Professional Documents
Culture Documents
เอกสารประกอบการสอน
รายวิชาการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ ๒
เรื่ อง
การเตรียมและการช่ วยเหลือมารดาและทารกที่ได้ รับการตรวจด้ วยเครื่ องมือพิเศษ
โดย
อาจารย์ กญ
ั ยา ทูลธรรม
วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม
สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุ ข
2
1. ค่า estriol ลดลงฉับพลันอย่างมีนยั สาคัญ คือ ผลการตรวจครั้งใดครั้งหนึ่ งต่ ากว่าค่าเฉลี่ ยเกิ นกว่า
ร้อยละ 50 แสดงว่า ทารกอยู่ในภาวะอันตราย ถ้าค่า estriol ต่ ากว่าหรื อเท่ากับ 4 มิลลิกรัมใน 24 ชัว่ โมง แสดงว่า
ทารกอาจตายในครรภ์ ดัง นั้น ถ้า พบค่ า estriol ลดลงควรท าการตรวจด้ว ยวิ ธี อื่ น ๆ เช่ น Non stress test และ
Contraction stress test เพื่อประเมินการทางานของรก
2. ค่ า estriol ต่ า อย่ า งเรื้ อรั ง คื อ ต่ า กว่ า 2 SD ของค่ า เฉลี่ ย ทุ ก ครั้ งที่ ต รวจ ซึ่ งเกิ ด จาก chronic
uteroplacental insufficiency ภาวะ Intrauterine growth restriction (IUGR) ทารกพิการแต่กาเนิ ด ทารกติดเชื้ อเรื้ อรัง
การลอกตัวของรก ทารกมีความผิดปกติของต่อมหมวกไต สตรี มีครรภ์มีภาวะโลหิ ตจาง สตรี มีครรภ์ได้รับยาบาง
ชนิด เช่น ampicillin, corticosteroid จึงควรงดยาเหล่านี้ 72 ชัว่ โมงก่อนตรวจ
3. ค่า estriol ค่อยๆ ลดต่าลงเรื่ อย ๆ
2. การตรวจหาระดับ estriol ใน plasma
เป็ นการตรวจหาค่า unconjugated estriol ใน plasma ซึ่ งค่านี้จะมีความสัมพันธ์กบั ค่า estriol ในปัสสาวะ
วิธีการตรวจ
การเก็บตัวอย่างเลือดดา 2 มิลลิลิตร โดยเจาะเลือดในเวลาเดียวกันทุกครั้ง เพราะระดับ estriol ในเลือด
จะไม่คงที่ การตรวจ estriol ในเลื อดได้ผลแน่ นอนกว่าการตรวจในปั สสาวะถ้าสตรี มีค รรภ์มี ปัญหาเกี่ ย วกับ ไต
ข้อจากัดของการตรวจวิธีน้ ี คือ มีเพียงบางสถาบันเท่านั้นที่มีความพร้อมทางห้องปฏิบตั ิการในการตรวจวิเคราะห์ผล
การแปลผล
ค่า unconjugated estriol ใน plasma ที่สูง อาจพบได้ในสตรี ต้ งั ครรภ์ที่เป็ นเบาหวาน ครรภ์แฝด
ค่า unconjugated estriol ใน plasma ที่ต่า พบในสตรี ต้ งั ครรภ์ที่ทารกในครรภ์มีต่อมหมวกไตฝ่ อ หรื อ
anencephaly
ความสัมพันธ์ กบั Down’s syndrome ดังนั้น มารดาที่ เคยมี บุ ตรผิดปกติ หรื อพิการแต่ก าเนิ ดควรได้รับ การตรวจ
MSAFP ทุกราย
ในช่วงอายุครรภ์ที่มากเกินไปโดยเฉพาะถ้าเกิน 26 สัปดาห์จะพบความล้มเหลวในการเพาะเลี้ยงเซลล์มากขึ้นและถ้า
ผลผิดปกติจะมีปัญหาในการสิ้ นสุ ดการตั้งครรภ์
วิธีการเจาะนา้ คร่าส่ งตรวจ ปฏิบตั ิดงั นี้
1. แพทย์จะเริ่ มด้วยการตรวจคลื่นเสี ยงความถี่สูง ตรวจสอบการมีชีวติ ของทารก อายุ จานวนทารกใน
