You are on page 1of 91

6

(ข้ อสอบ)

|1
สารบัญ
(ข้ อสอบ)

ว 1.1 

ว 1.2 

ว 1.3 

|2
ข้ อสอบ : ชื่ อ ....................................................................
คะแนน..............
สาระที่ 1 : ว 1.1 ชั้น ...............................เลขที่............................

1. โครงสร้างและลักษณะของสิ่ งมีชีวิตในข้อใด เหมาะสมกับการนาไปใช้ในการดารงชีวิต


ของสิ่ งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่

ตัวเลือก โครงสร้ างของสิ่ งมีชีวิต การนาไปใช้ ในการดารงชีวิต

1. ช่วยในการหายใจ

ต้นโกงกาง มีรำกจำนวนมำกปักลงดินเลน

2. ช่วยค้ ำจุนลำต้น
ต้นผักตบชวา
ภำยในก้ำนใบและลำต้นมีช่องอำกำศ

3. ป้องกันทรายเข้าตา

อูฐมีขนตำยำว

4. ช่วยในการเดินในน้ า

กบมีพงั ผืดระหว่ำงนิ้วตีน

|3
2. ข้อใดจับคู่ความสัมพันธ์ระหว่างชนิดของสิ่ งมีชีวิต กับโครงสร้างและลักษณะ
ที่เหมาะสมกับการดารงชีวิตในแหล่งที่อยูไ่ ม่ถูกต้อง
A. ไม่มีใบ แต่มีหนามแหลมขนาดเล็ก
B. แผ่นใบหุบเข้ำหำกันได้
C. ภายในก้านใบและลาต้นมีช่องอากาศจานวนมาก
D. มีนวมสี ขาวหุม้ ลาต้นคล้ายฟองน้ า
1. A คือ ต้นกระบองเพชร 2. B คือ ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง
3. C คือ ต้นผักตบชวา 4. D คือ ต้นผักกระเฉด

3. พืชและสัตว์ในข้อใดที่มีโครงสร้างและลักษณะแบบใดที่เหมาะสมกับการดารงชีวิต
ในแหล่งที่อยู่

A. สุ นขั จิ้งจอกทะเลทรายมีใบหูใหญ่ B. เพนกวินมีขนที่บางเบา


เพื่อช่วยระบายความร้อนในร่ างกาย เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น

C. ผักกระเฉดภายในก้านใบและลาต้น D. อูฐมีโหนกสาหรับเก็บน้ าไว้ใช้


มีช่องอากาศจานวนมาก ช่วยในการลอยน้ า ในยามที่ขาดแคลน

|4
4. จากแผนภาพข้อใดถูกต้อง

ข้าวโพด หนู งู นกฮูก

1. ข้าวโพดเป็ นผูบ้ ริ โภคลาดับที่ 1


2. ผูบ้ ริ โภค ได้แก่ หนู และงู
3. หากขาดผูผ้ ลิตสิ่ งมีชีวิตที่เหลือจะกินกันเอง
4. ผูบ้ ริ โภคลาดับที่ 3 คือ นกฮูก

5. จากแผนภาพข้อใดถูกต้อง

หญ้า ตั๊กแตน กบ เหยี่ยว

1. ความสัมพันธ์ของสิ่ งมีชีวิตดังแผนภาพ เรี ยกว่า สายใยอาหาร


2. ถ้าตัก๊ แตนโดนยาฆ่าแมลงของชาวนาทาให้ตายหมด สิ่ งมีชีวิตที่เหลือยังสามารถ
ดารงชีวิตอยูไ่ ด้
3. ตัก๊ แตนเป็ นผูบ้ ริ โภคพืชและสัตว์
4. กบเป็ นทั้งเหยือ่ และผูล้ ่า

|5
6. โซ่อาหารในนาข้าวแห่งหนึ่ง เป็ นดังนี้ (O-NET ปี 2560)

ต้นข้าว หนู งู นกเค้าแมว

ระหว่างฤดูทานา ถ้าชาวนาจับงูในนาข้าวแห่งนี้จนหมด เหตุการณ์ในข้อใดมีโอกาส


เกิดขึ้นได้มากที่สุด
1. หนูเพิ่มจานวนมากขึ้น
2. ต้นข้าวเพิ่มจานวนมากขึ้น
3. ต้นข้าวถูกหนูทาลายน้อยลง
4. นกเค้าแมวเพิ่มจานวนมากขึ้น

7. แผนผังห่วงโซ่อาหาร (O-NET 2551)

สิ่ งมีชีวิต A สิ่ งมีชีวิต B สิ่ งมีชีวิต C สิ่ งมีชีวิต D

ถ้าสิ่ งมีชีวิต C ตายหมด จะมีเหตุการณ์ใดต่อไปนี้เกิดขึ้น


1. สิ่ งมีชีวิต A มีจานวนเพิ่มขึ้น
2. สิ่ งมีชีวิต B มีจานวนลดลง
3. สิ่ งมีชีวิต D มีจานวนลดลง
4. สิ่ งมีชีวิต B มีจานวนเท่าเดิม

|6
8. แผนผังโซ่อาหาร (O-NET 2552)

สิ่ งมีชีวิต A สิ่ งมีชีวิต B สิ่ งมีชีวิต C สิ่ งมีชีวิต D

จากแผนผังโซ่อาหาร ถ้าสิ่ งมีชีวิต C ตายหมด จะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นได้บา้ ง


(เลือกคาตอบ 2 ข้อ)
1. สิ่ งมีชีวิต A มีจานวนเพิ่มขึ้น
2. สิ่ งมีชีวิต A มีจานวนเท่าเดิม
3. สิ่ งมีชีวิต B มีจานวนลดลง
4. สิ่ งมีชีวิต B มีจานวนเพิ่มขึ้น
5. สิ่ งมีชีวิต D มีจานวนลดลง
6. สิ่ งมีชีวิต D มีจานวนเพิ่มขึ้น
9. แผนภาพสายใยอาหาร

จากแผนภาพข้อใดถูกต้อง
1. ผูบ้ ริ โภคลาดับที่ 1 ได้แก่ ตัก๊ แตนและมด
2. เหยีย่ วเป็ นผูบ้ ริ โภคลาดับที่ 3
3. ถ้ากบย้ายออกจากแหล่งที่อยูน่ ้ ีท้งั หมดจะทาให้งูสูญพันธุ์
4. สายใยอาหารนี้ประกอบด้วย 2 โซ่อาหาร
|7
10. พิจารณาแผนภาพสายใยอาหารในนาข้าวแห่งหนึ่ง (O-NET ปี 2555)

งู
เหยีย่ ว
กบ

นก หนู
ตัก๊ แตน

หนอน
ต้นข้าว

สายใยอาหารนี้ประกอบด้วยโซ่อาหารจานวนเท่าใด
1. 3 2. 4 3. 5 4. 6
11. สายใยอาหารในป่ าแห่ งหนึ่ง เป็ นดังนี้ (O-NET 2556)

ต้นหญ้า

กระต่าย หนู หนอน

หมาป่ า งู นก

จากสายใยอาหาร ข้อใดกล่าวถูกต้อง
1. งูกินอาหารได้หลากหลายเท่ากับหมาป่ า
2. หมาป่ าและงูเป็ นผูบ้ ริ โภคลาดับ 3
3. จานวนผูบ้ ริ โภคลาดับ 2 มีเท่ากับ ผูบ้ ริ โภคลาดับ 3
4. ถ้ามีคนล่าสัตว์จบั หมาป่ าและยิงนกไปจนหมด กระต่ายและหนูจะเหลืออยู่
จานวนเท่ากัน

|8
12. สายใยอาหารในป่ าแห่งหนึ่งเป็ นดังนี้ (O-NET 2557)

ต้นหญ้า

กระต่าย หนู หนอน

หมาป่ า งู นก

ข้อใดทาให้เกิดผลกระทบต่อสายใยอาหารรุ นแรงที่สุด
1. คนไปแผ้วถางหญ้าออกจนหมดเพื่อสร้างบ้านจัดสรร
2. กระต่ายถูกจับไปขายเป็ นสัตว์เลี้ยง
3. มีนกอพยพเข้ามาเพิม่ ในฤดูหนาว
4. หนูถูกจับไปเป็ นอาหารจนหมด

13. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่ งมีชีวิตในระบบนิเวศ เป็ นดังแผนภาพ (O-NET ปี 2560)

ต้นข้าว แมลง

หนู
นกเอี้ยง

เหยีย่ ว
จากแผนภาพ ข้อใดกล่าวถูกต้อง
1. เหยีย่ วกินทั้งพืชและสัตว์เป็ นอาหาร
2. แมลงและหนู เป็ นผูบ้ ริ โภคลาดับที่ 1
3. หากนกเอี้ยงหายไปจากระบบนิเวศนี้ แมลงจะลดจานวนลงด้วย
4. หากเกิดโรคระบาดในต้นข้าว จะส่ งผลกระทบต่อผูบ้ ริ โภคลาดับที่ 1 เท่านั้น

|9
จากแผนภาพสายใยอาหาร จงใช้ในการตอบคาถาม (O-NET ปี 2558 )

เหยีย่ ว
เสื อ
งู
กระต่าย กบ
หนู
กวาง หนอน
พืช

14. ข้อความที่ถูกมี 2 ข้อ คือข้อใด


1. ผูบ้ ริ โภคลาดับที่ 1 ที่สาคัญที่สุดคือกวาง
2. งูเป็ นทั้งผูบ้ ริ โภคลาดับ 2 และลาดับ 3
3. ผูบ้ ริ โภคลาดับ 2 มี 2 ชนิด คือ กบ และ งู
4. ผูบ้ ริ โภคลาดับ 3 มี 2 ชนิด คือ งู และ เหยีย่ ว
5. ถ้ากระต่ายถูกคนจับไปกินเป็ นอาหารจนหมด จะทาให้เสื อสู ญพันธุ์
7. สายใยอาหารนี้มีผบู ้ ริ โภคลาดับสุ ดท้าย 2 ชนิด จึงประกอบด้วย 2 โซ่อาหาร

15. แบคทีเรี ยมีบทบาทใดในห่ วงโซ่อาหาร (O-NET 2551)


1. เป็ นผูล้ ่า 2. เป็ นผูผ้ ลิต
3. เป็ นผูบ้ ริ โภค 4. เป็ นผูย้ อ่ ยสลาย

| 10
จากแผนภาพจงใช้ในการตอบคาถาม

เห็ด

B ตัก๊ แตน C

16. ผูผ้ ลิต คือสิ่ งมีชีวิตใด


1. A 2. B 3. C 4. D

17. สิ่ งมีชีวิต A B C และ D ควรเป็ นสิ่ งมีชีวิตชนิดใดตามลาดับ


1. ต้นข้าว หนู เหยีย่ ว นกกระจอก
2. ต้นข้าว นกกระจอก งู เหยีย่ ว
3. ต้นข้าว นกกระจอก หนู เหยีย่ ว
4. ต้นข้าว งู หนู เหยีย่ ว

| 11
18. ตันไม้ใหญ่ตน้ หนึ่งเป็ นที่อยูอ่ าศัยของสิ่ งมีชีวิต 5 ชนิดได้แก่ พืชกาฝาก แมลง กิ้งก่า
นกกินพืช และเหยีย่ ว ซึ่งสิ่ งมีชีวิตเหล่านี้ มีความสัมพันธ์กนั ดังสายใยอาหาร
(O-NET ปี 2561)

จากข้อมูล ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องใช่หรื อไม่ใช่

ข้ อความ ใช่ หรื อ ไม่ ใช่


1 พืชกาฝากเป็ นผูผ้ ลิตของสายใยอาหารนี้ ใช่ / ไม่ใช่
2 เมื่อนกกินพืชถ่ายมูลบนตันไม้ใหญ่จะช่วยให้พืชกาฝาก
ขยายพันธุ์ได้เพิ่มขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างนกกินพืชกับ ใช่ / ไม่ใช่
พืชกาฝาก เรี ยกว่า "ภาวะพึ่งพาอาศัย"
3 หากมีนกกินแมลงเพิม่ เข้ามาในสายใยอาหารนี้
ใช่ / ไม่ใช่
จานวนนกกินพืชจะไม่เปลี่ยนแปลง

| 12
19. ในสระแห่งหนึ่งมีการปล่อยปลา X ลงไป ทาให้จานวนปลาในสระมีการเปลี่ยนแปลง
ดังแสดงในกราฟ ปลา X น่าจะมีลกั ษณะอย่างไร (O-NET 2553)

จานวนปลา

เวลา(สัปดาห์)
20 40
1. ปลา X เป็ นผูล้ ่าปลาอื่น ๆ 2. ปลา X เป็ นเหยือ่ ของปลาอื่น ๆ
3. ปลา X กินพืชเป็ นอาหาร 4. ปลา X กินทั้งพืชและสัตว์เป็ นอาหาร

20. ในสวนแห่งหนึ่ง เด็กหญิงแก้วเห็นแมลงกาลังตอมดอกไม้ ไม่นานแมลงก็บิน


ไปติดใยแมงมุม แมลงกาลังดิ้นอย่างทุรนทุราย แมงมุมหิวกระหายรี บเข้าไปกินแมลง
ทันใดนั้น กบตัวหนึ่งตวัดลิ้นกินแมงมุมทันที (O-NET 2554)
จากข้อความข้างต้น เด็กหญิงแก้วสามารถเขียนโซ่อาหารได้แบบใด
1. ดอกไม้ แมลง ใยแมงมุม กบ
2. ดอกไม้ แมงมุม แมลง กบ
3. ดอกไม้ แมลง แมงมุม กบ
4. ดอกไม้ กบ แมลง แมงมุม

| 13
21.นักเรี ยนสารวจกลุ่มสิ่ งมีชีวิตที่อยูบ่ นพื้นหญ้าบริ เวณสวนหลังบ้าน และบันทึก
สิ่ งที่สารวจได้ไว้ ดังนี้ (O-NET 2563)
“ พบหนอนกาลังกัดกินใบไม้ ในขณะที่นกซึ่งทารังอยูบ่ นต้นไทรบินลงมาจับหนอนกิน
เป็ นอาหารโดยนกมักจะถูกงูจบั กินเป็ นอาหาร”โซ่อาหารได้ถูกต้อง
1. หญ้า นก หนอน
2. หญ้า หนอน นก งู
3. ต้นไทร หนอน นก
4. ต้นไทร หนอน นก งู
22. มานีสารวจกลุ่มสิ่ งมีชีวิตในสวนข้างโรงเรี ยน และมานะสารวจกลุ่มสิ่ งมีชีวิตในสระน้ า
หลังวัด บันทึกสิ่ งมีที่สังเกตได้ ดังตาราง (O-NET 2556)

สวนข้ างโรงเรียน สระน้าหลังวัด


1. นกกระจอกทารังบนต้นหูกวาง 1. เต่าอาศัยอยูบ่ นโขดหินที่อยูก่ ลางสระ
2. ไส้เดือนอยูใ่ นดิน 2. ฝูงปลาหางนกยูงไล่กินลูกน้ ายุงบริ เวณริ มสระ
3. เห็ดสี ขาวและเห็ดสี ส้ม 3. บัวสายและผักบุง้ กาลังออกดอกในสระ
ขึ้นปนกันบนขอนไม้ผุ
4. กระรอกกินลูกหู กวาง 4. กบที่อยูบ่ นบัวสายกาลังจับแมลงกิน

การรายงานผลการสารวจข้อใด ไม่ถูกต้อง
1. จานวนโซ่อาหารในสวนมีนอ้ ยกว่าในสระน้ า
2. ไม่พบผูบ้ ริ โภคลาดับหนึ่งในสถานที่ท้งั สองแห่ง
3. ชนิดของสิ่ งมีชีวิตที่เป็ นผูผ้ ลิตในสวนมีมากกว่าในสระน้ า
4. จานวนของสิ่ งมีชีวิตที่เป็ นผูบ้ ริ โภคในสระน้ า มีมากว่าในสวน
5. จานวนชนิดของสิ่ งมีชีวิตทั้งหมดที่สารวจได้จากสวน มีนอ้ ยกว่าบริ เวณสระน้ า
6. ความสัมพันธ์ระหว่างนกกระจอกและต้นหูกวางเป็ นความสัมพันธ์แบบเดียวกัน
กับความสัมพันธ์ระหว่างกบและบัวสาย
| 14
บนต้นลำไยมีลูกนกอยูใ่ นรังบนต้นลำไย มีแมงมุมชักใยอยูบ่ นต้นลำไยและกำลังกิน
แมลงตัวเล็ก ๆ ติดอยูท่ ี่ใยแมงมุม ใกล้ ๆ ต้นลำไยมีสวนสตอเบอรี่ แม่นกกำลังจับผีเสื้ อ
ที่กำลังดูดน้ ำหวำนของดอกสตอเบอรี่ เพื่อนำไปป้อนลูกที่อยูใ่ นรัง มีมดกลุ่มหนึ่งกำลัง
กัดหนอนที่กำลังกัดกินสตอเบอรี่

