Professional Documents
Culture Documents
คู่มือเตรียมสอบธรรม สนามหลวง
นักธรรมชั้นโท
ประมวลปัญหา-เฉลย
(๒๕๕๑-๒๕๖๔)
พิมพ์ครั้งที่ ๕
ข้ อสอบพร้ อมเฉลยครบทุกวิชา (พ.ศ. ๒๕๕๑ - พ.ศ. ๒๕๖๔)
จัดเรียงตามเนื้อหาหลักสู ตรแม่ กองธรรม สนามหลวง
สาหรับพระภิกษุสามเณรเตรียมสอบธรรม สนามหลวง ระดับนักธรรมชั้นโท
ข
คานาในการจัดพิมพ์ ครั้งที่ ๕
คู่มือเตรี ยมสอบธรรม สนามหลวง นักธรรมชั้นโท ประมวลปั ญหา-
เฉลย (๒๕๕๑-๒๕๖๔) ฉบับนี้ จัดพิม พ์ข้ ึนเพื่อ ให้ผูเ้ รี ยนได้อ่านปั ญหาเฉลย
ข้อสอบธรรมสนามหลวงที่มีจานวนข้อสอบมากและไม่ได้จดั เรี ยงหมวดหมู่ตาม
เนื้ อ หาในหนัง สื อ เรี ย น สามารถอ่านหนังสื อ ไปพร้ อ มกับศึ กษาแนวข้อ สอบ
สนามหลวงไปพร้อมกันได้ จึ งได้จดั เรี ยงปั ญหาเฉลยใหม่ โดยปรับให้มีความ
สอดคล้องกับเนื้ อหาแต่ละบท ประกอบด้วยวิชาเรี ยงความแก้กระทู้ธรรม วิชา
ธรรมวิภาค วิชาอนุ พุทธประวัติ วิชาศาสนพิธี และวิชาวินัยมุข โดยรวบรวม
ปัญหา-เฉลยไว้ ๑๔ ปี ตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๕๕๑ - พ.ศ.๒๕๖๔
ผูจ้ ดั ทาหวังว่าผูเ้ ข้าสอบธรรม สนามหลวง ระดับนักธรรมชั้นโท จะ
ได้ประโยชน์จากการศึกษาคู่มือฉบับนี้ สามารถช่วยเสริ มความเข้าใจและจดจา
แนวการออกข้อสอบธรรมสนามหลวง และใช้ติวก่อนเข้าสอบธรรมสนามหลวง
เพื่อช่วยทาให้เกิดความมัน่ ใจในการทาข้อสอบได้มากยิ่งขึ้น
ขอให้ ทุ ก ท่ า นจงมี ค วามสุ ข ความเจริ ญรุ่ ง เรื องในร่ ม เงาบวร
พระพุทธศาสนาสื บไป ให้มีดวงปัญญาสว่างไสว รู้แจ้งเห็นแจ้งในธรรมของพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยง่าย โดยเร็วพลันเทอญฯ
ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญ
พระอติคุณ ฐิตวโร, ดร.
ฝ้ายวิชาการ โรงเรี ยนพระปริ ยตั ิธรรม
วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี
๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
ง
สารบัญ
เรื่ อง หน้ า
๑. การเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม ๑
๑.๑ วิธีอ่านภาษาบาลี ๑
๑.๒ ความสาคัญของวิชาเรี ยงความแก้กระทูธ้ รรม ๒
๑.๓ ประโยชน์ของวิชาเรี ยงความแก้กระทูธ้ รรม ๒
๑.๔ วิธีการแต่งกระทูธ้ รรม ๓
๑.๕ ภาษาในการเขียนเรี ยงความ ๓
๑.๖ สานวนโวหารในการเขียนเรี ยงความ ๓
๑.๗ หลักเกณฑ์การเขียนเรี ยงความแก้กระทูธ้ รรม ๓
๑.๘ โครงสร้างการเขียนเรี ยงความแก้กระทูธ้ รรม ๕
๑.๙ ตัวอย่างการเขียนอธิบายหัวข้อกระทูธ้ รรม ๖
๑.๑๐ กระทูย้ อดนิยม ๑๐
๑.๑๑ ตัวอย่างการเขียนกระทูธ้ รรม ๑๒
๑.๑๒ ข้อสอบวิชาเรี ยงความแก้กระทูธ้ รรม ๑๕
๒.๑ วิชาธรรมวิภาค ๑๙
ทุกะ คือ หมวด ๒ ๑๙
ติกะ คือ หมวด ๓ ๒๒
จตุกกะ คือ หมวด ๔ ๒๗
ปัญจกะ คือ หมวด ๕ ๒๙
ฉักกะ คือ หมวด ๖ ๓๑
สัตตกะ คือ หมวด ๗ ๓๒
อัฏฐกะ คือ หมวด ๘ ๓๓
นวกะ คือ หมวด ๙ ๓๓
ทสกะ คือ หมวด ๑๐ ๓๕
เอกาทสกะ คือ หมวด ๑๑ ๓๖
ทวาทสกะ คือ หมวด ๑๒ ๓๖
เตรสกะ คือ หมวด ๑๓ ๓๗
๒.๒ วิชาอนุพุทธประวัติ ๓๙
๒.๓ วิชาศาสนพิธี ๕๓
หมวด ๑ กุศลพิธี ๕๓
จ
เรื่ อง หน้ า
หมวด ๒ บุญพิธี ๕๔
หมวด ๓ ทานพิธี ๕๖
หมวด ๔ ปกิณณกพิธี ๕๖
๒.๔ วิชาวินัยมุข ๕๗
อารัมภบท ๕๗
กัณฑ์ที่ ๑๑ กายบริ หาร ๕๘
กัณฑ์ที่ ๑๒ บริ ขาร บริ โภค ๕๙
กัณฑ์ที่ ๑๓ นิสัย ๖๑
กัณฑ์ที่ ๑๔ วัตร ๖๓
กัณฑ์ที่ ๑๕ คารวะ ๖๔
กัณฑ์ที่ ๑๖ จาพรรษา ๖๖
กัณฑ์ที่ ๑๗ อุโบสถ ปวารณา ๖๗
กัณฑ์ที่ ๑๘ อุปปถกิริยา ๗๐
กัณฑ์ที่ ๑๙ กาลิก ๔ ๗๒
กัณฑ์ที่ ๒๐ ภัณฑะต่างเจ้าของของสงฆ์ ๗๔
กัณฑ์ที่ ๒๑ วินยั กรรม ๗๕
กัณฑ์ที่ ๒๒ ปกิณณกะ ๗๖
๑
๑. การเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม
๑.๑ วิธีอ่านภาษาบาลี
๑) พยัญชนะที่มีสระกากับอยู่ ให้อ่านออกเสี ยงตามสระนั้นๆ เช่น
ปุริมานิ อ่านว่า ปุ-ริ-มา-นิ
ตีณิ อ่านว่า ตี-ณิ
๒) พยัญชนะที่ไม่มีสระใดๆ กากับอยูเ่ ลย ให้อ่านออกเสี ยงสระ อะ ทุกแห่ง เช่น
นววิธ อ่านว่า นะ-วะ-วิ-ธัง
ปน อ่านว่า ปะ-นะ
๓) พยัญชนะที่มี พินทุ ( ฺ ) อยูข่ า้ งล่าง แสดงว่าพยัญชนะตัวนั้นเป็ นตัวสะกด ให้อ่านออกเสี ยง
รวมกับสระของพยัญชนะที่อยูข่ า้ งหน้า เช่น
ภิกขู (ภิ+ก=ภิก) อ่านว่า ภิก-ขู
โหนติ (โห+น=โหน) อ่านว่า โหน-ติ
ถ้าพยัญชนะที่อยูข่ า้ งหน้าไม่มีสระใดๆ กากับอยูเ่ ลย พินทุ ( ฺ ) นั้นจะเท่ากับไม้หันอากาศ
เช่น
ตตถ (ตะ+ต=ตัต) อ่านว่า ตัต-ถะ
อฏฐ (อะ+ฏ=อัฏ) อ่านว่า อัฏ-ฐะ
๔) พยัญชนะที่มี นิคหิต ( ฺ ) อยูข่ า้ งบนและมีสระกากับอยูด่ ว้ ย ให้อ่านออกเสี ยงมี ง เป็ นตัวสะกด
เช่น
กึ (กิ+ง=กิง) อ่านว่า กิง
กาตุ (ตุ+ง=ตุง) อ่านว่า กา-ตุง
ถ้าพยัญชนะที่มี นิคหิต ( ฺ ) อยูข่ า้ งบน แต่ไม่มีสระใดๆ กากับอยูเ่ ลย นิคหิต ( ฺ ) นั้นจะเท่ากับ
อัง เช่น
วตต (ตะ+ง=ตัง) อ่านว่า วัต-ตัง
อย (ยะ+ง=ยัง) อ่านว่า อะ-ยัง
๕) พยัญชนะตัวหน้าที่มี พินทุ ( ฺ ) อยูข่ า้ งล่าง ให้อ่านออกเสี ยงสระ อะ กึ่งเสี ยง เช่น
เทฺว อ่านว่า ท๎-เว
พยตต อ่านว่า พ๎-ยัต-ตัง
๖) ถ้ามี ร อยูห่ ลังพยัญชนะที่มี พินทุ ( ̣ ) อยูข่ า้ งล่าง ให้อ่านออกเสียงควบกล้ากัน เช่น
๒
พยายามงดเว้นความชัว่ โดยเด็ดขาด
๑.๔ วิธีการแต่งกระทู้ธรรม
มีการแต่งกระทูธ้ รรมอยู่ ๒ แบบ คือ
๑) แบบตั้งวง คือ อธิบายความหมายของธรรมข้อนั้น ๆ เสี ยก่อนแล้วจึงขยายความออกไป
