Professional Documents
Culture Documents
เคมีพนื้ ฐาน
อาจารย์ กรรณิการ์ ยิม้ นาค
แผนการสอนประจาหน่ วย
ตอนที่
3.1 สารและสมบัตขิ องสาร
3.2 โครงสร้างเคมี
3.3 ปฏิกิริยาเคมี
แนวคิด
1. การแบ่งประเภทของสารมีหลายวิธี แบ่งตามสถานะสารสามารถแบ่งได้เป็ น ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส
หากแบ่งตามลักษณะของเนื้อสารสามารถแบ่งได้เป็ น สารเนื้อเดียวและสารเนื้อผสม สารแต่ ละชนิด มี
สมบัติเ ฉพาะตัว ถ้า การเปลี่ย นแปลงของสารเกิ ด ขึ้น โดยสมบัติท างเคมีข องสารยัง คงเดิม เรี ย กว่ า
การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ แต่ ถา้ สมบัติทางเคมีของสารเปลี่ยนแปลงไปเรียกว่า การเปลี่ยนแปลง
ทางเคมี เมือ่ มีการเปลีย่ นแปลงของสารจะมีการเปลีย่ นแปลงพลังงานควบคู่ไปด้วย
2. อะตอมประกอบด้วยอนุ ภาคมูลฐานคือ โปรตอน อิเล็กตรอน และนิวตรอน การจัดเรียงอะตอมนัน้ เรียง
ตามโครงแบบอิเล็กตรอน ซึ่งทาให้รูค้ ่ าเวเลนซ์อิเล็กตรอนของอะตอมที่สอดคลอ้ งกับการจัดหมวดหมู่
ของธาตุในตารางธาตุ และทาให้ทราบสมบัตแิ ละแนวโน้มของธาตุในตารางธาตุกบั สมบัตขิ องธาตุได้ และ
จากการที่ธาตุมารวมกันเป็ นสารประกอบจะยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะเคมีหลายชนิด ทาให้มสี มบัติของ
สารประกอบแตกต่างกันไป
3. การเกิดปฏิกิริยาเคมีท่สี าคัญ ได้แ ก่ การเกิดปฏิกิริยากรดและเบส และปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้ า การศึกษา
ตามทฤษฎีก รดและเบสท าให้ท ราบถึงการแตกตัว ของกรดคื อโปรตอน และการแตกตัวของเบสคื อ
ไฮดรอกไซด์ จากการแตกตัวของกรดและเบส สามารถคานวณหาค่ าคงที่ส มดุลหรือค่ าความเขม้ ขน้ ได้
ซึ่ง ทาให้ทราบค่ า ความเป็ น กรดและเบสของสารละลายด้วยค่ าพีเอช ส าหรับปฏิกิริย าเคมีไฟฟ้ าเป็ น
การศึ ก ษาการเปลี่ย นแปลงของเคมีเป็ น พลังงานไฟฟ้ า ซึ่งแบ่ งเป็ น เซลล์แ กลวานิ ก และเซลล์อิเล็ก -
โทรไลต์
เคมีพ้ นื ฐาน 3-3
วัตถุประสงค์
1. จาแนกและอธิบายประเภทของสาร สมบัติและการเปลี่ย นแปลงของสาร และอธิบายพลังงานกับ การ
เปลีย่ นแปลงของสารได้
2. ระบุองค์ประกอบและการจัดเรียงโครงแบบอิเล็กตรอนในอะตอมของสาร ความสาคัญของตารางธาตุ
และอธิบายพันธะเคมีของแต่ละประเภทได้
3. อธิบายปฏิกิริยากรด-เบส บอกความสาคัญของกรด-เบสในชีวติ ประจาวัน อธิบายการเกิดเคมีไฟฟ้ าและ
บอกความสาคัญของเคมีไฟฟ้ าในชีวติ ประจาวันได้
กิจกรรมระหว่ างเรียน
1. ทาแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหน่ วยที่ 3
2. ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 3.1-3.3
3. ปฏิบตั กิ ิจกรรมในเอกสารการสอน
4. ฟังรายการสอนทางวิทยุกระจายเสียง (ถ้ามี)
5. ชมรายการสอนทางวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
6. เขา้ รับบริการสอนเสริม (ถ้ามี)
7. ทาแบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหน่ วยที่ 3
สื่ อการสอน
1. เอกสารการสอน
2. แบบฝึ กปฏิบตั ิ
3. ซีดมี ลั ติมเี ดีย (ถ้ามี)
4. รายการสอนทางวิทยุกระจายเสียง (ถ้ามี)
5. รายการสอนทางวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
6. การสอนเสริม (ถ้ามี)
การประเมินผล
1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรื่อง
3. ประเมินผลจากการสอบไล่ประจาภาคการศึกษา
ตอนที่ 3.1
สารและสมบัติของสาร
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 3.1 แลว้ จึงศึกษารายละเอียดต่อไป
หัวเรื่อง
3.1.1 การจาแนกสารและสมบัตขิ องสาร
3.1.2 พลังงานกับการเปลีย่ นแปลงสาร
แนวคิด
1. สารโดยทัวไปเมื่ อ่ แบ่งประเภทตามสถานะแบ่งได้เป็ น 3 สถานะคือ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส
ซึ่งมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุ ภาคของสารที่แตกต่ างกัน สาหรับการแบ่งสารโดยใช้เนื้อสารเป็ น
เกณฑ์ แบ่งได้เป็ น 2 ประเภทคือสารเนื้อเดียวและสารเนื้อผสม โดยหากแบ่งตามสมบัติของสาร
ซึ่ง เป็ น ลัก ษณะประจาตัวของสารแบ่ง ได้เป็ น 2 ประเภทคือ สมบัติแ ละการเปลี่ย นแปลงทาง
กายภาพและสมบัตแิ ละการเปลีย่ นแปลงทางเคมี
2. พลังงานเคมี คือ พลังงานที่ได้จากการเปลีย่ นแปลงของสาร ซึ่งพลังงานที่ได้อาจอยู่ในรู ปความ
ร้อนของสารที่มีการดู ดกลืนพลังงานหรือคายพลังงานออกมา โดยพลังงานกับการเปลีย่ นแปลง
สารแบ่งออกเป็ น 3 ประเภท คือ การเปลี่ยนสถานะของสาร การละลายของสาร และการเกิด
ปฏิกิริยาเคมี
วัตถุประสงค์
เมือ่ ศึกษาตอนที่ 3.1 จบแลว้ นักศึกษาสามารถ
1. จาแนกประเภทของสารตามสถานะได้
2. จาแนกประเภทของสารตามเนื้อสารได้
3. อธิบายสมบัติและการเปลีย่ นแปลงสมบัตขิ องสารทางกายภาพและเคมีได้
4. อธิบายพลังงานกับการเปลีย่ นแปลงสารได้
เคมีพ้ นื ฐาน 3-5
เรื่องที่ 3.1.1
การจาแนกสารและสมบัติของสาร
สสาร หมายถึง สิ่งต่ างๆ ที่อยู่รอบตัว สามารถสัมผัสได้ดว้ ยประสาททั้งห้า มีมวล ปริมาตร ต้องการที่อยู่
เช่น ดิน นา้ อากาศ คน สัตว์ พืช และสิง่ ของ เป็ นต้น
สาร หมายถึง สสารที่ทราบสมบัติแ น่ นอน หรือเป็ นการเฉพาะเจาะจงลงไปว่าเป็ น สสารชนิดใด เช่ น เงิน
ทอง เหล็ก เกลือแกง เป็ นต้น ดังนัน้ ในกรณี ทน่ี าสสารมาศึกษาจึงสามารถใช้คาว่าสารแทนสสารได้
การจาแนกสาร
สารมีอ ยู่ หลากหลายชนิ ด เพื่อให้ง่า ยต่ อการศึ ก ษาจึง มีก ารก าหนดเกณฑ์ใ นการจัด หมวดหมู่ ห รื อ แบ่ ง
ประเภทของสาร ส่วนใหญ่ นิยมแบ่งประเภทตามสมบัติของสาร เช่ น สถานะ การนาไฟฟ้ า จุดเดือด จุดหลอมเหลว
ความเป็ นโลหะ หรืออาจใช้สมบัติหลายอย่างรวมกันมาเป็ นเกณฑ์ ทัง้ นี้จะใช้เกณฑ์ใดขึ้นอยู่กบั ความเหมาะสมของสิ่ง
ที่ตอ้ งการศึกษา สาหรับการจาแนกประเภทของสารในที่น้ ี ขอใช้เกณฑ์การแบ่งประเภทของตามสถานะและลักษณะ
เนื้อสารดังนี้
1. การแบ่ งประเภทตามสถานะของสาร แบ่งสารเป็ น 3 สถานะคือ สารในสถานะของแข็ง ของเหลว และ
แก๊ส สารในสถานะทัง้ สามอาจเปลี่ย นกลับไปมาระหว่างกัน ได้ เช่ น การให้ค วามร้อ นกับน า้ แข็งซึ่งมีส ถานะเป็ น
ของแข็ง เมื่อนา้ แข็งได้รบั ความร้อนจนถึงจุดหลอมเหลวของนา้ นา้ แข็งจะหลอมละลายเปลีย่ นสถานะจากของแข็ง
เป็ นนา้ ซึ่งอยู่ในสถานะของเหลว และเมื่อเพิ่มอุณหภูมิจนถึงจุดเดือดของนา้ จะเกิดการเปลีย่ นสถานะจากของเหลว
กลายเป็ นไอนา้ ในสถานะแก๊ส ในทางตรงกันขา้ มถ้าลดอุณหภูมิของไอนา้ จะเกิดการควบแน่ นกลับมาเป็ นของเหลว
และเมื่อ ลดอุณ หภูมิจนถึง จุด เยือ กแข็งของน า้ จะกลับมาเป็ น ของแข็งได้อีก เมื่อ พิจารณาการยึด เหนี่ ย วและการ
