Professional Documents
Culture Documents
2 2
0 1 2 5 2
บทที่ 3
s . 2 3 7 :
ทฤษฎีพื้นฐานและการประยุกต์ใช้งานสายอากาศ
e
.U r 14 :
สายอากาศคืออุปกรณ์ที่ใช้ส่งพลังงานในรูปแบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากแหล่งที่มีข้อมูล ไปยังที่ ๆ
K 1
ต้องการข้อมูล โดยใช้อากาศเป็นตัวกลาง หรือที่เรียกว่าการเชื่อมต่อแบบไร้สาย อาจกล่าวได้ว่าการเชื่อมต่อ
7 K 2 56
ที่ไร้สายนั้นจําเป็นต้องมีสายอากาศไว้ใช้งานเสมอ เดิมสายอากาศเรียกว่าเสาอากาศ เพราะลักษณะที่เป็น
/
รูปเสา และการคุ้นเคยโดยส่วนใหญ่กับรูปแบบของเสาอากาศโทรทัศน์ ซึ่งในบทนี้จะกล่าวถึงทฤษฎีและ
4 4 5 6 /
เนื้อหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสายอากาศ ดังนี้ [11]
0
/
สายอากาศ อุปกรณ์สําหรับรับและส่งคลื่นความถี่วิทยุ ทําหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็น
0 . 1 9
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และในทางกลับกัน ก็เปลี่ยนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นพลังงานไฟฟ้าเช่นกันสายอากาศมี
2
1 มื่อ
หลายขนาดและรูปแบบ ขึ้นอยู่กับการใช้งาน เช่น สายอากาศสําหรับเครื่องรับโทรทัศน์ในบ้าน ส่วนใหญ่
เป็นสายอากาศชนิด ยากิ-อุดะ มักติดตั้งไว้บนหลังคา ทําด้วยอะลูมิเนียม เพราะน้ําหนักเบาและทนต่อ
เ
สภาพอากาศได้ดีกว่าโลหะทั่วไป สายอากาศของไมค์ลอย เป็นเพียงสายไฟสั้น ๆ หรือสายอากาศของ
โทรศัพท์มือถือ เป็นเพียงจุดเชื่อมต่อเล็ก ๆ เท่านั้น คําว่าสายอากาศ เป็นศัพท์เฉพาะด้านไฟฟ้าและ
อิเล็กทรอนิกส์ บัญญัติขึ้นจากคําศัพท์ในภาษาอังกฤษ "Antenna" หรือ "Aerial" ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์อาจ
เขียนอักษรย่อ Ant. อย่างไรก็ตาม บุคคลทั่วไปนิยมเรียกว่า เสาอากาศ อาจจะเป็นเพราะเดิมใช้เสาสูง ๆ
สําหรับติดตั้งสายอากาศนั่นเอง [12]
สายอากาศแบ่งตามรูปแบบการรับ-ส่งคลื่นได้ดังนี้
- สายอากาศแบบรอบตัว สามารถรับ-ส่งคลื่นได้ดีในทุกทิศทางเฉลี่ยกันไปโดยรอบ
- สายอากาศแบบกึ่งรอบตัว สามารถรับ-ส่งคลื่นได้ดีเกือบรอบตัวแต่มีอัตราขยายสูงกว่า
แบบรอบตัว
- สายอากาศแบบทิ ศ ทางเดี ย ว สามารถรั บ -ส่ ง คลื่ น ได้ ดี ใ นทิ ศ ทางที่ กํ า หนดและจะมี
อัตราขยาย (Gain) สูงกว่าประเภทอื่น
3.1 ความถี่และความยาวคลื่น
