนี่ ้ อง ครอบครัวได้ ลดน้ อยลงไป
นักเรียนทีเ่ ข้ าโรงเรียนทีห่ ่ างไกลบ้ านจะเกิดความต้ องการเป็ นเจ้ าของอย่ าง
ยิง่ และจะแสวงหาอย่ างมากทีจ่ ะได้ รับการยอมรับจากกลุ่มเพือ่ น
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• Maslow คัดค้ านFreud ทีว่ ่ าความรักเป็ นผลมาจากการ
ทดแทนสั ญชาตญาณทางเพศ (sublimation) สำหรับ
Maslow ความรักไม่ ใช่ สัญลักษณ์ ของเรื่องเพศ (sex) ความรัก
ทีแ่ ท้ จริงจะเกีย่ วข้ องกับความรู้ สึกทีด่ ี ความสั มพันธ์ ของความรักระหว่ าง
คน 2 คน จะรวมถึงความรู้ สึกนับถือซึ่งกันและกัน การยกย่ องและความ
ไว้ วางใจแก่ กนั ความต้ องการความรักของคนจะเป็ นความรักทีเ่ ป็ นไปใน
ลักษณะทั้งการรู้ จักให้ ความรักต่ อผู้อนื่ และรู้ จักทีจ่ ะรับความรักจากผู้อนื่
การได้ รับความรักและได้ รับการยอมรับจากผู้อนื่ เป็ นสิ่ งทีทำ ่ ให้ บุคคลเกิด
ความรู้ สึกว่ าตนเองมีคุณค่ า บุคคลทีข่ าดความรักก็จะรู้ สึกว่ าชีวติ ไร้ ค่ามี
ความรู้ สึกอ้ างว้ างและเคียดแค้ น
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• บุคคลต้ องการความรักและความรู้ สึกเป็ นเจ้ าของ และการขาดสิ่ งนีม้ กั จะเป็ น
สาเหตุให้ เกิดความข้ องคับใจและทำให้ เกิดปัญหาการปรับตัวไม่ ได้ และความ
ยินดีในพฤติกรรมหรือความเจ็บป่ วยทางด้ านจิตใจในลักษณะต่ างๆ
• สิ่ งทีค่ วรสั งเกต ก็คอื มีบุคคลจำนวนมากลำบากใจทีจ่ ะเปิ ดเผยตัวเองเมือ่ มี
ความสั มพันธ์ ใกล้ ชิดสนิทสนมกับเพศตรงข้ าม เนื่องจากกลัวว่ าจะถูกปฏิเสธ
ความรู้ สึกเช่ นนีส้ ื บเนื่องมาจากประสบการณ์ ในวัยเด็ก การได้ รับความรักหรือ
การขาดความรักในวัยเด็ก ย่ อมมีผลกับการเติบโตเป็ นผู้ใหญ่ ทมี่ วี ุฒิภาวะและ
การมีทศั นคติในเรื่องของความรัก Maslow เปรียบเทียบว่ าความ
ต้ องการความรักก็เป็ นเช่ นเดียวกับรถยนต์ ที่สร้ างขึน้ มาโดยต้ องการก๊ าซหรือ
น้ำมันนั่นเอง
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• 4.ความต้ องการได้ รับความนับถือยกย่ อง ( Self-Esteem
needs)
• เมือ่ ความต้ องการได้ รับความรักและการให้ ความรักแก่ ผ้ ูอนื่ เป็ นไปอย่ างมี
เหตุผลและทำให้ บุคคล เกิดความพึงพอใจแล้ว พลังผลักดันในขั้นที่ 3 ก็
จะลดลงและมีความต้ องการในขั้นต่ อไปมาแทนที่ มนุษย์ ต้องการทีจ่ ะได้
รับความนับถือยกย่ องออกเป็ น 2 ลักษณะ คือ ลักษณะแรกเป็ นความ
ต้ องการนับถือตนเอง (self-respect) ส่ วนลักษณะที่ 2 เป็ น
ความต้ องการได้ รับการยกย่ องนับถือจากผู้อนื่ (esteem from
others
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• 4.1 ความต้ องการนับถือตนเอง (self-respect) คือ ความ
ต้ องการมีอำนาจ มีความเชื่อมัน่ ในตนเอง มีความแข็งแรง มีความ
สามารถในตนเอง มีผลสั มฤทธิ์ไม่ ต้องพึง่ พาอาศัยผู้อนื่ และมีความเป็ น
อิสระ ทุกคนต้ องการทีจ่ ะรู้ สึกว่ าเขามีคุณค่ าและมีความสามารถทีจ่ ะ
ประสบความสำเร็จในงานภารกิจต่ างๆ และมีชีวติ ทีเ่ ด่ นดัง
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• 4.2 ความต้ องการได้ รับการยกย่ องนับถือจากผู้อนื่ (esteem
