Professional Documents
Culture Documents
Part 1
ความหมายของกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
Photoautotrophs
พืช
โพรทิสต์บางชนิด เช่น สาหร่าย
แบคทีเรียบางชนิด เช่น purple sulphur
bacteria, green sulphur bacteria
สาหร่ายสีเขียวแกมนํ้าเงิน (blue green
algae)
พืชใช้ส่วนใดสังเคราะห์แสง ใบและทุกส่วนทีม่ ีสีเขียว
ใบมีสิ่งสําคัญใดจีงสังเคราะห์แสงได้ Chloroplast
เราพบ Chloroplast ได้บริเวณใดของใบ ชั้นมีโซฟิลล์ + เซลล์คมุ
↓
Chloroplast หน้าตาเป็นอย่างไรและมีส่วนประกอบใดบ้าง
ทั่วไปในไซโทพลาสซึม "
ู
i
:}
i
0ของ เหลว
รู้จักส่วนประกอบแต่ละส่วนของ Chloroplast
0
แช. ลา
1. เป็นบริเวณทีเ่ กิดปฏิกริ ยิ าแสง
(ดูดกลืนและถ่ายทอดe)
2. ที่เยื่อไทลาคอยด์เป็นที่อยูข่ อง
(1) ระบบแสง (2) โปรตีนที่
เป็นตัวรับ-ตัวถ่ายทอด
อิเล็กตรอนนอกระบบแสง (3)
โปรตีนหรือเอนไซม์สงั เคราะห์
ATP (ATP synthase)
3. มีช่องลูเมน (lumen) เป็นช่อง
ที่ใช้ในการปั๊ม H+
นักเรียนเห็นอะไรบ้างทีเ่ ยือ่ ไทลาคอยด์ (Thylakoid membrane)
นักเรียนเห็นอะไรบ้างทีเ่ ยือ่ ไทลาคอยด์ (Thylakoid membrane)
1. ระบบแสงที่
เยื่อไทลาคอยด์
คืออะไร
ระบบที่ทาํ หน้าที่
ดูดกลืนพลังงานแสง
และเริ่มต้นถ่ายทอด
อิเล็กตรอน
ระบบแสงทีเ่ ยือ่ ไทลาคอยด์ คืออะไร
– ศูนย์กลางปฏิกริ ยิ าจะ
Antenna complex เป็นคลอโรฟิลล์ เอ
Carotenoids
โมเลกุลพิเศษ 1 คู่
Accesso
– ทําหน้าทีร่ บั พลังงาน
ry
Chlorophyll b โฟตอนและถ่ายทอด
pigment
Chlorophyll a อิเล็กตรอนทีอ่ ยูใ่ นสภาพ
เร่งเร้าไปยังตัวรับ
Essential e-
pigment
Reaction center อิเล็กตรอน เพื่อเปลีย่ น
Chlorophyll a พลังงานแสงไปเป็น
พลังงานเคมี
รู้ไว้ใช่ว่า
รงควัตถุหรือสารสี (Pigment)
ที่พบที่ไทลาคอยด์มีอะไรบ้าง
1. คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll)
2. แคโรทีนอยด์ (Carotenoid)
ดูดกลืนพลังงานแสง
ในช่วงคลืน่ ที่ตาคนเรามองเห็น
คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll)
เมื่อนําสารสกัดจากใบพืชมาแยกโดยโครมาโทกราฟีจะเห็นแถบสีเขียวและ
แถบสีเหลืองซึง่ สามารถสรุปได้ว่าสารสกัดจากใบพืชมีคลอโรฟิลล์และแคโรที
นอยด์อยูด่ ้วย
รู้ไว้ใช่ว่า
กราฟแสดงการดูดกลืนแสงของ
คลอโรฟิลล์ เอ, คลอโรฟิลล์ บี, แคโรทีนอยด์
กราฟแสดงอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
ในช่วงความยาวคลื่นต่าง ๆ
กราฟแสดงอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชในช่วงความยาว
คลื่นต่าง ๆ จะเห็นว่าเส้นกราฟไม่ตา่ํ ลงจนถึง 0 เลย แต่คลอโรฟิลล์
และแคโรทีนอยด์ ดูดกลืนทีช่ ว่ ง 550-600 nm ไม่ได้เลย แล้วทําไม
ยังมีการสังเคราะห์แสงได้ในช่วงคลืน่ นี้ ????
