You are on page 1of 40

•เปอร์เซ็นต์การมอดูเลต =Emax-Emin x 100 1

Emax+Emin
Carrier
อุปกรณ์
นอนลิเนียร์
Audio
•ไซด์แบนด์ของ AM
Upper Side-band (USB)= Fc + Fm
Lower Side-band (LSB)= Fc - Fm
FM
ดัชนีการมอดูเลต เป็ นการวัดเปอร์เซ็นการมอดูเลตโดยดูจากการเปล่ียน
m = fd / fm โดยท่ี fd=ความถ่เี บ่ียงเบน
fm=ความถ่ข ี องสัญญาณท่เี ข้ามอดูเลต
2
อัตราการเบ่ียงเบน( ) = fdmax
fmmax
,fdmax คือ ความถ่ีเบ่ียงเบนของระบบสูงสุด
fmmax คือ ความถ่ีของสัญญาณเสียงท่ีเข้าไปมอดูเลต
ในระบบวิทยุกระจายเสียง FM
- ความถ่ีเบ่ียงเบนของระบบสูงสุดท่ีไม่เกิน 75 kHz
- เปอร์เซ็นต์การมอดูเลต = fd
fdmax
,fd = ความถ่ีเบ่ียงเบนเน่ ืองจากสัญญาณท่ีเข้ามอดูเล
•ไซแบนด์ FM
- ไซด์แบนด์คแ ู่ รกจะมีคา่ เท่ากับ = (fc+fm),(fc-fm)
- ไซด์แบนด์คท ู่ ่ีสองจะมีค่าเท่ากับ = (fc+2fm),(fc-2fm)...
3
•การหา Bandwidth (BW)ของ FM
1.ต้องหาค่าดัชนีการมอดูเลต m = fdmax
fmmax
2.BW =2(m+1)fmmax
3.หรือ BW=2(fdmax+fmmax)

•ระบบการส่ ือสาร

อุปกรณ์ การมอดูเลต ช่องทาง การ อุปกรณ์


อินพุต เคร่ ืองส่ง การส่ ือสาร ดีมอดูเลต เอาต์พต

น้อยส์
4
ณ์อน
ิ พุต คือ อุปกรณ์ท่ีแปลงสัญญาณข่าวสารเป็ นสัญญาณไฟฟ้ า
ณ์เอาต์พต
ุ คือ อุปกรณ์ท่ีแปลงสัญญาณไฟฟ้ าให้เป็ นสัญญาณข่าวสาร
ารแบ่งออกเป็ น 3 จำาพวก
- เสียง หรือ Audio ได้แก่ เสียงพูด,เสียงดนตรี, เสียงเพลง
- ภาพ (Picture)ได้แก่ ภาพน่ิงระบบโทรสาร(facsimile),
ระบบส่ ือสารระยะไกล(Tele-Photo)
- ข้อมูล(Data) โดยมากจะส่งมาเป็ นรหัสได้แก่ ระบบส่ ือสารด้วยคอมพิว
ระบบโทรมาตร,ระบบโทรพิมพ์(โทรเลข)
ง ทำาหน้าท่ีรับสัญญาณไฟฟ้ าจากจากอุปกรณ์อนิ พุตแล้วทำาการมอดูเลต
าหะความถ่ีสูง ประกอบด้วย - วงจรออสซิสเลเตอร์
- ภาคมอดูเลต
- ภาคขยายกำาลัง
5
งทางกาส่ ือสาร ได้แก่ บรรยากาศ,อวกาศ(Free Space),สายส่งสัญญาณ

