Professional Documents
Culture Documents
วิธีการดำเนินงาน
3.1 แผนการดำเนินงาน
ในการศึกษาขนาดรูพรุนของโฟมยางด้วยกระบวนการขึ้นรูปแบบดันลอป โดยในการออกแบบ
สูตรส่วนผสมของโฟมยางเริ่มจากสืบค้นรวบรวมข้อมูล งานวิจัยที่เกี่ยวข้องแลทฤษฎีที่เกี่ยวข้องของ
โฟมยาง ดำเนิ น การโดยการอ้ า งอิ ง การปรั บ เปลี่ ย นชนิ ด ของสารที่ ท ำให้ เกิ ด ฟอง เพื่ อ หาการ
เปลี่ยนแปลงขนาดของรูพรุนจากการทดลองสูตรส่วนผสมครั้งนี้ พร้อมให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบ
และ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับปรุงพร้อมวิเคราะห์งานวิจัย การศึกษาขนาดรูพรุนของโฟมยางด้วย
กระบวนการขึ้นรูปแบบดันลอป จากนั้นรับคำแนะนำที่ได้จากการศึกษานำมาปรับปรุงแก้ไขงานวิจัย
การศึกษาขนาดรูพรุนของโฟมยางด้วยกระบวนการขึ้นรูปแบบดันลอป และ นำมาเสนออาจารย์ที่
ปรึกษาอีกครั้งเพื่อตรวจสอบและเช็คข้อบกพร่องอีกครั้งเกี่ยวกับงานวิจัย การศึกษาขนาดรูพรุนของ
โฟมยางด้ว ยกระบวนการขึ้น รูป แบบดันลอป เมื่องานวิจัย การศึกษาขนาดรูพ รุนของโฟมยางด้ว ย
กระบวนการขึ้นรูปแบบดันลอป ผ่านพร้อมดำเนินการทดลองตามที่วางแผนไว้ โดยการสร้างชิ้นงาน
ทดลองเป็นระยะเวลา 8 วัน โดยมีตัวแปลคือสารที่ทำให้เกิดฟอง (โพเทสเซียมโอลิเอต) และ ปริมาณ
อากาศที่เติมเข้าในถังปั่นแบบปิด โดยแต่ล่ะชนิดทดลองอย่างล่ะ 2 วัน หลังจากนั้นจึงนำไปทดสอบ
เชิงกลเพื่อหาค่าต่างๆของวัสดุ และ นำค่ามาวิเคราะห์ตามความแตกต่างที่เก็บผลได้จากการทดลอง
วิเคราะห์โดยการนำผลมาลงในกราฟแล้วเปรียบเทียบความแตกต่างเมื่อสรุปผลได้แล้วนำมาจัดทำเป็น
เล่มปริญญานิพนธ์เพื่อนำมาเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา และ นำเสนอต่อคณะกรรมการในการสอบ
โดยมีการเริ่มศึกษาค้นคว้าทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับกังหันลมจากต้นเดือน
กรกฎาคม ถึง ปลายเดือนพฤษจิกายน ออกสูตรแนวนอนจากกลางเดือนสิงหาคม ถึง ต้นเดือนตุลาคม
ปรั บ ปรุ ง สู ต รของโพมยางจากปั ญ หาที่ ได้ ในการออกแบบครั้ ง แรกจากกลางเดื อ นธั น วาคม ถึ ง
กลางเดือนกุมภาพั น ธ์ ซึ่ง แก้ ไขได้ เร็ว กว่าแผนการดำเนิ นงานที่ ว างไว้ถึงปลายเดือนมีน าคม และ
ทดลองกังหั น ลมแนวนอนเป็ น ระยะเวลา 8 วัน พร้อมวิเคราะห์ ผ ลการทดลองที่ ได้ จากต้ น เดื อ น
กรกฎาคม ถึง กลางเดือนพฤษจิกายนของอีกปี มีรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินโครงการดังแสดงใน
27
เริ่ม
ศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ออกสูตรส่วนผสมในการผลิตโฟมยาง
ไม่ผ่าน
ตรวจสอบโดยอาจารย์ที่
ปรึกษา
ผ่าน
วางแผนการทดลอง
ไม่ผ่าน
นาเสนออาจารย์ที่ปรึกษา
ผ่าน
ทดลองและวิเคราะห์ผลการทดลอง
จัดทาปริญญานิพนธ์และนาเสนอ
จบ
ปี 2565 ปี 2566
ก.ค ส.ค ก.ย ต.ค พ.ย ธ.ค ม.ค ก.พ มี.ค เม.ย พ.ค มิ.ย ก.ค ส.ค ก.ย ต.ค พ.ย ธ.ค
1. ศึกษาเอกสาร ตำรา P
และงานวิจัยในหัวข้อที่
เกี่ยวข้อง A ● ● ● ● ● ● ● ● ● ●
2. เตรียมวัสดุปกรณ์ P
และออกแบบการ
ทดลอง A ● ● ● ●
3. ทำการทดลองและ P
วิเคราะห์ผล A
4. จัดทำงานรายงาน P
โครงการวิจัย A
5. นำเสนอลงานวิจัย P
A
● แสดงแผนการดำเนินงาน
● แสดงการดำเนินงานจริง
28
29
3.2 การออกแบบ/เครื่องมือ
จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากศูนย์ เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ จึงได้สูตรส่วนผสมเคมี
ยางในการผลิตยางฟองน้ำ ดังนี้
3.3.1 ขั้นตอนตอนการผลิตโพมยาง
1) ทำการปั่นน้ำยางไล่แอมโมเนียเป็นเวลา 1 นาที
2) ใส่สารแอมโมเนียโอลิเอตแล้วปั่นเป็นเวลา 3 นาที
3) ใส่กำมะถัน แซดดีอีซี แซดเอ็มบีที และโลวีนอกซ์ แล้วปั่นเป็นเวลา 1 นาที
4) ใส่ซิงค์ออกไซด์ และดีพีจี แล้วปั่นเป็นเวลา 1 นาที
5) ใส่เอสเอสเอฟ แล้วปั่นเป็นเวลา 15 วินาที
6) เทยางที่ได้จากการปั่นลงเบ้าแม่พิมพ์
ในบทนี้จะกล่าวถึงการศึกษาส่วนผสมที่ส่งผลต่อขนาดของรูพรุน ในกระบวนการผลิตโฟมยาง
ด้วยกระบวนการดันลอป เพื่อควบคุมขนาดของรูพรุนให้มีความสม่ำเสมอ เพื่อที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์
ให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน
1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ
โฟมยางเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นรูพรุน ซึ่งใช้วัตถุดิบจากน้ำยางธรรมชาติ โดยมีความ
เหนียวทนทานที่เป็นจุดเด่น มีความอ่อนนุ่ม รองรับแรงกระแทกได้ดี สามารถขึ้นรูปตามแบบที่
ต้องการได้ ซึ่งสามารถทำได้อย่างง่ายดาย โดยการเปลี่ยนรูปแบบหรือรูปร่างของแม่พิมพ์ที่ใช้เป็ นเบ้า
ในการขึ้นรูป ด้วยเหตุนี้ทำให้โฟมยางพาราจึงกลายเป็นวัสดุที่นิยมใช้ในการออกแบบเครื่องนอน
หมอน เบาะรองนั่งและเสื่อโยคะ เป็นต้น
กระบวนการขึ้นรูปโฟมยางที่นิยมใช้ทั่วไปมีสองกระบวนการหลักๆ คือ หนึ่งกระบวนการแบบ
ดั น ลอป (Dunlop Process) เป็ น กระบวนการผลิ ตยางพาราด้ว ยกระบวนการทางเคมีใ ช้ ก ับน้ำ
ยางพาราธรรมชาติ100% โดยใช้สารเคมีทำให้ยางพาราเกิดฟองยางเป็นครีมเหลวคล้ายวิปปิ้งครีม
แล้วเทลงแบบหล่อขึ้นรูป จากนั้นอบด้วยความร้อนจนยางสุกหรือยางคงรูป จึงนำออกจากเบ้าแม่พิมพ์
จึงนำเข้ากระบวนการชำระล้างสารเคมีออก ทำให้โฟมยางพาราที่ขึ้นรูปแล้ว ไม่มีกลิ่นเหม็น ของ
สารเคมี และจึ ง นำเข้ าสู่ ก ระบวนการ ทำการอบให้ แ ห้ งเป็ น ขั ้น ตอนสุด ท้า ยของการผลิต สอง
กระบวนการทาลาเลย์ (Talalay Process) เป็นกระบวนการผลิตโฟมยางพาราวิธีหนึ่งที่พัฒ นาขึ้น
โดยมีขั้นตอนการผลิตทางกลเพิ่มขึ้นคือใส่น้ำยางที่ผสมแล้วเข้าแม่พิมพ์เพียงบางส่วน แล้วดูดเอา
อากาศในแม่พิมพ์ออกน้ำยางที่ผสมสารเคมีแล้วจะพองตัวขึ้นจนเต็มแม่พิมพ์แช่แข็งด้วยความเย็น
อบด้วยความร้อน นำออกจากแม่พิมพ์ ล้างทำความสะอาดและทำการอบให้แห้ง ซึ่งกรรมวิธีทั้งสองนี้
จะได้โฟมยางพาราออกมาเหมือนกัน แต่วิธีทาลาเลย์เป็นวิธีการที่ซับซ้อนที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับน้ำ
ยางพาราที่มีส่วนผสมของยางสังเคราะห์ประมาณ 70% ซึ่งนิยมใช้ในต่างประเทศแถบยุโรปเพื่อลด
การสูญเสียน้ำยางจากกระบวนการผลิตและสามรถลดต้นทุนการผลิตได้ด้วย ส่วนกระบวนการแบบ
ดันลอปเป็นวิธีที่ใช้กับน้ำยางธรรมชาติทั้งหมด 100% ซึ่งแตกต่างจากวิธีการแบบทาลาเลย์ ทั้งสองวิธี
สามารถปรับ ความนุ่มได้ห ลายระดับเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นการขึ้นรูปด้วยการขึ้นรูปแบบ
ทาลาเลย์ก็ยังคงทำให้โฟมยางนั้น มีความนุ่มมากกว่าแบบดันลอปอยู่มาก
จากงานวิจัยในปัจจุบันพบว่าในการขึ้นรูปด้วยวิธีการขึ้นรูปแบบดันลอปนั้นยังไม่สามารถ
