Professional Documents
Culture Documents
Xutsahkrrmkarphlitkaew Glass Production Industry
Xutsahkrrmkarphlitkaew Glass Production Industry
อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว
Glass Production Industry
ณัฐพล เลาห์รอดพันธุ์
สาขาวิชาเคมีอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสิ่งทอ
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
พ.ศ. 2558
เอกสารประกอบการสอน วิชา คอ 351
อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว
Glass Production Industry
ณัฐพล เลาห์รอดพันธุ์
สาขาวิชาเคมีอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสงิ่ ทอ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
คำนำ
เนื้อ หาในเอกสารประกอบการสอนฉบับ นี้ ป ระกอบไปด้ว ยส่ ว นย่อ ยทัง้ หมด 4 ส่ ว น ได้แก่ ส่ ว นที่
เกีย่ วกับวัสดุแก้วและการเกิดแก้ว (บทที่ 1) ส่วนทีเ่ กีย่ วกับลักษณะเฉพาะและสมบัตขิ องแก้ว (บทที่ 8 และ 9)
ส่วนทีเ่ กีย่ วกับกระบวนการผลิตแก้ว (บทที่ 4 – 7) และส่วนทีเ่ กีย่ วกับเครือ่ งมือและเครือ่ งจักรในอุตสาหกรรม
การผลิตแก้ว (บทที่ 3)
ณัฐพล เลาห์รอดพันธุ์
สาขาวิชาเคมีอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสงิ่ ทอ
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
มกราคม 2558
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ข
สารบัญ
หน้ า
คานา ข
สารบัญ ค
สารบัญรูป ช
สารบัญตาราง ฏ
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ค
บทที่ 4 วัตถุดิบแก้วและการคานวณส่วนผสม 41
Glass Raw Materials and Batch Calculations
4.1 วัตถุดบิ แก้ว (Glass raw materials) 41
4.1.1 ตัวโครงร่ำงตำข่ำยแก้ว (Glass former) 41
4.1.2 ตัวช่วยหลอม (Flux) หรือ ตัวปรับโครงสร้ำงแก้ว (Glass network 43
modifier)
4.1.3 สำรปรับสมบัติ (Properties modifier) 44
4.1.4 สำรให้ส ี (Colourant) 46
4.1.5 สำรลดฟอง (Fining agent) 47
4.2 กำรคำนวณส่วนผสมแก้ว (Batch calculations) 49
บทที่ 6 การขึ้นรูปแก้ว 85
Glass Forming
6.1 ควำมหนื ด ของแก้ว ในกระบวนกำรผลิต ขัน้ ตอนต่ ำ ง ๆ (Viscosity of 87
.glass forming melts)
6.2 ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงควำมหนืดกับอุณหภูม ิ (Viscosity and temperature 91
.relationship)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ง
6.3 ปั จจัยต่ำง ๆ ที่มผี ลต่อควำมหนืดของแก้ว (Factors effecting viscosity 94
.of glasses)
6.3.1 องค์ประกอบทำงเคมี (Chemical composition) 94
6.3.1.1 แก้วระบบซิลเิ กต (Silicate glasses) 94
6.3.1.2 แก้วระบบบอเรต (Borate glasses) 96
6.3.2 ผลของอัตรำกำรเย็นตัวของน้ ำแก้วหลอมต่อควำมหนืดของแก้ว 98
(Effect of cooling rate of melts on viscosity of glasses)
6.4 กำรวัดควำมหนืดของแก้ว (Viscosity measurements) 101
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว จ
9.4 สมบัตทิ ำงเคมี (Chemical properties) 141
9.5 สมบัตทิ ำงกล (Mechanical properties) 144
9.5.1 มอดูลสั ควำมยืดหยุน่ (Elastic modulus) 144
9.5.2 ควำมแข็ง (Hardness) 146
9.6 สมบัตทิ ำงแสง (Optical properties) 147
9.6.1 ค่ำดัชนีหกั เหแสง (Refractive index) 148
9.6.2 ค่ำกำรกระจำยแสง (Light dispersion) 133
บรรณานุกรม 151
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ฉ
สารบัญรูป
รูป หน้ า
1.1 ลักษณะของโครงข่าย SiO2 แบบอสัณฐาน (Amorphous) ผลึก (Crystalline) 2
และหน่วยย่อยของ [SiO4]4–
1.2 ความสัมพันธ์ระหว่างเอนทาลปี หรือปริมาตรทีอ่ ุณหภูมติ ่าง ๆ ของของเหลว 2
ผลึกและแก้วทีม่ อี ตั ราการเย็นตัวต่างกัน
1.3 แบบแผนการเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ์ (X-ray diffraction pattern) ของวัสดุ 4
อสัณฐานและวัสดุทม่ี โี ครงร่างผลึกแน่นอน
1.4 แก้ว ประเภทต่ า ง ๆ แบ่ ง ตามลัก ษณะการใช้ง าน เช่ น แก้ว บรรจุ ภ ัณ ฑ์ 5
กระจกหรือแก้วแผ่น แก้วเลนส์และไฟเบอร์กลาสหรือใยแก้วนาแสง
1.5 วิธกี ารผลิตขวดแก้วด้วยการเป่ า และ การผลิตแก้วแผ่นหรือกระจก ด้วยวิธ ี 7
คราวน์หรือหมุนเหวีย่ ง (Crown method)
1.6 ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีการหักเหแสงและค่า Abbe ของแก้วทีใ่ ช้งานเชิง 7
แสง (Optical glass)
1.7 ท่อแก้วควอตซ์ทม่ี คี วามหนาต่าง ๆ กัน 9
1.8 ความหนืดของแก้ว โซเดีย มซิล ิเ กตที่ค วามเข้มข้น ของโซเดีย มออกไซด์ 10
ต่าง ๆ ทีอ่ ุณหภูมติ ่าง ๆ
1.9 แผนภาพวัฏภาคของระบบ Na2O-CaO-SiO2 บริเวณทีแ่ รเงาคือบริเวณของ 11
องค์ประกอบทีผ่ ลิตแก้วทางการค้า
1.10 แผนภาพวัฏภาคระบบ K2O-PbO-SiO2 และ ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ 13
แก้วกับ ความหนาแน่นและความหนืดของแก้วคริสตัล
1.11 ภาพอิ เ ล็ ก ต รอ น ( Electron image) ขอ งการเกิ ด ก า ร แย กตั ว แ บ บ 14
กึง่ เสถียร (Metastable immiscibility)
2.1 กระบวนการผลิตกระจกแผ่น 18
2.2 สภาวะที่ แ ก้ ว เกิ ด ความเค้ น (Stress) ที่ ส ะสมอยู่ เนื่ องจากผลของ 23
การหดตัวทีไ่ ม่เท่ากัน
2.3 ลัก ษณะการปรากฏของแก้ว ภายใต้ ก ล้อ งจุล ทรรศน์ แ สงของแก้ว ที่ไ ม่ม ี 24
ความเครีย ดคงค้ า งซึ่ ง ไม่ ป รากฏลัก ษณะของการหัก เหสองแนวหรือ
ไบรีฟรินเจนท์ (Birefringent) และของแก้วทีม่ คี วามเครียดคงค้างในปริมาณ
ทีต่ ่างกัน
3.1 ขัน้ ตอนต่าง ๆ ในกระบวนการเตรียมวัตถุดบิ 26
3.2 เตาหลอมแบบหม้อ (Pot furnace) แสดงให้เ ห็นช่อ งเปิ ด ที่ส ามารถนาน้ า 27
แก้วหลอมออกมาขึน้ รูปด้วยวิธตี ่าง ๆ แบบไม่ต่อเนื่องได้
3.3 โครงสร้างภายในของเตาหลอมแก้วแบบหม้อ (Pot furnace) ขนาดเล็ก 27
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ช
รูป หน้ า
3.4 แบบของเตาหลอมแก้ว (มุม สูง : Top view) แสดงบริเ วณป้ อ นวัต ถุ ดิบ 28
บริเวณทีเ่ กิดการหลอมกลายเป็ นของเหลวหรือห้องหลอมซึง่ เป็ นบริเวณทีม่ ี
อุณหภูมสิ งู ทีส่ ุดและบริเวณน้าแก้วถูกดึงออกไปสู่ขนั ้ ตอนการขึน้ รูป
3.5 ลัก ษณะการให้ค วามร้อ นเหนือ วัต ถุ ดิบและน้ าแก้ว โดยการใช้หวั พ่นไฟ 29
(Burner)
3.6 เตาหลอมแก้วซึง่ ให้ความร้อนด้วยแผ่นให้ความร้อน 30
3.7 หลักการทางานของเครื่องป้ อนน้ าแก้ว (Gob feeder) แบบจาลองสามมิติ 32
ของเครือ่ งป้ อนน้าแก้ว (Gob feeder และ ส่วนของฟอร์ฮาร์ท
3.8 การผลิต แก้ ว ด้ว ยวิธ ีก ารกด (Pressing) แสดงแบบพิม พ์แ บบชิ้น เดีย ว 33
(Block mold) และด้านล่างแสดงแบบพิมพ์แบบแยกส่วนได้ (Split mold)
3.9 การผลิตแก้วด้วยวิธกี ารเป่ า (Blowing) 33
3.10 เครือ่ งจักรทีใ่ ช้ในกระบวนการขึน้ รูปภาชนะต่าง ๆ 34
3.11 วิธกี ารขึน้ รูปด้วยวิธกี ดอัดและเป่ า และ วิธเี ป่ าและเป่ า 35
3.12 การผลิ ต กระจกด้ ว ย กระบว นการโฟร์ ค อ ล ท์ (Fourcault process) 36
ซึ่งประกอบไปด้วยหัวปล่อยแก้ว (Debiteuse) ที่ช่วยในการคุมขนาดของ
กระจก และ ขัน้ ตอนการดึงผ่านอุปกรณ์ทาความเย็น
3.13 กระบวนการลอยแก้ว (Float process) 38
3.14 กระบวนการแดนเนอร์ (Danner process) 39
3.15 การผลิตท่อแก้วด้วยกระบวนการเวลโล (Vello process) 39
4.1 อุ ณ หภู ม ิก ารอ่ อ นตัว (Softening temperature) และค่ า สัม ประสิท ธิก์ าร 45
5.1 ขยายตัวเพราะความร้อน (Coefficient of thermal expansion, ) ของแก้ว 63
ระบบ K2O-PbO-SiO2-TiO2 ทีม่ ปี ริมาณ TiO2 ต่างกัน
5.2 อัตราการเกิดนิวเคลียสและการโตของผลึกทีอ่ ุณหภูมติ ่ากว่าจุดหลอมเหลว Tm 65
Time-temperature transformation diagram ห รื อ TTT diagram ที่
ก่อให้เกิดผลึกในสัดส่วน Vx/V
5.3 ลัก ษณะกราฟที่ไ ด้ จ ากเทคนิ ค การวิเ คราะห์ เ ชิง ความร้ อ น (Thermal 67
Analysis) ซึ่ ง ปรากฏพี ค การคายความร้ อ นซึ่ ง แสดงถึ ง การเกิ ด ผลึก
(Crystallisation) ในแก้วทีเ่ กิดผลึกชนิดเดียวและหลายชนิด
5.4 กระบวนการหลอมแก้ ว แสดงการป้ อนวัต ถุ ดิบ ลงในเตาหลอมที่ใ ช้ใ น 70
อุตสาหกรรมการผลิต แก้ว แผ่ น โดยส่วนต้น จะมีการป้ อ นวัตถุ ดิบเข้าเตา
หลอมและจะเกิดการหลอมต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการหลอมสมบูรณ์พร้อมส่ง
ต่อไปยังการขึน้ รูปต่อไป
5.5 แบบจาลองการเกิดปฏิกิรยิ าของแข็ง -ของแข็งระหว่างซิลกิ ากับโซเดียม 71
คาร์บอเนต
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ซ
รูป หน้ า
5.6 อัต ราการเกิ ด ปฏิกิ ร ิย าของแข็ง -ของแข็ง ระหว่ า งซิล ิก าและโซเดี ย ม 72
คาร์บอเนตทีอ่ ุณหภูม ิ 680, 730 และ 782 เซลเซียส
5.7 จุดยูเทคติคระหว่างโซเดียมไดซิลเิ กตกับซิลกิ าที่อุณหภูม ิ 800 เซลเซียส 74
โดยโซเดียมไดซิลเิ กตเกิดจากปฏิกิรยิ าของแข็ง -ของแข็งระหว่างโซเดียม
ออกไซด์และซิลกิ าในอัตราส่วนทีเ่ หมาะสม
5.8 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างขนาดอนุ ภาคเฉลีย่ กับพืน้ ทีผ่ วิ จาเพาะของ 75
แร่โดโลไมต์
5.9 การรวมตัว กัน ของอนุ ภ าคเมื่อ อนุ ภ าคมีข นาดเล็ก ลงหลัง ผ่ า นการบด 75
ลดขนาดเป็ นเวลา 16 ชัวโมง ่
5.10 ทิศทางของกระแสน้าแก้วในการไหลแบบไปด้านหน้า (Throughput flow) 82
5.11 แบบจ าล อ งการไหล แ บบไ หล ว น ( Circulation flow) ในเต าหล อ ม 82
แบบต่อเนื่อง
6.1 การหาความหนืด เมื่อพิจารณาความเร็วในการไหลของระนาบพืน้ ที่ A สอง 87
ระนาบทีข่ นานกัน
6.2 การเพิม่ ขึน้ ของความหนืดของแก้วโซดาไลม์ซลิ เิ กตทีอ่ ุณหภูมติ ่าง ๆ 88
6.3 แผนภาพความเปราะ (Fragility diagram) ของของเหลวหนืด 94
6.4 ผลขององค์ประกอบทางเคมีของแก้วต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูม ิ Isokom 96
ทีใ่ ห้ค่าความหนืด 1011 พาสคัลวินาที (Pas) ของแก้วระบบลิเทียมซิลเิ กต
โซเดียมซิลเิ กตและโพแทสเซียมซิลเิ กต (แก้วแต่ละชนิดมีปริมาณอัลคาไลน์
ออกไซด์เท่ากัน = 15 % โดยโมล) ทีม่ กี ารเติม Ga2O3 ในปริมาณทีต่ ่างกัน
6.5 หน่ วยย่อยพื้นฐานของแก้วโบรอนออกไซด์ แสดงลักษณะของโครงสร้าง 97
สามเหลีย่ มแบนราบของโบรอน (Boron triangle, [BO3]) โครงสร้าง Boroxol
ring และโครงสร้างเตตระฮีดรัลโบรอน (Tetrahedral, [BO4])
6.6 ความหนืดของแก้ว Li2O-B2O3 ที่มปี ริมาณ Li2O ต่าง ๆ โดยความหนืดจะ 98
อยู่ในรูปของอุณหภูมไิ อโซคอม (Isokom temperature) ที่มคี ่าความหนืด
เท่ากับ 1011 พาสคัลวินาที
6.7 อุณหภูม ิ Fictive ของแก้วทีเ่ ย็นตัวทีอ่ ตั ราต่างกัน 99
6.8 การเปลี่ย นแปลงความหนื ด ของแก้ ว เพื่อ เข้า สู่ ส มดุ ล ใหม่ จากแก้ ว ที่ม ี 100
อุณหภูม ิ Fictive ต่างกัน
6.9 การเปลี่ย นแปลงความหนื ด ของแก้ ว เพื่อ เข้า สู่ ส มดุ ล ใหม่ จากแก้ ว ที่ม ี 101
อุณหภูม ิ Fictive ต่างกัน
6.10 การวางตัวในลักษณะ 3-point bending ในการวิเคราะห์หาความหนืดของ 104
แก้วด้วยวิธ ี Beam-bending
7.1 แนวทางการอบอ่อน (Annealing) ผลิตภัณฑ์แก้วในอุตสาหกรรม 106
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ฌ
รูป หน้ า
7.2 ผลของความแตกต่ างของอุ ณหภูมติ ่ อ การเกิดแรงอัดและแรงดึงกับ แก้ว 107
ขณะเย็นตัวลง และ ขณะให้ความร้อน ณ อุณหภูมติ ่ ากว่าอุณหภูมติ ่ าสุ ด
ของการอบอ่อน
7.3 ความแตกต่างของอุณหภูมขิ ณะน้ าแก้วเริม่ เย็นตัวในกระบวนการขึน้ รูป ซึ่ง 108
ก่ อ ให้เ กิด ความเค้น คงค้า ง (Residual stress) ในแก้ว เมื่อ แก้ว เย็น ตัว ลง
อย่ า งรวดเร็ว ที่อุ ณ หภู ม ิสู ง กว่ า อุ ณ หภู ม ิก ารเปลี่ ย นเป็ นแก้ ว ( Glass
transition temperature; Tg)
7.4 ผลของอัตราการเย็นตัวของแก้วทีต่ ่างกันในช่วงอบอ่อนซึง่ ทาให้ค่าดัชนีหกั 115
เหเบนออกจากแนวเส้นตรง
7.5 ลักษณะการกระจายความเค้นจากแรงกดและจากแรงดึงในแก้ว Tempered 117
glass และ Heat-strengthened glass รอยแตกของแก้ว Tempered glass
และรอยแตกของแก้ว Heat-strengthened glass
8.1 ตัว อย่างลัก ษณะการลอดผ่ านของแสงที่ผ่ า นการวิเ คราะห์เ พื่อ ใช้ใ นการ 120
แยกแยะสีดว้ ยระบบ CIE
8.2 แผนผัง CIE ซึง่ จะบ่งบอกค่าสีต่าง ๆ ของวัสดุ 121
8.3 การลากเส้น เพื่อ หาค่ า ความยาวคลื่น เด่ น (Dominant wavelength) และ 122
ความบริสุทธิ ์ (Purity)
8.4 ลักษณะกราฟการดูดกลืนแสงของแก้วทีม่ โี ลหะเงินแขวนลอยอยู่ 125
8.5 สเปกตรัมการส่องผ่านแสง (Transmission spectrum) ของแก้วใช้เป็ นแก้ว 127
กรองแสง ซึง่ มีส่วนผสมของ CdS และ CdS + CdSe
9.1 ตัวอย่าง Density-kit ซึง่ จะต่อเข้ากับเครือ่ งชังวิ ่ เคราะห์เพื่อใช้ชงน
ั ่ ้าหนักของ 132
วัสดุทส่ี นใจในอากาศและในตัวกลางของเหลว
9.2 ความหนาแน่ น และปริม าตรต่ อ โมลของแก้ ว ระบบทาลเลี ย มบอเรต 134
(Tl2OB2O3) ที่ป ริม าณ (ความเข้ม ข้น ) ของทาลเลีย มออกไซด์ (Tl2O)
ต่างกัน
9.3 เครื่องไดลาโตมิเตอร์ (Dilatometer) เพื่อใช้วดั ค่าสัมประสิทธิ ์การขยายตัว 138
เพราะความร้อนของวัสดุ
9.4 กราฟ DSC ของแก้วโดยทัวไป ่ ซึง่ จะประกอบด้วยปฏิกริ ยิ าต่าง ๆ หรือการ 141
เปลีย่ นแปลงต่าง ๆ เมือ่ ได้รบั ความร้อน
9.5 การละลายของไอออนของโซเดียมจากแก้ว ที่มอี งค์ประกอบทางเคมีค ือ 142
15%wtNa2O12%wtCaO75%wtSiO2 ในสารละลายไฮโดรคลอริก และ
โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ท่ี pH ต่าง ๆ ทีอ่ ุณหภูม ิ 100 เซลเซียส
9.6 กราฟของ Condon-Morse ระหว่างแรง (F) และ ระยะระหว่างอะตอม (r) 145
9.7 ลักษณะหัวกดแบบต่าง ๆ ในการวัดความแข็งของวัสดุ 147
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ญ
รูป หน้ า
9.8 ผลของชนิ ด ของอัล คาไลน์ อ อกไซด์ (Li2O, Na2O และ K2O) ต่ อ ค่ า ดัช นี 149
หักเหแสงของแก้วอัลคาไลน์เจอร์มาเนต
9.9 การกระจายของแสงขาวผ่ านปริซมึ ที่ทาให้เกิดการหักเหแสงต่ างกันเมื่อ 150
ความยาวคลื่นแสงต่างกัน
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ฎ
สารบัญตาราง
ตาราง หน้า
1.1 องค์ประกอบทางเคมีของแก้วต่าง ๆ 15
2.1 ความหนืดทีเ่ หมาะสมของแต่ละช่วงในขัน้ ตอนการผลิตแก้ว 22
4.1 การเรียกชื่อแก้วทีม่ อี งค์ประกอบเคมีต่าง ๆ กัน 42
4.2 ตัวช่วยหลอมทีพ่ บในแก้วกลุ่มต่าง ๆ 44
4.3 สีทเ่ี กิดจากไอออนหรือกลุ่มของไอออนต่าง ๆ ในแก้ว 46
4.4 แร่ต่าง ๆ ทีใ่ ช้ในอุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 48
6.1 ช่วงความหนืดทีเ่ หมาะสมต่อวิธกี ารขึน้ รูปด้วยวิธตี ่าง ๆ 86
6.2 จุดต่าง ๆ ในกระบวนการผลิตแก้วทีค่ วามหนืดของแก้วโซดาไลม์ซลิ เิ กต 89
ช่วงต่าง ๆ
7.1 ค่า ของผลลิตภัณฑ์รปู ทรงต่าง ๆ ตรงบริเวณผิวและในผลิตภัณฑ์ 113
9.1 สมบัตทิ างความร้อนของแก้วประเภทต่าง ๆ 139
9.2 ความแข็งตามระดับของโมหส์ (Mohs scale hardness) 146
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ฏ
เอกสารประกอบการสอน วิชา คอ 351
อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว
Glass Production Industry
ณัฐพล เลาห์รอดพันธุ์
สาขาวิชาเคมีอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสิ่งทอ
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
พ.ศ. 2558
เอกสารประกอบการสอน วิชา คอ 351
อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว
Glass Production Industry
ณัฐพล เลาห์รอดพันธุ์
สาขาวิชาเคมีอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสงิ่ ทอ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
คำนำ
เนื้อ หาในเอกสารประกอบการสอนฉบับ นี้ ป ระกอบไปด้ว ยส่ ว นย่อ ยทัง้ หมด 4 ส่ ว น ได้แก่ ส่ ว นที่
เกีย่ วกับวัสดุแก้วและการเกิดแก้ว (บทที่ 1) ส่วนทีเ่ กีย่ วกับลักษณะเฉพาะและสมบัตขิ องแก้ว (บทที่ 8 และ 9)
ส่วนทีเ่ กีย่ วกับกระบวนการผลิตแก้ว (บทที่ 4 – 7) และส่วนทีเ่ กีย่ วกับเครือ่ งมือและเครือ่ งจักรในอุตสาหกรรม
การผลิตแก้ว (บทที่ 3)
ณัฐพล เลาห์รอดพันธุ์
สาขาวิชาเคมีอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสงิ่ ทอ
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
มกราคม 2558
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ข
สารบัญ
หน้ า
คานา ข
สารบัญ ค
สารบัญรูป ช
สารบัญตาราง ฏ
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ค
บทที่ 4 วัตถุดิบแก้วและการคานวณส่วนผสม 41
Glass Raw Materials and Batch Calculations
4.1 วัตถุดบิ แก้ว (Glass raw materials) 41
4.1.1 ตัวโครงร่ำงตำข่ำยแก้ว (Glass former) 41
4.1.2 ตัวช่วยหลอม (Flux) หรือ ตัวปรับโครงสร้ำงแก้ว (Glass network 43
modifier)
4.1.3 สำรปรับสมบัติ (Properties modifier) 44
4.1.4 สำรให้ส ี (Colourant) 46
4.1.5 สำรลดฟอง (Fining agent) 47
4.2 กำรคำนวณส่วนผสมแก้ว (Batch calculations) 49
บทที่ 6 การขึ้นรูปแก้ว 85
Glass Forming
6.1 ควำมหนื ด ของแก้ว ในกระบวนกำรผลิต ขัน้ ตอนต่ ำ ง ๆ (Viscosity of 87
.glass forming melts)
6.2 ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงควำมหนืดกับอุณหภูม ิ (Viscosity and temperature 91
.relationship)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ง
6.3 ปั จจัยต่ำง ๆ ที่มผี ลต่อควำมหนืดของแก้ว (Factors effecting viscosity 94
.of glasses)
6.3.1 องค์ประกอบทำงเคมี (Chemical composition) 94
6.3.1.1 แก้วระบบซิลเิ กต (Silicate glasses) 94
6.3.1.2 แก้วระบบบอเรต (Borate glasses) 96
6.3.2 ผลของอัตรำกำรเย็นตัวของน้ ำแก้วหลอมต่อควำมหนืดของแก้ว 98
(Effect of cooling rate of melts on viscosity of glasses)
6.4 กำรวัดควำมหนืดของแก้ว (Viscosity measurements) 101
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว จ
9.4 สมบัตทิ ำงเคมี (Chemical properties) 141
9.5 สมบัตทิ ำงกล (Mechanical properties) 144
9.5.1 มอดูลสั ควำมยืดหยุน่ (Elastic modulus) 144
9.5.2 ควำมแข็ง (Hardness) 146
9.6 สมบัตทิ ำงแสง (Optical properties) 147
9.6.1 ค่ำดัชนีหกั เหแสง (Refractive index) 148
9.6.2 ค่ำกำรกระจำยแสง (Light dispersion) 133
บรรณานุกรม 151
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ฉ
สารบัญรูป
รูป หน้ า
1.1 ลักษณะของโครงข่าย SiO2 แบบอสัณฐาน (Amorphous) ผลึก (Crystalline) 2
และหน่วยย่อยของ [SiO4]4–
1.2 ความสัมพันธ์ระหว่างเอนทาลปี หรือปริมาตรทีอ่ ุณหภูมติ ่าง ๆ ของของเหลว 2
ผลึกและแก้วทีม่ อี ตั ราการเย็นตัวต่างกัน
1.3 แบบแผนการเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ์ (X-ray diffraction pattern) ของวัสดุ 4
อสัณฐานและวัสดุทม่ี โี ครงร่างผลึกแน่นอน
1.4 แก้ว ประเภทต่ า ง ๆ แบ่ ง ตามลัก ษณะการใช้ง าน เช่ น แก้ว บรรจุ ภ ัณ ฑ์ 5
กระจกหรือแก้วแผ่น แก้วเลนส์และไฟเบอร์กลาสหรือใยแก้วนาแสง
1.5 วิธกี ารผลิตขวดแก้วด้วยการเป่ า และ การผลิตแก้วแผ่นหรือกระจก ด้วยวิธ ี 7
คราวน์หรือหมุนเหวีย่ ง (Crown method)
1.6 ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีการหักเหแสงและค่า Abbe ของแก้วทีใ่ ช้งานเชิง 7
แสง (Optical glass)
1.7 ท่อแก้วควอตซ์ทม่ี คี วามหนาต่าง ๆ กัน 9
1.8 ความหนืดของแก้ว โซเดีย มซิล ิเ กตที่ค วามเข้มข้น ของโซเดีย มออกไซด์ 10
ต่าง ๆ ทีอ่ ุณหภูมติ ่าง ๆ
1.9 แผนภาพวัฏภาคของระบบ Na2O-CaO-SiO2 บริเวณทีแ่ รเงาคือบริเวณของ 11
องค์ประกอบทีผ่ ลิตแก้วทางการค้า
1.10 แผนภาพวัฏภาคระบบ K2O-PbO-SiO2 และ ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ 13
แก้วกับ ความหนาแน่นและความหนืดของแก้วคริสตัล
1.11 ภาพอิ เ ล็ ก ต รอ น ( Electron image) ขอ งการเกิ ด ก า ร แย กตั ว แ บ บ 14
กึง่ เสถียร (Metastable immiscibility)
2.1 กระบวนการผลิตกระจกแผ่น 18
2.2 สภาวะที่ แ ก้ ว เกิ ด ความเค้ น (Stress) ที่ ส ะสมอยู่ เนื่ องจากผลของ 23
การหดตัวทีไ่ ม่เท่ากัน
2.3 ลัก ษณะการปรากฏของแก้ว ภายใต้ ก ล้อ งจุล ทรรศน์ แ สงของแก้ว ที่ไ ม่ม ี 24
ความเครีย ดคงค้ า งซึ่ ง ไม่ ป รากฏลัก ษณะของการหัก เหสองแนวหรือ
ไบรีฟรินเจนท์ (Birefringent) และของแก้วทีม่ คี วามเครียดคงค้างในปริมาณ
ทีต่ ่างกัน
3.1 ขัน้ ตอนต่าง ๆ ในกระบวนการเตรียมวัตถุดบิ 26
3.2 เตาหลอมแบบหม้อ (Pot furnace) แสดงให้เ ห็นช่อ งเปิ ด ที่ส ามารถนาน้ า 27
แก้วหลอมออกมาขึน้ รูปด้วยวิธตี ่าง ๆ แบบไม่ต่อเนื่องได้
3.3 โครงสร้างภายในของเตาหลอมแก้วแบบหม้อ (Pot furnace) ขนาดเล็ก 27
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ช
รูป หน้ า
3.4 แบบของเตาหลอมแก้ว (มุม สูง : Top view) แสดงบริเ วณป้ อ นวัต ถุ ดิบ 28
บริเวณทีเ่ กิดการหลอมกลายเป็ นของเหลวหรือห้องหลอมซึง่ เป็ นบริเวณทีม่ ี
อุณหภูมสิ งู ทีส่ ุดและบริเวณน้าแก้วถูกดึงออกไปสู่ขนั ้ ตอนการขึน้ รูป
3.5 ลัก ษณะการให้ค วามร้อ นเหนือ วัต ถุ ดิบและน้ าแก้ว โดยการใช้หวั พ่นไฟ 29
(Burner)
3.6 เตาหลอมแก้วซึง่ ให้ความร้อนด้วยแผ่นให้ความร้อน 30
3.7 หลักการทางานของเครื่องป้ อนน้ าแก้ว (Gob feeder) แบบจาลองสามมิติ 32
ของเครือ่ งป้ อนน้าแก้ว (Gob feeder และ ส่วนของฟอร์ฮาร์ท
3.8 การผลิต แก้ ว ด้ว ยวิธ ีก ารกด (Pressing) แสดงแบบพิม พ์แ บบชิ้น เดีย ว 33
(Block mold) และด้านล่างแสดงแบบพิมพ์แบบแยกส่วนได้ (Split mold)
3.9 การผลิตแก้วด้วยวิธกี ารเป่ า (Blowing) 33
3.10 เครือ่ งจักรทีใ่ ช้ในกระบวนการขึน้ รูปภาชนะต่าง ๆ 34
3.11 วิธกี ารขึน้ รูปด้วยวิธกี ดอัดและเป่ า และ วิธเี ป่ าและเป่ า 35
3.12 การผลิ ต กระจกด้ ว ย กระบว นการโฟร์ ค อ ล ท์ (Fourcault process) 36
ซึ่งประกอบไปด้วยหัวปล่อยแก้ว (Debiteuse) ที่ช่วยในการคุมขนาดของ
กระจก และ ขัน้ ตอนการดึงผ่านอุปกรณ์ทาความเย็น
3.13 กระบวนการลอยแก้ว (Float process) 38
3.14 กระบวนการแดนเนอร์ (Danner process) 39
3.15 การผลิตท่อแก้วด้วยกระบวนการเวลโล (Vello process) 39
4.1 อุ ณ หภู ม ิก ารอ่ อ นตัว (Softening temperature) และค่ า สัม ประสิท ธิก์ าร 45
5.1 ขยายตัวเพราะความร้อน (Coefficient of thermal expansion, ) ของแก้ว 63
ระบบ K2O-PbO-SiO2-TiO2 ทีม่ ปี ริมาณ TiO2 ต่างกัน
5.2 อัตราการเกิดนิวเคลียสและการโตของผลึกทีอ่ ุณหภูมติ ่ากว่าจุดหลอมเหลว Tm 65
Time-temperature transformation diagram ห รื อ TTT diagram ที่
ก่อให้เกิดผลึกในสัดส่วน Vx/V
5.3 ลัก ษณะกราฟที่ไ ด้ จ ากเทคนิ ค การวิเ คราะห์ เ ชิง ความร้ อ น (Thermal 67
Analysis) ซึ่ ง ปรากฏพี ค การคายความร้ อ นซึ่ ง แสดงถึ ง การเกิ ด ผลึก
(Crystallisation) ในแก้วทีเ่ กิดผลึกชนิดเดียวและหลายชนิด
5.4 กระบวนการหลอมแก้ ว แสดงการป้ อนวัต ถุ ดิบ ลงในเตาหลอมที่ใ ช้ใ น 70
อุตสาหกรรมการผลิต แก้ว แผ่ น โดยส่วนต้น จะมีการป้ อ นวัตถุ ดิบเข้าเตา
หลอมและจะเกิดการหลอมต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการหลอมสมบูรณ์พร้อมส่ง
ต่อไปยังการขึน้ รูปต่อไป
5.5 แบบจาลองการเกิดปฏิกิรยิ าของแข็ง -ของแข็งระหว่างซิลกิ ากับโซเดียม 71
คาร์บอเนต
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ซ
รูป หน้ า
5.6 อัต ราการเกิ ด ปฏิกิ ร ิย าของแข็ง -ของแข็ง ระหว่ า งซิล ิก าและโซเดี ย ม 72
คาร์บอเนตทีอ่ ุณหภูม ิ 680, 730 และ 782 เซลเซียส
5.7 จุดยูเทคติคระหว่างโซเดียมไดซิลเิ กตกับซิลกิ าที่อุณหภูม ิ 800 เซลเซียส 74
โดยโซเดียมไดซิลเิ กตเกิดจากปฏิกิรยิ าของแข็ง -ของแข็งระหว่างโซเดียม
ออกไซด์และซิลกิ าในอัตราส่วนทีเ่ หมาะสม
5.8 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างขนาดอนุ ภาคเฉลีย่ กับพืน้ ทีผ่ วิ จาเพาะของ 75
แร่โดโลไมต์
5.9 การรวมตัว กัน ของอนุ ภ าคเมื่อ อนุ ภ าคมีข นาดเล็ก ลงหลัง ผ่ า นการบด 75
ลดขนาดเป็ นเวลา 16 ชัวโมง ่
5.10 ทิศทางของกระแสน้าแก้วในการไหลแบบไปด้านหน้า (Throughput flow) 82
5.11 แบบจ าล อ งการไหล แ บบไ หล ว น ( Circulation flow) ในเต าหล อ ม 82
แบบต่อเนื่อง
6.1 การหาความหนืด เมื่อพิจารณาความเร็วในการไหลของระนาบพืน้ ที่ A สอง 87
ระนาบทีข่ นานกัน
6.2 การเพิม่ ขึน้ ของความหนืดของแก้วโซดาไลม์ซลิ เิ กตทีอ่ ุณหภูมติ ่าง ๆ 88
6.3 แผนภาพความเปราะ (Fragility diagram) ของของเหลวหนืด 94
6.4 ผลขององค์ประกอบทางเคมีของแก้วต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูม ิ Isokom 96
ทีใ่ ห้ค่าความหนืด 1011 พาสคัลวินาที (Pas) ของแก้วระบบลิเทียมซิลเิ กต
โซเดียมซิลเิ กตและโพแทสเซียมซิลเิ กต (แก้วแต่ละชนิดมีปริมาณอัลคาไลน์
ออกไซด์เท่ากัน = 15 % โดยโมล) ทีม่ กี ารเติม Ga2O3 ในปริมาณทีต่ ่างกัน
6.5 หน่ วยย่อยพื้นฐานของแก้วโบรอนออกไซด์ แสดงลักษณะของโครงสร้าง 97
สามเหลีย่ มแบนราบของโบรอน (Boron triangle, [BO3]) โครงสร้าง Boroxol
ring และโครงสร้างเตตระฮีดรัลโบรอน (Tetrahedral, [BO4])
6.6 ความหนืดของแก้ว Li2O-B2O3 ที่มปี ริมาณ Li2O ต่าง ๆ โดยความหนืดจะ 98
อยู่ในรูปของอุณหภูมไิ อโซคอม (Isokom temperature) ที่มคี ่าความหนืด
เท่ากับ 1011 พาสคัลวินาที
6.7 อุณหภูม ิ Fictive ของแก้วทีเ่ ย็นตัวทีอ่ ตั ราต่างกัน 99
6.8 การเปลี่ย นแปลงความหนื ด ของแก้ ว เพื่อ เข้า สู่ ส มดุ ล ใหม่ จากแก้ ว ที่ม ี 100
อุณหภูม ิ Fictive ต่างกัน
6.9 การเปลี่ย นแปลงความหนื ด ของแก้ ว เพื่อ เข้า สู่ ส มดุ ล ใหม่ จากแก้ ว ที่ม ี 101
อุณหภูม ิ Fictive ต่างกัน
6.10 การวางตัวในลักษณะ 3-point bending ในการวิเคราะห์หาความหนืดของ 104
แก้วด้วยวิธ ี Beam-bending
7.1 แนวทางการอบอ่อน (Annealing) ผลิตภัณฑ์แก้วในอุตสาหกรรม 106
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ฌ
รูป หน้ า
7.2 ผลของความแตกต่ างของอุ ณหภูมติ ่ อ การเกิดแรงอัดและแรงดึงกับ แก้ว 107
ขณะเย็นตัวลง และ ขณะให้ความร้อน ณ อุณหภูมติ ่ ากว่าอุณหภูมติ ่ าสุ ด
ของการอบอ่อน
7.3 ความแตกต่างของอุณหภูมขิ ณะน้ าแก้วเริม่ เย็นตัวในกระบวนการขึน้ รูป ซึ่ง 108
ก่ อ ให้เ กิด ความเค้น คงค้า ง (Residual stress) ในแก้ว เมื่อ แก้ว เย็น ตัว ลง
อย่ า งรวดเร็ว ที่อุ ณ หภู ม ิสู ง กว่ า อุ ณ หภู ม ิก ารเปลี่ ย นเป็ นแก้ ว ( Glass
transition temperature; Tg)
7.4 ผลของอัตราการเย็นตัวของแก้วทีต่ ่างกันในช่วงอบอ่อนซึง่ ทาให้ค่าดัชนีหกั 115
เหเบนออกจากแนวเส้นตรง
7.5 ลักษณะการกระจายความเค้นจากแรงกดและจากแรงดึงในแก้ว Tempered 117
glass และ Heat-strengthened glass รอยแตกของแก้ว Tempered glass
และรอยแตกของแก้ว Heat-strengthened glass
8.1 ตัว อย่างลัก ษณะการลอดผ่ านของแสงที่ผ่ า นการวิเ คราะห์เ พื่อ ใช้ใ นการ 120
แยกแยะสีดว้ ยระบบ CIE
8.2 แผนผัง CIE ซึง่ จะบ่งบอกค่าสีต่าง ๆ ของวัสดุ 121
8.3 การลากเส้น เพื่อ หาค่ า ความยาวคลื่น เด่ น (Dominant wavelength) และ 122
ความบริสุทธิ ์ (Purity)
8.4 ลักษณะกราฟการดูดกลืนแสงของแก้วทีม่ โี ลหะเงินแขวนลอยอยู่ 125
8.5 สเปกตรัมการส่องผ่านแสง (Transmission spectrum) ของแก้วใช้เป็ นแก้ว 127
กรองแสง ซึง่ มีส่วนผสมของ CdS และ CdS + CdSe
9.1 ตัวอย่าง Density-kit ซึง่ จะต่อเข้ากับเครือ่ งชังวิ ่ เคราะห์เพื่อใช้ชงน
ั ่ ้าหนักของ 132
วัสดุทส่ี นใจในอากาศและในตัวกลางของเหลว
9.2 ความหนาแน่ น และปริม าตรต่ อ โมลของแก้ ว ระบบทาลเลี ย มบอเรต 134
(Tl2OB2O3) ที่ป ริม าณ (ความเข้ม ข้น ) ของทาลเลีย มออกไซด์ (Tl2O)
ต่างกัน
9.3 เครื่องไดลาโตมิเตอร์ (Dilatometer) เพื่อใช้วดั ค่าสัมประสิทธิ ์การขยายตัว 138
เพราะความร้อนของวัสดุ
9.4 กราฟ DSC ของแก้วโดยทัวไป ่ ซึง่ จะประกอบด้วยปฏิกริ ยิ าต่าง ๆ หรือการ 141
เปลีย่ นแปลงต่าง ๆ เมือ่ ได้รบั ความร้อน
9.5 การละลายของไอออนของโซเดียมจากแก้ว ที่มอี งค์ประกอบทางเคมีค ือ 142
15%wtNa2O12%wtCaO75%wtSiO2 ในสารละลายไฮโดรคลอริก และ
โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ท่ี pH ต่าง ๆ ทีอ่ ุณหภูม ิ 100 เซลเซียส
9.6 กราฟของ Condon-Morse ระหว่างแรง (F) และ ระยะระหว่างอะตอม (r) 145
9.7 ลักษณะหัวกดแบบต่าง ๆ ในการวัดความแข็งของวัสดุ 147
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ญ
รูป หน้ า
9.8 ผลของชนิ ด ของอัล คาไลน์ อ อกไซด์ (Li2O, Na2O และ K2O) ต่ อ ค่ า ดัช นี 149
หักเหแสงของแก้วอัลคาไลน์เจอร์มาเนต
9.9 การกระจายของแสงขาวผ่ านปริซมึ ที่ทาให้เกิดการหักเหแสงต่ างกันเมื่อ 150
ความยาวคลื่นแสงต่างกัน
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ฎ
สารบัญตาราง
ตาราง หน้า
1.1 องค์ประกอบทางเคมีของแก้วต่าง ๆ 15
2.1 ความหนืดทีเ่ หมาะสมของแต่ละช่วงในขัน้ ตอนการผลิตแก้ว 22
4.1 การเรียกชื่อแก้วทีม่ อี งค์ประกอบเคมีต่าง ๆ กัน 42
4.2 ตัวช่วยหลอมทีพ่ บในแก้วกลุ่มต่าง ๆ 44
4.3 สีทเ่ี กิดจากไอออนหรือกลุ่มของไอออนต่าง ๆ ในแก้ว 46
4.4 แร่ต่าง ๆ ทีใ่ ช้ในอุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 48
6.1 ช่วงความหนืดทีเ่ หมาะสมต่อวิธกี ารขึน้ รูปด้วยวิธตี ่าง ๆ 86
6.2 จุดต่าง ๆ ในกระบวนการผลิตแก้วทีค่ วามหนืดของแก้วโซดาไลม์ซลิ เิ กต 89
ช่วงต่าง ๆ
7.1 ค่า ของผลลิตภัณฑ์รปู ทรงต่าง ๆ ตรงบริเวณผิวและในผลิตภัณฑ์ 113
9.1 สมบัตทิ างความร้อนของแก้วประเภทต่าง ๆ 139
9.2 ความแข็งตามระดับของโมหส์ (Mohs scale hardness) 146
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว ฏ
บทที่ 1
แก้วและการจาแนกชนิ ดของแก้ว
Glass and Classification of Glass
“วัสดุ แ ก้ว มีลัก ษณะทีแ่ ตกต่ า งจากวัสดุ ชนิ ด อืน่ ๆ เช่ น มีค วามแข็ง แรงค่ อ นข้างสูงแต่ เปราะ
คล้าย ๆ กับวัสดุเซรามิกทีม่ คี วามแข็งแรงสูงแต่เปราะ แต่ในขณะเดียวกันแก้วมีความโปร่งใสจึงถูกนาไปใช้
งานในหน้าทีแ่ ละลักษณะทีแ่ ตกต่างกันออกไป เช่น ภาชนะบนโต๊ะอาหาร เครือ่ งครัว วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์
อิเ ล็ก ทรอนิ ก ส์ และอุ ป กรณ์ วิท ยาศาสตร์ ใ นห้อ งปฏิบ ัติ ก าร เป็ น ต้ น กระบวนการผลิ ต แก้ว ในทาง
อุตสาหกรรมนัน้ เริม่ ต้นจากการหลอมวัตถุดบิ หรือส่วนผสมต่าง ๆ ให้กลายเป็ นของเหลวทีม่ คี วามเป็ นเนื้อ
เดียวกันเรียกว่าน้ าแก้วหลอมหรือน้ าแก้ว เมือ่ น้ าแก้วมีความหนืดเหมาะสมจะถูกนาไปขึ้นรูปด้วยวิธตี ่าง ๆ
ตามชนิดและรูปแบบของผลิตภัณฑ์ โดยน้ าแก้วจะถูกลดอุณหภูมลิ งอย่างรวดเร็วเพือ่ กลายเป็ นแก้วทีม่ ี
ลักษณะโปร่งใส นอกเหนือจากนี้ยงั มีขนั ้ ตอนต่าง ๆ ทีเ่ กีย่ วกับกระบวนการผลิตแก้วอุตสาหกรรมซึง่ จะได้
กล่าวถึงต่อไป โดยในบทแรกนี้จะแนะนาผูอ้ ่านถึงวัสดุแก้วและชนิดของแก้วเป็ นหลัก”
1.1 คาจากัดความของแก้ว
แก้ว คือ วัส ดุ ท่ีม ีโ ครงสร้า งอสัณ ฐาน (Amorphous) หรือ มีโ ครงสร้า งที่ไ ม่เ ป็ น ระเบีย บ โดยเมื่อ
เปรียบเทียบกับวัสดุท่มี โี ครงร่างผลึกแน่ นอน (Crystalline solid) แก้วจะไม่มกี ารจัดเรียงตัว ที่มคี วามเป็ น
ระเบียบของอะตอมต่าง ๆ เหมือนกับวัสดุท่มี โี ครงร่างผลึกแน่ นอน ยกตัวอย่างกรณีของแก้วซิลกิ า (Silica
glass) ที่ได้จากการหลอมทราย (SiO2) แล้วทาให้เย็นตัวอย่างรวดเร็ว พบว่า ตาแหน่ งของอะตอมต่าง ๆ ใน
แก้วซึง่ มีโครงสร้างแบบ อสัณฐานจัดเรียงกันอย่างไม่เป็ นระเบียบและไม่แน่ นอน (รูป 1.1 ก.) เมือ่ เปรียบเทียบ
กับโครงร่างผลึก ของซิลกิ า (SiO2) ที่มกี ารจัดเรียงตัวของอะตอมอย่างเป็ นระเบียบและมีระยะห่างระหว่าง
อะตอมและมุมระหว่างอะตอมอย่างสม่าเสมอ (รูป 1.1 ข.) โดยอะตอมของซิลกิ อน (Si) 1 อะตอมจะมีอะตอม
ของออกซิเจน (O) 4 อะตอมล้อมรอบอยู่ (รูป 1.1 ค.) เหมือ นกันทัง้ ในแก้วและผลึกซิล ิกา แต่ ใ นแก้วนัน้
ระยะห่างระหว่างอะตอมหรือมุมระหว่างอะตอมต่าง ๆ จะไม่แน่ นอน และยังมีผนู้ ิยามความหมายของแก้วว่า
คือวัสดุทม่ี ชี ่วงการเปลีย่ นเป็ นแก้ว (Glass transition range หรือ Glass transformation range) ซึง่ อธิบายได้
จากกราฟระหว่างเอนทาลปี หรือปริมาตรกับอุณหภูม ิ หรือทีเ่ รียกว่ากราฟการเย็นตัวของแก้ว ดัง รูป 1.2 โดย
วัสดุทห่ี ลอมเหลวหรือมีสถานะของเหลว (Liquid) ณ อุณหภูมสิ ูงกว่าจุดหลอมเหลว (Melting point; Tm) ของ
วัสดุนนั ้ ๆ โดยจุดหลอมเหลว คือ จุดทีข่ องแข็งและของเหลวมีความดันไอและพลังงานอิสระของกิบส์ (Gibbs
free energy) ที่เ ท่ากัน นัน่ คือ การเกิดผลึก (Crystallisation) จะเกิดขึ้น ณ จุดหลอมเหลวนี้พร้อ มกับ การ
หลอมเหลวของผลึกกลายเป็ นของเหลว ทาให้ผลึก (crystal) ปริมาณน้ อย ๆ เกิดสมดุลเทอร์โมไดนามิก
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 1
(Thermodynamic Equilibrium) กับของเหลว ซึ่งการเกิดผลึกนัน้ จะมีปริมาณมากหรือน้อยขึ้นอยู่กบั ปริมาณ
ของเหลวทีเ่ ย็นตัวหรือมีอุณหภูมติ ่ากว่า
รูป 1.1 ลักษณะของโครงข่าย SiO2 แบบ (ก) อสัณฐาน (Amorphous) (ข) ผลึก (Crystalline) และ
(ค) หน่วยย่อยของ [SiO4]4–
[ทีม่ า http://www.benbest.com/cryonics/lessons.html]
หมายเหตุ ไม่ได้แสดงออกซิเจนอะตอมที่ 4 เพื่อง่ายต่อการทาความเข้าใจ
รูป 1.2 ความสัมพันธ์ระหว่างเอนทาลปี หรือปริมาตรทีอ่ ุณหภูมติ ่าง ๆ ของ (ก) ของเหลว (ข) ผลึก
และ (ค และ ง) แก้วทีม่ อี ตั ราการเย็นตัวต่างกัน
[ดัดแปลงจาก J. E. Shelby (2009) และ A. K. Varshneya (2006)]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 2
โดยผลึกจะเกิดขึน้ ได้เมื่อ 1) มีนิวคลีไอ (Nuclei) หรือนิวเคลียสเกิดขึน้ ในปริมาณมาก และ 2) อัตราการโต
ของผลึก (Crystal growth rate) มากกว่าอัตราการหลอมเหลว อุณหภูมทิ ่ที าให้เกิดของเหลวเย็นตัวนัน้ จะ
ปรากฏเป็ นช่ ว งกว้ า ง (ในพื้ น ที่ ท่ี แ รเงาไว้ ) ซึ่ ง เกี่ ย วข้ อ งกั บ แรงขับ เคลื่ อ นทางเทอร์ โ มไดนามิ ก
(Thermodynamic driving force) ซึง่ ทาให้กลุ่มของอะตอมในสถานะของเหลวเปลีย่ นเป็ นผลึกของแข็งและจะ
เกี่ยวข้องกับความเร็วของอะตอมที่จะเคลื่อนที่ไปอยู่ระหว่างรอยต่อระหว่างของแข็งของเหลว (Liquid-solid
interface) กล่ า วคือ หากของเหลวมีอุ ณ หภู ม ิล ดลงต่ า กว่ า Tm และอยู่ใ นช่ ว งที่แ รเงาเป็ น เวลานาน แรง
ขับเคลื่อนทางเทอร์โมไดนามิกที่ทาให้เกิดของแข็งและการเคลื่อนที่ของอะตอมไปอยู่บริเวณรอยต่อระหว่ าง
ของแข็งของเหลวจะมีสูง ซึ่งในสภาวะนี้ทาให้จานวนนิวคลีไอเพิม่ มากขึ้นและอัตราการโตของผลึก เพิ่มขึ้น
ส่งผลให้เกิดผลึก (Crystal) ขึน้ ในระหว่างการเย็นตัว ทาให้ค่าเอนทาลปี หรือปริมาตรของระบบลดลงอย่าง
รวดเร็ว จากนัน้ เมื่ออุณหภูมลิ ดต่ าลง เอนทาลปี หรือ ปริมาตรของระบบจะลดลงอย่างช้า ๆ โดยจะขึน้ อยู่กบั
ความจุความร้อนของผลึก (หากพิจารณาเอนทาลปี ของวัสดุ) หรือ ขึน้ อยู่กบั การขยายตัวเพราะความร้อ น
(Thermal expansion) ของผลึก (หากพิจารณาปริมาตรของวัสดุ)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 3
การผลิตแก้วนัน้ สามารถทาได้หลายวิธขี ้นึ อยู่กบั ชนิดของแก้ว และลักษณะการใช้งาน เป็ นต้น แต่
โดยทัวไปแล้
่ วแก้วทีม่ กี ารผลิตจานวนมากในระดับอุตสาหกรรมนัน้ ทาได้โดยการหลอมวัตถุดบิ ชนิดต่าง ๆ ที่
ผสมตามส่วนผสมทีค่ านวณไว้ทอ่ี ุณหภูมสิ งู จนวัตถุดบิ เหล่านัน้ กลายเป็ นของเหลวหนืดหรือน้ าแก้วทีเ่ รียกว่า
ของเหลวปราศจากผลึก (Crystal-free melt) จากนั น้ น้ า แก้ ว หลอมจะถู ก ท าให้ เ ย็น ตัว อย่ า งรวดเร็ว ถึง
อุณหภูมหิ อ้ ง กลายเป็ นวัสดุแก้ว โดยแก้วจะไม่มโี ครงสร้างผลึก (Crystal structure) แต่มโี ครงสร้างอสัณฐาน
(Amorphous structure) ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น สภาพอสัณฐานของแก้วสามารถตรวจสอบได้ดว้ ยเทคนิคต่าง
ๆ เช่น เทคนิค การเลี้ยวเบนของรังสีเ อกซ์ (X-ray diffraction) หรือ เทคนิค การเลี้ยวเบนของอิเ ล็กตรอน
(Electron diffraction) เป็ นต้น ซึ่งลักษณะที่ได้จะมีความแตกต่างกันชัดเจน ดังแบบแผนการเลี้ยวเบนของ
รังสีเอกซ์ (X-ray diffraction pattern) ของแก้ว (รูป 1.3 ก.) กับผลึก (รูป 1.3 ข.)
