Professional Documents
Culture Documents
Masanobu Fukuoka เกษตรกรผู้ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว
Masanobu Fukuoka เกษตรกรผู้ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว
Masanobu Fukuoka เกษตรกรผู้ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว
ฟางเสูนเดียว
"ฟาง เสูนนี้ ด้บอบบางและไรูน้าหนั ก และคนส่วนมากก็ไม่อาจรู้ว่า
แทูจริงแลูวมันมีน้าหนั กมากขนาดไหน หากผู้คนรู้ถึงคุณค่าที่แทูจริง
ของฟางนี้ การปฏิวัติของมนุษยชาติก็จะเกิดขึน
้ เป็ นการปฏิวัติท่ีทรง
พลังเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ และโลกทัง้ โลกเลยทีเดียว"
ยังไม่นับอันตรายด้านสุขภาพที่ตามมาจากการใช้สารเคมีในการ
เพาะปล่ก ทัง้ ต่อเกษตรกรต้นทางและต่อผ้่บริโภคปลายทาง
เกษตรกร ส่วนใหญ่อาจยังมองไม่เห็นอันตรายของเกษตร
กระแสหลัก หรือไม่ก็มองเห็นแต่คิดว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น แต่
เกษตรกรจำานวนน้ อยที่กระจัดกระจายอย่่ทัว่ โลกรวมทัง้ ใน
ประเทศไทย กำาลังพิส่จน์ให้เห็นว่า วิถีเกษตรกรรมแบบ "อย่่รว่ ม"
แทนที่จะ "เอาชนะ" ธรรมชาติ โดยหันหลังให้กับเกษตรกระแสหลัก
อาศัยกระบวนการอันซับซ้อนเกื้อก่ลกันของธรรมชาติท่ีมนุษย์ไม่มีวัน
เข้าใจ อย่างถ่องแท้ แทนที่สารเคมีทุกชนิ ด ไม่เพียงแต่จะเป็ นทางเลือก
ที่ "เป็ นไปได้" เท่านั ้น แต่ยังเป็ นทางเลือกที่ "ดีกว่า" เกษตรกระแส
หลักอีกด้วย ทัง้ ในแง่คุณภาพชีวิตของเกษตรกรและฐานะความเป็ น
อย่่ โดยเฉพาะในยุคปั จจุบันที่ผ้่บริโภคกำาลังเรียกร้องผลิตภัณฑ์เกษตร
ที่ ผ่านกระบวนการผลิตแบบธรรมชาติล้วนๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งเป็ นแนวคิดที่อย่้ตรงขูามกับเกษตรกระแสหลักอย่างหนู า
มือเป็ นหลังมือ
วัน รุ่งขึ้น ฟ่ก่โอกะยื่นใบลาออกจากที่ทำางาน เดินทางกลับ
บ้านนาของพ่อที่ชนบท ตัดสินใจใช้ชีวิตอย่่กับธรรมชาติ เป็ นเกษตรกร
เต็มเวลานั บจากนั ้นเป็ นต้นมา โดยใช้แนวทางที่สอดคล้องกับความเชื่อ
ของเขา นั่ นคือ แทนที่จะพยายามตอบคำาถามตามแบบฉบับเกษตร
กระแสหลักว่า "ลองใช้สารเคมี X / เทคโนโลยี X / เทคนิ ค X" ดีหรือ
ไม่ ฟ่ก่โอกะกลับพยายามตอบคำาถามว่า "ลองไม่ใช้สารเคมี X ได้ไหม?
