Professional Documents
Culture Documents
|1
สารบัญ
(ข้ อสอบ)
ว 1.1
ว 1.2
ว 1.3
|2
ข้ อสอบ : ชื่ อ ....................................................................
คะแนน..............
สาระที่ 1 : ว 1.1 ชั้น ...............................เลขที่............................
1. ช่วยในการหายใจ
ต้นโกงกาง มีรำกจำนวนมำกปักลงดินเลน
2. ช่วยค้ ำจุนลำต้น
ต้นผักตบชวา
ภำยในก้ำนใบและลำต้นมีช่องอำกำศ
3. ป้องกันทรายเข้าตา
อูฐมีขนตำยำว
4. ช่วยในการเดินในน้ า
กบมีพงั ผืดระหว่ำงนิ้วตีน
|3
2. ข้อใดจับคู่ความสัมพันธ์ระหว่างชนิดของสิ่ งมีชีวิต กับโครงสร้างและลักษณะ
ที่เหมาะสมกับการดารงชีวิตในแหล่งที่อยูไ่ ม่ถูกต้อง
A. ไม่มีใบ แต่มีหนามแหลมขนาดเล็ก
B. แผ่นใบหุบเข้ำหำกันได้
C. ภายในก้านใบและลาต้นมีช่องอากาศจานวนมาก
D. มีนวมสี ขาวหุม้ ลาต้นคล้ายฟองน้ า
1. A คือ ต้นกระบองเพชร 2. B คือ ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง
3. C คือ ต้นผักตบชวา 4. D คือ ต้นผักกระเฉด
3. พืชและสัตว์ในข้อใดที่มีโครงสร้างและลักษณะแบบใดที่เหมาะสมกับการดารงชีวิต
ในแหล่งที่อยู่
|4
4. จากแผนภาพข้อใดถูกต้อง
5. จากแผนภาพข้อใดถูกต้อง
|5
6. โซ่อาหารในนาข้าวแห่งหนึ่ง เป็ นดังนี้ (O-NET ปี 2560)
|6
8. แผนผังโซ่อาหาร (O-NET 2552)
จากแผนภาพข้อใดถูกต้อง
1. ผูบ้ ริ โภคลาดับที่ 1 ได้แก่ ตัก๊ แตนและมด
2. เหยีย่ วเป็ นผูบ้ ริ โภคลาดับที่ 3
3. ถ้ากบย้ายออกจากแหล่งที่อยูน่ ้ ีท้งั หมดจะทาให้งูสูญพันธุ์
4. สายใยอาหารนี้ประกอบด้วย 2 โซ่อาหาร
|7
10. พิจารณาแผนภาพสายใยอาหารในนาข้าวแห่งหนึ่ง (O-NET ปี 2555)
งู
เหยีย่ ว
กบ
นก หนู
ตัก๊ แตน
หนอน
ต้นข้าว
สายใยอาหารนี้ประกอบด้วยโซ่อาหารจานวนเท่าใด
1. 3 2. 4 3. 5 4. 6
11. สายใยอาหารในป่ าแห่ งหนึ่ง เป็ นดังนี้ (O-NET 2556)
ต้นหญ้า
หมาป่ า งู นก
จากสายใยอาหาร ข้อใดกล่าวถูกต้อง
1. งูกินอาหารได้หลากหลายเท่ากับหมาป่ า
2. หมาป่ าและงูเป็ นผูบ้ ริ โภคลาดับ 3
3. จานวนผูบ้ ริ โภคลาดับ 2 มีเท่ากับ ผูบ้ ริ โภคลาดับ 3
4. ถ้ามีคนล่าสัตว์จบั หมาป่ าและยิงนกไปจนหมด กระต่ายและหนูจะเหลืออยู่
จานวนเท่ากัน
|8
12. สายใยอาหารในป่ าแห่งหนึ่งเป็ นดังนี้ (O-NET 2557)
ต้นหญ้า
หมาป่ า งู นก
ข้อใดทาให้เกิดผลกระทบต่อสายใยอาหารรุ นแรงที่สุด
1. คนไปแผ้วถางหญ้าออกจนหมดเพื่อสร้างบ้านจัดสรร
2. กระต่ายถูกจับไปขายเป็ นสัตว์เลี้ยง
3. มีนกอพยพเข้ามาเพิม่ ในฤดูหนาว
4. หนูถูกจับไปเป็ นอาหารจนหมด
ต้นข้าว แมลง
หนู
นกเอี้ยง
เหยีย่ ว
จากแผนภาพ ข้อใดกล่าวถูกต้อง
1. เหยีย่ วกินทั้งพืชและสัตว์เป็ นอาหาร
2. แมลงและหนู เป็ นผูบ้ ริ โภคลาดับที่ 1
3. หากนกเอี้ยงหายไปจากระบบนิเวศนี้ แมลงจะลดจานวนลงด้วย
4. หากเกิดโรคระบาดในต้นข้าว จะส่ งผลกระทบต่อผูบ้ ริ โภคลาดับที่ 1 เท่านั้น
|9
จากแผนภาพสายใยอาหาร จงใช้ในการตอบคาถาม (O-NET ปี 2558 )
เหยีย่ ว
เสื อ
งู
กระต่าย กบ
หนู
กวาง หนอน
พืช
| 10
จากแผนภาพจงใช้ในการตอบคาถาม
เห็ด
B ตัก๊ แตน C
| 11
18. ตันไม้ใหญ่ตน้ หนึ่งเป็ นที่อยูอ่ าศัยของสิ่ งมีชีวิต 5 ชนิดได้แก่ พืชกาฝาก แมลง กิ้งก่า
นกกินพืช และเหยีย่ ว ซึ่งสิ่ งมีชีวิตเหล่านี้ มีความสัมพันธ์กนั ดังสายใยอาหาร
(O-NET ปี 2561)
| 12
19. ในสระแห่งหนึ่งมีการปล่อยปลา X ลงไป ทาให้จานวนปลาในสระมีการเปลี่ยนแปลง
ดังแสดงในกราฟ ปลา X น่าจะมีลกั ษณะอย่างไร (O-NET 2553)
จานวนปลา
เวลา(สัปดาห์)
20 40
1. ปลา X เป็ นผูล้ ่าปลาอื่น ๆ 2. ปลา X เป็ นเหยือ่ ของปลาอื่น ๆ
3. ปลา X กินพืชเป็ นอาหาร 4. ปลา X กินทั้งพืชและสัตว์เป็ นอาหาร
| 13
21.นักเรี ยนสารวจกลุ่มสิ่ งมีชีวิตที่อยูบ่ นพื้นหญ้าบริ เวณสวนหลังบ้าน และบันทึก
สิ่ งที่สารวจได้ไว้ ดังนี้ (O-NET 2563)
“ พบหนอนกาลังกัดกินใบไม้ ในขณะที่นกซึ่งทารังอยูบ่ นต้นไทรบินลงมาจับหนอนกิน
เป็ นอาหารโดยนกมักจะถูกงูจบั กินเป็ นอาหาร”โซ่อาหารได้ถูกต้อง
1. หญ้า นก หนอน
2. หญ้า หนอน นก งู
3. ต้นไทร หนอน นก
4. ต้นไทร หนอน นก งู
22. มานีสารวจกลุ่มสิ่ งมีชีวิตในสวนข้างโรงเรี ยน และมานะสารวจกลุ่มสิ่ งมีชีวิตในสระน้ า
หลังวัด บันทึกสิ่ งมีที่สังเกตได้ ดังตาราง (O-NET 2556)
การรายงานผลการสารวจข้อใด ไม่ถูกต้อง
1. จานวนโซ่อาหารในสวนมีนอ้ ยกว่าในสระน้ า
