Professional Documents
Culture Documents
บทคัดย่อ
งานวิจัยฉบับนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสยามและล้านนา พ.ศ. 2417–2476
ผลการศึ ก ษาพบว่ า การเปลี่ ย นแปลงความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งรั ฐ สยามกั บ ล้ า นนาจากรั ฐ ประเทศราช
มาเป็ น ส่ ว นหนึ่ งในพระราชอาณาเขตเป็ น กระบวนการหนึ่ ง ของการสร้ า งรั ฐ ชาติ โ ดยมี ปั จ จั ย สำ � คั ญ คื อ
การล่าลัทธิอาณานิคมของชาติตะวันตก แต่จากการปรับตัวของชนชั้นนำ�สยามในการเรียนรู้วิธีการจัดการ
ปกครองของเจ้าอาณานิคม ทำ�ให้รัฐสยามใช้วิธีการที่คล้ายคลึงกันนี้ผนวกล้านนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ
วิธีการดังกล่าว ได้แก่ การออกกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย การส่งข้าหลวงขึ้นไปกำ�กับราชการ
การเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษีอากรเพื่อนำ�มาใช้สร้างระบบราชการสยาม การทำ�แผนที่และสำ�มะโนครัว
พัฒนาการสื่อสารและการคมนาคมแบบสมัยใหม่ การวางรากฐานการศึกษาและควบคุมสถาบันสงฆ์
ส่งเสริมการเผยแพร่ศาสนาของมิชชันนารี โดยสยามได้นำ�วิธีการแบบรัฐจารีตมาใช้ควบคู่กันไป ได้แก่
การสร้างสายสัมพันธ์ทางเครือญาติกับเจ้าเมืองเชียงใหม่
ผลจากการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทำ�ให้
เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากกลุ่มอำ�นาจท้องถิ่นทั้งการจับอาวุธขึ้นสู้ในลักษณะของกบฏและการใช้ความเชื่อ
ดั้งเดิมเป็นพลังทางสังคมเพื่อต่อต้านอำ�นาจของสยาม นอกจากนี้ความรู้สึกแบ่งแยกระหว่างไทยเหนือ
และไทยใต้ และความหลากหลายทางชาติ พั น ธุ์ ทำ �ให้ ล้ า นนายั ง คงขาดความจงรั ก ภั ก ดี ต่ อ สยาม
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงปรับเปลี่ยนโยบายการปกครองล้านนาใหม่ให้แตกต่างไปจาก
สมั ย ก่ อ นหน้ า อย่ า งชั ด เจนโดยใช้ ลั ท ธิ ช าติ นิ ย มของตะวั น ตกผ่ า นสิ่ ง พิ ม พ์ การจั ด การศึ ก ษา และกิ จ กรรม
เสือป่า เพื่อปลูกฝังให้คนล้านนารู้สึกถึงความเป็นไทยร่วมกันกับส่วนกลาง รวมทั้งมีนโยบายดูแลทุกข์สุข
และการทำ�มาหากินของราษฎร และเพิ่มความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกรุงเทพฯ และล้านนา อีกทั้งการเสด็จ
ประพาสมณฑลพายัพของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นการย้ำ�ให้คนล้านนาเห็นว่าอำ�นาจสูงสุด
ในการปกครองอยู่ที่กษัตริย์สยามมิใช่บรรดาเจ้านายอีกต่อไป
63
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 6 ฉบับที่ 11 มกราคม - มิถุนายน 2557
Abstract
This research examines the relationships between the Siamese state and Lanna from
1874 to 1933. The outcomes of the research show that the change of Lanna’s status as
Siam dependency into that as an integral part of the Siamese kingdom was part of the process
of Siamese nation state building and resulted from western colonialism. However learning and
adapting colonial management from the western colonizers themselves, the Siamese state
applied the similar methods to annex Lanna into it. These methods include legislation and law
enforcement; administration by commissioners from the center; revenue collection to serve the
establishment of Siamese bureaucracy in Lanna; mapping and consensus; modern communication
and transportation, control of education and monastic institutions, and promotion of missionary
work. Parallelly, Siam still maintained the traditional method of forging kinship with the ruling
elite of Chieng Mai. The changes in the Siamese–Lanna relation during the reign of King
Chulalongkorn resulted in the resistance from the local power in the form of violence rebellion and
the use of traditional beliefs to counter Siam’s influence. Furthermore, there were the emotional
divide between Northern Thai and Southern Thai as well as the lack of loyalty to Siam among
diverse ethnics in Lanna. Consequently, King Vajiravudh formulated a the different policy for the
administration of Lanna. The Siamese tried to introduce the sense of being Thai to the Lanna
people through printed media, education, and “Sua Pa” Scout activities. It also began to care
for the social and economic life of the Lanna people as well as to increase the trade relations
between Bangkok and Lanna. Last but not least, the royal visit of King Prachatipok to Monthon
Phayap demonstrated to the people of Lanna the supreme power of the Siamese King which
had replaced that of the Lanna ruling elite.