•ความยาวคล่ ืน λ = V = 3x108 = 300


f f(Hz) f(MHz)
งย่านความถี ความถี การใช้งาน
Low Frequency(VLF)ต่ำากว่า 30kHz โทรเลข,โซนาร์
requency(LF)30-300 kHz วิทยุนำารอง,โทรพิมพ์,โทรเลข
m Frequency(MF)300-3000kHz วิทยุกระจายเสียง,การส่ ือสารระยะปลาน
Frequency(HF)3 - 30 MHz การสือสารระยะไกล , วิทยุกระจายเสียง
High Frequency(VHF)30-300 MHz วิทยุกระจายเสียง,การแพร่ภาพโทร
ทัศน์,การส่ ือสารระยะใกล้
High Frequency(UHF)300-3000MHz การส่ ือสารการบิน,การส่ ือสารระยะใกล้
High Frequency(SHF)3-30 GHz เรดาร์,การส่ ือสารไมโครเวฟ,ดาวเทียม
mely High Frequency(EHF)30-300GHz การส่ ือสารทางแสง
ยส์(Noise) คือ สัญญาณแทรกแซงหรือสัญญาณรบกวนเรียกว่า(Interferen 6
งออกเป็ น 4 ประเภท
1.นอยส์บรรยากาศ(Atmospheric Noise) ได้แก่ ฟ้ าร้อง,ฟ้ าผ่า
2.นอยส์อวกาศ(Space Noise)เกิดจากดวงอาทิตย์และดวงดาวต่าง ๆเกิด
นอยส์ท่ีคงท่ี เช่น - จุดบนดวงอาทิตย์(Sun-Spot)
- การลุกโชตช่วง(Solar Flare)
3.นอยส์ท่ีเกิดจากส่ิงประดิษฐ์ท่ีมนุษย์สร้างขึน ้ (Man-Made Noise)ซ่งึ ได้แ
- มอเตอร์ไฟฟ้ า เช่น พัดลม,เคร่ ืองดูดฝ่ ุน
- การจุดระเบิดของรถยนต์
- เกิดจากสายไฟฟ้ าแรงสูง
- เกิดจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์
4.นอยส์ท่ีเกิดในอุปกรณ์เคร่ ืองรับ เรียกว่า (Internal Noise)แบ่งออก
2 ประเภท - Thermal Noise หรือ Johnson Noise เกิดจากการไหล
ของอิเล็กตรอนในวงจร
- Shot Noise เกิดกับอุปกรณ์จำาพวก Active Device เช่น IC,TR
ารคำานวณหากำาลังท่ีเข้าไปมอดูเลต หรือเรียกว่ากำาลังของไซแบนด์ 7
Pm = m2Pc ,Pc = กำาลังของสัญญาณพาหะ
2 ,Pm= กำาลังส่งของสัญญาณท่ีเข้าไปมอดูเลต
, m = เปอร์เซ็นต์ของการมอดูเลต AM
วอย่างของวงจร AM มอดูเลตแบบอนุกรม

+Vcc
Audio input Q2

RFC
output
Q1
carrier
8
•วงจรขยาย PA ของระบบ SSB(Single Side Band)
- นิยมใช้วงจรขยาย Class AB และ Class B
- ในระบบ AM นิยมใช้วงจรขยาย Class C
การคำานวณหา Bandwidth ของระบบ AM
BW = 2fm ,fm= ความถ่ีของสัญญาณเสียงท่ีเข้าไปมอดูเลต
•วงจร Balance Modulator(BM)แบบ Ring Modulator
- output ของวงจร คือ สัญญาณ AMDSBSC
- AMDSBSC=Amplitude Modulation Double Side Band Suppressed Carrier

Audio input AMDSBSC

carrier
9
•Crystal Filter
- ทำามาจากผลึก Quartz
- มีค่า Q อยู่ระหว่าง 100,000-2,000,000
วงจรสมมูลของผลึL=กแร่
เสมือนมวลของผลึกแร่
Crystal C1=เสมือนความยืดหยุนทาง พีโซอิเล็กทริก
L (Piezoelectric Resilience)
R=พลังงานสูญเสียเน่ ืองจากความฝื ด
C1 C2
(Frictional Loss)
R C2=เสมือนความจุระหว่างขาต่อ(Electrode)

ความถ่ีเรโซแนนซ์อนุกรม(fs)จะเกิดขึน
้ เม่ ือ ค่าของ L=C1
•ความถ่ีเรโซแนนซ์ขนาน(fp)จะเกิดขึน
้ เม่ ือ ค่าของ L=C2
10
•ฟิ ลเตอร์ชนิดเมคานิก(mechanical Filter)
- มีใช้ในเคร่ ืองระบบ SSB
- อาศัยหลักการเปล่ียนแปลงพลังงานไฟฟ้ าเป็ นพลังงานกล
- ประกอบด้วย coupling coil,Biasing magnet,Transducer rod,Disc resonator
- ข้อเสียของ filter แบบนี ค ้ ื อใช้งานท่ีความถ่ ีสูงไม
60-600 kH
แปลงความถ่ี(Frequency Conversion)
- บางครัง้เรียกว่าการ Mixing (การผสมคล่ ืน) หรือ การเฮตเทอโรดายน
(Heterodyne)

รเลือกไซแบนด์ฟิลเตอร์
- โดยการใช้ LC Filter
- การใช้ Crystal Filter
- การสลับความถ่ี(Frequency Inversion) โดยการเฮตเทอโรดายน์(Heterodyn
วณหาค่า Bandwidth จากวงจร Tank 11
= fo ,BW = fo
BW Q
คือ ประสิทธิภาพของวงจรเรโซแนนด์ หรือ (เป็ นพลังงานสะสม ว
อ ความถ่ีของวงจรTank หรือ วงจร Resonance
อ ช่วงระหว่างค่าความถ่ีต่ำาสุด ถึง ความถ่ีสูงสุดท่ีตอบสนองต่อวงจร

•การคำานวณหาค่าของความถ่ี Local Oscillator(LO.)