จัดเรียงอนุ ภาคภายในของสารดังแสดงในภาพที่ 3.1 พบว่าสารในสถานะของแข็งจะมีอนุ ภาคทีอ่ ยู่ชิดติดกัน มีแรงยึด
เหนี่ยวระหว่างอนุ ภาคมากกว่าสารในสถานะของเหลว ส่วนสารในสถานะแก๊ส มีอนุ ภาคอยู่ห่างกันมากที่สุด มีแรงยึด
เหนี่ยวระหว่างอนุ ภาคน้อยมากจนถือได้ว่าไม่มแี รงยึดเหนี่ยวเลย และสามารถเคลือ่ นทีไ่ ด้อย่างอิสระ
3-6 วิทยาศาสตร์สาหรับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร
÷
I
i
I
(2) คอลลอยด์ (colloid) เป็ น สารเนื้ อผสมที่ดู เหมือนจะเป็ น เนื้ อเดีย วกัน มีล กั ษณะขุ่น
ไม่ตกตะกอน ขนาดของอนุ ภาคสารมีเส้นผ่านศู นย์กลางประมาณ 10-7-10-4 เซนติเมตร อนุ ภาคคอลลอยด์จะเกาะตัว
กันใหญ่กว่าโมเลกุลแต่ไม่ใหญ่ มากนัก คอลลอยด์ไม่ตกตะกอนเมื่อวางทิ้งไว้เพราะมีอนุ ภาคขนาดเล็กเคลือ่ นที่แบบ
ไม่เป็ นระเบียบและไร้ทิศ ทาง วิ่งชนกันตลอดเวลาเรีย กว่าการเคลื่อนที่แบบบราวเนี ยน (Brownian movement)
เมือ่ ทาการส่องแสงผ่านสารคอลลอยด์จะเกิดการกระเจิงของแสง ทาให้มองเห็นลาแสงได้อย่างชัดเจนเรียกว่าปรากฏ-
การณ์ ทินดอลล์ (Tyndall effect) ดังแสดงในภาพที่ 3.4 ซึ่งค้นพบโดยนัก วิทยาศาสตร์ชาวไอร์แลนด์ ชื่อ จอนห์
ทินดอลล์
สถานะของสารทีแ่ พร่
ชนิดของคอลลอยด์ สถานะของตัวกลาง ตัวอย่ างของคอลลอยด์
อยู่ในตัวกลาง
ของแข็ง แก๊ส ควันไฟ ฝุ่นละอองในอากาศ
แอโรโซล (aerosol)
ของเหลว แก๊ส เมฆ หมอก
ของแข็ง ของเหลว นา้ แป้ งสุก
โซล (sol)
ของแข็ง ของแข็ง มุก พลอย
อิมลั ชัน (emulsion) ของเหลว ของเหลว กะทิ นา้ สลัด นมสด
เจล (gel) ของเหลว ของแข็ง เยลลี เนย วุ ้น
โฟม (foam) แก๊ส ของเหลว ฟองสบู่ ครีมโกนนวด
แก๊ส ของแข็ง ฟองนา้ เม็ดโฟม
สมบัตขิ องสาร
สมบัตขิ องสาร เป็ นลักษณะประจาตัวของสารแต่ละสาร เช่ น สี กลิน่ รส การละลาย การนาไฟฟ้ า จุดเดือด
จุดหลอมเหลว และการเผาไหม้ เป็ นต้น สมบัตขิ องสารแบ่งเป็ น 2 ประเภท คือ
1) สมบัตทิ างกายภาพ (physical properties) เป็ นสมบัตทิ บ่ี อกลักษณะภายนอกของสาร ซึ่งสังเกตเห็นได้
ด้วยตาเปล่าหรือการทดลองด้วยวิธีงา่ ยๆ การเปลีย่ นแปลงทางกายภาพจะไม่มกี ารเปลีย่ นแปลงองค์ประกอบภายใน
ของสารและไม่ มีส ารใหม่ เกิด ขึ้น เช่ น การเปลี่ย นสถานะ การเกิด สารละลาย การเปลี่ย นอุณ หภูมิ การน าไฟฟ้ า
เป็ นต้น
2) สมบัติทางเคมี (chemical properties) เป็ นสมบัติท่เี กิดจากการเปลีย่ นแปลงองค์ประกอบภายในของ
สาร โดยมีการเกิดปฏิกิริยาเคมีและมีสารใหม่เกิดขึ้นเสมอ สมบัติท่เี กิดขึ้นจึงแตกต่างไปจากเดิม เช่ น การเผาไหม้
ของเชื้อเพลิง การเกิดสนิมของเหล็ก การทาปฏิกิริยาของกรด-เบส เป็ นต้น ดังนัน้ สมบัติของสารจึงขึ้นอยู่ กบั การ
เปลีย่ นแปลง
การเปลีย่ นแปลงสมบัตขิ องสารนัน้ จะสอดคลอ้ งไปกับการเปลีย่ นแปลงสมบัตทิ างกายภาพและทางเคมีดว้ ย
ดังนี้
1. สมบัติและการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เป็ นการเปลี่ยนแปลงของสารที่ไม่มีการเปลี่ยนองค์ประกอบ
ภายใน หรือมีส ารใหม่ เกิด ขึ้น โดยแบ่งการเปลี่ย นแปลงทางกายภาพนี้ ออกเป็ น 2 ประเภทคือ สมบัติข้ นึ อยู่ ก บั
ปริมาณ (extensive property) และสมบัตไิ ม่ข้นึ อยู่กบั ปริมาณ (intensive property)
1.1 สมบัติขึน้ อยู่กับ ปริ มาณ คือ สมบัติท่มี ีการเปลี่ย นแปลงตามปริมาณ เมื่อมวลสารนัน้ เกิด การ
เปลีย่ นแปลง ซึง่ สมบัตปิ ระเภทนี้ เช่น มวล ปริมาตร พลังงานภายใน และพลังงานรวม เป็ นต้น
1.2 สมบัติไม่ ขึน้ อยู่กับ ปริ มาณ คือ สมบัติท่ไี ม่เปลี่ย นแปลงตามปริมาณ เมื่อมวลสารนัน้ เกิด การ
เปลี่ย นแปลง สมบัติ ป ระเภทนี้ เช่ น ความหนาแน่ น ความร้อ นจ าเพาะ อุ ณ หภู มิ จุ ด เดื อ ด จุ ด หลอมเหลว
จุดเยือกแข็ง เป็ นต้น
ตัวอย่างแสดงสมบัตขิ ้นึ อยู่กบั ปริมาณและไม่ข้ นึ อยู่กบั ปริมาณแสดงดังตารางที่ 3.3 เมื่อพิจารณาแลว้
จะเห็น ว่านา้ ใน 2 แก้วมีม วลสารไม่ เท่ ากัน แก้วแรกจะมีน า้ มากกว่าแก้วที่ส อง และจากสมบัติท่ปี รากฏในตาราง
พบว่าปริมาตรและมวลสารของนา้ ในแก้วทัง้ สองใบไม่เท่า ซึง่ เป็ นการแสดงสมบัตทิ ข่ี ้นึ อยู่กบั ปริมาณทีเ่ ปลีย่ นแปลงไป
แต่ เมื่อพิจารณาสมบัติของความหนาแน่ นและอุณหภูมิของสาร จะพบว่าไม่ว่ ามวลสารจะมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่
สมบัตเิ หล่านัน้ ยังคงเดิม ซึง่ เป็ นสมบัตทิ ไ่ี ม่ข้นึ อยู่กบั ปริมาณ
3-12 วิทยาศาสตร์สาหรับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร
สมบัตขิ องสาร
นักเทคโน/บก น้ อย วาดรู ปแก้ วให้ ใหม่ + เขียนสเกล
เหมือนภาพด้ านข้ าง
กิจกรรม 3.1.1
1. การจาแนกสารโดยใช้สถานะของสารและลักษณะเนื้อสารแบ่งได้เป็ นกี่ประเภท คืออะไรบ้าง
2. จงแบ่งประเภทของสารต่อไป
พลอย น้ าแกงส้ม หมอก น้ าเชื่อม น้ าสลัด น้ าอัดลม ครี มโกนหนวด น้ าคลอง ทองเหลือง น้ าโคลน
3. จงแสดงการเปรี ยบเทียบระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพกับการเปลี่ยนแปลงทางเคมี
แนวตอบกิจกรรม 3.1.1
1. การจาแนกสารโดยใช้สถานะของสารแบ่งได้เป็ น 3 ประเภท คือ ของแข็ง ของเหลว และแก๊สและ
การจาแนกโดยใช้สารลักษณะเนื้อสารแบ่งได้เป็ น 2 ประเภท คือ สารเนื้อเดียวและสารเนื้อผสม
2. สารแขวนลอย ได้แก่ น้ าคลอง น้ าโคลน น้ าแกงส้ม
สารคอลลอยด์ ได้แก่ พลอย หมอก น้ าสลัด ครี มโกนหนวด
สารละลาย ได้แก่ น้ าเชื่อม น้ าอัดลม ทองเหลือง
3. การเปรี ยบเที ย บระหว่ า งการเปลี่ ย นแปลงทางกายภาพกับ การเปลี่ ย นแปลงทางเคมี แสดง
ดังตารางด้านล่าง
3-14 วิทยาศาสตร์สาหรับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร
เรื่องที่ 3.1.2
พลังงานกับการเปลีย่ นแปลงสาร
พลัง งาน คือ ความสามารถที่ท าให้เกิ ด งานโดยทัว่ ไปแล ว้ สสารกับพลังงานจะมีค วามสัม พัน ธ์ก นั เสมอ
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสสารจะต้องมีพลังงานเข า้ มาเกี่ย วขอ้ งด้วย พลังงานที่อยู่ กบั มวลของสาร แบ่งเป็ น
พลังงานศักย์ (potential energy) คือ พลังงานที่มอี ยู่ในสารเมื่อ สารหยุดนิ่ง และพลังงานจลน์ (kinetic energy)
คือ พลังงานทีเ่ กี่ยวกับการเคลือ่ นทีแ่ ละขึ้นอยู่กบั มวลของสาร
สาหรับพลังงานเคมี เป็ นพลังงานศักย์รูปแบบหนึ่งที่มอี ยู่ในสาร เมื่อมีการเกิดปฏิกิริยาของสารจะมีการดู ด
หรือคายพลังงานออกมา โดยพลังงานที่ออกมาจะเปลี่ยนไปในรู ปของพลังงานความร้อน เช่ น ปฏิกิริยาเคมีการเผา
ไหม้ของเชื้อเพลิง เนื่องจากเชื้อเพลิงส่วนใหญ่ประกอบด้วยคาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) ออกซิเจน (O) ดังนัน้ เมื่อนา
