Professional Documents
Culture Documents
พ.ท.กิตติศักดิ์ ศรีกลาง
โรงเรียนแผนที่ กรมแผนที่ทหาร
เผยแพร่ 16 ต.ค.57
คำนำ
เอกสารนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อเป็นพื้นฐานเริ่มแรกสาหรับผู้ศึกษาวิชาการสารวจข้อมูลระยะไกล
(Remote Sensing) โดยครอบคลุมเนื้อหาอย่างกว้าง ๆ เพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาอย่างละเอียดต่อไป
สาหรับรายละเอียดในแต่ละหัวข้อสามารถที่จะศึกษาได้จากเอกสารอ้างอิงที่ได้ระบุไว้ ทั้งจากตารา และ
Website เนื่องจากเป็นการเรียบเรียงในครั้งแรก จึงน่าจะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง โดยผู้เรียบเรียงจะ
พยายามแก้ไขในโอกาสต่อไป และยินดีรับคาแนะนา และข้อเสนอแนะจากทุกท่าน หวังว่าเอกสารนี้
จะเป็นประโยชน์แก้ผู้สนใจตามสมควร
ร.ท.กิตติศักดิ์ ศรีกลาง
ก.ย.45
1 . การสารวจข้อมูลระยะไกล : แนวความคิด และหลักเบื้องต้น
1.1 กล่าวนา
วิชา การสารวจข้อมูลระยะไกล มาจากคาว่า “ Remote Sensing ” เป็นคาที่ประกอบขึ้นมาจากการรวม
2 คา ซึ่งแยกออกได้ดังนี้ คือ
Remote = ระยะไกล
Sensing = การรับรู้
จึงหมายถึง " การรับรู้จากระยะไกล " โดยนิยามความหมายนี้ได้กล่าวไว้ว่า “ เป็นการสารวจ
ตรวจสอบคุณสมบัติสิ่งใดๆ ก็ตาม โดยที่มิได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นเลย” โดย คาว่า " Remote Sensing "
มีความหมายในภาษาไทย หลายคา เช่น “ การสารวจจากระยะไกล ” “ การสารวจข้อมูลระยะไกล ” “
การสารวจข้อมูลจากดาวเทียม ” เป็นต้น
ปัจจุบันข้อมูลด้านนี้ได้นามาใช้ในการศึกษาและวิจัยอย่างแพร่หลาย เพราะให้ประโยชน์หลายประการ
อาทิเช่น ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายในการสารวจเก็บข้อมูล ความถูกต้อง และรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ได้รับ
การพัฒนาให้ก้าวหน้าโดยมีการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือรับสัญญาณที่มีประสิทธิภาพสูง เทคนิคที่นามาใช้
ในการแปลตีความก็ได้รับการพัฒนาควบคู่กันไปให้มีความถูกต้อง แม่นยา และรวดเร็วยิ่งขึ้น จึงปรากฏว่ามี
การนาข้อมูลทั้งภาพถ่ายทางอากาศ และ ภาพถ่ายดาวเทียม มาใช้ประโยชน์เพื่อสารวจหาข้อมูลและทา
แผนที่ทรัพยากรกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
2
องค์ประกอบที่สาคัญของการสารวจจากระยะไกลได้แก่ คลื่นแสงที่เป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่
บันทึกได้ด้วยเครื่องรับสัญญาณ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น จาก
ดวงอาทิตย์ หรือเป็นพลังงานที่ยานสารวจสร้างขึ้นเอง โดย ระบบการสารวจระยะไกลโดยอาศัยพลังงาน
แสงธรรมชาติ เรียกว่า “ ระบบ Passive Remote Sensing ” เช่น ระบบดาวเทียมสารวจทรัพยากร
Landsat และ SPOT ส่วนระบบที่มีแหล่งพลังงานที่สร้างขึ้นและส่งไปยังวัตถุเป้าหมาย และรับ
พลังงานที่สะท้อนกลับมาสู่เครื่องมือรับสัญญาณ แล้วบันทึกไว้ เรียกว่า “ ระบบ Active Remote
Sensing ” เช่น ระบบเรดาร์
องค์ประกอบของกระบวนการสารวจข้อมูลระยะไกล
สารสนเทศ (Information) ที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ และการบริหารทรัพยากรต่าง ๆ ที่ได้จาก
การสารวจข้อมูลระยะไกล จะมาจากสองกระบวนการหลัก คือ การรับข้อมูลและบันทึกสัญญาณข้อมูล
(Data Acquisition) และ การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis)
ภาพแสดงกระบวนการสารวจข้อมูลระยะไกล
3
แถบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ในช่วงคลื่นสั้นที่สุดตั้งแต่รงั สีแกมม่า เอกซเรย์ อัลตราไวโอเลต ช่วงคลื่นที่ตามองเห็น อินฟราเรด ไมโครเวฟ และคลื่นวิทยุ
รังสีเหนือม่วงหรือรังสีอุลตรา 0.03 - 0.4 ไมครอน ช่วงคลื่นสั้นกว่า 0.3 ไมครอน ถูกดูดซึมทั้งหมดโดยโอโซน (O3 ) ในบรรยากาศ
ไวโอเลต (Ultraviolet) ชัน้ บน
บันทึกภาพด้วยฟิล์มและอุปกรณ์บันทึกภาพได้ รวมทั้งช่วงคลื่นที่โลกมีการ
สะท้อนพลังงานสูงสุด (reflected energy peak) ที่ 0.5 ไมครอน ช่วงคลื่นแคบที่
ช่วงคลื่นตามองเห็นได้ 0.4 - 0.7 ไมครอน มีผลตอบสนองสายตามนุษย์แบ่งได้ 3 ช่วงย่อย คือ
(Visible) 0.4-0.5 ไมครอน น้าเงิน
0.5-0.6 ไมครอน สีเขียว
0.6-0.7 ไมครอน สีแดง
มีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุตามความยาวคลื่นและการผ่านชั้นบรรยากาศ มีการดูดซึม
อินฟราเรด (Infrared) 0.7 - 100 ไมครอน
ในบางช่วงคลื่น
ช่วงคลื่นอินฟราเรดชนิด สะท้อนรังสีดวงอาทิตย์ ซึ่งไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับช่วงความร้อนของวัตถุช่วง
สะท้อน 0.7-3.0 ไมครอน คลื่น 0.7-0.9 ไมครอน สามารถถ่ายรูปด้วยฟิล์มเรียกว่าช่วงคลื่นอินฟราเรด
(Reflected IR band) photographic IR band
ช่วงคลื่นยาวสามารถทะลุผ่านหมอกและฝนได้บันทึกภาพได้ทั้งระบบ active
คลื่นสั้น (Microwave) 0.1-30 cm
และ passive
E = hf
E = พลังงาน 1 Quantum , Joules
h = ค่าคงที่ของพลังค์ (Planck Constant)
6.62610-34 J.sec
f = ค่าความถี่
หรือ E = hc /
จะเห็นว่า พลังงานเป็นสัดส่วนผกผันกับความยาวคลื่น คือ ความยาวคลื่นมากจะให้พลังงานต่า
ดังนั้น ถ้าวัตถุใดส่งพลังงานช่วงคลื่นยาว เช่น ไมโครเวฟ การตรวจรับพลังงานโดยอุปกรณ์ทางรีโมทเซน
ซิ่งที่ช่วงคลื่นนี้จะยากกว่าการตรวจรับพลังงานที่ช่วงคลื่นสั้น ถ้าต้องการบันทึกพลังงานในช่วงคลื่นนี้
จะต้องบันทึกพลังงานในบริเวณกว้าง และใช้เวลาในการบันทึกนานพอ
จะเห็นว่าปริมาณการแผ่รังสีทั้งหมดจากวัตถุจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับอุณหภูมิสมบูรณ์ยกกาลัง 4
โดย การเแผ่รังสีที่ออกมาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น
m = A/T
m = ช่วงคลื่นที่มีการแผ่พลังงานสูงสุด
A = 2898 m K
T = อุณหภูมิ ( K )
กฏต่าง ๆ เหล่านี้ จะปรากฎอยู่ในลักษณะของ Blackbody Radiation Curve (ตามรูป) ซึ่งช่วยให้
เข้าใจลักษณะของการแผ่พลังงานของวัตถุ ในช่วงคลื่นต่าง ๆ กล่าวคือ ปริมาณพลังงานที่วัตถุแผ่ออกมาจะ
มีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิพื้นผิวของวัตถุนั้น อุณหภูมิพื้นผิวยิ่งสูง ปริมาณพลังงานยิ่างมากขึ้น
นอกจากนี้ อุณหภูมิพื้นผิวของวัตถุ จะมีความสัมพันธ์ผกผันกับจุดยอดของพลังงาน โดย จุดยอดของ
พลังงานจะกระจายไปทางช่วงคลื่นสั้นมากขึ้น เมื่อุณหภูมิสูงขึ้น
ปฏิกิริยาของพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้ากับพื้นผิวโลก
เนื่องจากระบบบันทึกพลังงานส่วนใหญ่จะบันทึกอยู่ในช่วงของพลังงานสะท้อน (Reflected
Energy) คือบันทึกพลังงานที่สะท้อนมาจากวัตถุ ดังนั้นการศึกษาเพื่อแยกชนิดของวัตถุจึงเป็นการศึกษาการ
สะท้อนพลังงานของวัตถุซึ่งสามารถเขียนเป็นสมการได้ดังนี้