Frequency LO.= Frequency RF + Frequency IF
•การคำานวณหาค่าของความถ่ีเงา = Frequency LO.+ Frequency IF
หรือ = Frequency LO.- Frequency IF
12
จรขยาย IF
- วงจร IF มีการทำางานท่ีความถ่ีคงท่ี(ไม่ตอ ้ งมี การปรับ แต่งความถ
- ใช้วงจรท่ีเรียกว่า Double Tuned นึน
้ คือ มีวงจร Tank ทางด้าน
Input และ Output
- ใช้วงจร Filter ในวงจรท่ีเรียกว่า Band Pass Filter(BPF)
- ในวงจร IF จะมี Capacitor ต่อระหว่าง Input และ Output เพ่ ือป้ องกัน
การออสซิลเลต ซ่งึ เราเรียกว่า Neutralize
+V
IF output
T1
IF input T2
Q1

+V
13
AGC (Automatic Gain Control) คือ การควบคุมอัตราการขยายของภาค IF และ R

+V
0V

Voltage AGC
AM input
ของเคร่ ืองรับ AM 14
1.Sensitivity คือ การวัดความสามารถของเคร่ ืองรับในการรับสัญญาณอิน
สุดท่ีท่ีรับได้(Signal to noise ratio)
2..Selectivity คือการวัดความสามารถในการเลือกรับสัญญาณท่ีตอ ้ งการ แ
ญญาณอ่ ืน ๆ ท่ีไม่ตอ ้ งการทิง้ไป
- โดยจะขึน้ อยู่กบ ั วงจรขยาย RF และ IF ท่ีใช้ Filter แบบใด
3.ช่วง Dynamic คือ เป็ นการวัดความสามารถในการรับสัญญาณในสภาวะ
ณอ่อน ๆ จนถึงในขณะท่ีมีสัญญาณแรง ๆ ได้ โดยสัญญาณท่ี ดืเทกไ
4.ความสามารถกำาจัดสัญญาณเงา = Frequency RF (+ และ -) ด้วย 2(frequency
รดีเทกเตอร์ AM
- วงจรไดโอดดีเทก
- วงจรทรานซิสเตอร์ดีเทกเตอร์ (ทรานซิสเตอร์ชนิด เยอรมันเนียม)
รดีเทกสัญญาณ AMDSBSC
- วงจรซิงโครนัสดีเทกเตอร์
- วงจร โปรดักต์ดีเทกเตอร์ใช้กับ เคร่ ืองรับ SSB
15
วงจรดีเทกเตอร์ AM แบบ Diode
T1 C2
Audio output
D1 R1 C1
AM input

การมอดูเลตเชิงมุมสามารถกระทำาได้ดังนี้
- การมอดูเลตแบบรีแอกแตนซ์
- วาแรกเตอร์มอดูเลต
- เฟสมอดูเลต โดยการเทียบเฟสของสัญญาณพาหะ
วงจรซิงโครนัสดีเทกเตอร์ 16
R1
T1 D1 C1
Carrier input Audio output
C2
C4
T2 D2 R2
DSBSC +V

R3 C1
R1 Audio output
C2
Q1
AM input R2

วงจร ทรานซิสเตอร์ดีเทกเตอร์
17
วงจรโปรดักต์ดีเทกเตอร์
BFO
T1

R1 R2 Audio output
SSB
C1 C2

BFO=Beat Frequency Oscillator


•การดีเทกเตอร์ของ FM มีวงจรท่ีใช้งานดังนี้ 18
- วงจรสโลปดีเทกเตอร์(Slop Detector)เป็ นวงจรท่ีง่ายท่ีสุด
- วงจร Double Tuned Detector
- วงจรฟอสเตอร์-ซีลีดิสคริมิเนเตอร์(Foster-Seeley Discriminator)
- วงจรเรโชดีเทกเตอร์(Ratio Detector)
- วงจรควอดราเจอร์ดีเทกเตอร์(Quadrature Detector)
- วงจรเฟสล็อกลูปดีเทกเตอร์(phase Locked Loop Detector)

