Professional Documents
Culture Documents
Waves
Waves
่
คลืน
ถาดคลืน
่ (Ripple tank)
่ นประกอบทีส
• สว ่ าค ัญของถาดคลืน
่
– ต ัวถาดคลืน่
– ต ัวกาเนิดคลืน
่
– โคมไฟ
ถาดคลืน
่ (Ripple tank)
่ นประกอบทีส
• สว ่ าค ัญ
ของถาดคลืน
่
– จุดกึง่ กลางของแถบ
มืดแทนตาแหน่งของ
ท้องคลืน ่
– จุดกึง่ กลางของ
แถบสว่างแทน
ั
ตาแหน่งของสนคลื น
่
หน้าคลืน
่ (Wave front)
่ มี
• แนวทางเดินของตาแหน่ งบนคลืนที ่
เฟสเท่ากัน
่
– หน้าคลืนตรง
การทดลอง
เสมือนจริง
หน้าคลืน
่ (Wave front)
• แนวทางเดินของตาแหน่งบนคลืน
่ ทีม
่ เี ฟส
เท่าก ัน
– หน้าคลืน
่ วงกลม
การทดลอง
เสมือนจริง
หน้าคลืน
่ (Wave front)
• ล ักษณะของหน้าคลืน
่
– คลืน
่ หน้าตรงทิศทางคลืน ่ ขนานก ัน
– คลืน่ หน้าโค้งวงกลมทิศทางคลืน่ เป็นแนวร ัศมีของวงกลม
– ทิศทางคลืน ่ จะตงฉากก
ั้ ับหน้าคลืน่ เสมอ
– หน้าคลืน
่ ทีต
่ ด ่ (
ิ ก ันจะห่างก ันเท่าก ับความยาวคลืน l)
การซอ้ นท ับของคลืน
่
(Superposition of wave)
้ นท ับหรือการรวมก ันของคลืน
• การซอ ่
– การรวมก ันแบบเสริม(Constructive
Superposition)
• การกระจ ัดของคลืน
่ อยูใ่ นทิศเดียวก ัน
การซอ้ นท ับของคลืน
่
(Superposition of wave)
้ นท ับหรือการรวมก ันของคลืน
• การซอ ่
– การรวมก ันแบบเสริม(Constructive
Superposition)
ั
• สนคลื
น ั
่ เจอก ับสนคลื
น ่
การทดลอง
เสมือนจริง
การซอ้ นท ับของคลืน
่
(Superposition of wave)
้ นท ับหรือการรวมก ันของคลืน
• การซอ ่
– การรวมก ันแบบเสริม(Constructive
Superposition)
• ท้องคลืน
่ เจอก ับท้องคลืน
่
การซอ้ นท ับของคลืน
่
(Superposition of wave)
้ นท ับหรือการรวมก ันของคลืน
• การซอ ่
– การรวมก ันแบบห ักล้าง(Destructive
Superposition)
• การกระจ ัดของคลืน
่ อยูใ่ นทิศทางตรงข้ามก ัน
การซอ้ นท ับของคลืน
่
(Superposition of wave)
้ นท ับหรือการรวมก ันของคลืน
• การซอ ่
– การรวมก ันแบบห ักล้าง(Destructive
Superposition)
• การกระจ ัดของคลืน
่ อยูใ่ นทิศทางตรงข้ามก ัน
การทดลอง
เสมือนจริง
สมบ ัติของคลืน
่
่
• การเคลือนที ่
แบบคลื
น ่ ต้องมีสมบัต ิ 4
ประการ
– การสะท ้อน(Reflection)
– การหักเห(Refraction)
– การแทรกสอด(Interference)
้
– การเลียวเบน(Diffraction)
การสะท้อนของคลืน
่
(Reflection of Wave)
• การสะท้อนของคลืน ้ เชอ
่ ในเสน ื กเมือ
่ จุดสะท้อนเป็นจุดตรึงแน่น
– เฟสเปลีย
่ น 180 องศา(เฟสตรงข้ามก ัน)
• การสะท้อนของคลืน ้ เชอ
่ ในเสน ื กเมือ
่ จุดสะท้อนอิสระ
– เฟสไม่เปลีย
่ น (เฟสตรงก ัน)
การทดลอง
เสมือนจริง
การสะท้อนของคลืน
่
• การสะท้อนของคลืน
่ ผิวนา้
– เฟสของคลืน
่ สะท้อนจะไม่เปลีย
่ น
การทดลอง
เสมือนจริง
การสะท้อนของคลืน
่
• การสะท้อนของคลืน
่ ผิวนา้
– มุมตกกระทบเท่าก ับมุมสะท้อน (q1 = q2)
การสะท้อนของคลืน
่
การสะท้อนของคลืน
่
• คลืน
่ วงกลมสะท้อนจากผิวสะท้อนเรียบตรง
การทดลอง
การสะท้อนของคลืน
่
• หน้าคลืน
่ วงกลมอยูท
่ จ
ี่ ด
ุ โฟก ัสสะท้อนจากผิว
สะท้อนจากผิวพาราโบลา
การสะท้อนของคลืน
่