23. ข้อใด เป็ นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่ งมีชีวิตกับสิ่ งมีชีวิตที่ไม่ถูกต้อง


1. แมงมุมกับต้นไม้ มีความสัมพันธ์ดา้ นเป็ นที่อยูอ่ าศัย
2. แมลงตัวเล็ก ๆ กับแมงมุม มีความสัมพันธ์ดา้ นการกินกันเป็ นอาหาร
3. มดกับต้นลาไย มีความสัมพันธ์ดา้ นเป็ นที่อยูอ่ าศัย และที่เลี้ยงดูตวั อ่อน
4. หนอนกับสตอเบอรี่ มีความสัมพันธ์ดา้ นด้านการกินกันเป็ นอาหาร

24. จากข้อความด้านบน สามารถเขียนโซ่อาหารในแหล่งที่อยูน่ ้ ีได้อย่างไร


1. ต้นลาไย มด นก
2. สตอเบอรี่ มด นก
3. สตอเบอรี่ หนอน นก
4. ดอกสตอเบอรี่ ผีเสื้ อ นก

| 15
ต้นชมพู่ตน้ หนึ่งมีนกทำรังเลี้ยงลูกอ่อนอยูบ่ นกิ่ง และที่ปลำยกิ่งมีรังมดแดง
ทำรังอยู่ ที่พ้นื ดินมีตน้ ผักบุง้ ซึ่งมีหนอนกำลังกัดกินผักบุง้ และมีแม่นกกำลังจิก
หนอนเพื่อนำมำไปป้อนลูกที่อยูใ่ นรัง

25. จากข้อมูล ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องใช่หรื อไม่

ข้ อความ ใช่ หรื อ ไม่ ใช่


1 ต้นชมพู่กบั หนอน มีความสัมพันธ์ดา้ นที่อยูอ่ าศัย ใช่ / ไม่ใช่
2 ต้นมะม่วงกับนก มีความสัมพันธ์ดา้ นที่อยูอ่ าศัย
ใช่ / ไม่ใช่
และที่เลี้ยงดูตวั อ่อน
3 หนอนกับต้นผักบุง้ มีความสัมพันธ์ดา้ นที่อยูอ่ าศัย ใช่ / ไม่ใช่

26. ข้อใด เป็ นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่ งมีชีวิตกับสิ่ งมีชีวิตที่ถูกต้อง


1. นกกับต้นชมพู่ มีความสัมพันธ์ดา้ นการกินกันเป็ นอาหาร
2. มดแดงกับต้นชมพู่ มีความสัมพันธ์ดา้ นเป็ นที่อยูอ่ าศัย และที่เลี้ยงดูตวั อ่อน
3. หนอนกับผักบุง้ มีความสัมพันธ์ดา้ นเป็ นที่วางไข่และเลี้ยงดูลูกอ่อน
4. หนอนและต้นชมพู่มีความสัมพันธ์ดา้ นการกินกันเป็ นอาหาร

27. จากข้อความด้านบน สามารถเขียนโซ่อาหารในแหล่งที่อยูน่ ้ ีได้อย่างไร


1. ต้นชมพู่ หนอน นก
2. ต้นชมพู่ มดแดง นก
3. ผักบุง้ หนอน นก
4. ผักบุง้ หนอน มดแดง

| 16
28. จากภาพด้านบน ข้อใดเป็ นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่ งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่
1. ปลากินสาหร่ ายในสระน้ า
2. งูใช้อากาศในการหายใจ
3. บัวใช้น้ าในการเป็ นแหล่งที่อยูอ่ าศัย
4. พืชใช้แก๊สคาร์บอนออกไซด์ในการสร้างอาหาร

29. จากภาพด้านบน ข้อใดเป็ นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่ งไม่มีชีวิตในแหล่งที่อยู่


1. นกกินปลาในสระ
2. งูกินกบเป็ นอาหาร
3. ต้นไม้ใช้แสงในการสังเคราะห์ดว้ ยแสง
4. ผีเสื้ อดูดน้ าหวานจากดอกไม้
| 17
30. ตารางระยะเวลาที่ใช้ในการย่อยสลายขยะบางชนิด (O-NET 2559)

ชนิดขยะ ระยะเวลาที่ใช้ ในการย่อยสลาย


A 2 – 5 เดือน
B 80 – 100 ปี
C 450 ปี
D ไม่ยอ่ ยสลาย

ควรจัดกระป๋ องนมข้นหวานเป็ นขยะชนิดใด


1. A 2. B 3. C 4. D

31. การกระทาของนักเรี ยนคนใด ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่ งแวดล้อมน้อยที่สุด


A. ด.ญ.น้ าใจ นาอาหารใส่ ปิ่นโตไปทานที่โรงเรี ยน
B. ด.ญ.อิ่มเอม ฝังกลบขยะที่ยอ่ ยสลายยาก เช่นกล่องโฟมลงในดิน
C. ด.ช.น้ าฝน ทิ้งมะม่วงสุ กลงในแม่น้ าข้างบ้าน
D. ด.ช.ภูเขา ช่วยคุณแม่กาจัดผักตบชวา เพื่อให้คุณแม่นามาทากระเป๋ าจักรสาน
ก. A และ B ข. B และ C
ค. B และ D ง. A และ D

| 18
32. ด.ญ.อิ่มเอม ต้องการรี ไซเคิล (Recycle) ขวดพลาสติกน้ าดื่ม ด.ญ.อิ่มเอม ควรทาอย่างไร
1. อิ่มเอมนาขวดพลาสติกมาประดิษฐ์เป็ นกล่องใส่ ปากกา
2. อิ่มเอมนาขวดพลาสติกไปล้างแล้วนากลับมาใส่ น้ าดื่มใหม่
3. อิ่มเอมแยกทิ้งขยะขวดน้ าดื่มลงในถังขยะ คนเก็บขยะนาขยะส่ งโรงานเพื่อนาไป
หลอมทาเป็ นถังขยะ
4. อิ่มเอมนาขวดพลาสติกไปฝังใต้ตน้ ไม้หลังบ้าน

33. การกระทาในข้อใดช่วยลดแก๊สคาร์บอนมอนนอกไซด์ในเมืองที่มีปัญหามลพิษ
ทางอากาศ (O-NET 2561)
1. ล้างถนนทุกวัน
2. ใช้รถดูดฝุ่ นบนถนนทุกวัน
3. ใช้จกั รยานแทนการใช้รถยนต์
4. สวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกอาคาร

34. การรณรงค์ขอ้ ใดที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่ งแวดล้อมต่างจากข้ออื่น (O-NET 2559)


1. การปลูกผักกางมุง้
2. การส่ งเสริ มการผลิตกระดาษรี ไซเคิล
3. การใช้ปยเคมี ุ๋ ที่ผลิตได้เองในประเทศไทย
4. การใช้สารชีวภาพในการกาจัดศัตรู พืช

| 19
35. การกระทาใดช่วยรักษาพื้นที่ป่าให้มีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้น (O-NET 2552)
1. การทาไร่ เลื่อนลอย
2. การจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ
3. การสร้างเขื่อน
4. การขยายเขตอุตสาหกรรม
36. โครงการทางสิ่ งแวดล้อมข้อใดช่วยลดมลพิษทางอากาศโดยตรง (O-NET 2559)
(เลือกคาตอบที่ถูกต้อง 2 ข้อ)
1. ประหยัดพลังงานไฟฟ้า โดยปิ ดเครื่ องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งเมื่อเลิกใช้
2. การรณรงค์ให้คนใช้ระบบขนส่ งมวลชนแทนรถยนต์ส่วนบุคคล
3. ใช้พลังงานน้ าแทนพลังงานจากถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า
4. ทาการเกษตรผสมผสานที่ปลอดสารพิษ
5. ปลูกพืชหมุนเวียน โดยใช้พืชตระกูลถัว่
6. นาขยะอินทรี ยไ์ ปทาปุ๋ ยหมัก

| 20
ข้ อสอบ : ชื่ อ ....................................................................
ชั้น ...............................เลขที่............................
คะแนน..............
สาระที่ 1 : ว 1.2

1. ตัดส่ วนประกอบของพืชชนิดหนึ่ง ได้แก่ รำก ลำต้น และใบ แล้วแยกแต่ละส่ วนประกอบ


ใส่ ในภำชนะ A B และ C ภำชนะละ 1 ชิ้ น จำกนั้นบันทึ กผลสังเกตลักษณะภำยนอก
และกำรทดสอบแป้งด้วยสำรละลำยไอโอดีน ดังตำรำง (O-NET 2561)

ส่ วนประกอบ ผลการสั งเกตลักษณะภายนอก


ผลการทดสอบแป้ง
ในภาชนะ สี ข้ อ ปล้อง และตา ปากใบ
A สี น้ าตาลอ่อน พบ ไม่พบ เปลี่ยนเป็ นสี น้ าเงินเข้ม
B สี เขียว ไม่พบ พบ เปลี่ยนเป็ นสี น้ าเงินเข้ม
C สี ขาว ไม่พบ ไม่พบ ไม่เปลี่ยนแปลง

หำกต้องกำรวำดส่ วนประกอบที่มีโครงสร้ำงทำหน้ำที่คำยน้ ำ และทำหน้ำที่ดูดน้ ำของพืช


ควรเลือกส่ วนประกอบในภำชนะใดมำวำด ตำมลำดับ
1. A และ C 2. B และ A
3. B และ C 4. C และ B

| 21
จำกภำพ จงใช้ในกำรตอบคำถำม

ถุงพลาสติกใส

หลอดไฟ

การทดลอง A การทดลอง B การทดลอง C การทดลอง D

2. กำรทดลอง A B C และ D เป็ นกำรทดลองศึกษำหน้ำที่ของส่ วนใดของพืช ตำมลำดับ


1. ใบ ลำต้น รำก ลำต้น 2. ใบ ใบ ลำต้น รำก
3. ใบ ใบ รำก ลำต้น 4. ลำต้น ใบ รำก ลำต้น
3. หำก ด.ญ.สำยไหม ต้องกำรศึกษำส่ วนของพืชที่ทำหน้ำที่ในกำรดูดซึมน้ ำและธำตุอำหำร
ต้องใช้ชุดกำรทดลองใด
1. กำรทดลอง A 2. กำรทดลอง B
3. กำรทดลอง C 4. กำรทดลอง D
4. หำก ด.ช.สำยฟ้ำ ต้องกำรศึกษำส่ วนของพืชที่ทำหน้ำที่ในกำรสร้ำงอำหำรหรื อ
กำรสังเครำะห์ดว้ ยแสง ต้องใช้ชุดกำรทดลองใด
1. กำรทดลอง A 2. กำรทดลอง B
3. กำรทดลอง C 4. กำรทดลอง D
5. หำก ด.ญ.ฟ้ำใส ต้องกำรศึกษำส่ วนของพืชที่ทำหน้ำที่ในกำรลำเลียงน้ ำ
ต้องใช้ชุดกำรทดลองใด
1. กำรทดลอง A 2. กำรทดลอง B
3. กำรทดลอง C 4. กำรทดลอง D

| 22
6. หำก ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ ง ต้องกำรศึกษำส่ วนของพืชที่ทำหน้ำที่ในกำรคำยน้ ำ
ต้องใช้ชุดกำรทดลองใด
1. กำรทดลอง A 2. กำรทดลอง B
3. กำรทดลอง C 4. กำรทดลอง D

7. ป่ าไม้ช่วยบรรเทาปั ญหาภาวะเรื อนกระจกได้อย่างไร (O-NET)


1. ทาให้มีไอน้ าในบรรยากาศเพิ่มขึ้น
2. สะท้อนแสงอาทิตย์ออกไปจากโลก
3. ปล่อยแก๊สออกซิเจนออกสู่ บรรยากาศ
4. ดูดซับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ

8. รู ปแสดงกำรเข้ำและออกของแก๊สชนิดต่ำง ๆ ของพืช

A B

ข้อใดถูกต้อง
แก๊ส A แก๊ส B แก๊ส C
1. ไนโตรเจน ออกซิเจน คำร์บอนไดออกไซด์
2. ไอน้ ำ คำร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน
3. ออกซิเจน คำร์บอนไดออกไซด์ ไอน้ ำ
4. คำร์บอนไดออกไซด์ ไอน้ ำ ออกซิเจน

| 23
ภาพ ก ภาพ ข

9. จากภาพส่ วนประกอบของพืช ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องใช่หรื อไม่


ข้ อความ ใช่ หรื อ ไม่ ใช่
ภาพ ก จะพบได้ที่บริ เวณใบของพืช ใช่ / ไม่ใช่
ภาพ ข จะพบได้ที่รากของพืช ใช่ / ไม่ใช่
ภาพ ก มีหน้าที่ในการดูดน้ า ใช่ / ไม่ใช่
ภาพ ข มีหน้าที่ในการลาเลียงน้ าและธาตุอาหาร ใช่ / ไม่ใช่

10. ภาพใดแสดงทิศทางการลาเลียงน้ า และอาหารของพืชได้ถูกต้อง


1. 2.

ทิศทางการลาเลียงน้ า ทิศทางการลาเลียงอาหาร ทิศทางการลาเลียงน้ า ทิศทางการลาเลียงอาหาร

3. 4.

ทิศทางการลาเลียงน้ า ทิศทางการลาเลียงอาหาร ทิศทางการลาเลียงน้ า ทิศทางการลาเลียงอาหาร


| 24
11. ต้นกล้วยมีลำต้นใต้ดิน ส่ วนที่เหนือลำต้นขึ้นมำ คือ กำบใบ ถ้ำตัดต้นกล้วย ดังรู ป
กล้วยต้นนี้ไม่สำมำรถทำหน้ำที่ใดได้ (แบบทดสอบท้ำยเล่ม หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4)

1. สร้ำงอำหำร
2. ให้ตน้ ตั้งตรง
3. ดูดน้ ำและธำตุอำหำร
บริ เวณที่ตดั 4. ลำเลียงน้ ำและธำตุอำหำร

ลาต้นใต้ดิน

12. เมื่อตั้งสวนขวดนี้ทิ้งไว้ 24 ชัว่ โมง เกิดการเปลี่ยนแปลงของแก๊สในขวดอย่างไร


(O-NET 2553)
1. ปริ มาณแก๊สออกซิเจนในขวดเพิ่มขึ้นในตอนเช้า
แต่ลดลงในตอนบ่าย
2. ปริ มาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในขวดลดลงในเวลากลางวัน
แต่เพิ่มขึ้นในเวลากลางคืน
3. ปริ มาณแก๊สออกซิเจนในขวดลดลงในเวลากลางวัน
แต่เพิ่มขึ้นในเวลากลางคืน
4. ปริ มาณแก๊สออกซิเจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น
ในเวลากลางวันแต่ลดลงในเวลากลางคืน

| 25
13. ถ้านักเรี ยนนาใบไม้ซ่ ึงเป็ นใบด่างมาตรวจหาอาหารที่พืชสร้างโดยการต้มด้วยสารละลายชนิดหนึ่ง
ในหลอดทดลอง เมื่อหยดสารละลายไอโอดีนลงไป บริ เวณใดของใบไม้ ดังภาพ จะเปลี่ยนสี ของ
สารละลายไอโอดีนเป็ นสี น้ าเงินเข้ม
จากภาพ A , B, C, D, E เป็ นบริ เวณที่มีสีเหลือง สี เขียว สี แดง สี ส้ม และสี เขียว ตามลาดับ
(สสวท.)

