Professional Documents
Culture Documents
บทนำ
เมื่อกลาวถึงรังสีอาจมีนิยามที่แตกตางหลายตามบริบทของการใชงาน ซึ่งโดยหลักแลว รังสีสามารถ
แบงไดเปน 2 ชนิดหลัก ไดแก รังสีไมกอประจุ (Non-ionizing radiation) ซึ่งมีการใชงานอยางแพรหลายและ
ไมกอใหเกิดการแตกตัวเปนประจุในตัวกลาง และ รังสีกอประจุ (Ionizing radiation) ที่สามารถทำใหตัวกลาง
เกิดการแตกตัวเป นประจุได ซึ ่ ง นัก รังสี เทคนิคเปนบุคลากรที่ตองทำงานเกี่ยวขอ งกับรังสีกอประจุ โดยมี
วัตถุประสงคเพื่อใชรังสีในการวินิจฉัยและรักษาโรค แมวารังสีจะมีประโยชนมากมายแตเนื่องจากรังสีกอประจุ
เปนรังสีที่กอใหเกิดความเสียหายตอระบบชีววิทยาของรางกายได จึงมีความจำเปนอยางยิ่งที่ตองทำการศึกษา
เกี่ยวกับ ชนิดและคุณสมบัติของรังสี รวมทั้งปริมาณและหนวยตาง ๆ ทางรังสี เพื่อเปนพื้นฐานความรู ให
สามารถประยุกตใชรังสีและเลือกวิธีการปองกันอันตรายจากรังสีไดอยางเหมาะสมในลำดับตอไป
ความรูทั่วไปเกี่ยวกับรังสี หนวยทางรังสี
ความรูพื้นฐานทางรังสี
รังสี (Radiation) คือ พลังงานที่แผออกมาจากตนกำเนิด หรือบริเวณหนึง่ ไปยังอีกบริเวณหนึง่ ผาน
ตัวกลางชนิดตาง ๆ ซึ่งรังสีสามารถแบงออกเปน 2 ชนิด ไดแก
1. รังสีไมกอประจุ (Non-ionizing radiation)
รังสีชนิดนี้มักเปนรังสีที่มีพลังงานต่ำ เมื่อผานเขาไปยังตัวกลางใด ๆ จึงไมสามารถเหนี่ยวนำ
หรือกอใหตัวกลางนั้นเกิดการแตกตัวได เชน แสงอาทิตย คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ เปนตน
2. รังสีกอประจุ (Ionizing radiation)
เปนรังสีที่มีพลังงานสูง มักเกิดจากการสลายตัวของธาตุหรืออะตอมที่ไมเสถียร ซึ่งถูกเรียกวา
สารกัมมันตรังสี (Radioactive material) เชน คลื่นแมเหล็กไฟฟา จำพวกรังสีเอกซ และ รังสีแกมมา
อนุภาคแอลฟา อนุภาคบีตา เปนตน หรือเกิดจากเครื่องกำเนิดรังสีอื่น ๆ ที่มนุษยสรางขึ้น เชนเครื่อง
กำเนิดรังสีเอกซ (X-ray machine) ซึ่งรังสีเหลานีส้ ามารถเหนี่ยวนำหรือทำใหตัวกลางทีร่ ังสีชนิดนี้ผาน
เขาไปเกิดการแตกตัวเปนประจุได โดยรังสีชนิดกอประจุนสี้ ามารถแบงไดเปน 2 ประเภทหลัก ไดแก
2.1.รังสีหรืออนุภาคที่มีประจุ ( Charged particulated radiation)
เนื่องจากเปนรังสีที่มีประจุทางไฟฟา รังสีชนิดนี้จึงสามารถทำอันตรกิริยากับตัวกลางได
โดยตรง (Directly interact) ผานแรงคูลอมบ (Coulomb force) ไดแก อนุภาคแอลฟา ( 42He; α)
อนุภาคบีตา ( −10e; β− ) อนุภาคโพซิตรอน ( +10e; β+ ) และ อนุภาคโปรตอน ( 11H+ ; P+ ) เปนตน
2.1.1. อนุภาคแอลฟา (Alpha particle) ( 𝟒𝟒𝟐𝟐𝑯𝑯𝑯𝑯; 𝜶𝜶)
อนุภาคแอลฟาเปนอนุภาคที่มีประจุบวก ประกอบดวยโปรตอน 2 ตัว
และ นิ วตรอน 2 ตัว เชนเดียวกันกับนิวเคลียสของฮีเลียม (He) จึง มัก มีก ารใช
สัญลักษณ 42He แทนคุณลักษณะของอนุภาคแอลฟา แอลฟาจัดเปนรังสีที่อยูในกลุม