ควบคุมขนาดของรูพรุนได้อย่างแม่นยำและสม่ำเสมอ ซึ่งได้มีหลายงานวิจัยพยายามที่จะควบคุมขนาด
ของรูพรุนให้ให้มีขนาดของรูพรุนและคุณภาพของโฟมยางนั้นให้สม่ำเสมอ โดยนายชินรัตน์ ลาภพูลธ
นะอนันต์ ได้ทำการทดลองหาเทคนิคการขึ้นรูปโฟมยางจากน้ำยางธรรมชาติแต่ก็ยังไม่สามารถควบคุม
2
1.2 วัตถุประสงค์
1.2.1 เพื ่ อ ศึ ก ษาความดั น และสั ด ส่ ว นของสารที ท ำให้ เ กิ ด ฟอง (โพแทสเซี ย มโอลี เ อต)
ในกระบวนการปั่นยางฟองน้ำ
1.2.2 เพื่อศึกษาถึงเงื่อนไขเทคนิควิธีการและขั้นตอนที่เหมาะสมในการขึ้นรูปโฟมยางด้วยการ
บวนการขึ้นรูปแบบดันลอป ที่ส่งผลต่อคุณสมบัติทางกายภาพและสมบัติเชิงกล
1.3 ขอบเขต
1.3.1 ศึกษาการขึ้นรูปโฟมยางด้วยกระบวนการขึ้นรูปแบบดันลอป
1.3.2 ศึ ก ษาสู ต รโดยปรั บ เปลี ่ ยนปริ ม าณของสารทำให้ เ กิ ด ฟอง (โพแทสเซี ย มโอลี เ อต)
ที่ 0.75,1.00,1.40 phr
1.3.3 ศึกษาปริมาณอากาศในกระบวนการทำให้เกดฟองที่ส่งผลต่อขนาดของรูพรุน โดยการ
ปรับเปลี่ยนปริมาณอากาศที่ 20,50,100 m3/s
1.3.4 ทดสอบสมบัติทางกายภาพและสมบัติเชิงกล ได้แก่ ความแข็ง แรงดึง แรงกด เป็นต้น
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.4.1 ได้สูตรและส่วนผสมที่เหมาะสมต่อการขึ้นรูปโฟมยางด้วยวิธีแบบดันลอป
1.4.2 ได้รู้ขนาดของรูพรุนส่งผลต่อสมบัติทางกายภาพและสมบัติเชิงกล
บทที่ 2
งานวิจัยและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
.
ในบทที่ 2 นี้จะนำเสนองานวิจัยและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการศึกษางานวิจัย โฟมยางใน
รูปแบบต่างๆที่เคยมีการทดสอบและงานวิจัยขึ้นมาเพื่อได้นำมาพิจารณาในการศึกษาขนาดรูพรุนของ
โฟมยางด้วยกระบวนการขึ้นรูปแบบดันลอป เพื่อเป็นแนวทางหลักการปฏิบัติให้ได้ซึ่งรูปแบบและ
ผลการวิจัยที่มีถูกต้อง
2.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การวิเคราะห์การไหลของลมในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากกังหันลมขนาดเล็กจะต้องอาศัย
ความรู้ที่เกี่ยวข้องจากแขนงวิชาต่างๆ เช่น การออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล, กลศาสตร์ของไหล ซึ่ง
มีผู้วิจัยได้นำเสนอโดยเน้นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดเล็ก ดังนี้
ชินรัตน์ [1] ศึกษาเทคโนโลยีการผลิตและทดสอบโฟมยางจากน้ำยางธรรมชาติ โดยใช้กระบวนการขึ้น
รูปแบบดันลอปและกระบวนการขึ้นรูปแบบทาลาเลย์มาเปรียบเทียบกันถึงความต่างและเหมือนกัน
ของกระบวนการขึ้นรูปด้วย 2 กระบวนการนี้ พบว่ากระบวนการขึ้นรูปแบบดันลอปนั้นสามารถ
ควบคุมความนิ่ม-แข็งของโฟมยางได้ด้วยการควบคุมระดับของการตีฟอง ถ้าตีฟองให้ฟูเป็นเวลานาน
จะทำให้ได้โฟมยางที่มีความนิ่ม มีความหนาแน่นต่ำ แต่หากตีฟองเป็นเวลาสั้นๆ จะทำให้โฟมยางแข็ง
มีความหนาแน่นสูง ส่วนกระบวนการขึ้นรูปแบบทาลาเลย์นั้นให้โฟมยางที่มีความหนาแน่นต่ำ ทำให้มี
ความนิ่ม ขนาดของรูพรุนมีความสม่ำเสมอทั่วทั้งชิ้นโฟมยาง ทำให้ชิ้นงานมีความนิ่มสม่ำเสมอกัน
ตลอดทั้งชิ้น และมีความนิ่มกว่าโฟมยางที่ได้จากกระบวนการขึ้นรูปแบบดันลอปแต่จะมีค่าที่บ่งบอก
ความนิ่ม – แข็งของโฟมยาง (ILD) เท่ากัน
ดริญซญา [2] ศึกษาผลของชนิดและปริมาณของสารทำให้เกิดฟอง ต่อสมบัติของโฟมยางรอง
กันกระแทกจากยางธรรมชาติที่ใช้รำสกัดน้ำมันปริมาณ 30 phr เป็นสารตัวเติม โดยใช้สารทำให้เกิด