คําตอบ
“เพราะยังมีรงควัตถุอื่น ๆ ที่พบใน
พืชได้อีก นอกเหนือไปจากคลอโรฟิลล์
และแคโรทีนอยด์ ”
แอนโทไซยานิน, บีตาเลน
รู้ไว้ใช่ว่า
ไฟโคบิลนิ (Phycobilin) คือ อะไร
– เป็นรงควัตถุที่พบเฉพาะในไซยาโนแบคทีเรียกับสาหร่ายสีแดง
– ไฟโคบิลนิ ประกอบด้วยสารประกอบ 2 ชนิด คือ ไฟโคอิรทิ ิน
(phycoerythrin) และไฟโคไซยานิน (phycocyanin)
ะ
1. ไฟโคอิรทิ ิน มีสแี ดง พบในสาหร่ายสีแดง สามารถรับแสงสี
ระบบรับและส่ง
อิเล็กตรอนนอก
ระบบแสง
ระบบไซโทโครมทีเ่ ยือ่ ไทลาคอยด์ คืออะไร
– ไซโทโครมเป็นสารประกอบพวกโปรตีน
– ทําหน้าทีเ่ ป็นตัวรับและส่งอิเล็กตรอนนอกระบบแสง
– ไซโทโครมมีหลายชนิด เรียกว่า ไซโทโครมคอมแพลกซ์ (Cyt b6f)
รู้ไว้ใช่ว่า
ตัวรับและส่งอิเล็กตรอนนอกระบบแสงนอกจากไซโทโครมแล้ว ยังมี
ตัวอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น พลาสโทไซยานิน (PC) พลาสโทควิโนน
(PQ) เฟอริดอกซิน (Fd) เป็นต้น
รู้ไว้ใช่วา่
ตัวรับส่งอิเล็กตรอนทีค่ วรรูจ้ ัก
1. ตัวรับอิเล็กตรอนตัวแรก (primary electrom acceptor) จะรับ
อิเล็กตรอนมาจากศูนย์กลางปฏิกริ ยิ าแสง เช่น
– ฟีโอไฟทิน (pheophytin)
– ฟิลโลควินโนน (phylloquinones) หรือวิตามิน เค
2. ตัวรับอิเล็กตรอนอืน่ ๆ จะรับอิเล็กตรอนจากตัวรับอิเล็กตรอนตัวแรกแล้วส่ง
ต่อไปยังตัวรับอิเล็กตรอนอืน่ ๆ เป็นทอด ๆ จนถึงตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้าย
เช่น
– พลาสโทไซยานิน (PC)-
– พลาสโทควิโนน (PQ) .