1. A , D 2. B, E 3. A , C, D 4. A , B, C, D, E

14. จำกภำพ ข้อควำมใดถูกต้อง

ปิ ดด้วยเทปสี ดา

ข้ อความ ใช่ หรื อ ไม่ ใช่


ส่ วนที่ปิดด้วยเทปสี ดา เมื่อนาไปทดสอบแป้งจะเปลี่ยนเป็ น
ใช่ / ไม่ใช่
สี น้ าเงิน
ส่ วนที่ปิดด้วยเทปสี ดา ไม่เกิดการสังเคราะห์ดว้ ยแสง ใช่ / ไม่ใช่
ส่ วนที่เป็ นสี เขียวของใบ จาเป็ นต่อการสร้างอาหารของพืช ใช่ / ไม่ใช่

| 26
15. รักฟ้ำ อยำกทรำบว่ำ ต้นไม้สังเครำะห์ดว้ ยแสงตลอดเวลำหรื อไม่ จึงทำกำรทดลอง
โดยนำใบแพงพวยมำทดสอบหำแป้งในช่วงเวลำ 6.00 น. 12.00 น. 18.00 น. และ 21.00 น.
ตำมลำดับ จำกกำรทดลองข้ำงต้น รักฟ้ำต้องใช้สำรใดบ้ำง ในกระบวนกำรตรวจหำแป้ง
(O-NET 2553)
1. สำรละลำยเบเนดิกส์ เพื่อทดสอบแป้ง
2. สำรละลำยไอโอดีน เพื่อทดสอบแป้ง
3. เอทิลแอลกอฮอล์ เพื่อสกัดคลอโรฟิ ลล์
4. น้ ำ เพื่อช่วยสกัดคลอโรฟิ ลล์
5. น้ ำเกลือ เพื่อหยุดกำรทำงำนของใบ
6. สำรละลำยจุนสี เพื่อสกัดคลอโรฟิ ลล์

16. ถ้ำตั้งชุดกำรทดลองที่มีพืชน้ ำชนิดเดียวกันในบีกเกอร์ 3 ใบ และให้แสงสี A B และ C


กับชุดกำรทดลองที่ 1 2 และ 3 ตำมลำดับ เป็ นเวลำ 10 นำทีเท่ำกัน ได้ผลกำรทดลอง
ดังภำพ (สสวท.)

ในการทดลองนี้ ข้อใดเป็ น ตัวแปรตาม และตัวแปรต้น ตามลาดับ


1. ฟองแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ชนิดของแสงสี
2. ชนิดของแสงสี ฟองแก๊สออกซิเจน
3. ปริ มาตรของแก๊ส ชนิดของแสงสี
4. ชนิดของแสงสี ปริ มาตรของแก๊ส

| 27
17. นำพืชชนิดเดียวกัน 2 ต้นมำจัดชุดกำรทดลอง ก และ ข จำกนั้นเด็ดใบสี เขียวที่มีขนำด
และอำยุเท่ำกัน จำกกำรทดลองแต่ละชุด มำทดสอบด้วยสำรละลำยไอโอดีน
ได้ผลกำรทดสอบ เป็ นดังภำพ (O-NET 2560)

จำกภำพผลกำรทดสอบเกิดจำกกำรจัดชุดกำรทดลองตำมข้อใด
1. ชุดกำรทดลอง ก และ ข ไว้ในที่มืด แต่ไม่ได้รดน้ ำในชุดกำรทดลอง ข
2. ชุดกำรทดลอง ก และ ข ไว้ในที่มีแสง แต่ไม่ได้รดน้ ำในชุดกำรทดลอง ก
3. กำรทดลอง ก ไว้ในที่มืด ชุดกำรทดลอง ข ไว้ในที่มีแสง และรดน้ ำทั้งสอง
ชุดกำรทดลอง
4. ชุดกำรทดลอง ก ไว้ในที่มีแสง ชุดกำรทดลอง ข ไว้ในที่มืด รดน้ ำทั้งสองชุดกำรทดลอง

| 28
18. ถ้ำต้องกำรศึกษำผลของแสงที่มีผลต่อกำรคำยน้ ำและกำรสังเครำะห์ดว้ ยแสงของพืช
ชนิดหนึ่ง โดยนำพืชที่มีอำยุและจำนวนใบเท่ำกัน มำจัดชุดกำรทดลอง
ในภำวะที่แตกต่ำงกัน ดังตำรำง (O-NET 2562)

ชุดการทดลอง การจัดชุดการทดลอง ตาแหน่ งที่วาง


1 คลุมใบพืชด้วยถุงพลำสติกใส ที่มีแสง
2 คลุมใบพืชด้วยถุงพลำสติกใส ที่มืด
3 ไม่คลุมใบพืชด้วยถุงพลำสติกใส ที่มีแสง
4 ไม่คลุมใบพืชด้วยถุงพลำสติกใส ที่มืด

วางชุดการทดลองทั้ง 4 ชุด ไว้เป็ นเวลา 1 วัน แล้วเปรี ยบเทียบปริ มาณน้ าที่พืชคายออกมา


และการสร้างอาหารของพืช
ชุดการทดลองคู่ใดสามารถเปรี ยบเทียบผลการทดลองเพื่อศึกษาเรื่ องดังกล่าวได้

1. ชุดกำรทดลองที่ 1 และ 2 2. ชุดกำรทดลองที่ 1 และ 3


3. ชุดกำรทดลองที่ 2 และ 3 4. ชุดกำรทดลองที่ 2 และ 4

| 29
19. ถ้ำต้องกำรศึกษำผลของน้ ำที่มีผลต่อกำรเจริ ญเติบโตของพืชหรื อไม่ โดยนำพืชที่มีอำยุ
และจำนวนใบเท่ำกัน มำจัดชุดกำรทดลองในภำวะที่แตกต่ำงกัน
20.

ที่มืด

ชุดการทดลองที่ 1 ชุดการทดลองที่ 2 ชุดการทดลองที่ 3

วางชุดการทดลองทั้ง 3 ชุด ไว้เป็ นเวลา 1 สัปดาห์ แล้วบันทึกความสู งของพืช ชุดการทดลอง


คู่ใดสามารถเปรี ยบเทียบผลการทดลองเพื่อศึกษาเรื่ องดังกล่าวได้
1. ชุดกำรทดลองที่ 1 และ 2 2. ชุดกำรทดลองที่ 1 และ 3
3. ชุดกำรทดลองที่ 2 และ 3 4. ไม่มีคู่ใดที่เหมำะสม

20. จำกข้อ 19 หำกต้องกำรศึกษำผลของแสงมีผลต่อสร้ำงอำหำรของพืชหรื อไม่


ชุดกำรทดลองคู่ใดสำมำรถเปรี ยบเทียบผลกำรทดลอง เพื่อศึกษำเรื่ องดังกล่ำวได้
1. ชุดกำรทดลองที่ 1 และ 2 2. ชุดกำรทดลองที่ 1 และ 3
3. ชุดกำรทดลองที่ 2 และ 3 4. ไม่มีคู่ใดที่เหมำะสม

21. จำกข้อ 19 เมื่อนำพืชทั้ง 3 ชุดกำรทดลอง มำทดสอบกำรสร้ำงอำหำรของพืช


พืชในชุดกำรทดลองใดจะพบแป้งมำกที่สุด
1. ชุดกำรทดลองที่ 1 2. ชุดกำรทดลองที่ 2
3. ชุดกำรทดลองที่ 3 4. ชุดกำรทดลองที่ 1 และ 3

| 30
จำกภำพ จงใช้ในกำรตอบคำถำม

ชุดการทดลอง ก ชุดการทดลอง ข

22. จากข้อมูล ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องใช่หรื อไม่


ข้ อความ ใช่ หรื อ ไม่ ใช่
ตัวแปรต้น คือ การได้รับแสง ใช่ / ไม่ใช่
ตัวแปรตาม คือ การเจริ ญเติบโตของพืช ใช่ / ไม่ใช่
ตัวแปรควบคุม คือ พืชชนิดเดียวกัน ขนาดเท่ากัน
ใช่ / ไม่ใช่
ได้รับแสงปริ มาณเท่ากัน

23. ถ้ำต้องกำรศึกษำผลของแสงที่มีผลต่อกำรคำยน้ ำของพืชชนิดหนึ่ง โดยนำพืชที่มีอำยุ


และจำนวนใบเท่ำกัน มำจัดชุดกำรทดลองในภำวะที่แตกต่ำงกัน ดังตำรำง

ชุดการทดลอง การจัดชุดการทดลอง ตาแหน่ งที่วาง


1 คลุมใบพืชด้วยถุงพลำสติกใส ที่มีแสง
2 คลุมใบพืชด้วยถุงพลำสติกใส ที่มืด

จากข้อมูล ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องใช่หรื อไม่


ข้ อความ ใช่ หรื อ ไม่ ใช่
ตัวแปรต้น คือ การได้รับแสง ใช่ / ไม่ใช่
ตัวแปรตาม คือ การคายน้ าของพืช ใช่ / ไม่ใช่
ตัวแปรควบคุม คือ พืชที่มีอายุและจานวนใบเท่ากัน
ใช่ / ไม่ใช่
ปริ มาณน้ าที่รดเท่ากัน ได้รับแสงเท่ากัน

| 31
24. ต้นพลูด่ำงที่ปลูกลงดิน แล้วให้เจริ ญเติบโตเลื้อยเกำะกำแพงหรื อเกำะต้นไม้ใหญ่
จะพบว่ำใบพลูด่ำงที่อยูใ่ กล้ยอดมีขนำดใหญ่กว่ำใบที่อยูไ่ กลจำกยอดหรื ออยูใ่ กล้
โคนต้น ซึ่งเป็ นไปได้วำ่ ตำแหน่งที่อยูบ่ นต้นและขนำดของใบพลูด่ำงมี
ควำมสัมพันธ์กนั (O-NET 2559)
หำกนัก เรี ย นจะทำกำรทดลองหรื อ ทำโครงงำนเพื่ อ พิ สู จ น์ ว่ำ “ต ำแหน่ ง ของ
ใบพลูด่ำงที่เกำะบนต้นไม้ใหญ่ และขนำดของใบพลูด่ำงมีควำมสัมพันธ์กนั ”
กำรระบุตวั แปรตำมข้อใดถูกต้อง
1. ตัวแปรต้น คือ พันธุ์ของพลูด่ำง ตัวแปรตำม คือ ขนำดของใบพลูด่ำง
2. ตัวแปรต้น คือ ตำแหน่งของใบบนต้น ตัวแปรตำม คือ พันธุ์ของพลูด่ำง
3. ตัวแปรต้น คือ ตำแหน่งของใบบนต้น ตัวแปรตำม คือ ขนำดของใบพลูด่ำง
4. ตัวแปรต้น คือ ขนำดของใบพลูด่ำง ตัวแปรตำม คือ ตำแหน่งของใบบนต้น

25. รักฟ้ำ อยำกทรำบว่ำ ต้นไม้สังเครำะห์แสงตลอดเวลำหรื อไม่ จึงทำกำรทดลอง


โดยนำใบแพงพวยมำทดสอบหำแป้งในช่วงเวลำ 6.00 น. 12.00 น. 18.00 น.
และ 21.00 น. ตำมลำดับ นักเรี ยนคิดว่ำจำกกำรทดลองนี้ ตัวแปรต้นคืออะไร
และตัวแปรตำมคืออะไร
(O-NET 2553)
1. แสงแดด
2. ใบแพงพวย
3. สำรละลำยไอโอดีน
4. ช่วงเวลำ
5. ชนิดของต้นไม้
6. กำรเปลี่ยนสี ของสำรละลำยไอโอดีน

| 32
26. ในกำรทดลองเพำะเมล็ดพืชชนิดหนึ่งในกระถำง 4 ใบ ที่ใส่ ดินชนิดเดียวกัน
และมีปริ มำณดินเท่ำกัน แต่นำไปเลี้ยงหรื อวำงในที่ซ่ ึงมีอุณหภูมิต่ำงกัน
นับจำนวนวันที่เริ่ มเพำะเมล็ดจนงอกเป็ นต้นกล้ำมีใบโผล่จำกดิน ได้ผลดังตำรำง

ตาราง จำนวนวันที่เพำะเมล็ดจนงอกเป็ นต้นกล้ำในกระถำง 4 ใบ ที่วำงไว้ในบริ เวณ


ที่มีอุณหภูมิต่ำงกัน

อุณหภูมิที่วางกระถาง จานวนวันที่เพาะเมล็ด
กระถางที่
(องศาเซลเซียส) จนงอกเป็ นต้ นกล้า(วัน)
ที่1 10 10
ที่ 2 15 9
ที่ 3 20 7
ที่ 4 25 5

อุณหภูมิใดเหมำะสมต่อกำรงอกของเมล็ดน้อยที่สุด (O-NET 2552)


1. 10 องศำเซลเซียส 2. 15 องศำเซลเซียส
3. 20 องศำเซลเซียส 4. 25 องศำเซลเซียส

10 CO 15 OC

20 OC 25 OC

| 33
27. ภำพกำรเพำะเมล็ดถัว่ เขียวในหลอดทดลอง 2 หลอด ในสภำพต่ำงกันเป็ นเวลำ 5 วัน
(O-NET 2552)

การทดลองในหลอดที่ 1

การทดลองในหลอดที่ 2

จำกภำพ เป็ นกำรทดลองเพื่อศึกษำเรื่ องใด


1. ผลของแสงต่อกำรงอกของเมล็ด
2. ผลของออกซิเจนต่อกำรงอกของเมล็ด
3. ผลของควำมชื้นต่อกำรงอกของเมล็ด
4. ผลของอุณหภูมิต่อกำรงอกของเมล็ด

| 34
28. เกษตรกรผูป้ ลูกกุหลำบคนหนึ่งต้องกำรทดลอง เพื่อศึกษำว่ำปุ๋ ยชนิดใดทำให้
ต้นกุหลำบเจริ ญเติบโตดีที่สุด แล้วเลือกปุ๋ ยชนิดนั้นมำทดลองขั้นต่อไป เพื่อศึกษำหำ
ควำมเข้มข้นที่เหมำะสมที่สุดของปุ๋ ยชนิดนั้น ที่มีต่อกำรเจริ ญเติบโตของต้นกุหลำบ
(O-NET 2557)
เขำจะต้องเลือกทดลองปลูกกุหลำบตำมข้อใด (เลือกตอบ 2 ข้อ)
1. ปลูกหลำยต้นในสภำวะเหมือนกัน ใส่ ปุ๋ยต่ำงชนิดกัน ปริ มำณต่ำงกันในแต่ละต้น
2. ปลูกหลำยต้นในสภำวะต่ำงกัน ใส่ ปุ๋ยชนิดเดียวกัน ปริ มำณเท่ำกันในแต่ละต้น
3. ปลูกหลำยต้นในสภำวะเหมือนกัน ใส่ ปุ๋ยต่ำงชนิดกัน ปริ มำณเท่ำกันในแต่ละต้น
4. ปลูกหลำยต้นในสภำวะต่ำงกัน ใส่ ปุ๋ยต่ำงชนิดกัน ปริ มำณต่ำงกันในแต่ละต้น
5. ปลูกหลำยต้นในสภำวะเหมือนกัน ใส่ ปุ๋ยชนิดเดียวกัน ปริ มำณต่ำงกันในแต่ละต้น
6. ปลูกหลำยต้นในสภำวะเหมือนกัน ใส่ ปุ๋ยชนิดเดียวกัน ปริ มำณเท่ำกันในแต่ละต้น

29. พิจารณาภาพส่ วนประกอบของดอกไม้ แล้วตอบคาถาม (O-NET 2555)


A
B

C
D

เซลล์สืบพันธุ์เพศเมียอยูท่ ี่ส่วนใด
1. A 2. B 3. C 4. D

| 35
30. จำกภำพ ถ้ำเกิดกำรปฏิสนธิแล้ว ส่ วนประกอบของดอกไม้หมำยเลขใด ที่เจริ ญเติบโต
เป็ นเมล็ด (O-NET 2550)

ภำพ ส่ วนประกอบของดอกไม้ชนิดหนึ่ง
1. หมำยเลข 1 2. หมำยเลข 2
3. หมำยเลข 3 4. หมำยเลข 4

31. ข้อใด คือ ลักษณะที่พบเฉพาะในพืชดอก (O-NET 2555)


1. การมีออวุล 2. การสร้างดอก
3. การถ่ายเรณู 4. การปฏิสนธิ

32. ก่อนหุงข้าว เราจะต้องล้างข้าวสารให้สะอาดโดยใส่ น้ าลงไป แล้วเอามือคน


สัก 2 – 3 รอบ จะเห็นน้ าล้างเป็ นสี ขาวขุ่นซึ่งต้องริ นทิ้ง แล้วใส่ น้ าใหม่เพื่อล้างอีกครั้ง
ก็ยงั ได้น้ าล้างที่มีสีขาวขุ่นเหมือนเดิม น้ าสี ขาวขุ่นนี้เกิดจากอาหารสะสมจาพวกใด
และสะสมที่ส่วนใดของข้าว (O-NET 2556)