๒) แบบตีวง คือ บรรยายเนื้อความไปก่อนแล้ว จึงวกเข้าหาความหมายของกระทูธ้ รรมนั้น
ส่วนมากผูแ้ ต่งกระทูธ้ รรม มักจะนิยมแต่งแบบที่ ๑ คือ แบบตั้งวง อธิบายความหมายภาษิต
นั้นก่อนแล้วจึงขยายความให้ชดั เจนต่อไป
๑.๕ ภาษาในการเขียนเรียงความ
๑) ใช้ภาษาเขียนที่ถูกต้อง มีประธาน มีกริ ยา มีกรรม
๒) ไม่ใช้ภาษาตลาด ภาษาแสลง
๓) ไม่ใช้ภาษาพื้นเมือง หรื อภาษาท้องถิ่น
๔) ไม่ใช้ภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ เป็ นต้น
๑.๖ สานวนโวหารในการเขียนเรียงความ
สานวนโวหารมี ๔ แบบ คือ
๑) พรรณนาโวหาร ได้แก่ การพรรณนาความ คือ เล่าเรื่ องที่ได้เห็นมาแล้วด้วยความมุ่งหวัง
ให้ไพเราะ เพลิดเพลินบันเทิง
๒) บรรยายโวหาร ได้แก่ การอธิบายข้อความที่ยอ่ ซึ่งยังเคลือบแคลงอยูใ่ ห้แจ่มแจ้งหรื อ
พิสดาร
๓) เทศนาโวหาร ได้แก่ การแต่งทานองการสอน คือ ชี้แจงหลักธรรมนั้น
๔) สาธกโวหาร ได้แก่ การบรรยายข้อเปรี ยบเทียบ คือ นาข้ออุปมาอุปไมยมาเทียบเคียง
สานวนที่นิยมใช้ในการเขียนเรี ยงความคือ แบบเทศนาโวหาร มีหลักการเขียน ดังนี้
๑) ข้อความที่เขียนนั้นจะต้องมีเหตุผลใช้เป็ นหลักฐานอ้างอิงได้
๒) มีอุทาหรณ์และหลักคติธรรม
๓) ผูเ้ ขียนจะต้องแสดงให้เห็นว่า ตนมีลกั ษณะและคุณสมบัติพอเป็ นที่เชื่อถือได้
๑.๗ หลักเกณฑ์ การเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม
๑) กระทู้ต้งั คือ ธรรมภาษิตที่เป็ นปัญหาที่ยกขึ้นมาก่อนสาหรับให้แต่งแก้ เช่น
ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ.
๔
อธิบายความว่า -------------------------------------
---------------------------------------------------
----------------(เขียนอธิบายประมาณ ๑๐ บรรทัด)---------------
--------------------------
สรุปความว่า --------------------------------------
---------------------------------------------------
----------------(เขียนอธิบายประมาณ ๕-๘ บรรทัด)--------------
---------------------------------------------------
-------------------- สมด้วยธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น ว่า
(กระทู้ตั้ง)------------------.
(คำแปลกระทู้ตั้ง)----------------.
มีนัยดังได้พรรณนามาด้วยประการฉะนี้ ฯ
๑.๙ ตัวอย่างการเขียนอธิบายหัวข้ อกระทู้ธรรม
ตัวอย่างที่ ๑
โกธสฺ ส วิสมูลสฺ ส มธุรคฺคสฺ ส พฺราหฺมณ
วธํ อริยา ปสํสนฺติ ตญฺหิเฉตฺวา น โสจติ.
พราหมณ์ ! พระอริยเจ้ าย่อมสรรเสริญผู้ฆ่าความโกรธ ซึ่งมีโคนเป็ นพิษปลายหวาน
เพราะคนตัดความโกรธนั้นได้แล้วย่อมไม่เศร้ าโศก.
(พุทฺธ) ส. ส. ๑๕/๒๓๖.
อธิบายความว่ า ความโกรธ หมายถึง ความขุ่นเคือ งใจ ความไม่พอใจอย่างแรง ที่
เกิดขึ้นจากการประสบอารมณ์หรื อสิ่ งที่ไม่ชอบใจ เช่น ถูกคนอื่นตาหนิ ถูกด่า เป็ นต้น ความโกรธนี้
เกิดขึ้นได้ง่าย ดับยาก และมีโทษร้ายแรง เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทาลายสติปัญญา ไม่คานึ งถึงศีลธรรม
ความโกรธมีรากเป็ นพิษมียอดหวาน หมายถึง ความโกรธมีรากมาจากความหลง (โมหะ) ความไม่
พอใจ (อรติ) ความหงุดหงิดราคาญ (ปฏิฆะ) สิ่ งเหล่านี้ลว้ นเป็ นพิษแก่ร่างกายและจิตใจทั้งสิ้น ทาให้
โรคหัวใจกาเริ บ ทาให้ประสาทตึงเครี ยด จิตใจเร่ าร้อน อยากทาลายสิ่ งของ อยากทาร้ายผูอ้ ื่น เมื่อได้
ทาลายหรื อทาร้ายแล้ว ความโกรธจะสงบลง เพราะได้ระบายความร้อนภายในออกแล้ว รู้สึกสบาย
ใจขึ้น เหมือ นน้ าเดื อ ดที่มีทางระบาย อาการแบบนี้ เรี ยกว่า มียอดหวาน (มธุ รัคคะ) แต่ในที่สุดก็
๗
๑.๑๐ กระทู้ยอดนิยม
กระทู้ที่ ๑
ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ.
บุคคลหว่านพืชเช่ นใด ย่อมได้ผลเช่ นนั้น
ผู้ทํากรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทํากรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว.
ที่มา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค.
อธิบายความว่ า คาว่า ทาดี คือ ทาสุ จริ ต ๓ ได้แก่ ๑) กายสุ จริ ต ความประพฤติดีทาง
กาย มีการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เป็ นต้น ๒) วจีสุจริ ต ความประพฤติดีทางวาจา มีการพูดคาสัตย์
เป็ นต้น ๓) มโนสุ จริ ต ความประพฤติดีทางใจ มีการไม่เพ่งเล็งอยากได้ของของผูอ้ ื่น เป็ นต้น คาว่า
ทาชั่ว คือ ทาทุจริ ตทั้ง ๓ คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ธรรมดาบุคคลหว่านพืชเมื่อถึงฤดูทานา
ย่อมไถและหว่านข้าวลงในนา เพราะมีน้ าหรื อฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวที่หว่านไว้ก็เจริ ญงอกงาม
และออกรวง ผูก้ ระทาความดี ผูน้ ้ นั ย่อมได้รับผลดีคือไม่ตอ้ งกลัวเดือดร้อน เพราะกรรมที่ตนกระทา
ไว้ดี ผลที่ได้รับคือความสุ ข ความสบายและมีสุคติเป็ นเบื้อ งหน้า แต่ผูท้ ี่กระทากรรมชั่วคือ กรรม
ลามก เขาก็ได้รับผลชั่วตามที่ได้ประกอบกรรมทาชั่วไว้เป็ นความทุกข์ความเดือดร้อนในโลกนี้ แม้
ละจากโลกนี้แล้วก็ยอ่ มประสบกับความเร่ าร้อนในอบาย
กระทู้ที่ ๒
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุ ทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ.