ฟอง 2 ชนิด ได้แก่ อะโซไดคาร์บอนาไมด์ (ADC) และ ออกซีบิสเบนซีน ซัลโฟนิลไฮดราไซด์ (OBSH)
ที่ปริมาณ 0, 2, 4, 6, 8, 10 phr ผลการทดลองพบว่าเมื่อเพิ่มปริมาณ สารทำให้เกิดฟอง ส่งผลให้
เวลาในการคงรูป และค่าการดูดซึมน้ำเพิ่มขึ้น ความหนาแน่นและสมบัติทางกายภาพของโฟมยาง
ลดลง แต่โมดูลัสและความต้านทานการสึกหรอเพิ่มขึ้นเมื่อใช้ ADC เป็น สารทำให้เกิดฟอง ซึ่ง OBSH
ให้โฟมยางที่มีจำนวนและความสม่ำเสมอของรูพรุนมากกว่า ADC โดยสารทำให้เกิดฟอง OBSH ที่
ปริมาณ 6 phr เป็นสารทำให้เกิดฟองที่ทำให้โฟมยางมีสมบัติเหมาะสม และมีโครงสร้างสัณฐานวิทยา
ที่ดีที่สุดในการนำไปใช้เป็นวัสดุกันกระแทก
Eun-Kyoung Lee† and Sei-Yong choi [3] ศึ ก ษาอิ ท ธิ พ ลของอุ ณ หภู ม ิ ต ่ อ การเกิ ด ฟอง
พบว่าอุณหภูมิเป็นปัจจัยหลักที่ชัดเจนในการบ่มลักษณะเฉพาะ ในขณะที่สมบัติเชิงกลมีความสัมพันธ์
อย่างใกล้ชิดกับปริมาณสารตัวเติมมากกว่าอุณหภูมิที่ทำให้เกิดฟอง โดยผลลัพธ์จากทดลองพบว่าที่
4
อุณหภูมิ 145 °C, 150 °C, 155 °C, 160°C และ 165 °C จะทำให้เกิดฟองขึ้น แต่จะทำให้ความแข็ง
ของฟองลดลงตามอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันความต้านทานแรงดึง ความต้านทานการฉีก
ขาด นั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ศิริลักษณ์ และคณะ [4] โฟมยางพาราธรรมชาติ(NRLF) ได้รับการเสริมแรงด้วยไมโครเซลลูโลส
และนาโนไฟบริ ล เซลลู โ ลสที ่ ป ริ ม าณ 5 -20 ส่ ว นต่ อ ร้ อ ยยาง (phr) ผ่ า นกระบวนการดั น ลอป
ผงเซลลูโลสจากเยื่อยูคาลิปตัสและเซลลูโลสจากแบคทีเรีย (BC) ใช้เป็นสารเสริมแรงไมโครเซลลูโลส
(MC) และนาโนเซลลูโลส (NC) ตามลำดับ NRLE, NRLF-MC และ NRLF-NC แสดงโครงสร้างของ
รูพรุนที่เชื่อมต่อถึงกันโดยมีความพรุนสูงและมีความหนาแน่นต่ำ โฟมมีรูพรุนที่มีขนาดตั้งแต่ 10-500
µm เมื่อเปรีย บเที ย บกั บ ไมโครเซลลูโ ลส แล้ว นาโนเซลลูโ ลสมี ก ารกระจายที่ ดี กว่ าภายใน โฟม
ยางธรรมชาติ และแสดงการยึดเกาะที่สูงกว่ากับโฟมยางธรรมชาติ ส่งผลให้มีการเสริมแรงมากขึ้น
ความต้านทานแรงดึงที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดสำหรับไมโครเซลลูโลสและนาโนเซลลูโลสที่ผสมโฟมยาง
พาราธรรมชาติ พบว่ า อยู ่ ท ี ่ 0.43 MPa และ 0.73 MPa ตามลำดั บ โดยการเสริ ม แรงโฟมยาง
พาราธรรมชาติ ด้วย 5 phr ไมโครเซลลูโลสและ 15 phr นาโนเซลลูโลสในขณะที่การยืดตัว จนถึงจุด
ขาดลดลงเล็กน้อย การทดสอบการบีบอัดแสดงให้เห็นว่าเปอร์เซ็นต์การคืนตัวเปลี่ยนแปลง 34.9 %
โดยการเสริมแรงด้วย 15 phr นาโนเซลลูโลสในขณะที่ไมโครเซลลูโลสไม่พบการปลี่ยนแปลง
วราวุธ [5] พัฒนาวัสดุกันกระแทกจากยางฟองน้ำ โดยใช้กระบวนการดันลอป ในงานวิจัยนี้ได้
ศึกษาผลของสารก่อฟอง(โฟแทสเซียมโอลีเอต), สารตัวเติม(แคลเซียมคาร์บอเนต), ผลจากกระบวบ
การความร้อน(นึ่งและอบ) และความหนาของชิ้นยางฟองน้ำต่อสมบัติทางกายภาพของยางฟองน้ำ
จากผลการทดสอบ เมื่อเติมสารโพแทสเซียมโอลีเอตในปริมาณมากขึ้นทำให้ยางฟองน้ำมี ความ
หนาแน่นและการต้านทานแรงกดลดลง การเติมสารแคลเซียมคาร์บอเนตส่งผลให้ยางฟองน้ำมีความ
หนาแน่ น ความสามารถในการต้ า นทานแรงกดได้ ด ี แ ละมี เ ปอร์ เ ซ็ น ต์ ก ารหดตั ว ที ่ ส ู ง ขึ ้ น และ