2. ไม่พบผูบ้ ริ โภคลาดับหนึ่งในสถานที่ท้งั สองแห่ง
3. ชนิดของสิ่ งมีชีวิตที่เป็ นผูผ้ ลิตในสวนมีมากกว่าในสระน้ า
4. จานวนของสิ่ งมีชีวิตที่เป็ นผูบ้ ริ โภคในสระน้ า มีมากว่าในสวน
5. จานวนชนิดของสิ่ งมีชีวิตทั้งหมดที่สารวจได้จากสวน มีนอ้ ยกว่าบริ เวณสระน้ า
6. ความสัมพันธ์ระหว่างนกกระจอกและต้นหูกวางเป็ นความสัมพันธ์แบบเดียวกัน
กับความสัมพันธ์ระหว่างกบและบัวสาย
| 14
บนต้นลำไยมีลูกนกอยูใ่ นรังบนต้นลำไย มีแมงมุมชักใยอยูบ่ นต้นลำไยและกำลังกิน
แมลงตัวเล็ก ๆ ติดอยูท่ ี่ใยแมงมุม ใกล้ ๆ ต้นลำไยมีสวนสตอเบอรี่ แม่นกกำลังจับผีเสื้ อ
ที่กำลังดูดน้ ำหวำนของดอกสตอเบอรี่ เพื่อนำไปป้อนลูกที่อยูใ่ นรัง มีมดกลุ่มหนึ่งกำลัง
กัดหนอนที่กำลังกัดกินสตอเบอรี่
| 15
ต้นชมพู่ตน้ หนึ่งมีนกทำรังเลี้ยงลูกอ่อนอยูบ่ นกิ่ง และที่ปลำยกิ่งมีรังมดแดง
ทำรังอยู่ ที่พ้นื ดินมีตน้ ผักบุง้ ซึ่งมีหนอนกำลังกัดกินผักบุง้ และมีแม่นกกำลังจิก
หนอนเพื่อนำมำไปป้อนลูกที่อยูใ่ นรัง
| 16
28. จากภาพด้านบน ข้อใดเป็ นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่ งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่
1. ปลากินสาหร่ ายในสระน้ า
2. งูใช้อากาศในการหายใจ
3. บัวใช้น้ าในการเป็ นแหล่งที่อยูอ่ าศัย
4. พืชใช้แก๊สคาร์บอนออกไซด์ในการสร้างอาหาร
| 18
32. ด.ญ.อิ่มเอม ต้องการรี ไซเคิล (Recycle) ขวดพลาสติกน้ าดื่ม ด.ญ.อิ่มเอม ควรทาอย่างไร
1. อิ่มเอมนาขวดพลาสติกมาประดิษฐ์เป็ นกล่องใส่ ปากกา
2. อิ่มเอมนาขวดพลาสติกไปล้างแล้วนากลับมาใส่ น้ าดื่มใหม่
3. อิ่มเอมแยกทิ้งขยะขวดน้ าดื่มลงในถังขยะ คนเก็บขยะนาขยะส่ งโรงานเพื่อนาไป
หลอมทาเป็ นถังขยะ
4. อิ่มเอมนาขวดพลาสติกไปฝังใต้ตน้ ไม้หลังบ้าน
33. การกระทาในข้อใดช่วยลดแก๊สคาร์บอนมอนนอกไซด์ในเมืองที่มีปัญหามลพิษ
ทางอากาศ (O-NET 2561)
1. ล้างถนนทุกวัน
2. ใช้รถดูดฝุ่ นบนถนนทุกวัน
3. ใช้จกั รยานแทนการใช้รถยนต์
4. สวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกอาคาร
| 19
35. การกระทาใดช่วยรักษาพื้นที่ป่าให้มีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้น (O-NET 2552)
1. การทาไร่ เลื่อนลอย
2. การจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ
3. การสร้างเขื่อน
4. การขยายเขตอุตสาหกรรม
36. โครงการทางสิ่ งแวดล้อมข้อใดช่วยลดมลพิษทางอากาศโดยตรง (O-NET 2559)
(เลือกคาตอบที่ถูกต้อง 2 ข้อ)
1. ประหยัดพลังงานไฟฟ้า โดยปิ ดเครื่ องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งเมื่อเลิกใช้
2. การรณรงค์ให้คนใช้ระบบขนส่ งมวลชนแทนรถยนต์ส่วนบุคคล
3. ใช้พลังงานน้ าแทนพลังงานจากถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า
4. ทาการเกษตรผสมผสานที่ปลอดสารพิษ
5. ปลูกพืชหมุนเวียน โดยใช้พืชตระกูลถัว่
6. นาขยะอินทรี ยไ์ ปทาปุ๋ ยหมัก
| 20
ข้ อสอบ : ชื่ อ ....................................................................
ชั้น ...............................เลขที่............................
คะแนน..............
สาระที่ 1 : ว 1.2
| 21
จำกภำพ จงใช้ในกำรตอบคำถำม
ถุงพลาสติกใส
หลอดไฟ
| 22
6. หำก ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ ง ต้องกำรศึกษำส่ วนของพืชที่ทำหน้ำที่ในกำรคำยน้ ำ
ต้องใช้ชุดกำรทดลองใด
1. กำรทดลอง A 2. กำรทดลอง B
3. กำรทดลอง C 4. กำรทดลอง D
8. รู ปแสดงกำรเข้ำและออกของแก๊สชนิดต่ำง ๆ ของพืช
A B
ข้อใดถูกต้อง
แก๊ส A แก๊ส B แก๊ส C
1. ไนโตรเจน ออกซิเจน คำร์บอนไดออกไซด์
2. ไอน้ ำ คำร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน
3. ออกซิเจน คำร์บอนไดออกไซด์ ไอน้ ำ
4. คำร์บอนไดออกไซด์ ไอน้ ำ ออกซิเจน
| 23
ภาพ ก ภาพ ข
3. 4.
1. สร้ำงอำหำร
2. ให้ตน้ ตั้งตรง
3. ดูดน้ ำและธำตุอำหำร
บริ เวณที่ตดั 4. ลำเลียงน้ ำและธำตุอำหำร
ลาต้นใต้ดิน
| 25
13. ถ้านักเรี ยนนาใบไม้ซ่ ึงเป็ นใบด่างมาตรวจหาอาหารที่พืชสร้างโดยการต้มด้วยสารละลายชนิดหนึ่ง
ในหลอดทดลอง เมื่อหยดสารละลายไอโอดีนลงไป บริ เวณใดของใบไม้ ดังภาพ จะเปลี่ยนสี ของ
สารละลายไอโอดีนเป็ นสี น้ าเงินเข้ม
จากภาพ A , B, C, D, E เป็ นบริ เวณที่มีสีเหลือง สี เขียว สี แดง สี ส้ม และสี เขียว ตามลาดับ
(สสวท.)