• หน้าคลืน ้ ตรงสะท้อนจากผิวสะท้อนพาราโบลา
่ เสน
การห ักเหของคลืน
่
(Refraction of Wave)
การห ักเหของคลืน
่
(Refraction of Wave)
• คลืน
่ เคลือ
่ นทีผ
่ า่ นตัวกลางต่างชนิดกัน
– อ ัตราเร็ว ของคลืน
่ และความยาวคลืน
่ เปลีย
่ นแปลง
แต่ ความถี่ คงเดิม
การห ักเหของคลืน
่
(Refraction of Wave)
• คลืน
่ เคลือ
่ นทีผ
่ า่ นต ัวกลางต่างชนิดก ัน
– ทิศทางของคลืน
่ ตงฉากก
ั้ ับรอยต่อ
การทดลอง
การห ักเหของคลืน
่
(Refraction of Wave)
• คลืน
่ เคลือ
่ นทีผ
่ า่ นต ัวกลางต่างชนิดก ัน
– ทิศทางของคลืน
่ ไม่ตงฉากก
ั้ ับรอยต่อ
การทดลอง
การห ักเหของคลืน
่
(Refraction of Wave)
• พิจารณาการห ักเหของคลืน
่ นา้ ทีร่ อยต่อ
้
ของนา้ ลึกก ับนา้ ตืน
“กฎของสเนล”
การห ักเหของคลืน
่
(Refraction of Wave)
• ล ักษณะการห ักเหของคลืน
่
่ า้ ลึก
้ ไปสูน
– จากบริเวณนา้ ตืน
คลืน
่ เคลือ
่ นทีจ
่ ากนา้ ตืน ่ า้ ลึก (v มาก ,q มาก)
้ (v น้อย ,q น้อย) สูน
ทิศทางคลืน ่ ห ักเหจะเบนออกจากเสน ้ แนวฉาก
การห ักเหของคลืน
่
(Refraction of Wave)
• ล ักษณะการห ักเหของคลืน
่ พระเจ้า จ๊อด
มันยอดมาก
่ า้ ตืน
– จากบริเวณนา้ ลึกไปสูน ้
คลืน
่ เคลือ
่ นทีจ ่ า้ ตืน
่ ากนา้ ลึก(v มาก ,qมาก) สูน ้ (v น้อย ,qน้อย)
ทิศทางคลืน ่ ห ักเหจะเบนเข้าหาเสน ้ แนวฉาก
การห ักเหของคลืน
่
(Refraction of Wave)
• มุมวิกฤตและการสะท้อนกล ับหมด
– ่
เมือคลื ่ วน้ าเคลือนที
นผิ ่ ่
จากบริ
เวณ ้ นเข้
นาตื ้ าสู ่
้ ก
บริเวณนาลึ
่ เท่ากับ 90 เรียกว่า มุม
่ าให้เกิดมุมหักเหมีคา
– มุมตกกระทบทีท
วิกฤต
้ รอยต่
– มุมตกกระทบโตมากกว่ามุมวิกฤต จะเกิดการสะท้อนขึนที ่ อของ
้
ตัวกลางทังสอง ้ า การสะท้อนกลับหมด
เรียกปรากฏการณ์นีว่
การสะท้อนกล ับหมด
ริว้ ของการแทรกสอด
(Interference pattern)
การทดลอง
การแทรกสอดของคลืน่
(Interference of Wave)
• แหล่งกาเนิดอาพ ันธ์(Coherent Source)
โอ้ย ;
อะไรก ันเนี่ย
การแทรกสอดแบบเสริม
(Constructive Interference)
การแทรกสอดแบบหักล ้าง
(Destructive Interference)
การแทรกสอดของคลืน่
(Interference of Wave)
• แหล่งกาเนิดอาพ ันธ์(Coherent Source)
้ ปฎิบ ัพ(Antinode line)
เสน
การแทรกสอดแบบเสริม
S1P - S2P = nג
การแทรกสอดแบบห ักล้าง
S1Q-S2Q = [n-(1/2)] ג
้ บ ัพ(Node line)
เสน Path diff
การแทรกสอดของคลืน่
(Interference of Wave)
• แหล่งกาเนิดอาพ ันธ์(Coherent Source)
– พิสจ
ู น์การแทรกสอดแบบเสริม
Path diff = 0 ג
Path diff = 1 ג
Path diff = 2 ג
.
. โฮ ๆๆ
.
Path diff = n ג
; n=0,1,2,3,…
การแทรกสอดของคลืน่
(Interference of Wave)
• แหล่งกาเนิดอาพ ันธ์(Coherent Source)
– พิสจ
ู น์การแทรกสอดแบบห ักล้าง
Path diff = (1/2) ג
Path diff = (3/2) ג
Path diff = (5/2) ג
.
.
.
Path diff = [n-(1/2)]ג
; n=1,2,3,…
การแทรกสอดของคลืน่
(Interference of Wave)
• แหล่งกาเนิดอาพ ันธ์(Coherent Source)
– พิสจ
ู น์การแทรกสอดแบบห ักล้าง
Path diff = (1/2) ג
Path diff = (3/2) ג
Path diff = (5/2) ג
.
.
.