ร่ ืองรับของระบบ FM ประกอบด้วย วงจรดังนี้


- จะมีวงจรลิมิตเตอร์(Limitor) De-emphasis Pre-emphasis
- วงจรดีเอ็มฟาสีส(De-emphasis)ซ่งึ มีค่าคงตัวเวลา(Time Constant) 75 uS.
- ส่วนวงจรปรีเอ็มฟาสีส(Pre-emphasis) จะอยู่ในเคร่ ืองส่ง FM มีค่าคงตัว
(Time Constant) 75 uS.
- มีวงจร AFC(Automatic Frequency Control)ทำาหน้าท่ีควบคุมความถ่ีของ
Local Oscillator
วงจรพ้ืนฐานของเคร่ ืองรับ-ส่งวิทยุ 19
งจรขยาย RF (RF Amp.)ท่ีนิยมใช้กันอยู่มีอยู่ 3 แบบ คือ
1.Common Emitter แต่มีข้อเสีย คือต้องมีการสะเทิน(Neutralize)เพ่ ือป้ อง
การออสซิสเลต
2.Common Base มีข้อดี คือ ไม่ตอ
้ งมีการสะเทิน
3.Cascode โดยการต่อวงจ Common Emitter ทางด้านอินพุต และ Common
ทางด้านเอาต์พต ุ ของวงจร
จรมิกเซอร์(Mixer)สามรถแบ่งเป็ น
1.แบบ Active Mixer เช่น อุปกรณ์ IC,FET
2.แบบ Passive Mixer เช่น อุปกรณ์ Diode
note.
ยังสามารถแบ่งออกได้เป็ น แบบ Linear และ Non-Linear ซ่งึ มีทัง้ในเคร
ะเคร่ ืองส่ง
จรขยาย IF (IF Amplifier) 20
- จะเหมือนกับวงจร RF Amp. แต่จะมีการทำางานท่ีต่างกัน
- RF Amp.
- จะมีอต ั ราขยายประมาณ 10-15 dB
- มี Noise Figure ต่ำา
- ความเพีย ้ น(Intermodulation Distortion) ต่ำา
- มีการขยายสัญญาณท่ม ี ีความแรงมาก หรือ น้อยได้ เราเรียก
(ช่วงไดนามิก)กว้าง
- IF Amp.
- จะมีอต ั ราการขยายประมาณ 60 dB
- เน้นการเลือกรับสัญญาณ(Selectivity)เป็ นหลักโดยใช้ Crystal Filte
- มี Noise Figure ต่ำาเหมือนกัน
- แบ่งออกได้เป็ น 2 ประเภท
- Distributed Gain (มีหลาย Stage)
- Lumped Gain (ใช้ Filter และ Amplifier เพียงอย่างละชุด)
วงจรออสซิลเลเตอร์(Oscillator) 21
- วงจรฮาร์ตเล่ย์ออสซิลเลเตอร์
- วงจรคอสล์ปิตต์ออสซิลเลเตอร์
- วงจรคริสตอลออสซิลเลเตอร์
- วงจรโอเวอร์โทนออสซิลเลเตอร์
รขยายกำาลัง (Power Amplifier)
- ในระบบ SSB ใช้วงจร Class A เป็ นภาค Pre-Amplifier ประสิทะภาพ
ใช้วงจร Class AB เป็ นภาค Pre-Driver ประสิทธิภาพ 20-49 %
ใช้วงจร Class B เป็ นภาค Driver หรือ Power Amplifier)50 %
- ในระบบ CW,AM,FM ใช้วงจร Class C เป็ นภาค Power Amplifier
•วงจรขยายเสียงจะต้องคุณสมบัติ
- มี Frequency Response Audio ท่ดี ี
- มีคา่ ความเพีย ้ น(Distortion ) ต่ำา
22
•แหล่งจ่ายไฟ Power Supply
- สามารถจ่ายกระแสได้เพียงพอ
- ต้องไม่มีริปเปิ้ ล (Fluctuate)

+V

Voltage Reference +
-
•วงจร AGC(Automatic Gain Control)แบ่งเป็ น 2 ประเภท 23
1.Carrier Derived AGC
2.Audio Derived AGC R
R1

IF input D1 C AGC output

Carrier derived AGC +V


R1 R2
From
AGC output
Demodulate D1 C

ไป AF Amp. +V
Audio derived AGC
24
จรนอยส์ลิมิตเตอร์
- เป็ นวงจรท่ใี ช้ในการกำาจัดนอยส์ทาง Amplitude ท่เี กิดจากการจุดระเบ
ของรถยนต์ มอเตอร์
- ใช้ในเคร่ ืองรับ AM
รนอยส์แบล็งเกอร์
- ใช้ในย่านความถ่ีในช่วง 50 MHz ขึ้นไป
- สามารถกำาจัดนอยส์ได้อย่างสิน ้ เชิงจากส่ิงประดิษฐ์ท่ม
ี นุษย์ทำาขึ้นเท
- ทำาหน้าท่เี สมือนวงจรรับสัญญาณ AM แต่มีวัตถุประสงค์เพ่ อ ื ขยายแล
ดีเทกนอยส์เพ่ อ ื ใช้ในการเปิ ด-ปิ ดการรับสัญญาณของเคร่ ืองรับ

วงจร S Meter
- คือ โวลต์มิเตอร์ซ่งึ ต่อเพ่ อ
ื วัดค่าของแรงดัน AGC
- ใช้ประโยชน์ในการวัดระดับของแรงของสัญญาณ
- ผูผ
้ ลิตนิยมปรับเทียบไว้ท่ี S9 = 50 uV โดยแต่ละ S จะห่างกัน 6 dB
25
ฟิ ลเตอร์
- เป็ นอีกวิธห
ี น่งึ ท่ใี ช้ในการกำาจัดสัญญาณรบกวน โดยใช้ฟิลเตอร์ท่ม
ี ีเส
ของผลตอบสนองความถ่ท ี ่ีชน
ั และ แหลม(Sharp)
- ความถ่ข ี องน๊อตซ์ฟิลเตอร์สามารถ ปรับค่าได้ตลอดย่านความถ่ข ี อง IF