1. แป้ง สะสมในผล 2. แป้ง สะสมในเมล็ด


3. น้ าตาล สะสมในผล 4. น้ าตาล สะสมในเมล็ด

| 36
33. ตาราง ส่ วนประกอบของดอกในดอกไม้ 4 ชนิด (O-NET 2556)

ชนิดของ ส่ วนประกอบของดอกไม้
ดอกไม้ กลีบเลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย
A มี มี มี ไม่มี
B มี มี ไม่มี มี
C มี ไม่มี มี มี
D มี มี มี มี

จำกตำรำง ดอกไม่สมบูรณ์เพศ คือ ดอกไม้ชนิดใด


1. A และ B 2. B และ C
3. C และ D 4. A และ D

34. ตำรำง ส่ วนประกอบของดอกไม้ 4 ชนิด (O-NET 2554)

ชนิดของ ส่ วนประกอบของดอกไม้
ดอกไม้ กลีบเลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย
ก มี มี ไม่มี มี
ข ไม่มี มี มี มี
ค มี ไม่มี มี มี
ง มี มี มี ไม่มี

จำกตำรำง ดอกไม้ชนิดใดไม่อำจเจริ ญให้เมล็ดได้


1. ก 2. ข 3. ค 4. ง

| 37
35. เด็กชำยนำวิน เก็บดอกไม้ 4 ชนิด ชนิดละ 2 ดอก มำศึกษำโดยกำร ผ่ำ และดึง
ดูส่วนประกอบต่ำง ๆ ของดอก แล้วบันทึกผลกำรศึกษำเป็ นตำรำง (O-NET 2558)

ตาราง ส่ วนประกอบของดอกไม้ชนิดต่ำง ๆ
ส่ วนประกอบของดอกไม้
ชนิดของดอกไม้
กลีบเลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย
A ✓ ✓ ✓ ✓
B ✓ ✓ ✓ 
C ✓ ✓ ✓ ✓
D ✓ ✓  ✓
หมำยเหตุ สัญลักษณ์ ✓ = มี
หมำยเหตุ สัญลักษณ์  = ไม่มี

จำกตำรำง ข้อใดสรุ ปถูกต้อง


1. ดอกไม้ที่มีส่วนประกอบไม่ครบส่ วน แต่สมบูรณ์เพศ คือ A และ B
2. ดอกไม้ที่มีส่วนประกอบครบส่ วน และสมบูรณ์เพศ คือ A และ C
3. ดอกไม้ที่มีส่วนประกอบไม่ครบส่ วน และไม่สมบูรณ์เพศ คือ B และ C
4. ดอกไม้ที่มีส่วนประกอบครบส่ วน แต่ไม่สมบูรณ์เพศ คือ C และ D
36. นักเรี ยนสารวจพืชบริ เวณริ มคลองของหมู่บา้ น แล้วจาแนกพืชออกเป็ น 2 กลุ่ม
ที่มีโครงสร้างที่ใช้ในการสื บพันธุ์ต่างกันดังนี้ (O-NET 2563)
กลุ่มที่ 1 ได้แก่ ผักตบชวา ต้นชบา ต้นทานตะวัน
กลุ่มที่ 2 ได้แก่ เฟิ น มอส
จากข้อมูล ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องใช่หรื อไม่
ข้อความ ใช่ หรื อ ไม่ใช่
1. นักเรี ยนจาแนกพืชที่สารวจโดยใช้การมีดอกเป็ นเกณฑ์ ใช่/ไม่ใช่
2. พืชกลุ่มที่ 1 ใช้เรณูและเซลล์ไข่ในการสื บพันธุ์ ใช่/ไม่ใช่
3. พืชกลุ่มที่ไม่มีดอก จะไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ ใช่/ไม่ใช่
| 38
37. พิจำรณำตำรำง แล้วตอบคำถำม (O-NET 2555)
ตำรำง ส่ วนประกอบของดอกไม้ 4 ชนิด
ส่ วนประกอบของดอกไม้
ชนิดของดอกไม้
กลีบเลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย
ก มี มี มี ไม่มี
ข มี มี ไม่มี มี
ค มี ไม่มี มี มี
ง ไม่มี มี มี มี
ดอกไม้ชนิดใดเป็ นดอกไม่สมบูรณ์เพศ
1. ก และ ข 2. ข และ ค
3. ค และ ง 4. ก และ ง
38. นักเรี ยนปลูกพืชชนิดหนึ่งในกระถาง จนกระทัง่ เริ่ มออกดอก ก่อนที่ดอกจะบาน
หนึ่งวัน นักเรี ยนเอาถุงกระดาษครอบดอกเอาไว้หนึ่งดอก ปิ ดปากถุงด้วยคลิป
หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ เมื่อนักเรี ยนถุงกระดาษออก พบว่า ภายในดอกนี้ติดผลและ
ภายในผลมีเมล็ด (O-NET 2559)
ให้พิจำรณำข้อควำมต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม
ก. ดอกของพืชชนิดนี้เป็ นดอกสมบูรณ์เพศ
ข. พืชชนิดนี้สืบพันธุ์แบบอำศัยเพศ
ค. พืชชนิดนี้มีกำรถ่ำยเรณูเกิดขึ้น
ข้อควำมในข้อใดที่อธิบำยสิ่ งที่เกิดขึ้นได้ชดั เจนที่สุดสำหรับพืชชนิดนี้
1. ก และ ข 2. ข และ ค
3. ก และ ค 4. ก ข และ ค

| 39
39. จำกรู ป ธงโภชนำกำรที่ ร ะบุ สั ด ส่ ว นส ำหรั บ เด็ ก หญิ ง อำยุ 10 ปี ที่ มี ร่ ำ งกำยสมส่ ว น
ซึ่งควรได้รับพลังงำนประมำณวันละ 1,600 กิโลแคลอรี (O-NET 2558)

A และ B ในธงโภชนำกำรควรเป็ นอำหำรประเภทใด


1. A คือโปรตีน B คือไขมัน 2. A คือน้ ำตำล B คือไขมัน
3. A คือข้ำว B คือผลไม้ 4. A คือข้ำว B คือน้ ำตำล น้ ำมัน เกลือ

ประเภท ก ประเภท ข ประเภท ค ประเภท ง

40. เพื่อให้ร่ำงกำยได้รับพลังงำนอย่ำงเพียงพอตำมธงโภชนำกำร เรำควรรับประทำนอำหำร


ที่มีสำรอำหำรประเภทใดในปริ มำณมำกที่สุด เพรำะเหตุใด
1. อำหำรประเภท ก เพรำะเสริ มสร้ำงร่ ำงกำยและซ่อมแซมส่ วนที่สึกหรอ
2. อำหำรประเภท ข เพรำะเป็ นแหล่งพลังงำนหลัก
3. อำหำรประเภท ค เพรำะให้ควำมอบอุ่นแก่ร่ำงกำย
4. อำหำรประเภท ง เพรำะช่วยในกำรขับถ่ำย

| 40
41. สัดส่ วนของอำหำรที่รับประทำนใน 1 วัน

เด็กคนที่ 1 เด็กคนที่ 2

ที่มาของภาพ หนังสือ สสวท. ป.6 เล่ม 1 หน้า


329
เมื่ อเปรี ยบเที ยบกับธงโภชนำกำร ดังรู ป เด็กคนใดควรปรั บรำยกำรอำหำรเพื่อให้ได้
สัดส่ วนของอำหำรตำมธงโภชนกำร

เด็กคนที่ สิ่ งที่ต้องเพิม่ สิ่ งที่ต้องลด


1 เนื้อสัตว์ ผัก
1.
2 - เนื้อสัตว์
1 นม ผัก
2.
2 ผัก ผลไม้ -
1 เนื้อสัตว์ ผัก
3.
2 ผัก ผลไม้ -
1 น้ ำมัน น้ ำตำล เกลือ ผลไม้
4.
2 ผัก ผลไม้ -

| 41
42. ตาราง ชนิดของอาหารที่รับประทานในมื้อต่าง ๆ ของแต่ละวัน ของนักเรี ยน 4 คน
(O-NET 2557)

ชนิดของอาหารในมื้อต่ าง ๆ ของแต่ ละวัน


นักเรียน
เช้ า กลางวัน เย็น อาหารว่าง
ก ข้าวไข่เจียว ข้าวไข่พะโล้ ข้าวหมูแดง ไอศกรี ม
ข ข้าวไก่ทอด ข้าวเหนียวไก่ยา่ ง ลูกชิ้นทอด ขนมปังไส้กรอก
ข้าวแกงจืด เส้นใหญ่
ค ข้าวไข่เจียว ส้ม มะละกอ
ตาลึงหมูสับ ราดหน้าหมูสับ
ง ข้าวหมกไก่ ข้าวขาหมู หมี่กรอบ ชามม-เค้ก

ใครรับประทานอาหารได้ครบทุกหมู่ที่สุด
1. ก 2. ข 3. ค 4. ง

43. คุณแม่ของ ด.ญ.อิ่มจัง รับประทำนอำหำรมังสวิรัติ ด.ญ.อิ่มเอมควรแนะนำให้คุณแม่


รับประทำนอำหำรในข้อใดเพิ่มมำกขึ้น
1. 2.

3. 4.

| 42
44. ตาราง จานวนคนไทยที่ขาดสารอาหารชนิดต่าง ๆ จากการสารวจใน พ.ศ. 2540
(O-NET 2551)

ชนิดของสารอาหารที่ขาด จานวนคนไทย
โปรตีน 20,000
ธำตุเหล็ก 5,000
วิตำมิน บี 1 8,000
ไอโอดีน 1,500

เพื่อให้คนไทยมีสุขภำพดีถว้ นหน้ำ ควรรณรงค์ให้บริ โภคอำหำรประเภทใด


เป็ นอันดับแรก
1. บริ โภคข้ำวให้มำก ๆ 2. บริ โภคนมและเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น
3. บริ โภคผักและผลไม้ให้มำกขึ้น
4. บริ โภคอำหำรที่ปรุ งด้วยเกลือไอโอดีนเป็ นประจำ

45. ตำรำง ปริ มำณโปรตีนที่เด็กช่วงอำยุต่ำง ๆ ต้องกำรในแต่ละวัน (O-NET 2550)

ปริมาณโปรตีนที่ต้องการแต่ ละวัน
ช่ วงอายุของเด็ก(ปี )
(กรัมต่ อน้าหนักตัว 1 กิโลกรัม)
<1 2
1–6 1.5
7 – 12 1.2
13 - 20 1

เด็กอำยุ 10 ปี ที่มีน้ ำหนัก 30 กิโลกรัม ต้องกำรปริ มำณโปรตีนวันละเท่ำใด


1. 30 กรัม 2. 36 กรัม
3. 45 กรัม 4. 60 กรัม

| 43
46. ตำรำง ปริ มำณสำรอำหำรประเภทต่ำง ๆ ในอำหำร 4 ชนิด (O-NET 2554)

ชนิดของ ปริมาณสารอาหาร (กรัม/100 กรัม) ในอาหารส่ วนที่กนิ ได้


อาหาร โปรตีน ไขมัน คาร์ โบไฮเดรต วิตามิน แร่ ธาตุ
ชนิดที่ 1 11.2 2.8 25.0 0.9 1.5
ชนิดที่ 2 10.4 3.0 26.1 0.4 1.7
ชนิดที่ 3 10.5 26.5 1.4 2.8 0.9
ชนิดที่ 4 20.3 18.9 1.3 0.5 1.1

จำกตำรำง เด็กซึ่งมีร่ำงกำยไม่เจริ ญเติบใหญ่เท่ำเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน


ควรเลือกรับประทำนอำหำรชนิดมำกที่สุด
1. ชนิดที่ 1 2. ชนิดที่ 2
3. ชนิดที่ 3 4. ชนิดที่ 4

47. ขณะที่ทอ้ งเสี ยอย่ำงรุ นแรง ร่ ำงกำยจะอ่อนเพลีย หน้ำมืด วิงเวียนศีรษะ อำกำรเหล่ำนี้


เกิดจำกร่ ำงกำยกำลังขำดสำรอำหำรประเภทใด (แบบฝึ กหัดท้ำยเล่ม สสวท. ป.6 เล่ม 1)
1. คำร์โบไฮเดรต น้ ำ 2. ไขมัน เกลือแร่
3. โปรตีน วิตำมิน 4. เกลือแร่ น้ ำ

48. นักเรี ยนควรบริ โภคอาหารชุดใด จึงจะได้อาหารครบทุกหมู่ และช่วยในการทางานของ


ลาไส้ใหญ่ได้ดีที่สุด (สสวท.)
1. ยากิโซบะ ซูชิ ชาเขียวปั่น
2. ไก่ทอด มันฝรั่งทอด น้ าโค้ก
3. แซนวิชทูน่า ลูกชิ้นปิ้ ง นมสด
4. ข้าวหมูทอด แกงจืดตาลึง น้ าส้ม

| 44
49. ตารางแสดงสารอาหารที่พบในอาหาร 4 ชนิด เป็ นดังนี้ (O-NET 2563)

ชนิด สารอาหาร
อาหาร คาร์ โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน
1 ✓ ✓ ✓  ✓
2    ✓ ✓
3    ✓ 
4 ✓  ✓  

✓ หมายถึง พบ  หมายถึง ไม่พบสารอาหาร

จากข้อมูล ข้อใดกล่าวถูกต้อง
1. ถ้าเลือกรับประทานอาหารชนิดที่ 1 กับ 4 จะทาให้ไม่ได้รับพลังงาน
2. ถ้าเลือกรับประทานอาหารชนิดที่ 1 กับ 2 จะทาให้ได้รับสารอาหารครบทุกหมู่
3. ถ้าเลือกรับประทานอาหารชนิดที่ 2 กับ 3 จะช่วยสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย
4. ถ้าเลือกรับประทานอาหารชนิดที่ 2 กับ 4 จะช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อส่ วนที่สึกหรอ

| 45
50. ตารางปริ มาณแร่ ธาตุในอาหาร 4 ชนิด (O-NET 2559)

ปริมาณแร่ ธารตุ (มิลลิกรัม)


ชนิดอาหาร
แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก
A 126 30 4.6
B 141 27 0.9
C 49 165 2.0
D 7 63 2.5

จำกตำรำง ถ้ำนักเรี ยนต้องกำรมีร่ำงกำยสมส่ วน กระดูกและฟันแข็งแรง


นักเรี ยนจะเลือกรับประทำนอำหำรชนิดใด
1. A 2. B
3. C 4. D

51. ตาราง ปริ มาณธาตุเหล็กที่นกั เรี ยน 4 คนได้รับ (O-NET 2552)

นักเรียน ปริมาณธาตุเหล็ก (มิลลิกรัมต่ อวัน)


คนที่ 1 10
คนที่ 2 15
คนที่ 3 20
คนที่ 4 16

ถ้ำเด็กในวัยเรี ยนต้องได้รับธำตุเหล็ก 15 มิลลิกรัมต่อวัน


จำกตำรำง นักเรี ยนคนใดมีโอกำสเป็ นโรคโลหิตจำงมำกที่สุด
1. นักเรี ยนคนที่ 1 2. นักเรี ยนคนที่ 2
3. นักเรี ยนคนที่ 3 4. นักเรี ยนคนที่ 4

| 46
52. ตาราง ปริ มาณธาตุในอาหาร 4 ชนิด (O-NET 2557)

ปริมาณแร่ ธารตุ (มิลลิกรัม)


ชนิดอาหาร
แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก
A 126 30 4.6
B 141 165 0.9
C 49 27 2.0
D 7 63 2.5

จำกตำรำง ถ้ำต้องกำรป้องกันโรคโลหิตจำง ต้องเลือกรับประทำนอำหำรชนิดใด


1. A 2. B
3. C 4. D

53. วิตามินซี สามารถป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน เราได้รับวิตามินซี