– เฟอริดอกซิน (Fd)
3. ตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้าย คือ NADP+ →
รู้ไว้ใช่ว่า
ตัวรับและส่งอิเล็กตรอน
ที่ควรรูจ้ กั
FD
นักเรียนเห็นอะไรบ้างทีเ่ ยือ่ ไทลาคอยด์ (Thylakoid membrane)
3. ATP synthase
ที่เยื่อไทลาคอยด์
คืออะไร
เอนไซม์ทใี่ ช้
สังเคราะห์ ATP
→ นน
NADPH
นอกจากมีเยื่อไทลาคอยด์แล้วทีไ่ ทลาคอยด์ยงั มีลเู มน (Lumen) ด้วยนะ
ลูเมน (Lumen)
รงควัตถุ
6CO2 + 12H2O C6H12O6 + 6H2O + 6O2
แสงสว่าง
H2O CO2
รงควัตถุ แสงสว่าง
C6H12O6 H2O O2
มี 2 ขั้นตอน (เกิดต่อเนื่องกัน)
1. ขั้นที่ 1 ปฏิกิริยาแสง (Light reaction)
2. ขั้นที่ 2 ปฏิกิริยาการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์
(Carbondioxide fixation หรือ
CO2 fixation หรือ วัฏจักรคัลวิน)
ขั้นที่ 1
ปฏิกิริยาแสง
(Light reaction)
ปฏิกิริยาแสง (Light reaction)
– เกิดทีไ่ ทลาคอยด์
– ปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นได้ตอ้ งมีแสง
– ปฏิกริ ิยาทีเ่ กิดขึ้นเป็นปฏิกริ ยิ าออกซิเดชัน-รีดกั ชัน (มีการรับ-ส่ง
อิเล็กตรอน) เกิดการถ่ายทอดอิเล็กตรอน 2 แบบ ดังนี้
1. การถ่ายทอดเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร (non-cyclic
electron transfer) <เ=กตรอน ?าน
2. การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร (cyclic electron
transfer)
– ผลผลิตทีไ่ ด้ในขัน้ นี้จะนาไปใช้ตอ่ ในขัน้ ที่ 2
สิ่งที่ต้องทาความเข้าใจก่อนเรียนปฏิกริ ยิ าแสง
สมการการสังเคราะห์แสงในปัจจุบัน
รงควัตถุ
6CO2 + 12H2O แสงสว่าง C6H12O6 + 6H2O + 6O2
จากสมการ
ขั้นตอนปฏิกริ ยิ าแสง ใช้อะไรบ้าง อย่างละเท่าไร
1
1. การสร้าง NADPH+H+ 2. การสร้าง ATP
2
การถ่ายทอดเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร (non-cyclic)
1. การสร้าง NADPH+H+
การถ่ายทอดเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร (non-cyclic)
1. การสร้าง NADPH+H+
K
9@
การถ่ายทอดเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร (non-cyclic)
1. การสร้าง NADPH+H+
1. การสร้าง NADPH+H+
แสงสว่าง
H2O 2H+ + ½O2 + 2e
แสงสว่าง
12H2O 24H+ + 6O2 + 24e
การถ่ายทอดเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร (non-cyclic)
1. การสร้าง NADPH+H+
2.การสร้าง ATP
การถ่ายทอดเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร (non-cyclic)
2.การสร้าง ATP
แสงสว่าง
ADP + Pi ATP
ATP synthase
เมื่อมีการถ่ายทอดอิเล็กตรอนในช่วง เมื่อน้าแตกต้วขณะได้รับแสงหรือ
