You are on page 1of 72

โดย

นางเตือนใจ เอื้ออารี มิตร


ครู ชำนาญการพิเศษ
โรงเรี ยนสิ ริรัตนาธร
คำ เป็ นกลุ่มเสียงประกอบด้วยเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์
ทีป่ รากฏได้ โดยอิสระ และมีความหมาย

คำ จะต้องเป็ นกลุ่มเสียงที่มีความหมายเสมอ ส่วนพยางค์เป็ นกลุ่มเสียงเช่นกัน


ประกอบด้วยเสี ยงพยัญชนะ เสี ยงสระ และเสี ยงวรรณยุกต์ พยางค์ ๑ พยางค์ ถ้ามี
ความหมายก็เป็ นคำ ๑ คำ ถ้าพยางค์ ๑ พยางค์ ไม่มีความหมายก็ไม่ถือว่าเป็ นคำ
พยางค์จึงเป็ นส่ วนหนึ่งของคำ เช่น
ดี ๑ พยางค์ ๑ คำ
กางเกง ๒ พยางค์ ๑ คำ
ผลไม้ ๓ พยางค์ ๑ คำ
ราชธานี ๔ พยางค์ ๑ คำ
ชนิดของคำ
คำอุทาน
คำวิเศษณ์ คำสันธาน

คำนาม
คำบุพบท

แบบทดสอบ
คำกริ ยา
คำสรรพนาม
คำที่ใช้เรี ยกชื่อคน สัตว์ สิ่ งของ เช่น พ่อ แมว
กวาง บ้าน จมูก ปาก ลม ไฟ จาน ดวงจันทร์
ชาม ความรัก การกิน
นาม แบ่งออกได้ ๕ พวก คือ
นามทัว่ ไป เรี ยกว่า สามานยนาม เช่น คน วัว ความดี การนอน

นามที่ใช้เรี ยกชื่อเฉพาะ เรี ยกว่า วิสามานยนาม เช่น นายอภิสิทธิ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี


เกาะภูเก็ต สิ งคโปร์

เป็ นคำนามที่ใช้เรี ยกชื่อคน สัตว์ สิ่ งของ ที่รวมกันเป็ นกลุ่ม เป็ นหมวดหมู่ เรี ยกว่า
สมุหนาม เช่น คณะ นิกาย กอง สมาคม โขลง บริ ษทั ก๊ก สำรับ

นามที่มาจากคำกริ ยาหรื อคำวิเศษณ์ มี การ และ ความ นำหน้า เรี ยกว่า อาการนาม เช่น การวิง่
การอ่าน ความฉลาด

นามบอกลักษณะ เรี ยกว่า ลักษณนาม เช่น คน ตัว ผล ฟอง เล่ม แท่ง อัน
 การ จะนำหน้าคำกริ ยา เช่น การยืน การพูด การปราศรัย
 ความ จะนำหน้าคำกริ ยาที่เป็ นความนึกคิดทางจิตใจ เช่น ความคิด
ความรู ้ ความเข้าใจ ความรัก
 ความ จะนำหน้าคำวิเศษณ์ที่เป็ นนามธรรม เช่น ความดี ความชัว่
ความงาม ความสะอาด ความหรู หรา ความว่องไว

ข้ อสังเกต ! ถ้ า การ และ ความ นำหน้ าคำ


นามจะเป็ น คำประสม เช่ น การบ้ าน การเมือง
การสงคราม การไฟฟ้ า ความแพ่ ง
ความอาญา ความศึก
 ลักษณนามบอกชนิด เช่น พระพุทธรู ป ๓ องค์ พระภิกษุ ๙ รู ป เลื่อย ๑ ปื้ น
บทความ ๒ เรื่ อง ช้าง ๕ เชือก
 ลักษณนามบอกอาการ เช่น บุหรี่ ๖ มวน พลู ๓ จีบ ไต้ ๕ มัด
 ลักษณนามบอกรูปร่ าง เช่น รถ ๓ คัน ดินสอ ๘ แท่ง ไม้ไผ่ ๔ ลำ แห ๔ ปาก
ไม้ขีด ๑ กลัก ปื น ๕ กระบอก ฟาง ๓ ฟ่ อน แสตมป์ ๗ ดวง
 ลักษณนามบอกหมวดหม่ ู เช่น ฟื น ๒ กอง ทหาร ๓ หมวด พระ ๒ นิกาย
 ลักษณนามบอกจำนวนหรื อมาตรา เช่น ตะเกียบ ๒ คู่ ผ้าลาย ๑ กุลี (ผ้า ๒๐ ผืน
รวมกัน ๑ ห่อ เป็ น ๑ กุลี) ผ้า ๙ เมตร ที่ดิน ๑๒ ไร่ ข้าว ๖ กระสอบ
 ลักษณนามซ้ำคำนามข้ างหน้ า ได้แก่ อำเภอ ๔ อำเภอ คะแนน ๑๐ คะแนน
คน ๘ คน
๓.๒.
๑.ทำหน้ าทีาาเ่ ทีป็ทีเ่ นคำขยาย
ทำหน้
ทำหน้ เช่ น
เ่ป็ป็นกรรมตรงกรรมรอง
นประธานของประโยคเช่ นเช่น
          -
       -เขาทรายเป็
          - ความรู ้ ทำนให้นัฉกลาด
เขาทรายชกเขาค้ มวยอลงไปนอนกับพืน้ (ประกอบคำกริ ยา
“เป็          -
น” ทำหน้
        - าทีก่เกษาช่
ฉันคลุ
การศึ ป็ข้นาส่วให้
ววยให้
นเติคมนฉลาด
แมวกิ เต็นมทุ)กวัน
          -
          -
        - อรุ ใคร
ให้ี สนอนหนั
ครูณ ร์ดศิลวปิ๗นผูปีม้ ีคอวามสามารถ
ๆักเรีก็ยชนทำความสะอาดห้
อบเบิ
งสื อมาแล้ งเรียน
(ขยายเงิน“เบิแก่รข์ดอทาน
          - เขาให้ ”)
          - น้องไปโรงเรี ยน
(ขยายกริ ยา “ไป”)
          - โรงเรี ยนหยุดวันเสาร์ และวันอาทิตย์
(ขยายกริ ยา “หยุด”)
          - ดอกไม้เมืองเหนือดอกโตและสี สวย
(ขยายคำนาม)
คำที่แสดงอาการของคำนามและสรรพนาม นัน่ คือ
กริ ยาจะแสดงการกระทำของประธานในประโยค
แบ่งออกได้ ๔ พวก คือ
๔. กริ๑.ยานุอกรรมกริ เคราะห์ หรื ย า อคืคำช่
อ วยกริ
คำกริ ย ยา่มคืีคอวามหมายครบถ้
าที คำกริ ยาที่ทำหน้วนสมบู าที่ช่วยให้รณ์ กนตั
ใ ริ ยาสำคั
ว เอง ญมี
๓. วิกตรรถกริ ๒. ยสกรรมกริ
ความหมายชั า(กริ ด ย าอาศั
เจนขึ ย้ นา ยคืเพราะคำกริ
อวคำกริ
ส่ นเติ มยเต็าทีมย่ตาในภาษาไทยมี
)อ้ คืงมีอกคำกริ
รรมมารั ย าที บร่จู ปข้ะใช้
างท้กาบั่ไยจึ
คงที ม่ เงปลี
จะได้
ประธานแต่
่ ย ใปจความ
นรู ลำพังไม่ได้า ทีเพราะ
ไปตามหน้ ่
โดยไม่
สมบูรณ์เหมื ต อ