1. A , D 2. B, E 3. A , C, D 4. A , B, C, D, E
ปิ ดด้วยเทปสี ดา
| 26
15. รักฟ้ำ อยำกทรำบว่ำ ต้นไม้สังเครำะห์ดว้ ยแสงตลอดเวลำหรื อไม่ จึงทำกำรทดลอง
โดยนำใบแพงพวยมำทดสอบหำแป้งในช่วงเวลำ 6.00 น. 12.00 น. 18.00 น. และ 21.00 น.
ตำมลำดับ จำกกำรทดลองข้ำงต้น รักฟ้ำต้องใช้สำรใดบ้ำง ในกระบวนกำรตรวจหำแป้ง
(O-NET 2553)
1. สำรละลำยเบเนดิกส์ เพื่อทดสอบแป้ง
2. สำรละลำยไอโอดีน เพื่อทดสอบแป้ง
3. เอทิลแอลกอฮอล์ เพื่อสกัดคลอโรฟิ ลล์
4. น้ ำ เพื่อช่วยสกัดคลอโรฟิ ลล์
5. น้ ำเกลือ เพื่อหยุดกำรทำงำนของใบ
6. สำรละลำยจุนสี เพื่อสกัดคลอโรฟิ ลล์
| 27
17. นำพืชชนิดเดียวกัน 2 ต้นมำจัดชุดกำรทดลอง ก และ ข จำกนั้นเด็ดใบสี เขียวที่มีขนำด
และอำยุเท่ำกัน จำกกำรทดลองแต่ละชุด มำทดสอบด้วยสำรละลำยไอโอดีน
ได้ผลกำรทดสอบ เป็ นดังภำพ (O-NET 2560)
จำกภำพผลกำรทดสอบเกิดจำกกำรจัดชุดกำรทดลองตำมข้อใด
1. ชุดกำรทดลอง ก และ ข ไว้ในที่มืด แต่ไม่ได้รดน้ ำในชุดกำรทดลอง ข
2. ชุดกำรทดลอง ก และ ข ไว้ในที่มีแสง แต่ไม่ได้รดน้ ำในชุดกำรทดลอง ก
3. กำรทดลอง ก ไว้ในที่มืด ชุดกำรทดลอง ข ไว้ในที่มีแสง และรดน้ ำทั้งสอง
ชุดกำรทดลอง
4. ชุดกำรทดลอง ก ไว้ในที่มีแสง ชุดกำรทดลอง ข ไว้ในที่มืด รดน้ ำทั้งสองชุดกำรทดลอง
| 28
18. ถ้ำต้องกำรศึกษำผลของแสงที่มีผลต่อกำรคำยน้ ำและกำรสังเครำะห์ดว้ ยแสงของพืช
ชนิดหนึ่ง โดยนำพืชที่มีอำยุและจำนวนใบเท่ำกัน มำจัดชุดกำรทดลอง
ในภำวะที่แตกต่ำงกัน ดังตำรำง (O-NET 2562)
| 29
19. ถ้ำต้องกำรศึกษำผลของน้ ำที่มีผลต่อกำรเจริ ญเติบโตของพืชหรื อไม่ โดยนำพืชที่มีอำยุ
และจำนวนใบเท่ำกัน มำจัดชุดกำรทดลองในภำวะที่แตกต่ำงกัน
20.
ที่มืด
| 30
จำกภำพ จงใช้ในกำรตอบคำถำม
ชุดการทดลอง ก ชุดการทดลอง ข
| 31
24. ต้นพลูด่ำงที่ปลูกลงดิน แล้วให้เจริ ญเติบโตเลื้อยเกำะกำแพงหรื อเกำะต้นไม้ใหญ่
จะพบว่ำใบพลูด่ำงที่อยูใ่ กล้ยอดมีขนำดใหญ่กว่ำใบที่อยูไ่ กลจำกยอดหรื ออยูใ่ กล้
โคนต้น ซึ่งเป็ นไปได้วำ่ ตำแหน่งที่อยูบ่ นต้นและขนำดของใบพลูด่ำงมี
ควำมสัมพันธ์กนั (O-NET 2559)
หำกนัก เรี ย นจะทำกำรทดลองหรื อ ทำโครงงำนเพื่ อ พิ สู จ น์ ว่ำ “ต ำแหน่ ง ของ
ใบพลูด่ำงที่เกำะบนต้นไม้ใหญ่ และขนำดของใบพลูด่ำงมีควำมสัมพันธ์กนั ”
กำรระบุตวั แปรตำมข้อใดถูกต้อง
1. ตัวแปรต้น คือ พันธุ์ของพลูด่ำง ตัวแปรตำม คือ ขนำดของใบพลูด่ำง
2. ตัวแปรต้น คือ ตำแหน่งของใบบนต้น ตัวแปรตำม คือ พันธุ์ของพลูด่ำง
3. ตัวแปรต้น คือ ตำแหน่งของใบบนต้น ตัวแปรตำม คือ ขนำดของใบพลูด่ำง
4. ตัวแปรต้น คือ ขนำดของใบพลูด่ำง ตัวแปรตำม คือ ตำแหน่งของใบบนต้น
| 32
26. ในกำรทดลองเพำะเมล็ดพืชชนิดหนึ่งในกระถำง 4 ใบ ที่ใส่ ดินชนิดเดียวกัน
และมีปริ มำณดินเท่ำกัน แต่นำไปเลี้ยงหรื อวำงในที่ซ่ ึงมีอุณหภูมิต่ำงกัน
นับจำนวนวันที่เริ่ มเพำะเมล็ดจนงอกเป็ นต้นกล้ำมีใบโผล่จำกดิน ได้ผลดังตำรำง
อุณหภูมิที่วางกระถาง จานวนวันที่เพาะเมล็ด
กระถางที่
(องศาเซลเซียส) จนงอกเป็ นต้ นกล้า(วัน)
ที่1 10 10
ที่ 2 15 9
ที่ 3 20 7
ที่ 4 25 5
10 CO 15 OC
20 OC 25 OC
| 33
27. ภำพกำรเพำะเมล็ดถัว่ เขียวในหลอดทดลอง 2 หลอด ในสภำพต่ำงกันเป็ นเวลำ 5 วัน
(O-NET 2552)
การทดลองในหลอดที่ 1
การทดลองในหลอดที่ 2
| 34
28. เกษตรกรผูป้ ลูกกุหลำบคนหนึ่งต้องกำรทดลอง เพื่อศึกษำว่ำปุ๋ ยชนิดใดทำให้
ต้นกุหลำบเจริ ญเติบโตดีที่สุด แล้วเลือกปุ๋ ยชนิดนั้นมำทดลองขั้นต่อไป เพื่อศึกษำหำ
ควำมเข้มข้นที่เหมำะสมที่สุดของปุ๋ ยชนิดนั้น ที่มีต่อกำรเจริ ญเติบโตของต้นกุหลำบ
(O-NET 2557)
เขำจะต้องเลือกทดลองปลูกกุหลำบตำมข้อใด (เลือกตอบ 2 ข้อ)
1. ปลูกหลำยต้นในสภำวะเหมือนกัน ใส่ ปุ๋ยต่ำงชนิดกัน ปริ มำณต่ำงกันในแต่ละต้น
2. ปลูกหลำยต้นในสภำวะต่ำงกัน ใส่ ปุ๋ยชนิดเดียวกัน ปริ มำณเท่ำกันในแต่ละต้น
3. ปลูกหลำยต้นในสภำวะเหมือนกัน ใส่ ปุ๋ยต่ำงชนิดกัน ปริ มำณเท่ำกันในแต่ละต้น
4. ปลูกหลำยต้นในสภำวะต่ำงกัน ใส่ ปุ๋ยต่ำงชนิดกัน ปริ มำณต่ำงกันในแต่ละต้น
5. ปลูกหลำยต้นในสภำวะเหมือนกัน ใส่ ปุ๋ยชนิดเดียวกัน ปริ มำณต่ำงกันในแต่ละต้น
6. ปลูกหลำยต้นในสภำวะเหมือนกัน ใส่ ปุ๋ยชนิดเดียวกัน ปริ มำณเท่ำกันในแต่ละต้น
C
D
เซลล์สืบพันธุ์เพศเมียอยูท่ ี่ส่วนใด