จากการรับประทานผักหรื อผลไม้บางชนิด เช่น ฝรั่ง ส้ม เป็ นต้น
เด็กชายไชยา ซื้อน้ าส้มคั้นยีห่ อ้ หนึ่งจากร้านค้าในหมู่บา้ น ซึ่งฉลากข้างขวดระบุวา่
“มีวิตามินซีสูง” เด็กชายไชยา จะได้รับวิตามินซีจากการรับประทานน้ าส้มคั้นที่ซ้ือมา
ในปริ มาณสู งจริ งหรื อไม่ เพราะเหตุใด (O-NET 2557)
1. จริ ง เพราะวิตามินซีมีมากในผลไม้จาพวกส้ม
2. ไม่จริ ง เพราะวิตามินซีไม่สามารถละลายได้ในน้ าส้มคั้น
3. จริ ง เพราะฉลากข้างขวดก็ระบุชดั เจนอยูแ่ ล้วว่า “มีวิตามินซีสูง”
4. ไม่จริ ง เพราะวิตามินซีในส้มสลายตัวไปในช่วงกระบวนการผลิตน้ าส้มคั้น

| 47
54. กล่องเครื่ องดื่มชนิดหนึ่งมีขอ้ มูลโภชนาการระบุไว้ขา้ งกล่อง ดังนี้ (O-NET 2557)
หนึ่งหน่วยบริ โภค 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร
พลังงานทั้งหมด 200 กิโลแคลอรี
ส่ วนประกอบและร้อยละของปริ มาณสารอาหารที่แนะนาต่อวัน
ไขมันทั้งหมด 8 กรัม 12 %
ไขมันอิ่มตัว 4 กรัม 20 %
โคเลสเตอรอล 10 มิลลิกรัม 3%
โปรตีน 7 กรัม
คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด 25 กรัม 8%
ใยอาหาร < 1 กรัม 2%
น้ าตาล 23 กรัม
โซเดียม 45 มิลลิกรัม 2%
หากในวันหนึ่งคนปกติดื่มเครื่ องดื่มนี้ไป 4 ขวด เขาควรรับประทานอาหารประเภทใด
เสริ มมากที่สุด
1. ข้าวสวย 2. เนื้อสัตว์
3. ผักต่าง ๆ 4. ขนมหวาน

55. หากเรารับประทานอาหารตามรายการด้านล่าง มีโอกาสเกิดอาการหรื อโรคใด

ก. โรคกรดไหลย้อน
ข. ท้องเสี ย
ค. โรคกระเพาะอาหาร
ง. ท้องผูก

| 48
56. ตาราง ความต้องการพลังงานที่ร่างกายได้รับจากอาหารในแต่ละวันสาหรับคน
แต่ละเพศที่ช่วงอายุต่าง ๆ (O-NET 2554)

เพศ ช่ วงอายุ (ปี ) พลังงานที่ร่างกายต้ องการต่ อวัน (กิโลแคลอรี)


ชาย 10 – 12 1,850
13 – 15 2,300
16 - 19 2,400
หญิง 10 – 12 1,700
13 – 15 2,000
16 - 19 1,850

เมื่อวานนี้เด็กชายเอกซึ่ งมีอายุ 11 ปี ได้รับพลังงานจากการรับประทานอาหาร


มื้อเช้า 500 กิโลแคลอรี มื้อกลางวัน 625 กิโลแคลอรี และมื้อเย็น 700 กิโลแคลอรี
แสดงว่า เมื่อวานนี้เด็กชายเอกได้รับพลังงานมากหรื อน้อยกว่าที่ควรได้รับและคิดเป็ น
พลังงานเท่าไร
1. มากกว่า และคิดเป็ น 25 กิโลแคลอรี
2. น้อยกว่า และคิดเป็ น 25 กิโลแคลอรี
3. มากกว่า และคิดเป็ น 125 กิโลแคลอรี
4. น้อยกว่า และคิดเป็ น 125 กิโลแคลอรี

| 49
57. จากตาราง จงใช้ในการตอบคาถาม
เพศ อายุ พลังงาน (กิโลแคลอรี )
10 – 12 1,850
ชาย 13 – 15 2,300
16 - 19 2,400
10 – 12 1,700
หญิง 13 – 15 2,000
16 - 19 1,850

ถ้า ด.ช.เป็ นปลื้ม อายุ 14 ปี และ ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ ง อายุ 16 ปี ใน 1 วัน ใครต้องการพลังงาน
มากกว่าหรื อน้อยกว่ากันอย่างไร
1. ด.ช.เป็ นปลื้ม ต้องใช้พลังงานต่อวัน มากกว่า ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ ง 450 กิโลแคลอรี
2. ด.ช.เป็ นปลื้ม ต้องใช้พลังงานต่อวัน น้อยกว่า ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ ง 450 กิโลแคอรี
3. ด.ช.เป็ นปลื้ม ต้องใช้พลังงานต่อวัน มากกว่า ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ ง 400 กิโลแคอรี
4. ด.ช.เป็ นปลื้ม ต้องใช้พลังงานต่อวัน น้อยกว่า ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ ง 400 กิโลแคอรี

| 50
58. จากตารางการทดสอบสารอาหาร 4 ชนิด ได้ผลดังตาราง (O-NET)

ชนิดอาหาร ทดสอบด้ วยสารละลายไอโอดีน ทดสอบโดยถูกบั กระดาษ


A น้ าตาล ไม่เปลี่ยน
B ฟ้า ไม่เปลี่ยน
C ฟ้า ไม่เปลี่ยน
D ม่วงเข้ม โปร่ งแสง

คุณแม่มีน้ าหนัก 85 กิโลกรัม คุณแม่ตอ้ งหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารชนิดใด


มากที่สุด
1. A 2. B 3. C 4. D

59. ตำรำงแสดงผลกำรทดสอบสำรอำหำรที่พบในอำหำร 4 ชนิด เป็ นดังนี้ (O-NET 62)


ผลการทดสอบ
ชนิดอาหาร
หยดสารละลายไอโอดีน ถูกบั กระดาษ
A ไม่เปลี่ยนแปลง โปร่ งแสง
B เปลี่ยนเป็ นสี น้ าเงินเข้ม โปร่ งแสง
C ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่โปร่ งแสง
D เปลี่ยนเป็ นสี น้ าเงินเข้ม โปร่ งแสง

ข้อมูลใดระบุองค์ประกอบของอำหำรแต่ละชนิดได้สอดคล้องกับผลกำรทดสอบ
1. อำหำรชนิด A มีแป้งและไขมันเป็ นองค์ประกอบ
2. อำหำรชนิด B มีแป้งเป็ นองค์ประกอบ
3. อำหำรชนิด C มีไขมันเป็ นองค์ประกอบ
4. อำหำรชนิด D มีแป้งและไขมันเป็ นองค์ประกอบ

| 51
60. ถ้ำต้องกำรพลังงำนวันละ 1,300 กิโลแคลอรี เรำควรรับประทำนอำหำรในข้อใด เพื่อให้
ร่ ำ งกำยได้พ ลัง งำนเพี ย งพอกับควำมต้อ งกำร ได้ส ำรอำหำรครบถ้ว น และได้สั ด ส่ ว นตำม
ธงโภชนำกำร (แบบฝึ กหัดท้ำยเล่ม สสวท. ป.6 เล่ม 1)

ข้าว + แกงเลียง ข้าว + ผัดผักบุง้ สลัดผัก นมสด มะม่วง ข้าวโพดต้ม


195 kcal 290 kcal 240 kcal 140 kcal 100 kcal 200 kcal

2
นมถัว่ เหลือง ส้มโอ
150 kcal 240 kcal
ขนมจีนน้ ายา ข้าว + แกงจืดมะระ ไข่ดาว ข้าว + ผัดคะน้าน้ ามันหอย
330 kcal 160 kcal 200 kcal 290 kcal

3
ไอศกรี มวานิลา
280 kcal
ข้าวเหนียวหมูทอด ข้าวเหนียว + ลาบไก่ แซนวิช ฟักทองแกงบวด
440 kcal 285 kcal 180 kcal 185 kcal

ก๋ วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ผดั ซีอิว้ ใส่ ไข่ หอยแมลงภู่ทอด ข้าวไข่เจียว


520 kcal 605 kcal 445 kcal

| 52
61. กำหนดให้ A B C D และ E คืออำหำร 5 ชนิด ซึ่ งมีสำรอำหำรหลักและปริ มำณพลังงำน
ต่อหนึ่งหน่วยบริ โภค ดังตำรำง (O-NET 2561)

ชนิดอาหาร สารอาหารหลัก พลังงาน(กิโลแคลอรี)


A โปรตีน และน้ ำ 450
B ไขมัน 450
C คำร์โบไฮเดรต 300
D แร่ ธำตุ และวิตำมิน 0
E ไขมัน และคำร์โบไฮเดรต 650

จำกข้อ มู ล ควรเลื อ กรั บประทำนอำหำรในข้อ ใดเพื่ อ ให้ไ ด้พ ลัง งำนรวม 1,400 กิ โ ลแคลอรี
และได้รับสำรอำหำรครบทุกประเภท
1. A B และ C 2. A C และ E
3. A B C และ D 4. A C D และ E

| 53
62. ข้อมูลแสดงพลังงำนของอำหำร 6 ชนิดเป็ นดังนี้ (O-NET 2560)

อาหาร หน่ วยบริโภค พลังงาน


(กิโลแคลอรี)
ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสั บ 1 จำน 370
ก๋วยเตี๋ยวเส้ นใหญ่ ราดหน้ าไก่ 1 จำน 397
เต้ าหู้นมสด 1 ถ้วย 150
กล้วยไข่ 1 ผล 40
ส้ มเขียวหวาน 1 ผล 32
มะม่ วงสุ ก 1 ผล 98

หำกต้องกำรรับประทำนอำหำรให้ได้รับพลังงำนมำกที่สุด ควรเลือกรับประทำนอำหำร
ตำมข้อใด
1. ก๋ วยเตี๋ยวเนื้อสับ 1 จำน และกล้วยไข่ 2 ผล
2. ก๋ วยเตี๋ยวเนื้อสับ 1 จำน และ ส้มเขียวหวำน 1 ผล
3. ก๋ วยเตี๋ยวเส้นใหญ่รำดหน้ำไก่ 1จำน และเต้ำหูน้ มสด 1 ถ้วย
4. ก๋ วยเตี๋ยวเส้นใหญ่รำดหน้ำไก่ 1จำน ส้มเขียวหวำน 1 ผล และมะม่วงสุ ก 1ผล

| 54
63. ตำรำงปริ มำณสำรอำหำรประเภทต่ำง ๆ ในอำหำร 4 ชนิด (ONET 2558)

ปริมาณประเภทสารอาหาร
ชนิดอาหาร
โปรตีน (กรัม) ไขมัน (กรัม) คาร์ โบไฮเดรต (กรัม)
A 2 1 3
B 2 2 2
C 1 1 4
D 3 1 1

กาหนดให้ โปรตีน 1 กรัมให้พลังงาน 4.5 กิโลแคลอรี


กาหนดให้ คาร์โบไฮเดรต 1 กรัมให้พลังงาน 4.5 กิโลแคลอรี
กาหนดให้ ไขมัน 1 กรัมให้พลังงาน 9.0 กิโลแคลอรี
อาหารชนิดใดให้พลังงานสู งสุ ด
1. A 2. B
3. C 4. D

64. ตำรำงปริ มำณสำรอำหำรประเภทต่ำง ๆ ในอำหำร 4 ชนิด (ONET 2556)

ปริมาณประเภทสารอาหาร
ชนิดอาหาร
โปรตีน (กรัม) ไขมัน (กรัม) คาร์ โบไฮเดรต (กรัม)
A 2 1 1
B 1 2 2
C 2 - 2
D 1 1 1

กาหนดให้ โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมให้พลังงาน 4.5 กิโลแคลอรี


กาหนดให้ ไขมัน 1 กรัมให้พลังงาน 9.0 กิโลแคลอรี
จากตาราง และสิ่ งที่กาหนดให้ อาหารชนิดใดให้พลังงานสู งสุ ด
1. A 2. B
3. C 4. D
| 55
65. ข้อใดอธิบำยกรำฟได้ถูกต้อง (O-NET)

1. อัตรำกำรเจริ ญเติบโตของเพศหญิงและเพศชำยไม่แตกต่ำงกัน
2. ช่วงอำยุ 10-14 ปี เพศหญิงและเพศชำยมีกำรเจริ ญเติบโตเท่ำ ๆ กัน
3. ช่วงอำยุ 15-20 ปี เพศชำยมีกำรเจริ ญเติบโตมำกกว่ำเพศหญิง
4. หลังอำยุ 20 ปี ทั้งเพศหญิงและเพศชำยหยุดกำรเจริ ญเติบโต

66. กราฟแสดงการเจริ ญเติบโตของมนุษย์ โดยแบ่งเป็ น 5 ช่วงอายุ (O-NET 2557)

อัตรำกำรเจริ ญเติบโตสู งสุ ดของมนุษย์อยูใ่ นช่วงอำยุใด


1. 1 2. 2
3. 3 4. 4
| 56
67. ศึกษาแผนภูมิมาตรฐานการเจริ ญเติบโตของร่ างกายของเด็กชาย แล้วตอบคาถาม
(O-NET 2555)

เด็กชายปวิช หนัก 65 กิโลกรัม สู ง 160 เซนติเมตร มีการเจริ ญเติบโตของร่ างกาย


ตามข้อใด
1. สมส่ วน 2. ท้วม
3. เริ่ มอ้วน 4. อ้วน

| 57
จากรู ประบบย่อยอาหารใช้ในการตอบคาถาม

 

 

68. กำรย่อยอำหำรเกิดขึ้นที่อวัยวะหมำยเลขใด
1.   และ  2.   และ 
3.   และ  4.   และ 

69. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ อวัยวะหมายเลข 3

ข้ อความ ใช่ หรื อ ไม่ ใช่


หมายเลข 3 คือ ลาไส้ใหญ่เล็ก มีความยาวมาก ใช่ / ไม่ใช่
มีท่อเชื่อมกับอวัยวะที่ผลิตน้ าย่อยบางชนิด และมีต่อม
ใช่ / ไม่ใช่
ที่ผลิตน้ าย่อยได้เอง
เป็ นบริ เวณที่มีท้งั การย่อยและการดูดซึมสารอาหาร ใช่ / ไม่ใช่

70. อวัยวะส่ วนใดในระบบย่อยอาหารที่ไม่ใช่ทางเดินอาหาร แต่มีส่วนช่วยในการย่อย


อาหาร (สสวท.)
1. ตับ และ ตับอ่อน 2. ตับอ่อน และไส้ติ่ง
3. ไส้ติ่ง และสาไส้ใหญ่ 4. ถุงน้ าดี และลาไส้ตรง

| 58
71. ถ้านักเรี ยนรับประทานข้าวกับกุง้ ต้มเป็ นอาหารกลางวัน อวัยวะใดที่ยอ่ ยกุง้ ต้ม
เป็ นลาดับแรก (O-NET 2551)
1. ลาไส้เล็ก 2. ลาไส้ใหญ่
3. หลอดอาหาร 4. กระเพาะอาหาร
72. หากรับประทานข้าวต้มไก่ ที่มีส่วนประกอบหลักได้แก่ ข้าวและเนื้อไก่ (O-NET 2563)
ข้อใดกล่าวถึงการย่อยอาหารที่เกิดขึ้นภายหลังจากรับประทานข้าวต้มไก่ได้ถูกต้อง
1. เนื้อไก่เท่านั้นที่จะถูกย่อยด้วยเอนไซม์จากตับอ่อน
2. เนื้อไก่จะไม่ถูกย่อยเมื่ออาหารลาเลียงมาถึงกระเพาะอาหาร
3. ข้าวและเนื้อไก่จะถูกย่อยเป็ นครั้งสุ ดท้ายที่บริ เวณลาไส้เล็ก
4. ข้าวจะถูกบดเคี้ยวให้มีขนาดเล็กลง แต่ไม่เกิดการย่อยที่บริ เวณปาก
73. เมื่อนักเรี ยนรับประทำนอำหำร ประเภทแป้งและโปรตีน จะเกิดกำรดูดซึมสำรอำหำร
มากที่สุด บริ เวณใด (O-NET 2560)
1. ปำก 2. ลำไส้เล็ก
3. ลำไส้ใหญ่ 4. กระเพำะอำหำร
74. แพทย์พบเนื้อร้ำยที่อวัยวะ A ของผูป้ ่ วยคนหนึ่ง และลงควำมเห็นว่ำ จำเป็ นต้อง
ตัดอวัยวะ A ซึ่งอยูท่ ี่ตำแหน่งดังภำพออกไป (สสวท.)