อ น ุ ภา คม ี ป ร ะ จ ุ ม วล ห น ั ก ( Heavy charged particle) เ น ื ่ อ ง จ า ก ม ี ม วล
6.6446573357 x 10-27 กิโลกรัม(1) หรือประมาณ 4 atomic unit (amu) ซึ่งมีมวล
มากกวาอิเล็กตรอน ประมาณ 7294 เทา และมีประจุเปน +2 สามารถเกิดอันตร
กิ ร ิ ย ากับ ตัว กลางไดโ ดยตรง (Direct interaction)ผ านแรงคูล อมบ (Coulomb
force) นอกจากนั้นแอลฟาจัดเปนอนุภาคมวลที่มีม วลมากเมื่อ เปรียบเทียบกับ
อนุภาคชนิดอื่น ๆ จึงสงผลใหมีอำนาจทะลุทะลวงในตัวกลางในระยะทางที่ส้ันมาก
อนุ ภาคแอลฟามัก มีแหลง กำเนิดอันเนื่อ งมาจากการสลายตัวของนิวไคลดร ัง สี
(Radionuclide) หรื อ สารกั ม มั น ตรั ง สี ใ นธรรมชาติ ท ี ่ จ ั ด อยู ใ นกลุ ม ธาตุ ห นั ก
ยกตัวอยางเชน การสลายตัวใหอนุภาคแอลฟา (Alpha decay) ของ Thorium-232
(Th-232) ดังแสดงในสมการที่ (1)
232
90Th → 228
88Ra + 42He (1)
2.1.2. อนุภาคบีตา (Beta particle) หรืออิเล็กตรอน
เกิดจากการสลายตัวของนิวไคลดที่ไมเสียรที่ม ีจำนวนโปรตอนมาก
เกิ นไปหรื อ น อ ยเกินไป มีอ ำนาจทะลุท ะลวงในตั วกลางสูง กว าอนุ ภาคแอลฟา
เนื่องจากมีมวลและประจุที่นอยกวา ซึ่งสามารถเกิดอันตรกิริยาโดยตรงกับตัวกลางได
ผ า นแรงคู ล อมบ และเนื ่ อ งจากอิ เ ล็ ก ตรอนมี ม วลน อ ยมาก โดยมี ม วลเทากับ
9.1093837015 x 10-31 kg จึงทำใหรังสีเบตาเกิดการเบีย่ งเบนไดงายในสนามไฟฟา
โดยสามารถแบงออกเปน 2 ชนิด ดังนี้
2.1.2.1 บีตาลบ หรือ อิเล็กตรอน ( −10𝑒𝑒; 𝛽𝛽−)
อนุภาคบีตา เปนอนุภาคที่มีประจุลบ เกิดจากเกิดจากการ
สลายตัวของนิวไคลดที่มีจำนวนนิวตรอน (พิจารณาไดจากสวนตางของเลข
มวล (A) และเลขอะตอม (Z); A-Z) มากเกินกวาโปรตอน จนกอใหเกิดความ
ไมเ สถียรในนิวเคลียสจึง ตอ งลดจำนวนนิวตรอนลงโดยการปลดปล อ ย
พลังงานสวนหนึ่งออกมาในรูปของบีตาหรืออิเล็กตรอน ( −10e) สงผลใหมี
จำนวนนิวตรอนของนิวไคลดที่ลดลง ยกตัวอยางเชน การสลายตัวใหอนุภาค
บีตาของนิวไคลด Carbon-14 (C-14) ดังแสดงในสมการที่ (2)
14
6C → 14
7N + −10e (2)
2.1.2.2. อนุภาคโพซิตรอน (Positron particle) ( +10𝑒𝑒; 𝛽𝛽+ )
อนุภาคโพซิตรอน เปนอนุภาคที่มีประจุบวก เกิดจากการ
สลายตัวของนิวเคลียสที่มีโปรตอนมากเกินกวานิวตรอน ดังนั้นจึงตองลด
จำนวนโปรตอนลงโดยปลดปลอ ยอนุภาคโพซิตรอนหรือ อิเล็กตรอนบวก
( +10𝑒𝑒) ออกมาเพื่อใหนิวเคลียสมีความเสถียร ยกตัวอยางเชน การสลายตัว
ใหอ นุภาคโพซิตรอนของของนิวไคลด Fluorine-18 (F-18) ดัง แสดงใน
สมการที่ (3)
18
9F → 18 0
8O + +1e (3)
2.1.3. อนุภาคโปรตอน (Proton particle) (𝟏𝟏𝟏𝟏𝑯𝑯+ ; 𝑷𝑷+ )
โปรตอนมีประจุไฟฟาเปนบวกหนึ่งหนวย มีมวลเทากับ 1.67262192369
-27
x 10 kg เปนองคประกอบมูลฐานของนิวเคลียสของอะตอม โดยอยูยึดรวมกับ
นิวตรอน ในนิวเคลียสของอะตอมใด ๆ จะพบโปรตอนอยางนอยหนึ่งตัวเสมอ Ernest
Rutherford นักฟสิกสชาวบริติช ไดคนพบนิวเคลียสของไฮโดรเจน (Hydrogen) ซึ่ง