รูป 1.3 แบบแผนการเลีย้ วเบนของรังสีเอกซ์ (X-ray diffraction pattern) ของ (ก) วัสดุอสัณฐาน
และ (ข) วัสดุทม่ี โี ครงร่างผลึกแน่นอน
1.2 การจาแนกประเภทของแก้ว
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 4
เปลี่ยนแปลงความร้อนอย่างฉับพลัน (Thermal shock resistance) ได้ดี ดังนัน้ การจาแนกประเภทของแก้ว
สามารถแบ่งตามลักษณะการนาไปใช้ (ตัวอย่างดังรูป 1.4 ) หรือแบ่งตามองค์ประกอบของแก้ว
(ก) (ข)
(ค) (ง)
1.2.1 จาแนกตามลักษณะการใช้งาน
- บรรจุภณ ั ฑ์แก้ว (Container glass) เช่น ขวด แก้ว น้ า ถ้วย และ จาน เป็ นต้น แก้วประเภทนี้ม ี
ปริมาณการผลิตต่อปี สงู ทีส่ ุด เพราะมีราคาถูกและมีความต้องการใช้สงู ในขัน้ ตอนการขึน้ รูปของแก้วชนิดนี้จะ
ใช้หลักการเป่ าก้อนแก้วเหลว (Gob) เพื่อให้เป็ นรูปทรงตามต้องการ ดังตัวอย่างในรูป 1.5 โดยเป็ นแก้ว
ประเภทโซดาไลม์ซิล ิก า (Soda lime silica glass) หรือ แก้ว โซเดียมแคลเซียมซิล ิเ กต (Sodium calcium
silicate glass) ซึง่ เป็ นแก้วกลุ่มซิลเิ กตทีเ่ ติมโซเดียมออกไซด์หรือโซดา (Na2O) และ แคลเซียมออกไซด์ หรือ
ไลม์ (CaO) เพื่อช่วยลดอุณภูมทิ ่ใี ช้ในการหลอมแก้ว ซิลกิ าลงและเพื่อปรับปรุงสมบัติของแก้วอีกด้วย แก้ว
ประเภทนี้อาจเติมก๊าซซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ (SO3) ลงไปเพื่อลดฟองก๊าซทีเ่ กิดขึน้ ระหว่างการหลอมซึง่ จะได้
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 5
กล่าวถึงโดยละเอียดต่อไป องค์ประกอบทางเคมีโดยทัวไปของแก้
่ วชนิดนี้จะประกอบด้วย ซิลกิ า (SiO2) 72%
โซดา (Na2O) 14% ไลม์ (CaO) 11% และ อะลูมนิ า (Al2O3) 2% โดยน้ าหนัก หากเป็ นแก้วที่ใช้เป็ นภาชนะ
บรรจุยาหรือสารเคมีบางชนิดแก้วทีใ่ ช้มกั เป็ นแก้วประเภทบอโรซิลเิ กต (Borosilicate glass) ซึง่ จะประกอบไป
ด้วยโบรอนออกไซด์ (B2O3) และซิลกิ า (SiO2) เป็ นหลัก โดยจะไม่มปี ริมาณของโซเดียมออกไซด์แก้วชนิดนี้
เนื่องจากโซเดียมจะละลายออกมาจากแก้วและทาปฏิกริ ยิ ากับตัวยาหรือสารเคมีทบ่ี รรจุอยู่ภายใน
- แก้วเพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น เครื่อ งแก้ว สาหรับห้อ งปฏิบตั ิก าร แก้ว เพื่อ การตกแต่ ง (Lead
crystal glass) เลนส์ แ ก้ ว (Glass lens) ไฟเบอร์ ก ลาส (Glass fibre) หรือ ใยแก้ ว น าแสง (Optical fibre)
หลอดไฟต่าง ๆ แก้วพรุน (Porous glass) และแก้วเชื่อมประสาน (Sealing glass) เป็ นต้น
แก้ว ที่ใ ช้ง านเชิง แสง (Optical glass) คือ แก้ว ที่ใ ช้ง านในอุ ป กรณ์ ห รือ เครื่อ งมือ ขัน้ สู ง ต่ า ง ๆ ที่
เกีย่ วข้องปฏิกริ ยิ าระหว่างแสงกับแก้ว เช่น การดูดกลืนแสง การส่องผ่านแสง และการหักเหแสง เป็ นต้น โดย
แก้วจะต้องผ่านกระบวนการผลิตทีม่ กี ารควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัดและผ่านการเทียบมาตรฐานต่าง ๆ ที่
เกี่ยวข้อง เช่น ค่าดัชนีหกั เหแสง (Refractive index) และเลข Abbe (Abbe number) ซึ่งใช้สญ ั ลักษณ์คอื
เป็ นต้น อีกทัง้ แก้วต้องมีความเป็ นเนื้อเดียวกันสูง (ทัง้ ทางกายภาพและทางเคมี) แก้วทีใ่ ช้งานเชิงแสงสามารถ
แบ่งได้เป็ น 4 ประเภท ได้แก่
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 6
โดยค่าดัชนีหกั เหแสงและเลข Abbe ของแก้วที่ใช้งานเชิง แสงจะมีความสัมพันธ์กนั และสามารถสรุปได้ดงั
แผนผังแสดงในรูป 1.6
(ก)
(ข)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 7
ไฟเบอร์กลาส (Glass fibre) เป็ นเส้นใยแก้วที่ยาวต่อเนื่องซึ่งถูกใช้งานในหลายลักษณะ เช่นใช้เป็ น
ฉนวนไฟฟ้ า ฉนวนความร้อนและใช้เป็ นวัสดุเสริมแรงในพลาสติก เป็ นต้น แก้วชนิดนี้เป็ นแก้วที่มอี อกไซด์
ของอัลคาไลน์ต่ า (Na2O+K2O ไม่เกิน 1%) ในการผลิตทาได้โดยการหลอมวัตถุดบิ ที่ผสมแล้วในเตาหลอม
แบบต่อเนื่อง ทีอ่ ุณหภูมปิ ระมาณ 1550 เซลเซียส (อาจเติม CaF2 ลงไปเพื่อทาให้การหลอมดีขน้ึ ) ความหนืด
ของแก้วหลอมเป็ นสิง่ ทีส่ าคัญทีส่ ่งผลต่อการขึน้ รูปโดยการดึงแก้วหลอมให้เป็ นเส้นใยยาว นอกเหนือไปจากนี้
ยังมีการพัฒนาไฟเบอร์กลาสชนิดที่สามารถนาแสงได้ ที่เรียกว่า เส้นใยนาแสง (Fibre optics หรือ Optical
fibre) หรือใยแก้วนาแสง ซึง่ เริม่ มีการพัฒนามาตัง้ แต่ปี ค.ศ. 1967 โดยใยแก้วนาแสงสามารถประยุกต์ใช้ใน
หลายลัก ษณะ เช่ น สายสัญ ญาณน าภาพในวัส ดุ ท างการแพทย์ หรือ สายน าสัญ ญาณ ส่ ง ข้อ มูล ในการ
ติดต่อสื่อสาร เป็ นต้น
1) แก้ ว ซิ ลิ ก า (Silica glass or quartz glass) คือ แก้ ว ที่ ใ ช้ แ ร่ ค วอตซ์ (Quartz) หรือ ทรายหรือ
ซิลกิ อนไดออกไซด์ (SiO2) เป็ นวัตถุดบิ โดยทัวไปวั่ ตถุดบิ ประเภทนี้จะมีสงิ่ เจือปนปนอยู่เล็กน้อย (ประมาณ
0.01 %) เช่น ออกไซด์ของโลหะต่าง ๆ เป็ นต้น น้ าแก้วซิลกิ าจะมีความหนืดค่อนข้างสูง (สูงที่สุดในบรรดา
แก้วกลุ่มออกไซด์) โดยมีความหนืด ณ อุณหภูม ิ 1726 องศาเซลเซียส (จุดหลอมเหลวของ SiO2) ประมาณ
107 เดซิพาสคัลวินาที (dPas) แก้วประเภทนี้จะเริม่ ตกผลึกที่อุ ณหภูมชิ ่ว ง 1150 – 1200 เซลเซียส แก้ว
ควอตซ์มกั จะขึน้ รูปเป็ นท่อกลวง (ดังรูป 1.7) เนื่องจากแก้วชนิดนี้มคี วามหนืดสูงมากทาให้มโี อกาสที่ไอน้ า
หรืออากาศจะถูกกักไว้ในแก้วในระหว่างการหลอมกลายเป็ นตาหนิของผลิตภัณฑ์ได้ ซึ่งโดยทัวไปฟองก๊ ่ าซ
ดังกล่าวจะมีขนาดประมาณ 10 – 100 ไมโครเมตร และพบว่าความบริสุทธิ ์ของวัตถุดบิ จะส่งผลต่อปริมาณ
ฟองอากาศที่เกิดขึ้นในแก้ว ซึ่ง อาจทาให้วตั ถุดบิ บริสุทธิ ์มากขึ้นโดยการชะด้วยกรด (Acid leaching) หลัง
ขัน้ ตอนการบดวัตถุดบิ อย่างไรก็ตามในกระบวนการหลอมแก้วควอตซ์จะต้องใช้วธิ พี เิ ศษเพื่อไล่ฟองก๊าซ โดย
การหลอมแก้วในระบบสุญญากาศ ซึง่ จะเริม่ ดูดอากาศออกขณะหลอมทีอ่ ุณหภูมปิ ระมาณ 1400 เซลเซียส ซึง่
เป็ นอุณหภูมกิ ารเผาผนึก (Sintering) ของซิลกิ า ซึ่งทาให้ฟองอากาศหรือก๊าซที่ค้างอยู่ในช่องว่างระหว่าง
วัตถุดบิ ถูกกาจัดออกไป โดยการใช้ระบบสุญญากาศจะทาให้อนุ ภาคอยู่ชดิ กันมากทีส่ ุด ซึง่ ทาให้ฟองอากาศ
หรือ ฟองก๊ าซที่ถู ก กักในช่องว่างระหว่างอนุ ภาคมีน้อยลง ส่ งผลให้ฟองก๊ าซคงค้างมีน้อย จากนัน้ จึงเพิ่ม
อุณหภูมสิ งู ถึงประมาณ 2000 เซลเซียส เพื่อทาให้วตั ถุดบิ กลายเป็ นของเหลวสมบูรณ์
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 8
รูป 1.7 ท่อแก้วควอตซ์ทม่ี คี วามหนาต่าง ๆ กัน
[ทีม่ า http://www.bombayharbor.com/Product/27805/Thick_Wall_Quartz_Glass_Tube.html]
2) แก้ ว โซเดี ย มซิ ลิ เ กต (Sodium silicate glass; SiO2Na2O หรื อ Water glass) ค าว่ า Water
glass มาจากการนาแก้วโซเดียมซิลเิ กตไปละลายในน้ า ซึ่งจะให้สารละลายที่มสี มบัตเิ ป็ นตัวเชื่อมประสาน
(Binding agent) ซึ่ง แก้ ว จะมีอ ัต ราส่ ว นระหว่ า ง SiO2 ต่ อ Na2O หรือ ที่เ รีย กว่ า ซิล ิเ กตมอดุ ล ัส (Silicate
modulus) นัน้ จะมีค่ า อยู่ใ นช่ ว งระหว่ า ง 2.0 – 3.3 (แก้ว โซเดีย มซิล ิเ กตทางการค้า จะมีค่ า นี้ อ ยู่ป ระมาณ
3.2 - 3.3 หรือมีปริมาณ SiO2 อยู่ประมาณ 66 – 76 %) แก้วประเภทนี้จะมีความหนืดต่ าเมื่อเปรียบเทียบกับ
แก้วควอตซ์ โดยค่าความหนืด () ของแก้วชนิดนี้จะขึน้ อยู่กบั อุณหภูมแิ ละค่า ซิลเิ กตมอดุลสั หรือ ปริมาณ
Na2O ที่มอี ยู่ในแก้ว ซึ่งความหนืดของแก้วจะลดลงเมื่ออุณหภูมเิ พิ่มขึน้ และเมื่อสัดส่วนของ Na2O เพิม่ ขึน้
ดังแสดงในรูป 1.8 แก้ว โซเดียมซิล ิเ กตจะหลอมในเตาหลอมแบบต่อ เนื่อง (Continuous tank furnace) ที่
อุณหภูมปิ ระมาณ 1400 เซลเซียส การผสมส่วนผสมควรควบคุมให้สงิ่ ปนเปื้ อนให้น้อยกว่า 1 % เนื่องจากสิง่
ปนเปื้ อนทาให้การละลายน้ าเปลี่ยนไป การหลอมแก้วประเภทนี้ ทาให้อายุการใช้งานของเตาหลอมสัน้ ลง
เนื่องจากแก้วชนิดนี้จะกัดกร่อนวัสดุทนไฟทีใ่ ช้สร้างเตา นอกจากนัน้ ในการหลอมแก้วชนิดนี้จะต้องคานึงถึง
การระเหยของ Na2O ออกจากน้าแก้วหลอม ซึง่ ส่งผลต่อค่าซิลเิ กตมอดุลสั หรือ ปริมาณของ Na2O ในแก้วจะ
แตกต่างจากที่คานวณไว้ แก้วที่หลอมได้จะมีความโปร่งใส เนื่องจากแก้วชนิดนี้สามารถละลายน้ าได้หรือ
เกิดปฏิกริ ยิ ากับน้ าได้ง่ายจึงจาเป็ นต้องเก็บในที่ท่ปี ราศจากความชื้น หากแก้ว เกิดปฏิกริ ยิ ากับความชื้นใน
อากาศผิวของแก้วจะมีลกั ษณะขุน่
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 9
แก้ว โพแทสเซียมซิล ิเ กต (Potassium silicate water glass) เป็ นแก้ว ที่จดั อยู่ใ นกลุ่ มเดียวกับแก้ว
โซเดียมซิลเิ กต ซึง่ ถูกใช้ในอุตสาหกรรมทีม่ คี วามเฉพาะเจาะจงมากขึน้ เช่น ใช้เป็ นตัวเชื่อมประสานในซีเมนต์
ทีม่ คี วามทนทานต่อกรด เป็ นต้น
3) แก้ ว โซดาไลม์ซิ ลิ เ กต หรื อ โซเดี ย มแคลเซี ย มซิ ลิ เ กต (Soda-lime silicate glass หรื อ
Sodium-calcium silicate; Na2OCaOSiO2) เป็ นแก้วทีใ่ ช้ทาบรรจุภณ ั ฑ์ต่าง ๆ เช่น ขวดน้ า แก้วน้ า จาน
และแผ่นกระจก เป็ นต้น หากพิจารณาแผนภาพวัฏภาค (Phase diagram) ของออกไซด์ระบบนี้ (รูป 1.9)
พบว่าช่วงทีส่ ามารถเกิดแก้วได้ (Glass-forming range) ของระบบนี้มชี ่วงกว้าง ซึง่ เป็ นบริเวณทีม่ ปี ริมาณของ
ซิลกิ ามากกว่า 50 % โดยโมล ซึง่ เป็ นพืน้ ทีท่ แ่ี รเงาในรูป 1.9 ซึง่ องค์ประกอบของแก้วทางการค้าจะครอบคลุม
บริเ วณต่ า ง ๆ ได้ แ ก่ บริเ วณของดี ว ิ ไ ทรท์ (Devitrite; Na2O3CaO6SiO2) บริเ วณวอลลาสโทไนท์
(Wallastonite; CaOSiO2) บริเวณทริไดไมท์ (Tridymite; SiO2) และบริเวณของ Na2OCaO5SiO2 อีกทัง้
จากแผนภาพวัฏภาคในรูป 1.9 จะแสดงเส้นอุณหภูมคิ งที่ (Isothermal line) ซึง่ เป็ นเส้นทีร่ ะบุว่าองค์ประกอบ
ในบริเวณนัน้ ๆ จะกลายเป็ นของเหลวหากอุณหภูมขิ ององค์ประกอบนัน้ ๆ สูงกว่าอุณหภูมทิ ่แี สดงบนเส้น
อุณหภูมคิ งที่ เส้นนี้ในบางกรณีจะถูกเรียกว่า Liquidus line จากแผนภาพวัฏภาคในรูป 1.8 แต่ละอุณหภูมทิ ่ี
ปรากฏจะต่ ากว่าจุดหลอมเหลวของซิลกิ ามาก แสดงให้เห็นว่าองค์ประกอบที่ปรากฏอยู่ในบริเวณดังกล่ าว
สามารถหลอมเหลวหรือกลายเป็ นของเหลวได้ทอ่ี ุณหภูมติ ่า
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 10
การเติมสารประกอบออกไซด์บางประเภทลงไปในแก้ว Na2OCaOSiO2 จะช่วยปรับปรุงสมบัติของ
แก้ว และทาให้ตาหนิทเ่ี กิดระหว่างกระบวนการผลิตลดลงได้ เช่น การเติม MgO และอะลูมนิ า (Al2O3) จะช่วย
ลดการเกิดผลึกในแก้วระหว่างการเย็นตัว โดย Al2O3 ส่งผลทาให้แก้วมีความหนืดเพิม่ ขึน้ เล็กน้อย เมื่อแก้วมี
ความหนืดสูงขึน้ การเกิดผลึกในแก้วจะช้าลง การเติม Al2O3 นอกจากจะลดอัตราการเกิดผลึกในแก้วแล้ว ยัง
เพิม่ ความทนทานต่อการกัดกร่อนของสารเคมีอกี ด้วย องค์ประกอบของแก้วทางการค้าทีท่ าเป็ นกระจกแผ่น
และภาชนะที่ผ ลิต กันมากคือ มี SiO2 อยู่ใ นช่ว ง 70 – 73.5 wt% Al2O3 อยู่ใ นช่ว ง 0.6 – 2.0 wt% CaO อยู่
ในช่วง 6 – 11 wt% MgO อยูใ่ นช่วง 1.5 – 4.5 wt% และ Na2O อยูใ่ นช่วง 13 – 15 wt%
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 11
โดยสีทป่ี รากฏจะขึน้ อยู่กบั ชนิดและปริมาณของไอออนต่าง ๆ ได้แก่ Fe2+ หรือ Fe3+ และ S2- หรือ SO42- โดย
ไอออนเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับบรรยากาศในการหลอมว่าเป็ นบรรยากาศออกซิเดชัน หรือบรรยากาศรีดกั ชัน
ทาให้ตอ้ งควบคุมการบรรยากาศการหลอมอย่างเคร่งครัด
4) แก้วระบบ K2OCaOSiO2 และ K2OPbOSiO2 หรือที่ เรียกว่ าแก้ วคริ สตัล (Crystal glass)
คาว่า Crystal glass เป็ นแก้วใสและมีลกั ษณะแวววาวเนื่องจากมีการหักเหแสงสูง แก้วชนิดนี้มกั ใช้ใ นการ
ตกแต่งหรือเป็ นเครื่องประดับ เช่น แก้วภายใต้แบรน “สวารอฟสกี” (Swarovski) เป็ นต้น อย่างไรก็ตามคา
จากัดความของคาว่าแก้ว Crystal ยังไม่ชดั เจน โดยขึ้นอยู่กบั ผู้ให้คานิยาม โดยส่วนมากแก้วคริสตัล จะมี
องค์ประกอบของตะกัวออกไซด์
่ (PbO) มากกว่า 24 % โดยน้ าหนัก และมีค่าดัชนีหกั เหแสง (Refractive
index) มากกว่า 1.545 นอกจากตะกัวออกไซด์
่ แล้ว โพแทสเซียมออกไซด์ (K2O) สามารถใช้เป็ นวัต ถุ ดิบ
ทดแทนการใช้ตะกัวออกไซด์
่ (PbO) แก้วชนิดนี้แบ่งเป็ น 2 ประเภทตามเหล่งกาเนิดทีม่ กี ารผลิตแก้วชนิดนี้ใน
สมัยโบราณ คือ แก้ว Bohemain Crystal (K2O-CaO) และแก้ว English Crystal (K2O-PbO) เมื่อ พิจารณา
ลักษณะเฉพาะของแผนภาพวัฏภาคของระบบ K2O-PbO-SiO2 ดังรูป 1.10 ก. พบว่าแก้วชนิดนี้มชี ่วงการเกิด
แก้ว ที่ก ว้า งมากท าให้ส ามารถท าแก้ว ได้ง่า ย แต่ ใ นทางปฏิบ ัติเ นื่ อ งจากอัต ราการตกผลึก ของแก้ว บาง
องค์ประกอบสูงกกว่าองค์ประกอบอื่น ๆ (บริเวณที่ม ี PbO) และบางองค์ประกอบแก้วจะมีความทนทานต่อ
สารเคมีต่ า (ปริมาณ K2O สูง) โดยองค์ประกอบที่เหมาะสมในการผลิตแก้วคริสตัล ในเชิงการค้าจะอยู่ใ น
บริเวณที่แรเงาไว้ในรูป 1.10 ก. (บริเวณ SiO2 - K2O4SiO2 - K2OPbO4SiO2 - K2O4PbO - PbOSiO2)
ผลขององค์ประกอบทางเคมีจะส่งผลต่อค่าดัชนีหกั เหแสงและความหน้าแน่ นของแก้ว พบว่าเมือ่ ปริมาณซิลกิ า
สูงขึน้ ความหนืดของแก้วก็จะเพิม่ ขึน้ เช่นกัน ส่วนปริมาณ PbO ทีเ่ พิม่ ขึน้ จะส่งผลต่อค่าดัชนีหกั เหแสง; n (เส้น
ทึบ) และ ความหนาแน่นของแก้ว; (เส้นประ) ดังแสดงในรูป 1.10 ข.
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 12
รูป 1.10 (ก) แผนภาพวัฏภาคระบบ K2O-PbO-SiO2 และ (ข) ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบแก้วกับ
ความหนาแน่ นและความหนืดของแก้วคริสตัล [ดัดแปลงจาก J. Hlavac (1983)]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 13
5) ระบบโซเดี ยมบอโรซิ ลิเกต (Na2OB2O3SiO2) แก้วชนิดนี้จะทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูม ิ
อย่างฉับพลัน (Thermal Shock Resistance) ได้ดี เนื่องจากเป็ นแก้วที่มคี ่าสัมประสิทธิ ์การขยายตัวเพราะ
ความร้อ น (Thermal Expansion Coefficient; ) ต่ า (ต่ า กว่ า 50 x 10-7 ต่ อ เซลเซีย ส หรือ C–1) ซึ่ง ใน
บางครัง้ ถู ก เรียกว่าแก้ว ทนความร้อ น (Heat-resistance glass) แก้ว ชนิดนี้เ ป็ นแก้ว ที่ถู กพัฒนาเพื่อ ใช้ใ น
ห้องปฏิบตั กิ ารทางวิทยาศาสตร์และมีอยูห่ ลายประเภท แก้วทีร่ จู้ กั กันดีในกลุ่มนี้คอื แก้ว ไพเร็กซ์ (Pyrex) หรือ
แก้วทีใ่ ช้ในทางการแพทย์จะเรียกว่าแก้วนิวทรัล (Neutral glass) เป็ นต้น แก้วนิวทรัลทางการแพทย์จะมีการ
ละลายของไอออนต่ ามากที่อุณหภูม ิ 120 เซลเซียส ทาให้ยา เซรุม หรือสารเคมีต่าง ๆ ไม่เสียสภาพหรือเสีย
ฤทธิ ์ทางยาจากการเกิดปฏิกริ ยิ ากับไอออนทีอ่ าจละลายออกมาจากแก้ว
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 14
แก้วทีม่ กี ารผลิตในระดับอุตสาหกรรม จะมีองค์ประกอบต่าง ๆ กันขึน้ อยูก่ บั ชนิดและการนาไปใช้งาน
ซึง่ สามารถสรุปได้ดงั ตาราง 1.1
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 15
ในการใช้งานกับย่านแสงช่วงอินฟราเรด (Infrared region) และดูดกลืนความยาวคลื่นในช่วงวิซเิ บิล (Visible)
ได้ดี แก้ว ประเภทนี้ยงั มีส มบัติเ ป็ นสารกึ่งตัว นา (Semiconductor) โดยในการผลิต แก้ว กลุ่ มนี้จะหลอมใน
สุญญากาศเพื่อป้ องกันการเกิด ปฏิกริ ยิ าออกซิเดชันกับองค์ประกอบต่าง ๆ ในแก้ว กลายเป็ นสารประกอบ
ออกไซด์
คาถามท้ายบท
1) แก้วคืออะไร
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 16
บทที่ 2
กระบวนการผลิ ตแก้ว
Glass Production Processes
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 17
รูป 2.1 กระบวนการผลิตกระจกแผ่น [ดัดแปลงจาก http://www.sneresearch.com/eng/info/
show.php?c_id=4889&pg=8&s_sort=&sub_cat=&s_type=&s_word=]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 18
แคลเซีย มออกไซด์แ ละแมกนี เ ซีย มออกไซด์ซ่ึง ได้ม าจากวัต ถุ ดิบ หลัก คือ หิน ปูน (CaCO3) และ
โดโลไมท์ (Dolomite; CaMg(CO3)2) จะต้องผ่านการควบคุมปริมาณเหล็กออกไซด์และขนาดอนุ ภาคเช่นกัน
โดยขนาดทีเ่ หมาะสมใช้ในการผลิตกระจกและภาชนะหรือบรรจุภณ ั ฑ์จากแก้ว คือ 0.1 – 0.6 มิลลิเมตร และ
1 – 3 มิลลิเมตร ตามลาดับ
โซดาแอช (Soda ash; Na2CO3) เป็ นวัตถุดบิ หนึ่งทีใ่ ห้ Na2O ในแก้ว ซึง่ ขนาดเฉลีย่ ของโซดาแอชจะ
มีขนาดหยาบได้ โดยมีขนาดอยู่ในช่วง 0.1 – 1 มิลลิเมตร นอกเหนือจากโซดาแอชแล้วยังมีแร่เฟลด์สปาร์
แร่โฟโนไลต์ (Phonolite) ที่เติมลงไปเพื่อให้องค์ประกอบของ Na2O ในแก้ว อย่างไรก็ตามวัตถุดบิ สองชนิด
ดังกล่าวจะแตกตัวให้สารประกอบออกไซด์อ่นื ๆ ด้วย เช่น แร่เฟลด์สปาร์ (Na2OAl2O36SiO2) จะสลายตัว
ให้ Na2O, Al2O3 และ SiO2 หากใช้แร่เหล่านี้จะส่งผลทาให้ปริมาณของ Al2O3 สูงขึน้ อีกทัง้ แร่เหล่านี้มปี ริมาณ
เหล็กออกไซด์สูงอีกด้วย อาจมีการใช้โซเดียมซัลเฟต (Na2SO4) โซเดียมไนเตรต (NaNO3) และ โซดาไฟ
(NaOH) ในบางอุตสาหกรรม เพื่อปรับสมบัติของน้ าแก้วหลอม แต่มขี ้อควรระวังคืออาจเกิดผลกระทบต่อ
สิง่ แวดล้อมได้ เช่น เกิดก๊าซเรื่อนกระจก หรือ อาจทาให้แก้วมีปริมาณหมู่ไฮดรอกซิล (OH–) สูง จึงไม่ควรใช้
สารเหล่านี้ในปริมาณทีส่ งู เกินไป
แร่โพแทช (Potash; K2CO3) ไฮเดรตโพแทช (Hydrated potash หรือ pearl ash; K2CO31.5H2O)
เป็ นวัตถุดบิ ที่ให้โพแทสเซียมออกไซด์ (K2O) ในแก้ว จากปฏิกิรยิ าการสลายตัวด้ว ยความร้อ น (Thermal
decomposition หรือ calcination) อย่างไรก็ตาม K2O ที่ได้จากการแตกตัวนัน้ สามารถทาปฏิกริ ยิ ากับน้ าได้
ง่าย (Hygroscopic) ซึง่ ส่งผลต่อการชังน
่ ้ าหนักวัตถุดบิ และอาจทาให้เกิดปั ญหาในระหว่างการลาเลียงเข้าเตา
หรือเข้าถังพัก เช่น การเกาะเป็ นก้อนในระหว่างการผสม หรือทีเ่ รียกว่า Lumps
วัตถุดบิ อื่น ๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมแก้ว เช่น วัตถุดบิ ที่ให้แ บเรียมออกไซด์ (BaO) ได้แก่ แบเรียม
คาร์บ อเนต (BaCO3) และแบเรีย มซัล เฟต (BaSO4) ซึ่ง ใช้ ใ นปริม าณเล็ก น้ อ ย หรือ แบเรีย มไนเตรต
(Ba(NO3)2) ทีใ่ ช้ในแก้วเชิงแสง วัตถุดบิ กลุ่มทีใ่ ห้ตะกัวออกไซด์
่ (PbO) ได้แก่ ตะกัวแดง
่ (Red lead; Pb3O4)
ตะกัวออกไซด์
่ (PbO) รวมไปถึงตะกัวซิ
่ ลเิ กต เช่น PbO0.33SiO2 หรือ PbO0.67SiO2 ทีม่ ขี อ้ ดีกว่าคือ PbO
จะระเหยได้น้อยกว่าวัตถุดบิ สองชนิดแรก และวัตถุดบิ กลุ่มทีใ่ ห้อะลูมนิ า (Al2O3) อาจใช้อะลูมนิ าเติมลงไปเป็ น
ส่วนผสมโดยตรง แต่กม็ ขี อ้ เสีย คือ อะลูมนิ าเป็ นวัตถุดบิ ทีห่ ลอมได้ยากมาก จึงอาจจะจาเป็ นต้องเลีย่ งไปใช้แร่
ต่ าง ๆ ที่มอี ะลูมนิ าเป็ นองค์ประกอบ หรือ สารประกอบอื่น ๆ แทน เช่น เฟลด์ส ปาร์ แร่เ กาลิน (Kaolin;
Al2O32SiO22H2O) หรือ โฟโนไลท์ เป็ นต้น
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 19
วัตถุดบิ ต่าง ๆ ทีผ่ ่านการตรวจสอบคุณภาพจะถูกกักเก็บในถังเก็บขนาดใหญ่หรือไซโล (Silo) เพื่อรอ
การนาไปใช้ในกระบวนการผลิต ตามสัดส่วนที่ได้คานวณไว้ จากที่กล่าวมาข้างต้นวัตถุดบิ แต่ละชนิดอาจให้
ออกไซด์ได้หลายชนิด ดังนัน้ ในการคานวณจะต้องคานึงถึงองค์ประกอบทางเคมีหรือผลวิเคราะห์องค์ประกอบ
ทางเคมีของวัตถุดบิ แต่ละชนิด ความชืน้ ทีว่ ตั ถุดบิ มีอยู่ และปริมาณการสูญเสียของสารระเหยได้จากวัตถุดบิ
(Volatilisation loss) เป็ นต้น จากนัน้ วัตถุดบิ จะถูกชังน
่ ้ าหนักตามปริมาณทีต่ ้องการ และลาเลียงไปสู่ขนั ้ ตอน
การผสมเพื่อให้วตั ถุดบิ ผสมเป็ นเนื้อเดียวกันและกระจายตัวดีทส่ี ุด ในขัน้ ตอนการลาเลียงวัตถุดบิ ทีผ่ สมเข้ากัน
ดีแล้วสู่เตาหลอมก็ควรคานึงถึงปั จจัยหลายประการ เช่ น แรงสันสะเทื ่ อนของเครื่องจักรอาจทาให้เกิดการฟุ้ง
กระจายของวัต ถุ ดิบ ที่ม ีข นาดเล็ก มาก แรงสัน่ สะเทือ นอาจท าให้ว ัต ถุ ดิบ เกิด การแยกชัน้ หรือ แยกส่ ว น
(Segregation) เนื่องจากความหนาแน่ นของวัตถุดบิ แต่ละชนิดไม่เท่ากัน ซึ่งอาจแก้ปัญหานี้โดยการพ่นน้ า
เล็กน้อย (ประมาณ 3 – 4 %) ในระหว่างการลาเลียงเข้าสู่เตาหลอม
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 20
หลอม (Melting bath) จะมีอุ ณ หภูมสิ ูงเพื่อ ให้ได้น้ าแก้ว ที่มคี วามหนืดประมาณ 102 พอยส์ จากนัน้ จะลด
อุณหภูมลิ งในขัน้ ตอนของการลดฟองก๊าซ และ ขัน้ ตอนการทาให้เป็ นเนื้อเดียวกัน เพื่ อให้ความหนืดอยู่ท่ี
ประมาณ 103 พอยส์ เพื่อให้มคี วามเหมาะสมกับกระบวนการขึน้ รูป
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 21
ความร้อนดีมาก แก้วจะเริม่ แตกทีผ่ วิ ก่อน เนื่องจากเกิดความแตกต่างของอุณหภูมทิ ผ่ี วิ แก้วและภายในเนื้อ
แก้ว หรือหากการถ่ายเทความร้อนไม่ดแี ก้วจะติดอยู่กบั แบบขึน้ รูปโลหะได้ เนื่องจากแก้วหดตัวช้าทาให้หลุด
ออกจากแบบพิมพ์โลหะได้ยาก อย่างไรก็ตามการควบคุมการถ่ายเทความร้อนของแก้วทาได้ยากมาก ดังนัน้
ความเสีย หายของผลิต ภัณ ฑ์แ ก้ว หรือ การแตกของแก้ว ในระหว่ า งการขึ้น รูป จึง เกิด ขึ้น บ่ อ ย ดัง นัน้ ใน
กระบวนการขึน้ รูปอาจมีการเก็บข้อมูลของอุณหภูมทิ เ่ี ปลีย่ นไปในแต่ละขัน้ ตอน อุณหภูมขิ องแก้วทีเ่ ปลี่ยนไป
ทีเ่ วลาต่าง ๆ และเวลาทีใ่ ช้ในการขึน้ รูป เพื่อนาไปสู่การคานวณทางคณิตศาสตร์ เพื่อสร้างสมการทีส่ ามารถ
ใช้เป็ นแนวทางในการควบคุมขัน้ ตอนต่าง ๆ ในกระบวนการขึน้ รูป เพื่อลดปั ญหาทีเ่ กิดจากการถ่ายเทความ
ร้อนของแก้ว
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 22
2.4 ขัน้ ตอนการอบอ่อน (Annealing process)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 23
ใหญ่ทวไปก็
ั ่ ควรจะมีค่าไม่เกิน 50 – 100 มิลลิไมครอนต่อเซนติเมตร (ค่าไบรีฟรินเจนท์ประมาณ 30 มิลลิ
ไมครอนต่อเซนติเมตร จะเทียบเท่ากับความเค้น (Stress) ทีป่ ระมาณ 150 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว หรือ 1 x 106
พาสคัล)
คาถามท้ายบท
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 24
บทที่ 3
เครื่องจักรในกระบวนการผลิ ตแก้ว
Machines in Glass Production Processes
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 25
และความร้อนจากไฟฟ้ าเตาทีใ่ ช้แหล่งเชือ้ เพลิงทีแ่ ตกต่างกันจะต้องมีการออกแบบให้เหมาะสมที่จะทาให้ได้
น้าแก้วหลอมเหลวทีม่ คี วามเป็ นเนื้อเดียวกัน (Homogeneous) มากทีส่ ุด ในโรงงานผลิตแก้วมักมีการนาความ
ร้อนทีเ่ กิดจากกระบวนการหลอมกลับมาใช้ใหม่แทนทีจ่ ะให้ความร้อนนัน้ ถ่ายเทไปสู่สงิ่ แวดล้อม ซึง่ ทาได้โดย
การดูดความร้อนโดยใช้พดั ลมดูดอากาศดูด เอาความร้อนทีจ่ ะสูญเสียสู่สงิ่ แวดล้อมกลับมาให้กบั วัตถุดบิ เพื่อ
ทาให้วตั ถุดบิ มีอุณหภูมสิ ูงขึน้ ก่อนเข้าสู่เตาหลอม ทาให้สามารถลดพลังงานทีจ่ ะใช้ในการหลอมแก้วได้ อีกทัง้
จะทาให้ความชืน้ ทีม่ อี ยูใ่ นวัตถุดบิ บางประเภทระเหยออกไปก่อนทีว่ ตั ถุดบิ จะเข้าสู่เตาหลอม เตาหลอมแก้วใน
กระบวนการผลิตเชิงอุตสาหกรรม สามารถแบ่งประเภทได้ 4 กลุ่ม ได้แก่
1. เตาหลอมแบบหม้ อ (Pot furnace) (รูป 3.2 และ 3.3) ปริม าณการผลิต แก้ ว จากเตาชนิ ด นี้
ค่อนข้างน้ อยและมักใช้ในการหลอมแก้วชนิดพิเศษที่มฐี านการผลิตไม่มากหรือไม่บ่อย เช่นอุตสาหกรรม
ขนาดเล็ก หรือ อุ ต สาหกรรมในครัว เรือ น ซึ่ง เหมาะกับ กระบวนการผลิต ที่ม ีข นั ้ ตอนที่ไ ม่ต่ อ เนื่ อ ง หรือ
กระบวนการแบบชุด (Batch process) เตาประเภทนี้มปี ระสิทธิภาพในการหลอมต่ า โดยน้ าแก้วจะถูกหลอม
ในหม้อทีท่ าจากเซรามิก ภายในเตาหลอมประเภทนี้จงึ มักจะประกอบไปด้วยถ้วยหลอมหลาย ๆ ใบ เข้าหลอม
พร้อม ๆ กัน เตาประเภทนี้จะทาให้น้ าแก้วหลอมเป็ นเนื้อเดียวกันทาได้ค่อนข้างยาก ซึง่ อาจจะต้องใช้การคน
หรือการพ่นอากาศผ่านท่อเหล็กสู่น้าแก้วหลอมโดยตรงขณะทีแ่ ก้วเป็ นของเหลวสมบูรณ์
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 26
2. ตาหลอมแบบถัง (Day tank furnace) เป็ นเตาที่เ หมาะกับกระบวนการผลิต แบบไม่ต่ อ เนื่ อ ง
เช่นกัน โครงสร้างของเตาและลักษณะของเตามีความแตกต่ างจากเตาหลอมแบบหม้อ (Pot furnace) ขนาด
ของเตา รูปร่างของเตา และวิธกี ารให้ความร้อนของเตาหลอมแบบถังจะมีความแตกต่างกันมากมายขึน้ อยู่กบั
ผูอ้ อกแบบและชนิดของการผลิต เป็ นต้น
รูป 3.2 เตาหลอมแบบหม้อ (Pot furnace) แสดงให้เห็นช่องเปิ ด (ลูกศรชี)้ ทีส่ ามารถนาน้ าแก้วหลอมออกมา
ขึน้ รูปด้วยวิธตี ่าง ๆ แบบไม่ต่อเนื่องได้ [ดัดแปลงจาก http://www.cosmile.org/glass.htm]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 27
3. เตาหลอมแบบถังต่ อเนื่ อง (Continuous tank furnaces) เตาประเภทนี้เหมาะกับอุตสาหกรรม
ขนาดใหญ่ และมีการผลิตอยู่ตลอด 24 ชัวโมง ่ เช่นในอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์บนโต๊ะอาหาร และการ
ผลิตขวดแก้ว เป็ นต้น ซึง่ มักจะใช้ร่วมกับเครื่องขึน้ รูปชนิดอัตโนมัติ พิจารณาแบบของเตาหลอมแบบต่อเนื่อง
ดังรูป 3.4 โดยการหลอมจะใช้พลังงานจากก๊าซทาให้เกิดความร้อนจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง โดยบริเวณที่
เกิดการเผาไหม้เชื้อเพลิงจะอยู่เหนือส่วนผสมวัตถุดบิ (ดังแสดงในรูป 3.5) การหลอมจะอยู่ส่วนต้นของเตา
หลอม เมื่อเกิดการหลอมสมบูรณ์ น้ าแก้วที่หลอมสมบูรณ์จะถูกดึงออกที่ปลายทางของเตาหลอม รูป 3.4
แสดงช่องทางออกทัง้ หมด 9 ช่องทางออกใช้สาหรับ 9 สายการผลิต เตาหลอมประเภทนี้ส่วนผสมจะถูกป้ อน
อย่างต่อเนื่อง และน้าแก้วทีห่ ลอมสมบูรณ์กจ็ ะถูกใช้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ซึง่ บริเวณทีน่ ้าแก้วถูกดึงออกไป
ใช้นัน้ จะมีอุณหภูมติ ่ ากว่าบริเวณหลอมเล็กน้อย เพื่อให้น้ าแก้วมีความหนืดเหมาะสมกับการขึ้นรูป การลด
อุณหภูม ิ อาจทาโดยการสร้างกาแพงกัน้ เหนือบริเวณน้าแก้วระหว่างห้องหลอม (บริ เวณ ข) กับช่องดึงน้าแก้ว
(บริ เวณ ค) เพื่อให้ความร้อนไม่แผ่ไปยังบริ เวณ ค อีกทัง้ จะทาให้ความร้อนบริเวณห้องหลอมเกิดการสูญเสีย
ความร้อนน้อย โดยการออกแบบเตาเพื่อให้ความร้อนจากการเผาไหม้เชือ้ เพลิงเป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพนัน้
ขึน้ อยูก่ บั ผูอ้ อกแบบ เชือ้ เพลิงทีใ่ ช้ จานวนสายการผลิตและเครื่องมือทีใ่ ช้ขน้ึ รูป เป็ นต้น เตาประเภทนี้มกี าลัง
การผลิตสูงมาก (อยู่ในช่วง 50 – 300 ตันต่อวัน) หากเป็ นสายการผลิตกระจก (แก้วแผ่น) จะมีกาลังการผลิต
สูงขึน้ ได้ถงึ 700 ตันต่อวัน
รูป 3.4 แบบของเตาหลอมแก้ว (มุมสูง : Top view) แสดงบริเวณป้ อนวัตถุดบิ (บริ เวณ ก) บริเวณทีเ่ กิดการ
หลอมกลายเป็ นของเหลวหรือห้องหลอมซึง่ เป็ นบริเวณทีม่ อี ุณหภูมสิ งู ทีส่ ุด (บริ เวณ ข) และบริเวณน้าแก้วถูก
ดึงออกไปสู่ขนั ้ ตอนการขึน้ รูป (บริ เวณ ค) [ดัดแปลงจาก J. Hlavac (1983)]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 28
รูป 3.5 ลักษณะการให้ความร้อนเหนือวัตถุดบิ และน้าแก้ว โดยการใช้หวั พ่นไฟ (Burner)
[ทีม่ า http://www.glassonweb.com/articles/article/854]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 29
รูป 3.6 เตาหลอมแก้วซึง่ ให้ความร้อนด้วยแผ่นให้ความร้อน โดย หมายเลข 1 คือ บริเวณทีห่ ลอมวัตถุดบิ
ทัง้ หมด หมายเลข 2 คือ ช่องทีใ่ ห้น้าแก้วทีห่ ลอมเป็ นของเหลวไหลไปสู่บริเวณทีพ่ ร้อมใช้งาน หรือ
Working zone (หมายเลข 3 และ 4) และหมายเลข 5 คือ แผ่นให้ความร้อนชนิดโมลิบดีนัม
[ดัดแปลงจาก J. Hlavac (1983)]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 30
กับแก้วได้ โดยมีแนวทางในการแก้ไขปั ญหาโดยการใช้แหล่งให้ความร้อนทีท่ าจากวัสดุชนิดออกไซด์ของดีบุก
(SnO2) แทน
ในการผลิตภาชนะที่มรี ูปทรงต่ าง ๆ เช่น ขวด แก้ว และเหยือก ในการผลิต นัน้ มักใช้วธิ กี ารกดหรือ
การเป่ า ซึง่ จะเริม่ จากการหยดน้ าแก้วหนืดลงในแบบพิมพ์ โดยในการหยดจะต้องมีปริมาณของน้ าแก้วเท่า ๆ
กันในแต่ละครัง้ ของการหยด ซึง่ ควบคุมจากเครือ่ งมืออัตโนมัติ ทีเ่ รียกว่าเครือ่ งป้ อนน้ าแก้ว หรือ Gob feeder
ซึ่งก้อนน้ าแก้วหนืดที่ถูกทาให้เป็ นก้อนเพื่อเข้าเครื่องขึน้ รูปจะเรียกว่าก้อนแก้ว (Gob) อีกวิธหี นึ่งที่สามารถ
ป้ อ น ก้อ นแก้ว ลงในแบบพิมพ์นัน้ ทาได้โดยการใช้เ ครื่อ งดูด (Suction machine) แต่ เ ป็ นที่นิยมน้ อ ยมาก
หลักการทางานของเครื่องป้ อนน้ าแก้ว (Gob feeder) (รูป 3.7 ก และ ข) ณ บริเวณฟอร์ฮาร์ท (Forehearth)
(รูป 3.7 ค) หรือบริเวณที่เชื่อมต่อระหว่างเตาเผากับเครื่องขึน้ รูป เป็ นบริเวณที่น้ าแก้วจะลดอุณหภูมลิ งจน
แก้วมีความหนืดเหมาะสม ตรงบริเวณส่วนปลายของฟอร์ฮาร์ท (Forehearth) นี้เองจะมีเครือ่ งป้ อนน้ าแก้วติด
ตัง้ อยู่ ซึง่ จะมีหวั กด (Plunger) คอยกดน้ าแก้วให้หยดลงมาด้านล่าง จากนัน้ จะมีใบมีด (Blade) ตัดน้ าแก้วให้
หล่นลงไปในแบบพิมพ์โลหะทีอ่ ยู่ดา้ นล่าง จากนัน้ เครื่องขึน้ รูป จึงทางานต่อไป ซึง่ ใช้ลกั ษณะการขึน้ รูปหลาย
แบบ ได้แก่
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 31
รูป 3.7 (ก) หลักการทางานของเครือ่ งป้ อนน้ าแก้ว (Gob feeder) [ทีม่ า J. Hlavac (1983)]
(ข) แบบจาลองสามมิตขิ องเครือ่ งป้ อนน้ าแก้ว (Gob feeder) [ทีม่ า http://www.parkinson-
spencer.co.uk/SpecialParts.html] และ (ค) ส่วนของฟอร์ฮาร์ท (Forehearth)
[ทีม่ าhttp://www.cgeglass.com.cn/cge/en]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 32
รูป 3.8 การผลิตแก้วด้วยวิธกี ารกด (Pressing) ด้านบนแสดงแบบพิมพ์แบบชิน้ เดียว (Block mold) และ
ด้านล่างแสดงแบบพิมพ์แบบแยกส่วนได้ (Split mold) [ทีม่ า E.B. Shand (1958)]
เครื่องขึ้นรูปด้ วยวิ ธีการเป่ า (Blowing) (รูป 3.9) ก้อ นแก้ว หรือ Gob จะถู กเป่ าให้แนบกับแบบ
พิมพ์โลหะ ซึง่ เป็ นแบบพิมพ์เพียงชุดเดียว ข้อดีของการใช้วธิ นี ้ีคอื การผลิตแก้วให้มรี ปู ร่างซับซ้อนได้มากขึน้
ผลิตภัณฑ์แก้วที่ได้อาจมีรอยต่อ หากใช้แบบพิมพ์หลายส่วนประกบเข้าด้วยกัน เนื่องจากเนื้อแก้วสามารถ
แทรกเข้าไปในช่องว่างระหว่างแบบพิมพ์ ได้ ดังนัน้ ผลิตภัณฑ์ท่ไี ด้จะต้องผ่านกระบวนการกาจัดส่วนเกินนี้
ภายหลัง
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 33
นอกจากนัน้ ได้มกี ารพัฒนาจากเทคนิคต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วเพื่อให้มคี วามสามารถในการขึน้ รูปได้