ลองไม่ใช้เทคนิ ค X ได้ไหม?" ถ้าคำาตอบคือ "ได้" ฟ่ก่โอกะก็จะเลิกใช้
ประดิษฐ์กรรมของมนุษย์ชิน ้ นั ้น ปล่อยให้ธรรมชาติเป็ นผ้่จัดการ แต่
ทัง้ นี้ วิธีการของฟ่ก่โอกะไม่ได้เป็ นการเพาะปล่กแบบปล่อยไปตาม
ยถากรรม หรือไม่ทำาอะไรเลย เพียงแต่เป็ นการงดเว้นกิจกรรมที่ไม่
จำาเป็ นทุกชนิ ด และไม่พ่ึงพาปั จจัยการผลิตจากภายนอก
ความคิด พื้นฐานปรากฏแก่เขาในวันหนึ่ ง ขณะที่เขาเดินผ่านทุ่งนา
รกรูางแห่งหนึ่ งที่ดินไม่เคยถ้กไถพรวนมาเป็ นเวลา หลายปี ที่นั่นเขา
แลเห็นตูนขูาวที่แข็งแรงแทงยอดออกมาท่ามกลางกอหญูาของวัชพืช
จากนั ้นเป็ นตูนมา เขาเลิกกักน้ ้ าไวูในนาเพื่อที่จะปล้กขูาว เขาเลิก
หว่านเมล็ดขูาวในฤด้ใบไมูผลิ แต่เปลี่ยนมาหว่านเมล็ดในฤด้ใบไมูร่วง
แทน และหว่านเมล็ดลงไปบนทูองนาโดยตรงซึ่งเมล็ดเหล่านั ้นจะ
ตกลงไปบนผืนดินโดย ธรรมชาติ แทนที่จะไถพรวนดินเพื่อก้าจัด
วัชพืช เขาเรียนรู้ท่ีจะควบคุมมันโดยการใชูพืชคลุมดินจ้าพวกถั่ว เช่น
ไวท์โคลเวอร์ และฟางขูาว เมื่อเขาแลเห็นว่าสภาพเช่นนั ้นมีแนวโนู มที่
เป็ นประโยชน์ต่อพืชผลของเขา ฟ้ก้โอกะจะเขูาไปแทรกแซงพืชผลรวม
ทัง้ ชุมชนของสัตว์ในไร่นาของเขานู อยที่สุด เท่าที่จะนู อยไดู - "ปฎิวัติ
ยุคสมัยดูวยฟางเสูนเดียว" ส้านวนแปล รสนา โตสิตระก้ล
ทักษะและวินัยด้านวิทยาศาสตร์การทดลองที่เขารำ่าเรียน และ
ฝึ กปรือจนชำานาญ เป็ นปั จจัยสำาคัญที่ช่วยให้ฟ่ก่โอกะสามารถค้นพบ
หลักการเกษตรธรรมชาติท่ีเขา ขนานนามว่า "เกษตรกรรมไม่กระทำา"
ผ่านการลองผิดลองถ่กนั บครัง้ ไม่ถ้วน เพราะถ้าปราศจากขัน ้ ตอนการ
ทดลอง เก็บข้อม่ล และประเมินผลแบบนั กวิทยาศาสตร์แล้ว ฟ่ก่โอกะ
ก็คงไม่สามารถประมวลผลการทดลองของเขาออกมาเป็ น "ชุดหลัก
การ" ได้ เพราะเกษตรกรรมมีปัจจัยเกี่ยวข้องนั บร้อยนั บพันรายการที่
มีความสัมพันธ์ซ่ึง กันและกันอย่างลึกซึ้ง
เปลี่ยนทะเลทรายเป็ นสีเขียวดูวยเกษตรธรรมชาติ
แม้ว่าความสำาเร็จ ของเกษตรธรรมชาติต้องใช้เวลานานหลายปี
ไม่มีทางเกิดได้ใน "ชัว่ พริบตา" เมื่อเทียบกับเกษตรกระแสหลัก ความ
สำาเร็จนั ้นเกิดแน่ ๆ อย่างแน่ นอนและส่งผลยัง่ ยืนถึงชัว่ ล่กชัว่ หลาน
ก้อนดินห่อเมล็ดของฟ่ก่โอกะ เหมาะกับการเพาะปล่กในทะเล
ทรายเป็ นอย่างยิ่ง เพราะไม่ต้องใช้การรดนำ ้ าหรือปุ ย
ุ ใดๆ แถมยังมีราคา
ถ่กแสนถ่ก ทำาให้เป็ นที่นิยมอย่างรวดเร็วในทุกประเทศที่ฟ่ก่โอกะเดิน
ทางไปสาธิตเกษตร ธรรมชาติ แม้ว่าปั จจุบันฟ่ก่โอกะ ในวัย 94 ปี ท่ีด่
แข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ จะ "เกษี ยณ" ตัวเองจากชีวิตเกษตรกร ใช้ชีวิต
เรียบง่ายในบ้านพักของเขา ขบวนการเปลี่ยนทะเลทรายเป็ นสีเขียวที่
เขาริเริ่ม ก็ยังดำาเนิ นต่อไปในหลายประเทศทัว่ โลก
ปั ญหาและความเขูาใจผิดของวิทยาศาสตร์แบบแยกส่วน
นอกเหนื อจากการค้นคว้าวิจัยเรื่องเกษตรธรรมชาติอย่างต่อ
เนื่ อง ฟ่ก่โอกะยังเป็ นนั กปรัชญาผ้่ย่ิงใหญ่คนหนึ่ งอีกด้วย ทัง้ นี้เพราะ