1. A 2. B 3. C 4. D
| 35
30. จำกภำพ ถ้ำเกิดกำรปฏิสนธิแล้ว ส่ วนประกอบของดอกไม้หมำยเลขใด ที่เจริ ญเติบโต
เป็ นเมล็ด (O-NET 2550)
ภำพ ส่ วนประกอบของดอกไม้ชนิดหนึ่ง
1. หมำยเลข 1 2. หมำยเลข 2
3. หมำยเลข 3 4. หมำยเลข 4
| 36
33. ตาราง ส่ วนประกอบของดอกในดอกไม้ 4 ชนิด (O-NET 2556)
ชนิดของ ส่ วนประกอบของดอกไม้
ดอกไม้ กลีบเลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย
A มี มี มี ไม่มี
B มี มี ไม่มี มี
C มี ไม่มี มี มี
D มี มี มี มี
ชนิดของ ส่ วนประกอบของดอกไม้
ดอกไม้ กลีบเลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย
ก มี มี ไม่มี มี
ข ไม่มี มี มี มี
ค มี ไม่มี มี มี
ง มี มี มี ไม่มี
| 37
35. เด็กชำยนำวิน เก็บดอกไม้ 4 ชนิด ชนิดละ 2 ดอก มำศึกษำโดยกำร ผ่ำ และดึง
ดูส่วนประกอบต่ำง ๆ ของดอก แล้วบันทึกผลกำรศึกษำเป็ นตำรำง (O-NET 2558)
ตาราง ส่ วนประกอบของดอกไม้ชนิดต่ำง ๆ
ส่ วนประกอบของดอกไม้
ชนิดของดอกไม้
กลีบเลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย
A ✓ ✓ ✓ ✓
B ✓ ✓ ✓
C ✓ ✓ ✓ ✓
D ✓ ✓ ✓
หมำยเหตุ สัญลักษณ์ ✓ = มี
หมำยเหตุ สัญลักษณ์ = ไม่มี
| 39
39. จำกรู ป ธงโภชนำกำรที่ ร ะบุ สั ด ส่ ว นส ำหรั บ เด็ ก หญิ ง อำยุ 10 ปี ที่ มี ร่ ำ งกำยสมส่ ว น
ซึ่งควรได้รับพลังงำนประมำณวันละ 1,600 กิโลแคลอรี (O-NET 2558)
| 40
41. สัดส่ วนของอำหำรที่รับประทำนใน 1 วัน
เด็กคนที่ 1 เด็กคนที่ 2
| 41
42. ตาราง ชนิดของอาหารที่รับประทานในมื้อต่าง ๆ ของแต่ละวัน ของนักเรี ยน 4 คน
(O-NET 2557)
ใครรับประทานอาหารได้ครบทุกหมู่ที่สุด
1. ก 2. ข 3. ค 4. ง
3. 4.
| 42
44. ตาราง จานวนคนไทยที่ขาดสารอาหารชนิดต่าง ๆ จากการสารวจใน พ.ศ. 2540
(O-NET 2551)
ชนิดของสารอาหารที่ขาด จานวนคนไทย
โปรตีน 20,000
ธำตุเหล็ก 5,000
วิตำมิน บี 1 8,000
ไอโอดีน 1,500
ปริมาณโปรตีนที่ต้องการแต่ ละวัน
ช่ วงอายุของเด็ก(ปี )
(กรัมต่ อน้าหนักตัว 1 กิโลกรัม)
<1 2
1–6 1.5
7 – 12 1.2
13 - 20 1
| 43
46. ตำรำง ปริ มำณสำรอำหำรประเภทต่ำง ๆ ในอำหำร 4 ชนิด (O-NET 2554)
| 44
49. ตารางแสดงสารอาหารที่พบในอาหาร 4 ชนิด เป็ นดังนี้ (O-NET 2563)
ชนิด สารอาหาร
อาหาร คาร์ โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน
1 ✓ ✓ ✓ ✓
2 ✓ ✓
3 ✓
4 ✓ ✓
จากข้อมูล ข้อใดกล่าวถูกต้อง
1. ถ้าเลือกรับประทานอาหารชนิดที่ 1 กับ 4 จะทาให้ไม่ได้รับพลังงาน
2. ถ้าเลือกรับประทานอาหารชนิดที่ 1 กับ 2 จะทาให้ได้รับสารอาหารครบทุกหมู่
3. ถ้าเลือกรับประทานอาหารชนิดที่ 2 กับ 3 จะช่วยสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย
4. ถ้าเลือกรับประทานอาหารชนิดที่ 2 กับ 4 จะช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อส่ วนที่สึกหรอ
| 45
50. ตารางปริ มาณแร่ ธาตุในอาหาร 4 ชนิด (O-NET 2559)
| 46
52. ตาราง ปริ มาณธาตุในอาหาร 4 ชนิด (O-NET 2557)
| 47
54. กล่องเครื่ องดื่มชนิดหนึ่งมีขอ้ มูลโภชนาการระบุไว้ขา้ งกล่อง ดังนี้ (O-NET 2557)
หนึ่งหน่วยบริ โภค 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร
พลังงานทั้งหมด 200 กิโลแคลอรี
ส่ วนประกอบและร้อยละของปริ มาณสารอาหารที่แนะนาต่อวัน
ไขมันทั้งหมด 8 กรัม 12 %
ไขมันอิ่มตัว 4 กรัม 20 %
โคเลสเตอรอล 10 มิลลิกรัม 3%
โปรตีน 7 กรัม
คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด 25 กรัม 8%
ใยอาหาร < 1 กรัม 2%
น้ าตาล 23 กรัม
โซเดียม 45 มิลลิกรัม 2%
หากในวันหนึ่งคนปกติดื่มเครื่ องดื่มนี้ไป 4 ขวด เขาควรรับประทานอาหารประเภทใด
เสริ มมากที่สุด
1. ข้าวสวย 2. เนื้อสัตว์
3. ผักต่าง ๆ 4. ขนมหวาน
ก. โรคกรดไหลย้อน
ข. ท้องเสี ย
ค. โรคกระเพาะอาหาร
ง. ท้องผูก
| 48
56. ตาราง ความต้องการพลังงานที่ร่างกายได้รับจากอาหารในแต่ละวันสาหรับคน
แต่ละเพศที่ช่วงอายุต่าง ๆ (O-NET 2554)
| 49
57. จากตาราง จงใช้ในการตอบคาถาม
เพศ อายุ พลังงาน (กิโลแคลอรี )
10 – 12 1,850
ชาย 13 – 15 2,300
16 - 19 2,400
10 – 12 1,700
หญิง 13 – 15 2,000
16 - 19 1,850
ถ้า ด.ช.เป็ นปลื้ม อายุ 14 ปี และ ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ ง อายุ 16 ปี ใน 1 วัน ใครต้องการพลังงาน