64
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 6 ฉบับที่ 11 มกราคม - มิถุนายน 2557
65
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 6 ฉบับที่ 11 มกราคม - มิถุนายน 2557
66
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 6 ฉบับที่ 11 มกราคม - มิถุนายน 2557
ปฏิบัติต่อล้านนาดูจะคล้ายคลึงกับระบบอาณานิคม ส่วนหนึ่งของรัฐเพราะในสมัยของพระองค์ยังคงมี
ของตะวันตกมากกว่ากลับถูกมองว่าเป็นการสร้าง ความพยายามเปลี่ยนคนล้านนาให้เป็นไทย [12]
ความเป็นหนึ่งเดียวของชาติ และพยายามลบภาพความเป็น “ลาว” ออกจาก
จากตัวอย่างดังกล่าวเห็นได้ว่าหลังจากที่ล้านนา คนล้านนาในการรับรู้ของคนสยาม [13] จากตัวอย่าง
เข้าสู่ระบอบเทศาภิบาลราว 15 ปี ปัญหาที่เกิดขึ้น ดังกล่าวผู้วิจัยจึงต้องการชี้ให้เห็นว่าแนวคิดของ
คือ การขาดความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ รัฐสยามในการผนวกล้านนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
คนในชาติ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของข้าราชการ ของรั ฐ มี ค วามต่ า งออกไปในแต่ ล ะช่ ว งเวลา
สยามที่ถูกส่งไปจากส่วนกลางและความรู้สึกของ ซึ่งส่งผลต่อวิธีดำ�เนินการที่ต่างกันออกไป
คนล้านนาที่มีต่อข้าราชการสยาม ดังนั้นในรัชสมัย สี่ งานศึกษาประวัติศาสตร์ล้านนาส่วนใหญ่
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงต้องมี มักกล่าวถึงปฏิกิริยาการแสดงออกถึงความไม่พอใจ
นโยบายบางอย่างเพื่อขจัดความรู้สึกแบ่งแยกเหล่านี้ ในการที่รัฐสยามเข้าไปจัดการปกครองในล้านนา
ซึ่งเป็นที่มาของลัทธิชาตินิยมในสมัยของพระองค์ ในรูปของกบฏครั้งสำ�คัญๆ เช่น กบฏของพระยา
โดยทั่วไปงานศึกษาลัทธิชาตินิยมในรัชสมัย ผาบสงครามใน พ.ศ. 2435 กบฏเงี้ยวเมืองแพร่
ของพระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว พ.ศ. 2445 โดยมักอธิบายถึงสาเหตุของกบฏ
มักได้รับการอธิบายว่าเป็นสิ่งที่ผลิตขึ้นมาเพื่อต่อต้าน เงี้ยวว่าเกิดจากการที่เจ้านายล้านนาสูญเสียอำ�นาจ
คนจีน ในกรณีของล้านนาเชื่อว่าแนวคิดดังกล่าวมี ทางเศรษฐกิจ [14] ในที่นี้ผู้วิจัยเสนอเพิ่มเติมว่า
ผลในทางปฏิบัติเช่นกัน ตัวอย่างจากรายงานของ กบฏเงี้ยวที่เกิดขึ้นนั้นมิได้มีอยู่เฉพาะในเมืองแพร่
พระยาศึกษาสมบูรณ์ที่ขึ้นไปตรวจราชการมณฑล พ.ศ. 2445 เท่านั้น แต่มีความต่อเนื่องในหัวเมืองอื่นๆ
พายัพใน พ.ศ. 2456 ได้สรุปสภาพความเป็นไป เช่น เมืองเชียงราย เมืองเชียงของ ใน พ.ศ. 2448
เกี่ ย วกั บ งานด้ า นการศึ ก ษาไว้ ว่ า “...ระเบี ย บ และเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความหลากหลาย
การสอนและการโรงเรี ย นยั ง อ่ อ นอยู่ ม ากเพราะ ของกลุ่มชาติพันธุ์ในล้านนาที่การปฏิรูปโครงสร้าง
ขาดคนทำ� ครู ตลอดจนถึงเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ใคร่ การปกครองของรัฐสยามไม่สามารถเข้าถึงได้
เหมาะ ที่บกพร่องเป็นข้อสำ�คัญนั้นคือการขาดการ อีกประการหนึ่งที่สำ�คัญคือผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตว่า
สอนให้เป็นไทยได้จริงๆ คือยังไม่ทราบว่าใครเป็น การแสดงออกถึ ง ความไม่ พ อใจของคนล้ า นนา
เจ้ า อั น สู ง สุ ด และควรปฏิ บั ติ อ ย่ า งไรต่ อ ท่ า น...” ไม่ได้ปรากฏในรูปของกบฏเสมอไป แต่ยังแสดงออก
[11] (ขีดเส้นใต้โดยผู้วิจัย) แสดงให้เห็นว่า แม้ใน ในรูปแบบอื่นๆ ตัวอย่างเช่น
รั ช สมั ย ของพระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล้ า เจ้ า อยู่ - กรณี ค รู บ าศรี วิ ชั ย นั บ เป็ น ความขั ด แย้ ง
หั ว ความเข้ าใจของคนล้ า นนาทั่ วไปยั งไม่ แ น่ ใ จ ระหว่างแนวคิดแบบดั้งเดิมทางพุทธศาสนาของคน
ว่ า จะต้ อ งเคารพใครว่ า มี อำ � นาจสู ง สุ ด ระหว่ า ง ล้านนากับแนวคิดในการรวมศูนย์อำ�นาจเพื่อเสริม
