Professional Documents
Culture Documents
(PHOTOSYNTHESIS)
การค้นคว้าทีเ่ กีย่ วข้องกับกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง
ในปี พ.ศ. 2191 (ค.ศ. 1648) ฌอง แบบติสท์ แวน เฮลมองท์ (Jean
Baptiste Van Helmont) นักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยียม
ในปี พ.ศ.2315 ( ค.ศ. 1722) โจเซฟ พริสต์ลยี ์ (Joseph Priestley)
นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ทําการทดลองโดยจุดเทียนไขไว้ในครอบแก้ว
การทดลองที่ 1
พริสต์ลยี ล์ องเอาพืชสีเขียวใส่ครอบแก้วทีค่ รอบเทียนไขแล้วจนดับ
ทิง้ ไว้ 10 วัน ลองจุดเทียนไขในครอบแก้วใหม่
การทดลองที่ 2
ในปี พ.ศ. 2322 (ค.ศ. 1779) แจน อินเก็น ฮูซ (Jan Ingen Housz)
นายแพทย์ชาวฮอลันดาหรือชาวดัทช์ ได้ทดลองให้เห็นว่าการค้นพบของพริสต์
ลียน์ ั้นจะเกิดขึน้ ได้กต็ ่อเมือ่ พืชได้รับแสงสว่างเท่านั้น จึงสามารถเปลีย่ นอากาศ
เสียให้เป็ นอากาศดี
ในปี พ.ศ. 2347 (ค.ศ.1804) นักพฤษศาสตร์ชาวสวิส นิโคลาส ธีโอดอร์
โซซูร์ (Nicolas Theodore de Saussure) ได้พบว่านํา้ หนักพืชทีเ่ พิม่ ขึน้ นั้นมากกว่า
นํา้ หนักของนํา้ ทีพ
่ ชื ได้รับ เขาจึงสรุ ปว่านํา้ หนักทีเ่ กินไปนีเ้ ป็ นนํา้ หนักแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ ทีพ ่ ชื ได้รับ แผนผังการสร้างอาหารพืชจึงมีการเปลีย่ นแปลง
เป็ น
พืชสีเขียว
แสงสว่าง
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์+ นํา้ สารอินทรีย ์ + แก๊สออกซิเจน
พืชสีเขียว
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์+ นํา้ คาร์โบไฮเดรต + แก๊สออกซิเจน
แสงสว่าง
ในปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) แวนนีล (Van Niel) นักศึกษาทีม่ หาวิทยาลัย
สแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา พบว่า แบคทีเรียบางสปี ชีส ์ สามารถสังเคราะห์ด้วย
แสงได้โดยไม่ใช้นาํ้ แต่ใช้ไฮโดรเจนซัลไฟต์ ( H 2 S ) แทนแล้วได้ซัลเฟอร์แทนทีจ่ ะ
เป็ นออกซิเจน
CO2 + 2 H 2 S CH 2O + 2 S + H 2O
ซึง่ แวนนีลเปรียบเทียบกับการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชแล้วน่าจะ
คล้าย ๆ กัน คือ แสงสว่างน่าจะทําให้โมเลกุลของนํา้ แตกตัวได้ออกซิเจนอิสระ
ในปี พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) โดยแซม รู เบน (Sam Ruben) และ
มาร์ตนิ คาเมน (Matin Kamen) ทําการทดลองเพือ่ หาคําตอบสําหรับ
คําถามนี้ โดยการใช้ขวดแก้ว 2 ใบ ใส่สาหร่ายสีเขียว Chlorella ลงไป
ในขวดทัง้ สอง ให้มปี ริมาณเท่ากัน แต่สาํ หรับการใส่นา้ํ และแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์นั้นใช้ต่างกัน
พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) โรบิน ฮิลล์ (Robin Hill) ทําการทดลอง ฉาย
แสงเข้าไปในของผสม ซึง่ มีคลอโรพลาสต์ทสี่ กัดออกมาจากใบของพืชพวกผัก
โขม โดยเติมเกลือเฟอริกเข้าไปด้วย พบว่าเกลือเฟอริกเปลีย่ นเป็ นเกลือ
เฟอรัส รวมทัง้ เกิดออกซิเจนด้วย
ในปี พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) แดเนียล อาร์นอน (Daniel Arnon)