ครบถ้ งมี ก รรมมารั
วในนตั  ลำพั บ เช่ น
งเพีอยงอาศั
งกริ ยยาตั วเดีง่นกฤษ
ยมาประกอบจึ
วยังจึไม่ ไอด้งอาศั
ใจความสมบู รณ์ยาดั
เช่นงกล่วาวน จึงมีผู ้
ยังไม่มีคในประโยค
วามหมายสมบู รอณ์
นกั
               สุ นขั ดหน้ บ
หอนาต่าง ว เองต้
Verb ในภาษาอั คำอื ง ต้ ง จะได้
ย คำช่ ใว จความครบถ้
ยกริ
เรี ยกวิกตรรถกริ                เขาเปิ
กำลัยาว่ง าคงเป็ นจะได้
ได้แก่               คนวิ กริ่งยาอาศั ย่ อม ยเคยส่ วนเติ
ให้ แล้ มเต็วมเสร็ คำกริ ยาพวกนี
จ กริ ยานุเคราะห์ ้ ได้แก่จะวางอยูห่ น้าหรื อหลัง
         เป็คำกริ อ เหมืญอก็บนไไฟก่
น อยู               ดั
ย่                เพื
คืาสำคั ตัาอวยอย่
ด้่อคล้นๆหั นเข้
เท่
ว า านอน
า น จ ราวกับ แปลว่ า ประหนึ่ง ตัวอย่างเช่น
ประดุ
งเช่
เราะ
               น้
               เขาเป็ น วิ
               เขากำลั ศ วกร องกิ
ง มา นขนม            ลุ งแก้วย่ อมไปที่นนั่ คุณแม่อยู่ในครัว
               หน้
               ฉั นดูโวทรทัา ต่ า งปิ ด
ศน์ ว ยายได้
               ความรู ้ คื
               เขามาแล้ อ ดวงประที
               น้ำไหล ป
และไปแล้ ปทำบุญที่วอดั นพ่
ลูกไของเธอเหมื แล้ วอมากกว่าเหมือนแม่
               ลิ ายค่าง ณแม่บหุงข้าว
ง               คุ
คล้               ไฟดั
               เธอไปซิ ลูกหมาเท่ าลูดกแมว
เขาอาจไปตามนั    แอนต้ องไป
กับเพื               คุ
               วาจาประดุ ่อนพรุ่ งจนีอาวุ ้ ณ  ตูพ่ธนอมีอ่ถูคากมนหนั
ครู ดุ ง          
สื อพิมพ์ รู ปร่ างราวกับยักษ์วดั แจ้ง
               คนสวนดายหญ้
               มาตาแปลว่ าแม่ า ผิวนางสาวไทยประหนึ่งดังทองคำ
               ตำรวจจับขโมย
คำกริ ยาทำหน้าที่ ๓ ประการ คือ

๑. ทำหน้าที่เป็ นภาคแสดงในประโยค เช่น


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั พระราชทานพระบรมราโชวาท
๒. ทำหน้าที่ขยายคำนาม เช่น
อาหารถวายพระเป็ นอาหารมังสวิรัติ
๓. ทำหน้าที่เหมือนเป็ นคำนาม (เรี ยกว่า กริ ยาสภาวมาลา)
เช่น รักเรี ยนจงเพียรเถิด
คำที่ใช้แทนนามเพื่อมิให้ตอ้ งกล่าวคำนามซ้ำอีก
คำสรรพนาม แบ่งออกเป็ น ๗ ชนิดด้วยกัน

๑. บุรุษสรรพนาม
๒. นิยคืมสรรพนาม
อ สรรพนามทีคือ่ใช้สรรพนามใช้
แทนชื่อผูพ้ แดู ทนนามชี
ผูฟ้ ัง และผู ท้ ี่พดู ถึง อชี้
้ เฉพาะเจาะจงหรื
ระยะ บอกความใกล้ไกลที่เป็ นระยะทาง เช่น นี่ นี้ นัน่ นั้น โน่น โน้น
แบ่งออกเป็ น สรรพนามบุรุษที่ ๑ เป็ นสรรพนามที่ใช้แทนผูพ้ ดู ได้แก่
ตัวอย่างเช่น
ฉั น ผม กระผม กู ข้ าพเจ้ า ดิฉัน อาตมา ข้ าพระพุทธเจ้ า
นัน่ คือเพื่อนของฉัน
สรรพนามบุรุษที่ ๒ เป็ นสรรพนามที่ใช้แทนผูท้ ี่เราพูดด้วย
ได้แนีก่่คือเธอ ท่ านพท์คุเณครืใต้
โทรศั เท้ า พระคุณเจ้ า ฝ่ าพระบาท มึง
่ องใหม่
โน่นเป็ นอาคารเรี ยรนของพี
สรรพนามบุ ุ ษที่ ๓ เป็่ นสรรพนามที่ใช้แทนผูท้ ี่เราพูดถึง
หรื อผูพ้ ดู กล่าวถึง ได้แก่ เขา พวกเขา มัน พระองค์
นี่เป็ นของเธอ นี้เป็ นของฉัน
คุณพ่อดูน้ ีซิ
๓. อนิยมสรรพนาม คือ สรรพนามบอกความไม่เจาะจง เช่น
๔. ปฤจฉาสรรพนาม คือ สรรพนามใช้
ใคร อะไร ไหน ผูใ้ ด บางครั้งถเป็ามนคำซ้ำ
ใช้แทนนามที ่มีเนือะไรๆ
เช่น ใครๆ ้ อความเป็
ไหนๆนคำถาม
เช่น ใคร ผูใ้ ด อะไร
ตัวอย่าไหน ตั
งเช่น วอย่างเช่น
ปฤจฉาสรรพนามต่
อะไรอยูใ่ ต้ทอ้ งรถ
างกับอนิ
?  บเขาฉันก็ไม่สน
ยมสรรพนาม คื

ใครจะไปกั
อนิยมสรรพนามใช้ ในประโยคบอกเล่ าความไม่ แน่ นอน
ใครจะไปเที
หรื อปฏิ ่ยวด้วยกัแต่
เสธ นบ้ปางฤจฉาสรรพนามใช้
?       ไม่ยอม ในประโยคคำถาม
เธอจะเอาอะไรมาแลกก็
ไหนรถของเธอข้อ?สอบชุ
       