Path diff = [n-(1/2)]ג
; n=1,2,3,…
การแทรกสอดของคลืน่
(Interference of Wave)
• การแทรกสอดของคลืน ่ ทีจ ุ P ซงึ่ ไกลมากจาก
่ ด
แหล่งกาเนิดคลืน
่ S1 ,S2
dsinӨ
ถ้าจุด P เป็นจุดปฎิบ ัพ จะประมาณได้วา
่
dsin Ө = n ; גn = 0 , 1 , 2 , 3 , …
โฮะ ๆ ง่ายมก
่ั ๆ
การทดลอง
สรุปสูตรการแทรกสอด
• เมือ
่ เฟสตรงก ัน ว้าว ๆ ๆ ๆ ๆ
้
การเลียวเบนของคลื ่ านสิง่
นผ่ การทดลอง
้ น
การเลียวเบนของคลื ่
(Diffraction of Wave)
้
• การเลียวเบนของคลื
น ่
่ ความถี่ และอัตราเร็วเท่าเดิม
– ความยาวคลืน
เมือ ่ ผ่านสงิ่ กีดขวางหรือชอ
่ คลืน ่ ง
เปิ ดแคบ ๆ จะเกิดการเลีย ้ วเบนมาก
ยิง่ ขึน้ ถ้าชอ ่ งเปิ ดนีม้ ค
ี วามกว้าง
เท่าก ับหรือน้อยกว่าความยาวคลืน ่
แล้วคลืน ่ จะแผ่ออกจากชอ ่ งเปิ ดนน ั้
โดยรอบ ชอ ่ งเปิ ดนีเ้ รียกว่า สลิต
(เปรียบเสมือนแหล่งกาเนิดวงกลม)
้
การเลียวเบนของคลื ่ วน้ าผ่าน
นผิ
่
ช่องแคบหรือสลิตเดียว
้ น
การเลียวเบนของคลื ่
(Diffraction of Wave)
• หลักของฮอยเกนส ์(Huygen’s principal)
้
– ใช ้อธิบายปรากฏการณ์เลียวเบนของคลื
น ่ มีใจความว่า “ทุก ๆ
่ อได ้ว่าเป็ นต ้นกาเนิ ดของคลืนใหม่
จุดบนหน้าคลืนถื ่ ่ ้กาเนิ ด
ซึงให
่
คลืนวงกลมที ่ เฟสเดียวกัน เคลือนที
มี ่ ่
ไปในทิ
ศเดียวกับทิศการ
่
เคลือนที ่
ของคลื ่ ้น”
นนั
้ น
การเลียวเบนของคลื ่
(Diffraction of Wave)
• หลักของฮอยเกนส ์(Huygen’s principal)
้
– อธิบายปรากฏการณ์เลียวเบนของคลื
น ่
้ น
การเลียวเบนของคลื ่
(Diffraction of Wave)
้
• การเลียวเบนของคลื
นน่ าผ่
้ านช่องเปิ ดเดียว
่
่ ผ่
– หน้าคลืนที ่ านช่องเปิ ดเดียวไปได
่ ้นั้นทุก ๆ จุดจาทาหน้าที่
่
เสมือนเป็ นจุดกาเนิ ดคลืนกระจายคลื ่
นไปเสริมหรือหักล ้าง
กันเกิดเป็ นแนวบัพและแนวปฎิบพ ั ขึน้
การทดลอง
้ น
การเลียวเบนของคลื ่
(Diffraction of Wave)
้
• การเลียวเบนของคลื
นน่ าผ่
้ านช่องเปิ ดเดียว
่
– เกิดการแทรกสอดแบบหักล ้าง(บัพ)
Path diff = nג
; n= 1,2,3,…
dsin Ө = nג
ั )
– เกิดการแทรกสอดแบบเสริม(ปฏิบพ
Path diff = [n+(1/2)] ג
; n= 1,2,3,…
dsin Ө = [n+(1/2)]ג
้ น
การเลียวเบนของคลื ่
(Diffraction of Wave)
้
• การเลียวเบนของคลื
นน่ าผ่
้ านช่องเปิ ดคู(่ สลิตคู)่
่ เฟสตรงกัน
– จากแหล่งกาเนิ ดทีมี
การทดลอง
้ น
การเลียวเบนของคลื ่
(Diffraction of Wave)
• สูตรการคานวณแนวปฎิบพ
ั และแนวบัพจากช่องเปิ ด
คู่
– แนวปฎิบพ
ั
Path diff = nג
; n=0,1,2,3,…
dsin Ө = nג
– แนวบัพ
Path diff = [n-(1/2)]
; n= 1,2,3,…
dsin Ө = [n-(1/2)]ג
่ ่ ง(standing Wave)
คลืนนิ
่ ขบวนมีแอมพลิจด
• คลืน2 ่ ตราเร็ว
ู ,ความยาวคลืน,อั
่
เท่ากัน เคลือนที ่
สวนทางกั นในแนวเส ้นตรงเดียวกัน
จะเกิดการรวมกัน
่ ่ ง(standing Wave)
คลืนนิ
่ ขบวนมีแอมพลิจด
• คลืน2 ่ ตราเร็ว
ู ,ความยาวคลืน,อั
่
เท่ากัน เคลือนที ่
สวนทางกั นในแนวเส ้นตรงเดียวกัน
จะเกิดการรวมกัน
วีดโี อ