มากกว่าหรื อน้อยกว่ากันอย่างไร
1. ด.ช.เป็ นปลื้ม ต้องใช้พลังงานต่อวัน มากกว่า ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ ง 450 กิโลแคลอรี
2. ด.ช.เป็ นปลื้ม ต้องใช้พลังงานต่อวัน น้อยกว่า ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ ง 450 กิโลแคอรี
3. ด.ช.เป็ นปลื้ม ต้องใช้พลังงานต่อวัน มากกว่า ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ ง 400 กิโลแคอรี
4. ด.ช.เป็ นปลื้ม ต้องใช้พลังงานต่อวัน น้อยกว่า ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ ง 400 กิโลแคอรี
| 50
58. จากตารางการทดสอบสารอาหาร 4 ชนิด ได้ผลดังตาราง (O-NET)
ข้อมูลใดระบุองค์ประกอบของอำหำรแต่ละชนิดได้สอดคล้องกับผลกำรทดสอบ
1. อำหำรชนิด A มีแป้งและไขมันเป็ นองค์ประกอบ
2. อำหำรชนิด B มีแป้งเป็ นองค์ประกอบ
3. อำหำรชนิด C มีไขมันเป็ นองค์ประกอบ
4. อำหำรชนิด D มีแป้งและไขมันเป็ นองค์ประกอบ
| 51
60. ถ้ำต้องกำรพลังงำนวันละ 1,300 กิโลแคลอรี เรำควรรับประทำนอำหำรในข้อใด เพื่อให้
ร่ ำ งกำยได้พ ลัง งำนเพี ย งพอกับควำมต้อ งกำร ได้ส ำรอำหำรครบถ้ว น และได้สั ด ส่ ว นตำม
ธงโภชนำกำร (แบบฝึ กหัดท้ำยเล่ม สสวท. ป.6 เล่ม 1)
2
นมถัว่ เหลือง ส้มโอ
150 kcal 240 kcal
ขนมจีนน้ ายา ข้าว + แกงจืดมะระ ไข่ดาว ข้าว + ผัดคะน้าน้ ามันหอย
330 kcal 160 kcal 200 kcal 290 kcal
3
ไอศกรี มวานิลา
280 kcal
ข้าวเหนียวหมูทอด ข้าวเหนียว + ลาบไก่ แซนวิช ฟักทองแกงบวด
440 kcal 285 kcal 180 kcal 185 kcal
| 52
61. กำหนดให้ A B C D และ E คืออำหำร 5 ชนิด ซึ่ งมีสำรอำหำรหลักและปริ มำณพลังงำน
ต่อหนึ่งหน่วยบริ โภค ดังตำรำง (O-NET 2561)
จำกข้อ มู ล ควรเลื อ กรั บประทำนอำหำรในข้อ ใดเพื่ อ ให้ไ ด้พ ลัง งำนรวม 1,400 กิ โ ลแคลอรี
และได้รับสำรอำหำรครบทุกประเภท
1. A B และ C 2. A C และ E
3. A B C และ D 4. A C D และ E
| 53
62. ข้อมูลแสดงพลังงำนของอำหำร 6 ชนิดเป็ นดังนี้ (O-NET 2560)
หำกต้องกำรรับประทำนอำหำรให้ได้รับพลังงำนมำกที่สุด ควรเลือกรับประทำนอำหำร
ตำมข้อใด
1. ก๋ วยเตี๋ยวเนื้อสับ 1 จำน และกล้วยไข่ 2 ผล
2. ก๋ วยเตี๋ยวเนื้อสับ 1 จำน และ ส้มเขียวหวำน 1 ผล
3. ก๋ วยเตี๋ยวเส้นใหญ่รำดหน้ำไก่ 1จำน และเต้ำหูน้ มสด 1 ถ้วย
4. ก๋ วยเตี๋ยวเส้นใหญ่รำดหน้ำไก่ 1จำน ส้มเขียวหวำน 1 ผล และมะม่วงสุ ก 1ผล
| 54
63. ตำรำงปริ มำณสำรอำหำรประเภทต่ำง ๆ ในอำหำร 4 ชนิด (ONET 2558)
ปริมาณประเภทสารอาหาร
ชนิดอาหาร
โปรตีน (กรัม) ไขมัน (กรัม) คาร์ โบไฮเดรต (กรัม)
A 2 1 3
B 2 2 2
C 1 1 4
D 3 1 1
ปริมาณประเภทสารอาหาร
ชนิดอาหาร
โปรตีน (กรัม) ไขมัน (กรัม) คาร์ โบไฮเดรต (กรัม)
A 2 1 1
B 1 2 2
C 2 - 2
D 1 1 1
1. อัตรำกำรเจริ ญเติบโตของเพศหญิงและเพศชำยไม่แตกต่ำงกัน
2. ช่วงอำยุ 10-14 ปี เพศหญิงและเพศชำยมีกำรเจริ ญเติบโตเท่ำ ๆ กัน
3. ช่วงอำยุ 15-20 ปี เพศชำยมีกำรเจริ ญเติบโตมำกกว่ำเพศหญิง
4. หลังอำยุ 20 ปี ทั้งเพศหญิงและเพศชำยหยุดกำรเจริ ญเติบโต
| 57
จากรู ประบบย่อยอาหารใช้ในการตอบคาถาม
68. กำรย่อยอำหำรเกิดขึ้นที่อวัยวะหมำยเลขใด
1. และ 2. และ
3. และ 4. และ
| 58
71. ถ้านักเรี ยนรับประทานข้าวกับกุง้ ต้มเป็ นอาหารกลางวัน อวัยวะใดที่ยอ่ ยกุง้ ต้ม
เป็ นลาดับแรก (O-NET 2551)
1. ลาไส้เล็ก 2. ลาไส้ใหญ่
3. หลอดอาหาร 4. กระเพาะอาหาร
72. หากรับประทานข้าวต้มไก่ ที่มีส่วนประกอบหลักได้แก่ ข้าวและเนื้อไก่ (O-NET 2563)
ข้อใดกล่าวถึงการย่อยอาหารที่เกิดขึ้นภายหลังจากรับประทานข้าวต้มไก่ได้ถูกต้อง
1. เนื้อไก่เท่านั้นที่จะถูกย่อยด้วยเอนไซม์จากตับอ่อน
2. เนื้อไก่จะไม่ถูกย่อยเมื่ออาหารลาเลียงมาถึงกระเพาะอาหาร
3. ข้าวและเนื้อไก่จะถูกย่อยเป็ นครั้งสุ ดท้ายที่บริ เวณลาไส้เล็ก
4. ข้าวจะถูกบดเคี้ยวให้มีขนาดเล็กลง แต่ไม่เกิดการย่อยที่บริ เวณปาก
73. เมื่อนักเรี ยนรับประทำนอำหำร ประเภทแป้งและโปรตีน จะเกิดกำรดูดซึมสำรอำหำร
มากที่สุด บริ เวณใด (O-NET 2560)
1. ปำก 2. ลำไส้เล็ก
3. ลำไส้ใหญ่ 4. กระเพำะอำหำร
74. แพทย์พบเนื้อร้ำยที่อวัยวะ A ของผูป้ ่ วยคนหนึ่ง และลงควำมเห็นว่ำ จำเป็ นต้อง
ตัดอวัยวะ A ซึ่งอยูท่ ี่ตำแหน่งดังภำพออกไป (สสวท.)