เรานิ ย มแบ่ ง คลื่ น วิ ท ยุ อ อกเป็ น ย่ า นความถี่ ต่ า ง ๆ โดยมี ห น่ ว ยเป็ น เฮิ ร ตซ์ (Hertz) ใน
ประวัติศาสตร์การวิทยุ เราแบ่งคลื่นวิทยุตามความยาวคลื่น (Wavelength) ความสัมพันธ์ระหว่างความถี่
และความยาวคลื่นดังแสดงในภาพที่ 3.1 ดังนี้ [13]
. 2 2 5
0 1 2 5 2
s . 2 3 7 :
e
.U r 14 :
/ K K 56 1
4 5 7 6 / 2
. 14 9 / 0
0
1 มื่อ 2 ภาพทีที่ 3.1 คลื่นรูปไซน์
ป ความยาาวคลื่นมีค่าเท่ท่ากับระยะห่างระหว่างยอดดคลื่น [14]
เ
ตารางที่ 3.1 ย่านคความถี่และคววามยาวคลื่น
ย่านความถีถี่ ความถี่ ความมยาวคลืน่
Very Loow Frequenncy (VLF) ต่ากว่
าํ า 30 kHzz ยาวกกว่า 10 km
Loww Frequency(LF) 30-300
3 kHz 100-1 km
Mediuum Frequenncy(MF) 3000-3000 kHzz 10000-100 m
Highh Frequenccy (HF 3-30 MHz 1000-10 m
Very Higgh Frequenncy (VHF) 30-300
3 MHz 10-1 m
Ultra Higgh Frequenncy (UHF) 3000-3000 MHz 1000-10 cm
Super High Frequency (SHF) 3-30 GHz 100-1 cm
Extremely High Frequuency (EHFF) 30-300
3 GHz 100-1 mm
1 2 2
2) การหาความยาวคลื่นเป็นฟุต
0 5
s . 2 3 7 :
ความยาวคลื่นเป็นฟุต = 982,000,000/f (Hz) หรือ
:
= 982,000/f (KHz) หรือ
e
.U r 14 = 982/f (MHz)
เช่น ตัวอย่าง f = 60 MHz จะได้ 982/60 = 16.4 ฟุต
/ K K 6 1
3.1.3 ครึ่งหนึ่งของความยาวคลื่น (HALF-WAVELENGTH) ( λ /2)
5
4 5 7 6 2
เป็นปัจจัยสําคัญในการคํานวณ และการวัดสายอากาศ ครึ่งหนึ่งของความยาวคลื่น
/
(Half-Wavelength) หรือสายอากาศแบบครึ่งความยาวคลื่น (Half-Wave) ใช้เป็น
. 14 9 / 0 มาตรฐานในการเปรียบเทียบ
1) การวัดความยาวของสายอากาศ
0
1 มื่อ 2 ก) การหา Half-Wavelength เป็นเมตร
λ /2 เป็นเมตร = 150,000,000/f (Hz) หรือ
1 2 2
หรือเส้นรังสี เส้นรังสีที่ลากจากสายอากาศออกไปจะทํามุมกับระนาบแนวนอนมุมนี้เรียกว่ามุมแผ่คลื่น อาจ
0 5
s . 2 3 7 :
มีค่าเป็นบวก (มุมเงย) หรือมีค่าเป็นลบ (มุมกดลง) ก็ได้ มุมของการแผ่คลื่นนี้อาจนํามาใช้เป็นตัวกําหนด
:
ประเภทของคลื่นวิทยุได้
e
.U r 14
คลื่นวิทยุมีความถี่อยู่ในช่วง 104 - 109 Hz คลื่นช่วงนี้ใช้ในการส่งข่าวสารและสาระบันเทิงไปยัง
ผู้รับ โดยการส่งคลื่นวิทยุระบบเอเอ็มจะใช้คลื่นที่มีความถี่ขนาด 530 - 1600 KHz และยังมีคลื่นที่อยู่ในช่วง