ครรภ์ ตาแหน่งของรก ปริ มาณน้ าคร่ า และความผิดปกติอื่น ๆ รวมทั้งตรวจไปพร้อมกับเวลาที่เจาะเพื่อลดอัตราการ
ล้มเหลว
2. เตรี ยมหน้าท้องบริ เวณที่เจาะของหญิงตั้งครรภ์ ด้วยเทคนิ คปราศจากเชื้ อ
3. ใช้เข็มเจาะสันหลัง (Spinal needle) ขนาดเบอร์ 21 -22 มีความยาวประมาณ 3.5 นิ้ว เจาะผ่านผนัง
หน้าท้อง การเลือกใช้เข็มควรมีขนาดพอเหมาะหากใช้เข็มขนาดเล็กเกินไป เข็มจะอ่อนทาให้แทงผ่านผิวหนังไปยัง
กล้ามเนื้อมดลูกและถุงน้ าคร่ าลาบาก ถ้าใช้เข็มขนาดใหญ่เกินไปจะทาให้หญิงตั้งครรภ์รู้สึกเจ็บ
4. แทงเข็มเข้าไปในถุ งน้ าคร่ า (amniotic cavity) โดยใช้ ultrasound-guided โดยเลื อกตาแหน่ ง ที่ ไม่
เป็ นอันตรายต่ อทารก ถอด stylet ออก ดู ดน้ าคร่ า 0.5 – 1 ซี ซีแรกทิ้งเนื่ องจากอาจมี ก ารปนเปื้ อนของเซลล์ จาก
ผิวหนังมารดาได้ หลังจากนั้นจึงใช้ syringe ดูดเอาน้ าคร่ าออกมาตามปริ มาณ 15 -2 0 ซีซี (ปริ มาณน้ าคร่ าที่ดูดเท่ากับ
จานวนอายุครรภ์เป็ นสัปดาห์) ปริ มาณน้ าคร่ าที่ดูดไม่ควรเกิ น 20 ซี ซีเนื่ องจากมีรายงานพบอัตราการแท้งที่สูงขึ้น
จากการเจาะน้ าคร่ าที่มากเกินไป เพื่อส่ งตรวจโดยเมื่อได้น้ าคร่ าทางห้องปฏิบตั ิการจะนาไปปั่ นให้เซลล์ amniocyte
ตกตะกอนและนามาสกัด DNA เพื่อวิเคราะห์ต่อไป โดยในการเจาะน้ าคร่ าแพทย์อาจฉี ดยาชาเฉพาะที่ที่ผนังหน้า
ท้องหรื อไม่ก็ได้ และการแทงเข็มจะหลีกเลี่ยงรกซึ่ งอาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้
5. ภายหลังการเจาะใช้ปลาสเตอร์ ปิดบริ เวณที่เจาะและแกะออกในวันรุ่ งขึ้น
ภาวะแทรกซ้ อน
1. ถุงน้ าคร่ ารั่วหรื อมีเลือดออกทางช่องคลอด เกิดขึ้นประมาณร้อยละ 1-2
2. การติดเชื้อที่ถุงน้ าคร่ า เกิดขึ้นน้อยกว่าร้อยละ 0.01
3. ทารกบาดเจ็บจากการถูกเข็มเจาะ เช่น บาดเจ็บที่แขน ลูกตา และเจาะถูกช่องอก
4. การสู ญเสี ยทารกแรกเกิด ทารกตายหรื อแท้งบุตร เกิดขึ้นประมาณร้อยละ 0.5 – 0.6
5. ความพิการแต่กาเนิดทางออร์ โธปิ ดิกส์ของทารก เช่น ความพิการของเท้า (talipes equinovarus)
ความพิการของกระดูกและเชิงกราน เป็ นต้น
การพยาบาล
ก่อนการเจาะนา้ คร่าส่ งตรวจ ควรปฏิบตั ิดงั นี้
1. ให้ ค าปรึ ก ษาเกี่ ย วกับ ปั ญ หาทางพัน ธุ ก รรมที่ มี ข ้อ บ่ ง ชี้ ตามแนวทางการให้ ค าปรึ ก ษาทาง
พันธุกรรม
2. ให้ผรู ้ ับบริ การตัดสิ นใจว่าจะรับการตรวจโดยการเจาะน้ าคร่ าหรื อไม่
3. นัดตรวจล่วงหน้า เพื่อหาระยะเวลาที่เหมาะสมในการตรวจคืออายุครรภ์ 16-18 สัปดาห์
4. ให้ขอ้ มูลเกี่ยวกับการตรวจและการแก้ปัญหา ในกรณี ที่มีความผิดปกติ
5. ให้ลงนามในใบอนุญาตการยอมรับการตรวจ
6. ก่อนทาการตรวจ เตรี ยมผูร้ ับบริ การถ่ายปั สสาวะก่อนตรวจเพื่อให้กระเพาะปั สสาวะว่าง จัดให้