ER () = EI ( ) – [ EA () + E T () ]
พลังงานที่สะท้อนมาจากวัตถุมีค่าเท่ากับพลังงานที่ตกระทบวัตถุ ลบด้วยพลังงานที่ถูกดูดซับไว้
และพลังงานที่ผ่านทะลุวัตถุนั้น ลักษณะพื้นผิวหน้าของวัตถุก็เป็นสิ่งสาคัญที่มีอิทธิพลต่อการสะท้อน
พลังงาน วัตถุที่มีพื้นหน้าเรียบ มุมสะท้อนพลังงานจะเท่ากับมุมตกกระทบ วัตถุที่มีผิวหน้าขรุขระ การ
สะท้อนพลังงานจะไม่เป็นระเบียบในทุกทิศทาง อย่างไรก็ตามวัตถุส่วนใหญ่จะมีลักษณะผสมผสานกัน
ระหว่างสองลักษณะนี้ นอกจากลักษณะของพื้นผิววัตถุแล้ว ยังต้องคานึงถึงความยาวของช่วงคลื่นที่ตก
กระทบวัตถุด้วย
ถ้าเป็นพลังงานช่วงคลื่นสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดอนุภาคของวัตถุที่ประกอบเป็นผิวหน้าวัตถุ หรือความ
ต่างระดับของผิวหน้าวัตถุ การสะท้อนแสงอาจเป็นแบบให้ลักษณะวัตถุพื้นผิวขรุขระได้ แต่ถ้าในวัตถุชนิด
เดียวกันนี้ได้รับพลังงานตกกระทบในช่วงคลื่นยาว เมื่อเปรียบเทียบกับผิววัตถุการสะท้อนแสงก็อาจเป็น
แบบลักษณะของวัตถุที่มีพื้นผิวราบได้
R () ER X
= (E ) 100
I
ดังนั้นพลังงานที่วัดได้โดยตัวรับสัญญาณ จึงประกอบด้วยพลังงานที่สะท้อนหรือแผ่จากพื้นผิววัตถุ
พลังงานบางส่วนจากปฏิกิริยาในชั้นบรรยากาศ พลังงานที่สะท้อนกลับโดยตรงจากก้อนเมฆ ค่าที่วัดได้นี้จะ
น้อยหรือมาก หรือเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับ สภาวะของบรรยากาศ มุมของดวงอาทิตย์ มุมของตัวรับ
สัญญาณ คุณสมบัติของวัตถุในการสะท้อน การดูดซึม และการส่งผ่านพลังงาน
น้า
การสะท้อนพลังงานของน้ามีลักษณะต่างจากวัตถุอื่นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงคลื่น อินฟราเรด
ทาให้สามารถเขียนขอบเขตของน้าได้ เนื่องจากน้าที่ปรากฏอยู่บนผิวโลกมีหลายสภาพด้วยกัน เช่น น้าขุ่น
น้าใส หรือน้าที่มีสารต่างๆ เจือปน ดังนั้นการสะท้อนพลังงานจึงแตกต่างกันออกไป บางครั้งพื้นที่ที่
รองรับน้าอาจจะมีผลต่อการสะท้อนพลังงานของน้า น้าใสจะดูดกลืนพลังงานเล็กน้อยที่ช่วงคลื่นต่าว่า 0.6
ไมครอน การส่งผ่านพลังงานเกิดขึ้นสูงในช่วงแสงสีน้าเงิน เขียว แต่น้าที่มีตะกอนหรือสิ่งเจือปน การ
สะท้อน และการส่งผ่านพลังงานจะเปลี่ยนไป เช่น น้าที่มีตะกอนดินแขวนลอยอยู่มาก จะสะท้อนพลังงาน
ได้มากกว่าน้าใส ถ้ามีสารคลอโรฟิลล์ในน้ามากขึ้น การสะท้อนช่วงคลื่นสีน้าเงินจะลดลงและจะเพิ่มขึ้น
ในช่วงคลื่นสีเขียว ซึ่งอาจใช้เป็นประโยชน์ในการติดตามและคาดคะเนปริมาณสาหร่าย นอกจากนี้ข้อมูล
การสะท้อนพลังงานยังเป็นประโยชน์ในการสารวจคราบน้ามัน และมลพิษจากโรงงานได้
2 . การสารวจระยะไกลด้วยดาวเทียม
2.1 วิวัฒนาการของการสารวจระยะไกลด้วยดาวเทียม
การสารวจข้อมูลระยะไกล เป็นการการหาข้อมูลหรือข่าวสารเกี่ยวกับวัตถุสิ่งของ หรือพื้นที่เป้าหมาย
ซึ่งอยู่ไกลจากเครื่องมือใช้วัดหรือใช้บันทึกโดยที่เครื่องมือเหล่านั้น ไม่ได้สัมผัสกับวัตถุสิ่งของหรือเป้าหมาย
เหล่านั้นเลย คือเครื่องมือที่ใช้ตรวจบันทึก ได้รับการนาขึ้นไปบนอากาศยานหรือ ยานอวกาศ ทาให้มองลง
มายังบริเวณที่ศึกษาได้บริเวณกว้าง เพื่อรับและบันทึก สัญญาณที่เป็นข้อมูลซึ่งส่งขึ้นไปใน ลักษณะพลังงาน
แม่เหล็กไฟฟ้าในรูปของการสะท้อนพลังงาน หรือการส่งพลังงานออกจากตัวเองโดยวิธีการแผ่ความร้อน
(Emission) พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ช่วยให้รีโมทเซนซิ่งเป็นไปได้ การนาเอาเครื่องมือชนิดที่มีขีด
ความสามารถต่าง ๆ กันขึ้นไปบนยานอวกาศ และทาการบันทึกข้อมูลจากพื้นโลกโดยการสะท้อนหรือการ
ส่งพลังงาน จึงเป็นเทคโนโลยีการสารวจข้อมูลระยะไกล และการนาเอาข้อมูลเบื้องต้นมาทาการวิเคราะห์
โดยผ่านกรรมวิธีต่างๆนั้นเป็นขั้นตอนของการทางานในระบบนี้
การพัฒนาเทคโนโลยีของการสารวจระยะข้อมูลไกลไม่ใช่สิ่งใหม่ ได้ใช้กันในทางปฏิบัติมาเป็น
เวลานานแล้ว จากหลักฐานพบว่าได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีนี้มาในสองยุค คือ ก่อนยุคอวกาศ (ก่อนปี 2503)
และ ยุคอวกาศ (หลังปี 2503) ในช่วงเวลานี้ ก็ได้มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็นลาดับ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยุคแรกและ
ยุคที่สอง
ก่อนยุคอวกาศ
วิชา การสารวจระยะข้อมูลไกล ได้พัฒนามาจากการใช้ภาพถ่าย ซึ่งนา มาใช้ในการสารวจทรัพยากร
และสารวจภูมิประเทศ และเมื่อมีเครื่องบินก็ได้มีการถ่ายรูปทางอากาศจากเครื่องบิน ในสงครามโลกครั้งที่ 1
และ ครั้งที่ 2 การพัฒนาการถ่ายรูปทางอากาศมีมากเพื่อกิจการทหารและความปลอดภัยของประเทศ ทาให้
การพัฒนาการสารวจระยะข้อมูลไกลเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเป็นประโยชน์สาหรับการสารวจทรัพยากร
ธรรมชาติอื่น ๆ ด้วย การใช้รูปถ่ายทางอากาศและการวิเคราะห์ ภาพในยุคนั้น ใช้การแปลด้วยสายตา และ
ใช้กุญแจการแปลภาพช่วย ในยุคนั้นยังไม่มีการนาเอาการทางานแบบสหวิทยาการมาประยุกต์ใช้ เพราะต่าง
คนต่างทาในสาขาที่ตนถนัด แต่ก็ได้ผลดี นอกจากนี้ ยังไม่มีแนวความคิดในการทดแทนธรรมชาติและ
การป้องกันภาวะแวดล้อมที่เสียหาย เพราะไม่มีข้อมูลระดับโลกเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ และการพัฒนา
เทคโนโลยีการสารวจระยะข้อมูลไกลยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
15
ยุคอวกาศ
การพัฒนาด้านอวกาศขึ้น ทาให้มีการส่งดาวเทียมออกไปโคจรรอบโลก มีการปรับปรุงเครื่องมือ
เครื่องใช้ ในการบันทึกข้อมูล จึงทาให้ได้ข้อมูลหลายชนิดและหลายช่วงเวลา มีการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์
ช่วยในกรรมวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล เครื่องมือเครื่องใช้จึงสลับซับซ้อนขึ้น มีการนาเอาหลักการทางาน
แบบสหวิทยาการในหลายสาขาวิชามาใช้มากขึ้น มีความนึกคิดที่ให้มีการทดแทนทรัพยากรธรรมชาติและ
การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น แต่แม้ว่าจะมีการพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้และยานอวกาศแล้วก็ตาม การใช้
กล้องถ่ายภาพและใช้เครื่องบินก็ยังคงมีต่อไป และใช้ได้กับความจาเป็นเฉพาะเรื่อง ความต้องการข้อมูล
ระดับโลกมีมากขึ้นแต่รูปถ่ายทางอากาศมีขีดจากัด จึงทาให้การพัฒนาเทคโนโลยีจากอวกาศเป็นไปได้อย่าง
รวดเร็ว
ดาวเทียม คือ วัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นไปโครจรรอบโลก เพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านการวิจัยทาง
วิทยาศาสตร์ การรายงานสภาพอากาศ หรือเพื่อการลาดตระเวนทางทหาร ดาวเทียมเพื่อการวิจัยทาง
วิทยาศาสตร์จะทาหน้าที่ในการ สังเกตการณ์สภาพของอวกาศ โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวอื่น ๆ
รวมถึงวัตถุประหลาดต่างๆ ในกาแลคซี่ หรือระบบสุริยจักรวาล ...
