Professional Documents
Culture Documents
บทความที่ 2 ปีที่ 18 ฉบับที่ 1
บทความที่ 2 ปีที่ 18 ฉบับที่ 1
(Received: September 6, 2021 | Revised: November 24, 2021 | Accepted: December 7, 2021)
บทคัดย่อ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์ไทย
พระองค์ ห นึ ่ ง ที ่ ม ี บ ทบาทและคุ ณ ู ป การต่อ ชาติบ ้ า นเมื อ ง ในช่ ว งที ่ พ ระองค์
ครองราชย์นั้น สถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดจากภัยสงคราม ซึ่งเป็นเหตุให้หลาย
ประเทศต้องตกเป็นเมืองขึ้น ประกอบกับหลาย ๆ ประเทศในโลกพยายามพัฒนา
ประเทศชาติให้มีความเจริญรุ่งเรือง การศึกษาคือหัว ใจสำคัญต่อการพัฒนา
ประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่เป็นประมุขของ
ชาติ ทรงประกาศพระองค์ในฐานะอัครศาสนูปถัมภกพระพุทธศาสนา การศึกษา
ของ คณะสงฆ์จึงเป็นพระราชภาระอย่างหนึ่งที่พระองค์จะต้องดูแลและส่งเสริม
โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดการศึกษา และทรงมีแนว
พระราชดำริที่จะขยายการศึกษาให้กับคนในชาติได้เรียนรู้อย่างเท่าเทียม ด้วยการ
Abstract
1. บทนำ
สังคมโลกในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคที่
ต้องมีการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศเป็นอย่างมาก เพื่อสร้างเสถียรภาพความ
มั่นคงให้กับประเทศชาติ ต่อต้านการรุกรานเพื่อล่าอาณานิคมเป็นเมืองขึ้นจากชาติ
ตะวัตตก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ราษฎรของสังคมไทยต้องปรับตัวเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
รวมถึงการวางรากฐานการศึกษาให้มีความทันสมัยและมีมาตรฐานอย่างชาติ
ตะวันตก รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้คนในชาติได้รับการศึกษาอย่าง
ทั่วถึง พระราชภาระด้านการจัดการศึกษาจึงเป็นเรื่องใหญ่อีกด้านที่พระองค์ต้อง
เอาพระทั ย ใส่ นอกเหนื อ จากการบริ ห ารกิ จ การด้ า นการปกครอง ภายใต้
สภาวการณ์ความกดดัน จากชาติตะวั นตกที่ มองว่ าประเทศในแถบเอเชี ยเป็ น
ประเทศที่ด้อยการพัฒนา บทบาทด้านการจัดการศึกษาของพระองค์ได้เริ่มต้น
พัฒนาการจัดการศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่ นั่นคือจุดเริ่มต้นของคนไทยส่วน
ใหญ่ได้รั บการศึกษามาจาก “วัด” วัดเป็นสถานที่ให้การศึกษาและอบรมทั้งแก่
บรรพชิตและฆราวาสมาตั้งแต่สมัยอดีต ซึ่งรัชการที่ 5 ได้ทรงมอบหมายให้สมเด็จ
พระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุ
ภาพ เป็นผู้ออกแบบและดูแลการจัดการศึกษาให้กับคนในชาติเป็นเบื้องต้น การ
เกิดขึ้นของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 สถาบัน คือมหามกุฏราชวิทยาลัยและมหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย รัชการที่ 5 ก็ทรงมีส่วนในการก่อตั้งเพื่อให้เป็นสถานศึกษา
ชั้นสูงสำหรับพระภิกษุสามเณร จากบทบาทดังกล่าวจะเห็นได้ว่ารัชการที่ 5 ทรงให้
ความสำคัญกับการจัดการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการศึกษาที่เป็นรากเง้าของ
คนในชาติ
การศึกษาพระปริยัติธรรมของพระสงฆ์ในสังคมไทย เป็นที่เข้าใจกันดีว่า
เป็นรากฐานที่ช่วยให้คนในชาติได้รับการศึกษา สามารถอ่านออกเขียนได้และเป็น
การปลูกฝังคุณธรรมให้กับคนในชาติ ซึ่งการศึกษาสงฆ์จะได้รับการสนับสนุนจาก