เจ้ า ผู้ ค รองนครหรื อ พระมหากษั ต ริ ย์ ข องสยาม อุดมการณ์แบบรัฐชาติโดยรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
จากตั ว อย่ า งคำ � รายงานนี้ ชี้ ใ ห้ เ ห็ น ว่ าโครงสร้ า ง พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการตราพระราช-
การปกครองและระบบราชการแบบใหม่ที่รัฐสยามได้ บัญญัติการปกครองสงฆ์ ร.ศ.121 (พ.ศ. 2445)
สถาปนาขึ้นนั้นยังไม่สามารถเข้าถึงคนได้ทุกระดับ โดยมุ่ ง เน้ น ว่ า “ทุ ก วั น นี้ ก ารปกครองข้ า งฝ่ า ย
จนกระทั่ ง รั ช สมั ย พระบาทสมเด็ จ พระปกเกล้ า พระราชอาณาจั ก ร ก็ ไ ด้ ท รงพระราชดำ � ริ แ ก้ ไ ข
เจ้าอยู่หัวผลของการผนวกล้านนาที่ดำ�เนินมาอย่าง และจั ด ตั้ ง แบบแผนการปกครองให้ เ รี ย บร้ อ ย
ต่อเนื่องถึง 2 รัชกาลน่าจะสำ�เร็จด้วยดี แต่พบว่า เจริ ญ ดี ขึ้ น กว่ า แต่ ก่ อ นเปนหลายประการแล้ ว
ยั ง มี อุ ป สรรคในการรวมคนล้ า นนาเข้ า มาเป็ น และฝ่ า ยพุ ท ธจั ก รนั้ น การปกครองสงฆมณฑล
67
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 6 ฉบับที่ 11 มกราคม - มิถุนายน 2557
68
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 6 ฉบับที่ 11 มกราคม - มิถุนายน 2557
69
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 6 ฉบับที่ 11 มกราคม - มิถุนายน 2557
ผลการวิจัย สรุปและอภิปรายผล
ผลการวิจัยพบว่าการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสยามกับ
ระหว่ า งรั ฐ สยามกั บ ล้ า นนาจากรั ฐ ประเทศราช ล้านนา พ.ศ. 2417–2476 พบว่า ในสมัยก่อน
ม า เ ป็ น ส่ ว น ห นึ่ ง ใ น พ ร ะ ร า ช อ า ณ า เ ข ต หน้ า ล้ า นนามี ฐ านะเป็ น ประเทศราชของสยาม
เป็ น กระบวนการหนึ่ ง ของการสร้ า งรั ฐ ชาติ มีหน้าที่ในการป้องกันพระราชอาณาเขตและถวาย
โ ด ย มี ปั จ จั ย สำ � คั ญ จ า ก ก า ร ล่ า อ า ณ า นิ ค ม เครื่องราชบรรณาการทุก 3 ปี จากธรรมเนียม
ของชาติ ต ะวั น ตก วิ ธี ก ารที่ ช นชั้ น นำ � สยาม ปฏิบัติดังกล่าวทำ�ให้ความสัมพันธ์ระหว่างสยาม
ใช้ ผ นวกล้ า นนาเข้ า มาเป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของรั ฐ และล้ า นนามี น้ อ ยมาก โดยสยามเองแทบไม่ ยุ่ ง เกี่ ย ว
ได้แก่ การออกกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย กั บ กิ จ การภายในไม่ ว่ า จะเป็ น ด้ า นการปกครอง
การส่งข้าหลวงกำ�กับราชการโดยตรง การเปลี่ยนแปลง สังคมและเศรษฐกิจ
การจั ด เก็ บ ภาษี อ ากรเพื่ อ นำ � มาใช้ ส ร้ า งระบบ เมื่อสยามเซ็นสัญญาเบาว์ริงใน พ.ศ. 2398
ราชการสยาม การทำ � แผนที่ แ ละสำ � มะโนครั ว ซึ่ ง เป็ น การเปิ ด เสรี ท างการค้ า และให้ สิ ท ธิ
พัฒนาการสื่อสารและการคมนาคมแบบสมัยใหม่ ทางการศาลกับคนในบังคับต่างประเทศส่งผลให้
การวางรากฐานการศึ ก ษาและควบคุ ม สถาบั น ชาวตะวันตกเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายมากขึ้น
สงฆ์ ส่งเสริมการเผยแพร่ศาสนาของมิชชันนารี ประกอบกั บ การที่ พ ม่ า แพ้ ส งครามกั บ อั ง กฤษ
โดยสยามได้นำ�วิธีการแบบรัฐจารีตมาใช้ควบคู่กันไป โดยอังกฤษยึดพม่าตอนใต้ไว้ได้ทำ�ให้พื้นที่บางส่วนของ
ได้ แ ก่ การสร้ า งสายสั ม พั น ธ์ ท างเครื อ ญาติ กั บ ล้านนามีอาณาเขตติดกับอาณานิคมของอังกฤษ
เจ้าเมืองเชียงใหม่ การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ อั ง กฤษได้ ข ยายธุ ร กิ จ การทำ �ไม้ เ ข้ า มาในล้ า นนา
ในรั ช สมั ย พระบาทสมเด็ จ พระจุ ล จอมเกล้ า โดยมีบริษัทค้าไม้ขนาดใหญ่ได้เข้ามาขอทำ�สัมปทาน
เจ้าอยู่หัวทำ�ให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากกลุ่มอำ�นาจ ป่ า ไ ม้ กั บ บ ร ร ด า เ จ้ า น า ย ต า ม เ มื อ ง ต่ า ง ๆ
ท้ อ งถิ่ น ทั้ ง การจั บ อาวุ ธ ขึ้ น สู้ ใ นลั ก ษณะของกบฏ โดยไม่ผา่ นความเห็นชอบของสยาม เนือ่ งจากช่วงเวลา