ดาวเทียมในทศวรรษที่70
ช่วงทศวรรษที่ 70 ได้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เกิดขึ้นในโลกของดาวเทียม อุปกรณ์และ
เครื่องมือใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมได้ถูกนามาใช้ ชิ้นส่วนอุปกรณ์เหล่านั้นล้วนถูกทาขึ้นมาจาก
การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีในการผลิตอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบและ
ก่อสร้างดาวเทียม
ดาวเทียมในทศวรรษที่ 80
ช่วงทศวรรษที่ 80 ดาวเทียมได้ถูกนามาใช้ในการช่วยเหลือมนุษย์มากขึ้น ในเดือนพฤศจิกายน
พ.ศ.2525 Palapa B-2 ซึ่งเป็นดาวเทียมเพื่อการช่วยเหลือมนุษย์ดวงแรกที่ถูกส่งขึ้นไปโดยบรรทุกไปกับ
ยานขนส่งอวกาศ Challenger
ดาวเทียมในทศวรรษที่ 90
ในช่วงทศวรรษที่ 90 ดาวเทียมถูกใช้งานไปอย่างกว้างขวาง ไม่เว้นแม้แต่งานธรรมดาทั่วไป
เช่น บริษัท TRW Inc. ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนธรรมดา ก็ได้มีการวางแผนที่จะสร้างระบบดาวเทียมที่ครอบคลุม
เครือข่ายการสื่อสารผ่านดาวเทียม ระบบนี้เรียกว่า "Odyssey" ซึ่งได้ถูกใช้ในธุรกิจโทรคมนาคม ดาวเทียม
ของ TRW จะเน้นให้บริการในเขตพื้นที่สาคัญๆ เหมือนกับว่ามันได้ครอบคลุมโลกทุกส่วนไว้เป็นหนึ่งเดียว
ฉะนั้น บริษัทจึงคาดหวังว่าจะสร้างกาไรงามๆ จากธุรกิจดาวเทียมโทรคมนาคม เหล่านี้ เป็นวิวัฒนาการที่
เกิดขึ้นและถูกพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่าอยู่ตลอดเวลา
ดาวเทียมหลังทศวรรษที่ 90
หลังทศวรรษที่ 90 จนถึงศตวรรษที่ 21 ดาวเทียมยังคงถูกพัฒนาประสิทธิภาพ และขีด
ความสามารถต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนก้าวไปสู่ระบบอุตสาหกรรมดาวเทียม
2.2 ลักษณะการโคจรของดาวเทียม
2. 1 การโคจรในแนวระนาบกับเส้นศูนย์สูตร การโคจรในแนวระนาบกับเส้นศูนย์สูตร สอดคล้อง
และมีความเร็วในแนววงกลมเท่าความเร็วของโลกหมุนรอบตัวเอง ทาให้ดาวเทียมเสมือนลอยนิ่งอยู่เหนือ
ตาแหน่งเดิมเหนือผิวโลก (Geostationary or Earth synchronous) โดยทั่วไปโคจรห่างจากโลกประมาณ
36,000 กม. ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา และดาวเทียมสื่อสาร
2.2 การโคจรในแนวเหนือ-ใต้ โคจรในแนวเหนือ-ใต้รอบโลก ซึ่งสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ (Sun
Synchronous) โดยโคจรผ่านแนวศูนย์สูตร ณ เวลาท้องถิ่นเดียวกัน โดยทั่วไปโคจรสูงจากพื้นโลกที่ระดับต่า
กว่า 2,000 กม. ซึ่งมักเป็นดาวเทียมสารวจทรัพยากรแผ่นดิน
17
การโคจรของดาวเทียม
การโคจรของดาวเทียมในแนวเหนือ - ใต้
18
2.3 ประเภทของดาวเทียม
การสารวจทรัพยากรโลกด้วยดาวเทียมได้วิวัฒนาการอย่างรวดเร็วต่อเนื่องมาเป็นลาดับ สามารถจาแนก
ได้ 2 ระดับ คือ ระดับวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ในระยะเริ่มแรกและ ระดับปฏิบัติงาน
(Operational) ในระยะต่อมา ดาวเทียมที่ส่งขึ้นปฏิบัติงานในช่วงแรกมีอายุปฏิบัติงานช่วงสั้น ต่อมาเป็น
ระบบอัตโนมัติเพื่อใช้ในระดับปฏิบัติงาน และระบบที่มีมนุษย์อวกาศควบคุม ในปัจจุบันมีดาวเทียมจานวน
มากหลายพันดวง ได้ถูกส่งเข้าสู่วงโคจรเพื่อปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ ซึ่งสามารถจาแนกตามลักษณะการใช้
ประโยชน์ออกเป็น
ดาวเทียมสารวจทรัพยากร การใช้ดาวเทียมสารวจทรัพยากรและสภาพแวดล้อมของโลก เป็นการ
ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีการถ่ายภาพ และโทรคมนาคม โดยการทางานของดาวเทียมสารวจทรัพยากร
จะใช้หลักการ สารวจข้อมูลจากระยะไกล (Remote Sensing) หลักการที่สาคัญของดาวเทียมสารวจ
ทรัพยากร คือ ใช้คลื่นแสงที่เป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า (EME : Electro - Magnetic Energy) ทาหน้าที่
เสมือนสื่อกลางส่งผ่านระหว่างวัตถุเป้าหมาย และอุปกรณ์บันทึกข้อมูล อุปกรณ์ถ่ายถาพที่ติดตั้งอยู่บน
ดาวเทียม มักจะได้รับการออกแบบให้มีความสามารถถ่ายภาพ และมีความหลากหลายในรายละเอียดของ
ภาพได้อย่างเหมาะสม เพื่อประโยชน์ในการจาแนกประเภททรัพยากรที่สาคัญ ๆ ดาวเทียมจานวนมากได้
ถูกส่งเข้าสู่วงโคจร เพื่อประโยชน์ในด้านการสารวจทรัพยากร โดยมีดาวเทียม LANDSAT เป็นดาวเทียม
สารวจทรัพยากรธรรมชาติดวงแรก ที่ถูกส่งเข้าสู่วงโคจร เมื่อ พ.ศ. 2515 ดาวเทียมสารวจทรัพยากรจะ
โคจรแบบสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ (Sun - Synchronous) เป็นวงโคจรในแนวเหนือ - ใต้ และผ่านแนว
ละติจูดหนึ่ง ๆ ที่เวลาท้องถิ่นเดียวกัน ประโยชน์ที่ได้รับ ได้แก่ ด้านการสารวจพื้นที่ป่าไม้ ด้าน
การเกษตร ด้านการใช้ที่ดิน
ด้านธรณีวิทยา เพื่อจัดทาแผนที่ภูมิประเทศ หาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในดิน ด้านอุทกวิทยา เพื่อศึกษา
สภาพและแหล่งน้า ทั้งบนดินและใต้ดิน ฯลฯ
ดาวเทียมสื่อสาร ดาวเทียมสื่อสารเป็นดาวเทียมที่เชื่อมโยงเครือข่ายการสื่อสารของโลกเข้าไว้
ด้วยกัน นับตั้งแต่ NASA ส่งดาวเทียมสื่อสารเข้าสู่วงโคจรไป จนปัจจุบันมีบริษัทเอกชนจานวนมากที่เข้า
มาบุกเบิกธุรกิจ และทากาไรมหาศาล จากประโยชน์ต่าง ๆ ที่ได้จากดาวเทียม ดาวเทียมสื่อสารเมื่อถูกส่งเข้า
สู่วงโคจร มันก็พร้อมที่จะทางานได้ทันที มันจะส่งสัญญาณไปยังสถานีภาคพื้นดิน สถานีภาคพื้นดินจะรับ
สัญญาณโดยใช้อุปกรณ์ ที่เรียกว่า " Transponder " ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่พักสัญญาณ แล้วกระจาย
สัญญาณไปยังจุดรับสัญญาณต่าง ๆ บนพื้นโลก ดาวเทียมสื่อสารสามารถส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์ ข้อมูล
ต่างๆ รวมถึงสัญญาณภาพโทรทัศน์ได้ไปยังทุกหนทุกแห่ง เนื่องจากดาวเทียมสื่อสารเป็นดาวเทียมที่ต้อง
ทางานอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการหยุด ดาวเทียมสื่อสารจึงถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี ให้สามารถใช้งานใน
อวกาศได้ประมาณ 10 - 15 ปี โดยที่ดาวเทียมต้องสามารถโคจร และรักษาตาแหน่งให้อยู่ในตาแหน่งที่
ถูกต้องได้ตลอดเวลา ดาวเทียมสื่อสารทางานโดยอาศัยหลักการส่งผ่านสัญญาณถึงกันระหว่างสถานี
19
ในระยะแรกดาวเทียมที่ส่งขึ้นไปมีอายุปฏิบัติงานช่วงสั้น ต่อมาเป็นระบบอัตโนมัติเพื่อใช้งานใน
ระดับปฏิบัติงาน รวมถึงระบบที่มีมนุษย์อวกาศควบคุม จนถึงปัจจุบัน ดาวเทียมจานวนมากได้ถูกส่งเข้าสู่
วงโคจร เพื่อประโยชน์ในด้านการสารวจทรัพยากร โดยมีดาวเทียม Landsat เป็นดาวเทียมสารวจทรัพยากร
ดวงแรก ที่ถูกส่งเข้าสู่วงโคจร เมื่อ พ.ศ. 2515
วิธีการทางาน
การใช้ดาวเทียมสารวจทรัพยากรและสภาพแวดล้อมของโลก เป็นการผสมผสานระหว่าง
เทคโนโลยีการถ่ายภาพ และโทรคมนาคม โดยการทางานของดาวเทียมสารวจทรัพยากรจะใช้หลักการ
สารวจข้อมูลระยะไกล โดยใช้คลื่นแสงที่เป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า (EME : Electro - Magnetic Energy)
ทาหน้าที่เสมือนสื่อกลางส่งผ่านระหว่างวัตถุเป้าหมาย และอุปกรณ์บันทึกข้อมูล อุปกรณ์ถ่ายถาพที่ติดตั้งอยู่
บนดาวเทียม มักจะได้รับการออกแบบให้มีความสามารถถ่ายภาพ และมีความหลากหลายในรายละเอียดของ
ภาพได้อย่างเหมาะสม เพื่อประโยชน์ในการจาแนกประเภททรัพยากรที่สาคัญๆ
วิถีการโคจร
ดาวเทียมสารวจทรัพยากรจะโคจรแบบสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ (Sun - Synchronous) เป็นวง
โคจรในแนวเหนือ - ใต้ และผ่านแนวละติจูดหนึ่งๆ ที่เวลาท้องถิ่นเดียวกัน
22
ประโยชน์ที่ได้รับ (ศึกษาลักษณะภูมิประเทศ)
- ด้านการสารวจพื้นที่ป่าไม้
- ด้านการเกษตร
- ด้านการใช้ที่ดิน
- ด้านธรณีวิทยา หาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในดิน
- ด้านอุทกวิทยา เพื่อศึกษาสภาพและแหล่งน้า ทั้งบนดินและใต้ดิน ฯลฯ
- จัดทา / แก้ไขปรับปรุงแผนที่ภูมิประเทศ
3.2 ตัวอย่างดาวเทียมเพื่อการสารวจทรัพยากร
ดาวเทียม Landsat
ดาวเทียม Landsat -1 ถูกส่งขึ้นโคจรรอบโลก เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2515 โดยองค์การบริหาร
การบินและอวกาศแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา (National Aeronautic and Space Administration, NASA)
นับเป็นดาวเทียมสารวจโลกดวงแรกของโลก และเป็นจุดเริ่มต้นของความก้าวหน้าทางด้านการสารวจ
ระยะไกล จนปัจจุบันได้มีการส่งดาวเทียม Landsat ไปแล้วรวมทั้งสิ้น 6 ดวงขณะนี้ มีดาวเทียม Landsat -5
และ Landsat -7 เท่านั้นที่ยังคงปฏิบัติงานอยู่
คุณลักษณะ
ดาวเทียม วงโคจร ช่วงคลื่น ความละเอียดจุดภาพ ความกว้างของแนวภาพ
เครื่องบันทึกภาพ
(ไมครอน) (เมตร) (กิโลเมตร)
Landsat - 1 สัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ MSS 0.5 - 0.6
(2515) ระดับสูง : 915 กม. (Multispectral 0.6 - 0.7
Landsat –2 มุมเอียง : 99 Scanner System) 0.7 - 0.8 80 ม.