และคณะทีม่ หาวิทยาลัยแคลิฟอเนียแห่งเบิรก์ เลย์ ทําการทดลองศึกษาตาม
ผลงานของฮิลล์ อาร์นอนคิดว่าถ้าใช้ ADP, หมู่ฟอสเฟต , NADP+ , CO2
และแสงใส่ลงไปในคลอโรพลาสต์ทสี่ กัดมาได้ จนเกิดปฏิกริ ิยาสังเคราะห์
ด้วยแสงควรได้นาํ้ ตาลเกิดขึน้
่
เมืออาร ์นอน ได้ทําการทดลองโดยควบคุมปั จจัย
บางอย่างแล้ว สังเกตผลการทดลอง พบว่าหากให้สาร
ต่าง ๆ ดังทีคิ ่ ดไว้ ยกเว้นคาร ์บอนไดออกไซด ์ ปรากฏว่ามี
ปฏิก ิรย ้
ิ าเคมีเกิดขึนจริ ง แต่ไม่มก
ี ารสร ้างคาร ์โบไฮเดรต
เกิดขึน้
การทดลองที่ 1
การทดลองที่ 2
กรีนแบคทีเรีย - - - - + - + - + หรือ +
ไซยาโนแบคทีเรรีย + - - - + +
สาหร่ายสีแดง + - - + + +
สาหร่ายสีนา้ํ ตาล + - + - + -
สาหร่ายสีเขียว + + - - + -
มอส + + - - + -
เฟิ น + + - - + -
พืชมีดอก + + - - + -
คลอโรฟิ ลล์
6 CO2 + 12H2O แสง
C6H12O6 + 6H2O + 6O2
ระบบแสง (photosystem : PS) ประกอบด้วยศูนย์กลาง
ปฏิกิริยาโปรตีนตัวรับอิเล็กตรอน ตัวถ่ายทอดอิเล็กตรอน และ
แอนเทนนา
1. ระบบแสง I (PSI) เป็ นระบบแสงทีม่ ีคลอโรฟิ ลล์ เอ ทีส่ ามารถ
รับแสงทีม่ ีความยาวคลื่น 700 นาโนเมตรได้ดที สี่ ุด เป็ นศูนย์กลาง
ของปฏิกิริยาเรียก P700
2. ระบบแสง II (PS II) เป็ นระบบรับแสงทีม่ ีคลอโรฟิ ลล์ เอ ที่
สามารถรับแสงทีม่ ีความยาวคลื่น 680 นาโนเมตร ได้ดที สี่ ุด เป็ น
ศูนย์กลางของปฏิกริ ิยาเรียก P680
การถ่ายทอดอิเล็กตรอนในปฏิกริ ิยาแสงเกิดได้ 2 ระบบ ดังนี้
1. การถ่ายทอดเล็กตรอนแบบไม่เป็ นวัฏจักร (non-cyclic electron transfer)
สรุ ปขั้นตอนของปฏิกิริยาแสง
1. ปฏิกริ ิยาแสงเกิดขึน้ บนเยือ่ ไทลาคอยด์ ซึง่ บนเยือ่ นีม้ รี ะบบแสง II ระบบ
แสง I ตัวถ่ายทอดอิเล็กตรอนและเอนไซม์ ATP synthase
2. ตัวถ่ายทอดอิเล็กตรอน จากระบบแสง II ไปยังระบบแสง I ได้แก่
Plastoquinone , Cytochrome complex และ Plastocyanin ตัวถ่ายทอด
อิเล็กตรอนจากระบบแสง I ไปยัง NADP+ ได้แก่ Feridoxin, NADP+ reducetase
3. ตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายคือ NADP+ เมือ่ รับอิเล็กตรอนแล้ว (รวมทัง้
โปรตอนด้วย) จะกลายเป็ น NADPH
4. อิเล็กตรอนในระบบแสง I เมือ่ ถ่ายทอดไปยัง NADP+ แล้วจะได้รับ
ทดแทนมาจากอิเล็กตรอนในระบบแสง II ในทํานองเดียวกันอิเล็กตรอนในระบบ
แสง II เมือ่ ถ่ายทอดไป จะได้รับทดแทนมาจากอิเล็กตรอนทีไ่ ด้จากการสลายของ
นํา้ และการสลายของนํา้ ได้แก๊สออกซิเจนและโปรตอนอีกด้วย
2. การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็ นวัฏจักร (cyclic electron transfer) เป็ นการ
ถ่ายทอดอิเล็กตรอนทีเ่ กีย่ วข้องกับระบบแสงที่ 1 เพียงระบบเดียว
สรุ ป Cyclic photophosphorylation
- เกี่ยวข้องกับระบบแสง I เท่านั้น
- สร้าง ATP 2 โมเลกุล ต่ออิเล็กตรอน 1 คู่ไม่สร้าง NADPH
- ไม่มีการสลายโมเลกุลของนํา้ จึงไม่เกิดออกซิเจน
สรุ ปปฏิกิริยาในช่วงทีต่ อ้ งใช้แสง ได้ดงั นี้
1. คลอโรพลาสต์มรี งควัตถุ 2 กลุ่มได้แก่ กลุ่มรงควัตถุระบบแสง I และ
รงควัตถุระบบแสง II ซึง่ เป็ นตัวรับพลังงานแสง พลังงานแสงทําให้อเิ ล็กตรอน