แคลซียมคาร์บอเนตส่งผลให้ยางฟองน้ำที่ผ่านการให้ความร้อนแบบอบสามารถต้านทานต่อแรงกดได้
ดีกว่ายางฟองน้ำแบบนึ่ง
กนกวรรณ และคณะ [6] ศึกษาผลปริมาณของเส้นใยตาล ต่อสมบัติทางกายภาพของวัส ดุ
คอมโพสิตยางโฟมธรรมชาติที่เสริมแรงด้วยเส้นใยตาล การปรับปรุงพื้นผิวของเส้นใยตาลโดยใช้
สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ ปรับเปลี่ยนความเข้มข้นเป็นร้อยละ 0, 5, 10 และ 20 โดยน้ำหนักต่อ
ปริมาตร เวลาที่ใช้ในการปรับปรุงพื้นผิวเส้นใยตาล คือ 1 ชั่วโมง เพื่อวิเคราะห์หาสภาวะที่เหมาะสม
สำหรับการปรับปรุงพื้นผิวเส้นใย พิจารณาจาก ค่าอัตราส่วนระหว่างความยาวของเส้นใย ต่อขนาด
เส้นผ่านศูนย์กลาง (L/D) และลักษณะสัณฐานวิทยาของเส้นใยจากผลการทดลอง ผลการศึกษาพบว่า
ค่าอัตราส่วน (L/D) ของ เส้นใยมีค่าเพิ่มขึ้น เมื่อความเข้มข้นของสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์
เพิ่มขึ้น แต่ที่ความเข้มข้นร้อยละ 20 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร เส้นใยตาลขาดง่าย ดังนั้นความเข้มข้นที่
เหมาะสมที่สุด คือ ร้อยละ 10 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร ปริมาณของเส้นใยตาลที่ ใช้ในการศึกษา เลือก
กำหนด 0, 4, 2.5 และ 5 phr พบว่า ความหนาแน่นของวัสดุคอมโพสิตยางโฟมธรรมชาติมีแนวโน้ม
เพิ่มมากขึ้น เมื่อปริมาณเส้นใยตาลเพิ่มขึ้น ร้อยละการยุบตัวจากแรงอัดของวัสดุมีค่าลดลง เมื่อ
5
2.2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
2.2.1 ยางธรรมชาติ [1]
ยางแห้ง ได้จากการนำน้ำยางสดที่กรีดได้มาเติมกรด (นิยมใช้กรดอะซิติก กรดฟอร์มิค
หรือกรดซัลฟูริค) เพื่อให้อนุภาคน้ำยางจับตัวกันเป็นของแข็งและแยกตัวออกจากน้ำ จากนั้นก็ทำการ
ไล่ความชื้นออกจากเนื้อยางเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา โดยยางแห้งแบ่งได้ 3 ประเภทตาม กรรมวิธี
การผลิตคือ
1) ยางแบบธรรมดา ผลิตโดย Convention process ได้แก่ยางแผ่นรมควัน ยางแผ่น
ผึ่งแห้งและยางเครพ
2) ยางแผ่นรมควัน ทำจากน้ำยางสด โดยแยกส่วนน้ำออกให้หมด ใช้กรดฟอร์มิกเป็นตัว
แยก แล้วรีดเป็นแผ่นและนำมารมควัน ยางชนิดนี้ประเทศไทยผลิตได้เป็นจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 70%
ของจำนวนยางที่ผลิตได้ทั้งหมด
3) ยางแผ่น (Rubber sheet) ได้จากการนำน้ำยางสดมาใส่ในตะกงจากนั้นจึง เติมน้ำ
เพื่อเจือจางน้ำยางให้มีปริมาณเนื้อยางแห้งเหลือเพียงประมาณ 12.16% ก่อนทำการเติมกรด เพื่อให้
ยางจับตัวกันและแยกออกจากน้ำ หากทำการเจือจางมากก็จำเป็นต้องใช้กรดมากเช่นกัน โดยทั่วไป
อนุภาคของน้ำยางจะเริ่มจับตัวกันหลังจากที่ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของน้ำยาง อยู่ในช่วง
5.1-4.8 เรียกจุดนี้ว่า “จุดไอโซอิเล็กทริค” (Isoelectric point) หลังจากนั้นจึงนำยางที่ได้ไปรีดให้เป็น
แผ่นด้วยเครื่องรีดแบบ 2 ลูกกลิ้ง จากนั้นนำไปล้างน้ำ แล้วจึงทำให้ยางแห้ง
4) ยางเครพ (Crepe rubber) ส่วนใหญ่เป็นยางที่ได้จากการนำเศษยาง (เช่น ยางก้น
ถ้วยหรือเศษยางที่ติดบนเปลือกไม้หรือติดบนดิน หรือเศษจากยางแผ่นรมควัน เป็นต้น) นำไปรีดใน
7
เนื่องจากยางเป็นสารอินทรีย์ที่เสื่อมสลายได้เมื่อตั้งทิ้งไว้หรือขณะใช้งาน การเสื่อม
สลายของยางนี้เรียกว่า Degradation กระบวนการเสื่อมสภาพของยางสามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น 6
