You are on page 1of 6

สาธุโข ปัพพัชชา ติ

ณ บัดนี้อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชชนาในปัพพัชชกถา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติ
ปัญญาบารมี เสริมสร้างกุศลบุญราศีของบรรดานาคทั้งหลาย ตลอดจน
ญาติโยมของบรรดานาคทั้งหลาย ที่พร้อมใจมารวมกันในงานอุปสมบท
พ่อนาค ที่ท่านได้ชื่อว่านาคนั้น ตามรากศัพท์กล่าวเอาไว้ว่า นาคะ แปลว่าผู้
ประเสริฐก็ได้ คือ เป็นผู้ประเสริฐไปด้วยความดีความงามทั้งปวง แปลว่า ผู้เป็ น
ใหญ่ก็ได้ คือ เป็นใหญ่ในการกระทำความดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แปลว่าผู้
ฝึ กดีแล้วก็ได้ เพราะว่าเรามาฝึกหัดกาย วาจาและใจ
ตลอดจนการกราบไหว้ การกล่าวคำขานนาคเหล่านี้ เป็นต้น
อีกนัยหนึ่งโบราณท่านกล่าวไว้ว่า คำว่านาคนั้นมีพื้นฐานมาจาก ในครั้งหนึ่ง
พญานาคได้เนรมิตกายเป็นมนุษย์ เพื่อมาบวชในพระพุทธศาสนา แต่ว่านาค
นั้นต่อให้เนรมิตบิดเบือนกายอย่างไรก็ตาม ในวาระต่าง ๆ หลายวาระด้วยกัน
อย่างเช่นเวลานอนหลับก็ดี เวลากำลังมีคู่ผสมพันธุ์กันอยู่ก็ดี ในเวลาที่ตายลงก็
ดี จะกลับคืนเพศเป็ นนาคตามเดิม ดังนั้น..ภิกษุที่เป็นพญานาค เมื่อท่านหลับ
แล้วเผลอสติ คลายฤทธิ์ ออกมา ทำให้กลายเป็นงูใหญ่อยู่ในกุฏิ
สร้างความตกใจให้แก่เพื่อนพระภิกษุด้วยกัน จึงไปกราบทูลฟ้ องพระพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอทราบเหตุ ก็ขอให้นาคนั้นได้สึกหาลาเพศ
ไปเสีย เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถึงบวชไปโอกาสจะเข้าถึงมรรคผลก็ไม่มี
พญานาคนั้นมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ทูลขอพรไว้ว่า เนื่องจากตนเอง
ตั้งใจบวชด้วยศรัทธาจริง ๆ เมื่อไม่มีโอกาสได้บวช ก็ขอให้มีเครื่องระลึกถึงใน
พิธีกรรมการบวชสักส่วนหนึ่ง ก็คือว่าให้บรรดาผู้ที่เข้ามาบวชนั้น ในระหว่างที่
ฝึ กตนอยู่ให้เรียกว่านาค เพื่อเป็ นเครื่องระลึกถึงตนบ้าง องค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธานุญาตตามนั้น เรื่องนี้เล่าสืบ ๆ กันมา เนื้อหา
ความเป็นจริงจะเป็นอย่างไร ไม่ได้มียืนยันไว้ในพระไตรปิ ฎก เพียงแต่ว่ากล่าว