ของคลอโรฟิ ลล์ ทีเ่ ป็ นศูนย์กลางปฏิกริ ิยาของระบบแสงเปลีย่ นเป็ นอิเล็กตรอน
ทีม่ พ
ี ลังงานสูงหลุดออกจากโมเลกุลของคลอโรฟิ ลล์แล้วเกิดการถ่ายทอด
อิเล็กตรอนตามลําดับ
2. เกิดกระบวนการโฟโตไลซิสหรือปฏิกริ ิยาของฮิลล์ เกิดจากพืชรับ
พลังงานแสงไปใช้ในการสลายโมเลกุลของนํา้ ได้ออกซิเจน โปรตอนและ
อิเล็กตรอน โปรตอนทีเ่ กิดขึน้ มี NADP+ ซึง่ ทําหน้าทีร่ ับอิเล็กตรอนจากการ
ถ่ายทอดอิเล็กตรอนมารับกลายเป็ น NADPH+ H+ ซึง่ จะนําไปใช้ในปฏิกริ ิยาตรึง
คาร์บอนไดออกไซด์
่ ชื ได้รับจากแสง ส่วนหนึ่งถูกนําไปสร้าง ATP ในช่วง
3. พลังงานทีพ
ถ่ายทอดอิเล็กตรอน การสร้าง ATP โดยอาศัยพลังงานจากแสงเรียกว่า โฟโต
ฟอสโฟรีเลชัน (Photophosphorylation)
ปฏิกริ ิยาตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ (CARBONDIOXIDE FIXATION)
การทดลองของคัลวิลและคณะ
ก. กราฟแสดงการเปลีย่ นแปลงปริมาณาของใน 14
C RuBP และ PGA เมือ่ มีแสง
และไม่มแี สง ขณะทีม่ คี าร์บอนไดออกไซด์อยู่ตลอดเวลา
ข. กราฟแสดงการเปลีย่ นแปลงปริมาณาของ RuBP และ PGA เมือ่ มีและไม่
มีคาร์บอนไดออกไซด์ แต่มแี สงอยู่ตลอดเวลา
PGA
1,3 bisphosphoglyc
acid
การเกิดวัฏจักรของคัลวิน
ทีท่ าํ ให้เกิดกลูโคส 2 โมเลกุล มีขั้นตอนดังนี้
กลับสู่ในคลอโรพลาสต์
glycerate RuBP
กลไกการเพิม่ ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในพืช C4
นําไปใช้ในการสังเคราะห์แสงเพียง 5 %
แสงและความเข้มของแสง
กราฟแสดงความสัมพันธ์ของอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงกับความเข้มแสง
ในทีม่ คี วามเข้มของแสงตํ่า พืชมีการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ได้น้อย
ขณะเดียวกันพืชมีการหายใจซึง่ สร้างคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาด้วย
ในสภาพของความเข้มข้นของแสงทีม่ อี ัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์
ของการสังเคราะห์ด้วยแสงเท่ากับอัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ทไี่ ด้จาก
การหายใจทีจ่ ุดของความเข้มแสงนีเ้ รียกว่า ไลท์คอมเพนเซชันพอยท์ (Light
compensation point) ถ้าพืชได้รับแสงตํ่ากว่าไลท์คอมเพนเซชันพอยท์ พืชจะไม่
เจริญและตายในทีส่ ุด
อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิจะเพิม่ ขึน้ จนถึงจุดหนึ่งทีเ่ มือ่ เพิม่
ความเข้มของแสงต่อไป แต่อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ สุทธิกไ็ ม่เพิม่ ขึน้
ค่าความเข้มของแสงทีจ่ ุดนีเ้ รียกว่า จุดอิม่ ตัวของแสง (Light saturation point)
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์กับอัตราการสังเคราะห์
ด้วยแสง ในภาวะปกติปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มอี ยู่ในอากาศประมาณ 0.03 %
เมือ่ ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ต่าํ มาก การสังเคราะห์ด้วย
แสงเกิดขึน้ น้อยมาก ขณะเดียวกันพืชมีการหายใจตลอดเวลา จึงมีการคาย