ดนี้ใครๆก็ทำได้

**อนิยมสรรพนามไม่ ได้ แสดงความหมายเป็ นคำถาม


๖.๕.ประพั
วิภาคสรรพนาม
นธสรรพนามคือคือสรรพนามที
สรรพนามที่บอกความชี
่ใช้แทนนามหรื แบ่งพวก หรื่อยูอข่ รวมพวก
้ ซ้ำ หรืออสรรพนามที า้ ง
หน้ได้าและทำหน้
แก่ คำว่า ต่าทีง ่เบ้ชืา่องมประโยคด้
กัน คำสรรพนามเหล่ วย ได้แก่คำานีว่า้ จะใช้
ผู้ ที่ ซึแทนนามข้
่ง อัน ตำแหน่
างหน้งของ
า แต่คำ
ถา้ ทำหน้าที่
ประพั
ประกอบคำอื
นธ์สรรพนามนี ่นถือว่า้ จเป็ะเรีนยคำวิ
งชิดเศษณ์ ไม่ใช่ก่วภิบั าคสรรพนาม
ติดขอบอยู คำนามหรื อสรรพนามเสมอ
 เช่น เช่น
คนที
        นั ก๗. สรรพนามใช้
่พดู จาไพเราะจะมี
กีฬาต่ างก็ฝึกแซ้ต่อคมอย่ นชืเน้่นางขะมั
นชมตามความรู
กเขม้น (วิ้ สภึกาคสรรพนาม)
ของผู้พูด คำสรรพนาม
        ต่ ชนิดางคนก็
นี้จะเรีตย่างไว้
งจิตหต่ลัางงใจคำนามเพื ่อเน้ปนระกอบคำนาม)
(วิเศษณ์ ความรู ้สึกต่างๆของผูพ้ ดู เช่น
เสื้ อใหม่
         คุ ที่เธอซื้อมาเหมาะกั บเธอจริ งอๆลูกหลานเสมอ
        นั กกีฬณาบ้ยายท่ างก็าฝนเป็
ึ กซ้อนมบ้ คนใจดี
างก็หมยุีเมตตาต่
ดพัก (วิภาคสรรพนาม)
         นี
        ใครบ้ ฉันชอบบ้่!างจะเล่
เจ้าเหมี ย่อวแกจะซนไปถึ
นเทนนิ
านที งไหนกัน
ส (วินภาคสรรพนาม)
ยูบ่ นเนิ
         พุฝทึ กโธ่ซ้อ! มบ้
บางคนก็ ใครจะไปโทษเด็
างหยุดพักบ้างก(วิ มันเศษณ์
ได้ลงคอ
ประกอบคำกริยา)
การทำดีอนั เกิดจากความจริ งใจย่อมส่ งผลดี
        นักมวยชกกัน (วิภาคสรรพนาม)
บุคคลผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม บริ จาคเงินสร้างโบสถ์ ๔,๐๐๐ บาท
        เขาเดินกันคนละทาง (วิเศษณ์ ประกอบคำกริยา)
ไม้บรรทัดอันที่หล่นอยูบ่ นพื้นเป็ นของปนัดดา
        เขาชกกันคนละสไตล์ (วิเศษณ์ ประกอบคำกริยา)    
หน้าที่ของคำสรรพนาม

คำสรรพนามใช้ แทนคำนามจึงทำหน้
๒. เป็ นกรรมของประโยค เช่นาที่เหมือนกับคำนาม เช่น ทำหน้าที่
๓.๔.เป็เป็นส่
เป็ นประธานเป็ นนเครื
วนเติ่องเชื
กรรม วเช่นเติ
น มเต็มเช่และเป็
มเต็น่อมส่มประโยค
เป็ น นเครื่ องเชื่อมประโยคได้
ดังตัวอย่างประโยคต่ อย่าไปโทษเธอเลย
อ่ไปนี ้ นสงสารคนที
คนที
ใครๆไม่สพากั
บายก็ คือเธอ ่บาดเจ็บ
          ๑. เป็ นประธานของประโยค
คุณตาเอาอะไรมา เช่น
น้อเขาพาฉั
งคล้ายฉั นมาก่ยวทะเลที่ฉนั ไม่เคยไป
นไปเที
วันนีเธอรู
้ ฉนั ไม่
้สึกเห็ไม่นสใครอยู ท่ ี่สนามเลยสั
บายมากวั นนี้ กคน
นายตั้มมีความคิดซึ่งไม่เหมือนใคร
เจ้าหน้
ไหนเป็าที่ช่วนยทำงานกั ทุกคน
กล่องที่ฉนั ฝากไว้
วันนี้เด็กๆต่างอยูบ่ า้ น

นี่เป็ นจักรยานของฉันเอง       
คำวิเศษณ์ คือ คำที่ใช้ขยายคำอื่น เป็ นการเพิ่มความหมายของคำ
อาจจะแสดงความหมาย บอกลักษณะบอกเวลา สถานที่
ปริ มาณ หรื อ จำนวน ฯลฯ
โดยอาจจะขยายคำนาม คำสรรพนาม คำกริ ยา หรื อคำวิเศษณ์ดว้ ยกัน
โดยวางไว้ขา้ งหน้า หรื อหลังคำที่ขยาย แบ่งเป็ น ๑๐ ชนิด คือ...
a. ลักษณวิเศษณ์ (คำวิเศษณ์ บอกลักษณะ ) คือคำวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบ คำนาม
บอกชนิ
หรื อคำสรรพนาม ตัวอย่
ด เช่าเพืงเช่
ดีน เลว อ่อดนขนาด
น่อบอกชนิ แก่ หนุ สัณ่มฐาน
สาว สีธรรมดา
เสี ยง กลิพิ่นเศษรสฯลฯ
สัมผัส อาการ
ความรู ้สบอกขนาด
ึ ก     ตัวอย่างคำวิ
เช่นเศษณ์ วัยรุบ่ นเล็
ใหญ่ ขับกกรถเร็
อกลั างว ยาว ย่อม เขื่อง จิ๋ว ฯลฯ
ษณะ                          
กว้
           สี ประจำโรงเรี ยนคือสี น ้ำเงิน-ชมพู
           บอกสัณฐาน เช่น กลม
           โต๊ ะกลมตัรี แป้วนัน้ นสีเป็่ เหลี ่ยม สามเหลี
นของคุ ณครู ่ยม แบน ฯลฯ
           บอกสี เช่น           คุ
ดำ แดงณเขีแม่ยทำ ว เหลืกับข้องาวกลิ
ม่วง่นแสด หอมจัชมพู
ง ฟ้ า ฯลฯ
           บอกเสียง เช่น ดัง ค่อน้ำชาร้ ย ไพเราะ อนอยู เบาใ่ นกระติ กสี ฟ้า แผ่ว แหบ ทุม้ ห้าว    
แปร่ ง แหลม
รถจักรยานคันใหญ่ ราคาแพงกว่าคันเล็ก
บอกรส เช่น เปรี้น้ยวองชายไม่ เค็ม หวาน ชอบกิ เผ็ดนจืขนมหวาน
ด มัน ขื่น ปร่ า ขม ฯลฯ
           บอกสัมผัส เช่น ร้อนน้ำหอมขวดนี เย็น แข็ง อ่อน้ กนุลิน่มหอมฉุ สาก ฯลฯน
           บอกอาการ เช่น เร็ ว ช้โทรศั า ว่องไวพท์รเฉืุ่ น่ใหม่ น้ ีบางมาก
อย ฉลาด ปราดเปรี ยว ฯลฯ            
ระฆังใบนี้เสี ยงดังกังวาน
   