2. การศึกษาของคณะสงฆ์ยุคก่อนรัชกาลที่ 5
การศึกษาของพระสงฆ์สามเณรในอดีต เสถียรโกเศศ (2510) กล่าวว่า
เป็นการศึกษาที่ได้รับการส่งเสริมจากรัฐและจากประชาชนมากที่สุด เนื่องจาก
ตามหลักพระพุทธศาสนาถือกันว่า พระไตรปิฎกเป็นหลักสำคัญของพระศาสนา
การศึกษาพระไตรปิฎกเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เพราะตราบใดที่ยังมีผู้
ศึกษาและปฏิบัติตามคำสั่งสอนในพระไตรปิฎก พระศาสนาก็ยังคงดำรงอยู่ตราบ
นั้น การศึกษาพระพุทธศาสนาในด้านคัน ถธุร ะ หรือการศึกษาปริยัติธรรมใน
ประเทศไทยนั้น ผู้ศึกษาจะต้องเริ่มต้นเรียนภาษาบาลีก่อน เพราะภาษาบาลีเป็น
ภาษาที่ใช้ในศาสนามานับแต่การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 ที่นครปาฏลีบุตร
ในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช (มหามกุฎราชวิทยาลัย, 2513) และได้ถูกบันทึก
เป็นลายลักษณ์อักษรตอนการทำสังคายนาครั้งที่ 5 ในแกะลังกา ซึ่งบางส่วนถูก
เขียนด้วยภาษาสิงหล ต่อมาคัมภีร์พระไตรปิฎกได้เปลี่ยนเป็นภาษาบาลีทั้งหมด
โดยกรมศิลปากร (2516) ให้ความเห็นว่า ในปี พ.ศ 1507 กษัตริย์แห่งลังกาพระ
นามว่าพระเจ้าปรักกมพาหุ ได้โปรดให้พระสงฆ์ประชุมกันชำระพระไตรปิฎก ซึ่ง
เป็นภาษาสิงหลและภาษาบาลีชำระให้เป็นภาษาบาลีทั้งหมด
ส่วนการใช้ภาษาบาลีของไทยที่ปรากฏตามหลักฐานเป็นเอกสาร นิพนธ์
สุขสวัสดิ์ (2521) กล่าวว่า ในสมัยสุโขทัยได้มีการใช้ภาษาบาลีในการแต่งไตรภูมิ
พระร่วง ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาลิไท ในปี พ.ศ 1888 ซึ่ง
สอดคล้องกับอารีย์ สหชาติโกสีห์ (2522) ที่กล่าวว่า สำหรับเมืองไทยในเขตลุ่มน้ำ
เจ้าพระยา เช่น อยุธยา ปรากฏการใช้ภาษาบาลีในวรรณกรรมสมัยอยุธยาตอนต้น
เช่น มหาชาติคําหลวง ซึ่งเป็นวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สมเด็จพระบรมไตร
โลกนาถ ได้โปรดให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตช่วยกันแต่งขึ้น ในปี พ.ศ 2025 และ
นอกจากนี ้ อุษา ชัยโชณิชย์ (2526) ยังกล่าวอี กว่ า การศึ กษาภาษาบาลี และ
พระไตรปิฎกของคณะสงฆ์ไทยนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะในหมู่พระสงฆ์สามเณร
3. บทบาทรัชกาลที่ 5 กับการศึกษาของคณะสงฆ์
การศึกษาของคณะสงฆ์ไทยมีความสำคัญ 3 ประการ คือ 1) ความสำคัญ
ทางด้านศาสนา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (2514)
กล่าวว่า เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เพราะการศึกษาด้านคันถธุระเป็นการ
มุ่งศึกษา ถึงคําสอนอันแท้จริงของพระพุทธเจ้า ซึ่งจะเรียนรู้ได้จากพระไตรปิฎก ที่
เป็นคัมภีร์บันทึกคำสั่งสอนไว้ การศึกษาพระไตรปิฎกหรือที่เรียกว่า คันถธุระ เป็น
แม่มักจะนําบุตรไปฝากเป็นศิษย์ของพระ เพื่อจะได้มีโอกาสเล่าเรียนเขียนอ่าน
หนังสือ ทั้งนี้ เพราะพระสงฆ์เป็นบุคคลกลุ่มเดียวที่ทรงคุณความรู้ นอกจากจากนี้
พระยังเป็นผู้สั่งสอนอบรมศีลธรรมให้แก่เด็กด้วย ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ทั้งพระสงฆ์
คือสถาบันที่สามารถเชื่อมโยงระหว่างชนชั้นปกครองและชนชั้นใต้ปกครองได้เป็น
อย่างดี ด้วยการให้ทั้งความรู้ด้านวิชาการและความรู้ด้านคุณธรรม
โดยที่ไม่ต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก ก็สามารถจัดการศึกษาให้กับคนใน