เชื้อเพลิงชีวมวลไปเผาไหม้จะเกิดปฏิกิริยาเคมีดงั แสดงด้วยสมการเคมีต่อไป
2C + O2 2CO + พลังงานความร้อน
2CO + O2 2CO2 + พลังงานความร้อน
2H2 + O2 2H2O + พลังงานความร้อน
พลังงานกับการเปลีย่ นสถานะ
การเปลีย่ นสถานะของสารจากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่งนัน้ เป็ นการเปลีย่ นแปลงแรงยึดเหนี่ยวภายใน
ของสาร ถ้าสารได้รบั ความร้อนจากสิ่งแวดลอ้ ม แลว้ เกิดการสลายพันธะออกไป เรียกว่าการเปลี่ยนแปลง ปฏิกิริยา
แบบดูดกลืนความร้อน (endothermic reaction) แต่ถา้ การเปลีย่ นแปลงนัน้ มีการสร้างพันธะใหม่ข้นึ มาเรียกว่า การ
เปลีย่ นแปลงปฏิกิริยาแบบคายความร้อน (exothermic reaction) ดังแสดงในจากภาพที่ 3.7
T J
E E
พลังงานกับการละลายของสาร
การละลายขึ้นอยู่กบั ชนิดของสารละลาย คือตัวทาละลายและสารละลาย มีสภาพการละลายได้ หรือความ
สามารถในการละลายของตัวถู ก ละลายในตัวท าละลายมากน้อ ยเพีย งใด และในการละลายของสารจะมีก ารใช้
พลังงานเขา้ มาเกี่ยวขอ้ งด้วย โดยทัว่ ไปการละลายของสารที่เป็ นของแข็งมี 2 ขัน้ ตอน ดังตัวอย่างการละลายของ
สารประกอบโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ทีล่ ะลายในนา้ ดังนี้
1. โมเลกุลของตัวถูกละลายแตกตัวออกเป็ นไอออนในสถานะแก๊ส โดยดู ดพลังงานเขา้ ไปเพื่อสลายแรงยึด
เหนี่ยวระหว่างอะตอม เรียกพลังงานดังกล่าวว่า พลังงานแลตทิชหรือพลังงานโครงร่างผลึก (lattice energy)
2. ไอออนในสถานะแก๊ส เมื่อรวมตัวกับนา้ จะคายพลังงานหรือให้พลังงานออกมา เรียกว่า พลังงานไฮเดร
ชัน .ในขัน้ ตอนนี้เกิด แรงยึด เหนี่ย วระหว่างไอออนและโมเลกุล ของนา้ จึงเป็ นการเปลี่ย นแปลงพลังงานแบบคาย
พลังงาน เรียกว่า พลังงานไฮเดรชัน่ (Hydration energy)
ขัน้ ตอนการละลายของสารประกอบโซเดียมคลอไรด์ แสดงดังภาพที่ 3.8
พลังงานกับการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี
เมื่อ เกิ ด ปฏิกิ ริ ย าเคมี (chemical reaction) จะต้อ งมีก ารเปลี่ย นแปลงพลัง งานของสารที่เ กี่ ย วข อ้ งใน
ปฏิกิริยาเสมอ บางปฏิกิริยาอาจสังเกตเห็นได้ชดั เจน เช่ น ปฏิกิริยาการเผาไหม้ การระเบิด เป็ นต้น แต่บางปฏิกิริยา
ต้องอาศัยเวลาจึงจะเห็นการเปลีย่ นแปลง เช่น การขึ้นสนิมของเหล็ก การเกิดหินงอกหินย้อย เป็ นต้น
พลังงานที่เปลี่ยนแปลงในการเกิดปฏิกิริยาเคมีนนั้ แบ่งออกเป็ น 2 ประเภทคือ ปฏิกิริยาดู ดพลังงานหรือ
ปฏิกิริยาดูดความร้อน และปฏิกิริยาคายพลังงานหรือปฏิกิริยาคายความร้อน เช่นกัน
1. ปฏิกิริยาแบบดูดกลืนความร้ อน เป็ นปฏิกิริยาเคมี เมื่อหลังการเกิดปฏิกิริยาแลว้ ทาให้ระบบมีพลังงาน
สูงขึ้น สังเกตจากสมการจะมีลกั ษณะดังนี้
สัญลักษณ์ Ea ในกราฟ คือ พลังงานก่ อกัมมันต์หรือพลังงานกระตุน้ (activated energy) เป็ นค่ าเฉพาะ
ของปฏิกิริยาหนึ่งๆ และเป็ นพลังงานน้อยสุดทีท่ าให้เกิดปฏิกิริยา
สาหรับปัจจัยทีม่ ผี ลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี คือ ธรรมชาติของสารตัง้ ต้น ความเขม้ ขน้ ของสารตัง้ ต้น พื้นที่
ผิวของสารทีเ่ ขา้ ไปทาปฏิกิริยา อุณหภูมิ ความดันสาหรับปฏิกิริยาของแก๊ส และตัวเร่งหรือตัวหน่ วงในปฏิกิริยา
เคมีพ้ นื ฐาน 3-19
กิจกรรม 3.1.2
1. การระเหยกับการระเหิ ดต่างกันอย่างไร
2. การละลายดังต่อไปนี้มีการเปลี่ยนแปลงความร้อนเป็ นแบบใด
ก. การละลายพลังงานแลตทิช > พลังงานไฮเดรชัน
ข. การละลายพลังงานไฮเดรชัน่ < พลังงานแลตทิช
3. ให้นกั ศึกษายกตัวอย่างปฏิกิริยาดูดกลืนความร้อนหรื อคายความร้อนที่พบเห็นในชิวิตประจาวัน
แนวตอบกิจกรรม 3.1.2
1. การระเหย คือ การเปลี่ยนสถานะของสารจากของเหลวกลายเป็ นไอหรื อแก๊ส ส่ วนการระเหิ ด คือ
การเปลี่ยนสถานะของสารจากของแข็งกลายเป็ นไอหรื อแก๊สโดยไม่ผา่ นสถานะของเหลว
2. ก. เป็ นการละลายแบบดูดกลืนพลังงาน
ข. เป็ นการละลายแบบคายพลังงาน
3. ปฏิกิริยาดูดกลืนความร้อน เป็ นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นแล้วดูดความร้อนจากสิ่ งแวดล้อม ทาให้อุณหภูมิ
ของสิ่ งแวดล้อมลดลง ได้แก่ การหลอมเหลวของน้ าแข็ง ซึ่ งจะดูดพลังงานจากสิ่ งแวดล้อม ทาให้น้ าแข็ง
หลอมเหลวเป็ นน้ าและมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจนเท่ากับอุณหภูมิหอ้ ง
ปฏิกิริยาคายความร้อน เป็ นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นแล้วให้พลังงานความร้อนออกมากับสิ่ งแวดล้อม ได้แก่
การละลายโซดาไฟในน้ าอุณหภูมิของสารละลายสูงขึ้นจึงถ่ายเทพลังงานให้กบั สิ่ งแวดล้อม
3-20 วิทยาศาสตร์สาหรับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร
ตอนที่ 3.2
โครงสร้ างเคมี
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 3.2 แลว้ จึงศึกษารายละเอียดต่อไป
หัวเรื่อง
3.2.1 อะตอม
3.2.2 ตารางธาตุ
3.2.3 พันธะเคมี
แนวคิด
1. โครงสร้างของอะตอมในปัจจุบนั เป็ นการโคจรของอิเล็กตรอนที่มีการเคลื่อนที่ปกคลุมอยู่ รอบ
นิวเคลียสตามระดับชัน้ ของพลังงาน จากการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ทาให้ทราบถึงอนุ ภาค
มูล ฐานของอะตอมทัง้ 3 ชนิ ด คื อ โปรตอน อิเ ล็ก ตรอน และนิ ว เคลีย ส ซึ่งท าให้ส ามารถน า
จานวนอิเ ล็ก ตรอนของธาตุม าเขีย นเป็ น โครงแบบการจัด เรี ย งตัว ของอิเ ล็ก ตรอนในอะตอม
จัดเรียงตามระดับพลังงานรอบนิวเคลีย ส 2 ระดับ คือระดับพลังงานหลัก และระดับพลังงาน
ย่อย
2. ตารางธาตุในปัจจุบนั เป็ นการเรียงตาแหน่ งของธาตุในตารางธาตุตามจานวนโปรตอนของธาตุ ซึ่ง
สามารถดูการเรียงหมู่และคาบของตารางธาตุได้จากเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนชัน้ นอกสุด และระดับชัน้
ของพลัง งาน ตามล าดับ ทาให้ทราบถึง แนวโน้ม ของสมบัติข องธาตุใ นหมู่เ ดีย วกัน และคาบ
เดียวกันได้
3. พันธะเคมี คือ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมให้รวมตัวกันเพื่อเกิดเป็ นโมเลกุลหรือสารประกอบ
แบ่งเป็ นทัง้ หมด 3 ประเภทคือ พันธะไอออนิกคือพันธะระหว่างโลหะและอโลหะ พันธะโคเวเลนซ์
คือพันธะระหว่างอโลหะกับอโลหะ และพันธะโลหะคือพันธะทีย่ ดึ เหนี่ยวอยู่ในอะตอมของโลหะ
วัตถุประสงค์
เมือ่ ศึกษาตอนที่ 3.2 จบแลว้ นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายแบบจาลองของอะตอมได้
2. ระบุองค์ประกอบของอะตอมและโครงแบบการจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอมของสารได้
3. บอกแนวโน้มความสัมพันธ์ของธาตุในตารางธาตุกบั สมบัตขิ องธาตุได้
4. อธิบายพันธะเคมีแต่ละประเภทได้
เคมีพ้ นื ฐาน 3-21
เรื่องที่ 3.2.1
D:O ON .