(2518) โคจรมาที่จุดเดิม : 18 วัน (เครื่องกวาดภาพ 0.8 - 0.9
185 กม.
สหรัฐอเมริกา โคจรรอบโลก : 103 นาที (14 รอบ/ วัน) หลายช่วงคลื่น)
โคจรผ่านเส้นศูนย์สูตร : 8.50 - 9.30น. RBV 0.47 - 0.575
ระยะห่างแนวโคจรถัดไป : 2,760 กม. (Retern Beam 0.580 - 0.680 80 ม.
โคจรผ่านแนวถัดไป : 1 วัน Vidicon Camera) 0.69 - 0.830
Landsat - 3 เหมือนกับ LANDSAT-1,2 MSS 0.5 - 0.6
(2521) 0.6 - 0.7
80 ม. 185 กม.
สหรัฐอเมริกา 0.7 - 0.8
0.8 - 1.1
RBV 0.50 - 0.750 38 ม. 92 กม. 2
Landsat - 4 สัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ TM 0.45 - 0.52
(2525) ระดับสูง : 915 กม. (Thematic 0.52 - 0.60
Landsat - 5 มุมเอียง : 98 Mapper) 0.63 - 0.69
30 ม.
(2527) โคจรมาที่จุดเดิม : 16 วัน (ธีมาติกแมปเปอร์) 0.75 - 0.90
สหรัฐอเมริกา โคจรรอบโลก : 99 นาที (14.5 รอบ/ วัน) 1.55 - 1.75
185 กม.
โคจรผ่านเส้นศูนย์สูตร : 9.45 น. 2.08 - 2.35
ระยะห่างแนวโคจรถัดไป : 2,752 กม. MSS 0.5 - 0.6
โคจรผ่านแนวถัดไป : 7 วัน 0.6 - 0.7
80 ม.
0.7 - 0.8
0.8 - 1.1
Landsat - 6 สูญหาย
(2535)
สหรัฐอเมริกา
25
ดาวเทียม SPOT ดาวเทียม SPOT (Le Systeme Probatoire d’Observstion de la Terre) เป็น
ดาวเทียมที่ศูนย์วิจัยอวกาศแห่งชาติ (Centre National d’Etudes Spatiales, CNES) ประเทศฝรั่งเศส ดาวเทียม
SPOT 1 ได้เริ่มส่งขึ้นโคจรครั้งแรก เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2529 จากฐานยิงศูนย์อวกาศกีอานา Guiana
Space Center, French Guina ในอเมริกาใต้ โดยจรวดชื่อ Arian-1
ปัจจุบัน ดาวเทียม SPOT 4 โคจรสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์แบบ Polar Orbit ทามุมเฉียง 98 องศา
ที่ระดับความสูงประมาณ 830 กม. ใช้เวลา 101 นาทีต่อการโคจร 1 รอบ มีความถี่ในการถ่ายภาพซ้า 26 วัน
ดาวเทียม SPOT 4 เป็นดาวเทียมที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ โดยมีอุปกรณ์ HRVIR ซึ่งพัฒนาจาก HRV
ซึ่งเป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพบนดาวเทียม และสามารถปรับมุมกล้องให้มองไปทางด้านซ้ายหรือขวา ดังนั้น
รูปแบบแนวถ่ายภาพจึงไม่คงที่ และสอดคล้องกับแนวโคจรดาวเทียม เช่นดาวเทียม LANDSAT แต่จะ
แปรเปลี่ยนไปขึ้นกับการโปรแกรมถ่ายภาพที่ควบคุมจากภาคพื้นดิน แม้ว่าโดยปกติดาวเทียมจะมีการโคจร
กลับมาถ่ายภาพในแนวเดิมทุก ๆ 26 วัน แต่คุณสมบัติในการเอียงกล้องได้นี้ ช่วยให้การถ่ายภาพซ้าของ
บริเวณใดบริเวณหนึ่ง เป็นไปได้อย่างถี่ขึ้น ซึ่งมีประโยชน์ในการนามาเปรียบเทียบเพื่อดูลักษณะการ
เปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และสามารถนามาสร้างภาพโมเดลสามมิติได้
ดาวเทียม SPOT 4
37
ระบบบันทึกภาพ
คุณลักษณะกล้อง HRV ระบบหลายช่วงคลื่น ระบบขาวดา
Multispectral Linear Array (MLA) Panchromatic Linear Array (PLA)
0.59 - 0.59
ช่วงคลื่น (ไมครอน) 0.61 - 0.68 0.51 - 0.73
0.79 - 0.89
มุม (องศา) 4.13 4.13
รายละเอียดภาพ (เมตร) 20 10
จุดภาพ (Pixel) ในแถว 3,000 6,000
ครอบคลุมพื้นที่ (กม.) 60 x 60 60 x 60
ความยาวคลื่น รายละเอียดของภาพ
ช่วงคลื่น ศักยภาพการใช้ประโยชน์
(ไมครอน) (เมตร)
1 0.50 – 0.59 20 ศึกษาพืช น้า และตะกอน
2 0.61 – 0.68 20 แยกป่าไม้ และสิ่งก่อสร้าง
3 0.79 – 0.89 20 ศึกษาภูมิประเทศ ดินและธรณีวิทยา แยกส่วนที่เป็นน้าและไม่เป็นน้า
ขาว - ดา 0.51 – 0.73 10 ความสามารถคล้ายรูปถ่ายทางอากาศ
38
3.3 คุณสมบัติของระบบดาวเทียมสารวจทรัพยากร
ภาพจากดาวเทียมสารวจทรัพยากรที่บันทึกด้วยระบบกล้องหลายช่วงคลื่น มีคุณสมบัติพิเศษ
แตกต่างจากกล้องถ่ายภาพธรรมดา คือ
1. ข้อมูลอยู่ในลักษณะตัวเลข (Digital Data) องค์ประกอบของภาพจะมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส
เล็ก ๆ เรียกว่า จุดภาพ (Pixel : Picture Element) ประกอบกันขึ้นเป็นภาพ (Image) แต่ละจุดภาพจะบันทึก
ค่าการสะท้อนช่วงคลื่นแสง ในแต่ละช่วงคลื่น (แบนด์) แล้วแต่จานวนแบนด์ของดาวเทียมแต่ละดวง เช่น
ดาวเทียม Landsat ระบบ Themetic Mapper :TM จะแบ่งการบันทึกออกเป็น 7 ช่วงคลื่น (แบนด์) แต่ละ
จุดภาพ (Pixel) จึงมีค่าการสะท้อนของช่วงคลื่นแสง 7 ค่า (ไม่เท่ากัน) ตามการสะท้อนในแต่ละแบนด์ โดย
แบ่งออกเป็นระดับความเข้มสีเทา (Gray Level) จานวน 256 ระดับ จาก 0 (ดา) ถึง 255 (ขาว) ของภาพในแต่
ละแบนด์ ซึ่งสามารถนาข้อมูลที่มีปริมาณมาก เหล่านี้ไปผลิตเป็นภาพขาวดาและภาพสีผสม ตลอดจนนามา
วิเคราะห์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
2. ข้อมูลที่บันทึกสามารถส่งมายังสถานีรับภาคพื้นดินได้ทันที
3. สามารถบันทึกข้อมูลในช่วงคลื่นที่กล้องธรรมดาบันทึกไม่ได้ ตลอดจนข้อมูลที่ได้รับ
รายละเอียดภาพ (Spatial Resolution) สูงตั้งแต่ ประมาณ 1 เมตร ขึ้นไป
ภาพจากดาวเทียมสารวจทรัพยากรเป็นภาพที่มีลักษณะพิเศษ ตามคุณสมบัติของดาวเทียมที่ใช้ในการ
สารวจทรัพยากร พอสรุปได้ดังนี้
1. การบันทึกข้อมูลเป็นบริเวณกว้าง (Synopic View) ภาพจากดาวเทียมภาพหนึ่ง ๆ ครอบคลุม
พื้นที่กว้างทาให้ได้ข้อมูลในลักษณะต่อเนื่องในระยะเวลาบันทึกภาพสั้น ๆ สามารถศึกษาสภาพแวดล้อม
ต่าง ๆ ในบริเวณกว้างขวางต่อเนื่องในเวลาเดียวกันทั้งภาพ เช่น ภาพจาก Landsat ระบบ MSS และ TM
หนึ่งภาพคลุมพื้นที่ 185 185 ตร.กม. หรือ 34,225 ตร.กม. ภาพจาก SPOT คลุม พื้นที่ 60 60 ตร.กม.