ตนแล เป็ นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่า จะเป็ นทีพ่ ึ่งได้
ก็บุคคลมีตนฝึ กฝนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่หาได้โดยยาก.
ที่มา ขุททกนิกาย ธรรมบท.
อธิบายความว่ า ตน หมายถึง ร่ างกายและจิ ตใจ ที่เรี ยกว่าอัตภาพหรื อตัวตนของเรา
เป็ นที่พ่งึ ของตน หมายถึง ให้พ่งึ ตัวเองให้มาก ในขอบเขตที่สามารถทาได้ ในขณะที่ยงั อยูใ่ นวัยหรื อ
ในภาวะหนึ่ งๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนให้คนเราพึ่งตนเอง ซึ่ งทาได้ ๒ อย่าง คือ ๑) ทาง
ร่ างกาย อาศัยแรงกายทางานประกอบสัมมาอาชี พดารงชี วิตเพื่อ ให้ชีวิตดารงอยู่ได้ ๒) ทางจิ ตใจ
อาศัยร่ างกายนี้เป็ นส่วนหนึ่ งที่จะตอบสนองให้ทาสิ่ งต่างๆ เช่น ทาความดี ทาบุญกุศล ที่พ่งึ อย่างอื่น
ที่คนเราจะยึดเป็ นที่พ่งึ ไปตลอดชีวิต ไม่ว่า บิดามารดา ครู อาจารย์ ย่อมจะทาได้โดยยาก การสั่งสม
๑๑
ทรัพย์สินเงินทองไว้เพื่อให้เราพึ่งตนเองได้ในโลกนี้ เพราะเมื่อสิ้นชีวิตลงทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถ
นาติดตัวไปได้ ส่ วนการสั่งสมบุญกุศลเป็ นการทาที่พ่ึงให้แก่ตนเองในโลกหน้า ดังนั้น เราจึงต้อ ง
ทาบุญด้วยตนเอง อย่าไปหวังพึ่งผูอ้ ื่น เพราะเมื่อละจากโลกนี้ ไปแล้ว ย่อมได้ไปเกิดในสุ คติ โลก
สวรรค์
กระทู้ที่ ๓
โย จ วสฺ สสตํ ชีเว กุสีโต หีนวีริโย
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย วิริยํ อารภโต ทฬฺ หํ.
ผู้เกียจคร้ าน มีความเพียรเลว พึงเป็ นอยู่ต้งั ร้ อยปี
ส่ วนผู้ปรารภความเพียรมัน่ คง มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวประเสริฐกว่า.
ที่มา ขุททกนิกาย ธรรมบท.
อธิบายความว่ า คาว่า เกียจคร้าน คือ การไม่อยากทางาน ผัดวันประกันพรุ่ งให้ เวลา
ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ คาว่า มีความเพียรเลว คือ เพียรพยายามทาความไม่ดี มีการลักขโมย
ปล้น จี้ วิ่งราวทรัพย์ เบียดเบียนผูอ้ ื่น ทาความเดือดร้อนให้ผูอ้ ื่น ชอบทางานที่ไร้ประโยชน์ คาว่า ผู ้
ปรารภความเพียรมัน่ คง คือ คนที่มีความพยายามทาสิ่ งที่เป็ นบุญกุศลหมัน่ ทาความเพียรเพื่อชาระ
จิตใจให้สะอาดหมดจด ดังนั้นผูท้ ี่เกียจคร้าน เพียรทาสิ่ งชั่วไม่ทาสิ่ งที่ดีงาม ถึงมีอายุยืนเป็ นร้อยปี ก็
เปล่าประโยชน์ ไม่มีใครๆ ต้องการ เมื่อ ตายไปย่อ มไปอบายภูมิ มีนรก เป็ นต้น ส่ วนผูท้ ี่ มีความ
ขยันหมัน่ เพียรประกอบบุญกุศล มีความเพียรมัน่ คง ปรารภความเพียรมัน่ คง ประพฤติปฏิบตั ิธรรม
เมื่อตายไปย่อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์
กระทู้ที่ ๔
ปุญฺญญฺเจ ปุริโส กยิรา กยิราเถนํ ปุนปฺปุนํ
ตมฺหิ ฉนฺทํ กยิราถ สุ โข ปุญฺญสฺ ส อุจฺจโย.
ถ้าบุคคลจะกระทําบุญ ควรทําบุญนั้นบ่ อย ๆ
ควรทําความพอใจในบุญนั้น การสั่งสมบุญนําความสุ ขมาให้ .
ที่มา ขุททกนิกาย ธรรมบท.
อธิบายความว่ า บุญ หมายถึง สิ่ งเกิดขึ้นในจิตใจ แล้วทาให้จิตใจใสสะอาดบริ สุท ธิ์
ปราศจากความเศร้าหมองขุ่นมัว บุญเป็ นชื่อของความสุขและความสาเร็ จ เป็ นผลจากการประกอบ
กรรมดี เกิดขึ้นได้ดว้ ยอาการ ๓ อย่าง คือ ๑) ทานมัย บุญสาเร็จด้วยการให้ทาน ๒) ศีลมัย บุญสาเร็ จ
ด้วยการรักษาศีล ๓) ภาวนามัย บุญสาเร็ จด้วยการเจริ ญสมาธิ คนทัว่ ไปแม้จะมองไม่เห็นบุญ แต่
สามารถรู้ อาการของบุญหรื อผลของบุญได้ว่าเกิดขึ้นแล้วทาให้จิตใจชุ่ มชื่ นเป็ นสุ ข และสามารถ
๑๒
ติ ด ตามผู ้ที่ ทาบุญ เหมือ นเงาติ ด ตามตัว อี ก ทั้ง บุ ญ ยังเป็ นของเฉพาะตน อยากได้ต้อ งท าเอง ไม่
สามารถให้ใครทาแทนได้ บุญสามารถสั่งสมได้ด้วยการทาความดี การทาบุญจึงควรทาความพึง
พอใจ ควรมีอุตสาหะขวนขวายในบุญ เพราะการสั่งสมบุญ ชื่อว่าทาให้เกิดความสุข
กระทู้ที่ ๕
สพฺพปาปสฺ ส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ.
การไม่ทําบาปทั้งปวง ๑ การยังกุศลให้ ถึงพร้ อม ๑
การทําจิตของตนให้ ผ่องแผ้ว ๑ นี้เป็ นคําสอนของพระพุทธเจ้ าทั้งหลาย.
ที่มา ขุททกนิกาย ธรรมบท.
อธิบายความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางหลักการปฏิบตั ิตนให้พุทธศาสนิกชนไว้
๓ ประการ คือ ๑) การไม่ทาบาปทั้งปวง หมายถึง การไม่ประพฤติชวั่ ทางกาย วาจา ใจ คือ ไม่ทาสิ่ ง
ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผูอ้ ื่น ๒) การยังกุศลให้ถึงพร้อม หมายถึง การประพฤติ
ชอบทางกาย วาจา ใจ คือ ทาสิ่ งที่ก่อให้เกิดความสุ ข ความเจริ ญ แก่ตนเองและผูอ้ ื่น ๓) การทาจิต
ของตนให้ผ่องแผ้ว หมายถึง การอบรมจิ ตใจของตนเองให้บริ สุทธิ์ สะอาด ปราศจากเครื่ องเศร้า
หมอง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ทรงอุบตั ิข้ นึ ในโลกนี้ ก็ลว้ น
ทรงประทานโอวาท ๓ ข้อ นี้ อ ันเป็ นหัวใจของพระพุทธศาสนา ให้แก่มหาชนได้ยึดถือเป็ นหลัก
ปฏิบตั ิในการดาเนิ นชีวิตที่ถูกต้อง เพื่อให้สามารถล่วงพ้นจากทุกข์และมีสุขในปั จจุบนั และในภพ
ชาติต่อไปจนกระทัง่ เข้าสู่พระนิพพาน
๑.๑๑ ตัวอย่างการเขียนกระทู้ธรรม
ยสํ ลทฺธาน ทุมฺเมโธ อนตฺถํ จรติ อตฺตโน
อตฺตโน จ ปเรสญฺจ หึสาย ปฏิปชฺชติ.