ต่อ ๆ กันมาเท่านั้น
บรรดาพ่อนาค ตอนนี้ท่านประกอบไปด้วยโอกาสอันดีงามที่จะบรรพชาหรือ
บวชได้ ด้วยว่าตัวท่านได้ถือเพศเป็นมนุษย์ เกิดในดินแดนของ
พระพุทธศาสนา เป็นผู้ประกอบไปด้วยอวัยวะครบถ้วน ๓๒ ประการไม่มี
บกพร่อง เป็นผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา ตั้งใจจะเข้ามาบวช
เพื่อที่จะถือศีลปฏิบัติธรรม ให้สมกับที่เกิดมาชาติหนึ่งเป็นลูกผู้ชาย
บัดนี้..ท่านประกอบไปด้วยโอกาสอันดีงามนี้แล้ว เมื่อบวชเข้าไปก็ขอให้
ตั้งใจ
ปฏิบัติตามคำสอนของอุปัชฌาย์อาจารย์ เพื่อที่จะได้สร้างสมบุญกุศลของตน
ให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป
เนื่องจากว่าในเพศของความเป็นพระภิกษุนั้น ประกอบด้วยศีลมากถึง ๒๒๗
ข้อ ระมัดระวังรักษาได้โดยยาก ในขณะที่เป็นฆราวาสหลายท่านที่มีศีล ๕ ข้อ
เป็นสมบัติ ยังไม่สามารถที่จะรักษาให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้ มีขาดบ้าง
บกพร่องบ้างเป็นปกติ ยิ่งมารักษาศีล ๒๒๗ ข้อ ย่อมต้องมีข้อบกพร่องเป็น
ธรรมดา การที่เรามีข้อบกพร่อง ก็แปลว่าเกิดโทษขึ้นกับตนเอง กุศลที่พึงได้ก็มี
อันบกพร่องไปเช่นกันดังนั้น..เราทั้งหลายจึงต้องระมัดระวัง รักษาสิกขาบท
ทั้ง ๒๒๗ ข้อให้เคร่งครัด เราถึงจะได้เป็ นพระสงฆ์ในบวรพุทธศาสนาอย่าง
แท้จริง แม้จะเรียกว่าพระสงฆ์ก็ตาม ก็ยังเป็ นเพียงสมมติสงฆ์เท่านั้น ถ้าจะ
เข้าถึงความเป็ นสงฆ์จริง ๆ อย่างน้อยเราต้องปฏิบัติตนให้เข้าถึงความ
เป็ นพระโสดาบัน
การเป็ นพระโสดาบันนั้น จริง ๆ แล้ว ถ้าเป็ นฆราวาสเป็ นได้ไม่ยาก
เพราะว่าพระโสดาบันนั้น
๑. มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ๆ
๒. มีความเคารพในพระธรรมจริง ๆ
๓. มีความเคารพในพระสงฆ์จริง ๆ คำว่าเคารพในที่นี้คือเคารพด้วย
กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ไม่ล่วงเกินทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๔. เป็ นผู้มีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์ จึงได้กล่าวว่าฆราวาสเป็ นง่ายกว่า
เพราะมีศีลแค่ ๕ หรือ ๘ ข้อ แต่ว่าในความเป็ นพระนั้นมีศีลถึง ๒๒๗
ข้อ ระมัดระวังรักษายากกว่ามาก