นอนในท่านอนราบบนเตียง คลุมผ้าบริ เวณหน้าท้องและทาเจลบริ เวณที่หน้าท้องในตาแหน่ งที่แพทย์จะใช้คลื่น
ความถี่สูงหาตาแหน่งของถุงน้ าคร่ า
7. ทาวามสะอาดหน้าท้องโดยใช้น้ ายาฆ่าเชื้อโรค
ขณะเจาะนา้ คร่าส่ งตรวจควรปฏิบตั ิดงั นี้
1. อยูก่ บั ผูร้ ับบริ การขณะแพทย์ทาหัตถการ
2. สังเกตอาการผิดปกติ ที่อาจจะพบได้ เช่ น supine hypotension syndrome เนื่ องจากนอนหงาย
เป็ นเวลานาน
ภายหลังการเจาะนา้ คร่าส่ งตรวจ
1. ภายหลังการตรวจให้ผูร้ ั บบริ การนอนหงาย กดแผลหลังจากแพทย์เอาเข็มออกด้วยก๊อซนาน
ประมาณ 1 นาที และปิ ดแผลด้วยพลาสเตอร์ เพื่อป้ องกันไม่ให้มีการรั่วซึ มของน้ าบริ เวณที่แทงเข็ม
2. ดูแลให้ผรู ้ ับบริ การพักผ่อนประมาณ 30 นาที –1 ชัว่ โมง เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะ
เกิดขึ้นทันที เช่น หน้ามืด เป็ นลม หรื อ ปวดท้อง
3. ฟังเสี ยงหัวใจทารกในครรภ์ทุก 15 นาที จนครบ 1 ชัว่ โมง
4. ถ้าปวดแผลบริ เวณที่เจาะสามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดแผลได้
5. ไม่จาเป็ นต้องทาความสะอาดแผลบริ เวณที่เจาะ สามารถเปิ ดแผลได้ในวันถัดไปและอาบน้ าได้
ตามปกติ
8
ปั จจัยที่ มีผลต่อการดิ้ นของทารกในครรภ์ ได้แก่ ปริ มาณน้ าคร่ า ระดับกลู โคสในเลื อดมารดา และมื้ อ
อาหารที่มารดาได้รับ การสู บบุหรี่ เสี ยงภายนอกที่มากระตุน้ แสง คลื่ นเสี ยงความถี่สูง ท่าของมารดา การเจาะถุง
น้ าคร่ า ลักษณะของมารดา และความสนใจของมารดาต่อการดิ้นของทารก สาหรับท่าในการนับการดิ้นของทารก
มารดาควรนอนในท่าที่สบายและตะแคงซ้าย
บทบาทของพยาบาล
ในกรณี ที่หญิงตั้งครรภ์มีความจาเป็ นต้องถ่ายภาพรังสี ควรอธิ บายให้ทราบถึงความจาเป็ นและการปฏิบตั ิตวั
ระหว่างการตรวจ เมื่อทราบผลการตรวจแล้ว พยาบาลควรเตรี ยมวางแผนการพยาบาลอย่างเหมาะสมกับหญิง
ตั้งครรภ์แต่ละราย เช่น ในกรณี ทารกตายในครรภ์ ควรให้การพยาบาลเหมือนการพยาบาลมารดาที่สูญเสี ยทารก
ข้ อควรจา
เมื่อภาวะของระบบประสาทส่ วนกลางของทารกตอบสนองต่อการขาดออกซิ เจนจะมีการเปลี่ยนแปลงต่อ
ตัวแปรต่าง ๆ ตามลาดับ ก่อนหลัง คือ FHR FBM FM FT และปริ มาณน้ าคร่ าที่นอ้ ยลงมีความสัมพันธ์
กับภาวะขาดออกซิ เจนเป็ นเวลานาน
ข้ อดีของการทา BPP
หญิงตั้งครรภ์ไม่ตอ้ งพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายไม่สูงและไม่มีความเจ็บปวดขณะตรวจ
การแปลผลผิดพลาดน้อย
ข้ อจากัดของการทา BPP
ใช้ระยะเวลานานในการตรวจ การตรวจต้องอาศัยผูเ้ ชี่ยวชาญในการตรวจและแปลผล และแม้จะทราบผล
การตรวจก็ไม่สามารถทานายสภาวะทารกในอนาคตได้ และยังไม่มีรายงานวิจยั ที่สนับสนุนเพียงพอในกรณี ที่
คะแนนต่ากับพัฒนาการของทารกในระยะยาว ปัจจุบนั มักจะทาในรายที่มีภาวะเสี่ ยง โดยทาการตรวจสัปดาห์ละ 1