คนมีปัญญาทราม ได้ยศแล้วย่อมประพฤติสิ่งที่ไม่เป็ นประโยชน์ แก่ตน
ย่อมปฏิบัติเพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่น.
บัดนี้จักได้ บรรยายขยายความตามธรรมภาษิตที่ได้ ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้ น
เพื่อเป็ นแนวทางแห่ งการประพฤติปฏิบัติของสาธุชนผู้ใคร่ ในธรรมสื บไป
อธิบายความว่ า คาว่า คนมีปัญญาทราม หมายถึง คนโง่เขลาเบาปั ญญา
เพราะไม่สนใจศึกษาเล่าเรี ยน คนประเภทนี้เมื่อได้ยศ ตาแหน่งมาด้วยเหตุใดๆ ก็
๑๓
ปี ๒๕๕๔
อคฺ คสฺ มึ ทานํททตํ อคฺ คปํ ุญฺญปํ วฑฺฒติ
อคฺ คอํ ายุ จ วณฺ โณ จ ยโส กิตฺติ สุ ข ํ พลํ.
เมื่อให้ทานในวัตถุอนั เลิศ บุญอันเลิศ
อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุข และกาลังอันเลิศ ก็เจริ ญ.
ขุ.อิติ. ๒๕/๒๙๙
ปี ๒๕๕๕
อุทพินฺทุนิปาเตน อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
อาปูรติ พาโล ปาปสฺ ส โถกํ โถกํปิ อาจิน.ํ
แม้หม้อน้ ายังเต็มด้วยหยาดน้ าฉันใด คนเขลาสั่งสมบาป
แม้ทีละน้อย ๆ ก็เต็มด้วยบาปฉันนั้น.
ขุ.ธ. ๒๕/๓๑
ปี ๒๕๕๖
มธุวา มญฺ ญตี พาโล ยาว ปาปํ น จฺจติ
ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ อถ ทุกฺข ํ นิคจฺฉติ.
ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน
แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น.
ขุ.ธ. ๒๕/๒๔
ปี ๒๕๕๗
โย จ วสฺ สสตํ ชีเว ทุปฺปญฺ โญ อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิต ํ เสยฺโย ปญฺ ญวนฺ ตสฺ ส ฌายิโน.
ผูใ้ ดมีปัญญาทราม มีใจไม่มนั่ คง พึงเป็ นอยู่ต้งั ร้อยปี
ส่ วนผูม้ ีปัญญาเพ่งพินิจ มีชีวิอยูเ่ พียงวันเดียว ดีกว่า
ขุ.ธ. ๒๕/๒๙.
๑๗
ปี ๒๕๕๘
อวณฺ ณญฺ จ อกิตฺติญฺจ ทุสฺสีโล ลภเต นโร
วณฺ ณํ กิตฺต ํ ปสํสญฺ จ สทา ลภติ สีลวา.
คนผูท้ ุศีล ย่อมได้รับความติเตียน และความเสี ยชื่อเสี ยง
ส่ วนผูม้ ีศีล ย่อมได้รับชื่อเสี ยงและความยกย่องสรรเสริ ญทุกเมื่อ.
(สี ลวตฺเถร) ขุ. เถร. ๒๖/๓๕๗.
ปี ๒๕๕๙
อจฺจยนฺ ติ อโหรตฺ ตา ชีวิต ํ อุปรุ ชฺฌติ
อายุ ขียติ มจฺจานํ กุนนฺ ทีนวํ โอทกํ.
วันคืนย่อมล่วงไป ชีวิตย่อมหมดเข้าไป
อายุของสัตว์ยอ่ มสิ้ นไป เหมือนน้ าแห่งแม่น้ าน้อยๆ ฉะนั้น.
ขุ.มหา. ๒๙/๑๔๔
ปี ๒๕๖๐
เอโกปิ สทฺโธ เมธาวี อสฺ สทฺธานํ จ ญาตินํ
ธมฺ มฏฺโฐ สี ลสมฺ ปนฺ โน โหติ อตฺ ถาย พนฺ ธุน.ํ
ผูม้ ีศรัทธา มีปัญญา ตั้งในธรรม ถึงพร้อมด้วยศีล แม้คนเดียว
ย่อมเป็ นประโยชน์แก่ญาติและพวกพ้องผูไ้ ม่มีศรัทธา.
(ปสฺ สิกเถร) ขุ. เถร. ๒๖/๓๐๖.
ปี ๒๕๖๑
อาทิ สี ล ํ ปติฏฺฐา จ กลฺ ยาณานญฺ จ มาตุก ํ
ปมุข ํ สพฺพธมฺ มานํ ตสฺ มา สีล ํ วิโสธเย.
ศีลเป็ นที่พ่ งึ เบื้องต้น เป็ นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็ นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้น ควรชาระศีลให้บริ สุทธิ์.
(สี ลวตฺเถร) ขุ. เถร. ๒๖/๓๕๘.
๑๘
ปี ๒๕๖๒
มธุวา มญฺ ญตี พาโล ยาว ปาปํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ อถ ทุกฺข ํ นิคจฺฉติ.
ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน
แต่บาปให้ผลเมื่อใดคนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น.
ขุ. ธ. ๒๕/๒๔.
ปี ๒๕๖๓
อคฺ คทายี วรทายี เสฏฺฐทายี จ โย นโร
ทีฆายุ ยสวา โหติ ยตฺ ถ ยตฺ ถูปปชฺ ชติ.
ผูใ้ ห้สิ่งที่เลิศ ให้สิ่งที่ดี ให้สิ่งที่ประเสริ ฐ
ย่อมเป็ นผูม้ ีอายุยืน มียศในภพที่ตนเกิด.
องฺ. ปญฺ จก. ๒๒/๕๖.
ปี ๒๕๖๔
อตฺ ตานญฺ เจ ตถา กยิรา ยถญฺ ญมนุสาสติ
สุ ทนฺ โต วต ทเมถ อตฺ ตา หิ กิร ทุทฺทโม.
ถ้าสอนผูอ้ ื่นฉันใด พึงทาตนฉันนั้น
ผูฝ้ ึ กตนดีแล้ว ควรฝึ กผูอ้ ื่น ได้ยินว่าตนแลฝึ กยาก..
ขุ. ธ.. ๒๕/๓๖.
๑๙
๒.๑ วิชาธรรมวิภาค
ทุกะ คือ หมวด ๒
๑. พระอริยบุคคล ๘ จาพวก จาพวกไหนชื่ อว่า พระเสขะ และพระอเสขะ ? (๒๕๕๙)
ตอบ : ๑. พระอริ ยบุคคล ๗ จาพวกเบื้องต้น ชื่อว่า พระเสขะ เพราะเป็ นผูย้ งั ต้องปฏิบตั ิ
เพือ่ บรรลุมรรคผลเบื้องสูง ฯ
๒. พระอริ ยบุคคลผูต้ ้งั อยูใ่ นอรหัตตผล ชื่อว่า พระอเสขะ เพราะเสร็จกิจอันจะต้อง
ทาแล้ว ฯ
๒. ในอริยบุคคล ๒ พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาเรื่ องอะไร ? ผู้ศึกษากาลังสอบธรรมอยู่นี้
เรียกว่าพระเสขะได้หรื อไม่ ? (๒๕๕๔)
ตอบ : ๑. พระเสขะผูย้ งั ต้องศึกษา คือ ศึกษาในอธิสีล ในอธิจิต และในอธิปัญญา
อีกอย่างหนึ่งหมายถึงต้องศึกษาและต้องปฏิบตั ิเพื่อมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไป ฯ
๒. ผูศ้ ึกษากาลังสอบธรรมยังเรี ยกว่าพระเสขะไม่ได้ ถ้าไม่ใช่พระอริ ยบุคคล ๗
จาพวกเบื้องต้น ฯ
๓. สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน มุ่งผลแห่ งการปฏิบัติอย่างไร ?( ๒๕๖๓, ๒๕๕๘)
ตอบ : ๑. สมถกรรมฐานมุ่งผลคือความสงบใจ
๒. วิปัสสนากรรมฐานมุ่งผลคือความเรื องปัญญา ฯ
๔. กัมมัฏฐานที่พระอุปัชฌาย์สอนแก่ผ้ขู อบรรพชาอุปสมบทว่า เกสา โลมา นขา ทนตา ตโจ ตโจ
ทนตา นขา โลมา เกสา นั้นเรียกชื่ อว่าอะไร ? เป็ นสมถกัมมัฏฐานหรื อวิปัสสนากัมมัฏฐาน ?