  ๒. กาลวิเศษณ์ ( วิเศษณ์บอกเวลา ) คือคำวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคำอื่น เพื่อบอกเวลา
เช่น เช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น ค่ำ อดีต อนาคต โบราณ เดี๋ยวนี้ สมัยใหม่ ฯลฯ
           ตัวอย่างเช่น
         พิมพ์สิตาชอบวิง่ ออกกำลังกายตอนเช้ า
                 พรพรหมชอบสะสมของเล่นโบราณ
                         อดีตคงไม่หวนกลับคืนมา
                          เดี๋ยวนีร้ ถติดเหลือเกิน
ฉันไปก่ อน น้องไปหลัง
คนสมัยใหม่ มกั เชี่ยวชาญเรื่ องเทคโนโลยี
๓.๔.สถานวิ (วิเศษณ์
เศษณ์เศษณ์
ประมาณวิ (วิเบศษณ์
อกสถานที
บอกปริ่)มคืาณหรื อ คำวิอเจำนวน)
ศษณ์ที่ใช้คืปอระกอบคำอื
คำวิเศษณ์ท่นี่ใช้
เพื่อประกอบคำอื
บอกสถานที่น่หเพืรื อ่อบอกปริ
ระยะทางมาณ เช่นจำนวนนัเหนือ ใต้บ บน ล่าง ห่าจำง กัไกล
จำนวนไม่ ด หรืใกล้
อ ฯลฯ
ซึ่งจำนวนแบ่
จะประกอบคำนามหรื
งแยก เช่น ทัอ้ งคำกริ
หมด ยทัา้ งดัหลาย งนี้ เกือบ หนึ่ง ที่หนึ่ง บ้าง มาก น้อย ฯลฯ
        ประกอบคำนาม
     ตัวอย่าง ทุกคนต้ เช่ นองการความยุ
บ้ านไกล เมือตงเหนื ิธรรมอ(สับอกจำนวนจำกั
ตว์ ป่า สัตว์ น ้ำ ฯลฯ ด)
        ประกอบคำกริ
                  เด็ยา เช่กนคนนี
ไปใต้
้ ซ้ืออยู ่ ใกล้ ไปทางบก
ของหลายอย่ นั่งหน้ า ฯลฯ จำกัด )
าง ( บอกจำนวนไม่
                  นั เช่นกเรี ยนบางคนมาโรงเรี
บ้านของธนพรอยูยนสาย ( บอกจำนวนแบ่
ใ่ กล้ โรงเรี งแยก ตำ
ยนแต่อยูไ่ กลสถานี ) รวจ
                  ฉันสอบได้ เธอนั ที่หง่ อยู
นึ่งท่ ทุางขวาของห้
กปี ( บอกจำนวนนั
องเรี ยน บ )
นขั หนึกอยู
ตาลมีสุเขาพั ่งตัช่ ว้ นั (บน
บอกปริ
น้องพัมกาณ อยูช่ )้ นั ล่ าง
บรรดานันาฬิ กเรีกยาปลุ นที่มกาล้วางอยู วนแต่บ่ เนหั วเตีงยทัง ้งสิ ้น ( บอกจำนวน )
รี ยนเก่
คุณตามีที่นาแยะ ( บอกจำนวนไม่จำกัด )
๕. ปฤจฉาวิเศษณ์ ( วิเศษณ์แสดงคำถาม ) คือ คำวิเศษณ์ที่แสดงความสงสัย
หรื อใช้ในคำถาม ได้แก่ คำว่า ใคร อะไร ไหน ฉันใด หรื อ เท่าไหร่ อย่างไร
เป็ นต้น ข้ อสังเกต วิเศษณ์แสดงคำถามจะต่างกับสรรพนามแสดงคำถาม
          ตัวอย่าง( ปฤจฉาสรรพนามคนไหนคื ) ตรงที่ปฤจฉาสรรพนามจะต้องตอบด้วย
อนักว่ายน้ำทีมชาติ
คำนาม เช่น
                          วันนีอะไรอยู้ เธอไม่ใ่ ไนตูปทำงานหรื อ อสิ่ งของที่อยูใ่ นตู)้
้ (ตอบเป็ นคำนามคื
                         
ตัวอย่ างถ้วิาเศษณ์
จะทำขนมให้
แสดงคำถาม อร่(อยมี วธิ ีการอย่
ปฤจฉาวิ เศษณ์า)งไร   
           คนอะไรไร้ สิ่ งใดอยู บ่ นตู ้
ความปรานี
(ตอบด้วเธอรู ้ไหมเช่ว่นารถเที
ยวิเศษณ์ ่ยวนีค้ อวามปรานี
คนเลวไร้ อกเวลาใด)
น้ำหวานขวดนี้ราคาเท่าไร
ข้ อสังเกต นิยมวิเศษณ์ต่างกับนิยมสรรพนาม ดังนี้
ถ้าเป็ นนิยมวิเศษณ์จะทำหน้าที่ขยายคำอื่น
ถ้าเป็ นนิยมสรรพนามจะทำหน้าที่แทนนาม
๗.อนิยมวิเศษณ์ ( วิเศษณ์บอกความไม่ช้ ีเฉพาะเจาะจง ) คือ คำวิเศษณ์ที่
ใช้ประกอบคำอื่น โดยไม่ช้ ีเฉพาะ หรื อไม่กำหนดแน่นอนลงไป ได้แก่คำ
ว่า ไหน อะไร ใด ฉันใด ใคร เช่นไร ฯลฯ แต่ไม่เป็ นคำถาม
ข้ อสังเกต อนิยมวิเศษณ์จะทำหน้าที่ขยายคำนามหรื อสรรพนามที่อยูข่ า้ งหน้า
   ตัวอย่างเช่น บ้านไหนก็สู้บา้ นเราไม่ได้
แต่ถา้ เป็ นอนิยมสรรพนาม จะทำหน้าที่แทนนาม
                   คนใดมีความพยายามคนนั้นย่อมได้รับความสำเร็ จ
ดังตัวอย่าง อะไรก็ไม่มีให้ทำ --> อนิยมสรรพนาม
                   คนอะไรไม่ทำงานสักอย่าง
(เป็ นสรรพนามทำหน้ าที่เป็ น ประธานของประโยค)
                   เธอจะหยิบขนมชิ้นไหนก็ได้บนโต๊ะนี้
                   งานอะไรก็ไม่มีให้ทำ --> อนิยมวิเศษณ์
เพื่อนๆจะไปกี่คน คุณพ่อก็ไม่วา่
(คำว่ าอะไรขยายคำว่ างาน)
๘. ประติชญาวิเศษณ์ ( วิเศษณ์ แสดงคำขานรับ ) คือ คำวิเศษณ์ ทใี่ ช้ ประกอบคำพูด
๙. ปฏิเสธวิเศษณ์ ( วิเศษณ์ แสดงความปฏิเสธ ) คือ คำวิเศษณ์ ที่
ได้ แก่ จ๋ า จ๊ ะ ขา คะ ค่ ะ ครับ ฮะ ขอรับ โว้ ย ฯลฯ
บอกการห้ ามหรือ ไม่ รับรอง ได้ แก่ คำว่ า ไม่ อย่ า มิ มิใช่ ไม่ ใช่ หาไม่
ตัวอย่ างเช่ น เธอจ๋ ามาหาพีห่ น่ อย
หามิได้ มิได้ เป็ นต้ น
                         คุณครั บไปโรงเรียนได้ แล้ วครั บ
        ตัวอย่ าง เวลาและวารีไม่ คอยใคร
                         งานนีผ้ มทำเองครั บ
                   เขามิได้ เป็ นคนอย่ างนั้น
                         ใต้ เท้ าขอรั บ รถมาถึงแล้ วขอรั บ
                   เธออย่ าทำงานชิ้นนี้
ไอ้ แดงโว้ ย เพือ่ นมาคอยอยู่หน้ าบ้ านแล้ ว
                   สมุดเล่ มนั้นไม่ ใช่ ของเธอ
ร่ างกายนีห้ าใช่ สัตว์ ใช่ บุคคล ใช่ ตวั คนเรา
๑๐.ประพันธวิเศษณ์ เป็ นคำวิเศษณ์ข้ อปสัระกอบคำกริ งเกต! ยาหรื อคำวิเศษณ์ เพื่อเชื่อม
ประโยคให้ น ที่เป็่ยวข้
• ที่ ซึม่ งีคอัวามเกี น ที่ ซึ่ ง อัน อย่ าแงทีทนนามที
องกันนเช่ธสรรพนามจะใช้
นประพั ่ ชนิดที่ เพื
่อยู่อข่ ว่า้ างหน้
ให้ า
และวางติดกับนามหรื อสรรพนามที่แทนและจะเป็ น
ตัวอย่ าง เด็กคนนี้มีปฏิภาณไหวพริ บดี อย่างที่ไม่เคยพบ
ประธานของคำกริ ยาที่ตามมาข้ างหลัง เช่น
คนทีด่ยให้นื อยู
เขาพู ฉนั น่ ได้
้ นั อเป็ายนเพื่อนสนิทของฉัน
หญ้าซึ่งขึ้นในสวนควรตัดทิ้ง
ปู่ ยังทำงานหนักเพื่อว่าท่านจะได้รักษากิจการไว้
• ประพันธวิเศษณ์ จะใช้ประกอบคำกริ ยาหรื อคำวิเศษณ์
จะเรี ยเครื
งหลั่ องงเบญจรงค์ ุณมากอันประมาณไม่
คำอื่นที่ไม่ชใุดช่นีเป็้ มนีคคำนามหรื อสรรพนามได้
คำวิเศษณ์ จะทำหน้ าทีเ่ ป็ นส่ วนขยายในประโยค และขยายคำได้ หลายชนิด ดังนี้