/ K K 6 1
ความถี่ต่ําลงไปอีกเรียกว่า คลื่นยาว และคลื่นที่อยู่ในช่วงความถี่สูงขึ้นไปเรียกว่า คลื่นสั้น ด้วย ส่วนการส่ง
5
7
คลื่นในระบบเอฟเอ็มจะอยู่ในช่วงความถี่ 88 - 108 MHz ซึ่งระบบการส่งคลื่นแบบเอเอ็มกับเอฟเอ็มจะ
5 / 2
ต่างกันที่วิธีการผสมคลื่น ดังนั้นจึงทําให้เครื่องรับวิทยุแต่ละแบบไม่สามารถรับคลื่นวิทยุของอีกแบบหนึ่งได้
4 6
. 14 9 0
คลื่นวิทยุมีสมบัติที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ สามารถหักเหและสะท้อนได้ที่บรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์
/
บรรยากาศในชั้นนี้ประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าอยู่เป็นจํานวนมาก เมื่อคลื่นวิทยุเคลื่อนที่มาถึงจะ
0
1 มื่อ 2
สะท้อนกลับสู่ผิวโลกอีก สมบัติข้อนี้ทําให้สามารถใช้คลื่นวิทยุในการสื่อสารเป็นระยะทางไกลๆได้แต่ถ้าเป็น
คลื่นวิทยุที่มีความถี่สูงขึ้น การสะท้อนดังกล่าวจะมีได้น้อยลงตามลําดับการส่งกระจายเสียงด้วยคลื่นวิทยุ
เ
ระบบเอเอ็มสามารถเคลื่อนที่ไปได้ 2 ทางคือ ในระดับสายตาเรียกว่า คลื่นดิน (Ground Wave) และการ
สะท้อนกลับลงมาจากบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ เรียกว่า คลื่นฟ้า (Sky Wave) ตามภาพที่ 3.2 ส่วน
คลื่นวิทยุระบบเอฟเอ็มซึ่งมีความถี่สูงกว่าจะมีการสะท้อนในชั้นไอโอโนสเฟียร์ได้น้อย
พลังงานคลื่นวิทยุส่วนใหญ่จะเดินทางอยู่ใกล้ ๆ ผิวโลกหรือเรียกว่าคลื่นดิน ซึ่งคลื่นนี้จะเดินไปตาม
ส่วนโค้งของโลก คลื่นอีกส่วนที่ออกจากสายอากาศ ด้วยมุมแผ่คลื่นเป็นค่าบวก จะเดินทางจากพื้นโลกพุ่งไป
ยังบรรยากาศจนถึงชั้นเพดานฟ้าและจะสะท้อนกลับลงมายังโลกนี้เรียกว่า คลื่นฟ้า
ดังนั้นถ้ าต้องการส่ง กระจายเสี ย งด้วยระบบเอฟเอ็ม ให้ ค รอบคลุม พื้นที่ไ กล ๆ จึงต้ อ งมีส ถานี
ถ่ายทอดเป็นระยะและผู้รับต้องตั้งสายอากาศสูง ๆ ในขณะที่คลื่นวิทยุเคลื่อนที่ผ่านสิ่งกีดขวางที่มีขนาด
ใกล้เคียงกับความยาวคลื่นจะเกิดการเลี้ยวเบนทําให้คลื่นวิทยุอ้อมผ่านไปได้ แต่ถ้าสิ่งกีดขวางมีขนาดโต
. 2 2 8
0 1 2 5 2
มาก ๆ เช่น ภูเขา คลื่นวิทยุที่มีความยาวคลื่นสั
น ้นจะไม่สามมารถอ้อมผ่านไปได้
น ทําให้ห้ด้านตรงข้ามของภูเขา
เป็นจุดอับของคลื่นโลหะมี
น
s . 2 3 7 :
สมบััติในการสะท้อนและดูดกลืลืนคลื่นแม่เหลล็กไฟฟ้าได้ดีดดังนั้นคลื่นวิทยุ