การรับ-ส่ง ที่ไซโทโครมคอมเพลกซ์ เกิดโฟโตไลซิส จะปลดปล่อยโปรตอน
จะมีการปัม๊ โปรตอน (H+) จานวน (H+) จานวน 2 โปรตอน ในทุก ๆ
4 โปรตอน จากสโตรมาเข้ามายังลูเมน 1 โมเลกุลน้า
พืชสีเขียว+แสงสว่าง
12H2O + 12ADP + 12Pi +12NADP+ 6O2 + 12ATP + 12NADPH+H+
ATP synthase
ขยายความปฏิกริ ยิ าย่อย ๆ
ที่เกิดในการถ่ายทอดเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร
1. แอนเทนนาคอมแพลกซ์ดูดกลืนพลังงานแสง เรียกว่า Absorption
2. การรับส่งอิเล็กตรอนเป็นปฏิกริ ิยารีดอกซ์ทาให้เกิดการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
3. การแยกสลายน้าด้วยแสง เรียกว่า ปฏิกิริยาโฟโตไลซิส (Photolysis) หรือปฏิกริ ิยา
ของฮิลล์ ดังสมการ
แสงสว่าง
H 2O 2H+ + ½O2 + 2e
เกิดเฉพาะการสร้าง ATP
เกิดขึน้ ในสภาวะทีภ่ ายในคลอโรพลาสต์ ขาดแคลน NADP+
การถ่ายทอดเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร (cyclic)
เกิดเฉพาะการสร้าง ATP
แสงสว่าง
ADP + Pi ATP
ATP synthase
จากภาพ เมื่อมีการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
ในช่วงการรับ-ส่งอิเล็กตรอน ที่ไซโทโครม
คอมเพลกซ์ จะมีการปั๊มโปรตอน (H+) จานวน
4 โปรตอน จากสโตรมาเข้ามายังลูเมน
การสร้าง ATP 1 โมเลกุล
เนื่องจากคัลวินเป็นผู้
ค้นพบการตรึง
คาร์บอนไดออกไซด์
จึงเรียกการตรึงอีก
ชื่อว่าวัฎจักรคัลวิน
ปฏิกิริยาตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ (carbondioxide fixation)
การทดลองของคัลวิล
และคณะ
ปฏิกิริยาตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ (carbondioxide fixation)
การทดลองของคัลวิลและคณะ
2 + 1 3
L #
6 31 แ
Cedt
ˢ " ×
-
มี 3 ขั้น
วัฎจักร ขั้นที่ 1 ปฏิกริ ยิ าคาร์บอกซิเลชัน (Carboxylation)
คัลวิน ขั้นที่ 2 ปฏิกิรยิ ารีดักชัน (Reduction)
ขั้นที่ 3 ปฏิกริ ยิ ารีเจอเนอเรชัน (Regeneration)
เกิดที่สโตรมา
ของคลอโรพลาสต์
ใช้สาร NADPH+H+
และสาร ATP
จากขั้นตอนปฏิกริ ิยาแสง
1 2
3
วัฎจักรคัลวิน
3 ขั้นตอน
รงควัตถุ
6CO2 + 12H2O C6H12O6 + 6H2O + 6O2
แสงสว่าง
จากสมการ
ใช้ CO2 6 โมเลกุล
ขั้นที่ 1 คาร์บอกซิเลชัน (Carboxylation)
1
5C +1C ะ
6C
A
Bางใน
03cL
pคก
2 โมเลFล )
ขั้นที่ 1 คาร์บอกซิเลชัน (Carboxylation)
1. เริ่มด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ (มีคาร์บอน 1 อะตอม)
2. จะเข้ารวมตัวกับ RuBP (มีคาร์บอน 5 อะตอม)
3. โดยมีเอนไซม์รบู สิ โกเป็นตัวเร่ง
4. จะได้สารประกอบที่มคี าร์บอน 6 อะตอม แต่สารนีจ้ ะถูกเอนไซม์ไรบูโรส