๑. ทำหน้าที่ขยายคำนาม เช่น ๓. ทำหน้าที่ขยายคำกริ ยา เช่น


        วัวแก่ ชอบกินหญ้าอ่ อน       เดินเร็ วๆหน่อยเดี๋ยวฝนจะตก
        บ้านสี ขาวตั้งอยูบ่ นเนินเขา          เด็กๆเล่นเสี ยงดัง
๒.ทำหน้าที่ขยายคำสรรพนาม เช่น ๔. ทำหน้าที่ขยายคำวิเศษณ์ เช่น
       เขาเองที่เป็ นคนแกล้งเธอ      ศรรามขับรถเร็ วมาก
       ใครหนอรักเราเท่าชีวี        ขนมหวานนี้ปะแล่ มๆ
      คำบุพบท คือ คำที่ใช้นำหน้าคำหรื อกลุ่มคำ เพื่อบอกหน้าที่ และ
ความสัมพันธ์ของคำที่อยูห่ ลังบุพบทกับข้อความข้างหน้า อาจบอก
สถานที่ เวลา เหตุผล ลักษณะ แสดงอาการ หรื อความเป็ นเจ้าของ
ได้แก่คำว่า กับ แก่ แต่ ต่ อ โดย ด้ วย อัน ตาม สำหรั บ แด่ ใกล้ ไกล
บน ล่ าง ริ ม เหนือ ใต้ เฉพาะ ที่ เพื่อ ตั้งแต่ กระทั่ง จน
ลักษณะของคำบุพบท

บุพ ๒.
a.  ๓. บุพบทบอกสถานที
บทนำหน้ า คำบอกลั ก ่ ได้แก่นเครื
ษณะเป็ คำว่า่อทีงใช้ ่ ในหรืนอก อ ริ ม ใกล้
อาการร่ ว มกั ไกล
น จาก
บุพบทบอกเวลา บน ได้
ยัง แงก่คำ
ถึ ใต้ า แต่ ตัระหว่
ว่กลาง ้งแต่ าจน ง เที่ฯลฯ
แต่ ยง ก่ อน กระทั่ง เฉพาะ
ได้แก่ กับ ด้วย โดย เพราะ
ภายใน ใน แต่ ณ ต่ฯลฯ
อ แด่ สำหรับ ฯลฯ
๔. บุพตับทบอกความเป็
ว อย่ างเช่ น นเจ้ ลูากของเสื อ ได้้ งค่แาก่ยพั
ตั ของ ่หแห่ว้ ยขมิ
คำกว่าแรมที ง ฯลฯ้น
ตัวอย่ า งเช่ น
ตัวอย่าตังเช่ ฉั น เห็ น กับ ตา
วอย่นางเช่
                          น ลูกไปโรงเรี
นกเกาะบนกิ ่ พรุ
ง ไม้่ งนีย้ ฉนตั ้ งแต่มเหนั
นั จะยื ช้า งสื อของเธอ
                          แดดร้ น้ออนจั
งไปกั
ด มากเมืบพี่ ่อวันเสาร์
                   
                         ต้นปื ไม้หอสมุอ ยู
ร ่ ด
ิ มแห่
ถนน งชาติเป็ นของรัฐบาล
                          พ่อ นสำหรับทหาร
ทำงานจนค่ำ
                          ศรรั พ่ อกทำงานหนั
ปักกลางใจกเพื่อครอบครัว
                          ชมรมรักษ์สิ่งแวดล้อมรับสมัครสมาชิกเฉพาะวันศุกร์
คำบุพบททีแ่ สดงความเป็ นผู้รับ แต่ ละคำมีการใช้ แตกต่ างกัน
กับ ใช้เมื่อทั้งสองฝ่ ายทำกิริยาร่ วมกัน เช่น โชดกไปจตุจกั รกับสุ รนาถ
แก่ ใช้กบั ผูร้ ับโดยทัว่ ไป เช่น คุณยายให้เงินแก่หลาน
แด่ ใช้กบั ผูร้ ับที่มีฐานะสูงกว่า หรื อเป็ นที่เคารพของผูใ้ ห้ เช่น
คุณตาถวายปัจจัยแด่หลวงพ่อ
ต่ อ ใช้เมื่อผูใ้ ห้ และผูร้ ับต้องติดต่อกันหรื อเกี่ยวข้องกัน เช่น
พนักงานยืน่ เอกสารต่อฝ่ ายธุรการ
คำบุพบททำหน้ าทีนำ
่ หน้ าคำหรื อกล่ มุ คำต่ อไปนี้
     ๑. นำหน้าคำหรื อกลุ่มคำนาม เช่น แม่ถนอมได้รับจดหมายจากนายเสริ มพี่ชาย
     ๒. นำหน้าคำหรื อกลุ่มคำสรรพนาม เช่น เขาแต่งกลอนบทนี้ เพื่อเธอคนเดียว
     ๓. นำหน้าคำหรื อกลุ่มคำวิเศษณ์ เช่น การสื่ อสารสมัยนี้ ทำได้โดยสะดวก
     ๔. นำหน้าคำหรื อกลุ่มคำกิริยา เช่น ถ้วยชามนี้มีไว้สำหรับใช้
นักเรี ยนวิง่ เพื่อออกกำลังกาย
การพิจารณาคำบุพบท
a. การพิจารณาคำบุพบทต้องดูหน้าที่ของคำหลัก
๒. คำ “ที่” จะเป็ นบุพบทเมื่อนำหน้าคำนามหรื อสรรพนาม แต่ถา้ ทำหน้าที่แทน
เพราะคำต่างชนิดกันจะทำหน้าที่ต่างกันและมีความหมายต่างกัน
นามข้างหน้าจะเป็ นสรรพนามเชื่อมประโยค ซึ่งจะทำหน้าที่เหมือนคำสันธาน เช่น
ตัวอย่างเช่น     เขาให้เงินแก่ ขอทาน (บุพบท)
แม่ไปซื้อของที่ตลาด (บุพบท)
                    เขาเป็ นคนแก่ (วิเศษณ์)
                แมวที่โรงเรี ยนชื่อเจ้าน้ำหวาน (บุพบท)
                    คุณปู่ แก่ มากแล้ว (กริ ยา)
                คนที่หนีโรงเรี ยนต้องถูกลงโทษ (ประพันธสรรพนาม)
                ฉันให้เสื้ อผ้าแก่นกั เรี ยนที่บา้ นถูกไฟไหม้ (ประพันธสรรพนาม)
คำสัคำสั
นธานทำหน้ าที่เป็ นง คำที
นธาน หมายถึ ๓ ลัก่ใช้ษณะ ดังนี้ บคำ เชื่อมกลุ่มคำกับกลุ่มคำ
เชื่อมคำกั
๑. ใช้ เหรื
ชื่ออมคำกั บคำ เช่น ดอกมะลิ
เชื่อมประโยคกั บประโยค กับดอกกุ เป็ นพีเรื่แ่ อละน้
ให้ติดหต่อลาบ งเดียอวกั
งน
๒. **ประโยคที
ใช้ เชื่อมกลุ่มคำกั
่ใช้ สบันกลุ่ มคำ่ อทำให้
ธานเชื ขอ้ ความสละสลวยขึ
ม จะแยกออกได้ ้ น เช่น ่มี
เป็ นสองประโยคที
ความงามของศิความสมบู
ลปะล้านนาไทยและวั
รณ์ มากกว่ าหนึฒนธรรมไทยโบราณ
่งประโยคได้
๓. ใช้ เชื่อมประโยคกับประโยค ฉันรอเธอจนกระทั่งห้างเดอะมอลล์ปิด
ชนิดของคำสั นธาน
๔. เชื่อมใจความเป็ นเหตุเป็ นผลกัน
๑. ๒.เชื่อเชื ่อมใจความขั
มใจความคล้ อ ดแย้ งกันน
ยตามกั า่ ดัง่งนี้ เพราะฉะนั้น
๓.ได้ได้เชืแแก่่อก่คำ
คำว่า เพราะเลืเพราะว่
มใจความให้
ว่กัาบแต่ อกเอาอย่
แต่ทัว้ งา่ …และ
า ด้าวงใดอย่
ส่ วน ถึทัง..ก็
ย เหตุาวงหนึ
กว่ครัา..ก็
ได้แก่ฉะนั คำว่้ นา…จึ งและเพราะ…..จึ ง ้ ง…ก็
เหตุ ฉ ะนี้ ้ น…เป็จึนง ต้พอ…ก็
ฯลฯ