ชาติได้เกิดความตระหนักด้านการแสวงหาความรู้ เพื่อพัฒนาชีวิตของตนเองให้มี
คุณภาพที่ดีขึ้นได้
1. การศึกษาคณะสงฆ์ก่อนการปฏิรูป
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นระยะที่รัฐ
มองเห็นว่า การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่นําไปสู่การพัฒนาประเทศให้
ทันสมัย (วุฒิชัย มูลศิลป์ , 2516) โดยเฉพาะการขยายการศึกษาที่เป็นระบบแบบ
แผนแบบตะวันตกออกไปให้แก่ประชาชน วัดซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของประเทศ
มาโดยตลอดจำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาด้วย การแก้ไขปรับปรุงในรัช
สมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดขึ้นจากพระดําริริเริ่มของ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขณะดำรงพระยศเป็นกรม
หมื่นและเจ้าพระยาภาสกรวงษ์ (พร บุนนาค) เสนาบดีกระทรวงธรรมการใน
ขณะนั้น การจัดการศึกษาของคณะสงฆ์ไทยได้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นหลาย
ประการ เนื่องจากเวลาดังกล่าวมีปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้คณะสงฆ์ต้องปรับปรุงการ
จัดการศึกษาของตน โดยจัดให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาของบ้านเมือง
เนื่องจากผู้ปกครองมีความต้องการที่จะให้คณะสงฆ์เข้าไปมีส่วนร่วมและบทบาท
ในการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชน ถึงแม้ว่าการจัดการศึกษาของคณะสงฆ์ใน
รูปแบบใหม่จะมีอุปสรรคเกิดขึ้น จนไม่สามารถจัดการศึกษาได้ตามวัตถุประสงค์
แต่นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการวางรากฐานการศึกษาสงฆ์ในสมัยต่อมา
มูลเหตุที่ทำให้การจัดการศึกษาสงฆ์ไม่เป็นผลสำเร็จนั้น เกิดจากปัจจัยหลาย
ประการ ดังนี้
1) ปัญหาเสถียรภาพคณะสงฆ์ อุษา ชัยโชณิชย์ (2526) อธิบายว่า สภาพ
ของคณะสงฆ์ไทยทั่วไปในขณะนั้น ก่อน ปี พ.ศ. 2432 มีลักษณะการจัดการศึกษา
ผู้เรียนขาดศรัทธาในการเรียนและขาดแคลนครูผู้สอน การเรียนพระปริยัติธรรมนั้น
ไม่มีการบังคับให้เรียน ผู้ที่มาบวชส่วนใหญ่ไม่มีศรัทธาในการศึกษา ต้องการจะ
ศึกษาเฉพาะความรู้ที่จะนําไปหาเลี้ยงชีพได้ ซึ่งไม่ใช่การศึกษาแบบของพระสงฆ์ (3)
การศึกษาเฉพาะพระปริยัติธรรมล้วน ๆ ทำให้พระสงฆ์ที่คิดจะบวชอยู่ไม่นานไม่
สนใจจะเรียนพระปริยัติธรรม เพราะไม่สามารถนําไปประกอบเป็นอาชีพได้ ถึงแม้จะ
เข้ารับราชการได้ก็มีตำแหน่งหน้าที่จํากัด ดังนั้นความนิยมในการศึกษาของคณะ
สงฆ์จึงลดน้อยลง (4) การจัดการศึกษาหัวเมืองของคณะสงฆ์ พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (2511) มีพระบรมราชโองการให้มีการจัดการเล่าเรียนในหัว
เมืองทั่วพระราชอาณาจักร โดยทรงอาราธนาพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่น วชิร
ญาณวโรรส เป็ นผู ้ อ ํ านวยการจั ดการศึ กษาในหั วเมื อง เพราะพระองค์ ทรงมี
พระราชดําริว่า (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, 2441, ร. 5 ศ.12/7)
“การเล่าเรียนที่จะจัดไปทางอื่นไม่ให้เกี่ยวแก่การวัดด้วยนั้น
ไม่ได้ เพราะใช่แต่จะสั่งสอนแต่อักขรวิธี ต้องสั่งสอนถึงการศาสนา
ด้วย ข้อนี้เป็นความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ เพราะได้พูดกันโดยไม่ได้นัด