เปนนิวเคลียสที่เบาทีส่ ุดเนื่องจากไมมีนิวตรอนเปนสวนประกอบรวมดวย จากนั้นในป
ค.ศ. 1920 Rutherford จึงไดกำหนดชื่อใหกับ นิวเคลียสของไฮโดรเจนวา โปรตอน
(Proton) ซึ่งมีที่มาจากภาษากรีกแปลวา "first" หรือ “สิ่งแรก”(2) ดังนั้นเมื่อกลาวถึง
โปรตอนก็มักหมายถึงนิวเคลียสของไฮโดรเจนนั่นเอง โดยจำนวนของโปรตอนภายใน
นิวเคลียสของอะตอมจะเปนตัวบอกเลขอะตอม และกำหนดชนิดของธาตุ รวมทั้งเปน
ตัวกำหนดสมบัติทางเคมีของดวย
โปรตอนอิสระ (Free proton) หรือโปรตอนที่ไมไดถูกยึดอยูกับนิวเคลียส
ของ สามารถพบไดบางครั้ง ในธรรมชาติ เชน พายุฝ นฟาคะนองที่ในสภาวะที่ มี
พลังงานและอุณหภุมิสูงเพียงพอที่จะเอาชนะแรงยึดเหนี่ยวระหวางอิเล็กตรอนใน
อะตอมของไฮโดรเจน หรือเอาชนะแรงยึดเหนึ่ยวภายในนิวเคลียสระหวางนิวตรอน
ได โปรตอนอิสระจึงถือเปนอนุภาครังสีที่สามารถถายเทพลังงานใหกับตัวกลางได
โดยตรงผานแรงทางคูลอมบของประจุบวก จึงทำใหตัวกลางเกิดการแตกตัวเปนประจุ
ได
2.2. รังสีหรืออนุภาคที่ไมมีประจุ ( Uncharged particulated radiation)
รั ง สี ชนิดนี้ เปนกลางทางไฟฟา จึง ตอ งทำอันตรกิริยากับตัวกลางโดยออม (Indirectly
interact) ไดแก โฟตอนหรือคลื่นแมเหล็กไฟฟา เชน รังสีเอกซ (X-ray) และรังสีแกมมา (Gamma
ray; γ) ซึ่งไมมีมวลและไมมีประจุ จึงมีอำนวจทะลุทะลวงสูง รังสีสองชนิดนี้มีคุณสมบัติเหมือนกันทุก
ประการแตแตกตางกันที่แหลงกำเนิด โดยรังสีเอกซจะมีแหลงกำเนิดจากอิเล็กตรอน ในขณะที่รังสี
แกมมามีแหลงกำเนิดจากนิวเคลียสของอะตอม นอกจากนั้น อนุภาคนิวตรอน ( 10𝑛𝑛)ซึ่งเปนกลางทาง
ไฟฟาก็จัดอยูในประเภทของรังสีที่ไมมีประจุ
1.2.1. รังสีเอกซ (X-ray) และ รังสีแกมมา (Gamma ray)
เป นคลื ่ นแมเ หล็ก ไฟฟาที่อ ยูในยานความถี่ส ูง หรือ ความยาวคลื่นสั้น ในช ว ง
ประมาณนอ ยกวา 10 นาโนเมตร ดัง แสดงในรูปที่ 1 เปนรังสีไมมีมวลไมม ีประจุ และมี
ความเร็วเทากับแสง สงผลใหรังสีเอกซและรังสีแกมมามีคุณสมบัติเชนเดียวกันกับอนุภาคของ
แสงหรือที่เรียกวาโฟตอน (Photon) เชนเดียวกัน ซึ่งในทางฟสิกส คลื่นสามารถประพฤติตัว
หรือแสดงคุณสมบัติเชนเดียวกับอนุภาคเมื่ออยูในสภาวะใดสภาวะหนึ่ง และอนุภาคก็สามารถ
แสดงสมบัติของคลื่นไดเชนกัน ซึ่งสภาวะนี้เรียกวาเปนคุณสมบัติทวิภาคของคลื่น-อนุภาค
(wave–particle duality) ดังนั้นรังสีเอกซและรังสีแกมมาจึงถูกจัดใหอยูในกลุมของโฟตอน
รูปที่ 1 คลื่นแมเหล็กไฟฟาชนิดตางๆ
ที่มา: https://www.defencetalk.com/electromagnetic-spectrum-strategy-paves-way-for-new-
technologies-58837/ (สืบคนเมื่อ 15 มีนาคม 2563)
การปองกันอัตรายจากรังสี
เนื่องดวยรังสีก อประจุสามารถกอใหเกิดผลเสียหายทางชีววิทยาตอสิ่งมีชีวิต ดังนั้นการทำงานที่