ครั้ง และทาสัปดาห์ละ 2 ครั้งในครรภ์เสี่ ยงสู ง เช่น เบาหวานหรื อตั้งครรภ์เกินกาหนด
บทบาทของพยาบาล
พยาบาลผดุงครรภ์จะต้องมีความรู ้ความเข้าใจวิธีการตรวจแก่หญิงตั้งครรภ์ เพื่อเป็ นแนวทางในการข้อมูล
แก่หญิงตั้งครรภ์ การขอความร่ วมมือในการตรวจและผ่อนคลายความวิตกกังวลและความกลัวต่าง ๆ นอกจากนี้ควร
มีการติดตามผลการตรวจเพื่อจะช่วยให้สามารถนามาวางแผนการให้การพยาบาลอย่างเหมาะสมกับปั ญหาของหญิง
ตั้งครรภ์แต่ละราย
Amniotic fluid volume measurement
การประเมินสุ ขภาพทารกในครรภ์ดว้ ยปริ มาณน้ าคร่ าเป็ นอีกวิธีหนึ่ งนามาใช้กนั เพราะสามารถทาได้ง่ายจาก
การตรวจด้วยอัล ตราซาวด์ ปริ ม าณน้ า คร่ า สั มพันธ์ กบั การเกิ ด uteroplacental insufficiency ที่ เกิ ดขึ้ น เพราะการ
ไหลเวียนของเลือดไปยังไตลดลง ไตทางานลดลง ปั สสาวะจึงสร้างได้นอ้ ยตามด้วย การประเมินปริ มาณน้ าคร่ าจะ
ช่ วยทานายสุ ขภาพทารกในครรภ์ โดยเฉพาะภาวะทารกโตช้าในครรภ์ ครรภ์เกิ นกาหนดได้ดี เกณฑ์การวินิจฉัย
น้ าคร่ าน้อยที่นิยมใช้มี 2 แบบ คือ
วิธีที่ 1 วัดแอ่ งลึกทีส่ ุ ดของนา้ คร่า (Single deepest pocket, SDP หรื อ maximum vertical pocket, MVP)
เป็ นการวัดความลึกของน้ าคร่ าบริ เวณที่ลึกที่สุดในแนวตั้ง โดยตั้งหัวตรวจตั้งฉากกับหน้าท้องมารดา โดยที่
ระยะทางที่วดั ไม่ให้มีสายสะดือหรื อส่ วนต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ขวางอยู่ ค่าปกติ คือ 2.1 – 8 ซม. ค่าที่อยูร่ ะหว่าง
0 – 2 ซม. ถื อว่า มี ภาวะน้ า คร่ า น้อย (Oligohydramnios) ถ้า ที่ ม ากกว่า 8 ซม. ถื อว่า มี ภาวะน้ า คร่ า มากกว่าปกติ
18
(Polyhydramnios หรื อ Hydramnios ) การวัดน้ า คร่ า วิธี น้ ี เป็ นวิธี ที่ ใ ช้บ่ อยมากในการประเมิ น BPP และพบว่า มี
ประโยชน์ในการประเมินสุ ขภาพของทารกในครรภ์ ช่วยทานายผลของการคลอดได้
วิธีที่ 2 วัดดัชนีปริมาณนา้ คร่า (Amniotic fluid index: AFI)
เป็ นการประเมินโดยการแบ่งหน้าท้องมารดาเป็ น 4 ส่ วนเท่า ๆ กันโดยอาศัยแนวของสะดือและ linear nigra
และวัดความลึกของน้ าคร่ าบริ เวณที่ลึกที่สุดในแนวตั้งของแต่ละส่ วน และนาค่าที่ได้มาบวกกันทั้ง 4 ค่า รวมกันค่า
ปกติ คื อ 5 – 24 ซม. บางการศึ ก ษาใช้ ค่ า ปกติ คื อ 5 – 25 ซม. ถ้า น้ อ ยกว่ า 5 ซม.ถื อ ว่ า มี ภ าวะน้ า คร่ าน้ อ ย
(Oligohydramnios) และถ้ามากกว่า 25 ซม. ถื อว่า มีภาวะน้ าคร่ ามากกว่าปกติ (Polyhydramnios) เกณฑ์ที่ใช้อาจมี
ความแตกต่างกันเล็กน้อยตามแต่ละสถาบัน
ภาพที่ 6 แสดง Reactive NST โดยมี fetal heart rate acceleration เมื่อมีการดิ้นของทารก
21
ภาพที่ 7 แสดง Non-reactive NST โดยไม่มี fetal heart rate acceleration เมื่อมีการดิ้นของทารก