และการใช้ความเชื่อดั้งเดิมเป็นพลังทางสังคมเพื่อต่อต้าน ดั ง กล่ า วความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งล้ า นนาและสยาม
อำ�นาจของสยาม นอกจากนี้ความรู้สึกแบ่งแยก เป็ น เพี ย งรั ฐ ประเทศราชซึ่ ง สยามไม่ ไ ด้ มี อำ � นาจ
ระหว่างไทยเหนือและไทยใต้ และความหลากหลาย ทางการปกครองเหนือล้านนาอย่างแท้จริง
ทางชาติพันธุ์ทำ�ให้ล้านนายังคงขาดความจงรักภักดี ในต้นทศวรรษที่ 2410 เริ่มมีข้อร้องเรียน
ต่อสยาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า มายั ง กงสุ ล อั ง กฤษเกี่ ย วกั บ ข้ อ พิ พ าทในการทำ �
เจ้ า อยู่ หั ว จึ ง ทรงปรั บ เปลี่ ย นโยบายการปกครอง ป่าไม้ระหว่างพ่อค้าไม้ซึ่งเป็นคนในบังคับอังกฤษ
ล้านนาใหม่ให้แตกต่างไปจากสมัยก่อนหน้า โดยใช้ และบรรดาเจ้านายตามเมืองต่างๆ โดยรัฐบาลสยาม
ลัทธิชาตินิยมของตะวันตกผ่านสิ่งพิมพ์ การจัดการศึกษา ไม่สามารถตัดสินคดีได้เนื่องจากสิทธิทางการศาล
และกิจกรรมเสือป่า เพื่อปลูกฝังให้คนล้านนารู้สึกถึง ที่ปรากฏในสัญญาเบาว์ริง จนถึงทศวรรษที่ 2420
ความเป็ นไทยร่ ว มกั น กั บ ส่ ว นกลาง โดยเฉพาะ คดีความฟ้องร้องเรื่องการทำ�ไม้เพิ่มขึ้นจำ�นวนมาก
การเสด็จประพาสมณฑลพายัพของพระบาทสมเด็จ ประกอบกั บ มี โ จรผู้ ร้ า ยปล้ น สะดมตามชายแดน
พระปกเกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว เป็ น การย้ำ � ให้ ค นล้ า นนา ทำ �ให้ ค นในบั ง คั บ อั ง กฤษเสี ย ประโยชน์ กงสุ ล
เห็นว่าอำ�นาจสูงสุดในการปกครองอยู่ที่กษัตริย์สยาม อั ง กฤษได้ เ รี ย กร้ อ งให้ รั ฐ บาลสยามเข้ า ควบคุ ม
มิใช่บรรดาเจ้านายอีกต่อไป การปกครองล้านนาอย่างเด็ดขาด แต่รัฐบาลสยาม
ในขณะนั้ น ไม่ ส ามารถปฏิ บั ติ ต ามได้ เ นื่ อ งจาก
ไม่ เ คยมี อำ � นาจอย่ า งแท้ จ ริ ง ในล้ า นนามาก่ อ น
70
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 6 ฉบับที่ 11 มกราคม - มิถุนายน 2557
71
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 6 ฉบับที่ 11 มกราคม - มิถุนายน 2557
ส ย า ม จึ ง พั ฒ น าโ ท ร เ ล ข เ พื่ อใ ช้ ส่ ง ข่ า ว ส า ร การส่งเสริมการเรียนหนังสือไทยมีจุดประสงค์
และขอพระราชวิ นิ จ ฉั ย ของพระบาทสมเด็ จ เ พื่ อ ผ ลิ ต ค น พื้ น เ มื อ ง เ ข้ า สู่ ร ะ บ บ ร า ช ก า ร
พระจุ ล จอมเกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว ได้ อ ย่ า งทั น ท่ ว งที โดยรัฐบาลสยามเชื่อว่าการจัดสอนภาษาไทยแทนที่
ในขณะที่การสร้างทางรถไฟสายเหนือมีวัตถุประสงค์ ภาษาพื้ น เมื อ งจะช่ ว ยสร้ า งความสั ม พั น ธ์ ที่ ดี
เพื่ อ กั น มิ ใ ห้ อั ง กฤษดึ ง ผลประโยชน์ จ ากล้ า นนา และลดความรู้ สึ ก แบ่ ง แยกระหว่ า งคนไทย
ไปไว้ ที่ ต นเอง โดยระยะแรกชนชั้ น นำ � สยาม และคนพื้นเมือง ทั้งนี้การเข้าควบคุมสถาบันสงฆ์ควบคู่
เห็นว่าการสร้างทางรถไฟสายใต้เป็นสิ่งจำ�เป็นเร่งด่วน ไปกั บ การจั ด การศึ ก ษาเป็ น สิ่ ง จำ � เป็ น เพราะสยาม
กว่ารถไฟสายเหนือ แต่หลังกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ ตระหนั ก ดี ว่ า พระสงฆ์ มี อิ ท ธิ พ ลในการปลู ก ฝั ง
ทำ �ให้ ส ยามต้ อ งส่ ง กำ � ลั ง ทหารขึ้ น ไปประจำ � การ ความคิ ด ให้ กั บ ราษฎร ประกอบกั บ แผนการ
จำ�นวนมาก จนทำ�ให้คลังมณฑลพายัพล่ม และเสี่ยง จั ด การศึ ก ษาตามหั ว เมื อ งจำ � เป็ น ต้ อ งใช้ วั ด
ต่ อ การสู ญ เสี ย อำ � นาจในการปกครองชนชั้ น นำ � และพระสงฆ์ รวมทั้งทัศนคติของส่วนกลางที่มองว่า
สยามจึ ง ให้ ค วามสำ � คั ญ ในการสร้ า งทางรถไฟ การศาสนาตามหัวเมืองมีความหละหลวม ทำ�ให้
สายเหนือโดยพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการลงทุน สยามต้ อ งเข้ า ควบคุ ม สถาบั น สงฆ์ โ ดยใช้ อำ � นาจ
ว่ า จะตั ด ผ่ า นเมื อ งใดระหว่ า งเมื อ งแพร่ แ ละเมื อ ง ของกฎหมายเพื่ อ ให้ ส อดคล้ อ งกั บ โครงสร้ า ง
