You are on page 1of 42

อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล

ความปลอดภัยในทีม

“ทุกสิง่ ทุกอย่างต้องดำาเนินไปด้วย
ความปลอดภัยเสมอ ”
อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล
 ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลในกรณีที่มีความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิด
การบาดเจ็บได้
 อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลมิได้มีไว้สำาหรับทำาหน้าทีท่ างด้านวิศวกรรม
ปฏิบัตงิ านหลัก (แทนพนักงาน) และ/หรือการควบคุมของฝ่ายบริหาร
 การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลมิได้เป็นการขจัดอันตรายให้หมดไป
อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ถ้าหากว่าอุปกรณ์มีการชำารุดเสียหาย หมายความว่า
อันตรายสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ
 เพื่อเป็นการป้องกันอันตราย จะต้องสวมใส่อุปกรณ์ฯอยู่เสมอ
มาตรฐานการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล

 ประเมินหาความเสี่ยงในการเกิดอันตรายในสถานที่ทำางาน
 เลือกและจัดหาอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่มีความเหมาะสมต่อ
พนักงานแต่ละฝ่ายที่ปฏิบัติงาน
 ฝึกอบรมพนักงานให้สามารถใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลได้
อย่างถูกวิธี
การประเมินความเสี่ยง

 นายจ้างต้องประเมินความเสี่ยงในสถานที่ทำางาน ที่มีความ
จำาเป็นต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล
 อันตรายที่เกิดขึน้ รวมถึงการรั่วไหลของสารเคมี วัสดุตก
หล่น ความผิดปกติต่างๆ อุณหภูมิที่สูงมาก รังสี การ
ทำางานของอุปกรณ์และอุปกรณ์ควบต่างๆ หรือของมีคม
เป็นต้น
การเลือกอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล

 เพื่อป้องกันให้แก่พนักงานแต่ละคนปลอดภัยจากความเสี่ยงในการเกิด
อันตรายที่เหมือนกัน
 การออกแบบและผลิตที่ปลอดภัย
 ถูกต้องตามหลักอนามัยและมีความคงทน
 ต้องมีความกระชับและพอดีกับพนักงานแต่ละคน
 ตรงตามมาตรฐานทีก่ ำาหนด หรือมาตรฐานอื่นที่ผ่านการรับรองแล้ว
จุดประสงค์ในการฝึกอบรมการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล

 เพื่อให้ทราบว่าจำาเป็นต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลเมื่อใด
 เพื่อให้ทราบถึงความสำาคัญของอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล
 เพื่อให้ทราบถึงวิธีการสวมใส่ การถอด และการปรับแต่งต่างๆ
 เพื่อให้ทราบถึงข้อจำากัดต่างๆของอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล
 เพื่อให้ทราบถึงวิธีการบำารุงรักษา และวิธีการใช้อุปกรณ์ป้องกัน
ส่วนบุคคลที่ถูกต้องเหมาะสม
จุดประสงค์ในการฝึกอบรมการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลซำ้า

 สถานที่ทำางานมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆภายใน
 มีการเปลี่ยนแปลงของประเภทของอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่
นำามาใช้
 ความรูค้ วามเข้าใจในการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลของ
พนักงานยังไม่เพียงพอซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าพนักงานไม่ได้
ให้ความเอาใจใส่กับการฝึกอบรมในครั้งที่ผ่านมาเท่าที่ควร
ช่องทางของการเกิดอันตราย

 การสูดดม
 การซึมผ่านทางผิวหนัง
 การกลืน
 หัวใจสำาคัญของความปลอดภัยก็คือ
การมีความรู้ความเข้าใจในอันตรายและวิธี
การป้องกันตนเอง
ประเภทของอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล

 ป้องกันใบหน้าและดวงตา
 ป้องกันการสูดดม
 ป้องกันศีรษะ
 ป้องกันเท้า
 อุปกรณ์ป้องกันกระแสไฟฟ้า
 ป้องกันผิวหนังและมือ
 ป้องกันเสียง
การป้องกันใบหน้าและดวงตา

เพื่อป้องกันพนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในบริเวณที่มีอัน
ตรายต่อใบหน้าและดวงตา
จากการกระเด็นของวัสดุต่างๆ โลหะที่มีความร้อน
สารเคมีเหลว กรด ด่าง ไอของสารเคมีหรือรังสี
ดวงตา