from others) คือ ความต้ องการมีเกียรติยศ การได้ รับยกย่ อง
ได้ รับการยอมรับ ได้ รับความสนใจ มีสถานภาพ มีชื่อเสี ยงเป็ นทีก่ ล่ าว
ขาน และเป็ นทีช่ ื่นชมยินดี มีความต้ องการทีจ่ ะได้ รับความยกย่ องชมเชย
ในสิ่ งทีเ่ ขากระทำซึ่งทำให้ ร้ ู สึกว่ าตนเองมีคุณค่ าว่ าความสามารถของเขา
ได้ รับการยอมรับจากผู้อนื่
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• บุคคลจะแสวงหาความต้องการได้รับการยกย่องเมื่อความต้องการความรัก
และความเป็ นเจ้าของได้รับการตอบสนองแล้ว และเป็ นไปได้ที่บุคคลจะย้อน
กลับจากระดับความต้องการขั้นที่ 4 กลับไปสู่ ข้นั ที่ 3 อีก ถ้าความต้องการ
ขั้นที่ 3 ถูกกระทบกระเทือนหรื อสูญสลายไปทันทีทนั ใด เช่น หญิงสาวคน
หนึ่งซึ่งการตอบสนองความต้องการความรักของเธอดำเนินไปด้วยดี เธอจึง
ทุ่มเทกับธุรกิจและประสบความสำเร็ จเป็ นนักธุรกิจที่มีชื่อเสี ยง และอย่างไม่
คาดฝันสามีได้จากเธอไป ปรากฏว่าเธอวางมือจากธุรกิจต่างๆ และหันมาใช้
ความพยายามที่จะเรี ยกร้องสามีให้กลับคืน และถ้าเธอได้รับความพึงพอใน
ความรักโดยสามีหวนกลับคืนมาเธอก็จะกลับไปเกี่ยวข้องในโลกธุรกิจอีกครั้ง
หนึ่ง
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• ความพึงพอใจของความต้ องการได้ รับการยกย่ องเป็ นความรู้ สึกและ
ทัศนคติของความเชื่อมัน่ ในตนเอง ความรู้ สึกว่ าตนเองมีคุณค่ า การมี
พละกำลัง มีความสามารถ และรู้ สึกว่ ามีชีวติ อยู่อย่ างมีประโยชน์ และเป็ น
บุคคลทีม่ คี วามจำเป็ นต่ อโลก
• การขาดความรู้ สึกต่ างๆ นีนำ้ ไปสู่ ความรู้ สึกของปมด้ อยและไม่ พอเพียง
เกิดความรู้ สึกอ่ อนแอ ช่ วยเหลือตนเองไม่ ได้ สิ่ งต่ างๆ เหล่ านีเ้ ป็ นการรับ
รู้ ตนเองในทางนิเสธ (negative) ก่อให้ เกิดความรู้ สึกขลาดกลัว
และรู้ สึกว่ าตนเองไม่ มปี ระโยชน์ และสิ้นหวังในสิ่ งต่ างๆ ทีเ่ กีย่ วข้ องกับ
ความต้ องการของชีวติ ประเมินตนเองต่ำกว่ าชีวติ ความเป็ นอยู่
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• การได้ รับความนับถือยกย่ องเป็ นผลมาจากความเพียรพยายาม และ
ความต้ องการนีอ้ าจนำไปสู่ การเกิดอันตราย ถ้ าบุคคลนั้นต้ องการคำ
ชมเชยจากผู้อนื่ มากกว่ าการยอมรับความจริง และเป็ นทีย่ อมรับกัน
ว่ าการได้ รับความนับถือยกย่ องมีพนื้ ฐานจากการกระทำของบุคคล
มากกว่ าการควบคุมจากภายนอก
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• 5. ความต้ องการทีจ่ ะเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริง (Self-
Actualization needs)
• ถึงลำดับขั้นสุ ดท้ าย ถ้ าความต้ องการลำดับขั้นก่อนๆ ได้ ทำให้ เกิดความพึง
พอใจอย่ างมีประสิ ทธิภาพ ความต้ องการเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริงก็จะเกิด
ขึน้ คือความปรารถนาในทุกสิ่ งทุกอย่ างซึ่งบุคคลสามารถจะได้ รับอย่ างเห
มาะส บุคคลทีป่ ระสบผลสำเร็จในขั้นสู งสุ ดนีจ้ ะใช้ พลังอย่ างเต็มทีใ่ นสิ่ งที่
ท้ าทายความสามารถและศักยภาพของเขาและมีความปรารถนาทีจ่ ะ