หมายกันมา ก็มาเห็นพ้องกันว่าคนไทยไม่รู้จักศีลห้าโดยมาก...การที่
จะจัดนี้อยาก จะให้เกี่ยวข้องพระศาสนาด้วย”
จากมูลเหตุดังกล่าวมานี้ เป็นเหตุให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการศึกษา
ของคณะสงฆ์ ในระหว่างปี พ.ศ. 2411-2453 ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า การศึกษาของ
ชายไทยก่อนจะมีการปฏิรูปการศึกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นการศึกษาที่มีพื้นฐาน
จากวั ด เป็ น สำคั ญ โดยมี พ ระภิ ก ษุ ส งฆ์ เ ป็ น ผู ้ จ ั ด การดู แ ลการศึ ก ษาและมี
พระมหากษัตริย์ ขุนนาง และประชาชนเป็นผู้ให้การอุปถัมภ์โดยผ่านทางพระสงฆ์
แต่การศึกษาที่วัดเป็นผู้จัดการนี้ ยังมี ลักษณะที่ไม่เป็นระบบแบบแผนเดียวกัน
เพราะขึ้นอยู่กับความรู้ของผู้สอนและความตั้งใจเรียนของผู้เรียน แต่อย่างไรก็ตาม
ผู้ที่ผ่านการบวชเรียนมาแล้วย่อมจะได้รับการยกย่อง จากสังคมว่าเป็นผู้ที่ได้รับการ
อบรมศึกษามาเป็นอย่างดี และมีโอกาสที่จะก้าวหน้าถ้าบวชเรียนต่อไป อาจได้เป็น
“เจ้าคุณหรือสมเด็จ” (เสถียรโกเศศ, 2510) ก็ได้ ถ้าฝากเนื้อฝากตัวกับเจ้าขุนมูล
นาย ก็อาจเป็นใหญ่เป็นโตในราชการได้ การที่บุคคลที่ผ่านการศึกษาโดยอาศัย
ระบบการศึกษาทางพระพุทธศาสนา สามารถที่จะเขยิบฐานะจากไพรขึ้นมาเป็นขุน
นางได้ (เดวิด เด วัยอาจ, 2509) ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในปฏิรูปการศึกษาของคณะ
สงฆ์ที่สมควรกล่าวถึง คือ (1) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (2) พระ
เจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส (3) เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค)
เสนาบดีกระทรวงธรรมการ
จากข้อมูลข้างต้นนี้ ผู้เขียนจึงเห็นว่า การจัดการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย
ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปี พ.ศ. 2432 เป็นการศึกษาฝั่งคันถธุระ เป็นการศึกษาที่ได้รับ
ความอุ ป ถั ม ภ์ จ ากพระมหากษั ต ริ ย ์ แ ละชนชั ้ น สู ง เพราะถื อ เป็ น หน้ า ที ่ ข อง
พระมหากษัตริย์ที่จะต้องอุปถัมภ์พระศาสนา แต่การจัดการศึกษาของพระสงฆ์ใน
ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ มีลักษณะสำคัญคือ ไม่มีระบบแบบแผนที่เป็นรูปแบบแน่นอน
โดยเฉพาะในด้านการเรียนการสอน แต่ในการสอบวัดความรู้พระปริยัติธรรมของ
พระสงฆ์สามเณร มีระเบียบปฏิบัติที่เคร่งครัดและยุ่งยากหลายประการ ซึ่งเป็น
ประเพณีที่ปฏิบัติสืบกันมา โดยไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก หลังจากปี พ.ศ.
2432 ไปแล้ว จึงเริ่มมี ก ารแก้ ไ ขปรับ ปรุง ทั ้ ง การเรีย นและการสอบ เพื ่ อ ให้
สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพบ้านเมืองในขณะนั้น
2. แนวพระราชดำริด้านการศึกษาคณะสงฆ์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (2510) ได้มีพระราชดำรัส
ตอนหนึ่งเกี่ยวกับการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาไว้ว่า “เมื่อข้าพเจ้าได้ดำรงสิริราช
สมบัติแล้ว ก็ตั้งใจทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แลทำนุบำรุง พระผู้เป็นเจ้าทั้งปวง
รู้อ่านอักขรวิธีไม่เป็นเครื่องฝึกหัดให้คนดีแลคนชั่ว เป็นแต่ได้วิธีที่
สำหรับจะเรียนความดีความชั่วได้คล่องขึ้น...