| 60
77. ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องใช่หรื อไม่
ข้ อความ ใช่ หรื อ ไม่ ใช่
หมายเลข 6 ทาหน้าผลิตน้ าดี ซึ่งน้ าดีทาหน้าที่ยอ่ ยไขมัน ใช่ / ไม่ใช่
ลาไส้เล็กมีส่วนเชื่อมต่อกับตับอ่อน เพื่อรับเอนไซม์
ใช่ / ไม่ใช่
มาช่วยในการย่อยสารอาหาร
ผนังด้านในของอวัยวะหมายเลข 4 มีลกั ษณะที่ยนื่
ใช่ / ไม่ใช่
ออกมาคล้ายนิ้วมือทาหน้าที่สร้างเอนไซม์
| 61
80. หากตับของคุณแม่ของ ด.ช.เป็ นปลื้ม ทางานได้ไม่ปกติ ด.ช.เป็ นปลื้ม ควรแนะนาให้
คุณแม่งดอาหารประเภทใด
1. ข้าวหมูแดง 2. ข้าวมันไก่
3. ต้มจืดผักตาลึง 4. สลัดผัก
81. เด็กชายวัชราชอบกินเนื้อหมูติดมัน ไม่ชอบกินผักและผลไม้ และกินอาหารไม่ตรงเวลา
เป็ นประจา (O-NET 2557)
ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหารของเด็กคนนี้
1. ตับจะทางานหนักเพื่อสร้างน้ าดีสาหรับให้ไขมันแตกตัว เพื่อให้เกิดการย่อยง่ายขึ้น
2. บริ เวณหลอดอาหารจะมีกรดหลัง่ ออกมาปริ มาณมาก
3. ลาไส้ใหญ่ดูดซึมน้ าได้นอ้ ยลง เนื่องจากกินอาหารที่มีเส้นใยมาก
4. ลาไส้เล็กขับเคลื่อนอาหารได้ง่ายขึ้น เนื่องจากกินอาหารที่มีเส้นใยมาก
สัดส่วนอาหาร 1. ตับ
ข้าว แป้ง เผือก มัน 8 ทัพพี
2. ลาไส้ใหญ่
ผัก 1 ทัพพี
3. ลาไส้เล็ก
ผลไม้ 3 ส่วน
4. กระเพาะอาหาร
นม 2 แก้ว
เนื้อสัตว์ 30 ช้อนกินข้าว
น้ำมัน น้ำตาล เกลือ 12 ช้อนชา
| 62
83. กำหนดให้ สำรอำหำรโมเลกุลใหญ่ 3 ชนิด มีลกั ษณะดังรู ป
โปรตีน
ไขมัน
◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ คำร์โบไฮเดรต
โครงสร้ำงของสำรทั้ง 3 ชนิด เมื่อผ่ำนกระบวนกำรย่อยอำหำรโดยอำศัยเอนไซม์ภำยใน
อวัยวะ A B และ C เป็ นดังนี้
◆◆◆◆ ◆◆◆◆
◆
◆◆
อวัยวะ A อวัยวะ B อวัยวะ C
| 63
ข้ อสอบ : ชื่ อ ....................................................................
คะแนน..............
สาระที่ 1 : ว 1.3 ชั้น ...............................เลขที่............................
สิ่ งมีชีวิต
สร้างอาหารเองไม่ได้ สร้างอาหารเองได้
สิ่ งมีชีวิต
เคลื่อนที่ได้ เคลื่อนที่ไม่ได้ C
1. กำรเคลื่อนที่ 2. กำรสร้ำงอำหำร
3. กำรสื บพันธุ์ 4. กำรเจริ ญเติบโต
| 64
3. เด็ก ๆ ใช้เกณฑ์ใดในกำรจัดจำแนกสิ่ งมีชีวิตทั้งสองให้อยูใ่ นกลุ่มเดียวกัน
ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง
1. กำรเคลื่อนที่ 2. กำรสร้ำงอำหำร
3. กำรสื บพันธุ์ 4. กำรเจริ ญเติบโต
| 65
6. หำกใช้เกณฑ์กำรสร้ำงอำหำร ในกำรจำแนกสิ่ งชีวิต ได้แก่ มอส เห็ด เฟิ ร์น
ต้นกำบหอยแครง ต้นมะม่วง สำมำรถจำแนกออกเป็ นกลุ่ม ได้ตำมข้อใด
| 66
7. แผนผังแสดงกำรจัดกลุ่มพืช 5 ชนิด ออกเป็ น 2 กลุ่ม ดังนี้ (ONET 2560)
กลุ่ม ก กลุ่ม ข
มอส ตาลึง กุหลาบ พุทธรักษา ข้ าว
จำกแผนผัง พืชชนิดใดต่อไปนี้ควรจัดไว้ในกลุ่ม ก
1. เฟิ ร์น 2. บัว
3. มะลิ 4. ชวนชม
8. จำกแผนผังในข้อ 7 พืชชนิดต่อไปนี้ควรจัดไว้ในกลุ่ม ข
1. ต้นมะม่วง ชำยผ้ำสี ดำ 2. ทำนตะวัน มะลิ
3. กล้วยไม้ เฟิ ร์น 4. ต้นสน ทำนตะวัน
9. ด.ช.เป็ นปลื้ม จำแนกพืชออกเป็ น 2 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 ได้แก่ มะลิ กุหลำบ ทำนตะวัน ต้นมะม่วง
กลุ่มที่ 2 ได้แก่ มอส เฟิ ร์น ต้นสน ชำยผ้ำสี ดำ
อยำกทรำบว่ำ ด.ช.เป็ นปลื้มใช้เกณฑ์ใดในกำรจัดกลุ่มพืช
1. พืชมีดอก พืชไม่มีดอก 2. พืชใบเลี้ยงเดี่ยว พืชใบเลี้ยงคู่
3. พืชใบเลี้ยงเดี่ยว พืชไม่มีดอก 4. พืชมีดอก พืชใบเลี้ยงเดี่ยว
| 67
10. ด.ช.เป็ นปลื้ม จัดจำแนกพืช เป็ น 2 กลุ่ม
พืช
พืชใบเลี้ยงคู่ คือพืชชนิดใด
1. A 2. A และ B
3. B และ C 4. C
| 68
12. ข้อมูลแสดงโครงสร้ำงภำยนอกของพืช 4 ชนิดเป็ นดังตำรำง (ONET 2561)
โครงสร้ างภายนอก
ชนิดของพืช จานวนกลีบดอก
ราก ลาต้ น ใบ ผล
(กลีบ)
A ✓ ✓ ✓
B ✓ ✓ ✓ 3 ✓
C ✓ ✓ ✓ 5 ✓
D ✓ ✓ ✓ 6 ✓
ส่ วนประกอบของดอก
ชนิด
กลีบเลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย
ก มี มี มี มี
ข มี มี ไม่มี มี
ค มี มี มี ไม่มี
| 70
15. นักเรี ยนกลุ่มหนึ่งได้รับมอบหมายจากครู ให้ไปสารวจชนิดของสัตว์ในบริ เวณสนามและ
ร่ องปลูกไม้ดอกของโรงเรี ยน ผลการสารวจพบสัตว์ 8 ชนิด ดังนี้ นกกางเขน กบ งูเขียว