ตัเช่ได้
วนอย่แก่างเช่ คำว่นา หรืกว่อามิถัฉว่ จะสุ
ะนั้นกไม่งาก็ เช่ไหม้นนั้น ไม่…ก็ หรื อไม่ก็ ฯลฯ
ตัวอย่ตัาวงเช่ ครั้นนได้โบสอบได้
เวลาเธอจึงทออกไปแสดงบนเวที
ี่หประทานข้
นึ่งเพราะทบทวนตำราทุ กวัน
อย่ลูางเช่ น
กตาลเป็ หนู จ ะรั
นกีหมอส่บ ววามสามารถ
นฝนเป็ นวิศวกร าวหรื อ ขนมปั ง
             ลิ ฟ และออยเป็
                    เพราะเธอชอบว่ น นัก ฬ าที ่
ายน้ำจึ ม ี ค งมีรายเงิ
ู ปร่ นางดี
                     ไม่ถึงเธอก็ ฉ น
ั ต้อ งเป็ น คนจ่
             พอพระอาทิ ตเขาจะประหยั
                    พวกเขาทะเลาะกั ย์ลบั ขอบฟ้ นาฝูดเพราะว่ เขาก็
งนกก็ยากจน
บาขาดความสามั
ินกลับรัง คคี
                     เราต้ องเลินกคนดี
โอมเป็ ทะเลาะกั
แต่อ๋อนมไม่ มิฉระนั ัก ้ นงานจะไม่สำเร็ จ
ข้ อสั งเกตคำสั นธาน

๑. คำสันธานบางคำใช้เข้าคู่กนั เช่น เพราะฉะนั้น…จึง กว่า….ก็ ฯลฯ


๒. คำสันธานอาจอยูใ่ นตำแหน่งต่าง ๆ ในประโยคได้ เช่น อยูร่ ะหว่างคำอยูห่ น้า
ประโยค อยูร่ ะหว่างประโยค หรื ออยูค่ ร่ อมประโยค
๓. ประโยคที่มีคำสันธานนั้นจะแยกออกเป็ นประโยคย่อยได้ต้ งั แต่ ๒ ประโยค
๔. คำว่า “ให้” “ว่า” เมื่อนำมาเชื่อมระหว่างประโยคก็จดั เป็ นคำสันธานด้วย เช่น
               เขาทำท่าตลกให้เด็กหยุดร้องไห้
               หนังสื อพิมพ์ลงข่าวว่ามีการกวาดล้างมิจฉาชีพครั้งใหญ่
คำอุทานและหน้ าทีข่ องคำอุทาน

          คำอุทาน คือ คำที่เปล่งเสี ยงออกมาเพื่อแสดงอารมณ์ หรื อความรู้สึกของผู ้


พูด อาจเปล่งเสี ยงออกมาในเวลาดีใจ เสี ยใจ ตกใจ  หรื อประหลาดใจ โดยมากคำ
อุทานจะไม่มีความหมายตรงตามถ้อยคำ แต่จะมีความหมายทางเน้นความรู้สึก   แ
ละอารมณ์ของผูพ้ ดู เป็ นสำคัญ
          ลักษณะคำอุทาน จะแบ่งตามลักษณะของเสี ยงที่เปล่งออกมาแบ่งได้เป็ น ๓
ลักษณะดังนี้
          ๑. คำอุทานที่เปล่งเสี ยงออกมาเป็ นคำ เช่น แหม! ว้ าย! โอ๊ ย!ฯลฯ
          ๒. คำอุทานที่เปล่งเสี ยงออกมาเป็ นวลี เช่น ตายละวา! หนอยแน่ะ!
คุณพระช่วย!
          ๓. คำอุทานที่เปล่งเสี ยงออกมาเป็ นประโยค เช่น ไฟไหม้เจ้าข้า!
อุย๊ ใจหายหมด!
คำอุทาน แบ่ งออกเป็ น ๒ ชนิดคือ

คำอุทานเสริมบท

คำอุทานบอกอาการ
คำอุทานเสริมบท หรือสร้ อยบท

เป็ นคำอุทานที่ผพู ้ ดู กล่าวเพิ่มเติมถ้ อยคำเสริ มขึน้ โดยไม่ ได้ ตั้งใจให้ มี


ความหมายแต่ อย่ างใด คำอุทานเสริ มบทนิยมนำมาเติมข้างหน้า ต่อท้าย หรื อแทรก
ลงกลางคำที่พดู เพื่อเน้นความหมายของคำที่จะพูดให้ชดั เจนขึ้น มีลกั ษณะ ๓
ประการ คือ เสริ มบทที่เป็ นคำสร้อย เสริ มบทที่เป็ นคำแทรก
และเสริ มบทเพื่อเลียนเสี ยงคำเดิม
ตัวอย่างเช่น       ฉันไม่เคยให้สัญญิงสัญญากับใคร
           ใกล้จะสอบแล้วหนังสื อหนังหายังไม่ได้อ่านเลย
ข้ อสั งเกต
๑. ถ้าคำที่นำมาเข้าคู่มีเนื้อความที่มีความหมายไปในทางเดียวกันไม่นบั ว่าเป็ น
คำอุทานเสริ มบท แต่จะเป็ นคำซ้อน เช่น ไม่ ดูไม่ แล ร้ องรำทำเพลง ดีดสี ตีเป่ า
๒. คำสร้อยในบทร้อยกรองก็ถือเป็ นคำอุทานเสริ มบทชนิดหนึ่ง
๑.เสริมบททีเ่ ป็ นคำสร้ อย จะใช้ในบทประพันธ์ของโคลงและร่ าย