(๒๕๕๕)
ตอบ : ๑. ชื่อว่า ตจปัญจกกรรมฐาน หรื อมูลกัมมัฏฐาน ฯ
๒. เป็ นได้ท้งั สมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
๕. ตจปัญจกกัมมัฏฐาน มีอะไรบ้ าง ? เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอย่างไร ? เป็ นอารมณ์ของสมถ
กัมมัฏฐานหรื อของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ? (๒๕๖๔, ๒๕๕๗, ๒๕๕๒)
ตอบ : ๑. ตจปัญจกกัมมัฏฐาน ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา และตโจ ฯ
๒. เรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า มูลกัมมัฏฐาน ฯ
๓. เป็ นได้ท้งั สมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน คือ ถ้ากาหนดยังจิตให้สงบ
ด้วยภาวนา เป็ นสมถะ, ถ้าพิจารณาถึงความเปลี่ยนแปลงไป ไม่เที่ยง เป็ นทุกข์
จัดเป็ นวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
๒๐
และพระอรหันต์ ฯ
๒. พระอรหันต์ละอวิชชาได้เด็ดขาด ฯ
๘. อริยวงศ์ คืออะไร มีกี่อย่าง ข้อที่ ๔ ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๕)
ตอบ : ๑. อริ ยวงศ์ คือ ปฏิปทาของพระอริ ยบุคคลผูเ้ ป็ นสมณะ มี ๔ อย่าง ฯ
๒. ข้อที่ ๔ ว่า ยินดีในการเจริ ญกุศลและในการละอกุศล ฯ
๙. ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็ นสมณะ เรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้ าง ? (๒๕๖๒)
ตอบ : ๑. เรี ยกว่า อริ ยวงศ์ ฯ
๒. มี ๔ อย่าง ได้แก่
๑) สันโดษด้วยจีวรตามมีตามเกิด
๒) สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามเกิด
๓) สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามเกิด
๔) ยินดีในการเจริ ญกุศลและในการละอกุศลฯ
๑๐. อุปาทาน คืออะไร ? การถือเราถือเขาด้วยอานาจมานะ จนเป็ นเหตุถือพวก จัดเป็ นอุปาทานอะไร
ในอุปาทาน ๔ ? (๒๕๖๔, ๒๕๕๘)
ตอบ : ๑. อุปาทาน คือ การถือมัน่ ข้างเลว ได้แก่ ถือรั้น ฯ
๒. จัดเป็ น อัตตวาทุปาทาน ฯ
๑๑. กิเลส ชื่ อว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๕๗)
ตอบ : ๑. โอฆะ คือ ห้วงน้ าใหญ่ ย่อมพัดพาสิ่ งต่างๆ ไปด้วยกระแสของตน
เช่นเดียวกับกิเลส
๒. โยคะ คือ กิเลสเครื่ องผูกสัตว์ไว้ในวัฏฏะ
๓. อาสวะ คือ กิเลสที่หมักหมมหรื อดองอยูใ่ นสันดาน ไหลซึมซ่านไปย้อมจิตเมื่อ
ประสบอารมณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดชื่อว่า กิเลสฯ
๑๒. กาม ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา ได้ชื่อว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ : ๑. ได้ชื่อว่า โอฆะ เพราะเป็ นดุจกระแสน้ าอันท่วมใจสัตว์
๒. ได้ชื่อว่า โยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ
๓. ได้ชื่อว่า อาสวะ เพราะเป็ นสภาพหมักหมมอยูใ่ นสันดาน ฯ
๑๓. กิจในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้ าง ? (๒๕๖๒)
ตอบ : ๑. กิจในอริ ยสัจ ๔ ได้แก่
๑) ปริ ญญา กาหนดรู้ทุกขสัจ
๒) ปหานะ ละสมุทยั สัจ
๒๙
๓) สัจฉิกรณะ ทาให้แจ้งนิโรธสัจ
๔) ภาวนา ทามัคคสัจให้เกิด ฯ
๑๔. ทักขิณา คืออะไร ? ทักขิณานั้น จะบริสุทธิ์หรื อไม่บริสุทธิ์ ในฝ่ ายทายกและในฝ่ ายปฏิคาหกนั้น
มีอะไรเป็ นเครื่ องหมาย ? (๒๕๕๔)
ตอบ : ๑. ทักขิณา คือ ของทาบุญ ฯ
๒. ทักขิณาจะบริ สุทธิ์ มีศีล มีกลั ยาณธรรมเป็ นเครื่ องหมาย
๓. ทักขิณาจะไม่บริ สุทธิ์ มีทุศีล มีบาปธรรมเป็ นเครื่ องหมาย ฯ
๑๕. ทักขิณาวิสุทธิ มีอะไรบ้ าง ? อย่างไหนให้ อานิสงส์ มากที่สุด ? (๒๕๕๖)
ตอบ : ๑. ทักขิณาวิสุทธิ มี ๔ อย่าง ได้แก่
๑) ทักขิณาบางอย่าง บริ สุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริ สุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
๒) ทักขิณาบางอย่าง บริ สุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริ สุทธิ์ฝ่ายทายก
๓) ทักขิณาบางอย่าง ไม่บริ สุทธิ์ท้งั ฝ่ ายทายก ทั้งฝ่ ายปฏิคาหก
๔) ทักขิณาบางอย่าง บริ สุทธิ์ ท้งั ฝ่ ายทายก ทั้งฝ่ ายปฏิคาหก ฯ
๒. อย่างที่ ๔ คือ ทักขิณาที่บริ สุทธิ์ ท้งั ฝ่ ายทายก ทั้งฝ่ ายปฏิคาหก ให้อานิสงส์มาก
ที่สุด ฯ
ปัญจกะ คือ หมวด ๕
๑. ธรรมมัจฉริยะ ความตระหนี่ธรรม มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ : ๑. ความตระหนี่ธรรม มีอธิบายว่า ความหวงธรรม หวงศิลปวิทยา ไม่ปรารถนาจะ
แสดงจะบอกแก่คนอื่น เกรงว่าเขาจะรู้เทียมตน ฯ
๒. มัจจุมารได้แก่อะไร ? ได้ชื่อว่าเป็ นมารเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๙)
ตอบ : ๑. มัจจุมาร ได้แก่ ความตาย ฯ
๒. ชื่อว่าเป็ นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น บุคคลย่อมหมดโอกาสที่จะทา
ประโยชน์ใด ๆ อีกต่อไป ฯ
๓. มารมีอะไรบ้ าง อกุศลกรรมจัดเป็ นมารประเภทใด ? (๒๕๕๒)
ตอบ : ๑. มาร มีดงั นี้
๑) ขันธมาร มารคือปัญจขันธ์
๒) กิเลสมาร มารคือกิเลส
๓) อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร
๔) เทวปุตตมาร มารคือเทวดา
๓๐
๕) มัจจุมาร มารคือความตาย
๒. อกุศลกรรมเป็ นมารประเภท อภิสังขารมาร ฯ
๔. ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่าเป็ นมาร เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๕, ๒๕๖๐)
ตอบ : เพราะปัญจขันธ์น้ นั บางทีทาความลาบากให้ อันเป็ นเหตุเบื่อหน่ายจนถึงฆ่าตัวตาย
เสี ยเองก็มี ฯ
๕. มาร ๕ คืออะไรบ้ าง ? ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่าเป็ นมารเพราะเหตุไร ? (๒๕๖๓)
ตอบ : ๑. มาร ๕ คือ ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และ เทวปุตตมาร ฯ
๒. เพราะปัญจขันธ์น้ นั บางทีทาความลาบากให้ อันเป็ นเหตุเบื่อหน่ายจนถึงฆ่าตัว