VOX (Voice Operated Switch)


- เป็ นการกดป่ มุ ให้เคร่ อ
ื งทำาการส่งออกอากาศไปโดยใช้สัญญาณเสียงบ

วบคุมระดับอัตโนมัติ หรือ (ALC)Automatic Level Control


- มีวัตถุประสงค์เพ่ อ ื รักษาระดับสัญญาณของวงจรขยายลิเน่ียร์ในเคร่ อ ื
จรขยากำาลัง RF
- ในย่านความถ่ี UHF จะมีอป ุ กรณ์สตริปลายน์(Strip Line)หรือ ไมโครสต
(Microstrip)เป็ นส่วนหน่งึ ของวงจร และมักทำาเป็ นลายวงจร แผนวงจร
(Printed Circuit Board)
26
วงจรป้ องกันของวงจรขยายกำาลัง RF ในภาค PA
- โดยใช้วงจรไดเรกชัน ้ คอปเปอร์(Directional Coupler)
- เป็ นวงจรท่อ
ี ยู่ระหว่าง Harmonic Filter และ Antenna

Temperature Compensated Crystal Oscillator)


- เป็ นออสซิลเลเตอร์ท่ีใช้หลักการชดเชยความถ่ีโดยการใช้อุณหภูมิ
หรือ สเควลซ์
ใช้ในเคร่ ืองรับท่ีมค ี วามไวสูง(Sensitivity)ดี
การทำางานของวงจรโดยใช้นอยส์ท่ีกรองจากสัญญาณเสียงออกมาและ
Rectifier หรือ Detect ให้เป็ นไฟ DC ไปเปรียบเทียบกับระดับของสัญญาณอ่า
ท่ป
ี รับไว้ท่วี งจรเปรียบเทียบ(Comparetor)นำาไปบังคับวงจรสวิตซ์ให้ปิด-เปิ ด
เส้นทางของสัญญาณเสียงท่จี ะออกไปขยาย
องรับวิทยุมีหน้าท่ีท่ีสำาคัญ คือ 27
1.รับสัญญาณความถ่ีวิทยุ(Receiver)
2.เลือกสัญญาณความถ่วี ิทยุท่ต ี ้องการ(Selectivity)
3.แปลงสัญญาณความถ่ีวิทยุเป็ นสัญญาณความถ่ีเสียงทางไฟฟ้ า(Detec
4.แปลงสัญญาณความถ่เี สียงทางไฟฟ้ าเป็ นสัญญาณเสียงท่ไี ด้ยิน(Spe
สมบัตท ิ ่ีดีของเคร่ ืองรับสัญญาณวิทยุท่ีสมบูรณ์ 3 ประการ คือ
1.Sensitivity (ความไวของเคร่ อ ื งรับสัญญาณวิทยุ)
2.Selectivity(ความคมในการเลือกรับสัญญาณวิทยุ)
3.Hifidelity(ความชัดเจนของสัญญาณ output(Audio)
•Sensitivity แบ่งออกเป็ นวิธก ี ารตรวจวัดได้ คือ
1.1 Useable Sensitivity (12 dB SINAD)
1.2 Noise Limited Sensitivity (10 dB(S+N)/N)
1.3 Quieting Sensitivity(20 dB (S+N))
•Selectivity แบ่งออกเป็ นการวัดได้เป็ น 28
2.1 Band Width Selectivity
2.2 Adjacent Channel Selectivity
2.3 Spurious Response Rejection
2.4 Blocking หรือ Desensitization
•Hifidelity แบ่งการวัดออกเป็ น
3.1 Audio output Power
3.2 Audio Distortion
3.3 Audio Frequency Response
3.4 AGC Response
3.5 Squelch Sensitivity
Useable Sensitivity คือ
ระดับสัญญาณ RF Source ท่ต ี ่ำาท่ส
ี ุดท่เี ป็ น Input ของเคร่ อ
ื งรับ(Receiver)ด
ulation Source แล้ว เคร่ อ ื งรับจะต้องผลิต Audio Output อย่างน้อย 50 % ของ
d Power Output โดยมีค่าในอัตรา( 12 dB SINAD)
Noise Limited Sensitivity คือ 29
ระดับสัญญาณ RF จาก Standard Source ท่ต ี ่ำาท่ส
ี ุดท่เี ป็ น Input ของเคร่ อ
ื ง
(Receiver)ด้วยการ Modulation Source แล้ว เคร่ อ
ื งรับจะต้องสามารถผลิต
Audio Output อย่างน้อย 50 % ของ Rated Audio Power Output ด้วยการ
เปรียบเทียบการ Modulated และ Un-modulated ด้วยค่าในอัตรา 10 dB(S+N)/N