เสี ยงลือเสี ยงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย สารสยามภาคพร้อง กลกานท นี้ฤา


เสี ยงย่อมยอยศใคร ทัว่ หล้า คือคู่มาลาสวรรค ช่อช้อย
สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤาพี่ เบญญาพิศาลแสดง เดอมกรยดิ พระฤๅ
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ ฯ คือคู่ไหมแส้งร้อย กึ่งกลาง ฯ
(ลิลิตพระลอ) (ลิลิตยวนพ่าย)
๒.เสริมบททีเ่ ป็ นคำแทรก คำอุทานจะแทรกระหว่างคำหรื อข้อความ หรื อประกอบท้ายคำ
มักใช้ในคำประพันธ์ ได้แก่ นุ ชิ สิ นิ เช่น สนุกนิเราสิ้ นเศร้า เวียนมาสิ เวียนไป
อีกชนิดหนึ่งใช้ประกอบท้ายคำให้ขอ้ ความสละสลวย เช่น เอย เอ่ย เอ๋ ย เช่น
แมวเอ๋ ยแมวเหมียว เจ้าน้องรักของพี่เอ๋ ย

๓.เสริมบทเพือ่ เลียนเสี ยงคำเดิม คำอุทานประเภทนี้บางคำเสริ มคำที่ไม่มีความหมาย


เพื่อยืดเสี ยงให้ยาวออกไป บางคำก็เพื่อเน้นคำให้กระชับหนักแน่น เช่น
เธอเห็นฉันเป็ นหัวหลักหัวตอหรื ออย่างไร
หมิวมัวแต่ดูละคงละครอยูไ่ ด้ท้ งั วัน
คำอุทานบอกอาการ

ตัวอย่ างเช่ น
  ๑. ร้ องเรียก หรือบอกให้ ร้ ู ตวั ใช้คำว่า เฮ้ย! แน่ะ! นี่แน่ะ! โว้ย! เฮ้! ฯลฯ
 ๒.่เปล่
เป็ น คำที โกรธเคื อง ใช้คำว่่อาแสดงความรู
งเสี ยงออกมาเพื ชะ! แหม! ้สชิึ กชของผู
ะ! ดูดพ้ ๋ ู!ดู ฯลฯ
เช่น อาการร้องเรี ยก อาการโกรธแค้น
  ๓. ตกใจ
ประหลาดใจ ตกใจ ประหลาดใจ
สงสาร ปลอบโยน ใช้คำว่เข้
า วุายใจ
้ ! รัว้บาย! ตายแล้
รู ้ สงสั ว! ห้ตายจริ
ย ถาม าม ทักง!ท้วฯลฯ
ง และโล่งใจ
  ๔. สงสารหรือปลอบโยน ใช้คำว่า โถ! โธ่! พุทโธ่! อนิจจา! โอ๋ ! ฯลฯ
  ๕. เข้ าใจหรือรับรู้ ใช้คำว่า อ้อ! หื้ อ! หา! ฮะ! ฯลฯ
  ๖. เจ็บปวด ใช้คำว่า อุย๊ ! โอย! โอ๊ย! ฯลฯ
  ๗. สงสั ย หรื อไต่ถาม ใช้คำว่า เอ๊ะ! หื อ! หา! ฮะ! ฯลฯ
  ๘. โล่ งใจ ใช้คำว่า เฮ้อ! เฮอ! ฯลฯ
  ๙. ขุ่นเคือง ใช้คำว่า ฮึ่ม! ดีละ! บ๊ะ! วะ! ฯลฯ
  ๑๐.ทักท้ วง ใช้คำว่า ไฮ้! ฮ้า! ฯลฯ
แบบทดสอบ
๑.ข้ อใดมีคำวิสามานยนาม

ก. มะม่ วงน้ำดอกไม้ ข. นางสาวศศิธร

ค. โคพันธุ์เนือ้ ง. การไฟฟ้ า

ข้อต่อไป
๒.ข้ อใดเป็ นนามบอกลักษณะ

ก.โขลงช้ างกำลังเล่ นน้ำ ข.ฝูงลิงอยู่บนต้ นไม้

ค.คณะลิเกกำลังแสดงอยู่บนเวที ง.วันนีม้ รี ้ ุงกินน้ำ ๑ ตัว

ข้อต่อไป
๓.คำทีข่ ดี เส้ นใต้ ในข้ อใด
เป็ นอกรรมกริยา

ก.พ่ อเปิ ดประตูรถ ข. แมวกินปลาย่ าง

ค.ตั้มเล่ นเทนนิสตอนเย็น ง. ฝนตกหนักตอน


เย็น
ข้อต่อไป
๔. “บอสกับบอยเป็ นเพือ่ นของฉัน
พวกเขาไปกินข้ าวกับคุณยาย”
คำทีข่ ดี เส้ นใต้ เป็ นคำชนิดใดตามลำดับ

ก. สั นธาน สั นธาน ข. บุพบท บุพบท

ค. สั นธาน บุพบท ง. บุพบท สั นธาน

ข้อต่อไป
“คุณพระช่ วย ! รถราในกรุงเทพฯ
ทำไมถึงติดอย่ างนี”้

๕. ประโยคข้ างต้ นมีคำอุทานกีคำ


ก. ๑ คำ ข. ๒ คำ

ค. ๓ คำ ง. ๔ คำ

ข้อต่อไป
“.....เธอจะทำกับข้ าวเสร็จ
ฉัน......คงจะเป็ นลมแล้ ว”

๖. จงเติมคำสั นธานทีเ่ หมาะสม

ก. กว่ า.....ก็ ข. ถึง.....ก็

ค. แม้ .....ก็ ง.
เพราะ.....จึง
ข้อต่อไป
๗. “ว่ านขีจ่ ักรยานผ่ านสุ นัข ๓ ตัว”
ประโยคดังกล่าวไม่ มีคำนามชนิดใด

ก. สามานยนาม ข. วิสามานยนาม

ค. ลักษณนาม ง. สมุหนาม

ข้อต่อไป
๘.คำว่ า “เป็ น” ในข้ อใด ไม่ ใช่
กริยาอาศัยส่ วนเติมเต็ม

ก. ปูตวั นั้นยังเป็ นๆอยู่เลย ข. ตูนวงบอดีส้ แลมเป็ นนักร้ องชื่อดัง

ค. ป้อเป็ นเพือ่ นของป่ าน ง. นายอู๋เป็ นช่ างไม้ มฝี ี มือ

ข้อต่อไป
๙. “แม่ ให้ แพรไปซื้อไม้ ขดี ๓....... ,เทียนไข
๒....... ,ด้ าย ๔....... และหนังสื อพิมพ์
๑........”
จงเติมลักษณนามทีถ่ ูกต้ องลงในช่ องว่ าง

ก. กลัก ,เล่ ม ,ไจ ,ฉบับ ข. กล่ อง ,เล่ ม ,ม้ วน ,แผ่ น

ค. กลัก ,ด้ าม ,ไจ ,เล่ ม ง. กล่ อง ,ต้ น ,ม้ วน ,ฉบับ

ข้อต่อไป
๑๐. คำทีข่ ดี เส้ นใต้ เป็ นคำชนิดใด
“ ใครจะไปห้ องสมุดกับฉันบ้ าง ”

ก. ปฤจฉาสรรพนาม ข. อนิยมสรรพนาม

ค. อนิยมวิเศษณ์ ง. ปฤจฉาวิเศษณ์

ข้อต่อไป
๑๑.“แบงค์จะไปเที่ยวดอยตุงที่ภาคเหนือพรุ่ งนี้เหรอ”
คำว่า เหนือ เป็ นคำชนิดใด