ตายเสี ยเองก็มี ฯ
๖. ในพระพุทธศาสนาพูดเรื่ องมารไว้มาก อยากทราบว่า คาว่า มาร หมายถึง อะไร ? กิเลสได้ชื่อว่า
มารเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ : ๑. มาร หมายถึง สิ่ งที่ลา้ งผลาญทาลายความดี ชักนาให้ทาบาปกรรม ปิ ดกั้นไม่ให้
ทาความดี จนถึงปิ ดกั้นไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่ งตามความเป็ นจริ ง ฯ
๒. กิเลสได้ชื่อว่ามาร เพราะผูท้ ี่ตกอยูใ่ นอานาจของกิเลสแล้ว ย่อมจะถูกผูกมัดไว้
บ้าง ถูกทาให้เสี ยคนบ้าง ฯ
๗. มาร ๕ คืออะไรบ้ าง ? กิเลสได้ชื่อว่ามารเพราะเหตุไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ : ๑. มาร ๕ คือ ปัญจขันธ์ กิเลส อภิสังขาร มรณะ และ เทวบุตร ฯ
๒. กิเลสได้ชื่อว่ามาร เพราะผูท้ ี่ตกอยูใ่ นอานาจแห่งกิเลสแล้ว ย่อมจะถูกผูกรัดไว้
บ้าง ถูกทาให้เสี ยคนบ้าง ฯ
๘. ชิวหาวิญญาณ และกายวิญญาณ เกิดขึน้ ได้เพราะอาศัยอะไรบ้ าง ? (๒๕๕๘)
ตอบ : ๑. ชิวหาวิญญาณ เกิดขึ้นเพราะอาศัยลิน้ กับรส (กระทบกัน)
๒. กายวิญญาณ เกิดขึ้นเพราะอาศัยกายกับโผฏฐัพพะ (กระทบกัน) ฯ
๙. ในวิมุตติ ๕ วิมุตติอย่างไหนเป็ นโลกิยะ อย่างไหนเป็ นโลกุตตระ ? (๒๕๖๐)
ตอบ : ๑. ตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ จัดเป็ นโลกิยะ
๒. สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ จัดเป็ นโลกุตตระ ฯ
๑๐. ความรู้สึกเฉยๆ ทางกาย กับความรู้สึกเฉยๆ ทางใจ จัดเข้าในเวทนา ๕ อย่างไร ? (๒๕๕๗)
ตอบ : จัดอยูใ่ นอุเบกขาฯ
๑๑. สังวรคืออะไร ? สติสังวร สารวมด้วยสติน้ัน มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๖๔, ๒๕๖๒)
ตอบ : ๑. สังวร คือ การสารวมระวังปิ ดกั้นอกุศล ฯ
๒. สติสังวร อธิบายว่า สารวมอินทรี ยม์ ีจกั ษุเป็ นต้น ระวังรักษามิให้อกุศลกรรม
๓๑
______________________________________________________________________________
๓๙
๒.๒ วิชาอนุพุทธประวัติ
๑. สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ และอนุพุทธะ ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๖๐)
พุทธบุคคล มีกี่ประเภท ? อะไรบ้ าง ? (๒๕๖๓)
ตอบ : ๑. สัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้เองโดยชอบ และสอนผูอ้ ื่นให้รู้ตาม
๒. ปัจเจกพุทธะ ตรัสรู้เฉพาะตน ไม่สอนผูอ้ ื่นให้รู้ตาม
๓. อนุพุทธะ ตรัสรู้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสัง่ สอน และสามารถสอนผูอ้ ื่นให้รู้ตาม
๒. อนุพุทธองค์แรก คือใคร ? สาเร็จเป็ นพระอรหันต์เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ ออะไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ : ๑. อนุพุทธองค์แรก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ฯ
๒. สาเร็จเป็ นพระอรหันต์เพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่อ อนัตตลักขณสูตร ฯ
๓. อนุพุทธองค์แรก คือใคร ? ได้ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ ออะไร ?
(๒๕๖๑)
ตอบ : ๑. อนุพุทธองค์แรก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ฯ
๒. ได้ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่อ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ฯ
๔. ประวัติอนุพุทธบุคคล มีความสาคัญต่อผู้ศึกษาอย่างไร ? (๒๕๕๙)
ตอบ : มีความสาคัญ คือ ทาให้ผศู ้ ึกษาได้รับความรู้ในจริ ยาวัตร และคุณความดีที่ท่านได้
บาเพ็ญมาตลอด จนถึงผลงานในการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาอันทาให้เจริ ญสื บ
มาถึงทุกวันนี้ นาให้เกิดความเลื่อมใสและความนับถือเป็ นทิฏฐานุคติอนั ดี
สามารถน้อมนามาปฏิบตั ิตามได้ ฯ
๕. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? มีความสาคัญอย่างไร ? (๒๕๖๔, ๒๕๖๑, ๒๕๕๖)
ตอบ : ๑. อนุพุทธบุคคล คือ สาวกผูต้ รัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ
๒. มีความสาคัญอนุพุทธบุคคลเป็ นสังฆรัตนะในรัตนะ ๓ เป็ นพยานยืนยันความ
ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเป็ นกาลังใหญ่ของพระพุทธเจ้าในอันช่วยประกาศพระ
ธรรม ประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็ นอันมาก ฯ
๖. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? เป็ นได้เฉพาะบรรพชิตหรื อเฉพาะคฤหัสถ์ ? (๒๕๖๒)
ตอบ : ๑. อนุพุทธบุคคล คือ สาวกของพระพุทธเจ้า ที่ท่านได้ตรัสรู้มรรคผลตาม
พระพุทธเจ้า ฯ
๒. เป็ นได้ท้งั บรรพชิตและคฤหัสถ์ ฯ
๔๐
การประกาศพระพุทธศาสนา ฯ
๒. นวกัมมาธิฏฐายี เป็ นนามของพระโมคคัลลานเถระ เพราะท่านเป็ นผูส้ ามารถ
กากับดูแลการก่อสร้าง ฯ
๔๓. พระสาวกองค์ใด เมื่อทราบว่าพระอาจารย์ของตนอยู่ในทิศใดก็นอนหันศี รษะไปทางทิศนั้น ?
การปฏิบัติเช่ นนั้นจัดเป็ นคุณธรรมอะไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ : ๑. พระสารี บุตร ฯ
๒. จัดเป็ นกตัญญูกตเวที ฯ
๔๔. พระสาวกรูปใดได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็ นผู้กตัญญูกตเวที ? (๒๕๕๖,๒๕๕๔)
จงแสดงตัวอย่างมาสัก ๒ เรื่ อง
ตอบ : ๑. พระสารี บุตรเถระ ฯ
๒. เรื่ องที่ ๑ พระสารี บุตรนับถือพระอัสสชิเป็ นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยูใ่ นทิศใด
ก่อนจะนอน ท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น
๓. เรื่ องที่ ๒ พระสารี บุตรระลึกถึงอุปการะของราธพราหมณ์ที่เคยถวายภิกษาแก่
ท่านทัพพีหนึ่ง ฯ
๔๕. พระโอวาทว่า “เราจักไม่ชูงวง เข้าไปสู่ สกุล” พระพุทธองค์ตรัสแก่พระสาวกองค์ใด? ที่ไหน ?