ท จะทะลุ
:
ผ่านเขข้าไปถึงตําแหหน่งภายในโครรงสร้างที่ประกอบด้วยโลหะะได้ยาก เช่น เมื่อฟังวิทยุในนรถยนต์ขณะะแล่นผ่าน
e
.U r 14
เข้าไปปในสะพานที่มีมีโครงสร้างเป็นเหล็ก เสียงวิวิทยุจะเบาลงงหรือเงียบหายยไป
องค์ประกกอบของคลื่น แบ่งออกเป็น 4 องค์ประกอบด้วยกัน คือ คลื่นผิวดิน (Surface Wave)
คลื่นสะท้
K K 6 1
ส อนดิน (GGround Refllected Wavve) และคลื่นหักเหโทรโปสสเฟียร์ (Refleected Tropposphere
/ 5
7
Wavee) ดังแสดงในนภาพที่ 3.3
4 5 6 / 2
. 14 9 / 0
0
1 มื่อ 2
เ
ภาพที่ 3.3
3 องค์ประกกอบของคลื่น
3.2.11 คลื่นผิวดิน
หมายถึง คลื่นที่เดินตามไไปยังผิวโลกออาจเป็นผิวดิน หรือผิวน้ําก็ไได้พิสัยของกาารกระจาย
คลื่นชนิ
ช ดนี้ขึ้นอยู่กักับค่าความนําทางไฟฟ้
า าขอองผิวที่คลื่นนี้เดินทางผ่านไป
น เพราะะค่าความนําจะเป็จ นตัว
กําหนนดการถูกดูดกลื
ก นพลังงานขของคลื่นผิวโลกก การถูกดูดกลื ก นของคลื่นผิวนี้จะเพิ่มขึ้นนตามความถีที่ท่สี ูงขึ้น
0 1 2 5 2
3.2.22 คลื่นตรง
s . 2 3 7 :
:
หมายถึง คลืค ่นที่เดินทางงออกไปเป็นเส้นตรงจากสาายอากาศ ส่งงผ่านบรรยากกาศตรงไป
e
.U r 14
ยังสายอากาศรับโดดยมิได้มีการสะท้อนใด ๆ
/ K K 56 1
4 5 7 6 / 2
. 14 9 / 0
0
1 มื่อ 2
เ ภาพที่ 3..5 ทิศทางของคลื่นตรง แลละคลืน่ ที่สะท้อนจากผิ
อ วโลกก
3.2.33 คลื่นหักเหโโทรโปสเฟียร์
หมายถึง คลื
ค ่นหักเหในบบรรยากาศชันต่
้น ําของโลกที่เรียกว่า โทรโโปสเฟียร์ การหักเหนี้
มิใช่เป็นการหักเหแบบปกติที่เกิดขึ้นจากกาารเปลี่ยนแปลลงความหนาแน่นของชั้นบบรรยากาศขอองโลกกับ
ความสูง แต่เป็นกาารหักเหที่เกิดการเปลี
ด ่ยนแปลงความหนนาแน่นของชั้นบรรยากาศอ
น ย่างทันทีทันใด
ใ และไม่
สม่ําเสสมอของความมหนาแน่นแลละในความชื้นของบรรยาก
น กาศ ได้แก่ ปรากฏกาารณ์ที่เรียกว่า อุณหภูมิ
แปรกกลับ
3.3 ความยยาวสายอากาศ
ความยาาวของสายอาากาศนั้นเราจะะต้องพิจารณาาถึง 2 ประกาาร คือ ความยยาวทาง Physsical และ
ความยาวทาง Elecctrical ความยาวทั้ง 2 ชนิดดังกล่าวแล้วจะไม่
ว เป็นอยย่างเดียวกัน คความยาวทาง Physical
ของ Half-Wave
H ของสายอากกาศที่ไม่มี Looad จะแปรเปลี่ยนจาก 92% 9 ถึง 97% ของความยาวทาง
Electtrical ของ Haalf-Wave ในนอวกาศ ความมเร็วของคลื่นที่ลดลงของสาายอากาศกับ Capacitive Effective