่ ่ ง(standing Wave)
คลืนนิ
่ ่ งในเส ้นเชือก
• คลืนนิ
วีดโี อ
่ ่ ง(standing Wave)
คลืนนิ
่ ่ งในเส ้นเชือก
• คลืนนิ
• จากสมการ แอมพลิจด
ู ของตัวกลางมีคา่ น้อย
่ ดเมือ
ทีสุ ่
• ดังนั้น
• เนื่ องจาก
• จะได ้
่
• ตาแหน่ งทีแอมพลิ
จดู เป็ นศูนย ์เรียกว่า nodes
่ ่ ง(standing Wave)
คลืนนิ
่ ่ งในเส ้นเชือก
• คลืนนิ
่ การกระจัดสูงสุดเรียกว่า
– ตาแหน่ งของตัวกลางทีมี
antinodes
– จากสมการ ตาแหน่ งของอนุ ภาคของ
่
ตัวกลางมีการกระจัดสูงสุดเมือ
– ดังนั้น
– เนื่ องจาก
– จะได ้
่ ่ ง(standing Wave)
คลืนนิ
่ ่งทีเกิ
• ลักษณะของคลืนนิ ่ ดขึน้
่ ต
– จุดบัพทีอยู ่ ดิ กันจะห่างกัน เท่ากับ ג/2 เสมอ
– จุดปฎิบพ ่ ต
ั ทีอยู ่ ดิ กันจะห่างกัน เท่ากับ ג/2 เสมอ
– จุดบัพและปฎิบพ ่ ดกันจะห่างกัน เท่ากับ ג/4 เสมอ
ั ทีติ
– แอมพลิจด ู สูงสุดของจุดปฎิบพ ่
ั จะเป็ นสองเท่าของคลืน
้
ย่อยทังสอง
– คาบของคลืนนิ ่ ่ งจะเท่ากับคาบของคลืนย่ ่ อยทังสอง
้
่ อง(Resonance)
การสันพ้
่
• ความถีธรรมชาติ
่
– ความถีในการแกว่ ่
งหรือสัน
ของวัตถุอย่างอิสระ
่
• ความถีธรรมชาติ
ของลูกตุ ้ม
1 g
f =
2 l
่
• ความถีธรรมชาติของมวลติด
ปลายสปริง
1 k
f =
2 m
่ อง(Resonance)
การสันพ้
่ ้อง
• การสันพ
่
– ถ ้าออกแรงกระทาเป็ นจังหวะ ๆ ทีพอเหมาะกั บความถี่
ธรรมชาติของการแกว่ง ทาให ้ช่วงกว ้างของการแกว่ง
(แอมพลิจด ่ นจนถึ
ู ) ค่อย ๆ เพิมขึ ้ ่ ด เรียก
งมากทีสุ
ปรากฏการณ์นีว่้ า การสันพ่ อ้ งของการแกว่ง
่ อง(Resonance)
การสันพ้
่ ้องของเส ้นลวด
• การสันพ
– พิจารณาเส ้นลวดหรือ
่
เชือกทีปลายทั ้
งสองตรึง
่ ความยาวเป็ น L
แน่ น ทีมี
่ ดเส ้นลวดจะเกิดคลืน
– เมือดี ่
ในเส ้นลวด ไปกระทบจุด
ตรึงแล ้วสะท ้อนกลับไป
่ ่ง
กลับมาเป็ นคลืนนิ
– จุดตรึงเป็ นตาแหน่ งบัพ
เสมอ
่ ่ งลักษณะนี ้
– การเกิดคลืนนิ
่ อง(Resonance)
การสันพ้
่
• ความถีของคลื ่ ่ งทีท
นนิ ่ าให ้เกิดการสันพ
่ ้องของเส ้น
ลวด มีได ้หลายค่าดังนี ้
– ความถีมู ่ ลฐาน(fundamental):ความถีต ่ ่าสุดของ
่ ่ ง ซึงมี
คลืนนิ ่ ความยาวคลืนมากที
่ ่ ดแล ้วทาให ้เกิดการ
สุ
่ อ้ งของเส ้นลวด
สันพ
– โอเวอร ์โทน(overtone) : ความถีของคลื ่ ่ ่ งทีสู
นนิ ่ ง
ถัดจากความถีมู ่ ลฐาน แล ้วทาให ้เกิดการสันพ
่ อ้ งของ
้ ๆ
เส ้นลวด มีคา่ เป็ นขัน
– ฮาร ์โมนิ ก(harmonic):ตัวเลขทีบอกว่ ่ า ความถีนั ่ ้น
่ าของความถีมู
เป็ นกีเท่ ่ ลฐาน
่ อง(Resonance)
การสันพ้
่
• การหาความยาวคลืนของคลื ่ ่งขณะเกิดการสัน
นนิ ่
่
พ ้องของคลืนในเส ้นเชือกหรือลวด
– โหมดที่ 1
• ½l = L ดังนั้น l = 2L
่ อง(Resonance)
การสันพ้
่
• การหาความยาวคลืนของคลื ่ ่งขณะเกิดการสัน
นนิ ่
่
พ ้องของคลืนในเส ้นเชือกหรือลวด
– โหมดที่ 2
•l=L
่ อง(Resonance)
การสันพ้
่
• การหาความยาวคลืนของคลื ่ ่งขณะเกิดการสัน
นนิ ่
่
พ ้องของคลืนในเส ้นเชือกหรือลวด
– โหมดที่ 3
• l = 2L/3