– LENS- ทำาหน้าที่รวมแสง
– IRIS-
ควบคุมปริมาณแสงที่จะเข้ามาทีด่ วงตา
– RECEPTORS-จับภาพ
– OPTIC NERVE-
ทำาหน้าที่เป็นสายส่งข้อมูลจาก
RECEPTORS ในดวงตาไปยังสมอง

– ดวงตาประกอบด้วยเนื้อเยื่อและเส้นเลื
อดจำานวนมาก
การป้องกันใบหน้าและดวงตา

ในแต่ละปีมผี ู้คนจำานวนมากต้องตาบอด
เนื่องจากการทำางานทีม่ ีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรา

ซึ่งถ้าหากมีการป้องกันใบหน้าและดวงตาทีด่ ีแล้วนั้
น ก็จะสามารถป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้
ประเภทของการป้องกันใบหน้าและดวงตา

แว่นตา
o แว่นตาสำาหรับกันลมและฝุ่น
o ฝาครอบสำาหรับบังใบหน้า
o หมวก/แว่นตาสำาหรับงานเชือ่ ม
การป้องกันการสูดดม

เพื่อป้องกันอันตรายให้กับพนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในบริเ
วณที่การควบคุมทางด้านวิศวกรรมไม่สามารถป้องกันพนั
กงานจากอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากฝุน่ ละออง หมอก ควัน
หรือไอของสารเคมีได้
อันตรายต่อปอด

– การสูดดมสารที่เป็นพิษต่อร่างกายเป็
นผลทำาให้ปอดได้รับอันตราย
– เมื่อปอดได้รบั อันตราย
ก็มีความเสี่ยงในการเกิดโรคทางระบ
บหายใจได้ง่ายขึน้
– สารพิษส่วนใหญ่ที่สูดดมเข้าสู่ร่างกา
ยจะเข้าสู่กระแสเลือด
การป้องกันการสูดดม
 ระดับของอันตรายเกินกว่า PEL
 ในระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆทางด้านวิศวกรรม หรือการ
ควบคุมการปฏิบัติงาน
 การซ่อมแซมและบำารุงรักษาอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลประเภทนี้
ต้องให้อุปกรณ์สามารถใช้งานได้ดีมากกว่าที่ PEL กำาหนดไว้
 มีการตอบสนองฉุกเฉินเมื่อไม่ทราบประเภท และ/หรือความ
เข้มข้นของสารพิษ
 ใช้อย่างสมำ่าเสมอ
ประเภทของเครื่องกรองอากาศ

 แบบฟอกอากาศ
 แบบให้ออกซิเจนเพิ่ม
 แบบผสมทั้ง 2 ประเภท
การป้องกันการสูดดม

 การตรวจทางการแพทย์
 คัดเลือกตามอันตรายที่จะเกิดขึน้
 ทดสอบการสวมใส่ให้กระชับ
 ขนที่ใบหน้า
 ตรวจสอบสภาพของอุปกรณ์
 ฝึกอบรมเป็นการเฉพาะตามแต่ลักษณะของการปฏิบัติงาน
 ข้อจำากัดต่างๆ
การป้องกันศีรษะ

เพื่อป้องกันอันตรายให้กับพนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในบริ
เวณที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดอันตรายแก่ศีรษะ
จากการตกหรือเคลื่อนที่ของวัสดุต่างๆ
หรือในบริเวณที่กระแสไฟฟ้าสามารถมาสัมผัสที่ศีรษะได้
การป้องกันศีรษะ

อันตรายที่เกิดขึน้ ต่อศีรษะ
อาจรวมถึงอันตรายต่อ—
สมอง—ดวงตา—จมูก—ปาก
—ซึ่งจากประเด็นนี้
การป้องกันความปลอดภัยให้
แก่ศีรษะจึงเป็นสิ่งที่สำาคัญอย่
างยิ่ง
อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

การถูกไฟฟ้าช็อต การถูกกระแทกที่ศีรษะ การโดนสารเคมี

ทำาให้กระตุกเกร็งและเกิดแผ การตกหล่นหรือกระเด็นของวัสดุต่างๆ สารเคมีตา่ งๆจะทำาให้ดวงตาและผิว


ลไฟไหม้ขนึ้ จะทำาให้ศรี ษะเกิดอาการเคล็ด เกิดอาการแสบและระคายเคืองได้
แตกและสมองได้รับการกระทบกระเทื
อน
การป้องกันศีรษะ