หลังกำรผ่ำตัด ผูป้ ่ วยรำยนี้ควรหลีกเลี่ยงกำรบริ โภคอำหำรในข้อใดมำกที่สุด


1. ปลำช่อนเผำ 2. ข้ำวขำหมู
3. ข้ำวเหนียวส้มตำ 4. เผือกต้มจิ้มน้ ำตำลทรำย
| 59
ใช้แผนภำพ ในกำรตอบคำถำม ข้อ 75 - 79

75. ด.ช.อิ่มจัง ทำนก๋ วยเตี๋ยวหมูสับ อวัยวะหมำยเลขใดในระบบย่อยอำหำรที่ไม่ใช่


ทำงเดินอำหำร แต่มีส่วนช่วยในกำรย่อยก๋ วยเตี๋ยวหมูสับ
1. 3 คือ กระเพำะอำหำร และ 7 คือ ตับอ่อน
2. 2 คือ หลอดอำหำร และ 9 คือ ทวำรหนัก
3. 4 คือ ลำไส้เล็ก และ 8 คือ ถุงน้ ำดี
4. 6 คือ ตับ และ 7 คือ ตับอ่อน

76. เช้ำนี้ ด.ช.เป็ นปลื้ม รับประทำนขนมปังไข่ดำว จะมีกำรย่อยขนมปังและไข่ดำว


ที่อวัยวะใดเป็ นที่แรกตำมลำดับ
ขนมปัง ไข่ดาว
1. 1 1
2. 3 4
3. 1 3
4. 1 4

| 60
77. ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องใช่หรื อไม่
ข้ อความ ใช่ หรื อ ไม่ ใช่
หมายเลข 6 ทาหน้าผลิตน้ าดี ซึ่งน้ าดีทาหน้าที่ยอ่ ยไขมัน ใช่ / ไม่ใช่
ลาไส้เล็กมีส่วนเชื่อมต่อกับตับอ่อน เพื่อรับเอนไซม์
ใช่ / ไม่ใช่
มาช่วยในการย่อยสารอาหาร
ผนังด้านในของอวัยวะหมายเลข 4 มีลกั ษณะที่ยนื่
ใช่ / ไม่ใช่
ออกมาคล้ายนิ้วมือทาหน้าที่สร้างเอนไซม์

78. ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องใช่หรื อไม่


ข้ อความ ใช่ หรื อ ไม่ ใช่
การย่อยอาหารสิ้ นสุ ดที่อวัยวะหมายเลข 5 ใช่ / ไม่ใช่
อวัยวะหมายเลข 5 มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารบางประเภท ใช่ / ไม่ใช่
อวัยวะหมายเลข 3 มีลกั ษณะคล้ายตัว J ใช่ / ไม่ใช่

79. ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องใช่หรื อไม่


ข้ อความ ใช่ หรื อ ไม่ ใช่
หมายเลข 5 คือ ลาไส้ใหญ่ มีส่วนเชื่อมต่อกับตับอ่อน
ใช่ / ไม่ใช่
เพื่อรับเอนไซม์มาช่วยทาให้ไขมันแตกตัว
หมายเลข 3 คือ กระเพาะอาหารมีผนังด้านในลักษณะ
ใช่ / ไม่ใช่
เป็ นคลื่น ช่วยในการดูดซึ มสารอาหาร
ปากมีฟันและลิ้นช่วยบดและคลุกเคล้าอาหาร
ใช่ / ไม่ใช่
และมีเอนไซม์สาหรับย่อยแป้ง

| 61
80. หากตับของคุณแม่ของ ด.ช.เป็ นปลื้ม ทางานได้ไม่ปกติ ด.ช.เป็ นปลื้ม ควรแนะนาให้
คุณแม่งดอาหารประเภทใด

1. ข้าวหมูแดง 2. ข้าวมันไก่
3. ต้มจืดผักตาลึง 4. สลัดผัก
81. เด็กชายวัชราชอบกินเนื้อหมูติดมัน ไม่ชอบกินผักและผลไม้ และกินอาหารไม่ตรงเวลา
เป็ นประจา (O-NET 2557)
ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหารของเด็กคนนี้
1. ตับจะทางานหนักเพื่อสร้างน้ าดีสาหรับให้ไขมันแตกตัว เพื่อให้เกิดการย่อยง่ายขึ้น
2. บริ เวณหลอดอาหารจะมีกรดหลัง่ ออกมาปริ มาณมาก
3. ลาไส้ใหญ่ดูดซึมน้ าได้นอ้ ยลง เนื่องจากกินอาหารที่มีเส้นใยมาก
4. ลาไส้เล็กขับเคลื่อนอาหารได้ง่ายขึ้น เนื่องจากกินอาหารที่มีเส้นใยมาก

82. หากเรารั บ ประทานอาหารตามรายการด้า นล่ า งนี้ อวั ย วะใดในระบบย่ อ ยอาหาร


จะทางานหนัก

สัดส่วนอาหาร 1. ตับ
ข้าว แป้ง เผือก มัน 8 ทัพพี
2. ลาไส้ใหญ่
ผัก 1 ทัพพี
3. ลาไส้เล็ก
ผลไม้ 3 ส่วน
4. กระเพาะอาหาร
นม 2 แก้ว
เนื้อสัตว์ 30 ช้อนกินข้าว
น้ำมัน น้ำตาล เกลือ 12 ช้อนชา

| 62
83. กำหนดให้ สำรอำหำรโมเลกุลใหญ่ 3 ชนิด มีลกั ษณะดังรู ป

      โปรตีน
      ไขมัน
◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ คำร์โบไฮเดรต
โครงสร้ำงของสำรทั้ง 3 ชนิด เมื่อผ่ำนกระบวนกำรย่อยอำหำรโดยอำศัยเอนไซม์ภำยใน
อวัยวะ A B และ C เป็ นดังนี้

 ◆◆◆◆ ◆◆◆◆
◆ 
  
 ◆◆
 
อวัยวะ A อวัยวะ B อวัยวะ C

อวัยวะ A B และ C คือ อวัยวะใดตำมลำดับ


1. ลำไส้เล็ก ปำก กระเพำะอำหำร
2. ลำไส้ใหญ่ กระเพำะอำหำร ลำไส้เล็ก
3. กระเพำะอำหำร กระเพำะอำหำร ปำก
4. ลำไส้เล็ก กระเพำะอำหำร ปำก

| 63
ข้ อสอบ : ชื่ อ ....................................................................
คะแนน..............
สาระที่ 1 : ว 1.3 ชั้น ...............................เลขที่............................

1. แผนผังแสดงกำรจัดกลุ่มสิ่ งมีชีวิต 3 ชนิด ออกเป็ น 3 กลุ่ม ดังนี้

สิ่ งมีชีวิต

สร้างอาหารเองไม่ได้ สร้างอาหารเองได้

สิ่ งมีชีวิต
เคลื่อนที่ได้ เคลื่อนที่ไม่ได้ C

สิ่ งมีชีวิต สิ่ งมีชีวิต


A B

สิ่ งมีชีวิต A B และ C คือ สิ่ งมีชีวิตใด ตำมลำดับ


1. บัว กระต่ำย ต้นกุหลำบ 2. นกแก้ว ต้นผักบุง้ เห็ด
3. ม้ำ ต้นมะลิ เห็ด 4. ไส้เดือน เห็ด ต้นหญ้ำ
2. เด็ก ๆ ใช้เกณฑ์ใดในกำรจัดจำแนกสิ่ งมีชีวิตทั้งสองให้อยูใ่ นกลุ่มเดียวกัน

1. กำรเคลื่อนที่ 2. กำรสร้ำงอำหำร
3. กำรสื บพันธุ์ 4. กำรเจริ ญเติบโต

| 64
3. เด็ก ๆ ใช้เกณฑ์ใดในกำรจัดจำแนกสิ่ งมีชีวิตทั้งสองให้อยูใ่ นกลุ่มเดียวกัน

ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง

1. กำรเคลื่อนที่ 2. กำรสร้ำงอำหำร
3. กำรสื บพันธุ์ 4. กำรเจริ ญเติบโต

4. ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ ง จำแนกสิ่ งมีชีวิตออกเป็ น 2 กลุ่ม ดังนี้


กลุ่มที่ 1 ได้แก่ กุง้ กบ ปลำ เห็ด รำ
กลุ่มที่ 2 ได้แก่ กุหลำบ เฟิ ร์น ต้นข้ำว ต้นสน
อยำกทรำบว่ำ ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ ง ใช้เกณฑ์ใดในกำรจำแนกกลุ่มสิ่ งมีชีวิต
1. กำรเคลื่อนที่ 2. กำรสร้ำงอำหำร
3. กำรสื บพันธุ์ 4. กำรเจริ ญเติบโต
5. สิ่ งมีชีวิตสี เขียวชนิดหนึ่ง เกำะอยูบ่ นสำหร่ ำยบริ เวณที่มีแสงส่ องถึงและกินอำหำร
ที่น้ ำพัดมำ ถ้ำใช้กำรเคลื่อนที่และกำรสร้ำงอำหำรเป็ นเกณฑ์ สิ่ งมีชีวิตชนิดนี้อยูใ่ น
กลุ่มใด เพรำะเหตุใด (แบบทดสอบท้ำยเล่ม หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4 เล่ม 1)
1. พืช เพราะมีสีเขียว
2. พืช เพราะเกาะอยูก่ บั ที่
3. สัตว์ เพราะสร้างอาหารเองไม่ได้
4. ไม่ใช่พืชและสัตว์ เพราะชอบอยูใ่ นที่ที่มีแสงส่ องถึง

| 65
6. หำกใช้เกณฑ์กำรสร้ำงอำหำร ในกำรจำแนกสิ่ งชีวิต ได้แก่ มอส เห็ด เฟิ ร์น
ต้นกำบหอยแครง ต้นมะม่วง สำมำรถจำแนกออกเป็ นกลุ่ม ได้ตำมข้อใด

มอส เห็ด เฟิ ร์น ต้นกาบหอยแครง ต้นมะม่วง

1. กลุ่มที่ 1 : สร้ำงอำหำรเองได้ ได้แก่ มอส เห็ด เฟิ ร์น ต้นมะม่วง


กลุ่มที่ 2 : สร้ำงอำหำรเองไม่ได้ ได้แก่ ต้นกำบหอยแครง
2. กลุ่มที่ 1 : สร้ำงอำหำรเองได้ ได้แก่ มอส เฟิ ร์น ต้นมะม่วง
กลุ่มที่ 2 : สร้ำงอำหำรเองไม่ได้ ได้แก่ เห็ด ต้นกำบหอยแครง
3. กลุ่มที่ 1 : สร้ำงอำหำรเองได้ ได้แก่ มอส เฟิ ร์น ต้นมะม่วง ต้นกำบหอยแครง
กลุ่มที่ 2 : สร้ำงอำหำรเองไม่ได้ ได้แก่ เห็ด
4. กลุ่มที่ 1 : สร้ำงอำหำรเองได้ ได้แก่ มอส ต้นมะม่วงต้นกำบหอยแครง
กลุ่มที่ 2 : สร้ำงอำหำรเองไม่ได้ ได้แก่ เห็ด เฟิ ร์น

| 66
7. แผนผังแสดงกำรจัดกลุ่มพืช 5 ชนิด ออกเป็ น 2 กลุ่ม ดังนี้ (ONET 2560)

มอส ตาลึง กุหลาบ พุทธรักษา ข้ าว

กลุ่ม ก กลุ่ม ข
มอส ตาลึง กุหลาบ พุทธรักษา ข้ าว

จำกแผนผัง พืชชนิดใดต่อไปนี้ควรจัดไว้ในกลุ่ม ก
1. เฟิ ร์น 2. บัว
3. มะลิ 4. ชวนชม

8. จำกแผนผังในข้อ 7 พืชชนิดต่อไปนี้ควรจัดไว้ในกลุ่ม ข
1. ต้นมะม่วง ชำยผ้ำสี ดำ 2. ทำนตะวัน มะลิ
3. กล้วยไม้ เฟิ ร์น 4. ต้นสน ทำนตะวัน
9. ด.ช.เป็ นปลื้ม จำแนกพืชออกเป็ น 2 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 ได้แก่ มะลิ กุหลำบ ทำนตะวัน ต้นมะม่วง
กลุ่มที่ 2 ได้แก่ มอส เฟิ ร์น ต้นสน ชำยผ้ำสี ดำ
อยำกทรำบว่ำ ด.ช.เป็ นปลื้มใช้เกณฑ์ใดในกำรจัดกลุ่มพืช
1. พืชมีดอก พืชไม่มีดอก 2. พืชใบเลี้ยงเดี่ยว พืชใบเลี้ยงคู่
3. พืชใบเลี้ยงเดี่ยว พืชไม่มีดอก 4. พืชมีดอก พืชใบเลี้ยงเดี่ยว

| 67
10. ด.ช.เป็ นปลื้ม จัดจำแนกพืช เป็ น 2 กลุ่ม

พืช

มะลิ มะม่วง ผักบุง้ สน มอส เฟิ ร์น

จำกแผนผัง เกณฑ์ที่ ด.ช.เป็ นปลื้ม ใช้ในกำรจัดจำแนกกลุ่มของพืช คือข้อใด

1. กำรมีเมล็ดหรื อไม่มีเมล็ด 2. กำรมีดอกหรื อไม่มีดอก


3. ลักษณะเส้นใบ 4. ลักษณะรำก
11. นักเรี ยนคนหนึ่งเลือกเก็บต้นไม้ 3 ชนิด จากสวนของโรงเรี ยนเพื่อนาไปประกอบ
การเรี ยนเรื่ องการจาแนกกลุ่มพืช ดังรู ป (ONET-2556)

พืชใบเลี้ยงคู่ คือพืชชนิดใด
1. A 2. A และ B
3. B และ C 4. C

| 68
12. ข้อมูลแสดงโครงสร้ำงภำยนอกของพืช 4 ชนิดเป็ นดังตำรำง (ONET 2561)

โครงสร้ างภายนอก
ชนิดของพืช จานวนกลีบดอก
ราก ลาต้ น ใบ ผล
(กลีบ)
A ✓ ✓ ✓  
B ✓ ✓ ✓ 3 ✓
C ✓ ✓ ✓ 5 ✓
D ✓ ✓ ✓ 6 ✓

✓ หมำยถึง มีส่วนประกอบ และ  หมำยถึงไม่มีส่วนประกอบ


ข้อใดกล่ำวถึงประเภทของพืชแต่ละชนิดใดถูกต้อง
1. พืช A เป็ นพืชไม่มีดอก ส่ วนพืช B เป็ นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
2. พืช B เป็ นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ส่ วนพืช D เป็ นพืชใบเลี้ยงคู่
3. พืช B เป็ นพืชใบเลี้ยงคู่ ส่ วนพืช C เป็ นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
4. พืช C เป็ นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ส่ วนพืช A เป็ นพืชไม่มีดอก

13. เด็กชายนที สารวจพืชในโรงเรี ยน แล้วแบ่งพืชเป็ น 3 กลุ่มดังนี้ (ONET 2558)

กลุ่มที่ 1 ได้แก่ หญ้า พุทธรักษา


กลุ่มที่ 2 ได้แก่ ทานตะวัน ถัว่ ลิสง
กลุ่มที่ 3 ได้แก่ เฟิ นข้าหลวงหลังลาย มอส
เด็กชายนที ใช้ลกั ษณะอะไรบ้างในการจาแนกพืชได้เป็ น 3 กลุ่ม
1. พืชมีดอกหรื อไม่มีดอก และการมีท่อลาเลียงหรื อไม่มีท่อลาเลียง
2. พืชมีดอกหรื อไม่มีดอก และการเป็ นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวหรื อใบเลี้ยงคู่
3. พืชมีดอกหรื อไม่มีดอก และการมีดอกสมบูรณ์เพศหรื อไม่สมบูรณ์เพศ
4. การเป็ นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวหรื อใบเลี้ยงคู่ และการมีท่อลาเลียงหรื อไม่มีท่อลาเลียง
| 69
14. มะละกอเป็ นพืชที่มีรากเป็ นระบบรากแก้ว ลาต้นไม่พบข้อปล้อง และมีเส้นใบ
แบบร่ างแห ดอกของมะละกอมี 3 ชนิด ซึ่งมีส่วนประกอบดังตาราง (ONET 2562)

ส่ วนประกอบของดอก
ชนิด
กลีบเลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย
ก มี มี มี มี
ข มี มี ไม่มี มี
ค มี มี มี ไม่มี

เมื่อขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดจากต้นแม่พนั ธุ์มกั พบว่ามะละกอต้นใหม่ที่ได้มีลกั ษณะ