ปรับปรุงตนเอง พลังแรงขับของเขาจะกระทำพฤติกรรมตรงกับความ
สามารถของตน
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• การเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริงเป็ นความต้ องการอย่ างหนึ่งของบุคคลทีจ่ ะ
บรรลุถงึ วจุดสู งสุ ดของศักยภาพ เช่ น “นักดนตรีกต็ ้ องใช้ ความสามารถ
ทางด้ านดนตรี ศิลปิ นก็จะต้ องวาดรู ป กวีจะต้ องเขียนโคลงกลอน ถ้ า
บุคคลเหล่ านีไ้ ด้ บรรลุถงึ เป้ าหมายทีต่ นตั้งไว้ กเ็ ชื่อได้ ว่าเขาเหล่ านั้นเป็ น
คนทีร่ ้ ู จักตนเองอย่ างแท้ จริง”
• ความต้ องการทีจ่ ะเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริงจะดำเนินไปอย่ างง่ ายหรือ
เป็ นไปโดยอัตโนมัติ โดยความเป็ นจริงแล้ว Maslow เชื่อว่ าคนเรา
มักจะกลัวตัวเองในสิ่ งเหล่านี้ “ด้ านทีด่ ที ี่สุดของเรา ความสามารถพิเศษ
ของเรา สิ่ งทีด่ งี ามที่สุดของเรา พลังความสามารถ ความคิดสร้ างสรรค์ ”
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• Maslow ได้ ยกตัวอย่ างของความต้ องการเข้ าใจตนเองอย่ าง
แท้ จริง ในกรณีของนักศึกษาชื่อ Mark ซึ่งเขาได้ ศึกษาวิชา
บุคลิกภาพเป็ นระยะเวลายาวนานเพือ่ เตรียมตัวเป็ นนักจิตวิทยาคลีนิค
และในที่สุดก็ได้ รับปริญญาเอกทางจิตวิทยาคลีนิค เมือ่ เขาสำเร็จการ
ศึกษาดังกล่ าวแล้ วถ้ ามีบุคคลหนึ่งได้ เสนองานให้ เขาในตำแหน่ งตำรวจ
สื บสวน ซึ่งจะได้ รับค่ าตอบแทนอย่ างสู งและได้ รับผลประโยชน์ พเิ ศษ
หลายๆ อย่ างตลอดจนรับประกันการว่ าจ้ างและความมัน่ คงสำหรับชีวติ
เมือ่ ประสบเหตุการณ์ เช่ นนี้ Mark จะทำอย่ างไร
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• ถ้ าคำตอบของเขาคือ “ตกลง” เขาก็จะย้ อนกลับมาสู่ ความต้ องการระดับ
ที่ 2 คือความต้ องการความปลอดภัย
• สำหรับการวิเคราะห์ ความเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริง Maslow
กล่าวว่ า “อะไรทีม่ นุษย์ สามารถจะเป็ นได้ เขาจะต้ องเป็ นในสิ่ งนั้น” เรื่อง
ของ Mark เป็ นตัวอย่ างง่ ายๆ ว่ า ถ้ าเขาตกลงเป็ นตำรวจสื บสวน
เขาก็จะไม่ มโี อกาสทีจ่ ะเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริง
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• Why Can’t All People Achieve Self-
Actualization ส่ วนมากมนุษย์ตอ้ งการแสวงหาเพื่อให้เกิดความ
สมบูรณ์ภายในตน การรู ้ถึงศักยภาพของตนนั้นมาจากพลังตามธรรมชาติ
และจากความจำเป็ นบังคับ ส่ วนบุคคลที่มีพรสวรรค์มีจำนวนน้อยมากเพียง
1% ของประชากร
• การนำศักยภาพของตนออกมาใช้เป็ นสิ่ งที่ยาก บุคคลมักไม่รู้วา่ ตนเองมีความ
สามารถและไม่ทราบจะได้รับการส่ งเสริ มได้อย่างไร มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่
มัน่ ใจในตัวเองหรื อไม่มนั่ ใจในความสามารถของตน จึงทำให้หมดโอกาส
เข้าใจตนเองอย่างแท้จริ ง และยังมีสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่มาบดบัง
พัฒนาการทางด้านความต้องการของบุคคลดังนี้
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• อิทธิพลของวัฒนธรรม ตัวอย่ างหนึ่ง ทีแ่ สดงให้ เห็นว่ าอิทธิพลของสั งคมมี