หมวกกันกระแทกและหมวกแข็ง
ประเภท 1—มีขอบรอบ
ประเภท 2—ไม่มขี อบรอบ
ระดับ 1—ลดแรงกระแทกจากวัสดุทตี่ กหล่น
และลดอันตรายจากการสัมผัสสื่อไฟฟ้าแรงดันตำ่า
(ผ่านการทดสอบการป้องกันกระแสไฟฟ้าที่ 2, 200 โวลต์)
ระดับ 2—ลดแรงกระแทกจากวัสดุทตี่ กหล่น
และลดอันตรายจากการสัมผัสสื่อไฟฟ้าแรงดันสูง
(ผ่านการทดสอบการป้องกันกระแสไฟฟ้าที่ 22, 000 โวลต์)
การป้องกันศีรษะ
– ข้อจำากัดคือ
การลดแรงกระแทกของวัสดุขนาดเล็กที่ตกลงมาแทงหรือทะลุส่วน
บนของหมวกได้ (ข้อนีค้ วามหมายไม่ชัดเจนครับ)
– ไม่มีการป้องกันการกระแทก หรือการแทงมาจากด้านหน้า
ด้านข้างหรือด้านหลัง
– ตรวจสอบสภาพของหมวกทุกวัน เพื่อดูรอยแตกร้าว
หรือความเสียหายที่เกิดขึน้ กับหมวกจากการกระแทกหรือจากการป
ฏิบัติงาน
– ถ้าตรวจสอบพบความเสียหายใดๆ
การป้องกันเท้า


เพื่อป้องกันอันตรายให้กับพนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในบริเวณที่อา
จเกิดอันตรายต่อเท้า จากการตกหล่นหรือการกลิ้งของวัสดุ
การลื่นหรือวัสดุที่สามารถแทงพื้นรองเท้าได้
และในบริเวณที่อาจเกิดอันตรายจากกระแสไฟฟ้า
อันตรายที่อาจเกิดขึ้น

การกระแทก สารเคมีที่หยดลงมา การโดนทับ

ไฟฟ้า ลืน่ ไถล อุณหภูมิ


การป้องกันเท้า

– ป้องกันนิ้วเท้าจากการถูกกระแทกและโดนทับ
– ป้องกันความปลอดภัยให้กับกระดูกเท้า
– ป้องกันอันตรายจากกระเสไฟฟ้า (ไม่เกิน 600
โวลต์ภายใต้สภาวะแห้ง)
– ป้องกันการเป็นสื่อไฟฟ้า
(ลดปริมาณไฟฟ้าสถิตให้เหลือน้อยที่สุด)
– ป้องกันพื้นรองเท้าจากการถูกเจาะหรือแทง
การป้องกันเท้า

• มีพื้นรองเท้าที่ป้องกันการลื่น
• ใช้ได้กับสิ่งแวดล้อมต่างๆ
• เลือกขนาดที่เหมาะสมกับตนเอง
• ตรวจสอบร่องรอยการฉีดขาด แตก
การสึกของพื้นรองเท้าตลอดจนความเสียหายอื่นๆ
• ดูแลรักษาตามคำาแนะนำาของผู้ผลิต
• กระบวนการแลกเปลี่ยนรองเท้า
อุปกรณ์ป้องกันกระแสไฟฟ้า

– เพื่อป้องกันอันตรายให้กับพนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในบริเวณที่อาจ
ได้รับอันตรายจากกระแสไฟฟ้า
– วัสดุที่ดีที่สุดก็คือ ยาง
– ต้องเป็นไปตามข้อกำาหนดของ ANSI ซึ่งได้แก่ถุงมือยาง
วัสดุปูพื้น ผนัง ฝาครอบอุปกรณ์ต่างๆ ถุงเท้าและเสื้อซับใน
การป้องกันผิวหนังและมือ

– เพื่อป้องกันอันตรายให้กับพนักงานที่ปฏิบัติงา
นอยู่ในบริเวณที่ร่างกายและมืออาจได้รบั อันตร
ายจากสารเคมีที่จะซึมเข้าสู่ผิวหนัง
การถูกบาดหรือถลอก
หรือการเผาไหม้จากความร้อนหรือสารเคมี
เป็นต้น
– การป้องกันต้องมีความเหมาะสมตามแต่อันตรา
ยที่จะเกิดขึน้
อันตรายที่อาจเกิดขึ้น
การเกิดแผล อันตรายจากการสัมผัส การทำาซำ้าๆ