และ MOS คลุมพื้นที่ 10,000 ตร.กม.
2. การบันทึกภาพได้หลายช่วงคลื่น ดาวเทียมสารวจทรัพยากรมีระบบกล้อง Scanner ที่
บันทึกภาพได้หลายช่วงคลื่นในบริเวณเดียวกัน ทั้งในช่วงคลื่นที่สายตามองเห็น และช่วงคลื่นนอกเหนือ
สายตามนุษย์ ทาให้แยกวัตถุต่าง ๆ บนพื้นผิวโลกได้อย่างชัดเจน เช่น ระบบ MSS และ MESSR มี 4 ช่วง
คลื่น ระบบ TM มี 7 ช่วงคลื่น ระบบ HRV ขาวดา และ สี มี 1 และ 3 ช่วงคลื่นตามลาดับ
3. การบันทึกภาพบริเวณเดิม (Repetitive Coverage) ดาวเทียมสารวจทรัพยากรมีวงโคจรจาก
เหนือลงใต้ และกลับมายังจุดเดิมในเวลาท้องถิ่นอย่างสม่าเสมอและในช่วงเวลาที่แน่นอน กล่าว คือ
Landsat ทุก ๆ 16 วัน MOS ทุก ๆ 17 วัน และ SPOT ทุก ๆ 26 วัน ทาให้ได้ข้อมูลบริเวณเดียวกัน
หลาย ๆ ช่วงเวลาที่ทันสมัยสามารถเปรียบเทียบและติดตามการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ บน พื้นผิวโลกได้เป็น
อย่างดี และมีโอกาสที่ จะได้ข้อมูลไม่มีเมฆปกคลุม
41
การผสมภาพจากดาวเทียมให้เป็นภาพสีนั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต้องการขยายรายละเอียด
เฉพาะเรื่องให้เด่นชัดเจน สามารถจาแนกหรือมีสีแตกต่างจากสิ่งแวดล้อม โดยทั่วไปแล้วสีผสมมาตรฐาน
ที่รู้จักกันทั่วไปได้แก่ การผสมสีให้พืชพรรณปรากฏเป็นสีแดง ได้แก่
42
กระบวนการทาภาพสีผสม
ผลที่ได้จากการทาภาพสีผสม
43
ตัวอย่างภาพดาวเทียมต้นฉบับ
4.1 การแปลภาพด้วยสายตา
การแปลภาพด้วยสายตาต้องอาศัยความสามารถของผู้ทาการแปล และถือว่าเป็นสิ่งสาคัญที่สุด
หากมีความรู้หรือคุ้นเคยกับสภาพพื้นที่นั้น ๆ ด้วยแล้ว จะทาให้การแปลมีความถูกต้องและรวดเร็ว
โดยทั่วไป การแปลภาพนั้นอาศัยหลักการเดียวกัน โดยเฉพาะองค์ประกอบของการแปลภาพ ซึ่งสรุปได้
ดังนี้
1. ความเข้มของสีและสี (Tone / color) ลักษณะการสะท้อนคลื่นแสงทาให้สีที่ปรากฏใน
ภาพถ่ายดาวเทียมแตกต่างกับตามคุณสมบัติของวัตถุที่จะมีความสามารถในการดูดซับแสง การสะท้อน
แสงและการให้แสงผ่านวัตถุไม่เหมือนกัน ซึ่งความสามารถต่างๆ ดังกล่าวจะเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน ถ้า
วัตถุมีการสะท้อนแสดงมากก็มีการดูดซับแสดงและยอมให้แสงผ่านน้อย ปกติวัตถุที่สะท้อนแสดงได้ดี
ภาพที่ปรากฏจะมีสีขาวจาง วัตถุที่มีการดูซับแสงมาก หรือมีการสะท้อนแสงน้อยสีจะทึบหรือดา ฉะนั้น
วัตถุในภาพถ่ายดาวเทียมจึงมีระดับความเข้มของสีต่างๆ กันในภาพขาว-ดา เช่น ป่าไม้ทึบสีคลอโพฟีลล์
หรือความเขียวมากปรากฏสีเข้ม ป่าโปร่งมีสีจาง น้าลึกปรากฏสีดาหรือเข้ม น้าตื้นหรือขุ่นมีสีจาง
ส่วนภาพสีผสม ในภาพถ่ายดาวเทียมได้จากการซ้อนข้อมูล 3 ช่วงคลื่น (แบนด์) เช่น แบนด์ 4 5 3 หรือ
4 5 7 ซึ่งจะพบว่าสีแดงเป็นสีของพืช สีเขียว สีน้าเงินหรือสีดา เป็นสีของน้า
2. ขนาด (Size) หมายถึง ความกว้าง ความยาว และความสูงของ วัตถุเนื่องจากภาพถ่ายดาวเทียม
มีมาตราส่วนเล็ก ดังนั้นวัตถุที่ปรากฏบนภาพจะขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ของวัตถุ เช่น ภาพของดาวเทียม
Landsat ระบบ TM วัตถุที่มีขนาดตั้งแต่ 30 30 เมตร จึงจะเห็นในภาพและมีส่วนสัมพันธ์กับรูปร่าง คือ
49
การวิเคราะห์ ภาพ
การตรวจหา / การจาแนก
ประเภท
การวัด / คานวณพื้นที่
การแก้ปัญหา
การวิเคราะห์ ภาพด้ วยสายตา การประมวลผลภาพด้ วยคอมพิวเตอร์
เทคนิคในการแปลภาพถ่ายจากดาวเทียม
1.) ให้จาแนกหรือแยกประเภทพื้นที่จากสิ่งที่เห็นได้ง่าย และรู้จักดีเสียก่อน แล้วค่อยๆ แยกในสิ่งที่
ยากหรือไม่รู้จัก
2.) ให้ดาเนินการแปลจากสิ่งที่ใกล้ตัวไปหาไกลตัว เช่น หมู่บ้าน ถนน แหล่งน้า และป่าไม้
52
ตารางแสดงการจาแนกระดับประเภทการใช้ที่ดินจากภาพถ่ายดาวเทียม
คุณสมบัติของผู้แปล
การที่จะวินิจฉัยวัตถุต่างๆ ในภาพถ่ายดาวเทียมจะเป็นต้องอาศัยความรู้ และประสบการณ์
ตลอดจนความชานาญหลายอย่างประกอบกัน จึงจะเป็นผู้ที่สามารถแปลภาพถ่ายดาวเทียมได้ดีและถูกต้อง
มีข้อผิดพลาดน้อย จะต้องมีคุณสมบัติที่สาคัญได้แก่ ความสามารถของสายตา ความรู้ภูมิหลัง ประสบการณ์
และความสามารถของจิตใจในการตัดสินใจอย่างถูกต้องและฉับไว
53
4.2 การประมวลผลภาพดาวเทียมด้วยคอมพิวเตอร์
อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นระบบรับสัญญาณระยะไกล (Remote Sensing System) จะมี
คุณสมบัติที่สาคัญ ได้แก่ ความละเอียดเชิงพื้นที่ (Spatial Resolution) ความละเอียดเชิงคลื่น (Spectral
Resolution) และ ความละเอียดของระดับแสง (Radiometric Resolution) นอกจากนี้ คุณสมบัติที่สาคัญ
ของตัวระบบเองก็คือ ความละเอียดในด้านเวลา (Temporal Resolution) ซึ่งหมายถึง ช่วงเวลาที่มีการ
กลับมารับสัญญาณ ณ บริเวณเดิม กล่าวโดยสังเขป ความละเอียดเชิงพื้นที่ (Spatial Resolution) โดยทั่วไป
จะหมายถึง พื้นที่ภูมิประเทศซึ่งอุปกรณ์รับสัญญาณสามารถบันทึกได้ จากระยะความสูงที่กาหนด ณ จุด
ของเวลาหนึ่ง (Instantaneous Field of View : IFOV) ความละเอียดเชิงคลื่น (Spectral Resolution)โดย
ส่วนมาก เครื่องรับสัญญาณ (Sensor) ของดาวเทียม จะบันทึกสัญญาณโดยแบ่งออกเป็นหลายช่วงคลื่น
(Multiband or Multispectral) ซึ่งมีจานวนและความกว้างของช่วงคลื่นต่างกัน ข้อมูลจากดาวเทียมที่มีการ
แบ่งช่วงคลื่นที่แคบและมีหลายช่วงคลื่น จะสามารถแยก (Discriminate) รายละเอียดต่างๆ ได้ดี ความ
ละเอียดของระดับแสง (Radiometric Resolution) คือ จานวนของค่าระดับตัวเลข (Digital Level) ที่ใช้ในการ
บันทึก และแสดงข้อมูลภาพซึ่งถ้าแบ่งออกเป็นหลายระดับ ก็จะสามารถบันทึกและแสดงรายละเอียดต่าง ๆ
ได้มากขึ้น โดยจานวนระดับจะถูกกาหนดในลักษณะเป็นกลุ่มของเลขฐานสอง (Bit) สาหรับค่าระดับ
ตัวเลขจากศูนย์ (ดา) จนถึงค่าที่มากที่สุด (ขาว)
ความคลาดเคลื่อนเหล่านี้เสียก่อน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีลักษณะใกล้เคียงกับความเป็นจริงและ
ถูกต้องมากที่สุด ขบวนการปรับแก้ที่สาคัญคือ การปรับแก้ระดับสีเทา หรือ ระดับแสง (Radiometric
Correction) และ การปรับแก้ความคลาดเคลื่อนหรือความเพี้ยนทางเรขาคณิต (Geometric Correction) การ