3. ทรงส่งเสริมการจัดตั้งวิทยาลัยสงฆ์
วัดและพระสงฆ์มีบทบาทต่อพัฒนาการศึกษาเป็นอย่างมาก นอกจาก
ช่วยพัฒนาให้คนในชาติสามารถอ่านออกเขียนได้ ยังสามารถช่วยปลูกฝังคุณธรรม
ให้กับผู้เรียนได้อีก ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระวิสัยทัศเรื่องการศึกษาไม่ได้หยุดอยู่
เพียงการมีความรู้ในระดับต้น แต่มีพระประสงค์จะให้คนในชาติได้รับความรู้ที่
ทัดเทียมกับนานาชาติ ซึ่งเป็นความรู้แบบใหม่ ร่วมถึงพระสงฆ์สามเณรก็ควรมีการ
พัฒนาความรู้ให้ขยับเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น พระองค์จึงได้มีการส่งเสริให้จัดตั้งสถานที่
ศึกษาพระปริยัติธรรมชั้นสูงขึ้น 2 แห่ง คือ
1) ทรงจัดตั้งสถานศึกษาชั้น สู งของฝ่ ายธรรมยุติ มีการริเริ่มการจั ด
การศึกษาของคณะสงฆ์ แบบใหม่ ขึ้ น หรือที่เรียกกันว่ าแบบ “มหามกุ ฏ ราช
ด้วยเหตุนี้จึงมีการจัดตั้งวิทยาลัยของคณะสงฆ์ธรรมยุติขึ้นที่วัดบวรนิเวศ
วิหาร ซึ่งรัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานพระราชทรัพย์สำหรับก่อสร้างวิทยาลัยเป็น
จำนวนถึง 80,000 บาท และโปรดเกล้าฯ ให้ซื้อที่ดินสำหรับปลูกสร้างวิทยาลัยขึ้น
รวมทั้งพระราชทานชื่อวิทยาลัยแห่งนี้ว่า “มหามกุฏราชวิทยาลัย” ทั้งยังทรง
แนะนำให้เริ่มดำเนินการสอนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2436 โดยไม่ต้องรอเปิดดำเนินการใน
เดือนพฤศจิกายน ร.ศ. 113 (พ.ศ. 2437) ซึ่งจะเป็นปีที่พระองค์ทรงครองราชย์ได้
เท่ากับปีแห่งรัชกาลของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้ า เจ้ าอยู่ห ัว เพราะหาก
ดำเนินการก่อนจะช่วยให้งานเดินไปได้เรียบร้อยทันเวลาเปิดทำการ (หอจดหมาย
เหตุแห่งชาติ , 2435, ร. 5 ศ. 5/2) ด้วยเหตุน ี้มหามกุฏราชวิทยาลัยจึงได้เปิด
ดำเนินการในวันที่ 1 ตุลาคม ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436 ) (มหามกุฏราชวิทยาลัย ,
2437) และได้เริ่มต้นการจัดการศึกษาของคณะสงฆ์ให้มีระบบแบบแผนแตกต่างไป
จากการศึกษาพระปริยัติธรรมแบบเดิม จึงมักเรียกระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ที่
มีขึ้นใหม่นี้ว่า “แบบมหามกุฏราชวิทยาลัย” หรือ “แบบวิทยาลัย”
2) ทรงจัดตั้งสถานศึกษาชั้นสูงของฝ่ายมหานิกาย กฤษณา เกษมศิลป์
(2525) กล่าวว่า มหาธาตุวิทยาลัยมีกำเนิดขึ้นจากสำนักเรียนพระปริยัติธรรมใน
พระบรมมหาราชวัง ซึ่งอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์
จักรีตลอดมา ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดให้ยา้ ย
ที่ราชบัณฑิตบอกพระปริยัติธรรมแก่พระภิกษุสามเณรจากเก่งในบริเวณวัดพระศรี
รัตนศาสดารามมาจัดเป็นวิทยาลัยขึ้นที่วัดมหาธาตุ โดยให้ใช้ศาลาเรียนหนังสือซึ่ง
สร้างมาแต่ครั้งรัชกาลที่ 3 เป็นสถานที่บอกพระปริยัติธรรม โดยมีราชบัณฑิตบอก
พระปริยัติธรรมประจำอยู่ทุกหลัง โดยขนานนามว่า "มหาธาตุวิทยาลัย" ในวันที่ 8
พฤศจิกายน ร.ศ. 108 (พ.ศ. 2432) (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 13, 2439) นับว่า
เป็นครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า "วิทยาลัย" ในเมืองไทยอาจกล่าวได้ว่าการศึกษาพระ
ปริยัติ ธรรมของพระสงฆ์เป็นการศึกษาชั้นสูงสุดในระบบการศึกษาของประเทศ