๕. พระโสดาบันมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า ชีวิตนี้ก้าวเข้าไปหาความ
ตายอยู่ตลอดเวลา เราเกิดมาแล้วต้องตายแน่นอน ถ้าหากว่าตายแล้ว
ขอไปที่เดียวคือพระนิพพานเท่านั้น จะไม่มีการคลอนแคลนไปสู่สถาน
ที่อื่นอีก

ถ้าหากว่ากำลังใจของเรามั่นคงอย่างนี้ เราก็สามารถเป็ นพระโสดาบันอย่าง


หยาบที่สุด ที่เรียกว่าสัตตักขัตตุปรมะได้ แปลว่าถ้าหากเราต้องมาเกิด ก็เกิด
อีกเพียง ๗ ชาติเท่านั้น

ถ้ากำลังใจเราละเอียดขึ้นไป ก็เป็ นพระโสดาบันระดับกลางที่เรียกว่า โกลังโก


ละ แปลว่า จากตระกูลไปสู่ตระกูล คือ จากความเป็ นมนุษย์ไปสู่ความเป็ น
เทวดา จากเทวดาลงมาเกิดเป็ นมนุษย์อีกทีหนึ่ง พอตายแล้วเข้าสู่พระนิพพาน
จึงเรียกว่า จากตระกูลไปสู่ตระกูล คือเกิดเป็ นคนสองครั้ง เป็ นเทวดา
๑ ครั้งเท่านั้น ถ้าหากว่าจิตใจละเอียดมากก็เป็ นพระโสดาบันระดับสูงสุด
เรียกว่า เอกพีชี แปลว่าผู้มีพืชอันเดียว ก็คือ เกิดครั้งเดียวก็เข้าสู่พระ
นิพพานเลย หมายความว่าตายจากความเป็ นมนุษย์ไปสู่เทวดา เป็ นนางฟ้ า
หรือเป็ นพรหมอยู่ข้างบน แล้วก็บรรลุอรหัตผลเข้าสู่พระนิพพานไปเลย
พ่อนาคเมื่อบวชเข้ามาแล้ว ขอให้ตั้งความปรารถนาสูงสุดไว้เลยว่า เรา
ตั้งใจบวชเพื่อมรรคผลนิพพาน ถ้าหากไม่สามารถเข้าสู่มรรคผล
นิพพานได้ เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงได้ เนื่องจากความ
เป็ นพระเป็ นเณรของเรานั้น มีศีลรักษามากกว่าฆราวาส การรักษาระวังยาก
กว่า แต่ถ้ารักษาได้ อานิสงส์ก็ได้มากกว่าเป็ นแสนเท่า ดังนั้น..การที่เรา
บวชเข้ามาในช่วงระยะเวลา จะกี่วันก็ตาม ขอให้ถือเป็ นโอกาสทองในชีวิต
ที่เราจะได้สร้างสมกุศลบุญราศีของเราไว้ การสั่งสมบุญกุศลนั้นจะนำพาเรา
ไปความสุขโดยสถานเดียว ดังมีพระบาลีเป็ นหลักฐานว่า สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺ
จโย การสั่งสมบุญย่อมนำมาซึ่งความสุขในชีวิตของฆราวาสเราอาจจะ
สร้างบุญกุศลเป็นสิบครั้ง เป็นร้อยครั้ง เป็นพันครั้ง แต่ว่าการที่เราเป็ นพระ เรา
สร้างบุญกุศลครั้งหนึ่งก็ได้บุญกุศลเท่ากับการเป็ นฆราวาสทำเป็ นหมื่นเป็ น
แสนครั้ง เนื่องจากว่าเราต้องเป็ นผู้ถือกติกามากกว่าเขาเป็ นจำนวนมาก
อานิสงส์ที่จะพึงได้จึงมีมากกว่า ถ้าเราพึงฉวยโอกาสนี้ของเรา สร้างสมบุญ
กุศลให้มากเข้าไว้ ถ้าหากสึกหาลาเพศไป กุศลบุญราศีส่วนนี้ ก็จะนำพาท่าน
ทั้งหลายให้มีความสุขความเจริญ มีความรุ่งเรืองในชีวิตตลอดจนหน้าที่การ
งาน ถ้าหากว่าท่านบวชต่อไป แล้วระมัดระวังสิกขาบทเหล่านี้เอาไว้ได้ ดัง
นั้น..จึงขอให้พ่อนาคสำรวมระวังไว้ว่า เมื่อเราเป็นพระแล้ว สมบัติของเราคือ
ศีล ๒๒๗ ข้อ สมบัตินี้ คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบไว้ให้แก่
เรา เป็ นสิ่งที่พึงหวงแหน พึงระวังรักษาเอาไว้ยิ่งกว่าชีวิต เราเองจะสามารถ
ทรงความเป็ นพระได้หรือไม่ได้ก็อยู่ที่ศีลนี่เอง เมื่อเราบวชเป็น
พระ ท่านอาจจะสงสัยว่า เรามีความดีอะไร พ่อแม่จึงมากราบมาไหว้เรา
ก็เพราะว่าเรามีความดีคือศีล ๒๒๗ ข้อ เนื่องจากว่าในเรื่องของวัยวุฒิคืออายุ
พ่อแม่ก็แก่กว่า ขณะเดียวกันเป็นผู้คลอดเรามา เลี้ยงเรามาแท้ ๆ ในเรื่องของ