ting Sensitivity คือ
ระดับสัญญาณ RF Source ท่ี Un-Modulated ท่ีต่ำาท่ส ี ุดท่ีเป็ น Input ของ เคร่ อ
ื ง
สัญญาณวิทยุ แล้วเคร่ อ ื งรับจะต้อง สามารถและผลิต Audio Output อย่าง
และเปรียบเทียบกับนอยส์(Noise) เม่ อ ื มีสญ ั ญาณ RF Input และไม่มีสญ ั ญา
RF Input ด้วยค่าในอัตรา 20 dB (S/N)
d Width คือ
ความกว้างหรือ ขอบเขตของความถ่ท ี ่เี คร่ อ
ื งรับเลือกรับความถ่ี
•ถ้า BW กว้างเกินไปก็อาจจะรับสัญญาณอ่ น ื เข้ามาได้
•ถ้า BW แคบเกินไปอาจจะเกิดการ Out of Band
Channel คือ 30
างระหว่างความถ่ี เช่น CH.1, CH.2, CH.3 จะต้องมีชอ
่ งว่างท่พี อดีและเหมาะ
มกับงาน
ช่องว่างน้อยมาก ช่องความถ่ีท่ี ต่ำากว่า หรือ สูงกว่า ท่ีตก
ิ กันอาจเข้ามาร
s Response Rejection คือ
งทุกอย่างท่ไี ม่ต้องการ ท่อ ี าจจะเข้ามารบกวนเคร่ อ ื งรับได้ เช่น ฮาร์โมนิค
ส์ ท่มี ีกำารังแรง อาจกระทบกระเทือนต่อ ความไวของเคร่ อ ื งรับได้เช่น เค
d อยู่ท่ี CH.1 แต่ ความถ่ีของ CH.2 หรือ CH. อ่ ืน ๆ ท่ม ี ีกำาลังแรงกว่าเข้ามาร
g หรือ Desensitization คือ
คร่ อ
ื งรับจะต้อง Block สัญญาณอ่ ืน ๆ ท่ม ี ีกำารังแรง ๆ ได้ อย่างมีประสิทธ
งรับ ทำางานอยู่ท่ีย่านความถ่ี VHF แต่อาจจะมี ความถ่ีย่าน UHF เข้ามารบ
เคร่ อื งรับกำาลังทำางานท่ี ความถ่ี 1 MHz แต่อาจจะมี ความถ่อ ี ่น
ื ๆ ซ่งึ เกิด
ซิลเลต(Oscillate) Intermodulation ท่ีเกิดขึ้น แล้วเคร่ อ
ื งรับไปรับเอาสัญญาณเห
มา แล้วทำาให้ ความไวของเคร่ อ ื งรับลดลง
udio Output Power 31
จะต้องมีค่าเพียงพอ และ เป็ นไปตาม Output Standard ของ Load
istortion
ะดับของความเพีย ้ นของเสียงท่ีผด ิ ไปจากรูปแบบเดิมของสัญญาณ Input
าฐานของ CCITT
o Frequency Response
าสามารถเรียกว่าเป็ น Audio Band Width และเป็ นการตอบสนองความถ่ีของ
ทางการทหารเรากำาหนดไว้ท่ี 300 Hz-3,400 Hz
ละจะมีคา่ เป็ น +/- 3 dB เม่ อ
ื เทียบกับ 1,000 Hz
esponse
ก็คือว่าเคร่ อ
ื งรับจะต้องรักษาระดับของสัญญาณ Audio Output ให้คงท่ไี ม่ว่า
F Input จะมีคา่ มากหรือน้อย แต่ต้องไม่ ต่ำากว่าค่าของ Sensitivity ของเคร่ ืองร
udio Outputของเคร่ ืองจะต้องไม่เปล่ย ี นแปลงไปมากกว่า +/- 2dB
ensitivity
จะต้องทำาการ Mute เคร่ ืองรับ เม่ อ ื ไม่มีสัญญาณ RF Input ในการทำางานให้เ
old หรือ Delay (on/off)ได้ตามค่าของ Specification ถ้า ความไวของการ Hold ต่ำาจ
สารขาดหายได้
Power Amplifier 32
•Class A -Low Power Stage
-Maximum Efficiencies Preaching 50 % Percent เม่ อ
ื เราใช้
Transformer เป็ นตัว Coupling
-และเป็ น 25 % Percent เม่ อื เราใช้ RC Coupling
-Conduct Continuously 360 องศา
ข้อดี -Minimum Distortion
•Class B -ใช้ Transistor หรือ Vacuum Tube เป็ น Power Amplifier
-มีการ Bias ท่จี ุด Cut off
-กระแสไหล One-Half of the input signal cycle
-ประสิทธิภาพ(Efficiency)78.5%