สร้างภาพกลับคืนนี้ มักเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญประจาสถานีรับฯ แต่การที่ผู้ใช้ข้อมูลทราบ
ขบวนการที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้สามารถวินิจฉัยและใช้ข้อมูลได้ดีขึ้น
1.1.1 การปรับแก้ระดับสีเทา ( Radiometric Correction)
ความคลาดเคลื่อนทางด้านแสง มีสาเหตุการเกิดมาจากปฏิกิริยาในชั้นบรรยากาศและความ
บกพร่องของอุปกรณ์การกวาดรับภาพ ทั้งนี้แล้วแต่กรณีไป
วิธีการปรับแก้ระดับสีเท่าหรือแสง ที่จะกล่าวถึงในนี้ ได้แก่
- Atmospheric Correction
- Sixth-line Striping
Atmospheric Correction คือการปรับแก้ระดับสีเทาที่คลาดเคลื่อน โดยมีสาเหตุมาจาก
ปฏิกิริยาในชั้นบรรยากาศ ปฏิกิริยาดังกล่าว ที่มีอิทธิพลต่อลักษณะของข้อมูล ได้แก่ การกระจัดกระจายใน
ชั้นบรรยากาศ (atmospheric scattering) และ การดูดซับในบรรยากาศ (atmospheric absorption)
การกระจัดกระจายในชั้นบรรยากาศ มีผลทาให้ค่าความสว่าง (Brightness Value - BV) ของ
ข้อมูลเพิ่มมากขึ้น มักเกิดขึ้นกับช่วงคลื่นที่สั้น เช่น ช่วงคลื่นสีเขียว หรือ 0.5-0.6 ไมครอน
การดูดซับในบรรยากาศ มีผลทาให้ค่าความสว่าง (BV) ของข้อมูลลดลง มักเกิดขึ้นในช่วง
คลื่นที่ยาว เช่น อินฟราเรด 0.8-1.1 ไมครอน
ปฏิกิริยาต่าง ๆ เหล่านี้ ทาให้ข้อมูลในแบนด์อินฟราเรด มักมีสีค่อนข้างคล้า และข้อมูลในแบนด์
สีเขียว มักมีสีค่อนข้างจาง ความสว่างนี้ลดความคมชัดของภาพลง ซึ่งขบวนการที่ใช้แก้ไขปรากฏการณ์
ดังกล่าวนี้เรียกว่า การกาจัดหมอกแดด (Haze Removal) โดยการนาค่า BV ที่ต่าที่สุดในแต่ละแบนด์ไป
หักออกจากค่า BV ทั้งหมดของแบนด์นั้น นั่นคือไปหักออกจากทุกจุดภาพ โดยถือหลักการที่ว่า ค่า BV
เหล่านี้เพิ่มขึ้นมีผลจากการกระจัดกระจาย
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการดูดซับในบรรยากาศ ยากต่อการแก้ไข เพราะการดูดซับดังกล่าว
นี้ เกิดจากการดูดซับของไอน้าในบรรยากาศ การแก้ไขจึงจาต้องอาศัยข้อมูลทางภูมิอากาศของบริเวณภาพ
นั้น และวันที่ที่บันทึกสัญญาณภาพนั้น แต่การดูดซับน้าไม่ทาให้คุณภาพของภาพ (ความคมชัด ) ด้อยลงมาก
เท่าสาเหตุจากการกระจัดกระจาย การแก้ไขปรากฏการณ์นี้จึงมักถูกมองข้ามไป
Sixth-line Striping Correction เช่นการที่ระบบ MSS ทาการกวาดภาพโดยดีเทคเตอร์
(Detector) 6 ตัวนั้น และถึงแม้อุปกรณ์ดังกล่าวจะได้รับการปรับแก้ (calibrated) ขณะติดตั้งแล้ว แต่ความ
บกพร่องยังเกิดขึ้นได้ในบางโอกาส มีผลทาให้ scan line ที่ ๖ มีค่าความสว่าง ( BV ) หรือมีค่าเป็นตัวเลข
(digital Number-DN) ที่สูงกว่า หรือ ต่ากว่า ( สว่างกว่าหรือคล้ากว่า scan line อื่น ๆ ภาพที่ได้มีลักษณะ
เป็นเส้นขาวเล็ก ๆ หรือ ดาเล็ก ๆ คาดทุก ๆ แถวที่ 6 ตลอดทั้งภาพ (scene)
57
หลังจากทราบพารามิเตอร์ในการแปลงค่าพิกัดจากระบบพิกัดภาคพื้นดินสู่ระบบพิกัดภาพแล้ว ตาแหน่งของ
จุดภาพในระบบพิกัดภาพจะสามารถคานวณได้จากค่าพิกัดภาคพื้นดิน โดยเขียนความสัมพันธ์ได้เป็น
x = f1 (X , Y)
y = f2 (X , Y)
โดย (x , y) = พิกัดของจุดภาพ (row , column)
(X , Y) = พิกัดพื้นภาคพื้นดิน (easting , northing)
f1 , f2 = ฟังค์ชั่นการแปลงพิกัด
โดยปกติการซ้อนทับกันของจุดภาพทั้งสองจะไม่ทับกันสนิทแต่จะมีการเหลื่อมกันเล็กน้อย
ต่อจากนั้น ต้องมีการหาค่าความสว่างให้แก่จุดภาพ (ว่าง) ขึ้นใหม่ ด้วย โดยการประมาณค่าในช่วง
(interpolate) จากค่าของจุดภาพใกล้เคียงในภาพเดิม แล้วจึงนาค่าความสว่างที่ได้ใส่ให้กับจุดภาพใหม่ ดัง
ภาพด้านขวามือ ขบวนการนี้เรียกว่า Resampling มีเทคนิคที่ใช้โดยทั่วไป ได้แก่
60
- Cubic interpolation หรือ Cubic convolution คือ การ resampling หาค่า DN ของจุดภาพ
ใหม่ ซึ่งคานวณได้จากจุดภาพเก่า 16 จุดรอบจุดภาพใหม่ที่ต้องการ เป็นวิธีที่ให้ภาพมีคุณภาพดีที่สุด แต่ใช้
เวลาในการคานวณมากที่สุด
63
ตัวอย่างภาพต้นฉบับ
ภาพสีผสมจากดาวเทียม ERS-1 SAR ( 25 Dec. 93) กับ LANDSAT TM (11 May 93)
73
ตัวอย่างการจาแนกประเภทแบบ Unsupervised
โดยกาหนดจานวนกลุ่ม (cluster) เชิงคลื่น ออกเป็น 6 ประเภท (class)
ตัวอย่างการจาแนกประเภทแบบ Unsupervised
โดยกาหนดจานวนกลุ่ม (cluster) เชิงคลื่น ออกเป็น 15 ประเภท (class)
79
ตัวอย่างการแสดงผลข้อมูลที่ได้จากการจาแนกประเภท
82
สถานที่ตั้งและรัศมีของการรับสัญญาณ
ปัจจุบันมีสถานีรับสัญญาณภาคพื้นดินจากระบบ HRPT ขอบข่ายทั่วโลกประมาณ 24 แห่งทั่วโลก
โดยสถานีรับฯ มีขอบข่ายการรับสัญญาณในรัศมี 2,500 กิโลเมตร จากกรุงเทพมหานคร มีรัศมีทาการ
ครอบคลุมประเทศต่างๆ ในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์
อินโดนีเซีย บรูไน พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา บังคลาเทศ อินเดีย เนปาล ศรีลังกา ภูฎาน ไต้หวัน ฮ่องกง
สาธารณรัฐประชาชนจีน (ตอนใต้ของแม่น้าแยงซีเกียงลงมา)
สถานีรับสัญญาณในประเทศไทย รับสัญญาณได้ 2 ระบบคือ
1.ระบบรับสัญญำณ APT อยู่ที่สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เขตจัตุจักร กรุงเทพฯ เมื่อ
ดาวเทียมอยู่ในรัศมีทาการ เครื่องรับสัญญาณสามารถรับข้อมูลโดยอัตโนมัติ แล้วบันทึกไว้บนเทปสารอง
ข้อมูล และสามารถเรียกพิมพ์เป็นภาพสีผสมได้ในภายหลัง
2. ระบบรับสัญญำณ HRPT อยู่ที่สถานีรับสัญญาณภาคพื้นดิน กองสารวจทรัพยากรธรรมชาติด้วย
ดาวเทียม เขตลาดกระบัง ประกอบด้วยจานรับสัญญาณแบบแอ่งกรวย (Parabola) และเครื่องติดตามการ
โคจรของดาวเทียม รวมทั้งเครื่องบันทึกและแปลงสัญญาณเก็บสารองข้อมูลไว้ในรูปเทปคอมพิวเตอร์
การรับสัญญาณจากดาวเทียม
ประกอบด้วย ระบบรับสัญญาณจากดาวเทียม และระบบบันทึกข้อมูลและแสดงข้อมูลบนจอภาพ
1.ระบบรับสัญญาณข้อมูล (Data Acquisition System, DAS) ลักษณะการทางาน แบ่งเป็น 2
ส่วนคือ
1.1 นาร่อง (Tracking) เป็นระบบที่ประกอบด้วยจานรับสัญญาณ (Antenna) และหน่วย
ควบคุมจานรับสัญญาณ (Antenna Control Unit) อุปกรณ์ทั้งสองนี้ทางานร่วมกัน กล่าวคือจานรับสัญญาณ
ทาหน้าที่รับและรวมสัญญาณคลื่นที่ส่งมาจากดาวเทียมในความถี่ต่างๆ แล้วส่งผ่านเข้าสู่ระบบรับสัญญาณ