คุณวุฒิทางโลก ประสบการณ์ทางโลก ประสบการณ์ของพ่อแม่ก็มากกว่า เราสู้
ท่านไม่ได้เลย แต่เมื่อเราเข้ามาบวชเป็ นองค์พระแล้ว พ่อแม่มากราบมาไหว้ ก็
เพราะเรามีสมบัติวิเศษ คือศีล ๒๒๗ ข้อ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มอบไว้ให้ตั้งแต่สองพันกว่าปี มาแล้ว ใครสามารถระวังสิกขาบทให้บกพร่อง
น้อยเท่าไร เราก็คงความเป็นพระได้สมบูรณ์เท่านั้น ถ้าไม่บกพร่องได้เลยยิ่งดี
แต่ถ้าบกพร่องเมื่อไรให้รีบแสดงคืนอาบัติ แล้วตั้งใจระวังรักษาเอาไว้ให้
สมบูรณ์บริบูรณ์ แต่ว่าอาบัติใหญ่ ๑๗ ข้อ คือ ปาราชิก ๔ ข้อ ตลอดจนสังฆาทิ
เสสอีก ๑๓ ข้อ อย่าให้ต้องเลยเป็นอันขาด เนื่องจากปาราชิกนั้น ถ้า
หากโดนแล้วขาดจากความเป็ นพระไปเลย เราลักขโมยของราคาหนึ่งบาทขึ้น
ไป เรามีเมียมีลูก เราเป็นผู้อวดอุตริมนุสสธรรม คือ ธรรมอันยิ่งที่ไม่มีในตน
และท้ายสุดเราฆ่ามนุษย์ให้ตาย สี่ข้อนี่ทำเมื่อไร เราขาดจากความเป็นพระทันที
ไม่สามารถที่จะเป็นพระได้อีก ห่มผ้าเหลืองอยู่ก็ไม่ใช่พระ สึกจากผ้าเหลืองไป
แล้ว ถึงเข้ามาบวชใหม่ก็ไม่ใช่พระ ในส่วนของสังฆาทิเสส ๑๓ ข้อนั้น ถ้า
หากว่าต้องเข้าแล้ว จะต้องแก้ไขโดยคณะสงฆ์เท่านั้น คือต้องไปสารภาพใน
ท่ามกลางสงฆ์ ว่าตนเองต้องอาบัติดังนี้ สงฆ์ทั้งหลายก็จะกำหนดบริเวณให้เรา
อยู่ เรียกว่า การอยู่ปริวาส เปรียบเสมือนการติดคุก ต้องมาแสดงตนต่อสงฆ์
ทุกวัน จนกระทั่งครบถ้วนสมบูรณ์ตามเวลาที่เราได้ละเมิดศีล แล้วจึงเก็บมานัต
ต์ จากนั้นท้ายสุดให้คณะสงฆ์ ๒๑ รูปสวดยกเราขึ้นเป็นพระใหม่ จึงจะได้กลับ
เป็นพระได้อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น..โดยเรื่องของอาบัติ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็
ดี โดนแล้วแก้ไขไม่ได้ และโดนแล้วแก้ไขได้ยาก ขอให้ทุกคน
ระมัดระวังรักษาให้เต็มที่ อย่าให้พลาดเป็ นอันขาด
อาบัติอื่นนั้นเกิดจากศีลต่าง ๆ จำนวนมากข้อด้วยกัน ถ้าหากเราสติสัมปชัญญะ
ไม่สมบูรณ์บริบูรณ์ โอกาสที่จะผิดพลาดได้ย่อมมีอยู่ ถ้าโดนอาบัติในส่วนที่
เป็นอาบัติเล็กน้อย ก็ให้ตั้งใจแสดงคืนอาบัติเสียทุกวัน ถ้าหากพ่อนาคสามารถ
รักษาศีลได้โดยบริสุทธิ์บริบูรณ์ ตัวเราเป็ นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยสีลสุตาธิคุณแล้ว
ไซร้
ดังนั้นท่านจำเป็ นจะต้องรักษาสิกขาบททั้งหลายให้บริสุทธิ์ อาตมาภาพแสดง
พระธรรมเทศนามาก็พอสมควรแก่เวลา ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา
อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพุทธรัตนะ
ธัมมะรัตนะ แลสังฆรัตนะเป็ นประธาน ขอให้ให้พ่อนาคเป็ นผู้ที่อยู่สุข อยู่เย็น
ในบวรพุทธศาสนา เป็ นผู้ที่สามารถเสริมสร้างสีลสุตาธิคุณให้เจริญรุ่งเรือง ให้
เป็ นที่เลื่อมใสแก่ญาติโยมทั้งหลาย และขอให้พรทั้งหลายอันประเสริฐซึ่ง
ประกอบไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ
ปฏิภาณ ตลอดจน ธนสาร ธรรมสาร คุณสารสมบัติอันเป็ นที่พึงใจทั้งปวง จงมี
แก่บรรดาญาติโยมของพ่อนาค ทุกท่านทุกคนเทอญ
อาตมภาพแสดงพระธรรมเทศนามาก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระ
ธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

You might also like