บิสฟอสเฟตคาร์บอกซิเลส ทาให้สลายตัวอย่างรวดเร็ว (1 วินาที)
กลายเป็นสารประกอบที่มีคาร์บอน 3 อะตอม คือ
Phosphoglycerate หรือ PGA จานวน 2 โมเลกุล ดังสมการ
x1 CO2 + RuBP รูบิสโก 2PGA
แต่ในปฏิกริ ยิ าต้องใช้ 6CO2 ดังนั้นสมการจึงเป็น
x6 รูบิสโก
6CO2 + 6RuBP 12PGA
สรุปขั้นที่ 1 คาร์บอกซิเลชัน (Carboxylation)
2
ขั้นที่ 2 ปฏิกิริยารีดักชัน (Reduction)
ปฏิกิรยิ าย่อยที่ 1
เริ่มด้วยการเติมหมูฟ่ อตเฟต จาก ATP ให้กบั PGA โดยอาศัย
เอนไซม์ฟอสโฟกลีเซอริกไคเนส เป็นตัวเร่งปฏิกริ ยิ า ได้เป็น 1,3 บิสฟอสโฟ-
กลีเซอเรต ดังสมการ
ฟอสโฟกลีเซอริกไคเนส
PGA + ATP (1,3 bisphosphoglycerate) + ADP + Pi
x1
แต่ในปฏิกริ ยิ าในขัน้ คาร์บอกซิเลชัน ได้ 12PGA ดังนั้นสมการจึงเป็น
ฟอสโฟกลีเซอริกไคเนส
12PGA + 12ATP 12(1,3 bisphosphoglycerate) + 12ADP+12Pi
x12
ขั้นที่ 2 รีดักชัน (Reduction)
ปฏิกิรยิ าย่อยที่ 2
1. 1,3 bisphosphoglycerate จะถูกรีดิวซ์โดยรับอิเล็กตรอนจาก
NADPH+H+
2. ทาให้เกิดน้าตาลทีม่ คี าร์บอน 3 อะตอม คือ กลีเซอรัลดีไฮด์ 3 ฟอสเฟต
(Glyceraldehyde 3-phosphate : G3P) หรือเรียกอีกชื่อหนึง่ ว่า
ฟอสโฟกลีเซอรัลดีไฮด์ (Phosphoglyceraldehyde : PGAL)
ดังสมการ
x1 (1,3 bisphosphoglycerate) + NADPH+H+ G3P + NADP+
เส้นทางที่ 1 เส้นทางที่ 2
G3P จานวน 10 โมเลกุลจะถูก G3P จานวน 2 โมเลกุลจะถูกนา
ออกนอกวัฏจักร เพื่อเปลีย่ นแปลงไป
นาไปใช้ในขัน้ รีเจอเนอเรชัน
เป็นน้าตาลกลูโคสจานวน 1 โมเลกุล
และผลิตภัณฑ์อนื่ ๆ ต่อไป
PGA = สารตัวแรก
G3P หรือ PGAL = น้าตาลตัวแรก
ขั้นที่ 3 รีเจอเนอเรชัน (Regeneration)
3
ขั้นที่ 3 รีเจอเนอเรชัน (Regeneration)
1. เป็นขัน้ ตอนการสร้าง RuBP ขึ้นมาใหม่ (ต้องสร้างครั้งละ 3
โมเลกุลจึงจะเพียงพอไปตรึง CO2 ได้ใหม่)
2.โดยใช้ G3P จานวน 5 โมเลกุล และ ATP จานวน 3 โมเลกุล
ในการเปลี่ยนกลับไปเป็น RuBP ได้จานวน 3 โมเลกุล ดังสมการ
5G3P + 3ATP 3RuBP + 3ADP + 3Pi
แต่ในขัน้ ตอนรีดักชัน G3P จานวน 10 โมเลกุล จะถูกแยกเข้าสู่
ขั้นรีเจอเนอเรชัน ดังนั้นสมการจึงเป็น
10G3P + 6ATP 6RuBP + 6ADP + 6Pi
ขั้นที่ 3 รีเจอเนอเรชัน (Regeneration)
1. 6CO2 1. C6H12O6
2. 18ATP 2. 18ADP
3. 18Pi นากลับไปใช้ใน
3. 12NADPH+H+ ปฏิกิริยาแสง
4. 12NADP+
5. 6RuBP
ปฎิกิริยาทั้ง 3 ขั้นตอน
ที่สอนผ่านมาครูรวมโมเลกุลตามสมการนะคะ
แต่การเกิดวัฏจักรคัลวินนั้นจะเกิดเป็นรอบ ๆ
แต่ละรอบต้องใช้ CO2 จานวน 3 โมเลกุล
ถ้าเกิดวัฏจักรคัลวิน 1 รอบ