เร็วขึ้นและสามารถขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ท่มี ีรูปร่างซับซ้อนมากขึ้นได้ ซึ่งจะเป็ นเครื่องจักรที่มขี นาดใหญ่และมี
ความซับซ้อนประกอบด้วยหลายขัน้ ตอน ดังแสดงในรูป 3.10 โดยเครื่องจักรเหล่านี้ได้รบั การออกแบบมา
อย่างดี โดยอาจจะรวมเทคนิคการขึน้ รูปต่าง ๆ หลายวิธดี งั กล่าวข้างต้นเข้าไว้ดว้ ยกัน เช่นการรวมกันระหว่าง
การกดและการเป่ า ที่เรียกว่าเทคนิค Press and blow เป็ นต้น โดยแต่ละเทคนิคอาจเหมาะสาหรับเนื้อแก้ว
หรือการผลิตผลิตภัณฑ์ทแ่ี ตกต่างกัน เช่น
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 34
ปั จจุบนั มีว ิธ ีท่ถี ู ก ปรับปรุงเพื่อ ให้ผ ลิต ได้เ ร็ว มากขึ้น ถึง 15 - 20% ใช้มวลแก้ว น้ อ ยลงประมาณ 30% และ
เพื่อให้สามารถขึน้ รูปผลิตภัณฑ์ทม่ี คี วามหนาของผลิตภัณฑ์ไม่เท่ากันได้ ซึง่ เรียกว่าวิธกี ารกดอัดและการเป่ า
แบบคอแคบ (Narrow neck press and blow; NNPB) และมีขอ้ ดีคอื มีอายุการใช้งานของแบบพิมพ์นานขึน้
วิธกี ารนี้น้ าแก้วหนืดจะถูกเป่ าให้แนบติดกับแบบพิมพ์โลหะ ทัง้ 2 ชุด (ดังรูป 3.11 ข) วิธนี ้ีมขี อ้ ดีคอื
สามารถขึน้ รูปผลิตภัณฑ์ทม่ี รี ปู ร่างได้หลากหลาย (ยกเว้นประเภทเหยือก โถ หรือภาชนะปากกว้าง) ซึง่ ต่อมา
ถูกพัฒนาให้สามารถผลิตได้เร็วขึน้ ประมาณ 10 – 15 % และลดการใช้ปริมาณแก้วได้ประมาณ 10 – 15 %
ซึง่ วิธดี งั กล่าวเรียกว่าวิธกี ารปั ม๊ สุญญากาศ (Blank vacuum (BVP-551))
รูป 3.11 วิธกี ารขึน้ รูปด้วย (ก) วิธกี ดอัดและเป่ า และ (ข) วิธเี ป่ าและเป่ า
[ที่มา http://www.britglass.org.uk/container-glass-manufacture]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 35
3.3.2 การผลิ ตกระจกแผ่น
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 36
การผลิตกระจกด้วยวิธกี ารรีด (Rolling) มีหลักการคือการรีดน้ าแก้วหนืดผ่านแท่งรีด (Roller) ซึง่ เป็ น
ตัวกาหนดความหนาของกระจก วิธนี ้ีเป็ นวิธที ใ่ี ช้ผลิตกระจกหลายประเภท โดยกระจกทีไ่ ด้จะมีความขรุขระ
อยู่ทาให้วธิ กี ารนี้จะต้องมีกระบวนการต่อเนื่องเพื่อทาให้กระจกเรียบและมีความใสมากขึน้ เช่นการขัดกระจก
ซึง่ เป็ นขัน้ ตอนทีใ่ ช้พน้ื ที่ของโรงงานมาก และมีค่าใช้จ่ายในการขัดสูง ดังนัน้ จึงเกิดการพัฒนาเทคนิคที่ใช้กนั
อย่ า งแพร่ ห ลายในปั จจุ บ ัน คื อ วิ ธี ล อยแก้ ว (Float process) ดัง รูป 3.13 ซึ่ ง พัฒ นาโดย Sir Alastair
Pilkington เป็ นวิธที ่ที าให้กระจกเรียบได้โดยการให้น้ าแก้วหลอมลอยอยู่บนโลหะหลอมเหลว เช่น อ่างดีบุก
เหลว (Tin bath) ทีเ่ ป็ นทีน่ ิยมโดยทัวไป ่ เทคนิคนี้แก้วทีห่ ลอมสมบูรณ์จะถูกทาให้แผ่ บนอ่างดีบุก ความหนา
ของกระจกจะถูกควบคุมโดยการคานวณจากสมดุลระหว่างแรงดึงดูดของโลก (Gravitational force) ทีก่ ระทา
ต่อน้ าแก้วหลอม และแรงตึงผิวของโลหะด้านล่าง ณ สภาวะสมดุลของแรงสองแรงดังกล่าวจะทาให้แก้วมี
ความหนาประมาณ 6 – 7 มิลลิเมตร หากต้องการความหนามากขึน้ จะต้องปรับความกว้างของกระจก โดย
การควบคุมระยะการแผ่ของน้ าแก้วหลอมให้พอดี เนื่องจากวิธนี ้ีอาศัยโลหะหลอมเหลว ดังนัน้ จึงต้องป้ องกัน
การเกิดปฏิกริ ยิ าออกซิเดชันของโลหะหลอมเหลวกับอากาศในเตาหลอม โดยทัวไปใช้ ่ บรรยากาศของก๊าซ
ไนโตรเจนผสมกับไฮโดรเจน (N2+H2) ซึง่ เป็ นบรรยากาศรีดวิ ซ์ (Reducing atmosphere) ความหนืดของแก้ว
ในช่วงทีผ่ ่านอ่างดีบุกจะอยู่ท่ปี ระมาณ 104 เดซิพาสคัลวินาที (dPas) โดยผิวบนของแก้วจะต้องได้รบั ความ
ร้อนในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อควบคุมความหนืดของแก้ว และควบคุมอัตราการเย็นตัวของแก้ว จนกระทัง่
ผ่านออกจากอ่างเมื่อมีความแข็งตัวเหมาะสม และจะเข้าสู่การอบอ่อนทีป่ ระมาณ 600 เซลเซียส กระบวนการ
นี้ถูกพัฒนาจนสามารถผลิตแก้วทีม่ คี วามกว้าง 3 เมตร และมีความหนาในช่วง 3 – 15 มิลลิเมตร โดยการผลิต
กระจกหนา 3 และ 6 มิลลิเมตร สามารถทาได้เร็ว 1000 และ 300 เมตรต่อชัวโมง ่ ตามลาดับ กระบวนการนี้
สามารถพัฒนาทาให้ผวิ แก้วมีสมบัตพิ เิ ศษต่าง ๆ ได้ เช่น ทาให้ผวิ แก้วสามารถสะท้อนและดูดกลืนบางความ
ยาวคลื่นแสงได้ ทาให้แก้วสามารถป้ องกันความร้อนได้ระดับหนึ่ง ซึง่ สามารถประยุกต์แก้วนี้กบั งานด้านการ
ก่ อ สร้างและสถาปั ต ยกรรม ซึ่งทาได้โดยการให้แก้ว สัมผัส กับ โลหะผสม (Alloy) ประเภทตะกัว่ ทองแดง
(PbCu) ทีห่ ลอมเหลวอยู่ในระหว่างทีแ่ ก้วลอยอยูใ่ นอ่างดีบุก เมือ่ จ่ายกระแสไฟฟ้ าเข้าไปในระบบ ไอออนของ
โลหะผสมจะสามารถแพร่เข้าสู่ผวิ แก้วได้ ทาให้ผวิ แก้วมีลกั ษณะเป็ นสีทองแดงซึ่งทาให้สมบัติของผิวแก้ ว
เปลี่ย นไป โดยกระบวนการดัง กล่ า วเรีย กว่ า สเปกโทรโฟร์ท (Spectrofloat) หรือ อิ เ ล็ก โทรโฟร์ท
(Electrofloat) เนื่องจากมีการให้กระแสไฟฟ้ าในระหว่างการผลิต
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 37
(ก)
(ข)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 38
(ก) (ข)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 39
3.4 ขัน้ ตอนการอบอ่อน (Annealing process)
คาถามท้ายบท
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 40
บทที่ 4
วัตถุดิบแก้วและการคานวณส่วนผสม
Glass Raw Materials and Batch Calculations
“โดยทัวไปวั
่ ตถุดบิ ทีใ่ ช้ในอุตสาหกรรมการผลิตแก้วจะเป็ นแร่ต่าง ๆ ตามธรรมชาติ
เช่น ทรายแก้ว หินปูน แร่โดโลไมต์ เถ้ากระดูกและหินฟั นม้า เป็ นต้น ซึง่ แร่ต่าง ๆ เหล่านี้เมือ่
ได้รบั ความร้อนในขัน้ ตอนการหลอมแก้ว จะเกิดการปฏิกิรยิ าเคมีต่าง ๆ เช่นการสลายตัว
เพราะความร้อน (Thermal decomposition) การเปลีย่ นแปลงวัฏภาค (Phase transformation) และ
อาจเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ เป็นต้น ในบทนี้จะได้กล่าวถึงวัตถุดบิ ทีน่ ิยม
ใช้ในอุตสาหกรรมแก้วโดยทัวไป ่ รวมถึงการเปลีย่ นแปลงของวัตถุดบิ เมือ่ ได้รบั ความร้อน
ในขณะหลอม และการคานวณองค์ประกอบทางเคมีของแก้วเบื้องต้น”
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 41
ตาราง 4.1 กำรเรียกชื่อแก้วทีม่ อี งค์ประกอบเคมีต่ำง ๆ กัน
องค์ประกอบทางเคมีของแก้ว ชื่อเรียก
ระบบที่มีโครงร่างตาข่าย 1 ชนิ ด
SiO2 แก้วซิลกิ ำ
Na2OSiO2 แก้วโซเดียมซิลเิ กต
CaOSiO2 แก้วแคลเซียมซิลเิ กต
B2O 3 แก้วโบรอนออกไซด์
Li2OB2O3 แก้วลิเทียมบอเรต
Tl2OB2O3 แก้วแทลเลียมบอเรต
P2 O 5 แก้วฟอสฟอรัสเพนตะออกไซด์
Rb2OP2O5 แก้วรูบเิ ดียมฟอสเฟต
BaOP2O5 แก้วแบเรียมฟอสเฟต
CaOAl2O3 แก้วแคลเซียมอะลูมเิ นต
MgOGa2O3 แก้วแมกนีเซียมแกลเลต
ระบบที่มีโครงร่างตาข่าย 2 ชนิ ด
CaOB2O3SiO2 แก้วแคลเซียมบอโรซิลเิ กต
Na2OAl2O3SiO2 แก้วโซเดียมอะลูมโิ นซิลเิ กต
* ตัวเอียง คือ สำรประกอบกลุ่มทีท่ ำหน้ำทีเ่ ป็ นโครงร่ำงตำข่ำย (Glass former)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 42
นอกเหนื อ จำกแก้ ว ระบบออกไซด์ ข้ำ งต้ น แล้ ว ยั ง มีต ัว โครงร่ ำ งตำข่ ำ ยของแก้ ว ชำลโคจีไ นด์
(Chalcogenide glass) ได้แก่ ธำตุ ซลั เฟอร์ (S) ซีลเี นียม (Se) และ เทลลูเรียม (Te) และสำหรับแก้วแฮไลด์
(Halide glass) จะนิยมใช้เบริลเลียมฟลูออไรด์ (BeF2) และเซอร์โคเนียมฟลูออไรด์ (ZrF4) เป็ นตัวโครงร่ำง
ตำข่ำยแก้ว
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 43
องค์ประกอบอื่นในแก้วทำได้ยำกมำก อย่ำงไรก็ตำมในประเทศไทยเริม่ ตระหนักถึงปั ญหำสิง่ แวดล้อมจึงมักมี
กำรนำขวดแก้วในสภำพสมบูรณ์กลับไปใช้ใหม่อกี ครัง้ โดยผ่ำนกระบวนกำรฆ่ำเชือ้ โรคทีม่ ปี ระสิทธิภำพ
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 44
ตำมลำดับ โดยรูป 4.1 ก. แสดงให้เห็นกำรเปลีย่ นแปลงอุณหภูมอิ ่อนตัว (Softening temperature) ของแก้วที่
มีปริมำณ TiO2 ต่ำง ๆ กัน จะเห็นได้ว่ำเมื่อปริมำณ TiO2 เพิม่ ขึ้นในช่วงแรก อุณหภูมอิ ่อนตัวของแก้วจะ
เพิม่ ขึน้ จนเมือ่ ปริมำณ TiO2 ปริมำณหนึ่งแก้วจะมีอุณหภูมอิ ่อนตัวสูงสุด จำกนัน้ เมือ่ เพิม่ ปริมำณ TiO2 เพิม่ ขึน้
อุณหภูมอิ ่อนตัวจะลดลง (เกิดจุดสูงสุด ) ซึ่งตรงข้ำมกับค่ำสัมประสิทธิ ์กำรขยำยตัวเพรำะควำมร้อน () ใน
รูป 4.1 ข. พบว่ำจะเกิดจุดต่ ำสุด ซึง่ ค่ำสูงสุดหรือต่ ำสุดนัน้ จะเปลีย่ นไปตำมปริมำณของ PbO ในแก้วอีกด้วย
โดยสำมำรถอธิบำยปรำกฏกำรณ์ทเ่ี กิดขึน้ จำกกำรเปลีย่ นสภำพแวดล้อมของ Ti4+ กล่ำวคือเมื่อปริมำณ TiO2
น้อย (SiO2 สูง) Ti4+ จะมีสภำพแวดล้อมแบบเตตระฮีดรัล (Tetrahedral หรือ [TiO4]) ทีม่ เี ลขโคออดิเนชันเป็ น
4 สภำพแวดล้อมแบบนี้ทำให้แก้วมีโครงสร้ำงที่แข็งแรงขึน้ ส่งผลทำให้สมบัตดิ ้ำนต่ำง ๆ เปลี่ยนไป ในทำง
ตรงข้ำม TiO2 มำกขึน้ (SiO2 ต่ำลง) Ti4+ จะอยูใ่ นสภำวะแวดล้อมแบบออกตะฮีดรัล (Octahedral หรือ [TiO6])
ทีม่ เี ลขโคออดิเนชันเป็ น 6 โดยแก้วจะมีโครงสร้ำงทีม่ คี วำมแข็งแรงน้อยลง
รูป 4.1 (ก) อุณหภูมกิ ำรอ่อนตัว (Softening temperature) และ (ข) ค่ำสัมประสิทธิ ์กำรขยำยตัวเพรำะควำม
ร้อน (Coefficient of thermal expansion, ) ของแก้วระบบ K2O-PbO-SiO2-TiO2 ทีม่ ปี ริมำณ TiO2 ต่ำงกัน
[ทีม่ ำ B.V.J. Rao (1963)]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 45
4.1.4 สารให้สี (Colourant)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 46
4.1.5 สารลดฟอง (Fining agent)
840 C
CaCO3 (s) CaO (s) + CO2 (g) สมการ 4.1
สำรเคมีก ลุ่ ม ที่ ส ำมำรถลดฟองหรือ ก ำจัด ฟองในแก้ วได้ ได้ แ ก่ ออกไซด์ ข องสำรหนู ห รื อ
อำร์เซนิกออกไซด์ (As2O3) ออกไซด์ของพลวงหรือแอนทิโมนีไตรออกไซด์ (Sb2O3) โพแทสเซียมไนเตรต
(KNO3) โซเดียมไนเตรต (NaNO3) โซเดียมคลอไรด์ (NaCl) สำรประกอบฟลูออไรด์ (Fluoride compounds)
ต่ำง ๆ เช่น แคลเซียมฟลูออไรด์ (CaF2) โซเดียมฟลูออไรด์ (NaF) และโซเดียมอะลูมเิ นียมเฮกซะฟลูออไรด์
(Na3AlF6) และสำรประกอบซัลเฟต (Sulfate compounds) บำงชนิด กำรเติมสำรลดฟองจะเติมในปริมำณต่ ำ
(น้อยกว่ำ 1% โดยน้ำหนัก) ทำให้สมบัตติ ่ำง ๆ ของแก้วไม่ได้รบั ผลกระทบมำกนัก
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 47
ตาราง 4.4 แร่ต่ำง ๆ ทีใ่ ช้ในอุตสำหกรรมกำรผลิตแก้ว [ดัดแปลงจำก J.E. Shelby (2005)]
ชื่อแร่ / ชื่อสามัญ สูตรเคมี Gravimetric Factor *
ตัวโครงร่างตาข่ายแก้ว
ทรำย (Sand) SiO2 SiO2 = 1.0
อะลูมนิ ำ (Alumina) Al2O3 Al2O3 = 1.0
อะลูมนิ ำไฮเดรต (Alumina Hydrate) Al2O33H2O Al2O3 = 1.53
กรดบอริก (Boric Acid) B2O33H2O B2O3 = 1.78
ตัวช่วยหลอม
แอลไบต์เฟลด์สปำร์ (Albite Feldspar) Na2OAl2O36SiO2 Na2O = 8.46
Al2O3 = 5.14
SiO2 = 1.45
อะนอร์ไทต์เฟลด์สปำร์ (Anorthite Feldspar) CaOAl2O32SiO2 CaO = 4.96
Al2O3 = 2.73
SiO2 =2.32
แร่แอไพลต์ (Aplite) หรือ aM2ObCaOcAl2O3dSiO2 ค่ำไม่แน่นอน
แอลคำไลน์ไลม์เฟลด์สปำร์ (Alkali lime (M คือโลหะอัลคำไลน์และ a b c d คือสัดส่วน ค่ำไม่แน่นอน
feldspar) โดยโมลของแต่ละองค์ประกอบ)
เถ้ำกระดูก (Bone ash) 3CaOP2O5 หรือ Ca3(PO4)2 CaO = 1.84
P2O5 = 2.19
บอแรกซ์ (Borax) Na2O2B2O310H2O Na2O = 6.14
B2O3 = 2.74
ตะกัวเหลื
่ อง (Lithatge หรือ Yellow lead) PbO PbO = 1.00
ตะกัวแดง
่ (Red lead) Pb3O4 PbO = 1.02
ไมโครคลำยน์ (Microcline) K2OAl2O36SiO2 K2O = 5.91
Al2O3 = 5.46
SiO2 = 1.54
แร่เนฟิ ลนี (Nepheline) Na2OAl2O32SiO2 Na2O = 2.84
Al2O3 = 1.73
SiO2 = 1.47
แร่เนฟิ ลนี ไซอิไนต์ (Nepheline syenite) ผสมระหว่ำงแร่เนฟิ ลนี กับ ค่ำไม่แน่นอน
เฟลด์สปำร์
แร่โพแทช (Potash) K2O หรือ K2O = 1.00
K2CO3 K2O = 1.47
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 48
ตาราง 4.4 แร่ต่ำง ๆ ทีใ่ ช้ในอุตสำหกรรมกำรผลิตแก้ว (ต่อ) [ดัดแปลงจำก J.E. Shelby (2005)]
ชื่อแร่ / ชื่อสามัญ สูตรเคมี Gravimetric factor *
โซดำไฟหรือโซเดียมคำร์บอเนต (Soda ash) Na2CO3 Na2O = 1.71
แร่สปอดูมนี (Spodumene) Li2OAl2O34SiO2 Li2O = 12.46
Al2O3 = 3.65
SiO2 = 1.55
ดินสอพองหรือแคลเซียมคำร์บอเนต CaCO3 CaO = 1.79
(Whiting)
เศษแก้วรีไซเคิล (Cullet) ขึน้ อยูก่ บั ชนิดแก้ว ขึน้ อยูก่ บั ชนิดแก้ว
สารปรับสมบัติ
แร่แบไรต์ (Barite) BaSO4 BaO = 1.52
แร่โดโลไมต์ (Dolomite) CaCO3MgCO3 CaO = 3.29
MgO = 4.58
แร่ยปิ ซัม (Gypsum) CaSO42H2O CaO = 3.07
หินปูน (Limestone หรือ Calcite) CaCO3 CaO = 1.78
สารลดฟอง
แร่ไครโอไลต์ (Cryolite) 3NaFAlF3 NaF = 1.67
AlF3 = 2.50
แร่ฟลูออสปำร์ (Fluorspar) CaF2 CaF2 = 1.00
โซเดียมไนเตรต (Soda niter) NaNO3 Na2O = 2.74
ดินประสิว (Niter) KNO3 K2O = 2.15
*กรำวิเมทริกแฟกเตอร์ (Gravimetric factor) จะใช้ในกำรคำนวณในกรณีทว่ี ตั ถุดบิ สำมำรถให้สำรประกอบ
ออกไซด์ได้หลำยชนิดขณะหลอมซึง่ จะแสดงวิธกี ำรใช้ค่ำกรำวิเมทริกแฟกเตอร์ ในตัวอย่ำงกำรคำนวณต่อไป
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 49
silicate) มีส่วนผสมคือ 15% โซดำ (Soda) 10% ไลม์ (Lime) และ 75% ซิลกิ ำ (Silica) ผูอ้ ่ำนก็จะเข้ำใจได้ว่ำ
ร้อยละที่แสดงเป็ นร้อยละโดยน้ ำหนักของส่วนผสมต่ำง ๆ ว่ำมี Na2O 15% CaO 10% และ SiO2 75% โดย
น้ำหนัก
โดยทัวไปแล้
่ วองค์ประกอบทำงเคมีของแก้วมักถูกรำยงำนให้อยู่ในรูปของออกไซด์ของธำตุต่ำง ๆ
ยกตัวอย่ำงเช่นแก้วโซเดียมบอเรตจะมีสูตรทำงเคมีโดยทัวไปคื
่ อ xNa2O(100-x)B2O3 ยกตัวอย่ำงเช่นแก้ว
25% Na2O75%B2O3 ซึง่ หมำยถึงแก้วชนิดนี้มโี ซเดียมออกไซด์อยู่ 25 % และ โบรอนออกไซด์อยู่ 75 % โดย
สำมำรถรำยงำนปริมำณได้ทงั ้ % โดยน้ ำหนัก (wt%) หรือ % โดยโมล (mol%) แต่ในบำงครัง้ อำจรำยงำนให้
อยู่ในรูปของสัดส่วนได้เช่นกัน เช่น 0.25Na2O0.75B2O3 แต่วตั ถุดบิ บำงประเภททีใ่ ช้ในอุตสำหกรรมแก้วจะ
เป็ นสำรประกอบประเภทคำร์บอเนต เช่น กำรใช้หนิ ปูน หรือ แคลเซียมคำร์บอเนต (CaCO3) เป็ นแหล่งของ
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 50
แคลเซียมออกไซด์ (CaO) ในแก้ว ดังนัน้ กำรค ำนวณองค์ประกอบทำงเคมีของแก้ว จึง เป็ นสิ่งที่สำคัญ ใน
อุตสำหกรรมแก้ว เพื่อสำมำรถควบคุมปริมำณขององค์ประกอบออกไซด์ต่ำง ๆ ในแก้วเพื่อให้มอี งค์ประกอบ
ตำมมำตรฐำนกำรผลิต ซึ่งในกำรคำนวณอำจจะมีควำมยำกง่ำยแตกต่ำงกันออกไป ขึน้ อยู่กบั วั ตถุดบิ ที่ใช้
เนื่องจำกวัตถุดบิ บำงประเภทเป็ นสำรประกอบออกไซด์อยู่แล้ว เช่น ทรำยแก้ว (SiO2) เป็ นต้น บำงประเภท
เป็ นสำรประกอบอื่น ๆ ทีส่ ำมำรถสลำยตัวทำงควำมร้อน เช่น หินปูน เป็ นต้น และบำงประเภทประกอบด้วย
สำรประกอบหลำยชนิ ด เช่ น แร่ โ ดโลไมต์ (CaCO3MgCO3) เถ้ ำ กระดู ก (Ca3(PO4)2) และแร่ โ ซเดีย ม
เฟลด์สปำร์หรือแร่แอลไบต์ (NaAlSi3O8) เป็ นต้น นอกเหนือจำกนัน้ ควำมยำกง่ำยของกำรคำนวณยังขึน้ อยู่กบั
ควำมบริสุ ท ธิข์ องวัต ถุ ด ิบ ที่ใ ช้ด้ว ย เนื่ อ งจำกบำงอุ ต สำหกรรม ต้ อ งใช้ว ัต ถุ ด ิบ ที่ม ีค วำมบริสุ ท ธิส์ ู ง เช่ น
อุตสำหกรรมกำรผลิตเลนส์ ซึ่งต้องมีกำรควบคุมควำมบริสุทธิ ์ของวัตถุดบิ อย่ำงสูง เพื่อให้ได้สมบัตเิ ชิงแสง
ตำมต้อ งกำร โดยในกำรค ำนวณอำจจะเป็ นกำรคำนวณองค์ประกอบทำงเคมีของแก้วหรืออำจะเป็ นกำร
คำนวณปริมำณวัตถุดบิ ทีต่ อ้ งกำรใช้ เพื่อให้ได้แก้วทีม่ อี งค์ประกอบทำงเคมีตำมต้องกำร
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 51
ตัวอย่าง 4.1 จงคำนวณว่ำใน 100 กรัมของวัตถุดบิ ผสมจะต้องใช้แคลเซียมออกไซด์ (CaO) และอะลูมนิ ำ
(Al2O3) อย่ำงละกีก่ รัมเพื่อผลิตแก้วทีม่ อี งค์ประกอบเป็ น 65CaO35Al2O3 (องค์ประกอบทีเ่ ห็นเป็ นร้อยละโดย
โมล)
สิง่ ทีค่ วรทราบคือมวลโมเลกุล (Molecular weight) ของ CaO และ Al2O3 ซึง่ มีค่าเท่ากับ 56.08
และ 101.96 กรัม/โมล (gmol -1) ตามลาดับ
ดัง นั ้น ในการผลิต แก้ว 65CaO35Al2O3 จะต้อ งใช้ CaO 50.5 กรัม และ Al2O3 49.5 กรัม เป็ น
วัตถุดบิ
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 52
ตัวอย่ าง 4.2 จงค ำนวณว่ ำ จะต้อ งใช้ว ตั ถุ ดิบ อย่ำ งละเท่ ำ ใดในกำรผลิต แก้ว ที่ม ีสูต รคือ 20Na2O80SiO2
(องค์ประกอบทีเ่ ห็นเป็ นร้อยละโดยโมล)
วิ ธี คิ ด สิง่ ทีค่ วรทราบคือ มวลโมเลกุล (Molecular weight) ของ Na2O และ SiO2 ซึง่ มีค่ าเท่ากับ
61.98 และ 60.09 กรัม/โมล (gmol -1) ตามลาดับ และโซเดียมออกไซด์ (Na2O) ได้มาจากวัตถุดบิ
คือ โซเดียมคาร์บอเนต (Na2CO3) ซึง่ มีมวลโลเลกุ ล เท่ากับ 105.94 gmol -1จากตำรำง 4.4 ค่ า
gravimetric factor ของโซเดียมคาร์บอเนตมีค่าเท่ากับ 1.71 ซึง่ หมายถึงหากต้องการ Na2O 1 กรัม
จะต้อ งใช้ Na2CO3 1.71 กรัม (ค านวณจาก 105.94 ÷ 61.98 = 1.71) โดยค่ านี้จะนาไปใช้ใ นการ
คานวณต่อไป
น้ าหนักของ Na2O = 0.205 × 100 = 20.5 กรัม (ซึง่ ได้มาจาก Na2CO3) ดังนัน้ จะต้องใช้
Na2CO3 = 20.5 × 1.71 (กราวิเมทริกแฟกเตอร์) = 35.05 กรัม
น้ าหนักของ SiO2 = 0.795 × 100 = 79.5 กรัม
ดังนัน้ ในการผลิตแก้ว 20Na2O80SiO2 จะต้องใช้ Na2CO3 35.05 กรัม และ SiO2 79.5 กรัม
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 53
ตัวอย่าง 4.3 จงคำนวณว่ำจะต้องใช้โซเดียมคำร์บอเนต โซเดียมเฟลด์สปำร์ (หรือแร่แอลไบต์) และทรำย
อย่ำงละเท่ำใดในกำรผลิตแก้วทีม่ สี ตู ร 20Na2O5Al2O375SiO2 (องค์ประกอบทีเ่ ห็นเป็ นร้อยละโดยโมล)
น้ าหนักของ Al2O3 = 0.082 × 100 = 8.20 กรัม (ซึง่ ได้มาจากแร่แอลไบต์) ดังนัน้ จะต้อง
ใช้แร่แอลไบต์ = 8.20 × 5.14 (กราวิเมทริกแฟกเตอร์ของ Al2O3 ในแร่แอลไบต์) = 42.148 กรัม
แต่ ใ นแร่แ อลไบต์ยงั ให้Na2O และ SiO2 อีกด้ว ย ซึง่ ค านวณน้ าหนักได้จากการหารน้ าหนักแร่
ด้วยกราวิเมทริกแฟกเตอร์ของ Na2O และ SiO2 ตามลาดับ จะได้ว่าแร่แอลไบต์ 42.148 กรัม
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 54
จะมี Na2O อยู่ = 42.148 ÷ 8.46 = 4.982 กรัม
และ จะมี SiO2 อยู่ = 42.148 ÷ 1.45 = 29.068 กรัม อยูด่ ว้ ย
น้ าหนั ก ของ Na2O ที ต่ ้ อ งการทั ง้ หมดคื อ 0.198 × 100 = 19.8 กรัม ซึ ่ง ได้ ม าจาก
แร่แอลไบต์ 4.921 กรัม ขาดอีก 19.8 - 4.982 = 14.818 กรัม ซึง่ จะได้มาจากโซเดียมคาร์บอเนต
จานวน 14.818 × 1.71 (กราวิเมทริกแฟกเตอร์ของโซเดียมคาร์บอเนต) = 25.339 กรัม
น้ าหนั ก ของ SiO2 ที ต่ ้ อ งการทั ้ง หมดคื อ 0.720 × 100 = 72.0 กรั ม ซึ ่ง ได้ ม าจาก
แร่แอลไบต์ 28.713 กรัม ขาดอีก 72.0 - 29.068 = 42.932 กรัม โดยสามารถได้มาจากวัตถุดบิ คือ
ทราย
ดัง นั ้น ในการผลิต แก้ว 20Na2O5Al2O375SiO2 จะต้อ งใช้ Na2CO3 25.339 กรัม แร่ แ อลไบต์
42.148 กรัม และทราย 42.932 กรัม
ชนิ ด มวลโมเลกุล; MW
(gmol -1)
แก้ว 20Na2O5Al2O375SiO2 62.56
Na2O 61.98
Al2O3 101.96
ทราย (SiO2) 60.09
แอลไบต์เฟลด์สปาร์ (Na2OAl2O36SiO2) 523.78
โซเดียมคาร์บอเนต (Na2CO3) 105.94
ขั น้ ที ่ 2 หาน้ าหนั ก ของแต่ ล ะองค์ ป ระกอบทางเคมีที ต่ ้ อ งการ ( Na2O, Al2O3 และ SiO2)
รวม 100 กรัม
จะได้ว่า ต้องใช้ Na2O 19.8 กรัม Al2O3 8.2 กรัม และ SiO2 72.0 กรัม
(คานวณเหมือนวิธที ี ่ 1)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 55
ขัน้ ที ่ 3 หาน้ าหนักของวัตถุดบิ ต่าง ๆ ทีต่ ้องใช้ (มักเริม่ จากวัตถุดบิ ทีม่ จี านวนองค์ประกอบมาก
ทีส่ ุดก่อน เช่น ในกรณีน้ ีจะเริม่ จาก แร่แอลไบต์ก่อน เนือ่ งจาก เป็ นตัวกาหนดปริมาณ Al2O3 และ
มีจานวนองค์ประกอบมากสุด คือ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ Na2O, Al2O3 และ SiO2)
= 42.12 กรัม
แต่ต้องหาน้ าหนักของ Na2O และ SiO2 ที่ได้จำกแร่ แอลไบต์ด้วย เพื่อ ใช้ค ำนวณน้ ำหนักของ
โซเดียมคำร์บอเนตและทรำยทีต่ ้องเติมลงไปในส่วนผสมของวัตถุดบิ เพิม่ เพื่อให้ได้แก้วทีม่ สี ูตร
ตำมต้องกำร
น้ำหนักของแร่แอลไบต์ทใ่ี ช้ ×MW. ของ Na2 O ในแร่แอลไบต์
น้ าหนักของ Na2O ทีไ่ ด้จากแร่แอลไบต์ =
MW. ของแร่แอลไบต์
42.12 ×61.98
= = 4.984 กรัม
523.78
42.12 ×360.54
น้ าหนักของ SiO2 สามารถคานวณได้ในทานองเดียวกัน = = 28.993 กรัม
523.78
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 56
กำรคำนวณหำน้ำหนักส่วนประกอบทีเ่ หลือสำมำรถคำนวณได้เช่นกัน ซึง่ กำรคำนวณทัง้ สองวิธอี ำจให้
ค่ำที่แตกต่ำงกันเล็กน้อยขึน้ อยู่กบั ควำมละเอียดหรือนัยสำคัญของน้ ำหนักอะตอมที่ใช้ในกำรคำนวณและยัง
ขึ้นอยู่กบั กำรประมำณตัวเลขที่ได้จำกกำรคำนวณอีกด้วย อย่ำงไรก็ตำมหำกเป็ นกำรผลิตแก้วที่มลี กั ษณะ
พิเศษ เช่นเลนส์ หรือแก้วที่ใช้ในอุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์นัน้ องค์ประกอบของแก้วที่เปลี่ยนไปจะส่งผลอย่ำง
มำกต่อสมบัตทิ ส่ี ำคัญของแก้วซึง่ จะส่งผลกระทบต่อกระบวนกำรผลิตได้ ทำให้กำรคำนวณต้องมีควำมละเอียด
และระมัดระวังสูงขึน้ เพื่อให้เกิดควำมแตกต่ำงและควำมคลำดเคลื่อนน้ อยทีส่ ุด
คาถามท้ายบท
ก. 25 mol%K2O75 mol%SiO2
ข. 25 wt%K2O75 wt%SiO2
ค. 12 โซดำ 9 ไลม์ 3 แมกนีเซีย 2 อะลูมนิ ำ 74 ซิลกิ ำ (ตัวเลขแสดง wt%)
5. จงยกตัวอย่ำงวัตถุดบิ ทีท่ ำให้เกิดฟองก๊ำซขึน้ ในแก้วมำ 3 ชนิด พร้อมเขียนปฏิกริ ยิ ำเคมีแสดงกำรเกิดก๊ำซ
ดังกล่ำว และอุณหภูมทิ ท่ี ำให้เกิดก๊ำซขึน้
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 57
บทที่ 5
การเกิ ดแก้วและการหลอมแก้ว
Glass Formation and Glass Melting
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 58
5.1.1 ทฤษฎีการเกิ ดแก้วเชิ งโครงสร้าง (Structural approach of glass formation)
1. ออกซิเ จนไอออน (หรือ อะตอม) จะต้อ งไม่เ ชื่อ มต่ อ กับ ไอออนบวกอื่น ๆ เกิน กว่ า 2 ไอออน
เนื่อ งจากหากออกซิเ จนเชื่อ มต่ อ กับ ไอออนบวกมากเกินไป จะทาให้มุมของพันธะระหว่ างไอออนบวก-
ออกซิเจน-ไอออนบวกเกิดขีดจากัด ซึง่ จะทาให้เกิดแก้วทาได้ยาก (แก้วจะมีมมุ ของพันธะทีก่ ระจายตัวมาก)
นอกเหนื อ จากนั ้น Standworth แบ่ ง ชนิ ด ของวั ต ถุ ดิ บ แก้ ว ด้ ว ยค่ า อิ เ ล็ ก โทรเนกาติ ว ิ ตี ห รือ
ความสามารถในการดึงดูดอิเล็กตรอน (Electronegativity) โดยแบ่งออกเป็ น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มของตัวโครงร่าง
ตาข่ายแก้ว (Glass formers หรือ Network formers) ซึ่งเป็ นกลุ่มที่ทาให้เกิดแก้วได้ พันธะระหว่างไอออน
บวกทีเ่ ป็ นตัวโครงสร้างแก้วกับออกซิเจนจะมีความเป็ นไอออนิกประมาณร้อยละ 50 หากมีความเป็ นไอออนิก
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 59
ของพันธะสูงขึน้ หรือเป็ นกลุ่มทีม่ คี ่าอิเล็กโทรเนกาติวติ ตี ่ ากว่าจะถูกจัดกลุ่มอยู่ระหว่างตัวโครงร่างตาข่ายแก้ว
และตัวช่วยหลอม หรือเรียกว่าตัวอินเทอร์มเี ดียด (Intermediate) ซึ่งจะสามารถทาหน้ าที่เป็ นตัวโครงสร้าง
แก้วได้บางส่วน ขึน้ อยู่กบั ปริมาณที่มใี นแก้ว และกลุ่มสุดท้ายจะเป็ นกลุ่มที่มคี ่าอิเล็กโทรเนกาติวติ ตี ่ าที่สุด
กล่าวคือมีความเป็ นไอออนิกสูงมาก ซึ่งไม่สามารถทาให้เกิดโครงสร้างแก้วได้ โดยสารดังกล่าวจะมีหน้ าที่
ปรับเปลีย่ นโครงสร้างแก้ว จึงถูกเรียกว่าเป็ นตัวช่วยหลอมหรือตัวปรับโครงสร้างแก้ว (Glass modifiers)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 60
ในแก้วที่อุณหภูมคิ งที่เท่ากับอุณหภูมกิ ารเกิดนิวเคลียส จากนัน้ ลดอุณหภูมลิ งอย่างรวดเร็ว (Quenching)
เพื่อไม่ให้จานวนและขนาดของนิวเคลียสทีเ่ กิดขึน้ เปลีย่ นแปลงขณะลดอุณหภูม ิ จากนัน้ ให้ความร้อนอีกครัง้
หนึ่ง ณ อุณหภูมทิ ่จี ะเกิดการโตของผลึก จนกระทังเกิ ่ ดผลึกขนาดใหญ่ข้นึ เมื่อสามารถตรวจวัดขนาดและ
จานวนของผลึกที่เกิดขึ้นได้ก็จะวิเคราะห์ถึงอัตราการเกิดนิวเคลียสในแก้วได้ โดยสามารถคานวณหาค่ า
อัตราเร็วของการเกิดนิวเคลียสในแก้วได้จากการนับจานวนของนิวเคลียสทีเ่ กิดขึน้ ซึง่ จะเท่ากับจานวนผลึกที่
มองเห็น ต่ อ ปริม าตรของแก้ว ภายในระยะเวลาที่ ท าให้เ กิด นิ ว เคลีย ส (Nucleation time) ซึ่ง อาจใช้ก ล้อ ง
จุลทรรศน์ หรือ กล้องจุลทรรศน์อเิ ล็กตรอนในการวิเคราะห์ เนื่องจากผลึกทีเ่ กิดขึน้ มักมีขนาดเล็กมาก อย่างไร
ก็ตามการควบคุมปริมาณของนิวเคลียสที่เกิดขึน้ ในแก้วในระหว่างการลดหรือเพิม่ อุณหภูมใิ นขัน้ ตอนต่างๆ
ของการทดลองทาได้ยาก ดังนัน้ วิธกี ารนี้จงึ ทาให้เกิดความคลาดเคลื่อนสูง
𝑁 𝑊 ∗
∆𝐸𝐷
( 𝐴 ) (− )
𝐼 = 𝑛𝑣 ∙ 𝑒 𝑅𝑇 ∙𝑒 𝑅𝑇 สมการ 5.1
เมือ่ 𝑛𝑣 คือ ค่ า ความน่ า จะเป็ นของ Boltzmann (Boltzmann probability factor) ที่ท าอัต ราการเกิ ด
นิวเคลียสสูงทีส่ ุด
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 61
ของเหลวไปยังผิวของผลึกที่เกิดขึน้ (𝑣𝑙𝑥 ) และจากผลึกไปยังของเหลว (𝑣𝑥𝑙 ) ซึง่ แสดงดังสมการ 5.2 และ
5.3 ตามลาดับ
∆𝐸
(− 𝑅𝑇 )
𝑣𝑙𝑥 = 𝑣 ∙ 𝑒 สมการ 5.2
∆𝐸 −∆𝐺𝑥
(− )
𝑣𝑥𝑙 = 𝑣 ∙ 𝑒 𝑅𝑇 สมการ 5.3
อัต ราการโตของผลึก (𝑢) สามารถค านวณได้จาก 𝑢 = 𝑎(𝑣𝑙𝑥 − 𝑣𝑥𝑙 ) เมื่อ a คือ ระยะห่าง
ระหว่างผลึกและของเหลว จะได้
∆𝐸′ ∆𝐺
(− 𝑅𝑇 ) ( 𝑅𝑇𝑥 )
𝑢 =𝑎∙𝑣∙𝑒 ∙ [1 − 𝑒 ] สมการ 5.4
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 62
รูป 5.1 อัตราการเกิดนิวเคลียสและการโตของผลึกทีอ่ ุณหภูมติ ่ ากว่าจุดหลอมเหลว Tm
𝑡 𝑡 3
𝑉𝑥 [− ∫0 𝐼𝑣 (∫𝑡′ 𝑢𝑑𝜏 ) 𝑑𝑡 ′ ]
=1−𝑒 สมการ 5.5
𝑉
𝑢 คือ อัตราการโตของผลึกต่อหนึ่งหน่วยปริมาตร
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 63
ทัง้ อัต ราการเกิด นิ ว เคลีย สและอัต ราการโตของผลึก นี้ จ ะขึ้น อยู่กับ เวลาและอุ ณ หภูม ิ ดัง นัน้ เมื่อ
พิจารณาการตกผลึกจากสมการ 5.5 แล้ว จะเห็นว่ามีความซับซ้อนอยู่มากเนื่องจาก ณ อุณหภูมหิ นึ่ง ๆ แก้ว
สามารถเกิดทัง้ นิวเคลียสและเกิดการโตของผลึกได้พร้อม ๆ กัน ทาให้เวลาทีป่ รากฏในสมการ 5.5 มีหลายค่า
(𝑡, 𝑡′ และ 𝜏) อย่างไรก็ตามหากแก้วอยู่ในสภาวะอุณหภูมคิ งที่ (Isothermal condition) สัดส่วนโดยปริมาตร
ของผลึกที่เกิดขึน้ ในแก้วจากสมการ 5.5 สามารถเขียนให้อยู่ในรูปอย่างง่ายโดยการอินทิเกรตสมการ 5.5
ภายใต้สมมติฐานทีว่ ่าการผลึกทีเ่ กิดขึน้ มีรปู ร่างเป็ นทรงกลม ได้ดงั สมการ 5.6
𝜋
𝑉𝑥 [− 3 𝐼𝑣 𝑢3 𝑡 4 ]
=1−𝑒 สมการ 5.6
𝑉
𝑑𝑇 (𝑇𝑚 −𝑇𝑛 )
( ) ≈ สมการ 5.7
𝑑𝑡 𝑐 𝑡𝑛
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 64
รูป 5.2 Time-temperature transformation diagram หรือ TTT diagram ทีก่ ่อให้เกิดผลึกในสัดส่วน Vx/V
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 65
นอกเหนื อ จากการเกิดแก้ว ได้แ ล้ว ความเสถียรของแก้ว ที่ได้ (Glass stability) ก็มคี วามส าคัญ ที่
จะต้องคานึงถึงอีกด้วย ความเสถียรของแก้วจะถูกนามาพิจารณาในกรณีท่ตี ้องการให้ความร้อนแก้วอีกครัง้
หนึ่ง เช่น เพื่อทาการขึน้ รูปใหม่ เป็ นต้น ยกตัวอย่างเช่นการผลิตใยแก้วนาแสงจากแก้ว ทีเ่ ย็นตัวสมบูรณ์แล้ว
(Preform) ซึ่งแก้วจะถูกให้ความร้อนอีกครัง้ ที่อุณหภูมทิ ่เี หมาะสมในการดึง แก้ว (การขึ้นรูปใยแก้ว) ซึ่งใน
ระหว่างกระบวนการให้ความร้อนครัง้ ทีส่ องนี้แก้วอาจเกิดผลึกขึน้ ได้ ซึง่ แสดงว่าแก้วมีความเสถียรต่ า (Poor
glass stability) ความเสถียรของแก้วและความสามารถในการเกิดแก้วนัน้ เป็ นสมบัตทิ ไ่ี ม่มคี วามสัมพันธ์ซง่ึ กัน
และกัน แต่ในบางกรณีพบว่าแก้วที่มคี วามสามารถในการเกิดแก้วต่ า ก็จะมีความเสถียรต่ าด้วย ความเสถียร
ของแก้ ว นั ้น อาจพิจ ารณาได้ จ ากช่ ว งอุ ณ หภู ม ิร ะหว่ า งอุ ณ หภู ม ิก ารเปลี่ย นเป็ นแก้ ว (Glass transition
temperature, Tg) และอุณหภูมกิ ารเกิดผลึก (Crystallisation temperature, Tc) ซึง่ ทัง้ สองอุณหภูมนิ ้ีสามารถ
หาได้โดยใช้เ ทคนิค การวิเ คราะห์เ ชิงความร้อ นเช่น กัน ได้แก่ เทคนิค Differential scanning calorimeter
(DSC) และ เทคนิค Differential thermal analysis (DTA) ความแตกต่างของอุณหภูมทิ งั ้ สอง (Tc-Tg) จะบอก
ความเสถียรของแก้ว หากมีความต่างมาก (ช่วงกว้าง) แก้วจะมีความเสถียรสูง ลักษณะปรากฏของกราฟทีไ่ ด้
จากเทคนิคการวิเคราะห์เชิงความร้อนแสดงดัง รูป 5.3 ในกรณีทเ่ี กิดผลึกหลายประเภทในแก้วจะปรากฏพีค
การเกิดผลึกหลายพีคเช่นกัน (รูป 5.3 ข) ซึง่ ในการวิเคราะห์ความเสถียรของแก้วก็จะใช้เฉพาะอุณหภูมกิ าร
เกิดผลึกทีต่ ่ าสุดเท่านัน้ อย่างไรก็ตามพบว่าแก้วทางการค้าทัวๆ
่ ไปจะเกิดผลึกช้ามาก โดยจะไม่เกิดผลึกขึน้
ในแก้วหากใช้อตั ราการให้ความร้อนประมาณ 10 – 20 เคลวินต่อนาที หรือ เซลเซียสต่อนาที ซึง่ เป็ นอุณหภูม ิ
ทีม่ กั ใช้ในการวิเคราะห์แก้วด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เชิงความร้อน
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 66
(ก)
(ข)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 67
5.3 การหลอมแก้ว (Glass melting)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 68
คล้ายโฟม (Foaming) ส่งผลให้น้าแก้วหลอมล้นออกมาจากถ้วยหลอม (Crucible) หรือเตาหลอมได้ ทาให้แก้ว
มีสมบัตไิ ม่ตรงตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ในงานวิจยั ระดับห้องปฏิบ ตั กิ ารที่มกี ารหลอมแก้วในถ้วยหลอม
ขนาดเล็กอาจต้องคานึงถึงการเกิด Foaming เป็ นพิเศษเนื่องจากจะส่งผลเสียต่ออุปกรณ์ทใ่ี ช้ในเตาหลอมหรือ
เตาเผาได้ เช่น ฐานรองเตา หรือ กาแพงเตา เป็ นต้น ซึง่ น้ าแก้วที่ฟูล้นออกมาจากถ้วยหลอมจะทาปฏิกิรยิ า
กับเตาหลอมและวัสดุทนไฟอื่นๆ อย่างไรก็ตามในกระบวนการผลิตแก้วแบบต่อเนื่อง (Continuous process)
จะเกิดฟองก๊าซที่บริเวณส่วนต้นของเตาหลอม (รูป 5.4) ซึ่งเป็ นส่วนที่วตั ถุดบิ ถูกป้ อนเข้าสู่ห้องหลอม โดย
ส่วนปลายของเตาหลอมนัน้ น้ าแก้วจะหลอมเหลวเป็ นเนื้อเดียวกันและจะเป็ นส่วนที่เกิดการกาจัดก๊าซหรือ
ฟองอากาศที่เ กิด ขึ้น ซึ่ง ต้อ งควบคุ ม ให้ไ ม่ม ีฟ องก๊ า ซคงค้า งอยู่ ใ นแก้ว หลอมเหลวก่ อ นที่จ ะส่ ง ต่ อ ไปยัง
กระบวนการขึ้นรูป การให้ความร้อ นกับวัตถุ ดบิ นัน้ จะไม่ใ ห้ความร้อ นจากเปลวไฟที่เกิดจากการเผาไหม้
โดยตรง แต่จะอาศัยการแผ่ความร้อน (Heat radiation) และการนาความร้อน (Heat conduction) จากเปลว
ไฟทีเ่ กิดจากการเผาไหม้เชือ้ เพลิงไปยังวัตถุดบิ ทีต่ อ้ งการหลอม
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 69
รูป 5.4 กระบวนการหลอมแก้ว (ก) การป้ อนวัตถุดบิ ลงในเตาหลอมทีใ่ ช้ในอุตสาหกรรมการผลิตแก้วแผ่น