คาร์บอนไดออกไซด์ออกมามากกว่าการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ ทําให้อัตรา
การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็ นลบ
เมือ่ ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์เพิม่ ขึน้ ต่อไปจนถึงระดับ
หนึ่งทีท่ าํ ให้อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยการสังเคราะห์ด้วยแสง
เท่ากับอัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ทเี่ กิดจากการหายใจ ความเข้มข้น
ของคาร์บอนไดออกไซด์ทจี่ ุดนีเ้ รียกว่า คาร์บอนไดออกไซด์คอมเพนเซชัน
พอยท์ ( CO2 compensation point ) ทีจ่ ุดนีพ้ ชื มีอัตราการตรึง
คาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็ นศูนย์
เมือ่ ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเพิม่ ขึน้ ต่อไป
อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์กส็ ูงตามไปด้วย จนเมือ่ ความเข้มข้นของ
คาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเพิม่ ขึน้ ถึงจุดหนึ่งทีท่ าํ ให้อัตราการตรึง
คาร์บอนไดออกไซด์สุทธิไม่เพิม่ ขึน้ ค่าความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ท่ี
จุดนีเ้ รียกว่า จุดอิม่ ตัวของคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 saturation point) แม้จะ
เพิม่ ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ต่อไป แต่อัตราการตรึง
คาร์บอนไดออกไซด์กแ็ ทบไม่เพิม่ ขึน้ คาร์บอนไดออกไซด์จงึ ไม่ใช่ปัจจัยจํากัด
(Limiting factor ) อีกต่อไป
อุณหภูมิ
การขาดธาตุอาหารมีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง
แมกนีเซียมและไนโตรเจนเป็ นธาตุอาหารทีส่ าํ คัญในองค์ประกอบของ
คลอโรฟิ ลล์ การขาดสารเหล่านีท้ าํ ให้ใบขาดคลอโรฟิ ลล์ จึงเกิดอาการ
ใบเหลืองซีดทีเ่ รียกว่า คลอโรซิส (Chorosis)
ธาตุเหล็กก็มคี วามจําเป็ นต่อการสร้างคลอโรฟิ ลล์ และยังเป็ น
องค์ประกอบของไซโทโครม (Cytochrome) ซึง่ เป็ นตัวถ่ายทอด
อิเล็กตรอน ธาตุแมงกานีสและคลอรีน จําเป็ นต่อกระบวนการแตกตัว
ของนํา้ ในปฏิกริ ิยาการสังเคราะห์ด้วยแสง การขาดธาตุอาหารเหล่านีม้ ี
ผลทําให้อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงลดลง
ปริมาณนํา้ ทีพ
่ ชื ได้รับ
ปริมาณแหล่งของอิเล็กตรอนทีใ่ ช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วย
แสงเมือ่ พืชขาดนํา้ อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะลดลง นอกจากนีน้ า้ํ มีผล
ต่อการเปิ ดปิ ดของปากใบ มีผลกระทบต่อการแพร่ของแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในใบ ถ้าพืชขาดนํา้ ปากใบพืชจะปิ ดเพือ่ ลดการ
คายนํา้ และป้ องกันอันตรายทีจ่ ะเกิดกับเอนไซม์ การแลกเปลีย่ นแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์และออกซิเจนทีป่ ากใบเกิดได้ยาก ทําให้ขาดแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะลดลง
ในสภาวะนํา้ ท่วมขัง ดินชุ่มนํา้ รากพืชจมนํา้ จึงขาดแก๊สออกซิเจนที่
ใช้ในการหายใจ มีกระทบต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงด้วย
อายุของใบพืช