สารทีใ่ ช้และสารทีไ่ ด้
จะมีจานวนเท่าใด
วัฏจักรคัลวิน 1 รอบ ขั้นที่ 1 คาร์บอกซิเลชัน
จะมีสารอย่างละเท่าไร (carboxylation)
กระบวนการตรึง O2 (โฟโตเรสไพเรชัน)
โฟโตเรสไพเรชัน (Photorespiration)
โฟโตเรสไพเรชัน (Photorespiration)
คลอโรพลาสต์
เพอร์ออกซิโซม
ไมโทคอนเดรีย
1. เกิดในคลอโรพลาสต์
รูบิสโก
2RuBP (5C) + 2O2 oxygenase
2phosphoglycolic acid (2C) + 2PGA
dephosphorytase
2phosphoglycolic acid (2C) 2glycolic acid (2C) + 2Pi
C3
C4
การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ของพืช C4
ครั้งที่ 1 : เกิดขึ้นในไซโทพลาซึมของเซลล์ในชั้นมีโซฟิลล์
1. ใช้ PEP เป็นตัวตรึง CO2 ในรูป HCO3- และมี PEP
carboxylase เป็นตัวเร่ง จะเกิดกรดออกซาโลอะซิตกิ
(OAA) ซึ่งเป็นสารที่มีคาร์บอน 4 อะตอมออกมา (CO2
จากบรรยากาศจะเข้าสู่เซลล์เมื่อมีน้าในเซลล์จึงแตกตัวอยู่ใน
รูป HCO3-)
2. ต่อมา OAA จะถูกเปลีย่ นเป็นสารอินทรีย์ที่มีคาร์บอน 4
อะตอม เช่น กรดมาลิก (malic acid) แล้วลาเลียงเข้าสู่
เซลล์ในบันเดิลซีททางช่องพลาสโมเดสมาตา
การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ของพืช C4
ครั้งที่ 2 : เกิดขึ้นในคลอโรพลาสต์ของเซลล์ในบันเดิลชีท
1. กรดมาลิกจะถูกสลายได้เป็นกรดไพรูวกิ (pyruvic acid)
และ CO2
2. กรดไพรูวกิ จะเคลือ่ นกลับเข้าสู่เซลล์ชนั้ มีโซฟิลล์เพื่อนาไป
สร้าง PEP ใหม่ (ขั้นตอนนี้จะมีการใช้ ATP)
3. ส่วน CO2 จะถูกลาเลียงเข้าไปในคลอโรพลาสต์ แล้วถูกตรึง
ตามวัฏจักรคัลวินทุกประการ
เหตุใดพืช C4
จึงต้องเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์
พืช C4
มีแหล่งทีอ่ ยู่ อยู่กลางแจ้ง เมื่อมีแสงโดยเฉพาะช่วง 11.00 น. ถึง
15.00 น. จะได้รับแสงมากกว่าปกติ อุณหภูมจิ ะสูงตามไปด้วย
ส่งผลให้ปากใบคายน้ามากเกินไป พืชจึงหรีป่ ากใบหรือปิดปากใบ
ทาให้ CO2 จากบรรยากาศเข้าไปในสโตรมาได้นอ้ ย จึงต้องเพิม่
ความเข้มข้น CO2 ภายในตัวเองให้เพียงพอ
พืช C4 กับ โฟโตเรสไพเรชัน
3. เกิดโฟโตเรสไพเรชัน 3. ไม่เกิดโฟโตเรสไพเรชัน
พืช CAM
กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ของพืช CAM
1. พืชบางชนิดที่อยู่ในเขตแห้งแล้ง จะสูญเสียน้ามาก จึงลดรูป
ให้ใบมีขนาดเล็กและปากใบปิดในเวลากลางวัน เปิดกลางคืน
2. พืชพวกนี้เรียกว่า พืช CAM (Crussulaceae Acid
Metabolism) ได้แก่ พืชทะเลทราย และ พืชอวบน้า เช่น
สัปปะรด, ว่านหางจระเข้, กระบองเพชร, กล้วยไม้, ป่าน
ศรนารายณ์ (อะกาเว่) เป็นต้น
เมื่อกลางวันปากใบปิด
พืชพวกนี้จะตรึงคาร์บอนไดออกไซด์อย่างไร????
กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ของพืช CAM
กลางคืน
กลางวัน
กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ของพืช CAM
กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ของพืช CAM
ครั้งที่ 1 : กลางคืน : เกิดขึ้นที่เซลล์ในชัน้ มีโซฟิลล์
1. ปากใบจะเปิด : ใช้ PEP เป็นตัวตรึง CO2 ในรูป HCO3- และมี
PEP carboxylase เป็นตัวเร่ง จะเกิดกรดออกซาโลอะซิตกิ
(OAA) ซึ่งเป็นสารที่มีคาร์บอน 4 อะตอมออกมา (CO2 จาก
บรรยากาศจะเข้าสูเ่ ซลล์เมื่อมีน้าในเซลล์จึงแตกตัวอยูใ่ นรูป HCO3-)
2. ต่อมา OAA จะถูกเปลีย่ นเป็นสารอินทรียท์ มี่ คี าร์บอน 4 อะตอม
เช่น กรดมาลิก (malic acid) แล้วลาเลียงเข้ามาเก็บไว้ในแวคิวโอล
3. ในขณะเดียวกันแป้งซึง่ เก็บสะสมไว้ในคลอโรพลาสต์จะสลายตัวเป็น
น้าตาลแล้วเปลี่ยนเป็น PEP กลับมาใหม่
กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ของพืช CAM
ครั้งที่ 2 : กลางวัน : เกิดขึ้นที่เซลล์ในชัน้ มีโซฟิลล์
1. ปากใบจะปิด : กรดมาลิก (malic acid) ที่เก็บไว้ในแวคิวโอลจะ
เคลื่อนออกมายังไซโทพลาซึมและสลายตัวได้เป็นกรดไพรูวกิ
(pyruvic acid) และ CO2
2. กรดไพรูวกิ จะถูกลาเลียงเข้าไปในคลอโรพลาสต์ และเปลี่ยนเป็น
แป้งสะสมไว้ทนี่ ี่
3. ส่วน CO2 จะถูกลาเลียงเข้าไปในคลอโรพลาสต์เช่นกัน จากนั้นจะ
ถูกตรึงตามวัฏจักรคัลวินทุกประการ
พืช CAM กับ โฟโตเรสไพเรชัน
การที่รูปากใบปิดและมีการสลายของกรดมาลิกในเวลา
กลางวัน จึงไม่มีการปล่อย CO2 ออกนอกเซลล์ ทาให้ความ
เข้มข้นของ CO2 สูง โฟโตไพเรชันจึงเกิดได้น้อยมาก
เปรียบเทียบการตรึง CO2 ทั้ง 3 แบบ
ตารางเปรียบเทียบการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืช C3 พืช C4 และพืช CAM
ลักษณะ พืช C3 พืช C4 พืช CAM
กายวิภาคของใบพืช บันเดิลชีท บันเดิลชีท มีแวคิวโอลขนาดใหญ่
ไม่มีคลอโรพลาสต์ มีคลอโรพลาสต์หนาแน่น
เอนไซม์ที่ใช้ในการตรึง รูบิสโกอย่างเดียว ใช้ PEP คาร์บอกซิเลส ใช้ PEP คาร์บอกซีเลส
CO2 (C3 pathway) (C4 pathway) ก่อน (C4 pathway) ตอน
(carboxylation) แล้วจึงใช้รูบิสโก C3 กลางคืน และใช้รูบสิ โก
pathway ทีหลัง (C3 pathway) ตอน
กลางวัน
ปริมาณน้าทีใ่ ช้ในการ 400-500 g 250-300 g 50-100 g
ตรึง CO2 คิดเป็น
น้าหนักแห้ง 1 g
ต้องการแร่ธาตุ Na ไม่ต้องการ ต้องการ อาจต้องการ
อุณหภูมิเหมาะสมใน 15-25 ๐C 30-47 ๐C ประมาณ 35 ๐C
การสังเคราะห์ดว้ ยแสง