(๒๕๕๘)
ตอบ : ๑. ตรัสแก่พระมหาโมคคัลลานะ ฯ
๒. ที่บา้ นกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ ฯ
๔๖. พระมหากัสสปะ โดยปกติถือธุดงค์กี่อย่าง ? อะไรบ้ าง ? (๒๕๖๔, ๒๕๖๑)
ตอบ : ๑. ถือธุดงค์ ๓ อย่าง ฯ
๒. ได้แก่
๑) ใช้ผา้ บังสุกุลจีวรเป็ นวัตร
๒) ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็ นวัตร
๓) ถือการอยูป่ ่ าเป็ นวัตร ฯ
๔๗. พระสาวกองค์ใด เป็ นผู้มักน้ อยสันโดษอย่างยิ่ง ? ท่านทาใจอย่างไร ? (๒๕๕๙)
ตอบ : ๑. พระมหากัสสปะ ฯ
๒. ทาใจอย่างนี้ คือ เมื่อแสวงหาไม่ได้ ก็ไม่สะดุง้ ตกใจ เมื่อแสวงหาได้แล้วก็ไม่
กาหนัดยินดีในปัจจัย ๔ นั้น ฯ
๔๗
______________________________________________________________________________
๕๓
๒.๓ วิชาศาสนพิธี
หมวดที่ ๑ กุศลพิธี
๑. การศึกษาให้ เข้าใจในศาสนพิธี มีประโยชน์ อย่างไร ? (๒๕๖๒)
ตอบ : ๑. ทาให้เข้าใจเรื่ องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง
๒. ทาให้เห็นเป็ นเรื่ องสาคัญ ไม่ไร้สาระ
๓. ทาให้ปฏิบตั ิได้ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี ฯ
๒. วันธรรมสวนะ คือวันอะไร ? ทรงอนุญาตให้ มีในวันใดบ้ าง ? (๒๕๖๓, ๒๕๖๑)
ตอบ : ๑. วันธรรมสวนะ คือ วันกาหนดประชุมฟังธรรมทัว่ ไป เรี ยกว่า วันพระ
๒. เดือนหนึ่งมี ๔ วัน คือ วันขึ้น ๘ ค่า, วันขึ้น ๑๕ ค่า, วันแรม ๘ ค่า,
วันแรม ๑๕ ค่า ฯ
๓. การทาวัตรสวดมนต์ มีประโยชน์ อย่างไร ? จงอธิบาย (๒๕๖๒)
ตอบ : ๑. เป็ นอุบายสงบใจ ไม่ให้คิดวุ่นวายตามอารมณ์ได้ชวั่ ขณะที่ทาเมื่อทาประจาวัน
ละ ๒ เวลา ทั้งเช้าเย็น ครั้งละครึ่ งชัว่ โมง หรื อ ๑ ชัว่ โมงเป็ นอย่างน้อย ก็เท่ากับได้
ใช้เวลาสงบจิตได้ วันละไม่ต่ากว่า ๑ ใน ๒๔ ชัว่ โมง ฯ
๔. ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้ าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ : ๑. แสดงไว้ ๓ ประเภท ฯ
๒. ได้แก่ ๑) สังฆอุโบสถ ๒) ปาริ สุทธิอุโบสถ ๓) อธิษฐานอุโบสถ ฯ
๕. จงให้ ความหมายของคาต่อไปนี้ การเข้าพรรษา การออกพรรษา ฯ (๒๕๖๓, ๒๕๕๖)
ตอบ : ๑. การเข้าพรรษา หมายถึง การที่ภิกษุผูกใจว่าจะอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดเวลา ๓
เดือน ในฤดูฝน ไม่ไปค้างแรมให้ล่วงราตรี ในที่แห่งอื่นระหว่างผูกใจนั้น เว้นแต่
ไปด้วยสัตตาหกรณียะ ฯ
๒. การออกพรรษา หมายถึง กาลที่สิ้นสุดกาหนดอยูจ่ าพรรษาของภิกษุตามพระ
วินยั บัญญัติ มีพิธีเป็ นสังฆกรรมพิเศษโดยเฉพาะ เรี ยกโดยภาษาพระวินยั ว่า
ปวารณากรรม คือ การทาปวารณาของสงฆ์ผอู ้ ยูร่ ่ วมกันตลอดเวลา ๓ เดือน ฯ
๖. ธรรมเนียมของสงฆ์ที่พึงปฏิบัติชอบต่อกันเพื่อความสามัคคี เรียกว่าอะไร ? หมายถึงอะไร ?
(๒๕๖๔, ๒๕๕๙)
ตอบ : ๑. เรี ยกว่า สามีจิกรรม ฯ
๒. หมายถึง การขอขมาโทษ และการให้อภัยกัน ฯ
๕๔
______________________________________________________________________________
๕๗
๒.๔ วิชาวินัยมุข
อารัมภบท
๑. พระวินัยแบ่ งออกเป็ นกี่อย่าง ? อะไรบ้ าง ? (๒๕๕๗)
ตอบ : ๑. พระวินยั แบ่งเป็ น ๒ ประการ
๒. ได้แก่ ๑) อาทิพรหมจริ ยกาสิ กขา ๒) อภิสมาจาริ กาสิ กขา ฯ
๒. ภิกษุผ้ลู ะเมิดสิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๘)
ตอบ : ต้องอาบัติถุลลัจจัย และอาบัติทุกกฏ ฯ
๓. สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ที่เรียกว่า อภิสมาจาร แบ่ งเป็ น ๒ คือ เป็ นข้อห้ าม. เป็ นข้ออนุญาต
นั้น คืออย่างไร ? ปรับโทษแก่ผ้ลู ่วงละเมิดไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : ๑. อภิสมาจาร แบ่งเป็ น ๒ ได้แก่
๑) ที่เป็ นข้อห้าม คือ กิริยาบางอย่างหรื อบริ ขารบางประเภทไม่เหมาะแก่สมณ
สารู ป จึงทรงห้ามไม่ให้กระทาหรื อใช้บริ ขารเช่นนั้น เช่น ห้ามไม่ให้ไว้ผมยาว
ไม่ให้ไว้หนวดเครายาว ไม่ให้ใช้บาตรไม้ เป็ นต้น
๒) ที่เป็ นข้ออนุญาต คือ เป็ นการประทานประโยชน์พิเศษแก่พระภิกษุ เช่น
ทรงอนุญาต ผ้าวัสสิ กสาฎกในฤดูฝน เป็ นต้น ฯ
๒. ปรับโทษโดยตรงมีเพียง ๒ คือ อาบัติถุลลัจจัย, อาบัตทิ ุกกฏ แม้ในข้อที่ทรง
อนุญาต เมื่อไม่ทาตามก็เป็ นอาบัติทุกกฏ เพราะไม่เอื้อเฟื้ อ ฯ
๔. สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์ เรียกว่าอะไร ? ทรงบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์ อะไร ? (๒๕๖๒,
๒๕๖๐)
ตอบ : ๑. สิ กขาบทนอกพระปาฏิโมกข์ เรี ยกว่า อภิสมาจาร ฯ
๒. ทรงบัญญัติไว้เพื่อความเป็ นระเบียบเรี ยบร้อยของภิกษุ และเพื่อความงามของ
พระศาสนา เช่นเดียวกับตระกูลใหญ่ จาต้องมีขนบธรรมเนียมและระเบียบไว้รักษา
เกียรติ และความเป็ นผูด้ ีของตระกูล ฯ
๕. อภิสมาจารคืออะไร ? ภิกษุผ้ไู ม่เอื้อเฟื้ อในอภิสมาจารมีโทษอย่างไรบ้ าง ? (๒๕๖๓, ๒๕๖๑,
๒๕๕๙)
ตอบ : ๑. อภิสมาจาร คือ ธรรมเนียมหรื อมารยาทที่ดีงามของภิกษุ ฯ
๒. มีโทษปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็ นอย่างสูง แต่มีนอ้ ย ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฎเป็ น
พื้น
๕๘
ทัพพสัมภาระมาปฏิสังขรณ์
๔. ทายกต้องการจะบาเพ็ญกุศล ส่งมานิมนต์ ไปเพื่อบารุ งศรัทธาของเขา
หรื อแม้ธุระอื่นนอกจากนี้ที่เป็ นกิจลักษณะ อนุโลมตามนี้ ฯ
๖. ภิกษุอยู่จาพรรษาแล้ว มีเหตุไปที่อื่น ผูกใจจะกลับมาให้ ทันในวันนั้น แต่กลับมาไม่ทัน เช่ นนี้
พรรษาขาดหรื อไม่ ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๙)
ตอบ : ๑. ถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด
๒. เพราะยังอยูใ่ นพระพุทธานุญาตนั้นเอง ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่
ธุระที่เป็ นสัตตาหกรณียะพรรษาขาด ฯ
๗. ภิกษุอยู่จาพรรษาครบ ๓ เดือน จนได้ปวารณา ย่อมได้อานิสงส์ แห่ งการจาพรรษาอะไรบ้ าง ?