อะตอม
แบบจาลองของอะตอม
การศึ กษาเรื่องอะตอมมีมาตัง้ แต่ สมัยกรีกโบราณ โดยนักวิทยาศาสตร์พยายามหาเหตุผลมาเพื่ออธิบายว่า
สสารทีไ่ ม่สามารถแยกได้อกี คืออะไร เริ่มจากดิโมคริตสุ (Democritus) นักปราญช์ชาวกรีกได้ให้แนวคิดว่า สสารทุก
อย่างสามารถแบ่งย่อยได้จนถึงหน่ วยที่เล็กที่สุด ที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้อกี เรียกว่า อะตอม ซึ่งมาจากภาษากรีกว่า
atomos ต่อมาได้มนี กั วิทยาศาสตร์อกี หลายท่านทีพ่ ยายามทดลอง หรือประยุกต์ใ ช้เครื่องมือเพื่อศึกษาค้นคว้าให้ได้
ขอ้ มูลเกี่ยวกับโครงสร้างอะตอมมากขึ้น ทาให้มวี วิ ฒั นาการแบบจาลองของอะตอมดังต่อไปนี้
แบบจาลองอะตอมของเซอร์จอห์น ดอลตัน (Sir John Dalton) กล่าวว่าอะตอมมีลกั ษณะเป็ น ทรงกลม
ขนาดเล็กมากและแบ่งแยกไม่ได้
ต่อมาได้มกี ารศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับอะตอมเพิม่ ขึ้น และพบว่าขอ้ มูลของดอลตัลนัน้ ไม่ถูกต้อง เช่ น อะตอม
สามารถแบ่งแยกได้ อะตอมของแต่ละธาตุมมี วลต่างกัน จึงทาให้เกิดแบบจาลองของอะตอมขึ้นมา เป็ นลาดับ ดังนี้
แบบจาลองอะตอมของเซอร์ โจเซฟ จอห์น ทอมสัน (Sir Joseph John Thomson) ได้ท าการทดลอง
เกี่ยวกับอะตอมพบว่าอะตอมทุกชนิดประกอบด้วยประจุลบเรียกว่า อิเล็ก ตรอน (electron, e) และนาขอ้ มูลการ
ค้นพบประจุบวกหรือโปรตอน (proton, p) ของออยแกน โกลด์สไตน์ (Eugen Goldstein) มารวมกันเพื่อเสนอเป็ น
แบบจาลองของอะตอมว่า อะตอมมีลกั ษณะเป็ นทรงกลมซึ่งมีประจุบวกและประจุลบกระจายอยู่ทวั ่ อย่ างสมา่ เสมอ
และมีจานวนเท่ากัน
แบบจาลองอะตอมของลอร์ด เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด (Lord Ernest Rutherford) และ ฮันส์ ไกเกอร์ได้
ทาการทดลองเกี่ยวกับอะตอมและนาเสนอแบบจาลองของอะตอมว่า อะตอมประกอบด้วยโปรตอนที่รวมกันเป็ น
นิวเคลียสอยู่ตรงกลาง และมีอเิ ล็กตรอนทีเ่ ป็ นประจุลบวิง่ วนอยู่รอบๆ นิวเคลียส
ต่ อมาได้มีการศึ ก ษาของเจมส์ แซดวิก (Jame Chadwick) พบว่าในนิวเคลีย สนอกจากจะประกอบด้วย
อนุ ภ าคโปรตอนแล ว้ ยัง มีอนุ ภ าคที่เป็ น กลางไม่ มีป ระจุแ ละมีม วลเท่ า กับ โปรตอนอยู่ ด ว้ ย ซึ่งให้ช่ือ ว่ านิ ว ตรอน
(neutron, n) จากการค้นพบนี้ทาให้ทราบว่านิวเคลียสที่อยู่ตรงกลางของแบบจาลองรัทเทอร์ฟอร์ดนัน้ นอกจากจะ
ประกอบไปด้วยโปรตอนแลว้ ยังมีนิวตรอนรวมตัวอยู่ดว้ ย
แบบจาลองอะตอมของนีลส์ บอร์ (Niels Bohr) ได้ทาการทดลองเพื่อหาขอ้ มูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเรียง
อิเล็กตรอนทีว่ นรอบนิวเคลีย ส และนาเสนอแบบจาลองของอะตอมว่า อะตอมประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอนที่
รวมตัวกันเป็ นนิวเคลียส และมีอเิ ล็กตรอนวิง่ อยู่รอบๆ เป็ นชัน้ ๆ หรือเรียกว่าเป็ นระดับพลังงานในแต่ละชัน้
3-22 วิทยาศาสตร์สาหรับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร
โครงสร้ างอะตอม
จากการทดลองและนาเสนอแบบจาลองอะตอมในแต่ละแบบ ทาให้ทราบว่าในแต่ละอะตอมประกอบด้วย
อนุ ภาค 3 ชนิด คือ โปรตอน อิเล็กตรอน และนิวตรอน ซึ่งต่อมากาหนดให้เป็ น อนุภาคมูลฐานของอะตอม และมี
สมบัตดิ งั ตารางที่ 3.4
หมายเหตุ: amu ย่อมาจาก atomic mass unit เป็ นหน่วยทีใ่ ช้ในการวัดมวลของอะตอม และโมเลกุล
เคมีพ้ นื ฐาน 3-23
การจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอม
จากแบบจาลองของอะตอม ทาให้ทราบว่าอิเล็กตรอนเคลือ่ นทีอ่ ยู่รอบๆ นิวเคลียสตามระดับชัน้ ของพลังงาน
โดยระดับพลังงานของอิเล็กตรอนแบ่งได้ 2 ระดับคือระดับพลังงานหลัก และระดับพลังงานย่ อย โดยการศึ กษา
ระดับพลังงานจะทาให้ทราบถึงการจัดเรียงโครงแบบของอิเล็กตรอนในแต่ละอะตอมด้วย
1. ระดับพลังงานของอิเล็กตรอน แบ่งได้เป็ น 2 ระดับ
1.1 ระดับพลังงานหลัก (shell) แบ่งเป็ น 7 ระดับพลังงาน คือ K, L, M, N, O, P, Q หรือ n = 1, 2
3, 4, 5, 6, 7 ดังแสดงในภาพที่ 3.11 ซึ่งระดับพลังงานที่ตา่ สุดคือ K หรือ n=1 มีค่าระดับพลังงานสู งขึ้นเรื่อยๆ
ตามระดับชัน้ ที่เพิ่ม ขึ้น โดยแต่ ละระดับพลังงานจะบรรจุอิเล็กตรอนได้มากที่สุดเท่ากับ 2n2 เมื่อ n คือค่ าระดับ
พลังงาน ดังนัน้ ระดับพลังงานที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 จึงบรรจุอเิ ล็กตรอนได้มากที่สุดเป็ น 2, 8, 18, 32, 50, 72, 98
อนุ ภาคตามลาดับ
ระดับพลังงานย่ อย จานวนอิเล็กตรอน
ระดับพลังงานหลัก
s p d f ทั้งหมด
n = 1, K 2 - - - 2
n = 2, L 2 6 - - 8
n = 3, M 2 6 10 - 18
n = 4, N 2 6 10 14 32
แสดงจานวนอิเล็กตรอนหมายถึงมี 2 อิเล็กตรอน
ลำดับที่ของพลังงำนหลัก 1s2
s ออร์บทิ ลั ในชัน้ พลังงานหลักที่ 1 คือ 1s
กิจกรรม 3.2.1
1. จงเติมข้อมูลของอะตอมต่างๆ ในตารางด้านล่าง
แนวตอบกิจกรรม 3.2.1
1.
เรื่องที่ 3.2.2
ตารางธาตุ
การสร้ างตารางธาตุ
ธาตุ คือ สารบริสุทธิ์ทป่ี ระกอบด้วยอะตอมชนิดเดียวกัน และไม่สามารถแยกเป็ นสารอื่นได้ ในสมัยก่ อนยัง
มีการค้นพบธาตุไม่ก่ีชนิด เซอร์จอห์น ดอลตัน จึงได้เสนอให้มีการกาหนดสัญลักษณ์ภาพแทนธาตุต่างๆ เหล่านัน้
ดังแสดงในภาพที่ 3.14
ตารางธาตุในปัจจุบัน
ตารางธาตุหรือเรียกอีกชื่อว่าตารางพีริออดิก (periodic table) ในปัจจุบนั เป็ นตารางธาตุท่เี รียงตามลาดับ
เลขอะตอมทีเ่ พิม่ ขึ้นจากซ้ายไปขวา มีแถวตามแนวนอน 7 แถวเรียกว่า คาบ (period) และแถวตามแนวตัง้ 18 แถว
เรียกว่า หมู่ (group) ดังแสดงในภาพที่ 3.14 นอกจากนี้ตารางธาตุยงั แบ่งเป็ น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ธาตุกลุ่ม A และ
ธาตุกลุ่ม B
1. ธาตุกลุ่ม A เรียกว่า ธาตุเรพรีเซ็นเททีฟ (representative element) ซึ่งถือว่าเป็ นหมู่หลัก ของตาราง
ธาตุ จะแบ่งออกเป็ น 8 หมู่คือ 1A-8A หรือนิยมเขียนแทนด้วยเลขโรมันคือ IA-VIII ธาตุหมู่ 1A-2A มีสมบัติเป็ น
โลหะ หมู่ 3A-8A มีสมบัตเิ ป็ นอโลหะ และมีหมู่ทอ่ี ยู่ระหว่างหมู่ 3A-6A มีเส้นขีดเป็ นขัน้ บันไดมีสมบัตเิ ป็ นอโลหะ
2. ธาตุกลุ่ม B เรียกว่า ธาตุแทรนซิชนั (transition element) มี 8 หมู่คือ หมู่ 2B จนถึง 8B แต่เริ่มเรียง
จากหมู่ 3B ถึง หมู่ 2B เป็ น ธาตุท่ีอ ยู่ ร ะหว่ า งหมู่ 2A และหมู่ 3A โดยธาตุ แ ทรนซิช ัน มีก ารจัด เรี ย งโครงแบบ
อิเล็ก ตรอนที่บรรจุใน d หรื อ f ออร์บิทลั ไม่ เต็ม ซึ่งแตกต่ างจากหมู่ A ที่มีก ารจัด เรีย งโครงแบบอิเล็ก ตรอนให้
ระดับชัน้ พลังงานทีถ่ ดั จากชัน้ นอกเต็มก่อนไปพลังงานชัน้ ถัดไป
ธาตุ 2 แถวล่าง ซึ่งแยกไว้ต่างหากนัน้ เรียกว่า ธาตุแทรนซิชนั ชัน้ ใน (Inner transition elements) โดยมี
ชื่อเรียกต่างกันดังนี้