ไม่เหมือนต้นแม่พนั ธุ์ เกษตรจึงนิยมขยายพันธุ์มะละกอด้วยวิธีการตอนกิ่ง ซึ่ งจะเลือกใช้กิ่ง
ของต้นที่โตเต็มที่แล้ว
จากข้อมูล ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องใช่หรื อไม่
ข้ อความ ใช่ หรื อไม่ ใช่
1.การตอนกิ่งเป็ นการขยายพันธุ์พืชที่ทาให้ได้มะละกอลักษณะเหมือน
ต้นแม่พนั ธุ์ทุกประการ และทาให้ได้ตน้ มะละกอที่โตเต็มที่เร็ วกว่า ใช่ / ไม่ใช่
การเพาะเมล็ด
2. ดอกมะละกอชนิด ก จัดเป็ นดอกสมบูรณ์เพศ ส่ วนดอกมะละกอชนิด ข
ใช่ / ไม่ใช่
และ ค จัดเป็ นดอกไม่สมบูรณ์เพศ
3.มะละกอจัดเป็ นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ใช่ / ไม่ใช่

| 70
15. นักเรี ยนกลุ่มหนึ่งได้รับมอบหมายจากครู ให้ไปสารวจชนิดของสัตว์ในบริ เวณสนามและ
ร่ องปลูกไม้ดอกของโรงเรี ยน ผลการสารวจพบสัตว์ 8 ชนิด ดังนี้ นกกางเขน กบ งูเขียว
กิ้งกือ มดแดง ไส้เดือนดิน จิ้งจก ผีเสื้ อ ถ้านักเรี ยนต้องจาแนกสัตว์เหล่านี้เป็ นสองกลุ่ม
เกณฑ์การจาแนกที่ควรใช้เป็ นลาดับแรก คือข้อใด (ONET 2556)

1.การไม่มีปีก-การมีปีก
2.การเป็ นสัตว์เลือดเย็น-การเป็ นสัตว์เลือดอุ่น
3. การมีปฏิสนธิภายนอก-การมีปฏิสนธิภายใน
4. การไม่มีโครงร่ างแข็งภายในร่ างกาย-การมีโครงร่ างแข็งภายในร่ างกาย

16. ตำรำง ลักษณะที่สังเกตได้ของสัตว์ 4 ชนิด

ลักษณะที่สังเกตได้
สั ตว์
โครงสร้ างของสั ตว์ อาหารที่กนิ
มีกระดูกเป็ นข้อ ๆ
A แมลง
เรี ยงต่อกันเป็ นแนวยำวอยูก่ ลำงหลัง
B ไม่มีกระดูก มีขำต่อกันเป็ นข้อ ๆ แมลง
C ไม่มีกระดูก ซำกสิ่ งมีชีวิต
มีกระดูกเป็ นข้อ ๆ
D พืช
เรี ยงต่อกันเป็ นแนวยำวอยูก่ ลำงหลัง

จำกตำรำง สัตว์ชนิด B และ D น่ำจะเป็ นสัตว์ชนิดใด ตำมลำดับ


ก. แมลงปอ ผีเสื้ อ ข. กบ ควำย
ค. นก ม้ำลำย ง. ตัก๊ แตน วัว

| 71
17. จากข้อ 16 ข้อความต่อไปนี้ ถูกต้องใช่หรื อไม่

ข้ อความ ใช่ หรื อไม่ ใช่


สัตว์ A และ สัตว์ D เป็ นสัตว์มีกระดูกสันหลัง ใช่ / ไม่ใช่
สัตว์ B และ C เป็ นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ใช่ / ไม่ใช่
สัตว์ C เป็ นผูย้ อ่ ยสลายอินทรี ยสาร ใช่ / ไม่ใช่

ตาราง การแบ่งสัตว์ 16 ชนิดเป็ น 4 กลุ่ม ตามหลักเกณฑ์ของเด็กชายมนัส (ONET 2554)

กลุ่ม รายชื่ อสั ตว์ที่จัดไว้เป็ นกลุ่มเดียวกัน


ก เสื อ ลิง วาฬ แมว
ข งู เต่า กบ ตุก๊ แก
ค นก เป็ ด ไก่ หงส์
ง กุง้ หอย ปู ปลา

18. จากตาราง สัตว์ชนิดใดน่าจะถูกจัดไว้ผิดกลุ่ม


1. วาฬ หงส์ 2. กบ ปลา
3. เต่า หอย 4. ตุ๊กแก นก

| 72
สั ตว์มีกระดูกสั นหลัง

มีปีก ไม่ มีปีก

ชนิดที่ 1
สั ตว์บก สั ตว์น้า

ชนิดที่ 4
มีเกล็ด มีขน

ชนิดที่ 2 ชนิดที่ 3

แผนผัง การจาแนกประเภทของสัตว์มีกระดูกสันหลัง

19. จากแผนผัง สัตว์ชนิดที่ 2 และชนิดที่ 3 มีลกั ษณะใดเหมือนกัน (ONET 2551)

1. มีขน 2. มีเกล็ด
3. มีปีก 4. ไม่มีปีก

| 73
20. แผนภูมิการแบ่งกลุ่มสัตว์โดยใช้ลกั ษณะบางอย่างเป็ นเกณฑ์ (ONET 2558)

สั ตว์มีกระดูกสั นหลัง

เลือดอุ่น เลือดเย็น

มีขน ไม่ มีขน มีเหงือก ไม่ มีเหงือก

กลุ่ม 1 กลุ่ม 2
ผิวหนังแห้ ง ผิวหนังเปี ยกชื้น
มีเกล็ด ไม่ มีเกล็ด

กลุ่ม 3 กลุ่ม 4

สัตว์กลุ่ม 3 และกลุ่ม 4 มีลกั ษณะใดเหมือนกัน


1. เลือดเย็น และไม่มีเหงือก
2. เลือดเย็น และผิวหนังมีเกล็ด
3. ไม่มีเหงือก และผิวหนังมีเกล็ด
4. ไม่มีเหงือก และผิวหนังไม่มีเกล็ด

| 74
21. กำรศึกษำลักษณะภำยในและภำยนอกของตัวอย่ำงสัตว์มีกระดูกสันหลัง 4 ชนิดได้ขอ้ มูล
ดังตำรำง (ONET 2561)

ลักษณะภายในและภายนอก
ชนิดของ
อวัยวะที่ใช้ หายใจ
สั ตว์ การออกลูก ผิวหนังปกคลุมลาตัว
(ตัวเต็มวัย)
A ปอดและผิวหนัง เป็ นไข่มีวนุ ้ ใสหุม้ เรี ยบ
B ปอด เป็ นตัว เรี ยบ
C ปอด เป็ นไข่มีเปลือกแข็งหุม้ มีเกล็ด
D เหงือก เป็ นตัว มีเกล็ด

“โรคพิษสุ นขั บ้ำเป็ นโรคติดต่อร้ำยแรงมักพบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ ำนม” จำกข้อมูล


สัตว์ชนิดใดเสี่ ยงต่อกำรเป็ นโรคพิษสุ นขั บ้ำ
1. ชนิด A 2. ชนิด B
3. ชนิด C 4. ชนิด D
22. ข้อมูลแสดงลักษณะภายในและภายนอกของสัตว์มีกระดูกสันหลัง 4 ชนิด เป็ นดังตาราง
(ONET 2560)
ลักษณะภายในและภายนอก
ชนิดของ
อวัยวะที่ใช้ หายใจ ผิวหนัง ปกคลุม
สั ตว์ การออกลูก
(ตัวเต็มวัย) ลาตัว
A ปอดและผิวหนัง เป็ นไข่มีวนุ ้ ใสหุม้ เรี ยบ
B ปอด เป็ นไข่มีเปลือกแข็งหุม้ มีขนเป็ นแผง
C เหงือก เป็ นไข่มีวนุ ้ ใสหุม้ มีเกล็ด
D ปอด เป็ นไข่มีเปลือกแข็งหุม้ มีเกล็ด

อุณหภูมิในร่ างกายของสัตว์ชนิดใดไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อม
1.A 2. B
3. C 4.D
| 75
23. ตาราง ลักษณะลาตัว จานวนขา และบริ เวณที่อาศัยของสัตว์ 4 ชนิด (ONET 2552)

ชนิดของสั ตว์ ลักษณะลาตัว จานวนขา บริเวณที่อาศัย


A มีครี บ มีเกล็ด ไม่มีขา ในน้ า
B ผิวหนังเปี ยกชื้น ไม่มีเกล็ด 4 ขา บนบก
C ผิวหนังแห้ง มีเกล็ดปกคลุม 4 ขา บนบก
D มีปีก ขนเป็ นแผง 2 ขา บนบก

ถ้าพบสัตว์ชนิดหนึ่งมีจะงอยปากแข็ง มีขนเป็ นแผง มีเกล็ดที่ขาและนิ้วเท้า สัตว์ชนิดนี้


ควรจัดอยูพ่ วกเดียวกันกับสัตว์ชนิดใดในตาราง
1. A 2. B
3. C 4. D

| 76
24. ตารางแสดงข้อมูลลักษณะเฉพาะของสัตว์มีกระดูกสันหลัง 4 ชนิดเป็ นดังนี้
ชนิดของสั ตว์ ลักษณะเฉพาะ
A ผิวหนังเปี ยกชื้น ไม่มีขน อาศัยอยูไ่ ด้ท้ งั บนบกและในน้ า ออกลูกเป็ น
ไข่
B ผิวหนังมีเกล็ด มีครี บ อาศัยอยูใ่ นน้ าตลอดชีวิต ออกลูกเป็ นไข่
C ผิวหนังมีขนเป็ นแผงปกคลุม อาศัยอยูบ่ นบก ออกลูกเป็ นไข่
D ผิวหนังมีขนเป็ นเส้นปกคลุม อาศัยอยูบ่ นบก ออกลูกเป็ นไข่

จากข้อมูล ข้อใดระบุกลุ่มของสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้ง 4 ชนิด ได้ถูกต้อง


(O-NET 2563)

ชนิดของสัตว์
A B C D
กลุ่มสัตว์สะเทินน้ า กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูก
1. กลุ่มปลา กลุ่มนก
สะเทินบก ด้วยน้ านม
กลุ่มสัตว์สะเทินน้ า กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูก
2. กลุ่มปลา กลุ่มนก
สะเทินบก ด้วยน้ านม
กลุ่มสัตว์สะเทินน้ า กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูก
3. กลุ่มปลา กลุ่มนก
สะเทินบก ด้วยน้ านม
กลุ่มสัตว์สะเทินน้ า กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูก
4. กลุ่มปลา กลุ่มนก
สะเทินบก ด้วยน้ านม

| 77
25. ศึกษาการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิร่างกายของสัตว์ 3 ชนิด โดยให้สัตว์อยูใ่ นห้อง
ที่มีอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส เป็ นเวลา 3 ชัว่ โมง จากนั้นให้สัตว์พกั 1 ชัว่ โมงในห้อง
ที่มีอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส แล้วจึงนาสัตว์ไปอยูใ่ นห้องที่มีอุณหภูมิ 30 องศา
เซลเซียสเป็ นเวลา 3 ชัว่ โมง บันทึกอุณหภูมิร่างกายของสัตว์ก่อนและหลังการทดลอง
(ONET 2562)
ได้ผลดังตาราง

อุณหภูมิร่างกายของสั ตว์ในแต่ ละห้ อง


ชนิดของ
ห้ องอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส ห้ องอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส
สั ตว์
ก่อนทดลอง หลังทดลอง ก่อนทดลอง หลังทดลอง
A 39 39 39 39
B 25 20 25 30
C 37 37 37 37

เมื่อศึกษาลักษณะภายในและภายนอกเพิม่ เติม สามารถจาแนกสัตว์ A B และ C


ได้เป็ น 2 กลุ่ม ซึ่งมีลกั ษณะดังนี้
กลุ่มที่1 : หายใจด้วยปอด ผิวหนังเรี ยบ ออกลูกเป็ นตัว มีต่อมสร้างน้ านม
กลุ่มที่ 2 : หายใจด้วยปอดและผิวหนัง ผิวหนังเปี ยกชื้นไม่มีเกล็ด ออกลูกเป็ นไข่
จากข้อมูล ข้อใดระบุชนิดของสัตว์แต่ละกลุ่มได้ถูกต้อง
1.กลุ่มที่ 1 ได้แก่ สัตว์ชนิด A และ B
2.กลุ่มที่ 1 ได้แก่ สัตว์ชนิด C เท่านั้น
3.กลุ่มที่ 2 ได้แก่ สัตว์ชนิด B เท่านั้น
4.กลุ่มที่ 2 ได้แก่ สัตว์ชนิด A และ C

| 78
26. ตาราง แสดงลักษณะบางประการของสัตว์ 4 ชนิด (ONET 2559)

ชนิดของ รูปร่ างตัวอ่อนและ


การปฏิสนธิ สภาพการออกลูก
สั ตว์ ตัวเต็มวัย

A ภายนอก เป็ นไข่ไม่มีเปลือกแข็งหุม้ เหมือนกัน

B ภายนอก เป็ นไข่ไม่มีเปลือกแข็งหุม้ ไม่เหมือนกัน

C ภายใน เป็ นไข่มีเปลือกแข็งหุม้ เหมือนกัน

D ภายใน เป็ นตัว เหมือนกัน

พิจารณาจากตาราง ปลากัดมีลกั ษณะเหมือนกับสัตว์ชนิดใด


1. A 2. B
3. C 4. D

27. สัตว์ A B C และ D คือ สัตว์ชนิดใด ตามลาดับ


1. กบ ปลาทู เพนกวิน สุ นขั 2. ปลา คางคก ไก่ โลมา
3. จระเข้ อึ่งอ่าง นกแก้ว ฉลาม 4. เขียด ปลา เต่า สุ นขั
28. สัตว์ในข้อใดจัดอยูใ่ นกลุ่มเดียวกับ พะยูน และ เขียด
1. A และ B 2. D และ A
3. D และ B 4. D และ C

| 79
29. ตาราง ลักษณะสาคัญของกลุ่มสัตว์มีกระดูกสันหลัง (ONET 2557)

ลักษณะ การปรับอุณหภูมริ ่ างกาย อวัยวะที่ใช้ การผสมพันธุ์


การออกลูก อาหาร
กลุ่ม (เลือดเย็น-เลือดอุ่น) หายใจ (การปฏิสนธิ)
1 เลือดเย็น เหงือก ภายนอก ไข่ /ตัว พืช-สัตว์
2 เลือดเย็น เหงือก/ปอด ภายนอก ไข่ สัตว์
3 เลือดเย็น ปอด ภายใน ไข่ พืช-สัตว์
4 เลือดอุ่น ปอด ภายใน ไข่ พืช-สัตว์
5 เลือดอุ่น ปอด ภายใน ตัว/ไข่ พืช-สัตว์

จากตาราง กลุ่มที่ 2 เป็ นสัตว์ในข้อใด


1. แย้ 2. เต่า
3. ตุ๊กแก 4. จิ้งจกน้ า

| 80
สั ตว์มีกระดูกสั นหลัง

มีปีก ไม่ มีปีก

สั ตว์ A
สั ตว์บก สั ตว์น้า

สั ตว์ D
มีเกล็ด มีขน

สั ตว์ B สั ตว์ C

30. สัตว์ A B C และ D คือ สัตว์ในข้อใด ตามลาดับ


1. เป็ ด เต่า เสื อ ฉลาม
2. ไก่ ปลา แมว กบ
3. นก งู เพนกวิน โลมา
4. นกแก้ว จระเข้ สุ นขั วาฬ

| 81
31. จากแผนภาพ สัตว์ A B และ C คือ สัตว์ในข้อใด ตามลาดับ
สั ตว์

สั ตว์ไม่ มีกระดูกสั นหลัง สั ตว์มีกระดูกสั นหลัง

สั ตว์ A
สั ตว์เลือดเย็น สั ตว์เลือดอุ่น

สั ตว์ B สั ตว์ C

1. เต่า สุ นขั ปลาทู


2. แมลง ฉลาม กบ
3. แมงมุม จระเข้ เป็ ด
4. งู ปลาตะเพียน นกแก้ว

| 82
สัตว์

ปลาหางนกยูง นกเป็ ดน้ า


คางคก จระเข้ โลมา

32. จากแผนภาพ ใช้เกณฑ์ในข้อใดจัดจาแนกสัตว์ออกเป็ น 2 กลุ่ม ดังแผนภาพ


1. การปฏิสนธิ 2. การออกลูก
3. แหล่งที่อยู่ 4. อุณหภูมิของร่ างกาย

33. ข้อใดเป็ นลักษณะเฉพาะของสัตว์ครึ่ งน้ าครึ่ งบก (ONET 2555)