่ อง(Resonance)
การสันพ้
่
• การหาความยาวคลืนของคลื ่ ่งขณะเกิดการสัน
นนิ ่
่
พ ้องของคลืนในเส ้นเชือกหรือลวด
– โหมดที่ n
• ln = 2L / n n = 1, 2, 3, …
•n เป็ นจานวนโหมดของการสัน่
่ อง(Resonance)
การสันพ้
่
• ความถีของคลื ่ ่ งขณะเกิดการสันพ
นนิ ่ อ้ งของคลืนในเส
่ ้น
เชือก v = fl
– จาก
v n T
ƒn = n =
2L 2L
วีดโี อ
่ อง(Resonance)
การสันพ้
่
• ความถีของคลื ่ ่ งขณะเกิดการสันพ
นนิ ่ อ้ งของคลืนในเส
่ ้น
เชือก
V
f1 =
2L
– ่ ลฐาน หรือ Harmonic ที่ 1
: f1 คือความถีมู
2V
f2 = = 2 f1
2L
– ่
:f2 คือ ความถีโอเวอร ์โทนที่ 1 (first
overtone) หรื
อ Harmonic ที ่2
3V
f3 = = 3 f1
2L
– ่
: f3คือความถีโอเวอร ์โทนที่ 2 (second
overtone) หรือ Harmonic ที่ 3
่ ยง (Sound Waves)
คลืนเสี
่
• การเกิดและการเคลือนที ่
ของคลื ่ ยง
นเสี
่ ดจากการสันสะเทื
– คลืนเกิ ่ อนแหล่งกาเนิ ดเสียง
– ถ่ายทอดพลังงานของการสันให ่ ้แก่อนุ ภาคของตัวกลาง
่
– อนุ ภาคของตัวกลางสันแบบซิ มเปิ ลฮาร ์โมนิ กในทิศ
่
เดียวกับทิศการเคลือนที ่
ของเสี ยงจึงเป็ น คลืน ่
ตามยาว (Longitudinal Wave)
่ ยง (Sound Waves)
คลืนเสี
่ ยงแบ่งตามลักษณะของวัตถุต ้น
• แหล่งกาเนิ ดคลืนเสี
กาเนิ ดได ้ 3 ประเภท คือ
่
– เกิดจากการสันของสายหรื ่
อแท่ง ได ้แก่ เครืองสายต่ าง
ๆ เช่น ไวโอลิน กีตาร ์ ซอ จะเข ้ ขิม ส ้อมเสียง
่
– เกิดจากการสันของผิ ว เช่น ระฆัง ฉาบ ฉิ่ ง กลอง
– เกิดจากการสันของล่ ่
าอากาศ ได ้แก่ เครืองเป่ าชนิ ดต่าง
ๆ เช่น นกหวีด ขลุย ่ ปี่ แคน แซกโซโฟน
่ ยง (Sound Waves)
คลืนเสี
• พิจารณาท่อทรงกระบอกที่
บรรจุกา๊ ซ
่
– คลืนตามยาวถู กแผ่ไปตามท่อ
่
ทรงกระบอกทีบรรจุ กา๊ ซ
่ อการสัน
– แหล่งกาเนิ ดของคลืนคื ่
ของลูกสูบ
– ระยะทางระหว่างส่วนอัดกับส่วน
หรือส่วนขยายกั
การทดลองบส่วนขยายคือ
่
ความยาวคลืน
เสมือนจริง
่ ยง (Sound Waves)
คลืนเสี
• บริเวณทีค ่ ลืน
่ เคลือ่ นทีผ ่ า่ นภายในท่อ อนุภาคของ
ตัวกลางจะสน ั่ แบบ ซม ิ เปิ ลฮาร์โมนิกในทิศเดียวกับทิศ
การเคลือ ่ นทีข ่ องคลืน
่
ั ของตาแหน่ง (การกระจัด)ซงึ่ เป็ นการเคลือ
• ฟั งก์ชน ่ นที่
แบบ ซม ิ เปิ ลฮาร์โมนิก คือ
– V = อัตราเร็วเสียง
์
– B = ค่าสัมประสิทธิของความยื
ดหยุ่นของบัลค ์
= ΔP/(ΔV/V)
– ρ = ความหนาแน่ นของของไหล
อัตราเร็วของเสียงในของแข็ง
้
• อัตราเร็วของเสียงในของแข็งขึนอยู
ก ่ บ
ั ความยืดหยุ่นตัวของ
ของแข็ง คือ Young ‘s Modulus และความหนาแน่ น
ของของแข็ง
Y
V=
r
์
– Y = ค่าสัมประสิทธิของความยื
ดหยุ่น (Young ‘ s
Modulus)
= อ ัตราส่วนของความเค้นต่อความเครียด
อัตราเร็วของเสียงในแก๊ส
่ นเสี
• การอัดตัวและขยายตัวของก๊าซทีคลื ่ ยงเคลือนที
่ ผ่่ าน
B = P
เป็ นไปตามกระบวนการอะเดี
ยบาติก คือ
– เมือ่ B = Bulk modulus
– P = ความดันแก๊ส
cP
– =
cV
้
ด ังนัน P
V=
r
อัตราเร็วของเสียงในอากาศ
• อัตราเร็วของเสียงในอากาศ จากการทดลองพบว่า