ธาตุแถวบน เรียกว่า กลุ่มธาตุแลนทาไนด์ (lanthanide series) เป็ นธาตุท่มี ีเลขอะตอมตัง้ แต่ 58 ถึง 71
ธาตุกลุ่มนี้ควรจะอยู่ในหมู่ 3B โดยจะเรียงต่อจากธาตุ La
เคมีพ้ นื ฐาน 3-31
ธาตุแ ถวล่าง เรีย กว่า กลุ่ม ธาตุแ อกทิไนด์ (actinide series) เป็ น ธาตุท่ีมีเลขอะตอมตัง้ แต่ 90 ถึง 103
ธาตุกลุ่มนี้ควรอยู่ในหมู่ III B โดยเรียงต่อจากธาตุ Ac
จะเห็นว่าธาตุทงั้ หมดในตารางธาตุนอกจากจะจัดเรียงตามเลขเชิงอะตอมแลว้ ยังจัดเรียงตามระดับพลังงาน
ย่อยอีกด้วย ซึง่ สามารถได้เป็ น 4 เขต ในการบรรจุอเิ ล็กตรอนในแต่ละชัน้ ของ s, p, d, f ดังแสดงในภาพที่ 3.14
ความสาคัญของหมู่และคาบในตารางธาตุ
การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ ธาตุท่ีเรียงอยู่ ในหมู่ เดีย วกันหรือคาบเดียวกันต้องมีค วามสัมพัน ธ์อย่ างใด
อย่างหนึ่งทีค่ ลา้ ยคลึงกันในเชิงสมบัตทิ างเคมีและทางกายภาพ ซึง่ พบว่า
1. ความสาคัญของธาตุหมู่เดียวกัน เมื่อพิจารณาจากจานวนอิเล็ก ตรอนที่อยู่ รอบนอกสุ ด หรือ เวเลนซ์
อิเล็กตรอน (valance electron) ของธาตุท่อี ยู่ หมู่เดียวกัน จะมีค่า เท่ากับตัวเลขของหมู่นนั้ ๆ เช่ น โลหะในหมู่ 1A
จะมีเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนเท่ากับ 1 ดังแสดงในตารางที่ 3.8
จานวนอิเล็กตรอนในแต่ ละ
ธาตุ โครงแบบอิเล็กตรอน เวเลนซ์ อเิ ล็กตรอน
ระดับชั้นพลังงาน
Li 1s2 2s1 2, 1 1
Na 1s2 2s2 2p61s1 2, 8, 1 1
K 1s2 2s2 2p63s23p64s1 2, 8, 8, 1 1
Rb 1s2 2s2 2p63s23p63d104s24p65s1 2, 8, 18, 8, 1 1
จานวนอิเล็กตรอนในแต่ ละ
ธาตุ โครงแบบอิเล็กตรอน เวเลนซ์ อเิ ล็กตรอน
ชั้นพลังงานหลัก
Li 1s2 2s1 2, 1 1
Be 1s2 2s2 2, 2 2
B 1s2 2s2 2p1 2, 3 3
C 1s2 2s2 2p2 2, 4 4
เคมีพ้ นื ฐาน 3-33
สมบัตขิ องธาตุตามตารางธาตุ
สมบัติข องธาตุน ั้น ดู ไ ด้จ ากแนวโน้ม ของการจัด เรี ย งโครงแบบอิเ ล็ก ตรอน สมบัติด งั กล่ า วของธาตุคื อ
ความเป็ นโลหะ ขนาดอะตอมและไอออน พลังงานไอออไนเซชัน (ionization energy) สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน
(electron affinity) อิเล็กโตรเนกาติวติ ี (electronegativity) เป็ นต้น
1. ความเป็ นโลหะ จากตารางธาตุบอกสมบัติความเป็ นโลหะคือหมู่ 1A และ 2A จะเป็ นพวกโลหะ หมู่
3A-6A จะมีทงั้ กึ่งโลหะและอโลหะ และหมู่ 7A-8A เป็ นพวกอโลหะ ซึง่ เมือ่ พิจารณาจากสมบัติตามหมู่และคาบ เมื่อ
พิจารณาว่าความเป็ นโลหะในหมู่เดียวกัน ความเป็ นโลหะจะเพิม่ ขึ้นจากบนลงล่างของตารางธาตุ และหากพิจารณาใน
คาบเดียวกันความเป็ นโลหะจะลดลงจากขวาไปซ้าย ดังแสดงเป็ นแผนภาพได้ในภาพที่ 3.16
ดังนัน้ แนวโน้มขนาดอะตอมของตารางธาตุเมื่อพิจารณาที่หมู่เดียวกันขนาดอะตอมจะมีขนาดใหญ่ ข้ นึ
จากบนลงล่าง และในคาบเดียวกันขนาดอะตอมเล็กลงจากขวาไปซ้าย ดังแสดงเป็ นแผนภาพได้ในภาพที่ 3.17
ค่ า IE จะมากหรื อน้อยขึ้น อยู่ ก บั ขนาดของอะตอม ยิ่ง อะตอมของธาตุมีข นาดใหญ่ จะมีค่ า IE ตา่ กว่ า
อะตอมของธาตุทม่ี ขี นาดเล็ก และถ้าอะตอมเป็ นไอออนบวกจะดึงได้ยากกว่าอะตอมไม่มปี ระจุในตอนแรก
ดังนัน้ แนวโน้มของค่ าพลังงานไอออไนเซชันเมื่อพิจารณาที่หมู่เดียวกันจะมีค่าลดลงจากบนลงล่าง เพราะ
ขนาดอะตอมใหญ่ ข้ นึ แต่ ในคาบเดีย วกัน จะมีค่ าเพิ่ม ขึ้น จากซ้ายไปขวา เพราะขนาดอะตอมเล็ก ลง ดังแสดงเป็ น
แผนภาพได้ในภาพที่ 3.18
โดยแนวโน้มของสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนของธาตุในคาบเดียวกันจะเพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวาเมื่อขนาดของ
อะตอมเล็กลงและประจุของนิวเคลียสเพิม่ ขึ้นย่อมจะรับอิเล็กตรอนได้ดี และมีค่าลดลงในหมู่เดียวกันจากบนลงล่าง
เพราะขนาดของอะตอมใหญ่ข้นึ ทาให้การดึงดูดอิเล็กตรอนไม่ดี ดังแสดงเป็ นแผนภาพได้ในภาพที่ 3.19
กิจกรรม 3.2.2
1. ธาตุดงั ต่อไปนี้สามารถแบ่งเป็ นกลุ่มได้กี่กลุ่ม ตามหลักของการจัดเรี ยงธาตุในตารางธาตุ
Na C O Be S Li Mg Si K Ca
2. เพราะเหตุใดธาตุลิเทียม (Li) จึงมีค่า IE1 ต่ากว่าธาตุฟลูออรี น (F)
3. ธาตุหมู่ 1A จากบนลงล่างมีแนวโน้มของจุดเดือดอย่างไร
แนวตอบกิจกรรม 3.2.2
1. เมื่ อทาการจัดเรี ยงโครงแบบอิ เ ล็กตรอนแบบตามตารางที่ 3.7 สามารถแบ่ งกลุ่มตามจานวน
เวเลนซ์อิเล็กตรอนได้ดงั นี้
- จานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนชั้นนอกเท่ากัน อยูห่ มู่เดียวกัน
ธาตุที่อยูห่ มู่ 1 ได้แก่ Li Na K
ธาตุที่อยูห่ มู่ 2 ได้แก่ Be Mg Ca
ธาตุที่อยูห่ มู่ 4 ได้แก่ C Si
ธาตุที่อยูห่ มู่ 6 ได้แก่ O S
- ระดับชั้นในการจัดเรี ยงโครงสร้างอิเล็กตรอนเท่ากัน อยูค่ าบเดียวกัน
ธาตุที่อยูค่ าบ 2 ได้แก่ Li Be C O
ธาตุที่อยูค่ าบ 3 ได้แก่ Na Mg Si S
ธาตุที่อยูค่ าบ 4 ได้แก่ K Ca
2. แนวโน้มของค่าพลังงานไอออไนเชชันลาดับที่ 1 ในคาบเดียวกันจะมีค่าเพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวา
เนื่ องจากธาตุ ในคาบเดี ยวกันมี เวเลนซ์อิเล็กตรอนอยู่ในระดับพลังงานเดี ยวกัน แต่ มีจานวนโปรตอนใน
นิวเคลียสเพิ่มขึ้น
ธาตุ ที่ มีโปรตอนมากจะดึ งดูด เวเลนซ์ อิเล็กตรอนได้แ รงมากกว่า ธาตุ ที่มีโ ปรตอนน้อย เวเลนซ์
อิเล็กตรอนจึงเข้าใกล้นิวเคลียสได้มากกว่า ทาให้อิเล็กตรอนหลุดจากอะตอมได้ยากกว่า จึงทาให้ธาตุลิเทียมมี
ค่าพลังงานไอออไนเชชันลาดับที่ 1 ต่ากว่าธาตุฟลูออรี น
3. ในธาตุหมู่ 1A ความเป็ นโลหะจะเพิ่มขึ้นจากบนลงล่าง ทาให้การใช้พลังงานในการสลายพันธะ
โลหะมากขึ้ น ส่ งผลให้จุด เดื อดของธาตุ มีแนวโน้มเดี ยวกันกับความเป็ นโลหะคื อ เพิ่ มขึ้ นจากบนลงล่า ง
เช่นเดียวกัน
เคมีพ้ นื ฐาน 3-37
เรื่องที่ 3.2.3
พันธะเคมี
พันธะไอออนิก
พันธะไอออนิก เป็ นพันธะระหว่างอะตอมที่อยู่ในสภาพไอออนที่มปี ระจุตรงขา้ มกัน มารวมตัวกัน ซึ่งพันธะ
ไอออนิกจะเป็ นการรวมตัวกันระหว่างอะตอมของโลหะและอโลหะ โดยที่อะตอมของโลหะจะเป็ นฝ่ ายให้อเิ ล็กตรอน
ในระดับพลังงานชัน้ นอกสุดให้กบั อโลหะ ทัง้ นี้เนื่องจากอะตอมของโลหะมีค่าพลังงานไอออไนเซชันตา่ ซึ่งพร้อมที่จะ
ให้อิเล็ก ตรอนเพื่อให้อะตอมชัน้ นอกครบ 8 ตัวแล ว้ เกิด เป็ น ไอออนบวก ส่ วนอะตอมของอโลหะก็ พ ร้อมที่จะรับ
อิเล็กตรอนจากอะตอมอื่นเพื่อให้อะตอมชัน้ นอกครบแปดเช่ นเดียวกัน ดังนัน้ เมื่ออโลหะรับอิเล็กตรอนเขา้ มาจะเกิด
เป็ นไอออนลบ เมื่ออะตอมทัง้ สองมีประจุไฟฟ้ าต่ างกัน จึงเกิด แรงดึงดู ดกันเกิด เป็ น สารประกอบไอออนิก (ionic
compound) ตัวอย่างการเกิดพันธะไอออนิก ได้แก่ การเกิดพันธะไอออนิกของสารประกอบโซเดียมคลอไรด์ (NaCl)
ดังนี้
การเกิดพันธะไอออนิกของสารประกอบโซเดียมคลอไรด์แสดงดังภาพที่ 3.21