ถูกบาด เจาะ สัมผัสกับสารเคมีที่เป็น การเคลือ่ นไหวของมือ


อาการเคล็ดหรือถูกกระแทก พิษ สารชีวเคมี ที่ซำ้ามากๆในช่วงระย
จากอุปกรณ์ต่างๆ กระแสไฟฟ้าหรืออุณห ะเวลาหนึ่ง
ภูมทิ ี่สงู มากๆ
การเลือกถุงมือ / เครื่องแต่งกาย

• ขึน้ อยู่กับประเภทของอันตราย
• ตรวจสอบกับ MSDS เพื่อศึกษาอันตรายจากสารเคมี
• ถุงมืออาจไม่จำาเป็นสำาหรับงานทุกประเภท ซึ่งในบางงานนั้น
การใส่ถุงมืออาจก่อให้เกิดอันตรายได้
• อาการแพ้ ต่อยางไม้สดหรือฝุ่นละออง
• เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
การเลือกถุงมือ / เครื่องแต่งกาย

ทำามาจากวัสดุที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตามไม่มีวัสดุใดที่สามารถป้องกันสารเคมีทุกชนิดได้
อาจใช้ป้องกันสารเคมีชนิดหนึ่งได้ดี
แต่อาจเกิดอันตรายหากใช้ป้องกันสารเคมีชนิดอื่น
คำาแนะนำาของโรงงานผู้ผลิตในการป้องกันสารเคมี
ควรระมัดระวังการรวมกันของสารเคมี
การทำาความสะอาดและการเลิกใช้
อนามัยส่วนบุคคล : การทำาความสะอาดส่วนบุคคล
ความสามารถในกานป้องกันสารเคมีแต่ละชนิด
ความสามารถในการป้องกันสารเคมีแต่ละชนิด
วัสดุทใี่ ช้ทำาถุงมือ (NITRILE)—สารเคมีที่ใช้ในการทดสอบ (ไอโซโพรพานอล)—การเสื่อมสภาพ (E)—
ระยะเวลาการเจาะทะลุ (>480 นาที)—อัตราการแทรกซึม (.001)
ระยะเวลาการเจาะทะลุ: คือระยะเวลาระหว่างที่สารเคมีเริ่มสัมผัสพื้นผิวของถุงมือ และ
ระยะเวลาที่มีการตรวจพบสารเคมีในถุงมือ โดยทัว่ ไปจะแสดงไว้โดยเครื่องหมาย “มากกว่า” (>)
จากตัวอย่างนี้พบว่า ใช้เวลาทั้งสิน้ 480 นาทีจากนั้นก็หยุดลง และอาจจะแสดงค่านีไ้ ว้ว่า ND
เมือ่ ไม่มกี ารตรวจพบสารเคมีนั้นๆ
การเสื่อม: คือการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัตทิ างกายภาพอย่างใดอย่างหนึ่งของถุงมือเมื่อสัมผัสกับสารเคมี ซึ่งได้แก่
การพองนูน อ่อนนุ่มลง หดหรือฉีกขาด จากตัวอย่างนี้ มีคา่ อยู่ที่ E ซึ่งคือดีมาก
หมายความว่าถุงมือชนิดนี้ไม่มกี ารเสื่อมสภาพหรือมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมือ่ สัมผัสกับสารเคมีที่นำามาทดสอบ
ทัง้ นี้อตั ราการเสื่อมสภาพทีด่ ีไม่ได้เป็นการรับประกันว่าระยะเวลาการเจาะทะลุจะดีไปด้วย
อัตราการแทรกซึม: คือระยะเวลาที่สารเคมีชนิดหนึง่ ๆสามารถซึมผ่านถุงมือเข้าไปได้
กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการซึมที่พื้นผิวของถุงมือ ตลอดจนการแพร่กระจายของสารเคมีไปทัว่ ทัง้ ถุงมือ
และการออกทางผิวด้านในของถุงมือ ทัง้ นีม้ ีหน่วยเป็น pg/cm2/MIN (ไม่โครกรัม/ตารางเซนติเมตร/นาที)
ควรมีคา่ ไม่เกิน LDL หรือ Lower Detection Limit ของอุปกรณ์ จากตัวอย่างนี้ มีค่าเท่ากับ 0.001
การเลือกถุงมือ