แบบ
1) เสื่อมสลายเนื่องจากตั้งทิ้งไว้นาน
2) ถูกออกซิไดซ์เนื่องจากการกระตุ้นของโลหะแคตตาไลส์
3) เสื่อมสลายเนื่องจากความร้อน
4) เสื่อมสลายเนื่องจากแสง
5) เสื่อมสลายเนื่องจากการหักงอไปมา
6) เกิดรอยแตกเนื่องจากบรรยากาศ
สารตั ว เติ ม (filler) สารตั ว เติ ม เป็ น สารที ่ ใ ช้ ผ สมกั บ ยางเพื ่ อ ช่ ว ยเสริ ม แรง
(Reinforcement) ให้ผลิตภัณฑ์ยาง หรือ เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต สารตัวเติ มที่ช่วยเสริมแรง
จะเรียกว่า สารเสริมแรง (Reinforcing filler) ซึ่งจะเป็นสารที่มีขนาดอนุภาคที่เล็กมาก (มีพื้นที่ผิวสูง)
ได้แก่ ผงเขม่าดำ (Carbon black) เกรดต่างๆ และผงเขม่าขาวหรือ ซิลิกา เป็นต้น ส่วนสารตัวเติมที่
ไม่ช่วยเสริมแรง (Inert filler or non-reinforcing filler) แต่นิยมใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิต ได้แก่
ผงดินขาว (China clay) แคลเซียม คาร์บอเนต ผงเขม่าดำ (Carbon black) เป็นต้น และสามารถ
จำแนกคุณสมบัติของแต่ละตัวได้ดังนี้
1) ผงดินขาว (China clay) หรือเคลย์เป็นสารอนินทรีย์ที่มีลักษณะเป็นผงสีขาว มี
ขนาด อนุภาคเล็กในระดับไมโครเมตร ภายใต้สภาวะทั่วไปเคลย์มีค่าความถ่วงจำเพาะประมาณ 2.6
กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร แต่เนื่องจากเคลย์สามารถดูดซึมน้ำหรือความชื้ นจากสิ่งแวดล้อมได้ดี
ดังนั้นค่าความถ่วงจำเพาะของเคลย์จึงเปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามระดับการดูดซึมน้ำ กล่าวคือเคลย์ที่
ดูดซึมน้ำไว้มากจะมีค่าความถ่วงจำเพาะที่ต่ำกว่าเคลย์ที่ดูดซึมน้ำไว้น้อย เมื่อนำเคลย์ไปผสมกับน้ำ
เคลย์จะมีลักษณะคล้ายพลาสติกที่สามารถนำไปขึ้นรูปด้วยแม่พิมพ์ได้
2) แคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium carbonate) เป็นสารอนินทรีย์ที่มีขั้ว ทำ
ให้การผสมเข้า กับยางปกติ ซึ่งไม่มีขั้ว กระทำได้ยาก จึงทำให้ต้องใช้พลังงานในการผสมสูง และ
สารตัวเติมก็จะกระจายได้ไม่ดีในยางทำให้สมบัติของยางตกลง และเนื่องจากแคลเซียมคาร์บอเนต
สามารถเกิดการ aggromerate รวมตัวกันเป็นก้อนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ง่าย ทำให้เมื่อนำไปใช้ในยาง
จะทำให้สมบัติ ของยางตกลง และต้องใช้พลังงานในการผสมสูงขึ้นเมื่อนำมาเป็นสารตัวเติม ส่วนมาก
วัสดุเดิม พวกอนินทรีย์ เติมลงไปในน้ำยาง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผลิตภัณฑ์แข็ง แต่ไม่ สามารถเพิ่ม
สมบัติด้านความทนแรงดึงหรือทนต่อการฉีกขาด
3) เขม่าดำ (Carbon black) เป็นสารตัวเติมเสริมแรงที่สำคัญในอุตสาหกรรมยาง
โดยทั่วไปการเติมเขม่าดำลงไปในยาง มีจุดประสงค์หลักๆ ดังนี้
เพื่อเสริมแรงให้แก่ยาง ทำให้ผลิตภัณฑ์ยางมีสมบัติเชิงกลต่างๆ โดยเฉพาะความ
แข็ง โมดูลัส ความทนต่อแรงดึง ความทนต่อการฉีกขาด รวมถึงความต้านทานต่อการขัดถูสูงขึ้น ด้วย
เหตุนี้เขม่าดำจึงนำไปใช้เป็นสารตัวเติมเสริมแรงในอุตสาหกรรมการผลิตยางล้อ เป็นเวลานาน อย่างไร
ก็ตาม ปัจจุบันได้มีความพยายามที่จะนำระบบตัวเติมผสมระหว่างเขม่าดำและซิลิกา มาใช้ใน
13
การปรั บ ปรุ ง สมบั ต ิ บ างประการของยางล้ อ เช่ น ปรั บ ลดความต้ า นทานต่ อ การหมุ น ( Rolling