[ทีม่ า http://voices.usglassmag.com] (ข) ภาพจาลองเตาหลอมแก้ว [ทีม่ า
http://www.icglass.org/technical_committees/?id=19] โดยส่วนต้นจะมีการป้ อนวัตถุดบิ เข้าเตาหลอมและจะ
เกิดการหลอมต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการหลอมสมบูรณ์พร้อมส่งต่อไปยังการขึน้ รูปต่อไป
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 70
ปฏิกริ ยิ าของแข็ง-ของแข็งระหว่างซิลกิ ากับโซเดียมคาร์บอเนตนัน้ สามารถเกิดได้ท่อี ุณหภูมใิ นช่วง
630 – 780 เซลเซีย ส โดยอัต ราส่ ว นของซิล ิกาต่ อ โซเดีย มคาร์บ อเนตที่ เ กิดปฏิกิร ิยาเท่ า กับ 4:1 ได้เ ป็ น
โซเดียมซิลเิ กตซึง่ มีจุดหลอมเหลวประมาณ 1088 เซลเซียส (ลดอุณหภูมกิ ารหลอมซิลกิ าลงได้จากเดิม 1726
เซลเซียส) ดังปฏิกริ ยิ าแสดงในสมการ 5.9
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 71
รูป 5.6 อัตราการเกิดปฏิกริ ยิ าของแข็ง-ของแข็งระหว่างซิลกิ าและโซเดียมคาร์บอเนตทีอ่ ุณหภูม ิ 680, 730
และ 782 เซลเซียส (ความชันของกราฟมากแสดงให้เห็นว่าปฏิกริ ยิ าเกิดขึน้ ได้ด)ี
ส่ ว นการเกิด ปฏิกิร ิย าระว่ า งซิล ิกาและแคลเซีย มคาร์บ อเนตจะเริ่ม เกิด ที่อุ ณ หภูม ิป ระมาณ 600
เซลเซียส โดยปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึน้ จะคล้ายๆ กับปฏิกริ ยิ าระหว่างซิลกิ ากับโซเดียมคาร์บอเนตแต่อตั ราส่วนการ
เกิดปฏิกิรยิ าต่ างกัน คือ เกิดในอัต ราส่ว นซิลกิ าต่อแคลเซียมคาร์บอเนตเท่ากับ 1:2 และมีผ ลิต ภัณฑ์จาก
ปฏิกริ ยิ าคือแคลเซียมซิลเิ กต (Ca2SiO4 หรือ 2CaOSiO2)
ส่ ว นการเกิด ปฏิกิร ิย าระหว่ า งโซเดีย มคาร์บ อเนตและแคลเซีย มคาร์บ อเนตนัน้ จะเกิด ปฏิกิร ิย า
กลายเป็ นโซเดียมแคลเซียมคาร์บอเนต (Na2Ca(CO3)2) ทีม่ จี ดุ หลอมเหลวอยูท่ ป่ี ระมาณ 813 เซลเซียส ซึง่ ต่า
กว่าจุดหลอมเหลวของโซเดียมคาร์บอเนต
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 72
ทัง้ นี้ขน้ึ อยู่กบั องค์ประกอบตัง้ ต้นของส่วนผสมแก้ว และชนิดของวัตถุดบิ ที่ใช้ ว่าปฏิกริ ยิ าใดเกิดขึ้น
ตามลาดับก่อนหลัง ยกตัวอย่างเช่น ในแก้วโซดาไลม์ซลิ เิ กต (Na2OCaOSiO2) ที่ใช้วตั ถุดบิ คือ โซเดียม
คาร์บอเนต แคลเซียมคาร์บอเนตและทราย ปฏิกริ ยิ าเคมีท่เี กิดขึน้ ขณะหลอมจะมีความแตกต่างจากการใช้
วัต ถุ ดิบประเภทแร่เ ฟลด์สปาร์แ ละทราย ปฏิกิรยิ าที่เ กี่ยวข้อ งอาจได้แก่ การสลายตัว ด้ว ยความร้อนของ
แคลเซียมคาร์บอเนต (เริม่ ทีอ่ ุณหภูมปิ ระมาณ 600 เซลเซียส) การหลอมขององค์ประกอบยูเทคติคระหว่าง
โซเดีย มคาร์บ อเนตและแคลเซีย มคาร์บ อเนต (ประมาณ 813 เซลเซีย ส) การหลอมขององค์ป ระกอบ
ยูเทคติคระหว่างโซเดียมไดซิลเิ กตและซิลกิ า (ประมาณ 800 เซลเซียส ดังแสดงในรูป 5.7 ณ จุดที่ลูกศรชี้)
เป็ นต้น อีก ทัง้ วัฏ ภาคของเหลวที่เ กิด ขึ้นที่อุ ณหภูม ิประมาณ 800 เซลเซียส ในแก้ว โซดาไลม์ซิล ิเ กตจะ
เหนี่ยวนาให้วฏั ภาคของแข็งอื่นๆ ทีเ่ หลืออยู่หลอมได้ดยี งิ่ ขึน้ โดยเฉพาะวัฏภาคขององค์ประกอบทีท่ นความ
ร้อนสูง (มีจุดหลอมเหลวสูง) หรือองค์ประกอบขององค์ประกอบทนไฟ (Refractory) เช่น อะลูมนิ า (Al2O3)
และทราย (SiO2) เป็ นต้น ในระหว่างการหลอมอาจเกิดฟองก๊ าซขึ้นได้จากกรณีต่ างๆ ที่ได้กล่ าวมาแล้ว
หากวัฏภาคของเหลวที่เกิดขึน้ มีความหนืดต่ าฟองก๊าซจะลอยขึน้ สู่ผวิ น้ าแก้วได้ง่ายกว่า โดยองค์ประกอบที่
หลอมยากจะทาให้แก้วมีความหนืดทีส่ ูงขึน้ แก้วทีม่ คี วามหนืดสูงอาจต้องเพิม่ อุณหภูมขิ น้ึ เพื่อลดความหนืดลง
ซึง่ จะช่วยทาให้ฟองก๊าซหลุดออกจากน้ าแก้วหลอมเหลวได้ง่ายขึน้ แก้วจะหลอมสมบูรณ์ต่อเมือ่ ไม่มวี ตั ถุดบิ ที่
มีความเป็ นผลึกของแข็งเหลืออยู่และมีความเป็ นเนื้อเดียว (Homogeneous) โดยขัน้ ตอนที่จะทาให้น้ าแก้ว
เป็ นเนื้อเดียวกันจะใช้เวลานานเนื่องจากน้ าแก้วมีความหนืดสูง ดังนัน้ อาจต้องหลอมแก้วทีอ่ ุณหภูมสิ ูงสุด ใน
ระยะเวลาทีน่ านขึน้ ซึง่ จะเรียกว่าการยืนไฟ หรือ Soaking อย่างไรก็ตามก็อาจมีบางองค์ประกอบทีร่ ะเหยง่าย
ระเหยออกไป ส่งผลทาให้องค์ประกอบของแก้วไม่ตรงตามต้องการ
เวลาทีใ่ ช้ในการหลอมแก้วจนสมบูรณ์ ทเ่ี รียกว่า Batch-free time เป็ นเวลาตัง้ แต่เริม่ ให้ความร้อนแก่
วัตถุดบิ จนวัตถุดบิ หลอมเป็ นของเหลวสมบูรณ์ การหาเวลาที่ใช้ในการหลอมแก้วจนสมบูรณ์ (Batch-free
time) ในห้องปฏิบตั กิ ารหรือในอุตสาหกรรมทาได้ยากและมีความคลาดเคลื่อนสูงจึงไม่นิยมหาเวลาทีใ่ ช้ในการ
หลอมแก้ว จนสมบูรณ์ (Batch-free time) จะขึ้นอยู่กับ หลายๆ ปั จจัย เช่น อุ ณหภูมหิ ลอม อัต ราการเพิ่ม
อุณหภูม ิ ชนิดของวัตถุดบิ การผสมเข้ากันของวัตถุดบิ ทีใ่ ช้ ชนิดของแก้ว ขนาดอนุ ภาคเริม่ ต้นของวัตถุดบิ
ต่างๆ และปริมาณเศษแก้วรีไซเคิล (Cullet) ทีใ่ ช้ เป็ นต้น
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 73
รูป 5.7 จุดยูเทคติคระหว่างโซเดียมไดซิลเิ กตกับซิลกิ าทีอ่ ุณหภูม ิ 800 เซลเซียส โดยโซเดียมไดซิลเิ กตเกิด
จากปฏิกริ ยิ าของแข็ง-ของแข็งระหว่างโซเดียมออกไซด์และซิลกิ าในอัตราส่วนทีเ่ หมาะสม
หากอนุ ภาคของวัต ถุ ดิบ ตัง้ ต้น มีข นาดเล็ก จะทาให้เ วลาการหลอมสมบูร ณ์ ล ดลง เนื่อ งจากการ
เกิดปฏิกิรยิ าจะเกิดได้ดกี ว่าหากอนุ ภาคตัง้ ต้น มีขนาดเล็ก ซึ่งพบว่าอนุ ภาคขนาดเล็ก จะมีพ้นื ที่ผวิ ในการ
เกิดปฏิกิรยิ ามากขึ้น ดังแสดงความสัมพันธ์ระหว่างขนาดอนุ ภาคของโดโลไมท์ (Dolomite; CaMg(CO3)2)
และพื้นที่ผวิ จาเพาะในรูป 5.8 ซึ่งพบว่าขนาดอนุ ภาคเฉลี่ยของโดโลไมท์ลดลง จะทาให้มพี ้นื ที่ผวิ จาเพาะ
เพิม่ ขึน้ อย่างเห็นได้ชดั อย่างไรก็ตามอนุ ภาคขนาดเล็กมากอาจเกิดการเกาะตัวกัน (Agglomerate) เป็ นกลุ่ม
ก้อนขนาดใหญ่ขน้ึ ดังรูป 5.9 โดยก้อนอนุ ภาคที่รวมตัวกันนี้จะมีรูพรุนมาก ซึง่ เป็ นสาเหตุหนึ่งของการเกิด
ฟองก๊าซในน้าแก้วหลอม
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 74
รูป 5.8 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างขนาดอนุ ภาคเฉลีย่ กับพืน้ ทีผ่ วิ จาเพาะของแร่โดโลไมต์
[ทีม่ า N. Laorodphan และคณะ (2004)]
(ก) (ข)
รูป 5.9 การรวมตัวกันของอนุภาคเมือ่ อนุภาคมีขนาดเล็กลง (ก) ขนาดอนุ ภาคเริม่ ต้น (ข) การรวมตัวกันของ
อนุภาค (Agglomeration) (บริเวณล้อมรอบด้วยเส้นประ - - -) เมือ่ อนุภาคมีขนาดเล็กลงหลังผ่านการบด
ลดขนาดเป็ นเวลา 16 ชัวโมง
่ [ทีม่ า C.S. Torres และ L. Schaeffer (2010)]
ในขณะเดียวกันการใช้เศษแก้วรีไซเคิลในปริมาณมากจะทาให้เวลาทีใ่ ช้ในการหลอมแก้วจนสมบูรณ์
(Batch-free time) ลดลง ดังนัน้ การเติมเศษแก้วรีไซเคิล (ส่วนมากจะเป็ นชนิดเดียวกับแก้วทีก่ าลังผลิตอยู)่ ลง
ไปผสมกับวัตถุดบิ นัน้ จึงเป็ นทีน่ ิยมในอุตสาหกรรมแก้ว เนื่องจากช่วยประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายทีเ่ กิดขึน้
จากขัน้ ตอนการหลอมแก้ว การใช้เศษแก้ว รีไซเคิล (Cullet) จะเพิม่ ปริมาณวัฏภาคของเหลวในขัน้ ตอนการ
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 75
หลอมแก้ว ส่งผลช่วยให้เกิดการละลายของส่วนประกอบทีเ่ ป็ นผลึกของแข็งอื่นๆ ได้เร็วขึน้ อีกทัง้ การใช้เศษ
แก้วยังลดส่วนผสมของวัตถุดบิ ทีม่ คี วามทนไฟสูง เช่น ทรายและอะลูมนิ าอีกด้วย
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 76
โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) เกลือ (NaCl) หรือ โซเดียมฟลูออไรด์ (NaF) ก็ทาให้เวลาทีใ่ ช้ในการหลอมแก้ว
จนสมบูรณ์ (Batch-free time) ลดลง โดยสารเหล่านี้เมื่อหลอมเหลวจะได้ของเหลวที่มคี วามหนืดต่ ามาก ซึง่
สามารถทาให้การละลายของวัตถุดบิ อื่นๆ ในของเหลวมีมากขึน้ จากนัน้ ของเหลวทีเ่ กิดขึน้ จะทาปฏิกริ ยิ ากับ
ออกซิเจนในบรรยากาศ กลายเป็ นสารประกอบออกไซด์เหลวที่มอี งค์ประกอบตามต้องการและมีความหนืด
เพิม่ ขึน้
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 77
แก้วซึ่งทาให้ฟองก๊าซในน้ าแก้วมีลกั ษณะเป็ นทรงกลม (Spherical shape) วิธกี ารป้ องกันการเกิดฟองก๊าซ
ที่มาจากบรรยากาศนัน้ สามารถทาได้โดยการกาจัดก๊ าซในบรรยากาศการหลอม เช่น การหลอมภายใต้
สุญญากาศ เป็ นต้น โดยวิธนี ้ีจะมีค่าใช้จ่ายสูงมากและไม่เป็ นทีน่ ิยมสาหรับการผลิตแก้วอุตสาหกรรมที่มกี าร
หลอมในปริมาณที่สูง มาก ก๊ าซจากบรรยากาศจะถู ก กักเก็บได้ม ากหากใช้ ว ตั ถุ ดิบ ที่มอี นุ ภาคขนาดเล็ก
การสลายตัวด้วยความร้อนของวัตถุดบิ บางประเภทเป็ นสาเหตุท่ที าให้เกิดฟองก๊าซได้มากที่สุดใน
กระบวนการผลิต ซึ่ง ก๊ า ซที่เ กิด ขึ้น ได้แ ก่ CO2, SO3, NOx และไอน้ า นอกเหนื อ จากนัน้ ก๊ า ซยัง เกิด จาก
ปฏิกริ ยิ าอิเล็กโทรไลต์ (Electrolytic reaction) ระหว่างน้ าแก้วหลอมกับโลหะทีอ่ าจบนมากับวัตถุดบิ เกิดเป็ น
ก๊าซ O2, CO2 หรือ H2 เป็ นต้น วัสดุทนไฟทีใ่ ช้ในเตาหลอมแก้วเองก็เป็ นสาเหตุหนึ่งทีเ่ กิดก๊าซ เช่น เกิดจาก
การกัดกร่อนผิววัสดุทนไฟต่างๆ ก๊าซที่มอี ยู่ในรูพรุนของวัสดุทนไฟหลุดออกมาปนในน้ าแก้วหลอม รวมถึง
การเกิดก๊าซ CO2 และ CO จากวัสดุทนไฟประเภทคาร์ไบด์ เช่น ซิลกิ อนคาร์ไบด์ (SiC) ที่ทาปฏิกริ ยิ ากับ
วัตถุดบิ ประเภทออกไซด์ต่างๆ
2𝑔∆𝜌𝑟 2
𝑉𝑠 = สมการ 5.11
9
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 78
โดยสามารถปรับประยุกต์ใช้กบั การลอยตัวของฟองก๊าซ (Vb) ออกจากน้าแก้วหนืดได้ดงั สมการ 5.12
3 𝑔∆𝑟 2
𝑉𝑏 = 𝑉𝑠 = สมการ 5.12
2 3
อัต ราเร็ว ในการลอยของฟองก๊ า ซสู่ผ ิว แก้ว ดัง สมการ 5.12 จะเหมาะสมกับ ฟองก๊ า ซที่ม ีข นาดเส้ น ผ่ า น
ศูนย์กลางประมาณ 1 มิลลิเมตร โดยฟองก๊าซขนาดเล็กมากจะทาให้ระยะเวลาทีใ่ ช้ในการลอยตัวเพิม่ มากขึน้
ซึง่ จะไม่สามารถใช้สมการ 5.12 ในการอธิบายได้ การทาให้ขนาดฟองก๊าซมีขนาดใหญ่ขน้ึ จะช่วยเร่งให้ฟอง
ก๊าซลอยตัวขึน้ และหลุดออกจากผิวแก้วได้เร็วขึน้ จากสมการ 5.11 และ 5.12 พบว่าความหนืดของแก้วและ
ความหนาแน่ นของแก้ว ส่งผลต่ออัตราเร็วในการลอยตัวของฟองก๊าซ การบังคับให้น้ าแก้วหลอมเคลื่อนที่จะ
ช่วยเร่งให้ฟองก๊าซลอยขึ้นสู่ผวิ แก้วได้เร็วขึ้น ซึ่งอาจทาได้โดยการคนน้ าแก้ว หรือการออกแบบเตาหลอม
เพื่อให้เกิดการไหลของน้ าแก้ว (อาจทาโดยการให้ความร้อนแก่น้ าแก้วเพื่อให้น้ าแก้วมีอุณหภูมทิ แ่ี ตกต่างกัน
น้ าแก้วทีม่ อี ุณหภูมสิ ูงกว่าจะมีความหนาแน่ นต่ากว่าและจะลอยขึน้ ได้) รวมถึงการปล่อยก๊าซด้านล่างของเตา
หลอมเพื่อให้ฟองก๊าซขนาดใหญ่ทเ่ี ติมลงไปลอยขึน้ สู่ดา้ นบน
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 79
4KNO3 + 2As2O3 2K2O + 2As2O5 + 4NO(g) + O2(g) สมการ 5.13
2. เมือ่ อุณหภูมสิ งู ขึน้ ในระหว่างการหลอม เพนตะออกไซด์ (X2O5) ทีเ่ กิดขึน้ ในขัน้ ตอนที่ 1 จะแตกตัวเกิดก๊าซ
ออกซิเจนเพิม่ เติม ซึง่ หากมีฟองก๊าซอื่นๆ หลงเหลืออยู่กจ็ ะรวมกับออกซิเจนทีเ่ กิดขึน้ นี้ทาให้มขี นาดใหญ่ขน้ึ
และลอยสู่ผวิ น้าแก้วต่อไป โดยปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึน้ เป็ นดังสมการ 5.14
ปฏิกริ ยิ าดังกล่าวเป็ นปฏิกริ ยิ าทีข่ น้ึ อยู่กบั อุณหภูม ิ โดยทีอ่ ุณหภูมติ ่ าจะทาให้เกิดปฏิกริ ยิ าย้อนกลับกลายเป็ น
เพนตะออกไซด์ซง่ึ ต้องการปริมาณออกซิเจนทีม่ อี ยูใ่ นแก้ว ซึง่ ทาให้เกิดการแพร่ของฟองก๊าซทีม่ อี อกซิเจนใน
แก้วเพื่อทาปฏิกริ ยิ ากับไตรออกไซด์ดงั กล่าว เมื่อฟองก๊าซดังกล่าวถูกทาให้เกิดปฏิกริ ยิ าก็จะมีขนาดเล็กลง
เมื่อขนาดของฟองก๊าซมีขนาดเล็กมาก (เล็กกว่า 0.1 มิลลิเมตร) จะทาให้แรงดันภายในฟองก๊าซจะลดลงทา
ให้ฟองก๊าซถูกกาจัดในที่สุด ซึ่งความดันภายในฟอง (Internal pressure, P) จะมีความสัมพันธ์กบั พลังงาน
พืน้ ผิว (Surface energy, ) และขนาดของฟองดังสมการ 5.15
2𝛾
𝑃= สมการ 5.15
𝑟
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 80
ซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ (SO3) กลายเป็ นก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และคาร์บอนไดออกไซด์แทน ซึ่งทาให้เกิด
ฟองก๊าซเป็ นจานวนมากได้
สารประกอบไนเตรตสามารถลดฟองก๊าซได้จากการสลายตัวให้ก๊าซไนโตรเจนและก๊าซออกซิเจน
อย่างไรก็ตามปฏิกริ ยิ าการสลายตัวของไนเตรตนัน้ เกิดทีอ่ ุณหภูมติ ่ามาก (ประมาณ 500 – 800 เซลเซียส) ซึง่
เป็ นอุณหภูมทิ ว่ี ฏั ภาคของเหลวยังไม่เกิด ขึน้ ส่วนการใช้สารประกอบแฮไลด์นัน้ จะทาให้ของเหลวทีเ่ กิดขึน้ มี
ความหนืดต่ามาก ซึง่ จะทาให้อตั ราเร็วในการลอยตัวของฟองก๊าซเร็วขึน้ สารประกอบแฮไลด์จะนิยมใช้ในการ
หลอมแก้วทีม่ ปี ริมาณอะลูมนิ าสูง นอกจากนี้แก้วทีม่ อี อกไซด์ของธาตุทรานซิชนั เป็ นส่วนประกอบ เช่น CeO2
MnO2 Fe2O3 และ Pb3O4 เป็ นต้น จะเกิดก๊าซออกซิเจนขึน้ เมื่อเกิดปฏิกริ ยิ ารีดกั ชันของไอออนดังกล่าว ซึ่ง
ก๊าซออกซิเจนนัน้ จะมีกลไกการลดฟองเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น อย่างไรก็ตามสารประกอบของ
โลหะทรานซิชนั นี้ถูกเติมลงไปในแก้วเพื่อวัตถุประสงค์อ่นื มากกว่าการเติมเพื่อกาจัดฟองก๊าซ เช่นการเติม
CeO2 ลงไปเพื่อป้ องกันการเกิดปฏิกริ ยิ ากับแสงแดด (Solarisation) หรือการเติม MnO2 เพื่อเป็ นสารให้ส ี เป็ น
ต้น
การไหลแบบไปด้า นหน้ า (Throughput flow) เป็ นการไหลจากบริเ วณที่ป้ อ นสาร (Feeding หรือ
Batch charging) ไปยังบริเวณพร้อมใช้งาน (Working zone) จากการเติมส่วนผสมลงไปในอ่างหลอมและการ
ดึงน้ าแก้วที่หลอมสมบูรณ์แล้วออกไปใช้งาน กระแสการไหลของน้ าแก้วจะขนานกัน โดยอัตราการไหล ณ
บริเวณก้นอ่างหลอมหรือบริเวณผนังเตาหลอมจะน้ อ ยมาก หรือ มีค่าเป็ น 0 และอัตราการไหลจะเพิ่มขึ้น
เรือ่ ยๆ สู่ผวิ ด้านบนของน้าแก้ว โดยมีทศิ ทางของกระแสไหลน้าแก้วเป็ นไปดังแบบจาลองในรูป 5.10
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 81
รูป 5.10 ทิศทางของกระแสน้าแก้วในการไหลแบบไปด้านหน้า (Throughput flow)
[ทีม่ า J.Hlavac (1983)]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 82
5.3.6 การเป็ นเนื้ อเดียวกันของแก้ว (Homogenising)
Stones คือแก้วที่มอี นุ ภาคอื่นปนอยู่ เช่น เศษวัสดุทนไฟ และเศษวัตถุดบิ ที่ไม่หลอม เป็ นต้น โดย
ส่วนมากจะสามารถมองเห็นได้ดว้ ยตาเปล่าได้
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 83
ระเหยได้เข้าสู่ส มดุล ทาให้การระเหยของวัตถุ ดบิ ลดลง ในกรณีของการหลอมในถ้ว ยหลอมขนาดเล็กใน
ห้องปฏิบตั กิ ารหรือการหลอมในปริมาณทีไ่ ม่มาก อาจทาได้โดยการปิ ดฝาถ้วยหลอมหรือเบ้าหลอมไว้ ซึง่ จะ
ทาให้ความดันไอของสารระเหยเข้าสู่สภาวะทีส่ มดุลได้เร็วขึน้ อย่างไรก็ตามการปิ ดหรือคลุมเพื่อเพิม่ ความดัน
ไอเหนือของเหลวนัน้ ทาได้ยากในกรณีของการหลอมในปริมาณมากหรือการหลอมในเตาหลอมแบบต่อเนื่อง
ดังนัน้ การแก้ปัญหาอาจทาได้โดยการเติมส่วนผสมทีร่ ะเหยง่ายเพิม่ ขึน้ เพื่อทดแทนการสูญเสียองค์ประกอบ
นัน้ จากการระเหยในระหว่างการหลอม การพิจารณาว่าแก้วมีองค์ประกอบตามต้องการหรือไม่ อาจทาได้ดว้ ย
วิธอี ย่างง่ายคือการคานวณค่าร้อยละการสูญเสียน้ าหนัก (% weight loss) แต่วธิ กี ารนี้จะมีความคลาดเคลื่อน
สูงมาก เนื่อ งจากวัต ถุ ดิบที่ใ ช้อาจดูดซับน้ าได้ดี ซึ่งทาให้การสูญ เสียน้ าหนักมากเกินความเป็ นจริง โดย
น้าหนักทีห่ ายไปมากเกินนัน้ เกิดจากการสูญเสียน้า ไม่ใช่เกิดจากการระเหยของอัลคาไลน์
คาถามท้ายบท
3. ความเสถียรของแก้ว (Glass stability) คือ อะไร สามารถวิเ คราะห์ได้อ ย่างไรว่าแก้วแต่ล ะชนิดมีค วาม
เสถียรมากน้อยกว่ากัน
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 84
บทที่ 6
การขึน้ รูปแก้ว
Glass Forming
ความหนาของแก้วจะส่งผลต่ออัตราการเย็นตัวของแก้ว ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความเค้นคงค้างที่
เหลืออยู่ในแก้ว ซึ่งเป็ นข้อกาหนดว่า แก้วสามารถขึ้นรูปได้หรือไม่ และควรต้องควบคุมอัตราการเย็นตัวใน
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 85
ระหว่างการขึน้ รูปอย่างไร มีรายงานว่าอัตราการถ่ายเทความร้อนของแก้วแผ่นจะสัมพั นธ์กบั ความหนาของ
แก้ว อีกทัง้ ความร้อนคงค้างภายในแก้ว จะถ่ายเทออกมาช้ากว่าหากแก้วมีความหนา ซึง่ ทาให้ มคี วามเค้นคง
ค้างเหลืออยู่ในแก้วสูง ทาให้อาจเกิดรอยแตกร้าวในแก้วได้หากขัน้ ตอนการอบอ่อนไม่สมบูรณ์ ซึง่ ความหนา
ของผลิตภัณฑ์แก้วโดยทัวไปไม่
่ ควรเกิน 15 เซนติเมตร
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 86
6.1 ความหนื ดของแก้วในกระบวนการผลิ ตในขัน้ ตอนต่ าง ๆ (Viscosity of glass forming melts)
𝐹𝑑
= 𝐴𝑣 สมการ 6.1
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 87
ค่าของความหนืดในหน่ วยวัดระบบ Centimeter-gram-second, CGS คือ ดายน์ วนิ าทีต่อตารางเซนติเ มตร
(dynescm-2) หรือ พอยส์ (Poise) (ใช้ต ัว ย่ อ P) ส าหรับ รหน่ ว ยวัด ระบบเอสไอ (SI unit: International
system unit) จะใช้นิวตันวินาทีต่อตารางเมตร (Nsm-2) หรือพาสคัลวินาที (Pas) ค่าความหนืดถูกใช้แบ่ง
ประเภทของของไหล เป็ นของไหลนิวโตเนียน (Newtonian) และของไหลนอนนิวโตเนียน (Non-newtonian)
โดยของไหลนิวโตเนียน (Newtonian) ซึ่งเป็ นของไหลที่มคี วามเร็ว ของการไหลตามแรงเฉือนคงที่ ส่วนของ
ไหลนอนนิวโตเนียน (Non-Newtonian) เป็ นของไหลที่เมื่อให้แรงเฉือนมากขึ้นความหนืดจะลดลง น้ าแก้ว
หลอมเป็ นของไหลแบบนอนนิวโตเนียน (Non-Newtonian) โดยพฤติกรรมทีค่ วามหนืดลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อ
ให้แรงเฉือนเพิม่ ขึน้ นี้จะเรียกว่าพฤติกรรมการไหลแบบซูโดพลาสติก (Pseudoplastic) หรือ Shear thinning
ซึง่ พฤติกรรมนี้ส่งผลต่อกระบวนการขึน้ รูปแก้ว โดยเฉพาะเทคนิคการขึน้ รูปทีใ่ ช้แรงเฉือนสูง นอกจากนัน้ ค่า
ความหนืดอาจรายงานในรูปของค่าการไหลตัว หรือ Fluidity ซึง่ จะแปรผกผันกับความหนืด ในกระบวนการ
ขึน้ รูปแก้วนัน้ น้ าแก้วหลอมจะมีความหนืดสูงขึน้ เมื่ออุณหภูมลิ ดลง ตัวอย่างการขึน้ รูปแก้วโซดาไลม์ซลิ เิ กตที่
พบการเปลีย่ นแปลงของความหนืดของแก้วเป็ นดังรูป 6.2 ทีอ่ ุณหภูมติ ่าง ๆ ในระหว่างกระบวนการผลิตแก้ว
โดยสามารถสรุปไว้ในตาราง 6.2 ซึง่ แสดงจุดสาคัญต่าง ๆ เทียบกับค่าความหนืด เช่น ช่วงทีส่ ามารถขึ้นรูป
แก้วได้ ช่วงทีแ่ ก้วมีการอ่อนตัวและช่วงทีเ่ หมาะแก่การอบอ่อน เป็ นต้น
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 88
ตาราง 6.2 จุดต่าง ๆ ในกระบวนการผลิตแก้วทีค่ วามหนืดของแก้วโซดาไลม์ซลิ เิ กตช่วงต่าง ๆ
ความหนื ดของแก้ว
เหตุการณ์ ที่เกิ ดขึ้น
(พาสคัลวิ นาที ; Pas)
แก้วหลอมสมบูรณ์ 1 – 10
จุดขึน้ รูปแก้ว 103
จุดอ่อนตัวแบบ Littleton (Littleton softening point) 106.6
จุดอ่อนตัวแบบ Dilatometric 108 – 109
ช่วงการเปลีย่ นเป็ นแก้ว (Glass transition range) 1011.3
ช่วงการอบอ่อน 1012 – 1012.4
จุดความเครียดต่า (Strain Point) 1013.5
ในการอธิบายเหตุก ารณ์ต่ าง ๆ ที่ปรากฏในรูป 6.2 และ ตาราง 6.2 จะเป็ นค่าความหนืด ที่แต่ ล ะ
อุณหภูมเิ มื่อน้ าแก้วเย็นตัวลง โดยเป็ นของกระบวนการผลิตแก้วชนิดโซดาไลม์ซลิ เิ กตซึง่ ใช้เป็ นระบบอ้างอิง
ในอุ ต สาหกรรมการผลิต แก้วทัวไป ่ โดยเมื่อ วัต ถุ ดิบต่ าง ๆ ผ่ านกระบวนการหลอมจนสมบูรณ์ กล่ าวคือ
กลายเป็ นของเหลวสมบูรณ์ ท่ีมคี วามเป็ น เนื้อ เดียวกัน และถู กไล่ ฟอร์ม ก๊ าซแล้ว จะมีค วามหนืด น้ อ ยกว่ า
10 พาสคัล วินาที (Pas) จากรูป 6.2 แสดงจุดหลอมเหลวของแก้ว ที่เ ป็ นอุ ณหภูมหิ ลอมเหลวสมบูรณ์ ใ น
กระบวนการผลิตแก้วซึง่ มักจะสูงกว่าจุดหลอมเหลว (Melting point) ของส่วนผสม
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 89
จุดอ่อนตัวแบบ Littleton (Littleton softening point) เป็ นชื่อเรียกจุดอ่อ นตัว ที่ถู กวัดด้ว ยวิธ ีเ ฉพาะ
สามารถวัดจากอัตราการยืดตัวของเส้นใยแก้ว (ไฟเบอร์) ทีม่ ขี นาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.7 มิลลิเมตร
ยาว 24 เซนติเมตร โดยปลายด้านหนึ่งของไฟเบอร์ (ประมาณ 10 เซนติเมตร) จะได้รบั ความร้อนทีอ่ ุณหภูม ิ
สูงขึน้ เรื่อย ๆ โดยใช้อตั ราการเพิม่ อุณหภูมเิ ท่ากับ 5 K/min จุดอ่อนตัวแบบ Littleton คือจุดที่อุณหภูมขิ อง
ตัวอย่างแก้วโซดาไลม์ซลิ กิ ามีอตั ราการยืดตัว (Elongation) เท่ากับ 1 มิลลิเมตรต่อนาที โดยในตาราง 6.2
สามารถอ่านค่าได้เท่ากับ 106.6 พาสคัลวินาที (Pas) อย่างไรก็ตามแก้วประเภทอื่น ๆ จะมีอุณหภูม ิของ
จุดอ่อนตัวแบบ Littleton ทีแ่ ตกต่างไป นอกจากนี้ยงั มีการวัดจุดอ่อนตัวด้วยวิธกี ารพิจารณาจากการขยายตัว
เพราะความร้อน (Thermal expansion) ของแก้ว ซึ่งจะเรียกว่าจุดอ่อนตัวแบบ Dilatometric (Dilatometric
softening point, Td) ซึง่ มาจากเครื่องมือทีใ่ ช้วดั ค่าการขยายตัวเพราะความร้อนนัน้ มีช่อื เรียกว่า Dilatometer
โดยจุดอ่อนตัวแบบ Dilatometric นัน้ คือ อุณหภูมสิ ูงสุดที่ช้นิ งานแก้วมีการขยายตัวสูงที่สุด (วัดในระหว่าง
การเพิม่ อุณหภูมแิ ก้ว)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 90
6.2 ความสัมพันธ์ระหว่างความหนื ดกับอุณหภูมิ (Viscosity and temperature relationship)
โดยทัวไปแล้
่ วหากต้องการอธิบายค่าความหนืดของแก้วหรือของของเหลวที่ อุณหภูมติ ่าง ๆ มักจะใช้
สมการของ Arrhenian (สมการ 6.2) และสมการของ Vogel-Fulcher-Tamman (สมการ 6.3) ในการอธิบาย
โดยสมการของ Arrhenian เหมาะส าหรับ ความหนื ดในช่ว ง 1013 – 109 พาสคัล วินาที ส่ ว นในช่ว งที่แ ก้ว
สามารถไหลตัว ได้ดีห รือ มีค วามหนื ดต่ ากว่ า จะใช้ ส มการของ Vogel-Fulcher-Tamman ซึ่ง พัฒนามาจาก
สมการของ Arrhenian โดยร่วมกันคิดโดยนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน จึงมีการเรียกชื่อรวม ๆ กันว่า Vogel-
Fulcher-Tamman Equation หรือ VFT Equation
0 คือ ค่าคงที่
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 91
𝐵×103
log = −𝐴 + สมการ 6.4
𝑇−𝑇0
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 92
โดยผลต่างระหว่าง V-V0 นัน้ จะแปรผันโดยตรงกับกับความต่างของอุณหภูม ิ (T-T0) ซึง่ ทีอ่ ุณหภูม ิ T0
ความหนืดของแก้วหรือของเหลวจะมีค่าสูงมาก และหากพิจารณาความเกี่ยวเนื่องกับปริมาตรจาเพาะ V0
พบว่า ความหนืดจะสูงมากเช่นกันเนื่องจากอะตอมไม่สามารถเคลื่อนทีไ่ ด้เนื่องจากเป็ นสภาวะทีม่ กี ารจัดเรียง
ตัวของอะตอมต่าง ๆ ชิดกันมากทีส่ ุด (Close pack) ซึง่ เป็ นสภาวะทีส่ สารมีความหนาแน่ นสูงสุด
อีก ทัง้ ยัง สามารถอธิบ ายความสัม พัน ธ์น้ี จ ากค่ า เอนโทรปี ข องน้ า แก้ว หลอม ซึ่ง มีส มมติฐ านว่ า
ของเหลวจะประกอบไปด้วยบริเวณที่มกี ารจัดเรียงตัวของอะตอมเป็ นกลุ่มก้อนที่มกี ารผันผวนของพลังงาน
(Fluctuation of energy) โดยขนาดของกลุ่มก้อนนี้จะขึ้นอยู่กบั อุณหภูมแิ ละมีขนาดที่ใหญ่ข้นึ เมื่อเอนโทรปี
ของการจัดเรียงตัวของอะตอมในกลุ่มก้อนลดลง โดยขนาดของกลุ่มก้อนจะใหญ่ทส่ี ุดในกรณีทเ่ี อนโทรปี มคี ่า
เท่ากับศูนย์ โดยสามารถเขียนให้อยูใ่ นรูปสมการได้ดงั แสดงในสมการ 6.6
Sc คือ เอนโทรปี
𝑇−𝑇0
𝑆𝑐 = ∆𝐶𝑝 ( ) สมการ 6.7
𝑇
T หรือ T0 คือ อุณหภูมทิ ต่ี ้องการหาความหนืด และ อุณหภูมทิ ก่ี าหนดขึน้ (ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น) ใน
หน่วยของเซลเซียส (C)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 93
รูป 6.3 แผนภาพความเปราะ (Fragility diagram) ของของเหลวหนืด [ดัดแปลงจาก Shelby (2005)]
ปั จจั ย นี้ อ าศั ย การอธิ บ ายด้ ว ยความเชื่ อ มต่ อ ของโครงสร้ า งแก้ ว หรื อ การเชื่ อ มต่ อ ของ
ตัวโครงร่างตาข่ายแก้ว (Glass former) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าองค์ประกอบแก้วที่ลดความเชื่อ มต่อของแก้วลง
ความหนืดของแก้วองค์ประกอบนัน้ ๆ จะลดลงด้วย
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 94
ระหว่างตัวโครงสร้างแก้ว ในกรณีน้คี อื ระหว่าง Si และ Si) จะถูกเปลีย่ นเป็ น Non-bridging oxygen ดังสมการ
เคมีแสดงปฏิกิรยิ า (สมการ 6.8) เมื่อ – แสดงความเป็ นพันธะโควาเลนท์ และ แสดงความเป็ นพันธะ
ไอออนิกในแก้ว
การทาลายโครงข่ายของตัวโครงสร้างแก้วดังกล่าวจะทาให้ความหนืดของแก้วลดลงมากเมื่อเติมออกไซด์
ของอัลคาไลน์ลงไปในประมาณน้อย ๆ แต่หากเติมลงไปสูงขึน้ ถึงประมาณ 10 – 20 % โดยโมล ค่าความหนืด
จะไม่แตกต่างกันมากนัก นอกจากนัน้ ชนิดของออกไซด์ของอัลคาไลน์ ท่เี ติมลงไปก็ส่งผลต่อการลดลงของ
ความหนืดเช่นกัน (ส่งผลต่อความหนืดน้อยกว่าปริมาณออกไซด์ทเ่ี ติมลงไป) โดยมีลาดับการลดลงของความ
หนืดเป็ นดังนี้ Cs2O > Rb2O > K2O > Na2O > Li2O
การเติม Al2O3 หรือ Ga2O3 ซึ่งเป็ นออกไซด์กลุ่มที่เป็ น Intermediate oxide ลงไปแทนที่อ อกไซด์
ของอัลคาไลน์หรืออัลคาไลน์เอิรธ์ นัน้ จะทาให้ความหนืดของแก้วสูงขึ้น เนื่องจาก Al2O3 และ Ga2O3 ทาให้
โครงร่างตาข่ายของแก้วเพิม่ มากขึน้ (Bridging oxygen เพิม่ ขึน้ ) โดยความหนืดจะสูงทีส่ ุดเมื่อปริมาณที่เติม
ลงไปเท่ากับออกไซด์ของอัลคาไลน์หรืออัลคาไลน์เอิรธ์ ที่มอี ยู่ในแก้ว (อัตราส่วนระหว่าง Al2O3 หรือ Ga2O3
ต่ อ ออกไซด์ของอัลคาไลน์ ห รืออัลคาไลน์ เ อิร์ธ เท่ากับ 1) ดังแสดงในรูป 6.4 ซึ่งเป็ นตัว อย่างของการเติม
Ga2O3 ลงไปในแก้ว อัล คาไลน์ ซิล ิเ กต โดยแก้ว จะมีป ริม าณออกไซด์ข องอัล คาไลน์ อ ยู่ค งที่ท่ี 15 mol%
(ออกไซด์ของอัลคาไลน์ทใ่ี ช้ได้แก่ Li2O, Na2O และ K2O) หากเติม Al2O3 และ Ga2O3 เกินกว่าประมาณของ
ออกไซด์ของอัลคาไลน์หรืออัลคาไลน์เอิรธ์ ทีม่ อี ยูใ่ นแก้วแล้วค่าความหนืดจะลดลง
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 95
รูป 6.4 ผลขององค์ประกอบทางเคมีของแก้วต่อการเปลีย่ นแปลงอุณหภูม ิ Isokom ทีใ่ ห้ค่าความหนืด
1011 พาสคัลวินาที (Pas) ของแก้วระบบลิเทียมซิลเิ กต โซเดียมซิลเิ กต และ โพแทสเซียมซิลเิ กต (แก้วแต่ละ
ชนิดมีปริมาณอัลคาไลน์ออกไซด์เท่ากัน = 15 % โดยโมล) ทีม่ กี ารเติม Ga2O3 ในปริมาณทีต่ ่างกัน
[ดัดแปลงจาก J.E. Shelby (2005)]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 96
(ดังรูป 6.5 ข) โดยโครงสร้าง Boroxol ring จะขยายตัวและแตกออกเมือ่ อุณหภูมสิ ูงขึน้ ซึง่ เป็ นปั จจัยหนึ่งทีท่ า
ให้ความหนืดของแก้วระบบนี้ต่า
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 97
แม้ว่าทัง้ สองระบบนี้ Sb2O3 และ Bi2O3 จะมีพฤติกรรมเป็ นตัวโครงสร้างแก้ว (Glass network former) ซึ่ง
แตกต่างจากแก้วระบบ Si2O-B2O3 หรือ GeO2-B2O3 ซึง่ ความหนืดจะเพิม่ ขึน้ เมื่อเพิม่ ปริมาณของ SiO2 หรือ
GeO2 ส่วนการเติมออกไซด์ชนิด Intermediate ลงไปในแก้วจะส่งผลต่อความหนืดเพียงเล็กน้อย
รูป 6.6 ความหนืดของแก้ว Li2O-B2O3 ทีม่ ปี ริมาณ Li2O ต่าง ๆ โดยความหนืดจะอยูใ่ นรูปของอุณหภูม ิ
ไอโซคอม (Isokom temperature) ทีม่ คี ่าความหนืดเท่ากับ 1011 พาสคัลวินาที
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 98
โครงสร้างใหม่ตามต้องการนัน้ จะขึ้นอยู่กบั ความหนืดของแก้ว แก้วที่มคี วามหนืดต่ าจะมีการเปลี่ยนแปลง
โครงสร้างในช่วงแรกในอัตราที่เร็วกว่า แสดงให้เห็นว่าการคลายความเครียด (Relaxation) ในช่วงแรกของ
แก้วชนิดนี้สูงกว่า ยกตัวอย่างในกรณีของการอบแก้วที่อุณหภูม ิ T3 ซึ่งเป็ นอุณหภูม ิ Fictive ที่ต้องการ โดย
เริ่ม จากแก้ ว 2 ชนิ ด ที่ม ีอุ ณ หภู ม ิ Fictive สู ง กว่ า (T1) และ ต่ า กว่ า (T2) ตามล าดับ โดยที่ T1 > T2 > T3
ดังแสดงใน รูป 6.8 แสดงให้เห็นว่าแก้วทีม่ อี ุณหภูม ิ Fictive สูงกว่า ในช่วงต้นของการอบทีอ่ ุณหภูม ิ T3 แก้ว
จะมีการเปลีย่ นแปลงความหนืดทีเ่ ร็วกว่า เนื่องจากแก้วมีความหนืดเริม่ ต้นทีต่ ่ ากว่า อย่างไรก็ตามแก้วจะต้อง
ใช้เวลาในการอบทีน่ านกว่าแก้วทีม่ อี ุณหภูม ิ Fictive ต่ากว่า
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 99
รูป 6.8 การเปลีย่ นแปลงความหนืดของแก้วเพื่อเข้าสู่สมดุลใหม่ จากแก้วทีม่ อี ุณหภูม ิ Fictive ต่างกัน
(T1 และ T2 โดยที่ T1 > T2 > T3) [ดัดแปลงจาก J.E. Shelby (2005)]
Rotation Viscometers : การวิเ คราะห์ด้ว ยวิธ ีน้ี ป ระกอบไปด้ว ยวัส ดุ ท รงกระบอกขนาดเล็ก ที่
เรียกว่า Spindle ซึง่ จะหมุนอยู่ภายในของเหลวทีต่ ้องการวัดค่าความหนืด หรือการวัดค่าความหนืดโดยการ
ให้ภาชนะรองรับของเหลวที่ต้องการวัดค่าความหนืดหมุนแล้ววัดค่าแรงบิด (Torque) ที่ของเหลวกระทาต่อ
สปิ นเดิล (Spindle) ค่าความหนืดทีว่ ดั ได้นัน้ จะอยู่ในช่วง 103.5 ถึง 109 ขึน้ อยู่กบั การออกแบบเครื่องมือ โดย
เทคนิคนี้จะใช้แก้วตัวอย่างประมาณ 100 – 1000 กรัม ขึ้นอยู่ปริมาณน้ าแก้วหลอมเหลวที่จะต้องเพียงพอ
สาหรับการวัด โดยค่าความหนืดของน้ าแก้วจะมีความสัมพันธ์กบั แรงบิด (Torque) ขนาดของสปิ นเดิลและ
ขนาดของภาชนะรองรับน้ าแก้ว ดังสมการ 6.9
2 𝑟2𝑔
= (𝜌𝑠 − 𝜌𝑚 ) สมการ 6.10
9 𝑣
g คือ แรงโน้มถ่วงของโลก
𝑔𝐿3 𝐴𝐿𝜌
= (𝑀 + ) สมการ 6.12
2.4𝐼𝑐 𝑉 1.6
M คือ น้าหนักกด
คาถามท้ายบท
αE
σ Tav T สมการ 7.1
1 μ
เมือ่ E คือ มอดูล สั ความยืดหยุ่น (Elastic modulus) ซึ่งเป็ นตัว เลขที่แสดงความต้านทานต่ อ การเสีย
รูปแบบยืดหยุน่ หรือการเสียรูปแบบชัวคราว
่ (Elastic or non-permanent deformation) ของวัสดุ
รูป 7.3 (ก) ความแตกต่างของอุณหภูมขิ ณะน้ าแก้วเริม่ เย็นตัวในกระบวนการขึน้ รูปซึง่ ก่อให้เกิด (ข) ความ
เค้นคงค้าง (Residual stress) ในแก้ว เมือ่ แก้วเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วทีอ่ ุณหภูมสิ งู กว่าอุณหภูมกิ าร
เปลีย่ นเป็ นแก้ว (Glass transition temperature; Tg)
Kt
ln 0 ln สมการ 7.2
K คือ ค่าคงที่
คือ ความหนืด
หรือสามารถเขียนให้อยูใ่ นอีกรูปสมการ (สมการ 7.3)
1 1
At สมการ 7.3
0
แก้ ว โซดาไลม์ซิล ิเ กตจะมีค่ า คงที่ก ารอบอ่ อ น (A) จะมีค่ า ประมาณ 4.6 x 10–10 Pa–1s–1 หรือ
4.5 x 10–5 ตารางเซนติเมตรต่อกิโลพาสคัลวินาที (cm2kp–1s–1) ณ อุณหภูม ิ Upper annealing (Ta) และจะ
ลดลงอย่างรวดเร็วเมือ่ ความหนืดเพิม่ ขึน้ (T น้อยกว่า Ta) ซึง่ อาจเขียนความสัมพันธ์ได้ดงั สมการ 7.4
หากความเค้นเริม่ ต้น (0) มากกว่าความเค้นหลังจากการอบอ่อน () มาก ๆ จะสามารถหาเวลา (t) ทีใ่ ช้ใน