ก. บุพบท ข. วิเศษณ์

ค. สันธาน ง. คำนาม

ข้อต่อไป
๑๒. ข้ อใดใช้ คำสั นธานแล้ ว
ทำให้ ใจความขัดแย้ งกัน

ก. ถ้ าเขาตั้งใจอ่ านหนังสื อก็ต้องสอบได้

ข.กินไอศกรีมให้ หมดมิฉะนั้นก็เอาไปให้ น้อง

ค. ถึงเขาจะว่ า ฉันก็ไม่ สนใจ

ข้อต่อไป
ง. พอเธอมาถึง เขาก็ลุกออกไป
๑๓.คำทีข่ ดี เส้ นใต้ ข้อใดไม่ เป็ นคำบุพบท

ก. คนไข้ ทผี่ ่ าตัดอาการดีขนึ้ แล้ ว ข. หนังสื อของเธออยู่บนโต๊ ะ

ค. รถสี แดงจอดในโรงรถ ง.วันปี ใหม่ เมย์ ไปเทีย่ วกับครอบครัว

ข้อต่อไป
๑๔.“มิน้ ใส่ เสื้อยืดสี ขาว ไปกินก๋วยเตีย๋ วร้ อนๆ”
คำใดไม่ ใช่ คำวิเศษณ์

ก. ขาว ข. ยืด

ค. ร้ อน ง. ก๋วยเตีย๋ ว

ข้อต่อไป
๑๕. จากบทสนทนา
คำทีข่ ดี เส้ นใต้
เป็ นคำชนิดใด
ก. คำนาม โบว์ ท่านอยูใ่ นห้องไหม
ผมขอเข้าไปพบหน่อย
ข. สรรพนามบุรุษที่ ๒
ท่านไปประชุม
ค. สรรพนามบุรุษที่ ๓ ข้างนอกครับ

ง. คำวิเศษณ์
ต่อไป
ข้อ ๑. ตอบ ข.
วิสามานยนาม คือ คำนามที่เฉพาะเจาะจง นางสาวศศิธร เป็ น
ชื่อเฉพาะ ส่ วนข้ออื่นๆเป็ นคำนามทัว่ ไปหรื อสามานยนาม
ข้อ ๒. ตอบ ง.
รุ ้งกินน้ำ ๑ ตัว คำว่า ตัว เป็ นลักษณนามของรุ ้งกินน้ำ ส่ วน
โขลงช้าง ฝูงลิง และคณะลิเก เป็ นสมุหนาม
ข้อ ๓. ตอบ ง.
คำว่า ตก ในประโยค เป็ นกริ ยาที่ไม่ตอ้ งการกรรมมารับ
สังเกตได้จาก เมื่อตัดส่ วนขยายของประโยคออก
ก็ยงั ให้ความหมายชัดเจน
ข้อ ๔. ตอบ ค.
กับ คำแรก เป็ นสันธานเพราะเชื่อมประโยค ๒ประโยค คือ
บอสเป็ นเพื่อนของฉัน และ บอยเป็ นเพื่อนของฉัน
กับ คำหลัง เป็ นบุพบท เพราะทำหน้าที่เชื่อมคำ
ข้อ ๕. ตอบ ข.
มี ๒ คำ คือ คุณพระช่ วย เป็ นคำอุทานบอกอาการ
รถรา เป็ นคำอุทานเสริ มบท
ข้อ ๖. ตอบ ก.
กว่ าเธอจะทำกับข้าวเสร็ จ ฉันก็คงจะเป็ นลมแล้ว
เป็ นประโยคความรวมประเภทคล้อยตามกัน
ข้อ ๗. ตอบ ง.
คำว่า ว่าน (ชื่อคน) เป็ น วิสามานยนาม
จักรยาน ,สุ นขั เป็ น สามานยนาม
ตัว เป็ น ลักษณนาม
ข้อ ๘. ตอบ ก.
ปูตวั นั้นยังเป็ นๆอยูเ่ ลย คำว่า เป็ น เป็ นกริ ยาของประโยค
หมายถึง มีชีวติ อยู่
ส่ วนข้ออื่นๆเป็ นกริ ยาอาศัยส่ วนเต็ม
มีความหมายไม่สมบูรณ์ในตัวเอง
ข้อ ๙. ตอบ ก.
ลักษณนามที่ถูกต้องของ ไม้ขีด คือ กลัก
เทียน คือ เล่ม ด้าย คือ ไจ หนังสื อพิมพ์ คือ ฉบับ
ข้อ ๑๐. ตอบ ก.
เป็ นปฤจฉาสรรพนาม เพราะใช้แทนนามที่มีเนื้ อความเป็ นคำถาม
ข้อ ๑๑. ตอบ ข.
เป็ นคำวิเศษณ์
ข้อ ๑๒. ตอบ ค.
“ถึงเขาจะว่า ฉันก็ไม่สนใจ” มีเนื้อความขัดแย้งกัน
ข้อ ๑๓. ตอบ ก.
คำว่า ที่ เป็ นประพันธสรรพนาม ทำหน้าที่แทนนามข้างหน้า (คนไข้)
ส่ วนข้ออื่นเป็ นบุพบทที่เชื่อมคำ
ข้อ ๑๔. ตอบ ง.
ก๋ วยเตี๋ยว เป็ นคำนาม
คำว่า ยืด ร้อนและสี ขาว เป็ นวิเศษณ์ขยายคำนาม
ข้อ ๑๕. ตอบ ค.
ท่ าน เป็ นสรรพนามบุรุษที่ ๓ เพราะไม่ได้อยูใ่ นวงสนทนา
เป็ นบุคคลที่ถูกกล่าวถึง
จงบอกชนิดของคำที่ขีดเส้นใต้ในประโยคต่อไปนี้
• เด็กดีย่อมได้ รับการชมเชย • ใครจะไปกับฉันบ้ าง

วิเศษณ์ วิเศษณ์ (ขยายกริยา)

• แม่ ยก บ้ างเต้ น บ้ างรำอยู่หน้ าเวที • น้ องกำลังล้ างจานตามคำสั่ งของแม่


สรรพนาม บุพบท
• ตำรวจตามผู้ร้ายมา • อะไรก็ไม่ สู้ สันโดษ
กริยา อนิยมสรรพนาม
• คุณตาบ่ นถึงหลานทุกวัน • หมู่ผงึ้ บินหาน้ำหวาน
บุพบท สมุหนาม
• น้ องสาวหน้ าตาเหมือนคุณพ่อมาก • เขาดืม่ น้ำจนหยดสุ ดท้ าย
วิกตรรถกริยา บุพบท
เอกสารอ้ างอิง
• GSC.ภาษาไทยฉบับที่ ๑ (วิทย์ -ศิลป์ ).

• บรรเทา กิตติศกั ดิ์. (๒๕๓๓). หนังสื อเรี ยนภาษาไทย ท๐๗๑ หลักภาษาไทย


ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย. กรุ งเทพฯ : สำนักพิมพ์ไทยพัฒนาพานิ ช.

• คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย. การใช้ ภาษาไทย ๑. คณะศิลปะศาสตร์


มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ .

• http://www.thaitrainer.net/kum7.htm
หวังว่ าบทเรียนนีจ้ ะช่ วยเพิม่ ความรู้ ความเข้ าใจแก่ ผ้ ูศึกษา

ขอให้ โชคดีในการสอบนะคะ

ด้ วยความปรารถนาดี

You might also like