ในขณะนั้น รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานพระราชทรัพย์จ่ายเป็นเงินเดือน และค่าใช้
สอยของวิทยาลัยทุกอย่าง รวมทั้งทรงปฏิสังขรณ์ถนนในวัดมหาธาตุและอื่น ๆ
นอกจากนี้ก็ได้มีเจ้านาย ข้าราชการ และประชาชน ได้ร่วมในการบริจาคเงิน
และสิ่งของ เช่น พระไตรปิฎก เพื่อเกื้อกูลอุปการะแก่พระสงฆ์สามเณรที่มาเล่า
เรียนในมหาธาตุวิทยาลัย (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, 2433, ร. 5 ศ. 5/1) แสดงให้
เห็นว่าการจัดการศึกษาของประชาชนในด้านที่ว่า เป็นโอกาสที่จะได้ร่วมบําเพ็ญ
กุศลด้วยการอุทิศเงินและสิ่งของให้เพราะถือว่าการศึกษาของพระสงฆ์จะทำให้
พระศาสนายั่งยืน การทำบุญที่เกี่ยวกับการศึกษาของพระสงฆ์นี้เป็นผลบุญที่
สำคัญอย่างหนึ่ง
นอกจากจะโปรดฯ ให้มหาธาตุวิทยาลัยเป็นสถานที่เล่าเรียนพระปริยัติธรรม
ของพระสงฆ์สามเณร และคฤหัสถ์แล้ว ยังได้มีการย้ายการเทศนาที่โรงทานซึ่งเคยมีมา
พระทัยใส่ในกิจการของวัดนี้อยู่เสมอมา โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาของพระสงฆ์ใน
วัดเบญจมบพิตร ทรงสนพระทัยมากเป็นพิเศษ ดังจะเห็นได้จากพระราชหัตถเลขา
ที่ทรงมีถึง พระธรรมวโรดม ผู้ดูแลการศึกษาของวัดเบญจมบพิตรว่า “ได้รับ
รายงานการบอกพระปริยัติธรรมประจำเดือนมิถุนายน ร.ศ. 127 แลได้พิจารณาดู
แล้วตามรายงานทั้ง 2 ฉบับนี้ เป็นที่ พอใจแล้ว ถ้าได้จัดการเสมอนี้ เอาเป็นดีได้
ขอให้เจ้าคุณบอกแก่พระอมรโมลี แลพระมหาพันให้อุสาหประคับประคองการเล่า
เรียนให้เป็นไปอยู่ เสมอดังนี้ อย่าให้เสื่อมทรามได้” (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ,
2451, ร. 5 ศ. 6/112)
(2) เพื่อส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมของพระสงฆ์ ฝ่ายมหานิกายให้
รุ่งเรือง เนื่องจากในขณะนั้นมหาธาตุวิทยาลัยซึ่งเป็นสถานศึกษาของพระสงฆ์ฝ่าย
มหานิ ก าย ไม่ ส ามารถจั ด การศึ ก ษาให้ เ จริ ญ รุ ่ ง เรื อ งได้ เ ท่ า ที ่ ค วร เพราะมี
เหตุขัดข้องหลายประการ ดังเห็นได้จากหนังสือของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์กราบ
ทูลกรมหมื่นสมมตอมรพันธ์ว่า “การเล่าเรียนของพระมหานิกายที่เป็นอันขัดข้อง
จะจัดให้ทันเวลาไม่ได้ด้วยในสิ่งสำคัญที่เป็นการขัดสน ก็เพราะไม่มีผู้สามารถมี
น้ำใจที่จะจัดรูปการใหม่ในหมู่พระมหานิกาย เพราะด้วยธรรมเนียมที่เป็นอยู่ การ
สโมสรสามัคคีคุณไม่มี” (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, 2439, ร. 5 ศ. 5/6) ด้วยเหตุนี้
รัชกาลที่ 5 จึงมีพระราชประสงค์จะทำนุบำรุงการเล่าเรียนของพระสงฆ์มหานิกาย
ขึ้นที่วัดเบญจมบพิตรนี้ และทรงให้ความสนพระทัยในกิจการการศึกษาของวัดนี้
มาก
(3) การตั้งหอพุทธสาสนะสังคหะ คือหอไตรของวัดเบญจมบพิตร โดย
ปกติเป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎกประจำวัด เปรียบเสมือนหอสมุดของวัด เป็นที่
ให้พระภิกษุสามเณรได้ใช้สืบสวนคนคว้าหาความรู้ในการศึกษา พระปริยัติธรรม
รัชกาลที่ 5 มีพระราชประสงค์จะทรงจัดตั้งหอไตรของวัดเบญจมบพิตร เป็นที่เก็บ
รวบรวมพระไตรปิฎกและหนังสือที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาทุก ๆ ภาษา