พันธะโคเวเลนซ์
พันธะโคเวเลนซ์ เป็ น พันธะที่เกิด จากอะตอมตัง้ แต่ สองอะตอมขึ้น ไปมีการใช้เวเลนซ์อิเล็ก ตรอนร่ วมกัน
ระหว่างอะตอม เพือ่ ให้เวเลนซ์อเิ ล็กตรอนของแต่ละอะตอมครบ 8 ตัว อะตอมที่เกิดพันธะชนิดนี้มกั เป็ นอะตอมของ
ธาตุท่มี เี วเลนซ์อเิ ล็กตรอนชัน้ ใกลจ้ ะครบ 8 ตัวได้แก่ อะตอมของธาตุหมู่ 4A, 5A, 6A และ 7A ถ้าเป้ นการรวมตัว
กันของอะตอมจะเรียกว่า โมเลกุลโควาเลนต์ (covalent molecules) แต่ถา้ เป็ นการรวมตัวกันนัน้ เกิดเป็ นธาตุหรือ
สารใหม่จะเรียกว่า สารประกอบโคเวเลนซ์ (covalent compounds) ตัวอย่างการเกิดพันธะโควาเลนต์ เช่ น การเกิด
แก๊สฟลูออรีน ดังนี้
อะตอมของฟลู ออรีน มีเวเลนซ์อิเล็ก ตรอนเท่ ากับ 7 ตัว จึงต้องการอิเล็ก ตรอนเพิ่ ม อีก 1 ตัวเพื่อให้เกิด
สภาวะทีเ่ สถียร เมื่ออะตอมของฟลูออรีน 2 อะตอมมาเจอกันจึงเกิดการใช้เวเลนซ์อเิ ล็กตรอนร่ วมกันสามารถแสดง
สัญลักษณ์แบบจุดได้ดงั นี้
เคมีพ้ นื ฐาน 3-39
การเกิดพันธะโควาเลนต์ของโมเลกุลฟลูออรีนแสดงดังภาพที่ 3.22
หรือเขียนแทนด้วย
H H
2. พันธะคู่ (double bond) คือ พันธะโคเวเลนซ์ทม่ี กี ารใช้เวเลนซ์อเิ ล็กตรอนร่วมกัน 2 คู่ ใช้เส้น 2 เส้น
( = ) แทนพันธะคู่ ตัวอย่างเช่น โมเลกุลของออกซิเจน (O2) ดังแสดงในภาพที่ 3.24
หรือเขียนแทนด้วย
O O
3. พันธะสาม (triple bond) คือ พันธะโคเวเลนซ์ท่มี กี ารใช้เวเลนซ์อเิ ล็กตรอนร่ วมกัน 3 คู่ ใช้เส้น 3 เส้น
( ) แทนพันธะสาม ตัวอย่างเช่น โมเลกุลของแก๊สไนโตรเจน (N2) ดังแสดงในภาพที่ 3.25
หรือเขียนแทนด ้วย
N N
หรือเขียนแทนด ้วย
พันธะโลหะ
พันธะโลหะ เป็ นแรงยึดเหนี่ยวของไอออนบวกกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่อยู่ โดยรอบทัง้ ก้อนโลหะ
โดยการเคลื่อนที่ของเวเลนซ์อิเล็กตรอนเคลื่อนที่อย่ างอิสระเหมือนกลุ่มหมอกของอิเล็กตรอนอยู่ ลอ้ มรอบไอออน
บวกเกิด เป็ นพัน ธะโลหะขึ้น มา ซึ่งแบบจาลองการลอ้ มรอบของเวเลนซ์อิเล็กตรอนกับไอออนบวกของโลหะแสดง
ดังภาพที่ 3.28
3-42 วิทยาศาสตร์สาหรับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร
โดยทัวไปโลหะจะเป็
่ นของแข็ง ยกเว้นปรอททีเ่ ป็ นของเหลว สาหรับสมบัตขิ องพันธะโลหะนัน้ เป็ นผลมาจาก
อิเล็กตรอนอิสระทีเ่ คลือ่ นทีอ่ ยู่ในก้อนโลหะนัน่ เอง สมบัตทิ พ่ี บโดยทัวไปของโลหะ
่ คือ
- เป็ นตัวนาไฟฟ้ าทีด่ ี เพราะอิเล็กตรอนเคลือ่ นทีไ่ ด้งา่ ยทัวก้
่ อนโลหะ
- มีจุดหลอมเหลวสู ง เพราะเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนของอะตอมทัง้ หมดในก้อนโลหะยึด เหนี่ยวอะตอมไว้
อย่างเหนียวแน่ น
- โลหะสามารถตีแผ่เป็ นแผ่นบางๆได้ เพราะมีกลุ่มเวเลนต์อเิ ล็กตรอนทาหน้าที่ยึดอนุ ภาคให้เรียงกัน
ไม่ขาดออกจากกัน
- โลหะมีผวิ เป็ นมันวาว เพราะกลุ่มอิเล็กตรอนที่เคลือ่ นที่โดยอิสระมีปฏิกิริยาต่อแสง คือรับ สะท้อน
แสง และกระจายแสงออกมา ทาให้มองเห็นเป็ นมันวาว
- โลหะนาความร้อนได้ดี เพราะอิเล็กตรอนอิสระเคลือ่ นทีไ่ ด้ทกุ ทิศทาง เมือ่ อิเล็กตรอนได้รบั ความร้อน
จะทาให้เกิดพลังงานจลน์สูง และการถ่ายเทไปยังส่วนทีม่ คี วามร้อนตา่ กว่า จึงทาให้เกิดการนาความร้อนได้ดี
นอกจากพันธะภายในโมเลกุลทัง้ 3 แบบที่กล่าวมาแลว้ นัน้ พันธะระหว่างโมเลกุลที่สาคัญอีกพันธะหนึ่ง คือ
พันธะไฮโดรเจน (Hydrogen bond)
พันธะไฮโดรเจน
ไฮโดรเจนเป็ นธาตุท่มี ีเพีย งหนึ่ งเวเลนซ์อิเล็กตรอน โดยปกติจะสร้างพัน ธะเดียวกับอะตอมที่มีค่าอิเล็ก -
โทรเนกาติวติ ีสูง และมีขนาดเล็ก ได้แก่ ฟลูออรีน ออกซิเจน และไนโตรเจน (F O และ N ตามลาดับ) แลว้ เกิด
พันธะโคเวเลนซ์มขี วั้ ชนิดทีม่ สี ภาพขัว้ แรงมาก การเกิดพันธะไฮโดรเจนแบ่งเป็ น 2 แบบ ดังนี้
1. พัน ธะไฮโดรเจนระหว่ า งโมเลกุล ชนิ ด เดี ยวกั น ซึ่ง อธิ บ ายได้ด งั นี้ เมื่อ ไฮโดรเจน (H) เกิ ด พัน ธะ
โคเวเลนซ์กบั F O หรือ N จะเกิดเป็ นพันธะที่มคี วามเป็ นขัว้ สู ง เนื่องจาก H และ F O หรือ N มีค่าค่ าอิเล็กโทร-
เคมีพ้ นื ฐาน 3-43
เนกาติวติ ที แ่ี ตกต่างกัน ทาให้ H มีความเป็ นบวกมาก ส่วนทาง F O หรือ N จะมีความเป็ นลบสู ง จึงเกิดแรงดึงดู ด
ทางไฟฟ้ าระหว่างโมเลกุลทีม่ คี วามแข็งแรง การเกิดพันธะไฮโดรเจนทาให้โมเลกุลหรือสารประกอบมีจุดเดือดสู งกว่า
สารอื่นที่อยู่ ในหมู่เดียวกัน เช่ น H2O มีจุดเดือดสู งกว่า H2S ตัวอย่างการเกิดพันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลดัง
แสดงในภาพที่ 3.29
กิจกรรม 3.2.3
3-44 วิทยาศาสตร์สาหรับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร
1. จงเติมสมบัติของสารในตารางดังต่อไปนี้
2. จงอธิ บายการเกิดพันธะไฮโดรเจน
แนวตอบกิจกรรม 3.2.3
1.
ตอนที่ 3.3
เคมีพ้ นื ฐาน 3-45
ปฏิกริ ิยาเคมี
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 3.3 แลว้ จึงศึกษารายละเอียดต่อไป
หัวเรื่อง
3.3.1 กรดและเบส
3.3.2 เคมีไฟฟ้ า
แนวคิด
1. กรดและเบสมี 3 ทฤษฎีคือ ทฤษฎีของอาร์เรเนียส ทฤษฎีของเบรินสเตดและลาวรี และทฤษฎี
ของลิวอีส โดยกรดและเบสเมือ่ ละลายนา้ จะเกิดการแตกตัวเป็ นไอออน ซึ่งสามารถบอกค่ าความ
เป็ นกรดและเบสจากค่าพีเอช สาหรับการเกิดปฏิกิริยาระหว่างกรดและเบสนัน้ ต้องพิจารณาจาก
ความแรงของกรดแต่ละชนิด โดยทัว่ ไปผลิตภัณฑ์ของปฏิกิริยาที่ได้ คือ เกลือและนา้ ซึ่งสมบัติ
ของสารละลายจะเป็ นกรด เบส หรือกลางขึ้น อยู่ กบั ชนิดของเกลือของไอออนที่มาทาปฏิกิริย า
ไฮโดรไลซิส
2. เคมีไฟฟ้ า เป็ นการศึ กษาปฏิกิริยาเคมีท่ที าให้เกิดกระแสไฟฟ้ า โดยศึ กษาจากปฏิกิริยารีดอกซ์
ที่เกิด ขึ้น เมื่อพิจารณาจากการเกิด ปฏิกิริย า จะแบ่งเป็ น การศึ ก ษาเซลล์ไ ฟฟ้ าแกลวานิ ก และ
เซลล์ไฟฟ้ าเซลล์อเิ ล็กโทรไลต์
วัตถุประสงค์
เมือ่ ศึกษาตอนที่ 3.3 จบแลว้ นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายทฤษฎีกรดและเบสได้
2. อธิบายการแตกตัวของกรดและเบสได้
3. คานวณค่าคงทีส่ มดุล ความเขม้ ขน้ ของกรดและเบส และค่าพีเอชได้
4. อธิบายและบอกสภาพของสารละลายในการเกิดไฮโดรไลซิสของเกลือได้
เรื่องที่ 3.3.1
3-46 วิทยาศาสตร์สาหรับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร
กรดและเบส
ทฤษฎีกรดและเบส
1. ทฤษฎีกรดและเบสของอาร์ เรเนียส จากการศึกษาการละลายนา้ ของสารละลาย พบว่า สารอิเล็กโทรไลต์
จะแตกตัวเป็ นไอออน เมือ่ ละลายอยู่ในนา้ และให้นิยามกรดไวว้ ่า
กรด คือ สารทีเ่ มือ่ ละลายนา้ แลว้ แตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน เขียนแทนด้วย (H+) เช่น
ให้ H +
รั บ H +
ให้ H +
รั บ H +
ให้ H +
รั บ H +