อัตราเร็วของเสียงในอากาศเป็ นสัดส่วนโดยตรงกับ
่
รากทีสองของอุ VณหภูTมเิ คลวิน
V =k T
– กฎของการสะท ้อน
่
• ทิศทางคลืนตกกระทบ
เส ้นแนวฉากและทิศทาง
่
คลืนสะท ้อนต ้องอยู่ใน
ระนาบเดียวกัน
• มุมตกกระทบเท่ากับมุม
สะท ้อน
สมบัตข ่ ยง
ิ องคลืนเสี
• การหักเหของเสียง
่ ยงเคลือนที
– เมือเสี ่ ่ านตัวกลางต่างชนิ ดกัน จะทาให ้
ผ่
่
อัตราเร็วเสียงเปลียนแปลง และอุณหภูมท ี่ ยนไปก็
ิ เปลี ่ ทา
่
ให ้อัตราเร็วของเสียงเปลียนแปลงไปด ้วย
– เป็ นไปตามสมการ sin q1 l1 V1 T1
= = =
sin q 2 l2 V2 T2
สมบัตข ่ ยง
ิ องคลืนเสี
่ ยง
• การแทรกสอดของคลืนเสี
่
– ถ ้าคลืนรวมกั นระหว่างสันคลืน ่
่
(ส่วนอัด)ด ้วยกัน หรือคลืนรวม
่
ระหว่างท ้องคลืน(ส่ วนขยาย)
ด ้วยกัน ณ ตาแหน่ งนั้นเป็ น
่ ยงดังกว่าเดิม
ตาแหน่ งทีเสี
่
– ถ ้า ณ ตาแหน่ งใดคลืนรวม ภาพ การ Set ระบบ
่ บท ้องคลืน
ระหว่างสันคลืนกั ่ ่
เพืออธิ
บายการแทรก
ตาแหน่ งนั้นจะเป็ นตาแหน่ งเสียง ่
สอดของคลืนเสี
ยง
ค่อย
สมบัตข ่ ยง
ิ องคลืนเสี
่ อนกันตัวปล่อยคลืน
• พิจารณาลาโพง 2 ตัวทีเหมื ่
เสียงไปทีจุ่ ด P
่ การแทรกสอดแบบเสริม
– จุด P เป็ นจุดทีมี
สรุปสูตรการแทรกสอดของคลืน ี ง
่ เสย
• เมือ
่ เฟสตรงก ัน
– เสริมก ัน(ปฎิบ ัพ : ด ัง)
• ที่
การทดลอง
ปรากฏการณ์การแทรกสอดใน
ชีวต
ิ ประจาวัน
• การเกิดบีตส ์
่ พธ ์
– ได ้คลืนลั
– จากวิชาคณิ ตศาสตร ์
– ดังนั้นคลืนลั
่ พธ ์เป็ น
ปรากฏการการแทรกสอดใน
ชีวต
ิ ประจาวัน
• การเกิดบีตส ์
่ พธ ์
– จากสมการของคลืนลั
่ ยงทีผู
– ความถีเสี ่ ฟ ่ ย่
้ ังได ้ยินคือความถีเฉลี
– แอมพลิจด ู ของคลืนลั ่ พธ ์คือ
– แอมพลิจด ู มากทีสุ่ ดเมือ่
– ดังนั้นได ้ความถีบี ่ ตส ์
่ องของเสียง(Resonance)
การสันพ้
• การสันพ้ ่ อง คือ ปรากฏการณ์ทการสั ี่ ่
นของ
่
วัตถุใด ๆ มีความถีของการสั ่ ากับความถี่
นเท่
ธรรมชาติ จะทาให ้เกิดวัตถุน้ันมีการสันที
่ รุ่ นแรงทีสุ
่ ด
่ ่ ง)
(เกิดคลืนนิ
• ตัวอย่าง
่ าให ้เกิดคลืนนิ
– ท่อทีท ่ ่ง
– จากภาพเป็ นท่อปลายปิ ด
่ ่ งในท่อ(Resonance tube)
คลืนนิ
่ ่ งเกิดจากการซ ้อนทับกันของคลืนเสี
• คลืนนิ ่ ยงซึงเป็
่ น
่
คลืนตามยาวที วิ่ งสวนทางกั
่ นภายในท่อ
่
• เฟสของคลืนสะท ่
้อนจะเปลียนไป180 องศาถ ้าเป็ นท่อ
ปลายปิ ด
• เฟสของคลืนสะท ่ ่
้อนจะไม่เปลียนถ ้าท่อเป็ นท่อ
ปลายเปิ ด
่ ่ งในท่อปลายเปิ ด
คลืนนิ
่
• ทีปลายทั ้
งสองจะเป็ นจุด ปฏิบพ
ั (antinodes)
• มีความถีมู่ ลฐานเป็ น v/2L
• ฮาร ์มอนิ กที่ n มีความถีเป็
่ น ƒn = nƒ1 = n (v/2L)
เมือ่ n = 1, 2, 3, …
่ ่ งในท่อปลายปิ ด
คลืนนิ
• ่
ทีปลายปิ ดจะเป็ นตาแหน่ งบัพ (node)
• ่
ทีปลายเปิ ั (antinode)
ดจะเป็ นตาแหน่ งปฏิบพ
• มีความถีมู่ ลฐานเป็ น ¼l
• ฮาร ์มอนิ กที่ n มีความถีเป็
่ น ƒn = nƒ = n (v/4L)
เมือ ่
n = 1, 3, 5, …
The Doppler Effect
้ั
• บางครงเราได ่