กุฏราชวิทยาลัย ได้คิดที่จะให้มีพัดรองปักตราของวิทยาลัยสำหรับนักเรียนของ
มหามกุฏราชวิทยาลัย และได้ขอจดทะเบียนไว้แล้ว รวมทั้งเจ้าพระยาภาสกรวงศ์
ก็ได้คิดที่จะขอให้มีพัดเครื่องหมายของมหาธาตุวิทยาลัยและโรงเรียนวัดสุทัศน์ ซึ่ง
เป็นสถานศึกษาพระปริยัติธรรมตามแบบเก่าเพื่อจะได้ให้เป็นเครื่องหมายประจำ
วิทยาลัยหรือพระอารามนั้น ๆ นอกจากการที่ทรงให้ความอุปถัมภ์แ ก่พระภิกษุ
สามเณรวัดเบญจมบพิตรด้วยการพระราชทานรางวัลและพัดยศเป็นพิเศษแล้ว ยัง
ได้ปรากฏว่าในการสอบพระปริยัติธรรมจะพระราชทานรถยนต์หลวงให้รับสามเณร
ที่สอบได้กลับไปส่งยังวัดเบญจมบพิตรอีกด้วย (กองจดหมายเหตุ กรมศิลปากร,
2444) จากข้อมูลที่กล่าวมานี้ ผู้เขียนพบว่า รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระประสงค์ที่จะทรง
ดูแลการศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการศึกษาของคณะสงฆ์ฝ่าย
มหานิกาย ถึงกับต้องสร้างวัดต้นแบบเพื่อปูพื้นทั้งด้านการปกครองและด้ าน
การศึกษาให้ควบคู่กันไป และทรงให้การอุปถัมภ์พระสงฆ์สามาเณรในวัดแห่งนี้เป็น
อย่างดี ร่วมถึงการพระราชทานรางวัลให้กับพระสงฆ์สามเณรที่มีความสำเร็จด้าน
การศึกษา เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ศึกษาและเป็นการกระตุ้นให้พระสงฆ์ที่ยังไม่เข้า
มาศึกษามีความอยากที่จะศึกษา จนทำให้วัดที่พระองค์ทรงให้การสนับสนุนมีความ
เจริญรุ่งเรือง และมีพระสงฆ์สามเณรต้องการเข้ามาศึกษาเป็นจำนวนมาก
4. พระราชดำริการจัดการศึกษาของหัวเมือง
การดำเนินงานที่ได้ผลของมหามกุฏราชวิทยาลัยเป็นผลให้พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงขอให้กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส และคณะสงฆ์ที่
จัดการการศึกษาในมหามกุฏราชวิทยาลัยไปช่วยจัดการการศึกษาหัวเมืองให้แก่
ประชาชนในปี พ.ศ. 2441 ซึ่งเป็นการนำเอาคณะสงฆ์ให้เข้ามามีบทบาทในการจัด
การศึกษาของชาติอย่างเป็นทางการ การจัดการศึกษาทั่วเมืองของคณะสงฆ์นี้ เป็น
พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ห ัว (2511) เพราะทรง
เป็นช่องทางให้มหาอำนาจอ้างเหตุผลเข้ามายึดครองเมืองไทย (หอจดหมายเหตุ
แห่งชาติ, 2441, ร. 5 ศ. 2/3)รัชกาลที่ 5 ทรงเห็นชอบกับความเห็นของพระยาวิ
สุทธิสุริยศักดิ์เป็นอย่างยิ่ง จึงทรงกระตุ้นให้กระทรวงธรรมการทำการปฏิรูปงาน
จัดการศึกษาของกรมศึกษาธิการ และทรงขอให้กรมหมื่นวชิรญาณวโรรสและกรม
หมื่นดำรงราชานุภาพช่วยกันรับภาระจัดการศึกษาในหัวเมือง โดยทรงเปิดการ
ประชุมพิเศษเพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในหัวเมือง ในวันที่ 26 มิถุนายน
ร.ศ. 117 (พ.ศ. 2441) โดยมีผู้เข้าประชุมร่วมอีก 2 ท่าน คือ พระเจ้าลูกยาเธอ
พระองค์เจ้า กิติยากรวรลักษณ์และเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ ผลของการประชุม
คือทรงมอบให้กรมหมื่นวชิรญาณวโรรสจัดการการศึกษาในหัวเมือง โดยมีกรม
หมื่นดำรงราชานุภาพทำหน้าที่เกี่ยวกับการจัดหาอุปกรณ์การศึกษา และงานส่วน
ที่พระสงฆ์ไม่สามารถทำได้ เช่นการจัดพิมพ์แบบเรียนต่าง ๆ และการเบิกจ่ายเงิน
ในการจัดการศึกษาหัวเมือง (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ , 2441, ร. 5 ศ. 12/7)