สรีรวิทยาของหัวใจทารกในครรภ์
การเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ข้ ึนอยู่กบั การควบคุ มของ Parasympathetic และ Sympathetic โดยมี
barorecepter อยูท่ ี่ aortic arch และ chemoreceptor อยูท่ ี่ carotid sinus และ aortic arch ส่ งสัญญาณไปยังศูนย์เร่ ง และ
ศูนย์ชะลอการเต้นของหัวใจที่ posterior hypothalamus และ medulla โดยผ่านทางเส้นประสาท Sympathetic และ
Parasympathetic ตามลาดับ ถ้าขาดออกซิ เจนเฉียบพลันทาให้หวั ใจเต้นช้า และ variability เพิ่มขึ้น ถ้าขาดออกซิ เจน
เรื้ อรัง ทาให้หวั ใจเต้นเร็ ว และvariability จะลดลง
ปัจจัยทีม่ ีผลต่ ออัตราการเต้ นของหัวใจทารก
1. อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
- ด้านมารดา มีไข้, ไทรอยด์เป็ นพิษ, ได้รับยา atropine, β-adrenergic drug
- ด้านทารก ทารกขาดออกซิเจนเรื้ อรัง, ทารกมีการเคลื่อนไหว
2. อัตราการเต้นของหัวใจลดลง
- ด้านมารดา ความดันโลหิตต่า, ยาชาเฉพาะที่, โปตัสเซี่ยมต่า
- ด้านทารก ทารกขาดออกซิเจน, Congenital heart block
ปัจจัยทีม่ ีผลต่ อการเปลีย่ นแปลงระดับอัตราการเต้ นของหัวใจ ( variability)
1. variability เพิ่มขึ้น
- ด้านมารดา การคลอดระยะที่ 2
- ด้านทารก ทารกขาดออกซิเจนเฉียบพลัน, ทารกมีการเคลื่อนไหว
2. variability ลดลง
- ด้านมารดา Acidosis, รกเสื่ อมสภาพเรื้ อรัง, ยาต่างๆเช่น barbiturates
- ด้านทารก ทารกขาดออกซิ เจนเรื้ อรัง, ทารกไม่ครบกาหนด, tachycardia
บทบาทพยาบาล
1. อธิ บายให้หญิงตั้งครรภ์ทราบถึงขั้นตอนและวิธีการตรวจ
2. จัดท่านอนในลักษณะ Semi-fowler หรื อนอนในท่าศีรษะสู งประมาณ 20 องศา
22
3. วัดความดันโลหิต
4. ดูแลให้ tocodynamometer ของ external monitor คาดหน้าท้องหญิงตั้งครรภ์เพื่อบันทึก การหด
รัดตัวของมดลูกที่เกิดขึ้นเองหรื อการดิ้นของทารก ระวังไม่ให้สายยืดที่คาดบริ เวณหน้าท้องหลุดหรื อเคลื่อนผิด
ตาแหน่ง และทา Conductivity jel ที่ tocodynamometer ก่อนใช้สายยืดพัน
5. บันทึกFHR ไปเรื่ อยๆตลอดการทดสอบ
6. แนะนาให้หญิงตั้งครรภ์กด marker เพื่อบันทึกเมื่อรู ้สึกว่าเด็กดิ้น
7. ขณะตรวจควรสังเกตอาการและอาการแสดงของ Supine hypotension
8. เมื่อตรวจเสร็ จควรเช็ดเจลออกจากหน้าท้องและควรดูแลหญิงตั้งครรภ์ให้ลุกช้าๆติดตามการ
ตรวจและให้คาแนะนาที่เหมาะสม
2. Positive
- มี late deceleration ทุกครั้งในระยะช่วงท้ายของการหดรัดตัวของมดลูก
- base line variability มักจะลดลงกว่าปกติ
- อัตราการเต้นของหัวใจไม่เพิม่ เมื่อทารกดิ้นหรื อมดลูกหดรัดตัว
3. Suspicious
- มี late deceleration เป็ นครั้งคราว
- base line variability อาจปกติหรื อลดลง