ต่ อการเข้ าใจตนเอง คือแบบพิมพ์ของวัฒนธรรม (cultural
stereotype) ซึ่งกำหนดว่ าลักษณะเช่ นไรทีแ่ สดงความเป็ นชาย
(masculine) และลักษณะใดทีไ่ ม่ ใช่ ความเป็ นชาย
• พฤติกรรม ความเมตตากรุณา ความสุ ภาพ และความอ่อนโยน สิ่ งเหล่ านี้
วัฒนธรรมมีแนวโน้ มทีจ่ ะพิจารณาว่ า “ไม่ ใช่ ลกั ษณะของความเป็ นชาย”
(unmasculine)
• การพิจารณาจากเกณฑ์ ต่างๆ ดังกล่าวนีเ้ ป็ นเพียงการเข้ าใจ “สภาพการณ์ ที่
ดี” มากกว่ าเป็ นเกณฑ์ ของการเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริง
ทฤษฎีลำดับขัน้ ของความต้ องการของมาสโลว์
• การไม่ เข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริงเกิดจากความพยายามทีไ่ ม่ ถูกต้ องของ
การแสวงหาความมัน่ คงปลอดภัย เช่ น การทีบ่ ุคคลสร้ างความรู้ สึกให้ ผ้ ู
อืน่ เกิดความพึงพอใจตนโดยพยายามหลีกเลีย่ งหรือขจัดข้ อผิดพลาด
ต่ างๆ ของตน บุคคลเช่ นนีจ้ ึงมีแนวโน้ มทีจ่ ะพิทกั ษ์ ความมัน่ คงปลอดภัย
ของตน โดยแสดงพฤติกรรมในอดีตทีเ่ คยประสบผลสำเร็จ แสวงหา
ความอบอุ่น และสร้ างมนุษยสั มพันธ์ กบั ผู้อนื่ ซึ่งลักษณะเช่ นนีย้ ่ อมขัด
ขวางวิถที างทีจ่ ะเข้ าใจตนเองอย่ างแท้ จริง
เคลย์ ตัน แอลเดอร์ เฟอร์ (Claton Elderfer)
• ปรับปรุงระดับความต้ องการตามแนวคิดของมาสโลว์ เหลือ 3 ระดับ คือ
• 1. ความต้ องการดำรงชีวติ อยู่ (Existence Needs) คือ
ความต้ องการทางร่ างกายและความปลอดภัยในชีวติ เปรียบได้ กบั ความ
ต้ องการระดับต่ อของมาสโลว์ ย่อโดย E
• 2. ความต้ องการความสั มพันธ์ (Relatedness
Needs) คือความต้ องการต่ างๆ ทีเ่ กีย่ วเนื่องนกับความสั มพันธ์
ระหว่ างบุคคล ทั้งในที่ทำงานและสภาพแวดล้อมอืน่ ๆ ตรงกับความ
ต้ องการทางสั งคมตามแนวคิดของมาสโลว์ ย..่อโดย R
เคลย์ ตัน แอลเดอร์ เฟอร์ (Claton Elderfer)

• 3. ความต้ องการเจริญเติบโต (Growth Needs) คือ


ความต้ องการภายใน เพือ่ การพัฒนาตัวเอง เพือ่ ความเจริญเติบโต
พัฒนาและใช้ ความสามารถของตัวเองได้ เต็มที่ แสวงหาโอกาสในการ
เอาชนะความท้ าทายใหม่ ๆ เปรียบได้ กบั ความต้ องการชื่อเสี ยงและการ
เติมความสมบูรณ์ ให้ ชีวติ ตามแนวคิดของมาสโลว์ ....ย่ อโดย G
เคลย์ ตัน แอลเดอร์ เฟอร์ (Claton Elderfer)
• ความแตกต่ าง
• มาสโลว์ ยนื ยันว่ า บุคคลจะหยุดอยู่ทคี่ วามต้ องการระดับหนึ่งจนกว่ าจะ
ได้ รับการตอบสนองแล้ว แต่ ทฤษฎี ERG อธิบายว่ า ถ้ าความต้ องการ
ระดับนั้นยังคงไม่ ได้ รับการตอบสนองต่ อไป บุคคลจะเกิดความคับ
ข้ องใจ แล้ วจะถดถอยลงมาให้ ความสนใจ ในความ ความต้ องการระดับ
ต่ำกว่ าอีกครั้งหนึ่ง
เคลย์ ตัน แอลเดอร์ เฟอร์ (Claton Elderfer)

• ประการที่สอง ทฤษฎี ERG อธิบายว่ า ความต้ องการมากกว่ าหนึ่ง


ระดับอาจเกิดขึน้ ได้ ในเวลาเดียวกัน หรือบุคคลสามารถถูกจูงใจด้ วย
ความต้ องการมากกว่ าหนึ่งระดับในเวลาเดียวกัน เช่ น ความต้ องการเงิน
เดือนที่สูง (E) พร้ อมกับความต้ องการทางสั งคม (R) และความ
ต้ องการโอกาสและอิสระในการคิดตัดสิ นใจ (G)

You might also like