3-48 วิทยาศาสตร์สาหรับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร
เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาไปขา้ งหน้า H2O เป็ นสารที่ให้โปรตอน (H+) ดังนัน้ H2O จึงเป็ นกรดแลว้ ได้สาร
ผลิตภัณฑ์เป็ น OH- ส่วน NH3 เมือ่ รับโปรตอน (H+) จะทาหน้าที่เป็ นเบส สาหรับปฏิกิริยาย้อนกลับ NH4+ เป็ นกรด
เพราะให้ H+ ส่วน OH- เป็ นเบสเพราะรับโปรตอน จึงจับเป็ นคู่กรดและเบสได้ดงั นี้
H2O เป็ นคู่กรดของ OH-
NH3 เป็ นคู่เบสของ NH4+
OH- เป็ นคู่เบสของ H2O
NH4+ เป็ นคู่กรดของ NH3
3. ทฤษฎีกรดและเบสของลิวอีส เป็ นการใช้ทฤษฎีของการใช้อเิ ล็กตรอนคู่ ร่วมกัน ซึ่งสามารถลดขอ้ จากัด
ของอาร์เรเนียส และเบรินสเตดและลาวรี ได้ โดยนาเสนอว่า
กรด คือ สารทีร่ บั คู่อเิ ล็กตรอนคู่
เบส คือ สารทีใ่ ห้คู่อเิ ล็กตรอนคู่
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
F F
F B + NH3 F B NH3
F F
กรด เบส
จากตัว อย่ า งข า้ งต้น จะเห็น ว่ า NH3 เป็ น สารที่ใ ห้คู่ อิเ ล็ก ตรอนได้จึง ป็ น เบส ส่ ว น BF3 เป็ น สารที่ร บั
อิเล็กตรอนจาก NH3 ทาให้ BF3 เป็ นกรด ซึง่ เป็ นพันธะโคเวเลนซ์ทเ่ี สถียร
สัญลักษณ์วงเล็บ [ ] ในสู ตรหมายถึง ความเขม้ ขน้ ของสาร หน่ วยเป็ น โมลต่ อลู กบาศก์เดซิเมตร (mol/
3
dm ) หรือ โมลต่อลิตร (mol/l)
สาหรับหน่ วยของค่ า K หรือค่ าคงที่ส มดุ ล การแตกตัว ในปฏิกิริยาต่ างชนิ ด กัน จะมีหน่ วยที่ต่างกัน หรือ
บางครัง้ อาจไม่มหี น่ วยเลย เนื่องจากค่า K จะขึ้นอยู่กบั ความเขม้ ขน้ ของสารตัง้ ต้นและสารผลิตภัณฑ์ ซึ่งบางปฏิกิริยา
ถ้าหน่ วยของความเขม้ ขน้ ตัดกันหมดจะทาให้ค่า K ไม่มหี น่ วย
เนื่องจากความเขม้ ขน้ ของนา้ น้อยมากในการแตกตัวจึงถือว่า ไม่เปลีย่ นแปลง ค่ าคงที่การแตกตัวของนา้ จึงมี
ค่าเป็ น
Kw = [H3O+ ][OH-] = 1 10-14 ที่ 25 องศาเซสซียส
การวัดค่าความเป็ นกรดและเบส
เนื่องจากการแตกตัวของไอออนในนา้ มีการแตกตัว ที่ตา่ มาก เพื่อ ความสะดวกในการหาค่ าความเป็ นกรด
และเบส จึง ต้องใช้ส มการช่ วยในการค านวณหาค่ า ความเป็ น กรดและเบส และเพื่อ ให้ส ะดวกต่ อความเข า้ ใจใน
การบอกว่าสารเป็ นกรดและเบส จึงมีวธิ ีการบอกความเป็ นกรดและเบสให้เขา้ ใจง่ายขึ้นโดยใช้ค่าทีเ่ รียกว่า พีเอช (pH)
ซึง่ การวัดค่ า pH นัน้ มีเครื่องมือในการวัด คือ กระดาษลิตมัส (litmus paper) หรือเครื่องพีเอช มิเตอร์ (pH meter)
ดังแสดงในภาพที่ 3.1 ซึง่ การวัดค่า pH ด้วยเครื่องพีเอชมิเตอร์จะให้ค่าที่เที่ยงตรงกว่า แต่ราคาของเครื่องจะสู งกว่า
การใช้กระดาษลิตมัส
3-50 วิทยาศาสตร์สาหรับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร
เมือ่ นามาคานวณจะได้ผลดังนี้
สารละลายกรด [H3O+] > 1 10-7 mol/dm3 ค่า pH < 7.0
สารละลายเบส [H3O+] < 1 10-7 mol/dm3 ค่า pH > 7.0
สารละลายกลาง [H3O+] = 1 10-7 mol/dm3 ค่า pH = 7.0
เคมีพ้ นื ฐาน 3-51
Ht at
ได้ค่า pH ของสารละลาย pH = 12
จากความสัมพันธ์ pOH + pH = 14
แทนค่า pH ลงไป pOH + 12 = 14
ได้ค่า pOH ของสารละลาย pOH = 2
การแตกตัวของกรดและเบส
กรดและเบสจะแตกตัวได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กบั ความแรงของกรดและเบสดังนี้
1. การแตกตัวของกรดและเบสแก่ กรดและเบสแก่ จะแตกตัวหมด หรือเรียกได้ว่ามีการแตกตัวได้รอ้ ยละ
100 ดังนัน้ ในการเปลีย่ นแปลงปฏิกิริยาของกรดและเบสแก่ จงึ เป็ นปฏิกิริยาไปขา้ งหน้าอย่างเดียว ตัวอย่างกรดแก่
และเบสแก่มดี งั นี้
กรดแก่ ได้แก่ กรดไฮเปอร์คลอริก (HClO4) กรดไฮโดรไอออดิก (HI) กรดไฮโดรบอมิก (HBr) กรดไฮโดร-
คลอริก (HCl) กรดไนทริก (HNO3) และกรดซัลฟูริก (H2SO4) เป็ นต้น
เบสแก่ ได้แ ก่ สารประกอบไฮดรอกไซด์ข องหมู 1A และ 2A เช่ น โซเดี ย มไฮดรอกไซด์ (NaOH)
โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) แบเรียมไฮดรอกไซด์ Ba(OH)2 และแคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Ca(OH)2) เป็ นต้น
กรดแก่แตกตัวร้อยละ 100 จึงแตกตัวให้ความเขม้ ขน้ ของ H3O+ และ Cl- เท่ากับ 1.0 10-3 mol/dm3
หา pH ของสารละลายจากสูตร pH = - log [H3O+]
แทนค่า [H3O+] ได้ pH = - log [1.0 10-3] = 3
(ข) เนื่องจากสารละลายแบเรียมไฮดรอกไซด์ ความเขม้ ขน้ 0.02 mol/dm3 เป็ นเบสแก่แตกตัวร้อยละ 100
เขียนสมการได้ดงั นี้
เบสแก่แตกตัวร้อยละ 100 จึงแตกตัวให้ความเขม้ ขน้ ของ Ba2+ และ OH- เท่ากับ 0.02 mol/dm3
แต่เนื่องจากในสมการเกิด OH- 2 โมลจึงคิดความเขม้ ขน้ = 0.02 2 = 0.04
หา pOH ของสารละลายจากสูตร pOH = - log [OH-]
เคมีพ้ นื ฐาน 3-53
ตัวอย่ างที่ 3.3 สารละลายแอมโมเนีย (NH3) เขม้ ขน้ 0.01 โมลต่อลิตร แตกตัวเป็ นไอออนได้รอ้ ยละ 2.0 จงคานวณ
ค่าคงทีส่ มดุลของเบสหรือ Kb ของแอมโมเนีย
เขียนสมการการแตกตัวของสารละลายโซเดียมได้ดงั นี้
ปฏิกริ ิยากรดและเบส
การทาปฏิกิริยาส่วนใหญ่ จะได้ผลิตภัณ ฑ์เป็ น เกลือและนา้ หรือเรียกว่า ปฏิกิริยาสะเทิน (neutralization
reaction) หรือบางชนิ ดเกิด เกลือเพีย งอย่ างเดีย ว สาหรับปฏิกิริย าระหว่างกรดและเบสในสารละลายน า้ จะทาให้
สารละลายทีไ่ ด้แสดงสมบัตเิ ป็ นกรด เบส หรือกลางซึง่ พิจารณาได้ 2 กรณี
1) กรณี ทม่ี กี รดหรือเบสเหลืออยู่ในสารละลาย ถ้ากรดเหลืออยู่สารละลายจะแสดงสมบัตเิ ป็ นกรด
ถ้ามีเบสเหลืออยู่ สารละลายก็จะแสดงสมบัตเิ ป็ นเบส
2) กรดกับเบสทาปฏิกิริย ากัน หมดพอดี ได้เกลือกับนา้ สารละลายของเกลือที่ได้จากปฏิกิริยา จะแสดง
สมบัติเป็ นกรด เบส หรือกลาง ขึ้นอยู่กบั ชนิดของเกลือนัน้ ว่ามาจากกรดและเบสประเภทใด ทัง้ นี้เพราะเกลือแต่ละ
ชนิดจะเกิดการแตกตัวและทาปฏิกิริยากับนา้ เรียกว่า ไฮโดรไลซิส (hydrolysis) ซึง่ ทาให้สารละลายแสดงสมบัตกิ รด
หรือเบสต่างกัน
การเกิดปฏิกิริยากรดและเบสแบ่งได้ ดังนี้
1. ปฏิกิริยาระหว่ างกรดแก่ กับเบสแก่ เนื่องจากกรดแก่ และเบสแก่ แตกตัวได้หมดร้อยละ 100 ปฏิกิริยาที่
เกิด ขึ้น จึงเหมือนกับการเกิด พัน ธะไอออนิ ก เช่ น ปฏิกิริ ย าระหว่างกรดแก่ (ไฮโดรคลอริก , HCl) และเบสแก่
(โซเดียมไฮดรอกไซด์, NaCl) ดังนี้
กิจกรรม 3.3.1
1. ปฏิกิริยาต่อไปนี้ สารตั้งต้นใดทาหน้าที่เป็ นกรดและเบสตามทฤษฎีของลิวอิส
ก. NH3(aq) + HCl(aq) NH4Cl(aq)
ข. HCl(aq) + H2O(aq) H3O+(aq) + Cl-(aq)
2. จงคานวณหา pH ของสารละลาย HBr มีความเข้มข้น 2.5 10-3 โมลต่อลิตร
แนวตอบกิจกรรม 3.3.1
1. ก. NH3 เป็ นกรด เนื่องจากเป็ นสารที่ให้โปรตอน (H+)
HCl เป็ นเบส เนื่องจากเป็ นสารที่รับโปรตอน (H+)
ข. HCl เป็ นกรด เนื่องจากเป็ นสารที่ให้โปรตอน (H+)