- ถ้าไม่มีการเพิ่มของอัตราการเต้นของหัวใจเมื่อทารกดิ้น ควรทาซ้ าใน 24 ชัว่ โมง
4. Hyperstimulation
- มดลูกมีการหดรัดตัวมากกว่าปกติ หรื อหดรัดตัวแรงมาก ในกรณี น้ ี ถา้ มี late deceleration เกิดขึ้น
จะแปลผลไม่ได้
5. Unsatisfactory
- ไม่สามารถแปลผลเนื่ องจากกราฟที่บนั ทึกไม่สามารถอ่านได้ หรื อมีการหดรัดตัวของมดลูกน้อย
กว่า 3 ครั้งในเวลา 10 นาที
ภาพที่ 8 แสดง Negative OCT ไม่มี fetal heart rate deceleration ในขณะที่มีการหดรัดตัวของมดลูก
เอกสารอ้างอิง
ถวัลย์วงค์ รัตนศิริ. (2558). การตรวจสุ ขภาพทารกในครรภ์ในระยะก่อนเจ็บครรภ์. ใน ยุทธพงษ์ วีระวัฒนตระกูล,
ประนอม บุพศิริ, ศรี นารี แก้วฤดี, โฉมพิลาศ จงสมชัย และ เจน โสธรวิทย์, บรรณาธิ การ. สู ตินรี เวชในเวช
ปฏิ บัติทั่วไป: OB-GYN for general physicians. ขอนแก่น: ขอนแก่นการพิมพ์.
เยื้อน ตันนิ รันดร. (2551). หัตถการในการวินิจฉัยทารกก่ อนคลอด. ใน: เยื้อน ตันนิ รันดร,และวรพงศ์ ภู่ พ งศ์,
บรรณาธิการ. เวชศาสตร์ มารดาและทารก. กรุ งเทพฯ: ราชวิทยาลัยสู ตินรี แพทย์แห่งประเทศไทย.
สมบูรณ์ บุณยเกียรติ. (2557). การพยาบาลสตรี ตั้งครรภ์ ที่มีความเสี่ยงสูง 1. กรุ งเทพฯ : สิ นธนา ก๊อปปี้ เซ็นเตอร์ .
สมศรี พิทกั ษ์กิจรณกร, ปัทมา พร้อมสนติ, พรรณยู พรรณบูรณา, อุมาพร อุดมศุภยกุลและอภิชาติ จิตเจริ ญ. (2554).
การสู ญเสี ยทารกในครรภ์ในการเจาะน้ าคร่ าในระยะไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์. Arch Gynecol Obstet .
284:793–797. DOI 10.1007/s00404-010-1727-3
สุ ชยา ลือวรรณ. (2558). การตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ . สื บค้นเมื่อวันที่ 22 สิ งหาคม 2559, จากภาควิชาสู ติศาสตร์
และนรี เวชวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เว็บไซต์: http://www.medicine.cmu.ac.th
สุ พร แก้วศิริวรรณ. (2556). การพยาบาลในระยะตั้งครรภ์ . กรุ งเทพฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
สุ ภาพ ไทยแท้. (2554). การพยาบาลสูติศาสตร์ :ภาวะผิดปกติในระยะคลอด (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุ งเทพฯ : สานักพิมพ์
แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อาไพ จารุ วชั รพาณิ ชยกุล. (2554). การประเมินภาวะสุ ขภาพของทารกในครรภ์ ใน อาไพ
จารุ วชั รพาณิ ชยกุล (บรรณาธิการ), ความรู้ เบือ้ งต้ นการพยาบาลผดุงครรภ์ เล่ ม 1 (ระยะตั้งครรภ์ ).
(หน้า 133 - 154). เชียงใหม่: ครองช่างพริ๊ นติ้ง.
Cuningham, F. G., Leveno, K. J., Bloom, S. L., Spong, C. Y., Dashe, J. S., Hoffman, B. L., Casey, B. M., &
Sheffield, J. S. (2014). Williams Obstetrics (24rded). New York: McGraw-Hill C.