(เรียกกั
ก นว่า End Effect) ทําให้ ใ สายอากาศศมีความยาวเกินกว่าที่เป็นจริง Contributing Facctors คือ
อัตราาส่วนของเส้นผ่
น าศูนย์กลางงของสายอากกาศกับความยาวของสายออากาศนั้น ๆ ความจุระหวว่างปลาย
สายออากาศ และผลลของความจุของอุข ปกรณ์ปลายสายอากา
ล าศ (ฉนวนหรือตัอ วยึดอื่น ๆ) ที่ทําให้สายออากาศโยง
ยึดอยูยู่ได้
1) การคํานวณควาามยาวทาง Phhysical ของงสายอากาศใหห้ใช้ตัว 0.95 สําหรับความมถี่ระหว่าง
3.00 และ 50.0 MHz ตัวเลขขที่ให้ไว้ส่วนลล่างต่อไปนี้ใช้สํสาหรับสายอาากาศแบบ Haalf-Wave
ความยาว (Feett) = 492
4 x 0.95 / ความถี่เป็น MHz
= 468
4 / ความถีถี่เป็น MHz
ความยาว (Meteers) = 150
1 x 0.95 / ความถี่เป็น MHz
= 142.5
1 / ความมถี่เป็น MHz
. 2 2 10
1 2 2
2) สําหรับความถี่สูงกว่า 50 MHz การคํานวณความยาวทาง Physical ของสายอากาศสําหรับ
0 5
s . 2 3 7 :
ความถี่สูงกว่า 50 MHz ให้ใช้ตัวแก้ 0.94 ตัวเลขที่ให้ไว้ข้างล่างนี้สําหรับสายอากาศแบบ
:
Half-Wave
e
.U r 14
ความยาว (Feet) = 492 x 0.94 / ความถี่เป็น MHz
= 462 / ความถี่เป็น MHz
/ K K 6 1
3) ความยาวของสายอากาศชนิด Long Wire (หนึ่ง Wavelength หรือยาวกว่า)
5
7
สําหรับ Harmonic Operation คิดคํานวณด้วยการใช้สูตรดังต่อไปนี้
4 5 / 2
ความยาว (Feet)
6
= 492 x (N-0.05) / ความถี่เป็น MHz
. 14 9 / 0
เมื่อ N = จํานวน Half-Wavelength ในความยาวทั้งหมดของสายอากาศ
4) ในส่วนของข้างบนนี้ สําหรับย่านความถี่ VHF และ UHF จะเป็นการสะดวกดีถ้าเราจะคิด
0
1 มื่อ 2 คํานวณ Half-Wavelength ของสายอากาศเป็นนิ้ว ดังต่อไปนี้
λ /2 In Inches = 5540 / f (MHz)
1+ Γ
VSWR = (3.1)
1− Γ
Vr Z L − ZO
Γ= = (3.2)
Vi Z L + ZO
1 2 2
3.4.2 การสูญเสียย้อนกลับ (Return Loss)
0 5
s . 2 3 7 :
การสู ญ เสี ย เนื่ อ งย้ อ นกลั บ ของสายอากาศแสดงค่ า กํ า ลั ง ที่ สู ญ เสี ย ที่ โ หลด เมื่ อ
:
อิมพีแดนซ์ของสายส่งและสายอากาศไม่แมตช์กัน การสูญเสียย้อนกลับมีความสัมพันธ์กับ VSWR ซึ่งเป็น
e
.U r 14
การแสดงการแมตช์อิมพีแดนซ์ระหว่างสายส่งกับสายอากาศตามสมการ โดยการสูญเสียย้อนกลับสามารถ
หาได้จากสมการที่ (3.3)
/ K K 56 1
7
(dB) (3.3)
2
S11 = −20 log10 Γ
4 4 5 0 6 /
สําหรับการแมตช์อิมพีแดนซ์ที่สมบูรณ์ระหว่างสายส่งและสายอากาศ เมื่อ Γ = 0