-อุปกรณ์ท่ีใช้งานเป็ นแบบ Linear System
-การใช้งานของวงจรเราจะต่อแบบ Push-Pull
33
Class C -ไม่นิยมใช้ใน การขยายสัญญาณ Audio
-ประสิทธิภาพ(Efficiency)100% แต่เราจะจำากัดไว้ท่ี 85 %
ใน ทางปฏิบัติ ท่ี High Power Output
การมอดูเลตทางแอมปลิจด ู (AM)Amplitude Modulation
•สัญญาณ AM แบ่งออกได้เป็ น 1)Single Side Band
2)Double Side Band
3)In-dependent Side Band
Dependent Side Band
•แบ่งออกเป็ น 1)Lower Side Band (Modulate ด้วยข่าวสารอย่างหน่ ึง)
2)Upper Side Band (Modulate ด้วยข่าวสารอีกอย่างหน่งึ )
มอดูเลต(Modulation)โดยทั่ว ๆ ไป
แบ่งออกเป็ น 1)Amplitude Modulation
2)Phase Modulation หรือ Frequency Modulation
และเราแบ่งสัญญาณท่เี ข้าไปมอดูเลตออกเป็ น 1)Analog Signal
2)Digital Signal
รมอดูเลต(Modulation) 34
•อาศัยหลักการผสมความถ่แ ี บบ นอนลิเนียร์(Non-Linear Mixing)และทำาให้เ
ความถ่ี ผลรวม และ ความถ่ี ผลต่าง
อดูเลตแบบดูดกลืน(Absorption Modulation)
ยมใช้ในการกำาเนิดสัญญาณความถ่ีของ UHF/VHF หรือ ความถ่ีท่ส ี ูงกว่าน
าศัยการเปล่ย ี นแปลงของค่าอิมพีแดนซ์ของ Pin Diode
n diode สามารถใช้งานเป็ นวงจร
1)เป็ นวงจ Modulation แบบ Amplitude Modulation
2)เป็ นวงจร Attenuate สัญญาณ
ระสิทธิภาพของวงจรมีคา่ ต่ำามาก
ยมใช้ประโยชน์กับวงจรท่ม ี ีระดับกำาลังงานต่ำา ๆ
ode
ประกอบด้วยสาร P-N เช่ อ ื มต่อด้วย สารก่งึ ตัวนำาชนิด I (Intrinsic )
ท่ี ความถ่ีสงู กว่า 100 MHz Pin-Diode จะทำางานเป็ นตัวต้านทาน และ ควบคุม
ค่าความต้านทานด้วยการไบแอสตรงของกระแส( I สูง R ต่ำา , I ต่ำา R สูง
การมอดูเลตแบบ AM ไร้พาหะ (AMSC)Amplitude Modulation Suppress Carrier 35
•สัญญาณ output จะเป็ นไซแบนด์ทัง้ 2 ข้าง
•โดยการใช้วงจร Balance Modulator(BM)
อดีและข้อเสียของระบบ AM
ข้อดี -สร้าง ง้าย และ ไม่ซับซ้อน
ข้อเสีย -สูญเสีย กำาลังงาน
-BW กว้างเป็ น 2 fm
-Amplitude และ Phase จะต้องตรงกัน และ ทำาได้ยากในบางสภา
หาท่ีเกิดขึน
้ กับการแผ่กระจายคล่ ืน AM ในสภาวะท่ีไม่ดี
กิดปรากฤตการณ์ Fading (การจางหายของสัญญาณ)
จะถูกรบกวนจากสัญญาณ Interference
ของ AM Suppress Carrier
ต้องใชการ Reinsert Carrier ท่ี RX เช่น ในวงการโทรทัศสี, การส่ง FM Stereo
ทำาการมอดูเลตท่รี ะดับสัญญาณต่ำา ๆ (Low Level Modulation)และต้องใช้
ยาย class B หรือ AB ซ่งึ มีประสิทธิภาพต่ำา เม่ อ
ื เทียบกับ Class C ของ AM ธร
บบซิงเกิล”ซแบนด์(Single Side Band) 36
•วงจรท่ีใช้ในการผลิตสัญญาณ SSB ก็คอ ื Balance Modulator
•ข้อดีของ SSB -กำาลังส่งออกอากาศเป้ นข่าวสารล้วน ๆ
-มี BW กว้างเป็ น fm/2 ของระบบ AM
-เม่ อ
ื เทียบระดับเสียงท่ไี ด้รบั เท่ากัน SSB ใช้ Power
AM ใช้ Power 150 w.
-ในสภาวะท่ีเลวของการแผ่คล่ ืน SSB จะ ดีกว่า AM ถึง
าเนิดสัญญาณ SSB
1.ใช้ LC Filter -มีการลดทอนสัญญาณ ประมาณ -50 dB ใน ช่วงความถ
-จำากัดความถ่ท ี างด้านต่ำาใว้ ท่ี 250 Hz