resistance) ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดการประหยัดพลังงานที่ใช้ในระหว่างการขับขี่มากขึ้น
เพื่อป้องกันผลิตภัณฑ์ยางจากแสงแดด เพราะการเติมเขม่าดำลงไป เพียง
เล็กน้อย จะช่วยป้องกันยางจากการเสื่อมสภาพ อันเนื่องมาจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ได้แต่ก็มี
ข้อเสียคือ จะทำให้ผลิตภัณฑ์ยางที่ได้มีสีดำหรือสีเทาเข้ม
เพื่อปรับสมบัติทางไฟฟ้าหรือทางความร้อนของยาง การเพิ่มเขม่าดำลงไปจะทำ
ให้ยางมีค่าการนำไฟฟ้าหรือการนำความร้อนสูงขึ้น ขอบเขตของการปรับปรุงสมบัติดังกล่าวขึ้นอยู่ กับ
ทั้งชนิดและปริมาณของเขม่าดำ ทั้งนี้เขม่าดำเกรดที่มีขนาดอนุภาคปฐมภูมิเล็กและมีโครงสร้างสูง
เช่น เขม่าดำเกรดที่นำไฟฟ้าได้ จะส่งผลทำให้ค่าการนำไฟฟ้าหรือ การนำความร้อนของยาง สูงขึ้น
อย่างรวดเร็ว
เพื่อปรับปรุงการตอบสนองต่อคลื่นไมโครเวฟ เพราะการเติมเขม่าดำลงไปใน ยาง
ทีมีความเป็นขั้ว จะทำให้ยางสามารถตอบสนองต่อคลื่นไมโครเวฟได้ดียิ่งขึ้น ยางจึงร้อนและ เกิด
การวัลคาไนซ์ได้เร็ว ส่งผลทำให้ผลิตภาพการผลิตสูงขึ้นและต้นทุนต่ำลง
เพื่อลดทุนในการผลิต ทั้งนี้เพราะเขม่าดำมีราคาต่ำกว่ายาง ดังนั้นการเติมเขม่า
ดำลงไปจึงเป็นการเจือจางเนื้อยาง ทำให้ต้นทุนทางด้านวัสดุต่อหน่วยลดลงได้
4) สารตัวเดิม อาจจะแบ่งเป็น 3 ชนิดตามตามลักษณะดังนี้
• สารตัวเดิมที่มีลักษณะเป็นเม็ด (Particulated filler)
• สารตัวเดิมที่มีลักษณะเป็นเส้นใย (Fibrous filler) เช่น ใยฝ้าย ใยไม้
• สารตัวเติมที่มีลักษณะเป็นเรซิน (Resinous filler)
5) จุดมุ่งหมายของการเติมสารตัวเติมในยางมีหลายประการ คือ
• เพื่อลดต้นทุน
• เพื่อเปลี่ยนแปลงสมบัติทางฟิสิกส์ของยาง
• เพื่อช่วยในกระบวนการผลิต
• เพื่อลดการพองตัวของยาง
• เพื่อเพิ่มการนำไฟฟ้า
• เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานของยาง
สารฟู (Blowing agent) สารฟูคือสารเคมีที่ให้ก๊าซเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนสถานะเป็นก๊าซ
เมื่อได้รับความร้อนหรือการ เปลี่ยนแปลงความดัน ซึ่งก๊าซที่เกิดขึ้นจะเข้าไปแทนที่หรือแทรกตัวอยู่ใน
ยาง ทำให้ผ ิว ของยางเกิดรูพรุน ซึ่งเรียกยางที่มีรูพรุนว่ายางโฟม (Expanded rubber) หรือยาง
เซลลูลาร์ (Cellular rubber) ซึ่ง ลักษณะการเกิดรูพรุนภายในยางสามารถเกิดได้ 2 ลักษณะ คือ
1) ลักษณะการพรุนที่เชื่อมต่อกัน โดยมีผนังหรืออนุภาคยางขวางกั้นไว้เพียง
บางส่ ว น ทำให้ อ ากาศสามารถไหลเวี ย นเข้ า ออกได้ จะเรี ย กลั ก ษณะรู พ รุ น แบบนี ้ ว ่ า แบบเปิด
(Opened cell)
2) ลักษณะรูพรุนที่ไม่เชื่อมต่อกัน โดยมีผนังหรืออนุภาคขวางกั้นไว้ทำให้ย าง
ไหลเวียนผ่านเข้าออกไม่ได้ จะเรียกรูพรุนแบบนี้ว่ารูพรุนแบบปิด (Closed cell)
14
𝛥𝐿 𝐿−𝐿0
ความเครียด 𝜀= = (2)
𝐿 𝐿
𝐿 = 𝐿0 (1 − 𝜀 ) (3)
𝐿
อัตราการยืดและหดตัว 𝜆1 = = [1 + 𝜀 ] (4)
𝐿0
𝛥𝜎
E, Young Modulus; 𝐸= (6)
𝛥𝜀
สมบัติการรับแรงกดเป็นสมบัติเชิงกลของวัสดุที่ใช้ในการทดสอบสำหรับเปรียบเทียบ
ความ แข็งตึงของการกด (Compressive stiffness) ของยางสูตรต่างๆ นักเทคโนโลยียางจึงนิยมใช้
การทดสอบนี้ในการพัฒนาสูตรเคมียางสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ยางที่ต้องรับแรงกดในระหว่างการใช้
งาน วิธีการวัดความสัมพันธ์ระหว่างความเค้นและความเครียดเมื่อยางได้รับการกด
17