0 . 1 2 9 /
ค่าความสูญเสียย้อนกลับเป็นอนันต์ แสดงว่าไม่มีกําลังงานสะท้อนกลับ ในทํานองเดียวกันเมื่อ Γ = 1 ค่า
1 มื่อ
ความสูญเสียย้อนกลับจะเป็น 0 dB ซึ่งแสดงว่ากําลังงานสะท้อนกลับหมด
3.4.3 ประสิทธิภาพของสายอากาศ (Antenna Efficiency)
et = er ec ed (3.4)
et ประสิทธิภาพทั้งหมดของสายอากาศ
er = (1 − Γ 2 ) ประสิทธิภาพการสะท้อนกลับเนื่องจากการไม่แมตช์กน
ั
ec ประสิทธิภาพของตัวนํา
ed ประสิทธิภาพของฉนวน (dielectric)
โดยทั่วไป ec และ ed จะรวมเป็นตัวเดียวกันตามสมการที่ (3.5)
Rr
ecd = ec ed = (3.5)
Rr + RL
ความต้านทานจากการแผ่พลังงานคลื่นออกไป
Rr
RL ความต้านทานที่โหลด
3.4.4 สภาพเจาะจงทิศทาง (Directivity)
ไดเรคติวิตีเป็นการบอกความสามารถเชิงทิศทางของสายอากาศ เป็นอัตราส่วนระหว่าง
ความเข้มของการแผ่พลังงานในทิศทางที่สนใจกับความเข้มของการแผ่พลังงานโดยเฉลี่ย เมื่อมีการแผ่
พลังงานออกไปรอบทิศทางอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่คิดกําลังงานส่วนที่สูญเสียไปดังสมการที่ (3.6) และ
สมการที่ (3.7)
. 2 2 12
0 1 2 5
D=
2 U 4π U
= (3.6)
s . 2 3 7 : Ui Prad
e
.U r 14
D
U :
คือ สภาพเจาะจงทิศทางของสายอากาศ
คือ ความเข้มของการแผ่กําลังงาน
/ K K 56 1
Ui คือ ความเข้มของการแผ่กาํ ลังงานเฉลี่ย
คือ กําลังงานที่สายอากาศแผ่ออกไป
7 2
Prad
4 4 5 0 6 /
โดยทั่วไปถ้าไม่กําหนดทิศทางใช้สภาพเจาะจงทิศทางในทิศที่สายอากาศแผ่พลังงานได้ดีที่สุด
0 . 1 2 9 / U max 4π U max
1 มื่อ D0 =
Ui
=
Prad
(3.7)
4π U (θ , φ )
Gain = (3.8)
Pin
โดยทั่วไปอัตราขยายสัมพัทธ์ เป็นอัตราส่วนของอัตราขยายกําลังในทิศทางที่กําหนดให้
ต่ออัตราขยายกําลังของสายอากาศที่ใช้เปรียบเทียบในทิศทางนั้นโดยกําลังงานที่ป้อนเข้าสายอากาศทั้งสอง
นั้นต้องเท่ากัน สายอากาศที่ใช้เปรียบเทียบเป็นสายอากาศไดโพล สายอากาศปากแตร หรือสายอากาศอื่น
ๆ ซึ่งคํานวณอัตราขยายได้ง่ายหรือรู้ค่าอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามโดยส่วนใหญ่สายอากาศที่ใช้เปรียบเทียบ
เป็นไอโซโทรปิคพอยท์ซอร์สที่ไม่มีการสูญเสีย ดังนั้นจึงได้เป็นสมการที่ (3.9)
4π U (θ ,φ )
Gg = (3.9)
Pin
. 2 2 13
0 1 2 5 2
s 2
in
3 7 :
เมื่อ P คือ กําลังงานที่ป้อนให้กับไอโซโทรปิคพอยท์ซอร์สที่ไม่มีการสูญเสีย