1. หายใจด้วยเหงือก 2. เป็ นสัตว์เลือดเย็น


3. มีขาหลังยาวกว่าขาหน้า 4. ผิวหนังเปี ยกชื้นอยูเ่ สมอ

34. สิ่ งมีชีวิตชนิดหนึ่ง มีลาตัวอ้วน ไม่มีขน ผิวเปี ยกชื้น ออกลูกเป็ นไข่ มีขา 4 ขา ตีนคู่หลังมี
พังผืดติดระหว่างนิ้ว สิ่ งมีชีวิตนี้น่าจะอยูใ่ นกลุ่มใด
(แบบทดสอบท้ายเล่ม หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4 เล่ม 1)
1. ปลา 2. สัตว์สะเทินน้ าสะเทินบก
3. สัตว์เลื้อยคลาน 4. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ านม
35. ด.ช.เป็ นปลื้มพบสิ่ งมีชีวิตชนิดหนึ่งในแอ่งน้ าหลังบ้าน มีลกั ษณะลาตัวกลมสี ดา มีหาง
และขาหลังขนาดเล็ก 2 ขา หายใจด้วยเหงือก อยากทราบว่า สัตว์ชนิดนี้อยูใ่ นกลุ่มใด
1. ปลา 2. สัตว์สะเทินน้ าสะเทินบก
3. สัตว์เลื้อยคลาน 4. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ านม

| 83
36. ถ้าลูกสัตว์เลื้อยคลานกับลูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ านมที่เกิดใหม่ ต้องมีชีวิตตามลาพัง
ลูกของสัตว์ชนิดใดมีโอกาสรอดได้มากที่สุด เพราะเหตุใด
(แบบทดสอบท้ายเล่ม หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4 เล่ม 1)

1. สัตว์เลื้อยคลาน เพราะหากินได้เอง
2. สัตว์เลื้อยคลาน เพราะหายใจด้วยปอด
3. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ านม เพราะมีขาไว้หาอาหาร
4. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ านม เพราะต้องกินน้ านมแม่

รุ่ นพ่อแม่ ขนสี ดา ขนสี ขาว

รุ่ นลูก ขนสี ดา ขนสี ดา ขนสี ดา ขนสี ดา


ดา
แผนผัง การผสมพันธุ์ระหว่างหนูขนสี ดากับหนูขนสี ขาว

37. จากแผนผัง ข้อสรุ ปใดถูกต้อง (ONET 2551)

1. ลูกที่ได้มีขนสี ดา 75% 2. ลูกที่ได้มีขนสี ดา 50%


3. ขนสี ดาเป็ นลักษณะเด่น 4. ขนสีขาวเป็ นลักษณะเด่น

| 84
รุ่ นพ่อแม่ ถัว่ พันธุ์ตน้ สู ง ถัว่ พันธุ์ตน้ เตี้ย

รุ่ นลูก สู ง สู ง เตี้ย เตี้ย

แผนผัง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของถัว่
38. จากแผนผัง สัดส่ วนของลักษณะต้นสู งต่อต้นเตี้ยในรุ่ นลูก เป็ นเท่าใด (ONET 2550)
1. 1 : 1 2. 1 : 2
3. 1 : 3 4. 3 : 1
39. แผนผังแสดงกำรถ่ำยทอดทำงพันธุกรรมในแมว (ONET 2558)

พ่อ แม่

ลูก 1 ลูก 2 ลูก 3 ลูก 4

จำกแผนผัง ข้อใดสรุ ปถูกต้อง


1. ลักษณะขนสี ขำวของลูกเป็ นลักษณะเด่นแท้เหมือนของพ่อ
2. ลักษณะขนด่ำงเป็ นลักษณะด้อย ลูกที่มีขนด่ำงจึงตำยหมด
3. ลักษณะขนด่ำงไม่ถ่ำยทอดไปสู่ ลูก
4. ลักษณะขนสี ขำวเป็ นลักษณะเด่น

| 85
40. ถ้านาถัว่ ลันเตาลักษณะต้นสู งผสมกับถัว่ ลันเตาลักษณะต้นเตี้ย ปรากฏว่าต้นถัว่ รุ่ นลูก
มีลกั ษณะต้นสู งทุกต้น เหตุผลข้อใดถูกต้อง (ONET 2554)
1.ลักษณะต้นเตี้ยของถัว่ เป็ นลักษณะเด่น
2.ลักษณะต้นสู งของถัว่ เป็ นลักษณะเด่น
3.ถัว่ มีลกั ษณะต้นสู งเพราะเจริ ญเติบโตได้ดีกว่าต้นเตี้ย
4.ลักษณะต้นเตี้ยของถัว่ เป็ นลักษณะที่ไม่มีการถ่ายทอดไปสู่ รุ่นลูก

41. ลักษณะของพืชในข้อความใดเป็ นลักษณะทางพันธุกรรมของพืช


(แบบทดสอบท้ายเล่ม หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.5 เล่ม 2)
1. ใบคะน้ามีรอยหนอนเจาะ
2. ดอกมะลิมีสีขาวและมีกลิ่น
3. ต้นพริ กแคระแกร็ นมีใบหงิกงอ
4. ผลมะละกอมีราสี ขาวเกาะบนผิว
42. สุ นขั ตัวเมียสี ขำวตัวหนึ่ง หูขำดเนื่องจำกเกิดอุบตั ิเหตุ ผสมพันธุ์กบั
สุ นขั ตัวผูส้ ี ดำ เมื่อตั้งท้อง ข้อใดเป็ นไปไม่ได้
ก. ลูกสุ นขั ทุกตัวมีขนสี ขำว ข. ลูกสุ นขั บำงตัวมีลกั ษณะแตกต่ำงจำกพ่อแม่
ค. ลูกสุ นขั บำงตัวมีสีดำ ง. ลูกบำงตัวมีลกั ษณะหูขำด
43. ข้อใดเป็ นการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม (ONET 2554)
1. สุ ดาติดโรคไข้หวัดใหญ่จากแม่
2. มานะไว้หนวดเครายาวเหมือนพ่อ
3. สมศักดิ์มีเลือดหมู่เอเหมือนพ่อ แต่แม่มีเลือดหมูโ่ อ
4. เสื อและสิ งห์เป็ นพี่นอ้ งฝาแฝดชอบเล่นฟุตบอลเหมือนกัน

| 86
44. ข้อใดจัดเป็ นลักษณะทางพันธุกรรมทั้งหมด (ONET 2557)

1. ผมหยิก มีแผลเป็ น จมูกโด่ง หนังตาชั้นเดียว ห่ อลิ้นไม่ได้


2. ผมตรง ไม่มีติ่งหู จมูกโด่ง หนังตาสองชั้น ห่อลิ้นได้
3. ผมหยิก มีติ่งหู ถนัดซ้าย ผิวขาว ชอบกินหวาน
4. ผมตรง ผิวคล้ า หนังตาสองชั้น ไม่ชอบกินผัก จมูกโด่ง

45. พ่อและแม่มีลกั ษณะภายนอกดังนี้ (ONET 2562)

พ่อ: มีผิวขาว มีลกั ยิม้ นิ้วโป้งไม่งอน และมีทรงผมสั้น


แม่: มีผิวขาว มีลกั ยิม้ นิ้วโป้งไม่งอน และมีทรงผมสั้น
จากข้อมูล ลักษณะใดของพ่อและแม่ที่ไม่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้
1.สี ผิว 2. ทรงผม
3.การมีลกั ยิม้ 4. ลักษณะนิ้วโป้ง

46. โรคใดมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ (ONET 2551)

1. ฟันผุ 2. ตาแดง
3. เบาหวาน 4. ไวรัสตับอักเสบบี

47. โรคใดไม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม (ONET 2552)

1. เบาหวาน 2. โรคเลือดใส
3. โรคเหน็บชา 4. โรคกล้ามเนื้อลีบ

| 87
48. ข้อมูลแสดงลักษณะทางพันธุกรรมของบุคคลในครอบครัวหนึ่งเป็ นดังนี้ (ONET 2553)

ลักษณะทาง
ลูก พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย
พันธุกรรม
เส้นผม เรี ยบ เรี ยบ หยักศก หยักศก เรี ยบ หยักศก หยักศก
ลักยิม้ มี ไม่มี มี มี ไม่มี มี มี
หนังตา ชั้นเดียว 2 ชั้น ชั้นเดียว 2 ชั้น 2 ชั้น 2 ชั้น ชั้นเดียว

จากข้อมูลในตาราง ลูกได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมส่ วนใหญ่จากใคร


1. พ่อ และ ย่า 2. ปู่ และ ตา
3. แม่ และ ยาย 4. ย่า และ ยาย
49. ข้อมูลแสดงลักษณะทางพันธุกรรมของบุคคลในครอบครัวหนึ่งเป็ นดังนี้ (ONET 2553)

ลักษณะทาง
ลูก พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย
พันธุกรรม
สี ผิว คล้ า คล้ า ขาว ขาว คล้ า ขาว ขาว
สันจมูก โด่ง แบน โด่ง โด่ง แบน โด่ง โด่ง
ลิน้ ห่อได้ ห่อไม่ได้ ห่อได้ ห่อไม่ได้ ห่อไม่ได้ ห่อไม่ได้ ห่อได้

จากข้อมูลในตาราง ลูกได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมส่ วนใหญ่จากใคร


1. พ่อ และ ย่า 2. แม่ และ ยาย
3. แม่ และ ย่า 4. ปู่ และ ยาย

| 88
50. ครอบครัวหนึ่งมีลกั ษณะภำยนอกแสดงดังตำรำง (ONET 2561)

ลักษณะภายนอก พ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว


ลักยิม้ มี ไม่มี มี มี
ติ่งหู มี มี มี มี
นิ้วโป้ง งอน ไม่งอน งอน งอน
กำรห่อลิ้น ไม่ได้ ได้ ได้ ไม่ได้
ทรงผม ผมสั้น ผมยำว ผมสั้น ผมยำว

จำกข้อมูล ข้อใดกล่ำวถึงกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรมในครอบครัวนี้ไม่ถูกต้อง
1. ลูกชำยมีลกั ษณะทำงพันธุกรรมเหมือนพ่อ 3 ลักษณะ
2. ลูกสำวมีลกั ษณะทำงพันธุกรรมเหมือนแม่ 1 ลักษณะ
3. ลักษณะทำงพันธุกรรมของลูกชำยเหมือนแม่มำกกว่ำที่ลูกสำวเหมือนแม่
4. ลักษณะทำงพันธุกรรมของลูกชำยเหมือนพ่อมำกกว่ำที่ลูกสำวเหมือนพ่อ

แผนผัง การถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมของสมาชิกในครอบครัวหนึ่ง (ONET 2556)

พ่อมีลกั ยิม้ แม่ไม่มีลกั ยิม้

ลูกชายไม่มีลกั ยิม้ ลูกสาวไม่มีลกั ยิม้

51. จากแผนผัง ข้อมูลใดถูกต้อง


1. ลูกไม่ได้รับการถ่ายทอดลักษณะการมีลกั ยิม้ มาจากพ่อ
2. ลูกได้รับการถ่ายทอดเฉพาะลักษณะการไม่มีลกั ยิม้ มาจากแม่
3. ลักษณะการมีลกั ยิม้ จากพ่อ และการไม่มีลกั ยิม้ จากแม่ จะถ่ายทอดสู่ ลูก
4. ลักษณะการไม่มีลกั ยิม้ จากตาจะถ่ายทอดสู่ แม่และพ่อ แล้วจะถ่ายทอดสู่ ลูก
อีกทอดหนึ่ง
| 89
52. ครอบครัวหนึ่ง พ่อไม่มีลกั ยิม้ มาจากครอบครัวที่สืบทอดการไม่มีลกั ยิม้ ทุกรุ่ น ส่ วนแม่
มีลกั ยิม้ มาจากครองครัวที่ถ่ายทอดการมีลกั ยิม้ ทุกรุ่ นเช่นกัน ลูกของพ่อแม่คู่น้ ีไม่มี
ลักยิม้ ผลการวิเคราะห์ลกั ษณะพันธุกรรมของครอบครัวนี้ ข้อใดถูกต้อง (ONET 2555)
1. การมีลกั ยิม้ เป็ นลักษณะด้อย จึงไม่ถ่ายทอดไปสู่ ลูก
2. การไม่มีลกั ยิม้ เป็ นลักษณะเด่น จึงถ่ายทอดเฉพาะลักษณะเด่นไปสู่ ลูก
3. ถ้าครอบครัวนี้มีลูกหลายคน ลูกบางคนอาจมีลกั ยิม้ เหมือนแม่
4. ลูกมีลกั ษณะพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ การไม่มีลกั ยิม้ เป็ นลักษณะเด่น
จึงไม่ปรากฏลักษณะด้อยให้เห็นในรุ่ นลูก
53. ข้อใดกล่าวถึงการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมได้ถูกต้อง (ONET 2560)

1. ลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่างของพ่อแม่อาจไม่ปรากฏในรุ่ นลูก
2. ลักษณะทางพันธุกรรมของปู่ ย่า ตา ยาย จะไม่ถ่ายทอดให้รุ่นหลาน
3. พ่อถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมให้ลูกชาย และแม่ถ่ายทอดให้ลูกสาว
4. ลักษณะทางพันธุกรรมของพ่อแม่ที่ปรากฏในลูกคนแรกแล้ว จะไม่ปรากฏ
ในลูกคนถัดไป

54. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม
(แบบทดสอบท้ำยเล่ม หนังสื อเรี ยน สสวท. ป. 5 เล่ม 2)
1. ลูกจะมีลกั ษณะทุกลักษณะเหมือนพ่อและแม่
2. เป็ นกำรถ่ำยทอดลักษณะจำกบรรพบุรุษเพียงรุ่ นเดียว
3. เป็ นกำรถ่ำยทอดลักษณะจำกพ่อและแม่ผำ่ นกำรสื บพันธุ์
4. ลูกชำยต้องมีลกั ษณะเหมือนพ่อ ลูกสำวต้องมีลกั ษณะเหมือนแม่

| 90
55. การผสมพันธุ์สัตว์ในลักษณะใดที่ช่วยป้องกันการถ่ายทอดลักษณะที่ไม่ดีของพ่อไปสู่ ลูก
(ONET 2551)

1. ผสมกันตามธรรมชาติ 2. ผสมกับพันธุ์แท้ลกั ษณะดี


3. ผสมระหว่างญาติใกล้ชิดกัน 4. ผสมกับพันธุ์ที่มีลกั ษณะเหมือนพ่อ

56. ครอบครัวหนึ่ง พ่อและแม่ มีลกั ยิม้ ลูกสองคนแรกมีลกั ยิม้ เหมือนพ่อและแม่


เป็ นไปได้หรื อไม่ ที่ลูกคนที่ 3 ไม่มีลกั ยิม้
1. เป็ นไปไม่ได้ เพราะลูกทุกคนต้องมีลกั ษณะลักยิม้ เหมือนพ่อและแม่
2. เป็ นไปไม่ได้ เพราะลูกทั้งสามคนต้องมีลกั ษณะลักยิม้ เหมือนกัน
3. เป็ นไปได้ เพราะลักษณะลักยิม้ ไม่ใช่ลกั ษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
4. เป็ นไปได้ เพราะลูกคนที่ 3 อาจไม่มีลกั ยิม้ เหมือนปู่ ย่า ตา หรื อยาย

57. ในครอบครัวหนึ่ง พ่อและแม่มีลกั ษณะการเวียนของขวัญบนศีรษะแบบเวียนซ้าย


ส่ วนลูกชายมีลกั ษณะการเวียนของขวัญบนศีรษะแบบเวียนขวา ซึ่งต่างจากพี่สาว
ที่มีลกั ษณะการเวียนของขวัญบนศีรษะแบบเวียนซ้าย (O-NET 2563)
จากสถานการณ์ เพราะเหตุใดลูกชายคนนี้จึงมีลกั ษณะการเวียนของขวัญบนศีรษะ
แตกต่างจากสมาชิกคนอื่นในครอบครัว
1. ลักษณะการเวียนของขวัญบนศีรษะไม่ใช่ลกั ษณะทางพันธุกรรม
2. ลักษณะการเวียนของขวัญบนศีรษะของลูกแต่ละคนต้องแตกต่างกัน
3. ลักษณะการเวียนของขวัญบนศีรษะแบบเวียนขวาเป็ นลักษณะที่พบเฉพาะ
ในเพศชายเท่านั้น
4. ลักษณะการเวียนของขวัญบนศีรษะแบบเวียนขวาเป็ นลักษณะแฝงในรุ่ นพ่อแม่
ที่ปรากฏในรุ่ นลูก

| 91

You might also like