การยืนอุณหภูมหิ รือ Soaking ได้จากสมการ 7.5
1
t สมการ 7.5
A
exp0.07Ta T
t สมการ 7.6
4.6 1010 c
h คือ อัตราการลดอุณหภูม ิ
E Ec p
Ma สมการ 7.8
a1 k 1
เมือ่ a,k คื อ ค่ า การแพร่ ข องความร้ อ น (Thermal diffusivity) และ การน าความร้ อ น ( Thermal
conductivity) ของวัสดุ ตามลาดับ
คือ ความหนาแน่น
cp คือ ความร้อนจาเพาะ (Specific heat)
c
h1 สมการ 7.9
M a 2
1.5( MPa) 1
h1 2.2(C min )
1 2 2 2
120 ( MPa s K cm ) 1 (cm ) (0.0056 )
เมื่อ ได้ค่ าอัต ราการเย็นตัวที่เ หมาะสมแล้ว ในการวางแผนการลดอุ ณหภูมหิ ลัง อบอ่ อนที่อุณหภูม ิ Upper
annealing เป็ นระยะเวลาหนึ่งแล้ว โดยทัวไปมั
่ กลดอุณหภูมจิ นถึงอุณหภูม ิ Lower annealing โดยใช้อตั รา
การลดอุณหภูมเิ ป็ น 3 ช่วง โดยในขัน้ แรกจะใช้อตั ราการลดอุณหภูมเิ ท่ากับ (2/3) x h1 จากนัน้ จึงลดอุณหภูม ิ
ด้วยอัตราการเย็นตัวเท่ากับ h1 และในขัน้ สุดท้ายจะลดอุณหภูมลิ งในอัตราเท่ากับ 2 x h1
กระบวนการนี้ใ นบางครัง้ อาจอยู่ใ นขัน้ ตอนที่เ รียกว่า After working ซึ่งเป็ นขัน้ ตอนการปรับปรุง
สมบัติของแก้ว ที่ไ ด้ใ ห้ดีข้นึ ซึ่งส่วนมากพบในการผลิต แก้ว ที่มกี ารใช้งานเชิงแสง (Optical glasses) แก้ว
สาหรับทาเทอร์โมมิเตอร์ และ กระจก Tempered ทีม่ กี ารใช้งานเป็ นกระจกรถยนต์หรือกระจกในงานก่อสร้าง
เป็ นต้น การบาบัดด้วยความร้อนจะมีลกั ษณะคล้าย ๆ กับการอบอ่อนทีไ่ ด้กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่เป็ นขัน้ ตอน
ทีต่ อ้ งควบคุมเวลาและอุณหภูมใิ ห้แม่นยา
คาถามท้ายบท
1. ความเค้นในแก้วเกิดขึน้ จากสาเหตุใด
3. นอกเหนือจากการอบอ่อนเพื่อลดความเค้นในผลิตภัณฑ์แก้วแล้ว การใช้ความร้อนในลักษณะเดียวกับการ
อบอ่อนสามารถปรับปรุงหรือทาให้แก้วมีสมบัตติ ่าง ๆ ดีขนั ้ ได้อย่างไรบ้าง จงยกตัวอย่างพร้อมอธิบาย
R
n 12
สมการ 8.1
n 12
จากสมการ 8.1 หากค่าดัชนีหกั เหแสงของแก้ว (n) มีค่าเท่ากับ 1.5 จะทาให้ค่า R มีค่าเท่ากับ 0.04 ซึง่ แสดง
ให้เห็นว่าปริมาณแสงทีส่ ะท้อนทีผ่ วิ แก้วคิดเป็ น 4% ของแสงทีต่ กกระทบ ส่วนปริมาณแสงทีจ่ ะถูกดูดกลืนโดย
แก้ว นัน้ จะขึ้นอยู่ก ับความยาวคลื่นแสงที่ต กกระทบ (Incident wavelength) โดยแต่ ล ะความยาวคลื่นจะมี
ปริม าณแสงหรือ ความเข้ม แสงที่ถู ก ดู ด ซับ ไว้ ไ ม่ เ ท่ า กัน โดยแตกต่ า งกัน ตามชนิ ด ของตัว ดู ด กลืน แสง
(Absorbing agents) ซึ่งมีความเข้มข้นเท่ากับ c นอกจากนัน้ ยังขึ้นอยู่กบั ความเข้ม ของแสงตกกระทบ (I0)
ค่าคงที่ Extinction coefficient () และความหนาของแก้ว (l) โดยมีความสัมพันธ์ดงั สมการ 8.2
X 380 I x d
780
สมการ 8.3
Y 380 I y d
780
สมการ 8.4
Z 380 I z d
780
สมการ 8.5
X
x สมการ 8.6
X Y Z
Y
y สมการ 8.7
X Y Z
โดยสามารถบอกสี ใ นลัก ษณะของตัว เลขต่ า ง ๆ ได้ นอกจากนั ้น ค่ า CIE ยัง บ่ ง บอกถึง ความสว่ า ง
(Brightness) ของสีได้อีกด้วย ซึ่งได้มาจากค่ า y หรือ จากการอินทิเกรตพื้นที่ของกราฟการส่องผ่า นแสง
(Transmission) ได้ และยังบ่งบอกความยาวคลื่นเด่น (Dominant wavelength) และค่าความบริสุทธิ ์ (Purity)
ได้จากการลากเส้นจากจุด CIE illuminant (C) ผ่านจุด (x,y) ของแก้วไปยังความยาวคลื่น โดยจุดตัดจะเป็ น
ความยาวคลื่นเด่น และค่าความบริสุทธิ ์สามารถหาได้จากสมการ 8.8
a
Purity สมการ 8.8
( a b)
โดยค่ า a และ b คือ ความยาวจากจุด CIE illuminant C ถึงจุด (x,y) และจากจุด (x,y) ถึงความยาวคลื่น
ตามลาดับ ดังแสดงในรูป 8.3
ปฏิกิรยิ าดังกล่ าวในอดีต ใช้เ พื่อ ลดความเข้มของสีเ ขียวของแก้ว ที่มเี หล็กเป็ นองค์ป ระกอบด้ว ยการเติม
แมงกานีสเป็ นตัวลดสีซ่งึ สามารถอธิบายได้จากการมองเห็นสีของแก้วผสมระหว่างสีม่วง (ของไอออนของ
แมงกานีส) และสีเขียว (ของไอออนของเหล็ก) พร้อม ๆ กัน ทาให้เกิดเป็ นลักษณะไม่มสี เี มื่อใช้สายตามอง
โดยปั จจุบนั การใช้แมงกานีสไม่เป็ นที่นิยมเนื่องจากว่าเกิดปั ญหาได้งา่ ยและควบคุมการเกิดสีได้ยาก เนื่องจาก
แมงกานีสจะไวต่อการเกิดปฏิกิรยิ าโซลาร์ไรซ์เซชันมาก (Light-sensitive) จึงเปลี่ยนมาใช้โคบอลต์ร่ว มกับ
ซีลเี นียมแทนในการทาให้แก้วไม่มสี ี (จากการมองเห็นด้วยตาเปล่า) ในปั จจุบนั ได้พฒ ั นาคู่ของไอออนอื่น ๆ ที่
ทาให้ค่าการดูดกลืนแสงของแก้วเปลีย่ นช่วงพลังงานไป เช่น การใช้ไอออนของ Mn-As หรือ Fe-As รวมไปถึง
คู่ไอออนของธาตุทรานซิชนั อื่น ๆ คู่กบั ไอออนของซีเรียม (Ce) เป็ นต้น ซึ่งการมีผลมากกว่าเพียงการลดสี
หรือฟอกจางสีทเ่ี กิดขึน้ ในแก้ว
คาถามท้ายบท
2. จงอธิบายว่าสารให้สแี ต่ละกลุ่มจะทาให้แก้วเกิดสีได้อย่างไร
9.1 ลักษณะเฉพาะและสมบัติของวัสดุ
ความหนาแน่ น (Density) เป็ น ค่ า ที่แ สดงมวลของสารต่ อ หนึ่ ง หน่ ว ยปริม าตร (Mass per unit
volume) มักใช้ตวั ย่อเป็ น D หรือ ซึง่ สามารถเขียนให้อยูใ่ นสมการทัว่ ๆ ไปได้ดงั สมการ 9.1
𝑀 𝑀
𝐷= หรือ ρ = สมการ 9.1
𝑉 𝑉
V คือ ปริมาตรของแก้ว
WA L
สมการ 9.3
(WA WL )
วิ ธีทา จากโจทย์จะได้ว่า WA เท่ากับ 0.1417 กรัม WL เท่ากับ 0.0867 กรัม และ L เท่ากับ 0.853382 กรัม
ต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
glass
0.14170.853382 0.1209 2.20
กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
0.1417 0.0867 0.0550
𝑀𝑊𝑡
𝑉𝑚 = สมการ 9.4
𝜌
วิ ธีทา ข้อมูลมวลโมเลกุลขององค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่ K2O และ B2O3 เท่ากับ 94.195 กรัมต่อโมล (g/mol)
และ 69.671 กรัมต่อโมล (g/mol) ตามลาดับ
78.254 𝑔.𝑚𝑜𝑙 −1
จะได้ปริมาตรต่อโมลของแก้ว (Vm) = = 33.73 ลูกบาศก์เซนติเมตรต่อโมล (cm3mol-1)
2.32 𝑔.𝑐𝑚−3
1 𝜕𝑉
𝛼𝑉 = [ ] สมการ 9.5
𝑉 𝜕𝑇 𝑃
1 Δ𝑉
𝛼
̅̅̅̅
𝑉 = [ ] สมการ 9.6
𝑉 Δ𝑇
โดยทัว่ ไปแล้ ว ค่ า สัม ประสิท ธิก์ ารขยายตัว เพราะความร้อ นของวัส ดุ จ ะอยู่ ใ นช่ ว ง 1 x 10-6 ถึง
50 x 10-6 ต่ อ เคลวิน (K-1) ในบางครัง้ ค่ าสัม ประสิทธิก์ ารขยายตัว เพราะความร้อ นอาจรายงานในหน่ ว ย
ppm K-1 อย่างไรก็ตามในการรายงานค่าของแก้วนิยมรายงานในรูป 10-7 ต่อเคลวิน (K-1) หน่ วยของอุณหภูม ิ
ที่ใช้อาจะทาให้ค่าตัวเลขเปลีย่ นไปได้ ดังนัน้ ต้องพึงระวังการเปรียบเทียบค่าสัมประสิทธิ ์การขยายตัวเพราะ
ความร้อนทีม่ หี น่วยต่าง ๆ
ชนิดของแก้ว สัมประสิทธิการขยายตั
์ วเพราะ การนาความร้อน ความร้อนจาเพาะ
ความร้อนของแก้ว ที่ 20 – 300 C
(ต่อเคลวิน; K-1) (Wcm-1K-1) (Jg-1K-1)
Sodium-potassion crystal glass 90 – 96 x 10-7
- การเปลีย่ นเป็ นแก้ว (Glass transformation; Tg) ในระหว่างทีอ่ ุณหภูมสิ งู ขึน้ แก้วซึง่ อยูใ่ นสถานะ
ของแข็ง (Solid) จะเปลี่ยนสถานะเป็ นของเหลว (Liquid) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทาให้เกิด การ
เปลี่ยนแปลงความร้อ นจาเพาะ (Specific heat) ของแก้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของความร้อ น
จาเพาะดังกล่าวจะเกิดการหน่วงทางความร้อนเมือ่ เทียบกับสารอ้างอิง ทาให้เกิดการเปลีย่ นแปลง
เส้นฐาน (Baseline) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเส้นฐานจะใช้ หาอุณหภูมกิ ารเปลี่ยนเป็ นแก้ว Tg ด้วย
การลากเส้นสัมผัสสองเส้นดังแสดงอยูต่ รงมุมซ้ายล่างของรูป 9.4
- เมื่ออุณหภูมสิ ูงขึน้ จะเกิดการคายพลังงาน (Exothermic) เนื่องจากการตกผลึก (Crystallisation)
ขึน้ ในแก้ว ซึ่งจะมีลกั ษณะเป็ นพีค (Peak) เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงเอนทาลปี (H) ของ
ระบบ ดังทีไ่ ด้กล่าวมาแล้วว่าการเกิดผลึกของแก้วอาจเกิดได้หลายชนิดทาให้พคี ทีเ่ กิดขึน้ เกิดได้
หลายอุณหภูม ิ ขึน้ อยูก่ บั ชนิดและปริมาณของผลึกทีเ่ กิดในแก้ว
- จากนัน้ จะเกิด พีค ที่แ สดงถึง การดู ด พลัง งาน (Endothermic) ที่อุ ณ หภูม ิสูง สุ ด เนื่ อ งจากเป็ น
อุ ณ หภูมทิ ่ผี ลึก ที่เ กิดขึ้นเกิด การหลอม นัน่ คือ เป็ นจุดหลอมเหลว (Melting point) ของผลึกที่
เกิดขึน้ ก่อนหน้านี้นัน่ เอง อย่างไรก็ตามพีคที่แสดงการดูดพลังงานนัน้ อาจเกิดจากการปฏิกริ ยิ า
การเปลี่ยนแปลงจากของแข็งชนิดหนึ่งเป็ นของแข็งอีกชนิด หนึ่ง (Solid-solid transformation)
เช่นการเปลีย่ นวัฏภาคจาก -ควอท์ซ (-Quartz) เป็ น -ควอท์ซ (-Quartz) เป็ นต้น
-
dx D
2 B สมการ 9.7
dt x
โดยความหนาสุดท้ายของชัน้ ป้ องกันคือความหนาทีไ่ ม่มกี ารเปลีย่ นแปลงเมือ่ เวลาเพิม่ ขึน้ (dx/dt = 0) ซึง่ เกิด
ในกรณีทข่ี นั ้ ตอนทัง้ สองมีอตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ าเท่ากัน ส่งผลให้สามารถคานวณหาค่า x ได้เท่ากับ D/B และ
หากอัต ราการกัด กร่ อ นผิว (B) มีค่ า มากกว่ า อัต ราการแพร่ ม าก ท าให้ช ัน้ ป้ อ งกัน จะมีค วามหนาน้ อ ย
กระบวนการแพร่จงึ ไม่ส่งผลต่อปฏิกริ ยิ าระหว่างแก้วกับสารละลายมากนัก ทาให้เกิดการกัดกร่อนได้เร็ว (พบ
ในกรณีสารละลายด่างทีม่ ี pH สูง)
มอดูลสั ความยืดหยุ่น (Elastic modulus; E) หรือ มอดูลสั ของยัง (Young’s modulus) คืออัตราส่วน
ระหว่างความเครียด (Strain; ) ซึง่ เป็ นผลมาจากการให้ความเค้นแก่วสั ดุ (Stress; ) ซึง่ สามารถแสดงดัง
สมการ 9.8
E สมการ 9.8
a b
F n
m สมการ 9.9
r r
r r0 สมการ 9.10
r0
G สมการ 9.11
E
G สมการ 9.12
2(1 )
รูป 9.6 กราฟของ Condon-Morse ระหว่างแรง (F) และ ระยะระหว่างอะตอม (r) [ทีม่ า J.E. Shelby (2005)]
แก้วออกไซด์ทวไปจะมี
ั่ ความแข็งตามระดับของโมหส์อยูใ่ นช่วง 5 – 7 และมีความแข็งทีห่ าจากหัวกด
แบบวิกเกอร์ (Vickers hardness) อยู่ในช่วง 2 – 8 GPa (ความแข็งของเพชรอยู่ท่ปี ระมาณ 100 GPa) โดย
แก้วซิลเิ กตเป็ นแก้วที่มคี วามแข็งสูง ส่วนแก้วบอเรต เจอร์มาเนต และฟอสเฟตเป็ นแก้วทีค่ วามแข็งต่ า และ
แก้วชอลโคจีไนด์จะมีความแข็งน้อยสุด (ความแข็งประมาณ 0.3 GPa สาหรับแก้วซีลเี นียม)
สมบัติทางแสงของแก้ว สามารถแบ่ งกลุ่ ม ย่อ ยได้ส ามกลุ่ มดัง นี้ (1) สมบัติเ ชิงแสงโดยรวม (Bulk
optical properties) เช่น ค่าดัชนีหกั เหแสง (Refractive index) และ การกระเจิงแสง (Dispersion) (2) สมบัติ
ที่ข้นึ กับ ความยาวคลื่น เช่ น การเกิด สีใ นแก้ว เป็ น ต้น และ (3) สมบัติอ่ืน ๆ ขัน้ สูง เช่ น ความไวแสง
(Photosensitivity) สมบัติ Photochromism และ การกระเจิงแสง เป็ นต้น
n2 1
Rm Vm 2
สมการ 9.13
n 2
1 n 2 1
Rs สมการ 9.15
n 2 2
เมือ่ nF และ nC คือ ดัชนีหกั เหแสงทีว่ ดั ทีค่ วามยาวคลื่น 486.1 และ 656.3 นาโนเมตร ตามลาดับ
คาถามท้ายบท
1. จงอธิบายความแตกต่างของสมบัตแิ ละลักษณะเฉพาะของวัสดุ
“วัสดุ แ ก้ว มีลัก ษณะทีแ่ ตกต่ า งจากวัสดุ ชนิ ด อืน่ ๆ เช่ น มีค วามแข็ง แรงค่ อ นข้างสูงแต่ เปราะ
คล้าย ๆ กับวัสดุเซรามิกทีม่ คี วามแข็งแรงสูงแต่เปราะ แต่ในขณะเดียวกันแก้วมีความโปร่งใสจึงถูกนาไปใช้
งานในหน้าทีแ่ ละลักษณะทีแ่ ตกต่างกันออกไป เช่น ภาชนะบนโต๊ะอาหาร เครือ่ งครัว วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์
อิเ ล็ก ทรอนิ ก ส์ และอุ ป กรณ์ วิท ยาศาสตร์ ใ นห้อ งปฏิบ ัติ ก าร เป็ น ต้ น กระบวนการผลิ ต แก้ว ในทาง
อุตสาหกรรมนัน้ เริม่ ต้นจากการหลอมวัตถุดบิ หรือส่วนผสมต่าง ๆ ให้กลายเป็ นของเหลวทีม่ คี วามเป็ นเนื้อ
เดียวกันเรียกว่าน้ าแก้วหลอมหรือน้ าแก้ว เมือ่ น้ าแก้วมีความหนืดเหมาะสมจะถูกนาไปขึ้นรูปด้วยวิธตี ่าง ๆ
ตามชนิดและรูปแบบของผลิตภัณฑ์ โดยน้ าแก้วจะถูกลดอุณหภูมลิ งอย่างรวดเร็วเพือ่ กลายเป็ นแก้วทีม่ ี
ลักษณะโปร่งใส นอกเหนือจากนี้ยงั มีขนั ้ ตอนต่าง ๆ ทีเ่ กีย่ วกับกระบวนการผลิตแก้วอุตสาหกรรมซึง่ จะได้
กล่าวถึงต่อไป โดยในบทแรกนี้จะแนะนาผูอ้ ่านถึงวัสดุแก้วและชนิดของแก้วเป็ นหลัก”
1.1 คาจากัดความของแก้ว
แก้ว คือ วัส ดุ ท่ีม ีโ ครงสร้า งอสัณ ฐาน (Amorphous) หรือ มีโ ครงสร้า งที่ไ ม่เ ป็ น ระเบีย บ โดยเมื่อ
เปรียบเทียบกับวัสดุท่มี โี ครงร่างผลึกแน่ นอน (Crystalline solid) แก้วจะไม่มกี ารจัดเรียงตัว ที่มคี วามเป็ น
ระเบียบของอะตอมต่าง ๆ เหมือนกับวัสดุท่มี โี ครงร่างผลึกแน่ นอน ยกตัวอย่างกรณีของแก้วซิลกิ า (Silica
glass) ที่ได้จากการหลอมทราย (SiO2) แล้วทาให้เย็นตัวอย่างรวดเร็ว พบว่า ตาแหน่ งของอะตอมต่าง ๆ ใน
แก้วซึง่ มีโครงสร้างแบบ อสัณฐานจัดเรียงกันอย่างไม่เป็ นระเบียบและไม่แน่ นอน (รูป 1.1 ก.) เมือ่ เปรียบเทียบ
กับโครงร่างผลึก ของซิลกิ า (SiO2) ที่มกี ารจัดเรียงตัวของอะตอมอย่างเป็ นระเบียบและมีระยะห่างระหว่าง
อะตอมและมุมระหว่างอะตอมอย่างสม่าเสมอ (รูป 1.1 ข.) โดยอะตอมของซิลกิ อน (Si) 1 อะตอมจะมีอะตอม
ของออกซิเจน (O) 4 อะตอมล้อมรอบอยู่ (รูป 1.1 ค.) เหมือ นกันทัง้ ในแก้วและผลึกซิล ิกา แต่ ใ นแก้วนัน้
ระยะห่างระหว่างอะตอมหรือมุมระหว่างอะตอมต่าง ๆ จะไม่แน่ นอน และยังมีผนู้ ิยามความหมายของแก้วว่า
คือวัสดุทม่ี ชี ่วงการเปลีย่ นเป็ นแก้ว (Glass transition range หรือ Glass transformation range) ซึง่ อธิบายได้
จากกราฟระหว่างเอนทาลปี หรือปริมาตรกับอุณหภูม ิ หรือทีเ่ รียกว่ากราฟการเย็นตัวของแก้ว ดัง รูป 1.2 โดย
วัสดุทห่ี ลอมเหลวหรือมีสถานะของเหลว (Liquid) ณ อุณหภูมสิ ูงกว่าจุดหลอมเหลว (Melting point; Tm) ของ
วัสดุนนั ้ ๆ โดยจุดหลอมเหลว คือ จุดทีข่ องแข็งและของเหลวมีความดันไอและพลังงานอิสระของกิบส์ (Gibbs
free energy) ที่เ ท่ากัน นัน่ คือ การเกิดผลึก (Crystallisation) จะเกิดขึ้น ณ จุดหลอมเหลวนี้พร้อ มกับ การ
หลอมเหลวของผลึกกลายเป็ นของเหลว ทาให้ผลึก (crystal) ปริมาณน้ อย ๆ เกิดสมดุลเทอร์โมไดนามิก
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 1
(Thermodynamic Equilibrium) กับของเหลว ซึ่งการเกิดผลึกนัน้ จะมีปริมาณมากหรือน้อยขึ้นอยู่กบั ปริมาณ
ของเหลวทีเ่ ย็นตัวหรือมีอุณหภูมติ ่ากว่า
รูป 1.1 ลักษณะของโครงข่าย SiO2 แบบ (ก) อสัณฐาน (Amorphous) (ข) ผลึก (Crystalline) และ
(ค) หน่วยย่อยของ [SiO4]4–
[ทีม่ า http://www.benbest.com/cryonics/lessons.html]
หมายเหตุ ไม่ได้แสดงออกซิเจนอะตอมที่ 4 เพื่อง่ายต่อการทาความเข้าใจ
รูป 1.2 ความสัมพันธ์ระหว่างเอนทาลปี หรือปริมาตรทีอ่ ุณหภูมติ ่าง ๆ ของ (ก) ของเหลว (ข) ผลึก
และ (ค และ ง) แก้วทีม่ อี ตั ราการเย็นตัวต่างกัน
[ดัดแปลงจาก J. E. Shelby (2009) และ A. K. Varshneya (2006)]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 2
โดยผลึกจะเกิดขึน้ ได้เมื่อ 1) มีนิวคลีไอ (Nuclei) หรือนิวเคลียสเกิดขึน้ ในปริมาณมาก และ 2) อัตราการโต
ของผลึก (Crystal growth rate) มากกว่าอัตราการหลอมเหลว อุณหภูมทิ ่ที าให้เกิดของเหลวเย็นตัวนัน้ จะ
ปรากฏเป็ นช่ ว งกว้ า ง (ในพื้ น ที่ ท่ี แ รเงาไว้ ) ซึ่ ง เกี่ ย วข้ อ งกั บ แรงขับ เคลื่ อ นทางเทอร์ โ มไดนามิ ก
(Thermodynamic driving force) ซึง่ ทาให้กลุ่มของอะตอมในสถานะของเหลวเปลีย่ นเป็ นผลึกของแข็งและจะ
เกี่ยวข้องกับความเร็วของอะตอมที่จะเคลื่อนที่ไปอยู่ระหว่างรอยต่อระหว่างของแข็งของเหลว (Liquid-solid
interface) กล่ า วคือ หากของเหลวมีอุ ณ หภู ม ิล ดลงต่ า กว่ า Tm และอยู่ใ นช่ ว งที่แ รเงาเป็ น เวลานาน แรง
ขับเคลื่อนทางเทอร์โมไดนามิกที่ทาให้เกิดของแข็งและการเคลื่อนที่ของอะตอมไปอยู่บริเวณรอยต่อระหว่ าง
ของแข็งของเหลวจะมีสูง ซึ่งในสภาวะนี้ทาให้จานวนนิวคลีไอเพิม่ มากขึ้นและอัตราการโตของผลึก เพิ่มขึ้น
ส่งผลให้เกิดผลึก (Crystal) ขึน้ ในระหว่างการเย็นตัว ทาให้ค่าเอนทาลปี หรือปริมาตรของระบบลดลงอย่าง
รวดเร็ว จากนัน้ เมื่ออุณหภูมลิ ดต่ าลง เอนทาลปี หรือ ปริมาตรของระบบจะลดลงอย่างช้า ๆ โดยจะขึน้ อยู่กบั
ความจุความร้อนของผลึก (หากพิจารณาเอนทาลปี ของวัสดุ) หรือ ขึน้ อยู่กบั การขยายตัวเพราะความร้อ น
(Thermal expansion) ของผลึก (หากพิจารณาปริมาตรของวัสดุ)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 3
การผลิตแก้วนัน้ สามารถทาได้หลายวิธขี ้นึ อยู่กบั ชนิดของแก้ว และลักษณะการใช้งาน เป็ นต้น แต่
โดยทัวไปแล้
่ วแก้วทีม่ กี ารผลิตจานวนมากในระดับอุตสาหกรรมนัน้ ทาได้โดยการหลอมวัตถุดบิ ชนิดต่าง ๆ ที่
ผสมตามส่วนผสมทีค่ านวณไว้ทอ่ี ุณหภูมสิ งู จนวัตถุดบิ เหล่านัน้ กลายเป็ นของเหลวหนืดหรือน้ าแก้วทีเ่ รียกว่า
ของเหลวปราศจากผลึก (Crystal-free melt) จากนั น้ น้ า แก้ ว หลอมจะถู ก ท าให้ เ ย็น ตัว อย่ า งรวดเร็ว ถึง
อุณหภูมหิ อ้ ง กลายเป็ นวัสดุแก้ว โดยแก้วจะไม่มโี ครงสร้างผลึก (Crystal structure) แต่มโี ครงสร้างอสัณฐาน
(Amorphous structure) ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น สภาพอสัณฐานของแก้วสามารถตรวจสอบได้ดว้ ยเทคนิคต่าง
ๆ เช่น เทคนิค การเลี้ยวเบนของรังสีเ อกซ์ (X-ray diffraction) หรือ เทคนิค การเลี้ยวเบนของอิเ ล็กตรอน
(Electron diffraction) เป็ นต้น ซึ่งลักษณะที่ได้จะมีความแตกต่างกันชัดเจน ดังแบบแผนการเลี้ยวเบนของ
รังสีเอกซ์ (X-ray diffraction pattern) ของแก้ว (รูป 1.3 ก.) กับผลึก (รูป 1.3 ข.)
รูป 1.3 แบบแผนการเลีย้ วเบนของรังสีเอกซ์ (X-ray diffraction pattern) ของ (ก) วัสดุอสัณฐาน
และ (ข) วัสดุทม่ี โี ครงร่างผลึกแน่นอน
1.2 การจาแนกประเภทของแก้ว
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 4
เปลี่ยนแปลงความร้อนอย่างฉับพลัน (Thermal shock resistance) ได้ดี ดังนัน้ การจาแนกประเภทของแก้ว
สามารถแบ่งตามลักษณะการนาไปใช้ (ตัวอย่างดังรูป 1.4 ) หรือแบ่งตามองค์ประกอบของแก้ว
(ก) (ข)
(ค) (ง)
1.2.1 จาแนกตามลักษณะการใช้งาน
- บรรจุภณ ั ฑ์แก้ว (Container glass) เช่น ขวด แก้ว น้ า ถ้วย และ จาน เป็ นต้น แก้วประเภทนี้ม ี
ปริมาณการผลิตต่อปี สงู ทีส่ ุด เพราะมีราคาถูกและมีความต้องการใช้สงู ในขัน้ ตอนการขึน้ รูปของแก้วชนิดนี้จะ
ใช้หลักการเป่ าก้อนแก้วเหลว (Gob) เพื่อให้เป็ นรูปทรงตามต้องการ ดังตัวอย่างในรูป 1.5 โดยเป็ นแก้ว
ประเภทโซดาไลม์ซิล ิก า (Soda lime silica glass) หรือ แก้ว โซเดียมแคลเซียมซิล ิเ กต (Sodium calcium
silicate glass) ซึง่ เป็ นแก้วกลุ่มซิลเิ กตทีเ่ ติมโซเดียมออกไซด์หรือโซดา (Na2O) และ แคลเซียมออกไซด์ หรือ
ไลม์ (CaO) เพื่อช่วยลดอุณภูมทิ ่ใี ช้ในการหลอมแก้ว ซิลกิ าลงและเพื่อปรับปรุงสมบัติของแก้วอีกด้วย แก้ว
ประเภทนี้อาจเติมก๊าซซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ (SO3) ลงไปเพื่อลดฟองก๊าซทีเ่ กิดขึน้ ระหว่างการหลอมซึง่ จะได้
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 5
กล่าวถึงโดยละเอียดต่อไป องค์ประกอบทางเคมีโดยทัวไปของแก้
่ วชนิดนี้จะประกอบด้วย ซิลกิ า (SiO2) 72%
โซดา (Na2O) 14% ไลม์ (CaO) 11% และ อะลูมนิ า (Al2O3) 2% โดยน้ าหนัก หากเป็ นแก้วที่ใช้เป็ นภาชนะ
บรรจุยาหรือสารเคมีบางชนิดแก้วทีใ่ ช้มกั เป็ นแก้วประเภทบอโรซิลเิ กต (Borosilicate glass) ซึง่ จะประกอบไป
ด้วยโบรอนออกไซด์ (B2O3) และซิลกิ า (SiO2) เป็ นหลัก โดยจะไม่มปี ริมาณของโซเดียมออกไซด์แก้วชนิดนี้
เนื่องจากโซเดียมจะละลายออกมาจากแก้วและทาปฏิกริ ยิ ากับตัวยาหรือสารเคมีทบ่ี รรจุอยู่ภายใน
- แก้วเพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น เครื่อ งแก้ว สาหรับห้อ งปฏิบตั ิก าร แก้ว เพื่อ การตกแต่ ง (Lead
crystal glass) เลนส์ แ ก้ ว (Glass lens) ไฟเบอร์ ก ลาส (Glass fibre) หรือ ใยแก้ ว น าแสง (Optical fibre)
หลอดไฟต่าง ๆ แก้วพรุน (Porous glass) และแก้วเชื่อมประสาน (Sealing glass) เป็ นต้น
แก้ว ที่ใ ช้ง านเชิง แสง (Optical glass) คือ แก้ว ที่ใ ช้ง านในอุ ป กรณ์ ห รือ เครื่อ งมือ ขัน้ สู ง ต่ า ง ๆ ที่
เกีย่ วข้องปฏิกริ ยิ าระหว่างแสงกับแก้ว เช่น การดูดกลืนแสง การส่องผ่านแสง และการหักเหแสง เป็ นต้น โดย
แก้วจะต้องผ่านกระบวนการผลิตทีม่ กี ารควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัดและผ่านการเทียบมาตรฐานต่าง ๆ ที่
เกี่ยวข้อง เช่น ค่าดัชนีหกั เหแสง (Refractive index) และเลข Abbe (Abbe number) ซึ่งใช้สญ ั ลักษณ์คอื
เป็ นต้น อีกทัง้ แก้วต้องมีความเป็ นเนื้อเดียวกันสูง (ทัง้ ทางกายภาพและทางเคมี) แก้วทีใ่ ช้งานเชิงแสงสามารถ
แบ่งได้เป็ น 4 ประเภท ได้แก่
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 6
โดยค่าดัชนีหกั เหแสงและเลข Abbe ของแก้วที่ใช้งานเชิง แสงจะมีความสัมพันธ์กนั และสามารถสรุปได้ดงั
แผนผังแสดงในรูป 1.6
(ก)
(ข)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 7
ไฟเบอร์กลาส (Glass fibre) เป็ นเส้นใยแก้วที่ยาวต่อเนื่องซึ่งถูกใช้งานในหลายลักษณะ เช่นใช้เป็ น
ฉนวนไฟฟ้ า ฉนวนความร้อนและใช้เป็ นวัสดุเสริมแรงในพลาสติก เป็ นต้น แก้วชนิดนี้เป็ นแก้วที่มอี อกไซด์
ของอัลคาไลน์ต่ า (Na2O+K2O ไม่เกิน 1%) ในการผลิตทาได้โดยการหลอมวัตถุดบิ ที่ผสมแล้วในเตาหลอม
แบบต่อเนื่อง ทีอ่ ุณหภูมปิ ระมาณ 1550 เซลเซียส (อาจเติม CaF2 ลงไปเพื่อทาให้การหลอมดีขน้ึ ) ความหนืด
ของแก้วหลอมเป็ นสิง่ ทีส่ าคัญทีส่ ่งผลต่อการขึน้ รูปโดยการดึงแก้วหลอมให้เป็ นเส้นใยยาว นอกเหนือไปจากนี้
ยังมีการพัฒนาไฟเบอร์กลาสชนิดที่สามารถนาแสงได้ ที่เรียกว่า เส้นใยนาแสง (Fibre optics หรือ Optical
fibre) หรือใยแก้วนาแสง ซึง่ เริม่ มีการพัฒนามาตัง้ แต่ปี ค.ศ. 1967 โดยใยแก้วนาแสงสามารถประยุกต์ใช้ใน
หลายลัก ษณะ เช่ น สายสัญ ญาณน าภาพในวัส ดุ ท างการแพทย์ หรือ สายน าสัญ ญาณ ส่ ง ข้อ มูล ในการ
ติดต่อสื่อสาร เป็ นต้น
1) แก้ ว ซิ ลิ ก า (Silica glass or quartz glass) คือ แก้ ว ที่ ใ ช้ แ ร่ ค วอตซ์ (Quartz) หรือ ทรายหรือ
ซิลกิ อนไดออกไซด์ (SiO2) เป็ นวัตถุดบิ โดยทัวไปวั่ ตถุดบิ ประเภทนี้จะมีสงิ่ เจือปนปนอยู่เล็กน้อย (ประมาณ
0.01 %) เช่น ออกไซด์ของโลหะต่าง ๆ เป็ นต้น น้ าแก้วซิลกิ าจะมีความหนืดค่อนข้างสูง (สูงที่สุดในบรรดา
แก้วกลุ่มออกไซด์) โดยมีความหนืด ณ อุณหภูม ิ 1726 องศาเซลเซียส (จุดหลอมเหลวของ SiO2) ประมาณ
107 เดซิพาสคัลวินาที (dPas) แก้วประเภทนี้จะเริม่ ตกผลึกที่อุ ณหภูมชิ ่ว ง 1150 – 1200 เซลเซียส แก้ว
ควอตซ์มกั จะขึน้ รูปเป็ นท่อกลวง (ดังรูป 1.7) เนื่องจากแก้วชนิดนี้มคี วามหนืดสูงมากทาให้มโี อกาสที่ไอน้ า
หรืออากาศจะถูกกักไว้ในแก้วในระหว่างการหลอมกลายเป็ นตาหนิของผลิตภัณฑ์ได้ ซึ่งโดยทัวไปฟองก๊ ่ าซ
ดังกล่าวจะมีขนาดประมาณ 10 – 100 ไมโครเมตร และพบว่าความบริสุทธิ ์ของวัตถุดบิ จะส่งผลต่อปริมาณ
ฟองอากาศที่เกิดขึ้นในแก้ว ซึ่ง อาจทาให้วตั ถุดบิ บริสุทธิ ์มากขึ้นโดยการชะด้วยกรด (Acid leaching) หลัง
ขัน้ ตอนการบดวัตถุดบิ อย่างไรก็ตามในกระบวนการหลอมแก้วควอตซ์จะต้องใช้วธิ พี เิ ศษเพื่อไล่ฟองก๊าซ โดย
การหลอมแก้วในระบบสุญญากาศ ซึง่ จะเริม่ ดูดอากาศออกขณะหลอมทีอ่ ุณหภูมปิ ระมาณ 1400 เซลเซียส ซึง่
เป็ นอุณหภูมกิ ารเผาผนึก (Sintering) ของซิลกิ า ซึ่งทาให้ฟองอากาศหรือก๊าซที่ค้างอยู่ในช่องว่างระหว่าง
วัตถุดบิ ถูกกาจัดออกไป โดยการใช้ระบบสุญญากาศจะทาให้อนุ ภาคอยู่ชดิ กันมากทีส่ ุด ซึง่ ทาให้ฟองอากาศ
หรือ ฟองก๊ าซที่ถู ก กักในช่องว่างระหว่างอนุ ภาคมีน้อยลง ส่ งผลให้ฟองก๊ าซคงค้างมีน้อย จากนัน้ จึงเพิ่ม
อุณหภูมสิ งู ถึงประมาณ 2000 เซลเซียส เพื่อทาให้วตั ถุดบิ กลายเป็ นของเหลวสมบูรณ์
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 8
รูป 1.7 ท่อแก้วควอตซ์ทม่ี คี วามหนาต่าง ๆ กัน
[ทีม่ า http://www.bombayharbor.com/Product/27805/Thick_Wall_Quartz_Glass_Tube.html]
2) แก้ ว โซเดี ย มซิ ลิ เ กต (Sodium silicate glass; SiO2Na2O หรื อ Water glass) ค าว่ า Water
glass มาจากการนาแก้วโซเดียมซิลเิ กตไปละลายในน้ า ซึ่งจะให้สารละลายที่มสี มบัตเิ ป็ นตัวเชื่อมประสาน
(Binding agent) ซึ่ง แก้ ว จะมีอ ัต ราส่ ว นระหว่ า ง SiO2 ต่ อ Na2O หรือ ที่เ รีย กว่ า ซิล ิเ กตมอดุ ล ัส (Silicate
modulus) นัน้ จะมีค่ า อยู่ใ นช่ ว งระหว่ า ง 2.0 – 3.3 (แก้ว โซเดีย มซิล ิเ กตทางการค้า จะมีค่ า นี้ อ ยู่ป ระมาณ
3.2 - 3.3 หรือมีปริมาณ SiO2 อยู่ประมาณ 66 – 76 %) แก้วประเภทนี้จะมีความหนืดต่ าเมื่อเปรียบเทียบกับ
แก้วควอตซ์ โดยค่าความหนืด () ของแก้วชนิดนี้จะขึน้ อยู่กบั อุณหภูมแิ ละค่า ซิลเิ กตมอดุลสั หรือ ปริมาณ
Na2O ที่มอี ยู่ในแก้ว ซึ่งความหนืดของแก้วจะลดลงเมื่ออุณหภูมเิ พิ่มขึน้ และเมื่อสัดส่วนของ Na2O เพิม่ ขึน้
ดังแสดงในรูป 1.8 แก้ว โซเดียมซิล ิเ กตจะหลอมในเตาหลอมแบบต่อ เนื่อง (Continuous tank furnace) ที่
อุณหภูมปิ ระมาณ 1400 เซลเซียส การผสมส่วนผสมควรควบคุมให้สงิ่ ปนเปื้ อนให้น้อยกว่า 1 % เนื่องจากสิง่
ปนเปื้ อนทาให้การละลายน้ าเปลี่ยนไป การหลอมแก้วประเภทนี้ ทาให้อายุการใช้งานของเตาหลอมสัน้ ลง
เนื่องจากแก้วชนิดนี้จะกัดกร่อนวัสดุทนไฟทีใ่ ช้สร้างเตา นอกจากนัน้ ในการหลอมแก้วชนิดนี้จะต้องคานึงถึง
การระเหยของ Na2O ออกจากน้าแก้วหลอม ซึง่ ส่งผลต่อค่าซิลเิ กตมอดุลสั หรือ ปริมาณของ Na2O ในแก้วจะ
แตกต่างจากที่คานวณไว้ แก้วที่หลอมได้จะมีความโปร่งใส เนื่องจากแก้วชนิดนี้สามารถละลายน้ าได้หรือ
เกิดปฏิกริ ยิ ากับน้ าได้ง่ายจึงจาเป็ นต้องเก็บในที่ท่ปี ราศจากความชื้น หากแก้ว เกิดปฏิกริ ยิ ากับความชื้นใน
อากาศผิวของแก้วจะมีลกั ษณะขุน่
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 9
แก้ว โพแทสเซียมซิล ิเ กต (Potassium silicate water glass) เป็ นแก้ว ที่จดั อยู่ใ นกลุ่ มเดียวกับแก้ว
โซเดียมซิลเิ กต ซึง่ ถูกใช้ในอุตสาหกรรมทีม่ คี วามเฉพาะเจาะจงมากขึน้ เช่น ใช้เป็ นตัวเชื่อมประสานในซีเมนต์
ทีม่ คี วามทนทานต่อกรด เป็ นต้น
3) แก้ ว โซดาไลม์ซิ ลิ เ กต หรื อ โซเดี ย มแคลเซี ย มซิ ลิ เ กต (Soda-lime silicate glass หรื อ
Sodium-calcium silicate; Na2OCaOSiO2) เป็ นแก้วทีใ่ ช้ทาบรรจุภณ ั ฑ์ต่าง ๆ เช่น ขวดน้ า แก้วน้ า จาน
และแผ่นกระจก เป็ นต้น หากพิจารณาแผนภาพวัฏภาค (Phase diagram) ของออกไซด์ระบบนี้ (รูป 1.9)
พบว่าช่วงทีส่ ามารถเกิดแก้วได้ (Glass-forming range) ของระบบนี้มชี ่วงกว้าง ซึง่ เป็ นบริเวณทีม่ ปี ริมาณของ
ซิลกิ ามากกว่า 50 % โดยโมล ซึง่ เป็ นพืน้ ทีท่ แ่ี รเงาในรูป 1.9 ซึง่ องค์ประกอบของแก้วทางการค้าจะครอบคลุม
บริเ วณต่ า ง ๆ ได้ แ ก่ บริเ วณของดี ว ิ ไ ทรท์ (Devitrite; Na2O3CaO6SiO2) บริเ วณวอลลาสโทไนท์
(Wallastonite; CaOSiO2) บริเวณทริไดไมท์ (Tridymite; SiO2) และบริเวณของ Na2OCaO5SiO2 อีกทัง้
จากแผนภาพวัฏภาคในรูป 1.9 จะแสดงเส้นอุณหภูมคิ งที่ (Isothermal line) ซึง่ เป็ นเส้นทีร่ ะบุว่าองค์ประกอบ
ในบริเวณนัน้ ๆ จะกลายเป็ นของเหลวหากอุณหภูมขิ ององค์ประกอบนัน้ ๆ สูงกว่าอุณหภูมทิ ่แี สดงบนเส้น
อุณหภูมคิ งที่ เส้นนี้ในบางกรณีจะถูกเรียกว่า Liquidus line จากแผนภาพวัฏภาคในรูป 1.8 แต่ละอุณหภูมทิ ่ี
ปรากฏจะต่ ากว่าจุดหลอมเหลวของซิลกิ ามาก แสดงให้เห็นว่าองค์ประกอบที่ปรากฏอยู่ในบริเวณดังกล่ าว
สามารถหลอมเหลวหรือกลายเป็ นของเหลวได้ทอ่ี ุณหภูมติ ่า
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 10
การเติมสารประกอบออกไซด์บางประเภทลงไปในแก้ว Na2OCaOSiO2 จะช่วยปรับปรุงสมบัติของ
แก้ว และทาให้ตาหนิทเ่ี กิดระหว่างกระบวนการผลิตลดลงได้ เช่น การเติม MgO และอะลูมนิ า (Al2O3) จะช่วย
ลดการเกิดผลึกในแก้วระหว่างการเย็นตัว โดย Al2O3 ส่งผลทาให้แก้วมีความหนืดเพิม่ ขึน้ เล็กน้อย เมื่อแก้วมี
ความหนืดสูงขึน้ การเกิดผลึกในแก้วจะช้าลง การเติม Al2O3 นอกจากจะลดอัตราการเกิดผลึกในแก้วแล้ว ยัง
เพิม่ ความทนทานต่อการกัดกร่อนของสารเคมีอกี ด้วย องค์ประกอบของแก้วทางการค้าทีท่ าเป็ นกระจกแผ่น
และภาชนะที่ผ ลิต กันมากคือ มี SiO2 อยู่ใ นช่ว ง 70 – 73.5 wt% Al2O3 อยู่ใ นช่ว ง 0.6 – 2.0 wt% CaO อยู่
ในช่วง 6 – 11 wt% MgO อยูใ่ นช่วง 1.5 – 4.5 wt% และ Na2O อยูใ่ นช่วง 13 – 15 wt%
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 11
โดยสีทป่ี รากฏจะขึน้ อยู่กบั ชนิดและปริมาณของไอออนต่าง ๆ ได้แก่ Fe2+ หรือ Fe3+ และ S2- หรือ SO42- โดย
ไอออนเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับบรรยากาศในการหลอมว่าเป็ นบรรยากาศออกซิเดชัน หรือบรรยากาศรีดกั ชัน
ทาให้ตอ้ งควบคุมการบรรยากาศการหลอมอย่างเคร่งครัด
4) แก้วระบบ K2OCaOSiO2 และ K2OPbOSiO2 หรือที่ เรียกว่ าแก้ วคริ สตัล (Crystal glass)
คาว่า Crystal glass เป็ นแก้วใสและมีลกั ษณะแวววาวเนื่องจากมีการหักเหแสงสูง แก้วชนิดนี้มกั ใช้ใ นการ
ตกแต่งหรือเป็ นเครื่องประดับ เช่น แก้วภายใต้แบรน “สวารอฟสกี” (Swarovski) เป็ นต้น อย่างไรก็ตามคา
จากัดความของคาว่าแก้ว Crystal ยังไม่ชดั เจน โดยขึ้นอยู่กบั ผู้ให้คานิยาม โดยส่วนมากแก้วคริสตัล จะมี
องค์ประกอบของตะกัวออกไซด์
่ (PbO) มากกว่า 24 % โดยน้ าหนัก และมีค่าดัชนีหกั เหแสง (Refractive
index) มากกว่า 1.545 นอกจากตะกัวออกไซด์
่ แล้ว โพแทสเซียมออกไซด์ (K2O) สามารถใช้เป็ นวัต ถุ ดิบ
ทดแทนการใช้ตะกัวออกไซด์
่ (PbO) แก้วชนิดนี้แบ่งเป็ น 2 ประเภทตามเหล่งกาเนิดทีม่ กี ารผลิตแก้วชนิดนี้ใน
สมัยโบราณ คือ แก้ว Bohemain Crystal (K2O-CaO) และแก้ว English Crystal (K2O-PbO) เมื่อ พิจารณา
ลักษณะเฉพาะของแผนภาพวัฏภาคของระบบ K2O-PbO-SiO2 ดังรูป 1.10 ก. พบว่าแก้วชนิดนี้มชี ่วงการเกิด
แก้ว ที่ก ว้า งมากท าให้ส ามารถท าแก้ว ได้ง่า ย แต่ ใ นทางปฏิบ ัติเ นื่ อ งจากอัต ราการตกผลึก ของแก้ว บาง
องค์ประกอบสูงกกว่าองค์ประกอบอื่น ๆ (บริเวณที่ม ี PbO) และบางองค์ประกอบแก้วจะมีความทนทานต่อ
สารเคมีต่ า (ปริมาณ K2O สูง) โดยองค์ประกอบที่เหมาะสมในการผลิตแก้วคริสตัล ในเชิงการค้าจะอยู่ใ น
บริเวณที่แรเงาไว้ในรูป 1.10 ก. (บริเวณ SiO2 - K2O4SiO2 - K2OPbO4SiO2 - K2O4PbO - PbOSiO2)
ผลขององค์ประกอบทางเคมีจะส่งผลต่อค่าดัชนีหกั เหแสงและความหน้าแน่ นของแก้ว พบว่าเมือ่ ปริมาณซิลกิ า
สูงขึน้ ความหนืดของแก้วก็จะเพิม่ ขึน้ เช่นกัน ส่วนปริมาณ PbO ทีเ่ พิม่ ขึน้ จะส่งผลต่อค่าดัชนีหกั เหแสง; n (เส้น
ทึบ) และ ความหนาแน่นของแก้ว; (เส้นประ) ดังแสดงในรูป 1.10 ข.