เกี่ยวขอ งกั บ รั ง สี ก อ ประจุ จ ึ งต อ งมี ความระมัดระวัง อยางยิ่ง ดัง นั้น ICRP (International Commission
Radiological Protection: ICRP Publication 103(6) ) จึง ไดก ำหนดแนวทางเพื่อ ใชเ ปนหลัก การในการ
ป อ งกั น อั น ตรายจากรั ง สี ไว 3 หั ว ข อ หลั ก ได แ ก Justification, Optimization และ Dose limit เพื่ อ
ประยุกตใชในทางรังสี 3 เหตุการณ ไดแก 1) Planned exposure situations หรือเหตุการที่มีการวางแผนใน
การปฏิบัติเกี่ยวกับตนกำเนิดรังสีไวแลว 2) Emergency exposure situations หรือเหตุการณทางรังสีที่เปน
อุบัติเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นโดยไมคาดฝน การกอการราย รวมทั้งอุบัติเหตุเมื่อปฏิบัติงานเกี่ยวกับรังสีแมมีการ
วางแผนแลว และ 3) Existing exposure situations หรือ กรณีที่มีเปนบริเวณที่มีรังสีหรือความจำเปนตอง
ไดรับรังสีอยูแลว เชน รังสีในสิ่งแวดลอม เปนตน โดยที่จะมีการประยุกตใชหลักการ Justification และ
Optimization เสมอ เมื่ออยูในเหตุการณทั้งหมด [1), 2) และ 3)] ในขณะที่หลักการ Dose limits ถูกนำมา
ประยุกตใชเมื่อตองการทราบปริมาณรังสีที่ไดรับในสถานการณ Planned exposure situations เทานั้น โดยมี
รายละเอียดของหลักการในการปองกันอันตรายจากรังสี ดังนี้
1. The Principle of Justification
การปฏิบัติงานหรือการตัดสินใจใดๆ ที่เกี่ยวของกับรังสีตองกอใหเกิดประโยชนสูงสุดโดยมีผลกระทบ
หรือเกิดความเสี่ยงตอผูที่เกี่ยวของนอยที่สุด
2. The Principle of Optimization of Protection
เปนกระบวนการในการประเมินระดับของความปลอดภัย (Safety) และการปองกัน (Protection)
อันตรายจากรังสี โดยพิจารณาหาแนวทางหรือทางเลือกที่เหมาะสมและคุมคาที่สุดในการทำงานเกี่ยวกับรังสี ที่
ทำใหไดรับรังสีนอยที่สุดเทาทีจ่ ะเปนไปไดโดยยังคงบรรลุวัตถุประสงคในการใชประโยชนจากรังสีนั้น ๆ โดยการ
นำเอาปจจัยทาง เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดลอม มาพิจารณารวมดวย ซึ่งมีความหมายในภาษาอังกฤษตรงกับ
คำวา “As low As Reasonably Achievable” หรือใชตัวยอวา “ALARA” โดยมีหลักปฏิบัติไดแก
• Time คือการใชเวลาอยูในบริเวณรังสีใหนอย (Minimize time) ที่สุดโดยยังคงบรรลุวัตถุประสงค
ในการใชรังสี
• Distance คือการรักษาระยะทางใหหางจากตนกำเนิดรังสีใหมากที่สุด (Maximize distance)
เนื่องจากรังสีจะมีความเขมลดลงเมื่อมีระยะหางจากตนกำเนิดรังสีเพิ่มมากขึ้น
• Shielding คือการใชวัสดุกำบังรังสีที่เหมาะสมเพื่อลดปริมาณรังสีที่ไดรับโดยเฉพาะอยางยิ่งใน
กรณีไมสามารถลดระยะเวลาในการอยูในบริเวณรังสีได และไมสามารเพิ่มระยะทางในการทำงาน
กับตนกำเนิดรังสีได
3. The Principle of Application of Dose Limits
ICRP ไดทำการกำหนดระดับรังสีที่ยอมรับได (Dose limit) ของแตละบุคคลไดรับ (นอกเหนือจากการ