อบไอน้ำ 30 นาที
แกะโฟมออกจากเบ้าและล้างน้ำ
อบแห้งที่อุณหภูมิ 70 oC
ใส่สารก่อเจลเสริม
(50% EFA,20% TETA,20% TEPA หรือ 20% DPG)
กวนความเร็ว 120 รอบ/นาที, 5-6 นาที
เทใส่เบ้า
อบไอน้ำ 30 นาที
แกะโฟมออกจากเบ้าและล้างน้ำ
อบแห้งที่อุณหภูมิ 70°C
D = M/V (7)
t = ความหนาหลังการทดสอบ (mm)
t0 = ความหนาเดิม (mm)
25
ทดสอบหาลักษณะโครงสร้างของเซลล์
1) การนับจำนวนเซลล์ ทดสอบตามมาตรฐาน ซึ่งมีวิธีการทดสอบดังนี้ คือตัดชิ้นฟองน้ำ
ที่ใช้ทดสอบให้บางเป็นแถบยาว 25 มิลลิเมตร นำมาวางลงบนแผ่นกระจกใสที่แสงสามารถลอดผ่านได้
บนแท่นของเครื่องจุลทรรศน์ และหมุนปรับภาพให้ชัดเจน ทำการนับจำนวนเซลล์ในแนวระนาบ
เดียวกันในระยะความยาว 25 มิลลิเมตร จากจำนวนตัวอย่างจำนวน 3 ชิ้น ในแต่ละชิ้ นจะวัดตาม
แนวตั้งและแนวนอน 2 จำนวน ครั้งนำค่าที่ได้ทั้งหมดมาเฉลี่ยเป็นค่าจำนวนเซลล์ต่อระยะความยาว
มิลลิเมตร
2) การวัดขนาดเซลล์ ตัดชิ้นโฟมที่ใช้ทดสอบให้บางเป็นแถบยาว 25 มิลลิเมตร นำมา
วางบนแผ่นกระจกใสที่แสงลอดผ่านได้ บนแท่นของเครื่องจุลทรรศน์ และหมุนปรับภาพให้ชัดเจน ทำ
การถ่ายภาพเซลล์จากกล้องจุลทรรศน์ ทำการวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางในระนาบเดียวกันจาก
ภาพถ่ายขยายของเซลล์โดยวัดประมาณ เซลล์ โดยวัดตามแนวตั้งและแนวนอน 2 จำนวน ครั้งแล้วนำ
ค่าที่ได้มาเฉลี่ย จากระยะความยาว 25 มิลลิเมตร
นายศิริวุฒิ รอดเจริญ
นายชนบดี กิตติดำรงศักดิ์
นายธรรมศาสตร์ ปานสิทธิ์
ปริญญานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต
สาขาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
ปีการศึกษา 2566
การศึกษาขนาดรูพรุนของโฟมยางด้วยกระบวนการขึ้นรูปแบบดันลอป
นายศิริวุฒิ รอดเจริญ
นายชนบดี กิตติดำรงศักดิ์
นายธรรมศาสตร์ ปานสิทธิ์
ปริญญานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต
สาขาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
ปีการศึกษา 2566
STUDY OF CELLULAR FOAM SIZES BY DUNLOP MOLDING PROCESS
คณะกรรมการสอบปริญญานิพนธ์
....................................................................ประธานกรรมการ
(………………………………………………………)
.................................................................... กรรมการ
(………………………………………………………)
....................................................................กรรมการ
(………………………………………………………)
.................................................................... กรรมการและอาจารย์ที่ปรึกษา
(………………………………………………………)
ลิขสิทธิ์ของสาขาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
หัวข้อปริญญานิพนธ์ การศึกษาขนาดรูพรุนของโฟมยางด้วยกระบวนการขึ้นรูปแบบดันลอป
นักศึกษา นายศิริวุฒิ รอดเจริญ
นายชนบดี กิตติดำรงศักดิ์
นายธรรมศาสตร์ ปานสิทธิ์
อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ธีระวัฒน์ เพชรดี
ปีการศึกษา 2566
บทคัดย่อ
การศึกษาขนาดรูพรุนของโฟมยางด้วยกระบวนการขึ้นรูปแบบดันลอป...............
TITLE STUDY OF CELLULAR FOAM SIZES BY DUNLOP MOLDING
PROCESS
STUDENTS MR. SIRIWUT RODIAROEN
MR. CHANABODEE KITTIDAMRONGSUK
MR. THAMMASAT PANSIT
ADVISOR MR.THEERAWAT PETDEE
ACADEMIC YEAR 2023
ABSTRCT