กิ้งกือ มดแดง ไส้เดือนดิน จิ้งจก ผีเสื้ อ ถ้านักเรี ยนต้องจาแนกสัตว์เหล่านี้เป็ นสองกลุ่ม
เกณฑ์การจาแนกที่ควรใช้เป็ นลาดับแรก คือข้อใด (ONET 2556)
1.การไม่มีปีก-การมีปีก
2.การเป็ นสัตว์เลือดเย็น-การเป็ นสัตว์เลือดอุ่น
3. การมีปฏิสนธิภายนอก-การมีปฏิสนธิภายใน
4. การไม่มีโครงร่ างแข็งภายในร่ างกาย-การมีโครงร่ างแข็งภายในร่ างกาย
ลักษณะที่สังเกตได้
สั ตว์
โครงสร้ างของสั ตว์ อาหารที่กนิ
มีกระดูกเป็ นข้อ ๆ
A แมลง
เรี ยงต่อกันเป็ นแนวยำวอยูก่ ลำงหลัง
B ไม่มีกระดูก มีขำต่อกันเป็ นข้อ ๆ แมลง
C ไม่มีกระดูก ซำกสิ่ งมีชีวิต
มีกระดูกเป็ นข้อ ๆ
D พืช
เรี ยงต่อกันเป็ นแนวยำวอยูก่ ลำงหลัง
| 71
17. จากข้อ 16 ข้อความต่อไปนี้ ถูกต้องใช่หรื อไม่
| 72
สั ตว์มีกระดูกสั นหลัง
ชนิดที่ 1
สั ตว์บก สั ตว์น้า
ชนิดที่ 4
มีเกล็ด มีขน
ชนิดที่ 2 ชนิดที่ 3
แผนผัง การจาแนกประเภทของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
1. มีขน 2. มีเกล็ด
3. มีปีก 4. ไม่มีปีก
| 73
20. แผนภูมิการแบ่งกลุ่มสัตว์โดยใช้ลกั ษณะบางอย่างเป็ นเกณฑ์ (ONET 2558)
สั ตว์มีกระดูกสั นหลัง
เลือดอุ่น เลือดเย็น
กลุ่ม 1 กลุ่ม 2
ผิวหนังแห้ ง ผิวหนังเปี ยกชื้น
มีเกล็ด ไม่ มีเกล็ด
กลุ่ม 3 กลุ่ม 4
| 74
21. กำรศึกษำลักษณะภำยในและภำยนอกของตัวอย่ำงสัตว์มีกระดูกสันหลัง 4 ชนิดได้ขอ้ มูล
ดังตำรำง (ONET 2561)
ลักษณะภายในและภายนอก
ชนิดของ
อวัยวะที่ใช้ หายใจ
สั ตว์ การออกลูก ผิวหนังปกคลุมลาตัว
(ตัวเต็มวัย)
A ปอดและผิวหนัง เป็ นไข่มีวนุ ้ ใสหุม้ เรี ยบ
B ปอด เป็ นตัว เรี ยบ
C ปอด เป็ นไข่มีเปลือกแข็งหุม้ มีเกล็ด
D เหงือก เป็ นตัว มีเกล็ด
อุณหภูมิในร่ างกายของสัตว์ชนิดใดไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อม
1.A 2. B
3. C 4.D
| 75
23. ตาราง ลักษณะลาตัว จานวนขา และบริ เวณที่อาศัยของสัตว์ 4 ชนิด (ONET 2552)
| 76
24. ตารางแสดงข้อมูลลักษณะเฉพาะของสัตว์มีกระดูกสันหลัง 4 ชนิดเป็ นดังนี้
ชนิดของสั ตว์ ลักษณะเฉพาะ
A ผิวหนังเปี ยกชื้น ไม่มีขน อาศัยอยูไ่ ด้ท้ งั บนบกและในน้ า ออกลูกเป็ น
ไข่
B ผิวหนังมีเกล็ด มีครี บ อาศัยอยูใ่ นน้ าตลอดชีวิต ออกลูกเป็ นไข่
C ผิวหนังมีขนเป็ นแผงปกคลุม อาศัยอยูบ่ นบก ออกลูกเป็ นไข่
D ผิวหนังมีขนเป็ นเส้นปกคลุม อาศัยอยูบ่ นบก ออกลูกเป็ นไข่
ชนิดของสัตว์
A B C D
กลุ่มสัตว์สะเทินน้ า กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูก
1. กลุ่มปลา กลุ่มนก
สะเทินบก ด้วยน้ านม
กลุ่มสัตว์สะเทินน้ า กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูก
2. กลุ่มปลา กลุ่มนก
สะเทินบก ด้วยน้ านม
กลุ่มสัตว์สะเทินน้ า กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูก
3. กลุ่มปลา กลุ่มนก
สะเทินบก ด้วยน้ านม
กลุ่มสัตว์สะเทินน้ า กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูก
4. กลุ่มปลา กลุ่มนก
สะเทินบก ด้วยน้ านม
| 77
25. ศึกษาการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิร่างกายของสัตว์ 3 ชนิด โดยให้สัตว์อยูใ่ นห้อง
ที่มีอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส เป็ นเวลา 3 ชัว่ โมง จากนั้นให้สัตว์พกั 1 ชัว่ โมงในห้อง
ที่มีอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส แล้วจึงนาสัตว์ไปอยูใ่ นห้องที่มีอุณหภูมิ 30 องศา
เซลเซียสเป็ นเวลา 3 ชัว่ โมง บันทึกอุณหภูมิร่างกายของสัตว์ก่อนและหลังการทดลอง
(ONET 2562)
ได้ผลดังตาราง
| 78
26. ตาราง แสดงลักษณะบางประการของสัตว์ 4 ชนิด (ONET 2559)
| 79
29. ตาราง ลักษณะสาคัญของกลุ่มสัตว์มีกระดูกสันหลัง (ONET 2557)
| 80
สั ตว์มีกระดูกสั นหลัง
สั ตว์ A
สั ตว์บก สั ตว์น้า
สั ตว์ D
มีเกล็ด มีขน
สั ตว์ B สั ตว์ C
| 81
31. จากแผนภาพ สัตว์ A B และ C คือ สัตว์ในข้อใด ตามลาดับ
สั ตว์
สั ตว์ A
สั ตว์เลือดเย็น สั ตว์เลือดอุ่น
สั ตว์ B สั ตว์ C
| 82
สัตว์
34. สิ่ งมีชีวิตชนิดหนึ่ง มีลาตัวอ้วน ไม่มีขน ผิวเปี ยกชื้น ออกลูกเป็ นไข่ มีขา 4 ขา ตีนคู่หลังมี
พังผืดติดระหว่างนิ้ว สิ่ งมีชีวิตนี้น่าจะอยูใ่ นกลุ่มใด
(แบบทดสอบท้ายเล่ม หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4 เล่ม 1)