ต่อมาในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2441 ได้มีการออกประกาศจัดการศึกษาใน
หัวเมือง โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (2511) ทรงอาราธนา
พระภิกษุว่า“ให้เห็นแก่พระพุทธศาสนาและประชาชนทั้งปวง ช่วยเอาภารธุระสั่ง
สอนกุลบุตรทั้งหลาย ให้ได้ศรัทธาเลื่อมใสพระรัตนไตรย์ และมีวิชาความรู้อันเป็น
สารประโยชน์ยิ่งขึ้นให้สมดังพระบรมราชประสงค์ ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ประกาศอาราธนามานี้ จงทุกประการเทอญ”
สาเหตุ ท ี ่ ร ั ช กาลที ่ 5 ทรงนำคณะสงฆ์ ใ ห้ เ ข้ า ไปมี บ ทบาทในการจั ด
การศึกษาแก่ประชาชนในหัวเมืองนั้น อาจสรุปได้ดังนี้ (1) พระองค์มีความเห็นว่า
“การเล่าเรียนที่จะจัดไปทางอื่นไม่ให้เกี่ยวแก่การวัดด้วยนั้นไม่ได้ เพราะใช้แต่จะ
สั่งสอนแต่อักขรวิธี ต้องสั่งสอนถึงการศาสนาด้วย” (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ,
2441, ร. 5 ศ. 12/7) การที่มีพระราชดำริว่าการศึกษาต้องเกี่ยวข้องกับ การ
ศาสนา เพราะทรงมีความวิตกว่า “เด็กชั้นหลังจะห่างเหินจากศาสนา จนเลย
พระสงฆ์มีหน้าที่จัดการศึกษาในวัดที่อยู่ในความดูแลให้เจริญขึ้น ก็นับเป็นการ
ส่งเสริมการศึกษาของคณะสงฆ์ควบคู่ไปด้วย
5.บทสรุป
พระบาทสมเด็ จ พระจุล จอมเกล้ า เจ้า อยู่ ห ั ว ทรงมี ค วามห่ ว งใยด้าน
การศึกษาของประชาชนคนของชาติ กลัวว่าคนในชาติจะมีความรู้ไม่ทันกับการ
พัฒนาของคนในชาติอื่น ๆ ประกอบกับทรงเล็งเห็นปัญหาในการจัดการศึกษาของ
ไทยในอดีต ที่มีการจัดการศึกษาในลักษณะเดิม ๆ ความรู้ของคนในชาติจึงไม่เกิด
การพัฒนาจนกลายเป็นปัญหาให้ชาติตะวันตกใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อทำการยึดครอง
ประเทศในขณะนั้น แต่เพราะด้วยพระปรีชาสามารถ จึงได้ทรงวางงรากฐาน
การศึกษาให้คนในชาติ โดยทรงเริ่มต้นด้วยอาศัยวิธีการจัดการศึกษาในลักษณะ
แบบเดิม แล้วค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนการศึกษาให้มีความทันสมัยไปตามลำดับ เช่น
อุปกรณ์การศึกษา ตำราเรียน หลักสูตรรายวิชา สถานศึกษา รวมถึงครูผู้ส อน
เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการศึกษา จะต้องได้รับการพัฒนาอยู่
ตลอดและให้เพีย งพอ แต่ส ิ่งที่ส ำคัญที่พระองค์ทรงเน้นย้ำ ก็คือการปลูกฝั ง
คุณธรรม ฉะนั้น การบวชเรียนพระปริยัติธรรมของกุลบุตรในชาติ พระองค์จึงให้
ความสำคัญเป็นพิเศษ ถึงกับทรงสร้างวัดเบญจมบพิตรขึ้นมาเป็นสถานศึกษา
ต้นแบบของคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย
พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญด้านการจัดการศึกษาของคณะสงฆ์ที่เป็นที่
ประจักษ์หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นทรงส่งเสริมการจัดตั้งวิทยาลัยสงฆ์ซึ่ งเป็น
สถานศึกษาชั้นสูงของฝ่ายธรรมยุต และทรงจัดตั้งสถานศึกษาสงฆ์ชั้นสูงของฝ่า ย
มหานิกาย เพื่อให้พระสงฆ์สามเณรได้ศึกษาเล่าเรียนในหลักสูตรใหม่ และมีความรู้ที่
กว้างขวาง พร้อมทั้งยังเป็นสถานที่ฝึกหัดพระสงฆ์ตามหัวเมืองสำหรับกลับออกไป
เป็นครูสอนยังหัวเมือง เพื่อสนองการขยายการศึกษาให้กับคนในชาติ นอกจากนี้ ยัง
เอกสารอ้างอิง