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 12
รูป 1.10 (ก) แผนภาพวัฏภาคระบบ K2O-PbO-SiO2 และ (ข) ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบแก้วกับ
ความหนาแน่ นและความหนืดของแก้วคริสตัล [ดัดแปลงจาก J. Hlavac (1983)]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 13
5) ระบบโซเดี ยมบอโรซิ ลิเกต (Na2OB2O3SiO2) แก้วชนิดนี้จะทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูม ิ
อย่างฉับพลัน (Thermal Shock Resistance) ได้ดี เนื่องจากเป็ นแก้วที่มคี ่าสัมประสิทธิ ์การขยายตัวเพราะ
ความร้อ น (Thermal Expansion Coefficient; ) ต่ า (ต่ า กว่ า 50 x 10-7 ต่ อ เซลเซีย ส หรือ C–1) ซึ่ง ใน
บางครัง้ ถู ก เรียกว่าแก้ว ทนความร้อ น (Heat-resistance glass) แก้ว ชนิดนี้เ ป็ นแก้ว ที่ถู กพัฒนาเพื่อ ใช้ใ น
ห้องปฏิบตั กิ ารทางวิทยาศาสตร์และมีอยูห่ ลายประเภท แก้วทีร่ จู้ กั กันดีในกลุ่มนี้คอื แก้ว ไพเร็กซ์ (Pyrex) หรือ
แก้วทีใ่ ช้ในทางการแพทย์จะเรียกว่าแก้วนิวทรัล (Neutral glass) เป็ นต้น แก้วนิวทรัลทางการแพทย์จะมีการ
ละลายของไอออนต่ ามากที่อุณหภูม ิ 120 เซลเซียส ทาให้ยา เซรุม หรือสารเคมีต่าง ๆ ไม่เสียสภาพหรือเสีย
ฤทธิ ์ทางยาจากการเกิดปฏิกริ ยิ ากับไอออนทีอ่ าจละลายออกมาจากแก้ว
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 14
แก้วทีม่ กี ารผลิตในระดับอุตสาหกรรม จะมีองค์ประกอบต่าง ๆ กันขึน้ อยูก่ บั ชนิดและการนาไปใช้งาน
ซึง่ สามารถสรุปได้ดงั ตาราง 1.1
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 15
ในการใช้งานกับย่านแสงช่วงอินฟราเรด (Infrared region) และดูดกลืนความยาวคลื่นในช่วงวิซเิ บิล (Visible)
ได้ดี แก้ว ประเภทนี้ยงั มีส มบัติเ ป็ นสารกึ่งตัว นา (Semiconductor) โดยในการผลิต แก้ว กลุ่ มนี้จะหลอมใน
สุญญากาศเพื่อป้ องกันการเกิด ปฏิกริ ยิ าออกซิเดชันกับองค์ประกอบต่าง ๆ ในแก้ว กลายเป็ นสารประกอบ
ออกไซด์
คาถามท้ายบท
1) แก้วคืออะไร
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 16
บทที่ 2
กระบวนการผลิ ตแก้ว
Glass Production Processes
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 17
รูป 2.1 กระบวนการผลิตกระจกแผ่น [ดัดแปลงจาก http://www.sneresearch.com/eng/info/
show.php?c_id=4889&pg=8&s_sort=&sub_cat=&s_type=&s_word=]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 18
แคลเซีย มออกไซด์แ ละแมกนี เ ซีย มออกไซด์ซ่ึง ได้ม าจากวัต ถุ ดิบ หลัก คือ หิน ปูน (CaCO3) และ
โดโลไมท์ (Dolomite; CaMg(CO3)2) จะต้องผ่านการควบคุมปริมาณเหล็กออกไซด์และขนาดอนุ ภาคเช่นกัน
โดยขนาดทีเ่ หมาะสมใช้ในการผลิตกระจกและภาชนะหรือบรรจุภณ ั ฑ์จากแก้ว คือ 0.1 – 0.6 มิลลิเมตร และ
1 – 3 มิลลิเมตร ตามลาดับ
โซดาแอช (Soda ash; Na2CO3) เป็ นวัตถุดบิ หนึ่งทีใ่ ห้ Na2O ในแก้ว ซึง่ ขนาดเฉลีย่ ของโซดาแอชจะ
มีขนาดหยาบได้ โดยมีขนาดอยู่ในช่วง 0.1 – 1 มิลลิเมตร นอกเหนือจากโซดาแอชแล้วยังมีแร่เฟลด์สปาร์
แร่โฟโนไลต์ (Phonolite) ที่เติมลงไปเพื่อให้องค์ประกอบของ Na2O ในแก้ว อย่างไรก็ตามวัตถุดบิ สองชนิด
ดังกล่าวจะแตกตัวให้สารประกอบออกไซด์อ่นื ๆ ด้วย เช่น แร่เฟลด์สปาร์ (Na2OAl2O36SiO2) จะสลายตัว
ให้ Na2O, Al2O3 และ SiO2 หากใช้แร่เหล่านี้จะส่งผลทาให้ปริมาณของ Al2O3 สูงขึน้ อีกทัง้ แร่เหล่านี้มปี ริมาณ
เหล็กออกไซด์สูงอีกด้วย อาจมีการใช้โซเดียมซัลเฟต (Na2SO4) โซเดียมไนเตรต (NaNO3) และ โซดาไฟ
(NaOH) ในบางอุตสาหกรรม เพื่อปรับสมบัติของน้ าแก้วหลอม แต่มขี ้อควรระวังคืออาจเกิดผลกระทบต่อ
สิง่ แวดล้อมได้ เช่น เกิดก๊าซเรื่อนกระจก หรือ อาจทาให้แก้วมีปริมาณหมู่ไฮดรอกซิล (OH–) สูง จึงไม่ควรใช้
สารเหล่านี้ในปริมาณทีส่ งู เกินไป
แร่โพแทช (Potash; K2CO3) ไฮเดรตโพแทช (Hydrated potash หรือ pearl ash; K2CO31.5H2O)
เป็ นวัตถุดบิ ที่ให้โพแทสเซียมออกไซด์ (K2O) ในแก้ว จากปฏิกิรยิ าการสลายตัวด้ว ยความร้อ น (Thermal
decomposition หรือ calcination) อย่างไรก็ตาม K2O ที่ได้จากการแตกตัวนัน้ สามารถทาปฏิกริ ยิ ากับน้ าได้
ง่าย (Hygroscopic) ซึง่ ส่งผลต่อการชังน
่ ้ าหนักวัตถุดบิ และอาจทาให้เกิดปั ญหาในระหว่างการลาเลียงเข้าเตา
หรือเข้าถังพัก เช่น การเกาะเป็ นก้อนในระหว่างการผสม หรือทีเ่ รียกว่า Lumps
วัตถุดบิ อื่น ๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมแก้ว เช่น วัตถุดบิ ที่ให้แ บเรียมออกไซด์ (BaO) ได้แก่ แบเรียม
คาร์บ อเนต (BaCO3) และแบเรีย มซัล เฟต (BaSO4) ซึ่ง ใช้ ใ นปริม าณเล็ก น้ อ ย หรือ แบเรีย มไนเตรต
(Ba(NO3)2) ทีใ่ ช้ในแก้วเชิงแสง วัตถุดบิ กลุ่มทีใ่ ห้ตะกัวออกไซด์
่ (PbO) ได้แก่ ตะกัวแดง
่ (Red lead; Pb3O4)
ตะกัวออกไซด์
่ (PbO) รวมไปถึงตะกัวซิ
่ ลเิ กต เช่น PbO0.33SiO2 หรือ PbO0.67SiO2 ทีม่ ขี อ้ ดีกว่าคือ PbO
จะระเหยได้น้อยกว่าวัตถุดบิ สองชนิดแรก และวัตถุดบิ กลุ่มทีใ่ ห้อะลูมนิ า (Al2O3) อาจใช้อะลูมนิ าเติมลงไปเป็ น
ส่วนผสมโดยตรง แต่กม็ ขี อ้ เสีย คือ อะลูมนิ าเป็ นวัตถุดบิ ทีห่ ลอมได้ยากมาก จึงอาจจะจาเป็ นต้องเลีย่ งไปใช้แร่
ต่ าง ๆ ที่มอี ะลูมนิ าเป็ นองค์ประกอบ หรือ สารประกอบอื่น ๆ แทน เช่น เฟลด์ส ปาร์ แร่เ กาลิน (Kaolin;
Al2O32SiO22H2O) หรือ โฟโนไลท์ เป็ นต้น
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 19
วัตถุดบิ ต่าง ๆ ทีผ่ ่านการตรวจสอบคุณภาพจะถูกกักเก็บในถังเก็บขนาดใหญ่หรือไซโล (Silo) เพื่อรอ
การนาไปใช้ในกระบวนการผลิต ตามสัดส่วนที่ได้คานวณไว้ จากที่กล่าวมาข้างต้นวัตถุดบิ แต่ละชนิดอาจให้
ออกไซด์ได้หลายชนิด ดังนัน้ ในการคานวณจะต้องคานึงถึงองค์ประกอบทางเคมีหรือผลวิเคราะห์องค์ประกอบ
ทางเคมีของวัตถุดบิ แต่ละชนิด ความชืน้ ทีว่ ตั ถุดบิ มีอยู่ และปริมาณการสูญเสียของสารระเหยได้จากวัตถุดบิ
(Volatilisation loss) เป็ นต้น จากนัน้ วัตถุดบิ จะถูกชังน
่ ้ าหนักตามปริมาณทีต่ ้องการ และลาเลียงไปสู่ขนั ้ ตอน
การผสมเพื่อให้วตั ถุดบิ ผสมเป็ นเนื้อเดียวกันและกระจายตัวดีทส่ี ุด ในขัน้ ตอนการลาเลียงวัตถุดบิ ทีผ่ สมเข้ากัน
ดีแล้วสู่เตาหลอมก็ควรคานึงถึงปั จจัยหลายประการ เช่ น แรงสันสะเทื ่ อนของเครื่องจักรอาจทาให้เกิดการฟุ้ง
กระจายของวัต ถุ ดิบ ที่ม ีข นาดเล็ก มาก แรงสัน่ สะเทือ นอาจท าให้ว ัต ถุ ดิบ เกิด การแยกชัน้ หรือ แยกส่ ว น
(Segregation) เนื่องจากความหนาแน่ นของวัตถุดบิ แต่ละชนิดไม่เท่ากัน ซึ่งอาจแก้ปัญหานี้โดยการพ่นน้ า
เล็กน้อย (ประมาณ 3 – 4 %) ในระหว่างการลาเลียงเข้าสู่เตาหลอม
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 20
หลอม (Melting bath) จะมีอุ ณ หภูมสิ ูงเพื่อ ให้ได้น้ าแก้ว ที่มคี วามหนืดประมาณ 102 พอยส์ จากนัน้ จะลด
อุณหภูมลิ งในขัน้ ตอนของการลดฟองก๊าซ และ ขัน้ ตอนการทาให้เป็ นเนื้อเดียวกัน เพื่ อให้ความหนืดอยู่ท่ี
ประมาณ 103 พอยส์ เพื่อให้มคี วามเหมาะสมกับกระบวนการขึน้ รูป
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 21
ความร้อนดีมาก แก้วจะเริม่ แตกทีผ่ วิ ก่อน เนื่องจากเกิดความแตกต่างของอุณหภูมทิ ผ่ี วิ แก้วและภายในเนื้อ
แก้ว หรือหากการถ่ายเทความร้อนไม่ดแี ก้วจะติดอยู่กบั แบบขึน้ รูปโลหะได้ เนื่องจากแก้วหดตัวช้าทาให้หลุด
ออกจากแบบพิมพ์โลหะได้ยาก อย่างไรก็ตามการควบคุมการถ่ายเทความร้อนของแก้วทาได้ยากมาก ดังนัน้
ความเสีย หายของผลิต ภัณ ฑ์แ ก้ว หรือ การแตกของแก้ว ในระหว่ า งการขึ้น รูป จึง เกิด ขึ้น บ่ อ ย ดัง นัน้ ใน
กระบวนการขึน้ รูปอาจมีการเก็บข้อมูลของอุณหภูมทิ เ่ี ปลีย่ นไปในแต่ละขัน้ ตอน อุณหภูมขิ องแก้วทีเ่ ปลี่ยนไป
ทีเ่ วลาต่าง ๆ และเวลาทีใ่ ช้ในการขึน้ รูป เพื่อนาไปสู่การคานวณทางคณิตศาสตร์ เพื่อสร้างสมการทีส่ ามารถ
ใช้เป็ นแนวทางในการควบคุมขัน้ ตอนต่าง ๆ ในกระบวนการขึน้ รูป เพื่อลดปั ญหาทีเ่ กิดจากการถ่ายเทความ
ร้อนของแก้ว
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 22
2.4 ขัน้ ตอนการอบอ่อน (Annealing process)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 23
ใหญ่ทวไปก็
ั ่ ควรจะมีค่าไม่เกิน 50 – 100 มิลลิไมครอนต่อเซนติเมตร (ค่าไบรีฟรินเจนท์ประมาณ 30 มิลลิ
ไมครอนต่อเซนติเมตร จะเทียบเท่ากับความเค้น (Stress) ทีป่ ระมาณ 150 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว หรือ 1 x 106
พาสคัล)
คาถามท้ายบท
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 24
บทที่ 3
เครื่องจักรในกระบวนการผลิ ตแก้ว
Machines in Glass Production Processes
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 25
และความร้อนจากไฟฟ้ าเตาทีใ่ ช้แหล่งเชือ้ เพลิงทีแ่ ตกต่างกันจะต้องมีการออกแบบให้เหมาะสมที่จะทาให้ได้
น้าแก้วหลอมเหลวทีม่ คี วามเป็ นเนื้อเดียวกัน (Homogeneous) มากทีส่ ุด ในโรงงานผลิตแก้วมักมีการนาความ
ร้อนทีเ่ กิดจากกระบวนการหลอมกลับมาใช้ใหม่แทนทีจ่ ะให้ความร้อนนัน้ ถ่ายเทไปสู่สงิ่ แวดล้อม ซึง่ ทาได้โดย
การดูดความร้อนโดยใช้พดั ลมดูดอากาศดูด เอาความร้อนทีจ่ ะสูญเสียสู่สงิ่ แวดล้อมกลับมาให้กบั วัตถุดบิ เพื่อ
ทาให้วตั ถุดบิ มีอุณหภูมสิ ูงขึน้ ก่อนเข้าสู่เตาหลอม ทาให้สามารถลดพลังงานทีจ่ ะใช้ในการหลอมแก้วได้ อีกทัง้
จะทาให้ความชืน้ ทีม่ อี ยูใ่ นวัตถุดบิ บางประเภทระเหยออกไปก่อนทีว่ ตั ถุดบิ จะเข้าสู่เตาหลอม เตาหลอมแก้วใน
กระบวนการผลิตเชิงอุตสาหกรรม สามารถแบ่งประเภทได้ 4 กลุ่ม ได้แก่
1. เตาหลอมแบบหม้ อ (Pot furnace) (รูป 3.2 และ 3.3) ปริม าณการผลิต แก้ ว จากเตาชนิ ด นี้
ค่อนข้างน้ อยและมักใช้ในการหลอมแก้วชนิดพิเศษที่มฐี านการผลิตไม่มากหรือไม่บ่อย เช่นอุตสาหกรรม
ขนาดเล็ก หรือ อุ ต สาหกรรมในครัว เรือ น ซึ่ง เหมาะกับ กระบวนการผลิต ที่ม ีข นั ้ ตอนที่ไ ม่ต่ อ เนื่ อ ง หรือ
กระบวนการแบบชุด (Batch process) เตาประเภทนี้มปี ระสิทธิภาพในการหลอมต่ า โดยน้ าแก้วจะถูกหลอม
ในหม้อทีท่ าจากเซรามิก ภายในเตาหลอมประเภทนี้จงึ มักจะประกอบไปด้วยถ้วยหลอมหลาย ๆ ใบ เข้าหลอม
พร้อม ๆ กัน เตาประเภทนี้จะทาให้น้ าแก้วหลอมเป็ นเนื้อเดียวกันทาได้ค่อนข้างยาก ซึง่ อาจจะต้องใช้การคน
หรือการพ่นอากาศผ่านท่อเหล็กสู่น้าแก้วหลอมโดยตรงขณะทีแ่ ก้วเป็ นของเหลวสมบูรณ์
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 26
2. ตาหลอมแบบถัง (Day tank furnace) เป็ นเตาที่เ หมาะกับกระบวนการผลิต แบบไม่ต่ อ เนื่ อ ง
เช่นกัน โครงสร้างของเตาและลักษณะของเตามีความแตกต่ างจากเตาหลอมแบบหม้อ (Pot furnace) ขนาด
ของเตา รูปร่างของเตา และวิธกี ารให้ความร้อนของเตาหลอมแบบถังจะมีความแตกต่างกันมากมายขึน้ อยู่กบั
ผูอ้ อกแบบและชนิดของการผลิต เป็ นต้น
รูป 3.2 เตาหลอมแบบหม้อ (Pot furnace) แสดงให้เห็นช่องเปิ ด (ลูกศรชี)้ ทีส่ ามารถนาน้ าแก้วหลอมออกมา
ขึน้ รูปด้วยวิธตี ่าง ๆ แบบไม่ต่อเนื่องได้ [ดัดแปลงจาก http://www.cosmile.org/glass.htm]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 27
3. เตาหลอมแบบถังต่ อเนื่ อง (Continuous tank furnaces) เตาประเภทนี้เหมาะกับอุตสาหกรรม
ขนาดใหญ่ และมีการผลิตอยู่ตลอด 24 ชัวโมง ่ เช่นในอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์บนโต๊ะอาหาร และการ
ผลิตขวดแก้ว เป็ นต้น ซึง่ มักจะใช้ร่วมกับเครื่องขึน้ รูปชนิดอัตโนมัติ พิจารณาแบบของเตาหลอมแบบต่อเนื่อง
ดังรูป 3.4 โดยการหลอมจะใช้พลังงานจากก๊าซทาให้เกิดความร้อนจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง โดยบริเวณที่
เกิดการเผาไหม้เชื้อเพลิงจะอยู่เหนือส่วนผสมวัตถุดบิ (ดังแสดงในรูป 3.5) การหลอมจะอยู่ส่วนต้นของเตา
หลอม เมื่อเกิดการหลอมสมบูรณ์ น้ าแก้วที่หลอมสมบูรณ์จะถูกดึงออกที่ปลายทางของเตาหลอม รูป 3.4
แสดงช่องทางออกทัง้ หมด 9 ช่องทางออกใช้สาหรับ 9 สายการผลิต เตาหลอมประเภทนี้ส่วนผสมจะถูกป้ อน
อย่างต่อเนื่อง และน้าแก้วทีห่ ลอมสมบูรณ์กจ็ ะถูกใช้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ซึง่ บริเวณทีน่ ้าแก้วถูกดึงออกไป
ใช้นัน้ จะมีอุณหภูมติ ่ ากว่าบริเวณหลอมเล็กน้อย เพื่อให้น้ าแก้วมีความหนืดเหมาะสมกับการขึ้นรูป การลด
อุณหภูม ิ อาจทาโดยการสร้างกาแพงกัน้ เหนือบริเวณน้าแก้วระหว่างห้องหลอม (บริ เวณ ข) กับช่องดึงน้าแก้ว
(บริ เวณ ค) เพื่อให้ความร้อนไม่แผ่ไปยังบริ เวณ ค อีกทัง้ จะทาให้ความร้อนบริเวณห้องหลอมเกิดการสูญเสีย
ความร้อนน้อย โดยการออกแบบเตาเพื่อให้ความร้อนจากการเผาไหม้เชือ้ เพลิงเป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพนัน้
ขึน้ อยูก่ บั ผูอ้ อกแบบ เชือ้ เพลิงทีใ่ ช้ จานวนสายการผลิตและเครื่องมือทีใ่ ช้ขน้ึ รูป เป็ นต้น เตาประเภทนี้มกี าลัง
การผลิตสูงมาก (อยู่ในช่วง 50 – 300 ตันต่อวัน) หากเป็ นสายการผลิตกระจก (แก้วแผ่น) จะมีกาลังการผลิต
สูงขึน้ ได้ถงึ 700 ตันต่อวัน
รูป 3.4 แบบของเตาหลอมแก้ว (มุมสูง : Top view) แสดงบริเวณป้ อนวัตถุดบิ (บริ เวณ ก) บริเวณทีเ่ กิดการ
หลอมกลายเป็ นของเหลวหรือห้องหลอมซึง่ เป็ นบริเวณทีม่ อี ุณหภูมสิ งู ทีส่ ุด (บริ เวณ ข) และบริเวณน้าแก้วถูก
ดึงออกไปสู่ขนั ้ ตอนการขึน้ รูป (บริ เวณ ค) [ดัดแปลงจาก J. Hlavac (1983)]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 28
รูป 3.5 ลักษณะการให้ความร้อนเหนือวัตถุดบิ และน้าแก้ว โดยการใช้หวั พ่นไฟ (Burner)
[ทีม่ า http://www.glassonweb.com/articles/article/854]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 29
รูป 3.6 เตาหลอมแก้วซึง่ ให้ความร้อนด้วยแผ่นให้ความร้อน โดย หมายเลข 1 คือ บริเวณทีห่ ลอมวัตถุดบิ
ทัง้ หมด หมายเลข 2 คือ ช่องทีใ่ ห้น้าแก้วทีห่ ลอมเป็ นของเหลวไหลไปสู่บริเวณทีพ่ ร้อมใช้งาน หรือ
Working zone (หมายเลข 3 และ 4) และหมายเลข 5 คือ แผ่นให้ความร้อนชนิดโมลิบดีนัม
[ดัดแปลงจาก J. Hlavac (1983)]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 30
กับแก้วได้ โดยมีแนวทางในการแก้ไขปั ญหาโดยการใช้แหล่งให้ความร้อนทีท่ าจากวัสดุชนิดออกไซด์ของดีบุก
(SnO2) แทน
ในการผลิตภาชนะที่มรี ูปทรงต่ าง ๆ เช่น ขวด แก้ว และเหยือก ในการผลิต นัน้ มักใช้วธิ กี ารกดหรือ
การเป่ า ซึง่ จะเริม่ จากการหยดน้ าแก้วหนืดลงในแบบพิมพ์ โดยในการหยดจะต้องมีปริมาณของน้ าแก้วเท่า ๆ
กันในแต่ละครัง้ ของการหยด ซึง่ ควบคุมจากเครือ่ งมืออัตโนมัติ ทีเ่ รียกว่าเครือ่ งป้ อนน้ าแก้ว หรือ Gob feeder
ซึ่งก้อนน้ าแก้วหนืดที่ถูกทาให้เป็ นก้อนเพื่อเข้าเครื่องขึน้ รูปจะเรียกว่าก้อนแก้ว (Gob) อีกวิธหี นึ่งที่สามารถ
ป้ อ น ก้อ นแก้ว ลงในแบบพิมพ์นัน้ ทาได้โดยการใช้เ ครื่อ งดูด (Suction machine) แต่ เ ป็ นที่นิยมน้ อ ยมาก
หลักการทางานของเครื่องป้ อนน้ าแก้ว (Gob feeder) (รูป 3.7 ก และ ข) ณ บริเวณฟอร์ฮาร์ท (Forehearth)
(รูป 3.7 ค) หรือบริเวณที่เชื่อมต่อระหว่างเตาเผากับเครื่องขึน้ รูป เป็ นบริเวณที่น้ าแก้วจะลดอุณหภูมลิ งจน
แก้วมีความหนืดเหมาะสม ตรงบริเวณส่วนปลายของฟอร์ฮาร์ท (Forehearth) นี้เองจะมีเครือ่ งป้ อนน้ าแก้วติด
ตัง้ อยู่ ซึง่ จะมีหวั กด (Plunger) คอยกดน้ าแก้วให้หยดลงมาด้านล่าง จากนัน้ จะมีใบมีด (Blade) ตัดน้ าแก้วให้
หล่นลงไปในแบบพิมพ์โลหะทีอ่ ยู่ดา้ นล่าง จากนัน้ เครื่องขึน้ รูป จึงทางานต่อไป ซึง่ ใช้ลกั ษณะการขึน้ รูปหลาย
แบบ ได้แก่
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 31
รูป 3.7 (ก) หลักการทางานของเครือ่ งป้ อนน้ าแก้ว (Gob feeder) [ทีม่ า J. Hlavac (1983)]
(ข) แบบจาลองสามมิตขิ องเครือ่ งป้ อนน้ าแก้ว (Gob feeder) [ทีม่ า http://www.parkinson-
spencer.co.uk/SpecialParts.html] และ (ค) ส่วนของฟอร์ฮาร์ท (Forehearth)
[ทีม่ าhttp://www.cgeglass.com.cn/cge/en]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 32
รูป 3.8 การผลิตแก้วด้วยวิธกี ารกด (Pressing) ด้านบนแสดงแบบพิมพ์แบบชิน้ เดียว (Block mold) และ
ด้านล่างแสดงแบบพิมพ์แบบแยกส่วนได้ (Split mold) [ทีม่ า E.B. Shand (1958)]
เครื่องขึ้นรูปด้ วยวิ ธีการเป่ า (Blowing) (รูป 3.9) ก้อ นแก้ว หรือ Gob จะถู กเป่ าให้แนบกับแบบ
พิมพ์โลหะ ซึง่ เป็ นแบบพิมพ์เพียงชุดเดียว ข้อดีของการใช้วธิ นี ้ีคอื การผลิตแก้วให้มรี ปู ร่างซับซ้อนได้มากขึน้
ผลิตภัณฑ์แก้วที่ได้อาจมีรอยต่อ หากใช้แบบพิมพ์หลายส่วนประกบเข้าด้วยกัน เนื่องจากเนื้อแก้วสามารถ
แทรกเข้าไปในช่องว่างระหว่างแบบพิมพ์ ได้ ดังนัน้ ผลิตภัณฑ์ท่ไี ด้จะต้องผ่านกระบวนการกาจัดส่วนเกินนี้
ภายหลัง
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 33
นอกจากนัน้ ได้มกี ารพัฒนาจากเทคนิคต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วเพื่อให้มคี วามสามารถในการขึน้ รูปได้
เร็วขึ้นและสามารถขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ท่มี ีรูปร่างซับซ้อนมากขึ้นได้ ซึ่งจะเป็ นเครื่องจักรที่มขี นาดใหญ่และมี
ความซับซ้อนประกอบด้วยหลายขัน้ ตอน ดังแสดงในรูป 3.10 โดยเครื่องจักรเหล่านี้ได้รบั การออกแบบมา
อย่างดี โดยอาจจะรวมเทคนิคการขึน้ รูปต่าง ๆ หลายวิธดี งั กล่าวข้างต้นเข้าไว้ดว้ ยกัน เช่นการรวมกันระหว่าง
การกดและการเป่ า ที่เรียกว่าเทคนิค Press and blow เป็ นต้น โดยแต่ละเทคนิคอาจเหมาะสาหรับเนื้อแก้ว
หรือการผลิตผลิตภัณฑ์ทแ่ี ตกต่างกัน เช่น
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 34
ปั จจุบนั มีว ิธ ีท่ถี ู ก ปรับปรุงเพื่อ ให้ผ ลิต ได้เ ร็ว มากขึ้น ถึง 15 - 20% ใช้มวลแก้ว น้ อ ยลงประมาณ 30% และ
เพื่อให้สามารถขึน้ รูปผลิตภัณฑ์ทม่ี คี วามหนาของผลิตภัณฑ์ไม่เท่ากันได้ ซึง่ เรียกว่าวิธกี ารกดอัดและการเป่ า
แบบคอแคบ (Narrow neck press and blow; NNPB) และมีขอ้ ดีคอื มีอายุการใช้งานของแบบพิมพ์นานขึน้
วิธกี ารนี้น้ าแก้วหนืดจะถูกเป่ าให้แนบติดกับแบบพิมพ์โลหะ ทัง้ 2 ชุด (ดังรูป 3.11 ข) วิธนี ้ีมขี อ้ ดีคอื
สามารถขึน้ รูปผลิตภัณฑ์ทม่ี รี ปู ร่างได้หลากหลาย (ยกเว้นประเภทเหยือก โถ หรือภาชนะปากกว้าง) ซึง่ ต่อมา
ถูกพัฒนาให้สามารถผลิตได้เร็วขึน้ ประมาณ 10 – 15 % และลดการใช้ปริมาณแก้วได้ประมาณ 10 – 15 %
ซึง่ วิธดี งั กล่าวเรียกว่าวิธกี ารปั ม๊ สุญญากาศ (Blank vacuum (BVP-551))
รูป 3.11 วิธกี ารขึน้ รูปด้วย (ก) วิธกี ดอัดและเป่ า และ (ข) วิธเี ป่ าและเป่ า
[ที่มา http://www.britglass.org.uk/container-glass-manufacture]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 35
3.3.2 การผลิ ตกระจกแผ่น
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 36
การผลิตกระจกด้วยวิธกี ารรีด (Rolling) มีหลักการคือการรีดน้ าแก้วหนืดผ่านแท่งรีด (Roller) ซึง่ เป็ น
ตัวกาหนดความหนาของกระจก วิธนี ้ีเป็ นวิธที ใ่ี ช้ผลิตกระจกหลายประเภท โดยกระจกทีไ่ ด้จะมีความขรุขระ
อยู่ทาให้วธิ กี ารนี้จะต้องมีกระบวนการต่อเนื่องเพื่อทาให้กระจกเรียบและมีความใสมากขึน้ เช่นการขัดกระจก
ซึง่ เป็ นขัน้ ตอนทีใ่ ช้พน้ื ที่ของโรงงานมาก และมีค่าใช้จ่ายในการขัดสูง ดังนัน้ จึงเกิดการพัฒนาเทคนิคที่ใช้กนั
อย่ า งแพร่ ห ลายในปั จจุ บ ัน คื อ วิ ธี ล อยแก้ ว (Float process) ดัง รูป 3.13 ซึ่ ง พัฒ นาโดย Sir Alastair
Pilkington เป็ นวิธที ่ที าให้กระจกเรียบได้โดยการให้น้ าแก้วหลอมลอยอยู่บนโลหะหลอมเหลว เช่น อ่างดีบุก
เหลว (Tin bath) ทีเ่ ป็ นทีน่ ิยมโดยทัวไป ่ เทคนิคนี้แก้วทีห่ ลอมสมบูรณ์จะถูกทาให้แผ่ บนอ่างดีบุก ความหนา
ของกระจกจะถูกควบคุมโดยการคานวณจากสมดุลระหว่างแรงดึงดูดของโลก (Gravitational force) ทีก่ ระทา
ต่อน้ าแก้วหลอม และแรงตึงผิวของโลหะด้านล่าง ณ สภาวะสมดุลของแรงสองแรงดังกล่าวจะทาให้แก้วมี
ความหนาประมาณ 6 – 7 มิลลิเมตร หากต้องการความหนามากขึน้ จะต้องปรับความกว้างของกระจก โดย
การควบคุมระยะการแผ่ของน้ าแก้วหลอมให้พอดี เนื่องจากวิธนี ้ีอาศัยโลหะหลอมเหลว ดังนัน้ จึงต้องป้ องกัน
การเกิดปฏิกริ ยิ าออกซิเดชันของโลหะหลอมเหลวกับอากาศในเตาหลอม โดยทัวไปใช้ ่ บรรยากาศของก๊าซ
ไนโตรเจนผสมกับไฮโดรเจน (N2+H2) ซึง่ เป็ นบรรยากาศรีดวิ ซ์ (Reducing atmosphere) ความหนืดของแก้ว
ในช่วงทีผ่ ่านอ่างดีบุกจะอยู่ท่ปี ระมาณ 104 เดซิพาสคัลวินาที (dPas) โดยผิวบนของแก้วจะต้องได้รบั ความ
ร้อนในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อควบคุมความหนืดของแก้ว และควบคุมอัตราการเย็นตัวของแก้ว จนกระทัง่
ผ่านออกจากอ่างเมื่อมีความแข็งตัวเหมาะสม และจะเข้าสู่การอบอ่อนทีป่ ระมาณ 600 เซลเซียส กระบวนการ
นี้ถูกพัฒนาจนสามารถผลิตแก้วทีม่ คี วามกว้าง 3 เมตร และมีความหนาในช่วง 3 – 15 มิลลิเมตร โดยการผลิต
กระจกหนา 3 และ 6 มิลลิเมตร สามารถทาได้เร็ว 1000 และ 300 เมตรต่อชัวโมง ่ ตามลาดับ กระบวนการนี้
สามารถพัฒนาทาให้ผวิ แก้วมีสมบัตพิ เิ ศษต่าง ๆ ได้ เช่น ทาให้ผวิ แก้วสามารถสะท้อนและดูดกลืนบางความ
ยาวคลื่นแสงได้ ทาให้แก้วสามารถป้ องกันความร้อนได้ระดับหนึ่ง ซึง่ สามารถประยุกต์แก้วนี้กบั งานด้านการ
ก่ อ สร้างและสถาปั ต ยกรรม ซึ่งทาได้โดยการให้แก้ว สัมผัส กับ โลหะผสม (Alloy) ประเภทตะกัว่ ทองแดง
(PbCu) ทีห่ ลอมเหลวอยู่ในระหว่างทีแ่ ก้วลอยอยูใ่ นอ่างดีบุก เมือ่ จ่ายกระแสไฟฟ้ าเข้าไปในระบบ ไอออนของ
โลหะผสมจะสามารถแพร่เข้าสู่ผวิ แก้วได้ ทาให้ผวิ แก้วมีลกั ษณะเป็ นสีทองแดงซึ่งทาให้สมบัติของผิวแก้ ว
เปลี่ย นไป โดยกระบวนการดัง กล่ า วเรีย กว่ า สเปกโทรโฟร์ท (Spectrofloat) หรือ อิ เ ล็ก โทรโฟร์ท
(Electrofloat) เนื่องจากมีการให้กระแสไฟฟ้ าในระหว่างการผลิต
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 37
(ก)
(ข)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 38
(ก) (ข)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 39
3.4 ขัน้ ตอนการอบอ่อน (Annealing process)
คาถามท้ายบท
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 40
บทที่ 4
วัตถุดิบแก้วและการคานวณส่วนผสม
Glass Raw Materials and Batch Calculations
“โดยทัวไปวั
่ ตถุดบิ ทีใ่ ช้ในอุตสาหกรรมการผลิตแก้วจะเป็ นแร่ต่าง ๆ ตามธรรมชาติ
เช่น ทรายแก้ว หินปูน แร่โดโลไมต์ เถ้ากระดูกและหินฟั นม้า เป็ นต้น ซึง่ แร่ต่าง ๆ เหล่านี้เมือ่
ได้รบั ความร้อนในขัน้ ตอนการหลอมแก้ว จะเกิดการปฏิกิรยิ าเคมีต่าง ๆ เช่นการสลายตัว
เพราะความร้อน (Thermal decomposition) การเปลีย่ นแปลงวัฏภาค (Phase transformation) และ
อาจเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ เป็นต้น ในบทนี้จะได้กล่าวถึงวัตถุดบิ ทีน่ ิยม
ใช้ในอุตสาหกรรมแก้วโดยทัวไป ่ รวมถึงการเปลีย่ นแปลงของวัตถุดบิ เมือ่ ได้รบั ความร้อน
ในขณะหลอม และการคานวณองค์ประกอบทางเคมีของแก้วเบื้องต้น”
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 41
ตาราง 4.1 กำรเรียกชื่อแก้วทีม่ อี งค์ประกอบเคมีต่ำง ๆ กัน
องค์ประกอบทางเคมีของแก้ว ชื่อเรียก
ระบบที่มีโครงร่างตาข่าย 1 ชนิ ด
SiO2 แก้วซิลกิ ำ
Na2OSiO2 แก้วโซเดียมซิลเิ กต
CaOSiO2 แก้วแคลเซียมซิลเิ กต
B2O 3 แก้วโบรอนออกไซด์
Li2OB2O3 แก้วลิเทียมบอเรต
Tl2OB2O3 แก้วแทลเลียมบอเรต
P2 O 5 แก้วฟอสฟอรัสเพนตะออกไซด์
Rb2OP2O5 แก้วรูบเิ ดียมฟอสเฟต
BaOP2O5 แก้วแบเรียมฟอสเฟต
CaOAl2O3 แก้วแคลเซียมอะลูมเิ นต
MgOGa2O3 แก้วแมกนีเซียมแกลเลต
ระบบที่มีโครงร่างตาข่าย 2 ชนิ ด
CaOB2O3SiO2 แก้วแคลเซียมบอโรซิลเิ กต
Na2OAl2O3SiO2 แก้วโซเดียมอะลูมโิ นซิลเิ กต
* ตัวเอียง คือ สำรประกอบกลุ่มทีท่ ำหน้ำทีเ่ ป็ นโครงร่ำงตำข่ำย (Glass former)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 42
นอกเหนื อ จำกแก้ ว ระบบออกไซด์ ข้ำ งต้ น แล้ ว ยั ง มีต ัว โครงร่ ำ งตำข่ ำ ยของแก้ ว ชำลโคจีไ นด์
(Chalcogenide glass) ได้แก่ ธำตุ ซลั เฟอร์ (S) ซีลเี นียม (Se) และ เทลลูเรียม (Te) และสำหรับแก้วแฮไลด์
(Halide glass) จะนิยมใช้เบริลเลียมฟลูออไรด์ (BeF2) และเซอร์โคเนียมฟลูออไรด์ (ZrF4) เป็ นตัวโครงร่ำง
ตำข่ำยแก้ว
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 43
องค์ประกอบอื่นในแก้วทำได้ยำกมำก อย่ำงไรก็ตำมในประเทศไทยเริม่ ตระหนักถึงปั ญหำสิง่ แวดล้อมจึงมักมี
กำรนำขวดแก้วในสภำพสมบูรณ์กลับไปใช้ใหม่อกี ครัง้ โดยผ่ำนกระบวนกำรฆ่ำเชือ้ โรคทีม่ ปี ระสิทธิภำพ
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 44
ตำมลำดับ โดยรูป 4.1 ก. แสดงให้เห็นกำรเปลีย่ นแปลงอุณหภูมอิ ่อนตัว (Softening temperature) ของแก้วที่
มีปริมำณ TiO2 ต่ำง ๆ กัน จะเห็นได้ว่ำเมื่อปริมำณ TiO2 เพิม่ ขึ้นในช่วงแรก อุณหภูมอิ ่อนตัวของแก้วจะ
เพิม่ ขึน้ จนเมือ่ ปริมำณ TiO2 ปริมำณหนึ่งแก้วจะมีอุณหภูมอิ ่อนตัวสูงสุด จำกนัน้ เมือ่ เพิม่ ปริมำณ TiO2 เพิม่ ขึน้
อุณหภูมอิ ่อนตัวจะลดลง (เกิดจุดสูงสุด ) ซึ่งตรงข้ำมกับค่ำสัมประสิทธิ ์กำรขยำยตัวเพรำะควำมร้อน () ใน
รูป 4.1 ข. พบว่ำจะเกิดจุดต่ ำสุด ซึง่ ค่ำสูงสุดหรือต่ ำสุดนัน้ จะเปลีย่ นไปตำมปริมำณของ PbO ในแก้วอีกด้วย
โดยสำมำรถอธิบำยปรำกฏกำรณ์ทเ่ี กิดขึน้ จำกกำรเปลีย่ นสภำพแวดล้อมของ Ti4+ กล่ำวคือเมื่อปริมำณ TiO2
น้อย (SiO2 สูง) Ti4+ จะมีสภำพแวดล้อมแบบเตตระฮีดรัล (Tetrahedral หรือ [TiO4]) ทีม่ เี ลขโคออดิเนชันเป็ น
4 สภำพแวดล้อมแบบนี้ทำให้แก้วมีโครงสร้ำงที่แข็งแรงขึน้ ส่งผลทำให้สมบัตดิ ้ำนต่ำง ๆ เปลี่ยนไป ในทำง
ตรงข้ำม TiO2 มำกขึน้ (SiO2 ต่ำลง) Ti4+ จะอยูใ่ นสภำวะแวดล้อมแบบออกตะฮีดรัล (Octahedral หรือ [TiO6])
ทีม่ เี ลขโคออดิเนชันเป็ น 6 โดยแก้วจะมีโครงสร้ำงทีม่ คี วำมแข็งแรงน้อยลง
รูป 4.1 (ก) อุณหภูมกิ ำรอ่อนตัว (Softening temperature) และ (ข) ค่ำสัมประสิทธิ ์กำรขยำยตัวเพรำะควำม
ร้อน (Coefficient of thermal expansion, ) ของแก้วระบบ K2O-PbO-SiO2-TiO2 ทีม่ ปี ริมำณ TiO2 ต่ำงกัน
[ทีม่ ำ B.V.J. Rao (1963)]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 45
4.1.4 สารให้สี (Colourant)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 46
4.1.5 สารลดฟอง (Fining agent)
840 C
CaCO3 (s) CaO (s) + CO2 (g) สมการ 4.1
สำรเคมีก ลุ่ ม ที่ ส ำมำรถลดฟองหรือ ก ำจัด ฟองในแก้ วได้ ได้ แ ก่ ออกไซด์ ข องสำรหนู ห รื อ
อำร์เซนิกออกไซด์ (As2O3) ออกไซด์ของพลวงหรือแอนทิโมนีไตรออกไซด์ (Sb2O3) โพแทสเซียมไนเตรต
(KNO3) โซเดียมไนเตรต (NaNO3) โซเดียมคลอไรด์ (NaCl) สำรประกอบฟลูออไรด์ (Fluoride compounds)
ต่ำง ๆ เช่น แคลเซียมฟลูออไรด์ (CaF2) โซเดียมฟลูออไรด์ (NaF) และโซเดียมอะลูมเิ นียมเฮกซะฟลูออไรด์
(Na3AlF6) และสำรประกอบซัลเฟต (Sulfate compounds) บำงชนิด กำรเติมสำรลดฟองจะเติมในปริมำณต่ ำ
(น้อยกว่ำ 1% โดยน้ำหนัก) ทำให้สมบัตติ ่ำง ๆ ของแก้วไม่ได้รบั ผลกระทบมำกนัก
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 47
ตาราง 4.4 แร่ต่ำง ๆ ทีใ่ ช้ในอุตสำหกรรมกำรผลิตแก้ว [ดัดแปลงจำก J.E. Shelby (2005)]
ชื่อแร่ / ชื่อสามัญ สูตรเคมี Gravimetric Factor *
ตัวโครงร่างตาข่ายแก้ว
ทรำย (Sand) SiO2 SiO2 = 1.0
อะลูมนิ ำ (Alumina) Al2O3 Al2O3 = 1.0
อะลูมนิ ำไฮเดรต (Alumina Hydrate) Al2O33H2O Al2O3 = 1.53
กรดบอริก (Boric Acid) B2O33H2O B2O3 = 1.78
ตัวช่วยหลอม
แอลไบต์เฟลด์สปำร์ (Albite Feldspar) Na2OAl2O36SiO2 Na2O = 8.46
Al2O3 = 5.14
SiO2 = 1.45
อะนอร์ไทต์เฟลด์สปำร์ (Anorthite Feldspar) CaOAl2O32SiO2 CaO = 4.96
Al2O3 = 2.73
SiO2 =2.32
แร่แอไพลต์ (Aplite) หรือ aM2ObCaOcAl2O3dSiO2 ค่ำไม่แน่นอน
แอลคำไลน์ไลม์เฟลด์สปำร์ (Alkali lime (M คือโลหะอัลคำไลน์และ a b c d คือสัดส่วน ค่ำไม่แน่นอน
feldspar) โดยโมลของแต่ละองค์ประกอบ)
เถ้ำกระดูก (Bone ash) 3CaOP2O5 หรือ Ca3(PO4)2 CaO = 1.84
P2O5 = 2.19
บอแรกซ์ (Borax) Na2O2B2O310H2O Na2O = 6.14
B2O3 = 2.74
ตะกัวเหลื
่ อง (Lithatge หรือ Yellow lead) PbO PbO = 1.00
ตะกัวแดง
่ (Red lead) Pb3O4 PbO = 1.02
ไมโครคลำยน์ (Microcline) K2OAl2O36SiO2 K2O = 5.91
Al2O3 = 5.46
SiO2 = 1.54
แร่เนฟิ ลนี (Nepheline) Na2OAl2O32SiO2 Na2O = 2.84
Al2O3 = 1.73
SiO2 = 1.47
แร่เนฟิ ลนี ไซอิไนต์ (Nepheline syenite) ผสมระหว่ำงแร่เนฟิ ลนี กับ ค่ำไม่แน่นอน
เฟลด์สปำร์
แร่โพแทช (Potash) K2O หรือ K2O = 1.00
K2CO3 K2O = 1.47
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 48
ตาราง 4.4 แร่ต่ำง ๆ ทีใ่ ช้ในอุตสำหกรรมกำรผลิตแก้ว (ต่อ) [ดัดแปลงจำก J.E. Shelby (2005)]
ชื่อแร่ / ชื่อสามัญ สูตรเคมี Gravimetric factor *
โซดำไฟหรือโซเดียมคำร์บอเนต (Soda ash) Na2CO3 Na2O = 1.71
แร่สปอดูมนี (Spodumene) Li2OAl2O34SiO2 Li2O = 12.46
Al2O3 = 3.65
SiO2 = 1.55
ดินสอพองหรือแคลเซียมคำร์บอเนต CaCO3 CaO = 1.79
(Whiting)
เศษแก้วรีไซเคิล (Cullet) ขึน้ อยูก่ บั ชนิดแก้ว ขึน้ อยูก่ บั ชนิดแก้ว
สารปรับสมบัติ
แร่แบไรต์ (Barite) BaSO4 BaO = 1.52
แร่โดโลไมต์ (Dolomite) CaCO3MgCO3 CaO = 3.29
MgO = 4.58
แร่ยปิ ซัม (Gypsum) CaSO42H2O CaO = 3.07