(๒๕๕๕)
ตอบ : ๑. ได้รับอานิสงส์ ๕ อย่าง คือ
๑. เที่ยวไปไม่ตอ้ งบอกลาตามสิ กขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรคในปาจิตติยกัณฑ์
๒. เที่ยวจาริ กไปไม่ตอ้ งถือเอาไตรจีวรไปครบสารับ
๓. ฉันคณโภชน์ (การฉันอาหารเป็ นหมู่) และปรัมปรโภชน์ (โภชนะทีหลัง) ได้
๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่น้ นั เป็ นของได้แก่พวกเธอ
ทั้งได้โอกาสเพื่อกรานกฐิน และรับอานิสงส์ ๕ นั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือนตลอด
เหมันตฤดู ฯ
กัณฑ์ ที่ ๑๗ อุโบสถ ปวารณา
๑. ในวัดหนึ่งมีภิกษุอยู่กัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ?(๒๕๕๓,
๒๕๕๖)
ตอบ : ๑. มีภิกษุ ๔ รู ป พึงประชุมกันในอุโบสถ สวดปาติโมกข์
๒. มีภิกษุ ๓ รู ป พึงประชุมกันทาปาริ สุทธิอุโบสถ รู ปหนึ่งสวดประกาศญัตติจบ
แล้ว แต่ละรู ปพึงบอกความบริ สุทธิ์ของตน
๓. มีภิกษุ ๒ รู ป ไม่ตอ้ งตั้งญัตติ พึงบอกความบริ สุทธิ์แก่กนั และกัน
๔. มีภิกษุ ๑ รู ป พึงอธิษฐาน หรื อมีภิกษุต่ากว่า ๔ รู ป จะไปทาสังฆอุโบสถกับสงฆ์
ในอาวาสอื่น ก็ควร ฯ
๒. บุพพกรณ์และบุพพกิจ ในการทาอุโบสถสวดปาติโมกข์ ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๘)
ตอบ : ต่างกันอย่างนี้
๖๘
๓. ได้แก่
๑) อนาจาร ได้แก่ ความประพฤติไม่ดีไม่งาม
๒) ปาปสมาจาร ได้แก่ ความประพฤติเลวทราม
๓) อเนสนา ได้แก่ ความหาเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ
๒. อุปปถกิริยา คืออะไร ? ความประพฤติเช่ นไรจัดเข้าในอนาจาร ปาปสมาจาร อเนสนา ?
(๒๕๕๓)
ตอบ : ๑. อุปปถกิริยา คือ การทานอกรี ตนอกรอยของสมณะ
๒. ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่าง ๆ จัดเข้าในอนาจาร
๓. ความประพฤติเลวทราม จัดเข้าในปาปสมาจาร
๔. ความเลี้ยงชีพไม่สมควร จัดเข้าในอเนสนา ฯ
๓. การทานอกรีตนอกรอยของสมณะที่เรียกว่า อนาจาร ปาปสมาจาร และอเนสนา ได้แก่ ความ
ประพฤติเช่ นไร ? รวมเรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : ๑. อนาจาร ได้แก่ ความประพฤติไม่ดี ไม่งาม และเล่นมีประการต่างๆ
๒ ปาปสมาจาร ได้แก่ ความประพฤติเลวทราม
๓. อเนสนา ได้แก่ ความเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ
๔. รวมเรี ยกว่า อุปปถกิริยา ฯ
๔. อนาจาร หมายถึงอะไร ? เล่นอย่างไรบ้ าง จัดเป็ นอนาจาร ?
ตอบ : ๑. อนาจาร หมายถึง ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และการเล่นมีประการต่าง ๆ ฯ
๒. เล่นอย่างเด็ก เล่นคะนอง เล่นพนัน เล่นปู้ยี่ปู้ยา เล่นอึงคะนึง จัดเป็ นอนาจาร ฯ
๕. ดิรัจฉานวิชาไม่ดีอย่างไร พระศาสดาจึงตรัสห้ ามไว้ ไม่ให้ บอกไม่ให้ เรียน ? (๒๕๖๒)
ตอบ : ดิรัจฉานวิชา เป็ นความรู้ที่เขาสงสัยว่าลวงหรื อหลง ไม่ใช่ความรู้จริ งจัง ผูบ้ อก
เป็ นผูล้ วง ผูเ้ รี ยนก็เป็ นผูห้ ัด เพื่อจะลวงหรื อเป็ นผูห้ ลงงมงาย ฉะนั้นพระศาสดาจึง
ตรัสห้ามไว้ ไม่ให้บอกไม่ให้เรี ยน ฯ
๖. ปาปสมาจาร คืออะไร ? ภิกษุชื่อว่า กุลปสาทโก เพราะประพฤติอย่างไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ : ๑. ปาปสมาจาร คือ ความประพฤติเลวทราม เนื่องด้วยการคบคฤหัสถ์ดว้ ยการ
สมาคมอันมิชอบ ฯ
๒. ภิกษุชื่อว่า กุลปสาทโก เพราะประพฤติพอดีพองาม ยังความเลื่อมใสนับถือ
ของเขาให้เกิดในตน เป็ นศรี ของพระศาสนา ฯ
๗. ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ ายสกุล” เพราะประพฤติอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ : ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลทูสโก ผูป้ ระทุษร้ายสกุล” เพราะประพฤติให้เขาเสี ยศรัทธา
๗๒
๒. เห็นว่าข้อสุดท้ายสาคัญ ฯ
กัณฑ์ ที่ ๒๑ วินัยกรรม
๑. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่ นไร ? ภิกษุต้องสภาคาบัติ จะพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๔)
ตอบ : ๑. สภาคาบัติ คือ อาบัติที่ภิกษุตอ้ งวัตถุเดียวกัน เพราะล่วงละเมิดสิ กขาบทเดียวกัน
๒. ภิกษุตอ้ งสภาคาบัติแล้ว ห้ามไม่ให้แสดงอาบัติน้ นั ต่อกัน ห้ามไม่ให้รับอาบัติ
ของกัน ให้แสดงในสานักภิกษุอื่น
๓. ถ้าสงฆ์ตอ้ งสภาคาบัติท้งั หมดต้องส่งภิกษุรูปหนึ่งไปแสดงในที่อื่น ภิกษุที่เหลือ
จึงแสดงในสานักของภิกษุน้ นั ฯ
๒. ผ้าบริขารโจล ได้แก่ ผ้าเช่ นไร ? การอธิษฐานด้วยกายกับการอธิษฐานด้วยวาจาต่างกันอย่างไร ?
(๒๕๕๔)
ตอบ : ๑. ผ้าบริ ขารโจล ได้แก่ ผ้าที่ไม่ใช่ของใหญ่ถึงกับนุ่งห่มได้ เช่น ผ้ากรองน้ า
ถุงบาตร ย่าม ฯ
๒. การอธิษฐานด้วยกาย คือ การใช้มือจับหรื อลูบบริ ขารที่จะอธิษฐานแล้ว ทา
ความผูกใจ ตามคาอธิษฐานนั้น ๆ
๓. การอธิษฐานด้วยวาจา คือ การเปล่งคาอธิษฐานนั้น ๆ ไม่ถูกของด้วยกายก็ได้ ฯ
๓. ภิกษุจะเปลี่ยนไตรครอง พึงปฏิบัติตามลาดับอย่างไรบ้ าง ? (๒๕๕๗)
ตอบ : ภิกษุจะเปลี่ยนไตรครอง พึงปฏิบตั ิตามลาดับ ดังนี้
๑. กรณีปกติเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนจีวรเก่า จีวรกฐิน ต้องกล่าวคาสละผ้าเสี ยก่อน
แล้วทาพินทุ แล้วก็อธิษฐานผ้าตามชื่อ จีวร สังฆาฏิ สบง ตามภาษาบาลี
๒. กรณีจีวรถูกขโมยไปหรื อสูญหายต้องกล่าวคาถอนเสี ยก่อน ทาความอาลัยแล้ว
นาผ้าผืนใหม่มาทาพินทุ อธิษฐานตามลาดับ ฯ
๔. ผ้าต่อไปนี้ คือ สังฆาฏิ อันตรวาสก นิสีทนะ ผ้าอาบน้าฝน ผ้าเช็ดปาก ผ้าถุงบาตรผืนใดที่ทรง
อนุญาตให้ อธิษฐานได้เพียงผืนเดียว ? (๒๕๕๔)
ตอบ : ผ้าที่ทรงอนุญาตให้อธิษฐานได้เพียงผืนเดียว ได้แก่ สังฆาฏิ นิสีทนะ อันตรวาสก
และผ้าอาบน้ าฝน ฯ
๕. จีวรที่วิกัปไว้ เมื่อจะนามาใช้ ต้องทาอย่างไร ? ถ้าไม่ทาเช่ นนั้นต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๖๑)
ตอบ : ๑. จีวรที่วิกปั ไว้ เมื่อจะนามาใช้ตอ้ งขอให้ผรู ้ ับถอนก่อน ฯ
๒. ถ้าไม่ทาเช่นนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ
๗๖
______________________________________________________________________________