H2O เป็ นเบส เนื่องจากเป็ นสารที่รับโปรตอน (H+)
2. เนื่องจากสารละลายกรดไฮโดรโบรมิกเป็ นกรดแก่แตกตัวร้อยละ 100 เขียนสมการได้ดงั นี้
กรดแก่แตกตัวร้อยละ 100 จึงแตกตัวให้ความเข้มข้นของ H3O+ และ Cl- เท่ากับ 2.5 10-3 mol/dm3
หา pH ของสารละลายจากสูตร pH = - log [H3O+]
แทนค่า [H3O+] ได้ pH = - log [2.5 × 10-3] = 2.6 ตอบ
เรื่องที่ 3.3.2
เคมีไฟฟ้ า
ปฏิกริ ิยารีดอกซ์
ปฏิกิริยารีดอกซ์ คือ ปฏิกิริยาที่มีการถ่ายโอนอิเล็กตรอนระหว่างตัวให้อิเล็กตรอนและตัวรับอิเล็กตรอน
ทาให้ประจุของอะตอมหรือไอออนหรือเรียกว่าเลขออกซิเดชันมีการเปลีย่ นแปลง โดยปฏิกิริยารีดอกซ์จะประกอบด้วย
2 ปฏิกิริยาย่อย คือ ปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation Reaction) และ ปฏิกิริยารีดกั ชัน (reduction Reaction)
1. ปฏิกริ ิ ยาออกซิ เดชัน คือ ปฏิกิริยาที่มกี ารให้อเิ ล็กตรอน สารที่ทาหน้าที่ให้อเิ ล็กตรอนเรียกว่า ตัวรีดิวซ์
ผลคือ เลขออกซิเดชันจะมีค่าเพิม่ ขึ้น ครึ่งปฏิกิริยาออกซิเดชันเขียนได้ดงั นี้
ตัวรีดวิ ซ์ ผลิตภัณฑ์ + อิลก็ ตรอน
ตัวอย่าง เช่น Zn (s) Zn2+(aq) + 2e-
Mg (s) Mg2+(aq) + 2e-
2. ปฏิกิริยารี ดักชั น คือ ปฏิกิริย าที่มีก ารรับอิเล็ก ตรอน สารที่ทาหน้า ที่ร บั อิเล็ก ตรอนเรีย กว่า ตัวรี -
ออกซิไดซ์ ผลคือ เลขออกซิเดชันจะมีค่าลดลง ครึ่งปฏิกิริยารีดกั ชันชันเขียนได้ดงั นี้
0 +1 +2 0
+ 2+
Cu(s) + 2Ag (aq) Cu (aq) + 2Ag(s)
เลขออกซิเดชันเพิ่มขึ้น
เลขออกซิเดชันลดลง
เซลล์ไฟฟ้ า
เซลล์ไฟฟ้ า คือ อุปกรณ์ ท่ีต่อครบวงจรแล ว้ สามารถผลิตกระแสไฟฟ้ าได้ โดยอาศัย หลัก การให้แ ละรับ
อิเล็กตรอนหรือการเกิ ดปฏิกิริยารีดอกซ์ภายในเซลล์ สามารถแบ่งเซลล์ไฟฟ้ าออกเป็ น 2 ชนิด คือ เซลล์แกลวานิก
(galvanic cell) และเซลล์อเิ ล็กโทรไลต์ (electrolyte cell)
3-58 วิทยาศาสตร์สาหรับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร
1. เซลล์ แกลวานิก หรือเรียกว่า เซลล์โวลทาอิก (Voltaic cell) เป็ นเซลล์ไฟฟ้ าที่ทาหน้าที่เปลีย่ นพลังงาน
เคมีไปเป็ นพลังงานไฟฟ้ า เป็ นเซลล์ทผ่ี ลิตไฟฟ้ าด้วยปฏิกิริยารีดอกซ์ทเ่ี กิดขึ้นได้เอง องค์ประกอบของเซลล์แกลวานิก
ประกอบด้วย 2 ครึ่งเซลล์ทแ่ี ตกต่างกัน มาต่อกันเป็ นเซลล์เดียว ดังแสดงภาพที่ 3.33 ซึ่งจะเห็นว่าครึ่งเซลล์ทางซ้าย
เป็ น การน าโลหะสัง กะสีม าจุ่ ม ลงในสารละลายไอออนที่มีโ ลหะสัง กะสีอ ยู่ ( ZnSO4) ส่ ว นครึ่ ง เซลล์ท างขวาเป็ น
โลหะทองแดงจุ่มลงในสารละลายไอออนที่มีโลหะทองแดงอยู่ (CuSO4) สองเซลล์น้ ีเชื่อมต่ อกันด้วยสะพานไอออน
และลวดตัวนา โดยสะพานไอออนทาหน้าทีเ่ ชื่อมระหว่างสารละลายหนึ่งไปหาสารละลายหนึ่ง เพือ่ รักษาสมดุลระหว่าง
ไอออนบวกและไออนลบในแต่ ละครึ่งเซลล์ให้คงที่ ส่วนใหญ่ เป็ นสารละลายเกลือของหมู่ 1 และหมู่ 2 เช่ น KNO3
NH4NO3 KCl NH4Cl K2SO4 เป็ นต้น ส่วนการเชื่อมเซลล์โดยใช้ลวดนัน้ เพื่อให้ลวดเป็ นตัวเชื่อมระหว่างอีกขัว้ โลหะ
หนึ่งไปยังขัว้ โลหะหนึ่ง และต่อเขา้ กับโวลต์มเิ ตอร์ เพือ่ บอกทิศทางการไหลของอิเล็กตรอน โดยเข็มจะเบนไปในทางที่
อิเล็กตรอนไหล จากภาพที่ 3.33 จะเห็นว่าเข็มของโวลล์มเิ ตอร์เบนไปทางขวา แสดงว่าอิเล็กตรอนไหลจากฝัง่ โลหะ
สังกะสีไปยังฝัง่ โลหะทองแดง แสดงว่ าโลหะสัง กะสีทาหน้าที่ใ ห้อิเล็ก ตรอน และเกิด ปฏิกิ ริย าออกซิเดชัน ส่ ว น
โลหะทองแดงจะทาหน้าทีร่ บั อิเล็กตรอน และเกิดเป็ นปฏิกิริยารีดกั ชัน แท่งโลหะสังกะสีและทองแดงในเซลล์ เรียกว่า
อิเล็กโทรด (electrode) ด้านอิเล็กโทรดที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน เรียกว่า แอโนด (anode) เป็ นขัว้ ลบ และด้าน
อิเล็กโทรดทีเ่ กิดปฏิกิริยารีดกั ชัน เรียกว่า แคโทด (cathode) เป็ นขัว้ บวก
ตัวอย่างเซลล์แกลวานิกดังแสดงในภาพที่ 3.33
ตัวอย่ างที่ 3.4 เมื่อต่อครึ่งเซลล์สงั กะสีกบั ครึ่งเซลล์ไฮโดรเจน โดยมีโวลต์มเิ ตอร์ต่ออยู่ดว้ ยเป็ น แกลวานิก เข็มของ
โวลต์มเิ ตอร์จะชี้ไปยังขัว้ Pt ทีผ่ ่านด้วย H2(g) นัน่ แสดงว่า
ขัว้ Zn ให้อเิ ล็กตรอนเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน เป็ นขัว้ แอโนด
ขัว้ Pt(H2) รับอิเล็กตรอนเกิดปฏิกิริยารีดกั ชัน เป็ นขัว้ แคโทด
และอ่านค่าศักย์ไฟฟ้ าของเซลล์ได้เท่ากับ 0.763 โวลต์ ดังแสดงในภาพ
แผนภาพของเซลล์สกั กะสี-ไฮโดรเจนมาตรฐานคือ
Zn (s) / Zn2+ (1 mol/dm3 ) // H+ ( 1 mol/dm3 ) / H2 (g , 1 atm )/Pt (s)
เซลล์ แกลวานิก แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ เซลล์ปฐมภูมิ (primary galvanic cell) และเซลล์ทุติยภูมิ
(secondary galvanic cell)
เคมีพ้ นื ฐาน 3-63
ดังนัน้ ผลิตภัณฑ์ท่เี กิดขึ้นคือที่ ขัว้ แอโนดคือ แก๊สคลอรีน (Cl2) และที่ขวั้ แคโทดเกิด โลหะโซเดียม
(Na)
2) การชุบโลหะด้ วยกระแสไฟฟ้ า เป็ นการทาให้โลหะชนิดหนึ่งเคลือบอยู่บนผิวของโลหะอีกชนิดหนึ่ง
มีหลักการดังนี้
(1) นาวัตถุทต่ี อ้ งการชุบไปต่อทีข่ วั้ ลบของแบตเตอรี่ (ขัว้ แคโทด) เมื่อปฏิกิริยาเกิดขึ้นขัว้ นี้จะหนา
เพิม่ ขึ้น
(2) นาโลหะบริสุทธิ์ท่ใี ช้ชุบต่ อเขา้ กับขัว้ บวกของแบตเตอรี่ (ขัว้ แอโนด) เมื่อปฏิกิริยาเกิดขึ้นขัว้ นี้
จะกร่อนลง
(3) สารละลายอิเล็กโทรไลต์ท่ใี ช้ตอ้ งมีไอออนของโลหะชนิดเดียวกั บโลหะที่เป็ นขัว้ แอโนดและ
ต้องมีความเขม้ ขน้ ทีเ่ หมาะสม
(4) ใช้ไฟฟ้ ากระแสตรงเท่านัน้ เพื่อให้ขวั้ ไฟฟ้ าคงเดิมตลอดเวลาที่ชุบโลหะทัง้ ขัว้ บวกและขัว้ ลบ
และปรับค่าความต่างศักย์ให้มคี วามเหมาะสมตามชนิดและขนาดของชิ้นโลหะทีต่ อ้ งการชุบ
ตัวอย่างการชุบช้อนโลหะด้วยเงินดังแสดงในภาพที่ 3.40 ใช้เงินเป็ นขัว้ แอโนด และช้อนโลหะเป็ นขัว้
แคโทด และสารละลายอิเล็กโทรไลต์ทใ่ี ช้คือสารละลายซิลเวอร์ไนเตรต
กิจกรรม 3.3.2
1. จากภาพจงตอบคาถาต่อไปนี้
แนวตอบกิจกรรม 3.3.2
1. ก. ที่ข้ วั Cu เกิดปฏิกิริยา ออกซิ เดชัน มีการ ให้ อิเล็กตรอน เรี ยกว่าขั้ว แอโนด
ข. ที่ข้ วั Ag เกิดปฏิกิริยา รี ดกั ชัน มีการ รับ อิเล็กตรอน เรี ยกว่าขั้ว แคโทด
ค. Cu(s)/Cu2+(aq)//Ag+(aq)/Ag(s)
2. วิธีทาโลหะให้บริ สุทธิ์ เป็ นกระบวนการแยกโลหะที่ไม่บริ สุทธิ์ หรื อสิ่ งเจือปน จนได้เป็ นโลหะ
บริ สุทธิ์ อาศัยหลักการของเซลล์อิเล็กโทรไลต์ คื อ นาโลหะที่ บริ สุทธิ์ เป็ นขั้วลบ (แคโทด) ส่ วนโลหะที่
ไม่บริ สุทธิ์ เป็ นขั้วบวก (แอโนด) ปรับศักย์ไฟฟ้ าให้เหมาะสมตรงกับโลหะที่ ตอ้ งการทาให้บริ สุทธิ์ ส่ วน
โลหะอื่นที่เสี ยอิเล็กตรอนง่ายกว่าจะละลายลงสู่ สารละลายในรู ปของไอออน ส่ วนโลหะอื่นที่ให้อิเล็กตรอน
ได้ยากกว่า จะรวมตัวกันตกลงที่กน้ ภาชนะ