ลำ�ปาง โดยท้ายที่สุดเลือกที่จะผ่านทั้ง 2 เมือง การปกครองทางโลก แม้ว่าสยามพยายามส่งเสริม
เพื่อความสะดวกในการจัดการปกครอง ตลอดจน บทบาทของธรรมยุติกนิกายให้เข้าแทนที่บทบาท
รักษาความสงบภายใน ของพระสงฆ์พื้นเมืองแต่จากการที่พระพุทธศาสนา
ในด้ า นการส่ ง เสริ ม การเผยแพร่ ศ าสนาของ ในหัวเมืองล้านนามีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน
มิชชันนารี เนื่องจากสยามเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง และมีรากฐานมั่นคง ประกอบกับการที่พระสงฆ์
และประโยชน์ ที่ เ กิ ด จากกิ จ กรรมการเผยแพร่ ส่ ว นใหญ่ ยั ง คงยึ ด มั่ น ในระบบหั ว หมวดวั ด
ศาสนาของมิชชันนารีในกรุงเทพฯ จึงสนับสนุน และหั ว หมวดอุ โ บสถจึ ง ทำ � ให้ ธ รรมยุ ติ ก นิ ก าย
ให้ มี ก ารเผยแพร่ ศ าสนาคริ ส ต์ ใ นล้ า นนา แม้ ว่ า ไม่แพร่หลายเท่าที่ควร
สยามไม่ได้ให้งบประมาณในการสนับสนุน แต่ใช้ ในขณะที่วิธีการสร้างสายสัมพันธ์ทางเครือญาติ
วิธีประกาศพระบรมราชโองการให้นับถือศาสนา โดยการถวายตัวของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี
ได้อย่างเสรีซึ่งเป็นการลิดรอนอำ�นาจการควบคุม ทำ �ให้ พ ระบาทสมเด็ จ พระจุ ล จอมเกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว
ไพร่ ข องเจ้ า นาย ทั้ ง นี้ มิ ช ชั น นารี ใ ช้ ยุ ท ธศาสตร์ ทรงมี ช่ อ งทางสื่ อ สารเป็ น การส่ ว นพระองค์ กั บ
สำ � คั ญ 2 ประการในการเผยแพร่ ศ าสนาคื อ เจ้ า เมื อ งเชี ย งใหม่ โ ดยใช้ ค วามสั ม พั น ธ์ นี้ ดึ ง เอา
การศึ ก ษาและการแพทย์ แ บบสมั ยใหม่ วิ ธี ก าร อำ � นาจการให้ สั ม ปทานป่ า ไม้ ม าไว้ ที่ ก รุ ง เทพฯ
เหล่านี้ได้สร้างความเปลี่ยนทางสังคมและวัฒนธรรม และมีส่วนทำ�ให้ล้านนาเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครอง
ในล้านนาหลายประการ โดยเฉพาะความเชื่อพื้นฐาน แบบรวมศูนย์ได้ราบรื่นยิ่งขึ้น [19]
ของคนทั่วไปที่มีต่อโรคภัยไข้เจ็บและภูติผีปีศาจ จนถึงทศวรรษที่ 2460 ความพยายามของ
ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับกลไกการควบคุมพฤติกรรม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรง
ของคนในสั ง คม การจั ด การศึ ก ษาแบบใหม่ ต้องการเปลี่ยนความสัมพันธ์จากรัฐประเทศราช
ทำ �ให้ เ กิ ด ชนชั้ น กลางขึ้ นในสั ง คมและตอบสนอง มาเป็นส่วนหนึ่งในพระราชอาณาเขตโดยการปรับ
ความต้ อ งการของสยามในการกระตุ้ น ให้ เ กิ ด ใช้วิธีการของเจ้าอาณานิคมผสมไปกับวิธีการแบบ
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ รัฐจารีตเริ่มปรากฏผล โดยสถานภาพทางสังคม
72
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 6 ฉบับที่ 11 มกราคม - มิถุนายน 2557
และเศรษฐกิ จ ของเจ้ า นายและไพร่ เ ริ่ ม มี ค วาม ในการไม่ ป ฏิ บั ติ ต ามคำ � สั่ ง ของข้ า หลวง โดยผี
ใกล้เคียงกันโดยมีฐานะเป็นประชากรส่วนหนึ่งของ ถู ก นำ � มาใช้ เ ป็ น พลั ง ทางสั ง คมเพื่ อ ขจั ด อำ � นาจ
รัฐสยาม อำ�นาจของเจ้านายที่มีต่อไพร่เริ่มคลาย ของสยามเนื่องจากคนเหล่านั้นหมดหวังที่จะต่อสู้
ความศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ล งสั ง เกตได้ จ ากไพร่ เ ริ่ ม ฟ้ อ งร้ อ ง ในแนวทางอื่ น จึ ง หั นไปพึ่ ง พาผี ห รื อ สิ่ ง ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์
เจ้ า นายในกรณี ที่ ถู ก รั ง แกและไม่ ไ ด้ รั บ ความ เหนือธรรมชาติ ซึ่งวิธีการดังกล่าวเป็นวิธีที่ใช้ได้ผล
เป็นธรรมโดยอาศัยระบบศาลของสยาม แต่การลิดรอน กับคนกลุ่มใหญ่ซึ่งมีอำ�นาจเหนือกว่าใช้ขับไล่ผู้ที่ตน
อำ � นาจของเจ้ า นายที่ ส ยามได้ ก ระทำ � มาตลอด ไม่ต้องการให้ออกไปจากสังคม แต่วิธีนี้ใช้ไม่ได้
ระยะเวลา 40 ปี ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาการต่อต้าน ผลเนื่องจากบรรดาเจ้านายรวมทั้งไพร่แม้ว่าจะมี
ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมีทั้งการรวมตัวกันจับอาวุธ จำ�นวนมากกว่าแต่อำ�นาจทางการปกครองที่แท้จริง
ขึ้นสู้ การใช้ผีในการต่อต้านอำ�นาจของกรุงเทพฯ ตกอยู่ในมือข้าหลวงสยามทำ�ให้การใช้ผีไม่มีพลัง
ความรู้ สึ ก แบ่ ง แยกระหว่ า งไทยเหนื อ และไทย มากพอที่จะทำ�ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ภายหลัง
ใต้ จ นนำ � ไปสู่ ก ารเรี ย กตนเองของคนพื้ น เมื อ ง กบฏเงี้ยวเมืองแพร่สยามเอาใจใส่กับความเชื่อเรื่อง
ว่ า คนเมื อ ง และกรณี ค รู บ าศรี วิ ชั ย ที่ ไ ม่ ย อมรั บ ภู ติ ผี ข องคนล้ า นนามากขึ้ น ทำ � ให้ ก ารต่ อ ต้ า น
พระราชบั ญ ญั ติ ก ารปกครองคณะสงฆ์ รวมทั้ ง โดยการใช้ผีค่อยๆ ลดลง
ปัญหาที่เกิดจากความหลากหลายทางกลุ่มชาติพันธุ์ จากการที่สยามส่งข้าราชการขึ้นมาปกครอง
ในล้านนาที่เชื่อมโยงกับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต โดยตรง โดยข้ า ราชการสยามส่ ว นใหญ่ มั ก ดู ถู ก
การต่ อ ต้ า นจากอำ � นาจท้ อ งถิ่ น ปรากฏ คนล้านนาว่ามีความเจริญน้อยกว่าจนทำ�ให้เกิดความ
ในรูปของกบฏครั้งสำ�คัญ จำ�นวน 2 ครั้ง คือกบฏ รู้ สึ ก แบ่ ง แยกระหว่ า งคนสยามหรื อ ไทยใต้ กั บ
พระยาผาบสงครามใน พ.ศ. 2432 และกบฏเงี้ยว คนพื้ น เมื อ งหรื อ ไทยเหนื อ จนเกิ ด การเรี ย กกลุ่ ม ของ
เมืองแพร่พ.ศ. 2445 กบฏทั้ง 2 ครั้งมีสาเหตุ ตนเองว่า “คนเมือง” โดยใช้คำ�ดังกล่าวเป็นตัวแทนของ
มาจากการที่ ส ยามเปลี่ ย นแปลงการจั ด เก็ บ ภาษี ทุ ก กลุ่ ม ชาติ พั น ธุ์ ใ นล้ า นนาเพื่ อ สร้ า งสำ � นึ ก ร่ ว ม
และควบคุ ม กิ จ กรรมทางด้ า นเศรษฐกิ จ มากขึ้ น กั นในการต่ อ ต้ า นอำ � นาจจากกรุ ง เทพฯ แม้ ว่ า
โดยทัศนะของชนชั้นนำ�สยามกบฏพระยาผาบสงคราม การรวมตัวกันนี้ไม่ได้สร้างปัญหาทางการปกครอง
มีความเกี่ยวข้องกับบรรดาเจ้านายชั้นสูงในเมือง ให้ กั บ รั ฐ สยามอย่ า งชั ด เจนเหมื อ นการก่ อ กบฏ
เชียงใหม่แต่สยามไม่ให้ความสำ�คัญกับกบฏครั้งนี้ แต่ เ ป็ น อุ ป สรรคในการรวมชาติ ทำ �ให้ ก รุ ง เทพฯ
มากนั ก สั ง เกตจากจำ � นวนทหารที่ ป ระจำ � การ ต้ อ งทบทวนนโยบายในการจั ด การปกครองใหม่
ในหัวเมืองล้านนา ในขณะที่กบฏเงี้ยวเมืองแพร่ กรณีครูบาศรีวิชัยก็เช่นกัน โดยท่านเป็นตัวอย่างของ
ไ ด้ ส ร้ า ง ค ว า ม เ สี ย ห า ย ม า ก ก ว่ า เ นื่ อ ง จ า ก ความขัดแย้งระหว่างแนวคิดดั้งเดิมทางพุทธศาสนา
มีข้าราชการสยามเสียชีวิตหลายท่าน โดยสยาม ของคนล้านนากับแนวคิดในการรวมศูนย์อำ�นาจ
ต้องส่งกองทหารขึ้นไปประจำ�การและไม่สามารถ เพื่อเสริมอุดมการณ์แบบรัฐชาติ ท่ามกลางวิกฤต
จัดเก็บภาษีได้ แต่จากการที่สยามใช้วิธีปราบกบฏ ทางสังคมและเศรษฐกิจที่เกิดจากการขยายอำ�นาจ
อย่างรุนแรงทำ�ให้ในเวลาต่อมาไม่มีกลุ่มอำ�นาจท้องถิ่น การปกครองของสยามทำ �ให้ ร าษฎรต้ อ งปรั บ ตั ว
จั บ อาวุ ธ ขึ้ น ต่ อ ต้ า นในบริ เ วณศู น ย์ ก ลางสำ � คั ญ เพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงโดยเจ้านายและขุนนาง
อีกต่อไป ท้องถิ่นไม่สามารถปกป้องพวกเขาอีกต่อไป ทำ�ให้
นอกจากการต่ อ ต้ า นการปกครองของ คนล้ า นนานำ � ความเชื่ อ ดั้ ง เดิ ม เรื่ อ งตนบุ ญ
สยามด้ ว ยการจั บ อาวุ ธ ขึ้ น สู้ แ ล้ ว ยั ง มี ก ารใช้ ผี หรื อ ผู้ วิ เ ศษที่ จ ะลงมาปกป้ อ งพระพุ ท ธศาสนา
และความเชื่ อ ตามจารี ต พื้ น บ้ า นเป็ น ข้ อ อ้ า ง และช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นทุกข์มาใช้เป็นพลังทาง
73
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 6 ฉบับที่ 11 มกราคม - มิถุนายน 2557
สังคมเพื่อพาตนเองหลีกหนีไปสู่สังคมแบบอุดมคติ ความเป็นชาตินิยมให้เกิดขึ้นกับราษฎรมณฑลพายัพ
ผ่านการทำ�บุญร่วมกับครูบาศรีวิชัย แต่ในมุมมอง พระองค์ ท รงใช้ วิ ธี ก ารทั้ ง ทางตรงและทางอ้ อ ม