หินปูน (Limestone หรือ Calcite) CaCO3 CaO = 1.78
สารลดฟอง
แร่ไครโอไลต์ (Cryolite) 3NaFAlF3 NaF = 1.67
AlF3 = 2.50
แร่ฟลูออสปำร์ (Fluorspar) CaF2 CaF2 = 1.00
โซเดียมไนเตรต (Soda niter) NaNO3 Na2O = 2.74
ดินประสิว (Niter) KNO3 K2O = 2.15
*กรำวิเมทริกแฟกเตอร์ (Gravimetric factor) จะใช้ในกำรคำนวณในกรณีทว่ี ตั ถุดบิ สำมำรถให้สำรประกอบ
ออกไซด์ได้หลำยชนิดขณะหลอมซึง่ จะแสดงวิธกี ำรใช้ค่ำกรำวิเมทริกแฟกเตอร์ ในตัวอย่ำงกำรคำนวณต่อไป
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 49
silicate) มีส่วนผสมคือ 15% โซดำ (Soda) 10% ไลม์ (Lime) และ 75% ซิลกิ ำ (Silica) ผูอ้ ่ำนก็จะเข้ำใจได้ว่ำ
ร้อยละที่แสดงเป็ นร้อยละโดยน้ ำหนักของส่วนผสมต่ำง ๆ ว่ำมี Na2O 15% CaO 10% และ SiO2 75% โดย
น้ำหนัก
โดยทัวไปแล้
่ วองค์ประกอบทำงเคมีของแก้วมักถูกรำยงำนให้อยู่ในรูปของออกไซด์ของธำตุต่ำง ๆ
ยกตัวอย่ำงเช่นแก้วโซเดียมบอเรตจะมีสูตรทำงเคมีโดยทัวไปคื
่ อ xNa2O(100-x)B2O3 ยกตัวอย่ำงเช่นแก้ว
25% Na2O75%B2O3 ซึง่ หมำยถึงแก้วชนิดนี้มโี ซเดียมออกไซด์อยู่ 25 % และ โบรอนออกไซด์อยู่ 75 % โดย
สำมำรถรำยงำนปริมำณได้ทงั ้ % โดยน้ ำหนัก (wt%) หรือ % โดยโมล (mol%) แต่ในบำงครัง้ อำจรำยงำนให้
อยู่ในรูปของสัดส่วนได้เช่นกัน เช่น 0.25Na2O0.75B2O3 แต่วตั ถุดบิ บำงประเภททีใ่ ช้ในอุตสำหกรรมแก้วจะ
เป็ นสำรประกอบประเภทคำร์บอเนต เช่น กำรใช้หนิ ปูน หรือ แคลเซียมคำร์บอเนต (CaCO3) เป็ นแหล่งของ
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 50
แคลเซียมออกไซด์ (CaO) ในแก้ว ดังนัน้ กำรค ำนวณองค์ประกอบทำงเคมีของแก้ว จึง เป็ นสิ่งที่สำคัญ ใน
อุตสำหกรรมแก้ว เพื่อสำมำรถควบคุมปริมำณขององค์ประกอบออกไซด์ต่ำง ๆ ในแก้วเพื่อให้มอี งค์ประกอบ
ตำมมำตรฐำนกำรผลิต ซึ่งในกำรคำนวณอำจจะมีควำมยำกง่ำยแตกต่ำงกันออกไป ขึน้ อยู่กบั วั ตถุดบิ ที่ใช้
เนื่องจำกวัตถุดบิ บำงประเภทเป็ นสำรประกอบออกไซด์อยู่แล้ว เช่น ทรำยแก้ว (SiO2) เป็ นต้น บำงประเภท
เป็ นสำรประกอบอื่น ๆ ทีส่ ำมำรถสลำยตัวทำงควำมร้อน เช่น หินปูน เป็ นต้น และบำงประเภทประกอบด้วย
สำรประกอบหลำยชนิ ด เช่ น แร่ โ ดโลไมต์ (CaCO3MgCO3) เถ้ ำ กระดู ก (Ca3(PO4)2) และแร่ โ ซเดีย ม
เฟลด์สปำร์หรือแร่แอลไบต์ (NaAlSi3O8) เป็ นต้น นอกเหนือจำกนัน้ ควำมยำกง่ำยของกำรคำนวณยังขึน้ อยู่กบั
ควำมบริสุ ท ธิข์ องวัต ถุ ด ิบ ที่ใ ช้ด้ว ย เนื่ อ งจำกบำงอุ ต สำหกรรม ต้ อ งใช้ว ัต ถุ ด ิบ ที่ม ีค วำมบริสุ ท ธิส์ ู ง เช่ น
อุตสำหกรรมกำรผลิตเลนส์ ซึ่งต้องมีกำรควบคุมควำมบริสุทธิ ์ของวัตถุดบิ อย่ำงสูง เพื่อให้ได้สมบัตเิ ชิงแสง
ตำมต้อ งกำร โดยในกำรค ำนวณอำจจะเป็ นกำรคำนวณองค์ประกอบทำงเคมีของแก้วหรืออำจะเป็ นกำร
คำนวณปริมำณวัตถุดบิ ทีต่ อ้ งกำรใช้ เพื่อให้ได้แก้วทีม่ อี งค์ประกอบทำงเคมีตำมต้องกำร
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 51
ตัวอย่าง 4.1 จงคำนวณว่ำใน 100 กรัมของวัตถุดบิ ผสมจะต้องใช้แคลเซียมออกไซด์ (CaO) และอะลูมนิ ำ
(Al2O3) อย่ำงละกีก่ รัมเพื่อผลิตแก้วทีม่ อี งค์ประกอบเป็ น 65CaO35Al2O3 (องค์ประกอบทีเ่ ห็นเป็ นร้อยละโดย
โมล)
สิง่ ทีค่ วรทราบคือมวลโมเลกุล (Molecular weight) ของ CaO และ Al2O3 ซึง่ มีค่าเท่ากับ 56.08
และ 101.96 กรัม/โมล (gmol -1) ตามลาดับ
ดัง นั ้น ในการผลิต แก้ว 65CaO35Al2O3 จะต้อ งใช้ CaO 50.5 กรัม และ Al2O3 49.5 กรัม เป็ น
วัตถุดบิ
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 52
ตัวอย่ าง 4.2 จงค ำนวณว่ ำ จะต้อ งใช้ว ตั ถุ ดิบ อย่ำ งละเท่ ำ ใดในกำรผลิต แก้ว ที่ม ีสูต รคือ 20Na2O80SiO2
(องค์ประกอบทีเ่ ห็นเป็ นร้อยละโดยโมล)
วิ ธี คิ ด สิง่ ทีค่ วรทราบคือ มวลโมเลกุล (Molecular weight) ของ Na2O และ SiO2 ซึง่ มีค่ าเท่ากับ
61.98 และ 60.09 กรัม/โมล (gmol -1) ตามลาดับ และโซเดียมออกไซด์ (Na2O) ได้มาจากวัตถุดบิ
คือ โซเดียมคาร์บอเนต (Na2CO3) ซึง่ มีมวลโลเลกุ ล เท่ากับ 105.94 gmol -1จากตำรำง 4.4 ค่ า
gravimetric factor ของโซเดียมคาร์บอเนตมีค่าเท่ากับ 1.71 ซึง่ หมายถึงหากต้องการ Na2O 1 กรัม
จะต้อ งใช้ Na2CO3 1.71 กรัม (ค านวณจาก 105.94 ÷ 61.98 = 1.71) โดยค่ านี้จะนาไปใช้ใ นการ
คานวณต่อไป
น้ าหนักของ Na2O = 0.205 × 100 = 20.5 กรัม (ซึง่ ได้มาจาก Na2CO3) ดังนัน้ จะต้องใช้
Na2CO3 = 20.5 × 1.71 (กราวิเมทริกแฟกเตอร์) = 35.05 กรัม
น้ าหนักของ SiO2 = 0.795 × 100 = 79.5 กรัม
ดังนัน้ ในการผลิตแก้ว 20Na2O80SiO2 จะต้องใช้ Na2CO3 35.05 กรัม และ SiO2 79.5 กรัม
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 53
ตัวอย่าง 4.3 จงคำนวณว่ำจะต้องใช้โซเดียมคำร์บอเนต โซเดียมเฟลด์สปำร์ (หรือแร่แอลไบต์) และทรำย
อย่ำงละเท่ำใดในกำรผลิตแก้วทีม่ สี ตู ร 20Na2O5Al2O375SiO2 (องค์ประกอบทีเ่ ห็นเป็ นร้อยละโดยโมล)
น้ าหนักของ Al2O3 = 0.082 × 100 = 8.20 กรัม (ซึง่ ได้มาจากแร่แอลไบต์) ดังนัน้ จะต้อง
ใช้แร่แอลไบต์ = 8.20 × 5.14 (กราวิเมทริกแฟกเตอร์ของ Al2O3 ในแร่แอลไบต์) = 42.148 กรัม
แต่ ใ นแร่แ อลไบต์ยงั ให้Na2O และ SiO2 อีกด้ว ย ซึง่ ค านวณน้ าหนักได้จากการหารน้ าหนักแร่
ด้วยกราวิเมทริกแฟกเตอร์ของ Na2O และ SiO2 ตามลาดับ จะได้ว่าแร่แอลไบต์ 42.148 กรัม
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 54
จะมี Na2O อยู่ = 42.148 ÷ 8.46 = 4.982 กรัม
และ จะมี SiO2 อยู่ = 42.148 ÷ 1.45 = 29.068 กรัม อยูด่ ว้ ย
น้ าหนั ก ของ Na2O ที ต่ ้ อ งการทั ง้ หมดคื อ 0.198 × 100 = 19.8 กรัม ซึ ่ง ได้ ม าจาก
แร่แอลไบต์ 4.921 กรัม ขาดอีก 19.8 - 4.982 = 14.818 กรัม ซึง่ จะได้มาจากโซเดียมคาร์บอเนต
จานวน 14.818 × 1.71 (กราวิเมทริกแฟกเตอร์ของโซเดียมคาร์บอเนต) = 25.339 กรัม
น้ าหนั ก ของ SiO2 ที ต่ ้ อ งการทั ้ง หมดคื อ 0.720 × 100 = 72.0 กรั ม ซึ ่ง ได้ ม าจาก
แร่แอลไบต์ 28.713 กรัม ขาดอีก 72.0 - 29.068 = 42.932 กรัม โดยสามารถได้มาจากวัตถุดบิ คือ
ทราย
ดัง นั ้น ในการผลิต แก้ว 20Na2O5Al2O375SiO2 จะต้อ งใช้ Na2CO3 25.339 กรัม แร่ แ อลไบต์
42.148 กรัม และทราย 42.932 กรัม
ชนิ ด มวลโมเลกุล; MW
(gmol -1)
แก้ว 20Na2O5Al2O375SiO2 62.56
Na2O 61.98
Al2O3 101.96
ทราย (SiO2) 60.09
แอลไบต์เฟลด์สปาร์ (Na2OAl2O36SiO2) 523.78
โซเดียมคาร์บอเนต (Na2CO3) 105.94
ขั น้ ที ่ 2 หาน้ าหนั ก ของแต่ ล ะองค์ ป ระกอบทางเคมีที ต่ ้ อ งการ ( Na2O, Al2O3 และ SiO2)
รวม 100 กรัม
จะได้ว่า ต้องใช้ Na2O 19.8 กรัม Al2O3 8.2 กรัม และ SiO2 72.0 กรัม
(คานวณเหมือนวิธที ี ่ 1)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 55
ขัน้ ที ่ 3 หาน้ าหนักของวัตถุดบิ ต่าง ๆ ทีต่ ้องใช้ (มักเริม่ จากวัตถุดบิ ทีม่ จี านวนองค์ประกอบมาก
ทีส่ ุดก่อน เช่น ในกรณีน้ ีจะเริม่ จาก แร่แอลไบต์ก่อน เนือ่ งจาก เป็ นตัวกาหนดปริมาณ Al2O3 และ
มีจานวนองค์ประกอบมากสุด คือ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ Na2O, Al2O3 และ SiO2)
= 42.12 กรัม
แต่ต้องหาน้ าหนักของ Na2O และ SiO2 ที่ได้จำกแร่ แอลไบต์ด้วย เพื่อ ใช้ค ำนวณน้ ำหนักของ
โซเดียมคำร์บอเนตและทรำยทีต่ ้องเติมลงไปในส่วนผสมของวัตถุดบิ เพิม่ เพื่อให้ได้แก้วทีม่ สี ูตร
ตำมต้องกำร
น้ำหนักของแร่แอลไบต์ทใ่ี ช้ ×MW. ของ Na2 O ในแร่แอลไบต์
น้ าหนักของ Na2O ทีไ่ ด้จากแร่แอลไบต์ =
MW. ของแร่แอลไบต์
42.12 ×61.98
= = 4.984 กรัม
523.78
42.12 ×360.54
น้ าหนักของ SiO2 สามารถคานวณได้ในทานองเดียวกัน = = 28.993 กรัม
523.78
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 56
กำรคำนวณหำน้ำหนักส่วนประกอบทีเ่ หลือสำมำรถคำนวณได้เช่นกัน ซึง่ กำรคำนวณทัง้ สองวิธอี ำจให้
ค่ำที่แตกต่ำงกันเล็กน้อยขึน้ อยู่กบั ควำมละเอียดหรือนัยสำคัญของน้ ำหนักอะตอมที่ใช้ในกำรคำนวณและยัง
ขึ้นอยู่กบั กำรประมำณตัวเลขที่ได้จำกกำรคำนวณอีกด้วย อย่ำงไรก็ตำมหำกเป็ นกำรผลิตแก้วที่มลี กั ษณะ
พิเศษ เช่นเลนส์ หรือแก้วที่ใช้ในอุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์นัน้ องค์ประกอบของแก้วที่เปลี่ยนไปจะส่งผลอย่ำง
มำกต่อสมบัตทิ ส่ี ำคัญของแก้วซึง่ จะส่งผลกระทบต่อกระบวนกำรผลิตได้ ทำให้กำรคำนวณต้องมีควำมละเอียด
และระมัดระวังสูงขึน้ เพื่อให้เกิดควำมแตกต่ำงและควำมคลำดเคลื่อนน้ อยทีส่ ุด
คาถามท้ายบท
ก. 25 mol%K2O75 mol%SiO2
ข. 25 wt%K2O75 wt%SiO2
ค. 12 โซดำ 9 ไลม์ 3 แมกนีเซีย 2 อะลูมนิ ำ 74 ซิลกิ ำ (ตัวเลขแสดง wt%)
5. จงยกตัวอย่ำงวัตถุดบิ ทีท่ ำให้เกิดฟองก๊ำซขึน้ ในแก้วมำ 3 ชนิด พร้อมเขียนปฏิกริ ยิ ำเคมีแสดงกำรเกิดก๊ำซ
ดังกล่ำว และอุณหภูมทิ ท่ี ำให้เกิดก๊ำซขึน้
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 57
บทที่ 5
การเกิ ดแก้วและการหลอมแก้ว
Glass Formation and Glass Melting
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 58
5.1.1 ทฤษฎีการเกิ ดแก้วเชิ งโครงสร้าง (Structural approach of glass formation)
1. ออกซิเ จนไอออน (หรือ อะตอม) จะต้อ งไม่เ ชื่อ มต่ อ กับ ไอออนบวกอื่น ๆ เกิน กว่ า 2 ไอออน
เนื่อ งจากหากออกซิเ จนเชื่อ มต่ อ กับ ไอออนบวกมากเกินไป จะทาให้มุมของพันธะระหว่ างไอออนบวก-
ออกซิเจน-ไอออนบวกเกิดขีดจากัด ซึง่ จะทาให้เกิดแก้วทาได้ยาก (แก้วจะมีมมุ ของพันธะทีก่ ระจายตัวมาก)
นอกเหนื อ จากนั ้น Standworth แบ่ ง ชนิ ด ของวั ต ถุ ดิ บ แก้ ว ด้ ว ยค่ า อิ เ ล็ ก โทรเนกาติ ว ิ ตี ห รือ
ความสามารถในการดึงดูดอิเล็กตรอน (Electronegativity) โดยแบ่งออกเป็ น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มของตัวโครงร่าง
ตาข่ายแก้ว (Glass formers หรือ Network formers) ซึ่งเป็ นกลุ่มที่ทาให้เกิดแก้วได้ พันธะระหว่างไอออน
บวกทีเ่ ป็ นตัวโครงสร้างแก้วกับออกซิเจนจะมีความเป็ นไอออนิกประมาณร้อยละ 50 หากมีความเป็ นไอออนิก
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 59
ของพันธะสูงขึน้ หรือเป็ นกลุ่มทีม่ คี ่าอิเล็กโทรเนกาติวติ ตี ่ ากว่าจะถูกจัดกลุ่มอยู่ระหว่างตัวโครงร่างตาข่ายแก้ว
และตัวช่วยหลอม หรือเรียกว่าตัวอินเทอร์มเี ดียด (Intermediate) ซึ่งจะสามารถทาหน้ าที่เป็ นตัวโครงสร้าง
แก้วได้บางส่วน ขึน้ อยู่กบั ปริมาณที่มใี นแก้ว และกลุ่มสุดท้ายจะเป็ นกลุ่มที่มคี ่าอิเล็กโทรเนกาติวติ ตี ่ าที่สุด
กล่าวคือมีความเป็ นไอออนิกสูงมาก ซึ่งไม่สามารถทาให้เกิดโครงสร้างแก้วได้ โดยสารดังกล่าวจะมีหน้ าที่
ปรับเปลีย่ นโครงสร้างแก้ว จึงถูกเรียกว่าเป็ นตัวช่วยหลอมหรือตัวปรับโครงสร้างแก้ว (Glass modifiers)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 60
ในแก้วที่อุณหภูมคิ งที่เท่ากับอุณหภูมกิ ารเกิดนิวเคลียส จากนัน้ ลดอุณหภูมลิ งอย่างรวดเร็ว (Quenching)
เพื่อไม่ให้จานวนและขนาดของนิวเคลียสทีเ่ กิดขึน้ เปลีย่ นแปลงขณะลดอุณหภูม ิ จากนัน้ ให้ความร้อนอีกครัง้
หนึ่ง ณ อุณหภูมทิ ่จี ะเกิดการโตของผลึก จนกระทังเกิ ่ ดผลึกขนาดใหญ่ข้นึ เมื่อสามารถตรวจวัดขนาดและ
จานวนของผลึกที่เกิดขึ้นได้ก็จะวิเคราะห์ถึงอัตราการเกิดนิวเคลียสในแก้วได้ โดยสามารถคานวณหาค่ า
อัตราเร็วของการเกิดนิวเคลียสในแก้วได้จากการนับจานวนของนิวเคลียสทีเ่ กิดขึน้ ซึง่ จะเท่ากับจานวนผลึกที่
มองเห็น ต่ อ ปริม าตรของแก้ว ภายในระยะเวลาที่ ท าให้เ กิด นิ ว เคลีย ส (Nucleation time) ซึ่ง อาจใช้ก ล้อ ง
จุลทรรศน์ หรือ กล้องจุลทรรศน์อเิ ล็กตรอนในการวิเคราะห์ เนื่องจากผลึกทีเ่ กิดขึน้ มักมีขนาดเล็กมาก อย่างไร
ก็ตามการควบคุมปริมาณของนิวเคลียสที่เกิดขึน้ ในแก้วในระหว่างการลดหรือเพิม่ อุณหภูมใิ นขัน้ ตอนต่างๆ
ของการทดลองทาได้ยาก ดังนัน้ วิธกี ารนี้จงึ ทาให้เกิดความคลาดเคลื่อนสูง
𝑁 𝑊 ∗
∆𝐸𝐷
( 𝐴 ) (− )
𝐼 = 𝑛𝑣 ∙ 𝑒 𝑅𝑇 ∙𝑒 𝑅𝑇 สมการ 5.1
เมือ่ 𝑛𝑣 คือ ค่ า ความน่ า จะเป็ นของ Boltzmann (Boltzmann probability factor) ที่ท าอัต ราการเกิ ด
นิวเคลียสสูงทีส่ ุด
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 61
ของเหลวไปยังผิวของผลึกที่เกิดขึน้ (𝑣𝑙𝑥 ) และจากผลึกไปยังของเหลว (𝑣𝑥𝑙 ) ซึง่ แสดงดังสมการ 5.2 และ
5.3 ตามลาดับ
∆𝐸
(− 𝑅𝑇 )
𝑣𝑙𝑥 = 𝑣 ∙ 𝑒 สมการ 5.2
∆𝐸 −∆𝐺𝑥
(− )
𝑣𝑥𝑙 = 𝑣 ∙ 𝑒 𝑅𝑇 สมการ 5.3
อัต ราการโตของผลึก (𝑢) สามารถค านวณได้จาก 𝑢 = 𝑎(𝑣𝑙𝑥 − 𝑣𝑥𝑙 ) เมื่อ a คือ ระยะห่าง
ระหว่างผลึกและของเหลว จะได้
∆𝐸′ ∆𝐺
(− 𝑅𝑇 ) ( 𝑅𝑇𝑥 )
𝑢 =𝑎∙𝑣∙𝑒 ∙ [1 − 𝑒 ] สมการ 5.4
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 62
รูป 5.1 อัตราการเกิดนิวเคลียสและการโตของผลึกทีอ่ ุณหภูมติ ่ ากว่าจุดหลอมเหลว Tm
𝑡 𝑡 3
𝑉𝑥 [− ∫0 𝐼𝑣 (∫𝑡′ 𝑢𝑑𝜏 ) 𝑑𝑡 ′ ]
=1−𝑒 สมการ 5.5
𝑉
𝑢 คือ อัตราการโตของผลึกต่อหนึ่งหน่วยปริมาตร
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 63
ทัง้ อัต ราการเกิด นิ ว เคลีย สและอัต ราการโตของผลึก นี้ จ ะขึ้น อยู่กับ เวลาและอุ ณ หภูม ิ ดัง นัน้ เมื่อ
พิจารณาการตกผลึกจากสมการ 5.5 แล้ว จะเห็นว่ามีความซับซ้อนอยู่มากเนื่องจาก ณ อุณหภูมหิ นึ่ง ๆ แก้ว
สามารถเกิดทัง้ นิวเคลียสและเกิดการโตของผลึกได้พร้อม ๆ กัน ทาให้เวลาทีป่ รากฏในสมการ 5.5 มีหลายค่า
(𝑡, 𝑡′ และ 𝜏) อย่างไรก็ตามหากแก้วอยู่ในสภาวะอุณหภูมคิ งที่ (Isothermal condition) สัดส่วนโดยปริมาตร
ของผลึกที่เกิดขึน้ ในแก้วจากสมการ 5.5 สามารถเขียนให้อยู่ในรูปอย่างง่ายโดยการอินทิเกรตสมการ 5.5
ภายใต้สมมติฐานทีว่ ่าการผลึกทีเ่ กิดขึน้ มีรปู ร่างเป็ นทรงกลม ได้ดงั สมการ 5.6
𝜋
𝑉𝑥 [− 3 𝐼𝑣 𝑢3 𝑡 4 ]
=1−𝑒 สมการ 5.6
𝑉
𝑑𝑇 (𝑇𝑚 −𝑇𝑛 )
( ) ≈ สมการ 5.7
𝑑𝑡 𝑐 𝑡𝑛
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 64
รูป 5.2 Time-temperature transformation diagram หรือ TTT diagram ทีก่ ่อให้เกิดผลึกในสัดส่วน Vx/V
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 65
นอกเหนื อ จากการเกิดแก้ว ได้แ ล้ว ความเสถียรของแก้ว ที่ได้ (Glass stability) ก็มคี วามส าคัญ ที่
จะต้องคานึงถึงอีกด้วย ความเสถียรของแก้วจะถูกนามาพิจารณาในกรณีท่ตี ้องการให้ความร้อนแก้วอีกครัง้
หนึ่ง เช่น เพื่อทาการขึน้ รูปใหม่ เป็ นต้น ยกตัวอย่างเช่นการผลิตใยแก้วนาแสงจากแก้ว ทีเ่ ย็นตัวสมบูรณ์แล้ว
(Preform) ซึ่งแก้วจะถูกให้ความร้อนอีกครัง้ ที่อุณหภูมทิ ่เี หมาะสมในการดึง แก้ว (การขึ้นรูปใยแก้ว) ซึ่งใน
ระหว่างกระบวนการให้ความร้อนครัง้ ทีส่ องนี้แก้วอาจเกิดผลึกขึน้ ได้ ซึง่ แสดงว่าแก้วมีความเสถียรต่ า (Poor
glass stability) ความเสถียรของแก้วและความสามารถในการเกิดแก้วนัน้ เป็ นสมบัตทิ ไ่ี ม่มคี วามสัมพันธ์ซง่ึ กัน
และกัน แต่ในบางกรณีพบว่าแก้วที่มคี วามสามารถในการเกิดแก้วต่ า ก็จะมีความเสถียรต่ าด้วย ความเสถียร
ของแก้ ว นั ้น อาจพิจ ารณาได้ จ ากช่ ว งอุ ณ หภู ม ิร ะหว่ า งอุ ณ หภู ม ิก ารเปลี่ย นเป็ นแก้ ว (Glass transition
temperature, Tg) และอุณหภูมกิ ารเกิดผลึก (Crystallisation temperature, Tc) ซึง่ ทัง้ สองอุณหภูมนิ ้ีสามารถ
หาได้โดยใช้เ ทคนิค การวิเ คราะห์เ ชิงความร้อ นเช่น กัน ได้แก่ เทคนิค Differential scanning calorimeter
(DSC) และ เทคนิค Differential thermal analysis (DTA) ความแตกต่างของอุณหภูมทิ งั ้ สอง (Tc-Tg) จะบอก
ความเสถียรของแก้ว หากมีความต่างมาก (ช่วงกว้าง) แก้วจะมีความเสถียรสูง ลักษณะปรากฏของกราฟทีไ่ ด้
จากเทคนิคการวิเคราะห์เชิงความร้อนแสดงดัง รูป 5.3 ในกรณีทเ่ี กิดผลึกหลายประเภทในแก้วจะปรากฏพีค
การเกิดผลึกหลายพีคเช่นกัน (รูป 5.3 ข) ซึง่ ในการวิเคราะห์ความเสถียรของแก้วก็จะใช้เฉพาะอุณหภูมกิ าร
เกิดผลึกทีต่ ่ าสุดเท่านัน้ อย่างไรก็ตามพบว่าแก้วทางการค้าทัวๆ
่ ไปจะเกิดผลึกช้ามาก โดยจะไม่เกิดผลึกขึน้
ในแก้วหากใช้อตั ราการให้ความร้อนประมาณ 10 – 20 เคลวินต่อนาที หรือ เซลเซียสต่อนาที ซึง่ เป็ นอุณหภูม ิ
ทีม่ กั ใช้ในการวิเคราะห์แก้วด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เชิงความร้อน
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 66
(ก)
(ข)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 67
5.3 การหลอมแก้ว (Glass melting)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 68
คล้ายโฟม (Foaming) ส่งผลให้น้าแก้วหลอมล้นออกมาจากถ้วยหลอม (Crucible) หรือเตาหลอมได้ ทาให้แก้ว
มีสมบัตไิ ม่ตรงตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ในงานวิจยั ระดับห้องปฏิบ ตั กิ ารที่มกี ารหลอมแก้วในถ้วยหลอม
ขนาดเล็กอาจต้องคานึงถึงการเกิด Foaming เป็ นพิเศษเนื่องจากจะส่งผลเสียต่ออุปกรณ์ทใ่ี ช้ในเตาหลอมหรือ
เตาเผาได้ เช่น ฐานรองเตา หรือ กาแพงเตา เป็ นต้น ซึง่ น้ าแก้วที่ฟูล้นออกมาจากถ้วยหลอมจะทาปฏิกิรยิ า
กับเตาหลอมและวัสดุทนไฟอื่นๆ อย่างไรก็ตามในกระบวนการผลิตแก้วแบบต่อเนื่อง (Continuous process)
จะเกิดฟองก๊าซที่บริเวณส่วนต้นของเตาหลอม (รูป 5.4) ซึ่งเป็ นส่วนที่วตั ถุดบิ ถูกป้ อนเข้าสู่ห้องหลอม โดย
ส่วนปลายของเตาหลอมนัน้ น้ าแก้วจะหลอมเหลวเป็ นเนื้อเดียวกันและจะเป็ นส่วนที่เกิดการกาจัดก๊าซหรือ
ฟองอากาศที่เ กิด ขึ้น ซึ่ง ต้อ งควบคุ ม ให้ไ ม่ม ีฟ องก๊ า ซคงค้า งอยู่ ใ นแก้ว หลอมเหลวก่ อ นที่จ ะส่ ง ต่ อ ไปยัง
กระบวนการขึ้นรูป การให้ความร้อ นกับวัตถุ ดบิ นัน้ จะไม่ใ ห้ความร้อ นจากเปลวไฟที่เกิดจากการเผาไหม้
โดยตรง แต่จะอาศัยการแผ่ความร้อน (Heat radiation) และการนาความร้อน (Heat conduction) จากเปลว
ไฟทีเ่ กิดจากการเผาไหม้เชือ้ เพลิงไปยังวัตถุดบิ ทีต่ อ้ งการหลอม
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 69
รูป 5.4 กระบวนการหลอมแก้ว (ก) การป้ อนวัตถุดบิ ลงในเตาหลอมทีใ่ ช้ในอุตสาหกรรมการผลิตแก้วแผ่น
[ทีม่ า http://voices.usglassmag.com] (ข) ภาพจาลองเตาหลอมแก้ว [ทีม่ า
http://www.icglass.org/technical_committees/?id=19] โดยส่วนต้นจะมีการป้ อนวัตถุดบิ เข้าเตาหลอมและจะ
เกิดการหลอมต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการหลอมสมบูรณ์พร้อมส่งต่อไปยังการขึน้ รูปต่อไป
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 70
ปฏิกริ ยิ าของแข็ง-ของแข็งระหว่างซิลกิ ากับโซเดียมคาร์บอเนตนัน้ สามารถเกิดได้ท่อี ุณหภูมใิ นช่วง
630 – 780 เซลเซีย ส โดยอัต ราส่ ว นของซิล ิกาต่ อ โซเดีย มคาร์บ อเนตที่ เ กิดปฏิกิร ิยาเท่ า กับ 4:1 ได้เ ป็ น
โซเดียมซิลเิ กตซึง่ มีจุดหลอมเหลวประมาณ 1088 เซลเซียส (ลดอุณหภูมกิ ารหลอมซิลกิ าลงได้จากเดิม 1726
เซลเซียส) ดังปฏิกริ ยิ าแสดงในสมการ 5.9
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 71
รูป 5.6 อัตราการเกิดปฏิกริ ยิ าของแข็ง-ของแข็งระหว่างซิลกิ าและโซเดียมคาร์บอเนตทีอ่ ุณหภูม ิ 680, 730
และ 782 เซลเซียส (ความชันของกราฟมากแสดงให้เห็นว่าปฏิกริ ยิ าเกิดขึน้ ได้ด)ี
ส่ ว นการเกิด ปฏิกิร ิย าระว่ า งซิล ิกาและแคลเซีย มคาร์บ อเนตจะเริ่ม เกิด ที่อุ ณ หภูม ิป ระมาณ 600
เซลเซียส โดยปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึน้ จะคล้ายๆ กับปฏิกริ ยิ าระหว่างซิลกิ ากับโซเดียมคาร์บอเนตแต่อตั ราส่วนการ
เกิดปฏิกิรยิ าต่ างกัน คือ เกิดในอัต ราส่ว นซิลกิ าต่อแคลเซียมคาร์บอเนตเท่ากับ 1:2 และมีผ ลิต ภัณฑ์จาก
ปฏิกริ ยิ าคือแคลเซียมซิลเิ กต (Ca2SiO4 หรือ 2CaOSiO2)
ส่ ว นการเกิด ปฏิกิร ิย าระหว่ า งโซเดีย มคาร์บ อเนตและแคลเซีย มคาร์บ อเนตนัน้ จะเกิด ปฏิกิร ิย า
กลายเป็ นโซเดียมแคลเซียมคาร์บอเนต (Na2Ca(CO3)2) ทีม่ จี ดุ หลอมเหลวอยูท่ ป่ี ระมาณ 813 เซลเซียส ซึง่ ต่า
กว่าจุดหลอมเหลวของโซเดียมคาร์บอเนต
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 72
ทัง้ นี้ขน้ึ อยู่กบั องค์ประกอบตัง้ ต้นของส่วนผสมแก้ว และชนิดของวัตถุดบิ ที่ใช้ ว่าปฏิกริ ยิ าใดเกิดขึ้น
ตามลาดับก่อนหลัง ยกตัวอย่างเช่น ในแก้วโซดาไลม์ซลิ เิ กต (Na2OCaOSiO2) ที่ใช้วตั ถุดบิ คือ โซเดียม
คาร์บอเนต แคลเซียมคาร์บอเนตและทราย ปฏิกริ ยิ าเคมีท่เี กิดขึน้ ขณะหลอมจะมีความแตกต่างจากการใช้
วัต ถุ ดิบประเภทแร่เ ฟลด์สปาร์แ ละทราย ปฏิกิรยิ าที่เ กี่ยวข้อ งอาจได้แก่ การสลายตัว ด้ว ยความร้อนของ
แคลเซียมคาร์บอเนต (เริม่ ทีอ่ ุณหภูมปิ ระมาณ 600 เซลเซียส) การหลอมขององค์ประกอบยูเทคติคระหว่าง
โซเดีย มคาร์บ อเนตและแคลเซีย มคาร์บ อเนต (ประมาณ 813 เซลเซีย ส) การหลอมขององค์ป ระกอบ
ยูเทคติคระหว่างโซเดียมไดซิลเิ กตและซิลกิ า (ประมาณ 800 เซลเซียส ดังแสดงในรูป 5.7 ณ จุดที่ลูกศรชี้)
เป็ นต้น อีก ทัง้ วัฏ ภาคของเหลวที่เ กิด ขึ้นที่อุ ณหภูม ิประมาณ 800 เซลเซียส ในแก้ว โซดาไลม์ซิล ิเ กตจะ
เหนี่ยวนาให้วฏั ภาคของแข็งอื่นๆ ทีเ่ หลืออยู่หลอมได้ดยี งิ่ ขึน้ โดยเฉพาะวัฏภาคขององค์ประกอบทีท่ นความ
ร้อนสูง (มีจุดหลอมเหลวสูง) หรือองค์ประกอบขององค์ประกอบทนไฟ (Refractory) เช่น อะลูมนิ า (Al2O3)
และทราย (SiO2) เป็ นต้น ในระหว่างการหลอมอาจเกิดฟองก๊ าซขึ้นได้จากกรณีต่ างๆ ที่ได้กล่ าวมาแล้ว
หากวัฏภาคของเหลวที่เกิดขึน้ มีความหนืดต่ าฟองก๊าซจะลอยขึน้ สู่ผวิ น้ าแก้วได้ง่ายกว่า โดยองค์ประกอบที่
หลอมยากจะทาให้แก้วมีความหนืดทีส่ ูงขึน้ แก้วทีม่ คี วามหนืดสูงอาจต้องเพิม่ อุณหภูมขิ น้ึ เพื่อลดความหนืดลง
ซึง่ จะช่วยทาให้ฟองก๊าซหลุดออกจากน้ าแก้วหลอมเหลวได้ง่ายขึน้ แก้วจะหลอมสมบูรณ์ต่อเมือ่ ไม่มวี ตั ถุดบิ ที่
มีความเป็ นผลึกของแข็งเหลืออยู่และมีความเป็ นเนื้อเดียว (Homogeneous) โดยขัน้ ตอนที่จะทาให้น้ าแก้ว
เป็ นเนื้อเดียวกันจะใช้เวลานานเนื่องจากน้ าแก้วมีความหนืดสูง ดังนัน้ อาจต้องหลอมแก้วทีอ่ ุณหภูมสิ ูงสุด ใน
ระยะเวลาทีน่ านขึน้ ซึง่ จะเรียกว่าการยืนไฟ หรือ Soaking อย่างไรก็ตามก็อาจมีบางองค์ประกอบทีร่ ะเหยง่าย
ระเหยออกไป ส่งผลทาให้องค์ประกอบของแก้วไม่ตรงตามต้องการ
เวลาทีใ่ ช้ในการหลอมแก้วจนสมบูรณ์ ทเ่ี รียกว่า Batch-free time เป็ นเวลาตัง้ แต่เริม่ ให้ความร้อนแก่
วัตถุดบิ จนวัตถุดบิ หลอมเป็ นของเหลวสมบูรณ์ การหาเวลาที่ใช้ในการหลอมแก้วจนสมบูรณ์ (Batch-free
time) ในห้องปฏิบตั กิ ารหรือในอุตสาหกรรมทาได้ยากและมีความคลาดเคลื่อนสูงจึงไม่นิยมหาเวลาทีใ่ ช้ในการ
หลอมแก้ว จนสมบูรณ์ (Batch-free time) จะขึ้นอยู่กับ หลายๆ ปั จจัย เช่น อุ ณหภูมหิ ลอม อัต ราการเพิ่ม
อุณหภูม ิ ชนิดของวัตถุดบิ การผสมเข้ากันของวัตถุดบิ ทีใ่ ช้ ชนิดของแก้ว ขนาดอนุ ภาคเริม่ ต้นของวัตถุดบิ
ต่างๆ และปริมาณเศษแก้วรีไซเคิล (Cullet) ทีใ่ ช้ เป็ นต้น
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 73
รูป 5.7 จุดยูเทคติคระหว่างโซเดียมไดซิลเิ กตกับซิลกิ าทีอ่ ุณหภูม ิ 800 เซลเซียส โดยโซเดียมไดซิลเิ กตเกิด
จากปฏิกริ ยิ าของแข็ง-ของแข็งระหว่างโซเดียมออกไซด์และซิลกิ าในอัตราส่วนทีเ่ หมาะสม
หากอนุ ภาคของวัต ถุ ดิบ ตัง้ ต้น มีข นาดเล็ก จะทาให้เ วลาการหลอมสมบูร ณ์ ล ดลง เนื่อ งจากการ
เกิดปฏิกิรยิ าจะเกิดได้ดกี ว่าหากอนุ ภาคตัง้ ต้น มีขนาดเล็ก ซึ่งพบว่าอนุ ภาคขนาดเล็ก จะมีพ้นื ที่ผวิ ในการ
เกิดปฏิกิรยิ ามากขึ้น ดังแสดงความสัมพันธ์ระหว่างขนาดอนุ ภาคของโดโลไมท์ (Dolomite; CaMg(CO3)2)
และพื้นที่ผวิ จาเพาะในรูป 5.8 ซึ่งพบว่าขนาดอนุ ภาคเฉลี่ยของโดโลไมท์ลดลง จะทาให้มพี ้นื ที่ผวิ จาเพาะ
เพิม่ ขึน้ อย่างเห็นได้ชดั อย่างไรก็ตามอนุ ภาคขนาดเล็กมากอาจเกิดการเกาะตัวกัน (Agglomerate) เป็ นกลุ่ม
ก้อนขนาดใหญ่ขน้ึ ดังรูป 5.9 โดยก้อนอนุ ภาคที่รวมตัวกันนี้จะมีรูพรุนมาก ซึง่ เป็ นสาเหตุหนึ่งของการเกิด
ฟองก๊าซในน้าแก้วหลอม
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 74
รูป 5.8 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างขนาดอนุ ภาคเฉลีย่ กับพืน้ ทีผ่ วิ จาเพาะของแร่โดโลไมต์
[ทีม่ า N. Laorodphan และคณะ (2004)]
(ก) (ข)
รูป 5.9 การรวมตัวกันของอนุภาคเมือ่ อนุภาคมีขนาดเล็กลง (ก) ขนาดอนุ ภาคเริม่ ต้น (ข) การรวมตัวกันของ
อนุภาค (Agglomeration) (บริเวณล้อมรอบด้วยเส้นประ - - -) เมือ่ อนุภาคมีขนาดเล็กลงหลังผ่านการบด
ลดขนาดเป็ นเวลา 16 ชัวโมง
่ [ทีม่ า C.S. Torres และ L. Schaeffer (2010)]
ในขณะเดียวกันการใช้เศษแก้วรีไซเคิลในปริมาณมากจะทาให้เวลาทีใ่ ช้ในการหลอมแก้วจนสมบูรณ์
(Batch-free time) ลดลง ดังนัน้ การเติมเศษแก้วรีไซเคิล (ส่วนมากจะเป็ นชนิดเดียวกับแก้วทีก่ าลังผลิตอยู)่ ลง
ไปผสมกับวัตถุดบิ นัน้ จึงเป็ นทีน่ ิยมในอุตสาหกรรมแก้ว เนื่องจากช่วยประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายทีเ่ กิดขึน้
จากขัน้ ตอนการหลอมแก้ว การใช้เศษแก้ว รีไซเคิล (Cullet) จะเพิม่ ปริมาณวัฏภาคของเหลวในขัน้ ตอนการ
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 75
หลอมแก้ว ส่งผลช่วยให้เกิดการละลายของส่วนประกอบทีเ่ ป็ นผลึกของแข็งอื่นๆ ได้เร็วขึน้ อีกทัง้ การใช้เศษ
แก้วยังลดส่วนผสมของวัตถุดบิ ทีม่ คี วามทนไฟสูง เช่น ทรายและอะลูมนิ าอีกด้วย
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 76
โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) เกลือ (NaCl) หรือ โซเดียมฟลูออไรด์ (NaF) ก็ทาให้เวลาทีใ่ ช้ในการหลอมแก้ว
จนสมบูรณ์ (Batch-free time) ลดลง โดยสารเหล่านี้เมื่อหลอมเหลวจะได้ของเหลวที่มคี วามหนืดต่ ามาก ซึง่
สามารถทาให้การละลายของวัตถุดบิ อื่นๆ ในของเหลวมีมากขึน้ จากนัน้ ของเหลวทีเ่ กิดขึน้ จะทาปฏิกริ ยิ ากับ
ออกซิเจนในบรรยากาศ กลายเป็ นสารประกอบออกไซด์เหลวที่มอี งค์ประกอบตามต้องการและมีความหนืด
เพิม่ ขึน้
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 77
แก้วซึ่งทาให้ฟองก๊าซในน้ าแก้วมีลกั ษณะเป็ นทรงกลม (Spherical shape) วิธกี ารป้ องกันการเกิดฟองก๊าซ
ที่มาจากบรรยากาศนัน้ สามารถทาได้โดยการกาจัดก๊ าซในบรรยากาศการหลอม เช่น การหลอมภายใต้
สุญญากาศ เป็ นต้น โดยวิธนี ้ีจะมีค่าใช้จ่ายสูงมากและไม่เป็ นทีน่ ิยมสาหรับการผลิตแก้วอุตสาหกรรมที่มกี าร
หลอมในปริมาณที่สูง มาก ก๊ าซจากบรรยากาศจะถู ก กักเก็บได้ม ากหากใช้ ว ตั ถุ ดิบ ที่มอี นุ ภาคขนาดเล็ก
การสลายตัวด้วยความร้อนของวัตถุดบิ บางประเภทเป็ นสาเหตุท่ที าให้เกิดฟองก๊าซได้มากที่สุดใน
กระบวนการผลิต ซึ่ง ก๊ า ซที่เ กิด ขึ้น ได้แ ก่ CO2, SO3, NOx และไอน้ า นอกเหนื อ จากนัน้ ก๊ า ซยัง เกิด จาก
ปฏิกริ ยิ าอิเล็กโทรไลต์ (Electrolytic reaction) ระหว่างน้ าแก้วหลอมกับโลหะทีอ่ าจบนมากับวัตถุดบิ เกิดเป็ น
ก๊าซ O2, CO2 หรือ H2 เป็ นต้น วัสดุทนไฟทีใ่ ช้ในเตาหลอมแก้วเองก็เป็ นสาเหตุหนึ่งทีเ่ กิดก๊าซ เช่น เกิดจาก
การกัดกร่อนผิววัสดุทนไฟต่างๆ ก๊าซที่มอี ยู่ในรูพรุนของวัสดุทนไฟหลุดออกมาปนในน้ าแก้วหลอม รวมถึง
การเกิดก๊าซ CO2 และ CO จากวัสดุทนไฟประเภทคาร์ไบด์ เช่น ซิลกิ อนคาร์ไบด์ (SiC) ที่ทาปฏิกริ ยิ ากับ
วัตถุดบิ ประเภทออกไซด์ต่างๆ
2𝑔∆𝜌𝑟 2
𝑉𝑠 = สมการ 5.11
9
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 78
โดยสามารถปรับประยุกต์ใช้กบั การลอยตัวของฟองก๊าซ (Vb) ออกจากน้าแก้วหนืดได้ดงั สมการ 5.12
3 𝑔∆𝑟 2
𝑉𝑏 = 𝑉𝑠 = สมการ 5.12
2 3
อัต ราเร็ว ในการลอยของฟองก๊ า ซสู่ผ ิว แก้ว ดัง สมการ 5.12 จะเหมาะสมกับ ฟองก๊ า ซที่ม ีข นาดเส้ น ผ่ า น
ศูนย์กลางประมาณ 1 มิลลิเมตร โดยฟองก๊าซขนาดเล็กมากจะทาให้ระยะเวลาทีใ่ ช้ในการลอยตัวเพิม่ มากขึน้
ซึง่ จะไม่สามารถใช้สมการ 5.12 ในการอธิบายได้ การทาให้ขนาดฟองก๊าซมีขนาดใหญ่ขน้ึ จะช่วยเร่งให้ฟอง
ก๊าซลอยตัวขึน้ และหลุดออกจากผิวแก้วได้เร็วขึน้ จากสมการ 5.11 และ 5.12 พบว่าความหนืดของแก้วและ
ความหนาแน่ นของแก้ว ส่งผลต่ออัตราเร็วในการลอยตัวของฟองก๊าซ การบังคับให้น้ าแก้วหลอมเคลื่อนที่จะ
ช่วยเร่งให้ฟองก๊าซลอยขึ้นสู่ผวิ แก้วได้เร็วขึ้น ซึ่งอาจทาได้โดยการคนน้ าแก้ว หรือการออกแบบเตาหลอม
เพื่อให้เกิดการไหลของน้ าแก้ว (อาจทาโดยการให้ความร้อนแก่น้ าแก้วเพื่อให้น้ าแก้วมีอุณหภูมทิ แ่ี ตกต่างกัน
น้ าแก้วทีม่ อี ุณหภูมสิ ูงกว่าจะมีความหนาแน่ นต่ากว่าและจะลอยขึน้ ได้) รวมถึงการปล่อยก๊าซด้านล่างของเตา
หลอมเพื่อให้ฟองก๊าซขนาดใหญ่ทเ่ี ติมลงไปลอยขึน้ สู่ดา้ นบน
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 79
4KNO3 + 2As2O3 2K2O + 2As2O5 + 4NO(g) + O2(g) สมการ 5.13
2. เมือ่ อุณหภูมสิ งู ขึน้ ในระหว่างการหลอม เพนตะออกไซด์ (X2O5) ทีเ่ กิดขึน้ ในขัน้ ตอนที่ 1 จะแตกตัวเกิดก๊าซ
ออกซิเจนเพิม่ เติม ซึง่ หากมีฟองก๊าซอื่นๆ หลงเหลืออยู่กจ็ ะรวมกับออกซิเจนทีเ่ กิดขึน้ นี้ทาให้มขี นาดใหญ่ขน้ึ
และลอยสู่ผวิ น้าแก้วต่อไป โดยปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึน้ เป็ นดังสมการ 5.14
ปฏิกริ ยิ าดังกล่าวเป็ นปฏิกริ ยิ าทีข่ น้ึ อยู่กบั อุณหภูม ิ โดยทีอ่ ุณหภูมติ ่ าจะทาให้เกิดปฏิกริ ยิ าย้อนกลับกลายเป็ น
เพนตะออกไซด์ซง่ึ ต้องการปริมาณออกซิเจนทีม่ อี ยูใ่ นแก้ว ซึง่ ทาให้เกิดการแพร่ของฟองก๊าซทีม่ อี อกซิเจนใน
แก้วเพื่อทาปฏิกริ ยิ ากับไตรออกไซด์ดงั กล่าว เมื่อฟองก๊าซดังกล่าวถูกทาให้เกิดปฏิกริ ยิ าก็จะมีขนาดเล็กลง