ในขณะที่รับสัญญาณอยู่นั้น อุปกรณ์ควบคุมจานทาหน้าที่ควบคุมจานรับสัญญาณให้เคลื่อนติดตาม
ดาวเทียมไปตามแนวโคจรของดาวเทียมดวงนั้นๆ ทาให้การส่งสัญญาณจากดาวเทียมมายังสถานีรับฯ
เป็นไปอย่างสม่าเสมอตลอดเวลาที่ดาวเทียมโครจรผ่าน
1.2 การรับสัญญาณ (Receiving) เป็นระบบที่ประกอบด้วยอุปกรณ์รับคลื่นสัญญาณต่างๆ ที่
ดาวเทียมส่งมาตามความถี่ย่านที่ดวงนั้นใช้งาน โดยอุปกรณ์แปลงสัญญาณคลื่นทาการแปลงคลื่นเหล่านั้น
จากสัญญาณเชิงอุปมาน (Analog) เป็นเชิงตัวเลข (Digital) เพื่อส่งเข้าระบบบันทึกข้อมูล
2. ระบบบันทึกและแสดงบนจอภาพ (Recording and Playback System)
2.1 ระบบบันทึก (Recording System) ทาหน้าที่นาสัญญาณที่ได้จากระบบรับสัญญาณจาก
ดาวเทียมมาผ่านกรรมวิธีในการแปลงสัญญาณข้อมูลให้อยู่ในรูปเชิงตัวเลข แล้วบันทึกลงบนเทปความ
หนาแน่นสูง และจานเก็บข้อมูล
ระบบการรั บ
สัญญาณและบันทึ ก
ข้ อมูลดาวเที ยม
LANDSAT,
SPOT และ
ERS-1
ระบบกำรรับสัญญำณและบันทึกข้อมูลดำวเทียม NOAA
กำรผลิตข้อมูล
สถานีรับสัญญาณภาคพื้นดินรับคลื่นสัญญาณต่าง ๆ จากดาวเทียมในความถี่ของแต่ละดาวเทียม
โดยมีอุปกรณ์แปลงคลื่นสัญญาณจากสัญญาณ Analog เป็น Digital และบันทึกข้อมูลนั้นลงในเทปความ
หนาแน่นสูง HDDT (High Density Digital Tape) จากนั้นจึงจะนาข้อมูลในเทปนั้นมาผลิตข้อมูลใน
รูปแบบต่าง ๆ โดยผ่านการแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดจากดาวเทียม การรับสัญญาณและอื่น ๆ สาหรับการ
ผลิตข้อมูลหลัก ๆ ของสถานีรับสัญญาณในประเทศไทย แบ่งได้ 2 ส่วนคือ
ส่วนที่ 1 เป็นการผลิตเพื่อจัดทาแคตาล็อกข้อมูล ประเมินปริมาณเมฆ และภาพข้อมูลอย่างย่อเพื่อ
ช่วยในการเลือกสั่งข้อมูล เช่น ภาพดูเร็ว (Quick Look) และ Microfiche ซึ่งทาด้วยระบบ MQS (Micro
Quick Look System) และอื่น ฯลฯ สาหรับข้อมูลทั้ง 2 แบบมีเฉพาะดาวเทียม LANDSAT และ SPOT มี
ลักษณะตามตาราง ปัจจุบันมีแต่ Microfiche
ชนิดและลักษณะของข้อมูลมำตรฐำนที่ให้บริกำร
ศูนย์บริการข้อมูลฯ ให้บริการข้อมูลดาวเทียมสารวจทรัพยากร LANDSAT, SPOT, NOAA,
ERS, MOS และ JERS ข้อมูลดาวเทียมแต่ละดวงจะมีลักษณะแตกต่างกันทั้งประเภท ระดับการผลิต และ
รูปแบบ ประเภทของข้อมูลที่ให้บริการ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1 ) ชนิดข้อมูลภาพ (Photographic Products) ได้แก่
- ฟิล์มโพสิตีฟขาว-ดา และสี
- ภาพพิมพ์ขาวดา และสีเท่าต้นฉบับ ขยาย 2 เท่า และ 4 เท่า
2 ) ชนิดเชิงตัวเลข (Digital products) ได้แก่
- เทปข้อมูลคอมพิวเตอร์ CCT (Computer Compatible Tape) 1600 และ 6250 bpi
- เทปข้อมูลแบบ 8 มม. เทปคาร์ทริดจ์ (8 mm. Cartridge Tape) 2.3 G และ 5G
ข้อมูลเชิงตัวเลขทั้ง 2 ประเภท มีโครงสร้างของเทปแบบ CCRS LGSOWG Format ตาม
โครงสร้างมาตรฐานเดียวกัน กาหนดโดยคณะทางานกลุ่มประเทศที่มีสถานีรับ (Landsat Ground Station
Operation Working Group -LGSOWG) ซึ่งแบ่งการจัดเรียงข้อมูลได้ 2 แบบ คือ
ภาพพิมพ์ สี ภาพพิมพ์
ขาว-ดา
การบริการข้อมูล
สำนักงำนพัฒนำเทคโนโลยีอวกำศและภูมิสำรสนเทศ (องค์กำรมหำชน) – สทอภ. เป็น
หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการจัดหา การบริการข้อมูล รวมถึงการส่งเสริมการใช้ข้อมูลจาก
ดาวเทียมสารวจทรัพยากรให้แพร่หลายและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้ทั้งในและต่างประเทศ ในการ
ให้บริการข้อมูลนั้น ศูนย์บริการข้อมูล ฯ มีเจ้าหน้าที่พร้อมให้คาแนะนาในการสั่งข้อมูลตลอดจนได้
จัดทาสื่อที่ช่วยในการสั่งข้อมูล เช่น แผนที่ดัชนีภาพข้อมูลดาวเทียม สมุดภาพตัวอย่างข้อมูล รายการข้อมูล
ดาวเทียมที่รับสัญญาณและเปอร์เซ็นต์เมฆที่ปกคลุม ภาพดูเร็ว (Quick Look) และ Microfiche เพื่อช่วยใน
การตัดสินใจในการเลือกสั่งข้อมูล โดยศูนย์บริการได้จัดทาโฮมเพจ (Homepage) เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร
ด้านการบริการข้อมูลจากดาวเทียมแก่ผู้ใช้ทั่วโลก ซึ่งเรียกดูได้ที่
http://www.gistda.or.th/
E-mail : info@gistda.or.th
ชนิดและลักษณะของข้อมูลของดาวเทียมแต่ละดวงที่ให้บริการ
ข้อมูลภำพ ข้อมูลเชิงตัวเลข
ดำวเทียม ระดับกำรผลิต รูปแบบ พื้นที่ภำพ ฟิล์มขำว-ดำ ภำพพิมพ์ ขำว-ดำ ภำพพิมพ์ขำว-ดำ ภำพพิมพ์ขำว-ดำ CCT และ 8 มม.
และสี และสี 1 เท่ำ และสี 2 เท่ำ และสี 4 เท่ำ เทปคำร์ทริดจ์
LANDSAT BULK level 4 Full Scene 184 กม. X 172 กม. 1 : 1,000,000 1 : 1,000,000 1 : 500,000 1 : 250,000 CCRS LGSAWG
TM Quadrant 94 กม. X 88 กม. 1 : 500,000 1 : 500,000 1 : 250,000 1 : 125,000 Format
BIL และ BSQ
1600 และ 6250BPI
2.3 และ 5G
GEOREFERENCED Full Scene 184 กม. X 172 กม. 1 : 1,000,000 1 : 1,000,000 1 : 500,000 1 : 250,000
level 5,6 Quadrant 94 กม. X 88 กม. 1 : 500,000 1 : 500,000 1 : 250,000 1 : 125,000
GEOCODED * Full Scene 184 กม. X 172 กม. 1 : 1,000,000 1 : 1,000,000 1 : 500,000 1 : 250,000
level 8,9 Subscene 41 กม. X 36 กม. 1 : 200,000 1 : 200,000 1 : 100,000 1 : 50,000
Map sheet 28 กม. X 28 กม. 1 : 200,000 1 : 200,000 1 : 100,000 1 : 50,000
SPOT BULK level 0 Full Scene 64-85 กม. X 60 กม. - - - - CNES Format / BIL
PLA & MLA 1600,6250 BPI และ
2.3. 5G
BULK level 4 Full Scene 64-85 กม. X 60 กม. 1 : 400,000 1 : 400,000 1 : 200,000 1 : 100,000 CCRS LGSAWG
GEOCODED * Full Scene 64-85 กม. X 60 กม. 1 : 400,000 1 : 400,000 1 : 200,000 1 : 100,000 Format
level 8,9 Subscene 41 กม. X 36 กม. 1 : 200,000 1 : 200,000 1 : 100,000 1 : 50,000 BIL และ BSQ
Map sheet 28 กม. X 28 กม. 1 : 200,000 1 : 200,000 1 : 100,000 1 : 50,000 1600 และ 6250BPI
Subarea 17 กม. X 15 กม. 1 : 80,000 1 : 80,000 1 : 40,000 1 : 20,000 2.3 และ 5G
(เฉพาะ PLA)
MOS BULK Full Scene 100 กม. X 100 กม. - - - - NASDA Format
ข้อมูลภำพ ข้อมูลเชิงตัวเลข
ดำวเทียม ระดับกำรผลิต รูปแบบ พื้นที่ภำพ ฟิล์มขำว-ดำ ภำพพิมพ์ ขำว-ดำ ภำพพิมพ์ขำว-ดำ ภำพพิมพ์ขำว-ดำ CCT และ 8 มม.