ของสยามที่ต้องการรวมศูนย์อำ�นาจทางการปกครอง วิธีสร้างความรู้สึกชาตินิยมทางตรง ได้แก่ การออก
กลับมองสิ่งเหล่านี้ว่าคือการต่อต้านอำ�นาจรัฐ กฎหมายบังคับใช้ ได้แก่ พระราชบัญญัติแปลงชาติ
นอกจากการต่ อ ต้ า นอำ � นาจของสยามใน พระราชบัญญัติสัญชาติ พระราชบัญญัติขนานนามสกุล
รูปแบบต่างๆ แล้ว ปัญหาที่สำ�คัญประการหนึ่ง พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์และพระราชบัญญัติ
ในการจั ด การปกครองคื อ ความหลากหลายทาง ประถมศึกษา วิธีการทางอ้อม ได้แก่ การเผยแพร่
ชาติพันธุ์ของคนล้านนาซึ่งเป็นปัญหาที่เกี่ยวเนื่อง งานเขียนและการสร้างสัญลักษณ์แทนตัวพระองค์
กั บ สิ ท ธิ ส ภาพนอกอาณาเขต เนื่ อ งจากล้ า นนา โดยเฉพาะการจัดตั้งกองเสือป่า การแจกพระบรมรูป
มีคนกลุ่มต่างๆ เข้ามาทำ�ธุรกิจป่าไม้จำ�นวนมาก และธง โดยกิจกรรมดังกล่าวได้รับการจัดตั้งขึ้น
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในบังคับต่างประเทศ รวมทั้ง ในทุ ก จั ง หวั ดโดยใช้ โ รงเรี ย นและศาลารั ฐ บาล
กลุ่ ม ชาติ พั น ธุ์ ที่ อ าศั ย อยู่ ใ นพื้ น ที่ สู ง ที่ อำ � นาจ เป็นสถานที่ในการส่งผ่านความคิด ทั้งนี้การประดับ
ของสยามยังเข้าไปไม่ถึง โดยกลุ่มชาติพันธุ์ที่สร้าง พระบรมรูปและธงชาติตามสถานที่ราชการต่างๆ
ปัญหาอย่างมากคือพม่าและเงี้ยวซึ่งเคยเดินทางไปมา ก็ เ พื่ อให้ ร าษฎรที่ ม าติ ด ต่ อ ราชการและนั ก เรี ย น
และทำ�การค้าได้อย่างอิสระ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เข้ารับการศึกษาเคยชินกับพระบรมฉายาลักษณ์
รัฐเพื่อนบ้านของสยามเริ่มมีการเคลื่อนไหวขับไล่ ของกษั ต ริ ย์ ส ยามและตระหนั ก ถึ ง อำ � นาจสู ง สุ ด
เจ้ า อาณานิ ค มโดยโดยพม่ า และเงี้ ย วบางกลุ่ ม ในการปกครองว่ามิใช่อยู่ที่เจ้านายพื้นเมืองอีกต่อไป
ใช้ ล้ า นนาเป็ น ฐานเคลื่ อ นไหวทางด้ า นการเมื อ ง ทั้ ง นี้ โ รงเรี ย นสอนหนั ง สื อไทยได้ ก ลายเป็ น
และหลบซ่ อ นจากการจั บ กุ ม ของอั ง กฤษ อี ก ทั้ ง เครื่ อ งมื อ สำ � คั ญในการเปลี่ ย นคนล้ า นนาให้ รู้ สึ ก
พยายามสร้างแนวร่วมจากกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน ถึ ง ความเป็ น ไทยมากขึ้ น ประกอบกั บ การใช้
ที่อาศัยอยู่ในล้านนาเข้าโจมตีสยามเพื่อยึดอาวุธ พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์และพระราชบัญญัติ
และรวบรวมผู้คนต่อต้านอังกฤษ ปัญหาดังกล่าว ป ร ะ ถ ม ศึ ก ษ า เ พื่ อ บั ง คั บใ ห้ เ ด็ ก ทุ ก ค น ไ ด้
มี ผ ลต่ อ ความมั่ น คงภายในและเป็ น ปั ญ หา เข้าเรียนโดยใช้ภาษาไทยเป็นสื่อกลางในการเรียน
ทางการเมืองระหว่างรัฐ ประกอบกับทศวรรษที่ 2460 การสอน หลักสูตร เนื้อหาวิชา และตำ�ราเรียนได้รับ
รั ฐ บาลสยามได้ มี ก ารเปลี่ ย นแปลงโครงสร้ า ง การควบคุ มโดยกระทรวงธรรมการซึ่ ง นอกจาก
ก า ร ป ก ค ร อ ง ส่ ว น ภู มิ ภ า คโ ด ย ย้ า ย สั ง กั ด จะสอนให้มีความรู้พื้นฐานแล้วยังปลูกฝังความคิด
สมุ ห เทศาภิ บ าลจากกระทรวงมหาดไทยไปขึ้ น เกี่ยวกับรัฐประชาชาติ ความจงรักภักดีต่อสถาบัน
ตรงต่ อ พระมหากษั ต ริ ย์ ความขั ด แย้ ง ภายใน ชาติและพระมหากษัตริย์ รวมทั้งเชื่อฟังต่ออำ�นาจ
และความไร้ประสิทธิภาพในการทำ�งานของข้าราชการ รั ฐ สมั ย ใหม่ ที่ สำ � คั ญ ในตำ � ราเรี ย นได้ แ สดงถึ ง
สยามทำ �ให้ ก ารรวมศู น ย์ อำ � นาจในการปกครอง ความพยายามของรั ฐ บาลสยามในการลบภาพ
ยั ง ไม่ ไ ด้ ผ ลอย่ า งแท้ จ ริ ง ดั ง นั้ น รั ฐ สยามต้ อ ง ความเป็ น ลาวออกจากคนล้ า นนาโดยอธิ บ ายว่ า
ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ในการปกครองโดยเปลี่ยน คนล้านนานั้นเป็นคนไทยเช่นเดียวกันกับคนสยาม
ให้ ค นเหล่ า นั้ น เกิ ด ความจงรั ก ภั ก ดี แ ละรู้ สึ ก ถึ ง นอกจากนี้ สิ่ ง พิ ม พ์ แ ละหนั ง สื อ พิ ม พ์ ที่ ถู ก ส่ ง