-ระยะหางระหว่าง USB และ LSB ใว้ ท่ี 500 Hz
2.คริสตอลฟิ ลเตอร์(Crystal Filter) หรือ (Quartz) - ค่า Q สูง 10,000-200,000
-ตอบสนองความถ่ี 20 kHz-50 kHz
3.เมคนิกฟิ ลเตอร์(Mechanical Filter) -มีมากในเคร่ ืองส่ง SSB
-ใช้การเปล่ียนพลังงานไฟฟ้ าเป็ นพลังงาน
-ตอบสนองความถ่ส ี ูงไม่เกิน 60 kHz-600 kH
านวณหากำาลังของ Power SSB 37
ราจะทำาการวัดกำาลังในขณะท่ีมีการ Modulate
กำาลังงานในช่วงยอดของสัญญาณกรอบคล่ น ื เรียกว่า (Peak Envelope Power.PE
ากระแส และ แรงดันท่ีอา่ นจาก Meter เป็ นค่าเฉล่ีย
EP เรานิยมใช้สัญญาณทดสอบ สองโทน(Two Tone)เป็ นรูป Sine wave 1 kHz
าณ Two Tone
อัตราส่วนค่ายอดต่อค่าเฉล่ย ี เป็ น 2:1
าลัง PEP จะมีค่าเป็ น 2 เท่า ของ input เฉล่ีย
ดยปกติอต ั ราส่วนค่ายอดของเสียงพูดปกติ จะอยู่ในช่วง 1.5:1 ,6:1 ,7:1
รานิยมใช้สัญญาณ 2 โทน ในการวัดกำาลังส่งของ SSB
ซูเปอร์เฮตเทอโรดายน์
ยหลักการแปลงความถ่ข ี องสัญญาณ RF ให้เป็ นความถ่ี คงท่ีคา่ หน่ ึงท่ีเรีย
วามถ่ี IF โดยใช้กระบวนการของ Local Oscillator และ Mixer
มถ่ีของ IF จะมี ค่าความถ่ี อยู่ระหว่าง ความถ่ข ี อง RF และ AF
ปอนความถ่ี LO.สูงกว่า RF เราเรียกว่า High Side Injection
LO.ต่ำา กว่า RF เราเรียกว่า Low Side Injection
กรับความถ่ี IF 38
ก่ย
ี วกับความกว้างของ BW (AM=2fm),(SSB=fm/2)
fo/Q ,fo คือ ความถ่ีของ IF
Q สูงจะมี Selectivity ดี
มถ่ข ี อง IF นิยมมีค่า ต่ำากว่า RF และ มีเสถียรภาพดีอต
ั รา การขยายสูงท
มถ่ส ี งู กว่าจะมีปัญหาเร่ ืองของการสูญเสียทางไดอิเล็กตริก, ความต้านท
), ความจุเสตร ,ความเหน่ียวนำาเสตร ซ่ ึงเป็ นค่าประจำาตัวของอุปกรณ์
ative
นการป้ อนกลับแบบเสริม เพ่ ือให้เกิดการออสซิลเลตของวงจร RF Amp.
งรับ Double Conversion
ช้ ความถ่ี IF 2 ค่า หรือ 2 ความถ่ี
าของ IF.1 ชุดแรกจะม ค่าความถ่ส ี งู เพ่ ือกำาจัดสัญญาณเงา
าของ IF.2 จะม ค่าความถ่ีต่ำาเพ่ อ
ื ต้องการค่า Q สูง
การหาค่าของการกำาจัดสัญญาณเงาเป็ น (dB) 39
กำาหนดให้เคร่ ืองรับมีค่า Sensitivity 1 uV ท่ี 10 dB(S+N)/N แล้วทำาการวัดสัญญา
00 uV ท่ี 10 dB(S+N)/N
ดงว่าเคร่ ืองรับ มีความสามารถในการกำาจัดสัญญาณเงาก่ี dB

dB = 20 log E1 ,E1>E2 เสมอ
E2
dB = 20 log 100uV
1 uV
dB = 20 x 2 = 40 dB Ans..
2.การคำานวณหาค่า (dB)
•เม่ อ
ื มีสัญญาณ Spurious วัดได้ 1 mV ท่ี 10 dB (S+N)/N
วิธีทำา dB = 20 log 1mV
1uV
dB = 20 x 3 = 60 dB Ans..
40
รหาค่าการกำาจัดสัญญาณ IF(dB)
อเราทำาการป้ อนความถ่ี IF เข้าไปท่ี Input ของเคร่ ืองรับ 2 mV ท่ี 10 dB (S+N)/N
วิธีทำา
dB = 20 log 2mV
1 uV
dB = 20 x (3x 0.3) =18 dB Ans..
หมายเหตุโดยปกติ จะมี ค่าอยู่ประมาณ 40-60 dB
ของช่วงไดนามิก (dB)
การเพ่ม
ิ ความแรงของสัญญาณ RF แรงขึ้นจนเคร่ ืองรับเร่ิมเกิดความเพีย


dB = 20 log 100 mV
1 uV
= 20 x 5 = 100 dB Ans..

You might also like