. :
กําลังงานที่แพร่กระจายทั้งหมด ( P ) สัมพันธ์กับกําลังงานที่ป้อนให้สายอากาศ
e
.U r 14
rad
4 0
t
0 . 2 9 /
และ (3.10) มีความสัมพันธ์กันตามสมการที่ (3.11)
1
1 มื่อ ⎡ 4π U (θ , φ ) ⎤⎦
Gg (θ , φ ) = ⎣ (3.11)
เ
Prad
Gg (θ ,φ ) = et Dg (θ ,φ ) (3.12)
G0 = Gg (θ ,φ ) max
= et Dg (θ ,φ ) max
= et D0 (3.13)
G0 ( dB ) = 10log10 [ et D0 ] (3.14)
Z in = Rin + jX in (3.15)
คือความต้านทานเชิงจินตภาพที่ทําให้เกิดการสะสมของพลังงานในบริเวณสนาม
X in
ใกล้สายอากาศโดยไม่แผ่กระจายออกไป และ Rin ประกอบด้วยสองส่วนคือ Rr หมายถึงความต้านทาน
. 2 2 14
1 2 2
พลังงานคลื่นที่แผ่ออกไปโดยสายอากาศ และ RL หมายถึงความต้านทานที่โหลด ซึ่งรวมถึงความต้านทาน
0 5
. 2 :
จากการสูญเสียที่เกิดขึ้นจากความร้อน สารไดอิเล็กตริก และตัวนํา
s 3 7
:
3.4.7 แบนด์วิดท์ (Bandwidth)
e
.U r 14
แบนด์วิดท์ของสายอากาศเป็นช่วงของความถี่ที่สามารถนําไปใช้งานได้ดี ซึ่งช่วงความถี่
ถูกกําหนดโดย VSWR ≅ 2 หรือพิจารณาจากการสูญเสียย้อนกลับ (S11) ที่ระดับ -10 dB ดังสมการที่
/ K K 6
(3.16) และสมการที่ (3.17)
5 1
4 5 7 6 / 2 BWnarrowband ( % ) =
fu − fl
× 100 (3.16)
4 0
fc
0 . 1 2 9 /
1 มื่อ
fu
BWbroadband ( % ) = × 100 (3.17)
fl
เ เมื่อ BW
fu
คือ แบนด์วิดท์ของสายอากาศ
คือ ขอบความถี่สูงของย่านความถี่
fl คือ ขอบความถี่ต่ําของย่านความถี่
fc คือ ความถีก่ ลางของย่านความถี่
0 1 2 5 2
s . 2 3 7 :
e
.U r 14 :
/ K K 56 1
4 5 7 6 / 2
. 14 9 / 0
0
1 มื่อ 2
เ
ภาพที่ 3.6
3 ตัวอย่างรูปแบบการแพ
ป พร่กระจายคลืนของสายอาก
น่ กาศไดโพลทีม่มีีขนาดต่างกัน
0 1 2 5 2
s . 2 3 7 :
e
.U r 14 :
/ K K 56 1
4 5 7 6 / 2
. 14 9 / 0
0
1 มื่อ 2
เ ภาพที่ 3.7 แสดงรู
แ ปแบบกการแพร่กระจจายคลื่นแบบรรอบตัวของสาายอากาศไดโพพลในแบบสามมมิติ
แต่ถ้ามีการปรับแต่งสายอากาศไ
ง ไดโพล โดยเพิ่มเติมตัวสะะท้อน (Refleector) และตั
แ วนํา
(Direcctor) รูปแบบบการแพร่กระะจายคลื่นที่ได้จะเปลี่ยนไปปเป็นการแพร่กระจายแบบมีทิศทาง (Dirrectional
Patteern) ซึ่งรูปแบบบการแพร่กระจายของคลืลื่นจะมีลักษณ ณะคล้ายกับลูกบอลลู
ก น ออกจากปลายสายอากาศ
ทางฝั่งที่ติดตั้งตัวนํา ดังแสดงในภภาพที่ 3.8