และสี และสี 1 เท่ำ และสี 2 เท่ำ และสี 4 เท่ำ เทปคำร์ทริดจ์
JERS / OPS GEOREFERENCED Full Scene 75 กม. X 75 กม. 1 : 500,000 1 : 500,000 1 : 250,000 1 : 125,000 NASDA LGSOWG
level 5,6 Format
GEOCODED * Full Scene 100 กม. X 90 กม. 1 : 500,000 1 : 500,000 1 : 250,000 1 : 125,000 BIL และ BSQ
level 8,9 Subscene 41 กม. X 36 กม. 1 : 200,000 1 : 200,000 1 : 100,000 1 : 50,000 1600 และ 6250BPI
2.3 และ 5G
JERS / SAR GEOCODED * Full Scene 100 กม. X 90 กม. 1 : 500,000 1 : 500,000 1 : 250,000 1 : 125,000 NASDA LGSOWG
level 8,9 Subscene 41 กม. X 36 กม. 1 : 200,000 1 : 200,000 1 : 100,000 1 : 50,000 Format
CCRS LGSAWG
Format
BIL และ BSQ
1600,6250 BPI และ
2.3, 5G
NOAA RAW level 0 Full Scene 4400 กม. X 5760 กม. - - - - NOAA LAC 1B
AVHRR Format (METDAS
SYSTEM)
BULK level 4 Full Scene 3100 กม. X 3000 กม. 1 : 20,000,000 1 : 20,000,000 1 : 10,000,000 1 : 5,000,000 CCRS LGSAWG
Format
GEOREFERENCED Full Scene 3100 กม. X 3000 กม. 1 : 20,000,000 1 : 20,000,000 1 : 10,000,000 1 : 5,000,000 BIL และ BSQ
level 5,6 1600 และ 6250BPI
GEOCODED * Fullpass 4400 กม. X 5760 กม. 1 : 32,000,000 1 : 32,000,000 1 : 16,000,000 1 : 8,000,000 2.3 และ 5G
level 8,9 Full Scene 4100 กม. X 36000 กม. 1 : 20,000,000 1 : 20,000,000 1 : 10,000,000 1 : 5,000,000
Subscene 2050 กม. X 1800 กม. 1 : 10,000,000 1 : 10,000,000 1 : 5,000,000 1 : 2,500,000
ข้อมูลภำพ ข้อมูลเชิงตัวเลข
ดำวเทียม ระดับกำรผลิต รูปแบบ พื้นที่ภำพ ฟิล์มขำว-ดำ ภำพพิมพ์ ขำว-ดำ ภำพพิมพ์ขำว-ดำ ภำพพิมพ์ขำว-ดำ CCT และ 8 มม.
และสี และสี 1 เท่ำ และสี 2 เท่ำ และสี 4 เท่ำ เทปคำร์ทริดจ์
ERS / SAR RAW Full Scene - - - - CEOS Format
1600 และ 6250BPI
SLC Full Scene - - - -
2.3 และ 5G
Quadrant - - - -
GEOCODED * Full Scene 125 กม. X 125 กม. 1 : 800,000 1 : 800,000 1 : 400,000 1 : 200,000 CCRS LGSAWG
Level 8,9 Full Scene 100 กม. X 90 กม. 1 : 500,000 1 : 500,000 1 : 250,000 1 : 125,000 Format
Subscene 41 กม. X 36 กม. 1 : 200,000 1 : 200,000 1 : 100,000 1 : 50,000 BIL และ BSQ
1600 และ 6250BPI
2.3 และ 5G
หมายเหตุ : 1 ) การสั่งข้อมูล GEOCODED * ต้องใช้พิกัดภูมิศาสตร์ (องศา และลิปดา) ของจุดศูนย์กลางของพืน้ ที่ทศี่ ึกษา
2 ) สีผสมมาตรฐานของภาพสีดาวเทียม
LANDSAT ใช้แบนด์ 2 3 4 - น้าเงิน เขียว แดง
SPOT ใช้แบนด์ 2 3 4 - น้าเงิน เขียว แดง
JERS / OPS ใช้แบนด์ 2 3 4 - น้าเงิน เขียว แดง
3 ) เป็นข้อมูลพิเศษ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมทีศ่ ูนย์บริการข้อมูล ฯ
สถานภาพการรับสัญญาณดาวเทียมสารวจทรัพยากร (กันยายน 2545)
ดำวเทียม / ระบบ เริ่มรับสัญญำณ หยุดรับสัญญำณ หมำยเหตุ
*LANDSAT-2 / MSS มกราคม 2525 มีนาคม 2525
ข้อมูลมีปัญหา line start anomaly
*LANDSAT-3 / MSS มีนาคม 2525
1/3 ทางด้านซ้ายไม่มีภาพ
*LANDSAT-4 / MSS เมษายน 2526 ตุลาคม 2530
*LANDSAT-5 / MSS เมษายน 2527 สิงหาคม 2531
*** LANDSAT-5 / TM ธันวาคม 2530 กันยายน 2544
*** SPOT-1/ PAN,MLA ธันวาคม 2530 ธันวาคม 2532
*** SPOT-2/ PAN,MLA กรกฎาคม 2534 ธันวาคม 2541
*MOS-1/ MESSR ,VTIR พฤษภาคม 2531 มีนาคม 2538 ไม่บริการ
*MOS-1B / MESSR , VTIR กุมภาพันธ์ 2534 เมษายน 2539
*JERS-1/
ตุลาคม 2536 ตุลาคม 2541
SAR, OPS
*** ERS-1/ SAR มีนาคม 2536 กันยายน 2538
*** ERS-2/ SAR สิงหาคม 2539 ตุลาคม 2542
*** NOAA / AVHRR กรกฎาคม 2535 สิงหาคม 2544
ข้อมูลบันทึกเป็นช่วงตามสัญญา
### IRS-1C, IRS-1D / กุมภาพันธ์ 2543 - กรกฎาคม 2543
กุมภาพันธ์ 2543 ปัจจุบัน
PAN, LISS III, WiFs พฤศจิกายน 2543 - พฤษภาคม 2544
ธันวาคม 2544 - มิถุนายน 2545
### RADARSAT-1/ SAR กรกฎาคม 2543 ปัจจุบัน โปรแกรมให้ส่งสัญญาณตามการขอรับบริการ
### LANDSAT-7/ ETM+ กันยายน 2544 ปัจจุบัน
* ปัจจุบันไม่มีให้บริการ
**** หยุดรับสัญญาณ แต่ยังให้บริการ
### ยังรับสัญญาณและให้บริการ
ขั้นตอนการสั่งข้อมูล
1. ผู้ใช้ข้อมูลสามารถขอติดต่อรับบริการโดยตรงที่ศูนย์บริการข้อมูล ฯ เขตจตุจักร เพื่อ
สอบถามรายละเอียดในเบื้องต้น อย่างไรก็ตามเพื่อให้ได้ข้อมูลตามความต้องการและไม่ผิดพลาด ผู้ใช้
ข้อมูลควรจะเดินทางมาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการข้อมูล เพื่อคัดเลือกข้อมูลก่อนสั่งผลิต
2. เลือกชนิดของดาวเทียม และระบบบันทึกข้อมูล ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และประโยชน์ของ
การใช้งาน
3. เลือกชนิดของผลิตภัณฑ์ และแบบของข้อมูล ซึ่งขึ้นกับปัจจัยในการวิเคราะห์ของผู้ใช้ข้อมูล
เช่น เครื่องมือในการวิเคราะห์ บุคลากร ความรู้และประสบการณ์ ฯลฯ
4. ค้นหาระวางภาพของบริเวณที่ศึกษา โดยดูจากแผนที่ดัชนีภาพของแต่ละดาวเทียม
5. ผู้ใช้สามารถตรวจสอบรายละเอียดจากแคตาล็อกข้อมูลว่ามีการบันทึกไว้หรือไม่ มีประมาณ
เมฆปกคลุมและคุณภาพของข้อมูลเป็นอย่างไร เพื่อใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้น
6. จากนั้นตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นที่เลือกไว้ (ปริมาณเมฆ คุณภาพของข้อมูล) กับข้อมูลภาพ
Quick Look (ฟิล์มดูเร็ว) หรือ Microfiche สี ซึ่งใช้เป็นตัวอย่างภาพอีกครั้งหนึ่ง
7. เมื่อได้รายการข้อมูลตามที่ต้องการแล้ว กรอกรายละเอียดข้อมูลที่ต้องการสั่งลงในแบบฟอร์ม
ใบสั่งข้อมูลของแต่ละดาวเทียม โดยระบุชนิดของผลิตภัณฑ์ แบบของข้อมูล รหัสข้อมูล และราคาที่
ปรากฏในใบราคา
8. ในกรณีส่วนราชการ ผู้ใช้ข้อมูลต้องทาหนังสือขอรับบริการข้อมูล โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ
เป็นผู้ลงนาม ระบุรายละเอียดตามที่เลือกไว้ เช่น บริเวณที่ศึกษา ดัชนีภาพ วันที่บันทึกข้อมูล ชนิดของ
ข้อมูล ฯลฯ และวัตถุประสงค์ของการใช้งาน สาหรับเอกชน ปฏิบัติเช่นกันโดยมีผู้ที่มีอานาจสูงสุดลง
นาม
อนึ่ง กาหนดเวลาแล้วเสร็จของการผลิตขึ้นอยู่กับชนิดของข้อมูล ปริมาณของงานและ จานวน
ของผู้ใช้ข้อมูล โดยปกติ ข้อมูลภาพ(Photographic Product) ใช้เวลาประมาณ 6 – 8 สัปดาห์ และข้อมูลเชิง
ตัวเลข (Digital product) ใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังจากได้รับอนุมัติ และใบสั่งได้กรอกไว้ละเอียด
ชัดเจน ครบถ้วน และถูกต้องแล้ว อย่างไรก็ตาม หากผู้ใช้ต้องการขอรับบริการชนิดเร่งด่วน หรือมีข้อ
สงสัยอื่นๆ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์บริการข้อมูล ฯ
196 ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
โทรศัพท์ 0 - 2940 - 6420 - 9, Fax 0 - 2561-3035
http://www.gistda.or.th/ หรือ E-mail : info@gistda.or.th
เอกสารอ้างอิง