ความเป็นชาติไทยร่วมกันกับส่วนกลาง ขึ้ น มาจากกรุ ง เทพฯ อย่ า งต่ อ เนื่ อ งได้ ก ลายเป็ น
พระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว เครื่องมือสื่อสารให้คนต่างพื้นที่รับรู้ถึงการดำ�รงอยู่
ทรงมี นโยบายสร้ า งความเป็ น อั น หนึ่ ง อั น เดี ย วกั นให้ เ กิ ด ของคนกลุ่มอื่นๆ ภายใต้จินตนาการถึงความเป็นชาติ
ขึ้ น ในชาติ โ ดยใช้ ลั ท ธิ ช าติ นิ ย ม ในการปลู ก ฝั ง ไทยร่วมกัน เมื่อหนังสือพิมพ์ภาษาไทยฉบับแรก
74
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 6 ฉบับที่ 11 มกราคม - มิถุนายน 2557
75
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 6 ฉบับที่ 11 มกราคม - มิถุนายน 2557
เอกสารอ้างอิง
[1] ปาฐกถาของผู้แทนราษฎรเรื่องสภาพของจังหวัดต่างๆ. (2539). กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง
แอนด์พับลิชชิ่ง.
[2] อนุสรณ์พระราชทานเพลิงศพ เจ้าวงศ์จันทร์ คชเสนี. (ม.ป.ป.). ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยาราม
กรุงเทพฯ: ม.ป.พ.
[3] พรพรรณ จงวั ฒ นา. (2517). กรณี พิ พ าทระหว่ า งเจ้ า นครเชี ย งใหม่ กั บ คนในบั ง คั บ อั ง กฤษ
เป็นเหตุให้รัฐบาลสยามจัดการปกครองมณฑลพายัพ พ.ศ. 2401 – 2445. วิทยานิพนธ์ อ.ม.
(ประวัติศาสตร์). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
[4] วัลลภา เครือเทียนทอง. (2519). การปฏิรูปการปกครองลานนาไทยในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. วิทยานิพนธ์ อ.ม. (ประวัติศาสตร์). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
[5] สรัสวดี ประยูรเสถียร. (2523). การปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพ พ.ศ. 2436 – 2476.
วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (ประวัติศาสตร์). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
[6] สมเกียรติ วันทะนะ. (2533, มิถุนายน). รัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ในสยาม 2435 – 2475. วารสาร
สังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์. 17(1): 23 – 44.
[7] Greene, Stephen. (1970). “King Wachirawut’s Policy of Nationalism”, In Memoriam Phya
Anuman Rajadhon. Bangkok: The Siam Society.
[8] อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์. (2538). การเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของชนชั้นผู้นำ�ไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 4 –
พ.ศ. 2475. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
[9] หจช. ร.6 ก.1/23 พวกเจ้าเม่งกุนเกลี้ยกล่อมคนในมณฑลพายัพ (11 กุมภาพันธ์ – มีนาคม
พ.ศ. 2456).
[10] หจช. ร.6 ก.1/27 รายงานสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกเสด็จตรวจราชการมณฑลตะวันออก
และมณฑลพายัพ (15 ตุลาคม พ.ศ. 2458 – 24 เมษายน พ.ศ. 2461).
[11] หจช. ศ.43/14 พระยาไพศาลไปตรวจราชการมณฑลพายัพ (6 พฤษภาคม – 28 สิงหาคม
พ.ศ. 2456).
[12] หจช. ร.7 ม.30/2 รัฐประศาสนโนบายเรื่องจะคิดให้ลาวในมณฑลพายัพกลับเป็นไทย (20 มีนาคม
พ.ศ. 2468).
[13] หจช. ร.7 รล.2/6 เรื่องตั้งเจ้าประเทศราชมณฑลพายัพ (20 มีนาคม พ.ศ. 2468 – 14 กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2469).
[14] สมศั ก ดิ์ ลื อ ราช. (2529). ความสำ � คั ญ ของเมื อ งแพร่ แ ละน่ า นในรั ช สมั ย พระบาทสมเด็ จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (ประวัติศาสตร์). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
[15] เสถียร ลายลักษณ์; และคณะ. (2478). ประชุมกฎหมายประจำ�ศก เล่ม 18. พระนคร: เดลิเมล์.
76
วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปีที่ 6 ฉบับที่ 11 มกราคม - มิถุนายน 2557
77