้ยินเสียงแตรของรถยนต ์เปลียนไป
่
เมือรถยนต ่
์เคลือนที ่ านเราไป
ผ่
่
• เมือรถยนต ่
์เคลือนที ่ ้าหาเราความถีของเสี
เข ่ ยงที่
เราได ้ยินจะมากกว่าความถีในกรณี ่ ี่
ทรถยนต ์
่
เคลือนที ่
ออกจากเรา
• เหตุการณ์นีเป็ ้ นตัวอย่างของ
ปรากฏการณ์ ดอปเพลอร ์
The Doppler Effect
้
• Doppler Effect เกิดขึนเมื
อ ่ ความถี ่
่ มีการ
หรือความยาวคลืน
่
เปลียนแปลง เนื่องจากแหล่งกาเนิ ด
เคลือนที ่ ่ อผู ส
หรื ้ งั เกตเคลือนที ่ ่
• พิจารณา ในกรณี ทผู ี่ ส ้ งั เกตอยู ่บนเรือ
่
ทีลอยอยู ่ในทะเลทีคลื ่
่ นสงบ(คลื ่ วน้ า
นผิ
มีอ ัตราเร็วคงที)เคลื ่ ่
อนที ่
ไปทางด้ าน
ซ ้ายดังภาพ
• ในภาพ a ผู ส ้ งั เกตเริมจ ่ บ ่ น
ั เวลาเมือสั
่
คลืนมากระทบเรื อ เมือสั ่ นคลืนลู ่ กถัด
มากระทบเรือจ ับเวลาได้ 3 วินาที แสดง
ว่าคลืนมี ่ ความถี่ 0.33 Hz
The Doppler Effect
• นั่นคือ Doppler Effect เกิดขึนจากอั ้ ตราเร็ว
่
สัมพัทธ ์ระหว่าง(ผูส้ งั เกต)กับคลืน
่ อเคลือนที
– เมือเรื ่ ่
ไปทางขวา อัตราเร็วสัมพัทธ ์ของคลืน่
เทียบกับเรือจะมากกว่าอัตราเร็วของคลืน ่ ทาให ้คนที่
อยูบ ่
่ นเรือ(ผูส้ งั เกต)เห็นความถีของคลื ่
นมากขึน้
่
– เมือกลั ่
บหัวเรือให ้เรือเคลือนที ่
ไปทางซ ้าย อัตราเร็ว
สัมพัทธ ์ของคลืนเที ่ ยบกับเรือจะน้อยกว่าอัตราเร็วของ
คลืน ่ ทาให ้ผูส้ งั เกตเห็นความถีของคลื
่ ่ อยลง
นน้
ปรากฏการณ์ ดอปเพลอร ์ ของเสียง
(1)
่ ยงกับเทียบกับคลืนน
• พิจารณาคลืนเสี ่ าที
้ มากระทบ
่
เรือ
– พิจารณาคลืนเสี ่ ยงแทนคลืนน ่ า้
– ตัวกลางเป็ นอากาศแทนทีจะเป็ ่ นน้า
– ผูส้ งั เกตคือผูฟ ่
้ ังแทนทีจะเป็ ่ บ
นคนทีอยู ่ นเรือ
ปรากฏการณ์ ดอปเพลอร ์ ของเสียง
(2)
• พิจารณา ผูส้ งั เกต(ผูฟ ่
้ ัง)เคลือนที ่
แหล่งกาเนิ ดเสียง
หยุดนิ่ งอยู่กบั ที่
่
– ผูส้ งั เกตเคลือนทีด่ ้วยอัตราเร็ว Vo
– สมมติวา่ แหล่งกาเนิ ดเสียงอยู่นิ่งเทียบกับตัวกลางทีอยู ่ ่นิ่ง
(อากาศ) : Vs=0
่ ยงเคลือนที
– สมมติวา่ คลืนเสี ่ ่ ้วยอัตราเร็วคงทีดั
ด ่ งนั้น นั่นคือ
่ ยงจะแผ่จากแหล่งกาเนิ ดไปในทุกทิศทุกทางด ้วย
คลืนเสี
่ ากัน
อัตราเร็วทีเท่
้ วทีมี
• ดังพืนผิ ่ เฟสตรงกัน เรียกว่า หน้าคลืน
่ wave front
ปรากฏการณ์ ดอปเพลอร ์ ของเสียง
(3)
• ระยะระหว่างหน้าคลืนที ่ อยู ่ ต่ ด
ิ กันเท่ากับความยาวคลืน ่ (l )
• อัตราเร็วของคลืนเสี ่ ยงเป็ น v ความถีเป็ ่ น ƒ และความยาว
่ นl
คลืนเป็
• ดังนั้นถ ้าผูส้ งั เกต(ผูฟ ่ น
้ ัง)ทีอยู ่ ิ่ งจะได ้ยินเสียงด ้วยความถีƒ
่
– (V0=0 ,Vf=0)
่ ส้ งั เกตเคลือนที
• เมือผู ่ ่ ้าหาแหล่งกาเนิ ด อัตราเร็วสัมพัทธ ์
เข
(อัตราเร็วของคลืนเที่ ยบกับผูส้ งั เกต)คือ
v ’ = v + vo
่
– โดยทีความยาวคลื ่
นจะไม่ มก ่
ี ารเปลียนแปลง
ปรากฏการณ์ ดอปเพลอร ์ ของเสียง
(4)
• จาก V = fl เมือ
่ ความยาวคลืน
่ ไม่มก
ี าร
เปลีย
่ นแปลง
• ผูฟ ่ น ƒ’
้ ังจะได ้ยินเสียงมีความถีเป็
และจาก
• นั่นคือผูฟ น้