ไดรับรังสีทางการแพทย) ไวแตกตางกันขึ้นอยูกับบริบทของบุคคลนั้น ๆ เชน ผูทที่ ำงานเกี่ยวของกับรังสีก็จะมี
Dose limit สูงกวา เนื่องจากมีความจำเปนตองไดรับรังสีจากการทำงานในปริมาณที่มากกวาประชาชนทั่วไป
(Public) (รายละเอียดดังตารางที่1) ดังนั้นการปฏิบัติงานหรือกระทำการใดที่เกี่ยวของกับรังสีควรพิจารณา
ปริมาณรังสีไมใหเกิน Dose limit ของแตละบุคคลรวมดวยเสมอ
ตารางที่ 1 ระดับรังสีที่ยอมรับได (Dose limit) ของกลุมบุคคล [ดัดแปลงจาก ICRPædia: Dose limit ค.ศ. 2019(7)]
ระดับรังสีที่ยอมรับได (Dose limit)
Particles Particles
(a) (b)
Slab Thickness t
Mass dl
เคอรมา (Kerma; K)
ปริ ม าณรั ง สี Kerma มี ท ี ่ ม าจากคำว า Kinetic Energy Released per unit MAss (KERMA) ซึ่ ง
หมายถึง พลังงานจลนที่ถูกปลดปลอยหรือถายทอด (dEtr ) ตอมวล (dm) ของวัตถุตัวกลางที่ตำแหนงที่ส นใจ
(Point of interest) สามารถแสดงไดดังสมการ (15)
dEtr
K=
dm
(15)
หรือกลาวไดวา K คือ ผลรวมทั้ของพลังงานจลนทั้งหมดที่ถูกปลดปลอยออกมาสูมวลของตัวกลาง ซึ่ง
หมายรวมถึงทั้งการเกิดอันตรกิริยาแบบชน (Kcol) และการแผรังสี (Krad) ดังแสดงในสมการที่ (16)
K = Kcol + Krad (16)
นอกจากนั้นเมื่อพิจารณาโฟตอนพลังงานเดี่ยว (Monoenergetic photons) พบวาสามารถคำนวณคา
K ไดในเทอมของ Energy fluence (ψ)ไดดังสมการที่ (17)
μtr μtr
K col = Ψ � � = Φ� � (17)
ρ ρ
Exposure = 1 R
2
2.5 + 18.2e−[ln(En )] ⁄6 , En < 1MeV
2
WR = �5.0 + 17.0e−[ln(2En )] ⁄6 , 1 MeV ≤ En ≤ 50 MeV (23)
2
2.5 + 3.25e−[ln(0.04En )] ⁄6 , En > 50 MeV
ตารางที่ 4 ค าแฟกเตอร คุ ณภาพเฉลี ่ ย (Mean Quality Factors; Q) และ Fluence Per Unit Dose
Equivalent ของนิวตรอนพลังงานเดี่ยว (Monoenergetic Neutrons) [ดัดแปลงจาก U.S.NRC, ค.ศ.1991(15)]
พลังงาน Quality factora (Q) Fluence per unit dose equivalentb
2.5×10−8 2 980×106
1×10−7 2 980×106
1×10−6 2 810×106
1×10−5 2 810×106
1×10−4 2 840×106
1×10−3 2 980×106
1×10−2 2.5 1010×106
1×10−1 7.5 170×106
5×10−1 11 39×106
1 11 27×106
2.5 9 29×106
5 8 23×106
7 7 24×106
10 6.5 24×106
14 7.5 17×106
20 8 16×106
40 7 14×106
60 5.5 16×106
1×102 4 20×106
2×102 3.5 19×106
3×102 3.5 16×106
4×102 3.5 14×106
aคา quality factor (Q) ไดจากการประเมินคา dose equivalent สูงสุด ในหุนจำลองสมมูลเนื้อเยื่อ (Tissue-equivalent
phantom) ทรงกระบอกเสนผานศูนยกลาง 30 cm
b พิจารณา Monoenergetic neutrons incident บนหุนจำลองสมมูลเนื้อเยื่อทรงกระบอกเสนผานศูนยกลาง 30 cm
รูปที่ 12 คาตัวประกอบถวงน้ำหนัก (Radiation weighting factor;Wr) ของนิวตรอนที่ชวงพลังงานตาง ๆ(6)
ที่มา: https://journals.sagepub.com/doi/pdf/10.1177/ANIB_37_2-4 (สืบคนเมื่อ มีนาคม 2563)