– ความหนา—ต้องพิจารณาเรือ่ งความยึดหยุ่นและความรู้สึก
(ของมือ) ที่มีผลต่อการปฏิบัติงาน
– ความคงทน
– ผ้าซับในและผิวหน้าของถุงมือ
การป้องกันเสียง

– เพื่อป้องกันอันตรายให้กับพนักงานที่ป
ฏิบัติงานอยู่ในบริเวณที่อาจเกิดอันตราย
จากเสียงที่มีระดับความดังมาก (8
ชม. TWA> 85 เดซิเบล)
– แนะนำาให้ใช้ในบริเวณที่มีเสียงสูงมากๆ
เช่น MER
และสำาหรับใช้ในขณะที่ปฏิบัติงานที่ก่อใ
ห้เกิดเสียงสูง
– ต้องมี NNR ที่เหมาะสม
การป้องกันเสียง
เป็นอันตรายต่อโครงสร้างที่อ่อนแอของหู
ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการสูญเสียประสิทธิภาพการได้ยนิ 2 ประเภท ดังนี้

การสื่อ—
ขัดขวางการส่งถ่ายเสียงไปยังหูชนั้ ใน—
ส่วนใหญ่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
ประสาทสัมผัส—เกีย่ วกับอวัยวะที่เรียกว่า
Corti
และเส้นประสาทที่ใช้สำาหรับการฟัง—
ในสถานที่ทำางานนั้น ส่ ว นใหญ่ ไ ม่ ส ามารถรั
ก ษาให้ ห ายได้
การสูญเสียประสิทธิภาพในการฟังส่วนใหญ่คือการสูญเสียของประสา
การดูแลรักษาอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล

ควรตรวจสอบอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลอย่างสมำ่าเสมอ
เพื่อดูความเสียหายต่างๆทั้งก่อนและหลังการใช้งาน
ทำาความสะอาดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลก่อนนำาไปเก็บ
จัดเก็บอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลให้เหมาะสมและหลีกเลี่ยงสภาว
ะต่างๆที่อาจก่อความเสียหายได้ เช่นความร้อน แสง หรือความชื้น
เป็นต้น
การรับและการเปลี่ยนอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล

หัวหน้าแผนกเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลให้แก่พนักงา

กรณีไม่มีอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลเมื่อต้องปฏิบัติงาน
ให้แจ้งหัวหน้าแผนกทันที
พนักงานอาจต้องเป็นผูร้ ับผิดชอบต่อความเสียหายหรือสูญหายขอ
งอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล
แนวนโยบายการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล
ความรับผิดชอบของพนักงาน
พนักงานต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลให้ถกู ต้อง
ตามที่ได้รับการฝึกอบรมมาและตามคำาแนะนำาต่างๆ
การปฏิบัติงานส่วนใหญ่จำาเป็นต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลทั้งสิ้น
การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลเป็นข้อกำาหนดหนึ่งในการปฏิบัติงาน
ถ้าพนักงานไม่สามารถใช้อปุ กรณ์ป้องกันส่วนบุคคลได้
ต้องเลือกอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลชนิดอื่นให้ใช้แทน
ทั้งนี้อุปกรณ์ดังกล่าวต้องสามารถป้องกันอันตรายในการปฏิบัติงานนั้นได้
หรือพนักงานผู้นั้นต้องเปลี่ยนตำาแหน่งหน้าที่ไป
ความรับผิดชอบของพนักงาน
พนักงานไม่มีสิทธิเลิกใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล
และยอมรับความเสี่ยงจากอันตรายที่อาจเกิดขึน้ จากการปฏิบัติงาน
พนักงานไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้
ไม่อนุญาตให้พนักงานเข้าไปปฏิบัติงานในสถานที่ที่อาจเกิดอันตร
ายโดยไม่มีการป้องกันใดๆ
อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลมีไว้สำาหรับเพื่อป้องกันอันตรายให้กับพ
นักงาน
ความรับผิดชอบของนายจ้าง

นายจ้างควรแน่ใจว่า
พนักงานได้รับและใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลอย่างเหมาะสมถูก
ต้องแล้ว เมื่อกำาลังจะเข้าไปปฏิบัติงานในสถานที่ที่เป็นอันตราย
การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลควรเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานข
องพนักงาน
และต้องมีการบังคับใช้ให้เป็นเช่นเดียวกับกฎข้อบังคับอื่นๆ

You might also like