่ ความถีมากขึ
้ ังจะได ้ยินเสียงทีมี ่
ปรากฏการณ์ ดอปเพลอร ์ ของเสียง
(5)
• ถ ้าผู ้ฟั งเคลือ ่ นทีอ่ อกจากแหล่งกาเนิดทีอ ่ ยูน่ งิ่
• อัตราเร็วสม ั พัทธ์คอ ื
v ’ = v - vo
• นั่นคือผูฟ ่ ความถีน้
้ ังจะได ้ยินเสียงทีมี ่ อยลง เป็ น
ปรากฏการณ์ ดอปเพลอร ์ ของเสียง (6)
• พิจารณา
แหล่งกาเนิ ด
่ ยง
คลืนเสี
เคลือนที่ ่ ในขณะที่
้ ั งอยู ่นิง่
ผู ฟ ่
ในช่วงเวลา T แหล่งกาเนิ ดเคลือนที
ได่ ้
่
• เมือแหล่งกาเนิ ดคลืน่ ระยะทาง VsT
่
เสียงเคลือนที ่ ้าหาผู ้ฟัง
เข
่ ได
ความยาวคลืนที ่ ้ร ับจะ
้
สันลง
ปรากฏการณ์ ดอปเพลอร ์ ของเสียง (7)
่
• เมือแหล่ ่
งกาเนิ ดเสียงเคลือนที
เข่ ้าหาผู ้ฟัง
่
– ในช่วงเวลาTแหล่งกาเนิ ดเสียงเคลือนที
ได่ ้ระยะทางเป็ น
VsT=Vs/f
• ดังนั้นผูฟ ่ เนือ่ งจาก
้ ังจะได ้ร ับความยาวคลืน เป็ น
• ดังนั้น
• นั่นคือผูฟ ่ มากขึ
้ ังจะได ้ยินด ้วยความถีที ่ น ้
ปรากฏการณ์ ดอปเพลอร ์ ของเสียง (8)
่
• เมือแหล่ ่
งกาเนิ ดเสียงเคลือนที ่
ออกจากผู ้ฟัง
– นั่นคือผูฟ ่ น้
้ ังจะได ้ยินด ้วยความถีที ่ อยลง
• จาก กรวยของ
หน้าคลืน่ ทีเกิ
่ ดขึนจะ
้
เห็นว่า
sin q = v/vS
้ ยกว่า มุมมัค
– มุมนี เรี
(Mach angle)
การทดลอง
เลขมัค(Mach Number)
• อัตราส่วน vs / v คือเลขมัค
• ความสัมพันธ ์ระหว่าง เลขมัค กับ มุมมัค คือ
vt v
sin q = =
vs t vs
่
คลืนกระแทก(Shock Wave)
่
• กรวยของหน้าคลืนจะถู กผลิต
้ อ
ขึนเมื ่ vs > v ซึงก็
่ คอื
shock wave
่
– คลืนแบบนี ้ ยกว่า
เรี
supersonic
่
• คลืนกระแทก จะนาพลังงานไป
่
ด ้วยซึงพลังงานจะอยูบ ้ ว
่ นพืนผิ
ของโคน
่
• เช่นเมือเครื ่ นทีมี
องบิ ่ ความเร็
่ ว
เหนื อเสียงบินผ่านตึกสามารถ
ทาให ้ตึกเสียหายได ้จากคลืน ่
กระแทก ทีเรี่ ยกว่า
่
คลืนกระแทก(Shock Wave)
่
• การเคลือนที ่
ของเรื ่
อเปรียบเทียบกับคลืนกระแทก
ี ง
ความด ังของเสย
• ความดังของเสียงสัมพันธ ์กับแอมพลิจูดของ
่
คลืนเสี ยงมีหน่ วยเป็ น(N/m2)เนื่องจากคลืน ่
่
เสียงเป็ นคลืนของความด ่ น
ันของอากาศซึงเป็
ตัวกลาง
• ในการพิจารณาเรืองความด่ ัง จะพิจารณาถึง
แหล่งกาเนิ ดเสียงซึงต ่ ัวเลขทีบอกถึ
่ งความดัง
คือ กาลังของแหล่งกาเนิ ด ซึง่
หมายถึงพลังงานเสียงทีแหล่ ่ งกาเนิ ดปล่อย
ออกมาใน 1s
• แต่จะได้ยน ิ เสียงด ังมากหรือน้อยก็ขนอยู ึ้ ่ก ับ
ระยะระหว่างเราก ับแหล่งกาเนิ ดด้วย จึง
ความเข ้มเสียง
(SOUND INTENSITY,I)
• ความเข้ม (Intensity) คือพลังงานเสียง
่
ทีตกบน ้ ่ (ซึงตั
1 ตารางพืนที ่ งฉากกั
้ ่ ยง) ใน
บคลืนเสี
เวลา 1 วินาที
สมมติ A ตารางเมตร, มีกาลังของเสียง P
วัตต ์
เพราะฉะนั้น 1 ตารางเมตร , มีกาลังของเสียง P/A
วัตต ์
เพราะฉะนั้น
ความเข ้มเสียง
(SOUND INTENSITY,I)
่ ยงกระจายออกมารเป็ นรูปทรงกลม รอบ
• แต่คลืนเสี
้ ผิ
แหล่งกาเนิ ดเสียงพืนที ่ วทรงกลม( )
เปี ยโ ไวโอ
น ลิน
ควา ควา
C C’ C’’ C’’’’ มถี่ C C’ C’’ C’’’ C’’’’ มถี่