1. ปลา 2. สัตว์สะเทินน้ าสะเทินบก
3. สัตว์เลื้อยคลาน 4. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ านม
35. ด.ช.เป็ นปลื้มพบสิ่ งมีชีวิตชนิดหนึ่งในแอ่งน้ าหลังบ้าน มีลกั ษณะลาตัวกลมสี ดา มีหาง
และขาหลังขนาดเล็ก 2 ขา หายใจด้วยเหงือก อยากทราบว่า สัตว์ชนิดนี้อยูใ่ นกลุ่มใด
1. ปลา 2. สัตว์สะเทินน้ าสะเทินบก
3. สัตว์เลื้อยคลาน 4. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ านม
| 83
36. ถ้าลูกสัตว์เลื้อยคลานกับลูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ านมที่เกิดใหม่ ต้องมีชีวิตตามลาพัง
ลูกของสัตว์ชนิดใดมีโอกาสรอดได้มากที่สุด เพราะเหตุใด
(แบบทดสอบท้ายเล่ม หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4 เล่ม 1)
1. สัตว์เลื้อยคลาน เพราะหากินได้เอง
2. สัตว์เลื้อยคลาน เพราะหายใจด้วยปอด
3. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ านม เพราะมีขาไว้หาอาหาร
4. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ านม เพราะต้องกินน้ านมแม่
| 84
รุ่ นพ่อแม่ ถัว่ พันธุ์ตน้ สู ง ถัว่ พันธุ์ตน้ เตี้ย
แผนผัง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของถัว่
38. จากแผนผัง สัดส่ วนของลักษณะต้นสู งต่อต้นเตี้ยในรุ่ นลูก เป็ นเท่าใด (ONET 2550)
1. 1 : 1 2. 1 : 2
3. 1 : 3 4. 3 : 1
39. แผนผังแสดงกำรถ่ำยทอดทำงพันธุกรรมในแมว (ONET 2558)
พ่อ แม่
| 85
40. ถ้านาถัว่ ลันเตาลักษณะต้นสู งผสมกับถัว่ ลันเตาลักษณะต้นเตี้ย ปรากฏว่าต้นถัว่ รุ่ นลูก
มีลกั ษณะต้นสู งทุกต้น เหตุผลข้อใดถูกต้อง (ONET 2554)
1.ลักษณะต้นเตี้ยของถัว่ เป็ นลักษณะเด่น
2.ลักษณะต้นสู งของถัว่ เป็ นลักษณะเด่น
3.ถัว่ มีลกั ษณะต้นสู งเพราะเจริ ญเติบโตได้ดีกว่าต้นเตี้ย
4.ลักษณะต้นเตี้ยของถัว่ เป็ นลักษณะที่ไม่มีการถ่ายทอดไปสู่ รุ่นลูก
| 86
44. ข้อใดจัดเป็ นลักษณะทางพันธุกรรมทั้งหมด (ONET 2557)
1. ฟันผุ 2. ตาแดง
3. เบาหวาน 4. ไวรัสตับอักเสบบี
1. เบาหวาน 2. โรคเลือดใส
3. โรคเหน็บชา 4. โรคกล้ามเนื้อลีบ
| 87
48. ข้อมูลแสดงลักษณะทางพันธุกรรมของบุคคลในครอบครัวหนึ่งเป็ นดังนี้ (ONET 2553)
ลักษณะทาง
ลูก พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย
พันธุกรรม
เส้นผม เรี ยบ เรี ยบ หยักศก หยักศก เรี ยบ หยักศก หยักศก
ลักยิม้ มี ไม่มี มี มี ไม่มี มี มี
หนังตา ชั้นเดียว 2 ชั้น ชั้นเดียว 2 ชั้น 2 ชั้น 2 ชั้น ชั้นเดียว
ลักษณะทาง
ลูก พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย
พันธุกรรม
สี ผิว คล้ า คล้ า ขาว ขาว คล้ า ขาว ขาว
สันจมูก โด่ง แบน โด่ง โด่ง แบน โด่ง โด่ง
ลิน้ ห่อได้ ห่อไม่ได้ ห่อได้ ห่อไม่ได้ ห่อไม่ได้ ห่อไม่ได้ ห่อได้
| 88
50. ครอบครัวหนึ่งมีลกั ษณะภำยนอกแสดงดังตำรำง (ONET 2561)
จำกข้อมูล ข้อใดกล่ำวถึงกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรมในครอบครัวนี้ไม่ถูกต้อง
1. ลูกชำยมีลกั ษณะทำงพันธุกรรมเหมือนพ่อ 3 ลักษณะ
2. ลูกสำวมีลกั ษณะทำงพันธุกรรมเหมือนแม่ 1 ลักษณะ
3. ลักษณะทำงพันธุกรรมของลูกชำยเหมือนแม่มำกกว่ำที่ลูกสำวเหมือนแม่
4. ลักษณะทำงพันธุกรรมของลูกชำยเหมือนพ่อมำกกว่ำที่ลูกสำวเหมือนพ่อ
1. ลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่างของพ่อแม่อาจไม่ปรากฏในรุ่ นลูก
2. ลักษณะทางพันธุกรรมของปู่ ย่า ตา ยาย จะไม่ถ่ายทอดให้รุ่นหลาน
3. พ่อถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมให้ลูกชาย และแม่ถ่ายทอดให้ลูกสาว
4. ลักษณะทางพันธุกรรมของพ่อแม่ที่ปรากฏในลูกคนแรกแล้ว จะไม่ปรากฏ
ในลูกคนถัดไป
54. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม
(แบบทดสอบท้ำยเล่ม หนังสื อเรี ยน สสวท. ป. 5 เล่ม 2)
1. ลูกจะมีลกั ษณะทุกลักษณะเหมือนพ่อและแม่
2. เป็ นกำรถ่ำยทอดลักษณะจำกบรรพบุรุษเพียงรุ่ นเดียว
3. เป็ นกำรถ่ำยทอดลักษณะจำกพ่อและแม่ผำ่ นกำรสื บพันธุ์
4. ลูกชำยต้องมีลกั ษณะเหมือนพ่อ ลูกสำวต้องมีลกั ษณะเหมือนแม่
| 90
55. การผสมพันธุ์สัตว์ในลักษณะใดที่ช่วยป้องกันการถ่ายทอดลักษณะที่ไม่ดีของพ่อไปสู่ ลูก
(ONET 2551)
| 91