สายอากาศลักษณะนีนี้จะเห็นได้ตามอาคาร
า แลละที่พักอาศัยทัท่วไป โดยใช้เเป็นสายอากาาศสําหรับ
เครื่องรั
ง บโทรทัศน์ (ยากิ-อุดะ) ในการติ
ใ ดตั้งจะหั
จ นสายอากกาศด้านตัวนํา ไปยังทิศที่ตั้งของสถานีส่งสั
ง ญญาณ
โทรทััศน์ เพื่อให้รบสั
บั ญญาณได้ชัชัดเจนที่สุด
. 2 2 17
1
3.6 สายอากาศประเภทต่าง ๆ [18]
0 2 5 2
. 2 :
ในปัจจุบันสายอากาศที่ถูกนํามาใช้งานมีด้วยกันหลายประเภท ทั้งแบบภายใน และภายนอก
s 3 7
:
อาคาร จึงขอยกตัวอย่างคร่าว ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างและการนําไปใช้งานของสายอากาศ
ประเภทต่าง ๆ ดังนี้
e
.U r 14
3.6.1 สายอากาศแบบ Omni
/ K K 6 1
เป็นสายอากาศอากาศที่กระจายสัญญาณรอบทิศทาง 360 องศาโดยมากใช้ติดตั้งไว้
5
7 2
นอกอาคารตรงกลางของหน่วยงาน เพื่อให้กระจายสัญญาณได้ครอบคลุมพื้นที่หน่วยงานนั้น ๆ
4 4 5 0 6 /
0 . 1 2 9 /
1 มื่อ
เ
1 2 2
- ยากิ-อุดะ (Yaki-Uda) สร้างขึ้นเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของสายอากาศแบบไดโพล ซึ่ง
0 5
s . 2 3 7 :
เกิดเงาภาพซ้อนได้ง่ายเนื่องจากสัญญาณที่สะท้อนกลับมาจากด้านหลัง สามารถเข้า
:
กับไดโพลได้พอดีกับสัญญาณรับทางด้านหน้า จึงดัดแปลงเพื่อเพิ่ม Reflector ลงไป
e
.U r 14
เพื่อลดสัญญาณที่สะท้อนมาจากด้านหลังให้ต่ําลง
โดยมีส่วนประกอบหลักดังนี้
/ K K 6 1
1. Reflector อยู่ด้านหลังของโฟลเดดไดโพล ทําหน้าที่สะท้อนสัญญาณ
5
7
2. Director ทําหน้าที่เป็นตัวน าคลื่น
4 5 / 2
3. Folded Dipole ทําหน้าที่รับสัญญาณ
6
. 14 9 / 0
0
1 มื่อ 2
เ
- พาลาโบลิก เป็นสายอากาศแบบบังคับทิศทางที่กําหนดให้กระจายสัญญาณได้แคบ
ในช่วง 8 ถึง 15 องศา เพื่อให้ส่งสัญญาณได้ระยะทางไกลขึ้น ส่วนใหญ่ใช่เชื่อมต่อ
สัญญาณเครือข่ายระหว่างอาคาร หรือหน่วยงานเป็นสําคัญมีทั้งแบบ Rectangle
(สี่เหลี่ยมผืนผ้า) ที่มีหน้าสัมผัสสัญญาณแบบ Parabolic
1 2 2
- สายอากาศแบบ Wave Guide เป็นสายอากาศรูปทรงกระบอกกลม หรือสี่เหลี่ยม
0 5
s . 2 3 7 :
ผื้นผ้า ทําจากโลหะสะท้อนสัญญาณในพื้นที่ ปิดเพื่อให้ความยาวช่วงคลื่ นตามที่
:
กําหนด มีลักษณะการส่งสัญญาณแบบมีทิศทาง โดยมากมักจะบังคับทิศทางไว้
e
.U r 14
ประมาณ 30 องศา
/ K K 56 1
4 5 7 6 / 2
. 14 9 / 0
0
1 มื่อ 2
เ ภาพที่ 3.13 สายอากาศแบบ Wave Guide [23]