เขาเริ่มจากการตระหนั กร้่ถึงสัจธรรมของธรรมชาติ ก่อนที่จะพยายาม
แปรสัจธรรมนั ้นออกมาเป็ นวิธีปฏิบัติท่ีมี "ความเป็ นสากล" ส่ง (อย่าง
น้ อยก็สำาหรับพื้นที่ค่อนข้างบริสุทธิท์ ่ียังไม่สายเกินเยียวยาด้วย เกษตร
ธรรมชาติ) ไม่ใช่เริ่มจากวิธีปฏิบัติแล้วค่อยพัฒนาปรัชญาให้สอดคล้อง
กัน
นอกจาก ปั ญหาที่เกิดขึ้นจากการมองแบบแยกส่วนของผ้่
เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ไม่ เข้าใจองค์รวม ฟ่ก่โอกะยังอธิบายถึงความ
หลงผิดของคนส่วนใหญ่ท่ีคิดว่าสารเคมีและเทคโนโลยี ใหม่ๆ กำาลัง
ช่วย "พัฒนา" เกษตรกรรม ทัง้ ๆ ที่ส่วนมากเป็ นการ "แก้ปัญหา" ที่
มนุษย์เป็ นคนสร้าง:
เกษตรกรไทยฟั งสองเรื่องนี้แล้วคงร้่สึกคุ้นห่มากทีเดียว
เกษตรธรรมชาติในฐานะเกษตรเพื่อการคูา
ความต้องการอาหารที่สะอาด และปลอดสารพิษของผ้่บริโภคที่
เพิ่มจำานวนขึ้น เรื่อยๆ สะท้อนให้เห็นในราคาเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์
เกษตรอินทรีย์ ซึ่งจะส่งกว่าอาหารปกติประมาณร้อยละ 28 เกษตรกร
ไทยก็เริ่มมีการส่งออกผลผลิตเกษตรอินทรีย์บ้างแล้ว เช่น หน่ อไม้
ฝรัง่ ข้าวโพดอ่อน สมุนไพร และรัฐบาลเองก็มีโครงการเกษตรอินทรีย์
นำ าร่องอย่างต่อเนื่ อง เช่น ในจังหวัดสุพรรณบุรี ปี 2548 มีการนำ าพืช
หลัก 3 ชนิ ด คือ ผัก (คะน้ า ข้าวโพดหอม ฟั กทอง ฯลฯ) เห็ด และข้าว
มาปล่กแบบเกษตรอินทรีย์ สามารถขายข้าวอินทรีย์ได้ในราคากิโลกรัม
ละ 30 บาท ส่งกว่าราคาข้าวหอมมะลิเกรดดีซ่ ึงอย่่ท่ี 18 บาท/กก.
เกือบสองเท่า
เกษตรธรรมชาติคอ
ื ความหวังของมนุษยชาติ
ปั จจุบัน เกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังทำาเกษตรเชิงเดี่ยวซึ่งมีความ
เสี่ยงส่งมากและแทบไม่ได้ กำาไร ทัง้ ความเสี่ยงจากสภาพดินฟ้ าอากาศ
การถ่กนายทุนโรงสีกดราคา ภาระหนี้สิน ต้นทุนค่าสารเคมี ค่าขนส่ง
ยังไม่นับผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว ทัง้ ๆ ที่มีตัวอย่างให้เห็น
มากมายว่า แนวทางเกษตรก้าวหน้ าสามารถปรับปรุงชีวิตความเป็ นอย่่
ของเกษตรกรให้ดีขึ้นได้ และปลอดหนี้สินอย่างถาวร ด่จากพ่อคำาเดื่อง
ภาษี คร่บาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธ์ ผ้่ใหญ่วิบ่ลย์ เข็มเฉลิม และปราชญ์
ชาวบ้านอีกมากมาย
ใน ระดับเกษตรเพื่อการค้า การเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์
เกษตรอินทรีย์ และความสำาเร็จที่ผ่านมาของเกษตรอินทรีย์ใน
ประเทศไทย ก็ชีใ้ ห้เห็นว่า ไม่จำาเป็ นต้องทำาเกษตรเชิงเดี่ยวก็ประสบ
ความสำาเร็จเชิงพาณิ ชย์ได้
รัฐควรอธิบายให้เกษตรกรที่ ยังไม่เชื่อมัน
่ ในแนวคิดเกษตร
อินทรีย์ (เพราะมองว่าการใช้ปุยเคมีให้ผลผลิตมากกว่า) เข้าใจว่า
เกษตรอินทรีย์อาจให้ผลผลิตตำ่ากว่าจริง แต่ก็ขายได้ราคาดีกว่า ทำาให้
กำาไรตกถึงมือเกษตรกรมากกว่า ทำาได้อย่างยัง่ ยืนกว่า และไม่เป็ น
อันตรายต่อสุขภาพ