เมื่อขนาดของฟองก๊าซมีขนาดเล็กมาก (เล็กกว่า 0.1 มิลลิเมตร) จะทาให้แรงดันภายในฟองก๊าซจะลดลงทา
ให้ฟองก๊าซถูกกาจัดในที่สุด ซึ่งความดันภายในฟอง (Internal pressure, P) จะมีความสัมพันธ์กบั พลังงาน
พืน้ ผิว (Surface energy, ) และขนาดของฟองดังสมการ 5.15
2𝛾
𝑃= สมการ 5.15
𝑟
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 80
ซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ (SO3) กลายเป็ นก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และคาร์บอนไดออกไซด์แทน ซึ่งทาให้เกิด
ฟองก๊าซเป็ นจานวนมากได้
สารประกอบไนเตรตสามารถลดฟองก๊าซได้จากการสลายตัวให้ก๊าซไนโตรเจนและก๊าซออกซิเจน
อย่างไรก็ตามปฏิกริ ยิ าการสลายตัวของไนเตรตนัน้ เกิดทีอ่ ุณหภูมติ ่ามาก (ประมาณ 500 – 800 เซลเซียส) ซึง่
เป็ นอุณหภูมทิ ว่ี ฏั ภาคของเหลวยังไม่เกิด ขึน้ ส่วนการใช้สารประกอบแฮไลด์นัน้ จะทาให้ของเหลวทีเ่ กิดขึน้ มี
ความหนืดต่ามาก ซึง่ จะทาให้อตั ราเร็วในการลอยตัวของฟองก๊าซเร็วขึน้ สารประกอบแฮไลด์จะนิยมใช้ในการ
หลอมแก้วทีม่ ปี ริมาณอะลูมนิ าสูง นอกจากนี้แก้วทีม่ อี อกไซด์ของธาตุทรานซิชนั เป็ นส่วนประกอบ เช่น CeO2
MnO2 Fe2O3 และ Pb3O4 เป็ นต้น จะเกิดก๊าซออกซิเจนขึน้ เมื่อเกิดปฏิกริ ยิ ารีดกั ชันของไอออนดังกล่าว ซึ่ง
ก๊าซออกซิเจนนัน้ จะมีกลไกการลดฟองเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น อย่างไรก็ตามสารประกอบของ
โลหะทรานซิชนั นี้ถูกเติมลงไปในแก้วเพื่อวัตถุประสงค์อ่นื มากกว่าการเติมเพื่อกาจัดฟองก๊าซ เช่นการเติม
CeO2 ลงไปเพื่อป้ องกันการเกิดปฏิกริ ยิ ากับแสงแดด (Solarisation) หรือการเติม MnO2 เพื่อเป็ นสารให้ส ี เป็ น
ต้น
การไหลแบบไปด้า นหน้ า (Throughput flow) เป็ นการไหลจากบริเ วณที่ป้ อ นสาร (Feeding หรือ
Batch charging) ไปยังบริเวณพร้อมใช้งาน (Working zone) จากการเติมส่วนผสมลงไปในอ่างหลอมและการ
ดึงน้ าแก้วที่หลอมสมบูรณ์แล้วออกไปใช้งาน กระแสการไหลของน้ าแก้วจะขนานกัน โดยอัตราการไหล ณ
บริเวณก้นอ่างหลอมหรือบริเวณผนังเตาหลอมจะน้ อ ยมาก หรือ มีค่าเป็ น 0 และอัตราการไหลจะเพิ่มขึ้น
เรือ่ ยๆ สู่ผวิ ด้านบนของน้าแก้ว โดยมีทศิ ทางของกระแสไหลน้าแก้วเป็ นไปดังแบบจาลองในรูป 5.10
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 81
รูป 5.10 ทิศทางของกระแสน้าแก้วในการไหลแบบไปด้านหน้า (Throughput flow)
[ทีม่ า J.Hlavac (1983)]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 82
5.3.6 การเป็ นเนื้ อเดียวกันของแก้ว (Homogenising)
Stones คือแก้วที่มอี นุ ภาคอื่นปนอยู่ เช่น เศษวัสดุทนไฟ และเศษวัตถุดบิ ที่ไม่หลอม เป็ นต้น โดย
ส่วนมากจะสามารถมองเห็นได้ดว้ ยตาเปล่าได้
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 83
ระเหยได้เข้าสู่ส มดุล ทาให้การระเหยของวัตถุ ดบิ ลดลง ในกรณีของการหลอมในถ้ว ยหลอมขนาดเล็กใน
ห้องปฏิบตั กิ ารหรือการหลอมในปริมาณทีไ่ ม่มาก อาจทาได้โดยการปิ ดฝาถ้วยหลอมหรือเบ้าหลอมไว้ ซึง่ จะ
ทาให้ความดันไอของสารระเหยเข้าสู่สภาวะทีส่ มดุลได้เร็วขึน้ อย่างไรก็ตามการปิ ดหรือคลุมเพื่อเพิม่ ความดัน
ไอเหนือของเหลวนัน้ ทาได้ยากในกรณีของการหลอมในปริมาณมากหรือการหลอมในเตาหลอมแบบต่อเนื่อง
ดังนัน้ การแก้ปัญหาอาจทาได้โดยการเติมส่วนผสมทีร่ ะเหยง่ายเพิม่ ขึน้ เพื่อทดแทนการสูญเสียองค์ประกอบ
นัน้ จากการระเหยในระหว่างการหลอม การพิจารณาว่าแก้วมีองค์ประกอบตามต้องการหรือไม่ อาจทาได้ดว้ ย
วิธอี ย่างง่ายคือการคานวณค่าร้อยละการสูญเสียน้ าหนัก (% weight loss) แต่วธิ กี ารนี้จะมีความคลาดเคลื่อน
สูงมาก เนื่อ งจากวัต ถุ ดิบที่ใ ช้อาจดูดซับน้ าได้ดี ซึ่งทาให้การสูญ เสียน้ าหนักมากเกินความเป็ นจริง โดย
น้าหนักทีห่ ายไปมากเกินนัน้ เกิดจากการสูญเสียน้า ไม่ใช่เกิดจากการระเหยของอัลคาไลน์
คาถามท้ายบท
3. ความเสถียรของแก้ว (Glass stability) คือ อะไร สามารถวิเ คราะห์ได้อ ย่างไรว่าแก้วแต่ล ะชนิดมีค วาม
เสถียรมากน้อยกว่ากัน
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 84
บทที่ 6
การขึน้ รูปแก้ว
Glass Forming
ความหนาของแก้วจะส่งผลต่ออัตราการเย็นตัวของแก้ว ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความเค้นคงค้างที่
เหลืออยู่ในแก้ว ซึ่งเป็ นข้อกาหนดว่า แก้วสามารถขึ้นรูปได้หรือไม่ และควรต้องควบคุมอัตราการเย็นตัวใน
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 85
ระหว่างการขึน้ รูปอย่างไร มีรายงานว่าอัตราการถ่ายเทความร้อนของแก้วแผ่นจะสัมพั นธ์กบั ความหนาของ
แก้ว อีกทัง้ ความร้อนคงค้างภายในแก้ว จะถ่ายเทออกมาช้ากว่าหากแก้วมีความหนา ซึง่ ทาให้ มคี วามเค้นคง
ค้างเหลืออยู่ในแก้วสูง ทาให้อาจเกิดรอยแตกร้าวในแก้วได้หากขัน้ ตอนการอบอ่อนไม่สมบูรณ์ ซึง่ ความหนา
ของผลิตภัณฑ์แก้วโดยทัวไปไม่
่ ควรเกิน 15 เซนติเมตร
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 86
6.1 ความหนื ดของแก้วในกระบวนการผลิ ตในขัน้ ตอนต่ าง ๆ (Viscosity of glass forming melts)
𝐹𝑑
= 𝐴𝑣 สมการ 6.1
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 87
ค่าของความหนืดในหน่ วยวัดระบบ Centimeter-gram-second, CGS คือ ดายน์ วนิ าทีต่อตารางเซนติเ มตร
(dynescm-2) หรือ พอยส์ (Poise) (ใช้ต ัว ย่ อ P) ส าหรับ รหน่ ว ยวัด ระบบเอสไอ (SI unit: International
system unit) จะใช้นิวตันวินาทีต่อตารางเมตร (Nsm-2) หรือพาสคัลวินาที (Pas) ค่าความหนืดถูกใช้แบ่ง
ประเภทของของไหล เป็ นของไหลนิวโตเนียน (Newtonian) และของไหลนอนนิวโตเนียน (Non-newtonian)
โดยของไหลนิวโตเนียน (Newtonian) ซึ่งเป็ นของไหลที่มคี วามเร็ว ของการไหลตามแรงเฉือนคงที่ ส่วนของ
ไหลนอนนิวโตเนียน (Non-Newtonian) เป็ นของไหลที่เมื่อให้แรงเฉือนมากขึ้นความหนืดจะลดลง น้ าแก้ว
หลอมเป็ นของไหลแบบนอนนิวโตเนียน (Non-Newtonian) โดยพฤติกรรมทีค่ วามหนืดลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อ
ให้แรงเฉือนเพิม่ ขึน้ นี้จะเรียกว่าพฤติกรรมการไหลแบบซูโดพลาสติก (Pseudoplastic) หรือ Shear thinning
ซึง่ พฤติกรรมนี้ส่งผลต่อกระบวนการขึน้ รูปแก้ว โดยเฉพาะเทคนิคการขึน้ รูปทีใ่ ช้แรงเฉือนสูง นอกจากนัน้ ค่า
ความหนืดอาจรายงานในรูปของค่าการไหลตัว หรือ Fluidity ซึง่ จะแปรผกผันกับความหนืด ในกระบวนการ
ขึน้ รูปแก้วนัน้ น้ าแก้วหลอมจะมีความหนืดสูงขึน้ เมื่ออุณหภูมลิ ดลง ตัวอย่างการขึน้ รูปแก้วโซดาไลม์ซลิ เิ กตที่
พบการเปลีย่ นแปลงของความหนืดของแก้วเป็ นดังรูป 6.2 ทีอ่ ุณหภูมติ ่าง ๆ ในระหว่างกระบวนการผลิตแก้ว
โดยสามารถสรุปไว้ในตาราง 6.2 ซึง่ แสดงจุดสาคัญต่าง ๆ เทียบกับค่าความหนืด เช่น ช่วงทีส่ ามารถขึ้นรูป
แก้วได้ ช่วงทีแ่ ก้วมีการอ่อนตัวและช่วงทีเ่ หมาะแก่การอบอ่อน เป็ นต้น
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 88
ตาราง 6.2 จุดต่าง ๆ ในกระบวนการผลิตแก้วทีค่ วามหนืดของแก้วโซดาไลม์ซลิ เิ กตช่วงต่าง ๆ
ความหนื ดของแก้ว
เหตุการณ์ ที่เกิ ดขึ้น
(พาสคัลวิ นาที ; Pas)
แก้วหลอมสมบูรณ์ 1 – 10
จุดขึน้ รูปแก้ว 103
จุดอ่อนตัวแบบ Littleton (Littleton softening point) 106.6
จุดอ่อนตัวแบบ Dilatometric 108 – 109
ช่วงการเปลีย่ นเป็ นแก้ว (Glass transition range) 1011.3
ช่วงการอบอ่อน 1012 – 1012.4
จุดความเครียดต่า (Strain Point) 1013.5
ในการอธิบายเหตุก ารณ์ต่ าง ๆ ที่ปรากฏในรูป 6.2 และ ตาราง 6.2 จะเป็ นค่าความหนืด ที่แต่ ล ะ
อุณหภูมเิ มื่อน้ าแก้วเย็นตัวลง โดยเป็ นของกระบวนการผลิตแก้วชนิดโซดาไลม์ซลิ เิ กตซึง่ ใช้เป็ นระบบอ้างอิง
ในอุ ต สาหกรรมการผลิต แก้วทัวไป ่ โดยเมื่อ วัต ถุ ดิบต่ าง ๆ ผ่ านกระบวนการหลอมจนสมบูรณ์ กล่ าวคือ
กลายเป็ นของเหลวสมบูรณ์ ท่ีมคี วามเป็ น เนื้อ เดียวกัน และถู กไล่ ฟอร์ม ก๊ าซแล้ว จะมีค วามหนืด น้ อ ยกว่ า
10 พาสคัล วินาที (Pas) จากรูป 6.2 แสดงจุดหลอมเหลวของแก้ว ที่เ ป็ นอุ ณหภูมหิ ลอมเหลวสมบูรณ์ ใ น
กระบวนการผลิตแก้วซึง่ มักจะสูงกว่าจุดหลอมเหลว (Melting point) ของส่วนผสม
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 89
จุดอ่อนตัวแบบ Littleton (Littleton softening point) เป็ นชื่อเรียกจุดอ่อ นตัว ที่ถู กวัดด้ว ยวิธ ีเ ฉพาะ
สามารถวัดจากอัตราการยืดตัวของเส้นใยแก้ว (ไฟเบอร์) ทีม่ ขี นาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.7 มิลลิเมตร
ยาว 24 เซนติเมตร โดยปลายด้านหนึ่งของไฟเบอร์ (ประมาณ 10 เซนติเมตร) จะได้รบั ความร้อนทีอ่ ุณหภูม ิ
สูงขึน้ เรื่อย ๆ โดยใช้อตั ราการเพิม่ อุณหภูมเิ ท่ากับ 5 K/min จุดอ่อนตัวแบบ Littleton คือจุดที่อุณหภูมขิ อง
ตัวอย่างแก้วโซดาไลม์ซลิ กิ ามีอตั ราการยืดตัว (Elongation) เท่ากับ 1 มิลลิเมตรต่อนาที โดยในตาราง 6.2
สามารถอ่านค่าได้เท่ากับ 106.6 พาสคัลวินาที (Pas) อย่างไรก็ตามแก้วประเภทอื่น ๆ จะมีอุณหภูม ิของ
จุดอ่อนตัวแบบ Littleton ทีแ่ ตกต่างไป นอกจากนี้ยงั มีการวัดจุดอ่อนตัวด้วยวิธกี ารพิจารณาจากการขยายตัว
เพราะความร้อน (Thermal expansion) ของแก้ว ซึ่งจะเรียกว่าจุดอ่อนตัวแบบ Dilatometric (Dilatometric
softening point, Td) ซึง่ มาจากเครื่องมือทีใ่ ช้วดั ค่าการขยายตัวเพราะความร้อนนัน้ มีช่อื เรียกว่า Dilatometer
โดยจุดอ่อนตัวแบบ Dilatometric นัน้ คือ อุณหภูมสิ ูงสุดที่ช้นิ งานแก้วมีการขยายตัวสูงที่สุด (วัดในระหว่าง
การเพิม่ อุณหภูมแิ ก้ว)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 90
6.2 ความสัมพันธ์ระหว่างความหนื ดกับอุณหภูมิ (Viscosity and temperature relationship)
โดยทัวไปแล้
่ วหากต้องการอธิบายค่าความหนืดของแก้วหรือของของเหลวที่ อุณหภูมติ ่าง ๆ มักจะใช้
สมการของ Arrhenian (สมการ 6.2) และสมการของ Vogel-Fulcher-Tamman (สมการ 6.3) ในการอธิบาย
โดยสมการของ Arrhenian เหมาะส าหรับ ความหนื ดในช่ว ง 1013 – 109 พาสคัล วินาที ส่ ว นในช่ว งที่แ ก้ว
สามารถไหลตัว ได้ดีห รือ มีค วามหนื ดต่ ากว่ า จะใช้ ส มการของ Vogel-Fulcher-Tamman ซึ่ง พัฒนามาจาก
สมการของ Arrhenian โดยร่วมกันคิดโดยนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน จึงมีการเรียกชื่อรวม ๆ กันว่า Vogel-
Fulcher-Tamman Equation หรือ VFT Equation
0 คือ ค่าคงที่
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 91
𝐵×103
log = −𝐴 + สมการ 6.4
𝑇−𝑇0
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 92
โดยผลต่างระหว่าง V-V0 นัน้ จะแปรผันโดยตรงกับกับความต่างของอุณหภูม ิ (T-T0) ซึง่ ทีอ่ ุณหภูม ิ T0
ความหนืดของแก้วหรือของเหลวจะมีค่าสูงมาก และหากพิจารณาความเกี่ยวเนื่องกับปริมาตรจาเพาะ V0
พบว่า ความหนืดจะสูงมากเช่นกันเนื่องจากอะตอมไม่สามารถเคลื่อนทีไ่ ด้เนื่องจากเป็ นสภาวะทีม่ กี ารจัดเรียง
ตัวของอะตอมต่าง ๆ ชิดกันมากทีส่ ุด (Close pack) ซึง่ เป็ นสภาวะทีส่ สารมีความหนาแน่ นสูงสุด
อีก ทัง้ ยัง สามารถอธิบ ายความสัม พัน ธ์น้ี จ ากค่ า เอนโทรปี ข องน้ า แก้ว หลอม ซึ่ง มีส มมติฐ านว่ า
ของเหลวจะประกอบไปด้วยบริเวณที่มกี ารจัดเรียงตัวของอะตอมเป็ นกลุ่มก้อนที่มกี ารผันผวนของพลังงาน
(Fluctuation of energy) โดยขนาดของกลุ่มก้อนนี้จะขึ้นอยู่กบั อุณหภูมแิ ละมีขนาดที่ใหญ่ข้นึ เมื่อเอนโทรปี
ของการจัดเรียงตัวของอะตอมในกลุ่มก้อนลดลง โดยขนาดของกลุ่มก้อนจะใหญ่ทส่ี ุดในกรณีทเ่ี อนโทรปี มคี ่า
เท่ากับศูนย์ โดยสามารถเขียนให้อยูใ่ นรูปสมการได้ดงั แสดงในสมการ 6.6
Sc คือ เอนโทรปี
𝑇−𝑇0
𝑆𝑐 = ∆𝐶𝑝 ( ) สมการ 6.7
𝑇
T หรือ T0 คือ อุณหภูมทิ ต่ี ้องการหาความหนืด และ อุณหภูมทิ ก่ี าหนดขึน้ (ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น) ใน
หน่วยของเซลเซียส (C)
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 93
รูป 6.3 แผนภาพความเปราะ (Fragility diagram) ของของเหลวหนืด [ดัดแปลงจาก Shelby (2005)]
ปั จจั ย นี้ อ าศั ย การอธิ บ ายด้ ว ยความเชื่ อ มต่ อ ของโครงสร้ า งแก้ ว หรื อ การเชื่ อ มต่ อ ของ
ตัวโครงร่างตาข่ายแก้ว (Glass former) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าองค์ประกอบแก้วที่ลดความเชื่อ มต่อของแก้วลง
ความหนืดของแก้วองค์ประกอบนัน้ ๆ จะลดลงด้วย
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 94
ระหว่างตัวโครงสร้างแก้ว ในกรณีน้คี อื ระหว่าง Si และ Si) จะถูกเปลีย่ นเป็ น Non-bridging oxygen ดังสมการ
เคมีแสดงปฏิกิรยิ า (สมการ 6.8) เมื่อ – แสดงความเป็ นพันธะโควาเลนท์ และ แสดงความเป็ นพันธะ
ไอออนิกในแก้ว
การทาลายโครงข่ายของตัวโครงสร้างแก้วดังกล่าวจะทาให้ความหนืดของแก้วลดลงมากเมื่อเติมออกไซด์
ของอัลคาไลน์ลงไปในประมาณน้อย ๆ แต่หากเติมลงไปสูงขึน้ ถึงประมาณ 10 – 20 % โดยโมล ค่าความหนืด
จะไม่แตกต่างกันมากนัก นอกจากนัน้ ชนิดของออกไซด์ของอัลคาไลน์ ท่เี ติมลงไปก็ส่งผลต่อการลดลงของ
ความหนืดเช่นกัน (ส่งผลต่อความหนืดน้อยกว่าปริมาณออกไซด์ทเ่ี ติมลงไป) โดยมีลาดับการลดลงของความ
หนืดเป็ นดังนี้ Cs2O > Rb2O > K2O > Na2O > Li2O
การเติม Al2O3 หรือ Ga2O3 ซึ่งเป็ นออกไซด์กลุ่มที่เป็ น Intermediate oxide ลงไปแทนที่อ อกไซด์
ของอัลคาไลน์หรืออัลคาไลน์เอิรธ์ นัน้ จะทาให้ความหนืดของแก้วสูงขึ้น เนื่องจาก Al2O3 และ Ga2O3 ทาให้
โครงร่างตาข่ายของแก้วเพิม่ มากขึน้ (Bridging oxygen เพิม่ ขึน้ ) โดยความหนืดจะสูงทีส่ ุดเมื่อปริมาณที่เติม
ลงไปเท่ากับออกไซด์ของอัลคาไลน์หรืออัลคาไลน์เอิรธ์ ที่มอี ยู่ในแก้ว (อัตราส่วนระหว่าง Al2O3 หรือ Ga2O3
ต่ อ ออกไซด์ของอัลคาไลน์ ห รืออัลคาไลน์ เ อิร์ธ เท่ากับ 1) ดังแสดงในรูป 6.4 ซึ่งเป็ นตัว อย่างของการเติม
Ga2O3 ลงไปในแก้ว อัล คาไลน์ ซิล ิเ กต โดยแก้ว จะมีป ริม าณออกไซด์ข องอัล คาไลน์ อ ยู่ค งที่ท่ี 15 mol%
(ออกไซด์ของอัลคาไลน์ทใ่ี ช้ได้แก่ Li2O, Na2O และ K2O) หากเติม Al2O3 และ Ga2O3 เกินกว่าประมาณของ
ออกไซด์ของอัลคาไลน์หรืออัลคาไลน์เอิรธ์ ทีม่ อี ยูใ่ นแก้วแล้วค่าความหนืดจะลดลง
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 95
รูป 6.4 ผลขององค์ประกอบทางเคมีของแก้วต่อการเปลีย่ นแปลงอุณหภูม ิ Isokom ทีใ่ ห้ค่าความหนืด
1011 พาสคัลวินาที (Pas) ของแก้วระบบลิเทียมซิลเิ กต โซเดียมซิลเิ กต และ โพแทสเซียมซิลเิ กต (แก้วแต่ละ
ชนิดมีปริมาณอัลคาไลน์ออกไซด์เท่ากัน = 15 % โดยโมล) ทีม่ กี ารเติม Ga2O3 ในปริมาณทีต่ ่างกัน
[ดัดแปลงจาก J.E. Shelby (2005)]
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 96
(ดังรูป 6.5 ข) โดยโครงสร้าง Boroxol ring จะขยายตัวและแตกออกเมือ่ อุณหภูมสิ ูงขึน้ ซึง่ เป็ นปั จจัยหนึ่งทีท่ า
ให้ความหนืดของแก้วระบบนี้ต่า
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 97
แม้ว่าทัง้ สองระบบนี้ Sb2O3 และ Bi2O3 จะมีพฤติกรรมเป็ นตัวโครงสร้างแก้ว (Glass network former) ซึ่ง
แตกต่างจากแก้วระบบ Si2O-B2O3 หรือ GeO2-B2O3 ซึง่ ความหนืดจะเพิม่ ขึน้ เมื่อเพิม่ ปริมาณของ SiO2 หรือ
GeO2 ส่วนการเติมออกไซด์ชนิด Intermediate ลงไปในแก้วจะส่งผลต่อความหนืดเพียงเล็กน้อย
รูป 6.6 ความหนืดของแก้ว Li2O-B2O3 ทีม่ ปี ริมาณ Li2O ต่าง ๆ โดยความหนืดจะอยูใ่ นรูปของอุณหภูม ิ
ไอโซคอม (Isokom temperature) ทีม่ คี ่าความหนืดเท่ากับ 1011 พาสคัลวินาที
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 98
โครงสร้างใหม่ตามต้องการนัน้ จะขึ้นอยู่กบั ความหนืดของแก้ว แก้วที่มคี วามหนืดต่ าจะมีการเปลี่ยนแปลง
โครงสร้างในช่วงแรกในอัตราที่เร็วกว่า แสดงให้เห็นว่าการคลายความเครียด (Relaxation) ในช่วงแรกของ
แก้วชนิดนี้สูงกว่า ยกตัวอย่างในกรณีของการอบแก้วที่อุณหภูม ิ T3 ซึ่งเป็ นอุณหภูม ิ Fictive ที่ต้องการ โดย
เริ่ม จากแก้ ว 2 ชนิ ด ที่ม ีอุ ณ หภู ม ิ Fictive สู ง กว่ า (T1) และ ต่ า กว่ า (T2) ตามล าดับ โดยที่ T1 > T2 > T3
ดังแสดงใน รูป 6.8 แสดงให้เห็นว่าแก้วทีม่ อี ุณหภูม ิ Fictive สูงกว่า ในช่วงต้นของการอบทีอ่ ุณหภูม ิ T3 แก้ว
จะมีการเปลีย่ นแปลงความหนืดทีเ่ ร็วกว่า เนื่องจากแก้วมีความหนืดเริม่ ต้นทีต่ ่ ากว่า อย่างไรก็ตามแก้วจะต้อง
ใช้เวลาในการอบทีน่ านกว่าแก้วทีม่ อี ุณหภูม ิ Fictive ต่ากว่า
คอ 351 อุตสาหกรรมการผลิตแก้ว 99
รูป 6.8 การเปลีย่ นแปลงความหนืดของแก้วเพื่อเข้าสู่สมดุลใหม่ จากแก้วทีม่ อี ุณหภูม ิ Fictive ต่างกัน
(T1 และ T2 โดยที่ T1 > T2 > T3) [ดัดแปลงจาก J.E. Shelby (2005)]
Rotation Viscometers : การวิเ คราะห์ด้ว ยวิธ ีน้ี ป ระกอบไปด้ว ยวัส ดุ ท รงกระบอกขนาดเล็ก ที่
เรียกว่า Spindle ซึง่ จะหมุนอยู่ภายในของเหลวทีต่ ้องการวัดค่าความหนืด หรือการวัดค่าความหนืดโดยการ
ให้ภาชนะรองรับของเหลวที่ต้องการวัดค่าความหนืดหมุนแล้ววัดค่าแรงบิด (Torque) ที่ของเหลวกระทาต่อ
สปิ นเดิล (Spindle) ค่าความหนืดทีว่ ดั ได้นัน้ จะอยู่ในช่วง 103.5 ถึง 109 ขึน้ อยู่กบั การออกแบบเครื่องมือ โดย
เทคนิคนี้จะใช้แก้วตัวอย่างประมาณ 100 – 1000 กรัม ขึ้นอยู่ปริมาณน้ าแก้วหลอมเหลวที่จะต้องเพียงพอ
สาหรับการวัด โดยค่าความหนืดของน้ าแก้วจะมีความสัมพันธ์กบั แรงบิด (Torque) ขนาดของสปิ นเดิลและ
ขนาดของภาชนะรองรับน้ าแก้ว ดังสมการ 6.9
2 𝑟2𝑔
= (𝜌𝑠 − 𝜌𝑚 ) สมการ 6.10
9 𝑣
g คือ แรงโน้มถ่วงของโลก
𝑔𝐿3 𝐴𝐿𝜌
= (𝑀 + ) สมการ 6.12
2.4𝐼𝑐 𝑉 1.6
M คือ น้าหนักกด
คาถามท้ายบท
αE
σ Tav T สมการ 7.1
1 μ
เมือ่ E คือ มอดูล สั ความยืดหยุ่น (Elastic modulus) ซึ่งเป็ นตัว เลขที่แสดงความต้านทานต่ อ การเสีย
รูปแบบยืดหยุน่ หรือการเสียรูปแบบชัวคราว
่ (Elastic or non-permanent deformation) ของวัสดุ
รูป 7.3 (ก) ความแตกต่างของอุณหภูมขิ ณะน้ าแก้วเริม่ เย็นตัวในกระบวนการขึน้ รูปซึง่ ก่อให้เกิด (ข) ความ
เค้นคงค้าง (Residual stress) ในแก้ว เมือ่ แก้วเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วทีอ่ ุณหภูมสิ งู กว่าอุณหภูมกิ าร
เปลีย่ นเป็ นแก้ว (Glass transition temperature; Tg)
Kt
ln 0 ln สมการ 7.2
K คือ ค่าคงที่
คือ ความหนืด
หรือสามารถเขียนให้อยูใ่ นอีกรูปสมการ (สมการ 7.3)
1 1
At สมการ 7.3
0
แก้ ว โซดาไลม์ซิล ิเ กตจะมีค่ า คงที่ก ารอบอ่ อ น (A) จะมีค่ า ประมาณ 4.6 x 10–10 Pa–1s–1 หรือ
4.5 x 10–5 ตารางเซนติเมตรต่อกิโลพาสคัลวินาที (cm2kp–1s–1) ณ อุณหภูม ิ Upper annealing (Ta) และจะ
ลดลงอย่างรวดเร็วเมือ่ ความหนืดเพิม่ ขึน้ (T น้อยกว่า Ta) ซึง่ อาจเขียนความสัมพันธ์ได้ดงั สมการ 7.4
หากความเค้นเริม่ ต้น (0) มากกว่าความเค้นหลังจากการอบอ่อน () มาก ๆ จะสามารถหาเวลา (t) ทีใ่ ช้ใน
การยืนอุณหภูมหิ รือ Soaking ได้จากสมการ 7.5
1
t สมการ 7.5
A
exp0.07Ta T
t สมการ 7.6
4.6 1010 c
h คือ อัตราการลดอุณหภูม ิ
E Ec p
Ma สมการ 7.8
a1 k 1
เมือ่ a,k คื อ ค่ า การแพร่ ข องความร้ อ น (Thermal diffusivity) และ การน าความร้ อ น ( Thermal
conductivity) ของวัสดุ ตามลาดับ
คือ ความหนาแน่น
cp คือ ความร้อนจาเพาะ (Specific heat)
c
h1 สมการ 7.9
M a 2
1.5( MPa) 1
h1 2.2(C min )
1 2 2 2
120 ( MPa s K cm ) 1 (cm ) (0.0056 )
เมื่อ ได้ค่ าอัต ราการเย็นตัวที่เ หมาะสมแล้ว ในการวางแผนการลดอุ ณหภูมหิ ลัง อบอ่ อนที่อุณหภูม ิ Upper
annealing เป็ นระยะเวลาหนึ่งแล้ว โดยทัวไปมั
่ กลดอุณหภูมจิ นถึงอุณหภูม ิ Lower annealing โดยใช้อตั รา
การลดอุณหภูมเิ ป็ น 3 ช่วง โดยในขัน้ แรกจะใช้อตั ราการลดอุณหภูมเิ ท่ากับ (2/3) x h1 จากนัน้ จึงลดอุณหภูม ิ
ด้วยอัตราการเย็นตัวเท่ากับ h1 และในขัน้ สุดท้ายจะลดอุณหภูมลิ งในอัตราเท่ากับ 2 x h1
กระบวนการนี้ใ นบางครัง้ อาจอยู่ใ นขัน้ ตอนที่เ รียกว่า After working ซึ่งเป็ นขัน้ ตอนการปรับปรุง
สมบัติของแก้ว ที่ไ ด้ใ ห้ดีข้นึ ซึ่งส่วนมากพบในการผลิต แก้ว ที่มกี ารใช้งานเชิงแสง (Optical glasses) แก้ว
สาหรับทาเทอร์โมมิเตอร์ และ กระจก Tempered ทีม่ กี ารใช้งานเป็ นกระจกรถยนต์หรือกระจกในงานก่อสร้าง
เป็ นต้น การบาบัดด้วยความร้อนจะมีลกั ษณะคล้าย ๆ กับการอบอ่อนทีไ่ ด้กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่เป็ นขัน้ ตอน
ทีต่ อ้ งควบคุมเวลาและอุณหภูมใิ ห้แม่นยา
คาถามท้ายบท
1. ความเค้นในแก้วเกิดขึน้ จากสาเหตุใด
3. นอกเหนือจากการอบอ่อนเพื่อลดความเค้นในผลิตภัณฑ์แก้วแล้ว การใช้ความร้อนในลักษณะเดียวกับการ
อบอ่อนสามารถปรับปรุงหรือทาให้แก้วมีสมบัตติ ่าง ๆ ดีขนั ้ ได้อย่างไรบ้าง จงยกตัวอย่างพร้อมอธิบาย
R
n 12
สมการ 8.1
n 12
จากสมการ 8.1 หากค่าดัชนีหกั เหแสงของแก้ว (n) มีค่าเท่ากับ 1.5 จะทาให้ค่า R มีค่าเท่ากับ 0.04 ซึง่ แสดง
ให้เห็นว่าปริมาณแสงทีส่ ะท้อนทีผ่ วิ แก้วคิดเป็ น 4% ของแสงทีต่ กกระทบ ส่วนปริมาณแสงทีจ่ ะถูกดูดกลืนโดย
แก้ว นัน้ จะขึ้นอยู่ก ับความยาวคลื่นแสงที่ต กกระทบ (Incident wavelength) โดยแต่ ล ะความยาวคลื่นจะมี
ปริม าณแสงหรือ ความเข้ม แสงที่ถู ก ดู ด ซับ ไว้ ไ ม่ เ ท่ า กัน โดยแตกต่ า งกัน ตามชนิ ด ของตัว ดู ด กลืน แสง
(Absorbing agents) ซึ่งมีความเข้มข้นเท่ากับ c นอกจากนัน้ ยังขึ้นอยู่กบั ความเข้ม ของแสงตกกระทบ (I0)
ค่าคงที่ Extinction coefficient () และความหนาของแก้ว (l) โดยมีความสัมพันธ์ดงั สมการ 8.2
X 380 I x d
780
สมการ 8.3
Y 380 I y d
780
สมการ 8.4
Z 380 I z d
780
สมการ 8.5
X
x สมการ 8.6
X Y Z
Y
y สมการ 8.7
X Y Z
โดยสามารถบอกสี ใ นลัก ษณะของตัว เลขต่ า ง ๆ ได้ นอกจากนั ้น ค่ า CIE ยัง บ่ ง บอกถึง ความสว่ า ง
(Brightness) ของสีได้อีกด้วย ซึ่งได้มาจากค่ า y หรือ จากการอินทิเกรตพื้นที่ของกราฟการส่องผ่า นแสง
(Transmission) ได้ และยังบ่งบอกความยาวคลื่นเด่น (Dominant wavelength) และค่าความบริสุทธิ ์ (Purity)
ได้จากการลากเส้นจากจุด CIE illuminant (C) ผ่านจุด (x,y) ของแก้วไปยังความยาวคลื่น โดยจุดตัดจะเป็ น
ความยาวคลื่นเด่น และค่าความบริสุทธิ ์สามารถหาได้จากสมการ 8.8
a
Purity สมการ 8.8
( a b)
โดยค่ า a และ b คือ ความยาวจากจุด CIE illuminant C ถึงจุด (x,y) และจากจุด (x,y) ถึงความยาวคลื่น
ตามลาดับ ดังแสดงในรูป 8.3
ปฏิกิรยิ าดังกล่ าวในอดีต ใช้เ พื่อ ลดความเข้มของสีเ ขียวของแก้ว ที่มเี หล็กเป็ นองค์ป ระกอบด้ว ยการเติม
แมงกานีสเป็ นตัวลดสีซ่งึ สามารถอธิบายได้จากการมองเห็นสีของแก้วผสมระหว่างสีม่วง (ของไอออนของ
แมงกานีส) และสีเขียว (ของไอออนของเหล็ก) พร้อม ๆ กัน ทาให้เกิดเป็ นลักษณะไม่มสี เี มื่อใช้สายตามอง
โดยปั จจุบนั การใช้แมงกานีสไม่เป็ นที่นิยมเนื่องจากว่าเกิดปั ญหาได้งา่ ยและควบคุมการเกิดสีได้ยาก เนื่องจาก
แมงกานีสจะไวต่อการเกิดปฏิกิรยิ าโซลาร์ไรซ์เซชันมาก (Light-sensitive) จึงเปลี่ยนมาใช้โคบอลต์ร่ว มกับ
ซีลเี นียมแทนในการทาให้แก้วไม่มสี ี (จากการมองเห็นด้วยตาเปล่า) ในปั จจุบนั ได้พฒ ั นาคู่ของไอออนอื่น ๆ ที่
ทาให้ค่าการดูดกลืนแสงของแก้วเปลีย่ นช่วงพลังงานไป เช่น การใช้ไอออนของ Mn-As หรือ Fe-As รวมไปถึง
คู่ไอออนของธาตุทรานซิชนั อื่น ๆ คู่กบั ไอออนของซีเรียม (Ce) เป็ นต้น ซึ่งการมีผลมากกว่าเพียงการลดสี
หรือฟอกจางสีทเ่ี กิดขึน้ ในแก้ว
คาถามท้ายบท
2. จงอธิบายว่าสารให้สแี ต่ละกลุ่มจะทาให้แก้วเกิดสีได้อย่างไร
9.1 ลักษณะเฉพาะและสมบัติของวัสดุ
ความหนาแน่ น (Density) เป็ น ค่ า ที่แ สดงมวลของสารต่ อ หนึ่ ง หน่ ว ยปริม าตร (Mass per unit
volume) มักใช้ตวั ย่อเป็ น D หรือ ซึง่ สามารถเขียนให้อยูใ่ นสมการทัว่ ๆ ไปได้ดงั สมการ 9.1
𝑀 𝑀
𝐷= หรือ ρ = สมการ 9.1
𝑉 𝑉
V คือ ปริมาตรของแก้ว
WA L
สมการ 9.3
(WA WL )
วิ ธีทา จากโจทย์จะได้ว่า WA เท่ากับ 0.1417 กรัม WL เท่ากับ 0.0867 กรัม และ L เท่ากับ 0.853382 กรัม
ต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
glass
0.14170.853382 0.1209 2.20
กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
0.1417 0.0867 0.0550
𝑀𝑊𝑡
𝑉𝑚 = สมการ 9.4
𝜌
วิ ธีทา ข้อมูลมวลโมเลกุลขององค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่ K2O และ B2O3 เท่ากับ 94.195 กรัมต่อโมล (g/mol)
และ 69.671 กรัมต่อโมล (g/mol) ตามลาดับ
78.254 𝑔.𝑚𝑜𝑙 −1
จะได้ปริมาตรต่อโมลของแก้ว (Vm) = = 33.73 ลูกบาศก์เซนติเมตรต่อโมล (cm3mol-1)
2.32 𝑔.𝑐𝑚−3
1 𝜕𝑉
𝛼𝑉 = [ ] สมการ 9.5
𝑉 𝜕𝑇 𝑃
1 Δ𝑉
𝛼
̅̅̅̅
𝑉 = [ ] สมการ 9.6
𝑉 Δ𝑇
โดยทัว่ ไปแล้ ว ค่ า สัม ประสิท ธิก์ ารขยายตัว เพราะความร้อ นของวัส ดุ จ ะอยู่ ใ นช่ ว ง 1 x 10-6 ถึง
50 x 10-6 ต่ อ เคลวิน (K-1) ในบางครัง้ ค่ าสัม ประสิทธิก์ ารขยายตัว เพราะความร้อ นอาจรายงานในหน่ ว ย
ppm K-1 อย่างไรก็ตามในการรายงานค่าของแก้วนิยมรายงานในรูป 10-7 ต่อเคลวิน (K-1) หน่ วยของอุณหภูม ิ
ที่ใช้อาจะทาให้ค่าตัวเลขเปลีย่ นไปได้ ดังนัน้ ต้องพึงระวังการเปรียบเทียบค่าสัมประสิทธิ ์การขยายตัวเพราะ
ความร้อนทีม่ หี น่วยต่าง ๆ
ชนิดของแก้ว สัมประสิทธิการขยายตั
์ วเพราะ การนาความร้อน ความร้อนจาเพาะ
ความร้อนของแก้ว ที่ 20 – 300 C
(ต่อเคลวิน; K-1) (Wcm-1K-1) (Jg-1K-1)
Sodium-potassion crystal glass 90 – 96 x 10-7
- การเปลีย่ นเป็ นแก้ว (Glass transformation; Tg) ในระหว่างทีอ่ ุณหภูมสิ งู ขึน้ แก้วซึง่ อยูใ่ นสถานะ
ของแข็ง (Solid) จะเปลี่ยนสถานะเป็ นของเหลว (Liquid) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทาให้เกิด การ
เปลี่ยนแปลงความร้อ นจาเพาะ (Specific heat) ของแก้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของความร้อ น
จาเพาะดังกล่าวจะเกิดการหน่วงทางความร้อนเมือ่ เทียบกับสารอ้างอิง ทาให้เกิดการเปลีย่ นแปลง
เส้นฐาน (Baseline) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเส้นฐานจะใช้ หาอุณหภูมกิ ารเปลี่ยนเป็ นแก้ว Tg ด้วย
การลากเส้นสัมผัสสองเส้นดังแสดงอยูต่ รงมุมซ้ายล่างของรูป 9.4
- เมื่ออุณหภูมสิ ูงขึน้ จะเกิดการคายพลังงาน (Exothermic) เนื่องจากการตกผลึก (Crystallisation)
ขึน้ ในแก้ว ซึ่งจะมีลกั ษณะเป็ นพีค (Peak) เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงเอนทาลปี (H) ของ
ระบบ ดังทีไ่ ด้กล่าวมาแล้วว่าการเกิดผลึกของแก้วอาจเกิดได้หลายชนิดทาให้พคี ทีเ่ กิดขึน้ เกิดได้
หลายอุณหภูม ิ ขึน้ อยูก่ บั ชนิดและปริมาณของผลึกทีเ่ กิดในแก้ว
- จากนัน้ จะเกิด พีค ที่แ สดงถึง การดู ด พลัง งาน (Endothermic) ที่อุ ณ หภูม ิสูง สุ ด เนื่ อ งจากเป็ น
อุ ณ หภูมทิ ่ผี ลึก ที่เ กิดขึ้นเกิด การหลอม นัน่ คือ เป็ นจุดหลอมเหลว (Melting point) ของผลึกที่
เกิดขึน้ ก่อนหน้านี้นัน่ เอง อย่างไรก็ตามพีคที่แสดงการดูดพลังงานนัน้ อาจเกิดจากการปฏิกริ ยิ า
การเปลี่ยนแปลงจากของแข็งชนิดหนึ่งเป็ นของแข็งอีกชนิด หนึ่ง (Solid-solid transformation)
เช่นการเปลีย่ นวัฏภาคจาก -ควอท์ซ (-Quartz) เป็ น -ควอท์ซ (-Quartz) เป็ นต้น
-
dx D
2 B สมการ 9.7
dt x
โดยความหนาสุดท้ายของชัน้ ป้ องกันคือความหนาทีไ่ ม่มกี ารเปลีย่ นแปลงเมือ่ เวลาเพิม่ ขึน้ (dx/dt = 0) ซึง่ เกิด
ในกรณีทข่ี นั ้ ตอนทัง้ สองมีอตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ าเท่ากัน ส่งผลให้สามารถคานวณหาค่า x ได้เท่ากับ D/B และ
หากอัต ราการกัด กร่ อ นผิว (B) มีค่ า มากกว่ า อัต ราการแพร่ ม าก ท าให้ช ัน้ ป้ อ งกัน จะมีค วามหนาน้ อ ย
กระบวนการแพร่จงึ ไม่ส่งผลต่อปฏิกริ ยิ าระหว่างแก้วกับสารละลายมากนัก ทาให้เกิดการกัดกร่อนได้เร็ว (พบ
ในกรณีสารละลายด่างทีม่ ี pH สูง)
มอดูลสั ความยืดหยุ่น (Elastic modulus; E) หรือ มอดูลสั ของยัง (Young’s modulus) คืออัตราส่วน
ระหว่างความเครียด (Strain; ) ซึง่ เป็ นผลมาจากการให้ความเค้นแก่วสั ดุ (Stress; ) ซึง่ สามารถแสดงดัง
สมการ 9.8
E สมการ 9.8
a b
F n
m สมการ 9.9
r r
r r0 สมการ 9.10
r0
G สมการ 9.11
E
G สมการ 9.12
2(1 )
รูป 9.6 กราฟของ Condon-Morse ระหว่างแรง (F) และ ระยะระหว่างอะตอม (r) [ทีม่ า J.E. Shelby (2005)]
แก้วออกไซด์ทวไปจะมี
ั่ ความแข็งตามระดับของโมหส์อยูใ่ นช่วง 5 – 7 และมีความแข็งทีห่ าจากหัวกด
แบบวิกเกอร์ (Vickers hardness) อยู่ในช่วง 2 – 8 GPa (ความแข็งของเพชรอยู่ท่ปี ระมาณ 100 GPa) โดย
แก้วซิลเิ กตเป็ นแก้วที่มคี วามแข็งสูง ส่วนแก้วบอเรต เจอร์มาเนต และฟอสเฟตเป็ นแก้วทีค่ วามแข็งต่ า และ
แก้วชอลโคจีไนด์จะมีความแข็งน้อยสุด (ความแข็งประมาณ 0.3 GPa สาหรับแก้วซีลเี นียม)
สมบัติทางแสงของแก้ว สามารถแบ่ งกลุ่ ม ย่อ ยได้ส ามกลุ่ มดัง นี้ (1) สมบัติเ ชิงแสงโดยรวม (Bulk
optical properties) เช่น ค่าดัชนีหกั เหแสง (Refractive index) และ การกระเจิงแสง (Dispersion) (2) สมบัติ
ที่ข้นึ กับ ความยาวคลื่น เช่ น การเกิด สีใ นแก้ว เป็ น ต้น และ (3) สมบัติอ่ืน ๆ ขัน้ สูง เช่ น ความไวแสง
(Photosensitivity) สมบัติ Photochromism และ การกระเจิงแสง เป็ นต้น
n2 1
Rm Vm 2
สมการ 9.13
n 2
1 n 2 1
Rs สมการ 9.15
n 2 2
เมือ่ nF และ nC คือ ดัชนีหกั เหแสงทีว่ ดั ทีค่ วามยาวคลื่น 486.1 และ 656.3 นาโนเมตร ตามลาดับ
คาถามท้ายบท
1. จงอธิบายความแตกต่างของสมบัตแิ ละลักษณะเฉพาะของวัสดุ